id
stringlengths 1
7
| url
stringlengths 31
212
| title
stringlengths 1
182
| text
stringlengths 100
310k
|
---|---|---|---|
1 | https://th.wikipedia.org/wiki/หน้าหลัก | หน้าหลัก | == ป้ายบอกทาง ==
* ศาลาประชาคม - กระดานข่าว โครงการ ทรัพยากรและกิจกรรมซึ่งครอบคลุมวิกิพีเดียอย่างกว้างขวาง
* แผนกช่วยเหลือ - ถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานวิกิพีเดีย
* ปุจฉา-วิสัชนา - ถามข้อสงสัยทั่วไปที่คุณอยากรู้
* ข่าวไซต์ - ประกาศ อัปเดต บทความและข้อมูลข่าวเกี่ยวกับวิกิพีเดียและมูลนิธิวิกิมีเดีย
* สภากาแฟ - สำหรับอภิปรายเกี่ยวกับวิกิพีเดีย รวมถึงรายงานปัญหาเทคนิคและเสนอนโยบาย
* Local Embassy - For Wikipedia-related discussion in languages other than Thai.
* สร้างบทความใหม่ - บทช่วยสอนสำหรับเตรียมพร้อมสร้างบทความแรกของคุณ
== ภาษาอื่น == |
545 | https://th.wikipedia.org/wiki/ดาราศาสตร์ | ดาราศาสตร์ | [[ดาราจักรทางช้างเผือก]]
ดาราศาสตร์ (, ) คือวิชาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัตถุท้องฟ้าหรือวัตถุทางดาราศาสตร์ (เช่น ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์, ดาวหาง, ดาราจักร) รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเอกภพ โดยศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ลักษณะทางกายภาพ ทางเคมี ทางอุตุนิยมวิทยา และการเคลื่อนที่ของวัตถุท้องฟ้า ตลอดจนถึงการกำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพ
ดาราศาสตร์เป็นหนึ่งในสาขาของวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด นักดาราศาสตร์ในวัฒนธรรมโบราณสังเกตการณ์ดวงดาวบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน และวัตถุทางดาราศาสตร์หลายอย่างก็ได้ถูกค้นพบเรื่อยมาตามยุคสมัย อย่างไรก็ตาม กล้องโทรทรรศน์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จำเป็นก่อนที่จะมีการพัฒนามาเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ตั้งแต่อดีตกาล ดาราศาสตร์ประกอบไปด้วสาขาที่หลากหลายเช่น การวัดตำแหน่งดาว การเดินเรือดาราศาสตร์ ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์ การสร้างปฏิทิน และรวมทั้งโหราศาสตร์ แต่ดาราศาสตร์ทุกวันนี้ถูกจัดว่ามีความหมายเหมือนกับฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ดาราศาสตร์ได้แบ่งออกเป็นสองสาขาได้แก่ ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์ และดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์จะให้ความสำคัญไปที่การเก็บและการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการใช้ความรู้ทางกายภาพเบื้องต้นเป็นหลัก ส่วนดาราศาสตร์เชิงทฤษฎีให้ความสำคัญไปที่การพัฒนาคอมพิวเตอร์หรือแบบจำลองเชิงวิเคราะห์ เพื่ออธิบายวัตถุท้องฟ้าและปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งสองสาขานี้เป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ดาราศาสตร์เชิงทฤษฎีใช้อธิบายผลจากการสังเกตการณ์ และดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์ใช้ในการรับรองผลจากทางทฤษฎี
คำว่า ดาราศาสตร์(อังกฤษ:Astronomy)(กรีกἀστρονομία) มาจากภาษากรีก คือคำว่า Astron(ἄστρον)แปลว่า ดาว(Star) และคำว่า Nomos(νόμος) แปลว่า กฎ(law)
การค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในเรื่องของดาราศาสตร์ที่เผยแพร่โดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่นนั้นมีความสำคัญมาก และดาราศาสตร์ก็เป็นหนึ่งในวิทยาศาสตร์จำนวนน้อยสาขาที่นักดาราศาสตร์สมัครเล่นยังคงมีบทบาท โดยเฉพาะการค้นพบหรือการสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
ไม่ควรสับสนระหว่างดาราศาสตร์โบราณกับโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่นำเอาเหตุการณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ไปเกี่ยวโยงกับตำแหน่งของวัตถุท้องฟ้า แม้ว่าทั้งดาราศาสตร์และโหราศาสตร์เกิดมาจากจุดร่วมเดียวกัน และมีส่วนหนึ่งของวิธีการศึกษาที่เหมือนกัน เช่นการบันทึกตำแหน่งดาว (ephemeris) แต่ทั้งสองอย่างก็แตกต่างกัน
ในปี ค.ศ. 2019 เป็นการครบรอบ 410 ปีของการพิสูจน์แนวคิดเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ของ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส อันเป็นการพลิกคติและโค่นความเชื่อเก่าแก่เรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลของอริสโตเติลที่มีมาเนิ่นนาน โดยการใช้กล้องโทรทรรศน์สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ของกาลิเลโอซึ่งช่วยยืนยันแนวคิดของโคเปอร์นิคัส องค์การสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้ปี ค.ศ.2019 เป็นปีดาราศาสตร์สากล มีเป้าหมายเพื่อให้สาธารณชนได้มีส่วนร่วมและทำความเข้าใจกับดาราศาสตร์มากยิ่งขึ้น
== ประวัติ ==
ดาราศาสตร์นับเป็นวิชาที่เก่าแก่ที่สุดวิชาหนึ่ง เพราะนับตั้งแต่มีมนุษย์อยู่บนโลก เพราะมนุษย์ได้เห็นและได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติเสมอมา แล้วก็เริ่มสังเกตจดจำและเล่าต่อ ๆ กัน เช่น เมื่อมองออกไปรอบตัวเห็นพื้นดินราบ ดูออกไปไกล ๆ ก็ยังเห็นว่าพื้นผิวของโลกแบน จึงคิดกันว่าโลกแบน มองฟ้าเห็นโค้งคล้ายฝาชีหรือโดม มีดาวให้เห็นเคลื่อนข้ามศีรษะไปทุกคืน กลางวันมีลูกกลมแสงจ้า ให้แสง สี ความร้อน ซึ่งก็คือ ดวงอาทิตย์ ที่เคลื่อนขึ้นมาแล้วก็ลับขอบฟ้าไป ดวงอาทิตย์จึงมีความสำคัญกับเรามาก
การศึกษาดาราศาสตร์ในยุคแรก ๆ เป็นการเฝ้าดูและคาดเดาการเคลื่อนที่ของวัตถุท้องฟ้าเหล่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนยุคสมัยที่กล้องโทรทรรศน์จะถูกประดิษฐ์ขึ้น มีสิ่งปลูกสร้างโบราณหลายแห่งที่เชื่อว่าเป็นสถานที่สำหรับการเฝ้าศึกษาทางดาราศาสตร์ เช่น สโตนเฮนจ์ นอกจากนี้การเฝ้าศึกษาดวงดาวยังมีความสำคัญต่อพิธีกรรม ความเชื่อ และเป็นการบ่งบอกถึงการเปลี่ยนฤดูกาล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสังคมเกษตรกรรมการเพาะปลูก รวมถึงเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงระยะเวลา วัน เดือน ปี
เมื่อสังคมมีวิวัฒนาการขึ้นในดินแดนต่าง ๆ การสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ก็ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน เมโสโปเตเมีย กรีก จีน อียิปต์ อินเดีย และ มายา เริ่มมีแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของธรรมชาติแห่งจักรวาลกว้างขวางขึ้น ผลการศึกษาดาราศาสตร์ในยุคแรก ๆ จะเป็นการบันทึกแผนที่ตำแหน่งของดวงดาวต่าง ๆ อันเป็นศาสตร์ที่ปัจจุบันเรียกกันว่า การวัดตำแหน่งดาว (astrometry) ผลจากการเฝ้าสังเกตการณ์ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่าง ๆ เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้น ธรรมชาติการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก นำไปสู่แนวคิดเชิงปรัชญาเพื่อพยายามอธิบายปรากฏการณ์เหล่านั้น ความเชื่อดั้งเดิมคือโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่าง ๆ เคลื่อนที่ไปโดยรอบ แนวคิดนี้เรียกว่า แบบจำลองแบบโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล (geocentric model)
มีการค้นพบทางดาราศาสตร์ที่สำคัญไม่มากนักก่อนการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ ตัวอย่างการค้นพบเช่น ชาวจีนสามารถประเมินความเอียงของแกนโลกได้ประมาณหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล ชาวบาบิโลนค้นพบว่าปรากฏการณ์จันทรคราสจะเกิดขึ้นซ้ำเป็นช่วงเวลา เรียกว่า วงรอบซารอส และช่วงสองร้อยปีก่อนคริสตกาล ฮิปปาร์คัส นักดาราศาสตร์ชาวกรีก สามารถคำนวณขนาดและระยะห่างของดวงจันทร์ได้
ตลอดช่วงยุคกลาง การค้นพบทางดาราศาสตร์ในยุโรปกลางมีน้อยมากจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่มีการค้นพบใหม่ ๆ มากมายในโลกอาหรับและภูมิภาคอื่นของโลก มีนักดาราศาสตร์ชาวอาหรับหลายคนที่มีชื่อเสียงและสร้างผลงานสำคัญแก่วิทยาการด้านนี้ เช่น Al-Battani และ Thebit รวมถึงคนอื่น ๆ ที่ค้นพบและตั้งชื่อให้แก่ดวงดาวด้วยภาษาอารบิก ชื่อดวงดาวเหล่านี้ยังคงมีที่ใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
=== การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ===
[[กล้องโทรทรรศน์วิทยุจำนวนมากเรียงรายในลานกว้าง ที่รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐ]]
ในทางดาราศาสตร์ สารสนเทศส่วนใหญ่ได้จากการตรวจหาและวิเคราะห์โฟตอนซึ่งเป็นการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า แต่อาจได้จากข้อมูลที่มากับรังสีคอสมิก นิวตริโน ดาวตก และในอนาคตอันใกล้อาจได้จากคลื่นความโน้มถ่วง
การแบ่งหมวดของดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์สามารถแบ่งได้ตามการสังเกตการณ์สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านต่าง ๆ โดยการสังเกตการณ์บางย่านสเปกตรัมสามารถกระทำได้บนพื้นผิวโลก แต่บางย่านจะสามารถทำได้ในชั้นบรรยากาศสูงหรือในอวกาศเท่านั้น การสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ในย่านสเปกตรัมต่าง ๆ แสดงดังรายละเอียดต่อไปนี้
=== ดาราศาสตร์วิทยุ ===
ดาราศาสตร์วิทยุเป็นการตรวจหาการแผ่รังสีในความยาวคลื่นที่ยาวกว่า 1 มิลลิเมตร (ระดับมิลลิเมตรถึงเดคาเมตร) คือการสังเกตการณ์ท้องฟ้าด้วยดวงตามนุษย์ โดยอาศัยเครื่องมือช่วยบ้างเช่น กล้องโทรทรรศน์ ภาพที่มองเห็นถูกบันทึกเอาไว้โดยการวาด จนกระทั่งช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงมีการบันทึกภาพสังเกตการณ์ด้วยเครื่องมือถ่ายภาพ ภาพสังเกตการณ์ยุคใหม่มักใช้อุปกรณ์ตรวจจับแบบดิจิตอล ที่นิยมอย่างมากคืออุปกรณ์จับภาพแบบซีซีดี แม้ว่าแสงที่ตามองเห็นจะมีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 4000 Å ถึง 7000 Å (400-700 nm) โมเลกุลบางชนิดปลดปล่อยคลื่นอินฟราเรดออกมาแรงมาก ซึ่งทำให้เราสามารถศึกษาลักษณะทางเคมีในอวกาศได้ เช่น การตรวจพบน้ำบนดาวหาง เป็นต้น
=== ดาราศาสตร์พลังงานสูง ===
ภาพถ่ายดาราจักร M81 ใน[[รังสีอัลตราไวโอเล็ต โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศ GALEX]]
==== ดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลต ====
ดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นการศึกษาวัตถุทางดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงม่วง คือประมาณ 10-3200 Å (10-320 นาโนเมตร) คลื่นรังสีเอ็กซ์มักถูกชั้นบรรยากาศของโลกดูดซับไป ดังนั้นการสังเกตการณ์ในช่วงความยาวคลื่นของรังสีเอ็กซ์จึงทำได้โดยอาศัยบัลลูนที่ลอยตัวสูงมาก ๆ หรือจากจรวด หรือจากยานสำรวจอวกาศเท่านั้น แหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์ที่สำคัญได้แก่ ระบบดาวคู่รังสีเอ็กซ์ พัลซาร์ ซากซูเปอร์โนวา ดาราจักรชนิดรี กระจุกดาราจักร และแกนกลางดาราจักรกัมมันต์
แหล่งกำเนิดรังสีแกมมาโดยมากมาจากการเกิดแสงวาบรังสีแกมมา ซึ่งเป็นรังสีแกมมาที่แผ่ออกจากวัตถุเพียงชั่วไม่กี่มิลลิวินาทีหรืออาจนานหลายพันวินาทีก่อนที่มันจะสลายตัวไป แหล่งกำเนิดรังสีแกมมาชั่วคราวเช่นนี้มีจำนวนกว่า 90% ของแหล่งกำเนิดรังสีแกมมาทั้งหมด มีแหล่งกำเนิดรังสีแกมมาเพียง 10% เท่านั้นที่เป็นแหล่งกำเนิดแบบถาวร ได้แก่ พัลซาร์ ดาวนิวตรอน และวัตถุที่อาจกลายไปเป็นหลุมดำได้ เช่น นิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาดาราศาสตร์ดาวเคราะห์ ซึ่งทำได้โดยการสังเกตการณ์โดยตรงผ่านยานอวกาศ รวมถึงการเก็บข้อมูลระหว่างที่ยานเดินทางผ่านวัตถุท้องฟ้าต่าง ๆ โดยใช้เซ็นเซอร์ระยะไกล ใช้ยานสำรวจเล็กลงจอดบนวัตถุเป้าหมายเพื่อทำการศึกษาพื้นผิว หรือศึกษาจากตัวอย่างวัตถุที่เก็บมาจากปฏิบัติการอวกาศบางรายการที่สามารถนำชิ้นส่วนตัวอย่างกลับมาทำการวิจัยต่อได้
== ดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี ==
ในการศึกษาดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี มีการใช้เครื่องมือหลากหลายชนิดรวมถึงแบบจำลองการวิเคราะห์ต่าง ๆ รวมถึงการจำลองแบบคำนวณทางคณิตศาสตร์ในคอมพิวเตอร์ เครื่องมือแต่ละชนิดล้วนมีประโยชน์แตกต่างกันไป แบบจำลองการวิเคราะห์ของกระบวนการจะเหมาะสำหรับใช้ศึกษาถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอันสามารถสังเกตได้ ส่วนแบบจำลองคณิตศาสตร์สามารถแสดงถึงการมีอยู่จริงของปรากฏการณ์และผลกระทบต่าง ๆ ที่เราอาจจะมองไม่เห็น.
นักดาราศาสตร์ทฤษฎีล้วนกระตือรือร้นที่จะสร้างแบบจำลองทฤษฎีเพื่อระบุถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากผลสังเกตการณ์ที่ได้รับ เพื่อช่วยให้ผู้สังเกตการณ์สามารถเลือกใช้หรือปฏิเสธแบบจำลองแต่ละชนิดได้ตามที่เหมาะสมกับข้อมูล นักดาราศาสตร์ทฤษฎียังพยายามสร้างหรือปรับปรุงแบบจำลองให้เข้ากับข้อมูลใหม่ ๆ ในกรณีที่เกิดความไม่สอดคล้องกัน ก็มีแนวโน้มที่จะปรับปรุงแบบจำลองเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากันกับข้อมูล ในบางกรณีถ้าพบข้อมูลที่ขัดแย้งกับแบบจำลองอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ก็อาจจะต้องล้มเลิกแบบจำลองนั้นไปก็ได้
หัวข้อต่าง ๆ ที่นักดาราศาสตร์ทฤษฎีสนใจศึกษาได้แก่ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของดาวฤกษ์ การก่อตัวของดาราจักร โครงสร้างขนาดใหญ่ของวัตถุในเอกภพ กำเนิดของรังสีคอสมิก ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป และฟิสิกส์จักรวาลวิทยา รวมถึงฟิสิกส์อนุภาคในทางดาราศาสตร์ด้วย การศึกษาฟิสิกส์ดาราศาสตร์เป็นเสมือนเครื่องมือสำคัญที่ใช้ตรวจวัดคุณสมบัติของโครงสร้างขนาดใหญ่ในเอกภพ ที่ซึ่งแรงโน้มถ่วงมีบทบาทสำคัญต่อปรากฏการณ์ทางกายภาพต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานของการศึกษาฟิสิกส์หลุมดำ และการศึกษาคลื่นแรงโน้มถ่วง ยังมีทฤษฎีกับแบบจำลองอื่น ๆ อีกซึ่งเป็นที่ยอมรับและร่วมศึกษากันโดยทั่วไป ในจำนวนนี้รวมถึงแบบจำลองแลมบ์ดา-ซีดีเอ็ม ทฤษฎีบิกแบง การพองตัวของจักรวาล สสารมืด และ พลังงานมืด ซึ่งกำลังเป็นหัวข้อสำคัญในการศึกษาดาราศาสตร์ในปัจจุบัน
ตัวอย่างหัวข้อการศึกษาดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี มีดังนี้
== สาขาวิชาหลักของดาราศาสตร์ ==
=== ดาราศาสตร์สุริยะ ===
ภาพถ่ายดวงอาทิตย์ในรังสีอัลตราไวโอเลตจาก[[กล้องโทรทรรศน์อวกาศ TRACE แสดงให้เห็นทรงกลมโฟโตสเฟียร์]]
ดวงอาทิตย์ เป็นเป้าหมายการศึกษาทางดาราศาสตร์ยอดนิยมแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากโลกไปประมาณ 8 นาทีแสง เป็นดาวฤกษ์ซึ่งอยู่ในแถบลำดับหลักโดยเป็นดาวแคระประเภท G2 V มีอายุประมาณ 4.6 พันล้านปี ดวงอาทิตย์ของเรานี้ไม่นับว่าเป็นดาวแปรแสง แต่มีความเปลี่ยนแปลงในการส่องสว่างอยู่เป็นระยะอันเนื่องจากจากรอบปรากฏของจุดดับบนดวงอาทิตย์ อันเป็นบริเวณที่พื้นผิวดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นผิวอื่น ๆ อันเนื่องมาจากผลของความเข้มข้นสนามแม่เหล็ก
ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดอายุของมัน นับแต่เข้าสู่แถบลำดับหลักก็ได้ส่องสว่างมากขึ้นถึง 40% แล้ว ความเปลี่ยนแปลงการส่องสว่างของดวงอาทิตย์ตามระยะเวลานี้มีผลกระทบอย่างสำคัญต่อโลกด้วย ตัวอย่างเช่นการเกิดปรากฏการณ์ยุคน้ำแข็งสั้น ๆ ช่วงหนึ่ง (Little Ice Age) ระหว่างช่วงยุคกลาง ก็เชื่อว่าเป็นผลมาจาก Maunder Minimum
พื้นผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์ที่เรามองเห็นเรียกว่า โฟโตสเฟียร์ เหนือพื้นผิวนี้เป็นชั้นบาง ๆ เรียกชื่อว่า โครโมสเฟียร์ จากนั้นเป็นชั้นเปลี่ยนผ่านซึ่งมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ชั้นนอกสุดมีอุณหภูมิสูงที่สุด เรียกว่า โคโรนา
ใจกลางของดวงอาทิตย์เรียกว่าย่านแกนกลาง เป็นเขตที่มีอุณหภูมิและความดันมากพอจะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น เหนือจากย่านแกนกลางเรียกว่าย่านแผ่รังสี (radiation zone) เป็นที่ซึ่งพลาสมาแผ่คลื่นพลังงานออกมาในรูปของรังสี ชั้นนอกออกมาเป็นย่านพาความร้อน (convection zone) ซึ่งสสารแก๊สจะเปลี่ยนพลังงานกลายไปเป็นแก๊ส เชื่อว่าย่านพาความร้อนนี้เป็นกำเนิดของสนามแม่เหล็กที่ทำให้เกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์
=== วิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ ===
การหักเหของ[[ลมสุริยะจากผลของสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์]]
วิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบของดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์แคระ ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย และวัตถุท้องฟ้าอื่น ๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ตลอดจนถึงบรรดาดาวเคราะห์นอกระบบด้วย วัตถุในระบบสุริยะจะเป็นที่นิยมศึกษาค้นคว้ามากกว่า ในช่วงแรกสามารถสังเกตการณ์ได้ผ่านกล้องโทรทรรศน์ ต่อมาจึงใช้การสังเกตการณ์โดยยานอวกาศมาช่วย การศึกษาสาขานี้ทำให้เราเข้าใจการเกิดและวิวัฒนาการของระบบดาวเคราะห์ได้ดีขึ้น แม้จะมีการค้นพบใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลาก็ตาม
วัตถุในระบบสุริยะสามารถแบ่งออกได้เป็น ดาวเคราะห์รอบใน แถบดาวเคราะห์น้อย และดาวเคราะห์รอบนอก ในกลุ่มดาวเคราะห์รอบในประกอบด้วย ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ส่วนในกลุ่มดาวเคราะห์รอบนอกเป็นดาวแก๊สยักษ์ ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน และดาวเคราะห์หินขนาดเล็ก พลูโต พ้นจากดาวเนปจูนไปจะมีแถบไคเปอร์ และกลุ่มเมฆออร์ต ซึ่งแผ่กว้างเป็นระยะทางถึงหนึ่งปีแสง
ดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากแผ่นจานฝุ่นที่หมุนวนรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ เมื่อผ่านกระบวนการต่าง ๆ นานาเช่น การดึงดูดของแรงโน้มถ่วง การปะทะ การแตกสลาย และการรวมตัวกัน แผ่นจานฝุ่นเหล่านั้นก็ก่อตัวเป็นรูปร่างที่เรียกว่า ดาวเคราะห์ก่อนเกิด (protoplanet) แรงดันการแผ่รังสีของลมสุริยะจะพัดพาเอาสสารที่ไม่สามารถรวมตัวกันติดให้กระจายหายไป คงเหลือแต่ส่วนของดาวเคราะห์ที่มีมวลมากพอจะดึงดูดบรรยากาศชั้นแก๊สของตัวเอาไว้ได้ ดาวเคราะห์ใหม่เหล่านี้ยังมีการดึงดูดและปลดปล่อยสสารในตัวตลอดช่วงเวลาที่ถูกเศษสะเก็ดดาวย่อย ๆ ปะทะตลอดเวลา การปะทะเหล่านี้ทำให้เกิดหลุมบ่อบนพื้นผิวดาวเคราะห์ดั่งเช่นที่ปรากฏบนพื้นผิวดวงจันทร์ ผลจากการปะทะนี้ส่วนหนึ่งอาจทำให้ดาวเคราะห์ก่อนเกิดแตกชิ้นส่วนออกมาและกลายไปเป็นดวงจันทร์ของมันก็ได้
เมื่อดาวเคราะห์เหล่านี้มีมวลมากพอ โดยรวมเอาสสารที่มีความหนาแน่นแบบต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน กระบวนการนี้ทำให้ดาวเคราะห์ก่อตัวเป็นดาวแบบต่าง ๆ คือแกนกลางเป็นหิน หรือโลหะ ล้อมรอบด้วยชั้นเปลือก และพื้นผิวภายนอก แกนกลางของดาวเคราะห์อาจเป็นของแข็งหรือของเหลวก็ได้ แกนกลางของดาวเคราะห์บางดวงสามารถสร้างสนามแม่เหล็กของตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งช่วยปกป้องชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนั้น ๆ จากผลกระทบของลมสุริยะ
ความร้อนภายในของดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์เป็นผลจากการปะทะกันที่ทำให้เกิดโครงร่างและสารกัมมันตรังสี (เช่น ยูเรเนียม ธอเรียม และ 26Al ดาวเคราะห์และดวงจันทร์บางดวงสะสมความร้อนไว้มากพอจะทำให้เกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาเช่น ภูเขาไฟและแผ่นดินไหว ส่วนพวกที่สามารถสะสมชั้นบรรยากาศของตัวเองได้ ก็จะมีกระบวนการกัดกร่อนของลมและน้ำ ดาวเคราะห์ที่เล็กกว่าจะเย็นตัวลงเร็วกว่า และปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาจะหยุดลงเว้นแต่หลุมบ่อจากการถูกชนเท่านั้น
=== ดาราศาสตร์ดาวฤกษ์ ===
[[เนบิวลาดาวเคราะห์รูปมด ที่แผ่แก๊สออกมาจากศูนย์กลางดาวฤกษ์ที่แตกดับในลักษณะสมมาตร ต่างจากการระเบิดโดยทั่วไป]]
การศึกษาเกี่ยวกับดาวฤกษ์และวิวัฒนาการของดาวฤกษ์เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจกับเอกภพ วิทยาการฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของดวงดาวเกิดขึ้นมาจากการสังเกตการณ์และการพยายามสร้างทฤษฎีเพื่อทำความเข้าใจ รวมถึงการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นภายในดวงดาว
ดาวฤกษ์ถือกำเนิดขึ้นในย่านอวกาศที่มีฝุ่นและแก๊สอยู่หนาแน่น เรียกชื่อว่าเมฆโมเลกุลขนาดยักษ์ เมื่อเกิดภาวะที่ไม่เสถียร ส่วนประกอบของเมฆอาจแตกสลายไปภายใต้แรงโน้มถ่วง และทำให้เกิดเป็นดาวฤกษ์ก่อนเกิดขึ้น บริเวณที่มีความหนาแน่นของแก๊สและฝุ่นสูงมากพอ และร้อนมากพอ จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ซึ่งทำให้เกิดดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักขึ้น ธาตุที่กำเนิดขึ้นในแกนกลางของดาวฤกษ์โดยมากเป็นธาตุที่หนักกว่าไฮโดรเจนและฮีเลียมทั้งสิ้น
คุณลักษณะต่าง ๆ ของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับมวลเริ่มต้นของดาวฤกษ์นั้น ๆ ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากจะมีความส่องสว่างสูง และจะใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากแกนกลางของมันเองไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไป เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหล่านี้จะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายไปเป็นฮีเลียม ดาวฤกษ์ก็จะวิวัฒนาการไป การเกิดฟิวชั่นของฮีเลียมจะต้องใช้อุณหภูมิแกนกลางที่สูงกว่า ดังนั้นดาวฤกษ์นั้นก็จะขยายตัวใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มความหนาแน่นแกนกลางของตัวเองด้วย ดาวแดงยักษ์จะมีช่วงอายุที่สั้นก่อนที่เชื้อเพลิงฮีเลียมจะถูกเผาผลาญหมดไป ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าจะผ่านกระบวนการวิวัฒนาการได้มากกว่า โดยที่มีธาตุหนักหลอมรวมอยู่ในตัวเพิ่มมากขึ้น
การสิ้นสุดชะตากรรมของดาวฤกษ์ก็ขึ้นอยู่กับมวลของมันเช่นกัน ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรามากกว่า 8 เท่าจะแตกสลายกลายไปเป็นซูเปอร์โนวา ขณะที่ดาวฤกษ์ที่เล็กกว่าจะกลายไปเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ และวิวัฒนาการต่อไปเป็นดาวแคระขาว ซากของซูเปอร์โนวาคือดาวนิวตรอนที่หนาแน่น หรือในกรณีที่ดาวฤกษ์นั้นมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรากว่า 3 เท่า มันจะกลายไปเป็นหลุมดำ สำหรับดาวฤกษ์ที่เป็นระบบดาวคู่อาจมีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป เช่นอาจมีการถ่ายเทมวลแก่กันแล้วกลายเป็นดาวแคระขาวแบบคู่ซึ่งสามารถจะกลายไปเป็นซูเปอร์โนวาได้ การเกิดเนบิวลาดาวเคราะห์และซูเปอร์โนวาเป็นการกระจายสสารธาตุออกไปสู่สสารระหว่างดาว หากไม่มีกระบวนการนี้แล้ว ดาวฤกษ์ใหม่ ๆ (และระบบดาวเคราะห์ของมัน) ก็จะก่อตัวขึ้นมาจากเพียงไฮโดรเจนกับฮีเลียมเท่านั้น
=== ดาราศาสตร์ดาราจักร ===
การสังเกตการณ์และศึกษาโครงสร้างแขนกังหันของ[[ดาราจักรทางช้างเผือก]]
ระบบสุริยะของเราโคจรอยู่ภายในดาราจักรทางช้างเผือก ซึ่งเป็นดาราจักรชนิดก้นหอยมีคาน และเป็นดาราจักรสมาชิกแห่งหนึ่งในกลุ่มท้องถิ่น ดาราจักรนี้เป็นกลุ่มแก๊ส ฝุ่น ดาวฤกษ์ และวัตถุอื่น ๆ อีกจำนวนมากที่หมุนวนไปรอบกัน โดยมีแรงโน้มถ่วงกระทำต่อกันทำให้ดึงดูดกันไว้ ตำแหน่งของโลกอยู่ที่แขนฝุ่นกังหันด้านนอกข้างหนึ่งของดาราจักร ดังนั้นจึงมีบางส่วนของทางช้างเผือกที่ถูกบังไว้และไม่สามารถมองเห็นได้
ที่ใจกลางของทางช้างเผือกมีลักษณะคล้ายดุมกังหันขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของหลุมดำมวลยวดยิ่ง รอบ ๆ ดุมกังหันเป็นแขนก้นหอยชั้นต้นมี 4 ปลายหมุนอยู่รอบ ๆ แกน เป็นย่านที่มีการเกิดใหม่ของดาวฤกษ์ดำเนินอยู่ มีดาวฤกษ์แบบดารากร 1 ที่อายุเยาว์อยู่ในย่านนี้เป็นจำนวนมาก ส่วนจานของก้นหอยประกอบด้วยทรงกลมฮาโล อันประกอบด้วยดาวฤกษ์แบบดารากร 2 ที่มีอายุมากกว่า ทั้งยังเป็นที่ตั้งของกลุ่มดาวฤกษ์หนาแน่นที่เรียกกันว่า กระจุกดาวทรงกลม
ที่ว่างระหว่างดวงดาวมีสสารระหว่างดาวบรรจุอยู่ เป็นย่านที่มีวัตถุต่าง ๆ อยู่อย่างเบาบางมาก บริเวณที่หนาแน่นที่สุดคือเมฆโมเลกุล ซึ่งประกอบด้วยโมเลกุลของไฮโดรเจนและธาตุอื่น ๆ ที่เป็นย่านกำเนิดของดาวฤกษ์ ในช่วงแรกจะมีการก่อตัวเป็นเนบิวลามืดรูปร่างประหลาดก่อน จากนั้นเมื่อมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นมาก ๆ ก็จะเกิดการแตกสลายแล้วก่อตัวใหม่เป็นดาวฤกษ์ก่อนเกิด
เมื่อมีดาวฤกษ์มวลมากปรากฏขึ้นมากเข้า มันจะเปลี่ยนเมฆโมเลกุลให้กลายเป็นบริเวณเอชทูซึ่งเป็นย่านเรืองแสงเต็มไปด้วยแก๊สและพลาสมา ลมดาวฤกษ์กับการระเบิดซูเปอร์โนวาของดาวเหล่านี้จะทำให้กลุ่มเมฆกระจายตัวกันออกไป แล้วเหลือแต่เพียงกลุ่มของดาวฤกษ์จำนวนหนึ่งที่เกาะกลุ่มกันเป็นกระจุกดาวเปิดอายุน้อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปกระจุกดาวเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ กระจายห่างกันออกไป แล้วกลายไปเป็นประชากรดาวดวงหนึ่งในทางช้างเผือก
การศึกษาจลนศาสตร์ของมวลสารในทางช้างเผือกและดาราจักรต่าง ๆ ทำให้เราทราบว่า มวลที่มีอยู่ในดาราจักรนั้นแท้จริงมีมากกว่าสิ่งที่เรามองเห็น ทฤษฎีเกี่ยวกับสสารมืดจึงเกิดขึ้นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้ แม้ว่าธรรมชาติของสสารมืดยังคงเป็นสิ่งลึกลับไม่มีใครอธิบายได้
=== ดาราศาสตร์ดาราจักรนอกระบบ ===
ภาพแสดงวัตถุทรงรีสีน้ำเงินจำนวนมากที่เป็นภาพสะท้อนของดาราจักรแห่งเดียวกัน เป็นผลกระทบจาก[[เลนส์ความโน้มถ่วงที่เกิดจากกระจุกดาราจักรสีเหลืองใกล้ศูนย์กลางของภาพ]]
การศึกษาวัตถุที่อยู่ในห้วงอวกาศอื่นนอกเหนือจากดาราจักรของเรา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดและวิวัฒนาการของดาราจักร การศึกษารูปร่างลักษณะและการจัดประเภทของดาราจักร การสำรวจดาราจักรกัมมันต์ การศึกษาการจัดกลุ่มและกระจุกดาราจักร ซึ่งในหัวข้อหลังนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจกับโครงสร้างขนาดใหญ่ของจักรวาล
ดาราจักรส่วนใหญ่จะถูกจัดกลุ่มตามรูปร่างลักษณะที่ปรากฏ เข้าตามหลักเกณฑ์ของการจัดประเภทดาราจักร ซึ่งมีกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ดาราจักรชนิดก้นหอย ดาราจักรชนิดรี และดาราจักรไร้รูปแบบ
ลักษณะของดาราจักรคล้ายคลึงกับชื่อประเภทที่กำหนด ดาราจักรชนิดรีจะมีรูปร่างในภาคตัดขวางคล้ายคลึงกับรูปวงรี ดาวฤกษ์จะโคจรไปแบบสุ่มโดยไม่มีทิศทางที่แน่ชัด ดาราจักรประเภทนี้มักไม่ค่อยมีฝุ่นระหว่างดวงดาวหลงเหลือแล้ว ย่านกำเนิดดาวใหม่ก็ไม่มี และดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะมีอายุมาก เรามักพบดาราจักรชนิดรีที่บริเวณใจกลางของกระจุกดาราจักร หรืออาจเกิดขึ้นจากการที่ดาราจักรขนาดใหญ่สองแห่งปะทะแล้วรวมตัวเข้าด้วยกันก็ได้
ดาราจักรชนิดก้นหอยมักมีรูปทรงค่อนข้างแบน เหมือนแผ่นจานหมุน และส่วนใหญ่จะมีหลุมดำมวลยวดยิ่งเป็นดุมหรือมีแกนรูปร่างคล้ายคานที่บริเวณใจกลาง พร้อมกับแขนก้นหอยสว่างแผ่ออกไปเป็นวง แขนก้นหอยนี้เป็นย่านของฝุ่นที่เป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อายุน้อยมวลมากจะทำให้แขนนี้ส่องสว่างเป็นสีฟ้า ส่วนที่รอบนอกของดาราจักรมักเป็นกลุ่มของดาวฤกษ์อายุมาก ดาราจักรทางช้างเผือกของเราและดาราจักรแอนดรอเมดาก็เป็นดาราจักรชนิดก้นหอย
ดาราจักรไร้รูปแบบมักมีรูปร่างปรากฏไม่แน่ไม่นอน ไม่ใช่ทั้งดาราจักรชนิดรีหรือชนิดก้นหอย ประมาณหนึ่งในสี่ของจำนวนดาราจักรทั้งหมดที่พบเป็นดาราจักรชนิดไร้รูปแบบนี้ รูปร่างอันแปลกประหลาดของดาราจักรมักทำให้เกิดปฏิกิริยาแรงโน้มถ่วงแปลก ๆ ขึ้นด้วย
ดาราจักรกัมมันต์คือดาราจักรที่มีการเปล่งสัญญาณพลังงานจำนวนมากออกมาจากแหล่งกำเนิดอื่นนอกเหนือจากดาวฤกษ์ ฝุ่น และแก๊ส แหล่งพลังงานนี้เป็นย่านเล็ก ๆ แต่หนาแน่นมากซึ่งอยู่ในแกนกลางดาราจักร โดยทั่วไปเชื่อกันว่ามีหลุมดำมวลยวดยิ่งอยู่ที่นั่นซึ่งเปล่งพลังงานรังสีออกมาเมื่อมีวัตถุใด ๆ ตกลงไปในนั้น ดาราจักรวิทยุคือดาราจักรกัมมันต์ชนิดหนึ่งที่ส่องสว่างมากในช่วงสเปกตรัมของคลื่นวิทยุ มันจะเปล่งลอนของแก๊สออกมาเป็นจำนวนมาก ดาราจักรกัมมันต์ที่แผ่รังสีพลังงานสูงออกมาได้แก่ ดาราจักรเซย์เฟิร์ต เควซาร์ และเบลซาร์ เชื่อว่าเควซาร์เป็นวัตถุที่ส่องแสงสว่างมากที่สุดเท่าที่เป็นที่รู้จักในเอกภพ
โครงสร้างขนาดใหญ่ของจักรวาลประกอบด้วยกลุ่มและกระจุกดาราจักรจำนวนมาก โครงสร้างนี้มีการจัดลำดับชั้นโดยที่ระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุดคือ มหากระจุกของดาราจักร เหนือกว่านั้นมวลสารจะมีการโยงใยกันในลักษณะของใยเอกภพและกำแพงเอกภพ ส่วนที่ว่างระหว่างนั้นมีแต่สุญญากาศ
=== จักรวาลวิทยา ===
จักรวาลวิทยา (; มาจากคำในภาษากรีกว่า κοσμος "cosmos" หมายถึง เอกภพ และ λογος หมายถึง การศึกษา) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเอกภพทั้งหมดในภาพรวม
การสังเกตการณ์โครงสร้างขนาดใหญ่ของเอกภพ เป็นสาขาวิชาหนึ่งที่เรียกว่า จักรวาลวิทยาเชิงกายภาพ ช่วยให้เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของจักรวาล ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปสำหรับพื้นฐานของจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ ได้แก่ ทฤษฎีบิกแบง ซึ่งกล่าวว่าเอกภพของเรากำเนิดมาจากจุดเพียงจุดเดียว หลังจากนั้นจึงขยายตัวขึ้นเป็นเวลากว่า 13.7 พันล้านปีมาแล้ว หลักการของทฤษฎีบิกแบงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่การค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล ในปี ค.ศ. 1965
ตลอดช่วงเวลาการขยายตัวของเอกภพนี้ เอกภพได้ผ่านขั้นตอนของวิวัฒนาการมามากมายหลายครั้ง ในช่วงแรก ทฤษฎีคาดการณ์ว่าเอกภพน่าจะผ่านช่วงเวลาการพองตัวของจักรวาลที่รวดเร็วมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันและเสมอกันในทุกทิศทางในสภาวะเริ่มต้น หลังจากนั้น นิวคลีโอซินทีสิสจึงทำให้เกิดธาตุต่าง ๆ ขึ้นมากมายในเอกภพยุคแรก
เมื่อมีอะตอมแรกเกิดขึ้น จึงมีการแผ่รังสีผ่านอวกาศ ปลดปล่อยพลังงานออกมาดั่งที่ทุกวันนี้เรามองเห็นเป็นรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล เอกภพขยายตัวผ่านช่วงเวลาของยุคมืดเพราะไม่ค่อยมีแหล่งกำเนิดพลังงานของดาวฤกษ์
เริ่มมีการจัดโครงสร้างลำดับชั้นของสสารขึ้นนับแต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของสสาร สสารที่รวมกลุ่มกันอยู่เป็นบริเวณหนาแน่นที่สุดกลายไปเป็นกลุ่มเมฆแก๊สและดาวฤกษ์ยุคแรกสุด ดาวฤกษ์มวลมากเหล่านี้เป็นจุดกำเนิดของกระบวนการแตกตัวทางไฟฟ้าซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของธาตุหนักมากมายที่อยู่ในเอกภพยุคเริ่มต้น
ผลจากแรงโน้มถ่วงทำให้มีการดึงดูดรวมกลุ่มกันเกิดเป็นใยเอกภพ มีช่องสุญญากาศเป็นพื้นที่ว่าง หลังจากนั้นโครงสร้างของแก๊สและฝุ่นก็ค่อย ๆ รวมตัวกันเกิดเป็นดาราจักรยุคแรกเริ่ม เมื่อเวลาผ่านไป มันดึงดูดสสารต่าง ๆ เข้ามารวมกันมากขึ้น และมีการจัดกลุ่มโครงสร้างเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มและกระจุกดาราจักร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างขนาดใหญ่คือมหากระจุกดาราจักร
โครงสร้างพื้นฐานที่สุดของจักรวาลคือการมีอยู่ของสสารมืดและพลังงานมืด ในปัจจุบันเราเชื่อกันว่าทั้งสองสิ่งนี้มีอยู่จริง และเป็นส่วนประกอบถึงกว่า 96% ของความหนาแน่นทั้งหมดของเอกภพ เหตุนี้การศึกษาฟิสิกส์ในยุคใหม่จึงเป็นความพยายามทำความเข้าใจกับองค์ประกอบเหล่านี้
== ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาอื่น ==
การศึกษาดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สาขาอื่นมากยิ่งขึ้น ดังนี้
* โบราณดาราศาสตร์ (Archaeoastronomy) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิทยาการดาราศาสตร์ในยุคโบราณหรือยุคดั้งเดิม โดยพิจารณาถึงสภาพสังคมและวัฒนธรรม อาศัยหลักฐานในทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาเข้ามาช่วย
* ชีววิทยาดาราศาสตร์ (Astrobiology) เป็นการศึกษาการมาถึงและวิวัฒนาการของระบบชีววิทยาในเอกภพ ที่สำคัญคือการศึกษาและตรวจหาความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตในโลกอื่น
* เคมีดาราศาสตร์ (Astrochemistry) เป็นการศึกษาลักษณะทางเคมีที่พบในอวกาศ นับแต่การก่อตัว การเกิดปฏิกิริยา และการสูญสลาย มักใช้ในการศึกษาเมฆโมเลกุล รวมถึงดาวฤกษ์อุณหภูมิต่ำต่าง ๆ เช่น ดาวแคระน้ำตาลและดาวเคราะห์ ส่วน เคมีจักรวาล (Cosmochemistry) เป็นการศึกษาลักษณะทางเคมีที่พบในระบบสุริยะ รวมถึงกำเนิดของธาตุและการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของไอโซโทป ทั้งสองสาขานี้คาบเกี่ยวกันระหว่างศาสตร์ทางเคมีและดาราศาสตร์
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับ การวัดตำแหน่งดาว (Astrometry) และกลศาสตร์ท้องฟ้า (Celestial Mechanics) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งและการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุท้องฟ้า การระบุพิกัดและจลนศาสตร์ของวัตถุท้องฟ้า ลักษณะของวงโคจร ความโน้มถ่วง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชากลศาสตร์และฟิสิกส์
== ดาราศาสตร์สมัครเล่น ==
นักดาราศาสตร์สมัครเล่นสามารถเฝ้าสังเกตสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ และบ่อยครั้งที่ผลการสังเกตการณ์ของพวกเขากลายเป็นหัวข้อสำคัญทางวิชาการ
ดาราศาสตร์ เป็นสาขาวิชาหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ที่บุคคลทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างมากที่สุด
นับแต่อดีตมา นักดาราศาสตร์สมัครเล่นได้สังเกตพบวัตถุท้องฟ้าและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญมากมายด้วยเครื่องมือที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง เป้าหมายในการสังเกตการณ์ของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นโดยมากได้แก่ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง ฝนดาวตก และวัตถุในห้วงอวกาศลึกอีกจำนวนหนึ่งเช่น กระจุกดาว กระจุกดาราจักร หรือเนบิวลา สาขาวิชาย่อยสาขาหนึ่งของดาราศาสตร์สมัครเล่น คือการถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการถ่ายภาพในท้องฟ้ายามราตรี นักดาราศาสตร์สมัครเล่นส่วนมากจะเจาะจงเฝ้าสังเกตวัตถุท้องฟ้าหรือปรากฏการณ์บางอย่างที่พวกเขาสนใจเป็นพิเศษ
ส่วนใหญ่แล้วนักดาราศาสตร์สมัครเล่นจะสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ในคลื่นที่ตามองเห็น แต่ก็มีการทดลองเล็ก ๆ อยู่บ้างที่กระทำในช่วงคลื่นอื่นนอกจากคลื่นที่ตามองเห็น เช่นการใช้ฟิลเตอร์แบบอินฟราเรดติดบนกล้องโทรทรรศน์ หรือการใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ เป็นต้น นักดาราศาสตร์สมัครเล่นผู้บุกเบิกในการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์วิทยุ คือ คาร์ล แจนสกี (Karl Jansky) ผู้เริ่มเฝ้าสังเกตท้องฟ้าในช่วงคลื่นวิทยุตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 ยังมีนักดาราศาสตร์สมัครเล่นอีกจำนวนหนึ่งที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ประดิษฐ์เองที่บ้าน หรือใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่แต่เดิมสร้างมาเพื่องานวิจัยทางดาราศาสตร์ แต่ปัจจุบันได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าไปใช้งานได้ด้วย
มีบทความทางดาราศาสตร์มากมายที่ส่งมาจากนักดาราศาสตร์สมัครเล่น อันที่จริงแล้ว นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่สาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่มือสมัครเล่นก็สามารถมีส่วนร่วมหรือเขียนบทความสำคัญ ๆ ขึ้นมาได้ นักดาราศาสตร์สมัครเล่นสามารถตรวจวัดวงโคจรโดยละเอียดของดาวเคราะห์ขนาดเล็กได้ พวกเขาค้นพบดาวหาง และทำการเฝ้าสังเกตดาวแปรแสง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิตอลทำให้นักดาราศาสตร์สมัครเล่นมีความสามารถในการถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น และหลาย ๆ ภาพก็เป็นภาพปรากฏการณ์อันสำคัญทางดาราศาสตร์ด้วย
== ปีดาราศาสตร์สากล 2009 ==
ปี ค.ศ. 2009 เป็นปีที่ครบรอบ 400 ปี นับจากกาลิเลโอได้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นเพื่อทำการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ และพบหลักฐานยืนยันแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลที่นำเสนอโดย นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส ไม่นานก่อนหน้านั้น การค้นพบนี้ถือเป็นการปฏิวัติแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับจักรวาล และเป็นการบุกเบิกการศึกษาดาราศาสตร์ยุคใหม่โดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นตามที่เทคโนโลยีของกล้องโทรทรรศน์พัฒนาขึ้น
องค์การสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้ปี ค.ศ. 2009 เป็นปีดาราศาสตร์สากล โดยได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2008 กิจกรรมต่าง ๆ ดำเนินการโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล และได้รับการสนับสนุนจากองค์การยูเนสโก ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสหประชาชาติที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการที่กรุงปารีส ในวันที่ 15-16 มกราคม ค.ศ. 2009
== ดูเพิ่ม ==
* ปีดาราศาสตร์สากล
* นักดาราศาสตร์
* กลุ่มดาว
* บันไดระยะห่างของจักรวาล
* ระบบสุริยะ
* กล้องโทรทรรศน์
* การสำรวจอวกาศ
* สมาคมดาราศาสตร์ไทย
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ "ปีดาราศาสตร์สากล 2009"
* สมาคมดาราศาสตร์ไทย
* สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
* โครงการเครือข่ายสารสนเทศดาราศาสตร์สำหรับโรงเรียน
* ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ)
* โครงการลีซ่า โครงการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ โดยหอดูดาวเกิดแก้ว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
* ดาราศาสตร์ดอตคอม
* ดูดาวดอตคอม
* องค์การนาซา
* วารสารดาราศาสตร์ Astronomy.com
* เว็บไซต์ทางการ กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล |
547 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภูมิศาสตร์ | ภูมิศาสตร์ | แผนที่กายภาพของโลกพร้อมกับเส้นแบ่งเขตการปกครองใน ค.ศ. 2016
ภูมิศาสตร์ (, แปลว่า "การพรรณนาเกี่ยวกับโลก") เป็นสาขาทางวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นถึงการศึกษาเกี่ยวกับพื้นดิน ภูมิประเทศ ประชากร และปรากฏการณ์บนโลก บุคคลแรกที่ใช้คำว่า γεωγραφία คือเอราทอสเทนีส (276-194 ปีก่อน ค.ศ.) ภูมิศาสตร์ครอบคลุมสาขาต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นความเข้าใจเกี่ยวกับโลกและความซับซ้อนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติที่เกิดขึ้นซึ่งไม่เฉพาะแต่ในรูปธรรมแต่ยังรวมถึงความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
โดยทั่วไปภูมิศาสตร์มักถูกแบ่งออกเป็นสองสาขาหลักคือภูมิศาสตร์มนุษย์และภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์มนุษย์เกี่ยวข้องกับการศึกษาถึงผู้คน ชุมชน วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ด้วยการศึกษาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ บนพื้นที่และสถานที่ ขณะที่ภูมิศาสตร์กายภาพเกี่ยวข้องกับการศึกษาถึงกระบวนการและแบบรูปในสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอันประกอบด้วย บรรยากาศภาค อุทกภาค ชีวภาค และธรณีภาค
สี่ขนบธรรมเนียมทางประวัติศาสตร์ในการวิจัยทางภูมิศาสตร์ประกอบด้วย การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ของปรากฏการณ์ธรรมชาติและมนุษย์ การศึกษาพื้นที่ของสถานที่และภูมิภาค การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพื้นดินกับมนุษย์ และวิทยาศาสตร์โลก ภูมิศาสตร์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "สาขาวิชาแห่งโลก" และ "ตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์และวิทยาศาสตร์กายภาพ"
== บทนำ ==
นักภูมิศาสตร์ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักทำแผนที่และผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับลำดับและชื่อของสถานที่ต่าง ๆ แม้ว่านักภูมิศาสตร์จะได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับภูมินามวิทยาและการทำแผนที่แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นหน้าที่หลักของนักภูมิศาสตร์ นักภูมิศาสตร์เป็นผู้ศึกษาเกี่ยวกับพื้นที่และการกระจายของฐานข้อมูลเชิงเวลาจากปรากฏการณ์ กระบวนการ คุณลักษณะ ตลอดจนปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากพื้นที่และสถานที่ส่งผลต่อความหลากหลายของสิ่งต่าง ๆ เช่น เศรษฐศาสตร์ สุขภาพ ภูมิอากาศ พืช และสัตว์ ทำให้ภูมิศาสตร์มีความเป็นสหวิทยาการสูง ลักษณะการเป็นสหวิทยาการของวิธีการทางภูมิศาสตร์ขึ้นอยู่กับความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ทางกายภาพและมนุษย์รวมถึงแบบรูปเชิงพื้นที่ที่เกิดขึ้น
ภูมิศาสตร์สามารถแบ่งสาขาออกกว้าง ๆ ได้ออกเป็นสองสาขา คือ ภูมิศาสตร์มนุษย์และภูมิศาสตร์กายภาพ ซึ่งในอดีตส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นถึงสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างว่ามนุษย์สามารถรังสรรค์ จัดการ มีมุมมองและอิทธิพลต่อพื้นที่นั้นอย่างไร ในภายหลังได้มีการมุ่งเน้นถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติว่าสิ่งมีชีวิต ภูมิอากาศ ดิน น้ำ และธรณีสัณฐานมีผลและปฏิสัมพันธ์อย่างไร ความแตกต่างระหว่างวิธีการศึกษาเหล่านี้นำไปสู่การเกิดสาขาที่สามซึ่งผสานกันระหว่างภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์มนุษย์คือ ภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมและมนุษย์
== แขนงวิชา ==
=== ภูมิศาสตร์กายภาพ ===
ภูมิศาสตร์กายภาพเป็นสาขาที่มุ่งเน้นการศึกษาถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์โลก เพื่อเข้าใจลักษณะและปัญหาของธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศ และชีวภาค
ไฟล์:Línea de Wallace.jpg|ชีวภูมิศาสตร์
ไฟล์:Cyclone Catarina from the ISS on March 26 2004.JPG|ภูมิอากาศวิทยา บรรยากาศศาสตร์และอุตุนิยมวิทยา
ไฟล์:90 mile beach.jpg|ภูมิศาสตร์ชายฝั่ง
ไฟล์:Gavin Plant.JPG|การจัดการสิ่งแวดล้อมและการจัดการภัยพิบัติ
ไฟล์:Meridian convergence and spehrical excess.png|ภูมิมาตรศาสตร์
ไฟล์:Delicate Arch LaSalle.jpg|ธรณีวิทยา บรรพชีวินวิทยาและธรณีสัณฐานวิทยา
ไฟล์:Receding glacier-en.svg|วิทยาธารน้ำแข็ง
ไฟล์:Meander.svg|อุทกวิทยา ชลธารวิทยาและอุทกศาสตร์
ไฟล์:Khajuraho-landscape.jpg|นิเวศวิทยาภูมิทัศน์
ไฟล์:World11.jpg|สมุทรศาสตร์
ไฟล์:Soil profile.jpg|ปฐพีวิทยา
ไฟล์:Pangea animation 03.gif|ภูมิศาสตร์บรรพกาล
ไฟล์:Milankovitch Variations sv.png|วิทยาศาสตร์ควอเทอร์นารี
=== ภูมิศาสตร์มนุษย์ ===
ภูมิศาสตร์มนุษย์เป็นสาขาที่มุ่งเน้นถึงการศึกษาการศึกษาแบบรูปและกระบวนการอันเกิดจากสังคมมนุษย์ ซึ่งครอบคลุมทั้งมนุษย์ การเมือง วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ
ไฟล์:Qichwa conchucos 01.jpg|ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม
ไฟล์:Pepsi in India.jpg|ภูมิศาสตร์การพัฒนา
ไฟล์:Christaller model 1.jpg|ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ
ไฟล์:Star of life.svg|ภูมิศาสตร์สุขภาพ
ไฟล์:British Empire 1897.jpg|ภูมิศาสตร์เชิงประวัติและภูมิศาสตร์เชิงเวลา
ไฟล์:UN General Assembly.jpg|ภูมิศาสตร์การเมืองและภูมิรัฐศาสตร์
ไฟล์:Pyramide Comores.PNG|ภูมิศาสตร์ประชากรหรือประชากรศาสตร์
ไฟล์:ReligionSymbol.svg|ภูมิศาสตร์ศาสนา
ไฟล์:US-hoosier-family.jpg|ภูมิศาสตร์สังคม
ไฟล์:Gare du Nord USFRT (Paris Metro).png|ภูมิศาสตร์การขนส่ง
ไฟล์:Niagara_Falls_4_db.jpg|ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว
ไฟล์:New-York-Jan2005.jpg|ภูมิศาสตร์เมือง
แนวทางต่าง ๆ ในการศึกษาภูมิศาสตร์มนุษย์ที่เกิดขึ้นใหม่และรวมถึง:
* ภูมิศาสตร์พฤติกรรม
* ภูมิศาสตร์สตรีนิยม
* ทฤษฎีทางวัฒนธรรม
* ภูมิปรัชญา
=== ภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม ===
ภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมเป็นสาขาหนึ่งของภูมิศาสตร์ที่อธิบายถึงลักษณะเชิงพื้นที่ของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติของโลก การศึกษาภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงลักษณะดั้งเดิมของภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์มนุษย์ตลอดจนวิธีการที่สังคมมนุษย์กำหนดกรอบความคิดให้กับสิ่งแวดล้อมด้วย
ภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์มนุษย์อันเนื่องมาจากความเชี่ยวชาญของทั้งสองสาขาที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมซึ่งมีผลมาจากกระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จึงจำเป็นที่ต้องมีวิธีแบบใหม่ในการเข้าใจความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงและพลวัต ตัวอย่างของการศึกษาเกี่ยวกับภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม ได้แก่ การจัดการภาวะฉุกเฉิน การจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน นิเวศวิทยาการเมือง
=== ภูมิสารสนเทศ ===
[[แบบจำลองระดับสูงเชิงเลข (DEM)]]
ภูมิสารสนเทศเป็นสาขาหนึ่งของภูมิศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคนิคเชิงพื้นที่แบบดั้งเดิมในการทำแผนที่และศึกษาภูมิประเทศร่วมกับการนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1950 เทคนิคต่าง ๆ ของภูมิสารสนเทศเป็นที่แพร่หลายในสาขาวิชาอื่นมากมาย เช่น จีไอเอส และการรับรู้จากระยะไกล นอกจากนี้ภูมิสารสนเทศยังส่งผลต่อการฟื้นฟูหน่วยงานทางภูมิศาสตร์บางส่วนซึ่งถูกลดสถานะลงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ
ภูมิสารสนเทศมีความครอบคลุมกับสาขาที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่อย่างมาก เช่น การทำแผนที่ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) การรับรู้จากระยะไกล และระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS)
=== ภูมิศาสตร์ภูมิภาค ===
ภูมิศาสตร์ภูมิภาคเป็นสาขาหนึ่งของภูมิศาสตร์ที่ศึกษาถึงทุกภูมิภาคของโลกซึ่งแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างเฉพาะตัว หลักสำคัญของภูมิศาสตร์ภูมิภาคคือเพื่อเข้าใจถึงเอกลักษณ์และลักษณะเฉพาะตัวของภูมิภาคนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรทั้งในเรื่องของสภาพแวดล้อมและมนุษย์ที่อยู่อาศัยในภูมิภาคนั้นด้วย ภูมิศาสตร์ภูมิภาคยังมีผลต่อภูมิภาคาภิวัตน์ซึ่งครอบคลุมถึงการใช้วิธีที่เหมาะสมในการแบ่งพื้นที่ออกเป็นภูมิภาคต่าง ๆ ด้วย
ภูมิศาสตร์ภูมิภาคถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการหนึ่งสำหรับการศึกษาองค์ความรู้ต่าง ๆ ทางภูมิศาสตร์ (คล้ายคลึงกับการปฏิวัติเชิงปริมาณ หรือภูมิศาสตร์เชิงวิพากษ์)
=== สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ===
* การผังเมือง การวางแผนภาค และการวางแผนเชิงพื้นที่ เป็นการใช้องค์ความรู้ทางภูมิศาสตร์ช่วยในการกำหนดแนวทางในการพัฒนา (หรือไม่พัฒนา) ที่ดินให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ความปลอดภัย ความสวยงาม โอกาสทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมทางธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้น เป็นต้น การวางแผนพื้นที่ของเมือง นคร และชนบทโดยส่วนมากจะประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางภูมิศาสตร์
* วิทยาศาสตร์ภูมิภาค ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 วอลเตอร์ ไอสาร์ดได้นำเสนอเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเพื่อเป็นพื้นฐานหาคำตอบทางภูมิศาสตร์โดยเน้นเชิงปริมาณมากขึ้น ตรงข้ามกับการใช้แนวโน้มเชิงพรรณนาที่อยู่ในแบบแผนดั้งเดิม วิทยาศาสตร์ภูมิภาคประกอบด้วยองค์ความรู้ซึ่งในมิติเชิงพื้นที่ใช้เป็นบทบาทพื้นฐาน เช่น การจัดการทรัพยากร ทฤษฎีทำเลที่ตั้ง การวางแผนภาคและเมือง การขนส่งและการสื่อสาร ภูมิศาสตร์มนุษย์ การกระจายของประชากร นิเวศวิทยาภูมิทัศน์ และสิ่งแวดล้อมเชิงคุณภาพ
* วิทยาดาวเคราะห์ โดยทั่วไปภูมิศาสตร์จะมีความเกี่ยวข้องเฉพาะกับโลก อย่างไรก็ตามภูมิศาสตร์ก็สามารถนำมาใช้ในการศึกษาถึงโลกอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะและนอกเหนือไปจากระบบสุริยะ วิทยาดาวเคราะห์เป็นการศึกษาระบบที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นสาขาหนึ่งของดาราศาสตร์หรือจักรวาลวิทยา ตัวอย่างอื่น ๆ เช่น อังคารวิทยา (การศึกษาเกี่ยวกับดาวอังคาร) ได้รับการเสนอแต่ยังไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย
* วิทยาศาสตร์ดาวเทียม โดยศึกษาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมในการเป็นเครื่องมือศึกษาทางภูมิศาสตร์
* วิทยาศาสตร์โลก หรือ โลกศาสตร์ นำวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาโลกในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อภูมิศาสตร์
* วิศวกรรมสำรวจ ใช้หลักทางวิศวกรรมมาใช้ในการช่วยศึกษาทางภูมิศาสตร์ โดยครอบคลุมรวมไปถึง วิศวกรรมปิโตรเลียม วิศวกรรมเหมืองแร่ วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมธรณี วิศวกรรมชลศาสตร์ วิศวกรรมทรัพยากรธรณี วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมไฟฟ้า และ วิชาการทำแผนที่
== เทคนิค ==
แผนที่เป็นเครื่องมือหลักสำคัญขององค์ความรู้ทางภูมิศาสตร์ถึงความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งการทำแผนที่แบบดั้งเดิมได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้นสำหรับการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์และการใช้คอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นรากฐานของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในปัจจุบัน
ในการศึกษานักภูมิศาสตร์จะคำนึงถึงสี่ปัจจัย ประกอบด้วย
* เป็นระบบ (Systematic) - องค์ความรู้ต่าง ๆ ทางภูมิศาสตร์ในแต่ละประเภทสามารถใช้ได้สำหรับทุกพื้นที่
* ภูมิภาค (Regional) - การวิเคราะห์ความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบสำหรับภูมิภาคที่เจาะจงหรือที่ตั้งบนโลกในแต่ละประเภท
* พรรณนา (Descriptive) - ระบุคุณสมบัติและลักษณะของประชากรในแหล่งที่ตั้ง
* วิเคราะห์ (Analytical) - ว่า ทำไม (why) เราจึงพบคุณสมบัติและลักษณะของประชากรในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เจาะจงนั้น
=== การทำแผนที่ ===
thumb|แผนที่[[นิวซีแลนด์ในปี ค.ศ. 1770 โดยเจมส์ คุก]]
การทำแผนที่เป็นการศึกษาถึงการแสดงลักษณะพื้นผิวโลกด้วยสัญลักษณ์แบบนามธรรมซึ่งมีการเติบโตมาช้านานอันเป็นผลจากเทคนิคการเขียนถึงสภาพความเป็นจริงที่พัฒนามากขึ้น และแม้ว่าภูมิศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะใช้แผนที่เป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอผลการวิเคราะห์ แต่ความจริงแล้วองค์ความรู้ของการทำแผนที่นั้นมีมากพอที่จะแยกออกมาเป็นสาขาต่างหาก
นักทำแผนที่ต้องเรียนรู้ถึงจิตวิทยาการรู้คิดและการยศาสตร์เพื่อเข้าใจถึงการสื่อข้อมูลสัญลักษณ์เกี่ยวกับโลกให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงพฤติกรรมทางจิตวิทยาเพื่อให้ผู้อ่านแผนที่เข้าใจข้อมูลได้ ตลอดจนภูมิมาตรศาสตร์และคณิตศาสตร์ขั้นสูงเพื่อเข้าใจว่ารูปร่างของโลกส่งผลต่อการผิดเพี้ยนของตำแหน่งสัญลักษณ์บนแผนที่ซึ่งฉายไปยังวัสดุพื้นผิวราบเรียบได้อย่างไร จึงกล่าวได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งว่าการทำแผนที่กำเนิดจากการที่สาขาวิชาทางภูมิศาสตร์มีการเติบโตที่ใหญ่ขึ้น นักภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่จะยกตัวอย่างว่าแผนที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจทางภูมิศาสตร์ในวัยเด็กของพวกเขา
=== ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ===
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์หรือจีไอเอส (GIS) เป็นการจัดการถึงการจัดเก็บและการเรียกคืนข้อมูลเกี่ยวกับโลกด้วยคอมพิวเตอร์โดยอัตโนมัติซึ่งมีความถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญด้านจีไอเอสต้องเข้าใจถึงวิทยาการคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูลนอกเหนือไปจากสาขาอื่น ๆ ทางภูมิศาสตร์ด้วย จีไอเอสเป็นการปฏิวัติสาขาวิชาการทำแผนที่โดยนำซอฟต์แวร์จีไอเอสมาช่วยในการทำแผนที่เกือบทั้งหมดในปัจจุบัน จีไอเอสยังหมายถึงการใช้ซอฟต์แวร์และเทคนิคทางจีไอเอสเพื่อทดแทน วิเคราะห์ และคาดการณ์ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ ในบริบทนี้จีไอเอสเป็นตัวแทนสำหรับภูมิสารสนเทศศาสตร์
=== การรับรู้จากระยะไกล ===
การรับรู้จากระยะไกลเป็นศาสตร์เกี่ยวกับการรับข้อมูลของลักษณะพื้นผิวโลกจากระยะไกล ข้อมูลจากการรับรู้จากระยะไกลมีการได้มาหลายรูปแบบ เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ รวมถึงข้อมูลที่ได้รับจากเครื่องรับรู้แบบพกพา (hand-held sensors) นักภูมิศาสตร์จำนวนมากใช้การรับรู้จากระยะไกลเพื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิประเทศ ทะเล และบรรยากาศของโลก เนื่องจากการรับรู้จากระยะไกลสามารถ
* ค้นหาข้อมูลตามวัตถุประสงค์ซึ่งมีความหลากหลายของพื้นที่หลายระดับ (ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงทั่วโลก)
* ทำให้สรุปจากมุมมองของพื้นที่ที่สนใจได้ง่ายขึ้น
* ช่วยให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลและไม่สามารถเข้าถึงได้
* แสดงข้อมูลเชิงคลื่นนอกเหนือจากส่วนที่มองเห็นได้จากสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า
* อำนวยความสะดวกในการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะหรือพื้นที่ในช่วงเวลาต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร
ข้อมูลจากการรับรู้จากระยะไกลอาจถูกใช้ร่วมในการวิเคราะห์ร่วมกับชั้นข้อมูลเชิงดิจิทัลอื่น ๆ (เช่นในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์)
=== วิธีเชิงปริมาณ ===
ธรณีสถิติจัดการกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยเฉพาะการประยุกต์กับระเบียบวิธีทางสถิติเพื่อสำรวจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทางภูมิศาสตร์ ธรณีสถิติถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในหลากหลายสาขา ตลอดจนอุทกวิทยา ธรณีวิทยา การสำรวจปิโตรเลียม การวิเคราะห์ลมฟ้าอากาศ การผังเมือง โลจิสติกส์ และวิทยาการระบาด พื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับธรณีสถิติได้มาจากการวิเคราะห์การกระจุก การวิเคราะห์การจำแนกเชิงเส้น สถิติไร้พารามิเตอร์ และความหลากหลายของสาขาวิชาอื่น ๆ การประยุกต์ของธรณีสถิติถูกใช้อย่างมากบนระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการประมาณค่าในช่วง นักภูมิศาสตร์เป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างโดดเด่นในกระบวนการของเทคนิคเชิงปริมาณ
=== วิธีเชิงคุณภาพ ===
วิธีเชิงคุณภาพทางภูมิศาสตร์หรือเทคนิคการวิจัยทางชาติพันธุ์วิทยาถูกใช้โดยนักภูมิศาสตร์มนุษย์ ในภูมิศาสตร์วัฒนธรรมมีแบบแผนของการใช้เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพและยังใช้ในสาขามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์เชิงลึกถูกใช้โดยนักภูมิศาสตร์มนุษย์นำมาซึ่งข้อมูลเชิงคุณภาพ
==ดูเพิ่ม==
* ห้าแก่นเรื่องทางภูมิศาสตร์
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:วิทยาศาสตร์โลก
หมวดหมู่:สังคมศาสตร์ |
611 | https://th.wikipedia.org/wiki/พันทิป.คอม | พันทิป.คอม | พันทิป.คอม หรือพันทิป ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2539 เป็นเว็บไซต์ไทยที่ให้บริการเว็บบอร์ดของไทยที่มีชื่อเสียง มีห้องสนทนาหลายเรื่อง
ปัจจุบันพันทิปเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจากประเทศไทยมากเป็นอันดับที่ 5 (13 ตุลาคม 2559) จากการจัดอันดับโดย Alexa เป็นรองเพียง Google.co.th Youtube.com Google.com และ Facebook.com โดยพันทิปถือเป็นเว็บไซต์สัญชาติไทยที่มีผู้เข้าชมสูงสุด
== ประวัติ ==
พันทิป.คอม ก่อตั้งโดยวันฉัตร ผดุงรัตน์ แรกเริ่มเพื่อทำนิตยสารคอมพิวเตอร์ออนไลน์โดยใช้ชื่อว่า พันทิป ซึ่งเป็นการผสมคำจากคำว่า พัน (หนึ่งพัน) และคำว่า ทิป (ข้อแนะนำพิเศษ,เคล็ดลับ) แต่ผลตอบรับจากผู้เยี่ยมชมกลับชื่นชอบที่จะใช้กระดานข่าวสาธารณะในการออกความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ มากกว่ารูปแบบนิตยสาร จึงทำให้พันทิป.คอมเปลี่ยนเป้าหมายทางธุรกิจเป็นการดำเนินงานทางด้านกระดานข่าว โดยหารายได้จากการโฆษณาเป็นหลัก และขยายรูปแบบการทำงานเป็นกระดานข่าวเป็นหมวดต่าง ๆ
== เนื้อหาและบริการ ==
บริการหลักของเว็บพันทิปคือเว็บบอร์ดที่สมาชิกสามารถตั้งกระทู้เพื่อให้สมาชิกคนอื่นเข้ามาตอบกระทู้ได้ โดยในยุคแรกมีเพียงเว็บบอร์ดเดียวคือ Technical Chat สำหรับตั้งกระทู้พูดคุยเรื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ต่อมาสมาชิกเริ่มพูดคุยในเรื่องทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทางพันทิปจึงเปิดเว็บบอร์ดใหม่ชื่อสภากาแฟ โดยมีการแบ่งเป็นห้องสนทนาทั้งหมด 8 ห้องได้แก่ BluePlanet เฉลิมไทย โทรโข่ง รัชดา ราชดำเนิน ไร้สังกัด ศุภชลาศัย และสยามสแควร์
พันทิปในยุคต่อมา มีการเปลี่ยนชื่อเว็บบอร์ด Technical Chat เป็น Technical Exchange และเปลี่ยนชื่อเว็บบอร์ดสภากาแฟเป็น Pantip Cafe โดยในแต่ละห้องที่อยู่ในเว็บบอร์ดมีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อยและคลับ เช่น ห้องเฉลิมไทย มีกลุ่มย่อยภาพยนตร์และหนังไทย มีคลับ The X-Files และเพชรพระอุมา เป็นต้น โดยที่กระทู้ในกลุ่มย่อยจะถูกแสดงในหน้ารวมกระทู้ของห้อง แต่กระทู้ในคลับจะไม่ถูกแสดงในหน้ารวม ผู้ใช้จะต้องคลิกเข้าคลับก่อนถึงจะเห็นกระทู้ ในยุคนี้มีการแยกห้องโทรโข่งออกไปเป็นเว็บ Torakhong.org ซึ่งมีลุงเปี๊ยกเป็นผู้ดูแล และยุติการให้บริการในวันที่ 31 สิงหาคม 2552 เนื่องจากขาดเงินทุนและบุคลากร
พันทิปในยุคปัจจุบันมีการยุบรวมเว็บบอร์ด Technical Exchange และ Pantip Cafe เข้าด้วยกัน โดย Technical Exchange ถูกเปลี่ยนเป็นห้องซิลิคอนวัลเลย์ ในแต่ละห้องประกอบด้วยแท็ก เช่น ห้องเฉลิมไทย มีแท็กภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์ ค่ายหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแท็กรองที่ไม่สังกัดในห้องไหน เช่น ชื่อดารา ชื่อละคร ชื่อสถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น
=== บริการอื่น ===
* รักแม่ให้โลกรู้ - บริการส่งการ์ดวันแม่ถึงคุณแม่ฟรี จัดขึ้นในช่วงก่อนถึงวันแม่ของทุกปี ผู้ใช้เพียงเลือกแบบการ์ด พิมพ์ข้อความ ระบุชื่อและที่อยู่ของคุณแม่ ทางพันทิปจะจัดพิมพ์การ์ดและส่งไปรษณีย์ถึงมือคุณแม่ให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ
* ทายผลบอล - เกมทายผลฟุตบอลที่จัดขึ้นในช่วงเทศกาลฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร โดยพันทิปมีเครดิตให้สมาชิกใช้ทายผลการแข่งขันของแต่ละคู่ได้ ถ้าทายถูกจะได้รับเครดิตเพิ่ม แต่ถ้าทายผิดก็จะเสียเครดิต โดยมีการจัดอันดับสมาชิกที่ทายผลถูกเป็นจำนวนครั้งมากที่สุด และอันดับสมาชิกที่มีเครดิตสูงสุด
=== บริการในอดีต ===
* Technical Exchange - เว็บบอร์ดที่พูดคุยเรื่องคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นห้องซิลิคอนวัลเลย์
* LiveChat ให้บริการห้องสนทนาสด (แชตรูม)
* Game Room ให้บริการเกมกระดานออนไลน์
* E-Card ให้บริการส่งบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์
* เสียงพันทิป เป็นจดหมายข่าวของเว็บไซต์
* Pantip Music station ให้บริการฟังเพลงออนไลน์
=== ระบบสมาชิก ===
เว็บพันทิปมีสมาชิกทั้งหมด 4 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีสิทธิ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้
# สมาชิกที่สมัครด้วยอีเมล หรือล็อกอินด้วย Facebook หรือ Google+ - สามารถตั้งกระทู้คำถามได้เพียงวันละ 1 กระทู้ และสามารถตอบกระทู้ได้เฉพาะกระทู้คำถามเท่านั้น สมาชิกประเภทนี้จะมีชื่อสมาชิกว่า "สมาชิกหมายเลข ..." โดยไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้ และไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ แสดงด้านหลังชื่อ
# สมาชิกที่ยืนยันตัวตนด้วย SMS - โดยสมาชิกแบบที่ 1 สามารถส่งข้อความทาง SMS เพื่อยืนยันตัวตนและรับสิทธิ์ในการใช้งานที่มากขึ้น เช่น สามารถตั้งกระทู้คำถาม กระทู้สนทนา กระทู้โพล กระทู้รีวิว หรือกระทู้ข่าว ได้วันละไม่เกิน 4 กระทู้ สามารถตอบกระทู้ได้ทุกประเภท สามารถอัปโหลดรูปภาพประกอบในกระทู้ได้ และสามารถตั้งชื่อนามแฝงของตัวเองได้ สมาชิกประเภทนี้จะมีสัญลักษณ์รูปโทรศัพท์มือถือแสดงอยู่ด้านหลังชื่อ
# สมาชิกที่ยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน - โดยสมาชิกแบบที่ 1 หรือ 2 สามารถยืนยันตัวตนด้วยการส่งภาพถ่ายบัตรประชาชนและภาพถ่ายหน้าตัวเองคู่กับบัตร หลังจากยืนยันตัวตนแล้วจะได้รับสิทธิ์ในการใช้งานที่มากขึ้น เช่น ตั้งกระทู้ขายของได้ และโหวตกระทู้ให้ติดกระทู้แนะนำได้ สมาชิกประเภทนี้จะมีสัญลักษณ์รูปหน้ายิ้มแสดงอยู่ด้านหลังชื่อ
# สมาชิกองค์กร - บริษัทและองค์กรต่าง ๆ สามารถสมัครใช้สมาชิกองค์กรได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยชื่อสมาชิกจะเป็นชื่อยี่ห้อสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภครู้จักกันดี และมีสัญลักษณ์รูปหน้ายิ้มใส่หูฟังแสดงอยู่ด้านหลังชื่อ สมาชิกองค์กรสามารถตอบกระทู้ที่มีคนตั้งกระทู้สอบถามหรือร้องเรียน แต่ไม่สามารถตั้งกระทู้ได้
== ระบบเซิร์ฟเวอร์ ==
ในอดีตเซิร์ฟเวอร์ของพันทิปใช้ระบบปฏิบัติการ FreeBSD โดยใช้ซอฟต์แวร์เว็บเซิร์ฟเวอร์ Apache HTTP Server ระบบฐานข้อมูล MySQL และโปรแกรมเว็บบอร์ดถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา PHP โดยปัจจุบันมีการเปลี่ยนมาใช้ระบบฐานข้อมูล MongoDB
ระบบเซิร์ฟเวอร์ของพันทิปเคยมีปัญหาขัดข้องจนไม่สามารถให้บริการได้อย่างราบรื่นในบางเหตุการณ์สำคัญ ๆ เช่น การแถลงข่าวแต่งงานของ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์ และ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม
== การเซ็นเซอร์ในประเทศไทย ==
วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2550 นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้สั่งการให้ปิดห้องราชดำเนิน เว็บบอร์ดสนทนาเรื่องการเมืองในเว็บไซต์พันทิป โดยได้ให้เหตุผลว่ามีกระทู้ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ จึงส่งผลให้เว็บไซต์พันทิปงดให้บริการห้องราชดำเนิน พร้อมทั้งยังแจ้งเตือนไม่ให้ตั้งกระทู้การเมืองในห้องอื่น ๆ ไม่อย่างนั้นกระทรวงไอซีทีจะสั่งปิดเว็บไซต์พันทิป อย่างไรก็ตาม วันต่อมา นายสิทธิชัย โภไคยอุดม กล่าวว่าไม่ได้เป็นคนสั่งปิด แต่ทางผู้ดูแลเว็บไซต์ระบุว่าไม่สามารถคัดเลือกและตรวจสอบผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ จึงขอปิดตัวเองและอ้างคำสั่งไอซีที
ก่อนหน้านี้ห้องราชดำเนินได้เคยปิดตัวเองลงเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ภายหลังจากการก่อรัฐประหาร จากนั้นจึงเปิดขึ้นมาใหม่โดยเริ่มจากให้สมาชิกเข้าถึงได้เท่านั้น และจึงเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าอ่านได้ในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นห้องราชดำเนินก็ปิดบริการอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยในเว็บไซต์ระบุส่วนหนึ่งของเหตุผลในการปิดให้บริการว่า "เรารู้สึกไม่สบายใจอย่างมากที่ต้องรับรู้อยู่ทุกวันว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยรู้สึกแตกแยก
และหลังจากนั้นไม่นานห้องราชดำเนินก็ถูกเปิดใช้งานตามปกติจนถึงปัจจุบัน"
== ประเด็นทางสังคม ==
เหตุการณ์การตรวจสอบความจริงของผู้ใช้จากพันทิป ที่โดดเด่น ที่เปิดเผยต่อสาธารณชน และมักจะถูกสื่อระดับประเทศนำไปอ้างอิงอยู่บ่อยครั้ง ทางผู้จัดการออนไลน์ ก็ระบุว่า "นักข่าวและสื่อหลายต่อหลายสื่อได้นำเอาข้อมูล ต่าง ๆ ที่มีการโพสต์ไว้เหล่านี้มากล่าวอ้างถึงเพื่อเป็นข้อมูลและแนวทางในการนำ เสนอข่าวออกไป" ในบางครั้งก็เป็นการตีแสกให้กับสื่อในเรื่องของการตรวจสอบข้อมูลก่อนนำเสนอ ประเด็นที่สำคัญอย่างเช่น กรณีอุ้มเมืองคานส์ ที่สื่อนำเสนอข้อมูลว่าได้รับรางวัลในเทศกาลประกวดภาพยนตร์เมืองคานส์ 2009 ประเทศฝรั่งเศส ในสาขา Best Student Film และ Official Selection แต่หลังจากนั้นผู้ใช้ในพันทิปห้องเฉลิมไทยต่างตั้งข้อสังเกต นำไปสู่การค้นหาความจริงว่าไม่ได้รับรางวัลตามที่อ้าง หรือในกรณีนาธาน โอมาน ที่อ้างว่าแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่นำไปสู่การค้นหาความจริงเรื่องภาพยนตร์ รวมถึงการขุดคุ้ยประวัติของนาธาน จากกรณีนักสืบออนไลน์จากพันทิป ผศ.ดร.ณรงค์ ขำวิจิตร์ นักวิชาการ อาจารย์สาขาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าเป็น "ตัวอย่างของคน ยุคเว็บ 3.0"
== พันทิปกับฟิชชิง ==
มีผู้ทำเว็บไซต์ลอกเลียนพันทิปชื่อ panrip.com โดยมีเนื้อหาและหน้าตาคล้ายเว็บต้นฉบับอย่างมาก รวมไปถึงระบบอีเมลตอบรับ เว็บไซต์นี้อาจเป็นฟิชชิงด้วยจุดประสงค์เพื่อขโมยรหัสผ่านของสมาชิกพันทิปหากเหยื่อล็อกอิน เพราะปุ่ม r กับปุ่ม t อยู่ใกล้กันอาจทำให้เข้าผิดเว็บ ปัจจุบันเว็บไซต์ panrip.com ถูกบล็อกแล้ว
== เว็บไซต์ในเครือ ==
พันทิปมีเว็บไซต์ในเครือได้แก่
*PantipMarket.com - เว็บให้บริการลงประกาศขายสินค้าทั้งมือหนึ่งและมือสอง รวมถึงประกาศรับสมัครงาน
*BlogGang.com - เว็บให้บริการพื้นที่สำหรับเขียนบล็อก
*Pantown.com - บริการเว็บสำเร็จรูป ผู้ใช้สามารถสร้างเว็บบอร์ด ห้องสนทนา อัลบั้ม โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม
*MagGang.com - แพลตฟอร์มสร้างรายได้ให้นักเขียน จากการจ้างรีวิวสินค้าและบริการให้กับผู้สนับสนุน หรือสปอนเซอร์
== ดูเพิ่ม ==
* เฉลิมไทยอวอร์ด รางวัลภาพยนตร์จากเว็บบอร์ดพันทิป
* เฉลิมกรุงอวอร์ด รางวัลดนตรีจากเว็บบอร์ดพันทิป
* เฉลิมไทย จอแก้ว อวอร์ด รางวัลด้านละครโทรทัศน์จากเว็บบอร์ดพันทิป
* บล็อกแก๊ง บริการเว็บบล็อกของพันทิป
*แม็กแก๊งค์ อ่านนิยายฟรีออนไลน์ รีวิวท่องเที่ยว รีวิวเครื่องสำอาง
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* PantipMarket
* BlogGang
หมวดหมู่:เว็บไซต์ในประเทศไทย
หมวดหมู่:กระดานข่าว |
613 | https://th.wikipedia.org/wiki/พันธุ์ทิพย์พลาซ่า | พันธุ์ทิพย์พลาซ่า | ทางเข้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ
พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำใน พ.ศ. 2556
thumb|พันธุ์ทิพย์พลาซ่า เชียงใหม่
พันธุ์ทิพย์พลาซ่า () เป็นศูนย์การค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมแห่งแรกและขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีสาขาแรกสุด ตั้งอยู่บนถนนเพชรบุรี แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร บริหารงานโดย บริษัท แอสเสท เวิร์ด รีเทล จำกัด ในเครือบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)
== ประวัติ ==
พันธุ์ทิพย์พลาซ่า เปิดดำเนินการเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2527 เดิมใช้ชื่อว่า "เอ็กซ์เซล" โดยนำลิฟท์แก้วมาติดตั้งเป็นแห่งที่สองของประเทศไทย และใช้ระบบการอ่านรหัสแท่ง (Bar Code) เพื่อตรวจสอบราคาจากตัวสินค้าเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งภายในมี โรงภาพยนตร์พันธุ์ทิพย์ และ พันธุ์ทิพย์ภัตตาคาร ซึ่งจำหน่ายอาหารจีน โดยชื่อ “พันธุ์ทิพย์” มาจากนามของหม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ชายาพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต (เจ้าของวังสวนผักกาด) ซึ่งเดิมนักลงทุนได้ติดต่อเช่าที่ดินจากท่าน จึงตั้งชื่อท่านเพื่อเป็นการให้เกียรติ
ในระยะต่อมา จำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการเริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากมีห้างสรรพสินค้าเปิดตัวขึ้นหลายแห่งในละแวกนั้น เช่น เมโทรประตูน้ำ พาต้าอินทรา ซิตี้พลาซ่าประตูน้ำ แพลตินั่มประตูน้ำ เป็นผลให้ร้านค้าที่มีอยู่ทยอยปิดตัวลง จึงเปิดให้ทางห้างเอ็กเซลเช่าพื้นที่ภายในส่วนหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็จัดร้านค้าเฉพาะกลุ่มเข้าเป็นสัดส่วน เช่น ศูนย์เช่าพระเครื่อง ร้านจำหน่ายสินค้ามือสอง เป็นต้น
หลังจากนั้น เป็นช่วงอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู จึงกลายเป็นศูนย์รวมสำนักงานโครงการคอนโดมิเนียมต่าง ๆ โดยแบ่งอยู่กับศูนย์เช่าพระเครื่อง ส่วนภัตตาคารที่ปิดกิจการไป ก็ปรับปรุงเป็นห้างไอทีซิตี้ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ก็ปรับปรุงเป็นศูนย์รวมร้านค้าคอมพิวเตอร์แห่งแรกประเทศไทย ในขณะเดียวกัน และพันธุ์ทิพย์เป็นที่รู้จักวงกว้างมากขึ้น ในปี 2544 วงโลโซ ร้องเพลง “พันธุ์ทิพย์” ในอัลบั้มปกแดง ซึ่งขณะนั้นพันธุ์ทิพย์เป็นที่รู้จักเรื่องแผ่นผี ของผิดลิขสิทธิ์
อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2560 การค้าขายสินค้าไอทีเกิดความเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว มีห้างไอทีเกิดขึ้นใหม่ในทำเลที่ตรงกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมาก และผู้คนหันไปซื้อสินค้าแบรนด์เนมมากกว่า ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเริ่มลดลง เป็นผลให้บริษัท แอสเซท เวิร์ด คอร์ป ดำเนินการปรับปรุงครั้งใหญ่ เปลี่ยนรูปแบบศูนย์การค้าจากห้างไอทีมาเป็นศูนย์การใช้ชีวิตและศูนย์กีฬาอีสปอร์ตใจกลางเมือง แต่หลังการปรับปรุงใหญ่จำนวนผู้ใช้บริการกลับไม่เติบโตขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ใน พ.ศ. 2563 บริษัท แอสเซท เวิร์ด คอร์ป ตัดสินใจยุติการดำเนินการห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ ลงถาวร โดยจะเปลี่ยนรูปแบบของอาคารไปเป็นสาขาย่อยของโครงการ เออีซี เทรด เซ็นเตอร์ เพื่อสร้างจุดมุ่งหมายให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์ค้าส่งระดับโลกแห่งแรกใจกลางเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2567 แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) ได้พัฒนาเป็น Phenix เพื่อเป็นแหล่งศูนย์อาหารของไทย มีกำหนดเปิดบริการ 26 มิถุนายน 2567
== ผลกระทบของการปรับปรุงใหญ่ ในปี 2018 ==
ห้างนี้ถูกปรับปรุงใหม่เป็นเวลา 18 เดือน เริ่มตั้งแต่ปี 2018 ในช่วงเวลาที่มีการปรับปรุงห้างร้านต่าง ๆ ได้มีการปิดตัวลงเนื่องจากมีลูกค้าสัญจรไปมาที่ลดลง แต่หลังจากการปรับปรุงร้านค้าต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้กลับมาเปิดให้บริการอีก ทำให้พันธุ์ทิพย์พลาซ่าไม่ฟื้นตัว จนกระทั่งในปัจจุบันมีพื้นที่ว่างเกือบทั้งหมด
== ในวัฒนธรรมสมัยนิยม ==
ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่าปรากฏในเพลงฮิต "พันธุ์ทิพย์" ของวงโลโซ เนื้อเพลงท่อนฮุค "จะไม่ไปพันธุ์ทิพย์" สื่อถึงชายหนุ่มที่พาแฟนสาวไปช้อปปิ้งที่เดอะมอลล์ เซ็นทรัล และดิเอ็มโพเรียม แต่เขาปฏิเสธที่จะพาเธอไปพันธุ์ทิพย์พลาซ่าเพราะแฟนเก่าของเขาทำงานที่นั่น แคมเปญโฆษณาต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิของผู้สร้างสรรค์ผลงานและส่งเสริมเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์
== สาขา ==
# ประตูน้ำ ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงเป็นศูนย์การค้า Phenix)
#บางกะปิ ซอยลาดพร้าว 127 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
# งามวงศ์วาน ตำบลบางเขน อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
# เชียงใหม่ ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
==อ้างอิง==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:ห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย
หมวดหมู่:ศูนย์การค้าในประเทศไทย
หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างของกลุ่มทีซีซี |
615 | https://th.wikipedia.org/wiki/วิทยาการคอมพิวเตอร์ | วิทยาการคอมพิวเตอร์ | วิทยาการคอมพิวเตอร์ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานทางทฤษฎีของข้อมูล การคำนวณข้อมูล และ เทคนิคการประยุกต์ใช้ข้อมูลในทางปฏิบัติ
วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ () เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีการคำนวณสำหรับคอมพิวเตอร์ และทฤษฎีการประมวลผลสารสนเทศข้อมูล ทั้งด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และเครือข่าย วิทยาการคอมพิวเตอร์มีความเกี่ยวโยงกับทฤษฎีการคำนวณ อัลกอริทึม ปัญหาด้านการคำนวณ การออกแบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชัน วิทยาการคอมพิวเตอร์ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการประมวลผลข้อมูล ทั้งในสิ่งมีชีวิตตามกระบวนการธรรมชาติ และระบบคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การสื่อสาร การควบคุม การรับรู้ การเรียนรู้ และสติปัญญา โดยเฉพาะในคอมพิวเตอร์
สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ภาค ได้แก่ ภาคทฤษฎี ซึ่งมีความเป็นนามธรรมสูง เช่น การวิเคราะห์และสังเคราะห์ขั้นตอนวิธี ทฤษฎีความซับซ้อนของการคำนวณ ไปจนถึงภาคปฏิบัติ ที่เน้นการใช้งานที่เป็นรูปธรรม เช่น ทฤษฎีภาษาโปรแกรม ทฤษฎีการพัฒนาซอฟต์แวร์ ทฤษฎีฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์กราฟิก และทฤษฎีเครือข่าย
อัลกอริทึม คือ หัวใจของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ทฤษฎีภาษาโปรแกรม พิจารณาแนวทางในการอธิบายกระบวนการคำนวณ ในขณะที่วิศวกรรมซอฟต์แวร์เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาโปรแกรมและระบบที่ซับซ้อน สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เกี่ยวข้องกับการสร้างส่วนประกอบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ การศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ พิจารณาถึงความท้าทายในการทำให้คอมพิวเตอร์มีประโยชน์ใช้งานได้และสามารถเข้าถึงได้ ปัญญาประดิษฐ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อสังเคราะห์กระบวนการเพื่อการแก้ปัญหา การตัดสินใจ การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม การวางแผน การเคลื่อนไหว การเรียนรู้ และการสื่อสาร แบบสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา
วิทยาการคอมพิวเตอร์ ในฐานะศาสตร์การศึกษานั้น นับเป็นหนึ่งใน 5 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบสารสนเทศ
== ประวัติของชื่อ ==
คำว่า วิทยาการคอมพิวเตอร์ มีความหมายเทียบเท่ากับคำในภาษาอังกฤษ คือ computer science (หรือในสหราชอาณาจักร นิยมใช้คำว่า Computing science โดยมีความหมายต่างกันเล็กน้อย)
คำที่ใช้ในภาษาฝรั่งเศสคือ Informatique จาก "information" (สารสนเทศ) และ "automatique" (อัตโนมัติ) บัญญัติโดย Philippe Dreyfus ในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ซึ่งคำในภาษาอิตาลี Informatica และภาษาสเปน Informática ก็มีที่มาจากคำในภาษาฝรั่งเศสคำนี้ ส่วนคำที่ใช้ในภาษาเยอรมันคือ Informatik ซึ่งก็ดูคล้ายกัน และมีรากจากคำทั้งสองเหมือนกัน แต่ได้ถูกบัญญัติใช้ในเยอรมันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) และเมื่อไม่นานมานี้ ในภาษาอังกฤษเอง ก็ได้มีการใช้คำว่า informatics ซึ่งก็มาจากรากเดียวกัน แต่มักใช้หมายความถึง information science (สารสนเทศศาสตร์) หรือในบางครั้งใช้แทนคำว่า computer science (หรือ computing science) แต่กินความหมายที่กว้างไปกว่าคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักร โดยรวมถึงการคำนวณและสารสนเทศในธรรมชาติด้วย
=== ชื่อในภาษาไทย ===
คำว่า "computer science" แต่เดิมในภาษาไทยเรียกทับศัพท์ว่า "คอมพิวเตอร์ไซแอนส์" โดยเป็นชื่อของหน่วยงานหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหน่วยงานแรกในประเทศไทยที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ต่อมาได้ย้ายมาเป็นภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สังกัดคณะวิศวกรรมศาสตร์ และยังคงหลักสูตรวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มหาบัณฑิตไว้ ซึ่งเป็นหลักสูตรเดียวในประเทศที่ใช้คำว่า "วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์" ส่วนหน่วยงานที่เปิดสอนวิชานี้ในระดับปริญญาตรีแห่งแรกในประเทศไทยคือ สาขาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (ชื่อเดิม) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสาเหตุที่เดิมเรียกว่า "ศาสตร์คอมพิวเตอร์" เนื่องจากคำว่า "ไซน์" ในความหมายนี้คือ "ศาสตร์" เช่นเดียวกับใน
สังคมศาสตร์ หรือ โซเชียลไซน์ (social science)
== ประวัติศาสตร์ ==
รากฐานที่เก่าแก่ที่สุดของสิ่งที่จะกลายมาเป็นวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มีมาก่อนการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ดิจิทัลเสียอีก เครื่องมือสำหรับคำนวณงานที่เป็นตัวเลขคงที่ เช่น ลูกคิด มีมาตั้งแต่สมัยจีนโบราณเพื่อช่วยในการคำนวณ เช่น การคูณและการหาร อัลกอริทึมสำหรับการคำนวณมีมาตั้งแต่สมัยโบราณก่อนที่จะมีการพัฒนาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีความซับซ้อน นายวิลแฮม ชิคคาร์ด (Wilhelm92 Schickard) ได้ออกแบบและสร้างเครื่องคำนวณเชิงกลที่ใช้งานได้เครื่องแรกในปี ค.ศ. 1623
ในปี ค.ศ. 1673 นายก็อทฟรายด์ ไลบ์นิซ (Gottfried Leibniz) ได้แสดงเครื่องคำนวณเชิงกลแบบดิจิทัลที่เรียกว่า "Stepped Reckoner" ไลบ์นิซอาจถือได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และนักทฤษฎีสารสนเทศคนแรก โดยเฉพาะการที่เขาได้จัดทำเอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับระบบเลขฐานสอง
ในปี ค.ศ. 1820 นายโทมัส เดอ กอลมาร์ (Thomas de Colmar) ได้เปิดตัวอุตสาหกรรมเครื่องคิดเลขเชิงกล เมื่อเขาประดิษฐ์เครื่องวัดเลขคณิตแบบง่าย เครื่องคำนวณเครื่องแรกที่แข็งแกร่งเพียงพอและเชื่อถือได้เพียงพอที่จะใช้งานได้ทุกวันในสภาพแวดล้อมของสำนักงาน
นายชาร์ลส์ แบ็บเบจ (Charles Babbage) เริ่มออกแบบเครื่องคิดเลขเชิงกลอัตโนมัติเครื่องแรกชื่อ "Difference Engine" ของเขาในปี ค.ศ. 1822 ซึ่งในที่สุดเขาก็มีแนวคิดเกี่ยวกับเครื่องคำนวณเชิงกลที่ตั้งโปรแกรมได้เครื่องแรกชื่อ Analytical Engine โดยเขาเริ่มพัฒนาเครื่องนี้ในปี ค.ศ. 1834 และในเวลาไม่ถึงสองปี เขาได้ร่างคุณลักษณะเด่น ๆ ของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ขึ้น ขั้นตอนสำคัญคือการสร้างระบบบัตรเจาะรูที่ได้มาจากเครื่องทอผ้า Jacquard ทำให้สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างไม่สิ้นสุดในการทอผ้า
link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Babbage40.png|ชาร์ลส์ แบบเบจ Charles Babbage บิดาแห่งวิทยาการคอมพิวเตอร์".]]
