id
stringlengths 1
7
| url
stringlengths 31
212
| title
stringlengths 1
182
| text
stringlengths 100
310k
|
---|---|---|---|
1769 | https://th.wikipedia.org/wiki/วิทยาการสารสนเทศ | วิทยาการสารสนเทศ | วิทยาการสารสนเทศ () หรือ สารสนเทศศาสตร์ หรือ สารนิเทศศาสตร์ หรือ สนเทศศาสตร์ () เป็นการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีสารสนเทศ ตั้งแต่การรับรู้, การทำความเข้าใจ, การวิเคราะห์, การสังเคราะห์, การเก็บ, การค้นคืน, การสื่อสาร สารสนเทศอย่างเป็นระบบ ในการศึกษาด้านวิทยาการสารสนเทศนั้น มีความจำเป็นต้องศึกษาวิชาในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ด้วยเนื่องจากใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำหรับประมวลผลสารสนเทศ
วิทยาการสารสนเทศนั้นยังสนใจกระบวนความคิดและสารสนเทศในเชิงประยุกต์ด้วย เช่น เรื่องของสารสนเทศในสิ่งมีชีวิตในประชานศาสตร์ (cognitive science) ซึ่งศึกษากระบวนความคิดและการทำงานของสมองของสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างการประยุกต์วิทยาการสารสนเทศ อื่น ๆ เช่น ชีวสารสนเทศศาสตร์ ในกรณีนี้คือการศึกษาสารสนเทศทางชีววิทยา หรือ การศึกษาด้านวิทยาการสารสนเทศที่เกี่ยวกับการส่งสารสนเทศไปยังผู้รับสารด้วย ซึ่งคือบางส่วนของนิเทศศาสตร์
== นิยามอื่น ๆ ==
# "วิทยาการสารสนเทศเป็นการศึกษาโครงสร้าง พฤติกรรม และการโต้ตอบ ระหว่างระบบที่คำนวณได้ด้วยคอมพิวเตอร์ ทั้งที่เกิดเองในธรรมชาติและที่ถูกวิศวกรรมขึ้น" โดยสถาบันสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอดินบะระ
== ดูเพิ่ม ==
* วิทยาการคอมพิวเตอร์
* ปัญญาประดิษฐ์
* เทคโนโลยีสารสนเทศ
* บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์
* วารสารศาสตร์สื่อประสม
*วิทยาการข้อมูล
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Knowledge Map of Information Science
* Journal of Information Science
* Digital Library of Information Science and Technology open access archive for the Information Sciences
* Current Information Science Research at U.S. Geological Survey
* Introduction to Information Science
* The Nitecki Trilogy
* Information science at the University of California at Berkeley in the 1960s: a memoir of student days
* Chronology of Information Science and Technology
* LIBRES - Library and Information Science Research Electronic Journal -
* Curtin University of Technology, Perth, Western Australia
* Shared decision-making
หมวดหมู่:สังคมศาสตร์ |
1773 | https://th.wikipedia.org/wiki/เทคโนโลยีสารสนเทศ | เทคโนโลยีสารสนเทศ | เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอที () คือการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม เพื่อจัดเก็บ ค้นหา ส่งผ่าน และจัดดำเนินการข้อมูล ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับธุรกิจหนึ่งหรือองค์การอื่น ๆ ศัพท์นี้โดยปกติก็ใช้แทนความหมายของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังรวมไปถึงเทคโนโลยีการกระจายสารสนเทศอย่างอื่นด้วย เช่น โทรทัศน์และโทรศัพท์ อุตสาหกรรมหลายอย่างเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างเช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ อินเทอร์เน็ต อุปกรณ์โทรคมนาคม การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และบริการทางคอมพิวเตอร์
มนุษย์รู้จักการจัดเก็บ ค้นคืน จัดดำเนินการ และสื่อสารสารสนเทศมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมียโดยชาวซูเมอร์ ซึ่งได้พัฒนาเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล และ โทมัส แอล. วิสเลอร์ โดยให้ความเห็นไว้ว่า "เทคโนโลยีใหม่ยังไม่มีชื่อที่ตั้งขึ้นเป็นสิ่งเดียว เราจะเรียกมันว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที)" คำจำกัดความของศัพท์นี้ประกอบด้วยเทคโนโลยีสามประเภท ได้แก่ เทคนิคเพื่อการประมวลผล การประยุกต์ใช้วิธีการทางสถิติศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อการตัดสินใจ และการจำลองความคิดในระดับที่สูงขึ้นผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กลไก Antikythera สืบมาจากจุดเริ่มต้นของศตวรรษที่หนึ่งก่อนคริศตศักราชโดยทั่วไปถูกพิจารณาว่าเป็น คอมพิวเตอร์แบบอนาล็อกที่ใช้กลไกที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จักกัน และกลไกที่ใช้เฟืองที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จักกัน อุปกรณ์ที่ใช้เฟืองทีสามารถเทียบได้ไม่ได้เกิดขึ้นใน ยุโรปจนถึงศตวรรษที่ 16 และมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1645 ที่เครื่องคิดเลขกลไกตัวแรกที่มีความสามารถในการดำเนินการคำนวณทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานทั้งสี่ได้รับการพัฒนา
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้รีเลย์หรือวาล์ว เริ่มปรากฏให้เห็นในช่วงต้นปี ค.ศ. 1940 เครื่องกลไฟฟ้า Zuse Z3, เสร็จสมบูรณ์ใน ปี ค.ศ.1941, เป็นคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมได้เครื่องแรกของโลก และตามมาตรฐานที่ทันสมัย เป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่อาจถูกพิจารณาว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์แบบเครื่องหนึ่ง เครื่อง Colossus, ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อถอดรหัสข้อความภาษาเยอรมัน, เป็นคอมพิวเตอร์ดิจิทัลอิเล็กทรอนิกส์ตัวแรก แม้ว่ามันจะโปรแกรมได้ มันก็ไม่ได้ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป มันถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเพียงงานเดียว มันยังขาดความสามารถในการจัดเก็บโปรแกรมในหน่วยความจำอีกด้วย การเขียนโปรแกรม สามารถทำได้โดยใช้ปลั๊กและสวิทช์เพื่อเปลี่ยนแปลงการเดินสายไฟภายใน คอมพิวเตอร์ที่เก็บโปรแกรมได้แบบดิจิทัลอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับตัวแรก คือ Manchester Small-Scale Experimental Machine (SSEM) ซึ่งเริ่มใช้โปรแกรมแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1948
การพัฒนาของทรานซิสเตอร์ในปลายปี ค.ศ. 1940 ที่ ห้องปฏิบัติการ Bell ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบรุ่นใหม่ใช้พลังงานที่ลดลงอย่างมาก เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก็บโปรแกรมได้ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ตัวแรกชื่อ Ferranti Mark I ประกอบด้วย วาล์ว 4,050 ตัวและมี การใช้พลังงาน 25 กิโลวัตต์ เมื่อเปรียบเทียบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ตัวแรก, ที่ถูกพัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยแห่งแมนเชสเตอร์และเปิดใช้งานในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1953, บริโภคพลังงานเพียง 150 วัตต์ในรุ่นสุดท้ายของมัน
โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นกรอบงานบูรณาการภายใต้เครือข่ายดิจิทัลทำงานอยู่ โครงสร้างพื้นฐานนี้ประกอบด้วย ศูนย์ข้อมูล, เครื่องคอมพิวเตอร์, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์จัดการฐานข้อมูลและระบบการกำกับดูแล
ในเทคโนโลยีสารสนเทศและบนอินเทอร์เน็ต โครงสร้างพื้นฐานเป็นฮาร์ดแวร์ทางกายภาพที่ถูกใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายตัวและผู้ใช้หลายคน โครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยสื่อการส่งผ่าน, รวมทั้งสายโทรศัพท์, สายเคเบิลทีวี, ดาวเทียมและเสาอากาศ และยังมีเราเตอร์หลายตัว ที่ใช้ถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเทคโนโลยีการส่งผ่านทั้งหลายที่แตกต่างกัน
ในการใช้งานบางครั้ง โครงสร้างพื้นฐานหมายถึงการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ และไม่ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศบางคน โครงสร้างพื้นฐานถูกมองว่าเป็นทุกอย่างที่สนับสนุนการไหลและการประมวลผลของข้อมูล
บริษัทโครงสร้างพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอินเทอร์เน็ต พวกเขามีอิทธิพลว่าที่ไหนบ้างต้องมีการเชื่อมโยง, ที่ไหนบ้างที่ข้อมูลจะต้องถูกทำให้สามารถเข้าถึงได้ และ จำนวนข้อมูลที่สามารถดำเนินการได้และทำได้รวดเร็วได้อย่างไร
==การประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์==
บทความหลัก: การประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
===อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล===
บทความหลัก: Data storage device (Camin chuto)
หลอด Williams-Kilburn จากเครื่อง IBM 701 ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติคอมพิวเตอร์ รัฐแคลิฟอเนีย
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ระยะแรก เช่น Colossus ใช้เทปเจาะรู(เป็นกระดาษแถบยาวที่ข้อมูล ถูกแทนด้วยชุดของรู) เทคโนโลยีที่ปัจจุบันนี้ล้าสมัยไปแล้ว ที่จัดเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย ย้อนหลังไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อรูปแบบหนึ่งของหน่วยความจำแบบ delay line (เมมโมรีแบบเข้าถึงโดยลำดับ) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลบล้างความยุ่งเหยิงจากสัญญาณเรดาร์ การใช้งานในทางปฏิบัติเป็นครั้งแรกเป็น delay line ปรอท อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลดิจิทัลแบบเข้าถึงโดยการสุ่มตัวแรกคือหลอดของ วิลเลียมส์ ที่มีมาตรฐานของหลอดรังสีแคโทด, แต่ข้อมูลที่เก็บไว้ในนั้นมีความผันผวน จะ ต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและหายไปเมื่อไฟดับ รูปแบบที่เก่าแก่ที่สุดของตัวจัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์โดยไม่ผันผวนคือกลองแม่เหล็ก () ที่ถูกคิดค้นใน ปี ค.ศ. 1932 และถูกใช้ในเครื่อง Ferranti Mark 1 ซึ่งเป็น คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์วัตถุประสงค์ทั่วไปที่ใช้ในเชิงพาณิชย์เครื่องแรกของโลก
ไอบีเอ็มเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ตัวแรกในปี ค.ศ. 1956 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ 305 RAMAC ของพวกเขา ข้อมูลดิจิทัลส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะยังคงถูกเก็บไว้ในรูปสนามแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์ หรือในรูปแสงบนสื่อเช่น ซีดีรอม จนกระทั่งปี ค.ศ. 2002 ข้อมูลส่วนใหญ่ ถูกเก็บไว้บนอุปกรณ์แบบอนาล็อก แต่ในปีเดียวกัน ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลก็เกินอนาล็อกเป็นครั้งแรก ขณะที่ปี ค.ศ. 2007 เกือบ 94% ของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บทั่วโลกเป็นดิจิทัล: 52% ในฮาร์ดดิสก์, 28% บนอุปกรณ์แสง และ 11% ในเทปแม่เหล็กดิจิทัล คาดว่าความจุทั่วโลกในการจัดเก็บข้อมูลบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นจาก น้อยกว่า 3 exabytes ใน ค.ศ.1986 ไปเป็น 295 exabytes ในปี ค.ศ. 2007 เป็นสองเท่าทุก ๆ 3 ปี
===ฐานข้อมูล===
บทความหลัก: Database management system
ระบบการจัดการฐานข้อมูลเกิดขึ้นใน ปี ค.ศ.1960 เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว หนึ่งในระบบดังกล่าวแรกสุดเป็นระบบ Information Management System (IMS) ของไอบีเอ็ม, ซึ่งยังคงใช้งานอย่างกว้างขวางกว่า 40 ปีต่อมา IMS เก็บข้อมูลตามลำดับขั้น แต่ ในปี ค.ศ.1970 เท็ด Codd เสนอรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลที่สัมพันธ์เป็นทางเลือก อยู่บนพื้นฐานของการตั้งทฤษฎีและตรรกะ คำกริยาและแนวคิดที่คุ้นเคยของตาราง แถวและคอลัมน์ ระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ในเชิงพาณิชย์ () มีให้บริการเป็นครั้งแรกโดยบริษัท ออราเคิล ในปี ค.ศ.1980
ทุกระบบการจัดการฐานข้อมูลประกอบด้วยจำนวนขององค์ประกอบที่ร่วมกันยอมให้ข้อมูลที่พวกมันเก็บไว้สามารถเข้าถึงได้พร้อมกันโดยผู้ใช้หลายคนในขณะที่ยังรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลไว้ด้วย ลักษณะของฐานข้อมูลทั้งหมดเป็นโครงสร้างของข้อมูลที่พวกมันเก็บไว้ถูกกำหนดและจัดเก็บไว้แยกต่างหากจากข้อมูลของตัวมันเองในโครงสร้างแบบสกีมา
ภาษามาร์กอัปขยายได้ (XML ) ได้กลายเป็นรูปแบบที่นิยมสำหรับการแทนข้อมูลในหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าข้อมูล XML จะถูกเก็บไว้ในระบบไฟล์ปกติ มันจะถูกจัดเก็บโดยทั่วไปในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เพื่อใช้ประโยชน์จาก "การดำเนินงานที่แข็งแกร่งที่ถูกตรวจสอบโดยหลายปีความพยายามทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ" ของพวกเขา เนื่องจากการวิวัฒนาการของ Standard Generalized Markup Language ( SGML ) โครงสร้างที่มีพื้นฐานมาจากข้อความของ XML ได้เสนอข้อได้เปรียบของการเป็นทั้งเครื่องและสิ่งที่มนุษย์สามารถอ่านได้
===การค้นคืนข้อมูล===
รูปแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ได้แนะนำให้รู้จักการเขียนโปรแกรมอิสระภาษา ชื่อ Structured Query Language (SQL) ที่มีพื้นฐานจากพีชคณิตสัมพันธ์
คำว่า "ข้อมูล"และ"สารสนเทศ" ไม่ใช่คำเดียวกัน อะไรที่เก็บไว้เป็นข้อมูล แต่มันจะกลายเป็นสารสนเทศก็ต่อเมื่อ มันถูกจัดระเบียบและนำเสนอความหมาย ส่วนใหญ่ของข้อมูลดิจิทัลของโลกไม่มีโครงสร้างและถูกเก็บไว้ในหลายรูปแบบทางกายภาพที่แตกต่างกัน แม้จะอยู่ในองค์กรเดียวกันก็ตาม คลังข้อมูลเริ่มถูกพัฒนาในช่วงปี ค.ศ.1980 ที่จะรวมร้านค้าที่แตกต่างกันเหล่านี้ พวกมันมักจะมีข้อมูลที่รวบรวมจากแหล่งต่าง ๆ รวมทั้งแหล่งภายนอกเช่น Internet, ที่ถูกจัดในลักษณะเพื่ออำนวยความสะดวกให้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ()
===การส่งผ่านข้อมูล===
การส่งผ่านข้อมูลมี 3 มุมมอง ได้แก่ การส่ง, การแพร่ และการรับ มันสามารถจำแนกกว้าง ๆ เป็น การกระจายออกไปในสื่อที่ข้อมูลจะถูกส่งไปทิศทางเดียวลงไปท้ายน้ำหรือการสื่อสารโทรคมนาคมที่มี 2 ช่องทาง ไปทางต้นน้ำและปลายน้ำ
XML ถูกนำมาใช้งานมากขึ้นเพื่อเป็นวิธีการของแลกเปลี่ยนข้อมูลตั้งแต่ช่วงต้นยุค ค.ศ. 2000 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับการปฏิสัมพันธ์แบบเครื่องต่อเครื่อง เช่น ผู้ที่เกี่ยวข้องในโพรโทคอลที่ใช้กับเว็บ เช่น SOAP ที่อธิบาย "ข้อมูลในการขนส่ง มากกว่า ... ข้อมูลที่พักอยู่" หนึ่งในความท้าทายของการใช้งานดังกล่าวเป็นการแปลงข้อมูลจากฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ให้เป็นโครงสร้าง (รักอิ๋ว) XML Document Object Model (DOM)
===การจัดดำเนินการข้อมูล===
ฮิลแบร์ต และ โลเปซ ระบุการก้าวแบบ exponential ของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ( ชนิดของกฎของมัวร์): ความสามารถในการประยุกต์ใช้เฉพาะงานของเครื่องเพื่อคำนวณข้อมูลต่อหัวจะประมาณสองเท่าทุก ๆ 14 เดือนระหว่างปี ค.ศ. 1986 ถึง ค.ศ. 2007 ความสามารถต่อหัวของเครื่องคอมพิวเตอร์วัตถุประสงค์ทั่วไปของโลกจะเป็นสองเท่าทุก ๆ 18 เดือนในช่วงสองทศวรรษเดียวกัน; ความสามารถในการสื่อสารโทรคมนาคมระดับโลกต่อหัวจะเป็นสองเท่าทุก ๆ 34 เดือน ความจุของตัวเก็บข้อมูลของโลกต่อหัวต้องการประมาณ 40 เดือนจึงจะเป็นสองเท่า (ทุก 3 ปี); และ ต่อหัวของข้อมูลที่กระจายไปในสื่อจะเป็นสองเท่าทุก ๆ 12.3 ปี
ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะถูกเก็บไว้ทั่วโลกทุกวัน นอกจากมันจะสามารถถูกวิเคราะห์และนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันจำเป็นที่จะถูกเก็บอยู่ในสิ่งที่ถูกเรียกว่า สุสานข้อมูล: "เป็นคลังเก็บข้อมูลที่ไม่ค่อยมีการเข้าเยี่ยมชม" เพื่อแก้ไขปัญหานั้น สาขาของเหมืองข้อมูล - "กระบวนการของการค้นพบรูปแบบที่น่าสนใจและ ความรู้จากข้อมูลจำนวนมาก" - เกิดขึ้นใน ช่วงปลายปี ค.ศ.1980
== มุมมองด้านวิชาการ ==
ในบริบททางวิชาการ สมาคมคอมพิวเตอร์เอซีเอ็ม (ACM) ได้นิยามเทคโนโลยีสารสนเทศไว้ว่า "หลักสูตรการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ให้ผู้ศึกษามีความรู้ด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พร้อมรับความต้องการของธุรกิจ รัฐบาล บริการด้านสุขภาพ สถานศึกษา และองค์การอย่างอื่น ... ผู้ชำนาญการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศรับผิดชอบการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมสำหรับองค์การ การผสมผสานผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้เข้ากับความต้องการและโครงสร้างพื้นฐานขององค์การ และการติดตั้ง ปรับแต่ง และบำรุงรักษาการใช้งานเหล่านั้นให้แก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ขององค์การ"
===มุมมองด้านการพาณิชย์และการจ้างงาน===
ในบริบทของธุรกิจ สมาคมเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (ITAA) ได้นิยามเทคโนโลยีสารสนเทศว่าเป็น "การเรียน การออกแบบ การพัฒนา การประยุกต์ การทำให้เกิดผล การสนับสนุน และการจัดการระบบสารสนเทศที่อาศัยคอมพิวเตอร์" ความรับผิดชอบของงานเหล่านั้นในขอบข่ายรวมไปถึงการบริหารเครือข่าย การพัฒนาและการติดตั้งซอฟต์แวร์ และการวางแผนและจัดการวัฏจักรชีวิตของเทคโนโลยีขององค์การ อันประกอบด้วยการบำรุงรักษา การยกระดับ และการทดแทนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
มูลค่าทางธุรกิจของเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่ในการทำ automation ของขบวนการทางธุรกิจ, การจัดหาข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ, การเชื่อมโยงธุรกิจกับลูกค้า, และการจัดหาเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ
===มุมมองด้านจริยธรรม===
บทความหลัก: (Information ethics)
สาขาจริยธรรมข้อมูลถูกจัดตั้งขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ Norbert Wiener ในปี ค.ศ.1940 บางส่วนของประเด็นด้านจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึง:
*การละเมิดของลิขสิทธิ์โดยการดาวน์โหลดไฟล์ที่จัดเก็บไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือลิขสิทธิ์
*นายจ้างทำการตรวจสอบอีเมลของพนักงานและการใช้งานอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ
*อีเมลที่ไม่พึงประสงค์
*แฮกเกอร์เข้าถึงฐานข้อมูลออนไลน์
*เว็บไซต์ที่ติดตั้งคุกกี้หรือสปายแวร์ในการตรวจสอบกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้
== อ้างอิงและเชิงอรรถ ==
== ดูเพิ่ม ==
* เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (information and communications technology: ICT)
* ระบบสารสนเทศ (information systems: IS)
* การคอมพิวเตอร์ (computing)
* วิทยาการสารสนเทศ (information science or informatics)
* วิทยาการคอมพิวเตอร์ (computer science)
* ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
* สารสนเทศ (information)
* ทฤษฎีสารสนเทศ (information theory)
* ข้อมูล (data) |
1779 | https://th.wikipedia.org/wiki/ใบระบาด | ใบระบาด | เมล็ดของใบระบาด
ใบระบาด (ชื่อสามัญ: Baby Wood Rose, Baby Hawaiian Woodrose, Elephant Climber, Elephant Creeper, Elephant Creeper Silver, Elephant Vine, Silver Morning, Silver Morning Glory, Morning Glory, Wood Rose, Woolly Morning Glory) ( (Burm.f.) Bojer) มีชื่อพื้นเมือง เช่น ผักบุ้งเงิน ผักระบาด หรือ เมืองมอน เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ในวงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)
== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==
พรรณไม้ในวงศ์ผักบุ้ง ลำต้นสีเขียว เลื้อยพันได้ ไม้เลื้อยอายุหลายปี ทอดเลื้อยได้ไกล 10 เมตร ทุกส่วนของใบระบาดมีน้ำยางสีขาว กิ่งอ่อนสีขาว มีขนสีขาวเงินปกคลุมหนาแน่น ใบสีเขียวเทา ใต้ใบและผิวนอกของกลีบดอกมีขนสีขาวแกมเงิน วงกลีบดอกรูปหลอด ภายในสีชมพูอมม่วงอ่อน ผลเป็นแบบกระเปาะมีกลีบเลี้ยงติด ลักษณะผลค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร เมล็ดสีดำ เป็นไม้พื้นเมืองของอินเดียมีชื่อในภาษาสันสกฤตว่า विधारा (Vidhara) มีการกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก รวมทั้งในฮาวายและประเทศแถบทะเลแคริบเบียน พบมากที่ฮาวาย สามารถกลายเป็นพืชรุกรานได้
== สารสำคัญ ==
มีสารเออร์โกลีนและเอไมด์ของกรดไลเซอร์กิก มีฤทธิ์หลอนประสาท ห้ามรับประทานใบและเมล็ด โดยใบห้ามนำมารับประทาน หากรับประทานใบเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง มึนงง ตาพร่า ส่วนเมล็ดถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้ประสาทหลอน
== บรรณานุกรม ==
* หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). "ใบระบาด (Bai Rabat)". หน้า 168.
* หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). "ใบละบาท". หน้า 443-444.
* สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. "ใบระบาด". [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/.
* ไม้ประดับออนไลน์. "ใบละบาท". [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.maipradabonline.com.
==ระเบียงภาพ==
ไฟล์:ใบระบาด Argyreia nervosa (Burm. f.) Bojer. FAMILY CONVOLVULACEAE (5).jpg|thumb|ใบระบาด
== อ้างอิง ==
* ใบระบาด จากโรงเรียนพหฤทัยคอนแวนต์
==แหล่งข้อมูลอื่น==
* PLANTS database entry
* Growing Hawaiian Baby Woodrose
* Argyreia nervosa Flower & Leaf (Photos)
หมวดหมู่:วงศ์ผักบุ้ง
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:พืชมีพิษ |
1781 | https://th.wikipedia.org/wiki/ผีเสื้อแสนสวย | ผีเสื้อแสนสวย | ผีเสื้อแสนสวย เป็นไม้พุ่ม จะสูงประมาณ 1 - 1.5 เมตร พุ่มโปร่ง รูปทรงพุ่มกลม ขนาดพุ่มเป็นกอใหญ่ประมาณ 1 เมตร ลำต้นเมื่อแก่แล้วมีสีน้ำตาลเข้มไปสู่น้ำตาลอ่อน ลำต้นอ่อนออกเป็นสีเขียว ใบเขียวตลอดทั้งใบ ผิวสัมผัสหยาบ ดอกเป็นสีฟ้า กับสีฟ้าอ่อนจนแทบขาว เมื่อดอกบานออกมาจะเหมือนผีเสื้อ มีทั้งปีกบนสองปีก ปีกล่างสองปีกข้างลำตัว มีหนวดเป็นเกสรตัวผู้ที่ยาวอย่างอ่อนช้อย มีดอกตลอดทั้งปี ไม่มีกลิ่นหอม
ผีเสื้อแสนสวย ชอบดินร่วนเหนียว ความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวันขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่ง เพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง ควรปลูกเป็นกอละ 6 ต้นต่อตารางเมตร หรือ 3 ต้นต่อตารางเมตร หรือปลูกเป็นลำต้นเดี่ยวๆ เป็นแถวยาว
== ดูเพิ่ม ==
* ผีเสื้อ (พรรณไม้)
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์กะเพรา |
1788 | https://th.wikipedia.org/wiki/สายหยุด | สายหยุด | สายหยุด หรือ สาวหยุด หรือ กาลัด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Desmos chinensisเป็นพืชมีดอกในวงศ์ Annonaceae เป็นไม้เลื้อยหรือไม้รอเลื้อยสูงได้ถึง 4 เมตร ดอกสีเขียวอมเหลือง คล้ายกับดอก Cananga odorata หรืออีลางอีลาง บางครั้งจึงเรียกอีลางอีลางแคระ. ดอกเมื่อแก่จัดจะกลายเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมแรงโดยเฉพาะตอนเช้า พอถึงยามสายก็หมดกลิ่น
== อ้างอิง ==
* ITIS 18092
หมวดหมู่:วงศ์กระดังงา
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:พรรณไม้ในวรรณคดี
หมวดหมู่:ไม้เลื้อย |
1790 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (; อักษรย่อ: มจธ. - KMUTT) หรือนิยมเรียกโดยทั่วไปว่า บางมด (Bangmod) เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสถาปัตยกรรมศาสตร์ และได้รับเลือกจากรัฐบาลให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ (National Research University) รวมทั้งเป็นมหาวิทยาลัยที่ปรับเปลี่ยนสถานะจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเป็น สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ แห่งแรกของประเทศไทย
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเปิดสอนใน 8 คณะ, บัณฑิตวิทยาลัย 2 แห่ง สถาบันซึ่งดูแลและจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรเฉพาะทาง 1 แห่ง และวิทยาลัย 1 แห่ง โดยเปิดสอนทั้งหลักสูตรปกติ หลักสูตรสองภาษา และหลักสูตรนานาชาติ ครอบคลุมในระดับปริญญาตรี, โท และเอก จัดการเรียนการสอนใน 3 พื้นที่การศึกษา และ 1 อาคาร คือ มจธ.บางมด, มจธ.บางขุนเทียน, มจธ.ราชบุรี และสำนักเคเอกซ์ (KX - Knowledge Exchange for Innovation)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ประกอบด้วยพระนาม "พระจอมเกล้า" ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตามพระบรมนามาภิไธย แห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และมีพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญตรา "พระมหามงกุฎ" มาเป็นสัญลักษณ์ของสถาบัน
มจธ. เป็นมหาวิทยาลัยไทยที่ติดอันดับโลก โดยเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี 13 ปีต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 จนถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ.2568 โดยสถาบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก Times Higher Education และถูกจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยทางเทคโนโลยีอันดับที่ 1 ของประเทศไทย 2 ปีซ้อน ในปี 2562 และ 2563 โดยการจัดอันดับของ U.S. News & World Report
== ประวัติ ==
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เดิมใช้ชื่อว่า "วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี " ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140
สาเหตุในการก่อตั้งเนื่องมาจากในช่วงปี 2500 ประเทศไทยได้มีการขยายตัวอย่างมาก ประกอบกับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายวิทยาศาสตร์ (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปัจจุบัน) ไม่มีที่ศึกษาต่อ เพราะมีมหาวิทยาลัยอยู่เพียง 5 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทางกระทรวงศึกษาธิการเห็นถึงความจำเป็นในการจัดตั้งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้จัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคธนบุรี ณ ตำบลบางมด อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี เป็นสถาบันที่เปิดสอนระดับอุดมศึกษา (เทียบเท่าปริญาตรี) เป็นลำดับที่ 7 ในประเทศไทย รองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และวิทยาลัยวิชาการศึกษา ตามลำดับ
อาคารเรียนรวม 2 (N17, หน้า) และ อาคารการเรียนรู้พหุวิทยาการ (N16, หลัง) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
=== ช่วงเวลา ===
แบ่งได้เป็น 4 ช่วง ดังนี้
==== วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี (พ.ศ. 2503-2514) ====
วิทยาลัยเทคนิคธนบุรีได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 ในสังกัดกองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งในระยะเริ่มแรก วิทยาลัยรับนักศึกษาโดยสอบตรงจากผู้สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายวิทยาศาสตร์ (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปัจจุบัน) เข้าศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยมีหลักสูตร 3 ปี ใน 4 สาขาวิชา คือ
# ช่างก่อสร้าง (ปัจจุบันคือ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา)
# ช่างไฟฟ้า (ปัจจุบันคือ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า)
# ช่างยนต์ (ปัจจุบันคือ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล)
# ช่างโลหะ (ปัจจุบันคือ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ)
วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี เป็นวิทยาลัยเทคนิคแห่งที่ 5 ของประเทศ ก่อตั้งขึ้นหลังจากวิทยาลัยเทคนิค 4 แห่งแรก อันประกอบไปด้วยวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ (พ.ศ. 2495), วิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ (พ.ศ. 2497), วิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (พ.ศ. 2499) และวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ (พ.ศ. 2500) ซึ่งเป็นวิทยาลัยเทคนิคแห่งแรกและแห่งเดียวที่รับเฉพาะผู้สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายวิทยาศาสตร์ มาเรียนต่อในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
เมื่อ พ.ศ. 2505 วิทยาลัยเทคนิคธนบุรีได้รับความช่วยเหลือจากยูเนสโก (UNESCO) และกองทุนพิเศษสหประชาชาติ โครงการมีระยะเวลา 5 ปี ในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ให้มาช่วยดำเนินการสอน รวมทั้งให้ทุนการศึกษาเพิ่มเติมแก่อาจารย์ และจัดซื้ออุปกรณ์การศึกษาให้แก่วิทยาลัย รวมทั้งวิทยาลัย จะรับนักศึกษาโดยได้เข้าร่วมกับ สภาการศึกษาแห่งชาติ ในการใช้ วิธีสอบคัดเลือกรวมเพื่อรับนักศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ (การสอบเอนทรานซ์) (โดยมี สถาบันการศึกษา จำนวน 6 แห่ง คือ มหาวิทยาลัย 5 แห่ง ที่มีอยู่ในขณะนั้น ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ วิทยาลัย 1 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี ได้จัดสอบร่วมกัน)
ทัศนียภาพยามค่ำภายในมหาวิทยาลัยฯ
พ.ศ. 2506 วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี ได้แบ่งการบริหารเป็น 4 คณะวิชา คือ
# คณะวิชาช่างโยธา
# คณะวิชาช่างไฟฟ้า
# คณะวิชาช่างกล
# คณะวิชาสามัญ
พ.ศ. 2507 วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี ได้ปรับปรุงหลักสูตรที่เปิดสอน คือ
# หลักสูตรแผนกวิชาช่างก่อสร้าง (โยธา)
# หลักสูตรแผนกวิชาช่างก่อสร้าง (สถาปัตย์)
# หลักสูตรแผนกวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง
# หลักสูตรแผนกวิชาช่างยนต์
# หลักสูตรแผนกวิชาช่างโลหะ
พ.ศ. 2508 วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี ได้รับความช่วยเหลือจาก ยูเนสโก (UNESCO) และ กองทุนพิเศษ สหประชาชาติ ต่ออีก โครงการมีระยะเวลา 4 ปี ในรูปแบบเดียวกับโครงการแรก คือมี ผู้เชี่ยวชาญ ทุนการศึกษา อบรมแก่อาจารย์ และอุปกรณ์การศึกษา ซึ่งได้ขยายเพิ่มการสอนในหลักสูตร ปทส. ต่อจาก ปวส. เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2508 ในสาขาช่างยนต์,ช่างโลหะ และปี พ.ศ. 2509 ในสาขาช่างโยธา,ช่างไฟฟ้า โดยความเห็นชอบของ กระทรวงศึกษาธิการ และ คณะรัฐมนตรี ให้ทำการเปิดสอนในระดับประกาศนียบัตรเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) หลักสูตร 2 ปี ต่อจากประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 3 ปี รวมมีระยะเวลาศึกษา 5 ปี (เทียบเท่าปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ ใน 4 สาขา (โยธา,ไฟฟ้า,เครื่องกล,อุตสาหการ) ) รวมทั้งจัดตั้ง คณะวิชาฝึกหัดครูเทคนิคชั้นสูง เป็นคณะที่ 5 ของ วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี
พ.ศ. 2510 วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี เสนอโครงการ สถาบันเทคโนโลยีธนบุรี (Thonburi Institute of Technology) หรือ ( T I T ) และกระทรวงศึกษาธิการ อนุมัติในหลักการ เมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2510 ให้ขยายหลักสูตรการเรียนการสอนเป็น 5 ปี ต่อจากชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายวิทยาศาสตร์ (ม.ศ.5)
==== สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตธนบุรี (พ.ศ. 2514-2529) ====
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าถูกสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2514 จากการรวมวิทยาลัยเทคนิคธนบุรี วิทยาลัยเทคนิคพระนครเหนือ และวิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี โดยวิทยาลัยเทคนิคธนบุรี มีสถานะเป็นวิทยาเขตหนึ่งของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ใช้ชื่อว่า "สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตธนบุรี" และเปลี่ยนจากหลักสูตรประกาศนียบัตรเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) มาเป็นหลักสูตรปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี ใน 4 สาขา (โยธา, ไฟฟ้า, เครื่องกล, อุตสาหการ) และให้เลิกรับนักศึกษาสาขาวิชาสถาปัตยกรรมในสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตธนบุรี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2515 และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตธนบุรี ได้แบ่งการบริหารเป็น 7 ภาควิชา คือ
# ภาควิชาวิศวกรรมโยธา
# ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
# ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
# ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหกรรม
# ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
# ภาควิชาภาษาและสังคมศาสตร์
# ภาควิชาครุศาสตร์
พ.ศ. 2515 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า จัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 1 ให้กับผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2510-2514 ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2515 โดย สำนักงาน ก.พ. ได้รับรอง ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (สาขา โยธา, ไฟฟ้ากำลัง, ไฟฟ้าสื่อสาร, เครื่องกล และ อุตสาหการ) ของ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตธนบุรี
พ.ศ. 2517 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ย้ายสังกัดจากกระทรวงศึกษาธิการมาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยระดับอุดมศึกษา เป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นกรมสังกัด และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตธนบุรี ได้แบ่งการบริหารเป็น 2 คณะ 8 ภาควิชา คือ
# คณะวิศวกรรมศาสตร์
## ภาควิชาวิศวกรรมโยธา
## ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
## ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
## ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ
## ภาควิชาวิศวกรรมเคมี
# คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์
## ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
## ภาควิชาภาษาและสังคมศาสตร์
## ภาควิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม
==== สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (พ.ศ. 2529-2541) ====
พ.ศ. 2529 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับการสถาปนาขึ้น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529
พ.ศ. 2532 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปรับหลักสูตรปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี มาเป็นหลักสูตร 4 ปี
==== มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (พ.ศ. 2541-ปัจจุบัน) ====
พ.ศ. 2541 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับการสถาปนาขึ้น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2541 และได้เปลี่ยนสภาพเป็น สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ
พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับการประกาศรายชื่อจาก กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ให้เป็น 1 ใน 9 แห่ง ของ มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ
ไฟล์:KMUTT Bangmod 6.jpg|อาคารการเรียนรู้พหุวิทยาการ (LX)
ไฟล์:KMUTT Witsawawatthana Building 20220927.jpg|อาคารวิศววัฒนะ (ตึกแดง)
ไฟล์:F Dormitory KMUTT Bang Khun Thian.jpg|อาคารหอพักหญิง (D1) วิทยาเขตบางขุนเทียน
ไฟล์:KMUTT Bangmod 1.jpg|บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัย วิทยาเขตบางมด
ไฟล์:SportandRecreationComplex 20220901.jpg|ศูนย์กีฬาและนันทนาการ
=== ลำดับการจัดตั้ง ===
# พ.ศ. 2503 จัดตั้ง คณะวิศวกรรมศาสตร์
# พ.ศ. 2517 จัดตั้ง คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม
# พ.ศ. 2519 จัดตั้ง คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ
# พ.ศ. 2533 จัดตั้ง คณะวิทยาศาสตร์
# พ.ศ. 2537 จัดตั้ง คณะศิลปศาสตร์
# พ.ศ. 2537 จัดตั้ง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ
# พ.ศ. 2537 จัดตั้ง คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี
# พ.ศ. 2538 จัดตั้ง คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
# พ.ศ. 2538 จัดตั้ง สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม
# พ.ศ. 2545 จัดตั้ง บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม
# พ.ศ. 2559 จัดตั้ง วิทยาลัยสหวิทยาการ
==พระราชวงศ์ กับมหาวิทยาลัย==
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การค้นพบสุริยุปราคามืดหมดดวงของพระองค์ท่าน เป็นการแสดงพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ของคนไทยให้ชาวโลกประจักษ์ว่า ทรงมีพระปรีชาสามารถในการคำนวณ
ทรงกระทำตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และการที่พระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้เช่นนี้นั้น แสดงว่าประเทศไทยจะต้องมีระบบเวลามาตรฐานและมีวิธีการรักษาเวลามาตรฐานแบบอารยประเทศที่เชื่อถือได้ ถึงขั้นนำมาวัดตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของโลกได้
การศึกษาในพระราชสำนัก จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ (สยามสามสมัยจากสายตาหมอบรัดเลย์) วันก่อนที่เจ้าฟ้าจะทรงลาผนวช พระองค์โปรดให้มิชชันนารีโปรเตสแตนต์ที่ทรงสนิทสนมมาเป็นปีๆ เข้าเฝ้า ในระหว่างการเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสอย่างไม่ถือพระองค์และให้รู้เป็นการภายใน สิ่งที่พระองค์ตรัสทำให้ความหวังที่จะเห็นสยามรุ่งเรืองในอนาคตฟื้นคืนมาอีก พระราชดำรัสที่ทำให้เราหูผึ่งก็คือ พระราชดำรัสที่จะให้มีชั้นเรียนขนาดใหญ่ให้หนุ่มสยามได้ศึกษาภาษาอังกฤษอย่างดี และจะทรงโปรดให้มีโรงเรียนมัธยมขึ้นในบางกอก ที่สอนทั้งภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์จากตะวันตกด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานที่ดินแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมาวดี ศรีรัตนราชธิดา กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ ตำบล ราชบูรณะ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๓ ตรงกับ
พ.ศ. ๒๔๔๗ ที่ดินเลขที่ ๑๐๘ โฉนดเลขที่ ๑๒๘๖ พื้นที่ตามโฉนด ๒๕๖ ไร่ ๑ งาน ๙๖ ตารางวา
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้พระนาม "พระจอมเกล้า" เป็นชื่อของสถาบัน มีนามภาษาอังกฤษว่า “ King Mongkut's Institute of Technology Thonburi”
24 ตุลาคม 2534 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ พระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการนิทรรศการเทคโนโลยี ครั้งที่ 6
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมาวดี ศรีรัตนราชธิดา กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ
กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ'
ทรงพระเมตตามาก ได้ฉลองพระเดชพระคุณสนิทมากยิ่งกว่าพระองค์อื่น ๆ ด้วยพระปรีชาว่องไว ในราชกิจทั้งปวง และมีอัธยาศัยโอบอ้อมอารีกว้างขวางในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ และทรงพระอุตสาหะดูแล บังคับบัญชาการฝ่ายใน ให้สำเร็จไปตามพระราชประสงค์ และราชประเพณี ทรงพระปรีชาสามารถในราชกิจเก่าใหม่ ตั้งพระราชหฤทัยจงรักภักดีเป็นอันมาก จึงมีพระบรมราชโองการทรงสถาปนา พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าโสมาวดี ศรีรัตนราชธิดา เป็นพระองค์เจ้าต่างกรมฝ่ายใน
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ และทรงเททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินเปิดงานนิทรรศการเทคโนโลยี ครั้งที่ 4 ทรงเปิดอาคารคณะพลังงานและวัสดุ อาคารภาควิชาเคมี และอาคารห้องสมุด
ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดหอบรรณสารสนเทศ
ทอดพระเนตรนิทรรศการ มจธ. กับมิติด้านชุมชนแห่งการเรียนรู้และอยู่อาศัย และทรงวางศิลาฤกษ์อาคาร ปฏิบัติการทางวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี แขวงบางมด เขตทุ่งครุ จังหวัดกรุงเทพมหานคร
สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
เสด็จฯ แทนพระองค์ทรงเปิดอาคารคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม และงานครบรอบ 20 ปี ของสถาบันฯ
เสด็จฯ แทนพระองค์ทรงเปิดพระราชานุสาวรีย์ ทรงเปิดงานนิทรรศการเทคโนโลยี ครั้งที่ 5 และทรงเปิดสำนักงานโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ภายใต้โครงการหลวง และโครงการพระราชดำริในความรับผิดชอบของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
18 สิงหาคม 2541 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เสด็จมาทรงเป็นประธานเปิดแพรคลุมป้าย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด)
== วันสำคัญของมหาวิทยาลัย ==
=== วันสถาปนา ===
: ตรงกับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฯพณฯ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ประกาศตั้ง “ วิทยาลัยเทคนิคธนบุรี ” เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 รับผู้จบเตรียมอุดมศึกษา (ม.6 ปัจจุบัน) เฉพาะสาย วิทยาศาสตร์ ศึกษาต่อ 3 ปี ได้วุฒิ ปว.ส. นับเป็นวิทยาลัยเทคนิค แห่งแรก ในประเทศไทย ณ ตำบลบางมด อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี
=== วันพระราชทานนาม ===
: ตรงกับวันที่ 28 พฤษภาคม ของทุกปี
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้พระนาม “ พระจอมเกล้า ” เป็นชื่อของสถาบัน มีนามภาษาอังกฤษว่า “ King Mongkut's Institute of Technology ” เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2513
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4
==== ตราประจำมหาวิทยาลัย ====
ลักษณะของตราเชิญมาจากพระราชลัญจกรประจำพระองค์ (ตราประจำพระองค์) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
ลักษณะของตรา ประกอบด้วยลายกลางเป็นตราพระมหามงกุฎ ซึ่งนำมาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม "มงกุฎ" และเป็นศิราภรณ์สำคัญหนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ มีฉัตรบริวารขนาบอยู่บริเวณด้านข้างทั้งสอง โดยสัญลักษณ์ทั้งหมดจะอยู่ภายในวงกลม 2 ชั้น มีอักษรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษซึ่งแสดงนามมหาวิทยาลัย กำกับอยู่ภายในโค้งด้านล่างของวงกลม
==== ตราสัญลักษณ์วิสัยทัศน์ ====
ตราสัญลักษณ์วิสัยทัศน์
เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2552 ประกอบด้วยสองส่วนคือ สัญลักษณ์วิสัยทัศน์ (Vision Mark) และตัวอักษรสัญลักษณ์ (Wordmark)
สัญลักษณ์วิสัยทัศน์ (Vision Mark) สื่อถึงความชัดเจนในวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย (Framing Vision) ที่จะก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาว มจธ. โดยรูปแบบของจุด หรือ Pixel ที่เรียงกันสามารถสื่อถึงความเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีได้อย่างร่วมสมัย ในขณะเดียวกันการเรียงกันเป็นเลขสี่ยังสามารถสื่อถึงความภาคภูมิใจในนามพระราชทาน
ตัวอักษรสัญลักษณ์ (Wordmark) เป็นการเรียงตัวกันอย่างสร้างสรรค์ (Creative & Constructive) สื่อถึงการไม่หยุดนิ่งและการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ การใช้ชื่อย่อตัวอักษรภาษาอังกฤษยังสื่อถึงวิสัยทัศน์ที่จะนำมหาวิทยาลัยก้าวไปสู่สากลอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยตราวิสัยทัศน์ เป็นตราที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดทอนรายละเอียดของตราสัญลักษณ์ (LOGO) ให้ง่ายต่อการจดจำ, สร้างเอกลักษณ์ให้กับมหาวิทยาลัย และเป็นตราสัญลักษณ์ที่สามารถใช้ได้ในทุก ๆ ที่ เช่น ขวดน้ำ มจธ., ใบปลิว, แก้วน้ำ, ของที่ระลึก รวมทั้งที่ ๆ ไม่เหมาะสมที่จะใช้ตราพระลัญจกรซึ่งเป็นตราประจำพระองค์พระมหากษัตริย์
=== เพลงประจำมหาวิทยาลัย ===
* เพลงพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2542 โดยนายก่อเกียรติ ชาตะนาวิน บทเพลงมีเนื้อร้องที่ครอบคลุมถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ของมหาวิทยาลัย
* เพลงมาร์ชห้ามุ่ง เป็นเพลงประพันธ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2553 โดยนายไกวัล กุลวัฒโนทัย บทเพลงที่สามารถถ่ายทอดวิสัยทัศน์ห้ามุ่ง
* เพลงลูกพระจอม เป็นเพลงประพันธ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2551 ขับร้องสู่สาธารณชนครั้งแรกในกิจกรรมถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหาพิชัยมงกุฎ ขับร้องโดยวงประสานเสียงแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT Chorus)
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ วิทยาเขตบางขุนเทียน
=== วิทยาเขต ===
# มจธ.บางมด ตั้งอยู่เลขที่ 126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 มีพื้นที่มากกว่า 134 ไร่ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 มจธ.บางมด เป็นพื้นที่หลักและศูนย์กลางในการบริหาร และการจัด การเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย
# มจธ. (บางขุนเทียน) สวนอุตสาหกรรมแห่งแรกของประเทศไทย อยู่ห่างจาก มจธ. บางมด ประมาณ 20 กิโลเมตร มีพื้นที่รวม 80 ไร่ ประกอบด้วย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ ศูนย์พัฒนามาตรฐานและทดสอบระบบเซลล์แสงอาทิตย์ และอาคารวิจัยและนวัตกรรม กระบวนการชีวภาพ นักศึกษาสามารถเดินทางไปมาระหว่าง มจธ. บางมด และ มจธ.บางขุนเทียน โดยรถโดยสารของมหาวิทยาลัยซึ่งมีให้บริการเดินรถตลอดทั้งวัน
# มจธ. (ราชบุรี) เป็นพื้นที่จัดการเรียนการสอนระบบ Residential College แห่งแรกของประเทศไทย มุ่งเน้นให้เกิดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาสติปัญญา และการพัฒนาคุณลักษณะการเป็นพลเมืองที่ดี ที่จะนำไปสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในด้านวิชาชีพ มีทักษะชีวิตและสังคม สามารถเชื่อมโยงและประยุกต์ใช้ในโจทย์และวิชาการแขนงต่างๆได้ มจธ. ราชบุรี ก่อตั้งขึ้น ณ ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 1,200 ไร่ ในปี พ.ศ. 2538 ตามนโยบายการขยายโอกาสอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาค โดยผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี (หม่อมราชวงศ์กำลูนเทพ เทวกุล) และ ร้อยตำรวจโทเชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ พร้อมด้วยประชาชนใน อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ให้การสนับสนุนการจัดตั้งวิทยาเขต วิทยาเขตราชบุรี เปิดทำการสอนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 ในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ หลักสูตร 2 ปี (ต่อเนื่อง) ในปี พ.ศ. 2556 ได้เปิดสอนหลักสูตร Liberal Arts Engineer ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ในสาขาวิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมไฟฟ้า (ระบบไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์กำลังและพลังงาน) และวิศวกรรมอุตสาหการ
# สำนักเคเอกซ์ หรือ KX - Knowledge Exchange for Innovation ตั้งอยู่ ถ.กรุงธนบุรี เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ โดยมีเป้าหมายคือนำความรู้และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยไปใช้จริงในภาคอุตสาหกรรมทั้งขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกลไกการแลกเปลี่ยนทางความรู้เหมือนชื่ออาคาร Knowledge Exchange อาคารด้านในออกแบบโดยใช้แนวคิด Interlocking in Space คือ การเชื่อมพื้นที่แต่ละส่วนเข้าหากัน เพื่อให้ห้องกว้างขึ้น เป็นการใช้สอยพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำนักเคเอ็กซ์มีทั้งหมด 20 ชั้น ประกอบไปด้วย ห้องประชุม ห้องสัมมนา ห้องจัดงาน และ Co-Working Space ทุกส่วนถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถใช้งานและเรียนรู้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ การเดินทางระหว่าง มจธ. บางมด และสำนักเคเอ็กซ์ สามารถใช้รถโดยสารของมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งมีรอบการใช้บริการตลอดทั้งวัน สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถเดินทางมายังสำนักเคเอ็กซ์ โดยใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสโดยลงที่สถานีวงเวียนใหญ่
== อันดับมหาวิทยาลัย ==
== บุคคลสำคัญ ==
=== คณะวิศวกรรมศาสตร์ ===
* เทอดพงษ์ ไชยนันทน์ (ศิษย์เก่า) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
* ชลิต แก้วจินดา (ศิษย์เก่า) อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ อดีตสมาชิกวุฒิสภา แบบสรรหา
* รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล (ศิษย์เก่า) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี
* สามารถ พิริยะปัญญาพร (ศิษย์เก่า) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี
* สุรเดช จิรัฐิติเจริญ (ศิษย์เก่า) อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดปราจีนบุรี
* ศ.ดร.สมชาย วงศ์วิเศษ (ศิษย์เก่า) และ (บุคลากร) ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภาและศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* พล.อ.ราเมศว์ ดารามาศ (ศิษย์เก่า) อดีตผู้ทรงคุณวฺฒิพิเศษ กองบัญชาการกองทัพไทย
* พล.อ.ท.พิชิต แรกชำนาญ (ศิษย์เก่า) อดีตผู้ทรงคุณวฺฒิพิเศษ กองทัพอากาศ
* พล.ร.ท.สมภพ เสตะรุจิ (ศิษย์เก่า) อดีตเจ้ากรมช่างโยธาทหารเรือ กองทัพเรือ
* พล.ร.ต.ปพนภพ สุวรรณวาทิน (ศิษย์เก่า) อดีตเจ้ากรมช่างโยธาทหารเรือ กองทัพเรือ
* เพชรสมร วีระพัน (ศิษย์เก่า) (สัญชาติลาว) อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ประเทศลาว
* สุพจน์ ทรัพย์ล้อม (ศิษย์เก่า) อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม
* ชยธรรม์ พรหมศร (ศิษย์เก่า) ปลัดกระทรวงคมนาคม
* วีระ เรืองสุขศรีวงศ์ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม
* วัฒนา ช่างเหลา (ศิษย์เก่า) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น
* จำรูญ ตั้งไพศาลกิจ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม
* พีระพล สาครินทร์ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
* สมนึก บำรุงสาลี (ศิษย์เก่า) อดีตอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
* มณฑล สุดประเสริฐ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย
* จุลภัทร แสงจันทร์ (ศิษย์เก่า) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร
* กิตติ ทรัพย์วิสุทธิ์ (ศิษย์เก่า) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา
* วิรัตน์ ลิ้มสุวัฒน์ (ศิษย์เก่า) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย
* เสถียร เจริญเหรียญ (ศิษย์เก่า) ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบศีรีขันธ์
* ปริญญา ยมะสมิต (ศิษย์เก่า) อดีตผู้ว่าการการประปานครหลวง
* นพรัตน์ เมธาวีกุลชัย (ศิษย์เก่า) อดีตผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค
* ปรีชา อู่ทอง (ศิษย์เก่า) อดีตผู้อำนวยการองค์การตลาด
* นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ (ศิษย์เก่า) อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
* ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล (ศิษย์เก่า) ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
* จุมพล สำเภาพล (ศิษย์เก่า) อดีตผู้อำนวยการสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร
*ปราโมทย์ เอี่ยมศิริ (ศิษย์เก่า) อดีตผู้อำนวยการสำนักกำกับและอนุรักษ์พลังงานการพลังงานแห่งชาติ
* รศ.ดร.ปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธุ์ (ศิษย์เก่า) อดีตนายกสภาวิศวกร
* ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ (ศิษย์เก่า) นายกสภาวิศวกร
* ปราโมทย์ ธีรกุล (ศิษย์เก่า) อดีตนายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน คนแรก และกรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์พัฒนา จำกัด
* รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา (ศิษย์เก่า, อาจารย์) นายกสมาคมวิชาการหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย และผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หรือที่เรียกกันว่า "ฟีโบ้"
* รศ.ดร.สุวิทย์ เตีย (ศิษย์เก่า) อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* ผศ.ดร.เฉลิม มัติโก (ศิษย์เก่า) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
* รศ.ดร.อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
* รศ.ดร.สมชาย ปฐมศิริ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
* ศ.ดร.ไพฑูรย์ ตันติเวชวุฒิกุล (ศิษย์เก่า) อดีตคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมเคมี University of Regina ประเทศแคนาดา
* ศ.ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล (ศิษย์เก่า) และ (บุคลากร) คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* ศ.ดร.สำเริง จักรใจ (ศิษย์เก่า) และ (บุคลากร) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* ศ.ดร.ชัยยุทธ ชินณะราศรี (ศิษย์เก่า) และ รองอธิการบดี ด้านนวัตกรรมและพัฒนาระบบบริหาร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
* ศ.ดร.อาษา ประทีปเสน (ศิษย์เก่า) และ (บุคลากร) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* ศ.ดร.สุทัศน์ ทิพย์ปรักมาศ (ศิษย์เก่า) และ (บุคลากร) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมเครื่องมือและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช (ศิษย์เก่า) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ศ.ดร.ตรีทศ เหล่าศิริหงษ์ทอง (ศิษย์เก่า) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ศ.ดร.พานิช วุฒิพฤกษ์ (ศิษย์เก่า) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
* สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว (บี้ The Star) (ศิษย์เก่า) นักร้อง และนักแสดง
=== คณะวิทยาศาสตร์ ===
* เรืองวิทย์ ลิกค์ (ศิษย์เก่า) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
* ศ.ดร.กำพล ปัญญาโกเมศ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
* รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์(ศิษย์เก่า) ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช.
* ไอริณ ดำรงค์มงคลกุล (ศิษย์เก่า) ผู้ประกาศข่าว และพิธีกร
=== คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ===
* ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
=== คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ ===
* ศิริศิลป์ โชติวิจิตร (กวาง AB Nornal) (ศิษย์เก่า) นักร้อง
=== คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ===
* ธิดา ธัญญประเสริฐกุล (ศิษย์เก่า) นักแปล
=== คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ ===
* สุพจน์ เลียดประถม (ศิษย์เก่า) อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดตราด
* อำนวย ทองสถิตย์ (ศิษย์เก่า) อดีตอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
* ศ.ดร.ฐานิตย์ เมธิยานนท์ (ศิษย์เก่า) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดภาพเครื่องหมายราชการตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พุทธศักราช 2482 (ฉบับที่ 126) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
พระจอมเกล้าธนบุรี,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าธนบุรี
พระจอมเกล้าธนบุรี
พระจอมเกล้าธนบุรี
หมวดหมู่:สถานศึกษาในเขตทุ่งครุ
หมวดหมู่:สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระนามของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
1791 | https://th.wikipedia.org/wiki/เจริญ_วัดอักษร | เจริญ วัดอักษร | เจริญ วัดอักษร (21 กรกฎาคม พ.ศ. 2510-21 มิถุนายน พ.ศ. 2547) อดีตประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก ตำบลบ่อนอก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และแกนนำต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก
== ประวัติ ==
เจริญ วัดอักษร เป็นชาวประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 เป็นบุตรคนที่ 8 ของนายชั้น และนางวิเชียร วัดอักษร เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 และกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันราชภัฏเพชรบุรี (ในปีที่เสียชีวิต)
เจริญ มีอาชีพค้าขายและธุรกิจบริการ มีร้านอาหาร ที่พักแบบชนบทอยู่ชายทะเล ต.บ่อนอก ชื่อร้านครัวชมวาฬ
== การคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ==
ในปี พ.ศ. 2538 เริ่มเข้ามาคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จนถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง กระทั่งการคัดค้านของชาวบ้านประสบผลสำเร็จ รัฐบาลมีคำสั่งให้ย้ายโรงไฟฟ้าออกจากพื้นที่
"เจริญ เป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช่นักเลง เคยเตือนเขาหลายครั้งว่าถ้าทำตรงนี้ก็ ต้องมีวันนี้เพราะมีตัวอย่างให้เห็น แต่เขาไม่ยอมถอย" พระครูวิชิตพัฒนวิธาน เจ้าอาวาสวัดสี่แยกบ่อนอก พี่ชายของเจริญ ให้ข้อมูล
จากความสำเร็จในการคัดค้านโรงไฟฟ้า เจริญ ได้รับเชิญให้เป็น วิทยากรเพื่อให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์แก่ชาวบ้านทั่วประเทศ และได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่มีนิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอธิการบดี
เจริญ ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2547 เวลา 21:30 น. บริเวณทางเดินเข้าบ้าน หลังเดินทางไปยื่นข้อมูลความผิดปกติ ในการออกเอกสารสิทธิที่ดินสาธารณะให้กับ คณะกรรมาธิการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เครือข่ายศิลปินได้แถลงข่าวที่ โรงหล่อแหลมสิงห์ ลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ว่า มีมติจัดสร้างรูปหล่อเจริญ วัดอักษร เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนสติผู้มีอำนาจ และให้ประชาชนได้ระลึกถึงการต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดด้วยชีวิตของเขา โดยผู้ออกแบบคือ พิศาล ทิพารัตน์ และหล่อโดย นายแหลมสิงห์ ดิษฐพันธ์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เจริญ วัดอักษร เว็บอุทิศ
* "ไม่ต้องเอาความเจริญอย่างนั้นมาให้เรา" - บทสัมภาษณ์ 'เจริญ วัดอักษร' โดย ปxป เมื่อปี พ.ศ. 2544
* แกะปมสังหาร “เจริญ วัดอักษร” โรงไฟฟ้า-ที่สาธารณะ - ผู้จัดการออนไลน์
* ศพแล้วศพเล่า... รัฐไม่อาจจะปกป้อง ผู้ต่อสู้เพื่อรากหญ้าได้ - คอลัมน์ 'กาแฟดำ' กรุงเทพธุรกิจ
* เพลงเจริญ วัดอักษร โดย พงสิทธิ์ คำภีร์
* หนึ่งปีเจริญ บอกอะไรสังคมไทย - ThaiNGO.org
* จาก “เจริญ วัดอักษร” ถึง “สุพล ศิริจันทร์” ขบวนการล้มตายของภาคประชาชนในยุคทุนธนาธิปไตย - ThaiNGO.org
หมวดหมู่:นักอนุรักษ์ธรรมชาติ
หมวดหมู่:การเมืองภาคประชาชน
หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์
หมวดหมู่:ชาวไทยที่ถูกลอบสังหาร
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธปืน
หมวดหมู่:นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวไทย |
1796 | https://th.wikipedia.org/wiki/นิติศาสตร์ | นิติศาสตร์ | นิติศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
== การศึกษานิติศาสตร์ ==
วิชานิติศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นหลายแขนงได้ตามแง่มุมที่ศึกษา ซึ่งอาจสามารถแบ่งออกได้เป็น
* วิชานิติศาสตร์โดยแท้ (legal science proper) ได้แก่ การศึกษาตัวบทกฎหมายซึ่งเป็นเนื้อหากฎหมาย และนิติวิธีหรือวิธีการใช้กฎหมายเพื่อนำไปใช้ปรับใช้แก่คดีและประกอบวิชาชีพนักกฎหมาย
* นิติศาสตร์ทางข้อเท็จจริง (legal science of facts) เป็นการศึกษากฎหมายในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์หรือในสังคม โดยไม่ประเมินคุณค่าว่าถูกหรือผิด เช่น วิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย และวิชาสังคมวิทยากฎหมาย
* นิติศาสตร์เชิงคุณค่า (legal science of values) เป็นการศึกษากฎหมายในเชิงวิจารณ์เปรียบเทียบและประเมินคุณค่า เช่น วิชากฎหมายเปรียบเทียบ และวิชานิติบัญญัติ
การศึกษากฎหมายในระดับที่มีความสัมพันธ์กับปรัชญา จะถูกเรียกว่าวิชา นิติปรัชญา หรือ philosophy of law
== การเรียนการสอนนิติศาสตร์ในประเทศไทย ==
ในปี พ.ศ. 2440 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้ทรงก่อตั้ง "โรงเรียนกฎหมาย" ขึ้นในกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเปิดการเรียนการสอนโดยคณาจารย์ส่วนใหญ่เป็นตุลาการ ต่อมาได้มีการยุบโรงเรียนกฎหมายไปจัดตั้งเป็น "คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์" ขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2476 หลังจากนั้นเพียง 8 เดือน นักเรียนโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมเดิม ไม่พอใจที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือน (ปัจจุบันคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย แต่โรงเรียนกฎหมายไม่ได้ยกฐานะ ดร.ปรีดี พนมยงค์ จึงรับปากว่าจะช่วย
ในที่สุดจึงมีการออก "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" ให้โอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปสังกัดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งปัจจุบัน คือ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงอาจกล่าวได้ว่าการโอนโรงเรียนกฎหมายไปสังกัดคณะนีติศาสตร์และรัฐศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการโอนไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น ทำให้คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคณะนิติศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย อันสืบทอดโดยตรงจากโรงเรียนกฎหมายเดิม
กระทั่งปี พ.ศ. 2494 จึงได้มีการจัดการเรียนการสอนนิติศาสตร์ขึ้นอีกครั้งในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามแผนกวิชานิติศาสตร์สังกัดคณะรัฐศาสตร์ ก่อนที่จะได้มีการแยกการเรียนการสอนออกจากคณะรัฐศาสตร์อย่างสิ้นเชิงในปี พ.ศ. 2501 และยกฐานะขึ้นเป็นคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2515
ต่อมาในปีพ.ศ. 2514 ก็ได้มีการก่อตั้งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงขึ้น จวบจนปัจจุบันมีสถาบันอุดมศึกษาได้เปิดการเรียนการสอนในสาขาวิชานิติศาสตร์ในหลายสถาบันทั้งในภาครัฐและเอกชน
ต่อมาในปีพ.ศ. 2547ได้มีมาเปิดคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเอกชน เช่น มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ซึ่งเปิดได้ 6 วิทยาเขตด้วยกัน ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ นครศรีธรรมราช
=== นิติศาสตรบัณฑิต ===
นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.) เป็นปริญญาหรือวุฒิทางการศึกษา ซึ่งผู้ที่ต้องการประกอบวิชาชีพทางด้านกฎหมาย เช่น ทนายความ ผู้พิพากษา อัยการ นิติกร จะต้องได้รับก่อนที่จะสามารถเริ่มเข้าสู่วิชาชีพด้านกฎหมาย โดยเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ใช้เพื่อเข้ารับการอบรมและสอบเพื่อเป็นทนายความหรือสอบเนติบัณฑิตไทย เพื่อที่จะมีสิทธิสอบคัดเลือกเพื่อเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการต่อไป
โดยทั่วไปหลักสูตรจะใช้เวลาศึกษา 4 ปี วิชาที่ศึกษาจะเน้นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา กฎหมายปกครอง รัฐธรรมนูญ และกฎหมายวิชาเลือกอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้จุดเน้นของหลักสูตรอาจแตกต่างตามสถาบันการศึกษา
== ดูเพิ่ม ==
หมวดหมู่:ปรัชญาสังคม
หมวดหมู่:กฎหมาย |
1798 | https://th.wikipedia.org/wiki/วิทยาการรหัสลับ | วิทยาการรหัสลับ | วิทยาการรหัสลับ () วิชาเกี่ยวกับการเข้ารหัสลับคือการแปลงข้อความปกติให้กลายเป็นข้อความลับ โดยข้อความลับคือข้อความที่ผู้อื่น นอกเหนือจากคู่สนทนาที่ต้องการ ไม่สามารถเข้าใจได้
มนุษย์ได้คิดค้นวิธีการรักษาความลับของเรามาตั้งนาน นับตั้งแต่สมัยจูเลียส ซีซาร์ จนกระทั่งถึงปัจจุบันที่ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยเข้ารหัสลับและถอดรหัสลับ การเข้ารหัสแบบซีซ่าร์ทำได้โดยการนำตัวอักษรที่อยู่ถัดไปอีกสองตำแหน่งมาแทนที่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการเข้ารหัสคำว่า HELLO เราก็นำตัวอักษรที่ถัดจากตัว H ไปอีกสองตัวนั่นคือตัว J มาแทน ตัว E แทนด้วย G ตัว L แทนด้วย N ตัว O แทนด้วย Q ดังนั้นข้อความ HELLO จึงถูกแปลงให้เป็นคำว่า JGNNQ
การเข้ารหัสลับแตกต่างกับวิทยาการอำพรางข้อมูล ข้อมูลที่ถูกอำพรางนั้นจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง ในขณะที่การเข้ารหัสลับจะเปลี่ยนแปลงข้อมูล
วิทยาการรหัสลับสมัยใหม่ (Modern Cryptography) เป็นวิชาการที่ใช้แนวทางคณิตศาสตร์เพื่อแปลงข้อความปกติให้กลายเป็นข้อความลับ โดยให้เฉพาะคู่สนทนาที่ต้องการสามารถอ่านเข้าใจได้เท่านั้น ขั้นตอนวิธีของการเข้ารหัสลับสมัยใหม่ ได้แก่ Data Encryption Standard, Advanced Encryption Standard หรือ One-Time Padding ฯลฯ
หลักการเบื้องต้นของการเข้ารหัสลับ ประการแรกคือ ขั้นตอนวิธีต้องเป็นที่รู้โดยทั่วไป และประการต่อมา รหัสจะต้องใหม่เสมอ
== ระบบการเข้ารหัสข้อมูล ==
เป็นกระบวนการสำหรับการแปรรูปข้อมูลเล็กทรอนิกส์ธรรมดาให้อยู่ในรูปที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถอ่านเข้าใจได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการเข้ารหัสจะกระทำก่อนการจัดเก็บข้อมูลหรือก่อนการส่งข้อมูล โดยการนำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ธรรมดากับกุญแจ (key) ซึ่งเป็นตัวเลขสุ่มใด ๆ มาผ่านกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ผลที่ได้ก็คือข้อมูลที่เข้ารหัส ขั้นตอนที่กล่าวมานี้จะเรียกว่า “การเข้ารหัส” (encryption) และเมื่อต้องการอ่านข้อมูล ก็นำเอาข้อมูลที่เข้ารหัสกับกุญแจมาผ่านกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือข้อมูลดั้งเดิม ซึ่งขั้นตอนนี้จะเรียกว่า “การถอดรหัส” (decryption) ระบบเข้ารหัสสามารถแบ่งตามวิธีการใช้กุญแจได้เป็น 2 วิธีดังนี้
* ระบบเข้ารหัสแบบกุญแจสมมาตร (symmetric-key cryptography) คือการเข้ารหัสข้อมูลด้วยกุญแจเดี่ยว ทั้งผู้ส่งและผู้รับ โดยวิธีการนี้ผู้รับกับผู้ส่งต้องตกลงกันก่อนว่าจะใช้รูปแบบไหนในการเข้ารหัสข้อมูล ซึ่งรูปแบบไหนในการเข้ารหัสข้อมูลที่ผู้รับกับผู้ส่งตกลงกันแท้ที่จริงก็คือ กุญแจลับ นั่นเอง เช่น ผู้ส่งกับผู้รับตกลงจะใช้เทคนิดการแทนที่ตัวอักษรที่อยู่ถัดไป 1 ตำแหน่ง เช่น ถ้าเห็นตัวอักษร A ก็ให้เปลี่ยนไปเป็น B หรือเห็นตัวอักษร B ก็ให้เปลี่ยนไปเป็น C เป็นต้น นั้นก็คือผู้ส่งกับผู้รับตกลงใช้รูปแบบนี้เป็นกุญแจลับ
* ระบบเข้ารหัสแบบกุญแจอสมมาตร (asymmetric-key cryptography หรือ Public Key Technology) ระบบการเข้ารหัสแบบนี้ได้ถูกคิดค้นโดย นายวิทฟิลด์ ดิฟฟี (Whitfield Diffie) ซึ่งเป็นนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2518 โดยการเข้ารหัสแบบนี้จะใช้หลักกุญแจคู่ทำการเข้ารหัสและถอดรหัส โดยกุญแจคู่ที่ว่านี้จะประกอบไปด้วย กุญแจส่วนตัว (private key) และกุญแจสาธารณะ (public key) โดยหลักการทำงานจะทำดังนี้ ถ้าใช้กุญแจลูกใดเข้ารหัส ก็ต้องใช้กุญแจอีกลูกหนึ่งถอดรหัส สำหรับการเข้ารหัสและถอดรหัสด้วยกุญแจคู่นี้จะใช้ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วยโดยที่ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่นำมาใช้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะมีเฉพาะกุญแจคู่ของมันเท่านั้นที่จะสามารถถอดรหัสได้ ไม่สามารถนำกุญแจคู่อื่นมาถอดรหัสได้อย่างเด็ดขาด
== ดูเพิ่ม ==
* การเข้ารหัส
* เครื่องอินิกมา
* การเข้ารหัสแบบกุญแจสมมาตร (Symmetric Key Cryptosystem)
* การเข้ารหัสแบบกุญแจอสมมาตร (Asymmetric Key Cryptosystem)
* วิทยาการอำพรางข้อมูล
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:ความรู้
หมวดหมู่:วิทยาการเข้ารหัสลับ |
1802 | https://th.wikipedia.org/wiki/จำปาเทศ | จำปาเทศ | จำปาเทศ หรือ กระหนาย () เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางในสกุลกะหนานปลิง เปลือกลำต้นสีเทาแตกเป็นร่องเป็นสะเก็ดบิดเวียนตามยาว โคนลำต้นมักเป็นปุ่มเป็นโพรง แตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งอ่อนยาว ปลายกิ่งห้อยลู่ กิ่งและก้านใบมีขนสีน้ำตาลปกคลุมทั่วไป ใบเดี่ยว เรียงระนาบเดียวกัน รูปขอบขนาน แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีขาว ผิวใบด้านบนเป็นมัน หลังใบมีขนละเอียดสีเทาหนาแน่น เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบเป็นสันนูนเด่นชัด โคนใบเว้าตื้นและเบี้ยวปลายใบแยกเป็นแฉก ออกดอกตามซอกใบบริเวณใกล้ปลายยอด กลีบเลี้ยงเป็นแผ่นหนาแข็ง กลีบดอกบาง สีขาว หอมเย็นตลอดวัน ออกดอกตลอดปี ผลเป็นทรงกระบอกสั้น เป็นเหลี่ยม มีขนบาง แก่แล้วแตก เมล็ดมีปีกเป็นแผ่นสีขาวออกดอกช่วงเมษายน-ตุลาคม
พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เป็นไม้ถิ่นเดียวในประเทศไทย พบครั้งแรกโดยหมอคาร์ที่บริเวณใกล้ชายหาด อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันใช้เป็นไม้ประดับ การขยายพันธุ์ใช้วิธีตอนกิ่ง เพาะเมล็ด เปลือกใช้เป็นยาลดไข้
== บทกวีที่กล่าวถึง ==
และบทร้องเพลงพม่าห้าท่อน 3 ชั้น
== อ้างอิง ==
* ป่าแม่คำมี: ความหลากหลายทางชีวภาพจากอดีตถึงปัจจุบัน. กทม. สำนักวิจัยและพัฒนาป่าไม้. 2556
หมวดหมู่:สกุลกะหนานปลิง
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:พรรณไม้ในวรรณคดี |
1804 | https://th.wikipedia.org/wiki/สร้อยอินทนิล | สร้อยอินทนิล | สร้อยอินทนิล หรือ ช่ออินทนิล ช่องหูปากกา น้ำผึ้ง ปากกา ย่ำแย้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thunbergia grandiflora Roxb.ชื่อสามัญคือ Bengal Trumpet มีถิ่นกำเนิดในอินเดียตอนเหนือ พม่า และไทย ชอบขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ เป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง อายุหลายปี ใช้ยอดเลื้อยพันได้ไกล 15-20 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปหัวใจหรือเว้าตื้น 5-7 แฉก กว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 10-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบเว้า ขอบหยักฟันเลื่อย ผิวใบสาก ดอกสีฟ้าอมม่วง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามซอกใบ ช่อดอกห้อยลงยาว 0.8-1 เมตร ใบประดับสีเขียวและมีสีแดงเรื่อ ดอกรูปแตร โคนกลีบเป็นหลอดสั้นสีเหลืองปลายแยก 5 แฉก รูปกลม โคนกลีบล่างอันกลางมีแต้มสีม่วงเข้ม ดอกบานเต็มที่กว้าง 6-8 เซนติเมตร ปลูกได้ในดินทั่วไป ความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวัน ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำเถา หรือหน่อ เปลือกและรากนำมาตำพอกแก้อาการช้ำบวมและแผลอักเสบ ใบนำมาชงเป็นชาแก้ปวดท้อง
== อ้างอิง ==
* ITIS 34350
หมวดหมู่:สมุนไพร
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์เหงือกปลาหมอ
หมวดหมู่:ไม้เลื้อย |
1808 | https://th.wikipedia.org/wiki/กวีนิพนธ์ | กวีนิพนธ์ | กวีนิพนธ์ () คือรูปแบบทางศิลปะที่มนุษย์ใช้ภาษา เพื่อคุณประโยชน์ด้านสุนทรียะ ซึ่งเพิ่มเติมจากเนื้อหาทางความหมาย นับเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรม โดยเป็นคำประพันธ์ที่กวีแต่ง เป็นงานเขียนที่มีวรรณศิลป์ เร้าให้สะเทือนอารมณ์ได้ คำที่มีความหมายทำนองเดียวกันได้แก่ ร้อยกรอง ซึ่งหมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์
นอกจากนี้ยังมีคำอื่น ๆ อีกหลายคำที่มีความหมายทำนองเดียวกับ กวีนิพนธ์ และร้อยกรอง ได้แก่ บทกวี บทประพันธ์ คำประพันธ์ กวีวัจนะ ลำนำ บทกลอน กาพย์กลอน กลอนกานท์ กานท์ รวมทั้งคำว่า ฉันท์ กาพย์ และกลอน ซึ่งในปัจจุบันหมายถึงคำประพันธ์ที่มีรูปแบบต่างกัน ก็เคยใช้ในความหมายเดียวกันกับ กวีนิพนธ์ และ ร้อยกรอง มาในยุคสมัยหนึ่ง
ผลงานที่จัดเป็นกวีนิพนธ์เรียกว่า บทกวี ส่วนผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานดังกล่าว เรียกว่า กวี
บทกวี คือ ภาษาของอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด คือเครื่องมือที่จะนำสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นข่าวสารออกมาแสดงให้ประจักษ์ ตระหนัก ตระหนก สะทก สะท้อน กวีอาจไม่มีหน้าที่สรุปหรือฟันธงความจริง แต่กวีอาจหมุนแปรคำและความให้เห็นความจริงใหม่ ๆ ของชีวิตหลายด้าน ทั้งเรื่องที่บางทีคนทั่วไปคิดไม่ถึง และแม้แต่ตัวกวีเองก็เพิ่งจะคิดถึง
== องค์ประกอบของบทกวี ==
องค์ประกอบของบทกวี มี 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
#ความรู้สึก สาร หรือเรื่องที่ต้องการถ่ายทอด บทกวีที่ดีออกมาจากความรู้สึกของผู้เขียน ความรู้สึกอาจเกิดขึ้นโดยกะทันหันหลังจากไปกระทบบางสิ่งบางอย่าง ก่อเกิดแรงบันดาลใจ อาจรู้สึก เปี่ยมสุข เปี่ยมความหมาย หรือรู้สึกนิ่งลึกดิ่งจมในเหวหุบแห่งความเศร้า ฯลฯ
#รูปแบบที่กวีเลือกในการนำเสนอ
== รูปแบบของกวีนิพนธ์ ==
แบ่งตามประเภทของกวีและวรรณกรรมที่ปรากฏเป็น 2 รูปแบบ คือ
* กวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์
* กวีนิพนธ์ไร้ฉันทลักษณ์
== กวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ ==
* กวีนิพนธ์ราชสำนัก (ดู ฉันทลักษณ์) ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย
* กวีนิพนธ์ท้องถิ่น ได้แก่ กานต์ กาบ (อีสาน) กอน (อีสาน) กาพย์ (เหนือ) ค่าว และแร็ป
== กวีนิพนธ์ไร้ฉันทลักษณ์ หรือไร้การสัมผัส ==
ในช่วงที่การแต่งกลอนประเภทเคร่งฉันทลักษณ์และพราวสัมผัสถึงจุดอิ่มตัว บรรดากวีเริ่มแสวงหารูปแบบคำประพันธ์ใหม่ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเจ และสามารถสื่อ สาร ได้อย่างเสรี ไม่ติดในกรอบฉันทลักษณ์ จึงปรากฏรูปแบบกวีนิพนธ์ที่เรียกกันว่า กลอนเปล่า หรือ กวีนิพนธ์แบบไร้ฉันทลักษณ์ กวีนิพนธ์รูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และเป็นที่ยอมรับในวงวรรณกรรมของไทยสูงสุด เมื่อหนังสือรวมบทกวี ไม่มีหญิงสาวในบทกวี ของ ซะการีย์ยา อมตยา ซึ่งเป็นกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์อิสระ ได้รับการคัดเลือกให้ชนะเลิศรางวัลซีไรต์ ในปี พ.ศ. 2553
กลอนเปล่า เป็นคำประพันธ์ที่พัฒนามาจากฟรีเวิร์ส () ของตะวันตก เป็นกลอนในวรรณคดีอังกฤษที่ไม่มีการสัมผัสคำ แต่มีการเน้นเสียงในลักษณะ lambic Pentameter คือ 1 บาท แบ่งเป็น 5 จังหวะ จังหวะละ 2พยางค์ พยางค์แรกเสียงเบา (ลหุ) พยางค์หลังเสียงหนัก (ครุ) กลอนเปล่าได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของกวีนิพนธ์ประเภทบรรยายโวหารยาว ๆ (soliloquy) รวมทั้งงานด้านปรัชญาและการละคร นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา กลอนเปล่าปรากฏอยู่ทั่วไปในงานประพันธ์บทละครของเชคสเปียร์ โดยมักเป็นบทพูดของตัวละครที่มีบทบาทสำคัญ หรือมีฐานันดรสูงกว่าคนปกติ บทกวีมหากาพย์ Paradise Lost ของจอห์น มิลตัน ใช้รูบแบบฉันทลักษณ์ของกลอนเปล่าประพันธ์ทั้งหมด
กลอนเปล่าของไทย เริ่มนับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงนำกลอนเปล่าเข้ามาใช้ในไทย โดยใช้เป็นบทสนทนาที่แปลมาจากบทละครของเช็คเสปียร์ ต่อมา จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนบทร้อยกรองชื่อพิราบขาวในลักษณะของกลอนเปล่า แต่เป็นกลอนเปล่าที่เปลี่ยนแปลไปจากเดิมในความหมายจากตะวันตก ซึ่งทำให้มีผู้เรียกว่า กลอนปลือย
กลอนเปล่าและกลอนเปลือยที่ไทยใช้ จึงหมายถึงงานเขียนที่ผู้แต่งมุ่งประหยัดและพิถีพิถันในการใช้คำและที่สำคัญ คือ ผู้เขียนพยายามจัดถ้อยคำเป็นวรรค หรือเป็นรูปใดรูปหนึ่งคล้ายร้อยกรอง เพียงแต่ไม่มีสัมผัสบังคับเท่านั้น
วรรณรูป หรือกวีนิพนธ์รูปธรรม () เป็นการผสมผสานทัศนศิลป์และวรรณศิลป์เข้าด้วยกัน กวีผู้โดดเด่นในเรื่องนี้ได้แก่ จ่าง แซ่ตั้ง ซึ่งใช้ความเป็นจิตรกรในการเขียนงานกวีนิพนธ์ งานวรรณรูปของเขามีทั้งแบบที่ใช้ถ้อยคำเรียงกันแบบกลอนเปล่า และแบบที่ใช้ถ้อยคำเรียงกันเป็นรูปภาพ งานวรรณรูปที่ปรากฏในปัจจุบันมิได้บ่งชัดว่าได้รับอิทธิพลจากชาติใด นับเป็นความริเริ่มของ จ่าง แซ่ตั้ง เลยทีเดียว
แคนโต้ จัดเป็นบทกวีประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นกลอนเปล่า 3 บรรทัด “แคนโต้” เป็นเพียงบทกวีที่ประกอบไปด้วยกลุ่มถ้อยคำสั้น ๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ เมื่อกลุ่มคำเหล่านี้ ถูกจัดเรียงเป็นสามบรรทัดแล้ว กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เมื่อได้อ่านแคนโต้ของใครผู้ใดก็ตาม เป็นความยาวต่อเนื่องจำนวนมาก คุณจะกลายเป็นผู้ล่วงล้ำ เข้าไปรับรู้ถึงอารมณ์ และห้วงความคิดคำนึงของชีวิตใครผู้หนึ่ง ในลักษณะปะติดปะต่อ และในยามที่คุณเผชิญหน้ากับถ้อยคำสั้น ๆ เหล่านั้น คุณจะได้พบกับความหมายบางอย่าง ผ่านความอ่อนไหว จากชีวิตเล็ก ๆ บนโลกนี้
แคนโต้ เป็นบทกวีไทยร่วมสมัย เกิดขึ้นโดยคนไทย มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างตะวันออกและตะวันตก รูปแบบคล้ายกวีไฮกุของญี่ปุ่น มีความแตกต่างกันเล็กน้อย ตรงที่ไฮกุจะเน้นไปทางการแสวงหาความหลุดพ้น แต่แคนโต้นั้นเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
ในประเทศไทยมีผู้เขียนบทกวี 3 บรรทัดอยู่บ้างประปราย แต่คนที่นิยาม การรวมกลุ่มของบทกวี 3 บรรทัด ที่มีความยาวต่อเนื่อง 400 บทขึ้นไปว่า “แคนโต้”นั้น คือ ฟ้า พูลวรลักษณ์
จากแคนโต้หมายเลขหนึ่ง
บ้านของข้าเงียบสงับ
อยู่ในตรอก
ข้าไม่มีเพื่อนสักคน
ในการสื่อสารด้านอารมณ์ การเขียนกวีนิพนธ์มักมีรูปแบบที่สั้นและกระชับ หรืออาจมีการใช้การพ้องเสียงหรือการกล่าวซ้ำ ๆ เพื่อสร้างให้เกิดผลคล้ายดนตรีหรือคำพูดในพิธีกรรม คุณภาพของบทกวีมักขึ้นอยู่กับการสร้างให้เกิดมโนภาพ การเกี่ยวข้องกันของคำ และความไพเราะของภาษาที่ใช้
== ดูเพิ่ม ==
* ฉันทลักษณ์
* วรรณกรรม
== เชิงอรรถ ==
หมวดหมู่:วรรณกรรมแบ่งตามประเภท |
1809 | https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อวรรณคดีไทย | รายชื่อวรรณคดีไทย | รายชื่อวรรณคดีของไทย ซึ่งเป็นงานเขียนหรือวรรณกรรมไทยที่ยกย่องกันว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์
วรรณคดีไทยเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าทางวรรณศิลป์ เป็นผลงานเขียนที่เกิดขึ้นก่อนสมัยรัชกาลที่ 7
* กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ โดย พระยาราชสุภาวดีและพระภิกษุอินท์.
** กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ - สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
* กลบทสิริวิบุลกิติ โดย หลวงศรีปรีชา
* กากีกลอนสุภาพ (กากีคำกลอน) โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
** เห่เรื่องกากี - สุนทรภู่
* กาพย์มหาชาติ โดย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
* กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง (กาพย์ห่อโคลงนิราศธารทองแดง) โดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์
* กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก โดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์
* กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
* กาพย์เห่เรือ โดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์
* โคลงกำสรวลศรีปราชญ์ โดย ศรีปราชญ์
* แก้วหน้าม้า โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์
* โกมินทร์
* ไกรทอง โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
* ขันทองใบ้
* ขวานฟ้าหน้าดำ
* ขุนช้างขุนแผน (นิทานพื้นบ้าน)
** บทเสภาขุนช้างขุนแผน โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและสุนทรภู่
* โคบุตร โดย สุนทรภู่
** เห่เรื่องโคบุตร - สุนทรภู่
* โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์ โดย พระศรีมโหสถ
* โคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดย พระยาตรัง
* โคลงทศรถสอนพระราม โดย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (หรืออาจเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)
* โคลงพาลีสอนน้อง โดย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (หรืออาจเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)
* โคลงทวาทศมาส โดย พระเยาวราช ขุนพรมมนตรี ขุนกวีราช ขุนสารประเสริฐ
* โคลงนิราศพระยาตรัง (นิราศถลาง) โดยพระยาตรัง
* โคลงนิราศรัตนะ โดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
* โคลงนิราศหริภุญชัย สันนิษฐานว่าผู้แต่งชื่อทิพ หรือ ศรีทิพ
* โคลงโลกนิติ โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร
* จินดามณี
* ไชยเชษฐ์
* ดาหลัง (อิเหนาใหญ่) โดยเจ้าฟ้ากุณฑล
** บทละครเรื่องดาหลัง - พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
* ไตรภูมิพระร่วง (เตภูมิกถา) โดย พระมหาธรรมราชาที่ 1
* ไตรภูมิโลกวินิจฉัย โดย พระยาธรรมปรีชา (แก้ว)
* ตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สันนิษฐานว่าแต่งโดยท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (นางนพมาศ)
*นันโทปนันทสูตรคำหลวง โดยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์
* นิราศกวางตุ้ง (นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน) โดย พระยามหานุภาพ
* นิราศเดือน โดย นายมี (หมื่นพรหมสมพัตสร)
* นิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย (โคลงดั้นนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย) โดย พระยาตรัง
* นิราศถลาง (โคลงนิราศพระยาตรัง) โดย พระยาตรัง
* นิราศทวาราวดี โดย หลวงจักรปาณี (มหาฤกษ์)
* นิราศนครวัด โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
* นิราศนครสวรรค์ โดยพระศรีมโหสถ
* นิราศนรินทร์คำโคลง โดย นายนรินทรธิเบศร์
* นิราศธารโศก (โคลงนิราศพระบาท)
* นิราศพระแท่นดงรัง โดย นายมี (หมื่นพรหมสมพัตสร)
* นิราศพระบาท โดย สุนทรภู่
* นิราศพระประธม โดย สุนทรภู่
* นิราศภูเขาทอง โดย สุนทรภู่
* นิราศเมืองแกลง โดย สุนทรภู่
* นิราศเมืองเพชร โดย สุนทรภู่
* นิราศลอนดอน โดย หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร)
* นิราศวัดเจ้าฟ้า โดย สุนทรภู่
* นิราศสุพรรณ โดย สุนทรภู่ และนายมี (หมื่นพรหมสมพัตสร)
* นิราศอิเหนา โดย สุนทรภู่
* นิทานทองอิน โดย นายแก้วนายขวัญ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
* นิทานอิหร่านราชธรรม
* นิพพานวังหน้า โดย พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร
* ปุณโณวาทคำฉันท์
* ปฐมสมโพธิกถา โดย [สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส]
* ปลาบู่ทอง
* พระเกียรติรถ
* พระไชยสุริยา (นิทานพื้นบ้าน)
** กาพย์พระไชยสุริยา - สุนทรภู่
* พระนลคำฉันท์
* พระนลคำหลวง
* พระมะเหลเถไถ โดย คุณสุวรรณ
* พระมาลัยคำหลวง โดยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์
* พระรถคำฉันท์ (พระรถ-เมรี)
* พระราชพิธีสิบสองเดือน
* พระเวสสันดร
* พระสุธนคำฉันท์(พระสุธน-มโนราห์)
* พระร่วง โดย รัชกาลที่ 6
* พระอภัยมณี โดย สุนทรภู่
** เห่เรื่องพระอภัยมณี - สุนทรภู่
* เพลงยาวถวายโอวาท โดย สุนทรภู่
* เพลงยาวนมัสการพระบรมธาตุ นิราศไปตรัง
* เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
* เพลงยาวพระยาตรัง
* เพลงยาวของพระยามหานุภาพ โดย พระยามหานุภาพ
* เพลงยาวหม่อมภิมเสน
* พิกุลทอง
* มณีพิชัย (ยอพระกลิ่น)
* มหาชาติคำฉันท์
* มหาชาติคำหลวง โดยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์
* มหาเวสสันดรชาดก (พระเวสสันดร)
* มัทนะพาธา โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
* ยวนพ่ายโคลงดั้น
* ยอพระกลิ่น
* ระเด่นลันได โดย พระมหามนตรี (ทรัพย์)
* ราชสวัสดิ์
* ราชาธิราช
* ราชาพิลาปคำฉันท์ (นิราศษีดา) ไม่ปรากฏผู้แต่ง
* รามเกียรติ์ (มีผู้ประพันธ์หลายท่านหลายสำนวน)
* รำพันพิลาป (นิราศรำพึง) โดย สุนทรภู่
* ลักษณวงศ์ (นิทานพื้นบ้าน)
** ลักษณวงศ์ - สุนทรภู่
* ลิลิตนิทราชาคริต
* ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
* ลิลิตพระลอ
* ลิลิตเพชรมงกุฎ โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
* ลิลิตยวนพ่าย (ยวนพ่ายโคลงดั้น)
* ลิลิตตะเลงพ่าย โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
* ลิลิตศรีวิชัยชาดก โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
* ลิลิตโองการแช่งน้ำ (ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า, โองการแช่งน้ำ)
* เวนิสวาณิช
* วิวาห์พระสมุทร โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
* ศรีธนญชัย
*ศรีปราชญ์
* สมบัติอมรินทร์คำกลอน
* สมุทรโฆษคำฉันท์ โดยพระมหาราชครู ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสได้แต่งต่อจนสมบูรณ์
* สรรพสิทธิ์คำฉันท์
* สวัสดิรักษา โดย สุนทรภู่
* สังข์ทอง
* สังข์ศิลปชัย
* สามก๊ก ฉบับแปลโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) (ถูกยกย่องเป็นยอดของร้อยแก้ว)
* สามัคคีเภทคำฉันท์
* สิงหไตรภพ นิทานพื้นบ้าน
** สิงหไตรภพ - สุนทรภู่
* สุบินกุมาร
* สุภาษิตพระร่วง (บัญญัติพระร่วง)
* สุภาษิตสอนหญิง โดยสุนทรภู่
* สุวรรณหงส์
* เสือโคคำฉันท์ (หลวิชัย-คาวี)
* สมุทรโคดม
* โสนน้อยเรือนงาม
* หม่อมเป็ดสวรรค์
* หลวิชัยคาวี
* หัวใจชายหนุ่ม โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
* หัวใจนักรบ โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
* อนิรุทธ์คำฉันท์ โดย ศรีปราชญ์
* อภัยนุราช โดย สุนทรภู่
* อาบูหะซัน
* อิลราชคำฉันท์
* อิเหนา โดยเจ้าฟ้ามงกุฎ
** อิเหนาคำฉันท์ - เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
** บทละครเรื่องอิเหนา - พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
** บทละครเรื่องอิเหนา - พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
** นิราศอิเหนา - สุนทรภู่
** อิเหนาคำฉันท์ - กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
* อุณรุท โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
* อุณรุทร้อยเรื่อง โดย คุณสุวรรณ
== อ้างอิง ==
* เปลื้อง ณ นคร. ประวัติวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช (พิมพ์ครั้งที่ 12) พ.ศ. 2544.
หมวดหมู่:รายชื่อ |
1810 | https://th.wikipedia.org/wiki/แฟร็กทัล | แฟร็กทัล | ภาพแฟร็กทัล จาก [[เซตม็องแดลโบรต, วาดโดยการพล็อตสมการวนซ้ำไปเรื่อย ๆ]]
แฟร็กทัล หรือ สาทิสรูป () ในปัจจุบันเป็นคำที่ใช้ในเชิงวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ หมายถึง วัตถุทางเรขาคณิต ที่มีคุณสมบัติคล้ายตนเอง คือ ดูเหมือนกันไปหมด (เมื่อพิจารณาจากแง่ใดแง่หนึ่ง) ไม่ว่าจะดูที่ระดับความละเอียด (โดยการส่องขยาย) หรือ สเกลใดก็ตาม
คำว่า แฟร็กทัล นี้ เบอนัว ม็องแดลโบรต เป็นคนบัญญัติขึ้นในปี ค.ศ. 1975 จากคำว่า fractus ในภาษาละติน ซึ่งแปลว่า แตก หรือ ร้าว
== ประวัติ ==
แฟร็กทัลที่จำลองแบบผิวหน้าของภูเขา สร้างโดยการสุ่มแฟร็กทัลประเภทสุดท้าย สร้างโดยกระบวนการสโตคาสติก หรือ การสุ่ม เช่น การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน ต้นไม้บราวเนียน เป็นต้น แฟร็กทัลลักษณะนี้ เฉพาะค่าทางสถิติของแฟร็กทัลที่สเกลต่าง ๆ เท่านั้นที่มีลักษณะเหมือนกัน (statistical self-similarity)
== แฟร็กทัลในธรรมชาติ ==
แฟร็กทัลเกิดขึ้นเมื่อดึงแผ่นอคริลิกที่ติดกันด้วยกาวออกจากกัน
ไฟล์:Square1.jpg|การป้อนไฟฟ้าแรงสูงให้กับก้อนอคริลิกจนแตกให้เห็นรูปแฟร็กทัลที่เรียกว่า Lichtenberg figure
ไฟล์:Microwaved-DVD.jpg|แฟร็กทัลที่เกิดขึ้นจากรอยแตกบนผิวของแผ่นดีวีดีเมื่อโดนรังสีจากไมโครเวฟ
ไฟล์:Fractal Broccoli.jpg|กะหล่ำดอกเจดีย์มีลักษณะของแฟร็กทัล
ไฟล์:DLA Cluster.JPG|การงอกของผลึกทองแดงในสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟตในการชุบโลหะด้วยไฟฟ้า
ไฟล์:Phoenix(Julia).gif|ภาพขยาย phoenix set
== การประยุกต์ใช้งาน ==
สายอากาศแบบ log-periodic
ทฤษฎีและผลจากการศึกษาแฟร็กทัล สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานหลาย ๆ ด้าน ตัวอย่างที่สำคัญเช่น
การสร้างภาพในคอมพิวเตอร์ สามารถใช้กฎเกณฑ์การเรียกตนเอง (recursion) มาเขียนโปรแกรมสร้างภาพของสิ่งต่าง ๆ ที่โดยธรรมชาติมีลักษณะใกล้เคียงแฟร็กทัล เช่น ต้นไม้ ภูเขา มาใส่ในเกมคอมพิวเตอร์ หรือสร้างเป็นฉากกราฟิกส์ในภาพยนตร์ โดยโปรแกรมที่เขียนจากหลักการเรียกตนเองมีขนาดเล็ก ในทางกลับกันเราสามารถใช้แฟล็กทัลมาประยุกต์กับการบีบอัดข้อมูลสัญญาณและภาพ โดยการหาค่าพารามิเตอร์ของสมการวนซ้ำที่ให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับสัญญาณหรือภาพที่ต้องการ และใช้ค่าพารามิเตอร์นั้นเป็นข้อมูลที่ถูกบีบแล้ว
เราสามารถใช้วนซ้ำมาสังเคราห์เสียงดนตรีแนวใหม่ สร้างงานศิลปะแปลกใหม่ ออกแบบแฟชั่น ลวดลายบนชุดพรางตัวของทหารนาวิกโยธินสหรัฐที่เรียกว่า MARPAT (MARine Disruptive PATtern) ซึ่งมีลวดลายไม่เป็นระเบียบ สามารถกลมกลืนกับธรรมชาติได้ดี ก็สร้างขึ้นจากหลักการแฟล็กทัล
รอยร้าวต่าง ๆ ลักษณะแตกแขนงย่อย ๆ ออกไปเหมือนแฟร็กทัล จึงมีประโยชน์ในการคาดคะเนการแตกหักในวิชากลศาสตร์ (Fracture mechanics) และใช้ในการศึกษาด้านแผ่นดินไหว (Seismology)
อีกตัวอย่างการใช้งาน คือ สายอากาศแบบแฟร็กทัล ที่มีขนาดเล็กแต่สามารถรับส่งคลื่นความถี่ได้หลากหลาย สายอากาศที่ใช้รับสัญญาณโทรทัศน์ ก็มีลักษณะความคล้ายตนเองเช่นเดียวกัน
== ดูเพิ่ม ==
* ทฤษฎีความอลวน
== อ้างอิง ==
== อ่านเพิ่ม ==
* Barnsley, Michael F.; and Rising, Hawley; Fractals Everywhere. Boston: Academic Press Professional, 1993.
* Duarte, German A.; Fractal Narrative. About the Relationship Between Geometries and Technology and Its Impact on Narrative Spaces. Bielefeld: Transcript, 2014.
* Falconer, Kenneth; Techniques in Fractal Geometry. John Wiley and Sons, 1997.
* Jürgens, Hartmut; Peitgen, Heinz-Otto; and Saupe, Dietmar; Chaos and Fractals: New Frontiers of Science. New York: Springer-Verlag, 1992.
* Mandelbrot, Benoit B.; The Fractal Geometry of Nature. New York: W. H. Freeman and Co., 1982.
* Peitgen, Heinz-Otto; and Saupe, Dietmar; eds.; The Science of Fractal Images. New York: Springer-Verlag, 1988.
* Pickover, Clifford A.; ed.; Chaos and Fractals: A Computer Graphical Journey - A 10 Year Compilation of Advanced Research. Elsevier, 1998.
* Jones, Jesse; Fractals for the Macintosh, Waite Group Press, Corte Madera, CA, 1993. .
* Lauwerier, Hans; Fractals: Endlessly Repeated Geometrical Figures, Translated by Sophia Gill-Hoffstadt, Princeton University Press, Princeton NJ, 1991. , cloth. paperback. "This book has been written for a wide audience..." Includes sample BASIC programs in an appendix.
* Wahl, Bernt; Van Roy, Peter; Larsen, Michael; and Kampman, Eric; Exploring Fractals on the Macintosh, Addison Wesley, 1995.
* Lesmoir-Gordon, Nigel; The Colours of Infinity: The Beauty, The Power and the Sense of Fractals. 2004. (The book comes with a related DVD of the Arthur C. Clarke documentary introduction to the fractal concept and the Mandelbrot set.)
* Liu, Huajie; Fractal Art, Changsha: Hunan Science and Technology Press, 1997, .
* Gouyet, Jean-François; Physics and Fractal Structures (Foreword by B. Mandelbrot); Masson, 1996. , and New York: Springer-Verlag, 1996. . Out-of-print. Available in PDF version at.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* "Hunting the Hidden Dimension", PBS NOVA, first aired August 24, 2011
* Benoit Mandelbrot: Fractals and the Art of Roughness (), TED, February 2010
* Technical Library on Fractals for controlling fluid
* Equations of self-similar fractal measure based on the fractional-order calculus(2007)
หมวดหมู่:โครงสร้างทางคณิตศาสตร์
หมวดหมู่:ทอพอโลยี |
1811 | https://th.wikipedia.org/wiki/แพงพวยฝรั่ง | แพงพวยฝรั่ง | thumb| Catharanthus roseus
แพงพวยฝรั่ง เป็นพืชดอกถิ่นเดียวของประเทศมาดากัสการ์ ในธรรมชาติอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพราะการถางและเผาเพื่อการเกษตรกรรม แต่อย่างไรก็ตามมันกลับได้รับการปลูกเลี้ยงอย่างกว้างขวางในพื้นที่เขตร้อนทั่วโลก
แพงพวยฝรั่งมีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ ดังนี้: นมอิน (สุราษฎร์ธานี) ผักปอดบก (เหนือ) แพงพวยฝรั่ง (กทม.)
==การขยายพันธุ์==
ทำได้ทั้งวิธีปักชำและเพาะเมล็ดแต่การเพาะเมล็ด จะทำได้ง่ายว่า ทำได้โดยการเพาะลงในกระบะหรือเพาะลงในแปลงเพาะปลูก เมล็ดจะงอกใน 5-7วัน แพงพวยฝรั่งนี้เป็นพืชที่ต้องการแสงและอากาศร้อนเนื่องจากเป็นพืชในเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำถึงปานกลาง โดยเฉพาะดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี เช่นดินร่วนปนทราย ซึ่งมันจะช่วยรากเจริญได้ดี เพราะหากดินระบายน้ำไม่ดี จะทำให้รากเน่าเนื่องจากรากไม่มีอากาศหายใจ
==การดูแลรักษา==
แพงพวยฝรั่งเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่ายไม่พบว่ามีการรบกวนจากแมลงศัตรูพืช แพงพวยฝรั่งนี้จะชอบอยู่ในที่ที่มีแดดจัด การให้น้ำควรให้ในปริมาณพอสมควร ไม่แฉะมากเกินไป อาจจะมีการใส่ปุ๋ยในการบำรุงต้นบ้าง
==สรรพคุณทางยา==
ส่วนที่นำมาใช้ในการทำยาคือ ลำต้นและราก ซึ่งได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ลำต้นและรากนี้สามารถสร้างสารที่เรียกว่า อัลคาลอยด์ได้มากกว่า 55ชนิดอัลคาลอยด์ที่สามารถนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งได้ผลคือ วินบลาสทีน ( Vinblastine) และวินคริสทีน ( Vincristine) โดยสารทั้งสองชนิดนั้นสามารถนำมารักษาโรคมะเร็งเม็ดมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง นอกจากนี้ราก แก้บิด ขับพยาธิ ห้ามเลือด รักษามะเร็งในเม็ดเลือดและใบจะช่วยในการบำรุงหัวใจ ช่วยในการย่อย หรือใช้ทั้งต้นในการแก้เบาหวานความดัน แก้อาการตัวเหลืองอันเกิดพิษของสุรา
แพงพวยมีอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษสูง มีฤทธิ์หลอนประสาท
==พันธุ์ของแพงพวยฝรั่ง==
1. Snowflakes มีพุ่มต้นสูง 10 นิ้ว ต้นสูงสม่ำเสมอกันหมด ดอกสีขาว
2. Little Bright สูง 10 นิ้ว ดอกสีขาว ใจกลางดอกสีแดง
3. Little Linda ต้นสูง 8-10 นิ้ว ดอกสีชมพูเข้มอมม่วง พุ่มต้นกระทัด และออกดอกมาก
4. Little Mixed มีหลายสีคละกัน
5. Little Pinkie ดอกสีชมพูเข้ม3.
6.Little Blanch สูง 10 นิ้ว ดอกสีขาว
7. Little Bright Eye สีชมพูมีแต้มสีแดง
8. Little Delicata สีขาวมีแต้มสีแดงเข้ม
9. Little Blanche สีขาว
10. Little Linda สีชมพูอมม่วง
11. Pretty in Rose สีชมพูอ่อน
12. Tropicana Blush สีแดงอ่อน
13. Tropicana Bright Eye สีชมพู
14. Tropicana Rose สีชมพูเข้ม
15. Tropicana Pink สีชมพูเข้ม
== อ้างอิง ==
* Ref: ITIS 30124
หมวดหมู่:พืชมีพิษ
หมวดหมู่:วงศ์ตีนเป็ด
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:สมุนไพรไทย
หมวดหมู่:พืชที่ใช้ในอายุรเวท |
1815 | https://th.wikipedia.org/wiki/กนู | กนู | thumb|เครื่องหมายการค้าของกนู
โครงการ กนู () เป็นชื่อของโครงการพัฒนาระบบปฏิบัติการ ริเริ่มโดยริชาร์ด สตอลแมน เมื่อปี พ.ศ. 2527 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาระบบปฏิบัติการเพื่อให้เป็นซอฟต์แวร์เสรี ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ แก้ไข ปรับปรุง หรือจำหน่ายฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ โครงการกนู ประกอบไปด้วย เคอร์เนล ไลบรารี คอมไพเลอร์ โปรแกรมระบบ และ โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ
คำว่า กนู (IPA: /ɡəˈnuː/ เกอะนู หรือ /ˈnjuː/ นยู ในบางประเทศ) เป็นคำย่อแบบกล่าวซ้ำ มาจากคำเต็มว่า GNU's Not Unix (กนูไม่ใช่ยูนิกซ์) เพราะระบบกนูพัฒนาให้เหมือนระบบยูนิกซ์แต่ไม่ได้ใช้ซอร์สโคดของยูนิกซ์เลย
พ.ศ. 2549 เคอร์เนลทางการของกนู คือ Hurd ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ผู้ใช้ระบบกนูส่วนใหญ่เลือกโดยใช้ลินุกซ์เป็นเคอร์เนล อย่างไรก็ตาม ระบบเหล่านั้นมักจะถูกเรียกว่า ลินุกซ์ ซึ่งถ้าจะให้ถูกต้องแล้ว ควรจะเรียกว่า ระบบกนู/ลินุกซ์ (GNU/Linux systems) เพราะใช้ลินุกซ์เป็นเคอร์เนล ส่วนซอฟต์แวร์ส่วนอื่น ๆ มาจากโครงการกนู
โปรแกรมหลายตัวในโครงการ ก็ถูกปรับให้ทำงานในระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ได้ เช่น ไมโครซอฟท์วินโดวส์ บีเอสดี แมคโอเอส เป็นต้น
สัญญาอนุญาต GPL, LGPL และ GFDL ที่ใช้ในโครงการอื่น ๆ มากมาย ก็ริเริ่มจากกนู
== ประวัติ ==
กนูประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2526 ทางกลุ่มข่าว net.unix-wizards และ net.usoft การพัฒนาซอฟต์แวร์เริ่มต้นเมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2527 เมื่อ สตอลแมน ลาออกจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เพื่อไม่ให้มหาวิทยาลัยอ้างลิขสิทธิ์ในตัวซอฟต์แวร์และแทรกแซงการเผยแพร่ในรูปแบบซอฟต์แวร์เสรี สำหรับชื่อ"กนู" นั้น สตอลแมน ได้แนวความคิดจากการเล่นคำแบบต่าง ๆ และจากเพลง The Gnu ของวง Flanders and Swann
เป้าหมายของโครงการก็คือสร้างระบบปฏิบัติการเสรีทั้งระบบ ที่ผู้ใช้สามารถศึกษาซอร์สโคด แก้ไขการทำงานของซอฟต์แวร์ และเผยแพร่ซอฟต์แวร์ที่แก้ไขต่อไปยังคนอื่นได้โดยเสรี เหมือนกับที่เคยเป็นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1960 และ 1970 แนวความคิดนี้นำออกตีพิมพ์เป็นบทความ GNU Manifesto ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2528 ทางวารสาร Dr. Dobb's Journal of Software Tools
ซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ต้องเริ่มต้นเขียนจากศูนย์ แต่ซอฟต์แวร์เสรีที่มีอยู่แล้วก็นำมาใช้ด้วย ตัวอย่าง เช่น ระบบเรียงพิมพ์ TeX และระบบ X Window System คนที่เขียนกนูส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ซึ่งบางส่วนเขียนในเวลาว่าง บางส่วนว่าจ้างโดยบริษัท สถานศึกษา หรือ องค์กรไม่แสวงหากำไรอื่น ๆ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2528 สตอลแมน จัดตั้ง Free Software Foundation (FSF) FSF จ้างโปรแกรมเมอร์จำนวนหนึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์ทำจำเป็นสำหรับกนู ในช่วงสูงสุดเคยมีพนักงาน 15 คน FSF ยังเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์กนูบางตัว ซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่เผยแพร่โดยใช้สัญญาอนุญาต GPL บางส่วนใช้ LGPL หรือสัญญาอนุญาตอื่น ๆ
เนื่องจากในขณะนั้น ยูนิกซ์ เป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมมากตัวหนึ่ง กนูจึงออกแบบให้คล้ายกับยูนิกซ์มาก เพื่อให้ผู้ใช้สามารถย้ายไประบบกนูได้สะดวก ยูนิกซ์ยังมีโครงสร้างแบบโมดูล จึงสามารถพัฒนาโครงการกนูแยกกันเป็นส่วน ๆ ได้
เมื่อกนูเริ่มมีบทบาท ธุรกิจหลายรายหันมาสนับสนุนการพัฒนา หรือขายซอฟต์แวร์และบริการทางเทคนิก บริษัทที่มีชื่อและประสบความสำเร็จที่สุดก็คือ Cygnus Software ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Red Hat
== ดูเพิ่ม ==
* สัญญาอนุญาตเอกสารเสรีของกนู(GNU Free Documentation License (GFDL))
* สัญญาอนุญาตสาธารณะทั่วไปของกนู (GNU General Public License (GPL))
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์โครงการกนู
* เว็บไซต์โครงการกนูในประเทศไทย
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์บนยูนิกซ์
โครงการกนู |
1817 | https://th.wikipedia.org/wiki/วีระ_สมความคิด | วีระ สมความคิด | วีระ สมความคิด (28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500-)เป็นนักกฎหมายชาวไทย ระดมยื่นปปช.สอบ] เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) เป็นผู้ยื่นเรื่องกล่าวหานายทักษิณ ชินวัตร ต่อ ป.ป.ช. จนทำให้ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ว่านายทักษิณมีความผิด จึงได้ทำการยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต่อมาในวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ศาลฎีกาฯได้ตัดสินว่านายทักษิณ มีความผิดให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่นายทักษิณได้หลบหนีออกนอกประเทศไปก่อน จนคดีหมดอายุความ และยังไม่ได้กลับประเทศจนถึงทุกวันนี้
== ประวัติและบทบาททางการเมือง ==
วีระ สมความคิด จบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จบปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข สถาบันพระปกเกล้า รุ่นที่ 6 และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาผู้นำทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ จากมหาวิทยาลัยรังสิต ในปลาย พ.ศ. 2551
มีบทบาททางการเมืองในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 ด้วยการเป็นประธานนักเรียน หลังจากนั้นได้เข้าร่วมในเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 และพฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
ซึ่งหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา วีระได้ศึกษาธรรมะจากพุทธทาส โดยต่อมาได้อุปสมทบเป็นเวลา 5 ปี ได้ถือปฏิปทาของหลวงปู่ชา สุภัทโท, วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี, นอกจากนี้ยังเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์กัณหา สุขกาโม วัดแพร่ธรรมาราม จังหวัดแพร่ และเป็นลูกศิษย์ที่เหนียวแน่นของสมณะโพธิรักษ์ แห่งพุทธสถานสันติอโศก
อีกทั้งเป็นสมาชิกกลุ่มรวมพลังซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพรรคพลังธรรม และวีระได้เป็นสมาชิกพรรคพลังธรรม ปัจจุบันวีระไม่สังกัดพรรคการเมืองใด วีระเข้าร่วมการชุมนุมขับไล่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ให้ออกจากตำแหน่ง ใน พ.ศ. 2549 และการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใน พ.ศ. 2551
เมื่อปี พ.ศ. 2549 วีระได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กรณีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำความผิดตามกฎหมาย ปปช. มาตรา 100 ซึ่งต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ให้จำคุกพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี
ต่อมาในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552 วีระ สมความคิด, ไทกร พลสุวรรณ, อธิวัฒน์ บุญชาติ และสุนทร รักษ์รงค์ได้นำผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ จำนวน 4,000 คน เดินทางไปเขาพระวิหารเป็นครั้งที่ 2 เพื่ออ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทเขาพระวิหาร จนเกิดการปะทะกับชาวบ้านในพื้นที่ได้รับบาดเจ็บไปทั้ง 2 ฝ่าย
กลาง พ.ศ. 2553 หลังตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว วีระได้ถอนตัวออกจากกลุ่มพันธมิตรฯ และยุติรายการทั้งหมดทาง ASTV โดยให้เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ นอกจากนี้ยังต้องการทำงานอย่างเป็นอิสระ โดยไม่ถูกครอบงำและแทรกแซง
ในปี พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 86/2557 ให้เขาเข้ามารายงานตัวในวันที่ 7 กรกฎาคม พร้อมกับพลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560 นายวีระ สมความคิด รายงานตัวกับตำรวจ ปอท.ตามหมายจับศาลอาญา รัชดาภิเษก ที่ จ.642 /2560 ข้อหากระทำผิดตามพรบ.คอมพิวเตอร์ ต่อมาในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เขาเข้าพบพนักงานสอบสวน เนื่องจาก พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ฟ้องร้องเขาใน 3 ข้อหา ตำรวจออกหมายเรียกให้รับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. และยุยงปลุกปั่นในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561
ในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 ตำรวจได้ออกหมายเรียกและแจ้งข้อกล่าวหาเขาในความผิดขัดคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 และอีกหลายข้อหา เนื่องจากชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561
=== เหตุถูกทหารกัมพูชาจับกุม ===
วีระ สมความคิด ได้เดินทางไปร่วมงานที่ชุมชน "บ้านสันปันน้ำ" ชายแดนพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งก่อตั้งโดยอธิวัฒน์ บุญชาติ เป็นเวทีสุดท้ายการถ่ายทอดสด ทาง FM.TV. ของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เป็นการออกรายการทางสื่อครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553 พร้อมกับพวกจำนวน 7 คน ซึ่งเป็นสมาชิกของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่แยกออกจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และบางส่วนเป็นญาติธรรมของพุทธสถานสันติอโศก พร้อมกับพนิช วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบที่ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทย บริเวณอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยศาลเขตพนมเปญได้ตั้งข้อหาวีระและพวกในข้อหาเดินทางข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย และรุกล้ำเขตทหาร ส่วนวีระและราตรีได้ถูกเพิ่มข้อหาจารกรรมข้อมูลเนื่องจากครอบครองอุปกรณ์กล้องบันทึกภาพและใช้อุปกรณ์ระหว่างการถูกจับกุม ด้านกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางเข้าพบฮอร์ นำฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อเจรจาในประเด็นดังกล่าว
ต่อมา ศาลกัมพูชาให้ประกันตัวผู้ถูกจับกุม 5 คน ยกเว้นวีระกับราตรี โดยให้เหตุผลเรื่องความผิดต่อความมั่นคงของประเทศกัมพูชา ในการไต่สวนโดยศาลชั้นต้น กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 วีระได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา และยืนยันว่าขณะถูกจับกุมตนยังอยู่ในอาณาเขตประเทศไทย ศาลกัมพูชามีคำตัดสินในวันเดียวกันให้จำคุกวีระและราตรี ในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บุกรุกเขตทหาร และจารกรรมข้อมูล เป็นเวลา 8 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ โดยไม่รอลงอาญา และให้ยื่นอุทธรณ์ได้ภายในหนึ่งเดือน ซึ่งวีระไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ ในวาระพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอดีตพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ รัฐบาลกัมพูชาได้ขอพระราชทานอภัยโทษและปล่อยตัวราตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 และลดโทษวีระลง 6 เดือน เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 วีระได้รับการพระราชทานอภัยโทษหลังจากสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนกัมพูชา และได้ยื่นข้อเสนอของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต่อรัฐบาลกัมพูชา
== บทบาทด้านอื่น ==
วีระยังเคยเป็นวิทยากรประจำรายการ "เวทีเสรี" ทางช่อง TTV 2 โดยเป็นวิทยากรประจำทุกวันพุธ และเป็นวิทยากรประจำรายการ "ค้นคนโกง" ทาง ASTV รวมทั้งรายการ "โกงได้ โกงดี" ทางสถานีโทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ (FM TV) ของพุทธสถานสันติอโศก โดยจัดเรื่อยมากระทั่งถูกจับกุม
== ดูเพิ่ม ==
* คอร์รัปชันว็อทช์
* การเมืองภาคประชาชน
* หลักสูตร ปปร.9
* หลักสูตร 4ส6
* หลักสูตร ปธส.2
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:การเมืองภาคประชาชน
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
หมวดหมู่:บุคคลจากสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หมวดหมู่:พรรคพลังธรรม
หมวดหมู่:พรรคเสรีรวมไทย
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรังสิต
หมวดหมู่:บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลา
หมวดหมู่:บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา
หมวดหมู่:พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
หมวดหมู่:คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ บ.ม.
หมวดหมู่:นักโทษของประเทศกัมพูชา |
1818 | https://th.wikipedia.org/wiki/การเมืองภาคประชาชน | การเมืองภาคประชาชน | การเมืองภาคประชาชน คือ การเคลื่อนไหวของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายสาธารณะโดยตรง โดยไม่ผ่านทางตัวแทนของพรรคการเมือง หรือหน่วยงานราชการ การเมืองภาคประชาชนเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งย้ำแนวคิดที่ว่า "การเมืองไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" การเมืองภาคประชาชนเป็นคำจำกัดความโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
แบ่งพิจารณาได้ 3 แนวทางปฏิบัติ ดังนี้
# การริเริ่มกฎหมาย
# การลงประชามติ
# การถอดถอน
== อ้างอิง ==
* การเลือกตั้ง กับ การเมืองภาคประชาชน ที่ออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
การเมืองภาคประชาชน |
1819 | https://th.wikipedia.org/wiki/เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน | เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน | เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ. 2543 ตามมติของที่ประชุมข่ายประชาสังคมไทย ซึ่งมีจุดหมายร่วมกันในการผนึกกำลังของประชาชนเพื่อช่วยกันเฝ้าระวังและแก้ปัญหาการทุจริตในวงราชการ ซึ่งเป็นปัญหาวิกฤตของชาติ ต่อมาจึงมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ณ ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา
วัตถุประสงค์หลักของ คปต. คือ สร้างพลังประชาชนให้เข้มแข็งในการต่อต้านคอร์รัปชัน สร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ทั้งในภาครัฐและเอกชน และสร้างวัฒนธรรมการบริโภคที่เหมาะสมในสังคมไทย โดยมีวิสัยทัศน์จะทำให้สังคมไทย มีสำนึกรังเกียจและรู้เท่าทันรูปแบบการคอร์รัปชันอันหลากหลาย มีค่านิยมการใช้อำนาจอย่างมีคุณธรรม ยกย่องคนดี และมีบรรยากาศและปัจจัยที่เอื้อต่อการคอร์รัปชันน้อยลง
กิจกรรมของ คปต. คือ ให้ความรู้และประสานกำลังของภาคประชาชน ในการติดตามการปฏิบัติงานของรัฐบาล หน่วยงานราชการ และองค์กรอิสระในการป้องกันและแก้ปัญหาคอร์รัปชัน (เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ลงมือหาข้อมูลการทุจริตและสนับสนุนสื่อมวลชนในการสืบสวน สร้างองค์ความรู้และความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ สร้างกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ลงโทษทางสังคมต่อผู้ทุจริต ยกย่องและปกป้องคนดี ส่งเสริมค่านิยมการบริโภคแบบพอเพียง และสร้างแบบอย่างการทำงานที่โปร่งใสภายในเครือข่ายและองค์กรสมาชิกเครือข่าย
หลักการดำเนินงานที่สำคัญของ คปต. คือ ต้องเป็นอิสระจากอำนาจรัฐและผลประโยชน์ต่าง ๆ ด้วยการทำงานอย่างโปร่งใส ดำเนินงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และยึดถือหลักการมีส่วนร่วมคิดร่วมทำ บนพื้นฐานของความสมัครใจ และยอมรับความหลากหลาย
กลุ่มบุคคลและองค์กรผู้ริเริ่มก่อตั้ง คปต. บางส่วนได้แก่ ที่ประชุมข่ายประชาสังคม, องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย, สถาบันพระปกเกล้า, กลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน, มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย, สมาพันธ์ประชาธิปไตย,กลุ่มพลังเงียบมหาชน, มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด, มูลนิธิสื่อสร้างสรรค์, สำนักข่าว INN และเครือข่ายร่วมด้วยช่วยกัน, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา, สภาทนายความ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.), ศ. น.พ. เสม พริ้งพวงแก้ว, พล.ต. จำลอง ศรีเมือง, โสภณ สุภาพงษ์, สัก กอแสงเรือง, ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ, ดร. ณรงค์ โชควัฒนา, วีระ สมความคิด,พลเอก กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ, น.พ. เหวง โตจิราการ ฯลฯ
== ดูเพิ่ม ==
* การเมืองภาคประชาชน
* วีระ สมความคิด อดีตเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน
* ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน
คเรือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน |
1820 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศฝรั่งเศส | ประเทศฝรั่งเศส | ฝรั่งเศส (; ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฝรั่งเศส () เป็นประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่น ๆ ในต่างทวีป ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรน์จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก มีประชากรราว 68 ล้านคน (ค.ศ. 2024) แบ่งการปกครองออกเป็น 18 แคว้น (รวมแคว้นโพ้นทะเล 5 แคว้น) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 643,801 ตารางกิโลเมตร ฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์รา และสเปน และยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษ และเนื่องจากการมีดินแดนโพ้นทะเลในครอบครอง ทำให้ฝรั่งเศสมีเขตเวลาแตกต่างกันมากถึง 12 เขต มากกว่าทุกประเทศบนโลก รวมทั้งมีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิล ซูรินาม (ติดกับเฟรนช์เกียนา) และซินต์มาร์เตินของเนเธอร์แลนด์ (ติดกับแซ็ง-มาร์แต็ง) ฝรั่งเศสเป็นประเทศรัฐเดี่ยวโดยปกครองด้วยระบบกึ่งประธานาธิบดี เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงปารีสซึ่งถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของทวีปยุโรป
ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจมาตั้งแต่สมัยกลาง และปกครองด้วยระบบฟิวดัล พระเจ้าฟีลิปที่ 2 เสริมสร้างอำนาจของราชวงศ์และยังขยายอาณาจักรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ ราชอาณาจักรก็กลายเป็นรัฐที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป ฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญในสมัยระหว่างสงคราม โดยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นหนึ่งในมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ถูกฝ่ายอักษะยึดครองใน ค.ศ. 1940 หลังจากการปลดแอกใน ค.ศ. 1944 สาธารณรัฐที่ 4 ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และถูกยุบในช่วงสงครามแอลจีเรีย ก่อนที่สาธารณรัฐที่ 5 จะก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1958 โดย ชาร์ล เดอ โกล ประเทศแอลจีเรียและอาณานิคมของฝรั่งเศสส่วนใหญ่ได้รับอิสรภาพในทศวรรษที่ 1960 โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับฝรั่งเศสมาถึงปัจจุบัน
ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของโลกทางศิลปะ แฟชั่น วิทยาศาสตร์ และปรัชญามาหลายศตวรรษ และมีแหล่งมรดกโลกมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก (53 แห่ง) รวมทั้งมีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกด้วยจำนวนกว่า 100 ล้านคนใน ค.ศ. 2023 ฝรั่งเศสเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และมีระบบการศึกษา สาธารณสุข และระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งยังติดอันดับในแง่ของคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง ฝรั่งเศสมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกโดยวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอันดับ 10 ตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ ฝรั่งเศสยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิก รวมทั้งเป็นหนึ่งในห้าประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส, กลุ่ม 7, เนโท และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒ และยังเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นมหาอำนาจที่มีอาวุธนิวเคลียร์
== ภูมิศาสตร์ ==
ภาพถ่ายแผ่นดินใหญ่ประเทศฝรั่งเศสจากดาวเทียมในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2545
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปนั้นมีพื้นที่ 543,935 ตารางกิโลเมตร (210,013 ตารางไมล์) ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสเปนเพียงเล็กน้อย ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ที่ราบชายฝั่งในภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งติดกับทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ราบสูงมาซิฟซ็องทราลทางภาคใต้ตอนกลางและเทือกเขาพิเรนีสทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศฝรั่งเศสยังมีจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกคือ ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc) ซึ่งสูง 4,807 เมตร (15,770 ฟุต) ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ บริเวณชายแดนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปยังมีแม่น้ำต่าง ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น แม่น้ำลัวร์ แม่น้ำการอน แม่น้ำแซน และแม่น้ำโรนซึ่งแบ่งที่ราบสูงมาซิฟซ็องทราลออกจากเทือกเขาแอลป์อีกด้วย โดยไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่กามาร์ก ซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในประเทศฝรั่งเศส (2 เมตร หรือ 6.5 ฟุต จากระดับน้ำทะเล) และยังมีกอร์ส (คอร์ซิกา) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งจังหวัดและดินแดนโพ้นทะเล (ไม่รวมดินแดนอาเดลี) คือ 674,843 ตารางกิโลเมตร (260,558 ตารางไมล์) นับเป็น 0.45% ของพื้นแผ่นดินโลกทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นอันดับสองของโลก ด้วยเนื้อที่ 11,035,000 ตารางกิโลเมตร (4,260,000 ตารางไมล์) นับเป็น 8% ของพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะทั้งหมดในโลก ตามหลังสหรัฐไปเพียง 316,000 ตารางกิโลเมตร และนำประเทศออสเตรเลียกว่า 2,886,750 ตารางกิโลเมตร
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปตั้งอยู่ระหว่าง 41° and 50° เหนือ บนขอบทวีปยุโรปตะวันตกและตั้งอยู่ในภูมิอากาศเขตอบอุ่นเหนือ ทางภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีสภาพภูมิอากาศเขตอบอุ่น แต่กระนั้นภูมิประเทศและทะเลก็มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศเหมือนกัน ละติจูด ลองจิจูดและความสูงเหนือระดับน้ำทะเลทำให้ประเทศฝรั่งเศสมีภูมิอากาศแบบคละอีกด้วย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันตกส่วนมากจะมีปริมาณน้ำฝนสูง ฤดูหนาวไม่มากและฤดูร้อนเย็นสบาย ภายในประเทศภูมิอากาศจะเปลี่ยนไปทางภาคพื้นทวีปยุโรป อากาศร้อน มีมรสุมในฤดูร้อน ฤดูหนาวหนาวกว่าเดิมและมีฝนตกน้อย ส่วนภูมิอากาศเทือกเขาแอลป์และแถบบริเวณเทือกเขาอื่น ๆ ส่วนมากมักจะมีภูมิอากาศแถบเทือกเขา ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งกว่า 150 วันต่อปีและปกคลุมด้วยหิมะกว่า 6 เดือน
ขณะที่ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (La Métropole หรือ France métropolitaine) ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ฝรั่งเศสก็ยังมีดินแดนที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ทะเลแคริบเบียน อเมริกาใต้ มหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกและทางใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ รวมทั้งบางส่วนในทวีปแอนตาร์กติกาอีกด้วย (การอ้างสิทธิเหนือดินแดนในแอนตาร์กติกาไม่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ ดู สนธิสัญญาแอนตาร์กติก)
== สภาพภูมิอากาศ ==
* ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม - พฤษภาคม)
ช่วงเวลายอดนิยมของปีในการเยี่ยมชมเมืองหลวงของฝรั่งเศสฤดูใบไม้ผลิในปารีสเริ่มมีอากาศหนาวเย็นโดยมีอุณหภูมิสูงสุดทุกวันที่ประมาณ 54 ° F (12 ° C) ในเดือนมีนาคม ภายในเดือนพฤษภาคมอากาศจะอุ่นขึ้นถึง 68 ° F (20 ° C)
* ฤดูร้อน (มิถุนายน - สิงหาคม)
ช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวในปารีสที่สูงขึ้นและมีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย คาดว่าจะมีอุณหภูมิสูงสุดทุกวันอย่างน้อย 83 ° F (25 ° C) พร้อมกับคืนที่รวดเร็วประมาณ 55 ° F (13 ° C)
* ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน - ธันวาคม)
เนื่องจากชาวท้องถิ่นกลับมาจากช่วงวันหยุดฤดูร้อนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นจึงมีความคึกคักทั่วปารีสในฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิจะเย็นลงเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนตุลาคม แต่ถ้าเก็บเสื้อแจ็คเก็ตฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นในย่านที่สวยงามและเดินเล่นริมแม่น้ำแซน เตรียมพร้อมสำหรับสายฝนที่เย็นจัดและมีลมแรงเป็นครั้งคราว อุณหภูมิสูงสุดรายวันอยู่ในช่วงใดก็ได้ตั้งแต่ 46 ° F (8 ° C) ถึง 62 ° F (17 ° C)
* ฤดูหนาว (มกราคม - กุมภาพันธ์)
เรียกได้ว่าหนาวมากเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอากาศหนาว ที่สำคัญเป็นช่วงที่ตั๋วเครื่องบินและที่พักราคาถูกกว่าช่วงอื่น ๆ อาจต้องแบกกระเป๋าที่หนักไปด้วยเสื้อกันหนาวและอุปกรณ์กันหนาวต่าง ๆ แบบครบ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2 - 5 องศาเซลเซียส
== ประวัติศาสตร์ ==
ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกกอล (Gaul) ในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศฝรั่งเศส หรือ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี
ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจศิลปะ และ วัฒนธรรม ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก
ภาพ La Liberté guidant le peuple หรือ เสรีภาพนำประชาชน เล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนปฏิวัติเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830|alt=see description|[[กองทัพฝรั่งเศส]]
กองทัพฝรั่งเศส (Forces armées françaises) เป็นกองกำลังทหารและกึ่งทหารของฝรั่งเศสภายใต้การสั่งการจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด ประกอบด้วย กองทัพบกฝรั่งเศส (Armée de Terre) กองทัพเรือฝรั่งเศส (Marine Nationale เดิมชื่อ Armée de Mer) กองทัพอากาศและอวกาศของฝรั่งเศส ''(Armée de l'Air et de l'Espace) และกองกำลังตำรวจพิเศษ (Gendarmerie nationale) ซึ่งทำหน้าที่ตำรวจพลเรือนในพื้นที่ชนบทของฝรั่งเศสด้วย
โดยในแต่ละแคว้นแบ่งออกเป็น จังหวัด (départements) รวมทั้งหมด 96 จังหวัด
นอกจากในทวีปยุโรปแล้ว ประเทศฝรั่งเศสยังมีเขตการปกครองโพ้นทะเล (Overseas) อยู่ในทวีปต่าง ๆ ทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา แอนตาร์กติกา และภูมิภาคโอเชียเนียอีก ได้แก่
* '5 จังหวัดโพ้นทะเล (Départements d'outre-mers: DOM) ได้แก่ กัวเดอลุป (Guadeloupe) เฟรนช์เกียนา (French Guiana) มาร์ตีนิก (Martinique) เรอูว์นียง (Réunion) และมายอต (Mayotte) ทั้งห้าดินแดนมีฐานะเดียวกับแคว้นในฝรั่งเศสภาคพื้นทวีป (อย่างเดียวกับฮาวายที่มีฐานะเท่าเทียมกับรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐ) กล่าวคือ เป็นทั้งแคว้นและจังหวัดในเวลาเดียวกัน
* 4 เขตชุมชนโพ้นทะเล (Collectivités d'outre-mer) ได้แก่ แซงปีแยร์และมีเกอลง (Saint Pierre and Miquelon) วอลิสและฟูตูนา (Wallis and Futuna) แซ็ง-บาร์เตเลมี (Saint Barthélemy) และแซ็ง-มาร์แต็ง (Saint Martin)
* 1 ประเทศโพ้นทะเล (Pays d'outre-mer: POM) ดินแดนแห่งเดียวของฝรั่งเศสที่ได้รับการเรียกชื่อนี้คือ เฟรนช์โปลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งเคยเป็นดินแดนโพ้นทะเล (TOM) มาก่อน แต่ได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะในวันที่ 28 มีนาคม 2003 โดยแบ่งออกเป็น 5 เขตบริหารย่อย
* 1 เขตชุมชนรูปแบบพิเศษ (Collectivité sui generis) คือ นิวแคลิโดเนีย (New Caledonia) เคยมีฐานะเป็นดินแดนโพ้นทะเลมาจนถึงปี 1999 จึงได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะ แบ่งออกเป็น 3 จังหวัด (provinces) ได้แก่ จังหวัดนอร์ ซูด และอีลลัวโยเต
* 1 ดินแดนโพ้นทะเล (Territoires d'outre-mer: TOM) ' คือ เฟรนช์เซาเทิร์นและแอนตาร์กติกแลนส์ (French Southern and Antarctic Lands) โดยแบ่งออกเป็น 4 เขต (districts) ได้แก่ หมู่เกาะแกร์เกแลน (Kerguelen Islands) หมู่เกาะครอเซ (Crozet Islands) เกาะอัมสเตอร์ดัมและเกาะแซ็ง-ปอล (Amsterdam Island and Saint Paul Island) และอาเดลีแลนด์ (Adelie Land)
* ดินแดน 5 เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งไม่มีผู้อาศัยอยู่อย่างถาวร รู้จักกันในชื่อ หมู่เกาะกระจายหรืออีลเซปาร์ส (Îles Éparses) ได้แก่ บาซัสดาอินเดีย (Bassas da India) ยูโรปา (Europa) ฌุอ็องเดอนอวา (Juan de Nova) โกลรีโอโซ (Glorioso) และตรอมแล็ง (Tromelin) ทั้งหมดถูกปกครองโดยจังหวัดโพ้นทะเลเรอูว์นียง
* เกาะที่ไม่มีผู้อาศัย 1 แห่ง คือ เกาะกลีแปร์ตอน (Clipperton) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้ชายฝั่งประเทศเม็กซิโก ปกครองโดยข้าหลวงใหญ่สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำท้องถิ่นโพ้นทะเลเฟรนช์โปลินีเซีย
== เศรษฐกิจ ==
เมื่อวัดจากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 10 ของโลกในปี 2008 และอันดับสองของยุโรปเมื่อวัดตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งใน 11 สมาชิกร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรปและเริ่มใช้เงินสกุลยูโรเมื่อปี 1999 และเริ่มใช้เหรียญและธนบัตรแทนสกุลฟรังก์ในอีกสามปีต่อมา ขณะที่มีบริษัทเอกชนในฝรั่งเศสมีจำนวนมาก รัฐบาลก็มีการตั้งรัฐวิสาหกิจและแทรกแซงเอกชนในบางครั้ง ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในระบบรถไฟ ไฟฟ้า อากาศยาน พลังงานนิวเคลียร์และโทรคมนาคม จึงนับได้ว่าฝรั่งเศสมีลักษณะเศรษฐกิจแบบผสม แม้ภาครัฐจะพยายามลดการแทรกแซงและมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเอกชนอยู่เรื่อยมาPitié-Salpêtrière Hospital ในกรุงปารีส โรงเรียนแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป]]
ฝรั่งเศสมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ องค์การอนามัยโลกเผยว่าฝรั่งเศสมีระบบสาธารณสุขที่ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในปี 2000 ฝรั่งเศสใช้งบประมาณสูงถึง 11.6 ของจีดีพีกับระบบสาธารณสุขในปี 2011 หรือราว ๆ 4,086 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว สูงกว่าค่าเฉลี่ยชาติอื่น ๆ ของยุโรปมาก ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพประมาณร้อยละ 77 อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐบาล
โรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่นโรคมะเร็ง โรคเอดส์ หรือโรคซิสติก ไฟโบรซิส ได้รับการรักษาฟรี อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชาชนอยู่ที่ 78 ปีสำหรับเพศชาย และ 85 ปีสำหรับเพศหญิง นับว่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของยุโรปและของโลก มีแพทย์ราว 3.22 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2008
แม้คนทั่วไปจะมองว่าชาวฝรั่งเศสมีรูปร่างที่ผอม แต่ฝรั่งเศสกำลังประสบปัญหาประชากรมีโรคอ้วนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไปสู่ค่านิยมการบริโภคอาหารขยะ อัตราการเกิดโรคอ้วนยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับสหรัฐและยังต่ำสุดในยุโรป แต่เป็นประเด็นที่ภาครัฐให้ความสำคัญเมื่อเร็ว ๆ นี้
== ประชากร ==
=== เชื้อชาติ ===
ประชากรของประเทศฝรั่งเศสนั้นมีประมาณ 67.15 ล้านคน (2017) โดยเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก หรืออันดับที่ 2 ของสหภาพยุโรป
ชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวเคลต์ผสมกับเชื้อสายโรมันและแฟรงก์ แต่ละท้องที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป เช่น วัฒนธรรมบริตันทางตะวันตก วัฒนธรรมอากิแตเนียทางตะวันตกเฉียงใต้แถบเทือกเขาพีเรเนส วัฒนธรรมอลามันน์ทางตะวันออกเฉียงเหนือใกล้พรมแดนเยอรมนี วัฒนธรรมสแกนดิเนเวียทางตะวันออกเฉียงเหนือ และวัฒนธรรมลิกูเรียทางตะวันออกเฉียงใต้
คริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมของฝรั่งเศส ประมาณการกันว่าในเขตเมืองใหญ่ของฝรั่งเศสนั้นมีชาวผิวขาวร้อยละ 85 ชาวแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือร้อยละ 10 ชาวผิวดำร้อยละ 3.3 และชาวเอเชียอีกร้อยละ 1.7 ประชาชนชาวฝรั่งเศสร้อยละ 40 ในปัจจุบันสืบเชื้อสายจากการอพยพนับตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่มแรกราว 1.1 ล้านคนอพยพเข้ามาในช่วง ค.ศ. 1921 ถึง 1935 กลุ่มที่สองราว 1.6 ล้านคนเป็นชาวฝรั่งเศสโพ้นทะเลที่เดินทางกลับประเทศกลับอาณานิคมในแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือประกาศเอกราชราว ค.ศ. 1960
ฝรั่งเศสยังคงเป็นจุดหมายของการอพยพ มีผู้อพยพอย่างถูกกฎหมายเข้ามาราว 200,00 ต่อปีและยังมีผู้ขอลี้ภัยอีกเป็นจำนวนมาก สถาบันสถิติและเศรษฐกิจแห่งชาติประมาณการไว้ว่าผู้อพยพที่เป็นลูกหลานของชาวฝรั่งเศสมี 6.5 ล้านคน (ประมาณร้อยละ 11 ของประชากรทั้งหมด) และไม่ได้มีเชื้อสายฝรั่งเศสมีราว 5 ล้านคน (ประมาณร้อยละ 8 ของประชากรทั้งหมด) รวมแล้ว ประมาณหนึ่งในห้าของประชากรฝรั่งเศสเป็นลูกหลานของผู้อพยพ
=== เมืองใหญ่ ===
เมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากได้แก่ ปารีส มาร์แซย์ ลียง ลีล ตูลูซ นิส และน็องต์
=== ภาษา ===
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Map-Francophone World.svg|alt=world map of French speaking countries|แผนที่ผู้ใช้[[ภาษาฝรั่งเศสในโลก:]]
รัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส มาตรา 2 กำหนดให้ภาษาราชการคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นกลุ่มภาษาโรมานซ์ที่มีรากมาจากภาษาละติน โดยมีสมาคมภาษาฝรั่งเศสเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านภาษาตั้งแต่ปี 1635 นอกจากนี้ ยังมีฝรั่งเศสยังมีคนพูดภาษาอุตซิตา ภาษาเบรอตาญ ภาษากาตาลา ภาษาเฟลมิช ภาษาบาสก์ และภาษาคอร์ซิกัน ที่พูดกันในท้องถิ่นด้วย
แม้รัฐบาลฝรั่งเศสไม่ได้บังคับให้ประชาชนตีพิมพ์ผลงานเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ภาษาฝรั่งเศสยังมีความจำเป็นในการพาณิชย์และการทำงาน รัฐบาลฝรั่งเศสพยายามส่งเสริมให้ภาษาฝรั่งเศสได้รับการยอมรับในสหภาพยุโรปและทั่วโลก ทั้งนี้ ฝรั่งเศสเคยเป็นภาษาที่พูดกันแพร่หลายในทางการทูตและเวทีระหว่างประเทศช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยภาษาอังกฤษ เนื่องจากการเรืองอำนาจของสหรัฐในเวทีการเมืองโลก
กระนั้น ภาษาฝรั่งเศสยังเป็นภาษาที่มีผู้ศึกษามาเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะในเขตอดีตอาณานิคมในแอฟริกา ประมาณการกันว่ามีคนพูดภาษาฝรั่งเศสได้รวม 300 ถึง 500 ล้านคนทั่วโลก หากนับภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่หรือภาษาที่สอง
=== ศาสนา ===
ฝรั่งเศสให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญโดยใช้หลักการแยกศาสนจักรกับอาณาจักร
ผลสำรวจจากสถาบันมงตาญและสถาบันความเห็นสาธารณะฝรั่งเศสเผยว่า ชาวฝรั่งเศสร้อยละ 51.1 เป็นชาวคริสต์ ร้อยละ 39.6 ไม่นับถือศาสนาใด ร้อยละ 5.6 เป็นชาวมุสลิ ร้อยละ 2.5 นับถือศาสนาอื่น (เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกส์) และอีกร้อยละ 0.4 ยังไม่ตัดสินใจ ฝรั่งเศสมีชุมชนชาวยิงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากอิสราเอลและสหรัฐ มีผู้นับถือศาสนายูดายนี้ราว ๆ 480,000 ถึง 600,000 คน สถานที่สำคัญและความเชื่อทางศาสนาคริสต์ถูกทำลายไปอย่างมากในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส จากนั้นเมื่อปี 1905 รัฐบาลได้ออกกฎหมายแยกศาสนจักรออกจากคริสตจักรอย่างเป็นทางการ ปัจจุบัน รัฐบาลจึงห้ามไม่ให้กลุ่มศาสนาใดมีสิทธิพิเศษเหนือกว่ากลุ่มอื่นในสังคม ในขณะเดียวกัน องค์กรทางศาสนาก็ไม่ควรแทรกแซงทางการเมือง
=== กีฬา ===
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Pierre_de_Coubertin_Anefo2.jpg|alt=Photograph showing the Château de Montsoreau and the Loire river|โรงโอเปราการ์นีเย สัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2]]
ในสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 มีการสร้างเมืองแบบสมัยใหม่ โรงโอเปเราการ์นีเยถูกสร้างขึ้นในแบบนีโอ-บาโรก มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ สถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิกได้รับความนิยมเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในยุโรป โดยมีเออแฌน วียอแล-เลอ-ดุก เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ต่อมา กุสตาฟ ไอเฟล ได้วางรางฐานของสะพานสมัยแบบใหม่ในฝรั่งเศส นำเสนอสิ่งก่อสร้างด้วยเหล็ก หนึ่งในนั้นที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดคือ หอไอเฟล
ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เลอกอร์บูซีเย สถาปนิกชาวฝรั่งเศส-สวิส เป็นผู้ออกแบบสิ่งก่อสร้างหลายแห่งในฝรั่งเศส มีการใช้สถาปัตยกรรมแบบผสมระหว่างสมัยเก่าและสมัยใหม่ เช่น พีระมิดลูฟวร์ อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสไม่นิยมสร้างตึกระฟ้าบดบังทัศนียภาพ ในกรุงปารีสมีข้อบังคับนับตั้งแต่ปี 1977 ห้ามมิให้มีอาคารสูงกว่า 37 เมตรก่อตั้งขึ้น อาคารสำนักงานจำนวนมากจึงมักตั้งอยู่ที่ลาเดฟ็องส์ เขตธุรกิจใหญ่ชานเมืองปารีสแทน สถาปนิกที่มีชื่อเสียงในยุคโมเดิร์นได้แก่ ฌ็อง นูแวล โดมินิก เปอร์โรลต์
=== วรรณกรรม ===
วรรณกรรมถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวฝรั่งเศสมานานนับสหัสวรรษ และยังเป็นเครื่องมือสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และความรุ่งเรื่องทางวัฒนธรรมของประเทศ โดยปรากฏผลงานทางศิลปะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆมากมาย ฝรั่งเศสเริ่มมีความก้าวหน้าด้านศิลปะหลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาฝรั่งเศส (French Renaissance) ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากอิตาลี และเริ่มโดดเด่นขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ในยุคบาโรก (Baroque) จนมีความเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าอิตาลีในยุคโรโกโก (Rococo) และยุคนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) ในช่วงศตวรรษที่ 18 ศูนย์กลางแห่งศิลปะของโลกเริ่มเคลื่อนย้ายจากอิตาลีมาสู่ฝรั่งเศส และตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาฝรั่งเศสถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปะถึงขีดสุด ในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ต่อเนื่องมาถึงยุคศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) ส่งผลให้กรุงปารีสได้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งศิลปะของโลกไปโดยปริยาย
=== ปรัชญา ===
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Frans_Hals_-_Portret_van_Ren%C3%A9_Descartes.jpg|alt=Frans Hals painting of René Descartes facing right in black coat and white collar|[[เลอา แซดู นักแสดงผู้มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส]]
นับตั้งแต่พี่น้อง Lumière'' ค้นพบการสร้างภาพยนตร์ใน 1895 ชาวฝรั่งเศสก็ชื่นชอบการชมภาพยนตร์อย่างมาก เทศกาลภาพยนตร์กานจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีนักแสดงจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ชั้นนำซึ่งมีผู้ชมจากทั่วโลกผลงานของ ฌ็อง-ลุก กอดาร์, ฟร็องซัว ทรูว์โฟ, ฌ็อง-ปีแยร์ เฌอเน และ ลุก แบซง ได้ถูกนำเสนอใน 5 ทวีปหลังจากที่ถูกฉายในโรงภาพยนตร์ประเทศฝรั่งเศสถึง 2,000 โรง
แม้ว่าตลาดภาพยนตร์ฝรั่งเศสจะถูกครอบงำโดยฮอลลีวูดมาหลายปี แต่ฝรั่งเศสเป็นประเทศเดียวในโลกที่ภาพยนตร์อเมริกันมีส่วนแบ่งรายได้น้อยที่สุดจากรายได้ทั้งหมด โดยอยู่ที่ 50% เทียบกับ 77% ในเยอรมนีและ 69% ในญี่ปุ่น ภาพยนตร์ฝรั่งเศสคิดเป็น 35% ของรายได้ภาพยนตร์ทั้งหมดของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดของรายได้จากภาพยนตร์ในประเทศที่พัฒนาแล้วนอกสหรัฐ เทียบกับ 14% ในสเปนและ 8% ในสหราชอาณาจักร ในปี 2013 ฝรั่งเศสเป็นผู้ส่งออกภาพยนตร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ วงการภาพยนตร์ฝรั่งเศสผลิตนักแสดงคุณภาพที่มีชื่อเสียงมากมายมายาวนาน เช่น มารียง กอตียาร์, กาทรีน เดอเนิฟว์, ออเดรย์ ตาตู, เลอา แซดู, เจอราร์ด เดอปาดิเอ, วินเซ็นต์ แคสเซล และ ฌ็อง กาแบ็ง
=== แฟชั่น ===
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Channel_headquarters_bordercropped.jpg|alt=Chanel's headquarters storefront window at the Place Vendôme Paris with awning|alt=masthead of Le Figaro newspaper|รูปปั้นของ[[มารียาน สัญลักษณ์เชิงบุคลาธิษฐานประจำชาติฝรั่งเศส]]
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอิทธิพลกับเวทีโลกจากการสำรวจของสำนักข่าวบีบีซีเมื่อปี 2010 สังคมฝรั่งเศสมีความเปิดกว้างทางด้านศาสนา ประชากรส่วนใหญ่ระบุในเอกสารเฉพาะสัญชาติแต่ไม่ระบุศาสนา การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่แทนแนวคิดแบบฝรั่งเศส ธงชาติฝรั่งเศส เพลงชาติลามาร์แซแยซ และคำขวัญเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพเป็นสัญลักษณ์แทนประเทศฝรั่งเศสในสายตาของนานาประเทศ
สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของฝรั่งเศสอีกอย่างหนึ่งคือ ไก่ โดยมีประวัติย้อนกลับไปในสมัยโรมันที่ชาวโรมเรียกดินแดนชาวเคลต์แถบนี้ว่า กัลลุส ซึ่งมีความหมายแปลได้ทั้งว่า ไก่ และ ที่อยู่ของชาวกอล ไก่จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ฝรั่งเศส กลุ่มปฏิวัติ และกลุ่มสาธารณรัฐ แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาติ ใช้ในตราไปรษณียกรและเหรียญตรา
ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในผู้นำโลกที่ส่งเสริมด้านความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน คณะกรรมการบริหารในบริษัทร้อยละ 36.8 เป็นที่นั่งของสตรี นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ผลสำรวจเมื่อปี 2013 ชี้ว่าประชาชนชาวฝรั่งเศสร้อยละ 77 มองว่าการแต่งงานในเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่สังคมควรยอมรับ และฝรั่งเศสได้ออกกฎหมายรับรองเรื่องนี้ในปีเดียวกัน
ฝรั่งเศสยังมีบทบาทในการปกป้องสิ่งแวดล้อม เป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 นำมาสู่ความตกลงปารีส ที่กำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลก
=== วันหยุด ===
วันหยุดราชการในประเทศฝรั่งเศส มี 11 วัน
วันหยุดในประเทศฝรั่งเศส:
== ดูเพิ่ม ==
* การปฏิวัติฝรั่งเศส
* รายพระนามกษัตริย์ และจักรพรรดิฝรั่งเศส
* รายนามประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
* รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
* ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่
* ชาวฝรั่งเศส
* ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
== อ่านเพิ่ม ==
* "France." in Europe, edited by Ferdie McDonald and Claire Marsden, Dorling Kindersley, (Gale, 2010), pp. 144-217. online
=== หัวข้อ ===
* Carls, Alice-Catherine. "France." in World Press Encyclopedia, edited by Amanda C. Quick, (2nd ed., vol. 1, Gale, 2003), pp. 314-337. online coverage of press and media
* Chabal, Emile, ed. France since the 1970s: History, Politics and Memory in an Age of Uncertainty (2015) Excerpt
* Gildea, Robert. France Since 1945 (2nd ed. Oxford University Press, 2002).
* Goodliffe, Gabriel, and Riccardo Brizzi, eds. France After 2012 (Bergham, 2015)
* Haine, W. S. Culture and Customs of France (Greenwood Press, 2006).
* Kelly, Michael, ed. French Culture and Society: The Essentials (Oxford University Press, 2001).
* Raymond, Gino. Historical Dictionary of France (2nd ed. Scarecrow, 2008).
*Jones, Colin. Cambridge Illustrated History of France (Cambridge University Press,1999)
*Ancient maps of France from the Eran Laor Cartographic Collection, The National Library of Israel
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* France at Organisation for Economic Co-operation and Development
* France at UCB Libraries GovPubs
* France at the EU
* Key Development Forecasts for France from International Futures
=== เศรษฐกิจ ===
* OECD France statistics
=== รัฐบาล ===
* France.fr (in English) Official French tourism website
* Official Site of the Government
* Official site of the French public service - Links to various administrations and institutions
* Official site of the National Assembly
=== วัฒนธรรม ===
* Contemporary French Civilization'' , journal, University of Illinois.
* FranceGuide - Official website of the French Government Tourist Office
{{Navboxes
| title=บทความที่เกี่ยวข้อง
{{Geographic location
| Centre =
| Northeast =
| Southeast = ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
| Southwest =
| West = มหาสมุทรแอตแลนติก
| Northwest =
หมวดหมู่:ประเทศฝรั่งเศส
หมวดหมู่:ประเทศในระบบซีวิลลอว์
หมวดหมู่:สาธารณรัฐ |
1821 | https://th.wikipedia.org/wiki/ทวีปยุโรป | ทวีปยุโรป | ยุโรป (อ่านว่า [ยุ-โหฺรบ]; ) เป็นทวีปที่ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือและส่วนมากอยู่ในซีกโลกตะวันออก ทางทิศเหนือติดกับมหาสมุทรอาร์กติก ทางทิศใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางทิศตะวันออกติดกับทวีปเอเชีย ทางทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นอนุทวีปทางด้านตะวันตกของทวีปยูเรเชีย ตั้งแต่ประมาณ 1850 การแบ่งยุโรปกับเอเชียมักยึดตามสันปันน้ำของเทือกเขายูรัลและเทือกเขาคอเคซัส แม่น้ำยูรัล ทะเลแคสเปียน ทะเลดำและช่องแคบตุรกี แม้คำว่า "ทวีป" จะหมายถึงภูมิศาสตร์กายภาพของผืนดินขนาดใหญ่ที่ไม่มีการแบ่งอย่างแน่นอนและชัดเจน จึงมีการโยกย้ายติดต่อกันในช่วงสมัยคลาสสิก ทำให้บริเวณชายแดนยุโรปกับเอเชียของยูเรเชียนั้นแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม ภาษา ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของตะวันออกกับตะวันตกและแบ่งจากกันอย่างเด่นชัดกว่าการขีดเส้นแบ่งเขตแดน เส้นแบ่งเขตแดนของทวีปไม่ได้แบ่งตามเส้นแบ่งเขตแดนทางการเมืองทำให้ตุรกี รัสเซียและคาซัคสถานเป็นประเทศข้ามทวีป
[[ปารีส ฝรั่งเศส]]
[[โรม อิตาลี]]
แผนที่ดาวเทียมแสดงส่วนประกอบทางภูมิศาสตร์ของทวีปยุโรป
ลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญของทวีปยุโรป ได้แก่ ทางตะวันตกของฝรั่งเศส ทางตะวันออกของเกาะอังกฤษ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก
# เขตที่ราบสูง ได้แก่ ที่ราบที่อยู่ระหว่างที่ราบกับเขตเทือกเขา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางตอนกลางของทวีป มีพื้นที่ประมาณร้อยละ 25 ของทวีปยุโรป ได้แก่ บริเวณภาคตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส ภาคใต้ของเยอรมนีและโปแลนด์
# เขตเทือกเขาแบ่งออกเป็น 2 เขตใหญ่ ๆ คือ
:* เทือกเขาภาคเหนือ เป็นแนวเทือกเขาที่วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือกับตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เทือกเขาแถบคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ในสกอตแลนด์ เวลส์ และเกาะไอซ์แลนด์ ซึ่งมีขนาดเตี้ยและเกิดขึ้นมานานแล้ว
:* เทือกเขาภาคใต้ เป็นแนวเทือกเขาที่วางตัวในแนวตะวันออกกับตะวันตก ซึ่งเทือกเขานี้มีขนาดสูงและยังเป็นเขตที่เปลือกโลกยังไม่สงบดี จึงเกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟ
=== ภูมิอากาศ ===
เขตอากาศของทวีปยุโรป สามารถแบ่งเป็น 7 เขตดังนี้
# เขตภูมิอากาศแบบทุนดรา หรืออากาศแบบขั้วโลก จะเป็นเขตอากาศที่หนาวเย็นจัดตลอดทั้งปี ส่วนฤดูร้อนสั้นประมาณ 1-2 เดือน อุณหภูมิเฉลี่ยของเขตนี้ เฉลี่ยทั้งปีไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส พืชพรรณธรรมชาติได้แก่ มอสส์ ตะไคร่น้ำ เขตอากาศทุนดราของทวีปยุโรป ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรสแกนดิเนเวียและบริเวณทางเหนือสุดของประเทศรัสเซีย
# เขตอากาศแบบกึ่งขั้วโลกหรือไทกา ลักษณะอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีอากาศหนาวจัดในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 6 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนมีระยะเวลายาวกว่าเขตภูมิอากาศแบบทุนดรา ปริมาณน้ำฝนทั้งปีอยู่ระหว่าง 500-1,000 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติ คือ ป่าสนหรือป่าไทกา บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ คือ นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์
# เขตอากาศอบอุ่นชื้นภาคพื้นทวีป ลักษณะอากาศของเขตนี้ คือ ฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็น เพราะอยู่ลึกเข้าไปในใจกลางทวีป จึงไม่ค่อยได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทร พืชพรรณธรรมชาติได้แก่ ป่าไม้ผลัดใบและไม่ผลัดใบผสมกัน ส่วนบริเวณที่มีฝนตกน้อย พืชพรรณธรรมชาติจะเป็นทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ คือ ดินแดนของประเทศโปแลนด์ เช็กเกีย สโลวาเกีย เอสโตเนีย และลัตเวีย
# เขตภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตก ลักษณะของอากาศในเขตนี้ คือ ฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย ฤดูหนาวอากาศไม่หนาวจัด เพราะเขตนี้มีที่ตั้งอยู่ใกล้มหาสมุทร จึงได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เขตนี้มีอากาศอบอุ่น ชุ่มชื้น ฝนตกสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของทั้งปีอยู่ที่ 750-1,500 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าไม้เขตอบอุ่นชนิดป่าไม้ผลัดใบผสมกับป่าสน บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ ครอบคลุมบริเวณของประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก เยอรมนี สหราชอาณาจักร และทางตอนใต้ของนอร์เวย์และสวีเดน
# เขตภูมิอากาศอบอุ่นชื้น ลักษณะอากาศของเขตนี้ คือ อากาศอบอุ่น ฤดูร้อนอากาศร้อน มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 500-1,000 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้เขตอบอุ่นหรือทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรบอลข่าน ออสเตรีย และฮังการี
# เขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี ฤดูร้อนอากาศร้อนและแห้งแล้ง ฤดูหนาวจะมีฝนตก ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 500-1,000 มิลลิเมตรต่อปี พืชพรรรณธรรมชาติเป็นเขตอบอุ่น เรียกว่า ป่าไม้เมดิเตอร์เรเนียน เช่น คอร์กโอ๊ก ส้ม มะนาว องุ่น มีป่าไม้มีหนามแหลม เรียกว่า ป่ามากี (maquis) บริเวณที่มีลักษณะอากาศแบบนี้ คือ บริเวณที่มีอาณาเขตติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้แก่ ภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โปรตุเกส เซอร์เบีย และกรีซ
# เขตภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย ลักษณะสำคัญของอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีปริมาณฝนน้อย ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 500 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติเป็นทุ่งหญ้าขึ้นเบาบาง
=== ภูมิภาค ===
left|การแบ่งภูมิภาคของทวีปยุโรป:
ทวีปยุโรป แบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาคใหญ่ ๆ ได้แก่
* ยุโรปเหนือ ได้แก่ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และสหราชอาณาจักร
* ยุโรปตะวันตก ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี ลีชเทินชไตน์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
* ยุโรปตะวันออก ได้แก่ เบลารุส บัลแกเรีย เช็กเกีย ฮังการี มอลโดวา โปแลนด์ โรมาเนีย รัสเซีย สโลวาเกีย และยูเครน
* ยุโรปใต้ ได้แก่ แอลเบเนีย อันดอร์รา บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา โครเอเชีย กรีซ อิตาลี มาซิโดเนียเหนือ มอลตา โปรตุเกส ซานมารีโน สโลวีเนีย สเปน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และคอซอวอ
* ดินแดนที่เป็นนครรัฐอิสระที่ตั้งอยู่ในประเทศอื่นอีก 2 แห่ง คือ นครรัฐวาติกัน ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี และโมนาโก ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในประเทศฝรั่งเศส ใกล้พรมแดนอิตาลี
== เมืองสำคัญ ==
ทวีปยุโรปมีหลายเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก ทวีปยุโรปจึงเป็นทวีปที่มีการคมนาคมที่สะดวกสบายเป็นอย่างมาก การคมนาคมส่วนใหญ่จะเป็นระบบราง เช่น รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการคมนาคมระหว่างเมืองและระหว่างประเทศ
== โครงสร้างพื้นฐาน ==
# การเพาะปลูก เขตเพาะปลูกอยู่ในยุโรปตะวันตก ภาคตะวันออกและภาคใต้ของอังกฤษ ภาคเหนือและภาคตะวันตกของฝรั่งเศส ตอนเหนือของเยอรมนี ยูเครน พืชที่สำคัญคือ
## ข้าวสาลี ปลูกได้มากที่สุดคือ ยูเครน รองลงไปคือ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โรมาเนีย บัลแกเรีย เยอรมนี ฮังการี
## ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ถั่ว มันฝรั่ง ปลูกได้โดยทั่วไป
## องุ่น ส้ม มะกอก มะนาว แอปเปิลและผลไม้ชนิดต่างๆ ปลูกได้มากเขตอากาศแบบเมดิเตอร์เนียน ได้แก่ประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน กรีซ
## ต้นแฟล็กซ์ ใช้ใบทำป่านลินิน ปลูกมากในโปแลนด์ เบลเยียม ไอร์แลนด์
# การเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงไปตามลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
## เขตทุนดรา มีการเลี้ยงกวางเรนเดียร์
## เขตทุ่งหญ้าสเตปป์ มีการเลี้ยงโคเนื้อ แพะ แกะ ม้า
## เขตเมดิเตอร์เรเนียน มีการเลี้ยงโคเนื้อ และแกะ
## เขตภูเขาสูง และที่ราบสูง มีการเลี้ยงโคเนื้อ โคนม แกะ
## เขตอบอุ่นชื้นตอนเหนือของคาบสมุทรบอลข่าน มีการเลี้ยงสุกรด้วยข้าวโพด
## เขตภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตก มีการทำฟาร์มโคนม
# การทำป่าไม้ พบมากในประเทศฟินแลนด์ สวีเดน รัสเซีย นอร์เวย์ ในบริเวณป่าสน ซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน นำมาผลิตเป็นเยื่อกระดาษ
# การประมง แหล่งประมงที่สำคัญ ได้แก่
## ทะเลเหนือ โดยเฉพาะบริเวณที่กระแสน้ำอุ่นแอตแลนติกเหนือบรรจบกับกระแสน้ำเย็นกรีนแลนด์ตะวันออก เกิดเป็นแหล่งที่มีปลาชุกชุมมากแห่งหนึ่งของโลกเรียกว่า ดอกเกอร์แบงก์ ประเทศที่จับปลาได้มาก สหราชาอาณาจักร ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์
## บริเวณอ่าวบิสเคย์จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะบริเวณทะเลดำ ทะเลสาบแคสเปียนและแม่น้ำโวลกา มีการจับปลาสเตอร์เจียน มาทำเป็นไข่ปลาคาร์วียร์
# การทำเหมืองแร่ ยุโรปเป็นทวีปที่มีแร่เหล็กและถ่านหินอุดมสมบูรณ์
## ถ่านหิน แหล่งสำคัญอยู่ทางภาคเหนือของสหราชอาณาจักร ภาคกลางของเบลเยียม ลุ่มแม่น้ำรูห์ของเยอรมนี ภาคใต้ของโปแลนด์ ภาคเหนือของเช็กเกีย สโลวาเกียยูเครน และรัสเซีย
## เหล็ก แหล่งสำคัญคือ
### แหล่งคิรูนาและเยลีวาร์ทางตอนเหนือของสวีเดน
### แหล่งคริวอยร็อกในยูเครน
### แหล่งลอเรนซ์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส
## น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ แหล่งสำคัญของยุโรปอยู่ในบริเวณทะเลเหนือ และรอบๆทะเลสาบแคสเปียน
## บอกไซต์ เมื่อนำถลุงแล้วได้อะลูมิเนียม แหล่งผลิตสำคัญอยู่ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส กลุ่มประเทศในอดีตยูโกสลาเวีย ฮังการี เทือกเขาอูราลในรัสเซีย
## โพแทช ใช้ในอุตสาหกรรมปุ๋ยและสบู่ แหล่งผลิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน รัสเซีย
# อุตสาหกรรม ยุโรปได้ชื่อว่าเป็นทวีปอุตสาหกรรม เพราะเกือบทุกประเทศประชากร ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม แหล่งอุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ส่วนยุโรปตะวันออกอยู่ใน รัสเซีย ยูเครน เบลารุส
# การค้าขาย เนื่องจากยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ทำให้ยุโรปมีการติดต่อค้าขายกับภูมิภาคอื่นและมีการตั้งกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น
##สหภาพยุโรป
## สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA-European Free Trade Association) ตลาดการค้าขายระหว่างประเทศ ได้แก่ ประเทศต่างๆที่อยู่ในยุโรปและประเทศอเมริกาเหนือ
# การคมนาคมขนส่ง ยุโรปเป็นทวีปที่มีการคมนาคมขนส่งเจริญก้าวหน้ามาก
## ทางรถยนต์ มีทางหลวงเชื่อมระหว่างเมือง เขตอุตสาหกรรมและประเทศต่างๆ มีระยะทางยาวประมาณ 1 ใน 5 ของทางรถยนต์ของโลก
## ทางรถไฟ ทวีปยุโรปมีทางรถไฟยาว 1 ใน 3 ของทางรถไฟในโลก ประเทศที่มีทางรถไฟยาวเมื่อเฉลี่ยต่อเนื้อที่แล้วมากที่สุด คือ เบลเยียม รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ เมืองที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟคือ ปารีส ลอนดอน เบอร์ลิน เวียนนา วอร์ซอ มอสโก
## ทางอากาศ แต่ละประเทศต่างก็มีสายการบินเป็นของตนเอง ใช้ติดต่อระหว่างเมืองภายในประเทศ ระหว่างประเทศ และระหว่างทวีป ศูนย์กลางการบินส่วนใหญ่เป็นเมืองหลวงของแต่ละประเทศ
## ทางน้ำ แม่น้ำสำคัญที่ใช้ในการคมนาคมขนส่งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ได้แก่ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำเซน แม่น้ำดานูบ แม่น้ำโวลกา แม่น้ำโอเดอร์ และมีการขุดคลองเพื่อการคมนาคม เช่น คลองคีล ในเยอรมนี เชื่อมระหว่างทะเลบอลติกกับทะเลเหนือ คลองมีดีในฝรั่งเศสเชื่อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรแอตแลนติก
== เศรษฐกิจ ==
ทวีปยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจรุ่งเรืองมาก โดยมีการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่า กลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งมีบทบาทมากต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ สมาชิกจี 8 จำนวน 8 ประเทศ มีสมาชิกอยู่ในทวีปยุโรปมากถึง 5 ประเทศ คือ รัสเซีย เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสหราชอาณาจักร
หลังเกิดวิกฤตการเงินโลก 2010 ที่ประเทศกรีซ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงเหวอย่างหนัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มสหภาพยุโรปเริ่มขาดสภาพคล่องทางการเงินจากปัญหาหนี้สินเพิ่มมากขึ้น
[[ตัมเปเรในฟินแลนด์เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ทางตอนเหนือของยุโรป]]
== อ้างอิง ==
==ข้อมูล==
* National Geographic Society (2005). National Geographic Visual History of the World. Washington, DC: National Geographic Society. .