thumb|เอดา เลิฟเลซ (Ada Lovelace) สตรีชาวฝรั่งเศส ผู้เขียนเรื่องอัลกอริทึมสำหรับคอมพิวเตอร์ขึ้นครั้งแรกของโลก ในปี ค.ศ. 1843
ในปี ค.ศ. 1843 ระหว่างการแปลบทความภาษาฝรั่งเศส เรื่องเครื่องมือวิเคราะห์ เอดา เลิฟเลซ (Ada Lovelace) ได้เขียนอัลกอริทึมในการคำนวณจำนวนแบร์นูลลี ซึ่งถือเป็นอัลกอริทึมที่เผยแพร่ครั้งแรกที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์
ประมาณปี ค.ศ. 1885 นายเฮอร์แมน ฮอลเลอริธ (Herman Hollerith) ได้ประดิษฐ์ตัวเลื่อนซึ่งใช้บัตรเจาะรูเพื่อประมวลผลข้อมูลทางสถิติ ในที่สุด บริษัท ของเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ IBM
นายเพอร์ซี ลุจเกต (Percy Ludgate) ในปี ค.ศ. 1909 ได้ตีพิมพ์ แบบสำหรับประดิษฐ์เครื่องยนต์วิเคราะห์เชิงกลเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ตามรอยของนายชาร์ลส์ แบ็บเบจ (Charles Babbage) แม้ว่าลุจเกตจะไม่รู้ถึงผลงานก่อนหน้านี้ของแบ็บเบจมาก่อนก็ตาม
ในปี ค.ศ. 1937 100 ปีหลังจากความฝันที่เป็นไปไม่ได้ของนายชาลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) นายโฮวาร์ด ไอเค็น (Howard Aiken) ได้โน้มน้าวให้ IBM พัฒนาเครื่องคิดเลขที่ตั้งโปรแกรมได้ขนาดยักษ์ของเขา ที่มีชื่อว่า ASCC / Harvard Mark I ตามรอยเครื่องมือวิเคราะห์ของแบ็บเบจ ซึ่งใช้การ์ดและหน่วยประมวลผลกลาง เมื่อเครื่องนี้สร้างเสร็จ ได้มีการยกย่องเครื่องนี้ว่าเป็น "ความฝันที่เป็นจริงของแบ็บเบจ"
ในช่วงทศวรรษที่ 1940 ด้วยการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์ Atanasoff - Berry และ ENIAC คำว่าคอมพิวเตอร์ ได้เปลี่ยนความหมายไป กลายเป็นหมายถึง เครื่องจักรที่ใช้ในการคำนวณ มากกว่าอาชีพนักคำนวณของมนุษย์ ที่เคยแพร่หลายก่อนยุคของคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นได้ชัดว่าคอมพิวเตอร์สามารถใช้เพื่อการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้มากกว่าศักยภาพของมนุษย์ สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จึงได้เกิดการศึกษาอย่างเป็นวงกว้าง เพื่อศึกษาการคำนวณโดยทั่วไป
ในปีพ.ศ. 2488 IBMได้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์วิทยาศาสตร์วัตสัน ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในกรุงนิวยอร์ก เป็นห้องปฏิบัติการแรกของ IBM ที่อุทิศให้กับวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ห้องปฏิบัติการนี้เป็นผู้บุกเบิกแผนกวิจัยของไอบีเอ็มซึ่งปัจจุบันดำเนินงานด้านการวิจัยทั่วโลก
ในที่สุดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไอบีเอ็มและมหาวิทยาลัยก็มีส่วนสำคัญในการเกิดระเบียบทางวิทยาศาสตร์ขึ้นใหม่ โดยมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เปิดสอนหลักสูตรวิชาการครั้งแรกในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1946 วิทยาการคอมพิวเตอร์เริ่มได้รับการยอมรับให้เป็นสาขาวิชาการที่แตกออกมาจากวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ทั่วไป ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และต้นทศวรรษที่ 1960 หลักสูตรปริญญาวิทยาการคอมพิวเตอร์ หลักสูตรแรกของโลก คือ "Cambridge Diploma in Computer Science" เริ่มต้นที่ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี ค.ศ. 1953 แผนกวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งแรกในสหรัฐอเมริกาก่อตั้งขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในปี ค.ศ. 1962 นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกแพร่หลาย การใช้งานคอมพิวเตอร์ในแต่ละสาขา กลายเป็นศาสตร์ลึกซึ้งเฉพาะตัว
แม้ว่าในตอนแรก หลายคนเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่คอมพิวเตอร์จะสามารถเป็นสาขาการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 50 การศึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก็ค่อย ๆ เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการจำนวนมาก ปัจจุบันเป็นแบรนด์ IBM ที่รู้จักกันดี และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติวิทยาการคอมพิวเตอร์ในช่วงเวลานี้ IBM (ย่อมาจาก International Business Machines) เปิดตัว IBM 704 และต่อมาคอมพิวเตอร์ IBM 709 ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคแห่งการสำรวจทางเทคโนโลยี ในช่วงปลายทศวรรษที่ 50 สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาอย่างมากและมีการพบปัญหาต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง
จูเลียส เอ็ดการ์ ลิเลียนเฟลด์ (Julius Edgar Lilienfeld) นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย-ฮังการี ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า ในปี ค.ศ. 1925 และต่อมา จอห์น บาร์ดีน (John Bardeen) และวอลเตอร์ แบรเทน (Walter Brattain) ได้สร้างทรานซิสเตอร์ที่ใช้งานได้ตัวแรกซึ่งเป็นทรานซิสเตอร์แบบจุดสัมผัส ในปี ค.ศ. 1947 ในขณะที่ทำงานภายใต้ วิลเลียม ช็อกลีย์ (William Shockley) ที่ Bell Labs
ในปี ค.ศ. 1953 มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้สร้างคอมพิวเตอร์ทรานซิสเตอร์เครื่องแรก เรียกว่า Transistor Computer อย่างไรก็ตามทรานซิสเตอร์ในยุคแรกเป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างเทอะทะ ซึ่งยากต่อการผลิตเป็นจำนวนมาก ทรานซิสเตอร์สนามเอฟเฟกต์โลหะ - ออกไซด์ - ซิลิคอน (MOSFET หรือ MOS) ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดย โมฮัมเม็ด อาตัลลา (Mohamed Atalla) และ เดวอน คัง (Dawon Kahng) ที่ Bell Labs ในปี ค.ศ. 1959 เป็นทรานซิสเตอร์ขนาดกะทัดรัดตัวแรกที่สามารถย่อส่วนและผลิตจำนวนมากเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย MOSFET ช่วยให้สามารถสร้างชิปวงจรรวมที่มีความหนาแน่นสูงได้ ซึ่งนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า การปฏิวัติคอมพิวเตอร์ หรือการปฏิวัติไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นช่วงเวลาที่ได้เห็นการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญในการใช้งานและประสิทธิผลของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ สังคมสมัยใหม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในด้านประชากรที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การใช้งานได้เปลี่ยนจากการใช้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญเป็นส่วนใหญ่ ไปสู่ฐานผู้ใช้ที่แพร่หลายในวงกว้าง ในขั้นต้นคอมพิวเตอร์มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้วยมนุษย์ในระดับหนึ่ง เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์แพร่หลายมากขึ้นและราคาไม่แพง ความช่วยเหลือจากมนุษย์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์จึงจำเป็นน้อยลงอย่างมากสำหรับการใช้งานทั่วไป
== สาขาหลัก ==
วิทยาการคอมพิวเตอร์ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ ตั้งแต่การศึกษาทางทฤษฎีของอัลกอริทึม และขีดจำกัดของการคำนวณ ไปจนถึงประเด็นทางปฏิบัติของการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยองค์กร CSAB (เดิมเรียกว่า Computing Sciences Accreditation Board ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนของ Association for Computing Machinery (ACM) และ IEEE Computer Society (IEEE CS)) ระบุว่ามี 4 สาขา ที่สำคัญในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย: ทฤษฎีการคำนวณอัลกอริทึม, โครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทึม, ระเบียบวิธีการเขียนโปรแกรมและภาษาโปรแกรม, องค์ประกอบและสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์ นอกเหนือจากสี่ด้านนี้แล้ว CSAB ยังระบุสาขาต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น วิศวกรรมซอฟต์แวร์, ปัญญาประดิษฐ์, ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร, ระบบฐานข้อมูล, การคำนวณแบบขนาน, การคำนวณแบบกระจาย, ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์, กราฟิกคอมพิวเตอร์. ระบบปฏิบัติการ และการคำนวณเชิงตัวเลขและสัญลักษณ์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่สำคัญของวิทยาการคอมพิวเตอร์
=== ทฤษฎีวิทยาการคอมพิวเตอร์ ===
ทฤษฎีวิทยาการคอมพิวเตอร์ เป็นการศึกษาทางคณิตศาสตร์เชิงทฤษฎี มีความเป็นนามธรรมสูง แต่มีต้นกำเนิดมาจากการคำนวณเชิงปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จุดมุ่งหมายคือ การเข้าใจธรรมชาติของการคำนวณ เพื่อทำให้มีวิธีการคำนวณที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษาเชิงคณิตศาสตร์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตรรกศาสตร์ และวิธีการทางคณิตศาสตร์ อาจถือได้ว่าเป็นทฤษฎีวิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยมีเงื่อนไขว่าจุดประสงค์ของการศึกษานั้นมีขึ้นเพื่อการศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจน
==== ทฤษฎีการคำนวณ ====
จากข้อมูลของ Peter Denning คำถามพื้นฐานที่แฝงอยู่ในวิทยาการคอมพิวเตอร์คือ "อะไรบ้างที่ทำให้เป็นอัตโนมัติได้" ทฤษฎีการคำนวณมุ่งเน้นไปที่การตอบคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถคำนวณได้และจำนวนทรัพยากรที่ต้องใช้ในการคำนวณเหล่านั้น ในความพยายามที่จะตอบคำถามแรกนั้น ทฤษฎีความสามารถในการคำนวณ (computability theory) จะตรวจสอบว่าปัญหาการคำนวณใดที่สามารถแก้ไขได้บนแบบจำลองการคำนวณ (models of computation) ทางทฤษฎีต่าง ๆ คำถามที่สองได้รับการแก้ไขโดย ทฤษฎีความซับซ้อนในการคำนวณ (computational complexity theory) ซึ่งศึกษาต้นทุนด้านเวลาและพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางที่หลากหลายในการแก้ปัญหาด้านการคำนวณที่หลากหลาย
สมการปัญหา P = NP? ที่มีชื่อเสียง เป็นสมการปัญหาหนึ่งใน "ปัญหารางวัลแห่งสหัสวรรษ (Millennium Prize Problems) เป็นปัญหาที่เปิดกว้างในทฤษฎีการคำนวณ
==== ทฤษฏีสารสนเทศและทฤษฎีการเข้ารหัส ====
ทฤษฎีสารสนเทศ (Information theory) เกี่ยวข้องกับความน่าจะเป็น การหาปริมาณข้อมูล และสถิติ พัฒนาขึ้นโดย คล็อด แชนนอน (Claude Shannon) เพื่อค้นหาขีดจำกัดพื้นฐานในการประมวลผลสัญญาณ ( signal processing) เช่น การบีบอัดข้อมูล และการจัดเก็บและสื่อสารข้อมูลที่เชื่อถือได้
ทฤษฎีการเขียนโค้ด (Coding theory) คือการศึกษาคุณสมบัติของรหัส (ระบบสำหรับการแปลงข้อมูลจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง) และความเหมาะสมของรหัสสำหรับการใช้งานเฉพาะ รหัสใช้สำหรับการบีบอัดข้อมูล (data compression), การเข้ารหัส (cryptography), การตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด (error detection and correction) และ การเข้ารหัสเครือข่าย (network coding) การศึกษารหัสมีเป้าหมายเพื่อการออกแบบวิธีการส่งข้อมูล ( data transmission) ที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้
=== โครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทึม ===
โครงสร้างข้อมูล และอัลกอริทึม เป็นการศึกษาวิธีการคำนวณทั่วไป และประสิทธิภาพในการคำนวณของแต่ละวิธีการ
==== ทฤษฎีภาษาโปรแกรม ====
ทฤษฎีภาษาโปรแกรม (Programming language theory) เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ การใช้งาน การวิเคราะห์ การระบุลักษณะ และการจัดประเภทของภาษาโปรแกรม (programming languages) เป็นแขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มีความเกี่ยวโยงอย่างลึกซึ้งกับคณิตศาสตร์ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และภาษาศาสตร์ เป็นแขนงศึกษาในวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มีผู้วิจัยศึกษาจำนวนมาก
==== วิธีรูปนัย ====
วิธีรูปนัย (Formal method) เป็นเทคนิคเฉพาะทางคณิตศาสตร์สำหรับการกำหนดคุณลักษณะ (specification), การพัฒนา (development) และการตรวจสอบระบบซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ (verification) การใช้วิธีรูปนัยในการออกแบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์นั้น มาจากความคาดหวังว่า การวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสม จะสามารถสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความประสิทธิภาพสูง ความคาดหวังนี้เป็นรากฐานทางทฤษฎีที่สำคัญสำหรับวิศวกรรมซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) วิธีรูปนัยเป็นส่วนเสริมที่มีประโยชน์ในการทดสอบซอฟต์แวร์ เนื่องจากช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและยังสร้างกรอบสำหรับการทดสอบ สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม จำเป็นต้องมีการสนับสนุนด้วยเครื่องมือ (tool support) อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายที่สูงในการใช้วิธีรูปนัย ทำให้โดยส่วนใหญ่ จะใช้วิธีรูปนัยในการพัฒนาระบบที่มีความสมบูรณ์สูงและมีความสำคัญต่อชีวิตเท่านั้น เน้นความปลอดภัย หรือ การรักษาความปลอดภัย วิธีรูปนัยเป็นการประยุกต์ใช้พื้นฐานวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เชิงทฤษฎีที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคลคูลัสเชิงตรรกะ (logic calculi), ภาษาแบบแผน (formal languages), ทฤษฎีออโตมาตา (automata theory), อรรถศาสตร์ของโปรแกรม (program semantics), ระบบชนิดข้อมูล (type systems) และประเภทข้อมูลเชิงพีชคณิต (algebraic data types)
=== ระบบคอมพิวเตอร์ ===
==== สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ====
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ คือ การออกแบบโครงสร้างการดำเนินงานพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ โดยมุ่งเน้นไปที่หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ซึ่งดำเนินการอยู่ภายในคอมพิวเตอร์และเข้าถึงแอดเดรสในหน่วยความจำ สาขาสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า โดยเน้นเชื่อมต่อส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ เพื่อสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีฟังก์ชันการทำงาน ประสิทธิผล และต้นทุนตามเป้าที่วางไว้
==== การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ ====
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ คือ การศึกษางานที่ไหลผ่านคอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมายทั่วไปในการปรับปรุงปริมาณงาน (throughput) การควบคุมเวลาตอบสนอง (response time) การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การขจัดปัญหาคอขวด (bottlenecks) และการทำนายประสิทธิภาพภายใต้ปริมาณงานสูงสุดที่คาดการณ์ไว้ การวัดเปรียบเทียบสมรรถนะของคอมพิวเตอร์ (Benchmark) ใคือการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบคอมพิวเตอร์ที่มีใช้ชิป หรือ มีสถาปัตยกรรมระบบที่แตกต่างกัน
==== ระบบคอมพิวเตอร์แบบคอนเคอร์แรนต์ พาราเรล และดิสตริบิวต์ ====
การประมวลผลพร้อมกัน (concurrency) คือ คุณสมบัติของระบบที่มีการประมวลผลหลายอย่างพร้อมกันและอาจมีการโต้ตอบซึ่งกันและกัน แบบจำลองทางคณิตศาสตร์จำนวนมากได้รับการพัฒนาสำหรับการคำนวณพร้อมกันทั่วไป อาทิ Petri nets, แคลคูลัสกระบวนการ และ แบบจำลอง Parallel Random Access Machine เมื่อคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเชื่อมต่อในเครือข่ายในขณะที่ใช้งานพร้อมกันสิ่งนี้เรียกว่า ระบบกระจาย (distributed system) คอมพิวเตอร์ภายในระบบกระจายนั้นมีหน่วยความจำส่วนตัวของตัวเองและสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้
==== เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ====
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) มีเป้าหมายในการจัดการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทีเขื่อมต่อกันอยู่ทั่วทั้งโลก
==== ความปลอดภัยทางไซเบอร์และวิทยาการรหัสลับ ====
ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) เป็นสาขาหนึ่งของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องข้อมูลจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
วิทยาการรหัสลับ (Cryptography) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการซ่อนข้อมูล (การเข้ารหัส) และการเปิดเผยข้อมูล (ถอดรหัส) การเข้ารหัสสมัยใหม่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ อัลกอริทึมการเข้ารหัสและการถอดรหัสขึ้นอยู่กับความซับซ้อนในการคำนวณ
==== ฐานข้อมูล ====
ฐานข้อมูล (database) มีหน้าที่ในการจัดการ กักเก็บ และกู้คืนข้อมูลจำนวนมาก ด้วยความสะดวกรวดเร็ว ฐานข้อมูลดิจิทัลมีการจัดการโดยใช้ระบบการจัดการฐานข้อมูล เพื่อการกักเก็บ สร้าง รักษา และค้นหาข้อมูล ด้วยโมเดลฐานข้อมูล (database models) และภาษาสอบถาม (query languages)
=== การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ ===
==== คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ====
คอมพิวเตอร์กราฟิก คือ การศึกษาเนื้อหาภาพดิจิทัลแลการสังเคราะห์และการจัดการข้อมูลภาพดิจิทัล สาขานี้เชื่อมต่อกับสาขาอื่น ๆ ในวิทยาการคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่คอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) การประมวลผลภาพ (image processing) และเรขาคณิตเชิงคำนวณ (computational geometry) และถูกนำไปใช้อย่างมากในสาขาเทคนิคพิเศษ และการผลิตวิดีโอเกม
==== ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์ (HCI) ====
HCI คือ การวิจัยที่พัฒนาทฤษฎี หลักการ และแนวทางสำหรับนักออกแบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้ (UI) เพื่อให้สามารถสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่น่าพอใจด้วยเดสก์ท็อป แล็ปท็อป และอุปกรณ์เคลื่อนที่ ที่สะดวกต่อการใช้งาน
==== การคำนวณและการจำลองทางวิทยาศาสตร์ ====
ดูบทความหลัก (ภาษาอังกฤษ) ที่: Computational science
วิทยาศาสตร์เชิงคอมพิวเตอร์ (Scientific computing หรือ Computational science) เป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (mathematical models) และเทคนิคการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (quantitative analysis) โดยประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวิเคราะห์และแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยมักใช้จำลองกระบวนการและปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น พลวัตของไหล วงจรไฟฟ้า การเคลื่อนที่ทางกลศาสตร์ การวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ตลอดจนถึงการวิเคราะห์และทำนายด้านสังคมศาตร์ เช่น ประชากร แนวโน้มสงคราม และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการออกแบบระบบเครื่องกลที่ซับซ้อน เช่น การออกแบบอากาศยาน หุ่นยนต์ เครื่องกล วงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยโปรแกรมการออกแบบวงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่โดดเด่นในปัจจุบันได้แก่ SPICE วิทยาการคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ทำให้การทำงานในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นั้นง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพสูง เป็นส่วนสำคัญของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 นี้
==== ปัญญาประดิษฐ์ ====
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) หรือ AI มีจุดประสงค์เพื่อสังเคราะห์กระบวนการที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงในระบบคอมพิวเตอร์ อาทิ การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ และการสื่อสาร ที่พบในมนุษย์และสัตว์
จากจุดเริ่มต้นในไซเบอร์เนติกส์ และในการประชุมดาร์ทเมาท์ (Dartmouth Conference) ค.ศ. 1956 การวิจัยปัญญาประดิษฐ์จำเป็นต้องมีการข้ามสาขาวิชาโดยอาศัยความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย เช่น คณิตศาสตร์ประยุกต์ ตรรกะสัญลักษณ์ สัญศาสตร์ วิศวกรรมไฟฟ้า ปรัชญา จิตประสาท สรีรวิทยา และ สังคมศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาหุ่นยนต์ แต่การประยุกต์ใช้ AI ในทางปฏิบัติ มักใช้ในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งต้องใช้ความเข้าใจในการคำนวณชั้นสูง จุดเริ่มต้นของ AI อยู่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 จากคำถามของอลัน ทัวริง (Alan Turing) ว่า "คอมพิวเตอร์คิดเองได้ไหม" และเป็นคำถามยังคงไม่มีคำตอบอย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าการทดสอบทัวริงจะยังคงมีการใช้งานเพื่อประเมินผลลัพธ์ของคอมพิวเตอร์โดยมีระดับสติปัญญาของมนุษย์เป็นบรรทัดฐาน แต่ในปัจจุบัน ระบบ AI อัตโนมัติ ประสบความสำเร็จในการประเมินผลและคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างมาก สามารถแทนที่การตรวจสอบโดยมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการประยุกต์ใช้งาน AI กับข้อมูลขนาดใหญ่ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
=== วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ===
วิศวกรรมซอฟต์แวร์ คือการศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบ การใช้งานและการปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ เพื่อให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์ที่ออกมานั้นมีคุณภาพสูง ราคาไม่แพง บำรุงรักษาได้ และสร้างได้อย่างรวดเร็ว เป็นแนวทางที่เป็นระบบในการออกแบบซอฟต์แวร์ เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้แนวทางปฏิบัติทางวิศวกรรมกับตัวซอฟต์แวร์ นักวิศวกรซอฟต์แวร์จัดระเบียบ วิเคราะห์ สร้าง ผลิต และบำรุงรักษาซอฟต์แวร์
== กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรม ==
กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรม () เป็นวิธีการพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรมมี 4 กระบวนทัศน์หลัก ได้แก่
* การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (object-oriented programming)
* การเขียนโปรแกรมเชิงคำสั่ง (imperative programming)
* การเขียนโปรแกรมเชิงฟังก์ชัน (functional programming)
* การเขียนโปรแกรมเชิงตรรกะ (logic programming)
นอกจากกระบวนทัศน์หลักทั้ง 4 แล้ว ยังมีอีกกระบวนทัศน์หนึ่งซึ่งขยายความสามารถของโมดูลโปรแกรม โดยใช้วิธีการตัดแทรกโค้ด กระบวนทัศน์นี้คือ การโปรแกรมเชิงหน่วยย่อย (aspect-oriented programming)
== สาขาที่เกี่ยวข้อง ==
วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือศาสตร์คอมพิวเตอร์มีความสัมพันธ์กับสาขาอื่น ๆ อีกหลายศาสตร์ ถึงแม้ว่าในแต่ละศาสตร์ จะครอบคลุมเนื้อหาที่เหมือนกันอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าแต่ละศาสตร์ หรือสาขาก็จะมีลักษณะสำคัญ และระดับของการศึกษ การวิจัย และการประยุกต์ใช้แตกต่างกันไปจากสาขาอื่น ๆ
* วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ การใช้หลักการวิศวกรรม ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเก็บความต้องการ การออกแบบ การสร้าง การทดสอบ วิเคราะห์ จนถึงการบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับระบบคอมพิวเตอร์ หรือ ระบบอุปกรณ์ ซึ่งต้องใช้ความรู้ทั้งซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ การสื่อสาร ควบคู่กับความรู้ทางด้านวิศวกรรม
* วิศวกรรมซอฟต์แวร์ (วิศวกรรมส่วนชุดคำสั่ง) เน้นที่กระบวนการวิศวกรรมสำหรับระบบซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ โดยเริ่มด้วยการวิเคราะห์ความต้องการ, การออกแบบ, การพัฒนา, การทดสอบ ตลอดจนถึงการบำรุงรักษาระบบซอฟต์แวร์
* วิทยาการสารสนเทศ (สารสนเทศศาสตร์) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับภาคทฤษฎีสารสนเทศ เริ่มตั้งแต่การรับรู้, การทำความเข้าใจ, การวิเคราะห์, การจัดเก็บ, การสร้าง, การโต้ตอบ, การสื่อสาร, และการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ
* เทคโนโลยีสารสนเทศ เน้นการประยุกต์ใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดกับสังคม ธุรกิจ องค์กร หรืออุตสาหกรรม
* ระบบสารสนเทศ เป็นการศึกษาการใช้งานคอมพิวเตอร์ สำหรับระบบการทำงานที่อาศัยข้อมูลสารสนเทศ เพื่อจุดประสงค์ในการช่วยเหลือสนับสนุน การดำเนินงานต่าง ๆ ภายในองค์กร โดยคำประยุกต์ใช้งานนั้น จะมีความหมายครอบคลุมถึง การออกแบบ, ใช้งาน, การติดตั้ง, และการบำรุงรักษา ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, ซอฟต์แวร์, เครือข่าย, บุคลากร หรือข้อมูล
** ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นสาขาย่อยของระบบสารสนเทศ โดยจะเน้นที่ระบบสารสนเทศ ที่จัดการเกี่ยวกับการบริหารจัดการการเงิน และบุคลากร
== ผู้บุกเบิก ==
** ชาร์ลส แบบเบจ ผู้ออกแบบและสร้างเครื่องลบเลข
** จอห์น แบกคัส ผู้คิดค้น ภาษาฟอร์แทรน
** อลอนโซ เชิร์ช ผู้พัฒนาพื้นฐานของวิทยาการคอมพิวเตอร์เชิงทฤษฎี
** เจมส์ ดับเบิลยู คูลีย์ (James W. Cooley) และจอหน์ ดับเบิลยู ทูคีย์ (John W. Tukey คิดค้น) ขั้นตอนวิธีการแปลงฟูเรียร์แบบเร็ว ซึ่งมีบทบาทอย่างสูงในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์
** โอเล-โจฮาน ดาห์ล (Ole-Johan Dahl) และเคียสเทน ไนก์อาร์ด (Kristen Nygaard) คิดค้นภาษา SIMILA ซึ่งเป็นโปรแกรมเชิง (กึ่ง) วัตถุ
** เอดส์เกอร์ ไดจ์สตรา (Edsger Dijkstra) พัฒนาขั้นตอนวิธีพื้นฐาน, rigor, การโปรแกรมโดยใช้ semaphore, บทความ "คำสั่ง โกทู (Goto) นั้นพิจารณาดูแล้วไม่ปลอดภัย" ซึ่งพูดถึงอันตรายจากการใช้คำสั่งโกทู (Goto), และกลวิธีในการสอน
** ซี.เอ.อาร์. ฮอร์ (C.A.R Hoare) พัฒนาภาษาทางการซีเอสพี (CSP) (Communicating Sequential Processes) และ ขั้นตอนวิธี Quicksort
** พลเรือเอกเกรซ มัวเรย์ ฮอปเปอร์ (Admiral Grace Murray Hopper) บุกเบิกพื้นฐานของโปรแกรมภาษาระดับสูง ที่เธอเรียกว่า "การโปรแกรมอัตโนมัติ", พัฒนาตัวแปลภาษา (A-O compiler), และมีอิทธิพลอย่างสูงกับภาษาโคบอล (COBOL)
** เคนเนท ไอเวอร์สัน (Kenneth Iverson) คิดค้นภาษา APL และมีส่วนร่วมพัฒนาการคำนวณแบบปฏิสัมพันธ์
** โดนัลด์ คนูธ (Donald Knuth) เขียนชุดหนังสือ The Art of Computer Programming และระบบสร้างเอกสาร TeX
** เอดา ไบรอน หรือ เอดา เลิฟเลซ ริเริ่มการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เชิงคำนวณ โดยเฉพาะบทความ "Sketch of the Analytical Engine" ที่เป็นการวิเคราะห์งานของ แบบเบจ, ชื่อของเธอยังเป็นชื่อของภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ Ada อีกด้วย
** จอห์น ฟอน นอยมันน์ (John von Neuman) ออกแบบสถาปัตยกรรมฟอนนอยมันน์ ที่เป็นพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
** คลอด อี. แชนนอน (Claude E. Shannon) ริเริ่มทฤษฎีสารสนเทศ (information theory)
** แอลัน ทัวริง (Alan Turing) บุกเบิกพื้นฐานด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สำหรับการวางรูปแบบของเครื่องจักรทัวริง (Turing machine) และออกแบบไพลอท เอซีอี (Pilot ACE)
** มัวริส วิลค์ส (Maurice Wilkes) สร้างคอมพิวเตอร์แบบเก็บโปรแกรมได้ (stored program computer) ได้สำเร็จ และมีส่วนในโครงสร้างพื้นฐานของภาษาโปรแกรมระดับสูง
** คอนราด ซูส (Konrad Zuse) สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ไบนารีที่เขาได้ออกแบบทฤษฎีสำหรับภาษาโปรแกรมชั้นสูง ชื่อว่า Plankalkül
== ดูเพิ่ม ==
=== พื้นฐานคณิตศาสตร์ ===
* คณิตตรรกศาสตร์
* วิยุตคณิต หรือ คณิตศาสตร์ไม่ต่อเนื่อง (Discrete mathematics)
* ทฤษฎีกราฟ
* ทฤษฎีสารสนเทศ
* ตรรกศาสตร์สัญลักษณ์
* ทฤษฎีความน่าจะเป็น และสถิติศาสตร์
=== วิทยาการคอมพิวเตอร์เชิงทฤษฎี ===
* ทฤษฎีสารสนเทศเชิงขั้นตอนวิธี (Algorithmic information theory)
* ทฤษฎีการคำนวณได้
* วิทยาการเข้ารหัสลับ (Cryptography)
* อรรถศาสตร์รูปนัย (Formal semantics)
* ทฤษฎีการคำนวณ
** การวิเคราะห์ขั้นตอนวิธี และความซับซ้อนของปัญหา
** ตรรกศาสตร์และความหมายของโปรแกรม
** คณิตตรรกศาสตร์ (Mathematical logic) และภาษารูปนัย (Formal languages)
* ทฤษฎีแบบชนิด (Type theory)
=== ฮาร์ดแวร์ ===
* หน่วยประมวลผลกลาง
* หน่วยความจำ
** วงจรรวมขนาดใหญ่ (VLSI)
* อินพุต/เอาต์พุต และการสื่อสารข้อมูล
* การ์ดแสดงผล
* การ์ดเสียง
* อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
=== ซอฟต์แวร์ ===
* โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และการเขียนโปรแกรม
* วิศวกรรมซอฟต์แวร์
* ภาษาโปรแกรม
* ระบบปฏิบัติการ
* ตัวแปลภาษา (คอมไพเลอร์)
=== ระบบข้อมูลและสารสนเทศ ===
* โครงสร้างข้อมูล (Data structures)
* การบีบอัดข้อมูล (Data compression)
* ฐานข้อมูล (Database)
* การวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis and Design)
* ตัวแปลภาษา (Compiler)
* คลังข้อมูล (Data Warehouse)
=== ระเบียบวิธีคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ ===
* ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence)
* วิชาเรขภาพคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์กราฟิกส์) (Computer graphics)
* การประมวลผลภาพ (Image processing) และคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (Computer vision)
* การรู้จำแบบ (Pattern recognition)
** การรู้จำคำพูด (Speech recognition)
** การรู้จำภาพ (Image recognition)
* การประมวลผลเอกสารและข้อความ (Document processing, Text processing)
* การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล (Digital signal processing)
* การค้นคืนสารสนเทศ (Information retrieval)
* การทำเหมืองข้อมูล (Data Mining)
** การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
=== ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ===
* ฮาร์ดแวร์สำหรับเครือข่าย (Network hardware)
** ข่ายงานบริเวณเฉพาะที่ (Local Area Networks)
** เครือข่ายครอบคลุมบริเวณเมืองใหญ่ (Metropolitan Area Networks)
** ข่ายงานบริเวณกว้าง (Wide Area Networks)
** เครือข่ายไร้สาย (Wireless Networks)
** เครือข่ายเชื่อมโยง (Internetworks)
* ซอฟต์แวร์สำหรับเครือข่าย (Network software)
** ลำดับชั้นโปรโตโคล (Protocol Hierarchies)
** การออกแบบส่วนพัฒนาชั้นความคิด (Design issue for layers)
** การเชื่อมต่อและการให้บริการ (Interface and services)
** การให้บริการแบบเน้นการเชื่อมต่อและแบบไร้การเชื่อมต่อ (Connection-Oriented and Connectionless services)
* แบบโครงสร้างเครือข่าย (Reference Model)
** โครงสร้างแบบ โอเอสไอ (OSI Model)
** โครงสร้างแบบ ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP Model)
** โลกไซเบอร์ (Cyberworlds)
== รางวัลทางด้านคอมพิวเตอร์ ==
* รางวัลทัวริง (Turing Award) รางวัลที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในวงการวิทยาการคอมพิวเตอร์
* รางวัลด้านการศึกษาเทย์เลอร์ แอล บูธ (Taylor L. Booth Education Award) เพื่อยกย่องผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับวงการการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* วิทยาการคอมพิวเตอร์คืออะไร ข้อมูลจากเว็บไซต์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หมวดหมู่:ปัญญาประดิษฐ์ |
616 | https://th.wikipedia.org/wiki/คณิตศาสตร์ | คณิตศาสตร์ | คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมการค้นคว้าเกี่ยวกับ ปริมาณ โครงสร้าง การเปลี่ยนแปลง และปริภูมิ มีการพิสูจน์ผ่านการให้เหตุผลที่รัดกุม นำไปสู่ความรู้ที่เรียกว่าทฤษฎีบทหรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ เพื่อใช้งานในศาสตร์เชิงประจักษ์ อาทิ วิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ หรือใช้ในคณิตศาสตร์เอง คณิตศาสตร์แบ่งย่อยออกเป็นหลายสาขา ซึ่งรวมไปถึงทฤษฎีจำนวนซึ่งศึกษาจำนวน, พีชคณิตซึ่งศึกษาสูตร สมการและโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง, เรขาคณิตซึ่งศึกษารูปร่าง รูปทรงและปริภูมิที่บรรจุรูปร่างรูปทรงต่าง ๆ, คณิตวิเคราะห์ซึ่งศึกษาการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง และทฤษฎีเซตที่ปัจจุบันใช้เป็นรากฐานของคณิตศาสตร์ทั้งปวง
คณิตศาสตร์มุ่งอธิบายและจัดการวัตถุเชิงนามธรรมที่เรียกว่าวัตถุทางคณิตศาสตร์ ซึ่งอาจจะมีที่มาจากการเปลี่ยมมุมมองสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติให้เป็นนามธรรม หรือมีที่มาจากวัตถุนามธรรมที่ไม่ได้มีที่มาจากธรรมชาติแต่เกิดจากการกำหนดให้มีสมบัติบางอย่างให้มีขึ้นมา สมบัติเหล่านั้นเรียกว่า สัจพจน์ คณิตศาสตร์ใช้เพียงเหตุผลเท่านั้นเพื่อพิสูจน์สมบัติของวัตถุต่าง ๆ โดยบทพิสูจน์ประกอบไปด้วยข้อความที่เกิดจากการอ้างเหตุผลจากความรู้ก่อนหน้า สิ่งที่นับเป็นความรู้ก่อนหน้าได้แก่ ทฤษฎีบท สัจพจน์ หรือหากเป็นคณิตศาสตร์ที่เกิดจากการสร้างแนวคิดนามธรรมจากตัวอย่างที่มีในธรรมชาติ สามารถถือว่าสมบัติพื้นฐานของธรรมชาติที่ทราบว่าจริงเป็นความรู้ก่อนหน้าได้
คณิตศาสตร์มีความสำคัญอย่างขาดไม่ได้ในศาสตร์ต่าง ๆ อย่าง วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ การเงิน วิทยาการคอมพิวเตอร์ และสังคมวิทยา ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะใช้จำลองปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ ความจริงพื้นฐานของคณิตศาสตร์เป็นอิสระจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ สาขาบางสาขาของคณิตศาสตร์ เช่น สถิติศาสตร์และทฤษฎีเกมถูกพัฒนาไปพร้อมกับการประยุกต์ใช้ในศาสตร์อื่น ๆ จึงได้ชื่อว่า คณิตศาสตร์ประยุกต์ ในขณะที่สาขาอื่น ๆ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อประยุกต์ใช้ในด้านอื่น จะเรียกว่า คณิตศาสตร์บริสุทธิ์ แต่ในภายหลังอาจค้นพบการประยุกต์ใช้ได้
ตามประวัติศาสตร์แล้ว แนวคิดเรื่องการพิสูจน์และความรัดกุมทางคณิตศาสตร์ปรากฏขึ้นครั้งแรกในคณิตศาสตร์กรีกโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเลเมนส์ของยุคลิด คณิตศาสตร์เดิมทีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือเรขาคณิตและเลขคณิต ซึ่งเป็นการดำเนินการกับจำนวนธรรมชาติและเศษส่วน จนกระทั่งในศตวรรษที่ 16 และ 17 พีชคณิตและแคลคูลัสกณิกนันต์เริ่มปรากฏขึ้นเป็นสาขาใหม่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การค้นคว้าใหม่ ๆ ในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ซึ่งเกี่ยวเนื่องกันนำไปสู่การพัฒนาศาสตร์ทั้งสอง เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 19 วิกฤติการณ์รากฐานของคณิตศาสตร์นำไปสู่การจัดระบบของระเบียบวิธีเชิงสัจพจน์ ทำให้เกิดสาขาคณิตศาสตร์ใหม่ ๆ จำนวนมากและการประยุกต์ในด้านต่าง ๆ การจัดหมวดหมู่คณิตศาสตร์ในปัจจุบันที่เรียกว่า Mathematics Subject Classification ระบุว่ามีสาขาของคณิตศาสตร์ในชั้นต้นสุดมากกว่า 60 สาขา
== สาขาของคณิตศาสตร์ ==
ในเชิงภาพรวมอาจกล่าวได้ว่า คณิตศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นสาขาย่อย ๆ ตามสิ่งที่ศึกษาได้เป็น การศึกษาปริมาณ โครงสร้าง ปริภูมิและความเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงกับสาขาเลขคณิต พีชคณิต เรขาคณิต และคณิตวิเคราะห์ตามลำดับ นอกจากนี้เราอาจพิจารณาคณิตศาสตร์ผ่านความสมพันธ์กับสาขาอื่น ๆ เช่น คณิตตรรกศาสตร์กับตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ประยุกต์กับวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเราพบว่าหลายสาขาของคณิตศาสตร์ที่ดูผิวเผินจะไม่เกี่ยวข้องกัน กลับสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เช่น กรุปกาลัวส์ พื้นผิวรีมันน์และทฤษฎีจำนวน ซึ่งดูแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงนั้น เกี่ยวเนื่องกันผ่านมุมมองของโปรแกรมแลงแลนดส์
=== รากฐานและปรัชญา ===
: หลังจากการพัฒนาทฤษฎีเซตในปลายศตวรรษที่ 19 ทำให้ทฤษฎีเซตกลายเป็นรากฐานของคณิตศาสตร์ที่สำคัญมากที่สุดในรูปแบบหนึ่ง ความพยายามทำความเข้าใจรากฐานนี้ส่งผลให้เกิดการศึกษาคณิตตรรกศาสตร์ และปรัชญาคณิตศาสตร์
ปรัชญาของคณิตศาสตร์
: ปรัชญาคณิตศาสตร์ - รากฐานของคณิตศาสตร์ - ทฤษฎีเซต - ตรรกศาสตร์สัญลักษณ์ - ทฤษฎีโมเดล - ทฤษฎีแคทิกอรี - ตรรกศาสตร์
=== คณิตศาสตร์บริสุทธิ์ ===
==== ทฤษฎีจำนวน ====
เส้นเวียนก้นหอยของอูลัมแสดงให้เห็นการกระจายตัวของจำนวนเฉพาะ เส้นทแยงมุมสีเข้มในเห็นในเส้นเวียนก้นหอยเสนอว่ามีความเป็นอิสระระหว่างการเป็นจำนวนเฉพาะและการเป็นค่าของพหุนามกำลังสอง ซึ่งเป็นข้อความคาดการณ์ที่ปัจจุบันเรียกว่าข้อความคาดการณ์ F ของฮาร์ดีและลิตเติลวูด]]
ทฤษฎีจำนวนมีจุดเริ่มต้นจากการดำเนินการกับจำนวนที่เป็นจำนวนธรรมชาติ (\mathbb{N}) แล้วต่อมาขยายเป็นจำนวนเต็ม (\Z) และจำนวนตรรกยะ (\Q) ทฤษฎีจำนวนเคยถูกเรียกว่า เลขคณิต (arithmetic) แต่ปัจจุบันคำนี้ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการคำนวณตัวเลข ทฤษฎีจำนวนสามารถสืบประวัติย้อนกลับไปถึงบาบิโลนโบราณ และเป็นไปได้ว่าปรากฎตั้งแต่สมัยจีนโบราณด้วย นักทฤษฎีจำนวนในยุคแรกที่มีชื่อเสียงสองคนคือ ยุคลิด แห่งกรีกโบราณและ ไดโอแฟนตัส แห่งอเล็กซานเดรีย การวิจัยทฤษฎีจำนวนแบบนามธรรมอย่างในปัจจุบัน มักได้รับการเสนอว่าเป็นผลงานของ ปีแยร์ เดอ แฟร์มา และ เลอ็อนฮาร์ท อ็อยเลอร์ จนมีเกิดผลงานจำนวนมากโดยอาดรีแย็ง-มารี เลอฌ็องดร์ และ คาร์ล ฟรีดริช เกาส์
ข้อปัญหาเกี่ยวกับตัวเลขที่อธิบายได้ง่ายหลายปัญหามีบทพิสูจน์ที่ซับซ้อน และมักเชื่อมโยงคณิตศาสตร์สาขาอื่น ๆ มาใช้พิสูจน์ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือคือ ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา ที่กล่าวว่าไม่มีผลเฉลยเป็นจำนวนเต็มบวกของสมการ x^n + y^n = z^n เมื่อ n \geq 3 โดยแฟร์มาตั้งข้อความคาดการณ์นี้ไว้ในปี ค.ศ. 1637 แต่เพิ่งได้รับการพิสูจน์ในปี ค.ศ. 1994 โดยแอนดรูว์ ไวลส์ และใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่รวมถึง ทฤษฎีสกีมในเรขาคณิตพีชคณิต, ทฤษฎีแคทิกอรี และ พีชคณิตเชิงโฮโมโลยี อีกตัวอย่างคือข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัคซึ่งระบุว่าจำนวนเต็มคู่ทุกจำนวนที่มากกว่า 2 เขียนได้ในรูปผลรวมของจำนวนเฉพาะสองตัว ข้อความคาดการณ์นี้ตั้งโดยคริสเตียน ก็อลท์บัค ในปี ค.ศ. 1742 แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้แม้นักคณิตศาสตร์จะพยายามอย่างมากเท่าใดก็ตาม
ทฤษฎีจำนวนประกอบด้วยสาขาย่อยหลายสาขา ซึ่งรวมถึง ทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์, ทฤษฎีจำนวนเชิงพีชคณิต, เรขาคณิตของจำนวน, สมการไดโอแฟนไทน์ และ ทฤษฎีอดิศัย
แนวคิดอันหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจทางเรขาคณิตของมนุษย์คือแนวคิดเรื่องการพิสูจน์ของขาวกรีกโบราณ ซึ่งเสนอว่าข้อความใด ๆ ที่จะนำไปใช้งานต้องได้รับการพิสูจน์ ตัวอย่างเช่น หากเสนอว่าเส้นตรงสองเส้นในทฤษฎีบททางเรขาคณิตจะมีความยาวเท่ากันเสมอ การวัดด้วยอุปกรณ์ว่าเส้นตรงสองเส้นยาวเท่ากันนั้นไม่เพียงพอ ต้องพิสูจน์ด้วยการใช้เหตุผลจากสิ่งที่ยอมรับหรือเชื่อถือกันมาก่อนหน้านี้ (เรียกว่า ทฤษฎีบท) หรือจากข้อความมูลฐานสองสามข้อ มีข้อความมูลฐานส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้เนื่องจากเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในตัวเอง (เรียกว่า สมมติฐาน) หรือเป็นส่วนหนึ่งของคำจำกัดความของหัวข้อการศึกษา (สัจพจน์) หลักการนี้เป็นรากฐานของคณิตศาสตร์ทั้งหมด ถูกประยุกต์ใช้เป็นครั้งแรกสำหรับเรขาคณิตโดย ยุคลิด ราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ในหนังสือของเขาเรื่อง เอเลเมนส์
เรขาคณิตที่ถูกเสนอโดยยุคลิดเรียกว่า เรขาคณิตแบบยุคลิด เป็นการศึกษารูปร่างรูปทรงต่าง ๆ ที่สามารถสร้างขึ้น จากเส้นและวงกลมใน ระนาบแบบยุคลิด ทั้งบนระนาบ (เรขาคณิตบนระนาบ) และในปริภูมิสามมิติ คำว่า คณิต มีราก คณฺ () ซึ่งหมายถึง นับ คำนวณ และคำว่า ศาสตร์ (ความรู้ หรือ การศึกษา) ซึ่งรวมกันมีความหมายโดยทั่วไปว่า การศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณ หรือ วิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ
ในภาษาอังกฤษคำว่าคณิตศาสตร์ตรงกับคำว่า mathematics ซึ่งมาจากคำภาษากรีกโบราณ μάθημα (máthēma) ซึ่งดั้งเดิมหมายถึง "สิ่งที่ได้เรียน" "สิ่งที่จะได้ทราบ" จึงขยายความหมายออกไปรวมถึงความหมาย "วิทยาศาสตร์, ความรู้, และการเรียน" ในอเมริกาเหนือนิยมย่อคำว่า mathematics ว่า math ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษนิยมย่อว่า maths
หนึ่งในสองสำนักคิดหลักย่อยของลัทธิพีทาโกรัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ mathēmatikoi (μαθηματικοί) ซึ่งในสมัยนั้นแปลว่า "ผู้เรียน" มากกว่า "นักคณิตศาสตร์" ในความหมายสมัยใหม่ ลัทธิพีทาโกรัสน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่จำกัดการใช้คำนี้เฉพาะการศึกษาเลขคณิตและเรขาคณิตเท่านั้น เมื่อถึงสมัยของอริสโตเติล (384-322 ปีก่อนคริสตกาล) ความหมายที่แคบลงนี้ก็เป็นที่ยอมรับโดยกว้างแล้ว
ในภาษาละตินและภาษาอังกฤษ จนถึงราวปี ค.ศ. 1700 คำว่า คณิตศาสตร์ มักหมายถึง "โหราศาสตร์" (หรือบางครั้งหมายถึง "ดาราศาสตร์") มากกว่า "คณิตศาสตร์" อย่างที่รู้จักกันในปัจจุบัน ความหมายของคำนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นความหมายปัจจุบันตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1500 ถึงปี ค.ศ. 1800 การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เกิดการแปลผิดหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น คำเตือนของนักบุญออกัสตินว่าคริสเตียนควรระวัง mathematici ซึ่งแปลว่า "นักโหราศาสตร์" บางครั้งก็ถูกแปลผิดว่าเป็นการประณามนักคณิตศาสตร์ไปเสีย
=== สมัยโบราณ ===
thumb|แผ่นดินเหนียวบรรจุข้อความทางคณิตศาสตร์ของชาวบาบิโลนชื่อว่า [[Plimpton 322 มีอายุถึง 1800 ปีก่อนคริสตกาล]]
นอกจากจะรู้จักวิธีการนับวัตถุแล้ว ผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจรู้จักวิธีการนับปริมาณนามธรรม เช่น เวลา จากการนับวัน ฤดูกาล หรือปีอีกด้วย ไม่ปรากฏหลักฐานของคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนกว่านี้จนกระทั่งประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อชาวบาบิโลนและชาวอียิปต์โบราณเริ่มใช้เลขคณิต พีชคณิต และเรขาคณิตสำหรับการจัดเก็บภาษีและการคำนวณทางการเงิน สำหรับอาคารและการก่อสร้าง และสำหรับดาราศาสตร์ ตำราคณิตศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดจากเมโสโปเตเมียและอียิปต์ มีอายุระหว่าง 2,000 ถึง 1,800 ปีก่อนคริสตกาล ตำราแรกสุดจากยุคนั้นจำนวนมากเขียนบรรยายถึงสามสิ่งอันดับพีทาโกรัส ฉะนั้นอาจอนุมานได้ว่าทฤษฎีบทพีทาโกรัสน่าจะเป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดและแพร่หลายที่สุดรองลงมาจากเลขคณิตและเรขาคณิตพื้นฐาน หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าเลขคณิตเบื้องต้น อันประกอบไปด้วยการบวก การลบ การคูณ และ การหาร ปรากฏครั้งแรกในคณิตศาสตร์บาบิโลน ชาวบาบิโลนยังมีแนวคิดเรื่องค่าประจำหลัก (place-value system) และใช้เลขฐานหกสิบในการวัดมุมและเวลาซึ่งสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
== เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ ==
* กระดูกนาเปียร์
* ไม้บรรทัด และ วงเวียน
* เครื่องคิดเลข และ คอมพิวเตอร์
* ภาษาโปรแกรม
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* เส้นเวลาของคณิตศาสตร์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
=== ภาษาไทย ===
* คณิตศาสตร์เบื้องต้น จากสารานุกรมสำหรับเยาวชน
* แหล่งรวมความรู้ด้านคณิตศาสตร์ จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย
=== ภาษาอื่น ===
* สารานุกรมคณิตศาสตร์
* The Mathematical Atlas - แนะนำสาขาต่าง ๆ ของคณิตศาสตร์สมัยใหม่
* Planet Math - สารานุกรมคณิตศาสตร์ เน้นคณิตศาสตร์สมัยใหม่
* MathWorld - สารานุกรมคณิตศาสตร์ เน้นคณิตศาสตร์ดั้งเดิม
* Metamath - อธิบาย และพิสูจน์หลักการทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
* Interactive Mathematics Miscellany and Puzzles - บทความ และเกมคณิตศาสตร์ เล่นออนไลน์ได้
=== ชุมชนไทย ===
* ศูนย์กลางคณิตศาสตร์ไทย - เว็บไซต์สำหรับผู้มีใจรักคณิตศาสตร์
* เครื่องคิดเลข - เว็บไซต์สำหรับคำนวณเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ |
618 | https://th.wikipedia.org/wiki/การประมวลสารสนเทศ | การประมวลสารสนเทศ | การประมวลสารสนเทศ (information processing) โดยทั่วไปแล้ว หมายถึง การกระทำใด ๆ ก็ตามที่ทำให้สารสนเทศเปลี่ยนไป และสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้โดยผู้สังเกต (observer) กล่าวคือ เป็นกระบวนการและหรือวิธีการ ที่ทำให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ใดก็ตาม แปลรูปไปเป็นข้อมูลชนิดใหม่ที่ให้ความหมายหรือคงรูปแบบเดิมเอาไว้ เช่น การเจริญเติบโตของต้นไม้ ได้ถูกสังเกตการณ์และบันทึกไว้ เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์แบบตารางเพื่อจัดเก็บข้อมูลทางสถิติของการเจริญเติบโตของต้นไม้ และนำข้อมูลนั้นเปลี่ยนไปเป็นกราฟแสดงให้เห็นถึงอัตราการเจริญเติบโต
การประมวลสารสนเทศ ยังหมายถึงการประมวลผลข้อมูลสารสนเทศที่ถูกจัดเก็บไว้ในรูปของไฟล์ในคอมพิวเตอร์ ได้ถูกอ่านขึ้นมาจากที่จัดเก็บ (storage) เพื่อเอาไปประมวลผ่านหน่วยประมวลผล (processor) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาและแสดงผลออกมาในหน่วยแสดงผลทางหน้าจอหรือทางพรินเตอร์ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง
นอกจากนั้น การประมวลสารสนเทศ ยังมีความหมายในเชิงจิตวิทยาว่าด้วยเรื่องกระบวนการรับรู้ ซึ่งเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อให้เข้าใจวิธีการคิดของมนุษย์
การประมวลสารสนเทศ หรือ Information processing เป็นการเปลี่ยนแปลง (การประมวลผล) ของ ข้อมูลสารสนเทศด้วยวิธีการใด ๆ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยการสังเกต
ลักษณะที่กล่าวถึงเป็นกระบวนการที่สามารถอธิบายได้ว่า ทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ตั้งแต่ การตกของก้อนหินหนึ่งก้อน (ลักษณะของตำแหน่งที่ถูกเปลี่ยนแปลง) ไปจนถึง การพิมพ์ตัวอักษรจากระบบคอมพิวเตอร์ดิจิทัล
ต่อมาจึงมีการกล่าวขานว่า การประมวลสารสนเทศ เป็นการเปลี่ยนแปลงของข้อความตัวอักษรให้เป็นการแสดงผล ในรูปแบบ presentation
== อ้างอิง ==
* Frieder Nake (1974). Ästhetik als Informationsverarbeitung. (Aesthetics as information processing). Springer, 1974, ISBN 3211812164, ISBN 9783211812167
หมวดหมู่:การรับรู้
หมวดหมู่:วิทยาการสารสนเทศ |
619 | https://th.wikipedia.org/wiki/การเมือง | การเมือง | การเมือง () คือชุดของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินตกลงใจในกลุ่มสังคมหรือความสัมพันธ์ทางอำนาจในหมู่กลุ่มปัจเจก เช่น การจัดสรรทรัพยากรหรือสถานะ แขนงวิชาในสังคมศาสตร์ที่ศึกษาการเมืองและรัฐบาลจะหมายถึงวิชารัฐศาสตร์
การเมืองอาจถูกใช้ในทางบวกในบริบทของ "ทางออกทางการเมือง" ซึ่งหมายถึงการประนีประนอมและโดยสันติวิธี หรือในฐานะ "ศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ของการปกครอง" แต่บางครั้งมักมีความหมายเชิงลบแฝงอยู่ด้วย มีการจำกัดความมโนทัศน์อยู่หลากหลายแบบ และแนวทางการศึกษาที่ไม่เหมือนกันทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันบนพื้นฐานว่าการเมืองควรที่จะนำมาใช้อย่างกว้างขวางหรือถูกจำกัดไว้ ควรจะเป็นการศึกษารัฐศาสตร์เชิงประจักษ์หรือเชิงปทัสถาน และในการศึกษารัฐศาสตร์อะไรมีความสำคัญมากกว่ากันระหว่างความขัดแย้งหรือความร่วมมือ
มีกระบวนวิธีหลากหลายที่ใช้ในการเมือง ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมมุมมองทางการเมืองของตนในหมู่ผู้คน, การเจรจากับตัวแสดงทางการเมืองอื่น, การออกกฎหมาย และการใช้กำลังทั้งภายนอกและภายนอก รวมถึงการสงครามกับคู่ปรปักษ์ การเมืองถูกนำมาใช้ในระดับทางสังคมที่กว้าง ตั้งแต่กลุ่มเครือญาติ (clan) และเผ่าชน (tribe) ในสังคมแบบดั้งเดิม รวมถึงรัฐบาลท้องถิ่น บรรษัท และสถาบันสมัยใหม่ ไปจนถึงรัฐเอกราชและในระดับระหว่างประเทศ
ในรัฐชาติสมัยใหม่ ผู้คนมักก่อร่างพรรคการเมืองเพื่อแสดงอุดมการณ์ของตน สมาชิกพรรคมักเห็นพ้องให้มีจุดยืนเดียวกันในประเด็นปัญหาต่าง ๆ และยินยอมที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและผู้นำในทิศทางเดียวกัน การเลือกตั้งมักเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง
ระบบการเมืองเป็นกรอบซึ่งจำกัดวิธีทางการเมือง (political method) ที่ยอมรับได้ในสังคม ประวัติศาสตร์ปรัชญาทางการเมืองสามารถย้อนรอยได้จนถึงสมัยโบราณช่วงแรกเริ่ม ด้วยผลงานอันเป็นต้นแบบในการศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบัน เช่นอุตมรัฐ ของเพลโต, โพลิติกส์ ของอาริสโตเติล, งานต้นฉบับตัวเขียนทางรัฐศาสตร์ของขงจื๊อและอรรถศาสตร์ ของจาณักยะ
== ที่มาของคำ ==
คำว่าการเมืองในภาษาอังกฤษ politics มีรากศัพท์มาจากผลงานคลาสสิกของอาริสโตเติล "โพลิติกส์" ซึ่งเกิดเป็นศัพท์ใหม่ในภาษากรีก "" () ต่อมาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 งานเขียนของอาริสโตเติลที่นำมาตีพิมพ์ใหม่จะใช้ภาษาอังกฤษสมัยใหม่ตอนต้นว่า "Polettiques" ซึ่งต่อมากลายเป็นคำว่า Politics ในภาษาอังกฤษสมัยใหม่
=== นิยาม ===
* แฮโรลด์ ลาสเวลล์: "ใครได้อะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร"
* เดวิด อิสตัน: "การจัดสรรคุณค่าให้แก่สังคมผ่านอำนาจหน้าที่"
* วลาดีมีร์ เลนิน: "รูปแบบเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ที่สุด"
* อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค: "ขีดความสามารถในการเลือกอย่างทันทีภายใต้สภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นภัยน้อยที่สุด และมีประโยชน์มากที่สุด"
* เบอร์นาร์ด คริก: "รูปแบบกฎเด่นเฉพาะที่ซึ่งผู้คนกระทำร่วมกันผ่านขั้นตอนทางสถาบันเพื่อแก้ไขปัญหาความแตกต่าง"
* เอเดรียน เลฟต์วิช: "ประกอบด้วยกิจกรรมความร่วมมือ การเจรจา และความขัดแย้งทั้งปวงทั้งภายในและระหว่างสังคมด้วยกัน"
== แนวคิด ==
มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกัน หากมิได้กำหนดกติกาอะไรสักอย่างขึ้นมากำกับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์แล้วนั้น มนุษย์ด้วยกันเองยังเชื่อว่าน่าจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในสังคมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เนื่องจากโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ป่าเถื่อน ขลาดกลัวและไม่เป็นระเบียบดังที่ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1588-1679 ได้เคยกล่าวไว้ในผลงานปรัชญาการเมืองเลื่องชื่อเรื่อง "Leviathan" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1651 ว่า เมื่อมนุษย์จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมภายใต้กติกาแล้ว ก็จำเป็นจะต้องกำหนดตัวผู้นำมาทำหน้าที่ควบคุมดูแลให้สังคมหรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย เช่นที่กล่าวมาเราคงพอจะทราบบ้างแล้วว่าเหตุใดจึงเกิดมีระบบการปกครองขึ้น
และโดยนัยที่มนุษย์จำต้องปกครองกันนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือการจะทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นไป หลีกเลี่ยงมิได้เสียที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางการเมือง อันมีความหมายและบริบทที่สะท้อนออกมาในเรื่องของการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน การเมืองการปกครองซึ่งเป็นสภาพการณ์และผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ จึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองการปกครองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เนื่องจากสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (Developmental Program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นเรื่องภาคราชการทั้งหลายต่างรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ภายใต้ความมุ่งประสงค์ที่จะหยั่งรากประชาธิปไตยในสังคมไทย และหากได้มองย้อนไปถึงแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองโบราณเช่น อาริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์" ผู้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ตามธรรมชาติเป็นสัตว์การเมืองต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน อันแตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่น ๆ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก หากแต่มนุษย์ นอกจากจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ยังมีเป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงมิใช่มีชีวิตอยู่ไปเพียงวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นการอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย เราก็จะมองเห็นภาพของการเมืองในแง่หนึ่งว่าการเมืองนั้นก็คือ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมเพื่อให้มีความสงบสุข
== แนวทาง ==
มีหลายวิธีในการกำหนดแนวทางการเมือง
=== มุมมองที่กว้างและจำกัด ===
เอเดรียน เลฟท์วิช (Adrian Leftwich) ได้แยกแยะมุมมองทางการเมืองตามความกว้างหรือจำกัดของการรับรู้สิ่งที่เป็น 'การเมือง' มุมมองที่กว้างมองว่าการเมืองมีอยู่ทั่วทั้งขอบเขตของความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ ในขณะที่มุมมองที่จำกัดจำกัดไว้ที่บริบทบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ในทางที่จำกัดมากกว่า การเมืองอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการปกครอง ในขณะที่มุมมองแบบ เฟมินิสต์ อาจโต้แย้งว่าสถานที่ที่เคยถูกมองว่าไม่ใช่การเมือง ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นการเมืองด้วย ตำแหน่งหลังนี้ถูกนำมาใช้ในสโลแกน "เรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องการเมือง" (The personal is political) ซึ่งโต้แย้งความแตกต่างระหว่างประเด็นส่วนตัวและสาธารณะ การเมืองอาจถูกกำหนดโดยการใช้ อำนาจ ตามที่ โรเบิร์ต เอ. ดาห์ล (Robert A. Dahl) ได้โต้แย้งไว้
=== จริยธรรมและความเป็นจริง ===
มุมมองบางอย่างเกี่ยวกับการเมืองมองว่ามันเป็นการใช้พลังงานเชิงประจักษ์ ในขณะที่บางคนมองว่ามันเป็นหน้าที่ทางสังคมที่มีพื้นฐานมาจากบรรทัดฐาน ความแตกต่างนี้ถูกเรียกว่าความแตกต่างระหว่าง มุมมองแบบจริยธรรม และ มุมมองแบบความเป็นจริง สำหรับนักอุดมการณ์ การเมืองมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ จริยธรรม และอยู่ในจุดสูงสุดของการคิดแบบอุดมคติ ในขณะที่ เบอร์นาร์ด คริก (Bernard Crick) กล่าวว่า "การเมืองคือวิธีการปกครองสังคมเสรี การเมืองคือการเมือง และรูปแบบการปกครองอื่น ๆ เป็นสิ่งอื่น" ในทางตรงกันข้าม สำหรับนักปฏิบัติจริง ที่แสดงโดยบุคคล เช่น นิโคโล มาคีอาเวลลี (Niccolò Machiavelli), ทอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) และ แฮโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) การเมืองนั้นขึ้นอยู่กับการใช้พลังงาน โดยไม่คำนึงถึงจุดมุ่งหมายที่ต้องการบรรลุ ในขณะที่ คาร์ล ชมิตต์ (Carl Schmitt) สาระสำคัญของการเมืองคือการแยกแยะ 'เพื่อน' จาก 'ศัตรู' ซึ่งตรงกันข้ามกับมุมมองความร่วมมือของการเมืองโดย อริสโตเติล และ เบอร์นาร์ด คริก อย่างไรก็ตาม มุมมองแบบผสมผสานระหว่างสุดขั้วสองมุมมองนี้ถูกนำเสนอโดยนักวิทยาศาสตร์การเมืองชาวไอริช ไมเคิล เลเวอร์ (Michael Laver) ซึ่งกล่าวว่า:
การเมืองเกี่ยวกับการผสมผสานที่เป็นลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งและความร่วมมือ ซึ่งสามารถพบได้บ่อยครั้งในการติดต่อระหว่างมนุษย์ ความขัดแย้งที่บริสุทธิ์คือสงคราม ความร่วมมือที่บริสุทธิ์คือรักแท้ การเมืองคือการผสมผสานของทั้งสองอย่าง
== ความเป็นมา ==
upright=.8|นักปรัชญาชาวกรีก [[อาริสโตเติล วิจารณ์แนวคิดหลาย ๆ อย่างของ เพลโต ว่าไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง แต่เช่นเดียวกับเพลโต เขาชื่นชมความสมดุลและความพอดี และมุ่งเป้าไปยังเมืองที่กลมกลืนภายใต้นิติธรรม (rule of law)]]
ประวัติศาสตร์การเมืองครอบคลุมประวัติศาสตร์มนุษยชาติและไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถาบันของรัฐบาลสมัยใหม่เท่านั้น
=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ===
ฟรานส์ เดอ วาล (Frans de Waal) อ้างว่า ชิมแปนซี มีส่วนร่วมในทางการเมืองผ่าน "การบงการทางสังคมเพื่อรักษาและรักษาตำแหน่งที่มีอิทธิพล" รูปแบบการจัดระเบียบสังคมในยุคแรกของมนุษย์-กลุ่มคนและเผ่า-ขาดโครงสร้างทางการเมืองแบบรวมศูนย์ สิ่งเหล่านี้บางครั้งเรียกว่า สังคมไร้รัฐ
=== รัฐยุคแรก ===
ในประวัติศาสตร์โบราณ อารยธรรม ไม่มีขอบเขตที่แน่นอนเหมือน รัฐ ในปัจจุบัน และขอบเขตของพวกเขาสามารถอธิบายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นว่าเป็น พรมแดน สุเมเรียนราชวงศ์แรก และ อียิปต์ราชวงศ์แรก เป็น อารยธรรมแรก ๆ ที่กำหนดชายแดนของตน นอกจากนี้ จนถึงศตวรรษที่ 12 ผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ในสังคมไร้รัฐ สิ่งเหล่านี้มีตั้งแต่ กลุ่มคน และ เผ่า ที่ค่อนข้างเท่าเทียมกัน ไปจนถึง หัวหน้าเผ่า ที่ซับซ้อนและแบ่งชั้นอย่างสูง
==== การก่อตัวของรัฐ ====
มีทฤษฎีและสมมติฐานที่แตกต่างกันจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการก่อตัวของรัฐยุคแรก ที่แสวงหาลักษณะทั่วไปเพื่ออธิบายว่า รัฐ พัฒนาในบางสถานที่ แต่ไม่ใช่ในสถานที่อื่น นักวิชาการคนอื่น ๆ เชื่อว่าลักษณะทั่วไปนั้นไร้ประโยชน์ และแต่ละกรณีของการก่อตัวของรัฐยุคแรกควรได้รับการพิจารณาในแบบของตนเอง
ทฤษฎีสมัครใจ อ้างว่ากลุ่มคนที่หลากหลายมารวมตัวกันเพื่อสร้างรัฐบาลเนื่องจากผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่าง ทฤษฎีส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา การเกษตร และ ประชากร และ แรงกดดันด้านองค์กร ที่ตามมาและส่งผลให้เกิดการก่อตัวของรัฐ หนึ่งในทฤษฎีที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับการก่อตัวของรัฐยุคแรกและหลักคือ สมมติฐานไฮดรอลิก ซึ่งอ้างว่ารัฐเป็นผลมาจากความจำเป็นในการสร้างและบำรุงรักษา โครงการชลประทาน ขนาดใหญ่
ทฤษฎีความขัดแย้ง เกี่ยวกับการก่อตัวของรัฐมองว่าความขัดแย้งและการครอบงำของประชากรกลุ่มหนึ่งเหนืออีกกลุ่มหนึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการก่อตัวของรัฐ อียิปต์ราชวงศ์แรกตั้งอยู่รอบแม่น้ำไนล์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา โดยขอบเขตของอาณาจักรตั้งอยู่รอบแม่น้ำไนล์และทอดตัวไปยังพื้นที่ที่มีโอเอซิส ซูเมอร์ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมีย โดยมีพรมแดนทอดยาวจากอ่าวเปอร์เซียไปจนถึงบางส่วนของแม่น้ำยูเฟรทีสและแม่น้ำไทกริส
นวัตกรรมทางการเมืองที่สำคัญหลายอย่างของสมัยคลาสสิก มาจาก เมืองรัฐกรีก (polis) และ สาธารณรัฐโรมัน เมืองรัฐกรีกก่อนศตวรรษที่ 4 ให้สิทธิพลเมืองแก่ประชากรอิสระของตน ในเอเธนส์สิทธิเหล่านี้รวมกับรูปแบบรัฐบาลประชาธิปไตยโดยตรงที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ทั้งในความคิดทางการเมืองและทางประวัติศาสตร์
=== รัฐสมัยใหม่ ===
upright=1|ภาพเหล่าสตรีเรียกร้องสิทธิเลือกตั้ง (1935)
สนธิสัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน (1648) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ระบบระหว่างประเทศสมัยใหม่ ซึ่งอำนาจภายนอกควรหลีกเลี่ยงการแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่น หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่น ๆ ถูกวางรากฐานโดย นักกฎหมายชาวสวิส เอเมอร์ เดอ วาตเทล (Emer de Vattel) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 รัฐกลายเป็นตัวแทนสถาบันหลักในระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ สันติภาพเวสต์ฟาเลียกล่าวกันว่าได้ยุติความพยายามที่จะบังคับใช้ อำนาจเหนือรัฐ ต่อรัฐยุโรป หลักคำสอน "เวสต์ฟาเลียน" ของรัฐในฐานะตัวแทนอิสระได้รับการสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของแนวคิดชาตินิยม ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งสันนิษฐานว่ารัฐที่ถูกต้องตามกฎหมายสอดคล้องกับ ชาติ กลุ่มคน ที่รวมกันด้วยภาษาและวัฒนธรรม
ในยุโรป ระหว่างศตวรรษที่ 18 รัฐที่ไม่ใช่ชาติชาติเดียวที่เป็นแบบอย่างคือ จักรวรรดินิยมหลายชาติ เช่น จักรวรรดิออสเตรีย, ราชอาณาจักรฝรั่งเศส, ราชอาณาจักรฮังการี, จักรวรรดิรัสเซีย, จักรวรรดิสเปน, จักรวรรดิออตโตมัน และ จักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิลักษณะเดียวกันนี้ก็มีอยู่ในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา ในโลกอิสลาม หลังจาก การสิ้นพระชนม์ของท่านศาสดามุฮัมมัด ในปี ค.ศ. 632 รัฐเคาะลีฟะฮ์ก็ได้ก่อตั้งขึ้น และพัฒนาไปเป็นจักรวรรดินิยมข้ามชาติหลายเชื้อชาติ จักรวรรดินิยมหลายชาติเป็น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ปกครองโดยกษัตริย์ จักรพรรดิ หรือสุลต่าน ประชากรประกอบด้วยหลายเชื้อชาติ และพูดหลายภาษา จักรวรรดิถูกครอบงำโดยกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง และภาษาของพวกเขามักจะเป็นภาษาราชการ ราชวงศ์ปกครองมักจะมาจากกลุ่มนั้น แต่ก็ไม่เสมอไป รัฐยุโรปขนาดเล็กบางแห่งไม่ได้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากนัก แต่ก็เป็นรัฐที่มี ราชวงศ์ ปกครอง เช่นเดียวกับบ้านราชวงศ์ รัฐขนาดเล็กบางแห่งยังคงอยู่รอด เช่น ประเทศลีชเทินชไตน์, ประเทศอันดอร์รา, ประเทศโมนาโก และ สาธารณรัฐซานมารีโน
ส่วนใหญ่ทฤษฎีมองว่า รัฐชาติ เป็นปรากฏการณ์ยุโรปในศตวรรษที่ 19 อำนวยความสะดวกโดยการพัฒนา เช่น การศึกษาที่รัฐกำหนด การรู้หนังสือจำนวนมาก และ สื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงการเกิดขึ้นในช่วงแรกของรัฐและอัตลักษณ์ที่ค่อนข้างเป็นหนึ่งเดียวใน โปรตุเกส และ สาธารณรัฐดัตช์ นักวิชาการ เช่น สตีเวน เวเบอร์ (Steven Weber), เดวิด วูดเวิร์ด (David Woodward), มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) และ เจเรมี แบล็ก (Jeremy Black) ได้เสนอสมมติฐานว่า รัฐชาติไม่ได้เกิดขึ้นจากความเฉลียวฉลาดทางการเมือง, แหล่งที่มาที่ไม่รู้จัก, เป็นอุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์ หรือการประดิษฐ์ทางการเมือง แต่ รัฐชาติเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ตั้งใจของการค้นพบทางปัญญาในศตวรรษที่ 15 ในด้าน เศรษฐศาสตร์การเมือง ทุนนิยม การค้าขาย ภูมิศาสตร์การเมือง และ ภูมิศาสตร์ รวมกับ การทำแผนที่ และ ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการทำแผนที่
รัฐชาติบางรัฐ เช่น เยอรมนีและอิตาลี เกิดขึ้นบางส่วนจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยชาตินิยมในศตวรรษที่ 19 ในทั้งสองกรณี ดินแดนที่เคยถูกแบ่งระหว่างรัฐอื่น ๆ โดยบางรัฐที่มีขนาดเล็กได้รวมกัน แนวคิดเสรีนิยมของการค้าเสรีมีบทบาทสำคัญในการรวมชาติเยอรมัน โดยมีสหภาพศุลกากรซอลเวอเรน (Zollverein) เป็นตัวนำร่อง นอกจากนี้ การกำหนดการปกครองด้วยตนเองยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในแผนสิบสี่ประเด็นของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิออตโตมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ขณะเดียวกัน จักรวรรดิรัสเซียกลายเป็นสหภาพโซเวียตหลังสงครามกลางเมืองรัสเซีย การปลดแอกนำไปสู่การสร้างรัฐชาติใหม่แทนที่จักรวรรดินิยมหลายชาติในประเทศโลกที่สาม
=== การเมืองโลก ===
การเมืองโลกเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 20 ผ่านองค์การระหว่างประเทศและสหภาพเหนือชาติ สังคมชาติถูกก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกแทนที่ด้วยสหประชาชาติ มีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ ผ่านองค์กรนี้ การรวมกลุ่มระดับภูมิภาคได้รับการดำเนินการโดยสหภาพแอฟริกา อาเซียน สหภาพยุโรป และเมอร์โคซูร์ องค์กรการเมืองระหว่างประเทศในระดับนานาชาติ ได้แก่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และองค์การการค้าโลก
== รัฐศาสตร์ ==
[[เพลโต (ซ้าย) และ อาริสโตเติล (ขวา) จากรายละเอียดของ โรงเรียนแห่งเอเธนส์ (The School of Athens) ภาพจิตรกรรมฝาผนังโดย ราฟาเอล แนวคิดอุตมรัฐ ของเพลโต และ แนวคิดการเมือง ของอาริสโตเติล ทำให้ทั้งสองนักปรัชญาชาวกรีกเป็นหนึ่งในนักปรัชญาการเมืองที่มีอิทธิพลมากที่สุด]]
การศึกษาทางการเมืองเรียกว่า รัฐศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยสาขาย่อยหลักสามสาขา ได้แก่ การเมืองเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ ปรัชญาการเมือง รัฐศาสตร์มีความเกี่ยวข้องและดึงข้อมูลจากศาสตร์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น เศรษฐศาสตร์การเมือง กฎหมายศึกษา สังคมวิทยาการเมือง ประวัติศาสตร์การเมือง ปรัชญาการเมือง ภูมิศาสตร์การเมือง จิตวิทยาการเมือง จิตเวชศาสตร์ มานุษยวิทยา และ ประสาทรัฐศาสตร์
การเมืองเปรียบเทียบ คือ วิชาการเปรียบเทียบและสอนประเภทต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญ นักแสดงทางการเมือง สภานิติบัญญัติ และสาขาที่เกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐชาติ รวมถึงองค์กรระหว่างรัฐบาลและองค์กรข้ามชาติ ปรัชญาการเมือง ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของนักคิดและนักปรัชญาคลาสสิกและร่วมสมัยต่าง ๆ
รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีวิธีการหลากหลายและดัดแปลงวิธีการต่าง ๆ ที่มีต้นกำเนิดจาก จิตวิทยา การวิจัยทางสังคม และ ประสาทวิทยาศาสตร์ แนวทางต่าง ๆ ได้แก่ ปฏิฐานนิยม (Positivism), กระบวนการทัศน์การตีความนิยม (interpretivism), ทฤษฎีการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Rational choice theory), พฤติกรรมนิยม โครงสร้างนิยม หลังโครงสร้างนิยม ปรัชญาสัจนิยม สถาบันนิยม และ พหุนิยมทางการเมือง รัฐศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาสังคมศาสตร์ ซึ่งใช้วิธีการและเทคนิค ที่เกี่ยวข้องกับการสอบถามประเภทต่าง ๆ เช่น แหล่งข้อมูลหลัก เช่น เอกสารทางประวัติศาสตร์ และบันทึกอย่างเป็นทางการ แหล่งข้อมูลรอง เช่น บทความวารสารทางวิชาการ การสำรวจ การวิเคราะห์ทางสถิติ การศึกษาเชิงกรณี การวิจัยเชิงทดลอง และ การสร้างแบบจำลอง
== ระบบการเมือง ==
มุมมองระบบของการเมือง
ระบบการเมืองกำหนดกระบวนการสำหรับการตัดสินใจอย่างเป็นทางการของรัฐบาล มักเปรียบเทียบกับระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ ระบบวัฒนธรรม และระบบสังคมอื่น ๆ ตามที่ เดวิด อีสตัน (David Easton) กล่าวว่า "ระบบการเมืองสามารถกำหนดได้ว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ผ่านการจัดสรรค่าอย่างเป็นทางการสำหรับสังคม" ในสังคมไร้รัฐ มี การรวมศูนย์อำนาจน้อยมาก ตำแหน่งอำนาจส่วนใหญ่ที่มีอยู่นั้นมีอำนาจจำกัดมาก และโดยทั่วไปไม่ใช่ตำแหน่งถาวร และหน่วยงานทางสังคมที่แก้ไขข้อพิพาทผ่านกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามักจะมีขนาดเล็ก สังคมไร้รัฐมีความหลากหลายสูงในด้านการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและประเพณีทางวัฒนธรรม
ในขณะที่สังคมไร้รัฐเป็นบรรทัดฐานในประวัติศาสตร์มนุษย์ สังคมไร้รัฐส่วนน้อยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประชากรโลกเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ภายใต้เขตอำนาจของ รัฐอธิปไตย ในบางภูมิภาค อำนาจรัฐที่เป็นนามธรรมอาจอ่อนแอมากและมี อำนาจ จริงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ในช่วงประวัติศาสตร์ ผู้คนไร้รัฐส่วนใหญ่ถูก รวมเข้ากับ สังคมที่ยึดตามรัฐโดยรอบ
ปรัชญาการเมืองบางอย่างมองว่ารัฐเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ และจึงพิจารณาการก่อตั้งสังคมไร้รัฐเป็นเป้าหมายที่จะบรรลุ ลัทธิอนาธิปไตย เป็นหลักการสำคัญของสังคมไร้รัฐ ประเภทของสังคมที่ต้องการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง แนวคิดอนาธิปไตย ตั้งแต่ ปัจเจกนิยม ที่สุดโต่งไปจนถึง คอลเลกทีวิสต์ ที่สมบูรณ์ ใน มาร์กซิสม์ ทฤษฎีของรัฐของ มาร์กซ์ พิจารณาว่าในสังคม หลังทุนนิยม รัฐ ซึ่งเป็นสถาบันที่ไม่พึงประสงค์ จะไม่จำเป็นและจะ เสื่อมสลายไป แนวคิดที่เกี่ยวข้องคือ คอมมิวนิสต์ไร้รัฐ วลีที่บางครั้งใช้เพื่ออธิบายสังคมหลังทุนนิยมที่คาดการณ์ของมาร์กซ์
=== รัฐธรรมนูญ ===
รัฐธรรมนูญ เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นเพื่อระบุและจำกัดอำนาจของหน่วยงานรัฐบาลที่แตกต่างกัน แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะเป็นเอกสารที่เขียนขึ้น แต่ก็มีรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้เขียนด้วย รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้เขียนขึ้นนั้นถูกเขียนขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการของรัฐบาล นี่เป็นเพียงหนึ่งในกรณีที่ลักษณะของสถานการณ์กำหนดรูปแบบของรัฐบาลที่เหมาะสมที่สุด อังกฤษได้กำหนดธรรมเนียมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นในช่วง สงครามกลางเมือง แต่ภายหลังการฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ ได้ละทิ้งมัน แล้วถูกนำไปใช้ในโดย อาณานิคมอเมริกา หลังจากการปฏิวัติอเมริกา และจากนั้นก็เป็นฝรั่งเศส หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศส และส่วนที่เหลือของยุโรปรวมถึงอาณานิคมยุโรป
รัฐธรรมนูญมักจะกำหนดการแยกใช้อำนาจ แบ่งรัฐบาลออกเป็น ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ฝ่ายตุลาการ (เรียกรวมกันว่า ไตรภาคีการเมือง) เพื่อให้ได้มาซึ่ง การถ่วงดุล ภายในรัฐ อาจมีการสร้างหน่วยงานอิสระเพิ่มเติมได้ รวมถึง คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน คณะกรรมการการเลือกตั้ง และ สถาบันการตรวจสอบสูงสุด
=== วัฒนธรรมทางการเมือง ===
thumb|แผนที่วัฒนธรรมอิงเลฮาร์ท-เวลต์เซลของประเทศ
วัฒนธรรมทางการเมืองอธิบายว่า วัฒนธรรมส่งผลกระทบต่อ ระบบการเมือง อย่างไร ระบบการเมืองทุกระบบฝังอยู่ใน วัฒนธรรมทางการเมือง เฉพาะ คำจำกัดความของ ลูเซียน เพย์ (Lucian Pye) คือ "วัฒนธรรมทางการเมืองคือชุดของเจตคติ ความเชื่อ และความรู้สึก ซึ่งให้ลำดับและความหมายกับกระบวนการทางการเมือง และซึ่งให้สมมติฐานและกฎพื้นฐานที่ควบคุมพฤติกรรมในระบบการเมือง" แนวคิดหลังยุควัตถุนิยม (Postmaterialism) คือระดับที่วัฒนธรรมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ไม่ใช่ความกังวลทางกายภาพหรือวัตถุโดยตรง เช่น สิทธิมนุษยชนและแนวคิดทางสิ่งแวดล้อม (Environmentalism) ศาสนา ยังมีผลกระทบต่อวัฒนธรรมทางการเมือง
=== การทำงานผิดพลาดทางการเมือง ===
==== การทุจริตทางการเมือง ====
การทุจริตทางการเมืองคือการใช้พลังอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลหรือเครือข่ายผู้ติดต่อ รูปแบบของการทุจริตทางการเมืองรวมถึง การติดสินบน, การล็อบบี้ (การวิ่งเต้น), การกรรโชก, การเล่นพรรคเล่นพวก, คติเห็นแก่ญาติ, การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน, การอุปถัมภ์ รูปแบบของการอุปถัมภ์ทางการเมืองในทางกลับกันรวมถึง การอุปภัมถ์โดยใช้สิ่งตอบแทนที่อาจเป็นเงินของตนเองหรือจากที่อื่น (clientelism) การกำหนดงบประมาณ การแบ่งเขตเลือกตั้ง กองทุนดำ และ ระบบการปล้นสะดม รวมถึง เครื่องจักรทางการเมือง ซึ่งเป็นระบบการเมืองที่ดำเนินการเพื่อจุดประสงค์ที่ทุจริต
เมื่อการทุจริตฝังอยู่ในวัฒนธรรมทางการเมือง อาจเรียกว่า ระบบอุปถัมภ์ หรือ ระบบอุปถัมภ์ใหม่ รูปแบบของรัฐบาลที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของการทุจริตเรียกว่า โจราธิปไตย
== ดูเพิ่ม ==
* การเมืองไทย
== อ้างอิง ==
=== บรรณานุกรม ===
== อ่านเพิ่ม ==
* Adcock, Robert. 2014. Liberalism and the Emergence of American Political Science: A Transatlantic Tale. New York: Oxford University Press.
* Adcock, Robert, Mark Bevir, and Shannon Stimson (eds.). 2007. Modern Political Science: Anglo-American Exchanges Since 1870. Princeton, NJ: Princeton University Press.
* Almond, Gabriel A. 1996. "Political Science: The History of the Discipline", pp. 50-96, in Robert E. Goodin and Hans-Dieter Klingemann (eds.), The New Handbook of Political Science. Oxford, UK: Oxford University Press.
* Mount, Ferdinand, "Ruthless and Truthless" (review of Peter Oborne, The Assault on Truth: Boris Johnson, Donald Trump and the Emergence of a New Moral Barbarism, Simon and Schuster, 2021, , 192 pp.; and Colin Kidd and Jacqueline Rose, eds., Political Advice: Past, Present and Future, I.B. Tauris, February 2021, , 240 pp.), London Review of Books, vol. 43, no. 9 (6 May 2021), pp. 3, 5-8.
* Munck, Gerardo L., and Richard Snyder (eds.). Passion, Craft, and Method in Comparative Politics. Johns Hopkins University Press, 2007.
* Ross, Dorothy. 1991. The Origins of American Social Science. New York: Cambridge University Press.