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Council of Europe
* European Union
* The Columbia Gazetteer of the World Online Columbia University Press
* "Introducing Europe" from Lonely Planet Travel Guides and Information
แผนที่ในอดีต
* Borders in Europe 3000BC to the present Geacron Historical atlas
* Online history of Europe in 21 maps |
1822 | https://th.wikipedia.org/wiki/พวงคราม | พวงคราม | พวงคราม L. เป็นไม้เลื้อยที่มีเถาใหญ่แข็งแรง กิ่งก้านก็ค่อนข้างแข็ง เถาอ่อนก็มีขนแต่เมื่อเถาแก่ขนก็จะหายไปเปลือกของต้นหรือเถาเป็นสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อนเถา สามารถเลื้อยคลุมต้นไม้อื่นไปได้ไกลมากกว่า 20 ฟุต ใบเดี่ยว เรียงตรงช้าม รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 5-7 เซนติเมตร ยาว 8-11 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ แผ่นใบค่อนข้างหนาแข็ง ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีจางกว่าและเป็นขุย ออกดอกตลอดปี จะมากช่วงหน้าแล้ง ดอกเป็นช่อสีม่วงคราม มี 5 กลีบ คล้ายรูปดาว 5 แฉก กลีบรูปขอบขนาน ด้านบนของกลีบจะมีขน โคนกลีบดอกเชื่อมต่อกันเป็นหลอด ภายในดอกมีเกสรตัวอยู่ 4-5 อัน มีก้านร่วมกับเกสรตัวเมีย ปลายเกสรตัวเมียมี 3 แฉก พวงครามมักจะออกดอกและบานพร้อมกันเต็มช่อ ดอกค่อนข้างดกและจะบานทนนานได้หลายวันมาก ผลสด ติดอยู่บนกลีบประดับ มีขนนุ่มปกคลุม มี 1 เมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การตอน และการปักชำกิ่ง
== อ้างอิง ==
*ITIS 32064
* http://seed.gettyfree.com/viewtopic.php?id=47
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:ไม้เลื้อย
หมวดหมู่:วงศ์ผกากรอง |
1826 | https://th.wikipedia.org/wiki/ไอส์ | ไอส์ | ไอส์ () () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนววัยรุ่น เขียนโดย มาซาคาสึ คัตสึระ (Masakazu Katsura) ฉบับภาษาญี่ปุ่นตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์ชูเอชะ ตีพิมพ์ในนิตยสารโชเนนจัมป์ระหว่าง พ.ศ. 2540-2542 (ค.ศ. 1997-1999) ในประเทศไทย ลิขสิทธิ์เป็นของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ เคยตีพิมพ์เป็นตอนลงในนิตยสารซีคิดส์ ในช่วงที่เรื่องไอส์ ตีพิมพ์ในซีคิดส์นั้น ได้รับความนิยมจากนักอ่านไทยมาก ปัจจุบัน ไอส์ได้ถูกนำไปทำเป็นอนิเมะ เป็นเรื่องความรักของหนุ่มสาว ที่ตัวเอกมีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร I ทั้งหมด ชื่อเรื่องจึงหมายถึงตัวละครที่มีอักษร I หลายคน (I เติม s) ซึ่งเป็นคำที่อิโอริได้เขียนลงสมุดในช่วงต้นเรื่อง เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับความรัก ตลก แกมทะลึ่งเล็กน้อย
== เนื้อเรื่อง ==
เซโตะ อิจิทากะ เด็กนักเรียนมัธยมที่ขี้อายเวลาเข้าหาเพศตรงข้าม ชอบทำอะไรตรงข้ามกับที่ตัวเองคิด และจะมานั่งนึกเสียใจทีหลัง แอบชอบ อิโอริ มาตลอด แต่ไม่กล้าพูด แต่วันหนึ่งถูกเข้าใจผิดเนื่องด้วยมีวัยรุ่นอันธพาลได้กล่าวถึงเรื่องด้านลบที่อิโอริได้ไปถ่ายแบบ แล้วยังต้องมาทำงานร่วมกัน ขณะที่ทั้งสองเริ่มที่จะยอมรับซึ่งกันและกัน อากิบะ อิตซึกิ ก็ได้เข้ามาในชีวิตเพื่อทำตามคำสัญญาที่ได้ทำไว้กับอิจิทากะว่า จะแต่งงานกัน (ตัวละครหลักในเรื่อง ชื่อจะขึ้นด้วยตัวอักษร I)
== ตัวละคร ==
=== ตัวละครหลัก ===
* เซโตะ อิจิทากะ () เด็กนักเรียนมัธยมที่ขี้อายเวลาเข้าหาเพศตรงข้าม ชอบทำอะไรตรงข้ามกับที่ตัวเองคิด และจะมานั่งนึกเสียใจทีหลัง แอบชอบ อิโอริ มาตลอดแต่ไม่กล้าพูด มักแอบมองอยู่ไกลๆ
* โยชิซึกิ อิโอริ () สวย น่ารัก เรียบร้อย มีเสน่ห์ และเป็นมิตร อิโอริเป็นที่หมายปองของเพื่อนทุกคนในโรงเรียน ลึกๆแล้วเธอเองก็ชอบ อิจิทากะ เช่นกัน
* อากิบะ อิตซึกิ () สวย น่ารัก ไม่มีระเบียบ โวยวาย และเอาแต่ใจ อิตซึกิเป็นตัวละคนที่สร้างเมื่อเพื่อตรงข้ามกับอิโอริ เป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กกับอิจิทากะ
* อิโซซากิ อิซูมิ () หญิงสาวรุ่นน้องที่ชอบ เซโตะ มาก รู้จักกันครั้งแรกที่ทะเล ตอนที่อิซูมิ กำลังจะทิ้งแหวนที่แฟนเก่าให้
=== ตัวละครรอง ===
* ไอโกะ อาโซอุ ()
* เทราทานิ ยาสุมาสะ () เพื่อนสนิทชายของเซโตะ
* จุน โคชินาเอะ ()
* นามิ ทาจิบะ (โรมาจิ: Tachiba Nami) เพื่อนสนิทหญิงของอิโอริ
=== ตัวละครอื่น ๆ ===
* ยูกะ โมริซากิ ()
* คิดะ โมคิจิ (โรมาจิ: Mohichi Kida}})
* มาริโอเนต คิง (Marionette King)
* เมียวโกะ (Myoko)
== รายชื่อตอน ==
== ดูเพิ่ม ==
* เอชทู การ์ตูนญี่ปุ่นที่ตัวละครหลักทั้ง 3 ใช้ตัวอักษร เอช (H) ขึ้นต้น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง |
1832 | https://th.wikipedia.org/wiki/บุหงาส่าหรี | บุหงาส่าหรี | บุหงาส่าหรี หรือ บุหงาบาหลี (; ) เป็นไม้ต้นขนาดเล็กอยู่ในวงศ์ Verbenaceae สูง 3-10 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอก กว้าง 6-8 ซม. ยาว 10-15 ซม. มีก้านใบสีส้ม มีช่อดอกสีขาว ยาว 10-20 ซม. ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกติดกัน ตอนปลายแยก 4-5 แฉก เมื่อดอกย่อยบาน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. มีกลิ่นหอมแรงในช่วงกลางคืนถึงสาย ๆ ออกดอกตลอดปี ดูแลแบบแพเนล ขยายพันธุ์โดยปักชำกิ่งและตอนกิ่ง ใช้เป็นไม้ประดับ ดอกให้กลิ่นหอมมาก
== อ้างอิง ==
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Citharexylum_spinosum
* ITIS 32064
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์ผกากรอง |
1833 | https://th.wikipedia.org/wiki/บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม | บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม | บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ( - JGSEE)
ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) โดยความร่วมมือของกลุ่มสถาบันการศึกษาไทย 5 แห่ง เป็นบัณฑิตวิทยาลัยที่บริหารงานเป็นเอกเทศ มีเป้าหมายเป็นศูนย์วิจัย และให้การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ในด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
เปิดสอนระดับปริญญาโท และปริญญาเอก การเรียนการสอนทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ นักศึกษาสามารถเลือกที่จะทำวิทยานิพนธ์ กับอาจารย์ที่ปรึกษาในสถานศึกษาในโครงการมหาวิทยาลัยใดก็ได้
วิทยาลัยดำเนินงานโดยความความร่วมมือของ
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
* มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
* มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
* สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม |
1834 | https://th.wikipedia.org/wiki/โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย | โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย | โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไทย (สบวท.; - TGIST) เป็นโครงการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2541 เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสนับสนุน และการทำการวิจัย และพัฒนา
การดำเนินงานของ สบวท. ยึดหลักใหญ่ คือ ก่อให้เกิดทั้งความเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาคน และการวิจัย ความเชื่อมโยงระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และหน่วยงานภาคเอกชน และการดำเนินงานแบบ "เสมือนบวกจริง" กล่าวคือใช้เครือข่ายการสื่อสารทางไกล เช่น อินเทอร์เน็ต และดาวเทียม เป็นตัวประสานความเชื่อมโยงนั้น พร้อมไปกับการสร้างประสบการณ์จริงในการศึกษาและวิจัย
นอกจากนี้ สบวท. ยังเป็นแกนนำ ในการสนับสนุนให้เกิดการรวมพลังความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนา และผลิตกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในลักษณะเครือข่าย เช่น ความร่วมมือที่ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย รังสิต ซึ่งมีมหาวิทยาลัยที่สำคัญ คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ซึ่งสามารถใช้วัสดุ อุปกรณ์ และสถานที่ของ สวทช. บริเวณอุทยานวิทยาศาสตร์ได้ อันจะทำให้เกิดการเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน
==อ้างอิง==
==แหล่งข้อมูลอื่น==
* ทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย
หมวดหมู่:สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ |
1836 | https://th.wikipedia.org/wiki/นิติวิทยาศาสตร์ | นิติวิทยาศาสตร์ | นิติวิทยาศาสตร์ () เป็นการนำเอาวิชาความรู้ในทางด้านวิทยาศาสตร์ ในการเก็บและพิสูจน์หลักฐาน ตรวจร่างกายและวัตถุพยานเพื่อช่วยในการค้นหาความจริง มักเป็นการใช้วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น ชีววิทยา ฟิสิกส์ กายภาพ เคมี คอมพิวเตอร์ และกีฏวิทยา เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการสืบสวน และดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อช่วยกระบวนการยุติธรรมในการพิสูจน์หลักฐานและชี้นำไปสู่ผู้กระทำความผิดอาญาที่มีความเล่ห์เหลี่ยม
ปัจจุบันมีการนำนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ควบคู่กับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นในต่างประเทศ เพื่อลดการโต้แย้งความหวาดระแวงระหว่างผู้ควบคุมกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหา เนื่องเพราะวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องหลักการและเหตุผลที่เป็นจริงสามารถพิสูจน์ได้ โดยนิติวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยมีความเกี่ยวเนื่องกับนิติเวชศาสตร์หรือการชันสูตรศพ สามารถแบ่งออกเป็นสาขาต่าง ๆ ดังนี้
# นิติพยาธิวิทยา (Forensic Pathology)
# นิติเวชคลินิก (Clinical Forensic)
# นิติจิตเวช (Forensic Psychiatry)
# นิติพิษวิทยา (Forensic Toxicology)
# การพิสูจน์หลักฐาน (Criminalistic)
# นิติวิทยาเซรุ่ม (Forensic Serology)
# เวชศาสตร์จราจร (Traffic Medicine)
# กฎหมายการแพทย์ (Medicial Law)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
=== หนังสือและบทความ ===
* Burney, Ian and Christopher Halim (eds.). Global Forensic Cultures: Making Fact and Justice in the Modern Era. Baltimore, MD: Johns Hopkins University Press, 2019.
*Lim, Samson. Siam’s New Detectives: Visualizing Crime and Conspiracy in Modern Thailand. Honolulu, HI: University of Hawai’i Press, 2016.
=== เว็บไซต์ ===
* สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:พยาธิกายวิภาคศาสตร์
หมวดหมู่:นิติศาสตร์
หมวดหมู่:นิติเวชศาสตร์
หมวดหมู่:นิติวิทยาศาสตร์ |
1838 | https://th.wikipedia.org/wiki/รางจืด | รางจืด | รางจืด () เป็นชื่อของพืชสมุนไพรประเภทไม้เลื้อยหรือไม้เถาในวงศ์เหงือกปลาหมอ มีลักษณะเนื้อแข็ง เลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้ เถาจะมีลักษณะเป็นข้อปล้องกลมมีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้ม ดอกจะเป็นสีม่วงอ่อน ๆ หรือสีคราม ออกดอกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ รางจืดได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาแห่งการถอนพิษ" มีสรรพคุณทางยาในด้านการถอนพิษต่าง ๆ หรือใช้เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ รวมถึงใช้เป็นยารับประทานเป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ
รางจืดมีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ ได้แก่ กำลังช้างเผือก เครือเขาเขียว ขอบชะนาง ยาเขียว (ภาคกลาง) คาย รางเย็น (ยะลา) จอลอดิเออ ซั้งกะ ปั้งกะล่ะ พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ดุเหว่า (ปัตตานี) ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) น้ำนอง (สระบุรี) ย่ำแย้ แอดแอ (เพชรบูรณ์) ฮางจ๋าง (ภาคเหนือ)
== ลักษณะทางพฤษศาสตร์ ==
ไม้เลื้อยหรือไม้เถา มีลักษณะเนื้อแข็ง ลำต้นหรือเถานั้นจะกลมเป็นปล้อง มีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้ม ใบ จะมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ ตรงโคนใบจะเว้า ปลายใบจะเรียวแหลม กว้าง 4-7 ซม. ยาว 8-14 ซม. ส่วนดอกจะมีสีม่วงอมฟ้า ใบประดับ สีเขียวประสีน้ำตาลแดง ออกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ
== การปลูกเลี้ยง ==
นิยมใช้เถาในการปักชำ ในการชำเถา ให้เลือกเถาแก่มาตัดเป็นท่อน ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว ให้มีตาติดอยู่ 2-3 ตา ถ้าชำเถาในฤดูฝนจะออกรากเร็วกว่า
== สรรพคุณ ==
รากและใบ รับประทานเป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ใบและรากใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ ยาพอกบาดแผล ใช้สำหรับถอนพิษยาฆ่าแมลง สำหรับผู้ป่วยที่ดื่มยาฆ่าแมลงเข้าไปเป็นการบรรเทาอาการก่อนถึงโรงพยาบาล แก้พิษแอลกอฮอล์ บรรเทาอาการเมาค้าง บรรเทาอาการผื่นแพ้ ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า จอลอดี่เดอ ตัดลำต้นเป็นชิ้นเล็กพกติดตัว เชื่อว่าป้องกันงูได้
== อ้างอิง ==
* ITIS 34350
*Burkill, I.H. (1966). “A Dictionary of the Economic Products of the Malay Peninsula. Volume II (I-Z)”. Ministry of Agriculture and Cooperatives, Kuala Lumpur.
*Chan, E.W.C., Lim, Y.Y. (2006). “Antioxidant activity of Thunbergia laurifolia tea”. Journal of Tropical Forest Science 18 (2): 130-136. http://info.frim.gov.my/cfdocs/infocenter_application/jtfsonline/jtfs/v18n2/130-136.pdf.
*Kanchanapoom, T. et al. (2002). “Iridoid glucosides from Thunbergia laurifolia”. Phytochemistry 60: 769-771. doi:10.1016/S0031-9422(02)00139-5.
*NRM (2003). “Thunbergia: Blue trumpet vine”. Natural Resources and Mines, Queensland. http://www.nrm.qld.gov.au/pests/environmental_weeds/weed_info_series.html.
*Schonenberger, J. (1999). “Floral structure, development and diversity in Thunbergia (Acanthaceae)”. Botanical Journal of the Linnean Society 130: 1-36.
*Starr, F. et al. (2003). “Thunbergia laurifolia”. http://www.hear.org/starr/hiplants/reports/pdf/thunbergia_laurifolia.pdf .
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์เหงือกปลาหมอ
หมวดหมู่:สมุนไพร |
1845 | https://th.wikipedia.org/wiki/บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ | บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ | บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ (: LIS) เป็นการศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดเก็บ สิ่งพิมพ์, ข้อมูล, และสื่อ ทั้งภายในและภายนอกห้องสมุด รวมไปถึงการเรียนรู้ทางวิชาการ ในแง่ของทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ ว่าผู้ใช้ใช้ระบบห้องสมุดและระบบการเรียนรู้อื่น ๆ อย่างไร
เป้าหมายหลักของ งานวิจัยด้านบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ มุ่งไปที่การจัดการองค์ความรู้ เพื่อการดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจรวมถึงหัวข้ออันได้แก่ การได้มา, การสร้างรายการชื่อ, การจัดหมวดหมู่, การเก็บรักษา, และ การดูแลข้อมูลและทรัพยากรห้องสมุด
การศึกษาอีกแขนงหนึ่ง ที่ศึกษาเรื่องใกล้เคียงกัน แต่ได้พัฒนาไปอีกทาง คือ การศึกษาโครงสร้างของข้อมูล และ ทฤษฎีข้อมูล (Information Theory) ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงคณิตศาสตร์ เกี่ยวกับแนวคิดของข้อมูลสารสนเทศ
== ดูเพิ่ม ==
* สารสนเทศศาสตร์
* วารสารศาสตร์สื่อประสม
หมวดหมู่:วิทยาการสารสนเทศ |
1847 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล () เป็นระบบมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทย เดิมสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปัจจุบันมีอยู่ 9 แห่งทั่วประเทศ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2518 ในชื่อ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อใหม่ว่า สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และได้ยกสถานะเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548
== ประวัติ ==
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ถือกำเนิดขึ้นจากการเรียกร้องของนักเรียนอาชีวศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2518 ซึ่งถูกสังคมมองว่าเป็นนักเรียนชั้นสองของสังคม จัดการศึกษาได้เพียงแค่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และการก้าวสู่ระดับปริญญาตรี จะต้องผ่านการสอบแข่งขันกับนักเรียนสายสามัญ ประกอบทั้ง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าทั้งสามแห่ง (ลาดกระบัง พระนครเหนือ และ บางมด) ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เน้นการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ย้ายสังกัดจาก กระทรวงศึกษาธิการไปอยู่ทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งมุ่งเน้นรับเฉพาะนักเรียนสายสามัญ และการจัดการสอบแข่งขันที่ยากยิ่งขึ้น ทำให้นักเรียนอาชีวศึกษา อาทิ โรงเรียนเพาะช่าง ตั้งอยู่ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร โรงเรียนเพาะช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ตั้งอยู่ที่ ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ วิทยาลัยพณิชยการพระนคร วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ วิทยาลัยช่างกลพระนครเหนือ ฯลฯ รวมตัวกันเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการจัดการศึกษาให้ถึงระดับปริญญา
=== การจัดตั้งเป็นสถาบันอุดมศึกษา ===
ต่อมาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา พุทธศักราช 2518 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตครูอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรี ให้การศึกษาทางด้านอาชีพทั้งระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ระดับปริญญาตรี และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ทำการวิจัยส่งเสริมการศึกษาทางด้านวิชาชีพ เทคโนโลยีและให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ในช่วงแรกที่เปิดทำการเรียนการสอนวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา มีปัญหาอุปสรรคนานัปการ อาทิ ขาดอาคารสถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอน บุคลากร ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศให้โอนบุคลากร ทรัพย์สิน สถาบันการอาชีวศึกษาที่สังกัด กรมอาชีวศึกษา 30 แห่ง ย้ายมาสังกัดวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา โดยเปลี่ยนจากวิทยาลัยมาเป็น "วิทยาเขต" ดังต่อไปนี้
=== การจัดตั้ง "สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล" ===
เครื่องหมายราชการของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ตามที่ปรากฏใน[[ราชกิจจานุเบกษา]]
ในปี พ.ศ. 2531 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อนักเรียนอาชีวศึกษา เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อให้วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาใหม่ว่า สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มีหมายความว่า สถาบันเทคโนโลยีอันเป็นมิ่งมงคลแห่งพระราชา เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2531 ทั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยได้ถือเอาวันที่ 15 กันยายนของทุกปีเป็นวันราชมงคล
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล จึงมีภารกิจหลักคือ จัดการศึกษาด้านวิชาชีพและเทคโนโลยี (ระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ระดับปริญญาตรี และระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต) สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลได้ทำการเรียนการสอนควบคู่กับทำการวิจัยสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม เรื่อยมา อีกทั้งยังทำนุบำรุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ให้จัดตั้งวิทยาเขต จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ จังหวัดนครพนม จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดปัตตานี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด
ในปี พ.ศ. 2542 มีการแบ่งส่วนราชการขึ้นใหม่ในสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ประกอบด้วย
* สำนักงานอธิการบดี
* คณะเกษตรศาสตร์นครศรีธรรมราช
* คณะเกษตรศาสตร์บางพระ
* คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม
* คณะคหกรรมศาสตร์
* คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์
* คณะบริหารธุรกิจ
* คณะวิทยาศาสตร์
* คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง
* คณะวิศวกรรมศาสตร์
* คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร
* คณะศิลปกรรม
* คณะศิลปศาสตร์
* คณะศึกษาศาสตร์
* สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง
* สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร
* สถาบันวิจัยเคมี
* สำนักบริการทางวิชาการและทดสอบ
=== การยกฐานะ 9 มหาวิทยาลัย ===
สืบเนื่องจากแนวทางการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ การบริหารจัดการสู่สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาของรัฐดำเนินการโดยบริหารจัดการได้โดยอิสระ และมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการภายใต้การกำกับดูแลของสภาการศึกษาแห่งชาติ ดังนั้นเพื่อให้สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและยกระดับสถานะสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งสามารถจัดการศึกษาได้ถึงระดับสูง ปริญญาโท เอก จึงได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ทั้ง 9 แห่งขึ้น โดยมีการรวมวิทยาเขตที่อยู่ใกล้เคียงกันจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จำนวน 9 แห่ง
จากพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 ซึ่งได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 มีผลให้สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลเดิม ตามพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2518 ปรับเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้งเก้าแห่งดังต่อไปนี้
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
# มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
== สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ==
ไฟล์:มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี rajamangala university of technology thanyaburi (6).jpg|ตราสัญลักษณ์ประติมากรรม
=== ตราสัญลักษณ์ประติมากรรม ===
ประติมากรรมรูปดอกบัวนี้ เป็นเครื่องหมายแห่งความคิดความรู้สึกร่วมกันในอันที่จะช่วยกันพัฒนาการศึกษาด้านวิชาชีพให้เจริญก้าวหน้าสืบไป รูปดอกบัวซ้อนกันขึ้น 3 ชั้น สื่อความหมายเพื่อให้เกิดความรู้สึกโปร่งเบามีกลีบบัว 8 เส้น เส้นทั้ง 8 หมายถึง มรรค 8 ประการ ส่วนยอดแหลมแทรกขึ้นสู่ฟ้า หมายถึง ผู้จะพบความสำเร็จได้จะต้องใช้ความพยายาม อย่างสูงสุด ในการผ่านแต่ละขั้นตอนการเรียนรู้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ได้รับพระราชทานนามสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล อีกทั้งได้รับพระบรมราชานุญาตอัญเชิญตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9 พร้อม พระมหาพิชัยมงกุฎ มาเป็นตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ทั้งนี้คณาจารย์และนักศึกษาต่างสำนักในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้
=== สีประจำมหาวิทยาลัย ===
แต่เดิม สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้กำหนดให้สีเหลืองและสีน้ำเงินเป็นสีประจำสถาบัน
* สีเหลือง ( ) เป็นสีวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
* สีน้ำเงิน ( ) เป็นสีสัญลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์
สืบเนื่องจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลมีการปรับโครงสร้างตาม พรบ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งจึงได้กำหนดสีประจำมหาวิทยาลัยดังนี้
* สีน้ำเงิน ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
* สีเขียว ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
* สีม่วง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
* สีแดงเลือดนก ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
* สีน้ำเงินเทอร์ควอยส์ (น้ำเงินทะเล) ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
* สีทอง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
* สีน้ำตาลทอง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
* สีเหลือง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
* สีแสด ( )เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
=== เพลง ===
สดุดีราชมงคล เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้งเก้าแห่ง ผู้แต่งคำร้องคือ คุณสมชาย จินดานนท์ แต่งทำนองโดยคณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล เพลงสดุดีราชมงคล เป็นเพลงประจำสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลเดิม เมื่อสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลได้ปรับเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้งเก้าแห่ง เพลงสดุดีราชมงคล ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้งเก้าแห่งตามไปด้วย
== อันดับมหาวิทยาลัย ==
* ตามการจัด อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย จาก สกอ. ในปี 2549 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ได้รับการจัดอันดับที่โดดเด่น ดังนี้
** อันดับ 5 ในประเทศไทยในด้านการเกษตร - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
** อันดับ 5 ในประเทศไทยในด้านการเรียนการสอน - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
* ผลการจัดอันดับ 4,000 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกโดย Webometrics ประจำเดือน มกราคม พ.ศ. 2559
** มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร อันดับ 2,452 ของโลก - อันดับ 26 ของไทย
** มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา อันดับ 2,517 ของโลก - อันดับ 28 ของไทย
** มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อันดับ 3,087 ของโลก - อันดับ 35 ของไทย
** มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน อันดับ 3,100 ของโลก - อันดับ 36 ของไทย
== บุคคลสำคัญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ==
* สุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปิน (เพาะช่าง)
* สมเศียร พานทอง (ชาย เมืองสิงห์) ศิลปิน (เพาะช่าง)
* เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ช่างหลวงประจำพระองค์ (ศิลปกรรมเพาะช่าง)
* วสันต์ โชติกุล ศิลปิน (เพาะช่าง)
* พิง ลำพระเพลิง ศิลปิน (เพาะช่าง)
* อุดม แต้พานิช ศิลปิน (เพาะช่าง)
* ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์ (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* วินัย พันธุรักษ์ (ดิ อิมพอสซิเบิ้ล) ศิลปิน (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* ยุรนันท์ ภมรมนตรี (แซม) ดารา (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* สุรักษ์ สุขเสวี นักแต่งเพลง (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* กุ้งนาง ปัทมสูต นักแสดง นักร้อง (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* นรีกระจ่าง คันธมาส (จุ๋ม โคโค่แจ๊ส) ศิลปิน (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* กกกร เบญจาธิกุล (โกโก้) (เจ๊เปีย สตรีเหล็ก) ดารา (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* เศกพล อุ่นสำราญ (โก้ มิสเตอร์แซกแมน) ศิลปิน (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* เกียรติกมล ล่าทา (ตุ้ย เอเอฟ 3) นักร้อง (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* สุธน บู่สามสาย (ตั้ม เดอะสตาร์ 10) นักร้อง (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* ภูษณุ วงศาวณิชชากร (ยุ่น) ดารา (พณิชยการพระนคร มทร.พระนคร)
* วิเชษฐ์ เกษมทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (วข.บพิตรพิมุข)
* ตะวัน ศรีปาน นักกีฬาฟุตบอลทีมชาติ (วข.นนทบุรี)
* จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินคำเมือง (วข.ภาคพายัพ)
* มนัสวิน นันทเสน มีชื่อเดิมว่า ศิริศักดิ์ นันทเสน หรือ ติ๊ก ชีโร่ ศิษย์เก่าแผนกวิชาศิลปกรรม (นักร้อง) (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
* พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ศิลปินนักร้อง (วข.ขอนแก่น)
* อิศรา อนันตทัศน์ (สีเผือก คนด่านเกวียน) ศิลปินนักร้อง ศิษย์เก่าแผนกวิชาช่างกลเกษตร (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
* ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับภาพยนตร์ ศิษย์เก่าสาขาวิชาสถาปัตยกรรม (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
* ธนพล อินทฤทธิ์ (เสือ) ศิลปินนักร้อง ศิษย์เก่าแผนกวิชาสถาปัตยกรรม (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
* มงคล อุทก (หว่อง คาราวาน) ศิลปินนักร้อง (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
* ทองกราน ทานา (อืด คาราวาน) ศิลปินนักร้อง ศิษย์เก่าแผนกวิชาศิลปกรรม (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
* พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ (น้าหมู) ศิลปินนักร้อง ศิษย์เก่าแผนกวิชาศิลปกรรม (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
* ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม Miss Thailand Universe (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี)
* เกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปทุมธานี (อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มทร.ธัญบุรี)
== พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ==
จากคำกล่าวของท่าน ศาสตราจารย์สวาสดิ์ ไชยคุณา อธิการบดีวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาคนแรก เป็นผู้บุกเบิกสถาบันฯ อย่างแท้จริง ได้กล่าวถึงการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของสถาบันไว้ว่า
นับจากปีแรกที่ได้เริ่มสถาปนาวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ในปี พ.ศ. 2518 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2524 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษารุ่นแรก การได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด มีโอกาสได้รับพระราชทานปริญญาบัตรกับพระหัตถ์พระองค์เอง ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร นำความปลื้มปิติยินดีมาสู่เหล่าคณาจารย์ ข้าราชการ นักศึกษา ผู้ปกครองบัณฑิต เป็นล้นพ้น และอีกสามครั้งคือ ในปี พ.ศ. 2527 ปี พ.ศ. 2530 ในปี พ.ศ. 2531 เมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลแล้วได้เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต ในปี พ.ศ. 2533 รวมเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง 4 ครั้ง
ตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2534 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ฯ มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ครั้งแรกถึงปัจจุบัน
=== ลำดับเหตุการณ์สำคัญพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ===
* พ.ศ. 2524 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรก ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร
* พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพร้อมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 2 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร
* พ.ศ. 2530 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 3 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร
* พ.ศ. 2533 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 4 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร ในนามสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และมีการเปลี่ยนมาใช้ชุดครุยวิทยฐานะของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลแทนชุดครุยเดิม
* พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ฯ เป็นครั้งแรกและครั้งต่อ ๆ มา ซึ่งเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 5 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร
* พ.ศ. 2535 สภาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ทูลเกล้าถวายปริญญาคหกรรมศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
* พ.ศ. 2540 ย้ายสถานที่พระราชทานปริญญาบัตร มาที่ศูนย์กลางสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ตำบลคลองหก อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
* พ.ศ. 2548 พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 19 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในนามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งเป็นครั้งแรก
* พ.ศ. 2550 พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 21 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พิธีพระราชทานปริญญาบัตรพร้อมเพรียงกันของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย เปลี่ยนมาใช้ชุดครุยวิทยฐานะแทนครุยสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
* พ.ศ. 2551 (รับในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552) พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 22 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี แต่ละมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(กรุงเทพ พระนคร อีสาน สุวรรณภูมิ ตะวันออก)เปลี่ยนมาใช้ครุยวิทยะฐานะของตนเอง ยกเว้นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ล้านนา และรัตนโกสินทร์(ยังใช้ครุยสถาบันเดิมอยู่) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย แยกออกไปจัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ พร้อมกันนี้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทูลเกล้าถวายปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิตแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นครั้งแรก
* พ.ศ. 2552 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 23 ประจำปีการศึกษา 2551 ในวันที่ 15 - 16 ธันวาคม 2552 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
* พ.ศ. 2553 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 24 ประจำปีการศึกษา 2552 ในวันที่ 15 - 17 พฤศจิกายน 2553 ทั้งช่วงเช้า และช่วงบ่าย ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
* พ.ศ. 2555 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 25 ประจำปีการศึกษา 2553 ในวันที่ 23 - 25 เมษายน 2555 ทั้งช่วงเช้า และช่วงบ่าย ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
* พ.ศ. 2556 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 27 ประจำปีการศึกษา 2555 ในวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2556 ทั้งช่วงเช้า และช่วงบ่าย ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
* พ.ศ. 2557 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 28 ประจำปีการศึกษา 2556 ในวันที่ 15-19 ธันวาคม 2557 ทั้งช่วงเช้า และช่วงบ่าย ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ครั้งนี้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ทูลเกล้าถวายปริญญาศิลปดุษฎีบัณฑิต แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
* พ.ศ. 2559 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 29 ประจำปีการศึกษา 2557 ในวันที่ 5-9 กันยายน 2559 ทั้งช่วงเช้า และช่วงบ่าย ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
* พ.ศ. 2560 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 30 ประจำปีการศึกษา 2558 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 8 แห่ง วันที่ 20 - 24 มีนาคม 2560
* พ.ศ. 2560 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 31 ประจำปีการศึกษา 2559 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 8 แห่ง วันที่ 20-24 พฤศจิกายน 2560
* พ.ศ. 2561 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 32 ประจำปีการศึกษา 2560 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 8 แห่ง วันที่ 27-31 สิงหาคม 2561
* พ.ศ. 2562 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 33 ประจำปีการศึกษา 2561 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 8 แห่ง วันที่ 19 - 23 สิงหาคม 2562
* พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน แยกออกไปจัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตร โดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาจัดงานพระราชปริญญาบัตร ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยกำหนดการเดิมจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 18-22 มกราคม 2564 แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากมีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด 19) ในประเทศไทย ส่วนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จัดงานพระราชปริญญาบัตร ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ศูนย์การศึกษาหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 จึงมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลที่รับพระราชปริญญาบัตร ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เหลือเพียง 6 แห่งในเขตภาคกลางและภาคตะวันออกเท่านั้น โดยกำหนดการเดิม พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 34 ประจำปีการศึกษา 2562 จะจัดขึ้นในวันที่ 19-23 สิงหาคม 2563 แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากมีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด 19) ในประเทศไทย โดยมีการจัดในปี พ.ศ. 2565 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 34 ประจำปีการศึกษา 2562 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 6 แห่ง วันที่ 7-10 มีนาคม 2565
* พ.ศ. 2565 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 35 ประจำปีการศึกษา 2563 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 6 แห่ง วันที่ 21-24 มีนาคม 2565
* พ.ศ. 2566 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 36 ประจำปีการศึกษา 2564 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 6 แห่ง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 และวันที่ 1-3 มีนาคม 2566
* พ.ศ. 2566 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 37 ประจำปีการศึกษา 2565 (6 มทร.) กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 20- 23 พฤศจิกายน 2566
* พ.ศ.2567 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 38 ประจำปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลแต่ละมหาวิทยาลัยแยกจัดพิธีเหลือเพียงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ที่จัดที่ หอประชุมราชมงคล ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ทั้ง 9 มทร.จัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตรสถานที่ดังนี้
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จัดที่ หอประชุมราชมงคล มทร.ธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ จัดที่ หอประชุมใหญ่บพิตรพิมุข มหาเมฆ มทร.กรุงเทพ
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จัดที่ หอประชุมพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ จัดที่ หอประชุมพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก จัดที่ หอประชุมมังคลอุบล มทร.ตะวันออก บางพระ จังหวัดชลบุรี
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ จัดที่ หอประชุมสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มทร.สุวรรณภูมิ หันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอิสาน จัดที่ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา ๕ รอบ มทร.อิสาน หนองระเวียง จังหวัดนครราชสีมา
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จัดที่ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จัดที่ ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
== นายกสภามหาวิทยาลัย ==
นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งในยุคแรก คือ นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลเดิม ตามพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2532 คือ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการจะดำรงตำแหน่ง นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลด้วย เช่น ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ระหว่างปี 2543-2548 ดร.จรวยพร ธรณินทร์ ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง (ในช่วงระหว่างการจัดตั้งมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2548-2549)
สืบเนื่องจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลปรับเปลี่ยนสถานะเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง มีผลให้เกิดสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งมาตามลำดับ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* พระราชบัญญัติเปลี่ยนชื่อวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเป็นสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. ๒๕๓๒
* พระราชบัญญัติวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๑๘
* พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. ๒๕๔๘ (จำนวน ๙ แห่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน)
หมวดหมู่:องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528
หมวดหมู่:สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2548
หมวดหมู่:สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2548 |
1849 | https://th.wikipedia.org/wiki/เปรม_ติณสูลานนท์ | เปรม ติณสูลานนท์ | พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (26 สิงหาคม พ.ศ. 2463 - 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562) เป็นทหารบก นักการเมือง และรัฐบุรุษชาวไทย เริ่มต้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ก่อนได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 16 (ตั้งแต่ พ.ศ. 2523 - พ.ศ. 2531) หลังจากนั้นเป็นประธานองคมนตรี รัฐบุรุษ และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ระหว่างรอประกาศการขึ้นทรงราชย์ ในปี พ.ศ. 2559
บุคลิกส่วนตัวของพลเอก เปรม เป็นคนพูดน้อย ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จะให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนน้อยมาก จนถูกหนังสือพิมพ์ในขณะนั้นเรียกขานว่า เตมีย์ใบ้ และได้รับอีกฉายาหนึ่งว่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากเหตุการณ์กบฏเมษาฮาวาย และกบฏ 9 กันยา หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอก เปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี
มีนักวิชาการและสื่อระบุว่า พลเอก เปรม มีบทบาทในการเมืองไทย แม้รัฐบาลทหารหลังรัฐประหารปี พ.ศ. 2549 ปฏิเสธข่าวนี้
== ประวัติ ==
พันเอก เปรม สมัยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2502
=== ชีวิตส่วนตัว ===
พล.อ. เปรม เกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2463 ณ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ชื่อ "เปรม" นั้น พระรัตนธัชมุนี (แบน คณฺฐาภรโณ) เป็นผู้ตั้งให้ ส่วนนามสกุล "ติณสูลานนท์" พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2462 เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โท หลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ กับนางออด วินิจทัณฑกรรม และตัวพลเอก เปรมมิได้สมรสกับผู้ใด
=== การศึกษา ===
พลเอก เปรม สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดบ่อยาง ศึกษาต่อมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ในปี พ.ศ. 2478 ต่อมาจบมัธยมศึกษาปีที่ 7 - 8 แผนกวิทยาศาสตร์จาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2479 โดยมี เลขประจำตัวคือ 7587 (ภายหลังโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ยกย่องให้เขาเป็นศิษย์เก่าเกียรติยศสวนกุหลาบ) เข้าศึกษาต่อนักเรียนนายร้อย ที่โรงเรียนเทคนิคทหารบก (ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2481 โดยมีเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งคือ ร้อยเอก อำนวย ทวีสิน บิดาของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 30
หลังจากนั้นพล.อ. เปรม ได้สำเร็จการฝึกดังนี้
* พ.ศ. 2490 : หลักสูตรนายทหารฝึกราชการ โรงเรียนนายทหารม้า ระดับผู้บังคับบัญชา
* พ.ศ. 2496 : หลังจากนั้นก็ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ที่สหรัฐ หลักสูตรผู้บังคับกองพัน โรงเรียนยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐ
* 23 เมษายน พ.ศ. 2498 : ได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์
* พ.ศ. 2503 : หลักสูตรพิเศษ วิทยาลัยการทัพบก
* พ.ศ. 2509 : หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 9
* 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 : ยังได้วิศวกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
เมื่อจบการศึกษาใน พ.ศ. 2484 ได้เข้าร่วมรบในสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา จากนั้นเข้าสังกัดกองทัพพายัพ ภายใต้การบังคับบัญชาของหลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) ที่มีจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2485 - พ.ศ. 2488 ที่เชียงตุง
== ราชการทหาร ==
ภายหลังสงคราม พลเอก เปรม รับราชการอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่โรงเรียนยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐ ที่ฟอร์ตน็อกซ์ รัฐเคนทักกี พร้อมกับพล.อ. พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.อ. วิจิตร สุขมาก เมื่อ พ.ศ. 2495 แล้วกลับมารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ ต่อมามีการจัดตั้งโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า ที่จังหวัดสระบุรี
พล.อ. เปรม ได้รับพระบรมราชโองการเป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ยศพลตรี เมื่อ พ.ศ. 2511 ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้านี้ เขามักเรียกแทนตัวเองต่อผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าว่า "ป๋า" และเรียกผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าอย่างเอ็นดูและเป็นกันเองว่า "ลูก" จนเป็นที่มาของคำว่าป๋า หรือ ป๋าเปรม และคนสนิทของท่านมักถูกเรียกว่า ลูกป๋า และเรียกติดปากกันมาจนถึงปัจจุบัน
พล.อ. เปรม ย้ายไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ใน พ.ศ. 2516 และเลื่อนเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสานเมื่อ พ.ศ. 2517 ได้เลื่อนยศเป็นพลเอก ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2520 และเลื่อนเป็นผู้บัญชาการทหารบก ใน พ.ศ. 2521
นอกจากยศพลเอกแล้ว พล.อ. เปรม ได้รับพระราชทานยศพลเรือเอกของกองทัพเรือ และพลอากาศเอกของกองทัพอากาศ ด้วย จากการพระราชทานโปรดเกล้าฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2529
== การเข้าร่วมงานทางการเมือง ==
* พ.ศ. 2502: ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในสมัยรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
* พ.ศ. 2511: ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา
* พ.ศ. 2515: ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในปี 2522
ในช่วงนั้น พล.อ. เปรม ได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย หลังจากพล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 สภาผู้แทนราษฎรหยั่งเสียงเพื่อหาตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเลือกพล.อ. เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง
พล.อ. เปรม เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากพล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 ซึ่งตลอดระยะเวลาของพลเอก เปรม ในการบริหารประเทศได้มีผลงานสำคัญมากมาย เช่น การปรับปรุงประมวลกฎหมายรัษฎากรและกฎหมายสรรพสินค้า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม การสร้างงานตามโครงการสร้างงานในชนบท (กสช.) การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาล และเอกชน (กรอ.) เพื่อส่งเสริมบทบาททางการค้าและการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศ การดำเนินการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยอย่างได้ผล โดยนำนโยบายการใช้ "การเมืองนำการทหาร" ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 เป็นผลให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอ่อนกำลังลงและสลายตัวไปในที่สุด
=== สมัยที่ 1 ===
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 42 : 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 - 29 เมษายน พ.ศ. 2526 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับการเสนอให้ยืดอายุการใช้บทเฉพาะกาลของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มีการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526
=== สมัยที่ 2 ===
thumb|[[อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ซ้าย) และคณะรัฐมนตรี เข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดพลเอก เปรม ณ บ้านสี่เสาเทเวศร์ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552]]
บางกอกพันดิท (Bangkok Pundit) เขียนในเอเชียคอร์เรสปอนเดนท์ว่า พล.อ. เปรม เป็นผู้เล่นสำคัญในการเมืองไทยในหลายทศวรรษหลัง เจมส์ อ็อกคีย์ (James Ockey) ว่า "ก่อนรัฐบาลไทยรักไทยกำเนิดในปี 2544 ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกแทบทุกคนในทศวรรษที่ผ่านมาเป็นอดีตผู้ช่วยของเปรม" แต่ "แน่นอนว่ายิ่งเปรมเกษียณนานเท่าไร อิทธิพลของเขาในกองทัพก็ยิ่งอ่อนลงเท่านั้น" เขามีอำนาจและอิทธิพลสูงสุดเมื่อรัฐประหารปี 2549 และยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างกองทัพและพระราชวัง ทว่า นับแต่ปี 2549 อำนาจของเขาและความสามารถมีอิทธิพลจางลงเมื่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาและบูรพาพยัคฆ์มีเส้นสายของตัวและสามารถเลี่ยงพล.อ. เปรม ได้แล้ว Marwaan Macan-Markar เขียนว่า "ต่างกับสนธิ ประยุทธ์ยังไม่เป็นหนี้บุญคุณเครือข่ายอิทธิพลซึ่งเป็นผู้รักษาประตูสู่พระมหากษัตริย์แต่เดิม อันเป็นที่สถิตของอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร" และ "บูรพาพยัคฆ์คืนชีพโดยทำลายสายการบังคับบัญชาเดิมซึ่งเป็นหนี้บุญคุณต่อพลเอก เปรม เขามีสามัคคีจิตของเขาเอง"
== ถึงแก่อสัญกรรม ==
พล.อ. เปรม ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 09:09 น. ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในวันนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานโกศกุดั่นน้อย และฉัตรเครื่องตั้งประดับ พร้อมแตรงอน แตรฝรั่ง ปี่กลองชนะ ประโคมเวลาพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ทรงรับศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จไปพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ และเชิญพวงมาลาหลวงวางที่หน้าโกศศพ ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานในวาระครบ 7 วัน นอกจากนี้ โปรดให้บำเพ็ญพระราชกุศล 15 วัน 50 วัน และ 100 วันตามลำดับ และให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก 21 วันนับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เว้นวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ,สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี, สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพพล.อ. เปรม ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันถัดมา โปรดให้ผู้แทนพระองค์ไปเก็บอัฐิ
== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ===
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดต่าง ๆ ดังนี้
* พ.ศ. 2500 - 80px เหรียญงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ
=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ ===
** พ.ศ. 2522 - 80x80px ลีเจียนออฟออเนอร์ ชั้นชั้นโกมันดัน
** พ.ศ. 2526 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ซิกาตูนา ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2524 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณสำหรับการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2524 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งการทูต ชั้นที่ 1 ประเภทที่ 1
** พ.ศ. 2527 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ชั้นที่ 1 (พิเศษ)
** พ.ศ. 2527 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรีศักติปัตตา ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2547 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา ชั้นสูงสุด
** พ.ศ. 2561 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาอิสริยาภรณ์เงิน (พร้อมสายสะพาย)
== ลำดับสาแหรก ==
== ดูเพิ่ม ==
* สะพานติณสูลานนท์
* สนามกีฬาติณสูลานนท์
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ชีวประวัติ พลเอก เปรม จาก เว็บสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอเมืองสงขลา
หมวดหมู่:ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทย
หมวดหมู่:องคมนตรีในรัชกาลที่ 9
หมวดหมู่:องคมนตรีในรัชกาลที่ 10
หมวดหมู่:ทหารบกชาวไทย
หมวดหมู่:ทหารเรือชาวไทย
หมวดหมู่:ทหารอากาศชาวไทย
หมวดหมู่:แม่ทัพภาคที่ 2
หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีไทย
หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย
หมวดหมู่:บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ภ.ป.ร.1
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ว.ป.ร.1 (ร.10)
หมวดหมู่:ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2516-2544
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย หลัง พ.ศ. 2544
หมวดหมู่:องคมนตรี
หมวดหมู่:นักการเมืองจากจังหวัดสงขลา |
1852 | https://th.wikipedia.org/wiki/อุนสุยอัน | อุนสุยอัน | อุนสุยอัน เป็นชาวมาเลเชีย แต่ได้มาอาศัยอยู่ที่ฮ่องกง ในอดีตเคยถูกไต้หวันปฏิเสธไม่ให้เข้าเมือง นักเขียนนิยายจีนกำลังภายใน, นามแฝง อุนเลี้ยงเง็ก
*ชุด นักสู้คะนองศึก
**นักสู้คะนองศึก
**ตำนานแห่งผู้กล้า
**หงสาฝ่ายุทธจักร
**กระบี่ท่องยุทธจักร
*ชุด สี่ยอดมือปราบ
**ชุมนุมนครหลวง
***ชุมนุมนครหลวง เล่ม 1
****มือฆาตกร
****มือโลหิต
****มืออำมหิต
***ชุมนุมนครหลวง เล่ม 2
****มือหยกขาว
****ชุมนุมนครหลวง
***ได้รับสร้างเป็นละครโทรทัศน์และการ์ตูน มือปราบพญายม
**รอยสักกะโหลก
**ฝ่าความตาย
**ล้างรอยเลือด
**เชือดชีวิต
**มือเหล็กพิชิต
**ดาบฝันสลาย
**บุปผามหาภัย
*ชุด ศาสตราวุธ
**ดาบเสียดฟ้า
**กระบี่เลือดเดือด
**ทวนทะลวงศึก
**เกาทัณฑ์รันทด
**กระบองเทิดฟ้า
**เศียรหมู่มังกร
**คู่อริใต้หล้า
*ชุด พยากรณ์ประกาศิต
**พยากรณ์ประกาศิต เล่ม 1
***มัจจุราชมืด
***โฉมสะคราญมากสีสัน
**พยากรณ์ประกาศิต ตอน อานุภาพฟ้า เล่ม 2
***อานุภาพฟ้า
***แพทย์เหนือแพทย์
**พยากรณ์ประกาศิต ตอน เงากระบี่บุปผาร่วง เล่ม 3
***เงากระบี่บุปผาร่วง (คิ้วขนนกเขียว)
***นิ้วมือของคนตาย
***ศาลเจ้าลมหิมะ
***บันทึกรอยดาบ
**ได้รับสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ศึกเทพพยากรณ์พิชิตมาร
*ชุด ผู้หาญกล้าภูษาขาว
**ผู้หาญกล้าภูษาขาว เล่ม 1
***มังกรผงาดพยัคฆ์ผยอง
***ตึกทดสอบกระบี่
***ศึกสะท้านเชียงอัน
**ผู้หาญกล้าภูษาขาว เล่ม 2
***ธวัชใหญ่ตะวันรอน
***หิมะน้อยชายแดนใต้
*โฉมสะคราญ ปณิธาน จอมคน หรือ จอมยุทธ์โฉมสะคราญ
*กวีในดงดาบ
*จริยวีรชน
หมวดหมู่:นักเขียนนิยายกำลังภายใน |
1853 | https://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีระบบควบคุม | ทฤษฎีระบบควบคุม | ระบบควบคุมมีความสำคัญอย่างมากในการปล่อยจรวดและยานอวกาศ
ทฤษฎีระบบควบคุม () เป็นสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ในที่นี้ การควบคุมหมายถึง การควบคุมระบบพลศาสตร์ ให้มีค่าเอาต์พุตที่ต้องการ โดยการป้อนค่าอินพุตที่เหมาะสมให้กับระบบ ตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไป เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิห้องของเครื่องปรับอากาศ หรือ แม้แต่ลูกลอยในโถส้วม ที่เปิดน้ำปิดน้ำโดยอัตโนมัติเมื่อน้ำหมดและน้ำเต็ม
การควบคุมการขับเคลื่อนยานพาหนะ เช่น รถยนต์ ก็ถือเป็นการควบคุมชนิดหนึ่ง โดยผู้ขับขี่เป็นผู้ควบคุมทิศทางและความเร็ว ซึ่งระบบควบคุมประเภทที่ต้องมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องนี้ถือว่าเป็น ระบบควบคุมไม่อัตโนมัติ (manual control) แต่ทฤษฎีระบบควบคุมจะครอบคลุมเฉพาะการวิเคราะห์และออกแบบ ระบบควบคุมอัตโนมัติ (automatic control) เท่านั้น เช่น ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (cruise control)
ระบบควบคุมยังอาจแบ่งออกได้เป็นระบบควบคุมวงเปิด (open-loop control) คือ ระบบควบคุมที่ไม่ได้ใช้สัญญาณจากเอาต์พุต มาบ่งชี้ถึงลักษณะการควบคุม ส่วนระบบควบคุมวงปิด (closed-loop control) หรือ ระบบป้อนกลับ (feedback control) นั้นจะใช้ค่าที่วัดจากเอาต์พุต มาคำนวณค่าการควบคุม นอกจากนี้ยังอาจแบ่งได้ตามคุณลักษณะของระบบ เช่น เป็นเชิงเส้น (linear) / ไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinear) , แปรเปลี่ยนตามเวลา (time-varying) / ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา (time-invariant) และเวลาต่อเนื่อง (Continuous time) / เวลาไม่ต่อเนื่อง (Discontinuous time)
== ประวัติศาสตร์และการพัฒนาของทฤษฎีระบบควบคุม ==
=== ระบบควบคุมในยุคโบราณ ===
แสดงหลักการทำงานของ[[ลูกเหวี่ยงหนีศูนย์กลางที่เมื่อเครื่องจักรหมุนเร็วเกินกว่าค่าที่ต้องการลูกตุ้มจะเบนออกจากแกนกลางส่งผลให้ลิ้นควบคุมไอน้ำปล่อยไอน้ำน้อยลง ในทางกลับกันถ้าเครื่องยนต์หมุนช้าเกินไปลูกตุ้มจะหุบเข้าหาแกนกลางส่งผลให้ลิ้นควบคุมไอน้ำปล่อยไอน้ำเข้าสู่เครื่องจักรมากขึ้น]]
[[ลูกลอย (ballcock) การป้อนกลับเชิงลบรูปแบบหนึ่งที่ใช้ในการควบคุมระดับน้ำในถังเก็บน้ำ เช่น ถังเก็บน้ำบนชักโครก]]
การใช้ระบบควบคุมวงปิด นั้นมีมาแต่โบราณกาล ตัวอย่างเช่น นาฬิกาน้ำของกรีก ซึ่งมีการใช้ลูกลอยในการควบคุมระดับน้ำในถัง อุปกรณ์ที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของการใช้ระบบควบคุมป้อนกลับในวงการอุตสาหกรรม ก็คือ ลูกเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (centrifugal governor หรือเรียก fly-ball governor) ในการควบคุมความเร็วในการหมุน เครื่องจักรไอน้ำที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย เจมส์ วัตต์ ในปี ค.ศ. 1788
=== จุดกำเนิดของทฤษฎีระบบควบคุม ===
; แบบจำลองคณิตศาสตร์ของระบบควบคุม :
ในยุคก่อนหน้านี้ การออกแบบระบบควบคุมต่าง ๆ นั้น เป็นไปในลักษณะลองผิดลองถูก ไม่ได้มีการใช้คณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์ ออกแบบแต่อย่างใด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1840 นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ จอร์จ แอรี ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ควบคุมทิศทางของกล้องดูดาว โดยอุปกรณ์นี้จะหมุนกล้องดูดาว เพื่อชดเชยกับการหมุนของโลกโดยอัตโนมัติ ในระหว่างการออกแบบ แอรีได้สังเกตถึงความไม่เสถียร (instability) ของระบบป้อนกลับ จึงใช้สมการเชิงอนุพันธ์ในการจำลองและวิเคราะห์พฤติกรรมของระบบ การวิเคราะห์เสถียรภาพของระบบนี้เป็นหัวใจสำคัญของทฤษฎีระบบควบคุม
; ทฤษฎีเสถียรภาพ :
ในปี ค.ศ. 1868 เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ เป็นบุคคลแรก ที่ทำการศึกษาถึงเสถียรภาพของ ลูกเหวี่ยงหนีศูนย์กลางของ เจมส์ วัตต์ โดยใช้แบบจำลองสมการเชิงอนุพันธ์เชิงเส้น ทฤษฎีเสถียรภาพของระบบเชิงเส้นของแมกซ์เวลล์นี้ พิจารณาเสถียรภาพของระบบจาก รากของสมการคุณลักษณะ (characteristic equation) ของระบบ ต่อมาในปี ค.ศ. 1892 เลียปูนอฟได้ทำการศึกษาถึงเสถียรภาพของระบบไม่เป็นเขิงเส้น และสร้างทฤษฎีเสถียรภาพของเลียปูนอฟ (Lyapunov stability) แต่ทฤษฎีของเลียปูนอฟนี้เป็นทฤษฎีที่สำคัญที่ไม่ได้รับความสนใจ จนกระทั่งหลายสิบปีต่อมา
=== ระบบควบคุมแบบดั้งเดิม ===
: ระบบควบคุมแบบดั้งเดิม () หมายถึง ระบบควบคุมที่ออกแบบและวิเคราะห์บนโดเมนความถี่ (หรือโดเมนการแปลงฟูรีเย) และโดเมนการแปลงลาปลาส โดยการใช้แบบจำลองในรูปของ ฟังก์ชันส่งผ่าน (transfer function) โดยไม่ได้ใช้ข้อมูลรายละเอียดของไดนามิกส์ภายในของระบบ (internal system dynamic)
พัฒนาการของทฤษฎีระบบควบคุมในช่วงนี้นั้น ส่วนใหญ่พัฒนาขึ้นเพื่อประยุกต์ใช้งานในทางทหารและทางระบบสื่อสาร อันเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง และ การขยายตัวของโครงข่ายสื่อสารโทรศัพท์
; พัฒนาการเพื่อใช้งานในระบบโครงข่ายโทรศัพท์ :
ในช่วงยุคที่มีการขยายตัวของระบบสื่อสารโทรศัพท์นั้น ระบบสื่อสารทางไกลมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ขยายสัญญาณด้วยหลอดสุญญากาศ ในปี ค.ศ. 1927 แนวความคิดและประโยชน์ของระบบป้อนกลับแบบลบ ได้ถูกนำเสนอในรูปของ อุปกรณ์ขยายสัญญาณป้อนกลับแบบลบ (negative feedback amplifier) โดย เอช. เอส. แบล็ก แต่การวิเคราะห์เสถียรภาพของระบบขยายสัญญาณตามทฤษฎีของแมกซ์เวลล์ โดยใช้วิธีของ เราท์-ฮิวรวิทซ์ (Routh-Hurwitz) นั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความซับซ้อนของระบบ วิศวกรสื่อสารของ Bell Telephone Laboratories จึงได้นำเสนอการวิเคราะห์บนโดเมนความถี่ โดยในปี ค.ศ. 1932 แฮร์รี่ ไนควิสต์นำเสนอ เกณฑ์เสถียรภาพของไนควิสต์ (Nyquist stability criterion) ซึ่งใช้วิธีการพล็อตกราฟเชิงขั้ว ของผลตอบสนองความถี่ตลอดวงรอบ (loop frequency response) ของระบบ ต่อมาในปี ค.ศ. 1940 เฮนดริค โบดีได้นำเสนอวิธีการวิเคราะห์เสถียรภาพโดยขอบเขตอัตราขยาย (gain margin) และขอบเขตมุม (phase margin) จากกราฟระหว่างขนาดและมุม (phase) ของผลตอบสนองความถี่ เรียกว่า โบดีพล็อต (Bode plot)
; พัฒนาการเพื่อการใช้งานทางด้านการทหาร :
ปัญหาหลายปํญหาในทางหทาร เช่น ปัญหาการนำร่องการเดินเรืออัตโนมัติ ปัญหาการเล็งเป้าโดยอัตโนมัติ นั้นเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดการพัฒนาการทางทฤษฎีระบบควบคุมที่สำคัญหลายอย่าง ในปี ค.ศ. 1922 มินอร์สกี (N. Minorsky) ได้กำหนดและวิเคราะห์กฎของ ระบบควบคุมพีไอดี หรือ สัดส่วน-ปริพันธ์-อนุพันธ์ (proportional-integral-derivative) ซึ่งยังเป็นที่นิยมใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เพื่อใช้ในการนำร่องการเดินเรือ ปัญหาที่สำคัญในช่วงนั้นคือ การเล็งเป้าของปืนจากเรือหรือเครื่องบิน ซึ่งในปี ค.ศ. 1934 ฮาเซน (H.L. Házen) ได้บัญญัติคำสำหรับประเภทปัญหาการควบคุมกลไกนี้ว่า กลไกเซอร์โว (servomechanisms) การวิเคราะห์และออกแบบนั้นก็ใช้วิธีการบนโดเมนความถี่ จนกระทั่งในปีค.ศ. 1948 อีแวนส์ (W. R. Evans) ซึ่งทำงานกับปัญหาทางด้านการนำร่องและควบคุมเส้นทางบิน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นระบบที่ไม่เสถียร ได้ประสบกับปํญหาการวิเคราะห์เสถียรภาพบนโดเมนของความถี่ จึงได้หันกลับไปศึกษาถึงรากของสมการคุณลักษณะ ซึ่งเป็นวิธีการวิเคราะห์บนโดเมนการแปลงลาปลาส และได้พัฒนาวิธี ทางเดินราก (root locus) ในการออกแบบระบบ
=== ระบบควบคุมสมัยใหม่ ===
แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของ[[เพนดูลัมผกผันสามารถประยุกต์ใช้กับระบบควบคุมการทรงตัวของพาหนะอย่าง เซกเวย์ (Segway) ได้]]
อุปกรณ์ที่ต้องการความแม่นยำและความละเอียดสูงอย่างหัวอ่านข้อมูลของ[[ฮาร์ดดิสก์ จำเป็นที่จะต้องมีการออกแบบตัวควบคุมที่มีประสิทธิภาพ ทนทานต่อการรบกวนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น การสั่นสะเทือน, ผลกระทบจากกระแสไฟฟ้าในระบบเกิน เป็นต้น]]
ระบบควบคุมสมัยใหม่ () หมายถึง ระบบควบคุมที่ไม่ได้ใช้เทคนิคในการออกแบบแบบดั้งเดิม คือ จากรากของสมการคุณลักษณะ และอยู่บนโดเมนความถี่ แต่เป็นการออกแบบ โดยมีพื้นฐานจากแบบจำลองสมการอนุพันธ์ของไดนามิกส์ของระบบ และเป็นการออกแบบอยู่บนโดเมนเวลา
แรงผลักดันของพัฒนาการจากระบบควบคุมแบบดั้งเดิม มาสู่ระบบควบคุมสมัยใหม่นี้ มีอยู่หลัก ๆ สองประการคือ
ข้อจำกัดของระบบควบคุมแบบดั้งเดิมต่องานด้านอวกาศยาน :
จากความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสปุตนิก 1 ของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1957 นั้นกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวของการประยุกต์ใช้งานทางด้านอวกาศยาน ความสำเร็จของโซเวียตนั้นเนื่องมาจากพัฒนาการทางด้านทฤษฎีระบบควบคุมแบบไม่เป็นเชิงเส้น ซึ่งไม่ได้รับความสนใจมากนักจากประเทศตะวันตก เนื่องจากความล้มเหลวในการใช้เทคนิคต่าง ๆ ของระบบควบคุมแบบดั้งเดิม กับงานด้านอวกาศยาน ซึ่งระบบส่วนใหญ่นั้น เป็นระบบหลายตัวแปรแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinear multivariable system) จึงมีการหันกลับมาพิจารณาการวิเคราะห์จากปัญหาดั้งเดิม ในรูปของแบบจำลองสมการอนุพันธ์ของระบบ
การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์กับงานระบบควบคุม :
พัฒนาการของคอมพิวเตอร์ มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีต่าง ๆ ของระบบควบคุม เนื่องจากทำให้สามารถสร้างอุปกรณ์ควบคุมที่สามารถทำงานซับซ้อนได้ รวมทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณในการออกแบบกฎของการควบคุม ดังนั้นจึงมีการพัฒนาระบบควบคุมแบบต่าง ๆ ขึ้นอย่างมากมาย
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีการพัฒนาทฤษฎีระบบควบคุม จากหลายแง่มุม
จากความพยายามในการใช้คอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นดิจิทัล เพื่อการควบคุมระบบซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นระบบอนาล็อก จึงส่งผลให้มีการพัฒนาทางทฤษฎีระบบควบคุมดิจิทัล () โดยในปี ค.ศ. 1952 จอห์น รากัซซินี (J.R. Ragazzini) , แฟรงคลิน (G Franklin) และ ซาเดห์ (L.A. Zadeh ผู้คิดค้นฟัซซี่ลอจิก) ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้พัฒนาทฤษฎีระบบแบบชักข้อมูล (sampled data systems) ขึ้น การใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมกระบวนการในอุตสาหกรรมนั้น ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1959 ที่ โรงกลั่นน้ำมัน พอร์ต อาเธอร์ (Port Arthur) ในรัฐเท็กซัส
นอกจากนั้นแล้วแนวความคิดของการควบคุมที่ซับซ้อนขึ้นโดยมีการรวม ข้อกำหนดความต้องการทางด้านประสิทธิภาพ (performance) ในการออกแบบระบบควบคุม ซึ่งเรียกว่า ระบบควบคุมแบบเหมาะสมที่สุด (optimal control) รากฐานของทฤษฎีระบบควบคุมแบบเหมาะสมที่สุดนี้มีมายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1696 จาก หลักของความเหมาะสมที่สุด (principle of optimality) ในปัญหา บราคิสโตโครน (Brachistochrone curve) และ แคลคูลัสของการแปรผัน (Calculus of variations) ในปีค.ศ. 1957 ริชาร์ด เบลแมน ได้ประยุกต์ใช้วิธีการกำหนดการพลวัตของเขาในการแก้ปัญหาระบบควบคุมแบบเหมาะสมที่สุด แบบเวลาไม่ต่อเนื่อง ต่อมาในปีค.ศ. 1958 พอนเทรียกิน (L.S. Pontryagin) ได้พัฒนา หลักการมากที่สุด (maximum principle หรือบางครั้งก็เรียก minimum principle) สำหรับแก้ปัญหาในรูปของแคลคูลัสของการแปรผัน แบบเวลาต่อเนื่อง
[[ตัวกรองคาลมานนำร่อง ลูนาร์โมดูล ของ อพอลโล่ 11 สู่พื้นผิวดวงจันทร์]]
การสังเกตถึงผลกระทบของสัญญาณรบกวนต่อประสิทธิภาพของระบบควบคุมนั้นมีมาตั้งแต่ในช่วงระบบควบคุมยุคดั้งเดิม เช่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในการพัฒนาระบบควบคุมสำหรับเรดาร์ติดเครื่องบิน เพื่อควบคุมการยิง ที่ ห้องทดลองเรดิเอชัน (Radiation Lab) ที่ เอ็มไอที, ฮอลล์ (A.C. Hall) ได้ประสบปัญหาในการออกแบบ เขาได้สังเกตถึงผลกระทบจากการออกแบบที่ไม่ได้คำนึงถึงสัญญาณรบกวนต่อประสิทธิภาพของระบบ ถึงแม้ว่าจะมีการคำนึงถึงผลกระทบของสัญญาณรบกวน แต่ก็ไม่ได้มีการใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของสัญญาณรบกวนในการวิเคราะห์แต่อย่างใด จนกระทั่ง นอร์เบิร์ต วีนเนอร์ ได้จำลองสัญญาณรบกวน โดยใช้แบบจำลองกระบวนการสตอแคสติก หรือ แบบจำลองทางสถิติ แบบเวลาต่อเนื่อง ในการพัฒนาระบบเล็งเป้าและควบคุมการยิงปืนต่อต้านอากาศยาน โดยใช้ข้อมูลจากเรดาร์ ซึ่งงานของเขาได้ถูกเก็บเป็นความลับ จนถึงปี ค.ศ. 1949 ในช่วงเดียวกันในปี ค.ศ. 1941 คอลโมโกรอฟ ก็ได้ทำการพัฒนาแบบจำลองสำหรับระบบเวลาไม่ต่อเนื่องขึ้น ระบบควบคุมที่ใช้แบบจำลองสคอแคสติกนี้ในการวิเคราะห์ จะเรียกว่า ระบบควบคุมสตอแคสติก (Stochastic control)
การวิเคราะห์และควบคุมระบบบนโดเมนเวลา โดยใช้แบบจำลองตัวแปรสถานะ หรือ แบบจำลองปริภูมิสถานะ (state space) นั้นเป็นหัวใจของทฤษฎีระบบควบคุมสมัยใหม่ รูดอล์ฟ อีมิว คาลมาน และ Bellman นั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีระบบควบคุมโดยใช้แบบจำลองตัวแปรสถานะนี้ โดยที่ในปี ค.ศ. 1960 คาลมานได้นำทฤษฎีเสถียรภาพของเลียปูนอฟมาใช้ในการออกแบบระบบ ซึ่งเป็นผลให้ผลงานของเลียปูนอฟกลับมาได้รับความสนใจ นอกจากนี้แนวทางใหม่นี้ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของตัวระบบได้ ได้แก่ สภาพควบคุมได้ (controllability) สภาพสังเกตได้ (observability) ผลสัมฤทธิ์เล็กสุดเฉพาะกลุ่ม (minimal realization) และยังนำไปสู่การออกแบบตัวควบคุมแบบใหม่ เช่น การวางขั้ว (pole placement) ตัวควบคุมอิงตัวสังเกต (observer-based controller) และตัวควบคุมกำลังสองเชิงเส้นเหมาะที่สุด (optimal linear quadratic regulator) คาลมานได้พัฒนาวิธีการออกแบบระบบควบคุมแบบเหมาะสมที่สุด จากแบบจำลองปริภูมิสถานะ ในรูปของปัญหาระบบเชิงเส้นคงค่าแบบเหมาะสมที่สุดตามสมการกำลังสอง หรือ LQR (linear quadratic regulator) ในปีเดียวกันนี้ คาลมานได้นำเสนอผลงานของเขาในการประยุกต์ใช้แบบจำลองตัวแปรสถานะนี้เข้ากับแนวความคิดทางด้านสตอแคสติกของวีนเนอร์ และคิดค้นสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ ตัวกรองคาลมาน (Kalman filter) ขึ้นมา โดยการใช้งานจริงครั้งแรกของตัวกรองคาลมาน นั้นได้ถูกประยุกต์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนำร่องในโครงการอพอลโล ตั้งแต่นั้นมาตัวกรองคาลมานก็ได้ถูกประยุกต์ใช้งานอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
ในปัจจุบันแนวทางการวิเคราะห์และควบคุมระบบบนโดเมนเวลา โดยใช้แบบจำลองตัวแปรสถานะสามารถประยุกต์ใช้ได้กับงานวิศวกรรมห้วงอากาศอวกาศ (aerospace engineering) การควบคุมกระบวนการ (process control) และเศษฐมิติ (econometrics)
== ประเภทของปัญหาระบบควบคุม ==
ปัญหาของทฤษฎีระบบควบคุมนั้น สามารถแยกออกได้เป็นประเภทใหญ่ 2 ประเภท คือ
# ปัญหาระบบคงค่า (regulator problem) คือ ปัญหาที่มีจุดประสงค์ของการควบคุม ให้เอาต์พุตของระบบมีค่าคงที่ ต้านทานการรบกวน (disturbance) ที่เข้ามาในระบบ และมีผลทำให้ระบบเปลี่ยนแปลง
# ปัญหาระบบปรับค่าตาม (tracking หรือ servo problem) คือ ปัญหาที่มีจุดประสงค์ของการควบคุม ให้เอาต์พุตมีค่าเท่ากับสัญญาณอ้างอิง เมื่อสัญญาณอ้างอิงเปลี่ยนไป ระบบควบคุมจะทำการปรับให้ สัญญาณเอาต์พุตมีค่าตามสัญญาณอ้างอิง
== ประเภทของระบบ ==
เราอาจจะสามารถจำแนกประเภทของระบบได้หลายแบบตามแต่เงื่อนไขในการจำแนกระบบที่ใช้ แต่ในบริบทของทฤษฎีระบบควบคุมนั้น เรามักจำแนกระบบตามภาวะเชิงเส้น, การแปรเปลี่ยนตามเวลา และความต่อเนื่องโดเมนเวลา ดังต่อไปนี้ คือ
=== จำแนกตามภาวะเชิงเส้น ===
==== ระบบเชิงเส้น ====
ระบบเชิงเส้น (Linear Systems) คือระบบที่มีภาวะเชิงเส้น (Linearity) กล่าวคือ ถ้าให้ x_1 (t), x_2 (t) เป็นสัญญาณขาเข้าของระบบ และ y_i (t) = H \left \{ x_i (t) \right \} โดยที่ i \in \{1, 2\}เป็นสัญญาณขาออก ถ้าระบบมีภาวะเชิงเส้นแล้วจะต้องสอดคล้องกับคุณสมบัติดังนี้
: \alpha y_1 (t) + \beta y_2 (t) = H \left \{ \alpha x_1 (t) + \beta x_2 (t) \right \}
\forall \alpha, \beta \in \mathbb R \,
หมายเหตุ: เราเรียกหลักการข้างต้นว่าหลักการซ้อนทับ (superposition)
==== ระบบไม่เชิงเส้น ====
ระบบไม่เชิงเส้น (Nonlinear Systems) คือระบบที่ไม่มีสมบัติภาวะเชิงเส้นดังกล่าว
=== จำแนกตามการแปรเปลี่ยนตามเวลา ===
==== ระบบไม่แปรเปลี่ยนตามเวลา ====
ระบบไม่แปรเปลี่ยนตามเวลา (Time-invariant system) คือระบบที่คุณสมบัติของระบบไม่เปลี่ยนไปเมื่อเวลาเปลี่ยนไป กล่าวคือ สมมุติว่าไม่มีความล่าช้าเกิดขึ้นในระบบ (ระบบรับสัญญาณขาเข้าแล้วสามารถให้สัญญาณขาออกได้ในทันที) ถ้าป้อนสัญญาณขาเข้า x (t) ที่เวลา t จะได้สัญญาณขาออกเป็น y (t) ที่เวลา t ดังนั้นหากป้อนสัญญาณขาเข้าเดิมที่เวลา t + \delta นั้นคือ x (t + \delta) สัญญาญาณขาออกผลลัพธ์ก็ต้องเป็น ค่าเดิม คือ y (t + \delta) เพียงแต่จะปรากฏที่เวลา t + \delta ตามเวลาที่ป้อนสัญญาณขาเข้า x (t + \delta)
==== ระบบแปรเปลี่ยนตามเวลา ====
ระบบแปรเปลี่ยนตามเวลา (Time-variant system) คือระบบที่จะปลี่ยนแปลงคุณสมบัติไปตามเวลา กล่าวคือ ถ้าป้อนสัญญาณขาเข้า x (t) ที่เวลา t แล้วจะได้สัญญาณขาออกเป็น y (t) ที่เวลา t ดังนั้นหากป้อนสัญญาณขาเข้าเดิมที่เวลา t + \delta นั้นคือ x (t + \delta) สัญญาณขาออกผลลัพธ์ จะไม่ได้ค่าเดิม คือ y (t + \delta) แต่จะเป็นค่าอื่นเพราะในช่วงเวลา \delta นั้นระบบได้เปลี่ยนคุณสมบัติไปแล้ว
=== จำแนกตามความต่อเนื่องโดเมนเวลา ===
==== ระบบเวลาต่อเนื่อง ====
ระบบเวลาต่อเนื่อง (Continuous time systems) คือระบบที่มีโดเมนเวลาเป็นสมาชิกเซตของจำนวนจริง กล่าวคือ t \in \ \mathbb R \,
==== ระบบเวลาวิยุต ====
ระบบเวลาวิยุต หรือ ระบบเวลาไม่ต่อเนื่อง (Discontinuous time systems) คือระบบที่มีโดเมนเวลาเป็นสมาชิกเซตของจำนวนเต็ม (แม้ในบางครั้ง อาจจะไม่ใช้จำนวนเต็ม แต่ ถ้ากล่าวโดยไม่เสียนัยยะความเป็นทั่วไป เราสามารถแทนจำนวนเหล่านั้นที่แม้ไม่ใช้จำนวนเต็มได้ด้วย ดัชนีเวลา (time index) ที่เป็นจำนวนเต็มได้เสมอ) กล่าวคือ t \in \ \mathbb Z \,
:หมายเหตุ เรามักจะใช้อักษร n หรือ k แทน t ในกรณีที่เป็นเวลาวิยุต
==== ระบบผสม ====
ระบบผสม (Hybrid systems) คือระบบที่โดเมนของเวลาต่อเนื่องเป็นช่วง ๆ กล่าวคือ มีทั้งช่วงที่ต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่องในโดเมนของเวลา ตัวอย่างของระบบที่ศึกษากันคือ ระบบเชิงเส้นกระโดดแบบมาร์คอฟ (Markovian jump linear system : MJLS)
ในกรณีที่เป็น ระบบเชิงเส้นกระโดดแบบมาร์คอฟและเวลาไม่ต่อเนื่อง ระบบจะมีแบบจำลองดังต่อไปนี้
r (k) \in \{ 1, 2, 3, ...m\} เป็นตัวแปรสถานะของกระบวนการมาร์คอฟ (Markov process) ที่มีความน่าจะเป็นในการเปลี่ยนสถานะเป็น Prob (r (k + 1) = j|r (k) = i) = q_{ij}
และเมทริกซ์ของระบบแปรเปลี่ยนขึ้นกับ r (k)
w (k) เป็นสัญญาณรบกวนที่มีต่อตัวระบบ
v (k) เป็นสัญญาณรบกวนที่มีการสังเกต (สัญญาณขาออก)
ส่วน x (k), y (k), A, B, C, D, F จะนิยามในส่วนของแบบจำลองปริภูมิสถานะ ต่อไป
== ทฤษฎีระบบควบคุมแบบดั้งเดิม ==
=== ระบบควบคุมวงปิด ===
เนื่องจากระบบควบคุมแบบวงเปิดมีปัญหาด้านเสถียรภาพของระบบเพราะไม่มีการป้อนกลับของสัญญาณขาออก ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานหลายอย่าง จึงมีความต้องการที่จะออกแบบระบบควบคุมที่สามารถตรวจจับความคลาด
เคลื่อนระหว่างสัญญาณขาออกและสัญญาณอ้างอิงได้ จึงได้มีการคิดค้นระบบควบคุมแบบป้อนกลับ (Feedback control systems) หรือระบบควบคุมแบบวงปิด (Closed loop control systems) ขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิด
ขึ้นกับระบบควบคุมแบบวงเปิด โดยมีโครงสร้างดังในรูป
center|หลักการควบคุมป้อนกลับ (Feedback control systems) เป็นหลักการพื้นฐานที่ใช้ในการควบคุมระบบพลวัตอย่างแพร่หลาย ในภาพเป็นการป้อนกลับแบบลบ (Negative feedback) เพราะสัญญาณจากเซนเซอร์ (Measured error) จะถูกนำไปหักล้างจากสัญญาณอ้างอิง (Reference input) เพื่อที่จะทำไปสร้างสัญญาณความคลาดเคลื่อน (Measured error) (ผลต่างระหว่างค่าที่ผู้ออกแบบต้องการและสัญญาณจากตัวตรวจจับ (Sensor) ) ซึ่งจะนำไปป้อนสู่ตัวควบคุม (Controller) และตัวควบคุมจะสร้างสัญญาณควบคุม (System input หรือ Control signal) ป้อนสู่ระบบพลวัต (Plant, Dynamic systems) หลังจากนั้นจะนำสัญญาณขาออกของระบบพลวัต (ที่วัดได้จากตัวตรวจจับ) มาป้อนสู่ระบบป้อนกลับต่อไปเช่นนี้เรื่อย ๆ
ระบบควบคุมแบบป้อนกลับมีความได้เปรียบเหนือกว่าระบบควบคุมแบบวงเปิด ดังต่อไปนี้
* สามารถกำจัดการรบกวนได้ (อาทิ เช่น ผลจากแรงเสียดทานที่ไม่ได้รวมอยู่ในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบ)
* สามารถรับประกันสมรรถนะได้มากขึ้นแม้กับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่มีตัวแปรที่มีความไม่แน่นอนอยู่ด้วย (อาทิ เช่น กรณีที่ผลจากการที่แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่สามารถอธิบายระบบได้อย่างสมบรูณแบบ)
* ระบบที่ไม่มีเสถียรภาพโดยธรรมชาติอยู่แล้วสามารถทำให้มีเสถียรภาพได้หากติดตั้งตัวควบคุมที่เหมาะสม
* ระบบมีความคงทนต่อความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นแม้ในกรณีที่พารามิเตอร์ของระบบมีการเปลี่ยนแปลง
* ระบบสามารถปรับค่าสัญญาณขาออกตามสัญญาณอ้างอิงได้ดีมากขึ้นในปัญหาระบบปรับค่าตาม
ในบางระบบ ระบบควบคุมแบบวงปิดและวงเปิดจะใช้ควบคู่กัน โดยที่ในกรณีนี้ระบบวงเปิดจะเรียกว่า feedforward
=== ฟังก์ชันส่งผ่านของระบบวงปิด ===
center|A simple feedback control loop
ฟังก์ชันส่งผ่าน (transfer function) คือความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ที่ใช้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณขาออก (output signal) ต่อสัญญาณขาเข้า (input signal)
โดยฟังก์ชันส่งผ่านสามารถหาได้จากความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้
สมมุติให้ ตัวควบคุม C, ระบบพลวัต P, ตัวตรวจจับ F เป็นเชิงเส้น และ ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา (ฟังก์ชันส่งผ่านของ C (s) , P (s) , and F (s) ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา) และในที่นี้เราจะพิจารณาผลการแปลงการแปลงลาปลาสของฟังก์ชันส่งผ่านย่อย ๆ กล่าวคือ ฟังก์ชันส่งผ่านของ C (s) , P (s) , and F (s) ซึ่งการหาฟังก์ชันส่งผ่านหาได้ดังนี้
ระบบควบคุมแบบสัดส่วน-ปริพันธ์-อนุพันธ์ (PID controller) เป็นระบบควบคุมแบบป้อนกลับที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งค่าที่นำไปใช้ในการคำนวณเป็นค่าความผิดพลาดที่หามาจากความแตกต่างของตัวแปรในกระบวนการและค่าที่ต้องการ ตัวควบคุมจะพยายามลดค่าผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการปรับค่าสัญญาณขาเข้าของกระบวนการ ค่าตัวแปรของ PID ที่ใช้จะปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติของระบบ]]
ตัวควบคุมพีไอดี หรือ ตัวควบคุมแบบสัดส่วน-ปริพันธ์-อนุพันธ์ เป็นตัวควบคุมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงและใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยในปัจจุบันยังมีการใช้งานในแวดวงอุตสาหกรรม จนไปถึงยานอวกาศ ทั้งนี้เพราะเป็นตัวคบคุมที่มีใช้งานกันมานานและจนได้รับความไว้วางในแง่ของประสิทธิภาพ อีกทั้งแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของมันก็เรียบง่ายและง่ายต่อการนำไปติดตั้ง
ตัวควบคุมพีไอดีมีแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ดังต่อไปนี้
กำหนดให้ u (t) คือสัญญาณควบคุมที่จะส่งให้ตัวระบบ
และ y (t) คือสัญญาณขาออกที่ถูกวัดมาได้
และ r (t) คือสัญญาณอ้างอิง
สัญญาณความคลาดเคลื่อนคือ e (t) =r (t) - y (t) ดังนั้น
สมรรถนะและเสถียรถาพของระบบจะถูกกำหนดโดยการปรับแต่งค่าพารามิเตอร์สามตัว คือ K_P, K_I และ K_D นอกเหนือจากการปรับแต่งค่าเหล่านี้หลังจากการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ของตัวระบบแล้ว ในทางปฏิบัติ ยังนิยมปรับแต่งค่าโดยใช้หลักการของ Ziegler-Nichols หรือใช้ประสบการณ์ของวิศวกร โดยที่เสถียรภาพของระบบมักขึ้นอยู่กับพารามิเตอร์ K_P แต่เพียงอย่างเดียว ส่วน K_I มักส่งผลในแง่ของความคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงฉับพลันต่อตัวระบบ และ K_D มักเกี่ยวกับรูปร่างของผลตอบสนอง
เมื่อพิจารณาบนโดเมนการแปลงลาปลาส จะได้ว่า
: u (s) = K_P e (s) + K_I \frac{1}{s} e (s) + K_D s e (s)
: u (s) = (K_P + K_I \frac{1}{s} + K_D s) e (s)
โดยจะเห็นได้ว่าฟังกชั่นส่งผ่านของตัวควบคุมพีไอดีคือ
: C (s) = (K_P + K_I \frac{1}{s} + K_D s).
แม้ระบบควบคุมแบบดั้งเดิมที่ใช้ตัวควบคุมพีไอดีจะมีความสามารถที่ถูกปรับปรุงดีขึ้นมากกว่าระบบควบคุมแบบเปิดมาก แต่ก็ยังเหมาะแค่กับระบบที่มีสัญญาณเข้าทางเดียวและสัญญาณขาออกทางเดียว (Single-Input and Single-Output or SISO) และยังไม่สามารถใช้ควบคุมระบบที่มีความซับซ้อนสูงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่มีสัญญาณขาเข้าหลายทางและสัญญาณขาออกหลายทาง (Multiple-Input and Multiple-Output or MIMO)
== ทฤษฎีระบบควบคุมสมัยใหม่ ==
ระบบพลวัตส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมที่สามารถใช้สมการอนุพันธ์อันดับใด ๆ มาอธิบายได้ ในขณะเดียวกันสมการเชิงอนุพันธ์อันดับใด ๆ ก็สามารถลดอันดับให้เหลือเพียงสมการเชิงอนุพันธ์อันดับหนึ่งได้ จากความจริงตรงนี้จึงได้มีการเสนอวิธีการใหม่ในการวิเคราะห์และควบคุมระบบ ซึ่งจะวิเคราะห์บนโดเมนเวลาและได้มีการนำแบบจำลองปริภูมิสถานะ (state space) มาใช้ซึ่งจะอยู่ในรูปของสมการอนุพันธ์อันดับหนึ่งและแตกต่างจากระบบควบคุมแบบดั้งเดิมที่นิยมวิเคราะห์พฤติกรรมของระบบบนโดเมนความถี่ นอกจากนี้การนำแบบจำลองปริภูมิสถานะมาใช้ทำให้เราสามารถสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับระบบแบบสัญญาณขาเข้าหลายทางสัญญาณขาออกหลายทาง (MIMO) ได้โดยการกำหนดมิติของตัวแปรในสมการปริภูมิสถานะอย่างเหมาะสม
=== แบบจำลองปริภูมิสถานะ(state space) ===
==== กรณีระบบเชิงเส้น ====
กำหนดให้ระบบพลวัตมี p สัญญาณขาเข้า q สัญญาณขาออก และ n ตัวแปรสถานะ
สมการปริภูมิสถานะคือ:
: A (\cdot) คือ เมทริกซ์ของตัวแปรสถานะ หรือ เมทริกซ์พลวัต (state matrix, dynamics matrix) , \operatorname{dim}[A (\cdot)] = n \times n,
: B (\cdot) คือ เมทริกซ์ขาเข้า (input matrix) , \operatorname{dim}[B (\cdot)] = n \times p,
: C (\cdot) คือ เมทริกซ์ขาออก (output matrix) , \operatorname{dim}[C (\cdot)] = q \times n,
: D (\cdot) คือ เมทริกซ์ป้อนผ่าน (feedthrough (or feedforward) matrix) (ในกรณีที่ระบบไม่มีการป้อนสัญญาณขาเข้า, D (\cdot) เป็นเมทริกซ์ศูนย์), \operatorname{dim}[D (\cdot)] = q \times p,
โดยทั่วไปแล้ว เมทริกซ์ข้างต้นจะเป็นเมทริกซ์แปรผันตามเวลาได้ แต่ในกรณีเฉพาะที่ระบบไม่แปรผันตามเวลา (LTI) มักจะถูกนำมาศึกษาอยางแพร่หลายเพราะมีความซับซ้อนน้อยกว่าและเหมาะต่อการศึกษาในระดับพื้นฐาน นอกจากนี้ตัวแปรเวลาสามารถมีได้ทั้งแบบเวลาต่อเนื่อง (continuous time : t \in \mathbb{R}) และแบบเวลาวิยุต (ไม่ต่อเนื่อง) (discrete time : t \in \mathbb{Z}) โดยในกรณีของเวลาไม่ต่อเนื่องมักนิยมใช้ตัวแปร k นอกเหนื่อจากระบบแบบที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบผสมซึ่งเป็นระบบที่มีโดเมนของเวลาอยู่ทั้งบนแกนเวลาต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่อง
สมการปริภูมิสถานะ(state space equation)ข้างต้นหากพิจารณาตามโดเมนของเวลาจะมีรูปแบบต่าง ๆ กันดังต่อไปนี้ :
==== กรณีระบบไม่เชิงเส้น ====
: \mathbf{y} (t) = \mathbf{h} (t, x (t), u (t) )
=== สภาพควบคุมได้ ===
สภาพควบคุมได้ () จะบ่งบอกถึงความสามารถที่สัญญาณขาเข้าที่เป็นไปได้ (admissible inputs) จะสามารถขับเคลื่อนตัวแปรสถานะให้ไปถึงค่าใด ๆ ได้ในช่วงเวลาจำกัด (เวลาอันตะ) ไม่ว่าค่าเริ่มต้น (initial value) ของตัวแปรสถานะนั้น ๆ จะเป็นค่าอะไร ในกรณีระบบพลวัตเชิงเส้นเวลาต่อเนื่องไม่แปรผันตามเวลานั้นเงื่อนไขที่จะทำให้มีสภาพควบคุมได้ ก็ต่อเมื่อ
หมายเหตุ : ค่าลำดับขั้น (Rank) คือ ค่าซึ่งแสดงถึงจำนวนแถว (หรือหลัก) ในเมทริกซ์ที่มีความอิสระเชิงเส้น (linearly independent) ต่อกัน
=== สภาพสังเกตได้ ===
สภาพสังเกตได้ () เป็นสภาพที่บ่งบอกว่าระบบพลวัตมีความสามารถที่จะส่งผ่านข้อมูลของตัวแปรสถานะได้ดีแค่ไหนเมื่อพิจารณาจากสัญญาณขาออก สภาพควบคุมได้ และ สภาพสังเกตได้ เป็นสภาพคู่กันทางคณิตศาสตร์ (Duality) กล่าวคือ ในขณะที่ สภาพควบคุมได้ หมายถึง สภาพที่แสดงออกว่าสัญญาณขาเข้าสามารถขับเคลื่อนตัวแปรสถานะไปที่ค่าใด ๆ ที่ต้องการได้ แต่ สภาพสังเกตได้ จะเป็นสภาพที่แสดงออกถึงสัญญาณขาออก (output trajectory) จะให้ข้อมูลเพียงพอต่อการคาดคะเนค่าเริ่มต้นของตัวแปรสถานะของระบบได้
ในกรณีระบบพลวัตเชิงเส้นเวลาต่อเนื่องไม่แปรผันตามเวลานั้น เงื่อนไขที่จะทำให้มีสภาพสังเกตได้ได้ ก็ต่อเมื่อ
=== การแยกตัวประกอบคาลมาน ===
การแยกตัวประกอบคาลมาน () เป็นกระบวนการแยกส่วนประกอบของเมทริกซ์ในสมการปริภูมิสถานะของระบบเชิงเส้นไม่เปลี่ยนตามเวลา linear time-invariant (LTI) ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถจำแนกได้ว่าส่วนใดในเมทริกซ์ของระบบ มีผลต่อ สภาพสังเกตได้ และสภาพควบคุมได้ ทำให้ง่ายต่อการวิเคราะห์คุณลักษณะของระบบ
จากสมการปริภูมิสถานะของระบบข้างต้น จะเห็นได้ว่าพารามิเตอร์ที่กำหนดลักษณะของระบบ LTI สามารถเขียนโดยย่อได้เป็นเวกเตอร์ \, (A, B, C, D) ในที่นี้จะสมมุติว่าระบบมีมิติเป็น \, n.
: \, {\hat{C}} = CT
: \, {\hat{D}} = D
โดยเมทริกซ์การแปลง \, T มีมิติ \, n \times n เป็นเมทริกซ์ผกผันได้ ถูกนิยามดังต่อไปนี้ ดังต่อไปนี้:
* \, T_{r\overline{o}} เป็นเมทริกซ์ที่หลัก span ปริภูมิย่อย ของตัวแปรสถานะที่มีสถาพเข้าถึงได้ (reachable) และ ไม่มีสภาพสังเกตได้ (unobservable)
จะเห็นได้ว่าโดยการสร้งเมทริกซ์ \, T ในลักษณะข้างต้น เมทริกซ์ \, T จึงผกผันได้ เป็นที่น่าสังเกตว่าเมทริกซ์ย่อยในเมทริกซ์ \, T นั้นสามารถเป็นเมทริกซ์ศูนย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ระบบมีสภาพสังเกตได้และควบคุมได้ เมทริกซ์ \, T ลดรูปเหลือ \, T = T_{ro} โดยที่ เมทริกซ์ย่อยอื่นเป็นเมทริกซ์ศูนย์
==== รูปแบบมาตรฐาน ====
: \, \hat{D} = D
== บุคคลสำคัญในวงการทฤษฎีระบบควบคุม ==
* อเล็กซานเดอร์ มิคาอิลโลวิช เลียปูนอฟ (ค.ศ. 1857 - ค.ศ. 1918) ในคริสต์ทศวรรษ 1890 นำเสนอเรื่องทฤษฎีเสถียรภาพของเลียปูนอฟ (Lyapunov stability) ซึ่งใช้วิเคราะห์ได้ทั้งระบบเชิงเส้นและไม่เชิงเส้นและเป็นทฤษฎีเสถียรภาพหลักในแขนงวิชาระบบควบคุมที่ยังใช้กันจนถึงถูกวันนี้
* แฮโรลด์ สตีเฟน แบล็ก (ค.ศ. 1898 - ค.ศ. 1983), นำเสนอแนวคิดเรื่องการป้อนกลับแบบลบ (negative feedback amplifiers) ในปี ค.ศ. 1927 และพัฒนาตัวขยายสัญญาณป้อนกลับแบบลบที่เสถียร์ได้สำเร็จในคริสต์ทศวรรษ 1930
* แฮร์รี่ ไนควิสต์ (ค.ศ. 1889 - ค.ศ. 1976) นำเสนอเกณฑ์เสถียรภาพของไนควิสต์ (Nyquist stability criterion) ในปี ค.ศ. 1932
* ริชาร์ด เบลแมน (Richard Bellman) (ค.ศ. 1920 - ค.ศ. 1984) ได้ประยุกต์ใช้วิธีการ กำหนดการพลวัตของเขา ในการแก้ปัญหาระบบควบคุมแบบเหมาะสมที่สุด แบบเวลาไม่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1957
* อันเดรย์ คอลโมโกรอฟ (ค.ศ. 1903 - ค.ศ. 1987) พัฒนา Wiener-Kolmogorov filter ในปี ค.ศ. 1941 (ช่วงเวลาเดียวกับนอร์เบิร์ต วีนเนอร์)
* นอร์เบิร์ต วีนเนอร์ (Norbert Wiener) (ค.ศ. 1894 - ค.ศ. 1964) พัฒนา Wiener-Kolmogorov filter และนำเสนอศัพท์คำว่า cybernetics ในคริสต์ทศวรรษ 1940
* จอห์น อาร์ รากัซซินี (ค.ศ. 1912 - ค.ศ. 1988) นำเสนอระบบควบคุมแบบดิจิทัล และการแปลง z (z-transform) ในคริสต์ทศวรรษ 1950
* เลฟ พอนเทรียกิน (L.S. Pontryagin) (ค.ศ. 1908 - ค.ศ. 1988) หลักการมากที่สุด (maximum principle หรือบางครั้งก็เรียก minimum principle) สำหรับแก้ปัญหาในรูปของแคลคูลัสของการแปรผัน แบบเวลาต่อเนื่อง หลักการ แบง-แบง (bang-bang principle)
* รูดอล์ฟ อีมิว คาลมาน (ค.ศ. 1930 - ปัจจุบัน) ผู้พัฒนาตัวกรองคานมานและเป็นผู้นำเสนอแบบจำลองปริภูมิสถานะ และนำเสนอแนวคิดเรื่องสภาพควบคุมได้และสภาพสังเกตได้ มาใช้ในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบ อันเป็นการนำองค์ความรู้ของทฤษฎีระบบควบคุมไปสู่ยุคใหม่ ที่เรียกว่า ทฤษฎีระบบควบคุมสมัยใหม่
== สาขาของทฤษฎีระบบควบคุม ==
* ระบบควบคุมเชิงเส้น (linear control systems)
* ระบบควบคุมไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinear control systems)
* ระบบควบคุมดิจิทัล (digital control systems)
* ระบบควบคุมแบบเหมาะสมที่สุด (optimal control systems)
* ระบบควบคุมสตอแคสติค (stochastic control systems)
* ระบบควบคุมแบบคงทน (robust control systems)
* ระบบควบคุมแบบปรับตัวได้ (adaptive control systems)
* ระบบควบคุมแบบชาญฉลาด (intelligent control systems)
== ดูเพิ่ม ==
; ตัวอย่างการประยุกต์ทฤษฎีระบบควบคุม
* Automation
* Deadbeat Controller
* Distributed parameter systems
* Fractional order control
* H-infinity loop-shaping
* Hierarchical control system
* Model predictive control
* Process control
* Robust control
* Servomechanism
* แบบจำลองปริภูมิสถานะ
* เพนดูลัมผกผัน (Inverted pendulum)
* เพนดูลัมผกผันแบบฟูรุตะ (Furuta pendulum)
* หุ่นยนต์
* วิทยาการหุ่นยนต์
* หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์
* เมคคาทรอนิกส์
; หัวข้อที่น่าสนใจในทฤษฎีระบบควบคุม
* Dual control theory
* การประมาณค่าตัวแปรสถานะ
* Filtering problem (stochastic processes)
* linear-quadratic-Gaussian (LQG) control problem
* Coefficient diagram method
* Control reconfiguration
* Feedback
* H infinity
* Hankel singular value
* Krener's theorem
* Lead-lag compensator
* Minor loop feedback
* Radial basis function
* Root locus
* Signal-flow graphs
* Stable polynomial
* Underactuation
* ระบบควบคุมพีไอดี
* การแปลงลาปลาส
* การแปลง Z ขั้นสูง
* ฟังก์ชันเลียปูนอฟ
* สมการเลียปูนอฟ
* การป้อนกลับสถานะแบบเต็ม
* ดับเบิล อินทิเกรตเตอร์
; ดูเพิ่มเติม
* Automation and Remote Control
* Bond graph
* Control engineering
* Controller (control theory)
* Cybernetics
* Perceptual Control Theory
* Intelligent control
* Mathematical system theory
* Systems theory
* People in systems and control
* Time scale calculus
* Negative feedback amplifier
* Control-Feedback-Abort Loop
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สื่อการสอนเกี่ยวกับทฤษฎีระบบควบคุม ของ มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน
* หนังสือ Robust Adaptive Control โดย Petros A. Ioannou
* Franklin, G.F., Powel, J.D., and Emami-Naeini, A. Feedback Control of Dynamic Systems, 4thed., Prentice Hall 2002
* Aström, K.J. Control System Design chap.1 preprint 2002
* Lewis, F.L. Applied Optimal Control and Estimation Prentice Hall 1992
* Bellman, R. "Eye of The Hurricane: an autobiography" World Scientific Publishing Co Pte Ltd. 1984
* A New Approach to Linear Filtering and Prediction Problems, by R. E. Kalman, 1960
* Katsuhiko Ogata, Modern control engineering (Edition 5), Prentice Hall, 2010, ISBN 0136156738,9780136156734
* M.W. Spong and M. Vidyasagar. Dynamics and Control of Root Manipulators. John Wiley, 1989
* เดวิด บรรเจิดพงศ์ชัย, ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "ระบบควบคุมพลวัต การวิเคราะห์ การออกแบบ และการประยุกต์ (Dynamical Control Systems Analysis, Design and Applications) " สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2551 (ISBN 978-974-03-2205-4)
* วิบูลย์ แสงวีระพันธุ์ศิริ, ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "การควบคุมระบบพลศาสตร์ (Control of Dynamic Systems) " สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2548 (ISBN 974-13-3393-5)
* Kansas State University Control Lab
* MIT Lecture Note on Dynamic Systems and Control by Munther Dahleh, Mohammed Dahleh, and George Verghese
หมวดหมู่:การจัดการไซเบอร์เนติกส์
รทฤษฎีระบบควบคุม
หมวดหมู่:ทฤษฎีระบบควบคุม
หมวดหมู่:วิศวกรรมศาสตร์
หมวดหมู่:คณิตศาสตร์ |
1855 | https://th.wikipedia.org/wiki/STP | STP | อักษรย่อ STP อาจหมายถึง:
* อุณหภูมิและความดันมาตรฐาน ในวิชาเคมี หมายถึงสภาวะที่อุณหภูมิเท่ากับ 0 องศาเซลเซียส (273.15 เคลวิน) และความดันเท่ากับหนึ่งบรรยากาศ (นิยามไว้เท่ากับ 101.325 กิโลพาสคัล) ซึ่งเท่ากับอุณหภูมิจุดเยือกแข็งของน้ำ และความดันบรรยากาศที่ระดับน้ำทะเล โดยประมาณ
* Straight Through Processing (การประมวลผลโดยตรง) เป็นศัพท์การธนาคาร หมายถึง การที่ธุรกรรมถูกประมวลเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการแทรกหรือขัดจังหวะโดยคน
* 2,5-dimethoxy-4-methylamphetamine เป็นสารหลอนประสาทชนิดหนึ่ง ชื่ออื่นคือ DOM หรือ STP
* Spanning Tree Protocol เป็นโพรโทคอลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบหนึ่ง ที่ไม่มีการวนกลับ สำหรับระบบเครือข่ายระยะใกล้ (แลน) หรือ bridged network
* Shielded Twisted Pair สายไฟประเภทหนึ่ง ใช้ในการเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์ |
1860 | https://th.wikipedia.org/wiki/มังกรอหังการหมาป่าคะนองศึก | มังกรอหังการหมาป่าคะนองศึก | มังกรอหังการหมาป่าคะนองศึก () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนวแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับเด็กมัธยมญี่ปุ่นสองคน ที่หลุดย้อนเวลาเข้าไปอยู่ในสมัยสามก๊กของจีน ในปี 2540 การ์ตูนเรื่องนี้ได้ชนะเลิศรางวัลโคดันชะมังงะ สำหรับโชเน็ง
ตัวเอกชื่อ "อามาจิ ชิโร่" หรือชื่อเรียกในสมัยของสามก๊กว่า "บุตรมังกร" และเพื่อนสมัยเด็กของเขา "มาซึมิ" ซึ่งถูกเรียกว่า"ธิดามังกร" ได้เป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของสงครามครั้งนี้ โดยจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงนั้นคือการต่อกรกับเพชรฆาตหน้าหยกเพื่อช่วยมนุษย์จากการทำลายล้างให้หมดสิ้นไป
เรื่องและภาพ โดย โยชิโตะ ยามาฮาระ แปลเป็นไทยและจัดพิมพ์ในประเทศไทยโดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ
== เนื้อเรื่อง ==
== ตัวละคร ==
== รายชื่อตอน ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* kodanclub.com เรื่องราวของมังกรอหังการ
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง
หมวดหมู่:ผลงานที่สร้างจากสามก๊ก |
1862 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศทาจิกิสถาน | ประเทศทาจิกิสถาน | {{Infobox country
| conventional_long_name = สาธารณรัฐทาจิกิสถาน
| common_name = ทาจิกิสถาน
| native_name =
| image_flag = Flag of Tajikistan.svg
| image_coat = Coat of arms of Tajikistan.svg
| symbol_type = ตราแผ่นดิน
| national_motto =
| national_anthem = "เพลงชาติทาจิกิสถาน"
| image_map = Tajikistan (orthographic projection).svg
| map_caption =
| capital = ดูชานเบ
| coordinates =
| largest_city = เมืองหลวง
| official_languages = ทาจิก
| languages_type = ภาษาในการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์
| languages = รัสเซีย
| languages2_type = ภาษาพูด
| languages2 =
| ethnic_groups =
| ethnic_groups_year = ค.ศ. 2010
| religion = {{unbulleted list
| 97.6% อิสลาม
| 0.6% คริสต์
| 1.8% ไม่นับถือศาสนาและอื่น ๆ
| government_type = รัฐเดี่ยว ระบบพรรคเด่น ระบบประธานาธิบดี สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ
| leader_title1 = ประธานาธิบดี
| leader_name1 = เอมอมาลี ราห์มอน
| leader_title2 = นายกรัฐมนตรี
| leader_name2 = คอฮีร์ ราซุลซอดา
| leader_title3 = ประธานมัจลีซีมิลลี
| leader_name3 = รุสแทม เอมอแมลี
| legislature = สมัชชาสูงสุด
| upper_house = สภาแห่งชาติ
| lower_house = สมัชชาผู้แทน
| sovereignty_type = ก่อตั้ง
| established_event1 = จักรวรรดิซามานิด
| established_date1 = ค.ศ. 819
| established_event2 = เขตปกครองตนเองโซเวียต
| established_date2 = 27 ตุลาคม ค.ศ. 1924
| established_event3 =
| established_date3 = 5 ธันวาคม ค.ศ. 1929
| established_event4 = เป็นเอกราชจากสหภาพโซเวียต
| established_date4 = 9 กันยายน ค.ศ. 1991
| established_event5 = สมาชิกเครือรัฐเอกราช
| established_date5 = 21 ธันวาคม ค.ศ. 1991
| established_event6 = ได้รับการยอมรับ
| established_date6 = 26 ธันวาคม ค.ศ. 1991
| established_event7 = ยอมรับเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
| established_date7 = 2 มีนาคม ค.ศ. 1992
| established_event8 = รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
| established_date8 = 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994
| area_footnote =
| area_km2 = 143,100
| area_rank = อันดับที่ 94
| area_sq_mi = 55,251
| percent_water = 1.8
| population_estimate = 9,537,645
| population_estimate_rank = อันดับที่ 96
| population_estimate_year = ค.ศ. 2020
| population_density_km2 = 48.6
| population_density_sq_mi = 125.8
| population_density_rank = อันดับที่ 155
| GDP_PPP = 30.547 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
| GDP_PPP_year = ค.ศ. 2018
| GDP_PPP_rank = อันดับที่ 132
| GDP_PPP_per_capita = 3,354 ดอลลาร์สหรัฐ
| Gini_rank =
| HDI = 0.668
| HDI_year = ค.ศ. 2019
| HDI_change = increase
| HDI_ref =
| HDI_rank = อันดับที่ 125
| currency = โซโมนี
| currency_code = TJS
| time_zone = เวลาทาจิกิสถาน
| utc_offset = +5
| utc_offset_DST =
| time_zone_DST =
| drives_on = ขวา
| calling_code = +992
| cctld = .tj
| country_code =
| footnote_a = รัสเซียมีสถานะภาษาทางการถึงแม้ว่าจะใช้เป็นภาษาระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการตามรัฐธรรมนูญทาจิกิสถาน
ทาจิกิสถาน (; ; ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐทาจิกิสถาน (; ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคเอเชียกลาง มีพื้นที่ มีอาณาเขตติดต่อกับอัฟกานิสถาน จีน คีร์กีซสถาน และอุซเบกิสถาน ทาจิกิสถานเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต
== ศัพทมูลวิทยา ==
ทาจิกิสถาน หมายถึง "ดินแดนของชาวทาจิก" โดยคำว่าทาจิกแปลว่า "ไม่ใช่เติร์ก" ส่วน "Tadjikistan" เป็นรูปการสะกดตามภาษาฝรั่งเศส และสามารถพบในข้อความภาษาอังกฤษบางส่วน ประเทศทาจิกิสถานเขียนในแบบอักษรเปอร์เซีย-อาหรับเป็น {{rtl-lang|fa|}}
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ทาจิกิสถานของรัสเซีย ===
ลัทธิจักรวรรดินิยมรัสเซียนำไปสู่การพิชิตเอเชียกลางของจักรวรรดิรัสเซียในช่วงปลายยุคจักรวรรดิของศตวรรษที่ 19 ระหว่างปี พ.ศ. 2407 - 2428 รัสเซียค่อย ๆ เข้าควบคุมดินแดนทั้งหมดของเตอร์กิสถานรัสเซียส่วนทาจิกิสถานซึ่งถูกควบคุมโดยเอมิเรตแห่งบูคาราและคานาเตะแห่งโคกันด์ รัสเซียสนใจที่จะเข้าถึงแหล่งผลิตฝ้าย และในช่วงทศวรรษที่ 1870 พยายามที่จะเปลี่ยนการเพาะปลูกในภูมิภาคจากเมล็ดพืชเป็นฝ้าย (กลยุทธ์ที่ถูกคัดลอกและขยายโดยโซเวียตในภายหลัง) ในปี พ.ศ. 2428 ดินแดนของทาจิกิสถานถูกปกครองโดยจักรวรรดิรัสเซียหรือรัฐข้าราชบริพารเอมิเรตบูฆอรอ แต่ทาจิกิสถานรู้สึกได้ถึงอิทธิพลของรัสเซียเพียงเล็กน้อย
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 พวกทาจิก ได้จัดตั้งตัวเองเป็นขบวนการทางสังคมอิสลามทั่วทั้งภูมิภาค แม้ว่าทาจิกจะเป็นผู้ที่สนับสนุนความทันสมัยและไม่จำเป็นต้องต่อต้านรัสเซีย แต่ชาวรัสเซียมองว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นภัยคุกคามเนื่องจากจักรวรรดิรัสเซียนับถือศาสนาคริสต์เป็นหลัก กองกำลังรัสเซียจำเป็นต้องฟื้นฟูคำสั่งซื้อในระหว่างการลุกฮือต่อต้านรัฐข่านโคกันด์ระหว่างปี พ.ศ. 2453 - 2456 ความรุนแรงเพิ่มเติมเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2459 เมื่อผู้ประท้วงโจมตีทหารรัสเซียในฆูจันด์จากการขู่บังคับเกณฑ์ทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้กองทัพรัสเซียจะนำฆูจันด์กลับอย่างรวดเร็ว ภายใต้การควบคุมการปะทะยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งปีในสถานที่ต่าง ๆ ในทาจิกิสถาน
=== หลังได้รับเอกราชจากสหภาพโซเวียต ===
ทาจิกิสถานได้ได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่ในช่วงแรก การเมืองภายในประเทศขาดเสถียรภาพเนื่องจากเกิดความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มชาตินิยม กลุ่มนีโอ-คอมมิวนิสต์ และกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 60,000 คน ต่อมากลุ่มอิสลามหัวรุนแรงได้อพยพออกนอกประเทศพร้อมด้วยประชาชนหลายหมื่นคน ไปตั้งมั่นอยู่ทางภาคเหนือของอัฟกานิสถาน และกลับเข้ามาปฏิบัติการแบบกองโจรในทาจิกิสถาน ทำให้รัฐบาลทาจิกิสถานต้องพึ่งกองกำลังรัสเซียดูแลแนวชายแดนทาจิกิสถาน-อัฟกานิสถาน และมีการสู้รบยืดเยื้อเป็นเวลาหลายปี จนในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) จึงมีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างประธานาธิบดี เอมอแมลี แรฮ์มอนอฟ กับนาย แซยิด แอบดุลลอห์ นูรี ผู้นำกลุ่มแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล (United Tajik Opposition - UTO)
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
ทาจิกิสถานแบ่งออกเป็น 4 เขตการปกครองย่อย ได้แก่แคว้นซุฆด์กับฆัตลอน แคว้นปกครองตนเองเคอฮิสทอนีบาดัฆชอน และเขตภายใต้การบริหารของสาธารณรัฐ แต่ละแคว้นแบ่งออกเป็นอำเภอ () ซึ่งแบ่งออกเป็น จามออัต (หน่วยปกครองตนเองระดับหมู่บ้าน) ประเทศทาจิกิสถานมี 58 อำเภอและ 367 จามออัต
== วัฒนธรรม ==
=== วันหยุด ===
* 1 มกราคม - วันปีใหม่ "Yangi Yil Bayrami"
* 14 มกราคม - วันกองทัพอุซเบกิสถาน Vatan Himoyachilari kuni
* 8 มีนาคม - วันสตรีสากล - "Xalqaro Xotin-Qizlar kuni"
* 21 มีนาคม - วันปีใหม่ของชาวเตอร์กิซ - "Navro'z Bayrami"
* 1 พฤษภาคม - วันแรงงานสากล
* 9 พฤษภาคม - ชัยชนะเหนือเยอรมนี - "Xotira va Qadirlash kuni"
* 1 กันยายน - วันประกาศเอกราช - "Mustaqillik kuni"
* 1 ตุลาคม - วันครู - "O'qituvchi va Murabbiylar"
* 8 ธันวาคม - วันรัฐธรรมนูญ - Konstitutsiya kuni
วันหยุดนอกเหนือจากทางราชการ
* End of Ramazon Ramazon Hayit Eid al-Fitr
* 70 days later Qurbon Hayit Eid al-Adha
== อ้างอิง ==
== อ่านเพิ่ม ==
* Kamoludin Abdullaev and Shahram Akbarzadeh, Historical Dictionary of Tajikistan, 3rd. ed., Rowman & Littlefield, 2018.
* Shirin Akiner, Mohammad-Reza Djalili and Frederic Grare, eds., Tajikistan: The Trials of Independence, Routledge, 1998.
* Richard Foltz, A History of the Tajiks: Iranians of the East, London: Bloomsbury Publishing, 2019.
* Robert Middleton, Huw Thomas and Markus Hauser, Tajikistan and the High Pamirs, Hong Kong: Odyssey Books, 2008 ().
* Nahaylo, Bohdan and Victor Swoboda. Soviet Disunion: A History of the Nationalities problem in the USSR (1990) excerpt
* Kirill Nourdhzanov and Christian Blauer, Tajikistan: A Political and Social History, Canberra: ANU E-Press, 2013.
* Rashid, Ahmed. The Resurgence of Central Asia: Islam or Nationalism? (2017)
* Smith, Graham, ed. The Nationalities Question in the Soviet Union (2nd ed. 1995)
* Monica Whitlock, Land Beyond the River: The Untold Story of Central Asia, New York: St. Martin's Press, 2003.
* Poopak NikTalab. Sarve Samarghand (Cedar of Samarkand), continuous interpretation of Rudaki's poems, Tehran 2020, Faradid Publications {Introduction}
* Sharma, Raj Kumar, "Food Security and Political Stability in Tajikistan", New Delhi, Vij Books, 2018.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Tajikistan at UCB Libraries GovPubs
* Tajikistan. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* Tajikistan profile from the BBC News
* Key Development Forecasts for Tajikistan from International Futures
{{Navboxes
|title = บทความที่เกี่ยวข้อง
หมวดหมู่:รัฐในอดีตสหภาพโซเวียต
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2534
หมวดหมู่:ประเทศในเอเชียกลาง |
1864 | https://th.wikipedia.org/wiki/มิตสึรุ_อาดาจิ | มิตสึรุ อาดาจิ | อะดะจิ มิตสึรุ หรือ มิตสึรุ อาดาจิ () เป็นนักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 ในเมืองอิเซซากิ จังหวัดกุมมะ หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยพาณิชย์มาเอบาชิ โรงเรียนประจำจังหวัดกุมมะ อาดาจิได้เขียนการ์ตูนเล่มแรกออกมาในปี พ.ศ. 2513 เรื่อง Kieta Bakuon (消えた爆音 ระเบิดที่หายไป) ซึ่งดัดแปลงมาจากการ์ตูนเรื่องดั้งเดิมของซาโตรุ โอซาวะ ได้รับการตีพิมพ์ใน Deluxe Shōnen Sunday ซึ่งเป็นนิตยสารมังงะของโชงากูกัง
อาดาจิเป็นที่รู้จักในไทยจากการ์ตูนรวมเล่มไพเรตสิบบาทเรื่อง ทัช (Touch) โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ (ออกรายสะดวก) ด้วยลายเส้นที่บางพริ้ว ภาพสะอาดตา คล้ายการ์ตูนสำหรับผู้หญิง เนื้อเรื่องบางหน้าไม่มีคำพูด มีแต่ภาพสถานที่ ทิวทัศน์ ก้อนเมฆ ฯลฯ ตัวละครแสดงออกทางใบหน้า บางทีก็ไม่พูด คำพูดน้อย ๆ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับกีฬาเบสบอล รวมถึงมีคำศัพท์เฉพาะกืฬา ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจกฎกติกาการลุ้น แต่ก็ทำให้คนหันมาสนใจการเล่นเบสบอล ซอฟต์บอลมากขึ้น ด้วยการติดตามเอาใจช่วยพระเอกนางเอก (ทั้งความรักและการแข่งขันกีฬา) บางคนก็ไม่ชอบเพราะต้องอ่านต่อเนื่องหลายเล่มจึงจะรู้เรื่อง แต่ถ้าลองอดทนอ่านจะเริ่มหลงรักเนื้อเรื่อง ลายเส้น และติดตามผลงานตลอดไป และในช่วงนั้นก็มีเรื่อง ราฟ (Rough) เกี่ยวกับกีฬาว่ายน้ำ และ Slow Step เกี่ยวกับกีฬาชกมวยและซอฟต์บอล ที่ออกมาให้ได้อ่านได้ลุ้นและมีผู้ติดตามผลงานมากยิ่งขึ้น
อาดาจิเป็นนักเขียนผู้ชื่นชอบการเขียนการ์ตูนกีฬาและชีวิตรักวัยรุ่น ผ่านการเล่าเรื่องด้วยภาพ ใช้คำบรรยายน้อย โครงเรื่องที่น่าติดตาม และการมองโลกในแง่มุมที่สวยงามอยู่เสมอ
== ประวัติย่อ ==
* ก่อนปี 1969: อาดาจิเริ่มเขียนการ์ตูนส่งนิตยสาร COM
* 1969: จากการชักนำของพี่ชาย อาดาจิย้ายไปอยู่โตเกียว และเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยของ อิชิอิ อิซามิ (Isami Ishii)
* 1970: อาดาจิออกผลงานเรื่องแรก "Kieta Bakuon" (消えた爆音 ระเบิดที่หายไป)
* 1981: เริ่มเขียนเรื่อง "ทัช"
* 1982: "ตราบตะวันไม่สิ้นแสง" ถูกนำมาทำเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์
* 1983: อาดาจิได้รับรางวัล Shogakukan Manga Award ครั้งที่ 28 จากซีรีส์ "ทัช" และ "มิยูกิ"
* 1983: อนิเมะเรื่อง "มิยูกิ" ได้ถือกำเนิดขึ้น และภาพยนตร์จาก "มิยูกิ" ก็ได้ฤกษ์ฉายเช่นกัน
* 1985: อนิเมะเรื่อง "ทัช" ถือกำเนิดตามมา
* 1995: เช่นเดียวกับอนิเมะเรื่อง "เอชทู"
* 2005: "เอชทู" กลายเป็นละครดราม่าทางช่อง TBS
* 2005: ในที่สุด "ทัช" ก็กลายเป็นภาพยนตร์
* 2006: "ราฟ" กลายเป็นภาพยนตร์ตามมา
เรียงตามลำดับที่ตีพิมพ์ ระยะเวลานับที่ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น (ค.ศ.)
* ยอดมนุษย์สายรุ้ง, อัยโนะ เซ็นชิ เรนโบว์แมน (レインボーマン) 1 เล่ม (1972-1973) แต่งเรื่องโดย คะวะอุจิ โคฮัง Kōhan Kawauchi
* ลิตเติ้ลบอย (Little Boy リトル・ボーイ) 1974 แต่งเรื่องโดย ซะซะกิ มะโมะรุ Sasaki Mamoru
* ข้าคือกันตะ (โอะร่ากันตาดะ おらあガン太だ) 1974-1975 แต่งเรื่องโดย ซะซะกิ มะโมะรุ Sasaki Mamoru
* คิบะเซ็น (牙戦(きばせん) 1975 แต่งเรื่องโดย ไค ทะคิซะวะ Kai Takizawa
* ฮิระฮิระคุง เซย์ชุนจิงกิ (ヒラヒラくん青春仁義) 1975-1978 แต่งเรื่องโดย ซะซะกิ มะโมะรุ Sasaki Mamoru
* กล้าได้ต้องกล้าเสีย (กะมุชาระ, がむしゃら) 2 เล่ม 1976 แต่งเรื่องโดย จูโซ่ ยะมะซะกิ Juzo Yamasaki
* จิตวิญญานโคชิเอ็ง (โคชิเอ็งทามาชี่ 甲子園魂) 1976-1977 แต่งเรื่องโดย ซะซะกิ มะโมะรุ Sasaki Mamoru
* อา เซย์ชุนโนะโคชิเอ็ง (ああ!青春の甲子園) 7 เล่ม 1976
* นะกิมูชิ โคชิเอ็ง (泣き虫甲子園) 1977 แต่งเรื่องโดย จูโซ่ ยะมะซะกิ Juzo Yamasaki
* โอะฮิเคนะ สุตเต๊ะ ยาคิวจิงกิ (おひけェなすって!野球仁義) 1978-1979 แต่งเรื่องโดย ซะซะกิ มะโมะรุ Sasaki Mamoru
* ไนน์ (ナイン -) 5 เล่ม (1978-1980)
* ตราบตะวันไม่สิ้นแสง (ยูหิโยะโยโบเระ, 夕陽よ昇れ!!) 2 เล่ม (1979-1980)
* สู้เค้าสิเปี๊ยก (โอะอิระ โฮคาโกะ วากะไทโช おいら放課後若大将) 2 เล่ม (1979-1980)
* รักพลิกล๊อค (ฮิ อะตะริเรียวโค, 陽あたり良好!) 2 เล่ม (1979-1981)
* มิยูกิ 12 เล่ม (1980-1984)
* ทัช 26 เล่ม (1981-1986)
* สโลว์ สเต็ป 7 เล่ม (1986-1991)
* ราฟ 12 เล่ม (1987-1989)
* พริกขี้หนูสีรุ้ง 11 เล่ม (1990-1992)
* คุณพ่อที่รัก (1992-1997)
* เอชทู 34 เล่ม (1992-1999)
* พรอลวนคนอลเวง 5 เล่ม (2000-2001)
* คัทซึ 16 เล่ม (2001-2005)
* ครอสเกม (2005-2010)
* ชอร์ตโปรแกรม 1,2 (1988, 1996) 2 เล่ม
* Q แอนด์ A (2009-2012)
* Asaoka High School Baseball Club Diary: Over Fence (2011)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Adachi's work history - timeline for Mitsuru Adachi's works
หมวดหมู่:นักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2494
หมวดหมู่:บุคคลจากอิเซซากิ
หมวดหมู่:มิตสึรุ อาดาจิ |
1865 | https://th.wikipedia.org/wiki/กูรุ_กูรุ_คาถาพาต๊อง | กูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง | กูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง หรือ แม่มดจอมแก่น () ; ) เป็นการ์ตูนเล่มญี่ปุ่น ที่ดำเนินเนื้อเรื่องในลักษณะเกมอาร์พีจีทั่วไป คือมีผู้กล้าและผองเพื่อน เดินทางผจญภัยไปที่ต่างๆ ในโลกแฟนตาซี ในเรื่องตัวเอกคือ คูคูริ (Kukuri) สาวน้อยขี้อาย ผู้มีคาถาเรียกสัตว์ประหลาด โดยการวาดลวดลายวงกลมลงบนพื้น และ นิเค (Nike) หนุ่มจอมเกเร แถมนิสัยบ้าๆ บอๆ ที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความสามารถอะไรเลย ยกเว้นความกล้าบ้าบิ่น และโชคเล็กๆ
ความสนุกของเรื่องนี้ก็คือ ผู้อ่านไม่สามารถคาดเดาเนื้อเรื่องอะไรได้เลย เรียกได้ว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างไร้เหตุผล แต่ก็ยังมีโครงเรื่องและการผูกเรื่องซ่อนอยู่ จัดอยู่ในประเภทการ์ตูนตลกได้. ลายเส้นของการ์ตูนเรื่องนี้ ผู้เขียน คือ ฮิโรยูกิ เอโต้ วาดออกมาได้อย่างน่ารัก ลายเส้นสะอาด การออกแบบเสื้อผ้า และสัตว์ประหลาดต่างๆ ในเรื่อง ก็ทำออกมาได้น่ารักปนตลกขบขัน ตามธีมของเรื่องในขณะนั้น พูดได้ว่าเป็นการ์ตูนที่ตัวเอกใช้เสื้อผ้าเปลืองที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว การ์ตูนเล่มฉบับแปลภาษาไทยจัดทำโดย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจนอกจากนี้ยังมีทำเป็นการ์ตูนทีวีด้วย
กูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง ยังถูกแปลในหลายๆ ประเทศได้แก่ ฮ่องกง (咕嚕咕嚕魔法陣) , ไต้หวัน (魔法陣天使) ,เกาหลีใต้ (마법진) 구루구루), อิตาลี (Guru guru il girotondo della magia)
== เนื้อเรื่อง ==
== ตัวละคร ==
== รายชื่อตอน ==
* Mahōjin Guru Guru (กูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง) -SNES
* Mahōjin Guru Guru 2 (กูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง 2) - SNES
* Doki Doki Densetsu Mahōjin Guru Guru (ตำนาน ตึกตักตึกตัก กูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง) - Game Boy Color
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* AnimeInfo: Mahoujin Guru Guru
* Guru Guru Park ทุกอย่างเกี่ยวกับ กูรุ กูรุ
* SilverWynd's Guru Guru มีรูปจากการ์ตูนทีวี
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นสำหรับเด็ก |
1872 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาหงส์ | มหาหงส์ | มหาหงส์ (J.G. Koenig;) เป็นพันธุ์ไม้พวกเดียวกัน ขิง ข่า และขมิ้น อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ หรือตามชายป่าใกล้ลำธาร เจริญเติบโตได้ดีในที่มีแสงแดดรำไร พบขึ้นมากในภาคเหนือ มีชื่ออื่น ๆ ได้แก่ สะเลเต หางหงส์ กระทายเหิน ตาห่าน เหินแก้ว และเหินดำ
ขยายพันธุ์โดยใช้เหง้า ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นลำตรง สูง ๑-๒ ม. ใบจากโคนมีขนาดเล็ก และเรียงห่าง ๆ กัน ใบถี่ตรงใกล้ยอด รูปขอบขนานปลายแหลมหรือมนเล็กน้อย ยาว ๒๐-๓๐ ซม. กว้าง ๗-๑๐ ซม. ดอกออกที่ยอดเป็นช่อสั้น มีใบประดับสีเขียวรูปคล้ายเรือเรียงเป็นกระจุก ดอกมีสีขาวล้วน ขนาดประมาณ ๗ ซม.บานครั้งละ ๑-๓ ดอก โคนเป็นหลอดเล็ก ยาว ดอกมีกลิ่นหอมเย็น ในตำรากบิลว่านกล่าวว่าดอกว่านชนิดนี้มีกลิ่นหอมแรงกว่าว่านทั้งปวง ผลเป็นรูปรีขนาดประมาณปลายนิ้ว แตกเป็น ๓ พู ในธรรมชาติบานในช่วงฤดูฝน
นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ขึ้นได้ดีทั่วประเทศ เหง้าบดผสมน้ำผึ้งใช้เป็นยาแก้กระษัย น้ำคั้นทาแก้ฟกช้ำ เชื่อว่าเป็นไม้มงคลทางเมตตามหานิยม ชาวไทใหญ่นิยมใช้ดอกมหาหงส์บูชาพระ ตำราว่านกล่าวว่า หากปลูกไว้กับบ้านเรือนจะเป็นสิริมงคลอย่างสูง
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:วงศ์ขิง
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:สมุนไพร |
1875 | https://th.wikipedia.org/wiki/ทุเรียนเทศ | ทุเรียนเทศ | ทุเรียนเทศพันธุ์subonica
thumb|ดอกทุเรียนเทศ
ทุเรียนเทศ หรือ ทุเรียนน้ำ ( L.) ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ทุเรียนแขก (ภาคกลาง) หมากเขียบหลดหรือหมากพิลด (ภาคอีสาน) ทุเรียนน้ำ (ภาคใต้) และ มะทุเรียน (ภาคเหนือ) เป็นพืชในวงศ์เดียวกับน้อยหน่าและกระดังงา ใบเดี่ยว กลีบดอกแข็ง มีกลิ่นหอมตอนเช้า ผลมีรูปร่างคล้ายทุเรียน มีหนาม เปลือกสีเขียว เนื้อสีขาว ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดแก่สีดำ ปลูกมากในแถบอเมริกากลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพืชที่ชอบที่ที่มีความชื้นสูง
== การใช้ประโยชน์ ==
ทุเรียนเทศใช้กินเป็นผลไม้สด และนำมาแปรรูปเป็นผลไม้กวน เยลลี่ ไอศกรีมและซอส ในมาเลเซียนำไปทำน้ำผลไม้กระป๋อง เวียดนามนิยมทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น เมล็ดมีพิษ ใช้ทำยาเบื่อปลาและเป็นยาฆ่าแมลง ในทางโภชนาการ ทุเรียนเทศมีคาร์โบไฮเดรตมาก โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโทส วิตามินซี และวิตามินบี ผล ใบ และเมล็ดมีฤทธิ์ทางยา ใช้เป็นยาสมุนไพร ชาวโอรังอัซลีในรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซียใช้ใบใช้ฆ่าแมลงขนาดเล็ก ผลใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร และมีสารต้านอนุมูลอิสระ
ในเม็กซิโกและโคลัมเบีย เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานและใช้ทำขนม เช่นเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม agua fresca ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ผสมนม ไอศกรีมทำจากทุเรียนเทศเป็นที่นิยม ในอินโดนีเซีย dodol sirsak ทำจากทุเรียนเทศโดยนำไปต้มในน้ำ เติมน้ำตาลจนกว่าจะแข็ง และนำไปทำน้ำผลไม้ปั่น ในฟิลิปปินส์เรียกทุเรียนเทศว่า guyabano ซึ่งน่าจะมาจากภาษาสเปน guanabana ซึ่งนิยมกินผลสุกและทำน้ำผลไม้ สมูทตี และไอศกรีม บางครั้งใช้ทำให้เนื้อนุ่ม ในเวียดนาม ทางภาคใต้เรียก mãng cầu Xiêm ส่วนทางภาคเหนือเรียก mãng cầu ใช้กินสดหรือทำสมูทตี นิยมนำเนื้อไปปั่นใส่นมข้น น้ำแข็งเกล็ดหรือทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น ในมาเลเซียและอินโดนีเซียนิยมกินเป็นผลไม้เช่นกัน ในไทยสมัยโบราณนิยมนำผลอ่อนไปแกงส้ม หรือเชื่อมแบบเชื่อมสาเก ผลสุกกินเป็นผลไม้
== การปลูกทุเรียนเทศ ==
การปลูกทุเรียนเทศ หรือทุเรียนน้ำนั้น สามารถทำได้ไม่ยาก เพราะทุเรียนน้ำนั้นใช้วิธีขยายพันธุ์โดยเมล็ด ซึ่งเพียงแค่นำเมล็ดมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1-2 วัน จากนั้นนำไปเพาะดินผสมปกติ ต้นทุเรียนเทศจะงอกขึ้นมาได้ภายใน 7 วัน แต่ต้นกล้าจะโตช้าและออกดอกเมื่อมีอายุ3 ปีขึ้นไป และจะติดผลในปีที่ 4 ได้ผลผลิตประมาณปีละ 1.5 - 2 ตัน/ไร่ หรือหากจะใช้วิธีขยายพันธุ์แบบเสียบยอดและทาบกิ่งก็สามารถทำได้ โดยต้นทุเรียนน้ำนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่มีความชุ่มชื้น ระบายน้ำได้ดี
== ความเสี่ยง ==
มีงานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียนที่แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างการรับประทานทุเรียนเทศกับโรคพาร์คินสัน เพราะทุเรียนเทศมีannonacinซึ่งเป็นสาเหตุของโรคนี้สูง
มีการวิจัยออกมาว่าในประเทศที่มีการใช้เมล็ดเป็นยาพื้นเมืองฆ่าพยาธิ พบว่าคนเป็นพาร์คินสัน จึงควรเลี่ยงการกินเมล็ด
ในผลทุเรียนน้ำสด1ผล มีสารannonacin 15 milligrams และ1 กระป๋องของ น้ำผลไม้ที่ทำสำเร็จแล้วเพื่อการค้ามี annonacin 36 milligrams annonacin มีความเกี่ยวข้องกับ การเกิดแผลในสมอง ทำให้มีอาการแบบพาร์คินสัน จึงควรหลีกเลี่ยงการกินผลทุเรียนน้ำมากเกินไป
ทุเรียนเทศยังเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ในยาที่ขายในตลาดในชื่อ Triamazon. Triamazon นี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นยาในอังกฤษ
== รวมภาพ ==
ไฟล์:Soursop fruit.jpg
ไฟล์:Annona_muricata2.jpg
ไฟล์:Corossol.JPG
ไฟล์:Annona muricata.jpg
ไฟล์:Annona muricata (Soursop) - tree with fruits.jpg
ไฟล์:Annona muricata 1 (1).jpg
== อ้างอิง ==
* นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. ทุเรียนเทศ ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 97
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Efficacy of soursop leaf quality - ใบทุเรียนเทศ มีสรรพคุณอะไรบ้าง
* Description of soursop from Fruits of Warm Climates (1987, ISBN 0-9610184-1-0)
* Sorting Annona names
* Soursop / Guyabano Fruit Nutrition
* Rain-tree: Annona muricata
* Soursop List of Chemicals (Dr. Duke's)
* สรรพคุณ ทุเรียนเทศ
* ขาย ทุเรียนเทศ ทุเรียนน้ำ สมุนไพรรักษามะเร็ง
หมวดหมู่:พืชที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
หมวดหมู่:ผลไม้
หมวดหมู่:วงศ์กระดังง า
หมวดหมู่:พืชมีพิษ
หมวดหมู่:สมุนไพร |
1883 | https://th.wikipedia.org/wiki/ลำโพงกาสลัก | ลำโพงกาสลัก | ลำโพงกาสลัก (; L.) หรือ มะเขือบ้าอินเดีย หรือ ลำโพงดอกชมพู เป็นพืชล้มลุก ประเภทเดียวกับมะเขือ ชื่อพื้นเมืองเช่น มะเขือบ้าดอกดำ เมื่อโตเต็มที่มีความสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ลำต้น กิ่ง และก้านใบมีสีม่วงเข้มดำมัน ใบเดี่ยว รูปไข่ สีเขียวเข้ม เรียงสลับกัน กว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 10-20 เซนติเมตร ขอบใบหยักเป็นซี่ฟันหยาบ ๆ ฐานหรือโคนใบมักไม่เสมอกัน ดอกมีสีม่วง ขนาดของดอกยาวประมาณ 12-16 เซนติเมตร ก้านดอกสั้น เมื่อดอกโตเต็มที่ปากดอกจะบานออกดูคล้ายรูปแตร ขนาดของดอกยาวประมาณ 12-16 เซนติเมตร ก้านดอกสั้น ดอกมักจะซ้อนกัน 3 ชั้น เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นพันธุ์ผสม ดอกจะซ้อนกัน 2 และ 4 ชั้น ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ลำโพงจัดอยู่ในประเภทเป็นพืชที่มีพิษ มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย และชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีฤทธิ์หลอนประสาท
== ประโยชน์ ==
ใช้เป็นยาสมุนไพร โดยเมล็ดใช้หุงทำน้ำมันใส่แผล แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน, ใช้ใบสดตำพอกฝี แก้ปวดบวมอักเสบ ใบและยอด มีสารอัลคาลอยด์เช่น ไฮออสไซยามีน และ ไฮออสซีน ใช้แก้อาการปวดท้องเกร็ง และขยายหลอดลม ใช้แก้หอบหืดได้และดอกใช้สูบเพื่อแก้อาการหอบหืดได้
== อ้างอิง ==
* ไม้ดี : "ลำโพงกาสลัก"เป็นยาทั้งต้น
* จารุพันธ์ ทองแถม. พืชมหัศจรรย์โลกวิกฤติ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2555 หน้า 466 - 467
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:พืชมีพิษ
หมวดหมู่:สมุนไพร
หมวดหมู่:วงศ์มะเขือ |
1884 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเอดินบะระ | มหาวิทยาลัยเอดินบะระ | Teviot Row House อาคารสหภาพนักศึกษา ที่สร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะ <
== ชื่อเสียง ==
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย เดอะการ์เดียน ปี 2008 ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเอดินบะระไว้ดังนี้
* ที่ 1 ของ UK ทางด้านคอมพิวเตอร์
* ที่ 1 ของ UK ทางด้านฟิสิกส์
* ที่ 2 ของ UK ทางด้านการแพทย์
* ที่ 2 ของ UK ทางด้านสัตวแพทย์
* ที่ 7 ของ UK โดยภาพรวม
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย [[ไทมส์ไฮเออร์เอดูเคชันซัปพลีเมนต์ เมื่อปี ค.ศ. 2005 (The 2005 Times Higher Education Supplement [THES] World University Rankings) จัดอันดับมหาวิทยาลัยเอดินบะระดังนี้:
* ที่ 16 ของโลก ด้านชีวเวช
* ที่ 14 ของโลก จากมุมมองของผู้จ้างงาน
* ที่ 27 ของโลก ด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์
* ที่ 38 ของโลก ด้านวิทยาศาสตร์
* ที่ 30 ของโลก โดยภาพรวม
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียวทง (The Academic Ranking of World Universities 2005 [ARWU]) จัดอันดับมหาวิทยาลัยเอดินบะระดังนี้:
* ที่ 5 ของสหราชอาณาจักร
* ที่ 9 ของยุโรป
* ที่ 47 ของโลก
ปี ค.ศ. 2005 มหาวิทยาลัยได้รับเลือกจากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ (สหราชอาณาจักร) เป็นมหาวิทยาลัยสกอตแลนด์แห่งปี (Sunday Times Scottish University of the Year)
ปี ค.ศ. 2006 หนังสือแนะนำมหาวิทยาลัยโดยหนังสือพิมพ์ไทมส์ (สหราชอาณาจักร) (The Times Good University Guide 2006) จัดอันดับมหาวิทยาลัยเอดินบะระเป็นอันดับที่ 5 ของสหราชอาณาจักรในภาพรวม และอันดับที่ 4 ในด้านคุณภาพการเรียนการสอน
== ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง ==
* เอดินบะระเป็นมหาวิทยาลัยที่มีศิษย์เก่าเป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรมากรองจากออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์
* กอร์ดอน บราวน์ - นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร
* เซอร์อาร์เทอร์ โคนัน ดอยล์ - ผู้ประพันธ์เชอร์ล็อก โฮมส์
* โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน - ผู้แต่ง Treasure Island และ Strange Case of Dr. Jekyll and Mr. Hyde
* อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ - ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์เครื่องแรกของโลก
* ชาลส์ ดาร์วิน - นักธรรมชาติวิทยา ผู้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการ
* โจเซฟ ลิสเตอร์ (Joseph Lister) - ศัลยแพทย์ผู้วางรากฐานการผ่าตัดแบบปลอดเชื้อ
* เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) - นักฟิสิกส์ บิดาแห่งทฤษฏีแม่เหล็กไฟฟ้า
* วิลเลียม แรงไคน์ (William John Macquorn Rankine) - นักฟิสิกส์ผู้อุทิศผลงานสำคัญต่อเทอร์โมไดนามิคส์ อาทิ Rankine Cycle
* เดวิด ฮูม (David Hume) - นักคิด นักปรัชญา และ นักเศรษฐศาสตร์ ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของยุโรป
* David MacRitchie - นักโบราณคดี
* Stella Rimington - อดีตผู้อำนวยการ MI5 (หน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ของสหราชอาณาจักร)
* Peter Roget - ผู้รวบรวมอภิธานศัพท์
* วอลเตอร์ สกอตต์ (Sir Walter Scott) - นักเขียนและกวี
* David Steel - หัวหน้าพรรคเสรีนิยม (British Liberal Party)
* เจมส์ เฮกเตอร์ (James Hector) - นักธรณีวิทยา
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สถาบันส่งเสริมการศึกษาต่อสกอตแลนด์
* The University of Edinburgh มหาวิทยาลัยเอดินบะระ
* Student newspaper หนังสือพิมพ์นักศึกษาของมหาวิทยาลัย |
1895 | https://th.wikipedia.org/wiki/บานบุรีแสด | บานบุรีแสด | บานบุรีแสด หรือ บานบุรีหอม () มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์ตั้งแต่คอสตาริกาในทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงบราซิลในทวีปอเมริกาใต้ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ดอกเป็นดอกช่อ ดอกย่อยรูปกรวย กลีบดอกสีเหลืองอมส้ม โคนกลีบเป็นสีส้ม ดอกมีกลิ่นหอมแรง ใช้เป็นไม้ประดับ
== อ้างอิง ==
*วีรญา บุญเตี้ย และอัจฉรา ตีระวัฒนานนท์. ไม้เลื้อยประดับ. กรุงเทพฯ: บ้านและสวน, หน้า 64.
หมวดหมู่:วงศ์ตีนเป็ด
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ |
1901 | https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช_บรมนาถบพิตร | พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (พระราชสมภพ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 - เสด็จสวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระชนมพรรษามากที่สุดตามประวัติศาสตร์ไทย ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ด้วยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร จนสวรรคตใน พ.ศ. 2559 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานมากที่สุดตลอดกาลในประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปเอเชีย พระองค์ยังเป็นประมุขแห่งรัฐที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในโลกในขณะทรงพระชนม์ นับตั้งแต่การสวรรคตของจักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2532 กระทั่งสวรรคตใน พ.ศ. 2559 อีกทั้งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 3 ของโลก ด้วยระยะเวลาในราชสมบัติทั้งสิ้น 70 ปี 126 วัน
ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เคารพพระองค์ อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อ พ.ศ. 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้
พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์ ด้านสินทรัพย์ของพระองค์ นิตยสาร ฟอบส์ จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000.00 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,006,499,976,000.00 บาท) (ดูหมายเหตุด้านล่าง) สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใช้ทรัพย์สินเพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระองค์ผู้เดียว ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม แต่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"
พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"
พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
* ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
* อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"
เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
=== การศึกษา ===
พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ () เมืองชายี-ซูร์-โลซาน ()
=== สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ===
รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชม[[รถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481|left]]
เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2481 พระองค์ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นเวลา 2 เดือน โดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์จนถึง พ.ศ. 2488 ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์จากโรงเรียนฌีมนาซกลาซิกก็องตอนาลเดอโลซาน () แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง
== พระมหากษัตริย์ไทย ==
=== ต้นรัชกาลและราชาภิเษกสมรส ===
วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ในวันเดียวกัน รัฐสภาลงมติเป็นเอกฉันท์อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (พระยศในขณะนั้น) ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งในช่วงเวลานั้นพระองค์ยังทรงพระเยาว์และเสด็จพระราชดำเนินศึกษาต่อ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราวในครั้งแรก ซึ่งได้แก่ พระสุธรรมวินิจฉัย (ชม วณิกเกียรติ), พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์) และสงวน จูฑะเตมีย์ สมาชิกพฤฒสภา ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเล่าว่า ระหว่างประทับรถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" จึงทรงนึกตอบในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้ทรงตระหนักในหน้าที่พระมหากษัตริย์ของพระองค์ ดังที่ได้ตรัสตอบชายคนเดิมนั้นในอีก 20 ปีต่อมา
หลังจากที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จเยือนกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส เป็นครั้งแรก ในขณะนั้น ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษาและ 15 พรรษาตามลำดับ ใน พ.ศ. 2490 พระองค์มีพระราชหัตถเลขาแสดงความพอพระราชพฤทัยในรัฐประหารในปีนั้น ซึ่งเป็นรัฐประหารของฝ่ายกษัตริย์นิยม
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์พระเนตรขวาบอด จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด ทั้งนี้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำจนกระทั่งหายจากอาการประชวร อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 และเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ภายในวังสระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในโอกาสนี้พระองค์ทรงพระราชดำริว่า ตามโบราณราชประเพณี เมื่อสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
หลังจากพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทุ่มเทพระวรกายเพื่อพสกนิกรอย่างหนักโดยมิได้หยุดหย่อน สมดังพระราชสัจวาจาที่ได้พระราชทานไว้ไม่แปรเปลี่ยน โดยภาพที่พสกนิกรชาวไทยเห็นจนชินตาทุกครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปยังถิ่นทุรกันดารก็คือ ที่พระหัตถ์ถือแผนที่ กระดาษ ปากกา พร้อมด้วยกล้องถ่ายภาพที่คล้องพระศออยู่ตลอดเวลา ขณะที่บนพระพักต์ถูกอาบไปด้วยพระเสโท โดยที่พระองค์ไม่เคยแสดงพระอาการเหน็ดเหนื่อยหรือย่อท้อต่ออุปสรรคแต่อย่างใด เนื่องจากทรงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฎร และสามารถยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง
=== ผนวช ===
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงได้รับฉายาว่า ภูมิพโลภิกขุ หลังจากนั้น พระองค์เสด็จฯ ไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ระหว่างที่ผนวชนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปีเดียวกัน (พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้เฉลิมพระปรมาภิไธยใหม่ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562)
ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า-เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัยนอกจากนี้ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพิเศษอื่น ๆ เช่นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงร่วมสังฆกรรมในพิธีผนวชและอุปสมบทนาคหลวงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในวันที่วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2499 เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาต จากพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
อนึ่ง ในการทรงพระผนวชครั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
=== ขัดแย้งกับรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ===
หลังจากรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ตามมาด้วยยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 และกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 เพื่อเป็นการลดอำนาจพระมหากษัตริย์ พระองค์เจ้าธานีนิวัตทรงบันทึกปฏิกิริยาของพระองค์ว่า "ท่านกริ้วมาก ทรงตำหนิหลวงพิบูลอย่างแรงหลายคำ ท่านว่าฉันไม่พอใจมากที่คุณหลวงทำเช่นนี้"
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายคือการรื้อฟื้นคดีสวรรคต ร. 8 และแผนนำปรีดี พนมยงค์กลับประเทศ รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จมาทรงเป็นประธานซึ่งก็ทรงตอบรับเป็นที่เรียบร้อย แต่ครั้นถึงวันงานทรงพระประชวรปัจจุบันทันด่วน ทำให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเป็นประธานเปิดพิธีเอง และในเดือนสิงหาคมปีดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาโจมตีรัฐบาลของจอมพล แปลก ว่าละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งข่าวการระหองระแหงกันระหว่างพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและรัฐบาลดังกล่าว ทำให้สาธารณะเริ่มไม่ไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น
เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพล แปลก ได้ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อขอให้ทรงสนับสนุนรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเตือนจอมพล แปลก ว่าขอให้ลาออกจากตำแหน่งเสียเพื่อมิให้เกิดรัฐประหาร แต่จอมพล แปลก ปฏิเสธ เย็นวันดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทันที และสองชั่วโมงหลังจากการประกาศยึดอำนาจ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้จอมพล สฤษดิ์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
=== สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ===
ภาพบนตึก อาคาร[[การบินไทย แห่งนานาชาติ]]
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงออกผนวช ทรงโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ทรงสร้างพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง และนอกจากนี้ยังเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงเกื้อกูล ค้ำจุนทุกศาสนาอย่างเสมอภาค ทรงสนับสนุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อใช้แปลพระคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2505
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงจัดตั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,741 โครงการ นอกจากนี้ยังเสด็จเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญที่สุดจนทำให้พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทย คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ โรงเรียน องค์การและมูลนิธิต่าง ๆ มากกว่า 1000 แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยคือการเสด็จไปประทับ ณ วังไกลกังวลและสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือคุณทองแดง สุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระอิสริยยศในขณะนั้น) เสวยพระกระยาหารร่วมกัน
== ชีวิตส่วนพระองค์ ==
=== กีฬา ===
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเล่นเรือใบ
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรโปรดกีฬาเรือใบเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา ซึ่งพระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างขึ้นว่า เรือใบมด เรือใบซูเปอร์มด และเรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลำสุดท้ายที่พระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย คือ เมื่อปี พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13
=== ดนตรี ===
[[แซกโซโฟนของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร]]
พระองค์ทรงดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน คราริเน็ต ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก และพระองค์ได้ประพันธ์หลายเพลง เช่น เพลงพระราชนิพันธ์แสงเทียน เป็นเพลงแรก สายฝน ยามเย็น ใกล้รุ่ง ลมหนาว ยิ้มสู้ ค่ำแล้ว ไกลกังวล ความฝันอันสูงสุด และเราสู้ หรือพรปีใหม่ เป็นต้น พระองค์ทรงเคยมีกระแสพระราชดำรัสที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของดนตรี อันได้แก่ “ดนตรีทุกชนิดเป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่ง มนุษย์เกือบทั้งหมดชอบและรู้จักดนตรี ตั้งแต่เยาว์วัยคนเริ่มรู้จักดนตรีบ้างแล้ว ความรอบรู้ทางดนตรีอย่างกว้างขวางย่อมขึ้นกับเชาวน์ และสามารถในการแสดงของแต่ละคน อาศัยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าในระหว่างศิลปะนานาชนิด ดนตรีเป็นศิลปะที่แพร่หลายกว่าศิลปะอื่น ๆ และมีความสำคัญในด้านการศึกษาของประชาชนทุกประเทศด้วย” กระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ภายหลังที่สถาบันดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนาทูลเกล้าฯ ถวายประกาศนียบัตรเกียรติคุณชั้นสูง ให้ทรงดำรงตำแหน่งสมาชิกกิตติมศักดิ์เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2507 โดยเป็นพระราชดำรัสตอบในภาษาเยอรมัน (ม.ล.เดช สนิทวงศ์ แปลและถ่ายทอดเป็นภาษาไทย)
=== พระราชทรัพย์ ===
พระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของที่ดินและหุ้น โดยแบ่งออกได้เป็นส่วน ๆ ได้โดยสังเขป คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระคลังข้างที่ และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์อุทิศพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเพื่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจำนวน 4,741 โครงการ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อพัฒนาภายในประเทศในด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย การส่งเสริมอาชีพ สาธารณูปโภค และการศึกษา
==== ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ====
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ส่วนใหญ่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้น โดยในปี 2550 พระองค์ทรงได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอบส์ ให้เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สินราว 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ได้ชี้แจงว่า บทความดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากว่าทรัพย์สินที่บทความนำมาประเมินนั้น ในความเป็นจริงมิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่เป็นของแผ่นดิน ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่นที่บทความดังกล่าวไม่ได้จัดอันดับ
===== รถยนต์พระที่นั่ง =====
# มายบัค 62 สีครีม เลขทะเบียน ร.ย.ล.1 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่ง โดยได้จัดซื้อมาใช้ แทนรถยนต์พระที่นั่ง โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม ซิกซ์ (VI) ที่ใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งทรงมานานถึง 30 ปี
# มายบัค 62 สีครีม เลขทะเบียน 1ด-1992 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งสำรอง
ส่วนพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ตั้งการฉลองสมโภชพระพุทธรูปประจำประชนมวาร ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อเสร็จการแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ประดิษฐานไว้กับพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร ปัจจุบันอัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชพิธีสงกรานต์ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซึ่งเป็นปางประจำวันจันทร์
== พระราชกรณียกิจ ==
=== ด้านศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี ===
พ.ศ. 2503 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมาใหม่หลังจากที่ได้เลิกร้างไปตั้งแต่ พ.ศ. 2479 และประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคก็ได้รับการฟื้นฟูเป็นครั้งแรกเพื่อถวายผ้าพระกฐิน
ด้านวรรณศิลป์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระราชนิพนธ์บทความ แปลหนังสือ เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระมหาชนก และพระมหาชนก ฉบับการ์ตูน เรื่อง ทองแดง เป็นพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังทรงพระราชแนวทางแนวคิดในการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
=== ด้านการพัฒนาชนบท ===
เขื่อนภูมิพล
ในด้านชลประทาน พระองค์ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยทรงคิดค้นโครงการตามพระราชดำริของพระองค์ มีทั้งการแก้ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาอุทกภัย รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสีย เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พระองค์ได้ทรงวิจัยและริเริ่มโครงการฝนหลวง เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน เมื่อคราวเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. 2538 พระองค์มีพระราชดำริเรื่องแก้มลิง ควบคุมการระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน ลำคลองต่าง ๆ ลงสู่อ่าวไทย พระองค์ทรงประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศ กังหันน้ำชัยพัฒนา ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการเพิ่มออกซิเจน เป็นสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของพระองค์ที่ได้รับสิทธิบัตรจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
ในด้านการเกษตร จะทรงเน้นการค้นคว้า ทดลอง และวิจัยหาพันธุ์พืชใหม่ ๆ ตลอดจนการศึกษาแมลงศัตรูพืช และพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งแต่ละโครงการจะเน้นให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง นอกจากนี้ ยังทรงพยายามไม่ให้เกษตรกรยึดติดกับพืชผลทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่เกษตรกรควรมีรายได้จากกิจกรรมอื่นด้วย เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง พระองค์ยังทรงคิดค้นการแก้ปัญหาทรัพยากรทางการเกษตรหลายอย่างที่สำคัญ เช่น การแกล้งดิน เพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยวหรือดินเป็นกรด จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้ การปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ พระองค์ทรงส่งเสริมการเลี้ยงปลานิล ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศได้ขยายโครงการเพาะเลี้ยงและเผยแพร่พันธุ์ปลานิล เพื่อความยั่งยืนด้านอาหารให้แก่ประเทศโมซัมบิก ในช่วงปีที่ผ่านมา ทรงจัดตั้งโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เพื่อวิจัยพันธุ์ข้าว พันธุ์พืชและปศุสัตว์ รวมถึงการการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การผลิตเอทานอล แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนิน โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ส่งผลให้ชุมชนเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจเมืองหาดใหญ่รอดพ้นจากมหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ กล่าวคือ เมื่อวันที่26 - 28 พฤศจิกายน 2567 ที่เกิดจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงได้พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำพัดปกคลุมบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศมาเลเซียที่กำลังเคลื่อนผ่านลงสู่ทะเลอันดามันตอนล่าง ส่งผลทำให้พื้นที่ภาคใต้ตอนล่างเกิดฝนตกหนักถึงหนักมากและตกสะสม จนทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในรอบ 37 ปี สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่คิดเป็นมูลค่ามหาศาล ขณะนั้นเกือบแทบทุกพื้นที่ในภาคใต้ตอนล่างได้รับผลกระทบ แต่พื้นที่ชุมชนเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กลับไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมเลย แม้จะมีปริมาณฝนตกสะสมถึง 475 มิลลิเมตร (มม.) และมีปริมาณน้ำท่าไหลผ่านถึง 1,421.78 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที โดยเป็นผลมาจากคลองระบายน้ำสายที่ 1 (ร.1) หรือ“คลองภูมินาถดำริ” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริขุดขึ้น โดยนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแล้ว ในฤดูแล้งคลองระบายน้ำ ร.1 ยังใช้เป็นแหล่งน้ำดิบให้การประปาส่วนภูมิภาคสาขาหาดใหญ่ และสาขาสงขลาประมาณ 140,000 ลบ.ม.ต่อวัน ใช้เพื่อรักษาระบบนิเวศในคลองอู่ตะเภาประมาณ 432,000 ลบ.ม.ต่อวัน รวมทั้งยังใช้เป็นแหล่งน้ำสำรองในช่วงฤดูแล้งหน้าได้อีกประมาณ 5 ล้านลบ.ม. อีกด้วย
=== ด้านการแพทย์ ===
โครงการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรในระยะแรกล้วนแต่เป็นโครงการด้านสาธารณสุข ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรตามท้องที่ต่าง ๆ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และล้วนเป็นอาสาสมัคร โดยเสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์พร้อมให้การรักษาพยาบาลราษฎรผู้ป่วยไข้
นอกจากนั้น ยังมีโครงการทันตกรรมพระราชทานซึ่งเป็นพระราชดำริให้ทันตแพทย์อาสาสมัครเดินทางออกไปช่วยเหลือบำบัดโรคเกี่ยวกับฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟันโดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนั้น หน่วยแพทย์หลวงยังจัดเจ้าหน้าที่ออกเดินทางไปรักษาราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย
สรุปพระราชกรณียกิจในด้านการแพทย์ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
1. โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน
- ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์พระราชทาน เพื่ออกให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
- สนับสนุน หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมแพทย์ทหารบก และมูลนิธิแพทย์อาสา
2. การพัฒนาสาธารณสุขชนบท
- ทรงมีพระราชดำริให้สร้างและพัฒนา โรงพยาบาลชุมชน และสถานีอนามัยทั่วประเทศ
- ส่งเสริมการพัฒนา อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อดูแลสุขภาพประชาชน
3. การวิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์
- ทรงคิดค้นและพัฒนา กังหันน้ำชัยพัฒนา เพื่อบำบัดน้ำเสีย ลดการแพร่กระจายของโรค
- ทรงส่งเสริมงานวิจัยเกี่ยวกับ โรคเขตร้อน โรคมาลาเรีย และยารักษาโรค
4. การพัฒนาโภชนาการและสุขอนามัย
- พระราชทานแนวคิดเกี่ยวกับ "โภชนาการที่เหมาะสม" เช่น โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน
- สนับสนุนโครงการเกี่ยวกับ "น้ำดื่มสะอาด" และสุขาภิบาลเพื่อป้องกันโรคระบาด
5. การสนับสนุนสถาบันทางการแพทย์และสาธารณสุข
- พระราชทานทุนสนับสนุนแด่ คณะแพทย์ศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อพัฒนางานวิจัยและบุคลากร
- พระราชทาน โรงพยาบาลศิริราช เป็นโรงพยาบาลต้นแบบในการรักษาและพัฒนาการแพทย์ไทย
=== ด้านการศึกษา ===
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ขณะมีพระราชดำรัส ณ [[รัฐสภาสหรัฐ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2503]]
ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวม 27 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่าง ๆ โดยเสด็จเยือนประเทศเวียดนามใต้ อย่างเป็นทางการเป็นประเทศแรก อีกหนึ่งประเทศสำคัญที่พระองค์ได้เสด็จเยือนในช่วงเวลาดังกล่าวคือสหรัฐ โดยในการเสด็จสหรัฐครั้งนั้น ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ขบวนพาเหรดของพระองค์ในนครนิวยอร์กมีผู้เฝ้าชมพระบารมีกว่า 750,000 คน นอกจากนี้ พระองค์ยังได้มีพระราชดำรัสต่อรัฐสภาสหรัฐแสดงจุดยืนว่าอเมริกาเป็นมหามิตรของไทย ซึ่งหลังจากการเสด็จเยือนประเทศแคนาดา เมื่อปี พ.ศ. 2510 พระองค์ก็มิได้เสด็จเยือนประเทศไหนอีกเลย กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2537 เสด็จเยือนประเทศลาว ซึ่งนับเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้ายของพระองค์
ในภายหลังพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินออกให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากประเทศต่าง ๆ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยหลายครั้ง ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทยและถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ รวมทั้งพระองค์จะมีพระราชสานส์ถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ ทั้งการแสดงความยินดีและแสดงความเสียพระราชหฤทัย
=== โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ===
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ภายในประเทศทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและแก้ไขปัญหาระยะยาวทรงเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ตลอดรัชสมัยมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งหมด 4,741 โครงการ โดยมีหน่วยงานราชการที่ประสานงานโครงการ คือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
โดยแต่ละโครงการจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป โครงการเพื่อการส่งเสริมและวิจัย เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา, มูลนิธิโครงการหลวง, โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา โครงการเกี่ยวกับน้ำ เช่น โครงการแก้มลิง, โครงการฝนหลวง, กังหันน้ำชัยพัฒนา โครงการเกี่ยวกับการเกษตร เช่น โครงการแกล้งดิน โครงการอื่น ๆ เช่น มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะแถบชนบท นอกจากนี้โครงการหลวงยังได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขา Peace and International Understanding เมื่อ พ.ศ. 2531 อีกด้วย
== พระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ ==
=== พระบรมราชอิสริยยศ ===
*พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 - 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2478)
*สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 - 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489)
*สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493)
*พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร (5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559)
ภายหลังการสวรรคต
*พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562)
=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และต่างประเทศ ===
==== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ====
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตั้งแต่แผ่นดินของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และตามรัฐธรรมนูญของไทยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งปวง โดยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระองค์ได้รับ มีดังนี้
* พ.ศ. 2507 - 80px เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1
==== ต่างประเทศ ====
** พ.ศ. 2493 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟีม
** พ.ศ. 2497 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระราชอาณาจักรกัมพูชา ชั้นมหาเสรีวัฒน์
** พ.ศ. 2502 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์คิมคานห์ ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์สิริสุธรรมะ ชั้นอัครมหาสิริสุธรรมะ
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์นายพลซานมาร์ตินผู้ปลดปล่อย ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2503 - 80x80px ลีเจียนออฟเมอริต ชั้นหัวหน้าผู้บัญชาการ
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์รอยัลวิกตอเรียนเชน
** พ.ศ. 2503 - 80x80px สายสะพายแห่งสามเครื่องเสนาอิสริยาภรณ์
** พ.ศ. 2542 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์อิงฟังตึ เด. เอ็งรีกึ ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เหรียญที่ระลึกการสิ้นพระชนม์อิงฟังตึเอ็งรีกึครบรอบ 600 ปี
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นสูงสุด
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ปิอุสที่ 9 ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอโปลด์ ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตทองแห่งราชวงศ์นัสเซา
** พ.ศ. 2549 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ (สเปน)
** พ.ศ. 2530 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระเจ้าการ์โลสที่ 3 ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์อิซเบลลาชาวคาทอลิก ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2503 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณฝ่ายพลเรือน ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2504 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวกางเขนใต้ ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2505 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์แห่งปากีสถาน
** พ.ศ. 2505 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งราชอาณาจักร
** พ.ศ. 2506 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นสังวาล
** พ.ศ. 2506 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์หยกเจิดจรัส
** พ.ศ. 2506 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ผู้ไถ่บาป ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2506 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ล้านช้างร่มขาว ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2506 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎขัตติยาภรณ์ ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2535 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์โพธิ์ชัยล้านช้าง
** พ.ศ. 2506 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ซิกาตูนา ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2511 - 80x80px ลีเจียนออฟออเนอร์ ชั้นหัวหน้าผู้บัญชาการ
** พ.ศ. 2507 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาดารา
** พ.ศ. 2509 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์มูกูฮวา
** พ.ศ. 2524 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณสำหรับการสร้างชาติ ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2510 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์ปาห์ลาวี
** พ.ศ. 2511 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชินีชีบา
** พ.ศ. 2514 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์นกอินทรีแอซเท็ก ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2522 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ดารายูโกสลาฟ
** พ.ศ. 2524 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรม ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2529 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์เนปาล ประตาป ภาสกระ
** พ.ศ. 2533 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งบรูไน
** พ.ศ. 2533 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ผู้ปลดปล่อย ชั้นสายสร้อย
** พ.ศ. 2537 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ราชสีห์ขาว ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2538 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กู๊ดโฮป ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2539 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์พระอาทิตย์แห่งเปรู ชั้นประถมาภรณ์
** พ.ศ. 2539 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์กุหลาบขาวแห่งฟินแลนด์ ชั้นประถมาภรณ์ (พร้อมสายสร้อย)
** พ.ศ. 2543 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งโรมาเนีย
**พ.ศ. 2544 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์แห่งเทือกเขาบอลข่าน ชั้นสายสร้อย
**พ.ศ. 2545 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์เควตซัล ชั้นสายสร้อย
**พ.ศ. 2547 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อัลฮุเซน บิน อาลี ชั้นสายสร้อย
**พ.ศ. 2547 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์เจ้าชายยาโรสลาฟผู้ชาญฉลาด ชั้นที่ 1
**พ.ศ. 2552 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์แห่งคุณธรรมฮังการี ชั้นที่ 1
==== ภายใต้สุลต่านแห่งมาเลเซีย ====
** พ.ศ. 2542 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ราชวงศ์สลังงอร์ ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2552 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์ตรังกานู
==== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ภายใต้สุลต่านแห่งมาเลเซีย ====
=== รางวัล ===
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลและเกียรติยศต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากบุคคลและคณะบุคคลในประเทศและต่างประเทศ อันเนื่องมาจากพระราชกรณียกิจและพระราชอัธยาศัยในการแสวงหาความรู้ ที่สำคัญเป็นต้นว่า
* ประธานรัฐสภายุโรปและสมาชิกร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรัฐสภายุโรป" (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2519)
* ประธานคณะกรรมาธิการเพื่อสันติภาพของสมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศ ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลสันติภาพ" (9 กันยายน พ.ศ. 2529)
* ในปี พ.ศ. 2550 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization) แถลงข่าวการทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรางวัลผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา" (Global Leaders Award) โดยนายฟรานซิส เกอร์รี่ ผู้อำนวยการใหญ่เป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ณ พระราชวังไกลกังวล ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552 เพื่อเทิดพระเกียรติที่ทรงมีบทบาทและผลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่โดดเด่น และพระองค์ทรงเป็นผู้นำโลกคนแรกที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัลดังกล่าว
* วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555 สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences-IUSS) นำโดยอดีตเลขาธิการสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) เป็นพระองค์แรกของโลก
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเป็นผู้ที่ได้รับมอบถวายปริญญากิตติมศักดิ์มากเป็นสถิติโลกถึง 176 ฉบับ ใน พ.ศ. 2555 โดยทรงได้รับมอบถวายจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่
=== พระยศทหาร ===
{{Infobox military person
| name = พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
| allegiance =
| branch = กองทัพบกไทยกองทัพเรือไทย กองทัพอากาศไทย
| serviceyears = * พ.ศ. 2489-2559
* พ.ศ. 2489-2559
* พ.ศ. 2489-2559
| rank = * 15px จอมพล
* 15px จอมพลเรือ
* 15px จอมพลอากาศ
* 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489: ร้อยโท
* 24 มีนาคม พ.ศ. 2493: จอมพลเรือ
*26 มีนาคม พ.ศ. 2493: จอมพล, จอมพลอากาศ
== พระบรมราชานุสรณ์ ==
== พระราชสันตติวงศ์ ==
== พงศาวลี ==
== ดูเพิ่ม ==
* รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย
* ราชสกุลวงศ์ในรัชกาลปัจจุบัน
* รายพระนามพระมหากษัตริย์ทั่วโลกเรียงตามวันเสด็จขึ้นครองราชย์
* รายพระนามพระมหากษัตริย์ในประวัติศาสตร์ทั่วโลกตามระยะเวลาครองราชสมบัติ
* การเสด็จออกมหาสมาคมในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
* ภูมิพลินทร์
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
=== บรรณานุกรม ===
* ธนากิต, พระราชประวัติ 9 รัชกาลและพระบรมราชินี, สุวีริยาสาส์น, 2542, หน้า 383-427.
* วิเชียร เกษประทุม, ราชาศัพท์และพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ พร้อมพระราชวงศ์ โดยสังเขป, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พัฒนาศึกษา, 2546, หน้า 147-157.
* พระเจ้าอยู่หัว, กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2530.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สำนักพระราชวัง
* พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
* โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
* สำนักราชเลขาธิการ
* พระอัจฉริยภาพและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
* The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty's Accession to the Throne - official website for the Diamond Jubilee
* A Visionary Monarch - provides a lot of insights on his visions and contributions to the country.
* The Golden Jubilee Network - has many subjects on Bhumibol, including his projects, speeches, and his royal new year card.
* Supreme Artist - see works of art created by Bhumibol.
* The King's Birthplace
* Thai monarchy
* Thailand’s Guiding Light
* Thailand: How a 700-Year-Old System of Government Functions - article by David Lamb (LA Times staff writer) on Bhumibol
* "'The King Never Smiles': L'etat, c'est moi", Sreeram Chaulia, worldpress.org, October 4, 2006
* Far Eastern Economic Review, “The King’s Conglomerate”, June 1988. Contains an interview with Chirayu Isarangkun Na Ayuthaya, Crown Property Bureau
* HM King Bhumibol Adulyadej of Thailand. The Story of Tongdaeng. Amarin Book, Bangkok. 2004. ISBN 9742729174
* HM King Bhumibol Adulyadej of Thailand. The Story of Mahajanaka. Amarin Book, Bangkok. 1997. ISBN 9748364712
* HM King Bhumibol Adulyadej of Thailand. The Story of Mahajanaka: Cartoon Edition. Amarin Book, Bangkok. 1999. ISBN 9742720746
* HM King Bhumibol Adulyadej of Thailand. ''His Majesty the King's Photographs in the Development of the Country. Photographic Society of Thailand & Thai E, Bangkok. 1992. ISBN 9748880508
* HM King Bhumibol Adulyadej of Thailand. Paintings by his Majesty the King: Special exhibition for the Rattanakosin Bicentennial Celebration at the National Gallery, Chao Fa Road, Bangkok, April 1-June 30, 1982. National Gallery, Bangkok. 1982. ASIN B0007CCDMO
* HM King Bhumibol Adulyadej of Thailand, Chaturong Pramkaew (Ed.). My Country Thailand...land of Everlasting Smile''. Amarin Book, Bangkok. 1995. ISBN 9748363538
หมวดหมู่:บุคคลจากเคมบริดจ์ (รัฐแมสซาชูเซตส์)
หมวดหมู่:พุทธศาสนิกชนชาวไทย
หมวดหมู่:ราชสกุลมหิดล
หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี
หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 20
หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 21
หมวดหมู่:มหาราชแห่งประเทศไทย
หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์ขณะทรงพระเยาว์
หมวดหมู่:เจ้าฟ้าชาย
หมวดหมู่:พระองค์เจ้าชาย
หมวดหมู่:พระกุลเชษฐ์ในราชวงศ์จักรี
หมวดหมู่:ผู้นำในสงครามเย็น
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2475-2516
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2516-2544
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย หลัง พ.ศ. 2544
หมวดหมู่:ทหารบกชาวไทย
หมวดหมู่:ทหารเรือชาวไทย
หมวดหมู่:ทหารอากาศชาวไทย
หมวดหมู่:ตำรวจชาวไทย
หมวดหมู่:จอมพลชาวไทย
หมวดหมู่:จอมพลเรือชาวไทย
หมวดหมู่:จอมพลอากาศชาวไทย
หมวดหมู่:นักดนตรีชาวไทย
หมวดหมู่:นักแต่งเพลงชาวไทย
หมวดหมู่:นักถ่ายภาพชาวไทย
หมวดหมู่:จิตรกรชาวไทย
หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย
หมวดหมู่:นักกีฬาทีมชาติไทย
หมวดหมู่:นักกีฬาเหรียญทองซีเกมส์ชาวไทย
หมวดหมู่:คนพิการ
หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ร.ม.ภ.
ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก.
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ น.ร.
ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ.ว.
ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ส.ร.
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช.
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.
ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ภ.
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญ ร.ด.ม.(ศ)
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญจักรมาลา
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ อ.ป.ร.1
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ภ.ป.ร.1
หมวดหมู่:ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
ภูมิพลอดุลยเดช
หมวดหมู่:พระองค์เจ้ายก |
1905 | https://th.wikipedia.org/wiki/เข็มม่วง | เข็มม่วง | Pseuderanthemum andersonii
| synonyms_ref =
เข็มม่วง (; (Nees) Ridl.) เป็นพืชในวงศ์เหงือกปลาหมอ (Acanthaceae) เป็นไม้ป่าในประเทศไทย พบมากในป่าทางภาคใต้ เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณเมตรเศษ ๆ ลำต้นเล็ก กิ่งก้านเปราะและมีสาขาไม่มากนัก ใบยาวรี ผิวใบสาก ออกเป็นคู่ตามข้อต้น ดอกออกเป็นช่อตั้งตามยอด สีม่วง คล้ายดอกเข็ม แต่ดอกไม่เกาะกลุ่มแน่นอย่างเข็ม ให้ดอกตลอดปี แต่โรยเร็ว ดอกมากในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์ด้วยการตอนหรือตัดกิ่งปักชำ เป็นไม้ประดับ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* , 18 พฤศจิกายน 2547
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์เหงือกปลาหมอ |
1908 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประทัดไต้หวัน | ประทัดไต้หวัน | ประทัดไต้หวัน หรือ ประทัดฟิลิปปินส์ () Jacq. เป็นพืชในวงศ์ Rubiaceae และเป็นไม่พุ่ม กิ่งสีน้ำตาลออกแดง ดอกเป็นหลอดเล็กแคบ สีส้มอมแดง ผลมีเนื้อนุ่ม สีดำ ออกดอกตามซอกใบและปลายกิ่ง ชอบแสงแดด มีถิ่นกำเนิดตั้งแต่รัฐฟลอริดาทางตอนใต้ของสหรัฐ ไปจนถึงทางใต้ของอาร์เจนตินา
==ประโยชน์==
ฮัมมิงเบิร์ดและผีเสื้อเป็นสัตว์ที่มีบทบาทในการผสมเกสร ผลของประทัดไต้หวันมีรสเปรี้ยว กินได้ทั้งนกและคน ในเม็กซิโกมีการนำไปหมักเป็นเครื่องดื่มและใช้เป็นยาในทางสมุนไพรพื้นบ้าน มีสารออกฤทธิ์ทางยาหลายอย่างในประทัดไต้หวัน เช่น maruquine isomaruquine pteropodine isopteropodine palmirine rumberine seneciophylline และ stigmast-4-ene-3,6-dione เปลือกไม้มีแทนนิน แต่ยังไม่มีการศึกษาทางด้านเภสัชศาสตร์ของพืชชนิดนี้
==อ้างอิง==
* ประชิด วามานนท์. ไม้ประดับเพื่อการตกแต่ง. กทม. บ้านและสวน. 2550. หน้า 375
== ดูเพิ่ม ==
* ประทัดจีน
* เทียนประทัด
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:พืชที่รับประทานได้
หมวดหมู่:สมุนไพร
หมวดหมู่:วงศ์เข็ม |
1915 | https://th.wikipedia.org/wiki/ไข้หวัดนก | ไข้หวัดนก | ฝูงนกสามารถเป็นแหล่งพำนักไวรัสไข้หวัดนก ให้วิวัฒนาร่วมกับไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์และการเป็น ภาวะระบาดทั่ว
ไข้หวัดนก ( หรือชื่อสามัญ bird flu) เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชื่อ H5N1 ซึ่งพบได้ในสัตว์ปีก ค้นพบครั้งแรกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในประเทศอิตาลี โรคนี้ระบาดอย่างหนักทั่วโลก โดยเริ่มระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2460-2461 (ค.ศ.1918-1920) เรียกว่า "ไข้หวัดใหญ่สเปน" (Spanish Flu)
เริ่มแพร่ระบาดจากฝั่งอาร์กติก และข้ามมาสู่ฝั่งแปซิฟิกภายในระยะเวลา 2 เดือน มีการประมาณผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 50-100 ล้านคน
หรือเท่ากับคนจำนวน 1 ใน 3 ของประชากรของทวีปยุโรป
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2500-2501 (ค.ศ.1957-1958) เรียกว่า "ไข้หวัดใหญ่เอเซีย" (Asian Flu) มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 1-4 ล้านคน
ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ.1968) เรียกว่า "ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง" (Hong Kong Flu) มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 1-4 ล้านคน
== เชื้อไข้หวัดนกแผ่ระบาดทั่วเอเชีย ==
=== ประเทศจีนและฮ่องกง ===
ต่อมาเกิดการระบาดขึ้นอีกโดยเริ่มต้นที่ฮ่องกงในปี พ.ศ. 2540 ในครั้งนั้นมีผู้ติดเชื้อ 18 คน เสียชีวิตไป 6 คน และเมือง Chaohu ในประเทศจีน เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 และต่อมาพบนกกระยางป่วยในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเขตเมืองใหม่ของฮ่องกงเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดยพบว่าติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 มีรายงานการระบาดที่ตลาดใหม่จินฮวาเขตลี่วาน เมืองกว่างโจว ทำให้มีสัตว์ปีกเสียชีวิต 114 ตัว และได้มีการฆ่าทำลายสัตว์ปีกอีก 518 ตัว
=== ประเทศเวียดนาม ===
* มีนาคม พ.ศ. 2550 พบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในเป็ดอายุ 45 วัน ในจังหวัดหวิญล็อง บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยเป็ดเหล่านั้นไม่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 และทางการเวียดนามได้สั่งฆ่าเป็ดไป 800 ตัว และสั่งฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่ที่พบการระบาดซึ่งอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 140 กม.
* พฤษภาคม พ.ศ. 2550 พบการระบาดของไข้หวัดนกในฟาร์มเป็ดอีกแห่งนอกเมืองหายฝ่อง ทำให้ลูกเป็ดอายุ 14 วัน ซึ่งยังไม่ได้รับวัคซีนล้มตาย 2,120 ตัว และผลตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เอช 5 เอ็น 1 นับเป็นการระบาดของไข้หวัดนกครั้งที่ 2 ในพื้นที่ดังกล่าว และเวียดนามพบการติดเชื้อไข้หวัดนกครั้งแรกที่จังหวัดเหงะอาน ของเวียดนาม
=== ประเทศไทย ===
มีการระบาดมาสู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 โดยพบว่ามีผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในปีนั้นกล่าวคือป่วย 17 ราย เสียชีวิต 12 ราย ในปี พ.ศ. 2548 ป่วย 5 ราย เสียชีวิต 2 ราย และปี พ.ศ. 2549 ป่วย 3 ราย เสียชีวิต 3 ราย รวมพบผู้ป่วย 25 ราย เสียชีวิต 17 ราย โดยในปี พ.ศ. 2547 พบพื้นที่ระบาดมากที่สุดถึง 60 จังหวัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 พบพื้นที่ระบาดรองลงมา 21 จังหวัด ในปี พ.ศ. 2549 พบเพียงสองจังหวัด ในปี พ.ศ. 2550 พบพื้นที่ระบาด 4 จังหวัด และปีที่พบเป็นปีสุดท้ายได้แก่ พ.ศ. 2551 พบพื้นที่ระบาด 4 จังหวัดได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอุทัยธานี
=== ประเทศกัมพูชา ===
พบเด็กเสียชีวิตใน พ.ศ. 2555 หนึ่งราย โดยก่อนหน้านี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 ถึง พ.ศ. 2553 พบผู้ป่วย 10 ราย เสียชีวิตอีก 8 รายในช่วงเวลาดังกล่าว
=== ประเทศญี่ปุ่น ===
พบไวรัสไข้หวัดนก ในซาก " อินทรีเหยี่ยวภูเขา" มีผู้พบอินทรีตัวดังกล่าวมีอาการป่วย ที่หมู่บ้านซาการะ ในจังหวัดคุมาโมโตะ ทางภาคใต้ของญี่ปุ่น เมื่อ 4 มกราคม พ.ศ. 2550
== การตรวจวินิจฉัยโรค ==
ไข้หวัดนกในระยะแรกต้องใช้เวลาในการตรวจสอบนาน 3-4 วันโดยวิธีมาตรฐานสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 คือวิธีการเพาะแยกเชื้อไวรัสในไข่ไก่ฟักหรือเซลล์เพาะเลี้ยง เมื่อ พ.ศ. 2551 ทีมวิจัยคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาชุดตรวจสอบไข้หวัดนก เอช 5 เอ็น 1 ครอบคลุมถึงไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ต้นทุนการตรวจต่ำและรู้ผลภายใน 1 วันได้สำเร็จ นอกจากนี้ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ยังได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักวิจัยชาวไทยเพื่อพัฒนาชุดตรวจวินัจฉัยไข้หวัดนกโดยใช้หลักการไบโอเซ็นเซอร์ ซึ่งเป็นชุดตรวจวินิจฉัยไข้หวัดนกที่มีความจำเพาะสูงกับไวรัสกลุ่ม H5 มีความไวสูงกว่าวิธีปัจจุบัน (IC) 100 เท่า ทราบผลภายใน 15 นาที และสามารถเก็บตัวอย่างได้นาน 1 เดือน ก่อนนำมาอ่านผลด้วยเครื่องตรวจวัดอีกด้วย
== วัคซีนป้องกัน ==
สหรัฐอเมริกาผลิตวัคซีนไข้หวัดนกตัวแรก โดยสร้างจากสายพันธุ์ที่ติดเชื้อในคน เมื่อ พ.ศ. 2550
== การป้องกันโรค ==
#รับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
#ดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ
#หมั่นล้างมือเป็นประจำเพื่อฆ่าเชื้อโรค และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้
#หากมีไข้สูง และเคยสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
== ดูเพิ่ม ==
* ไข้หวัดใหญ่ในสุกร
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:โรครับจากสัตว์
หมวดหมู่:สัตว์ปีก
หมวดหมู่:ไข้หวัดใหญ่
หมวดหมู่:จุลชีววิทยา
หมวดหมู่:โรคติดเชื้อไวรัส |
1918 | https://th.wikipedia.org/wiki/นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ | นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ | นินจาจอมมคาถา () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เนื้อหาเกี่ยวกับนินจา เรื่องและภาพโดยมาซาชิ คิชิโมโตะ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 ลงในนิตยสาร "โชเน็งจัมป์" ใน ประเทศญี่ปุ่น ในภาคแรก
ในหนังสือจะมีการกล่าวถึงพื้นฐานและประวัติของตัวละครแต่ละตัว โดยในหนังสือตีพิมพ์ในภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด รายละเอียดในเล่ม หลายอย่าง เช่น วันเกิด กรุ๊ปเลือด อาหารที่ชอบ อาหารที่ไม่ชอบ งานอดิเรก ความสามารถ ตรรกะต่างๆ ระดับขั้นนินจาของทุกคน
และล่าสุดคือหนังสือฮิเด็นชาโนะโชะ (秘伝・者の書 ― キャラクターオフィシャルデータBOOK) ที่ละเอียดกว่าเล่มแรกมาก จะได้เห็นละเอียดความสามารถการเติบโตของตัวละครที่เพิ่มขึ้นจากภาคแรก
== รายชื่อตอนทั้งหมด ==
* รายชื่อตอนนินจาคาถาโอ้โฮเฮะ (มังงะ)
* รายชื่อตอนโบรูโตะ (มังงะ)
* รายชื่อตอนนารูโตะ นินจาจอมคาถา
* รายชื่อตอนในนารูโตะ ตำนานวายุสลาตัน
* รายชื่อตอนโบรูโตะ: นารูโตะ เน็กซ์ เจนเนเรชั่น
== ตอนพิเศษ ==
* คาคาชิไกเดน มังงะ 6 ตอนจบ ภารกิจของคาคาชิกับเพื่อนร่วมทีมนำโดยโฮคาเงะรุ่นที่ 4 เหตุการณ์ตอนที่ได้รับเนตรวงแหวน จากอุจิวะ โอบิโตะเป็นเรื่องราวในช่วงก่อนตอนที่ 1 ช่วงปลายของสงครามนินจา แต่ในหนังสือการ์ตูนมาตีพิมพ์ในช่วงระหว่างภาคที่ 1 กับภาคที่ 2 (อนิเมะตอนที่ 339-340 ในภาค2)
=== ตอนพิเศษที่มีเฉพาะในภาพยนตร์การ์ตูนชุด ===
นี่เป็นรายชื่อตอนพิเศษของนารูโตะ นินจาจอมคาถา ที่มีเฉพาะในอนิเมะเท่านั้น ไม่มีในมังงะ
* ภารกิจสืบข่าวที่หมู่บ้านโอโตะงาคุเระ และ ช่วย ซาซาเมะตามหาพี่ชายที่ถูกโอโรจิมารุจับตัวไป (ตอนที่ 136 - 141)
* ภารกิจการตามล่าและการต่อสู้ระหว่าง มิซึกิ (อาจารย์ที่ปรากฏในตอนปฐมบทของนารูโตะ - ภายหลังไปฝักใฝ่โอโรจิมารู คล้ายกับซาซึเกะ) กับนารูโตะที่ร่วมมือกับอาจารย์อิรูกะ (ตอนที่ 142 - 147)
* ภารกิจการตามล่าหาแมลงของทีมของฮินาตะ (นินจากลุ่ม 8) และการปะทะกันของตระกูลอะบุราเมะกับตระกูลแมลงอีกตระกูลชื่อคามิซึรุอิ (ตอนที่ 148 - 151)
* ภารกิจกับกลุ่มของเนจิ การไปเยือนหมู่บ้านที่ตระกูลคุโรซึเกะ (หนึ่งในกลุ่มเจ็ดดาบนินจาแห่งคิริ) ที่มีการกดขี่ เมื่อทำผิดจะมีการฝังทั้งเป็น (อาจเรียกว่าเป็นงานศพของคนเป็น) เพื่อต่อสู้ปะทะกัน (ตอนที่ 152 - 157)
* ภารกิจที่มอบให้รุ่นพี่ แห่งหมู่บ้านโคโนฮะงาคุเระ (รุ่นของนารูโตะและร็อกลี) พาพวกรุ่นน้อง (รุ่นของโคโนฮะมารู) ไปฝึกวิชากัน (ตอนที่ 158)
* ภารกิจการตามล่าตัวอาชญากรชื่อ โกซุนคุงิ ร่วมทีมกับคิบะและฮินาตะ (ตอนที่ 159 - 160)
* การบุกรุกเพื่อสืบข้อมูลจากหมู่บ้านโคโนฮะ (ตอน 161)
* ภารกิจกับเนจิและเท็นเท็น ต่อสู้กับการความจริงเรื่อง"ผี" (ตอน 162 - 167)
* ภารกิจช่วยลูกสาวร้านราเม็ง (ตอน 168)
* ภารกิจหาความจริงเรื่อง มนุษย์ปลา กับ อดีตของอาจารย์อังโกะ (ตอน 169-173)
* ภารกิจพาลูกเศรษฐีดู ชีวิตนินจาเต็มวัน (ตอน 174)
* ภารกิจตามล่าหาขุมทรัพย์กับคิบะและฮินาตะ (ตอน 175-176)
* ภารกิจระงับการเกิดสงครามกับจิไรยะ (ตอน 177)
* ภารกิจคุ้มครองหินอุกกาบาตกับเนจิ ลี และเท็นๆ (ตอน 178-183)
* ภารกิจช่วยไล่พิษเซรุ่มร้ายแรงในตัวอากามารุ และ คิบะได้ทำให้อากมารุกลับเป็นอย่างเดิม (ตอน 184)
* ภารกิจช่าวยดูแลออนบะ ที่ติดอยู่ที่หลังของนารูโตะ และ ปล่อยมันกลับหาแม่ (ตอน 185)
* ภารกิจช่วยไปงานศพแทนลูกชายเจ้าของไร่ซึ่งห้ามหัวเราะเด็ดขาด ตอนนี้ชิโนะหัวเราะครั้งแรก (ตอน 186)
* ภารกิจช่วยคุ้มครองเจ้าหญิงแห่งแคว้นนะให้หลบหนี และต่อกรกับ 3 พี่น้องปีศาจ (ตอน 187-191)
* ภารกิจให้อิโนะเข้าพิธีดูตัวแทนเจ้าหญิงที่หน้าตาเหมือนอิโนะเปี๊ยบแต่อ้วนกว่า (ตอน 192)
* ภารกิจเป็นคู่ซ้อมให้ลี ที่โรงฝึก (ตอน 193)
* ภารกิจปราสาทผีสิงต้องคำสาป (ตอน 194)
* ภารกิจจัดการ 3 พี่น้องที่พ่อเป็นศัตรูของไก (ตอน 195-196)
* ภารกิจกู้ระเบิดในโคโนฮะที่วางไว้เมื่อ 30 ปีก่อนและจัดการเกนโนมือวางกับดัก (ตอน 197-201)
* ภารกิจ5อันดับฉากประทับใจ (ตอน202)
* ภารกิจปกป้องยาคุโม่ ของทีมคุเรไนและนารูโตะ (ตอน 203-207)
* ภารกิจปกป้องชามฟุโจทัตสึ (ตอน208)
* ภารกิจคุ้มกันนักโทษไปเมืองหลวงกับซากุระและลี ซึ่งความจริงเป็นคนช่วยด็กไว้หลายคน (ตอน 209-212)
* ภารกิจช่วย เมนมะ เด็กหนุ่มที่ความจำเสื่อมให้กลับมาจำได้อีกครั้งกับเนจิและเท็นเท็น (ตอน 213-215)
* ภารกิจรวมพลไปช่วยกาอาระที่จะถูกแย่งพลังไป และนารุโตะออกเดินทาง (ตอน 216-220)
== ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว ==
นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ ได้ถูกจัดทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว สร้างโดยบริษัทโตโฮ กำกับโดยผู้กำกับเทนไซ โอกามูระ ฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศญี่ปุ่น 3 ภาค ภาคชิปปูเดนอีก 6 ภาค และในปัจจุบันเข้าฉายในประเทศไทย 6 ภาค
=== นารูโตะ เดอะมูฟวี่ ===
=== นารูโตะ ชิปปูเดน เดอะมูฟวี่ ===
== โอวีเอ ==
นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ ได้ถูกจัดทำเป็นโอวีเอ ดังนี้
== เพลงประกอบ ==
=== ภาคแรก ===
;เพลงเปิดเรื่อง
# Rocks (R★O★C★K★S, Rokusu) ขับร้องโดย Hound Dog (ตอนที่ 1-25)
# Haruka Kanata (遥か彼方) ขับร้องโดย Asian Kung-Fu Generation (ตอนที่ 26-53)
# Kanashimi wo Yasashisani (悲しみをやさしさに) ขับร้องโดย Little by Little (ตอนที่ 54-77)
# GO!!! ขับร้องโดย Flow (ตอนที่ 78-103)
# Seishun Kyosokyoku (青春狂騒曲) ขับร้องโดย Sambomaster (ตอนที่ 104-128)
# No Boy, No Cry (ノーボーイ·ノークライ) ขับร้องโดย Stance Punks (ตอนที่ 129-153)
# Namikaze Sateraito (波風サテライト) ขับร้องโดย Snowkel (ตอนที่ 154-178)
# Re:member ขับร้องโดย Flow (ตอนที่ 179-202)
# Yura Yura (ユラユラ) ขับร้องโดย Hearts Grow (ตอนที่ 203-220)
;เพลงปิดเรื่อง
# Wind ขับร้องโดย Akeboshi (ตอนที่ 1-25)
# Harmonia ขับร้องโดย Rythem (ตอนที่ 26-51)
# Viva★Rock ขับร้องโดย Orange Range (ตอนที่ 52-64)
# ALIVE ขับร้องโดย RAICO (ตอนที่ 65-77)
# Ima made Nando mo (今まで何度も) ขับร้องโดย The Massmissile (ตอนที่ 78-89)
# Ryūsei ขับร้องโดย TiA (ตอนที่ 90-103)
# Mountain A Go Go Two (マウンテン·ア·ゴーゴー·ツー) ขับร้องโดย Captain Straydum (ตอนที่ 104-115)
# Hajimete Kimi to Shabetta (はじめて君としゃべった) ขับร้องโดย GaGaGa SP (ตอนที่ 116-128)
# Nakushita Kotoba (失くした言葉) ขับร้องโดย No Regret Life (ตอนที่ 129-141)
# Speed ขับร้องโดย Analog Fish (ตอนที่ 142-153)
# Soba ni iru kara (そばにいるから) ขับร้องโดย Amadori (ตอนที่ 154-165)
# Parade ขับร้องโดย Chaba (ตอนที่ 166-178)
# Yellow Moon ขับร้องโดย Akeboshi (ตอนที่ 179-191)
# Pinokio (ピノキオ) ขับร้องโดย Ore Ska Band (ตอนที่ 192-202)
# Scenario ขับร้องโดย Saboten (ตอนที่ 203-220)
;เพลงปิดภาพยนตร์
# Home Sweet Home ขับร้องโดย Yuki Isoya (ภาพยนตร์ตอน นารูโตะ เดอะมูฟวี่ ศึกชิงเจ้าหญิงหิมะ)
# Ding! Dong! Dang! ขับร้องโดย Tube (ภาพยนตร์ตอน นารูโตะ เดอะมูฟวี่ ศึกครั้งใหญ่ ผจญนครปิศาจใต้พิภพ)
# Tsubomi (つぼみ) ขับร้องโดย Maria (ภาพยนตร์ตอน นารูโตะ เดอะมูฟวี่ เกาะเสี้ยวจันทรา)
=== ภาควายุสลาตัน ===
;เพลงเปิดเรื่อง
# Hero's Come Back!! ขับร้องโดย Nobodyknows (ตอนที่ 1-30)
# Distance ขับร้องโดย Long Shot Party (ตอนที่ 31-53)
# Blue Bird (ブルーバード) ขับร้องโดย Ikimono-gakari (ตอนที่ 54-77)
# Closer ขับร้องโดย Joe Inoue (ตอนที่ 78-102)
# Hotaru no Hikari (ホタルノヒカリ) ขับร้องโดย Ikimono-gakari (ตอนที่ 103-128)
# Sign ขับร้องโดย FLOW (ตอนที่ 129-153)
# Tōmei datta Sekai (透明だった世界) ขับร้องโดย Motohiro Hata (ตอนที่ 154- 179)
# Diver ขับร้องโดย Nico Touches the Walls (ตอนที่ 180-205 )
# Lovers ขับร้องโดย 7!! Seven Oops (ตอนที่ 206-230)
# New Song ขับร้องโดย Tacica (ตอนที่ 231-256)
# Assault Rock ขับร้องโดย THE CRO-MAGNONS (ตอนที่ 257-281)
# Moshimo (もしも) ขับร้องโดย Daisuke (ตอนที่ 282-306)
# Not Even Giving In To the Sudden Rain ขับร้องโดย NICO Touches the Walls (ตอนที่ 307-332)
# Size of the Moon ขับร้องโดย Nogizaka46 (ตอนที่ 333-356)
# Crimson Lotus ขับร้องโดย DOES (ตอนที่ 357-379)
# Silhouette ขับร้องโดย KANA-BOON (ตอนที่ 380-405)
# Wind ขับร้องโดย Yamazaru (ตอนที่ 406-431)
# LINE ขับร้องโดย Sukima Switch (ตอนที่ 432-458)
# Blood Circulator ขับร้องโดย Asian Kung-Fu Generation (ตอนที่ 459-479)
# Empty Heart ขับร้องโดย Anly (ตอนที่ 480-500)
;เพลงปิดเรื่อง
# Nagareboshi Shooting Star (流れ星 〜Shooting Star〜) ขับร้องโดย Home Made Kazoku (ตอนที่ 1-18)
# Michi: to you all (道 〜to you all) ขับร้องโดย Alüto (ตอนที่ 19-30)
# Kimi Monogatari (キミモノガタリ) ขับร้องโดย Little by Little (ตอนที่ 31-41)
# Mezamero! Yasei (目覚めろ!野性) ขับร้องโดย Matchy with Question? (ตอนที่ 42-53)
# Sunao na Niji (素直な虹) ขับร้องโดย Surface (ตอนที่ 54-63)
# Broken Youth ขับร้องโดย Nico Touches the Walls (ตอนที่ 64-77)
# Long Kiss Good Bye ขับร้องโดย Halcali (ตอนที่ 78-90)
# Bacchikoi!!! (バッチコイ!!!) ขับร้องโดย Dev Parade (ตอนที่ 91-102)
# Shinkokyū (深呼吸) ขับร้องโดย Super Beaver (ตอนที่ 103-115)
# My Answer ขับร้องโดย Seamo (ตอนที่ 116-128)
# Omae dattanda (おまえだったんだ) ขับร้องโดย Kishidan (ตอนที่ 129-141)
# For You ขับร้องโดย Azu (ตอนที่ 142-153)
# Jitensha (自転車) ขับร้องโดย OreSkaBand (ตอนที่ 154-166 )
# Utakata Hanabi (うたかた花火) ขับร้องโดย Supercell (ตอนที่ 167-179)
# U can do it ขับร้องโดย Domino (ตอนที่ 180-190)
# Mayonaka no Orchestra (真夜中の楽団) ขับร้องโดย Aqua Timez (ตอนที่ 191-205)
# Freedom ขับร้องโดย Home Made Kazoku (ตอนที่ 206-218)
# Shout Out Your Desires!!!! ขับร้องโดย OKAMOTO'S (ตอนที่ 219-230)
# Place To Try ขับร้องโดย TOTALFAT (ตอนที่ 231-242)
# By my Side ขับร้องโดย Hemenway (ตอนที่ 243-256)
# Cascade ขับร้องโดย UNLIMITS (ตอนที่ 257-268)
# Kono Koe Karashite ขับร้องโดย AISHA (ตอนที่ 269-281)
# Mother ขับร้องโดย MUCC (ตอนที่ 282-295)
# Sayonara Memory ขับร้องโดย 7!! Seven Oops (ตอนที่ 296-306)
# I Can Hear ขับร้องโดย DISH// (ตอนที่ 307-319)
# Carry Your Dreams ~The Crissroad of Beginnings~ ขับร้องโดย Rake (ตอนที่ 320-332)
# Black Night Town ขับร้องโดย Akihisa Kondō (ตอนที่ 333-343)
# Rainbow ขับร้องโดย Vacuum Hollow (ตอนที่ 344-356)
# FLAME ขับร้องโดย DISH// (ตอนที่ 357-366)
# Never Change feat.Lyu:Lyu ขับร้องโดย SHUN (ตอนที่ 367-379)
# It’s Absolutely No Good ขับร้องโดย Shiori Tomita (ตอนที่ 380-393)
# Spinning World ขับร้องโดย Diana Garnett (ตอนที่ 394-405)
# A Promise That Doesn't Need Words ขับร้องโดย sana (ตอนที่ 406-417)
# Rainbow's Sky ขับร้องโดย FLOW (ตอนที่ 418-431)
# Troublemaker ขับร้องโดย KANIKAPILA (ตอนที่ 432-443)
# Such You, Such Me ขับร้องโดย Thinking Dogs (ตอนที่ 444-454)
# Blue Lullaby ขับร้องโดย Kuroneko Chelsea (ตอนที่ 455-466)
# Pino and Amélie ขับร้องโดย Huwie Ishizaki (ตอนที่ 467-479)
# Departure Song ขับร้องโดย AYUMIKURIKAMAKI (ตอนที่ 480-488)
# Absolutely ขับร้องโดย Swimy (ตอนที่ 489-500)
;เพลงปิดภาพยนตร์
# Lie-Lie-Lie ขับร้องโดย DJ OZMA (ภาพยนตร์ตอน Naruto Shippūden the Movie)
# No Rain No Rainbow ขับร้องโดย Home Made Kazoku (HOME MADE 家族) (ภาพยนตร์ตอน Naruto Shippūden 2: Bonds)
# Dareka Ga ขับร้องโดย Puffy AmiYumi (ภาพยนตร์ตอน Naruto Shippūden 3: Inheritors of the Will of Fire)
# If ขับร้องโดย Kana Nishino (西野 カナ) (ภาพยนตร์ตอน Naruto Shippūden 4: The Lost Tower)
# Otakebi ขับร้องโดย yusuke (ภาพยนตร์ตอน Naruto Shippūden 5: Blood Prison)
# Well Then, See You Tomorrow ขับร้องโดย Asian Kung-Fu Generation (ภาพยนตร์ตอน Naruto Shippūden 6: Road to Ninja)
# Star Vessel ขับร้องโดย Sukima Switch (ภาพยนตร์ตอน The Last: Naruto the Movie)
# Diver ขับร้องโดย KANA-BOON (ภาพยนตร์ตอน Boruto: Naruto the Movie)
=== โบรูโตะ ===
=== วิดีโอเกมส์ ===
== ดูเพิ่ม ==
* ตัวละครทั้งหมด
* ระดับชั้นนินจา
* คาถา วิชานินจา และท่าไม้ตาย
* ขีดจำกัดสายเลือด
* ภูมิประเทศในเรื่อง
* กลุ่ม ตระกูล ทีมและหน่วย
==อ้างอิง==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บเครือข่ายดีสนีย์อย่างเป็นทางการ
* เว็บนารูโตะ ของโชเนนจัมป์
* เว็บนารูโตะ ของทีวีโตเกียว
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวศิลปะการต่อสู้
หมวดหมู่:ซีรีส์อนิเมะทางโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2545
หมวดหมู่:ซีรีส์อนิเมะทางโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2550
หมวดหมู่:ปิเอโร (บริษัท)
หมวดหมู่:แอนิแมกซ์
หมวดหมู่:นินจาในอนิเมะและมังงะ
หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ของทีวีโตเกียว
หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่อง 5
หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี
หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่องไอทีวี-ทีไอทีวี
หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่องจีเอ็มเอ็ม 25
หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่องโมโน 29
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวก้าวผ่านวัย
หมวดหมู่:การตรวจพิจารณาโทรทัศน์ในสหรัฐ
หมวดหมู่:อะนิเพล็กซ์
หมวดหมู่:มังงะที่ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ |
1919 | https://th.wikipedia.org/wiki/กรุงเทพมหานคร | กรุงเทพมหานคร | # ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (ถนนกาญจนาภิเษก) เปิดใช้บริการส่วนต่อขยายครั้งล่าสุด (ด้านใต้) วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
;ทางยกระดับ
# ทางยกระดับอุตราภิมุข มีระยะทางรวมประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ในการบริหารจัดการโดยบริษัททางยกระดับดอนเมืองจำกัด (มหาชน) ระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตรจากดินแดงถึงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (ทางยกระดับดอนเมือง) เปิดบริการเมื่อ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2537 และอยู่ในการบริหารจัดการโดยกรมทางหลวง ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร จากอนุสรณ์สถานแห่งชาติถึงรังสิต (ส่วนของกรมทางหลวง) เปิดบริการเมื่อ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2541
# ทางคู่ขนานลอยฟ้าพระบรมราชชนนี จากทางแยกอรุณอมรินทร์ถึงทางแยกต่างระดับสิรินธรระยะทาง 4.50 กิโลเมตร และจากทางแยกต่างระดับสิรินธรถึงจุดสิ้นสุดโครงการ บริเวณเลยจุดข้ามทางแยกต่างระดับพุทธมณฑล สาย 2 ไปอีก 500 เมตร ระยะทาง 9.30 กิโลเมตร เปิดเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2541
รถโดยสารระหว่างประเทศ เส้นทางกรุงเทพฯ-[[พนมเปญ ณ ปอยเปต)]]
รถโดยสารประจำทางหรือรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ ที่สำหรับเดินทางไปยังต่างประเทศโดยตรงจากกรุงเทพมหานคร มี 4 เส้นทาง ไป ประเทศกัมพูชา และ ประเทศลาว โดยมีสถานีหลักอยู่ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ดังนี้
*กรุงเทพฯ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - เสียมราฐ
*กรุงเทพมหานคร - ปากเซ
*กรุงเทพมหานคร - นครหลวงเวียงจันทน์
* กรุงเทพฯ - อรัญประเทศ - ปอยเปต - พระตะบอง - พนมเปญ ) ระยะทาง 16.5 กิโลเมตร
;รถปรับอากาศพิเศษ
รถปรับอากาศพิเศษ (metrobus) เป็นรถของบริษัท พรีเมียร์ เมโทรบัส จำกัด เป็นรถปรับอากาศร่วมบริการ ขสมก. เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้โดยสารที่ต้องการนั่งบนรถตลอดการเดินทาง
;รถจักรยานยนต์ประจำทาง
รถจักรยานยนต์ในกรุงเทพมหานคร มีอัตราบริการขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 10 บาท ทั้งนี้แล้วแต่ท้องที่นั้น ๆ จะเรียกเก็บค่าโดยสารตามระยะทางที่เดินทางโดยสูงสุดอาจถึง 500 บาท หากไปยังพื้นที่ที่ต้องไปในระยะไกล
==== ทางรถแท็กซี่ ====
thumbnail|รถ[[แท็กซี่ในกรุงเทพมหานคร]]
ค่าโดยสารแท็กซี่มิเตอร์ในเขตกรุงเทพฯ ยุคแรก จะถูกกำหนดโดยประกาศกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2535 ลงนามโดยนาย บรรหาร ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอก สุจินดา คราประยูร กระทรวงคมนาคมปรับราคาล่าสุดในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2566 ดังนี้
ระยะทางเกินกว่า 40 กิโลเมตรถึงกิโลเมตรที่ 60 กิโลเมตรละ 8.50 บาท
ระยะทางเกินกว่า 60 กิโลเมตรถึงกิโลเมตรที่ 80 กิโลเมตรละ 9.00 บาท
ระยะทางเกินกว่า 80 กิโลเมตรขึ้นไป กิโลเมตรละ 10.50 บาท
นอกจากนี้ กรณีรถไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อไปได้เกินกว่า 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้กำหนดอัตรานาทีละ 3.00 บาท
โดยการคิดค่าโดยสารนั้น จะคิดแยกเป็นส่วน ๆ (ส่วนของระยะทาง และส่วนของเวลา) ส่วนของระยะทาง มิเตอร์คำนวณค่าโดยสารได้เท่าไร จะปัดขึ้นเป็นจำนวนเต็มคี่ที่อยู่ถัดขึ้นไป (เช่น คำนวณได้ 47.75 บาท ก็จะปัดขึ้นเป็น 49 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเต็มคี่ที่อยู่ถัดไป) ส่วนของมิเตอร์เวลา มิเตอร์เวลาคำนวณค่าโดยสารได้เท่าไร จะปัดลงเป็นจำนวนเต็มคู่ที่อยู่ลงมา (เช่น มิเตอร์เวลาเดินไปได้ 3.75 บาท ก็จะปัดทิ้งเป็น 2 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเต็มคู่ที่อยู่ถัดลงมา)
ปัจจุบันสามารถวิ่งได้ 12 ปีโดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ให้สามารถขยายอายุการใช้งานจาก 9 ปี เป็น 12 ปี ได้ และต้องผ่านเกณฑ์การตรวจสภาพตามที่กรมการขนส่งทางบกและกรมควบคุมมลพิษร่วมกันกำหนดเงื่อนไข ทั้งการตรวจสภาพเพื่อขยายอายุการใช้งานและการตรวจสภาพเพื่อรักษามาตรฐานสมรรถนะรถไปจนสิ้นอายุการใช้งาน
ปัจจุบันได้มีบริการเรียกรถแท็กซี่ผ่านระบบคอมพิวเตอร์โดยจะเสียค่ารถวิ่งเปล่า 25 บาท รู้จักในนาม Grab taxi
==== ทางระบบขนส่งมวลชนเร็ว ====
ปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร
ปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร นอกจากจะมีสาเหตุจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นทุกปีแล้ว ยังมีปัจจัยเร่งให้ปัญหาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คือ มีประชาชนจากต่างจังหวัดเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมาก ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเทศกาล สงกรานต์ มักพบว่ามีผู้เดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้แตกต่างจากกรุงปักกิ่ง เท่าใดนัก ขณะที่ ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานครในขณะนั้น เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554 ว่าป้ายผิดกฎหมายในกรุงเทพมีมากถึง 1,928 ป้าย อย่างไรก็ตาม สำนักเทศกิจและสำนักงานเขต 50 เขต จัดเก็บป้ายผิดกฎหมายในพื้นที่ และเปรียบเทียบปรับตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมือง พ.ศ. 2535 และจัดเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 จัดเก็บได้ 1,327,229 ป้าย
=== อาชญากรรม ===
ปัญหาอาชญากรรมในกรุงเทพมหานครยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยในรายงานของสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ได้ทำการรวบรวมวิจัยปัญหานี้ตลอดปี พ.ศ. 2550 พบว่าเหยื่ออาชญากรรมที่เป็นสมาชิกครัวเรือนมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 52,410 รายนั้น ส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมต่อทรัพย์สิน ร้อยละ 96.1 เหยื่ออาชญากรรมมีอายุระหว่าง 45 - 59 ปี มากที่สุดคือ ร้อยละ 33.2 เหยื่ออาชญากรรมเป็นเพศชาย ร้อยละ 46.4 และหญิง ร้อยละ 53.6 มีสัญชาติไทย ร้อยละ 99.6 เชื้อชาติไทย ร้อยละ 99.0 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 94.1 มีการศึกษาสูงสุดในระดับประถมศึกษาเป็นจำนวนมากที่สุดคือร้อยละ 31.2 เหยื่ออาชญากรรมในกรุงเทพมหานคร รายงานว่าอาชญากรรมที่ประสบในภาพรวมเกิดเหตุในช่วงเวลา 00.01-03.00 น. มากที่สุดถึงร้อยละ 21.1 สถานที่เกิดเหตุอาชญากรรมทั้งหมดในกรุงเทพมหานครพบว่า ส่วนใหญ่เหยื่อระบุว่า เกิดเหตุขึ้นบริเวณบ้านที่พักอาศัยของเหยื่อเอง คิดเป็นร้อยละ 74.8
=== การระบายน้ำ ===
เนื่องจากกรุงเทพมหานครมีการขยายของเมืองส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมทันทีที่ฝนตกหนักโดยในคืนของวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ภายหลังฝนตกหนักทั้งคืน กรุงเทพมหานครน้ำท่วมทันทีในวันรุ่งขึ้นอาจารย์ ดร.สนธิ คชวัฒน์ คณะศิลปศาสตร์ สายวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี แสดงความเห็นควรประกาศเป็น พื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563 นายแพทย์ ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า มีความเสี่ยงต่อการบกพร่องด้านการคิด พัฒนาการผิดปกติ และโรคทางจิตเวช ใน เด็ก เพื่อตอบโต้ โฆษกรัฐบาล ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่แถลงข่าวในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563 ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก
วันที่ 12 ธันวาคม 2566 ชาวกรุงเทพฯ ประสบกับภาวะที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) หนาแน่นคล้ายหมอกปกคลุม นาย ภาคภูมิ เดชหัสดิน รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศุขเวช ได้ให้ความเห็นว่า ควรมีหน่วยงานเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองพิษ PM 2.5 พร้อมกับโพสภาพเอกซเรย์ปอดของ นายแพทย์กฤตไท ธนสมบัติกุล ที่ปอดหายไปครึ่งหนึ่ง (เสียชีวิตแล้ว วันที่ 5 ธันวาคม 2566) ซึ่งในฝุ่น PM 2.5 มีสารปรอท แคดเมียม โลหะหนัก สารก่อมะเร็ง ซึ่งอันตราย ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล อาจารย์แพทย์ศิริราช กล่าวว่า PM 2.5 ทำให้เกิดมะเร็งปอดได้
=== แผ่นดินไหวและตึกถล่ม ===
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวและตึกถล่มจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยมากกว่า [] ราย
==== สถิติที่สำคัญ ====
วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2566 กรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่นเป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 179 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในปี พ.ศ. 2566 คนกรุงเทพฯ สูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่ ทั้งหมดจำนวน 1,370.09 มวน ต่อปี
== เมืองพี่น้อง ==
จากข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2564 กรุงเทพมหานครได้สถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่น้องกับ 36 เมืองใน 19 ประเทศ ได้แก่:
* จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น (9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555)
* อังการา ประเทศตุรกี (21 มีนาคม พ.ศ. 2555)
* ปักกิ่ง ประเทศจีน (26 พฤษภาคม พ.ศ. 2536)
* บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย (7 พฤษภาคม พ.ศ. 2540)
* บูดาเปสต์ ประเทศฮังการี (20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540)
* ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ (14 มีนาคม พ.ศ. 2554)
* แต้จิ๋ว ประเทศจีน (23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548)
* เฉิงตู ประเทศจีน (10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560)
* ฉงชิ่ง ประเทศจีน (26 กันยายน พ.ศ. 2554)
* แทกู ประเทศเกาหลีใต้ (17 สิงหาคม พ.ศ. 2560)
* ต้าเหลียน ประเทศจีน (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559)
* จังหวัดฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น (8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549)
* จอร์จทาวน์ ประเทศมาเลเซีย (5 ดมษายน พ.ศ. 2555)
* กว่างโจว ประเทศจีน (13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552)
* ฮานอย ประเทศเวียดนาม (25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547)
* นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (3 เมษายน พ.ศ. 2558)
* จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย (21 มกราคม พ.ศ. 2545)
* โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (29 ธันวาคม พ.ศ. 2552)
* ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส (19 มกราคม พ.ศ. 2559)
* มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ (24 มิถุนายน พ.ศ. 2540)
* มอสโก ประเทศรัสเซีย (19 มิถุนายน พ.ศ. 2540)
* อัสตานา ประเทศคาซัคสถาน (11 มิถุนายน พ.ศ. 2547)
* พนมเปญ ประเทศกัมพูชา (4 มกราคม พ.ศ. 2556)
* โปร์ตู ประเทศโปรตุเกส (30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559)
* เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย (20 มิถุนายน พ.ศ. 2540)
* โซล ประเทศเกาหลีใต้ (16 มิถุนายน พ.ศ. 2549)
* มณฑลซานตง ประเทศจีน (7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556)
* เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน (10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555)
* เชินเจิ้น ประเทศจีน (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558)
* เตหะราน ประเทศอิหร่าน (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555)
* จังหวัดเถื่อเทียนเว้ ประเทศเวียดนาม (5 สิงหาคม พ.ศ. 2559)
* เทียนจิน ประเทศจีน (27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555)
* อูลานบาตาร์ ประเทศมองโกเลีย (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560)
* เวียงจันทน์ ประเทศลาว (24 พฤษภาคม พ.ศ. 2547)
* วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (พ.ศ. 2505, 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2545)
* อู่ฮั่น ประเทศจีน (20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556)
== เชิงอรรถ ==
===บรรณานุกรม===
== อ่านเพิ่ม ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
* กองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร
* ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์กรุงเทพมหานคร
{{Navboxes|title=บทความที่เกี่ยวข้อง|bg=#80ac9b|list=
หมวดหมู่:เมืองหลวงในทวีปเอเชีย
หมวดหมู่:เมืองในประเทศไทย
หมวดหมู่:จังหวัดริมฝั่งอ่าวไทย |
1920 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศสเปน | ประเทศสเปน | {{กล่องข้อมูล ประเทศ
|conventional_long_name = ราชอาณาจักรสเปน
|native_name = {{small|}}
|common_name = สเปน
|name = {{collapsible list
|titlestyle = background:transparent;text-align:center;line-height:normal;font-size:84%;
|{{Infobox|subbox=yes|bodystyle=font-size:80%;font-weight:normal;
|rowclass1 =mergedrow|label1=กาตาลา:|data1=
|rowclass2 = mergedrow|label2=กาลิเซีย:|data2=
|rowclass3 = mergedrow|label3=บาสก์:|data3=
|rowclass4 = mergedrow|label4=อุตซิตา:|data4=
|image_flag = Bandera de España.svg
|image_coat = Escudo de España (mazonado).svg
|national_motto =
|national_anthem =
|percent_water = 0.89 (ใน ค.ศ. 2015)
|population_census = 47,450,795}}
|population_census_year = 2020
|population_census_rank = อันดับที่ 30
|population_density_km2 = 94
|population_density_sq_mi = 243
|population_density_rank = อันดับที่ 120
|GDP_PPP = {{nowrap|1.942 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ}}
|GDP_PPP_year = ค.ศ. 2021
|GDP_PPP_rank = อันดับที่ 15
|GDP_PPP_per_capita = 41,736 ดอลลาร์สหรัฐ
|Gini_rank = อันดับที่ 103
|HDI = 0.904
|HDI_year = ค.ศ. 2019
|HDI_change = increase
|HDI_ref =
|HDI_rank = อันดับที่ 25
|currency = ยูโร (€)
|currency_code = EUR
|time_zone = เวลายุโรปตะวันตกและเวลายุโรปกลาง
|utc_offset = ±0 ถึง +1
|DST_note =
|time_zone_DST = เวลาออมแสงยุโรปตะวันตกและเวลาออมแสงยุโรปกลาง
|utc_offset_DST = +1 ถึง +2
|date_format = วว/ดด/ปปปป
|drives_on = ขวา
|calling_code = +34
|iso3166code = ES
|cctld = .es
สเปน (; , ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรสเปน (; ) เป็นประเทศทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนคาบสมุทรไอบีเรีย มีพรมแดนติดกับฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวเทือกเขาพิรินี ต่อมา ชาวเมดิเตอร์เรเนียน เช่น ฟินิเชีย และ กรีก ได้เข้ามาตั้งรกรากและทำการค้าบริเวณริมชายฝั่ง และชาวฟินิเซียตะวันตกได้ยึดครองบริเวณนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ และตั้งแต่ 218 ปีก่อนคริสต์ศักราช การล่าอาณานิคมของชาวโรมันในฮิสเปเนียได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาครอบครองดินแดนของสเปนในระยะเวลาอันรวดเร็ว และขับไล่ชาวฟินิเซียออกจากอาณาเขตในช่วง 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมันได้ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่ารวมถึงภาษา ศาสนา กฎหมาย และการเมืองการปกครองเอาไว้ ฮิสเปเนียยังเป็นแหล่งกำเนิดของจักรพรรดิโรมัน เช่น จักรพรรดิตรายานุส และ ฮาดริอานุส ฮิสปาเนียยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันจนกระทั่งการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในศตวรรษที่ 5 ในช่วงเวลานี้ บริเวณคาบสมุทรถูกปกครองโดยกลุ่มชาติพันธุ์โบราณต่าง ๆ เช่น แวนดัล, วิซิกอท และ อลันส์ ในขณะที่ส่วนหนึ่งของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตกเป็นของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก่อนที่ราชอาณาจักรวิซิกอทจะขึ้นมาเรืองอำนาจในบริเวณนี้ ในยุคกลาง อาณาจักรวิซิกอทถูกรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์รุกราน ส่งผลให้พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมเป็นเวลากว่า 700 ปี ในช่วงเวลานั้น อัลอันดะลุสได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 โดยมีกอร์โดบาเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งมากที่สุดในยุโรป และอาณาจักรของชาวคริสเตียนยังได้ถือกำเนิดขึ้น เช่น เลออน, กัสติยา, อารากอน, นาวาร์ และโปรตุเกส ชาวมัวร์ยังคงหลงเหลืออยู่ในคาบสมุทรไอบีเรียจนกระทั่งใน ค.ศ. 1492 ซึ่งเป็นปีที่ราชอาณาจักรกัสติยาและอารากอนสามารถขับไล่ชาวมัวร์ออกไปได้สำเร็จหลังจากเกิดการพิชิตดินแดนคืนที่ยาวนานถึง 770 ปี การรวมราชวงศ์ระหว่างราชบัลลังก์กัสติยาและราชบัลลังก์อารากอนถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสเปนในฐานะประเทศ
ในยุคแห่งการสำรวจระหว่างศตวรรษที่ 15 ถึง 17 จักรวรรดิสเปนได้กลายเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยแผ่ขยายข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการค้าด้วยโลหะมีค่า การปฏิรูปราชวงศ์บูร์บงในศตวรรษที่ 18 รวมอำนาจการปกครองไว้บนแผ่นดินใหญ่ของสเปน ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม เช่น ศิลปะ วรรณกรรม อาหาร สถาปัตยกรรม และดนตรี เรียกว่ายุคทองของสเปนซึ่งขยายอิทธิพลไปทั่วโลก และส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในยุโรปตะวันตกและทวีปอเมริกามาถึงปัจจุบัน ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและสังคมส่งผลให้สเปนกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป และขึ้นชื่อในด้านการล่าอาณานิคม แม้สเปนจะได้รับชัยชนะในสงครามคาบสมุทรในศตวรรษที่ 19 ทว่าความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายเสรีนิยมและสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม นำไปสู่ความเป็นอิสระของประเทศอาณานิคมส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สเปนมีการปกครองด้วยระบอบเผด็จการภายใต้การนำของฟรังโก ความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อจนนำไปสู่สงครามกลางเมือง ก่อนที่ระบอบฟรังโกจะสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1975 ระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจของประเทศได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ปัจจุบันสเปนกลายเป็นรัฐโลกวิสัยซึ่งปกครองโดยพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและรัฐสภา ที่มาจากการเลือกตั้งนับตั้งแต่มีการผ่านรัฐธรรมนูญเมื่อ ค.ศ. 1978 สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 ทรงเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันและมีฐานะเป็นประมุขแห่งรัฐ
สเปนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และมีรายได้ต่อหัวของประชากรสูง โดยยึดระบบเศรษฐกิจทุนนิยม มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของโลกทั้งในด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ สเปนเป็นประเทศที่มีอัตราการคาดหมายคงชีพสูง แลระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ สเปนเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง ได้แก่ สหประชาชาติ, สหภาพยุโรป, ยูโรโซน, สภายุโรป, องค์การรัฐไอบีโร-อเมริกา, สหภาพเพื่อเมดิเตอร์เรเนียน, องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ, องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา, องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป, เขตเชงเกน, องค์การการค้าโลก และมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในกลุ่ม 20 สเปนมีแหล่งมรดกโลก 50 แห่งซึ่งมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และมีนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับ 2 ของโลกใน ค.ศ. 2024
== ภูมิศาสตร์ ==
แผนที่ประเทศสเปน
ประเทศสเปนมีเนื้อที่ 505,955 ตารางกิโลเมตร (194,884 ตารางไมล์) มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 51 ของโลก (รองจากประเทศไทย) มีขนาดพอ ๆ กับประเทศเติร์กเมนิสถาน และค่อนข้างจะใหญ่กว่ารัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ โดยนอกจากจะมีพื้นที่บนคาบสมุทรไอบีเรียแล้ว อาณาเขตของประเทศยังรวมไปถึงหมู่เกาะแบลีแอริกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กานาเรียสในมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองเซวตา และเมืองเมลียา ในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ (สเปนจึงมีอาณาเขตติดต่อกับโมร็อกโกด้วย) และเกาะเล็ก ๆ เป็นจำนวนมากที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ทางด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของช่องแคบยิบรอลตาร์ ที่เรียกว่า ปลาซัสเดโซเบรานิอา (Plazas de soberanía) เช่น เกาะชาฟารีนัส เกาะอัลโบรัง โขดหินเบเลซเดลาโกเมรา โขดหินอาลูเซมัส และเกาะเปเรฆิล ทางทิศเหนือในแนวเทือกเขาพิรินี เมืองเล็ก ๆ ที่เป็นดินแดนส่วนแยก (exclave) ชื่อ ยิบิอา (Llívia) ในแคว้นกาตาลุญญา มีดินแดนประเทศฝรั่งเศสล้อมรอบอยู่
=== ที่ตั้ง ===
ประเทศสเปน (แผ่นดินใหญ่) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปบนคาบสมุทรไอบีเรีย
* ทิศเหนือ จรดทะเลกันตาเบรีย ประเทศฝรั่งเศส และประเทศอันดอร์รา
* ทิศตะวันออก จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
* ทิศใต้ จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลตาร์ และอ่าวกาดิซ
* ทิศตะวันตก จรดประเทศโปรตุเกสและมหาสมุทรแอตแลนติก
=== เขตแดน ===
[[อาเนโต|เขาอาเนโตในเทือกเขาพิรินี]]
หาดอาฆุย (Ajui) บน[[เกาะฟูเอร์เตเบนตูรา แคว้นกานาเรียส]]
* เขตแดนทางบก:
1,917.8 กิโลเมตร
ประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อ:
อันดอร์รา 63.7 กิโลเมตร, ฝรั่งเศส 623 กิโลเมตร, ยิบรอลตาร์ 1.2 กิโลเมตร, โปรตุเกส 1,214 กิโลเมตร, โมร็อกโก (เซวตา) 6.3 กิโลเมตร, โมร็อกโก (เมลียา) 9.6 กิโลเมตร
* ชายฝั่งทะเล:
4,964 กิโลเมตร
* การอ้างสิทธิ์ทางทะเล:
เขตนอกน่านน้ำอาณาเขต: 24 ไมล์ทะเล (44 กิโลเมตร)
เขตเศรษฐกิจจำเพาะ:
200 ไมล์ทะเล (370 กิโลเมตร) (เฉพาะในมหาสมุทรแอตแลนติก)
ทะเลอาณาเขต:
12 ไมล์ทะเล (22 กิโลเมตร)
* ระดับความสูง:
จุดต่ำสุด:
มหาสมุทรแอตแลนติก 0 เมตร
จุดสูงสุด:
ยอดเขาเตย์เด (Pico del Teide) ในแคว้นกานาเรียส สูง 3,718 เมตร
หมายเหตุ ภูเขาที่สูงที่สุดในภาคพื้นทวีปของสเปนคือ มูลาเซน (Mulhacén) ในจังหวัดกรานาดา แคว้นอันดาลูซิอา สูง 3,481 เมตร
=== ลักษณะภูมิประเทศ ===
โรงละคร[[สาธารณรัฐโรมัน|โรมันในเมืองเมรีดา]]
ชาวโรมันเข้ามาในคาบสมุทรไอบีเรียระหว่างสงครามพิวนิกครั้งที่ 2 เมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ ผนวกดินแดนนี้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิออกุสตุส หลังจากสงครามผ่านไปสองศตวรรษ ดินแดนของพวกไอบีเรียน เคลต์ กรีก ฟีนิเชีย และคาร์เทจ ได้กลายเป็นมณฑลฮิสปาเนีย ของจักรวรรดิโรมัน
ชาวโรมันได้พัฒนาส่งเสริมเมืองที่มีอยู่ก่อนแล้วในบริเวณนี้ เช่น ลิสบอน (โอลิสซีโป) และตาร์ราโกนา (ตาร์ราโก) และได้ตั้งเมืองซาราโกซา (ไกซาร์เรากุสตา) เมรีดา (เอากุสตาเอเมรีตา) และบาเลนเซีย (วาเลนเตีย) เศรษฐกิจของคาบสมุทรไอบีเรียขยายตัวขึ้นภายใต้การปกครองของโรมัน โดยฮิสปาเนียมีหน้าที่จัดส่งอาหาร น้ำมันมะกอก ไวน์ และโลหะให้กับโรม
ภาษาต่าง ๆ ของสเปนในปัจจุบันรวมทั้งศาสนาและข้อกฎหมายพื้นฐานต่างมีจุดกำเนิดในช่วงสมัยนี้ เป็นเวลาหลายศตวรรษที่การปกครองและการตั้งถิ่นฐานของโรมันอย่างไม่ขาดสายนั้นได้ทิ้งร่องรอยหยั่งลึกและทนทานไว้ในวัฒนธรรมสเปน
จักรวรรดิโรมันปกครองฮิสปาเนียอยู่ประมาณ 500 ปี เมื่อโรมันเสื่อมลง อนารยชนพวกแรกก็เริ่มเข้ารุกรานสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชนเผ่ากอธ วิสิกอธ ซูเอบี อาลัน อัสดิง และแวนดัลได้ข้ามแนวเขาพิรินีเข้ามา ชนเผ่าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นต้นกำเนิดชาติพันธุ์เยอรมัน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การก่อตั้งราชอาณาจักรซูเอบีในกัลไลเคียทางตะวันตกเฉียงเหนือ และราชอาณาจักรวิซิกอทในส่วนที่เหลือ ภายหลังวิซิกอทซึ่งเป็นคริสเตียนได้ขยายอำนาจครอบคลุมคาบสมุทรไอบีเรียทั้งหมดไว้ได้และปกครองประมาณ 200 ปี อาร์ชรูปเกือกม้า (horseshoe arch) ที่มีชื่อเสียงและได้รับการดัดแปลงและปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์โดยชาวมุสลิมในสมัยหลังนั้นเป็นตัวอย่างดั้งเดิมของศิลปะวิซิกอท (Visigothic art)
=== สเปนมุสลิม ===
ยุคของจักรวรรดิอิสลาม
ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 (ค.ศ. 711-718) กลุ่มคนที่พูดภาษาอาหรับจากแอฟริกาเหนือที่เรียกว่า มัวร์ (Moors) ได้เข้ายึดครองไอบีเรียอย่างรวดเร็วและปกครองอยู่เป็นเวลาถึง 800 ปี กลุ่มนี้เป็นชาวมุสลิม ดังนั้นสเปนมุสลิมจึงเป็นส่วนที่อยู่ทางตะวันตกไกลที่สุดของเขตอารยธรรมอิสลาม มีเพียงสามแคว้นเล็ก ๆ ทางภาคเหนือของสเปนเท่านั้นที่ยังมีเอกราชเป็นของตนเอง ได้แก่ อัสตูเรียส นาวาร์ และอารากอน ซึ่งได้กลายเป็นราชอาณาจักรไปภายหลัง
ภายใน[[มัสยิดเมซกีตามัสยิดแห่งกอร์โดบาร์ (Mezquita) ที่เมืองกอร์โดบา]]
อารยธรรมอิสลามนี้มีความก้าวหน้าในด้านสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง ชาวมัวร์ที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวยเนื่องจากควบคุมการค้าทองคำที่มาจากจักรวรรดิกานาในแอฟริกาตะวันตกได้สร้างสิ่งก่อสร้างสวยงามขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในแคว้นอันดาลูซิอาทางภาคใต้ของประเทศ เราจะพบเห็นสิ่งก่อสร้างของพวกมุสลิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในแคว้นนี้หลายแห่ง ส่วนภายนอกเขตเมือง ระบบการถือครองที่ดินในสมัยโรมันยังคงดำรงอยู่ไม่สลายไป เนื่องจากผู้ปกครองชาวมุสลิมไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวมากนัก พืชผลและวิธีการใหม่ ๆ ทำให้เกษตรกรรมขยายพื้นที่ออกไปมากอย่างน่าทึ่ง
การค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเฟื่องฟูขึ้นในสมัยนี้ ชาวมุสลิมได้นำภูมิปัญญาต่าง ๆ ทั้งจากตะวันออกกลางและจากแอฟริกาเหนือเข้ามา นักปราชญ์ชาวมุสลิมและชาวยิวมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและแผ่ขยายวัฒนธรรมยุคคลาสสิกในยุโรปตะวันตก เกิดการปะทะสังสรรค์ของวัฒนธรรมโรมันกับวัฒนธรรมยิวและมุสลิมในแนวทางที่ซับซ้อน ทำให้สเปนมีวัฒนธรรมที่มีลักษณะแตกต่างออกไป
ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิม ชาวยิวและชาวคริสต์มีเสรีภาพในการนับถือและประกอบพิธีทางศาสนา แต่ก็มีการแบ่งแยกกันอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นไป ภาคเหนือและภาคกลางของไอบีเรียก็กลับไปอยู่ในการปกครองของชาวคริสต์อีกครั้ง
=== การพิชิตดินแดนคืนและการรวมอาณาจักร ===
[[พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอนและสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา]]
หลังจากการรุกรานของชาวมัวร์ 11 ปี ช่วงเวลาอันยาวนานในการขยายตัวของอาณาจักรคริสต์ที่เรียกว่า การพิชิตดินแดนคืน (Reconquista) ก็ได้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 722 (พ.ศ. 1265) ด้วยความพ่ายแพ้ของพวกมุสลิมในยุทธการที่โกบาดองกา (Battle of Covadonga) และการก่อตัวของอาณาจักรอัสตูเรียส ต้นปี ค.ศ. 739 (พ.ศ. 1282) กองกำลังของมุสลิมของถูกผลักดันออกไปจากกาลิเซียซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซานเตียโกเดกอมโปสเตลา (Santiago de Compostela) หนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาคริสต์ในยุคกลาง
และในไม่ช้า พื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือและรอบ ๆ เมืองบาร์เซโลนาก็ถูกกองกำลังท้องถิ่นและกองกำลังของพวกแฟรงก์เข้ายึดได้และกลายเป็นฐานที่มั่นของชาวคริสต์ในสเปน รวมทั้งการยึดเมืองโตเลโดทางภาคกลางได้ในปี ค.ศ. 1085 (พ.ศ. 1628) ทำให้ส่วนครึ่งเหนือของสเปนเป็นของชาวคริสต์ทั้งหมด
พอถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 จักรวรรดิมุสลิมภายใต้ราชวงศ์อัลโมราวิด (Almoravid) ซึ่งเคยขยายอาณาเขตไปได้ไกลถึงเมืองซาราโกซาก็เริ่มแตกแยก ที่มั่นต่าง ๆ ของชาวมัวร์ที่เคยแข็งแกร่งทางภาคใต้ก็ตกเป็นของชาวคริสต์สเปน เช่น เมืองกอร์โดบาถูกยึดได้ในปี ค.ศ. 1236 (พ.ศ. 1779) เมืองเซบิยาถูกยึดได้ในปี ค.ศ. 1248 (พ.ศ. 1791) เป็นต้น จากนั้นไม่กี่ปี ดินแดนเกือบทั้งหมดในคาบสมุทรไอบีเรียก็ถูกพิชิตกลับคืนมาได้สำเร็จ ยกเว้นอยู่เพียงเมืองกรานาดาเท่านั้นที่ยังคงเป็นดินแดนแทรกของพวกมุสลิม
ในปี ค.ศ. 1478 (พ.ศ. 2021) พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 5 แห่งกัสติยาทรงสนับสนุนให้ก่อตั้งศาลศาสนาสเปน (Spanish Inquisition) และในปี ค.ศ. 1479 (พ.ศ. 2022) เมื่อพระองค์ (ซึ่งทรงราชาภิเษกสมรสและครองราชอาณาจักรกัสติยาร่วมกับสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1469) ได้ทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ที่ราชอาณาจักรอารากอนสืบต่อจากพระราชบิดา (และทรงพระนามใหม่ว่าพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอน) อาณาจักรคริสต์ทั้งสองแห่งจึงได้รวมเข้าด้วยกัน
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1492 (พ.ศ. 2035) กัสติยาและอารากอนสามารถยึดกรานาดา ดินแดนแห่งสุดท้ายของชาวมัวร์ในไอบีเรียได้สำเร็จ โบอับดิล (Boabdil) เจ้าชายมัวร์องค์สุดท้ายแห่งกรานาดายอมแพ้ต่อพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 ในวันที่ 2 มกราคม โดยสนธิสัญญากรานาดา ได้ยืนยันการผ่อนปรนทางศาสนาต่อชาวมุสลิม ในขณะที่ชาวยิวกว่า 2 แสนคนในสเปนถูกขับไล่ ออกไปในปีเดียวกันนั้นเอง
ในปีเดียวกัน (1492) สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 ก็ทรงสนับสนุนให้คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งโคลัมบัสก็ได้ค้นพบโลกใหม่ (New World) ได้แก่ เกาะต่าง ๆ ในทะเลแคริบเบียนรวมทั้งดินแดนอื่น ๆ ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ตามสนธิสัญญาตอร์เดซิยัส (Treaty of Tordesillas) ในปี ค.ศ. 1494 โลกได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนระหว่างโปรตุเกสและกัสติยาโดยมีแนวเหนือ-ใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นเส้นแบ่ง
เมื่อยึดครองกรานาดาได้สำเร็จ และยึดครองนาวาร์ได้ในปี ค.ศ. 1512 (พ.ศ. 2055) แล้ว คำว่า สเปน (Spain; España) ก็เริ่มถูกนำมาใช้เพื่อเรียกชื่อของราชอาณาจักรที่รวมกันใหม่นี้
=== สู่ตำแหน่งมหาอำนาจของโลก ===
การรวมเป็นหนึ่งเดียวของอาณาจักรกัสติยา เลออน อารากอน และนาวาร์ได้วางรากฐานให้กับการเกิดสเปนสมัยใหม่และจักรวรรดิสเปน (Spanish Empire) สเปนกลายเป็นผู้นำอำนาจของยุโรปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนื่องมาจากการปรับปรุงด้านการเมือง สังคม และการทหารในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 การขยายตัวของผลผลิตที่ได้จากเหมืองแร่เงินในทวีปอเมริกาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็ยิ่งเสริมตำแหน่งมหาอำนาจให้มั่นคงขึ้นอีก
เรือแกลเลียน (galleon) กลายเป็นสิ่งที่สื่อความหมายถึงความมั่งคั่งของ[[จักรวรรดิสเปน]]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่างรัชสมัยที่ยาวนานของกษัตริย์สเปนแห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คสองพระองค์ (พระเจ้าชาลส์ที่ 1 และพระเจ้าฟิลิปที่ 2) สเปนก็ได้ก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุด โดยได้ส่งทหารและพ่อค้าจำนวนมากเข้าไปในทวีปอเมริกาเพื่อยึดครองดินแดนต่าง ๆ ในทวีปแห่งนั้นมาเป็นของตน มีอาณานิคมมากมายในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตั้งแต่ชิลี อาร์เจนตินา ไปจนถึงเม็กซิโก บางรัฐของสหรัฐในปัจจุบัน (ซึ่งได้แก่ ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย แอริโซนา นิวเม็กซิโก เท็กซัส รวมทั้งบางส่วนของโอคลาโฮมา โคโลราโด และไวโอมิง) การพิชิตจักรวรรดิต่าง ๆ และนำของมีค่ากลับมา ทำให้สเปนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก โดยได้ครอบครองดินแดนเหล่านั้นอยู่เป็นเวลานานกว่า 300 ปี นอกจากนี้จักรวรรดิสเปนยังมีอาณานิคมในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในมหาสมุทรแปซิฟิก และได้ครอบครองจักรวรรดิโปรตุเกส อิตาลีตอนใต้ ซิซิลี บางส่วนของเยอรมนี เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ จักรวรรดิสเปนเป็นจักรวรรดิแห่งแรกที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน (The empire on which the sun never sets)
ช่วงนี้เป็นยุคแห่งการค้นพบ (Age of Discovery) มีการสำรวจดินแดนใหม่ การเปิดเส้นทางการค้าข้ามมหาสมุทร การยึดครองดินแดน และเป็นจุดเริ่มต้นของลัทธิจักรวรรดินิยมในทวีปยุโรป พร้อม ๆ กับการนำเข้าโลหะ เครื่องเทศ พืชเกษตรใหม่ที่มีค่านั้น นักสำรวจชาวสเปนและพ่อค้าได้นำความรู้ติดตัวกลับมาด้วย ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงความคิดความเข้าใจของชาวยุโรปที่มีต่อโลกในเวลาต่อมา
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 17 นี้ยังเป็นช่วงแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะและอักษรศาสตร์ในจักรวรรดิสเปน จึงเรียกว่าเป็นยุคทองของสเปน (Spanish Golden Age)
=== การเสื่อมอำนาจของสเปนในยุโรป ===
[[พระเจ้าเฟลิเปที่ 5 แห่งสเปน|พระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปน]]
"การเสื่อมลงของสเปน" เป็นไปอย่างช้า ๆ เริ่มต้นในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยมีปัจจัยมาจากการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แต่ประเด็นหลักคือความตึงเครียดเกี่ยวกับกำลังทหาร เป็นเวลานานที่กองทัพสเปนสามารถป้องกันไม่ให้จักรวรรดิฮาพส์บวร์คแตกแยกกระจัดกระจายได้ แต่ในที่สุดความเข้มแข็งนี้ก็พังทลายลง เมื่อสเปนต้องเสียเนเธอร์แลนด์ไปหลังจากสิ้นสุดสงครามสามสิบปี (Thirty Years War) และเมื่อถึงปี ค.ศ. 1640 (พ.ศ. 2183) ความปราชัยของสเปนครั้งสำคัญก็คือ การเสียโปรตุเกสไป ซึ่งนั่นหมายถึงเสียบราซิลและฐานที่มั่นในแอฟริกาและอินเดียไปด้วย
เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เกิดปัญหาว่าใครควรจะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ จึงทำให้กษัตริย์ยุโรปหลายพระองค์ทรงสู้รบกันในสงครามสืบราชสมบัติสเปน (War of the Spanish Succession) ในที่สุดสงครามนี้ก็ทำให้สเปนสูญเสียความเป็นจักรวรรดิและตำแหน่งผู้นำของยุโรปไป แม้ว่าจะยังคงมีดินแดนโพ้นทะเลอยู่ก็ตาม) และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ราชวงศ์ใหม่จากฝรั่งเศส คือ ราชวงศ์บูร์บง ได้รับการสถาปนาขึ้นในสเปนโดยกษัตริย์พระองค์แรก คือ พระเจ้าฟิลิปที่ 5 ในปี ค.ศ. 1707 (พ.ศ. 2250) ทรงรวมราชอาณาจักรกัสติยาและอารากอนเข้าด้วยกันเป็นราชอาณาจักรสเปน และทรงล้มล้างสิทธิพิเศษและกฎหมายปกครองตนเอง
ในศตวรรษนี้ การขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า การเพิ่มมูลค่าทางการค้าและการผลิตอาหารค่อย ๆ ได้รับการฟื้นฟูขึ้น จำนวนประชากรในแคว้นกัสติยาก็เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ กษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงได้ใช้ระบบของฝรั่งเศสเพื่อพยายามทำให้การบริหารและเศรษฐกิจมีความทันสมัยยิ่งขึ้น เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 18 การค้าก็เริ่มมีความมั่นคงขึ้นในที่สุด ฐานะของสเปนในสายตานานาชาติดีขึ้น กำลังทหารของสเปนที่มีประสิทธิภาพยังได้ช่วยเหลือชาวอาณานิคมอังกฤษในสงครามประกาศเอกราชอเมริกัน (American War of Independence) อีกด้วย
=== การปกครองของนโปเลียนและผลสืบเนื่อง ===
สงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336) ทำให้ภายในประเทศเกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างชัดเจนต่อพวกชั้นสูงที่นิยมวัฒนธรรมฝรั่งเศส สเปนทำสัญญาสันติภาพกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1795 (พ.ศ. 2338) และในปีถัดมา ภายใต้การสนับสนุนของฝรั่งเศส สเปนก็ได้ประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรกับโปรตุเกส ความหายนะทางเศรษฐกิจประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ นั้นทำให้กษัตริย์ของสเปนต้องทรงสละราชสมบัติ ซึ่งโจเซฟ โบนาปาร์ต พี่ชายของนโปเลียนก็ได้เข้ามามีอำนาจแทน
เปโดร ซันเชซ (ขวามือ) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศสเปน
ตามรัฐธรรมนูญของสเปน รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจและหน้าที่ฝ่ายบริหารภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นผู้กำหนดและดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันประเทศ รัฐบาลประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี (President of the Government) รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้โดยกฎหมายในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์จะทรงปรึกษาหารือกับผู้แทนของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่มีสมาชิกอยู่ในรัฐสภา แล้วเสนอชื่อผู้ที่เห็นสมควรได้รับการเลือกตั้งไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอรับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด (absolute majority) พระมหากษัตริย์จะได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องขอรับความไว้วางใจจากรัฐบาลอีก รัฐบาลมีวาระ 4 ปี หรือจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป
=== ตุลาการ ===
=== พรรคการเมือง ===
พรรคการเมืองที่สำคัญในสเปน ได้แก่
1. พรรคแรงงานสังคมนิยมสเปน (Partido Socialista Obrero Español: PSOE) เป็นพรรคสังคมนิยมที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ซ้ายจัด ปัจจุบันมีเปโดร ซันเชซ เป็นเลขาธิการพรรค พรรคแรงงานสังคมนิยมสเปนเป็นพรรคที่มีบทบาทสำคัญและเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลสเปนมานานถึง 14 ปีในสมัยแรก (ค.ศ. 1982-1996) โดยปัจจุบัน (การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2008) พรรคนี้มีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรสเปน 169 ที่นั่ง
2. พรรคประชาชน (Partido Popular: PP) เป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาที่เคยเป็นพรรครัฐบาล หัวหน้าพรรค คือ นายมาเรียโน ราฆอย เบรย์ (Mariano Rajoy Brey) ปัจจุบันพรรคนี้เป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด โดยมี 153 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรสเปน
3. พรรคปรับร่วมและสหภาพ (Convergència i Unió: CiU) เป็นพรรคจากแคว้นกาตาลุญญา มีนายอาร์ตูร์ มัส อี กาบาร์โร (Artur Mas i Gavarró) เป็นหัวหน้าพรรค ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 11 ที่นั่ง
4. พรรคชาตินิยมบาสก์ (Partido Nacionalista Vasco: EAJ/PNV) เป็นพรรคการเมืองของแคว้นประเทศบาสก์ มีนายอีญีโก อูร์กูยู (Iñigo Urkullu) เป็นหัวหน้าพรรค ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 6 ที่นั่ง
5. พรรคฝ่ายซ้ายสาธารณรัฐนิยมแห่งกาตาลุญญา (Esquerra Republicana de Catalunya: ERC) เป็นพรรคฝ่ายซ้ายที่มีแนวคิดให้แคว้นกาตาลุญญาเป็นเอกราชจากสเปน มีนายโชอัน ปูอิกเซร์โกส อี โบยชาซา (Joan Puigcercós i Boixassa) เป็นเลขาธิการพรรค ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 3 ที่นั่ง
6. พรรคฝ่ายซ้ายร่วม (Izquierda Unida: IU) เป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายที่แต่เดิมคือพรรคคอมมิวนิสต์ มีนายกัสปาร์ ยามาซาเรส ตรีโก (Gaspar Llamazares Trigo) เป็นเลขาธิการพรรค ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 2 ที่นั่ง
7. กลุ่มชาตินิยมกาลิเซีย (Bloque Nacionalista Galego: BNG) เป็นพันธมิตรทางการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนจากแคว้นกาลิเซีย มีนายโชเซ มานวยล์ เบย์รัส (Xosé Manuel Beiras) เป็นหัวหน้ากลุ่ม ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 2 ที่นั่ง
8. พรรคผสมกานาเรียส (Coalición Canaria: CC) พรรคการเมืองชาตินิยมและเสรีนิยมจากแคว้นกานาเรียส มีนายโคเซ ตอร์เรส สติงกา (José Torres Stinga) เป็นหัวหน้าพรรค ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 2 ที่นั่ง
9. พรรคสหภาพ ก้าวหน้า และประชาธิปไตย (Unión, Progreso y Democracia: UPyD) เป็นพรรคการเมืองรัฐธรรมนูญนิยมและต่อต้านชาตินิยมที่เพิ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2007 โดยแกนนำพรรคมาจากแคว้นประเทศบาสก์และมีนางโรซา ดีเอซ (Rosa Díez) เป็นหัวหน้าพรรค ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 1 ที่นั่ง
10. พรรคนาฟาร์โรอาไบย์ (Nafarroa Bai: Na-Bai) เป็นพรรคชาตินิยมบาสก์จากแคว้นนาวาร์ ปัจจุบันมีที่นั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 1 ที่นั่ง
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
:ดูบทความหลักที่ เขตการปกครองของสเปน
ประเทศสเปนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 17 แคว้นปกครองตนเอง (autonomous communities; comunidades autónomas) และ 2 นครปกครองตนเอง (autonomous cities; ciudades autónomas) แต่ละแคว้นจะแบ่งย่อยออกไปอีกเป็น จังหวัด (provinces; provincias) รวมทั้งหมด 50 จังหวัด
=== แคว้นและนครปกครองตนเอง ===
[[มาดริด|กรุงมาดริด]]
เมืองบาร์เซโลนา]]
ปัจจุบันประเทศสเปนได้ชื่อว่าเป็น "รัฐแห่งการปกครองตนเอง (State of Autonomies)" แม้ว่าโดยทางการจะถือว่าเป็นรัฐเดี่ยว แต่ในความเป็นจริงแล้วมีลักษณะเป็นรัฐรวมที่มีการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางอย่างมาก โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดโอกาสให้แคว้นต่าง ๆ มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ในระดับที่ต่างกันตามภูมิหลังการปกครองตนเองของแต่ละแคว้น เช่น ทุกแคว้นจะจัดการด้านสาธารณสุขและระบบการศึกษาของตนเอง บางแคว้น (เช่น ประเทศบาสก์และนาวาร์) มีหน้าที่จัดการด้านการเงินสาธารณะเพิ่มเติม ในแคว้นประเทศบาสก์และกาตาลุญญา หน่วยงานตำรวจของแคว้นจะมีบทบาทหน้าที่มากกว่าหน่วยงานตำรวจของส่วนกลาง เป็นต้น โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติของแต่ละแคว้นจะดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปีเช่นเดียวกับสมาชิกรัฐสภา โดยแคว้นปกครองตนเอง และนครปกครองตนเอง* (อยู่ในทวีปแอฟริกา) ของประเทศสเปน ประกอบด้วย
ชายฝั่ง[[กันตาเบรีย|แคว้นกันตาเบรียที่เรียกกันว่า สเปนเขียว (Green Spain)]]
หลังจากนายพลฟรังโกถึงแก่อสัญกรรม สเปนก็กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่มีผู้ไปท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกรองจากฝรั่งเศส โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศถึงปีละ 52 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับประเทศประมาณ 46 พันล้านยูโร
สถานที่ท่องเที่ยวในสเปน ได้แก่ มาดริด บาร์เซโลนา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุด สถานที่ที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น บีโกและโปนเตแบดราในแคว้นกาลิเซีย กอร์โดบา เซบิยา กรานาดา (สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม) มาลากา อวยลวา กาดิซ และอัลเมริอา (ชายหาด) ในแคว้นอันดาลูซิอา กาเซเรส กัวดาลูเป และเมรีดาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในแคว้นเอซเตรมาดูรา ซาลามังกา โตเลโด และเซโกเบียเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญซึ่งมีชายหาดสวยงามมาก ได้แก่ รีอัสไบคัส (ในจังหวัดโปนเตแบดรา) ซาโลว์ เบนิดอร์ม มายอร์กา อีบีซา (หมู่เกาะแบลีแอริก) แคว้นกานาเรียส แคว้นบาเลนเซีย แคว้นกาตาลุญญา และสเปนเขียว (ทางภาคเหนือ)
สายการบินแห่งชาติของสเปนคือไอบีเรียแอร์ไลน์ (Iberia Airlines) รถไฟความเร็วสูง เช่น อาเบเอ (AVE: Alta Velocidad Española) มีความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ ตัลโก (Talgo) และยังมีถนนคุณภาพดีมุ่งสู่เมืองสำคัญในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ
== โครงสร้างพื้นฐาน ==
=== คมนาคม และ โทรคมนาคม ===
การกระจายตัวของประชากรสเปนตามเขตภูมิศาสตร์ในปี พ.ศ. 2548
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 ประเทศสเปนมีประชากร 44,108,530 คน ความหนาแน่นของประชากร 87.8 คนต่อตารางกิโลเมตร (220 คนต่อตารางไมล์) ซึ่งน้อยกว่าความหนาแน่นประชากรของประเทศในยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ และการกระจายตัวในแต่ละภูมิภาคก็ยังไม่เท่ากัน (ยกเว้นในจังหวัดที่อยู่รอบเมืองหลวงมาดริด) โดยบริเวณที่มีประชากรมากที่สุดจะอยู่ตามชายฝั่งทะเล
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 25 ปีหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 อัตราการเกิดของประชากรได้ลดลงอย่างกะทันหัน โดยอัตราเจริญพันธุ์ของสเปนอยู่ที่ 1.29 (จำนวนบุตรที่ผู้หญิงจะมีโดยเฉลี่ยตลอดอายุขัย) ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำที่สุดในโลก ส่วนอัตราการรู้หนังสือในปี พ.ศ. 2546 ชาวสเปนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเป็นร้อยละ 97.9 ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยในสเปนที่เป็นชาวยุโรปประเทศอื่น ๆ อีกบ้างบริเวณชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนและหมู่เกาะแบลีแอริก โดยมาใช้ชีวิตหลังปลดเกษียณหรือทำงานทางไกล
300xภาษาต่าง ๆ ในสเปน (แบ่งอย่างง่าย)
แม้ว่ารัฐธรรมนูญของสเปนจะยืนยันอำนาจอธิปไตยของชาติก็ตาม แต่ก็ยังรับรองเชื้อชาติอื่น ๆ ที่มีมาในประวัติศาสตร์ด้วย
* ภาษาสเปน/ภาษากัสติยา (Spanish/Castilian; español/castellano) เป็นภาษาทางการทั่วทั้งประเทศ แต่ในบางท้องถิ่นก็ยังใช้ภาษาถิ่นอื่น ๆ ซึ่งภาษาแรกที่ใช้พูดอีกด้วย รัฐธรรมนูญสเปนให้การรับรองภาษาท้องถิ่น (ที่อาจจะมี) ให้เป็นภาษาทางการร่วมตามแต่ละภูมิภาค โดยไม่ได้บอกชื่อภาษาไว้ ภาษาต่อไปนี้เป็นภาษาทางการร่วมกับภาษาสเปน (กัสติยา)
* ภาษากาตาลา (Catalan; català) พูดในแคว้นกาตาลุญญา หมู่เกาะแบลีแอริก และบางส่วนของแคว้นบาเลนเซีย (เรียกว่าภาษาบาเลนเซีย)
* ภาษากาลิเซีย (Galician; galego) พูดในแคว้นกาลิเซีย
* ภาษาบาสก์ (Basque; euskara) พูดในแคว้นประเทศบาสก์และบางส่วนของแคว้นนาวาร์ ภาษานี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาอื่น ๆ เลย
* ภาษาอุตซิตา (Occitan) (ภาษาถิ่นอารัน) พูดกันในอารัน แคว้นกาตาลุญญา
ทั้งภาษากาตาลา ภาษากาลิเซีย ภาษาอารัน (อุตซิตา) และภาษากัสติยาต่างสืบทอดมาจากภาษาละติน บางภาษาก็มีภาษาถิ่นของตนเอง ซึ่งภาษาถิ่นบางภาษาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้พูดภาษาถิ่นนั้นให้เป็นอีกภาษาหนึ่งต่างหากด้วย กรณีพิเศษได้แก่ ภาษาบาเลนเซีย (Valencian) เป็นชื่อที่เรียกภาษาถิ่นภาษาหนึ่งของภาษากาตาลา ซึ่งได้รับการรับรองให้เป็นภาษาทางการร่วมในแคว้นบาเลนเซีย
นอกจากนี้ ยังมีภาษาของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในกลุ่มภาษาโรมานซ์ คือ ภาษาอัสตูเรียส / เลออน (Asturian / Leonese) พูดกันในแคว้นอัสตูเรียสและบางส่วนของจังหวัดเลออน เมืองซาโมรา และเมืองซาลามังกา ภาษาเอซเตรมาดูรา (Extremaduran) ใช้กันในจังหวัดกาเซเรสและจังหวัดซาลามังกา (ทั้งสองภาษาดังกล่าวสืบทอดมาจากภาษาถิ่นในอดีตของภาษาอัสตูร์-เลออน) ภาษาอารากอน (Aragonese) มีผู้พูดกันในพื้นที่บางส่วนของแคว้นอารากอน; ภาษาฟาลา (Fala) ยังมีผู้พูดอยู่บ้างในหมู่บ้านสามแห่งของแคว้นเอซเตรมาดูรา และภาษาโปรตุเกส (ภาษาถิ่น) ที่ใช้กันในบางเมืองของแคว้นเอซเตรมาดูราและแคว้นกัสติยา-เลออน อย่างไรก็ตาม ภาษาเหล่านี้ก็ไม่ได้มีสถานะเป็นภาษาทางราชการอย่างที่ภาษากาตาลา ภาษากาลิเซีย และภาษาบาสก์มี
ภาษาถิ่นอันดาลูซิอา (Andalusian dialect) หรือ อันดาลุซ (Andaluz) พูดในแคว้นปกครองตนเองอันดาลูซิอาและยิบรอลตาร์ โดยมีความแตกต่างจากภาษากัสติยาในเรื่องการออกเสียงหลายประการ ซึ่งบางประการได้เข้าไปมีอิทธิพลในภาษาสเปนแบบลาตินอเมริกา ข้อแตกต่างเหล่านี้เห็นได้ในเรื่องสัทวิทยา (phonology) เช่นเดียวกับการใช้ทำนองเสียง (intonation) และคำศัพท์ (vocabulary)
ในย่านท่องเที่ยวตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนและหมู่เกาะ นักท่องเที่ยว ผู้อยู่อาศัยชาวต่างชาติ และผู้ทำงานท่องเที่ยวจะพูดภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน ผู้ย้ายถิ่นชาวแอฟริกาและผู้สืบเชื้อสายชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นจะพูดภาษายุโรปที่เป็นทางการของบ้านเกิดพวกเขา (ไม่ว่าจะเป็นภาษาโปรตุเกส ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส หรือครีโอลท้องถิ่น)
=== ศาสนา ===
ขบวนพาเหรดฉลองแชมป์ฟุตบอลโลกของทีมชาติสเปนในปี 2010
กีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศคือกีฬาฟุตบอลเช่นเดียวกับชาติอื่น ๆ ทั่วไปในยุโรป โดยมีลาลิกาเป็นลีกสำหรับฟุตบอลอาชีพของประเทศ สโมสรฟุตบอลใหญ่อย่างเรอัลมาดริด อัตเลติโกเดมาดริด และบาร์เซโลนามักเป็นผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในการแข่งขันสืบต่อกันมา ฟุตบอลทีมชาติสเปนสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สเปนเคยได้แชมป์ฟุตบอลยูโรใน ค.ศ. 1964 และกลับมาครองแชมป์ฟุตบอลยุโรปอีกใน ค.ศ. 2008 เอาชนะทีมชาติเยอรมนีไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ 1-0 โดยผู้ยิงประตูคือเฟร์นันโด ตอร์เรส และใน ค.ศ. 2010 ทีมชาติสเปนก็ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เป็นสมัยแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเอาชนะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ 1-0 จากการยิงของอันเดรส อินิเอสตา ทำให้สเปนเป็นชาติที่ 8 ที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลก ทีมชาติสเปนยังสามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร 2012) เอาไว้ได้อีกหนึ่งสมัย โดยถล่มทีมชาติอิตาลีทีมร่วมกลุ่มไป 4-0 และยังสร้างสถิติใหม่ในรายการนี้มากมาย เช่น เป็นทีมแรกที่ถล่มคู่ต่อสู้ในนัดชิงชนะเลิศได้ขาดลอยที่สุด, เป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดตลอดการแข่งขัน (เสียไปเพียงหนึ่งประตูในนัดแรกของกลุ่มที่เสมออิตาลี 1-1) และเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์รายการใหญ่ได้ถึงสามรายการติดต่อกัน (ฟุตบอลยูโร 2008, ฟุตบอลโลก 2010 และฟุตบอลยูโร 2012)
=== บาสเกตบอล ===
ราฟาเอล นาดัล นักเทนนิสระดับโลกชาวสเปน
ในด้านกีฬาเทนนิสนั้น สเปนคว้าตำแหน่งชนะเลิศในการแข่งขันเดวิสคัพ (Davis Cup) ได้ถึง 6 สมัย (ค.ศ. 2000, 2004, 2008, 2009, 2011 และ 2019) โดยมีราฟาเอล นาดัล ผู้เล่นระดับโลกจากแคว้นแบลีแอริกอยู่ในตำแหน่งมือวางอันดับต้น ๆ ของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
=== จักรยาน ===
การแข่งขันจักรยานก็ถือเป็นกีฬาหลักที่ได้รับความนิยมสูงเช่นกัน มีการจัดการแข่งขันจักรยานทางไกลรอบประเทศ คือ บูเอลตาเอสปัญญา และมิเกล อินดูไรน์ จากแคว้นนาวาร์ เป็นหนึ่งในชาวสเปนเพียงห้าคนที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์ที่มีชื่อเสียง
=== กีฬาสู้วัวกระทิง ===
เมืองเซบิยา]]
ชิ้นงานดนตรีของสเปนได้แก่ ดนตรีคลาสสิกตะวันตกและดนตรีคลาสสิกอันดาลูซิอา รวมทั้งอุตสาหกรรมดนตรีป็อปภายในประเทศ และดนตรีชาวบ้าน (folk music) นอกจากนี้ สเปนสมัยใหม่ยังมีผู้เล่นดนตรีแนวร็อกแอนด์โรล เฮฟวีเมทัล พังก์ร็อก และฮิปฮอปเป็นจำนวนมาก
ดนตรีชาวบ้านหรือโฟล์กมิวสิกของสเปนที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดน่าจะเป็น ฟลาเมงโก (flamenco) มีต้นกำเนิดจากในแคว้นอันดาลูซิอา รูปแบบของฟลาเมงโกได้ผลิตนักดนตรีชาวสเปนที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น นักร้องกามารอน เด ลา อิสลา (Camarón de la Isla) และนักกีตาร์การ์โลส มอนโตยา (Carlos Montoya)
นักเต้นระบำชาวอัสตูเรียส
นอกจากฟลาเมงโกแล้ว ดนตรีชาวบ้านของสเปนยังมีดนตรีตรีกีตีชา (trikitixa) และ แอกคอร์เดียน จากแคว้นประเทศบาสก์ ดนตรีไกย์ตา (gaita - ปี่สกอตชนิดหนึ่ง) จากแคว้นกาลิเซียและอัสตูเรียส และโคตา (jota) จากแคว้นอารากอน และแม้ว่าประเพณีท้องถิ่นบางอย่างจะสูญหายไปแล้ว แต่บางอย่างก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่และได้รับการประยุกต์ดัดแปลงให้ทันสมัยเข้ากับรูปแบบและเครื่องดนตรีใหม่ ๆ เช่น ดนตรีเคลติก (Celtic music) ของกาลิเซีย นิวฟลาเมงโก (New Flamenco) เป็นต้น
ดนตรีสมัยใหม่ที่แตกต่างออกไปจากแนวพื้นบ้านเริ่มปรากฏในสเปนประมาณปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) จากนั้น ดนตรีพ็อปแนวเย-เย (Ye-yé) ก็เป็นที่นิยม ตามด้วยเพลงพ็อปและร็อกนำเข้าจากสหราชอาณาจักร สหรัฐ ฝรั่งเศส และอื่น ๆ ดนตรีสเปนทุกวันนี้ประกอบด้วยวงร็อกเป็นส่วนใหญ่ เช่น เอลกันโตเดลโลโก (El Canto Del Loco) และไดเกอส์ (Dikers) ดนตรีชนิดใหม่นี้ก็กำลังติดอันดับความนิยมในหลายชาร์ตของสเปน และน่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง
=== วันหยุด ===
ประเทศสเปนมีวันหยุดสำคัญทางราชการดังต่อไปนี้
การแสดงเครื่องบินรบของกองทัพอากาศสเปน ในพิธีเฉลิมฉลองวันชาติ
1 มกราคม = วันขึ้นปีใหม่
6 มกราคม = วันฉลองเทศกาลเสด็จมาของพระเยซูคริสต์; Epiphany Day
10 เมษายน = วันศุกร์ก่อนวันอีสเตอร์; Good Friday
13 เมษายน = วันอีสเตอร์
1 พฤษภาคม = วันแรงงาน
24 มิถุนายน = วันสมโภชนักบุญยอห์น
15 สิงหาคม = วันอัสสัมชัญ; Assumption Day
12 ตุลาคม = วันชาติสเปน
1 พฤศจิกายน = วันระลึกถึงนักบุญ; All Saints Day
6 ธันวาคม = วันรัฐธรรมนูญ
8 ธันวาคม = วันสมโภชพระแม่มารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล
25 ธันวาคม = วันคริสต์มาส
อ้างอิงโดย: สถานเอกอัครราชทูตสเปนประจำประเทศไทย (Embajada de España en Tailandia)
== การจัดอันดับนานาชาติ ==
* อันดับที่ 40 จาก 139 ประเทศในดัชนีเสรีภาพสื่อทั่วโลก ใน ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) จากการจัดอันดับของรีพอร์ตเตอส์วิทเอาต์บอร์เดอส์ (Reporters Without Borders)
* อันดับที่ 10 จาก 111 ประเทศในดัชนีคุณภาพชีวิตทั่วโลก ใน ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) จากการจัดอันดับของ ดิอิคอโนมิสต์ (The Economist)
* อันดับที่ 9 จาก 25 ประเทศในการจัดอันดับความสำคัญทางเศรษฐกิจของ เนชันมาสเตอร์ (Nation Master)
* อันดับที่ 18 จาก 68 ประเทศในการจัดอันดับความสำเร็จทางเทคโนโลยีของ เนชันมาสเตอร์ (Nation Master)
== สื่อสารมวลชน==
=== ช่องสัญญาณโทรทัศน์แห่งชาติ (แอนะล็อก) ===
=== ช่องสัญญาณโทรทัศน์ระดับภูมิภาค ===
=== สถานีวิทยุ ===
=== หนังสือพิมพ์ ===
== ดูเพิ่ม ==
* จักรวรรดิสเปน
* ภาษาสเปน
* สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 แห่งสเปน
* ฟุตบอลทีมชาติสเปน
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
=== ผลงานที่อ้างอิง ===
== อ่านเพิ่ม ==
*Carr, Raymond, ed. Spain: a history. Oxford University Press, USA, 2000.
*Callaghan O.F Joseph. A History of Medieval Spain Cornell University Press 1983
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Spain. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* Spain from UCB Libraries GovPubs
* Spain from the BBC News
* Key Development Forecasts for Spain from International Futures
* E-Government portal for Spain
;การท่องเที่ยว
* Official tourism portal for Spain
{{Navboxes
|title = บทความที่เกี่ยวข้องกับประเทศสเปน
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 |
1923 | https://th.wikipedia.org/wiki/วัคซีน | วัคซีน | วัคซีน () เป็นชีววัตถุที่เตรียมขึ้นจากเชื้อจุลินทรีย์หรือส่วนของเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งจะมีกลไกชักนำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อจุลินทรีย์ชนิดนั้น ๆ กล่าวคือมีฤทธิ์ชักนำการสร้างภูมิคุ้มกันอันจำเพาะกับโรค วัคซีนโดยทั่วไปจะประกอบด้วยส่วนประกอบของจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรค (แอนติเจน) ซึ่งถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง, ตาย หรือการใช้ส่วนที่เป็นพิษที่อ่อนฤทธิ์ลง (toxoid) โดยวัคซีนจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและสามารถจดจำได้ว่าเป็นสารก่อโรคซึ่งจะมีกลไกการทำลายต่อไป คุณสมบัติการจดจำแอนติเจนของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ร่างกายสามารถกำจัดแอนติเจนหากเมื่อได้รับอีกในภายหลังได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
วัคซีนเริ่มมีการพัฒนาในราวคริสต์ทศวรรษ 1770 โดยเอดเวิร์ด เจนเนอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ประสบความสำเร็จในการสกัดเชื้อ cowpox เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ (small pox) ในมนุษย์ได้
วัคซีนในระยะเริ่มแรกเป็นการนำเชื้อมาทำให้ตายหรือการใช้เชื้อที่อ่อนฤทธิ์เท่านั้น จนกระทั่งปัจจุบันมีการพัฒนาโดยนำเทคโนโลยีรีคอมบีแนนต์มาช่วยในการพัฒนาโดยอาศัยความรู้ทางชีววิทยาระดับโมเลกุล และมีความพยายามพัฒนาวัคซีนโดยการสังเคราะห์แอนติเจนในการผลิตซับยูนิตวัคซีน (subunit vaccine) อีกด้วย
คำว่า "วัคซีน" (vaccine) ได้มาจากครั้งที่เอ็ดวาร์ดให้เชื้อ cowpox แก่มนุษย์ โดยคำว่า variolæ vaccinæ มาจากคำว่า vaccīn-us หรือ vacca ซึ่งแปลว่า cow หรือวัวซึ่งมีความสัมพันธ์กับเชื้อ cowpox
กราฟแสดงโรคติดเชื้อก่อนและหลังการเริ่มใช้วัคซีน จะเห็นว่าการฉีดวัคซีนมีผลโดยตรงต่อการลดลงของโรค และมีส่วนโดยอ้อมลดอัตราตายของมนุษย์
== ประวัติ ==
เต้านมวัวกับวัคซีน pustules และแขนมนุษย์กับวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ
ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 1770 เอดเวิร์ด เจนเนอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทราบเรื่องของสตรีผู้เลี้ยงวัวที่ไม่เคยป่วยด้วยโรคฝีดาษเลย ภายหลังเธอป่วยด้วยโรค cowpox ซึ่งเธอติดเชื้อดังกล่าวจากวัวที่เธอเลี้ยง และเป็นโรคที่อาการไม่รุนแรงนักในมนุษย์ ในปี ค.ศ. 1796 เจนเนอร์สกัดนำเชื้อ cowpox จากสตรีผู้นั้นแล้วให้แก่เด็กชายวัย 8 ปี หลังจากนั้น 6 สัปดาห์เขาได้ให้เชื้อฝีดาษ (small pox) แก่เด็กชายผู้นั้น พบว่าเด็กชายไม่ป่วยหรือมีอาการสำแดงถึงโรคฝีดาษ ต่อมาได้มีการทดลองเพิ่มเติมถึงประสิทธิภาพวิธีการนี้ในทารก ภายหลังได้มีการนำความคิดนี้ไปใช้อย่างกว้างขวางทั่วอังกฤษและวิธีการปลูกฝีถูกสั่งห้ามในปี ค.ศ. 1840 หลุยส์ ปาสเตอร์ได้นำแนวความคิดของเจนเนอร์ไปประยุกต์กับวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคจากสัตว์ปีกจำพวกเป็ด-ไก่ โดยเขาแยกเชื้อและนำมาเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ ทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงและฉีดเข้ากับเด็กผลปรากฏว่าเด็กมีแนวโน้มต้านทานต่อเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดพื้นฐานต่อการผลิตวัคซีนในระยะหลัง ต่อมาในราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 วัคซีนได้รับการผลักดันจนมีความสำคัญระดับชาติซึ่งมีกฎหมายวัคซีนบังคับขึ้นใช้ในหลายประเทศ อย่างไรก็ดีวัคซีนในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมถึงโรคสำคัญอีกหลายโรค อาทิ โรคมาลาเรียและโรคเอดส์ จากการศึกษาพบว่าเกิดจากการที่ร่างกายมีกลไกตามธรรมชาติที่ไม่จำเพาะต่อโรคทำให้ป้องกันการติดเชื้อหรือแอนติเจนอื่น ๆ ที่ได้รับภายหลังด้วย
=== ประสิทธิผล ===
การให้วัคซีนไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าผู้ที่ได้รับจะไม่ได้รับความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วยโรคนั้น ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับวัคซีนซึ่งอาจตอบสนองในระดับต่ำกว่าบุคคลทั่วไป อาทิ ในผู้ป่วยที่ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ใช้สารเสตียรอยด์และผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรืออาจเกิดเนื่องมาจากบุคคลมีปัญหาของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งมีจำนวนบีเซลล์ (B cell) ไม่เพียงพอเนื่องจากบีเซลล์จะมีบทบาทในการเหนี่ยวนำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจนนั้น ๆ นอกจากนี้ในบางกรณีผู้ได้รับวัคซีนเกิดการเหนี่ยวนำในร่างกายให้มีการสร้างแอนติบอดีแล้ว แต่แอนติบอดีไม่ตอบสนองหรือตอบสนองต่ำเกินกว่าที่จะต่อสู้กับแอนติเจนซึ่งผลสุดท้ายจะก่อโรคนั้นแทน
เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของวัคซีน จึงมีการผสมแอนตูแวนต์อาทิ อะลูมิเนียมแอตจูแวนต์ซึ่งใช้ได้เฉพาะวัคซีนเท่านั้น การใช้วัคซีนในปริมาณมากจะใช้ในบางกรณี เช่น ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ระดับการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่ำลง ทั้งนี้ประสิทธิผลของวัคซีนขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่ตัวเชื้อที่นำมาผลิตวัคซีน, ความเข้มข้นของวัคซีน, การเก็บรักษาวัคซีน, ปัจจัยทางพันธุกรรม เป็นต้น ทำให้การใช้วัคซีนในกรณีต้องทำการคำนวณปริมาณการใช้ยาที่จำเพาะกับบุคคล ซึ่งส่วนมากจะทำให้วัคซีนมีฤทธิ์ต่ำ
== กำหนดการให้วัคซีน ==
เพื่อให้การป้องกันโรคโดยใช้วัคซีนมีประสิทธิผลสูงสุด การให้วัคซีนในเด็กจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการให้วัคซีนเนื่องจากในวัยเด็กจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่เพียงพอและอยู่ในระหว่างการพัฒนา ทำให้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อวัคซีนสูง กำหนดการให้วัคซีนแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในสหรัฐอเมริกามีคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านภูมิคุ้มกันร่างกายแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบชนิดเอ, โรคตับอักเสบชนิดบี, โปลิโอ, คางทูม, โรคคอตีบ, โรคบาดทะยัก, โรคไอกรน, HiB, อหิวาตกโรค, โรคหวัด, ไวรัสโรตา, โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และ โรคปอดบวม ปริมาณวัคซีนที่มาก (24 เข็มเมื่ออายุ 2 ปี) ทำให้เกิดปัญหาการได้รับวัคซีนไม่ครบตามกำหนด จึงได้มีการนำวัคซีนหลายชนิดมารวมกันเพื่อลดจำนวนครั้งการให้วัคซีน นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำการฉีดวัคซีนให้กับบุคคลอายุอื่น ๆ อาทิ คางทูม, บาดทะยัก, ไข้หวัด และปอดบวม ในสตรีมีครรภ์จะได้รับการตรวจโรคหัดเยอรมัน ในกลุ่มผู้สูงอายุจำเป็นต้องใช้วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและโรคไข้หวัดในปริมาณสูง
ในประเทศไทยมีการกำหนดการให้วัคซีนคล้ายคลึงกันแต่มีการเพิ่มวัคซีนป้องกันวัณโรค ซีจี ป้องกันวัณโรคและไข้ไทฟอยด์เพิ่มเติม และมีข้อแนะนำการให้วัคซีนกันบาดทะยักทุก 10 ปี
สำหรับกำหนดการให้วัคซีนตัวหลักสำหรับเด็กในประเทศไทย เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการติดโรคระบาด มีดังนี้ วัคซีนบีซีจี ไวรัสตับอักเสบบี คอตีบ-บาดทะยัก โปลิโอ หัดเยอรมัน ไข้สมองอักเสบ ในส่วนของวัคซีนตัวเสริมที่ผู้ปกครองสามารถพาบุตรหลานไปฉีดเพิ่มเติม ได้แก่ อีสุกอีใส ตับอักเสบเอ ไข้หวัดใหญ่ มะเร็งปากมดลูก(เพศหญิง) วัคซีน IPD และวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยแนะนำผู้ปกครองทุกท่านให้สังเกตอาการทางร่างกายของบุตรหลานก่อนว่าพร้อมหรือสมควรได้รับวัคซีนหรือไม่ เช่น มีโรคประจำตัว หรือมีประวัติการแก้วัคซีนหรือไม่ รวมถึงหลังฉัดวัคซีน ให้สังเกตอาการของเด็กอย่างน้อย 30 นาที ว่ามีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้นกับร่างกายหรือไม่
== เภสัชภัณฑ์และระบบขนส่ง ==
=== การผลิตและเภสัชตำรับ ===
การผลิตวัคซีนประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย เริ่มจากการที่เชื้อจะสร้างแอนติเจนขึ้น หลังจากนั้นนำเชื้อที่ได้มาเพาะเลี้ยงในเซลล์ปฐมภูมิ อาทิ ไข่ไก่ (เช่นเชื้อโรคไข้หวัด) หรือการนำไปเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่องในเซลล์มนุษย์ (เช่นเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ) แบคทีเรียจะเจริญเติบโตภายในเครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพ (เช่นเชื้อ Haemophilus influenzae ชนิดบี) หรือบางครั้งอาจได้โปรตีนจากการเพิ่มจำนวน (recombinant) จากไวรัสและแบคทีเรียในยีสต์, แบคทีเรีย และเซลล์เพาะเลี้ยง หลังจากแอนติเจนถูกสร้างขึ้นแล้ว ก็จะถูกแยกออกจากเซลล์ที่ใช้ในการสร้างซึ่งในบางกรณีอาจต้องการไวรัสที่ถูกยับยั้ง หรือกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ต่อไป รีคอมบีแนนต์โปรตีนที่ได้ต้องผ่านกระบวนการอาทิอัลตราฟิลเตรชัน (ultrafiltration) และโครมาโทกราฟฟีแบบคอลัมน์ (column chromatography) สุดท้ายวัคซีนจะถูกสร้างขึ้นโดยการเติมสารจำพวกแอตจูแวนต์, สารเพิ่มความคงตัว และสารกันบูด สารพวกแอตจูแวนต์ช่วยเพิ่มระยะเวลาการตอบสนองต่อแอนติเจนของร่างกาย สารเพิ่มความคงตัวจะช่วยให้ยามีอายุการใช้ยาวนานขึ้นร่วมกับสารกันบูดที่ใช้ผสมในส่วนประกอบตำรับยาที่เป็นหลายโดส และป้องกันผลอันมิพึงประสงค์จากปฏิกิริยาระหว่างวัคซีนบางชนิด อาทิ การติดเชื้อจำพวก Staphylococcus ก่อให้เกิดโรคคอตีบเนื่องมาจากส่วนผสมของสารกันบูดไม่เพียงพอ นอกจากนี้ในบางตำรับต้องผสมสารอื่นๆเพิ่มเติม สารที่นิยมได้แก่พวกอะลูมิเนียมซึ่งทำหน้าที่เป็นแอตจูแวนต์, ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการเติบโตของเชื้อในวัคซีนขณะทำการเก็บรักษา, ฟอร์มาลดีไฮด์ทำหน้าที่ยับยั้งแบคทีเรียที่พบในผลิตภัณฑ์พวกทอกซอยด์, ไทโอเมอร์ซัลเป็นสารกันบูดสำหรับวัคซีนหลายโดส อย่างไรก็ดี การผลิตวัคซีนร่วมยังคงมีความยากในการผลิตและพัฒนา เนื่องจากฤทธิ์ที่เข้ากันไม่ได้และปฏิกิริยาระหว่างแอนติเจนและส่วนผสมที่เกี่ยวข้อง
=== ระบบขนส่ง ===
ปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบการขนส่งวัคซีนให้วัคซีนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันประกอบด้วยวิธีการใช้ไลโปโซมและ ISCOM (สารประกอบกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน) พัฒนาการล่าสุดของเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนคือการให้วัคซีนด้วยวิธีการรับประทาน วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอได้รับการทดสอบจากอาสาสมัครปรากฏผลบวกในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคโปลิโอในร่างกาย การให้วัคซีนในทางปากจะปราศจากซึ่งความเสี่ยงการปนเปื้อนในกระแสเลือด วัคซีนที่ให้ด้วยวิธีการนี้จะมีลักษณะคล้ายของแข็งที่มีความคงตัวสูงและไม่จำเป็นต้องเก็บด้วยการแช่แข็ง ความคงตัวในลักษณะนี้จะลดความต้องการของอุณหภูมิในการเก็บรักษายาอันจำเพาะตั้งแต่การผลิตจนกระทั่งการให้วัคซีน (cold chain) นอกจากนี้ยังลดตุ้นทุนการผลิตวัคซีน นอกจากนี้ยังมีวิธีการใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก (microneedle) ซึ่งอยู่ในช่วงการพัฒนาซึ่งเป็นการให้วัคซีนผ่านผิวหนัง
นอกจากการพัฒนาระบบข่นส่งข้างต้นแล้ว ยังมีการวิจัยวัคซีนโดยใช้พลาสมิดเป็นระบบขนส่งซึ่งอยู่ในช่วงการศึกษาชั้นพรีคลินิก อย่างไรก็ตาม พบว่าเมื่อศึกษาในมนุษย์แล้วให้ผลที่ต่ำกว่าซึ่งเกิดมาจากความไร้ความสามารถที่จะให้ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องทางคลินิก ประสิทธิภาพโดยรวมของการสร้างภูมิคุ้มกันพลาสมิดดีเอ็นเอ ขึ้นอยู่กับการเพิ่มการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของพลาสมิด ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวเนื่องกับการกระตุ้นอย่างจำเพาะอีกด้วย
== เศรษฐศาสตร์การพัฒนา ==
หนึ่งในความท้าทายในการพัฒนาการผลิตวัคซีนในเชิงเศรษฐศาสตร์คือการผลิตวัคซีนให้กับโรคที่ต้องการอย่างเอชไอวี, มาลาเรีย และวัณโรค ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ในประเทศยากจน บริษัทยาและบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพมีแรงจูงใจเพียงเล็กน้อยในการผลิตวัคซีนเหล่านี้เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้จะไม่คุ้มทุน หรือในประเทศร่ำรวยก็จะให้ผลตอบแทนต่ำและมีปัจจัยเสี่ยงทางการเงินมาก
การพัฒนาวัคซีนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมาจากการผลักดันจากกองทุนภาครัฐ, มหาวิทยาลัย และองค์กรไม่แสวงผลกำไร วัคซีนหลายชนิดมีราคาต้นทุนที่สูงแต่มีประโยชน์ในด้านสาธารณสุขอย่างยิ่ง บางทีอาจเนื่องมาจากการสนับสนุนของภาครัฐมากกว่าแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
นักวิจัยจำนวนมากและผู้กำหนดนโยบายเรียกร้องให้มีแนวทางต่างกันโดยใช้กระบวนการ "ดึง" เพื่อใช้แรงจูงใจเป็นแรงขับเคลื่อนในภาคเภสัชอุตสาหกรรม อาทิ รางวัล, สิทธิประโยชน์ด้านภาษี หรือภาระผูกพันในตลาดล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจถึงรายได้เพื่อให้การพัฒนาวัคซีนเชื้อเอชไอวีประสบความสำเร็จ หากนโยบายได้รับการออกมาที่ดี ก็จะเป็นหลักประกันการเข้าถึงวัคซีนของประชาชนเมื่อวัคซีนได้รับการพัฒนาแล้ว
== ข้อโต้แย้ง ==
right|The Cow-Pock-or-the Wonderful Effects of the New Inoculation! (ค.ศ. 1802) ผลงานของเจมส์ กิลล์เรย์ หนึ่งในผลงานการ์ตูนต่อต้านการให้วัคซีน
การให้วัคซีนก่อให้เกิดข้อโต้แย้งและข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่การรณรงค์การให้วัคซีนครั้งแรก แม้ว่าประโยชน์ในการป้องกันโรคของวัคซีนแต่การให้วัคซีนบางครั้งก่อให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ต่อระบบภูมิคุ้มกันจากการให้วัคซีน มีข้อพิพาทเกิดขึ้นในเรื่องของคุณธรรม-จริยธรรมรวมถึงความปลอดภัยในการให้วัคซีน บางข้อพิพาทกล่าวว่าวัคซีนมีประสิทธิผลไม่เพียงพอในการป้องกันโรค หรือการศึกษาความปลอดภัยในการใช้วัคซีนยังไม่เพียงพอ และกลุ่มการเมืองบางกลุ่มต่อต้านการบังคับการฉีดวัคซีนว่าขัดต่ออิสรภาพของปัจเจกชน การตอบสนองที่มากเกินไปเป็นอีกหนึ่งข้อกังวลซึ่งเป็นข้อมูลเท็จที่แพร่กระจายโดยทั่วไปว่าวัคซีนอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
== การใช้งานในสัตวแพทย์ ==
การให้วัคซีนในด้านสัตวแพทย์ถูกใช้เพื่อรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อสู่มนุษย์
== ดูเพิ่ม ==
* ระบบภูมิคุ้มกัน
* ภูมิคุ้มกันวิทยา
* ข้อถกเถียงเรื่องวัคซีน
* การเกิดลิ่มเลือดและสิ่งหลุดอุดหลอดเลือดภายหลังการได้รับวัคซีน
* การตอบสนองที่เกี่ยวข้องกับความเครียดจากการก่อภูมิคุ้มกัน
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* WHO Vaccine preventable diseases and immunization
* World Health Organization position papers on vaccines
* The History of Vaccines โดย College of Physicians of Philadelphia
หมวดหมู่:แพทยศาสตร์
หมวดหมู่:เภสัชกรรม
หมวดหมู่:การให้วัคซีน
หมวดหมู่:โรคติดเชื้อ
หมวดหมู่:วิทยาไวรัส
หมวดหมู่:จุลชีววิทยา
หมวดหมู่:วิทยาภูมิคุ้มกัน
หมวดหมู่:วัคซีน |
1924 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศมาเลเซีย | ประเทศมาเลเซีย | มาเลเซีย () เป็นประเทศตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐ และดินแดนสหพันธ์ 3 ดินแดน และมีพื้นที่รวม 330,803 ตารางกิโลเมตร (127,724 ตารางไมล์) แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน ถูกแบ่งด้วยทะเลจีนใต้ ได้แก่ มาเลเซียตะวันตก และมาเลเซียตะวันออก มาเลเซียตะวันตกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับไทย และมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับสิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับบรูไนและอินโดนีเซีย และมีพรมแดนทางทะเลกับร่วมฟิลิปปินส์และเวียดนาม เมืองหลวงของประเทศคือกัวลาลัมเปอร์ ในขณะที่ปูตราจายาเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลาง ด้วยประชากรจำนวนกว่า 30 ล้านคน มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 42 ของโลก ตันจุงปีไย (Tanjung Piai) จุดใต้สุดของแผ่นดินใหญ่ทวีปยูเรเชียอยู่ในมาเลเซีย มาเลเซียเป็นประเทศในเขตร้อน และเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) โดยมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นเป็นจำนวนมาก
มาเลเซียมีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรมลายูหลายอาณาจักรที่ปรากฏในพื้นที่ แต่ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา อาณาจักรเหล่านั้นก็ทยอยขึ้นตรงต่อจักรวรรดิบริเตน โดยอาณานิคมกลุ่มแรกของบริเตนมีชื่อเรียกรวมกันว่านิคมช่องแคบ ส่วนอาณาจักรมลายูที่เหลือกลายเป็นรัฐในอารักขาของบริเตนในเวลาต่อมา ดินแดนทั้งหมดในมาเลเซียตะวันตกรวมตัวกันเป็นครั้งแรกในฐานะสหภาพมาลายาในปี พ.ศ. 2489 มาลายาถูกปรับโครงสร้างเป็นสหพันธรัฐมาลายาในปี พ.ศ. 2491 และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 มาลายารวมกับบอร์เนียวเหนือ ซาราวัก และสิงคโปร์เป็นมาเลเซียเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2506 แต่ไม่ถึงสองปีถัดมา คือในปี พ.ศ. 2508 สิงคโปร์ก็ถูกขับออกจากสหพันธ์สาธารณรัฐวาดีเบีย
มาเลเซียเป็นประเทศพหุชาติพันธุ์และพหุวัฒนธรรมซึ่งมีบทบาทอย่างมากในด้านการเมือง ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดมีเชื้อสายมลายู โดยมีชนกลุ่มน้อยกลุ่มสำคัญคือ ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และชนพื้นเมืองดั้งเดิมกลุ่มต่าง ๆ รัฐธรรมนูญประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ก็ยังให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม ระบบรัฐบาลมีรูปแบบคล้ายคลึงกับระบบรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ ระบบกฎหมายมีพื้นฐานอยู่บนระบบคอมมอนลอว์ ประมุขแห่งรัฐเป็นพระมหากษัตริย์หรือที่เรียกว่ายังดีเปอร์ตวนอากง ทรงได้รับเลือกจากบรรดาเจ้าผู้ครองรัฐในมาเลเซียตะวันตก 9 รัฐ โดยทรงดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ส่วนหัวหน้ารัฐบาลคือนายกรัฐมนตรี
นับตั้งแต่ได้รับเอกราช มาเลเซียเป็นประเทศที่มีประวัติทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย โดยมีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเติบโตขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6.5 ต่อปีเป็นเวลาเกือบ 50 ปี ระบบเศรษฐกิจแต่เดิมได้รับการขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แต่ก็กำลังขยายตัวในภาควิทยาศาสตร์ การท่องเที่ยว การพาณิชย์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทุกวันนี้ มาเลเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากอินโดนีเซียและไทย) เป็นสมาชิกจัดตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และองค์การความร่วมมืออิสลาม และเป็นสมาชิกของความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เครือจักรภพแห่งชาติ และขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ===
ประเทศมาเลเซียปัจจุบันไม่ค่อยมีหลักฐานแสดงความยิ่งใหญ่ในอดีตเหมือนประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างที่ กัมพูชามีเมืองพระนคร อินโดนีเซียมีโบโรบูดูร์ หลักฐานทางโบราณคดีเก่าแก่ที่สุดที่พบได้แก่ กะโหลกศีรษะมนุษย์ ยุคโฮโมเซเปียน ในถ้ำนียะห์ รัฐซาราวัก โรงเครื่องมือหินที่พบในโกตาตัมปัน รัฐเปรัก หลักฐานดังกล่าวบ่งชี้ว่ามนุษย์ในยุคแรกเริ่มของบริเวณนี้เป็นนักล่าสัตว์ และผู้เพาะปลูกเร่ร่อนของ ยุคหินกลาง อาศัยอยู่ตามเพิงหินและถ้ำในภูเขาหินปูนของคาบสมุทร ใช้เครื่องมือหินตัดบดและล่าสัตว์ป่า ราว 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีกลุ่มคนยุคหินใหม่อพยพมาจากจีนตอนใต้เข้ามาสู่บริเวณนี้ และด้วยความที่มีเครื่องมือทันสมัยกว่า รู้จักวิธีเพาะปลูก ในที่สุดจึงขับไล่พวกที่มาอยู่ก่อนเข้าไปในภูเขาและป่าชั้นในของแหลมมลายู หลังจากนั้นราว 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็มีกลุ่มคนยุคเหล็กและยุคสำริด ใช้โลหะเป็นอาวุธ รู้จักค้าขาย ก็มาขับไล่พวกเดิมให้อยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก พวกที่มาใหม่นี้ต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของชาวมาเลเซียในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของมาเลเซียในยุคโบราณมีไม่มากนัก นักประวัติศาสตร์จึงมักถือเอาช่วงเวลาที่ มะละกา ปรากฏตัวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญทางชายฝั่งคาบสมุทรมลายูเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มาเลเซีย
อาคาร [[เปโตรนาสทาวเวอร์ซึ่งถือว่าเป็นอาคารแฝดที่สูงที่สุดในโลก และยังเป็นตึกสำนักงานของ บริษัท เปรโตรนาส ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทน้ำมันของมาเลเซีย]]
การกำหนดแนวทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเจริญเติบโตของประเทศไปพร้อมกับการแก้ปัญหาสังคมและการเมืองถูกกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่ยังเป็นสหพันธ์มลายาฉบับแรก ๆ (ช่วงปี ค.ศ. 1956-1960) เน้นการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ พยายามผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าแต่ไม่ค่อยได้ผล เพราะตลาดการค้าในประเทศยังเล็กมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยพยายามทำให้รายได้กระจายไปสู่ประชากรอย่างทั่วถึง ให้ทุกคนมีงานทำ
ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย ได้แก่ การว่างงานและความยากจน โดยเฉพาะกลุ่มชาวมลายูในชนบท รัฐบาลจึงพยายามพัฒนาที่ดินและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ถนนหนทาง โรงเรียน สถานพยาบาล ระบบชลประทาน แต่ก็ช่วยแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ชาวจีนซึ่งถือว่าเป็นคนมาอยู่ใหม่ ไม่ใช่เจ้าของที่กลับขยันขันแข้ง เข้ามาหักร้างถางพง และมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชาวมลายูที่อยู่มาก่อน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างชาวมลายูกับชาวจีนขณะนั้น ทำให้บางคนถึงกับคิดว่าในอนาคตชาวจีนจะควบคุมประเทศ ในขณะที่ชาวมลายูจะถูกไล่เข้าป่าดงดิบซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ
หลังจากได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1957 เศรษฐกิจของมาเลเซียก็เติบโตขึ้น แล้วเริ่มเปลี่ยนจากการทำดีบุกกับยางพาราเป็นหลักไปเป็นทำอุตสาหกรรมที่หลากหลายและทันสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่ที่คุกคามเศรษฐกิจคือ ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติซึ่งเกิดปะทุขึ้นรุนแรงจนนำไปสู่จลาจลในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1969 รัฐบาลซึ่งขณะนั้นนำโดยพรรคอัมโนจึงคิดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy-NEP) ออกมาแก้ปัญหา นำออกมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1970 โดยเนื้อหาสำคัญคือ ให้สิทธิพิเศษแก่พวก "ภูมิบุตร" หรือพลเมืองเชื้อสายมลายูเช่น กำหนดสัดส่วนข้าราชการส่วนใหญ่ให้เป็นชาวมลายู ให้สิทธิการเข้าเรียน จัดแบ่งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพานิชย์ให้แก่พลเมืองเชื้อสายมลายูก่อนพลเมืองเชื้อสายจีนหรืออินเดีย
นโยบายดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของมาเลเซียดีขึ้น สัดส่วนผู้ถือหุ้นชาวมลายูในบริษัทต่าง ๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ระหว่างปี ค.ศ. 1997 - 1998 ที่ทำให้การถือหุ้นตกไปอยู่ในมือชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวมลายูเองก็มักลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรในระยะสั้น มีวัฒนธรรมการเล่นพวกพ้องที่เป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม ช่วงนั้นมาเลเซียได้รู้วิธีการจัดการและกลลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนช่วยให้มาเลเซียปรับตัวได้ดีเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้งในปี ค.ศ. 2008-2009 โดยเศรษฐกิจมาเลเซียหดตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พลเมืองของประเทศมาเลเซียทั้งเชื้อชาติมลายู อินเดียและจีน ส่วนหนึ่งเห็นว่าควรยกเลิก NEP ไป เพราะเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ ส่วนนักลงทุนต่างชาติตะวันตกเห็นว่า NEP มีผลเสีย เนื่องจากทำให้พวกภูมิบุตรเอาแต่รอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล บ้างก็วิจารณ์กันว่าแท้จริงแล้ว NEP อาจมีเพื่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพรรคอัมโน เนื่องจากเป็นนโยบายที่อำนวยผลประโยชน์ต่อพลเมืองเชื้อสายมลายู ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรค
ในปี ค.ศ. 2010 เศรษฐกิจมาเลเซียเจริญเติบโตอย่างมาก ธนาคารของมาเลเซียมีเงินทุนที่มั่นคง ใช้การบริการแบบอนุรักษนิยม ไม่มีนโยบายให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งสัมพันธ์กับวิกฤติซับไพร์ที่เกิดในอเมริกา ธนาคารแห่งชาติมีนโยบายรักษาสภาพคล่องในการลงทุน ห้ามลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงตามระแสการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงและหนี้ต่างประเทศต่ำ
ในที่สุดปี ค.ศ. 2010 นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ที่มาจากพรรคอัมโนได้ยกเลิกข้อบังคับสิทธิพิเศษแก่ชาวมลายูในด้านต่าง ๆ รวมถึงทางด้านเศรษฐกิจ เช่น กำหนดให้บริษัทที่จะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีชาวมลายูถือหุ้นอย่างน้อย ร้อยละ 30 และประกาศต้นแบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Model-NEM) ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ (Economic Transformation Program-ETP) หลักการสำคัญของ NEM ได้แก่ การเพิ่มรายได้ให้ประชาชน กระจายรายได้และผลประโยชน์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน และให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน นโยบายหรือการลงทุนต่าง ๆ ภายใต้ NEM จึงต้องคำนึงถืองผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
มาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค มุ่งให้ความสำคัญแก่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันชีวภาพ เครื่องสำอาง และพลาสติก อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซพลังงานธรรมชาติ อุตสาหกรรมภาคบริการ เกษตรกรรม พลังงานทางเลือก รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อย่าง เพลง ภาพยนตร์ ศิลปะ และการแสดงด้วย นอกจากนี้ยังมีการวางแผนที่จะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ รวมถึงเป็นศูนย์ทางการเงินของอิสลาม
* ยุทธศาสตร์ของ NEM
เพื่อให้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ของมาเลเซียบรรลุเป้าหมาย จึงได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ NEM 8 ประการขึ้นมา ได้แก่
# ผลักดันให้ภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
# เพิ่มคุณภาพของแรงงานชาวมาเลเซีย และลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติ
# ส่งเสริมการแข่งขันภายในมาเลเซีย
# สร้างความแข้มแข็งให้ระบบราชการ
# ให้สิทธิพิเศษสำหรับผู้ด้อยโอกาศอย่างโปร่งใส และเป็นมิตรกับระบบตลาด
# สร้างความรู้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
# ส่งเสริมปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
# ส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
* โครงการ FELDA จัดสรรที่ดินแก่ชาวมลายู
เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลที่คิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของชาวมลายูในชนบท คือโครงการ FELDA (Federal Land Development Authority) โครงการนี้จะให้ทุนแก่เจ้าของสวนยางรายย่อย โดยจะช่วยอุดหนุนสำหรับปลูกต้นยางที่มีผลผลิตสูงและต้านทางโรคได้มาก ในโครงการนี้ผู้รับเหมาจะต้องถางที่ดินระหว่าง 1,600-2,000 เฮกตาร์ให้โล่งแล้วปลูกยาง จากนั้นแบ่งที่ดินออกเป็นระหว่าง 3.2-4 เฮกตาร์เพื่อจัดสรรให้แก่ชาวมลายู ชาวมลายูเหล่านี้จะได้รับปุ๋ยและเงินยังชีพช่วยเหลือขึ้นอยู่กับผลงานรายวันในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สุดท้ายแล้วค่าใช้จ่ายในกาพัฒนาที่ดินต้องคืนให้แก่รัฐภายใน 10-15 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ยางพาราจะโตเต็มที่พอดี แม้แผนโครงการ FELDA แต่สุดท้ายก็มีชาวมลายูเข้าร่วมเพียงเล็กน้อย และบางคนยังคัดค้านโครงการนี้อีกด้วย
* มาเลเซีย ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมฮาลาล
อุตสาหกรรมอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากในมาเลเซีย คืออุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งไม่ได้หมายถึงอาหารอิสลามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสินค้าประเภทอื่น เช่น ยา เครื่องสำอาง ของใช้ประเภทสบู่ ยาสีฟัน เครื่องหนัง ฯลฯ และเกี่ยวข้องกับการบริการ เช่น การจัดเลี้ยง โรงแรม การฝึกอบรม ธนาคาร สื่อสารมวลชน โลจิสติกส์ และท่องเที่ยวด้วย มาเลเซียวางเป้าหมายให้อุตสาหกรรมฮาลาลของตนเป็นศูนย์กลางของโลก โดยมีการจัดตั้ง Halal Industry Development Corporation-HDC ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 ให้เป็นหน่วยงานกลางในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล HDC ได้จัดทำ The Halal Industry Master Plan สำหรับปี ค.ศ. 2008-2020 โดยจัดแผนการดำเนินงานเป็น 3 ระยะได้แก่
- มุ่งเตรียมความพรอมให้มาเลเซียก้าวไปเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดย HDC จะเป็นหน่วยงานหลักที่ช่วยส่งเสริม ผลักดัน และให้การสนับสนุนการค้า การลงทุนในอุตสาหกรรมฮาลาล และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
- มุ่งเน้นความสนใจไปที่ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารแปรรูป และเครื่องใช้ส่วนตัว ให้การพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรมและการทำการตลาด
- ระยะนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมฮาลาล จากระดับท้องถิ่นสู่ผู้นำในระดับสากล รวมถึงการก่อตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฮาลาล ผดดยระยะที่สามนี้วางแผนอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 2015-2020
* ทรัพยากรที่สำคัญ ยางพารา น้ำมันปาล์ม น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ไม้สัก
* อุตสาหกรรมหลัก อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร
* สินค้าส่งออกที่สำคัญ ไม้ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว ปิโตเลียม เฟอร์นิเจอร์ ยาง น้ำมันปาล์ม
* สินค้านำเข้าที่สำคัญ ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม สินค้าแปรรูป สินค้าอาหาร
* ตลาดส่งออกที่สำคัญ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ไทย ฮ่องกง
* ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ไทย
=== การท่องเที่ยว ===
ในปี 2559 มาเลเซียมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 26,757,392 คนเพิ่มขึ้น 4.0% จาก 25,721,251 คนในปี 2558 โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีน ไทย บรูไน และอินเดีย ตามลำดับ
== ประชากรศาสตร์ ==
=== เชื้อชาติ ===
ประเทศมาเลเซียมีปัญหาประชากรหลากหลายเชื้อชาติ ในอดีตเคยเกิดสงครามกลางเมืองเนื่องจากการกีดกันทางเชื้อชาติ ประเทศมาเลเซียประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูร้อยละ 50.4 เป็นชาวภูมิบุตร (Bumiputra) คือบุตรแห่งแผ่นดิน รวมไปถึงชนดั้งเดิมของประเทศอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่กลุ่มชนเผ่าในรัฐซาราวัก และรัฐซาบะฮ์มีอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ชาวมลายูนั้นคือมุสลิม และอยู่ในกรอบวัฒนธรรมมลายู แต่ชาวภูมิบุตรที่ไม่ใช่ชาวมลายูนั้น มีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรในรัฐซาราวัก (ได้แก่ชาวอิบัน ร้อยละ 30) และร้อยละ 60 ของประชากรรัฐซาบะฮ์ (ได้แก่ชาวกาดาซัน-ดูซุน ร้อยละ 18 และชาวบาเจา ร้อยละ 17) ประเทศมาเลเซียมีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาอิสลาม 61.3% ศาสนาพุทธ 19.8% ศาสนาคริสต์ 9.2% ศาสนาฮินดู 6.3% ลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า 1.3% ศาสนาอื่น ๆ 2% ไม่มีศาสนา 0.1%
มิได้ระบุศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ และให้สิทธิเสรีภาพต่อพลเมืองเท่าเทียมกัน อุปถัมภ์ค้ำจุนทุกศาสนา และประกาศให้วันสำสัญทางศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์เป็นวันหยุดราชการ โดยมีกำหนดในปฏิทินอย่างชัดเจน
=== ภาษา ===
ภาษาราชการของมาเลเซียคือภาษามลายู หรือเรียกว่า บาฮาซา มลายู (Bahasa Melayu) หรือบาฮาซา มาเลเซีย (Bahasa Malaysia) ซึ่งเป็นภาษาหลักของประชากรส่วนใหญ่ของมาเลเซีย นอกจากภาษามลายูแล้วยังมีภาษาพื้นเมืองที่ใช้กันในชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ภาษาอีบัน พบในรัฐซาราวัก ภาษาดูซุนและกาดาซาน พบในรัฐซาบะห์ เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษพบว่ามีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในทางราชการ
=== กีฬา ===
=== ฟุตบอล ===
== วัฒนธรรม ==
มาเลเซียประกอบด้วยชนจากหลายเผ่าพันธุ์ (พหุสังคม) รวมกันอยู่ บนแหลมมลายูมากว่า 1,000 ปี ประกอบด้วยเชื้อชาติใหญ่ ๆ 3 กลุ่ม คือ ชาวมลายู ชาวจีน และชาวอินเดีย อาศัยอยู่บนแหลมมลายู ส่วนชนพื้นเมืองอื่น ๆ เช่น อิบัน (Ibans) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐซาราวัค และคาดาซัน (Kadazans) อาศัยอยู่ในรัฐซาบะฮ์ ด้วยประชากรหลากหลายเชื้อชาติภายในประเทศ ทำให้เกิดการหล่อหลอมของวัฒนธรรมและส่งผลต่อ การดำรงชีวิตของชาวมาเลเซีย จึงเกิดประเพณีที่สำคัญมากมาย อาทิเช่น
# การรำซาบิน (Zapin) :เป็นการแสดงการฟ้อนรำหมู่ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นเมืองของชาวมาเลเซีย โดยเป็นการฟ้อนรำที่ได้รับอิทธพลมาจาก ดินแดนอาระเบีย โดยมีผู้แสดงเป็นหญิง ชาย จำนวน 6 คู่ เต้นตามจังหวะของกีตาร์แบบอาระเบีน และ กลอง เล็กสองน้าที่บรรเลงจากช้าไปเร็ว
# เทศกาลทาเดา คาอามาตัน (Tadau Kaamatan) :เป็นเทศกาลประจำปีในรัฐซาบะฮ์ จัดในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดของฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวและเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ โดยจะมีพิธีกรรมตามความเชื่อในการทำเกษตร และมีการแสดงระบำพื้นเมือง และขับร้องบทเพลงท้องถิ่นเพื่อเฉลิมฉลองอีกด้วย
=== อาหาร ===
นาซี ลามัก, ข้าวบนใบตอง, ชาก๋วยเตี๋ยว, ชาบูสไตล์จีน, ไก่สะเต๊ะ เนื้อสะเต๊ะ, โรตีชะไน, ลอดช่อง
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Malaysia. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* Malaysia from UCB Libraries GovPubs
* Malaysia profile from the BBC News
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของอังกฤษ
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2506
หมวดหมู่:รัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หมวดหมู่:ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หมวดหมู่:ประเทศในเครือจักรภพ |
1931 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (; อักษรย่อ: มทส. - SUT) เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 โดยได้มีการยกฐานะจาก "วิทยาลัยสุรนารี" มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยประจำจังหวัดนครราชสีมา เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่ 3 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือถัดจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม (ต่อมาคือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) และเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐแห่งแรกของประเทศไทย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้ทำการจัดการเรียนการสอนครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ใน 8 สำนักวิชาและ 1 สถาบันสมทบ โดยมีหลักสูตรในระดับปริญญาตรี 49 หลักสูตร ปริญญาโท 36 หลักสูตร และปริญญาเอก 29 หลักสูตร (ข้อมูลในปีการศึกษา 2563) มีนักศึกษากว่า 17,000 คน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารียังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคณาจารย์คุณวุฒิปริญญาเอกคิดเป็นร้อยละสูงที่สุดในประเทศไทย (ร้อยละ 80.21) และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยต่อหัวคณาจารย์สูงที่สุดในประเทศไทย "ที่ 1"
== ประวัติ ==
; วิทยาลัยสุรนารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 รัฐบาลมีนโยบายกระจายโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาคและชนบทให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นใน พ.ศ. 2527 ทบวงมหาวิทยาลัยจึงเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ในส่วนภูมิภาค 5 แห่ง ได้แก่ภาคเหนือ 1 แห่ง ภาคใต้ 1 แห่ง ภาคตะวันออก 1 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง ในส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้จัดตั้งวิทยาลัยในสังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ขึ้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดนครราชสีมา โดยวิทยาลัยที่จัดตั้งขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้ใช้ชื่อว่า "วิทยาลัยสุรนารี" และเลือกพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมบริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 7,000 ไร่ เป็นที่ตั้ง
ต่อมารัฐบาลซึ่งมีชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความจำเป็นในการเร่งรัดจัดตั้งมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นในส่วนภูมิภาค เพื่อให้มีศักยภาพและความพร้อมที่จะสนองความต้องการของการพัฒนาประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ดังนั้นคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2531 จึงมีมติให้ยกฐานะวิทยาลัยในภูมิภาคทั้ง 5 แห่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศพร้อมกันนี้ได้อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสุรนารีโดยมีปลัดทบวงมหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน) เป็นประธานคณะกรรมการฯ ได้จัดทำโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเสนอต่อรัฐบาล พร้อมทั้งเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยต่อสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมพ.ศ. 2532
; มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติดังกล่าว และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2533 ให้ยกฐานะ "วิทยาลัยสุรนารี" ในสังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและถือเอาวันที่ 27 กรกฎาคม 2533 เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยในช่วงเดือนกรกฎาคม 2533 - พฤษภาคม 2536 มหาวิทยาลัยได้พัฒนาที่ทำการโดยจัดจ้างก่อสร้างอาคารและสิ่งก่อสร้างและจัดให้มีพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2533 อาคารและสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่แล้วเสร็จทันการเปิดดำเนินการรับนักศึกษาในเดือนพฤษภาคมโดยมีศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้านเป็นอธิการบดีผู้ก่อตั้ง
ใน พ.ศ. 2549 ได้มีการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 3 ด้านการวิจัย (ดีเลิศ) และอันดับที่ 7 ด้านการเรียนการสอน (ดีเยี่ยม) ของประเทศไทย
ใน พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยได้รับการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานการศึกษา (สมศ.) ในกลุ่มมหาวิทยาลัยที่เน้นการผลิตบัณฑิตและวิจัย ให้เป็นอันดับหนึ่งในบรรดามหาวิทยาลัยของรัฐ และเป็นอันดับที่สองของประเทศ
มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงมากทางด้านสาขาวิชาฟิสิกส์ โดยได้รับการจัดอันดับจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้เป็นอันดับหนึ่งของประเทศต่อเนื่องทั้งใน พ.ศ. 2550 และ 2553 นอกจากนี้สาขาวิชาอื่นที่มีได้รับการจัดอันดับในเกณฑ์สูงได้แก่ สาขาวิชาเคมี สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมเซรามิก และสาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์ มหาวิทยาลัยได้รับการยอมรับอย่างกว้างจากวงการอุตสาหกรรม โดยได้เปิดสอนสาขาวิชาต่าง ๆ ทางด้านวิศวกรรมหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
; มหาวิทยาลัยแห่งการวิจัย
มหาวิทยาลัยได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอายุน้อยที่สุดที่ได้รับการรับเลือก ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงเก่าแก่อื่น ๆ และได้รับการจัดอันดับการมีงานทำและศึกษาต่อของบัณฑิตร้อยละ 96 ซึ่งสูงที่สุดในประเทศ
การจัดอันดับโดยเว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บไซต์ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก โดยบ่งบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ของสถาบัน เพื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ในการประเมินผลงานวิจัยของสถาบัน ซึ่งทางเว็บโอเมตริกซ์ได้จัดอันดับปีละ 2 ครั้งในเดือนมกราคม และกรกฎาคม ล่าสุดเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อยู่ในอันดับที่ 958 ของโลก และอันดับที่ 9 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
พ.ศ. 2558 ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ร่วมของประเทศไทยและที่ 601-800 ร่วมของโลก ตามการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของนิตยสารไทมส์ไฮเออร์เอดยูเคชัน
โดยสรุปแล้ว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีกำเนิดมาจากวิทยาลัยสุรนารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2527 มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขยายการศึกษาชั้นสูงไปสู่ภูมิภาค ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เมื่อ พ.ศ. 2533 ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่ที่ ตำบลสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติแห่งแรกของไทย และเป็นมหาวิทยาลัยรัฐลำดับที่ 16 ของประเทศ
== สัญลักษณ์ ==
* ตราท้าวสุรนารี คือ ตราประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สื่อความหมายถึง ปรัชญาและภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยเน้น ความ เคารพ และศรัทธาต่อท้าวสุรนารี ในฐานะวีรสตรีแห่งชาติ ด้านล่างเป็นภาพเส้นโค้งงอนหงายขนาบ 2 ข้างของภาพข้างละ 4 เส้น เกยและเชื่อมต่อกันเสมือนหนึ่งกระเบื้องมุงหลังคาคร่อมภาพ มีความหมายดังนี้
ภาพท้าวสุรนารี สื่อความหมายถึง ปรัชญา และ ภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยเน้น ความ เคารพ และศรัทธาต่อท้าวสุรนารี ในฐานะวีรสตรีแห่งชาติ
ภาพเส้นโค้งงอนหงายขนาบ 2 ข้างของภาพข้างละ 4 เส้น เกยและเชื่อมต่อกันเสมือนหนึ่งกระเบื้องมุงหลังคาคร่อมภาพ สื่อความหมายถึง ความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่ต่อเนื่องกัน และความเจริญก้าวหน้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ภาพเชิงนามธรรมของพืชพรรณและเฟืองจักร สื่อความหมายถึง การเกษตร และอุตสาหกรรม
ความหมายโดยรวม คือ ปรัชญาและภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยเน้น ความ เคารพ และศรัทธาต่อท้าวสุรนารี ในฐานะวีรสตรีแห่งชาติ
*ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย : ต้นปีบทอง
*สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีแสด - ทอง
สีแสด หมายถึง สีประจำจังหวัดนครราชสีมา, สีธงประจำกองเสือป่านครราชสีมา ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี ซึ่งถือว่าเป็นวันครู
สีทอง หมายถึง เป็นสีแห่งความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ และศรัทธา
== การศึกษา ==
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ การบริหารการศึกษาดำเนินการโดย 8 คณะ 1 สถาบันสมทบ และ 1 สถาบันวิจัย ประกอบไปด้วย
=== สำนักวิชา ===
====กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี====
* สำนักวิชาวิทยาศาสตร์
* สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์
* สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร
* สำนักวิชาศาสตร์และศิลป์ดิจิทัล
====กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ====
* สำนักวิชาแพทยศาสตร์
* สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์
* สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์
* สำนักวิชาสาธารณสุขศาสตร์
* สำนักวิชาเภสัชศาสตร์(โครงการจัดตั้ง
====กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์====
* สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม
=== โรงเรียน ===
*โรงเรียนสุรวิวัฒน์
*สถานศึกษาค้นคว้าการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและภาษา
=== สถาบันสมทบ ===
* สถาบันการบินพลเรือน
=== ศูนย์/สถาบัน ===
* สถาบันวิจัยและพัฒนา
* ศูนย์กิจการนานาชาติ
* ศูนย์คอมพิวเตอร์
* ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
* ศูนย์บริการการศึกษา
* ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา
* ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา
* ศูนย์สหกิจศึกษาและพัฒนาอาชีพ
=== การรับนักศึกษา ===
1. รอบที่ 1 Portfolio
2. รอบที่ 2 โควตา
3. รอบที่ 3 Admission 1
4. รอบที่ 4 Admission 2
5. รอบที่ 5 รับตรง
6. สมัครเพื่อขอรับทุนการศึกษา
7. รับโอนจากสถาบันอื่น
8. กลับเข้าศึกษาใหม่
=== สหกิจศึกษาและพัฒนาอาชีพ ===
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเปิดสอนหลักสูตรสหกิจศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเป็นแห่งแรกของโลกในปีการศึกษา 2556 หลักสูตรสหกิจศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีบูรณาการการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีในสถานศึกษา กับการปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการเสมือนเป็นพนักงาน อย่างน้อย 16 สัปดาห์อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการเรียนรู้โดยใช้ประสบการณ์จากการทำงานจริงเป็นหลักหรือโครงงานพิเศษที่มีประโยชน์กับสถานประกอบการ เช่น การปรับปรุง การเพิ่มประสิทธิภาพ หรือการแก้ปัญหากระบวนการทำงาน ซึ่งช่วยเสริมสร้างให้นักศึกษามีทักษะการทำงาน ทักษะด้านสังคม มีความพร้อมด้านงานอาชีพ และมีความรู้ความสามารถตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานมากยิ่งขึ้น โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารียังคงธำรงไว้ซึ่งการเป็นต้นแบบและผู้นำด้านสหกิจศึกษาของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และในปี 2563 มีจำนวนตำแหน่งงานที่ถูกเสนอจากสถานประกอบการมากกว่า 7,126 ตำแหน่งงาน
ไฟล์:Laan Yaa.JPG|ลานสัญลักษณ์
ไฟล์:หอสุรนภา มุมมองจากหน้าสุรนิทัศน์.JPG|หอสุรนภามุมมองหน้าสุรนิทัศน์
ไฟล์:SUT_Hospital.jpg|โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สำนักวิชาแพทยศาสตร์
ไฟล์:สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน).JPG|อาคารวิจัยแสงซินโครตรอน
=== การก่อตั้งสำนักวิชา ===
==เพลงมหาวิทยาลัย==
* มาร์ชสุรนารี
* มาร์ชมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
* ราตรีบีปทอง
* ลาร่มปีบทอง
* รักแสดทอง
* รำวงลูกสุรนารี
* ยืนดีต้อนรับน้องใหม่
* แสดงทองนำชัย
* พลัง มทส
* WE CHEER SUT
* น้ำใจนักกีฬา
== อันดับและมาตรฐานมหาวิทยาลัย ==
===การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย===
เมื่อ พ.ศ. 2549 สกอ. ได้ประกาศ 50 อันดับมหาวิทยาลัยด้านวิจัย และด้านการเรียนการสอน โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 7 ด้านการเรียนการสอนและลำดับที่ 3 ด้านการวิจัย
===อันดับมหาวิทยาลัย===
นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่
====การจัดอันดับโดย Webometrics====
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ รอบที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 7 ของประเทศไทย 261 ของทวีปเอเชีย และอยู่ในอันดับที่ 1200 ของโลก
==== การจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking ====
เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ในรอบ พ.ศ. 2561 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 10 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 180 ของโลก
====การจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking====
อันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ผลการจัดอันดับสถาบันการศึกษา Scimago Institutions Rankings 2020 ได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ซึ่งผลการจัดอันดับประเภทภาพรวม (Overall Rank) ปรากฏว่ามีมหาวิทยาลัยในไทยติดอันดับจำนวน 26 แห่ง โดยผลการจัดอันดับ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ติดอันดับที่ 10 ของไทย อันดับที่ 752 ของโลก
*1. ด้านการวิจัย ติดอันดับที่ 12 ของไทย อันดับที่ 451 ของโลก
*2. ด้านนวัตกรรม ติดอันดับที่ 8 ของไทย อันดับที่ 480 ของโลก
*3. ด้านสังคม ติดอันดับที่ 8 ของไทย อันดับที่ 228 ของโลก
Scimago Institutions Rankings เป็นการจัดอันดับจากองค์การในประเทศสเปน ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณาจากผลงาน 3 ด้าน
==== การจัดอันดับโดย uniRank ====
uniRank เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานไม่แสวงหากำไร IREG Observatory ที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงการศึกษาจากหลายสถาบัน และจดทะเบียนหน่วยงานอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม อันดับของ uniRank จะอาศัยการรวบรวมข้อมูลตัววัดเว็บ (web metrics) 5 ฐานข้อมูลได้แก่ 1. Moz Domain Authority 2. Alexa Global Rank 3. SimilarWeb Global Rank 4. Majestic Referring Domains 5. Majestic Trust Flow โดยการจัดอันดับประจำปี ค.ศ. 2019 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีอยู่ในอันดับที่ 12 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยภายในประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 1,405 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก
====การจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance====
อันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP ปี พ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 8 ของประเทศไทย และอันดับ 1385 ของโลก ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม B โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิง
== หน่วยงานภายใน ==
=== สภามหาวิทยาลัย ===
* สำนักงานสภามหาวิทยาลัย
* หน่วยตรวจสอบภายใน
=== สำนักงานอธิการบดี ===
* ส่วนส่งเสริมวิชาการ
* งานประกันคุณภาพการศึกษา
* ส่วนสารบรรณและนิติการ
* ส่วนการเจ้าหน้าที่
* ส่วนการเงินและบัญชี
* ส่วนอาคารสถานที่
* ส่วนพัสดุ
* ส่วนแผนงาน
* ส่วนกิจการนักศึกษา
** องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
*** สภานักศึกษา องค์การนักศึกษา
*** องค์การบริหาร องค์การนักศึกษา
* ส่วนประชาสัมพันธ์
* สถานกีฬาและสุขภาพ
* สถานพัฒนาคณาจารย์
* สถานส่งเสริมและพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS)
* หน่วยประสานงาน มทส. กทม.