หมวดหมู่:บทความหัวข้อหลัก |
660 | https://th.wikipedia.org/wiki/ดิมมูบอร์เกียร์ | ดิมมูบอร์เกียร์ | Shagrath ขณะแสดงสดในเทศกาลดนตรีกอดส์ออฟเมทัล ปี 2007
ดิมมูบอร์เกียร์ ( แปลว่า เมืองแห่งความมืด) เป็นวงดนตรีในแนวซิมโฟนิคแบล็กเมทัลจากประเทศนอร์เวย์ สามารถติดอันดับชาร์ตเพลงในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียและในประเทศเยอรมนี และจัดได้ว่าเป็นวงแบล็กเมทัลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
ดิมมูบอร์เกียร์ ในช่วงก่อตั้งนั้นเล่นดนตรีแนวแบล็กเมทัล ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนมาเล่นในแนวซิมโฟนิคแบล็กเมทัล
== สมาชิกวง ==
===สมาชิกวงปัจจุบัน===
* Shagrath (Stian Thoresen) - ร้องนำ (1993-ปัจจุบัน)
* Silenoz (Sven Atle Kopperud) - กีต้าร์ (1993-ปัจจุบัน)
* Galder (Thomas Rune Andersen) - กีต้าร์ (2000-ปัจจุบัน)
* Cyrus (Terje Andersen) - กีต้าร์เบส (2011-ปัจจุบัน)
* Gerlioz (Geir Bratland) - เสียงสังเคราะห์และคีย์บอร์ด (2011-ปัจจุบัน)
* Daray (Dariusz Brzozowski) - กลอง (2008-ปัจจุบัน)
=== อดีตสมาชิก ===
* Nicholas Barker - กลอง (1999-2005)
* Tjodalv - กลอง (1993-1999)
* Tony Laureano - กลอง (2004-2006)
* Astennu - กีตาร์ (1998-1999)
* Brynjard Tristan - กีต้าร์เบส (1993-1996)
* Nagash - กีต้าร์เบส (1996-1999)
* Stian Aarstad - คีย์บอร์ด (1993-1997)
===ไทม์ไลน์===
ImageSize = width:720 height:auto barincrement:20
PlotArea = left:100 bottom:120 top:0 right:50
Alignbars = justify
DateFormat = mm/dd/yyyy
Period = from:01/01/1993 till:04/30/2015
TimeAxis = orientation:horizontal format:yyyy
id:Lead value:claret legend:Lead_Vocals
id:Clean value:red legend:Clean_Vocals
id:Guitar value:green legend:Guitar
id:Bass value:blue legend:Bass
id:Keyboards value:redorange legend:Keyboards
id:Drums value:purple legend:Drums
id:Lines value:black legend:Studio releases
Legend = orientation:vertical position:bottom columns:2
ScaleMajor = increment:2 start:1993
ScaleMinor = unit:year increment:1 start:1993
LineData =
at:02/01/1995 color:black layer:back
at:01/25/1996 color:black layer:back
at:05/30/1997 color:black layer:back
at:03/02/1999 color:black layer:back
at:03/20/2001 color:black layer:back
at:09/09/2003 color:black layer:back
at:11/11/2005 color:black layer:back
at:04/23/2007 color:black layer:back
at:09/22/2010 color:black layer:back
bar:Shagrath text:"Shagrath"
bar:Silenoz text:"Silenoz"
bar:Astennu text:"Astennu"
bar:Galder text:"Galder"
bar:Tjodalv text:"Tjodalv"
bar:Nicholas text:"Nicholas Barker"
bar:Hellhammer text:"Hellhammer"
bar:Daray text:"Daray"
bar:Brynjard text:"Brynjard Tristan"
bar:Nagash text:"Nagash"
bar:Simen text:"ICS Vortex"
bar:Cyrus text:"Cyrus"
bar:Stian text:"Stian Aarstad"
bar:Mustis text:"Mustis"
bar:Gerlioz text:"Gerlioz"
width:10 textcolor:black align:left anchor:from shift:(10,-4)
bar:Shagrath from:01/01/1993 till:01/01/1995 color:Drums
bar:Shagrath from:01/01/1995 till:08/04/1998 color:Guitar
bar:Shagrath from:08/04/1998 till:end color:Lead
bar:Silenoz from:01/01/1993 till:end color:Guitar
bar:Brynjard from:01/01/1993 till:01/26/1996 color:Bass
bar:Stian from:01/01/1993 till:08/04/1997 color:Keyboards
bar:Tjodalv from:01/01/1993 till:01/01/1995 color:Guitar
bar:Tjodalv from:01/01/1995 till:05/10/1999 color:Drums
bar:Nagash from:01/26/1996 till:05/10/1999 color:Bass
bar:Astennu from:08/04/1998 till:05/10/1999 color:Guitar
bar:Mustis from:08/04/1998 till:03/01/2009 color:Keyboards
bar:Simen from:05/10/1999 till:03/01/2009 color:Bass
bar:Galder from:05/10/1999 till:end color:Guitar
bar:Nicholas from:05/10/1999 till:01/01/2005 color:Drums
bar:Hellhammer from:01/01/2005 till:05/01/2007 color:Drums
bar:Daray from:05/01/2007 till:end color:Drums
bar:Gerlioz from:09/24/2010 till:end color:Keyboards
bar:Cyrus from:09/24/2010 till:end color:Bass
width:3 textcolor:black align:left anchor:from shift:(10,-4)
bar:Silenoz from:01/01/1993 till:01/01/1995 color:Lead
bar:Shagrath from:01/01/1995 till:08/04/1998 color:Lead
bar:Shagrath from:11/01/2005 till:11/20/2005 color:Bass
bar:Nagash from:01/26/1996 till:05/10/1999 color:Clean
bar:Simen from:05/10/1999 till:03/01/2009 color:Clean
bar:Shagrath from:01/01/2010 till:09/24/2010 color:Keyboards
== อัลบั้ม ==
* Inn I Evighetens Morke (1994)
* For All Tid (1994, ออกอัลบั้มอีกครั้งในปี 1997)
* Stormblåst (1996)
* ''Devil's Path (1996)
* Enthrone Darkness Triumphant (1997; ออกอัลบั้มอีกครั้งในปี 2002)
* Godless Savage Garden (1998)
* Spiritual Black Dimensions (1999)
* Puritanical Euphoric Misanthropia (2001)
* Alive In Torment (2001)
* World Misanthropy CD (2002)
* Death Cult Armageddon (2003)
* Stormblåst (บันทึกเสียงใหม่) (2005)
* In Sorte Diaboli (2007)
* Abrahadabra (2010)
*Eonian'' (2018)
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีแบล็กเมทัล
หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีสัญชาตินอร์เวย์
หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2536 |
662 | https://th.wikipedia.org/wiki/เกษตรศาสตร์ | เกษตรศาสตร์ | เกษตรศาสตร์ (กะ-เสด-ตฺระ-สาด) () คือ วิชาว่าด้วยการเกษตรกรรม โดยรวมสามารถแบ่งได้หลายสาขาวิชา และแบ่งย่อยไปในสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องได้แก่
* กีฏวิทยา
* เกษตรกลวิธานและแมคคาทอนิคเกษตร
* พืชไร่นา
* เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร
* เทคโนโลยีสารสนเทศทางการเกษตร
* วิศวกรรมการเกษตร
* วิทยาศาสตร์การอาหาร
* เศรษฐศาสตร์การเกษตร
* คหกรรมศาสตร์
* ศึกษาศาสตร์เกษตร
* เทคโนโลยีการเกษตร
== ดูเพิ่ม ==
* มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
* รายชื่อคณะเกษตรศาสตร์ในประเทศไทย |
665 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเยอรมนี | ประเทศเยอรมนี | เยอรมนี (; , ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นสหพันธรัฐในรูปแบบสาธารณรัฐแบบรัฐสภาในภูมิภาคยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบทั้งหมด 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,569 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 84 ล้านคน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป และมากที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปยุโรปรองจากรัสเซีย มีเมืองหลวงคือกรุงเบอร์ลิน และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ มีศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอยู่ที่แฟรงก์เฟิร์ต และภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือรัวร์ เยอรมนีมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเชิงเสรีภาพและรัฐสวัสดิการ มีพรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์
ชนเผ่าดั้งเดิมรวมถึงกลุ่มชนเจอร์แมนิกเข้ามาตั้งรกรากทางตอนเหนือของเยอรมนีตั้งแต่สมัยคลาสสิก ภูมิภาคที่ชื่อเจอร์มาเนียได้รับการค้นพบก่อน ค.ศ. 100 และในศตวรรษที่ 10 ดินแดนของเยอรมนีกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงศตวรรษที่ 16 ภูมิภาคทางเหนือกลายเป็นศูนย์กลางของการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ หลังจากสงครามนโปเลียนและการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 1806 สมาพันธรัฐเยอรมันได้ถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1815 ต่อมาใน ค.ศ. 1871 การรวมชาติก่อให้เกิดจักรวรรดิเยอรมันซึ่งปกครองโดยปรัสเซีย และภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและการปฏิวัติเยอรมันใน ค.ศ. 1918 จักรวรรดิได้กลายสภาพเป็นสาธารณรัฐไวมาร์และปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี
การเถลิงอำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ใน ค.ศ. 1933 นำไปสู่การก่อตั้งนาซีเยอรมนีซึ่งเป็นชนวนไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และพันธุฆาตในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ หลังสงครามสิ้นสุด เยอรมนีตกอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนจะถูกแบ่งแยกเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปและสหภาพยุโรป ในขณะที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีมีสถานะเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ และเป็นสมาชิกของกลุ่มตะวันออกรวมถึงกติกาสัญญาวอร์ซอ การปฏิวัติเงียบสงบนำไปสู่การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ การรวมประเทศทำให้เยอรมนีตะวันออกเข้าร่วมสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1990 ก่อให้เกิดรัฐใหม่ของเยอรมนี ซึ่งได้กลายสภาพเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐบาลกลางและอยู่ภายใต้การบริหารโดยนายกรัฐมนตรี
เยอรมนีเป็นประเทศพัฒนาแล้วและถือเป็นมหาอำนาจ และเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป, ยูโรโซน, สหประชาชาติ, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, สภายุโรป, เนโท, กลุ่ม 7 และกลุ่ม 20 เยอรมนีมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก เป็นหนึ่งในผู้นำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูง โดยหากวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เยอรมนีมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยในอดีต ภูมิภาคที่เป็นแผ่นดินของเยอรมนีรวมถึงบริเวณใกล้เคียงถูกเรียกว่า "เจอร์มาเนีย"
ในส่วนของชื่อประเทศ "Deutschland" ในภาษาเยอรมัน แผลงมาจากคำว่า "Diutisciu land" ซึ่งมีความหมายว่า ดินแดนของชาวเยอรมัน (The German lands) ซึ่งมาจากภาษาเยอรมันยุคโบราณ
== ประวัติศาสตร์ ==
การค้นพบโครงกระดูกฟันกรามเมาเออร์ 1 (Mauer 1) ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีการตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันมาตั้งแต่ 600,000 ปีที่แล้ว เครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองเชินนิงเงิน ซึ่งได้ค้นพบทวนไม้โบราณสามเล่มที่ฝังอยู่ใต้ผืนดินมาเป็นเวลากว่า 380,000 ปี นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ "นีแอนเดอร์ทาล" เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่ามีอายุกว่า 40,000 ปี นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในถ้ำของเทือกเขาแอลป์ชวาเบินใกล้กับเมืองอุล์ม และยังมีการค้นพบเครื่องเป่าที่ทำจากงาช้างแมมมอธและกระดูกของนกอายุกว่า 42,000 ปี ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการค้นพบ นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบรูปสลัก "ไลออนแมน" ที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโตจากยุคน้ำแข็งเมื่อ 40,000 ปีก่อน ถือเป็นงานศิลปะอุปมาเลียนแบบกายมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบ
=== กลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์ (ยุคสัมฤทธิ์-ค.ศ. 843) ===
คาดการณ์ว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิกตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์ไปจนถึงยุคเหล็กก่อนการก่อตั้งกรุงโรมนั้น เดิมอยู่อาศัยบริเวณทางใต้ของสแกนดิเนเวียไปจนถึงตอนเหนือของเยอรมนี พวกเขาขยายอาณาเขตไปทางใต้ ตะวันตกและตะวันออก จนได้รู้จักและติดต่อกับชาวเคลต์ในดินแดนกอล รวมไปถึงกลุ่มชนอิหร่าน, ชาวบอลติก, ชาวสลาฟ ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ต่อมา กรุงโรมภายใต้จักรพรรดิเอากุสตุส เริ่มการรุกรานดินแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน และแผ่ขยายดินแดนครอบคลุมทั่วลุ่มแม่น้ำไรน์และเทือกเขายูรัล ใน ค.ศ. 9 กองทหารโรมันสามกองนำโดยวาริอุสได้พ่ายแพ้ให้กับอาร์มินีอุสแห่งชนเผ่าเครุสค์ ต่อมาใน ค.ศ. 100 ในช่วงที่ตากิตุสเขียนหนังสือ Germania กลุ่มชนเผ่าเยอรมันก็ต่างได้ตั้งถิ่นฐานตลอดแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ และเข้าครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดในส่วนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 3 ได้มีการเกิดขึ้นของเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่หลายเผ่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชนอลามันน์ (Alemanni), ชาวแฟรงก์ (Franks), ชาวชัตต์ (Chatti), ชาวแซกซอน (Saxons), ชาวซีกัม (Sicambri), และชาวเทือริง (Thuringii) ราว ค.ศ. 260 พวกชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้ก็รุกเข้าไปในดินแดนในความควบคุมของโรมัน ภายหลังการรุกรานของชาวฮันใน ค.ศ. 375 และการเสื่อมอำนาจของโรมันตั้งแต่ ค.ศ. 395 เป็นต้นไป พวกชนเผ่าเยอรมันก็ยิ่งรุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ชนเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่เหล่านี้เข้าครอบงำชนเผ่าเยอรมันขนาดเล็กต่าง ๆ เกิดเป็นดินแดนของชนเผ่าเยอรมันในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
=== อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 843-1815)===
อาณาจักรแฟรงก์และการขยายดินแดน และถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักรในปี 843
ใน ค.ศ. 800 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน และสถาปนาจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ต่อมาใน ค.ศ. 840 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจากการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พระโอรสของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา สงครามกลางเมืองครั้งนี้จบลงในปี 843 โดยการแบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงออกเป็นสามอาณาจักรอันได้แก่:
* อาณาจักรแฟรงก์กลาง - บริเวณเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ตะวันออกของฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และภาคเหนือของอิตาลี
* อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก - บริเวณเยอรมนี ออสเตรีย เช็กเกีย สโลวาเกีย ฮังการี สโลวีเนีย โครเอเชีย และบางส่วนของบอสเนีย
* อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก - บริเวณตอนกลางและตะวันตกของฝรั่งเศส
อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกแผ่ขยายดินแดนอย่างมากมายครอบคลุมถึงอิตาลีในรัชสมัยพระเจ้าออทโทที่ 1 ในค.ศ. 962 พระองค์ก็ปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมันตามแบบอย่างชาร์เลอมาญ และสถาปนาราชวงศ์ออทโท ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คมีดินแดนในอาณัติกว่า 1,800 แห่งทั่วยุโรป
อาณาเขตของ[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]
===== การผงาดของปรัสเซีย =====
เดิมที ราชอาณาจักรปรัสเซียเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยอมรับนับถือจักรพรรดิในกรุงเวียนนาเป็นเจ้าเหนือหัว อย่างไรก็ตาม ปรัสเซียเริ่มแตกหักกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 เสด็จสวรรคตในปี 1740 ทายาทของจักรพรรดิคาร์ลมีเพียงพระราชธิดาเท่านั้น พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย ทรงคัดค้านการให้สตรีครองบัลลังก์จักรวรรดิมาตลอด พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ทรงเปิดฉากรุกรานดินแดนไซลีเชียของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค เกิดเป็นสงครามไซลีเชียครั้งที่หนึ่ง และบานปลายเป็นสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรียที่มีอังกฤษและสเปนเข้ามาร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความเสียเปรียบของฮาพส์บวร์ค ราชสำนักกรุงเวียนนาต้องสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่ปรัสเซียและพันธมิตร ราชสำนักกรุงเบอร์ลินแห่งปรัสเซียได้ผงาดบารมีขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในจักรวรรดิเทียบเคียงราชสำนักกรุงเวียนนา แม้ว่าโดยนิตินัยแล้ว ปรัสเซียจะยังคงถือเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิภายใต้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก็ตาม
=== สมาพันธรัฐเยอรมันและจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1815-1918) ===
พระเจ้าวิลเฮล์มแห่งปรัสเซียประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ณ [[พระราชวังแวร์ซายในกรุงปารีส หลังมีชัยในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย]]
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องสูญเสียดินแดนมากมายแก่ฝรั่งเศสในช่วงสงครามนโปเลียน ทำให้ในปี 1806 จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงประกาศยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และสถาปนาจักรวรรดิออสเตรียขึ้นมาแทน เมื่อนโปเลียนถูกโค่นล้มและถูกเนรเทศไปเกาะเอลบาในปี 1814 ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาขึ้นเพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ ราชอาณาจักรปรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียได้ร่วมมือกันให้มีการรวมกลุ่มอย่างหลวม ๆ ของรัฐเยอรมันทั้งหลาย จัดตั้งขึ้นเป็น "สมาพันธรัฐเยอรมัน" เพื่อรวมความเป็นรัฐชาติและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเยอรมันอีกครั้ง แม้ปรัสเซียจะพยายามผลักดันให้พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมันแต่ก็ไม่เป็นผล รัฐสมาชิก 39 แห่งกลับลงมติยอมรับนับถือจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย เป็นองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมัน
ในปี 1864 ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับปรัสเซียขึ้นอีกครั้ง และบานปลายเป็นสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย หรือที่เรียกว่า "สงครามพี่น้อง" สงครามครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะอย่างงดงามของปรัสเซีย ออสเตรียสูญเสียอิทธิพลเหนือรัฐเยอรมันตอนใต้ทั้งหมดและจำยอมยุบสมาพันธรัฐเยอรมันในวันที่ 23 สิงหาคม 1866 และนำไปสู่การสถาปนา "สมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ" ที่มีกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นองค์ประธาน และภายหลังปรัสเซียมีชัยในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1871 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ถือเป็นการสถาปนาจักรวรรดิเยอรมันอย่างเป็นทางการ
จักรวรรดิเยอรมันมีพัฒนาการด้านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก และมีกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงจนจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติและลี้ภัยการเมืองในปี 1918 เยอรมนีเปลี่ยนไปใช้ระบอบระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐภายใต้ประธานาธิบดี
=== สาธารณรัฐไวมาร์และไรช์ที่สาม (ค.ศ. 1919-1945) ===
เมื่อระบอบจักรพรรดิล่มสลาย ได้มีการจัดประชุมสมัชชาแห่งชาติขึ้นที่เมืองไวมาร์และมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เป็นที่มาของชื่อลำลองว่า "สาธารณรัฐไวมาร์" ซึ่งตลอดช่วงเวลา 14 ปีของเยอรมนียุคสาธารณรัฐไวมาร์ ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ, อภิมหาเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงานสูงลิบ, เผชิญหน้ากับการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย, ถูกจำกัดจำนวนทหารและห้ามมีอาวุธยุทโธปกรณ์สมรรถนะสูงจากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย ความล่มจมของประเทศเช่นนี้ทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ซึ่งมีอุดมการณ์แบบสุดโต่ง สิบตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเข้ามาสอดแนมในพรรคแห่งนี้ประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรคและตัดสินใจเข้าร่วมพรรค ฮิตเลอร์ใช้พรสวรรค์ด้านวาทศิลป์ของตนเองจนสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรค ในปี 1920 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อพรรคแห่งนี้เป็น "พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "พรรคนาซี" เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรัฐ
=== ฝ่ายบริหาร ===
ประธานาธิบดีสหพันธ์ (Bundespräsident) เป็นตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่สหพันธ์ (Bundesversammlung) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาสหพันธ์ (Bundestag) และสมาชิกคณะมนตรีสหพันธ์ (Bundesrat) ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหพันธ์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือฟรังโก-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหพันธ์ () เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร หัวหน้ารัฐบาลคนปัจจุบันคือ โอลัฟ ช็อลทซ์
==== กระทรวงแห่งรัฐบาลสหพันธ์ ====
รัฐบาลสหพันธ์ของประเทศเยอรมนีประกอบด้วย 14 กระทรวง และสำนักนายกรัฐมนตรีสหพันธ์
=== ฝ่ายนิติบัญญัติ ===
รถยนต์[[เมอร์เซเดส-เบนซ์ของประเทศเยอรมนี]]
ประเทศเยอรมนีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เป็นอันดับสี่ของโลกถัดจากสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น เยอรมนียังเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐ และประเทศจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญคืออัตราการจ้างงาน
บริษัทในเยอรมันที่มีธุรกิจไปทั่วโลก อย่างเช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ปอร์เช่ โฟล์กสวาเกน เอาดี้ มายบัค ซีเมนส์ อลิอันซ์ เป็นต้น
มีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ 8 แห่งโดยมีตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ตเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2002 ถึง 2008 และได้ทำการค้าตลาดร่วมกับจีนในปี 2009 และปัจจุบันผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองและสร้างดุลการค้าใหญ่ ภาคบริการในรอบ 70% ของจีดีพี รวมอุตสาหกรรม 29.1%, 0.9% และภาคการเกษตร ผลิตภัณฑ์ของประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่อยู่ในด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ สินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของเยอรมนี ได้แก่ ยานพาหนะ เครื่องจักร สินค้าเคมี ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ยา อุปกรณ์ขนส่ง โลหะพื้นฐาน ผลิตภัณฑ์อาหาร ยางและพลาสติก
เยอรมนีเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเดียวในยุโรปซึ่งมีผู้บริโภคมากกว่า 450 ล้านคน ในปี 2017 เศรษฐกิจประเทศคิดเป็น 28% ของเศรษฐกิจยูโรโซนตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เยอรมนีใช้สกุลเงินทั่วไปของยุโรปนั่นคือยูโร นโยบายการเงินของประเทศถูกกำหนดโดยธนาคารกลางยุโรปซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในแฟรงค์เฟิร์ต
การวิจัยและพัฒนาเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจเยอรมนี ในปี 2018 เยอรมนีอยู่ในอันดับ 4 ของโลกในแง่ของจำนวนผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ได้รับการตีพิมพ์ และเยอรมนีอยู่ในอันดับที่ 9 ในดัชนีนวัตกรรมระดับโลกในปี 2019 และ 2020
=== การท่องเที่ยว ===
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ใน ค.ศ. 1921.
เยอรมนีมีนักวิจัยที่โดดเด่นในสาขาวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 103 รางวัล เช่น ผลงานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และมักซ์ พลังค์ ถือเป็นรากฐานสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่ และได้ถูกพัฒนาต่อมาโดยผลงานของแวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ค, แฮร์มัน ฟ็อน เฮ็ล์มฮ็อลทซ์, โยเซฟ ฟอน เฟราน์โฮเฟอร์, การีเอิล ดานีเอิล ฟาเรินไฮท์ และวิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ผู้ค้นพบรังสีเอกซ์ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1901
นักวิศวกรรมการบินอวกาศชื่อ แวร์นแฮร์ ฟ็อน เบราน์ ผู้พัฒนาจรวดในยุคแรกและต่อมาเป็นสมาชิกสำคัญของนาซาและพัฒนาจรวด Saturn V Moon ซึ่งปูทางสำหรับความสำเร็จของโครงการอะพอลโล
งานของ ไฮน์ริช แฮทซ์ ในด้านรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาโทรคมนาคมสมัยใหม่ ผ่านการก่อสร้างห้องปฏิบัติการแรกที่มหาวิทยาลัยซิกใน 1879 ของเขา, Wilhelm Wundt เป็นเครดิตกับสถานประกอบการของจิตวิทยาเป็นอิสระเชิงประจักษ์ วิทยาศาสตร์ อเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ explorer เป็นพื้นฐานเพื่อชีวภูมิศาสตร์
การนำเข้าและส่งออกของเยอรมนีในปี 2010 จัดว่าอยู่ในทิศทางที่ดี มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเข้า มีมูลค่ารวมมากกว่า 800,000 ล้านยูโร ส่วนการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 950,000 ล้านยูโร โดยในจำนวนนี้ 95% ส่งออกไปยังตลาดยุโรป และกว่า 11% ส่งออกไปยังตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 5.5%ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ ในช่วงปี 2009-10 อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีปรับตัวดีขึ้นมาก เนื่องจากการสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน โดยในปี 2010 เยอรมนีส่งออกรถเพิ่มขึ้น 24% และการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 12%
=== การศึกษา ===
การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6-18 ปี รวมทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับอย่างน้อย 9 ปี (ในบางรัฐ 10 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงานซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมนีมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี
เมื่อนักเรียนมีอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทได้แก่: Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป และวิชาแนะนำวิชาชีพ หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ, Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป (Secondary General School) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ (Grammar School) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะที่ต้องเรียนเต็มเวลา, Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11-13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา (Course) ที่ถนัดเพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และสุดท้าย Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภทเข้าด้วยกัน นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5-10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7
ระดับอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยของเยอรมนีจะแบ่งสถาบันออกเป็น 3 ประเภทหลัก (จำแนกตามสาขาวิชา) ได้แก่
1. มหาวิทยาลัยทั่วไป (Universitäten): เป็นการเรียนการสอนหลักสูตรทั่วไปเช่นเดียวกับประเภทอื่น ๆ โดยมีสาขาวิชาที่หลากหลายเช่น สังคมศาสตร์ การสื่อสาร ภาษา
2. มหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Fachhochschulen): จะเน้นไปทางการปฏิบัติและประยุกต์ใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่มีการมอบหมายงานให้ลงมือทำจริงในสถานที่จริงทั้งภายในมหาวิทยาลัยหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นไปที่สาขาวิชาสารสนเทศ, วิศวกรรมศาสตร์, เทคโนโลยี, ธุรกิจ, สังคมศาสตร์,การออกแบบ, ศึกษาศาสตร์, พยาบาลศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
3. มหาวิทยาลัยทางด้านศิลปศาสตร์ ดนตรี และภาพยนตร์ (Kunst- und Musikhochschulen): มหาวิทยาลัยทางด้านศิลปศาสตร์ ดนตรี และภาพยนตร์ได้จัดสรรรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความเป็นอิสระที่สุดให้กับนักเรียนนักศึกษา ซึ่งกระบวนการเรียนที่มหาวิทยาลัยวางไว้ก็จะสามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ก่อนเข้าศึกษาผู้สมัครอาจจะต้องทำแบบทดสอบความถนัดเพื่อพิสูจน์ความสามารถทางศิลปะของตัวเองในสาขาที่เลือกเรียนก่อน วิชาที่เปิดสอนจะค่อนข้างมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิจิตรศิลป์, การออกแบบเชิงแฟชั่น, ภาพยนตร์, ดนตรี ไปจนถึงการออกแบบเชิงกราฟิก
=== สาธารณสุข ===
ระบบโรงพยาบาลของเยอรมนีที่เรียกว่า Krankenhäuser มีมาตั้งแต่ยุคกลาง และในปัจจุบัน เยอรมนีมีระบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สืบเนื่องมาจากกฎหมายทางสังคมของ Bismarck ในยุค 1880 นับตั้งแต่ทศวรรษ 1880 การปฏิรูปและข้อกำหนดต่าง ๆ ได้ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพมีความสมดุล ประชากรได้รับการคุ้มครองโดยแผนประกันสุขภาพที่กำหนดโดยกฎเกณฑ์ โดยมีเกณฑ์ที่อนุญาตให้บางกลุ่มเลือกทำสัญญาประกันสุขภาพส่วนบุคคลได้ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบบการดูแลสุขภาพของเยอรมนีได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล 77% และทุนเอกชน 23% ในปี 2013 และ ในปี 2014 เยอรมนีมีค่าใช้จ่ายกว่า 11.3% ของจีดีพีทั้งหมดในการดูแลสุขภาพประชาชน
เยอรมนีอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกในปี 2013 ในด้านอายุขัยโดยรวม โดยเพศชายที่ 77 ปี และเพศหญิงที่ 82 ปี และมีอัตราการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดต่ำมาก (4 ต่อ 1,000 คน) ในปี 2019 สาเหตุหลักของการเสียชีวิตคือโรคหัวใจและหลอดเลือด อยู่ที่ 37% แต่โรคอ้วนในเยอรมนียังเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญ การศึกษาในปี 2014 พบว่าร้อยละ 52 ของประชากรชาวเยอรมันที่เป็นผู้ใหญ่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
=== สวัสดิการ ===
การประกันสังคมในประเทศเยอรมนี ถือเป็นแก่นสำคัญของระบบสังคมสงเคราะห์ ผู้อพยพส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเยอรมนีตะวันตกโดยเฉพาะในเขตเมือง จากจำนวนผู้อยู่อาศัยในประเทศ 18.6 ล้านคน (22.5%) เป็นผู้อพยพหรือผู้ย้ายถิ่นฐานบางส่วนในปี 2016 นอกจากนี้ ในปี 2015 กองประชากรของกรมเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติระบุว่าเยอรมนีเป็นปลายทางของผู้อพยพระหว่างประเทศที่มีจำนวนสูงสุดเป็นอันดับสองของโลก ประมาณ 5% หรือ 12 ล้านคนจากทั้งหมด 244 ล้านคน ณ ปี 2018 เยอรมนีอยู่ในอันดับที่ 5 ในสหภาพยุโรปในแง่ของเปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพในประชากรของประเทศที่ 12.9%
=== เชื้อชาติ ===
* เยอรมัน 91.5%
* ตุรกี 2.4%
* อื่น ๆ 6.1% (ประกอบไปด้วยชาวกรีก อิตาลี โปแลนด์ รัสเซีย เซิร์บและโครแอต เป็นกลุ่มใหญ่)
=== ภาษา ===
ภาษาเยอรมันเป็นภาษาประจำชาติของเยอรมนี และยังเป็นหนึ่งใน 24 ภาษาทางการของสหภาพยุโรป และเป็นหนึ่งในสามภาษาของของคณะกรรมาธิการยุโรป ภาษาเยอรมันเป็นภาษาแรก ๆ ที่เริ่มพูดกันอย่างแพร่หลายในสหภาพยุโรป โดยมีเจ้าของภาษาประมาณ 100 ล้านคน
ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้กันในเยอรมนี ได้แก่ ภาษาเดนมาร์ก ภาษาเรนนิช ภาษาเซอร์เบียน ภาษาโรมานี ภาษาฟริเซียนเหนือ และภาษาแซเทอร์ลันด์ฟรีเซียน ภาษาเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองโดยกฎบัตรยุโรปสำหรับภาษาในภูมิภาคหรือชนกลุ่มน้อยให้สามารถใช่ได้ในทวีปยุโรป นอกจากนี้ยังมีภาษาจากกลุ่มผู้อพยพที่ใช้มากที่สุด ได้แก่ ตุรกี อาหรับ เคิร์ด โปแลนด์ ภาษาบอลข่าน และรัสเซีย โดยทั่วไปแล้ว ชาวเยอรมันสามารถพูดได้หลายภาษา: 67% ของพลเมืองเยอรมันอ้างว่าสามารถสื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศอย่างน้อยหนึ่งภาษา และ 27% สามารถสื่อสารได้อย่างน้อยสองภาษา
=== ศาสนา ===
[[ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน , คีตกวีผู้มีชื่อเสียง ดนตรีเยอรมันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง ศตวรรษที่ 20-21 อาทิเช่น วงสกอร์เปียนส์ กับ วงรัมสไตน์ วงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดในระดับโลก, โทคิโอโฮเทล เป็นวงป็อปร็อกที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งในเยอรมัน เป็นต้น
=== อาหาร ===
อาหารเยอรมันแตกต่างจากพื้นที่สู่พื้นที่ เช่น ในภาคใต้ของบาวาเรีย และ ชวาเบิน ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการปรุงอาหารตามแบบสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย หมูและไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่นิยมบริโภค โดยหมูเป็นที่นิยมมากที่สุด และเนื้อวัวก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เยอรมนียังขึ้นชื่อในด้านการแปรรูปเนื้อสัตว์ในรูปของไส้กรอก และแฮม ไส้กรอกเยอรมันเป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเยอรมนีผลิตไส้กรอกมากกว่า 1500 ชนิด อาหารอินทรีย์ได้รับส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.0% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก สตรีชาวเยอรมันแต่งกายในชุด Dirndl ชุดสตรีดั้งเดิมของรัฐบาวาเรียขณะนำเบียร์ Hacker-Pschorr Brewery มาเสริ์ฟในเทศกาล [[อ็อกโทเบอร์เฟสต์]]
เทศกาลประจำปีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกได้แก่ อ็อกโทเบอร์เฟสต์ (Oktoberfest) ณ เมืองมิวนิก โดยจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี โดยชาวเยอรมันและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจะมาร่วมเฉลิมฉลองด้วยการดื่มเบียร์และอาหารเมนูชั้นนำ เทศกาลคาร์นิวาล กรุงเบอร์ลิน โดยจะปิดถนนกลางเมืองเพื่อเปิดโอกาสให้ขบวนพาเหรดที่ชื่อ “Karneval der Kulturen” ได้อวดความสวยงามของการแต่งกายแฟนซีสีสันฉูดฉาดเดินขบวนตามท้องถนน และเปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจัดขบวนพาเหรดมาร่วมขบวนด้วย และยังมีเทศกาลวันพ่อของเยอรมนี จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม จะเห็นผู้ชายในแต่ละเมืองแต่งตัวแปลก ๆ นำเบียร์ไปดื่มฉลองกันในสวนสาธารณะและมักจะดื่มกันจนเมาไม่ได้สติ นอกจากจะเป็นวันพ่อแล้ว ในภาษาเยอรมันคำว่า Mannertag หรือ Herrentag ยังมีความหมายว่า “วันของผู้ชาย” อีกด้วย เทศกาลนี้จึงเป็นโอกาสให้ชายชาวเยอรมันแสดงออกถึงสัญชาติญาณในตัวเองและปลดปล่อยความเครียดจากการทำงานอย่างเต็มที่
=== วันหยุด ===
=== สื่อและวงการบันเทิง ===
title = บทความที่เกี่ยวกับประเทศเยอรมนี
{{Navboxes
|title = ที่ตั้งตามภูมิศาสตร์
{{Navboxes
|title = สมาชิกนานาชาติ
หมวดหมู่:ประเทศในระบบซีวิลลอว์
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2414 |
667 | https://th.wikipedia.org/wiki/มานุษยวิทยา | มานุษยวิทยา | มนุษย์วิทยา () คือ ศาสตร์ที่ศึกษามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับตัวมนุษย์ หรือ การศึกษาผลงานที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ มานุษยวิทยาจึงสนใจประเด็นต่างๆที่สัมพันธ์กับมนุษย์อีกหลายเรื่อง ประเด็นที่มานุษยวิทยาสนใจในช่วงศตวรรษที่ผ่านมามีหลากหลายมาก เช่น โครงสร้างทางร่างกาย รูปร่างหน้าตา สีผิว เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ บรรพบุรุษของมนุษย์ พฤติกรรมทางสังคม พิธีกรรม การใช้ภาษา สัญลักษณ์ การผลิตเครื่องมือเครื่องใช้และวัตถุสิ่งของ เป็นต้น
มานุษยวิทยาเป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นการจัดระเบียบความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษย์ให้เป็นระบบเพื่อสร้างเป็นองค์ความรู้หรือศาสตร์ สาขาวิชานี้เกิดขึ้นในยุโรปและได้แพร่หลายไปยังสหรัฐอเมริกาในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเด็นย่อยๆเหล่านี้ทำให้เกิดการจัดหมวดหมู่เป็นสาขาย่อยของมานุษยวิทยา โดยมานุษยวิทยาสายอังกฤษ แบ่งเป็น มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology) และมานุษยวิทยาสังคม (Social Anthropology) ส่วนมานุษยวิทยาสายอเมริกัน ได้แยกเป็น 4 หมวด โดยรวมเอาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวัฒนธรรมของมนุษย์ ทั่งที่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นกายภาพหรือว่ามีช่วงเวลาที่เก่าแก่กว่ามนุษย์ยุคปัจจุบัน อีก 2 สาขาวิชา คือ มานุษยวิทยาภาษา (Linguistic Anthropology) และ โบราณคดี (Archaeology) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมานุษยวิทยา และสนใจมานุษยวิทยาสังคม ในแนวทางของ มานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology) มากกว่า สาขาย่อยเหล่านี้จะมีระเบียบวิธีวิจัยและใช้ทฤษฎีที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลทำให้องค์ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์จากสาขาย่อยเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม บางสำนักจัดมานุษยวิทยาเป็นสาย ปรัชญา ในขณะที่ฝั่งสำนักคิดทางยุโรป อาจมองว่า โบราณคดี (Archaeology) ซึ่งมีลักษณะของวิธีวิทยาและองค์ความรู้ที่ต่างออกไป จึงอาจจัดกลุ่มให้ไปอยู่รวมกับศาสตร์ที่ใกล้เคียงกันมากกว่า เช่น ประวัติศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
== ความหมายของมานุษยวิทยา ==
คำว่ามานุษยวิทยาใน ภาษาอังกฤษ คือ คำว่า Anthropology คำนี้เป็นคำผสมในภาษากรีกสองคำคือ Anthropos แปลว่า มนุษย์หรือคน ส่วน logos แปลว่า การศึกษาหรือศาสตร์
== ขอบเขตของมานุษยวิทยา ==
* มานุษยวิทยากายภาพ ศึกษาสรีรวิทยาทางชีวภาพที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวมนุษย์ สาขานี้สนใจการก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของขนาดรูปแบบโครงสร้างทางร่างกาย รูปร่างหน้าตาสีผิว และมันสมองที่มีผลต่อระดับสติปัญญาและการแสดงพฤติกรรม
*มานุษยวิทยาภาษา หรือ ภาษาศาสตร์ ศึกษามนุษย์ผ่านภาษา ตัวอักษร พยัญชนะ การประดิษฐ์คำ การพูดการออกเสียง ระบบไวยกรณ์ และการใช้สัญลักษณ์ต่างๆในฐานะเป็นเครื่องมือสื่อสารทางสังคมและการให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆในโลก
* โบราณคดี ศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ในอดีต โดยวิเคราะห์จากหลักฐานทางวัตถุและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นวัตถุชิ้นเล็กๆไปจนถึงอาคารสถานที่ขนาดใหญ่ รวมไปถึง สภาพแวดล้อมในอดีต
* มานุษยวิทยาสังคมหรือมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ศึกษาชีวิตของมนุษย์ปัจจุบันที่ยังมีลมหายใจ โดยศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวัน ในหมู่นักวิชาการชาวอเมริกันและเรียกองค์ความรู้ในสาขานี้ว่า "มนุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology)" แต่สำหรับนักวิชาการชาวอังกฤษ มักเน้นศึกษาเนื้อหาสาระด้านความสัมพันธ์ของคนในแต่ละสังคมที่ร่วมกันสร้างและประพฤติปฏิบัติต่อกันในกิจกรรมทางสังคมในแง่ครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนาและความเชื่อ การศึกษาและฝึกฝนอบรมการเรียนรู้ทางสังคม และนันทนาการ โดยเรียกองค์ความรู้ในสาขานี้ว่า "มานุษยวิทยาสังคม (Social Anthropology)"
ถึงแม้ว่าสายาย่อยเหล่านี้จะมีโจทย์เฉพาะของตนเอง แต่จุดร่วมเดียกันก็คือความต้องการที่จะรู้ว่ามนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างไร ดังนั้น "วัฒนธรรม" จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ นักมานุษยวิทยาที่ทำงานภายใต้สาขาย่อยจึงมิได้ตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง หากแต่จะทำงานภายใต้ร่มเดียวกันที่ต่างค้นหาความหมายของ "วัฒนธรรม" จากมุมมองที่หลากหลาย
== วิธีการศึกษาทางมานุษยวิทยา ==
นับตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นักมานุษยวิทยาเริ่มมีแนวทางการศึกษาในแบบของตัวเองที่แตกต่างไปจากศาสตร์ทางสังคมแบบอื่นๆ จากความสนใจชีวิตมนุษย์ในดินแดนต่างๆ ทำให้นักมานุษยวิทยาต้องทำหน้าที่เก็บข้อมูลวัฒนธรรม หรือที่รู้จักในนาม "การทำงานภาคสนาม" (Fieldwork) โดยมีเป้าหมายที่จะเรียนรู้ความคิดและการปฏิบัติที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ในการทำงานภาคสนาม นักมานุษยวิทยาจะต้องเรียนรู้ภาษาของกลุ่มคนที่เข้าไปศึกษาเพื่อที่จะพูดคุยและสัมภาษณ์ รวมทั้งสังเกตสิ่งต่างๆแบบมีส่วนร่วม (Participant-Observation) โดยเข้าไปคลุกคลีอยู่อาศัยกับคนในท้องถิ่นเป็นเวลานานเพื่อที่จะเข้าใจวิถีชีวิตของคนเหล่านั้นได้ราวกับเป็นคนในวัฒนธรรมเอง
มานุษยวิทยา ในฐานะเป็นศาสตร์ที่ศึกษา "วัฒนธรรม" ของมนุษย์เป็นหัวใจหลักของวิชามานุษยวิทยา แต่คำว่า "วัฒนธรรม" ในทางมานุษยวิทยามิใช่คุณสมบัติของสิ่งที่สวยงามหรือมีความคงที่ แต่วัฒนธรรมเป็น "แนวคิด" (Concept) ที่มีข้อถกเถียงมาอย่างต่อเนื่องและมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับความรู้แบบวิทยาศาสตร์ของตะวันตก โดยอธิบายว่า "วัฒนธรรม" มีอยู่ในชุมชนของมนุษย์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบตะวันตกหรือชุมชนพื้นเมืองเร่ร่อนในเขตทุรกันดาร ทุกชุมชนล้วนมีแบบแผนทางวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง
มานุษยวิทยามิใช่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องการแสวงหากฎเกณฑ์เพียงหนึ่งเดียว แต่มานุษยวิทยาต้องการศึกษาประสบการณ์ของมนุษย์ที่มีความคิดและความเชื่อแตกต่างกัน นักมานุษยวิทยาศึกษาแบบแผนทางวัฒนธรรมจากมุมมองของคนในวัฒนธรรมเอง หรือรู้จักในนาม the native’s point of view นักมานุษยวิทยาไม่สามารถตัดสินวัฒนธรรมของคนอื่นจากแนวคิดทฤษฎีหรือใช้ความคิดของตัวเองเป็นบรรทัดฐานได้ จากประเด็นนี้ได้นำไปสู่การทบทวนระเบียบวิธีวิจัยและทฤษฎีที่นักมานุษยวิทยาเคยใช้มาในอดีต เพื่อที่จะเข้าใจวัฒนธรรมของคนอื่นโดยผ่านสายตาของคนในวัฒนธรรมนั้น นอกจากนั้น ภายในวัฒนธรรมเดียวกัน สมาชิกของกลุ่มก็อาจให้คุณค่าและแสดงออกทางวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้คือความซับซ้อนของวัฒนธรรมที่นักมานุษยวิทยาจะต้องไม่หยุดอยู่แค่การหากฎเกณฑ์หรือแบบแผนทางวัฒนธรรม แต่จะต้องค้นหาความไม่ลงรอยที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมนั้นด้วย
การศึกษาความคิดและประสบการณ์ของคนแต่ละกลุ่มจึงเริ่มมีความสำคัญ ความท้าทายที่นักมานุษยวิทยาต้องเผชิญต่อจากนี้ก็คือ ระเบียบวิธีวิจัยและแนวคิดทฤษฎีอาจจะไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ "ความจริง" ของวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่อาจเป็นเพียง "แว่นตา" ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้กระบวนทัศน์และความเชื่อบางแบบ แว่นตาที่นักมานุษยวิทยาใช้จึงอาจทำให้เกิดความบิดเบือนหรือมายาคติเกี่ยวกับวัฒนธรรม ฉะนั้น จึงมีการเรียกร้องให้เกิดการตรวจสอบการทำงานภาคสนาม ระเบียบวิธีวิจัย แนวคิดทฤษฎี และชาติพันธุ์วรรณา (Ethnography) อยู่เสมอๆ พร้อมๆกับตรวจสอบวิธีการสร้างความรู้ของนักมานุษยวิทยา ศาสตร์ของมานุษยวิทยาเป็นศาสตร์ที่มีลักษณะเปิดกว้าง มานุษยวิทยาต้องการทำความเข้าใจวิถีชีวิตของมนุษย์ที่เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้น มานุษยวิทยาจะเริ่มต้นจากประเด็นบางประเด็น เช่น พิธีกรรม ความเชื่อ ศาสนา ไสยศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง ศิลปะ เพศภาวะ ชนชั้น เครือญาติ ฯลฯ เพื่อสำรวจเข้าไปในสนามที่กว้างใหญ่ขึ้นไป ในสนามดังกล่าวมีสิ่งต่างๆโยงใยกันอย่างซับซ้อน นักมานุษยวิทยาแต่ละคนจึงเลือกที่จะสร้างความเชี่ยวชาญของตนเองผ่านประเด็นเหล่านี้แต่มีปลายทางร่วมกันคือการทำความเข้าใจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์ แม้ว่านักมานุษยวิทยาจะมีความสนใจในประเด็นที่ต่างกัน แต่ทุกคนล้วนเชื่อมโยงประเด็นที่ตนเองสนใจกับสถานการณ์ที่เป็นจริง เช่น สนใจเรื่องศาสนา นักมานุษยวิทยาก็จะทำงานวิจัยบนโจทย์ด้านศาสนาแต่ผลลัพธ์จะเป็นการทำความเข้าใจชีวิตมนุษย์ที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อทางศาสนา และนักมานุษยวิทยายังชี้ให้เห็นว่าในมิติทางศาสนายังเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ที่โยงใยถึงระบบเครือญาติ การทำมาหากิน ชนชั้น ฐานะทางสังคม เพศภาวะ และสุนทรียะ ศาสนาจึงไม่ได้ตัดขาดจากบริบทอื่นๆ สิ่งนี้คือคุณสมบัติของศาสตร์มานุษยวิทยาที่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงต่างๆที่เกิดขึ้นบนชีวิตมนุษย์ และยังทำให้ศาสตร์แบบนี้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนตัวและดำเนินไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
=== มานุษยวิทยา กับ ชาติพันธุ์วรรณา ===
ชาติพันธุ์วรรณา (บางสำนักเรียก ชาติพันธุ์นิพนธ์) เป็น การศึกษาวัฒนธรรมและสังคมของมนุษย์ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง โดยผู้ศึกษาจะเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่ เข้าไปพูดคุย และสังเกตอย่างมีส่วนร่วมในเหตุการณ์และกิจกรรมต่างๆของกลุ่มคนที่ศึกษาเป็นระยะเวลายาวนานและนำข้อมูลมาเขียนเรียบเรียงและอธิบายให้เห็นวิถีชีวิตของคนกลุ่มนั้น นอกจากนั้นยังหมายถึง การศึกษาวัฒนธรรมในเชิงเปรียบเทียบและจัดระเบียบชนิดของวัฒนธรรม ซึ่งต้องมีการพรรณนารายละเอียด งานเขียนทางชาติพันธุ์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษามานุษยวิทยาวัฒนธรรม
แม้จากการทำงานภาคสนาม นักมานุษยวิทยาจะนำมาเขียนเรียบเรียง รู้จักในนาม "ชาติพันธุ์วรรณา" (Ethnography) บางทีเรียกว่า "งานเขียนทางชาติพันธุ์" ซึ่งเป็นการอธิบายถึงวัฒนธรรมของกลุ่มคนที่ศึกษาภายใต้การตีความและการวิเคราะห์ด้วยกรอบทฤษฎีบางอย่าง คำว่า "ชาติพันธุ์" (Ethnic) เป็นคำดั้งเดิมก่อนที่วิชามานุษยวิทยาจะสถาปนาตนเองเป็นศาสตร์สมัยใหม่ เนื่องจากการศึกษาวัฒนธรรมและชีวิตของคนในท้องถิ่นต่างๆ ได้นำไปสู่การเปรียบเทียบทางวัฒนธรรม การเปรียบเทียบนี้รู้จักในนาม "ชาติพันธุ์วิทยา" (Ethnology) ซึ่งต้องการที่จะเข้าใจว่ามนุษย์ในดินแดนต่างๆมีประวัติศาสตร์และแบบแผนการดำเนินชีวิตที่เหมือนและต่างกันอย่างไร อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มคนที่นักมานุษยวิทยาศึกษา เป็นกลุ่มทางชาติพันธุ์ทั้งที่เคยมีอยู่ในอดีตและกลุ่มที่มีชีวิตอยู่ในปัจจบัน ซึ่งกระบวนการทำงานที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยปะติดปะต่อเรื่องราวทางวัฒนธรรมของกลุ่มคนเหล่านั้น
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สมาคมนักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาสยาม
* เว็บไซต์ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หน่วยงานด้านมานุษยวิทยาของไทย
หมวดหมู่:สังคมศาสตร์
หมวดหมู่:พฤติกรรมศาสตร์ |
669 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.; ) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่สองของประเทศไทย ก่อตั้งในชื่อ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.; ) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นตลาดวิชา เพื่อการศึกษาด้านกฎหมายและการเมือง รวมถึงเศรษฐศาสตร์และพาณิชยศาสตร์ สำหรับประชาชนทั่วไป โดยมีรากฐานเดิมมาจาก "โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม" ที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2440 ต่อมาใน พ.ศ. 2495 รัฐบาลจึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบัน นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอายุเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และมีประวัติศาสตร์ผูกพันกับพัฒนาการทางการเมือง และความเป็นไปของชาติ ตลอดจนเรื่องของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ 14 ตุลา และ เหตุการณ์ 6 ตุลา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสมาชิกของเครือข่าย LAOTSE ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในเอเชียและยุโรป ตามกรอบความร่วมมืออาเซม รวมทั้งเป็นสมาชิกของเครือข่ายสถาบันการศึกษาและวิจัยในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMSARN) อีกด้วย
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประกอบไปด้วย 19 คณะ 4 วิทยาลัย 1 สถาบัน 1 สำนักวิชา จำนวนหลักสูตรทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 297 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 139 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 6 หลักสูตร ปริญญาตรีควบปริญญาโท 4 หลักสูตร ปริญญาโท 118 หลักสูตร และปริญญาเอก 34 หลักสูตร จัดการศึกษาทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำ (ข้อมูล พ.ศ. 2557-2558) นอกจากนี้ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติจากกระทรวงศึกษาธิการใน พ.ศ. 2552 อีกด้วย
== ประวัติ ==
อนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ดร.[[ปรีดี พนมยงค์ผู้ประศาสน์การ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ที่หน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์]]
=== มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ===
คณะราษฎรก่อการปฏิวัติสยาม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ในคำประกาศของคณะราษฎร ระบุว่า การที่ราษฎรยังถูกดูหมิ่นว่ายังโง่อยู่ ไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตยนั้น "เป็นเพราะขาดการศึกษา ที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่" เป็นผลให้ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ประการที่ 6 ระบุว่า "จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร" โดยมีใจความสำคัญว่า
จากนั้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จในพิธีเปิดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ณ ที่ตั้งเดิมของ "โรงเรียนกฎหมาย" ริมถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา
ปรีดี พนมยงค์มีบทบาทเป็นผู้ร่างโครงการ หาที่ตั้ง และวางหลักสูตรของมหาวิทยาลัย และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การคนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2477-2490) โดยตั้งใจให้เป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชา อุปมามหาวิทยาลัยเป็นเสมือนบ่อน้ำที่บำบัดความกระหายให้แก่ราษฎร ให้ราษฎรมีความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษา เงินทุนของมหาวิทยาลัยอาศัยเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาและดอกผลของธนาคารแห่งเอเชียเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยให้มหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80% นอกจากนี้ปรีดียังได้ยกกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นของตนให้มหาวิทยาลัยเพื่อพิมพ์ตำรา
ในช่วงเวลา 2 ปีแรก (พ.ศ. 2477-2479) การเรียนการสอนของ ม.ธ.ก. ยังคงดำเนินอยู่ที่ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าภิภพลีลา ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ รัฐบาลนำคำว่า "การเมือง" ออกจากชื่อมหาวิทยาลัย เหลือเพียง "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" พร้อมทั้งยกเลิกตำแหน่งผู้ประศาสน์การ โดยใช้ชื่อตำแหน่งว่าอธิการบดีแทน
พ.ศ. 2518 ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีในขณะนั้น เห็นควรขยายการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ในระดับปริญญาบัณฑิตเพิ่มขึ้น พื้นที่เดิมบริเวณท่าพระจันทร์ ไม่เพียงพอต่อการขยายตัวทางวิชาการ และการพัฒนา มหาวิทยาลัยจึงเจรจาขอแลกเปลี่ยนที่ดิน กับบริเวณนิคมอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัย เรียกว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นอกจากนี้ ยังขยายไปที่ศูนย์ลำปาง และศูนย์พัทยาด้วย
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังคงดำเนินการเรียนการสอน และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยหลักสูตรปริญญาตรีภาคปกติทั้งหมด และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มวิทยาศาสตร์ จัดการเรียนการสอนที่ศูนย์รังสิต และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มสังคมศาสตร์ โครงการนานาชาติ และโครงการพิเศษ จัดการเรียนการสอนที่ท่าพระจันทร์
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 มีประกาศพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2558 ส่งผลทำให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558
== สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ==
alt=|ดอกของต้นหางนกยูงฝรั่ง
* ธรรมจักร เป็นตราประจำมหาวิทยาลัย โดยตราธรรมจักรนี้มี 12 แฉก อันหมายถึง อริยสัจ 4 ซึ่งวนอยู่ในญาณ 3 คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และ กตญาณ และมีพานรัฐธรรมนูญอยู่ตรงกลาง อันหมายถึงการยึดมั่นและรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
* เพลงมาร์ช มธก. เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยที่มีความสำคัญ ซึ่งนำทำนองเพลงมาจากเพลง La Marseillaise ซึ่งเป็นเพลงชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศส คำร้องโดย ทวีป วรดิลก ในช่วง พ.ศ. 2490 ให้ความหมายและความรู้สึกที่ฮึกเหิม สะท้อนถึงจิตวิญญาณการต่อสู้ของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ดังคำกล่าวที่ว่า "ประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์คือประวัติศาสตร์การเมืองไทย" ในปัจจุบันเพลงมาร์ช มธก. ได้ถูกลดทอนบทบาทลงจนมีโอกาสน้อยครั้งที่จะได้รับฟังในกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
* เพลงประจำมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ทำนองมอญดูดาว) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเพลงแรก ประพันธ์โดยขุนวิจิตรมาตรา เมื่อ พ.ศ. 2478
* เพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ (ยูงทอง) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2504 ได้มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะเสด็จมาทรงดนตรี ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร ภายในพระราชวังดุสิต พระองค์รับสั่งว่าจะทรงพระราชนิพนธ์เพลงประจำมหาวิทยาลัยพระราชทานให้แก่นักศึกษาธรรมศาสตร์
จนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ มาทรงดนตรี ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทรงบรรเลงทำนองเพลงที่จะพระราชทานให้เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยด้วย โดยเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ลำดับที่ 36 มีนายจำนงราชกิจ (จรัล บุณยรัตพันธุ์) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง และยกร่างโดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
* หางนกยูงฝรั่ง เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้ทรงปลูกไว้บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่จำนวน 5 ต้น เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 เวลา 14:30 นาฬิกา พร้อมกับพระราชทานให้เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดอกมีสีเหลือง-แดง สัมพันธ์กับสีประจำมหาวิทยาลัย
อนึ่ง ประชาคมธรรมศาสตร์มักเรียกเพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ และต้นหางนกยูงฝรั่งว่า ยูงทอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจโดยตรง รวมทั้งพิธีพระราชทานปริญญาบัตรด้วย
* "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" เป็นวลีอมตะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วาทะสำคัญนี้มีต้นเค้ามาจาก มองนักศึกษา มธก. ผ่านแว่นขาว บทความของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนชัดหลักการของประชาคมธรรมศาสตร์ นับแต่มหาวิทยาลัยนี้กำเนิดขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2477 ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเสมอภาคทางการศึกษา
== การบริหารงาน ==
=== นายกสภามหาวิทยาลัย ===
นับแต่สถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีนายกสภามหาวิทยาลัยดังนี้
=== ผู้ประศาสน์การและอธิการบดี ===
นับแต่สถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีผู้ประศาสน์การและอธิการบดีดังนี้
== การศึกษา ==
แต่เดิมเมื่อเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ในระดับปริญญาตรีมีเปิดสอนเพียงหลักสูตรเดียวคือ "ธรรมศาสตรบัณฑิต" (ธ.บ.) ซึ่งเน้นวิชากฎหมาย รวมถึงกฎหมายที่เป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ส่วนในระดับปริญญาโทนั้นมีแยกสามแขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และต่อมาได้มีหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชีซึ่งเทียบเท่าปริญญาโท และในระดับระดับปริญญาเอกมีสี่แขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต
แต่ใน พ.ศ. 2492 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิตก็ได้ถูกยกเลิกไป และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรปริญญาตรีเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ แทน ตาม "ข้อบังคับเพิ่มเติมว่าด้วยการแบ่งแยกการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ และกำหนดสมัยการศึกษาและการสอบไล่ พ.ศ. 2492")
=== คณะกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ===
* คณะนิติศาสตร์
* คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
* คณะรัฐศาสตร์
* คณะเศรษฐศาสตร์
* คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
* คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
* คณะศิลปศาสตร์
* คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
* คณะศิลปกรรมศาสตร์
* วิทยาลัยนวัตกรรม
* วิทยาลัยสหวิทยาการ
* วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์
* วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
* คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์
=== คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ===
* คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
* คณะวิศวกรรมศาสตร์
* สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร
* คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง
=== คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ ===
* คณะแพทยศาสตร์
* คณะเภสัชศาสตร์
* คณะสหเวชศาสตร์
* คณะทันตแพทยศาสตร์
* คณะพยาบาลศาสตร์
* คณะสาธารณสุขศาสตร์
* วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์
* วิทยาลัยโลกคดีศึกษา
นอกจากนี้ยังมีหลายหน่วยงานที่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา อาทิ สถาบันภาษา, กองกิจการนักศึกษา เป็นต้น
=== หลักสูตรนานาชาติ ===
นอกจาก วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวิทยาลัยนานาชาติของมหาวิทยาลัยแล้ว คณะต่าง ๆ ได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนนานาชาติสำหรับนักศึกษาทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลายหลักสูตรด้วยกัน โดยคณะที่เปิดหลักสูตรในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ คณะนิติศาสตร์, คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, คณะรัฐศาสตร์, คณะเศรษฐศาสตร์, คณะศิลปศาสตร์, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, คณะวิศวกรรมศาสตร์, คณะสถาปัตยกรรมและการผังเมือง, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร, คณะสาธารณสุขศาสตร์, วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ และวิทยาลัยสหวิทยาการ
=== ส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัย ===
* วิทยาลัยนวัตกรรม
* วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
=== หน่วยงานอื่น ===
* โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
* สำนักงานบริหารทรัพย์สินและกีฬา
* สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์
* สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์
* โรงเรียนอนุบาลธรรมศาสตร์
=== หน่วยงานบริการวิชาการ ===
* สำนักหอสมุด
* สำนักงานทะเบียนนักศึกษา
* สถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์
* สำนักทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ
* สถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา
* สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
== งานวิจัย ==
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีหน่วยงานวิจัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
* สถาบันภาษา
* สถาบันไทยคดีศึกษา
* สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา
* สถาบันทรัพยากรมนุษย์
* สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ฯ
* ศูนย์ออสเตรเลียศึกษา
* ศูนย์ศึกษาความร่วมมือระหว่างประเทศ (ศูนย์เอเปค)
* ศูนย์อินเดียศึกษา
* ศูนย์อาเซียนศึกษา
* ศูนย์ศึกษารัสเซียและเครือรัฐเอกราช
* ศูนย์จัดการศึกษาและฝึกอบรมด้านกฎหมาย (LeTec)
* ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยขั้นสูง
* ศูนย์วิจัยค้นคว้าและพัฒนายา
* ศูนย์สัตว์ทดลอง
* ศูนย์ประสานราชการใสสะอาด
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่สนับสนุนหน่วยงานวิจัย ได้แก่
* สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดตั้งสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียกโดยย่อว่า "สว.มธ." โดยมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Thammasat University Research and Consultancy Institute" หรือ "TU-RAC" ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการให้บริการด้านการบริหารงานวิจัยและทำวิจัยในนามมหาวิทยาลัย โดยมีการบริหารงานที่คล่องตัวนอกระบบราชการ ทั้งนี้ สถาบันถือเป็นหน่วยงานของมหาวิทยาลัยเพียงหน่วยงานเดียวที่สามารถให้บริการการวิจัย ให้คำปรึกษา และฝึกอบรมสัมมนา เป็นต้น
* สำนักงานบริหารการวิจัย ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอธิการบดี โดยจัดตั้งขึ้นตามมติสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เป็นหน่วยงานรองรับการดำเนินงานทางด้านบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การบังคับบัญชาของรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยที่ได้รับมอบหมายจากอธิการบดีให้เป็นผู้บริหารงานทางด้านการวิจัยผ่านคณะกรรมการบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ดำเนินการตามเป้าประสงค์ของมหาวิทยาลัยในการมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย (Research University) โดยมีงานในสังกัดที่มีขอบเขตภาระงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 งานดังนี้คือ งานวางแผนและบริหารงานวิจัย และงานส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัย โดยมีศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการให้บริการงานวิจัยทางวิชาการดังต่อไปนี้
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิจัยโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการแพทย์แผนไทยประยุกต์
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในงานวิศวกรรม
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวัสดุศาสตร์ การก่อสร้าง และเทคโนโลยีการบำรุงรักษา
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านเภสัชวิทยาและชีววิทยาระดับโมเลกุลของโรคมาลาเรียและมะเร็งท่อน้ำดี
* ศูนย์แห่งความเป็นทางวิชาการด้านการออกแบบและพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางอาหารแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านสารสนเทศอัจฉริยะ เทคโนโลยีเสียงพูดและภาษา และนวัตกรรมด้านบริการ
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านระบาดวิทยาประยุกต์
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและการดูดซับด้านสิ่งแวดล้อม
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการจัดการการปฏิบัติการและสารสนเทศ
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านสมุนไพรและสารธรรมชาติในการรักษาโรคในช่องปาก
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิศวกรรมและสมรรถนะของวัสดุ
* ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวัสดุและเทคโนโลยีพลาสมา
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2553 โดยโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติและส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล มีระยะเวลา 3 ปีงบประมาณ (พ.ศ. 2553-2555) อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. 2555 (โครงการ SP2) ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านการทำวิจัยของมหาวิทยาลัยไทย ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับแผนพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางการศึกษา (Education Hub) ของภูมิภาค ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาตินั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ มีต้นทุนทางบุคลากรสูง เพราะฉะนั้นจึงมุ่งใช้ศักยภาพของบุคลากรในเรื่องที่เป็นประโยชน์ เช่น ในเรื่องของการวิจัย โดยส่งเสริมให้สร้างผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ตอบสนองต่อสังคม และมีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการทำวิจัยให้เป็นพื้นฐานให้แก่การเรียนการสอนระดับปริญญาตรี รวมถึงการผลิตทรัพยากรบุคคลในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการใช้นวัตกรรมที่เกิดจากความมีอิสระทางความคิด ตลอดจนมีอิสระในการบริหารจัดการภายใน และมีศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาที่จะสามารถวางทิศทางได้ จึงมีเอกลักษณ์ความเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติได้อย่างชัดเจน
== อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย ==
=== การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย ===
ใน พ.ศ. 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยของประเทศไทยใน "โครงการฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทย"โดยในภาพรวมผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยกลุ่มดัชนีชี้วัดด้านการวิจัยและกลุ่มดัชนีชี้วัดตามด้านการเรียนการสอน ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 6 ในด้านการเรียนการสอนของประเทศไทย และเป็นอันดับ 8 ในด้านการวิจัยของประเทศไทย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าในการการประเมินครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2553) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล, ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีโยธา, ภาควิชาวิศวกรรมระบบการผลิต, และภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร และในการประเมินครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในสาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา, สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลและระบบการผลิต, สาขาวิชาเทคโนโลยีการสื่อสาร, สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ และโครงการบัณฑิตศึกษา สาขาชีวเวชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
=== อันดับมหาวิทยาลัย ===
นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่
==== การจัดอันดับโดย Nature Index ====
Nature Index ซึ่งจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก โดยการนับจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ต่อปีในวารสารที่ในเครือ Nature Publishing Group สำหรับปี ค.ศ. 2016 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 26 ของประเทศไทย
==== การจัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds ====
แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส หรือ QS จัดอันดับมหาวิทยาลัยในสองส่วน คือ การจัดอันดับเป็นระดับโลก (QS World University Rankings) และระดับทวีปเอเชีย (QS University Rankings: Asia) มีระเบียบวิธีจัดอันดับ ดังนี้
# ชื่อเสียงทางวิชาการ (30 เปอร์เซนต์) เป้าหมายของตัวชี้วัดนี้เพื่อจะบอกว่ามหาวิทยาลัยใดมีชื่อเสียงในในระดับนานาชาติ
# การสำรวจผู้จ้างงาน (20 เปอร์เซนต์)
# อัตราส่วนของคณะต่อนักศึกษา (15 เปอร์เซนต์) วัดจากอัตราส่วนของบุคลากรทางการศึกษาต่อจำนวนนักศึกษา และการติดต่อและให้การสนับสนุนของบุคลากรที่มีต่อนักศึกษา
# การอ้างอิงในรายงาน (10 เปอร์เซนต์) และผลงานของคณะ (10 เปอร์เซนต์) เป็นการรวมทั้งงานที่อ้างอิงใน scopusและ การตีพิมพ์ผลงานโดยคณะนั้น ๆ เอง
# บุคลากรระดับดุษฎีบัณฑิต (5 เปอร์เซนต์)
# สัดส่วนคณะที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) และนักศึกษาต่างชาติ (2.5 เปอร์เซนต์)
# สัดส่วนของรับนักศึกษาและเปลี่ยนที่เข้ามาศึกษา (2.5 เปอร์เซนต์) และการส่งนักศึกษาออกไปแลกเปลี่ยน (2.5 เปอร์เซนต์)
โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 101 ของเอเชีย
# ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจมหาวิทยาลัยทั่วโลก ผลของการสำรวจคัดกรองจาก สาขาที่ได้รับการตอบรับว่ามีความเป็นเลิศโดยมหาวิทยาลัยสามารถส่งสาขาให้ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ 2 สาขาขึ้นไป โดยจะมีผู้เลือกตอบรับเพียงหนึ่งสาขาจากที่มหาวิทยาลัยเลือกมา
# การสำรวจผู้ว่าจ้าง เป็นการสำรวจในลักษณะคล้ายกับในด้านชื่อเสียงทางวิชาการแต่จะไม่แบ่งเป็นคณะหรือสาขาวิชา โดยนายจ้างจะได้รับการถามให้ระบุ 10 สถาบันภายในประเทศ และ 30 สถาบันต่างประเทศที่จะเลือกรับลูกจ้างที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนั้น ๆ รวมถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการ 2 ข้อ
# งานวิจัยที่อ้างต่อ 1 ชิ้นรายงาน โดยข้อมูลที่อ้างอิงจะนำมาจาก Scopus ในระยะ 5 ปี
# H-index ซึ่งคือการชี้วัดจากทั้งผลผลิต และ อิทธิพลจากการตีพิมพ์ผลงานทั้งจากนักวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ
โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 4 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 601-650 ของโลก
น้ำหนักการชี้วัด
การแบ่งคะแนนจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชา เช่น ทางด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นสาขาที่มีอัตราการเผยแพร่งานวิจัยสูง การวัดการอ้างอิงและ h-index ก็จะคิดเป็น 25 เปอร์เซนต์ สำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย ในทางกลับกันสาขาที่มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่น้อยกว่า เช่น สาขาประวัติศาสตร์ จะคิดเป็นร้อยละที่ต่ำกว่าคือ 15 เปอร์เซนต์ จากคะแนนทั้งหมด ในขณะเดียวกันสาขาศิลปะและการออกแบบ ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์น้อยก็จะใช้วิธีการวัดจากผู้ว่าจ้างและการสำรวจด้านวิชาการ
==== การจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking ====
อันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งจะไม่ใด้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล ในปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 634 ของโลก และเป็นอันดับ 20 ของประเทศไทย
==== การจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance ====
อันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP ปี พ.ศ. 2558 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 9 ของประเทศไทย และอันดับ 1370 ของโลก โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิง
== อันดับของมหาวิทยาลัยในด้านอื่น ๆ ==
==== การจัดอันดับโดย QS Graduate Employability Rankings 2018 ====
เป็นการจัดอันดับคุณภาพการจ้างงานของบัณฑิต โดยพิจารณาจาก ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้จ้างงาน ผลผลิตของบัณฑิต อัตราการจ้างงานบัณฑิต เป็นต้น มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทยและอยู่ในช่วงอันดับ 301-500 ของโลก
==== การจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking ====
เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 73 ของโลก
==== การจัดอันดับโดย Webometrics ====
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ ประจำปี พ.ศ. 2559 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก อันดับ Webometrics จะบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ของสถาบัน โดยพิจารณาจากจำนวน Link ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บนั้น ๆ จากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วยSearch Engine และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในกลุ่มของไฟล์ .pdf .ps .ppt และ .doc และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citation) แบบออนไลน์ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) โดยจะจัดอันดับปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ เดือนมกราคม และ เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุดการจัดอันดับรอบที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 8 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 899 ของโลก
==== การจัดอันดับโดย 4 International Colleges & Universities ====
การจัดอันดับของ 4 International Colleges & Universities หรือ 4ICU เป็นการจัดอันดับความนิยมของเว็บไซต์มหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ. 2016 ได้รับการจัดอันดับความนิยมเว็บไซต์เป็นอันดับที่ 11 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 1166 ของโลก
== พื้นที่มหาวิทยาลัย ==
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีศูนย์กลางบริหารอยู่ที่ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร และมีศูนย์ในภูมิภาคอีก 3 ศูนย์
=== ท่าพระจันทร์ ===
[[ตึกโดมท่าพระจันทร์]]
* ตึกโดม จิตรเสน (หมิว) อภัยวงศ์ ออกแบบด้วยการเชื่อมอาคารทั้ง 4 หลัง ที่เป็นของกองพันทหารราบที่ 4 เดิม ต่อเข้าเป็นตึกเดียวกัน จุดเชื่อมอยู่ระหว่างอาคารที่ 2 และ 3 ตึกโดมได้รับการออกแบบให้โดนเด่นตามแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ เพื่อให้เป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่ได้เลียนแบบชาติอื่น ปัจจุบัน ตึกโดมเหลือเพียงอาคาร 2 และ 3 เดิม เพราะตึกฝั่งเหนือถูกทุบเพื่อสร้างตึกคณะเศรษฐศาสตร์ สำนักหอสมุด และอาคารเอนกประสงค์ นอกจากนี้ กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนตึกโดมเป็นโบราณสถาน และสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้คัดเลือกตึกโดมให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทสถาบันและอาคารสาธารณะ ในงานสถาปนิก 48 ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีในขณะนั้น ได้เข้ารับพระราชทานรางวัลดังกล่าวจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2550 ณ ศาลาดุสิตาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
* ลานโพ ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นสถานที่ซึ่งขบวนการนิสิตนักศึกษาประชาชนร่วมกันต่อสู้เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย
เช้าตรู่วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ลานโพเป็นสถานที่เริ่มต้นของการชุมนุมเคลื่อนไหวของนักศึกษา เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวกลุ่มผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ 13 คน ซึ่งถูกรัฐบาลจับกุม ต่อมามีผู้เข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมเพิ่มมากขึ้น จนต้องย้ายไปชุมนุมที่สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ จำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนหลายแสนคน ก่อนเคลื่อนขบวนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวลาเที่ยงตรงของวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และกลายเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
ลานโพ ยังมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เมื่อ พ.ศ. 2519 คือ เป็นสถานที่แสดงละครล้อการเมืองของนักศึกษาในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่หนังสือพิมพ์ดาวสยามประโคมข่าวว่านักศึกษาแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนกระทั่งมีการชุมนุมของลูกเสือชาวบ้านและกลุ่มพลังต่าง ๆ จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ล้อมปราบสังหารนักศึกษา และประชาชน รัฐบุรุษอาวุโส ผู้นำขนวนการเสรีไทย และผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
* กำแพงวังหน้า
ตำแหน่งพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หากจะกล่าวเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว วังหน้าเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราช เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อมีการสร้างพระราชวังหลวง ใน พ.ศ. 2325 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงสร้างวังหน้าขึ้นพร้อมกันทางด้านทิศเหนือของพระราชวังหลวง และอยู่ชิดกับฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้สร้างอาคารอเนกประสงค์ 2 ขึ้น จึงมีการขุดพื้นดินต่าง ๆ และจัดแสดงรูปร่างของกำแพงวังหน้าให้นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมว่ากาลครั้งหนึ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นสถานที่ตั้งของวังหน้า
อนึ่ง นักศึกษาและศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จำนวนหนึ่งมีความเชื่อว่าการที่สถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัย คือ วังหน้า มีความหมายว่า สถานที่แห่งนี้มีจิตวิญญาณของการช่วยเหลือสถาบันทางอำนาจและในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ถ่วงดุลและตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้นำสูงสุดตลอดมา
* กำแพงเก่า ปืนใหญ่ และประตูสนามหลวง
กำแพงเก่า คือ กำแพงด้านถนนพระจันทร์ ซึ่งเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนที่ชาวธรรมศาสตร์เรียกกันว่า "กำแพงชรา" คือ กำแพงของพระราชวังบวรสถานมงคล ที่เหลืออยู่ แต่เดิมกำแพงชราจะมีทั้งด้านถนนพระจันทร์และด้านถนนพระธาตุ-สนามหลวง โดยมีประตูป้อมตรงหัวมุมถนนท่าพระจันทร์-หน้าพระธาตุ เชื่อมกำแพงทั้งสองด้านและเป็นประตูสำหรับการเข้าออก ต่อมาในสมัยที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดี กำแพงและประตูป้อมด้านถนนพระธาตุ-สนามหลวงได้ถูกรื้อลงเพื่อก่อสร้างหอประชุมใหญ่
ใน พ.ศ. 2527 ได้มีการจัดสร้างประตูป้อมขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อเฉลิมฉลองการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอายุครบรอบ 50 ปี ในการก่อสร้างประตูป้อมในครั้งนั้น ได้มีการขุดค้นพบปืนใหญ่ของวังหน้าจำนวน 9 กระบอก ที่ฝังอยู่ใต้ดิน โดยเป็นปืนใหญ่รุ่นโบราณผลิตจากประเทศอังกฤษ ที่ต้องใส่ดินปืน และลูกปืนจากทางด้านหน้าทาง โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้นำขึ้นมาบูรณะแล้วจัดตั้งแสดงไว้ที่ริมรั้วหน้าหอประชุมใหญ่ด้านสนามหลวง
ประติมากรรม 6 ตุลาคม 2519 ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
* หอประชุมใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2497 ในวาระครบรอบ 20 ปี ของการสถาปนามหาวิทยาลัย โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัย มีการวางศิลาฤกษ์ในวันสถาปนามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2497 และสร้างแล้วเสร็จในสมัยที่พลเอก ถนอม กิตติขจร เป็นอธิการบดี ในราว พ.ศ. 2506 โดยหอประชุมนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหอประชุมที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น ทั้งในเรื่องของระบบเสียง ความเย็น และที่นั่ง ซึ่งมีทั้งสิ้น 2,500 ที่นั่ง โดยแยกออกเป็น ที่นั่งชั้นล่าง 1,800 ที่นั่ง และชั้นบน 700 ที่นั่ง ส่วนทางด้านทิศใต้ของหอประชุมนี้จัดทำเป็น หอประชุมเล็ก อีกส่วนหนึ่ง โดยบรรจุคนได้ราว 500 คน ปัจจุบันหอประชุมเล็กเรียกชื่อว่า หอประชุมศรีบูรพา ตามนามปากกาของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย
หอประชุมใหญ่ใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของทางมหาวิทยาลัยและนักศึกษาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับพิธีไหว้ครู พิธีพระราชทานปริญญาบัตร และที่สำคัญได้แก่การจัดกิจกรรมทางการเมืองโดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หอประชุมใหญ่กลายเป็นสถานที่ที่มีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ สภาพการเมืองและสังคม ผ่านการอภิปรายและการจัดนิทรรศการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นเสมือนด่านหน้าในการป้องกันการโจมตี จากกลุ่มอันธพาลการเมือง และการล้อมปราบนิสิตนักศึกษา และประชาชน ในเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 โดยสวนประติมากรรมแห่งนี้เป็นสวนประติมากรรมกลางแจ้ง มีประติมากรรม 8 ชิ้น ใน 11 เหตุการณ์สำคัญ เพื่อความเข้าใจที่กระชับลงตัว โดยให้ผลงานประติมากรรมชิ้นหนึ่งรวม 3 เหตุการณ์ไว้ด้วยกัน มีประติมากรรม ได้แก่ การอภิวัฒน์ พ.ศ. 2475, การก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง, ธรรมศาสตร์กับขบวนการเสรีไทย, ขบวนการนักศึกษา พ.ศ. 2494-2500, ยุคสายลมแสงแดดและยุคแสวงหา, ธรรมศาสตร์กับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516, ธรรมศาสตร์กับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519, ธรรมศาสตร์กับเหตุการณ์พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ทั้งนี้ ประติมากรรมเป็นฝีมือของสุรพล ปัญญาวชิระ
==== การขยายไปศูนย์รังสิต ====
แต่เดิมท่าพระจันทร์นี้ เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนสำหรับกลุ่มวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในระดับปริญญาตรีด้วย แต่ในปัจจุบันหลักสูตรทั้งหมดดังกล่าวได้ขยายไปอยู่ที่ศูนย์รังสิตแล้วตามนโยบายมหาวิทยาลัย เหลือเพียงหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรควบปริญญาตรี-โท และปริญญาตรีโครงการพิเศษ
ในช่วงของการพิจารณาขยายการเรียนการสอนไปยังศูนย์รังสิตดังกล่าวนั้น ได้มีการต่อต้านอย่างหนักจากประชาคมธรรมศาสตร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษา ศิษย์เก่า อาจารย์ และชุมชนท่าพระจันทร์ (ดูจิตวิญญาณธรรมศาสตร์)
=== ศูนย์รังสิต ===
ศูนย์รังสิตเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ 1,757 ไร่ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 99 หมู่ 18 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางเหนือประมาณ 42 กิโลเมตร อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า "กลุ่มวิสาหกิจเทคโนโลยีกรุงเทพตอนบน" โดยมีสถาบันที่อยู่ใกล้เคียงได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียและอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีสวนอุตสาหกรรมจำนวนมากในพื้นที่ใกล้เคียง
อาคารปิยชาติ
จากมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 3/2528 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2528 จึงเป็นคณะแรกที่เปิดสอนที่ศูนย์รังสิต ในปีการศึกษา 2529
17 มิถุนายน พ.ศ. 2528 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดอาคารศูนย์ญี่ปุ่นศึกษา ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณค่าก่อสร้างจากรัฐบาลญี่ปุ่น และในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงประกอบพิธีเปิดอาคารสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ รังสิต
ต่อมาใน พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัยเห็นควรสร้างอาคารหอพระและเอนกประสงค์ศาลาในบริเวณเดียวกับองค์พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเททองหล่อพระ จำนวน 4 องค์ เพื่อประดิษฐาน ณ ท่าพระจันทร์ ศูนย์รังสิต ศูนย์พัทยา และสมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทั้งพระราชทานนามพระพุทธรูปดังกล่าวว่า "พระพุทธธรรมทิฐิศาสดา" เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2527 โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์อาคารหอพระเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2542 และต่อมาได้อัญเชิญพระพุทธธรรมทิฐิศาสดามาประดิษฐาน ณ หอพระดังกล่าว
ภายในศูนย์ประกอบด้วยกลุ่มอาคารเรียนต่าง ๆ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อาคารอำนวยการ อาคารบริการวิชาการ เช่น ศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษา โรงพิมพ์ สิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ร้านอาหาร ร้านค้าและธนาคาร กลุ่มหอพักนักศึกษาและบุคลากร โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาคารระบบสาธารณูปโภค เช่น โรงไฟฟ้าย่อย และโรงบำบัดน้ำเสีย ศูนย์นี้ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นศูนย์กีฬากลางแจ้งและในร่มขนาดใหญ่ ที่เคยเป็นสนามกีฬารองรับการแข่งขันระดับนานาชาติ เช่น เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2541 และ กีฬามหาวิทยาลัยโลก พ.ศ. 2550
ตามมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 6/2548 วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ศูนย์นี้เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอน สำหรับหลักสูตรภาคปกติทุกกลุ่มวิชา โดยเริ่มต้นสำหรับนักศึกษาที่รับเข้าในปีการศึกษา 2549 และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ
และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้เปิด อุทยานเรียนรู้ป๋วย 100 ปี เนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หลังจากเริ่มการสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 โดยหัวเรือใหญ่อย่าง อาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเปิดให้ทั้งนักศึกษาและคนทั่วไปเข้าใช้งานบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ภายใต้การทำงานร่วมกันกับทีมออกแบบผังแม่บท CIDAR (Center of Innovative Design and Research) แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทีมสถาปนิกจากสถาบันอาศรมศิลป์ นำโดยอาจารย์ธีรพล นิยม ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) และอาจารย์กชกร วรอาคม ภูมิสถาปนิกแห่ง LANDPROCESS เพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอย ที่ยังคงไว้เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
=== ศูนย์ลำปาง ===
เสลี่ยงเชิญตราธรรมจักรในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 66 โดยองค์การนักศึกษาร่วมกับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านกิจกรรมนักศึกษาเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีการบังคับนักศึกษาให้ทำกิจกรรมแต่อย่างใดเนื่องจากมหาวิทยาลัยเคารพในเสรีภาพในการเลือกที่จะทำหรือไม่ทำกิจกรรมของนักศึกษา โดยกิจกรรมนักศึกษาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยกิจกรรมนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2563 เป็นธรรมนูญในการจัดโครงสร้างและความสัมพันธ์ขององค์กรกิจกรรมนักศึกษา
# องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) เป็นตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากนักศึกษา โดยคณะกรรมการบริหารประกอบไปด้วยนายกองค์การนักศึกษา และอุปนายกองค์การนักศึกษา ระดับศูนย์ 3 ศูนย์การศึกษา ได้แก่ ท่าพระจันทร์ รังสิต และลำปาง (พัทยายังไม่มีการจัดตั้งองค์การนักศึกษา ระดับศูนย์ เนื่องจากมีจำนวนนักศึกษาน้อย) เลขาธิการองค์การนักศึกษา และกรรมการองค์การนักศึกษาฝ่ายอื่น ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลชุมนุมชมรมในฝ่ายที่ตนรับผิดชอบ องค์การนักศึกษามีหน้าที่จัดกิจกรรมภายในของนักศึกษา พิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของนักศึกษา อีกทั้งยังทำหน้าที่ผ่านงบประมาณของชุมนุม ชมรม และกลุ่มอิสระในขั้นตนเพื่อเสนอต่อสภานักศึกษา โดยทำงานประสานกับ งานกิจกรรมนักศึกษา กองกิจการนักศึกษา และสภานักศึกษา มีวาระการทำงาน 1 ปี โดยข้อบังคับมหาวิทยาลัยกำหนดให้ในกรณีที่นายกองค์การนักศึกษาพ้นจากตำแหน่ง จะต้องมีการจัดการเลือกตั้งนายกองค์การนักศึกษาคนใหม่โดยเร็ว เนื่องจากไม่มีการกำหนดกลไกการรักษาการในตำแหน่งไว้แต่อย่างใด
# สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สนธ.) เป็นตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากนักศึกษาในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนักศึกษาที่ลงสมัครับเลือกตั้ง (Party List) ประกอบด้วย 3 ศูนย์รังสิต คือ รังสิต ท่าพระจันทร์ และ ลำปาง โดยประธานสภานักศึกษามีที่มาจากการเลือกกันเองโดยที่ประชุมสภานักศึกษาร่วมกันทุกศูนย์การศึกษา ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกจะเป็นประธานสภานักศึกษา ระดับศูนย์ที่ตนสังกัดโดยตำแหน่ง และมีรองประธานสภานักศึกษามาจากผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภานักศึกษา ระดับศูนย์อื่น อีก 2 ตำแหน่ง สภานักศึกษาทำหน้าที่พิจารณาโครงการ งบประมาณ การจัดตั้ง-ยุบชุมนุมชมรม รวมไปถึงการพิจารณากฎ ระเบียบต่าง ๆ ของแต่ละศูนย์ หากมีเรื่องเร่งด่วนจะมีการประชุมสภาทั้งหมด โดยทำงานประสานกับ งานกิจกรรมนักศึกษา กองกิจการนักศึกษา และอมธ. มีวาระการทำงาน 1 ปี
# คณะกรรมการหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (กพน.) กำกับดูแลหอพักนักศึกษา โดยทำงานประสานกับกลุ่มงานผู้ช่วยอาจารย์หอพัก สำนักงานจัดการทรัพย์สิน
# คณะกรรมการนักศึกษาประจำคณะ (กน.) คณะกรรมการนักศึกษาของแต่ละคณะมีทำหน้าที่ดำเนินกิจกรรมและเป็นตัวแทนของนักศึกษาในคณะ อยู่ในความดูแลของรองคณบดีหรือผู้ช่วยคณบดีฝ่ายการนักศึกษาของคณะนั้น ๆ
# คณะกรรมการการเลือกตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (กตธ.) องค์กรที่ดูแลการเลือกตั้งเฉพาะการเลือกตั้งระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนเมษายน โดยกกต. แต่ละชุด มีวาระ 1 ปี และจะทำการเลือกกกต. ชุดใหม่ด้วยการประกาศรับสมัครนักศึกษาเข้ารับการสรรหา ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังประกอบด้วยชุมนุมชมรมต่าง ๆ แบ่งได้เป็น 4 ฝ่าย ดังต่อไปนี้
* ฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรม ได้แก่ ชุมนุมโขนธรรมศาสตร์ ชุมนุมสันทนาการ (กองสันทนาการ; RCATU) ชุมนุมเชียร์ ชุมนุมศิลปะและการแสดงแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Drama Club Thammasat) ชุมนุมถ่ายภาพ (Photo Club) ชุมนุมดนตรีไทย ชุมนุมดนตรีสากลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU Band) ชุมนุมดุริยางค์สากลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TUSO) ชุมนุมขับร้องและประสานเสียง (TU Chorus) ชุมนุมทียูโฟล์คซองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU Folksong) ชุมนุมวรรณศิลป์ ชมรมโดมทักษิณ ชมรมนักศึกษาชาวเหนือ ชมรมนักศึกษาอีสาน ชุมนุมปาฐกถาและโต้วาที ชุมนุมปาฐกถาภาษาอังกฤษ (Debate Club) ชมรมโบราณคดีและไทยศึกษา และชมรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร (TACTU)
* ฝ่ายศาสนาและจริยธรรม ได้แก่ ชุมนุมศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน ชมรมมุสลิม ชมรมคาทอลิก และชมรมคริสเตียน
* ฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์ ได้แก่ ชุมนุมค่ายอาสาพัฒนาชนบท ชุมนุมพัฒนาชายหญิงเพื่อสังคม (Youth Club) สโมสรโรตาแรคท์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชุมนุมสังคมพัฒนา ชุมนุมอนุรักษ์ธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ชุมนุมค่ายอาสาพัฒนาชาวไทยภูเขา ชุมนุมเพื่อนโดมสัมพันธ์ ชมรมอนุรักษ์นกและศึกษาธรรมชาติ ชมรมสิทธิมนุษยชน ชมรมนักศึกษาโครงการเรียนดีจากชนบท ชมรมวิทยุและกระจายเสียง และชุมนุมยูทฟอร์เน็กซ์สเต็ป (Youth for Next Step)
* ฝ่ายกีฬา ได้แก่ ชุมนุมกรีฑา ชุมนุมกีฬาในร่ม ชุมนุมคาเต้-โด ชมรมเทควันโด ชุมนุมยูโด ชุมนุมแบดมินตัน ชุมนุมเทเบิลเทนนิส ชุมนุมลอนเทนนิส ชุมนุมฟุตบอล ชุมนุมรักบี้ฟุตบอล ชุมนุมบาสเกตบอล ชุมนุมวอลเลย์บอล ชุมนุมซอฟท์บอลและเบสบอล ชุมนุมตะกร้อ ชุมนุมเปตอง ชุมนุมกีฬาทางน้ำ ชุมนุมฟันดาบสากล ชุมนุมยิงปืน ชุมนุมยิงธนู ชุมนุมกีฬาลีลาศ ชุมนุมเพาะกาย ชมรมมวย ชุมนุมกอล์ฟ ชมรมมวยไทย ชมรมฟุตบอล ชมรมรักบี้ฟุตบอล ชมรมยิงปืน ชมรมตระกร้อ ชมรมยิงธนู ชมรมว่ายน้ำ ชมรมฟันดาบ ชมรมโปโลน้ำ ชมรมบาสเก็ตบอล ชมรมวอลเล่ย์บอล ชมรมเทควันโด และชมรมคาราเต้
* กลุ่มอิสระ ได้แก่ กลุ่มอิสระล้อการเมือง กลุ่มอิสระลานสรรค์ กลุ่มอิสระไม้ขีดไฟ กลุ่มอิสระเพาะรัก กลุ่มอิสระสังคมนิยมประชาธิปไตย และกลุ่มลีดตลก ประจำงานฟุตบอลประเพณีฯ
* พรรคนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนเจตนารมณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย โดยส่วนมากพรรคการเมืองถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี การจัดตั้งต้องทำก่อนการเลือกตั้งและจัดตั้งผ่านนายทะเบียนพรรคนักศึกษา ซึ่งพรรคการเมืองหนึ่งพรรคสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ทุกตำแหน่งพร้อมกัน ทั้งนายกองค์การนักศึกษา อุปนายกองค์การนักศึกษา ระดับศูนย์ สมาชิกสภานักศึกษา ประธานกรรมการนักศึกษาประจำคณะ รวมถึงประธานกรรมการหอพักนักศึกษาได้
* ชมรมชุมนุมในหอพัก ได้แก่ สโมสรนักศึกษาสภากาแฟ กลุ่มกิจกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ITTAG) กลุ่มพัฒนาศักยภาพ (R&DTC) และกลุ่มส่งเสริมคุณภาพชีวิต
องค์การนักศึกษา สภานักศึกษา ชมรมชุมนุม และกลุ่มอิสระต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่มีที่ทำการอยู่ ณ อาคารกิจกรรมนักศึกษา กองกิจการนักศึกษา ยกเว้นชุมนุมสายกีฬาที่มีที่ทำการอยู่ ณ ศูนย์บริการการกีฬา อาคารยิมเนเซียม 7 และคณะกรรมการหอพักนักศึกษา ชมรมชุมนุมในส่วนของหอพักอยู่ภายในศูนย์ต่าง ๆ ที่หมู่บ้านเอเชี่ยนเกมส์ ศูนย์เหล่านี้เรียกว่า "น็อก" (NOC) เพราะเดิมเป็นที่พักคณะกรรมการโอลิมปิกส์แห่งชาติ (National Olympic Committee)
=== กีฬาและนันทนาการ ===
ภาพการแปรอักษรประจำงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 68
=== ศิลปวัฒนธรรม ===
* คอนเสิร์ตประสานเสียงสามสถาบัน จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ การแสดงคอนเสิร์ตร่วมของสถานศึกษา 3 แห่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานเพลงประจำ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
: ดูเพิ่มที่ รายชื่อบุคคลจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ปรีดี พนมยงค์หัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกขบวนการเสรีไทย นายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของไทย ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 และรัฐบุรุษอาวุโส
* ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สมาชิกขบวนการเสรีไทย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ
* สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ องคมนตรี นายกรัฐมนตรีคนที่ 12 ของไทย และประธานองคมนตรี
* โสภณ รัตนากร, ศาสตราจารย์พิเศษ : ศาสตราจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประธานศาลฎีกาคนที่26, ปลัดกระทรวงยุติกรรม, กรรมการกฤษฎีกา
== การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ==
ใน พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ซึ่งมีเงื่อนไขส่วนหนึ่งว่าด้วยการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย ต่อมา คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้เปลี่ยนสภาพมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยของตน มีหลักการสำคัญที่กำหนดให้มหาวิทยาลัยไม่เป็นส่วนราชการ แต่อยู่ในกำกับของรัฐ เพื่อการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและคล่องตัวอันจะช่วยให้จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในกำกับของรัฐเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย
คณะกรรมการได้พิจารณาเกี่ยวกับแนวคิด หลักการ ตลอดจนประเด็นที่เกี่ยวข้อง และได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... ขึ้นมาฉบับหนึ่ง ใน พ.ศ. 2543 แล้วนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นเผยแพร่ให้ประชาคมธรรมศาสตร์แสดงความคิดเห็น
หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2546 กำหนดหลักการกลาง 10 ประการที่ต้องมีในร่างพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกฉบับ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจึงส่งร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... ส่งคืนมาให้มหาวิทยาลัยแก้ไข แต่มหาวิทยาลัยเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติสอดคล้องกับหลักการกลางที่คณะรัฐมนตรีกำหนดแล้ว จึงไม่แก้ไขอีก และส่งร่างพระราชบัญญัติคืนให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ต่อมา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการของร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
การเปลี่ยนสภาพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐก่อให้เกิดการคัดค้านและการตั้งคำถามต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐจะสนใจเพียงค่าหน่วยกิตและค่าธรรมเนียมการศึกษาซึ่งมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งกิจกรรมกลายเป็นธุรกิจมากขึ้น จนใส่ใจต่อสังคมน้อยลง หรือผู้บริหารจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการพิจารณาสัญญาจ้างและในการประเมินพนักงาน จนนำไปสู่ระบบเผด็จการของผู้บริหารหรือไม่
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... และส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
== เตรียมธรรมศาสตร์ ==
โรงเรียนเตรียมปริญญา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง หรือ เตรียมธรรมศาสตร์ (ต.มธก.) ตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2481 มีหลักสูตร 2 ปี เพื่อรับผู้ประสงค์จะเข้าเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองโดยตรง โรงเรียนเตรียมปริญญามีหลักสูตรการสอนหนักไปทางด้านภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และวิชาด้านสังคม เช่น ปรัชญา วิชาเทคโนโลยี ดนตรี พิมพ์ดีด และชวเลข เป็นต้น โรงเรียนเตรียมปริญญามีทั้งหมดรวม 8 รุ่น จนถึง พ.ศ. 2490 จึงถูกยกเลิกไป
ปัจจุบันได้มีค่าย "เตรียมธรรมศาสตร์" ซึ่งจัดโดย องค์การนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดตั้งเพื่อให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้เข้ามาสัมผัสชีวิต การเป็นอยู่ การเรียนในมหาวิทยาลัยในรูปแบบธรรมศาสตร์ และบรรยากาศแบบดั่งเดิมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองของพระนคร 3 วัน 2 คืน จัดในช่วงต้นปีของทุก ๆ ปี
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* จิตวิญญาณธรรมศาสตร์
* คณะราษฎร
* ธรรมจักร (ตราประจำมหาวิทยาลัย)
* เพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ (ยูงทอง) (เพลงประจำมหาวิทยาลัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน)
* หางนกยูงฝรั่ง (ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย)
* โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
* สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์
* งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
* โดม เอฟซี - สโมสรฟุตบอลอาชีพของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* งานรักบี้ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
* เชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* โขนธรรมศาสตร์
* มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง
* มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา
* เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
* เหตุการณ์ 6 ตุลาคม
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ธรรมศาสตร์
ธรรมศาสตร์
หมวดหมู่:สถานศึกษาในเขตพระนคร
หมวดหมู่:สถานศึกษาในอำเภอคลองหลวง
หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2477
หมวดหมู่:คณะราษฎร
หมวดหมู่:ปรีดี พนมยงค์
หมวดหมู่:เครือข่ายการศึกษาและการวิจัยแห่งลุ่มแม่น้ำโขง
ธรรมศาสตร์
หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา |
670 | https://th.wikipedia.org/wiki/วิศวกรรมซอฟต์แวร์ | วิศวกรรมซอฟต์แวร์ | วิศวกรรมซอฟต์แวร์ () เป็นศาสตร์เกี่ยวกับวิศวกรรมด้านซอฟต์แวร์ มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการใช้กระบวนการทางวิศวกรรมในการดูแลการผลิต ตั้งแต่การเริ่มเก็บความต้องการ การตั้งเป้าหมายของระบบ การออกแบบ กระบวนการพัฒนา การตรวจสอบ การประเมินผล การติดตามโครงการ การประเมินต้นทุน การรักษาความปลอดภัย ไปจนถึงการคิดราคาซอฟต์แวร์เป็นต้น
วิศวกรรมซอฟต์แวร์ประยุกต์ความรู้และเทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่สามารถปฏิบัติงานตามเป้าหมาย ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
วิศวกรรมซอฟต์แวร์เป็นศาสตร์ที่ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากในปัจจุบัน ซอฟต์แวร์มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีการวิศวกรรมที่จะควบคุมและดำเนินการผลิต ที่มีประสิทธิภาพ สามารถวัดผลได้ และ สามารถตรวจหาข้อผิดพลาดพร้อมสาเหตุได้ อย่างสะดวกและรวดเร็ว เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ตั้งแต่อยู่ในระหว่างการผลิตได้อีกทั้งยังมีการทบทวนและตรวจสอบ
ในแง่ของศาสตร์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้น วิศวกรรมซอฟต์แวร์ เป็นหนึ่งในห้าสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร และ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ หรือ ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ
== วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ==
วิศวกรรมซอฟต์แวร์ คือ การประยุกต์ใช้ระบบ กฎเกณฑ์ การเข้าถึงซึ่งสามารถวัดประเมินได้ในการพัฒนา การปฏิบัติการ และการบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ และในการศึกษาสิ่งเหล่านี้ ก็คือการประยุกต์ใช้งานทางด้านวิศวกรรมมาจัดการกับซอฟต์แวร์ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่เปิดสอนหลักสูตรวิศวกรรมซอฟต์แวร์เป็นแห่งแรก คือ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อตกลงทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในการประชุมวิศวกรรมซอฟต์แวร์นาโต ที่จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1968 และได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ "วิกฤติการณ์ซอฟต์แวร์" ในขณะนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิศวกรรมซอฟต์แวร์ก็ได้กลายมาเป็นศาสตร์และแขนงของการศึกษาเฉพาะ ในการสร้างซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพสูงขึ้น มีราคาถูกลงเป็นที่ยอมรับได้ ดูแลรักษาได้ง่าย และพัฒนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น ตั้งแต่นั้นก็ยังคงมีการเปรียบเทียบวิศวกรรมซอฟต์แวร์กับวิศวกรรมแขนงอื่น ยังคงมีการถกเถียงกันว่าวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่แท้จริงคืออะไร และวิศวกรรมซอฟต์แวร์สมควรเป็นหนึ่งในสาขาวิศวกรรมหรือไม่ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ได้ขยายวงกว้างอย่างไร้ขีดจำกัดไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ เช่น โปรแกรมเมอร์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ในบางครั้งข้อตกลงอาจขึ้นอยู่กับผู้ที่มีส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการสร้างซอฟต์แวร์
== วิชาชีพ ==
ในบางสาขาอาชีพ ยกตัวอย่างเช่น ในรัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ใบอนุญาตของวิศวกรทางด้านซอฟต์แวร์ ในหลาย ๆ พื้นที่ในโลก ไม่มีกฎหมายควบคุมอาชีพวิศวกรทางด้านซอฟต์แวร์ แต่มีข้อกำหนดบางอย่างจาก สถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Institute of Electrical and Electronics Engineers: IEEE) และสมาคมคอมพิวเตอร์ (ACM) ซึ่งเป็นองค์กรหลักในด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ใน IEEE ได้กำหนดแนวทางไว้ในองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์เมื่อปี 2547 ได้กำหนดแนวทางและกำหนดกรอบความรู้ที่วิศวกรด้านซอฟต์แวร์ควรรู้ และยังกำหนดจรรยาบรรณของวิศวกรซอฟต์แวร์ และนอกจากนี้ IEEE ยังมีการตีพิมพ์พจนานุกรมว่าด้วยวิศวกรรมซอฟต์แวร์และวิศวกรรมระบบ
== การจ้างงาน ==
ในปี 2004 ในสหรัฐ สำนักแรงงานสถิติ นับ 760840 ซอฟต์แวร์วิศวกร ถืองานในสหรัฐ; ในช่วงเวลาเดียวกันมีบาง 1.4 ล้านประกอบทำงานในสหรัฐในอื่น ๆ ทั้งหมดรวมวิศวกรรมฝึกหัด เนื่องจากความญาติเป็นความแปลกฟิลด์การศึกษาทางการศึกษาในวิศวกรรมซอฟต์แวร์ นั้นมักจะสอนเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และเป็นผล มากที่สุดซอฟต์แวร์วิศวกรถือด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์องศา
ส่วนใหญ่ วิศวกรซอฟต์แวร์ ทำงานเป็นพนักงานหรือผู้ว่าจ้าง วิศวกรซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับธุรกิจหน่วยงานราชการ (พลเรือนหรือทหาร) และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร บางซอฟต์แวร์วิศวกรสามารถทำงานด้วยตนเองได้ บางองค์กรมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละดำเนินงานใน กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ องค์กรอื่น ๆ ต้องทำวิศวกรซอฟต์แวร์จำนวนมากหรือทั้งหมดของพวกเขา มากในโครงการคนอาจชำนาญในเดียวบทบาท โครงการขนาดเล็กคนอาจกรอกหลายหรือทั้งหมดบทบาทในเวลาเดียวกัน Specializations ประกอบด้วย: ในอุตสาหกรรม (นักวิเคราะห์ สถาปนิก นักพัฒนา ทดสอบ การสนับสนุนทางเทคนิค ผู้จัดการ) และในด้านวิชาการ (นักวิชาการศึกษา นักวิจัย)
มีความถกเถียงในอนาคตโอกาสการจ้างงานสำหรับวิศวกรและซอฟต์แวร์อื่น ๆ ไอที ผู้เชี่ยวชาญด้าน ตัวอย่างเช่นออนไลน์ล่วงหน้าตลาดที่เรียกว่า "อนาคตของ ITJOBS ไอทีงานในอเมริกา" พยายามตอบว่าจะมีเพิ่มเติมไอทีงานรวมทั้งซอฟต์แวร์วิศวกรในกว่า 2012 มีใน ค.ศ. 2002
== การรับรอง ==
การรับรองวิชาชีพของ วิศวกรซอฟต์แวร์ ยังเป็นเรื่องโต้แย้งกันอยู่ บ้างก็เห็นว่าใบรับรองเป็นเครื่องมือสำหรับยกระดับหลักปฏิบัติของมืออาชีพ และ วัตถุประสงค์ของการให้ใบรับรองวิชาชีพวิศวกรซอฟต์แวร์ เป็นการปกป้องสาธารณะ
สมาคมคอมพิวเตอร์หรือ ACM มีการรับรองวิชาชีพในปี 1980 และถูกยกเลิกไปเนื่องจากขาดความสนใจ ACM ได้มีการตรวจสอบความเป็นไปได้ของการรับรองวิชาชีพ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ในปี 1990 แต่ในที่สุดการรองดังกล่าวก็ถูกตัดสินว่าไม่เหมาะสมในเรื่องการรับรองวิชาชีพในอุตสาหกรรมของวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ในปี 2006 สมาคม IEEE ได้มีการรับรองวิชาชีพซอฟต์แวร์เกิน 575 ราย ในประเทศแคนาดา Canadian Information Processing Society ได้สร้างกฎหมายที่รู้จักเพื่อรองรับอาชีพข้อมูลระบบผู้เชี่ยวชาญ สถาบันวิศวกรรม ซอฟต์แวร์ได้ให้การรับรองที่ระบุหัวข้อขึ้น เช่นความปลอดภัย การปรับปรุงกระบวนการของสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ การรับรองโปรแกรมส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมไอทีเป็นการรับรองเชิงเฉพาะด้านเทคโนโลยี และมีการจัดการโดยผู้ขายเทคโนโลยีเหล่านี้ โปรแกรมเหล่านี้มีการรับรองที่เหมาะสมกับสถาบันที่จะว่าจ้างให้บุคคลที่ใช้กับเทคโนโลยีนั้น
== ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ ==
นักศึกษาหลายคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความกลัวและได้หลีกเลี่ยงที่จะมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเกี่ยวข้องกับวิศวกรรมซอฟต์แวร์เนื่องจากเกิดความกลัวเรื่องการจ้างงานจากภายนอกประเทศ offshore outsourcing (การนำเข้าผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หรือบริการจากต่างประเทศ) และการย้ายที่อยู่ การต้องเดินทางไปทำงานต่างชาติ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาล ไม่ได้แสดงสถิติการคุกคามถึงวิศวกรรมซอฟต์แวร์ อาชีพที่เกี่ยวข้อง กระบวนการเขียนโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ ดูเหมือนว่าจะไม่ปรากฏให้เห็น บ่อยครั้งมีจำนวนหนึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นเป็นโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ก่อนที่จะมีการ เลื่อนขั้นให้เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ดังนั้น อาชีพทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์มีความยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระหว่างช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ
บางครั้งที่ปรึกษามักแนะนำนักศึกษาให้สนใจในเรื่องของ "ทักษะบุคคล" และทักษะองค์กร มากกว่าทักษะด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว เพราะ "ทักษะเบื้องต้น" นี้ จะถูกนำไปใช้มากกว่าทักษะในระดับที่ยากมากขึ้น มันมีมุมมองด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ดูเหมือนจะเริ่มต้นการจำกัดโดยโลกาภิวัฒน์มากยิ่งขึ้น
== การศึกษา ==
ความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับอาชีพของวิศวกรซอฟต์แวร์ แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่วิศวกรซอฟต์แวร์มีวุฒิการศึกษาในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เนื่องจากอดีตยังไม่ค่อยมีหลักสูตรการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาในสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ อย่างไรก็ตามได้มีการเริ่มมีหลักสูตรสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เปิดสอนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ในช่วงปี ค.ศ. 2001-2004 ได้คณะวิชาการกลุ่มหนึ่งได้พัฒนาหลักสูตรต้นแบบ () สำหรับวิศวกรรมซอฟต์แวร์ระดับปริญญาตรี เรียกว่า SE2004 เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล การพัฒนาหลักสูตรต้นแบบดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสมาคม ACM และสมาคมคอมพิวเตอร์แห่ง IEEE
ในปี ค.ศ. 1998 มหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแห่งนาวาล (Naval Postgraduate School) ในสหรัฐ ได้ริเริ่มหลักสูตรปริญญาเอกสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์เป็นครั้งแรกในโลก Steve McConnell ได้ให้ความเห็นว่า เป็นเพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีการเรียนการสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์มากกว่าวิศวกรรมซอฟต์แวร์ จึงทำให้ขาดแคลนวิศวกรซอฟต์แวร์ที่แท้จริง ในปี ค.ศ. 2004 สมาคมคอมพิวเตอร์แห่ง IEEE ได้พัฒนา องค์ความรู้ สำหรับสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ หรือเรียกว่า Software Engineering Body of Knowledge จนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO (ISO/IEC TR 19759:2005)
European Commission ภายในโปรแกรม Erasmus Mundus สำหรับนักศึกษาจากยุโรป และประเทศอื่น ๆ. นี่เป็นการร่วมกันของ4มหาวิทยาลัยในยุโรป
== สาขาวิชาย่อย ==
วิศวกรรมซอฟต์แวร์สามารถแบ่งออกไปได้อีก 10 สาขาวิชาย่อย คือ
* การวิเคราะห์ความต้องการของซอฟต์แวร์: การศึกษาวิเคราะห์ข้อกำหนดและข้อกำหนดสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของซอฟต์แวร์.