=== หน่วยวิสาหกิจ ===
* เทคโนธานี
** อุทยานการเรียนรู้สิรินธร
*** อุทยานผีเสื้อ
*** ห้องไทยศึกษานิทัศน์
*** พิพิธภัณฑเทคโนโลยีไทยโบราณ
*** เมืองจราจรจำลอง
** โครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์
** โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
** ศูนย์วิจัยมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์
* โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
* สุรสัมนาคาร ศูนย์ประชุมสัมมนา
* ฟาร์มมหาวิทยาลัย
=== หน่วยงานอื่น ===
* โครงการจัดรูปแบบการบริหารวิชาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลรูปใหม่ / DIGITECH
* สโมสรเทคโนโลยีสุรนารี
* สมาคมเทคโนโลยีสุรนารี
* สหกรณ์ออมทรัพย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
* สมาคมสหกิจศึกษาไทย
=== หน่วยงานในอนาคต ===
* โครงการจัดตั้งสถานีวิจัยและพัฒนาการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
* โครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดอุดรธานี
== ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ ==
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันและองค์กรต่างประเทศภายใต้ข้อตกลงประเภทต่าง ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา และดำเนินกิจกรรมแลกเปลี่ยนความร่วมมือภายใต้ข้อตกลงกับสถาบันและองค์กรในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ได้ขยายเครือข่ายทางวิชาการสู่ระดับนานาชาติกับสถาบันและองค์กรทุกทวีปทั่วโลก จำนวน 99 แห่ง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยลงนามข้อตกลงแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับสถาบันและองค์กรต่างประเทศ จำนวน 16 แห่ง ประกอบด้วย
* Institut National Supérieur des sciences agronomiques, del'alimentation et de l'envirnnement (Agrosup Dijon)
* Université Grenoble Alpes
* Research Center for Appropriate Technology Indonesian Institute of Science
* Universitas Indonesia
* Akita University
* Hokkaido University, Japan
* Kyoto Institute of Technology
* Kyushu University
* University of Shizuoka
* Yamaguchi University
* The University of Malaya
* Universiti Tunku Abdul Rahman
* National Kaohsiung University of Hospitality and Tourism
* Myddelton College
* The University of Arizona
* Vietnam National University Ho Chi Minh City - University of Science
== การเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมและองค์กรนานาชาติ ==
* สมาคมสถาบันอุดมศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Association of Southeast Asian Institutions of Higher Learning (ASAIHL)
* สมาคมมหาวิทยาลัยแห่งเอเชียและแปซิฟิก Association of Universities of Asia and the Pacific (AUAP)
* สมาคมมหาวิทยาลัยระหว่างประเทศ International Association of Universities (IAU)
* สมาคมสหกิจศึกษาโลก World Association of Cooperative Education (WACE)
* เครือข่ายมหาวิทยาลัยในทวีปยุโรปและมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ASEAN-European Academic University Network (ASEA-UNINET)
* The World Technology Universities Network (WTUN)
* Asia Technological University Network (ATU-Net)
* Southeast Asia and Taiwan Universities (SATU)
== ความร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศ ==
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือและการดำเนินกิจกรรมร่วมกับสถาบันและองค์กรในประเทศภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือหลายด้าน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ จำนวน 17 ความร่วมมือ ประกอบด้วย
* ความร่วมมือโครงการวิจัยและพัฒนาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) กับบริษัทผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วมจำกัด
* ความร่วมมือด้านการพัฒนาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
* ความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
* ความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัทบิ๊กเทคอินโนเวชั่น จำกัด และบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
* ความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
* ความร่วมมือทางวิชาการว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการเรียนการสอนสหกิจศึกษากับบริษัทจัดหางานจ๊อบบีเค ดอตคอม จำกัด
* ความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัทศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ จำกัด
* ความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
* ความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัทโกรกรีน โซลูชันส์
* ความร่วมมือวิจัยและพัฒนากับบริษัทเอี่ยมธงชัยอุตสาหกรรม
* ความร่วมมือการส่งเสริมสนับสนุนงานวิจัยกับสำนักงานวิจัยการเกษตร
* ความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัทไอดา เมดิคอล จำกัด และมูลนิธิวิจัยและบริการการศึกษาเพื่อสาธารณะ
* ความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัท อัลฟ่า อิมพอร์ต เอ็กพอร์ต ประเทศไทย จำกัด
* ความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัทน้ำตาลสุรินทร์ จำกัด
* ความร่วมมืองานวิจัยด้านอาหารและที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาเนื้อไก่ให้เป็นเนื้อเชิงหน้าที่ (functional meat) กับบริษัท PS Nutrition จำกัด
* ความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัท ฮิตาชิ คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด
* ความร่วมมือทางวิชาการ 4 เรื่อง (สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์)
== ชีวิตในมหาวิทยาลัย ==
=== การเดินทางมายังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ===
* โดยรถยนต์
สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทางคือ จากกรุงเทพมหานคร ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทาง หลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ที่สระบุรี ขับตามเส้นทางจนถึงสะพานต่างระดับบริเวณสามแยกปักธงชัย (ก่อนถึงตัวเมืองนครราชสีมา ประมาณ 5 กม.) จากนั้นขึ้นสะพานตรงไปยัง อ.ปักธงชัย อีกประมาณ 7 กม. ทางเข้ามหาวิทยาลัยจะอยู่ทางด้านขวามือ รวมระยะทาง 259 กิโลเมตร อีกเส้นทาง คือ จากกรุงเทพมหานครใช้ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านมีนบุรี ฉะเชิงเทรา พนมสารคาม กบินทร์บุรี ปักธงชัย มายังนครราชสีมา ก่อนถึงนครราชสีมาประมาณ 20 กม. จะมีทางเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ทางด้านซ้ายมือ รวมระยะทาง 273 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
* โดยรถโดยสารประจำทาง
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งตะวันออก เฉียงเหนือ ไปนครราชสีมาทุกวัน ท่านสามารถลงรถได้ที่สามแยกปักธงชัย และขึ้นรถเมล์สาย มทส เข้ามายัง มทส (มีรถเมล์ 2 สายคือ สาย มทส - เทคโนโลยีราชมงคล สีเหลือง ขาว และสายหัวทะเล - มทส สีม่วงขาว ราคาค่าโดยสาร 14 บาท)
มีรถไฟออกจาสถานีรถไฟกรุงเทพฯ ไปนครราชสีมาทุกวัน รายละเอียดสอบถามที่หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย
== รายนามอธิการบดี ==
== หน่วยงานของรัฐที่ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย ==
* สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
* หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา นครราชสีมา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
== ศิษย์เก่าและบุคคลสำคัญของมหาวิทยาลัย ==
*ศาสตราจารย์ ดร. วิจิตร ศรีสอ้าน (อธิการบดีผู้ก่อตั้ง, นายกสภามหาวิทยาลัย) อดีตปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
*ศาสตราจารย์ ดร. ประสาท สืบค้า (อธิการบดี) ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย, อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
*รองศาสตราจารย์ ดร. วีระพงษ์ แพสุวรรณ (อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์) ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน)
*รองศาสตราจารย์ ดร. ไทย ทิพย์สุวรรณกุล (อาจารย์ประจำสาขาวิชาศึกษาทั่วไป) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
*ศาสตราจารย์ มนัส สถิรจินดา (อดีตหัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมโลหการ) ผู้ก่อตั้งสมาคมอุตสาหกรรมหล่อโลหะแห่งประเทศไทย, นักโลหะวิทยาดีเด่น ประจำปี 2550
*ศาสตราจารย์ ดร. สราวุฒิ สุจิตจร (อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน)
*ศาสตราจารย์ ดร. Joewono Widjaja (อาจารย์ประจำสาขาวิชาเลเซอร์และโฟโตนิกส์) รางวัล Galileo Galilei 2008 ด้าน Optics and Photonics
*ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ (อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์) Corbett Prize for Young Scientist 2005, นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2554, รางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2548
*ศาสตราจารย์ ดร. สันติ แม้นศิริ (หัวหน้าสาขาวิชาฟิสิกส์) รางวัล TWAS Prize Young Scientists in Thailand สาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2552 จาก Thrid World Academy of Sciences, รางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2550
*รองศาสตราจารย์ ดร. พวงรัตน์ ไพเราะ (อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์) รางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2549
*ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วรวัฒน์ มีวาสนา (อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์) รางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2555
*นายมงคล ตรีกิจจานนท์ ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ศิษย์เก่า)
*นางสาว ชาลิตา แย้มวัณณังค์ (ศิษย์เก่าสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการ) Miss Universe Thailand 2013
*ไพศาล ธัญธาดาลักษณ์ (ศิษย์เก่าสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์) นักกีฬาหมากล้อมทีมชาติไทย
*สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล (ศิษย์เก่าสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
*ดร.ธนานนท์ ปฏิญญาศักดิกุล (ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมไฟฟ้า) ยูทูบเบอร์ เจ้าของช่องยูทูบ "9arm" วิศวกรซอฟต์แวร์ชาวไทย หนึ่งในทีมผู้พัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ "Frontier" ซึ่งเป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของโลก เป็นที่รู้จักจากการเล่าเรื่อง การให้ความรู้ และการวิพากษ์วิจารณ์หัวข้อที่เป็นกระแสในขณะนั้น
== ภาพถ่ายของมหาวิทยาลัย ==
ภาพถ่ายของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีทั้งในอดีดและปัจจุบันที่อยู่ในวิกิพีเดีย สามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน
ไฟล์:ภาพมุมมองจากฝั่งตะวันออก ลอดซุ้มโครงสร้าง หอสุรนภา.JPG|หอสุรนภามุมมองลอดซุ้มโครงสร้าง
ไฟล์:หอสุรนภามุมมองลอดซุ้มโครงสร้าง.jpg|หอสุรนภาตอนเย็น
ไฟล์:หอสุรนภารวมโครงสร้างเหล็ก.jpg|หอสุรนภาและซุ้มโครงสร้างเหล็ก
ไฟล์:สุรนิทัศน์มุมมองจากล่างขึ้นบน.JPG|สุรนิทัศน์มุมมองจากล่างขึ้นบน
ไฟล์:เทคโนสุรนารี.jpg|ลานเท้าสุรนารีภายในมหาวิทยาลัย
ไฟล์:โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย.JPG|โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย
ไฟล์:อุโมงค์ต้นไม้.jpg|อุโมงค์ต้นไม้
ไฟล์:อุโมงค์ต้นไม้ มทส.jpg|อุโมงค์ต้นไม้ในบรรยากาศหมอกลงจัด
ไฟล์:อาคารวิชาการ 2.jpg|อาคารวิชาการ 2
ไฟล์:หอประวัติ.JPG|หอประวัติมหาวิทยาลัย
ไฟล์:บรรยากาศมหาวิทยาลัยจากมุมมองอาคารเครื่องมือ 11.jpg|บรรยากาศมองจากอาคารเครื่องมือ 11
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
* มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
* มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
* โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
* โรงเรียนสุรวิวัฒน์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
สุรนารี,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
หมวดหมู่:สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา
สมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
หมวดหมู่:สถานศึกษาในอำเภอเมืองนครราชสีมา
หมวดหมู่:สถานที่ที่ตั้งชื่อตามนามของบุคคลสำคัญของไทย |
1933 | https://th.wikipedia.org/wiki/วิกิพีเดีย | วิกิพีเดีย | มีการกล่าวถึงวิกิพีเดียอยู่บ่อยครั้ง ในแง่ความแตกต่างกับรูปแบบการจัดทำสารานุกรมแบบเก่าที่มีเฉพาะผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดทำขึ้น และการรวบรวมเนื้อหาที่ไม่เป็นวิชาการไว้เป็นจำนวนมาก ครั้งเมื่อนิตยสารไทม์จัดให้ "คุณ" (You) เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2549 อันเป็นการยอมรับความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากความร่วมมือและปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ของผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก ก็ได้อ้างถึงวิกิพีเดียว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของบริการเว็บ 2.0 เช่นเดียวกับยูทูบ มายสเปซ และเฟซบุ๊ก บางคนลงความเห็นว่าวิกิพีเดียมิได้มีความสำคัญเป็นเพียงสารานุกรมอ้างอิงเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งข่าวที่อัปเดตอย่างรวดเร็วอีกด้วย เพราะมักพบเหตุการณ์ปัจจุบันได้รับการสร้างเป็นบทความในวิกิพีเดียอย่างรวดเร็ว นักเรียนนักศึกษายังได้รับคำสั่งให้เขียนบทความวิกิพีเดียเพื่อฝึกอธิบายแนวคิดที่เข้าใจยากให้ผู้อ่านที่ไม่เคยศึกษามาก่อนเข้าใจได้ชัดเจนและรัดกุม
แม้ว่าวิกิพีเดียจะมีนโยบายอย่างการพิสูจน์ยืนยันได้ของข้อมูลและมุมมองที่เป็นกลาง แต่ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ทั้งในด้านความลำเอียงอย่างเป็นระบบและความไม่สอดคล้องกันของบทความ อีกทั้งการให้น้ำหนักแก่วัฒนธรรมสมัยนิยมมากเกินไปจนไม่เหมาะสม ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของข้อมูลก็ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การวิจารณ์อื่นยังมุ่งประเด็นไปยังการก่อกวนและการเพิ่มข้อมูลที่หลอกลวงหรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ และจากการวิจัยของวารสารเนเจอร์ในปี พ.ศ. 2548 พบว่า บทความวิทยาศาสตร์จากวิกิพีเดียที่นำมาเปรียบเทียบนั้นมีระดับความถูกต้องใกล้เคียงกับสารานุกรมบริตานิกา และทั้งสองมีอัตรา "ข้อผิดพลาดร้ายแรง" ใกล้เคียงกัน
บทความเกี่ยวกับข่าวด่วนมักเป็นแหล่งข้อมูลที่มีการเข้าถึงเพื่ออัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้นบ่อยครั้ง
== ประวัติ ==
=== นูพีเดีย ===
มีความพยายามสร้างสารานุกรมออนไลน์แบบร่วมมือกันก่อนที่จะมีวิกิพีเดียหลายครั้ง แต่ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย วิกิพีเดียเริ่มขึ้นจากเป็นโครงการเพิ่มเติมของนูพีเดีย โครงการสารานุกรมเสรีออนไลน์ภาษาอังกฤษ ซึ่งบทความในนูพีเดียนั้นเขียนขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญและได้รับการตรวจสอบภายใต้กระบวนการที่เป็นทางการ นูพีเดียก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2543 บริหารงานโดยบริษัทเว็บท่า โบมิส บุคคลสำคัญที่มีส่วนสร้างนูพีเดีย ได้แก่ จิมมี เวลส์ ผู้บริหารระดับสูงของโบมิส และแลร์รี แซงเงอร์ บรรณาธิการบริหารของนูพีเดียและวิกิพีเดียในเวลาต่อมา วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2544 แลร์รี แซงเงอร์เสนอบนจดหมายกลุ่มนูพีเดียในการสร้างวิกิเป็นโครงการ "ตัวป้อน" สำหรับนูพีเดีย
=== เปิดตัวและเติบโต ===
วิกิพีเดียเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2544
วิกิพีเดียฉบับที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด, 2551-2563
File:Wikipedia editors by language over time.png|วิกิพีเดียฉบับที่มีการแก้ไขมากที่สุด, 2544-2563
เนื่องจากผู้ใช้ทั่วโลกร่วมกันสร้างวิกิพีเดียผ่านทางเว็บไซต์ ดังนั้น แม้แต่ในวิกิพีเดียภาษาเดียวกันจึงอาจเกิดปัญหาการใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกัน โดยปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยปรากฏในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างด้านตัวสะกดในภาษาถิ่นสำเนียงอังกฤษบริติชและอังกฤษอเมริกัน (ตัวอย่างเช่น colour และ color) รวมไปถึงเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นจากมุมมองที่ต่างกัน และถึงแม้ว่าวิกิพีเดียหลายภาษาจะยึดตามหลักนโยบายสากล อย่างเช่น "มุมมองเป็นกลาง" แต่ก็อาจยึดหลักแตกต่างกันในนโยบายและการปฏิบัติในบางข้อ ที่สำคัญคือ ภาพที่ไม่ได้อยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตเสรีจะถูกใช้โดยอ้างว่าเป็นการใช้โดยชอบธรรมได้หรือไม่
จิมมี เวลส์อธิบายถึงวิกิพีเดียเป็น "ความพยายามที่จะสร้างและเผยแพร่สารานุกรมเสรีที่มีคุณภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้กับทุกคนบนโลกในภาษาของตนเอง" แม้ว่าวิกิพีเดียในแต่ละภาษามีการบริหารไม่ขึ้นต่อกัน ทางมูลนิธิได้มีการตั้งเว็บไซต์เมต้าวิกิใช้เป็นศูนย์กลางการประสานงานของวิกิพีเดียแต่ละภาษา เช่นการให้บริการข้อมูลด้านสถิติเกี่ยวกับวิกิพีเดียทุกภาษา และแสดงรายชื่อบทความพื้นฐานที่วิกิพีเดียแต่ละรุ่นภาษาควรมี ซึ่งรายการดังกล่าวครอบคลุมเนื้อหาพื้นฐานแบ่งตามหัวเรื่อง อันประกอบด้วย ชีวประวัติ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์
การศึกษาที่ตีพิมพ์โดย PLOS One ใน พ.ศ. 2555 ก็ประมาณการส่วนแบ่งการมีส่วนร่วมจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกไปยังวิกิพีเดียภาษาต่าง ๆ โดยรายงานว่าสัดส่วนการแก้ไขในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษที่มาจากอเมริกาเหนืออยู่ที่ 51% และอีก 25% แก้ไขในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษอย่างง่าย
== คำตอบรับ ==
=== ความครอบคลุมของเนื้อหา ===
แผนภูมิวงกลมแสดงเนื้อหาวิกิพีเดียแบ่งตามประเภท เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 และอาจรวมไปถึงมูลนิธิเฝ้าระวังภัยอินเทอร์เน็ต
จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 วิกิพีเดียมีบทความเนื้อหาครอบคลุมถึงสถานที่เกือบครึ่งล้านแห่งบนโลก อย่างไรก็ตาม งานวิจัยซึ่งดำเนินการโดยสถาบันอินเทอร์เน็ตออกซฟอร์ดได้แสดงให้เห็นว่า บทความภูมิศาสตร์นี้กระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ไม่เสมอกันอย่างมาก บทความส่วนใหญ่เขียนเกี่ยวกับอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียตะวันออก และมีส่วนน้อยมากที่กล่าวถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนา รวมไปถึงส่วนใหญ่ของแอฟริกา
การศึกษาวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยนักวิจัยจาก[[มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอนและศูนย์วิจัยพาโลอัลโต ได้จำแนกจำนวนบทความแบ่งตามประเภท ตลอดจนอัตราการเพิ่มจำนวน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 ถึงมกราคม พ.ศ. 2551 ไว้ดังนี้
* ศิลปวัฒนธรรม: 30% (210%)
* ชีวประวัติและบุคคล: 15% (97%)
* ภูมิศาสตร์และสถานที่: 14% (52%)
* สังคมและสังคมศาสตร์: 12% (83%)
* ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์: 11% (143%)
* ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์กายภาพ: 9% (213%)
* เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์: 4% (-6%)
* ศาสนาและระบบความเชื่อ: 2% (38%)
* สุขภาพ: 2% (42%)
* คณิตศาสตร์และตรรกะ: 1% (146%)
* ความคิดและปรัชญา: 1% (160%)
อย่างไรก็ดี พึงตระหนักจำนวนเหล่านี้หมายถึงจำนวนบทความ ซึ่งบางบทความอาจจะสั้นมาก ขณะที่บางบทความอาจมีความยาวมากก็ได้
การครอบคลุมที่แน่นอนของวิกิพีเดียยังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างต่อเนื่องของผู้ร่วมพัฒนา และความไม่เห็นด้วยว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งควรจะมีในวิกิพีเดียหรือไม่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
=== คุณภาพงานเขียน ===
เนื่องจากโดยปกติแล้วผู้ร่วมพัฒนาจะเรียบเรียงเนื้อหาเป็นส่วนน้อย ๆ มากกว่าแก้ไขปรับปรุงบทความทั้งบท จึงเป็นไปได้ที่ในบทความเดียวกันหนึ่ง ๆ จะมีเนื้อหาคุณภาพสูงและต่ำผสมปนเปกันอยู่ บางครั้งนักวิจารณ์ว่าการแก้ไขโดยผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญนั้นทำให้คุณภาพของงานต่ำ ตัวอย่างเช่น รอย โรเซนซไวก์ เคยวิจารณ์การเรียบเรียงภาษาและการที่ไม่สามารถแยกแยะสิ่งสำคัญแท้จริงกับสิ่งที่เพียงแต่น่าดึงดูดใจเท่านั้น เขากล่าวว่าวิกิพีเดีย "แม่นยำอย่างน่าประหลาดใจในการรายงานชื่อ วันที่ และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สหรัฐ" (ซึ่งเป็นขอบเขตการศึกษาของโรเซนซไวก์) และข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดเล็กน้อยนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเนื้อหา "มีน้อยและไม่ต่อเนื่องกัน" และเนื้อหาบางส่วน "แค่ย้ำความเชื่อผิด ๆ ที่ยึดถือกันอย่างกว้างขวางเท่านั้น" ซึ่งยังได้ปรากฏซ้ำใน เอ็นคาร์ตา และ บริตานิกา เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขามีข้อวิจารณ์หนึ่งข้อใหญ่
เขายังเปรียบเทียบเนื้อหาของอับราฮัม ลินคอล์นในวิกิพีเดียกับที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองอเมริกัน เจมส์ แมคเฟียร์สัน ใน ชีวประวัติแห่งชาติอเมริกันออนไลน์ เขากล่าวว่า ทั้งสองมีความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลอย่างสำคัญ และครอบคลุมช่วงชีวิตหลักของลินคอล์นอย่างครบถ้วน แต่เขายกย่องแมคเฟียร์สันว่า "มีการใส่บริบทมากกว่า ... มีศิลปะในการหยิบยกคำคมที่สะท้อนถึงน้ำเสียงของลินคอล์น ... และ ... ความสามารถในการถ่ายทอดข้อความอันลึกซึ้งด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ" ในทางกลับกัน เขาได้ยกตัวอย่างสำนวนของวิกิพีเดียซึ่งเขาพบว่า "ทั้งเยิ่นเย้อและน่าเบื่อ" โรเซนซไวก์วิจารณ์ต่อไป โดยเปรียบเทียบ "การตัดสินใจอย่างมีทักษะและความมั่นใจของนักประวัติศาสตร์ผู้ช่ำชอง" ซึ่งแสดงโดยแมคเฟียร์สันและคณะกับ "คำโบราณ" ของวิกิพีเดีย (ซึ่งเขาเปรียบเทียบประเด็นนี้กับนิตยสารอเมริกันเฮอริเทจ) และกล่าวว่าขณะที่วิกิพีเดียมักจะอ้างแหล่งอ้างอิงจำนวนมาก แต่แหล่งอ้างอิงเหล่านั้นก็ไม่ใช่ที่ดีที่สุด
โรเซนซไวก์ยังได้วิจารณ์ "การเขียนคลุมเครือ ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากนโยบาย NPOV [มุมมองที่เป็นกลาง] หมายความว่าเป็นการยากที่จะแยกแยะทัศนะการให้ความหมายโดยรวมในประวัติวิกิพีเดีย ยกตัวอย่างเช่น เขาอ้างบทสรุปของบทความวิกิพีเดียเกี่ยวกับวิลเลียม คลาร์ก ควินทริลล์ ซึ่งเนื้อหาของบทความโดยทั่วไปนั้นกล่าวยกย่องบุคคลผู้นี้ เขาได้ชี้ให้เห็นบทสรุปที่คลุมเครือ ที่ว่า "นักประวัติศาสตร์บางคน ... จดจำเขาในฐานะนักฉวยโอกาส คนนอกกฎหมายกระหายเลือด ขณะที่คนอื่นยังคงมองเขาว่าเป็นทหารผู้กล้าหาญและวีรบุรุษของคนท้องถิ่น" การศึกษาบทความมะเร็งโดยยาคอฟ ลอว์เรนซ์ แห่งศูนย์มะเร็งคิมเมล มหาวิทยาลัยโทมัส เจฟเฟอร์สัน พบว่าเนื้อหานั้นส่วนใหญ่มีข้อเท็จจริงถูกต้อง แต่เนื้อหานั้นเขียนด้วยภาษาระดับมหาวิทยาลัย ขณะที่กระทู้ข้อมูลแพทย์ใช้ภาษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 เขากล่าวว่า "การที่วิกิพีเดียขาดความเรียบง่ายในการใช้ภาษานี้อาจสะท้อนถึงผู้เขียนที่หลากหลายและการแก้ไขส่งเดช" ดิอีโคโนมิสต์ ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้อ่านอาจสังเกตคุณภาพการเขียนบทความวิกิพีเดียเพื่อเป็นแนวทางได้ เพราะ "ภาษาเขียนที่ไม่ประณีตและตึงตังมักจะสะท้อนแนวคิดที่ยุ่งเหยิงและข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์" การศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยวารสารเนเจอร์ ได้เปรียบเทียบเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ของวิกิพีเดียกับเนื้อหาแบบเดียวกันของสารานุกรมบริตานิกา โดยสรุปว่า ความถูกต้องของข้อมูลในวิกิพีเดียนั้นใกล้เคียงกับของบริตานิกา แต่โครงสร้างบทความวิกิพีเดียนั้นมักจะไม่ดี การสอดแทรกข้อมูลปลอม การก่อกวน และปัญหาที่คล้ายกัน
วิกิพีเดียถูกกล่าวหาว่านำเสนอเนื้อหาที่ลำเอียงอย่างเป็นระบบและมีความไม่สอดคล้องกัน นักวิจารณ์อีกกลุ่มแนะว่า โดยปกติแล้ววิกิพีเดียนั้นเชื่อถือได้ แต่ก็ไม่แน่หากคิดเฉพาะความน่าเชื่อถือของบทความใดบทความหนึ่งเป็นการเฉพาะ อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนมากไม่สนับสนุนให้นักเรียนอ้างอิงสารานุกรมใด ๆ ในงานวิชาการ และให้ใช้งานจากแหล่งปฐมภูมิมากกว่า บางรายระบุเป็นการเฉพาะว่าห้ามอ้างอิงวิกิพีเดีย ผู้ร่วมก่อตั้งวิกิพีเดีย จิมมี เวลส์ เน้นว่าสารานุกรมชนิดใด ๆ นั้นโดยปกติแล้วไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ และไม่ควรวางใจว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้
อย่างไรก็ตาม การสำรวจซึ่งรายงานในวารสารเนเจอร์ในปี พ.ศ. 2548 เสนอว่าบทความวิทยาศาสตร์วิกิพีเดียมีระดับความถูกต้องแม่นยำใกล้เคียงกับของสารานุกรมบริตานิกา และมีระดับ "ข้อผิดพลาดร้ายแรง" ที่ใกล้เคียงกัน การอ้างดังกล่าวได้ถูกคัดค้านโดยสารานุกรมบริตานิกา
นักเศรษฐศาสตร์ ไทเลอร์ โคเวน เขียนว่า "ถ้าผมต้องเดาว่าระหว่างวิกิพีเดียหรือบทความเศรษฐศาสตร์ระดับกลางในฐานข้อมูลระดับชาติว่าอย่างไหนมีความถูกต้องมากกว่ากัน ผมคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้ว่าผมจะเลือกวิกิพีเดีย" เขาให้ความเห็นว่างานอ้างอิงแบบเก่าที่ไม่ใช่บันเทิงคดีนั้นประสบปัญหาลำเอียงอย่างเป็นระบบด้วยกันทั้งสิ้น ข้อมูลใหม่ ๆ มักจะได้รับรายงานมากเกินงามในบทความวารสาร และข้อมูลเกี่ยวข้องกันก็ได้เผยแพร่ในรายงานข่าว อย่างไรก็ตาม เขายังได้เตือนว่าข้อผิดพลาดนั้นมักพบได้บ่อยบนอินเทอร์เน็ต และว่านักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจะต้องตื่นตัวในการแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 บทความในหนังสือพิมพ์เดอะฮาร์วาร์ดคริมสัน รายงานว่าศาสตราจารย์บางคนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดใส่วิกิพีเดียเข้าไปในบทคัดย่อของตนด้วย แต่มีความไม่ลงรอยกันในความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้วิกิพีเดีย เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 อดีตประธานสมาคมหอสมุดอเมริกัน ไมเคิล กอร์แมน ประณามวิกิพีเดีย เช่นเดียวกับกูเกิล โดยกล่าวว่า นักวิชาการผู้สนับสนุนการใช้วิกิพีเดียนั้น "มีสติปัญญาเท่ากับนักโภชนาการที่แนะนำให้คนกินบิ๊กแม็คกับอาหารทุกรายการอย่างต่อเนื่อง" เขากล่าวต่อว่า "รุ่นของคนมีปัญญาเฉื่อยชาผู้ไม่สามารถก้าวข้ามอินเทอร์เน็ตได้" กำลังถูกผลิตจากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เขายังตำหนิว่าแหล่งข้อมูลที่เป็นเว็บนั้นทำให้นักเรียนนักศึกษาไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้จากข้อมูลที่สืบค้นได้ยากกว่าซึ่งมักพบเฉพาะในเอกสารตีพิมพ์หรือเว็บไซต์ที่บอกรับเป็นสมาชิกเท่านั้น ในบทความเดียวกัน เจนนี ฟราย นักวิจัยแห่งสถาบันอินเทอร์เน็ตออกซฟอร์ด ให้ความเห็นเกี่ยวกับนักวิชาการซึ่งอ้างวิกิพีเดีย โดยกล่าวว่า
=== เนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ===
วิกิพีเดียถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการอนุญาตให้มีเนื้อหากราฟิกเกี่ยวกับเพศบนเว็บ อย่างเช่น ภาพและวิดีโอการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองและการหลั่งน้ำอสุจิ เช่นเดียวกับภาพถ่ายจากภาพยนตร์ลามกฮาร์ดคอร์ที่พบในบทความ นักรณรงค์คุ้มครองเด็กกล่าวว่าเนื้อหากราฟิกเกี่ยวกับเพศนั้นปรากฏอยู่ในหลายหน้าของวิกิพีเดีย และแสดงโดยไม่มีการเตือนใด ๆ หรือการพิสูจน์อายุ
บทความวิกิพีเดีย เวอร์จินคิลเลอร์ อัลบั้มเพลงเมื่อปี พ.ศ. 2519 จากวงดนตรีเฮฟวีเมทัลสัญชาติเยอรมัน สกอร์เปียนส์ ซึ่งแสดงภาพของปกอัลบั้มดั้งเดิม ที่เป็นรูปเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์เปลือย ปกที่ออกมาเดิมนั้นทำให้เกิดการโต้เถียงกันและทำให้ปกอัลบั้มถูกเปลี่ยนในหลายประเทศ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 การเข้าถึงบทความดังกล่าวในวิกิพีเดียถูกบล็อกเป็นเวลาสี่วันโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร หลังได้รับรายงานจากสาธารณชนว่าเป็นภาพลามกเด็ก มูลนิธิเฝ้าระวังอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงหาผลกำไรและไม่อิงการเมือง วิจารณ์การแทรกรูปในเว็บว่า "น่ารังเกียจ"
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 แลร์รี แซงเจอร์ เขียนจดหมายถึงสำนักงานสอบสวนกลาง โดยสรุปความกังวลของเขาว่าหมวดหมู่ภาพสองหมวดในวิกิมีเดียคอมมอนส์มีภาพลามกเด็ก และขัดต่อกฎหมายความลามกกลางสหรัฐ ภายหลังแซงเจอร์ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคใคร่เด็กและมีรูปหนึ่งเกี่ยวกับโลลิคอน ไม่ใช่เด็กจริง แต่ก็กล่าวว่ารูปเหล่านี้เป็น "การแสดงความลามกของการข่มเหงทางเพศของเด็ก" ภายใต้รัฐบัญญัติคุ้มครอง (PROTECT Act) พ.ศ. 2546 แซงเจอร์ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงภาพเหล่านี้ในวิกิพีเดียจากโรงเรียน วิกิพีเดียปฏิเสธคำกล่าวหาของแซงเจอร์อย่างแข็งขัน หลังจากการร้องเรียนของแซงเจอร์ เวลส์ได้ลบภาพเกี่ยวกับเพศโดยไม่ได้ปรึกษากับชุมชนวิกิพีเดียก่อน หลังจากผู้ร่วมแก้ไขบางคนอาสาที่จะดูแลเว็บแย้งว่าการตัดสินใจดังกล่าวกระทำอย่างเร่งรีบเกินไป เวลส์จึงสละอำนาจบางส่วนที่มีจนถึงขณะนั้นเนื่องจากสถานะผู้ร่วมก่อตั้งของเขา เขาเขียนข้อความถึงบัญชีจ่าหน้ามูลนิธิวิกิมีเดียว่า การกระทำดังกล่าว "เป็นประโยชน์ที่จะกระตุ้นการอภิปรายนี้ให้เกี่ยวกับประเด็นเนื้อหา/ปรัชญาอย่างแท้จริง มากกว่าเกี่ยวกับผมและว่าผมตอบโต้เร็วเพียงใด"
=== ความเป็นส่วนตัว ===
http://www.wikipedia.de/) ต้องไม่รีไดเร็กไปยังเซิร์ฟเวอร์ของสารานุกรมในรัฐฟลอริดาที่ http://de.wikipedia.org แม้ว่าผู้อ่านในเยอรมนีจะยังสามารถใช้ยูอาร์แอลที่ตั้งอยู่ในสหรัฐได้โดยตรงเช่นเดิม และไม่ได้ปิดกั้นผู้อ่านเหล่านั้นในการเข้าถึงวิกิพีเดียแต่อย่างใด คำสั่งศาลออกมาหลังจากคดีความซึ่งผู้ปกครองของทรอนฟ้องร้องโดยขอให้ศาลนำนามสกุลของบุตรชายออกจากวิกิพีเดีย วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ได้มีการพิพากษาแก้ต่อวิกิมีเดียดอยทช์ลันด์ โดยศาลปฏิเสธสิทธิการคงความเป็นส่วนตัวของทรอนหรือการละเมิดสิทธิผู้ปกครองของเขา โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อศาลรัฐเบอร์ลิน แต่ศาลปฏิเสธไม่รับฟ้องเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549
== การดำเนินการ ==
=== มูลนิธิวิกิมีเดียและสาขาวิกิมีเดีย ===
วิกิพีเดียดำเนินการและได้รับสนับสนุนเงินทุนโดยมูลนิธิวิกิมีเดีย องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรซึ่งยังได้ดำเนินการโครงการที่เกี่ยวข้องกับวิกิพีเดียอีกจำนวนหนึ่ง อาทิ วิกิพจนานุกรมและวิกิตำรา สาขาวิกิมีเดีย สมาคมผู้ใช้และผู้สนับสนุนโครงการวิกิมีเดียท้องถิ่น ยังได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนเงินทุนแก่โครงการอีกด้วย
=== ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ===
[[สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ของวิกิพีเดีย]]
วิกิพีเดียทำงานด้วยแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์พิเศษที่มีชื่อว่า มีเดียวิกิ ที่เป็นลักษณะโอเพนซอร์ซและซอฟต์แวร์เสรีแบบพิเศษ ทำงานผ่านการบริหารเว็บไซต์ที่เรียกว่าวิกิ ตัวซอฟต์แวร์เขียนขึ้นด้วยภาษาพีเอชพีที่ทำงานร่วมกับฐานข้อมูลมายเอสคิวแอล ตัวซอฟต์แวร์รวมคุณลักษณะด้านการเขียนโปรแกรมหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่น ภาษาแมโคร ตัวแปร และการรีไดเร็กยูอาร์แอล มีเดียวิกิอยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตสาธารณะทั่วไปของกนูและใช้ในโครงการวิกิมีเดียทั้งหมด เช่นเดียวกับโครงการวิกิอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ในช่วงแรก วิกิพีเดียทำงานด้วยซอฟต์แวร์ชื่อยูสม็อดวิกิที่เขียนขึ้นในภาษาเพิร์ล โดยคลิฟฟอร์ด อดัมส์ (ระยะที่ 1) ซึ่งเดิมต้องใช้คาเมลเคสในการสร้างไฮเปอร์ลิงก์บทความ ส่วนลิงก์บทความที่เป็นวงเล็บคู่เข้ามาในภายหลัง จนกระทั่งเดือนมกราคม 2545 (ระยะที่ 2) วิกิพีเดียเปลี่ยนมาใช้เอนจินพีเอชพีวิกิร่วมกับฐานข้อมูลมายเอสคิวแอล ซึ่งซอฟต์แวร์นี้สร้างขึ้นเฉพาะสำหรับวิกิพีเดียโดยแมกนัส มันสเก ซอฟต์แวร์ระยะที่ 2 นี้ถูกดัดแปรบ่อยครั้งเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ต่อมาในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน (ระยะที่ 3) วิกิพีเดียได้เปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์มีเดียวิกิ ซึ่งเดิมเขียนขึ้นโดยลี แดเนียล คร็อกเกอร์ ส่วนขยายวิกิจำนวนมากถูกติดตั้ง เพื่อเพิ่มระดับขีดความสามารถของซอฟต์แวร์มีเดียวิกิ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2548 ส่วนขยายลูซีนถูกเพิ่มเข้าไปในการค้นหาเดิมของมีเดียวิกิ และวิกิพีเดียเปลี่ยนจากมายเอสคิวแอลเป็นลูซีนสำหรับการค้นหา ปัจจุบันวิกิพีเดียใช้ลูซีนเสิร์ช 2.1 ซึ่งเขียนขึ้นด้วยภาษาจาวา และดำเนินการบนลูซีนไลบรารี 2.3
วิกิพีเดียทำงานบนคลัสเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอูบุนตู) และเครื่องโอเพนโซลาริสจำนวนหนึ่งสำหรับระบบแฟ้มเซตตะไบต์ ในช่วงระยะแรกวิกิพีเดียเก็บข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์เดี่ยวจนกระทั่งได้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเป็นสถาปัตยกรรมมัลติไทเออร์ และจนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ 300 แห่งในฟลอริดา และ 44 แห่งในอัมสเตอร์ดัม โครงแบบนี้รวมไปถึงเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลหลักหนึ่งเครื่องที่ทำงานโดยใช้มายเอสคิวแอล เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลรองอีกหลายเครื่อง เว็บเซิร์ฟเวอร์ 21 เครื่องซึ่งทำงานบนอะแพชี เว็บเซิร์ฟเวอร์ และเซิร์ฟเวอร์สควิดแคชอีก 7 เครื่อง
วิกิพีเดียมีการเรียกใช้งานประมาณ 25,000 ถึง 60,000 หน้าต่อวินาที ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของแต่ละวัน การเรียกใช้หน้านั้นจะถูกส่งไปยังชั้นฟรอนต์เอนด์ของเซิร์ฟเวอร์สควิดแคช สถิติเพิ่มเติมนั้นจะสามารถเข้าถึงได้โดยขึ้นอยู่กับการติดตามเข้าถึงวิกิพีเดีย 3 เดือนที่เปิดเผยต่อสาธารณะ การเรียกใช้งานที่ไม่สามารถดึงข้อมูลมาจากสควิดแคชได้ จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์โหลดสมดุลซึ่งทำงานบนซอฟต์แวร์ลีนุกซ์เวอชวลเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะส่งการเรียกใช้ต่อไปยังหนึ่งในเว็บเซิร์ฟเวอร์อะแพชีสำหรับหน้าที่ถูกแสดงจากฐานข้อมูล เว็บเซิร์ฟเวอร์จะส่งหน้าตามที่ถูกเรียกใช้นั้น แสดงหน้าสำหรับทุกรุ่นภาษาของวิกิพีเดีย และเพื่อเพิ่มความเร็วให้สูงขึ้น หน้าต่าง ๆ จะถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำแคชแบบกระจายจนกว่าจะใช้งานไม่ได้ ซึ่งทำให้หน้าที่กำลังแสดงนั้นถูกข้ามไปทั้งหมด เป็นการเข้าถึงหน้าที่สามารถเข้าถึงได้มากที่สุด คลัสเตอร์ขนาดใหญ่กว่าสองแห่งในเนเธอร์แลนด์และเกาหลี จัดการกับการเข้าชมวิกิพีเดียส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
=== รุ่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ ===
[[อนุสรณืวิกิพีเดียที่ Słubice ประเทศโปแลนด์ จัดทำโดย Mihran Hakobyan (2014)]]
เนื้อหาวิกิพีเดียยังได้ถูกใช้ในการศึกษาวิชาการ หนังสือ การประชุมและคดีความในศาล เว็บไซต์ของรัฐสภาแคนาดาอ้างถึงบทความวิกิพีเดียเกี่ยวกับการแต่งงานของคู่สมรสเพศเดียวกันในส่วน "ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง" ของรายการ "อ่านเพิ่มเติม" ในพระราชบัญญัติการสมรส วิกิพีเดียถูกนำไปใช้เป็นแหล่งข้อมูลมากขึ้นโดยองค์กร อย่างเช่น ศาลกลางสหรัฐและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก
ใน พ.ศ. 2549 นิตยสารไทม์ยอมรับการมีส่วนร่วมของวิกิพีเดีย (ร่วมกับยูทูบ, เรดดิต, มายสเปซ และเฟซบุ๊ก) ในการเติบโตของการทำงานร่วมกันและการโต้ตอบออนไลน์ของผู้คนนับล้านทั่วโลกอย่างรวดเร็ว บทความของรอยเตอร์ชิ้นหนึ่งชื่อ "Wikipedia page the latest status symbol" ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 รายงานปรากฏการณ์ล่าสุดที่ว่าบทความวิกิพีเดียชี้ความโดดเด่นของบุคคลได้
เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550 นักการเมืองอิตาลี ฟรันโก กริลลินี ได้ตั้งกระทู้ถามในรัฐสภากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและกิจกรรมวัฒนธรรม ถึงความจำเป็นของเสรีภาพทางสถาปัตยกรรม เขาว่า การขาดเสรีภาพดังกล่าวบีบมิให้วิกิพีเดียแสดงภาพสิ่งก่อสร้างและผลงานศิลปะอิตาลีสมัยใหม่ทั้งหมด และอ้างว่านี่เป็นการทำลายรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
=== รางวัล ===
วิกิพีเดียได้รับสองรางวัลใหญ่เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 รางวัลแรกเป็นรางวัลโกลเดนนิกาสำหรับประชาคมดิจิตอลจากการประกวดปรีซ์อาร์สอิเล็กโทรนิกา เป็นเงินรางวัลมูลค่า 10,000 ยูโร และได้รับเชิญให้เข้าร่วมเทศกาลพีเออีไซเบอร์อาร์ตสในออสเตรีย ปีเดียวกัน รางวัลที่สองเป็นรางวัลเว็บบีจากการตัดสินของคณะกรรมการในหมวดหมู่ "ประชาคม" เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2550 วิกิพีเดียยังได้รับรางวัลอันดับแบรนด์สูงสุดอันดับที่สี่โดยผู้อ่าน brandchannel.com โดยได้รับผลโหวต 15% สำหรับคำถามที่ว่า "แบรนด์ใดมีผลกระทบต่อชีวิตของเรามากที่สุดในปี พ.ศ. 2549" และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 วิกิพีเดียได้รับรางวัล "งานเพื่อการให้ความรู้" ของควอดริกา
== โครงการอื่น ==
มีสารานุกรมมัลติมีเดียเชิงโต้ตอบที่สาธารณะเป็นผู้เขียนเนื้อหาหลายโครงการเกิดขึ้นก่อนหน้าวิกิพีเดียจะถูกก่อตั้งขึ้น สารานุกรมประเภทนี้โครงการแรกคือ โครงการดูมส์เดย์บีบีซี พ.ศ. 2529 ซึ่งรวบรวมข้อความและภาพถ่ายจากผู้ร่วมพัฒนามากกว่า 1 ล้านคนในสหราชอาณาจักร และครอบคลุมเนื้อหาประเภทภูมิศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักร นี่เป็นสารานุกรมมัลติมีเดียเชิงโต้ตอบโครงการแรก และยังเป็นเอกสารมัลติมีเดียสำคัญชิ้นแรกที่เชื่อมโยงด้วยลิงก์ภายใน โดยบทความส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ผ่านแผนที่เชิงโต้ตอบในสหราชอาณาจักร อินเตอร์เฟซผู้ใช้และเนื้อหาโครงการดูมส์เดย์บางส่วนถูกลอกขึ้นสู่เว็บไซต์จนถึง พ.ศ. 2551 ซึ่งภายหลังถูกรวมเข้ากับโครงการ (เช่น GNE) หนึ่งในสารานุกรมออนไลน์ยุคเริ่มแรก ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวบรวมเนื้อหาที่สาธารณะเป็นผู้เขียนขึ้น ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด คือ h2g2 ที่ดักลาส อดัมส์เป็นผู้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2542 สารานุกรม h2g2 ค่อนข้างไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์มากนัก โดยเน้นบทความที่ให้ความรู้และข้อมูล
มีเว็บไซต์อื่นอีกหลายเว็บไซต์ที่มุ่งพัฒนาฐานความรู้แบบร่วมมือทั้งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิกิพีเดียหรือเป็นแรงบันดาลใจแก่วิกิพีเดีย บางเว็บไซต์ใช้วิธีพิชญพิจารณ์คล้ายกับสารานุกรมดั้งเดิม เช่น Encyclopedia of Life และสารานุกรมออนไลน์ที่ทำงานบนวิกิอย่าง สโคลาร์พีเดีย และซิติเซนเดียม เว็บไซต์หลังแซงเงอร์สร้างขึ้นเพื่อพยายามที่จะสร้างวิกิพีเดียที่ "เป็นมิตรต่อผู้เชี่ยวชาญ" ตัวอย่างโครงการสารานุกรมออนไลน์อื่น เช่น ไป่ตู้ไป่เคอ หรือคลังปัญญาไทย
== หมายเหตุ ==
== ดูเพิ่ม ==
* วิกิพีเดียภาษาไทย
* รายชื่อวิกิพีเดียภาษาต่าง ๆ
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง|refs=
=== ข้อมูลปฐมภูมิและแหล่งที่มาที่เชื่อมโยงกับวิกิพีเดีย ===
{{reflist|group=W|refs=
== อ่านเพิ่ม ==
* "Wikipedia probe into paid-for 'sockpuppet' entries", BBC News, October 21, 2013.
* "The Decline of Wikipedia" , MIT Technology Review, October 22, 2013
* "Edits to Wikipedia pages on Bell, Garner, Diallo traced to 1Police Plaza" (March 2015), Capital
* Angola's Wikipedia Pirates Are Exposing Problems (March 2016), Motherboard
* Full Measure with Sharyl Attkisson, April 17, 2016. (Includes video.)
* The Great Book of Knowledge, Part 1: A Wiki is a Kind of Bus, Ideas, with Paul Kennedy, CBC Radio One, originally broadcast January 15, 2014. The webpage includes a link to the archived audio program (also found here). The radio documentary discusses Wikipedia's history, development, and its place within the broader scope of the trend to democratized knowledge. It also includes interviews with several key Wikipedia staff and contributors, including Kat Walsh and Sue Gardner (audio, 53:58, Flash required).
* "So Is Wikipedia Cracking Up?" The Independent, February 3, 2009.
* Wikipedia's Year-End List Shows What the Internet Needed to Know in 2019. Alyse Stanley, December 27, 2019, Gizmodo.
=== การศึกษาวิชาการ ===
* (A blog post by the author.)
* (Open access)
* Rosenzweig, Roy. Can History be Open Source? Wikipedia and the Future of the Past. (Originally published in The Journal of American History 93.1 (June 2006): 117-146.)
=== หนังสือ ===
* (Substantial criticisms of Wikipedia and other web 2.0 projects.)
** Listen to: The NPR interview with A. Keen, Weekend Edition Saturday, June 16, 2007.
* (See book review by Baker, as listed hereafter.)
=== บทความที่เกี่ยวข้องกับการวิจารณ์หนังสือ ===
* Baker, Nicholson. "The Charms of Wikipedia". The New York Review of Books, March 20, 2008. Retrieved December 17, 2008. (Book rev. of The Missing Manual, by John Broughton, as listed previously.)
* Crovitz, L. Gordon. "Wikipedia's Old-Fashioned Revolution: The online encyclopedia is fast becoming the best." (Originally published in Wall Street Journal onlineApril 6, 2009.)
* Postrel, Virginia, "Who Killed Wikipedia? : A hardened corps of volunteer editors is the only force protecting Wikipedia. They might also be killing it", Pacific Standard, November/December 2014 issue.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* - เว็บท่าหลายภาษา (มีลิงก์ไปยังภาษาต่างๆ ทั้งหมด)
* Wikipedia topic page at The New York Times
* Video of TED talk by Jimmy Wales on the birth of Wikipedia
หมวดหมู่:โครงการร่วมมือ
หมวดหมู่:ชุมชนเสมือน
หมวดหมู่:สารานุกรมออนไลน์
หมวดหมู่:สารานุกรมเสรี
หมวดหมู่:เว็บ 2.0
หมวดหมู่:โครงการของมูลนิธิวิกิมีเดีย
หมวดหมู่:ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์ |
1937 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศกัมพูชา | ประเทศกัมพูชา | กัมพูชา () ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรกัมพูชา () เป็นประเทศตั้งอยู่ในส่วนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดประเทศไทย ทิศเหนือติดประเทศลาว และทิศตะวันออกติดเวียดนาม และทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดอ่าวไทย และตั้งอยู่บริเวณจุดบรรจบระหว่างแม่น้ำโขงและโตนเลสาบซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรประมาณ 17 ล้านคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขมร ภาษาราชการคือภาษาเขมร โดยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
ราชอาณาจักรกัมพูชาปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี มาจากการเลือกตั้งโดยราชสภาเพื่อราชบัลลังก์ เป็นประมุขแห่งรัฐ ประมุขรัฐบาล คือ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ผู้ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ปกครองกัมพูชามาเป็นระยะเวลากว่า 25 ปี
ใน พ.ศ. 1345 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ปราบดาภิเษกตนเป็นพระมหากษัตริย์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิขะแมร์ อำนาจและความมั่งคังมหาศาลของจักรวรรดิที่มีพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติสืบต่อกันมานั้นได้มีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลากว่า 600 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าว ศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธเริ่มเข้ามาครอบงำ และแผ่ขยายไปทั่วภูมิภาค รวมถึงการสร้างศาสนสถานที่สำคัญ ที่โดดเด่นที่สุดคือนครวัด ความเสื่อมถอยของจักรวรรดินำกัมพูชาเข้าสู่ยุคมืด และถูกปกครองเป็นเมืองขึ้นของประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งถูกฝรั่งเศสยึดเป็นอาณานิคมในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 กัมพูชาได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2496 สงครามเวียดนามได้ขยายเข้าสู่กัมพูชา ทำให้เขมรแดงขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งยึดกรุงพนมเปญได้ใน พ.ศ. 2518 ก่อนจะผงาดขึ้นอีกหลายปีให้หลังภายในเขตอิทธิพลสังคมนิยมเป็นสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชากระทั่ง พ.ศ. 2536 ภายหลังสนธิสัญญาสันติภาพปารีส พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นการยุติสงครามกับเวียดนามอย่างเป็นทางการ กัมพูชาถูกควบคุมโดยสหประชาชาติในช่วงสั้น ๆ (พ.ศ. 2535-2536) หลังจากหลายปีแห่งการโดดเดี่ยว ชาติซึ่งเสียหายจากสงครามก็ได้รวมเข้าด้วยกันอีกครั้งภายใต้ระบอบราชาธิปไตยในปีเดียวกันนั้นเอง การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2536 ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิมากถึงร้อยละ 90 นำไปสู่การถอนตัวของสหประชาชาติ แต่ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงอยู่ และตามมาด้วยรัฐประหาร พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นยุคเรื่องอำนาจของฮุน เซน แม้รัฐธรรมนูญของประเทศจะให้การรับรองระบบหลายพรรค ใน พ.ศ. 2548 มีการพบแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติใต้น่านน้ำอาณาเขตของกัมพูชา การขุดเจาะเชิงพาณิชย์เริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2556 และมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสูงจนถึงปัจจุบัน กัมพูชาเป็นสมาชิกสหประชาชาติ, สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค, การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก, องค์การการค้าโลก, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด, องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส และคู่ค้าขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนได้เรียกคำนี้ว่า Cambodia
ชาวกัมพูชาส่วนมากนิยมเรียกประเทศตนเองว่า Srok Khmer (ស្រុកខ្មែរ Srŏk Khmêr, ออกเสียงว่า [srok kʰmae]; หมายถึง "ดินแดนแห่งเขมร") และนับตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมเป็นต้นมา ชื่อ Cambodia เป็นที่นิยมใช้โดยทั่วไปในกลุ่มประเทศโลกตะวันตก ในขณะที่ Kampuchea เป็นที่นิยมมากกว่าในกลุ่มชาติตะวันออก หลังจากฝรั่งเศสเข้าปกครองกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2406 ฝรั่งเศสเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจในเวียดนาม โดยปรับปรุงการเก็บภาษี ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวกัมพูชา และยังนำชาวเวียดนามเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในระบบราชการของฝรั่งเศส และเป็นแรงงานทางด้านเกษตรกรรม
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงกลางปี พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนเข้าสู่กัมพูชาแต่ยอมให้รัฐบาลวิชีปกครองดังเดิม รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เรียกร้องดินแดนบางส่วนในลาวและกัมพูชาคืนจากฝรั่งเศสจนนำไปสู่กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศสที่เริ่มขึ้นเมื่อ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ในที่สุด ญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยโดยที่ไทยได้จังหวัดพระตะบอง เสียมราฐและบางส่วนของจังหวัดสตึงแตรง ยกเว้นปราสาทนครวัดยังอยู่ในเขตแดนของฝรั่งเศส พระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์กษัตริย์กัมพูชาสิ้นพระชนม์หลังกรณีพิพาทนี้ไม่นาน ฝรั่งเศสเลือกพระนโรดม สีหนุขึ้นเป็นกษัตริย์ทั้งที่ยังทรงพระเยาว์ ต่อมา ญี่ปุ่นได้สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2488 กัมพูชาได้ประกาศเอกราชภายใต้วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาของญี่ปุ่น โดยมีพระนโรดม สีหนุเป็นประมุขรัฐ หลังจากญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ามาในพนมเปญ สถาปนาอำนาจของฝรั่งเศสในกัมพูชาอีก
รัฐบาลฝรั่งเศสอิสระได้ตัดสินใจที่จะรวมอินโดจีนเข้ากับสหภาพฝรั่งเศส ในพนมเปญ พระนโรดม สีหนุพยายามเจรจากับฝรั่งเศสเพื่อเรียกร้องเอกราชที่สมบูรณ์ ในขณะที่กลุ่มต่อต้านที่เรียกตนเองว่าเขมรอิสระ ได้ใช้การสู้รบแบบกองโจรตามแนวชายแดน โดยได้ร่วมมือกับกลุ่มฝ่ายซ้ายทั้งที่นิยมและไม่นิยมเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มเขมรเสรีซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ของเซิง งอกทัญด้วย ใน พ.ศ. 2489 ฝรั่งเศสยอมให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองในกัมพูชา และให้มีการเลือกตั้งภายในประเทศ พระนโรดม สีหนุยังคงต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กัมพูชาเป็นอิสระจากสหภาพฝรั่งเศส จนฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง จึงยอมมอบเอกราชให้แก่กัมพูชา
=== ราชอาณาจักรกัมพูชาหลังเอกราช===
ธงชาติ[[ราชอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ. 2497-2513)|ราชอาณาจักรกัมพูชาระหว่าง พ.ศ. 2498- 2513]]
หลังการประชุมเจนีวาได้มีการเลือกตั้งขึ้นในประเทศกัมพูชาใน พ.ศ. 2498 โดยมีคณะกรรมการควบคุมนานาชาติเป็นผู้สังเกตการณ์ ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2498 พระนโรดม สีหนุได้ประกาศสละราชสมบัติให้พระบิดาของพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต และทรงตั้งพรรคการเมืองขึ้นคือพรรคสังคมราษฎร์นิยมหรือระบอบสังคม สมาชิกส่วนใหญ่เป็นฝ่ายขวา ซึ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์ด้วยความรุนแรง แต่ก็มีสมาชิกฝ่ายซ้ายภายในพรรค เช่น เขียว สัมพัน ฮู ยวน เพื่อถ่วงดุลกับฝ่ายขวา การเลือกตั้งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2498 พรรคสังคมชนะการเลือกตั้งโดยได้ 83% ของที่นั่งทั้งหมดในสภา
นอกจากนั้น พระนโรดม สีหนุ ยังดำเนินนโยบายที่จะดึงฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากลุ่มต่าง ๆ ให้เข้าร่วมกับระบอบสังคมของพระองค์ และกดดันผู้ที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับพระองค์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นไป องค์กรที่ต่อต้านระบอบของพระนโรดม สีหนุถูกผลักดันให้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน พรรคที่เป็นเอกเทศของฝ่ายซ้าย เช่น กรมประชาชนกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี สถานีวิทยุแห่งชาติได้ออกประกาศว่ากรมประชาชนเป็นหุ่นเชิดของเวียดนาม มีการติดโปสเตอร์ต่อต้านกรมประชาชนโดยทั่วไป หนังสือพิมพ์ของฝ่ายต่อต้านพระองค์ เช่น หนังสือพิมพ์ l'Observateur และหนังสือพิมพ์อื่นที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันถูกสั่งปิดในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2506 พระนโรดม สีหนุได้ประกาศชื่อของฝ่ายซ้ายจำนวน 34 คน ว่าเป็นพวกขี้ขลาด หลอกลวง ก่อวินาศกรรม หัวหน้ากบฏ และเป็นคนทรยศ ผลที่ตามมาทำให้ขบวนการฝ่ายซ้ายต้องออกจากเมืองหลวงไปตั้งมั่นในชนบท
การดำเนินนโยบายต่างประเทศของพระนโรดม สีหนุ เป็นการดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่มีแนวโน้มเป็นปฏิปักษ์กับไทยและเวียดนามใต้ ในขณะที่เป็นมิตรกับจีนและสนับสนุนเวียดนามเหนือในสงครามเวียดนาม กัมพูชาในสมัยนี้มีกรณีพิพาทกับไทย ทั้งกรณีพิพาทเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร และการกวาดล้างชาวไทยเกาะกงในจังหวัดเกาะกง การปกครองระบอบสังคมของพระองค์สิ้นสุดลงเมื่อถูกรัฐประหาร โดยลน นล เมื่อ พ.ศ. 2513 ซึ่งได้จัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรขึ้นแทน พระนโรดม สีหนุต้องลี้ภัยไปจัดตั้งรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาพลัดถิ่น ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
=== สาธารณรัฐเขมรและสงคราม ===
การทิ้งระเบิดในกัมพูชาของสหรัฐ ในระหว่าง ปี ค.ศ. 1970 และ 1973]]
สงครามกลางเมืองกัมพูชา เป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) และเวียดกงฝ่ายหนึ่งกับรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) อีกฝ่ายหนึ่ง
สงครามนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นจากอิทธิพลและการกระทำของพันธมิตรคู่สงคราม การเข้ามีส่วนเกี่ยวข้องของกองทัพประชาชนเวียดนาม (กองทัพเวียดนามเหนือ) เป็นไปเพื่อป้องกันฐานที่มั่นทางตะวันออกของกัมพูชา ซึ่งหากเสียไปการดำเนินความพยายามทางทหารในเวียดนามใต้จะยากขึ้น หรัฐประหาร 18 มีนาคม พ.ศ. 2513 ทำให้รัฐบาลนิยมอเมริกาและต่อต้านเวียดนามเถลิงอำนาจ และยุติความเป็นกลางในสงครามเวียดนาม กองทัพเวียดนามเหนือจึงถูกคุกคามจากทั้งรัฐบาลกัมพูชาใหม่ที่ไม่เป็นมิตรทางตะวันตก และกองกำลังสหรัฐและเวียดนามใต้ในเวียดนามทางตะวันออก
หลังจากการสู้รบผ่านไป 5 ปี รัฐบาลฝ่ายสาธารณรัฐเขมรพ่ายแพ้เมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 และเขมรแดงได้ประกาศตั้งกัมพูชาประชาธิปไตย ความขัดแย้งนี้แม้จะเป็นการสู้รบในประเทศ แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเวียดนาม (พ.ศ. 2502 - 2518) และมีความเกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างราชอาณาจักรลาว เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ สงครามกลางเมืองนี้นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา
=== กัมพูชาประชาธิปไตยและเขมรแดง ===
[[เจิงเอกสถานที่ฝั่งศพของประชาชนจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดง]]
กัมพูชาประชาธิปไตย (; ; อ่านว่า ก็อมปูเจียประเจียทิปะเต็ย) คือชื่อของประเทศกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2522 ซึ่งเกิดจากการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอลนอล และได้จัดปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์โดยพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเขมรแดง ในสมัยนี้องค์กรของรัฐบาลจะถูกอ้างถึงในชื่อ "อังการ์เลอ" (; องฺคการเลี - องค์การบน หรือ หน่วยเหนือ) ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชานั้น แกนนำของพรรคให้เรียกชื่อว่า "อังการ์ปะเดะวัด" (; องฺคการปฏิวัตฺติ - องค์การปฏิวัติ) โดยผู้นำสูงสุดของประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคือนายพล พต ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงด้วย
ในปี พ.ศ. 2522 กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาภายใต้การนำของเฮง สัมริน และกองทัพเวียดนามได้รุกเข้ามาทางชายแดนตอนใต้ของกัมพูชาและสามารถโค่นล้มรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยได้สำเร็จ พร้อมทั้งได้จัดการปกครองประเทศใหม่ในชื่อ สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา กองทัพเขมรแดงจึงได้ถอยร่นไปตั้งมั่นในทางภาคเหนือของประเทศและยังคงจัดรูปแบบการปกครองตามระบบของกัมพูชาประชาธิปไตยเดิมต่อไป
=== สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ===
สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (; PRK; สาธารณรฏฺฐปฺรชามานิตฺกมฺพูชา) เป็นรัฐบาลที่จัดตั้งในกัมพูชาโดยแนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มของกัมพูชาฝ่ายซ้ายที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มของเขมรแดง ล้มล้างรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยของพล พต โดยร่วมมือกับกองทัพของเวียดนาม ทำให้เกิดการรุกรานเวียดนามของกัมพูชา เพื่อผลักดันกองทัพเขมรแดงออกไปจากพนมเปญ มีเวียดนามและสหภาพโซเวียตเป็นพันธมิตรที่สำคัญ
สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาไม่ได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากจีน อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ที่นั่งในสหประชาชาติของประเทศกัมพูชาในขณะนั้นเป็นของแนวร่วมเขมรสามฝ่ายที่จัดตั้งรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย ซึ่งกลุ่มเขมรแดงของพล พตเข้าร่วมกับกลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์อีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มของนโรดม สีหนุ และซอน ซาน อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาได้ประกาศเป็นรัฐบาลของกัมพูชาระหว่าง พ.ศ. 2522-2536 โดยมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่จำกัด
สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเปลี่ยนชื่อเป็นรัฐกัมพูชา (; ) ในช่วงสี่ปีสุดท้าย เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาติ ในขณะเดียวกันได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระบบจากระบบรัฐเดียวไปสู่การฟื้นฟูราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ ในช่วง พ.ศ. 2522 - 2534 โดยนิยมลัทธิมากซ์-เลนินแบบสหภาพโซเวียต การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศกำลังอ่อนแอ จากการทำลายล้างของระบอบเขมรแดง และเป็นรัฐหุ่นเชิดของเวียดนามที่เข้ามาแทรกแซงทางเศรษฐกิจ จนรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเป็นรัฐที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ก็ฟื้นฟูและสร้างชาติกัมพูชาได้ใหม่
=== กัมพูชายุคใหม่ ===
หลังการล่มสลายของกัมพูชาประชาธิปไตย กัมพูชาตกอยู่ภายใต้การรุกรานของเวียดนามและรัฐบาลที่นิยมฮานอยซึ่งก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา สงครามกลางเมืองหลัง พ.ศ. 2523 เป็นการสู้รบระหว่างกองทัพประชาชนปฏิวัติกัมพูชาของรัฐบาลกับแนวร่วมเขมรสามฝ่ายซึ่งถือเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นของกลุ่มต่างๆสามกลุ่มคือ พรรคฟุนซินเปกของพระนโรดม สีหนุ พรรคกัมพูชาประชาธิปไตยหรือเขมรแดง และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร มีการเจรจาสันติภาพตั้งแต่ พ.ศ. 2532 และนำไปสู่การประชุมสันติภาพที่ปารีสเพื่อสงบศึกใน พ.ศ. 2534 ในที่สุดมีการจัดการเลือกตั้งโดยสหประชาชาติใน พ.ศ. 2536 เพื่อเริ่มต้นฟื้นฟูประเทศ พระนโรดม สีหนุกลับมาเป็นกษัตริย์อีกครั้ง มีการจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังจากมีการเลือกตั้งโดยปกติใน พ.ศ. 2541 การเมืองมีความมั่นคงขึ้น หลังการล่มสลายของเขมรแดง ใน พ.ศ. 2541
===การฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์===
direction=horizontal
|align=right
|caption_align=center
|total_width=300
|image1=King Norodom Sihamoni (2019).jpg
|image2=Hun Manet (2022).jpg
|caption1=พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหมุนี
|caption2=สมเด็จมหาบวรธิบดีฮุน มาแณต
สภาพการเมืองในกัมพูชาปัจจุบันถือว่ามีเสถียรภาพ พรรคการเมืองสองพรรคหลักซึ่งประกอบขึ้นเป็นรัฐบาลกัมพูชา คือ พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของสมเด็จฮุน เซน และพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ สามารถร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น ทั้งในด้านบริหารและด้านนิติบัญญัติ รวมทั้งมีท่าทีที่สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ในประเด็นทางการเมืองสำคัญ ๆ ของประเทศ อาทิ เรื่องการนำตัวอดีตผู้นำเขมรแดงมาพิพากษาโทษ เป็นต้น
พระบรมฉายาลักษณ์[[พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ณ ราชธานีพนมเปญ]]
สถาบันพระมหากษัตริย์ในราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขที่เคารพสักการะ ไม่มีพระราชอำนาจปกครองโดยตรง ทรงยึดถือหลัก "ให้ทรงปกเกล้า แต่ไม่ทรงปกครอง" คล้ายกับระบบพระมหากษัตริย์ในสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ อย่างเป็นทางการและเป็นสัญลักษณ์แห่งสัญลักษณ์ของสันติภาพ เสถียรภาพและสวัสดิภาพของชาติและชาวเขมร ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของกัมพูชา
สถาบันพระมหากษัตริย์กัมพูชาถือเป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในทวีปเอเชียรองจากญี่ปุ่น (จักรพรรดิญี่ปุ่น) พระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 114 (รัชกาลที่ 114) ทรงสืบพระราชสันตติวงศ์มาจากราชวงศ์วรมัน
==== การสืบราชสันตติวงศ์ ====
ระบบกษัตริย์ของกัมพูชาไม่เหมือนกับระบบกษัตริย์ส่วนใหญ่ในประเทศอื่น ๆ ที่ราชบัลลังก์จะตกไปสู่ผู้มีลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ลำดับถัดไป (ผู้ที่มีศักดิ์สูงสุดในราชวงศ์ หรือพระราชโอรสองค์โตของกษัตริย์พระองค์ก่อน เป็นต้น) และพระมหากษัตริย์ ไม่สามารถเลือกผู้ที่จะมาสืบราชสันตติวงศ์ได้ด้วยตัวเอง แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ในการเลือกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่นั้นคือ กรมปรึกษาราชบัลลังก์ (Royal Council of the Throne) ซึ่งมีสมาชิกดังนี้
# นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
# ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
# ประธานพฤฒสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
# รองประธานรัฐสภาคนที่หนึ่ง
# รองประธานรัฐสภาคนที่สอง
# รองประธานพฤฒสภาคนที่หนึ่ง
# รองประธานพฤฒสภาคนที่สอง
# สมเด็จพระสังฆราชในศาสนาพุทธ ฝ่ายคณะสงฆ์มหานิกาย
# สมเด็จพระสังฆราชในศาสนาพุทธ ฝ่ายคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
กรมปรึกษาราชบัลลังก์จะจัดการประชุมในสัปดาห์ที่พระมหากษัตริย์สวรรคตหรือไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ต่อไป และเลือกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่จากรายชื่อผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ และเป็นสมาชิกราชวงศ์
===ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ===
เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำ[[รัสเซียในพระนามพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ขณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ดมีตรี เมดเวเดฟ]]
เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำ[[อินเดียในพระนามพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี (ขวา) ขณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทระ โมที]]
ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถูกบริหารจัดการโดยกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาภายใต้การดูแลของ ฯพณฯ ท่านปรัก สุคน
ราชอาณาจักรกัมพูชายังเป็นประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ, ธนาคารโลก, และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นประเทศสมาชิกของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB), สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน), และได้เข้าร่วมองค์การการค้าโลก ในปี ค.ศ. 2004 และในปี ค.ศ. 2005 กัมพูชาได้เข้าร่วมประชุมพิธีการสถาปนา การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่ได้จัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย
กัมพูชาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับหลายประเทศและได้มีสถานทูตต่างประเทศ 20 แห่งในประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียหลายประเทศและประเทศที่มีบทบาทสำคัญในระหว่างการเจรจาสันติภาพที่ปารีสรวมถึงสหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, สหภาพยุโรป (EU),ญี่ปุ่นและรัสเซีย อันเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทำให้องค์กรการกุศลต่าง ๆ ได้ช่วยเหลือโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม,เศรษฐกิจและวิศวกรรมโยธา
ในขณะที่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ได้ผ่านไปแล้วข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีอยู่ มีความขัดแย้งในหมู่เกาะนอกชายฝั่งและบางส่วนของเขตแดนกับเวียดนามและเขตแดนทางทะเลที่ไม่ได้กำหนด กัมพูชาและไทยก็มีปัญหาความขัดแย้งชายแดนด้วยการปะทะทางการทหารในกรณีพิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชาในปี ค.ศ. 2008 ที่เกิดขึ้นใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร นำไปสู่การเสื่อมสภาพในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับไทย
===กองทัพ===
[[กองทัพกัมพูชา|กองทัพราชอาณาจักรกัมพูชา (กองยุทธพลเขมรภูมินท์) เดินสวนสนามในช่วงกรณีพิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2554]]
[[กองทัพเรือกัมพูชา (ราชนาวีกัมพูชา) ขณะฝึกซ้อม]]
กองทัพราชอาณาจักรกัมพูชา มีชื่อทางการว่า (กองยุทธพลเขมรภูมินท์) ประกอบไปด้วย กองทัพบกกัมพูชา, กองทัพเรือกัมพูชา, กองทัพอากาศกัมพูชาและกองราชอาวุธหัตถ์ จัดตั้งโดยกระทรวงกลาโหมแห่งชาติราชอาณาจักรอยู่ภายใต้คำสั่งของ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและมีองค์พระมหากษัตริย์ซึ่งก็คือ พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหมุนีทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพและมีนายกรัฐมนตรีสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
การริเริ่มโครงสร้างการบังคับบัญชาที่ได้รับการปรับปรุงในต้นปี ค.ศ. 2000 เป็นการนำเสนอที่สำคัญสำหรับการปรับโครงสร้างองค์กรทหารกัมพูชา สิ่งนี้เห็นว่ากระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานย่อยสามแห่งที่รับผิดชอบด้านโลจิสติกส์และการเงินวัสดุและบริการด้านเทคนิคและบริการด้านการป้องกันภายใต้กองบัญชาการสูงสุด (HCHQ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันคือ พลเอก เอก อุดม เตีย เซ็ยฮา ต่อจากบิดา สมเด็จพิชัยเสนา เตีย บัญ (เตียบัญได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979)
ในปี ค.ศ. 2010 กองกำลังทหารกัมพูชาประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ที่ประจำการประมาณ 102,000 คน (200,000 กองพลสำรอง) ยอดการใช้จ่ายทางทหารของกัมพูชาอยู่ที่ 3% ของ GDP ของประเทศ จำนวนกำลังพลทหารของกองราชอาวุธหัตถ์อยู่ที่ 7,000 คน หน้าที่ด้านกิจการภายในราชอาณาจักรของกองทัพ ได้แก่ การจัดหาความปลอดภัยและความสงบสุขของประชาชน, การตรวจสอบและป้องกันอาชญากรรมองค์กรการก่อการร้ายและกลุ่มความรุนแรงอื่น ๆ ; เพื่อปกป้องทรัพย์สินของรัฐและเอกชน เพื่อช่วยเหลือและช่วยเหลือพลเรือนและกองกำลังฉุกเฉินอื่น ๆ ในกรณีฉุกเฉิน, ภัยธรรมชาติ, เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและความขัดแย้งทางอาวุธ
สมเด็จฮุนเซนได้สะสมอำนาจอย่างมากในกัมพูชารวมถึง "กองกำลังป้องกัน" ที่ดูเหมือนว่าจะเทียบเคียงความสามารถของหน่วยทหารปกติของประเทศ ซึ่งมักถูกใช้โดยฮุนเซนเพื่อระงับการต่อต้านทางการเมือง ราชอาณาจักรกัมพูชายังได้ลงนามในสนธิสัญญาขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์
== ภูมิศาสตร์ ==
== เศรษฐกิจ ==
ถนนแห่งหนึ่งใน[[พนมเปญ|ราชธานีพนมเปญ]]
ราชอาณาจักรกัมพูชา ใช้สกุลเงิน เรียลกัมพูชา เป็นหน่วยสกุลเงินประจำชาติ
เศรษฐกิจในราชอาณาจักรได้รับการชี้นำและบริหารโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพระคลัง คือ ดร. หลวงเศรษฐการ อุน พรมนนิโรธ อุนพรมนนิโรธได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013
ธนาคารแห่งชาติราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นธนาคารกลางของราชอาณาจักรและให้การกำกับดูแลภาคการธนาคารของประเทศและรับผิดชอบส่วนหนึ่งในการเพิ่มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในประเทศ ระหว่างปี ค.ศ. 2010 ถึง ค.ศ. 2012 จำนวนธนาคารที่อยู่ภายใต้การควบคุมและสถาบันการเงินขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจาก 31 หน่วยงานที่ครอบคลุมเป็นสถาบันมากกว่า 70 แห่งซึ่งเป็นตัวบ่งชี้การเติบโตในภาคการธนาคารและการเงินของกัมพูชา
เศรษฐกิจในราชอาณาจักรกัมพูชาที่สำคัญประกอบไปด้วย
# เกษตรกรรม อยู่บริเวณที่ราบภาคกลาง รอบทะเลสาบเขมร พืชที่สำคัญคือ ข้าวเจ้า ยางพารา พริกไทย
# การประมง บริเวณรอบทะเลสาบเขมร เป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค
# การทำป่าไม้ บริเวณเขตภูเขาทางภาคเหนือโดยล่องมาตามแม่น้ำโขง
# การทำเหมืองแร่ ยังไม่ค่อยสำคัญ
# อุตสาหกรรม เป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม ส่วนใหญ่เป็นโรงสีข้าว โรงเลื่อย รองเท้า
ภาวะเศรษฐกิจของกัมพูชาหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสังคมนิยมเป็นระบอบประชาธิปไตย และหลังจากสงครามภายใน ประเทศกัมพูชาเริ่มสงบลง และเริ่มพัฒนาฟื้นฟูบูรณะประเทศ ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น จึงเปิดโอกาสให้ ประเทศทำการค้าขายกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น กัมพูชาจึงกำหนดนโยบายที่มุ่งหวังการพัฒนาศักยภาพทางการเกษตร การท่องเที่ยว และส่งเสริมให้มีการลงทุนจากต่างชาติ โดยกำหนดยุทธการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐและได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุงกฎหมายด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนต่างประเทศ การปฏิรูประบบจัดเก็บภาษีเงินได้ และเร่งรัดพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น สนามบิน ถนน ไฟฟ้า ประปา และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น ภายใต้ความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย และ UNDP รวมทั้งประเทศที่ให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ
แต่การพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชาได้เติบโตอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะในช่วงปี 2540-2541 กัมพูชาต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย และความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศถอนตัวออกจากประเทศกัมพูชา ส่งผลให้การฟื้นฟูบูรณะและการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างล่าช้า แต่หลังจากปี 2542 สถานการณ์การเมืองกัมพูชาเริ่มมีความมั่นคงพอสมควร และนับเป็นปีแรกที่กัมพูชามีสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในหมดไป ปัจจุบัน กัมพูชากำลังพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (ตุลาคม 2543 - กันยายน 2548) ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในเกณฑ์ร้อยละ 6-7 ต่อปี ภาวะเศรษฐกิจของกัมพูชาในอดีตที่ผ่านมาสามารถสรุปได้ดังนี้
[[ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ]]
สินค้าเกษตรกรรมถือว่าเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศประมาณร้อยละ 43 ของ GDP มาจากข้าวและปศุสัตว์ ส่วนการประมงและป่าไม้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 5 สินค้าเกษตรที่ส่งออกได้แก่ข้าว ไม้ และยางพารา รองลงมาได้แก่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง สัตว์มีชีวิต ผลไม้ และปลา เป็นต้น ทั่วไปกัมพูชามีสินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ไม้ ยางพารา ข้าว และปลา สินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง บุหรี่ ทอง วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและเครื่องยนต์
เศรษฐกิจกัมพูชาในปี 2546 คาดการณ์โดย The Economist Intelligence Unit (EIU) มีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเหลือ 5.0 % และ International Monetary Fund (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจขยายตัว 4.7 % เทียบกับที่ขยายตัวราว 5.5 % ในปี 2545 ปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ได้แก่ รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่ลดลง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์การก่อความไม่สงบ โดยมีการเผาสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ เกิดปัญหาการระบาดของโรคทางเดินหายใจ เฉียบพลันรุนแรง (SARS) ประกอบกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในกัมพูชา (หลังการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2546 ที่ผ่านมา) ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มั่นใจในความปลอดภัยและ ปัญหาการเมืองที่ยังคงไร้เสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในการเข้าไปลงทุนในกัมพูชา ถึงแม้ว่าวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2546 สภาแห่งชาติของกัมพูชา (The National Assembly) ได้อนุมัติการออกกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายการลงทุนฉบับลงวันที่ 5 สิงหาคม 2534 (Law on the Amendment to the Law on Investment of the Kingdom of Cambodia) เพื่อเอื้อสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแก่นักลงทุนต่างชาติ ส่วนภาคธุรกิจก่อสร้างยังคงอยู่ในภาวะซบเซา
ปี 2547 EIU และ IMF คาดว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 % - 5.8 % ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกัมพูชาคาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 5.5 % - 6.0 % เนื่องจากรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับเมื่อเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเพิ่มโควตานำเข้าสิ่งทอสำหรับปี 2547 ให้กัมพูชาเพิ่มขึ้นอีก 14 % ซึ่งคาดว่าจะทำให้กัมพูชามีรายได้จากการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และภาคธุรกิจก่อสร้างเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และจากการที่กัมพูชาได้เข้าเป็นสมาชิก ใหม่ของ WTO อย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2547 ทำให้กัมพูชามีพันธกรณีที่ต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายด้านการลงทุนให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและเข้าไปลงทุนในกัมพูชาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายฐานการผลิตเข้าไปตั้งโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในกัมพูชาเพื่อส่งออก เนื่องจากกัมพูชายังมีอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ ทางด้านอัตราเงินเฟ้อ EIU และ IMF คาดว่าปี 2547 กัมพูชาจะมีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 % - 3.5 % จากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยราว 1.3 % - 2.6 % ในปี 2546 เนื่องจากราคาอาหารในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก (ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, 2547)
=== การท่องเที่ยว ===
[[นครวัด ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของกัมพูชา และได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก]]
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผู้มาเยือนจากต่างประเทศในปี 2018 มีจำนวนถึงหกล้านคน เพิ่มขึ้นสิบเท่านับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 การท่องเที่ยวกระตุ้นการจ้างงานกว่า 26% ในประเทศ ซึ่งคิดเป็น 2.5 ล้านอัตราสำหรับชาวกัมพูชา นอกจากพนมเปญและนครวัดแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้แก่ เมืองพระสีหนุทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีชายหาดยอดนิยมหลายแห่ง และพระตะบองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักเดินทางแบ็คแพ็คซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผู้มาเยือนกัมพูชา พื้นที่รอบ ๆ กำปอตและแกบรวมถึงสถานีโบกอร์ฮิลล์ก็เป็นที่สนใจของผู้มาเยือนเช่นกัน การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1993 ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในปี 2018 ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน รายรับจากการท่องเที่ยวเกิน 4.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 คิดเป็นเกือบสิบเปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของราชอาณาจักร อุทยานประวัติศาสตร์นครวัดในจังหวัดเสียมราฐ ชายหาดในพระสีหนุ เมืองหลวงพนมเปญ และกาสิโน 150 แห่งของกัมพูชา (เพิ่มขึ้นจากเพียง 57 แห่งในปี 2014) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
== ประชากร ==
ในปี พ.ศ. 2556 ประเทศกัมพูชามีประชากร 15,205,539 คน กว่าร้อยละ 90 มีเชื้อสายเขมรและพูดภาษาเขมรอันเป็นภาษาราชการ นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศได้แก่ชาวเวียดนาม ร้อยละ 5 และชาวจีน ร้อยละ 1 นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยเชื้อสายไทยในจังหวัดเกาะกง ชาวจามในจังหวัดกำปงจามและจังหวัดกระแจะ ชาวลาวในจังหวัดรัตนคีรีและจังหวัดสตึงแตรง และชนเผ่าทางตอนเหนือต่อชายแดนประเทศลาวที่เรียกรวม ๆ ว่า แขมรเลอ
อัตราการเกิดของประชากรเท่ากับ 25.4 ต่อ 1,000 คน อัตราการเติบโตของประชากรเท่ากับ 1.7% สูงกว่าของประเทศไทย, เกาหลีใต้ และอินเดียอย่างมีนัยยะสำคัญ
== สังคม ==
สังคมในราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นสังคมที่มีลำดับชนชั้นทางสังคม มีการใช้ฐานันดรศักดิ์ของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ (พระยศเจ้านาย) สำหรับพระราชวงศ์กัมพูชา ส่วนบรรดาศักดิ์จะใช้สำหรับพราหมณ์ในพระราชพิธีและข้าราชการและผู้ทำงานรัฐบาลจะได้รับแต่งตั้งเมื่อได้รับความดีความชอบจากพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้บุคคลธรรมดา (สามัญชน) ที่มีฐานะสามารถบริจาคให้แก่ประเทศชาติจะได้รับบรรดาศักดิ์ตำแหน่ง “ออกญา” หรือ “โลกจุมเตียว” (ท่านผู้หญิง) จากนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน ส่วนฐานันดรศักดิ์ของพระสงฆ์ในราชอาณาจักรกัมพูชามีการใช้ระบบสมณศักดิ์
=== ภาษา ===
{{multiple image
| perrow = 3
| total_width = 500
| image1 = AncientKhmerScript.jpg
| image2 = Khmer inscription within the Angkor Wat.jpg
| footer = ซ้ายไปขวา: อักษรเขมรโบราณที่จารึกบนแท่นศิลา โดยเป็นอักษรที่พัฒนามาจากอักษรปัลลวะจากชมพูทวีป, อักษรเขมรโบราณที่ปราสาทนครวัด
| direction =
| caption1 =
| caption2 =
ภาษาราชการของกัมพูชาคือ ภาษาเขมร อันเป็นภาษาที่จัดอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร อันเป็นภาษากลุ่มย่อยของตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาษาฝรั่งเศสในกลุ่มชาวเขมรผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นภาษาราชการหลักของอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส ปัจจุบันภาษาฝรั่งเศสยังถูกจัดอยู่ในการเรียนการสอนในโรงเรียนบางแห่ง และบางมหาวิทยาลัยที่รัฐบาลฝรั่งเศสให้การสนับสนุน ซึ่งภาษาฝรั่งเศสได้ตกทอดจากยุคอาณานิคมมาถึงในยุคปัจจุบันและยังมีใช้ในรัฐบาลบางวาระโดยเฉพาะในศาล
ในอดีตปี พ.ศ. 2506 รัฐบาลกัมพูชาเคยประกาศห้ามมิให้บุคคลเชื้อสายไทยพูดภาษาไทย และห้ามมีหนังสือไทยไว้ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่ค้นพบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก โดยเฉพาะหากพูดภาษาไทยจะถูกปรับคำละ 25 เรียล และเพิ่มขึ้นเป็น 50 เรียลในปีต่อมา เพื่อตอบโต้รัฐบาลไทยในคดีเขาพระวิหาร
=== ศาสนา ===
| title = ศาสนาในประเทศกัมพูชา
| titlebar = #ddd
| left1 = ศาสนา
| right1 = ร้อยละ
| float = right
ชุดเขมรดั้งเดิมตามประเพณีที่[[เมืองเสียมราฐ จังหวัดเสียมราฐ]]
ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่แต่งตัวแบบสบายๆ ยกเว้นเมื่อเข้าร่วมงานอย่างเป็นทางการหรืองานเทศกาลสำคัญๆ เป็นเรื่องปกติที่จะพบเห็นผู้ชายและผู้หญิงจะแต่งชุดตามโบราณประเพณีดั้งเดิมของเขมร ชุดประจำชาติของกัมพูชาได้แก่:
ซัมปอต (Sampot) หรือผ้านุ่งกัมพูชา ซัมปอตมักทอด้วยมือ มีทั้งแบบหลวมและแบบพอดี คาดทับเสื้อบริเวณเอว ผ้าที่ใช้มักทำจากไหมหรือฝ้าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซัมปอตสำหรับผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกับผ้านุ่งของประเทศลาวและไทย ทั้งนี้ ซัมปอดมีหลายแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา มักทำจากผ้าเนื้อนุ่มและระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือเรยอน เสื้อผ้านี้สามารถปักหรือพิมพ์ด้วยลวดลายกัมพูชาแบบดั้งเดิม ขึ้นอยู่กับสไตล์และวัตถุประสงค์ สำหรับโอกาสพิเศษ ซัมปอตสามารถประดิษฐ์จากผ้าที่หรูหราและประดับด้วยงานปักหรือรายละเอียดลูกไม้ที่ประณีต ชุดซัมปอตที่มีชื่อเสียงประเภทหนึ่งคือ ชุดซัมปอตโจงกระเบนที่สวมคู่กับโจงกระเบน
สไบ ถือเป็นอีกหนึ่งชุดประจำชาติกัมพูชาที่ได้รับความนิยมควบคู่กันมาโดยคาดว่ามีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรพระนครโดยมีวิวัฒนาการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการใส่สไบของกัมพูชาปัจจุบันคาดว่าราชสำนักกัมพูชายุคหลังมีการรับอิทธิพลจากสยามไปค่อนข้างมาก โดยนำวิธีการห่มผ้าทรงสะพักในราชสำนักสยามไปใช้ด้วย เรียกว่า "พระสุภาก"
นอกจากนี้การแต่งกายของกัมพูชายังแบ่งไปตามโอกาสสำคัญและชนชั้น สำหรับการแต่งกายในโอกาสสำคัญตามประเพณีเช่น พิธีแต่งงานเจ้าบ่าวจะแต่งชุดราชปะแตนและครุยทับ นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้าสาวแต่งสไบและนุ่งโจงกระเบนหรือผ้านุ่งตามตำนานพระทอง-นางนาค สำหรับการแต่งกายในหน่วยงานรัฐบาล ข้าราชการรวมทั้งราชสำนักและราชวงศ์กัมพูชา สำหรับผู้ชายจะมีการแต่งชุดราชปะแตน ครุย โจงกระเบน ส่วนผู้หญิงจะแต่งชุดซัมปอตและสไบอย่างเป็นทางการ
สำหรับชนชั้นกลางและล่างของกัมพูชามักแต่งตัวเรียบง่ายมักใส่เสื้อลวดลายดอกไม้พื้นบ้านและนุ่งโจงกระเบนหรือนิยมใส่โสร่งผ้าถุงและใช้ผ้ากรอมาหรือผ้าขาวม้าประดับ
=== อาหาร ===
ข้าวเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปลาจากแม่น้ำโขงและโตนเลสาบก็เป็นส่วนสำคัญของอาหารเช่นกัน อุปทานของปลาและผลิตภัณฑ์จากปลาสำหรับอาหารและการค้า ณ ปี 2000 คือ 20 กิโลกรัม (44 ปอนด์) ต่อคนหรือ 2 ออนซ์ต่อวันต่อคน ปลาบางชนิดสามารถถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้ได้นานขึ้น อาหารของกัมพูชาประกอบด้วยผลไม้เมืองร้อน ซุป และก๋วยเตี๋ยว ส่วนผสมหลักคือ มะกรูด ตะไคร้ กระเทียม น้ำปลา ซีอิ๊ว มะขาม ขิง ซอสหอยนางรม กะทิ และพริกไทยดำ อาหารบางอย่าง ได้แก่ น้ำบาลโชค (នំបញ្ចុក), ปลาอามก (អាម៉ុកត្រី) และ aping (អាពីង) ได้รับความนิยม กัมพูชายังขึ้นชื่อในด้านการมีอาหารข้างทางที่หลากหลายซึ่งได้รับความนิยมสูง อิทธิพลของชาวฝรั่งเศสที่มีต่ออาหารกัมพูชา ได้แก่ แกงเผ็ดกัมพูชากับขนมปังบาแกตต์ปิ้ง ขนมปังบาแกตต์ที่ปิ้งแล้วจุ่มลงในแกงและรับประทาน แกงเผ็ดกัมพูชายังนิยมทานกับข้าวและวุ้นเส้น อาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กุ้ยเตียว ก็คือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำหมูใส่กระเทียมเจียว หอมใหญ่ หัวหอมใหญ่ ที่อาจมีท็อปปิ้งต่าง ๆ เช่น ลูกชิ้น กุ้ง ตับหมู หรือผักกาดหอม พริกไทยกำปอตขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลกและมักทานพร้อมกับปูและปลาหมึกในร้านอาหารริมแม่น้ำ
ส่วนอาหารกัมพูชาที่มีชื่อเสียงได้แก่ สัมลอร์การี (សម្លការី) แกงกะหรี่, ปรอฮก (ប្រហុក) ปลาร้าเขมร, นมบัญเจาะ (នំបញ្ចុក) ขนมจีนเขมร, สัมลอร์มะจู (សម្លម្ជូរ) แกงส้มเขมร และอาม็อกเตร็ย (អាម៉ុកត្រី) ห่อหมกเขมร
ชาวกัมพูชาดื่มชาในปริมาณมาก ซึ่งปลูกในจังหวัดมณฑลคีรีและรอบ ๆ te krolap เป็นชาที่เข้มข้น ทำจากการใส่น้ำและใบชาจำนวนมากลงในแก้วขนาดเล็ก วางจานรองไว้ด้านบน แล้วพลิกสิ่งทั้งหมดกลับหัวเพื่อชง ก่อนจะจะถูกเทลงในถ้วยอีกใบและเติมน้ำตาลในปริมาณมาก แต่ไม่ใส่นม ชามะนาว te kdau kroch chhma ทำจากชาจีนฝุ่นแดงและน้ำมะนาว ให้ความสดชื่นทั้งร้อนและเย็น และโดยทั่วไปจะเสิร์ฟพร้อมกับน้ำตาลในปริมาณมาก ในส่วนของกาแฟ เมล็ดกาแฟมักจะนำเข้าจากประเทศลาวและเวียดนาม แม้ว่ากาแฟที่ผลิตในประเทศจากจังหวัดรัตนคีรีและจังหวัดมณฑุลคีรีจะสามารถพบได้ในบางพื้นที่ กาแฟกัมพูชามักคั่วด้วยเนยและน้ำตาล รวมทั้งส่วนผสมอื่น ๆ ตั้งแต่เหล้ารัมไปจนถึงไขมันหมู ทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นแปลก ๆ แต่เป็นเอกลักษณ์ กัมพูชามีโรงเบียร์อุตสาหกรรมหลายแห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดพระสีหนุและพนมเปญ นอกจากนี้ยังมีโรงเบียร์ขนาดเล็กจำนวนมากในพนมเปญและเสียมราฐ ระหว่างปี 2014 ถึงปี 2018 จำนวนโรงเบียร์คราฟต์เพิ่มขึ้นจากสองเป็นเก้าแห่ง ณ ปี 2019 มีโรงเบียร์หรือโรงเบียร์ขนาดเล็ก 12 แห่งในกัมพูชา ไวน์ข้าวเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยม และมักจะผสมกับผลไม้หรือสมุนไพร แต่การพัฒนาได้ชะลอตัวลงตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมือง กีฬาตะวันตก เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เพาะกาย กีฬาฮอกกี้ รักบี้ยูเนี่ยน กอล์ฟ และเบสบอล กำลังได้รับความนิยม วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ กีฬาพื้นเมืองรวมถึงการแข่งเรือแบบดั้งเดิม รวมถึง การแข่งควาย Pradal Serey มวยปล้ำแบบดั้งเดิมของเขมร และ Bokator กัมพูชาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ในกีฬาขี่ม้า
=== ศิลปะการแสดง ===
การเต้นรำของกัมพูชาสามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก: นาฏศิลป์ท้องถิ่น นาฏศิลป์พื้นบ้าน และนาฏศิลป์ทั่วไป ต้นกำเนิดที่แท้จริงของนาฏศิลป์กัมพูชาเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ นักวิชาการพื้นเมืองส่วนใหญ่สันนิษฐานว่าการเต้นรำสมัยใหม่ย้อนไปในสมัยของพระนคร โดยเห็นความคล้ายคลึงกันในการแกะสลักของวัดในสมัยนั้น ขณะที่คนอื่น ๆ เชื่อว่ารูปแบบการรำสมัยใหม่ได้เรียนรู้ (หรือเรียนรู้ใหม่) จากนักเต้นในราชสำนักสยามใน ค.ศ. 1800 นาฏศิลป์เขมรเป็นรูปแบบของศิลปะการแสดงที่มีสไตล์ซึ่งจัดตั้งขึ้นในราชสำนักของกัมพูชาซึ่งจัดแสดงเพื่อความบันเทิงและเพื่อวัตถุประสงค์ในพิธีการ การเต้นรำเป็นกิจกรรมโดยชายและหญิงที่แต่งกายอย่างประณีตและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในโอกาสสาธารณะ หรือเพื่อสร้างเรื่องราวดั้งเดิมและบทกวีมหากาพย์ เช่น ละโคนโขล ที่มักนำบทในวรรณคดีอย่าง เรียมเกร์ เวอร์ชันเขมรของรามเกียรติ์มาละเล่น โดยมักรู้จักกันอย่างเป็นทางการในชื่อ ระบำพระราชทรัพย์ (របាំព្រះរាជទ្រព្ "โรงละครแห่งความมั่งคั่งของราชวงศ์") ถูกกำหนดให้เป็นเพลงของวงดนตรีพร้อมด้วยนักร้องนำ นอกจากนี้นาฏศิลป์ในราชสำนักกัมพูชายังมีการแสดงอย่างระบำเทพอัปสรา ที่นักแสดงมักจะแต่งกายอย่างนางอัปสรในยุคจักรวรรดิเขมรโบราณ
ส่วนการเต้นรำพื้นบ้านกัมพูชามักแสดงกับดนตรีมาโฮริ เป็นการเฉลิมฉลองกลุ่มวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ต่าง ๆ ของกัมพูชา การเต้นรำพื้นบ้านมีถิ่นกำเนิดในหมู่บ้านและส่วนใหญ่ทำโดยชาวบ้าน การเต้นรำเข้าสังคมคือการเต้นรำของแขกในงานเลี้ยง งานเลี้ยง หรืองานสังสรรค์ทางสังคมอื่น ๆ ที่ไม่เป็นทางการ การเต้นรำทางสังคมแบบดั้งเดิมของกัมพูชามีความคล้ายคลึงกับการเต้นรำของประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างเช่น รำวงร่มวงษ์ รวมทั้งศรวรรณและลำลีฟ การเต้นรำยอดนิยมของชาวตะวันตกสมัยใหม่ ได้แก่ Cha-cha, Bolero และ Madison ก็มีอิทธิพลต่อสังคมกัมพูชาเช่นกัน
=== ดนตรี ===
|North = ,
|Northeast = ,
|Southeast =
|South = อ่าวไทย''
|Southwest = , อ่าวไทย
|West = , อ่าวไทย
|Northwest =
{{Navboxes
|title = บมความที่เกี่ยวข้องกับประเทศกัมพูชา
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2496 |
1938 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาซี | ภาษาซี | ภาษาซี (C) เป็นภาษาโปรแกรมสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป เริ่มพัฒนาขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ. 1969-1973) โดยเดนนิส ริตชี (Dennis Ritchie) ที่เอทีแอนด์ทีเบลล์แล็บส์ (AT&T Bell Labs) และซีเชลล์ของยูนิกซ์ ภาษาเหล่านี้ได้ดึงโครงสร้างการควบคุมและคุณลักษณะพื้นฐานอื่น ๆ มาจากภาษาซี ส่วนใหญ่มีวากยสัมพันธ์คล้ายคลึงกับภาษาซีเป็นอย่างมากโดยรวม (ยกเว้นภาษาไพทอนที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง) และตั้งใจที่จะผสานนิพจน์และข้อความสั่งที่จำแนกได้ของวากยสัมพันธ์ของภาษาซี ด้วยระบบชนิดตัวแปร ตัวแบบข้อมูล และอรรถศาสตร์ที่อาจแตกต่างกันโดยมูลฐาน ภาษาซีพลัสพลัสและภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีเดิมเกิดขึ้นในฐานะตัวแปลโปรแกรมที่สร้างรหัสภาษาซี ปัจจุบันภาษาซีพลัสพลัสแทบจะเป็นเซตใหญ่ของ
ก่อนที่จะมีมาตรฐานภาษาซีอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้และผู้พัฒนาต่างก็เชื่อถือในข้อกำหนดอย่างไม่เป็นทางการในหนังสือที่เขียนโดยเดนนิส ริตชี และไบรอัน เคอร์นิกัน (Brian Kernighan) ภาษาซีรุ่นนั้นจึงเรียกกันโดยทั่วไปว่า ภาษาเคแอนด์อาร์ซี (K&R C) ต่อมา พ.ศ. 2532 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (ANSI) ได้ตีพิมพ์มาตรฐานสำหรับภาษาซีขึ้นมา เรียกกันว่า ภาษาแอนซีซี (ANSI C) หรือ ภาษาซี89 (C89) ในปีถัดมา องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) ได้อนุมัติให้ข้อกำหนดเดียวกันนี้เป็นมาตรฐานสากล เรียกกันว่า ภาษาซี90 (C90) ในเวลาต่อมาอีก องค์การฯ ก็ได้เผยแพร่ส่วนขยายมาตรฐานเพื่อรองรับสากลวิวัตน์ (internationalization) เมื่อ พ.ศ. 2538 และมาตรฐานที่ตรวจชำระใหม่เมื่อ พ.ศ. 2542 เรียกกันว่า ภาษาซี99 (C99) มาตรฐานรุ่นปัจจุบันก็ได้รับอนุมัติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 เรียกกันว่า ภาษาซี12 (C12)
== การออกแบบ ==
ภาษาซีเป็นภาษาที่ใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์เช่น เชิงคำสั่ง (หรือเชิงกระบวนงาน) ถูกออกแบบขึ้นเพื่อใช้แปลด้วยตัวแปลโปรแกรมแบบการเชื่อมโยงที่ตรงไปตรงมา สามารถเข้าถึงหน่วยความจำในระดับล่าง เพื่อใช้งานสร้างภาษาที่จับคู่อย่างมีประสิทธิภาพกับชุดคำสั่งเครื่อง และแทบไม่ต้องการสนับสนุนใด ๆ
ขณะทำงาน ภาษาซีจึงเป็นประโยชน์สำหรับหลายโปรแกรมที่ก่อนหน้านี้เคยเขียนในภาษาแอสเซมบลีมาก่อน
หากคำนึงถึงความสามารถในระดับล่าง ภาษานี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมการเขียนโปรแกรมที่ขึ้นอยู่กับเครื่องใดเครื่องหนึ่ง (machine-independent) โปรแกรมภาษาซีที่เขียนขึ้นตามมาตรฐานและเคลื่อนย้ายได้ สามารถแปลได้บนแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดยแก้ไขรหัสต้นฉบับเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องแก้ไขเลย ภาษานี้สามารถใช้ได้บนแพลตฟอร์มได้หลากหลายตั้งแต่ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝังตัวไปจนถึงแฮรี่เคน))
== ลักษณะเฉพาะ ==
ภาษาซีมีสิ่งอำนวยสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง และสามารถกำหนด[[ขอบข่ายตัวแปรและเรียกซ้ำ เช่นเดียวกับภาษาโปรแกรมเชิงคำสั่งส่วนใหญ่ในสายตระกูลภาษาอัลกอล ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรแบบอพลวัตช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ได้ตั้งใจ รหัสที่ทำงานได้ทั้งหมดในภาษาซีถูกบรรจุอยู่ในฟังก์ชัน พารามิเตอร์ของฟังก์ชันส่งผ่านด้วยค่าของตัวแปรเสมอ ส่วนการส่งผ่านด้วยการอ้างอิงจะถูกจำลองขึ้นโดยการส่งผ่านค่าตัวชี้ ชนิดข้อมูลรวมแบบแตกต่าง (struct) ช่วยให้สมาชิกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันสามารถรวมกันและจัดการได้ในหน่วยเดียว รหัสต้นฉบับของภาษาซีเป็นรูปแบบอิสระ ซึ่งใช้อัฒภาค (;) เป็นตัวจบคำสั่ง (มิใช่ตัวแบ่ง)
ภาษาซียังมีลักษณะเฉพาะต่อไปนี้เพิ่มเติม
* ตัวแปรอาจถูกซ่อนในบล็อกซ้อนใน
* ชนิดตัวแปรไม่เคร่งครัด เช่นข้อมูลตัวอักษรสามารถใช้เป็นจำนวนเต็ม
* เข้าถึงหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ในระดับต่ำโดยแปลงที่อยู่ในเครื่องด้วยชนิดตัวแปรตัวชี้ (pointer)
* ฟังก์ชันและตัวชี้ข้อมูลรองรับการทำงานในภาวะหลายรูปแบบ (polymorphism)
* การกำหนดดัชนีแถวลำดับสามารถทำได้ด้วยวิธีรอง คือนิยามในพจน์ของเลขคณิตของตัวชี้
* ตัวประมวลผลก่อนสำหรับการนิยามแมโคร การรวมไฟล์รหัสต้นฉบับ และการแปลโปรแกรมแแบ
* ความสามารถที่ซับซ้อนเช่น ไอ/โอ การจัดการสายอักขระ และฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ รวมอยู่ในไลบรารี
* คำหลักที่สงวนไว้มีจำนวนค่อนข้างน้อย
* ตัวดำเนินการแบบประสมจำนวนมาก เช่น +=, -=, *=, ++ ฯลฯ
โครงสร้างการเขียน คล้ายภาษาบีมากกว่าภาษาอัลกอล ตัวอย่างเช่น
* ใช้วงเล็บปีกกา { ... } แทนที่จะเป็น begin ... end ในภาษาอัลกอล 60 หรือวงเล็บโค้ง ( ... ) ในภาษาอัลกอล 68
* เท่ากับ = ใช้สำหรับกำหนดค่า (คัดลอกข้อมูล) เหมือนภาษาฟอร์แทรน แทนที่จะเป็น := ในภาษาอัลกอล
* เท่ากับสองตัว == ใช้สำหรับเปรียบเทียบความเท่ากัน แทนที่จะเป็น .EQ. ในภาษาฟอร์แทรนหรือ = ในภาษาเบสิกและภาษาอัลกอล
* ตรรกะ "และ" กับ "หรือ" แทนด้วย && กับ || ตามลำดับ แทนที่จะเป็นตัวดำเนินการ ∧ กับ ∨ ในภาษาอัลกอล แต่ตัวดำเนินการดังกล่าวจะไม่ประเมินค่าตัวถูกดำเนินการทางขวา ถ้าหากผลลัพธ์จากทางซ้ายสามารถพิจารณาได้แล้ว เหตุการณ์เช่นนี้เรียกว่าการประเมินค่าแบบลัดวงจร (short-circuit evaluation) และตัวดำเนินการดังกล่าวก็มีความหมายต่างจากตัวดำเนินการระดับบิต & กับ |
=== คุณลักษณะที่ขาดไป ===
ธรรมชาติของภาษาในระดับต่ำช่วยให้โปรแกรมเมอร์ควบคุมสิ่งที่คอมพิวเตอร์กระทำได้อย่างใกล้ชิด ในขณะที่อนุญาตให้มีการปรับแต่งพิเศษและการทำให้เหมาะที่สุดสำหรับแพลตฟอร์มหนึ่งใดโดยเฉพาะ สิ่งนี้ทำให้รหัสสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ที่มีทรัพยากรจำกัดมาก ๆ ได้เช่นระบบฝังตัว
ภาษาซีไม่มีคุณลักษณะบางอย่างที่มีในภาษาอื่นอาทิ
* ไม่มีการนิยามฟังก์ชันซ้อนใน
* ไม่มีการกำหนดค่าแถวลำดับหรือสายอักขระโดยตรง (การคัดลอกข้อมูลจะกระทำผ่านฟังก์ชันมาตรฐาน แต่ก็รองรับการกำหนดค่าวัตถุที่มีชนิดเป็น struct หรือ union)
* ไม่มีการเก็บข้อมูลขยะโดยอัตโนมัติ
* ไม่มีข้อกำหนดเพื่อการตรวจสอบขอบเขตของแถวลำดับ
* ไม่มีการดำเนินการสำหรับแถวลำดับทั้งชุดในระดับตัวภาษา
* ไม่มีวากยสัมพันธ์สำหรับช่วงค่า (range) เช่น A..B ที่ใช้ในบางภาษา
* ก่อนถึงภาษาซี99 ไม่มีการแบ่งแยกชนิดข้อมูลแบบบูล (ค่าศูนย์หรือไม่ศูนย์ถูกนำมาใช้แทน)
* ไม่มีส่วนปิดคลุมแบบรูปนัย (closure) หรือฟังก์ชันในรูปแบบพารามิเตอร์ (มีเพียงตัวชี้ของฟังก์ชันและตัวแปร)
* ไม่มีตัวสร้างและโครูทีน การควบคุมกระแสการทำงานภายในเทร็ดมีเพียงการเรียกใช้ฟังก์ชันซ้อนลงไป เว้นแต่การใช้ฟังก์ชัน longjmp หรือ setcontext จากไลบรารี
* ไม่มีการจัดกระทำสิ่งผิดปรกติ (exception handling) ฟังก์ชันไลบรารีมาตรฐานจะแสดงเงื่อนไขข้อผิดพลาดด้วยตัวแปรส่วนกลาง errno และ/หรือค่ากลับคืนพิเศษ และฟังก์ชันไลบรารีได้เตรียม goto แบบไม่ใช่เฉพาะที่ไว้ด้วย
* การเขียนโปรแกรมเชิงมอดูลรองรับแค่ระดับพื้นฐานเท่านั้น
* การโอเวอร์โหลดฟังก์ชันหรือตัวดำเนินการไม่รองรับภาวะหลายรูปแบบขณะแปลโปรแกรม
* การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุรองรับในระดับที่จำกัดมาก โดยพิจารณาจากภาวะหลายรูปแบบกับการรับทอด (inheritance)
* การซ่อนสารสนเทศ (encapsulation) รองรับในระดับที่จำกัด
* ไม่รองรับโดยพื้นฐานกับการทำงานแบบมัลติเทร็ดและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
* ไม่มีไลบรารีมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์กราฟิกส์และความจำเป็นหลายอย่างในการเขียนโปรแกรมประยุกต์
คุณลักษณะเหล่านี้จำนวนหนึ่งมีให้ใช้ได้จากส่วนขยายในตัวแปลโปรแกรมบางตัว หรือจัดสรรไว้แล้วในสภาพแวดล้อมของระบบปฏิบัติการ (เช่นโพสซิกซ์) หรือจัดเตรียมโดยไลบรารีภายนอก หรือสามารถจำลองโดยดัดแปลงแก้ไขรหัสที่มีอยู่ หรือบางครั้งก็ถูกพิจารณาว่าไม่ใช่รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่เหมาะสม
=== พฤติกรรมไม่นิยาม ===
การดำเนินการหลายอย่างในภาษาซีมีพฤติกรรมไม่นิยามซึ่งไม่ถูกกำหนดว่าต้องตรวจสอบขณะแปลโปรแกรม ในกรณีของภาษาซี "พฤติกรรมไม่นิยาม" หมายถึงพฤติกรรมเฉพาะอย่างที่เกิดขึ้นโดยมาตรฐานมิได้ระบุไว้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ไม่มีในเอกสารการใช้งานของภาษาซี หนึ่งในชุดคำสั่งที่มีชื่อเสียงและน่าขบขันจากกลุ่มข่าว [news:comp.std.c comp.std.c] และ [news:comp.lang.c comp.lang.c] นั้นทำให้โปรแกรมเกิดปัญหาที่เรียกว่า "ปิศาจที่ออกมาจากจมูกของคุณ" (demons to fly out of your nose) บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติอันเป็นผลมาจากพฤติกรรมไม่นิยามทำให้เกิดจุดบกพร่องที่ยากต่อการตรวจสอบและอาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำผิดแปลกไป ตัวแปลโปรแกรมบางชนิดช่วยสร้างการดำเนินงานที่ทำให้พฤติกรรมนั้นดีขึ้นและมีเหตุผล ซึ่งแตกต่างจากการแปลโดยตัวแปลชนิดอื่นที่อาจดำเนินงานไม่เหมือนกัน สาเหตุที่พฤติกรรมบางอย่างยังคงไว้ว่าไม่นิยามก็เพื่อให้ตัวแปลโปรแกรมบนสถาปัตยกรรมชุดของคำสั่งเครื่องที่หลากหลาย สามารถสร้างรหัสที่ทำงานได้ในพฤติกรรมที่นิยามอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นบทบาทหนึ่งที่สำคัญของภาษาซีในฐานะภาษาสำหรับสร้างระบบ ดังนั้นภาษาซีจึงส่งผลให้เกิดความรับผิดชอบของโปรแกรมเมอร์เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่นิยาม โดยอาจใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อค้นหาส่วนของโปรแกรมว่าพฤติกรรมใดบ้างที่ไม่นิยาม ตัวอย่างของพฤติกรรมไม่นิยามเช่น
* การเข้าถึงข้อมูลนอกขอบเขตของแถวลำดับ
* ข้อมูลล้น (overflow) ในตัวแปรจำนวนเต็มมีเครื่องหมาย
* ฟังก์ชันที่กำหนดไว้ว่าต้องส่งค่ากลับ แต่ไม่มีคำสั่งส่งกลับ (return) ในฟังก์ชัน ในขณะเดียวกันค่าส่งกลับก็ถูกใช้งานด้วย
* การอ่านค่าตัวแปรโดยที่ยังไม่ได้กำหนดค่าเริ่มต้น
การดำเนินการเหล่านี้ทั้งหมดเป็นข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรม ซึ่งสามารถปรากฏในการใช้ภาษาโปรแกรมอื่น ๆ จำนวนมาก ภาษาซีจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะมาตรฐานของมันสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมไม่นิยามในหลายกรณีได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงพฤติกรรมบางอย่างที่อาจนิยามไว้อย่างดีแล้ว และไม่มีการระบุกลไกการจัดกระทำต่อข้อผิดพลาดขณะทำงานเลย
ตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมไม่นิยามเช่นการเรียกใช้ fflush() บนกระแสข้อมูลป้อนเข้า ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะทำให้โปรแกรมทำงานผิดพลาด แต่ในบางกรณีที่การทำให้เกิดผลที่สอดคล้องกันได้นิยามไว้แล้วอย่างดี มีความหมายซึ่งใช้ประโยชน์ได้ (จากตัวอย่างนี้คือการสมมติให้ข้อมูลที่ป้อนเข้าถูกละทิ้งทั้งหมดจนถึงอักขระขึ้นบรรทัดใหม่ตัวถัดไป) เป็น ส่วนขยาย ที่อนุญาต ส่วนขยายที่ไม่เป็นมาตรฐานเช่นนี้เป็นข้อจำกัดความสามารถในการเคลื่อนย้ายของซอฟต์แวร์
== ประวัติ ==
=== การพัฒนาช่วงแรก ===
การเริ่มต้นพัฒนาภาษาซีเกิดขึ้นที่เบลล์แล็บส์ของเอทีแอนด์ทีระหว่าง พ.ศ. 2512-2516 ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มโปรแกรมเมอร์ภาษาซีว่า "เคแอนด์อาร์" (K&R อักษรย่อของผู้แต่งทั้งสอง) หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เป็นข้อกำหนดของภาษาอย่างไม่เป็นทางการมาหลายปี ภาษาซีรุ่นดังกล่าวจึงมักถูกอ้างถึงว่าเป็น ภาษาเคแอนด์อาร์ซี (K&R C) ส่วนหนังสือที่ปรับปรุงครั้งที่สองครอบคลุมมาตรฐานแอนซีซีที่มีขึ้นทีหลัง ปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เลือกภาษาซีแทนที่จะเป็นภาษาอินเทอร์พรีตเตอร์ คือความเร็ว เสถียรภาพ และความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมของการดำเนินงาน เนื่องจากเป็นธรรมชาติของภาษาคอมไพเลอร์
ผลจากการยอมรับในระดับกว้างขวางและประสิทธิภาพของภาษาซี ทำให้ตัวแปลโปรแกรม ตัวแปลคำสั่ง ไลบรารีต่าง ๆ ของภาษาอื่น มักพัฒนาขึ้นด้วยภาษาซี ตัวอย่างเช่น ตัวแปลโปรแกรมภาษาไอเฟลหลายโปรแกรมส่งข้อมูลออกเป็นรหัสภาษาซีเป็นภาษากลาง เพื่อส่งต่อให้ตัวแปลโปรแกรมภาษาซีต่อไป การพัฒนาสายหลักของภาษาไพทอน ภาษาเพิร์ล 5 และภาษาพีเอชพี ทั้งหมดถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาซี
ภาษาซีมีประสิทธิภาพสำหรับคอมพิวเตอร์เพื่องานคำนวณและวิทยาศาสตร์ เนื่องจากความสิ้นเปลืองต่ำ ธรรมชาติของภาษาระดับต่ำ ธรรมชาติของภาษาที่ถูกแปล และมีส่วนคณิตศาสตร์ที่ดีในไลบรารีมาตรฐาน ตัวอย่างของการใช้ภาษาซีในงานคำนวณและวิทยาศาสตร์ เช่นจีเอ็มพี ไลบรารีวิทยาศาสตร์ของกนู แมเทอแมติกา แมตแล็บ และแซส
ภาษาซีบางครั้งใช้เป็นภาษาระหว่างกลางในการทำให้เกิดผลของภาษาอื่น แนวคิดนี้อาจใช้เพื่อความสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย โดยให้ภาษาซีเป็นภาษาระหว่างกลาง ซึ่งไม่จำเป็นต้องพัฒนาตัวสร้างรหัสแบบเจาะจงเครื่อง ตัวแปลโปรแกรมที่ใช้ภาษาซีในทางนี้เช่น บิตซี แกมบิต จีเอชซี สควีก และวาลา เป็นต้น อย่างไรก็ตามภาษาซีถูกออกแบบมาเพื่อเป็นภาษาเขียนโปรแกรม ไม่ใช่ภาษาเป้าหมายของตัวแปลโปรแกรม จึงเหมาะสมน้อยกว่าสำหรับการใช้เป็นภาษาระหว่างกลาง ด้วยเหตุผลนี้นำไปสู่การพัฒนาภาษาระหว่างกลางที่มีพื้นฐานบนภาษาซีเช่น ภาษาซีไมนัสไมนัส
ผู้ใช้ขั้นปลายใช้ภาษาซีอย่างแพร่หลายเพื่อสร้างแอปพลิเคชันของผู้ใช้เอง แต่เมื่อแอปพลิเคชันใหญ่ขึ้น การพัฒนาเช่นนั้นมักจะย้ายไปทำในภาษาอื่นที่พัฒนามาด้วยกัน เช่นภาษาซีพลัสพลัส ภาษาซีชาร์ป ภาษาวิชวลเบสิก เป็นต้น
== วากยสัมพันธ์ ==
รหัสต้นฉบับของภาษาซีมีรูปแบบอิสระ ซึ่งสามารถใช้อักขระช่องว่างเท่าใดก็ได้ในรหัส มากกว่าที่จะถูกจำกัดด้วยคอลัมน์หรือบรรทัดข้อความอย่างภาษาฟอร์แทรน 77 ข้อความหมายเหตุจะปรากฏระหว่างตัวคั่น /* และ */ (แบบดั้งเดิม) หรือตามหลัง // จนกว่าจะจบบรรทัด (ภาษาซี99 เป็นต้นไป)
รหัสต้นฉบับแต่ละไฟล์ประกอบด้วยการประกาศและการนิยามฟังก์ชันต่าง ๆ และการนิยามฟังก์ชันก็ประกอบด้วยการประกาศและข้อความสั่งต่าง ๆ ภายในอีกด้วย การประกาศอาจกำหนดชนิดข้อมูลใหม่โดยใช้คำหลักเช่น struct, union และ enum หรือกำหนดค่าของชนิดข้อมูลและอาจสงวนเนื้อที่สำรองให้กับตัวแปรใหม่ โดยการเขียนชื่อของชนิดข้อมูลตามด้วยชื่อตัวแปร คำหลักอาทิ char และ int เป็นชนิดข้อมูลพื้นฐานที่มากับภาษา ส่วนต่าง ๆ ของรหัสถูกคลุมด้วยวงเล็บปีกกา { กับ } เพื่อจำกัดขอบเขตของการประกาศ และเพื่อกระทำเสมือนข้อความสั่งเดียวสำหรับโครงสร้างการควบคุม
ภาษาซีใช้ ข้อความสั่ง (statement) ในการระบุการกระทำเช่นเดียวกับภาษาเชิงคำสั่งอื่น ข้อความสั่งที่สามัญที่สุดคือ ข้อความสั่งนิพจน์ (expression statement) ซึ่งประกอบด้วยนิพจน์ที่จะถูกนำไปประเมินค่า ตามด้วยอัฒภาค ; จากผลข้างเคียงของการประเมินค่า ฟังก์ชันหลายฟังก์ชันอาจถูกเรียกใช้และตัวแปรหลายตัวอาจถูกกำหนดค่าใหม่ ภาษาซีได้เตรียมข้อความสั่งสำหรับควบคุมการไหลของโปรแกรมไว้หลายข้อความซึ่งดูได้จากคำสงวนต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การใช้ if-else เพื่อการทำงานแบบมีเงื่อนไข และการใช้ do-while, while และ for เพื่อการทำงานแบบวนรอบ เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานอันเป็นลำดับปกติ เป็นสิ่งที่รองรับสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง สำหรับข้อความสั่ง for นั้นมีนิพจน์ของการกำหนดค่าเริ่มต้น การทดสอบเงื่อนไข และการกำหนดค่ารอบใหม่ทั้งสามอย่างในตัวเอง ซึ่งสามารถละเว้นนิพจน์ใดก็ได้ ข้อความสั่ง break และ continue สามารถใช้ภายในการทำงานแบบวนรอบ เพื่อหยุดการวนรอบ หรือข้ามไปยังการกำหนดค่ารอบใหม่ทันทีตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีข้อความสั่งที่ไม่เป็นเชิงโครงสร้างคือ goto ซึ่งจะทำให้การไหลของโปรแกรมข้ามไปยังป้าย (label) ที่ตั้งชื่อไว้ทันทีภายในฟังก์ชัน ข้อความสั่ง switch และ case ใช้สำหรับพิจารณาทางเลือกของการทำงานโดยพิจารณานิพจน์ที่เป็นจำนวนเต็ม
นิพจน์ต่าง ๆ สามารถใช้ตัวดำเนินการที่มีมากับภาษาได้หลากหลาย (ดูด้านล่าง) และอาจมีการเรียกใช้ฟังก์ชัน อาร์กิวเมนต์ของฟังก์ชันและตัวถูกดำเนินการของตัวดำเนินการส่วนใหญ่ที่จะถูกประเมินค่านั้นไม่มีการระบุลำดับ การประเมินค่าจึงอาจแทรกซ้อนกันก็ได้ อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมด (รวมทั้งที่เก็บข้อมูลตัวแปร) จะปรากฏก่อน จุดลำดับ (sequence point) ถัดไป จุดลำดับนั้นคือจุดสิ้นสุดของข้อความสั่งของแต่ละนิพจน์ และจุดที่เข้าและออกจากการเรียกใช้ฟังก์ชัน จุดลำดับก็ยังเกิดขึ้นระหว่างการประเมินค่านิพจน์ที่มีตัวดำเนินการบางชนิด (เช่น &&, ||, ?: และตัวดำเนินการจุลภาค) สิ่งนี้ทำให้การปรับแต่งรหัสจุดหมายให้เหมาะสมทำได้ในระดับสูง ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้โปรแกรมเมอร์ภาษาซีใส่ใจมากนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ ในขณะที่จำเป็นสำหรับภาษาโปรแกรมอื่น
ถึงแม้ว่าวากยสัมพันธ์ของภาษาซีจะถูกเลียนแบบโดยภาษาอื่นหลายภาษาเพราะว่าความเคยชินอย่างกว้างขวาง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น เคอร์นิกันและริตชีได้กล่าวในบทนำของ เดอะซีโปรแกรมมิงแลงกวิจ ไว้ว่า "ภาษาซีก็มีตำหนิของมันเหมือนภาษาอื่นใด ตัวดำเนินการบางตัวมีสิทธิการทำก่อนที่ผิด วากยสัมพันธ์บางส่วนสามารถทำให้ดีกว่านี้"
ปัญหาเฉพาะบางอย่างที่ควรหมายเหตุไว้มีดังนี้
* ไม่มีการตรวจสอบจำนวนและชนิดของอาร์กิวเมนต์ เมื่อการประกาศฟังก์ชันมีรายการพารามิเตอร์ว่าง (สิ่งนี้เพื่อความเข้ากันได้ย้อนหลังกับภาษาเคแอนด์อาร์ซี ซึ่งไม่มีโพรโทไทป์)
* ทางเลือกที่น่าสงสัยของสิทธิการทำก่อนของตัวดำเนินการ ดังที่กล่าวถึงโดยเคอร์นิกันและริตชีข้างต้น เช่น == ที่วางอยู่ติดกับ & และ | ในนิพจน์ดังตัวอย่าง x & 1 == 0 ตัวดำเนินการ == จะทำก่อนซึ่งไม่ใช่ผลที่คาดไว้ จำเป็นต้องใส่วงเล็บเพิ่ม (x & 1) == 0 เพื่อให้ & ทำก่อนตามต้องการ
* ตัวดำเนินการ = ซึ่งใช้แสดงภาวะเท่ากันในคณิตศาสตร์ แต่ในภาษาซีใช้เพื่อการกำหนดค่าของตัวแปร โดยใช้ตามแบบที่มีอยู่ก่อนในภาษาฟอร์แทรน ภาษาพีแอล/วัน และภาษาเบสิก ไม่เหมือนภาษาอัลกอลและภาษาต่อยอดของมัน ริตชีตั้งใจเลือกรูปแบบนี้ด้วยเหตุผลหลักว่า อาร์กิวเมนต์ของการกำหนดค่าเกิดขึ้นบ่อยกว่าการเปรียบเทียบ
* ความคล้ายกันของตัวดำเนินการกำหนดค่าและการเปรียบเทียบภาวะเท่ากัน (= และ ==) ทำให้เกิดความผิดพลาดจากการใช้เครื่องหมายผิดได้ง่าย ในหลายกรณีเครื่องหมายถูกใช้ในบริบทของอีกอันหนึ่งโดยไม่มีความผิดพลาดขณะแปล (แม้ว่าตัวแปลโปรแกรมปกติจะสร้างข้อความเตือนขึ้นมา) ตัวอย่างเช่น นิพจน์เงื่อนไขภายใน if (a = b) จะเป็นจริงถ้า a มีค่าไม่เป็นศูนย์หลังจากการกำหนดค่า อย่างไรก็ตาม ข้อบกพร่องนี้อาจมีประโยชน์สำหรับการเขียนรหัสอย่างย่อในบางกรณี
* การขาดตัวดำเนินการเติมกลางสำหรับวัตถุซับซ้อนหลายชนิด โดยเฉพาะการดำเนินการสายอักขระ ทำให้โปรแกรมที่ขึ้นอยู่กับการดำเนินการเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าที่ควรเป็น (เพราะต้องสร้างฟังก์ชันขึ้นเอง) และทำให้รหัสอ่านยากขึ้นด้วย
* รูปแบบของการประกาศที่บางครั้งไม่เป็นไปตามสามัญสำนึก โดยเฉพาะตัวชี้ฟังก์ชัน (แนวคิดของริตชีคือการประกาศตัวระบุในบริบทที่สัมพันธ์กับการใช้งานของมัน)
=== ตัวดำเนินการ ===
ภาษาซีรองรับตัวดำเนินการหลายประเภท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ในนิพจน์เพื่อระบุการจัดการที่จะถูกทำให้เกิดผล ระหว่างการประเมินค่าของนิพจน์นั้น ภาษาซีมีตัวดำเนินการต่อไปนี้
* พีชคณิต (+, การลบ
* การกำหนดค่า (=)
* [[การกำหนดค่าแต่งเติม (+=, -=, *=, /=, %=, &=, |=, ^=, , >>=)
* ตรรกะระดับบิต (~, &, |, ^)
* การเลื่อนระดับบิต (, >>)
* ตรรกะแบบบูล (
* การประเมินค่าเชิงเงื่อนไข (?:)
* การทดสอบภาวะเท่ากัน (==, !=)
* การรวมอาร์กิวเมนต์ฟังก์ชัน (( ))
* การเพิ่มค่าและการลดค่า (++, --)
* การเลือกสมาชิกในวัตถุ (., ->)
* ขนาดของวัตถุ (sizeof)
* ความสัมพันธ์เชิงอันดับ (, , >, >=)
* การอ้างอิงและการถูกอ้างอิง (&, *, [ ])
* การลำดับ (,)
* การจัดกลุ่มนิพจน์ย่อย (( ))
* การแปลงชนิดข้อมูล (( ))
ภาษาซีมีไวยากรณ์รูปนัยซึ่งระบุโดยมาตรฐานภาษาซี
=== การแปลงจำนวนเต็ม จำนวนจุดลอยตัว และการปัดเศษ ===
วากยสัมพันธ์ของการแปลงชนิดข้อมูลสามารถใช้แปลงค่าต่าง ๆ ระหว่างชนิดข้อมูลจำนวนเต็มและจำนวนจุดลอยตัว (จำนวนทศนิยม) หรือระหว่างจำนวนเต็มสองจำนวน หรือระหว่างจำนวนจุดลอยตัวสองจำนวนที่มีขนาดแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น (long int)sqrt(1000.0), (double)(256*256) หรือ (float)sqrt(1000.0) เป็นต้น การแปลงชนิดข้อมูลเป็นภาวะปริยายในหลายบริบทอาทิ เมื่อกำหนดค่าให้กับตัวแปรหรือพารามิเตอร์ของฟังก์ชัน หรือเมื่อใช้จำนวนจุดลอยตัวเป็นดัชนีของเวกเตอร์ หรือในการดำเนินการทางเลขคณิตที่มีตัวถูกดำเนินการเป็นข้อมูลคนละชนิดกัน
การแปลงค่าระหว่างจำนวนเต็มและจำนวนจุดลอยตัวโดยทั่วไป จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการเข้ารหัสระดับบิตไปยังขอบเขตที่เป็นไปได้เพื่อสงวนค่าจำนวนของตัวถูกดำเนินการนั้น ไม่เหมือนกับการแปลงชนิดข้อมูลกรณีอื่น (ซึ่งการเข้ารหัสระดับบิตของตัวถูกดำเนินการจะถูกตีความใหม่ตามชนิดเป้าหมายเพียงเท่านั้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแปลงชนิดข้อมูลจากจำนวนเต็มไปเป็นจำนวนจุดลอยตัวจะคงไว้ซึ่งค่าจำนวนได้อย่างถูกต้อง เว้นแต่ถ้าจำนวนบิตในชนิดเป้าหมายมีไม่เพียงพอ กรณีดังกล่าวจะทำให้บิตที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุดสูญหายไป
ส่วนการแปลงชนิดข้อมูลจากจำนวนจุดลอยตัวไปเป็นจำนวนเต็มจะเกิดการตัดค่าหลังจุดทศนิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ค่าถูกปัดเศษเข้าหาศูนย์) สำหรับการปัดเศษชนิดอื่น ภาษซี99ได้ระบุไว้แล้วในฟังก์ชันดังนี้ (ใน )
* round(): ปัดเศษไปยังจำนวนเต็มที่ใกล้สุด
* rint(), nearbyint(): ปัดเศษตามทิศทางของจำนวนจุดลอยตัวปัจจุบัน
* ceil(): ค่าจำนวนเต็มน้อยสุดที่ไม่น้อยกว่าอาร์กิวเมนต์ (ปัดขึ้น) ดูเพิ่มที่ฟังก์ชันเพดาน
* floor(): ค่าจำนวนเต็มมากสุดที่ไม่มากกว่าอาร์กิวเมนต์ (ปัดลง) ดูเพิ่มที่ฟังก์ชันพื้น
* trunc(): ปัดเศษเข้าหาศูนย์ (เหมือนกับการแปลงชนิดข้อมูลเป็นจำนวนเต็ม)
ฟังก์ชันทั้งหมดนี้รับอาร์กิวเมนต์ double และคืนค่าเป็น double ซึ่งต่อจากนี้ก็อาจแปลงชนิดข้อมูลเป็นจำนวนเต็มอีกทีหากจำเป็น
การแปลงชนิดข้อมูลจาก float ไปเป็น double จะคงไว้ซึ่งค่าจำนวนได้อย่างถูกต้อง ในขณะที่การแปลงกลับ ค่าจะถูกปัดเศษซึ่งมักเป็นการปัดเศษเข้าหาศูนย์ เพื่อให้พอดีกับจำนวนบิตที่น้อยลง (เนื่องจาก float ก็มีช่วงเลขชี้กำลังที่น้อยกว่าด้วย การแปลงชนิดข้อมูลอาจให้ผลเป็นค่าอนันต์แทน) ตัวแปลโปรแกรมบางโปรแกรมจะแปลงค่าของ float ไปเป็น double โดยเบื้องหลังในบางบริบทเช่น พารามิเตอร์ของฟังก์ชันที่ประกาศเป็น float ตามความเป็นจริงอาจส่งค่าเป็น double ก็ได้
เครื่องที่ทำตามมาตรฐานจำนวนจุดลอยตัวของ IEEE เหตุการณ์การปัดเศษบางเหตุการณ์มีผลมาจากสถานะการปัดเศษปัจจุบัน (ได้แก่การปัดเศษเลขคู่ การปัดเศษขึ้น การปัดเศษลง และการปัดเศษเข้าหาศูนย์) ซึ่งอาจเรียกดูหรือตั้งค่าสถานะโดยใช้ฟังก์ชัน fegetround()/fesetround() ที่นิยามไว้ใน
== ตัวอย่างโปรแกรม "Hello World" ==
ตัวอย่างโปรแกรม "เฮลโลเวิลด์" ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ เดอะซีโปรแกรมมิงแลงกวิจ ที่พิมพ์ครั้งแรก กลายมาเป็นตัวแบบของโปรแกรมเกริ่นนำในตำราการเขียนโปรแกรมส่วนใหญ่หากไม่คำนึงถึงภาษาที่ใช้เขียน โปรแกรมดังกล่าวจะแสดงผล "hello world" ทางอุปกรณ์ส่งออกมาตรฐาน ซึ่งมักจะเป็นเครื่องปลายทางหรือหน่วยแสดงผลจอภาพ
รหัสโปรแกรมรุ่นดั้งเดิมเป็นดังนี้
printf("hello world\n");
และหลังจากการปรับเปลี่ยนรหัสให้เข้ากับมาตรฐาน รหัสจึงเป็นดังนี้
int main(void)
printf("hello world\n");
บรรทัดแรกของโปรแกรมเป็นคำสั่งชี้แนะตัวประมวลผลก่อน (preprocessing directive) แสดงไว้โดย #include ทำให้ตัวประมวลผลก่อน (อันเป็นเครื่องมืออย่างแรกที่พิจารณารหัสต้นฉบับขณะแปล) นำเนื้อหาข้อความทั้งหมดของไฟล์ส่วนหัวมาตรฐาน stdio.h เข้ามาแทนที่บรรทัดนั้น ซึ่งไฟล์ดังกล่าวมีการประกาศฟังก์ชันสำหรับอุปกรณ์นำเข้าและส่งออกมาตรฐานอาทิ printf วงเล็บแหลมที่คลุมชื่อไฟล์ stdio.h (ซึ่งความจริงคือเครื่องหมายน้อยกว่า-มากกว่า) เป็นการแสดงว่า stdio.h ถูกกำหนดที่ตั้งโดยใช้กลยุทธ์การค้นหาที่ให้ความสำคัญต่อไฟล์ส่วนหัวมาตรฐาน มากกว่าไฟล์ส่วนหัวอื่นที่มีชื่อเดียวกัน อัญประกาศคู่อาจใช้ได้ในกรณีที่ต้องการนำไฟล์ส่วนหัวที่อยู่ใกล้เคียงหรือเจาะจงโครงการเข้ามารวม
บรรทัดถัดมาเป็นการนิยามฟังก์ชันชื่อว่า main ฟังก์ชัน main เป็นฟังก์ชันที่มีจุดประสงค์พิเศษในโปรแกรมภาษาซี สภาพแวดล้อมขณะทำงานจะเรียกใช้ฟังก์ชัน main เพื่อเริ่มต้นการทำงานโปรแกรม ตัวระบุชนิด int เป็นตัวแสดงว่า ค่าส่งคืน ที่ถูกส่งคืนโดยตัวที่เรียกใช้ (กรณีนี้คือสภาพแวดล้อมขณะทำงาน) จะเป็นจำนวนเต็มค่าหนึ่ง อันเป็นผลจากการประเมินค่าของฟังก์ชัน main คำหลัก void ในรายการพารามิเตอร์แสดงว่าฟังก์ชัน main ไม่ต้องใช้อาร์กิวเมนต์
วงเล็บปีกกาเปิดหมายถึงจุดเริ่มต้นของการนิยามฟังก์ชัน main
บรรทัดถัดมาเป็นการ เรียกใช้ ฟังก์ชันที่ชื่อว่า printf ซึ่งประกาศไว้ใน stdio.h และจัดเตรียมขึ้นจากไลบรารีของระบบ ในการเรียกใช้ครั้งนี้ ฟังก์ชัน printf จะถูก ผ่านค่า ด้วยอาร์กิวเมนต์หนึ่งตัวคือตำแหน่งหน่วยความจำของอักขระตัวแรกในสายอักขระ "hello world\n" สายอักขระดังกล่าวคือแถวลำดับที่ไม่มีชื่ออันประกอบด้วยชนิดข้อมูล char จะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติโดยตัวแปลโปรแกรม และแถวลำดับจะมีอักขระค่าศูนย์ (null) เป็นสิ่งที่บ่งบอกจุดสิ้นสุดของสายอักขระ (printf จำเป็นต้องทราบสิ่งนี้) \n ที่ปรากฏในสายอักขระคือ ลำดับการหลีก (escape sequence) ภาษาซีจะตีความว่าเป็นอักขระขึ้นบรรทัดใหม่ (newline) ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์ส่งออกทราบว่าถึงจุดสิ้นสุดของบรรทัดปัจจุบัน ค่าส่งคืนจากฟังก์ชัน printf คือชนิด int แต่มันถูกละทิ้งไปอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากไม่มีการใช้ (โปรแกรมที่ระมัดระวังมากกว่าอาจทดสอบค่าส่งคืน เพื่อพิจารณาว่าผลจากการทำงานของฟังก์ชัน printf สำเร็จหรือไม่) อัฒภาค ; เป็นจุดสิ้นสุดข้อความสั่ง
ข้อความสั่ง return เป็นการสิ้นสุดการทำงานของฟังก์ชัน main และทำให้ฟังก์ชันส่งกลับเป็นจำนวนเต็มค่า 0 ซึ่งสภาพแวดล้อมขณะทำงานจะตีความว่าเป็นรหัสออกจากโปรแกรมที่แสดงว่าการทำงานประสบผลสำเร็จ
วงเล็บปีกกาปิดหมายถึงจุดสิ้นสุดของการนิยามฟังก์ชัน main
== ชนิดข้อมูล ==
ภาษาซีมีระบบชนิดตัวแปรแบบไม่เคร่งครัด ซึ่งมีความคล้ายคลึงบางประการร่วมกับภาษาลูกของภาษาอัลกอล อาทิ ภาษาปาสกาล ภาษาซีมีชนิดตัวแปรที่เตรียมไว้แล้วสำหรับจำนวนเต็มหลายขนาด แบบทั้งมีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมาย จำนวนจุดลอยตัว ตัวอักขระ และชนิดข้อมูลแจงนับ (enum) ในภาษาซี99 ได้เพิ่มชนิดตัวแปรแบบบูลเข้าไปด้วย ภาษาซีก็ยังมีชนิดตัวแปรที่รับทอดมาด้วยเช่นแถวลำดับ ตัวชี้ ระเบียน (struct) และยูเนียน (union)
ภาษาซีมักใช้กับการเขียนโปรแกรมระบบในระดับต่ำ ซึ่งอาจหลบเลี่ยงการใช้ระบบชนิดตัวแปรเมื่อจำเป็น ตัวแปลโปรแกรมจะพยายามทำให้แน่ใจว่า ชนิดตัวแปรถูกใช้อย่างถูกต้องในนิพจน์ส่วนใหญ่ แต่โปรแกรมเมอร์ก็สามารถลบล้างการตรวจสอบเช่นนั้นได้หลายทาง อาทิ การโยนชนิดข้อมูล (type cast) เพื่อแปลงค่าจากชนิดหนึ่งไปเป็นชนิดหนึ่งอย่างชัดเจน หรือการใช้ตัวชี้หรือยูเนียนเพื่อแปลความหมายบิตของค่าที่อยู่ภายในไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง
=== ตัวชี้ ===
ภาษาซีรองรับการใช้งานตัวชี้ (pointer) ซึ่งเป็นชนิดข้อมูลสำหรับการอ้างอิงอย่างง่ายชนิดหนึ่ง ที่เก็บบันทึกที่อยู่หรือตำแหน่งของวัตถุหรือฟังก์ชันในหน่วยความจำ ตัวชี้สามารถ อ้างอิงกลับ (dereference) เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่บันทึกในตำแหน่งที่ถูกชี้อยู่ หรือเพื่อเรียกใช้ฟังก์ชันที่ถูกชี้อยู่ ตัวชี้สามารถจัดดำเนินการกำหนดค่าและเลขคณิตของตัวชี้ได้ด้วย ค่าของตัวชี้ขณะโปรแกรมทำงาน มักจะเป็นตำแหน่งมูลฐานในหน่วยความจำ (ซึ่งอาจเสริมด้วยค่าออฟเซตในหน่วยเวิร์ด) แต่เนื่องจากตัวชี้มีการระบุชนิดตามข้อมูลที่ชี้ไป ตัวแปลโปรแกรมจึงสามารถตรวจสอบชนิดตัวแปรในนิพจน์ต่าง ๆ รวมทั้งตัวชี้ด้วยกันเองขณะแปลได้ เลขคณิตของตัวชี้จะแปรสัดส่วนของขนาดโดยอัตโนมัติตามชนิดข้อมูลที่ชี้ไป (ดูเพิ่มที่ส่วนความใช้แทนกันได้ระหว่างตัวชี้และแถวลำดับ) จุดประสงค์ของการใช้ตัวชี้มีหลากหลายในภาษาซีเช่น สายอักขระมักจัดดำเนินการโดยใช้ตัวชี้ไปยังแถวลำดับของตัวอักขระ การจัดสรรหน่วยความจำพลวัต (dynamic memory allocation) สามารถกระทำได้ด้วยตัวชี้ ชนิดข้อมูลชนิดอื่นเช่น ต้นไม้ ปกติจะถูกพัฒนาขึ้นโดยการจัดสรรวัตถุ struct โดยพลวัต ซึ่งเชื่อมโยงแต่ละหน่วยเข้ากันด้วยตัวชี้ ตัวชี้ของฟังก์ชันใช้เพื่อการเรียกกลับ (callback) สำหรับชุดคำสั่งจัดการเหตุการณ์ เป็นต้น
ตัวชี้ว่าง (null pointer) คือตัวชี้ที่ชี้ไปยังตำแหน่งที่ใช้งานไม่ได้ ซึ่งจะมีค่าเป็น 0 การอ้างอิงกลับของตัวชี้ว่างจึงไม่มีความหมาย และโดยทั่วไปให้ผลเป็นข้อผิดพลาดขณะทำงาน อย่างไรก็ตามตัวชี้ว่างก็มีประโยชน์สำหรับกรณีพิเศษเช่น ใช้เป็นจุดสิ้นสุดหน่วยสุดท้ายของรายการโยง ซึ่งหมายความว่าไม่มีตัวชี้ไปหน่วยอื่นแล้ว หรือใช้แจ้งข้อผิดพลาดจากฟังก์ชันที่คืนค่าเป็นตัวชี้ ตัวชี้ว่างในการลงรหัสมักจะนำเสนอด้วย 0 หรือ NULL
ตัวชี้วอยด์ (void *) คือตัวชี้ของวัตถุที่ไม่ทราบชนิดตัวแปร ดังนั้นจึงสามารถใช้เป็นตัวชี้ "ทั่วไป" ก็ได้ แต่เนื่องจากขนาดและชนิดของวัตถุที่ถูกชี้ไม่เป็นที่ทราบ ตัวชี้วอยด์จึงไม่สามารถอ้างอิงกลับได้ และเลขคณิตของตัวชี้ก็ใช้กับตัวชี้วอยด์ไม่ได้ แม้ว่าตัวชี้ของวัตถุชนิดหนึ่งอาจแปลงเป็นตัวชี้ชนิดอื่นได้โดยง่าย (และในหลายบริบทก็แปลงได้อย่างคลุมเครือ)
การใช้งานตัวชี้อย่างไม่ระมัดระวังอาจเกิดอันตรายได้ เนื่องจากตัวแปรตัวชี้สามารถชี้ไปที่ตำแหน่งใดก็ได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ และปกติก็ไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนา ถึงแม้ตัวชี้ที่ใช้งานอย่างถูกต้องได้ชี้ไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่มันก็อาจถูกทำให้ชี้ไปยังตำแหน่งที่ไม่ปลอดภัยโดยการดำเนินการเลขคณิตที่ไม่ถูกต้อง หรือตัวชี้ไปยังวัตถุที่อาจเรียกคืนการจัดสรรไปแล้วแต่ถูกเรียกใช้ใหม่ (ตัวชี้อย่างหลวม dangling pointer) หรือตัวชี้ที่อาจใช้งานโดยไม่กำหนดค่าเริ่มต้น (ตัวชี้ตัวแทน wild pointer) หรือตัวชี้ที่อาจถูกกำหนดด้วยค่าที่ไม่ปลอดภัยโดยตรง ด้วยวิธีโยนชนิดตัวแปร ยูเนียน หรือผ่านค่ามาจากตัวชี้อื่นที่เสีย เป็นต้น โดยทั่วไปภาษาซีอนุญาตให้จัดดำเนินการและแปลงชนิดตัวแปรของตัวชี้ได้ แม้ว่าตัวแปลโปรแกรมก็มีตัวเลือกสำหรับการตรวจสอบอยู่หลายระดับก็ตาม ภาษาโปรแกรมอื่นบางภาษาจัดการปัญหานี้โดยกำหนดให้ใช้ชนิดตัวแปรอ้างอิงที่เคร่งครัดมากกว่า
=== แถวลำดับ ===
ชนิดข้อมูลแถวลำดับ (array) ในภาษาซีแบบดั้งเดิมมีขนาดคงที่และสถิต ซึ่งจะถูกกำหนดตอนแปลโปรแกรม (ในเวลาถัดมา มาตรฐานภาษาซี99 อนุญาตให้สร้างแถวลำดับที่มีความยาวแปรได้) อย่างไรก็ตามแถวลำดับสามารถกำหนดให้จัดสรรเนื้อที่หน่วยความจำขนาดใดก็ได้ขณะทำงาน โดยใช้ฟังก์ชัน malloc จากไลบรารีมาตรฐาน แล้วทำให้เป็นแถวลำดับ การทำให้เป็นหนึ่งเดียวระหว่างแถวลำดับและตัวชี้ของภาษาซี ทำให้หมายความว่าแถวลำดับที่แท้จริงและแถวลำดับที่จัดสรรอย่างพลวัตเสมือนใช้แทนกันได้ เนื่องด้วยแถวลำดับเข้าถึงผ่านตัวชี้เสมอ (ในทางปฏิบัติ) การเข้าถึงแถวลำดับจึงไม่มีการตรวจสอบขนาดภายใต้แถวลำดับ แม้ว่าตัวแปลโปรแกรมอาจมีตัวเลือกสำหรับตรวจสอบขอบเขตก็ตาม การใช้งานเกินขอบเขตของแถวลำดับจึงยังคงสามารถเป็นไปได้ ซึ่งเกิดขึ้นค่อนข้างเป็นปกติในรหัสที่เขียนอย่างไม่ระมัดระวัง และนำไปสู่ผลสะท้อนกลับหลายอย่างอาทิ การเข้าถึงหน่วยความจำที่ไม่อนุญาต การทำให้ข้อมูลผิดแปลกไป บัฟเฟอร์ส่วนล้น และสิ่งผิดปรกติขณะทำงาน
ถึงแม้ภาษาซีรองรับแถวลำดับแบบสถิต แต่ก็ไม่จำเป็นว่าดัชนีของแถวลำดับจะต้องมีผล (การตรวจสอบขอบเขต) ตัวอย่างเช่น เราสามารถลองบันทึกค่าสมาชิกตัวที่หกลงในแถวลำดับที่มีสมาชิกห้าตัวได้ ซึ่งจะทำให้เกิดผลที่ไม่คาดคิด ความผิดพลาดเช่นนี้เรียกว่า บัฟเฟอร์ส่วนล้น (buffer overflow/overrun) เป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งของปัญหาด้านความปลอดภัย เนื่องจากเทคโนโลยีการกำจัดการตรวจสอบขอบเขต (bounds-checking elimination) ไม่มีอยู่เลยเมื่อภาษาซีถูกนิยามขึ้น การตรวจสอบขอบเขตจึงลดทอนประสิทธิภาพอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับการคำนวณเชิงจำนวน เมื่อสองสามปีก่อนหน้านั้น ตัวแปลภาษาฟอร์แทรนมีตัวเลือกให้เปิดหรือปิดการตรวจสอบขอบเขตได้ แต่ตัวเลือกเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ต่อภาษาซี เพราะอาร์กิวเมนต์ของแถวลำดับถูกผ่านค่าด้วยตัวชี้ธรรมดา
ภาษาซีไม่มีข้อกำหนดพิเศษสำหรับการประกาศแถวลำดับหลายมิติ แต่ออกจะขึ้นอยู่กับการเรียกซ้ำภายในระบบชนิดตัวแปร เพื่อประกาศแถวลำดับของแถวลำดับ ซึ่งสามารถบรรลุผลสำเร็จได้เหมือนกัน ค่าดัชนีของ "แถวลำดับหลายมิติ" ที่สร้างขึ้นสามารถพิจารณาว่าเพิ่มขึ้นตามอันดับเรียงตามแถว (row-major order)
โดยปกติแถวลำดับหลายมิติถูกใช้งานในขั้นตอนวิธีเชิงจำนวนเพื่อเก็บข้อมูลเมทริกซ์ (ซึ่งประยุกต์มาจากพีชคณิตเชิงเส้นเป็นหลัก) โครงสร้างของแถวลำดับในภาษาซีเหมาะสมเป็นอย่างดีสำหรับงานนี้ แต่เนื่องจากแถวลำดับถูกผ่านค่าด้วยตัวชี้ ขอบเขตของแถวลำดับจึงต้องเป็นค่าที่ทราบและตายตัว หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องผ่านค่าไปพร้อมกับซับรูทีนที่จำเป็นต้องทราบ นอกจากนี้ แถวลำดับของแถวลำดับที่จัดสรรขนาดแบบพลวัต ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยใช้ดัชนีสองชั้น (ตัวอย่างกรณีนี้เช่นการจัดสรรแถวลำดับด้วย "เวกเตอร์แถว" ของตัวชี้ไปยังสดมภ์)
ภาษาซี99 ได้แนะนำ "แถวลำดับความยาวแปรได้" เพิ่มเข้ามา แต่ก็ยังมีปัญหาบางประการที่เหมือนกับปัญหาแถวลำดับของภาษาซี
=== ความใช้แทนกันได้ระหว่างตัวชี้และแถวลำดับ ===
คุณลักษณะเด่นชัดของภาษาซี (ซึ่งอาจทำให้สับสนด้วย) คือการปฏิบัติต่อแถวลำดับและตัวชี้ สัญกรณ์แถวลำดับ x[i] สามารถใช้กับตัวชี้ x ได้ โดยแปลความหมายว่าเป็นการเข้าถึงวัตถุตัวที่ i + 1 ของวัตถุข้อมูลที่อยู่ติดกันถัดจากตำแหน่งที่ x ชี้อยู่ ซึ่งถือว่าเป็นสมาชิกตัวแรกของแถวลำดับ (x)
x[i] มีความหมายเทียบเท่า *(x + i) ตามรูปแบบ และเนื่องจากชนิดตัวแปรของตัวชี้เป็นที่ทราบขณะแปล ตำแหน่ง x + i ที่ชี้ไปมิได้หมายความว่าจากตำแหน่ง x แล้วเพิ่มไปอีก i ไบต์ แต่หมายถึงเพิ่มไปอีก (i คูณด้วยขนาดของสมาชิกที่ตำแหน่ง x) ขนาดของสมาชิกนี้ได้มาจากการใช้ตัวดำเนินการ sizeof บนสมาชิกที่อ้างอิงกลับตัวใดตัวหนึ่งของ x ดังเช่น n = sizeof *x หรือ n = sizeof x
นอกจากนี้ในบริบทส่วนใหญ่ของนิพจน์ ชื่อของแถวลำดับจะถูกแปลงเป็นตัวชี้ที่ชี้ไปยังสมาชิกตัวแรกของแถวลำดับนั้น สิ่งนี้บอกเป็นนัยว่าแถวลำดับจะไม่ถูกคัดลอกข้อมูลไปทั้งหมดเมื่อนำไปตั้งชื่ออาร์กิวเมนต์ของฟังก์ชัน แต่จะมีเพียงแค่ตำแหน่งของสมาชิกตัวแรกเท่านั้นที่ส่งผ่านไป ดังนั้นถึงแม้ว่าการเรียกใช้ฟังก์ชันในภาษาซีจะตีความว่าส่งโดยให้ค่า (pass-by-value) แต่แถวลำดับนั้นส่งโดยอ้างอิง (pass-by-reference) ในทางปฏิบัติ
จำนวนสมาชิกของแถวลำดับ x ที่ได้ประกาศไว้แล้ว สามารถคำนวณได้จาก sizeof x / sizeof x
การสาธิตอย่างหนึ่งที่น่าสนใจต่อความใช้แทนกันได้ระหว่างตัวชี้และแถวลำดับแสดงไว้ด้านล่าง การกำหนดค่าทั้งสี่มีความหมายเทียบเท่ากันและเป็นรหัสที่ใช้งานได้ในภาษาซี
/* x เป็นแถวลำดับหรือตัวชี้, i เป็นจำนวนเต็ม */
x[i] = 1; /* เทียบเท่ากับ *(x + i) */
i[x] = 1; /* เทียบเท่ากับ *(i + x) */
แม้ว่าการกำหนดค่าทั้งสี่เทียบเท่ากัน แต่มีเพียงแบบแรกเท่านั้นที่แสดงรูปแบบการลงรหัสที่ดี กรณีอื่นอาจพบได้ในรหัสภาษาซีที่ยุ่งเหยิง
ถึงอย่างไรก็ตามแถวลำดับและตัวชี้ก็ยังมีจุดที่แตกต่างแม้ว่ามันจะเทียบเท่ากัน ตัวชี้ไปยังสมาชิกตัวแรกซึ่งแปลงมาจากแถวลำดับ ไม่มีเนื้อที่เก็บข้อมูลตำแหน่งของมันเอง ต่างจากตัวแปรตัวชี้ซึ่งมี เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วสิ่งที่แถวลำดับ "ชี้ไป" จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่สามารถกำหนดค่าใหม่ให้กับตัวแปรแถวลำดับ (ค่าต่าง ๆ ของแถวลำดับอาจคัดลอกได้ โดยใช้ฟังก์ชัน memcpy เป็นต้น)
== การจัดการหน่วยความจำ ==
ฟังก์ชันการทำงานหนึ่งที่สำคัญที่สุดของภาษาโปรแกรมคือ การให้บริการการจัดการหน่วยความจำและวัตถุที่บันทึกอยู่ในหน่วยความจำ ภาษาซีมีสามแนวทางที่ต่างกันเพื่อจัดสรรหน่วยความจำสำหรับวัตถุ
* การจัดสรรหน่วยความจำสถิต ที่ว่างสำหรับวัตถุในรหัสฐานสองซึ่งเว้นไว้ขณะแปลโปรแกรม วัตถุเหล่านี้มีอายุขัย (extent) ตราบเท่าที่รหัสฐานสองที่มีวัตถุนั้นบรรจุลงในหน่วยความจำ
* การจัดสรรหน่วยความจำอัตโนมัติ วัตถุชั่วคราวสามารถเก็บบันทึกในกองซ้อน (stack) และที่ว่างนี้จะถูกเรียกคืนและใช้ใหม่หลังจากวัตถุที่ประกาศเลิกการทำงานโดยอัตโนมัติ
* การจัดสรรหน่วยความจำพลวัต บล็อกต่าง ๆ ของหน่วยความจำในขนาดที่ต้องการสามารถร้องขอได้ขณะทำงาน โดยใช้ฟังก์ชันไลบรารีอาทิ malloc จองเนื้อที่หน่วยความจำที่เรียกว่าฮีป (heap) บล็อกเหล่านี้คงอยู่จนกว่าจะถูกเรียกคืนเพื่อใช้ใหม่โดยใช้ฟังก์ชัน free ในภายหลัง
แนวทางสามอย่างนี้เหมาะสมในสถานการณ์และข้อแลกเปลี่ยนที่ต่างกันไป ตัวอย่างเช่น การจัดสรรหน่วยความจำสถิตไม่มีการดำเนินงานสิ้นเปลือง (overhead) เพื่อการจัดสรร การจัดสรรหน่วยความจำอัตโนมัติอาจมีการสิ้นเปลืองน้อย และการจัดสรรหน่วยความจำพลวัตอาจเป็นไปได้ว่ามีความสิ้นเปลืองอย่างมากทั้งการจัดสรรและการเรียกคืน ในทางตรงข้าม ที่ว่างในกองซ้อนโดยทั่วไปมีขนาดจำกัดและไม่คงทนถาวรไปกว่าหน่วยความจำแบบสถิตหรือที่ว่างในฮีป และการจัดสรรหน่วยความจำพลวัตสามารถจัดสรรวัตถุที่ทราบขนาดเฉพาะขณะทำงานได้ โปรแกรมภาษาซีส่วนใหญ่จึงใช้งานทั้งสามแนวทางอย่างกว้างขวาง
การจัดสรรมักให้ความสำคัญแก่แบบอัตโนมัติหรือแบบสถิตมากกว่า เพราะตัวแปลโปรแกรมเป็นส่วนจัดการหน่วยเก็บบันทึก ทำให้โปรแกรมเมอร์ไม่ต้องจัดสรรและเรียกคืนหน่วยเก็บบันทึกจุกจิกด้วยตนเองซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดข้อผิดพลาด อย่างไรก็ตามโครงสร้างข้อมูลหลายชนิดสามารถขยายขนาดได้ในขณะทำงาน และเนื่องจากการจัดสรรสถิต (และการจัดสรรอัตโนมัติในภาษาซี89 และซี90) จะต้องมีขนาดตายตัวขณะแปลโปรแกรม หลายสถานการณ์จึงจำเป็นต้องใช้การจัดสรรพลวัต ก่อนที่จะมีมาตรฐานซี99 แถวลำดับความยาวแปรได้เป็นตัวอย่างปัญหาหนึ่งของกรณีนี้ malloc สำหรับตัวอย่างของแถวลำดับที่จัดสรรอย่างพลวัต)-->
วัตถุที่จัดสรรแบบอัตโนมัติและพลวัตจะถูกกำหนดค่าเริ่มต้นถ้าได้ระบุไว้ หรือมิฉะนั้นมันจะมีค่าที่ไม่แน่นอน (ไม่ว่ารูปแบบรหัสฐานสองบนหน่วยเก็บบันทึกจะเป็นอะไรก็ตาม ซึ่งอาจไม่เป็นค่าที่ใช้งานได้สำหรับชนิดตัวแปรนั้น) ถ้าโปรแกรมพยายามเข้าถึงค่าที่ไม่กำหนดนี้ ผลลัพธ์จะไม่สามารถนิยามได้ ตัวแปลโปรแกรมสมัยใหม่หลายโปรแกรมพยายามตรวจสอบและแจ้งเตือนเกี่ยวกับปัญหานี้ แต่ก็จะเกิดทั้งผลบวกลวงและผลลบลวง
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือ การจัดสรรหน่วยความจำในฮีปจำเป็นต้องกระทำพร้อมกับการใช้งานจริงด้วยตนเองในโปรแกรมใด ๆ ก็ตาม เพื่อให้มันสามารถนำกลับมาใช้ใหม่มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีตัวชี้ไปยังฮีปที่ถูกจัดสรรนอกขอบเขต หรือค่าของตัวชี้ถูกเขียนทับก่อนเรียกใช้ free จะทำให้หน่วยความจำที่ตำแหน่งนั้นไม่สามารถเรียกคืนเพื่อใช้ใหม่ภายหลังและสูญเสียไปกับโปรแกรม อันเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า หน่วยความจำรั่ว (memory leak) ในทางกลับกัน การปลดปล่อยหน่วยความจำเร็วเกินไปแล้วยังคงใช้งานอยู่ซึ่งเป็นไปได้ แต่เนื่องจากระบบจัดสรรหน่วยความจำสามารถจัดสรรอีกครั้งหรือใช้หน่วยความจำที่ถูกทำให้ว่าง พฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ก็อาจเกิดขึ้น โดยปกติอาการจะปรากฏในส่วนของโปรแกรมที่อยู่ไกลจากจุดที่ทำให้เกิดความผิดพลาดจริง ทำให้ตรวจแก้ปัญหาได้อย่างยากลำบาก ปัญหาเช่นนี้ได้รับการปรับปรุงแก้ไขในภาษาโปรแกรมที่มีการเก็บกวาดข้อมูลขยะอัตโนมัติ
== ไลบรารี ==
ภาษาซีใช้ไลบรารีเป็นวิธีการหลักสำหรับส่วนขยาย ไลบรารีคือกลุ่มของฟังก์ชันที่บรรจุอยู่ในไฟล์เดียวกันโดย "ถาวร" ไลบรารีแต่ละชนิดจะมีไฟล์ส่วนหัว ซึ่งรวบรวมต้นแบบ (prototype) ตามฟังก์ชันที่มีอยู่ในไลบรารีซึ่งอาจถูกเรียกใช้โดยโปรแกรม และมีการประกาศชนิดข้อมูลพิเศษและสัญลักษณ์แมโครที่ใช้ในฟังก์ชันเหล่านั้น โปรแกรมจะต้องรวมไฟล์ส่วนหัวนี้เข้าไปเพื่อใช้งานไลบรารี และไลบรารีจะต้องเชื่อมโยงกับโปรแกรม ซึ่งในหลายกรณีอาจต้องใช้ตัวบ่งชี้คอมไพเลอร์ (compiler flag) (เช่น -lm สำหรับไลบรารีคณิตศาสตร์เป็นต้น)
ไลบรารีสามัญที่สุดคือไลบรารีมาตรฐานของภาษาซี ซึ่งระบุไว้โดยมาตรฐานไอโซและแอนซีซีและติดมากับทุกโปรแกรมที่พัฒนาด้วยภาษาซี (ส่วนการพัฒนาบนสภาพแวดล้อมแบบฝังตัวอาจมีไลบรารีมาตรฐานเพียงส่วนย่อยส่วนหนึ่ง) ไลบรารีนี้รองรับกระแสข้อมูลรับเข้าและส่งออก การจัดสรรหน่วยความจำ คณิตศาสตร์ สายอักขระ และค่าของเวลา
ไลบรารีสามัญอีกกลุ่มหนึ่งเป็นฟังก์ชันที่เจาะจงใช้กับโปรแกรมที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการยูนิกซ์หรือคล้ายยูนิกซ์ โดยเฉพาะฟังก์ชันที่มีส่วนต่อประสานเข้ากับเคอร์เนล ฟังก์ชันเหล่านี้ได้ให้รายละเอียดไว้ในมาตรฐานหลากหลายเช่นโพสซิกซ์หรือข้อกำหนดคุณลักษณะยูนิกซ์เชิงเดี่ยว (Single UNIX Specification)
เนื่องด้วยโปรแกรมหลายโปรแกรมถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาซี ไลบรารีอื่น ๆ ที่หลากหลายในวงกว้างก็มีเช่นกัน บ่อยครั้งที่ไลบรารีเหล่านั้นเขียนด้วยภาษาซี เพราะตัวแปลภาษาซีจะจัดสร้างรหัสวัตถุ (object code) ที่มีประสิทธิภาพ จากนั้นโปรแกรมเมอร์จะสร้างส่วนต่อประสานไปยังไลบรารี จึงทำให้ภาษาระดับที่สูงกว่าอย่างภาษาจาวา ภาษาเพิร์ล และภาษาไพทอน สามารถใช้งานรูทีนในรหัสวัตถุได้
== เครื่องมือที่ใช้กับภาษา ==
เครื่องมือหลายอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือโปรแกรมเมอร์ภาษาซี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาบางประเภทที่มากับภาษา เช่นข้อความสั่งที่มีพฤติกรรมไม่นิยาม หรือข้อความสั่งที่ปฏิบัติไม่ดีซึ่งอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ตั้งใจหรือความผิดพลาดขณะทำงาน
การตรวจสอบแก้ไขรหัสต้นฉบับอัตโนมัติเป็นประโยชน์สำหรับทุกภาษา และภาษาซีก็มีเครื่องมือนั้นเช่นกันเช่น lint การใช้ lint โดยปกติเพื่อตรวจจับรหัสที่น่าสงสัยเมื่อโปรแกรมเขียนขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อโปรแกรมผ่านการตรวจสอบจาก lint แล้ว มันจึงจะถูกแปลด้วยตัวแปลภาษาซี ตัวแปลภาษาหลายตัวก็สามารถเลือกได้เพื่อแจ้งเตือน เกี่ยวกับโครงสร้างที่ถูกต้องตามวากยสัมพันธ์แต่อาจเกิดความผิดพลาดได้จริง มิสราซี เป็นกลุ่มแนวทางที่มีกรรมสิทธิ์เพื่อการหลีกเลี่ยงรหัสที่น่าสงสัยเช่นนั้น ซึ่งพัฒนาขึ้นสำหรับระบบฝังตัว
นอกจากนี้ยังมีตัวแปลโปรแกรม ไลบรารี และกลไกระดับระบบปฏิบัติการ เพื่อการตรวจสอบขอบเขตของแถวลำดับ การตรวจจับบัฟเฟอร์ส่วนล้น การทำให้เป็นอนุกรม (serialization) และการเก็บกวาดข้อมูลขยะอัตโนมัติ ซึ่งมิใช่ส่วนหนึ่งที่เป็นมาตรฐานของภาษาซี
เครื่องมืออื่นอย่างเช่น เพียวริฟาย แวลกรินด์ และการเชื่อมโยงกับไลบรารีที่มีฟังก์ชันจัดสรรหน่วยความจำแบบพิเศษ สามารถช่วยเปิดเผยข้อผิดพลาดในหน่วยความจำขณะทำงานได้
== ภาษาที่เกี่ยวข้อง ==
ภาษาซีมีอิทธิพลต่อภาษาอื่นในยุคหลังทั้งในทางตรงและทางอ้อมเช่น ภาษาจาวา ภาษาเพิร์ล ภาษาพีเอชพี จาวาสคริปต์ ภาษาแอลพีซี ภาษาซีชาร์ป และซีเชลล์ของยูนิกซ์ อิทธิพลที่แพร่หลายมากที่สุดคือรูปแบบวากยสัมพันธ์ ทุกภาษาที่กล่าวมาได้รวมวากยสัมพันธ์ของข้อความสั่งกับนิพจน์ของภาษาซี พร้อมทั้งระบบชนิดตัวแปร อันเป็นตัวแบบข้อมูลและ/หรือโครงสร้างโปรแกรมขนาดใหญ่ที่ต่างไปจากของภาษาซี ซึ่งบางครั้งก็ต่างกันอย่างมาก
เมื่อแนวคิดภาษาเชิงวัตถุเป็นที่นิยม ภาษาซีพลัสพลัสและภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีเป็นส่วนขยายที่แตกต่างกันของภาษาซีที่ให้ความสามารถเชิงวัตถุได้ ภาษาทั้งสองแต่เดิมทำให้เกิดผลโดยใช้ตัวแปลภาษาแบบแปลงรหัสต่อรหัส นั่นคือรหัสต้นฉบับของภาษาดังกล่าวจะถูกแปลเป็นรหัสภาษาซีก่อน จากนั้นจึงแปลด้วยคอมไพเลอร์อีกต่อหนึ่ง
ภาษาซีพลัสพลัสประดิษฐ์ขึ้นโดยเบียเนอ สเดราสดร็อบ (Bjarne Stroustrup) ให้เป็นภาษาที่มีการทำงานเชิงวัตถุโดยมีวากยสัมพันธ์คล้ายภาษาซี ภาษาซีพลัสพลัสเพิ่มเติมความรัดกุมต่อชนิดตัวแปร ขอบข่าย และเครื่องมืออื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ และอนุญาตให้เขียนโปรแกรมเชิงทั่วไปผ่านแม่แบบ ภาษาซีพลัสพลัสรองรับรหัสส่วนใหญ่ของภาษาซีจนแทบจะครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็มีข้อยกเว้นบางประการ (ดูเพิ่มที่ ความเข้ากันได้ระหว่างภาษาซีและภาษาซีพลัสพลัส สำหรับรายการความแตกต่างโดยละเอียด)
ภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีเดิมเป็นเพียง "ชั้นบาง ๆ" บนภาษาซีและยังคงครอบคลุมภาษาซีอย่างเข้มงวด ซึ่งอนุญาตให้เขียนโปรแกรมเชิงวัตถุโดยใช้กระบวนทัศน์ชนิดตัวแปรผสมพลวัต/สถิต วากยสัมพันธ์ของภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีมาจากทั้งภาษาซีและภาษาสมอลล์ทอล์ก นั่นคือ วากยสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลก่อน นิพจน์ การประกาศฟังก์ชัน และการเรียกใช้ฟังก์ชันรับมาจากภาษาซี ในขณะที่วากยสัมพันธ์สำหรับคุณลักษณะเชิงวัตถุนำมาจากภาษาสมอลล์ทอล์ก
ภาษาดีทำคุณลักษณะหลายอย่างให้ต่างออกไปแต่ยังคงไว้ซึ่งวากยสัมพันธ์ทั่วไปของภาษาซี ไม่เหมือนภาษาซีพลัสพลัสที่แทบจะเข้ากันได้แบบย้อนหลังกับภาษาซี ภาษาดีละทิ้งคุณลักษณะจำนวนหนึ่งของภาษาซีออกไป เนื่องจากวอลเตอร์ ไบรต์ (Walter Bright) ผู้ออกแบบภาษาดี พิจารณาว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้คุณลักษณะเหล่านั้น รวมทั้งตัวประมวลผลก่อนและไตรอักษร ส่วนขยายบางอย่างของภาษาดีไปยังภาษาซี ทับซ้อนกับส่วนขยายไปยังภาษาซีพลัสพลัส
ภาษาลิมโบเป็นภาษาหนึ่งที่พัฒนาโดยทีมงานที่เบลล์แล็บส์ และในขณะที่ยังคงรักษาวากยสัมพันธ์และลักษณะทั่วไปบางอย่างของภาษาซี ก็ยังมีการเก็บกวาดข้อมูลขยะและภาวะพร้อมกันที่มีพื้นฐานบนกระบวนการสื่อสารแบบลำดับ (communicating sequential processes)
ภาษาไพทอนสืบทอดมาจากภาษาซีในแนวทางที่ต่างออกไป ในขณะที่วากยสัมพันธ์และความหมายของภาษาไพทอนแตกต่างกับภาษาซีอย่างสิ้นเชิง แต่เครื่องมือทำให้เกิดผลในภาษาไพทอนที่ใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดคือซีไพทอน ซึ่งเป็นโปรแกรมภาษาซีแบบโอเพนซอร์ซ สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนภาษาซีเป็นส่วนขยายของภาษาไพทอน หรือฝังภาษาไพทอนลงในโปรแกรมภาษาซี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จของภาษาไพทอนในฐานะภาษาพลวัตเพื่อการใช้งานทั่วไป
ภาษาเพิร์ลเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของภาษาโปรแกรมที่มีต้นกำเนิดจากภาษาซี โครงสร้างโดยรวมทั้งหมดของภาษาเพิร์ลมาจากภาษาซีอย่างมาก เครื่องมือทำให้เกิดผลของภาษาเพิร์ลมาตรฐานเขียนขึ้นด้วยภาษาซี และรองรับส่วนขยายที่เขียนในภาษาซีด้วย
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* ตัวประมวลผลก่อนของภาษาซี
* ไลบรารีมาตรฐานของภาษาซี
* วากยสัมพันธ์ในภาษาซี
* การเปรียบเทียบระหว่างภาษาปาสกาลและภาษาซี
* การเปรียบเทียบระหว่างภาษาโปรแกรม
* การประกวดรหัสภาษาซียุ่งเหยิงนานาชาติ
* รายชื่อตัวแปลโปรแกรม
* รายชื่อภาษาโปรแกรมที่มีพื้นฐานจากภาษาซี
== หนังสืออ่านเพิ่มเติม ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ISO C Working Group official website
* comp.lang.c Frequently Asked Questions
* ISO/IEC 9899. Official C99 documents.