* การออกแบบซอฟต์แวร์: การออกแบบซอฟต์แวร์มักใช้เครื่องมือช่วยในการออกแบบ Computer-Aided Software Engineering (CASE) และใช้การออกแบบที่เป็นมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปเช่น การออกแบบโดยใช้ภาษายูเอ็มแอล (UML) เป็นต้น
* การพัฒนาซอฟต์แวร์: การพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยภาษาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ
* การทดสอบซอฟต์แวร์: การทดสอบการทำงานของซอฟต์แวร์
* การบำรุงรักษาซอฟต์แวร์: ระบบซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มักมีปัญหาหลาย ๆ อย่าง หลังจากพัฒนาเสร็จแล้วยังจำเป็นต้องมีการเพิ่มเติมเรื่อย ๆ เป็นเวลาอีกยาวนาน
* การจัดการการตั้งค่าซอฟต์แวร์: เนื่องจากซอฟต์แวร์เป็นระบบที่มีคววมซับซ้อนสูง การกำหนดค่า (เช่นการควบคุมเวอร์ชันและการควบคุมซอร์ซโค๊ด) ต้องได้รับการจัดการตามมาตรฐานและกรรมวิธีที่ถูกต้อง
* การจัดการวิศวกรรมซอฟต์แวร์: การบริหารจัดการระบบซอฟต์แวร์เรียนแบบมาจากการบริหารโครงการ แต่มีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งจะพบแค่ในสาขาของซอฟต์แวร์
* กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์: กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นหัวข้อที่มีผู้พูดถึงเป็นอย่างมาก เช่น กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอจายล์ () หรือ กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบน้ำตก (Waterfall)
* เครื่องมือในวิศวกรรมซอฟต์แวร์
* คุณภาพซอฟต์แวร์: การควบคุมคุณภาพซอฟต์แวร์ และการประกันคุณภาพให้กับการพัฒนาซอฟต์แวร์
* ซอฟต์แวร์ท้องถิ่น: เป็นหนึ่งสาขาของอุตสาหกรรมนี้ที่เกี่ยวกับภาษาท้องถิ่น
== ดูเพิ่ม ==
* Computer-Aided Software Engineering
== อ้างอิง == |
671 | https://th.wikipedia.org/wiki/การเมืองไทย | การเมืองไทย | ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวซึ่งมีการปกครองในกรอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาภายใต้ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยที่พระมหากษัตริย์ ซึ่งปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นประมุขแห่งรัฐ ส่วนนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันคือ แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้ารัฐบาล รัฐบาลไทยเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติอยู่กับรัฐสภาไทย ซึ่งแบ่งเป็นสองสภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ฝ่ายตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ โดยมีประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นประมุขในส่วนของตน
ระบบการเมืองของไทยส่วนใหญ่อยู่ในระบบหลายพรรคการเมือง ทำให้เกิดรัฐบาลผสมและรัฐบาลฝ่ายข้างน้อยซึ่งเป็นคุณลักษณะที่เกิดได้บางครั้งในการเมืองระบบรัฐสภา ระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดที่ใช้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ทำให้เกิดระบบสองพรรคการเมือง ซึ่งพรรคไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์เป็นสองพรรคใหญ่ที่ครองที่นั่งในรัฐสภา อย่างไรก็ดี หลังรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 การเมืองไทยกลับเข้าสู่ระบบหลายพรรคการเมืองอีกครั้ง
พัฒนาการการเมืองไทยเต็มไปด้วยเหตุการณ์รัฐประหารและการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยมีรัฐประหารมากที่สุดในโลกในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย พระมหากษัตริย์ยังคงมีพระราชอำนาจเหนือการเมืองในทางพฤตินัย และบทบาทดังกล่าวชัดเจนขึ้นหลังการมีส่วนและสนับสนุนรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549
อีโคโนมิสต์อินเทลลิเจนซ์ยูนิตจัดประเทศไทยเป็น "กึ่งอำนาจนิยม" ใน พ.ศ. 2561"
== พระมหากษัตริย์ ==
พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งปัจจุบันได้แก่ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นประมุขแห่งรัฐของไทย ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยทางอำนาจสามฝ่ายของรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ อัครศาสนูปถัมภก และจอมทัพไทย พระมหากษัตริย์ทรงมีคณะองคมนตรีทำหน้าที่ถวายความเห็นในพระราชกรณียกิจที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่งตั้งและให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง แต่งตั้งและให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง
ในทางกฎหมายพระมหากษัตริย์ไทยทรงมีพระราชอำนาจจำกัดตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี การกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำลายพระราชอำนาจโดยพฤตินัย ธงทอง จันทรางศุ เขียนถึงพระราชอำนาจนี้ว่า "แม้ว่าพระราชอำนาจดังกล่าวจะมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใดก็ตาม แต่ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เข้าใจตรงกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าเป็นพระราชอำนาจที่มีอยู่จริง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นพระราชอำนาจส่วนที่สำคัญที่สุดในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญเท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน" ทั้งยังทรงมีบทบาททางการเมืองไทยโดยเห็นได้จากการแทรกแซงในวิกฤตการณ์การเมือง และบางทีก็แทรกแซงการเมืองโดยตรงด้วย เช่น ในการรับรองคณะรัฐประหาร ซึ่งก็ปรากฏว่าบางทีพระมหากษัตริย์ก็ไม่รับรองคณะรัฐประหารเหมือนกันดังกบฏยังเติร์กในปี 2524
การสืบราชสันตติวงศ์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลดังกล่าวเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ การสืบราชสันตติวงศ์มีลักษณะเป็นการโอนจากบิดาสู่บุตรตามหลักบุตรคนหัวปีเฉพาะที่เป็นชาย แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฉบับปัจจุบันเปิดให้เสนอพระนามพระราชธิดาขึ้นสืบราชบัลลังก์ได้ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้
== สภานิติบัญญัติ ==
รัฐสภาไทยเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เป็นสภาระบบสองสภา อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รัฐสภามีหน้าที่อนุมัติงบประมาณและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เช่นเดียวกับระบบรัฐสภาส่วนใหญ่ อำนาจนิติบัญญัติส่วนใหญ่เป็นสิทธิของสภาล่างคือสภาผู้แทนราษฎร ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง
=== สภาผู้แทนราษฎร ===
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สภาผู้แทนราษฎรไทยประกอบด้วยสมาชิก 500 คน ซึ่งได้รับการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม คือ สมาชิก 350 คนได้รับการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด และ 150 คนมาจากระบบบัญชีรายชื่อโดยใช้ระบบที่นั่งปรับระดับ (leveling seat) ซึ่งยึดตามระบบการเลือกตั้งของประเทศเยอรมนี สมาชิกมีวาระ 4 ปีหรือจนมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรสามารถริเริ่มร่างพระราชบัญญัติ มีอำนาจให้สัตยาบันหรือปฏิเสธพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร และให้จัดการเลือกตั้งใหม่
=== วุฒิสภา ===
วุฒิสภาเป็นสภาสูง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีสมาชิก 250 คนมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองในรัฐประหารเมื่อปี 2557 เป็นผู้แต่งตั้ง 194 คน เป็นโดยตำแหน่ง 6 คน และมาจากการสรรหาจากกลุ่มอาชีพ 50 คน สมาชิกมีวาระ 5 ปี วุฒิสภาไทยที่วาระสั้นที่สุดได้แก่ วุฒิสภาไทย ชุดที่ 11
วุฒิสภามีอำนาจน้อยกว่าสภาผู้แทนราษฎร กล่าวคือ สามารถใช้สิทธิยับยั้งร่างกฎหมายได้ แต่สภาผู้แทนราษฎรสามารถกลับสิทธิยับยั้งดังกล่าว ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภาพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่ได้รับมติเห็นชอบเมื่อครั้งการลงประชามติในปี 2559 ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ใน วุฒิสภาไทย ชุดที่ 13
== ฝ่ายบริหาร ==
รัฐธรรมนูญกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลและประมุขฝ่ายบริหารโดย เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 นายกรัฐมนตรีมาจากการลงมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 (และวุฒิสภาชุดแรกหลังรัฐธรรมนูญปี 2560) โดยใช้คะแนนเสียงข้างมาก ปกติรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอ ซึ่งบุคคลนั้นไม่จำเป็นต้องได้รับเลือกตั้งและไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
เช่นเดียวกับการปกครองระบบรัฐสภาในประเทศอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ยึดระบบเวสต์มินสเตอร์ของสหราชอาณาจักร) ฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา หากรัฐสภาผ่านมติไม่ไว้วางใจ รัฐบาลจะต้องลาออกทั้งคณะหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้วจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ สมาชิกรัฐสภาถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยผู้คุมเสียงในสภา (whip) ซึ่งพยายามคอยดูให้แน่ใจว่าสมาชิกออกเสียงตามนโยบายของพรรค หากรัฐบาลครองเสียงข้างมากในสภาแล้ว ย่อมมีโอกาสน้อยที่จะแพ้คะแนนเสียงจนไม่สามารถผ่านกฎหมายได้
นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยรัฐมนตรีไม่เกิน 35 คน ปัจจุบันประเทศไทยมีหน่วยงานระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าจำนวนทั้งสิ้น 20 กระทรวง สมาชิกคณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบร่วมกัน หมายความว่า เห็นชอบกับมติคณะรัฐมนตรีทุกมติ
== ฝ่ายตุลาการ ==
== การปกครองส่วนท้องถิ่น==
ณ วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2563 มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งสิ้น 7,850 แห่ง
== พรรคการเมือง ==
ณ 3 กุมภาพันธ์ 2566 มีพรรคการเมืองจดทะเบียนในประเทศไทยทั้งหมด 86 พรรคและยังมีสถานะเป็นพรรคการเมือง
ระบบพรรคการเมืองของไทยส่วนใหญ่เป็นระบบหลายพรรค กล่าวคือ มักไม่ค่อยมีพรรคการเมืองพรรคเดียวครองเสียงข้างมากในสภาจนสามารถตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียวได้ การจัดตั้งรัฐบาลจึงต้องอาศัยพรรคการเมืองหลายพรรคที่เรียกว่า รัฐบาลผสมหรือรัฐบาลฝ่ายข้างน้อย
ภายหลังรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้สร้างระบบการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งใช้ระบบเลือกตั้งแบบเขตละคน ส่งผลให้พรรคใหญ่ได้เปรียบในการเลือกตั้ง ทำให้ระบบการเมืองมีแนวโน้มเปลี่ยนไปเป็นระบบสองพรรค ซึ่งในช่วงพุทธทศวรรษ 2540 พรรคไทยรักไทย (ต่อมาคือ พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย) และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสองพรรคการเมืองใหญ่สุดในสภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 ฉบับปัจจุบันกำหนดรูปแบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ทำให้ในปี 2566 ได้พรรคการเมืองจำนวน 18 พรรคได้รับที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร
== พัฒนาการการเมืองไทย ==
สมัย[[พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)|พระยาพหลพลพยุหเสนา ยังไม่อนุญาตให้จัดตั้งพรรคการเมือง]]
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ กองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมืองนับแต่นั้น ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและรัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี 2475 สถาปนาสภาผู้แทนราษฎรโดยโดยกำหนดให้สมาชิกมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหลังพ้น 10 ปีหรือประชากรเกินกึ่งหนึ่งของประเทศสำเร็จการศึกษาชั้นประถม แต่ก่อนหน้านั้นคณะราษฎรจะเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกไปพลางก่อน
แต่อภิชน ข้าราชการและชนชั้นกลางในเมืองคัดค้านเขา การประท้วงนำโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2549 ตามมาด้วยรัฐประหารในปีเดียวกัน นับแต่นั้นการเมืองไทยอยู่ในวิกฤตการเมืองระหว่างผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านทักษิณ ชินวัตร หลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ผลปรากฏว่า สมัคร สุนทรเวชนำพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพันธมิตรของทักษิณชนะการเลือกตั้งอีก ในปี 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม จนเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้มีการรวบรวมเสียงในสภาเพื่อเลือกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ในครั้งนั้นพลเอกเปรมและพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก อำนวยความสะดวกหรือสั่งการโดยตรงให้มีการซื้อตัวกลุ่มเพื่อนเนวิน ระหว่างอภิสิทธิ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติประท้วงรัฐบาลโดยขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกในปี 2552 และชุมนุมในกรุงเทพมหานครในปี 2553 เพื่อเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่
อภิสิทธิ์ยุบสภาในปี 2554 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ นำพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง สองปีแรกถือว่ารัฐบาลค่อนข้างมีเสถียรภาพ แต่ในปี 2556 หลังรัฐบาลพยายามผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดการประท้วงโดยคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) สุดท้ายมีรัฐประหารในปี 2557 มีการร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน มีการประกาศใช้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและให้สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งดูแลการทำงานของรัฐบาลให้เป็นไปตามแผนนี้ หลังเลื่อนมาหลายครั้ง สุดท้ายมีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 โดยพรรคเพื่อไทยได้ครองเสียงข้างมาก วันที่ 5 มิถุนายน 2562 รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 ที่มาจากการแต่งตั้ง ลงมติเลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
== ระบอบอำนาจนิยมในระบบรัฐสภา ==
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ทหารยังคงอำนาจผ่าน วุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 ส่งผลให้เกิด รัฐบาลผสม 19 พรรค และ คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 62 ซึ่งมีจำนวนพรรคร่วมรัฐบาลมากถึง 19 พรรคการเมือง จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลมากที่สุดนับตั้งแค่เปลี่ยนระบอบการปกครอง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2564 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 ฉบับปัจจุบัน ส่งผลให้ใน พ.ศ. 2566 การเมืองไทยถึงจุดที่ถดถอยกล่าวคือฝ่ายประชาธิปไตยร่วมมือกับฝ่ายเผด็จการในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากพรรคเพื่อไทย ที่ถูก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐประหารจับมือกับพรรคของทหารที่กระทำการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 โค่นล้มพรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 และผลักดันให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านโดยก่อนหน้านี้ ทักษิณ ชินวัตร แพทองธาร ชินวัตร ชลน่าน ศรีแก้วและเศรษฐา ทวีสินได้กล่าวว่าจะไม่นำพรรคของทหารมาร่วมรัฐบาลแต่สุดท้ายก็เอาพรรคพลังประชารัฐซึ่งมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
และพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ เข้าร่วมรัฐบาล
โดยให้ตำแหน่งบุคคลสำคัญทั้งสองพรรคในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 มากถึงร้อยละ 21 จากคณะรัฐมนตรีทั้งหมดหนึ่งในนั้นคือ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นน้องชายของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รวมถึงเชิญพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตสมาชิก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยเข้าร่วมเป็นฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ให้ความเห็นชอบ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26เป็นที่รับทราบโดยทั่วไปว่า วุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 ซึ่งส่วนมากเป็นทหารได้ให้เสียงสนับสนุน เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2567 รัฐบาลตอบแทนการสนับสนุนดังกล่าวโดยให้แม่ทัพภาคที่ 2 เป็น กรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ในขณะที่บุตรชายพลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี เลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดภายใต้คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63
อนึ่งนับตั้งแต่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 พรรคที่ได้รับคณะเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับสองได้รับการจัดตั้งรัฐบาลมาโดยตลอดพรรคที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ในปี พ.ศ. 2566 คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 54 คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 62 และ คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 เป็นคนเดิมมากถึงสามรายได้แก่ อนุทิน ชาญวีรกูล สมศักดิ์ เทพสุทิน และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ในปี พ.ศ. 2566 เฉพาะ คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 62 นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสินเป็นคนเดิมมากถึง [] รายแม้มีการปรับคณะรัฐมนตรีในเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 จำนวนรัฐมนตรีที่มาจากรัฐบาลก่อนหน้าก็มีมากถึง 10 ราย ต่อมามีการแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ วิษณุ เครืองาม เป็น ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ ส่งผลให้มีการใช้บริการของคนหน้าเดิมมากขึ้นเป็น [] ราย
ในปีดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังได้รับตำแหน่ง องคมนตรี นับเป็นคนที่ 6 ที่มีตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ได้เป็นองคมนตรี และนับเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารคนแรกที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าว
แม้ว่ามีการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563-2564 แต่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่งตั้งคณะองคมนตรีไทยที่มาจากคณะรัฐประหารมากถึง 7 รายซึ่งเท่ากับมากกว่าหนึ่งในสามของคณะองคมนตรีไทยมาจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
== การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ==
ในเดือนกันยายนถึงธันวาคม พ.ศ. 2567 ได้เกิดเรื่องที่หลายฝ่ายตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย นอกจากนั้น แพทองธาร ชินวัตร ยังให้ตำแหน่งรัฐมนตรี แก่ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ พี่ชาย เนวิน ชิดชอบ ต่อมานาย จตุพร พรหมพันธุ์ และนาย สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประกาศว่าจะจัดตั้งมวลชนขับไล่รัฐบาล อีกเหตุการณ์ที่ทำให้หลายฝ่ายตกใจคือนาย เนวิน ชิดชอบ มีกำหนดการเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร สาเหตุที่หลายฝ่ายตกใจมากเพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นศัตรูกับพรรคเพื่อไทย จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นศัตรูกับ นาย สนธิ ลิ้มทองกุล และ นาย เนวิน ชิดชอบ ก็เป็นศัตรูกับ ทักษิณ ชินวัตร กันมาตลอดยาวนานกว่าทศวรรษการเมืองไทยช่วงปลายปี พ.ศ. 2567 ถูกกล่าวถึงว่าเป็นยุคของสีน้ำเงินกล่าวคือยุคที่พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจมากที่สุด ผ่าน วุฒิสภาไทย ชุดที่ 13 อีกทั้งมีอำนาจใน คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64 รวมถึงข้าราชการประจำกระทรวงมหาดไทย (ประเทศไทย)
== ตระกูลชินวัตร ==
การเมืองไทยนั้นตระกูลชินวัตร มีบทบาททางการเมืองไทยมากที่สุดกล่าวคือ
มีนายกรัฐมนตรีนามสกุลชินวัตรมากถึงสามคน ที่สุดแล้วฝ่ายที่ต่อต้าน ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันเนื่องจากมีพระบรมราชโองการอภัยโทษโดยลดโทษจำคุกลงเหลือเพียงหนึ่งปีภายหลังที่ ทักษิณ ชินวัตร มาถึง ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองเพียง 10 วันเท่านั้น การเมืองไทยเกิดการชุมนุมหลายครั้งที่อ้างว่าจะกำจัดอิทธิพลของ ทักษิณ ชินวัตร ที่แต่สุดแล้ว แม้แต่ลูกพรรคของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังให้เสียงสนับสนุน แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในทางการเมืองตระกูลชินวัตรปกครองประเทศไทยยาวนานกว่า 9 ปี โดยเป็นที่รับทราบว่า เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และ ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากตระกูลชินวัตร
== รัฐธรรมนูญ ==
[[อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย]]
รัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรมีความจำเป็นในการเมืองไทยหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เพื่อกำหนดกติกาหรือรูปแบบการปกครองประเทศ เนื่องจากเป็นวิวัฒนาการแบบเฉียบพลัน กฎหมายธรรมนูญปกครองแผ่นดินชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยามนั้น กำหนดให้ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย กำหนดหลักการแยกใช้อำนาจ กำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเพื่อให้พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ในระบอบดังกล่าวสภาผู้แทนราษฎรเป็นองค์การที่มีอำนาจสูงสุด
หลังรัฐประหารในปี 2501 โดยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประเทศปลอดรัฐธรรมนูญและคำสั่งคณะปฏิวัติถือเป็นกฎหมายสูงสุด เช่นเดียวกับความเป็นประชาธิปไตยในตัวกฎหมาย นอกจากนี้ยังบัญญัติให้สมาชิกทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด มีการรับรองสิทธิมนุษยชนจำนวนมากตามกฎหมาย และมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะที่มีการจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญขึ้นเพื่อตรวจสอบฝ่ายบริหารเป็นครั้งแรก เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา รัฐธรรมนูญทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้นและพรรคการเมืองใหญ่สามารถคว้าที่นั่งในการเลือกตั้งได้เป็นจำนวนมากอีกทั้งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีจำนวนมาตรามากที่สุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อย่างไรก็ตาม หลังจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2540 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หลังลงประชามติ มีเนื้อหาเน้นการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐผ่านองคกรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และมีสมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง
ภายหลังความขัดแย้งทางการเมืองช่วงปี 2556-2557 เกิดรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 พร้อมกับการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ภายใต้การควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐประหารประกาศกฎอัยการศึกและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 ซึ่งผ่านการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญของคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองหลายครั้ง บทเฉพาะกาลเป็นเงื่อนไขกำหนดให้คณะทหารได้เปรียบทางการเมืองและมีความชอบธรรมในการปกครองโดยมีกฎหมายลายลักษณ์อักษรรองรับ, บุรุนดี เนื่องจาก ทักษิณ ชินวัตร ถูกอัยการสูงสุดฟ้องร้องว่ากระทำการผิดกฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย รวมทั้งรัฐบาลมีโครงการกู้มาแจก และนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งทนายถุงขนมสองล้าน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้านผู้นำเหล่าทัพเลือกที่จะเงียบมากกว่าปฏิเสธว่าจะไม่มีการรัฐประหาร ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลงต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี
=== ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ===
ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี" กฎหมายไทยสมัยใหม่บรรจุความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ครั้งแรกในกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2453), มีการเพิ่มให้การ "ดูหมิ่น" เป็นความผิด และเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐในประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 และมีการเพิ่มโทษครั้งล่าสุดในปี 2519 ในประมวลกฎหมายไม่มีนิยามว่าพฤติการณ์แบบใดเข้าข่าย "หมิ่นประมาท" หรือ "ดูหมิ่น" มีการตีความอย่างกว้างขวางซึ่งสะท้อนสถานะอันล่วงละเมิดมิได้ของพระมหากษัตริย์ เฉกเช่นพระมหากษัตริย์ในสมัยศักดินาหรือสมบูรณาญาสิทธิราช ธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังตีความว่า กฎหมายห้ามครอบคลุมถึงการวิจารณ์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สถาบันพระมหากษัตริย์ ราชวงศ์จักรีและพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์
มีการตีความ "ดูหมิ่น" กว้างขวางมากขึ้นนับแต่พุทธทศวรรษ 2520 คณะรัฐประหารมักอ้างกรณีความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์เพื่อรัฐประหาร หลังรัฐประหารเมื่อปี 2549 มีการพิจารณาความผิดดังกล่าวมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังรัฐประหารปี 2557 มีการเปลี่ยนให้ศาลทหารพิจารณาคดีดังกล่าว และในปี 2558 ลงโทษจำคุกจำเลยคนหนึ่ง 60 ปี แต่ลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งเพราะยอมรับสารภาพ นับเป็นโทษสูงสุดที่เคยมีมา อีกทั้งมีการพิจารณาคดีลับด้วย กฎหมายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า "โหดร้ายป่าเถื่อน" บ่อนทำลายกฎหมายไทย ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ บางฝ่ายออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายนี้ ส่วนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสว่า สามารถวิจารณ์พระองค์ได้และไม่เคยตรัสให้เอาผู้วิจารณ์เข้าคุก กลุ่มก่อความไม่สงบในระยะแรกมีเป้าหมายเพื่อแยกตัวออกเป็นอิสระ เช่น BNPP และ PULO ผู้นำท้องถิ่นเรียกร้องอัตตาณัติระดับหนึ่งแก่ภูมิภาคปัตตานีอย่างต่อเนื่อง และขบวนการผู้ก่อการกำเริบแยกตัวออกบางส่วนเรียกร้องให้มีการเจรจาสันติภาพ อย่างไรก็ดี หลังความรุนแรงรอบใหม่ในปี 2544 แม้ยังไม่ทราบกลุ่มก่อความไม่สงบแน่ชัด แต่มีการชี้ว่า GMIP, BRN-C และ RKK (กลุ่มติดอาวุธของ BRN) เป็นผู้นำการก่อเหตุ ซึ่งบางรายงานระบุว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ต้องการแยกตัวเป็นอิสระ แต่ต้องการทำให้ภูมิภาคปัตตานีปกครองไม่ได้
ภูมิภาคสามจังหวัดภาคใต้ดังกล่าวนั้นเดิมเป็นรัฐสุลต่านปตานีซึ่งปกครองตนเองมาก่อน จนเมื่อมีการกลืนวัฒนธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งเริ่มตั้งแต่ปี 2491 เป็นการก่อกำเริบการแยกออกทางเชื้อชาติและศาสนาในภูมิภาคมลายูปัตตานี มีความรุนแรงเพื่อแบ่งแยกดินแดนระดับต่ำในภูมิภาคดังกล่าวแล้วหลายทศวรรษ
== เชิงอรรถ ==
== ดูเพิ่ม ==
* ขบวนการนักศึกษาในประเทศไทย
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* หน้าหลัก , ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
การเมืองไทย |
673 | https://th.wikipedia.org/wiki/พระพุทธเจ้า | พระพุทธเจ้า | พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า เป็นพระสมัญญานามที่ใช้เรียกพระบรมศาสดาของศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานต่างนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาของตนเหมือนกันแต่รายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน ฝ่ายเถรวาทให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันคือ "พระโคตมพุทธเจ้า" ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้ และมีกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตกับในอนาคตบ้างแต่ไม่ให้ความสำคัญเท่า ฝ่ายมหายานนับถือพระพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาททั้งหมดและเชื่อว่านอกจากพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ที่ระบุในพุทธวงศ์ของพระไตรปิฎกภาษาบาลีแล้ว ยังมีพระพุทธเจ้าอีกมากมายเพิ่มเติมขึ้นมาหลังจากตำนานของเถรวาท
ผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ก่อน เมื่อบารมีเต็มแล้วจึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีลักษณะพิเศษตรงกันคือ เป็นมนุษย์เพศชายเกิดในวรรณะกษัตริย์หรือพราหมณ์ พระวรกายสมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักขณะ ก่อนออกผนวชจะอภิเษกสมรสมีพระโอรสพระองค์หนึ่ง หลังจากนั้นทรงพบเทวทูตทำให้ตัดสินใจออกผนวช วันออกผนวชจะตรงกับวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
คัมภีร์พุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาทและนิกายมหายานบันทึกตรงกันว่า พระโคตมพุทธเจ้าประสูติ 623 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปี ก่อนคริสตกาลตามตำราไทยซึ่งอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และตรงกับ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล
== ความหมายและคุณลักษณะ ==
ในพระพุทธศาสนา พุทธะ ( แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน") หมายถึงบุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 แล้วอย่างถ่องแท้
ธชัคคสูตร กล่าวว่าพระพุทธเจ้ามีคุณลักษณะ 9 ประการ เรียกว่า พุทธคุณ 9 ได้แก่
* อรหํ หมายถึง ผู้ปราศจากกิเลส
* สมฺมาสมฺพุทฺโธ หมายถึง ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์
* วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน หมายถึง ผู้มีความรู้และความประพฤติถึงพร้อม
* สุคโต หมายถึง ผู้เสด็จไปด้วยดี
* โลกวิทู หมายถึง ผู้รู้แจ้งโลก
* อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ หมายถึง ผู้ฝึกคนได้ดี ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า
* สตฺถา เทวมนุสฺสานํ หมายถึง ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
* พุทฺโธ หมายถึง ผู้ตื่น
* ภควา หมายถึง ผู้มีภคธรรม
== พระสมัญญา ==
มีหลายคำดังจะกล่าวต่อไปนี้
* พระโพธิสัตว์ หมายถึง ท่านผู้ที่กำลังบำเพ็ญ บารมี 10 (โดยยิ่งยวด 30 ทัศ) คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
* อังคีรส หมายถึง ท่านผู้มีรัศมีแผ่ออกมาจากพระกาย
* มหาบุรุษ เป็นคำที่ใช้เรียก พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ อีกความหมายหนึ่งคือ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่
* ตถาคต ผู้ไปแล้วอย่างนั้น เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพระองค์เองมี
* ธรรมราชา หมายถึง ท่านผู้เป็นราชาแห่งธรรม
* ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร หมายถึง ท่านผู้เป็นใหญ่โดยเป็นเจ้าของธรรม
* ธรรมสามี หมายถึง ท่านผู้เป็นเจ้าของธรรม
* ธรรมิศราธิบดี หมายถึง ท่านผู้เป็นอธิปดีในธรรม เป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า
* ภควา แปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
* พระศาสดา พระบรมศาสดา พระบรมครู หมายถึง ท่านผู้ทรงสอนชนทั้งปวง
* พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
* พระโลกนาถ หมายถึง พระผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก
* สยมภู หมายถึง ท่านผู้ตรัสรู้ได้โดยตนเอง ไม่มีใครมาสั่งสอน
* สัพพัญญู หมายถึง ท่านผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
* พระสุคต หมายถึง ท่านผู้เสด็จไปดีแล้ว
== ในคติเถรวาท ==
[[พระพุทธรูปปางประทับยืน พบที่ประเทศปากีสถาน ศิลปะคันธาระสมัยพุทธศตวรรษที่ 5-6]]
ในพระไตรปิฎกภาษาบาลีกล่าวว่า ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว 4 พระองค์ พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 4 และพระพุทธเจ้าพระองค์ถัดไปคือพระศรีอริยเมตไตรย ในทัศนะเถรวาทถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ที่เหนือกว่าคนทั่วไปคือพระองค์พบทางดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และเผยแผ่หนทางนั้นต่อสรรพสัตว์ ทรงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เมื่อทรงดับขันธปรินิพพาน คือดับไปโดยไม่เหลือเชื้อใด ๆ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องทำความดี (บารมี) มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่าพระโพธิสัตว์)
=== การประสูติของพระพุทธเจ้า ===
พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ก่อนจะจุติจะทรงพิจารณา 5 อย่าง เรียกว่า มหาวิโลกนะ 5 คือ
; 1. กาล (อายุขัยของมนุษย์)
อายุขัยของมนุษย์ขึ้นอยู่กับกระแสสังขารและการทำความดี หากทำดีมากขึ้นอายุก็จะเพิ่มขึ้น หากทำดีน้อยอายุขัยก็จะลดลง อายุขัยของมนุษย์อยู่ระหว่าง 10 ปีถึง 1 อสงไขยปี (1 × 10140 ปี) แต่พระโพธิสัตว์ทรงเลือกอายุขัยมนุษย์ระหว่าง 100-100,000 ปี ถ้าหากน้อยกว่า 100 ปีมนุษย์จะมีจิตใจหยาบช้าเกินกว่าจะฟังธรรมให้แตกจนบรรลุพระนิพพานได้ ถ้าเกิน 100,000 ปีมนุษย์จะเริ่มประมาทความแก่ ความเจ็บ ความตายเพราะอายุยืนความตายมาถึงช้า จะไม่เห็นอริยสัจ 4 หรือธรรมใดๆ
; 2. ทวีป (ทวีปที่จะลงมาประสูติ)
พระโพธิสัตว์เลือกชมพูทวีปเป็นทวีปที่จะจุติทุกครั้ง เพราะมนุษย์ในชมพูทวีปมีทั้งความสุขและความทุกข์ มีความเห็นทุกข์ เห็นสุข ได้ดีกว่ามนุษย์ในทวีปอื่นๆ
สาเหตุอีกอย่างที่เลือกลงมามนุษยภูมิเพราะมนุษย์เห็นสุขทุกข์ได้ง่ายที่สุด สัตว์ในอบายภูมิ 4 มีแต่ความทุกข์ไม่เห็นสุขกระจ่าง เทวดาพรหมก็เห็นสุขมากกว่าทุกข์จนยากที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ได้ อีกทั้งมนุษย์ทำบุญได้ จึงทรงเลือกมนุษย์
; 3. ประเทศ (ประเทศที่จะประสูติ)
พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจดี มีประชากรหนาแน่น มีนักปราชญ์ เจ้าสำนัก เป็นที่รวมของการศึกษาและศิลปวิทยามากมาย มีผู้มีคุณธรรมมากมาย จะสามารถเผยแพร่ธรรมให้รุ่งเรือง มีคนรู้มากได้
; 4. ตระกูล (ตระกูลที่จะประสูติ)
พระโพธิสัตว์ทรงเลือกได้ระหว่าง วรรณะกษัตริย์ กับ วรรณะพราหมณ์ ว่าในช่วงเวลานั้นตระกูลใดเจริญมากกว่ากัน ได้รับการยอมรับมากกว่ากัน ใน 4 อสงไขยแสนมหากัปล่าสุดนี้มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลกษัตริย์มากกว่า แต่ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลพราหมณ์มากกว่า (พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์ พระกัสสปะ และพระเมตไตรยะ) มีเพียงพระโคตมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่มาจากตระกูลกษัตริย์
พระโพธิสัตว์ผู้ได้มาจุติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ทรงเลือกตระกูลศากยโคตมวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์นคร เพราะได้รับความนับถือมาก และบริสุทธิ์มา 7 รุ่นแล้ว ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้วลงมาจุติแล้วเป็นพระพุทธเจ้าก็ยากที่จะได้รับการนับถือ สาเหตุที่เลือกตระกูลกษัตริย์เพราะในช่วงเวลานั้นมีการแบ่งชนชั้นวรรณะกัน และวรรณะกษัตริย์เป็นวรรณะที่มีคนนับถือมากที่สุด จึงทรงเลือกวรรณะกษัตริย์
; 5. มารดา (มารดาผู้ให้กำเนิดและกำหนดอายุของพระมารดาหลังประสูติ)
พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกผู้หญิงจากตระกูลกษัตริย์หรือพราหมณ์ที่รักษาศีล รักษาธรรมได้ดีที่สุด บริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ ไม่ดื่มสุรา ไม่หลงในอบายมุข ไม่โลเลในบุรุษ และทรงกำหนดอายุของพระมารดาว่ามีประมาณเท่าใด เพราะพระครรภ์ที่ประทับแห่งพระโพธิสัตว์ผู้จะได้เสด็จอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เปรียบประดุจพระคันธกุฎีแห่งพระบรมศาสดา ไม่สมควรแก่ผู้อื่น
พระบรมโพธิสัตว์ทรงเลือกพระมารดาที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนมลทินโทษ มิฉะนั้นจะยากแก่การเผยแผ่ศาสนา เพราะจะถูกโจมตีว่ามารดาของพระศาสดาไม่บริสุทธิ์ พระนางสิริมหามายาได้อธิษฐานเป็นพระพุทธมารดามาแต่อดีตกาล เมื่อประสูติพระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ 7 วันก็เสด็จทิวงคต ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสถิตในดุสิตเทวโลก ตามประเพณี พระพุทธมารดาไม่ได้เป็นหญิงอย่างเก่า ที่เกิดเป็นหญิงเพราะอธิษฐานขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้า
=== ประเภทของพระพุทธเจ้า ===
ในพระไตรปิฎกภาษาบาลีกล่าวถึงพระพุทธเจ้าไว้ 2 ประเภท คือ
* พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง แล้วประกาศพระศาสนา
* พระปัจเจกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่ได้ประกาศพระศาสนา
ต่อมาในคัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาของอังคุตตรนิกาย พระพุทธโฆสะได้กล่าวถึงพุทธะทั้งหมด 4 ประเภท อีกประเภท 2 ประเภทที่เพิ่มเข้ามา คือ
* จตุสัจจพุทธเจ้า คือพระอรหันตสาวก
* สุตพุทธเจ้า คือผู้เป็นพหูสูต ได้ศึกษาพระพุทธพจน์มามาก
=== ประเภทของพระพุทธเจ้าโดยการบำเพ็ญบุญบารมี ===
นอกจากนั้นพระพุทธเจ้ามีอยู่ 3 ประเภทตามกำลังบุญบารมีที่ได้สร้างสั่งสมมาคือ
* พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสม อบรมบารมีด้าน “ปัญญา” อย่างแก่กล้าแต่มีพระศรัทธาน้อย จึงใช้เวลาสั่งสมบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้าอีกสองประเภท ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการสร้างบารมีเป็นเวลา 20 อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัป เช่น พระโคตมพุทธเจ้า
* พระสัทธาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสม อบรมบารมีด้าน “ศรัทธา” อย่างแก่กล้ายิ่งนัก แต่มีพระปัญญาปานกลาง จึงใช้เวลาสั่งสมพระบารมีอย่างปานกลาง ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการสร้างบารมีเป็นเวลา 40 อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป เช่น พระกัสสปพุทธเจ้า
* พระวิริยาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสม อบรมบารมีด้าน “ความเพียร” อย่างแก่กล้า ทรงมีพระวิริยะยิ่งนัก แต่ทรงมีพระปัญญาน้อยกว่า ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการสร้างบารมียาวนานมากกว่าพระพุทธเจ้าประเภทอื่นเป็นเวลา 80 อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป เช่น พระศรีอริยเมตไตรย
=== พระพุทธเจ้าในอดีต ===
=== พระพุทธเจ้าในอนาคต ===
ในคัมภีร์อนาคตวงศ์นั้น ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอนาคต 10 พระองค์ที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ดังนี้
* พระเมตไตรยพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือพระอชิตภิกษุ (เป็นคนละองค์กับพระอชิตเถระที่ปรากฏในพระไตรปิฎก) ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนมายุ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
* พระรามสัมพุทธเจ้า ในอดีตคือพระราม ตรัสรู้ที่ไม้แก่นจันทน์ พระชนมายุ 9 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
* พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือพระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนมายุ 5 หมื่นพรรษา พระกายสูง 16 ศอก
* พระธรรมสามีสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือท้าววสวัตตี ตรัสรู้ที่ไม้สาละใหญ่ พระชนมายุ 1 แสนพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
* พระนารทสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือพระราหู ตรัสรู้ที่ไม้จันทน์ พระชนมายุ 1 หมื่นพรรษา พระกายสูง 20 ศอก
* พระรังสีมุนีสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือโสณพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้ดีปลีใหญ่หรือไม้เลียบ พระชนมายุ 5 พันพรรษา พระกายสูง 60 ศอก
* พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือสุภพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้จำปา พระชนมายุ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
* พระนรสีหสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือโตเทยยพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้แคฝอย พระชนมายุ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 60 ศอก
* พระติสสสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือช้างนาฬาคีรี ตรัสรู้ที่ไม้ไทร พระชนมายุ 8 หมื่นพรรษา พระกายสูง 80 ศอก
* พระสุมังคลสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือช้างปาลิไลยกะ ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนมายุ 1 แสนพรรษา พระกายสูง 60 ศอก
== พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายมหายาน ==
นิกายมหายานยอมรับพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ฝ่ายเถรวาททั้งหมดและยังสร้างพระพุทธเจ้าอีกมากมาย ทั้งที่เป็นมนุษย์และมีสถานะเหมือนเทพเจ้าในศาสนาฮินดู นิกายมหายานเชื่อว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่ดับสูญแต่ไปประทับ ณ พุทธเกษตรซึ่งเป็นดินแดนที่งดงามกว่าสวรรค์ พระพุทธเจ้าตามคติมหายานแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
# อาทิพุทธะ ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติมาพร้อมกับโลกและประทับอยู่กับโลกเป็นนิรันดร์ มีบทบาทคล้ายพระพรหมในศาสนาฮินดูที่เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
# พระมานุสสพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าที่อวตารมาจากอาทิพุทธะมาเกิดในโลกมนุษย์และบำเพ็ญเพียรในฐานะพระโพธิสัตว์จนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อปรินิพพานแล้วจะไปอยู่กับอาทิพุทธะ คล้ายกับคติของศาสนาฮินดูที่เมื่อทำความดีถึงขั้นสูงสุดจะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของมหาพรหม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจจุบัน ทางมหายานเรียกว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นพระมานุสสพุทธะด้วยเช่นกัน
# พระธยานิพุทธะ เป็นพุทธะที่อวตารมาจากอาทิพุทธะเช่นกันแต่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอำนาจฌาน (ธยาน) ของอาทิพุทธะไม่ได้ผ่านการบำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ พุทธะเหล่านี้ประทับบนสวรรค์ ในสภาวะกายทิพย์ มีเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่มองเห็นได้
# พระพุทธเจ้าอื่นๆ เช่น พระสัทธรรมวิทยาตถาคต พระไภษัชยคุรุทั้ง 7 พระสหัสประภาราชาศานติสถิตยตตถาคต พระประภูตรัตนะ
=== จำนวนของพระพุทธเจ้า ===
ในคัมภีร์ของทางมหายานนั้นได้ระบุนามของพระพุทธเจ้าไว้เป็นจำนวนมาก มีทั้งพระพุทธเจ้า 35 พระองค์ พระพุทธเจ้า 53 พระองค์ และที่มากที่สุดคือพระพุทธเจ้า 3,000 พระองค์ โดยแบ่งเป็น
* พระพุทธเจ้าในกัปอดีตซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์อดีตสมัยอลังการกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์ เริ่มจากพระปุณฑริกประภาพุทธเจ้าเป็นองค์แรกจนถึงพระเวศภูพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย
* พระพุทธเจ้าในกัปปัจจุบันซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์ปัจจุบันสมัยภัทรกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์ เริ่มจากพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นองค์แรกจนถึงพระรุจิพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย ซึ่งพระรุจิพุทธเจ้านี้ปัจจุบันคือพระเวทโพธิสัตว์
* พระพุทธเจ้าในกัปอนาคตซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์อนาคตสมัยนักษัตรกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์ เริ่มจากพระสูรยประภาพุทธเจ้าเป็นองค์แรกจนถึงพระสุเมรุลักษณ์พุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย
== อ้างอิง ==
* ประสงค์ แสนบุราณ. พระพุทธศาสนามหายาน. กทม. โอเดียนสโตร์. 2548
* พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์".
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* แหล่งเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่ชาวโลก | บทสวดมนต์ | เรื่องธรรมะ |
* พระพุทธเจ้า ในสายตานักปราชญ์โลก
* ลานธรรม: พุทธประวัติ
* ธรรมะไทย: พระพุทธเจ้า 25 พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ
* พระสุตตันตปิฎก เล่ม 25 ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2 พุทธวงศ์
* อรรถกถา อัปปฏิวัทิตสูตร
* เถราปทาน พุทธวรรค ปัจเจกพุทธาปทาน
หมวดหมู่:คำศัพท์ศาสนาพุทธ |
674 | https://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีกราฟ | ทฤษฎีกราฟ | frame|right|กราฟที่มีจุดยอด 6 จุด และเส้นเชื่อม 7 เส้น
ทฤษฎีกราฟ () เป็นหนึ่งในสาขาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่ศึกษาถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของกราฟ
== ประวัติ ==
ทฤษฎีกราฟนั้น มีจุดเริ่มจากผลงานตีพิมพ์ของ เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ ภายใต้ชื่อ Solutio problematis ad geometriam situs pertinentis ในปี ค.ศ. 1736 (พ.ศ. 2279) หรือที่รู้จักกันในนาม ปัญหาสะพานทั้งเจ็ดแห่งเมืองโคนิกส์เบิร์ก (Seven Bridges of Königsberg) เขาสนใจวิธีที่จะข้ามสะพานทั้ง 7 แห่งนี้ โดยข้ามแต่ละสะพานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผลงานนี้ยังถือว่าเป็นงานแนวทอพอโลยีชิ้นแรกในเรขาคณิต กล่าวคือเป็นงานที่สนใจเฉพาะโครงสร้างของรูปเรขาคณิตที่ไม่ขึ้นกับขนาด ระยะ หรือการวัดใดๆ งานชิ้นสำคัญนี้ยังได้แสดงความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งระหว่างทฤษฎีกราฟและทอพอโลยี
ในปี ค.ศ. 1845 (พ.ศ. 2388) กุสตาฟ คีร์คฮอฟฟ์ ได้เผยแพร่ผลงานที่รู้จักกันภายใต้ชื่อกฎวงจรไฟฟ้าของคีร์คฮอฟฟ์ ที่แสดงความสัมพันธ์ของกระแสและความต่างศักย์ บนกราฟที่แทนวงจรไฟฟ้า
ต่อมาในปี ค.ศ. 1852 (พ.ศ. 2395) ฟรานซิส กัทธรี ได้ตั้งปัญหาสี่สี (Four color problem) เพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้สีเพียง 4 สี เพื่อระบายให้กับประเทศต่าง ๆ บนแผนที่ใด ๆ โดยที่ประเทศเพื่อนบ้านจะไม่มีสีเดียวกัน. ปัญหานี้ได้ถูกแก้ในอีกมากกว่า 100 ปีถัดมา ในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) โดย เคนเนธ แอปเพล และวูล์ฟกัง ฮาเคน ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วยในการพิสูจน์ ซึ่งทำให้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง. อย่างไรก็ตามจากความพยายามในการแก้ปัญหา 4 สีนี้ ทำให้มีการสร้างแนวคิดและนิยามพื้นฐานในทฤษฎีกราฟขึ้นอย่างมากมาย จนอาจจะกล่าวได้ว่าจุดเริ่มต้นของทฤษฎีกราฟเกิดจากปัญหาสี่สีนี้เอง
กราฟมักถูกนำเสนอในลักษณะของรูปภาพ โดยใช้จุดแทนจุดยอดแต่ละจุด และลากเส้นระหว่างจุดยอดถ้าจุดยอดทั้งสองนั้นมีเส้นเชื่อมถึงกัน ถ้ากราฟมีทิศทาง ทิศทางของเส้นเชื่อมจะถูกระบุโดยใช้ลูกศร
เราไม่ควรจะสับสนระหว่างกราฟที่วาดออกมากับกราฟ (ที่เป็นโครงสร้างนามธรรม) เนื่องจากกราฟหนึ่ง ๆ สามารถเขียนออกมาได้หลายแบบ และสาระหลักของกราฟนั้นมีแค่ว่าจุดยอดใด เชื่อมต่อกับจุดยอดใด ด้วยเส้นเชื่อมกี่เส้น ไม่ใช่วิธีการที่วาดมันออกมา ในทางปฏิบัติแล้ว การจะตัดสินว่ากราฟที่วาดออกมาสองกราฟนั้น มาจากกราฟเดียวกัน ในบางกรณี การวาดกราฟบางแบบอาจมีความเหมาะสมและทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่าแบบอื่น
== โครงสร้างข้อมูลกราฟ ==
มีหลายวิธีในการจัดเก็บกราฟในระบบคอมพิวเตอร์ โดยโครงสร้างข้อมูลที่ใช้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของกราฟ และขั้นตอนวิธีสำหรับประมวลผลกราฟนั้น ในทางทฤษฎีเราอาจแยกแยะโครงสร้างที่เป็นแบบรายการกับที่เป็นเมทริกซ์ได้ แต่ในทางปฏิบัติมักพบว่าโครงสร้างที่ดีมักเป็นลูกผสมของโครงสร้างทั้งสองแบบ โครงสร้างแบบรายการนั้นมักใช้ในกรณีของกราฟเบาบาง (sparse graph) เนื่องจากมีการใช้หน่วยความจำที่น้อยกว่า ในทางกลับกันโครงสร้างแบบเมทริกซ์นั้น มีการเข้าถึงที่รวดเร็วกว่า แต่ก็ใช้หน่วยความจำขนาดใหญ่ถ้าจำนวนจุดยอดของกราฟมีมาก
=== โครงสร้างแบบรายการ ===
* รายการตกกระทบ (incidence list)
* รายการประชิด (adjacency list)
=== โครงสร้างแบบเมทริกซ์ ===
* เมทริกซ์ตกกระทบ (incidence matrix) - เป็นการจัดเก็บกราฟในเมทริกซ์ขนาด E (จำนวนเส้นเชื่อม) คูณ V (จำนวนจุดยอด) ซึ่ง [เส้นเชื่อม, จุดยอด] จะบรรจุข้อมูลของเส้นเชื่อมนั้น (เช่น 1 คือ เชื่อมต่อกัน, 0 คือ ไม่เชื่อมต่อกัน)
* เมตริกซ์ประชิด (adjacency matrix) - เป็นการจัดเก็บกราฟในเมทริกซ์ขนาด N คูณ N เมื่อ N คือจำนวนของจุดยอดในกราฟ ถ้ามีเส้นเชื่อมจากจุดยอด x ไปจุดยอด y แล้ว สมาชิก M_{x, y} จะเป็น 1 ไม่เช่นนั้น จะเป็น 0 ซึ่งทำให้ง่ายต่อการหากราฟย่อย และกราฟย้อนกลับ
* เมตริกซ์แบบลาปลัส (Laplacian matrix หรือ admittance matrix)
== การจำแนกชนิดของกราฟ ==
;ตามลักษณะข้อมูลที่เก็บ
* กราฟแบบมีทิศทาง (directed graph) และ กราฟแบบไม่มีทิศทาง (undirected graph)
* กราฟแบบมีน้ำหนัก (weighted graph) และ กราฟแบบไม่มีน้ำหนัก (unweighted graph)
;ตามการเชื่อมโยง
* กราฟสมบูรณ์ (complete graph)
* กราฟต่อเนื่อง (connected graph)
* กราฟไม่ต่อเนื่อง (unconnected graph)
* ต้นไม้ (โครงสร้างข้อมูล) (tree)
== ทฤษฎีบทและปัญหาบนกราฟ ==
=== การค้นหากราฟย่อย ===
* ปัญหากลุ่มพรรคพวก - การค้นหากราฟย่อยที่เป็นกราฟบริบูรณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด กราฟย่อยดังกล่าวเรียกว่ากลุ่มพรรคพวก (clique)
* ปัญหาเซตอิสระ - การค้นหาเซตอิสระที่ใหญ่ที่สุด
=== การระบายสีกราฟ ===
* ทฤษฎีบทสี่สี
=== ปัญหาเส้นทาง ===
* ปัญหาสะพานทั้งเจ็ดแห่งเมืองโคนิกส์เบิร์ก (Euler circuit)
* ปัญหาวิถีสั้นสุด (Shortest path problem)
* การวิเคราะห์เส้นทางวิกฤต (Critical path analysis)
=== การไหลในเครือข่าย ===
* การไหลในเครือข่าย
=== ปัญหากราฟการมองเห็น ===
* ปัญหายามเฝ้าพิพิธภัณฑ์
== ดูเพิ่ม ==
* อภิธานศัพท์ทฤษฎีกราฟ
== ดูเพิ่ม ==
* J.A. Bondy and U.S.R. Murty, Graph Theory with Applications
* Reinhard Diestel, Graph Theory Third Edition
* Lawler E.L., Combinatorial optimization.. networks and matroids
* Einführung in Graphen und Algorithmen
หมวดหมู่:วิยุตคณิต |
675 | https://th.wikipedia.org/wiki/การรู้จำแบบ | การรู้จำแบบ | การรู้จำแบบ (pattern recognition) เป็นสาขาย่อยหนึ่งของ วิทยาการคอมพิวเตอร์ เป็นศาสตร์ที่มีจุดประสงค์ในเพื่อการจำแนก วัตถุ (objects) ออกเป็นประเภท (classes) ตาม รูปแบบของวัตถุ โดยในการคำนวณจะมีการใช้เทคนิคจากสาขาอื่น ๆ มากมาย เช่น การประมวลผลสัญญาณ ปัญญาประดิษฐ์ และสถิติ
แบบรูป (pattern) ในที่นี้หมายถึง รูปร่าง หรือ คุณลักษณะ ของวัตถุ ที่เราสนใจ โดยวัตถุนั้นอาจเป็น รูปธรรม หรือ นามธรรม ก็ได้ หรือจะเป็นรูปแบบ ที่กระจายบนพื้นที่ หรือ เปลี่ยนแปลงตามเวลา ก็ได้
== องค์ประกอบหลักสำคัญของระบบการรู้จำแบบ ==
# ลักษณะเด่น (features) เป็นข้อมูลที่ป้อนให้ ตัวแยกประเภท เพื่อที่ตัวแยกประเภททำการแยก ข้อมูล หรือ วัตถุ ออกเป็นประเภท ได้ตามที่ผู้ออกแบบได้คาดหมายเอาไว้
# ตัวแยกประเภท (classifiers) เป็นผู้ตัดสินใจแยกกลุ่ม ของวัตถุ ตามข้อมูลลักษณะเด่น โดยทั่วไปนิยมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
## การแยกกลุ่มตามประเภทที่รู้ล่วงหน้าแล้ว (prior knowledge) และใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้นในการออกแบบตัวแยกประเภท ซึ่งจะเรียกว่า ตัวแยกแบบมีผู้สอน (supervised classifier)
## การแยกประชากรวัตถุ ออกจากกันโดยไม่มีข้อมูลของกลุ่มการแบ่งล่วงหน้า แต่จะแบ่งโดยการใช้ลักษณะที่มีร่วมกันในกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มของประชากร ซึ่งจะเรียกว่า ตัวแยกแบบไม่มีผู้สอน (unsupervised classifier)
== หมายเหตุ ==
คำว่า การแบ่งประเภท (classification) และ การจับกลุ่ม (clustering) นี้ในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์ จะใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง โดย การแบ่งประเภท คือ การแยกแบบมีผู้สอน และ การแบ่งกลุ่ม คือ การแยกแบบไม่มีผู้สอน
== ดูเพิ่ม ==
* การรู้จำคำพูด
* ระบบการรู้จำใบหน้า
== อ้างอิง ==
* Richard O. Duda, Peter E. Hart, David G. Stork (2001) Pattern classification (2nd edition) , Wiley, New York, ISBN 0-471-05669-3.
* J. Schuermann: Pattern Classification: A Unified View of Statistical and Neural Approaches, Wiley&Sons, 1996, ISBN 0-471-13534-8
* K. Fukunaga Statistical Pattern Recognition, Academic Press, 1991
* Julius T. Tou, Rafael C. Gonzalez Pattern Recognition Principles Addison-Wesley, Massachusetts, 1974
* Sergios Theodoridis, Konstantinos Koutroumbas Pattern Recognition Academic Press, CA, 1999
หมวดหมู่:การเรียนรู้ของเครื่อง
หมวดหมู่:แบบรูป
หมวดหมู่:ขั้นตอนวิธีการจำแนก |
676 | https://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีสารสนเทศ | ทฤษฎีสารสนเทศ | ทฤษฎีสารสนเทศ () เป็นสาขาหนึ่งใน ทฤษฎีความน่าจะเป็น และคณิตศาสตร์เชิงสถิติ ขอบข่ายเนื้อหาของทฤษฎีนี้จะเกี่ยวข้องกับสารสนเทศ, เอนโทรปีของสารสนเทศ, ระบบการสื่อสาร, การส่งข้อมูล, ทฤษฎีอัตราการบิดเบือน, วิทยาการเข้ารหัสลับ, สัดส่วนสัญญาณต่อสัญญาณรบกวน, การบีบอัดข้อมูล, การแก้ความผิดพลาด และหัวข้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คำแปลที่ตามราชบัณฑิต คือ "ทฤษฎีสารสนเทศ" นี้ มาจากคำว่า "information theory" ซึ่งคำว่า information เป็นคำเดียวกันกับที่หมายถึง สารสนเทศ แต่เนื่องจากความหมายของ information theory นั้นจะเกี่ยวเนื่องกับ เนื้อความในแง่ของสัญญาณ จึงอาจจะใช้คำว่า ทฤษฎีข้อมูล แทนความหมายของสารสนเทศ ที่เป็นในแง่ของเนื้อหาข่าวสาร และ สื่อตัวกลาง หรือสื่อบันทึกในบางกรณี
ตัวอย่างของการนำทฤษฎีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ ZIP Files, เครื่องเล่นเอ็มพีสาม , อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงดีเอสแอล, อุปกรณ์สื่อสารไร้สาย อาทิ โทรศัพท์มือถือ วิทยุสื่อสาร, เครื่องเล่นซีดี และการศึกษาเกี่ยวกับหลุมดำ เป็นต้น
== ประวัติ ==
คล็อด อี. แชนนอน ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งทฤษฎีสารสนเทศ" ทฤษฎีของแชนนอนนี้ เป็นทฤษฎีแรกที่ได้ทำการวินิจฉัยปัญหาทางการสื่อสาร ในรูปของปัญหาคณิตศาสตร์เชิงสถิติ เป็นทฤษฎีที่ได้เปิดหนทาง ให้วิศวกรการสื่อสาร สามารถคำนวณขนาด หรือปริมาณสูงสุดของช่องสัญญาณ ออกมาในหน่วยบิต (bits)
ทฤษฎีสารสนเทศที่เรารู้จักอยู่ในทุกวันนี้ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เริ่มต้นจากผลงานตีพิมพ์ของแชนนอนเรื่องทฤษฎีเชิงคณิตศาสตร์ของการสื่อสาร (The Mathematical Theory of Communication) ลงในวารสารทางเทคนิคเบลล์ซิสเต็ม (Bell System Technical Journal) ฉบับเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ซึ่งงานชิ้นนี้นั้น เป็นงานที่ได้สร้างเสริมต่อมาจาก ผลงานของ ฮารี นือควิสต์ และ ราล์ฟ ฮาร์ทลีย์ (Ralph Hartley)
ในงานของแชนนอน ที่ทำให้วิศวกรระบบสื่อสาร สามารถออกแบบระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้นั้น แชนนอนได้นิยามเอนโทรปีของสารสนเทศเท่ากับ
\mathbf{H}=-\sum_{i}p_i\log p_i
สูตรนี้เมื่อนำไปใช้กับ แหล่งกำเนิดสารสนเทศ จะทำให้สามารถคำนวณขนาดของช่องสัญญาณ ที่จำเป็นต้องใช้ในการส่งข้อมูลนั้น ในรูปของรหัสฐานสองได้ โดยถ้าลอการิทึมในสมการข้างต้น เป็นฐานสอง เอนโทรปีที่วัดจะอยู่ในหน่วยบิตเช่นกัน แต่ถ้าเป็น ลอการิทึมฐานธรรมชาติ หรือ ฐาน e เอนโทรปีที่วัดจะอยู่ในหน่วย แนท (nats) การวัดเอนโทรปีของแชนนอน เป็นการวัดขนาดของสารสนเทศซึ่งอยู่ในข้อความ
เมื่อไม่นานมานี้ ได้ปรากฏหลักฐานว่า เอนโทรปี นั้นได้ถูกค้นพบและนิยามในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยแอลัน ทัวริง ที่ เบล็ทชลีย์ พาร์ค (Bletchley Park) ทัวริง ได้ตั้งชื่อปริมาณนี้ว่าน้ำหนักของหลักฐาน (weight of evidence) และใช้หน่วยวัดเป็น bans และ decibans (อย่าสับสนคำ "weight of evidence" นี้กับคำเดียวกันที่ใช้ในบทความทางด้านการอนุมานทางสถิติ หรือ statistical inference บัญญัติขึ้นโดย กู๊ด (I.J. Good) ซึ่งมีความหมายตรงกับคำที่ทัวริงใช้คือ "log-odds" หรือ "lods") ถึงแม้ว่า ทัวริง และ แชนนอน นั้นได้ทำงานร่วมกันในช่วงสงครามแต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่นั้นต่างคนต่างพัฒนาแนวความคิดนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง (สำหรับเอกสารอ้างอิงดู Alan Turing: The Enigma โดย แอนดรูว์ ฮอดจส์ Andrew Hodges)
== ความสัมพันธ์กับเอนโทรปีของอุณหพลศาสตร์ ==
เอนโทรปีของสารสนเทศ ที่พัฒนาต่อมาจากแนวความคิดดั้งเดิมของ แชนนอน นั้นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ เอนโทรปี ของ อุณหพลศาสตร์
ลุดวิก โบลทซ์แมน (Ludwig Boltzmann และ วิลลาร์ด กิบส์ (Willard Gibbs) นั้นมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทางด้าน อุณหพลศาสตร์เชิงสถิติ (statistical thermodynamics) งานของเขานั้นเกิดจากความพยายามในการที่จะนำคำ เอนโทรปี จาก ทฤษฎีสารสนเทศมาใช้ เอนโทรปี จากแนวความคิดของ ทฤษฎีสารสนเทศ และ แนวความคิดของ อุณหพลศาสตร์เชิงสถิติ นี้มีความสัมพันธ์กันที่ลึกซึ้ง ตัวอย่างหนึ่งที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง สารสนเทศ และ เอนโทรปีของอุณหพลศาสตร์ คือ ปีศาจของแมกซ์เวลล์ (Maxwell's demon) ซึ่งเป็นปิศาจเฝ้าตูดควบคุมการเลือกผ่านของโมเลกุล เพื่อสร้างการไหลของพลังงานสวนทางกับเอนโทรปีของอุณหพลศาสตร์ ในการแหกกฎข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกัน ในการคุมตูดนั้นปีศาจก็ต้องการข้อมูล ที่แม่นยำ ซึ่งทั้งสองนี้หักล้างกันไปทำให้ปิศาจไม่สามารถสร้างความได้เปรียบทางอุณหพลศาสตร์สวนกฎข้อที่สองได้
ปริมาณที่ใช้วัดข้อมูลที่มีประโยชน์ อีกปริมาณหนึ่งก็คือ สารสนเทศร่วม (mutual information) ซึ่งเป็นปริมาณที่บ่งบอกถึงความขึ้นแก่กันทางสถิติของตัวแปรสุ่มสองตัว นิยามของสารสนเทศที่เกิดร่วมกันของเหตุการณ์ X และ Y คือ
โดยที่ H (X, Y) คือ เอนโทรปีร่วม นิยามโดย
:H (X, Y) = - \sum_{x, y} p (x, y) \log p (x, y) \,
และ H (X|Y) คือ เอนโทรปีตามเงื่อนไข (conditional entropy) ของ X มีเงื่อนไขขึ้นกับค่าสังเกตการณ์ของ Y ดังนั้น สารสนเทศร่วม สามารถตีความ หมายถึง ปริมาณของความไม่แน่นอนของค่า X ที่ลดลงเมื่อรู้ค่าที่แน่นอนของ Y และในทางกลับกัน
== ดูเพิ่ม ==
* วิทยาการสารสนเทศ
== อ้างอิง ==
# Thomas A. Cover, Joy A Thomas Elements of Information Theory John Wiley & Sons, 1991
หมวดหมู่:ไซเบอร์เนติกส์
หมวดหมู่:วิทยาการสารสนเทศ |
677 | https://th.wikipedia.org/wiki/ดนตรี | ดนตรี | thumb|โน้ตเพลง
ดนตรี หรือ คีตกรรม () คือ เสียงและโครงสร้างที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งมนุษย์ใช้ประกอบกิจกรรมศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเสียง โดยดนตรีนั้นแสดงออกมาในด้านระดับเสียง (ซึ่งรวมถึงท่วงทำนองและเสียงประสาน) จังหวะ และคุณภาพเสียง ได้แก่ ความต่อเนื่องของเสียง เนื้อเสียง ความดังค่อย และพรรณลักษณ์ของเสียง (texture)
ดนตรีในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กิจกรรมการแสดงออกทางวัฒนธรรม (une activité culturelle) ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับการขับร้อง รวมถึงการสร้างจังหวะและทำนอง ดนตรีจึงมีความสำคัญ ไม่เพียงแค่ในเชิงการสื่อสาร หรือการใช้เพื่อความบันเทิงและในพิธีกรรม แต่ยังรวมถึงความสำคัญในด้านศิลปะ และด้านสุนทรียศาสตร์ อีกด้วย
== ศัพทมูลวิทยา ==
คำว่า "ดนตรี" มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต คือ तन्त्री (ตนฺตฺรี) ซึ่งแปลว่า ดนตรี ในภาษาอื่นที่มีรากศัพท์เดียวกัน ได้แก่ ภาษาเขมร คือ តន្ត្រី (ตนฺตฺรี) และ ภาษาลาว คือ ດົນຕີ (ดนตี)
== อ้างอิง ==
== หนังสืออ่านเพิ่ม ==
* Colles, Henry Cope (1978). The Growth of Music : A Study in Musical History, 4th ed., London ; New York : Oxford University Press. ISBN 0-19-316116-8 (1913 edition online at Google Books)
* Small, Christopher (1977). Music, Society, Education. John Calder Publishers, London. ISBN 0-7145-3614-8
หมวดหมู่:ศิลปะการแสดง |
678 | https://th.wikipedia.org/wiki/การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล | การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล | การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล หรือ ที่เรียกกันติดปากสั้น ๆ ว่า ดีเอสพี (DSP - digital signal processing) เป็นการศึกษาการประมวลผลสัญญาณที่อยู่ในรูปดิจิทัล (digital)
โดยทั่ว ๆ ไป การประมวลผลสัญญาณ อาจแบ่งได้ตาม:
* รูปแบบของตัวแทนสัญญาณ : การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล (digital signal processing) และ การประมวลผลสัญญาณแอนะล็อก (analog signal processing)
* คุณสมบัติของสัญญาณ : การประมวลผลสัญญาณไม่สุ่ม (deterministic signal processing) และ การประมวลผลสัญญาณสุ่ม (stochastic/statistical signal processing)
* ลักษณะการประมวลผลสัญญาณ : เชิงเส้น (linear signal processing) และ ไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinear signal processing)
* และ อื่น ๆ ที่แบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะของสัญญาณ หรือ ลักษณะเฉพาะของการประมวลผล เช่น adaptive signal processing, multirate/multiresolution signal processing, chaotic signal processing ฯลฯ
ดีเอสพีนี้อาจแบ่งออกได้เป็นในส่วนของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ หรือตามการประยุกต์เป็น การประมวลผลสัญญาณเสียง (audio signal processing) การประมวลผลภาพดิจิทัล (digital image processing) และ การประมวลผลคำพูด (speech processing)
ถึงแม้ว่าในดีเอสพีนั้น สัญญาณที่เราพิจารณากันจะเป็นดิจิทัล แต่โดยทั่วไปสัญญาณเหล่านี้จากแหล่งกำเนิด จะอยู่ในรูปเดิมที่เป็นแอนะล็อก การได้มาซึ่งสัญญาณดิจิทัลซึ่งเป็นตัวแทนสัญญาณแอนะล็อกที่เราสนใจนี้ จะต้องผ่านกระบวนการแปลงสัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัล (Analog-to-Digital Conversion - ADC) หรือการดิจิไทซ์ (digitization) ซึ่งประกอบด้วยการสุ่มตัวอย่าง (sampling) (อย่าสับสนกับคำว่า สุ่ม ที่มาจาก random หรือ stochastic) และการควอนไทซ์ (quantization) ให้อยู่ในรูปดิจิทัลก่อนที่จะทำการประมวลผลต่อไป
== การสุ่มสัญญาณ (signal sampling) และการควอนไทซ์ (quantization) ==
center|392x392px
463xcenter
รูปข้างต้นแสดงกระบวนการชักตัวอย่างสัญญาณและควอนไทซ์
== โดเมนของการแปลง (transformed domain) ==
=== ความถี่ (frequency) หรือฟูริเยร์ (Fourier) ===
* การแปลงฟูริเยร์ (FT) Fourier transform
* การแปลงฟูริเยร์ไม่ต่อเนื่อง DFT
* ขั้นตอนวิธีในการแปลงฟูริเยร์ไม่ต่อเนื่องอย่างเร็ว FFT
* การแปลงโคซายน์ไม่ต่อเนื่อง (DCT) DCT
=== เวลาและความถี่ (time-frequency) ===
* การแปลงฟูริเยร์ในเวลาช่วงสั้น STFT short time Fourier transform
=== เวลาและสเกล (time-scale) หรือเวฟเลต (wavelets) ===
* การแปลงเวฟเลต Wavelet transform
=== ไอเกน ===
* principal components analysis (PCA)/Karhunen-Loève transform/Hotelling transform PCA/KLT/Hotelling
== ดูเพิ่ม ==
* การประมวลผลสัญญาณเสียง (Audio signal processing)
หมวดหมู่:อิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล
หมวดหมู่:การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล
หมวดหมู่:การประมวลผลสัญญาณเรดาร์ |
682 | https://th.wikipedia.org/wiki/กราฟ_(คณิตศาสตร์) | กราฟ (คณิตศาสตร์) | ภาพวาดของกราฟระบุชื่อที่มีจุดยอด 6 จุด และเส้นเชื่อม 7 เส้น]]
ในคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ กราฟ () ประกอบไปด้วยเซตของวัตถุที่เรียกว่าจุดยอด (vertex) ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยเส้นเชื่อม (edge) โดยทั่วไปแล้วเรามักวาดรูปแสดงกราฟโดยใช้จุด (แทนจุดยอด) เชื่อมกันด้วยเส้น (แทนเส้นเชื่อม) กราฟเป็นวัตถุพื้นฐานของการศึกษาในวิยุตคณิต หัวข้อทฤษฎีกราฟ
เส้นเชื่อมอาจมีทิศทางหรือไม่ก็ได้ ตัวอย่างเช่น สมมุติให้จุดยอดแทนคนและเส้นเชื่อมแทนการจับมือกัน เส้นเชื่อมก็จะเป็นเส้นเชื่อมไม่มีทิศ เพราะการที่ A จับมือ B ก็แปลว่า B จับมือ A อย่างไรก็ตาม สมมุติถ้าจุดยอดแทนคนและเส้นเชื่อมแทนการรู้จัก เส้นเชื่อมก็ต้องเป็นเส้นเชื่อมมีทิศทาง เพราะ A รู้จัก B ไม่จำเป็นว่า B ต้องรู้จัก A หรือนั่นก็คือความสัมพันธ์การรู้จักไม่เป็นความสัมพันธ์สมมาตร
จุดยอดอาจจะถูกเรียกว่าโหนด ปม หรือจุด ในขณะที่เส้นเชื่อมอาจถูกเรียกว่าเส้น คำว่า "กราฟ" ถูกใช้ครั้งแรกโดย J.J. Sylvester ในปี พ.ศ. 2421
== นิยาม ==
ตัวอย่างทั่วไปของกราฟ (อันที่จริงคือ[[กราฟเทียม) ซึ่งมี 3 จุดยอดและ 6 เส้นเชื่อม]]
โดยทั่วไป กราฟ G คือคู่อันดับ G = (V, E) โดยที่ V คือเซตของจุดยอด และ E คือเซตของเส้นเชื่อมซึ่งเป็นคู่ไม่อันดับของจุดยอด อันที่จริงนิยามที่กล่าวไปเป็นเพียงประเภทหนึ่งของกราฟที่เรียกว่า กราฟไม่ระบุทิศทาง และเป็น กราฟอย่างง่าย
กราฟประเภทอื่นๆจะมีรายละเอียดของเซตเส้นเชื่อม (E) ที่แตกต่างกัน เช่น สังเกตว่านิยามข้างต้นจะไม่สามารถมีเส้นเชื่อมในกราฟสองเส้นที่เชื่อมจุดยอดสองจุดในลักษณะเดียวกันได้ เนื่องจาก E เป็นเซต ซึ่งสมาชิกที่เหมือนกันจะถูกมองเป็นเพียงแค่หนึ่งตัว หากเปลี่ยน E ให้กลายเป็นมัลติเซตก็จะได้สิ่งที่เรียกว่ามัลติกราฟหรือกราฟเทียมแทนกราฟปกติ ซึ่งรองรับเส้นเชื่อมหลายๆเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดยอดสองจุดที่เหมือนกัน หรือที่เรียกว่า เส้นเชื่อมขนาน (เส้นเชื่อมสีแดงตามภาพด้านขวา)
สำหรับประเภทของกราฟต่างๆที่สมบูรณ์มากกว่านี้ โปรดดูข้างล่าง
จุดยอดที่อยู่ที่ปลายของเส้นเชื่อมจะเรียกว่าจุดยอดปลายของเส้นเชื่อม แต่จุดยอดอาจจะไม่เป็นจุดยอดปลายก็ได้ (ในกรณีที่จุดยอดนั้นไม่มีเส้นเชื่อมมาต่อเลย)
เส้นเชื่อม {u , v} อาจเขียนให้สั้นว่า uv ก็ได้..
== ประเภทของกราฟ ==
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่ากราฟมีหลายประเภท อย่างไรก็ตามกราฟในความหมายโดยทั่วไปจะหมายถึงกราฟไม่ระบุทิศทางอย่างง่ายและจำกัด
=== แบ่งตามทิศทาง ===
==== กราฟไม่ระบุทิศทาง ====
กราฟไม่มีระบุทิศทางอย่างง่ายที่มีสามจุดยอด สามเส้นเชื่อม แต่ละจุดยอดมีระดับขั้นเป็นสอง
กราฟไม่ระบุทิศทาง (undirected graph) G คือคู่อันดับ G = (V, E) ที่ E คือ เซตของเส้นเชื่อมซึ่งเป็นคู่ไม่อันดับของจุดยอด e = {x, y} จะถูกพิจารณาว่าเป็นเส้นเชื่อม เชื่อมระหว่าง x กับ y โดยที่ทั้ง x และ y จะถูกเรียกว่า จุดยอดปลาย (end vertices) ของเส้นเชื่อม
==== กราฟระบุทิศทาง ====
กราฟระบุทิศทาง
กราฟระบุทิศทาง (directed graph) หรือ ไดกราฟ D คือคู่อันดับ D = (V, A) ที่ A คือ เซตของเส้นเชื่อมระบุทิศทางซึ่งเป็นคู่อันดับของจุดยอด เส้นเชื่อมระบุทิศทาง (directed edges) อาจถูกเรียกว่า อาร์ก (arcs) หรือ ลูกศร (arrows) เส้นเชื่อม e = (x, y) จะถูกพิจารณาว่าเป็นเส้นเชื่อม จาก x ไป y โดยที่ y จะถูกเรียกว่า หัว (head) และ x จะถูกเรียกว่า หาง (tail) ของเส้นเชื่อม เส้นเชื่อม (y, x) จะถูกเรียกว่าเป็นเส้นเชื่อมกลับทิศของ (x, y)
กราฟอวัฏจักรระบุทิศทาง (directed acyclic graph: DAG) คือ กราฟระบุทิศทาง ที่ไม่มีวัฏจักร
==== กราฟผสม ====
กราฟผสม (mixed graph) G คือสามสิ่งอันดับ (3-tuple) G = (V,E,A) โดยที่ V, E และ A เหมือนดังนิยามด้านบน
=== แบ่งตามความซับซ้อน ===
==== กราฟอย่างง่าย ====
กราฟอย่างง่าย หรือ กราฟเชิงเดียว (simple graph) เป็นกราฟที่ไม่มี วงวน (loop) ซึ่งเกิดจากเส้นเชื่อมที่มีจุดเริ่มต้นเป็นจุดเดียวกับจุดปลาย และไม่มีเส้นเชื่อมขนาน (parallel edge) ซึ่งเกิดจากเส้นเชื่อมที่มีจุดเริ่มต้นและจุดปลายเหมือนกัน
==== มัลติกราฟ ====
มัลติกราฟ (multigraph) เป็นกราฟที่อนุญาตให้มีเส้นเชื่อมขนานได้ โดยเซตของเส้นเชื่อม E หรือ A จะถูกกำหนดเป็นมัลติเซตแทน เพื่อให้สามารถใส่เส้นเชื่อมสองเส้นที่เหมือนกันลงในกราฟได้
อย่างไรก็ตาม มัลติกราฟก็ยังถูกนิยามไม่ตรงกัน บ้างก็นิยามว่ามัลติกราฟไม่มีวงวน บ้างก็นิยามว่ากราฟมีวงวนได้ จึงมีการใช้คำว่ากราฟเทียม (pseudo graph) เพื่อระบุว่ากราฟสามารถมีได้ทั้งเส้นเชื่อมซ้ำและวงวน
=== แบ่งตามขนาด ===
กราฟ G = (V,E) จะเป็นกราฟจำกัด (finite graph) ก็ต่อเมื่อ V และ E เป็นเซตจำกัด
ในทางตรงกันข้าม หากมี V หรือ E อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นเซตอนันต์ ก็จะได้ว่า G เป็นกราฟอนันต์ (infinite graph)
=== แบ่งตามน้ำหนัก ===
กราฟถ่วงน้ำหนัก (weighted graph) คือ กราฟที่มีการกำหนดค่าให้กับเส้นเชื่อมแต่ละเส้น ซึ่งอาจเป็น ค่าใช้จ่าย, น้ำหนัก, ความยาว หรืออื่นๆขึ้นกับการใช้งาน บางคนเรียกกราฟประเภทนี้ว่าเครือข่าย กราฟถ่วงน้ำหนักนำไปใช้ในการแก้ปัญหาหลายๆอย่าง เช่น ปัญหาวิถีสั้นสุด เป็นต้น โดยทั่วไปน้ำหนักที่ถ่วงจะถือว่าเป็นจำนวนจริงบวก ในกรณีที่น้ำหนักเส้นเชื่อมเป็นลบได้จะมีการระบุเพิ่มเติม เนื่องจากการจัดการกับกรณีทั้งสองในหลายๆปัญหานั้นต่างกัน
โดยทั่วไปหากกล่าวถึงกราฟจะหมายถึงกราฟไม่ถ่วงน้ำหนัก (unweighted graph) ซึ่งไม่มีน้ำหนักถ่วงที่เส้นเชื่อม
== คุณลักษณะของกราฟ ==
เราจะกล่าวว่า
* เส้นเชื่อมสองเส้น ประชิด (adjacent) กัน ถ้าเส้นเชื่อมทั้งสองมีจุดปลายร่วมกัน
* จุดยอดสองจุด ประชิด กัน ถ้าจุดยอดทั้งสองเป็นจุดปลายของเส้นเชื่อมเดียวกัน
* เส้นเชื่อม ต่อ (incident) กับจุดปลายของเส้นเชื่อมเสมอ
กราฟที่มีจุดยอดเพียงจุดเดียวและไม่มีเส้นเชื่อมใดๆ เรียกว่า กราฟชัด (trivial graph) กราฟที่มีแต่จุดยอดแต่ไม่มีเส้นเชื่อมใดๆ เรียกว่า กราฟว่าง (empty graph) ส่วนกราฟที่ไม่มีทั้งจุดยอดและเส้นเชื่อม เรียกว่า กราฟศูนย์ (null graph) แต่นิยามนี้ไม่เป็นที่นิยมนัก
โดยทั่วไปแล้วจุดยอดของกราฟนั้นจะไม่สามารถถูกแยกแยะ หรือพิจารณาว่าแตกต่างกันได้ (ยกเว้นในบางกรณีเช่นมีจำนวนเส้นเชื่อมที่แตกต่างกันเป็นต้น) อย่างไรก็ตาม บางสาขาของทฤษฎีกราฟต้องการให้ระบุจุดยอดที่ชัดเจนได้ ถ้าแต่ละจุดยอดมีการระบุชื่อที่ชัดเจน กล่าวคือมีป้ายชื่อกำกับ เราจะเรียกกราฟเหล่านั้นนั้นว่า กราฟจุดยอดระบุชื่อ (vertex-labeled graph) นอกจากนี้ เส้นเชื่อมก็ยังสามารถมีป้ายชื่อกำกับได้เช่นกัน เรียกกราฟลักษณะนี้ว่า กราฟเส้นเชื่อมระบุชื่อ (edge-labeled graph) ในกรณีที่ไม่มีการระบุชื่อจะเรียกกราฟว่า กราฟไม่ระบุชื่อ (unlabeled graph)
== ตัวอย่าง ==
right|กราฟที่มีจุดยอด 6 จุด และเส้นเชื่อม 7 เส้น
จากรูปทางขวา เขียนเป็นกราฟได้ดังนี้
* ในทฤษฎีประเภท ประเภทสามารถพิจารณาเป็นกราฟระบุทิศทาง โดยที่วัตถุที่กล่าวถึงจะเป็นจุดยอด และสัณฐาน (morphism) เป็นเส้นเชื่อมระบุทิศทาง ด้วยการแสดงเช่นนี้ ฟังก์เตอร์ระหว่างสองประเภทคือสัณฐานของกราฟ
* ในวิทยาการคอมพิวเตอร์ กราฟระบุทิศทางมักใช้แสดง เครื่องจักรสถานะจำกัด และโครงสร้างอีกหลาย ๆ แบบ
== กราฟที่สำคัญ ==
* กราฟบริบูรณ์ (complete graph) คือ กราฟที่ทุก ๆ คู่ของจุดยอดจะถูกเชื่อมด้วยเส้นเชื่อม ดังนั้น กราฟนี้จะมีเส้นเชื่อมทุกเส้นที่เป็นไปได้
* กราฟเชิงระนาบ (planar graph) คือ กราฟที่สามารถเขียนบนระนาบได้ โดยไม่มีเส้นเชื่อมใดๆตัดกัน
* ต้นไม้ (tree) คือ กราฟเชื่อมโยงที่ไม่มีวัฏจักร
* กราฟสองส่วน (bipartite graph)
* กราฟสมบูรณ์ (Perfect graph)
* กราฟเส้น (Line graph)
* โคกราฟ (Cograph)
* กราฟอวัฏจักรระบุทิศทาง (Directed acyclic graph)
== ในทั่วไปของกราฟ ==
ในไฮเปอร์กราฟ เส้นเชื่อมสามารถเชื่อมได้มากกว่าสองจุด
ทุก ๆ กราฟ ก่อให้เกิด เมทรอยด์ แต่โดยทั่วไปแล้ว เราจะไม่สามารถสร้างกราฟกลับมาจากเมทรอยด์ของมันได้ ดังนั้นเมทรอยด์จึงไม่ใช่นัยทั่วไปของกราฟ
ในทฤษฎีโมเดล กราฟเป็นแค่โครงสร้าง ในกรณีนั้นจะไม่มีข้อจำกัดในจำนวนของเส้นเชื่อม นั่นคือจะมีเส้นเชื่อมเป็นจำนวนเชิงการนับใด ๆ ก็ได้
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* อภิธานศัพท์ทฤษฎีกราฟ
หมวดหมู่:วัตถุทฤษฎีกราฟ |
688 | https://th.wikipedia.org/wiki/วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ | วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ | วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ () เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและสร้างเครื่องหรือระบบคอมพิวเตอร์ และ ระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ ศาสตร์นี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาทางด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การสื่อสาร และความเกี่ยวเนื่องระหว่างเรื่องทั้งสาม หลักสูตรการเรียนมุ่งเน้นทางด้าน ทฤษฎี กฎ และ การฝึกฝนปฏิบัติของทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า และ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์รวมถึงการประยุกต์เข้ากับปัญหาทางด้านการออกแบบคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์ที่ใช้คอมพิวเตอร์
วิศวกรคอมพิวเตอร์ ศึกษาการออกแบบระบบฮาร์ดแวร์ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงระบบการสื่อสาร องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ วิศวกรคอมพิวเตอร์จะเรียนการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมุ่งเน้นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์ดิจิทัล และ การสร้างส่วนต่อประสานระหว่างผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ และ ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งความรู้ทางด้านวิศวกรรมที่ดีด้วย
ปัจจุบันสาขาวิชาที่สำคัญในด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์คือ ระบบฝังตัว การพัฒนาอุปกรณ์ที่มีซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ฝังตัวภายใน เช่น อุปกรณ์สื่อสารอย่าง โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นวิทยุระบบดิจิทัล เครื่องบันทึกวีดิทัศน์ระบบดิจิทัล ระบบเตือนภัย เครื่องถ่ายรังสีเอกซ์ และ เครื่องมือผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องการการผนวกรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ฝังตัวหรือของอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
ในแง่ของศาสตร์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้น วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็น 1 ใน 5 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือวิทยาศาสตรคอมพิวเตอร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร และ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ หรือ ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ.
== ประวัติวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในสหรัฐอเมริกา ==
ประวัติวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ในอเมริกาเริ่มจากแต่เดิมเป็นสาขาวิชาเฉพาะทางในวิศวกรรมไฟฟ้า ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการวิศวกรรมฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ แต่ต่อมาช่วงหลังปี ค.ศ. 1990 จึงมีการเพิ่มเติมเนื้อหาการศึกษาทางด้านซอฟต์แวร์ หรืออาจมองได้ว่าเกิดจากการรวมกันของวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ ถ้าพิจารณาจากสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าแล้ว วิศวกรคอมพิวเตอร์คือวิศวกรไฟฟ้าที่มุ่งเน้นไปที่ระบบฮาร์ดแวร์เชิงดิจิทัล และไม่เน้นทางด้านความถี่วิทยุ หรือไฟฟ้ากำลัง และถ้ามองจากทางวิทยาการคอมพิวเตอร์แล้ว วิศวกรคอมพิวเตอร์จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อประสานระหว่างซอฟต์แวร์และระบบฮาร์ดแวร์ ในยุคหลังมีทฤษฏีหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบเครือข่าย การรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ หรือ การรู้จำด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในอเมริกาส่วนมาก เริ่มก่อตั้งขึ้นภายใต้หรือควบคู่กับภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 บางมหาวิทยาลัยเลือกที่จะผนวกสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมซอฟต์แวร์เข้ากับภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ในขณะที่บางที่เช่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เลือกที่จะรวมภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเข้ากับภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์แทน
งานด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แบ่งเป็น 2 สาขาหลัก คือ ด้านซอฟต์แวร์ และ ฮาร์ดแวร์
=== วิศวกรรมซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ===
บทความหลัก: วิศวกรรมซอฟต์แวร์
วิศวกรซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์จะพัฒนา, ออกแบบและทดสอบซอฟต์แวร์ บางวิศวกรซอฟต์แวร์ ออกแบบ, สร้างและบำรุงรักษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับบริษัททั่วไป บางคนจัดตั้งเครือข่ายเช่น "อินทราเน็ต"สำหรับบริษัททั่วไป หลายตนทำหรือติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่หรืออัพเกรดระบบคอมพิวเตอร์ วิศวกรซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ยังสามารถทำงานออกแบบแอปพลิเคชัน งานนี้เกี่ยวข้องกับการออกแบบหรือการเข้ารหัสโปรแกรมและแอปพลิเคชันใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจหรือบุคคล
=== วิศวกรรมฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ ===
วิศวกรฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะวิจัย, พัฒนา, ออกแบบและทดสอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ งานนี้สามารถมีช่วงจากแผงวงจรและไมโครโปรเซสเซอร์ จนถึงเราเตอร์ บางคนปรับปรุงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ใหม่ได้ วิศวกรฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ทำงานในห้องปฏิบัติการวิจัยและบริษัท ผลิตเทคโนโลยีชั้นสูง บางคนยังทำงานให้กับรัฐบาลกลาง ตามข้อมูลของสำนักสถิติแรงงานของสหรัฐฯ, 95% ของวิศวกรฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ทำงานในพื้นที่นครบาล พวกเขามักจะทำงานเต็มเวลา ประมาณ 25% ของการทำงานของพวกเขาต้องทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เงินเดือนเฉลี่ยของลูกจ้างวิศวกรคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่มีคุณสมบัติ (2012) เป็น $ 100,920 ต่อปี หรือ $48.52 ต่อชั่วโมง วิศวกรคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ทำงาน 83,300 งานในปี 2012 .
== สาขาหลัก ==
วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มีสาขาหลัก ได้แก่
=== การเข้ารหัส, การถอดรหัส, และการป้องกันข้อมูล ===
บทความหลัก: Information security
วิศวกรคอมพิวเตอร์ทำงานในการเข้ารหัส, การถอดรหัส และการคุ้มครองข้อมูล เพื่อพัฒนาวิธีการปกป้องข้อมูลต่าง ๆ ใหม่ เช่น ภาพและเพลงดิจิทัล, กระจายข้อมูลดิบในเมมโมรี, การละเมิดลิขสิทธิ์ และการแก้ไขดัดแปลงรูปแบบอื่น ตัวอย่างรวมถึงการทำงานเกี่ยวกับการสื่อสารไร้สาย, ระบบหลายสายอากาศ, การส่งผ่านด้วยแสง และ ลายน้ำดิจิทัล
=== การสื่อสารและเครือข่ายไร้สาย ===
บทความหลัก : Communications networks and Wireless network
มุ่งเน้น การสื่อสารและ เครือข่ายไร้สาย, ความก้าวหน้าในระบบการสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่าย, modultion และการเข้ารหัสควบคุมความผิดพลาด, และทฤษฎีสารสนเทศ การออกแบบเครือข่ายความเร็วสูง, การปราบปรามการรบกวน, การออกแบบและการวิเคราะห์ของระบบอดทนต่อความผิดพลาด () และ การจัดเก็บและรูปแบบการส่งผ่าน ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ พิเศษ
=== คอมไพเลอร์และระบบปฏิบัติการ ===
บทความหลัก : Compiler and Operating system
พืนที่พิเศษนี้ มุ่งเน้นไปที่การออกแบบและพัฒนาคอมไพเลอร์และระบบปฏิบัติการ วิศวกรในสาขานี้พัฒนาสถาปัตยกรรมใหม่ของระบบปฏิบัติการ, เทคนิคการวิเคราะห์โปรแกรม และเทคนิค ใหม่ในการรับประกันคุณภาพ ตัวอย่างของการทำงานในด้านนี้รวมถึง การแปลงรหัสโพสต์-ลิงก์-เวลา, การพัฒนา algorithm และการพัฒนาระบบปฏิบัติการ ใหม่
=== วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมทางการคำนวณ ===
บทความหลัก: Computational science and engineering
วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมทางการคำนวณเป็นสาขาวิชาที่ค่อนข้างใหม่ สอดคล้องกับศูนย์ Sloan Career Cornerstone, บุคคลที่ทำงานในพื้นที่นี้ "วิธีการคำนวณจะถูกนำไปใช้ในการกำหนดรูปแบบและการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนด้านวิศวกรรมและด้านฟิสิกข์และสังคมศาสตร์ . ตัวอย่าง รวมถึงการออกแบบอากาศยาน, การประมวลผลแบบพลาสม่าของคุณสมบัตินาโนเมตร บนเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์, การออกแบบวงจร VLSI, ระบบตรวจจับเรดาร์, การขนส่งไอออนผ่านช่องทางชีวภาพและอื่น ๆ อีกมาก"
=== เครือข่ายคอมพิวเตอร์, การคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่, และระบบกระจาย ===
บทความหลัก : Computer Network, Mobile computing, and Distributed computing
ในพื้นที่พิเศษนี้ วิศวกรสร้างสภาพแวดล้อมที่ครบวงจรสำหรับการคอมพิวเตอร์, การสื่อสาร และการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ ตัวอย่าง เช่น เครือข่ายไร้สายที่ใช้ช่องทางร่วมกัน, การจัดการทรัพยากรแบบปรับตัวในระบบต่าง ๆ และการปรับปรุงคุณภาพของการบริการในสภาพแวดล้อมที่ มือถือและสภาพแวดล้อม ATM ตัวอย่างอื่น ๆ บางอย่าง รวมถึงการทำงานในระบบเครือข่ายไร้สาย และระบบใช้สายกลุ่มแบบอีเธอร์เน็ตความเร็วสูง
=== ระบบคอมพิวเตอร์: สถาปัตยกรรม, การประมวลผลแบบขนานและความน่าเชื่อถือ ===
บทความหลัก : Computer Architecture, Parallel Processing, and Dependability
วิศวกรที่ทำงานในระบบคอมพิวเตอร์จะทำงานในโครงการวิจัยที่ช่วยในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง, เชื่อถือได้และปลอดภัย โครงการเช่นการออกแบบหน่วยประมวลผลแบบ multi-threading และการประมวลผลแบบขนานจะรวมอยู่ในสาขานี้ ตัวอย่างอื่น ๆ ของการทำงานในด้านนี้รวมถึง การพัฒนาทฤษฎีใหม่, ขั้นตอนวิธีการและเครื่องมืออื่น ๆ ที่เพิ่ม ประสิทธิภาพให้กับระบบคอมพิวเตอร์
=== วิสัยทัศน์และหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ ===
บทความหลัก : Computer Vision and Robotics
ในพื้นที่พิเศษนี้ วิศวกรคอมพิวเตอร์มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวัดการมองเห็น ที่จะรับรู้สภาพแวดล้อม, การเป็นตัวแทนของสภาพแวดล้อมและการจัดการสิ่งแวดล้อม จากนี้น สารสนเทศสามมิติที่ถูกรวบรวมได้จะถูกดำเนินการในงานที่หลากหลาย งานเหล่านี้รวมถึง การสร้างแบบจำลองของมนุษย์, การสื่อสารด้วยภาพ, และการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ เช่นเดียวกับอุปกรณ์ เช่นกล้องวัตถุประสงค์พิเศษที่มีเซ็นเซอร์วิสัยทัศน์อเนกประสงค์
=== ระบบฝังตัว ===
thumb|ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่ใช้ระบบฝังตัว
บทความหลัก: ระบบฝังตัว
บุคคลที่ทำงานในพื้นที่นี้จะออกแบบเทคโนโลยีสำหรับการเพิ่มความเร็ว, ความน่าเชื่อถือและ ประสิทธิภาพการทำงานของระบบ ระบบฝังตัวถูกพบในอุปกรณ์จำนวนมากตั้งแต่วิทยุเอฟเอ็มขนาดเล็กจนถึงกระสวยอวกาศ สอดคล้องกับ ศูนย์อาชีพสโลน แคเรีย, การพัฒนาที่กำลังดำเนินการอยู่ในระบบฝังตัว ได้แก่ "ยานพาหนะและอุปกรณ์อัตโนมัติเพื่อดำเนินการค้นหาและช่วยเหลือ, ระบบการขนส่งโดยอัตโนมัติ และการประสานงานของมนุษย์กับหุ่นยนต์ในการซ่อมแซมอุปกรณ์ในอวกาศ"
=== แผงวงจรรวม, การออกแบบ VLSI, การทดสอบและการ CAD ===
บทความหลัก : วงจรรวม และ การสร้างวงจรรวมขนาดใหญ่มาก
้พื้นที่พิเศษของวิศวกรรมคอมพิวเตอร์นี้ ต้องมีความรู้เพียงพอของระบบอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า วิศวกรที่ทำงานในพื้นที่นี้จะทำการเพิ่มความเร็ว, ความน่าเชื่อถือและ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของการสร้างวงจรรวมขนาดใหญ่มาก (VLSI) และวงจรระบบไมโครรุ่นต่อไป ตัวอย่างของพื้นที่พิเศษนี้เป็นงานที่ทำในการลดการใช้พลังงานของขั้นตอนวิธีการ VLSI และสถาปัตยกรรม
=== การประมวลสัญญาณ, ภาพและคำพูด ===
บทความหลัก : Signal processing, Image processing, and Speech processing
วิศวกรคอมพิวเตอร์ในพิ้นที่นี้พัฒนาการปรับปรุงในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการรู้จำคำพูดและการสังเคราะห์เสียงพูด, การถ่ายภาพทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ หรือระบบการสื่อสารอื่น ๆ งานอื่น ๆ ในพื้นที่นี้รวมถึงการพัฒนาวิสัยทัศน์คอมพิวเตอร์ เช่นการรับรู้ใบหน้าของมนุษย์
การศึกษางานวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ระดับขั้นต้นส่วนใหญ่ต้องการอย่างน้อยปริญญาตรีวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ บางครั้งปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าก็ได้รับการยอมรับ เนื่องจากความคล้ายคลึงกัน ของทั้งสองสาขา เพราะวิศวกรฮาร์ดแวร์ทั่วไปได้ทำงานกับระบบซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ พื้นหลัง ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มักจะเป็นสิ่งจำเป็น จากสถาบันสถิติแรงงานของสหรัฐฯ "เมเจอร์ของวิศวกรรมคอมพิวเตอร์คล้ายกับวิศวกรรมไฟฟ้า แต่ก็มีบางหลักสูตรวิทยาการคอมพิวเตอร์ถูกเพิ่มเข้าไปในหลักสูตร" บางบริษัทขนาดใหญ่หรืองานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษต้องการระดับปริญญาโท นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับวิศวกรคอมพิวเตอร์ ที่จะต้องตามให้ทันกับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเทคโนโลยี ดังนั้นจึงต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดอาชีพของพวกเขา
== อาชีพและสาขาที่คล้ายคลึง ==
* Aerospace engineering
* Computer programming
* วิศวกรรมไฟฟ้า
* Software development
* Systems analyst
* วิศวกรรมสื่อประสม
== หลักสูตรสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ==
ประกอบด้วยองค์ความรู้ดังนี้
# พื้นฐานการเขียนโปรแกรม
# คณิตศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์
# อิเล็กทรอนิกส์
# ตรรกศาสตร์ดิจิทัล
# โครงสร้างข้อมูลและขั้นตอนวิธี
# โครงสร้างและสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์
# ระบบปฏิบัติการ
# ระบบฐานข้อมูล
# วิศวกรรมซอฟต์แวร์
# เครือข่ายคอมพิวเตอร์
== ดูเพิ่ม ==
* วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย
* วิศวกรรมไฟฟ้า
* วิศวกรรมซอฟต์แวร์
* วิทยาการคอมพิวเตอร์
* เทคโนโลยีสารสนเทศ
* ระบบสารสนเทศ
* วิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร
== อ้างอิง ==
คอมพิวเตอร์
หมวดหมู่:วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ |
691 | https://th.wikipedia.org/wiki/ซอฟต์แวร์ | ซอฟต์แวร์ | [[OpenOffice.org Writer]]
ซอฟต์แวร์ () หรือ ส่วนชุดคำสั่ง คือ ส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล เป็นชุดคำสั่งที่บอกวิธีการทำงานของคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงกันข้ามกับฮาร์ดแวร์ที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถจับต้องได้ ในสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมซอฟต์แวร์นั้น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ คือ ข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับการประมวลผลโดยระบบคอมพิวเตอร์ และ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอร์, ไลบรารี และ ข้อมูลที่ไม่สามารถเรียกใช้งานได้ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อาทิ เอกสารออนไลน์หรือสื่อดิจิทัล คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจำเป็นต้องมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ และหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป จะไม่สามารถใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ได้
ในระดับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ต่ำที่สุด โค้ดปฏิบัติการนั้น ประกอบด้วย คำสั่งภาษาเครื่อง (machine language) ที่โปรเซสเซอร์ (processor) แต่ละตัวรองรับ โดยทั่วไปคือหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) หรือ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ภาษาเครื่อง ประกอบด้วย กลุ่มค่าไบนารี (เลขฐานสอง) ที่แสดงถึงคำสั่งของตัวประมวลผลที่ได้เปลี่ยนสถานะของคอมพิวเตอร์จากสถานะก่อนหน้า เช่น คำสั่งภาษาเครื่องอาจเปลี่ยนค่าที่จัดเก็บไว้ในตำแหน่งจัดเก็บเฉพาะในคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้ใช้ไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยตรง หรือ คำสั่งนั้นอาจเป็นการเรียกอินพุตหรือเอาต์พุตอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถมองเห็นได้ เช่น การแสดงข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ โปรเซสเซอร์จะดำเนินการตามคำสั่ง ตามลำดับที่ระบุไว้ เว้นแต่จะได้รับคำสั่งให้ "ข้าม" ไปยังคำสั่งอื่น หรือ ระบบปฏิบัติการถูกขัดจังหวะ ในปี ค.ศ.2015 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อุปกรณ์สมาร์ทโฟน และ เซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่ มีหน่วยประมวลผลที่มีหน่วยประมวลผลหลายหน่วย (่multiple execution unit) หรือโปรเซสเซอร์หลายตัว ทำการคำนวณร่วมกันและการประมวลผล ทำให้ส่วนโปรเซสเซอร์สามารถทำงานร่วมกันในเวลาพร้อม ๆ กัน (concurrent activity) มากกว่าระบบโปรเซสเซอร์ในอดีต
ซอฟต์แวร์นั้นนอกจากจะสามารถใช้งานบนคอมพิวเตอร์ได้แล้ว ยังสามารถใช้งานบนเครื่องใช้ หรืออุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือหุ่นยนต์ในโรงงาน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ
ซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมระดับสูง (high-level programming language) ซึ่งง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับโปรแกรมเมอร์ เพราะใกล้เคียงกับภาษาธรรมชาติที่มนุษย์ใช้มากกว่าภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงจะถูกแปลเป็นภาษาเครื่องโดยใช้คอมไพเลอร์ (compiler) หรืออินเตอร์พรีตเตอร์ (interpreter) หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซอฟต์แวร์อาจเขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีระดับต่ำ (assembly language) ซึ่งมีความสอดคล้องกับคำสั่งภาษาเครื่องของคอมพิวเตอร์อย่างมาก และ ภาษาแอสเซมบลีจะถูกแปลเป็นภาษาเครื่องโดยใช้แอสเซมเบลอร์ (assembler)
== นิรุกติศาสตร์ ==
คำว่า "ซอฟต์แวร์" ใช้ครั้งแรกโดย จอห์น ดับเบิลยู. เทอร์กีย์ (John W. Turkey) ในปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) โดยแนวคิดของซอฟต์แวร์ปรากฏครั้งแรกในเรียงความของแอลัน ทัวริง บิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์ กล่าวกันว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชิ้นแรกของโลกเขียนโดยเอดา ไบรอน เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับเครื่องวิเคราะห์ (analytical engine) ของชาร์ลส แบบเบจ
== ความสัมพันธ์กับฮาร์ดแวร์ ==
ซอฟต์แวร์ เป็นชื่อเรียกเพื่อใช้เปรียบต่างกับฮาร์ดแวร์ ซึ่งเป็นลักษณะทางกายภาพในการเก็บและประมวลผลของซอฟต์แวร์ ในคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์จะถูกเรียกใช้งานในแรมและประมวลผลผ่านซีพียู
== ประเภทของซอฟต์แวร์ ==
การแบ่งประเภทของซอฟต์แวร์แบ่งออกได้เป็นหลายแบบ เช่น
# การแบ่งเชิงเทคนิค อาจแบ่งซอฟต์แวร์เป็น 3 ประเภทหลักคือ
#* ซอฟต์แวร์ระบบ (System/Infrastructure software) ใช้ในการทำให้คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ทำงานกับระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยรวมถึงระบบปฏิบัติการ ไดรเวอร์ และระบบหลักของคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ
#* โปรแกรมประยุกต์ หรือซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application software) ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดำเนินงานต่าง ๆ โดยทั่วไปเช่น โปรแกรมสำนักงาน ฐานข้อมูล คอมพิวเตอร์เกม เว็บเบราว์เซอร์ โดยโปรแกรมประยุกต์จะมีจียูไอ
#* โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Tools/Utilities) ประกอบไปด้วยเครื่องมือช่วยให้โปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมอื่น ๆ หรือโปรแกรมประยุกต์ได้ เครื่องมือต่าง ๆ ประกอบไปด้วย คอมไพเลอร์ อินเตอร์พรีเตอร์ ดีบักเกอร์
# การแบ่งตามรูปแบบการส่งมอบ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
#* ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Package software) ซอฟต์แวร์ที่มีการขาย ให้เช่า หรือให้บริการ โดยคิดค่าบริการเป็น transaction หรือ license
#* ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเงินเดือน (Outsources software development) เป็นการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานเฉพาะกับงานประเภทต่าง ๆ เฉพาะกิจกรรมไป ส่วนใหญ่ลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์นี้จะเป็นของผู้ที่ว่าจ้างให้พัฒนาขึ้น
# การแบ่งตามประเภทของการนำไปใช้งานหลัก แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ
#* ซอฟต์แวร์ช่วยในการบริหารจัดการทั่วไป (Enterprise software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้กับการทำงานเพื่อแก้ปัญหา/จัดการทรัพยากรของ บุคคล/องค์กร เช่น ซอฟต์แวร์บัญชี ซอฟต์แวร์จัดทำเอกสาร เป็นต้น
#* ซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก (Mobile applications software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานผ่านระบบปฏิบัติการพิเศษบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น โทรศัพท์มือถือ PDA โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 กลุ่ม คือ (1) ซอฟต์แวร์เพื่อสนับสนุนธุรกรรมทางธุรกิจ (Business applications) เช่น Mobile banking, Mobile payment, GPS on Mobile, Mobile applications for business process management และ(2) ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการและบันเทิง (Entertainment applications) ซึ่งรวมเกมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่
#* ซอฟต์แวร์สมองกลฝังตัว (Embedded System Software) เป็นซอฟต์แวร์ซึ่งฝังอยู่ไว้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพื่อใช้สำหรับควบคุมการทำงานของอุปกรณ์นั้น ๆ เช่น ระบบ GPRS ระบบทำความเย็นอัจริยะ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ เป็นต้น
== ซอฟต์แวร์ กับ ไลบรารี ==
ซอฟต์แวร์แตกต่างกับไลบรารี คือซอฟต์แวร์สามารถนำมาประมวลผลได้ด้วยตัวเอง ในขณะที่ไลบรารีเป็นส่วนประกอบของซอฟต์แวร์และไม่สามารถนำมาใช้ประมวผลด้วยตนเองได้
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* ฮาร์ดแวร์
* วิศวกรรมซอฟต์แวร์
* กระด้างภัณฑ์และละมุนภัณฑ์ |
692 | https://th.wikipedia.org/wiki/แอลัน_ทัวริง | แอลัน ทัวริง | แอลัน แมธิสัน ทัวริง (; 23 มิถุนายน ค.ศ. 1912 - 7 มิถุนายน ค.ศ. 1954) เป็นนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นักตรรกศาสตร์นักรหัสวิทยา นักปรัชญา นักชีววิทยาเชิงทฤษฎีและวีรบุรุษสงครามชาวอังกฤษ เขาเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์
เขาได้สร้างรูปแบบที่เป็นทางการทางคณิตศาสตร์ของการระบุขั้นตอนวิธีและการคำนวณ โดยใช้เครื่องจักรทัวริง ซึ่งตามข้อปัญหาเชิร์ช-ทัวริงได้กล่าวว่าเป็นรูปแบบของเครื่องจักรคำนวณเชิงกลที่ครอบคลุมทุก ๆ รูปแบบที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทัวริงมีส่วนในการแกะรหัสลับของฝ่ายเยอรมัน โดยเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม ฮัต 8 ที่ทำหน้าที่ในการแกะรหัสของเครื่องเอนิกมาที่ใช้ในฝ่ายทหารเรือ ซึ่งประมาณกันว่าเขาสามารถย่นเวลาสงครามได้ถึง 2 ปี
หลังสงครามสิ้นสุดลง เขาได้ออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถโปรแกรมได้เครื่องแรก ๆ ของโลกที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติ และได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจริง ๆ ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ รางวัลทัวริงได้รับการก่อตั้งขึ้นเพื่อยกย่องเขาในเรื่องนี้
นอกจากนั้นแล้ว การทดสอบของทัวริงที่เขาได้เสนอนั้นมีผลอย่างสูงต่อการศึกษาเรื่องปัญญาประดิษฐ์ แต่มีข้อถกเถียงว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกล่าวว่าเครื่องจักรนั้นมีสำนึกและสามารถคิดได้
== ประวัติ ==
แอลัน ทัวริงเป็นชาวอังกฤษ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1912 ที่ลอนดอน และอาศัยอยู่กับพี่ชาย บิดาและมารดาของทัวริงพบกันและทำงานที่ประเทศอินเดีย
ในสมัยมัธยม ทัวริงสนิทและนับถือรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อ คริสโตเฟอร์ มอร์คอม (Christopher Morcom) ซึ่งเสียชีวิตไปเสียก่อน ทัวริงเสียใจมากจึงตั้งใจสานต่อสิ่งที่รุ่นพี่เขาอยากทำให้สำเร็จ ตลอดสามปีหลังจากนั้น เขาเขียนจดหมายอย่างสม่ำเสมอให้คุณแม่ของมอร์คอม ว่าเขาคิดและสงสัยเรื่องความคิดของคนว่าไปจับจดอยู่ในเรื่องหนึ่ง ๆ ได้อย่างไร (how the human mind was embodied in matter) และปล่อยเรื่องนั้น ๆ ออกไปได้อย่างไร (whether accordingly it could be released from matter) แล้ววันหนึ่งเขาก็ไปเจอหนังสือดังในยุคนั้นชื่อ "The Nature of the Physical World" อ่านไปก็เกิดนึกไปเองว่าทฤษฏีกลศาสตร์ควอนตัมมันต้องเกี่ยวกับปัญหาเรื่อง mind and matter ที่เขาคิดอยู่
=== การเสียชีวิต ===
วันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1954 ทัวริงถูกพบเสียชีวิตในบ้านพัก ขณะอายุ 41 ปี หลังการชันสูตรพบว่าเขารับสารไซยาไนด์ในปริมาณที่เป็นพิษถึงชีวิต แต่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบเหตุผลที่ทำให้เขาเสียชีวิต บ้างว่าเขาฆ่าตัวตายเพราะแรงกดดันจากข้อหารักร่วมเพศและการถูกฉีดยาลดความต้องการทางเพศ บ้างก็ว่าเขารับไซยาไนด์โดยบังเอิญเพราะเป็นสารเคมีที่เขาใช้ในการทำงาน บ้างก็ว่าเขาถูกลอบสังหารเพื่อป้องกันความลับของรัฐบาลรั่วไหล
=== ล้างมลทิน ===
ใน ค.ศ.2013 เขาได้รับพระราชทานอภัยโทษหลังการเสียชีวิตจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และอังกฤษได้บังคับใช้กฎหมายลดทอนความเป็นอาชญากรรมของการรักร่วมเพศระหว่างผู้ชาย หรือ "กฎหมายของทัวริง" (Turing's Law) ซึ่งส่งผลให้ชายที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามกฎหมายรักร่วมเพศที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ ทั้งผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ พ้นจากความผิด โดยจะได้รับการล้างมลทินและข้อหาดังกล่าวจะถูกลบออกจากประวัติอาชญากรรม
=== สันนิษฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิต ===
มีการสันนิษฐานว่าแอลัน ทัวริงได้ทำการฆ่าตัวตาย ได้สันนิษฐานได้หลายสาเหตุ ว่าจะมาจากการหนักใจเรื่องการรักษาด้วยยาปรับฮอร์โมน ที่รัฐบาลอังกฤษได้สั่งให้ทำการรักษาเพื่อไม่ให้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศแทนการจำคุก และยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งคือ อาจจะเกิดการฆาตกรรมเนื่องจากรักษาความปลอดภัยความลับทางทหารเกี่ยวกับภารกิจเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พบอยู่ภายในห้องนอนของเขาคือผลแอปเปิลที่ถูกกัดแหว่ง ได้ทำการคาดเดาว่าการตายโดยแอปเปิลของทัวริงไม่จำเป็นต้องมีเจตนา หรืออาจจะเจตนา จากการตรวจพบสารไซยาไนด์บนผลแอปเปิล หรืออีกสาเหตุหนึ่งคือการวางผลแอปเปิ้ลโดนสารไซยาไนด์ในห้องทดลองของเขาแล้วเผลอรับประทานเข้าไป แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปการเสียชีวิตของแอลัน ทัวริงได้
== การศึกษาและงาน ==
ใน ค.ศ. 1931 เขาเข้าเรียนคณิตศาสตร์ที่คิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งในช่วงเวลานั้น คิงส์คอลเลจเป็นที่พักชายล้วน และทัวริงก็อยู่อย่างเปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์ และเข้าร่วมกิจกรรมชมรม ทัวริงมีความสุขกับชีวิตที่นี่มากและทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น พายเรือ เรือใบเล็ก และวิ่งแข่ง ทัวริงพูดเสมอว่า "งานของผมนั้นเครียดมาก และทางเดียวที่ผมจะเอามันออกไปจากหัวได้ก็คือ วิ่งให้เต็มที่" และเขาก็วิ่งอย่างจริงจัง โดยที่ผลการวิ่งมาราธอนของเขา ชนะเลิศการแข่งขันของสมาคมนักกรีฑาสมัครเล่น ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 43 นาที 3 วินาที ใน ค.ศ. 1946 ซึ่งในการแข่งขันวิ่งมาราธอนโอลิมปิก เมื่อ ค.ศ. 1948 คนที่ได้เหรียญทอง ทำเวลาได้เร็วกว่าเขาเพียง 11 นาที
ใน ค.ศ. 1933 ทัวริงได้พบกับเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์และได้พูดคุยในหัวข้อความสามารถในการพิสูจน์สมมติฐานหรือประพจน์ในทางคณิตศาสตร์อย่างมีรูปแบบ (formalism) ซึ่งในวงการคณิตศาสตร์ขณะนั้น เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์เสนอไว้ว่าสัจจะในคณิตศาสตร์สามารถถูกจัดอย่างเป็นรูปแบบใด ๆ ได้ ("mathematical truth could be captured by any formalism") แต่ในทางตรงกันข้าม คูร์ท เกอเดิลโต้ด้วยการเผยแพร่ ความไม่สมบูรณ์ของคณิตศาสตร์: ประพจน์จริงเกี่ยวกับตัวเลขที่ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยการประยุกต์ชุดกฎการลดทอน ("the incompleteness of mathematics: the existence of true statements about numbers which could not be proved by the formal application of set rules of deduction")
ใน ค.ศ. 1934 ทัวริงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยจึงเชิญเขาอยู่เป็น สมาชิกวิจัยด้านคณิตศาสตร์ต่อ ค.ศ. 1935 ทัวริงศึกษาร่วมกับจอห์น ฟอน นอยมันน์ ในหัวข้อปัญหาการตัดสินใจ (Entscheidungs problem) ที่ถามว่า มีวิธีทางหรือกระบวนการที่สามารถตัดสินใจว่าข้อกล่าวอ้างทางคณิตศาสตร์หนึ่งใด ๆ สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ ("Could there exist, at least in principle, a definite method or process by which it could be decided whether any given mathematical assertion was provable?") ทัวริงจึงวิเคราะห์ว่า คนเราทำอย่างไรเวลาทำงานที่เป็นกระบวนการที่มีกฎเกณฑ์ (methodical process) แล้วก็นึกต่อว่า วางกรอบว่าให้เป็นอะไรซักอย่างที่สามารถทำได้อย่างเป็นกลไก (mechanically) เขาจึงเสนอทฤษฏีออกมาเป็น "The analysis in terms of a theoretical machine able to perform certain precisely defined elementary operations on symbols on paper tape". โดยยกเรื่องที่เขาคิดมาตั้งแต่เด็กว่า 'สถานะความคิด' (state of mind) ของคน ในการทำกระบวนการทางความคิด มันเกี่ยวกับการเก็บ และเปลี่ยนสถานะจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนี่ง ได้ตามการกระทำทางความคิด โดยทัวริงเรียกสิ่งนี้ว่า คำสั่งตรรกะ (logical instructions) แล้วก็บอกว่าการทำงานต้องมี กฎเกณฑ์ที่แน่นอน (definite method; ต่อมาเรียกว่าขั้นตอนวิธี)
เมื่อ ค.ศ. 1936 เขาเตรียมเผยแพร่บทความวิชาการที่มืชื่อเสียง "On Computable Numbers with an application to the Entscheidungsproblem" (ว่าด้วยตัวเลขที่สามารถคำนวณได้และการประยุกต์สำหรับปัญหาการตัดสินใจ) แต่ก่อนเขาจะเผยแพร่บทความนี้ มีอีกงานของฝั่งอเมริกาของอะลอนโซ เชิร์ชออกมาทำนองคล้าย ๆ กัน เขาเลยถูกบังคับให้เขียนอิงบทความของเชิร์ชด้วย (เพราะบทความของเขาเผยแพร่ภายหลัง) แต่ต่อมาเมื่อบทความเขาเผยแพร่ออกมา มักถูกมองว่าเนื้อหาของบทความของเชิร์ชและทัวริงเป็นคนละทฤษฏีกันและของทัวริงมีเนื้อหาที่อ้างบนสมมติฐานภายในคณิตศาสตร์ที่แม่นกว่า การเน้นเรื่อง operation ใน physical world (ยุคต่อมาคนก็เลยนำแนวคิดของเขาไปประยุกต์ใช้และให้เกียรติว่า เครื่องทัวริง จึงเป็นที่มาของการยกย่องให้ทัวริงเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์) ปลายปีนั้นเองเขาก็ได้รับรางวัลสมิธ (Smith's Prize) ไปครอง
ต่อมา เขาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งสงบเงียบตัดห่างจากผู้คน แล้วก็ออกบทความว่า โลกทางความคิดกับโลกทางกายมันเชื่อมถึงกันได้ ผ่านออกมาด้วยการกระทำ ซึ่งขัดกับแนวคิดของผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น และเสนอความคิดออกมาเป็นเครื่องทัวริง (Universal Turing Machine) ในยุคนั้นยังไม่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ แต่เรียกว่าเป็นเครื่องคำนวณที่สามารถป้อนข้อมูลได้ ต่อมาทัวริงจึงสร้างเครื่องเข้ารหัส (cipher machine) โดยใช้รีเลย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับการคูณเลขฐานสอง หลังจากสำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันจึงเสนอตำแหน่งให้เขา แต่เขาตัดสินใจกลับไปที่เคมบริดจ์ โดยทิ้งทีมของเขา และมีจอห์น ฟอน นอยมันน์เข้ามาสานต่อ
ส่วนตัว ทัวริงก็เลือกไปทำงานด้าน 'ordinal logic' ต่อแทน เพราะเขาบอกว่าเป็น "my most difficult and deepest mathematical work, was an attempt to bring some kind of order to the realm of the uncomputable" เพราะทัวริงเชื่อว่าคนเรา โดยสัญชาตญาณสามารถตอบโต้ต่อเหตุการณ์ได้โดยไม่ต้องคำนวณ ("Human 'intuition' could correspond to uncomputable steps in an argument") แต่งานยังไม่เสร็จ ก็มีสงครามโลกครั้งที่สองเสียก่อน คือก่อนหน้านั้นเขาก็ทำงาน (อย่างเป็นความลับ) ให้กับ British Cryptanalytic department (หรือเรียกกันว่า Government code & cypher school) พอสงครามเริ่มเขาเลยเปิดเผยตัวเอง (ปกติจะทำเป็น fellow ที่คิงส์คอลเลจ เคมบริดจ์ อยู่หน้าฉากงานเดียว) เลยออกย้ายไปทำงานที่ the wartime cryptanalytic headquaters, Bletchley Park เป้าหมายคือเจาะรหัสของเครื่องเข้ารหัสเอนิกมา (Enigma Cipher Machine) ของเยอรมันให้ได้
ช่วงนั้น ทัวริงทำงานกับ ดับเบิลยู.จี. เวลช์แมน นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของเคมบริดจ์ ทัวริงบอกว่าเขาเจาะรหัสได้แล้วคร่าว ๆ ใน ค.ศ. 1939 แต่ต้องได้เครื่องเอนิกมา มาวิเคราะห์การคำนวณทางสถิติเป็นขั้นสุดท้ายก่อน แล้วทุกอย่างจะออกหมด แต่ต้องรอถึง ค.ศ. 1942 ที่เรือดำน้ำ U-boat ของสหรัฐไปยึดมาได้ และแล้วหลังจากนั้นอีนิกมาก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มสงบ ค.ศ. 1944 ทัวริงก็เริ่มสานต่อโครงการเก่าตั้งชื่อ "Building the Brain" แต่ตัดสินใจล้มโครงการไปใน ค.ศ. 1945 พอได้ข่าวว่าจอห์น ฟอน นอยมันน์ออกบทความเรื่อง EDVAC ออกมาจากฝั่งอเมริกา
ใน ค.ศ. 1946 ทัวริงกลับมาดูงานใหม่ ก็พบว่าเป็นงานคนละแนวคิดกัน ทางอเมริกาเน้นด้านอิเลกทรอนิกส์ แต่ทัวริงคิดแบบคณิตศาสตร์ ("I would like to implement arithmetical functions by programming rather than by building in electronic components, a concept different from that of the American-derived designs). โครงการตอนนั้นของทัวริงคือเครื่องคำนวณ (computation machine) ที่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบจาก numerical work เป็น algebra เป็น code breaking เป็น file handling หรือแม้กระทั่งเกมส์ ใน ค.ศ. 1947 ทัวริงเสนอว่า ต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูล และ ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ต้องขยายตัวเองออกเป็น ชุดคำสั่งย่อย ๆ ได้ โดยการใช้รูปย่อแบบ รหัสย่อ (คำสั่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาษาโปรแกรม) แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการสนันสนุน
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ยังคงเสนอตำแหน่งให้เขา แต่ทัวริงตัดสินใจเปลี่ยนสายขอพัก ไม่ทำด้านคณิตศาสตร์ ไม่ทำด้านเทคโนโลยี แต่ไปทำเรื่อง neurology กับ physiology sciences แทน แล้วก็ออกบทความเรื่องเครือข่ายประสาท ขึ้นมาว่า "a sufficiently complex mechanical system could exhibit learning ability" แล้วส่งบทความไปตีพิมพ์กับ NPL แต่ NPL ก็ทำงานช้า อยู่ ๆ ทีมนักวิจัยที่เคมบริดจ์เอง (สมัยนั้นยังชื่อ Mathematical Laboratory อยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็น Computer Laboratory) ก็ผลิตเครื่อง EDSAC ขึ้นมา (เป็นเครื่อง storage computer machine เครื่องแรก) โดยใช้หลักของชาร์ล แบบบิจ พร้อม ๆ กับ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้ทีมของทัวริงไปทำเครื่องในแนวทัวริงได้สำเร็จ
ทัวริงไม่สนใจในยุ่งการแข่งขันผลงานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งช่วงนั้นผลิตอย่างเร็วมาก เขาจึงไปวิ่งแข่งแทน เพราะเวลาที่เขาวิ่งใน ค.ศ. 1946 นั้น ทำให้เขามีสิทธิ์ลุ้นเหรียญทองวิ่งมาราธอนโอลิมปิก แต่โชคร้ายเขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์ก่อน เลยไม่สามารถไปแข่งโอลิมปิกใน ค.ศ. 1948 ได้ (ในปีนั้นคนที่ได้เหรียญเงินเวลารวมก็แพ้ทัวริง) สุดท้ายทัวริงก็เลยตัดสินใจกลับเคมบริดจ์ ผ่านไประยะนึง ทีมงานเก่าเขาที่ย้ายไปมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็เชิญเขาไปเป็นหัวหน้าภาควิชาใหม่ (ภาควิชาคอมพิวเตอร์) ทัวริงเลยตัดสินใจย้ายไป คราวนี้ไปเน้นด้านซอฟต์แวร์ ออกบทความวิชาการชื่อดังอีกอันในยุคนั้น "Computer Machine and Intelligence" ใน ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นรากฐานของแนวคิดพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในวงการคอมพิวเตอร์
ใน ค.ศ. 1951 เขาสนใจในงานด้านเคมี ในหัวข้อ morphogenetic theory เผยแพร่บทความเรื่อง "The Chemical Basis of Morphogenesis" ซึ่งต่อมาเป็น founding paper of modern non-linear dynamical theory (เกี่ยวกับ pattern formation of instability into the realm of spherical objects, e.g. radiolaria, cylinder, model of plant stems)
ใน ค.ศ. 1952 เขาถูกจับกุม โทษฐานมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ทัวริงไม่ปฏิเสธและยอมรับโทษแต่โดยดี มีทางเลือกให้เขาสองทางคือ จำคุกกับการฉีดฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อลดความต้องการทางเพศ ซึ่งเขาเลือกที่จะรับการฉีดยา และแล้วใน ค.ศ. 1954 ร่างของทัวริงก็ถูกพบโดยพนักงานทำความสะอาด ในสภาพมีแอปเปิลครึ่งลูกหล่นอยู่ข้าง ๆ และมีร่องรอยการทำการทดลองทางเคมีอยู่ใกล้ ๆ ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2009 หลังจากการรณรงค์ทางอินเทอร์เน็ต กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรจึงทำการขอโทษอย่างเป็นทางการในนามของรัฐบาลบริติชต่อวิธีอันไม่ถูกต้องที่รัฐบาลปฏิบัติต่อทัวริงหลังสงคราม
หลายปีต่อมา มีการเปิดเผยขึ้นมาว่า ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสงบลง เขายังคงทำงานให้กับองค์การ 'รหัสลับ' แบบลับ ๆ ของรัฐบาลอยู่ อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถบอกเพื่อน ๆ ได้ว่าทำอะไรบ้างและปิดบังมาตลอด ช่วงนั้นกำลังมีสงครามเย็น สหราชอาณาจักรกับสหรัฐเป็นพันธมิตรกัน สู้กับยุโรปตะวันออก แต่เพื่อนชาวยุโรปตะวันออก ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนพยายามติดต่อตัวเขา เช่นใน ค.ศ. 1953 เพื่อนเขาชาวนอร์เวย์ (มีแนวคิดเป็นสังคมนิยม) ถึงกับมาเยี่ยม ขณะที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ที่ประเทศกรีซ ทำให้พอเขากลับมาถึงอังกฤษ ก็ถูกเรียกไปคุยกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดเรื่องอะไรและมีเบื้องหลังอย่างไร
สำหรับผลงานที่เด่น ๆ ของทัวริง เช่น การคิดโมเดลที่สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ (แต่อาจมีความเร็วต่ำกว่า) โดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่าย ๆ เพียง เดินหน้า ถอยหลัง เขียน ลบ
== เกียรติยศ / เชิดชู ==
=== อนุสรณ์ ===
* อนุสรณ์ของแอลัน ทัวริง เป็นประติมากรรมลอยตัว สวมสูท นั่งบนม้านั่ง มือด้านขวาถือแอปเปิ้ลที่ถูกกัด ประติมากรรมสร้างขึ้นด้วยเหล็กสำริด บนพื้นมีลายธงไพรด์ ทำด้วยกระเบื้องโมเสก ประติมากรรมนี้ตั้งอยู่ ณ สวนสาธารณะแซกวิลล์ ถนนแซกวิลล์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรประติมากรรมแอลัน ทัวริง ปั้นขึ้นโดยนักประติมากรชาวอังกฤษ สตีเฟน เคตเทิล
* ประติมากรรมแอลัน ทัวริง เป็นประติมากรรมลอยตัว สร้างสรรค์ผลงานโดยนักประติมากรชาวอังกฤษ สตีเฟน เคตเทิล (Stephen Kettle) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะโดยการใช้วัสดุหินฉนวน ตั้งอยู่ ณ สวนสาธารณะเบลตช์ลีย์ ที่ทำการเมื่อครั้งแอลัน ทัวริง กับคณะใช้ในการปฏิบัติการถอดรหัสนาซี ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งอยู่ที่มณฑลบักกิงแฮมเชอร์ สหราชอาณาจักร
=== สลักรูปบนธนบัตร ===
* ใน ค.ศ. 2021 ธนบัตร 50 ปอนด์สเตอร์ลิงของประเทศอังกฤษ ได้ทำการสลักรูป "แอลัน ทิวริง" เพื่อเชิดชูผลงานและสร้างคุณูปการและช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมากบนโลกในสงครามโลกครั้งที่ 2
=== เกมคอมพิวเตอร์ ===
* ชื่อของแอลัน ทัวริง ยังถูกพาดพิงถึงในเนื้อเรื่องของเกมคอมพิวเตอร์แนวสยองขวัญชื่อว่า เอาต์ลาสต์ (Outlast) โดยในเนื้อเรื่องที่ถูกสมมุติขึ้นมานี้กล่าวว่า ทัวริงเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรเมิร์กออฟร่วมกับ ดร.รูดอล์ฟ เวอร์นิก ซึ่งเป็นตัวละครสมมุติในเนื้อเรื่องของเกม
=== ภาพยนตร์ ===
* ภาพยนตร์ ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก (The Imitation Game) เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์/ชีวิต/ระทึกขวัญ กำกับโดยมอร์เทน ทิลดัม เขียนบทโดยเกรแฮม มัวร์ โดยดัดแปลงจากหนังสือ Alan Turing: The Enigma โดยแอนดรูว์ ฮอดจส์ นำแสดงโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
== อ้างอิง ==
* Campbell-Kelly, Martin (ed.) (1994). Passages in the Life of a Philosopher. London: William Pickering. ISBN 0-8135-2066-5
* Campbell-Kelly, Martin, and Aspray, William (1996). Computer: A History of the Information Machine. New York: Basic Books. ISBN 0-465-02989-2
* Ceruzzi, Paul (1998). A History of Modern Computing. Cambridge, Massachusetts, and London: MIT Press. ISBN 0-262-53169-0
* Chandler, Alfred (1977). The Visible Hand: The Managerial Revolution in American Business. Cambridge, Massachusetts: Belknap Press. ISBN 0-674-94052-0
หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ
หมวดหมู่:นักวิทยาการคอมพิวเตอร์
หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เอ็มบีอี
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์โอบีอี
หมวดหมู่:ผู้ฆ่าตัวตายด้วยพิษไซยาไนด์
หมวดหมู่:ผู้ฆ่าตัวตายในสหราชอาณาจักร
หมวดหมู่:บุคคลจากลอนดอน
หมวดหมู่:บุคคลจากวิล์มสโลว์
หมวดหมู่:ชายรักร่วมเพศชาวอังกฤษ
หมวดหมู่:นักวิชาการที่มีความหลากหลายทางเพศ |
693 | https://th.wikipedia.org/wiki/คอมพิวเตอร์วิทัศน์ | คอมพิวเตอร์วิทัศน์ | คอมพิวเตอร์วิทัศน์ () เป็นศาสตร์ที่ใช้ในการเข้าใจว่าคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจภาพหรือวิดีโอในรูปแบบเดียวกับที่ระบบการมองเห็นของมนุษย์ คอมพิวเตอร์วิทัศน์รวมขั้นตอนการ ได้มา การประมวลผล การวิเคราะห์ และเข้าใจที่สามารถนำข้อมูลออกมาใช้ในการพยากรณ์หรือการตัดสินใจได้
คอมพิวเตอร์วิทัศน์ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับการดึงสารสนเทศจากรูปภาพหรือวีดิทัศน์ เครื่องมือที่ใช้ในคอมพิวเตอร์วิทัศน์ได้แก่ คณิตศาสตร์โดยเฉพาะ เรขาคณิต พีชคณิตเชิงเส้น สถิติ และ การวิจัยดำเนินงาน (การหาค่าเหมาะที่สุด) และการวิเคราะห์เชิงฟังก์ชัน โดยเครื่องมือเหล่านี้ใช้ในการสร้างขั้นตอนวิธีหรือ ขั้นตอนวิธี ในการแยกส่วนภาพ และ การจัดกลุ่มภาพเพือให้คอมพิวเตอร์สามารถ "เข้าใจ" ทัศนียภาพ หรือคุณลักษณะต่าง ๆ ในภาพ
== เป้าหมาย ==
เป้าหมายโดยทั่วไปของคอมพิวเตอร์วิทัศน์ได้แก่
* การตรวจจับ ตัดแบ่งขอบเขต ระบุตำแหน่ง และ รู้จำ วัตถุที่ต้องการในภาพ เช่น หน้าคน
* การประเมินผล สำหรับ การตัดเบ่งขอบเขตวัตถุในภาพ หรือ การวางทาบเทียบ เป็นต้น
* การวางทาบเทียบของ มุมมองต่าง ๆ ของทัศนียภาพ หรือ วัตถุหนึ่ง ๆ
* การติดตาม วัตถุหนึ่ง ๆ ในภาพต่อเนื่อง
* การเชื่อมโยงมุมมองต่าง ๆ ของทัศนียภาพหนึ่ง ๆ เพื่อสร้างแบบจำลองสามมิติ ของทัศนียภาพนั้น แบบจำลองดังกล่าวอาจนำมาใช้เพื่อนำทางหุ่นยนต์ ในทัศนียภาพจริง
* การกะประมาณ ท่าทางต่าง ๆ ของมนุษย์ และ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา นิ้วมือ ฯลฯ ในสามมิติ
* การค้นหา รูปภาพด้วยเนื้อหาของภาพ ในฐานข้อมูลภาพขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรลุซึ่งเป้าหมายเหล่านี้ ระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ จะต้องใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การรู้จำแบบ การเรียนรู้เชิงสถิติ เรขาคณิตเชิงภาพฉาย การประมวลผลภาพ ทฤษฎีกราฟ และอื่น ๆ
คอมพิวเตอร์วิทัศน์การรับรู้ นั้น เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ จิตวิทยาการรับรู้ และ การคำนวณทางชีวภาพ
การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์วิทัศน์อันหนึ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ การสร้างปรากฏการลวงตาต่าง ๆ ในภาพยนตร์ ปัจจุบัน เราจะพบการประยุกต์ใช้ คอมพิวเตอร์วิทัศน์ในสาขาต่าง ๆ เช่น การแพทย์ การทหาร ระบบตรวจตราและรักษาความปลอดภัย การตรวจสอบและควบคุมคุณภาพ ระบบหุ่นยนต์ รถยนต์ และอื่น ๆ
ในปัจจุบัน เครื่องจักรวิทัศน์ และ การจัดการรูปภาพทางการแพทย์ ที่ใช้วิธีการต่าง ๆ ทางคอมพิวเตอร์วิทัศน์ ได้รับการพัฒนา และ จัดจำหน่าย ในตลาดโลก คิดรวมเป็นมูลค่า หลายหมื่นล้านบาทต่อปี
== สาขาที่เกี่ยวข้อง ==
* การถ่ายภาพ 3 มิติ (three-dimensional imaging)
== ข้อมูลเพิ่มเติม ==
* The Computer Vision Homepage
* CVonline: The Evolving, Distributed, Non-Proprietary, On-Line Compendium of Computer Vision
* บทความที่น่าสนใจ Fisher, R., "Is Computer Vision Still AI?", AI Magazine, Vol 15, No. 2, pp 21--27, 1994
* Image and Vision Computing Laboratory สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:การประมวลผลภาพ
หมวดหมู่:ปัญญาประดิษฐ์
หมวดหมู่:คอมพิวเตอร์วิทัศน์ |
697 | https://th.wikipedia.org/wiki/ภาพลีนา | ภาพลีนา | thumb|ภาพลีนาส่วนหนึ่งที่ปรากฏในนิตยสาร[[เพลย์บอย]]
ภาพลีนา เป็นส่วนของภาพหน้ากลาง ของ Lena Soderberg ที่รู้จักกันดี และ ใช้กันอย่างกว้างขวาง เรียกได้ว่าเป็นภาพมาตรฐานในวงการการประมวลผลภาพดิจิทัล เลยก็ว่าได้ ผู้ใช้รูปนี้เป็นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รับรู้ที่มาของรูปนี้แต่อย่างใด รูปนี้ได้ถูกใช้และตีพิมพ์ ในผลงานทางวิชาการอย่างกว้างขวาง อยู่เป็นเวลานาน
ที่มาของรูปนี้เป็นรูปของ Lena Soderberg (ne Sjööblom) ชาวสวีเดน ซึ่งปรากฏ ในหน้ากลางของ นิตยสารเพลย์บอย ในปี 1972 และภาพนี้ได้ถูก ดิจิไตซ์ ที่ Signal and Image Processing Institute (SIPI) มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย โดย Alexander Sawchuk ซึ่งเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในขณะนั้น
จาก บทความ ของ Jamie Hutchinson ใน Newsletter ของ IEEE Professional Communication Society :
" ในปี 1973 นั้น ในขณะที่ Alexander Sawchuk กับนักเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาของเขา กำลังง่วนหาภาพดี ๆ เพื่อที่จะ สแกนไปใช้ลงในงานตีพิมพ์สัมนาของเพื่อนร่วมงาน หลังจากที่ได้พยายามหาจากภาพที่มีอยู่ ก็มีแต่ภาพที่ไม่เร้าใจ ภาพที่เค้ามองหาอยู่นั้น จะเป็นภาพหน้าคน สี กระดาษผิวมัน เพื่อให้เห็นความแตกต่างของระดับแสงสีที่ดี ก็พอดีมีคนเดินถือ นิตยสารเพลย์บอยฉบับใหม่เข้ามาพอดี พวกเขาก็เลยตัดเอาภาพท่อนบนจากหน้ากลาง เนื่องจากเขาต้องการภาพขนาด 512*512 และขึดความสามารถของ สแกนเนอร์ ทีใช้นั้นซึ่งสแกนได้ 100 เส้นต่อนิ้ว จึงตัดได้ภาพขนาด 5.12 นิ้ว ลงมาถึงหัวไหล่ของคนในภาพ. หลังจากได้สแกนเสร็จก็ปรากฏว่าภาพไม่สมบูรณ์ ขาดหายไป 1 เส้น แต่เนื่องจากมีเวลาจำกัด จีงตัดสินใจใช้ภาพนั้นโดยทำการเพิ่มเส้นให้ครบโดยการคัดลอกเอาจากเส้นถัดไป หลังจากเสร็จ ก็ไม่ได้มีความคิดใดๆว่าภาพที่ได้จะกลายมาเป็น หนึ่งในภาพมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบ. Sawchuk จำได้ว่า ทางกลุ่มได้แจกจ่ายรูปให้กับผู้ที่มาเยี่ยมเยือนที่ขอไป เพื่อจุดประสงค์ที่จะได้ทำการเปรียบเทียบผลลัพธ์ของขั้นตอนวิธีในการประมวลผลภาพได้ ซึ่งในที่สุดภาพนี้ก็ได้แพร่หลายเป็นที่นิยมใช้อย่างกว้างขวาง "
จนในภายหลังที่ได้รู้ถึงที่มาของภาพกันอย่างกว้างขวาง ก็เกิดเป็นกรณีโต้แย้ง ว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้ภาพนี้เนื่องจากที่มาของภาพ และ การที่เพลย์บอย ก็ได้มีความพยายามจะฟ้องร้องเรื่องสิทธิการใช้ภาพ
คุณลีนา (ตัวจริง เสียงจริง) ได้ไปร่วม the 50th Anniversary IS&T conference ใน Boston จัดขึ้นในเดือน พฤษภาคม 1997
== หมายเหตุ ==
ชื่อลีนา ในภาษาสวีเดน ใช้คำว่า Lena แต่ในภาษาอังกฤษที่ลงในหนังสือเพลย์บอยใช้คำว่า Lenna
== อ้างอิง ==
* A Note on Lena โดย former editor-in-chief of the IEEE Transactions on Image Processing ใน IEEE TRANSACTIONS ON IMAGE PROCESSING. VOL. 5. NO. 1. JANUARY 1996
* editorial โดย the editor of SPIE journal Optical Engineering
* ภาพต้นฉบับของ Lenna ระวัง ภาพต้นฉบับมีลักษณะโป๊
หมวดหมู่:การประมวลผลภาพ |
698 | https://th.wikipedia.org/wiki/การประมวลผลภาพ | การประมวลผลภาพ | การประมวลผลภาพ () คือ เป็นการประยุกต์ใช้งานการประมวลผลสัญญาณบนสัญญาณ 2 มิติ เช่น ภาพนิ่ง (ภาพถ่าย) หรือภาพวีดิทัศน์ (วิดีโอ) และยังรวมถึงสัญญาณ 2 มิติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาพด้วย
แนวความคิดและเทคนิค ในการประมวลผลสัญญาณ สำหรับสัญญาณ 1 มิตินั้น สามารถปรับมาใช้กับภาพได้ไม่ยาก แต่นอกเหนือจาก เทคนิคจากการประมวลผลสัญญาณแล้ว การประมวลผลภาพก็มีเทคนิคและแนวความคิดที่เฉพาะ (เช่น connectivity และ rotation invariance) ซึ่งจะมีความหมายกับสัญญาณ 2 มิติเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเทคนิคบางอย่าง จากการประมวลผลสัญญาณใน 1 มิติ จะค่อนข้างซับซ้อนเมื่อนำมาใช้กับ 2 มิติ
เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว การประมวลผลภาพนั้น จะอยู่ในรูปของการประมวลผลสัญญาณแอนะล็อก (analog) โดยใช้อุปกรณ์ปรับแต่งแสง (optics) ซึ่งวิธีเหล่านั้นก็ไม่ได้หายสาบสูญ หรือเลิกใช้ไป ยังมีใช้เป็นส่วนสำคัญ สำหรับการประยุกต์ใช้งานบางอย่าง เช่น ฮอโลกราฟี (holography) แต่เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ราคาถูกลง และเร็วขึ้นมาก การประมวลผลภาพดิจิทัล (digital image processing) จึงได้รับความนิยมมากกว่า เพราะการประมวลผลที่ทำได้ซับซ้อนขึ้น แม่นยำ และง่ายในการลงมือปฏิบัติ
== ดูเพิ่ม ==
* การประมวลผลภาพดิจิทัล
* การประมวลผลภาพทางการแพทย์
* การถ่ายภาพ
* คอมพิวเตอร์วิทัศน์
* คอมพิวเตอร์กราฟิกส์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* งานวิจัยเทคโนโลยีภาพ (RDI-3) เนคเทค
* Image and Vision Computing Laboratory สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หมวดหมู่:การประมวลผลภาพ |
700 | https://th.wikipedia.org/wiki/การประมวลผลภาพดิจิทัล | การประมวลผลภาพดิจิทัล | การประมวลผลภาพดิจิทัล () เป็นสาขาที่กล่าวถึงเทคนิคและขั้นตอนวิธีต่าง ๆ ที่ใช้การประมวลผลภาพที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล (ภาพดิจิทัล)
ภาพในที่นี้ รวมความหมายถึงสัญญาณดิจิทัลใน 2 มิติอื่น ๆ โดยทั่วไปคำนี้เมื่อใช้อย่างกว้าง ๆ จะครอบคลุมถึงสัญญาณวิดีโอ (video) หรือภาพเคลื่อนไหว ซึ่งจะเป็นชุดของภาพนิ่ง เรียกว่า เฟรม (frame) หลาย ๆ ภาพต่อกันไปตามเวลา
ซึ่งก็คือสัญญาณ 3 มิติ เมื่อนับเวลาเป็นมิติที่ 3 หรือ อาจจะครอบคลุมถึงสัญญาณ 3 มิติอื่น ๆ เช่น ภาพ 3 มิติทางการแพทย์ หรือ อาจจะมากกว่านั้น เช่น ภาพ 3 มิติ และ หลายชนิด (multimodal image)
== หัวข้อหลัก ==
* image perception and image acquisition
* image transform
* image enhancement
* image restoration
* image analysis
* image compression
== ดูเพิ่ม ==
* การประมวลผลภาพ
* การประมวลผลภาพทางการแพทย์
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* อิมเมจโปรเซสซิ่งเบื้องต้น ThaiDev.com
* Lectures on Image Processing, โดย อลัน ปีเตอรส์. มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์. อัพเดตเมื่อ 7 มกราคม 2016.
* Processing digital images with computer algorithms
หมวดหมู่:คอมพิวเตอร์วิทัศน์
หมวดหมู่:การประมวลผลภาพ
หมวดหมู่:การประมวลผลภาพดิจิทัล |
709 | https://th.wikipedia.org/wiki/กราฟบริบูรณ์ | กราฟบริบูรณ์ | กราฟบริบูรณ์ (complete graph) เป็น กราฟ ที่ทุกคู่ของ จุดยอด ถูกเชื่อมต่อด้วย เส้นเชื่อม เป็น กราฟสม่ำเสมอ ที่มีระดับขั้น n-1 กราฟบริบูรณ์บนจุดยอด n จุด ใช้สัญลักษณ์ K_n, มี n จุดยอด, และ \frac{n \left ( n-1 \right) }{2} เส้นเชื่อม
ไดกราฟบริบูรณ์ (complete digraph) ก็เป็นลักษณะเดียวกับกราฟ ต่างกันที่เส้นเชื่อมแต่ละเส้น จะถูกแทนด้วยเป็นเส้นเชื่อมระบุทิศทาง 2 เส้น ในทิศทางตรงข้ามกัน
== อ้างอิง ==
* Counting Paths and Cycles in Complete Graphs. Results are available Mehdi Hassani, Cycles in graphs and derangements, Math. Gaz. 88(March 2004) pp. 123-126 (reprint) or here
หมวดหมู่:ทฤษฎีกราฟ |
715 | https://th.wikipedia.org/wiki/จอห์น_ฟอน_นอยมันน์ | จอห์น ฟอน นอยมันน์ | จอห์น ฟอน นอยมันน์ ในช่วงปี ค.ศ. 1940
จอห์น ฟอน นอยมันน์ (; ; 28 ธันวาคม 1903 - 8 กุมภาพันธ์ 1957) เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี มีผลงานสำคัญในหลายสาขา ทั้ง คณิตศาสตร์สาขาต่างๆ ควอนตัมฟิสิกส์ ทฤษฎีเกม วิทยาการคอมพิวเตอร์ และสถิติศาสตร์
== พื้นฐานครอบครัวและชีวิตช่วงแรก ==
จอห์น ฟอน นอยมันน์ เกิดวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1903 ที่เมืองบูดาเปสต์ ฮังการี ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เขามีชื่อตอนเกิดในภาษาฮังการีว่า มอร์กิตตอย นอยมันน์ ยาโนช ลาโยช (Margittai Neumann János Lajos; ตามธรรมเนียมฮังการีจะเรียงนามสกุลขึ้นก่อน) ครอบครัวของฟอน นอยมันน์เป็นชาวยิวที่ไม่เคร่งครัดศาสนาและมีฐานะทางเศรษฐกิจดี บิดาของเขาชื่อ นอยมันน์ มิกชอ () จบการศึกษาด้านกฎหมายและทำงานเป็นนายธนาคาร มารดาของเขาชื่อคันน์ มอร์กิต () มาจากครอบครัวที่ทำธุรกิจค้าขายอุปกรณ์การเกษตร เขามีน้องชายสองคนชื่อ มีฮาย () และมีโคลช () ในปี 1913 บิดาของจอห์นได้รับฐานันดรศักดิ์จากจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ ทำให้ครอบครัวสามารถใช้ชื่อยศเพิ่มว่า มอร์กิตตอย ( แปลว่า "แห่งเมืองมอร์กิตตอ") และเป็นที่มาของการเติมยศ "ฟอน" ในชื่อฉบับภาษาเยอรมันของครอบครัว
ฟอน นอยมันน์ได้รับการศึกษาจากครูส่วนตัวจนถึงอายุสิบปี หลังจากนั้นเขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมนิกายลูเทอรันซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นนำในบูดาเปสต์ ฟอน นอยมันน์แสดงความอัจฉริยะตั้งแต่วัยเด็ก โดยได้ศึกษาคณิตศาสตร์แคลคูลัสตั้งแต่อายุแปดปี ลาสโล ราตซ์ อาจารย์คณิตศาสตร์ที่โรงเรียนมัธยม ได้สังเกตความสามารถทางคณิตศาสตร์ของฟอน นอยมันน์ในช่วงสองสามเดือนแรกที่เขาเข้าเรียน และแนะนำให้ครอบครัวจ้างครูส่วนตัวมาสอนคณิตศาสตร์ขั้นสูงให้กับเขา
เมื่อฟอน นอยมันน์อายุได้ 17 ปี พ่อของเขาไม่ต้องการให้เขาศึกษาต่อด้านคณิตศาสตร์ด้วยความกังวลทางด้านการเงิน ทำให้ฟอน นอยมันน์เลือกศึกษาด้านเคมีไปพร้อมกับคณิตศาสตร์ เขาได้ลงทะเบียนเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้านคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบูดาเปสต์ (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยเอิตเวิช โลรานด์ หรือ ELTE) และเข้าเรียนวิชาต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลินในช่วงปี ค.ศ.1921 ถึง 1923 ก่อนที่จะย้ายไปศึกษาวิศวกรรมเคมีที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช ในปี 1926 ฟอน นอยมันน์ในวัย 23 ปีได้รับปริญญาบัตรด้านวิศวกรรมเคมีจากซือริช และได้รับปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบูดาเปสต์ในปีเดียวกัน
ฟอน นอยมันน์ได้ตีพิมพ์บทความคณิตศาสตร์ฉบับแรกในปี 1922 ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 18 ปี โดยเขียนร่วมกับมีฮาย เฟเกเต ที่เป็นผู้สอนคณิตศาสตร์ของฟอน นอยมันน์คนหนึ่ง มีเนื้อหาเกี่ยวกับรากของพหุนามแบบเชบืยชอฟ ในปี 1923 ฟอน นอยมันน์ตีพิมพ์บทความที่สองของเขา โดยเสนอนิยามของจำนวนเชิงอันดับที่ซึ่งมาทดแทนนิยามเดิมของเกออร์ค คันทอร์และเป็นรากฐานสำคัญของนิยามจำนวนเชิงอันดับที่ในเชิงทฤษฎีเซต
== ผลงาน ==
ระหว่างปี ค.ศ. 1926 ถึง 1930 เขาทำงานเป็น "อาจารย์อิสระ" ("Privatdozent" เป็นตำแหน่งในระบบมหาวิทยาลัยยุโรป สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย ตำแหน่งนี้ไม่มีเงินเดือนประจำ) โดยในขณะนั้นเขาเป็นอาจารย์อิสระที่อายุน้อยที่สุดมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
ในปี ค.ศ. 1930 นอยมันน์ได้รับเชิญให้ไปยังเมืองพรินซ์ตัน, รัฐนิวเจอร์ซีย์ และได้เป็นหนึ่งในหกบุคคล
(J. W. Alexander, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, Marston Morse, Oswald Veblen, จอห์น ฟอน นอยมันน์ และ Hermann Weyl) ที่ถูกคัดเลือกเพื่อเป็นอาจารย์ประจำชุดแรกของ Institute for Advanced Study เขาเป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ที่นั่น ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสาขาวิชาในปี ค.ศ. 1933 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเขา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นอยมันน์ได้มีส่วนร่วมใน โครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) ซึ่งเป็นโครงการสร้างระเบิดปรมาณู
ช่วง ค.ศ. 1936 จนถึง 1938 แอลัน ทัวริง ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปที่สถาบัน และเรียนจบปริญญาเอก โดยมีนอยมันน์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา การไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครั้งนี้ของทัวริง เกิดขึ้นหลักจากที่เขาได้ดีพิมพ์บทความวิชาการ "On Computable Numbers with an Application to the Entscheidungs-problem" ในปี ค.ศ. 1934 ได้ไม่นาน. งานตีพิมพ์นี้ เกี่ยวข้องกับ หลักการของ logical design และ universal machine. ถึงแม้จะเป็นที่แน่ชัดว่า นอยแมนรู้ถึงแนวความคิดของทัวริง แต่ก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เขาได้ใช้หลักการของทัวริง ในการออกแบบเครื่อง IAS ที่ถูกสร้างในเวลา 10 ปีต่อมา
นอยมันน์นั้น ได้รับการขนานนามว่าเป็น บิดาของทฤษฎีเกม (game theory). เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ Theory of Games and Economic Behavior โดยร่วมเขียนกับ Oskar Morgenstern ในปี ค.ศ. 1944 เขาได้คิดหลักการ "MAD" (mutually assured destruction) ซึ่งเทียบเท่าสำนวนจีนว่า "หยกกระเบื้องล้วนแหลกราญ" หรืออาจแปลไทยได้เป็น "รับรองได้ว่าเจ๊งไปด้วยกันทั้งคู่แน่" ซึ่งเป็นหลักการซึ่งใช้เป็นหลักสำคัญ ในการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา ในช่วงสงครามเย็น
นอยมันน์เป็นคนคิด สถาปัตยกรรมแบบ ฟอน นอยมันน์ ซึ่งใช้กันในคอมพิวเตอร์ (แบบที่ไม่ได้ประมวลผลแบบขนาน) ส่วนใหญ่ พูดได้ว่า คอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมดในโลกนี้ เป็นเครื่องจักรแบบ ฟอน นอยมันน์ เขาเป็นผู้ริเริ่มสาขา cellular automata และได้สร้างตัวอย่างชุดแรกของ self-replicating automata โดยใช้แค่กระดาษกราฟ กับ ดินสอธรรมดาๆ (ไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยเลย) คำว่า เครื่องจักรแบบ ฟอน นอยมันน์ ยังหมายความถึง เครื่องจักรที่สร้างตนเองซ้ำได้ (self-replicating machine)
นอยมันน์ได้พิสูจน์ว่า การใช้เครื่องจักรที่สร้างตนเองซ้ำได้ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการทำเหมืองขนาดใหญ่มาก ๆ อย่างการทำเหมืองบนดวงจันทร์ หรือ แถบดาวเคราะห์น้อย เนื่องจากกลไกแบบนี้จะมีการเติบโตเป็นแบบเลขชี้กำลัง
== ชีวิตส่วนตัว ==
นอยมันน์นับเป็นบุคคลที่ฉลาดล้ำลึก และความจำที่เป็นเลิศเกือบจะเรียกได้ว่า จำได้ทุกอย่าง ในระดับรายละเอียดเลยก็ว่าได้ เขาเป็นคนชอบออกสังคมไม่เก็บตัว ชอบดื่มเหล้า เต้นรำ และการเริงรมย์ เป็นคนสนุกสนาน และขบขัน เสียชีวิตที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
จากตำรา การโปรแกรมเชิงเส้น ที่เขียนโดยจอร์จ แดนท์ซิก (George B. Dantzig) ซึ่งเป็นผู้ที่คิดค้นวิธีซิมเพล็กซ์ ที่ใช้แก้ปัญหาการโปรแกรมเชิงเส้น เขาได้เขียนถึงนอยมันน์ จากประสบการณ์ที่ได้ไปพบและขอคำแนะนำจากนอยมันน์ และยังได้สะท้อนถึงบุคลิกของนอยมันน์ และได้เล่าถึงตอนที่นอยมันน์ได้ช่วยเหลือ โดยการตอบคำถามของแฮโรลด์ โฮเทลลิง (Harold Hotelling, ผู้คิดค้น Principal components analysis) ระหว่างการนำเสนอผลงานการโปรแกรมเชิงเส้นของเขา
== วิทยาการคอมพิวเตอร์ ==
ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา สถาบันวิศวกรรมไฟฟ้ามัวร์สกูล (Moore School of Electrical Engineering) ณ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในโครงการ EDVAC ฟอน นอยมันน์ได้เขียนรายงานฉบับร่างแรกที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับ EDVAC รายงานฉบับนี้ซึ่งมีการตีพิมพ์ก่อนกำหนดนั้นทำให้การอ้างสิทธิบัตรของนักออกแบบ EDVAC J. คือ เพรสเปอร์ เอคเคอร์ต (Presper Eckert) และ จอห์น เมาค์ลีย์ (John Mauchly) เป็นโมฆะ รายงานฉบับนั้นอธิบายถึงสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ที่ข้อมูลและโปรแกรมถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ในพื้นที่ (Address space) เดียวกัน สถาปัตยกรรมแบบนี้เป็นพื้นฐานของการออกแบบคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ส่วนใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่รันโปรแกรมโดยใช้อุปกรณ์หน่วยความจำแยกต่างหาก เช่น เทปกระดาษ หรือ ปลั๊กบอร์ด สถาปัตยกรรมโปรแกรมที่จัดเก็บหน่วยความจำเดียว มักถูกเรียกว่า "สถาปัตยกรรมฟอน นอยมันน์"อันเป็นผลมาจากรายงานฉบับดังกล่าวของฟอน นอยมันน์ แต่สถาปัตยกรรมนี้มีพื้นฐานมาจากผลงานของ Eckert และ Mauchly ผู้ประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ ENIAC ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
จอห์นฟอนนอยมันน์เป็นที่ปรึกษาให้กับห้องปฏิบัติการวิจัยขีปนาวุธของกองทัพสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการ ENIAC ในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ ENIAC ใหม่วิ่งด้วยความเร็วหนึ่งในหก แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของ ENIAC ลดลงเนื่องจากอุปกรณ์ยังคงถูกผูกไว้กับ I/O ทั้งหมด โปรแกรมที่ซับซ้อนสามารถพัฒนาและแก้ไขได้ในไม่กี่วัน แทนที่จะให้เวลาเป็นสัปดาห์ที่จำเป็นสำหรับ ENIAC แบบเก่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคแรก ๆ ของฟอน นอยมันน์บางโปรแกรมได้รับการเก็บรักษาไว้อยู่ในพิพิธภัณฑ์
คอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปที่นอยมันน์ออกแบบ คือเครื่อง IAS ที่ Institute for Advanced Study ใน เมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาจัดเตรียมเงินทุนและส่วนประกอบต่าง ๆ ได้รับการออกแบบ และสร้างคอมพิวเตอร์นั้นขึ้นที่ห้องปฏิบัติการวิจัย RCA เขาแนะนำให้ IBM 701 (ซึ่งมีชื่อเล่นว่าคอมพิวเตอร์ป้องกัน) ให้ใส่ดรัมแม่เหล็กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ IBM 701 เป็นเครื่อง IAS รุ่นที่เร็วกว่าและเป็นพื้นฐานสำหรับ IBM 704 ที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ในเวลาต่อมา
คอมพิวเตอร์สโตแคสติก (Stochastic computer) ได้รับการแนะนำครั้งแรกในเอกสารบุกเบิกโดยนอยมันน์ในปี ค.ศ.1953 อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ไม่สามารถนำไปใช้ได้จนถึงในช่วงทศวรรษที่ 1960 เนื่องจากวิทยาการของคอมพิวเตอร์ในเวลานั้นยังไม่ซับซ้อนพอ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวยิว
ฟอน นอยมันน์, จอห์น
หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวฮังการี
หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐนิวเจอร์ซีย์
หมวดหมู่:บุคคลจากบูดาเปสต์
หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน |
716 | https://th.wikipedia.org/wiki/การสร้างภาพเชิง_3_มิติ | การสร้างภาพเชิง 3 มิติ | การสร้างภาพเชิง 3 มิติ () คือ การหารูปร่างและขนาดของวัตถุใน 3 มิติ โดยเทคนิคของการวัดรูปร่างนี้ จะมีเงื่อนไขจำกัดอยู่ เนื่องจากสิ่งที่ต้องการวัดคือ ขนาดสัมบูรณ์ของวัตถุ เพราะฉะนั้นขนาดของวัตถุที่วัดได้ จะต้องไม่ขึ้นกับชนิดผิวและการสะท้อนของวัตถุ ระยะห่างจากอุปกรณ์เก็บภาพ 3 มิติ และ สภาพแสงและการส่องสว่าง
เทคนิคในการเก็บภาพ 3 มิตินี้ มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป อุปกรณ์รับรู้ที่ใช้ในการเก็บภาพ 3 มิตินี้ สามารถแยกกว้าง ๆ ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
# การสามเหลี่ยม (triangulation)
# การวัดโดยเวลาในการเดินทาง (time-of-flight measurement, TOF)
# การวัดการแทรกสอด (interferometry)
== การสามเหลี่ยม ==
การสามเหลี่ยม เป็นการวัดหาระยะความลึก (depth) ของภาพโดยในการวัดจะมีพื้นฐานมาจาก การตัดกันของแกนอะไรบางอย่างเป็นรูปสามเหลี่ยม เมื่อรวมกับข้อมูลของอุปกรณ์วัด จะทำให้สามารถหาระยะลึกได้
# เทคนิคการใช้โฟกัส
## Depth from focus
## Depth from defocus
## การสามเหลี่ยมแบบกัมมันต์ (Active triangulation) กระทำด้วยการฉายแสงที่มีโครงสร้างแน่นอน ไปบนวัตถุ โดยอาศัยข้อมูลตำแหน่งของตัวฉายแสงกับอุปกรณ์รับ และ มุมที่อุปกรณ์ทั้งสองไปยังตำแหน่งใด ๆ ของแสง ทำกับเส้นเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ทั้งสองเป็นสามเหลี่ยม จะทำให้หาระยะความลึกได้ โดยแสงที่ฉายอาจเป็นจุด เส้น หรือแสงที่เข้ารหัส
## การสามเหลี่ยมแบบกสานติ์ (Passive triangulation) จะเป็นลักษณะของการเห็นสามมิติ จะใช้อุปกรณ์รับภาพ 2 ตัวหรือมากกว่า โดยการหาตำแหน่งร่วมในภาพ แล้ววัดระยะของตำแหน่งร่วมใด ๆ ในภาพ ต้วยการสามเหลี่ยม จากข้อมูลตำแหน่งอุปกรณ์รับภาพทั้งสองกับมุม เช่นเดียวกับในกรณี การสามเหลี่ยมกัมมันต์ ซึ่งการหาตำแหน่งร่วมนี้เป็นจุดสำคัญ โดยอาจทำได้โดยการจับคู่จุดเด่นในภาพ พื้นผิวของภาพ หรือ การเอาวัตถุที่มีลักษณะเฉพาะเข้าไปวางบนวัตถุ หรือไว้ในฉากที่ต้องการวัด
# Theodolites หรือ เครื่องมือรังวัด
# Shape from shading วิทยานิพนธ์ฉบับแรกในเรื่องนี้ [ftp://publications.ai.mit.edu/ai-publications/pdf/AITR-232.pdf Shape from Shading: A Method for Obtaining the Shape of a Smooth Opaque Object from One View] โดย Berthold K. P. Horn เป็นการหารูปร่างจากแสงและเงา โดยใช้ตำแหน่งของอุปกรณ์รับภาพ และตำแหน่งของอุปกรณ์ฉายแสง ในการหาขนาดของวัตถุ
==ประเภทของภาพ 3 มิติ==
#ภาพสามมิติแบบทัศนียภาพ เป็นภาพเขียนแบบที่มีลักษณะเป็นจุดรวมสายตา เมื่อภาพมองดูภาพที่ใกล้ก็จะมีขนาดใหญ่ และเมื่อไกลออกไปจะมองเห็นเล็กลงไปรวมจุด ภาพเขียนแบบชนิดนี้นิยมใช้เขียนในงานสถาปัตยกรรม มีอยู่ 3 แบบ ดังนี้
##ภาพทัศนียภาพแบบรวมสายตา 1 จุด เป็นภาพเขียนแบบที่มองเห็นด้านหน้าลักษณะตรงตั้งฉากและจะเห็นด้านอื่นเอียงลึกลงไปรวมจุดเพียงหนึ่งจุด มีอยู่ 3 ลักษณะคือ แนวระดับสายตา, แนวมุมสูง และแนวมุมต่ำ
##ภาพทัศนียภาพแบบรวมสายตา 2 จุด เป็นภาพเขียนแบบที่มีจุดรวมสายตาอยู่ 2 จุด คือ จุดทางด้านซ้ายมือ (LVP) และจุดทางด้านขวามือ (RVP)
##ภาพทัศนียภาพแบบรวมสายตา 3 จุด เป็นภาพเขียนแบบที่มีจุดรวมสายตาอยู่ 3 จุด คือจุดรวมสายตาทางด้านซ้ายมือ จุดรวมสายตาทางด้านขวามือ และจุดรวมสายตาทางด้านล่างหรือด้านบน
#ภาพออบลิค เป็นภาพเขียนแบบที่ด้านหน้ามีลักษณะตั้งตรง ส่วนภาพด้านข้างและด้านบนจะเอียงลึกลงไปเพียงด้านเดียว โดยมีขนาดที่ขนานเท่ากันตลอด โดยทั่วไปจะเป็นมุมเอียง 45 องศา มีอยู่ 2 แบบ ดังนี้
##ภาพออบลิคแบบเต็มส่วน (Cavalier Drawing) เป็นแบบที่มีอัตราส่วนภาพระหว่างความกว้าง: ความสูง : ความลึกของภาพเป็น 1 : 1 : 1
##ภาพออบลิคแบบครึ่งส่วน (Cabinet Drawing) เป็นแบบที่มีอัตราส่วนภาพระหว่างความกว้าง:ความสูง : ความลึก ของภาพเป็น 1 : 1 :0.5
#ภาพสามมิติแบบแอกโซโนเมตริก (Axonometric) คำว่าแอกซอน (Axon) มาจากคำว่า Axis ซึ่งแปลว่าแกนฉะนั้นภาพแอกโซโนเมตริจึงเป็นภาพสามมิติที่วัดจากแกนสามแกนมุมรวมกัน 360 องศา โดยมีแกนหลักทำมุมตั้งฉากกับแนวนอน ส่วนอีกสองแกนจะมีมุมเอียงลึกลงไปทั้งสองข้าง มีอยู่ 3 แบบดังนี้
##ภาพไดเมตริก (Diametric Projection) เป็นภาพเขียนแบบสามมิติที่มีมุมรอบศูนย์กลางจำนวนสามแกน โดยสองแกนมุมเท่ากัน ส่วนแกนที่สามทำมุมต่างออกไป และแกนหลักต้องทำมุมตั้งฉากกับแนวนอน โดยมีรูปแบบอัตราส่วนความกว้าง ความสูง และความลึกของภาพอยู่หลายรูปแบบ
##ภาพไตรเมตริก (Trimetric Projection) เป็นภาพเขียนแบบสามมิติที่มีมุมรอบศูนย์กลางจำนวนสามแกนโดยทั้งสามแกนทำมุมไม่เท่ากัน และแกนหลักต้องทำมุมตั้งฉากกับแนวนอน โดยมีสัดส่วนความกว้างความสูง และความลึกของภาพ
##ภาพไอโซเมตริก (Isometric Projection) เป็นภาพเขียนแบบสามมิติที่มีมุมรอบศูนย์กลางจำนวนสามแกนโดยทั้งสามแกนทำมุม 120 องศาเท่ากัน และแกนหลักต้องทำมุมตั้งฉากกับแนวนอนโดยมีสัดส่วนความกว้าง ความสูง และความลึกของภาพ
== การวัดโดยเวลาในการเดินทาง ==
เป็นเทคนิคหาระยะ โดยวัดระยะเวลาการเดินทางของสัญญาณที่ส่งออกไป และสะท้อนวัตถุกลับมา เมื่อรวมกับความเร็วในการเดินทางของสัญญาณ จะทำให้หาระยะความลึกได้ สัญญาณที่ใช้วัดจะแบ่งได้เป็น pulse modulation continuous wave และ pseudo-random noise
หมวดหมู่:การถ่ายภาพ |
718 | https://th.wikipedia.org/wiki/การประมวลผลสัญญาณเสียง | การประมวลผลสัญญาณเสียง | การประมวลผลสัญญาณเสียง หรือ การประมวลเสียง เป็นกระบวนการเกี่ยวกับ 'ตัวแทนสัญญาณเสียง' หรือ เสียง
ตัวแทนนี้อาจจะอยู่ในรูปดิจิทัลหรืออนาล็อก ตัวแทนในแบบอนาล็อกมักจะอยู่ในรูปไฟฟ้า โดยความต่างศักย์ไฟฟ้าจะแทนความดันอากาศของคลื่นเสียง ในทำนองเดียวกัน ตัวแทนแบบดิจิทัล จะแทนความดันนั้นด้วยชุดของสัญลักษณ์ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปคือเลขฐานสอง
== ดูเพิ่ม ==
* สารบัญรูปแบบการบันทึกเสียง
หมวดหมู่:การประมวลผลสัญญาณ
หมวดหมู่:วิทยาการสารสนเทศ |
719 | https://th.wikipedia.org/wiki/รูปแบบการบันทึกเสียง | รูปแบบการบันทึกเสียง | == พัฒนาการของรูปแบบการบันทึกเสียง ==
นี่คือพัฒนาการของรูปแบบการบันทึกเสียงที่ใช้ในการบันทึกเสียงดนตรี และข้อมูลเสียงประเภทอื่น ๆ ทั้งในรูปแบบที่เป็นอุปกรณ์ และในรูปแบบของประเภทไฟล์/การเข้ารหัส เรียงตามลำดับเวลา (ปี ค.ศ.):
* 1870s: กล่องเสียง (phonograph cylinder)
* 1895: แผ่นเสียง (analogue disc record)
* 1930s: wire recording
* 1940s:reel-to-reel audio tape recording, Magnetic Tape (audio)
* 1948: vinyl record
* 1963: คาเซตเทป (compact cassette)
* 1960s: 8-track
* 1969: Microcassette
* 1970s: Elcaset
* 1980: ซีดี (Compact Disc Digital Audio System)
* 1985: AIFF
* 1987: เทปดิจิทัล (Digital audio tape :DAT)
* 1990s: Digital Compact Cassette
* 1991: Minidisc
* 1992: WAV
* 1996: DVD
* 1999: Windows Media Audio
* 2001: AAC
* 2002: Ogg Vorbis
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* University of San Diego article
* Knowmadz.org article
* recording-history.org
* TechTV article
หมวดหมู่:เสียง
หมวดหมู่:เทคโนโลยี
en:Audio format
fr:Format de fichiers audio |
720 | https://th.wikipedia.org/wiki/การบีบอัดข้อมูล | การบีบอัดข้อมูล | การบีบอัดข้อมูล (data compression) เป็นสาขาวิชาหนึ่งในวิทยาการคอมพิวเตอร์ หมายถึง การศึกษาวิธีการในการจัดเก็บข้อมูล ที่ทำให้ใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บน้อยลง
การบีบอัดข้อมูล มีความสำคัญในระบบการสื่อสารและจัดเก็บข้อมูล เนื่องจากทำให้เก็บหรือรับส่งข้อมูลได้มากขึ้น โดยใช้เนื้อที่เท่าเดิม (คำว่าเนื้อที่นี้ อาจจะเป็นเนื้อที่จัดเก็บข้อมูล หรือเนื้อที่ในช่องสัญญาณก็ได้)
การบีบอัดข้อมูลแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ตามคุณภาพของข้อมูลที่ถูกบีบอัดแล้ว คือ
# การบีบอัดข้อมูลแบบไม่สูญเสีย (lossless data compression) เช่น การบีบอัดข้อมูลแบบ LZW ฯลฯ
# การบีบอัดข้อมูลแบบสูญเสียบางส่วน (lossy data compression) เช่น การบีบอัดภาพแบบ JPEG, การบีบอัดเสียงแบบ MP3 ฯลฯ
== อ้างอิง ==
* Data Compression - Systematisation by T.Strutz
หมวดหมู่:หน่วยเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์
การบีบอัดข้อมูล
หมวดหมู่:วิทยาการคอมพิวเตอร์
หมวดหมู่:โทรทัศน์ระบบดิจิทัล
หมวดหมู่:วิทยาการสารสนเทศ |
721 | https://th.wikipedia.org/wiki/สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร_มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ภาพตึกสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต
สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (เอสไอไอที) เป็นสถาบันการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และการจัดการ สังกัดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเปิดสอนในด้านวิศวกรรมศาสตร์หลักสูตรนานาชาติเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 สาขาวิชา การเรียนการสอนทั้งหมดเป็นหลักสูตรนานาชาติใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ ผู้จบการศึกษารับปริญญาจากสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เอสไอไอทีมักเป็นที่รู้จักเรียกขานทั่วไปว่า "วิศวะอินเตอร์ ธรรมศาสตร์" เนื่องจากเดิมเป็นโครงการหนึ่งในคณะวิศวกรรมศาสตร์ก่อนจะตั้งเป็นสถาบัน แต่ขณะนี้คำเรียกนี้อาจทำให้สับสนได้ เนื่องจากในปัจจุบันคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีโครงการภาคภาษาอังกฤษอีกโครงการหนึ่ง (รู้จักกันในชื่อ "วิศวะสองสถาบัน") ชาวธรรมศาสตร์นิยมเรียกเอสไอไอทีสั้น ๆ ว่า "เอสไอ"
เอสไอไอทีเปิดสอนทั้งในระดับอุดมศึกษาและบัณฑิตศึกษาโดยเน้นการศึกษาแบบใช้การวิจัยเป็นตัวนำ อาจารย์ประจำทั้งหมดมีวุฒิอย่างน้อยระดับปริญญาเอก ในการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อปี พ.ศ. 2550 เอสไอไอทีเป็นคณะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงแห่งเดียวของประเทศที่ได้รับการจัดระดับสูงสุด "ดีมาก" จากทั้ง 3 ตัวชี้วัด สถาบันฯ เป็น 1 ในสถาบันอุดมศึกษา 4 แห่งของประเทศ ที่ได้รับมอบทุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อสนับสนุนนักเรียนที่สนใจศึกษาต่อทางด้านวิทยาศาสตร์ในระดับอุดมศึกษา โดยทุนนี้จะมอบให้แก่นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์ (โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย) เพื่อศึกษาต่อและทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัยของสวทช. สถาบันเป็นสมาชิกของเครือข่าย LAOTSE ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำในเอเชียและยุโรป ตามกรอบความร่วมมืออาเซม
ระบบการบริหารและการเงินของเอสไอไอทีเป็นอิสระจากระบบส่วนกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งยังอยู่ในระบบราชการ เพื่อประสิทธิภาพและความคล่องตัว โดยมีคณะกรรมการอำนวยการสถาบันซึ่งคัดเลือกโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, และสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจญี่ปุ่น ให้คำปรึกษาด้านนโยบายและการดำเนินงาน และมีคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิชาการซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในสาขาต่าง ๆ ให้คำปรึกษาด้านวิชาการและการวิจัย การบริหารสถาบันนำโดยผู้อำนวยการ
== ประวัติ ==
เอสไอไอทีก่อตั้งในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก ความต้องการวิศวกรที่สามารถสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศได้เป็นอย่างดีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ศ. เกริกเกียรติ พิพัฒนเสรีธรรม อธิการบดีมธ.ในขณะนั้น กับ นายอานันท์ ปันยารชุน นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ ผู้นำของวงการอุตสาหกรรมในยุคนั้น จึงได้หารือและประสานงานจนได้ก่อตั้ง โครงการวิศวกรรมศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ (Engineering English Program - EEP) ขึ้นในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2535
เนื่องจากติดขัดด้านโครงสร้างซึ่งยังอยู่ในระบบราชการ และงบประมาณที่จำกัด เมื่อโครงการดังกล่าวดำเนินงานไปได้ระยะหนึ่งจึงได้เปลี่ยนสถานะ ก่อตั้งเป็นสถาบันกึ่งอิสระนอกระบบราชการ ไม่พึ่งงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งในพื้นที่ประกอบไปด้วยสถาบันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญจำนวนมาก เช่น อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) (รวมถึงศูนย์วิจัยแห่งชาติในสังกัดอีก 4 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ, ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ, ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ), สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), เทคโนธานี, เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค), องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.), สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย รวมถึงเขตอุตสาหกรรมไฮเทค และสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง. โดยเอสไอไอทีได้ร่วมมือและแลกเปลี่ยน ทั้งด้านการสอน วิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยี กับหน่วยงานเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
=== ธรรมศาสตร์รังสิต ===
ตั้งอยู่ใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จังหวัดปทุมธานี ติดกับ อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย, สวทช., และ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
=== บางกะดี ===
ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี โดยสาขาวิชาด้านการสื่อสาร, เทคโนโลยีสารสนเทศ, คอมพิวเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์, และเมคคาทรอนิกส์ จะอยู่ที่วิทยาเขตนี้เป็นหลัก รวมถึงสาขาเทคโนโลยีการจัดการ การจัดการวิศวกรรม และการจัดการการดำเนินงาน
== ภาควิชา ==
ปัจจุบัน มีทั้งหมด 6 ภาควิชา เปิดสอนสาขาวิชาต่าง ๆ (ในวงเล็บคือสาขาย่อย) ดังนี้
; ภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีเคมีชีวภาพ
* วิศวกรรมเคมี (วิศวกรรมชีวเคมี, วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม)
; ภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา
* วิศวกรรมโยธา (วิศวกรรมโยธา, วิศวกรรมโครงสร้างพื้นฐาน)
; ภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร
* วิศวกรรมไฟฟ้า
* วิศวกรรมคอมพิวเตอร์
* วิศวกรรมดิจิทัล
; ภาควิชาเทคโนโลยีการจัดการ
* การวิเคราะห์ธุรกิจและโซ่อุปทาน
; ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลและระบบการผลิต
* วิศวกรรมเครื่องกล (วิศวกรรมเครื่องกล, การจัดการพลังงาน)
* วิศวกรรมอุตสาหการ (วิศวกรรมอุตสาหการ, วิศวกรรมการผลิต)
; ภาควิชาการศึกษาร่วมและบัณฑิตศึกษา
จัดการเรียนการสอนในวิชาพื้นฐานด้าน วิศวกรรม เทคโนโลยี และการจัดการ และรับผิดชอบวิชาภาษาอังกฤษและวิชาพื้นฐานจำนวนหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รหัสขึ้นต้นด้วย TU)
== ผู้อำนวยการสถาบันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ==
* พ.ศ. 2568-ปัจจุบัน รศ. ดร. เกรียงศักดิ์ ภานุวัฒน์วนิชย์
* พ.ศ. 2562-2568 ศ. ดร. พฤทธา ณ นคร
* พ.ศ. 2555-2562 ศ. ดร. สมนึก ตั้งเติมสิริกุล
* พ.ศ. 2552-2555 ศ. ดร. จงรักษ์ ผลประเสริฐ
* พ.ศ. 2547-2552 ศ. ดร. สวัสดิ์ ตันตระรัตน์
* พ.ศ. 2541-2547 ศ. ดร. ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
* พ.ศ. 2540-2541 ศ. ดร. สวัสดิ์ ตันตระรัตน์ (รักษาการ)
* พ.ศ. 2537-2540 ศ. ดร. ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
* พ.ศ. 2537 รศ. ดร. ทวีป ชัยสมภพ (รักษาการ)
* พ.ศ. 2535-2537 ดร. นพดล อินนา
== บุคคลสำคัญสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ==
* ศ.ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ (อดีตผู้อำนวยการ) ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน
* ศ.ดร.สวัสดิ์ ตันตระรัตน์ (อดีตผู้อำนวยการ) ภาคีสมาชิก สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน และผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
==บุคคลที่มีชื่อเสียง==
* ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ (ศิษย์เก่า) อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย(AOT) จำกัด (มหาชน)
* ผศ.ดร.การดี เลี่ยวไพโรจน์ (ศิษย์เก่า,อดีตอาจารย์) ประธานเจ้าหน้าที่อนาคตศาสตร์และสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ โดย MQDC
* สายฝน ชีช้าง อดีตผู้ประกาศข่าวบันเทิง ช่อง 3
* ชนันภรณ์ รสจันทน์ (ศิษย์เก่า) มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2548, ชุดแต่งกายประจำชาติยอดเยี่ยม มิสยูนิเวิร์ส 2005 ไทยแลนด์ และเป็นนักบินที่หนึ่งของสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์
* วริษฐา จตุรภุช (ศิษย์เก่า) นักร้องจากการประกวดเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 8
* สพล อัศวมั่นคง (ศิษย์เก่า) นักแสดงช่อง 7HD
* รศ ดร วีริศ อัมระปาล (ศิษย์เก่า) ผู้ว่าการการนิคมแห่งประเทศไทย และ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย
* ดร.ทิศพล นครศรี (ศิษย์เก่า) ประธานกรรมการบริหารบริษัท บางกอกโซล่าร์ พาวเวอร์ (พี่อ๋อง ผู้สะสมลงทุนสินทรัพย์ประเภทรถสปอร์ตทั้งในไทย และ เยอรมนี)
* ดร.ดำรงค์ฤทธิ์ เนียมหมวด (ศิษย์เก่า) รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA
* พรยศ กลั่นกรอง (ศิษย์เก่า) อธิบดีกรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม
* สุรนาม พานิชการ (ศิษย์เก่า) ผู้ก่อตั้งและ CEO Tofusan
* กัมปนาท ตันพิทักษ์สิทธิ์ (ศิษย์เก่า) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรบอท ซิสเต็ม จำกัด ผู้ประกอบหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
* พชร ปัญญายงค์ (ศิษย์เก่า) พิธีกรรายการด้านเศรษฐกิจ อดีตผู้บริหารบริษัท โตโยต้า บางกอก จำกัด
== งานวิจัย ==
ปัจจุบัน SIIT มี 3 ศูนย์วิจัยและ 6 กลุ่มวิจัย ดังนี้
*ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีการก่อสร้างและบำรุงรักษา (CONTEC) ดำเนินการวิจัยและพัฒนาโครงการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหาและการสร้างนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน
*ศูนย์วิจัยการคมนาคม Transportation Research Center (TREC) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2007 เพื่อดำเนินการวิจัยร่วมกันระหว่าง SIIT และองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องในขอบเขตเรื่องการคมนาคมและเทคโนโลยีที่สนับสนุนทางด้านการคมนาคม
*หน่วยวิศวกรรมชีวการแพทย์ (BioMed SIIT) เป็นการผสมผสานของพื้นฐานทางด้านวิศวกรรม วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องทางด้านการแพทย์และชีววิทยา มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวข้องกับชีวสารสนเทศและวิศวกรรมชีวการแพทย์ การเพิ่มประสิทธิภาพและการวิเคราะห์เชิงตัวเลขในช่วงจากการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่จะผลิตรากฟันเทียมทางการแพทย์และการเขียนโปรแกรมซีเอ็นซี
*ศูนย์วิจัยด้านอัจฉริยะสารสนเทศและนวัตกรรมการบริการ (IISI) เป็นการผสมผสานปัจจัยพื้นฐานสำหรับการแก้ปัญหาขั้นสูงในด้านวิศวกรรมวิทยาศาสตร์และประเด็นทางด้านวิทยาศาสตร์และด้านสังคม และจากนั้นจะให้การแก้ปัญหาในรูปแบบการให้บริการ หน่วยวิจัย IISI ก่อให้เกิดความก้าวหน้าของเขตข้อมูลสารสนเทศอัจฉริยะ เช่นปัญญาประดิษฐ์, การทำเหมืองข้อมูลและการประมวลผลอ่อนที่นำไปสู่การพัฒนาโซลูชั่นสำหรับปัญหาที่ปัจจัยมนุษย์มีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญ นวัตกรรมเหล่านี้สามารถใช้เป็นบริการเพื่อสังคมและอุตสาหกรรมต่างๆ
*หน่วยวิจัยด้านการคำนวณทางด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ (CES) ดำเนินการวิจัยด้านทฤษฎีการคำนวณ เพื่อแก้ไขปัญหาสหวิทยาการที่ซับซ้อนที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีการวิเคราะห์และการทดลอง
*หน่วยวิจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (INFRA) นำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในการวางแผน การออกแบบ การดำเนินงาน และการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบอันชาญฉลาด ด้วยวิธีที่ประหยัด มีประสิทธิภาพ สะดวก สบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
*หน่วยวิจัยด้านระบบโลจิสติกส์และระบบห่วงโซ่อุปทาน (LogEn) การวิจัยขั้นสูงทางด้านระบบโลจิสติกส์และระบบห่วงโซ่อุปทานที่ให้ความสำคัญทางด้านความเหมาะสม การวางแผนการผลิต การตั้งเวลาจำลอง การจัดการรายการสิ่งของ การพยากรณ์ การจัดการที่มีคุณภาพ การจัดการและการดำเนินการตามแนวคิดแบบลีน
*หน่วยวิจัยด้านวัสดุและเทคโนโลยีพลาสม่า (MaP Tech) มีเป้าหมายที่จะดำเนินการในขอบเขตที่กว้างในเรื่องการทำวิจัยทางด้านวัสดุที่เน้นในการพัฒนา การออกแบบ การวิเคราะห์การคำนวณ การผลิต การทดสอบและการใช้พลาสติกประยุกต์ ยางสังเคราะห์และวัสดุนาโน การใช้งานของพลาสม่า สำหรับการใช้งานในด้านต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในด้านการเกษตรและการแพทย์เป็นหลัก
*หน่วยวิจัยด้านพลังงานที่ยั่งยืนและคาร์บอนต่ำ (SELC) ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ความไม่มั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ นั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำและการจัดการ มีความหลากหลายของเทคโนโลยีที่มีขั้นตอนต่างๆของการพัฒนาที่จะนำไปสู่การใช้พลังงานและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่ได้รับการพัฒนาในอัตราที่ต้องการเนื่องจากการรวมกันของเทคโนโลยี ทักษะ การเงิน การค้าและการกำกับดูแลต่างๆ
== อ้างอิง ==
* Sandhya Babel answers a few questions about this month's fast breaking paper in field of Engineering. (ISI Essential Science Indicators) บทความวิชาการของอาจารย์สาขาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม เป็นบทความที่ได้รับการอ้างถึงมากที่สุดในสายวิศวกรรม ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547
== ดูเพิ่ม ==
* คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกหน่วยงานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จัดการเรียนการสอนสาขาวิศวกรรมศาสตร์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร
* เครือข่ายนักศึกษา สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT.NET)
หมวดหมู่:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สิรินธร, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติ
สิรินธร, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติ
สิรินธร, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติ
หมวดหมู่:สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดปทุมธานี
หมวดหมู่:สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระนามของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
หมวดหมู่:สถานศึกษาในอำเภอคลองหลวง |
728 | https://th.wikipedia.org/wiki/ไอซีที | ไอซีที | ไอซีที (ICT) อาจหมายถึง
* กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในปัจจุบัน
* เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
* เขตเวลาอินโดจีน (Indochina Time) ซึ่งมีค่าเท่ากับ UTC+7 ชั่วโมง และเท่ากับเวลาในประเทศไทย
* คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมหาวิทยาลัยศิลปากร |
729 | https://th.wikipedia.org/wiki/ชีววิทยา | ชีววิทยา | ชีววิทยา () เป็นการศึกษาเกี่ยวกับขนาดของสิ่งมีชีวิต เป็นแขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural science) ที่ศึกษาด้วยขอบเขตที่กว้างแต่ประกอบด้วยหลายประเด็นที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสอดคล้องกัน
นักชีววิทยาสามารถศึกษาชีวิตได้ในการจำแนกชั้นทางชีววิทยาที่หลากหลาย นับตั้งแต่อณูชีววิทยาของเซลล์จนถึงกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของพืชและสัตว์ และ
วิวัฒนาการของประชากร มีความหลากหลายสูงมาก นักชีววิทยาได้แสวงหา ศึกษาและจัดจำแนกรูปแบบของชีวิตที่หลากหลาย ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรแคริโอตเช่น อาร์เคียและแบคทีเรียจนถึงสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูแคริโอตเช่น โพรทิสต์ ฟังไจ พืชและสัตว์ สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายนี้ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศ ซึ่งมีบทบาทในการหมุนเวียนของสารอาหารและพลังงาน ผ่านสิ่งแวดล้อมชีวกายภาพ
คำว่า ชีววิทยา (biology) มาจากภาษากรีก คือคำว่า "bios" แปลว่า สิ่งมีชีวิต และ "logia" แปลว่า วิชา หรือการศึกษาอย่างมีเหตุผล
== ประวัติศาสตร์ ==
alt=A drawing of a fly from facing up, with wing detail|ในปี ค.ศ. 1842 [[ชาลส์ ดาร์วินเขียนร่างฉบับแรกของหนังสือ On the Origin of Species]]
แนวคิดเรื่องวิวัฒนาการเริ่มเป็นที่ถกเถียงอย่างจริงจังด้วยงานของฌอง แบพติสท์ เดอ ลามาร์ก ผู้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการที่สอดคล้องกัน ชาลส์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาชาวบริติชได้รวบรวมผลการศึกษาทางชีวภูมิศาสตร์ของฮุมบ็อลท์ ภูมิศาสตร์เอกรูปนิยมของไลล์ งานเขียนเกี่ยวกับการเติบโตของประชากรของมาลธัส ประกอบกับความเชี่ยวชาญของดาร์วินเองในด้านสัณฐานวิทยาและการสำรวจธรรมชาติอย่างยาวนาน เกิดเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการที่ประสบความสำเร็จกว่าคือการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ด้วยการให้เหตุผลและหลักฐานเดียวกันทำให้อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซนำไปสู่ข้อสรุปเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานกับดาร์วินก็ตาม
พื้นฐานของพันธุศาสตร์ยุคใหม่เริ่มจากงานของเกรกอร์ เม็นเดิลในปี ค.ศ. 1865 ทำให้เกิดหลักการของการถ่ายทอดในทางชีววิทยา แต่อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของงานชิ้นนี้ไม่เป็นที่รู้จักจนเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่วิวัฒนาการกลายเป็นทฤษฎีเดียวกันรู้จักในนามทฤษฎีสังเคราะห์วิวัฒนาการ ที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินรวมกับพันธุศาสตร์คลาสสิก ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1940 และต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1950 การทดลองจำนวนมากโดยอัลเฟรด เฮอร์ชีย์และมาร์ธา เชสค้นพบว่าดีเอ็นเอซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครโมโซม บรรจุหน่วยข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะซึ่งเป็นที่รู้จักภายหลังว่ายีน ความสนใจในโมเดลของสิ่งมีชีวิตใหม่เช่น ไวรัสและแบคทีเรีย ประกอบกับการค้นพบโครงสร้างเกลียวคู่ของดีเอ็นเอโดยเจมส์ ดี. วัตสันและฟรานซิส คริกในปี ค.ศ. 1953 เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคอณูพันธุศาสตร์ นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นไป ชีววิทยาถูกขยายขอบเขตการศึกษาถึงระดับโมเลกุล รหัสพันธุกรรมถูกถอดรหัสโดยหร โคพินท์ โขรานา รอเบิร์ต ดับเบิลยู. ฮอลลีย์และมาร์แชลล์ วอร์เรน ไนเรนเบิร์กภายใต้แนวคิดของโคดอน โครงการจีโนมมนุษย์เริ่มในปี ค.ศ. 1990 เพื่อสร้างแผนที่จีโนมของมนุษย์