* ANSI C Standard (ANSI X3J11/88-090) (Published May 13, 1988), Third Public Review
* ANSI C Rationale (ANSI X3J11/88-151) (Published Nov 18, 1988)
หมวดหมู่:ภาษาโปรแกรมเชิงกระบวนงาน
หมวดหมู่:สิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์ข้ามแพลตฟอร์ม
หมวดหมู่:ภาษาโปรแกรมระบบ |
1942 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศลาว | ประเทศลาว | ลาว () หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (, อักษรย่อ: ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ 236,800 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดกับจีนทางทิศเหนือ ติดกับพม่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดกับเวียดนามทางทิศตะวันออก ติดกับกัมพูชาทางทิศใต้ และติดกับไทยทางทิศตะวันตก กั้นด้วยแม่น้ำโขงเป็นบางช่วง มีเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือเวียงจันทน์
ลาวเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 โดยเคยเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ซึ่งอยู่ในศูนย์กลางของภูมิภาค จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางบกและร่ำรวยทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม หลังจากช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งภายในอาณาจักรล้านช้างได้แยกออกเป็นสามส่วนได้แก่ หลวงพระบาง, เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ ก่อนจะตกเป็นประเทศราชของสยามในปี ค.ศ. 1778 ยาวนานนับศตวรรษจนเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ใน ค.ศ. 1893 ทำให้ดินแดนลาวทั้งหมดได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสและได้รวมตัวกันเป็นประเทศลาวใน ค.ศ. 1949 หลังจากการยึดครองของญี่ปุ่น แต่ถูกฝรั่งเศสยึดครองอีกครั้งกระทั่งได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1953 ราชอาณาจักรลาวได้กำเนิดขึ้นโดยปกครองแบบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญภายใต้การปกครองของสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ ต่อมาลาวได้เผชิญกับสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ต่อสู้กับรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์และได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรลาวทำให้ลาวต้องเข้าไปเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ มีการก่อรัฐประหารและการปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการทหารอยู่หลายครั้งเช่น การรัฐประหารของภูมี หน่อสวรรค์และกองแล วีระสาน การที่ราชอาณาจักรลาวเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดของซีไอเอและการเพิ่มอำนาจทางการเมืองให้กับกลุ่มทหารและสถาบันพระมหากษัตริย์จนขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1975 ขบวนการนักศึกษา 21 องค์กรที่ไม่พอใจการปกครองของราชอาณาจักรลาวได้จัดชุมนุมในเวียงจันทน์เพื่อเรียกร้องให้ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์
หลังสงครามเวียดนามยุติลงใน ค.ศ. 1975 เหล่าขบวนการนักศึกษา 21 องค์กรได้หันไปร่วมมือกับ"ปะเทดลาว" ขบวนการปฏิวัติของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ได้ครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จและสงครามกลางเมืองได้ยุติลง ประกอบกับกระแสเรียกร้องของเหล่าประชาชนและนักศึกษาได้มีการลงมติล้มเลิกระบอบกษัตริย์อย่างถาวร สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวัฒนาในฐานะพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายถูกเชิญเข้าค่ายกักกันในเวียงไซ และสวรรคตอย่างเป็นปริศนา มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และสถาปนาประเทศเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" ซึ่งในช่วงแรกลาวต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหภาพโซเวียตจนกระทั่งล่มสลายใน ค.ศ. 1991
ประเทศลาวมีส่วนร่วมในข้อตกลงการค้าเอเชียแปซิฟิก การประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุมเอเชียตะวันออก และสมัครเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ก่อนจะได้รับการตอบรับใน ค.ศ. 2013 ลาวเป็นประเทศที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เอง มีการสร้างเขื่อนโดยผลิตจากพลังงานน้ำและส่งขายไปยังประเทศเพื่อนบ้านเช่น ไทย, จีน และเวียดนาม ในด้านเทคโนโลยีนั้น ลาวได้เปิดให้บริการ 4 จี เป็นประเทศที่ 2 ของอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ มาตั้งแต่ ค.ศ. 2012 ลาวยังเป็นประเทศที่เป็นจุดเชื่อมต่อของการคมนาคมโดยรถไฟไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านจากการมีทางรถไฟสายสำคัญ 4 แห่ง ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดใช้ทางรถไฟสายเวียงจันทน์-บ่อเต็น ใน ค.ศ. 2021 ลาวยังถือเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดชาติหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิค โดยมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เฉลี่ย 7.4% นับตั้งแต่ ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา ในภาษาลาว ชื่อประเทศคือเมืองลาว () หรือ ปะเทดลาว () ทั้งสองคำหมายถึง 'ประเทศลาว'
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ช่วงต้น ===
[[พระธาตุหลวงที่นครหลวงเวียงจันทน์ ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติลาว]]
มีการค้นพบกะโหลกศีรษะมนุษย์ยุคโบราณในปี 2009 ที่ถ้ำผาลิงในเทือกเขาอันนัมทางตอนเหนือของลาว โดยกะโหลกศีรษะนี้มีอายุราว 46,000 ปี จึงกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์มนุษย์สมัยใหม่ที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการค้นพบโบราณวัตถุจากหินที่สันนิษฐานว่าร่วมสมัยเดียวกับช่วงปลายสมัยไพลสโตซีนทางตอนเหนือของลาว หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นถึงสภาพสังคมเกษตรกรรมที่พัฒนาขึ้นในช่วงสหัสวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล หลุมศพและสุสานประเภทอื่น ๆ บ่งบอกถึงสภาพสังคมอันซับซ้อน มีการค้นพบเครื่องสัมฤทธิ์ในช่วง 1500 ปีก่อนคริสตกาล และเครื่องมือเหล็กในช่วง 700 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของลาวได้มีการติดต่อกับอารยธรรมอื่น ๆ เช่น อารยธรรมจีนและอินเดีย เป็นต้น ตามหลักฐานทางภาษาและประวัติศาสตร์อื่น ๆ กลุ่มชนเผ่าที่พูดภาษาไทได้อพยพจากกว่างซีไปยังดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้หรือดินแดนสมัยใหม่ของลาวและไทยในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 และ 10
=== ยุคล้านช้าง ===
ซากปรักหักพังที่[[เมืองคูณ, อดีตเมืองหลวงของแขวงเชียงขวาง ถูกทิ้งระเบิดทำลายโดยกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาใน ปฏิบัติการทิ้งระเบิดในลาว ปี ค.ศ. 1960 โดยความยินยอมของรัฐบาลราชอาณาจักรลาวที่มีนโยบายนิยมอเมริกา]]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาในลาวและดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสอื่น ๆ เมื่อญี่ปุ่นใกล้แพ้สงคราม ขบวนการลาวอิสระซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อกู้เอกราชลาวในเวลานั้นประกาศเอกราชให้ประเทศลาวเป็นประเทศ ราชอาณาจักรลาว หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็กลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากการที่ เวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นการสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศสจนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วนในปี ค.ศ. 1949 และได้เอกราชสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1953 ภายหลังฝรั่งเศสรบแพ้เวียดนามที่เดียนเบียนฟู ผู้ที่มีบทบาทในการประกาศเอกราชคือ เจ้าสุวรรณภูมา เจ้าเพชรราช และ เจ้าสุภานุวงศ์ โดยมี เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ามหาชีวิต (พระมหากษัตริย์) จากอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางเดิม และได้รวมทั้ง 3 อาณาจักรคือ ล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทน์ และ ล้านช้างจำปาศักดิ์ เข้าด้วยกันเป็นราชอาณาจักรลาว
ค.ศ. 1959 เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์เสด็จสวรรคต เจ้าสว่างวัฒนาจึงขึ้นครองราชย์เป็นเจ้ามหาชีวิตแทน เหตุการณ์ในลาวยุ่งยากมาก เจ้าสุภานุวงศ์ 1 ในคณะลาวอิสระประกาศตนว่าเป็นพวกฝ่ายซ้ายนิยมคอมมิวนิสต์ และเป็นหัวหน้าขบวนการประเทศลาว ได้ออกไปเคลื่อนไหวทางการเมืองในป่า เนื่องจากถูกฝ่ายขวาในลาวคุกคามอย่างหนัก ถึงปี ค.ศ. 1961 ร้อยเอกกองแลทำการรัฐประหารรัฐบาลเจ้าสุวรรณภูมา แต่ถูกกองทัพฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายรุมจนพ่ายแพ้ กองแลต้องลี้ภัยไปสหรัฐจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์ทางการเมืองในระยะเวลาไม่นานหลังจากนั้นบังคับให้ลาวต้องกลายเป็นสมรภูมิลับของสงครามเวียดนาม และเป็นปัจจัยก่อให้เกิดการรัฐประหารและสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ภายใต้การแทรกแซงของชาติต่าง ๆ ทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1975 พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและเวียดนามเหนือ โดยการนำของเจ้าสุภานุวงศ์ ก็ยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของ เจ้าสุวรรณภูมา พระเชษฐา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาสำเร็จ และได้เรียกร้องให้เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาทรงยินยอมสละราชสมบัติ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาจึงทรงยินยอมสละราชสมบัติ คณะปฏิวัติลาวจึงประกาศสถาปนาประเทศลาวเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1975 โดยยังคงแต่ตั้งให้อดีตเจ้ามหาชีวิตเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลระบอบใหม่
=== สมัยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ===
กองกำลังประชาชนของ[[ปะเทดลาว|ขบวนการปะเทดลาว (ต่อมาเป็นกองทัพประชาชนลาว)]]
ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1975 กองประชุมผู้แทนทั่วประเทศที่นครหลวงเวียงจันทน์ มีผู้แทนเข้าร่วม 264 คน พิจารณารับรองประกาศยุบรัฐบาลชั่วคราวแห่งชาติ และพิจารณาเรื่องต่าง ๆ กองประชุมมีมติเอาธงดวงเดือนของขบวนการลาวอิสระเป็นธงชาติลาว เปลี่ยนเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ ยกเลิกระบอบราชาธิปไตยและสถาปนาเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ยกเลิกบรรดาศักดิ์และฐานันดรศักดิ์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ เลิกการใช้คำราชาศัพท์ที่แย่งแยกชนชั้น แต่งตั้งเจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธานาธิบดี, ท่านไกสอน พมวิหาน เป็นนายกรัฐมนตรี, เจ้าศรีสว่างวัฒนา เป็นที่ปรึกษาสูงสุดของประธานาธิบดี, เจ้าสุวรรณภูมา เป็นที่ปรึกษาสูงสุดของรัฐบาล และมีมติอื่น ๆ ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1975 และปิดกองประชุมด้วยผลสำเร็จ แต่ภายหลังพรรคประชาชนปฏิวัติลาวก็ได้กุมตัวอดีตเจ้ามหาชีวิต,พระมเหสีและอดีตพระบรมวงศานุวงศ์ราชวงศ์ล้านช้าง ไปคุมขังในค่ายกักกัน เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง และต่อมาทุกพระองค์ต่างสิ้นพระชนม์ด้วยโรคมาลาเรีย และยังมีการจับกุมนักการเมือง ข้าราชการในระบอบเก่า รวมทั้งประชาชนลาวจำนวนมากเข้าค่ายกักกัน ส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วยโรคขาดสารอาหารและถูกยิงทิ้ง ระหว่างสงครามกลางเมืองมีผู้เสียชีวิตระหว่าง 20,000 ถึง 62,000 คน ฝ่ายนิยมเจ้าที่ยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ต่างลี้ภัยออกนอกประเทศไปตั้งรัฐบาลราชอาณาจักรลาวพลัดถิ่นในสหรัฐ เพื่อหวังฟื้นฟูระบอบกษัตริย์อีกครั้ง แต่ไม่มีประเทศใดรับรอง
ประเทศลาวลงนามความตกลงยกสิทธิประจำกองทัพและแต่งตั้งที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนในการบริหารประเทศแก่เวียดนาม ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้มีการลงนามเป็นสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1977 ซึ่งเวียดนามไม่เพียงแต่ชี้นำนโยบายต่างประเทศของลาวเท่านั้น แต่ยังให้เวียดนามเข้ามาข้องแวะในชีวิตการเมืองและเศรษฐกิจทุกส่วนของลาว ใน ค.ศ. 1979 เวียดนามขอให้ทางการลาวยุติความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้ถูกโดดเดี่ยวทางการค้าทั้งจากจีน สหรัฐและประเทศอื่น ในปีนั้น เวียดนามมีทหารประจำการในลาว 50,000 นาย และมีข้าราชการพลเรือนเวียดนาม 6,000 คน
ความขัดแย้งระหว่างกบฏม้งและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ดำเนินไปในพื้นที่สำคัญของลาว รวมทั้งเขตทหารปิด Saysaboune, เขตทหารปิด Xaisamboune และแขวงเชียงขวาง ระหว่าง ค.ศ. 1975 ถึง 1996 สหรัฐย้ายถิ่นผู้ลี้ภัยชาวลาวประมาณ 250,000 คน และม้ง 130,000 คนในประเทศไทย
== ภูมิศาสตร์ ==
แผนที่ประเทศลาว
=== ที่ตั้งและอาณาเขต ===
ประเทศลาวเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนใจกลางของคาบสมุทรอินโดจีน ระหว่างละติจูดที่ 14 - 23 องศาเหนือ ลองจิจูดที่ 100 - 108 องศาตะวันออก มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 236,800 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นภาคพื้นดิน 230,800 ตารางกิโลเมตร ภาคพื้นน้ำ 6,000 ตารางกิโลเมตร โดยลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เนื่องด้วยตลอดแนวชายแดนของประเทศลาว ซึ่งมีความยาวรวม 5,083 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ เรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้
* ทิศเหนือ ติดกับประเทศจีน (423 กิโลเมตร)
* ทิศตะวันออก ติดกับประเทศเวียดนาม (2,130 กิโลเมตร)
* ทิศใต้ ติดกับประเทศไทย (1,754 กิโลเมตร) และประเทศกัมพูชา (541 กิโลเมตร)
* ทิศตะวันตก ติดกับประเทศไทย (1,754 กิโลเมตร) และประเทศพม่า (235 กิโลเมตร)
ความยาวพื้นที่ประเทศลาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ยาวประมาณ 1,700 กิโลเมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 500 กิโลเมตร และที่แคบที่สุด 140 กิโลเมตร เนื้อที่ทั้งหมด 236,800 ตารางกิโลเมตร
=== ลักษณะภูมิประเทศ ===
ภูมิประเทศของลาวอาจแบ่งได้เป็น 3 เขต คือ
# เขตภูเขาสูง เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 1,500 เมตรขึ้นไป พื้นที่นี้อยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศ
# เขตที่ราบสูง คือพื้นที่ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,000 เมตร ปรากฏตั้งแต่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบสูงเมืองพวนไปจนถึงชายแดนกัมพูชา เขตที่ราบสูงนี้มีที่ราบสูงขนาดใหญ่อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ ที่ราบสูงเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง), ที่ราบสูงนากาย (แขวงคำม่วน) และที่ราบสูงบริเวณ (ภาคใต้)
# เขตที่ราบลุ่ม เป็นเขตที่ราบตามแนวฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำต่าง ๆ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในเขตพื้นที่ทั้ง 3 เขต นับเป็นพื้นที่อู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศ แนวที่ราบลุ่มเหล่านี้เริ่มปรากฏตั้งแต่บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำงึม เรียกว่า ที่ราบลุ่มเวียงจันทน์ ผ่านที่ราบลุ่มสุวรรณเขต ซึ่งอยู่ตอนใต้เซบั้งไฟและเซบั้งเหียง และที่ราบจำปาศักดิ์ทางภาคใต้ของลาว ซึ่งปรากฏตามแนวแม่น้ำโขงเรื่อยไปจนจดชายแดนประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้ เมื่อนำเอาพื้นที่ของเขตภูเขาสูงและเขตที่ราบสูงมารวมกันแล้ว จะมากถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ประเทศลาวทั้งหมด โดยจุดที่สูงที่สุดของประเทศลาวอยู่ที่ภูเบี้ย ในแขวงเชียงขวาง วัดความสูงได้ 2,817 เมตร (9,242 ฟุต)
ประเทศลาวมีแม่น้ำสายสำคัญอยู่หลายสาย โดยแม่น้ำซึ่งเป็นสายหัวใจหลักของประเทศ คือ แม่น้ำโขง ซึ่งไหลผ่านประเทศลาวเป็นระยะทาง 1,835 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสำคัญทั้งในด้านเกษตรกรรม การประมง การผลิตพลังงานไฟฟ้า การคมนาคมจากลาวเหนือไปจนถึงลาวใต้ และการใช้เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศลาวกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ แม่น้ำสายสำคัญของลาวแห่งอื่น ๆ ยังได้แก่
[[แม่น้ำโขงไหลผ่านหลวงพระบาง ]]
[[แม่น้ำโขงไหลผ่านหลวงพระบาง ]]
* แม่น้ำอู (พงสาลี-หลวงพระบาง) ยาว 448 กิโลเมตร
* แม่น้ำงึม (เชียงขวาง-เวียงจันทน์) ยาว 353 กิโลเมตร
* แม่น้ำเซบั้งเหียง (สุวรรณเขต) ยาว 338 กิโลเมตร
* แม่น้ำทา (หลวงน้ำทา-บ่อแก้ว) ยาว 523กิโลเมตร
* แม่น้ำเซกอง (สาละวัน-เซกอง-อัตตะปือ) ยาว 320 กิโลเมตร
* แม่น้ำเซบั้งไฟ (คำม่วน-สุวรรณเขต) ยาว 239 กิโลเมตร
* แม่น้ำแบ่ง (อุดมไซ) ยาว 215 กิโลเมตร
* แม่น้ำเซโดน (สาละวัน-จำปาศักดิ์) ยาว 192 กิโลเมตร
* แม่น้ำเซละนอง (สุวรรณเขต) ยาว 115 กิโลเมตร
* แม่น้ำกะดิ่ง (บอลิคำไซ) ยาว 103 กิโลเมตร
* แม่น้ำคาน (หัวพัน-หลวงพระบาง) ยาว 90 กิโลเมตร
=== ลักษณะภูมิอากาศ ===
ประเทศลาวอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อน มีลมมรสุมแต่ไม่มีลมพายุ สำหรับเขตภูเขาภาคเหนือและเขตเทือกเขา อากาศมีลักษณะกึ่งร้อนกึ่งหนาว อุณหภูมิสะสมเฉลี่ยประจำปีสูงถึง 15-30 องศาเซลเซียส และความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนมีประมาณ 10 องศาเซลเซียส จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดดต่อปีประมาณ 2,300-2,400 ชั่วโมง (ประมาณ 6.3-6.5 ชั่วโมงต่อวัน) ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศมีประมาณร้อยละ 70-85 ปริมาณน้ำฝนในฤดูฝน (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม) มีร้อยละ 75 - 90 ส่วนในฤดูแล้ง (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเมษายน) ปริมาณน้ำฝนมีเพียงร้อยละ 10-25 และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีของแต่เขตก็แตกต่างกันอย่างมากมาย เช่น เขตเทือกเขาบริเวณทางใต้ได้รับน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 300 เซนติเมตร ขณะที่บริเวณแขวงเชียงขวาง แขวงหลวงพระบาง แขวงไชยบุรี ได้รับเพียงแค่ 100-150 เซนติเมตร ส่วนแขวงเวียงจันทน์และแขวงสุวรรณเขตในช่วง 150-200 เซนติเมตร เช่นเดียวกับแขวงพงสาลี แขวงหลวงน้ำทา และแขวงบ่อแก้ว
== การเมืองการปกครอง ==
[[กองทัพประชาชนลาวต้อนรับดมีตรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีรัสเซีย]]
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีระบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (ทางการลาวใช้คำว่า ระบอบประชาธิปไตยประชาชน) โดยมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นองค์กรชี้นำประเทศ ซึ่งพรรคนี้เริ่มมีอำนาจสูงสุดตั้งแต่ลาวเริ่มปกครองในระบอบสังคมนิยมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1975 ประธานประเทศ (ประธานาธิบดี) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวคนปัจจุบัน ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี คือ ดร.ทองลุน สีสุลิด (ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอีกตำแหน่งหนึ่ง) ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนาย สอนไซ สีพันดอน
=== บริหาร ===
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งของประธานประเทศโดยผ่านการอนุมัติจากสภาแห่งชาติ
=== นิติบัญญัติ ===
สภาแห่งชาติลาว เป็นองค์กรนิติบัญญัติสูงสุดของลาว มีอำนาจในการเห็นชอบตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ อาทิ ประธานประเทศ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี และยังถือเป็นองค์กรตัวแทนของประชาชน เป็นองค์การตัวแทนแห่งสิทธิ อำนาจ และ ผลประโยชน์ของประชาชน เป็นองค์การอำนาจแห่งรัฐ และเป็นองค์การนิติบัญญัติที่มี สิทธิพิจารณาข้อตัดสินใจหรือปัญหาสำคัญของชาติ รวมทั้ง ติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของคณะรัฐบาล ศาลประชาชน และ องค์การอัยการประชาชน
=== ตุลาการ ===
ศาลประชาชนของลาวเป็นองค์กรตุลาการ ที่ได้รับการแต่งตั้งและเห็นชอบจากสภาแห่งชาติลาว
=== สถาบันการเมืองที่สำคัญ ===
# แนวลาวสร้างชาติ
# องค์กรจัดตั้ง เช่น สหพันธ์วัยหนุ่มลาว (สหพันธ์เยาวชน) สหพันธ์แม่หญิงลาว (สมาคมสตรี) กรรมบาลลาว (สหพันธ์กรรมกร) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
=== การจัดตั้งและการบริหาร ===
* หลายหมู่บ้านรวมกันเป็น เมือง (ก่อนหน้านี้จัดให้หลายหมู่บ้านรวมกันเป็น ตาแสง มีตาแสงเป็นผู้ปกครอง หลายตาแสงรวมกันจึงเรียกว่า เมือง)
* หลายเมืองรวมกันเป็น แขวง
* "คณะกรรมการปกครองหมู่บ้าน" มี นายบ้าน เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารของหมู่บ้าน
* "คณะกรรมการปกครองเมือง" มี เจ้าเมือง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารเมือง
* "คณะกรรมการปกครองแขวง" มี เจ้าแขวง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารแขวง
* "คณะกรรมการปกครองนครหลวง" มี เจ้าครองนครหลวง เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหารนครหลวง
=== กระทรวง ===
ประเทศลาวมีทั้งหมด 17 กระทรวง และ 4 องค์กรเทียบเท่า ได้แก่
=== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ===
ในปัจจุบัน ลาวมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัสเซียจากการที่สหภาพโซเวียตเคยให้ความช่วยเหลือลาวตั้งแต่สงครามกลางเมือง โดยลาวพึ่งพาโซเวียตในแง่เศรษฐกิจมายาวนานจนกระทั่งการล่มสลายของจักรวรรดิ ลาวยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเวียดนามในแง่การทูต การเมือง การทหาร และการค้า โดยเวียดนามเป็นหนึ่งในชาติในภูมิภาคอาเซียนที่นำเข้ากระแสไฟฟ้าจากลาว โดยทั้งสองประเทศมีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพในปี 1977 ในสมัยของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ลาวเข้าเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในเดือนกรกฎาคม 1997 และเข้ากับองค์การการค้าโลกในปี 2016 และในปี 2005 ลาวได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกครั้งแรก[[สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1]]
=== กองทัพ ===
กองทัพประชาชนลาว () เป็นกองทัพของประเทศลาว โดยแบ่งออกเป็น 3 เหล่าทัพหลัก คือ กองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ กองทัพประชาชนลาวอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงป้องกันประเทศ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศเป็นผู้สั่งการ และมีประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในปี 2563 กองทัพประชาชนลาวมีกำลังทหารประมาณร่วม 30,000 นาย โดยเป็นทหารบก 26,000 นาย และทหารอากาศ 4,000 นาย
=== ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ===
การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นปัญหาสำคัญในลาว ในดัชนีประชาธิปไตยของนักเศรษฐศาสตร์ปี 2016 ลาวจัดเป็นประเทศที่มี "ระบอบเผด็จการ" การละเมิดต่าง ๆ เช่น การกักขังหน่วงเหนี่ยว การหายตัวไปของสตรี การจำกัดเสรีภาพในการพูด การล่วงละเมิดในเรือนจำ และการละเมิดอื่น ๆ ยังคงเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แสดงความกังวลเกี่ยวกับบันทึกการให้สัตยาบันของรัฐบาลลาวเกี่ยวกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนและการขาดความร่วมมือกับกลไกและมาตรการด้านกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ทั้งส่งผลกระทบในทางลบต่อสิทธิมนุษยชน องค์กรยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก สภาพเรือนจำที่ย่ำแย่ การจำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนา การคุ้มครองผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย และโทษประหารชีวิตที่ทารุณ ในขณะที่คนที่เหลือยังไม่ทราบชะตากรรม
ตามการประมาณการ ผู้คนประมาณ 300,000 คนหลบหนีมาที่ประเทศไทยอันเป็นผลมาจากการปราบปรามของรัฐบาล โดยมีชาวม้ง 100,000 คน คิดเป็น 30% ของประชากรม้งทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น มีผู้เสียชีวิตกว่า 130,000 ราย จากการทำสงครามกลางเมือง ลาวเป็นประเทศต้นทางของผู้ถูกค้ามนุษย์ทางเพศ พลเมืองจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กหญิงจากทุกกลุ่มชาติพันธุ์และชาวต่างชาติตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในลาว
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
ประเทศลาวแบ่งเป็น 17 แขวง และ 1 นครหลวง (ได้แก่ นครหลวงเวียงจันทน์) แขวงแต่ละแขวงจะแบ่งเป็นเมือง ซึ่งจะมีหนึ่งเมืองเป็นเมืองหลวงของแขวงเรียกว่า เมืองเอก
เขตการปกครองระดับแรกของประเทศลาว
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1995 ได้มีการยุบเขตพิเศษไชยสมบูรณ์อย่างเป็นทางการตามดำรัสนายกรัฐมนตรี (คำสั่งนายกรัฐมนตรี) เลขที่ 10/ນຍ. ลงวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1995 โดยเมืองท่าโทมถูกรวมกับแขวงเชียงขวาง และเมืองไชยสมบูรณ์ถูกรวมกับแขวงเวียงจันทน์
ต่อมาในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ทางการลาวได้จัดตั้งแขวงใหม่ในบริเวณที่เคยเป็นเขตพิเศษไชยสมบูรณ์เดิมกับ 2 หมู่บ้านจากเมืองวังเวียงในแขวงเวียงจันทน์ โดยใช้ชื่อว่า "แขวงไชยสมบูรณ์" แบ่งเขตปกครองย่อยออกเป็น 5 เมือง ได้แก่ เมืองอะนุวง (เดิมชื่อเมืองไชยสมบูรณ์) เมืองห่ม เมืองท่าทูม เมืองล่องสาน และเมืองล่องแจ้ง
== เศรษฐกิจ ==
[[ด่านพรมแดนช่องเม็ก แขวงจำปาศักดิ์]]
ภาวะเศรษฐกิจของประเทศลาวมีพัฒนาการที่ดีตามลำดับ โดยในช่วง 20 ปีนับตั้งแต่ปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมสู่ระบบเศรษฐกิจเสรีการตลาดเมื่อปี 1986 ประเทศลาวมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 6.2 ต่อปี ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 1986 เป็น 491 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2005 ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 10 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าเป็นสาขาหลักที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ
อย่างไรก็ดี ลาวยังคงประสบปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขที่สำคัญได้แก่ ปัญหาราคาน้ำมัน ที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาการขาดดุลการค้าในอัตราสูง ค่าเงินกีบไม่มีเสถียรภาพ การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย และปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ทรัพยากรสำคัญของลาว ได้แก่ ไม้ ดีบุก ยิปซัม ตะกั่ว หินเกลือ เหล็ก ถ่านหินลิกไนต์ สังกะสี ทองคำ อัญมณี หินอ่อน น้ำมัน และแหล่งน้ำผลิตไฟฟ้า
=== การลงทุน ===
การลงทุน รัฐบาลได้ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อสร้างบรรยากาศให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น อาทิ มาตรการด้านภาษี อนุญาตให้นครหลวงเวียงจันทน์ แขวงจำปาศักดิ์ และแขวงหลวงพระบาง มีอำนาจอนุมัติโครงการลงทุนที่มีมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแขวงอื่น ๆ สามารถอนุมัติโครงการลงทุนที่มีมูลค่าลงทุนไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศในลาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2003 มีมูลค่า 465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2004 มีมูลค่า 533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปี 2005 มีมูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย จีน ฯลฯ
=== ตลาดหลักทรัพย์ ===
ลาวกำหนดให้วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2010 (10-10-10) เป็นวันเปิดดำเนินการของตลาดหลักทรัพย์ลาว โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินจากประเทศไทย และได้ช่วยเหลือ5บริษัทจากประเทศเกาหลี เปิดทำการจริงในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2011 จะมีบริษัทแรกเข้าจดทะเบียนประมาณ 5 บริษัท
=== โครงการความร่วมมือในภูมิภาคใกล้เคียง ===
* อาเซียน ลาวเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเมื่อเดือนกรกฎาคม 1997 ได้เป็นประธาน คณะกรรมการประจำอาเซียนเมื่อกรกฎาคม 2004
* ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy - ACMECS)
* ความร่วมมือในกรอบสามเหลี่ยมมรกต
=== การนำเข้าและการส่งออก ===
สินค้าส่งออกที่สำคัญของลาวได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ไม้ซุง ไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ไม้ สินแร่ เศษโลหะ ถ่านหิน หนังดิบ และหนังฟอก ข้าวโพด ใบยาสูบ กาแฟ โดยส่งออกไปยังประเทศไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สหรัฐ เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี ส่วนการนำเข้าสินค้า ประเทศลาวได้นำเข้าสินค้าจากไทย จีน เวียดนาม สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เยอรมนี โดยสินค้าที่สำคัญได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน อาหาร ผ้าผืน สารเคมี และเครื่องอุปโภคบริโภค
=== การท่องเที่ยว ===
การท่องเที่ยวมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจาก 80,000 คนในปี ค.ศ. 1990 เป็นจำนวน 1.876 ล้านคนในปี 2010 การท่องเที่ยวคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 679.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศในปี 2010 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5857 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี ค.ศ. 2020 รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและสินค้าเพื่อการท่องเที่ยวคาดว่าจะเติบโต 15.5% ของยอดการส่งออกหรือ 270.3 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010 และจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 484.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (12.5 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด) ในปี 2020
หลวงพระบางและปราสาทหินวัดพูเป็นทั้งมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เทศกาลที่สำคัญ ได้แก่ วันขึ้นปีใหม่ลาวซึ่งจัดขึ้นในช่วงวันที่ 13-15 เมษายน สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติลาว หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดวิสัยทัศน์ที่วางไว้ในแผนยุทธศาสตร์และปฏิบัติการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแห่งชาติของประเทศ ซึ่งรวมถึงการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของการท่องเที่ยว เพิ่มความตระหนักในความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์และความหลากหลายทางชีวภาพ จัดหาแหล่งรายได้เพื่อการอนุรักษ์ รักษา และจัดการเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองของลาวและแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และเน้นความจำเป็นในการกำหนดเขตท่องเที่ยวและแผนการจัดการสถานที่ที่จะพัฒนาเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
=== โครงสร้างพื้นฐาน ===
ขบวนรถไฟ "ขบวนล้านช้าง" ของ[[ทางรถไฟสายเวียงจันทน์-บ่อเต็น|ทางรถไฟลาว-จีน หรือ (ทางรถไฟสายเวียงจันทน์-บ่อเต็น)]]
ตราของสถานีโทรภาพแห่งชาติลาว
สื่อในประเทศลาวล้วนอยู่ในความดูแลของรัฐโดยตรง รัฐบาลลาวมีสำนักข่าวสารประเทศลาว (ขปล.) เป็นสำนักข่าวแห่งชาติที่เผยแพร่ข่าวของรัฐ ส่วนหนังสือพิมพ์ภาษาลาวที่สำคัญในประเทศได้แก่ หนังสือพิมพ์ประชาชนซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว และหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศอีก 2 ฉบับ คือ หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทมส์ (Vientiane Times) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ และหนังสือพิมพ์ "เลอเรนอวาเตอร์" (Le Rénovateur) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศส
ในประเทศลาวยังไม่มีสถานีโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ โดยปัจจุบันนี้มีสถานีโทรทัศน์ที่กำลังทดลองออกอากาศ คือ สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศลาว (ທຊລ.) ซี่งเป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ออกอากาศผ่านเครือข่ายสถานีในประเทศ มีสถานีส่งต่อในประเทศไทยในชุมชนลาว และออกอากาศทางดาวเทียมไทยคม 5 นอกจากนี้ยังมีลาวสตาร์แชนแนล ที่ออกอากาศผ่านดาวเทียมจากประเทศไทย
ด้านการใช้อินเทอร์เน็ต ตามหัวเมืองใหญ่และนครหลวงมีการเปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตคาเฟโดยทั่วไป และได้รับความนิยมอย่างยิ่งในหมู่เยาวชนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลลาวก็ได้มีการตรวจพิจารณาเนื้อหาและการเข้าถึงข้อมูลอินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวด เนื่องจากเป็นประเทศที่ปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์
=== ทรัพยากรน้ำ ===
title = ศาสนาในประเทศลาว
| titlebar = #ddd
| left1 = ศาสนา
| right1 = ร้อยละ
| float = right
จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2010 ประเทศลาวมีผู้นับถือศาสนา 7.2 ล้านคน โดยแบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพุทธ 66% ศาสนาผี 30.7% ศาสนาคริสต์ 1.5% และศาสนาอื่น ๆ 1.8%
=== ภาษา ===
[[มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว ในกรุงเวียงจันทน์]]
|Northeast =
|Southeast =
|Southwest =
|Northwest =
{{Navboxes
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2492
หมวดหมู่:ประเทศในทวีปเอเชีย
หมวดหมู่:ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
1947 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาสเปน | ภาษาสเปน | ภาษาสเปน () หรือ ภาษากัสติยา () เป็นภาษาในกลุ่มภาษาโรมานซ์ หนึ่งในภาษาทางการ 6 ภาษาขององค์การสหประชาชาติ และภาษาที่มีผู้พูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในโลกเป็นอันดับสองรองจากภาษาจีนกลาง รวมทั้งยังเป็นภาษาราชการขององค์การระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญอีกหลายองค์การอีกด้วย เช่น สหภาพยุโรป สหภาพแอฟริกา องค์การรัฐอเมริกา องค์การรัฐไอบีเรียอเมริกา ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ และสหภาพชาติอเมริกาใต้ เป็นต้น
มีผู้พูดภาษาสเปนเป็นภาษาที่หนึ่งและภาษาที่สองเป็นจำนวนระหว่าง 450-500 ล้านคน โดยเม็กซิโกเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้พูดภาษานี้มากที่สุด นอกจากนี้ ภาษาสเปนยังเป็นภาษาที่มีผู้เรียนมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากภาษาอังกฤษ ขณะที่แหล่งข้อมูลบางแห่งกล่าวว่า มีผู้เรียนภาษานี้กว่า 46 ล้านคนกระจายอยู่ใน 90 ประเทศ
ภาษาสเปนมีต้นกำเนิดจากภาษาละตินชาวบ้านที่พัฒนามาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 (เช่นเดียวกับภาษาอื่นในกลุ่มภาษาโรมานช์) หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายลง ดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิต่างแยกไปอยู่ใต้การปกครองของชนกลุ่มต่าง ๆ กัน ภาษานี้จึงถูกตัดขาดออกจากภาษาถิ่นของภาษาละตินในดินแดนอื่น ๆ และมีวิวัฒนาการอย่างช้า ๆ จนเกิดเป็นภาษาละตินใหม่ต่างหากอีกภาษาหนึ่ง แต่เนื่องจากได้รับการเผยแพร่ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้เป็นเวลาที่ต่อเนื่องยาวนาน ภาษาสเปนจึงกลายเป็นภาษาละตินใหม่ที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบัน
== ชื่อภาษาและที่มา ==
ชาวสเปนมักเรียกภาษาของตนว่า ภาษาสเปน (español) เมื่อนำภาษานี้ไปเปรียบเทียบกับภาษาของชาติอื่น เช่น ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ แต่จะเรียกว่า ภาษากัสติยา (castellano) [= ภาษาของแคว้นกัสติยา] เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาษาในประเทศสเปนภาษาอื่น ๆ (เช่น ภาษากาลิเซีย ภาษาบาสก์ และภาษากาตาลา) หรือแม้กระทั่งการนำไปเทียบกับบรรดาภาษาพื้นเมืองของประเทศในลาตินอเมริกาบางประเทศ ด้วยวิธีนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสเปน ค.ศ. 1978 จึงใช้คำว่า "ภาษากัสติยา" (castellano) เพื่อนิยามภาษาราชการของประเทศ ซึ่งตรงข้ามกับ "ภาษาของสเปนภาษาอื่น ๆ" (las demás lenguas españolas) ตามมาตรา 3 ดังนี้
:El castellano es la lengua española oficial del Estado. (…) Las demás lenguas españolas serán también oficiales en las respectivas Comunidades Autónomas…
:ภาษากัสติยาเป็นภาษาสเปนทางการของทั้งรัฐ (…) ภาษาสเปนภาษาอื่น ๆ จะมีสถานะทางการเช่นกันในแคว้นปกครองตนเองตามลำดับ (ต่อไปนี้…)
นักนิรุกติศาสตร์บางคนใช้ชื่อ "Castilian" เมื่อกล่าวถึงภาษาที่ใช้กันในภูมิภาคกัสติยาสมัยกลางเท่านั้น โดยเห็นว่า "Spanish" ควรนำมาใช้เรียกภาษานี้ในสมัยใหม่จะดีกว่า ภาษาถิ่นย่อยของภาษาสเปนที่พูดกันทางตอนเหนือของแคว้นกัสติยาในปัจจุบันเอง บางครั้งก็ยังเรียกว่า "Castilian" ภาษาถิ่นนี้แตกต่างจากภาษาถิ่นในภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศสเปน (เช่นในแคว้นอันดาลูซิอาหรือกรุงมาดริดเป็นต้น) โดยในประเทศสเปนถือว่าเป็นภาษาเดียวกับภาษาสเปนมาตรฐานอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม คำ castellano ยังใช้กันเป็นวงกว้างเพื่อเรียกภาษาสเปนทั้งหมดในลาตินอเมริกา เนื่องจากผู้พูดภาษาสเปนบางคนจัดว่า castellano เป็นคำกลาง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการเมืองหรือลัทธิใด (เหมือนกับ "Spanish" ในฐานะคำหนึ่งของภาษาอังกฤษ) ชาวลาตินอเมริกาจึงมักใช้คำนี้ในการแบ่งแยกความหลากหลายของภาษาสเปนในแบบของพวกเขาว่า ไม่เหมือนกันกับความหลากหลายของภาษาสเปนที่ใช้กันในประเทศสเปนเอง
คำว่า español ที่ถูกนำมาเปลี่ยนแปลงรูปตามกฎทางไวยากรณ์และสัทวิทยา (การศึกษาเกี่ยวกับเสียงในภาษา) ของแต่ภาษาเพื่อใช้เรียกชาวสเปนและภาษาของพวกเขานั้น มีรากศัพท์มาจากคำในภาษาละตินว่า "ฮิสปานิโอลุส" (Hispaniolus) [= ชาวฮิสปาเนียน้อย] รูปคำดังกล่าวได้วิวัฒนาการมาเป็น Spaniolus (ในช่วงเวลานั้น ตัว H ในภาษาละตินจะหายไปในการสนทนาปกติ คำนี้จึงออกเสียงว่า "อิสปานิโอลู" [ispa'niolu]) และสระ [i] (ใช้ในภาษาพูดของละตินเพื่อความรื่นหู) ก็ถูกเปิดเป็นสระ [e] จึงทำให้คำนี้มีรูปเขียนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
== ประวัติ ==
การขยายตัวของภาษากัสติยาบนคาบสมุทรไอบีเรีย
ภาษาโรมานซ์กัสติยาซึ่งเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของภาษาสเปนนั้นถือกำเนิดจากภาษาละตินสามัญที่ใช้กันในแถบทิวเขากันตาเบรีย (พื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดอาลาบา, กันตาเบรีย, บูร์โกส, โซเรีย และลาริโอฆา ทางตอนเหนือของสเปนปัจจุบัน ขณะนั้นเป็นเขตของแคว้นกัสติยา) โดยรับอิทธิพลบางอย่างจากภาษาบาสก์และภาษาของชาววิซิกอท หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเก่าแก่ที่สุดมีชื่อว่า จดหมายเหตุบัลปูเอสตา () พบที่โบสถ์แห่งหนึ่งในจังหวัดบูร์โกส เป็นเอกสารที่บันทึกลักษณะและศัพท์ของภาษาโรมานซ์ (ที่จะพัฒนามาเป็นภาษากัสติยา) ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ไว้
ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ได้เกิดกระบวนการกลมกลืนและปรับระดับทางภาษาขึ้นระหว่างภาษาโรมานซ์ที่ใช้กันในตอนกลางของคาบสมุทร ได้แก่ อัสตูร์-เลออน, กัสติยา และนาวาร์-อารากอน นำไปสู่การก่อรูปแบบของภาษาที่ผู้คนบนคาบสมุทรนี้จะใช้ร่วมกันต่อไป นั่นคือ ภาษาสเปน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานที่มีมาแต่เดิมว่า ภาษาสเปนพัฒนามาจากภาษากัสติยาเป็นหลักและอาจจะได้รับอิทธิพลจากภาษาข้างเคียงมาบ้างเท่านั้น เห็นได้ชัดในรัชสมัยของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 10 พระองค์ทรงรวบรวมนักเขียนและปราชญ์จากเมืองต่าง ๆ มาประชุมกันในราชสำนักเพื่อเขียนและแปลเอกสารที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ และกฎหมาย โดยผลงานต่าง ๆ ได้รับการบันทึกลงเป็นภาษากัสติยาแทนภาษาละติน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เหล่านั้นได้มากขึ้น
ต่อมาในปี ค.ศ. 1492 เอลิโอ อันโตนิโอ เด เนบริฆา ได้แต่งตำราอธิบายโครงสร้าง คำศัพท์ และวิธีการสอนภาษากัสติยาที่เมืองซาลามังกา มีชื่อว่า ไวยากรณ์ภาษากัสติยา () นับว่าเป็นตำราไวยากรณ์ภาษาแรกในยุโรป เกร็ดที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งมีอยู่ว่า เมื่อเนบรีคาเสนอตำราดังกล่าวแด่สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 พระองค์มีพระราชดำรัสถามว่าผลงานชิ้นนี้มีประโยชน์อย่างไร เขาได้ทูลตอบว่า ภาษาถือเป็นเครื่องมือของจักรวรรดิ
ระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเสียงขนานใหญ่ในภาษาสเปนเช่นเดียวกับภาษาอื่นในกลุ่มโรมานซ์ กล่าวคือ เสียงพยัญชนะบางเสียงได้สูญหายไป มีเสียงพยัญชนะใหม่ปรากฏขึ้น ส่วนเสียงพยัญชนะเสียดแทรกที่มีฐานอยู่ที่ปุ่มเหงือก ฟัน และเพดานแข็ง (ส่วนหน้า) บางเสียงได้ถูกกลืนเข้ากับเสียงอื่น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นผลให้ภาษาสเปนมีระบบเสียงพยัญชนะใกล้เคียงกับที่ปรากฏในปัจจุบัน
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 นักสำรวจและนักล่าอาณานิคมได้นำภาษาสเปนเข้าไปเผยแพร่และใช้ในดินแดนทวีปอเมริกาและสแปนิชอีสต์อินดีสอย่างต่อเนื่องนานนับร้อยปี จนภาษานี้ได้กลายเป็นหนึ่งในภาษาหลักที่ใช้ผู้คนในทวีปดังกล่าวใช้สื่อสารกันมาจนถึงทุกวันนี้ และในเวลาต่อมา ภาษาสเปนก็ถูกนำไปใช้เป็นครั้งแรกในอิเควทอเรียลกินี เวสเทิร์นสะฮารา รวมไปถึงพื้นที่หลายแห่งในสหรัฐอเมริกาซึ่งไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสเปนมาก่อนเลย เช่น ในย่านสแปนิชฮาร์เล็มของนครนิวยอร์ก
ปัจจุบันภาษาสเปนที่ใช้กันในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกมีความหลากหลายอย่างมากทั้งในด้านการออกเสียงและด้านคำศัพท์ แม้ว่าจะมีโครงสร้างหลักร่วมกันเป็นภาษาละตินก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการติดต่อกับภาษาพื้นเมืองของแต่ละท้องที่เป็นเวลานาน เช่น ภาษาไอมารา, ชิบชา, กวารานี, มาปูเช, มายา, นาวัตล์, เกชัว, ตาอีโน และตากาล็อก ทำให้ผู้ใช้ภาษาสเปนมีแนวโน้มที่จะรับเอาชุดความคิดและลักษณะที่ปรากฏในภาษาเหล่านั้นเข้ามาใช้ โดยเฉพาะคำศัพท์ ซึ่งหลายครั้งไม่เพียงมีอิทธิพลต่อภาษาสเปนในพื้นที่ที่สัมผัสภาษานั้นโดยตรงเท่านั้น แต่ยังส่งอิทธิพลต่อวงคำศัพท์ภาษาสเปนทั่วโลกด้วย
=== ลักษณะเฉพาะ ===
สิ่งบ่งชี้ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของภาษาสเปนก็คือ การเปลี่ยนเสียงสระเดี่ยวที่มาจากภาษาละติน ได้แก่ สระ ‹› และสระ ‹› ให้กลายเป็นเสียงสระประสมสองเสียง () คือสระ ‹ie› และสระ ‹ue› ตามลำดับเมื่อสระทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ลงเสียงหนักภายในคำ การกลายเสียงที่คล้ายกันนี้ยังสามารถพบได้ในภาษาโรมานซ์อื่น ๆ แต่สำหรับภาษาสเปน ลักษณะเหล่านี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
* ละติน > สเปน ; อิตาลี ; ฝรั่งเศส ; โรมาเนีย ; โปรตุเกส/กาลิเซีย ; กาตาลา ‘ก้อนหิน’
* ละติน > สเปน ; อิตาลี ; ฝรั่งเศส / ; โรมาเนีย ; โปรตุเกส/กาลิเซีย ; กาตาลา ‘เขาตาย’
ลักษณะแปลกอีกอย่างหนึ่งของภาษาสเปนยุคแรกที่ไม่พบในภาษาอื่นที่พัฒนามาจากภาษาละติน (ยกเว้นภาษาถิ่นแกสกันของภาษาอุตซิตา ซึ่งเป็นไปได้ว่าภาษาทั้งสองได้รับอิทธิพลมาจากภาษาบาสก์ซึ่งเป็นภาษาพื้นเดิมและมีเขตผู้ใช้ภาษาอยู่ติดต่อกัน) คือการกลายรูปพยัญชนะจาก ‹› ต้นคำ เป็น ‹h› เมื่อใดก็ตามที่ ‹› ตัวนั้นนำหน้าสระเดี่ยวที่จะไม่พัฒนามาเป็นสระประสมในภาษาสเปน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
* ละติน > อิตาลี ; โปรตุเกส ; ฝรั่งเศส ; อุตซิตา (แต่ แกสกัน ); สเปน (แต่ ลาดิโน ) ‘ลูกชาย’
* ละติน > ลาดิโน ; โปรตุเกส ; สเปน ‘พูด’
* แต่ ละติน > อิตาลี ; โปรตุเกส ; สเปน/ลาดิโน ‘ไฟ’
พยัญชนะควบกล้ำบางตัวในภาษาละติน เช่น ‹›, ‹›, ‹›, ‹› เมื่อมีวิวัฒนาการไปเป็นส่วนหนึ่งของภาษาต่าง ๆ ในกลุ่มโรมานซ์ยังเกิดผลแตกต่างกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ในภาษาเหล่านี้ด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
* ละติน , (รูปกรรม), > ลาดิโน , , ; สเปน , , (แต่ภาษาสเปนก็มีรูป , , ด้วย); โปรตุเกส , ,
* ละติน (รูปกรรม), , > ลาดิโน , , ; สเปน , , ; โปรตุเกส , , ; กาลิเซีย , ,
== การจำแนกและภาษาร่วมตระกูล ==
ภาษาสเปนมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาษาอื่น ๆ ในกลุ่มไอบีเรียตะวันตก ได้แก่ ภาษาอัสตูเรียส ภาษากาลิเซีย ภาษาลาดิโน ภาษาอัสตูเรียส-เลออน และภาษาโปรตุเกส ส่วนภาษากาตาลาแม้จะมีเขตผู้ใช้ภาษาอยู่ในประเทศสเปน แต่เนื่องจากเป็นภาษาในกลุ่มไอบีเรียตะวันออกและแสดงลักษณะหลายประการของกลุ่มภาษาโรมานซ์กอล จึงมีความใกล้เคียงกับภาษาอุตซิตามากกว่ากับภาษาสเปน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือมากกว่าที่ภาษาสเปนและภาษาโปรตุเกสใกล้เคียงกันเสียอีก
ภาษาสเปนและภาษาโปรตุเกสมีระบบไวยากรณ์และคำศัพท์คล้ายคลึงกัน และยังมีประวัติความเป็นมาร่วมกันในด้านอิทธิพลจากภาษาอาหรับในยุคที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรไอบีเรียตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของชาวมุสลิมอีกด้วย โดยความใกล้เคียงของศัพท์ของภาษาทั้งสองอยู่ที่ประมาณร้อยละ 89 คิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของจำนวนผู้ใช้ภาษาสเปนทั้งหมดบนโลก
== ระบบการเขียน ==
=== ตัวอักษร ===
ตัวอักษร[[ñ|เอเญบนแป้นพิมพ์ภาษาสเปน]]
ภาษาสเปนใช้อักษรละตินในการเขียนเช่นเดียวกับภาษาส่วนใหญ่ในยุโรป แต่จะมีอักขระเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัวคือ ‹ñ› หรือเรียกว่า "เอเญ" นอกจากนี้ยังมีทวิอักษร ‹ch› "เช" และ ‹ll› "เอเย" โดยถือว่าทั้งสองเป็นตัวอักษรในชุดตัวอักษรสเปนอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1803 เนื่องจากใช้แทนเสียงที่ไม่ใช่เสียงเดียวกับเสียงตัวอักษรที่ประกอบขึ้นเป็นตัวมันเอง กล่าวคือ ‹ñ› แทนหน่วยเสียง , ‹ch› แทนหน่วยเสียง และ ‹ll› แทนหน่วยเสียง หรือ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม แม้ทวิอักษร ‹rr› "เอเรโดเบล" หรือเรียกอย่างง่ายว่า "เอร์เร" (คนละตัวกับ ‹r› "เอเร") จะแทนหน่วยเสียงต่างหากเช่นกันคือ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นตัวอักษรต่างหากเหมือน ‹ch› และ ‹ll›
ในการประชุมครั้งที่ 10 ของสมาคมบัณฑิตยสถานภาษาสเปนซึ่งจัดขึ้นที่กรุงมาดริดเมื่อปี ค.ศ. 1994 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการใช้ชุดตัวอักษรละตินแบบสากลตามที่องค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรร้องขอ ส่งผลให้ทวิอักษร ‹ch› และ ‹ll› ไม่ถือเป็นตัวอักษรโดด ๆ แต่ถือเป็นพยัญชนะซ้อน เพื่อให้ง่ายต่อการสืบค้นและการเรียงลำดับคำในพจนานุกรม คำต่าง ๆ ที่ขึ้นต้นด้วย ‹ch› จึงถูกนำไปจัดเรียงอยู่ระหว่างคำที่ขึ้นต้นด้วย ‹ce› และ ‹ci› แทน ต่างจากเดิมที่ถูกจัดไว้ต่อจากคำที่ขึ้นต้นด้วย ‹cz› ส่วนคำที่ขึ้นต้นด้วย ‹ll› ก็ถูกจัดอยู่ระหว่างคำที่ขึ้นต้นด้วย ‹li› และ ‹lo› เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปครั้งนั้นมีผลเฉพาะต่อการเรียงลำดับคำตามตัวอักษรเท่านั้น ไม่มีผลต่อชุดตัวอักษรสเปนซึ่งทวิอักษร ‹ch› และ ‹ll› ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในนั้นอยู่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2010 หนังสือคู่มืออักขรวิธีภาษาสเปน () ซึ่งจัดทำโดยราชบัณฑิตยสถานสเปนร่วมกับสมาคมบัณฑิตยสถานภาษาสเปนได้ตัด ‹ch› และ ‹ll› ออกจากชุดตัวอักษรอย่างสมบูรณ์
ดังนั้น ชุดตัวอักษรสเปนในปัจจุบันจึงประกอบด้วยตัวอักษร 27 ตัว ได้แก่
=== เครื่องหมายอื่น ๆ ===
คำสเปนแท้จะมีการลงน้ำหนักที่พยางค์ก่อนพยางค์สุดท้ายของคำ หากคำนั้นลงท้ายด้วยสระ (ไม่รวม ‹y›) หรือลงท้ายด้วยพยัญชนะ ‹n› หรือ ‹s› นอกนั้นจะลงน้ำหนักที่พยางค์สุดท้าย แต่ถ้าตำแหน่งที่ลงน้ำหนักในคำไม่เป็นไปตามกฎดังกล่าว สระในพยางค์ที่ถูกเน้นก็จะมีเครื่องหมายลงน้ำหนักเด่นชัด () กำกับไว้ข้างบน เช่น , , , และ แต่เครื่องหมายลงน้ำหนักมักจะถูกละบ่อยครั้งเมื่อสระที่มันกำกับเสียงหนักอยู่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ (ในยุคแรก ๆ คอมพิวเตอร์บางเครื่องสามารถพิมพ์ได้เฉพาะตัวพิมพ์เล็กที่มีเครื่องหมายนี้กำกับเท่านั้น) ซึ่งราชบัณฑิตยสถานสเปนก็แนะนำไม่ให้ทำเช่นนั้น
นอกจากนี้ ยังมีการใช้เครื่องหมายลงน้ำหนักเด่นชัดเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างคำพ้องเสียง เช่น ระหว่าง (คำกำกับนามเพศชาย ชี้เฉพาะ) กับ (‘เขา’ สรรพนามบุรุษที่ 3 เอกพจน์ รูปประธาน) หรือระหว่าง (‘เธอ’ สรรพนามบุรุษที่ 2 เอกพจน์ รูปกรรม) (‘แห่ง’ หรือ ‘จาก’) และ (สรรพนามสะท้อน) กับ (‘น้ำชา’) (‘ให้’) และ (‘ฉันรู้’ หรือ ‘จงเป็น...’)
ในภาษาสเปน จะมีการลงน้ำหนักสรรพนามคำถามต่าง ๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น (‘อะไร’), (‘อันไหน’), (‘ที่ไหน’), (‘ใคร’) ทั้งที่อยู่ในประโยคคำถามตรง () และประโยคคำถามอ้อม () ส่วนคำระบุเฉพาะ () เช่น , , และอื่น ๆ จะลงน้ำหนักเมื่อใช้เป็นสรรพนาม
คำสันธาน (‘หรือ’) แต่เดิมจะเขียนโดยใส่เครื่องหมายลงน้ำหนักเมื่ออยู่ระหว่างจำนวนที่เป็นตัวเลข เพื่อไม่ให้สับสนกับเลขศูนย์ เช่น จะอ่านว่า (‘10 หรือ 20’) ไม่ใช่ (‘10,020’) จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2010 ราชบัณฑิตยสถานสเปนและสมาคมบัณฑิตยสถานภาษาสเปนได้กำหนดว่าไม่ต้องใส่เครื่องหมายลงน้ำหนักบนคำสันธานนี้แล้ว เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่พยางค์ที่ลงน้ำหนักในประโยค และในทางปฏิบัติก็ไม่พบว่าเกิดความเข้าใจสับสนระหว่างตัว กับเลขศูนย์ในบริบทนี้แต่อย่างใด
ในบางกรณี เมื่อตัวอักษร ‹u› อยู่ระหว่างพยัญชนะ ‹g› กับสระหน้า (‹e, i›) จะต้องใส่เครื่องหมายเสริมสัทอักษรกำกับเป็น ‹ü› เพื่อบอกว่าเราต้องออกเสียง u ตัวนี้ด้วย (ปกติตัว ‹u› จะทำหน้าที่กันไม่ให้ ‹g› ที่จะประกอบขึ้นเป็นพยางค์กับสระ ‹e› หรือ ‹i› ออกเสียงเป็น เราจึงไม่ออกเสียงสระ ‹u› ในตำแหน่งนี้) เช่น (‘นกกระสา’) จะออกเสียงว่า [ซี.กฺเว.ญา] แต่ถ้าสะกดว่า *cigueña จะต้องออกเสียงเป็น [ซี.เก.ญา] นอกจากนี้ เรายังอาจพบเครื่องหมายเสริมสัทอักษรดังกล่าวบนสระ ‹i› และ ‹u› ได้ในกวีนิพนธ์ต่าง ๆ เนื่องจากผู้แต่งต้องการแยกสระประสม (ซึ่งปกตินับเป็นหนึ่งพยางค์) ออกเป็นสองพยางค์ เพื่อให้มีจำนวนพยางค์ในวรรคตรงตามที่ฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์ชนิดนั้น ๆ บังคับไว้พอดี เช่น มีสองพยางค์คือ rui-do [รุยโด] แต่ มีสามพยางค์คือ ru-ï-do [รูอีโด]
นอกจากข้อยกเว้นต่าง ๆ ของแนวโน้มในการลงน้ำหนักพยางค์แล้ว ยังมีคู่เทียบเสียง () อีกเป็นจำนวนมากที่มีความแตกต่างกันในเรื่องการลงน้ำหนักพยางค์เท่านั้น เช่น (‘ผ้าปูที่นอน’) และ (‘ทุ่งหญ้าสะวันนา’) หรือ (‘เขตแดน’), (‘[ที่] เขา/เธอจำกัด’) และ (‘ฉันจำกัด’) เป็นต้น
== ไวยากรณ์ ==
ตัวอย่างการสร้างคำนามโดยใช้หน่วยคำสองชนิด คือ หน่วยคำรากศัพท์และหน่วยคำผัน (สีของโบแสดงเพศของแมว โดยสีฟ้าคือเพศผู้ และสีชมพูคือเพศเมีย)
ภาษาสเปนจะจัดอยู่ในกลุ่มภาษาวิภัตติปัจจัย () กล่าวคือ ในการสร้างประโยคหนึ่ง ๆ จะนิยมใช้การผันคำเพื่อบ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่าง ๆ ภายในประโยคนั้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะใช้การผันคำซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของภาษากลุ่มนี้แล้ว ในภาษาสเปนยังมีการใช้คำบุพบทซึ่งเป็นคำนามธรรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปได้เพื่อบ่งชี้ความสัมพันธ์ดังกล่าวอีกด้วย และเนื่องจากภาษานี้มีระบบการจำแนกรูปกรรมของสกรรมกริยา (ซึ่งจะใช้รูปการกกรรม) ให้แตกต่างจากรูปประธานทั้งของสกรรมกริยาและของอกรรมกริยา (ซึ่งจะใช้รูปการกประธานทั้งคู่) จึงจัดเป็นภาษาหนึ่งในกลุ่มภาษากรรมการก () เช่นเดียวกับภาษาส่วนใหญ่ของตระกูลอินโด-ยุโรเปียน
=== ระบบหน่วยคำ ===
==== การผันคำ ====
ตามที่กล่าวแล้วว่าภาษาสเปนเป็นภาษาวิภัตติปัจจัย คำต่าง ๆ ในภาษานี้จึงประกอบขึ้นจากการเพิ่มหน่วยคำวิภัตติปัจจัยหรือหน่วยคำผัน () เข้าไปที่รากศัพท์ () [หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหน่วยศัพท์ ()] หน่วยคำผันเป็นหน่วยคำที่ทำหน้าที่แสดงลักษณะทางไวยากรณ์ของรากศัพท์เท่านั้น ไม่ทำให้ความหมายของรากศัพท์เปลี่ยนไป โดยหน่วยคำผันสำหรับการกระจายคำกริยา ได้แก่ หน่วยคำที่แสดงมาลา () กาล () วาจก () การณ์ลักษณะ () บุรุษ () และพจน์ () เป็นต้น และหน่วยคำผันสำหรับการผันคำนาม คำสรรพนาม คำคุณศัพท์ และตัวกำหนด () ได้แก่ หน่วยคำที่แสดงเพศ () และพจน์ เป็นต้น
จากภาพทางขวามือ รากศัพท์ gat- ซึ่งมีความหมายว่าแมว เมื่อเติมหน่วยคำผันต่อท้าย รากศัพท์นี้จึงมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงแปลว่าแมวเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น หน่วยคำผันเหล่านั้นได้แก่ ' (หน่วยคำแสดงเพศชาย), ' (หน่วยคำแสดงเพศหญิง), ' (หน่วยคำแสดงพหูพจน์) และ -Ø (หน่วยคำแสดงเอกพจน์ ซึ่งแม้เราจะมองไม่เห็นแต่ก็ถือว่ามีส่วนในการแสดงความหมาย)
ชนิดของคำในภาษาสเปนที่มีรูปผันหลากหลาย ได้แก่ สรรพนามและกริยา
===== สรรพนาม =====
สรรพนามสำคัญในภาษาสเปน ได้แก่ (ฉัน), (เธอ), (คุณ), (เขา), (หล่อน), (มัน/สิ่งนั้น), (พวกเรา), (พวกเธอ), (พวกคุณ), (พวกเขา), (พวกหล่อน), (สิ่งนี้), (สิ่งนั้น), (สิ่งโน้น) เป็นต้น จะเห็นได้ว่า สรรพนามหลายตัวมีพิสัยในการใช้งานค่อนข้างแตกต่างจากสรรพนามในภาษาอังกฤษ โดยปกติแล้วบุรุษสรรพนามจะถูกละไปเนื่องจากรูปการผันของคำกริยาที่แตกต่างกันสามารถบอกให้ทราบได้อยู่แล้วว่ากำลังสื่อถึงประธานตัวใด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราพบบุรุษสรรพนามตัวใดก็ตามปรากฏในภาษาเขียนหรือแม้กระทั่งในภาษาพูด ส่วนใหญ่เป็นเพราะผู้ส่งสารต้องการเน้นสรรพนามตัวนั้นหรือกันไม่ให้ผู้รับสารสับสนจากรูปผันกริยาที่ซ้ำกันในบางกรณี
บุรุษสรรพนามสเปนผันตามพจน์ บุรุษ และการกต่าง ๆ
*รูปย่อของสรรพนาม คือ , , หรือ ส่วนรูปย่อของสรรพนาม คือ หรือ ทั้งหมดต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เสมอ
**สรรพนาม ในการกกรรมของบุพบทเป็นสรรพนามสะท้อน () เสมอ แต่จะมีรูปไม่สอดคล้องกับรูปสรรพนามเดียวกันในการกประธาน กล่าวคือ ประธาน , และ ("ตัวเขาเอง", "ตัวเธอเอง", "ตัวพวกเขาเอง") เมื่อตามหลังบุพบท , เป็นต้น ก็จะเปลี่ยนรูปเป็น , ยกเว้นตามหลังบุพบท จะเปลี่ยนรูปเป็น (ไม่เกี่ยวข้องกับการกผู้ร่วม)
***สรรพนาม ("พวกเธอ") มีที่ใช้เฉพาะในประเทศสเปนเท่านั้น ส่วนในทวีปอเมริกา รวมทั้งบางส่วนของแคว้นอันดาลูซิอาและแคว้นกานาเรียสจะใช้สรรพนาม ทั้งในความหมายว่า "พวกคุณ" และ "พวกเธอ"
===== กริยา =====
การใช้คำกริยาสเปนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนที่สุดเรื่องหนึ่งของไวยากรณ์สเปน ระบบกริยาจะแบ่งออกเป็น 14 กาลแตกต่างกัน (กาลในที่นี้เป็นคำรวมหมายถึงทั้งกาลและมาลา) ซึ่งยังแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อยได้แก่ กาลเดี่ยว () 7 กาล และกาลประสมหรือกาลสมบูรณ์ () 7 กาล โดยในกาลประสมจำเป็นต้องใช้คำกริยาช่วย ร่วมกับรูปกริยาขยายแบบอดีต ()
กริยาสเปนจะผันไปในหมวดหมู่ต่าง ๆ ซึ่งแบ่งตามลักษณะการแสดงเนื้อความของตัวกริยาเอง หมวดหมู่เหล่านั้นเรียกว่ามาลา ในภาษาสเปนได้แก่ นิเทศมาลาหรือมาลาบอกเล่า (), ปริกัลปมาลาหรือสมมุติมาลา () และอาณัติมาลาหรือมาลาคำสั่ง () ส่วนรูปกริยาไม่ระบุประธาน () ที่ตำราไวยากรณ์เก่าจัดเป็นอีกมาลาหนึ่งนั้นประกอบด้วยรูปกริยาไม่แท้ 3 รูป ซึ่งกริยาทุกตัวจะมีรูปกริยาเหล่านี้ ได้แก่ รูปกริยากลาง (), รูปกริยาเป็นนาม () และรูปกริยาขยายแบบอดีต () รูปกริยาไม่แท้ตัวหลังสุดนี้สามารถผันตามเพศและพจน์ของคำนามได้เหมือนกับคำคุณศัพท์ ดังนั้นมันจึงมีรูปผันที่เป็นไปได้อีก 4 รูป คือ เพศชาย เอกพจน์, เพศหญิง เอกพจน์, เพศชาย พหูพจน์ และเพศหญิง พหูพจน์ นอกจากนี้ยังมีรูปผันอีกรูปหนึ่งที่เรียกกันมาตั้งแต่อดีตว่า รูปกริยาขยายแบบปัจจุบัน () แต่โดยทั่วไปจะถือว่ารูปนี้เป็นคำคุณศัพท์ที่ถูกแปลงมาจากคำกริยามากกว่าจะเป็นรูปหนึ่งของคำกริยา
กริยาจำนวนมากที่ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นกริยาที่ผันแบบผิดปกติ ส่วนกริยาที่เหลือจะจัดอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มซึ่งมีรูปกริยากลางลงท้ายด้วย -ar, -er และ -ir ตามลำดับ ทั้งนี้ กริยาในแต่ละกลุ่มจะมีรูปแบบการผันแบบเดียวกัน กริยาที่ลงท้ายด้วย -ar เป็นรูปแบบที่พบได้มากที่สุด และกริยาที่เกิดขึ้นใหม่ในภาษาสเปนก็มักจะมีส่วนท้ายเป็น -ar ด้วย ส่วนกลุ่มกริยาที่ลงท้ายด้วย -er และ -ir จะมีคำกริยาในกลุ่มของตัวเองน้อยกว่าและการผันกริยามักจะมีลักษณะผิดปกติมากกว่ากริยาในกลุ่มที่ลงท้ายด้วย -ar
ในมาลาบอกเล่าจะมีกาลทั้งหมด 7 กาลซึ่งพอจะเทียบกับกาลที่มีอยู่ในภาษาอังกฤษได้บ้างไม่มากก็น้อย เช่น ปัจจุบันกาล (I walk, I do walk), อดีตกาล (-ed หรือ did), กาลไม่สมบูรณ์ (was, were, หรือ used to), กาลสมบูรณ์ (I have ), อนาคตกาล (will) และประโยคเงื่อนไข (would) เป็นต้น สิ่งที่ยากก็คือ แต่ละกาลจะมีรูปผันกริยาที่แตกต่างกันไปตามประธาน ซึ่งไวยากรณ์ภาษาอังกฤษจะง่ายกว่าในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างเช่น กริยา เมื่อผันตามปัจจุบันกาลจะมีรูปที่เป็นไปได้อยู่ 2 รูป นั่นคือ และ ขณะที่ภาษาสเปน กริยา ("กิน") ในกาลเดียวกันจะมีรูปผันที่เป็นไปได้ถึง 6 รูป
ส่วนเติมข้างท้ายของกริยาในมาลาและกาลต่าง ๆ'
=== วากยสัมพันธ์ ===
ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ของภาษาสเปนโดยรวมเป็นแบบประธาน-กริยา-กรรม มีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา มีการใช้คำบุพบท ในประโยคหนึ่ง ๆ มักจะวางคำคุณศัพท์ไว้หลังคำนาม (แต่ไม่เสมอไป) นอกจากนี้ ภาษาสเปนยังเป็นภาษาละสรรพนาม () กล่าวคือสามารถละประธานของประโยคได้เมื่อไม่จำเป็นทั้งในการสนทนาและการเขียน
== คำศัพท์ ==
คำศัพท์ภาษาสเปนที่ใช้ในชีวิตประจำวันประมาณร้อยละ 94 มีที่มาจากภาษาละติน ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติและไม่น่าแปลกใจเนื่องจากภาษานี้เป็นภาษาหนึ่งในกลุ่มภาษาโรมานซ์ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับภาษาอื่น ภาษาสเปนยังมีคำยืมจากภาษาของชนชาติต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ภาษาสเปนและบรรพบุรุษของผู้ใช้ภาษาสเปนได้เข้าไปมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วยอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลากว่าพันปี
ในภาษาสเปน ปรากฏคำศัพท์จำนวนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาของกลุ่มคนสมัยก่อนโรมันบนคาบสมุทรไอบีเรีย (ภาษาไอบีเรีย, บาสก์, เคลต์ หรือตาร์เตสโซส) เช่น ("อ้วน"), ("ซ้าย"), ("ที่ราบลุ่มระหว่างภูเขา"), ("กระต่าย")
ภาษาของชาววิซิกอท (ชนเผ่าเยอรมันที่ปกครองคาบสมุทรไอบีเรียต่อจากจักรวรรดิโรมัน) ก็มีอิทธิพลต่อคลังคำศัพท์ภาษาสเปนอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างได้แก่ ชื่อแรกเกิดทางศาสนาคริสต์ เช่น , , เป็นต้น นามสกุลที่มาจากชื่อเหล่านั้น คือ , และ คำศัพท์บางคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ("งอก/ออกดอก"), ("ชนะ"), ("ห่าน"), ("เสื้อผ้า") คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการทหาร เช่น ("หมวกเหล็กที่ใส่กับชุดเกราะ"), ("สายลับ"), ("สงคราม") เป็นต้น รวมทั้งหน่วยคำเติมหลัง -engo เช่นในคำว่า ("ของรัฐ") เป็นต้น
นอกจากนี้ การครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียเป็นเวลาเกือบ 800 ปีของชาวมุสลิมยังเปิดโอกาสให้ภาษาสเปนรับคำศัพท์จำนวนมากจากภาษาอาหรับเข้ามาใช้ โดยเฉพาะคำที่ขึ้นต้นด้วย al- แม้กระทั่งหน่วยคำเติมหลัง -í'' ที่ใช้แสดงสัญชาติของประเทศหรือดินแดนบางแห่งก็มีที่มาจากภาษานี้เช่นกัน ตัวอย่างได้แก่ ("ชาวเซวตา"), ("ชาวอิรัก"), ("ชาวอิสราเอล") เป็นต้น
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการยืมคำศัพท์ในแวดวงศิลปะจากภาษาอิตาลีมาใช้ในภาษาสเปน รวมทั้งมีการยืมคำศัพท์จากภาษาชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาอีกด้วย เช่น ภาษานาวัตล์ ภาษาอาราวัก และภาษาเกชัว เป็นต้น ซึ่งส่วนมากเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับพืช ประเพณี หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับดินแดนนั้น ได้แก่ ("มันเทศ"), ("มันฝรั่ง"), ("มันสำปะหลัง"), ("ผู้มีอำนาจในท้องถิ่น"), ("เฮอร์ริเคน"), ("โกโก้"), ("ช็อกโกแลต") เป็นต้น
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เริ่มมีความนิยมในการใช้ศัพท์สูงและสำนวนโวหารที่มีความหมายและโครงสร้างไวยากรณ์ซับซ้อน เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากงานเขียนในรูปแบบดังกล่าวของลุยส์ เด กองโกรา กวียุคบารอกของสเปน จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงมีการยืมคำศัพท์จากภาษาฝรั่งเศสมาใช้ โดยเฉพาะคำที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่น การทำอาหาร และการปกครองของชนชั้นขุนนาง เช่น ("กางเกงขายาว"), ("ซุปเคี่ยวเปื่อยแล้วกรอง"), ("ผ้าเส้นทองหรือเงิน"), ("รายการอาหาร"), ("หุ่น"), ("ภัตตาคาร"), ("โต๊ะทำงาน/คณะกรรมการบริหาร"), ("บัตรประจำตัว"), ("ชุดหรูหรา"), ("งานช่างในบ้านที่ทำได้ด้วยตัวเอง") เป็นต้น
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยังคงมีการนำคำศัพท์ใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในภาษาสเปนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคำศัพท์จากภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน แต่ก็มีคำศัพท์จากภาษาอิตาลีเข้ามาอีกครั้งเช่นกันในสาขาการทำอาหารและการดนตรี (โดยเฉพาะการแสดงอุปรากร) เช่น ("ไม้บาตอง"), ("โซปราโน"), เป็นต้น และตั้งแต่เริ่มคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คลังคำศัพท์ของภาษาสเปนได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษอย่างมากในทุกสาขา โดยเฉพาะด้านธุรกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ดนตรี และการกีฬา เช่น , , , , , , , , , เป็นต้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ราชบัณฑิตยสถานสเปนได้พยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำยืมและคำทับศัพท์โดยใช้ตัวสะกดตามภาษาต้นฉบับ แต่กำหนดให้ใช้คำแปลตรงตัวของคำที่ยืมมานั้น หรือใช้ตัวสะกดที่สอดคล้องกับอักขรวิธีดั้งเดิมของภาษาสเปนและยังออกเสียงได้ใกล้เคียงกับเสียงในภาษาต้นฉบับแทน เช่น แทน , แทน , แทน , แทน เป็นต้น แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวนั้นส่วนใหญ่จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากสังคม แต่บางคำที่เคยเสนอให้ใช้ เช่น "cadi" แทน , "best-séller" แทน , "yaz" แทน เป็นต้น กลับไม่ได้รับการยอมรับและหายไปจากพจนานุกรมในที่สุด
โดยทั่วไปในปัจจุบัน ภาษาสเปนในทวีปอเมริกา (โดยเฉพาะประเทศเม็กซิโก) มักมีการยืมคำศัพท์หรือรูปแบบโครงสร้างของคำศัพท์และสำนวนต่าง ๆ มาจากภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ภาษาสเปนในประเทศสเปน จะนิยมโครงสร้างคำศัพท์จากภาษาของประเทศเพื่อนบ้านอย่างฝรั่งเศสมากกว่า ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ภาษาสเปนบนคาบสมุทรไอบีเรียจะเรียกคอมพิวเตอร์ว่า โดยยืมรูปคำ จากภาษาฝรั่งเศสมาปรับใช้ ตรงข้ามกับผู้ใช้ภาษาสเปนในทวีปอเมริกา กล่าวคือ จะใช้คำว่า หรือ ซึ่งเป็นการดัดแปลงรูปคำของคำว่า นั่นเอง
== การแปร ==
=== สัทวิทยา ===
ภาษาสเปนที่ใช้ในภาคเหนือและภาคกลางของประเทศสเปนประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะ 19 ตัว (ตามที่กล่าวไปแล้ว) แต่ภาษาสเปนที่ใช้ในประเทศอื่น ๆ จะมีหน่วยเสียงพยัญชนะเพียง 17 หน่วยเสียง และบางแห่งมี 18 หน่วยเสียง นอกจากนี้ยังประกอบด้วยเสียงแปรอีกเป็นจำนวนมาก ความแตกต่างที่สำคัญในด้านสัทวิทยาระหว่างภาษาสเปนในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความแตกต่างเรื่องเสียงพยัญชนะนั้นมีดังต่อไปนี้
* การแทนเสียง หรือ ท้ายพยางค์ด้วยเสียง ในภาษาสเปนมาตรฐานของประเทศสเปน อาร์เจนตินา โคลอมเบีย และเม็กซิโก พยัญชนะ ‹n› ท้ายพยางค์จะออกเสียงเป็นเสียงนาสิก ปุ่มเหงือก เช่น ออกเสียง ปัน , ออกเสียง เบียน เป็นต้น แต่ในสำเนียงอื่น ๆ จะออกเสียงเป็นเสียงนาสิก เพดานอ่อน ดังนั้นคำว่า จึงออกเสียงเป็น ปัง และ ออกเสียงเป็น เบียง การออกเสียง ‹n› ท้ายพยางค์เป็นเสียงเพดานอ่อนนี้พบได้ทั่วไปในพื้นที่หลายส่วนของสเปน (กาลิเซีย เลออน อัสตูเรียส ภูมิภาคมูร์เซีย เอซเตรมาดูรา และอันดาลูซิอา) และยังเป็นลักษณะเด่นของภาษาสเปนในหลายพื้นที่ของทวีปอเมริกา ตั้งแต่ภูมิภาคแคริบเบียนทั้งหมด อเมริกากลาง พื้นที่ชายฝั่งของโคลอมเบีย เวเนซุเอลา พื้นที่ส่วนใหญ่ของเอกวาดอร์ เปรู ไปจนถึงภาคเหนือของชิลี นอกจากนี้ในเอกวาดอร์ เปรู เวเนซุเอลา (ยกเว้นแถบเทือกเขาแอนดีส) และสาธารณรัฐโดมินิกัน ไม่ว่า หรือ ที่อยู่ท้ายพยางค์และ/หรือนำหน้าพยัญชนะตัวอื่นจะออกเสียงเป็น เช่นกัน ดังนั้นคำว่า จึงออกเสียง อังเบียงตาสิย็อง ในพื้นที่ดังกล่าว
* การแทนที่เสียง ด้วยเสียง ในประเทศสเปน (ยกเว้นแคว้นกานาเรียสและแคว้นอันดาลูซิอา) จะแยกความแตกต่างระหว่างเสียง (เขียนแทนด้วย ‹z› หรือ ‹c› เมื่ออยู่หน้า ‹e› และ ‹i›) กับเสียง เช่น (‘บ้าน’) ออกเสียง , (‘การล่าสัตว์’) ออกเสียง ขณะที่ในแคว้นกานาเรียส แคว้นอันดาลูซิอา และทวีปอเมริกาจะไม่มีความแตกต่างดังกล่าว เช่น และ จะออกเสียงว่า ทั้งคู่
* การออกเสียง โดยใช้ฐานกรณ์ที่แตกต่างกัน ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาและภาคใต้ของประเทศสเปน หน่วยเสียงพยัญชนะ จะเป็นเสียงจากฐานปุ่มเหงือกกับปลายลิ้น () ขณะที่ในภาคเหนือและภาคกลางของสเปนรวมทั้งแถบเทือกเขาแอนดีสในโคลอมเบีย เปรู และโบลิเวีย จะเป็นเสียงจากฐานปุ่มเหงือกกับปลายสุดลิ้น ()
* การสูญเสียง ท้ายพยางค์ การไม่ออกเสียง ท้ายพยางค์ (คล้ายกับกระบวนการที่เกิดกับภาษาฝรั่งเศสในยุคกลาง) เป็นปรากฏการณ์ที่พบทั่วไปในพื้นที่ราบแทบทุกแห่งของประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา พื้นที่ที่ไม่เกิดปรากฏการณ์นี้ได้แก่ ประเทศเม็กซิโก (ยกเว้นพื้นที่ชายฝั่งทะเลแคริบเบียนบางแห่ง) ภาคเหนือของสเปน (แต่เริ่มจะพบมากขึ้นแล้ว) และบริเวณแนวเทือกเขาแอนดีส (โดยเฉพาะในโคลอมเบีย เอกวาดอร์ แถบชายฝั่งของเปรู และโบลิเวีย)
* การแทนเสียง ด้วยเสียง , หรือ ในอดีต ‹j› และ ‹g› (เมื่ออยู่หน้า ‹e› และ ‹i›) เคยใช้เป็นรูปพยัญชนะแทนเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ไม่ก้อง จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวสเปนกลุ่มแรกมาถึงโลกใหม่ ตำแหน่งเกิดเสียงพยัญชนะเสียงนี้จึงเริ่มเปลี่ยนจากปุ่มเหงือก-เพดานแข็งไปสู่เพดานอ่อนเป็นเสียง อย่างไรก็ตาม ในสำเนียงทางภาคใต้ของประเทศรวมทั้งสำเนียงแคริบเบียน (ซึ่งได้รับอิทธิพลจากผู้ตั้งถิ่นฐานที่มาจากภาคใต้ของสเปน) หน่วยเสียง ไม่ได้มีวิวัฒนาการเป็นเสียง แต่กลับมีวิวัฒนาการไปเป็นเสียงเสียดแทรก เส้นเสียง ไม่ก้อง แทน ทุกวันนี้การออกเสียง ‹j› และ ‹g› (เมื่ออยู่หน้า ‹e› และ ‹i›) เป็น ถือเป็นมาตรฐานสำหรับภาษาสเปนในภูมิภาคแคริบเบียน (คิวบา สาธารณรัฐโดมินิกัน และปวยร์โตรีโก) เช่นเดียวกับบนแผ่นดินใหญ่ของเวเนซุเอลา ไปจนถึงแถบชายฝั่งทะเลแคริบเบียนของเม็กซิโก เกิดเป็นเสียงสระเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่เดิม 5 ตัวในภาษาสเปนถิ่นเหนือ ดังต่อไปนี้
::::::: > เช่น (‘อีก’)
::::::: > เช่น (‘เดือน’)
::::::: > เช่น (‘ของฉัน พหูพจน์’)
::::::: > เช่น (‘ไอ’)
::::::: > เช่น (‘ของเธอ พหูพจน์’)
=== ไวยากรณ์ ===
==== การใช้สรรพนาม ====
เอลซัลวาดอร์]]
อาร์เจนตินา]]
ภาษาสเปนมีสรรพนามบุรุษที่ 2 เอกพจน์ 3 ตัว ได้แก่ , และอีกตัวหนึ่งซึ่งใช้กันแพร่หลายในทวีปอเมริกา คือ โดยทั่วไปนั้น และ เป็นสรรพนามที่ไม่เป็นทางการ (‘เธอ’) คือผู้พูดจะใช้กับเพื่อนหรือคนในครอบครัว ส่วน (‘คุณ, ท่าน’) เป็นสรรพนามที่ถือว่าเป็นทางการในทุกแห่ง โดยใช้ในทำนองแสดงความนับถือเมื่อพูดกับคนที่มีอายุมากกว่าหรือคนที่ไม่สนิท
โบเซโอ () หมายถึงการใช้ เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 เอกพจน์แทน นอกจากนี้ยังมีความหมายครอบคลุมถึงการใช้รูปผันกริยาของ กับสรรพนาม ในการกประธานอีกด้วย เช่น ภาษาสเปนในประเทศชิลี เป็นต้น
รูปกรรมตามหลังบุพบทของสรรพนาม คือ จะถูกแทนที่ด้วย เช่นกัน กล่าวคือ จะเป็นได้ทั้งรูปประธานและรูปกรรมตามหลังบุพบท ดังนั้น (‘เพื่อเธอ’) จึงกลายเป็น ส่วนรูปประสมบุพบท-สรรพนามอย่าง (‘กับเธอ’) จะกลายเป็น แต่รูปกรรมตรงและกรรมรอง ยังคงรูปเดิม ไม่เหมือนกรณี (‘พวกเธอ’) ที่ใช้รูปกรรมตรงและกรรมรอง นอกจากนี้ รูปสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของของ ก็ใช้รูปเดียวกับ คือ ‹, และ › แทนที่จะใช้ร่วมกับ เป็น ‹ และ ›
ตารางข้างล่างนี้แสดงการเปรียบเทียบรูปคำกริยาหลายตัวที่ผันกับประธาน และประธาน ส่วนแถวสุดท้ายคือรูปคำกริยาที่ผันกับประธาน ซึ่งเป็นรูปสรรพนามบุรุษที่ 2 พหูพจน์ที่ปัจจุบันใช้ในประเทศสเปนเท่านั้น รูปผันที่มีเครื่องหมายลงน้ำหนักเด่นชัดกำกับอยู่ (คือรูปผันของ และ ) และรูปกริยากลาง เมื่อออกเสียงจะลงน้ำหนักที่พยางค์สุดท้าย ส่วนรูปผันของกริยากับประธาน จะลงน้ำหนักที่พยางค์รองสุดท้าย
รูปผันกริยาทั่วไปของประธาน หมายถึงรูปผันที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปและใช้กันในหลายประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย พื้นที่หลายแห่งในโบลิเวีย เอกวาดอร์ โคลอมเบีย อเมริกากลาง ไปจนถึงรัฐทางภาคใต้ของเม็กซิโก
ในทางกลับกัน ภาษาสเปนที่ใช้กันในรัฐซูเลีย ซึ่งเป็นพื้นที่รอบทะเลสาบมาราไกโบทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวเนซุเอลา มีลักษณะเด่นคือ ในการผันกริยากับประธาน จะยังคงรักษารูปผันที่มีมาแต่เดิมเอาไว้ ซึ่งรูปผันดังกล่าวในปัจจุบันยังคงใช้ผันกับประธาน ในประเทศสเปน
รูปผันกริยาของประธาน ในภาษาสเปนของประเทศชิลียังมีความแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ แทนที่จะตัด ออกจากรูปสระประสม {{lang|es
เป็นที่น่าสังเกตว่า ลักษณะของโบเซโอสำหรับภาษาสเปนในประเทศชิลีจะเป็นการใช้ประธาน ตามด้วยรูปผันกริยาของ () คำที่ใช้กันตามปกติในสเปนอย่าง (‘เก็บ, หยิบ’) และ (‘เปลือกหอย’) กลายเป็นคำที่มีความหมายหยาบโลนในลาตินอเมริกา เพราะที่นั่น จะหมายถึง ‘มีเพศสัมพันธ์’ ส่วน หมายถึง ‘อวัยวะเพศหญิง’
ตัวอย่างอื่น ๆ ได้แก่ คำว่า ตาโก ซึ่งมีความหมายหนึ่งแปลว่า ‘คำสบถ’ ในสเปน แต่ทั่วโลกรู้จักคำนี้ในฐานะชื่ออาหารเม็กซิโกชนิดหนึ่ง คำว่า ซึ่งในปวยร์โตรีโกแปลว่า ‘กิ๊บติดผม’ ถือเป็นคำไม่สุภาพในเม็กซิโก (ความหมายทำนองเดียวกับ ‘’ ในภาษาอังกฤษ) ส่วนในเอลซัลวาดอร์ นิการากัว และคอสตาริกาแปลว่า ‘ขี้เหนียว’ คำว่า ซึ่งในสเปนหมายถึง ‘รถยนต์’ นั้น ในกัวเตมาลาจะหมายถึง ‘หมู’ หรือ ‘สกปรก’ ขณะที่ ซึ่งหมายถึง ‘รถยนต์’ ในลาตินอเมริกาบางประเทศ กลับหมายถึง ‘เกวียน’ ในประเทศอื่น ๆ รวมทั้งสเปน และคำว่า ซึ่งโดยทั่วไปแปลว่า ‘มะละกอ’ แต่ในคิวบา คำนี้เป็นสแลงแปลว่า ‘ช่องคลอด’ ดังนั้นเมื่อต้องการจะพูดถึงผลไม้จริง ๆ ชาวคิวบาจะเรียกว่า ในกัวเตมาลาและฮอนดูรัส, ในคอสตาริกา, ในสเปน, ในโคลอมเบีย, ในชิลี และ ในอาร์เจนตินา คำเหล่านี้จะใช้ในวงจำกัดกับเพื่อนที่สนิทจริง ๆ เท่านั้น เพราะค่อนข้างหยาบคายและบางคำมีความหมายดั้งเดิมในเชิงดูหมิ่น
=== หน่วยงานควบคุมการใช้ภาษา ===
ราชบัณฑิตยสถานสเปน () ร่วมกับบัณฑิตยสถานภาษาสเปนในชาติที่ใช้ภาษานี้เป็นหลักอีก 21 แห่ง (รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา) ใช้อำนาจที่มีในการสร้างมาตรฐานทางภาษาผ่านสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ทั้งพจนานุกรม ตำราไวยากรณ์ และหลักเกณฑ์การใช้ภาษา เนื่องจากอิทธิพลดังกล่าวประกอบกับเหตุผลทางสังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ จึงทำให้ภาษาสเปนมาตรฐาน () ได้รับการยอมรับอย่างเป็นวงกว้างทั้งในการผลิตงานวรรณกรรม บทความวิชาการ และสื่อหลายแขนง
== เกร็ดความรู้ ==
* ในภาษาเขียนสเปน สระที่พบบ่อยที่สุดคือ e ส่วนพยัญชนะที่พบบ่อยที่สุด คือ s
* ตำราไวยากรณ์ภาษาปัจจุบันเล่มแรกของยุโรปคือตำราไวยากรณ์สเปน เขียนโดยเอเลียว อันโตเนียว เด เนบรีคา เมื่อปี ค.ศ. 1492
* คำที่ยาวที่สุดในภาษาสเปน ได้แก่ "" (ชื่อกล้ามเนื้อคอด้านหลัง), "" (อย่างไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ), "" (ผู้เชี่ยวชาญการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง) และ " (ในทางโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา)"
* คำในภาษาสเปนที่ปรากฏสระครบทุกตัวภายในคำ ได้แก่ "" (สถาปนิก), "" (ยูคาลิปตัส), "" (ค้างคาว), "" (คุณปู่/คุณตา), "" (กล้วยไม้) และ "" (สารก่อประสาทหลอน) รวมทั้งชื่อเฉพาะอีกสี่ชื่อ ได้แก่ "" (เอาเรเลียว), "" (เอาเรเลียโน), "" (เออุสตากีโอ) และ "" (เบนุสเตียโน)
== ดูเพิ่ม ==
* การเขียนคำทับศัพท์ภาษาสเปน
* อักษรละติน
* ภาษาละติน
* ภาษากลุ่มโรมานซ์
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ข้อมูลภาษาสเปนจาก Ethnologue
* พจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถานสเปน
* Spanish phrasebook ใน Wikivoyage
* หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ภาษาสเปน เรื่อง A First Spanish Reader
* เว็บไซต์ทางการของ ¡Colorin Colorado!
* Spanish - BBC Languages
* ฝึกภาษาสเปน
* เรียนภาษาสเปน
* ช่วยเหลือเกี่ยวกับภาษาสเปน
* เรียนไวยากรณ์สเปนออนไลน์ |
1948 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศโมนาโก | ประเทศโมนาโก | ราชรัฐโมนาโก () หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โมนาโก ( มอนาโก) เป็นนครรัฐในยุโรปตะวันตก ตั้งอยู่บริเวณเฟรนช์ริวีเอราทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นประเทศเอกราชที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองของโลก มีขนาดเพียง 2.02 ตารางกิโลเมตรแต่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก ราว 19,009 คนต่อตารางกิโลเมตรในปี ค.ศ. 2018
แขวงที่มีประชากรมากที่สุดคือมงเต-การ์โล โมนาโกเป็นหนึ่งในประเทศที่ค่าครองชีพแพงและประชากรร่ำรวยที่สุดในโลก ประชากรราว 30 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดเป็นมหาเศรษฐีหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐจากการสำรวจเมื่อ ค.ศ. 2014
โมนาโกปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 แห่งราชวงศ์กรีมัลดีเป็นประมุขแห่งรัฐ ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศสและเป็นภาษาราชการ นอกจากนี้ ยังมีคนพูดภาษาถิ่นโมนาโก ภาษาอิตาลี และภาษาอังกฤษกันทั่วไป
โมนาโกได้รับการรับรองเอกราชอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโก ค.ศ. 1861 เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1993 แม้โมนาโกจะเป็นประเทศเอกราช แต่การป้องกันประเทศอยู่ในความรับผิดชอบของฝรั่งเศสโดยโมนาโกมีกองกำลังป้องกันตัวเองเพียง 2 กองทัพเท่านั้น
เศรษฐกิจของโมนาโกรุ่งเรืองอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงหลังคริสต์ศตวรษที่ 19 หลังจากการเปิดบ่อนกาสิโนแห่งแรกในมงเต-การ์โล และมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมกับกรุงปารีส อากาศที่อบอุ่น ทิวทัศน์ที่สวยงาม และแหล่งบันเทิงสำหรับนักพนันได้ถึงดูดเม็ดเงินมหาศาลจากนักท่องเที่ยว สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ
ปัจจุบันโมนาโกกลายเป็นศูนย์กลางด้านธนาคารและหันมาเน้นการดำเนินเศรษฐกิจภาคบริการและอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ไม่สร้างมลภาวะ และมีมูลค่าเพิ่มสูง โมนาโกมีชื่อเสียงจากการเป็นดินแดนภาษีต่ำ ไม่เก็บภาษีรายได้ มีภาษีธุรกิจที่ต่ำ และยังเป็นหนึ่งในสถานที่จัดแข่งขันรถสูตรหนึ่ง เป็นบ้านเกิดของชาร์ล เลอแคร์ นักแข่งของทีมสกูเดเรียแฟร์รารี นอกจากนี้ สโมสรฟุตบอลอาแอ็ส มอนาโกที่แข่งขันอยู่ในลีกเอิงฝรั่งเศสก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ครองแชมป์ลีกสูงสุดได้หลายครั้ง
โมนาโกไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ แต่ปรับใช้นโยบายของสหภาพยุโรปบางประการเช่นเรื่องศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมือง โมนาโกใช้เงินสกุลยูโร เข้าร่วมสภายุโรปเมื่อปี ค.ศ. 2004 และเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส
== ประวัติศาสตร์ ==
ชื่อของโมนาโกปรากฏขึ้นตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสตกาลในชื่อ โมโนอิกอส (Monoikos) มาจากการประสบคำว่า โมนอส (monos) ที่หมายถึง โดดเดี่ยว และ โออิกอส (oikos) ซึ่งหมายถึงบ้าน รวมแล้ว มีความหมายถึง บ้านโดดเดี่ยว น่าจะสื่อถึงวิธีการอยู่อาศัยของชาวพื้นเมืองในสมัยนั้นที่อาศัยอยู่เป็นบ้านโดดเดี่ยวแยกกันกับเพื่อนบ้าน
=== ยุคกลาง ===
โมนาโก เป็นอาณานิคมหนึ่งของสาธารณรัฐเจนัวเมื่อ ค.ศ. 1215 ต่อมาในปี ค.ศ. 1297 ฟร็องซัว กรีมัลดี เจ้าที่ดินในจากเจนัวยุคศักดินาบุกเข้ายึดป้อมปราการโมนาโกบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยการปลอมตัวเป็นบาทหลวง แล้วนำกองกำลังขนาดย่อมเข้าไปในดินแดนแห่งนั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการครอบครองอาณาจักรโมนาโกของตระกูลกรีมัลดีตั้งแต่นั้นมา
ตระกูลกรีมัลดีครองโมนาโกอยู่ได้เพียงสี่ปี ก็ถูกขับกองทัพเจนัวออกจากดินแดนนั้นไป ชาร์ลส์ กรีมัลดี หวนกลับมาครอบครองดินแดนโมนาโกได้อีกในปี ค.ศ. 1331 แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นลอร์ดแห่งโมนาโกและขยายดินแดนออกไปยังเมืองม็องตงและโรเกอบรูน และสร้างโมนาโกจนยิ่งใหญ่ กลายเป็นเมืองท่าสำคัญ สำหรับการค้าและฐานทัพเรือสำคัญของยุโรป
หลังจากนั้นได้มีการสืบทอดตำแหน่งลอร์ดแห่งโมนาโกเรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ. 1489 พระเจ้าชาร์ลที่ 4 แห่งฝรั่งเศส และดุ๊กแห่งซาวอยจึงได้ทรงรับรองความเป็นเอกราชของโมนาโก ต่อมาในปี ค.ศ. 1512 พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศสก็ทรงรับรองการเป็นพันธมิตรถาวรระหว่างโมนาโกกับฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงยุคการปกครองของลอร์ดออกุสติน โมนาโกกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางในราชสำนักฝรั่งเศส ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง จนกระทั่งจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มีพระบัญชาให้โมนาโกอยู่ภายใต้อารักขาของสเปนการปกครองโดยลอร์ดแห่งโมนาโกดำเนินเรื่อยมา จนถึงช่วงศตวรรษที่ 15 เมื่อจอห์น กรีมัลดี ลอร์ดแห่งโมนาโกได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการสืบสันตติวงศ์ขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในการสืบราชสมบัติของโมนาโก
เจ้าผู้ครองนครยุคแรกนั้น ยังใช้ฐานันดรศักดิ์ว่า ลอร์ด มาจนถึงกระทั่งปี ค.ศ. 1612 ลอร์ดโอโนเร่ที่ 2 แห่งกรีมัลดี ลอร์ดแห่งโมนาโกจึงได้เปลี่ยนชื่อฐานันดรศักดิ์เป็น เจ้าชาย แห่งโมนาโก เพื่อให้มีวินัยถึงการเป็นรัฐและอิสรภาพ ซึ่งได้รับการยอมรับจากฝรั่งเศสและสเปน เนื่องจากขณะนั้นโมนาโกยังอยู่ในอารักขาของสเปน
เจ้าชายโอโนเร่ที่ 2 กรีมัลดี ยังดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับประเทศฝรั่งเศส จนพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 หลุยส์ อิบโปลิบเตแห่งฝรั่งเศส ยอมลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการช่วยเหลือและป้องกันการรุกรานจากฝรั่งเศส ถือเป็นการยืนยันและยอมรับความเป็นเอกราชของโมนาโก ไม่ขึ้นตรงต่อฝรั่งเศสอีกต่อไป แต่สเปนยังไม่ยินยอม เป็นเหตุให้เจ้าชายพระองค์นี้ ทรงประกาศสงครามกับสเปนและได้รับชัยชนะเป็นอิสระจากสเปน ในปี ค.ศ. 1641
อย่างไรก็ตามการสืบสันตติวงศ์นี้ ขาดช่วงลงเมื่อเจ้าชายอังตวนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1731 โดยไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดาเท่านั้น แต่พระธิดาองค์โต หลุยส์ อิบโปลิบเต ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ ยากส์ ฟร็องซัวร์ เลโอเนอร์ เดอ มาติยง ทายาทตระกูลขุนนางแห่งแคว้นนอร์ม็องดี ในปี ค.ศ. 1715 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาให้เป็นเจ้าชายแห่งโมนาโก ทรงพระนามว่า เจ้าชาย ยากส์ที่ 1
=== คริสต์ศตวรรษที่ 19 ===
กองทัพปฏิวัติของฝรั่งเศสเข้ายึดโมนาโกเมื่อปี ค.ศ. 1793 ตกเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศสจนถึงปี ค.ศ. 1814 เมื่อจักรพรรดินโปเลียนแพ้สงคราม ราชวงศ์กรีมัลดีกลับคืนสู่ราชบัลลังก์ มติจากการประชุมใหญ่แห่งเวียนนากำหนดให้โมนาโกอยู่ภายใต้การอารักขาของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย ในช่วงนี้ ชาวเมืองม็องตงและโรเกอบรูน-กัป-มาร์แต็งที่อยู่ภายใต้ตระกูลกรีมัลดีมานาน 500 ปีไม่พอใจที่ถูกเก็บภาษีอย่างหนัก จึงได้ประกาศอิสรภาพจากโมนาโก หวังจะรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซาร์ดิเนีย แต่ฝรั่งเศสไม่เห็นด้วย
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1860 ซาร์ดิเนียถูกบีบให้คืนโมนาโก เคาน์ตีนิสที่อยู่รอบโมนาโก (และดัชชีซาวอย) ให้กับฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาตูริน โมนาโกจึงอยู่ภายใต้การอารักขาของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง ฝรั่งเศสเข้ายึดครองม็องตงและโรเกอบรูน-กัป-มาร์แต็งแลกกับการไม่ต้องจ่ายค่าปรับนับสี่ล้านฟรังก์ เหตุการณ์นี้นำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโก เมื่อปี ค.ศ. 1861 รับรองเอกราชของโมนาโกอย่างเป็นทางการ ดินแดนที่เสียไปนี้คิดเป็นร้อยละ 95 ของอาณาเขตเดิม ทำให้โมนาโกสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล เจ้าชายชาร์ลที่ 3 แห่งโมนาโกและพระมารดาจึงได้ตั้งบ่อนกาสิโนขึ้น โดยใช้ชื่อว่า มงเต-การ์โล (Monte Carlo) มีความหมายว่า ภูเขาชาร์ลส์ ซึ่งมาจากพระนามของเจ้าชายนั่นเอง ธุรกิจกาสิโนประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นแหล่งดึงดูดเม็ดเงินจากมหาเศรษฐีที่หวังจะมาใช้เงินและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ความสำเร็จนี้ทำให้โมนาโกยกเลิกการเก็บภาษีจากประชาชนนปี ค.ศ. 1869
=== คริสต์ศตวรรษที่ 20 ===
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Prince_Rainier_III_and_Princess_Grace.jpg|การสมรสระหว่าง[[เจ้าชายแรนีเยที่ 3 เจ้าผู้ครองโมนาโก|เจ้าชายแรนีเยที่ 3 กับเกรซ เคลลี กลายเป็นข่าวที่ทำให้ราชรัฐโมนาโกได้รับความสนใจทั่วโลก]]
ราชวงศ์กรีมัลดีปกครองโมนาโกในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึง ค.ศ. 1910 จึงเกิดการปฏิวัติโมนาโกขึ้น มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในปีต่อมาและได้จำกัดอำนาจการบริหารของราชวงศ์ลง ต่อมาในปี ค.ศ. 1918 มีการลงนามในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโกขึ้นอีกครั้งระบุให้ฝรั่งเศสให้ความคุ้มครองทางทหารแก่โมนาโก ท่าทีระหว่างประเทศของโมนาโกขึ้นกับผลประโยชน์ทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม โมนาโกถูกกองทัพอิตาลีเข้ายึดครองในสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อด้วยการยึดครองของพรรคนาซีเยอรมนี และได้รับอิสรภาพในเวลาต่อมา
ปี ค.ศ. 1949 เจ้าชายเรนิเยที่ 3 ขึ้นครองราชย์ต่อจากเจ้าชายหลุยส์ที่ 2 ทรงเป็นประมุขแห่งโมนาโกที่ทำให้ราชวงศ์โมนาโกกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เพราะการเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับดาราภาพยนตร์สาวชาวอเมริกัน เกรซ เคลลี เมื่อปี ค.ศ. 1956
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1962 โมนาโกยกเลิกโทษประหารชีวิต ให้สิทธิสตรีในการเลือกตั้ง และก่อตั้งศาลสูสุดแห่งโมนาโกเพื่อรับรองเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน โมนาโกเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1993 โดยมีสิทธิออกเสียงเต็ม
=== คริสต์ศตวรรษที่ 21 ===
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Vista_de_M%C3%B3naco,_2016-06-23,_DD_13.jpg|โมนาโก ในปี ค.ศ. 2016
สนธิสัญญาฉบับใหม่ระหว่างฝรั่งเศสกับโมนาโกที่ลงนามเมื่อ ค.ศ. 2002 ระบุว่า หากราชวงศ์กรีมัลดีไม่มีทายาทสืบราชสันตติวงศ์ ราชรัฐจะยังคงเป็นอิสระแทนที่จะรวมกับฝรั่งเศส แต่การป้องกันประเทศยังเป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝรั่งเศสอยู่
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2005 เจ้าชายเรนิเยที่ 3 ทรงมีพระชนมายุมากเกินกว่าจะบริหารราชการแผ่นดินได้ จึงทรงสละราชสมบัติให้กับเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 พระราชโอรสพระองค์เดียว หกวันต่อมา เจ้าชายเรนิเยที่ 3 เสด็จสวรรคตหลังครองราชบังลังก์นานถึง 56 ปี ทรงเป็นประมุขที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโมนาโก เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าชายแห่งราชรัฐโมนาโก โดยมีการสวมมงกุฎอย่างเป็นทางการวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 หลังพ้นช่วงไว้ทุกข์
ในปี ค.ศ. 2015 โมนาโกมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มีการขยายดินแดนด้วยการระบายน้ำทะเลออก เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบ้านและพื้นที่สีเขียวในบางพื้นที่ วางงบประมาณไว้ 1 พันล้านยูโรและตั้งเป้าจะสร้างอพาร์ทเมนต์ สวนสาธารณะ ร้านค้า และสำนักงานในพื้นที่ 6 เฮกเตอร์ใกล้กับแขวงลาร์วอโต
==การเมืองการปกครอง==
=== การเมืองการปกครอง ===
โมนาโกปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ ค.ศ. 1912 มีเจ้าผู้ครองเป็นประมุขแห่งรัฐ (พระองค์ปัจจุบันคือ เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2) หัวหน้ารัฐบาลของโมนาโกคือมนตรีแห่งรัฐ (''Ministre d'Etat) แต่งตั้งโดยเจ้าผู้ครอง เป็นผู้นำของคณะที่ปรึกษารัฐบาล
คณะที่ปรึกษารัฐบาล ประกอบด้วย ที่ปรึกษารัฐบาล 5 คน ดูแล 5 กรม (Département) ได้แก่
* กรมมหาดไทย (Département de l'Intérieur)
* กรมการคลังและเศรษฐกิจ (Département des Finances et de l'Economie)
* กรมการสังคมและสาธารณสุข (Département des Affaires Sociales et de la Santé)
* กรมการพัสดุ สิ่งแวดล้อม และผังเมือง (Département de l'Equipement, de l'Environnement et de l'Urbanisme)
* กรมการต่างประเทศ (Département des Relations Extérieures)
อำนาจนิติบัญญัติของราชรัฐ อยู่ที่พระประมุขและคณะกรรมการแห่งชาติ (Conseil National) กรมการตุลาการ (Direction des Services Judiciaires) มีลักษณะใกล้เคียงกับกระทรวงยุติธรรม ดูแลกิจการศาล โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร โดยตัดสินคดีในพระนามของประมุข กองตำรวจยังมีหน่วยพิเศษไว้ลาดตระเวนทางน้ำอีกด้วย
กองทัพบกของโมนาโกมีขนาดเล็ก มีทั้งหมดสองกอง กองหนึ่งมีหน้าที่ถวายความปลอดภัยต่อเจ้าชายและพระราชวังโมนาโก-วิลล์ เรียกว่า บรรษัทกองไรเฟิลในพระองค์ (Compagnie des Carabiniers du Prince) นอกจากนี้ยังมีกองทหารติดอาวุธขนาดเล็ก (Sapeurs-Pompiers) รักษาความมั่นคงสำหรับพลเรือน
== ภูมิศาสตร์ ==
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Monaco_satellite_map.png|ภาพถ่ายทางดาวเทียมของโมนาโก แสดงพรมแดนที่ติดกับฝรั่งเศส
โมนาโกเป็นรัฐเอกราช ประกอบไปด้วย 5 กาติเยร์ (quartiers) และ 10 แขวง (ward) ตั้งอยู่ในบริเวณเฟรนช์ริวีเอราทางยุโรปตะวันตก มีชายแดนติดกับฝรั่งเศสทั้งสามด้วย และอีกด้านหนึ่งติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จุดกึ่งกลางประเทศอยู่ห่างจากชายแดนอิตาลี 16 กิโลเมตร และห่างจากเมืองนิสของฝรั่งเศส 13 กิโลเมตร
โมนาโกมีพื้นที่ 2.02 ตารางกิโลเมตร มีประชากรอยู่อาศัย 38,400 คน และพรมแดนทางชายฝั่งยาว 3.83 กิโลเมตร มีน่านน้ำกว้างออกไปในทะเลอีก 22 กิโลเมตร
จุดที่สูงสุดของประเทศคือ เชอแมงเดอเรวัวร์ส ในแขวงเลอเรวัวร์ส สูงจากระดับน้ำทะเล 164.4 เมตร ส่วนจุดที่ต่ำที่สุดของประเทศคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เบลล์เอป็อกที่ได้รับความนิยมช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในแขวงมงเต-การ์โล กาสิโนและโรงโอเปราแห่งมงเต-การ์โลเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของศิลปะประเภทนี้ สร้างขึ้นโดยชาร์ล กานิเยร์และฌูลส์ ดูตรู มีการตกแต่งหอคอย ระเบียง ยอดแหลมของอาคาร เซรามิกหลากสี และรูปปั้นประดับเสา สิ่งประดับต่าง ๆ ผสมเข้ากันอย่างลงตัว สร้างความประทับใจ ความรู้สึกหรูหรา โอ่โถง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโมนาโก ศิลปะแบบฝรั่งเศส อิตาลี และสเปนเข้ามามีอิทธิพลกับการสร้างคฤหาสน์และอพาร์ทเมนต์ ในรัชสมัยของเจ้าชายเรนิเยที่ 3 มีกฎหมายห้ามสร้างอาคารสูงภายในราชรัฐ แต่ในรัชสมัยต่อมาของเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 มีการยกเลิกกฎนี้ ผลที่เกิดขึ้นคือมีการรื้อถอนมรดกทางสถาปัตยกรรมมากมายเพื่อสร้างตึกสูง ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้
== เศรษฐกิจ ==
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Monaco004.jpg|[[ฟงวีแยย์กับท่าเรือแห่งใหม่]]
โมนาโกมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว 153,177 ดอลลาร์สหรัฐสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก อัตราการว่างงานมีเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ แรงงาน 48,000 ชีวิตเดินทางข้ามมาจากฝรั่งเศสและอิตาลีทุก ๆ วัน โมนาโกเป็นประเทศที่มีอัตราความยากจนต่ำที่สุดในโลก มีจำนวนมหาเศรษฐีเงินล้านและระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก มีตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 2012 ที่ดินมีราคาถึง 58,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตร
แหล่งรายได้สำคัญของโมนาโกคือการท่องเที่ยว ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเดิมพันในกาสิโนและพักผ่อนในสภาพอากาศที่อุ่นสบายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางธนาคารที่ใหญ่ มีเงินหมุนเวียนถึง 100 พันล้านยูโร ธนาคารในโมนาโกเน้นการให้บริการลูกค้ารายใหญ่และบริการจัดการทรัพย์สินและความมั่งคั่ง ราชรัฐยังหวังจะขยายภาคเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก ไม่สร้างมลพิษ และมีมูลค่าสูง เช่นอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
รัฐบาลยังคงผูกขาดการค้าในหลายภาคส่วน เช่น บุหรี่และไปรษณีย์ เครือข่ายโทรคมนาคมเคยเป็นของรัฐแต่ปัจจุบันรัฐถือครองหุ้นส่วนเพียง 45 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัท Cable & Wireless Communications 49 เปอร์เซ็นต์ และธนาคาร Compagnie Monégasque de Banque อีก 6 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเป็นเครือข่ายเดียวที่ให้บริการในประเทศ
มาตรฐานการครองชีพของโมนาโกนับว่าสูงเทียบเท่ากับเมืองใหญ่ของฝรั่งเศส ปัจจุบันโมนาโกไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่มีระบบศุลกากรร่วมกับฝรั่งเศส ใช้เงินสกุลยูโรเช่นเดียวกับฝรั่งเศส
==ประชากรศาสตร์==
===ประชากร===
ประเทศโมนาโกมีจำนวนประชากรประมาณ 38,400 คนในปี ค.ศ. 2015 และองค์การสหประชาชาติประเมินว่ามีประชากร 36,297 คน ณ วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2023ประชากรของโมนาโกไม่ปกติตรงที่ชาวโมนาโกพื้นเมืองเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศของตน โดยประชากรส่วนใหญ่คือชาวฝรั่งเศสร้อยละ 28.4 รองลงมาคือโมนาโกร้อยละ 21.6 อิตาลีร้อยละ 18.7 อังกฤษร้อยละ 7.5 เบลเยียมร้อนละ 2.8 เยอรมันร้อยละ 2.5 สวิสร้อยละ 2.5 และอเมริกันร้อยละ 1.2 จากการค้นคว้าในปี 2019 พบว่ามีเศรษฐีมากถึง 12,248 คนในประเทศโมนาโก คิดเป็นร้อยละ 31 ของประชากรทั้งหมด
พลเมืองของโมนาโก ไม่ว่าจะเกิดในประเทศหรือโดยสัญชาติ จะถูกเรียกว่า Monégasque และประชากรโมนาโกมีอายุขัยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลกประมาณ 90 ปี
=== ภาษา ===
ป้ายตามถนนที่มีการพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสและโมนาโกในแขวง[[มอนาโก-วีล]]
ภาษาหลักและภาษาราชการของโมนาโกคือภาษาฝรั่งเศส ในขณะที่ภาษาอิตาลีมีการใช้พูดโดยชุมชนขนาดใหญ่ของชาวอิตาลี ภาษาถิ่นโมนาโกซึ่งเป็นภาษาพื้นถิ่นทางประวัติศาสตร์แต่กลับเป็นภาษาที่มีการใช้กันน้อยกว่าภาษาฝรั่งเศสและอิตาลีและไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาราชการ อย่างไรก็ตาม ป้ายบางป้ายปรากฏทั้งภาษาฝรั่งเศสและโมนาโก และมีการสอนภาษานี้ในโรงเรียนรวมถึงภาษาอังกฤษ
ภาษาอิตาลีเคยเป็นภาษาราชการของประเทศโมนาโกจนกระทั่งในปี 1860 มีการใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการแทน เนื่องจากมีการผนวกเทศมณฑลนีซที่อยู่โดยรอบของประเทศโมนาโกเข้ากับฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาตูริน (ค.ศ. 1870)
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์ทางการของสำนักพระราชวังโมนาโก
* เว็บไซต์ทางการของรัฐบาลโมนาโก
* Chief of State and Cabinet Members
* Monaco Statistics Pocket - Edition 2014
; ข้อมูลทั่วไป
* Monaco. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* Monaco from UCB Libraries GovPubs''
* Monaco from the BBC News
* MonacoDailyNews - Latest Daily News English-language Monaco news source and publisher of daily newsletter Good Morning Monaco.
* Monaco information about Monaco
* History of Monaco: Primary documents
* Google Earth view
; การท่องเที่ยว
* เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยว
* Order of the doctors of Monaco
* Monacolife.net English news portal
* The Monaco Times - a regular feature in The Riviera Times is the English language newspaper for the French - Italian Riviera and the Principality of Monaco provides monthly local news and information about the business, art and culture, people and lifestyle, events and also the real estate market.
* Monaco-IQ Monaco information and news aggregator |
1949 | https://th.wikipedia.org/wiki/กรมปศุสัตว์ | กรมปศุสัตว์ | กรมปศุสัตว์ () เป็นหน่วยงานราชการไทย ประเภทกรม สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมการเลี้ยงสัตว์ ทั้งด้านสุขภาพ การบำบัดโรค การบำรุงพันธุ์ การควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ สถานพยาบาลสัตว์ โรคระบาดสัตว์ การปศุสัตว์ ไปจนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสัตว์
== ประวัติ ==
ในปี พ.ศ. 2447 ได้มีการเริ่มกิจการทางสาขาสัตวแพทย์ขึ้นใน "กรมช่างไหม" กระทรวงเกษตราธิการในสมัยนั้น โดยได้มีการเปิดสอนวิชาสัตวแพทย์ขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 กรมช่างไหมได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมเพาะปลูก" ซึ่งได้มีการจัดตั้งกิจการผสมสัตว์ และกิจการแผนกรักษาสัตว์ขึ้นในกรม
ในปี พ.ศ. 2474 ได้โอนกรมเพาะปลูกไปร่วมกิจการของกองตรวจพันธุ์รุกขชาติ โดยจัดตั้งขึ้นเป็น "กรมตรวจกสิกรรม" สังกัดกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475 ได้แยกกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมออกเป็นกระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรพาณิชย์ซึ่งต่อมากระทรวงเกษตรพาณิชย์ได้เปลี่ยนเป็นกระทรวงเศรษฐการ และในส่วนกรมตรวจกสิกรรมได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมเกษตร" ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมเกษตรและการประมง"
จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2495 "กรมปศุสัตว์และสัตว์พาหนะ" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมการปศุสัตว์" สังกัดกระทรวงเกษตร (เปลี่ยนชื่อจากกระทรวงเกษตราธิการ) และในปลายปี พ.ศ. 2495 ได้ย้ายที่ตั้งกรมจากข้างป้อมพระสุเมรุ ถนนพระอาทิตย์ มาอยู่ ณ สถานที่ปัจจุบัน ถนนพญาไท แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ และในปีถัดมาคือในวันที่ 26 ธันวาคม 2496 กรมการปศุสัตว์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมปศุสัตว์" ดังเช่นในปัจจุบัน
== อำนาจและหน้าที่ ==
# ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ กฎหมายว่าด้วยการบำรุงพันธุ์สัตว์ กฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ กฎหมายว่าด้วยสถาน พยาบาลสัตว์ กฎหมายว่าด้วยโรคพิษสุนัขบ้า และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
# ดำเนินการผลิตและจัดหาชีวภัณฑ์และเวชภัณฑ์ เพื่อใช้ในการป้องกันและกำจัดโรคสัตว์ ตลอดจนผลิตและจัดหาน้ำเชื้อเพื่อใช้ในการผสมเทียม
# ดำเนินการด้านปรับปรุงและขยายพันธุ์สัตว์ ด้านสุขภาพสัตว์ และด้านบำบัดโรคสัตว์ ตลอดจนการแปรรูปเนื้อสัตว์เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
# ส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเลี้ยงสัตว์ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
# ควบคุมคุณภาพเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ และผลิตผลจากสัตว์เพื่อให้ได้มาตรฐานสากล
# ปฏิบัติงานอื่นใด ตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมหรือตามที่กระทรวงหรือ คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
== หน่วยงานในสังกัด ==
* สำนักงานเลขานุการกรม
* กองการเจ้าหน้าที่
* กองความร่วมมือด้านการปศุสัตว์ระหว่างประเทศ
* กองแผนงาน
* กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์
* ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
* สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ
* สำนักกฎหมาย
* สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์
* สำนักตรวจสอบคุณภาพสินค้าปศุสัตว์
* สำนักเทคโนโลยีชีวภัณฑ์สัตว์
* สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์
* สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์
* สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์
* สำนักพัฒนาอาหารสัตว์
* กองควบคุมอาหารและยาสัตว์
* กองสารวัตรและกักกัน
* กองงานพระราชดำริและกิจกรรมพิเศษ
* กลุ่มพัฒนาวิชาการ
* กลุ่มพัฒนาระบบริหาร
* กลุ่มตรวจสอบภายใน
* สำนักงานปศุสัตว์พื้นที่กรุงเทพมหานคร
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 1
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 2
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 3
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 4
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 5
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 6
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 7
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 8
* สำนักงานปศุสัตว์เขต 9
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* กรมปศุสัตว์
* กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๙)
หมวดหมู่:หน่วยงานของรัฐบาลไทยในเขตราชเทวี
หมวดหมู่:องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2485 |
1953 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศพม่า | ประเทศพม่า | พม่า หรือ เมียนมา (, ) มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า หรือ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (, ) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกับ ประเทศอินเดีย และ ประเทศบังกลาเทศทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดประเทศจีนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดประเทศลาว และ ประเทศไทยทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้และเชื่อมกับทะเลอันดามัน และอ่าวเบงกอลทางทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ ด้วยพื้นที่ 676,578 ตารางกิโลเมตร พม่าจึงเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 39 ของโลก เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรอินโดจีน มีประชากรราว 55 ล้านคน เมืองหลวงคือกรุงเนปยีดอ และนครใหญ่สุดคือย่างกุ้ง
อารยธรรมช่วงต้นของพม่ามีนครรัฐปยูที่พูดภาษาตระกูลทิเบต-พม่าในพม่าตอนบน และราชอาณาจักรมอญในพม่าตอนล่าง ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ชาวพม่าได้เข้าครอบครองบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีตอนบน และสถาปนาราชอาณาจักรพุกามในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1050 ภาษาและวัฒนธรรมพม่าพร้อมด้วยศาสนาพุทธนิกายเถรวาทค่อย ๆ ครอบงำในประเทศ อาณาจักรพุกามล่มสลายเพราะการบุกครองของมองโกลและรัฐหลายรัฐกำเนิดขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ราชวงศ์ตองอูสร้างเอกภาพอีกครั้ง และเป็นจักรวรรรดิใหญ่สุดในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงสั้น ๆ ต่อมา ในต้นศตวรรษที่ 19 ราชวงศ์โก้นบองได้ปกครองพื้นที่พม่าและควบคุมมณีปุระและอัสสัมในช่วงสั้น ๆ ด้วย บริติชพิชิตพม่าหลังสงครามอังกฤษ-พม่าทั้งสามครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และประเทศกลายเป็นอาณานิคมบริติช ก่อนจะได้รับเอกราชในปี 2491 โดยในช่วงช่วงแรกมีการปกครองแบบชาติประชาธิปไตย และหลังรัฐประหารใน พ.ศ. 2505 พม่าอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร พรรคโครงการสังคมนิยมพม่าโดยนายพลเนวี่นมีบทบาทนำในการปกครองประเทศ การก่อการกำเริบ 8888 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองของประเทศ แม้กองทัพจะยังมีบทบาทสำคัญจนถึงปัจจุบัน
พม่าต้องเผชิญกับการต่อสู้ชาติพันธุ์ที่รุนแรงมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 นำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ยังดำเนินอยู่ยาวนานที่สุดสงครามหนึ่งของโลก สหประชาชาติและอีกหลายองค์การรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศอย่างต่อเนื่อง ในปี 2554 มีการยุบคณะทหารผู้ยึดอำนาจการปกครองหลังการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2553 และมีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือน แต่อดีตผู้นำทหารยังมีอำนาจภายในประเทศโดยผู้นำพรรคการเมืองส่วนใหญ่ยังเป็นอดีตนายทหารระดับสูง กองทัพพม่าดำเนินการสละการควบคุมรัฐบาล รวมถึงการปล่อยตัวอองซานซูจีและนักโทษทางการเมือง มีการปรับปรุงสิทธิมนุษยชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนนำไปสู่การผ่อนปรนการลงโทษทางการค้าและเศรษฐกิจอื่น ๆ ทว่ายังมีการวิจารณ์การปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยโรฮีนจาของรัฐบาลและการสนองต่อการปะทะกันทางศาสนาซึ่งยังเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้ว่านางซูจีจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2563 ทว่ากองทัพพม่าได้ก่อรัฐประหารอีกครั้งในปี 2564 รัฐบาลทหารได้จับกุมและตั้งข้อหาทางอาญานางซูจีอีกครั้งในความผิดฐานทุจริตและฝ่าฝืนกฎระเบียบในช่วงโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ได้มีการตั้งข้อสังเกตจากนานาชาติว่าการตั้งข้อหาดังกล่าวล้วนเกิดจากเหตุจูงใจทางการเมือง การรัฐประหารครั้งล่าสุดยังนำไปสู่การประท้วงใน พ.ศ. 2564-2565 และลุกลามกลายเป็นสงครามกลางเมือง
พม่าเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และบิมสเทค แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติ แม้จะเคยอยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิบริติช และถือเป็นคู่ค้าสำคัญขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ พม่าอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะหยก อัญมณี น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และทรัพยากรแร่ อีกทั้งยังขึ้นชื่อในด้านพลังงานทดแทน และมีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์สูงสุดในบรรดากลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ในปี 2556 จีดีพี (ราคาตลาด) อยู่ที่ 56,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้ออยู่ที่ 221,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากภาคเศรษฐกิจส่วนใหญ่ถูกผู้สนับสนุนอดีตรัฐบาลทหารควบคุม พม่ายังมีอัตราการพัฒนามนุษย์ต่ำโดยอยู่อันดับที่ 147 จาก 189 ประเทศจากดัชนีการพัฒนามนุษย์ในปี 2563 และได้รับการจัดอันดับในฐานะหนึ่งในประเทศพัฒนาน้อยที่สุด จากการรายงานโดยข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ พบว่าประชากรอย่างน้อย 1.3 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นนับตั้งแต่มีการรัฐประหาร และกว่าสามล้านคนกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ ณ เดือนธันวาคม 2567
== นิรุกติศาสตร์ ==
ชื่อประเทศของพม่าทั้ง Myanmar และ Burma เป็นที่ถกเถียงกันมาหลายทศวรรษ โดยทั้งสองชื่อต่างก็ได้รับความนิยมทั้งในบริบททางการรวมถึงการใช้ทั่วไป ทั้งสองคำมาจากการแผลงคำในภาษาพม่า Mranma และ Mramma ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในพม่ามายาวนาน และหลักฐานบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าชื่อทั้งสองมีที่มาจากภาษาสันสกฤต Brahma Desha (ब्रह्मादेश/ब्रह्मावर्त) ซึ่งสื่อถึงพระพรหม
ในปี 2532 รัฐบาลทหารได้มีมติให้ใช้ชื่อประเทศในภาษาอังกฤษว่า Myanmar รวมถึงให้ใช้ชื่อนี้ในการอ้างถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยย้อนไปตั้งแต่ยุคการปกครองของสหราชอาณาจักร แต่ชื่อดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก โดยกลุ่มชาติพันธุ์ภายในประเทศรวมถึงชาติอื่น ๆ ที่ต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการทหารของพม่ายังคงใช้ชื่อ Burma ต่อ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและผู้นำประเทศได้ใช้ชื่อ Myanmar เพื่อแทนตัวเองในการติดต่อกับต่างชาติทุกโอกาสมานับตั้งแต่นั้น
ในเดือนเมษายน 2559 ไม่นานหลังการเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐ อองซานซูจีได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวโดยเธอกล่าวว่า "ขึ้นอยู่กับแต่ละคน เนื่องจากไม่มีการบัญญัติอย่างตายตัวในรัฐธรรมนูญของประเทศเราที่ระบุว่าต้องใช้ชื่อใดระหว่างสองชื่อนี้" เธอยังกล่าวอีกว่า "ฉันมักจะใช้ชื่อ Burma เพราะความเคยชิน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องทำเช่นนั้น และฉันยินดีที่จะใช้คำว่า Myanmar ให้บ่อยขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสบายใจ"
ชื่อเต็มของประเทศคือ "สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา" (ပြည်ထောင်စုသမ္မတ မြန်မာနိုင်ငံတော်, Pyihtaungsu Thamada Myanma Naingngantaw, อ่านว่า [pjìdàʊɴzṵ θàɴməda̰ mjəmà nàɪɴŋàɴdɔ̀]) หรือที่บางประเทศเรียกอย่างย่อว่า "สหภาพพม่า" (Union of Burma) เชื่อกันว่ามีที่มาตั้งแต่สมัยพม่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และแม้ว่ารัฐบาลพม่าจะใช้ชื่อ Myanmar เป็นหลัก แต่รัฐบาลของชาติตะวันตกหลายประเทศ เช่น สหรัฐ ยังนิยมเรียกประเทศพม่าว่า Burma ในปัจจุบัน โดยในเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐใช้คำว่า Burma และมีการใส่ (Myanmar) ต่อท้ายในวงเล็บกำกับไว้ด้วย รวมถึงเดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊กของซีไอเอก็มีการระบุชื่อประเทศเป็น Burma ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เช่นกัน รัฐบาลแคนาดาเคยใช้คำว่า Burma ในช่วงที่พม่าถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Myanmar ในเดือนสิงหาคม 2563
โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีการบัญญัติวิธีการออกเสียงชื่อประเทศพม่าในภาษาอังกฤษอย่างตายตัว และนักภาษาศาสตร์สมัยใหม่กล่าวว่า พบการออกเสียงที่แตกต่างกันอย่างน้อย 9 แบบ โดยการออกเสียง 2 พยางค์นั้นพบบ่อยครั้งในพจนานุกรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐ ยกเว้นฉบับคอลลินส์ (Collins English Dictionary) ซึ่งออกเสียงสามพยางค์ (mjænˈmɑːr/, /ˈmjænmɑːr/, /ˌmjɑːnˈmɑːr/) พจนานุกรมจากแหล่งอื่นมีการออกเสียงสามพยางค์บ้าง เช่น /ˈmiː.ənmɑːr/, /miˈænmɑːr/, /ˌmaɪ.ənˈmɑːr/, /maɪˈɑːnmɑːr/, /ˈmaɪ.ænmɑːr/.
== ประวัติศาสตร์ ==
ประวัติศาสตร์ของพม่านั้นมีความยาวนานและซับซ้อน มีประชาชนหลายเผ่าพันธุ์เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ เผ่าพันธุ์เก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏได้แก่ชาวมอญ ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 13 ชาวพม่าได้อพยพลงมาจากบริเวณพรมแดนระหว่างจีนและทิเบต เข้าสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี และได้กลายเป็นชนเผ่าส่วนใหญ่ที่ปกครองประเทศในเวลาต่อมา ความซับซ้อนของประวัติศาสตร์พม่ามิได้เกิดขึ้นจากกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนพม่าเท่านั้น แต่เกิดจากความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอันได้แก่ จีน, อินเดีย, บังกลาเทศ, ลาว และไทย
=== นครรัฐในยุคแรก ===
นครรัฐปยูราวคริสต์ศตวรรษที่ 8]]
มนุษย์ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนของประเทศพม่าเมื่อราว 11,000 ปีมาแล้ว แต่กลุ่มชนแรกที่สามารถสร้างอารยธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนได้ในดินแดนพม่าก็คือชาวมอญ ชาวมอญได้สถาปนาอาณาจักรสุธรรมวดี อันเป็นอาณาจักรแห่งแรกขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 2 ณ บริเวณเมืองสะเทิม ชาวมอญได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธผ่านทางอินเดียในราวพุทธศตวรรษที่ 2 ซึ่งเชื่อว่ามาจากการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช บันทึกของชาวมอญส่วนใหญ่ถูกทำลายในระหว่างสงคราม วัฒนธรรมของชาวมอญเกิดขึ้นจากการผสมเอาวัฒนธรรมจากอินเดียเข้ากับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองจนกลายเป็นวัฒนธรรมลักษณะลูกผสม ในราวพุทธศตวรรษที่ 14 ชาวมอญได้เข้าครอบครองและมีอิทธิพลในดินแดนตอนใต้ของพม่า
ชาวปยูเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนประเทศพม่าตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 4 และได้สถาปนานครรัฐขึ้นหลายแห่ง เช่นที่ เบนนะกะ มองกะโม้ ศรีเกษตร เบะตะโน่ และฮะลี่น ในช่วงเวลาดังกล่าว ดินแดนพม่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย จากเอกสารของจีนพบว่า มีเมืองอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของชาวปยู 18 เมือง และชาวปยูเป็นชนเผ่าที่รักสงบ ไม่ปรากฏว่ามีสงครามเกิดขึ้นระหว่างชนเผ่าปยู ข้อขัดแย้งมักยุติด้วยการคัดเลือกตัวแทนให้เข้าประลองความสามารถกัน ชาวปยูสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ทำจากฝ้าย อาชญากรมักถูกลงโทษด้วยการโบยหรือจำขัง เว้นแต่ได้กระทำความผิดอันร้ายแรงจึงต้องโทษประหารชีวิต ชาวปยูนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่วัดตั้งแต่อายุ 7 ขวบจนถึง 20 ปี
นครรัฐของชาวปยูไม่เคยรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่นครรัฐขนาดใหญ่มักมีอิทธิพลเหนือนครรัฐขนาดเล็กซึ่งแสดงออกโดยการส่งเครื่องบรรณาการให้ นครรัฐที่มีอิทธิพลมากที่สุดได้แก่ศรีเกษตร ซึ่งมีหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า ไม่ปรากฏหลักฐานว่าอาณาจักรศรีเกษตรถูกสถาปนาขึ้นเมื่อใด แต่มีการกล่าวถึงในพงศาวดารว่ามีการเปลี่ยนราชวงศ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช 637 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรศรีเกษตรต้องได้รับการสถาปนาขึ้นก่อนหน้านั้น มีความชัดเจนว่า อาณาจักรศรีเกษตรถูกละทิ้งไปในปีพุทธศักราช 1199 เพื่ออพยพย้ายขึ้นไปสถาปนาเมืองหลวงใหม่ทางตอนเหนือ แต่ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองใด นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองฮะลี่น อย่างไรก็ตามเมืองดังกล่าวถูกรุกรานจากอาณาจักรน่านเจ้าในราวพุทธศตวรรษที่ 15 จากนั้นก็ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงชาวปยูอีก
=== อาณาจักรพุกาม ===
แผนที่[[ทวีปเอเชียใน พ.ศ. 1743 แสดงถึงขอบเขตอาณาจักรต่าง ๆ (พุกามอยู่ใกล้กับเลขที่ 34 ทางขวา)]]
อาณาเขตของราชวงศ์ตองอู สมัย[[พระเจ้าบุเรงนอง (สีเขียว)]]
การขึ้นบกของกองทัพอังกฤษใน[[มัณฑะเลย์หลังสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม ส่งผลให้พระเจ้าสีป่อ กษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้าย ถูกบังคับให้สละราชสมบัติ]]
สืบเนื่องจากการพยายามขยายอำนาจของอังกฤษ กองทัพอังกฤษได้เข้าทำสงครามกับพม่าในปี 2367 สงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2367-2369) ยุติลงโดยอังกฤษเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่ายพม่าจำต้องทำสนธิสัญญารานตะโบกับอังกฤษ ทำให้พม่าต้องสูญเสียดินแดนอัสสัม, มณีปุระ, ยะไข่ และตะนาวศรีไป ซึ่งอังกฤษก็เริ่มต้นตักตวงทรัพยากรต่าง ๆ ของพม่านับแต่นั้นเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับวัตถุดิบที่จะป้อนสู่สิงคโปร์ สร้างความแค้นเคืองให้กับทางพม่าเป็นอย่างมาก กษัตริย์องค์ต่อมาจึงทรงยกเลิกสนธิสัญญารานตะโบ และทำการโจมตีผลประโยชน์ของฝ่ายอังกฤษทั้งต่อบุคคลและเรือ เป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่สอง ซึ่งก็จบลงโดยชัยชนะเป็นของอังกฤษอีกครั้ง หลังสิ้นสุดสงครามครั้งนี้อังกฤษได้ผนวกดินแดนทางใต้เข้าไว้กับตน โดยเรียกดินแดนดังกล่าวใหม่ว่าพม่าตอนล่าง สงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในพม่า เริ่มต้นด้วยการเข้ายึดอำนาจโดยพระเจ้ามินดง (ครองราชย์ พ.ศ. 2396-2421) จากพระเจ้าพุกามแมง (ครองราชย์ พ.ศ. 2389-2396) ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระชนนี พระเจ้ามินดงพยายามพัฒนาประเทศพม่าเพื่อต่อต้านการรุกรานของอังกฤษ พระองค์ได้สถาปนามัณฑะเลย์ ซึ่งยากต่อการรุกรานจากภายนอกขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการรุกรานจากอังกฤษได้
รัชสมัยต่อมา พระเจ้าสีป่อ (ครองราชย์ พ.ศ. 2421-2428) ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ามินดง ทรงมีบารมีไม่พอที่จะควบคุมอาณาจักรได้ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นไปทั่วในบริเวณชายแดน ในที่สุดพระองค์ได้ตัดสินพระทัยยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษที่พระเจ้ามินดงได้ทรงกระทำไว้ และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สามในปี 2428 ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถเข้าครอบครองดินแดนประเทศพม่าส่วนที่เหลือเอาไว้ได้ทั้งหมด
=== เอกราช ===
พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี 2429 และระยะก่อนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย ญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ติดต่อกับพวกทะขิ่น ซึ่งเป็นองค์กรของนักชาตินิยมในพม่า มีออง ซาน ผู้นำของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งเป็นหัวหน้า พวกทะขิ่นเข้าใจว่าญี่ปุ่นจะสนับสนุนการประกาศอิสรภาพของพม่าจากอังกฤษ แต่เมื่อญี่ปุ่นยึดครองพม่าได้แล้วกลับพยายามหน่วงเหนี่ยวมิให้พม่าประกาศเอกราช และได้ส่งอองซานและพวกทะขิ่นประมาณ 30 คน เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อรับคำแนะนำในการดำเนินการเพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากอังกฤษ
เมื่อคณะของอองซานได้เดินทางกลับพม่าใน พ.ศ. 2485 อองซานได้ก่อตั้ง องค์การสันนิบาตเสรีภาพแห่งประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist Peoples Freedom League: AFPFL) เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ องค์การนี้ภายหลังได้กลายเป็นพรรคการเมือง ชื่อ พรรค AFPFL เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อองซานและพรรค AFPFL ได้เจรจากับอังกฤษ โดยอังกฤษยืนยันที่จะให้พม่ามีอิสรภาพปกครองตนเองภายใต้เครือจักรภพ และมีข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำพม่าช่วยให้คำปรึกษา แต่อองซานมีอุดมการณ์ที่ต้องการเอกราชอย่างสมบูรณ์ อังกฤษได้พยายามสนันสนุนพรรคการเมืองอื่น ๆ ขึ้นแข่งอำนาจกับพรรค AFPFL ของอองซานแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงยินยอมให้พรรค AFPFL ขึ้นบริหารประเทศโดยมีอองซานเป็นหัวหน้า อองซานมีนโยบายสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และต้องการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษโดยสันติวิธี จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ในพรรค AFPFL อองซานและคณะรัฐมนตรีอีก 6 คน จึงถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2490 ขณะที่เดินออกจากที่ประชุมสภา ต่อมาตะขิ้นนุหรืออู นุ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2490 โดยอังกฤษได้มอบเอกราชให้แก่พม่าแต่ยังรักษาสิทธิทางการทหารไว้ 4 มกราคม 2491 อังกฤษจึงได้มอบเอกราชให้แก่พม่าอย่างสมบูรณ์
เมื่อพม่าได้รับเอกราชแล้ว มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหภาพพม่า โดยมี เจ้าส่วยแต้ก เป็นประธานาธิบดีคนแรก และ มี อู นุ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก โดยพม่าไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ เครือจักรภพแห่งชาติ เหมือนกับประเทศอดีตอาณานิคมของสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่ รัฐสภาซึ่งเป็นระบบสองสภาถูกจัดตั้งขึ้น และมีการเลือกตั้งระบบหลายพรรคเกิดขึ้นในปี 2494, 2495, 2499 และ 2503
ในปี 2504 นาย อู้ตั่น ซึ่งขณะนั้นดำรวตำแหน่งเป็นผู้แทนถาวรของสหภาพพม่าประจำองค์การสหประชาชาติ ได้รับการรับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เป็นคนแรกของเอเชีย โดยดำรงตำแหน่งถึง 10 ปี
=== ระบอบทหาร ===
ประธานาธิบดี [[บารัก โอบามา และนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เข้าเยี่ยมนางอองซาน ซูจี ที่บ้านพักในนครย่างกุ้งปี 2555]]
รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพได้ประกาศ "แนวทางปฏิบัติสู่ประชาธิปไตย" ตั้งแต่ปี 2536 แต่กระบวนการนี้ดูเหมือนจะหยุดชะงักหลายครั้ง กระทั่งในปี 2551 รัฐบาลได้ตีพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติฉบับใหม่ และจัดให้มีการลงประชามติระดับชาติ (ที่มีข้อบกพร่อง) รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้การเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติที่มีอำนาจแต่งตั้งประธานาธิบดีในขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจในการควบคุมกองทัพในทุกระดับ
การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2553 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปี ถูกคว่ำบาตรโดยสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย พรรคสหสามัคคีและการพัฒนาที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพประกาศชัยชนะ โดยอ้างว่าได้รับการสนับสนุนจากคะแนนเสียงร้อยละ 80 อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวหาอย่างกว้างขวางว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง ต่อมาได้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายพลเต้นเซนเป็นประธานาธิบดี นำไปสู่กิจกรรมทางประชาธิปไตยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดการค้าและการปฏิรูปในประเทศจนถึงปี 2554 รวมถึงการปล่อยตัวนางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยจากการถูกกักบริเวณในบ้าน การจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การอนุญาตให้มีการนิรโทษกรรมทั่วไปสำหรับนักโทษการเมืองมากกว่า 200 คน การตรากฎหมายแรงงานใหม่ที่อนุญาตให้มีสหภาพแรงงาน และการนัดหยุดงาน การผ่อนคลายการเซ็นเซอร์สื่อ และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับสกุลเงิน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้สหรัฐฯมีแผนพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับพม่า โดยส่ง นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาเยือนพม่าในเดือนธันวาคม 2554 ซึ่งถือเป็นการเยือนพม่าครั้งแรกของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในรอบกว่าห้าสิบปี ซึ่งได้เข้าพบประธานาธิบดีเต้นเซนและผู้นำฝ่ายค้านอองซานซูจี ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2555 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยชนะ 43 ที่นั่งจากทั้งหมด 45 ที่นั่ง และยังเป็นครั้งแรกที่ผู้แทนจากต่างประเทศได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบกระบวนการลงคะแนนเสียงในพม่า
==== การเลือกตั้งทั่วไป 2558 และการเลือกตั้งรัฐสภา 2563 ====
รัฐประหารครั้งสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ 2564]]
ในช่วงเช้าของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นวันที่รัฐสภามีการประชุม กองทัพพม่ามอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มี่นอองไลง์ เข้าควบคุมประเทศ และประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลาหนึ่งปีและมีการปิดพรมแดน จำกัดการเดินทางและการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ กองทัพประกาศว่าจะแทนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีอยู่ด้วยคณะกรรมการการชุดใหม่ และสื่อทางการทหารระบุว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ภายในหนึ่งปี แม้ว่ากองทัพจะหลีกเลี่ยงการให้คำมั่นอย่างเป็นทางการ ที่ปรึกษาของรัฐ อองซานซูจี และประธานาธิบดี วี่น-มหยิ่น ถูกกักบริเวณในบ้าน และทหารได้เริ่มยื่นฟ้องหลายข้อหากับพวกเขา ทหารขับไล่สมาชิกรัฐสภาพรรคสันนิบาตแห่งชาติออกจากกรุงเนปิดอว์ภายในวันที่ 15 มีนาคม ผู้นำทางทหารโดยกลุ่มของมี่นอองไลง์ยังคงขยายกฎอัยการศึกไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของย่างกุ้ง ในขณะที่กองกำลังรักษาความปลอดภัยได้สังหารผู้คนไป 38 คนในวันเดียว
ในวันที่สองของการทำรัฐประหาร ผู้ประท้วงหลายพันคนเดินขบวนตามถนนในเมืองใหญ่ รวมถึงนครย่างกุ้ง และการประท้วงบริเวณอื่น ๆ ก็ปะทุทั่วประเทศ ส่งผลให้การค้าและการขนส่งหยุดชะงัก แม้ว่ากองทัพจะจับกุมและสังหารผู้ประท้วง แต่สัปดาห์แรกของการทำรัฐประหารพบว่าประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งรวมถึงกลุ่มข้าราชการ ครู นักศึกษา คนงาน พระ และผู้นำทางศาสนา แม้แต่ชนกลุ่มน้อย การรัฐประหารถูกประณามทันทีโดยเลขาธิการสหประชาชาติและผู้นำของประเทศประชาธิปไตย ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดี โจ ไบเดิน แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้นำทางการเมืองของยุโรปตะวันตก และชาติประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอื่น ๆ ทั่วโลกที่เรียกร้องหรือกระตุ้นให้ปล่อยตัวผู้นำเชลย และหวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยในทันที สหรัฐฯ ขู่คว่ำบาตรกองทัพและผู้นำรวมถึงการ "ระงับ" ทรัพย์สินมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ รัสเซีย เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และจีน ละเว้นจากการวิจารณ์การรัฐประหาร ผู้แทนของรัสเซียและจีนได้หารือกับผู้นำกองทัพพม่าเพียงไม่กี่วันก่อนรัฐประหาร การสมรู้ร่วมคิดที่เป็นไปได้ของพวกเขาทำให้ผู้ประท้วงในพม่าไม่พอใจ
== ภูมิศาสตร์ ==
ประเทศพม่า ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 676,578 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ (หรือคาบสมุทรอินโดจีน) และใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 9° และ 29° เหนือ และลองติจูด 92° และ 102° ตะวันออก
ประเทศพม่ามีพรมแดนติดต่อกับบังกลาเทศยาว 271 กิโลเมตร (168 ไมล์) ติดกับอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือยาว 1,468 กิโลเมตร (912 ไมล์) พรมแดนทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับทิเบตและมณฑลยูนนานของจีนยาว 2,129 กิโลเมตร (1,323 ไมล์) ติดกับลาวยาว 238 กิโลเมตร (148 ไมล์) และติดกับไทยยาว 2,416 กิโลเมตร (1,501 ไมล์) พม่ามีแนวชายฝั่งต่อเนื่องตามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันทางตะวันตกเฉียงใต้และใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของพรมแดนทั้งหมด
=== การแบ่งเขตการปกครอง ===
ประเทศพม่าแบ่งเขตการปกครองในระดับภูมิภาคออกเป็น 7 ภาค () สำหรับพื้นที่ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์พม่า และ 7 รัฐ () สำหรับพื้นที่ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อย และ 1 ดินแดนสหภาพ () ได้แก่
เขตการปกครองของประเทศพม่า
=== อากาศ ===
พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเขตร้อนทรอปิกออฟแคนเซอร์และเส้นศูนย์สูตร ตั้งอยู่ในเขตมรสุมของเอเชีย โดยบริเวณชายฝั่งจะมีปริมาณน้ำน้ำฝนมากกว่า 5,000 มม. (196.9 นิ้ว) ต่อปี ปริมาณน้ำฝนรายปีในภูมิภาคอยู่ที่ประมาณ 2,500 มม. (98.4 นิ้ว) ในขณะที่ปริมาณน้ำฝนรายปีเฉลี่ยในเขตแห้งแล้งในภาคกลางน้อยกว่า 1,000 มม. (39.4 นิ้ว) ภาคเหนือของประเทศจะอากาศเย็นที่สุด โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 21 °C (70 °F) บริเวณชายฝั่งและบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 32 °C (89.6 °F)
=== สิ่งแวดล้อม ===
[[เต้นเซน ประธานาธิบดีพม่า ขณะหารือกับ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2555]]
ในอดีต พม่ามีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับชาติตะวันตก แต่สถานการณ์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่การปฏิรูปหลังการเลือกตั้งในปี 2553 หลังจากหลายปีของการแยกตัวทางการทูตและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทหาร สหรัฐฯ ได้ผ่อนปรนมาตรการช่วยเหลือต่างประเทศแก่พม่าในเดือนพฤศจิกายน 2554 และประกาศการเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งในวันที่ 13 มกราคม 2555 สหภาพยุโรปได้คว่ำบาตรพม่า รวมถึงการคว่ำบาตรอาวุธ การยุติสิทธิพิเศษทางการค้าและการระงับความช่วยเหลือทั้งหมด ยกเว้นความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2555 เดวิด แคเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น เรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อพม่า
แม้จะแยกตัวจากชาติตะวันตก แต่โดยทั่วไปแล้วบริษัทในเอเชียยังคงเต็มใจที่จะลงทุนในประเทศต่อไปและมีการวางแผนเริ่มลงทุนใหม่ในอนาคต โดยเฉพาะการลงทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ พม่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอินเดียและจีน โดยมีบริษัทอินเดียและจีนหลายแห่งที่ดำเนินงานในประเทศ ภายใต้นโยบาย Look East ของอินเดีย ความร่วมมือระหว่างอินเดียและพม่ารวมถึงการสำรวจระยะไกล การสำรวจน้ำมันและก๊าซ เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานน้ำ และการก่อสร้างท่าเรือและอาคาร
ในปี 2551 อินเดียระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่พม่าสืบเนื่องจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลเผด็จการ ถึงแม้ว่าอินเดียจะยังรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับพม่าอยู่ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างพม่าและเบลารุสเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 เมื่อนายกรัฐมนตรี มิคาอิล มยาสนิโควิช แห่งเบลารุสและภรรยาของเขา ลุดมิลา มาเยือนกรุงเนปยีดอ ในวันเดียวกับที่พม่าได้รับการเยือนจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งเข้าพบผู้นำฝ่ายค้านประชาธิปไตยของอองซานซูจี ทั้งสองชาติยังความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไปในเดือนกันยายน 2555 เมื่ออองซานซูจีเยือนสหรัฐอเมริกา
ในเดือนพฤษภาคม 2556 เต้นเซนกลายเป็นประธานาธิบดีพม่าคนแรกที่ไปเยือนทำเนียบขาวในรอบ 47 ปี ผู้นำพม่าคนสุดท้ายที่ไปเยือนทำเนียบขาวคือพลเอกเนวี่นในเดือนกันยายน 2509 ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ยกย่องอดีตนายพลเรื่องการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ และการยุติความตึงเครียดระหว่างพม่าและสหรัฐอเมริกา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองคัดค้านการเยือนดังกล่าวเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า แต่โอบามารับรองเต้นเซนว่าพม่าจะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ผู้นำทั้งสองหารือถึงการปล่อยตัวนักโทษการเมืองเพิ่ม การปรับโครงสร้างการปฏิรูปการเมืองและหลักนิติธรรม และการยุติความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในพม่า รัฐบาลทั้งสองตกลงที่จะลงนามในข้อตกลงกรอบการค้าและการลงทุนทวิภาคีในวันที่ 21 พฤษภาคม 2556
=== กองทัพ ===
พม่าได้รับความช่วยเหลือทางทหารมากมายจากจีนในอดีต พม่าเป็นสมาชิกของอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2540 แม้ว่าจะเลิกดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนและเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียนในปี 2549 แต่ก็เป็นประธานการประชุมและเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดในปี 2557 ในเดือนพฤศจิกายน 2555 ซาแมนธา พาวเวอร์ ผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดี บารัก โอบามา หัวหน้าฝ่ายสิทธิมนุษยชน เขียนบนบล็อกของทำเนียบขาวก่อนการเยือนของประธานาธิบดีว่า “การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อพลเรือนในหลายภูมิภาคยังดำเนินต่อไป รวมถึงต่อผู้หญิงและเด็ก” สมาชิกของสหประชาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศรายใหญ่ได้ออกรายงานซ้ำ ๆ และสม่ำเสมอเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างแพร่หลาย
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่าเคารพสิทธิมนุษยชนหลายครั้ง และในเดือนพฤศจิกายน 2552 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติ "ประณามอย่างรุนแรงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างเป็นระบบ" และเรียกร้องให้กองทัพพม่าดำเนินการ "ใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรม"
องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึง ฮิวแมนไรตส์วอตช์, แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และ สมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อเมริกัน ได้จัดทำเอกสารและประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในวงกว้างในพม่าหลายครั้ง รายงาน The Freedom in the World 2011 โดย Freedom House ระบุว่า "รัฐบาลเผด็จการทหารได้ ... ปราบปรามสิทธิขั้นพื้นฐานเกือบทั้งหมด และกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยไม่ต้องรับโทษ" ในเดือนกรกฎาคม 2556 สมาคมช่วยเหลือผู้ต้องขังทางการเมืองระบุว่ามีนักโทษการเมืองประมาณ 100 คนถูกคุมขังในเรือนจำพม่า ราธิกา คูมารัสวามี ผู้แทนพิเศษแห่งสหประชาชาติของเลขาธิการเพื่อเด็กและความขัดแย้งทางอาวุธซึ่งลาออกจากตำแหน่งในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ได้พบกับตัวแทนของรัฐบาลพม่าในเดือนกรกฎาคม 2555 และกล่าวว่าเธอหวังว่ารัฐบาลจะลงนามแผนปฏิบัติการจะ "ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลง"
ในเดือนกันยายน 2555 กองทัพพม่าปล่อยทหารเด็ก 42 นาย และองค์การแรงงานระหว่างประเทศได้พบกับตัวแทนของรัฐบาลและกองทัพกะชีนอิสระเพื่อประกันการปล่อยตัวทหารเพิ่มเติม ตามรายงานของ ซาแมนธา พาวเวอร์ คณะผู้แทนของสหรัฐฯ ได้หยิบยกประเด็นเรื่องทหารเด็กกับรัฐบาลในเดือนตุลาคม 2555 อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าของรัฐบาลในการปฏิรูปในด้านนี้
=== ชาวโรฮีนจา ===
ชาวโรฮีนจาต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องจากระบอบการปกครองของพม่าที่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าพวกเขาเป็นพลเมืองพม่า (แม้ว่าบางคนจะอาศัยอยู่ในพม่ามานานกว่าสามชั่วอายุคน) ชาวโรฮีนจาถูกปฏิเสธไม่ให้สัญชาติพม่าตั้งแต่มีการตรากฎหมายในปี 2525 ระบอบการปกครองของพม่าพยายามบังคับขับไล่ชาวโรฮีนจาและมีการขับไล่ชาวประมาณครึ่งหนึ่งจากจำนวน 800,000 คนออกจากพม่า ในขณะที่ชาวโรฮีนจาได้รับการอธิบายว่าเป็น "ชนกลุ่มน้อยที่เป็นที่ต้อนรับน้อยที่สุดของโลก" และ "ชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ข่มเหงมากที่สุดของโลก"
ชาวโรฮีนจาไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ ถูกห้ามไม่ให้ถือครองที่ดิน และต้องลงนามในคำมั่นสัญญาว่าจะมีบุตรไม่เกินสองคน ณ เดือนกรกฎาคม 2555 รัฐบาลพม่าไม่รวมชนกลุ่มน้อยโรฮีนญาซึ่งจัดเป็นชาวเบงกาลีมุสลิมที่ไร้สัญชาติจากบังกลาเทศตั้งแต่ปี 2525 ในรายการของรัฐบาลที่มีเชื้อชาติมากกว่า 130 ชาติพันธุ์ ดังนั้น รัฐบาลจึงระบุว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ขอสัญชาติพม่า ในปี 2550 ศาสตราจารย์ บาสซัม ตีบี ชาวเยอรมัน เสนอว่าความขัดแย้งโรฮีนจาอาจขับเคลื่อนโดยวาระทางการเมืองของอิสลามิสต์เพื่อกำหนดกฎหมายทางศาสนา ในขณะที่สาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเช่นกัน เช่น ความขุ่นเคืองที่คงอยู่ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่น และการยึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงเวลานี้ อังกฤษได้เป็นพันธมิตรกับชาวโรฮีนจาและต่อสู้กับรัฐบาลหุ่นเชิดของพม่า (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบามาร์ญี่ปุ่น) ที่ช่วยก่อตั้งกองทัพพม่า ที่มีอำนาจมายาวนานยกเว้นในช่วง 5 ปี (2559 - 2564)
== เศรษฐกิจ ==
[[สถานีรถไฟย่างกุ้ง]]
การขนส่งทางบก ได้แก่ ทางถนนและทางรถไฟ
ทางถนน ถนนในพม่าส่วนใหญ่ขนานไปกับภูเขาและแม่น้ำ ทอดไปตามความยาวของประเทศ เช่นเดียวกับทางรถไฟ ถนนสายต่าง ๆ ที่สำคัญมีดังนี้ ถนนพม่า เป็นถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างย่างกุ้งกับเมืองคุนหมิง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน มีความยาวในเขตพม่าถึงเมืองหมู่แจ้ ประมาณ 1,160 กิโลเมตร และมีความยาวในเขตจีนจากหมู่แจ้ถึงคุนหมิง ประมาณ 90 กิโลเมตร ถนนสายนี้ผ่านเมืองต่าง ๆ คือ หงสาวดี-ตองอู-ปยี่นมะน่า-เมะทีลา-มัณฑะเลย์-สี่ป้อ-ล่าเสี้ยว-แสนหวี-หมู่แจ้ รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ 2,140 กิโลเมตร ใช้การทุกฤดูกาล ส่วนทางรถไฟของพม่าได้เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2481
การขนส่งทางน้ำ การคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในประเทศ นับว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศพม่าเป็นอย่างมาก และยังเป็นเส้นทางคมนาคมหลักมาตั้งแต่อดีต เนื่องจากพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำอิรวดีมีทางน้ำอยู่มากมาย และเป็นเขตที่มีประชาชนพลเมืองอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด ประกอบกับเส้นทางถนนและทางรถไฟยังมีจำกัด
=== สกุลเงิน ===
สกุลเงินของประเทศพม่า คือ จัต (Kyat) อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 43.19 จัตต่อ 1 บาท หรือประมาณ 1,390.91 จัตต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2563)
=== เกษตรกรรม ===
[[สะพานอู้เบน ที่อมรปุระ ]]
รัฐบาลได้รายได้จากบริการการท่องเที่ยวของภาคเอกชน สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมได้แก่เมืองใหญ่ เช่น ย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ สถานที่ทางศาสนาในรัฐมอญ พินดายา พะโค และพะอาน เส้นทางศึกษาธรรมชาติในทะเลสาบอี้นเล่ เชียงตุง, ปูดาโอ, ปยีนอู้ลวีน เมืองโบราณเช่นพุกามและมเยาะอู้ เช่นเดียวกับชายหาดในนาบูเล อย่างไรก็ตาม ในปี 2544 คณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวพม่าได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคุ้มครองนักท่องเที่ยวและจำกัด "การติดต่อที่ไม่จำเป็น" ระหว่างชาวต่างชาติกับชาวพม่า
วิธีที่นิยมมากที่สุดสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศคือทางอากาศ ตามเว็บไซต์ Lonely Planet การเดินทางเข้าสู่พม่ามีปัญหาสำคัญได้แก่: "ไม่มีบริการรถประจำทางหรือรถไฟเชื่อมต่อพม่ากับประเทศอื่น และไม่สามารถเดินทางโดยรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ข้ามพรมแดน - แต่ต้องเดินข้ามมาเท่านั้น" พวกเขากล่าวเพิ่มเติมว่า "เป็นไปไม่ได้สำหรับชาวต่างชาติที่จะไป/กลับจากพม่าโดยทางทะเลหรือแม่น้ำ" มีการผ่านแดนไม่กี่แห่งที่อนุญาตให้ยานพาหนะส่วนตัวผ่านได้ เช่น พรมแดนระหว่างรุ่ยลี่ (จีน) ไปยัง หมู่แจ้ พรมแดนระหว่าง Htee Kee (พม่า) และด่านพุน้ำร้อน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นพรมแดนที่ตรงที่สุดระหว่างทวายและกาญจนบุรี และชายแดนระหว่างเมียวดี และแม่สอด ประเทศไทย บริษัทท่องเที่ยวอย่างน้อยหนึ่งแห่งประสบความสำเร็จในการดำเนินการเส้นทางการค้าทางบกผ่านพรมแดนเหล่านี้ตั้งแต่ปี 2556
==ประชากรศาสตร์==
ผลการสำรวจสำมะโนประชากรพม่า พ.ศ. 2557 พบว่ามีประชากรทั้งหมด 51,419,420 คน ตัวเลขนี้รวมบุคคลประมาณ 1,206,353 คนในบางส่วนของรัฐยะไข่ตอนเหนือ รัฐกะชีน และรัฐกะเหรี่ยงบุคคลที่อยู่นอกประเทศในช่วงเวลาของการสำรวจสำมะโนประชากรจะไม่รวมอยู่ในตัวเลขเหล่านี้ มีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนจากพม่าในประเทศไทยกว่า 600,000 คน และอีกหลายล้านคนทำงานอย่างผิดกฎหมาย พลเมืองพม่าคิดเป็น 80% ของแรงงานข้ามชาติทั้งหมดในประเทศไทย ความหนาแน่นของประชากรของประเทศอยู่ที่ 76 ต่อตารางกิโลเมตร (200/ตร.ไมล์) ซึ่งต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อัตราการเจริญพันธุ์ของพม่า ณ ปี 2554 อยู่ที่ 2.23 ซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ยเล็กน้อย และต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน เช่น กัมพูชา (3.18) และลาว (4.41) ภาวะเจริญพันธุ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในทศวรรษ 2000 จากอัตรา 4.7 เด็กต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปี 1983 ลดลงเหลือ 2.4 ในปี 2001 แม้จะไม่มีนโยบายด้านประชากรของประเทศก็ตาม และอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำในเขตเมือง
=== เมืองใหญ่สุด ===
=== เชื้อชาติ ===
| title=เชื้อชาติในประเทศพม่า (ประมาณการคร่าว ๆ)
| titlebar=#ddd
| left1=เชื้อชาติ
| right1=เปอร์เซ็นต์
| float=right
จำนวนประชากรประมาณ 53,582,855 คน มีชาติพันธุ์พม่า 68% ไทใหญ่ 10% กะเหรี่ยง 7% ยะไข่ 3.5% จีน 3% มอญ 2% กะชีน 1.5% อินเดีย 2% ชีน 1% คะยา 0.8% เชื้อชาติอื่น ๆ 5%
=== ศาสนา ===
| title=ศาสนาในประเทศพม่า
| titlebar=
| float=right
ในปี ค.ศ. 2014 ประเทศพม่ามีประชากรที่นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพุทธ 87.9% ศาสนาคริสต์ 6.2% ศาสนาอิสลาม 4.3% พื้นบ้าน 0.8% ศาสนาฮินดู 0.5% อื่น ๆ 0.2% และไม่นับถือศาสนา 0.1%
หลายศาสนามีการปฏิบัติในพม่า ศาสนสถานและคำสั่งสอนมีมาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ประชากรชาวคริสต์และมุสลิมต้องเผชิญกับการกดขี่ทางศาสนา และเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธที่จะเข้าร่วมกองทัพหรือหางานทำในรัฐบาลซึ่งเป็นเส้นทางหลักสู่ความสำเร็จในประเทศ การกดขี่ข่มเหงและการกำหนดเป้าหมายของพลเรือนดังกล่าวมีความโดดเด่นเป็นพิเศษในภาคตะวันออกของพม่า ซึ่งมีหมู่บ้านมากกว่า 3,000 แห่งถูกทำลายในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ชาวมุสลิมมากกว่า 200,000 คนหนีไปบังกลาเทศภายในปี 2550 เพื่อหนีการกดขี่ข่มเหง
=== ภาษา ===
นอกจากภาษาพม่า ซึ่งเป็นภาษาทางการแล้ว พม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก 18 ภาษา
โดยแบ่งตามตระกูลภาษาได้ดังนี้
* ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ได้แก่ ภาษามอญ ภาษาปะหล่อง ภาษาปลัง (ปะลัง) ภาษาปะรวก (สำเนียงมาตรฐานของภาษาว้า) และภาษาว้า
* ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ได้แก่ ภาษาพม่า (ภาษาทางการ) ภาษากะเหรี่ยง ภาษาอารากัน (ยะไข่) ภาษาจิ่งเผาะ (กะชีน) และภาษาอาข่า
* ตระกูลภาษาขร้า-ไท ได้แก่ ภาษาไทใหญ่ (ฉาน) ภาษาไทลื้อ ภาษาไทขึน ภาษาไทคำตี่ มีผู้พูดหนาแน่นในรัฐฉานและรัฐกะชีน ส่วนภาษาไทยถิ่นใต้ ภาษาไทยกลาง และภาษาไทยถิ่นอีสาน มีผู้พูดในภาคตะนาวศรี
* ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน ได้แก่ ภาษาม้งและภาษาเย้า (เมี่ยน)
* ตระกูลภาษาออสโตรนีเชียน ได้แก่ ภาษามอแกนและภาษามลายู ในภาคตะนาวศรี
=== สาธารณสุข ===
ภาวะสุขภาพโดยทั่วไปในพม่านั้นย่ำแย่ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพียง 0.5% ถึง 3% ของ GDP ของประเทศในด้านการดูแลสุขภาพซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลกทุกปี แม้ว่าการรักษาพยาบาลจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในทางนิตินัย แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยต้องจ่ายค่ายาและการรักษาแม้แต่ในคลินิกของรัฐและโรงพยาบาล โรงพยาบาลของรัฐขาดสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์พื้นฐานมากมาย อัตราการตายของมารดาในปี 2553 ต่อการเกิด 100,000 คนในพม่าคือ 240 เมื่อเปรียบเทียบกับ 219.3 ในปี 2551 และ 662 ในปี 2533 อัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า 5 ต่อการเกิด 1,000 คนคือ 73 และอัตราการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดเมื่ออายุต่ำกว่า 5 ปีคือ 47 ตามรายงานชื่อ "ชะตากรรมที่ป้องกันได้" ซึ่งจัดพิมพ์โดยแพทย์ไร้พรมแดน ผู้ป่วยโรคเอดส์ในพม่า 25,000 รายเสียชีวิตในปี 2550 ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยยาต้านไวรัสและการรักษาที่เหมาะสม
เอชไอวี/เอดส์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นโรคที่น่าเป็นห่วงโดยกระทรวงสาธารณสุขของพม่า เป็นโรคที่แพร่ระบาดมากที่สุดในหมู่ผู้ให้บริการทางเพศและผู้เสพยาทางหลอดเลือดดำ ในปี 2548 อัตราความชุกของเชื้อเอชไอวีในผู้ใหญ่โดยประมาณในพม่าอยู่ที่ 1.3% (200,000-570,000 คน) จากข้อมูลของ UNAIDS และตัวบ่งชี้เบื้องต้นของความก้าวหน้าใดๆ ในการต่อต้านการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีนั้นไม่สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม โครงการเอดส์แห่งชาติพม่าพบว่า 32% ของผู้ให้บริการทางเพศและ 43% ของผู้ใช้ยาทางเส้นเลือดในพม่าติดเชื้อเอชไอวี
=== การศึกษา ===
ขบวนแห่พิธี[[ชีน-บยุ|ชีนบยูที่มัณฑะเลย์]]
วัฒนธรรมของพม่าได้รับอิทธิพลทั้งจากมอญ จีน อินเดีย มาช้านาน ดังสะท้อนให้เห็นในด้านภาษา ดนตรี และอาหาร สำหรับศิลปะของพม่านั้นได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีและพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ในปัจจุบันนี้วัฒนธรรมพม่ายังได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากเขตชนบทของประเทศ ด้านการแต่งกายของพม่าทั้งชายและหญิงนิยมนุ่งโสร่ง เรียกว่า โลนจี ส่วนการแต่งกายแบบโบราณเรียกว่า ลู่นตะยา อะเชะ
=== อาหาร ===
|Northeast =
|Southeast =
|South = ทะเลอันดามัน
|Southwest = ทะเลอันดามัน (หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์)
|West = อ่าวเบงกอล
|Northwest =
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของอังกฤษ
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2491
หมวดหมู่:เผด็จการทหาร
หมวดหมู่:รัฐสมาชิกสหประชาชาติ |
1957 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาประชาฤทธีฉันท์ | มหาประชาฤทธีฉันท์ | มหาประชาฤทธีฉันท์
==แผนผัง==
ไฟล์:Mahachun.png
เมื่อถึงตอนจบเรื่องแล้วให้ใช้
ไฟล์:Mahachun2.png
(ในที่นี้ ตัววงกลมหมายถึง ครุ ตัววงกลมมีขีดผ่ากลาง หมายถึง ลหุ)
==ความหมาย==
มหาประชาฤทธีฉันท์ หมายถึง ฉันท์อันมีเสียงกึกก้องดั่งมหาประชาชนผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินได้ประกาศเสียง
==หลักเกณฑ์==
# ห้ามใช้ เอกโทษ โทโทษ
# ห้ามแต่งสรรเสริญจ้าว, นายทุน หรือพวกผู้กดขี่ทั้งหลาย ยกเว้นเล่าเรื่องตำนาน
==ตัวอย่าง==
: ครั้นมหาประชาธะชาวปราชญ์.....สิก่ออำนาจ.........ประกาศผล
: ปืนประโคมสิสุ่มตะคุ่มยล........ลุแลค่นชน.........ผู้ชั่วช้า
: อันหทัยริรวนสงวนหา..........มิพบพานพา........ธรรมาชน
: เราสิหวังจะปลด ธ แอกทน......ริทุกผู้คน..........เสียสมสา
: เมื่อลุแก่วราประชาชน.........จะกู่ร่ำรณ..........-รงค์ประสงค์ชัย
==ดูเพิ่ม==
* อินทรวิเชียรฉันท์
* สาลินีฉันท์
* วสันตดิลกฉันท์
* สัททุลวิกกีฬิตฉันท์
หมวดหมู่:ฉันท์ |
1960 | https://th.wikipedia.org/wiki/เลือกที่จะไม่เลือก | เลือกที่จะไม่เลือก | เลือกที่จะไม่เลือก หรือชื่อในการประชาสัมพันธ์ว่า vote no vote เป็นการรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไปใช้สิทธิโดยไม่เลือกผู้ใดเป็นตัวแทน (กากากบาทในช่อง "ไม่ออกคะแนนเสียง") เพื่อส่งสัญญาณให้พรรคการเมืองและนักการเมือง พิถีพิถันในการเสนอบุคคลและนโยบายมากขึ้น นับเป็นปฏิบัติการทางการเมืองของภาคประชาชน เพื่อเพิ่มอำนาจของประชาชนในการเลือกตั้งและทางการเมือง
การรณรงค์เลือกที่จะไม่เลือกสำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทยนั้น มีหลักฐานว่าเริ่มมาอย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2543 แต่การเลือกตั้งครั้งที่คะแนนเสียงไม่เลือกมีผลอย่างชัดเจนนั้น คือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ซึ่งในหลายเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและภาคใต้ (ประเทศไทย คะแนน "ไม่เลือก" มีสูงกว่าคะแนนของผู้สมัครที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง ก่อให้เกิดคำถามถึงความชอบธรรมและความสง่างามของตำแหน่งผู้แทนราษฎร และในเขตที่มีผู้สมัครรายเดียวบางเขต คะแนน "ไม่เลือก" ก็ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากผู้สมัครรายเดียวนั้น ได้คะแนนไม่ถึง 20% ของผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมด ตามกำหนดของกฎหมายเลือกตั้ง
== การวิพากษ์วิจารณ์ ==
โครงการ "เลือกที่จะไม่เลือก" ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้ประชาชน "รู้สึก" ว่าได้มีส่วนร่วมในการปกครอง แต่ไม่มีการศึกษาข้อมูลของผู้รับสมัครเลือกตั้ง ซึ่งทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกับระบบประชาธิปไตย เนื่องจากประชาชนไม่ได้ทำอะไร
==แหล่งข้อมูลอื่น==
* เลือกที่จะไม่เลือก โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์, มติชนรายวัน, วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
* การเมืองภาคประชาชนหลังการเลือกตั้ง - ข้อเสนอเพื่อปฏิบัติการทางการเมืองของภาคประชาชนหลังเลือกตั้ง
* 'ความเห็นต่อการรณรงค์ "เลือกที่จะไม่เลือก"' โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อประชาชน
* Vote No Vote: เลือกที่จะไม่เลือก - เว็บไซต์รณรงค์
ลืเอกที่จะม่ไลืเอก |
1961 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเวียดนาม | ประเทศเวียดนาม | เวียดนาม ( เหฺวียดนาม) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (, ก่ง ฮหว่า สา โห่ย จู๋ เหงีย เหวียต นาม) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทรอินโดจีน มีพื้นที่รวม 331,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 100 ล้านคน จึงถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 15 ของโลก มีพรมแดนติดกับประเทศจีนทางทิศเหนือ, ประเทศลาว และประเทศกัมพูชาทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ อ่าวไทย ทางทิศตะวันออกและใต้ มีเมืองหลวงคือฮานอย และเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือนครโฮจิมินห์ (เดิมชื่อว่า ไซ่ง่อน) เวียดนามยังเป็นหนึ่งในสองรัฐคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดินแดนของเวียดนามเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ยุคหินเก่า ผู้คนเข้ามาตั้งรกรากและรวมตัวกันเป็นรัฐต่าง ๆ บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงซึ่งเป็นที่ตั้งของภูมิภาคทางเหนือของเวียดนามในปัจจุบัน ดินแดนส่วนใหญ่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิจีนกว่าพันปี ตั้งแต่ 111 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึง ค.ศ. 939 ราชวงศ์ฮั่นผนวกดินแดนตอนเหนือและตอนกลางเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลาดังกล่าว อิทธิพลของลัทธิขงจื๊อและศาสนาพุทธได้แผ่ขยายไปทั่วดินแดนทางใต้รวมถึงดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง รัฐแรกเริ่มของเวียดนามก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี 939 ภายหลังเวียดนามชนะจีน (มองโกล) ในยุทธนาวีแม่น้ำบักดั่ง เวียดนามและจักรพรรดิเวียดนามก็เจริญรุ่งเรืองและเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ราชวงศ์เหงียนถือเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองดินแดนนี้ จนกระทั่งตกเป็นอินโดจีนของฝรั่งเศสในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และภายหลังการปฏิวัติเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 กองทัพประชาชนในนามเหวียตมิญนำโดยโฮจิมินห์มีบทบาทในการนำเวียดนามปลดแอกจากฝรั่งเศส กรุงไซ่ง่อนได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโฮจิมินห์ ในขณะที่ฮานอยซึ่งเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเวียดนามหลังจากการรวมประเทศในปี 2519 ซึ่งดินแดนทั้งหมดได้รวมกันกลายเป็นรัฐสังคมนิยมในชื่อ "สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม" พรรคคอมมิวนิสต์มีบทบาทนำทางการเมือง สิ่งนี้นำไปสู่การวิจารณ์จากนานาชาติรวมถึงการคว่ำบาตรจากโลกตะวันตก สงครามกัมพูชา-เวียดนาม และ สงครามจีน-เวียดนาม ทำให้ประเทศเสื่อมโทรมมากขึ้น ก่อนที่นโยบายโด๋ยเม้ยในปี 2529 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จะช่วยให้เศรษฐกิจประเทศเริ่มฟื้นตัว โดยยึดรูปแบบตามการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ส่งผลให้เวียดนามกลายสภาพเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาค และเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองในเวทีโลกมากขึ้น
เวียดนามเป็นประเทศกำลังพัฒนา ประชากรมีรายได้ปานกลางจนถึงระดับต่ำ ปัญหาสำคัญในปัจจุบันได้แก่ การทุจริตทางการเมือง, การให้เสรีภาพสื่อและสิทธิมนุษยชนต่ำ รวมทั้งเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อม เวียดนามเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง ได้แก่ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก, ข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด, องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส และ องค์การการค้าโลก และยังเคยมีบทบาทในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
== ชื่อ ==
คำว่า "เวียดนาม" หรือ "เหวียดนาม" (Việt Nam, , เหวียดนาม) คืออีกชื่อหนึ่งของ "นามเหวียด" (Nam Việt นามเหวียด; ; แปลว่า "เวียดใต้") โดยเป็นชื่อที่เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เจี่ยว (Nhà Triệu; 家趙, หญ่าเจี่ยว) ในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล หรือช่วงระหว่างปีพ.ศ. 344 ถึง 443 คำว่า "เหวียด" (Việt)' เดิมเป็นชื่อย่อของ บั๊กเหวียด (Bách Việt บ๊าก เหฺวียด; ; แปลว่า "ร้อยเวียด") ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มชนที่เคยอาศัยอยู่บริเวณทางใต้ของจีนและทางเหนือของเวียดนาม
== ประวัติศาสตร์ ==
=== สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ===
กลองมโหระทึกสำริด
อารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในเวียดนามมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะอารยธรรมยุคหินใหม่ ที่มีหลักฐานคือกลองมโหระทึกสำริด และชุมชนโบราณที่ดงเซิน เขตเมืองแทงหวา ทางใต้ของปากแม่น้ำแดง สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของชาวเวียดนามโบราณผสมผสานระหว่างชนเผ่ามองโกลอยด์เหนือจากจีนและใต้ ซึ่งเป็นชาวทะเล ดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวแบบนาดำและจับปลา และอยู่กันเป็นเผ่า บันทึกประวัติศาสตร์ยุคหลังของเวียดนามเรียกยุคนี้ว่าอาณาจักรวันลาง มีผู้นำปกครองสืบต่อกันหลายร้อยปีเรียกว่า กษัตริย์หุ่ง แต่ถือเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์
=== สมัยประวัติศาสตร์ ===
เวียดนามเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์หลังจากตอนใต้ของจีนเข้ารุกรานและยึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำแดง จากนั้นไม่นานจักรพรรดิจิ๋นซีซึ่งเริ่มรวมดินแดนจีนสร้างจักรวรรดิให้เป็นหนึ่งเดียว โดยได้ยกทัพลงมาและทำลายอาณาจักรของพวกถุกได้ ก่อนผนวกดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงทั้งหมด ให้ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองหนานไห่ ที่เมืองพานอวี่หรือกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน หลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน ข้าหลวงหนานไห่คือจ้าวถัว ประกาศตั้งหนานไห่เป็นอาณาจักรอิสระ ชื่อว่า หนานเยว่ หรือ นามเหวียต ในสำเนียงเวียดนามซึ่งเป็นที่มาของชื่อเวียดนามในปัจจุบัน ก่อนกองทัพฮั่นเข้ายึดอาณาจักรนามเหวียด ได้ในปี พ.ศ. 585 และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีน ใช้ชื่อว่า เจียวจื้อ ขยายอาณาเขตลงใต้ถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน และส่งข้าหลวงปกครองระดับสูงมาประจำ เป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมจีนทางด้านต่าง ๆ ไปเผยแพร่ที่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทรัพยากรจากชาวพื้นเมืองหรือชาวเวียดนามจนนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงหลายครั้งเช่น:
* วีรสตรีในนาม ฮายบาจึง ได้นำกองกำลังต่อต้านการปกครองของจีน แต่ปราชัยในอีก 3 ปีต่อมาและตกเป็นส่วนหนึ่งของจีน
* นักโทษปัญญาชนชาวจีนนามว่า หลีโบน ร่วมมือกับปัญญาชนชาวเวียดนามร่วมทำการปฏิวัติ ก่อตั้งราชวงค์หลี ขนานนามแคว้นว่า วันซวน แต่พ่ายแพ้ในที่สุด
การปกครองของจีนในเวียดนามขาดตอนเป็นระยะตามสถานการณ์ในจีนเอง ซึ่งเป็นโอกาสให้ชาวพื้นเมืองในเวียดนามตั้งตนเป็นอิสระ ในช่วงเวลาที่เวียดนามอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ถาง พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่เวียดนาม เมืองต้าหลอหรือฮานอย เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นศูนย์กลางการค้าการเดินทางของชาวจีนและอินเดีย พระสงฆ์และนักบวชในลัทธิเต๋าจากจีนเดินทางเข้ามาอาศัยในดินแดนนี้ ต่อมาราชวงศ์ถางได้เปลี่ยนชื่อเขตปกครองนี้ใหม่ว่า อันหนาน (หรืออันนัม ในสำเนียงเวียดนาม) หลังปราบกบฏชาวพื้นเมืองได้ แต่ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จีนครอบครองดินแดนแห่งนี้
* พ.ศ. 1498 - 1510 ราชวงศ์โง--หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ถางของจีน นายพลโงเกวี่ยนผู้นำท้องถิ่นในเขตเมืองฮวาลือ ทางใต้ของลุ่มแม่น้ำแดง ขับไล่ชาวจีนได้ แล้วจึงก่อตั้งราชวงศ์โงเปลี่ยนชื่อประเทศว่า ไดเวียด หลังจากจักรพรรดิสวรรคต อาณาจักรแตกแยกออกเป็น 12 แคว้น มีผู้นำของตนไม่ขึ้นตรงต่อกัน
* พ.ศ. 1511 - 1523 ราชวงศ์ดิงห์--ขุนศึกดิงห์โบะหลิง แม่ทัพของราชวงศ์โง สามารถรวบรวมแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เปลียนชื่อประเทศเป็น
ไดโก่เวียด เริ่มสร้างระบบการปกครองแบบจีนมากกว่ายุคก่อนหน้า และตั้งตนเป็น จักรพรรดิดิงห์เตียน หรือ ดิงห์เตียนหว่าง เสมือนจักรพรรดิจิ๋นซีผู้รวบรวมจีน ถือเป็นการเริ่มใช้ตำแหน่งจักรพรรดิหรือ หว่างเด๋ ในเวียดนามเป็นครั้งแรก
* พ.ศ. 1524-1552 ราชวงศ์เตี่ยนเลหรือเลยุคแรก--มเหสีของจักรพรรดิดิงห์โบะหลิง ได้ขับไล่รัชทายาทราชวงศ์ดิงห์ สถาปนาพระสวามีใหม่คือขุนศึกเลหว่านเป็นจักรพรรดิเลด่ายแห่ง โดยพยายามสร้างความมั่นคงด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชวงศ์ซ่งของจีนและปราบปรามกบฏภายใน แต่ก็ไม่รอดพ้นการรัฐประหาร สมัยนี้พุทธศาสนาและลัทธิเต๋ารุ่งเรืองมากและได้รับความเลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนชั้นสูงมาก
=== ราชวงศ์ยุคใหม่ ===
* พ.ศ. 1552-1768 ราชวงศ์หลี--หลี กง อ่วนมีอำนาจในราชสำนักฮวาลือ เมื่อขึ้นครองราชย์ ทรงย้ายเมืองหลวงไปที่ ทังลอง (ฮานอย) ทรงสร้างวัดขึ้น 150 แห่ง ในปี 1070 นำระบบการสอบจอหงวนมาใช้ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวันเหมียว ให้ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีขงจื้อ เพื่อสอบเข้ารับราชการในระบบจอหงวน แต่ขุนนางยังมีจำนวนน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายผู้มีอิทธิพลในหัวเมือง ต่อมาทรงพระนามว่า หลีไถโต๋ สมัยหลีเป็นสมัยที่พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองและสังคมมาก ที่ปรึกษาราชการในบางสมัยเป็นพระสงฆ์ จักรพรรดิราชวงศ์หลีช่วงหลังสร้างวัดขนาดใหญ่ขึ้นหลายแห่ง และสละราชสมบัติออกผนวช เป็นสาเหตุให้การบริหารราชการเริ่มตกอยู่ในอำนาจของเครือญาติพระชายามาจากตระกูลที่มั่งคั่งในหัวเมือง ผู้ปกครององค์สุดท้ายเป็นเด็กหญิงที่ได้รับการตั้งเป็นจักรพรรดินี พระนามว่าหลีเจี่ยว การบริหารราชการตกอยู่ในอำนาจของญาติวงศ์พระชนนีซึ่งเป็นขุนศึกมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ เช่นเจิ่นถูโดะ ซึ่งก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากราชวงศ์หลีในที่สุด
* พ.ศ. 1768-1943 ราชวงศ์เจิ่น--เจิ่นถูโดะญาติของพระชายาจักรพรรดิก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจท่ามกลางสถานการณ์กบฏและการรุกรานจากข้าศึกต่างชาติ จากนั้นได้อภิเษกสมรสกับพระนางเจียว ฮว่าง จักรพรรดินีองศ์สุดท้ายของราชวงศ์หลีแล้วยกหลานขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์เจิ่น สมัยเจิ่นเวียดนามต้องเผชิญกับศึกสงครามโดยตลอด ที่ร้ายแรงที่สุดคือการรุกรานจากพวกมองโกลและจัมปา สมัยเจิ่นก็เริ่มให้ความสำคัญกับอารยธรรมจีนมากกว่ายุคก่อนหน้าโดยเฉพาะด้านภูมิปัญญาและอักษรศาสตร์ รวมถึงการบริหารราชการแบบจีน ในสมัยนี้มีการประมวลพงศาวดารชาติเป็นครั้งแรก ชื่อว่า ด่ายเหวียตสือกี๋ หรือ บันทึกประวัติศาสตร์มหาอาณาจักรเวียด โดยราชบัณฑิต เลวันฮึว นอกจากนี้ยังเริ่มมีการประดิษฐ์อักษรของเวียดนามที่เรียกว่า อักษรโนม ขึ้นเป็นครั้งแรก
* พ.ศ. 1943-1971 ราชวงศ์โห่--โห่กุ๊ยลี ญาติของพระชายาจักรพรรดิราชวงศ์เจิ่น สร้างฐานอำนาจของตนด้วยการเป็นแม่ทัพทำศึกกับพวกจามทางใต้ ต่อมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากจักรพรรดิราชวงศ์เจิ่นและพยายามกำจัดเชื้อสายราชวงศ์ที่หลงเหลืออยู่ จากนั้นขึ้นครองราชย์ ตั้งทายาทของตนเป็นจักรพรรดิต่อมา ราชนิกูลราชวงศ์เจิ่นได้ขอความช่วยเหลือไปยังจีน ทำให้จีนส่งกองทัพเข้ามาล้มล้าง ราชวงศ์โห่ แต่สุดท้ายก็ไม่มอบอำนาจให้แก่ราชวงศ์เจิ่น และยึดครองเวียดนามแทนที่
* การกู้เอกราชและก่อตั้ง ราชวงศ์เล (ยุคหลัง) พ.ศ. 1971-2331 เล่เหล่ย ชาวเมืองแทงหวา ทางใต้ของฮานอย ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำเวียดนาม ขับไล่จีนออกจากเวียดนามได้สำเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 1971 เลเหล่ยขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ สถาปนา ราชวงศ์เล ขึ้น มีราชธานีที่ฮานอยหรือทังลองและราชธานีอีกแห่งคือที่เมืองแทงหวา (ทันห์ว้า) หรือ ราชธานีตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของเลเหล่ยและตระกูลเล ต่อมาเลเหล่ยได้รับการถวายพระนามว่า เลไถโต๋
ราชวงศ์เลช่วงแรกเป็นช่วงสร้างความมั่นคงและฟื้นฟูประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะในสมัยเลไถโต๋หรือเลเหล่ย เช่นการสร้างระบบราชการ จัดสอบคัดเลือกขุนนาง ตรากฎหมายใหม่ แบ่งเขตการปกครองใหม่ ฟื้นฟูการเกษตร รวมถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนทำให้เวียดนามเข้าสู่ยุคสงบสุขปลอดจากสงครามอีกครั้ง
หลังสมัยเลเหล่ย เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างขุนนางพลเรือนกับบรรดาขุนศึกที่ร่วมทัพกับเลเหล่ยในการสู้รบกับจีน ความขัดแย้งบานปลายจนนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่ข้าราชสำนัก จนเกิดการรัฐประหารครั้งแรกของราชวงศ์เลใน พ.ศ. 2002 มีการประหารพระชนนีและจักรพรรดิขณะนั้น ต่อมาบรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้ราชนิกูลอีกพระองค์หนึ่งมาเป็นจักรพรรดิแทน ต่อมาคือจักรพรรดิเลแถงตง (พ.ศ. 2003-2040)
รัชกาลจักรพรรดิเลแถงตงถือว่ายาวนานและรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เวียดนาม มีการปฏิรูปประเทศหลายด้านโดยยึดรูปแบบจีนมากกว่าเดิม ทั้งระบบการสอบรับราชการที่จัดสอบครบสามระดับตั้งแต่อำเภอจนถึงราชธานี จำนวนขุนนางเพิ่มขึ้นทวีคูณและทำให้ระบบราชการขยายตัวมากกว่ายุคสมัยก่อนหน้า นอกจากนั้นยังมีการประมวลกฎหมายใหม่พระองค์ทรงสร้างเวียดนามให้เป็นมหาอำนาจและเป็นศูนย์กลางด้วยการทำสงครามกับเพื่อนบ้านที่มักขัดแย้งกับเวียดนามคือจัมปาและลาว อิทธิพลของเวียดนามรับรู้ไปจนถึงหัวเมืองเผ่าไทในจีนตอนใต้และล้านนา หลังรัชกาลนี้ราชวงศ์เลเริ่มประสบปัญหาความขัดแย้งในหมู่ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ ปัญหาเศรษฐกิจจนที่สุดก็ถูกรัฐประหารโดยขุนศึกหมักดังซุง ในปี พ.ศ. 2071 เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เลหลบหนีด้วยการช่วยเหลือของขุนศึกตระกูลเหวียนและจิ่ง ที่มีอิทธิพลในราชสำนักมาแต่แรก
ราชวงศ์เลเริ่มการฟื้นฟูกอบกู้อำนาจคืนโดยมีแม่ทัพเป็นคนตระกูลเหวียนและจิ่ง ทำสงครามกับราชวงศ์หมักจนถึงปี พ.ศ. 2136 จึงสามารถยึดเมืองทังลองคืนได้และฟื้นฟูราชวงศ์เลปกครองเวียดนามต่อไป
=== ยุคแตกแยกเหนือ-ใต้ ===
* หลังการฟื้นฟูราชวงศ์เลขึ้นได้ ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการ และให้ขุนศึกตระกูลเหวียนไปปกครองเขตชายแดนใต้บริเวณเมืองด่งเหยลงไปถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็น เจ้าสืบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ในตระกูลของตนเอง ขุนศึกตระกูลเหวียนจึงประกาศไม่ยอมรับการปกครองของตระกูลจิ่งจนเกิดสงครามครั้งใหม่ต่อมาอีกหลายสิบปี เวียดนามแบ่งแยกเป็นสองส่วน ส่วนเหนือ คือ เวียดนามเหนือ อยู่ในการปกครองของราชวงศ์เลและเจ้าตระกูลจิ่ง มีศูนย์กลางที่ทังลอง ส่วนใต้ คือ เวียดนามใต้ มีตระกูลเหวียนปกครอง มีศุนย์กลางที่เมืองฝูซวนหรือเว้ในปัจจุบันตลอดมา
=== จักรวรรดิเวียดนาม ===
* พ.ศ. 2316 เกิดกบฏนำโดยชาวนาสามพี่น้องที่หมู่บ้านเตยเซินขึ้นในเขตเมืองบิ่งดิ่ง เขตปกครองของตระกูลเหวียน และสามารถยึดเมืองฝูซวนได้ องค์ชายเหงวียนแอ๋ง เชื้อสายตระกูลเหวียนหลบหนีลงใต้ออกจากเวียดนามไปจนถึงกรุงเทพฯ ก่อนกลับมารวบรวมกำลังเอาชนะพวกเตยเซินได้
องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือเหงวียนฟุกอ๊าน (องเชียงสือ) ผู้นำตระกูลเหงวียน ซึ่งตั้งตนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งราชวงศ์เหงวียน ในปี พ.ศ. 2345 สถาปนาราชธานีใหม่ที่เมืองเว้ แทนที่ทังลอง ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ฮานอย
* จักรวรรดิเวียดนาม (พ.ศ. 2345 -2488)
องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือจักรพรรดิยาลอง จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหวียนเริ่มฟื้นฟูประเทศ เวียดนามมีอาณาเขตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ดินแดนภาคใต้ขยายไปถึงปากแม่น้ำโขงและชายฝั่งอ่าวไทย ทรงรักษาสัมพันธ์กับชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสที่ช่วยรบกับพวกเตยเซิน นายช่างชาวฝรั่งเศสช่วยออกแบบพระราชวังที่เว้ และ ป้อมปราการเมืองไซ่ง่อน
ราชวงศ์เหงวียนรุ่งเรืองที่สุดในสมัยจักรพรรดิมินหมั่ง จักรพรรดิองค์ที่สอง ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ด่ายนาม ขยายแสนานุภาพไปยังลาวและกัมพูชา ผนวกกัมพูชาฝั่งตะวันออก ทำสงครามกับสยามต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี แต่ภายหลังต้องถอนตัวจากกัมพูชาหลังถูกชาวกัมพูชาต่อต้านอย่างรุนแรง
สมัยนี้เวียดนามเริ่มใช้นโยบายต่อต้านการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบาทหลวงชาวตะวันตก มีการจับกุมและประหารบาทหลวงชาวตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา จนถึงรัชกาลจักรพรรดิองค์ที่ 4 คือจักรพรรดิตึดึ๊ก ทรงต่อต้านชาวคริสต์อย่างรุนแรงต่อไป จนในที่สุดบาทหลวงชาวฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนให้ช่วยคุ้มครอง พ.ศ. 2401 เรือรบของกองทัพเรือฝรั่งเศสเข้ามาถึงน่านน้ำเมืองดานัง (หรือตูราน) ฐานทัพเรือใกล้เมืองหลวงเว้ นำไปสู่การสู้รบกันของทั้งฝ่าย
ต่อมากองกำลังฝรั่งเศสได้บุกโจมตีดินแดนภาคใต้บริเวณปากแม่น้ำโขงและยึดครองพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด จักรพรรดิตึดึ๊กจึงต้องยอมสงบศึกและมอบดินแดนภาคใต้ให้แก่ฝรั่งเศส ชาวเวียดนามเริ่มต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศสแต่ไม่อาจต่อสู้กับแสนยานุภาพทหางทหารที่เหนือกว่าได้ ฝรั่งเศสจึงเข้าควบคุมเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นและแบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คืออาณานิคมโคชินจีน ในภาคใต้ เขตอารักขาอันนัม ในตอนกลาง และ เขตอารักขาตังเกี๋ยในภาคเหนือ และเวียดนามยังมีจักรพรรดิเป็นประมุขเช่นเดิม แต่ต้องผ่านการคัดเลือกโดยข้าหลวงฝรั่งเศส และมีฐานะเป็นสัญลักษณ์ อำนาจในการบริหารการคลัง การทหาร และ การทูตเป็นของฝรั่งเศส ถือว่าเวียดนามสิ้นสุดฐานะเอกราชนับแต่นั้น
=== ยุคอาณานิคม ===
แผนที่[[อินโดจีน ค.ศ. 1913.]]
ฝรั่งเศสแสวงหาผลประโยชน์จากการปกครองเวียดนามทางด้านเศรษฐกิจ เวียดนามเป็นแหล่งปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่นกาแฟ และยางพารา ส่งออกไปยังฝรั่งเศสและเป็นวัตถุดิบแก่โรงงานในฝรั่งเศส ที่ดินในเวียดนามถูกยึดและตกเป็นของชาวฝรั่งเศส และเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้แพร่หลายในเวียดนาม ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งได้รับการศึกษาแบบใหม่และเริ่มต้องการอิสระในการทำงานและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มชาตินิยมต่าง ๆ ที่เข้มแข็งที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่ตั้งขึ้นโดยโฮจิมินห์ ในปี พ.ศ. 2473 และต่อมาปรับเปลี่ยนเป็น กลุ่มเวียดมินห์ ได้นำชาวนาก่อการต่อต้านฝรั่งเศสในชนบท
=== ยุคเอกราช ===
พ.ศ. 2488 โฮจิมินห์รับมอบอำนาจจากจักรพรรดิบ๋าวได่และรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกหลังประกาศเอกราช แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้กลับเข้ามาขับไล่รัฐบาลของโฮจิมินห์และไม่ยอมรับเอกราชของเวียดนาม นำไปสู่สงครามจนในที่สุดฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู ในปี พ.ศ. 2497 และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยอมรับเอกราชของเวียดนาม แต่สหรัฐและชาวเวียดนามในภาคใต้บางส่วนไม่ต้องการรวมตัวกับรัฐบาลของโฮจิมินห์ ต่อมาได้ก่อตั้งดินแดนเวียดนามภาคใต้เป็นอีกประเทศหนึ่ง คือ สาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) มีเมืองหลวงคือ ไซ่ง่อน ใช้เส้นละติจูดที่ 17 องศาเหนือแบ่งแยกกับเวียดนามส่วนเหนือใต้การปกครองของโฮจิมินห์ (เวียดนามเหนือ)
=== สงครามเวียดนาม ===
[[สงครามเวียดนาม ]]
เวียดนามเหนือไม่ยอมรับสถานภาพของเวียดนามใต้ ขณะที่สหรัฐได้ให้การช่วยเหลือทางการทหารแก่เวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งทหารมาประจำในเวียดนามใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามเหนือประกาศทำสงครามเพื่อขับไล่และ ปลดปล่อย เวียดนามใต้จากสหรัฐและรวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนกลุ่มชาวเวียดนามใต้ที่ต่อต้านสหรัฐ (เวียดกง) ในการทำสงคราม
การรบส่วนใหญ่กลายเป็นการรบระหว่างทหารสหรัฐและพันธมิตรจากต่างประเทศ กับกองกำลังเวียดกงและเวียดนามเหนือ ทั้งในชนบทและการโจมตีในเมือง แม้สหรัฐได้ทุ่มเทแสนยานุภาพอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจทำให้สงครามยุติลงได้ หลังการรุกโจมตีครั้งใหญ่ของเวียดนามเหนือและเวียดกงในปี พ.ศ. 2511 ที่เมืองเว้และเมืองหลักอื่น ๆ ในเวียดนามใต้ สหรัฐเริ่มเตรียมการถอนกำลังจากเวียดนามใต้และให้เวียดนามใต้ทำสงครามโดยลำพัง
สหรัฐถอนทหารจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2516 กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงจึงสามารถรุกเข้ายึดไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ได้ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2518 การรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นับแต่นั้น
== หน่วยงานราชการและการเมือง ==
1.การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดเพียงพรรคการเมืองเดียว ผูกขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (collective leadership) ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผู้นำ ได้แก่
* กลุ่มปฏิรูป ที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ฟาน วัน ขาย
* กลุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ เพราะเกรงภัยของ “วิวัฒนาการที่สันติ” (peaceful evolution) อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ และ
* กลุ่มที่เป็นกลาง ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก นำโดยอดีตประธานาธิบดี เจิ่น ดึ๊ก เลือง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศให้ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ในย่างก้าวที่รวดเร็วนัก
2.เวียดนามได้มีการเลือกตั้งสภาแห่งชาติ สมัยที่ 11 เมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 มีผู้ได้รับการเลือกตั้งทั้งสิ้น 498 คน เป็นผู้เลือกตั้งอิสระเพียง 2 คน ที่เหลือเป็นผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจากพรรคคอมมิวนิสต์ สภาแห่งชาติมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่ตรากฎหมาย แต่งตั้งหรือถอดถอนประธานาธิบดี ประธานรัฐสภา และ นายกรัฐมนตรี
3.สภาแห่งชาติชุดใหม่ได้เปิดประชุมเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 โดยสภาได้มีมติสำคัญ ๆ คือ
* รับรองผลการเลือกตั้งเมื่อ 19 พฤษภาคม
* เลือกตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ประจำสภา
* การเลือกตั้งให้นายเหวียน วัน อาน ดำรงตำแหน่งประธานสภาต่อไป (เมื่อ 23 กรกฎาคม)
* การเลือกตั้งให้นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป (เมื่อ 24 กรกฎาคม) และ
* เลือกตั้งให้นายฟาน วัน ขาย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป (เมื่อ 25 กรกฎาคม) และได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 สิงหาคม 2545 โดยในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 26 คน มีรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ 15 คน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ หลายคนเคยดำรงรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงนั้น ๆ มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกระทรวงใหม่ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม และกระทรวงภายใน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามที่ดำเนินไปด้วยดีในปัจจุบัน
4.แผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี ค.ศ. 2001-2010 เน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ และการปฏิรูปด้านการคลัง
=== การทหาร ===
=== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ===
ตามเอกสารของสภาแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม:พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ การเปิดการกระจายความหลากหลายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบพหุภาคีการประสานงานระหว่างประเทศเชิงรุกกับคติ "เวียดนามยินดีที่จะเป็นเพื่อนและพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของทุกประเทศในประชาคมโลกที่มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ สันติภาพความเป็นอิสระและการพัฒนา "
เวียดนามเข้าร่วมกับองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2520 ในสมัยฯพณฯประธานาธิบดีเดยเหม่ยอย่างเป็นทางการเวียดนามได้ปรับความสัมพันธ์กับจีนในปี พ.ศ. 2535 และสหรัฐในปี พ.ศ. 2538 เข้าร่วมอาเซียนในปีเดียวกันนั้นเอง
ปัจจุบันเวียดนามได้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 180 ประเทศ (รวมถึง 43 ประเทศในเอเชีย, 47 ประเทศในยุโรป, 11 ประเทศในโอเชียเนีย, 29 ประเทศในอเมริกา, 50 ประเทศในแอฟริกา) ทุกทวีป (เอเชีย - แปซิฟิก: 33 ประเทศ, ยุโรป: 46 ประเทศ, อเมริกา: 28 ประเทศ, แอฟริกา: 47 ประเทศ,และ ตะวันออกกลาง: 16 ประเทศ), รวมถึงทุกประเทศที่สำคัญและศูนย์กลางทางการเมืองของ โลก เวียดนามยังเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศ 63 แห่งและมีความสัมพันธ์กับองค์กรพัฒนาเอกชนมากกว่า 650 องค์กร ในเวลาเดียวกันเวียดนามมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับ 165 ประเทศและดินแดน ในสหประชาชาติเวียดนามทำหน้าที่เป็นคณะกรรมาธิการ ECOSOC สมาชิกคณะกรรมการบริหารของ UNDP UNFPA และ UPU
บทบาทภายนอกของเวียดนามในชีวิตทางการเมืองระหว่างประเทศได้รับการแสดงผ่านองค์กรที่ประสบความสำเร็จจากการประชุมระดับนานาชาติหลายครั้งในเมืองหลวงของกรุงฮานอย
ในปี พ.ศ. 2540 จัดประชุมสุดยอดชุมชนฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2541 มีการประชุมสุดยอดอาเซียน
ในปี พ.ศ. 2546 จัดประชุมนานาชาติเกี่ยวกับความร่วมมือและการพัฒนาในเวียดนามและแอฟริกา
ในปี พ.ศ. 2547 การประชุมสุดยอด ASEM จัดขึ้นในเดือนตุลาคม
ในปี พ.ศ. 2549 จัดประชุมสุดยอดเอเปคในเดือนพฤศจิกายน
ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมาเวียดนามได้กลายเป็นสมาชิกลำดับที่ 150 ขององค์การการค้าโลก (WTO) อย่างเป็นทางการ นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในกระบวนการของการรวมเข้ากับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ในปี พ.ศ. 2550 เป็นเจ้าภาพการคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นิวยอร์กได้รับการโหวตอย่างเป็นทางการเวียดนามได้รับเลือกอย่างเป็นทางการในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในวาระปี พ.ศ. 2551-2552 .
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2553 เวียดนามถือว่าบทบาทของประธานอาเซียนและในปีนั้นมีการประชุมระดับภูมิภาคจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นิวยอร์กได้ลงคะแนนในการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของเวียดนามเวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (ECOSOC) อย่างเป็นทางการปี 2016-2018
ในปี พ.ศ. 2559 จัดโอลิมปิกสากลชีวภาพ
ในปี พ.ศ. 2560 จัดการประชุมสุดยอดเอเปคในเดือนพฤศจิกายน
=== การแบ่งเขตการปกครอง ===
== ภูมิศาสตร์ ==
[[อ่าวหะล็อง ]]
ชาวเวียดนามนิยมปลูกข้าวแบบขั้นบันได
เวียดนามเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นแนวยาว และ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงกั้นระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือและใต้ แต่มีภูเขาที่มีป่าหนาทึบแค่ 20% โดยมีพันธุ์ไม้ 13,000 ชนิด และพันธุ์สัตว์กว่า 15,000 สายพันธุ์
=== ลักษณะภูมิประเทศ ===
* มีที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ 2 ตอน คือ ตอนเหนือเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง
* มีที่ราบสูงตอนเหนือของประเทศ และยังเป็นภูมิภาคที่มีเขา ซึ่งเป็นภูเขาที่สูง 3,143 เมตร (10,312 ฟุต)
=== ลักษณะภูมิอากาศ ===
แผนที่ภูมิอากาศของเวียดนาม
* เป็นแบบมรสุมเขตร้อน ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเปิดโล่งรับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านทะเลจีนใต้ ทำให้มีโอกาสรับลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อน จึงมีฝนตกชุกในฤดูหนาว สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้ง (ฝนตกตลอดปี ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) สภาพภูมิอากาศของเวียดนามตอนกลางและตอนใต้อยู่ในเขตเขตร้อน สภาพภูมิอากาศของเวียดนามตอนเหนือ (รวมถึงฮานอย) อยู่ในเขตกึ่งเขตร้อน
* เป็นประเทศที่มีความชื้นประมาณร้อยละ 84 ตลอดปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยตั้งแต่ 5 องศาเซลเซียส
=== ชายแดน ===
ทั้งหมด 4,638 กิโลเมตร (2,883 ไมล์) โดยติดกับประเทศกัมพูชา 1,228 กิโลเมตร (763 ไมล์) ประเทศจีน 1,281 กิโลเมตร (796 ไมล์) และประเทศลาว 2,130 กิโลเมตร (1,324 ไมล์)
== เศรษฐกิจ ==
ท่าเรือไซ่ง่อน
เวียดนามมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเผชิญภาวะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า จึงมีการซื้อพลังงานไฟฟ้าจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตั้งแต่กันยายนปี 2004
แม้ว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจจะเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญรองจากเหตุผลทางการเมืองและยุทธศาสตร์ในการที่อาเซียนรับเวียดนามเข้าเป็นสมาชิก แต่ก็ยังคงความสำคัญในระดับหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ความสัมพันธ์ทวิภาคีทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามและประกาศถอนทหารออกจากกัมพูชา และเมื่อเวียดนามได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีสในปี 1991
=== เหตุผลการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน ===
# การสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเวียดนามมองว่าเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการปรับสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์และการปรับนโยบายต่างประเทศ การเข้ารวมกลุ่มอาเซียนจะทำให้เวียดนามมีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศจากสมาชิกต่าง ๆ อันจะมีส่วนเอื้ออำนวยและเร่งการพัฒนาของตนไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาดซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของการแข่งขันได้ในที่สุด
# เวียดนามให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและระบบเศรษฐกิจของโลก การเป็นสมาชิกของอาเซียนจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในเขตการค้าเสรีอาเซียน และนำเวียดนามไปสู่ความคุ้นเคยกับแนวทางปฏิบัติในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับโลก อันจะมีผลดีและเป็นปัจจัยประการหนึ่งที่จะผลักดันเวียดนามให้ก้าวไปสู่การเป็นสมาชิกของ APEC และ WTO ได้ในที่สุด
# ในฐานะของสมาชิกอาเซียน เวียดนามหวังที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการค้าและการลงทุนกับประเทศอาเซียนทั้งหลาย ขณะเดียวกันในขณะที่การค้าภายในกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว เวียดนามก็ได้ตระเตรียมและปรับทิศทางการส่งออกของตนที่จะไปสู่ตลาดอาเซียนนี้อย่างจริงจังมากขึ้น การนำเข้าของเวียดนามจากอาเซียนในขณะนี้เป็นครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมดของทั้งหมดของเวียดนาม และประมาณร้อยละ 30 ของการค้าทั้งหมดของเวียดนามที่มีกับอาเซียนนอกจากนี้ เวียดนามยังหวังว่าตนจะได้รับสิทธิพิเศษ GSP อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป และเวียดนามยังจะเป็นจุดส่งออกที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ
ในด้านการลงทุน ทั้งเวียดนามและประเทศในกลุ่มอาเซียนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าไปลงทุนในเวียดนามโดยเวียดนามจะสามารถดูดซึมเทคนิค วิทยาการและเทคโนโลยีที่ผ่านมากับการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการร่วมทุน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการผลิตของเวียดนาม และขณะเดียวกัน นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศและประกาศกฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็ให้ความสนใจลพยายามแสวงหาโอกาสเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ทั้งนี้เพราะอาเซียนก็สนใจในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากเวียดนามเป็นตลาดใหญ่มีประชากรถึง 73 ล้านคน มีความสมบูรณ์ทางทรัพยาธรรมชาติ มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาถูก การมีเวียดนามเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นจะทำให้อาเซียนมีประชากรเพิ่มเป็น 420 ล้านคน และจะมีผลผลิตมวลรวมภายในถึง 500 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ อันจะทำให้อาเซียนมีศักยภาพในการขยายตัวกางเศรษฐกิจได้มากขึ้นไปอีก
ในปัจจุบัน ประเทศที่ได้รับการอนุมัติด้วยมูลค่าลงทุนมากที่สุดได้แก่สิงคโปร์ ซึ่งมีโครงการการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจำนวนโครงการ ด้วยมูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวียดนามคิดได้เป็นร้อยละ 27.69 ของมูลค่าของการลงทุนต่างชาติทั้งสิ้นในเวียดนาม กล่าวคือในมูลค่า 8.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่าของการลงทุนต่างชาติทั้งสิน 29.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีโครงการทั้งสิ้น 337 โครงการ โดยมาเลเซียลงทุนเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ ไทยลงทุนเป็นอันดับ 3 ประเภทของการลงทุนที่สมาชิกอาเซียนดำเนินการในเวียดนาม ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้างสำนักงาน ที่อยู่อาศัย การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและการแปรรูปอาหาร เวียดนามหวังว่าการลงทุนจากประเทศสมาชิกอาเซียนนี้จะมีส่วนช่วยถ่วงดุลการลงทุนจากเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น
ในขณะเดียวกันในส่วนของอาเซียน เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้อาเซียนยินดีรับเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกก็คือ การเข้ารวมกลุ่มอาเซียนของเวียดนามนั้นจะมีผลไปเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอีกทั้งอำนาจในการต่อรองทางการเมืองทั้งหลายต่างก็มีผลประโยชน์ที่สอดคล้องกัน ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจร่วมกันอันนำไปสู่การยอมรับในที่สุด
=== วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ===
เวียดนามมีพื้นฐานของนักปราชญ์ตั้งแต่ยุคโบราณ มีการสั่งสมความรู้ทั้งด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ จนเป็นที่เลื่องลือ โดยในปัจจุบันเวียดนามเริ่มมีการพัฒนาเทคโนโลยี ในปี 2553 เวียดนามมีงบประมาณทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่ที่ 0.45% ของ GDP
=== การขนส่ง ===
====อากาศ====
เครื่องบินของสายการบิน[[เวียดนามแอร์ไลน์]]
เวียดนามมีท่าอากาศยานขนาดใหญ่ 6 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (Nội Bai) ในกรุงฮานอย, ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (Tần Sơn Nhất) ในนครโฮจิมินห์, โครงการท่าอากาศยานนานาชาติล็องถั่ญ (Long Thánh) ในจังหวัดด่งนาย, ท่าอากาศยานจูลาย (Chu Lai) ในจังหวัดกว๋างนาม และท่าอากาศยานนานาชาติดานัง (Đà Nẵng) ในนครดานัง
====ถนน====
ทางด่วนเหนือ-ใต้ การเชื่อมต่อ Cầu Giẽ และ บิ่ญถ่วน]]
ในปี 2553 ระบบถนนของเวียดนามมีความยาวรวมประมาณ 188,744 กิโลเมตร (117,280 ไมล์) โดยมี 93,535 กิโลเมตร (58,120 ไมล์) เป็นถนนลาดยาง
====ทางรถไฟ====
ทางรถไฟในเวียดนาม ปัจจุบันมีการเชื่อมต่อกับประเทศจีน และมีเครือข่ายในประเทศเท่านั้น ยังไม่มีทางเชื่อมต่อกับลาวและกัมพูชา ซึ่งขณะนี้กำลังวางแผนก่อสร้าง
== ประชากรศาสตร์ ==
=== เชื้อชาติ ===
มีจำนวน 84.23 ล้านคน ความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 253 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นชาวญวนร้อยละ 86 (บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศ) ต่าย ชาวไท เหมื่อง ฮั้ว (จีน) ชาวเขมร นุง ชาวม้ง
=== ภาษา ===
การสื่อสารใช้ภาษาเวียดนาม ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2463 วงการวิชาการเวียดนามได้ลงประชามติที่จะใช้ตัวอักษรโรมัน (Quốc ngữ) แทนตัวอักษรจีน (Chữ Nôm) ในการเขียนภาษาเวียดนาม
=== ศาสนา ===
| title = ศาสนาในประเทศเวียดนาม
| titlebar = #ddd
| left1 = ศาสนา
| right1 = ร้อยละ
| float = right
เจดีย์เสาเดียว แสดงให้เห็นถึง[[ศาสนาพื้นบ้านเวียดนาม]]
จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2557 ประเทศเวียดนามมีประชากรนับถือศาสนา 90 ล้านคน แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพื้นบ้านเวียดนามและไม่มีศาสนา 24 ล้านคน (73.2%) ศาสนาพุทธ 11 ล้านคน (12.2%) ศาสนาคริสต์ 7.6 ล้านคน (8.3%) ลัทธิเฉาได 4.4 ล้านคน (4.8%) ลัทธิฮหว่าหาว 1.3 ล้านคน (1.4%) และศาสนาอื่น ๆ (0.1%) เช่น ศาสนาอิสลาม 75,000 คน ศาสนาบาไฮ 7,000 คน ศาสนาฮินดู 1,500 คน
=== การศึกษา ===
==== ประวัติการศึกษาของเวียดนาม ====
ประเทศเวียดนามได้มีการพัฒนาการศึกษาควบคู่ไปกับพัฒนาของประเทศ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นระยะ ๆ ย่อ ๆ ในเชิงประวัติศาสตร์ดังนี้ (Pham Minh Hac,1995, 42-61)
1. ระยะที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีน (Period of Chinese Imperial Domination) : 200 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 938
ในระยะนี้ประเทศเวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีน ดังนั้นผู้บริหารของประเทศจีน จึงเป็นผู้ก่อตั้งระบบการศึกษาในประเทศเวียดนามทั้งในแบบของรัฐและเอกชน ซึ่งในสมัยก่อนเน้นเฉพาะการศึกษาของบุตรชายและการฝึกอบรมบุคคลเพื่อเข้าไปรับราชการและบริหารประเทศ มีนโยบาย "Feudal Intelligentsia" ซึ่งจะคัดเลือกเฉพาะบุตรชายจากครอบครัวขุนนางไปรับราชการกับราชวงศ์จีน ระบบการศึกษาต่อเนื่องของชาวเวียดนามในบางศตวรรษพบว่า บุคคลชาวเวียดนามที่มีฐานะทางสังคมดีและมีสติปัญญาดีจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาต่อในประเทศจีน โดยมีการสอบแข่งขันหลายขั้นตอนและครั้งสุดท้ายจะสอบที่กรุงปักกิ่ง เมื่อสอบผ่านจะได้วุฒิเทียบเท่า Doctor’s Degree ระบบการศึกษาดังกล่าวสืบทอดมาจนถึง ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - ค.ศ. 907) ระบบการศึกษาที่เลียนแบบมาจากประเทศจีนประกอบด้วย การศึกษาเบื้องต้น (Primary Education) ที่มีระยะเวลาการศึกษาน้อยกว่า 15 ปี และการศึกษาระดับอุดมศึกษา (Higher Education) ที่มีระยะเวลาการศึกษามากกว่า 15 ปีขึ้นไป
2. ระยะที่ประเทศมีอิสรภาพ (Period of National Independence) : ค.ศ. 938 - ค.ศ. 1859
ในปี ค.ศ. 938 Ngo Dinh ได้รบชนะจีนและก่อตั้งราชวงศ์ Ngo Dinh และราชวงศ์ Le ตอนต้น (ค.ศ. 939 - ค.ศ. 1009) การศึกษาส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการโดยเอกชนและโรงเรียนพุทธศาสนา จนกระทั่งราชวงศ์ Le (ค.ศ. 1009 - ค.ศ. 1225) เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เมืองหลวงทังลอง หรือฮานอยในปัจจุบัน มีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศเวียดนามเป็นแห่งแรก ใน ค.ศ. 1076 ที่มีชื่อเรียกว่า "Quoc Tu Gian หรือ Royal College" เพื่อเป็นแหล่งการศึกษาของบุตรชายของครอบครัวที่มีฐานะดี ในยุคนี้มีการสร้างโรงเรียนของรัฐขึ้นอีกทั้งในส่วนกลางและจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้บุตรชายของสามัญชนเข้ารับการศึกษา ทำให้ระบบการศึกษาในประเทศเวียดนามในยุคนี้แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
* Royal College อยู่ในเมืองหลวง อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของกษัตริย์
* โรงเรียนในระดับจังหวัดและอำเภอ เป็นโรงเรียนของรัฐซึ่งยังมีจำนวนไม่มากนัก
* โรงเรียนของภาคเอกชน
อาจสรุปได้ว่าการศึกษาในระยะต้น ๆ ของประเทศเวียดนามอยู่ในระบบศักดินา ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการคัดเลือกคนเข้าไปเรียนเพื่อเป็นขุนนางและข้าราชการในระดับต่าง ๆ
3. ระยะที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส (Period of French Colonialism): ค.ศ. 1859 - 1945
ในระยะที่ประเทศเวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสนี้ ระยะแรก ๆ ยังคงใช้ระบบการศึกษาตามลัทธิขงจื้ออยู่ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1917 จึงได้มีการเริ่มระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศส แต่ให้ความสำคัญกับการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีโรงเรียนประถมศึกษาเกิดขึ้นในหมู่บ้านที่มีพลเมืองอาศัยอยู่หนาแน่น
การศึกษาในเบื้องต้นมีเกรด 1 - 2 มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน Ecole Communale ใช้เรียกการศึกษาในทางตอนเหนือ Ecole Auxilier Preparatoire ใช้เรียกการศึกษาทางตอนใต้ และ Ecole Preparatoire ใช้เรียกการศึกษาในตอนกลางของประเทศ ในบางเมืองมีการศึกษาพื้นฐาน 6 ปี ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ฮานอย ไฮฟอง และวิญ มีการศึกษาที่สูงกว่า ระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้นอีก 4 ปี และมีเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้นที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับมัธยมศึกษา คือ Ha Noi, Hue และ Saigon
ตอนต้นศตวรรษที่ 20 ประเทศฝรั่งเศสมีการพัฒนาการศึกษาวิชาชีพ (Professional Education) ขึ้น โดยมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาที่มีรูปแบบตะวันตก ในปี ค.ศ. 1902 มีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกที่กรุงฮานอย และมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาหลายแห่งในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีสถาบันการศึกษาทางด้านเทคนิคและอุตสาหกรรมอีกหลายแห่ง ซึ่งมีระยะเวลาในการศึกษา 2 ปี เน้นการฝึกอบรมทักษะในการทำงานกับเครื่องจักรกล สถาบันการศึกษาในระดับนี้เรียกว่า โรงเรียนฝึกวิชาชีพชั้นสอง จนกระทั่ง ค.ศ. 1919 จึงมีระบบการศึกษาแบบมหาวิทยาลัยที่มีการศึกษาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ ได้แก่ วิชาฟิสิกส์ เคมี จนกระทั่งถึง ค.ศ. 1923 ได้เริ่มมีการจดทะเบียนผู้ที่ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
โดยทั่วไปแล้วระบบการศึกษาของประเทศเวียดนามภายใต้การปกครองของประเทศฝรั่งเศส ยังมีความจำกัดอยู่มาก โดยพบว่ามีจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนประมาณรัอยละ 2.6 ของประชากรในวัยเรียนทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่มีประชากรทั้งหมด 17,702,000 คน ในปี ค.ศ. 1931
4. ระยะหลังการปฏิวัติเดือนสิงหาคม (Period after August Revolution) : ค.ศ. 1945 - 1975
5. ระยะของการรวมประเทศ (Period of National Reunification) : ค.ศ. 1975 - ปัจจุบัน
==== การศึกษาของเวียดนามในปัจจุบัน ====
ปัจจุบันเวียดนามแบ่งลักษณะของการจัดการศึกษาไว้ 5 ลักษณะ คือ
1. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา (Pre-School Education)
ประกอบด้วยการเลี้ยงดูเด็ก สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี และอนุบาลสำหรับเด็กอายุ 3 - 5 ปี
2. การศึกษาสามัญ (5 - 4 - 3)
* ระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคบังคับ 5 ปี ชั้น 1 - 5
* ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือชั้น 6 - 9
* ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คือชั้น 10 - 12
3. การศึกษาด้านเทคนิคและอาชีพ มีเทียบเคียงทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
4. การศึกษาระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็นระดับอนุปริญญา (Associate degree) และระดับปริญญา
5. การศึกษาต่อเนื่อง เป็นการศึกษาสำหรับประชาชนที่พลาดโอกาสการศึกษาในระบบสายสามัญและสายอาชีพ
การศึกษาสามัญ 12 ปี (General Education) ของเวียดนามนั้นเวียดนามมีวัตถุประสงค์ที่จะ ให้ประชาชนได้มีวิญญาณในความเป็นสังคมนิยม มีเอกลักษณ์ประจำชาติ และมีความสามารถในด้านอาชีพ ในอดีตการศึกษาสามัญของเวียดนามมีเพียง 10 ปีเท่านั้น และไม่มีอนุบาลศึกษามาก่อนจนถึงปีการศึกษา 2532 - 2533 จึงมีการศึกษาถึงชั้นปีที่ 9 ทั้งประเทศ ซึ่งได้เรียกการศึกษาสามัญ 9 ปี ดังกล่าวนี้ว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Basic Education) และเมื่อได้ขยายไปถึงปีที่ 12 แล้วจึงได้เรียกการศึกษาสามัญ 3 ปีสุดท้ายว่า มัธยมชั้นสูง (Upper Secondary School) ปี 2535 - 2536 ระบบการศึกษาสามัญในเวียดนามจึงกลายเป็นระบบ 12 ชั้นเรียนทั้งประเทศ โดยเด็กที่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 จะมีอายุย่างเข้าปีที่ 6
เมื่อเวียดนามได้ใช้ระบบการศึกษาเป็น 12 ปีแล้ว จำนวนนักเรียนในทุกระดับชั้นยังมีน้อย ดังนั้นปี 2534 สภาแห่งชาติของเวียดนามจึงได้ออกกฎหมายการกระจายการศึกษาระดับประถมศึกษา (Law of Universal Primary Education) ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกว่าด้วยการศึกษาของเวียดนาม
== วัฒนธรรม ==
วัฒนธรรมของเวียดนามส่วนใหญ่ล้วนมีวัฒนธรรมที่มีรากฐานมาจากจีน และศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า
=== สื่อสารมวลชน ===
สื่อของเวียดนามได้รับการควบคุม โดยรัฐบาลตามกฎหมายปี 2004 ในการเผยแพร่ โดยทั่วไปจะมองเห็นว่า ภาคสื่อของเวียดนามถูกควบคุม โดยรัฐบาลไปตามเส้นทางของพรรคคอมมิวนิสต์ แม้ว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับจะค่อนข้างตรงไปตรงมา เสียงของเวียดนามเป็นบริการกระจายเสียงทางวิทยุแห่งชาติที่รัฐ ออกอากาศผ่านทางเอฟเอ็มโดยใช้เครื่องส่งสัญญาณให้เช่าในประเทศอื่น ๆ และการให้การออกอากาศจากเว็บไซต์ของ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศเวียดนาม เป็นบริษัทวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ
ตั้งแต่ปี 1997 เวียดนามมีการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยใช้วิธีการทางกฎหมายและทางเทคนิค เพื่อล็อกผลจะเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า "แบมบู ไฟร์วอลล์" โครงการความร่วมมือโอเพ่นเน็ตริเริ่มจัดระดับของเวียดนามการเซ็นเซอร์ทางการเมืองจะเป็นการ "แพร่หลาย" ในขณะที่ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเวียดนามพิจารณาให้เป็นหนึ่งใน 15 ของโลก "ศัตรูของอินเทอร์เน็ต" แม้ว่ารัฐบาลของเวียดนามอ้างว่าเพื่อป้องกันประเทศกับเนื้อหาลามกอนาจารหรือไม่เหมาะสมทางเพศผ่านความพยายามสกัดกั้นของหลายทางการเมืองและศาสนาเว็บไซต์ที่มีความสำคัญเป็นสิ่งต้องห้ามยัง
=== ดนตรี ===
เพลงเวียดนามแบบดั้งเดิมแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ ดนตรีคลาสสิกเหนือเป็นรูปแบบดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามและเป็นประเพณีที่เป็นทางการมากขึ้น ต้นกำเนิดของดนตรีเวียดนามสามารถโยงไปถึงการรุกรานของมองโกลในศตวรรษที่ 13 เมื่อเวียดนามจับกุมคณะงิ้ว
=== วรรณกรรม ===
วรรณกรรมในเวียดนาม มีมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์โง มีการกล่าวเน้นเกี่ยวกับบรรพบุรุษหรือวีรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันมีการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกไปด้วย
=== เทศกาล ===
date=2018-08-30|title=Feature: Football mania spreads after Vietnam makes history at Asiad - Xinhua {{
กีฬาอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมได้แก่ แบดมินตัน, เทนนิส, วอลเลย์บอล, เทเบิลเทนนิส และ หมากรุกสากล ปัจจุบันเวียดนามเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันทางด้านกีฬา จากการคว้าชัยชนะจากกีฬาหลายประเภท และมีส่วนร่วมในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน โดยเป็ยสมาชิกของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล
=== อาหาร ===
=== ข่าวและวารสาร ===
=== เว็บไซต์ ===
* {{Cite web
|author=Lowy Institute
|title=Asia Power Index 2020 Edition Vietnam
|url=https://power.lowyinstitute.org/countries/vietnam/
|date=2020
|publisher=Lowy Institute
=== เนื้อหาเสรี ===
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Vietnam profile จาก BBC News
* Vietnam. The World Factbook. Central Intelligence Agency. (CIA)
* Vietnam จาก UCB Libraries GovPubs
* Vietnam ที่ Encyclopædia Britannica
* Key Development Forecasts for Vietnam จาก International Futures
=== รัฐบาล ===
* Portal of the Government of Vietnam
* พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม - เว็บไซต์ทางการ (ในภาษาเวียดนาม)
* National Assembly - the Vietnamese legislative body
* General Statistics Office
* Ministry of Foreign Affairs
* Chief of State and Cabinet Members
===สื่อและการเซ็นเซอร์ ===
* Robert N. Wilkey. "Vietnam's Antitrust Legislation and Subscription to E-ASEAN: An End to the Bamboo Firewall Over Internet Regulation?" The John Marshall Journal of Computer and Information Law. Vol. XX, No. 4. Summer 2002. Retrieved 16 February 2013.
=== การท่องเที่ยว ===
* Official tourism website
{{Geographic location
|Northeast = ทะเลจีนใต้
|East = ทะเลจีนใต้
|Southeast = ทะเลจีนใต้
|South = อ่าวไทย, ทะเลจีนใต้
|Southwest = , อ่าวไทย
|Northwest =
{{Navboxes
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2519
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส
หมวดหมู่:ประเทศในทวีปเอเชีย
หมวดหมู่:ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
1966 | https://th.wikipedia.org/wiki/เวียดนาม_(แก้ความกำกวม) | เวียดนาม (แก้ความกำกวม) | เวียดนาม หรือ ญวน อาจหมายถึง:
* ประเทศเวียดนาม - ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
* ภาษาเวียดนาม - ภาษาที่ใช้พูดเป็นหลักในประเทศเวียดนาม และในกลุ่มคนเวียดนามในส่วนอื่นของโลก
* ชาวเวียดนาม - คนที่เกิดและโตในประเทศเวียดนาม |
1969 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศอินโดนีเซีย | ประเทศอินโดนีเซีย | อินโดนีเซีย () หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย () เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรอินโดจีนและทวีปออสเตรเลีย และระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียวหรือกาลีมันตัน (), ประเทศปาปัวนิวกินีบนเกาะนิวกินีหรืออีรียัน () และประเทศติมอร์-เลสเตบนเกาะติมอร์ ประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ได้แก่ สิงคโปร์, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, ออสเตรเลีย, ปาเลา, และอินเดีย (หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์) อินโดนีเซียยังเป็นประเทศหมู่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 14 ของโลกด้วยพื้นที่ 1,904,569 ตารางกิโลเมตร (735,358 ตารางไมล์) และมีประชากรราว 280 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 4 ของโลก โดยกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในเกาะชวา และยังเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก
อินโดนีเซียเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐธรรมนูญซึ่งมีสภานิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้ง และมีทั้งสิ้น 38 จังหวัด โดย 9 จังหวัดมีสถานะพิเศษ กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศเป็นเขตเมืองที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสองของโลก อินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีพื้นที่ป่าไม้ที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะมากที่สุดในโลก ซึ่งชื่อ Indonesia เริ่มมีการใช้ในกลุ่มชาติตะวันตกตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ก่อนการก่อตั้งรัฐอินโดนีเซีย และใน ค.ศ. 1850 จอร์จ วินด์เซอร์ เอิร์ล นักชาติพันธุ์วิทยาชาวอังกฤษ ได้บัญญัติคำศัพท์ใหม่ Indunesians หมายถึง "หมู่เกาะอินเดียหรือหมู่เกาะมลายู"
ตั้งแต่ ค.ศ. 1900 ชื่อ Indonesia เป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยมีการใช้ทั้งในแวดวงวิชาการและสื่อมวลชน โดย อาด็อล์ฟ บาสเตียน นักมานุษยวิทยาชาวเยอรมันถือเป็นผู้เผยแพร่ชื่อ Indonesia ให้เป็นที่รู้จักผ่านหนังสือ Indonesien oder die Inseln des Malayischen Archipels
== ประวัติศาสตร์ ==
* เกาะบอร์เนียว
** จังหวัดกาลีมันตันเหนือ - ตันจุงเซอโลร์
** จังหวัดกาลีมันตันกลาง - ปาลังการายา
** จังหวัดกาลีมันตันใต้ - บันจาร์บารู
** จังหวัดกาลีมันตันตะวันออก - ซามารินดา
** จังหวัดกาลีมันตันตะวันตก - ปนตียานัก
* เกาะซูลาเวซี
** จังหวัดโก-รนตาโล - โก-รนตาโล
** จังหวัดซูลาเวซีเหนือ - มานาโด
** จังหวัดซูลาเวซีกลาง - ปาลู
** จังหวัดซูลาเวซีใต้ - มากัซซาร์
** จังหวัดซูลาเวซีตะวันออกเฉียงใต้ - เกินดารี
** จังหวัดซูลาเวซีตะวันตก - มามูจู
* หมู่เกาะโมลุกกะ
** จังหวัดมาลูกู - อัมบน
** จังหวัดมาลูกูเหนือ - โซฟีฟี
* เกาะนิวกินี
** จังหวัดปาปัว - จายาปูรา
** จังหวัดปาปัวที่สูง - วาเมนา
** จังหวัดปาปัวใต้ - เมอเราเก
** จังหวัดปาปัวกลาง - นาบีเร
** จังหวัดปาปัวตะวันตก - มาโน-กวารี
** จังหวัดปาปัวตะวันตกเฉียงใต้ - โซรง
=== นโยบายต่างประเทศ ===
อินโดนีเซียมีคณะทูตใน 132 ประเทศ และสถานทูตกว่า 95 แห่งทั่วโลก ประเทศยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศที่ "เสรีอย่างแข็งขัน" โดยแสวงหาบทบาทในระดับภูมิภาคและเวทีโลกตามสมควร แต่หลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างประเทศ อินโดนีเซียเป็นสมรภูมิสำคัญในช่วงสงครามเย็น ปัจจุบันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก เช่นเดียวกับโลกมุสลิมส่วนใหญ่ อินโดนีเซียไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลและสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางส่วนได้ชี้ให้เห็นว่าอินโดนีเซียมีความผูกพันกับอิสราเอลแม้จะไม่แสดงออกชัดเจน โดยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าอาวุธปืนที่ผลิตจากอิสราเอล
อินโดนีเซียเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติมาตั้งแต่ปี 1950 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) และองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) อินโดนีเซียเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน กลุ่มแคนส์ องค์การการค้าโลก (WTO) และเป็นสมาชิกโอเปกเป็นครั้งคราว สืบเนื่องจากความขัดแย้งทางการทหารระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย ส่งผลให้อินโดนีเซียถอนตัวจากสหประชาชาติหลังการเลือกตั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก่อนจะกลับมาเข้าร่วมอีกครั้งใน 18 เดือนต่อมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหประชาชาติที่ประเทศสมาชิกมีการถอนตัว อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศผู้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1966 อินโดนีเซียได้จัดตั้งโครงการความช่วยเหลือในต่างประเทศเป็นครั้งแรกในปลายปี 2019
=== กองทัพ ===
[[จาการ์ตาใน พ.ศ. 2551 ในภาพเห็นอาคารวิซมา 46 ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศ ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจของเมือง]]
เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นแหล่งสำคัญที่สุดในการทำรายได้ให้อินโดนีเซีย นับแต่ยุคหลังได้รับเอกราชตลอดมา ซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียได้นำรายได้มาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการขนส่งและการคมนาคมสร้างฐานอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูง มุ่งหวังสร้างความแข็งแกร่งให้กับการอุตสาหกรรมของประเทศ ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันในตลาดโลกในช่วงระหว่างปี 1980-84 ซึ่งราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของอินโดนีเซีย รัฐบาลจึงหันมาส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตเพื่อลดการพึ่งพา รายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ แร่โลหะที่มีค่า สินค้าอุตสาหกรรม ต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนาภาคเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิต ทำให้อินโดนีเซียมีข้าวเพียงพอสำหรับเลี้ยงตนเองได้โดยไม่ต้องนำเข้าอีกต่อไป ยกเว้นบางปีที่ผลผลิตข้าวไม่ดี ขณะเดียวกันรายได้จากการ ส่งออกสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะสินค้า อุตสาหกรรมได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญในปัจจุบัน โดยคิดเป็นร้อยละ 75 ของสินค้าออก ทั้งหมด
ในด้านอุตสาหกรรม อินโดนีเซียได้พัฒนาอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ อาทิ อุตสาหกรรมต่อเรือที่จาการ์ตา สุราบายา เซอมารัง และอัมบอยนา อุตสาหกรรมผลิตเครื่องบิน อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ชนิดต่าง ๆ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมกระจก
เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ รัฐบาลอินโดนีเซียได้พยายามปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบเรื่องเศรษฐกิจการค้า การเงิน การธนาคาร และการลงทุน เพื่อให้มีความเสรีและสะดวก ยิ่งขึ้น การผ่อนคลายรูปแบบของเศรษฐกิจที่มีรัฐควบคุมอยู่มาก เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนต่างชาติเข้ามาลงทุนในกิจการหลาย ๆ ภาคที่เคยจำกัดไว้ รวมทั้งด้านสาธารณูปโภค อาทิ การพัฒนาแหล่งพลังงานไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง โทรคมนาคม เป็นต้น
ดังนั้น เศรษฐกิจของอินโดนีเซียจึงมีการขยายตัวและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความมั่นคงทางการเมือง ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ และค่าจ้างแรงงานไม่สูงมาก ล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการลงทุนของต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การประกอบการที่ดำเนินแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ การกู้ยืมเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากภายนอกเพื่อลงทุนในกิจการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ การผลิตและประกอบการที่ไม่มีการแข่งขันเนื่องจากได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตประเทศอื่นได้
การไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมการโยกย้ายเงินทุน การโจมตีค่าเงินในภูมิภาค หนี้สินต่างประเทศ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย รวมทั้งในอินโดนีเซียในช่วงปี 1997-98 ก่อให้เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งอินโดนีเซียต้องพึ่งพากู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก
สินค้าออกที่สำคัญของอินโดนีเซีย นอกจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแล้ว ได้แก่ ไม้อัดพลายวูด เสื้อผ้า ผ้าผืน ยางแปรรูป รองเท้า อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ สินแร่โลหะและผลิตผลทางการเกษตร ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ การขนส่งในประเทศมีแนวโน้มจะเป็นแบบเกื้อกูลช่วยเหลือกันมากกว่าเป็นการแข่งขันในเชิงเศรษฐกิจ ในปี 2016 เม็ดเงินจากการคมนาคมขนส่งอย่างเดียวคิดเป็น 5.2% ของจีดีพี
ระบบถนนทั้งประเทศมีความยาวรวม (2016) โดยจาการ์ตามีระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษที่ขึ้นชื่อว่ามีเส้นทางเดินรถยาวที่สุดในโลก "ทรานส์จาการ์ตา" (TransJakarta)
ด้วยระยะทาง ใน 13 สายที่วิ่งจนถึงชานเมืองจาการ์ตา รถสามล้อ เช่น bajaj, becak และแท็กซี่แบบแบ่งกัน (share taxi) เช่น Angkot และ Metromini เป็นรูปแบบการขนส่งท้องถิ่นที่พบได้ทั่วไปในประเทศ ระบบการขนส่งทางรางส่วนมากกระจุกตัวอยู่ในชวา ทั้งขนส่งผู้โดยสารและสินค้า สำหรับรถไฟฟ้าและโมโนเรลกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในจาการ์ตาและปาเล็มบัง ภายใต้ชื่อ MRT และ LRT นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงซึ่งประกาศในปี 2015 ถือเป็นชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ริเริ่มแนวคิดนี้
title = ศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย (2010)
| titlebar = #ddd
| left1 = ศาสนา
| right1 = ร้อยละ
| float = right
เทพอจินไตย เทพเจ้าสูงสุดของศาสนาฮินดูแบบบาหลี ศาสนาฮินดูมีผู้นับถือเป็นหลักบนเกาะบาหลี]]
ในปี 2018 ประเทศอินโดนีเซียมีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาอิสลาม 87.2% ศาสนาคริสต์ 7% ศาสนาฮินดู 2.9% ศาสนาพุทธ 0.7% ลัทธิขงจื๊อและศาสนาอื่น ๆ 0.2%
โดยศาสนาฮินดูมีผู้นับถือเป็นหลักบนเกาะบาหลี คิดเป็นราว 84% ของประชากรทั้งหมด นับถือศาสนาฮินดูแบบบาหลี อันต่างจากศาสนาฮินดูในอนุทวีปอินเดียในบางส่วน เช่น มีศาสนสถานที่เรียกว่าปูรา นับถือเทพเจ้าสูงสุดคือ อจินไตย (เทพเจ้า) เป็นต้น
ชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะชาวอินโดนีเซียแต่เดิมมีความเชื่อเรื่องผี ซึ่งเป็นความเชื่อที่พบได้ทั่วไปในชาวออสโตรนีเซียน พวกเขาบูชาและเคารพวิญญาณบรรพบุรุษและเชื่อว่าวิญญาณเหนือธรรมชาติ (ฮยัง) อาจอาศัยอยู่ในสถานที่บางแห่ง เช่น ต้นไม้ใหญ่ หิน ป่า ภูเขา หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างระบบความเชื่อของชาวอินโดนีเซีย ได้แก่ วีวีตัน ของชาวซุนดา, กาฮารีญัน ของชาวดายัก และ เกอจาเวิน ของชาวชวา เป็นต้น ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่ออื่น ๆซึ่งเห็นได้จากผู้คนจำนวนมาก เช่น ชาวอาบังกันชาวชวา, ชาวฮินดูในบาหลี และชาวดายัคที่นับถือศาสนาของพวกเขา
อิทธิพลของศาสนาฮินดูมาถึงหมู่เกาะตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ในขณะที่พุทธศาสนามาถึงราวศตวรรษที่ 6 และประวัติศาสตร์ในอินโดนีเซียมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับศาสนาฮินดู เนื่องจากบางอาณาจักรที่ยึดตามพุทธศาสนามีรากฐานมาจากช่วงเวลาเดียวกัน และแม้จะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนายังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมชาวอินโดนีเซีย
=== ภาษา ===
ภาษาราชการของประเทศคือภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภาษามลายู และมีสถานะเป็นภาษากลางของหมู่เกาะมาหลายศตวรรษ ได้รับการส่งเสริมโดยกลุ่มชาตินิยมในปี 1920 และได้รับสถานะอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ บาฮาซาอินโดนีเซีย ในปี 1945 และยังคงมีลูกหลานสืบเชื้อสายในประเทศอยู่จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ภาษาดัตช์ไม่เคยได้รับการยอมรับในกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ รวมถึงไม่ได้รับสถานะทางการในบริบทต่าง ๆ แม้ว่าประเทศจะมีความสัมพันธ์กับเนเธอร์แลนด์เกือบ 350 ปี แต่ชนกลุ่มน้อยตามเกาะต่าง ๆ สามารถใช้ภาษาดัตช์ได้อย่างคล่องแคล่วซึ่งส่วนมากเป็นลูกหลานของอาณานิคมชาวดัตช์ที่กล่าวถึงข้างต้น
=== การศึกษา ===
ซุ้มประตู[[จันดีเบินตาร์ ลักษณะสำคัญของสถาปัตยกรรมบาหลีและบันไดทางเข้าปูราเบอซากิฮ์บนเกาะบาหลี]]
สถาปัตยกรรมอินโดนีเซียนั้นได้รับอิทธิพลจากหลากหลายวัฒนธรรม โดยได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของอินเดียเป็นหลัก ผสมผสานกับอิทธิพลจีน อาหรับ มุสลิม และยุโรป บ้านแบบดั้งเดิมของอินโดนีเซียเรียกรวม ๆ ว่า รูมะฮ์อาดัต (rumah adat) ซึ่งรูมะฮ์อาดัตแต่ละแบบก็ใช้การก่อสร้างและวัสดุในท้องถิ่น ถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชนเผ่าพื้นเมืองแต่ละเผ่า เช่น รูมะฮ์กาดังที่พบในซูลาเวซีใต้, ตงโกนันหรือบ้านหลังคาทรงเรือ, ศาลาแบบเป็นโดโป, หลังคาแบบจ็อกโล ของวัฒนธรรมชวา, บ้านยาว และ รูมะฮ์เมลายูหรือบ้านมลายู ของชาวดายัก, สถาปัตยกรรมบาหลีที่พบใน โบสถ์พราหมณ์แบบบาหลี (ปูรา) และ โรงนา (ลัมบัง)
=== วรรณกรรม ===
ในสมัยที่ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาได้เข้าไปเผยแพร่ในอินโดนีเซีย วรรณกรรมของอินโดนีเซียจึงมีความเจริญอย่างรวดเร็ว หนังสือที่มีชื่อเสียงในระยะนั้นได้แก่เรื่องเนการาเกอร์ตากามา ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ และอำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต นอกจากนี้ยังมีหนังสือที่ได้รับความนิยมกันมากอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องปาราราตัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกษัตริย์อินโดนีเซียในสมัยนั้น เขียนเป็นภาษาชวาโบราณ
ต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามได้แพร่เข้าไปในอินโดนีเซีย ก็ได้มีผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับคำสอนของศาสนาอิสลาม และตำราหมอดูไว้หลายเล่ม โดยเขียนเป็นภาษาชวา
=== เครื่องแต่งกาย ===
upผ้าบาติก เอกลักษณ์พื้นเมืองของอินโดนีเซีย]]
อินโดนีเซียมีเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบอันเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมอันยาวนานและยาวนาน ชุดประจำชาติมีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมพื้นเมืองของประเทศและประเพณีสิ่งทอแบบดั้งเดิม ผ้าบาติกชวาและเกบายา เป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของอินโดนีเซีย แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดจากซุนดาและบาหลีด้วยเช่นกัน แต่ละจังหวัดมีการแสดงเครื่องแต่งกายและการแต่งกายแบบดั้งเดิม เช่น Ulos of Batak จากสุมาตราเหนือ; Songket ของมลายูและ Minangkabau จากสุมาตรา; และอิกัตแห่งซาสักจากลอมบอก ผู้คนสวมชุดประจำชาติและระดับภูมิภาคในงานแต่งงานตามประเพณี พิธีการ การแสดงดนตรี การเข้าร่วมกิจกรรมของรัฐบาลและโอกาสทางการ และมีความแตกต่างกันไปตามเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมจนถึงสมัยใหม่
=== ดนตรี ===
มหรสพที่มีชื่อเสียงหนึ่งคือ ระบำบารง (Barong Dance) เป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาะบาหลี อินโดนีเซีย บารองเป็นสัตว์ในตำนาน ซึ่งมีหลังอานยาวและหางงอนโง้ง และเป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณดีงาม ซึ่งเป็นผู้ปกปักษ์รักษามนุษย์ต่อสู้กับรังดา ตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณชั่วร้าย ระบำบารงเป็นนาฏกรรมศักดิ์สิทธิ์ การร่ายรำมีท่าทีอ่อนช้อยงดงาม เสียงเพลงไพเราะ
การเต้นรำแบบอินโดนีเซียมีประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย โดยมีการเต้นรำดั้งเดิมมากกว่า 3,000 แบบ นักวิชาการเชื่อว่าพวกเขามีจุดเริ่มต้นในพิธีกรรมและการบูชาทางศาสนา ตัวอย่าง ได้แก่ ระบำสงคราม การเต้นรำของหมอผี และการเต้นรำเรียกฝนหรือพิธีกรรมทางการเกษตร เช่น ฮูด็อก การเต้นรำของชาวอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลจากยุคก่อนประวัติศาสตร์และชนเผ่า ฮินดู-พุทธ และอิสลามของหมู่เกาะ เมื่อเร็ว ๆ นี้การเต้นรำสมัยใหม่และการเต้นของวัยรุ่นในเมืองได้รับความนิยมเนื่องจากอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกและของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นาฏศิลป์พื้นเมืองต่าง ๆ รวมทั้งของชวา บาหลี และดายัค ยังคงเป็นประเพณีที่มีอิทธิพลต่อสังคมถึงปัจจุบัน
=== ศิลปะการแสดง และวงการบันเทิง ===
การแสดงวายัง
วายัง (แสดงโดยคน) และ การแสดงละครหุ่นกระบอกเงาของชาวชวา ซุนดา และบาหลี เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีมายาวนาน โดยมักแสดงเป็นเรื่องในตำนานหลายเรื่อง เช่น รามายณะและมหาภารตะ ละครท้องถิ่นรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่ ละครภาษาชวา Ludruk และ Ketoprak, เรื่องซันดิวาราซุนดา, เบตาวี เลนอง และละครนาฏศิลป์บาหลีหลายเรื่อง พวกเขารวมอารมณ์ขันและความตลกขบขันไว้ในการแสดง และมักให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในการแสดง ประเพณีการแสดงละครบางเรื่องยังรวมถึงดนตรี การเต้นรำ และศิลปะการต่อสู้ เช่น รันไดจากชาวมินังกาเบาในสุมาตราตะวันตก มักใช้ประกอบพิธีและเทศกาลตามประเพณี และอิงตามตำนานกึ่งประวัติศาสตร์และเรื่องราวความรักของมินังกาเบา ศิลปะการแสดงสมัยใหม่ยังพัฒนาขึ้นในอินโดนีเซียด้วยรูปแบบการละครที่โดดเด่น คณะละคร นาฏศิลป์ และคณะละครที่มีชื่อเสียง เช่น Teater Koma มีชื่อเสียงเนื่องจากมักแสดงถึงการเสียดสีทางสังคมและการเมืองของสังคมชาวอินโดนีเซีย
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผลิตในหมู่เกาะคือ เลิ้ง กะสะเริง (Loetoeng Kasaroeng) เป็นภาพยนตร์เงียบโดยผู้กำกับ แอล ฮิวเวลดอร์ป ชาวดัตช์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ขยายตัวหลังจากได้รับเอกราช โดยมีภาพยนตร์ 6 เรื่องที่ผลิตในปี 1949 เพิ่มขึ้นเป็น 58 เรื่องในปี 1955 อุสมาร์ อิสมาอิล ผู้ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญในวงการบันเทิงในทศวรรษ 1950 และ 1960 โดยทั่วไปถือว่าเป็นผู้บุกเบิกภาพยนตร์ชาวอินโดนีเซีย และภาพยนตร์ต่างประเทศก็ถูกห้ามฉายในเวลาต่อมา การผลิตภาพยนตร์ได้รับความนิยมถึงจุดสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1980 แม้ว่าจะลดลงอย่างมากในทศวรรษต่อมาด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ภาพยนตร์ที่โดดเด่นในช่วงเวลาหลายทศวรรษมานี้ ได้แก่ Pengabdi Setan (1980), Nagabonar (1987), Tjoet Nja' Dhien (1988), Catatan Si Boy (1989) และภาพยนตร์ตลกของ Warkop
บริษัทสร้างภาพยนตร์อิสระเป็นจุดกำเนิดใหม่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1998 โดยที่ภาพยนตร์เริ่มมีเนื้อหาที่ได้รับการห้ามฉายก่อนหน้านี้ เช่น ศาสนา เชื้อชาติ และความรัก ระหว่างปี 2000 ถึง 2005 จำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายในแต่ละปีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2016 ภาพยนตร์เรื่อง DKI Reborn: Jangkrik Boss Part 1 ทุบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศ กลายเป็นภาพยนตร์ชาวอินโดนีเซียที่มีผู้ชมมากที่สุดด้วยยอดขายบัตร 6.8 ล้านใบ อินโดนีเซียได้จัดเทศกาลภาพยนตร์และรางวัลประจำปี ซึ่งรวมถึงเทศกาลภาพยนตร์อินโดนีเซีย (Festival Film Indonesia) ซึ่งจัดขึ้นเป็นระยะ ๆ นับตั้งแต่ปี 1955 โดยมอบรางวัล Citra Award ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตั้งแต่ปี 1973 ถึง 1992 เทศกาลนี้จัดขึ้นทุกปีจนถึงปี 2004 และกำลังนำกลับมาจัดอีกครั้งในอนาคต
=== อาหาร ===
[[นาซีปาดัง, เร็นดัง, กูไล และผักนานาชนิด]]
อาหารอินโดนีเซียมีความหลากหลายสูงมาก อาหารพื้นเมืองได้รับอิทธิพลจากจีน อาหรับ และยุโรป รวมทั้งเครื่องเทศทั้งที่พบในท้องถิ่นและนำเข้ามาปลูกจากอินเดีย ข้าวเป็นอาหารหลักในอินโดนีเซีย ทานคู่กับอาหารคาว ส่วนมากปรุงรสด้วยเครื่องเทศ พริก กะทิ ปลา เนื้อไก่ เป็นวัตถุดิบหลัก
อาหารขึ้นชื่อเช่น นาซีโกเร็ง, กาโด-กาโด, สะเต๊ะ, โซโต อย่างไรก็ตามกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งชาติได้เลือกให้ ตัมเป็ง เป็นอาหารประจำชาติในปี ค.ศ. 2014 อาหารหมักดองที่เป็นที่รู้จัก เช่น อนจม, เต็มเป ซึ่งนิยมมากในชวาตะวันตก
หนึ่งในอาหารที่คนไทยรู้จักกันดีคือ กาโด-กาโด เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของอินโดนีเซียคล้ายกับสลัดแขก ซึ่งจะประกอบด้วยถั่วเขียว มันฝรั่ง ถั่วงอก เต้าหู้ ไข่ต้มสุก กะหล่ำปลี ข้าวเกรียบกุ้ง รับประทานกับซอสถั่วที่มีลักษณะเหมือนซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส เช่น รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไป และยังเป็นเหมือนอาหารสำหรับคนรักสุขภาพได้อีกด้วย
=== กีฬา ===
กีฬาในประเทศมักมีผู้เล่นเป็นเพศชาย และมักเกี่ยวข้องกับการพนันที่ผิดกฎหมาย แบดมินตันและฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยม อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในห้าประเทศเท่านั้นที่คว้าแชมป์ Thomas and Uber Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันชิงแชมป์โลกประเภททีมแบดมินตันชายและหญิง ซึ่งนอกจากการยกน้ำหนักแล้ว แบดมินตันยังเป็นกีฬาที่มีส่วนเพิ่มเหรียญโอลิมปิกให้แก่อินโดนีเซียมากที่สุด
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเช่นกัน ลีกาซาตู เป็นลีกสโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศ ในระดับภูมิภาค อินโดนีเซียได้รับรางวัลเหรียญทองแดงในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 1958 และอีก 2 เหรียญทองในซีเกมส์ 1987 และ 1991 และทีมชาติอินโดนีเซียร่วมแข่งชัน เอเชียนคัพ สมัยแรกในปี 1996 และร่วมแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มได้อีกสามครั้งถัดไป แม้ว่าจะยังไม่เคยผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์
== อ้างอิง ==
=== บรรณานุกรม ===
* Winters, Jeffrey A. "Oligarchy and democracy in Indonesia." in Beyond Oligarchy (Cornell UP, 2014) pp. 11-34. online
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Indonesia. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* Indonesia from the BBC News
* Key Development Forecasts for Indonesia from International Futures
=== รัฐบาล ===
* Minister of The State Secretary
* Statistics Indonesia
* Chief of State and Cabinet Members
=== ทั่วไป ===
* Indonesia UCB Libraries GovPubs
* Indonesia Encyclopædia Britannica
* Official Site of Indonesian Tourism
{{Navboxes
|title=บทความที่เกี่ยวข้องกับประเทศอินโดนีเซีย
หมวดหมู่:ประเทศอินโดนีเซีย
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2488 |
1974 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศบรูไน | ประเทศบรูไน | บรูไน () หรือ เนอการาบรูไนดารุสซาลาม (, ยาวี: ; ) เป็นประเทศบนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้ พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวักของมาเลเซียตะวันออก บรูไนเป็นประเทศเดียวที่มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนเกาะบอร์เนียว ส่วนพื้นที่ที่เหลือของเกาะถูกแบ่งเป็นของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ประเทศนี้มีประชากร 455,858 คนหรือแม่น้ำเซอรูดงในซาบะฮ์ตะวันออก ลูกเรือที่รอดชีวิตในเรือจากการสำรวจของมาเจลลันเดินทางเยือนรัฐบรูไนใน ค.ศ. 1521 และใน ค.ศ. 1578 จึงสู้รบต่อสเปนในสงครามกัสติยา
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิบรูไนเริ่มเสื่อมอำนาจ สุลต่านยอมยกซาราวัก (กูจิง) ให้เจมส์ บรูก และแต่งตั้งให้เป็นรายาขาว จากนั้นซาบะฮ์ก็ตกเป็นของบริษัทเอ็นบีซีซีของอังกฤษ ใน ค.ศ. 1888 บรูไนกลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษและได้รับมอบหมายให้เป็นพลเมืองอังกฤษในฐานะผู้บริหารอาณานิคมเมื่อ ค.ศ. 1906 หลังญี่ปุ่นเข้ายึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการเขียนกฎหมายสูงสุดฉบับใหม่ขึ้น และใน ค.ศ. 1962 เกิดกบฏติดอาวุธต่อระบอบกษัตริย์สิ้นสุดลงด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ และนำไปสู่การแบนพรรคประชาชนบรูไนที่สนับสนุนเอกราช การกบฏยังมีอิทธิต่อการตัดสินพระทัยของสุลลต่านที่ไม่เข้าร่วมสหพันธรัฐมาลายาที่กำลังสถาปนาขึ้น ความเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษเหนือบรูไนสิ้นสุดในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1984 ทำให้บรูไนกลายเป็นรัฐเอกราชอย่างเต็มตัว
บรูไนเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก (ปริมาณการผลิตน้ำมันประมาณ 180,000 บาร์เรล/วัน) และยังเป็นสมาชิกสหประชาชาติ, องค์การการค้าโลก, การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก, องค์การความร่วมมืออิสลาม, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด, เครือจักรภพแห่งประชาชาติ และอาเซียน
== ศัพทมูลวิทยา ==
ตามประวัติศาสตร์ท้องถิ่น บรูไนได้รับการก่อตั้งโดยอาวัง อาลัก เบอตาตาร์ ภายหลังเป็นสุลต่านมูฮัมมัด ชะฮ์ ผู้ครองราชย์ประมาณ ค.ศ. 1400 พพระองค์ย้ายจากการังในเขตเติมบูรงไปยังชะวากทะเลแม่น้ำบรูไน ค้นพบบรูไน ตามตำนานระบุว่า เมื่อขึ้นบก พระองค์ทรงอุทานว่า Baru nah (แปลแบบหลวม ๆ ว่า "นั่นไง
ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีการเปลี่ยนชื่อเป็น "Barunai" โดยอาจได้รับอิทธิพลจากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า "'" () แปลว่า "กะลาสี" คำว่า "Borneo" ก็มีที่มาเดียวกัน
== ประวัติศาสตร์ ==
สุสาน[[สุลต่านโบลเกียห์ ใกล้กับเมืองโกตะบาตู]]
บรูไนเป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวและส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า สินค้าส่งออกที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ การบูร พริกไทย และทองคำ
หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปน และเนเธอร์แลนด์ได้แผ่อำนาจเข้ามา
จนถึงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไนจึงได้ยินยอมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมาในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ
ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) บรูไนสำรวจพบน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่เมืองเซรีอา ทำให้บรูไนมีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ได้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s Party) ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล ต่อมาจึงได้ยึดอำนาจจากสุลต่าน แต่สุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกูรข่าที่กองทัพบกอังกฤษส่งมาจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และต่ออายุทุก ๆ 2 ปี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่อยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษมาถึง 95 ปี บรูไนก็ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984)
== ภูมิศาสตร์ ==
แผนที่ภูมิประเทศและขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของประเทศบรูไน
บรูไนเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกอบด้วย 2 ส่วนที่ไม่ติดกัน ซึ่งมีพื้นที่บนเกาะบอร์เนียวรวม มีขนาดชายฝั่งถัดจากทะเลจีนใต้ และมีชายแดนติดกับมาเลเซีย บรูไนมีน่านน้ำอาณาเขตที่ และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เมืองหลักแห่งอื่นได้แก่เมืองท่ามัวรา เมืองผลิตน้ำมันเซอเรียและกัวลาเบอไลต์ใกล้เคียง ในเขตเบอไลต์ มีพื้นที่ปานากาที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยุโรปผู้อพยพไปอยู่ต่างประเทศจำนวนมาก เนื่องจากมีบริษัทรอยัลดัตช์เชลล์และกองทัพอังกฤษเป็นที่พักพิง นอกจากนี้ยังมีสถานพักผ่อนหย่อนใจหลายแห่งตั้งอยู่ที่นั่น
ภูมิอากาศในบรูไนเป็นภูมิอากาศเขตร้อน มีอุณหภูมิสูง ความชื้นสูง และ ฝนตกมาก
== การเมืองการปกครอง ==
สมเด็จพระราชาธิบดีฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาเลาะห์
รัฐธรรมนูญปัจจุบันซึ่งแก้ไขล่าสุดเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 กำหนดให้สุลต่านทรงเป็นอธิปัตย์ คือเป็นทั้งประมุข นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นชาวบรูไนเชื้อสายมลายูตั้งแต่กำเนิด และจะต้องเป็นมุสลิมนิกายซุนนี นอกจากนี้ บรูไนไม่มีสภาที่ได้รับเลือกจากประชาชน
นโยบายหลักของบรูไน ได้แก่การสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในชาติ และดำรงความเป็นอิสระของประเทศ ทั้งนี้ บรูไนมีที่ตั้งที่ถูกโอบล้อมโดยมาเลเซีย และมีอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่อยู่ทางใต้ บรูไนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงคโปร์ เนื่องจากมีเงื่อนไขคล้ายคลึงกันหลายประการ อาทิ เป็นประเทศเล็ก และมีอาณาเขตติดกับประเทศมุสลิมขนาดใหญ่
นับจากการพยายามยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลได้ประกาศกฎอัยการศึกส่งผลให้ไม่มีการเลือกตั้ง รวมทั้งบทบาทพรรคการเมืองได้ถูกจำกัดอย่างมาก จนปัจจุบันพรรคการเมือง ได้แก่ Parti Perpaduan Kebangsaan Brunei (PPKB) และ Parti Kesedaran Rakyat (PAKAR) ไม่มีบทบาทมากนัก เนื่องจากรัฐบาลควบคุมด้วยมาตรการต่าง ๆ อาทิ กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ (Internal Security Act (ISA)) ห้ามการชุมนุมทางการเมือง และสามารถถอดถอนการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองได้ ตลอดจนห้ามข้าราชการ (ซึ่งมีเป็นจำนวนกว่าครึ่งของประชากรบรูไนทั้งหมด) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง นอกจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าพรรคการเมืองไม่มีความจำเป็น เนื่องจากประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือขอความช่วยเหลือจากข้าราชการของสุลต่านได้อยู่แล้ว
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ได้มีการจัดการประชุมของสภาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่บรูไนประกาศเอกราช
=== บริหาร ===
สุลต่านเป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาลในบรูไน โดยใช้อำนาจเด็ดขาดและอำนาจบริหารเต็มที่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญปี 2502 สุลต่านทรงแต่งตั้ง ห้าสภาคือ องคมนตรีสภา สันตติวงศ์สภา ศาสนาสภา รัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติ
=== นิติบัญญัติ ===
ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2502 มีการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ (มาเลย์: Majlis Mesyuarat Negera) แต่มีการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้นในปี 2505 ในไม่นานหลังจากการเลือกตั้งสภาก็เลือนหายไปตามประกาศภาวะฉุกเฉิน สภาได้รับการแต่งตั้งโดยคำสั่งของสุลต่าน ในปี 2547 สุลต่านประกาศว่าสำหรับการเลือกตั้งรัฐสภาครั้งต่อไปจะมีการเลือกตั้ง 15 จาก 20 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามไม่มีการกำหนดวันที่สำหรับการเลือกตั้ง
ปัจจุบันสภานิติบัญญัติประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจำนวน 20 คนและมีอำนาจในการให้คำปรึกษาเท่านั้น
=== ตุลาการ ===
ระบบยุติธรรมในบรูไนมีรากฐานมาจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษ โดยเป็นระบบกฎหมายคู่
=== การแบ่งเขตการปกครอง ===
เขตการปกครองของบรูไน
ประเทศบรูไนแบ่งการปกครองระดับบนสุดออกเป็น 4 เขต () ดังนี้
# เขตบรูไน-มัวรา (Brunei-Muara)
# เขตเบอไลต์ (Belait)
# เขตตูตง (Tutong)
# เขตเติมบูรง (Temburong)
=== เมืองใหญ่สุด ===
=== สิทธิมนุษยชน ===
สิทธิมนุษยชนในบรูไนถูกกำกับโดยระบบยุติธรรมแบบศาสนาอิสลาม
=== การต่างประเทศ ===
จนกระทั่งปี 1979 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของบรูไนได้รับการจัดการโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร หลังจากได้รับเอกราชในปี 1984 การต่างประเทศนี้ได้รับการยกระดับเป็นระดับรัฐมนตรีและเป็นที่รู้จักในนามกระทรวงการต่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของบรูไนอย่างเป็นทางการมีดังนี้
*การเคารพซึ่งกันและกันของอธิปไตยเหนือดินแดนความซื่อสัตย์และความเป็นอิสระของผู้อื่น
*การบำรุงรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรในหมู่ประชาชาติ
*การไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และ
*การบำรุงรักษาและการส่งเสริมสันติภาพความมั่นคงและความมั่นคงในภูมิภาค
ด้วยความผูกพันดั้งเดิมกับสหราชอาณาจักรบรูไนก็กลายเป็นสมาชิกคนที่ 49 ของเครือจักรภพทันทีในวันประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2527 หนึ่งในโครงการริเริ่มแรกที่มีต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาคที่ดีขึ้นบรูไนได้เข้าร่วมกับอาเซียนในวันที่ 7 มกราคม 2527 โดยเป็นสมาชิกลำดับที่หก เพื่อให้บรรลุถึงการยอมรับอำนาจอธิปไตยและความเป็นอิสระมันได้เข้าร่วมสหประชาชาติในฐานะสมาชิกเต็มรูปแบบในวันที่ 21 กันยายนของปีเดียวกัน
ในฐานะประเทศอิสลามบรูไนก็กลายเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบขององค์กรการประชุมอิสลาม (ปัจจุบันเป็นองค์กรความร่วมมืออิสลาม) ในเดือนมกราคม 2527 ในการประชุมสุดยอดอิสลามครั้งที่สี่ที่จัดขึ้นในโมร็อกโก
หลังจากเข้าร่วมในเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก (APEC) ในปี 2532 บรูไนได้เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปคในเดือนพฤศจิกายน 2543 และการประชุมระดับภูมิภาคอาเซียน (ARF) ในเดือนกรกฎาคม 2545 บรูไนเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญใน BIMP-EAGA ซึ่งก่อตั้งขึ้นในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีครั้งแรกในเมืองดาเวาประเทศฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2537
บรูไนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสิงคโปร์และฟิลิปปินส์ ในเดือนเมษายน 2552 บรูไนและฟิลิปปินส์ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่พยายามกระชับความร่วมมือทวิภาคีของทั้งสองประเทศในด้านการเกษตรและการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
บรูไนเคยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2556 นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียนในปีเดียวกัน
=== การทหาร ===
กองทัพบรูไน (Royal Brunei Armed Forces หรือ RBAF) มีกำลังพลเพียง 7,000 นาย และกำลังสำรอง 700 นาย โดยแบ่งเป็นกองทัพบก 4,900 นาย กองทัพเรือ 1,000 นาย และกองทัพอากาศ 1,200 นาย
อย่างไรก็ดี สุลต่านยังมีกองทหารกูรข่าของพระองค์เอง เรียกว่า Gurkha Reserve Unit (GRU) จำนวน 2,500 นาย และกองทหารกูรข่าของอังกฤษ (British Gurkha) รวมกำลังพล 1,000 คน ประจำอยู่ที่เมืองเซอเรีย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่บ่อน้ำมัน และกิจการผลิตน้ำมันของกองทัพบรูไน Brunei Shell Petroleum โดยรัฐบาลบรูไนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
== เศรษฐกิจ ==
ประเทศบรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง แต่รัฐบาลบรูไนก็เริ่มตระหนักว่าประเทศชาติจะพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากรทั้งสองอย่างเท่านี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่ควรหันมาให้ความสนใจกับทรัพยากรธรรมชาติอี่น ๆ ที่ยังคงมีมากมายเช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ และพื้นที่อันอุดมสมบรูณ์เหมาะแก่การเกษตร เพื่อเป็นการเร่งรัดการพัฒนารูปแบบของการลงทุน สุลต่านบรูไนได้ทรงตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่คือกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ดูแลวางแผนและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยเฉพาะ โครงการอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและเร่งรัดส่งเสริมเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับภาคเกษตร ป่าไม้ และการประมง
การดำเนินการช่วงแรกนั้น รัฐบาลมุ่งสนับสนุนโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดเล็กในภูมิภาคที่สามารถป้อนผลผลิตให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่นก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงขยายไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว รัฐบาลได้ตั้งความหวังว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งที่เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจหมดไปในอนาคต โดยที่ประชาชนยังมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ บรูไนเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร ขณะนี้ยังมีประชากรน้อยมาก แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้ อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี การศึกษา รัฐให้เล่าเรียนจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษา นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการแก่ข้าราชการของรัฐ อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ คือ น้ำมัน ส่วนพืชเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว กล้วย
=== อุตสาหกรรม ===
บรูไนมีอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันอยู่บ้าง อาทิ การผลิตอาหาร และปลากระป๋อง
=== แนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ===
ปัจจุบัน บรูไนกำลังพยายามเปลี่ยนแปลง จากเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก ไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันสำรองที่ยืนยันแล้ว (proven reserve) ของบรูไนจะหมดลงในราวปี พ.ศ. 2558 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเอเชีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ทำให้บรูไนเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ได้แก่
# จัดตั้งสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ นำโดยเจ้าชายโมฮาเหม็ด โบลเกียห์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของบรูไน) ซึ่งมีแนวทางส่งเสริมภาคเอกชน ให้มีบทบาทมากขึ้น ในการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
# ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่เน้นนโยบายให้สวัสดิการ มาเป็นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ขยายฐานการจัดเก็บภาษี
# ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศของ BIA โดยหันมาลงทุนในธุรกิจด้านใหม่ ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ เช่น การซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทคมนาคม หรือธุรกิจสายการบินต่าง ๆ
# แผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 8 (The Eighth National Development Plan: 8th NDP) ที่ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2544-2548 มีสาระสำคัญ ได้แก่ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี - GDP) ที่ร้อยละ 5-6 โดยตั้งวงเงินงบประมาณ สำหรับการดำเนินตามแผนฯ ไว้ 7.3 พันล้านดอลลาร์บรูไน ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์ทางการพัฒนาใหม่นี้ จะช่วยให้รัฐบาลสร้างสมดุลของงบประมาณได้ดีขึ้น สามารถกำหนดมาตรการในการพัฒนา และฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งและการขยายตัวให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กและย่อม การขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน แปรรูปรัฐวิสาหกิจบางกิจการ และสร้างความแข็งแกร่งในระบบการเงินและการคลัง นอกจากนี้ รัฐบาลบรูไนยังยึดแนวคิดของวิธีการปกครองที่ดี (Good Governance) รวมทั้งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชน
# ส่งเสริมการลงทุนกับต่างประเทศ และมีมาตรการเปิดเสรีด้านการค้า และสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ไม่เฉพาะแต่บริษัทในประเทศ แต่รวมถึงประเทศต่าง ๆ จากกลุ่มอาเซียน และนานาประเทศ
# พัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์บริการการค้าและการท่องเที่ยว (Service Hub for Trade and Tourism -SHuTT 2003 Vision) และเป็นตลาดการขนถ่ายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเป้าหมายประการหนึ่งของโครงการความร่วมมือของกลุ่ม Brunei Indonesia Malaysia Philippines-East ASEAN Growth Area (BIMP-EAGA)
# สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเอื้ออำนวยต่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคพื้นฐาน นอกจากนี้ จากการที่บรูไนได้กำหนดแผนพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติ (Brunei International Financial Center : BIFC) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับประเทศ ในด้านการบริการการเงินในระดับนานาชาติ กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และสร้างงานให้กับประชาชน
=== การท่องเที่ยว ===
บรูไนเป็นประเทศที่เริ่มหันมาพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวอย่างจริงจังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางมาถึงบรูไนดารุสซาลามผ่านสนามบินนานาชาติบรูไนมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 258,955 คนเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวน 218,809 คนในปี 2559 เพิ่มขึ้น 18.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ความสำเร็จครั้งนี้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ 10% จากปีที่แล้วและนับเป็นสถิติที่สูงที่สุดของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาตินับตั้งแต่ปี 2554 ที่จำนวนนักท่องเที่ยว 242,061 คน
== โครงสร้างพื้นฐาน ==
=== การคมนาคม===
ในประเทศเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายถนนระยะทาง 2,800 กิโลเมตร (1,700 ไมล์) ทางหลวงระยะทาง 135 กิโลเมตร (84 ไมล์) จากเมือง Muara ไปยัง Kuala Belait กำลังได้รับการพัฒนาต่อเติมเป็นถนนสองเลน
บรูไนสามารถเดินทางโดยเครื่องบินทะเลและการขนส่งทางบก ท่าอากาศยานนานาชาติบรูไนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของประเทศ สายการบินรอยัลบรูไน เป็นสายการบินแห่งชาติ มีสนามบินอีกแห่งหนึ่งคือสนามบิน Anduki ที่ตั้งอยู่ใน Seria ท่าเรือเฟอร์รี่ที่ Muara ให้บริการเชื่อมต่อไปยังลาบวน (มาเลเซีย) เป็นประจำ เรือเร็วให้บริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าไปยังเขต Temburong ทางหลวงสายหลักที่วิ่งข้ามประเทศบรูไนคือทางหลวง Tutong-Muara เครือข่ายถนนของประเทศได้รับการพัฒนาอย่างดี บรูไนมีท่าเรือหลักอยู่ที่ Muara
สนามบินในบรูไนกำลังได้รับการยกระดับอย่างกว้างขวาง สนามบินนานาชาติจางีเป็นที่ปรึกษาด้านการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันสมัยซึ่งปัจจุบันมีต้นทุนการวางแผนอยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์ โครงการนี้มีกำหนดจะเพิ่มพื้นที่พื้นใหม่ 14,000 ตารางเมตร (150,000 ตารางฟุต) และมีอาคารผู้โดยสารและโถงผู้โดยสารขาเข้าใหม่ เมื่อเสร็จสิ้นโครงการนี้ความจุผู้โดยสารประจำปีของสนามบินคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 1.5 เป็น 3 ล้านคน
ด้วยรถยนต์ส่วนตัวหนึ่งคันสำหรับทุก ๆ 2.09 คนบรูไนมีอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ที่สูงที่สุดในโลก นี่เป็นผลมาจากการที่ไม่มีระบบการขนส่งที่ครอบคลุมภาษีนำเข้าต่ำและราคาน้ำมันไร้สารตะกั่วต่ำเพียง 0.53 ดอลลาร์ต่อลิตร
ถนนสายใหม่ระยะทาง 30 กม. (19 ไมล์) ซึ่งเชื่อมต่อกับเขต Muara และ Temburong ของบรูไนมีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2562 สิบสี่กิโลเมตร (9 ไมล์) ของถนนสายนี้จะข้ามอ่าวบรูไน ใช้งบประมาณก่อสร้างสะพานคือ 1.6 พันล้านดอลลาร์
=== การศึกษา ===
การศึกษาในบรูไนถูกกำกับโดยกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงศาสนา มีการสอนศาสนาอิสลามและมีการเน้นการสอนภาษามาเลย์และภาษาอังกฤษ
=== สาธารณสุข ===
บรูไนมีโรงพยาบาลที่ดำเนินการโดยรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีศูนย์สุขภาพไม่ต่ำกว่า 16 แห่งและคลินิกสุขภาพ 10 แห่ง
การดูแลสุขภาพในบรูไนมีค่าใช้จ่าย 1 ดอลล่าร์บรูไน และฟรีสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี
== ประชากรศาสตร์ ==
right|พิพิธภัณฑ์เครื่องราชกกุธภัณฑ์
วีฒนธรรมบรูไนส่วนใหญ่เป็นมลายู (สะท้อนกลุ่มชาติพันธุ์) ที่มีอิทธิพลจากศาสนาอิสลามอย่างมาก แต่ถูกมองว่ามีความอนุรักษ์นิยมกว่าของอินโดนีเซียและมาเลเซีย อิทธิพลต่อวัฒนธรรมบรูไนมาจากวัฒนธรรมมลายูในกลุ่มเกาะมลายู โดยเกิดอิทธิพลทางวัฒนธรรม 4 ช่วง ได้แก่: วิญญาณนิยม, ฮินดู, อิสลาม และตะวันตก อิสลามมีอิทธิพลอย่างมากและได้รับการยอมรับให้เป็นอุดมการณ์และปรัชญาของบรูไน
เนื่องจากเป็นประเทศชะรีอะฮ์ ทำให้มีการห้ามจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมได้รับอนุญาตให้นำแอลกอฮอล์เข้ามาในปริมาณจำกัดจากจุดขึ้นเครื่องในต่างประเทศ เพื่อการบริโภคส่วนตัว
=== สื่อสารมวลชน ===
สื่อในบรูไนได้รับการกล่าวขานว่าสนับสนุนรัฐบาล การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสื่อมีน้อย Freedom House จัดให้สื่อในประเทศนี้อยู่ในระดับ "ไม่เสรี" กระนั้น สื่อมวลชนไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรูต่อมุมมองทางเลือกอย่างชัดเจน และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับรัฐบาลเท่านั้น
=== กีฬา ===
ประเทศบรูไนมีกีฬาที่ยอดนิยมในประเทศคือกีฬาฟุตบอล ฟุตบอลทีมชาติบรูไนเข้าร่วมฟีฟ่าใน ค.ศ. 1969 แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก ลีกสูงสุดในประเทศคือบรูไนซูเปอร์ลีกที่บริหารโดยสมาคมฟุตบอลบรูไนดารุสซาลาม (FABD) ประเทศนี้มีศิลปะการต่อสู้เป็นของตนเองชื่อ "ซีลัตซุฟเฟียนเบอลาดีรี" ()
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Prime Minister's Office of Brunei Darussalam website
* Chief of State and Cabinet Members
ข้อมูลทั่วไป
* Brunei. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* Brunei profile from the BBC News
* Brunei at Encyclopædia Britannica
* Key Development Forecasts for Brunei from International Futures
การเดินทาง
* Brunei Tourism website (archived 9 May 2007)
หมวดหมู่:อดีตรัฐในอารักขาของอังกฤษ
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2527
หมวดหมู่:เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร |
1981 | https://th.wikipedia.org/wiki/ไข่ดาว_(พรรณไม้) | ไข่ดาว (พรรณไม้) | ไข่ดาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Oncoba spinosa Forsk) เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 2 - 3 เมตร มีดอกสีขาว กลีบดอกบางกลม หรือรูปไข่ กว้าง 2 - 3 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้เส้นเล็กๆ สีเหลืองจำนวนมากอยู่กลางดอก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์สนุ่น |
1983 | https://th.wikipedia.org/wiki/ลูกปืนใหญ่_(พืช) | ลูกปืนใหญ่ (พืช) | thumb|ผลลูกปืนใหญ่
ลูกปืนใหญ่ หรือ สาละลังกา () เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่
== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==
ลูกปืนใหญ่เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ หนาทึบ เปลือกสีน้ำตาลแกมเทา แตกเป็นร่องและสะเก็ด ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ เป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง รูปขอบขนานถึงรูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว12-25 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบหรือมน ขอบใบจักตื้น ใบหนา ดอกสีชมพูอมเหลืองหรือแดง ด้านในสีม่วงอ่อนอมชมพู มีกลิ่นหอมมาก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะขนาดใหญ่ตามลำต้น ช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ปลายช่อโน้มลง กลีบดอกหนา 4-6 กลีบ กลางดอกนูน สีขนสั้นสีเหลืองคล้ายแปรง เกสรเพศผู้เป็นเส้นยาวสีชมพูแกมเหลืองจำนวนมาก ทยอยบานจากโคนไปหาปลายช่อ นานเป็นเดือน ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-10 เซนติเมตร ผลแห้ง ทรงกลมใหญ่ ขนาด 10-20 เซนติเมตร เปลือกแข็ง สีน้ำตาลปนแดง ผลสุกมีกลิ่นเหม็นมีเมล็ดจำนวนมาก รูปไข่
== ประวัติ ==
ลูกปืนใหญ่ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาใต้ในประเทศเปรู, โคลัมเบีย, บราซิล และประเทศใกล้เคียง
== ต้นไม้ประจำสถาบัน ==
* เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยชินวัตรและในอดีตเคยเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นต้นราชพฤกษ์แล้ว)
* เป็นต้นไม้ประจำ โรงเรียนสารวิทยา
* เป็นต้นไม้ประจำ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
*เป็นต้นไม้ประจำ วิทยาลัยพยาบาลบรมมราชชนนี แพร่
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* 19537.โพธิญาณพฤกษา : ต้นสาละใหญ่ (ต้นมหาสาละ)
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย
หมวดหมู่:วงศ์จิก |
1985 | https://th.wikipedia.org/wiki/เสลดพังพอน | เสลดพังพอน | เสลดพังพอนตัวผู้ หรือ ชองระอา ชื่ออื่น พิมเสนต้น (ภาคกลาง) ทองระอา ช้องระอา ลิ้นงูเห่า คันชั่ง (ตาก) อังกาบ อังกาบเมือง (ไทย) ก้านชั่ง (พายัพ) เป็นพืชในวงศ์เหงือกปลาหมอ (Acanthaceae) เป็นไม้พุ่ม สีเขียวน้ำตาล สูงเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ใบมีลักษณะเรียงแคบ ผิวใบเกลี้ยง เส้นกลางใบมีสีแดง โคนก้านใบมีหนามสีม่วง ดอกช่อสีส้มเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ
เสลดพังพอน เป็นพืชสมุนไพร ใบใช้พอกฝี แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ช้ำบวม ทั้งต้นใช้แก้ปวดฟัน น้ำคั้นจากใบใช้แก้อาการปวดจากเงี่ยงปลาแทง แก้ปวดฟัน เหงือกบวม ริดสีดวงทวาร ชาวโอรังอัซลีในรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย ใช้ใบสดกำจัดหูด
== อ้างอิง ==
* ITIS 34350
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:สกุลอังกาบ
หมวดหมู่:สมุนไพร |
1989 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศสิงคโปร์ | ประเทศสิงคโปร์ | | image_map = Singapore on the globe (Southeast Asia centered) zoom.svg
| map_width = 250px
| coordinates =
| official_languages =
| languages_type = ภาษาประจำชาติ
| languages = มลายู
| ethnic_groups =
| ethnic_groups_ref =
| ethnic_groups_year = ค.ศ. 2020
| religion_year = ค.ศ. 2020
| religion_ref =
| GDP_PPP_year = ค.ศ. 2023
| GDP_PPP_rank = อันดับที่ 38
| GDP_PPP_per_capita = 133,894 ดอลลาร์สหรัฐ
| Gini_rank =
| HDI = 0.939
| HDI_year = ค.ศ. 2021
| HDI_change = increase
| HDI_ref =
| HDI_rank = อันดับที่ 12
| currency = ดอลลาร์สิงคโปร์ (S$)
| currency_code = SGD
| time_zone = เวลามาตรฐานสิงคโปร์
| utc_offset = +8
| antipodes =
| date_format = //
| drives_on = ซ้าย
| calling_code = +65
| iso3166code = SG
| cctld = .sg
| electricity = 230 โวลต์-50 เฮิร์ซ
|area_km2=724.2|area_sq_mi=279.6}}
สิงคโปร์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นนครรัฐสมัยใหม่และเป็นประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่นอกปลายทิศใต้ของคาบสมุทรมลายูและอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร 1 องศา หรือประมาณ 137 กิโลเมตร ดินแดนของประเทศประกอบด้วยเกาะหลักรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งมักเรียกว่าเกาะสิงคโปร์ในภาษาอังกฤษ และเกาะอูจง (Pulau Ujong) ในภาษามลายู และเกาะที่เล็กกว่ามากอีกกว่า 63 เกาะ ประเทศสิงคโปร์แยกจากคาบสมุทรมลายูโดยช่องแคบยะโฮร์ทางทิศเหนือ และจากหมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซียโดยช่องแคบสิงคโปร์ทางทิศใต้ ประเทศมีลักษณะแบบเมืองอย่างสูง และคงเหลือพืชพรรณดั้งเดิมเล็กน้อย ดินแดนของประเทศขยายอย่างต่อเนื่องโดยการแปรสภาพที่ดิน
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นประชากรสูงเป็นอันดับสองของโลก แม้จะเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวตามการจัดระบบผังเมือง และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง อันเป็นผลมาจากอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศ มีภาษาราชการสี่ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, ภาษามลายู, ภาษาจีนกลาง และ ภาษาทมิฬ โดยภาษาอังกฤษมีบทบาทหลักเป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารทั่วไป โดยเฉพาะในการบริการสาธารณะ และนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ แนวคิดพหุนิยมทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมมักมีอิทธิพลอย่างสูงจนถึงปัจจุบัน โดยได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและมีบทบาทในการกำหนดนโยบายการศึกษา การเมือง และคุณภาพชีวิตประชากร
หมู่เกาะมีการตั้งถิ่นฐานในคริสต์ศตวรรษที่ 2 และต่อมาเป็นของจักรวรรดิท้องถิ่นต่าง ๆ สิงคโปร์สมัยใหม่ก่อตั้งใน ค.ศ. 1819 โดยเซอร์สแตมฟอร์ด รัฟเฟิลส์ (Stamford Raffles) เป็นสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกโดยการอนุญาตจากรัฐสุลต่านยะโฮร์ อังกฤษได้อธิปไตยเหนือเกาะใน ค.ศ. 1824 และสิงคโปร์กลายเป็นหนึ่งในนิคมช่องแคบอังกฤษใน ค.ศ. 1826 หลังถูกญี่ปุ่นยึดครองระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1963 และเข้าร่วมกับอดีตดินแดนของอังกฤษอื่นเพื่อตั้งประเทศมาเลเซีย แต่สองปีต่อมากลับถูกขับออกผ่านพระราชบัญญัติโดยเอกฉันท์ นับแต่นั้น ประเทศสิงคโปร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนได้รับการรับรองว่าเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชีย
ประเทศสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางพาณิชย์สำคัญของโลกแห่งหนึ่ง โดยเป็นศูนย์กลางการเงินใหญ่สุดเป็นอันดับสี่และเป็นหนึ่งในห้าท่าที่วุ่นวายที่สุด เศรษฐกิจซึ่งเป็นโลกาภิวัฒน์และมีความหลากหลายอาศัยการค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิต ซึ่งคิดเป็นประมาณ 30% ของจีดีพีของสิงคโปร์ในปี พ.ศ. 2556 ในแง่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ ประเทศสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับสามของโลกแต่มีความเหลื่อมล้ำของรายได้รุนแรงที่สุดในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับสูงในแง่การศึกษา สาธารณสุขและความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 มีประชากรอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์เกือบ 5.5 ล้านคน ซึ่งกว่า 2 ล้านคนมีสัญชาติต่างชาติ แม้สิงคโปร์จะมีความหลากหลาย แต่เชื้อชาติเอเชียมีมากที่สุด 75% ของประชากรเป็นชาวจีน โดยมีชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ เช่น ชาวมลายู ชาวอินเดียและชาวยูเรเชีย มีภาษาราชการสี่ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษามลายู ภาษาจีนกลาง และภาษาทมิฬ และประเทศสนับสนุนพหุวัฒนธรรมนิยมผ่านนโยบายทางการต่าง ๆ อีกด้วย
ประเทศสิงคโปร์เป็นสาธารณรัฐระบบรัฐสภา รัฐเดี่ยว และใช้ระบบหลายพรรคการเมือง โดยมีการปกครองสภาเดี่ยวระบบเวสต์มินสเตอร์ พรรคกิจประชาชนชนะการเลือกตั้งทุกครั้งนับแต่เริ่มการปกครองตนเองในปี พ.ศ. 2502 ภาวะครอบงำของพรรคกิจประชาชน ประกอบกับระดับเสรีภาพสื่อต่ำและการปราบปรามเสรีภาพพลเมืองและสิทธิการเมืองนำให้ประเทศสิงคโปร์ถูกจัดเป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ (flawed democracy) ประเทศสิงคโปร์เป็นหนึ่งในห้าสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยังเป็นที่ตั้งของสำนักเลขาธิการความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) และสมาชิกการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและเครือจักรภพแห่งประชาชาติ การพัฒนาอย่างรวดเร็วของประเทศสิงคโปร์นำให้มันมีอิทธิพลอย่างสำคัญในกิจการโลก นำให้นักวิเคราะห์บางส่วนระบุว่าเป็นอำนาจปานกลาง (middle power)
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ช่วงต้น ===
ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ก่อนศตวรรษที่ 14 มิได้ถูกบันทึกอย่างชัดเจนและแน่นอนนัก ในช่วงศตวรรษที่ 14 สิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรมัชปาหิตแห่งชวา ต่อมาในต้นศตวรรษที่ 15 ก็อยู่ภายใต้การยึดครองของราชอาณาจักรสยาม จนถูกประมุขแห่งมะละกาเข้ามาแย่งชิงไป และเมื่อโปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกา สิงคโปร์ก็กลายเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสในราวปี ค.ศ. 1498 และต่อมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอลันดาในช่วงศตวรรษที่ 17
สิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดของแหลมมาลายู เป็นสถานที่พักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก (ทูมาสิค) มีกษัตริย์ปกครอง ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีเจ้าผู้ครองนครปาเล็มบังเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ต่อมาสิงหปุระก็ได้ตกเป็นของสุลต่านแห่งมะละกา
=== ยุคแห่งการล่าอาณานิคม ===
ประเทศแรกที่มายึดสิงคโปร์ไว้ได้คือโปรตุเกส เมื่อปี ค.ศ. 1511 แล้วก็ถูกชาวดัตช์มายึดครองไป เมื่ออังกฤษขยายอิทธิพลเข้ามาบริเวณแหลมมลายูในกลางศตวรรษที่ 18 ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1817 อังกฤษได้แข่งขันกับดัตช์ในเรื่องอาณานิคม อังกฤษได้ส่งเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ มาสำรวจดินแดนแถบสิงคโปร์ ตอนนั้นสิงคโปร์ยังมีสุลต่านแห่งรัฐยะโฮร์ปกครองอยู่ แรฟเฟิลส์ได้ตกลงกับสุลต่านฮุสเซียน ชาห์ว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้และก่อตั้งประเทศในปี ค.ศ. 1819 โดยอังกฤษได้ขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากจักรวรรดิ์ยะโฮร์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฮอลันดา ในปี ค.ศ. 1824 อังกฤษมีสิทธิครอบครองสิงคโปร์ตามข้อตกลงที่ทำกับฮอลันดา ต่อมาในปี ค.ศ. 1826 สิงคโปร์ถูกปกครองภายใต้ระบบสเตรตส์เซตเทิลเมนต์ (Straits Settlement) ซึ่งบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษควบคุมดูแลสิงคโปร์ รวมทั้งปีนังและมะละกาด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1857 รัฐบาลอังกฤษได้เข้ามาดูแลระบบนี้เอง ในปี ค.ศ. 1867 สิงคโปร์กลายเป็นอาณานิคม (Crown Colony) อย่างสมบูรณ์จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นจึงได้ขับไล่อังกฤษออกจากสิงคโปร์และเข้าไปยึดครองแทน
=== อาณานิคมแบบเอกเทศ ===
ค.ศ. 1946 จึงได้รับการยกฐานะให้เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศ (Separate Crown colony) เมื่ออังกฤษกลับมาควบคุมสิงคโปร์อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่สิงคโปร์อยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1942-1946)
=== การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย ===
เมื่อสิงคโปร์เห็นมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์จึงขอรวมชาติเข้ากับมลายูกลายเป็นสหภาพมลายาทันที เพื่อจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีก แต่สิงคโปร์ก็ไม่พอใจกับมาเลเซียมากนักเพราะมีการเหยียดชนชาติ ทำให้พรรคกิจประชาชนของสิงคโปร์ประกาศให้สิงคโปร์เป็นเอกราชตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ตั้งแต่บัดนั้นมาในชื่อ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อแยกตัวออกมาแล้วพรรคกิจประชาชนก็ครองประเทศมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
== ภูมิศาสตร์ ==
ภาคกลางและภาคตะวันตกเป็นเนินเขา ซึ่งเนินเขาทางภาคกลางเป็นเนินเขาที่สูงที่สุดของประเทศ เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของสิงคโปร์ และภาคตะวันออกเป็นที่ราบต่ำ ชายฝั่งทะเลมักจะต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ต้องมีการถมทะเล
thumbnail|สถาปัตยกรรมแบบจีนที่มีการอนุรักษ์ไว้ บริเวณย่านไชน่าทาวน์
ไฟล์:Saint Andrew's Cathedral, Singapore 2.JPG|มหาวิหารเซนต์แอนดรู.
== โครงสร้างพื้นฐาน ==
=== การคมนาคม ===
ที่ตั้งของสิงคโปร์เป็นเส้นทางระหว่างทวีปยุโรป และเอเซียตะวันตก กับภาคพื้นตะวันออกไกล รวมทั้งภาคพื้นแปซิฟิค ทำให้สิงคโปร์เป็นชุมทางของเส้นทางเดินเรือ และสายการบินระหว่างประเทศ และเป็นแหล่งชุมนุมการค้าขาย ปัจจุบันสิงคโปร์ มีท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเซีย รองจากโยโกฮามาของญี่ปุ่น และเป็นท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้ามาก เป็นอันดับสามของโลก
รถไฟในสิงคโปร์
การขนส่งทางบก สิงคโปร์มีพื้นที่ไม่มาก ประมาณ 900 ตารางกิโลเมตร แต่ถนนที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ประมาณ 1,300 กิโลเมตร นอกจากถนนแล้ว ยังมีทางรถไฟอยู่สองสาย มีความยาวประมาณ 45 กิโลเมตร ได้มีการสร้างทางรถไฟสายสิงคโปร์ - กรันจิ เมื่อปี พ.ศ. 2446 สมัยรัฐบาลสเตรตส์เซตเทิลเมนต์โดยมีการเดินรถจากสถานีแทงค์โรค ไปยังวู๊ดแลนด์ และมีบริการแพขนานยนต์ ข้ามฟากไปเชื่อมต่อกับทางรถไฟจากแผ่นดินใหญ่ด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 การรถไฟแห่งสหพันธ์มลายู ได้รับซื้อกิจการนี้แล้วปรับปรุง ให้เริ่มจากสถานีบูกิตบันยัง ถึงสถานีตันหยงปาการ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ได้มีการเริ่มสร้างถนนข้ามช่องยะโฮร์ เพื่อให้ทางรถไฟติดต่อถึงกัน ทางรถไฟสายหลัก ข้ามถนนข้ามช่องยะโฮร์มาเลเซีย ตัดกลางประเทศ ลงสู่ใต้ถึงสถานีปลายทาง ที่ใกล้ท่าเรือเคปเปล โดยมีทางแยกเลยเข้าไปในท่าเรือเคปเปลด้วย ทางรถไฟอีกสายหนึ่ง แยกจากสายแรกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ รถไฟสายนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลมาเลเซีย การเดินทางไปในสถานีรถไฟ เพื่อโดยสารถือว่าเป็นการเดินทางผ่านประเทศ ต้องมีการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือเอกสารอย่างอื่นทำนองเดียวกัน
ท่าเรือสิงคโปร์
การขนส่งทางน้ำ มีการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ ทางน้ำชายฝั่งและทางน้ำระหว่างประเทศ ทางน้ำภายในประเทศ มีใช้อยู่ในวงจำกัด และไม่ค่อยสะดวก เพราะสิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก ๆ และมีแนวชายฝั่งสั้น ภายในเกาะเองก็มีแม่น้ำสายสั้น ๆ และไม่ติดต่อถึงกัน รวมทั้งยังตื้นเขินมาก จึงต้องจำกัดเวลา ในการใช้คือ ในช่วงเวลาน้ำขึ้นเท่านั้น ทางน้ำชายฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งทางน้ำระหว่างประเทศ แต่มีลักษณะเฉพาะของตนเองคือ ใช้เรือเล็ก ท่าเรือเล็ก ๆ ที่มีจำนวนมากมาย เส้นทางเดินเรือสั้น การให้บริการไม่เป็นประจำ เรือที่เดินตามบริเวณชายฝั่ง มีหลายบริษัท และมีบริษัทที่ให้บริการเป็นประจำไปยังท่าเรืออินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออก และตะวันตก และไทย ทางน้ำระหว่างประเทศ รัฐบาลได้จัดตั้งสำนักงานจดทะเบียนเรือของสิงคโปร์ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2509 และได้มีการตราพระราชบัญญัติอนุญาตให้มีการจดทะเบียนเรือ ซึ่งเจ้าของอยู่ในต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยมีความมุ่งหมายจะชักจูงเรือสินค้าต่างชาติ ที่ไปจดทะเบียนเป็นเรือสัญชาติไซบีเรีย และปานามา ให้สนใจโอนสัญชาติเป็นเรือสิงคโปร์ได้ ท่าเรือแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 ได้มีการปรัปปรุงท่าเรือสิงคโปร์ ให้สามารถรับเรือคอนเทนเนอร์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ และสามารถอำนวยความสะดวก ให้กับเรือบรรทุกน้ำมันขนาดสองแสนตัน หรือมากกว่า ท่าเรือ แต่เดิมใช้ท่าเรือเคปเปล ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสิงคโปร์ และมีเกาะเซนโตซา กับเกาะบรานี เป็นที่กำบังลม ต่อมาบริเวณของการท่าเรือ ได้ขยายออกไปจนเกินอาณาบริเวณ ทั้งพื้นที่บนฝั่ง และในทะเลรวม 538 ตารางกิโลเมตร ท่าเรือสิงคโปร์ มีทั้งท่าเรือน้ำลึกตรงที่ท่าเรือเคปเปล มาจนถึงตันจงปาการ์ ท่าเรือสิงคโปร์เริ่มตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของเกาะ เลียมริมฝั่งตะวันตก เรื่อยไปจนถึงฝั่งตะวันออกของเกาะทีซันไจ มาตา อิกาน บีคอน เขตการค้าเสรี ทางการสิงคโปร์ ได้ประกาศเขตการค้าเสรี เมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามบริเวณท่าเรือ ตั้งแต่เตล๊อก อาเยอร์เบซิน จนถึงจาร์ดินสเตปส์ กับจูร่ง ในบริเวณนี้ทางการได้จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ สายการเดินเรือแห่งชาติ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 บริษัทนี้เป็นสมาชิกของชมรมเดินเรือแห่งตะวันออกไกล เมื่อปี พ.ศ. 2512
[[สิงคโปร์แอร์ไลน์ ]]
การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ เริ่มมีสายการบินทำการค้าสายแรก เมื่อปี พ.ศ. 2473 เป็นของบริษัทดัทช์อิสท์อินเดีย และในปี พ.ศ. 2478 สายการบินแควนตัส ได้เปิดการบินระหว่างสิงคโปร์ กับออสเตรเลีย ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ท่าอากาศยานสากล เดิมอยู่ที่ปายาเลบาร์ อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางวิ่งยาวประมาณ 4,000 เมตร สามารถรับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทุกขนาดและทุกแบบ ปัจจุบันสิงคโปร์มีท่าอากาศยานนานานชาติ ที่จัดส่งทันสมัยมากคือ ท่าอากาศยานนานาชาติจางี มีขีดความสามารถในการรับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ และการให้บริการพร้อม ๆ กันถึง 45 เครื่อง มีการสร้างทางวิ่งที่สองบนพื้นที่ ที่ได้จากการถมทะเล สายการบินแห่งชาติ เดิมสิงคโปร์ มีสายการบินร่วมกับมาเลเซียใช้ชื่อว่า มาเลเซีย - สิงคโปร์ แอร์ไลนส์ (Malasia - Singapore Airlines) ต่อมาเมื่อได้แยกประเทศกันแล้ว ก็ได้แยกสายการบินออกจากกันด้วย เมื่อปี พ.ศ. 2515 สายการบินของสิงคโปร์ใช้ชื่อว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines SIA)
=== การศึกษา ===
ระบบการศึกษาของสิงคโปร์ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า นักเรียนแต่ละคนนั้นมีความถนัดและความสนใจแตกต่างกันไป ดังนั้นสิงคโปร์จึงมีการจัดระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นเพื่อให้นักเรียนแต่ละคนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
==== การศึกษาก่อนวัยเรียน ====
การศึกษาก่อนวัยเรียน ได้แก่ การศึกษาในชั้นอนุบาลและการดูแลเด็กโดยศูนย์ดูแลเด็กเล็ก โดยจะรับนักเรียนอายุ 3-6 ปี โรงเรียนอนุบาลในสิงคโปร์จะมีกระทรวงศึกษาธิการควบคุม และมีมูลนิธิของชุมชน หน่วยงานทางศาสนา และองค์กรทางธุรกิจและสังคมทำหน้าที่บริหาร
โรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่จะทำการเรียนการสอน 5 วันต่อสัปดาห์ และแบ่งการเรียนเป็นสองช่วงในแต่ละวัน ช่วงหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งถึง 4 ชั่วโมง โดยทั่วไปจะสอนโดยใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาที่สอง ยกเว้นในโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนของชาวต่างชาติที่เข้ามาเปิดสอนในสิงคโปร์
การรับสมัครเรียนโรงเรียนอนุบาลและศูนย์ดูแลเด็กเล็กในสิงคโปร์แต่ละแห่งจะมีระยะเวลาต่างกันไปไม่แน่นอน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเปิดรับสมัครนักเรียนตลอดทั้งปี ผู้ปกครองจึงควรติดต่อทางโรงเรียนโดยตรงเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับ การรับสมัคร หลักสูตรการเรียนการสอน และเรื่องอื่น ๆ
==== ประถมศึกษา ====
เด็กทุกคนในสิงคโปร์จะต้องใช้เวลาเรียน 6 ปีในระดับประถมศึกษา ประกอบด้วยการเรียนชั้นประถมต้น (foundation stage) 4 ปี ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 และชั้นประถมปลาย (orientation stage) อีก 2 ปี ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6
ในหลักสูตรขั้นพื้นฐาน วิชาหลักที่ได้เรียนคือ วิชาภาษาอังกฤษ ภาษาท้องถิ่น (Mother Tongue อันได้แก่ ภาษาจีน มลายู หรือทมิฬ ตามเชื้อชาติของตนเอง) คณิตศาสตร์ และวิชาเสริม อันได้แก่ ดนตรี ศิลปะหัตถกรรม สุขศึกษา และสังคมศึกษา ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์จะเริ่มเรียนกันตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นต้นไป และเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในตัวนักเรียนและทดสอบความถนัดของนักเรียนให้ตรงกับแผนการเรียนในระดับมัธยม ทุกคนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะต้องทำข้อสอบ Primary School Leaving Examination (PSLE) ให้ผ่านเพื่อจบการศึกษาระดับประถม
หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาของสิงคโปร์ได้รับการยอมรับและนำไปเป็นตัวอย่างการเรียนการสอนจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาคณิตศาสตร์ การรับนักเรียนต่างชาตินั้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งว่างในแต่ละโรงเรียน
==== มัธยมศึกษา ====
โรงเรียนมัธยมศึกษาในสิงคโปร์มีหลายรูปแบบ ทั้งที่ให้ทุนทั้งหมดโดยรัฐบาล หรือเพียงส่วนเดียว หรือนักเรียนเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด นักเรียนในแผนการเรียนพิเศษ (Special และ Express) จะใช้เวลาเรียนเพียง 4 ปี ขณะที่นักเรียนในแผนการเรียนปกติ (Normal) จะใช้เวลาเรียน 5 ปี โดยนักเรียนในแผนการเรียนพิเศษจะสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Ordinary’ (GCE ‘O’ Level) เมื่อเรียนครบ 4 ปี ส่วนนักเรียนหลักสูตรปกติที่ใช้เวลาเรียน 5 ปีนั้น จะสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Normal’ (GCE ‘N’ Level) เมื่อถึงปีที่ 4 ก่อน แล้วจึงจะสามารถสอบ GCE ‘O’ Level เมื่อเรียนจบปีที่ 5
หลักสูตรวิชาในระดับชั้นมัธยมศึกษาจะประกอบด้วย วิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาแม่ (จีน มลายู หรือทมิฬ) วิทยาศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนทางสายศิลป์ วิทยาศาสตร์ ธุรกิจการค้าหรือสายวิชาชีพ
หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาในสิงคโปร์ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่า ทำให้นักเรียนมีความสามารถในการวิเคราะห์และมีความคิดสร้างสรรค์ การรับนักเรียนต่างชาตินั้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งว่างในแต่ละโรงเรียน
==== จูเนียร์ คอลเลจ / เตรียมอุดมศึกษา (Junior College) ====
เมื่อนักเรียนสอบ GCE ‘O’ Level ได้สำเร็จแล้ว นักเรียนสามารถเลือกสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับจูเนียร์ คอลเลจเป็นเวลา 2 ปี หรือศึกษาที่สถาบันกลางการศึกษา (centralised institute) เป็นเวลา 3 ปี เพื่อเตรียมศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย จูเนียร์ คอลเลจและสถาบันกลางการศึกษาจะสอนทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวให้นักเรียนเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยได้ หลักสูตรหลักแบ่งเป็น 2 หลักสูตร คือ วิชาความรู้ทั่วไป (General Paper) และภาษาแม่ เมื่อเรียนจบจูเนียร์ คอลเลจ นักเรียนจะต้องสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Advanced’ (GCE ‘A’ Level) โดยเลือกวิชาสอบสูงสุดได้ 4 วิชา จากวิชาในหมวดศิลปะ วิทยาศาสตร์และธุรกิจการค้า
การรับนักเรียนต่างชาติก็ขึ้นอยู่กับที่นั่งว่างในโรงเรียนเช่นกัน
==== โพลีเทคนิค (Polytechnic) ====
หลักสูตรโพลีเทคนิคสร้างขึ้นเพื่ออบรมหลักสูตรที่หลากหลายให้แก่นักศึกษาที่ต้องการฝึกฝีมือในระดับประกาศนียบัตรและอนุปริญญา ในขณะนี้ สิงคโปร์มีสถาบันโพลีเทคนิค 5 แห่ง ได้แก่ Nanyang Polytechnic, Ngee Ann Polytechnic, Republic Polytechnic, Singapore Polytechnic, Temasek Polytechnic
สถาบันเหล่านี้มีหลักสูตรการสอนมากมายที่มุ่งเน้นให้สามารถไปประกอบอาชีพในอนาคต เช่น วิศวกรรม บริหารธุรกิจ การสื่อสารมวลชน การออกแบบดีไซน์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และหลักสูตรเฉพาะทางอย่างเช่น การวัดสายตา วิศวกรรมทางทะเล การศึกษาเกี่ยวกับการเดินเรือ พยาบาล การเลี้ยงดูเด็กอ่อน และการทำภาพยนตร์ นักเรียนที่จบการศึกษาในจากโพลีเทคนิคเป็นที่นิยมของบริษัทต่าง ๆ เพราะได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถ ทักษะและประสบการณ์ที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งเศรษฐกิจใหม่
สถาบันเทคนิคศึกษา
สถาบันเทคนิคการศึกษา (Institute of Technical Education - ITE) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักเรียนที่จบจากชั้นมัธยมศึกษาและต้องการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีและความรู้ทางอุตสาหกรรมแขนงต่าง ๆ นอกจากโปรแกรมฝึกอบรมเต็มเวลาสำหรับนักเรียนที่จบจากชั้นมัธยมศึกษาแล้ว และยังมีโปรแกรมสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ของตนด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอีกด้วย
==== มหาวิทยาลัย (Universities) ====
ในสิงคโปร์มีมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ได้แก่
* มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS)
* Nanyang Technological University (NTU)
* Singapore Management University (SMU)
* Singapore University of Technology and Design (SUTD)
มหาวิทยาลัยทั้งสามแห่งได้ผลิตนักศึกษาปริญญาที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับมากมาย นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยทั้งหมดยังให้โอกาสแก่นักศึกษาที่มีความรู้แต่ขาดทุนทรัพย์ โดยการให้ทุนเพื่อศึกษาและการวิจัยในระดับปริญญาโท
มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ก่อตั้งในปีค.ศ. 1905 เปิดสอนหลักสูตรต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมานาน เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี กฎหมาย ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์ และแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (NTU) ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1981 เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นการสอนและการวิจัยด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี ต่อมาได้ร่วมกับวิทยาลัยครู (National Institute Education - NIE) เพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนในสาขาการบัญชี บริหารธุรกิจและสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งสิงคโปร์ (SMU) ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 โดยเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแต่บริหารจัดการแบบเอกชน เน้นการเรียนการสอนด้านธุรกิจการจัดการ
Singapore University of Technology and Design (SUTD) ก่อตั้งขึ้นในปี 2011
====== มหาวิทยาลัยนานาชาติในสิงคโปร์ ======
นอกจากมหาวิทยาลัยของสิงคโปร์เองแล้ว สิงคโปร์ยังมีมหาวิทยาลัยนานาชาติระดับโลกมาเปิดสาขาหลายสถาบัน อาทิ มหาวิทยาลัย INSEAD ซึ่งติด 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยดีเด่นของโลก และได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในบริเวณศูนย์วิทยาศาสตร์ นับเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยทางด้านธุรกิจนานาชาติมาตั้งวิทยาเขตเต็มรูปแบบในเอเชีย และในปี ค.ศ. 2000 University of Chicago Graduate School of Business ได้มาเปิดคณะธุรกิจและเลือกสิงคโปร์เป็นวิทยาเขตถาวรแห่งแรกในเอเชียเช่นกัน
สถาบันการศึกษาเอกชน
ในสิงคโปร์คุณสามารถเลือกได้ว่าอยากเรียนสถาบันการศึกษาเอกชนแบบไหน เนื่องจากมีสถาบันการศึกษาเอกชนมากมายที่เปิดสอนหลักสูตรต่าง ๆ กันไปมากกว่า 300 สถาบัน ตั้งแต่ ธุรกิจ เทคโนโลยี ศิลปะ จนถึงโรงเรียนสอนภาษา เพื่อตอบสนองความต้องการของคนสิงคโปร์เองและนักเรียนจากต่างชาติ นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนหลักสูตรระดับใดได้ในสถาบันการศึกษาเอกชน ตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร อนุปริญญา จนถึงปริญญาระดับต่าง ๆ โดยที่สถาบันการศึกษาเอกชนในสิงคโปร์มีมหาวิทยาลัยพันธมิตรมากมายจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย จึงทำให้นักเรียนได้สัมผัสกับบรรยากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พรั่งพร้อม อย่างไรก็ดี เนื่องจากแต่ละสถาบันจัดรับสมัครและการสอบขึ้นเอง นักเรียนจึงต้องติดต่อกับแต่ละโรงเรียนโดยตรงหากสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมและเมื่อสนใจในสถาบันการศึกษาเอกชนใด คุณต้องมั่นใจก่อนเลือกเรียนว่าหลักสูตรนั้น ๆ ครอบคลุมทุกอย่างที่คุณต้องการไม่ว่าจะเป็น
หลักสูตรวิชา :
ประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน เช่น ห้องเรียน ห้องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
บริการสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำวีซ่า การปฐมนิเทศและอาจารย์-ที่ปรึกษาสำหรับนักเรียนต่างชาติ เป็นต้น
โรงเรียนนานาชาติ
โรงเรียนที่สอนหลักสูตรต่างประเทศหรือโรงเรียนนานาชาติได้เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ศึกษาหาความรู้ในแบบเดียวกับประเทศต้นกำเนิดของโรงเรียน โรงเรียนเหล่านี้จดทะเบียนถูกต้องกับกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสิงคโปร์ และมีการวางแนวทางหลักสูตรการศึกษาเหมือนกับโรงเรียนในประเทศนั้น โดยปกติโรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดในสิงคโปร์จะมีทั้งนักเรียนจากต่างประเทศและชาวต่างชาติจากชาตินั้น ๆ ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสิงคโปร์เป็นการชั่วคราว บางโรงเรียนจะกำหนดคุณสมบัติขั้นต้นของนักเรียนที่มาสมัครเช่น สัญชาติ หรือความสามารถทางด้านภาษา ค่าเล่าเรียนในแต่ละปีจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโรงเรียน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,600-14,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี สำหรับชั้นเรียนเด็กเล็ก และ 6,000-18,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี สำหรับชั้นเรียนเด็กโต ทั้งนี้ การจัดสอบและการปิดเทอมก็แตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียนด้วยเช่นกัน
โรงเรียนชั้นนำสองแห่งของสิงคโปร์ นั่นคือ Anglo-Chinese School (ACS) และ Hwa Chong Institution ได้ก่อตั้งเป็นโรงเรียนเอกชนขึ้นโดยเริ่มรับนักเรียนเข้าศึกษาครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548
โรงเรียนทั้งสองแห่งที่จัดตั้งขึ้นนั้น ได้เปิดการเรียนการสอนทั้งในระดับมัธยมศึกษาและระดับหลังจบระดับมัธยมศึกษาACS Internationalจะมีหลักสูตร GCSE นานาชาติและหลักสูตรอนุปริญญาสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายนานาชาติ (International Baccalaureate Diploma Programme) ขณะที่ Hwa Chong Internationalจะมีหลักสูตรระดับมัธยมศึกษา และก่อนมหาวิทยาลัยซึ่งจะได้รับ ประกาศนียบัตร GCE A Level ในขั้นสูงสุด
=== วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ===
ประเทศสิงคโปร์มีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของเอเชีย มีการพัฒนาอยู่เสมอ มีการสร้างเสริมพัฒนารการให้กับเยาวชน อีกทั้งแห่งให้ความรู้ที่ดีเยี่ยม ทั้ง ศูนย์วิทยาศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Science Centre) ที่มีชื่อเสียง ห้องสมุดดิจิตอล ศูนย์เรียนรู้ไอที และยังมี Funan IT Mall ศูนย์จำหน่ายอุปกรณ์ไอทีที่ทันสมัยที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า City Hall
ในการปฏิรูปการศึกษา สิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับยุทธศาสตร์การดำเนินงาน เพื่อผลักดันการปฏิรูปการศึกษาให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีการดำเนินงานและการสนับสนุนอย่างจริงจัง จนเป็นผลให้การปฏิรูปการศึกษาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ในระยะแรกผู้นำสิงคโปร์ได้ใช้การศึกษาเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างชาติ สร้างความสามัคคีของคนในชาติ สร้างกำลังคนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแล้ว ในระยะต่อมาเมื่อประเทศมีความมั่นคงและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ จึงได้ใช้การปฏิรูปการศึกษาเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศในระดับที่สูงขึ้น โดยกำหนดแนวนโยบาย เป้าหมายและมาตรการต่าง ๆ ที่นำไปสู่การปฏิบัติ
ในปัจจุบันและอนาคต สิงคโปร์ได้มุ่งสู่การปฏิรูปการศึกษาที่ท้าทายมากขึ้นและมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยใช้ยุทธศาสตร์ที่มีพลัง มีการกำหนดวิสัยทัศน์แผนยุทธศาสตร์ แผน โครงการ และมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรเพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษา
=== สาธารณสุข ===
=== สวัสดิการสังคม ===
== ประชากร ==
=== เชื้อชาติ ===
สิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาค และเป็นประเทศเล็กที่สุดในภูมิภาค เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของโลก มีจำนวนประชากรประมาณ 5,543,494 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2013) ประกอบด้วยชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน-อังกฤษ-ดัตซ์-โปรตุเกส (76.5%) ชาวมลายู (13.8%) ชาวอินเดีย (8.1%) และอื่น ๆ (1.6%)
=== ศาสนา ===
ในปี ค.ศ. 2010 ประเทศสิงคโปร์มีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพุทธ 33% ศาสนาคริสต์ 18.3% ศาสนาอิสลาม 14.7% ลัทธิเต๋า 10.9% ศาสนาฮินดู 5.1% ศาสนาอื่น ๆ 0.7% และไม่มีศาสนา 17%
=== ภาษา ===
สิงคโปร์มีภาษาราชการถึง 4 ภาษา คือ อังกฤษ จีนกลาง มลายู และทมิฬ ศิลปวัฒนธรรมก็เป็นลักษณะผสมระหว่างจีน มาเลเซีย และอินเดีย
ภาษาประจำชาติ: คือภาษามลายู
== วัฒนธรรม ==
=== อาหาร ===
อิทธิพลทางวัฒนธรรมที่สิงคโปร์ได้รับหลังจากการก่อตั้งประเทศขึ้นคือวัฒนธรรมของจีน อาหารก็เป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมนี้ด้วยเช่น หมูสะเต๊ะ ข้าวมันไก่ ขนมจีบ เป็นต้น
ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า
=== ดนตรี ===
=== สื่อสารมวลชน ===
=== วันหยุด ===
=== กีฬา ===
==== ฟุตบอล ====
ฟุตบอลสิงคโปร์สามารถเข้าถึงรอบ 20 ทีม สุดท้ายได้ แต่ต้องตกรอบเหมือนกับทีมในอาเซียนเหมือนกันคือ ไทย อินโดนีเซีย ในสมัยนี้ประเทศสิงคโปร์ได้พัฒนาเร็วมาก
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
=== อ้างอิง ===
; การระบุแหล่งที่มา
* This article incorporates public domain text from the websites of the Singapore Department of Statistics, the United States Department of State, the United States Library of Congress and The World Factbook.
== บรรณานุกรม ==
== อ่านเพิ่ม ==
* Abshire, Jean. The History of Singapore (ABC-CLIO, 2011).
* Barr, Michael D. Singapore: A Modern History (2019)
* Corfield, Justin J. Historical dictionary of Singapore (2011) online
* Ghesquière, Henri C. ''Singapore's success: engineering economic growth (2007)
* Heng, Chye Kiang. 50 Years of Urban Planning in Singapore (2016)
* Huff, W. G. The Economic Growth of Singapore: Trade and Development in the Twentieth Century (1995)
* Mun, Chia Wai. Singapore and Asia in a Globalized World: Contemporary Economic Issues and Policies (2008)
* Perry, John Curtis. Singapore: Unlikely Power (Oxford University Press, 2017).
* Singh, Bilveer. Understanding Singapore Politics (2017)
* Yew, Lee Kuan. From Third World To First: The Singapore Story: 1965-2000. New York: HarperCollins, 2000. .
===แหล่งข้อมูลอื่น===
* Singapore Government Online Portal
* Singapore from UCB Libraries GovPubs''
* Singapore profile from the BBC News
* WikiSatellite view of Singapore at WikiMapia
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2508
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของอังกฤษ |
1990 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศฟิลิปปินส์ | ประเทศฟิลิปปินส์ | ฟิลิปปินส์ (; ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (; ) เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ ซึ่งจัดอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ใหญ่ 3 เขตจากเหนือจรดใต้ ได้แก่ ลูซอน วิซายัส และมินดาเนา เมืองหลวงของประเทศคือมะนิลา ส่วนเมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือนครเกซอน ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเมโทรมะนิลา ฟิลิปปินส์มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก ทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก และทะเลเซเลบีสทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับไต้หวันทางทิศเหนือ ปาเลาทางทิศตะวันออก มาเลเซียและอินโดนีเซียทางทิศใต้ และเวียดนามทางทิศตะวันตก
ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนแห่งไฟและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะประสบภัยจากแผ่นดินไหวและไต้ฝุ่น แต่ก็ทำให้มีทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่งเช่นกัน ฟิลิปปินส์มีเนื้อที่ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์) และมีประชากรประมาณ 100 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในเอเชีย และเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก นอกจากนี้ ณ ปี พ.ศ. 2556 ยังมีชาวฟิลิปปินส์อีกประมาณ 10 ล้านคนอาศัยอยู่ในต่างประเทศ รวมแล้วถือเป็นกลุ่มคนพลัดถิ่นที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมปรากฏให้เห็นตลอดทั้งหมู่เกาะ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะแห่งนี้คือกลุ่มชนนิกรีโต ตามมาด้วยกลุ่มชนออสโตรนีเซียนที่อพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับชาวจีน มลายู อินเดีย และอาหรับ จากนั้นก็เกิดนครรัฐทางทะเลขึ้นมาหลายแห่งภายใต้การปกครองของดาตู ลากัน ราชา หรือสุลต่าน
เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ได้มาขึ้นฝั่งที่เกาะโฮโมนโฮน (ใกล้กับเกาะซามาร์) ในปี พ.ศ. 2063 (ค.ศ. 1521) นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งอิทธิพลและอำนาจของสเปน ในปี พ.ศ. 2085 (ค.ศ. 1542) นักสำรวจชาวสเปนชื่อ รุย โลเปซ เด บิยาโลโบส ได้ตั้งชื่อเกาะซามาร์และเลเตรวมกันว่า "หมู่เกาะเฟลีเป" หรือ "อิสลัสฟิลิปินัส" () เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าชายเฟลีเปแห่งอัสตูเรียส (ต่อมา อิสลัสฟิลิปินัสได้กลายเป็นชื่อเรียกกลุ่มเกาะทั้งหมด) ในปี พ.ศ. 2108 (ค.ศ. 1565) มิเกล โลเปซ เด เลกัซปี ได้จัดตั้งนิคมสเปนแห่งแรกบนเกาะเซบู ฟิลิปปินส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสเปนเป็นเวลานานกว่า 300 ปี ส่งผลให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกลายเป็นศาสนาหลักของผู้คนในหมู่เกาะ ในช่วงเวลานี้ มะนิลามีฐานะเป็นศูนย์กลางการบริหารของจักรวรรดิสเปนในเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางทางทิศตะวันตกของการค้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อมโยงเอเชียเข้ากับเมืองอากาปุลโกในอเมริกาผ่านทางเรือใบมะนิลา
ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 (ปีท้าย ๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 19) ความพยายามต่อต้านการปกครองของสเปนได้ปะทุขึ้นเป็นการปฏิวัติฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 1 ได้รับการสถาปนาขึ้นแต่ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสเปนได้ยกฟิลิปปินส์ให้แก่สหรัฐอเมริกาหลังจากแพ้สงครามสเปน-สหรัฐ ความไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐบาลปฏิวัติกับสหรัฐอเมริกาก่อให้เกิดสงครามฟิลิปปินส์-สหรัฐอันนองเลือด โดยกองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายมีชัย นอกเหนือจากช่วงที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองแล้ว สหรัฐอเมริกาสามารถรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะนี้ไว้ได้จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฟิลิปปินส์ได้รับการรับรองว่าเป็นประเทศเอกราช ตั้งแต่นั้นมา ฟิลิปปินส์ก็ประสบความวุ่นวายทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งรวมถึงการล้มล้างผู้เผด็จการโดยการปฏิวัติที่ปราศจากความรุนแรง
ฟิลิปปินส์เป็นสมาชิกจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ปัจจุบันประเทศนี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ (emerging market) และเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพิงภาคเกษตรกรรมเป็นระบบที่พึ่งพาภาคบริการและภาคการผลิตมากขึ้น
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ===
Ferdinand Magellan
หลักฐานทางโบราณคดีและโบราณชีววิทยาบ่งบอกว่ามีมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ เคยอาศัยอยู่ในเกาะปาลาวันตั้งแต่ประมาณ 50,000 ปีก่อน ชนเผ่าที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียนซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะฟอร์โมซา (Formasa) หรือไต้หวันในปัจจุบันได้อพยพโดยทางเรือเข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และจัดตั้งเส้นทางเครือข่ายการค้ากับเอเชียอาคเนย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล สภาพดั่งเดิมของฟิลิปปินส์ อยู่ในสภาพของยุคหินใหม่ ยังไม่ได้รับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและจีน ดังเช่นประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชนชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นชนเชื้อสายอินโดนีเซีย - มลายูซึ่งอพยพเข้ามาตั่งถิ่นฐานบริเวณเกาะต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์ การมาตั้งถิ่นฐานนั้น มาโดยเรือเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มแยกย้ายไปตั้งหมู่บ้านเรียกว่า บารังไก (Barangay) ตามชื่อเรือที่ใช้อพยพมา มีหัวหน้าหมู่บ้านเรียกว่า ดาดู (Datu) ซึ่งเคยเป็นกัปตันเรือ การตั้งหมู่บ้านจะกระจายไปตามเกาะ ทำให้การติดต่อระหว่างกันไม่ค่อยมี ส่วนในด้านการปกครองนั้นเป็นแบบพ่อปกครองลูก โครงสร้างทางการปกครองเป็นแบบง่าย ๆ มี 4 ชนชั้นคือ ดาตู และครอบครัว ขุนนาง อิสระชน ทาส ในส่วนของกฎหมายและกฎระเบียบการปกครองนั้นยังไม่มี สถาบันที่สำคัญคือ ศาสนา ซึ่งมีพ่อมดหมอผีเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคม จากการนับถือศาสนาเป็นแบบ นับถือภูตผี บูชาธรรมชาติ พวกเขาเชื่อว่ามีพระผู้สร้างโลกสูงสุด คือ บาฮารา (Bathala) และบาอารามีสาวก ฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว เรียกว่า ดิวาทาส (Diwatas) เป็นผู้กำหนดการประกอบพิธีบวงสรวง เทพฝ่ายดีและฝ่ายชั่วคือ พ่อมด หมอผี ว่าจะประกอบพิธีเมื่อไหร่ ที่ใด สถานที่ประกอบพิธีนั้นไม่มีเฉพาะ พ่อมด หมอผีจะเป็นผู้กำหนด ที่เป็นดังนี้เพราะสภาพภูมิศาสตร์ และสภาพธรรมชาติของหมู่เกาะ ซึ่งฟิลิปปินส์นั้นมีภัยธรรมชาติอยู่เนือง ๆ จึงทำให้พ่อมด หมอผีมีอิทธิพลต่อประชาชนมาก และมากกว่าหรือเท่ากับดาตู อีกทั้งยังได้รับค่าประกอบพิธี เครื่องเซ่นสังเวยจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ทางด้านเศรษฐกิจนั้น ประชาชนทำการเกษตรและการประมง ไม่มีการค้าขาย มีแต่การแลกเปลี่ยนสินค้า และไม่มีการใช้เงินตรา นาน ๆ ครั้งจะมีพ่อค้าต่างชาติแวะมาจอดเรือแลกเปลี่ยนสินค้า
=== ยุคของอิสลาม ===
นับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 ศาสนาอิสลามได้แผ่เข้าสู่หมู่เกาะทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์หรือมานบูลาส แล้วครั้นถึงปี ค.ศ. 1380 ชาวมุสลิมก็สามารถสถาปนารัฐอิสลามขึ้นในหมู่เกาะซูลู โดยมีนักเผยแผ่ศาสนาที่ชื่อ ชันค์ ชะรีฟ กะรีม มัคดุม เข้ามาเผยแผ่อิสลามในหมู่เกาะต่างๆ ของซูลู ก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่ง ซัยยิด อบูบักร อิบนุ ชะรีฟ มุฮำหมัด อิบนิ อะลี อิบนี ซัยบิลอาบีดีน ได้เดินทางจากรัฐสุลต่านแห่งยะโฮร์ (Johor) มายังหมู่เกาะซูลูในราวปี ค.ศ. 1450 ซัยยิด อบูบักรได้มาถึงซูลูหลังจากรายา บะกินดา จากมินังกะเบา สุมาตรา ได้ลงพำนัก และเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่เกาะซูลูเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ซัยยิด อบูบักรได้สมรสกับบุตรีของรายาบะกินดา ที่มีนามว่า ประไหมสุหรี เมื่อรายาบะกินดา สิ้นชีวิต ซัยยิด อบูบักร ก็กลายเป็นผู้สืบทอดอำนาจและได้รับการขนานนามว่า สุลต่านแห่งซูลู
=== ยุคอาณานิคมสเปน ===
เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน มาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1521 (พ.ศ. 2064) มีเกล โลเปซ เด เลกัซปี มาถึงฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) และตั้งชุมชนชาวสเปนขึ้น ซึ่งนำไปสู่การตั้งอาณานิคมในเวลาต่อมา หลังจากนั้น นักบวชศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้แปรศาสนาของชาวเกาะทั้งหมดให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ในช่วง 300 ปีนับจากนั้น กองทัพสเปนได้ต่อสู้กับเหตุการณ์กบฏต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากชนพื้นเมืองและจากชาติอื่นที่พยายามเข้ามาครอบครองอาณานิคม ซึ่งได้แก่ อังกฤษ จีน ฮอลันดา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และโปรตุเกส สเปนสูญเสียไปมากที่สุดในช่วงที่อังกฤษเข้าครอบครองเมืองหลวงเป็นการชั่วคราวในช่วงสงครามเจ็ดปี (Seven Years' War) หมู่เกาะฟิลิปปินส์อยู่ใต้การปกครองของสเปนในฐานะอาณานิคมของสเปนใหม่ (New Spain) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) ถึงปี ค.ศ. 1821 (พ.ศ. 2364) และนับจากนั้นฟิลิปปินส์ก็อยู่ใต้การปกครองของสเปนโดยตรง การเดินเรือมะนิลาแกลเลียน (Manila Galleon) จากฟิลิปปินส์ไปเม็กซิโก เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และหมู่เกาะฟิลิปปินส์เปิดตัวเองเข้าสู่การค้าโลกในปี ค.ศ. 1834
=== รัฐอารักขาของสหรัฐอเมริกา ===
== การเมืองการปกครอง ==
=== การแบ่งเขตการปกครอง ===
ฟิลิปปินส์แบ่งเป็นหน่วยรัฐบาลท้องถิ่น (local government units, LGUs) โดยที่มีจังหวัดเป็นหน่วยหลัก ปัจจุบันมี 82 จังหวัด (provinces) แบ่งออกเป็น นคร (cities) และ เทศบาล (municipalities) ซึ่งหน่วยการปกครองทั้งสองยังประกอบไปด้วย บารังไก (barangay) อีกทอดหนึ่ง ถือเป็นหน่วยรัฐบาลท้องถิ่นที่เล็กที่สุด
ฟิลิปปินส์แบ่งออกเป็น 17 เขต (regions) ซึ่งทุกจังหวัดได้ถูกจัดอยู่ใน 16 เขตเพื่อความสะดวกในการปกครอง ยกเว้นเขตนครหลวง (National Capital Region) ที่แบ่งออกเป็นเขตพิเศษ 4 แห่ง
หน่วยงานของรัฐบาลส่วนใหญ่จะตั้งสำนักงานในแต่ละภูมิภาค เพื่อรับใช้ประชาชนในจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคนั้น ๆ ภูมิภาคไม่มีรัฐบาลท้องถิ่นแยกต่างหาก ยกเว้นเขตปกครองตนเองบังซาโมโรในมินดาเนามุสลิมและเขตบริหารคอร์ดิลเลราซึ่งปกครองตนเอง ไม่ได้ให้ผู้อื่นปกครอง
=== เขตและจังหวัด ===
ภูเขาปีนาตูโบ
ไฟล์:Bohol Hills, Chocolate Hills 3, Philippines.jpg|เนินเขาช็อกโกแลต ในเกาะโบโฮล
ไฟล์:Big lagoon entrance, Miniloc island - panoramio.jpg|เอลนีโด ในเกาะปาลาวัน
ไฟล์:Taal Volcano aerial 2013.jpg|ภูเขาไฟตาอัล ภูเขาไฟมีพลังที่เล็กที่สุดในโลก
ไฟล์:View south of the northern Sierra Madre from peak of Mt. Cagua - ZooKeys-266-001-g007.jpg|ทิวเขาซีเยร์รามาเดร
ไฟล์:FvfBokod0174 03.JPG|ป่าสนเขาเขตร้อนลูซอน
=== ความหลากหลายทางชีวภาพ ===
พืดหินปะการังนอกชายฝั่ง[[เกาะเซบู]]
น่านน้ำอาณาเขตของฟิลิปปินส์ครอบคลุมเนื้อที่กว้างขวางถึง 2,200,000 ตารางกิโลเมตร (849,425 ตารางไมล์) เป็นแหล่งกำเนิดชีวิตในท้องทะเลที่มีลักษณะเฉพาะและมีความหลากหลายอันเป็นส่วนสำคัญของสามเหลี่ยมปะการัง ประมาณกันว่ามีชนิดปะการังและปลาทะเลทั้งสิ้น 500 และ 2,400 ชนิดตามลำดับ และการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ได้เพิ่มตัวเลขเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของทรัพยากรทางทะเลในฟิลิปปินส์ได้อย่างชัดเจน พืดหินปะการังตุบบาตาฮาในทะเลซูลูได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1993 นอกจากนี้ น่านน้ำฟิลิปปินส์ยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของปู หอยมุก และสาหร่ายทะเล
ด้วยชนิดพืชประมาณ 13,500 ชนิด ซึ่ง 3,200 ชนิดในจำนวนนี้พบเฉพาะในกลุ่มเกาะนี้เท่านั้น การทำลายป่าซึ่งมักเป็นผลจากการทำไม้ผิดกฎหมายถือเป็นปัญหาร้ายแรงของฟิลิปปินส์ พื้นที่ป่าลดลงจากร้อยละ 70 ของพื้นที่บนบกทั้งหมดของประเทศในปี ค.ศ. 1900 เหลือเพียงประมาณร้อยละ 18.3 ในปี ค.ศ. 1999 สิ่งมีชีวิตจำนวนมากตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ และมีนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมทั้งฟิลิปปินส์) ต้องเผชิญกับอัตราการสูญพันธุ์ที่รุนแรงถึงร้อยละ 20 เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 21
=== ภูมิอากาศ ===
upไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (ในฟิลิปปินส์เรียกว่า โยลันดา) ขณะมีกำลังแรงสูงสุด]]
ฟิลิปปินส์อยู่ในเขตภูมิอากาศภาคพื้นสมุทรเขตร้อนซึ่งโดยปกติจะมีอากาศร้อนและชื้น มีฤดูกาล 3 ฤดูกาล ได้แก่ ตักอีนิต () หรือ ตักอาเรา () ซึ่งเป็นฤดูร้อนหรือฤดูที่มีอากาศแห้งร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ตักอูลัน () หรือฤดูฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน และ ตักลามิก () หรือฤดูที่มีอากาศแห้งเย็นตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม) มีชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นว่า ฮากาบัต () และลมแห้งของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน) มีชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นว่า อามีฮัน ()
อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ประมาณ 26.6 องศาเซลเซียส (79.9 องศาฟาเรนไฮต์) ทั้งนี้ ทำเลที่ตั้งในแง่ละติจูดและลองจิจูดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาอุณหภูมิ เพราะไม่ว่าจะอยู่เหนือสุด ใต้สุด ตะวันออกสุด หรือตะวันตกสุดของประเทศ อุณหภูมิที่ระดับน้ำทะเลก็มีแนวโน้มที่จะอยู่ในพิสัยเดียวกัน ระดับความสูงของพื้นที่มักจะส่งผลต่ออุณหภูมิมากกว่า อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของเมืองบากีโยที่ระดับความสูง 1,500 เมตร (4,900 ฟุต) จากระดับน้ำทะเลคือ 18.3 องศาเซลเซียส (64.9 องศาฟาเรนไฮต์) ทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฤดูร้อน ในแต่ละปีจะมีไต้ฝุ่นประมาณ 19 ลูกเข้าสู่เขตความรับผิดชอบของสำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์ฟิลิปปินส์ โดยมี 8-9 ลูกในจำนวนนี้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง ปริมาณน้ำฝนรายปีตรวจวัดได้สูงถึง 5,000 มิลลิเมตร (200 นิ้ว) ในเขตชายฝั่งตะวันออกซึ่งมีสภาพเป็นภูเขา แต่น้อยกว่า 1,000 มิลลิเมตร (39 นิ้ว) ในหุบเขาบางแห่งที่มีที่กำบัง อนึ่ง บักโย () เป็นคำในภาษาฟิลิปปินส์ที่ใช้เรียกพายุหมุนเขตร้อน
== เศรษฐกิจ ==
สัดส่วนสินค้าออกของฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 2012
การเก็บเกี่ยวสับปะรดใน[[จังหวัดตีโมกโคตาบาโต]]
โรงงานน้ำตาลแห่งหนึ่งใน[[จังหวัดคันลูรังเนโกรส]]
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 34 ของโลก โดยในปี ค.ศ. 2017 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ราคาตลาด) โดยประมาณอยู่ที่ 348,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการว่างงานของฟิลิปปินส์ ณ วันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2014 อยู่ที่ร้อยละ 6.0 ในขณะเดียวกัน เนื่องจากสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานมีราคาถูกลง อัตราเงินเฟ้อจึงขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 มีมูลค่า 83,201 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
* Wikimedia Philippines
* Asian Development Bank (ADB)
* Filipinana.net - Free digital library and a research portal
* WikiSatellite view of Philippines at WikiMapia
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2441
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของสเปน
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของสหรัฐ
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของญี่ปุ่น
หมวดหมู่:เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร
หมวดหมู่:หมู่เกาะภูเขาไฟรูปโค้ง
หมวดหมู่:ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของอังกฤษ |
1997 | https://th.wikipedia.org/wiki/พยับหมอก | พยับหมอก | พยับหมอก (; ) หรือ เจตมูลเพลิงฝรั่ง เป็นพืชในวงศ์ Plumbaginaceae มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มค่อนข้างโปร่ง ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กลับ กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 5-7 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบเรียวแหลม ผิวใบด้านบนสีเขียวสด ผิวใบด้านล่างมีขนอ่อน สากระคายมือ ดอกสีขาวปนฟ้าอมเทา ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่นที่ปลายกิ่ง กลางกลีบดอกคล้ายกับเป็นร่อง โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก มีรยางค์เล็กๆ ยื่นออกมา ปลายแยกเป็น 5 แฉก เมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร
พยับหมอกนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ทุกส่วนของพยับหมอกมีสารพลัมบาจิน (:En:plumbagin) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต้านมะเร็งและบำรุงหัวใจ แต่หากถูกผิวหนังจะทำให้พุพอง
== ดูเพิ่ม ==
* เจตมูลเพลิงแดง
* เจตมูลเพลิงขาว
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์เจตมูลเพลิง |
1999 | https://th.wikipedia.org/wiki/พลับพลึงตีนเป็ด | พลับพลึงตีนเป็ด | พลับพลึงตีนเป็ด () เป็นพืชตระกูล AMARYLLIDACEAE พบทุกภูมิภาคของประเทศไทย มีหัวอยู่ใต้ดินลำต้นกลมสูงประมาณ 30 ซม. ใบเป็นรูปแถบแคบเรียวแหลม ออกตรงข้ามกันสองข้าง ขอบใบเรียบ อวบน้ำ ดอกเป็นช่อกระจุกโปร่งมี 8-10 ดอก แต่ละดอกมีระยางค์ที่เกิดจาก ก้านเกสรเพศผู้ ที่เชื่อมติดกันเป็นวงคล้ายถ้วย บานตอนกลางคืน-เช้า มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลสดสีเขียว รูปร่างค่อนข้างกลม แก่จะเป็นสีน้ำตาล เมล็ดรูปร่างกลม ๆ เล็ก แก่แล้วเป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อปลูก มีประโยชน์ โดยใช้ใบนำเอามาย่างไฟพันแก้ฟกช้ำ บวม เคล็ดขัดยอก ใช้อยู่ไฟหลังคลอด หัวมีรสขม ในอินเดียใช้เป็นยาระบาย ขับเสมหะ รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี
*Hymenocallis acutifolia (Herb. ex Sims) Sweet
*Hymenocallis araniflora T.M.Howard
*Hymenocallis arenicola Northr.
*Hymenocallis astrostephana T.M.Howard
*Hymenocallis azteciana Traub
*Hymenocallis baumlii Ravenna
*Hymenocallis bolivariana Traub
*Hymenocallis caribaea (L.) Herb.
*Hymenocallis choctawensis Traub
*Hymenocallis choretis Hemsl.
*Hymenocallis cleo Ravenna
*Hymenocallis clivorum Laferr.
*Hymenocallis concinna Baker
*Hymenocallis cordifolia Micheli
*Hymenocallis coronaria (Leconte) Kunth
*Hymenocallis crassifolia Herb.
*Hymenocallis durangoensis T.M.Howard
*Hymenocallis duvalensis Traub ex Laferr.
*Hymenocallis eucharidifolia Baker
*Hymenocallis fragrans (Salisb.) Salisb.
*Hymenocallis franklinensis Ger.L.Sm.
*Hymenocallis gholsonii G.Lom.Sm. & Garland
*Hymenocallis glauca (Zucc.) M.Roem.
*Hymenocallis godfreyi G.L.Sm. & Darst
*Hymenocallis graminifolia Greenm.
*Hymenocallis guatemalensis Traub
*Hymenocallis guerreroensis T.M.Howard
*Hymenocallis harrisiana Herb.
*Hymenocallis henryae Traub
*Hymenocallis howardii Bauml
*Hymenocallis imperialis T.M.Howard
*Hymenocallis incaica Ravenna
*Hymenocallis jaliscensis M.E.Jones
*Hymenocallis latifolia (Mill.) M.Roem.
*Hymenocallis leavenworthii (Standl. & Steyerm.) Bauml
*Hymenocallis lehmilleri T.M.Howard
*Hymenocallis limaensis Traub
*Hymenocallis liriosme (Raf.) Shinners
*Hymenocallis littoralis (Jacq.) Salisb.
*Hymenocallis lobata Klotzsch
*Hymenocallis longibracteata Hochr.
*Hymenocallis maximilianii T.M.Howard
*Hymenocallis multiflora Vargas
*Hymenocallis occidentalis (Leconte) Kunth
*Hymenocallis ornata (C.D.Bouché) M.Roem.
*Hymenocallis ovata (Mill.) M.Roem.
*Hymenocallis palmeri S.Watson
*Hymenocallis partita Ravenna
*Hymenocallis phalangidis Bauml
*Hymenocallis pimana Laferr.
*Hymenocallis portamonetensis Ravenna
*Hymenocallis praticola Britton & P.Wilson
*Hymenocallis proterantha Bauml
*Hymenocallis pumila Bauml
*Hymenocallis puntagordensis Traub
*Hymenocallis pygmaea Traub
*Hymenocallis rotata (Ker Gawl.) Herb.
*Hymenocallis schizostephana Worsley
*Hymenocallis sonorensis Standl.
*Hymenocallis speciosa (L.f. ex Salisb.) Salisb.
*Hymenocallis tridentata Small
*Hymenocallis tubiflora Salisb.
*Hymenocallis venezuelensis Traub
*Hymenocallis woelfleana T.M.Howard
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์พลับพลึง
หมวดหมู่:สมุนไพร |
2001 | https://th.wikipedia.org/wiki/พิลังกาสา | พิลังกาสา | พิลังกาสา เป็นไม้ขนาดเล็กพบในป่าผลัดใบและป่าดิบในที่สูง เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม ขอบใบเรียบ ไม่มีต่อม ใบแก่หนาและเหนียว ดอกสีชมพูเป็นช่อแน่น ผลขนาดเล็กสีแดงหรือดำ เนื้อบาง มีเมล็ดเดียว พบในประเทศไทย เวียดนาม จีนตอนใต้และพม่า
==ลักษณะ==
พิลังกาสาเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น ที่มีขนาดเล็ก และมีความสูง 1-4 เมตร และอาจสูงได้ถึง 10 เมตร ลักษณะของลำต้นตั้งตรง มีกิ่งก้านกลม หรือเป็นเหลี่ยม สีน้ำตาลอมเทา กิ่งอ่อนสีน้ำตาลแดง แตกกิ่งก้านสาขารอบ ๆ ต้น
* ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ออกหนาแน่นที่ปลายกิ่ง รูปรีถึงรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายแหลมถึงมน โคนใบรูปลิ่ม ผิวใบและขอบใบเรียบ แผ่นใบมีต่อม เห็นเป็นจุด ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ใบหนามัน ก้านใบสั้น สีแดง เส้นใบมองเห็นไม่ค่อยชัดเจน
* ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่งหรือยอด ช่อละ 4-8 ดอก กลีบดอกสีขาวแกมชมพู ก้านช่อดอกยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยยาว 8-15 มิลลิเมตร ติดกันที่โคนเป็นหลอดสั้น ๆ ปลายแยกเป็น 5 แฉก แต่ละแฉกรูปใบหอก ปลายกลีบดอกแหลม กลีบเลี้ยงสีเขียว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลโตเท่าเม็ดนุ่น ผลอ่อนเป็นสีแดง ผลแก่จะเป็นสีม่วงดำ
* ผลรูปทรงกลมแป้น ผิวเรียบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 6 มิลลิเมตร ผลอ่อนจะมีสีแดง และเมื่อสุกมีสีม่วงเข้ม เมล็ดเดี่ยว กลม
==การกระจายพันธุ์==
พบตามป่าดงดิบเขาทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด พบในประเทศไทย อินเดีย, อินโดนีเซีย, ไทย, มาเลเซีย
==ประโยชน์==
* ใบ มีรสเฝื่อนร้อน แก้โรคตับพิการ แก้ท้องเสีย แก้ไอ
* ราก มีรสเฝื่อนเมาเปรี้ยว ตำกับสุราเอาน้ำรับประทาน เอากากพอกปิดแผล ถอนพิษงู แก้กามโรคและหนองใน
* ต้น แก้โรคเรื้อน
* ดอก มีรสเฝื่อนขม ฆ่าเชื้อโรค
* เมล็ด แก้ลมพิษ
* ผล มีรสร้อน ฝาด แก้ไข้ ท้องเสีย แก้ลมพิษ แก้ธาตุพิการ แก้ซาง
==อ้างอิง==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์ข้าวสารหลวง |
2005 | https://th.wikipedia.org/wiki/ต้อยติ่ง | ต้อยติ่ง | thumb|Ruellia tuberosa, Plant of Thailand. ต้อยติ่ง
ต้อยติ่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ruellia tuberosa) เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กเป็นพืชในวงศ์เหงือกปลาหมอ (Acanthaceae) เติบโตได้ดีทั้งกลางแจ้งและในร่ม ต้นเจริญเต็มที่สูง 6½ นิ้ว ใบกลมรี ตาแตกยอดได้สี่ข้าง ออกดอกสีม่วงน้ำเงินเฉพาะตอนฤดูฝน เมื่อผสมเกสรแล้วจะให้เมล็ด ประมาณ 25-32 เมล็ดอยู่ในฝัก เมื่อฝักแก่จะกลายเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ เเละถ้าฝักโดนน้ำ (โดยธรรมชาติคือน้ำฝน) ก็จะแตกออกทำให้เมล็ดกระเด็นไปตกที่อื่น ซึ่งเป็นเทคนิคของการขยายพันธุ์ (เด็ก ๆ ชอบเล่นโดยนำฝักแก่ใส่ลงในน้ำให้แตก) ชื่ออื่นที่เรียกเช่น อังกาบฝรั่ง, เป๊าะแป๊ะ, minnieroot, popping pod, cracker plant เป็นต้น
รากของต้อยติ่งสามารถใช้เป็นยารักษาโรคไต โรคไอกรน หรือแม้แต่เป็นยาขับเลือด ถ้าใช้ในปริมาณที่เจือจางก็สามารถกำจัดสารพิษในเลือด บรรเทาอาการสารพิษตกค้างในปัสสาวะ ส่วนใบของต้อยติ่งสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ หรือใช้พอกแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ แต่ต้อยติ่งมักจะถูกถอนทิ้งเพราะคนคิดว่าเป็นวัชพืช
== อ้างอิง ==
* RUELLIA TUBEROSA L. - MINNIEROOT.