== พื้นฐานทางเคมี ==
=== อะตอมและโมเลกุล ===
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสร้างขึ้นมาจากธาตุเช่น ออกซิเจน คาร์บอน ไฮโดรเจนและไนโตรเจน คิดเป็นมวลส่วนใหญ่ (ร้อยละ 96) ของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน โซเดียม คลอรีนและแมกนีเซียม ธาตุที่แตกต่างกันสามารถประกอบกันเป็นสารประกอบเช่น น้ำ ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิต ตั้งแต่สมัยนั้น น้ำค่อย ๆ เป็นโมเลกุลที่พบมากที่สุดในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด น้ำสำคัญกับชีวิตเพราะว่าน้ำเป็นตัวทำละลายที่มีประสิทธิภาพ สามารถละลายสารเช่น โซเดียมและคลอไรด์ไอออนหรือสารโมเลกุลเล็ก เกิดเป็นสารละลายในน้ำ เมื่อละลายในน้ำแล้ว ตัวละลายมักสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละลายอีกตัวจึงสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีซึ่งรักษาดุลยภาพของชีวิตได้ เนื่องจากพันธะ O-H มีขั้ว อะตอมออกซิเจนมีประจุลบเล็กน้อยและอะตอมไฮโดรเจนทั้งสองมีประจุบวกเล็กน้อย ทุกโมเลกุลที่เป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตยกเว้นน้ำประกอบด้วยคาร์บอนทั้งสิ้น คาร์บอนสามารถสร้างพันธะโคเวเลนต์กับอะตอมได้สูงสุด 4 อะตอม ทำให้สามารถสร้างเป็นโมเลกุลที่หลากหลาย ขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ มอนอเมอร์ประกอบด้วยน้ำตาล กรดอะมิโนและนิวคลีโอไทด์ คาร์โบไฮเดรตสร้างจากมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ของน้ำตาล ลิพิดเป็นมาโครโมเลกุลกลุ่มเดียวที่ไม่ได้ประกอบเป็นพอลิเมอร์ ลิพิดประกอบด้วยสเตอรอยด์ฟอสโฟลิพิดและไขมัน โปรตีนเป็นมาโครโมเลกุลที่หลากหลายที่สุดเช่น เอนไซม์ โปรตีนขนส่ง โมเลกุลส่งสัญญาณขนาดใหญ่ แอนติบอดีและโปรตีนโครงสร้าง หน่วยย่อยของโปรตีนคือกรดอะมิโน หน้าที่ของกรดนิวคลิอิกคือใช้เก็บ ส่งและแสดงข้อมูลพันธุกรรม เซลล์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก มีความยาวผ่าศูนย์กลางระหว่าง 1 ถึง 100 ไมโครเมตรและสามารถมองเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงหรือกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนเท่านั้น เซลล์โดยทั่วไปมีสองประเภทได้แก่เซลล์ยูแคริโอต ซึ่งหมายถึงเซลล์ที่มีนิวเคลียส และเซลล์โพรแคริโอต ซึ่งไม่มีนิวเคลียส โพรแคริโอตคือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเช่นแบคทีเรีย ในขณะที่ยูแคริโอตอาจมีเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ก็ได้ ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเกิดจากเซลล์เซลล์เดียวที่เกิดจากเซลล์ไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว
=== โครงสร้างของเซลล์ ===
== ระบบการศึกษา ==
การศึกษาสิ่งมีชีวิตในระดับอะตอมและโมเลกุล จัดอยู่ในสาขาวิชาอณูชีววิทยา ชีวเคมี และอณูพันธุศาสตร์ การศึกษาในระดับเซลล์ จัดอยู่ในสาขาวิชาเซลล์วิทยา และในระดับเนื้อเยื่อ จัดอยู่ในสาขาวิชาสรีรวิทยา กายวิภาคศาสตร์ และมิญชวิทยา สาขาวิชาคัพภวิทยาเป็นการศึกษาการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต
สาขาวิชาพันธุศาสตร์เป็นการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง สาขาวิชาพฤติกรรมวิทยาเป็นการศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มสิ่งมีชีวิต สาขาวิชาพันธุศาสตร์ประชากรเป็นการศึกษาพันธุศาสตร์ในระดับประชากรของสิ่งมีชีวิต การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกับสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง และระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่อาศัย จัดอยู่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและชีววิทยาของวิวัฒนาการปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงจากทางธรรมชาติ เกิดจากการความแตกต่างของสภาพพื้นที่ และการใช้ชีวิตของการดำรงชีวิต เช่น นกนางแอ่น ในทะเล กับ นกนางแอ่น บนภาคพื้นที่อยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกันแต่ แตกต่างในการดำรงชีวิตและลักษณะของสภาพร่างกาย เป็นต้น
การแบ่งกลุ่มนี้เป็นเพียงการจัดหมวดหมู่ให้สาขาต่าง ๆ ในชีววิทยาให้เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย แต่ความจริงแล้ว ขอบเขตของสาขาต่าง ๆ นั้นไม่แน่นอน และสาขาวิชาส่วนใหญ่ก็จำเป็นต้องใช้ความรู้จากสาขาอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น สาขาชีววิทยาของวิวัฒนาการ ต้องใช้ความรู้จากสาขาอณูวิทยา เพื่อจัดลำดับของดีเอ็นเอ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจความแปรผันทางพันธุกรรมของประชากร หรือสาขาวิชาสรีรวิทยา ต้องใช้ความรู้จากสาขาชีววิทยาของเซลล์ เพื่ออธิบายการทำงานของระบบอวัยวะ
ปัจจุบันชีววิทยามีแขนงย่อย 3 กลุ่มได้แก่กลุ่มวิชาที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มสิ่งมีชีวิต กลุ่มวิชาที่ศึกษาโครงสร้าง หน้าที่และการทำงานของสิ่งมีชีวิตและกลุ่มวิชาอื่น ๆ ดังนี้
=== กลุ่มวิชาที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มสิ่งมีชีวิต ===
* สัตววิทยา (zoology) ศึกษาชีววิทยาของสัตว์ ตั้งแต่สัตว์ชั้นต่ำพวก ฟองน้ำ แมงกะพรุน พยาธิตัวแบน พยาธิตัวกลม กลุ่มหนอนปล้อง สัตว์ที่มีข้อปล้อง กลุ่มสัตว์พวกหอย ปลาดาว จนถึงสัตว์มีกระดูกสันหลังเช่น ปลา สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
* พฤกษศาสตร์ (Botany) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพืช ศึกษาทั้งในด้านโครงสร้าง การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ กระบวนการสร้าง (แอแนบอลิซึม) และสลาย (แคแทบอลิซึม) โรค และคุณสมบัติทางเคมีและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ การกระจายของพืชในส่วนต่าง ๆ ของโลก
* จุลชีววิทยา (Microbiology) คือการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็ก ส่วนมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าซึ่งเรียกว่าจุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรีย อาร์เคีย ไวรัส เชื้อราและยีสต์
* กีฏวิทยา (Entomology) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ในกลุ่มของแมลง การจัดจำแนก สรีรวิทยา สัณฐานวิทยา และนิเวศวิทยาของแมลง
* ปักษีวิทยา (Ornithology) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับนก
* เห็ดวิทยา ราวิทยาหรือ กิณวิทยา (Mycology) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเห็ดและรา
* มีนวิทยา (Ichthyology) ศึกษาปลา ลักษณะรูปร่างภายนอกของปลา ระบบต่าง ๆ ภายในตัวปลา การจัดจำแนกปลาออกเป็นกลุ่มหรือประเภทต่าง ๆ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปลา
* สังขวิทยา (Malacology) ศึกษาหอย โดยเฉพาะหอยน้ำจืดที่เป็นเจ้าบ้านส่งผ่านของพยาธิ
* ปรสิตวิทยา (Parasitology) ศึกษาปรสิต ซึ่งดำรงชีพโดยเป็นตัวเบียนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เช่น พยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบน
=== กลุ่มวิชาที่ศึกษาจากโครงสร้าง หน้าที่และการทำงานของสิ่งมีชีวิต ===
* กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็นการศึกษาโครงสร้างและการจัดเรียงตัวของร่างกายมนุษย์ สาขาวิชาหลักของกายวิภาคศาสตร์ได้แก่
** มหกายวิภาคศาสตร์ (Gross anatomy) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
** จุลกายวิภาคศาสตร์ หรือมิญชวิทยา หรือวิทยาเนื้อเยื่อ (Histology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษากายวิภาคศาสตร์ในระดับจุลภาคซึ่งต้องใช้กล้องจุลทรรศน์
* สัณฐานวิทยา (Morphology) ศึกษาโครงสร้างและรูปร่างของสิ่งมีชีวิต
* สรีรวิทยา (Physiology) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต ทั้งในด้านกลศาสตร์ ด้านกายภาพ และด้านชีวเคมี แบ่งเป็น 2 สาขาย่อย คือ สรีรวิทยาของพืช และสรีรวิทยาของสัตว์
* อณูชีววิทยา (Molecular biology) หรือ ชีววิทยาโมเลกุล เป็นสาขาย่อย ที่แตกออกมาจากชีวเคมี เน้นศึกษาโครงสร้างและการทำงานของยีน (gene) ซึ่งเป็นรหัสพันธุกรรมบนสายดีเอ็นเอ หรือ อาร์เอ็นเอ ตลอดจนการควบคุมการทำงานของยีน ในระดับต่าง ๆ จนออกมาเป็น สาย อาร์เอ็นเอ และ เป็น โปรตีน
* พันธุศาสตร์ (Genetics) คือ สาขาแขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ ซึ่งว่าด้วยการศึกษาหน่วยพันธุกรรม หรือ ยีน, กรรมพันธุ์ (heredity) , และวิวัฒนาการในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต จากชั่วชีวิตหนึ่งไปอีกชั่วชีวิตหนึ่ง
** เซลล์พันธุศาสตร์ (Cytogenetics) ศึกษาพันธุศาสตร์ในระดับเซลล์ รูปร่าง ลักษณะ และจำนวนของโครโมโซมในสิ่งมีชีวิต ตำแหน่งที่ตั้งของยีนบนโครโมโซม และการแบ่งเซลล์ในสิ่งมีชีวิต
* นิเวศวิทยา (Ecology) คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่และสิ่งแวดล้อม
* คัพภวิทยา หรือ วิทยาเอ็มบริโอ (Embryology) เป็นการศึกษาการเจริญของเอ็มบริโอ เอ็มบริโอคือขั้นหนึ่งของการเจริญของสิ่งมีชีวิตก่อนคลอดหรือออกจากไข่ หรือในพืชคือในระยะก่อนการงอก (germination)
* ชีววิทยาของเซลล์ (cell biology) หรือ วิทยาเซลล์ (cytology) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเซลล์ ทั้งในด้านคุณสมบัติทางสรีรวิทยา, โครงสร้าง, ออร์แกเนลล์ที่อยู่ภายใน, ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม, วัฎจักรเซลล์, การแบ่งเซลล์, และการตายของเซลล์
* มหพยาธิวิทยา (Gross pathology) หมายถึงลักษณะแสดงในระดับมหัพภาค (หรือระดับตาเปล่า) ของโรคที่เกิดในอวัยวะ, เนื้อเยื่อ และช่องตัว ศัพท์ดังกล่าวใช้กันทั่วไปในวิชาพยาธิกายวิภาค (anatomical pathology) เพื่อหมายถึงการตรวจเพื่อวินิจฉัยหาข้อมูลในชิ้นเนื้อตัวอย่างหรือการชันสูตรพลิกศพ (autopsy)
=== กลุ่มวิชาอื่น ๆ ===
* ชีวเคมี (Biochemistry) เป็นการศึกษาความเป็นไปในระดับชีวโมเลกุลของสิ่งมีชีวิต ทั้งองค์ประกอบทางชีวเคมีของเซลล์หรืออนุภาค รวมถึงไวรัส โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลง การสร้างและทำลายโมเลกุลทั้งสารโมเลกุลเล็กและโมเลกุลใหญ่เช่น โปรตีน ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ การควบคุมการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุล การควบคุมการทำงานในระดับต่าง ๆ การสร้างพลังงานและการใช้พลังงาน อันเป็นปรากฏการณ์ของชีวิต
* สัณฐานวิทยา (Morphology) ศึกษารูปพรรณสัณฐานของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นจุลชีพ สัตว์หรือพืช เพื่อประกอบการระบุชนิด เช่น ลักษณะรูปร่างของดอกไม้หรือการจัดเรียงตัวของใบ
* อนุกรมวิธาน (Taxonomy) ศึกษาการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต ออกเป็นหมวดหมู่ ในทางวิวัฒนาการ (evolution) สมัยก่อนเน้นข้อมูลสัณฐานวิทยา ปัจจุบันใช้ข้อมูลระดับโมเลกุลมากขึ้น กลายเป็นวิชา Molecular Systematics
* บรรพชีวินวิทยา (Paleontology) ศึกษาฟอสซิล (fossils)
* ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics) หรือ ชีววิทยาเชิงคำนวณ (computational biology) เป็นบูรณาการของสหวิชา ศึกษาโดยใช้ความรู้จาก อณูชีววิทยา ชีวเคมี คณิตศาสตร์ประยุกต์, สถิติศาสตร์, สารสนเทศศาสตร์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ สืบค้น ประมวลผลข้อมูลทางชีววิทยา เพื่อตอบปัญหาทางชีววิทยา หรือทำแบบจำลองเพื่อทำนายความเป็นไปได้ทางชีววิทยา ทำให้เกิดศาสตร์ใหม่ต่อ ๆ มา เช่น จีโนมิกส์ (Genomics) โปรตีโอมิส์ (Proteomics) เมตะโบโลมิกส์ (Metabolomics) ฯลฯ
* ชีววิทยาระบบ (Systems biology) เป็นศาสตร์ที่อาศัยความรู้ทางชีวสารสนเทศศาสตร์ คณิตศาสตร์ชั้นสูง วิทยาการคอมพิวเตอร์ และ ชีวเคมี เพื่อทำแบบจำลองของปราฏการณ์ภายในเซลล์ หรือในสิ่งมีชีวิต บนคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยการคำนวณ จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำนายปรากฏการณ์ของชีวิตในเรื่องต่าง ๆ อาทิ การตอบสนองของเซลล์ต่อยา หรือ ต่อสภาวะต่าง ๆ เป็นต้น ก่อนการทำการทดลองจริงในห้องปฏิบัติการ (wet lab)
* ประสาทวิทยาศาสตร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ โครงสร้าง หน้าที่ การเจริญเติบโต พันธุกรรมศาสตร์ ชีวเคมี สรีรวิทยา, เภสัชวิทยา และ พยาธิวิทยา ของระบบประสาท นอกจากนี้การศึกษาเกี่ยวกับ พฤติกรรม และ การเรียนรู้ ยังถือว่าเป็นสาขาของประสาทวิทยาอีกด้วย
== ขอบเขตของชีววิทยา ==
ชีววิทยาเป็นสาขาวิชาที่ใหญ่มากจนไม่อาจศึกษาเป็นสาขาเดียวได้ จึงต้องแยกออกเป็นสาขาย่อยต่าง ๆ ในหัวข้อนี้จะแบ่งสาขาย่อยออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นสาขาที่ศึกษาโครงสร้างพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต อย่างเช่นเซลล์ ยีน เป็นต้น กลุ่มที่สองศึกษาการทำงานของโครงสร้างต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับเนื้อเยื่อ ระดับอวัยวะ จนถึงระดับร่างกาย กลุ่มที่สามศึกษาประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต กลุ่มที่สี่ศึกษาความสัมพันธ์ในระหว่างสิ่งมีชีวิต อย่างไรก็ตาม การแบ่งกลุ่มนี้เป็นเพียงการจัดหมวดหมู่ให้สาขาต่าง ๆ ในชีววิทยาให้เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย แต่ความจริงแล้ว ขอบเขตของสาขาต่าง ๆ นั้นไม่แน่นอน และสาขาวิชาส่วนใหญ่ก็จำเป็นต้องใช้ความรู้จากสาขาอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น สาขาชีววิทยาของวิวัฒนาการ ต้องใช้ความรู้จากสาขาอณูวิทยา เพื่อจัดลำดับของดีเอ็นเอ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจความแปรผันทางพันธุกรรมของประชากร หรือสาขาวิชาสรีรวิทยา ต้องใช้ความรู้จากสาขาชีววิทยาของเซลล์ เพื่ออธิบายการทำงานของระบบอวัยวะ
=== โครงสร้างของชีวิต ===
แผนภาพของเซลล์สัตว์ แสดงโครงสร้างและออร์แกเนลล์ต่าง ๆ
อณูชีววิทยาเป็นสาขาหนึ่งในชีววิทยา ซึ่งศึกษาในระดับโมเลกุล สาขานี้มีความสอดคล้องกับสาขาอื่น ๆ ในชีววิทยา โดยเฉพาะสาขาพันธุศาสตร์และชีวเคมี อณูชีววิทยาเป็นการศึกษาปฏิสัมพันธ์ของระบบต่าง ๆ ในเซลล์ ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ การสังเคราะห์โปรตีน และการควบคุมความสัมพันธ์เหล่านี้
ชีววิทยาของเซลล์เป็นสาขาที่ศึกษาลักษณะทางสรีรวิทยาของเซลล์ รวมไปถึงพฤติกรรม ปฏิสัมพันธ์ และสิ่งแวดล้อมของเซลล์ ทั้งระดับจุลภาคและระดับโมเลกุล สาขาวิชานี้จะศึกษาวิจัยทั้งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว อย่างเช่นแบคทีเรีย และเซลล์ที่ทำหน้าที่พิเศษในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ อย่างเช่นมนุษย์
พันธุศาสตร์เป็นสาขาที่ศึกษายีน พันธุกรรม และการผันแปรของสิ่งมีชีวิต ในการศึกษาวิจัยสมัยใหม่ มีเครื่องมือที่สำคัญในการศึกษาหน้าที่ของยีน หรือความสัมพันธ์ทางพันธุกรรม ในสิ่งมีชีวิต ข้อมูลทางพันธุกรรมจะอยู่ในโครโมโซม ซึ่งข้อมูลจะแทนที่ด้วยโครงสร้างทางเคมีของโมเลกุลของดีเอ็นเอ
=== สรีรวิทยาของสิ่งมีชีวิต ===
สรีรวิทยาเป็นสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางกายภาพและทางชีวเคมีในสิ่งมีชีวิต เพื่อให้เข้าใจหน้าที่ของโครงสร้างต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการศึกษาทางชีววิทยา การศึกษาทางสรีรวิทยาสามารถแบ่งออกได้เป็นสรีรวิทยาของพืชและสรีรวิทยาของสัตว์ แต่หลักของสรีรวิทยาในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนแต่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น การศึกษาสรีรวิทยาของเซลล์ยีสต์สามารถประยุกต์ใช้กับการศึกษาในเซลล์มนุษย์ได้ สรีรวิทยาของสัตว์เป็นการศึกษาทั้งในมนุษย์และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ สรีรวิทยาของพืชก็มีวิธีการศึกษาเช่นเดียวกับในสัตว์
กายวิภาคศาสตร์เป็นสาขาที่สำคัญในสรีรวิทยา ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่และความสัมพันธ์ของระบบอวัยวะในสิ่งมีชีวิต เช่น ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต การศึกษาเกี่ยวกับระบบเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นสาขาวิชาต่าง ๆ ได้อีก เช่น ประสาทวิทยา วิทยาภูมิคุ้มกัน
=== ความหลากหลายและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ===
การศึกษาวิวัฒนาการมีความเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดและการสืบทอดลักษณะของสปีชี่ส์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ผ่านมา และต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์จากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับอนุกรมวิธานของสิ่งมีชีวิต สาขาวิวิฒนาการมีรากฐานจากสาขาบรรพชีวินวิทยา ซึ่งอาศัยซากดึกดำบรรพ์ในการตอบคำถามเกี่ยวกับรูปแบบและจังหวะของวิวิฒนาการ
สาขาวิชาหลักใหญ่ที่เกี่ยวกับอนุกรมวิธานมี 2 สาขา คือ พฤกษศาสตร์ และสัตววิทยา พฤกษศาสตร์เป็นสาขาที่ศึกษาเกี่ยวพืช มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวางตั้งแต่การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ เมแทบอลิซึม โรค และวิวัฒนาการของพืช ส่วนสัตววิทยาจะศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ รวมทั้งลักษณะทางสรีรวิทยาของสัตว์ซึ่งอยู่ในสาขากายวิภาคศาสตร์และคัพภวิทยา กลไกทางพันธุศาสตร์และการเจริญของพืชและสัตว์จะศึกษาในสาขาอณูชีววิทยา อณูพันธุศาสตร์ และชีววิทยาของการเจริญ
=== ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต ===
frame|[[สายใยอาหาร ประกอบขึ้นจากห่วงโซ่อาหารหลายห่วงโซ่ แสดงถึงความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ]]
สาขานิเวศวิทยาจะศึกษาการกระจายและความหนาแน่นของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตจะหมายถึงถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะรวมไปถึงปัจจัยทางกายภาพอย่างสภาพภูมิอากาศและลักษณะทางภูมิศาสตร์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน การศึกษาระบบทางนิเวศวิทยามีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับสิ่งมีชีวิต ระดับประชากร ระดับระบบนิเวศ ไปจนถึงระดับโลกของสิ่งมีชีวิต จึงจะเห็นได้ว่า นิเวศวิทยาเป็นสาขาที่ครอบคลุมถึงสาขาอื่น ๆ อีกมากมาย
สาขาพฤติกรรมวิทยาจะศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์สังคมอย่างสัตว์จำพวกลิงและสัตว์กินเนื้อ) บางครั้งอาจจัดเป็นสาขาหนึ่งในสัตววิทยา นักพฤติกรรมวิทยาจะเน้นศึกษาที่วิวัฒนาการของพฤติกรรม และความเข้าใจในพฤติกรรม โดยตั้งอยู่บนทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
== รายการอ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* OSU's Phylocode
* Biology Online - Wiki Dictionary
* MIT video lecture series on biology
* Biology and Bioethics .
* Biological Systems - Idaho National Laboratory
* The Tree of Life: A multi-authored, distributed Internet project containing information about phylogeny and biodiversity.
* Using the Biological Literature Web Resources
; ลิงก์วารสาร
* PLos Biology A peer-reviewed, open-access journal published by the Public Library of Science
* Current Biology General journal publishing original research from all areas of biology
* Biology Letters A high-impact Royal Society journal publishing peer-reviewed Biology papers of general interest
* Science Magazine Internationally Renowned AAAS Science Publication - See Sections of the Life Sciences
* International Journal of Biological Sciences A biological journal publishing significant peer-reviewed scientific papers
* An interdisciplinary scholarly journal publishing essays of broad relevance
== แกลเลอรี ==
ไฟล์:Guriezo Adino vaca toro terneras.jpg|Animalia - Bos primigenius taurus
ไฟล์:Zboże.jpg|Planta - Triticum sp.
ไฟล์:Morchella esculenta 08.jpg|Fungi - Morchella esculenta
ไฟล์:Fucus serratus2.jpg|Stramenopila/Chromista - Fucus serratus
ไฟล์:Gemmatimonas aurantiaca.jpg|Bacteria - Gemmatimonas aurantiaca (- = 1 Micrometer)
ไฟล์:Halobacteria.jpg|Archaea - Halobacteria
ไฟล์:Gamma phage.png|Virus - Gamma phage
{{Navboxes|= |
733 | https://th.wikipedia.org/wiki/ชาลส์_แบบบิจ | ชาลส์ แบบบิจ | ชาลส์ แบบเบจ (26 ธันวาคม พ.ศ. 2334 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2414)
thumb|On the economy of machinery and manufactures, 1835
ชาลส์ แบบเบจ () ( 26 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1791 (พ.ศ. 2334) - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2414) แบบบิจเกิดที่อังกฤษ ในครอบครัวของนายธนาคาร แบบบิจเติบโตมาในยุคที่อังกฤษเป็นมหาอำนาจ และกำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ทุนการพัฒนาในสาขาต่าง ๆ อย่างเต็มที่. แบบบิจศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ ทรินิตี้ คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่คณะคณิตศาสตร์ (Mathematical Laboratory)
ช่วงเป็นนักศึกษา เขารวมกลุ่มกับเพื่อน ทำ induction of the Leibnitz notation for the Calculus ขึ้นจนมีชื่อเสียง ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอน. พอเรียนจบ แบบเบจก็ตัดสินใจเป็นอาจารย์ต่อที่คณะ. ในปี ค.ศ. 1814, แบบเบจสมรสกับ Georgiana Whitmore นักคณิตศาสตร์หญิงคนเก่งคนหนึ่งในยุคนั้น
ในทางคณิตศาสตร์ แบบเบจเน้นศึกษาด้านแคลคูลัสเป็นพิเศษ ปี ค.ศ. 1816 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Fellow ของ Royal Society ปี ค.ศ. 1820 เขาตั้งชมรมด้านดาราศาสตร์ขึ้น พร้อม ๆ กับเริ่มทำงานวิจัยสำคัญของเขาในยุคต้น ที่ทำให้เขาโด่งดังมากคือ Difference Engine (ใช้ Newton's method of successive differences) ในปี ค.ศ. 1828 แบบเบจได้รับแต่งตั้งให้เป็น the Lucasian Chair of Mathematics at Cambridge (เหมือนกับ เซอร์ ไอแซก นิวตัน และ สตีเฟ่น ฮอว์คิง) ต่อมา แบบเบจขยายงานมาศึกษาเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) เพื่อสร้างเป็น เครื่องจักรที่สามารถรองรับการคำนวณทุกชนิด (ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์) แต่ก็เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถสร้างออกมาในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เนื่องจากมีคนไม่เห็นด้วยมากมาย เพราะความคิดของเขาทันสมัยเกินกว่าเทคโนโลยีในยุคนั้น จนทุก ๆ คนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ จึงโดนตัดงบวิจัยในปี ค.ศ. 1832 แต่แบบเบจก็ฝืนทำต่อแบบไม่มีงบประมาณ จนทำไม่ไหว จนต้องปิดโครงการนี้ไป ในปี ค.ศ. 1842
พอปี ค.ศ. 1856, แบบเบจก็เริ่มมีฐานะขึ้นมาจากงานอื่นๆ เพราะนอกจากเป็นนักคณิตศาสตร์แล้ว เขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี การเมือง และเศรษฐกิจ อีกด้วย (เป็น a Celebrated Policial Economist แห่งยุค) เขาจึงเอาเงินทุนมาลงทุนทำวิจัยด้านเครื่องวิเคราะห์ต่อ แต่ก็ต้องทำและแก้หลายครั้ง จนเขาเสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 1871 (แล้วลูกชายเขามาสานต่อ) ช่วงก่อนตาย เขาเขียนหนังสือชื่อดัง (ดังยุคหลัง) ชื่อ Passages from the life of a Philosopher เพราะในปีที่เขาเสียชีวิต โลกยังไม่ค่อยรู้จักเขา เครื่องวิเคราะห์ของเขาไม่มีคนสนใจลงมือสร้างเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งอีกประมาณ 40 ปีต่อมา หลังจากเขาตาย มีคนเอางานเขาไปเผยแพร่จนเป็นที่ชื่นชม แล้วคนยุคหลังก็นำสมองของเขา (ที่ดองเอาไว้ในแอลกอฮอล์) มาผ่าเพื่อศึกษาความสามารถในการคิดของเขา (ถูกนิยามไว้ว่าเป็นหนึ่งในนักคิดที่ลึกซึ้งที่สุดแห่งศตวรรษ)
ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ แบบเบจเชื่อว่า โลกเรานี้สามารถวิเคราะห์ทำนายได้ (a world where all things were dutifully quantified and could be predicted) โดยได้รับความสนับสนุนจากเอดา เลิฟเลซซึ่งเป็นเพื่อนสนิทในวงการว่า ถ้าจิตใจมนุษย์สามารถเข้าใจพฤติกรรมของอนุภาคเล็กๆ มันจะอธิบายทุกอย่างได้ (if a mind could know everything about particle behavior, if could describe everything: nothing would be uncertain, and the future, as the past, could be present to our eyes) ปี ค.ศ. 1856, แบบบิจเสนองาน "Table of Constants of the Nature and Art" ที่อ้างว่า รวบรวมข้อเท็จจริงทุกอย่าง สำหรับอธิบายศาสตร์ทางวิทย์และศิลป์ ด้วยตัวเลข
แบบเบจชอบไฟมาก ขนาดลองเอาเตาอบมาอบตัวเองเล่นที่ 265 องศาฟาเรนไฮต์เป็นเวลา 5-6 นาที หรือพยายามปีนภูเขาไฟเวซูเวียส เพื่อที่จะไปดูลาวาเดือด ๆ
== ดูเพิ่ม ==
* วิทยาการคอมพิวเตอร์
* คณิตศาสตร์
บแบเบจ, ชาลส์
บแบเบจ, ชาลส์
หมวดหมู่:นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
หมวดหมู่:บุคคลจากเอ็กซิเตอร์ |
734 | https://th.wikipedia.org/wiki/เอดา_เลิฟเลซ | เอดา เลิฟเลซ | ออกัสตา เอดา คิง เคานต์เตสแห่งเลิฟเลซ () เป็นนักคณิตศาสตร์และนักเขียนชาวอังกฤษ ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
==ประวัติ==
เอดาเป็นธิดาคนเดียวของของลอร์ดไบรอนที่ 6 กวีผู้มีชื่อเสียงและเลดี้ไบรอน นักคณิตศาสตร์ เธอเกิดเมื่อปีค.ศ. 1815 หลังจากเธอเกิดไม่นาน พ่อแม่ก็แยกทางกัน แม่ของเอดาจึงตัดสินใจเลี้ยงดูเธอให้เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ เธอได้รับการศึกษาในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ผิดแปลกจากสตรีชนชั้นสูงทั่วไป
พออายุสิบเจ็ดปี มีผู้แนะนำให้เอดารู้จักกับอาจารย์ซัมเมอร์วิลล์แห่งเคมบริดจ์ สตรีเก่งแห่งยุคที่เคยแปลงานของปีแยร์-ซีมง ลาปลัส มาเป็นภาษาอังกฤษ เอดาจึงเข้ามาคลุกคลีกับเพื่อนกลุ่มนีจนได้รู้จักกับชาลส์ แบบบิจ ในงานสังสรรค์แห่งหนึ่ง ในที่สุด ในงานวันนั้น ตอนที่แบบบิจกล่าวว่า "จะเป็นอย่างไรถ้าเครื่องคำนวณไม่เพียงสามารถคิดผล แต่สามารถประมวลผลนั้นได้ด้วย" แต่ไม่มีใครสนใจแนวคิดนี้ของแบบบิจเลย มีเพียงเอดาที่รู้สึกสนใจแนวคิดนี้ จนอาสาที่จะช่วยพัฒนา โดยสิ่งที่เธอทำคือการสร้างภาษาสำหรับเครื่องวิเคราะห์ (analytical engine) ของแบบบิจ
หลังจากนั้นไม่นาน เอดาได้แต่งงานกับท่านเอิร์ลแห่งเลิฟเลซและมีบุตรด้วยกันสามคน ในช่วงสิบปีทั้งเอดาและแบบบิจยังเป็นเพื่อนกันทางจดหมาย และแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องเครื่องวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ โดยจดหมายของทั้งสองถูกเก็บไว้อย่างดีในยุคนี้ เพราะมีข้อมูลน่าสนใจมากมาย (ทั้งเรื่องจริง และจินตนาการ) เช่น เอดาบอกว่า เธอเชื่อว่าต่อไปเครื่องมืออันนี้ จะมีความสามารถที่จะแต่งเพลงที่ซับซ้อน สร้างภาพกราฟิก นำมาใช้เพื่อการคำนวณขั้นสูง และพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ได้ ในจดหมายฉบับหนึ่ง เอดาแนะนำแบบบิจว่า ให้ลองเขียนแผนการทำงานของเครื่องมืออันนี้ ให้สามารถคำนวณ Bernoulli numbers ขึ้นมา
ต่อมา แผนการทำงานที่แบบบิจเขียนขึ้นมาชิ้นนั้น ก็ถูกยกย่องว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวแรกของโลก เธอจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก เอดาก็ช่วยเขียนบรรยาย รายละเอียดการทำงานของเครื่องวิเคราะห์ แต่สุขภาพของเธอก็เริ่มมีปัญหา และเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมดลูก ในปี พ.ศ. 2395 เมื่ออายุได้ 36 ปี ซึ่งเป็นวัยเดียวกับที่บิดาของเธอเสียชีวิต
ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ เอดาได้รู้จัก และอาสาช่วยงาน พร้อมทั้งอุปการะ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ รวมทั้งนักเขียนหลายคน เช่น เซอร์ เดวิด บริวสเตอร์ คนคิดคาไลโดสโคป, ชาลส์ วีตสตัน, ชาลส์ ดิกคินส์, และ ไมเคิล ฟาราเดย์
ในปีค.ศ. 1979 กระทรวงกลาโหมสหรัฐ สร้างภาษาคอมพิวเตอร์มาตรฐาน ISO ขึ้นมาตัวแรก พร้อมตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านหญิงเอดาว่า ภาษา "ADA"
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:ภาษาเอดา
อเอดา ไบรอน
อเอดา ไบรอน |
738 | https://th.wikipedia.org/wiki/มาร์ก_ทเวน | มาร์ก ทเวน | ซามูเอล แลงฮอร์น คลีเมนส์
thumb|มาร์ก ทเวน (1909)
มาร์ก ทเวน () เป็นนามปากกาของ ซามูเอล แลงฮอร์น คลีเมนส์ (; 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1835 - 21 เมษายน ค.ศ. 1910) เป็นนักเขียน นักบรรยาย และนักเขียนเรื่องขบขันชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง และยังเป็นคนขับเรือกลไอน้ำ นักขุดทอง และนักหนังสือพิมพ์อีกด้วย ในช่วงสูงสุดของชีวิตเขานั้น เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้นเลยทีเดียว วิลเลียม ฟอล์คเนอร์ (William Faulkner) ได้เขียนเกี่ยวกับ มาร์ก ทเวน ไว้ว่า เป็น "นักเขียนอเมริกันแท้ ๆ คนแรก และพวกเรานับแต่นั้นมาเป็นทายาทของเขา"
ผลงานของเขาที่น่าจะเป็นที่คุ้นตาของคนไทย ก็คือ ทอม ซอว์เยอร์ ผจญภัย (The Adventures of Tom Sawyer) และ ฮัคเคิลเบอรี่ ฟินน์ ผจญภัย (The Adventures of Huckleberry Finn)
== ภาพรวมอาชีพการงาน ==
ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ มาร์ก ทเวน ได้ทิ้งไว้ให้กับ วรรณกรรมอเมริกัน ก็คือ ฮัคเคิลเบอรี่ ฟินน์ ผจญภัย โดย เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า
:All modern American literature comes from one book by Mark Twain called Huckleberry Finn. ... all American writing comes from that. There was nothing before. There has been nothing as good since.
นิยายเรื่องอื่นที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ "ทอม ซอว์เยอร์ ผจญภัย", "The Prince and the Pauper", "A Connecticut Yankee in King Arthur's Court" และงานเขียนสารคดี "Life on the Mississippi"
ทเวน เริ่มต้นต้วยการเป็นนักเขียนบทกลอนขำขัน แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า เขาเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ที่น่ากลัว เกือบจะเรียกได้ว่าแหกคอกเลยก็ว่าได้ จากที่ได้ประสบกับ ความยโสโอหัง ความเจ้าเลห์เพทุบาย และการเข่นฆ่ากันของเหล่ามนุษยชาติ ในช่วงตอนกลางของอาชีพ เขาได้ผสมผสาน ความขบขัน การดำเนินเรื่องที่แข็งขัน และการวิจารณ์สังคม เอาไว้อย่างไม่มีใครเปรียบ ในงานเขียนของเขา ฮัคเคิลเบอรี่ ฟินน์ ผจญภัย
ทเวน เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ภาษาชาวบ้าน เขาเป็นผู้ที่ช่วยสร้างวรรณกรรมอเมริกัน ที่มีลักษณะเฉพาะตัว จากภาพลักษณ์ และภาษาของชาวอเมริกัน และได้ทำให้มันเป็นที่นิยมขึ้นมา
ทเวน นั้นมีความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ เขาเป็นเพื่อนที่คบหามานานกับนิโคลา เทสลา ทั้งคู่มักจะใช้เวลาร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ (เช่น ใน ห้องทดลองของเทสลา) เรื่อง A ''Connecticut Yankee in King Arthur's Court'' นั้น ก็ได้ใช้การเดินทางผ่านกาลเวลา ซึ่งเดินทางจากช่วงเวลาของเขา กลับไปในยุคของกษัตริย์อาเธอร์ และได้นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้สร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กับยุคนั้น
ทเวน เป็นหนึ่งผู้นำใน Anti-Imperialist League (กลุ่มผู้ต่อต้านการเข้าครอบงำประเทศอื่นโดยสหรัฐอเมริกา) ซึ่งได้ต่อต้านการเข้ายึดครองประเทศฟิลิปปินส์ เขาได้เขียนเรื่อง "Incident in the Philippines", ซึ่งตีพิมพ์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ในปี ค.ศ. 1924, เพื่อตอบโต้เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่ Moro Crater ที่ชาว Moro 600 คนถูกสังหาร.
คำ "Mark Twain" เป็นคำที่มีความหมายสองนัย นัยหนึ่งนั้น เป็นหน่วยวัดความลึกทางน้ำเท่ากับ 2 fathom ส่วนอีกนัยนั้นหมายถึง "safe water" หลายคนเชื่อว่าคำ "Mark Twain" น่าจะมาจากความหมายที่สอง เนื่องมาจากนิสัยชอบดื่มของ ทเวน มากกว่าที่จะมาจากการเป็นนักเดินเรือของเขา นอกจากนามปากกา มาร์ก ทเวน แล้วเขายังใช้ชื่อ "Sieur Louis de Conte" ในนิยายอัตชีวประวัติของโยนออฟอาร์ค (Joan of Arc)
== ผลงาน ==
# The $30,000 Bequest (fiction)
# Adventures of Huckleberry Finn (fiction)
# Adventures of Tom Sawyer (fiction)
# Captain Stormfield's Visit to Heaven (fiction)
# The Celebrated Jumping Frog of Calaveras County (fiction)
# A Connecticut Yankee In King Arthur's Court (fiction)
# Following the Equator (non-fiction travel)
# A Horse's Tale (fiction)
# Innocents Abroad (non-fiction travel)
# King Leopold's Soliloquy (political satire)
# Life on the Mississippi (non-fiction)
# Man That Corrupted Hadleyburg (fiction)
# The Mysterious Stranger (fiction, published posthumously)
# The Prince and the Pauper (fiction)
# Pudd'n'head Wilson (fiction)
# Roughing It (non-fiction)
# Tom Sawyer Abroad (fiction)
# Tom Sawyer Detective (fiction)
# A Tramp Abroad (non-fiction travel)
# What Is Man? (essay)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Project Gutenberg เป็นโครงการรวบรวมหนังสือในรูปอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งแบบที่เป็นข้อความ และเสียง (audio book) จำนวนมากกว่า 10,000 เล่ม. มีผลงานของ มาร์ก ทเวน อยู่ 110 รายการ.
* Mark Twain and Nikola Tesla: Thunder and Lightning
* Mark Twain mobile ebooks
หมวดหมู่:นักเขียนชาวอเมริกัน
หมวดหมู่:นามปากกา
หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐมิสซูรี
หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวอเมริกัน |
742 | https://th.wikipedia.org/wiki/มิเกล_เด_เซร์บันเตส | มิเกล เด เซร์บันเตส | มิเกล เด เซร์บันเตส ซาอาเบดรา (; 29 กันยายน ค.ศ. 1547 (สันนิษฐาน) - 23 เมษายน ค.ศ. 1616 ตามการนับแบบใหม่) เป็นนักเขียนชาวสเปน มีผลงานที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน
== ประวัติ ==
มิเกล เด เซร์บันเตสเกิดในตระกูลชนชั้นกลางในปี ค.ศ. 1547 ที่เมืองอัลกาลาเดเอนาเรส ประเทศสเปน (ในขณะปกครองโดยราชบัลลังก์กัสติยา) และไม่เคยเรียนระดับมหาวิทยาลัย ใน ค.ศ. 1569 เขาได้ย้ายไปประเทศอิตาลี ซึ่งบทกลอนของเขาได้รับการตีพิมพ์ที่นั่น เขาเข้าร่วมกับกองทหารสเปนที่อิตาลีและได้รับบาดเจ็บในการรบที่เลปันโต ใน ค.ศ. 1571 ทำให้มือซ้ายของเขาพิการ จากนั้นมา เขาก็ได้รับการเรียกขานว่า มือเดียวแห่งเลปันโต ()
ใน ค.ศ. 1575 ระหว่างเดินทางกลับสเปนจากเนเธอร์แลนด์ เขาถูกจับโดยกองโจรสลัดบาร์บารีซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงแอลเจียร์ เมืองหลวงของประเทศแอลจีเรีย เขาถูกขังอยู่ที่นั่นจนกระทั่งกองโจรได้รับค่าไถ่และปล่อยเขาเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1580
พอเดินทางกลับมาสเปน เขาก็ได้แต่งงานกับกาตาลินา เด ซาลาซาร์ อี ปาลาซิโอส ใน ค.ศ. 1584 และตีพิมพ์ La Galatea ในอีกหนึ่งปีให้หลัง เขาได้ทำงานเป็น supplier และคนเก็บภาษีอยู่ระยะเวลาหนึ่ง
เซร์บันเตสเริ่มเขียน ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน ใน ค.ศ. 1597 ขณะที่ถูกขังที่เมืองเซบิยาเนื่องจากปัญหาหนี้สิน และตีพิมพ์ส่วนแรกของเรื่องเมื่อ ค.ศ. 1605 ด้วยชื่อทางการว่า สุภาพบุรุษเจ้าปัญญา ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า () ส่วนส่วนที่สองออกมาใน ค.ศ. 1615 ระหว่างส่วนแรกกับส่วนที่สองของ ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน นั้น เขาได้ตีพิมพ์ ซึ่งเป็นเรื่องสั้น 12 เรื่อง ใน ค.ศ. 1615 เขาได้ตีพิมพ์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดทุกวันนี้ ในชื่อ ลานูมันเซีย () งานชิ้นนี้ของเขานั้น หลังจากตีพิมพ์ก็ไม่ได้รับการตรวจแก้อีกเลย จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 18
นวนิยาย เป็นผลงานชิ้นสุดท้าย เซร์บันเตสเขียนเรื่องนี้เสร็จก่อนจะเสียชีวิตเพียง 3 วัน นวนิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ 2 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ใน ค.ศ. 1617 สิ่งที่น่าสนใจสำหรับงานชิ้นนี้คือ เซร์บันเตสถือว่างานชิ้นนี้นั้นเป็นงานชิ้นเอกของเขาและเป็นงานที่เหนือชั้นกว่า ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน มาก
อิทธิพลของเซร์บันเตสนั้น ถึงขนาดที่ว่าภาษาสเปนได้ถูกอ้างอิงถึงเป็นสำนวนในภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปนว่า "ภาษาของเซร์บันเตส" (; )
== ผลงาน ==
right|หน้าแรกของเรื่อง La Galatea (1585)
รายการนี้ปรากฏใน Complete Works of Miguel de Cervantes:
* La Galatea (1585);
* El ingenioso hidalgo Don Quixote de la Mancha (1605): ดอนกิโฆเต้ เล่มแรก
* Novelas ejemplares (1613): ชุดสะสมเรื่องสั้น 12 เรื่องในประเภทต่าง ๆ ทั้งปัญหาสังคม การเมือง และประวัติศาสตร์ในสเปนสมัยเซร์บันเตส:
** "La gitanilla" ("The Gypsy Girl")
** "El amante liberal" ("The Generous Lover")
** "Rinconete y Cortadillo" ("Rinconete & Cortadillo")
** "La española inglesa" ("The English Spanish Lady")
** "El licenciado Vidriera" ("The Lawyer of Glass")
** "La fuerza de la sangre" ("The Power of Blood")
** "El celoso extremeño" ("The Jealous Man From Extremadura")
** "La ilustre fregona" ("The Illustrious Kitchen-Maid")
** "Novela de las dos doncellas" ("The Novel of the Two Damsels")
** "Novela de la señora Cornelia" ("The Novel of Lady Cornelia")
** "Novela del casamiento engañoso" ("The Novel of the Deceitful Marriage")
** "El coloquio de los perros" ("The Dialogue of the Dogs")
* Segunda Parte del Ingenioso Cavallero [sic] Don Quixote de la Mancha (1615): ดอนกิโฆเต้ เล่มที่สอง
* Los trabajos de Persiles y Sigismunda (1617).
=== ผลงานที่แปลเป็นภาษาไทย ===
* ยอดพธูสเปน-อังกฤษ
* ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน แปลโดยสว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ พิมพ์เผยแพร่ภาษาไทยครั้งแรก มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
==หมายเหตุ==
== อ้างอิง ==
===ข้อมูล===
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
หมวดหมู่:นักเขียนชาวสเปน
หมวดหมู่:บุคคลจากแคว้นมาดริด |
747 | https://th.wikipedia.org/wiki/อานันท์_ปันยารชุน | อานันท์ ปันยารชุน | อานันท์ ปันยารชุน (เกิด 9 สิงหาคม พ.ศ. 2475) เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 18 อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และประเทศเยอรมนี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เขายังได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริหารรัฐกิจ ประจำปี พ.ศ. 2540 ทูตสันถวไมตรีของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ประจำประเทศไทย ทั้งนี้ อานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่เกิดหลังเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
== ประวัติ ==
อานันท์ ปันยารชุน เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ภูมิลำเนา ณ จังหวัดพระนคร เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 12 คน ของมหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) ชาวไทยเชื้อสายมอญ กับคุณหญิงปฤกษ์ ปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร) ชาวไทยเชื้อสายจีน (แคะ) ซึ่งตัวเขาเองมีเชื้อสายจีนมาจากยายซึ่งใช้แซ่เล่า (; หลิว)
อานันท์ ปันยารชุนมีพี่น้องดังนี้
# พันตรี รักษ์ ปันยารชุน
# สุธีรา เกษมศรี ณ อยุธยา
# ปฤถา วัชราภัย
# กุนตี พิชเยนทรโยธิน
# กุศะ ปันยารชุน
# หม่อมจิตรา วรวรรณ ณ อยุธยา
# ดุษฎี โอสถานนท์
# พันตำรวจเอก ประสัตถ์ ปันยารชุน
# กรรถนา อิศรเสนา ณ อยุธยา
# สุภาพรรณ ชุมพล ณ อยุธยา
# ชัช ปันยารชุน
อานันท์สมรสกับหม่อมราชวงศ์สดศรีสุริยา จักรพันธุ์ ธิดาหม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์ และหม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด รพีพัฒน์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ
* นันดา ไกรฤกษ์ (สมรสกับ ไกรทิพย์ ไกรฤกษ์ บุตรพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ อดีตเลขาธิการสำนักพระราชวัง)
* ดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ อดีตกรรมการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (สมรสกับ ชัชวิน เจริญรัชต์ภาคย์ บุตร ศ.ดร.นาวาเอก เจริญ เจริญรัชต์ภาคย์ ร.น. อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และ ท่านผู้หญิงสมศรี)
=== การศึกษาและการทำงาน ===
อานันท์จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จากนั้นไปศึกษาต่อที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จากดัลวิชคอจเลจ (Dulwich College) และปริญญาตรีด้านกฎหมาย (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อ พ.ศ. 2498
หลังจบการศึกษา อานันท์เข้ารับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2510 จากนั้นย้ายไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศแคนาดา สหรัฐ และเป็นผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ
ในปี พ.ศ. 2518 อานันท์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเดินทางไปสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2518 อานันท์ ถูกปลดจากตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำคณะทูตถาวรสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก โดยให้เป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศสหรัฐเพียงตำแหน่งเดียวในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2518ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2520 ได้รับแต่งตั้งเป็น เอกอัครราชทูตผู้แทนพิเศษ ประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล ธานินทร์ กรัยวิเชียร
จากนั้นถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศเยอรมนี ก่อนจะลาออกจากราชการในปี พ.ศ. 2522
อานันท์ หันมาทำงานด้านธุรกิจ ร่วมงานกับกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน จนกระทั่งเป็นประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเมื่อ พ.ศ. 2534 และดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
== บทบาททางการเมือง ==
=== ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ===
อานันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยแรกระหว่างวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ถึง 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534 จากการเสนอชื่อโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์เช่นกัน ทั้งเคยร่วมงานกับนายอานันท์ เมื่อ พ.ศ. 2514 ขณะพันโทสุจินดา (ยศขณะนั้น) เป็นรองผู้ช่วยทูตทหารบก ประจำสถานเอกเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน และนายอานันท์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐ ผลจากการเลือกให้นายอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในตอนนั้นช่วยให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนแรกที่เกิดภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ภารกิจหลักของรัฐบาลนายอานันท์ในสมัยแรก คือ การร่างรัฐธรรมนูญ และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายอานันท์ ได้นำบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ และมีภาพพจน์ที่ดี มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เช่น นายนุกูล ประจวบเหมาะ นายเสนาะ อูนากูล นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
การบริหารประเทศของนายอานันท์ ภายใต้คำสั่งของคณะรสช. ทำให้รัฐบาล รสช ได้รับได้สืบทอดอำนาจได้
นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ในการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคสามัคคีธรรมได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด จำนวน 79 คน เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคกลับไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ เป็นหนึ่งในบัญชีดำ ผู้ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับการค้ายาเสพติด
พรรคร่วมเสียงข้างมาก ซึ่งประกอบด้วยพรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร จึงสนับสนุนให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พลเอกสุจินดาเคยประกาศว่า จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกล่าวในเวลาต่อมาว่า จำเป็นต้อง "เสียสัตย์เพื่อชาติ" โกหกประชาชนอย่างหน้าด้านๆ
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา ทำให้เกิดกระแสการคัดค้านอย่างรุนแรง มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่ท้องสนามหลวงเพิ่มขึ้นจนถึงห้าแสนคน จนนำมาสู่การใช้กำลังปะทะ และปราบปรามในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 หรือ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ภายหลังเหตุการณ์ความรุนแรง พลเอกสุจินดาประกาศลาออกจากตำแหน่ง ฝ่ายพรรคร่วมเสียงข้างมาก ร่วมกันสนับสนุนให้ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่แล้วนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ได้ตัดสินใจเสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ แทนที่จะเป็นพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยรัฐมนตรีส่วนใหญ่ เป็นรัฐมนตรีที่เคยดำรงตำแหน่งมาก่อนในสมัยแรก
นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2535 ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด และนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 20
พ.ศ. 2551 อานันท์ได้รับการติดต่อจาก พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี ให้เข้าร่วมแผนการณ์ล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่อยู่ระหว่างรอเสนอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และให้อานันท์ ปันยารชุนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน
=== คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ===
อานันท์ ปันยารชุน ได้เข้ามารับหน้าที่ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ หลังการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ยุติลง ในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยทำหน้าที่ยกร่างแผนปฏิบัติการที่สามารถนำไปปฏิบัติ และแก้ไขปัญหาความอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยคณะกรรมการ จำนวน 19 คน ทำงานคู่ขนานไปกับคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ
== ความเห็นทางการเมือง ==
=== รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ===
อานันท์สนับสนุนรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 เขาเป็นนักวิจารณ์พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นเวลาหลายปีก่อนรัฐประหาร และเขาโทษทักษิณว่าเป็นต้นเหตุ เขายังเกรงว่า คณะรัฐประหารจะล้มเหลวและทักษิณจะกลับคืน อานันท์อ้างว่า ประชาชนตอบรับรัฐประหารอย่างดีและการห้ามการคัดค้านหรือกิจกรรมทางการเมืองของคณะรัฐประหารจะไม่อยู่นาน เขายังประหลาดใจต่อการประณามของนานาประเทศต่อรัฐประหาร
=== รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ===
อานันท์ยืนยันว่าประเทศไทยไม่เคยมีประชาธิปไตยมาโดยตลอด แต่คนไทยหลอกตัวเองว่ามี ตนไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารแต่เข้าใจว่ามีความจำเป็น ตนเห็นว่าความชอบธรรมไม่สำคัญเท่ากับทำอะไรให้ประเทศชาติบ้าง เชื่อว่าหากรัฐบาลยอมคืนอำนาจให้ประชาชน ทหารก็คงไม่ออกมารัฐประหาร เขากล่าวว่า อยากเห็นธรรมาภิบาลในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตย ตนเชื่อว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบเดียวของประชาธิปไตย ต้องมีค่านิยมประชาธิปไตย องค์กรถ่วงดุล ระบบตุลาการที่เที่ยงธรรมและสิทธิแสดงความคิดเห็นด้วย
== สมาชิกคณะมนตรีไตรภาคี ==
อานันท์ ปันยารชุน เป็นสมาชิกคณะมนตรีไตรภาคีภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค พ.ศ. 2554-2557 ตัวแทนประเทศไทย
== รางวัลและเกียรติยศ ==
อานันท์ ปันยารชุน ได้รับพระราชทานยศนายกองใหญ่แห่งกองอาสารักษาดินแดน ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าของผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน
== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ===
=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ ===
** พ.ศ. 2504 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นที่ 3
** พ.ศ. 2513 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์ดีเด่นทางการทูต ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2514 - 80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวแห่งการบริการ ชั้นอุตมา
** พ.ศ. 2533 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์เดอลากูรอน ชั้นที่ 2
** พ.ศ. 2534 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2539 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรวรรดิบริติช ชั้นทุติยาภรณ์ (ฝ่ายพลเรือน) (KBE)
** พ.ศ. 2550 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์โพลาร์ สตาร์ ชั้นที่ 1
== ลำดับสาแหรก ==
== อ้างอิง ==
* วีรชาติ ชุ่มสนิท, 24 นายกรัฐมนตรีไทย, ออลบุ๊คส์พับลิสชิ่ง, 2549 ISBN 974-94553-9-8
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* อานันท์ ปันยารชุน
* ประวัติ อานันท์ ปันยารชุน
* เปิดกรุพี่น้อง 12 คน นั่งเรียงเคียงข้าง อานันท์ ปันยารชุน
== แหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม ==
* กิตติศักดิ์ สุจิตตารมย์, “ความล้มเหลวในการสถาปนาหลักการ ‘นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง’: กรณีนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน 2.” ใน ธนภาษ เดชพาวุฒิกุล และคงกฤช ไตรยวงค์ (บก.), เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 7 ความกลัว ความหวัง จินตนาการเปลี่ยนแปลง. น. 165-191. ม.ป.ท., 2557.
* Nishizaki, Yoshinori. “Birds of a Feather: Anand Panyarachun, Elite Families and Network Monarchy in Thailand.” Journal of Southeast Asian Studies 51, 1-2 (June 2020) : 197-242.
หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดพระนคร
หมวดหมู่:สกุลปันยารชุน
หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายแคะ
หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายมอญ
หมวดหมู่:นักการทูตชาวไทย
หมวดหมู่:ข้าราชการพลเรือนชาวไทย
หมวดหมู่:นักการเมืองไทย
หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีไทย
หมวดหมู่:สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญไทย
หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนอำนวยศิลป์
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เคบีอี
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช.
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ภ.
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ.ว. (ฝ่ายหน้า)
หมวดหมู่:สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หมวดหมู่:สมาชิกคณะมนตรีไตรภาคีภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค (ไทย)
หมวดหมู่:เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา
หมวดหมู่:เอกอัครราชทูตไทยประจำเยอรมนีตะวันตก
หมวดหมู่:สกุลโชติกเสถียร
หมวดหมู่:ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน
หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1
หมวดหมู่:เอกอัครราชทูตไทยประจำแคนาดา |
748 | https://th.wikipedia.org/wiki/นายกรัฐมนตรี | นายกรัฐมนตรี | นายกรัฐมนตรี () เป็นหัวหน้าของคณะรัฐมนตรีและเป็นผู้นำของรัฐมนตรีในแผนกฝ่ายการบริหารของรัฐบาล ซึ่งมักจะอยู่ในระบบรัฐสภาหรือกึ่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีนั้นจะไม่ใช่ประมุขแห่งรัฐของประเทศรัฐต่าง ๆ หรือไม่ก็พระมหากษัตริย์ พวกเขาจะทำหน้าที่แทนเป็นหัวหน้ารัฐบาล การทำหน้าที่โดยทั่วไปจะอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ในรูปแบบผสมของรัฐบาลขุนนางและประชาธิปไตยหรือประธานาธิบดีในรูปแบบสาธารณรัฐของรัฐบาล
ในระบบรัฐสภานั้นจะทำตามแบบอย่างของระบบเวสต์มินสเตอร์ นายกรัฐมนตรีนั้นจะทำหน้าที่เป็นประธานและหัวหน้าที่แท้จริงของรัฐบาลและหัวหน้าของแผนกฝ่ายการบริหารต่าง ๆ ในระบบดังกล่าว ประมุขแห่งรัฐหรือตัวแทนอย่างเป็นทางการของพวกเขา (เช่น พระมหากษัตริย์, ประธานาธิบดี, ผู้สำเร็จราชการ) มักจะดำรงตำแหน่งจากการประกอบพิธีอย่างเป็นทางการเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีฐานะแค่เป็นอำนาจสำรอง(reserve powers)
ในหลายระบบ นายกรัฐมนตรีจะคัดเลือกและอาจจะต้องทำการปลดออกต่อสมาชิกคนอื่น ๆ ของคณะรัฐมนตรี และจัดสรรตำแหน่งหน้าที่ให้กับสมาชิกภายในรัฐบาล ในระบบส่วนใหญ่ นายกรัฐมนตรีจะเป็นหัวหน้าของสมาชิกและประธานของคณะรัฐมนตรี ในระบบของชนกลุ่มน้อย ที่มีโดดเด่นในรัฐบาลของระบบกึ่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อให้จัดการราชการพลเรือนและปฏิบัติตามคำสั่งของประมุขแห่งรัฐ
นายกรัฐมนตรีมักจะเป็น(แต่ไม่เสมอไป) สมาชิกของสภานิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎร์และคาดว่าจะมีรัฐมนตรีคนอื่น ๆ เพื่อให้การรับรองว่ากระบวนการร่างกฎหมายจะผ่านทางสภานิติบัญญัติ ในระบอบราชาธิปไตยบางแห่ง พระมหากษัตริย์อาจจะใช้อำนาจในการบริหาร(ที่เป็นที่รู้จักกันคือ พระราชอภิสิทธิ์) ที่จะมอบตำแหน่งให้อย่างเป็นความลับในพิธีราชาภิเษก และอาจจะใช้อภิสิทธิ์โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
เช่นเดียวกับการเป็นหัวหน้ารัฐบาล การเป็นนายกรัฐมนตรีอาจจำเป็นจะต้องมีหน้าที่บทบาทหรือตำแหน่งอื่น ๆ - นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร จากการยกตัวอย่าง ยังเป็นลอร์ดเอกแห่งการคลังและรัฐมนตรีสำหรับข้าราชการพลเรือน ในบางกรณี นายกรัฐมนตรีอาจจะเลือกที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่มเติม (เช่น เมื่อตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นมีความสำคัญต่อคำสั่งของรัฐบาลในช่วงเวลาสมัยนั้น): ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วินสตัน เชอร์ชิล ยังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม(แม้ว่าในช่วงเวลาสมัยนั้น จะไม่มีกระทรวงกลาโหมก็ตาม) อีกตัวอย่างหนึ่งคือ รัฐบาลอิสราเอลชุดที่สามสิบสี่ (ค.ศ. 2015-2019) เมื่อเบนจามิน เนทันยาฮู ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงความร่วมมือระดับภูมิภาค กระทรวงเศรษฐกิจ กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย
== รายชื่อนายกรัฐมนตรี ==
== ดูเพิ่ม ==
* นายกรัฐมนตรีไทย
* รายนามประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบัน
* ประธานาธิบดี
== อ้างอิง ==
* การบริหารราชการแผ่นดิน จากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
หมวดหมู่:หัวหน้ารัฐบาล
หมวดหมู่:ตำแหน่งผู้มีอำนาจ |
749 | https://th.wikipedia.org/wiki/ปรีดี_พนมยงค์ | ปรีดี พนมยงค์ | ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ หรืออำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) เป็นนักกฎหมาย อาจารย์ นักกิจกรรม นักการเมือง และเจ้าหน้าที่การทูตชาวไทย ผู้ได้รับการยกย่องเกียรติคุณอย่างสูง เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 และรัฐมนตรีหลายกระทรวง หัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบันคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย)
เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่เมืองกรุงเก่า แต่ได้รับการส่งเสียให้ได้รับการศึกษาที่ดี สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภา และสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตตั้งแต่อายุ 19 ปี เป็นนักเรียนทุนศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษาขั้นดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยปารีส ใน พ.ศ. 2469 เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งคณะราษฎรในประเทศฝรั่งเศสในปีเดียวกัน จากนั้นเดินทางกลับประเทศเพื่อประกอบอาชีพเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายปกครอง ณ โรงเรียนกฎหมาย หลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญสองฉบับแรกของประเทศ และวางแผนเศรษฐกิจ หลังเดินทางออกนอกประเทศช่วงสั้น ๆ เนื่องจากปฏิกิริยาต่อแผนเศรษฐกิจของเขา เขาเดินทางกลับมารับตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาและแปลก พิบูลสงคราม มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย การวางรากฐานการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับต่างประเทศ ตลอดจนการปฏิรูปภาษี
ความเห็นของเขาแตกกับแปลก เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรระหว่าง พ.ศ. 2484 ถึง 2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามบ่อนทำลายความชอบธรรมของประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสมัยรัฐบาลแปลกจนฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ถือโทษเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส
ความขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองอื่นทวีความรุนแรงขึ้น หลังกรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งเขาถูกใส่ความว่าเป็นผู้บงการ ทำให้เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ต่อมาเกิดรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 เป็นเหตุให้เขาต้องลี้ภัยการเมืองนอกประเทศ ใน พ.ศ. 2492 เขากับพันธมิตรทางการเมืองพยายามรัฐประหารรัฐบาลในขณะนั้นแต่ล้มเหลว ทำให้เขาและพันธมิตรหมดอำนาจทางการเมืองโดยสิ้นเชิง จากนั้นเขาลี้ภัยการเมืองในประเทศจีนและฝรั่งเศสโดยไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีก เขายังแสดงความเห็นทางการเมืองในประเทศไทยและโลกอยู่เรื่อย ๆ จนถึงแก่อสัญกรรมในปี 2526 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีการนำอัฐิเขากลับประเทศใน พ.ศ. 2529 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทาน
อนุสรณ์ของเขาประกอบด้วยวันปรีดี พนมยงค์, สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ และสถานที่และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ตั้งตามชื่อเขา เขามีภาพลักษณ์ตั้งแต่เป็นนักประชาธิปไตยไม่นิยมเจ้าไปจนถึงผู้นิยมสาธารณรัฐ การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นจุดด่างพร้อยในชีวประวัติของเขา และศัตรูเขานำมาใช้โจมตีแม้หลังสิ้นชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีหมิ่นประมาทที่ปรีดีเป็นโจทก์ฟ้องนั้น ศาลยุติธรรมให้เขาชนะทุกคดี เขาเป็นสัญลักษณ์ของผู้ต่อต้านเผด็จการทหาร เสรีนิยม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใน พ.ศ. 2542 ยูเนสโกยกให้เขาเป็นบุคคลสำคัญของโลก และร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล
== ชีวิตช่วงต้น ==
ปรีดีขณะศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยก็อง
แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา
ใน พ.ศ. 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส ชื่อ "สามัคยานุเคราะห์สมาคม" และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2469 (ต่อมาได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์ในปี 2485) เขาเกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน และทำหน้าที่เป็นศาลปกครองพิจารณาข้อพิพาทระหว่างข้าราชการและราษฎร จูงใจให้ผู้ศึกษาใส่ใจกิจการบ้านเมือง รู้สึกอยากปกครองตนเอง
=== การประนีประนอมกับอำนาจเก่า ===
ภายหลังการปฏิวัติ ปรีดีถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับหลังนี้ปรีดีได้ถวายแก้ข้อข้องใจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย
เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการราษฎรและรัฐมนตรีไม่สังกัดกระทรวงในรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแสดงออกหลายครั้งว่าปรีดีเป็นผู้บงการรัฐบาลบ้าง เป็นผู้คุมเสียงในสภาบ้าง เขาประสงค์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินและแรงงาน ให้จัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้เพื่อการกสิกรรม และให้แบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค
หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่ง ทรงเห็นด้วยกับเค้าโครงของปรีดีเช่นกัน พระยามโนปกรณ์นิติธาดายกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไม่เห็นด้วยมาเป็นเครื่องชี้ขาดและตีตกไป พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแถลงพาดพิงปรีดีว่า เงินทุนของมหาวิทยาลัยอาศัยเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาและดอกผลของธนาคารเอเชียซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยให้มหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80% นอกจากนี้ปรีดียังได้ยกกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นของตนให้มหาวิทยาลัยเพื่อพิมพ์ตำรา อย่างไรก็ดี สำหรับการเจรจาการเมืองเรื่องการรับรองเอกราชของไทยนั้น สหราชอาณาจักรไม่ยอมตอบ สุดท้ายมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 เป็นวันจับอาวุธลุกขึ้นสู่กับทหารญี่ปุ่นในประเทศ ภายหลังประกาศสันติภาพ ปรีดีประกาศยกเลิกขบวนการเสรีไทย
เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้ว ปรีดีจึงขออัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จนิวัติประเทศไทยเพื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองต่อไป โดยได้เสด็จกลับถึงพระนครวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลมีพระราชดำรัสตอบปรีดีที่ไปเฝ้ารับเสด็จบางตอนว่า "ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้" ด้วยคุณูปการที่เป็นผู้นำในการกอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องปรีดีในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับพระราชทานแก่เขา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488
=== นายกรัฐมนตรีและทูตสันถวไมตรี ===
ปรีดีกับ[[พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ใน พ.ศ. 2489]]
หลังสงคราม ปรีดีพยายามรักษาฐานอำนาจของตนผ่านการควบคุมตำรวจ สารวัตรทหารและสมาชิกขบวนการเสรีไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทั้งสองสภา ก็ได้ประกาศใช้ในสมัยของเขาด้วย เจ้าหน้าที่การทูตชาวอเมริกันประเมินว่า นโยบายของรัฐบาลเขา "ไม่มีสังคมนิยมเจือปน" จะมีก็แต่การสนับสนุนสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น เขายังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภาช่วงสั้น ๆ ก่อนลาออกไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ซึ่งเขาได้รับเลือกตั้งเพราะไม่มีผู้อื่นลงสมัครแข่ง ฉวยโอกาสนำมาใช้ทำลายปรีดีทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในศาลาเฉลิมกรุงว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติลำดับที่ 55 ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 โดยปรีดีใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวกับชาร์ล เดอ โกล ประธานาธิบดีฝรั่งเศสและโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต มิให้ทั้งสองประเทศนี้ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใช้อำนาจยับยั้งการสมาชิกเข้าเป็นสมาชิกของไทย ระหว่างนั้นรัฐบาลไทยได้ออกหมายจับปรีดีในคดีลอบปลงพระชนม์ อีกทั้งขอให้ทางการสหราชอาณาจักรส่งตัวปรีดีเป็นผู้ร้ายข้ามแดนด้วย แต่รัฐบาลสหราชอาณาจักรปฏิเสธ ใน พ.ศ. 2501 ปรีดีเสนอให้รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ขุดคลองที่คอคอดกระ
ปรีดีเข้าพบ[[เหมา เจ๋อตง ผู้นำจีน ใน พ.ศ. 2508]]
ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ทราบความประสงค์ของปรีดีที่ต้องการเดินทางไปกรุงปารีสเพื่ออยู่กับครอบครัว จึงออกหนังสือเดินทางคนต่างด้าวให้ปรีดีเดินทางจากประเทศจีนไปยังกรุงปารีส ด้วยความช่วยเหลือจากกีโยม จอร์จ-ปีโก (Guillaume Georges-Picot) มิตรเก่าซึ่งเคยเป็นอุปทูตฝรั่งเศสประจำประเทศสยาม
เวลา 11 นาฬิกาเศษ ของวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านอ็องโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดีสิ้นใจด้วยภาวะหัวใจวายขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าปรีดี 12 ปี เพื่อสื่อทัศนะสันติภาพและคัดค้านการทำสงครามผ่านไปยังนานาประเทศ โดยแสดงจุดยืนอย่างแจ่มชัดด้วยพุทธภาษิตที่ปรากฏในภาพยนตร์ที่ว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" (ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ) ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสื่อให้เห็นว่าชาวสยามพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อต่อด้านสงครามรุกรานอย่างมีศักดิ์ศรี
=== งานเขียน ===
ปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ ทั้งสังคมศาสตร์ ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมทั้งผลงานของเมธีทางด้านปรัชญาและสังคมศาสตร์ เช่น มาคส์ เองเงิลส์ เลนิน สตาลิน และเหมา เจ๋อตง ในเชิงเปรียบเทียบสภาพสังคมไทยทุกแง่ทุกมุม เช่น ระบอบเศรษฐกิจ การเมือง ทัศนะสังคม ประวัติศาสตร์ ชนชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี แล้วได้เรียบเรียงเป็นบทความ ซึ่งได้ตีพิมพ์ในโอกาสต่อมา
* คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจและเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรกับเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ,โรงพิมพ์ลหุโทษ,2476
* บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ, กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
* '''ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementee et mes 21 ans d' exil en Chine Populaire)
* ความเป็นมาของชื่อ “ประเทศสยาม” กับ “ประเทศไทย”
* จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม
* ประชาธิปไตย เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
* ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ
* ปรัชญาคืออะไร
* "ความเป็นไปบางประการในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ใน บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์…
* บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย
* ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเอกภาพของชาติและประชาธิปไตย
* สำเนาจดหมายของนายปรีดีตอบบรรณาธิการสามัคคีสารเรื่อง ขอทราบความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และสังคมสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย,ปราโมทย์ พึ่งสุนทร,2516
* ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาชาวปักษ์ใต้แห่งประเทศไทย, 2517
* อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน', ประจักษ์การพิมพ์, 2518
=== ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ ===
หน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสระบุว่า ปรีดีในวัยหนุ่ม "เป็นตัวการได้รับค่าจ้างของพวกโซเวียต ... เป็นสาวกลัทธิคอมมิวนิสต์" แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระทรวงการสงครามสหรัฐและโอเอสเอส ระบุว่า ปรีดีเป็นผู้นิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง "นักเสรีนิยมและรูปเคารพของเหล่าปัญญาชนหนุ่มชาวสยาม"
และเขายังสนใจในด้านศาสนาพุทธอีกด้วย โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง "กฎบัตรของพุทธบริษัท" ที่พุทธทาสภิกขุส่งไปให้ ปรีดีพกไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกติดตัวอยู่ตลอดเวลาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
ปรีดี พนมยงค์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้
=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ===
=== ต่างประเทศ ===
** พ.ศ. 2478 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2481 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีเยอรมัน ชั้นสูงสุด
** พ.ศ. 2473 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์วิชาการศึกษา ชั้นที่ 2
** พ.ศ. 2482 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นสูงสุด
** พ.ศ. 2482 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลออปอล ชั้นสูงสุด
** พ.ศ. 2482 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและลาซารัส ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2482 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ ชั้นที่ 1
** พ.ศ. 2489 - 80px เหรียญออฟฟรีดอม ประดับใบปาล์มทอง
** พ.ศ. 2490 - 80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์วาซา ชั้นที่ 1 ในโอกาสนั้น คีตกวี สมเถา สุจริตกุล ประพันธ์ซิมโฟนีชื่อ "ปรีดีคีตานุสรณ์" เพื่อยอเกียรติ
=== พันธุ์สัตว์ ===
เมื่อ พ.ศ. 2546 มีการค้นพบปลาปล้องทองปรีดี (Schistura pridii) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยตั้งชื่อตามนามของเขา และเอช. จี. ไดแนน (H. G. Deignan) ค้นพบชนิดย่อยใหม่ของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง สถาบันสมิทโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาตั้งชื่อว่า "นกปรีดี" (Chloropsis aurifrons pridii) ที่ดอยอ่าง ดอยอินทนนท์ ไดแนน ยังตั้งชื่อนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าอีกชนิดย่อยหนึ่ง ที่พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคใต้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ขบวนการเสรีไทยว่า Chloropsis cochinchinensis seri-thai (ชื่อสามัญว่า นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าเสรีไทย หรือนกเสรีไทย)
=== สถานที่ ===
* อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 2 ที่คือ บริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของปรีดี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกปรีดี พนมยงค์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมือง ตรงข้ามวัดพนมยงค์ อนุสาวรีย์ปรีดีพนมยงค์เป็นรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งของปรีดี 3 ประการคือ สันติภาพ เสรีไทยและประชาธิปไตย และห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี พนมยงค์
* สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้จัดสร้างอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขึ้น ณ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและราษฎรไทย เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2538
* ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการตั้งอนุสรณ์แก่เขา ได้แก่ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ใช้สำหรับการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ โดยจัดตั้งขึ้นในวาระครบ 100 ปี ชาตกาลของเขา เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีการตั้งชื่อคณะนิติศาสตร์ตามชื่อเขา
* ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ 6-1 (ปรีดี พนมยงค์) ชั้น 6 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ใช้เป็นห้องประชุมสำหรับพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และพิธีประสาทปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา และกิจกรรมอื่นๆ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ปรีดี พนมยงค์ ในปี 2490
ภาพลักษณ์ของปรีดี พนมยงค์ถูกสร้างไปสองทางทั้งบวกและลบ มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการเมืองและสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างเผด็จการทหาร อนุรักษนิยมและนิยมเจ้า กับเสรีนิยมและสังคมนิยม เผด็จการทหารสร้างภาพลักษณ์เขาในทางลบเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองแก่ตนเอง อนุรักษนิยมและนิยมเจ้าพยายามรักษาบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายหลังพยายามสร้างภาพลักษณ์ในทางที่ดีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับเผด็จการ สำหรับสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขายกย่องปรีดีว่ามีความสำคัญเทียบเท่าเหมาเจ๋อตงของจีน โฮจิมินห์ของเวียดนาม และชวาหะร์ลาล เนห์รูของอินเดีย สัญลักษณ์ว่ารัฐบาลยอมรับการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของปรีดี เริ่มจากการเปลี่ยนชื่อถนนสุขาภิบาล 2 เป็นถนนเสรีไทย ตามมาด้วยการเปลี่ยนชื่อสถานที่ต่าง ๆ ว่าเกี่ยวข้องกับปรีดี
== ลำดับสาแหรก ==
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
===บรรณานุกรม===
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สถาบันปรีดี พนมยงค์ เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
* ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข รวบรวมประวัติ ภาพ และผลงานของ ปรีดี พนมยงค์ และภรรยา พูนศุข พนมยงค์
* 100 ปีของสามัญชน นาม ปรีดี พนมยงค์ นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 182 เดือน เมษายน 2543
* สัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เมื่อ พ.ศ. 2525 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
* สัมภาษณ์พิเศษ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ในโอกาสครบรอบ 48 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิ.ย. 2523)
หมวดหมู่:สกุลพนมยงค์
หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีไทย
หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไทย
หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย
หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย
หมวดหมู่:รัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง
หมวดหมู่:สมาชิกคณะราษฎร
หมวดหมู่:สมาชิกขบวนการเสรีไทย
หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบแต่งตั้ง
หมวดหมู่:สามัญสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา
หมวดหมู่:นักปฏิวัติ
หมวดหมู่:นักปรัชญา
หมวดหมู่:นักกฎหมายชาวไทย
หมวดหมู่:นักกฎหมายมหาชน
หมวดหมู่:นักการทูตชาวไทย
หมวดหมู่:นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย
หมวดหมู่:นักประวัติศาสตร์ชาวไทย
หมวดหมู่:นักวิชาการชาวไทย
หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย
หมวดหมู่:ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวไทย
หมวดหมู่:ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทย
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
ประดิษฐมนูธรรม
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
หมวดหมู่:ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยก็อง
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยปารีส
หมวดหมู่:อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หมวดหมู่:ศาสตราจารย์
หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอพระนครศรีอยุธยา
หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายจีน
หมวดหมู่:ข้าราชการฝ่ายตุลาการชาวไทย
หมวดหมู่:บุคคลในสงครามโลกครั้งที่สอง
หมวดหมู่:ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศส
หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวไทย
หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1
หมวดหมู่:ผู้ลี้ภัยชาวไทย
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2475-2516
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2516-2544
หมวดหมู่:ผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองในประเทศไทย
หมวดหมู่:ชาวไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง |
750 | https://th.wikipedia.org/wiki/เสรีไทย | เสรีไทย | เสรีไทย () เป็นขบวนการใต้ดินที่ดำเนินการระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วง พ.ศ. 2484-2488 มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการรุกรานของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น รักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติไทย ขบวนการเสรีไทยกำเนิดขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกทัพเข้ามาทางด้านทิศตะวันออกและยกพลขึ้นบกจากอ่าวไทย เดิมเรียกขบวนการนี้ว่า "องค์การต่อต้านญี่ปุ่น" ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "เสรีไทย" มีบทบาทเป็นแหล่งข่าวสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตร
== ปฏิบัติการ ==
การที่รัฐบาลไทยนำโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ยินยอมตกลงเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามต่อสหรัฐและอังกฤษ ทำให้บุคคลสำคัญทางการเมืองการปกครอง ข้าราชการ และชาวไทยทั้งในและนอกประเทศไม่เห็นด้วยกับนโยบายประกาศสงคราม มีการรวมตัวกันเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่น แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มในประเทศ นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มคนไทยในสหรัฐ นำโดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการไม่ยอมส่งคำประกาศสงครามต่อสหรัฐ และถือว่าการประกาศสงครามนั้นมิใช่เจตนาของคนไทย กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มคนไทยในอังกฤษ นำโดยนักเรียนไทย ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รวมถึงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และราชนิกูลอีกหลายพระองค์ และต่อมาใน พ.ศ. 2485 อังกฤษได้รับสมาชิกเสรีไทยเข้าเป็นกำลังพลร่วมในกองทัพอังกฤษ
ช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การดำเนินงานของกลุ่มทั้งสามไม่ค่อยประสบผลสำเร็จมากนักเพราะขาดการประสานงานร่วมกัน แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล โดยมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ความร่วมมือระหว่างกันก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่านายควง อภัยวงศ์จะแถลงนโยบาย ร่วมมือกับญี่ปุ่นโดยใกล้ชิด ตามสัญญาพันธกรณีที่ได้มีต่อกันไว้ด้วยดี และให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นตามข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นทุกประการ แต่ขณะเดียวกันคณะรัฐบาลก็มีรัฐมนตรีหลายคนที่เป็นบุคคลระดับหัวหน้าในองค์การต่อต้านญี่ปุ่น และคอยให้ความช่วยเหลือองค์การอย่างลับ ๆ
เสรีไทยมีเครือข่ายความร่วมมือในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตร สหรัฐและอังกฤษได้ส่งหน่วยปฏิบัติการมาประจำในกรุงเทพมหานคร ด้านฝ่ายไทย นายปรีดี พนมยงค์ ได้ส่งทหารไปประจำที่กองบัญชาการของฝ่ายสัมพันธมิตร ณ เมืองแคนดี ลังกา พร้อมกับส่งทหาร ตำรวจ และพลเรือนไปรับการฝึกกับสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (O.S.S : Office of Strategic Services) ของสหรัฐ และกองกำลัง 136 ของอังกฤษ ในอินเดียและลังกา
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงเรียนนายทหารสารวัตร และโรงเรียนนายสิบสารวัตรทหาร โดยรับสมัครนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักเรียนเตรียมปริญญาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และนักเรียนโรงเรียนเตรียมนายเรือ มาฝึกให้เป็นผู้บังคับบัญชาของกองกำลังใต้ดินเพื่อเตรียมสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นในวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรกำหนด มีการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยในประเทศร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น ส่งข่าวด้านยุทธศาสตร์ทางทหารตลอดจนรายงานสภาพดินฟ้าอากาศให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบ ซึ่งทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถปฏิบัติการทางทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี การปะทะกันระหว่างขบวนการเสรีไทยกับกองทัพญี่ปุ่นไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากสหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมะและนางาซากิเมื่อวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 แม้ว่าไทยจะร่วมกับญี่ปุ่นในการประกาศสงคราม แต่ความร่วมมืออย่างลับ ๆ ของไทยกับฝ่ายสัมพันธมิตรทำให้ไทยมีอำนาจต่อรองในการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงครามยุติ โดยสหรัฐถือว่าไทยไม่เคยประกาศสงครามต่อประเทศของตน ขณะที่อังกฤษยังดำเนินนโยบายต่อไทยแตกต่างไปจากสหรัฐ
== สมาชิกขบวนการที่มีชื่อเสียง ==
สมาชิกขบวนการเสรีไทยผู้ได้รับ[[:en:Medal_of_Freedom_(1945)|เหรียญแห่งเสรีภาพ จากรัฐบาลสหรัฐ เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (จากซ้าย) พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์, พล.ต. บุญมาก เทศะบุตร, น.อ. วิมล วิริยะวิทย์, นายพิเศษ ภัททพงษ์, ม.จ.ยุธิษเฐียร สวัสดิวัตน์, ม.ล.เอกชัย กำภู, นายอานนท์ ศรีวรรธนะ, ดร.สละ สานนท์, พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา, นายอำนวย พูนพิพัฒน์, นายอุดมศักดิ์ ภาสวนิช, นายกุสา ปันยารชุน, นายสมจิต ยศสุนทร]]
* ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (รูท)
* พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส หรือหลวงอดุลเดชจรัส (เบตตี้)
* ศ.มาลัย หุวะนันทน์
* คุณหญิงอุบล หุวะนันทน์
* พล.ท.กาจ กาจสงคราม หรือหลวงกาจสงคราม
* พ.ต.หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์ (หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์)
* ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (เข้ม - ภายหลังเป็น "เข้ม เย็นยิ่ง")
* สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
* พ.ต.ควง อภัยวงศ์ หรือหลวงโกวิทอภัยวงศ์
* หลวงบรรณกรโกวิท (เปา จักกะพาก)
* ศ.ดิเรก ชัยนาม
* ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
* เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์
* ทวี บุณยเกตุ
* พ.ท. ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ (อรุณ)
* น.อ.หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย)
* สงวน ตุลารักษ์
* พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา
* อนันต์ จินตกานนท์
* เตียง ศิริขันธ์
* ถวิล อุดล
* จำลอง ดาวเรือง
* ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
* ฟุ้ง ศรีสว่างวัฒน์
* พ.อ.(พ)การุณ เก่งระดมยิง (เคน)
* พล.ท. ม.ล.ขาบ กุญชร
* พลตรี จักรชัย (จันทร์) ศุภางคเสน
* พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์
* ร.อ.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช
* ทอง กันทาธรรม
* ครอง จันดาวงศ์
* พ.ต.โผน อินทรทัต
* ร.อ.กระจ่าง ตุลารักษ์
* แช่ม พรหมยงค์
* พ.ต.จำกัด พลางกูร
* พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน หรือ หลวงสินธุสงครามชัย
* พลโท ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์
* พลเอก เนตร เขมะโยธิน
* พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
* ประกอบ วัชรสินธุ์ (นายวันเฮง วัชรสินธุ์)
:ชื่อในวงเล็บเป็นรหัสที่ใช้เรียกในขบวนการเสรีไทย
== ดูเพิ่ม ==
* สงครามแปซิฟิก
* สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย
* สงครามโลกครั้งที่สอง
* กบฏวังหลวง
== อ้างอิง ==
* ขบวนการเสรีไทย, กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, พ.ศ. 2538 ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2551
== หนังสืออ่านเพิ่ม ==
* ''Thailand's Secret War: OSS, SOE and the Free Thai Underground During World War II. E. Bruce Reynolds. Cambridge Military Histories series. Cambridge University Press. . Colonel David Smiley is pictured page 377 with his Force 136 team.
* The Thai Resistance Movement During the Second World War, John B. Haseman, Northern Illinois Center for Southeast Asian Studies, np, 1978.
* Free Thai, compiled by Wimon Wiriyawit, White Lotus Co., Ltd, Bangkok, 1997.
* Into Siam, Underground Kingdom, Nicol Smith and Blake Clark, Bobbs Merrill Company, New York, 1945.
* Colonel David Smiley, Irregular Regular, Michael Russell, Norwich, 1994, (). Translated in French by Thierry Le Breton, Au coeur de l'action clandestine des commandos au MI6'', L'Esprit du Livre Editions, France, 2008, (). With numerous photographs.