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์เหงือกปลาหมอ
หมวดหมู่:สมุนไพร |
2007 | https://th.wikipedia.org/wiki/ทองอุไร | ทองอุไร | ทองอุไร (; ) เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 2-4 เมตร ลำต้นเล็ก แผ่กิ่งด้านบนเป็นพุ่มกลม โปร่ง ใบประกอบขนนกมีใบย่อยที่ปลายสุด จำนวน 7-11 ใบ สีเขียวอ่อน ขอบใบย่อยหยิกเป็นฟันเลื่อย ผิวสัมผัสละเอียด ลำต้นสีน้ำตาลนวลตลอดทั้งต้น ก้านใบช่อดอกอ่อนเป็นสีเขียว ดอกสีเหลืองสด มีรูปลักษณ์คลายระฆัง หรือแตร หรือทรัมเป็ต ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ดอกดกมาก กลีบดอกติดกันเป็นรูปกรวยยาว 3-4 เซนติเมตร ปลายกลีบมี 5 กลีบ มีลักษณะกลมเป็นคลื่นเล็กน้อย กลีบเลี้ยงเป็นรูปกระดิ่งสีเหลือง แยก 5 แฉกกลีบดอกปลายแยก 5 กลีบรับกัน เกสรตัวผู้ เติบโตได้ดีในดินร่วนทุกชนิด ที่ความชื้นปานกลาง ระบายน้ำได้ดี แสงแดดจัดเต็มวัน
thumb|ดอกทองอุไร
ทองอุไรดอกสีเหลืองสดใส ปลูกง่าย เกิดง่าย ในเขตร้อนทั่วไป ไม่ควรปลูกในที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง นิยมปลูกข้างถนน เกาะกลางถนน และเหมาะสำหรับปลูกมุมใดมุมหนึ่งของบ้านที่แดดถึง ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
== อ้างอิง ==
* ITIS 34305
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:วงศ์แคหางค่าง
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:ไม้ยืนต้น |
2008 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาอังกฤษ | ภาษาอังกฤษ | ภาษาอังกฤษ () เป็นภาษาในกลุ่มภาษาเจอร์แมนิกตะวันตกที่ใช้ครั้งแรกในอังกฤษสมัยต้นยุคกลาง และปัจจุบันเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก ประชากรส่วนใหญ่ในหลายประเทศ รวมทั้ง สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และประเทศในแคริบเบียน พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ที่มีผู้พูดมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน ภาษาอังกฤษได้แพร่หลายทั่วโลก กลายเป็นภาษาชั้นนำของวจนิพนธ์ระหว่างประเทศและเป็นภาษากลางในหลายภูมิภาค
ในประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษกำเนิดจากการรวมภาษาถิ่นหลายภาษาที่สัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันเรียกรวมว่า ภาษาอังกฤษเก่า ซึ่งผู้ตั้งนิคมนำมายังฝั่งตะวันออกของบริเตนใหญ่เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 5 คำในภาษาอังกฤษจำนวนมากสร้างขึ้นบนพื้นฐานรากศัพท์ภาษาละติน เพราะภาษาละตินบางรูปแบบเป็นภาษากลางของคริสตจักรและชีวิตปัญญาชนยุโรป
ภาษาอังกฤษยังได้รับอิทธิพลเพิ่มจากภาษานอร์สเก่าเพราะการบุกครองของไวกิ้งในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10
การพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทำให้ภาษาอังกฤษยืมคำมาจากภาษานอร์มันอย่างมาก และสัญนิยมคำศัพท์และการสะกดเริ่มให้ลักษณะความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มภาษาโรมานซ์ แก่ภาษาที่ต่อมากลายเป็นภาษาอังกฤษกลาง การเลื่อนสระครั้งใหญ่ (Great Vowel Shift) ซึ่งเริ่มขึ้นทางตอนใต้ของอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการกำเนิดของภาษาอังกฤษใหม่จากภาษาอังกฤษกลาง
เนื่องจากการกลมกลืนคำจากภาษาอื่นมากมายตลอดประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษใหม่จึงมีคำศัพท์ใหญ่มาก โดยมีการสะกดที่ซับซ้อนและไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสระ ภาษาอังกฤษใหม่ไม่เพียงแต่กลมกลืนคำจากภาษาอื่นของยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมภาษาอื่นทั่วโลกด้วย พจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ดแสดงรายการคำไว้กว่า 250,000 คำ ซึ่งยังไม่รวมศัพท์เทคนิค วิทยาศาสตร์และสแลง
==ความสำคัญ ==
ภาษาอังกฤษใหม่ ที่บางครั้งมีผู้อธิบายว่าเป็นภาษากลางภาษาแรกของโลก การบิน การบันเทิง วิทยุและการทูต ภาษาอังกฤษเริ่มแพร่ออกนอกหมู่เกาะอังกฤษจากการเติบโตของจักรวรรดิอังกฤษ และเมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภาษาอังกฤษก็ไปทั่วโลกอย่างแท้จริง หลังการยึดอาณานิคมของอังกฤษตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาเด่นในสหรัฐอเมริกาแคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐอเมริกาและสถานภาพอภิมหาอำนาจตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยิ่งเร่งการแพร่ของภาษาไปทั่วโลก ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเด่นของผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางวิทยาศาสตร์แทนภาษาเยอรมันในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเด่นเทียบเท่าและอาจแซงหน้าภาษาฝรั่งเศสในทางการทูตตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19
ความรู้ภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานกลายเป็นสิ่งจำเป็นในหลายสาขา อาชีพและวิชาชีพ เช่น แพทยศาสตร์และวิชาการคอมพิวเตอร์ ผลคือ กว่าหนึ่งพันล้านคนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างน้อยในระดับพื้นฐาน และยังเป็นหนึ่งในหกภาษาราชการของสหประชาชาติ
ผลกระทบหนึ่งของการเติบโตของภาษาอังกฤษ คือ การลดความหลากหลายทางภาษาพื้นเมืองในหลายส่วนของโลก อิทธิพลของภาษาอังกฤษยังมีบทบาทสำคัญในการลดจำนวนภาษา ในทางตรงข้าม ความหลากหลายภายในโดยธรรมชาติของภาษาอังกฤษ ร่วมกับภาษาผสม (creole) และภาษาแก้ขัด (pidgin) มีศักยะผลิตภาษาใหม่ที่แยกกันชัดเจนจากภาษาอังกฤษตามกาล
== ประวัติ ==
== การกระจายทางภูมิศาสตร์ ==
มีผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่งราว 360 ล้านคน ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษอาจเป็นภาษาที่มีผู้พูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดเป็นอันดับสาม รองจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน อย่างไรก็ดี เมื่อรวมผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่และมิใช่ภาษาแม่แล้ว ภาษาอังกฤษก็อาจเป็นภาษาที่มีผู้พูดมากที่สุดในโลก แม้อาจน้อยกว่าผู้พูดภาษาจีนรวมกัน (ขึ้นอยู่กับว่านับรวมเป็น "ภาษา" หรือนับแยกเป็น "ภาษาถิ่น")
การประมาณซึ่งรวมผู้พูดเป็นภาษาที่สองนั้นแปรผันอย่างมากตั้งแต่ 470 ล้านคน ถึงกว่าหนึ่งพันล้านคน ขึ้นอยู่กับว่านิยามและวัดการรู้หนังสือหรือความชำนาญอย่างไร เดวิด คริสทอล (David Crystal) ศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์ คำนวณว่าผู้ที่พูดมิใช่ภาษาแม่นั้นมีมากกว่าผู้พูดเป็นภาษาแม่เป็นสัดส่วน 3 ต่อ 1
ประเทศที่มีประชากรผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (226 ล้านคน) สหราชอาณาจักร (61 ล้านคน) แคนาดา (18.2 ล้านคน) ออสเตรเลีย (15.5 ล้านคน) ไนจีเรีย (3-5 ล้านคน) ไอร์แลนด์ (3.8 ล้านคน) และนิวซีแลนด์ (3.6 ล้านคน) ตามลำดับ ข้อมูลมาจากสำมะโนปี 2549
หลายประเทศ อย่างฟิลิปปินส์ จาเมกาและไนจีเรียยังมีผู้พูดภาษาถิ่นต่อเนื่อง (dialect continuum) เป็นภาษาแม่อีกหลายล้านคน ซึ่งมีตั้งแต่ภาษาครีโอล (creole language) อิงภาษาอังกฤษไปจนถึงภาษาอังกฤษรุ่นที่เป็นมาตรฐานมากกว่า ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองมากที่สุด คริสทอลอ้างว่า เมื่อรวมผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่และไม่เป็นภาษาแม่รวมกัน ปัจจุบัน ประเทศอินเดียมีประชากรที่พูดหรือเข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่าประเทศใดในโลก
=== ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาสากล ===
ภาษาอังกฤษมักถูกเรียกว่าเป็น "ภาษาสากล" เพราะมีการพูดอย่างกว้างขวาง และแม้จะมิใช่ภาษาราชการในประเทศส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบัน มีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด ตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของการสื่อสารการบินและในทะเล ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการโอลิมปิกสากล
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีการศึกษาเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุดในสหภาพยุโรป ถึง 89% ในเด็กวัยเรียน นำหน้าภาษาฝรั่งเศสที่ 32% ขณะที่การรับรู้ประโยชน์ของภาษาต่างประเทศในบรรดาชาวยุโรป คือ 68% สนับสนุนภาษาอังกฤษ มากกว่าภาษาฝรั่งเศสที่ 25% ในบรรดาบางประเทศสหภาพยุโรปที่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ประชากรผู้ใหญ่จำนวนมากอ้างว่าสามารถสนทนาภาษาอังกฤษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สวีเดน 85%, เดนมาร์ก 83%, เนเธอร์แลนด์ 79%, ลักเซมเบิร์ก 66% และในฟินแลนด์ สโลวีเนีย ออสเตรเลีย เบลเยียมและเยอรมนี กว่า 50% ในปี 2555 หากไม่นับผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ชาวยุโรป 38% มองว่าตนสามารถพูดภาษาอังกฤษ แต่ชาวญี่ปุ่นเพียง 3% ที่มองเช่นนั้น
หนังสือ นิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษพบได้ในหลายประเทศทั่วโลก และภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในแวดวงวิทยาศาสตร์ โดยดัชนีการอ้างอิงวิทยาศาสตร์รายงานเมื่อปี 2540 ว่า บทความของดัชนีฯ 95% เขียนในภาษาอังกฤษ แม้เพียงครึ่งหนึ่งจะมาจากผู้ประพันธ์ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ
วรรณกรรมภาษาอังกฤษคิดเป็น 28% ของวรรณกรรมทั้งหมดที่ตีพิมพ์ทั่วโลก และคิดเป็น 30% ของเนื้อหาเว็บในปี 2554 (จาก 50% ในปี 2543) และการอ้างจักรวรรดินิยมทางภาษา
== ระบบการเขียน ==
พยัญชนะอังกฤษสมัยใหม่ประกอบด้วยอักษร 26 ตัว ได้แก่ a, b, c, d, e, f, g, h, i, j, k, l, m, n, o, p, q, r, s, t, u, v, w, x, y, z (รูปอักษรใหญ่เป็น A, B, C, D, E, F, G, H, I, J, K, L, M, N, O, P, Q, R, S, T, U, V, W, X, Y, Z ตามลำดับ) สัญลักษณ์อื่นซึ่งใช้ในการเขียนภาษาอังกฤษมีการผูก æ และ œ ซึ่งพบได้น้อย นอกจากนี้ ยังมีการใช้เครื่องหมายเสริมสัทอักษรบ้าง ส่วนใหญ่ในคำยืมจากภาษาต่างประเทศ (เช่น เครื่องหมายลงน้ำหนักเด่นชัดในคำว่า café และ exposé) และในการใช้เครื่องหมายไดเอเรซิส (diaeresis) บางครั้งเพื่อชี้ว่าสระสองตัวนั้นออกเสียงแยกกัน (เช่น ในคำว่า naïve และ Zoë)
ระบบการสะกด หรืออักขรวิธี ของภาษาอังกฤษนั้นมีหลายชั้น โดยมีส่วนการสะกดภาษาฝรั่งเศส ละตินและกรีกบนระบบเจอร์แมนิกพื้นเมือง นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษยังซับซ้อนขึ้นจากการเปลี่ยนเสียงที่ไม่ไปด้วยกันกับอักขรวิธี จึงหมายความว่า การสะกดภาษาอังกฤษมิใช่ตัวชี้บอกการออกเสียงที่น่าเชื่อถือ หรือกลับกัน เมื่อเทียบกับภาษาอื่นจำนวนมาก (กล่าวโดยทั่วไป ภาษาอังกฤษมิใช่อักขรวิธีเชิงหน่วยเสียง)
แม้อักษรและเสียงอาจไม่สัมพันธ์กันเมื่อแยกกัน แต่กฎการสะกดซึ่งพิจารณาโครงสร้างพยางค์ สัทศาสตร์และการลงน้ำหนักนั้นน่าเชื่อถือไม่น้อยกว่า 75% การสะกดเสียงบางอย่างสนับสนุนข้ออ้างที่ว่าภาษาอังกฤษนั้นสอดคล้องกับการออกเสียงกว่า 80% อย่างไรก็ดี ภาษาอังกฤษมีความสัมพันธ์สอดคล้องระหว่างเสียงกับอักษรน้อยกว่าภาษาอื่นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ลำดับอักษร ough สามารถออกเสียงได้ถึง 10 วิธี ผลของประวัติอักขรวิธีซับซ้อนนี้ คือ การอ่านอาจเป็นสิ่งท้าทาย ผู้เรียนต้องใช้เวลานานกว่าภาษาอื่นจึงจะเป็นนักอ่านภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงภาษาฝรั่งเศส กรีกและสเปน พบว่า เด็กที่พูดภาษาอังกฤษใช้เวลาเรียนอ่านนานกว่าเด็กในประเทศยุโรปอื่น 12 ประเทศสองปี
สำหรับพยัญชนะ ความสอดคล้องระหว่างการสะกดกับการออกเสียงนั้นค่อนข้างสม่ำเสมอ อักษร b, d, f, h, j, k, l, m, n, p, r, s, t, v, w, z แทนหน่วยเสียง /b/, /d/, /f/, /h/, /dʒ/, /k/, /l/, /m/, /n/, /p/, /r/, /s/, /t/, /v/, /w/, /z/ ตามลำดับ อักษร c และ g ปกติจะแทน /k/ และ /g/ แต่ยังมีเสียง c อ่อนที่ออกเสียงเป็น /s/ และเสียง g อ่อนที่ออกเสียงเป็น /dʒ/ บางเสียงนั้นแทนด้วยทวิอักษร ได้แก่ ch แทน /tʃ/, sh แทน /ʃ/, th แทน /θ/ หรือ /ð/, ng แทน /ŋ/ (นอกจากนี้ ph ออกเสียงเป็น /f/ ในคำที่มาจากภาษากรีก) อักษรพยัญชนะซ้อน (และ ck) โดยทั่วไปออกเสียงเป็นพยัญชนะเดี่ยว และ qu และ x ออกเสียงเป็น /kw/ และ /ks/ อักษร y เมื่อใช้เป็นพยัญชนะ แทน /j/ อย่างไรก็ดี ชุดกฎนี้มีข้อยกเว้นเช่นกัน หลายคำมีพยัญชนะที่ไม่ออกเสียงหรือออกเสียงพิเศษ
ส่วนสระนั้น ความสอดคล้องระหว่างการสะกดและการออกเสียงยิ่งไม่สม่ำเสมอ ภาษาอังกฤษมีหน่วยเสียงสระมากกว่าอักษรสระ (a, e, i, o, u) มาก ซึ่งหมายความว่า การประสมอักษรมักจำเป็นต้องใช้ระบุสระประสมสองเสียงและสระยาวอื่น ๆ (เช่น oa ในคำว่า boat และ ay ในคำว่า stay) หรือการใช้ e ที่ไม่ออกเสียงหรืออุบายคล้ายกันแทน (เช่นในคำว่า note และ cake) ทว่า อุบายเหล่านี้ก็ยังไม่ใช้คงเส้นคงวา ฉะนั้น การออกเสียงสระจึงยังเป็นแหล่งความไม่สม่ำเสมอหลักในอักขรวิธีภาษาอังกฤษ
== สัทวิทยา ==
สัทวิทยา (ระบบเสียง) ของภาษาอังกฤษแตกต่างกันตามภาษาถิ่น คำอธิบายด้านล่างใช้ได้กับชนิดมาตรฐาน ที่เรียกว่า สำเนียงอังกฤษมาตรฐาน (RP) และสำเนียงอเมริกันมาตรฐาน
=== พยัญชนะ ===
ตารางด้านล่างแสดงระบบหน่วยเสียงพยัญชนะซึ่งทำหน้าที่ในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ สัญลักษณ์ต่าง ๆ มาจากสัทอักษรสากล (IPA) และยังใช้ระบุการออกเสียงในพจนานุกรมหลายเล่ม
หากพยัญชนะมาเป็นคู่ (เช่น "p b") พยัญชนะตัวแรกจะไม่ก้อง ออกเสียงตัวที่สอง สัญลักษณ์ส่วนมากแสดงเสียงเดียวกับตามปกติเมื่อใช้เป็นอักษร แต่ /j/ แทนเสียงแรกของ yacht สัญลักษณ์ /ʃ/ แทนเสียง sh, /ʒ/ แทนเสียงกลางของ vision, /tʃ/ แทนเสียง ch, /dʒ/ แทนเสียง j ใน jump, /θ/ และ /ð/ แทนเสียง th ใน thing และ this ตามลำดับ, และ /ŋ/ แทนเสียง ng ใน sing เสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ไม่ก้อง /x/ มิใช่หน่วยเสียงปกติในภาษาอังกฤษชนิดส่วนใหญ่ แม้ผู้พูดคำภาษาสกอต/เกลิกบางคนใช้ เช่น loch หรือในคำยืมอื่น เช่น chanukah
การแปรผันในการออกเสียงพยัญชนะที่โดดเด่นบางอย่าง ได้แก่
* ในการลงน้ำหนักไม่รัวลิ้น เช่น สำเนียงอังกฤษมาตรฐานและสำเนียงออสเตรเลีย /r/ สามารถปรากฏก่อนสระเท่านั้น (ฉะนั้นจึงไม่มีเสียง "r" ในคำอย่าง card) การออกเสียง /r/ ตามจริงนั้นแตกต่างกันตามภาษาถิ่น แต่ที่พบมากที่สุด คือ เสียงเปิด ปุ่มเหงือก [ɹ]
* ในสำเนียงอเมริกาเหนือและสำเนียงออสเตรเลีย /t/ และ /d/ เป็นเสียงลิ้นสะบัด [ɾ] ในหลายตำแหน่งระหว่างสระ ซึ่งหมายความว่า คู่คำอย่าง latter และ ladder อาจเป็นคำพ้องเสียงสำหรับผู้พูดภาษาถิ่นเหล่านี้
* เสียง th /θ/ และ /ð/ บางครั้งออกเสียงเป็น /f/ และ /v/ ในค็อกนีย์ และเป็นเสียงระเบิด ฟัน (ซึ่งตามปกติเป็นเสียงระเบิด ปุ่มเหงือก) ในบางสำเนียงไอร์แลนด์ ในสำเนียงพื้นเมืองแอฟริกันอเมริกัน /ð/ รวมกับเสียงฟัน /d/
* เสียง w อโฆษะ [ʍ] บางครั้งเขียนเป็น /hw/ สำหรับ wh ในคำอย่าง when และ which พบในสำเนียงสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ และอื่น ๆ บ้าง
* เสียงระเบิดอโฆษะ /p/, /t/ และ /k/ นั้นธนิตบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นพยางค์ที่เน้น แต่ไม่ธนิตหลัง /s/ ที่ต้นคำ เช่น spin
=== สระ ===
ระบบหน่วยเสียงและการออกเสียงสระนี้แปรผันได้มากตามภาษาถิ่น ตารางด้านล่างนี้แสดงรายการสระที่พบในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานและสำเนียงอเมริกันมาตรฐาน (ซึ่งในที่นี้ย่อเป็น GAm) พร้อมตัวอย่างคำที่หน่วยเสียงปรากฏ สระนั้นแสดงด้วยสัญลักษณ์จากสัทอักษรสากล สัญลักษณ์ซึ่งให้แก่ RP นั้นพบใช้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานในพจนานุกรมของอังกฤษและสิ่งพิมพ์เผยแพร่อื่น
| valign="top" |
| valign="top" |
* สำหรับคำซึ่งในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานมี /ɒ/ ภาษาถิ่นอเมริกาเหนือส่วนใหญ่มี /ɑ/ (เช่นในตัวอย่าง box ด้านบน) หรือ /ɔ/ (เช่นใน cloth) อย่างไรก็ดี ภาษาถิ่นอเมริกาเหนือบางภาษาไม่มีสระ /ɔ/ เลย (ยกเว้นก่อน /r/)
* ในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานปัจจุบัน หน่วยเสียง /æ/ ใกล้เคียงกับ [a] ดังเช่นในการลงน้ำหนักอื่นส่วนใหญ่ในบริเตน เสียง [æ] ปัจจุบันพบเฉพาะในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานอนุรักษ์
* ในสำเนียงอเมริกันมาตรฐานและการลงน้ำหนักรัวลิ้นอื่นบางแบบ การผสมสระ+/r/ มักเข้าใจว่าเป็นสระรัวลิ้น ตัวอย่างเช่น butter /ˈbʌtər/ ออกเสียงด้วยชวารัวลิ้น [ɚ] และทำนองเดียวกัน nurse มีสระรัวลิ้น [ɝ]
* สระซึ่งเขียนตามสัญนิยมว่า /ʌ/ แท้จริงแล้วออกเสียงเป็นศูนย์กลางกว่า เป็น [ɐ] ในสำเนียงอังกฤษมาตรฐาน ในอังกฤษซีกเหนือ สระนี้แทนที่ด้วย /ʊ/ (ฉะนั้น cut จึงสัมผัสกับ put)
* ในพยางค์ที่ไม่เน้น อาจมีหรือไม่มีข้อแตกต่างระหว่าง /ə/ (ชวา) และ /ɪ/ (/ɨ/) ก็ได้ ฉะนั้น สำหรับผู้พูดบางคนจึงออกเสียงคำว่า roses และ Rosas ต่างกัน
* สระประสมสองเสียง /eɪ/ และ /əʊ/ (/oʊ/) มีแนวโน้มออกเสียงเป็นสระเดี่ยว [eː] และ [oː] ในบางภาษาถิ่น ซึ่งรวมสำเนียงแคนาดา สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์และอังกฤษเหนือ
* ในทวีปอเมริกาเหนือบางส่วน /aɪ/ จะออกเสียงเป็น [ʌɪ] ก่อนพยัญชนะอโฆษะ ซึ่งพบเป็นพิเศษในแคนาดา เช่นเดียวกับที่ /aʊ/ ออกเสียงเป็น [ʌʊ] ก่อนพยัญชนะอโฆษะเช่นกัน
* เสียง /ʊə/ กำลังถูกแทนที่ด้วย /ɔː/ ในหลายคำ ตัวอย่างเช่น sure มักออกเสียงคล้าย shore
=== การเน้น จังหวะและทำนองเสียง ===
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เน้นหนัก ซึ่งกล่าวกันว่าการเน้นพยางค์นั้นเป็นหน่วยเสียง คือ สามารถจำแนกความแตกต่างของคำได้ (เช่น นาม increase เน้นพยางค์แรก และกริยา increase เน้นพยางค์ที่สอง) แทบทุกคำที่มีมากกว่าหนึ่งพยางค์ จะมีพยางค์หนึ่งที่ระบุว่าเน้นมาก (primary stress) และอาจมีอีกพยางค์หนึ่งที่เน้นรองลงมา (secondary stress) เช่นในคำว่า civilization /ˌsɪvəlaɪˈzeɪʃn̩/ ซึ่งพยางค์แรกเน้นรอง และพยางค์ที่สี่เน้นมาก ส่วนพยางค์อื่นไม่เน้น
กระบวนการที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเน้นพยางค์ในภาษาอังกฤษ คือ การลดการออกเสียงสระ ตัวอย่างเช่น นาม contract เน้นพยางค์แรก และมีสระ /ɒ/ ใน RP ขณะที่กริยา contract ไม่เน้นพยางค์แรก และสระลดเหลือ /ə/ (ชวา) กระบวนการเดียวกันนี้ใช้กับคำที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์สามัญบางคำ เช่น of ซึ่งออกเสียงด้วยสระคนละตัวขึ้นอยู่กับว่าเน้นคำเหล่านี้ในประโยคหรือไม่
ภาษาอังกฤษยังมีการเน้นฉันทลักษณ์ที่หนัก คือ การเน้นบางคำในประโยคเพิ่มที่ผู้พูดต้องการดึงความสนใจ ทำนองเดียวกับที่ออกเสียงคำที่สำคัญน้อยเบา สำหรับจังหวะ ภาษาอังกฤษจัดเป็นภาษาที่มีการเน้นบางพยางค์ ซึ่งมีแนวโน้มให้เวลาพักระหว่างพยางค์ที่เน้นเท่ากัน โดยออกเสียงกลุ่มพยางค์ที่ไม่เน้นเร็วขึ้น
สำหรับทำนองเสียง มีการใช้ระดับเสียงเชิงวากยสัมพันธ์ในภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น เพื่อถ่ายทอดความประหลาดใจหรือประชดประชัน หรือเพื่อเปลี่ยนข้อความเป็นคำถาม ภาษาถิ่นส่วนใหญ่ของภาษาอังกฤษใช้ทำนองเสียงลงสำหรับข้อความบอกเล่า และทำนองเสียงสูงเพื่อแสดงความไม่แน่ใจ เช่น ในคำถาม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามปลายปิด) นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนทำนองเสียงตรงพยางค์ที่เน้นหนักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พยางค์ที่เน้นหนักที่สุดในประโยคหรือกลุ่มทำนองเสียง
== ไวยากรณ์ ==
ไวยากรณ์อังกฤษมีการผันคำน้อยเมื่อเทียบกับภาษาอื่นในตระกูลอินโด-ยูโรเปียนส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น ภาษาอังกฤษใหม่ ซึ่งไม่เหมือนกับภาษาเยอรมันหรือดัตช์ใหม่ และภาษาโรมานซ์ ไม่มีเพศทางไวยากรณ์และความสอดคล้องของคุณศัพท์ เครื่องหมายการกแทบไม่ปรากฏในภาษาอังกฤษและส่วนใหญ่มีอยู่เฉพาะในสรรพนาม การวางแบบผันกริยาแข็ง (เช่น speak/spoke/spoken) กับผันกริยาอ่อน (เช่น love/loved หรือ kick/kicked) ซึ่งรับมาจากภาษาเยอรมันลดความสำคัญลงในภาษาอังกฤษใหม่ และส่วนที่เหลือของการผันคำ (เช่น เครื่องหมายพหูพจน์) กลายมาพบได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ภาษาอังกฤษกลายมาเป็นเชิงวิเคราะห์มากขึ้น และได้พัฒนาลักษณะอย่างกริยาข่วยและลำดับคำเป็นทรัพยากรสำหรับสื่อความหมาย คำช่วยกริยาเป็นการผูกคำถาม สภาพปฏิเสธ กรรมวาจกและภาวะต่อเนื่อง
== คำศัพท์ ==
คำเจอร์แมนิก (Germanic, คำจากภาษาอังกฤษเก่าหรือ ในวงแคบกว่า คำที่มีกำเนิดจากภาษานอร์สโบราณโดยทั่วไป) มีแนวโน้มสั้นกว่า คำลาติเนต (Latinate, คำที่มีรากศัพท์หรือเลียนภาษาละติน) และใช้พูดในชีวิตประจำวันมากกว่า ซึ่งรวมสรรพนาม บุพบท สันธาน กริยาช่วย ฯลฯ พื้นฐานแทบทั้งหมด ซึ่งเป็นฐานของวากยสัมพันธ์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยทั่วไป ความสั้นของคำนั้นมาจากการตัดกลางคำในภาษาอังกฤษกลาง (เช่น อังกฤษเก่า hēafod → อังกฤษใหม่ head, อังกฤษเก่า sāwol → อังกฤษใหม่ soul) และจากการตัดพยางค์สุดท้ายเนื่องจากการเน้นพยางค์ (เช่น อังกฤษเก่า gamen → อังกฤษใหม่ game, อังกฤษเก่า ǣrende → อังกฤษใหม่ errand) มิใช่เพราะคำเจอร์แมนิกสั้นกว่าคำลาติเนตเป็นปกติอยู่แล้ว คำซึ่งมักพิจารณาว่าสละสลวยหรือมีการศึกษาในภาษาอังกฤษใหม่จึงมักเป็นคำลาติเนต
ในหลายกรณี ผู้ใช้ภาษาอังกฤษสามารถเลือกระหว่างไวพจน์เจอร์แมนิกและลาติเนต เช่น come หรือ arrive, sight หรือ vision, freedom หรือ liberty ในบางกรณี มีทางเลือกระหว่างคำที่มีรากศัพท์จากกลุ่มภาษาเจอร์แมนิก
ค (oversee) คำที่มีรากศัพท์จากภาษาละติน (supervise) และคำภาษาฝรั่งเศสที่มีรากศัพท์มาจากคำเดียวกันในภาษาละติน (survey) หรือกระทั่งคำเจอร์แมนิกที่มีรากศัพท์จากภาษานอร์มัน (เช่น warranty) กับภาษาฝรั่งเศสสำเนียงปารีส (guarantee) หรือแม้แต่ทางเลือกระหว่างแหล่งเจอร์แมนิกและลาทิเนทหลายแหล่งก็มี เช่น sickness (อังกฤษเก่า), ill (นอร์สโบราณ), infirmity (ฝรั่งเศส), affliction (ละติน) อย่างไรก็ดี ไวพจน์จำนวนมากนี้มิใช่ผลของอิทธิพลภาษาฝรั่งเศสและละติน เพราะภาษาอังกฤษมีคำหลากหลายอยู่แล้วก่อนยืมคำภาษาฝรั่งเศสและละตินอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ในชื่อสัตว์และเนื้อสัตว์จะใช้ศัพท์แยกจากกัน ชื่อสัตว์มักมีชื่อเจอร์แมนิก และเนื้อมีชื่อที่มีรากศัพท์จากภาษาฝรั่งเศส ตัวอย่างเช่น deer และ venison, cow และ beef; swine/pig และ pork, และ sheep/lamb และ mutton ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นผลจากการพิชิตอังกฤษของนอร์มัน ซึ่งชนชั้นสูงที่พูดภาษาแองโกล-นอร์มันเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ผลิตโดยชนชั้นล่าง ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวแองโกล-แซ็กซอน
ภาษาอังกฤษรับศัพท์เทคนิคมาใช้กันทั่วไปโดยง่ายและมักรับคำและวลีใหม่ ๆ เข้ามา ตัวอย่างปรากฏการณ์นี้ เช่น cookie, Internet และ URL (ศัพท์เทคนิค) เช่นเดียวกับ genre, über, lingua franca และ amigo ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลีและสเปนตามลำดับ นอกเหนือจากนี้ สแลงมักให้ความหมายใหม่แก่คำและวลีเก่าด้วย
=== จำนวนคำในภาษาอังกฤษ ===
คำศัพท์ในภาษาอังกฤษนั้นมีมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การระบุตัวเลขขนาดแน่ชัดนั้นเป็นประเด็นการนิยามมากกว่าการคำนวณ และไม่มีแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการที่จะนิยามคำและการสะกดภาษาอังกฤษที่ยอมรับกัน
บรรณาธิการของพจนานุกรมสากลใหม่ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่สามของเว็บสเตอร์ ไม่ย่อ (''Webster's Third New International Dictionary, Unabridged'') รวมคำหลักสำคัญไว้ 475,000 คำ แต่ในคำนำ พวกเขาประมาณว่าตัวเลขที่แท้จริงจะสูงกว่านี้มาก นักภาษาศาสตร์และนักพจนานุกรมโดยทั่วไปไม่ถือการเปรียบเทียบขนาดคำศัพท์ภาษาอังกฤษกับขนาดคำศัพท์ภาษาอื่นจริงจังนัก และนอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่าพจนานุกรมจะมีนโยบายการรวมและนับหน่วยข้อมูลแตกต่างกัน
ในเดือนธันวาคม 2553 การศึกษาร่วมของฮาร์วาร์ด/กูเกิลพบว่า ภาษาอังกฤษมีคำ 1,022,000 คำ และขยายตัวที่อัตรา 8,500 คำต่อปี การค้นพบนี้มีขึ้นหลังการคำนวณโดยคอมพิวเตอร์จากหนังสือที่ถูกแปลงเป็นดิจิทัล 5,195,769 เล่ม ส่วนการค้นพบอื่นประมาณอัตราการเติบโตของคำไว้ 25,000 คำต่อปี
=== ที่มาของคำ ===
ในบรรดาหนึ่งพันคำที่ใช้มากที่สุดในภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ (พิสัยการประมาณตั้งแต่ราว 50% ไปจนถึงกว่า 80%) เป็นคำเจอร์แมนิก อย่างไรก็ดี คำขั้นสูงกว่าในหัวข้ออย่างวิทยาศาสตร์ ปรัชญาและคณิตศาสตร์มาจากภาษาละตินหรือกรีก และยังมีภาษาอารบิกหลายคำในวิชาดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์และเคมี
== ดูเพิ่ม ==
* การเขียนคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
== อ้างอิง ==
== บรรณานุกรม ==
* {{cite web |author=*
* The survey of the Germanic branch languages includes chapters by Winfred P. Lehmann, Ans van Kemenade, John Ole Askedal, Erik Andersson, Neil Jacobs, Silke Van Ness, and Suzanne Romaine.
* {{cite web |author=*
* {{cite web |author=*
* {{cite web |author=*
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Accents of English from Around the World (University of Edinburgh) Sound files comparing how 110 words are pronounced in 50 English accents from around the world
* International Dialects of English Archive - recordings of English dialects and international L2 accents
หมวดหมู่:กลุ่มภาษาเจอร์แมนิกตะวันตก
หมวดหมู่:ภาษาในสหราชอาณาจักร
หมวดหมู่:ภาษาในประเทศแคนาดา
หมวดหมู่:ภาษาในสหรัฐ
หมวดหมู่:ภาษาในประเทศอินเดีย
หมวดหมู่:ภาษาในประเทศนิวซีแลนด์
หมวดหมู่:ภาษาในประเทศออสเตรเลีย
หมวดหมู่:ภาษาในประเทศแอฟริกาใต้
หมวดหมู่:ภาษาในประเทศกายอานา
หมวดหมู่:ภาษาในประเทศจาเมกา
หมวดหมู่:ภาษาประธาน-กริยา-กรรม |
2013 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศติมอร์-เลสเต | ประเทศติมอร์-เลสเต | | image_map = Timor_Leste_(orthographic_projection).svg
| map_width =
| area_sq_mi = 5,794
| percent_water = น้อยมาก
| population_estimate = 1,340,513
| population_census = 1,183,643
| population_census_year = ค.ศ. 2015
| population_density_km2 = 78
| population_density_sq_mi = ค.ศ. 201
| population_estimate_rank = อันดับที่ 153
| population_estimate_year = ค.ศ. 2021
| HDI_year = ค.ศ. 2019
| HDI_change = decrease
| HDI_ref =
| HDI_rank = อันดับที่ 141
| currency = ดอลลาร์สหรัฐb
| currency_code = USD
| time_zone = TLT
| utc_offset = +9
| utc_offset_DST =
| time_zone_DST =
| drives_on = ซ้ายมือ
| calling_code = +670
| iso3166code = TL
| cctld = .tlc
| footnote_a = "ภาษาประจำชาติ" อีก 15 ภาษาได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ
| footnote_b = นอกจากนี้ยังใช้เหรียญเซ็งตาวู
| footnote_c = .tp ยกเลิกการใช้แล้ว
| country_code =
| official_website =
ติมอร์-เลสเต, ตีโมร์-แลชต์ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต หรือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยตีโมร์-แลชต์ (; ) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเกาะติมอร์ด้านตะวันออก เกาะอาเตารู (Atauro) และเกาะฌากู (Jaco) ที่อยู่ใกล้เคียง และเทศบาลโอเอกูซี (Oecusse) ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของเกาะติมอร์ ติมอร์ตะวันออกถูกล้อมรอบโดยพื้นที่ของประเทศอินโดนีเซีย
แต่เดิมประเทศติมอร์-เลสเตถูกปกครองโดยประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้ยึดครองติมอร์ตะวันออกเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) และในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ติมอร์ตะวันออกได้แยกตัวเป็นอิสระ และได้รับเอกราชอย่างเต็มตัวเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) เมื่อประเทศติมอร์ตะวันออกเข้าร่วมองค์การสหประชาชาติในปีเดียวกัน ก็ได้ตกลงว่าจะเรียกประเทศอย่างเป็นทางการว่า ตีโมร์-แลชต์ ซึ่งเป็นชื่อในภาษาโปรตุเกส มีดอกไม้ประจำชาติคือดอกกุหลาบ
== ภูมิศาสตร์ ==
ชายฝั่งทาซิโตลู
ประเทศติมอร์-เลสเตเป็นประเทศหมู่เกาะ จัดเป็นเกาะในกลุ่มเกาะอินโดนีเซีย เรียกว่า เกาะติมอร์ ด้วยเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะขนาดเล็ก เกาะติมอร์ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย และอยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตา ของประเทศอินโดนีเซียไปทางตะวันออกประมาณ 2,100 กิโลเมตร ประเทศติมอร์ตะวันออกประกอบไปด้วยดินแดนส่วนปลายด้านตะวันออกของเกาะติมอร์ และมีดินแดนส่วนแยกเทศบาลโอเอกูซีที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของติมอร์ตะวันตกซึ่งอยู่ในการปกครองของประเทศอินโดนีเซีย
=== ภูมิอากาศ ===
ประเทศติมอร์-เลสเตมีเพียงสองฤดูเช่นเดียวกับทางภาคใต้ของประเทศไทย คือมีฤดูฝนและฤดูร้อน ภูมิอากาศบางแห่งมีภูมิอากาศแบบสะวันนา ด้วยเหตุที่ได้รับลมแล้งจากทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย ทรัพยากรทางธรรมชาติของติมอร์ตะวันออกคือ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจมีมากไม่แพ้ประเทศบรูไนที่อยู่ในทะเลลึกที่เรียกว่า Timor Gap ซึ่งอยู่ครึ่งทางระหว่างติมอร์-เลสเตกับออสเตรเลีย ส่วนพืชเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ กาแฟ มะพร้าว โกโก้ ข้าวโพด และปศุสัตว์ที่สำคัญได้แก่ โค กระบือ แกะ ม้า และทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่มากมาย
== ประวัติศาสตร์ ==
=== อาณานิคมโปรตุเกส ===
ดินแดนติมอร์ตะวันออกเป็นอาณานิคมของประเทศโปรตุเกสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2063 (ค.ศ. 1520)
=== การอ้างสิทธิ์เรียกร้องเอกราช ===
แผนที่แสดงเขตเทศบาลต่าง ๆ ของติมอร์-เลสเต
ติมอร์-เลสเตแบ่งเขตการปกครองเป็น 13 เทศบาล (; ) ดังนี้
# กอวาลีมา
# โบโบนารู
# มานาตูตู
# มานูฟาฮี
# เอร์เมรา
# โอเอกูซี
== เศรษฐกิจ ==
ตลาดในโลสปาโลส
=== สถานการณ์เศรษฐกิจ ===
ลู่ทางการค้าการลงทุนในติมอร์-เลสเตที่มีศักยภาพ คือ ไร่กาแฟ การทำประมง ธุรกิจการท่องเที่ยว รวมถึงแหล่งทรัพยากรประเภทน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในเขต Timor Gap ซึ่งอยู่ระหว่างติมอร์-เลสเตกับออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี ธุรกิจเหล่านี้ยังจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและการสนับสนุนด้านการเงินจากนักลงทุนภายนอกอยู่มาก เนื่องจากติมอร์-เลสเตยังขาดเงินทุน และชาวติมอร์-เลสเตยังขาดทักษะในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับในปัจจุบันมีอัตราผู้ว่างงานสูงประมาณร้อยละ 80 ซึ่งในส่วนของนักธุรกิจไทยจำเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของระเบียบรวมถึงอุปสรรคดังกล่าวต่าง ๆ ข้างต้น เพื่อประกอบการพิจารณาถึงความเสี่ยงในการลงทุนในติมอร์-เลสเต และขณะนี้สินค้าส่วนใหญ่ในติมอร์-เลสเตนำเข้าจากออสเตรเลีย เพื่อรองรับการบริโภคของคณะเจ้าหน้าที่จากสหประชาชาติและคณะทูตที่ปฏิบัติงานในติมอร์-เลสเต
== โครงสร้างพื้นฐาน ==
ท่าอากาศยานประธานาธิบดีนีกูเลา ลูบาตู
=== เส้นทางคมนาคม ===
ท่าอากาศยานนานาชาติประธานาธิบดีนีกูเลา ลูบาตู () เป็นสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวในติมอร์-เลสเต และท่าเรือติมอร์และท่าเรือดิลี ท่าเรือสำคัญของประเทศ
=== การศึกษา ===
การศึกษาของติมอร์-เลสเตเป็นไปตามโครงสร้าง 6-3-3 มีระดับการศึกษาตั้งแต่ก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัย ทั้งนี้รัฐได้จัดสวัสดิการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เยาวชนในระดับประถมศึกษา (EDUCATION POLICY AND DATA CENTER, 2012)
== ประชากร ==
right|งานแต่งงานของชาว[[ติมอร์เชื้อสายจีนแคะ ปี ค.ศ. 2006]]
=== ภาษา ===
ภาษาที่มีถึง 30 กลุ่ม โดยต่างคนต่างอยู่ นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวติมอร์เชื้อสายจีน และคนไทยในกรุงดิลี ส่วนภาษาทางการนั้นไม่เป็นที่ตกลงแน่นอนว่าจะใช้ภาษาใดเป็นภาษาทางการ แต่ภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในติมอร์-เลสเต คือ ภาษาเตตุน ภาษาโปรตุเกส ภาษาอินโดนีเซีย และภาษาอังกฤษ โดยสองภาษาหลังนี้ทางการถือเป็นภาษาปฏิบัติการ นอกจากนี้ยังมีภาษาของชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
=== ศาสนา ===
รูปปั้น[[พระแม่มารีของศาสนาคริสต์ในกรุงดิลี]]
ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศติมอร์-เลสเตนับถือศาสนาคริสต์ โดยแยกเป็นสองนิกายหลัก คือ นิกายโรมันคาทอลิก มีศาสนิกกว่าร้อยละ 96 ส่วนนิกายโปรเตสแตนต์นั้นมีร้อยละ 2.2 มีส่วนน้อยนับถือศาสนาอิสลามซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบซุนนี นอกนั้นนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และอื่น ๆ
=== วัฒนธรรม ===
ประชาชนชาวติมอร์-เลสเตส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชนบท โดยส่วนมากยังทำการเกษตรแบบดั้งเดิมและพึ่งพาตนเอง มีการศึกษาต่ำ มีการจับปลาและเลี้ยงสัตว์ ผู้คนส่วนใหญ่ค้าขายไม่เป็น ไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล แต่ชาวติมอร์-เลสเตนั้นมีความเคารพในระบบอาวุโส มีระบบเครือญาติที่แข็งแกร่ง รักพวกพ้อง รักขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม โดยสตรีชาวติมอร์-เลสเตนั้นจะทำงานหนักในขณะที่บุรุษมักไม่ค่อยช่วยงานบ้าน
== อ้างอิง ==
==บรรณานุกรม==
* Cashmore, Ellis (1988). Dictionary of Race and Ethnic Relations. New York: Routledge.
* Charny, Israel W. Encyclopedia of Genocide Volume I. Denver: Abc Clio.
* Hägerdal, Hans (2012), Lords of the Land, Lords of the Sea; Conflict and Adaptation in Early Colonial Timor, 1600-1800. Oapen.org
* Levinson, David. Ethnic Relations. Denver: Abc Clio.
* Rudolph, Joseph R. Encyclopedia of Modern Ethnic Conflicts. Westport: Greenwood P, 2003. 101-106.
* Shelton, Dinah. Encyclopedia of Genocide and Crimes Against Humanity. Thompson Gale.
* Taylor, John G. (1999). East Timor: The Price of Freedom. Australia: Pluto Press. .
* East Timor: a bibliography, a bibliographic reference, Jean A. Berlie, launched by PM Xanana Gusmão, Indes Savantes editor, Paris, France, published in 2001. , .
* East Timor, politics and elections (in Chinese)/ 东帝汶政治与选举 (2001-2006): 国家建设及前景展望, Jean A. Berlie, Institute of Southeast Asian Studies of Jinan University editor, Jinan, China, published in 2007.
* Mats Lundahl and Fredrik Sjöholm. 2019. The Creation of the East Timorese Economy. Springer.
==แหล่งข้อมูลอื่น==
* เว็บไซต์ทางการของรัฐบาลติมอร์-เลสเต
* เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวติมอร์-เลสเต
* Chief of State and Cabinet Members
ข้อมูลทั่วไป
* Timor-Leste. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* East Timor from UCB Libraries GovPubs
* East Timor at Encyclopædia Britannica
* East Timor profile BBC News
* Key Development Forecasts for Timor-Leste from International Futures
* Timor Leste Studies Association
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของโปรตุเกส
หมวดหมู่:เกาะติมอร์
หมวดหมู่:เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร |
2017 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศปาปัวนิวกินี | ประเทศปาปัวนิวกินี | ปาปัวนิวกินี (; ; ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี (; ; ) เป็นประเทศในแถบโอเชียเนีย เป็นพื้นที่ทางตะวันออกของเกาะนิวกินี (พื้นที่ทางตะวันตกเป็นของประเทศอินโดนีเซีย) ตั้งอยู่ในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางเหนือของประเทศออสเตรเลีย และอยู่ทางตะวันตกของหมู่เกาะโซโลมอน มีเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้คือพอร์ตมอร์สบี เป็นประเทศเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกด้วยพื้นที่
หลังจากถูกปกครองโดยมหาอำนาจภายนอก 3 ชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2427 ปาปัวนิวกินีได้ก่อตั้งอธิปไตยของตนขึ้นในปี 2518 หลังอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรเลียร่วม 60 ปี ซึ่งเริ่มในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปาปัวนิวกินีได้กลายเป็นอาณาจักรที่เป็นอิสระในปี 2518 โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเป็นประมุข และกลายเป็นสมาชิกของเครือจักรภพ
ปาปัวนิวกินีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก โดยมีภาษาในประเทศเท่าที่รู้จักถึง 851 ภาษา ในจำนวนนี้มี 11 ภาษาที่ไม่มีผู้พูดอีกต่อไป และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพื้นที่ชนบทมากที่สุด เนื่องจากมีเพียง 13.25% ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในใจกลางเมืองใน ค.ศ. 2019 เกือบ 40% ของประชากรใช้ชีวิตตามธรรมชาติโดยไม่สามารถเข้าถึงโลกภายนอกได้ คนส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วยการทำฟาร์ม ค้าขาย และเกษตรกรรม วิถีชีวิตทางสังคมของพวกเขาผสมผสานศาสนาดั้งเดิมเข้ากับแนวปฏิบัติสมัยใหม่ รัฐบาลปกป้องและให้ความสำคัญต่อชีวิตในชุมชนท้องถิ่น ปาปัวนิวกีนิเป็นสมาชิกของ ประชาคมแปซิฟิก, The Pacific Islands Forum และเครือจักรภพแห่งประชาชาติ
== นิรุกติศาสตร์ ==
ศัพท์ papua มีที่มาจากศัพท์พื้นเมืองเก่าที่ไม่ทราบต้นกำเนิด ส่วน "New Guinea" (Nueva Guinea) เป็นศัพท์บัญญัติที่ Yñigo Ortiz de Retez นักสำรวจจักรวรรดิสเปนสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1545 เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าผู้คนในเกาะนี้มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมคล้ายกับผู้คนที่เขาเคยเห็นบริเวณชายฝั่งกินีของทวีปแอฟริกา และคำว่า กินี ยังมีรากศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกส Guiné ซึ่งหมายถึง "ดินแดนแห่งคนผิวดำ"
== ประวัติศาสตร์ ==
หลักฐานทางโบราณคดีระบุว่า มนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเกาะนิวกินีประมาณ 42,000 ถึง 45,000 ปีก่อน คาดว่าเป็นกลุ่มคนที่เป็นลูกหลานของผู้อพยพออกจากทวีปแอฟริกา นักเดินเรือชาวโปรตุเกสและสเปนเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาในดินแดนแห่งนี้
ในปี 2427 (ค.ศ. 1884) เยอรมันได้เข้ายึดภาคตะวันออกเหนือของเกาะ รวมทั้งเกาะบูเกนวิลล์ (Bougainville) และในปี 2431 (ค.ศ. 1888) สหราชอาณาจักรได้เข้ายึดครองในส่วนใต้ของเกาะ เรียกว่า British New Guinea ส่วนเยอรมนีเข้าครอบครองส่วนเหนือของเกาะอย่างสมบูรณ์ในปี 2442 (ค.ศ. 1899) และเรียกส่วนนี้ว่า German New Guinea จากนั้นในปี 2457 (ค.ศ. 1914) กองทัพออสเตรเลียได้เข้ายึดครองส่วนที่เป็น German New Guinea และปกครองเกาะทั้งสองส่วนจนกระทั่งปี 2484 (ค.ศ. 1941) ญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดและเป็นผู้ปกครองเกาะจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488 (ค.ศ. 1945) จากนั้น ในปี 2492 (ค.ศ. 1949) ปาปัวและนิวกินีตกอยู่ในภาวะทรัสตีของสหประชาชาติภายใต้ The Papua and New Guinea Act โดยมีออสเตรเลียเป็นผู้ดูแล และเรียกดินแดนนี้ว่า Territory of Papua and New Guinea ต่อมา ในปี 2515 (ค.ศ. 1972) ได้เปลี่ยนชื่อเป็นปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea) พร้อมทั้งจัดการเลือกตั้งคณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐมนตรีคือ Sir Micheal Somare ซึ่งเป็นผู้นำในการเรียกร้องเอกราชจากออสเตรเลีย และทำให้ปาปัวนิวกินีได้รับเอกราชในปี 2518 (ค.ศ. 1975)
== การเมือง ==
เจมส์ มาแรป นายรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
ระบบรัฐสภาเป็นแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาเดียว เรียกว่า “รัฐสภาแห่งชาติ” (National Parliament) ปัจจุบันมีสมาชิก 109 คน โดย 89 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป (open electorates) และที่เหลืออีก 20 คน มาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด (provincial electorates) วาระ 5 ปี
รูปแบบการปกครอง แบ่งเป็น 3 ระดับคือ ระดับชาติ (National) ระดับจังหวัด (Provincial) และระดับท้องถิ่น (Local) รัฐบาลท้องถิ่น (Provincial Government) ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง โดยรัฐบาลกลางจะแทรกแซงกิจการด้านการบริหาร การคลัง และอื่น ๆ เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่น ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการโดยอิสระ
== ภูมิศาสตร์ ==
แผนที่ปาปัวนิวกินี
ด้วยขนาด ทำให้ปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 54 ของโลก และประเทศที่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ตั้งอยู่ทิศเหนือของประเทศออสเตรเลีย ทิศตะวันตกติดกับประเทศอินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินีมีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ และมีภูเขาและภูเขาไฟจำนวนมาก พื้นที่ราบเป็นป่าดิบชื้น และทุ่งหญ้าสะวันนา พืชสำคัญคือ มะพร้าว ปาล์ม และเตย
== เศรษฐกิจประเทศ ==
ปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเล ทองคำ ทองแดง น้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ รายได้หลักของประเทศขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมการประมง เหมืองทองแดง เหมืองทองคำ และการท่องเที่ยว ส่วนด้านเกษตรกรรม ส่วนใหญ่เป็นการเพาะปลูกกาแฟ โกโก้ และมะพร้าว ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศนิวซีแลนด์ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ทองคำ น้ำมันดิบ กาแฟ ทองแดง ซุง กาแฟ และสัตว์ทะเล ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมัน เครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่ง ส่วนประกอบรถยนต์ อาหาร และเชื้อเพลิง
รัฐบาลควบคุมสถานะการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อัตราเงินเฟ้อต่ำ อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจได้รับผลดีจากผลผลิตเหมืองแร่ที่เพิ่มขึ้น และราคาสินค้าส่งออกเพิ่มสูงขึ้นได้แก่ ทอง น้ำมันดิบ ทองแท่ง เป็นผลให้การส่งออกในช่วงไตรมาสของปีขยายตัวร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าในปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลและเศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโตในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ในเดือน มี.ค. 2549 UN ได้เสนอปรับสถานะการพัฒนาของปาปัวนิวกินีจากประเทศกำลังพัฒนาเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ซึ่ง นรม. Sir Michael ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
รัฐบาลพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ขยายการส่งออก (Export-led economy) แสวงหาความร่วมมือกับประเทศในเอเชีย (look north) และมีบทบาทนำในกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก (Work Pacific) การลงนามความตกลงทางการค้ากับนิวซีแลนด์เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 ทำให้ปาปัวนิวกินีส่งออกสินค้าเกษตร เช่น มะพร้าว เผือก ขิง ไปยังตลาดนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ ปาปัวนิวกินียังได้รับโควตาการส่งออกปลาทูน่าไปยังตลาด EU เพิ่มขึ้น ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าของเอเปกครั้งที่ 12 ปาปัวนิวกินีตอบรับที่จะยกเลิกการอุดหนุนสินค้าส่งออกทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2556
== ประชากร ==
title = บทความที่เกี่ยวข้อง
ปาปัวนิวกินี
ปาปัวนิวกินี
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2518
หมวดหมู่:เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร |
2024 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศบังกลาเทศ | ประเทศบังกลาเทศ | บังกลาเทศ ( บังลาเทศ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ () เป็นประเทศในเอเชียใต้ ซึ่งครอบครองเนื้อที่ในส่วนตะวันตกของภูมิภาคเบงกอล มีประชากรราว 165 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับแปดของโลก ด้วยพื้นที่ 148,460 ตารางกิโลเมตร (57,320 ตารางไมล์) บังกลาเทศจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นประชากรมากที่สุดในโลก มีอาณาเขตติดกับ ประเทศอินเดียทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และตะวันตก ติดกับประเทศพม่า ทางตะวันออกเฉียงใต้ และติดอ่าวเบงกอลทางทิศใต้ เมืองหลวงของประเทศคือธากา ซึ่งเป็นศูนย์กลางทาง การปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศ โดยมีจิตตะกองเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองซึ่งเป็นท่าเรือที่คับคั่งมากที่สุดในอ่าวเบงกอล ภาษาราชการคือภาษาเบงกอลซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน คำว่า "บังกลาเทศ (Bangladesh)" หมายถึง "ประเทศแห่งเบงกอล"
ดินแดนของบังกลาเทศเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเบงกอลก่อนจะแยกตัวออกมาจากการแบ่งแยกอินเดียใน พ.ศ. 2490 ชาวมุสลิมเบงกาลีเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แคว้นเบงกอลในอดีตเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญของอนุทวีปอินเดีย โดยเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณมากมาย อาทิ วานกา ปันดรา คงคาริได เกาดา และ หริกาลา ราชวงศ์โมริยะ จักรวรรดิคุปตะ จักรวรรดิปาละ ราชวงศ์เสนะ อาณาจักรจันดรา และอาณาจักรเทวา เคยเป็นผู้ปกครองในบริเวณนี้ ก่อนที่การพิชิตเบงกอลของชาวมุสลิมจะเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 1747 เมื่อ มูฮัมหมัด บิน บัคติยาร์ คัลจี แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์กูริดพิชิตดินแดนทางเหนือของเบงกอลตามด้วยการรุกรานทิเบต และดินแดนทั้งหมดกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเดลีสุลต่าน นครรัฐสามแห่งถือกำเนิดขึ้นประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 ผู้นำแห่งลัทธิศูฟี ได้แก่ สุลต่าน บาลคี, ชาห์ จาลาล และชาห์ มัคดัม รูโปส มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรมของชาวมุสลิม ต่อมา ดินแดนส่วนใหญ่รวมตัวกันเป็นอาณาจักรสุลต่านแห่งเบงกอล ในศตวรรษที่ 14 ถึง 16 ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโมกุล รัฐเบงกอลตะวันออกเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องโดยเป็นศูนย์กลางของชาวมุสลิมบริเวณอนุทวีป และดึงดูดพ่อค้าจากทั่วโลก ในช่วงเวลานี้ ชนชั้นสูงชาวเบงกาลีถือเป็นหนึ่งในกลุ่มสังคมที่มีฐานะมั่งคั่งที่สุดในโลกจากการมีพันธมิตรทางการค้าจำนวนมาก รายได้หลักมาจากการค้าผ้าทอมัสลินที่มีชื่อเสียง อาณาจักรยังเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องในช่วงศตวรรษที่ 18 ต่อมาใน พ.ศ. 2300 การทรยศของ มีร์ จาฟาร์ นำไปสู่การสิ้นอำนาจของ ศรีรัช อุดดอลา สหราชอาณาจักรในนามบริษัทอินเดียตะวันออกเข้ามาเรืองอำนาจในภูมิภาคเอเชียใต้ ภูมิภาคเบงกอลกลายเป็นหน่วยการปกครองที่ใหญ่ที่สุดในเขตปกครองและมณฑลของบริติชอินเดีย การก่อตั้งรัฐเบงกอลตะวันออกและรัฐอัสสัมใน พ.ศ. 2448 เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศ และในปี 2483 นายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งรัฐเบงกอลได้สนับสนุน มติละฮอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มติแห่งปากีสถาน" ด้วยปณิธานในการสร้างรัฐบริเวณตะวันออกของภูมิภาคเอเชียใต้ นายกรัฐมนตรีแห่งเบงกอลยังได้เสนอให้มีการจัดตั้งรัฐอธิปไตยของชาวเบงกาลี ก่อนจะมีการแบ่งแยกดินแดน การลงประชามติและการแบ่งแยกดินแดนโดยอิงเส้นแรดคลิฟฟ์ได้กำหนดเขตแดนของบังกลาเทศในปัจจุบัน
ในปี 2490 เบงกอลตะวันออกกลายเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของปากีสถานในเครือจักรภพ ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นปากีสถานตะวันออกโดยมีธากาเป็นเมืองหลวง เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ ขบวนการภาษาเบงกาลีปี 2495, การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติของเบงกาลีตะวันออกปี 2497, การรัฐประหารของปากีสถานปี 2501, การเคลื่อนไหวหกจุดในปี 2509 และการเลือกตั้งทั่วไปของปากีสถานในปี 2513 ส่งผลให้ลัทธิชาตินิยมเบงกาลีและขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นในปากีสถานตะวันออก การปฏิเสธการถ่ายโอนอำนาจของรัฐบาลเผด็จการไปยังสันนิบาตอวามีซึ่งนำโดย ชีค มูจิบูร์ เราะห์มาน นำไปสู่สงครามปลดปล่อยบังกลาเทศในปี 2514 และจบลงด้วยชัยชนะของขบวนการปฏิวัติซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางอาวุธจากอินเดีย ทว่าความขัดแย้งยังทวีความรุนแรงต่อเนื่องนำไปสู่พันธุฆาตครั้งใหญ่ และการสังหารหมู่พลเรือนเบงกาลี รัฐใหม่ของบังกลาเทศกลายสภาพเป็นรัฐโลกวิสัยแห่งแรกในเอเชียใต้ตามรัฐธรรมนูญในปี 2515 ศาสนาอิสลามได้รับการประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติในปี 2531
บังกลาเทศเป็นประเทศอำนาจปานกลางในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ชื่อภาคตั้งตามชื่อเมืองที่เป็นเมืองหลักของฝ่ายบริหาร มีดังต่อไปนี้
* ภาคขุลนา ()
* ภาคจิตตะกอง ()
* ภาคธากา ()
* ภาคบอรีชัล ()
* ภาคมัยมันสิงห์ ()
* ภาครังปุระ ()
* ภาคราชชาฮี ()
* ภาคสิเลฏ ()
== เศรษฐกิจ ==
สะพานจามูนา หนึ่งใน[[สะพานที่ยาวที่สุดในเอเชียใต้]]
คาร์วานพลาซ่า กรุงธากา
:ประเทศบังกลาเทศตั้งอยู่ริมอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย ทำให้ได้รับอิทธิพลลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดียอยู่เสมอ เศรษฐกิจของบังกลาเทศจึงขึ้นอยู่กับการเพาะปลุกเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะปอกระเจา ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการถักกระสอบ แต่เนื่องจากบังกลาเทศมักประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจำ เนื่องจากเป็นจุดที่พายุไซโคลนเข้ามากที่สุดในบรรดาประเทศในเอเชียใต้ ทำให้การเพาะปลูกของบังกลาเทศก็ไม่ค่อยดีนัก ด้านอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมของบังกลาเทศส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผลผลิตทางการเกษตร เช่น สิ่งทอซึ่งส่งออกเป็นอับดับสองของโลกรองจากจีน กระดาษ น้ำตาล เป็นต้น
:* สินค้าส่งออก ได้แก่ เสื้อผ้า ปอกระเจา เครื่อแต่งกาย อาหารทะเลและปลาแช่แข็ง ประเทศผู้ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐ เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อิตาลี
:* สินค้านำเข้า ได้แก่ เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า ปิโตรเลียม ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ อินเดีย สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน
สกุลเงินที่ใช้ : คือ ฏากา
แม้บังกลาเทศจะเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) แต่ก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจซึ่งไทยไม่ควรมองข้าม โดยเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรทางทะเล พร้อมกันนี้ยังสามารถเป็นตลาดสินค้าต่าง ๆ ของไทย เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค และการบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าภาคธุรกิจบริการจะทำรายได้ให้กับบังกลาเทศคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 50 ของ GDP แต่ประชาชนบังกลาเทศส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน และประกอบอาชีพการเกษตร รัฐบาลบังกลาเทศเน้นในเรื่องเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (economic freedom) โดยใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจ (economic diplomacy) ให้ความสำคัญกับการดึงการลงทุนจากต่างชาติ (อนุญาตให้คนต่างชาติลงทุนถือหุ้นได้ทั้งหมดเช่นเดียวกับชาวบังกลาเทศ) รวมทั้งการเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนทั้งภายในและจากต่างประเทศให้กลับคืนมา กระตุ้นการส่งออกโดยเฉพาะการเพิ่มโควตาการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปยังต่างประเทศ การส่งเสริมให้แรงงานบังกลาเทศไปทำงานในต่างประเทศ และการทบทวนเรื่องการให้ visa on arrival กับประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
=== การค้า ===
บังกลาเทศยึดหลักเศรษฐกิจการตลาด มีนโยบายส่งเสริมการส่งออก อย่างไรก็ดี โดยที่การส่งออกของบังกลาเทศขึ้นอยู่กับสินค้าเพียงไม่กี่ชนิดและมีตลาดส่งออกที่จำกัดเพียงไม่กี่ประเทศ (โดยร้อยละ 76 ของการส่งออกทั้งหมดเป็นสินค้าสิ่งทอที่ส่งไปยุโรป) จึงให้ความสำคัญกับการสร้างความหลากหลายให้กับตัวสินค้าและหาตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกให้มากที่สุดและลดการขาดดุลการค้า บังกลาเทศพึ่งพาการนำเข้าจากอินเดียเป็นส่วนใหญ่ มีมูลค่าถึงปีละ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลล่าสุดได้มั่งเน้นนโยบายที่จะหันไปค้าขายกับประเทศอื่นๆ ให้มากขึ้น เพื่อลดการพิ่งพาอินเดียลง สวนปัญหาและอุปสรรคทางการค้า ได้แก่ การห้ามนำเข้าหรือการจำกัดโควตาข้าวและน้ำตาล รวมทั้งปัญหาด้านการขนส่ง เป็นต้น ระบบพิธีการศุลกากรมาตรการที่มิใช่ทางภาษี เช่น การห้ามนำเข้าหรือจำกัดโควตา
=== การลงทุน ===
ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2533 บังกลาเทศได้ปรับเปลี่ยนนโยบายหลายประการเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการถือหุ้นของต่างชาติ อนุญาตให้ส่งผลกำไรและรายได้ออกไปต่างประเทศได้โดยเสรี และมีมาตรการให้ความสำคัญกับบริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในประเทศ เป็นต้น โดยสหรัฐอเมริกาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในบังกลาเทศ รองลงมา คือ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และ สหราชอาณาจักร
อุตสาหกรรมที่ควรเข้าไปลงทุน ได้แก่ ด้านการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีมากถึง 11 ล้านล้านตารางฟุต ด้านสาธารณูปโภค ด้านประมง (แต่ปัจจุบันรัฐบาลบังกลาเทศยังไม่มีนโยบายที่จะเปิดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในการจับปลาในบังกลาเทศ) การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรด้านอุตสาหกรรม เช่น เสื้อผ้า เครื่องหนัง อุตสาหกรรมเบา ด้านบริการต่าง ๆ และด้านการผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคขั้นพื้นฐาน
อุปสรรคที่สำคัญที่ขัดขวางการลงทุน ได้แก่ การประสบภัยจากพายุไซโคลนและอุทกภัยบ่อยครั้ง การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ และปัญหาการเมืองภายในประเทศโดยเฉพาะการเดินขบวนประท้วง (hartal) ของพรรคฝ่ายค้านที่มีอยู่เป็นประจำ
=== คมนาคม ===
* Bangladesh Telecom Regulatory Commission กำกับดูแลกิจการรถไฟ มีทางรถไฟความยาว 2,745 กม. ทางหลวง 201,182 กม.
* ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipelines) 1,250 กม.
* ท่าเรือทางทะเล ตั้งอยู่ที่ Chittagong และ Mongla
* ท่าเรือทางน้ำภายในประเทศ ที่สำคัญตั้งอยู่ที่ Dhaka, Chanpur, Barisal
== ประชากร ==
ประชากรมีประมาณ 164 ล้านคน (ค.ศ. 2017) มีอัตราการเติบโต 1.42% ความหนาแนนของประชากร 889 คน ต่อ ตร.กม. ซึ่งหนาแน่นมาก ส่วนใหญ่อาศับอยู่ในชนบท แต่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเกิดของประชากรในพื้นที่เมืองมีมากกว่าในชนบท
พลเมืองมีการศึกษา 65% อ่านออกเขียนได้ 41.1% (ข้อมูลจาก UNESCO ค.ศ. 2000-2004)
=== ศาสนา ===
ประชากรบังกลาเทศ นับถือศาสนาอิสลาม 90.5% ศาสนาฮินดู 8.5% ศาสนาคริสต์ 0.4% ศาสนาพุทธส่วนมากอยู่ในจิตตะกอง 0.6% พุทธศาสนาในประเทศบังกลาเทศ ตระกูลชาวพุทธสืบเนื่องมานานคือชาวพุทธที่ราบ ตระกูลบารัว และ ชาวพุทธภูเขา จักมา,กัลมา
== ดูเพิ่ม ==
* พุทธศาสนาในประเทศบังกลาเทศ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Official Site of Bangladesh Investment Development Authority
ข้อมูลทั่วไป
* Bangladesh. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* Bangladesh from the BBC News
* Bangladesh from UCB Libraries GovPubs
* Key Development Forecasts for Bangladesh from International Futures
{{Navboxes
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2514
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของอังกฤษ |
2026 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาฝรั่งเศส | ภาษาฝรั่งเศส | ผู้รู้ภาษาฝรั่งเศสในกลุ่ม[[สหภาพยุโรป|333px]]
== ภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน ==
ภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน ถูกแทรกซึมโดยอิทธิพลของภาษาอังกฤษที่แผ่ขยายอย่างกว้างขวาง มีการนำคำภาษาอังกฤษมาใช้ปะปนกับภาษาฝรั่งเศสเดิมอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีผลเสียต่อการอนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส รัฐบาลได้ออกกฎหมายบางฉบับเพื่ออนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส โดยกำหนดให้ใช้คำจากภาษาฝรั่งเศสแท้ ๆ ในโฆษณา ประกาศ และเอกสารราชการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังกำหนดให้สถานีวิทยุทุกสถานี เปิดเพลงภาษาฝรั่งเศสอย่างน้อยร้อยละ 40 ของเพลงทั้งหมดที่เปิดในสถานีนั้น
=== สถานะของภาษาฝรั่งเศสในประเทศฝรั่งเศส ===
ฝรั่งเศสกำหนดให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการของประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 รัฐบาลกำหนดให้เอกสารราชการ สัญญาต่าง ๆ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การศึกษา จะต้องทำเป็นภาษาฝรั่งเศส หากจำเป็นต้องใช้คำภาษาต่างประเทศ ก็ให้ใส่คำแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสควบคู่กันไปด้วย
อย่างไรก็ดี ทางการไม่ได้ควบคุมการใช้ภาษาในเอกสารของเอกชน และในเว็บไซต์ของเอกชน ซึ่งหากทำการควบคุมแล้ว ก็อาจขัดต่อหลักการเสรีภาพในการพูดได้
=== สถานะของภาษาฝรั่งเศสในประเทศแคนาดา ===
ร้อยละ 12 ของคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ในโลกนี้เป็นชาวแคนาดา และภาษาฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในภาษาทางการสองภาษาของแคนาดา (อีกภาษาหนึ่งคือภาษาอังกฤษ) กฎหมายของแคนาดากำหนดให้บริการต่าง ๆ ของรัฐบาลกลางจะต้องจัดให้เป็นสองภาษาเสมอ กฎหมายต่าง ๆ ที่ผ่านรัฐสภา จะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และฉลากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่วางขายในแคนาดาจะต้องมีภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ร้อยละ 22 ของชาวแคนาดาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ และร้อยละ 18 ของชาวแคนาดาสามารถพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส
ภาษาฝรั่งเศสมีสถานะเป็นภาษาทางการเพียงภาษาเดียวของรัฐเกแบ็กมาตั้งแต่การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยภาษาฝรั่งเศส (Bill 101) ผลสำคัญข้อหนึ่งของกฎหมายฉบับนี้คือกำหนดให้เด็กในเกแบ็กต้องได้รับการศึกษาเป็นภาษาฝรั่งเศส ยกเว้นถ้าบิดามารดาของเด็กคนนั้นได้รับการศึกษาส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษภายในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นการทำลายค่านิยมของผู้อพยพที่มักส่งบุตรหลานของคนเข้าเรียนในโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ กฎหมายนี้ยังกำหนดให้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการพิจารณาคดี โฆษณา การอภิปรายในสภา และการพิจารณาคดีในศาล ภายในเกแบ็ก ใน พ.ศ. 2536 กฎหมายนี้ได้รับการแก้ไข โดยอนุญาตให้เขียนป้ายสัญลักษณ์หรือโฆษณาต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษได้บ้าง ตราบใดที่ยังมีภาษาฝรั่งเศสเป็นส่วนมาก นอกจากนี้ยังทำให้คนที่พูดภาษาอังกฤษแต่อาศัยในเกแบ็กสามารถรับบริการทางสุขภาพและบริการของรัฐเป็นภาษาอังกฤษได้
รัฐอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษ ได้แก่รัฐนิวบรันสวิก ยูคอนเทร์ริทอรี นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ และนูนาวุต ในรัฐออนแทรีโอ และแมนิโทบา ภาษาฝรั่งเศสไม่ได้มีสถานะเป็นภาษาทางการ แต่รัฐบาลของรัฐทั้งสองรัฐได้จัดการบริการต่าง ๆ เป็นภาษาฝรั่งเศสคู่กับภาษาอังกฤษ ในบริเวณที่มีคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสอาศัยอยู่มาก
=== สถานะของภาษาฝรั่งเศสในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ===
ภาษาฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในภาษาทางการของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภาษาอื่น ๆ ได้แก่ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาลี และภาษารูมันช์
== ดูเพิ่ม ==
* การทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศส
* วรรณกรรมฝรั่งเศส
== อ้างอิง ==
==อ่านเพิ่ม==
* Nadeau, Jean-Benoît, and Julie Barlow (2006). The Story of French. (First U.S. ed.) New York: St. Martin's Press. .
* Ursula Reutner (2017). Manuel des francophonies. Berlin/Boston: de Gruyter. .
==แหล่งข้อมูลอื่น==
===องค์กร===
* Fondation Alliance française: an international organisation for the promotion of French language and culture
* Agence de promotion du FLE: Agency for promoting French as a foreign language
===บทเรียน===
* Français interactif: interactive French program, University of Texas at Austin
* Tex's French Grammar, University of Texas at Austin
* Lingopolo French
* French lessons in London , The Language machine
===พจนานุรมออนไลน์===
* Oxford Dictionaries French Dictionary
* Collins Online English↔French Dictionary
* Centre national de ressources textuelles et lexicales: monolingual dictionaries (including the Trésor de la langue française), language corpora, etc.
===ไวยากรณ์===
==== กริยา ====
* French verb conjugation at Verbix
===พจนานุกรม===
* Swadesh list in English and French
====ตัวเลข====
====หนังสือ====
* La langue française dans le monde 2010(Full book freely accessible)
====บทความ====
* "The status of French in the world". Ministry of Foreign Affairs (France) |
2032 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศจีน | ประเทศจีน | สาธารณรัฐประชาชนจีน (; ) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก กว่า 1,400 ล้านคนโดยเป็นรองเพียงอินเดีย ซึ่งประชากรจีนคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 17.4% ของประชากรโลก จีนมีพื้นที่กว่า 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร (3,700,000 ตารางไมล์) นับเป็นประเทศที่มีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 3 หรือ 4 แล้วแต่วิธีการวัด มีเมืองหลวงคือปักกิ่ง ในขณะที่เมืองที่มีประชากรมากที่สุดและเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจคือเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน), 5 เขตปกครองตนเอง, 4 นครปกครองโดยตรง (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง), และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ฮ่องกงและมาเก๊า จีนยังมีพรมแดนทางบกติดกับประเทศอื่น ๆ มากถึง 14 ประเทศ ถือเป็นหนึ่งในสองประเทศที่มีพรมแดนติดประเทศอื่นมากที่สุดเท่ากับรัสเซีย
ประเทศจีนถือเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของอารยธรรมโลก ดินแดนทั้งหมดเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคหินเก่า ราชวงศ์แรก ๆ ในประวัติศาสตร์ อาทิ ราชวงศ์ชาง และ ราชวงศ์โจว เจริญรุ่งเรืองในลุ่มแม่น้ำเหลืองอันอุดมสมบูรณ์ตั้งแต่ปลายสหัสวรรษที่สองก่อนคริสตศักราช ในช่วงศตวรรษที่สามถึงศตวรรษที่แปดก่อนคริสตศักราช ราชวงศ์โจวต้องเผชิญความขัดแย้งที่สำคัญ ในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นต้นกำเนิดของปรัชญาและวรรณกรรมคลาสสิก จีนยึดระบบการเมืองแบบราชาธิปไตยหลายสหัสวรรษ ก่อนจะรวมกันเป็นปึกแผ่นครั้งแรกภายใต้จักรพรรดิในสมัยราชวงศ์ฉินเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล และอยู่ภายใต้การปกครองโดยอีกหลายราชวงศ์ อาทิ ราชวงศ์ฮั่น, ราชวงศ์ถัง, ราชวงศ์หมิง และ ราชวงศ์ชิง ในยุคนี้ยังเป็นจุดกำเนิดของเหตุการณ์สำคัญ อาทิ การประดิษฐ์ดินปืนและกระดาษ, การถือกำเนิดของเส้นทางสายไหม และการสร้างกำแพงเมืองจีน วัฒนธรรมจีนรวมถึงภาษา, ประเพณี, สถาปัตยกรรม, ปรัชญา มีอิทธิพลสูงต่อเขตวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกในช่วงเวลานี้ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จีนต้องเผชิญความขัดแย้งภายใน รวมถึงภัยคุกคามยุคล่าอาณานิคมจากโลกตะวันตกนำไปสู่สงครามสำคัญหลายครั้ง รวมถึงการลงนามในสนธิสัญญาไม่เสมอภาคและการเสียดินแดนบางส่วน
การปกครองโดยราชวงศ์สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1912 จากการปฏิวัติซินไฮ่และการสละราชสมบัติของจักรพรรดิผู่อี๋ พร้อมกับการสถาปนาสาธารณรัฐจีนโดยพรรคก๊กมินตั๋งใน ค.ศ. 1912 ช่วงแรกของการปกครองโดยรัฐบาลเป่ย์หยางเป็นยุคสมัยแห่งความแตกแยกในสมัยขุนศึก ซึ่งจบลงด้วยการการกรีธาทัพขึ้นเหนือ สงครามกลางเมืองซึ่งนำโดยค่ายการเมืองสองค่ายหลัก คือก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์อุบัติขึ้นใน ค.ศ. 1927 ตามมาด้วยสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองซึ่งยืดเยื้อไปถึง ค.ศ. 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมา สงครามกลางเมืองยุติลงชั่วคราว และจีนต้องพบกับเหตุการณ์รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งโดยกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นจากการสังหารหมู่ที่หนานจิง ความเป็นปฏิปักษ์สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1949 เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมือง และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนสาธารณรัฐจีนซึ่งอยู่ภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งได้ย้ายเมืองหลวงไปยังไทเปบนเกาะไต้หวัน สาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งทางการเมืองกับสาธารณรัฐจีนเหนือปัญหาอธิปไตย และสถานะทางการเมืองของไต้หวัน การปกครองในช่วงแรกในระบอบคอมมิวนิสต์เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า ทว่ากลับส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย และเป็นยุคแห่งความอดอยากมากที่สุดครั้งหนึ่ง ความแตกแยกระหว่างจีน-โซเวียตและการลงนามในแถลงการณ์เซี่ยงไฮ้ทำให้ความสัมพันธ์กับสหรัฐดีขึ้น ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1950-1970 ลัทธิเหมามีอิทธิพลต่อประชาชนซึ่งตามมาด้วยการปฏิวัติทางวัฒนธรรมโดยเหมา เจ๋อตง การปฏิรูปเศรษฐกิจนับเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญมาถึงปัจจุบัน ทว่าการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยต้องหยุดชะงักสืบเนื่องจากการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินซึ่งลงเอยด้วยการสังหารหมู่
จีนเป็นรัฐเดี่ยวปกครองด้วยระบบพรรคการเมืองเดียวโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นหนึ่งในห้าสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งขององค์กรสำคัญหลายแห่งในภูมิภาค อาทิ ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย, กองทุนเส้นทางสายไหม และ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค รวมทั้งเป็นสมาชิกของบริกส์, กลุ่ม 20, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก และ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก จีนได้รับการจัดอันดับต่ำในแง่ประชาธิปไตย, การทุจริต, สิทธิมนุษยชน, เสรีภาพสื่อ และความแตกต่างทางชาติพันธุ์ นับตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจ จีนกลายเป็นหนึ่งในชาติที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดในโลก โดยในปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็น 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจโลก และมีความมั่งคั่งมากเป็นอันดับสองของโลก มีรายได้มหาศาลจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และการลงทุนจากต่างประเทศ จีนเป็นผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับสองของโลก มีเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกทั้งในด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ จีนเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก จีนถือเป็นประเทศอำนาจนำภูมิภาคและเป็นมหาอำนาจของโลก จีนมีแหล่งแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโกมากถึง 59 แห่งซึ่งมากเป็นอันดับสองของโลก จีนยังเป็นประเทศวัฒนธรรมที่โดดเด่น และขึ้นชื่อในด้านอาหารซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
== ภูมินามวิทยา ==
ชื่อประเทศ "China" ในภาษาอังกฤษถูกใช้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ยังไม่ได้ถูกใช้โดยชาวจีนในช่วงเวลานั้น คำว่า China อาจมีต้นกำเนิดมาจากภาษาโปรตุเกส, ภาษามลายู, ภาษาเปอร์เซีย และมีความเกี่ยวพันกับภาษาสันสกฤต (Cīna) ซึ่งถูกใช้ตั้งแต่สมัยอินเดียยุคโบราณ คำว่า China ปรากฏครั้งแรกในงานแปลของริชาร์ด เอเดน ค.ศ. 1555 ซึ่งพบหลักฐานในบันทึกของดูอาร์เต บาร์บูซา นักสำรวจชาวโปรตุเกส โดยบาร์บูซานำคำดังกล่าวมาจากจากภาษาเปอร์เซีย "Chīn (چین)" ซึ่งแผลงมาจากภาษาสันสกฤต Cīna (चीन) ชื่อนี้ปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์ศาสนาฮินดู รวมถึงมหาภารตะ (ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตศักราช) และมนุสฺฤติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ มานาวะ-ธรรมชาสตรา หรือกฎแห่งมนุ (ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช)
ใน ค.ศ. 1655 มาร์ติโน มาร์ตินี มิชชันนารีเสนอข้อสันนิษฐานว่าชื่อ "China" อาจมาจากชื่อของราชวงศ์ฉิน "Chin" (221-206 ปีก่อนคริสตศักราช) แม้หลักฐานของประเทศอินเดียจะบ่งชี้ว่าชื่อนี้มีการใช้งานมาก่อนหน้านั้น โดยที่มาในภาษาสันสกฤตนั้นยังเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ ข้อสันนิษฐานอื่น ๆ เกี่ยวกับต้นกำเนิดของชื่อนี้ได้แก่ ชื่อของ Yelang (แคว้นโบราณทางภาคใต้ของจีน) หรืออาจมาจากชื่อของรัฐฉู่
ชื่อทางการของประเทศจีนในฐานะรัฐสมัยใหม่คือ ''"People's Republic of China" หรือ สาธารณรัฐประชาชนจีน (อักษรจีนตัวย่อ: 中华人民共和国; อักษรจีนตัวเต็ม: 中華人民共和國; พินอิน: Zhōnghuá rénmín gònghéguó) โดยเรียกอย่างย่อว่า "China" (Zhōngguó) ซึ่งมีที่มาจากคำว่า zhōng (ศูนย์กลาง) และ guó (รัฐ) ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกเพื่อสื่อถึงกรรมสิทธิ์ในการครอบครองดินแดนทั้งหมดในอาณาจักร และเริ่มมีการใช้ในเอกสารราชการในฐานะคำไวพจน์ของคำว่า "รัฐ" ในสมัยราชวงศ์ชิง นอกจากนี้ ชื่อ "Zhongguo" ยังมีความหมายว่า "อาณาจักรกลาง" ในภาษาอังกฤษ
ในบางบริบท ชื่อประเทศ "China" อาจใช้สื่อถึงจีนแผ่นดินใหญ่ หรือมีความเฉพาะเจาะจงเมื่อกล่าวถึง "แผ่นดินใหญ่" โดยไม่รวมประเทศไต้หวัน และเขตบริหารพิเศษ ( SAR ) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
== ภูมิศาสตร์ ==
ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออก บนฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ดินประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่บนบกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และถูกพิจารณาว่ามีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลขนาดนี้เกี่ยวข้องกับ (ก) ความถูกต้องของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของจีน อย่างเช่น อัคสัยจินและดินแดนทรานส์คอราคอรัม (ซึ่งอินเดียอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งสองด้วยเช่นกัน) และ (ข) วิธีการคำนวณขนาดทั้งหมดโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนังสือความจริงของโลกระบุไว้ที่ 9,826,630 กม.2 และสารานุกรมบริตานิการะบุไว้ที่ 9,522,055 กม.2 สถิติพื้นที่นี้ยังไม่นับรวมดินแดน 1,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งผนวกเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรัฐสภาทาจิกิสถานเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 ซึ่งยุติข้อพิพาทด้านดินแดนที่ยาวนานนับศตวรรษ
ประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อกับ 14 ประเทศ มากกว่าประเทศอื่นใดในโลก (เท่ากับรัสเซีย) เรียงตามเข็มนาฬิกาได้แก่ ประเทศเวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฏาน เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ พรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐจีนตั้งอยู่ในน่านน้ำอาณาเขต ประเทศจีนมีพรมแดนทางบกยาว 22,117 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในโลก
ดินแดนจีนตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 18° และ 54° เหนือ และลองติจูด 73° และ 135° ตะวันออก ประกอบด้วยลักษณะภูมิภาพหลายแบบ ทางตะวันออก ตามแนวชายฝั่งที่ติดกับทะเลเหลืองและทะเลจีนตะวันออก เป็นที่ราบลุ่มตะกอนน้ำพาซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นและกว้างขวาง ขณะที่ตามชายขอบของที่ราบสูงมองโกเลียในทางตอนเหนือนั้นเป็นทุ่งหญ้า ตอนใต้ของจีนนั้นเป็นดินแดนหุบเขาและแนวเทือกเขาระดับต่ำเป็นจำนวนมาก ทางตอนกลาง-ตะวันตกนั้นเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำของแม่น้ำสองสายหลักของจีน ได้แก่ แม่น้ำหวงและแม่น้ำแยงซี ส่วนแม่น้ำอื่นที่สำคัญของจีนได้แก่ แม่น้ำซี แม่น้ำโขง แม่น้ำพรหมบุตร และแม่น้ำอามูร์ ทางตะวันตกนั้น เป็นเทือกเขาสำคัญ ที่โดดเด่นคือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีจุดสูงสุดของจีนอยู่ทางครึ่งตะวันออกของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และที่ราบสูงอยู่ท่ามกลางภูมิภาพแห้งแล้ง อย่างเช่น ทะเลทรายทากลามากันและทะเลทรายโกบี
ประเด็นปัญหาใหญ่ประการหนึ่งคือการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของทะเลทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลทรายโกบี ถึงแม้ว่าแนวต้นไม้กำบั้งซึ่งปลูกไว้ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จะช่วยลดความถี่ของการเกิดพายุทรายขึ้นได้ แต่ภัยแล้งที่ยาวนานขึ้นและวิธีการทางเกษตรกรรมที่เลวส่งผลทำให้เกิดพายุฝุ่นขึ้นทางตอนเหนือของจีนทุกฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นจึงแพร่กระจายต่อไปยังส่วนอื่นของเอเชียตะวันออก รวมทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น ตามข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมจีน (SEPA) ประเทศจีนกำลังกลายสภาพเป็นทะเลทรายราว 4,000 กม.2 ต่อปี น้ำ การกัดเซาะ และการควบคุมมลพิษได้กลายมาเป็นประเด็นที่สำคัญในความสัมพันธ์ของจีนกับต่างประเทศ ธารน้ำแข็งที่กำลังละลายในเทือกเขาหิมาลัยยังได้นำไปสู่การขาดแคลนน้ำในประชากรจีนนับหลายร้อยล้านคน
ประเทศจีนมีสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่เป็นฤดูแล้งและฤดูมรสุมชื้น ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิในฤดูหนาวและฤดูร้อน ในฤดูหนาว ลมทางเหนือซึ่งพัดลงมาจากละติจูดสูงทำให้เกิดความหนาวเย็นและแห้งแล้ง ขณะที่ในฤดูร้อน ลมทางใต้ซึ่งพัดมาจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ละติจูดต่ำจะอบอุ่นและชุ่มชื้น ลักษณะภูมิอากาศในจีนแตกต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากภูมิลักษณ์อันกว้างขวางและซับซ้อนของประเทศ
=== ความหลากหลายทางชีวภาพ ===
[[แพนด้ายักษ์]]
จีนเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และตั้งอยู่ในสองเขตชีวภาพสำคัญของโลก เขตชีวภาพพาลีอาร์กติกและเขตชีวภาพอินโดมาลายา โดยการนับจำนวนชนิดของสัตว์และพืชมีท่อน้ำเลี้ยง มีมากกว่า 34,687 สายพันธุ์ ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากบราซิลและโคลอมเบีย ในเขตพาลีอาร์กติกพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอย่างเช่น ม้า อูฐ สมเสร็จ และหนูเจอร์บัว ส่วนสปีชีส์ที่พบในเขตอินโดมาลายาเช่น แมวดาว ตุ่นพงสาลี กระแต ไปจนถึงลิงและเอปหลายสปีชีส์ สัตว์บางชนิดพบในเขตชีวภาพทั้งสองเนื่องจากการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติและการอพยพ และกวางหรือแอนติโลป หมี หมาป่า สุกรและสัตว์ฟันแทะสามารถพบได้ในทุกสภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน แพนด้ายักษ์ที่มีชื่อเสียงนั้นพบได้ในบริเวณจำกัดตามแม่น้ำแยงซี ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาที่กำลังดำเนินอยู่ในด้านการค้าสปีชีส์ใกล้สูญพันธุ์ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีกฎหมายห้ามกิจกรรมดังกล่าวแล้วก็ตาม
ประเทศจีนมีป่าหลายประเภท ขอบเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือนั้นมีภูเขาและป่าสนเขตอากาศหนาว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์บางสปีชีส์ รวมไปถึง มูสและหมีดำเอเชีย นอกจากนี้ยังมีนกอีกราว 120 ชนิด ป่าสนชื้นมีชั้นไม้พุ่มเป็นไผ่ แทนที่โดยกุหลาบพันปีกลุ่มไม้จำพวกสนและยิวบนภูเขาที่สูงกว่า ป่าใต้เขตร้อน ซึ่งพบมากทางตอนกลางและตอนใต้ของจีน พบพรรณพืชจำนวนน่าพิศวงถึง 146,000 สปีชีส์ ป่าฝนเขตร้อนและป่าดิบแล้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีขอบเขตเพียงมณฑลยูนนานและเกาะไหหนาน แต่มีพรรณพืชและพันธุ์สัตว์คิดเป็นหนึ่งในสี่ของทั้งหมดที่พบในประเทศจีน ขณะที่ข้อบังคับนั้นค่อนข้างที่จะเข้มงวด แต่การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ยังคงไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากชุมชนหรือรัฐบาลท้องถิ่นมักจะปล่อยปละละเลยอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่มุ่งให้ความสนใจกับการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่า หลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับมานาน 12 ปี มีนครเพียงแห่งเดียวในจีนเท่านั้นที่กำลังมีความพยายามที่จะบำบัดน้ำเสีย
ส่วนหนึ่งของรายจ่ายที่จีนต้องเสียเพื่อแลกกับความเฟื่องฟูที่เพิ่มขึ้นนั้นคือควมเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ตามข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรน้ำ ชาวจีนราว 300 ล้านคนกำลังดื่มน้ำที่ไม่ปลอดภัยสำหรับบริโภค ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำที่กำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยที่ 400 จาก 600 นครทั่วประเทศกำลังขาดแคลนน้ำ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเงินกว่า 34,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดใน พ.ศ. 2552 ทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศผู้นำการลงทุนเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ประเทศจีนผลิตกังหันลมและแผงสุริยะต่อปีมากที่สุดในโลก
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ===
จีนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีหลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ยุคแรกอาศัยอยู่บริเวณที่เป็นประเทศจีนเมื่อ 2.25 ล้านปีมาแล้ว ฟอสซิลของมนุษย์ปักกิ่งซึ่งถือเป็นโฮโมอิเร็กตัส กลุ่มแรก ๆ ที่ริเริ่มการใช้ไฟถูกค้นพบในถ้ำแห่งหนึ่งบริเวณเขตฟางซานทางตะวันตกเฉียงใต้ของปักกิ่ง มีอายุระหว่าง 680,000 ถึง 780,000 ปีก่อน ในขณะที่ซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ (มีอายุ 125,000-80,000 ปีก่อน) ถูกค้นพบในถ้ำในมณฑลหูหนาน
=== การปกครองในยุคแรก ===
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า ราชวงศ์แรกที่ปกครองประเทศจีนคือราชวงศ์เซี่ย ในช่วง 2100-1600 ปีก่อนคริสตกาล มีอายุอยู่ได้ราว 500 ปี ราชวงศ์เซี่ยถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการเมืองของจีนที่มีพื้นฐานมาจากราชวงศ์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขซึ่งกินเวลานานนับพันปี ราชวงศ์ซางที่สืบต่อมาจากราชวงศ์แรกสุดได้รับการยืนยันจากบันทึกร่วมสมัย โดยปกครองที่ราบแม่น้ำฮวงโหทางตะวันออกของจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตศักราช อักษรกระดูกออราเคิล (ตั้งแต่ประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตศักราช) แสดงถึงรูปแบบการเขียนภาษาจีนที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบ และเป็นต้นกำเนิดโดยตรงของตัวอักษรจีนสมัยใหม่
ราชวงศ์ซางถูกโค่นล้มโดยราชวงศ์โจวเริ่มประมาณ 1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนถึง 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช นับเป็นราชวงศ์ที่ยาวนานที่สุด ด้วยเวลาที่ยาวนานกว่า 867 ปี ในยุคนั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน โดยเป็นยุคถือกำเนิดของการกำเนิดของปรัชญาเมธีหลายท่าน เช่น ขงจื๊อ เล่าจื๊อ ซุนวู เป็นต้น ความขัดแย้งภายในโดยขุนศึกศักดินาก่อให้เกิดการสู้รบกันอยู่เนือง ๆ ซึ่งกินเวลาหลายศตวรรษเรียกว่า ยุครณรัฐ นักปราชญ์มีโอกาสเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และการปกครอง ในยุคนั้นยังมีรัฐมหาอำนาจหลักอีก 7 รัฐที่เหลืออยู่
[[ซุน ยัตเซ็นและเจียง ไคเชก]]
จากเหตุการณ์ความไม่สงบมากมาย ทำให้การปกครองระส่ำระส่ายอย่างหนักนำไปสู่การล้มสลายของราชวงศ์ การปฏิวัติซินไฮ่ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (สิ้นสุดลงในปี พ.ศ 2455) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง
แม้ว่าหลังจากเริ่มก่อการ ซุนยัดเซ็นจะต้องลี้ภัยออกไปต่างประเทศ แต่ซุนยัดเซ็นก็เดินทางไปในหลายประเทศเพื่อขอระดมทุนสนับสนุนจากคนจีนโพ้นทะเลและนายทุนในต่างแดน โดยมี หวงซิง สหายร่วมอุดมการณ์ของซุนยัดเซ็น เป็นผู้นำทหารทหาร ออกปฏิบัติการอยู่ภายในประเทศอีกหลายครั้ง สุดท้ายแล้วการปฏิวัติซินไฮ่ก็ส่งผลสะเทือนใหญ่หลวงที่ทำให้ประเทศจีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด
โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้ หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าน่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีนในเวลานั้น ขณะที่ผู้นำประเทศในเวลานั้นคือจักรพรรดิชาวแมนจูกลับไม่มีอำนาจและกำลังพอที่จะบริหารประเทศให้ดีขึ้นได้ แล้วยังถูกประชาชนมองว่าราชวงศ์ของชาวแมนจูได้แสวงหาประโยชน์จากคนจีน ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 - 2455) มีการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนาง เหล่าขุนศึก ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และ ญี่ปุ่น
จีนได้ทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจต่อระบอบการปกครองของราชวงศ์ชิง
=== สาธารณรัฐประชาชนจีน ===
การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และพรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เรียกว่า "จีนคอมมิวนิสต์" หรือ "จีนแดง"
แผนเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า นโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ล้านคน ใน พ.ศ. 2509 เหมาและพันธมิตรทางการเมืองได้เริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งกินเวลาจนกระทั่งเหมาถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งทศวรรษถัดมา การปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคและความกลัวสหภาพโซเวียต นำไปสู่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ในสังคมจีน ใน พ.ศ. 2505 ช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตเลวร้ายลงมากที่สุด เหมาและโจว เอินไหล พบกับริชาร์ด นิกสันในกรุงปักกิ่งเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกันนั้น สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติแทนที่สาธารณรัฐจีน และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
=== การปฏิรูปและประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ===
หลังจากเหมาถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2519 และการจับกุมตัวแก๊งออฟโฟร์ ซึ่งถูกประณามว่าเป็นผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าเหตุระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิงได้แย่งชิงอำนาจจากทายาททางการเมืองที่เหมาวางตัวไว้ หัว กั๋วเฟิง อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นประธานพรรคหรือประมุขแห่งรัฐ ในทางปฏิบัติแล้ว เติ้งเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในเวลานั้น อิทธิพลของเขาภายในพรรคนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ หลังจากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์ได้ผ่อนปรนการควบคุมเหนือชีวิตประจำวันของพลเมืองและคอมมูนถูกยุบโดยชาวนาจำนวนมากได้รับที่ดินเช่า ซึ่งได้เป็นการเพิ่มสิ่งจูงใจและผลผลิตทางเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง เหตุการณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงจีนจากระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็นเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งมีสภาพเป็นตลาดเปิดเพิ่มมากขึ้น หรือที่บางคนเรียกว่า "ตลาดสังคมนิยม" และพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เรียกมันอย่างเป็นทางการว่า "สังคมนิยมที่เป็นลักษณะเฉพาะของจีน" สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้บังคับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2525
ในปี พ.ศ. 2532 การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทางการผู้สนับสนุนการปฏิรูป หู ย่าวปัง เป็นการจุดชนวนการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532 อย่างไรก็ตาม การชุมนุมดังกล่าวถูกปราบปรามลงเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการรายงานอย่างกว้างขวางและนำไปสู่การประณามและการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลจีน
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และนายกรัฐมนตรีจู หรงจี สองอดีตนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีนภายหลังเหตุการณ์เทียนอันเหมินในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ภายใต้การบริหารงานเป็นระยะเวลาสิบปีของทั้งสอง สมรรถนะทางเศรษฐกิจของจีนได้ช่วยยกระดับฐานะของชาวนาประมาณ 150 ล้านคนขึ้นจากความยากจนและรักษาอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไว้ที่ 11.2% ต่อปี จีนเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2544
ถึงแม้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจีนได้เริ่มวิตกกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนี้จะมีผลกระทบในด้านลบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศ อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความกังวลคือบางภาคส่วนของสังคมไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเพียงพอ ตัวอย่างหนึ่งคือช่องว่างใหญ่ระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ดังนั้น ภายใต้เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดปัจจุบัน ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้เริ่มดำเนินนโยบายเพื่อที่จะหยิบยกประเด็นปัญหาของการแจกจ่ายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม แต่ผลที่ออกมานั้นยังสามารถพบเห็นได้ ชาวนามากกว่า 40 ล้านคนถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ดินของตน ซึ่งเป็นเหตุปกติธรรมดาเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงและการจลาจลกว่า 87,000 ครั้งในปี พ.ศ. 2548 สำหรับประชากรส่วนใหญ่ของจีนแล้ว มาตรฐานการดำเนินชีวิตมองเห็นได้ว่ามีการพัฒนาอย่างมาก และเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้น แต่การควบคุมทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับความยากจนในชนบท
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิงปกครองประเทศนับแต่ปี 2012 และมุ่งดำเนินการความพยายามขนานใหญ่เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจจีน (ซึ่งประสบปัญหาจากความไม่มั่นคงทางโครงสร้างและความเติบโตที่ชะลอตัวลง) และยังปฏิรูปนโยบายบุตรคนเดียวและระบบการลงโทษ ตลอดจนการกวาดล้างการฉ้อราษฎร์บังหลวงครั้งใหญ่ ในปี 2013 ประเทศจีนเริ่มต้นข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง ซึ่งเป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก
การระบาดทั่วของโควิด-19 ทั่วโลกมีต้นกำเนิดในอู่ฮั่นและมีการระบุครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2019 รัฐบาลจีนตอบสนองด้วยยุทธศาสตร์โควิดเป็นศูนย์ (zero-COVID) นับเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ใช้แนวทางดังกล่าว เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวกว้างขวางขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยระหว่างการระบาดทั่ว โดยมีการสร้างงานที่มั่นคงและการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศเป็นประวัติการณ์ แต่การบริโภคค้าปลีกยังคงต่ำกว่าคาด
== การเมือง ==
รัฐธรรมนูญจีนระบุว่าประเทศจีน "เป็นรัฐสังคมนิยมที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการประชาธิปไตยประชาชนซึ่งมีชนชั้นกรรมกรเป็นผู้นำ และตั้งอยู่บนพันธมิตรของกรรมกรและเกษตรกร" และสถาบันของรัฐ "จักนำหลักการประชาธิปไตยรวมศูนย์ไปปฏิบัติ" ประเทศจีนเป็นรัฐสังคมนิยมประเทศเดียวในโลกที่มีพรรคคอมมิวนิสต์ปกครอง มีผู้อธิบายรัฐบาลจีนอย่างหลากหลายว่าเป็นคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมบ้าง แต่ยังมีอธิบายว่าเป็นอำนาจนิยม และบรรษัทนิยม ซึ่งมีการจำกัดในหลายด้าน ที่เด่นชัดคือการขัดขวางการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างเสรี เสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม สิทธิการมีบุตร การก่องตั้งองค์การทางสังคมอย่างเสรี และเสรีภาพในการนับถือศาสนา
แม้พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะอธิบายประเทศจีนว่าเป็น "ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือสังคมนิยม" แต่ภายนอกประเทศมักอธิบายประเทศจีนว่าเป็นรัฐสอดแนมอำนาจนิยมและเผด็จการ ผู้นำจีนเรียกระบบการเมือง อุดมการณ์และเศรษฐกิจว่าเป็น "ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ" "เผด็จการประชาธิปไตยประชาชน" "สังคมนิยมที่มีลักษณะจีน" และ "เศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยม" ตามลำดับ
=== พรรคคอมมิวนิสต์จีน ===
นับแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ส่วนสำคัญของรัฐธรรมนูญจีนประกาศว่า "ลักษณะที่นิยามสังคมนิยมที่มีลักษณะจีนคือผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน" การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2018 ได้กำหนดสถานภาพรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพฤตินัยของจีนไว้ในรัฐธรรมนูญ เลขาธิการคนปัจจุบัน คือ สี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 และได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในวันที่ 25 ตุลาคม 2017 ระบบการเลือกตั้งของพรรคเป็นแบบพีระมิด สภาประชาชนท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และสภาประชาชนระดับสูงขึ้นไปจนถึงสภาประชาชนแห่งชาติมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมของสภาประชาชนระดับต่ำกว่าหนึ่งระดับ จีนสนับสนุนหลักการ "ประชาธิปไตยรวมศูนย์" ของลัทธิเลนิน
ด้วยเหตุที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองทัพปลดปล่อยประชาชนเลื่อนขั้นตามหลักอาวุโส จึงเป็นไปได้ที่จะแบ่งแยกผู้นำจีนออกเป็นรุ่น ๆ ในวจนิพนธ์อย่างเป็นทางการ จะมีการระบุผู้นำแต่ละกลุ่มกับส่วนขยายของอุดมการณ์ของพรรคต่างกัน นักประวัติศาสตร์ศึกษาการพัฒนาของการปกครองประเทศจีนแต่ละยุคโดยเรียกว่าเป็น "รุ่น" ต่าง ๆ
=== การปกครอง ===
[[สี จิ้นผิง ในการกล่าวสุนทรพจน์ ณ สภาแห่งชาติ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ]]
จีนมีความสัมพันธ์ทางการฑูตกับรัฐสมาชิกสหประชาชาติ 179 รัฐ และมีคณะผู้แทนทางทูตใน 174 ประเทศ นับตั้งแต่ปี 2019 จีนมีเครือข่ายทางการทูตที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นหนึ่งในห้าสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นสมาชิกกลุ่ม 20 การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ประเทศจีนยึดหลักการนโยบายจีนเดียว กล่าวคือ นโยบายที่ยืนยันว่ามีเพียงรัฐรัฐเดียวที่ใช้ชื่อว่าจีน ซึ่งขัดต่อความคิดที่ว่ามีสองรัฐ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) หลายรัฐปฏิบัติตามนโยบายจีนเดียว แต่ความหมายไม่เหมือนกัน เจ้าหน้าที่จีนได้ประท้วงหลายครั้งเมื่อต่างประเทศโดยเฉพาะโลกตะวันตกมีกิจกรรมทางการทูตต่อไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ นโยบายการต่างประเทศของจีนในปัจจุบันส่วนใหญ่มีรายงานว่าอิงหลักการห้าประการของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล และยังขับเคลื่อนด้วยแนวคิด "ความสามัคคีที่ปราศจากความเท่าเทียมกัน" ซึ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างรัฐต่าง ๆ แม้จะมีความแตกต่างทางอุดมการณ์ก็ตาม
จีนได้แก้ไขพรมแดนทางบกกับ 12 ประเทศจาก 14 ประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้ดำเนินการประนีประนอมอย่างมากในประเทศส่วนใหญ่แล้ว ปัจจุบันจีนมีพรมแดนทางบกที่เป็นข้อพิพาทกับอินเดียและภูฏาน นอกจากนี้ จีนยังมีส่วนเกี่ยวข้องในข้อพิพาททางทะเลกับหลายประเทศเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของเกาะเล็กๆ หลายแห่งในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ เช่น หินโซโคตรา กรณีพิพาทหมู่เกาะเซ็งกากุ และหมู่เกาะทะเลจีนใต้ทั้งหมด จีนมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐและญี่ปุ่น
=== ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย ===
ทางการไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศดำเนินมาด้วยความราบรื่นบนพื้นฐานของความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน และอยู่ภายใต้หลักการของผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของภูมิภาค ความร่วมมือกันของทั้ง 2 ได้ดำเนินมาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามเย็นเมื่อจีนสามารถได้สถาปนาความสัมพันธ์กับอาเซียนทุกประเทศแล้ว ความสำคัญของประเทศไทยต่อจีนในทางยุทธศาสตร์ได้ลดลงไปจากเดิม ความสัมพันธ์ในปัจจุบันจึงได้เน้นด้านการค้าและเศรษฐกิจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นหลัก
ไทยและจีนไม่มีปัญหาหรือข้อขัดแย้งใด ๆ ที่ตกทอดมาจากประวัติศาสตร์ การไปมาหาสู่ของผู้นำระดับสูงสุดก็ได้เป็นไปอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะการเสด็จฯ เยือนจีนอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2543 การเสด็จฯ เยือนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ไทยมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างประชาชนของสองประเทศอีกด้วย
* การเมือง
ปัจจุบันความสัมพันธ์ไทย - จีน มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นในทุกด้าน ทั้งกรอบทวิภาคี พหุภาคี และเวทีภูมิภาค เช่น การประชุมอาเซียนและจีน อาเซียน + 3 ARF ASEM เป็นต้น ในการเยือนจีนเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 ทางไทยและจีนต่างเห็นพ้องที่จะมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์และขอบข่ายความร่วมมือระหว่างกันให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในลักษณะของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จหลายด้าน เช่น ความร่วมมือด้านยาเสพติด ด้านการเงิน การคลัง พาณิชย์นาวี รวมทั้งได้ลงนามความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างไทย - จีน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย - จีน
เมื่อปี 2548 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 30 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศไทยและจีน ทั้งสองประเทศจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกันเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและใกล้ชิดกันเป็นพิเศษระหว่างทั้งสองประเทศ อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำ โดยนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางเยือนจีน อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 เพื่อร่วมฉลองในกิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทย และรัฐบาลจีนร่วมกันจัดขึ้นที่ประเทศจีน การจัดกิจกรรมฉลองร่วม การจัดทำหนังสือที่ระลึก การจัดงานสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน และการแลกเปลี่ยนเยาวชน เป็นต้น
ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนนครหนานหนิง เมื่อวันที่ 30 - 31 ตุลาคม 2549 เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีนสมัยพิเศษ ที่จัดขึ้นในโอกาสที่อาเซียนและจีนฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 15 ปี โดยได้พบหารือกับผู้นำระดับรัฐบาลและระดับท้องถิ่นของจีน รวมถึงผู้นำอีก 9 ประเทศของอาเซียน ซึ่งการเยือนประสบผลสำเร็จอย่างดี
* เศรษฐกิจและการค้า
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2546 ได้มีการลงนามความตกลงเร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย -จีน ซึ่งช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีในการค้าสินค้าผักและผลไม้ (สินค้าพิกัดภาษี 07 08) ทั้งประเทศไทย และ จีน มีความพร้อมในการลดภาษีอยู่แล้ว ซึ่งได้มีผลยกเว้นภาษีสำหรับสินค้า 116 รายการ ในพิกัดภาษี 07 08 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546
* การค้าไทย และ จีน ในปี 2548 มีมูลค่า 20,343.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.31 ประเทศไทยส่งออก 9,183.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐและนำเข้า 11,159.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
* การค้าไทย และ จีน ในปี 2549 มีมูลค่า 25,154.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.75 ประเทศไทยส่งออก 11,708.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 13,445.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าที่ทางการจีนนำเข้าจากไทยที่สำคัญมากที่สุดคือ สายอากาศและเครื่องสะท้อนสัญญาณทางอากาศ พลาสติก มันสำปะหลัง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ แผงวงจรไฟฟ้า ไม้ที่เลื่อยแล้ว ส่วนสินค้าที่จีนส่งออกมาไทยที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กรีดร้อน เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์หรือโทรเลขแบบใช้สาย เงิน ตะกั่ว
การลงทุนของไทยในจีนเมื่อปี 2548 ไทยลงทุนในจีนรวม 95.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ธัญพืช ฟาร์มสัตว์ มอเตอร์ไซค์ โรงแรม ร้านอาหาร การนวดแผนไทย ส่วนการลงทุนของจีนในไทยในปีเดีวกัน จีนลงทุนในไทยรวม 2,286 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก และอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานการลงทุนที่จีนได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนมีจำนวนทั้งสิ้น 15 โครงการ ประกอบด้วยกิจการก่อสร้าง การค้า ธนาคาร การแปรรูปโลหะ การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ สายการบิน เครื่องจักร ร้านอาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
* การท่องเที่ยว
ตลอดปี พ.ศ. 2567 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทำการบินไปประเทศจีนมากถึง 44 ท่าอากาศยานในประเทศจีน เมื่อรวมท่าอากาศยานดอนเมืองด้วยแล้ว สองท่าอากาศยานหลักในประเทศไทยทำการบินไปประเทศจีนมากถึง 51 ท่าอากาศยาน ทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองทำการบินจุดหมายเดียวกันในประเทศจีนมากถึง 20 ท่าอากาศยาน
โดยท่าอากาศยานดอนเมืองทำการบินเมืองซานย่า, ยังจิ๋ว นครอี๋ชางต้าเหลียนเทียนจิน เขาหวงและฮาร์บินประเทศจีนเพิ่มอีกเจ็ดเมือง หากรวม ฮ่องกงและมาเก๊า ซึ่งเป็นเขตบริหารพิเศษ การท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนในปี พ.ศ. 2567 มีเที่ยวบินไปกลับมากถึง 53 ท่าอากาศยาน
== กองทัพ ==
หมวดหมู่:สาธารณรัฐประชาชนจีน
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2492 |
2037 | https://th.wikipedia.org/wiki/วงศ์โคลงเคลง | วงศ์โคลงเคลง | วงศ์โคลงเคลง () เป็นชื่อวงศ์ของพืชดอกใบเลี้ยงคู่ที่ส่วนใหญ่พบในพื้นที่เขตร้อน (สองในสามของสกุลนี้มาจากพื้นที่เขตร้อนในโลกใหม่) ประกบด้วยสกุลประมาณ 175 สกุล และชนิดเท่าที่รู้จักประมาณ 5115 ชนิด ลักษณะเด่นคือ ใบเป็นใบเดี่ยวติดตรงข้าม กลีบดอกเด่นชัด รังไข่เชื่อมติดกับฐานดอก มีระยางค์ยื่นออกมาตรงโคนอับเรณู
== ลักษณะประจำวงศ์ ==
วงศ์โคลงเคลงเป็นวงศ์ของไม้พุ่ม ไม้ต้น ไม้ล้มลุก หรือไม้เลื้อย ซึ่งไม่มีหูใบ ใบเป็นใบเดี่ยวติดตรงข้าม บางทีพบมีหลายใบติดรอบข้อ ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 3, 4 หรือ 5 กลีบ แกนอับเรณูยืดยาวหรือเป็นรยางค์ อับเรณูแตกโดยมีรูที่ปลาย รังไข่ติดใต้วงกลีบหรือกึ่งใต้วงกลีบมี 4 หรือ 5 ช่อง ไข่อ่อนจำนวนมากติดที่แกนผนังรังไข่ ผลแห้งแบบแก่แตก หรือผลมีเนื้อหลายเมล็ด
== อนุกรมวิธาน ==
ภายใต้ระบบการจัดประเภท APG III เจ็ดสกุลจากวงศ์พลองเหมือด (Memecylaceae) ถูกรวมอยู่ในสกุลนี้แล้ว
== ชนิดและการกระจายพันธุ์ ==
กระจายพันธุ์ในเขตร้อน ทั่วโลกพบ 211 สกุล ในประเทศไทยพบ 15 สกุล ได้แก่
* สกุลโคลงเคลง (Melastoma) เป็นไม้พุ่ม ขึ้นตามที่โล่งแจ้ง เช่น
** โคลงเคลง Melastoma malabathricum L. subsp. malabathricum L.
** มังเคร่ช้าง Melastoma sanguineum Sims.
** โคลงเคลงผลแห้ง Melastoma pellrgrinianum (Boissieu) F. K. Mey
** โคลงเคลงยวน Melastoma saigonense (Kuntze) Merr.
* สกุลโคลงเคลงขนต่อม (Clidemia) ไม้พุ่ม ขึ้นเป็นวัชพืชโดยเฉพาะคาบสมุทรมลายาและทางภาคใต้ของประเทศไทย พบในประเทศไทยเพียงชนิดเดียว คือ
** โคลงเคลงขนต่อม Clidemia hirta (L.) D. Don
* สกุลเคลงแดง (Medinilla) ไม้พุ่มอิงอาศัย ทั่วโลกมีสมาชิกประมาณ 150 ชนิด ในไทยมีประมาณ 8-9 ชนิด ได้แก่
** เคลงแดง Medinilla curtisii Hook.f.
** เคลงใบเวียน Medinilla radicans (Blume) Blume
** เคลงย้อย Medinilla alpestris (Jack) Blume
** เคลงหิน Medinilla rubicunda (Jack) Blume
** Medinilla laurifolia (Blume) Blume
** Medinilla clarkei King
** Medinilla scortechnii King
** Medinilla speciosa (Reinw. ex Blume) Blume
** เคลงแสด Medinilla succulenta (Blume) Blume
* สกุลพลอง (Memecylon) ไม้พุ่ม หรือไม้ต้นขนาดเล็กมีเนื้อไม้ เช่น
** พลองขี้ควาย Memecylon caeruleum Jack
* สกุลเอนอ้า (Osbeckia) ไม้พุ่ม ขึ้นตามที่โล่งแจ้ง ในประเทศไทยพบ 7 ชนิด ได้แก่
** เอนอ้าขายาว Osbeckia aspericaulis Hooh.f. ex Triana
** เอนอ้า Osbeckia chinensis L.
** โคลงเคลงตัวผู้ Osbeckia cochinchinensis Cogn.
** เอนอ้าน้ำ Osbeckia nepalensis Hook. f.
** เอนอ้าขนแข็ง Osbeckia setoso-annulata Geddes
** เอนอ้าขน หรือ จุกนารี Osbeckia stellata Buch.-Ham. ex Ker Gawl.
** เอนอ้าหิน Osbeckia thorelii Guillaumin
* สกุลเคลง (Pachycentria) ไม้พุ่มอิงอาศัย ทั่วโลกมีสมาชิกประมาณ 8 ชนิด ในไทยมี 3 ชนิด ได้แก่
** เคลงกนก Pachycentria varingifolia (Blume) Blume
** เคลงก้านแดง Pachycentria constricta (Blume) Blume
** เคลงก้านแดง Pachycentria pulverulenta (Jack) Clausing
* สกุลเครือปลาซิว (Pseudodissochaeta) ไม้พุ่มอิงอาศัย เช่น
** เครือปลาซิว Pseudodissochaeta septentrionalis (W.W. Sm.) M.P. Nayar
* สกุลก้ามกุ้ง (Phyllagathis) ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ไม่มีลำต้น มีเหง้าใต้ดิน มักพบบนก้อนกินริมลำธารที่มีความชื้น ในป่าดิบแล้ง ในประเทศไทยพบ 5 ชนิด ได้แก่
** ก้ามกุ้งขน Phyllagathis hispida King
** ก้ามกุ้งใบกลม Phyllagathis rotundifolia (Jack) Blume
** ก้ามกุ้งสยาม Phyllagathis siamensis Cellin. & S. S.Renner
** ก้ามกุ้งหัว Phyllagathis tuberosa (Hansen) Cellin. & S. S.Renner
** ก้ามกุ้งภูวัว Phyllagathis nanakorniana Wangwasit, Norsaengsri & Cellin.
* สกุลแปร้ (Sonerila) ไม้ล้มลุก มักบนลานหินที่มีมอสส์ ตามป่าดิบชื้น เช่น
** แปร้น้ำเงิน Sonerila maculata Roxb.
** ดรุณี Sonerila moluccana Roxb.
** พันซี Sonerila erecta Jack
** สาวน้ำตก Sonerila calophylla Ridl.
** สาวสวรรค์ Sonerila helferi C.B. Clarke
=== สกุลอื่น ๆ ===
ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2023 มีสกุลในวงศ์โคลงเคลงที่ได้รับการยอมรับ 167 สกุล:
*Acanthella
*Acisanthera
*Adelobotrys
*Allomaieta
*Alloneuron
*Almedanthus
*Amphiblemma
*Amphorocalyx
*Anaheterotis
*Andesanthus
*Anerincleistus
*Antherotoma
*Appendicularia
*Argyrella
*Arthrostemma
*Aschistanthera
*Astrocalyx
*Astronidium
*Beccarianthus
*Bertolonia
*Bisglaziovia
*Boerlagea
*Bourdaria
*Brachyotum
*Brasilianthus
*Bucquetia
*Cailliella
*Cambessedesia
*Castratella
*Catanthera
*Centradenia
*Centradeniastrum
*Centronia
*Chaetogastra
*Chaetolepis
*Cincinnobotrys
*Comoliopsis
*Creochiton
*Cyphotheca
*Derosiphia
*Desmoscelis
*Dicellandra
*Dichaetanthera
*Dinophora
*Dionychastrum
*Dissochaeta
*Dissotidendron
*Driessenia
*Eriocnema
*Feliciadamia
*Feliciotis
*Fordiophyton
*Fritzschia
*Graffenrieda
*Henriettea
*Heteroblemma
*Heterocentron
*Heterotis
*Kendrickia
*Kerriothyrsus
*Kirkbridea
*Lijndenia
*Lithobium
*Loricalepis
*Macrocentrum
*Macrolenes
*Maguireanthus
*Mallophyton
*Medinilla
*Melastoma
*†Melastomites
*Melastomastrum
*Memecylon
*Merianthera
*Microlicia
*Monochaetum
*Neblinanthera
*Neodriessenia
*Nerophila
*Noterophila Mart.
*Nothodissotis
*Ochthephilus
*Ochthocharis
*Opisthocentra
*Pachycentria
*Pachyloma
*Phainantha
*Phyllagathis
*Physeterostemon
*Pilocosta
*Plagiopetalum
*Plethiandra
*Poikilogyne
*Poilannammia
*Poteranthera
*Preussiella
*Pseudodissochaeta
*Pseudoernestia
*Pternandra
*Pterogastra
*Pterolepis
*Quipuanthus
*Rhynchanthera
*Rostranthera
*Rousseauxia
*Sandemania
*Sarcopyramis
*Schwackaea
*Scorpiothyrsus
*Siphanthera
*Spathandra
*Sporoxeia
*Stanmarkia
*Stussenia
*Styrophyton
*Tashiroea
*Tateanthus
*Tessmannianthus
*Tibouchina
*Tigridiopalma
*Tristemma
*Tryssophyton
*Vietsenia
*Warneckea
*Wurdastom
== อ้างอิง ==
=== บรรณานุกรม ===
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
*PlantSystematics.org: Images of species, list of genera
หมวดหมู่:วงศ์โคลงเคลง |
2039 | https://th.wikipedia.org/wiki/อังกาบสีปูน | อังกาบสีปูน | อังกาบสีปูน ( หรือ เป็นพืชในวงศ์เหงือกปลาหมอ (Acanthaceae) ไม้พุ่มคลุมดินขนาดเล็ก เป็นกิ่งทอดเลื้อย สูง 15 - 40 ซม. ใบรูปไข่ ปลายแหลม ยาว 2 - 4 ซม. มีสีเขียวเป็นมัน ดอกมีสีแดงอมส้ม คล้ายสีปูนแดงที่กินกับหมาก กลีบดอกกลมมน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือปักชำ ปลูกเป็นไม้ประดับสวยงามได้ทั้งในที่ร่มรำไร และกลางแจ้ง
== อ้างอิง ==
ITIS 34350
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:สกุลอังกาบ |
2041 | https://th.wikipedia.org/wiki/เชอร์รีสเปน | เชอร์รีสเปน | เชอร์รีสเปน หรือ อาเซโรลา เป็นไม้ผลเมืองร้อน ต้นเป็นกึ่งพุ่มกึ่งต้นไม้ขนาดเล็ก อยู่ในวงศ์ Malpighiaceae มีชื่อสามัญคือ Acerola, Barbados cherry, West Indian cherry และ Wild crapemyrtle
== การกระจายพันธุ์ ==
เชอร์รีสเปนสามารถพบในทางตอนใต้ของสหรัฐ (ตอนใต้ของรัฐฟลอริดา และต่ำกว่า Rio Grande Valley ของรัฐเท็กซัส), ประเทศเม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้ และทางใต้ไปไกลถึงประเทศเปรูและรัฐบาเยียในประเทศบราซิล
== ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ==
เชอร์รีสเปนเป็นไม้พุ่มหรือต้นไม้ขนาดเล็กไม่ผลัดใบ มีกิ่งมากบนลำต้นสั้น สูง 2-3 เมตร บางครั้งสูงถึง 6 เมตร ใบรูปไข่ถึงรูปใบหอก ยาว 2-8 ซม. กว้าง 1-4 ซม. ก้านใบสั้น ขอบใบเป็นคลื่น บนแผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน กลีบดอกเป็นชายครุย, มี 10 เกสรเพศผู้, และมีต่อม 6-10 ต่อมบนวงกลีบเลี้ยง มี 3-5 ดอกต่อหนึ่งช่อดอก ไร้ก้านหรือก้านดอกสั้นๆตามซอกช่อกระจุก
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:ไม้ดอกไม้ประดับ
หมวดหมู่:วงศ์โนรา |
2043 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศอินเดีย | ประเทศอินเดีย | {{Infobox country
| conventional_long_name = สาธารณรัฐอินเดีย
| common_name = อินเดีย
| image_flag = Flag of India.svg
| alt_flag = Horizontal tricolour flag bearing, from top to bottom, deep saffron, white, and green horizontal bands. In the centre of the white band is a navy-blue wheel with 24 spokes.
| image_coat = Emblem of India.svg
| symbol_width = 60px
| alt_coat = Three lions facing left, right, and toward viewer, atop a frieze containing a galloping horse, a 24-spoke wheel, and an elephant. Underneath is a motto: "सत्यमेव जयते".
| symbol_type = ตราแผ่นดิน
| image_map = India (orthographic projection).svg
| map_width = 250px
| alt_map = Image of a globe centred on India, with India highlighted.
| map_caption = พื้นที่ที่ควบคุมแสดงในสีเขียวเข้ม ส่วนบริเวณที่อ้างสิทธิ์แต่มิได้ควบคุมแสดงในสีเขียวอ่อน
| capital = นิวเดลี
| coordinates =
| largest_city =
| regional_languages = {{collapsible list
|titlestyle = background:transparent;text-align:left;
|title = ระดับรัฐและ
| languages_type = ภาษาแม่
| languages = 447 ภาษา{{efn|มีข้อมูลต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าจำกัดความ "ภาษา" และ "สำเนียง" อย่างไร โดย Ethnologue จัดให้มี 461 ภาษา (จาก 6,912 ภาษาทั่วโลก) โดย 447 ยังมีผู้ใช้งาน ในขณะที่ 14 สูญพันธุ์แล้ว}}
| demonym = ชาวอินเดีย
| government_type = สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ ระบอบรัฐสภาแบบสหพันธรัฐ
| leader_title1 = ประธานาธิบดี
| leader_name1 = เทราปที มุรมู
| leader_title2 = รองประธานาธิบดี
| leader_name2 = ชัคดีป ธังคาร์
| leader_title3 = ประธานมนตรี
| leader_name3 = นเรนทระ โมที
| leader_title4 = ผู้พิพากษาสูงสุด
| leader_name4 = ธนัญชยะ วาย. จันทรจูฑ
| leader_title5 = ประธานโลกสภา
| leader_name5 = โอม พิรลา
| legislature = รัฐสภา
| upper_house = ราชยสภา
| lower_house = โลกสภา
| sovereignty_type = เป็นเอกราช
| sovereignty_note = จากสหราชอาณาจักร
| established_event1 = เครือจักรภพ
| established_date1 = 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947
| established_event2 = สาธารณรัฐ
| established_date2 = 26 มกราคม ค.ศ. 1950
| area_km2 = 3,287,263
| population_estimate_year = 2022
| population_estimate_rank = อันดับที่ 2
| population_census = 1,210,854,977
| population_census_year = ค.ศ. 2011
| population_census_rank = อันดับที่ 2
| population_density_rank = อันดับที่ 19
| GDP_PPP =
| GDP_PPP_year = ค.ศ. 2022
| GDP_PPP_rank = อันดับที่ 3
| GDP_PPP_per_capita = 8,293 ดอลลาร์สหรัฐ
| Gini_rank = อันดับที่ 98
| HDI = 0.633
| HDI_year = ค.ศ. 2021
| HDI_change = decrease
| HDI_ref =
| HDI_rank = อันดับที่ 132
| currency = รูปีอินเดีย (₹)
| currency_code = INR
| time_zone = เวลามาตรฐานอินเดีย
| utc_offset = +05:30
| utc_offset_DST =
| DST_note = ไม่สังเกตเวลาออมแสง
| time_zone_DST =
| date_format = {{ubl
| {{nowrap|--}}
| electricity = 230 โวลต์-50 เฮิร์ซ
| drives_on = ซ้าย
| calling_code = +91
| cctld = .in (อื่น ๆ)
| englishmotto = "ความจริงเท่านั้นจักมีชัย"{{lower|0.2em|}}
| religion_year = 2024
| religion = {{ubl
| 74.0% ฮินดู
| 20.0% อิสลาม
| 2.3% คริสต์
| 1.7% ซิกข์
| 0.7% พุทธ
| 0.4% เชน
| 0.23% ไม่มีศาสนา
| 0.65% อื่น ๆ
| official_website =
| iso3166code = IN
อินเดีย () มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (; , ภารตคณราชย) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ กินพื้นที่ส่วนใหญ่ในอนุทวีปอินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และยังเป็นประเทศประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดในโลกและมีประชากรมากที่สุดในโลก (ประมาณ 1,400 ล้านคน) มีอาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทางตะวันออกติดพม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดศรีลังกา ล้อมรอบบังกลาเทศทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก และยังมีเขตแดนทางทะเลต่อเนื่องกับน่านน้ำไทย พม่า และอินโดนีเซีย และด้วยพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร อินเดียจึงเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก มีเมืองหลวงคือนิวเดลี
มนุษย์ยุคใหม่เริ่มเข้ามาตั้งรกรากในอนุทวีปอินเดียเมื่อประมาณ 55,000 ปีที่แล้ว โดยเลี้ยงชีพด้วยการทำเกษตรกรรมและล่าสัตว์ และอนุทวีปอินเดียถือเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากที่สุดรองจากทวีปแอฟริกา ผู้คนเริ่มรวมตัวกันเป็นสังคมเมื่อ 9,000 ปีที่แล้วบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช ภาษาสันสกฤตโบราณซึ่งเป็นตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม ได้แพร่กระจายไปยังอินเดียจากแถบตะวันตกเฉียงเหนือ และประมาณ 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช อิทธิพลของศาสนาฮินดูได้ก่อให้เกิดระบบชนชั้นวรรณะในอินเดีย ตามมาด้วยการแพร่หลายของศาสนาพุทธและศาสนาเชน การรวมกลุ่มทางการเมืองก่อให้เกิดราชวงศ์โมริยะและจักรวรรดิคุปตะซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ำคงคา ในยุคนั้นเพศชายมีบทบาทหลักในการพัฒนาประเทศ แต่สตรีเพศยังคงถูกจำกัดเสรีภาพในสังคม วิถีชีวิตในสังคมของประชากรในอินเดียตอนใต้ยังได้ขยายอิทธิพลไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งวัฒนธรรมทางศาสนาและภาษาตระกูลดราวิเดียน
ในยุคกลางตอนต้น ศาสนาคริสต์, อิสลาม, ยูดายห์ และซาราธุสตรา ได้รับอิทธิพลมาจากชายฝั่งทางใต้และตะวันตกของอินเดีย กองทัพมุสลิมจากเอเชียกลางเข้ายึดที่ราบทางเหนือของอินเดียและได้ก่อตั้งรัฐสุลต่านเดลี และผนวกอินเดียตอนเหนือเข้าสู่เครือข่ายสากลของอิสลามยุคกลาง ในศตวรรษที่ 15 จักรวรรดิวิชัยนครได้สร้างวัฒนธรรมฮินดูผสมผสานขึ้นในอินเดียตอนใต้ ศาสนาซิกข์ได้ถือกำเนิดขึ้นในรัฐปัญจาบ ต่อมาใน ค.ศ. 1526 จักรวรรดิโมกุลได้ปกครองประเทศเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ และทิ้งมรดกทางสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าเอาไว้ถึงปัจจุบัน ต่อมา การปกครองของบริษัทในอินเดียโดยสหราชอาณาจักรได้เข้ามามีบทบาทหลัก ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นประเทศอาณานิคมที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ระดับโลกแต่ยังคงรักษาอำนาจอธิปไตยของตนไว้ การปกครองของบริติชราชเริ่มต้นใน ค.ศ. 1858 และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประเทศเข้าสู่ยุคใหม่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการศึกษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ต่อมา ขบวนการชาตินิยมได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีอุดมการณ์ในการต่อต้านการปกครองของต่างชาติ ซึ่งนำไปสู่การยุติการปกครองของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1947 จักรวรรดิบริติชอินเดียนถูกแบ่งออกเป็นสองอาณาจักรอิสระได้แก่ อาณาจักรฮินดูที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย และปากีสถานซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมท่ามกลางการอพยพของประชากรจำนวนมากซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทวีปเอเชีย
อินเดียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐมาตั้งแต่ ค.ศ. 1950 ปกครองด้วยระบบรัฐสภาแบบประชาธิปไตย เป็นสังคมพหุนิยมซึ่งประกอบไปด้วยความหลากหลายทางภาษาและเชื้อชาติ ประชากรของอินเดียเพิ่มขึ้นจาก 361 ล้านคนใน ค.ศ. 1951 เป็น 1.2 พันล้านใน ค.ศ. 2011 ในช่วงเวลาเดียวกัน รายได้ต่อหัวของประชากรได้เพิ่มขึ้นจาก 64 ดอลลาร์ เป็น 1,498 ดอลลาร์ต่อปี และอัตราการรู้หนังสือเพิ่มขึ้นจาก 16.6% เป็น 74% จากการเป็นประเทศที่ยากจนใน ค.ศ. 1951 อินเดียได้กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากการมีกลุ่มชนชั้นกลางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในประเทศ อินเดียยังมีโครงการอวกาศซึ่งรวมถึงภารกิจนอกโลกทั้งที่วางแผนไว้และสำเร็จแล้วหลายภารกิจ
นอกจากนี้ยังมีการใช้คำว่า Hindustan ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซียกลาง เพื่อใช้เรียกประเทศอินเดียซึ่งเริ่มมีการใช้ในสมัยจักรวรรดิโมกุล โดยคำว่า Hindustan มีความหมายหลากหลาย แต่นักภาษาศาสตร์สากลได้นิยามว่าหมายถึงภูมิภาคทั้งหมดที่ครอบคลุมบริเวณอินเดียตอนเหนือและประเทศปากีสถานในปัจจุบัน แต่ในบางครั้งคำนี้สามารถสื่อถึงแผ่นดินอินเดียทั้งประเทศได้เช่นกัน
== ภูมิศาสตร์ ==
แผนที่ภูมิประเทศของอินเดีย
ประเทศอินเดียเกิดขึ้นบนอนุทวีปอินเดีย (Indian subcontinent) ซึ่งตั้งอยู่บนบริเวณแผ่นเปลือกโลกอินเดีย (Indian tectonic plate) ซึ่งในอดีตนั้นเคยเชื่อมอยู่กับแผ่นออสเตรเลีย การรวมตัวทางภูมิศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศอินเดียนั้นเกิดขึ้นราว 75 ล้านปีก่อน เมื่ออนุทวีปอินเดียซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปแห่งตอนใต้ คือ มหาทวีปกอนด์วานา (Gondwana) ได้เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านที่บริเวณมหาสมุทรอินเดียซึ่งในขณะนั้นยังไม่เกิดขึ้น โดยกินเวลารวมทั้งหมดประมาณ 55 ล้านปี หลังจากนั้นอนุทวีปอินเดียนได้ชนเข้ากับแผ่นทวีปยูเรเชีย อันเป็นที่มาของการเกิดเทือกเขาที่มีความสูงที่สุดในโลก คือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งอยู่บริเวณภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ตอนใต้ของเทือกเขาซึ่งเคยเป็นท้องทะเลอันกว้างขวางได้ค่อย ๆ กลายมาเป็นผืนดินราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ทำให้เกิดเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ-คงคา (Indo-Gangetic Plain) ทางภาคตะวันตกนั้นติดกับทะเลทรายธาร์ ซึ่งถูกกั้นกลางด้วยทิวเขาอะราวัลลี ซึ่งจัดเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดทางธรณีวิทยา และยังเป็นบริเวณที่มีความคงที่ทางภูมิศาสตร์ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย โดยกินพื้นที่กว้างขวางจรดเทือกเขาสัทปุระ (Satpura) ทางตอนใต้ และเทือกเขาผิงอ ในภาคกลางของอินเดีย โดยมีลักษณะคู่ขนานกันไปจรดชายฝั่งทะเลอาหรับในรัฐคุชราตทางทิศตะวันตก และที่ราบสูงโชตนาคปุระ (Chota Nagpur Plateau) ที่เต็มไปด้วยแร่รัตนชาติในรัฐฌาร์ขัณฑ์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนทิศใต้นั้นประกอบด้วยแผ่นดินคาบสมุทรบนที่ราบสูงเดกกัน (Deccan Plateau) ซึ่งถูกขนาบโดยเทือกเขาริมทะเลทั้งสองฝั่งที่เรียกว่า เทือกเขากัทส์ทิศตะวันตก และตะวันออก(Western and Eastern Ghats) ในบริเวณนี้จะพบหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งมีอายุถึง 1 พันล้านปี
[[เทือกเขาเกดาร์ (Kedar Range) ส่วนหนึ่งของหิมาลัย]]
ชายฝั่งของอินเดียนั้นมีระยะทางประมาณ {{Convert|7517|km|mi
แม่น้ำในอินเดียแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทคือ แม่น้ำจากเทือกเขาเอเวอเรส แม่น้ำคาบสมุทรเดคคาน แม่น้ำชายฝั่ง และแม่น้ำในดินแดนภายในแม่น้ำหิมาลัย ปกติจะเกิดจากน้ำที่ละลายมาจากหิมะ ในภาคเหนือของอินเดีย ดังนั้น แม่น้ำเหล่านี้จะมีน้ำไหลเต็มที่อยู่ตลอดเวลา และมีความลาดชันค่อนข้างต่ำ ในฤดูมรสุมเมื่อฝนตกมาก แม่น้ำเหล่านี้จะรับน้ำไว้ได้ไม่หมด จึงทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่อยู่เสมอ ส่วนแม่น้ำในคาบสมุทรเดคคาน โดยปกติได้น้ำจากน้ำฝน ดังนั้นปริมาณน้ำในแม่น้ำดังกล่าว จึงมักจะมากน้อยไม่แน่นอน อีกทั้งมีความลาดชันลดหลั่นลง จึงรับน้ำได้มาก และช่วยระบายน้ำในฤดูมรสุมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำย่อย ๆ ซึ่งไม่มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำทั้งสองประเภทดังกล่าว และอยู่ตามชายฝั่งโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก จะมีเส้นทางสั้น ๆ และมีขนาดแคบ จึงรับน้ำได้ในปริมาณจำกัด สำหรับแม่น้ำในดินแดนภายใน เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไม่มีทางออกทะเล ปลายทางของแม่น้ำหากไม่ไหลลงแอ่งน้ำ ทะเลสาบ ก็จะเหือดแห้งไปในทะเลทรายธาร์
ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ แม่น้ำคงคา (Ganges) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำสาขาในระบบแม่น้ำคงคาคือ แม่น้ำยมนา แม่น้ำกากรา แม่น้ำกันดัค และแม่น้ำโคสิ บริเวณผืนดินที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาจัดได้ว่ามีความอุดมสมบูรณ์ และกว้างใหญ่ที่สุด โดยเป็นบริเวณกว้างถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งมีความสำคัญรองลงมา มีสาขามากมาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดีย โดยไปสุดที่อ่าวเบงกอลเช่นเดียวกับแม่น้ำคงคา
ส่วนลุ่มน้ำของระบบแม่น้ำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ รองลงมาได้แก่ ลุ่มแม่น้ำโคธาวารีนาเลีย (Godavari) ในเขตที่ราบสูงเดคคาน ระบบน้ำตาปี (Tapi) ในภาคเหนือ และระบบน้ำเพนเนอร์ (Penner) ในภาคใต้ การที่อินเดียถูกแวดล้อมด้วยพรมแดนธรรมชาติรอบด้าน คือมีทั้งภูเขาและฝั่งทะเลเป็นพรมแดน ได้แยกอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย ทำให้อินเดียตั้งอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ และในโอกาสเดียวกัน พรมแดนธรรมชาติดังกล่าว ช่วยให้สามารถรักษาวัฒนธรรมของตนให้สืบเนื่องตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน
สภาพอากาศของอินเดียนั้นได้รับอิทธิพลจากสองแหล่งใหญ่ ๆ คือเทือกเขาหิมาลัย และทะเลทรายธาร์ ทำให้มีทั้งฤดูร้อนอันอบอุ่น และฤดูหนาวที่มีมรสุม เทือกเขาหิมาลัยนั้นมีบทบาทมากในการป้องกันลมพัดลงลาดเขา (Katabatic wind) ทำให้บริเวณส่วนใหญ่ของประเทศนั้นอบอุ่นกว่าประเทศอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในละติจูดเดียวกัน ส่วนทะเลทรายธาร์นั้นก็มีบทบาทในการขับเคลื่อนความชื้นของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งลมมรสุมนี้เองที่ทำให้ทุกปี ๆ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมนั้นมีฝนกรดตกในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
จากการแบ่งเขตภูมิอากาศนั้น อินเดียประกอบด้วยภูมิอากาศหลัก ๆ 4 แบบได้แก่ แบบเขตร้อนชื้น (tropical wet), แบบเขตร้อนแห้งแล้ง (tropical dry), แบบอบอุ่นชื้น (subtropical humid), และแบบเทือกเขาสูง (montanr) ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมแรกของอินเดียที่รุ่งเรืองเมื่อประมาณ 2,600 ปีถึง 1,900 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาเมื่อประมาณ 2,000 ถึง 15,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอินโด-อารยันจากเอเชียกลางอพยพ เข้ามาในอินเดีย และพบกับอารยธรรมสินธุ ทั้งสองอารยธรรมได้ผสมผสานรวมกันเป็นอารยธรรมพระเวทโดยหลักฐานที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมนี้คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนาในภาษาสันสกฤต และเป็นรากฐานของศาสนาฮินดู ระบบกฎหมายและการปกครอง ตลอดจนขนบธรรมมเนียมประเพณีของ ชาวอินเดีย อันเป็นที่มาของชื่อยุคพระเวทคัมภีร์ฤคเวทเป็นพระเวทที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมาจึงมีคัมภีร์ยชุรเวท สามเวทอาถรรพเวท และมหากาพย์ทั้งหลายซึ่งได้แก่ รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งถือกำเนิดในช่วงประมาณพุทธกาลตอนปลายสมัยพระเวท ชาวอารยันในอินเดียอยู่กันเป็นเผ่า เลี้ยงสัตว์เร่ร่อน แต่ต่อมาเริ่มรู้จักเพาะปลูกตั้งรกราก มีการค้าขายทำให้บางเผ่ารวบรวมตั้งตนเป็นอาณาจักรใหญ่ได้และเริ่มมีระบบวรรณะชัดเจน
ต่อมา อารยธรรมอิสลามได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในอินเดียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยพ่อค้ามุสลิมจากตะวันออกกลางและจักรวรรดิอาหรับได้ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นซินด์ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) จักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น คือ จักรวรรดิโมกุล (คริสต์ศตวรรษที่ 16-18) เป็นสมัยที่มีการแพร่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวางทั้งในด้านการปกครอง ภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และศาสนาอิสลาม
ในสมัยของจักรพรรดิออรังเซพ (Aurangzeb) ซึ่งเป็นผู้เคร่งศาสนาอิสลามได้ออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมและเป็นเหตุให้ชาวอินเดียต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิเมื่อสิ้นอำนาจของพระองค์ จักรวรรดิโมกุลก็ค่อย ๆแตกแยกและเสื่อมลง เป็นโอกาสให้อังกฤษเข้ามามีอำนาจแทนที่อังกฤษเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลในอนุทวีปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเข้าไปการค้าขายพร้อม ๆ กับการเข้าไปครอบครองดินแดนและแทรกแซงการเมืองท้องถิ่น
จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในปี 1877 โดยมีสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดินีแห่งอินเดีย หลังจากการรณรงค์ต่อสู้กับการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน ภายใต้การนำของมหาตมา คานธี และ ชวาหะร์ลาล เนห์รู อินเดียจึงได้รับเอกราชและร่วมเป็นสมาชิกอยู่ภายใต้เครือจักรภพเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2490 โดยยังมีพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเป็นประมุข และทรงแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ต่อมาในวันที่ 26 มกราคม 1947 ได้มีการสถาปนาสาธารณรัฐอินเดียโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และนายชวาหะร์ลาล เนห์รู ดำรงตำแหน่งประธานมนตรีคนแรก
== การเมืองการปกครอง ==
=== บริหาร ===
การปกครองของอินเดียเป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แยกศาสนาออกจากการเมือง แบ่งอำนาจการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (Secular Democratic Republic with a parliamentary system) แบ่งเป็น 29 รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก 7 เขต
การปกครองของอินเดียมีรัฐธรรมนูญเป็นแม่บท มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และประมุขของฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่ประธานมนตรี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นาย ราม นาถ โกวินท์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2017 ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 13 ส่วนประธานมนตรีคนปัจจุบันคือนายนเรนทระ โมที (Narendra Modi) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2014 ในฐานะประธานมนตรีคนที่ 15
=== นิติบัญญัติ ===
ระบบรัฐสภา ประกอบด้วยราชยสภา (Rajya Sabha) เป็นสภาสูง มีสมาชิกจำนวน 245 คน สมาชิกส่วนใหญ่ มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม อีกส่วนมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี และโลกสภา (Lok Sabha) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกจำนวน 545 คน สมาชิกจำนวน 543 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและอีก 2 คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดี จากกลุ่มอินโด-อารยันในประเทศอยู่ในวาระคราวละ 5 ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภา
=== ตุลาการ ===
อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ปกป้องและตีความรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาประจำศาลฎีกา มีจำนวนไม่เกิน 25 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ในระดับรัฐ มีศาลสูง (High Court) ของตนเองเป็นศาลสูงสุดของแต่ละรัฐ รองลงมาเป็นศาลย่อย (Subordinate Courts) ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ อย่างไรก็ตาม อำนาจตุลาการของรัฐอยู่ภายใต้ศาลฎีกาซึ่งมีอำนาจสูงสุด
ศาลอินเดียแบ่งเป็นสามชั้น ประกอบด้วย ศาลสูงสุด (Supreme Court) นำโดย ประธานศาลสูงสุดแห่งอินเดีย (Chief Justice of India), ศาลสูง (High Courts) ยี่สิบเอ็ดศาล เป็นศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นอีกจำนวนมาก ศาลสูงสุดมีเขตอำนาจชำระคดีเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, ข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับส่วนกลาง และคดีที่อุทธรณ์มาจากศาลสูง กับทั้งการตีความรัฐธรรมนูญ
=== การแบ่งเขตการปกครอง ===
อินเดียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 28 รัฐ (States) (ซึ่งแบ่งย่อยลงเป็นเขต) และ 9 ดินแดนสหภาพ (Union Territories) ได้แก่
แผนที่แสดงรัฐและดินแดนสหภาพของประเทศอินเดีย
=== นโยบายต่างประเทศ ===
ในปี 1950 อินเดียสนับสนุนการปลดปล่อยอาณานิคมในแอฟริกาและเอเชียอย่างแข็งขัน ด้วยกองกำลังประจำการ 1.45 ล้านนาย พวกเขาเป็นกองทัพที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ประกอบด้วยกองทัพอินเดีย กองทัพเรืออินเดีย กองทัพอากาศอินเดีย และหน่วยยามฝั่งอินเดีย งบประมาณการป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการของอินเดียในปี 2011 อยู่ที่ 36.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.83% ของจีดีพี สำหรับปีงบประมาณระหว่างปี 2012-2013 มีงบประมาณ 40.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติแห่งสตอกโฮล์ม (SIPRI) ในปี 2008 ค่าใช้จ่ายทางการทหารประจำปีของอินเดียในแง่ของกำลังซื้ออยู่ที่ 72.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2011 งบประมาณการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 11.6% แม้ว่าจะไม่รวมเงินทุนที่เข้าถึงกองทัพผ่านหน่วยงานอื่นของรัฐบาล
ในปี 2012 อินเดียเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ระหว่างปี 2007 ถึง 2011 คิดเป็น 10% ของเงินทุนที่ใช้ในการซื้ออาวุธระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายทางทหารส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การป้องกันประเทศปากีสถานและต่อต้านอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย ในเดือนพฤษภาคม 2017 องค์การวิจัยอวกาศของอินเดียได้เปิดตัวดาวเทียมเอเชียใต้ ซึ่งเป็นของขวัญจากอินเดียไปยังประเทศในกลุ่ม SAARC ที่อยู่ใกล้เคียง ในเดือนตุลาคม 2018 อินเดียได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 5.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่า 400 พันล้านดอลลาร์) กับรัสเซียเพื่อจัดหาระบบป้องกันขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ S-400 Triumf 4 ระบบ ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธพิสัยไกลที่ทันสมัยที่สุดของรัสเซีย และเป็นอันดับ 4 ของโลกเมื่อเทียบด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ หลังจากที่ได้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งโดยนักสังคมนิยมเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เศรษฐกิจของประเทศหลังจากได้รับเอกราช อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยกิจกรรมตลาดเสรีซึ่งริเริ่มในปี 1990 เพื่อการแข่งขันกับนานาชาติและการลงทุนจากต่างประเทศ อินเดียเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าเกิดใหม่โดยมีจำนวนประชากรมหาศาล เช่นเดียวกับทรัพยากรทางธรรมชาติและบุคลากรมืออาชีพมีทักษะที่เพิ่มมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้ทำนายว่าในปี 2020 อินเดียจะกลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก
thumb = right
|caption = ศาสนาในประเทศอินเดีย (สำมะโนประชากร ปี 2011)
|label1 = ศาสนาฮินดู
|value1 = 79.8
|color1 = Darkorange
|label2 = ศาสนาอิสลาม
|value2 = 14.2
|color2 = green
|label3 = ศาสนาคริสต์
|value3 = 2.3
|color3 = DodgerBlue
|label4 = ศาสนาซิกข์
|value4 = 1.7
|color4 = orange
|label5 = ศาสนาพุทธ
|value5 = 0.7
|color5 = Yellow
|label6 = ศาสนาเชน
|value6 = 0.4
|color6 = Red
|label7 = ศาสนาโซโรอัสเตอร์
|value7 = 0.2
|color7 = Coral
|label8 = ศาสนายูดาย
|value8 = 0.2
|color8 = DarkRed
|label9 = ศาสนาชนเผ่า
|value9 = 0.2
|color9 = Purple
|label10 = ศาสนาบาไฮ
|value10 = 0.1
|color10 = LightCoral
|label11 = ไม่ระบุศาสนา
|value11 = 0.2
|color11 = Black
ประเทศอินเดียมีความหลากหลายในศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ และการปฏิบัติ โดยทางการแล้วประเทศอินเดียเป็นรัฐฆราวาส (secular state) และไม่มีศาสนาประจำชาติ อนุทวีปอินเดียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาที่สำคัญของโลกสี่ศาสนา ได้แก่ ศาสนาฮินดู, ศาสนาเชน, ศาสนาพุทธ และศาสนาซิกข์ ข้อมูลจากสำมะโนประชากรปี 2011 ระบุว่าประชากรอินเดีย 79.8% นับถือศาสนาฮินดู, 14.2% นับถือศาสนาอิสลาม, 2.3% นับถือศาสนาคริสต์, 1.7% นับถือศาสนาซิกข์, 0.7% ศาสนาพุทธ และ 0.37% นับถือศาสนาไชนะ ทั้งศาสนาโซโรอัสเตอร์, Sanamahism และ ศาสนายูดาย ล้วนมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ในประเทศอินเดีย และมีผู้นับถืออยู่ศาสนาละหลายพันคน ประเทศอินเดียมีประชากรที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์มากที่สุดในโลก (ทั้ง ปาร์ซี (parsi) และ อิรานี (irani)) และยังมีประชากรที่นับถือศาสนาบาไฮมากที่สุดในโลกเช่นกัน ถึงแม้ทั้งสองศาสนานี้จะเติบโตขึ้นในแถบเปอร์เซียก็ตาม ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดีย ศาสนาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมาตลอด ความหลากหลายทางศาสนาและการยอมรับความต่างทางศาสนา (Religious toleration) ล้วนปรากฏในประเทศทั้งในทางกฎหมายและทางธรรมเนียมปฏิบัติ ในรัฐธรรมนูญอินเดียได้รับรองเสรีภาพทางศาสนาให้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอินเดีย
==== เทพเจ้าในความเชื่อของชาวอินเดีย ====
ในบรรดาเรื่องราวของเทพเจ้าของชนชาติทั้งหลายนั้น เทพเจ้าของอินเดียนับว่ามีเรื่องราวและประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนมากกว่าชาติอื่น ๆ และกล่าวกันว่าตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนชาติอริยกะ หรืออินเดียอิหร่านที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุ มีการนับถือเทพเจ้าและมีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น พวกอริยกะ หรืออารยันนั้นแต่เดิมนั้นนับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า ลม และไฟ ต่อมามีการกำหนดให้ปวงเทพเกิดมีหน้าที่กันขึ้น โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้น ๆแล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ จากหลักฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบกาซ คุย หรือจารึก เทเรีย ซึ่งขุดพบที่ตำบลดังกล่าว ของดินแดนแคปปาโดเซีย ในตุรกี จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยานถึง 4 องค์ ได้แก่ พระอินทร์ (lndra) เทพเจ้าแห่งพลัง มิทระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna)และ นาสัตย์ (Nasatya) คือ พระนาสัตย์อัศวิน (Asvins)
บางตำราได้กล่าวว่า เทพเจ้าดั้งเดิมของพวกอริยกะนั้นได้แก่ พระอินทร์ พระสาวิตรี พระวรุณ และพระยม บ้างก็กล่าวว่า เทพเจ้าที่เก่าที่สุด คือ พระอินทร์ พระพฤหัสบดี พระวรุณ และพระยม
=== ปัญหาสังคม ===
แม้จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อินเดียยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม ในปี 2006 อินเดียมีจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนของธนาคารโลกมากที่สุดที่ 1.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน สัดส่วนลดลงจาก 60% ในปี 1981 เป็น 42% ในปี 2005 30.7% ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีของอินเดียมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ตามรายงานขององค์การอาหารและการเกษตรในปี 2015 ประชากร 15% ขาดสารอาหาร โครงการอาหารกลางวันของชาติพยายามที่จะลดอัตราเหล่านี้ลง ตามรายงานของมูลนิธิ Walk Free Foundation ประจำปี 2016 มีคนประมาณ 18.3 ล้านคนในอินเดีย หรือ 1.4% ของประชากรตกเป็นทาสแรงงาน เช่น แรงงานเด็ก การค้ามนุษย์ และการบังคับขอทาน เป็นต้น จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 มีแรงงานเด็ก 10.1 ล้านคนในประเทศ ลดลง 2.6 ล้านคนจาก 12.6 ล้านคนในปี 2001 การพัฒนาระบบการศึกษาในประเทศอินเดียถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ ถึงแม้สัดส่วนการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของประชากรอินเดียนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ผ่านมา มีสัดส่วนผู้เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาทั้งประเทศอยู๋ที่ 24% ในปี 2013 แต่อินเดียก็ยังไม่ได้เข้าใกล้อัตราส่วนการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่น ๆ เลย ในขณะที่โรงเรียนเทคนิกจำนวนมากก็เป็นโรงเรียนเอกชนเช่นกัน ตลาดการศึกษาเอกชนในประเทศอินเดียมีรายได้อยู่ที่ 450 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2008
ข้อมูลจากรายงานสถานะการศึกษาประจำปี (Annual Status of Education Report: ASER) ปี 2012 ระบุว่าเยาวชนอายุ 6-14 ปีในพื้นที่ชนบท 96.5% ได้เข้าสมัครเรียนระบบการศึกษา นับเป็นปีที่ 4 ที่สัดส่วนนี้สูงเกิน 96% ประเทศอินเดียสามารถคงสัดส่วนการเข้าสู่ระบบการศึกษาของนักเรียนอายุ 6-14 ไว้ที่ประมาณ 95% ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2014 ข้อมูลจาก ASER เมื่อปี 2018 พบว่ามีเยาวชนเพียง 2.8% เท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา อีกรายงานหนึ่งจากปี 2013 ระบุว่ามีนักเรียนจำนวน 229 ล้านคนเข้าศึกษาในโรงเรียนที่ได้รับการรับรองทั่วประเทศ ในระดับประถม 1-7 (Class I - XII) นับว่าเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านคนจากปี 2002 และพบว่าในเด็กผู้หญิงนั้นเพิ่มขึ้นถึง 19% ในขณะที่ในเชิงปริมาณ ประเทศอินเดียกำลังเข้าใกล้การครอบคลุมการศึกษาได้ทั่วถึงทั้งประชากรของประเทศ (universal education) แต่คุณภาพของการศึกษาในประเทศอินเดียนั้นเป็นที่ตั้งคำถามอย่างมาก โดยเฉพาะในโรงเรียนของรัฐบาล ถึงแม้นักเรียนมากกว่า 95% จะเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา แต่พบว่าในระดับมัธยมศึกษา มีเยาวชนอินเดียเพียง 40% เท่านั้นที่เข้าศึกษาต่อในเกรด 9-12 (Grades 9-12) หรือเทียบเท่ากับ ม.3-6 ในระบบการศึกษาไทย
นับตั้งแต่ปี 2000 ธนาคารโลกได้อุดหนุนทุน 2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐให้กับการศึกษาในประเทศอินเดีย เหตุผลบางประการที่ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาในประเทศอินเดียมีระดับที่ต่ำอาจมาจากการขาดแคลนครู อาจารย์
== วัฒนธรรม ==
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอินเดียยาวนานกว่า 4,500 ปี ในช่วงสมัยพระเวท (1700 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ได้มีการวางรากฐานของปรัชญาฮินดู ตำนาน เทววิทยา และวรรณกรรม ตลอดจนความเชื่อและการปฏิบัติมากมายที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ธรรมะ กรรม โยคะ และโมกษะก่อตั้งขึ้น อินเดียมีชื่อเสียงในด้านความหลากหลายทางศาสนา โดยมีศาสนาฮินดู พุทธ ซิกข์ อิสลาม คริสต์ และศาสนาเชนเป็นศาสนาหลักของประเทศ ศาสนาฮินดู ได้รับการหล่อหลอมโดยสำนักคิดทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง รวมทั้งพวกอุปนิษัท โยคะสูตร ขบวนการภักติ และตามปรัชญาของพุทธศาสนา
=== ศิลปะ ===
ประเทศอินเดียเป็นดินแดนอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลกที่มีการรับอารยธรรมจากภายนอกและเผยแพร่ อารยธรรมไปสู่ดินแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศ อินเดียได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากต่างประเทศ 4 ครั้ง คือ ครั้งที่หนึ่ง ประมาณ 2,000 ปีก่อนพุทธศักราช อิทธิ พลจากประเทศเมโสโปเตเมียได้แพร่เข้ามาในลุ่มแม่น้ำสินธุจนถึงประมาณ 1,000 ปีก่อนพุทธศักราช เมื่อชาว อารยันได้บุกรุกอินเดียและทำลายอารยธรรมดั้งเดิม ครั้งที่สอง ราวพุทธศตวรรษที่ 3 ได้รับอิทธิพลศิลปะจาก อิหร่านและกรีก ครั้งที่สามพุทธศตวรรษที่ 6 ได้รับอิทธิพลของกรีกและโรมันเข้ามามีบทบาทต่อศิลปอินเดีย และครั้งที่ 4 ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 กลุ่มมุสลิมซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้รุกรานอินเดียและพุทธศตวรรษที่ 21 ราชวงศ์ โมกุลเข้าครอบครองอินเดีย
ศิลปะอินเดีย ประกอบด้วยศิลปะหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ จิตรกรรม, ประติมากรรม, เครื่องปั้นดินเผาและ ศิลปะสิ่งทอ เช่น ผ้าไหมทอ ซึ่งมีการวิวัฒนาการและพัฒนา แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและพื้นที่ ได้รับอิทธิพลจากภายนอกในแต่ละยุค ทั้ง กรีก, โรมัน, เปอร์เซีย และ อิสลาม ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมยุคก่อน ๆ และงานศิลปะที่อุทิศเพื่อกษัตริย์และศาสนาอย่างลงตัว
สถาปัตยกรรมอินเดียส่วนใหญ่รวมทั้งทัชมาฮาล ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมโมกุล และสถาปัตยกรรมอินเดียใต้ ผสมผสานประเพณีท้องถิ่นโบราณเข้ากับรูปแบบที่นำเข้ามา สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นก็มีอิทธิพลในระดับภูมิภาคเช่นกัน ชาวอินเดียใช้รูปทรงเรขาคณิตที่แม่นยำและการจัดแนวทิศทางเพื่อสะท้อนให้เห็นโครงสร้างของจักรวาล เช่นการสร้างวัดฮินดู ทัชมาฮาลซึ่งสร้างขึ้นในเมืองอัคราระหว่างปี 1631 ถึง 1648 ตามคำสั่งของจักรพรรดิ ชาห์ จาฮัน เพื่อระลึกถึงพระชายา มีลักษณะเป็นผ้าผืนเดียวยาว 6 หลา การสวมใส่ส่าหรีนั้นจะผูกรอบเอวและผูกเป็นปมที่ปลายด้านหนึ่ง พันรอบลำตัวส่วนล่าง และพันรอบไหล่ และในรูปแบบที่ทันสมัยกว่าส่าหรีจะถูกใช้เพื่อคลุมศีรษะ รวมถึงใบหน้า เป็นผ้าคลุม มักถูกนำมารวมกับกระโปรงชั้นและสอดเข้าไปในแถบเอวเพื่อการยึดที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมักสวมใส่กับเสื้อเบลาส์อินเดียหรือ choli ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสื้อผ้าส่วนบนของลำตัวซึ่งเป็นส่วนปลายของส่าหรี เพื่อปิดบังรูปร่างส่วนบนของร่างกาย
สำหรับผู้ชาย จะสวมผ้าที่สั้นกว่า คือ dhoti ทำหน้าที่เป็นเสื้อผ้าท่อนล่าง ผูกรอบเอวและพันไว้ ทางตอนใต้ของอินเดียมักจะพันรอบลำตัวส่วนล่าง ส่วนบนซุกไว้ในขอบเอว ในภาคเหนือของอินเดีย ยังพันรอบขาแต่ละข้างอีก 1 ครั้ง ก่อนจะยกขึ้นผ่านขาไปซุกที่ด้านหลัง รูปแบบอื่น ๆ ของเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเย็บหรือการตัดเย็บ ได้แก่ แชดดาร์ (ผ้าคลุมไหล่ที่สวมใส่โดยทั้งสองเพศเพื่อคลุมร่างกายส่วนบนในช่วงที่อากาศหนาวเย็น หรือผ้าคลุมศีรษะขนาดใหญ่ที่ผู้หญิงสวมใส่สำหรับครอบศีรษะหรือคลุมศีรษะ) และผ้าปากรี ( ผ้าโพกหัวหรือผ้าพันคอที่พันรอบศีรษะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีหรือเพื่อกันแสงแดดหรือความหนาวเย็น)
=== วรรณกรรม ===
ภาพของ[[ราวณะตัวละครหลักฝ่ายอธรรมจากเรื่องรามายาณะ ขณะต่อสู้กับนกสดายุ]]
วรรณกรรมอินเดียได้รับการยอมรับว่ามีอิทธิพลในแง่คำสอนและวัฒนธรรมต่อโลกมาอย่างยาวนาน และมักสะท้อนประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อทางศาสนาสอดแทรกลงไปในวรรณกรรมทุกเรื่อง โดยมีสองมหากาพย์วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ รามายณะ และ มหาภารตะ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะและเรื่องอื่น ๆที่เกี่ยวกับธรรมเนียมกษัตริย์ การสืบราชวงศ์ตามแบบธรรมเนียมโบราณของราชวงศ์ในลุ่มแม่น้ำคงคา วรรณกรรมอินเดียยังมีอิทธิพลต่อชีวิตชาวบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย โดยการเล่า การอ่านนิทานแสดงเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในวรรณกรรม การแสดงหุ่นกระบอก หนัง ละครที่มีเนื้อหาของวรรณกรรม รามายณะ มหากาพย์ และชาดกในโอกาสต่าง ๆ
=== อาหาร ===
* Robinson, Francis, ed. The Cambridge Encyclopedia of India, Pakistan, Bangladesh, Sri Lanka, Nepal, Bhutan and the Maldives (1989)
ศัพทมูลวิทยา
ประวัติศาสตร์
ภูมิศาสตร์
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความสัมพันธ์ต่างประเทศและทหาร
* Official website of Government of India
* Government of India Web Directory
ข้อมูลทั่วไป
* India. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* India from the BBC News
* Indian State district block village website
* Key Development Forecasts for India from International Futures
{{Navboxes
|title=บทความที่เกี่ยวข้อง
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของอังกฤษ
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2490 |
2048 | https://th.wikipedia.org/wiki/อนุทวีปอินเดีย | อนุทวีปอินเดีย | ภาพถ่ายดาวเทียมของอนุทวีปอินเดีย
อนุทวีปอินเดีย () เป็นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในเอเชียใต้ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนแผ่นอินเดีย ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดียทางทิศใต้และเทือกเขาหิมาลัยทางทิศเหนือ โดยทั่วไปมักรวมประเทศบังกลาเทศ, ภูฏาน, อินเดีย, มัลดีฟส์, เนปาล, ปากีสถาน และศรีลังกา บางครั้งรวมบริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี คำว่า อนุทวีปอินเดีย และ เอเชียใต้ มักใช้แทนกันได้ ถึงแม้ว่าศัพท์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียใต้มักรวมประเทศอัฟกานิสถาน แผนโลกของสหประชาชาติส่วนทวีปเอเชียก็รวมประเทศอิหร่านเข้าในเอเชียใต้ด้วย บางครั้งมักสื่อความหมายใกล้เคียงกับชมพูทวีปในสมัยพุทธกาลอีกด้วย
ในเชิงภูมิศาสตร์ อนุทวีปอินเดียเกี่ยวเนื่องกับแผ่นดินส่วนที่แยกออกจากมหาทวีปกอนด์วานา และชนเข้ากับแผ่นยูเรเชีย เมื่อ 55 ล้านปีก่อน อนุทวีปอินเดียมักกำหนดคร่าว ๆ ว่าแบ่งออกจากทวีปเอเชียด้วยเทือกเขาฮินดูกูชทางตะวันตกและเทือกเขายะไข่ทางทิศตะวันออก
== ดูเพิ่ม ==
*เกรตเตอร์อินเดีย
*ฮินดูสถาน
*เอเชียใต้
*สมาคมเอเชียใต้เพื่อความร่วมมือระดับภูมิภาค (SAARC)
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:ทวีป
หมวดหมู่:คาบสมุทร
หมวดหมู่:เอเชียใต้
หมวดหมู่:ภูมิภาคในทวีปเอเชีย |
2051 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศกรีซ | ประเทศกรีซ | | image_map =
| map_caption =
| capital = เอเธนส์
| largest_city = เมืองหลวง
| languages = กรีก
| demonym = ชาวกรีก
| government_type = สาธารณรัฐรวมรัฐสภา
| leader_title1 = ประธานาธิบดี
| leader_name1 = กอนสตันดีโนส ตาซูลัส
| leader_title2 = นายกรัฐมนตรี
| leader_title3 = ประธานรัฐสภา
| legislature = รัฐสภาเฮลเลนิก
| sovereignty_type = ประวัติการสถาปนา
| established_event1 = ประกาศเอกราช
| established_date1 = (วันที่ของสงครามประกาศอิสรภาพกรีซแบบดั้งเดิม) (วันที่ประกาศอย่างเป็นทางการ)
| established_event2 = ได้รับการยอมรับ
| established_date2 =
| established_event3 =
| established_date3 = 11 มิถุนายน ค.ศ. 1975
| area_km2 = 131,957
| area_footnote =
| area_rank = อันดับที่ 95
| area_sq_mi = 50,949
| percent_water = 1.51 (ณ ค.ศ. 2015)
| population_estimate = 10,718,565
| population_census = 10,816,286
| population_estimate_year = ค.ศ. 2020
| population_estimate_rank = อันดับที่ 85
| population_census_year = ค.ศ. 2011
| population_census_rank =
| population_density_km2 = 82
| population_density_rank = อันดับที่ 98
| population_density_sq_mi = 212
| GDP_PPP = 339.668 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
| GDP_PPP_year = ค.ศ. 2021
| GDP_PPP_rank =
| GDP_PPP_per_capita = 31,821 ดอลลาร์สหรัฐ
| Gini_rank =
| HDI = 0.888
| HDI_year = ค.ศ. 2019
| HDI_change = increase
| HDI_ref =
| HDI_rank = อันดับที่ 32
| currency = ยูโร (€)
| currency_code = EUR
| time_zone = EET
| utc_offset = +02:00
| utc_offset_DST = +03:00
| time_zone_DST = EEST
| date_format = (AD)
| drives_on = ขวามือ
| calling_code = +30
| footnote_a = นอกจากนี้ยังใช้โดเมน .eu เช่นเดียวกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่น ๆ
| religion =
| religion_year = ค.ศ. 2017
กรีซ (; , ) หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐเฮลเลนิก (; ) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ตอนใต้สุดของคาบสมุทรบอลข่าน มีพรมแดนทางเหนือติดกับประเทศบัลแกเรีย มาซิโดเนีย และแอลเบเนีย มีพรมแดนทางตะวันออกติดกับประเทศตุรกี อยู่ติดทะเลอีเจียนทางด้านตะวันออก ติดทะเลไอโอเนียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางด้านตะวันตกและใต้ มีประชากรราว 10.7 ล้านคน มีเมืองหลวงคือกรุงเอเธนส์ซึ่งยังเป็นนครที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมี เทสซาโลนีกี และ เพทรัสเป็นนครที่ใหญ่รองลงมา
ประเทศกรีซได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตก และยังเป็นเป็นต้นกำเนิดของประชาธิปไตย, ปรัชญา, วรรณกรรมโบราณ, ประวัติศาสตร์นิพนธ์, รัฐศาสตร์, ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์, โรงละคร และการแข่งขันโอลิมปิก นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวกรีกอยู่รวมกันเป็นนครรัฐอิสระหลายแห่งเรียกว่า poleis (หมายถึงเมือง ในภาษากรีกโบราณ) ซึ่งทอดยาวจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ พีลิปโปสที่ 2 แห่งมาเกโดนีอา ได้รวมดินแดนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเข้าด้วยกันในศตวรรษที่ 4 อเล็กซานเดอร์มหาราช โอรสของพระองค์สร้างชื่อด้วยการพิชิตโลกโบราณในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงอินเดีย ก่อนจะเข้าสู่สมัยเฮลเลนิสต์ซึ่งวัฒนธรรมกรีกโบราณขยายอิทธิพลไปทั่ว ก่อนที่ดินแดนทั้งหมดจะถูกผนวกเข้ากับสาธารณรัฐโรมันในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช โดยกลายเป็นส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ในยุคจักรวรรดิโรมันและจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกรีซทั้งในด้านวัฒนธรรมและภาษา คริสตจักรออร์โธดอกซ์ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของยุคกรีกสมัยใหม่และถ่ายทอดวัฒนธรรมกรีกสู่อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ภายหลังสิ้นสุดสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ดินแดนของรัฐต่างๆ ได้ถูกสถาปนาขึ้นในพื้นที่บริเวณคาบสมุทร ทว่าดินแดนส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองโดยจักรวรรดิออตโตมันในช่วงกลางศตวรรษที่ 15
กรีซได้กลายสภาพเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ใน ค.ศ. 1830 หลังสิ้นสุดสงครามประกาศอิสรภาพ เศรษฐกิจของประเทศมีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งเป็นแหล่งลงทุนระดับภูมิภาคที่สำคัญ กรีซเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ, สมาชิกสหภาพยุโรป และเป็นส่วนหนึ่งของยูโรโซน รวมทั้งเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ อาทิ สภายุโรป, เนโท, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, องค์การการค้าโลก และ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป กรีซมีเอกลักษณ์ในด้านมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียง มีมรดกโลกโดยยูเนสโกจำนวน 19 แห่ง รวมทั้งขึ้นชื่อในด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการเดินเรือ กล่าวกันว่าการปฏิวัติในกรีซเป็นผลมาจากการแทรกแซงทางการเมืองของหน่วยงานซีไอเอของสหรัฐที่เข้ามาปฏิบัติการในทวีปยุโรปกลุ่มทหารที่ครองอำนาจในกรัซทำตนมีอำนาจเหนือราษฎรและทำการกดขี่ข่มเหงประชาชน ยิ่งกว่านั้นคณะนายพลของทหารกรีซได้ทำการวางแผนลอบสังหารผู้นำของไซปรัสในขณะนั้น เป็นผลให้ตุรกีฉวยโอกาสเข้ารุกเข้ายึดครองตอนเหนือของไซปรัส ทำใหเหตุการณ์นี้เป็นข้อบาดหมางระหว่างกรีซกับตุรกีมาจนถึงทุกวันนี้
ใน ค.ศ. 1981 กรีซเข้าเป็นสมาชิกสมาคมสหภาพยุโรป พรรคสังคมนิยม PASOK นำโดยนายแอนเดรียส์ ปาปันเดรโอ ชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลให้สัญญาว่าจะจัดการให้สหรัฐย้ายฐานทัพอากาศออกไปจากกรีซและกรีซจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของนาโตแต่รัฐบาลทำไม่สำเร็จ สตรีชาวกรีซเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงประเพณีเรื่องสินสอดและเรียกร้องให้กฎหมายสนับสนุนการทำแท้งเสรีความไม่สงบในประเทศทำให้ปาปันเดรโอกับรัฐบาลของเขาเสียอำนาจการปกครองประเทศให้กับรัฐบาลผสมระหว่างพรรคอนุรักษนิยมกับพรรคคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1989 การเลือกตั้งในกรีซเมื่อ ค.ศ. 1990 พรรคอนุรักษนิยมได้ที่นั่งมากที่สุดและได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศแต่ไม่สำเร็จ การเลือกตั้งใหม่ใน ค.ศ. 1993 กรีซได้ปาปันเดรโอผู้นำเฒ่าของพรรคเสรีนิยมกลับมาครองอำนาจกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ท่านผู้นำถึงแก่อนิจกรรมใน ค.ศ. 1996 หลังจากที่ท่านลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองกรีซได้ผู้นำคนใหม่ชื่อ คอสทาส สมิทิส ต่อมากรีซกับตุรกีขัดแย้งกันอย่างหนักจนใกล้จะระเบิดสงครามเมื่อผู้สื่อข่าวของตุรกีได้นำธงชาติกรีซมาย่ำยีเล่น สมิทิสได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีกรีซอีกครั้ง รัฐบาลใหม่ให้สัญญากับประชาชนว่าจะเร่งการนำประเทศเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มอียู นายกรัฐมนตรีเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับรัฐมนตรีโทนี แบลร์ของอังกฤษตั้งแต่สมิทิสมีอำนาจในการบริหารประเทศเขามีนโยบายเห็นด้วยกับกลุ่มฝ่ายค้านพรรคประชาธิปไตยใหม่แทบทุกเรื่อง
== การเมืองการปกครอง ==
อาคารรัฐสภากรีซ
กรีซมีการปกครองแบบสาธารณรัฐรัฐสภา หลังจากที่ประชาชนลงมติให้เลิกล้มการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญไปเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1974 วันประกาศอิสรภาพของกรีซคือวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1821 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของกรีซประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1975 แก้ไขเพิ่มเติม 2 ครั้ง คือ เดือนมีนาคม ค.ศ. 1986 และเดือนเมษายน ค.ศ. 2001
ระบบกฎหมายของกรีซมีพื้นฐานมาจากหลักกฎหมายของโรมัน
กรีซมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ ประธานาธิบดีได้มาจากการเลือกตั้งของรัฐสภา อยู่ตำแหน่งคราวละ 5 ปี ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีที่ได้มาจากการเสนอชื่อของนายกรัฐมนตรี
สมาชิกนิติบัญญัติได้มาจากการเลือกตั้งทั่วไป มีจำนวน 300 ที่นั่ง อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
กรีซแบ่งการปกครองประเทศออกเป็น '13 ภูมิภาค (regions) มี 9 แคว้นบนพื้นแผ่นดินใหญ่ และ 4 แคว้นบนหมู่เกาะ* แคว้นต่าง ๆ จะแบ่งเป็นจังหวัด รวม 54 จังหวัด (prefectures - nomos)
นอกจากนี้ทางแถบมาซิโดเนีย ยังมี เขตปกครองตนเอง (autonomous region) ของสงฆ์หนึ่งแห่ง คือ เมานต์อะทอส (Mount Athos)
== นโยบายต่างประเทศ ==
=== ความสัมพันธ์กับประเทศไทย ===
ไทยและกรีซได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1958 ในช่วงแรกที่สถาปนาความสัมพันธ์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ดูแลประเทศกรีซในฐานะประเทศในเขตอาณาเขต ต่อมา ไทยได้เปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเอเธนส์ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1985 มีหน้าที่ดูแลสาธารณรัฐมอลตาในฐานะประเทศในเขตอาณา และติดตามสถานการณ์ในเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (อดีตสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย) รวมทั้งดูแลความสัมพันธ์ไทย - นอร์ทมาซิโดเนีย อย่างไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ มีสำนักงานบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ประจำกรุงเอเธนส์ด้วย ในขณะที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และสำนักงานแรงงาน ณ กรุงเอเธนส์ได้ปิดลงก่อนหน้านี้ ส่วนกรีซได้เปิดสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1989 โดยมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศใกล้เคียง อาทิ พม่า ลาว และกัมพูชา และเปิดสำนักงานพาณิชย์เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ปัจจุบัน นายชัยเลิศ ลิ้มสมบูรณ์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรีซ ส่วนเอกอัครราชทูตกรีซประจำประเทศไทยได้แก่นายนิโคลาออส ไกเมนากีส (H.E. Mr. Nikolaos Kaimenakis)
* การค้าและเศรษฐกิจ
การค้ารวมระหว่างไทย-กรีซมีมูลค่าเฉลี่ย 272 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลขฝ่ายไทยโดยเป็นค่าเฉลี่ยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนอื่น โดยไทยส่งออก 247 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้า 25 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้เปรียบดุลการค้า 222 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ในขณะที่สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าประกอบด้วยผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผลไม้ และยารักษาโรค เป็นต้น สำหรับการลงทุนระหว่างกัน ยังไม่ปรากฏข้อมูลทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในปัจจุบัน
ในภาพรวม การนำเข้า - ส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับกรีซดำเนินไปด้วยดี โดยมักผ่านทางผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งบางครั้งพบอุปสรรคในการตรวจพบสารเคมีในผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก และมีปัญหาข้อพิพาทระหว่างกัน เช่น ไม่ชำระเงิน จัดส่งสินค้าไม่ครบ / ล่าช้า / ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
ความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและกรีซสามารถขยายตัวได้อีกมาก หากนักธุรกิจของทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มความสนใจตลาด และศึกษาโอกาส ลู่ทาง และศักยภาพของกันและกันมากกว่าที่ผ่านมา โดยกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพแข่งขันในระดับโลก ยังคงมีแนวโน้มที่ดีในตลาดกรีซ อาทิ
# รถบรรทุกเล็ก
# รถจักรยานยนต์ / อุปกรณ์
# เครื่องปรับอากาศ / เครื่องทำความเย็น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มร้อนขึ้นในกรีซ
# เสื้อผ้า/เครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะที่ออกแบบสวยงาม / คุณภาพดี เพื่อสร้างความแตกต่างจากเสื้อผ้านำเข้าราคาถูก
# เครื่องประดับ อัญมณี
# สินค้าอาหาร / อาหารกระป๋อง (ปลาทูน่ากระป๋อง สับปะรดกระป๋อง ฯลฯ) และ
# กลุ่มสินค้าที่เน้นการออกแบบในระดับราคาต่าง ๆ (เฟอร์นิเจอร์บ้าน / สำนักงาน อุปกรณ์ / ของประดับบ้าน ฯลฯ) เป็นต้น
นอกจากนี้ การลงทุน และประกอบธุรกิจร่วมระหว่างไทย - กรีซ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ควรศึกษาความเป็นไปได้ เนื่องจากกรีซมีนักธุรกิจร่ำรวยจำนวนมาก ซึ่งนิยมนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ กอปรกับได้ชื่อว่า มีชั้นเชิงทางธุรกิจสูง และมีทักษะเรื่องการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดประเทศเพื่อนบ้านของกรีซ ดังนั้น หากนักธุรกิจไทยสามารถหาหุ้นส่วนทางธุรกิจที่เหมาะสมได้ ก็จะช่วยกระจายสินค้าไทยไปสู่ตลาดบอลข่าน ซึ่งไทยยังไม่คุ้นเคยได้เป็นอย่างดี
== เศรษฐกิจ ==
กรุง[[เอเธนส์ มีประชากรอาศัยมากที่สุดในประเทศ]]
== วัฒนธรรม ==
=== นักปรัชญา ===
upright=0.7|รูปปั้นของเพลโตในกรุงเอเธนส์
นักปรัชญากรีซที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในฐานะ เสาหลักของปรัชญาตะวันตก มีอยู่ 3 คนคือ โสกราตีส เพลโต และอริสโตเติล
* โสกราตีส เกิดที่กรุงเอเธนส์ เมื่อ 470 ปีก่อนคริสตกาล เคยได้เข้าร่วมในการทำสงครามเปลโอปอนนีเซียน หลังจากนั้นเขาอุทิศเป็นผู้สอนวิชาตรรกวิทยา “Know Thyself” ตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ วิธีการสอนของโสกราตีสคือการตั้งคำถามและตอบ เมื่ออายุ 70 ปี โสกราตีสต้องโทษตามกฎหมายกรีซให้ดื่มยาพิษ
* เพลโต เกิดที่กรุมเอเธนส์เมื่อ 428 ปี ก่อนคริสตกาล เขาเป็นลูกศิษย์ของโสกราตีสที่เคารพและเทิดทูนโสกราตีสมาก เพลโตได้ตั้งวิทยาลัยสอนวิชาวิทยาศาสตร์และปรัชญาขึ้นเป็นแห่งแรกในกรุงเอเธนส์เมื่อ 387 ปีก่อนคริสต์ศักราช ผลงานเขียนของเพลโตเป็นคำสอนรูปของบทสนทนาในหนังสือชื่อ The Republic ของเพลโต เพลโตแยกพลเมืองออกเป็น 3 กลุ่มคือ ประชาชน ทหาร และผู้ปกครองประเทศ เพลโตเป็นผู้ให้หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับอธิปไตยไว้อย่างชัดเจนว่า หญิงและ ชาย มีฐานะเท่าเทียมกันและจะต้องได้รับการศึกษาเหมือนกัน รัฐจะต้องจัดการแต่งงานให้ประชาชน เด็กแรกเกิดจะถูกแยกจากพ่อ แม่เพื่อประชาชนจะได้ไม่มีความผูกพันเป็นส่วนตัวเพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกในความเป็นเจ้าของรัฐแต่เพียงอย่างเดียว
* อริสโตเติล' เกิดที่เมืองสตากิรา ภูมิภาคมาซีโดเนีย เมื่อ 384 ปีก่อนคริสตกาล เขาเดินทางไปเอเธนส์เพื่อศึกษาวิชาปรัชญาที่สำนักของเพลโตเมื่อ 367 ปีก่อนคริสตกาลและพำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 20 ปี จนกระทั่งเพลโตถึงแก่กรรม จึงเดินทางไปเผยแพร่คำสอนตามหลักปรัชญาของเพลโตในที่ต่าง ๆ เป็นเวลา 10 ปี แล้วจึงตั้งสำนักศึกษาของเขาเองชื่อว่า The Lyceum นาน 12 ปี
อริสโตเติลเป็นนักคิดคนแรกที่ค้นพบวิชา ตรรกวิทยา โดยอาศัยข้อเท็จจริง 2 ข้อ สนับสนุนกันและกัน เช้น ความดีทุกอย่างควรสรรเสริญ และความกรุณาก็เป็นความดีอันหนึ่ง ฉะนั้นความกรุณาจึงควรได้รับการสรรเสริญด้วย เป็นต้น
=== นักกวี ===
กวีสมัยโบราณที่ยิ่งใหญ่ของกรีซคือ โฮเมอร์กับ ฮีเสียดทั้ง 2 ท่านได้เขียนมหากาพย์ที่สำคัญ หลายเรื่อง
และมหากาพย์เรื่องกรุงทรอยอยู่ด้วย นักเขียนนักค้นคว้าชื่อ เฮ็นริช ชีลมานน์ ได้ค้นคว้าเรื่องเมืองทรอย จนค้นพบว่ามีอยู่จริง ที่เมือง Hissarlik ทางตอนเหนือของตุรกีในอดีตกาล เมื่อพบเมืองทรอยแล้ว ชีลมานน์ขุดค้นพบประวัติศาสตร์ในยุคบรอนซ์ตามที่อ้างในมหากาพย์ของโฮเมอร์ต่อไป การขุดหาสมบัติในวรรณคดีของเขานำไปสู่การค้นพบ 3 นครสำคัญ ที่ได้ชื่อว่า กนกนคร ตามประวัติศาสตร์ในยุคสมัยของโฮเมอร์นั่นคือ Mycenae, Tiryns และ Orchomenos ก่อนที่นักเขียนนักค้นคว้าคนสำคัญของโลกจะตายไป เขาได้เผยให้เห็นเค้าโครงรูปร่างของอาณาจักรมาซิเนียนให้ประจักษ์แก่ตาชาวโลก
=== นักค้นคว้า ===
นักค้นคว้าชื่อ อาร์เธอร์ อีแวนส์ค้นพบแหล่งอารยธรรมมิโนอัน และร่องรอยของอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองในอดีตของอาณาจักรไมนอส ซึ่งเป็นการยืนยันว่า โฮเมอร์ มหากวีเอกของโลกชาวกรีก ได้บันทึกเรื่องราวของยุคสมัยไว้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง มิได้เขียนขึ้นจากความคิดเพ้อฝันแต่อย่างใด
=== สถาปัตยกรรม ===
ฟุตบอลทีมชาติกรีซใน ค.ศ. 2013
กรีซเป็นประเทศต้นกำเนิดของกีฬาโอลิมปิก โดยมีหลักฐานในบันทึกครั้งแรกเมื่อ 776 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งจัดขึ้นที่ โอลิมเปีย และเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่มาแล้วสองครั้งใน โอลิมปิกฤดูร้อน 1896 ซึ่งเป็นโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรก และล่าสุดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ขบวนพาเหรดนักกีฬาของกรีซมักได้รับเกียรติให้เดินขบวนเป็นชาติแรกในการแข่งขันโอลิมปิกทุกครั้ง ในฐานะที่เป็นชาติต้นกำเนิดของกีฬาดังกล่าว กรีซเป็น 1 ใน 4 ชาติที่ร่วมแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนทุกครั้ง และชนะเหรียญรางวัลรวม 110 เหรียญ (30 เหรียญทอง, 42 เหรียญเงิน และ 38 เหรียญทองแดง) อยู่ในอันดับที่ 32 จากการจัดอันดับจำนวนเหรียญรางวัลตลอดกาล ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาคือโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกใน ค.ศ. 1896 ซึ่งคว้าไป 10 เหรียญทอง
ฟุตบอลทีมชาติกรีซ ขึ้นถึงอันดับ 8 ของโลกใน ค.ศ. 2011 และ 2008 และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการชนะการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในรายการการแข่งขันกีฬาที่มีผลการแข่งขันเหนือความคาดหมายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซูเปอร์ลีกกรีซ ถือเป็นลีกสูงสุดของประเทศประกอบไปด้วยสมาชิก 14 สโมสร ทีมที่มีชื่อเสียงได้แก่ โอลิมเบียโกส, ปานาซีไนโกส และ อาเอกเอเธนส์
บาสเกตบอลชายของกรีซเป็นหนึ่งในทีมที่มีชื่อเสียงในยุโรป เคยขึ้นถึงอันดับ 4 ของโลกใน ค.ศ. 2012 และอันดับ 2 ของยุโรปในขณะนั้นชนะเลิศการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป 2 สมัยใน ค.ศ. 1987 และ 2005 และทำอันดับติด 1 ใน 4 ในบาสเกตบอลชิงแชมป์โลก 3 ครั้ง กีฬาอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมได้แก่โปโลน้ำ วอลเลย์บอล และแฮนด์บอล
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
* ประเทศกรีซ จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
=== รัฐบาล ===
* President of the Hellenic Republic
* Minister of the Hellenic Republic
* Hellenic Parliament
* Greek National Tourism Organisation
* Greek News Agenda Newsletter
=== ข้อมูลทั่วไป ===
* - Everything about Greece.