หมวดหมู่:สงครามแปซิฟิก
หมวดหมู่:ประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง
หมวดหมู่:ขบวนการต่อต้านสงครามโลกครั้งที่สอง
หมวดหมู่:ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-ไทย
หมวดหมู่:กลุ่มกบฏในประเทศไทย
หมวดหมู่:ปรีดี พนมยงค์
หมวดหมู่:หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
หมวดหมู่:ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสงครามโลกครั้งที่สอง
หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์การทหารของไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
หมวดหมู่:ความสัมพันธ์จีน-ไทย |
758 | https://th.wikipedia.org/wiki/กุหลาบ_สายประดิษฐ์ | กุหลาบ สายประดิษฐ์ | กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือรู้จักกันดีในนามปากกาว่า ศรีบูรพา (31 มีนาคม พ.ศ. 2449-16 มิถุนายน พ.ศ. 2517) เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงชาวไทย เจ้าของวาทะ "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน"
== ประวัติ ==
กุหลาบ สายประดิษฐ์ เกิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2449 (นับแบบใหม่) ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นชาวกรุงเทพฯ พ่อชื่อสุวรรณ เป็นเสมียนเอก ทำงานอยู่กรมรถไฟ แม่ชื่อสมบุญ เป็นชาวนาอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี นายสุวรรณกับนางสมบุญ ได้ให้กำเนิดบุตรสองคน คนโตเป็นหญิง ชื่อ จำรัส นิมาภาส (แต่งงานกับนายกุหลาบ นิมาภาส) ส่วนคนเล็กเป็นชาย ชื่อ กุหลาบ สายประดิษฐ์ สี่ชีวิตพ่อแม่ลูกได้แยกครอบครัวมาเช่าห้องแถวที่เป็นของพระยาสิงหเสนีอยู่แถว ๆ หัวลำโพง
เมื่อกุหลาบมีอายุได้สี่ขวบ เขาได้เริ่มต้นเรียนหนังสือครั้งแรกที่โรงเรียนวัดหัวลำโพง จนถึงชั้นประถม 4 นายสุวรรณได้ช่วยสอนหนังสือให้ลูกชายคนเดียวก่อนเข้าโรงเรียนด้วย แต่พ่อของกุหลาบอายุสั้น ป่วยเป็นไข้เสียชีวิตแต่เมื่ออายุเพียงแค่ 35 ปี ตอนนั้นกุหลาบเพิ่งอายุหกขวบ แม่และพี่สาวจึงได้เลี้ยงดูเขาต่อมา โดยแม่ได้รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า และส่งพี่สาวไปฝึกเล่นละครรำ และละครร้อง เพื่อหาเงินมาช่วยจุนเจือและส่งเสียให้กุหลาบได้เรียนหนังสือโดยไม่ติดขัด กล่าวคือเมื่อจบชั้นประถม 4 แม่ก็ได้เอากุหลาบไปฝากเข้าเรียนต่อที่ โรงเรียนทหารเด็ก ของกรมหลวงนครราชสีมา โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำ สอนทั้งวิชาทั่วไปและวิชาทหาร กุหลาบได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้สองปี แม่ก็รู้สึกสงสาร เพราะเห็นว่าลูกชายต้องอยู่เวรยามแบบทหาร และเห็นว่าอยากให้กุหลาบได้เรียนวิชาทั่วไปมากกว่า ดังนั้นจึงเอาออกจากโรงเรียนทหาร ให้มาอยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ โดยเริ่มต้นเรียนในชั้นมัธยม 2 และได้เรียนเรื่อยมาจนจบชั้นมัธยม 8 เมื่อ พ.ศ. 2468
== ชีวิตครอบครัว ==
กุหลาบ สายประดิษฐ์ สมรสกับ ชนิด สายประดิษฐ์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ แพทย์หญิงสุรภิน สายประดิษฐ์ (แอ๊ว) และ สุรพันธ์ สายประดิษฐ์ (อี๊ด)
== งานหนังสือพิมพ์ ==
พ.ศ. 2465 อายุได้ 17 ปี เริ่มฝึกหัดการแต่งหนังสือ และทำหนังสือ โดยใช้พิมพ์ดีด จากนั้นใน พ.ศ. 2466 เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาได้เริ่มเขียนบทกวี และเขียนเรื่องจากภาพยนตร์ ส่งไปให้หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์สยาม ในช่วงนั้นใช้นามปากกา เช่น "ดาราลอย" "ส.ป.ด. กุหลาบ" "นางสาวโกสุมภ์" "หนูศรี" "ก. สายประดิษฐ์" "นายบำเรอ" และ "หมอต๋อง" เริ่มต้นใช้นามปากกา "ศรีบูรพา" เป็นครั้งแรก ในเขียนงานชื่อ แถลงการณ์ ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ทศวารบันเทิง ไม่ทราบเป็นงานเขียนประเภทใด ในปีนั้นได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่ โรงเรียนรวมการสอน และเป็นนักประพันธ์อยู่ใน สำนักรวมการแปล ของนายแตงโม จันทวิมพ์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้มาฝึกการประพันธ์อยู่ที่ "สำนัก" นี้ ด้วยความมุ่งหวังอยากเรียนรู้ และหารายได้จากงานเขียนไปจุนเจือครอบครัว ที่มีฐานะค่อนข้างยากจน พร้อมกันนั้นก็ได้ชักชวนเพื่อนร่วมรุ่นอีกสองคน คือ ชะเอม อันตรเสน และ สนิท เจริญรัฐ ให้มาช่วยกันที่ สำนักรวมการแปล ด้วย
พ.ศ. 2467 อายุได้ 19 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยม 8 กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ใช้นามจริงของตัวเองเป็นครั้งแรกในการเขียนกลอนหก ชื่อ "ต้องแจวเรือจ้าง" พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ชื่อ แถลงการณ์ศึกษาเทพศิรินทร์ หนังสือพิมพ์โรงเรียนเล่มนี้ มีหลวงสำเร็จวรรณกิจ (บุญ เสขะนันท์) ซึ่งเป็นครูวิชาภาษาไทยของเขาเป็นบรรณาธิการ เป็น ในปีเดียวกัน กุหลาบก็เริ่มใช้นามปากกา "ศรีบูรพา" เขียนบทประพันธ์ขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
พ.ศ. 2468 อายุ 20 กุหลาบเรียนจบชั้นมัธยม 8 เริ่มชีวิตการเป็นบรรณาธิการครั้งแรกหนังสือรายทส(รายสิบวัน) ชื่อ สาส์นสหาย แต่ออกมาได้แค่ 7 เล่ม ก็ต้องเลิกไป ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2468 กุหลาบได้เข้าทำงานที่กรมยุทธศึกษาฯ โดยเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ โดยมีตำแหน่งเป็น "เจ้าพนักงานโรงวิทยาศาสตร์" ได้เงินเดือนเดือนละ 30 บาท การที่กุหลาบไปเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการที่ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ เพราะสืบเนื่องมาจากเคยส่งเรื่องไปลงพิมพ์ที่นี่ จนเป็นที่พอใจของ พ.ท. พระพิสิษฐพจนาการ (ชื่น อินทรปาลิต) ผู้เป็นบรรณาธิการในขณะนั้น ซึ่งต้องการ "ผู้ช่วย" ที่มีความรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษไปทำงาน
พ.ศ. 2469 อายุ 21 เริ่มเขียนงานประพันธ์อีกหลายชิ้น ได้ลงตีพิมพ์ที่ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ (รายเดือน) สมานมิตรบันเทิง (รายปักษ์) มหาวิทยาลัย (รายเดือน) สวนอักษร (รายปักษ์) สาราเกษม (รายปักษ์) ปราโมทย์นคร (รายสัปดาห์) ดรุณเกษม (รายปักษ์) เฉลิมเชาว์ (รายเดือน) วิทยาจารย์ (รายเดือน) ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ได้ไปช่วยเพื่อนทำหนังสือพิมพ์ ธงไทย รายสัปดาห์ และหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ซึ่งออกในงานรื่นเริงของโรงเรียนเทพศิรินทร์
ขณะที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ อยู่ประมาณสองปีเศษนั้น ได้มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ "Young กุหลาบ" ตัดสินใจเลิกคิดที่จะเอาดีทางรับราชการ และได้เบนชีวิตหันมาประกอบอาชีพนักเขียน นักหนังสือพิมพ์โดยอิสระเพียงอย่างเดียว โดยเป็นหนึ่งในคณะสุภาพบุรุษร่วมกับนักเขียนชื่อดังท่านอื่น ๆ เช่น ยาขอบ, ฮิวเมอริสต์ จัดทำหนังสือพิมพ์ชื่อ "สุภาพบุรุษ รายปักษ์" เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2472 ออกจำหน่ายทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือน มี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นบรรณาธิการและเจ้าของ มียอดพิมพ์ครั้งแรก 2,000 เล่ม หนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ฉบับสุดท้าย คือปีที่ 2 ฉบับที่ 37 วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2473 หลังจากนั้นตำนานแห่ง คณะสุภาพบุรุษ ยังคงมีสืบต่อมา แต่ทว่ามิได้เป็นไปในลักษณะของการจัดทำ Literary Magazine อีกต่อไป การยุติลงของ สุภาพบุรุษ
เมื่อ พ.ศ. 2495 ถูกจับกุมด้วยข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร หรือ "กบฏสันติภาพ" และได้รับนิรโทษกรรมในปี พ.ศ. 2500
ในช่วงปลายชีวิตได้ลี้ภัยไปอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน
== การศึกษา ==
ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนเทพศิรินทร์, ธรรมศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
== เกียรติประวัติ ==
* ประธานกรรมการก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
* รองประธานคณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย
* บุคคลดีเด่นของโลกจากองค์การยูเนสโก พ.ศ. 2548
==ผลงานหนังสือ==
กุหลาบ สายประดิษฐ์ มีผลงานหนังสือเป็นจำนวนมากทั้ง นิยาย เรื่องสั้น เช่น
* ข้างหลังภาพ
* สงครามชีวิต
* ลูกผู้ชาย
* แลไปข้างหน้า (รวมภาคปฐมวัยและภาคปัจฉิมวัย)
* จนกว่าเราจะพบกันอีก
* ขอแรงหน่อยเถอะ
* เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475
* แสนรักแสนแค้น
* การเมืองของประชาชน
* ป่าในชีวิต
* เขาถูกบังคับให้เป็นขุนโจร
* โลกสันนิวาส
* ข้อคิดจากใจ
* สิ่งที่ชีวิตต้องการ
* มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ
* การหนังสือพิมพ์ของฉัน
* ชีวิตสอนอะไรแก่ข้าพเจ้า
* เรื่องของเขา
* สุภาพบุรุษนักประพันธ์
* ข้าพเจ้าได้เห็นมา
* บันทึกอิสรชน
* ไปสหภาพโซเวียด
* ลาก่อนรัฐธรรมนูญ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
=== ผลงานบันทึกสำเนา ===
* การหนังสือพิมพ์ของฉัน
* กำเนิดครอบครัวของมนุษยชาติ
* ชีวิตสอนอะไรแก่ข้าพเจ้า
* ประวัติศาสตร์สตรีไทย
* ปรัชญาของลัทธิมาร์กซิสม์
* ปรัชญาสังคมเปรียบเทียบ
=== งานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ===
=== เว็บไซต์ ===
* กุหลาบ สายประดิษฐ์
* กองทุนศรีบูรพา
หมวดหมู่:บุคคลจากเขตปทุมวัน
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเทพศิรินทร์
หมวดหมู่:บุคคลจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หมวดหมู่:นักปรัชญา
หมวดหมู่:นามปากกา
หมวดหมู่:นักเคลื่อนไหวชาวไทย
หมวดหมู่:การเมืองภาคประชาชน
หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย
หมวดหมู่:นักหนังสือพิมพ์ชาวไทย
หมวดหมู่:บรรณาธิการหนังสือพิมพ์
หมวดหมู่:กวีชาวไทย
หมวดหมู่:นักโทษของประเทศไทย
หมวดหมู่:ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศจีน
หมวดหมู่:ผู้ลี้ภัยชาวไทย
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
หมวดหมู่:ชาวไทยในประเทศจีน |
760 | https://th.wikipedia.org/wiki/เศรษฐศาสตร์ | เศรษฐศาสตร์ | เศรษฐศาสตร์ () หรือศัพท์เก่าคือ เศรษฐวิทยา เป็นวิชาทางสังคมศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการผลิต การกระจาย การบริโภคสินค้าและบริการ
เศรษฐศาสตร์มุ่งศึกษาพฤติกรรมและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงทางเศรษฐกิจและการทำงานของเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์จุลภาควิเคราะห์องค์ประกอบหลักในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งตัวแสดงและตลาดที่เป็นปัจเจกบุคคล การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และผลลัพธ์ของปฏิสัมพันธ์นั้น ตัวอย่างของตัวแสดงที่เป็นปัจเจกรวมถึงครัวเรือน ภาคธุรกิจ ผู้ซื้อ และผู้ขาย เศรษฐศาสตร์มหภาควิเคราะห์เศรษฐกิจในภาพรวม (หมายถึงการผลิตมวลรวม การบริโภค การออม และการลงทุน) และปัญหาที่กระทบมัน รวมทั้งการไม่ได้ใช้ของทรัพยากรต่าง ๆ (แรงงาน, ทุน, และที่ดิน) เงินเฟ้อ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายสาธารณะที่จัดการปัญหาเหล่านั้น (การเงิน การคลัง และนโยบายอื่นๆ)
== คำจำกัดความ ==
ตามคำจำกัดความของนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง เรย์มอนด์ บารร์ แล้ว "เศรษฐศาสตร์คือศาสตร์แห่งการจัดการทรัพยากรอันมีจำกัด เศรษฐศาสตร์พิจารณาถึงรูปแบบที่พฤติกรรมมนุษย์ได้เลือกในการบริหารทรัพยากรเหล่านี้ อีกทั้งวิเคราะห์และอธิบายวิถีที่บุคคลหรือบริษัททำการจัดสรรทรัพยากรอันจำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการมากมายและไม่จำกัด"
คำว่า เศรษฐศาสตร์ มาจากคำภาษากรีก oikonomia ซึ่งแปลว่าการจัดการครัวเรือน (oikos แปลว่าบ้าน และ nomos แปลว่าจารีตประเพณีหรือกฎหมาย ซึ่งรวมกันหมายความว่ากฎเกณฑ์ของครัวเรือน) แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันแยกออกมาจากขอบเขตที่กว้างของวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ถูกประยุกต์ใช้ครอบคลุมทั้งสังคมในด้าน ธุรกิจ, การเงิน และรัฐบาล แม้แต่ทั้งด้านอาชญากรรม, การศึกษา, ครอบครัว, สุขภาพ, กฎหมาย, การเมือง, ศาสนา, สถาบันสังคม, สงคราม และวิทยาศาสตร์
thumb|ภาพแสดงผู้ซื้อและผู้ขายกำลังต่อรองราคาอยู่หน้าตลาดชิชิคาสเทนานโก ใน[[ประเทศกัวเตมาลา ]]
วิชาเศรษฐศาสตร์จัดเป็นวิชาเชิงปทัสฐาน (เศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็น) เมื่อเศรษฐศาสตร์ได้ถูกใช้เพื่อเลือกทางเลือกอันหนึ่งอันใด หรือเมื่อมีการตัดสินคุณค่าบางสิ่งบางอย่างแบบอัตวิสัย ในทางตรงข้ามเราจะเรียกเศรษฐศาสตร์ว่าเป็นวิชาเชิงบรรทัดฐาน (เศรษฐศาสตร์ตามที่เป็นจริง) เมื่อเศรษฐศาสตร์นั้นได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายและอธิบายถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเมื่อมีการเลือกเกิดขึ้น โดยพิจารณาจากสมมติฐาน และชุดของข้อมูลสังเกตการณ์ ทางเลือกใดก็ตามที่เกิดจากการใช้สมมติฐานสร้างเป็นแบบจำลอง หรือเกิดจากชุดข้อมูลสังเกตการณ์ที่สัมพันธ์กันนั้น ก็เป็นข้อมูลเชิงบรรทัดฐานด้วยเช่นเดียวกัน
เศรษฐศาสตร์จะให้ความสนใจกับตัวแปรที่สามารถวัดค่าได้เท่านั้น โดยสาขาของวิชาเศรษฐศาสตร์จะถูกจำแนกออกตามเนื้อหาเป็นสองสาขาใหญ่ ๆ คือ
# เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซึ่งสนใจพฤติกรรมขององค์ประกอบพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจซึ่งรวมถึง ตลาดแต่ละตลาดและตัวแทนทางเศรษฐกิจ (เช่นครัวเรือน หน่วยธุรกิจ ผู้ซื้อ และผู้ขาย)
# เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกิจในภาพรวม ตัวอย่างเช่น อุปทานมวลรวมและอุปสงค์มวลรวม การว่างงาน เงินเฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกออกตามการวิเคราะห์ปัญหาได้แก่
# เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง (Positive economics)
# เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามที่ควรจะเป็น (Normative economics)
สำหรับประเด็นหลัก ๆ ที่เศรษฐศาสตร์ให้ความสนใจจะอยู่ที่การจัดสรรทรัพยากร การผลิต การกระจายสินค้า การค้า และการแข่งขัน โดยหลักการแล้วคำอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จะถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกภายใต้ข้อจำกัดด้านความขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีการกำหนดมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ให้กับทางเลือกนั้น ๆ นั่นเอง
ในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยธุรกิจของประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะนิยมสอนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์แบบสำนักคลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics) ทั้งนี้ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิเคราะห์ถึง "ความเป็นเหตุเป็นผล-ความเป็นปัจเจกชน-ดุลยภาพ" ตรงกันข้ามกับเศรษฐศาสตร์ทางเลือกที่เน้นวิเคราะห์ "สถาบัน-ประวัติศาสตร์-โครงสร้างสังคม" เป็นหลัก
== จุดเริ่มต้นของเศรษฐศาสตร์ ==
ข้อเขียนทางเศรษฐศาสตร์สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคสมัยเมโสโปเตเมีย, กรีซโบราณ, โรมันโบราณ, อนุทวีปอินเดีย, จีน, เปอร์เซีย และอารยธรรมอาหรับ ปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในยุคโบราณจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ได้แก่ อริสโตเติล, ซีโนโฟน, จันนากียะ หรือ วิษณุคุปต์, จักรพรรดิฉินที่ 1, โทมัส อควีนาส และอิบน์ ค็อลดูน ผลงานของอริสโตเติลมีอิทธิพลอย่างมากต่องานของอควีนาส ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อปรัชญาเมธีรุ่นหลัง ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-17 โจเซฟ ชูมปีเตอร์ บรรยายถึงอควีนาสไว้ว่าเป็นผู้ที่ "ใกล้เคียงกว่าคณะอื่นใดที่จะได้ชื่อว่าเป็น 'ผู้ก่อตั้ง' เศรษฐศาสตร์" ในเชิงทัศน์กฎธรรมชาติด้านการเงิน, ดอกเบี้ย และทฤษฎีด้านมูลค่า
แม้การถกเถียงเรื่องการซื้อขายและการจัดสรรจะมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เศรษฐศาสตร์ในความคิดของคนสมัยใหม่นั้นจะถือเอาวันที่อดัม สมิธได้เผยแพร่หนังสือเรื่อง "ความมั่งคั่งของประชาชาติ" (The Wealth of Nations) ในปี ค.ศ. 1776 เป็นการเริ่มต้น
เดิมอดัม สมิธเรียกวิชานี้ว่า เศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีคำศัพท์คำว่า Economics ต่อมาคำว่าเศรษฐกิจ (Economy) ได้ถูกปรับรูปเป็นคำว่า เศรษฐศาสตร์ (Economics) และกลายเป็นสาขาวิชาอีกแขนงหนึ่งเป็นต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 อดัม สมิธเป็นนักปรัชญาคนแรกที่เสนอว่าความร่ำรวยของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินคงคลัง แต่ขึ้นอยู่กับขนาดเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) การส่งออกไม่แน่ว่าจะเป็นประโยชน์ หรือการนำเข้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการขาดทุน การค้าขายอาจจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายคู่ค้า (win-win situation) และกลไกการตลาดเปรียบเสมือน "มือที่มองไม่เห็น" (Invisible Hand) ซึ่งในระยะยาว (long run) มีแนวโน้มจะปรับตัวเข้าสู่จุดสมดุล
== เศรษฐศาสตร์จุลภาค ==
=== ตลาด ===
เศรษฐศาสตร์จุลภาคถือเป็นแนวทางหลักในการวิเคราะห์เศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ โดยมองว่าครัวเรือนและบริษัทที่ต่างก็ทำธุรกรรมระหว่างกันผ่านตลาดนั้นเป็นหน่วยย่อยที่สุดในระบบเศรษฐกิจซึ่งเผชิญกับความขาดแคลนและกฎระเบียบแห่งรัฐ ตลาดนั้นอาจมีขึ้นสำหรับสินค้า เช่น ข้าวสาร หรือบริการสำหรับปัจจัยในการผลิต เช่น การก่อสร้าง ก็ได้ ทฤษฎีจุลภาคนั้นจะพิจารณาปริมาณความต้องการมวลรวมของผู้ซื้อและปริมาณที่ผลิตโดยผู้ขายในทุกระดับราคาต่อหน่วย และเชื่อมโยงทั้งสองปริมาณเข้าด้วยกันเพื่ออธิบายการที่ตลาดเข้าสู่จุดดุลยภาพทางด้านราคาและปริมาณ และการตอบสนองของตลาดเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ
ทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานเป็นหนึ่งในทฤษฎีการวิเคราะห์ข้างต้น นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์จุลภาคยังวิเคราะห์ถึงโครงสร้างของตลาด เช่น ตลาดแข่งขันสมบูรณ์และตลาดผูกขาด เพื่อทราบถึงพฤติกรรมและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในตลาดหนึ่ง ๆ มักเริ่มต้นจากสมมติฐานให้ตลาดอื่น ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ดังนี้ เรียกว่าการวิเคราะห์ดุลยภาพบางส่วน (partial-equilibrium analysis) ขณะที่ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปจะอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงในตลาดอื่น ๆ และใช้วิธีคำนวณปริมาณโดยรวมในทุกตลาด รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของปริมาณดังกล่าวและปฏิสัมพันธ์เพื่อเข้าสู่จุดดุลยภาพ
=== การผลิต, ต้นทุน และประสิทธิภาพ ===
การผลิตในทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค คือการแปลงวัตถุดิบให้กลายเป็นผลผลิต กระบวนการทางเศรษฐศาสตร์นี้ใช้วัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นสินค้าสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือเพื่อใช้งานโดยตรง การผลิตมีลักษณะเป็น "กระแส" (flow) ดังนั้นจึงนิยามเป็นอัตราผลผลิตต่อหน่วยเวลา
ต้นทุนค่าเสียโอกาสหมายความถึงต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ของการผลิต หรือคือมูลค่าที่สูญไปของโอกาสที่ดีที่สุดในลำดับถัดไป อันเนื่องมาจากการที่เลือกได้เพียงอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งนี้ เราอาจอธิบายได้อีกอย่างว่าเป็น "ความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างความขาดแคลนและทางเลือก" ต้นทุนค่าเสียโอกาสของกิจกรรมหนึ่ง ๆ คือองค์ประกอบสำคัญที่จะรับประกันได้ว่าทรัพยากรอันมีจำกัดนั้นจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ต้นทุนจะถูกพิจารณาเปรียบเทียบกับมูลค่าของกิจกรรมนั้น ๆ ในการตัดสินใจว่าควรเพิ่มหรือลดลง ต้นทุนค่าเสียโอกาสนั้นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเพียงตัวเงิน แต่อาจวัดโดยต้นทุนที่แท้จริงของผลผลิตที่สูญเสียไป, ความพึงพอใจ หรืออื่นใดที่ให้อรรถประโยชน์
=== ความชำนาญเฉพาะ ===
ความชำนาญเฉพาะ หรือภาษาอังกฤษ Specialization ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจทั้งในเชิงทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ละบุคคล/ประเทศอาจจะมีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่แท้จริงแตกต่างกันไป เช่น ความแตกต่างในด้านปริมาณคงคลังของทุนมนุษย์ (human capital) ต่อหน่วยแรงงาน หรือ อัตราส่วน ทุนต่อแรงงาน เป็นต้น ในทางทฤษฎีแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage) ในการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีปริมาณมากกว่าและถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ ถึงแม้ประเทศหนึ่ง ๆ จะมีความได้เปรียบเชิงสัมบูรณ์ (absolute advantage) ในสัดส่วนปริมาณผลผลิตต่อปัจจัยการผลิตในทุกประเภทของผลผลิตแล้ว ประเทศนั้น ๆ ก็อาจจะยังคงมีความชำนาญเฉพาะในผลผลิตที่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบแล้วทำการค้าขายกับอีกประเทศที่ไม่ได้มีความได้เปรียบเชิงสัมบูรณ์แต่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตสินค้าอื่น ๆ
ความชำนาญเฉพาะถูกกล่าวถึงโดยอดัม สมิธ ในหนังสือ ความมั่งคั่งของประชาชาติ (The Wealth of Nation) ว่า กล่าวคือ ภาคแรงงานถูกจำกัดโดยการขยายตลาด เพราะว่า แต่ละบุคคลนั้นสามารถทำงานให้มีความชำนาญเฉพาะได้ แต่ว่าต้องมาทำงานหลากหลาย หลายอย่าง ทำให้เกิดข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยน ซึ่งถ้าหากพัฒนาความชำนาญได้ก็จะเพิ่มผลิตภาพการผลิตได้ และยังเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น แนวคิดของสมิธ จึงกล่าวถึงการที่ภาคแรงงานสามารถสร้างความชำนาญเฉพาะ โดยใช้หลักแบ่งงานกันทำ (Division of Labour) ทำให้สามารถผลิตได้จำนวนมากกว่า และมีการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) เกิดขึ้น
=== อุปสงค์และอุปทาน ===
ไฟล์:Supply-demand-right-shift-demand.svg
อุปสงค์และอุปทานเป็นแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ของราคาและปริมาณสินค้าในตลาด กล่าวทั่วไปคือ ข้อมูลทางทฤษฎีจะระบุว่าเมื่อใดก็ตามที่สินค้าถูกขายในตลาด ณ ระดับราคาที่ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้ามากกว่าจำนวนสินค้าที่สามารถผลิตได้แล้ว ก็จะเกิดการขาดแคลนสินค้าขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวก็จะส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับราคาของสินค้า โดยที่ผู้บริโภคกลุ่มที่มีความพร้อมในการจ่ายชำระ ณ ระดับราคาที่เพิ่มขึ้นนั้นก็จะส่งผลให้ราคาตลาดสูงขึ้น ในทางตรงข้ามระดับราคาจะต่ำลงเมื่อปริมาณสินค้าที่มีให้นั้นมีมากกว่าความต้องการที่เกิดขึ้น กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินไปจนกระทั่งตลาดเข้าสู่จุดดุลยภาพ ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นอีก เมื่อใดก็ตามที่ผู้ผลิตทำการผลิตสินค้าที่จุดดุลยภาพนี้ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ผู้ซื้อตกลงซื้อที่ระดับราคาดังกล่าวแล้ว ณ จุดนี้กล่าวได้ว่าตลาดเข้าสู่จุดสมดุลแล้ว
==== ระดับราคา ====
ระดับราคาเป็นตัวแปรที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ในการวัดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน ระดับราคานั้นเป็นอัตราการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด ดังนั้นทฤษฎีราคาจะกล่าวถึงเส้นกราฟที่แทนการเคลื่อนไหวของปริมาณที่สามารถวัดค่าได้ ณ เวลาต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างราคากับตัวแปรที่วัดค่าได้อื่น ๆ ในหนังสือ ความมั่งคั่งของประชาชาติ (The Wealth of Nations) ของอดัม สมิธ ได้กล่าวเอาไว้ว่า มักจะมีภาวะได้อย่างเสียอย่างเสมอระหว่างราคาและความสะดวกสบาย ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นอยู่บนพื้นฐานของระดับราคาและทฤษฎี อุปสงค์และอุปทาน (demand and supply) ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้วเราสามารถส่งผ่านสัญญาณไปทั่วทั้งสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านทางระดับราคา เช่น ระดับราคาที่ต่ำลงจะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ ในขณะที่ระดับราคาที่สูงขึ้นจะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของอุปทาน เป็นต้น
แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ในความเป็นจริงหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่ามีรูปแบบของ ระดับราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะแสดงถึงข้อเท็จจริงที่ระดับราคาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในหลาย ๆ ตลาด ผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจมักจะเข้ามาแสดงประเด็นโต้แย้งเพื่อให้เห็นถึงสาเหตุของความติดขัดในทางเศรษฐกิจ หรือระดับราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งในที่สุดแล้วก็จะทำให้ไม่สามารถบรรลุดุลยภาพของอุปสงค์และอุปทานได้
มีเศรษฐศาสตร์บางสาขาจะให้ความสนใจว่าระดับราคานั้นสามารถวัดมูลค่าได้อย่างถูกต้องหรือไม่ ในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่เป็นกระแสหลักมักจะพบว่าภาวะความขาดแคลนซึ่งเป็นปัจจัยหลักนั้นไม่ได้สะท้อนลงไปยังระดับราคา จึงอาจจะกล่าวได้ว่ามีผลกระทบภายนอกของต้นทุน ด้วยเหตุที่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจะทำนายว่าสินค้าที่มีการขาดแคลนแต่มีราคาต่ำกว่าปกติ จะถูกบริโภคมากเกินพอดี (ให้ดู ต้นทุนทางสังคม) นี่จึงเป็นที่มาของทฤษฎีสินค้าสาธารณะ
=== ความล้มเหลวของตลาด ===
การที่ "ตลาดล้มเหลว" นั้นหมายความว่าเกิดอุปสรรคที่ขัดต่อสมมติฐานทางเศรษฐศาสตร์ขึ้น แม้ว่าอาจจะมีการแบ่งประเภทความล้มเหลวของตลาดแตกต่างกันไป แต่อาจหมายรวมถึงประเภทเหล่านี้
สารสนเทศอสมมาตร (information asymmetry) และตลาดไม่สมบูรณ์ อาจก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ หรือเป็นไปได้ที่อาจจะนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพผ่านตลาด, กฎหมาย และการชดเชยทางด้านระเบียบข้อบังคับ
การผูกขาดตามธรรมชาติ อันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการแข่งขัน ซึ่งอธิบายได้ว่าต้นทุนการผลิตยิ่งต่ำลงเรื่อย ๆ หากผลิตสินค้านั้นเพิ่ม
== เศรษฐศาสตร์มหภาค ==
เศรษฐศาสตร์มหภาคนั้นจะพิจารณาระบบเศรษฐกิจในภาพรวมเพื่ออธิบายอุปสงค์-อุปทานมวลรวมและความสัมพันธ์ในลักษณะ "บนลงล่าง" กล่าวคือ ใช้ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปอย่างง่ายในการอธิบาย ไม่ว่าจะเป็น รายได้ประชาชาติ, ผลผลิตประชาชาติ, อัตราการว่างงาน, ภาวะเงินเฟ้อ ย่อยลงมาก็ได้แก่ การบริโภคโดยรวม, การลงทุนและองค์ประกอบของการลงทุน นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์มหภาคยังทำการศึกษาผลกระทบของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
ในการจะอธิบายหัวข้อดังกล่าวนั้น จำเป็นต้องจำลองภาพระบบเศรษฐกิจระดับมหภาคในรูปแบบที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย โดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาค ซึ่งบรรยายตัวระบบโดยคร่าว ๆ เพื่อประโยชน์ในการอภิปราย แบบจำลองดังกล่าวอาจมีรูปแบบแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น แผนภาพ, สมการ, การเปรียบเปรยในเชิงเทคนิค, ตารางเลออนเทียฟ เป็นต้น
นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา เศรษฐศาสตร์มหภาคได้เริ่มผนวกเอาแนวคิดแบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาคเข้ามาใช้ ทั้งในแง่ของภาคการผลิต, รวมเอาความมีเหตุมีผลของตัวประกอบในระบบเศรษฐกิจ, การใช้ข้อมูลสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และการแข่งขันแบบไม่สมบูรณ์ ซึ่งได้แก้ปมประเด็นที่เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์ทั้งสองแขนง
การวิเคราะห์ในด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคนอกจากนี้ยังคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อระดับความเติบโตในระยะยาวของรายได้ประชาชาติ อันได้แก่ การสะสมทุน, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และการขยายตัวของกำลังแรงงาน
=== ความเติบโตทางเศรษฐกิจ ===
เศรษฐศาสตร์ด้านความเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมุ่งเน้นศึกษาปัจจัยที่อธิบายความเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือคือการเพิ่มขึ้นของผลผลิตต่อหัวของประเทศในระยะยาว ปัจจัยดังกล่าวก็ยังใช้ในการอธิบายความแตกต่างระหว่างระดับผลผลิตต่อหัวระหว่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะว่าทำไมบางประเทศเติบโตได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ หรือว่าบางกลุ่มประเทศมีแนวโน้มเติบโตเท่าทันกันหรือไม่ เป็นต้น
ปัจจัยที่มีการวิจัยศึกษาค่อนข้างมากก็ได้แก่ อัตราการลงทุน, การเติบโตของประชากร และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้มีปรากฏทั้งในรูปทฤษฎีและผลการศึกษาเชิงประจักษ์ ทั้งในแบบจำลองคลาสสิกใหม่, แบบจำลองการเติบโตภายใน (endogeneous growth) และในการบันทึกบัญชีการเติบโต (growth accounting)
=== วัฏจักรธุรกิจ ===
ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจราวทศวรรษ 1930 นี้เองที่เป็นจุดกำเนิดให้กับเศรษฐศาสตร์มหภาคที่แตกแขนงออกไปเป็นศาสตร์เฉพาะทาง ระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้น จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ได้แต่งหนังสือที่ชื่อว่า ทฤษฎีทั่วไปของการจ้างงาน, ดอกเบี้ย และเงินตรา โดยวางรากฐานทฤษฎีหลัก ๆ ของเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ไว้ แต่ต่อมาก็มีทฤษฎีและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ข้อผิดพลาดในแบบจำลองดังกล่าว
เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกใหม่ใช้สมมติฐานว่าระดับราคาและค่าแรงนั้นปรับตัวโดยอัตโนมัติเพื่อเข้าสู่ภาวะการจ้างงานสมบูรณ์ ขณะที่เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ใหม่นั้นมองว่าการจ้างงานสมบูรณ์นั้นมีได้แต่ในระยะยาว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีนโยบายรัฐและธนาคารกลางแทรกแซงเพราะว่า "ระยะยาว" ที่ว่าอาจจะยาวนานเกินไป
=== ภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน ===
เงินตราเป็นสื่อกลางในการชำระหนี้สำหรับสินค้าในระบบเศรษฐกิจที่อิงราคาเป็นหลัก และยังเป็นหน่วยทางบัญชีที่มักไว้ใช้ระบุราคา โดยเงินตรารวมถึงสกุลเงินที่ถือครองโดยสาธารณะที่ไม่ใช่ธนาคารและเงินฝากที่ขึ้นเงินได้
เมื่อเงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนธุรกรรม เงินจึงช่วยให้การค้าดำเนินไปได้อย่างสะดวก หน้าที่ดังกล่าวสามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับระบบแลกเปลี่ยนสินค้า (barter) ที่มีข้อเสียหลักคือการจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายที่มีความต้องการตรงกัน เพราะประเภทสินค้ามีหลากหลาย เงินตรานั้นช่วยลดต้นทุนธุรกรรมของการแลกเปลี่ยนลงเนื่องจากการยอมรับที่เป็นสากล
หากมองในระดับประเทศแล้ว ทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์นั้นต่างลงความเห็นว่าปริมาณอุปทานเงินตราโดยรวมนั้นสัมพันธ์ในเชิงบวกกับมูลค่าที่เป็นตัวเงินของผลผลิตโดยรวมและระดับราคาโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การจัดการอุปสงค์เงินตราจึงเป็นประเด็นหลักของนโยบายการเงิน
=== นโยบายการคลัง ===
การจัดทำบัญชีประชาชาติเป็นกรรมวิธีในการสรุปกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ บัญชีประชาชาติมีลักษณะเป็นระบบการบัญชีแบบจดบันทึกคู่ (double-entry accounting system) ที่เจาะจงรายละเอียดวิธีที่ใช้วัดแต่ละรายการไว้อย่างละเอียด อันได้แก่ บัญชีรายได้และผลิตภัณฑ์ประชาชาติ ซึ่งระบุมูลค่าประเมินของรายได้และผลผลิตต่อไตรมาสหรือต่อปี
บัญชีรายได้และผลิตภัณฑ์ประชาชาติช่วยให้รัฐสามารถติดตามผลการดำเนินงานของระบบเศรษฐกิจและองค์ประกอบภายในวัฏจักรธุรกิจหรือติดตามข้ามช่วงเวลา ข้อมูลเกี่ยวกับราคาอาจช่วยให้สามารถแยกแยะมูลค่าที่เป็นตัวเงินออกจากมูลค่าที่แท้จริง (nominal vs. real) ได้ หรือคือการปรับฐานค่าเงินตามการเปลี่ยนแปลงระดับราคาตามระยะเวลาที่ผ่านไป บัญชีประชาชาติยังรวมเอาการวัดมูลค่าทุนสะสม, ความมั่งคั่งของประเทศ และกระแสทุนระหว่างประเทศอีกด้วย
== ชนิดของเศรษฐศาสตร์ ==
* เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Mainstream Economics)
** เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก (Classical Economics)
** เศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์ (Keynesian Economics)
** เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics)
*** เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics)
*** เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics)
* เศรษฐศาสตร์ลัทธิอื่น (Heterodox Economics)
** เศรษฐศาสตร์ยุคหลังเคนส์ (Post Keynesian Economics)
** เศรษฐศาสตร์สำนักมาร์กซ์ (Marxist Economics)
** เศรษฐศาสตร์แนวจอร์จ (Georgist Economics)
** เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economics)
** เศรษฐศาสตร์สถาบันแนววิวัฒน์ (Evolutionary Institutional Economics)
** เศรษฐศาสตร์สถาบันแนวใหม่ (New Institutional Economics)
** เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics)
** เศรษฐศาสตร์เชิงทดลอง (Experimental Economics)
** เศรษฐศาสตร์แนวสตรีศึกษา (Feminist Economics)
** เศรษฐศาสตร์สังคม (Social Economics)
== อ้างอิง ==
=== บรรณานุกรม ===
* ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์เศรษฐศาสตร์ อังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ
* Barr, Nicholas(2004) Economics of the Welfare State, 4th ed., Oxford University Press
* Charles Robert McCann, Jr., 2003. The Elgar Dictionary of Economic Quotations, Edward Elgar. Preview.
* Stiglitz, Joseph (2000) Economics of the Public Sector, 3rd ed., Norton Press
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Economic journals on the web
* Economics at Encyclopædia Britannica.
* Intute: Economics : Internet directory of UK universities.
* Research Papers in Economics (RePEc)
* Resources For Economists : American Economic Association-sponsored guide to 2,000+ Internet resources from "Data" to "Neat Stuff, " updated quarterly.
* www.pkarchive.org เว็บไซต์ของพอล ครุกแมน
* MBE economics เศรษฐศาสตร์ nida mbe 11 นิด้า พัฒนาการเศรษฐกิจ รวมบทความจากแหล่งข่าวต่าง ๆ
* รวมงานเขียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ ของปกป้อง จันวิทย์
หมวดหมู่:สังคมศาสตร์ |
763 | https://th.wikipedia.org/wiki/สตีเฟน_ฮอว์กิง | สตีเฟน ฮอว์กิง | สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง (; 8 มกราคม ค.ศ. 1942 - 14 มีนาคม ค.ศ. 2018) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี นักจักรวาลวิทยา และนักเขียน ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หนังสือวิทยาศาสตร์ของเขาและการปรากฏตัวต่อสาธารณะได้ทำให้เขาเป็นผู้มีชื่อเสียงด้านวิชาการ ผลงานวิทยาศาสตร์สำคัญของเขาจนถึงปัจจุบันมีการบัญญัติทฤษฎีบทเกี่ยวกับภาวะเอกฐานเชิงความโน้มถ่วงในกรอบของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ร่วมกับโรเจอร์ เพนโรส และการทำนายเชิงทฤษฎีที่ว่าหลุมดำควรปล่อยรังสี ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า รังสีฮอว์กิง (บางครั้งเรียก รังสีเบเคนสไตน์-ฮอว์กิง)
ฮอว์กิงป่วยจากโรคอะไมโอโทรฟิก แลเทอรัล สเกลอโรซิส (ALS) ชนิดหายาก ซึ่งเริ่มมีอาการเร็ว แต่ดำเนินโรคช้า ทำให้เขามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งต้องสื่อสารโดยใช้อุปกรณ์สังเคราะห์เสียงพูด ควบคุมผ่านกล้ามเนื้อมัดเดียวในแก้ม เขาแต่งงานสองครั้งและมีลูกสามคน ฮอว์กิงประสบความสำเร็จกับผลงานวิทยาศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป (popular science) ซึ่งเขาอภิปรายทฤษฎีของเขาและจักรวาลวิทยาโดยรวม ซึ่งมีประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time) และจักรวาลในเปลือกนัท (The Universe in a Nutshell) ซึ่งอยู่ในรายการขายดีที่สุดของบริติชซันเดย์ไทมส์ทำลายสถิตินานถึง 237 สัปดาห์
สตีเฟน ฮอว์กิง เสียชีวิตในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2018 อายุ 76 ปี
== ประวัติ ==
สตีเฟน ฮอว์กิงเกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485 ที่เมืองออกซฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็กเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์แอลแบน จากนั้นเข้าศึกษาต่อสาขาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และรับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2505 ต่อมาได้เข้าศึกษาที่ทรินิตีคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในสาขาจักรวาลวิทยา และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี พ.ศ. 2509 หลังจากนั้นก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ต่อมาเขาได้ก่อตั้งและรับหน้าเป็นผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทฤษฎีทางจักรวาลวิทยา (Centre for Theoretical Cosmology) แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จวบจนสิ้นอายุขัย
ในต้นทศวรรษที่ 1960 (ประมาณ พ.ศ. 2503-2508) สตีเฟน ฮอว์กิงก็มีอาการที่เรียกว่า amyotrophic lateral sclerosis (ALS) อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons) นั่นคือ เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป
== การทำงาน ==
ฮอว์กิงเริ่มทำงานในสาขาสัมพัทธภาพทั่วไป และเน้นที่ฟิสิกส์ของหลุมดำ เมื่อปี พ.ศ. 2508 ขณะที่กำลังทำงานวิจัยสำหรับดุษฎีนิพนธ์เพื่อทำดุษฎีบัณฑิต ฮอว์กิงได้อ่านรายงานของนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ ชื่อ โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) ซึ่งเพนโรสเสนอทฤษฎีที่ว่าดวงดาวที่ระเบิดอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของตัวเอง จะมีปริมาตรเป็นศูนย์ และมีความหนาแน่นเป็นอนันต์ อันเป็นสภาพที่นักฟิสิกส์เรียกว่า ซิงกูลาริตี้ (singularity) ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหลุมดำ ซึ่งไม่ว่าแสงหรือวัตถุใด ๆ ก็หนีออกมาไม่ได้
จากนั้น ในปี พ.ศ. 2513 ฮอว์กิงและเพนโรสก็ได้ร่วมกันเขียนรายงานสรุปว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ นั้นกำหนดให้เอกภพต้องเริ่มต้นในซิงกูลาริตี้ ซึ่งปัจจุบันนี้รู้จักกันว่า บิ๊กแบง และจะสิ้นสุดลงที่ หลุมดำ (black hole)
ฮอว์กิงเสนอว่า หลุมดำไม่ควรจะเป็นหลุมดำเสียทีเดียว แต่ควรจะแผ่รังสีอะไรออกมาบ้าง โดยเริ่มที่วัตถุจำนวนมหาศาลนับพันล้านตัน แต่มีความหนาแน่นสูง คือกินเนื้อที่ขนาดเท่าโปรตอน เขาเรียกวัตถุเหล่านี้ว่าหลุมดำจิ๋ว (mini black hole) ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงและมวลมหาศาล แต่สุดท้ายหลุมดำนี้ก็จะระเหิดหายไป การค้นพบนี้ถือเป็นงานชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของฮอว์กิง
เมื่อ ปี พ.ศ. 2517 เขาได้เป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดของราชบัณฑิตยสถานของอังกฤษ และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์แรงโน้มถ่วง ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปี พ.ศ. 2520 และเมื่อในปี พ.ศ. 2522 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น “เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน” (Lucasian Chair of Mathematics - เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2206 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) บุคคลที่ 2 ที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือ เซอร์ไอแซก นิวตัน คนทั่วไปจึงเปรียบเทียบสตีเฟน ฮอว์กิง กับนิวตันและไอนสไตน์)
สตีเฟน ฮอว์กิงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่นักฟิสิกส์จะพัฒนาทฤษฎีที่จะรวมเอาแรงทั้ง 4 ของธรรมชาติเข้าด้วยกัน นั่นคือ แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม อันจะนำไปสู่ ทฤษฎีสรรพสิ่ง (Theory of Everything) ที่เคยกล่าวกันมา ส่วนเรื่องการขยายตัวของเอกภพนั้น ฮอว์กิงคิดว่า เอกภพขยายตัวออกไปโดยมีความเร่ง
== ชีวิตส่วนตัว ==
สตีเฟน ฮอว์กิงแต่งงานครั้งแรกกับเจน ไวลด์ ภายหลังได้หย่าร้าง และแต่งงานใหม่กับพยาบาล ชื่อ เอเลน เมสัน สตีเฟน ฮอว์กิงต้องนั่งรถไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเขาพูดและขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงขยับนิ้วและกะพริบตา แต่ก็ยังสามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ด้วยอุปกรณ์พิเศษที่สังเคราะห์เสียงพูดได้จากตัวอักษร
==การเสียชีวิต==
ฮอว์กิงเสียชีวิตเมื่อตอนเช้าวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561 ที่บ้านของเขาในเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ สาเหตุการเสียชีวิตยังนั้นไม่เป็นที่เปิดเผย โดยทางครอบครัวได้ออกมาแสดงความเศร้าเสียใจ และกล่าวแต่เพียงว่าเขาเสียชีวิตอย่างสงบ
== ผลงาน ==
* Plan of The Blume "Road to Smart City" (1965)
* A Large Scale Structure of Space-Time ร่วมกันเขียนกับ G.F.R. Ellis (1973)
* Superspace and Supergravity (1981)
* The Very Early Universe (1983)
* A Brief History of Time : from the Big Bang to Black Holes (1988)
* Black Holes and Baby Universe and Other Essays (1994)
* The Universe In A Nutshell (2001)
*The Grand Design ร่วมกันเขียนกับ Leonard Mlodinow (2010) ซึ่งเยอะมากๆ
== อ้างอิง ==
== หนังสืออ่านเพิ่ม ==
* A layman's guide to Stephen Hawking
* Ferguson, Kitty (1991). Stephen Hawking: Quest For A Theory of Everything. Franklin Watts. ISBN 0-553-29895-X
* Highly influential in the field.
* A much cited centennial survey.
* Pickover, Clifford, Archimedes to Hawking: Laws of Science and the Great Minds Behind Them, Oxford University Press, 2008, ISBN 978-0-19-533611-5
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์ของสตีเฟน ฮอว์กิง
หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ
หมวดหมู่:บุคคลจากออกซฟอร์ด
หมวดหมู่:ผู้ได้รับอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
หมวดหมู่:คนพิการ
หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซีบีอี
หมวดหมู่:ชาวอังกฤษเชื้อสายสกอตแลนด์ |
764 | https://th.wikipedia.org/wiki/อัลเบิร์ต_ไอน์สไตน์ | อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ | อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (, ) หรือ อัลแบร์ท ไอน์ชไตน์ (; 14 มีนาคม ค.ศ. 1879 - 18 เมษายน ค.ศ. 1955) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมันมาแต่โดยกำเนิด ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ไอน์สไตน์ได้เป็นที่รู้จักกันในการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่เขายังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเป็นสองเสาหลักของฟิสิกส์สมัยใหม่ สูตรความสมมูลมวล-พลังงานของเขา E = mc2 ซึ่งเกิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพจึงได้รับการขนานนามว่า เป็น "สมการที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" ผลงานของเขาได้เป็นที่รู้จักจากอิทธิพลที่มีต่อปรัชญาทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1921 "สำหรับทำหน้าที่ทางด้านฟิสิกส์ทฤษฏี" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการค้นพบปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ความสำเร็จทางปัญญาและความคิดริเริ่มของเขาส่งผลให้ "ไอน์สไตน์" กลายเป็นคำพ้องที่มีความหมายตรงกับคำว่า "จีเนียส"(อัจฉริยะ)
ในปี ค.ศ. 1905 ปีนั้นได้ถูกเรียกกันเป็นบางครั้งว่า annus mirabilis (ปีที่มหัศจรรย์) ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์บทความถึงการค้นพบครั้งใหม่ถึงสี่ฉบับ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทฤษฏีปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งได้อธิบายถึงการเคลื่อนที่แบบบราวน์ เป็นการนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและแสดงให้เห็นถึงความสมมูลมวล-พลังงาน ไอน์สไตน์คิดว่ากฏของกลศาสตร์คลาสสิคไม่อาจสอดคล้องกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้อีกต่อไป ซึ่งทำให้เขาพัฒนาทฤษฏีสัมพันธภาพพิเศษ จากนั้นเขาได้ขยายทฤษฏีสนามแรงโน้มถ่วง เขาได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในปี ค.ศ. 1916 เป็นการนำเสนอทฤษฏีแรงโน้มถ่วง ในปี ค.ศ. 1917 เขาได้ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเพื่อสร้างแบบจำลองโครงสร้างของจักรวาล เขายังคงจัดการกับปัญหาของกลศาสตร์เชิงสถิติและทฤษฎีควอนตัม ซึ่งนำไปสู่การอธิบายทฤษฎีอนุภาคและการเคลื่อนที่ของโมเลกุล นอกจากนี้เขายังตรวจสอบคุณสมบัติทางความร้อนของแสงและทฤษฎีควอนตัมของการแผ่รังสี ซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีโฟตอนของแสง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อมาของอาชีพการงานของเขา เขาคิดค้นงานวิจัยอยู่สองอย่าง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย งานแรก แม้ว่าเขาจะมีส่วนอย่างมากในกลศาสตร์ควอนตัม เขาไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของกลศาสตร์ควอนตัมที่พัฒนามาในภายหลังโดยปฏิเสธว่า ธรรมชาติ "จะไม่ทอยลูกเต๋า" งานที่สอง เขาได้พยายามคิดค้นทฤษฎีสนามรวม โดยสรุปทฤษฎีความโน้มถ่วงทางเรขาคณิตเพื่อรวมเข้ากับทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นผลทำให้เขาตีตัวออกห่างจากกระแสหลักของฟิสิกส์สมัยใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ไอน์สไตน์เกิดในจักรวรรดิเยอรมัน แต่ย้ายไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1895 ได้ละทิ้งสัญชาติเยอรมัน (เป็นเรื่องของราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค) เขาได้ตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นพลเมืองอเมริกันในปี ค.ศ. 1940 ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เขียนจดหมายไปถึงประธานาธิบดีสหรัฐแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เพื่อย้ำเตือนเขาถึงโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเยอรมนีที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และแนะนำให้สหรัฐเริ่มทำการวิจัยโครงการแบบเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้ให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ส่วนใหญ่ก็ประณามแนวคิดเรื่องอาวุธนิวเคลียร์
== ประวัติ ==
=== วัยเด็กและในวิทยาลัย ===
ภาพถ่ายไอน์สไตน์ในวัยเด็ก เมื่อปี พ.ศ. 2436
ไอน์สไตน์เกิดในเมืองอุล์ม ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค สมัยจักรวรรดิเยอรมัน ห่างจากเมืองชตุทการ์ทไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ประเทศเยอรมนี บิดาของเขาชื่อว่า แฮร์มานน์ ไอน์สไตน์ เป็นพนักงานขายทั่วไปซึ่งกำลังทำการทดลองเกี่ยวกับเคมีไฟฟ้า มารดาชื่อว่า พอลลีน โดยมีคนรับใช้หนึ่งคนชื่อ คอช ทั้งคู่แต่งงานกันในโบสถ์ในสตุ๊ทการ์ท (เยอรมัน: Stuttgart-Bad Cannstatt) ครอบครัวของเขาเป็นชาวยิว (แต่ไม่เคร่งครัดนัก) อัลเบิร์ตเข้าเรียนในโรงเรียนประถมคาธอลิก และเข้าเรียนไวโอลิน ตามความต้องการของแม่ของเขาที่ยืนยันให้เขาได้เรียน
เมื่อเขาอายุได้ห้าขวบ พ่อของเขานำเข็มทิศพกพามาให้เล่น และทำให้ไอน์สไตน์รู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างในพื้นที่ที่ว่างเปล่า ซึ่งส่งแรงผลักเข็มทิศให้เปลี่ยนทิศไป เขาได้อธิบายในภายหลังว่าประสบการณ์เหล่านี้คือหนึ่งในส่วนที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เขาในชีวิต แม้ว่าเขาชอบที่จะสร้างแบบจำลองและอุปกรณ์กลได้ในเวลาว่าง เขาถือเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ช้า สาเหตุอาจเกิดจากการที่เขามีความพิการทางการอ่านหรือเขียน (dyslexia) ความเขินอายซึ่งพบได้ทั่วไป หรือการที่เขามีโครงสร้างสมองที่ไม่ปกติและหาได้ยากมาก (จากการชันสูตรสมองของเขาหลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิต) เขายกความดีความชอบในการพัฒนาทฤษฎีของเขาว่าเป็นผลมาจากความเชื่องช้าของเขาเอง โดยกล่าวว่าเขามีเวลาครุ่นคิดถึงอวกาศและเวลามากกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขาจึงสามารถสามารถพัฒนาทฤษฎีเหล่านี้ได้ โดยการที่เขาสามารถรับความรู้เชิงปัญญาได้มากกว่าและนานกว่าคนอื่น ๆ
ไอน์สไตน์เริ่มเรียนคณิตศาสตร์เมื่อประมาณอายุ 12 ปี โดยที่ลุงของเขาทั้งสองคนเป็นผู้อุปถัมถ์ความสนใจเชิงปัญญาของเขาในช่วงย่างเข้าวัยรุ่นและวัยรุ่น โดยการแนะนำและให้ยืมหนังสือซึ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ใน พ.ศ. 2437 เนื่องมาจากความล้มเหลวในธุรกิจเคมีไฟฟ้าของพ่อของเขา ทำให้ครอบครัวไอน์สไตน์ย้ายจากเมืองมิวนิก ไปยังเมืองพาเวีย (ใกล้กับเมืองมิลาน) ประเทศอิตาลี ในปีเดียวกัน เขาได้เขียนผลงานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งขึ้นมา (คือ "การศึกษาสถานะของอีเธอร์ในสนามแม่เหล็ก") โดยที่ไอน์สไตน์ยังอาศัยอยู่ในบ้านพักในมิวนิกอยู่จนเรียนจบจากโรงเรียน โดยเรียนเสร็จไปแค่ภาคเรียนเดียวก่อนจะลาออกจากโรงเรียนมัธยมศึกษา กลางฤดูใบไม้ผลิ ในปี พ.ศ. 2438 แล้วจึงตามครอบครัวของเขาไปอาศัยอยู่ในเมืองพาเวีย เขาลาออกโดยไม่บอกพ่อแม่ของเขา และโดยไม่ผ่านการเรียนหนึ่งปีครึ่งรวมถึงการสอบไล่ ไอน์สไตน์เกลี้ยกล่อมโรงเรียนให้ปล่อยตัวเขาออกมา โดยกล่าวว่าจะไปศึกษาเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดตามคำเชิญจากเพื่อนผู้เป็นแพทย์ของเขาเอง โรงเรียนยินยอมให้เขาลาออก แต่นี่หมายถึงเขาจะไม่ได้รับใบรับรองการศึกษาชั้นเรียนมัธยม
แม้ว่าเขาจะมีความสามารถชั้นเลิศในสาขาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่การที่เขาไร้ความรู้ใด ๆ ทางด้านศิลปศาสตร์ ทำให้เขาไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสในเมืองซือริช (เยอรมัน: Eidgenössische Technische Hochschule หรือ ETH) ทำให้ครอบครัวเขาต้องส่งเขากลับไปเรียนมัธยมศึกษาให้จบที่อารอในสวิตเซอร์แลนด์ เขาสำเร็จการศึกษาและได้รับใบอนุปริญญาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2439 และสอบเข้า ETH ได้ในเดือนตุลาคม แล้วจึงย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองซือริช ในปีเดียวกัน เขากลับมาที่บ้านเกิดของเขาเพื่อเพิกถอนภาวะการเป็นพลเมืองของเขาในเวอร์เทมบูรก์ ทำให้เขากลายเป็นผู้ไร้สัญชาติ
ใน พ.ศ. 2443 เขาได้รับประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิส ได้รับสิทธิ์พลเมืองสวิสในปี พ.ศ. 2444 และ พ.ศ. 2448 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซือริช
=== งานในสำนักงานสิทธิบัตร ===
หลังจากจบการศึกษา ไอน์สไตน์ไม่สามารถหางานสอนหนังสือได้ หลังจากเพียรพยายามอยู่เกือบสองปี พ่อของอดีตเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็ช่วยให้เขาได้งานทำที่สำนักงานสิทธิบัตรในกรุงแบร์น ในตำแหน่งผู้ช่วยตรวจสอบเอกสาร หน้าที่ของเขาคือการตรวจประเมินใบสมัครของสิทธิบัตรในหมวดหมู่อุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2446 ไอน์สไตน์ก็ได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำ หลังจากถูกมองข้ามมานานจนกระทั่งกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจักรกล
ไอน์สไตน์กับเพื่อนหลายคนที่รู้จักกันในแบร์น ได้รวมกลุ่มกันเป็นชมรมเล็กๆ สำหรับคุยกันเรื่องวิทยาศาสตร์และปรัชญา ตั้งชื่อกลุ่มอย่างล้อเลียนว่า "The Olympia Academy" พวกเขาอ่านหนังสือร่วมกันเช่น งานของปวงกาเร แม็ค และฮูม ซึ่งส่งอิทธิพลต่อแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาของไอน์สไตน์มาก
ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ ไอน์สไตน์แทบจะไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวใดๆ กับชุมชนทางฟิสิกส์เลย งานที่สำนักงานสิทธิบัตรของเขาโดยมากจะเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการส่งสัญญาณไฟฟ้าและการซิงโครไนซ์ทางเวลาระหว่างระบบไฟฟ้ากับระบบทางกล ซึ่งเป็นสองปัญหาหลักทางเทคนิคอันเป็นจุดสนใจของการทดลองในความคิดยุคนั้น ซึ่งในเวลาต่อมาได้ชักนำให้ไอน์สไตน์ไปสู่ผลสรุปอันลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของแสงและความเกี่ยวพันพื้นฐานระหว่างอวกาศกับเวลา
ไอน์สไตน์แต่งงานกับมิเลวาเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2446 แม้จะถูกมารดาคัดค้านเพราะนางมีอคติกับชาวเซิร์บ และคิดว่ามาริคนั้น "แก่เกินไป" ทั้งยัง "หน้าตาอัปลักษณ์"2 ซึ่งบอกว่า มวลขนาดเล็กจิ๋วสามารถแปลงไปเป็นพลังงานปริมาณมหาศาลได้ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดการพัฒนาของพลังงานนิวเคลียร์
=== แสง กับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ===
ปี พ.ศ. 2449 สำนักงานสิทธิบัตรเลื่อนขั้นให้ไอน์สไตน์เป็น Technical Examiner Second Class แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งงานด้านวิชาการ ปี พ.ศ. 2451 เขาได้เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแบร์น พ.ศ. 2453 เขาเขียนบทความอธิบายถึงผลสะสมของแสงที่กระจายตัวโดยโมเลกุลเดี่ยวๆ ในบรรยากาศ ซึ่งเป็นการอธิบายว่า เหตุใดท้องฟ้าจึงเป็นสีน้ำเงิน
ระหว่าง พ.ศ. 2452 ไอน์สไตน์ตีพิมพ์บทความ "Über die Entwicklung unserer Anschauungen über das Wesen und die Konstitution der Strahlung" (พัฒนาการของมุมมองเกี่ยวกับองค์ประกอบและหัวใจสำคัญของการแผ่รังสี) ว่าด้วยการพิจารณาแสงในเชิงปริมาณ ในบทความนี้ รวมถึงอีกบทความหนึ่งก่อนหน้านั้นในปีเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้แสดงว่า พลังงานควอนตัมของมักซ์ พลังค์ จะต้องมีโมเมนตัมที่แน่นอนและแสดงตัวในลักษณะที่คล้ายคลึงกับอนุภาคที่เป็นจุด บทความนี้ได้พูดถึงแนวคิดเริ่มต้นเกี่ยวกับโฟตอน (แม้ในเวลานั้นจะยังไม่ได้เรียกด้วยคำนี้ ผู้ตั้งชื่อ 'โฟตอน' คือ กิลเบิร์ต เอ็น. ลิวอิส ในปี พ.ศ. 2469) และให้แรงบันดาลใจเกี่ยวกับความเกี่ยวพันกันระหว่างคลื่นกับอนุภาค ในวิชากลศาสตร์ควอนตัม
พ.ศ. 2454 ไอน์สไตน์ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยซือริช แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยอมรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเยอรมัน ชาร์ลส์-เฟอร์ดินานด์ ในกรุงปราก ที่นี่ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับผลกระทบของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อแสง ซึ่งก็คือการเคลื่อนไปทางแดงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง และการหักเหของแสงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง บทความนี้ช่วยแนะแนวทางแก่นักดาราศาสตร์ในการตรวจสอบการหักเหของแสงระหว่างการเกิดสุริยคราส นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน เออร์วิน ฟินเลย์-ฟรอนด์ลิค ได้เผยแพร่ข้อท้าทายของไอน์สไตน์นี้ไปยังนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
พ.ศ. 2455 ไอน์สไตน์กลับมายังสวิตเซอร์แลนด์และรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิมที่เขาเป็นศิษย์เก่า คือ ETH เขาได้พบกับนักคณิตศาสตร์ มาร์เซล กรอสมานน์ ซึ่งช่วยให้เขารู้จักกับเรขาคณิตของรีมานน์และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ และโดยการแนะนำของทุลลิโอ เลวี-ซิวิตา นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ไอน์สไตน์จึงได้เริ่มใช้ประโยชน์จากความแปรปรวนร่วมเข้ามาประยุกต์ในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขา มีช่วงหนึ่งที่ไอน์สไตน์รู้สึกว่าแนวทางนี้ไม่น่าจะใช้ได้ แต่เขาก็หันกลับมาใช้อีก และในปลายปี พ.ศ. 2458 ไอน์สไตน์จึงได้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งยังคงใช้อยู่ตราบถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงว่าเป็นการบิดเบี้ยวของโครงสร้างกาลอวกาศโดยวัตถุที่ส่งผลเป็นแรงเฉื่อยต่อวัตถุอื่น
=== ทฤษฎีแรงเอกภาพ ===
งานวิจัยของไอน์สไตน์หลังจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมีหัวใจหลักอยู่ที่การพยายามทำให้ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงสามารถอธิบายคุณสมบัติของแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ปี พ.ศ. 2493 เขาได้พูดถึงแนวคิดเรื่อง "ทฤษฎีแรงเอกภาพ" ในวารสาร Scientific American ในบทความชื่อว่า "On the Generalized Theory of Gravitation" แม้เขาจะได้รับความยกย่องอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนในการวิจัยเรื่องนี้ และความทุ่มเทส่วนใหญ่ของเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ในความพยายามของไอน์สไตน์ที่จะรวมแรงพื้นฐานทั้งหมดเข้าในกฎเดียวกัน เขาได้ละเลยการพัฒนากระแสหลักในทางฟิสิกส์ไปบางส่วน ที่สำคัญคือแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจมากนักตราบจนอีกหลายปีผ่านไปหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน แนวทางพัฒนาฟิสิกส์กระแสหลักเองก็ละเลยแนวคิดของไอน์สไตน์เกี่ยวกับการรวมแรงเช่นเดียวกัน ครั้นต่อมาความฝันของไอน์สไตน์ในการรวมกฎฟิสิกส์ทั้งหลายเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อแนวทางศึกษาฟิสิกส์ยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทฤษฎีแห่งสรรพสิ่งและทฤษฎีสตริง ขณะที่มีความตื่นตัวมากขึ้นในสาขากลศาสตร์ควอนตัมด้วย
=== แบบจำลองแก๊สของชเรอดิงเจอร์ ===
ไอน์สไตน์แนะนำให้แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์นำเอาแนวคิดของมักซ์ พลังค์ไปใช้ ที่มองระดับพลังงานของแก๊สในภาพรวมมากกว่าจะมองเป็นโมเลกุลเดี่ยวๆ ชเรอดิงเงอร์ประยุกต์แนวคิดนี้ในบทความวิจัยโดยใช้การกระจายตัวของโบลทซ์มันน์เพื่อหาคุณสมบัติทางอุณหพลศาสตร์ของแก๊สอุดมคติกึ่งคลาสสิก ชเรอดิงเงอร์ขออนุญาตใส่ชื่อไอน์สไตน์เป็นผู้เขียนบทความร่วม แต่ต่อมาไอน์สไตน์ปฏิเสธคำเชิญนั้น
=== ตู้เย็นไอน์สไตน์ ===
พ.ศ. 2469 ไอน์สไตน์กับลูกศิษย์เก่าคนหนึ่งคือ ลีโอ ซีลาร์ด นักฟิสิกส์ชาวฮังการีผู้ต่อมาได้ร่วมในโครงการแมนฮัตตัน และได้รับยกย่องในฐานะผู้ค้นพบห่วงโซ่ปฏิกิริยา ทั้งสองได้ร่วมกันประดิษฐ์ ตู้เย็นไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย และใช้พลังงานนำเข้าเพียงอย่างเดียวคือพลังงานความร้อน สิ่งประดิษฐ์นี้ได้จดสิทธิบัตรในปี พ.ศ. 2473
=== บอร์กับไอน์สไตน์ ===
ราวคริสต์ทศวรรษ 1920 มีการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัมให้เป็นทฤษฎีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไอน์สไตน์ไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการตีความโคเปนเฮเกนว่าด้วยทฤษฎีควอนตัม ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย นีลส์ บอร์ กับ แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก ซึ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางควอนตัมว่าเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น ที่จะส่งผลต่อเพียงอันตรกิริยาในระบบแบบดั้งเดิม มีการโต้วาทีสาธารณะระหว่างไอน์สไตน์กับบอร์สืบต่อมาเป็นเวลายาวนานหลายปี (รวมถึงในระหว่างการประชุมซอลเวย์ด้วย) ไอน์สไตน์สร้างการทดลองในจินตนาการขึ้นเพื่อโต้แย้งการตีความโคเปนเฮเกน แต่ภายหลังก็ถูกบอร์พิสูจน์แย้งได้ ในจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งไอน์สไตน์เขียนถึง มักซ์ บอร์น ในปี พ.ศ. 2469 เขาบอกว่า "ผมเชื่อว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างสรรพสิ่งด้วยการทอยเต๋า"
ไอน์สไตน์ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับการอธิบายถึงธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์ในทฤษฎีควอนตัม ในปี พ.ศ. 2478 เขาค้นคว้าเพิ่มเติมในประเด็นเหล่านี้ร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน คือ บอริส โพโดลสกี และ นาธาน โรเซน และตั้งข้อสังเกตว่า ทฤษฎีดังกล่าวดูจะต้องอาศัยอันตรกิริยาแบบไม่แบ่งแยกถิ่น ต่อมาเรียกข้อโต้แย้งนี้ว่า EPR พาราด็อกซ์ (มาจากนามสกุลของไอน์สไตน์ โพโดลสกี และโรเซน) การทดลอง EPR ได้จัดทำขึ้นในเวลาต่อมา และได้ผลลัพธ์ที่ช่วยยืนยันการคาดการณ์ตามทฤษฎีควอนตัม
สิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของบอร์เกี่ยวพันกับแนวคิดพื้นฐานในการพรรณนาถึงวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้การโต้วาทีระหว่างไอน์สไตน์กับบอร์จึงได้ส่งผลสืบเนื่องออกไปเป็นการวิวาทะในเชิงปรัชญาด้วย
== รางวัลโนเบล ==
พ.ศ. 2465 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2464 ในฐานะที่ "ได้อุทิศตนแก่ฟิสิกส์ทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบกฎที่อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก" ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงงานเขียนของเขาในปี 2448 "โดยใช้มุมมองจากจิตสำนึกเกี่ยวกับการเกิดและการแปรรูปของแสง" แนวคิดของเขาได้รับการพิสูจน์อย่างหนักแน่นจากผลการทดลองมากมายในยุคนั้น สุนทรพจน์ในการมอบรางวัลยังระบุไว้ว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาเป็นหัวข้อถกเถียงที่น่าสนใจที่สุดในวงวิชาการ (และ) มีความหมายในทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ซึ่งประยุกต์ใช้อย่างชัดเจนในปัจจุบัน"
เชื่อกันมานานว่าไอน์สไตน์มอบเงินรางวัลจากโนเบลทั้งหมดให้แก่ภรรยาคนแรก คือมิเลวา มาริค สำหรับการหย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2462 แต่จดหมายส่วนตัวที่เพิ่งเปิดเผยขึ้นในปี พ.ศ. 2549 บ่งบอกว่าเขานำไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา และสูญเงินไปเกือบหมดจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
ไอน์สไตน์เดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2464 เมื่อมีผู้ถามว่า เขาได้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาจากไหน ไอน์สไตน์อธิบายว่า เขาเชื่อว่างานทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าได้จากการทดลองทางกายภาพและการค้นหาความจริงที่ซ่อนเอาไว้ โดยมีคำอธิบายที่สอดคล้องกันได้ในทุกสภาวการณ์โดยไม่ขัดแย้งกันเอง ไอน์สไตน์ยังสนับสนุนทฤษฎีที่ค้นหาผลลัพธ์ในจินตนาการด้วย
== มรดก ==
ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ไอน์สไตน์ได้เขียนบันทึกประจำวันส่งให้ภรรยาของเขา คือเอลซา กับบุตรบุญธรรมอีกสองคนคือมาร์ก็อตและอิลซา จดหมายเหล่านี้รวมอยู่ในเอกสารที่ยกให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู มาร์ก็อต ไอน์สไตน์ อนุญาตให้เผยแพร่จดหมายส่วนตัวแก่สาธารณชนได้ แต่จะต้องเป็นเวลา 20 ปีหลังจากเธอเสียชีวิตแล้วเท่านั้น (มาร์ก็อตเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2529) บาร์บารา โวลฟ์ ผู้ดูแลรักษาเอกสารของไอน์สไตน์ที่มหาวิทยาลัยฮีบรู ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บีบีซีว่า มีจดหมายติดต่อส่วนตัวระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2455-2498 เป็นจำนวนมากกว่า 3,500 หน้า
สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา จัดสร้างรูปปั้นอนุสรณ์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นทองแดงและหินอ่อนและสลักโดยโรเบิร์ต เบิร์คส์ ในปี พ.ศ. 2522 ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ใกล้กับ National Mall
ไอน์สไตน์ทำพินัยกรรมยกลิขสิทธิ์การใช้งานภาพของเขาทั้งหมดให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู กรุงเยรูซาเล็ม ต่อมา บริษัท คอร์บิส คอร์ปอเรชั่น ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อและภาพต่างๆ ของเขา ในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจแทนมหาวิทยาลัยฮีบรู
== เกียรติคุณและอนุสรณ์ ==
thumb|ป้ายอนุสรณ์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในกรุงเบอร์ลิน
พ.ศ. 2542 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้รับยกย่องเป็น "บุคคลแห่งศตวรรษ" โดยนิตยสารไทม์ กัลลัพโพล ได้บันทึกว่าเขาเป็นบุคคลผู้ได้รับการยกย่องสูงที่สุดอันดับ 4 แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และจากการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์เป็น "นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล"
ต่อไปนี้เป็นรายชื่ออนุสรณ์ส่วนหนึ่ง
* สหพันธ์นานาชาติฟิสิกส์บริสุทธิ์และฟิสิกส์ประยุกต์ ได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2548 เป็น "ปีฟิสิกส์โลก" เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 100 ปีครบรอบการตีพิมพ์ Annus Mirabilis Papers
* สถาบันอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
* อนุสรณ์สถานอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โดย โรเบิร์ต เบิร์คส์
* หน่วยวัดในวิชาโฟโตเคมี ชื่อว่า ไอน์สไตน์
* เคมีธาตุลำดับที่ 99 ชื่อ ไอน์สไตเนียม (einsteinium)
* ดาวเคราะห์น้อย 2001 ไอน์สไตน์
* รางวัลไอน์สไตน์
* รางวัลสันติภาพไอน์สไตน์
ปี พ.ศ. 2533 ชื่อของไอน์สไตน์ถูกจารึกในวิหารวัลฮัลลา หอเกียรติยศซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบ ประเทศเยอรมนี
== รายชื่อผลงาน ==
:งานเขียนของไอน์สไตน์ที่แสดงไว้ที่นี้ คืองานเขียนที่ใช้ในการอ้างอิงภายในบทความ สำหรับรายชื่อผลงานตีพิมพ์ทั้งหมดของเขา ดูที่ รายชื่องานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
* . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งทาง Annalen der Physik ได้รับไว้เมื่อ 18 มีนาคม
* . งานวิจัยปริญญาเอกชิ้นนี้สำเร็จสมบูรณ์เมื่อ 30 เมษายน และนำส่งตีพิมพ์เมื่อ 20 กรกฎาคม
* . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของบราวน์ สำนักพิมพ์รับไว้เมื่อ 11 พฤษภาคม
* . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ สำนักพิมพ์รับไว้เมื่อ 30 มิถุนายน
* . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับความสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน สำนักพิมพ์รับไว้เมื่อ 27 กันยายน
* . เป็นบทความแรกในชุดงานเขียนเกี่ยวกับหัวข้อนี้
* . ว่าด้วย Baer's law และ meander ของเส้นทางเดินของแม่น้ำ
* . การทดลองในความคิด เรื่อง ไล่ตามลำแสง มีบรรยายอยู่ในหน้า 48-51
* Collected Papers: ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือในชุดนี้จนถึงปัจจุบัน อ่านได้จาก Einstein Papers Project และเว็บไซต์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน Einstein Page
==หมายเหตุ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ : เหตุใดทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจึงปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ บีบีซีไทย
* ประวัติอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
* บันทึกส่วนตัวเผยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มีมุมมองเหยียดคนเอเชีย ข่าวสด
หมวดหมู่:อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
หมวดหมู่:ชาวเยอรมันผู้ได้รับรางวัลโนเบล
หมวดหมู่:ชาวสวิสผู้ได้รับรางวัลโนเบล
หมวดหมู่:ชาวอเมริกันผู้ได้รับรางวัลโนเบล
หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน
หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวยิว
หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวสวิส
หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน
หมวดหมู่:บุคคลจากเบอร์ลิน
หมวดหมู่:บุคคลจากแบร์น
หมวดหมู่:บุคคลจากมิวนิก
หมวดหมู่:บุคคลจากซือริช
หมวดหมู่:บุคคลจากอุล์ม
หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐนิวเจอร์ซีย์
หมวดหมู่:ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว
หมวดหมู่:ผู้ได้รับพัวร์เลอเมรีท (ชั้นพลเรือน)
หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช
หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยซือริช
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยแบร์น
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยซือริช
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยชาลส์
หมวดหมู่:บุคคลจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช
หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน |
766 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประวัติศาสตร์ | ประวัติศาสตร์ | ประวัติศาสตร์ (; รากศัพท์ภาษากรีก ἱστορία หมายถึง "การสอบถามหาความรู้ที่ได้มาโดยการสอบสวน") เป็นการค้นพบ ค้นหา รวบรวม จัดระเบียบและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตประวัติศาสตร์ยังอาจจะหมายถึงช่วงเวลาหลังมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น นักวิชาการผู้เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เรียกนักประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์เป็นสาขาการวิจัยซึ่งใช้การบรรยายเพื่อพิจารณาและวิเคราะห์ลำดับของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และบางครั้งพยายามสอบสวนรูปแบบของเหตุและผลซึ่งมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์อย่างยุติธรรม นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันเรื่องธรรมชาติของประวัติศาสตร์และประโยชน์ของมัน ซึ่งรวมทั้งถกเถียงการศึกษาสาขาวิชาเป็นจุดจบในตัวมันเองและเป็นเสมือนวิถีการให้ "มุมมอง" ต่อปัญหาในปัจจุบัน เรื่องเล่าซึ่งเป็นสิ่งธรรมดาในวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง แต่ไม่มีการสนับสนุนจากแหล่งข้อมูลภายนอก (เช่น ตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์) มักจัดเป็นวัฒนธรรมมากกว่า "การสอบสวนอย่างไม่นำพา" ที่จำเป็นตามสาขาประวัติศาสตร์
สำหรับคำว่า history มีที่มาจากคำว่า historia ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่าการไต่สวนหรือค้นคว้า
== ความหมาย ==
"ประวัติศาสตร์" เป็นคำที่มีความหมายหลากหลาย แต่ความหมายที่สำคัญที่ใช้โดยทั่วไป คือ
# เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดของมนุษย์ หรืออดีตทั้งหมดของมนุษย์ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกจนถึงวินาทีที่พึ่งผ่านมา
# หมายถึงเรื่องราวของบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตที่เรารู้หรือเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านพ้นไป
# เป็นวิชาหรือศาสตร์ในการศึกษาเรื่องราวของสังคมมนุษย์ในอดีตที่ประกอบด้วยแนวคิดหรือปรัชญาประวัติศาสตร์ (Philosophy of History) และวิธีวิจัยประวัติศาสตร์ (Historical Method)
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงให้คำอธิบายถึงคำว่า "ประวัติศาสตร์" ไว้ เช่น
อาร์. จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน โดยมีจุดมุ่งหมายจะศึกษาเกี่ยวกับพฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต
อี. เอช. คาร์ (E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้นก็คือกระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต (a continuous process of interaction between the present and the past.)
ส่วน ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักประวัติศาสตร์ อธิบายคำว่าประวัติศาสตร์ดังนี้ "การเข้าใจอดีตนั้นคือประวัติศาสตร์ เข้าใจคือการกล้าเผชิญหน้าโดยไม่ปิดบัง อย่าเป็นทาสความรู้ ... เราต้องเข้าใจว่าความรู้เกี่ยวกับอดีตนั้นสร้างใหม่ได้เรื่อย ๆ เพราะทัศนะมุมมองของสมัยที่เขียนประวัติศาสตร์นั้นเปลี่ยนอยู่เสมอ ..."