* History of Greece: Primary Documents
* The London Protocol of 3 February 1830
* The Greek Heritage
* World Bank Summary Trade Statistics Greece
* รายชื่อสถานทูตกรีซทั่วโลก (ภาษาอังกฤษ)
{{Navboxes
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2364 |
2065 | https://th.wikipedia.org/wiki/สหภาพยุโรป | สหภาพยุโรป | สหภาพยุโรป () เป็นสหภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง ประกอบด้วยรัฐสมาชิก 27 ประเทศซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป มีพื้นที่ 4,233,255 ตารางกิโลเมตร มีประชากรที่ประเมินกว่า 447 ล้านคน สหภาพยุโรปพัฒนาตลาดเดี่ยวภายในผ่านระบบกฎหมายทำให้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้บังคับในรัฐสมาชิกทุกประเทศ นโยบายสหภาพยุโรปมุ่งประกันการเคลื่อนย้ายบุคคล สินค้า บริการและทุนอย่างเสรีในตลาดเดี่ยว ตรากฎหมายด้านยุติธรรมและกิจการในประเทศและธำรงนโยบายร่วมกันด้านการค้า เกษตรกรรม การประมงและการพัฒนาภูมิภาค การควบคุมหนังสือเดินทางถูกเลิกภายในพื้นที่เชงเกน มีการตั้งสหภาพการเงินในปี 2542 และมีผลบังคับเต็มที่ในปี 2545 ประกอบด้วยรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป 19 ประเทศซึ่งใช้สกุลเงินยูโร
สหภาพยุโรปดำเนินการผ่านระบบผสมระหว่างสหภาพเหนือชาติและความร่วมมือระหว่างรัฐบาล องค์กรตัดสินใจหลักเจ็ดองค์กร เรียก สถาบันของสหภาพยุโรป ได้แก่ ที่ประชุมยุโรป คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป รัฐสภายุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป ธนาคารกลางยุโรปและศาลผู้สอบบัญชียุโรป
สหภาพยุโรปกำเนิดขึ้นจากประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป (ECSC) และประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2494 และ 2501 ตามลำดับโดยประเทศอินเนอร์ซิกส์ ประชาคมและองค์การสืบเนื่องมีขนาดเติบโตขึ้นโดยการเข้าร่วมของสมาชิกใหม่และมีอำนาจมากขึ้นโดยการเพิ่มขอบเขตนโยบายในการจัดการ สนธิสัญญามาสทริชท์สถาปนาสหภาพยุโรปในปี 2536 และนำเสนอความเป็นพลเมืองยุโรป ในปี 2559 สหภาพยุโรปผลิตผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน 16.477 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 22.2% ของจีดีพีราคาตลาดโลก และ 16.9% เมื่อวัดในแง่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ สหภาพยุโรปพัฒนาบทบาทด้านความสัมพันธ์ภายนอกและการกลาโหมผ่านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงร่วม สหภาพฯ คงคณะผู้แทนทางทูตถาวรทั่วโลกและมีผู้แทนในสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก กลุ่ม 7 และกลุ่ม 20 เนื่องจากมีอิทธิพลทั่วโลก จึงมีการอธิบายสหภาพยุโรปเป็นอภิมหาอำนาจปัจจุบันหรืออภิมหาอำนาจในอนาคต
== ภูมิศาสตร์ ==
upright=1.25|ลำดับเหตุการณ์การขยายสหภาพยุโรป
รัฐสมาชิกของสหภาพยุโรปครอบคลุมพื้นที่ 4,233,262 ตารางกิโลเมตร ยอดเขาสูงสุดในสหภาพยุโรป คือ ยอดเขามงบล็องในเทือกเขาเกรเอียนแอลป์ (Graian Alps) มีความสูง 4,810.45 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จุดต่ำสุดในสหภาพยุโรปคือ แลมเมอฟยอร์เดน (Lammefjorden) ประเทศเดนมาร์ก และซาวด์เพลสปอลเดอร์ (Zuidplaspolder) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ความสูง 7 เมตรต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ภูมิภาพ ภูมิอากาศและเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปได้รับอิทธิพลจากแนวชายฝั่ง ซึ่งมีความยาว 65,993 กิโลเมตร
เมื่อรวมดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสซึ่งตั้งอยู่นอกทวีปยุโรปแต่ยังเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปแล้ว สหภาพยุโรปจะมีภูมิอากาศเกือบทุกชนิดตั้งแต่อาร์กติก (ยุโรปเหนือ-ตะวันออก) ถึงเขตร้อน (เฟรนช์เกียนา) ทำให้ค่าเฉลี่ยทางอุตุนิยมวิทยาของสหภาพยุโรปสิ้นความหมายโดยสิ้นเชิง ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร (ยุโรปเหนือ-ตะวันตกและกลาง) ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (ยุโรปใต้) หรือภูมิอากาศอบอุ่นฤดูร้อนภาคพื้นทวีปหรือกึ่งเขตหนาว (บอลข่านเหนือและยุโรปกลาง)
ประชากรของสหภาพยุโรปมีความเป็นเมืองสูง โดยผู้อยู่อาศัยประมาณ 75% อาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองในปี 2549 นครส่วนใหญ่กระจายทั่วสหภาพยุโรป แม้มีจำนวนมากกระจุกอยู่ในและรอบ ๆ เบเนลักซ์
=== รัฐสมาชิก ===
สหภาพยุโรปเติบโตขึ้นจากรัฐผู้ก่อตั้งหกรัฐ ได้แก่ ประเทศเบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนีตะวันตก อิตาลี ลักเซมเบิร์กและเนเธอร์แลนด์ ผ่านการขยายในเวลาต่อมาเป็น 27 ประเทศในปัจจุบัน ประเทศเข้าร่วมสหภาพโดยกลายเป็นภาคีของสนธิสัญญาก่อตั้ง ฉะนั้นจึงอยู่ภายใต้เอกสิทธิ์และพันธกรณีของสมาชิกสภาพสหภาพยุโรป ดังนี้เป็นการมอบอำนาจอธิปไตยบางส่วนแก่สถาบันโดยแลกเปลี่ยนกับการมีผู้แทนในสถาบันเหล่านั้น มักเรียกการปฏิบัติดังนี้ว่า "การรวมอำนาจอธิปไตย" (pooling of sovereignty)
ในการเข้าเป็นสมาชิก ประเทศนั้นต้องเข้าเกณฑ์โคเปนเฮเกนซึ่งนิยามไว้ ณ ที่ประชุมยุโรปในกรุงโคเปนเฮเกนเมื่อปี 2536 เกณฑ์ดังกล่าวกำหนดให้มีประชาธิปไตยเสถียรซึ่งเคารพสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม เศรษฐกิจแบบตลาดที่ทำหน้าที่ และการยอมรับพันธกรณีของสมาชิกภาพรวมทั้งกฎหมายสหภาพยุโรป การประเมินการบรรลุเกณฑ์ดังกล่าวของประเทศเป็นความรับผิดชอบของที่ประชุมยุโรป ยังไม่มีรัฐสมาชิกใดเคยออกจากสหภาพ แม้กรีนแลนด์ (จังหวัดปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก) ถอนตัวในปี 2528 ปัจจุบันสนธิสัญญาลิสบอนมีวรรคในข้อที่ 50 กำหนดสำหรับสมาชิกในการออกจากสหภาพยุโรป
ปัจจุบันมีหกประเทศซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นสมาชิก ได้แก่ ประเทศแอลเบเนีย ไอซ์แลนด์ มาซิโดเนีย มอนเตเนโกร เซอร์เบียและตุรกี แม้ไอซ์แลนด์ระงับการเจรจาไปในปี 2556 ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและคอซอวอได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ที่อาจมีคุณสมบัติ โดยบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนากำลังยื่นคำขอเป็นสมาชิก
สี่ประเทศผู้ก่อตั้งสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) มิใช่สมาชิกสหภาพยุโรป แต่ได้ผูกมัดบางส่วนต่อเศรษฐกิจและข้อบังคับของสหภาพยุโรป ได้แก่ ไอซ์แลนด์, ลีชเทินชไตน์ และนอร์เวย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเดี่ยวผ่านพื้นที่เศรษฐกิจยุโรป และสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งมีความสัมพันธ์คล้ายกันผ่านสนธิสัญญาทวิภาคี ความสัมพันธ์ของจุลรัฐ อันดอร์รา โมนาโก ซานมารีโนและนครรัฐวาติกันมีการใช้เงินสกุลยูโรและขอบเขตความร่วมมืออื่น รัฐเอกราช 27 รัฐต่อไปนี้ประกอบเป็นสหภาพยุโรป คือ
รัฐสมาชิกสหภาพยุโรป
== การเมือง ==
สหภาพยุโรปดำเนินการตามหลักการให้ (conferral) ซึ่งกล่าวว่า ควรกระทำเฉพาะภายในข้อจำกัดอำนาจหน้าที่ที่มอบหมายให้ตามสนธิสัญญา และการเสริมอำนาจปกครอง (subsidiarity) ซึ่งกล่าวว่า ควรกระทำเฉพาะเมื่อรัฐสมาชิกกระทำเพียงลำพังแล้วไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้เพียงพอ กฎหมายที่สถาบันของสหภาพยุโรปออกสามารถผ่านได้หลายแบบ กล่าวโดยทั่วไป กฎหมายสามารถจำแนกได้เป็นสองกลุ่ม คือ กฎหมายที่มีผลใช้บังคับโดยไม่จำเป็นต้องมีมาตรการนำไปปฏิบัติระดับชาติ (ข้อบังคับ) และกฎหมายที่เจาะจงต้องการมาตรการนำไปปฏิบัติระดับชาติ (คำสั่ง)
=== โครงสร้างรัฐธรรมนูญ ===
การจำแนกประเภทสหภาพยุโรปในแง่กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎหมายรัฐธรรมนูญมีการถกเถียงอย่างมาก สหภาพฯ เริ่มต้นเป็นองค์การระหว่างประเทศและค่อย ๆ พัฒนาเป็นสมาพันธรัฐ ทว่า ตั้งแต่กลางคริสต์ทศวรรษ 1960 สหภาพฯ ได้เพิ่มลักษณะสำคัญหลายประการของสหพันธรัฐ ดังเช่นผลโดยตรงของกฎหมายรัฐบาลระดับรวม (general level of government) ต่อปัจเจกบุคคล และการออกเสียงลงคะแนนฝ่ายข้างมากในกระบกวนการตัดสินใจของรัฐบาลระดับรวม โดยไม่กลายเป็นสหพันธรัฐโดยสภาพ ฉะนั้นปัจจุบันนักวิชาการจึงมองสหภาพฯ ว่าเป็นแบบกึ่งกลางระหว่างสมาพันธรัฐและสหพันธรัฐ โดยเป็นตัวอย่างที่มิใช่โครงสร้างการเมืองทั้งสองแบบ ด้วยเหตุนี้ องค์การดังกล่าวจึงมีคำเรียกว่า มีลักษณะเฉพาะตัว (sui generis) แม้บางคนอาจแย้งว่าการเรียกแบบนี้ใช้ไม่ได้แล้ว
องค์การดังกล่าวเดิมใช้คำว่า "ประชาคม" และต่อมา "สหภาพ" อธิบายตนเอง ความยุ่งยากของการจำแนกประเภทเกี่ยวข้องกับความแตกต่างระหว่างกฎหมายระดับชาติ (ซึ่งคนในบังคับของกฎหมายได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) และกฎหมายระหว่างประเทศ (ซึ่งคนในบังคับได้แก่รัฐเอกราชและองค์การระหว่างประเทศ) นอกจากนี้ ยังสามารถมองในแง่ของข้อแตกต่างระหว่างประเพณีนิยมรัฐธรรมนูญของยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของประเพณีนิยมยุโรป คำว่า สหพันธรัฐ เทียบเท่ากับรัฐสหพันธ์เอกราชในกฎหมายระหว่างประเทศ ฉะนั้นจึงไม่อาจเรียกสหภาพยุโรปว่าสหพันธรัฐได้โดยปราศจากคุณสมบัติ ทว่า มีการอธิบายโดยยึดแบบจำลองสหพันธ์หรือสหพันธ์โดยสภาพ ฉะนั้นจึงอาจเหมาะสมที่จะพิจารณาสหภาพฯ ว่าเป็นสหภาพรัฐสหพันธ์ (federal union of states) อันเป็นโครงสร้างเชิงความคิดระหว่างสมาพันธรัฐและสหพันธรัฐ ศาลรัฐธรรมนูญแห่งเยอรมนีเรียกสหภาพยุโรปว่า ชตาเทนเวอร์บุนด์ เป็นโครงสร้างกึ่งกลางระหว่างชตาเทนบุนด์ (สมาพันธรัฐ) และบุนเดสส์ทาท (สหพันธรัฐ) ซึ่งเข้ากับมโนทัศน์นี้ สหภาพรัฐสหพันธ์อาจเป็นแบบการเมืองที่อยู่ยืนยาว ศาสตราจารย์แอนดรูว์ โมราฟซิกอ้างว่าสหภาพยุโรปไม่น่าจะพัฒนาต่อไปเป็นสหพันธรัฐ แต่อาจถึงเติบโตเต็มที่เป็นระบบรัฐธรรมนูญแล้ว
=== การปกครอง ===
สหภาพยุโรปมีหกสถาบัน ได้แก่ ที่ประชุมยุโรป คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป รัฐสภายุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปและศาลผู้สอบบัญชียุโรป อำนาจหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายแบ่งกันระหว่างคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปและรัฐสภายุโรป ส่วนคณะกรรมาธิการยุโรปและที่ประชุมยุโรปในขอบเขตจำกัดเป็นผู้ดำเนินภาระงานฝ่ายบริหาร ธนาคารกลางยุโรปเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินของยูโรโซน ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปเป็นผู้ตีความและการใช้บังคับกฎหมายสหภาพยุโรปและประกันสนธิสัญญา ศาลผู้สอบบัญชีเป็นผู้ตรวจสอบงบประมาณของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังมีองค์กรสนับสนุนซึ่งให้คำแนะนำสหภาพยุโรปหรือดำเนินการในด้านหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ
==== ที่ประชุมยุโรป ====
คณะมนตรียุโรป หรือ ที่ประชุมยุโรป (European Council) ให้ทิศทางการเมืองแก่สหภาพยุโรป มีการประชุมอย่างน้อยปีละสี่ครั้งและประกอบด้วยประธานที่ประชุมยุโรป (คนปัจจุบันคือ อังตอนียู กอชตา) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและผู้แทนหนึ่งคนจากรัฐสมาชิกแต่ละรัฐ (อาจเป็นประมุขแห่งรัฐหรือหัวหน้ารัฐบาล) ผู้แทนระดับสูงของสหภาพด้านกิจการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง (คนปัจจุบันคือ เฟเดริกา โมเกรินี) ก็เข้าร่วมประชุมด้วยเช่นกัน มีผู้อธิบายว่าเป็น "ผู้มีอำนาจการเมืองสูงสุด" ของสหภาพยุโรป ที่ประชุมยุโรปเกี่ยวข้องโดยตรงในการเจรจาการเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาและการนิยามวาระและยุทธศาสตร์นโยบายของสหภาพยุโรป
ที่ประชุมยุโรปใช้บทบาทผู้นำของตนสะสางข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกและสถาบัน และระงับวิกฤตการเมืองและความไม่ลงรอยระหว่างปัญหาและนโยบายที่มีข้อโต้เถียง คณะมนตรีฯ แสดงออกภายนอกเป็น "ประมุขแห่งรัฐร่วมกัน" และให้สัตยาบันเอกสารสำคัญ (ตัวอย่างเช่น ความตกลงระหว่างประเทศและสนธิสัญญา)
ภาระหน้าที่ของประธานที่ประชุมยุโรป คือ การประกันการเป็นผู้แทนภายนอกของสหภาพยุโรป การขับเคลื่อนการเห็นพ้องต้องกันและระงับความแตกต่างในหมู่รัฐสมาชิก ทั้งระหว่างการประชุมของที่ประชุมยุโรปและสมัยระหว่างการประชุม
ระวังสับสนระหว่างที่ประชุมยุโรปกับสภายุโรป (Council of Europe) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่เป็นอิสระต่อสหภาพยุโรป ตั้งอยู่ในสทราซบูร์
==== คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ====
คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (หรือเรียก "คณะมนตรี" และ "สภารัฐมนตรี" ซึ่งเป็นชื่อเก่า) (Council of the European Union) เป็นครึ่งหนึ่งของสภานิติบัญญัติของสหภาพยุโรป ประกอบด้วยรัฐมนตรีจากรัฐสมาชิกแต่ละรัฐและประชุมกันในหลายองค์ประกอบขึ้นอยู่กับขอบเขตนโยบายที่กำลังจัดการอยู่ แม้ว่าจะมีองค์ประกอบต่างกัน แต่ยังถือเป็นองค์กรหนึ่งเดียว นอกเหนือจากการทำหน้าที่สภานิติบัญญัติแล้ว คณะมนตรีฯ ยังใช้การทำหน้าที่บริหารในด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงร่วม
==== สภา ====
thumbnail|left|รัฐสภายุโรป
สภายุโรป (European Parliament) เป็นอีกครึ่งหนึ่งของสภานิติบัญญัติยุโรป สมาชิก 751 คนของรัฐสภายุโรปมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของพลเมืองสหภาพยุโรปทุกห้าปีโดยยึดหลักการมีผู้แทนตามสัดส่วน แม้สมาชิกรัฐสภายุโรปมาจากการเลือกตั้งระดับชาติ แต่นั่งประชุมตามกลุ่มการเมืองมากกว่าสัญชาติ แต่ละประเทศมีจำนวนที่นั่งจำนวนหนึ่งและแบ่งเป็นเขตเลือกตั้งต่ำกว่าชาติโดยที่ไม่กระทบต่อสภาพสัดส่วนของระบบการออกเสียงลงคะแนน
สภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปผ่านกฎหมายร่วมกันในแทบทุกด้านภายใต้กระบวนวิธีสภานิติบัญญัติทั่วไป ซึ่งยังใช้กับงบประมาณสหภาพยุโรปด้วย คณะกรรมาธิการยุโรปต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา โดยต้องอาศัยการอนุมัติจากสภาจึงจะดำรงตำแหน่งได้ ต้องรายงานต่อรัฐสภาและอยู่ภายใต้ญัตติไม่ไว้วางใจจากรัฐสภา ประธานรัฐสภายุโรป (คนปัจจุบันคือ อันโทนิโอ ทาญานี) ดำเนินบทบาทประธานรัฐสภาและเป็นผู้แทนภายนอก ประธานและรองประธานมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกสภาทุกสองปีครึ่ง
==== คณะกรรมาธิการ ====
คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) เป็นฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรปและรับผิดชอบต่อการริเริ่มกฎหมายและการดำเนินงานวันต่อวันของสหภาพยุโรป คณะกรรมาธิการฯ ยังถูกมองว่าเป็นผู้สั่งการบูรณาการยุโรป คณะกรรมาธิการฯ ดำเนินการราวกับเป็นการปกครองระบบรัฐสภา โดยมีกรรมาธิการ 27 คนสำหรับขอบเขตนโยบายต่าง ๆ มาจากรัฐสมาชิกรัฐละหนึ่งคน แต่กรรมาธิการถูกผูกมัดให้ดูแลผลประโยชน์ของสหภาพยุโรปโดยรวมมากกว่าของรัฐบ้านเกิดของตน
กรรมาธิการคนหนึ่งจาก 27 คนเป็นประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (คนปัจจุบันคือ ฌอง-โคลด ยุงเคอร์) มาจากการแต่งตั้งของที่ประชุมยุโรป รองจากประธาน กรรมาธิการคนที่โดดเด่นที่สุดคือ ผู้แทนระดับสูงของสหภาพด้านกิจการต่างประเทศและความมั่นคง ซึ่งโดยตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมาธิการฯ และมาจากการเลือกโดยที่ประชุมยุโรปเช่นกัน แล้วกรรมาธิการอีก 26 คนที่เหลือมาจากการแต่งตั้งของคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปโดยตกลงกับประธานฯ ที่ได้รับเสนอชื่อ กรรมาธิการ 27 คนรวมเป็นองค์กรเดียวอยู่ภายใต้การออกเสียงอนุมัติโดยรัฐสภายุโรป
=== งบประมาณ ===
สหภาพยุโรปตกลงงบประมาณ 120,700 ล้านยูโรสำหรับปี 2550 และ 864,300 ล้านยูโรสำหรับช่วงปี 2550-2556 คิดเป็น 1.10% และ 1.05% สำหรับการพยากรณ์รายได้มวลรวมประชาชาติของอียู-27 สำหรับสองช่วงตามลำดับ ในปี 2503 งบประมาณของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปขณะนั้นคิดเป็น 0.03% ของจีดีพี
ในปี 2553 งบประมาณ 141,500 ล้านยูโร รายการรายจ่ายเดี่ยวใหญ่สุด คือ "ความเชื่อมแน่นและความสามารถแข่งขัน" โดยคิดเป็นประมาณ 45% ของงบประมาณทั้งหมด รองลงมาเป็น "เกษตรกรรม" โดยคิดเป็นประมาณ 31% ของทั้งหมด "การพัฒนาชนบท สิ่งแวดล้อมและการประมง" คิดเป็นประมาณ 11% "การปกครอง" คิดเป็นประมาณ 6% "สหภาพยุโรปที่เป็นหุ้นส่วนโลก" และ "ความเป็นพลเมือง เสรีภาพ ความมั่นคงและความยุติธรรม" คิดเป็นประมาณ 6% และ 1% ตามลำดับ
ศาลผู้สอบบัญชีมีข้อผูกพันตามกฎหมายจัดหา "คำแถลงการประกันในเรื่องความน่าเชื่อถือของบัญชีและความถูกต้องตามกฎหมายและความถูกต้องตามระเบียบของธุรกรรมพื้นเดิม" แก่รัฐสภาและคณะมนตรีฯ ศาลฯ ยังให้ความเห็นและข้อเสนอกฎหมายการเงินและการกระทำต่อต้านการฉ้อฉล รัฐสภาใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจว่าจะอนุมัติการจัดการงบประมาณของคณะกรรมาธิการฯ หรือไม่
ศาลผู้สอบบัญชียุโรปลงนามบัญชีสหภาพยุโรปทุกปีตั้งแต่ปี 2550 และได้แสดงให้เห็นว่าข้อผิดพลาดส่วนมากเกิดขึ้นในระดับชาติ ในรายงานปี 2552 ผู้สอบบัญชีพบว่ารายจ่ายของสหภาพฯ ห้าด้าน เกษตรกรรมและกองทุนความเชื่อมแน่น ได้รับผลกระทบอย่างสำคัญจากข้อผิดพลาด คณะกรรมาธิการยุโรปประเมินในปี 2552 ว่าผลการเงินของความไม่ถูกต้องคิดเป็น 1,863 ล้านยูโร
=== อำนาจหน้าที่ ===
รัฐสมาชิกสหภาพยุโรปคงอำนาจทั้งหมดที่มิได้ถูกมอบอย่างชัดเจนให้สหภาพยุโรป ในบางขอบเขต สหภาพยุโรปมีอำนาจหน้าที่สิทธิ์ขาดเฉพาะ เหล่านี้เป็นพื้นที่ซึ่งรัฐสมาชิกสละความสามารถใด ๆ ในการตรากฎหมาย ในขอบเขตอื่น สหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกมีอำนาจหน้าที่ร่วมกันออกกฎหมาย ขณะที่ทั้งสองฝ่ายสามารถออกกฎหมายได้ แต่รัฐสมาชิกสามารถออกกฎหมายเฉพาะจนถึงขอบเขตที่สหภาพยุโรปไม่มีขอบเขตเท่านั้น ในขอบเขตนโยบายอื่น สหภาพยุโรปสามารถประสานงาน สนับสนุนและส่งเสริมการกระทำของรับสมาชิกเท่านั้น แต่ไม่สามารถตรากฎหมายโดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกฎหมายระดับชาติให้สอดคล้องกันได้
ข้อเท็จจริงว่าขอบเขตนโยบายหนึ่ง ๆ จัดอยู่ในหมวดอำนาจหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นมิได้บ่งชี้เสมอไปว่ามีการใช้วิธีดำเนินการนิติบัญญัติใดในการตรากฎหมายในขอบเขตนโยบายนั้น มีการใช้วิธีดำเนินการนิติบัญญัติต่าง ๆ ในหมวดอำนาจหน้าที่เดียวกัน และแม้แต่ในขอบเขตนโยบายเดียวกัน
การแบ่งอำนาจหน้าที่ในขอบเขตนโยบายต่าง ๆ ระหว่างรัฐสมาชิกและสหภาพฯ แบ่งออกเป็นสามหมวดดังนี้
== เศรษฐกิจ ==
สหภาพยุโรปสถาปนาตลาดเดียวทั่วดินแดนของสมาชิกทั้งหมดซึ่งมีพลเมือง 508 ล้านคน ในปี 2557 สหภาพยุโรปมีจีดีพีรวมกัน 18.640 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างประเทศ (international dollar) คิดเป็นสัดส่วน 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั่วโลกเรียงตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ (PPP) สหภาพยุโรปที่เป็นองค์การการเมืองมีผู้แทนในองค์การการค้าโลก รัฐสมาชิกสหภาพยุโรปมีความมั่งคั่งสุทธิประเมินมากที่สุดในโลก คิดเป็น 30% ของความมั่งคั่งทั่วโลก 223 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างประเทศ
รัฐสมาชิก 19 รัฐเข้าร่วมสหภาพการเงิน เรียก ยูโรโซน ซึ่งใช้เงินตราเดี่ยวคือ ยูโร สหภาพการเงินมีพลเมืองสหภาพยุโรป 338 ล้านคน ยูโรเป็นเงินตราสำรองใหญ่สุดอันดับสองตลอดจนเงินตราที่มีการซื้อขายมากที่สุดอันดับสองของโลกรองจากดอลลาร์สหรัฐ
ในบรรดา 500 บรรษัทใหญ่สุดในโลกวัดตามรายได้ในปี 2553 จำนวนนี้มี 161 บรรษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหภาพยุโรป ในปี 2559 อัตราการว่างงานในสหภาพยุโรปอยู่ที่ 8.9% ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 2.2% และดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ -0.9% ของจีดีพี ค่าจ้างสุทธิต่อปีเฉลี่ยในสหภาพยุโรปอยู่ที่ประมาณ $20,000 ในปี 2558 ซึ่งคิดเป็นประมาณกึ่งหนึ่งของค่าจ้างสุทธิต่อปีเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกา
มีความผันแปรของจีดีพี (พีพีพี) ต่อหัวอย่างสำคัญภายในรัฐสหภาพยุโรปหนึ่ง ๆ ความแตกต่างระหว่างภูมิภาคที่รวยและจนที่สุด (ภูมิภาค NUTS-2 ตามการตั้งชื่อหน่วยดินแดนเพื่อสถิติจำนวน 276 ภูมิภาค) ในปี 2557 มีพิสัยระหว่าง 30% ของค่าเฉลี่ยสมาชิกสหภาพยุโรป 28 รัฐถึง 539% หรือตั้งแต่ 8,200 ถึง 148,000 ยูโร (ประมาณ 9,000 ถึง 162,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
กองทุนโครงสร้างและกองทุนความเชื่อมแน่นกำลังสนับสนุนการพัฒนาภูมิภาคด้อยพัฒนาของสหภาพยุโรป ดินแดนดังกล่าวส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐยุโรปกลางและใต้ หลายกองทุนจัดหาการช่วยเหลือฉุกเฉิน การสนับสนุนสมาชิกผู้สมัครเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศของตนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป (Phare, ISPA, และ SAPARD) และสนับสนุนเครือจักรภพรัฐเอกราช (TACIS) TACIS ปัจจบุนัเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยุโรปเอดทั่วโลก โครงการกรอบการวิจัยและเทคโนโลยีสหภาพยุโรปสนับสนุนการวิจัยที่ดำเนินการโดยกลุ่มจากสมาชิกสหภาพยุโรปทุกประเทศเพื่อมุ่งสู่พื้นที่การวิจัยยุโรปเดียว
=== ตลาดภายใน ===
วัตถุประสงค์แกนกลางดั้งเดิมสองประการของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปคือการพัฒนาตลาดร่วม ซึ่งต่อมากลายเป็นตลาดเดียว และสหภาพศุลกากรระหว่างรัฐสมาชิก ตลาดเดียวเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีซึ่งสินค้า ทุน บุคคลและบริการภายในสหภาพยุโรป และสหภาพศุลกากรซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้บังคับอากรศุลกากรภายนอกร่วมต่อสินค้าทุกชนิดที่เข้าสู่ตลาดดังกล่าว เมื่อสินค้าถูกรับเข้าตลาดแล้วจะไม่มีการเก็บอากรศุลกากร ภาษีเลือกปฏิบัติหรือโควตานำเข้าอีกเมื่อมีการเคลื่อนย้ายภายใน รัฐสมาชิกที่มิใช่สหภาพยุโรป ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ลีชเทินชไตน์และสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมในตลาดเดียวแต่ไม่เข้าร่วมสหภาพศุลกากร การค้ากึ่งหนึ่งในสหภาพยุโรปอยู่ภายใต้กฎหมายซึ่งสหภาพยุโรปปรับปรุงให้สอดคล้องกัน
การเคลื่อนย้ายทุนอย่างเสรีตั้งใจให้อนุญาตการเคลื่อนย้ายการลงทุน เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์และการซื้อหลักทรัพย์ระหว่างประเทศ ก่อนหน้ามีแรงขับสู่สหภาพเศรษฐกิจและการเงิน การพัฒนาข้อกำหนดทุนเป็นไปอย่างเชื่องช้า หลังสนธิสัญญามาสทริชต์ มีหนังสือประชุมคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านเสรีภาพซึ่งถูกละเลยในทีแรกนี้ การเคลื่อนย้ายทุนอย่างเสรีเป็นเอกลักษณ์ถึงขนาดที่มีการให้แก่รัฐที่มิใช่สมาชิกโดยเสมอกัน
การเคลื่อนย้ายบุคคลอย่างเสรีหมายความว่าพลเมืองสหภาพยุโรปสามารถเคลื่อนย้ายอย่างเสรีระหว่างรัฐสมาชิกเพื่ออยู่อาศัย ทำงาน ศึกษาหรือเกษียณในประเทศอื่น การเคลื่อนย้ายดังกล่าวต้องการพิธีรีตรองทางการปกครองและการรับรองคุณสมบัติวิชาชีพจากรัฐอื่นลดลง
การเคลื่อนย้ายบริการและสถานที่ประกอบการอย่างเสรีทำให้บุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระเคลื่อนย้ายระหว่างรัฐสมาชิกเพื่อจัดหาบริการเป็นการชั่วคราวหรือถาวรได้ แม้บริการจะคิดเป็น 60-70% ของจีดีพี แต่กฎหมายในขอบเขตดังกล่าวยังไม่มีการพัฒนาเท่ากับในขอบเขตอื่น ส่วนนี้มีการจัดการโดยมีการผ่านคำสั่งเรื่องบริการในตลาดภายในซึ่งมุ่งเปิดเสรีการจัดหาบริการให้ข้ามพรมแดน ตามสนธิสัญญาฯ การจัดหาบริการให้เป็นเสรีภาพตกค้างซึ่งใช้บังคับได้ต่อเมื่อไม่มีการใช้เสรีภาพอื่น
=== สหภาพการเงิน ===
การสถาปนาเงินตราเดียวยุโรปกลายเป็นวัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในปี 2512 ต่อมาในปี 2535 หลังได้เจรจาโครงสร้างและวิธีดำเนินการของสหภาพเงินตราแล้ว รัฐสมาชิกลงนามสนธิสัญญามาสทริชต์และถูกผูกพันตามกฎหมายให้บรรลุกฎที่มีการตกลงกันซึ่งรวมถึงเกณฑ์บรรจบหากต้องการเข้าร่วมสหภาพการเงิน รัฐที่ต้องการเข้าร่วมจะต้องเข้าร่วมกลไกอัตราแลกเปลี่ยนยุโรปเสียก่อน
ในปี 2542 สหภาพการเงินเริ่มต้น ทีแรกเป็นเงินตราบัญชีโดยมีรัฐสมาชิกสิบเอ็ดรัฐเข้าร่วม ในปี 2545 เงินตราดังกล่าวมีการใช้อย่างสมบูรณ์ เมื่อมีการออกธนบัตรและเหรียญยูโรและเงินตราประจำชาติเริ่มต้นหายไปในยูโรโซน ซึ่งขณะนั้นมีรัฐสมาชิก 12 รัฐ ยูโรโซน (ซึ่งประกอบด้วยรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร) ได้เติบโตเป็น 19 ประเทศนับแต่นั้น
ยูโรและนโยบายการเงินของรัฐที่ใช้ในความตกลงกับสหภาพยุโรปอยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดย ECB เป็นธนาคารกลางสำหรับยูโรโซน ฉะนั้นจึงควบคุมนโยบายการเงินในขอบเขตนั้นโดยมีวาระเพื่อธำรงเสถียรภาพราคา ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของระบบธนาคารกลางยุโรป ซึ่งรวบรวมธนาคารกลางแห่งชาติทั่วทั้งสหภาพยุโรปและมีคณะมนตรีใหญ่ (General Council) เป็นผู้ควบคุม ซึ่งคณะมนตรีใหญ่นี้ประกอบด้วยประธานธนาคารกลางยุโรปที่มาจากการแต่งตั้งของที่ประชุมยุโรป รองประธานธนาคารกลางยุโรปและผู้ว่าการธนาคารกลางประจำชาติของรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 รัฐ
ระบบการควบคุมดูแลการเงินยุโรปเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างของโครงการควบคุมดูแลการเงินของสหภาพยุโรป ประกอบด้วยสามหน่วยงาน ได้แก่ การธนาคารยุโรป การประกันภัยและบำนาญอาชีพยุโรป และการหลักทรัพย์และตลาดยุโรป ในการเติมเต็มกรอบนี้ ยังมีคณะกรรมการความเสี่ยงเป็นระบบยุโรป (European Systemic Risk Board) ภายใต้ความรับผิดชอบของธนาคารกลางยุโรป จุดมุ่งหมายของระบบควบคุมการเงินนี้คือเพื่อประกันเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป
เพื่อป้องกันรัฐที่เข้าร่วมมิให้เผชิญปัญหาหรือวิกฤตการเงินหลังเข้าร่วมสหภาพการเงิน รัฐถูกผูกพันในสนธิสัญญามาสทริชต์ในบรรลุข้อผูกพันการเงินและวิธีดำเนินการที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อแสดงวินัยงบประมาณและการบรรจบทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนระดับสูง ตลอดจนการหลีกเลี่ยงการขาดดุลภาครัฐมากเกินและจำกัดหนี้สาธารณะที่ระดับยั่งยืน
=== พลังงาน ===
ในปี 2549 รัฐสมาชิกสหภาพยุโรป 27 รัฐมีการบริโภคพลังงานในแผ่นดินทั้งสิ้น 1,825 ล้านตันเทียบเท่าน้ำมัน (toe) ประมาณ 46% ของพลังงานที่บริโภคมีการผลิตภายในรัฐสมาชิก ขณะที่อีก 54% มาจากการนำเข้า ในสถิติเหล่านี้ พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นพลังงานหลักที่ผลิตในสหภาพยุโรป โดยไม่คำนึงถึงแหล่งยูเรเนียม ซึ่งมีการผลิตในสหภาพยุโรปน้อยกว่า 3%
สหภาพยุโรปมีอำนาจนิติบัญญัติในขอบเขตนโยบายพลังงานเป็นส่วนใหญ่ของประวัติศาสตร์ นโยบายดังกล่าวมีเหง้าในประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป การริเริ่มนโยบายพลังงานยุโรปแบบบังคับและครอบคุลมมีการอนุมัติในการประชุมที่ประชุมยุโรปในเดือนตุลาคม 2548 และมีการพิมพ์เผยแพร่นโยบายฉบับร่างนโยบายแรกในเดือนมกราคม 2550
สหภาพยุโรปมีห้าจุดหลักในนโยบายพลังงาน ได้แก่ เพิ่มการแข่งขันในตลาดภายใน ส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นความเชื่อมโยงระหว่างสายไฟฟ้า ทำให้หลากหลายซึ่งทรัพยากรพลังงานโดยมีระบบสนองวิกฤตที่ดีขึ้น สถาปนาโครงสนธิสัญญาใหม่สำหรับความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศรัสเซียขณะที่พัฒนาความสัมพันธ์กับรัฐที่อุดมไปด้วยพลังงานในเอเชียกลางและแอฟริกาเหนือ ใช้อุปสงค์พลังงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นขณะที่เพิ่มการพาณิชย์พลังงานหมุนเวียน และสุดท้ายเพิ่มเงินทุนสำหรับเทคโนโลยีพลังงานใหม่
ในปี 2550 ประเทศสหภาพยุโรปทั้งหมดนำเข้า 82% ของอุปทานน้ำมัน 57% ของอุปทานแก๊สธรรมชาติ และ 97.48% ของอุปทานยูเรเนียม มีการพึ่งพาพลังงานรัสเซียอย่างมากซึ่งสหภาพยุโรปกำลังพยายามลด
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรป
* เว็บไซต์ของผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรปประจำประเทศไทย
* เว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการยุโรป ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
* Thaieurope.net เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์รวมข่าวสารของสหภาพยุโรป จัดทำโดยหน่วยราชการไทยในยุโรป ประสานงานโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์
หมวดหมู่:ระบบการเมือง
หมวดหมู่:ระบอบสหพันธรัฐ
หมวดหมู่:บรัสเซลส์
หมวดหมู่:องค์การที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ |
2066 | https://th.wikipedia.org/wiki/เอดินบะระ | เอดินบะระ | เอดินบะระ (; ; บางคนอ่าน/เขียนผิดเป็น: เอดินเบิร์ก) เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของสก็อตแลนด์รองจากเมืองกลาสโกว์ และเป็นเมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ และเป็นหนึ่งใน 32 เขตการปกครองของสกอตแลนด์
เอดินบะระได้รับการยอมรับเป็นเมืองหลวงของสกอตแลนด์ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นที่ทำการของรัฐบาลสกอตแลนด์, รัฐสภาสกอตแลนด์ และศาลสูงสุดสกอตแลนด์ ภายในเมืองเป็นที่ตั้งของพระราชวังฮอลีรูด ซึ่งเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของกษัตริย์อังกฤษในดินแดนสกอตแลนด์ นครเอดินบะระเป็นศูนย์กลางของการศึกษา โดยเฉพาะด้านแพทยศาสตร์และวรรณกรรม ถือเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงินอันดับสามในสหราชอาณาจักร (รองจากกรุงลอนดอนและเมืองกลาสโกว์) ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองดึงดูดผู้คนมากมายมาเยี่ยมชมแห่งนี้ และเป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนเป็นอันดับของในสหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 2016 มีชาวต่างชาติมาเยือนกว่า 1.75 ล้านคน
เอดินบะระเป็นเมืองมากประชากรเป็นอันดับสองของสกอตแลนด์ (รองจากกลาสโกว์) และเป็นเมืองมากประชากรเป็นอันดับแปดในสหราชอาณาจักร มีประชากรตามทะเบียนราษฎร 488,050 คน (ค.ศ. 2016) เฉพาะท้องที่เอดินบะระ
เอดินบะระยังเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองเป็นมิตรกับเด็ก" เนื่องจากภายในเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับเด็กมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์วัยเด็กและเรื่องเล่าของผู้คน (Museum of Childhood and People’s Story) สวนสัตว์ที่มีศูนย์การศึกษาที่เคลื่อนไหวได้จริง (Dynamic Education Centre) โลกแห่งผีเสื้อและแมลง (Butterfly & Insect World) และโลกทะเลลึก (Deep Sea World) เป็นต้น
== ศัพท์มูลวิทยา ==
คำว่า เอดิน มีรากศัพท์มาจากชื่อ ไอดิน (Eidyn) ซึ่งเป็นชื่อบริเวณที่ตั้งของเมืองในปัจจุบัน คำดังกล่าวเป็นคำในกลุ่มภาษาเคลต์บริติชซึ่งเป็นภาษาที่เคยพูดกันพื้นที่แถบนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลว่าคำดังกล่าวมีความหมายอะไร พื้นที่ไอดินถูกพิชิตโดยชาวแองเกิลในคริสต์ศตวรรษที่ 7 และต่อมาถูกพิชิตโดยชาวสกอตในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ต่อมาเมื่อภาษาได้พัฒนาการเป็นภาษาสมัยใหม่ ได้มีการเติมคำว่า บระ (burh) และต่อมาจึงเพี้ยนเป็น เอดินบะระ (Edinburgh)
== ภูมิอากาศ ==
เอดินบะระมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร เหมือนกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของสกอตแลนด์
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* มหาวิทยาลัยเอดินบะระ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Edinburgh Tourist Information ข้อมูลท่องเที่ยวเอดินบะระ
* City of Edinburgh Council สภาเมืองเอดินบะระ
หมวดหมู่:นครในสหราชอาณาจักร
หมวดหมู่:พื้นที่สภาของสกอตแลนด์
หมวดหมู่:เมืองหลวงในทวีปยุโรป
หมวดหมู่:เมืองหลวงในสหราชอาณาจักร
หมวดหมู่:เมืองในสกอตแลนด์
หมวดหมู่:สันนิบาตฮันเซอ
หมวดหมู่:แหล่งมรดกโลกในประเทศสกอตแลนด์ |
2069 | https://th.wikipedia.org/wiki/สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | | image_flag = ASEAN Flag.svg
| flag_type = ธง
| image_symbol = Seal of ASEAN.svg
| symbol_type = ตรา
| motto = "One Vision, One Identity, One Community"(หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม)
| image_map = Association of Southeast Asian Nations (orthographic projection).svg
| map_width = 220px
| map_caption =
| admin_center_type = สำนักงานใหญ่
| admin_center = จาการ์ตา, อินโดนีเซีย
| largest_settlement = จาการ์ตา, อินโดนีเซีย
| latd = 6 | latm = 12 | latNS = S
| longd = 106 | longm = 49 | longEW = E
| languages_type = ภาษาทางการ
| languages = ภาษาอังกฤษ
|languages2_type=ภาษาราชการของประเทศสมาชิก
|languages2=
| membership_type = รัฐสมาชิก
| membership =
| ethnic_groups = | ethnic_groups_year =
| leader_title1 =
| leader_name1 = เกา กึมฮวน
| leader_title2 = ประธานอาเซียน
| leader_name2 =
| established_event1 =
| established_date1 = 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510
| established_event2 = รับสมาชิกล่าสุด
| established_date2 = 30 เมษายน พ.ศ. 2542
| established_event3 = กฎบัตรอาเซียน
| established_date3 = 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551
| area_magnitude = 1 E+12
| area_km2 = 4,522,518
| area_sq_mi = 1,712,602
| percent_water =
| population_estimate = 667,393,019
| GDP_PPP_year = 2021
| GDP_PPP_per_capita = $13,475
| footnote_b = Calculated using UNDP data from member states.
| footnote_c = If considered as a single entity.
| footnote_d = Selected key basic ASEAN indicators
| footnote_e = Annual growth 1.6%
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ () หรือ อาเซียน (ASEAN) เป็นองค์การทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ไทย บรูไน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย อาเซียนมีพื้นที่ราว 4,479,210 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 625 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2553 จีดีพีของประเทศสมาชิกรวมกันคิดเป็นมูลค่าราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นลำดับที่ 9 ของโลกเรียงตามจีดีพี อาเซียนมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ
อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการลงนามใน ปฏิญญากรุงเทพฯ อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติ หลังจาก พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศในปัจจุบัน กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น
เขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วยสามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558
== ประวัติ ==
=== สมาคมอาสาและปฏิญญากรุงเทพ ===
การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum)
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ได้ร่วมกันจัดตั้ง สมาคมอาสา (ASA, Association of South East Asia) ขึ้นเพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย จนเมื่อทั้งสองประเทศฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" และถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510
=== รัฐสมาชิก ===
thumbnail|alt=a map
ทำเนียบเลขาธิการอาเซียน ที่[[ประเทศอินโดนีเซีย]]
สำนักเลขาธิการอาเซียนก่อตั้งขึ้นโดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอาเซียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2519 ในตอนนั้นตั้งอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย สำนักเลขาธิการอาเซียนแห่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ 70A Jalan Sisingamangaraja กรุงจาการ์ตา ซึ่งซูฮาร์โต ประธานาธิบดีอินโดนีเซียขณะนั้น ก่อตั้งในปี 2524
หน้าที่หลักของสำนักเลขาธิการอาเซียนคือเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานขององค์กรอาเซียน และให้การนำโครงการและกิจกรรมของอาเซียนไปปฏิบัติมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
=== เลขาธิการ ===
เลขาธิการอาเซียนได้รับแต่งตั้งโดยการประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นระยะเวลาดำรงตำแหน่งห้าปี สมัยเดียว โดยเลือกมาจากผู้มีสัญชาติรัฐสมาชิกอาเซียนตามลำดับพยัญชนะภาษาอังกฤษ
เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน คือ เกา กึมฮวน ชาวกัมพูชา ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2566-2570
==ผู้นำคนปัจจุบันในอาเซียน==
ไฟล์:Hun Manet in Australia on March 5, 2024.jpg| กัมพูชา นายกรัฐมนตรี ฮุน มาแณต
ไฟล์:PM Paetongtarn of Thailand (2024) (cropped-4).jpg| ไทย นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร
ไฟล์:Sultan Hassanal Bolkiah - 53810840215.jpg| บรูไน สุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์
ไฟล์:Мин Аун Хлайн в Татарстане 04 (25-06-2021) (cropped 2).jpg| พม่า นายกรัฐมนตรี มี่นอองไลง์
ไฟล์:Bongbong Marcos 20240730 crop.jpg| ฟิลิปปินส์ประธานาธิบดี บองบอง มาร์กอส
ไฟล์:PM of Malaysia Anwar Ibrahim meeting with PM of Japan Fumio Kishida (2024) (cropped).jpg| มาเลเซียนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม
ไฟล์:Sonexay Siphandone in Indonesia.jpg| ลาวนายกรัฐมนตรี สอนไซ สีพันดอน
ไฟล์:Phạm Minh Chính (2024-07-02).jpg| เวียดนามนายกรัฐมนตรี ฝั่ม มิญ จิ๊ญ
ไฟล์:Lawrence Wong in 2024 (cropped).jpg| สิงคโปร์นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง
ไฟล์:Prabowo Subianto 2024 official portrait.jpg| อินโดนีเซียประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต
== ประชาคมเศรษฐกิจ ==
กลุ่มอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในภูมิภาค อันประกอบด้วย "หลักสามประการ" ของความมั่นคง สังคมวัฒนธรรมและการรวมตัวทางเศรษฐกิจ ประชาคมเศรษฐกิจดังกล่าวจะมีประชากรรวมกัน 560 ล้านคน และมูลค่าการค้ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
=== เขตการลงทุนร่วม ===
เขตการลงทุนร่วมมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนหมุนเวียนภายในอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยหลักการดังต่อไปนี้:
* เปิดให้อุตสาหกรรมทุกรูปแบบเกิดการลงทุนและลดขั้นตอนตามกำหนดการ
* ทำสัญญากับผู้ลงทุนในกลุ่มอาเซียนที่เขามาลงทุนในทันที
* กำจัดการกีดขวางทางการลงทุน
* ปรับปรุงกระบวนการและระเบียบการลงทุนให้เกิดความคล่องตัว
* สร้างความโปร่งใส
* ดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกในการลงทุน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากเขตการลงทุนร่วมจะเป็นการกำจัดการกีดกันในกิจการเกษตรกรรม การประมง การป่าไม้และการทำเหมืองแร่ ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายในปี พ.ศ. 2553 สำหรับประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนเป็นส่วนใหญ่ และคาดว่าจะสำเร็จในปี พ.ศ. 2558 สำหรับประเทศกัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม ภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าว รัฐสมาชิกของกลุ่มอาเซียนจะสามารถประสบความสำเร็จในการเจรจาอย่างเสรีในด้านการแลกเปลี่ยนบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันมากขึ้น ผลของการเจรจาการแลกเปลี่ยนบริการซึ่งได้เริ่มดำเนินการตามหมายกำหนดการเป็นรายเฉพาะจะถูกรวมเข้ากับกรอบข้อตกลง ซึ่งหมายกำหนดการดังกล่าวมักจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มการแลกเปลี่ยนบริการ ในปัจจุบัน พบว่ามีกลุ่มการแลกเปลี่ยนบริการจำนวนเจ็ดกลุ่มภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าว
=== ตลาดการบินเดียว ===
แนวคิดเรื่องตลาดการบินเดียวเป็นความคิดเห็นที่เสนอโดยกลุ่มงานขนส่งทางอากาศอาเซียน ได้รับการสนับสนุนในการประชุมการขนส่งอย่างเป็นทางการของอาเซียน และได้รับการอนุมัติโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคมของรัฐสมาชิก ซึ่งจะนำไปสู่การจัดระเบียบน่านฟ้าเปิดในภูมิภาคภายในปี พ.ศ. 2558 โดยตลาดการบินเดียวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการคมนาคมทางอากาศระหว่างรัฐสมาชิกเป็นไปอย่างเสรี ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มอาเซียนจากการเติบโตของการเดินทางทางอากาศในปัจจุบัน และยังเป็นการเพิ่มการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนและการบริการให้กับรัฐสมาชิกทั้งหมด เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ข้อจำกัดเสรีภาพทางอากาศที่สามและที่สี่ระหว่างเมืองหลวงของรัฐสมาชิกสำหรับบริการสายการบินจะถูกยกเลิก ในขณะที่หลังจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 จะมีเสรีภาพบริการการบินในภูมิภาค
=== ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ===
อาเซียนได้เปิดการค้าเสรีกับประเทศภายนอกหลายประเทศ ทั้งจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และล่าสุด อินเดีย ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศจีนได้สร้างเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ในปัจจุบัน อาเซียนนั้นกำลังเจรจากับสหภาพยุโรปในการที่จะทำการค้าเสรีด้วยกัน ผลดีของข้อตกลงนั้น คือการเปิดโอกาสการค้าของอาเซียน ให้มีศักยภาพและขยายตัวมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนจากต่างชาติด้วย ไต้หวันยังแสดงความสนใจที่จะทำข้อตกลงกับอาเซียน แต่ได้รับการคัดค้านทางการทูตจากประเทศจีน
== ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ==
เมื่อก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 ประเด็นปัญหาเริ่มมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยกลุ่มประเทศสมาชิกได้เริ่มเจรจากันถึงข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึง การลงนามในความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ในปี พ.ศ. 2545 ในความพยายามที่จะจำกัดขอบเขตของมลภาวะฟ้าหลัวในเขตพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทว่าในพื้นที่ก็ยังเกิดปัญหาฟ้าหลัวในประเทศมาเลเซีย ในปี พ.ศ. 2548 และปัญหาฟ้าหลัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2549 ส่วนสนธิสัญญาฉบับอื่นที่ได้รับการลงนามโดยสมาชิกอาเซียนได้แก่ ปฏิญญาเซบูว่าด้วยความมั่นคงทางพลังงานเอเชียตะวันออก เครือข่ายกำกับดูแลสัตว์ป่าอาเซียนในปี พ.ศ. 2549 และ หุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการพัฒนาความสะอาดและสภาพอากาศ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อปรากฏการณ์โลกร้อน และผลกระทบทางด้านลบต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ใน พ.ศ. 2550 ปฏิญญาเซบูว่าด้วยความมั่นคงทางพลังงานเอเชียตะวันออก ซึ่งลงนามในกลุ่มอาเซียน ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยการหาพลังงานทางเลือกเพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์
== ความร่วมมือทางวัฒนธรรม ==
ความร่วมมือทางวัฒนธรรมนั้น มีจุดประสงค์เพื่อที่จะช่วยสร้างภาพรวมในด้านต่าง ๆให้ดีขึ้น โดยการให้การสนับสนุน ทั้งการกีฬา การศึกษา และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ความร่วมมือต่าง ๆ ดังนี้
=== รางวัลซีไรต์ ===
ได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เพื่อมอบรางวัลแก่นักประพันธ์หรือนักเขียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้สร้างผลงานที่ดีมีชื่อเสียง ที่ประสบความสำเร็จในช่วงชีวิตของนักเขียนนั้น ๆ ผลงานนั้นเป็นผลงานเขียนทุกประเภท ทั้งวรรณกรรมต่าง ๆ เรื่องสั้น กลอน รวมไปถึงผลงานทางศาสนา ซึ่งจะมีการจัดงานที่กรุงเทพมหานคร โดยมีเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ไทยเป็นผู้พระราชทานรางวัล
=== การศึกษา ===
สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงแห่งอาเซียน เป็นองค์การเอกชนที่จัดตั้งขึ้น ในปี พ.ศ. 2499 เพื่อที่จะพัฒนาระดับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ทั้งสถาบันการศึกษาระดับสูง การสอน การบริการสาธารณะที่ดีได้มาตรฐานที่สูงขึ้น โดยสอดคล้องไปกับวัฒนธรรมและพื้นที่นั้น ๆ
=== อุทยานมรดก ===
ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 และเริ่มใหม่อีกรอบในปี พ.ศ. 2547 เป็นการรวมรายชื่อของอุทยานแห่งชาติทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดประสงค์ที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมป่าไม้ ปัจจุบันมีรวมทั้งหมด 35 แห่ง
== การประชุม ==
=== การประชุมสุดยอดอาเซียน ===
ป้ายประกาศในกรุงจาการ์ตาต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 18
ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนได้จัดการประชุมขึ้น เรียกว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งหัวหน้ารัฐบาลแต่ละประเทศสมาชิกจะมาอภิปรายและแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมไปถึงการจัดการประชุมร่วมกับประเทศนอกกลุ่มสมาชิกเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งแรกจัดขึ้นที่จังหวัดบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ. 2519 จากผลของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่สาม ณ กรุงมะนิลา ในปี พ.ศ. 2530 สรุปว่าผู้นำประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนควรจะจัดการประชุมขึ้นทุกห้าปี อย่างไรก็ตาม ผลของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งต่อมาที่ประเทศสิงคโปร์ ในปี พ.ศ. 2535 ได้เสนอให้จัดการประชุมให้บ่อยขึ้น และได้ข้อสรุปว่าจะมีการจัดการประชุมสุดยอดขึ้นทุกสามปีแทน
การประชุมอาเซียนอย่างเป็นทางการมีกำหนดการสามวัน ดังนี้
* ผู้นำของรัฐสมาชิกจะจัดการประชุมภายใน
* ผู้นำของรัฐสมาชิกจะหารือร่วมกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในที่ประชุมกลุ่มอาเซียน
* การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียนบวกสาม" ผู้นำรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยจัดขึ้นพร้อมกับการประชุมสุดยอดอาเซียน
* การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียน-เซอร์" ผู้นำรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับผู้นำออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
=== การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ===
ประเทศผู้เข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก:
การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกเป็นการจัดการประชุมทั่วเอเชียซึ่งจัดขึ้นทุกปีโดยผู้นำเอเชียตะวันออก 16 ประเทศ หัวข้อการประชุมนั้นเกี่ยวกับการค้า พลังงานและความมั่นคง และการประชุมสุดยอดดังกล่าวยังมีบทบาทในการสร้างประชาคมภูมิภาค
ประเทศผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ชาติอาเซียน 10 ประเทศร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งมีประชากรรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 รัสเซียและสหรัฐอมริกาได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศเข้าร่วมการประชุมสุดยอดใน พ.ศ. 2554
การประชุมสุดยอดครั้งแรกจัดขึ้นในกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2548 และการประชุมครั้งต่อ ๆ มาถูกจัดขึ้นหลังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนประจำปี
=== การประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรี ===
การประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นการประชุมระหว่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างชาติอาเซียน ถูกจัดตั้งขึ้นเนื่องในวาระครบรอบการก่อตั้งความสัมพันธ์ทางการทูต ประเทศนอกกลุ่มอาเซียนจะเป็นผู้เชิญชวนผู้นำชาติอาเซียนเพื่อประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรีและความร่วมมือในอนาคต
=== ที่ประชุมกลุ่มอาเซียน ===
ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนเป็นการประชุมหลายฝ่ายอย่างเป็นทางการในภาคพื้นแปซิฟิก ในเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ประชุมดังกล่าวประกอบด้วย ประเทศสมาชิก 27 ประเทศ; ออสเตรเลีย บังกลาเทศ แคนาดา สาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพยุโรป อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ มองโกเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี รัสเซีย ติมอร์-เลสเต สหรัฐ และศรีลังกา จุดประสงค์ของที่ประชุมเพื่อการปรึกษาหารือ นำเสนอความไว้วางใจและธำรงความสัมพันธ์ทางการทูตในกลุ่มสมาชิก ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนจัดการประชุมครั้งแรกในปี 2537
=== การประชุมอื่น ===
นอกเหนือจากการประชุมที่กล่าวมาข้างต้น อาเซียนยังได้มีการจัดการประชุมอื่นขึ้นอีก ประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนประจำปี รวมไปถึงคณะกรรมการย่อย อย่างเช่น ศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมดังกล่าวมักจะมีหัวข้อการประชุมที่เฉพาะเจาะจง อย่างเช่น ความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมประชุมจะเป็นรัฐมนตรีแทนที่จะเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลทั้งหมด
==== การประชุมอาเซียนบวกสาม ====
ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลักดันให้จัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เกาหลีใต้ก็ได้ผลักดันให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออก ด้วยการผนึกสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เข้ากับกลุ่มประเทศอาเซียนที่เรียกชื่อว่า "อาเซียนบวกสาม" (APT) แต่สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินหน้าจัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน โดยกีดกันญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วยความจงใจ แม้ว่าตามข้อตกลงในการจัดซื้อเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน จะมีแผนที่จะผนวกเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเข้ามาในภายหลังเพื่อเป็นอาเซียนบวกสาม แต่มิได้กำหนดเงื่อนเวลาอันแน่นอน อันทำให้เขตการค้าเสรีอาเซียนบวกสาม
==== การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ====
การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรปเป็นกระบวนการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ มีขึ้นครั้งแรกในปี 2538 เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาชิกของสหภาพยุโรปและอาเซียน โดยกลุ่มอาเซียนจะส่งเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมร่วมกับผู้แทนอีก 45 คน และได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะผู้บริหารของมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือกันทางด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างเอเชียกับยุโรป
==== การประชุมอาเซียน-รัสเซีย ====
เป็นการประชุมประจำปีระหว่างผู้นำของประเทศกลุ่มอาเซียนร่วมกับประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซีย
==== การประชุมทางทหารของอาเซียน ====
การประชุมทางทหารของอาเซียน ประกอบไปด้วยหลายส่วน ประกอบไปด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ รวมไปถึงกิจกรรมทางทหารอื่น ๆ ภายในกองทัพของกลุ่มประเทศอาเซียน
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
;เกี่ยวกับอาเซียน
* ASEAN News Network
* ASEAN Blog
* ASEAN Regional Forum
* BBC Country Profile/Asean Retrieved on 13 March 2007.
;การประชุมสุดยอดอาเซียน
* 14th ASEAN Summit
* 13th ASEAN Summit Retrieved on 16 September 2007.
* 11th ASEAN Summit 12 December-14, 2005, Kuala Lumpur, Malaysia. Retrieved on 13 March 2007.
;องค์กรอาเซียน
* Official directory of ASEAN organizations
* ASEAN Law Association
* ASEAN Ports Association
* US-ASEAN Business Council
หมวดหมู่:องค์การระหว่างรัฐบาล
หมวดหมู่:เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หมวดหมู่:จาการ์ตา |
2074 | https://th.wikipedia.org/wiki/เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อุษาคเนย์ หรือ เอเชียอาคเนย์ เป็นอนุภูมิภาคของทวีปเอเชีย ประกอบด้วยประเทศต่าง ๆ ซึ่งทิศเหนือติดจีน ทิศตะวันตกติดอินเดีย ทิศตะวันออกติดปาปัวนิวกินี และทิศใต้ติดออสเตรเลีย ภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาคเดียวในทวีปเอเชียที่มีอาณาเขตบางส่วนอยู่ในซีกโลกใต้ ทั้งนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งเป็นสองภาคภูมิศาสตร์ ได้แก่
# เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ รู้จักกันในชื่อ คาบสมุทรอินโดจีน และในอดีตว่า อินโดจีน ได้แก่ ประเทศกัมพูชา, ลาว, พม่า, มาเลเซียตะวันตก, ไทย และเวียดนาม
# เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร รู้จักกันในชื่อ กลุ่มเกาะมลายู และในอดีตว่า นูซันตารา ได้แก่ หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ (อินเดีย), บรูไน, มาเลเซียตะวันออก, ติมอร์ตะวันออก, อินโดนีเซีย (ยกเว้นนิวกินีตะวันตกที่อยู่ในโอเชียเนีย), ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
ภูมิภาคนี้อยู่บนรอยต่อของแผ่นทวีปหลายแผ่นที่ยังมีการไหวสะเทือนรุนแรงและการปะทุของภูเขาไฟอยู่ต่อเนื่อง ทั้งนี้แผ่นที่สำคัญคือแผ่นซุนดาซึ่งมีอาณาเขตอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยกเว้น พม่า ภาคเหนือของไทย ทางเหนือของลาวและเวียดนาม และเกาะลูซอนของฟิลิปปินส์ เทือกเขาในพม่า ไทยและคาบสมุทรมาเลเซียเป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาแอลป์-หิมาลัย ส่วนหมู่เกาะของฟิลิปปินส์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนไฟ ส่วนประเทศอินโดนีเซียเป็นจุดที่แนวเทือกเขาทั้งสองมาเจอกันจึงทำให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟประทุบ่อยครั้ง
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่ 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็น 10.5% ของทวีปเอเชียและคิดเป็น 3% ของพื้นที่โลก มีประชากรรวมมากกว่า 641 ล้านคนหรือประมาณ 8.5% ของประชากรโลก ทำให้เป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของเอเชียรองจากเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก ทั้งนี้ 10 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ร่วมเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นการร่วมมือกันในภาคเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร การศึกษาและวัฒนธรรมในหมู่สมาชิก
ภูมิภาคนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติเป็นอย่างมากโดยมีภาษากว่าร้อยภาษาตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ นับตั้งแต่อดีต ภูมิภาคนี้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย, จีน, มุสลิม และการตกเป็นอาณานิคมซึ่งกลายเป็นส่วนประกอบหลักของสถาบันทางวัฒนธรรมและการเมืองของภูมิภาค ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันล้วนตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจในยุโรป การล่าอาณานิคมของยุโรปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานจากดินแดนต่าง ๆ ที่พิชิตมา และมีความพยายามที่จะขยายความยิ่งใหญ่ไปยังภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ หลายประเทศยังถูกปกครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผลพวงของสงครามทำให้ภูมิภาคส่วนใหญ่ได้รับการปลดแอกจากเป็นอาณานิคม ปัจจุบัน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปกครองในรูปแบบรัฐอิสระเป็นหลัก
== เขตรัฐกิจ ==
[[ภูเขาไฟมายอน ในประเทศฟิลิปปินส์]]
ในทางภูมิศาสตร์ หมู่เกาะมลายูเป็นหนึ่งในบริเวณที่มีภูเขาไฟมีพลังมากที่สุดในโลก ผืนดินที่ยกตัวขึ้นในบริเวณนี้ทำให้เกิดภูเขาที่สวยงามอย่างยอดเขาปุนจักจายาที่จังหวัดปาปัวในอินโดนีเซีย ความสูงถึง 5,030 เมตร (16,024 ฟุต) บนเกาะนิวกินี อีกทั้งยังเป็นสถานที่เดียวที่สามารถพบธารน้ำแข็งได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่บริเวณที่สูงเป็นอันดับสองอย่างยอดเขากีนาบาลูในรัฐซาบะฮ์ของมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียว ซึ่งมีความสูง 4,095 เมตร (13,435 ฟุต) ภูเขาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือยอดเขาคากาโบราซี โดยมีความสูงถึง 5,967 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพม่า และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ขณะเดียวกันอินโดนีเซียนั้นถูกจัดว่าเป็นหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (จัดโดย CIA World Factbook)
ภูเขาไฟมีพลังอย่างภูเขาไฟมายอนเป็นเจ้าของสถิติกรวยไฟที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกที่เกิดจากการปะทุตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
=== ทำเลที่ตั้งและอาณาเขต ===
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ทางซีกโลกตะวันออกและทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย โดยทิศเหนือติดกับประเทศจีน ทิศตะวันออกติดมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย และทิศตะวันตกติดประเทศอินเดียและบังคลาเทศ โดยตั้งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 10 องศาใต้ถึงละติจูดที่ 28 องศาเหนือ และระหว่างลองจิจูดที่ 92 องศาตะวันออกถึง 141 องศาตะวันตก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยแบ่งตามภูมิศาสตร์คือ ส่วนที่เป็นภาคพื้นทวีป และส่วนที่เป็นหมู่เกาะ
ส่วนที่เป็นภาคพื้นทวีปเป็นพื้นแผ่นดินใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย และอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยประเทศไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา บางส่วนของประเทศมาเลเซีย ส่วนที่เป็นหมู่เกาะ ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ บางส่วนของประเทศมาเลเซีย และติมอร์-เลสเต
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แบ่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกออกจากกัน มีช่องแคบ 4 แห่ง ได้แก่ ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา ช่องแคบลอมบอก และช่องแคบมากัสซาร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างทวีปเอเชีย และทวีปออสเตรเลีย
=== ภูมิประเทศ ===
ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งได้ดังนี้
* บริเวณทิวเขาและที่ราบลาดเนินตะกอนเชิงเขา ทิวเขาภายในแผ่นดินใหญ่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ แผ่กระจายออกมาจากชุมเขายูนนาน โดยมี 3 แนว ได้แก่ แนวทิศตะวันตก คือ ทิวเขาอะระกันในพม่าต่อเนื่องไปในทะเลอันดามัน เป็นภูเขาหินใหม่จึงมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แนวกลางเป็นทิวเขาด้านทิศตะวันออกของพม่าต่อเนื่องลงไปถึงภาคเหนือของไทยจนถึงภาคใต้ แนวทิศตะวันออก คือ ทิวเขาในลาวและเวียดนาม ทิวเขาตามแนวกลางและตะวันออกเป็นภูเขายุคหินกลางจึงไม่มีปรากฏการณ์อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเหมือนแนวทิศตะวันตก
* บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ พบอยู่สองฝั่งของแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ราบสำคัญได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดีในพม่า ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในไทย ที่ราบลุ่มแม่น้ำแดงของเวียดนาม ที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงในประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ส่วนที่ราบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่สำคัญ เช่น ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำอิรวดี เป็นต้น
* ที่ราบชายฝั่งทะเล ได้แก่ บริเวณที่เป็นหาดทรายที่เกิดจากการทับถมของทรายจากการกระทำของคลื่นในทะเล บริเวณที่เป็นดินเลนซึ่งมักจะพบป่าไม้ เช่น ป่าโกงกาง ป่าจาก เป็นต้น พบได้ทั่วไปในทุกประเทศของภูมิภาค ยกเว้นประเทศลาวซึ่งเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ไม่มีที่ราบชายฝั่งทะเล เพราะไม่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเล)
* หมู่เกาะ ส่วนใหญ่เป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟ ทั้งที่ยังมีพลังและที่ดับสนิทแล้ว ต่อเนื่องมาจากทิศตะวันตกในแผ่นดินประเทศพม่า ลงไปเป็นหมู่เกาะอันดามัน นิโคบาร์ สุมาตรา ชวา ในอินโดนีเซีย และหมู่เกาะในฟิลิปปินส์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยเกาะขนาดใหญ่และขนาดเล็กมากมาย ประเทศที่มีเกาะจำนวนมาก ได้แก่ อินโดนีเซีย ซึ่งมีเกาะมากกว่า 17,000 เกาะ ประเทศฟิลิปปินส์มีเกาะประมาณ 7,000 เกาะ เนื่องจากดินในเขตภูเขาไฟจะมีความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้แถบนี้มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แม้จะต้องเสี่ยงต่อการปะทุของภูเขาไฟและแผ่นดินไหว
=== ภูมิอากาศ ===
up[[นาฏศิลป์หลวงของกัมพูชา (กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2010)]]
ศิลปกรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แตกต่างจากภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่แล้วการร่ายรำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักประกอบด้วยการเคลื่อนไหวของมือและเท้าตามอารมณ์และความหมายที่ต้องการสื่อให้ผู้ชมรับรู้ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่นับว่าการรำเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของพวกเขา โดยนาฏศิลป์หลวงของกัมพูชาเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นคริสตศตรรษที่ 7 ก่อนจักรวรรดิขแมร์ที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ค่อนข้างมาก เช่น ระบำอัปสรา การเล่นหุ่นเงาเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีมาอย่างยาวนานถึงกว่าร้อยปีโดยรูปแบบหนึ่งที่รู้จักกันดีคือวายังของอินโดนีเซีย เช่นเดียวกันศิลปกรรมและวรรณกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศก็ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์มานับร้อยปีแล้ว
ชาวไทซึ่งย้ายถิ่นฐานมาในภายหลังได้นำประเพณีจีนบางอย่างเข้ามาด้วย แต่ก็ถูกกลืนไปด้วยประเพณีเขมรและมอญ โดยสิ่งเดียวที่บ่งชี้ได้ว่าพวกเขาเคยรับศิลปกรรมจากจีนมาก่อนคือรูปแบบของวัด โดยเฉพาะหลังคาแบบเรียว
แม้จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามที่ต่อต้านลักษณะศิลปกรรมต่าง ๆ แล้ว แต่อินโดนีเซียก็ยังคงเหลือสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์มากมายไม่ว่าจะเป็นหลักคำสอน, วัฒนธรรม, ศิลปกรรม และวรรณกรรม เช่น วายังกูลิต (หนังตะลุง) และวรรณกรรมอย่างรามายณะ ด้านส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ (ไม่รวมเวียดนาม) การรำและศิลปกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับเทพเจ้าตามความเชื่อของฮินดู ได้ถูกรวมเข้ากับวัฒนธรรมไทย, กัมพูชา, ลาว และพม่า โดยสิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าศิลปกรรมโบราณเขมรและอินโดมีความเกี่ยวโยงกับการพรรณนาเรื่องราวชีวิตของเทพ นอกจากนี้ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเชื่อเรื่องราวชีวิตของเทพว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาทั้งความรื่นเริง, ลักษณะของโลก, การทำนายเรื่องราวที่ยังไม่เกิด
==== ดนตรี ====
left|[[อักษรบาหลีบนใบปาล์ม]]
วัฒนธรรมอินเดียเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ชนพื้นเมืองได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนมาแต่ในอดีต โดยมีรูปแบบที่ปรากฏตระกูลอักษรพราหมี เช่น อักษรบาหลีที่ปรากฏบนใบปาล์ม
การเขียนในรูปแบบนี้ถูกเผยแพร่ออกไปตั้งแต่ก่อนที่กระดาษจะเกิดขึ้นราวประมาณปีที่ 100 ในจีน โดยบนใบปาล์มแต่ละใบจะประกอบด้วยตัวอักษรหลายบรรทัดเขียนไปตามความยาวของใบ และมีการใช้เชือกเรียงไปยังใบอื่น มีการตกแต่งบริเวณที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลาง ตัวอักษรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เป็นแบบอักษรสระประกอบ จนกระทั่งเมื่อมีชาวตะวันตกเข้ามา และมีการผสมผสานอย่างกลมกลืน ไม่ใช่แค่เสียงสระเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรูปแบบเอกสารทางการที่ไม่ใช้กระดาษด้วย ได้แก่ คัมภีร์ทองแดงชวา ซึ่งมีความทนทานมากกว่ากระดาษในสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
== หมายเหตุ ==
== ดูเพิ่ม ==
* สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
* การเสริมสร้างกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ชุลีพร วิรุณหะ. (2557). โลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: รากฐานประวัติศาสตร์. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร. |
2075 | https://th.wikipedia.org/wiki/เขตการค้าเสรีอาเซียน | เขตการค้าเสรีอาเซียน | ข้อตกลงการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เขตการค้าเสรีอาเซียน () หรือ อาฟตา (AFTA) เป็นข้อตกลงทางการค้า สำหรับสินค้าที่ผลิตภายในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อเสนอของอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ท่าน อานันท์ ปันยารชุน เมื่อ พ.ศ. 2535
== หลักการ ==
# เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในฐานะที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อป้อนสินค้าสู่ตลาดโลก โดยอาศัยการเปิดเสรีด้านการค้าและการลดภาษีและอุปสรรคข้อกีดขวางทางการค้าที่มิใช่ภาษี รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าเสรี
# กลไกการลดภาษีที่สำคัญของ AFTA คือระบบ CEPT (Common Effective Preferential Tariff Scheme) ซึ่งกำหนดให้ประเทศสมาชิกให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรแก่กันแบบต่างตอบแทน กล่าวคือ การที่จะได้สิทธิประโยชน์จากการลดภาษีของประเทศอื่นสำหรับสินค้าชนิดใด ประเทศสมาชิกนั้นจะต้องประกาศลดภาษีสำหรับสินค้าชนิดเดียวกันด้วย ทั้งนี้ CEPT ได้กำหนดให้สินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีจะต้องมีสัดส่วนมูลค่าที่เกิดขึ้นในอาเซียน (ASEAN Local Content) อย่างน้อย 40% และสามารถคำนวณวัตถุดิบในอาเซียนแบบสะสม (Cumulative Rules of Origin) โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำของวัตถุดิบเท่ากับ 20%
==ดูเพิ่ม==
* สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
* ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเซีย-แปซิฟิค (เอเปค)
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น==
* ASEAN Free Trade Area page on the Rules of Origin Facilitator, with member countries' status and access to legal documents.
* ASEAN Free Trade Agreement
* เขตการค้าเสรีอาเซียน ที่ห้องสมุดดิจิทัล SchoolNET
หมวดหมู่:สนธิสัญญาในคริสต์ศตวรรษที่ 21
ขเขตการค้าเสรีอาเซียน
ขเขตการค้าเสรีอาเซียน
หมวดหมู่:กฎหมายสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หมวดหมู่:สนธิสัญญาด้านการค้า
หมวดหมู่:สหภาพการเงิน
หมวดหมู่:เขตการค้าเสรี
หมวดหมู่:ความตกลงการค้าเสรีของไทย |
2082 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษากรีก | ภาษากรีก | ภาษากรีก (แบบสมัยใหม่ , ถอดเสียงเป็นโรมัน: Elliniká, แบบโบราณ , Hellēnikḗ) เป็นหนึ่งในภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน พูดในกรีซ ไซปรัส แอลเบเนีย และส่วนอื่นของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกและทะเลดำ เป็นภาษาที่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดในกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน โดยมีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรย้อนกลับไปเมื่อราว 3,400 ปีก่อน มีระบบการเขียนที่ใช้คืออักษรกรีก ซึ่งใช้มากว่า 2,000 ปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีอิทธิพลต่อระบบการเขียนอื่น ๆ ด้วย เช่น อักษรลิเนียร์บี อักษรไซปรัส และยังเป็นรากฐานของระบบการเขียนอื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่ อักษรละติน อักษรซีริลลิก อักษรอาร์มีเนีย อักษรคอปติก อักษรกอธิก ฯลฯ นอกจากนี้คำในภาษากรีกยังถูกใช้เป็นรากศัพท์ของภาษาอื่น ๆ มากมาย
ภาษากรีกมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์โลกตะวันตก โดยวรรณกรรมกรีกโบราณซึ่งมีจุดกำเนิดจากมหากาพย์โฮเมอร์ มีผลงานต่าง ๆ ที่มีความโดดเด่นและเป็นที่ประจักษ์ในยุโรป ภาษากรีกยังเป็นภาษาที่เป็นรากศัพท์ในคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา พันธสัญญาใหม่ในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ก็เขียนด้วยภาษากรีก การเรียนการสอนภาษากรีกและภาษาละตินมีความสำคัญในสมัยคลาสสิกเป็นอย่างมาก
ภาษากรีกถูกใช้เป็นภาษากลางในแถบเมดิเตอร์เรเนียนในสมัยคลาสสิก ต่อมาได้กลายเป็นภาษาราชการของอาณาจักรไบแซนไทน์ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นกรีกยุคกลาง และในยุคใหม่ ภาษากรีกเป็นภาษาราชการในกรีซและไซปรัส และเป็นหนึ่งในภาษาราชการ 24 ภาษาของสหภาพยุโรป มีผู้พูดภาษากรีกอย่างน้อย 13.4 ล้านคนในกรีซ ไซปรัส อิตาลี แอลเบเนีย ตุรกี รวมไปถึงชาวกรีกพลัดถิ่น
คำศัพท์กรีกถูกยืมไปใช้ในภาษาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาอังกฤษ เช่นคำว่า คณิตศาสตร์ (mathematics), ฟิสิกส์ (physics), ดาราศาสตร์ (astronomy), ประชาธิปไตย (democracy), ปรัชญา (philosophy), กรีฑา (athletics), โรงละคร (theatre), วาทศาสตร์ (rhetoric), พิธีล้างบาป (baptism), ผู้สอนศาสนา (evangelist) และอื่น ๆ นอกจากนี้ คำศัพท์และหน่วยคำกรีกก็ใช้ในการสร้างคำ เช่นคำว่า มานุษยวิทยา (anthropology), การถ่ายภาพ (photography), ระบบโทรศัพท์ (telephony), ไอโซเมอร์ (isomer), ชีวกลศาสตร์ (biomechanics), การถ่ายภาพยนตร์ (cinematography) อื่น ๆ ศัพท์กรีกและศัพท์ละตินมักถูกนำไปสร้างเป็นคำที่บ่งชี้ศาสตร์ต่าง ๆ โดยมี -logy ต่อท้าย คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีรากจากภาษากรีกนั้นมีหลายคำมาก
ปัจจุบันในประเทศไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีหลักสูตรที่สอนภาษากรีก
==ประเทศและบริเวณที่มีการพูด==
===ประเทศที่ใช้เป็นภาษาราชการ===
* (ร่วมกับภาษาตุรกี)
===บริเวณอื่น ๆ ที่มีการพูด===
* ชุมชนชาวกรีกในอิสตันบูล
* ตอนใต้ของแอลเบเนีย
* อิตาลีตอนใต้
* ตอนใต้ของนอร์ทมาซิโดเนีย
* ตอนกลางและตอนใต้ของบัลแกเรีย
== ดูเพิ่ม ==
* ภาษากรีกโบราณ
* ภาษากรีกยุคกลาง
* ภาษากรีกสมัยใหม่
== อ้างอิง ==
=== บรรณานุกรม ===
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
2083 | https://th.wikipedia.org/wiki/สหราชอาณาจักร | สหราชอาณาจักร | | image_map =
| map_caption =
| capital = ลอนดอน
| coordinates =
| largest_city = เมืองหลวง
| languages_type = ภาษาราชการ
| languages = อังกฤษ (โดยพฤตินัย)
| languages2_type = ภาษาระดับภูมิภาคและภาษาชนกลุ่มน้อย
| languages2 =
| ethnic_groups =
| ethnic_groups_year = ค.ศ. 2011
| religion =
| religion_year = ค.ศ. 2011
| government_type = รัฐเดี่ยว ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา
| leader_title1 = พระมหากษัตริย์
| leader_name1 = สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3
| leader_title2 = นายกรัฐมนตรี
| leader_name2 = เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์
| legislature = รัฐสภา
| upper_house = สภาขุนนาง
| lower_house = สภาสามัญชน
| sovereignty_type = การก่อตั้ง
| established_event1 = พระราชบัญญัติกฎหมายในเวลส์
| established_date1 = ค.ศ. 1535 และ 1542
| established_event2 = การรวมราชบัลลังก์
| established_date2 = 24 มีนาคม ค.ศ. 1603
| established_event3 = พระราชบัญญัติสหภาพอังกฤษและสกอตแลนด์
| established_date3 = 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707
| established_event4 = พระราชบัญญัติสหภาพบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์
| established_date4 = 1 มกราคม ค.ศ. 1801
| established_event5 = พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญเสรีรัฐไอริช
| established_date5 = 5 ธันวาคม ค.ศ. 1922
| area_km2 = 242495
| area_footnote =
| area_rank = อันดับที่ 78
| area_sq_mi = 93628
| percent_water = 1.51 (ค.ศ. 2015)
| population_estimate = 68,138,484
| population_census_year = ค.ศ. 2023
| population_census_rank = อันดับที่ 22
| population_density_km2 = 270.7
| population_density_sq_mi = 701.2
| population_density_rank = อันดับที่ 50
| GDP_PPP = 3.847 ล้านล้านดอลลาร์
| GDP_PPP_year = ค.ศ. 2023
| GDP_PPP_rank = อันดับที่ 10
| GDP_PPP_per_capita = 56,471 ดอลลาร์
| Gini_rank = อันดับที่ 33
| HDI = 0.929
| HDI_year = ค.ศ. 2021
| HDI_change = decrease
| HDI_ref =
| HDI_rank = อันดับที่ 18
| currency = ปอนด์สเตอร์ลิง
| currency_code = GBP
| utc_offset =
| time_zone = เวลามาตรฐานกรีนิช, เวลายุโรปตะวันตก
| utc_offset_DST = +1
| time_zone_DST = เวลาออมแสงบริติช, เวลาออมแสงยุโรปตะวันตก
| DST_note =
| date_format = //-- (คริสต์ศักราช)
| drives_on = ซ้ายมือ
| calling_code = +44
| cctld = .uk
| flag_p1 = Flag of the United Kingdom.svg
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ () หรือโดยทั่วไปรู้จักกันว่า สหราชอาณาจักร () และ บริเตน () เป็นรัฐเอกราชในยุโรป ตั้งอยู่นอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปภาคพื้นทวีป ประกอบด้วยประเทศองค์ประกอบ 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ โดยครอบคลุมเกาะบริเตนใหญ่ ส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไอร์แลนด์ และเกาะเล็ก ๆ จำนวนมากในบริติชไอลส์ ไอร์แลนด์เหนือเป็นเพียงส่วนเดียวของสหราชอาณาจักรที่มีพรมแดนทางบกติดต่อกับรัฐอื่น คือ ประเทศไอร์แลนด์ นอกเหนือจากนี้แล้ว สหราชอาณาจักรล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแอตแลนติก ทะเลเหนือ ช่องแคบอังกฤษ ทะเลเคลติก และทะเลไอริช สหราชอาณาจักรมีเนื้อที่ทั้งหมด 243,610 ตารางกิโลเมตร (94,060 ตารางไมล์) และมีจำนวนประชากรประมาณการใน ค.ศ. 2022 มากกว่า 67 ล้านคน
รูปแบบการปกครองของสหราชอาณาจักรเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือลอนดอนซึ่งเป็นนครระดับโลกและศูนย์กลางการเงินที่มีประชากรในเขตมหานครมากกว่า 14 ล้านคน เมืองใหญ่อื่น ๆ ได้แก่ เบอร์มิงแฮม แมนเชสเตอร์ กลาสโกว์ ลิเวอร์พูล และลีดส์ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือมีรัฐบาลที่ได้รับการถ่ายโอนอำนาจบริหารเป็นของตนเอง โดยแต่ละแห่งมีอำนาจแตกต่างกันไป
สหราชอาณาจักรมีวิวัฒนาการมาจากการผนวก การรวม และการแบ่งแยกประเทศองค์ประกอบหลายครั้งในช่วงเวลาหลายร้อยปี สนธิสัญญาสหภาพระหว่างราชอาณาจักรอังกฤษ (ซึ่งรวมถึงเวลส์ที่ถูกผนวกใน ค.ศ. 1542) กับราชอาณาจักรสกอตแลนด์ใน ค.ศ. 1707 ก่อให้เกิดราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ การรวมเป็นสหภาพกับราชอาณาจักรไอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1801 ก่อให้เกิดสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ทำให้เกิดสหราชอาณาจักรในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ของไอร์แลนด์แยกตัวออกจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1922 จึงเหลือเพียงสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือซึ่งใช้ชื่อดังกล่าวอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1927
ไอล์ออฟแมน เกิร์นซีย์ และเจอร์ซีย์ที่อยู่ใกล้เคียงมิใช่ส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร แต่เป็นคราวน์ดีเพนเดนซีซึ่งรัฐบาลสหราชอาณาจักรมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการป้องกันดินแดนและการต่างประเทศ สหราชอาณาจักรมีดินแดนโพ้นทะเล 14 ดินแดน นับเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของจักรวรรดิบริติชซึ่งในขณะที่รุ่งเรืองที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 1920 นั้นครอบคลุมเกือบหนึ่งในสี่ของมวลแผ่นดินโลกและหนึ่งในสามของประชากรโลก และเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อิทธิพลของสหราชอาณาจักรยังสามารถพบเห็นได้จากความแพร่หลายของภาษา วัฒนธรรม และระบบกฎหมายและการเมืองในอดีตอาณานิคมหลายแห่ง
สหราชอาณาจักรมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลกเมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ณ ราคาตลาด และใหญ่เป็นอันดับที่ 9 เมื่อพิจารณาจากภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ (พีพีพี) สหราชอาณาจักรมีเศรษฐกิจที่มีรายได้สูงและมีค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์ในระดับสูงมาก โดยอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก นอกจากนี้ยังทำผลงานได้ดีในการจัดอันดับระหว่างประเทศในด้านการศึกษา, บริการสุขภาพ, การคาดหมายคงชีพ และการพัฒนามนุษย์ สหราชอาณาจักรกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมประเทศแรกของโลกและเป็นมหาอำนาจสูงสุดของโลกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในปัจจุบันสหราชอาณาจักรยังคงมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การทหาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการเมืองในระดับสากลอยู่มาก สหราชอาณาจักรได้รับรองว่าเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีรายจ่ายทางการทหารมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก
สหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตั้งแต่สมัยประชุมแรกใน ค.ศ. 1946 นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติ, สภายุโรป, กลุ่ม 7, กลุ่ม 10, กลุ่ม 20, องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (เนโท), ออคัส, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี), องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ตำรวจสากล) และองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) สหราชอาณาจักรเป็นรัฐสมาชิกของประชาคมยุโรป (อีซี) และองค์การสืบทอดคือสหภาพยุโรป (อียู) ตั้งแต่การเข้าร่วมใน ค.ศ. 1973 จนถึงการถอนตัวใน ค.ศ. 2020 หลังการลงประชามติใน ค.ศ. 2016
== ภูมิศาสตร์ ==
แผนที่ของสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นพื้นที่ที่เป็นเนินเขาไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก และพื้นที่ราบเรียบในทิศตะวันออกเฉียงใต้
พื้นที่ทั้งหมดของสหราชอาณาจักรจะอยู่ที่ประมาณ 243,610 ตารางกิโลเมตร (94,060 ตารางไมล์) ประเทศครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่เกาะบริเตน หมู่เกาะบริเตน รวมถึง เกาะบริเตนใหญ่, เกาะไอร์แลนด์ และหมู่เกาะขนาดเล็กรอบ ๆ ประเทศอยู่ระหว่างตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเหนือ ที่มีชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้อยู่ภายใน 22 ไมล์ (35 กิโลเมตร) จากชายฝั่งทางตอนเหนือของ ฝรั่งเศส, ซึ่งจะถูกคั่นด้วยช่องแคบอังกฤษ ในปี 1993, 10% ของสหราชอาณาจักรเป็นป่า, 46% เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และ 25% เพื่อการเกษตร 'เดอะรอยัลกรีนิช หอดูดาวกรุงลอนดอน' กำหนดจุด เส้นแวงแรกที่พาดผ่านตำบลกรีนนิช (Greenwich) ของอังกฤษ ()
สหราชอาณาจักรอยู่ระหว่างเส้นรุ้ง 49° ถึง 61°N, และเส้นแวง 9°W ถึง 2°E ไอร์แลนด์เหนือ ใช้เส้นเขตแดนทางบกยาว 224 ไมล์ (360 กิโลเมตร) เดียวกับประเทศไอร์แลนด์ มันจะเชื่อมต่อไปยังทวีปยุโรปโดยอุโมงค์ลอดช่องแคบยาว 31 ไมล์ (50 กิโลเมตร) (24 ไมล์ (38 กิโลเมตร) อยู่ใต้น้ำ) ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก
ประเทศอังกฤษมีพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดของสหราชอาณาจักร, ครอบคลุม 130,395 ตารางกิโลเมตร (50,350 ตารางไมล์) ส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบไปด้วยภูมิประเทศที่ลุ่ม และ รวมถึง เกือบแปดร้อยเกาะ ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกและทางเหนือของเกาะบริเตนใหญ่; สะดุดตาคือ Hebrides, Orkney Islands และ Shetland Islands ภูมิประเทศของสกอตแลนด์เป็นที่โดดเด่นด้วย Highland Boundary Fault (รอยแตกหักของหินทางธรณีวิทยา) ซึ่งลัดเลาะในสกอตแลนด์ จาก Arran ทางตะวันตกไป Stonehaven ทางตะวันออก รอยแตกจะแยกสองภูมิภาคที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน, คือไฮแลนด์ไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก และที่ราบลุ่มไปทางใต้และ ตะวันออก ภูมิภาคไฮแลนด์ที่ขรุขระมากขึ้นประกอบด้วยส่วนใหญ่ของแผ่นดินที่เต็มไปด้วยภูเขาของสกอตแลนด์, รวมทั้ง Ben Nevis ที่สูง 1,343 เมตร (4,406 ฟุต), ซึ่งสูงที่สุดในเกาะบริเตนใหญ่อังกฤษ พื้นที่ ลุ่ม, โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงแคบของแผ่นดินระหว่าง the Firth of Clyde และ the Firth of Forth ที่รู้จักกันว่าเป็น Central Belt เป็นที่ราบเรียบ และบ้านของส่วนใหญ่ของประชากร รวมทั้ง กลาสโกว์, เมืองที่ใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์, และ เอดินบะระ เมืองหลวงและศูนย์กลางทางการเมือง
ภาพของ เบน เนวิส ในระยะไกลโดยข้างหน้าคือที่ราบเป็นคลื่น ตั้งอยู่ในสกอตแลนด์, เป็นจุดสูงสุดในหมู่เกาะอังกฤษ
เวลส์มีเนื้อที่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของพื้นที่ทั้งหมดของสหราชอาณาจักร, ครอบคลุม 20,779 ตารางกิโลเมตร (8,020 ตารางไมล์) เวลส์เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ แม้ว่าเวลส์ทางใต้จะเป็นเขาน้อยกว่า เวลส์ทางเหนือและเวลส์ตอนกลาง พื้นที่หลักของประชากรและอุตสาหกรรมอยู่ในเวลส์ทางใต้ ซึ่งประกอบด้วยเมืองชายฝั่งทะเลเช่น คาร์ดิฟฟ์, สวอนซี และ นิวพอร์ต และหุบเขาเวลส์ใต้ ไปทางเหนือ ภูเขาที่สูงที่สุดในเวลส์ อยู่ใน Snowdonia และรวมถึง สโนว์ดอน (ภาษาเวลส์: Yr Wyddfa) ที่สูง 1,085 เมตร (3,560 ฟุต) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเวลส์ ยอดเขาสูงสุดในภาคเหนือของไอร์แลนด์เหนือคือ Slieve Donard ใน Mourne Mountains ที่ความสูง 852 เมตร (2,795 ฟุต) ลมแน่ทิศจะพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ และ นำพาอากาศเย็นอ่อน ๆ และเปียกชื้นจากมหาสมุทรแอตแลนติก, ในตอนท้ายของยุคก่อนประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ประชากรคิดว่าจะได้เป็นเจ้าของ, ในพื้นที่หลัก, วัฒนธรรมที่เรียกว่า เซลติกที่โดดเดี่ยว (), ที่ประกอบไปด้วย Brythonic Britain และ Gaelic Ireland ชัยชนะของโรมัน, เริ่มต้นในปีค.ศ. 43, และปกครองภาคใต้ของสหราชอาณาจักรอยู่ 400 ปี, ตามมาด้วยการบุกรุกของตั้งถิ่นฐานโดย เจอร์มานิคแองโกลแซกซอน, เป็นการลดพื้นที่ Brythonic ส่วนใหญ่บนดินแดนที่กำลังจะกลายเป็นเวลส์และราชอาณาจักร Strathclyde ยุคประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่ของภูมิภาคที่ตั้งรกรากโดยแองโกลแอกซอน กลายเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวเป็นอาณาจักรแห่งอังกฤษในศตวรรษที่ 10 ในขณะเดียวกัน นักพูดแห่ง Gaelic ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหราชอาณาจักร (ที่เชื่อมต่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์และสงสัยว่าจะมีการอพยพมาจากที่นั่นในศตวรรษที่ 5) รวมตัวกับชาว Picts ในการสร้างอาณาจักรแห่งสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 9
ในปี 1066 พวกนอร์มันส์บุกรุกอังกฤษจากฝรั่งเศส และหลังจากได้รับชัยชนะ, ได้ยึดส่วนใหญ่ของเวลส์, เอาชนะพื้นที่จำนวนมากของไอร์แลนด์และได้รับเชิญไปตั้งรกรากในสกอตแลนด์, เป็นนำระบบศักดินาไปให้แต่ละประเทศในรูปแบบของฝรั่งเศสตอนเหนือและวัฒนธรรมนอร์แมนฝรั่งเศส พวกชนชั้นสูงชาวนอร์แมนมีอิทธิพลอย่างมากต่อ, แต่ในที่สุดก็หลอมรวมกับ, แต่ละวัฒนธรรมท้องถิ่น ต่อมา กษัตริย์อังกฤษยุคกลางก็พิชิตเวลส์ได้อย่างสมบูรณ์ และได้พยายามผนวกสกอตแลนด์แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้น สก็อตแลนด์ยังคงรักษาความเป็นอิสระ แม้จะอยู่ในความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องกับอังกฤษ ราชวงค์อังกฤษ, ผ่านการถ่ายทอดมรดกของดินแดนที่สำคัญในประเทศฝรั่งเศสและอ้างสิทธ์สำหรับมงกุฏกษัตริย์ฝรั่งเศส, ยังมีส่วนร่วมอย่างมากในความขัดแย้งในประเทศฝรั่งเศส, ที่สะดุดตาที่สุดคือ 'สงครามร้อยปี', ในขณะที่ กษัตริย์แห่งสก็อตเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้น
ม่านลายดอกประดับฝาผนังของบาโย แสดงให้เห็นการต่อสู้แห่งเฮสติ้งส์ และเหตุการณ์ที่นำไปสู่เหตุนั้น
ช่วงระยะเวลาที่ทันสมัยตอนต้นได้เห็นความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดจาก 'การปฏิรูป' และ การเปิดตัวของ คริสตจักรโปรเตสแตนต์ในแต่ละประเทศ เวลส์ถูกรวมอย่างเต็มที่เข้ากับ'อาณาจักรแห่งอังกฤษ' และไอร์แลนด์ถูกบัญญัติให้เป็นอาณาจักรส่วนตัวควบรวมกับราชวงศ์อังกฤษ ในดินแดนที่กำลังจะกลายเป็นไอร์แลนด์เหนือ, ดินแดนแห่งขุนนาง Catholic Gaelic อิสระถูกริบและถูกยกให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรเตสแตนต์จากอังกฤษและสกอตแลนด์
ใน 1603, ราชอาณาจักรของอังกฤษ,สกอตแลนด์และไอร์แลนด์ถูกรวมเข้าด้วยกันในการรวมส่วนตัวเมื่อกษัตริย์เจมส์ที่หกแห่งสกอต, ที่สืบทอดมงกุฎแห่งอังกฤษและไอร์แลนด์และย้ายพระราชวังจากเอดินเบิร์กไปยังกรุงลอนดอน; แต่ละประเทศยังคงไม่มากก็น้อยเป็นองค์กรทางการเมืองที่แยกต่างหาก และยังคงรักษาสถาบันทางการเมือง, กฎหมาย, และศาสนา ที่แยกต่างหาก
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17, ทั้งสามอาณาจักรมีส่วนเกี่ยวข้องในชุดของสงครามที่ต่อเนื่อง (รวมทั้งสงครามกลางเมืองอังกฤษ) ซึ่งนำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ชั่วคราว และการจัดตั้งสาธารณรัฐรวมกันระยะสั้นของเครือจักรภพอังกฤษสกอตแลนด์และไอร์แลนด์
แม้ว่าราชวงค์ถูกสถาปนาขึ้นมาใหม่, มันให้ความมั่นใจ (ด้วย ความรุ่งโรจน์ของการปฏิวัติปี 1688) ว่า, แตกต่างจากส่วนที่เหลือของยุโรป, สมบูรณาญาสิทธิราชย์จะไม่เหนือกว่า, และผู้ปฏิญาณตนว่าเป็นคาทอลิกจะไม่ขึ้นสู่บัลลังก์ รัฐธรรมนูญอังกฤษจะพัฒนาบนพื้นฐานของระบอบราชวงค์รัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภา ในช่วงเวลานั้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษ, การพัฒนาของกำลังทหารเรือ ( และความสนใจในการเดินทางเพื่อการค้นพบ) นำไปสู่การเข้ายึดและการตั้งถิ่นฐานของอาณานิคมในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาเหนือ
=== ตั้งพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 ===
alt=อาคารสีทรายขนาดใหญ่ในการออกแบบแบบ[[สถาปัตยกรรมกอทิกข้างแม่น้ำสีน้ำตาลและสะพานถนน อาคารมีหอคอยขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงหอนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่|พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ในลอนดอนเป็นที่ประชุมของสภาทั้งสองแห่งรัฐสภาสหราชอาณาจักร]]
สหราชอาณาจักรมีรัฐบาลตามระบบรัฐสภา ที่มีพื้นฐานจากระบบเวสต์มินสเตอร์ที่ถูกทำตามอย่างทั่วโลก: มรดกของจักรวรรดิอังกฤษ รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรที่พบในพระราชวังเวสต์มินสเตอร์มีสองสภา; สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง และ สภาขุนนางที่มาจากการแต่งตั้ง กฎหมายทั้งหมดที่ผ่านจากสภาจะได้รับการลงพระปรมาภิไธยก่อนที่จะถูกนำมาใช้
ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี, หัวหน้ารัฐบาล ของสหราชอาณาจักร เป็นของบุคคลที่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะสั่งความเชื่อมั่นของสภาผู้แทนราษฎร; บุคคลนี้ปกติจะเป็นผู้นำของพรรคการเมืองหรือกลุ่มที่รวมกันของพรรคการเมือง ที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุดในสภา นายกรัฐมนตรีจะเลือกคณะรัฐมนตรีและพวกเขาจะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยพระมหากษัตริย์ ในรูปแบบของรัฐบาลในสมเด็จฯ โดยการประชุม พระมหากษัตริย์จะเคารพในการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีตามประเพณีจะถูกดึงมาจากสมาชิกของพรรคของนายกรัฐมนตรีหรือพรรคร่วมรัฐบาล และส่วนใหญ่มาจากสภาผู้แทน แต่มักจะมาจากทั้งสองสภานิติบัญญัติเสมอ, คณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบทั้งสองสภา อำนาจบริหารถูกนำมาใช้โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี, ทุกคนจะสาบานกับคณะองคมนตรีของสหราชอาณาจักร, และจะกลายเป็นรัฐมนตรีของพระมหากษัตริย์ เดวิด แคเมอรอน หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม, หัวหน้าพรรคพันธมิตรพรรคที่สามของสหราชอาณาจักร, พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย แคเมอรอนได้เป็น นายกรัฐมนตรี, ขุนคลังเอก และ รัฐมนตรีว่าการด้านข้าราชการพลเรือน ตั้งแต่ 11 พฤษภาคม 2010 สำหรับการเลือกตั้งสภาผู้แทน, ปัจจุบัน สหราชอาณาจักร จะแบ่งออกเป็น 650 เขตเลือกตั้ง, แต่ละเขตฯ จะเลือกตั้งสมาชิกของรัฐสภาเพียงคนเดียวโดยใช้เสียงส่วนใหญ่ การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกประกาศโดยพระมหากษัตริย์เมื่อนายกรัฐมนตรีแนะนำ กฎหมายรัฐสภาที่ 1911 และ 1949 กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่จะต้องจัดขึ้นไม่เกินห้าปีหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้ว
=== นิติบัญญัติ ===
[[พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ พร้อมหอนาฬิกาบิกเบน ริมชายฝั่งแม่น้ำเทมส์ กรุงลอนดอน เป็นอาคารรัฐสภาของสหราชอาณาจักร]]
สามพรรคการเมืองใหญ่ของสหราชอาณาจักร ได้แก่ พรรคอนุรักษนิยม, พรรคแรงงาน, และพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปปี 2010, ทั้งสามฝ่ายชนะ 622 จาก 650 ที่นั่งที่มีอยู่ในสภา ที่นั่งที่เหลือส่วนใหญ่ชนะโดยพรรคการเมืองที่เข้าแข่งขันในการเลือกตั้งเฉพาะในบางส่วนของสหราชอาณาจักร ได้แก่ พรรคสก็อตแห่งชาติ (สกอตแลนด์เท่านั้น); Plaid Cymru (เวลส์ เท่านั้น); และพรรคสหภาพประชาธิปไตย, พรรคสังคมประชาธิปไตยและแรงงาน, พรรคสหภาพ Ulster และพรรค Sinn Féin (ไอร์แลนด์เหนือเท่านั้น แม้ว่า Sinn Féin ยังแข่งขันการเลือกตั้งในสาธารณรัฐ ไอร์แลนด์อีกด้วย) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายพรรค, สมาชิก Sinn Féin ที่ได้รับการเลือกตั้งของรัฐสภา จะไม่เคยเข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนเพื่อพูดในนามของประชาชนในเขตเลือกตั้งของพวกเขา เพราะต้องทำตามระเบียบที่จะต้องทำพิธีสาบานตนต่อพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ห้า ส.ส. ของ Sinn Féin ในปัจจุบันได้ใช้ประโยชน์ของสำนักงานและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่มีใน Westminster สำหรับการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป, สหราชอาณาจักรขณะนี้มี 72 สมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งแบบ 12 multi-member
=== การบริหารแบบมอบอำนาจปกครอง ===
ภายในอาคารรัฐสภาสก็อตแลนด์ใน กรุง[[เอดินบะระ]]
สกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ แต่ละประเทศมีรัฐบาลหรือผู้บริหารที่ได้รับอำนาจของตัวเอง, นำโดยรัฐมนตรีคนแรก (หรือในกรณีของไอร์แลนด์เหนือ, รัฐมนตรีคนแรกในสองคนและรองรํฐมนตรีคนแรก) และสภานิติบัญญัติ (ระบบสภาเดียว) ที่ได้รับมอบอำนาจ อังกฤษ, ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร, ไม่มีการบริหารหรือสภานิติบัญญัติแบบรับมอบอำนาจดังกล่าว แต่มีการบริหารและการออกกฎหมายโดยตรงจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรและ รัฐสภาในทุกประเด็น สถานการณ์เช่นนี้ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า คำถาม West Lothian ซึ่งเกี่ยวข้องในความจริงที่ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากสก็อตแลนด์, เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ สามารถลงคะแนน, บางครั้ง อย่างเด็ดขาด, ในเรื่องที่มีผลเฉพาะกับประเทศอังกฤษ คณะกรรมการ แม็คเคย์ รายงานในเรื่องนี้ในเดือนมีนาคม 2013 แนะนำว่า กฎหมายทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประเทศอังกฤษเท่านั้นที่ควรจะต้องได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของ ส.ส. อังกฤษ
รัฐบาลและรัฐสภาสกอตแลนด์ มีอำนาจกว้างขวางในเรื่องใด ๆ ที่ยังไม่ได้รับการสงวนไว้เฉพาะเพื่อรัฐสภาสหราชอาณาจักร, รวมทั้ง การศึกษา, การดูแลสุขภาพ, กฎหมายสกอตและรัฐบาลท้องถิ่น ในช่วงการเลือกตั้ง 2011, SNP ชนะเลือกตั้งและได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่โดยรวมในรัฐสภาสก็อต ที่มีผู้นำ อเล็กซ์ Salmond เป็น รัฐมนตรีคนแรกของสกอตแลนด์ ในปี 2012 สหราชอาณาจักรและรัฐบาลสก็อตได้ลงนามใน'ข้อตกลงเอดินบะระ' ในการจัดทำวาระของการลงประชามติเกี่ยวกับความเป็นอิสระของสก็อตแลนด์ในปี 2014
รัฐบาลเวลส์และสมัชชาแห่งชาติของเวลส์มีอำนาจจำกัดมากขึ้นกว่าที่สก็อตแลนด์ได้รับการมอบอำนาจ สภาสามารถออกกฎหมายในเรื่องการมอบอำนาจ ผ่าน Acts of the Assembly, ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมก่อนจาก Westminster. ผลของการเลือกตั้ง 2011 ทำให้ได้มีการบริหารจากพรรคแรงงานส่วนน้อย ที่นำโดย Carwyn โจนส์
ผู้บริหารและสภาไอร์แลนด์เหนือมีอำนาจคล้ายกับที่ตกทอดไปยังสกอตแลนด์ ผู้บริหารที่นำโดย ผู้ปกครองสองคน เป็นตัวแทนของสหภาพและสมาชิกของสภาแห่งชาติ ปัจจุบัน ปีเตอร์ โรบินสัน ( พรรคสหภาพประชาธิปไตย) และ มาร์ติน กินเนสส์ (พรรค Sinn Féin) เป็นรัฐมนตรีคนแรก และรองรัฐมนตรีคนแรกตามลำดับ การถ่ายทอดอำนาจมาที่ไอร์แลนด์เหนือ ผูกพันด้วยการมีส่วนร่วมโดยการบริหารไอร์แลนด์เหนือใน'สภารัฐมนตรีเหนือใต้' ที่ผู้บริหารไอร์แลนด์เหนือให้ความร่วมมือและพัฒนา นโยบายร่วมกันและใช้ร่วมกัน กับรัฐบาลของสาธารณะรัฐไอร์แลนด์ รัฐบาลอังกฤษและไอร์แลนด์ร่วมกันทำงานในเรื่องที่ไม่ถ่ายทอดอำนาจที่ส่งผลกระทบต่อไอร์แลนด์เหนือ ผ่านการประชุมระหว่างรัฐบาลอังกฤษ-ไอริช, ซึ่งรับผิดชอบการบริหารไอร์แลนด์เหนือในกรณีของการไม่ดำเนินงานของมัน
สหราชอาณาจักรไม่ได้มีรัฐธรรมนูญที่จัดเป็นระบบ และเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญไม่ได้อยู่ใน อำนาจที่จะตกทอดมายัง สกอตแลนด์, เวลส์ หรือ ไอร์แลนด์เหนือ ภายใต้หลักการของ อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา, รัฐสภาสหราชอาณาจักรจึงสามารถ, ในทางทฤษฎี, ยกเลิกรัฐสภาของสกอตแลนด์, สภาเวลส์ หรือ สภาไอร์แลนด์เหนือ แท้จริงแล้ว ในปี 1972 รัฐสภาสหราชอาณาจักรปิดประชุมรัฐสภาไอร์แลนด์เหนือ, เป็นการทำให้เป็นแบบอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการถ่ายทอดอำนาจร่วมสมัย ในทางปฏิบัติ มันจะเป็นเรื่องยากในทางการเมืองสำหรับรัฐสภาสหราชอาณาจักร ที่จะยกเลิกการถ่ายทอดอำนาจให้กับรัฐสภาสกอตและสภาเวลส์, ให้การป้องกันทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยการตัดสินใจการลงประชามติ ข้อจำกัดทางการเมืองที่วางอยู่บนอำนาจของรัฐสภาสหราชอาณาจักรในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ การถ่ายทอดอำนาจในไอร์แลนด์เหนือจะยิ่งใหญ่กว่าในส่วนที่เกี่ยวกับสกอตแลนด์และเวลส์, ที่ระบุว่าการรับโอนอำนาจในไอร์แลนด์เหนือ วางอยู่บนข้อตกลงระหว่างประเทศกับรัฐบาลของประเทศไอร์แลนด์
=== กฎหมายและความยุติธรรมทางอาญา ===
The Royal Courts of Justice ของอังกฤษและเวลส์
สหราชอาณาจักรไม่ได้มีระบบกฎหมายเดียว, มาตรา 19 ของ สนธิสัญญาสหภาพปี 1706 มีไว้ให้สำหรับความต่อเนื่องของระบบกฎหมายแยกของสกอตแลนด์ วันนี้ สหราชอาณาจักรมีสามระบบที่แตกต่างกันของกฎหมาย: กฎหมายอังกฤษ กฎหมายไอร์แลนด์เหนือและกฎหมายสกอตแลนด์ ศาลฎีกาใหม่ของสหราชอาณาจักรเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2009 เพื่อแทนที่ คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ของสภาขุนนาง คณะกรรมการตุลาการของคณะองคมนตรี รวมทั้งสมาชิกที่เป็นสมาชิกเดียวกันกับศาลฎีกาเป็นศาลอุทธรณ์สูงสุดสำหรับหลายประเทศ เครือจักรภพอิสระ, ดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษและเมืองขึ้นของพระมหากษัตริย์
ทั้งกฎหมายอังกฤษ, ซึ่งใช้ในอังกฤษและเวลส์ และกฎหมายไอร์แลนด์เหนือ อยู่บนพื้นฐานของ หลักการ common-law สาระสำคัญของกฎหมาย common law ก็คือว่า, ภายใต้รัฐบัญญัติ, กฎหมายได้รับการพัฒนาโดยผู้พิพากษาในศาล, ในการใช้กฎหมาย, แบบอย่างที่เคยเกิดขึ้น และสามัญสำนึก เข้ากับข้อเท็จจริงก่อนที่ศาลจะให้ ตัดสินที่เป็นคำอธิบายหลักการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง, ซึ่งจะมีการรายงานและมีผลผูกพันในกรณีที่คล้ายกันในอนาคต (stare decisis) ศาลของอังกฤษและเวลส์มีหัวหน้าเป็นศาลอาวุโสของอังกฤษและเวลส์, ประกอบด้วยศาลอุทธรณ์, ศาลยุติธรรม (สำหรับศาลแพ่ง) และบัลลังก์ศาล (สำหรับกรณีความผิดทางอาญา) ศาลฎีกาเป็นศาลที่สูงที่สุด ในแผ่นดินกรณีอุทธรณ์ทั้งทางอาญาและทางแพ่งในอังกฤษ, เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ และการตัดสินใด ๆ จะทำให้มีผลผูกพันในทุกศาลอื่น ๆ ในเขตอำนาจเดียวกัน, มักจะมีผลโน้มน้าวใจในเขตอำนาจศาลอื่น
upหน่วยการปกครองของสหราชอาณาจักร
แต่ละประเทศของสหราชอาณาจักรมีระบบการบริหารและการแบ่งเขตทางภูมิศาสตร์ของตัวเอง ที่มีต้นกำเนิดมักจะก่อนวันที่ก่อตั้งของสหราชอาณาจักร ดังนั้นจึง "ไม่มีชนชั้นที่เป็นอันเดียวกันของหน่วยการบริหารที่ครอบคลุมทั้งสหราชอาณาจักร" จนกระทั่ง ศตวรรษที่ 19 จึงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยกับการเตรียมการเหล่านั้น, แต่ ตั้งแต่นั้นมาได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของบทบาทและหน้าที่ การเปลี่ยนไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะที่เหมือนกันและการกระจายอำนาจให้กับรัฐบาลท้องถิ่นของสกอตแลนด์, เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงในอนาคตจะไม่น่าจะ เหมือนกันเลย
องค์กรของรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศอังกฤษมีความซับซ้อน ที่มีการกระจายของหน้าที่ที่แตกต่างกันไปตามการเตรียมการในท้องถิ่น การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศอังกฤษ เป็นความรับผิดชอบของรัฐสภาสหราชอาณาจักรและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร เนื่องจากประเทศอังกฤษไม่มีรัฐสภาที่กระจายอำนาจออกไป เขตการปกครองย่อยบนชั้น upper-tier ของอังกฤษ เป็นพื้นที่สำนักงานรัฐบาล หรือภูมิภาคสำนักงานรัฐบาลสหภาพยุโรป 9 แห่ง หนึ่งในภูมิภาค, มหานครลอนดอน, มีสภาและนายกเทศมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงตั้งแต่ปี 2000 ต่อมาจากการสนับสนุนที่เป็นที่นิยมสำหรับข้อเสนอในการลงประชามติ มันเป็นเจตนาที่ภูมิภาคอื่น ๆ ก็จะได้รับสภาระดับภูมิภาคที่มาจากการเลือกตั้งของตัวเอง, แต่สภาที่ถูกนำเสนอในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับการปฏิเสธโดยการลงประชามติในปี 2004 ด้านล่างของ tier ระดับภูมิภาค, บางส่วนของอังกฤษมีเทศบาลเมืองและเทศบาลเขต และบางส่วนอื่น ๆ มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นหนึ่งเดียว; ในขณะที่ลอนดอนประกอบด้วย 32 เมืองเล็กของลอนดอน และกรุงลอนดอน ที่ปรึกษาจะมาจากการเลือกตั้งโดยระบบ first-past-the-post ในการเลือกแบบสมาชิกเดียว หรือโดยระบบ หลายสมาชิก ในการเลือกแบบหลายสมาชิก
สำหรับวัตถุประสงค์ของรัฐบาลท้องถิ่น, สกอตแลนด์ถูกแบ่งออกเป็น 32 พื้นที่สภาท้องถิ่น ที่มี ความหลากหลายทั้งในด้านขนาดและจำนวนประชากร เมืองกลาสโกว์, เอดินบะระ, แอเบอร์ดีน และดันดี เป็นพื้นที่สภาท้องถิ่นแยกต่างหาก เช่นเดียวกับสภาท้องถิ่นไฮแลนด์ซึ่งกินพื้นที่หนึ่งในสามของพื้นที่สกอตแลนด์ แต่มีประชากรเพียงกว่า 200,000 คนเท่านั้น สภาท้องถิ่นประกอบด้วยสมาชิกสภาท้องถิ่น () ที่ได้รับการเลือกตั้ง, ซึ่งปัจจุบันมี 1,222 คน; พวกเขาจะได้รับเงินเดือนแบบ part-time การเลือกตั้งจะดำเนินการโดยระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงในแต่ละวอร์ดหลายสมาชิกที่จะเลือกทั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นสามหรือสี่คน แต่ละสภาท้องถิ่นเลือกประธานสภาหรือ Convenor, เพื่อเป็นประธานในที่ของสภาท้องถิ่นและจะทำหน้าที่เป็นบุคลสำคัญสำหรับพื้นที่ Councillors จะต้องมีจรรยาบรรณ ที่ถูกบังคับใช้โดย คณะกรรมการมาตรฐานสกอตแลนด์ สมาคม ตัวแทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของสกอตแลนด์ เป็น 'สหพันธ์องค์กรปกครงท้องถิ่นแห่งสก๊อตแลนด์'(COSLA)
รัฐบาลท้องถิ่นในเวลส์ ประกอบด้วย 22 สำนักงาน เหล่านี้รวมถึง เมืองคาร์ดิฟฟ์, เมืองสวอนซี และเมืองนิวพอร์ต ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รวมในสิทธิของตนเอง การเลือกตั้งจะมีขึ้นทุกสี่ปี ภายใต้ระบบ first-past-the-post การเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมาถูกจัดขึ้นเมื่อเดิอนพฤษภาคม 2012, ยกเว้นสำหรับ เกาะแองเกิลซีย์ สมาคมรัฐบาลท้องถิ่นของเวลส์เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของสำนักงานท้องถิ่นในเวลส์
รัฐบาลท้องถิ่นในไอร์แลนด์เหนือถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1973 ให้เป็น 26 เทศบาลเขต แต่ละเขตถูกเลือกตั้งโดยการออกเสียงแบบโอนคะแนนได้ครั้งเดียว อำนาจของเทศบาลเขตจะถูกจำกัดให้ทำงานบริการเช่น การเก็บของเสีย, การควบคุมสุนัขและการบำรุงรักษาสวนสาธารณะและสุสาน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2008 ผู้บริหารเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะสร้าง 11 เทศบาลใหม่และแทนที่ระบบที่ใช้อยู่ในตอนนั้น การเลือกตั้งท้องถิ่นถูกเลื่อนออกไปจนถึงปี 2016 เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องนี้
=== เขตสังกัด ===
ภาพของทะเลแคริบเบียนที่มองจาก[[หมู่เกาะเคย์แมน ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์การเงินระหว่างประเทศ และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก]]
สหราชอาณาจักรมีอำนาจอธิปไตยเหนือสิบเจ็ดดินแดนที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร. สิบสี่เป็นดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ และสามเป็นเมืองขึ้นของพระมหากษัตริย์ (Crown Dependencies)
สิบสี่ดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษมีดังนี้: แองกวิลลา; เบอร์มิวดา; บริติชแอนตาร์กติกเทร์ริทอรี; บริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี; หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน; หมู่เกาะเคย์แมน; หมู่เกาะฟอล์กแลนด์; ยิบรอลตาร์; มอนต์เซอร์รัต; เซนต์เฮเลนา อัสเซนชันและตริสตันดากูนยา; หมู่เกาะเติร์กและเคคอส; หมู่เกาะพิตแคร์น; เซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช; และฐานทัพอำนาจอธิปไตยไซปรัส การอ้างสิทธิ์ของอังกฤษในทวีปแอนตาร์กติกา ไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เมื่อรวมกันแล้ว ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,600,000 ตารางกิโลเมตร (640,000 ตารางไมล์) และมีประชากรประมาณ 250,000 คน พวกเขามีเศษที่เหลือของจักรวรรดิอังกฤษและหลายที่ได้รับการโหวตโดยเฉพาะที่จะยังคงเป็นดินแดนของอังกฤษ (เบอร์มิวดาในปี 1995, ยิบรอลตาร์ในปี 2002 และหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ในปี 2013)
เมืองขึ้นของพระมหากษัตริย์เป็นดินแดนของกษัตริย์อังกฤษ ที่ตรงข้ามกับดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ประกอบด้วยเกาะช่องแคบ Bailiwicks ของเจอร์ซีย์และเกิร์นซีย์ ในช่องแคบอังกฤษ และเกาะแมนในทะเลไอริช. เขตอำนาจถูกบริหารอย่างเป็นอิสระ, ดินแดนเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรหรือของสหภาพยุโรป, ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรจะจัดการด้านการต่างประเทศและการทหารโดยตรง และ รัฐสภาสหราชอาณาจักรมีอำนาจในการออกกฎหมายในนามของพระปรมาภิไธย อำนาจที่จะผ่านกฎหมายที่มีผลกระทบต่อหมู่เกาะเหล่านี้ท้ายที่สุด อยู่ในสภานิติบัญญัติของตัวเอง, ตามการยอมรับของพระมหากษัตริย์ (องคมนตรี, หรือในกรณีของเกาะแมน ในบางกรณีเป็น Lieutenant-Governor) ตั้งแต่ปี 2005 แต่ละเมืองได้มีหัวหน้ารัฐมนตรี เป็นหัวหน้าของรัฐบาล
== เศรษฐกิจ ==
สหราชอาณาจักรมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี โดยมีขนาดเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก และสูงเป็นอันดับที่ 3 รองจากเยอรมนีและฝรั่งเศสในยุโรป โดยวัดจาก GDP โดยสหราชอาณาจักรมีธนาคารกลางที่ชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่ในการออกธนบัตร และเหรียญในสกุลปอนด์สเตอร์ลิง
=== โครงสร้างเศรษฐกิจ ===
ภาคบริการของสหราชอาณาจักรมีสัดส่วนใน GDP สูงถึง 73% โดยมีกรุงลอนดอนเป็นศูนย์กลางการเงินโลกขนาดใหญ่ เทียบเคียงได้กับนิวยอร์กซิตี้ และยังเป็นเมืองที่มี GDP สูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย นอกจากนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจ เพราะมีนักท่องเที่ยวถึง 27 ล้านคนเดินทางมาสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2547
=== สถานการณ์สำคัญ ===
การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มต้นที่สหราชอาณาจักรในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยอุตสาหกรรมสิ่งทอ ตามด้วยอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมการต่อเรือ เหมืองถ่านหิน และการผลิตเหล็กกล้า
=== การท่องเที่ยว ===
การท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างมาก ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังสหราชอาณาจักรสูงถึง 27 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2547 นอกจากนี้สหราชอาณาจักรยังถูกจัดให้เป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวอันดับที่ 6 ของโลก
== โครงสร้างพื้นฐาน ==
=== การขนส่ง ===
อาคารเทอร์มินอล 5 [[ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ มีผู้โดยสารต่างประเทศมากที่สุดของสนามบินใด ๆ ในโลก]]
เครือข่ายถนนรัศมี รวม 29,145 ไมล์ (46,904 กิโลเมตร) ของถนนสายหลัก, 2,173 ไมล์ (3,497 กิโลเมตร) มอเตอร์เวย์, และ 213,750 ไมล์ (344,000 กิโลเมตร) ถนนสายย่อย สหราชอาณาจักรมีเครือข่ายรถไฟระยะทาง 10,072 ไมล์ (16,209 กิโลเมตร) ในสหราชอาณาจักรและ 189 ไมล์ (304 กิโลเมตร) ในไอร์แลนด์เหนือ รถไฟไอร์แลนด์เหนือจะดำเนินการโดยการรถไฟ NI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Translink ที่รัฐเป็นเจ้าของ ในสหราชอาณาจักร เครือข่ายรถไฟของอังกฤษ ถูกแปรรูประหว่าง ปี 1994 และ 1997. เครือข่ายรถไฟส่วนใหญ่เป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารสินทรัพย์ถาวร(ราง, สัญญาณ ฯลฯ) ประมาณ 20 บริษัทเอกชนที่ ดำเนินงานเดินรถไฟ (รวมทั้ง East Coast ที่รัฐเป็นเจ้าของ) ทำงานเดินรถไฟโดยสาร และเดินรถกว่า 18,000 รถไฟโดยสารทุกวัน นอกจากนี้ยังมีประมาณ 1,000 รถไฟบรรทุกสินค้าเดินรถทุกวัน ระบบ Crossrail ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในกรุงลอนดอนจะเป็นโครงการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป ด้วยค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้ที่ 15 พันล้าน £
ในปีเริ่มตุลาคม 2009 ถึงกันยายน 2010 สนามบินในสหราชอาณาจักรให้บริการผู้โดยสารรวม 211.4 ล้านคน ในช่วงเวลานั้น สามสนามบินที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ สนามบิน London Heathrow (ผู้โดยสาร 65.6 ล้านคน) สนามบินแก็ตวิก (ผู้โดยสาร 31.5 ล้านคน) และ สนามบินลอนดอนสแตนสเตด (ผู้โดยสาร 18.9 ล้านคน)
=== วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ===
[[ชาร์ลส์ ดาร์วิน (1809-1882) ผู้ที่ทฤษฎีวิวัฒนาการการคัดเลือกโดยธรรมชาติของเขาเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ทางชีวภาพสมัยใหม่]]
อังกฤษและสกอตแลนด์เคยเป็นศูนย์กลางในการเป็นผู้นำการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และสหราชอาณาจักรได้เป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรมจากศตวรรษที่ 18 และต่อมาก็ยังคงผลิตนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ได้รับการยกย่องกับความก้าวหน้าที่สำคัญ ๆ ของวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นักทฤษฎีสำคัญ ๆ จากศตวรรษที่ 17 และ 18 รวมถึง ไอแซก นิวตัน ซึ่งกฎการเคลื่อนที่และแรงโน้มถ่วงของเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่, จากศตวรรษที่ 19 ชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนาของชีววิทยาที่ทันสมัย และเจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ ผู้ตั้งสูตรทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าแบบคลาสสิก และเมื่อเร็ว ๆ นี้ สตีเฟ่น ฮอว์คิง ผู้สร้างความก้าวหน้าด้านทฤษฎีที่สำคัญในสาขาของจักรวาล, แรงโน้มถ่วงควอนตัมและการตรวจสอบหลุมดำ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญนับจากศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วย ไฮโดรเจนโดยเฮนรี คาเวนดิช ยาปฏิชีวนะในศตวรรษที่ 20 โดยอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง, และโครงสร้าง ดีเอ็นเอ โดยฟรานซิส คริก เป็นต้น โครงการวิศวกรรมและการนำไปประยุกต์ใช้งานขนาดใหญ่โดยคนในสหราชอาณาจักรในศตวรรษที่ 18 รวมถึง หัวรถจักรไอน้ ซึ่งพัฒนาโดย ริชาร์ด ทรีวิธิค และ แอนดรู วิเวียน, จากศตวรรษที่ 19 มอเตอร์ไฟฟ้าโดยไมเคิล ฟาราเดย์, หลอดไฟใช้ไส้ โดยโจเซฟ สวอน, และโทรศัพท์ ในทางปฏิบัติตัวแรกที่จดสิทธิบัตรโดย อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์,
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2344
หมวดหมู่:ราชอาณาจักร
หมวดหมู่:ราชอาณาจักรเครือจักรภพ
หมวดหมู่:รัฐสมาชิกสหประชาชาติ
หมวดหมู่:ประเทศที่เป็นเกาะ
หมวดหมู่:ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ |
2084 | https://th.wikipedia.org/wiki/คุณพ่อที่รัก | คุณพ่อที่รัก | คุณพ่อที่รัก หรือ จินเบ () เป็นการ์ตูนสั้นความยาวเล่มเดียวจบ โดย อาดาจิ มิซึรุ เป็นเรื่องราวความรักระหว่างพ่อ จินเป อดีตผู้รักษาประตูฟุตบอล ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่ดูแลสัตว์น้ำ กับลูกเลี้ยงสาวของเขา หลังจากภรรยาป่วยเสียชีวิต
จินเบ หมายถึงฉลามวาฬในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งตั้งล้อเลียนกับชื่อตัวเอกในเรื่อง คือ จินเป
== เนื้อเรื่อง ==
== ตัวละคร ==
== รายชื่อตอน ==
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชโจะ
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวเซเน็ง |
2085 | https://th.wikipedia.org/wiki/เอชทู | เอชทู | เอชทู () () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนวเบสบอล และความรักของวัยรุ่นใสใส ตามสไตล์ของ อาดาจิ มิซึรุ ผู้เขียน. เอชทูได้รับความนิยม และได้รับการดัดแปลงเป็นละครฉายทางโทรทัศน์ในประเทศญี่ปุ่น
== เนื้อเรื่อง ==
เนื้อเรื่องเริ่มต้นจากที่ ฮิโร่ และ ฮิเดโอะ และ โนดะ เป็นแชมป์เบสบอล ม.ต้น สองปีซ้อน หลังจากจบการศึกษา ฮิโร่และโนดะเลิกเล่นเบสบอล เนื่องจากหมอตรวจว่า ไหล่ของฮิโร่และเอวของโนดะมีปัญหาจากการเล่นเบสบอล ทั้งคู่จึงเข้าเรียนที่โรงเรียนเซ็นคาว่าที่ไม่มีชมรมเบสบอล ขณะเดียวกัน ฮิเดโอะเข้าชมรมเบสบอลโรงเรียนเมวะไดอิจิ ที่ขึ้นชื่อเสียงทางเบสบอล หลังจากที่ฮิโร่และโนดะได้เข้ามา ช่วยเหลือกลุ่มใจรักเบสบอลที่โดนแกล้งโดยชมรมฟุตบอล และได้มาเป็นสมาชิกในกลุ่ม และภายหลังได้ค้นพบว่าไหล่ไม่ได้มีปัญหา ขณะที่เอวของโนดะก็ไม่ได้มีปัญหาเช่นกัน จึงตัดสินใจตั้งชมรมเบสบอลขึ้นมาจากศูนย์ เพื่อไปสู้กับฮิเดโอะใน โคชิเอ็ง
เนื้อเรื่องของเอชทูจะรวมไปถึง กีฬาเบสบอล ความรัก การแข่งขัน ความรักสามเส้า ความเศร้า ชัยชนะ ความผิดหวัง และกำลังใจ โดย จะเน้นที่ความรักใสใสของทุกคนในเนื้อเรื่อง
== ตัวละคร ==
=== ตัวละครหลัก ===
ชื่อเรื่องมาจากตัวเอกของเรื่องทั้ง 4 คนมีชื่อขึ้นต้นด้วยตัวอักษร H (เอช เทียบเสียง ฮ.นกฮูก)
* ฮิโร่ คุนิมิ (国見 比呂, คุนิมิ ฮิโร่) ฮิโร่เกิดวันที่ 16 มกราคม (1/16) ที่มาของชื่อมาจากวันเกิดที่อ่านตาม 116 (1 = ฮิ, 6 = โระ อ่านได้เหมือนคำว่า ฮีโร่, Hero) ในเนื้อเรื่องมีตำแหน่งพิชเชอร์ (คนขว้างลูก) ให้กับโรงเรียนเซ็นคาว่าโดยเป็นเอสของทีม เป็นคนแนะนำให้ ฮิคาริ (เพื่อนสนิท) และฮิเดโอะ เป็นแฟนกันเมื่อสมัย ม.1 แต่ตัวเองมาหลงชอบ ฮิคาริ ตอนขึ้น ม.2
* ฮิเดโอะ ทาจิบานะ (橘 英雄, ทาจิบานะ ฮิเดโอะ) ฮิเดโอะเกิดวันที่ 6 พฤศจิกายน (11/6) ที่มาของชื่อมาจากวันเกิด 116 แต่เขียนและใช้เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ตำแหน่งเป็นแบตเตอร์ (ตัวตี) เบอร์ 4 ของทีม (ตำแหน่งเบอร์ 4 เป็นตำแหน่งที่สำคัญสุดของทีมรุก) ให้กับโรงเรียนเมวะไดอิจิ ในสมัย ม.ต้น ได้ร่วมทีมเดียวกันกับฮิโร่และเป็นเพื่อนสนิทกันมา โดยในปัจจุบันแฟนกับฮิคาริ และ เป็นคู่แข่งคนสำคัญของ ฮิโร่ ทั้งทางด้านเบสบอล และด้านความรัก ความฝันของฮิเดโอะ อยากจะเป็นนักกีฬามืออาชีพ
* ฮิคาริ อามามิยะ (雨宮 ひかり, อามามิยะ ฮิคาริ) ฮิคาริเกิดวันที่ 16 สิงหาคม เกิดในหน้าร้อนจึงได้ชื่อว่า ฮิคาริ ซึ่งแปลว่า แสงสว่าง ฮิคาริเป็นเพื่อนสนิทและอาศัยอยู่แถวบ้านฮิโร่ ปัจจุบันอยู่ชมรมยิงธนูของโรงเรียนเมวะไดอิจิ และได้รับเลือกตำแหน่งเป็นมิสเมวะ ฮิคาริเป็นแฟนกับฮิเดะโอะ แต่กำลังสงสัยในตัวเองที่จะเลือกระหว่าง ฮิโร่ หรือฮิเดโอะ
* ฮารุกะ โคกะ (古賀 春華, โคกะ ฮารุกะ) ฮารุกะเกิดวันที่ 3 มีนาคม (วันเด็กผู้หญิงของญี่ปุ่น) เกิดในฤดูใบไม้ผลิ จึงได้ชื่อว่าฮารุกะ เป็นผู้จัดการทีมเบสบอลโรงเรียนเซ็นคาว่า และเป็นผู้ช่วยในการเริ่มต้นของชมรมเบสบอล ฮารุกะหลงรักฮิโร่แต่ก็รู้สึกสับสนระหว่างความรักของตัวเองกับ ฮิโร่ ฮิคาริ ฮิเดโอะ นอกจากนี้ ฮารุกะยังเป็นลูกสาวของบริษัทพาณิชย์ฮารุกะ ซึ่งพ่อของฮิโร่ทำงานอยู่
* อาซึชิ โนดะ (野田 敦, โนดะ อาซึชิ) โนดะเป็นเพื่อนสนิทกับ ฮิโร่ ฮิเดะโอะ และฮิคาริ ตั้งแต่สมัยเด็ก และรู้จักกับฮารุกะในทีมเบสบอลของโรงเรียนเซ็นคาว่า ทำหน้าที่ในตำแหน่ง แคชเชอร์ (คนรับลูกขว้างจากพิชเชอร์) โนดะเป็นคนกลางในเรื่องความรักสี่เส้าระหว่างทุกๆ คน
=== ตัวละครรอง ===
* ริวทาโร่ คิเนะ (木根 竜太郎, คิเนะ ริวทาโร่) เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ ให้กับโรงเรียนเซ็นคาว่า หลงชอบฮารุกะ นิสัยเป็นคนขี้อวด ขี้หลีสาวและลามก แต่ใจจริงเป็นคนขยันและตั้งใจฝึกซ้อม
* โมริมิจิ ยานางิ (柳 守道, ยานางิ โมริมิจิ) เล่นตำแหน่งเซคเคินด์ให้กับโรงเรียนเซ็นคาว่า เลิกเล่นเบสบอล ตอนเข้าม.ปลาย เนื่องจากโดนพ่อสั่งห้าม แต่สุดท้ายก็ได้มาร่วมทีมให้เซ็นคาว่า
* ชูจิ ซางาว่า (佐川 周二, ซางาว่า ชูจิ) เล่นตำแหน่งชอร์ทให้กับโรงเรียนเซ็นคาว่า เป็นเพื่อนสนิทของฮิเดโอะสมัยประถม แต่ได้ย้ายบ้านไปอยู่เมืองอื่น และกลับมาร่วมทีมกับเซ็นคาว่า
* มิโฮะ โอซาไน (小山内 美歩, โอซาไน มิโฮะ) ผู้จัดการทีมเบสบอลโรงเรียนเมวะไดอิจิ หลงชอบฮิเดโอะ และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ฮิเดโอะมาเป็นแฟน
== รายชื่อตอน ==
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง
หมวดหมู่:มังงะในนิตยสารโชเน็งซันเดย์
หมวดหมู่:อนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2538
หมวดหมู่:อนิเมะและมังงะเกี่ยวกับเบสบอล |
2087 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษามลายู | ภาษามลายู | ภาษามลายู (, ยาวี: , เรอจัง: ) เป็นภาษาหลักภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน มีสถานะเป็นภาษาราชการในประเทศบรูไน ประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศอินโดนีเซีย และใช้สื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการในประเทศติมอร์-เลสเตและบางส่วนของประเทศไทย ภาษานี้มีผู้พูด 290 ล้านคน (ประมาณ 260 ล้านคนในอินโดนีเซียเพียงประเทศเดียวซึ่งมีมาตรฐานเป็นของตนเองที่เรียกว่า "ภาษาอินโดนีเซีย") โดยเป็นภาษาแม่ของผู้คนตลอดสองฟากช่องแคบมะละกา ซึ่งได้แก่ ชายฝั่งคาบสมุทรมลายูของมาเลเซียและชายฝั่งตะวันออกของเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย และได้รับการยอมรับเป็นภาษาแม่ในชายฝั่งตะวันตกของซาราวักและกาลีมันตันตะวันตกในเกาะบอร์เนียว นอกจากนี้ยังใช้เป็นภาษาการค้าในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งได้แก่ ตอนใต้ของคาบสมุทรซัมบวงกา, กลุ่มเกาะซูลู และเมืองบาตาราซาและบาลาบัก (ซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะปาลาวัน
ในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ ( หรือ ) ของรัฐเอกราชหลายรัฐ ภาษามลายูมาตรฐานมีชื่อทางการแตกต่างกันไป ในบรูไนและสิงคโปร์เรียกว่า "ภาษามลายู" () ในมาเลเซียเรียกว่า "ภาษามลายู" () หรือ "ภาษามลายูมาเลเซีย" () และในอินโดนีเซียเรียกว่า "ภาษาอินโดนีเซีย" () อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่ทางตอนกลางและตอนใต้ของเกาะสุมาตราที่ซึ่งภาษามลายูเป็นภาษาพื้นเมือง ชาวอินโดนีเซียจะเรียกภาษานี้ว่า "ภาษามลายู" และมองว่าเป็นภาษาหนึ่งในบรรดาภาษาประจำภูมิภาคของตน
ภาษามลายูมาตรฐาน (หรือที่เรียกว่าภาษามลายูราชสำนัก) เคยเป็นวิธภาษามาตรฐานในวรรณกรรมของรัฐสุลต่านมะละกาและยะโฮร์สมัยก่อนอาณานิคม ดังนั้น บางครั้งจึงเรียกว่าภาษานี้ว่าภาษามลายูมะละกา, ภาษามลายูยะโฮร์ หรือภาษามลายูรีเยา (หรือชื่ออื่น ๆ ที่ใช้ชื่อเหล่านี้ประกอบกัน) เพื่อแยกให้แตกต่างกับภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษาในกลุ่มภาษามลายู จากข้อมูลของเอ็ทนอล็อก (Ethnologue) วิธภาษามลายูต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีรายชื่อเป็นภาษาแยกต่างหาก (รวมถึงวิธภาษาโอรังอัซลีในมาเลเซียตะวันตก) มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับภาษามลายูมาตรฐานมากจนอาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นภาษาถิ่นของภาษาเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีภาษามลายูการค้าและภาษาครีโอล (creole) จากภาษามลายูอีกจำนวนมากซึ่งมีพื้นฐานจากภาษากลางที่พัฒนามาจากภาษามลายูตามแบบแผนดั้งเดิม เช่นเดียวกับภาษามลายูมากัซซาร์ซึ่งปรากฏว่าเป็นภาษาผสม
== ไวยากรณ์ ==
ภาษามลายูเป็นภาษารูปคำติดต่อ การสร้างคำใหม่ทำได้ 2 วิธีคือ ลงวิภัติปัจจัยที่รากศัพท์ สร้างคำประสมหรือซ้ำคำ
=== หน่วยคำเติม ===
รากศัพท์ที่เติมหน่วยคำเติมเป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยา ตังอย่างเช่น masak (ทำอาหาร) เป็น memasak (กำลังทำอาหาร) memasakkan (ทำอาหารเพื่อ) dimasak (ทำอาหาร-รูปถูกกระทำ) และ pemasak (ผู้ทำอาหาร) บางครั้งมีการเปลี่ยนเสียงพยัญชนะตัวแรกเมื่อเติมคำอุปสรรคหน้ารากศัพท์ เช่น sapu (กวาด) เป็น penyapu (ไม้กวาด) panggil (เรียก) เป็น memanggil (กำลังเรียก)
ตัวอย่างการใช้หน่วยคำเติมเพื่อเปลี่ยนความหมายของคำได้แก่การผันคำว่า ajar (สอน)
* ajaran = คำสั่งสอน
* belajar = กำลังเรียน
* mengajar = สอน
* diajar = (บางสิ่ง) กำลังถูกสอน
* diajarkan = (บางคน) กำลังถูกสอน (เกี่ยวกับบางสิ่ง)
* mempelajari = เรียน (บางอย่าง)
* dipelajari = กำลังถูกศึกษา
* pelajar = นักเรียน
* pengajar = ครู
* pelajaran = วิชาเรียน
* pengajaran = บทเรียน
* pembelajaran = การเรียนรู้
* terpelajar = ถูกศึกษา
* berpelajaran = มีการศึกษาดี
หน่วยคำเติมมี 4 ชนิดคือ อุปสรรค (awalan) ปัจจัย (akhiran) อุปสรรค+ปัจจัย (apitan) และอาคม (sisipan) หน่วยคำเติมเหล่านี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มตามหน้าที่คือ ทำให้เป็นนาม กริยา และคุณศัพท์
หน่วยคำเติมสร้างคำนาม เปลี่ยนรากศัพท์ให้เป็นคำนาม ตัวอย่างแสดงในตารางข้างล่าง
หน่วยคำเติมสร้างคำกริยา เปลี่ยนรากศัพท์ให้เป็นคำกริยา ตัวอย่างแสดงในตารางข้างล่าง
หน่วยคำเติมสร้างคำคุณศัพท์ เปลี่ยนรากศัพท์ให้เป็นคำคุณศัพท์ ตัวอย่างแสดงในตารางข้างล่าง:
ภาษามลายูมีปัจจัยที่ยืมจากภาษาอื่นเช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาอาหรับ ภาษาอังกฤษ เช่น maha- juru- pasca- eka- anti- pro-
=== คำประสม ===
คำประสมเกิดจากการรวมคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปเข้าด้วยกัน ซึ่งคำเหล่านี้ปกติจะเขียนแยกกันในประโยค คำประสมนี้อาจรวมกันได้โดยตรง หรือมีปัจจัยเชื่อมคำเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น kereta หมายถึงรถ และ api หมายถึงไฟ รวมกันเป็น kereta api หมายถึงรถไฟ
kita หมายถึง เรา
kasih " รัก
รวมกันเป็น เรารักคุณ
=== การซ้ำคำ ===
การซ้ำคำในภาษามลายูมี 4 แบบคือ ซ้ำทั้งหมด ซ้ำบางส่วน ซ้ำเป็นจังหวะ และซ้ำโดยความหมาย
=== ลักษณนาม ===
ภาษามลายูมีการใช้ลักษณนามเช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาเวียดนาม และภาษาเบงกอล
=== คำหน้าที่ ===
มี 16 ชนิด เป็นคำที่มีหน้าที่ทางไวยากรณืในประโยค ได้แก่ คำสันธาน คำบุพบท คำปฏิเสธ และคำอื่น ๆ
==== คำปฏิเสธ ====
คำที่แสดงการปฏิเสธในภาษามลายูมี 2 คำ คือ bukan และ tidak bukan ใช้ปฏิเสธนามวลีและบุพบท ส่วน tidak ใช้ปฏิเสธคำกริยาและวลีคุณศัพท์
คำ bukan อาจใช้นำหน้า กริยาและวลีคุณศัพท์ได้ ถ้าประโยคนั้นแสดงความขัดแย้ง
=== เพศทางไวยากรณ์ ===
โดยทั่วไปไม่มีการแบ่งเพศ มีเพียงบางคำที่มีการแบ่งเพศตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น adik หมายถึงน้องโดยไม่แบ่งเพศ adik laki-laki หมายถึงน้องชายซึ่งไม่ตรงกับ"brother" ในภาษาอังกฤษ คำที่แบ่งเพศ เช่น puteri (เจ้าหญิง)และ putera (เจ้าชาย)
=== การทำให้เป็นพหูพจน์ ===
โดยทั่วไปการแสดงพหูพจน์ใช้การซ้ำคำ ตัวอย่างเช่น ถ้วย 1 ใบ ใช้ cawan ถ้วยหลายใบใช้cawan-cawan แต่ลดรูปเหลือ cecawan แต่บางคำมีข้อยกเว้นเช่น orang หมายถึงบุคคลแต่คำว่าประชาชนไม่ใช้ orang-orang แต่ใช้คำว่า rakyat แต่ถ้าหมายถึงคนหลายคนหรือคนเยอะใช้คำว่า ramai orang ,คน 1 พันคนใช้ seribu orang ซึ่งเป็นการใช้คำแสดงจำนวนแสดงรูปพหูพจน์
นอกจากใช้แสดงพหูพจน์แล้ว การซ้ำคำยังใช้สร้างคำใหม่ด้วย เช่น hati หมายถึงหัวใจหรือตับแล้วแต่บริบท hati-hati หมายถึงระวัง และมักใช้เป็นคำกริยา การซ้ำคำนี้ถือเป็นเรื่องยากสำหรับชาวต่างชาติที่เรียนภาษามลายู
=== คำกริยา ===
ไม่มีการผันคำกริยาตามกาลหรือจำนวน ไม่มีเครื่องหมายแสดงกาล แต่มักบอกกาลโดยใช้คำกริยาวิเศษณ์แทน (เช่นเมื่อวานนี้) หรือตัวบ่งกาล เช่น sudah (พร้อมแล้ว) แต่ภาษามลายูมีระบบคำกริยาที่ซับซ้อนของปัจจัยเพื่อแสดงความหมายที่ต่างกันเล็กน้อยรวมทั้งแสดงผู้กระทำ ปัจจัยบางตัวถูกยกเว้นไม่ใช้ในการสนทนา
=== การเรียงลำดับคำ ===
โดยทั่วไปเป็นแบบประธาน-กริยา-กรรม คำคุณศัพท์ คำสรรพนามชี้เฉพาะและสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของตามหลังคำนามที่ขยาย
== คำยืม ==
ภาษามลายูมีคำยืมจากภาษาอาหรับ (มักเป็นคำทางศาสนา) ภาษาฮินดี ภาษาสันสกฤต ภาษาทมิฬ ภาษาเปอร์เซีย ภาษาโปรตุเกส ภาษาดัตช์ ภาษาจีนบางสำเนียง คำยืมรุ่นใหม่ ๆ มักมาจากภาษาอังกฤษ โดยมากเป็นศัพท์วิทยาศาสตร์และศัพท์เทคนิค
== ตัวอย่างคำศัพท์ ==
* stesen สเตเซน =สถานี
* tandas ตันดัซ = ห้องน้ำ
* restoran เรซโตรัน = ภัตตาคาร
* lapangan terbang ลาปางัน เตอร์บัง = ท่าอากาศยาน
* taman ตามัน = สวนสาธารณะ
* pergi, tiba/sampai เปอร์ฆี, ตีบา/ซัมปัย = ไป, ถึง
* saya/aku ซายา/อากู = ผม, ฉัน
* dia ดียา = เขาผู้หญิง/เขาผู้ชาย
* ia อียา = มัน (คน)
* mereka, dia orang เมอเรกา, ดียา โอรัง = เขาทั้งหลาย
* terima kasih เตอรีมา กาซิฮ์ = ขอบคุณ
* hari ini ฮารี อีนี = วันนี้
* besok เบโซะ = พรุ่งนี้
* malam ini มาลัม อีนี = คืนนี้
* semalam/kelmarin เซอมาลัม/เกิลมาริน = เมื่อวานนี้
* pelancong เปอลันจง = นักท่องเที่ยว
* tutup ตูตุป = ปิด
* buka บูกา = เปิด
* baik บัยอ์ = ดี
* jahat ฌาฮัต = เลว
* betul เบอตุล = ถูก
* salah ซาละฮ์ = ผิด
* sarapan ซาราปัน = อาหารเช้า
* makan tengah hari มากัน เตองะฮ์ ฮารี = อาหารเที่ยง
* mahal มาฮัล = แพง
* murah มูระฮ์ = ถูก
* panas ปานัซ = ร้อน
* sejuk เซอฌุ = หนาว
* makan malam มากัน มาลัม = อาหารเย็น
* kertas pembalut เกอร์ตัซ เปิมบาลุต = กระดาษห่อของ
* sikat ซีกัต = หวี
* pembersih เปิมเบอร์ซิฮ์ = ผงซักฟอก
* tas ตัซ = กระเป๋าเดินทาง
* sampul surat ซัมปุล ซูรัต = ซองจดหมาย
* hadiah ฮาดียะฮ์ = ของขวัญ
* topi โตปี = หมวก
* geretan เฆเรตัน = ไฟแช็ก
* jarum ฌารุม = เข็มเย็บผ้า
* syampu ชัมปู = แชมพูสระผม
* kasut กาซุต = รองเท้า
* sabun ซาบุน = สบู่
* berus gigi เบอรุซ ฆีฆี = แปรงสีฟัน
* ubat gigi อูบัต ฆีฆี = ยาสีฟัน
* payung ปายุง = ร่ม
* darah ดาระฮ์ = เลือด
* lukis ลูกิส = วาด
* buk/buku บูกู = หนังสือ
== อิทธิพลของภาษามลายูในภาษาไทย ==
ภาษามลายูมีอิทธิพลในภาษาไทยมาช้านาน โดยมีหลักฐานชัดเจนย้อนหลังไปอย่างน้อยในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยปรากฏในปริบทต่าง ๆ ดังนี้
* ในวรรณคดี ได้แก่ บุหลัน บุหงา ฯลฯ
* ในภาษาพูดทั่วไป เช่น บ้าน รูมาฮ
* ในราชาศัพท์ เช่น พระปั้นเหน่ง
* ในชื่อจังหวัด เช่น ปัตตานี ยะลา ฯลฯ
== อ้างอิง ==
==อ่านเพิ่ม==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* The list of Malay words and list of words of Malay origin at Wiktionary, the free dictionary and Wikipedia's sibling project
* Swadesh list of Malay words
* Digital version of Wilkinson's 1926 Malay-English Dictionary
* Pusat Rujukan Persuratan Melayu, online Malay language database provided by the Dewan Bahasa dan Pustaka
* Kamus Besar Bahasa Indonesia dalam jaringan (Online Great Dictionary of the Indonesian Language published by Pusat Bahasa, in Indonesian only)
* Dewan Bahasa dan Pustaka (Institute of Language and Literature Malaysia, in Malay only)
* The Malay Spelling Reform, Asmah Haji Omar, (Journal of the Simplified Spelling Society, 1989-2 pp. 9-13 later designated J11)
* Malay Chinese Dictionary
* Malay English Dictionary
* Malay English Translation |
2088 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาไทย | ภาษาไทย | สระเดี่ยวสระเดี่ยว
| สระประสมสระประสม
สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้
* เ-ีย ประสมจากสระ อี และ อา ia
* เ-ือ ประสมจากสระ อือ และ อา uea
* -ัว ประสมจากสระ อู และ อา ua
ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ-ียะ เ-ือะ -ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น
สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้
* -ำ am ประสมจาก อะ + ม (อัม) เช่น ขำ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม) เช่น น้ำ
* ใ- ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ใจ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ใต้
* ไ- ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ไหม้ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ไม้
* เ-า ao ประสมจาก อะ + ว (เอา) เช่น เกา บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว) เช่น เก้า
* ฤ rue, ri, roe ประสมจาก ร + อึ (รึ) เช่น ฤกษ์ บางคำเปลี่ยนเป็น (ริ) เช่น กฤษณะ หรือ (เรอ) เช่น ฤกษ์
* ฤๅ rue ประสมจาก ร + อือ (รือ)
* ฦ lue ประสมจาก ล + อึ (ลึ)
* ฦๅ lue ประสมจาก ล + อือ (ลือ)
บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ
สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา
# คำที่สะกดด้วย -ั (สระ -ะ) + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ -ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ-า แทน
# สระ เ-ะ แ-ะ เ-าะ ที่มีวรรณยุกต์ ใช้รูปเดียวกับสระ เ- แ- -อ ตามลำดับ เช่น เผ่น เล่น แล่น แว่น ผ่อน กร่อน
# คำที่สะกดด้วย -อ (สระ -อ) + ร จะลดรูปเป็น -ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ-ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ-ะ + ร จึงไม่มี
# สระ เ-อะ ที่มีตัวสะกดใช้รูปเดียวกับสระ เ-อ เช่น เงิน เปิ่น เห่ย
# คำที่สะกดด้วย เ-อ + ย จะลดรูปเป็น เ-ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ- อย่างไรก็ตาม คำที่สะกดด้วย เ- + ย จะไม่มีในภาษาไทย
# พบได้น้อยคำ เช่น เทอญ เทอม
=== วรรณยุกต์ ===
==== เสียงวรรณยุกต์ ====
===== คำเป็น =====
เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมาตรฐานจำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่
===== คำตาย =====
เสียงวรรณยุกต์ในคำตายสามารถมีได้แค่เพียง 3 เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก เสียงโท และ เสียงตรี โดยขึ้นอยู่กับความสั้นความยาวของสระ เสียงเอกสามารถออกเสียงควบคู่กับได้สระสั้นหรือยาว เสียงตรีสามารถออกเสียงควบคู่กับสระสั้น และ เสียงโทสามารถออกเสียงควบคู่กับสระยาว เช่น
แต่อย่างใดก็ดี ในคำยืมบางคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คำตายสามารถมีเสียงตรีควบคู่กับสระยาว และเสียงโทควบคู่กับสระสั้นได้ด้วย เช่น
==== รูปวรรณยุกต์ ====
ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่
==== การเขียนเสียงวรรณยุกต์ ====
ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น
=== คำควบกล้ำ ===
คำควบกล้ำ หรือ อักษรควบ หมายถึง พยัญชนะสองตัวเขียนเรียงกันอยู่ต้นพยางค์ และใช้สระเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวกัน เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นั้นจะผันเป็นไปตามเสียงพยัญชนะตัวหน้าคำควบกล้ำ (อักษรควบ) มี 2 ชนิด คือ
คำควบแท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ล ว ควบกับพยัญชนะตัวหน้า ประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวพร้อมกัน
คำควบไม่แท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ควบกับพยัญชนะตัวหน้าประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านไม่ออกเสียง ร ออกเสียงเฉพาะตัวหน้า หรือมิฉะนั้น ก็ออกเสียง เป็นเสียงอื่นไป
* คำควบไม่แท้ที่ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวหน้า ได้แก่พยัญชนะ จ ซ ศ ส ควบกับ ร
* คำควบไม่แท้ ท ควบกับ ร จะออกเสียงกลายเป็น ซ
== ไวยากรณ์ ==
ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป ไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) วาจก (voice) หรือบุรุษ (person) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงค์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้เป็นคำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เช่น ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต เมื่อนำคำที่รับมานั้นมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป
คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำได้อย่างตายตัว จำเป็นต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO)
=== วากยสัมพันธ์ ===
ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ หรือการเรียงลำดับคำในประโยค โดยรวมแล้วจะเรียงเป็น 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ในกรณีที่มีการเน้นความหมายของกรรม (topicalization) สามารถเรียงประโยคเป็น 'กรรม-ประธาน-กริยา' (object-subject-verb หรือ OSV) ได้ด้วย แต่ต้องใช้คำชี้เฉพาะเติมหลังคำที่เป็นกรรมคำนั้น เช่น
== การยืมคำจากภาษาอื่น ==
ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่น ๆ ค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาขร้า-ไท ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน
บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น
* ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไท ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร
* อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทฺธิ (iddhi) ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทฺธิ ऋद्धि (ṛddhi) ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน
คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไท แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้
; รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
* วชิระ (บาลี: วชิร [vajira]), วัชระ (สันส: วชฺร वज्र [vajra])
* ศัพท์ (สันส: ศพฺท शब्द [śabda]), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี: สทฺท [sadda])
* อัคนี และ อัคคี (สันส: อคฺนิ अग्नि [agni] บาลี: อคฺคิ [aggi])
* โลก (โลก) - บาลี: โลก [loka] (สันสกฤต: लोक โลก)
* ญาติ (ยาด) - บาลี: ญาติ (ยา-ติ) [ñāti]
; เสียง พ มักแผลงมาจาก ว
* เพียร (มาจาก พิริย และมาจาก วิริย อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรฺย वीर्य [vīrya], บาลี:วิริย [viriya])
* พฤกษา หรือ พฤกษ์ (สันส:วฺฤกฺษ वृक्ष [vṛkṣa])
* พัสดุ (สันส: वस्तु [vastu] (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ) )
; เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ
* หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หรติ))
; เสียง ด มักแผลงมาจาก ต
* หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ))
* เทวดา (บาลี:เทวตา [devatā])
* วัสดุ และ วัตถุ (สันส: [vastu] वस्तु (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ))
* กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ))
; เสียง บ มักแผลงมาจาก ป
* กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ))
* บุพเพ และ บูรพ (บาลี: [pubba] (ปุพฺพ))
=== ภาษาอังกฤษ ===
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีวิวัฒนาการต่าง ๆ ทางเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งทำให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เช่น
* ประปา จากคำว่า วอเตอร์ซัปพลาย (water supply)
* สถานี จากคำว่า สเตชัน (station)
* รถยนต์ จากคำว่า รถมอเตอร์คาร์ (motorcar)
* เรือยนต์ จากคำว่า เรือมอเตอร์ (motorboat)
* ประมวล จากคำว่า โค้ด (code)
== ดูเพิ่ม ==
* ไตรยางศ์
* ภาษาในประเทศไทย
* ภาษาวิบัติ
* วันภาษาไทยแห่งชาติ
* อักษรไทย
== อ้างอิง ==
* กำชัย ทองหล่อ. หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: บำรุงสาส์น, 2533.
* นันทนา รณเกียรติ. สัทศาสตร์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548. ISBN 978-974-571-929-3.
* อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล และ กัลยารัตน์ ฐิติกานต์นารา. 2549.“การเน้นพยางค์กับทำนองเสียงภาษาไทย” (Stress and Intonation in Thai) วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (มกราคม - มิถุนายน 2549) หน้า 59-76
* สัทวิทยา: การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. 2547. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
* Gandour, Jack, Tumtavitikul, Apiluck and Satthamnuwong, Nakarin.1999. “Effects of Speaking Rate on the Thai Tones.” Phonetica 56, pp.123-134.
* Tumtavitikul, Apiluck, 1998. “The Metrical Structure of Thai in a Non-Linear Perspective”. Papers presentd to the Fourth Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society 1994, pp. 53-71. Udom Warotamasikkhadit and Thanyarat Panakul, eds. Temple, Arizona: Program for Southeast Asian Studies, Arizona State University.
* Apiluck Tumtavitikul. 1997. “The Reflection on the X’ category in Thai”. Mon-Khmer Studies XXVII, pp. 307-316.
* อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. 2539. “ข้อคิดเกี่ยวกับหน่วยวากยสัมพันธ์ในภาษาไทย” วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ. 4.57-66.
* Tumtavitikul, Appi. 1995. “Tonal Movements in Thai”. The Proceedings of the XIIIth International Congress of Phonetic Sciences, Vol. I, pp. 188-121. Stockholm: Royal Institute of Technology and Stockholm University.
* Tumtavitikul, Apiluck. 1994. “Thai Contour Tones”. Current Issues in Sino-Tibetan Linguistics, pp.869-875. Hajime Kitamura et al, eds, Ozaka: The Organization Committee of the 26th Sino-Tibetan Languages and Linguistics, National Museum of Ethnology.
* Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “FO - Induced VOT Variants in Thai”. Journal of Languages and Linguistics, 12.1.34 - 56.
* Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “Perhaps, the Tones are in the Consonants?” Mon-Khmer Studies XXIII, pp.11-41.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ภาษาไทยและอักษรไทย ที่ Omniglot
* พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
* พจนานุกรม ภาษาไทยในรูปแบบ สตาร์ดิกต์ (StarDict), GoldenDict และ ABBYY Lingvo |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.