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและนำไปใช้อย่างถูกต้อง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากนิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย
นิตเช นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้ตีความว่าข้อเท็จจริงคือคำอธิบายที่เกิดจากการตีความของเราเอง
ปัญหาเชิงปรัชญาประการหนึ่งเกี่ยวกับการแสวงหาคำตอบหรือคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16-17 คือ การหาความจริงทางประวัติศาสตร์เป็นการหาความจริงแบบไหน? และสามารถพิสูจน์/เปรียบเทียบกับการหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? ทั้งนี้ เพราะเชื่อกันว่าการหาความรู้/ความจริงแบบวิทยาศาสตร์เป็นการหาความรู้/ความจริงที่ถูกต้อง มาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำถามที่ถกเถียงกันมากก็คือ ประวัติศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ? และนักประวัติศาสตร์หลายคนพยายามเสนอ (defense) โดยทำให้ประวัติศาสตร์มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ มีการนำวิธีการ "วิพากษ์" หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาใช้ นักประวัติศาสตร์ในยุคนั้นพยายามทำให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 200 ถึงปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเห็นว่าความเป็น "วัตถุวิสัย" ของประวัติศาสตร์ลดลง เช่นเดียวกันกับที่ยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความรู้ที่สมบูรณ์
การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก 5 คำถาม คือ "เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต" (What), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่" (When), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน" (Where), "ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น" (Why), และ "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" (How) วิธีการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่
* การตั้งเรื่องที่ต้องการสืบค้น
* การรวบรวมหลักฐาน
* การวิเคราะห์ ตีความ ประเมินหลักฐาน
* การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหลักฐาน
* การนำเสนอข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ รอบิน จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) นักปรัชญาประวัติศาสตร์คนสำคัญชาวอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้เป็นเจ้าของผลงานเรื่อง Idea of History ให้ความเห็นเกี่ยวกับวิธิการศึกษาประวัติศาสตร์ ดังนี้
* วิธีการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างจากการศึกษาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
* นักประวัติศาสตร์ต้องระมัดระวังในการยืนยันความถูกต้องของหลักฐาน
* การนำเสนอในลักษณะ "ตัด-แปะประวัติศาสตร์" ไม่ถูกต้องและเป็นวิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ควรนำเสนอโดยการประมวลความคิดให้เป็นข้อสรุป
* วิธีการทางประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นแบบวิทยาศาสตร์คือการตั้งคำถาม
right|เบเนเดทโต โครเช่ (Benedetto Croce) นักปราชญ์ชาวอิตาลีต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้กล่าวว่า ประวัติศาสตร์ทั้งหมดคือประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์จะช่วยให้มนุษย์เกิดสำนึกในการค้นคว้าและสืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน อันสร้างความภูมิใจและกระตุ้นความรู้สึกนิยมในชาติหรือเผ่าพันธุ์ ตลอดจนตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษสั่งสมไว้, ประวัติศาสตร์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากอดีตเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับปัจจุบัน องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์จะทำให้เข้าใจถึงปัญหา สาเหตุของปัญหา และผลกระทบจากปัญหา, การศึกษาประวัติศาสตร์ก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินนโยบายให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งปัจจุบันและอนาคต, วิธีการทางประวัติศาสตร์ทำให้ผู้ศึกษาสั่งสมประสบการณ์และทักษะในการวิเคราะห์ ไต่สวน และแก้ปัญหา ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการศึกษาศาสตร์แขนงอื่น ๆ คุณสมบัตินี้นับเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาคุณภาพประชากรในสังคมที่เจริญก้าวหน้าและมีพัฒนาการสูง
สำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์นั้นจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ประกอบด้วย
* มีความเป็นกลาง (Objectiveness or Objectivity)
* มีความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ (Historical thinking)
* มีความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy)
* มีความเป็นระเบียบในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Love of order)
* มีลำดับการทำงานที่เป็นตรรกะ (Logic)
* มีความซื่อสัตย์ในการแสวงหาข้อเท็จจริง (Honesty)
* มีความระมัดระวังในการใช้หลักฐาน (Self-awareness)
* มีจินตนาการ (Historical imagination)
== ประวัติศาสตร์นิพนธ์ ==
ความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์สามารถพูดถึงได้ในหลายแง่มุม ในความหมายแรก ประวัติศาสตร์นิพนธ์สามารถสื่อถึงการสร้างประวัติศาสตร์ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร โดยกล่าวถึงเรื่องราวของการพัฒนาวิธีการและการปฏิบัติในวงการศึกษาประวัติศาสตร์ (เช่น การเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์จากการเล่าชีวประวัติซึ่งเป็นประวัติระยะสั้นให้เป็นการวิเคราะห์แก่นสาระประวัติศาสตร์ในภาพรวม) ในความหมายที่สอง ประวัติศาสตร์นิพนธ์สามารถสื่อถึงสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ได้ผลิตอะไรบ้าง ซึ่งพูดถึงการเขียนประวัติศาสตร์ในสิ่งนั้น ๆ (เช่น ประวัติศาสตร์นิพนธ์เกี่ยวกับยุคกลางในช่วงทศวรรษ 1960 หมายถึงงานทางด้านประวัติศาสตร์ที่เขียนเรื่องยุคกลางในช่วงทศวรรษ 1960) หรือในความหมายที่สาม ประวัติศาสตร์นิพนธ์สามารถสื่อถึงสาเหตุของการเกิดประวัติศาสตร์ซึ่งกล่าวถึงปรัชญาประวัติศาสตร์ โดยเชื่อมโยงไปยังการวิเคราะห์ระดับอภิมานเกี่ยวกับอดีตที่เกี่ยวพันกับสองความหมายแรกของประวัติศาสตร์นิพนธ์อย่างการเล่าเรื่อง การตีความ โลกทัศน์ การใช้หลักฐาน หรือวิธีการในการนำเสนอต่อนักประวัติศาสตร์ผู้อื่น ซึ่งประเด็นหลักที่นักประวัติศาสตร์เชี่ยวชาญหลายท่านได้โต้เถียง คือ เรื่องการสอนประวัติศาสตร์ในฐานะระหว่างเรื่องราวที่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกับเรื่องราวหลายเรื่องที่พยายามช่วงชิงพื้นที่ทางสังคม
== วิธีการทางประวัติศาสตร์ ==
วิธีการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยเทคนิคและแบบแผนที่นักประวัติศาสตร์ใช้หลักฐานชั้นปฐมภูมิและหลักฐานอื่นในการวิจัยและเขียนประวัติศาสตร์ขึ้น
เฮอรอโดทัสแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส (484 ปีก่อน ค.ศ.-ประมาณ 425 ปีก่อน ค.ศ.) ได้ถูกยกย่องโดยทั่วกันว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ร่วมสมัยกับเขาอย่าง ทิวซิดิดีส (ประมาณ 460 ปีก่อน ค.ศ.-ประมาณ 400 ปีก่อน ค.ศ.) ได้ถูกให้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เข้าถึงประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่พัฒนาได้ดีในผลงานของเขาที่ชื่อ the History of the Peloponnesian War ซึ่งทิวซิดิดีสไม่เหมือนกับเฮอรอโดทัสที่มองว่าประวัติศาสตร์เป็นผลิตผลของทางเลือกและการกระทำของมนุษย์ทั้งหลาย และมองไปที่เหตุและผล มากกว่าที่จะมองว่าเป็นผลลัพธ์จากการแทรกแซงของเทพเจ้า (แม้ว่าเฮอรอโดทัสจะไม่ได้ริเริ่มแนวคิดนี้เองทั้งหมดก็ตาม)
ธรรมเนียมทางประวัติศาสตร์และการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนมีเกิดขึ้นในสมัยจีนยุคโบราณและยุคกลาง รากฐานของประวัติศาสตร์นิพนธ์ชำนาญในเอเชียตะวันออกได้สถาปนาขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์ราชสำนักในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่เป็นรู้จักในนาม ซือหม่า เชียน (145-90 ปีก่อน ค.ศ.) ผู้เขียนบันทึกประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ (สื่อจี้) ซึ่งด้วยคุณภาพการเขียนของเขา ซือหม่า เชียน เป็นที่รู้จักหลังจากที่เขาตายไปแล้วว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์นิพนธ์จีน นักประวัติศาสตร์จีนหลายท่านในยุคราชวงศ์ต่อ ๆ มาได้ใช้สื่อจี้เป็นรูปแบบทางการของตำราประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกันงานเขียนเชิงชีวประวัติ
นักบุญออกัสตินมีอิทธิพลในความคิดของคริสตจักรและตะวันตก ณ ตอนแรกเริ่มของยุคกลาง โดยในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการนั้น ประวัติศาสตร์ได้ถูกศึกษาผ่านมุมมองของความศักดิ์สิทธิ์หรือศาสนา แต่ราวช่วง ค.ศ. 1800 นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน เกออร์ค วิลเฮ็ลม์ ฟรีดริช เฮเกิลได้นำแนวคิดปรัชญาและการเข้าถึงที่มีความเป็นฆราวาสมากขึ้นในการศึกษาประวัติศาสตร์
ในบทนำของหนังสือ Muqaddimah (ค.ศ. 1377) นักประวัติศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ยุคแรกเริ่มชาวอาหรับ อิบน์ ค็อลดูน ได้เตือนถึงข้อผิดพลาด 7 จุดที่เขาคิดว่านักประวัติศาสตร์มักชอบทำ ในการวิจารณ์นี้ เขาได้เข้าถึงอดีตในฐานะความประหลาดและต้องการการตีความ โดยต้นฉบับของอิบน์ ค็อลดูนได้อ้างว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมในต่างยุคสมัยต้องอยู่ในการประเมินจากวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแยกหลักการว่าหลักการใดเป็นไปได้ในการประเมิน และสุดท้าย เพื่อรู้สึกถึงความต้องการในประสบการณ์ในการเข้าถึงอดีตอย่างมีตรรกะมากขึ้น ซึ่งอิบน์ ค็อลดูน ได้วิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้งกับความงมงายที่นิ่งเฉยและการยอมรับข้อมูลทางประวัติศาสตร์โดยไม่พินิจพิเคราะห์ จึงทำให้เกิดผลลัพธ์ คือ เขาได้เสนอวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาประวัติศาสตร์ และได้กล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งว่าสิ่งนี้คือ วิทยาศาสตร์แบบใหม่ โดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ของเขาได้วางรากฐานให้กับการศึกษาบทบาทของรัฐ การสื่อสาร โฆษณาชวนเชื่อ และอคติเชิงระบบในทางประวัติศาสตร์ จากทั้งหมดนี้ ทำให้เขาได้รับสมญานามว่า บิดาแห่งประวัติศาสตร์นิพนธ์ หรือ บิดาแห่งปรัชญาประวัติศาสตร์
ในทางฝั่งโลกตะวันตก นักประวัติศาสตร์ได้พัฒนาวิธีการประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบสมัยใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝรั่งเศสและเยอรมนี ซึ่งใน ค.ศ. 1851 เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ได้สรุปวิธีการเหล่านั้นได้ดังนี้จากชั้นของสิ่งสั่งสมในประวัติศาสตร์ของพวกเราที่ต่อเนื่องขึ้นมา พวกเขา [นักประวัติศาสตร์] ได้นำชิ้นส่วนที่มีสีอย่างขยันขันแข็ง ได้รีบคว้าสรรพสิ่งที่น่าค้นหาและเริงร่า และหัวร่อเหมือนดั่งเด็กน้อยที่อยู่กับสิ่งของอันแวววาวที่ได้มา ในขณะที่สายโลหิตแห่งภูมิปัญญาที่แตกแขนงสายธารท่ามกลางเศษซากอันไร้ค่าที่ถูกมองข้ามอย่างสมบูรณ์ เศษขยะชิ้นมโหฬารนั้นได้สั่งสมอย่างบ้าคลั่งซึ่งแท้จริงแล้วเป็นแร่อันล้ำค่า ควรค่าแก่การขุดออกมาและจากความจริงทองคำนี้ มันอาจจะถูกเอาออกมาแล้วก็ได้ แต่เพียงยังมิได้ศึกษาและมิได้ค้นคว้ามันโดยคำว่า แร่อันล้ำค่า สเปนเซอร์ได้หมายถึงทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์ของประวัติศาสตร์ ในขณะที่ เฮนรี โธมัส บักเกิล ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความฝันของประวัติศาสตร์ว่าวันหนึ่งจะเป็นวิทยาศาสตร์ว่าสืบเนื่องจากธรรมชาติ เหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่ปรากฏขึ้นอย่างผิดปกติและไม่แน่ไม่นอนได้ถูกอธิบายและได้ถูกแสดงให้เห็นว่ามีความเกี่ยวพันกับกฎที่ตายตัวและเป็นสากล สิ่งนี้ได้ถูกเกิดขึ้นแล้วเนื่องจากผู้คนที่กระทำและเหนือสิ่งใดทั้งปวง คือ ผู้คนที่ถูกกระทำ ความคิดที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยย่อท้อเหล่านั้นได้ศึกษาเหตุการณ์ด้วยมุมมองของการค้นคว้าความปกติของสิ่งเหล่านั้น และถ้าเหตุการณ์ของมนุษย์ถูกกระทำในลักษณะเดียวกันนี้แล้ว เราจะมีความสามารถในการคาดหวังผลที่คล้ายทำนองเดิมในทางตรงข้ามกับความฝันของบักเกิล นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 ที่มีอิทธิพลในวิธีการมากที่สุดคนหนึ่งอย่างเลโอโพลด์ ฟอน รังเคอในเยอรมนี เขาได้จำกัดคำว่า ประวัติศาสตร์ ถึงอะไรที่เกิดขึ้นมาแล้วโดยแท้จริง และด้วยสิ่งนี้เองทำให้สาขาวิชาเริ่มมีห่างไกลจากวิทยาศาสตร์ สำหรับรังเคอเอง ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ควรถูกเก็บอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบอย่างปราศจากอคติ และนำมารวมกันด้วยอย่างเข้มงวดยวดยิ่ง แต่กระบวนการเหล่านี้เป็นแค่สิ่งที่จำเป็นและสารตั้งต้นของวิทยาศาสตร์ หัวใจของวิทยาศาสตร์ คือ การค้นคว้าระเบียบและความปกติในข้อมูลที่ถูกตรวจสอบและสร้างความเป็นสากลหรือกฎที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นขึ้นสำหรับนักประวัติศาสตร์อย่าง รังเคอ และผู้คนอีกหลากหลายที่นำความคิดของเขา ไม่ ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ฉนั้นถ้าหากนักประวัติศาสตร์ได้บอกว่า จากที่เขาได้ทำให้เกิดสิ่งหนึ่ง มันไม่สามารถถูกพิจารณาให้เป็นวิทยาศาสตร์ได้ เราต้องยึดถือเขาตามที่เขาบอกไว้ แม้ว่าเขาจะบอกว่าเขายึดหลักวิทยาศาสตร์หรือไม่ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ยึดหลักวิทยาศาสตร์อยู่ดี นักประวัติศาสตร์แบบจารีตจึงไม่ใช่ทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ ดั่งที่กระทำกันมาเป็นธรรมเนียม จึงไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทั้งสิ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักประวัติศาสตร์ในวงการวิชาการได้ลดความสนใจในเรื่องราวชาตินิยมอันยิ่งใหญ่ที่มักจะสรรเสริญชาติหรือมหาบุรุษ เปลี่ยนไปสนใจยังการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนและปราศจากอคติมากขึ้นในเรื่องแรงขับเคลื่อนทางสังคมและภูมิปัญญา กระแสหลักในวิธีการทางประวัติศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีแนวโน้มที่จะจัดประวัติศาสตร์เปลี่ยนให้ไปอยู่กับสังคมศาสตร์มากกว่าจะเป็นศิลปศาสตร์ ซึ่งแต่เดิมแล้วเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน โดยผู้สนับสนุนหลักให้ประวัติศาสตร์ในฐานะของสังคมศาสตร์เป็นนักวิชาการที่มาจากหลากหลายแขนงซึ่งประกอบด้วย แฟร์น็อง โบรเดล, อี เอช คารร์, ฟรีทซ ฟิชเชอร์, เอมมานูเอล เลอ รอย ลาดูรี, ฮันส์-อุลริช เวเลอร์, บรูซ ทริกเกอร์, มาร์ก บล็อก, คาร์ล ดรีทริช บราเคอร์, ปีเตอร์ เกย์, โรเบิร์ต โฟเกล, ลูเซียง แฟบวร์, และลอเรนซ์ สโตน ผู้สนับสนุนที่มองให้ประวัติศาสตร์เป็นสังคมศาสตร์ได้ถูกกล่าวถึงในเรื่องการเข้าถึงแบบสหวิทยาการอย่าง โบรเดลได้นำประวัติศาสตร์มาควบรวมกับภูมิศาสตร์ บราเคอร์กับประวัติศาสตร์ด้วยรัฐศาสตร์ โฟเกลกับประวัติศาสตร์ด้วยเศรษฐศาสตร์ เกย์กับประวัติศาสตร์ด้วยจิตวิทยา ทริกเกอร์กับประวัติศาสตร์ด้วยมานุษยวิทยา ขณะที่เวเลอร์, บล็อก, ฟิชเชอร์, สโตน, แฟบวร์, และ เลอ รอย ลาดูรี มีการควบรวมที่แตกต่างและหลากหลายระหว่างประวัติศาสตร์ด้วยทั้งสังคมวิทยา ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา และเศรษฐศาสตร์ แม้กระนั้น การเข้าถึงแบบสหวิทยาการเหล่านี้ก็ยังล้มเหลวที่จะสร้างทฤษฎีของประวัติศาสตร์ ซึ่งยังห่างไกลจากทฤษฎีประวัติศาสตร์หนึ่งเดียวที่มาจากปากกาของนักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามที ทฤษฎีอื่นของประวัติศาสตร์ที่พวกเรามีถูกเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญจากสาขาอื่น (ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฎีประวัติศาสตร์ของมาร์กซ) ในช่วงระยะหลังนี้ สาขาประวัติศาสตร์ดิจิตอลได้เริ่มต้นระบุวิธีทางที่จะใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการแสดงคำถามใหม่ต่อข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์และสร้างการศึกษาเชิงวิชาการเกี่ยวกับดิจิตอล
ในทางตรงกันข้ามกับการบอกว่าประวัติศาสตร์เป็นสังคมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์อย่างฮิวจ์ เทรเวอร์-โรเปอร์, จอห์น ลูคักส์, โดนัลด์ เครตัน, เกิร์ทรูด ฮิมเมลฟาร์บ, และเจอร์ราด ริทเตอร์ ได้โต้เถียงว่าจุดสำคัญในงานของนักประวัติศาสตร์ คือ พลังของการจินตนาการ และดังนั้นจึงคัดค้านว่าประวัติศาสตร์ควรถูกเข้าใจว่าเป็นศิลปะ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในสำนักแอแน็ลได้เสนอประวัติศาสตร์เชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูลดิบในการติดตามชีวิตของปัจเจกตัวอย่าง และเป็นสิ่งสำคัญในการสถาปนาประวัติศาสตร์วัฒนธรรม (cf. histoire des mentalités) นักประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาอย่าง เฮอเบิร์ต บัทเทอร์ฟิลด์, แอ็นสท์ โนลต์, และจอร์จ มอส ได้โต้เถียงในเรื่องความสำคัญของแนวคิดในประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุคสิทธิพลเมือง สนใจในผู้คนที่ถูกหลงลืมโดยทางการอย่าง ชนกลุ่มน้อย, เชื้อชาติ, และกลุ่มทางเศรษฐกิจสังคม ส่วนประเภทของประวัติศาสตร์สังคมอื่นที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ Alltagsgeschichte (ประวัติศาสตร์ของชีวิตในทุก ๆ วัน) นักวิชาการอย่าง มาร์ติน บร็อซาท, เอียน เคอร์ชอว์, และเด็ทเลฟ พ็อยแคร์ท ได้ค้นหาเพื่อศึกษาว่าชีวิตในทุก ๆ วันของคนธรรมดาเป็นอย่างไรในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสมัยนาซี
นักประวัติศาสตร์มาร์กซิสต์อย่าง อีริก ฮอบส์บอวม์, อี พี ทอมป์สัน, โรดนีย์ ฮิลตัน, ฌอร์ฌ เลอแฟฟวร์, ยูจีน จีโนเวสซี, ไอแซค ดอยช์เชอร์, ซี แอล อาร์ เจมส์, ทีโมธี เมสัน, เฮอเบิร์ต แอปเธเคอร์, อาร์โน เจ เมเยอร์, และ คริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ได้ค้นคว้าเพื่อยืนยันทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ โดยการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์จากมุมมองแบบมาร์กซิสต์ ซึ่งผลตอบรับจากการตีความประวัติศาสตร์แบบมาร์กซิสต์นี้ นักประวัติศาสตร์อย่าง ฟรองซัว ฟูเรต์, ริชาร์ต ไปปส์, เจ ซี ดี คลาร์ก, โรล็อง มูนเย, เฮนรี แอชบี เทอเนอร์, และ โรเบิร์ต คอนเควสต์ ได้เสนอการตีความประวัติศาสตร์แบบต่อต้านมาร์กซิสม์ นักประวัติศาสตร์สตรีนิยมอย่าง โจน วัลแลค สก็อตต์, คลาวเดีย คูนส์, นาตาลี ซีมอน เดวีส์, ชีเลีย โรว์บอธแธม, กีเซลา บ็อค, เกอร์ดา เลอร์เนอร์, เอลิซาเบ็ธ ฟอกซ์-จีโนวีเซ, และลินน์ ฮันต์ ได้โต้ในเรื่องความสำคัญในการศึกษาประสบการณ์ของผู้หญิงในอดีต โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นักคิดหลังยุคนวนิยมได้พยายามท้าทายการยืนยันได้และความต้องการในการศึกษาประวัติศาสตร์อยู่บนพื้นฐานว่า ประวัติศาสตร์ทั้งหมดอยู่บนฐานของการตีความส่วนบุคคลในแหล่งข้อมูลนั้น ซึ่งในปี 1997 หนังสือ In Defence of History ของรีชาร์ต เจ อีวานส์ได้พยายามแก้ต่างถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์ และได้มีการแก้ต่างจากการวิจารณ์แนวยุคหลังสมัยใหม่ในหนังสืออย่าง The Killing of History ที่ออกจำหน่ายเมื่อ 1997 ของคีธ วินด์ชคัตเทิล อีกด้วย
ในวันนี้ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ได้เริ่มต้นกระบวนการวิจัยของพวกเขาในหอจดหมายเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ดิจิตอลหรือเป็นกายภาพก็ตาม พวกเขามักจะเสนอข้อโต้เถียงและใช้งานวิจัยของพวกเขามาสนับสนุน จอห์น เอช อาร์โนลด์ได้เสนอว่า ประวัติศาสตร์ คือ การโต้เถียง ซึ่งสร้างความเป็นไปได้ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง บริษัทสารสนเทศดิจิตอลอย่าง กูเกิล ได้จุดประกายความขัดแย้งขึ้นเหนือบทบาทของการตรวจพิจารณาทางอินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ
=== ทฤษฎีแบบมาร์กซ ===
ทฤษฎีมาร์กซิสต์ในเรื่องวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ได้ให้ทฤษฎีว่า สังคมถูกเกิดขึ้นมาโดยรากฐานมาจากเงื่อนไขเชิงวัตถุ ณ เวลาใด ๆ หรือในอีกความหมายหนึ่ง เงื่อนไขเชิงวัตถุ คือ ความสัมพันธ์ที่ผู้คนมีต่อผู้อื่นในการเติมเต็มความต้องการพื้นฐาน เช่น การให้อาหาร, การสวมใส่เสื้อผ้า, การอยู่อาศัยของเขาและครอบครัวของเขา โดยทั้งหมดทั้งมวล มาร์กซและเอ็งเงิลส์ได้อ้างว่าพวกเขาสามารถระบุได้ว่ามีอีกห้าระดับที่ยังเหนือไปกว่านี้ในการพัฒนาเงื่อนไขเชิงวัตถุในยุโรปตะวันตก นักประวัติศาสตร์นิพนธ์มาร์กซิสต์แต่เดิมแล้วเป็นสายมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม แต่เมื่อการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1991 มิกเฮล ครอม บอกว่า การศึกษาเหล่านี้ได้ถูกลดรูปเป็นเพียงการศึกษาชายขอบเท่านั้น
=== ความขาดตกบกพร่องศักยภาพในการผลิตประวัติศาสตร์ ===
นักประวัติศาสตร์หลายท่านเชื่อว่า การผลิตประวัติศาสตร์ถูกแผงด้วยอคติเพราะว่าเหตุการณ์และข้อเท็จจริงที่รับรู้ในประวัติศาสตร์สามารถตีความได้อย่างหลากหลาย คอนสแตนติน ฟาโซลต์ แนะนำว่า ประวัติศาสตร์ถูกเชื่อมโยงกับการเมืองจากการปฏิบัติที่สร้างความเงียบของตัวมันเอง ซึ่งกล่าวเสริมอีกว่า มุมมองที่สองที่เป็นสามัญในการเชื่อมโยงระหว่างประวัติศาสตร์และการเมืองวางอยู่บนการสำรวจพื้นฐานที่ว่านักประวัติศาสตร์มักจะถูกได้รับอิทธิพลโดยการเมือง การปกปิดทางประวัติศาสตร์สามารถเกิดขึ้นได้หลายทางและสามารถมีผลกระทบสำคัญต่อการบันทึกประวัติศาสตร์ ข้อมูลสารสนเทศทั้งยังสามารถถูกเอาออกอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นักประวัติศาสตร์ได้วางจำกัดความคำต่าง ๆ ที่อธิบายถึงการกระทำที่พยายามปกปิดสารสนเทศเชิงประวัติศาสตร์ อย่าง การทำให้เงียบสงบ, และการลบเลือนความทรงจำ เกอร์ดา เลอร์เนอร์ นักประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่สนใจอย่างมากในผลงานของเขาที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงและการกระทำของพวกเขา ได้อธิบายว่าการปกปิดเหล่านี้เกิดผลสะเทือนทางลบกับชนกลุ่มน้อย
นักประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อม วิลเลียม โครนอน ได้เสนอสามแนวทางเพื่อปะทะกับอคติและทำให้มั่นใจว่าจะได้เรื่องเล่าที่มีการยืนยันและมีความถูกต้อง ประกอบด้วย เรื่องเล่าเหล่านั้นจะต้องไม่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่แล้ว, เรื่องเล่าเหล่านั้นต้องทำให้เกิดความสมเหตุสมผลเชิงนิเวศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อม), และงานที่ถูกเผยแพร่ออกมาแล้วนั้นจะต้องได้รับการทบทวนจากชุมชนวิชาการและนักประวัติศาสตร์คนอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีความชอบแล้ว
== พื้นที่การศึกษา ==
=== ยุคสมัย ===
การศึกษาประวัติศาสตร์มักให้ความสนใจเหตุการณ์และพัฒนาการที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ นักประวัติศาสตร์ตั้งชื่อเวลาแก่ยุคสมัยเหล่านี้เพื่อให้นักประวัติศาสตร์ใช้ "จัดระเบียบความคิดและหลักการที่จำแนกประเภท" ชื่อที่ตั้งแก่ยุคสมัยมีได้หลากหลายตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่นเดียวกับวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดยุคสมัยหนึ่ง ๆ เวลาที่มักใช้กันคือ ศตวรรษและทศวรรษ และเวลาที่อธิบายก็ขึ้นอยู่กับระบบการนับเวลาที่ใช้ ยุคสมัยส่วนใหญ่ถูกสร้างย้อนหลัง ฉะนั้นจึงสะท้อนการตัดสินคุณค่าของอดีต วิธีที่ยุคสมัยถูกสร้างขึ้นและชื่อที่ตั้งแก่ยุคสมัยสามารถสะท้อนมุมมองและการศึกษายุคสมัยนั้น ๆ ได้
=== ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ===
ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์หนึ่ง ๆ สามารถเป็นพื้นฐานของการศึกษาประวัติศาสตร์ได้ อาทิ ทวีป ประเทศหรือนคร การทำความเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นนั้นมีความสำคัญ นักประวัติศาสตร์มักทำความเข้าใจด้วยการศึกษาภูมิศาสตร์ รูปแบบลมฟ้าอากาศ การประปา และภูมิทัศน์ของสถานที่หนึ่ง ๆ ล้วนกระทบต่อชีวิตของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ในการอธิบายว่าเหตุใดชาวอียิปต์โบราณจึงพัฒนาอารยธรรมได้สำเร็จ การศึกษาภูมิศาสตร์อียิปต์มีความสำคัญ อารยธรรมอียิปต์ถูกสร้างขึ้นริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ซึ่งเอ่อท่วมทุกปี และมีตะกอนทับถมริมฝั่งแม่น้ำ ดินที่อุดมสมบูรณ์ช่วยให้เกษตรกรปลูกพืชผลพอเลี้ยงประชากรในนคร ซึ่งหมายความว่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำการเกษตร ฉะนั้นบางคนจึงสามารถทำงานอย่างอื่นซึ่งช่วยยยยยย
=== ภูมิภาค ===
* ประวัติศาสตร์แอฟริกา เริ่มต้นด้วยการถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกของมนุษย์สมัยใหม่บนทวีป มาถึงปัจจุบันซึ่งมีรัฐชาติที่มีความหลากหลายและกำลังพัฒนาทางการเมือง
* ประวัติศาสตร์อเมริกา เป็นประวัติศาสตร์ร่วมทั้งทวีปอเมริกาเหนือและใต้ รวมทั้งอเมริกากลางและแคริบเบียน แบ่งเป็น
** ประวัติศาสตร์อเมริกาเหนือ
** ประวัติศาสตร์อเมริกากลาง
** ประวัติศาสตร์แคริบเบียน
** ประวัติศาสตร์อเมริกาใต้
* ประวัติศาสตร์แอนตาร์กติกา เริ่มตั้งแต่ทฤษฎีทวีปใหญ่ของตะวันตกช่วงแรก ที่เรียกว่า Terra Australis ซึ่งเชื่อกันว่ามีอยู่ทางใต้ของโลก
* ประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย เริ่มต้นจากเอกสารพยานประกอบการค้าของมากัสซาร์กับชาวออสเตรเลียพื้นเมืองบนชายฝั่งทางเหนือของออสเตรเลีย
* ประวัติศาสตร์นิวซีแลนด์ สืบย้อนไปได้อย่างน้อย 700 ปีเมื่อชาวโพลีนีเซียค้นพบและเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาวัฒนธรรมเมารี
* ประวัติศาสตร์หมู่เกาะแปซิฟิก ครอบคลุมประวัติศาสตร์ของหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
* ประวัติศาสตร์ยูเรเซีย เป็นประวัติศาสตร์ร่วมของภูมิภาคชายฝั่งหลายแห่ง ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป เชื่อมกันด้วยแผ่นดินภายในที่เป็นทุ่งหญ้าสเต็ปป์ของยูเรเซีย คือ เอเชียกลางและยุโรปตะวันออก
** ประวัติศาสตร์ยุโรป อธิบายตั้งแต่มนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยในทวีปยุโรปจนถึงปัจจุบัน
** ประวัติศาสตร์เอเชีย แบ่งเป็น
*** ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก เป็นการศึกษาอดีตที่ผ่านมาจาก "รุ่น" สู่ "รุ่น"
*** ประวัติศาสตร์ตะวันออกกลาง เริ่มต้นจากอารยธรรมแรกสุดในภูมิภาค เมื่อ 30000 ปีก่อนคริสตกาลในเมโสโปเตเมีย
*** ประวัติศาสตร์เอเชียใต้ เป็นการศึกษาในภูมิภาคใต้เทือกเขาหิมาลัย
*** ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะของปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐในภูมิภาคกับต่างชาติ
== การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย ==
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใน พ.ศ. 2459 มีการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นวิชาความรู้พื้นฐานสำหรับนิสิตในคณะต่าง ๆ (นโยบายนี้ยังปรากฏในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) ซึ่งเปิดสอนใน พ.ศ. 2477 ด้วย) ต่อมา ในปลายปี พ.ศ. 2466 เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย ทรงดำเนินการปรับปรุงคณะแพทยศาสตร์และคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงจัดหลักสูตรสำหรับวิชาประวัติศาสตร์ด้วยพระองค์เอง โดยทูลเชิญและเชิญผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางมาปาฐกถา เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบรรยายประวัติศาสตร์ไทย และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติทรงบรรยายอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียต่อวัฒนธรรมไทย เป็นต้น
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยจึงเปิดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดยก่อน พ.ศ. 2516 มีสถาบันอุดมศึกษาเพียง 2 แห่งที่เปิดสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับปริญญาโท คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในปัจจุบัน)
อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปัจจุบันสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐที่ทำการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
* หมวดวิชาประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
* วิชาโทประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
* สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
* ภาควิชาประวัติศาสตร์และศิลปะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
* สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
* ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
* สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
ส่วนสถานศึกษาของเอกชน ได้แก่
* สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
อนึ่ง นอกจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่จัดให้มีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกแล้ว หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงในงานด้านประวัติศาสตร์ของชาติคือสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และยังมีหน่วยงานเอกชนที่สนับสนุนการศึกษาด้านนี้ด้วย แต่การดำเนินงานไม่เป็นที่กว้างขวางและแพร่หลายนักในสังคม เช่น
* มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
* มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
* ศิลปวัฒนธรรมในเครือมติชน
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
=== หนังสือและบทความ ===
* ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และสุชาติ สวัสดิ์ศรี (บก.). ปรัชญาประวัติศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2527.
* ทวีศักดิ์ เผือกสม (บก.). หนังสือประมวลบทความในการประชุมทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน Wie es eigentlich gewesen ist โครงการวิธีวิทยาในการศึกษาประวัติศาสตร์''. มปท: มปพ, 2563.
=== เว็บไซต์ ===
*History Channel
*World Wide Web Virtual Library
หมวดหมู่:สังคมศาสตร์ |
767 | https://th.wikipedia.org/wiki/ปิน็อกกีโอ | ปิน็อกกีโอ | ภาพวาด ปิน็อกกีโอ โดยเอนริโก มัซซานติ ปี ค.ศ. 1883
ปิน็อกกีโอ (; ) เป็นวรรณกรรมเยาวชนภาษาอิตาเลียน ผลงานของ การ์โล กอลโลดี (Carlo Collodi) นักประพันธ์ชาวอิตาเลียน ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1880 เรื่องปิน็อกกีโอนี้ ได้กลายมาเป็นเรื่องอ่านเล่นคลาสสิกสำหรับเด็ก และแพร่หลายอย่างกว้างขวาง โดยมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ เผยแพร่ไปทั่วโลก ทั้งยังมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มากกว่า 20 ครั้ง โดยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดนั้น เป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวของ วอลต์ ดิสนีย์ (Walt Disney) ส่วนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ได้แก่ภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงในปี ค.ศ. 2002 กำกับและแสดงโดย Roberto Benigni ในชื่อเรื่อง พินอคคิโอ ฅนไม้ผจญภัย
ปิน็อกกีโอ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของหุ่นไม้ที่มีชีวิต กับพ่อผู้ยากจนของเขา เจปเปตโต ซึ่งเป็นช่างไม้ ปิน็อกกีโอมีลักษณะเด่นที่รู้จักกันดี คือ เมื่อพูดโกหก จมูกของเขาจะยาวขึ้น
กอลโลดีนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสำหรับเด็กตั้งแต่แรก ในเนื้อเรื่องดั้งเดิมนั้น ปิน็อกกีโอถูกแขวนคอตาย เนื่องจากทำความผิดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ได้แก้ไขในฉบับถัดมา ซึ่งตอนจบนั้น ได้แก้ให้หุ่นกระบอกนั้นกลายเป็นเด็กที่มีชีวิตจริง ๆ ซึ่งก็เป็นตอนจบที่เรารู้จักกันดี
== คำวิจารณ์ ==
นักวิจารณ์หลายคนได้ให้ความเห็นว่า ปิน็อกกีโอเป็นเรื่องราวของสังคมในสมัยนั้น โดยแสดงการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง ความเป็นที่นับหน้าถือตา กับสัญชาตญาณของความเป็นอิสระ ในยุคสมัยที่มีธรรมเนียมปฏิบัติที่เคร่งครัด ภายใต้ภาพพจน์ของการสั่งสอนในรูปแบบของการมองโลกในแง่ดี แต่เรื่องนี้นั้นกลับเป็นเรื่องที่แดกดันและเหน็บแนม เกี่ยวกับรูปแบบธรรมเนียมวิธีที่เป็นทางการ และการวางตัวในสังคมโดยทั่วไปที่ดูไม่มีเหตุผล
รูปแบบของเรื่องนั้นเป็นแนวทันสมัย และได้เป็นรูปแบบนำร่องให้กับนักเขียนในยุดถัดมา ภาษาอิตาเลียนที่ใช้ในเรื่องนั้น มีภาษาของชาวเมืองฟลอเรนซ์ ผสมผสานอยู่ทั่วไปในเนื้อเรื่อง และแนวความคิดหลายอย่างในเรื่อง ก็กลายมาเป็นแนวความคิดที่ใช้กันทั่วไป เช่น คำกล่าวที่ว่า คนจมูกยื่นจมูกยาว หมายถึง คนโกหก
เรื่องปิน็อกกีโอนั้น ได้รับความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ในตระกูลชนชั้นสูงนั้นในช่วงแรก ๆ ถือว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมกับเด็ก ๆ ที่ได้รับการศึกษาที่ดีแล้ว
คำว่า ปิน็อกกีโอ (Pinocchio) ในภาษาอิตาเลียน มาจากคำว่า pino คือ ต้นสน รวมกับคำว่า occhio คือ ตา
== ตัวละครที่เกี่ยวข้อง ==
* เจมินี คริกเก็ต
* นางฟ้าสีน้ำเงิน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* The Adventures of Pinocchio ภาษาอังกฤษ ที่ Project Gutenberg
* Pinocchio ภาษาอิตาเลียนตามเนื้อหาดั้งเดิม จากการพิมพ์ครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1883 และภาพประกอบดั้งเดิมโดย Enrico Mazzanti
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:วรรณกรรมเยาวชน
หมวดหมู่:วรรณกรรมภาษาอิตาลี
หมวดหมู่:ตัวละครชาวอิตาลี
หมวดหมู่:การ์ตูนของดิสนีย์
หมวดหมู่:ตัวละครภาพยนตร์
หมวดหมู่:วรรณกรรมในปี พ.ศ. 2423
หมวดหมู่:วรรณกรรมอิตาลี |
768 | https://th.wikipedia.org/wiki/โดราเอมอน | โดราเอมอน | โดราเอมอน () เป็นหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นชุด เขียนและวาดโดยฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ซึ่งเป็นนามปากกาของ ฮิโรชิ ฟูจิโมโตะ กับ โมโต อาบิโกะ เรื่องราวของหุ่นยนต์แมวชื่อโดราเอมอน โดยฟูจิโกะ ฟูจิโอะได้กล่าวว่าโดราเอมอนเกิดวันที่ 3 กันยายน มาจากอนาคตเพื่อกลับมาช่วยเหลือโนบิตะ เด็กประถมจอมขี้เกียจด้วยของวิเศษจากอนาคต โดราเอมอนเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2512 โดยสำนักพิมพ์โชงากูกัง โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 1,344 ตอน ต่อมาในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2540 การ์ตูนเรื่องโดราเอมอนได้รับรางวัลเทซูกะ โอซามุ ครั้งที่ 1 ในสาขาการ์ตูนดีเด่น อีกทั้งยังได้รับเลือกจากนิตยสารไทม์เอเชีย ให้เป็น 1 ในวีรบุรุษของทวีปเอเชีย จากประเทศญี่ปุ่น จากนั้นในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551 โดราเอมอนก็ได้รับเลือกให้เป็นทูตสันถวไมตรี เพื่อการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมญี่ปุ่น นอกจากนี้บริษัทบันได ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าการ์ตูนที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ยังได้ผลิตหุ่นยนต์โดราเอมอนของจริงขึ้นมาในชื่อว่า "My Doraemon" โดยออกวางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
ในประเทศไทย โดราเอมอนฉบับหนังสือการ์ตูนมีการตีพิมพ์โดยหลายสำนักพิมพ์ในช่วงก่อนที่จะมีลิขสิทธิ์การ์ตูน แต่ปัจจุบัน สำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดพิมพ์แต่เพียงผู้เดียว ส่วนฉบับอนิเมะ ออกอากาศครั้งแรกวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2525 ทางช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี ในปัจจุบัน และวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี-ดีวีดี โดยมีโรส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์
== โครงเรื่อง ==
เนื้อเรื่องส่วนมากจะเกี่ยวกับปัญหาของ โนบิตะ เด็กชายชั้น ป.4-5 ที่มักจะถูกเพื่อน ๆ แกล้ง (แต่บ่อยครั้งก็เป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัวเอง) ไม่ค่อยชอบทำการบ้าน ไม่ชอบอ่านหนังสือและไปโรงเรียนสายบ่อย ๆ สิ่งที่โนบิตะเก่งคือพันด้ายและนอน โดยมีเพื่อนที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่องคือ โดราเอมอน (โนบิตะทำอะไรไม่ค่อยเป็น ต้องพึ่งโดราเอมอนแทบทุกอย่าง) หุ่นยนต์แมวจากอนาคตที่คอยดูแลช่วยเหลือโนบิตะ อาหารที่โดราเอมอนชอบคือแป้งทอด ตลอดเวลาด้วยของวิเศษจากอนาคต ไจแอนท์ เด็กที่ดูเป็นอันธพาลแต่ที่จริงเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวและรักการร้องเพลง ซูเนโอะ ผู้มีฐานะทางบ้านดีที่สุดในกลุ่ม มีนิสัยชอบคุยโม้ เป็นคู่หูกับไจแอนท์ที่คอยกลั่นแกล้งโนบิตะอยู่ตลอด เดคิสุงิ เป็นเด็กเรียนเก่ง นิสัยดี รักความถูกต้อง มีน้ำใจ แต่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ชิซูกะ ผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มเป็นเด็กเรียนดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นเด็กสาวที่โนบิตะหลงรัก ในอนาคตก็ได้มาเป็นเจ้าสาวของโนบิตะด้วย ไจโกะ น้องสาวของไจแอนท์ ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ตัวละครสำคัญนอกจากนี้ก็มี โดเรมี หุ่นยนต์แมวที่มีกระเป๋า 4 มิติและของวิเศษ (แต่จะดูน่ารักในแบบผู้หญิงมากกว่า) เช่นเดียวกับโดราเอมอนผู้เป็นพี่ชาย คุณพ่อและคุณแม่ของโนบิตะ ซึ่งคุณแม่ดูจะมีบทบาทในเรื่องมากกว่าคุณพ่อ
แม้ว่าโนบิตะ ไจแอนท์ ซูเนโอะและคนอื่นจะดูเหมือนมีปัญหากันบ่อยแต่ลึกแล้วก็รักและช่วยเหลือกันดี จะเห็นได้จากตอนพิเศษต่างๆ ที่เด็กกลุ่มนี้ต้องออกไปผจญภัย (บางทีก็นอกโลก ใต้ทะเลหรือยุคไดโนเสาร์)
== ประวัติและที่มาของโดราเอมอน ==
การ์ตูนโดราเอมอน ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512 หลังฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ได้ลงโฆษณาการ์ตูนเรื่องใหม่ของเขาไว้ว่าจะมีตัวเอกที่ออกมาจากลิ้นชัก ในนิตยสารการ์ตูนฉบับต้อนรับปีใหม่ที่จะมาแทนการ์ตูนเจ้าชายจอมเปิ่น โดยมีการเขียนให้เหมาะกับผู้อ่านแต่ละระดับอายุ ซึ่งในเวลาต่อมาการ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และมีการสร้างตอนพิเศษเรื่อยมาทุกปี ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2548 เป็นปีครบรอบ 25 ปีของการฉายโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ออกมาเป็นตอนพิเศษอีกด้วย โดยมีวีซีดีออกมาครบแล้ว 30 แผ่น 30 ตอน และมีการนำตอนเก่ามาสร้างใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา และยังมีตอนที่ไม่ได้มาจากหนังสือการ์ตูน เรียงตามการออกฉายในโรงภาพยนตร์ที่ประเทศญี่ปุ่น
นอกจากโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ที่มีการฉายทุกปีแล้ว ยังมีภาพยนตร์การ์ตูนตอนพิเศษดังนี้ รวมโดราเอมอน ตอนพิเศษ ของ โรส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอร์ปอเรชั่น ทั้ง 8 ชุด
* ตอน "คุณยายของผม"
* ตอน "คืนก่อนแต่งงานของโนบิตะ"
* ตอน "โจรลึกลับโดราแปงกับสารท้าประลอง"
* ตอน "โดเรมี่ อาราระกับเหล่าเยาวชนในอดีต"
* ตอน "ปีศาจเจ้าปัญหา"
* ตอน "ย้อนอดีตหาโมโมทาโร่"
* ตอน "เหรียญทองในความฝันของโนบิตะ"
* ตอน "7 โดราเอมอนกับแมลงหุ่นยนต์"
* ตอน "ความลับของโดเรมี่"
* ตอน "ฉลองครบรอบ 25 ปีโดราเอมอน"
* ตอน "กำเนิดโดราเอมอน"
* ตอน "ผจญภัยใต้ทะเลลึก"
* ตอน "สงครามตะลุยอวกาศ"
* ตอน "เรื่องประหลาดกำเนิดโดราเอมอน"
* ตอน "ช้างน้อยฮานะจัง"
* ตอน "ช้างกับคุณลุง"
* ตอน "หลุมทิ้งขยะต่างมิติ"
* ตอน "ลูกตุ้มแห่งโชคลาภ"
* ตอน "ผีดุที่วัดหลังเขา"
* ตอน "ไขปริศนาตำนานอุราชิม่าทาโร่"
* ตอน "วันที่ผมเกิด"
* ตอน "ดาวเคราะห์กลับตาลปัตร"
* ตอน "ในอดีตแม่ก็คือโนบิตะ"
* ตอน "สวนสัตว์ในจินตนาการ ซาฟารีปาร์ค"
* ตอน "วิญญาณที่โนบิตะรัก"
* ตอน "เป็นราชาในโลกแห่งการพันด้าย"
* ตอน "ความรัก1วันอันแสนสั้นของโดราเอมอน"
* ตอน "แต่ว่ามันมีวิญญาณโผล่มานะ"
* ตอน "โนบิตะในตัวโนบิตะ"
* ตอน "ประเทศใต้ดินของโบบิตะ"
* ตอน "งานแข่งกีฬาสีของโนบิตะ"
* ตอน "เรื่องราวความฝันของโนบิตะ"
* ตอน "ของขวัญที่ส่งไปหาชิซูกะคือโนบิตะ"
* ตอน "การเดินทางไกลแบบเสี่ยงชีวิตของโนบิตะ "
* ตอน "ผจญภัยยุคหิน"
* ตอน "จงยืนด้วยขาของตัวเองนะ โนบิตะเอ๋ย"
* ตอน "แผนส่งหมาป่ากลับบ้าน"
* ตอน "ท่านเจ้าเมืองท่องอนาคต"
* ตอน "สมมุติการจากไปของโนบิตะ"
* ตอน "ปราสาทมิวฮาวเซ่นยินดีต้อนรับ"
* ตอน "อุปกรณ์คนติดเกาะ"
* ตอน "โนบิตะยอดมือปืน"
* ตอน "เครื่องตกของจำลองบ่อปลา"
* ตอน "สู้เค้า โนบิตะแมน"
* ตอน "สายการบินโนบิตะ"
* ตอน "แคปซูลกาลเวลา"
* ตอน "โนบิตะติดเกาะ"
* ตอน "บอลลูนรอบโลก"
* ตอน "แฮงไกรเดอร์สำหรับเด็ก"
* ตอน "อพาร์ทเมนท์รากไม้"
* ตอน "โนบิตะ ยอดนักดาบ"
* ตอน "เครื่องสร้างประเทศตามใจชอบ"
* ตอน "สงครามอวกาศวันทานาบาตะ"
* ตอน "ฟ้าถล่มในวันทานาบาตะ"
* ตอน "และแล้วพวกเราก็ออกเดินทาง"
* ตอน "ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมผีสิง"
* ตอน "ชายลึกลับจากโลกอนาคต"
* ตอน "ท่านขุนแห่งศตวรรษที่21"
* ตอน "มานั่งเครื่องบินแมลงกันเถอะ"
* ตอน "งานวันเกิดแบบรากหญ้าสุดหรูของชืเนโอะ"
* ตอน "สมบัติลับบนเกราะหัวกะโหลก"
* ตอน "สีแรงโน้มถ่วง"
* ตอน "ขอต้อนรับสู่ใจกลางโลก"
* ตอน "สำรวจเมืองใต้ดิน"
* ตอน "หน่วยกู้ภัยค้นหาโนบิตะ"
* ตอน "มีโนบิตะแค่ตัวเดียวในโลก"
* ตอน "โกลาหลสุดๆกับลูกของโนบิตะ"
=== เพลงประกอบ ===
ฉบับปี พ.ศ. 2516
1. โดราเอมอน (ドラえもん) ขับร้องโดย ฮารุมิ ไนโต และ คณะ NLT
ฉบับปี พ.ศ. 2522
1. โดราเอมอน โนะ อูตะ (ドラえもんのうた) ขับร้องโดย คูมิโกะ โอซูงิ (2 เมษายน 2522 - 2 ตุลาคม 2535)
2. โดราเอมอน โนะ อูตะ (ドラえもんのうた) ขับร้องโดย ซาโตโกะ ยามาโนะ (9 ตุลาคม 2535 - 20 กันยายน 2545)
3. โดราเอมอน โนะ อูตะ (ドラえもんのうた) ขับร้องโดย โตเกียวพูริน (4 ตุลาคม 2545 - 11 เมษายน 2546)
4. โดราเอมอน โนะ อูตะ (ドラえもんのうた) ขับร้องโดย มิซาโตะ วาตานาเบะ (18 เมษายน 2546 - 23 เมษายน 2547)
5. โดราเอมอน โนะ อูตะ (ドラえもんのうた) ขับร้องโดย อาจิ (AJI) (30 เมษายน 2547 - 18 มีนาคม 2548)
ฉบับปี พ.ศ. 2548
1. โดราเอมอน โนะ อูตะ (ドラえもんのうた) แบบดนตรีบรรเลง บรรเลงโดย ทเวลฟ์ เกิลส์ แบนด์ (15 เมษายน - 21 ตุลาคม 2548)
2. ฮากูชิจาโอ (はぐShichao) ขับร้องโดย อากิ โยโกะ (28 ตุลาคม 2548 - 20 เมษายน 2550)
3. ยูเมะ โอะ คานาเอเตะ โดราเอมอน (夢をかなえてドラえもん) ขับร้องโดย MAO (11 พฤษภาคม 2550 - 29 มีนาคม 2562, 12 เมษายน - 6 กันยายน 2562)
4. โดราเอมอน โนะ อูตะ (ドラえもんのうた) ขับร้องโดย โดราเอมอน (มิสึตะ วาซาบิ), โนบิตะ (เมงูมิ โอฮาระ), ชิซูกะ (ยูมิ คากาซุ), ซึเนโอะ (โทโมกาซุ เซกิ), ไจแอนท์ (ซูบารุ คิมูระ) (5 เมษายน 2562)
5. โดราเอมอน (ドラえもん) ขับร้องโดย โฮชิโนะ เก็น (5 ตุลาคม 2562 - ปัจจุบัน)
== โดราเอมอนกับประเทศไทย ==
ด้านหลังแฮนด์บิลภาพยนตร์โดเรมอน ตอนผจญภัยไดโนเสาร์
การ์ตูนโดราเอมอนฉบับหนังสือการ์ตูนภาษาไทย สร้างปรากฏการณ์เป็นที่กล่าวถึงในวงการการ์ตูนเป็นอย่างมาก เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงกลางปี พ.ศ. 2524 โดยสำนักพิมพ์ธิดาน้อย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสำนักพิมพ์มิตรไมตรี โดยตั้งชื่อการ์ตูนเรื่องนี้ว่า "โดราเอมอน แมวจอมยุ่ง" แปลเป็นภาษาไทยโดย อนุสรณ์ สถิรวัฒน์ ต่อมา สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ก็ได้มีการตีพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้เช่นกันแต่เลือกใช้ชื่อว่า "โดเรมอน" เพื่อไม่ให้ซ้ำกับทางสำนักพิมพ์แรก ในสมัยนั้นยังเป็นช่วงของหนังสือการ์ตูนที่ยังไม่มีการซื้อลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องจากทางญี่ปุ่น ทั้ง 2 สำนักพิมพ์จึงไม่ได้พิมพ์ตอนตามลำดับของต้นฉบับทำให้มีการลงตอนซ้ำกัน โดราเอมอนได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้ง 2 สำนักพิมพ์จึงแข่งกันทางด้านความถี่ของการออกจัดจำหน่ายจากเดือนละเล่มในช่วงต้นก็เปลี่ยนเป็นเดือนละ 2 เล่มจนถึงอาทิตย์ละเล่ม สุดท้ายทางสำนักพิมพ์ธิดาน้อย ก็พิมพ์ถึงเดือนละ 3 เล่ม พิมพ์ไม่น้อยกว่า 70,000 เล่มต่อครั้ง ด้วยความถี่ในการพิมพ์และการไม่มีการจัดลำดับถูกต้องตามต้นฉบับ ทำให้ในเวลาเพียง 7-8 เดือนการ์ตูนเรื่องนี้ก็ตีพิมพ์ครบทุกตอนตามต้นฉบับของ ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ที่ใช้เวลาเขียนติดต่อกันร่วม 10 ปี
หลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้เห็นความนิยมของโดราเอมอนจึงได้มีการตีพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้ลงเป็นตอนๆ ในแต่ละวันโดยเริ่มวันแรกวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 ถือได้ว่าเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องแรกที่มีการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ เนื่องจากต้องการไม่ให้ชื่อซ้ำกับทาง 2 สำนักพิมพ์แรก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐจึงได้ตั้งชื่อใหม่อีกเป็น "โดรามอน เจ้าแมวจอมยุ่ง" ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนไทยเรียกชื่อ โดราเอมอน ต่างกันหลายชื่อ
สำนักพิมพ์สุดท้ายที่ตีพิมพ์โดราเอมอนฉบับหนังสือการ์ตูนในยุคนั้นคือ สยามสปอร์ตพับลิชชิง หรือ สยามอินเตอร์คอมิกส์ ในปัจจุบันและใช้ชื่อตามหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ แต่มีการแถมรูปลอกมาพร้อมในเล่ม อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์ที่ใหญ่โตที่ แดนเนรมิต ใช้ชื่องานว่า "โลกของโดรามอน" จัดให้มีกิจกรรมมากมายเช่น การประกวดร้องเพลงโดราเอมอนภาษาไทย ซึ่งร่วมมือกับค่ายเพลง อโซน่า ถึง 6 เพลง อีกทั้งยังมีนำเข้าสินค้าตัวละครโดราเอมอนจาก ประเทศฮ่องกง มาจำหน่ายในงานอีกด้วย จนในปัจจุบันการ์ตูนเรื่องนี้ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างถูกต้อง โดยสำนักพิมพ์ เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ ซึ่งมีการตีพิมพ์ 45 เล่ม และมีการรวมเล่มพิเศษอีกหลายฉบับเช่น โดราเอมอนชุดพิเศษ โดราเอมอนพลัส และโดราเอมอนบิ๊กบุคส์ อีกทั้งยังมีตีพิมพ์ซ้ำแล้วหลายรอบ
ในปี พ.ศ. 2525 ทาง ไชโยภาพยนตร์ ได้มีการฉาย โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ ขึ้นถึง 2 ตอนด้วยกันคือตอน ไดโนเสาร์ของโนบิตะและโนบิตะนักบุกเบิกอวกาศ ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ทาง ช่อง 9 ก็ได้มีการออกอากาศ โดราเอมอนฉบับการ์ตูนทีวี ทางโทรทัศน์ เริ่มเมื่อวันที่ 5 กันยายน ในปีเดียวกัน (พ.ศ. 2525) ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดีเช่นกัน ทำให้ช่อง 9 ได้รับการยอมรับในเรื่องของการออกอากาศภาพยนตร์การ์ตูนทางโทรทัศน์ และทีมนักพากย์การตูนอีกด้วย (นิตยสาร a day, 2545: 70) สำหรับในปัจจุบัน โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์มีการจัดฉายในโรงภาพยนตร์เป็นประจำทุกปีอีกครั้ง โดยบริษัทดับบลิวพีเอ็มฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล เริ่มในปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ส่วนโดราเอมอนฉบับการ์ตูนทีวีนั้นก็มีการฉายซ้ำเป็นระยะและฉายตอนใหม่อยู่เรื่อยๆ ทาง ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี
นอกจากจะเป็นที่รู้จักกันดีถึงประเทศนี้แล้ว จนถึงกับมีการทำเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นไทย โดยฝีมือคนไทย ทางบริษัทไรท์บียอนด์ จำกัด ทำการ์ตูนไทยโดราเอมอน ชุด "นิทานของโนบิตะ" โดราเอมอนชอบโดรายากิ ส่วนโนบิตะชอบเรียน ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ มหาสนุก และนิทานสนุกสนาน ซึ่งออกจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี
ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 โดราเอมอนฉบับการ์ตูนโทรทัศน์ ทางทีวีอาซาฮี จะมีการออกอากาศตอนที่มีฉากในประเทศไทยที่จะมาตามหาแมวในประเทศไทย โดยมีฉากที่ ถนนข้าวสาร วัดอรุณราชวราราม วัดพระราม ที่อยุธยา ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี จนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีเปลี่ยนผู้พากย์บางคนบ้าง โดยมีทีมนักพากย์ตัวละครหลักดังนี้
* ฉันทนา ธาราจันทร์ ให้เสียงเป็น โดราเอมอน และแม่ของซูเนโอะ
* ศันสนีย์ สมานวรวงศ์ ให้เสียงเป็น โนบิตะ และแม่ของชิซูกะ
* กัลยาณี กรรสมบัติ >> ต่อมาเปลี่ยนเป็น ศรีอาภา เรือนนาค (จนถึงปัจจุบัน) ให้เสียงเป็น ชิซูกะ และ เซวาชิ
* นิรันดร์ บุญยรัตพันธุ์ (เฉพาะเดอะมูฟวี่) ธนกฤต เจนคลองธรรม ให้เสียงเป็น ไจแอนท์
* อรุณี นันทิวาส ให้เสียงเป็น ซูเนโอะ โดรามี และแม่ของไจแอนท์
* เรวัติ ศิริสรรพ >> ต่อมาเปลี่ยนเป็น หฤษฎ์ ภูมิดิษฐ์ >> ไกวัล วัฒนไกร >> ต่อมาเปลี่ยนเป็น สุภาพ ไชยวิสุทธิกุล ให้เสียงเป็น พ่อของโนบิตะ (โนบิ โนบิสุเกะ) และครู
* สุลัคษณา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ให้เสียงเป็น แม่ของโนบิตะ (โนบิ ทามาโกะ) และเดคิซุงิ
== ของวิเศษ ==
ของวิเศษของโดราเอมอน เป็นอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบที่โดราเอมอน หยิบนำมาใช้ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ในกระเป๋า 4 มิติ ที่อยู่ที่หน้าท้องของโดราเอมอน ของวิเศษส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ในนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งบางอย่างก็จะเป็นการดัดแปลงจากข้าวของเครื่องใช้ในบ้านของชาวญี่ปุ่นเอง และยังมีของวิเศษบางชิ้นก็อ้างถึงความเชื่อทางศาสนาของประเทศญี่ปุ่น ของวิเศษในเรื่องโดราเอมอนนั้นมีประมาณ 4,500 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะปรากฏออกมาให้เห็นเพียงตอนเดียว แต่ก็ยังมีของวิเศษบางชิ้นที่โดราเอมอนหยิบออกจากกระเป๋านำมาใช้บ่อยครั้ง
ศาตราจารย์ยาสึยูกิ โยโกยามะ แห่งมหาวิทยาลัยโทยามะ ได้ทำการวิจัยผลงานเรื่องโดราเอมอน และเปิดเผยว่าของวิเศษที่โดราเอมอนหยิบออกมาจากกระเป๋า 4 มิติ มีทั้งหมด 1,963 ชิ้น ในขณะที่เว็บไซต์ Doraemon Fanclub บันทึกจำนวนของวิเศษเอาไว้ทั้งหมด 1,812 ชิ้น
== ความนิยมและส่วนเกี่ยวข้อง ==
โดราเอมอนเป็นการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย และแม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงไปนานแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นที่นิยมกันอยู่ โดยมีการพิมพ์ใหม่ หรือนำออกมาฉายซ้ำออกอากาศอยู่เรื่อยๆ
เคยมีการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาว่าสาเหตุที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่นิยมมากนั้น เป็นเพราะตัวละครโนบิ โนบิตะ มีลักษณะเป็นคนอ่อนแอ ขี้แพ้ ทำอะไรก็มักไม่ค่อยสำเร็จ หากมีเรื่องที่ถนัดอยู่บ้างก็เป็นเรื่องที่สังคมไม่ให้ความสำคัญหรือการยกย่อง เช่น เล่นพันด้าย หรือ ยิงปืนแม่น และเนื่องจากลักษณะนี้เองทำให้ผู้อ่านส่วนใหญ่มีความรู้สึก "มีส่วนร่วม" และเปิดใจให้ตัวละครอย่างโนบิตะเข้ามาในจิตใจได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าตนเองคือผู้แพ้ คือผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกรังแก ไร้ความสามารถ หน้าตาไม่ดี ไม่มีความสามารถ และย่อมอยากและหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้มาช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ให้แก่เรา ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือ โดราเอมอนนั่นเอง
โดราเอมอนนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นแม่อย่างหนึ่งก็ได้ จากเรื่องจะเห็นได้ว่า โดราเอมอนมักออกมาช่วยเหลือ ปกป้อง แก้ปัญหาให้โนบิตะ ในยามคับขันหรือเดือดร้อนเสมอๆ เป็นบทบาทของ "แม่ผู้ใจดี" ซึ่งก็คือสิ่งที่มนุษย์เราต้องการอยู่ลึกๆ และในบางตอนโดราเอมอนก็แสดงบท "แม่ใจร้าย" คือการแก้เผ็ดหรือปล่อยให้โนบิตะผจญกับความยากลำบากที่มักเป็นผู้ก่อขึ้นเองจากความรู้สึกในด้านชั่วร้าย เช่น การอิจฉาริษยาผู้อื่น การเกลียดชังผู้อื่น การโกหก เพื่อเป็นการสั่งสอนโนบิตะให้รู้จักความผิดชอบชั่วดี
* ประเทศแรกที่ฉายโดราเอมอนต่อจากญี่ปุ่น คือฮ่องกง ใน พ.ศ. 2524
* หนังสือการ์ตูนโดราเอมอนมีหลายภาษาด้วยกัน ไม่ต่ำกว่า 9 ภาษาทั่วโลก ตีพิมพ์ในประเทศ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศสเปน ประเทศจีน และประเทศเวียดนาม เป็นต้น
* ประเทศเวียดนาม นิยมการ์ตูนโดราเอมอนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีมูลนิธิเพื่อการศึกษาโดราเอมอน เริ่มตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2536 แบบไม่ถูกลิขสิทธิ์ และใน พ.ศ. 2541 จึงมีการตีพิมพ์ฉบับลิขสิทธิ์ ก็ยังได้รับความนิยมเสมอมา
* พ.ศ. 2525 หนึ่งในผู้ให้กำเนิดโดราเอมอน ฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ ได้เดินทางมาประชาสัมพันธ์โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ให้กับทางไชโยภาพยนตร์ และออกรายการ "อาทิตย์ยิ้ม" ของดำรง พุฒตาล ทางช่อง 9
* พ.ศ. 2531 โดราเอมอนได้รับเกียรตินำไปสร้างเป็นบอลลูนขนาดยักษ์ชื่อ "โดราบารูคุง" โดยปล่อยให้ลอยอยู่บนท้องฟ้ามาเป็นเวลานาน 12 ปี และจากนั้นในปี พ.ศ. 2543 ก็ได้มีการสร้างบอลลูนลูกใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า "โดราเน็ตสึคิคิว นิโกคิ"
* พ.ศ. 2535 ในการประกวดแข่งขันรถพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงาน ได้มีการผลิตรถพลังแสงอาทิตย์ตามตัวละครโดราเอมอนขึ้นมา เรียกว่า "โซราเอมอน"
* พ.ศ. 2540 ในวันที่ 2 พฤษภาคม สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานข่าวการวางจำหน่ายแสตมป์โดราเอมอนที่ประเทศญี่ปุ่น มีสีเขียว ส้ม ชมพู และสีน้ำเงิน โดยมีการต่อแถวรอซื้อตั้งแต่เช้า
* ในประเทศญี่ปุ่น มีรถไฟโดราเอมอนอยู่ด้วย โดยเป็นเส้นทางจากอาโอโมริไปฮาโกดาเตะ ตัวโบกี้มีการตกแต่งด้วยตัวละครจากโดราเอมอนทั้งภายนอกและภายใน และมีตู้รถไฟโดยสารพิเศษสำหรับแฟนคลับโดราเอมอน โดยมีภาพยนตร์การ์ตูน ของที่ระลึกจัดจำหน่าย รวมไปถึงพนักงานต้อนรับสวมหัวโดราเอมอนซึ่งคอยบริการอยู่บนรถไฟ
*ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2567 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้รับสิทธิ์ออกอากาศแต่เพียงผู้เดียวในไทย ได้จัดกิจกรรม Doraemon Run Thailand 2024 จำนวนทั้งหมด 5 สนาม
* ในปี พ.ศ. 2567 ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้มีการจัดนิทรรศการ 100% Doraemon & Friends Tour in Hong Kong เนื่องในวาระฉลองครบรอบ 90 ปี ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ ต่อมาปี พ.ศ. 2568 ได้มาจัดนิทรรศการที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคม ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม
== โดจินชิ ==
โดราเอมอนถูกนักวาดการ์ตูนคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้แต่งแท้จริงเขียนซ้ำ หรือที่เรียกว่า โดจินชิ ออกมามากมาย โดจินชิที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดก็คือ ผลงานของนักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น ยาซูเอะ ทาจิมะ ซึ่งยาซูเอะ ทาจิมะ ก็ได้ออกมากล่าวคำขอโทษและแก้ต่างว่าเธอเพียงแค่เขียนโดจินชิเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างอนิเมะฉบับจอเงิน (ไดโนเสาร์ของโนบิตะ 2006) เท่านั้น จึงทำให้คดีความทั้งหมดยุติลง
== ตอนจบของโดราเอมอน ==
การ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นการ์ตูนที่ไม่สมบูรณ์ (กล่าวคือไม่มีตอนจบ) เนื่องจากผู้เขียนได้เสียชีวิตไปก่อน แต่ก็มีหลายกระแสที่ออกมาบอกว่าผู้แต่งได้วางโครงเรื่องไว้ในตอนจบ ซึ่งต่างกันหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ที่นักอ่านชาวไทยรู้กันดีคือ โดราเอมอนและตัวละครเสริมอื่นๆ นั้นไม่มีจริง มีเพียงแค่โนบิ โนบิตะ เพียงคนเดียว ซึ่งโนบิตะในตอนจบนั้นที่จริงแล้วเป็นเด็กที่ไม่สบายใกล้เสียชีวิต อยู่ในโรงพยาบาล และเพื่อน ๆ ยืนอยู่ข้างเตียงของโนบิตะที่ใกล้ตายอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งตอนจบนี้มีความสะเทือนใจอย่างมาก ผิดไปจากการ์ตูนหลาย ๆ เรื่องที่ผู้เขียนเคยแต่งมา ซึ่งส่วนใหญ่จะจบลงด้วยดีมาตลอด{{Cite web |url=http://www.oknation.net/blog/print.php?id=82491 |title=โดราเอมอนมีตอนจบ
หนึ่งในรูปแบบของตอนจบคือ อยู่มาวันหนึ่ง โดราเอมอนก็เกิดแบตเตอรี่หมด แล้วหยุดทำงานเสียเฉย ๆ โนบิตะจึงปรึกษากับโดเรมี น้องสาวของโดราเอมอน โดเรมีบอกโนบิตะว่า ถ้าเปลี่ยนแบตเตอรี่ของโดราเอมอน ความจำทั้งหลายจะหายหมด เนื่องจากแบตเตอรี่สำรองไฟที่เก็บความจำของหุ่นยนต์รูปแมวนั้นเก็บไว้ที่หู และอย่างที่ทราบกันว่าโดราเอมอนไม่มีหู ดังนั้นถ้าเปลี่ยนแบตเตอรี่ เขาจะต้องสูญเสียความจำ ต้องนำไปซ่อมที่โลกอนาคต แต่การใช้ไทม์แมชชีน นั้นผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายใหม่ของโลกอนาคต ถ้าส่งโดราเอมอนกลับ โดราเอมอนจะมาหาโนบิตะอีกไม่ได้ ทำให้โนบิตะตัดสินใจไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่ แล้วโนบิตะจึงตัดสินใจตั้งใจเรียนจนเป็น นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก โดยเอาเรื่องโดราเอมอนที่แบตหมดมาเป็นแรงผลักดันขยันทุนเทหารักษาให้โดราเอมอนกลับมา โดยเอาตัวโดราเอมอนไปซ่อนไม่ให้มีใครรู้เรื่องนอกจากตนเพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วก็แต่งงานกับชิซูกะและสามารถซ่อมโดราเอมอนกับสร้างหูกับทำให้ร่างของโดราเอมอนเป็นตัวสีเหลืองก่อนถูกซื้อ กับเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้โดราเอมอนได้สำเร็จ โดยที่ความทรงจำไม่หายไป (โดยก่อนที่โนบิตะจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้โดราเอมอนได้เรียกชิซูกะมาดูโดราเอมอน) และเขาก็มีลูกชายชื่อโนบิซูเกะ และอยู่ด้วยกันอย่างมีสุข
สำหรับความเป็นไปได้ของตอนจบรูปแบบนี้ได้ปรากฏขึ้นใน "โดเรมีกับการผจญภัยของโนบิซูเกะ" ซึ่งเรื่องราวกล่าวถึงช่วงโดราเอมอนที่ได้รับการซ่อมแซมจากโนบิตะ ผ่านทางการทักทายของซิซูกะและโดรามี หลังจากที่ทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันมาร่วม 10 ปี โดยบทสนทนานั้นได้มีการพูดถึงโดราเอมอนที่ซ่อมแซมโดยโนบิตะและกลับไปยังยุคของเซวาชิ และในฉากที่โนบิตะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่องติดตามตัวลงในตัวมินิโดราสีแดงซึ่งเป็นผลจากการซ่อมแซมโดราเอมอน ทำให้โนบิตะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตนเองในที่สุด
อย่างไรก็ดี โดราเอมอนตอนจบทุกแบบก็ยังไม่มีหลักฐานที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนเพียงพอว่าเป็นตอนจบที่แท้จริง และอันที่จริงแล้วโดราเอมอนนั้นเคยจบไปแล้วครั้งหนึ่งในตอนสุดท้ายของรวมเล่มฉบับที่ 6 ชื่อตอนว่า "ลาก่อนโดราเอมอน" แต่เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการจากทั้งแฟน ๆ และทางสำนักพิมพ์ ในที่สุด ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ จึงได้กลับมาเขียนโดราเอมอนต่ออีกครั้ง
แต่จากหลักฐานในตอนต่างๆ ของโดราเอมอนที่มีจุดเชื่อมโยงกันคือ เป็นเนื้อเรื่องที่โดราเอมอนอยู่กับโนบิตะในวัยประถมเท่านั้น เพราะโนบิตะในวัยมัธยม วัยแต่งงานมีลูกจนวัยชรา เคยโผล่มาในบางตอนนั้น ไม่มีโดราเอมอนอยู่ในเหตุการณ์ในวัยต่างๆของโนบิตะเลย สรุปคือโดเรเอมอนมาอยู่กับโนบิตะถึงตอนจบวัยประถมแล้วกลับอนาคตไป
==หมายเหตุ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์ของโดราเอมอนอย่างเป็นทางการ
* เว็บทางการโดราเอมอนฉบับทีวีของทีวีอาซาฮิ
* โดราเอมอนในดวงใจ
* คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดราเอมอน โดยน้าชาติ ประชาชื่น น.ส.พ.ข่าวสด
* ไทยโดรา ข้อมูลโดราเอมอน รายชื่อของวิเศษ รวมชื่อตอนฉบับการ์ตูน รวมชื่อตอนแอนิเมชัน
* โดราเอมอน - นิตยสารผู้จัดการ
* http://modernine.mcot.net/cartoon/content_view.php?id=26&t=3
* Youtube - Love Doraemon
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นสำหรับเด็ก
หมวดหมู่:หนังสือการ์ตูนเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา
หมวดหมู่:ตัวละครที่เป็นปัญญาประดิษฐ์
หมวดหมู่:การ์ตูนทีวีแอนิเมชันเกี่ยวกับแมว
หมวดหมู่:ตัวละครกลุ่มห้า
หมวดหมู่:ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ
หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา
หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา
หมวดหมู่:มังงะที่ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ |
771 | https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อประเทศเรียงตามตัวอักษรภาษาไทย | รายชื่อประเทศเรียงตามตัวอักษรภาษาไทย | รายชื่อประเทศ (อย่างสั้น) เรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาไทย
* กัวเตมาลา
* กาบูเวร์ดี
* กินี-บิสเซา
* เกาหลีใต้
* เกาหลีเหนือ
* โกตดิวัวร์
* คอสตาริกา
* คาซัคสถาน
* คีร์กีซสถาน
* แคเมอรูน
* โครเอเชีย
* โคลอมเบีย
* จอร์เจีย
* เช็กเกีย (สาธารณรัฐเช็ก)
* ซานมารีโน
* ซาอุดีอาระเบีย
* ซิมบับเว
* ซูดานใต้
* เซนต์คิตส์และเนวิส
* เซนต์ลูเชีย
* เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
* เซอร์เบีย
* เซาตูแมอีปริงซีป
* เซียร์ราลีโอน
* โซมาเลีย
* ดอมินีกา
* เดนมาร์ก
* ตรินิแดดและโตเบโก
* ติมอร์-เลสเต
* ตูนิเซีย
* เติร์กเมนิสถาน
* ทาจิกิสถาน
* แทนซาเนีย
* นครรัฐวาติกัน
* นอร์เวย์
* นามิเบีย
* นิการากัว
* นิวซีแลนด์
* เนเธอร์แลนด์
* ไนจีเรีย
* บอตสวานา
* บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
* บังกลาเทศ
* บัลแกเรีย
* บาร์เบโดส
* บูร์กินาฟาโซ
* เบลเยียม
* โบลิเวีย
* ปากีสถาน
* ปาปัวนิวกินี
* ปารากวัย
* ปาเลสไตน์
* โปรตุเกส
* ฝรั่งเศส
* ฟินแลนด์
* ฟิลิปปินส์
* มองโกเลีย
* มอนเตเนโกร
* มอริเชียส
* มอริเตเนีย
* มัลดีฟส์
* มาซิโดเนียเหนือ
* มาดากัสการ์
* มาเลเซีย
* เม็กซิโก
* โมซัมบิก
* โมร็อกโก
* ไมโครนีเชีย
* โรมาเนีย
* ลักเซมเบิร์ก
* ลิทัวเนีย
* ลีชเทินชไตน์
* ไลบีเรีย
* วานูวาตู
* เวเนซุเอลา
* เวียดนาม
* ศรีลังกา
* สโลวาเกีย
* สโลวีเนีย
* สวิตเซอร์แลนด์
* สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
* สหราชอาณาจักร
* สาธารณรัฐคองโก
* สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
* สาธารณรัฐโดมินิกัน
* สาธารณรัฐแอฟริกากลาง
* สิงคโปร์
* หมู่เกาะคุก
* หมู่เกาะโซโลมอน
* หมู่เกาะมาร์แชลล์
* ออสเตรเลีย
* ออสเตรีย
* อันดอร์รา
* อัฟกานิสถาน
* อาเซอร์ไบจาน
* อาร์เจนตินา
* อาร์มีเนีย
* อิเควทอเรียลกินี
* อินโดนีเซีย
* อิสราเอล
* อุซเบกิสถาน
* อุรุกวัย
* เอกวาดอร์
* เอธิโอเปีย
* เอริเทรีย
* เอลซัลวาดอร์
* เอสโตเนีย
* เอสวาตินี
* แอนทีกาและบาร์บิวดา
* แอฟริกาใต้
* แอลจีเรีย
* แอลเบเนีย
* ไอซ์แลนด์
* ไอร์แลนด์
* ฮอนดูรัส
== อ้างอิง ==
* ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง
== ดูเพิ่ม ==
* ภูมิศาสตร์
* รายชื่อประเทศเรียงตามทวีป
* รายชื่อประเทศและเขตการปกครองเรียงตามขนาดพื้นที่ทั้งหมด
* รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร
* รายชื่อประเทศ ดินแดน และเมืองหลวง
* รายชื่อเขตการปกครอง
* รายชื่ออักษรคันจิที่ใช้เป็นชื่อประเทศ
หมวดหมู่:รายชื่อประเทศ |
774 | https://th.wikipedia.org/wiki/บักส์_บันนี | บักส์ บันนี | {{Infobox character
| name = บักส์ บันนี
| series = Looney Tunes/Merrie Melodies
| image = FB-111 Bugs Bunny Nose Art.jpeg
| caption =
| first = (as Happy Rabbit)April 30, 1938 (as Bugs Bunny) with hare characteristics
| gender = Male
| significant_other = Honey Bunny (comics and merchandise)Lola Bunny (since Space Jam)
| relatives = Clyde Bunny
| voice = Mel Blanc (1940-1989)Jeff Bergman (1990-1993, 1998, 2003, 2011-2019)<
บักส์ บันนี () เป็นตัวการ์ตูนใน ลูนีย์ทูนส์ และเดอะ ลูนี่ตูนส์ โชว์ ซึ่งการ์ตูนซีรีส์เป็นตอน ๆ และเป็นตัวการ์ตูนที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก บักส์บอกว่าเขาเกิดในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ที่ย่านบรูกลิน ในนครนิวยอร์ก แต่เสียงของ เมล แบลงก์ ซึ่งพากย์เสียงของ บักส์ บันนี เป็นสำเนียงลูกผสมระหว่างคนย่านบรองซ์กับบรูกลิน
บักส์เป็นที่รู้จักกันดีจากการเป็นคู่แค้นกับ เอลเมอร์ ฟัดด์ โยเซมิตี แซม มาร์วิน มาร์เชียนแม้กระทั่ง ไวลี อี. ไคโยตี (ซึ่งโดยปกติแล้วจะไล่ล่า โรด รันเนอร์)
(แต่ใน เดอะ ลูนี่ตูนส์ โชว์ พวกเขาเป็นเพื่อนของบักส์)
ทุกครั้งที่มีเรื่องมีราวกัน บักส์จะลงเอยเป็นผู้ชนะเสมอ โดยเฉพาะตอนที่กำกับโดย ชัคก์ โจนส์ ผู้ซึ่งชอบจับคู่ชน ระหว่าง "ผู้ชนะ" กับ "ผู้แพ้" เนื่องจากโจนส์เป็นห่วงว่า ในที่สุดผู้ชมจะหมดความเห็นอกเห็นใจให้กับ บักส์ ซึ่งเป็นผู้ชนะตลอด (โดยปกติ ผู้ชนะมักจะเป็นฝ่ายที่ก้าวร้าวกว่า) โจนส์จึงได้วางเนื้อเรื่องให้บักส์นั้นถูกรังแก ถูกล่อลวง และถูกข่มขู่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากอีกฝ่ายที่มีเรื่องกันเสมอ หลังจากถูกหาเรื่อง (ปกติแล้วจะเกิดขึ้น 3 ครั้ง) บักส์ก็จะพูดว่า "Of course, you realize this means war" (แน่นอน คุณก็เห็นว่านี่คือสงคราม) เป็นคำพูดที่โจนส์เอามาจาก เกราโช มาร์กซ และผู้ชมก็จะไม่ว่าอะไร ในลักษณะเป็นเชิงให้อนุญาตให้บักส์นั้น เริ่มใช้ความรุนแรงตอบโต้ได้
แต่ในตอนที่บักส์ พบกับตัวการ์ตูนที่เป็น "ผู้ชนะ" เหมือนกัน เช่น ซิซิล เดอะ เทอเทิล ใน Tortoise Beats Hare (กระต่ายกับเต่า) หรือใน WWII (สงครามโลกครั้งที่สอง) the Gremlin of Falling Hare บักส์มักจะเสียสถิติในการเป็นผู้ชนะ เนื่องจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
== ประวัติ ==
รูปปั้น บักส์ บันนี ในสวนสัตว์สาธารณะผีเสื้อ แห่งหนึ่ง ใน บังกลาเทศ
==== ช่วง ค.ศ. 1942 ====
ถัดมา บักส์ ก็ได้ไปปรากฏตัวในช่วงสั้นๆอีกเรื่อง ในการ์ตูนเกี่ยวกับการท่องเที่ยว Crazy Cruise ซึ่งออกมาในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1942 โดย เท็กซ์ เอฟวรีย์ และ โรเบิร์ต แคลมเพ็ต และนี่ก็เป็นตอนสุดท้ายที่กำกับโดย เท็กซ์ เอฟวรีย์ ในขณะที่ยังทำงานให้กับ"เทอร์ไมท์ เทอเรซ"
บักส์ และ เอลเมอร์ ได้พบกันอีกครั้งในตอน The Wabbit Who Came to Supper ของฟริซ เฟรเลง ออกมาในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1942 ในขณะที่ เอลเมอร์ กำลังล่าบักส์อยู่นั้น เขาได้รับโทรเลข แจ้งว่าเขาจะได้รับมรดก $3,000,000 จากลุงลูอีของเขา โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องเลิกทำร้ายสัตว์ โดยเฉพาะกระต่าย บักส์เลยฉวยโอกาสนี้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของ เอลเมอร์ ซะเลย และเรียกร้องสารพัด เอลเมอร์ ตอนหลังได้รับรู้ว่าลุงลูอี้ ได้เสียชีวิตแล้ว และเมื่อหักภาษีของการตกทอดมรดกแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือถึง เอลเมอร์ บักส์ได้รู้ดังนั้นก็เลยรีบเผ่นออกจากบ้านไปทันที หลังจากนั้นไม่นานบักส์ก็ส่งของขวัญมาให้ เอลเมอร์ ทางไปรษณีย์ ในกล่องของขวัญนั้นเต็มไปด้วยลูกกระต่าย ซึ่งเข้ามาอยู่เต็มบ้านของ เอลเมอร์ ไปหมด
ตอนต่อมาที่บักส์ได้ปรากฏตัว เป็นโฆษณาชื่อ Any Bonds Today? กำกับโดยโรเบิร์ต แคลมเพ็ต ฉายครั้งแรก วันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1942 เป็นการโปรโมตขาย พันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อเอาเงินไปใช้ในสงครามโลกครั้งสอง ในตอนนี้ บักส์ได้ร้องเพลงและเต้นโชว์ และมีการแสดง blackface performance (ที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้น) เพื่อล้อเลียน แอล โจลสัน (Al Jolson) ในตอนจบนั้น เอลเมอร์ ฟัดด์ และ พอร์คกี พิก ได้มาร่วมแสดง และนี่ก็เป็นการ์ตูนเพลงเรื่องแรกของบักส์ ความเป็นที่นิยมของ บักส์ เหนือ เอลเมอร์ และ พอร์คกี นั้นค่อนข้างเด่นชัดในช่วงเวลานั้น
บักส์นั้นก็ได้รับอิทธิพลจาก ppสงครามโลกครั้งที่สอง เช่นเดียวกับการ์ตูนอื่นๆ ซึ่งผู้สร้างการ์ตูนในขณะนั้น เช่น ฟเลซ์เชอร์ (Fleischer) (ผู้สร้าง Popeye) และ [[วอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Brothers) นั้นมีแนวโน้มที่จะวางเรื่องให้ตัวการ์ตูนนั้นเป็นศัตรูกับ ฮิตเลอร์ มุโสลินี เกอริง และ ญี่ปุ่น ในเรื่อง Bugs Bunny Nips the Nips ซึ่งฉายในปีค.ศ. 1944 นั้น บักส์ได้ถูกวางตัวให้ไปอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และต้องต่อสู้กับกองทัพทหารญี่ปุ่น (ซึ่งถูกออกแบบให้มีลักษณะที่น่ากลัว ตามลักษณะที่รู้จักกันโดยทั่วไป) ในตอน Herr Meets Hare ที่ออกฉายในปีค.ศ. 1945 เป็นตอนซึ่งมี กัวริง และ ฮิตเล่อร์ ปรากฏเป็นตัวเด่น ตอนนี้ก็เป็นตอนที่เด่น เนื่องมาจากเป็นตอนแรกที่บักส์ได้แสดงความเฟอะฟะที่มีชื่อเสียงของเขา คือ "right turn at Albuquerque" (ซึ่งบักส์นั้นจะพลาด make a right turn เลี้ยวขวา ซึ่งเป็น the wrong (ผิด) turn แทนที่จะ make a left (ซ้าย) turn ซึ่งเป็น the right (ถูก) turn --right/left;right/wrong-- ที่เมือง อัลบูเคอกี (Albuquerque) ทางตอนเหนือของรัฐนิวเม็กซิโก เป็นประจำ แล้วบักส์ก็จะบ่น "I knew I shoulda takin' that left turn at Albuquerque") และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ บางฉากในตอนนี้ได้ถูกลอกไปใช้อีกที ในตอน What's Opera Doc?
ในช่วง ค.ศ. 1942 มีการ์ตูนของบักส์ ออกมาทั้งหมด 6 ตอน ตอนแรกนั้นกำกับโดยโรเบิร์ต แคลมเพ็ต ชื่อตอน The Wacky Wabbit ฉายครั้งแรกวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 และก็เป็นอีกครั้งที่บักส์ของเรานั้น ได้สนุกสนานกับการกลั่นแกล้ง เอลเมอร์ ฟัดด์ ซึ่งในเรื่องนี้ได้ถูกจัดให้เป็นนักขุดหาทองในทะเลทราย เรื่องที่สองคือ Hold the Lion, Please ฉายครั้งแรก 13 มิถุนายน ค.ศ. 1942 เนื้อเรื่องในตอน เป็นเรื่องของสิงโต ที่พยายามจะพิสูจน์ตัวเองว่ายังเป็น "King of the Jungle" หรือจ้าวป่าอยู่ โดยการออกไปไล่ล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ไร้ทางต่อสู้ และก็ได้ตัดสินใจที่จะล่าบักส์, แล้วก็พบว่า ตัวเองนั้นเป็นฝ่ายถูกหลอกแบบไร้ทางสู้เลยก็ว่าได้ แต่ในที่สุดแล้ว สิงโด ก็ได้พบจุดอ่อนของบักส์ คือ บักส์นั้นกลัวภรรยา (หรือ ภาษาชาวบ้านก็เรียกว่า กลัวเมีย) ตอนนี้เป็นตอนแรกที่ภรรยาของบักส์ปรากฏตัว และก็เป็นตอนสุดท้ายด้วย เพราะว่าหลังจากนั้นบักส์ของเรา ก็กลับกลายเป็นโสดเหมือนเดิม ตอนนี้เป็นตอนแรกในช่วงเวลา 2 ปีที่กำกับโดยชัค โจนส์
เรื่องที่สาม กำกับโดย โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ชื่อ Bugs Bunny Gets the Boid ฉายครั้งแรกวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1942 เป็นเรื่องของแม่อีแร้ง ที่สอนลูก ๆ อีแร้งที่ขนเพิ่งขึ้น ให้รู้จักล่าอาหารด้วยตนเอง แล้ว บีกกี บัซซาร์ด ซึ่งตัวเล็กที่สุด และอ่อนแอที่สุดในครอก ก็ดันไปล่าเอาบักส์ ไม่เพียงแค่ไม่ประสบผลสำเร็จ สุดท้ายบักส์ต้องเอาตัว บีกกี้ บัซซาร์ด ไปส่งคืนให้แม่อีแร้งซะอีก นกแร้งน้อยตัวนี้ หลังจากที่เปิดตัวในตอนนี้แล้ว ยังได้ออกมาอีกในตอนหลัง บีกกีนั้นมีที่มาจากหุ่นกระบอก มอร์ติเมอร์ สเนิร์ด ซึ่งเล่นโดย เอ็ดการ์ เบอร์เก็น นอกจากนั้น บีกกียังมีส่วนที่คล้ายเจ้าหมากูฟฟี และเสียงพากษ์ของบีกกี โดย เค็นท์ โรเจอร์ส (เสียชีวิต เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944) นั้นก็ยังมีส่วนคล้าย ที่ทำให้นึกถึงผู้ให้เสียง กูฟฟี คือ พินโต โคลวิก อย่างไรก็ตาม ถึงจุดนี้ดูเหมือนว่า โรเบิร์ต แคลมเพ็ต จะเริ่มคุ้นเคยกับการกำกับการ์ตูน บักส์ บันนี แล้ว ในตอนนี้ บักส์ ได้ถูกออกแบบใหม่เล็กน้อย โดยฟันกระต่ายของเขานั้นถูกทำให้เด่นน้อยลง และหัวของเขาก็กลมขึ้นอีกหน่อย ผู้ที่รับผิดชอบในการออกแบบคือ โรเบิร์ต แม็คคิมสัน ซึ่งเป็นนักวาด ที่ทำงานให้กับ โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ในขณะนั้น รูปโฉมใหม่ของบักส์นั้น แรกเริ่มก็ใช้อยู่เพียงในกลุ่มของแคลมเพ็ต แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้กลายเป็นรูปโฉมที่ใช้ในการ์ตูนที่กำกับ และสร้างโดยคนอื่นด้วย
เรื่องที่สี่ เป็นของ ฟริซ เฟรเลง ชื่อ Fresh Hare'' ฉายครั้งแรก 22 สิงหาคม ค.ศ. 1942 ในตอน บักส์หลบซ่อนอยู่ในป่าทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา จากการไล่ล่าของ เอลเมอร์ ฟัดด์ ตำรวจแห่งชาติแคนาดา (Royal Canadian Mounted Police) ตามหมายจับซึ่งต้องการตัวบักส์ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย แต่ถ้าเป็นไปได้ให้จับตาย หลังจากการดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในที่สุด บักส์ก็ถูกจับ และ ตัดสินให้ถูกประหารด้วยการยิงเป้า ในขณะที่กำลังจะถูกประหาร บักส์ ได้เริ่มร้องเพลง "Dixie's Land" ซึ่งแต่งขึ้นในปี ค.ศ. 1859 โดย แดเนียล ดีเคเตอร์ เอ็มเม็ต (ชาตะ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1815 - มรณะ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1904) แล้วลานประหารก็กลายเป็นทุ่งฝ้าย และตำรวจก็เริ่มแสดงละครเพลง
เรื่องถัดมาของบักส์ ก็กำกับโดยฟริซ เฟรเลง ชื่อ The Hare-Brained Hypnotist ออกฉายวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1942 ในตอนนี้ เอลเมอร์ ฟัดด์ ได้สะกดจิตตัวเอง เพื่อให้มีความสามารถที่จะจับบักส์ได้ แต่ในระหว่างการไล่ล่า บักส์ได้ทำการสะกดจิตเอลเมอร์ ให้หลงเข้าใจว่าตัวนั้นเป็นกระต่าย แต่ เอลเมอร์ นั้นกลับหลงคิดว่าตัวเองคือบักส์ ผลคือ บักส์เลยได้ลิ้มรสชาติเล่ห์กลของตัวเองจาก เอลเมอร์ แล้วทั้งสองก็ไล่ล่าพยายามที่จะสะกดจิดฝ่ายตรงข้าม ในตอนจบ เอลเมอร์ กลับเป็นปกติ แต่บักส์นั้นขับเครื่องบินไล่หาสนามบิน เนื่องจากถูกสะกดจิตว่าตัวเองเป็นนักบินขับเครื่องบินทิ้งระเบิด ตอนนี้ เป็นตอนที่ลักษณะการดวลกันระหว่าง เอลเมอร์ และ บักส์ นั้นตรงข้ามกับปกติ คือ เอลเมอร์ นั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบ (บ้าง ถึงแม้จะเป็นในช่วงสั้นๆ ก็ตาม)
ตอนที่เก้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายในปี กำกับโดยชัค โจนส์ ชื่อตอน Case of the Missing Hare ออกฉายเมื่อ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1942 ในตอนนี้ บักส์ได้สร้างบ้านอยู่ในรูกลวงในต้นไม้ แล้วก็เกิดรำคาญขึ้นมาเนื่องจากนักมายากล อลา บามา (เป็นการเล่นคำ จากชื่อของ ชื่อรัฐแอละแบมา) นั้นเอาแผ่นโฆษณาการแสดงมาแปะไว้รอบๆต้นไม้ บักส์จึงได้ตามนักมายากลไป และได้ขึ้นไปร่วมแสดงบนเวทีด้วย ซึ่งการแสดงของบักส์นั้นทำให้นักมายา ได้รับความอับอาย
==== ช่วง ค.ศ. 1943 ====
บักส์ได้ออกการ์ตูนอีกทั้งหมด 7 ตอนในช่วงปี ค.ศ. 1943 เรื่องแรกกำกับโดย โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ชื่อตอน Tortoise Wins by a Hare ออกฉาย 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 ซึ่งจากการพ่ายแพ้ให้กับเต่า ซิซิล เทอร์เทิล ในตอน Tortoise Beats Hare ของ เท็กซ์ เอฟวรีย์ นั้น ในตอนนี้บักส์ได้ท้าเต่า ซิซิล เทอร์เทิล เพื่อขอแก้มือ จากคำแนะนำของ ซิซิล นั้นบักส์ก็ได้สร้างชุด ลดแรงเสียดทาน ซึ่งดูคล้ายกระดองเต่า ไว้ใช้แข่ง ในทางกลับกัน ซิซิล ก็วางแผน ที่จะวิ่งโดยใส่ชุดพรางตัวเป็นกระต่าย บักส์นั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่า กลุ่มแก๊งค์กระต่ายมาเฟีย นั้นได้วางเดิมพันฝั่งกระต่าย ซึ่งทางแก๊งค์ก็จะต้องพยายามโกงให้กระต่ายชนะ ฝ่าย ซิซิล ซึ่งรู้ตัวอยู่ล่วงหน้า และได้พรางตัวเป็นกระต่าย ปล่อยให้บักส์ต้องไปผจญกับ หลุมพรางต่างๆ ที่ทางแก๊งค์เตรียมเอาไว้เพื่อขัดขวางเต่า บักส์ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการแข่งขัน และในขณะที่เขาเข้าใกล้เส้นชัย และเริ่มได้กลิ่นของชัยชนะลางๆแล้ว เขากลับถูกกลุ่มแก๊งค์กระต่ายรุม ในขณะที่กลุ่มแก๊งค์มาเฟียกระต่ายกำลังง่วน อยู่กับการลงเท้าบักส์ ซิซิล ก็ได้คืบคลานเข้าเส้นชัยไปอย่างง่ายดาย ปล่อยให้บักส์ต้องนอนเกลือกกลิ้งเคล้าน้ำตาของผู้แพ้อยู่ข้างหลัง ที่น่าสนใจคือหนังสือพิมพ์ ที่ประกาศการแข่งแก้มือของบักส์นั้น มีบทความ "Adolf Hitler Commits Suicide" (เหมือนกับเป็นสิ่งที่อยากจะให้เกิดขึ้น) และสิ่งที่เหลือเชื่อคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ทำการฆ่าตัวตายจริงๆ ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นเวลามากกว่า 2 ปีหลังจากนั้น และก็บังเอิญที่วันนั้นก็เป็นการฉลองครบรอบการเปิดตัวของบักส์ ใน ''Porky's Hare Hunt อย่างไรก็ตามตอนนี้ ก็ถือเป็นตอนที่บักส์ได้แสดง ความรู้สึกทางอารมณ์ต่อชัยชนะ ซึ่งได้แสดงออกมาทางเสียงพากย์ด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะออกเป็นลักษณะที่กะล่อนไร้กังวล นี่จึงเป็นตอนที่ตัวการ์ตูนบักส์ได้เข้าถึงความรู้สึกของผู้ชม
ในตอนที่สองซึ่งออกฉายในปีเดียวกันนี้นั้น กำกับโดย ชัค โจนส์ ชื่อตอน Super Rabbit ออกฉายเมื่อ 13 เมษายน ค.ศ. 1943 เป็นการล้อเลียน ซูเปอร์แมน จากการ์ตูนซีรีส์ของ ฟเลเชอร์สตูดิโอ โดยบักส์นั้น ได้รับพลังยอดมนุษย์ (super powers) จากการกิน super carrots ที่พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ คานาฟราซ (Canafrazz) ภารกิจแรกของบักส์นั้นคือ ต่อสู้กับ คาวบอย จาก รัฐเท็กซัส ผู้ซึ่งเกลียดกระต่าย และนี่ก็เป็นภารกิจสุดท้ายของบักส์ในขณะที่เป็นยอดมนุษย์ แล้วบักส์ได้แสดงถึงความรักชาติ โดยสละชุดที่มีสีสันออก และประกาศ "This looks like a job for a real super hero" แล้วก็โผล่ออกมาในชุดเครื่องแบบทหาร ของ กองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งขณะนั้นยังคงรบอยู่ในสงครามโลกครั้งที่สอง
ตอนที่สามคือ Jack-Wabbit and the Beanstalk กำกับโดย ฟริซ เฟรเลง ฉาย 12 มิถุนายน ค.ศ. 1943 เนื้อเรื่องมีเค้าโครงมาจากเรื่อง แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ (Jack and the Beanstalk) โดยวางตัวให้บักส์เป็นผู้ฆ่ายักษ์ ตัวยักษ์นั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้มีลักษณะที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และความรู้สึกว่าตัวนั้นเหนือชั้นกว่าบักส์ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากคำพูด "Well he can't outsmart me, 'cause I'm a moron" (เป็นมุขคือ ไม่มีความฉลาด (smart) ที่จะให้ฉลาดกว่า (outmart) ได้ -- moron นั้นคือ คนที่สมองหยุดเจริญเติบโตตั้งแต่เด็ก) แต่บักส์ก็ได้พิสูจน์ถึงปัญญาที่เหนือชั้นกว่าในตอนจบ เป็นที่น่าสังเกตว่ามิคกี เมาส์ นั้น ก็ได้ออกตอนแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ในชื่อ Brave Little Tailor ฉาย 23 กันยายน ค.ศ. 1938 ก่อนหน้านั้นแล้ว และ มิคกี เมาส์ ก็ได้ชนะยักษ์ด้วยปัญญาเช่นกัน แต่ในลักษณะที่แตกต่างไปจากบักส์ นี่ก็เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นว่า การ์ตูนของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส นั้น มีลักษณะความขำขันเป็นของตัวเอง และก็เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ การ์ตูนของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ในช่วงยุค 40
ตอนถัดมาคือ Wackiki Wabbit โดยการกำกับของ ชัค โจนส์ ออกฉาย 3 มิถุนายน ค.ศ. 1943 เป็นเรื่องของ คน 2 คนติดเกาะร้าง โดยไม่มีอาหารติดตัวไปด้วย การต่อสู้ของทั้งสองนั้น มีต้นแบบมาจาก ไมเคิล มัลทีส และ เท็ด เพียร์ส ซึ่งเล่นเป็นเสียงพากย์ของทั้งสอง และเป็นผู้เขียนบทพูดด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนนั้นได้มีส่วนเป็นผู้เขียนบทพูดของบักส์ในอีกหลายตอน ซึ่งตอนนี้นั้น เพียร์สเป็นผู้เขียน ตัวการ์ตูนทั้งสองนั้น ตั้งใจที่จะกินอีกฝ่ายเป็นอาหาร และแล้วบักส์ก็ได้มาที่เกาะ เมื่อทั้งสองนั้นเห็นบักส์เข้า ก็ตั้งใจจะจับกิน แต่บักส์ก็หาทางหนีไปจนได้ทุกครั้งเช่นเคย
ตอนที่ 5 ของปี เป็นเพียงการปรากฏตัวสั้นๆ ใน Porky Pig's Feat ฉาย 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 เป็นครั้งแรกที่ผู้กำกับ แฟร็งค์ แทชลิน ที่ใช้ตัวการ์ตูนบักส์ เป็นเรื่องการเดินทางของ พอร์คกี พิก และ แดฟฟี ดัก ทั้งสองได้มาพักที่โรงแรม "Broken Arms Hotel" (โรงแรมแขนหัก) โดย แดฟฟี ดัก นั้น ถังแตกจากการพนัน เหลือเงินติดตัวแค่พอค่าใช้จ่ายเท่านั้น ส่วน พอร์คกี ก็ถูกขูดรีด โดยโดนเก็บค่าที่พักแพงกว่าปกติ ทั้งคู่ถูกข่มขู่ว่า ถ้าไม่จ่าย ทั้งคู่จะได้รู้จักเหตุที่มาของชื่อโรงแรม ตลอดทั้งตอนเป็นเรื่องราว ที่ทั้งคู่พยายามหนีออกจากโรงแรมโดยไม่จ่ายค่าที่พัก นี่เป็นตอนแรกที่ พอร์คกี ปรากฏตัวพร้อมกับ บักส์ และ แดฟฟี ซึ่งปกติเป็นศัตรูของเขา ในลักษณะที่ค่อนข้างเป็นมิตร ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
ทั้งสามคือ บักส์ พอร์คกี้ และ แดฟฟี นั้นได้ออกตอน A Corny Concerto กำกับโดย โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ฉาย 18 กันยายน ค.ศ. 1943 ตอนนี้เขียนบทพูดโดย แฟรงค์ แทชลิน เป็นเรื่องล้อเลียนภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง แฟนตาเซีย'' ของ วอลต์ ดิสนีย์ ในเรื่อง ตัวการ์ตูนจะถูกแบ่ง ให้แสดงตามเสียงเพลงวอลทซ์ ของโยฮันน์ สเตราส์ บุตร สองท่อน เอลเมอร์ ฟัดด์ ได้ทำการพูดแนะนำเพลงทั้งสองท่อน ในฐานะที่เป็นวาทยากรประจำวงออเคสตรา ของ คอร์นี-จีฮอลล์ ซึ่งเป็นการล้อเลียน ลีโอโปลด์ สตอโควสกี และ คาร์เนกีฮอลล์ จากเรื่อง 'แฟนตาเซีย' ในเพลงท่อนแรก "A Tale of the Vienna Woods" (Geshicthen aus dem Wienerwald - ค.ศ. 1868) พอร์คกี พิก และสุนัขล่าเนื้อของเขา ไล่ล่าบักส์เป็นครั้งแรก แล้วปืนของ พอร์คกี บังเอิญลั่นขึ้น ในขณะที่ปากกระบอกนั้นหันไปยังทั้งสามคน ทั้งสามคนก็คิดว่าตัวนั้นถูกยิง หลังจากที่โอดครวญจะเป็นจะตาย ท่อนเพลงก็จบลงด้วยการที่ทั้งสามนั้นโล่งใจที่ตัวเองไม่ได้ถูกกระสุน เพลงท่อนที่สองคือ "The Blue Danube" (An der schönen, blauen Donau - ค.ศ. 1867) เป็นเรื่องของลูกเป็ด แสดงโดย แดฟฟี ดัก เลียนแบบเรื่อง Ugly Duckling - ค.ศ. 1843 (ลูกเป็ดขี้เหร่) ของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน โดยลูกเป็ดนั้นกำพร้า และถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวหงส์ แต่ลูกเป็ดนั้นก็จะโดนดูถูก และแล้วในขณะที่อีแร้งมาจับลูกหงส์ แดฟฟี ดัก ได้ต่อสู้เอาชนะอีแร้ง และช่วยเหลือลูกหงส์ไว้ได้ ทำให้ได้รับการยอมรับจากครอบครัวหงส์ ตอนนี้เป็นตอนแรกที่ บักส์ แดฟฟี พอร์คกี และ เอลเมอร์ ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียง จาก ลูนีย์ทูนส์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เนื้อเรื่องตอนนี้นั้น เป็นเนื้อเรื่องที่พื้นๆ ง่ายต่อการนำเสนอ และถือเป็นตอนเด่นของการ์ตูนในช่วงเวลานั้น ทั้งทางด้าน ความมีชีวิตชีวา และ การจัดท่าเต้น
การปรากฏตัวครั้งที่ 7 ของบักส์ ในปี ค.ศ. 1943 นั้นกำกับโดย โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ชื่อตอน Falling Hare บักส์ในตอนนี้นั้น กำลังพักผ่อน อ่านหนังสือ "Victory Through Hare Power" อยู่ที่ลานบินซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครอื่นอยู่ด้วย บักส์นั้นในขณะที่กำลังสนุกสนานอยู่กับเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัว เกรมลิน ในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีหน้าที่สร้างความหายนะให้กับเครื่องบิน ก็ได้ยินเสียงจากเครื่องบินทิ้งระเบิดที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อเขาไปตรวจดูก็พบตัวเกรมลินกำลังก่อวินาศกรรมเครื่องบินอยู่ บักส์ได้พยายามเข้าไปขัดขวาง มารู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังขับเครื่องบินอยู่ การบินนั้นเป็นไปอย่างทุลักทุเล และ ทำให้บักส์นั้นถึงกับเสียวสันหลังเลยทีเดียว แต่เขาก็ช่วยเครื่องบินเอาไว้ได้ก่อนที่จะพุ่งโหม่งพื้นโลก ตอนนี้เป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่ตอนที่บักส์นั้นได้เสียความเยือกเย็น เรียกได้ว่า แตกตื่นเสียจริตไปเลยก็ว่าได้
==== ช่วง ค.ศ. 1944 ====
ในช่วง ค.ศ. 1944 นั้นบักส์ได้ออกตอนใหม่อีก 12 ตอน ตอนแรกนั้นกำกับโดย ฟริซ เฟรเลง ชื่อ Little Red Riding Riding Rabbit ออกฉายวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1944 เป็นตอนที่บักส์นั้นได้เข้าไปมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ในเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง ในเรื่องก็มีหมาป่าจากเรื่องดั้งเดิม และ หนูน้อยหมวกแดงแต่เป็นในช่วงวัยรุ่น ซึ่งพูดจาเสียงดังน่ารำคาญ และ ขอบชวนทะเลาะ ซึ่งเป็นที่น่ารำคาญแก่บักส์มากกว่าหมาป่าซะอีก ส่วนคุณยายนั้นไม่อยู่บ้านเนื่องจากได้งานทำในโรงงานของ บริษัทลอกฮีด (เป็นชื่อล้อเลียนมาจาก บริษัท Lockheed Martin ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธใหญ่ของอเมริกา ซึ่งผลิตทั้ง จรวด และ เครื่องบิน) ตอนนี้เด่นในฉากการไล่ล่า และ มุขตลก ซึ่งได้ถูกนำมาใช้ในตอนหลังๆของ ลูนีย์ทูนส์ อีกหลายครั้ง และก็เป็นการทำตลกล้อเลียนเทพนิยายที่รู้จักกันดี ได้อย่างมีคุณภาพ
เรื่องหนูน้อยหมวกแดงนี้ ได้เคยถูกทำเป็นการ์ตูนมาแล้ว 12 ครั้งก่อนหน้านี้ ครั้งแรกนั้นสร้างโดย วอลต์ ดิสนีย์ เป็นส่วนหนึ่งของการ์ตูนซีรีส์ "Laugh-O-Grams" ซึ่งฉาย 29 มิถุนายน ค.ศ. 1922 ครั้งที่สองกำกับโดย วอลเตอร์ แลนทซ์ ระหว่างที่เขาทำงานที่โรงถ่ายเบรดี และออกฉาย 4 มกราคม ค.ศ. 1925 ทั้งสองตอนนี้ และ ตอนที่กำกับโดย เฟรเลง นั้นได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการสร้างการ์ตูน ในช่วงเวลา 25 ปี
เรื่องที่สองคือ ''What's Cooikn' Doc? กำกับโดย โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ออกฉาย 8 มกราคม ค.ศ. 1944 เป็นเรื่องการปรากฏตัวของบักส์ในงานฉลองมอบรางวัลออสการ์ปี ค.ศ. 1943 บักส์นั้นไม่พอใจที่ เจมส์ แคกนีย์ ได้รับรางวัลดาราแสดงนำชายดีเด่น จากหนังเรื่อง Yankee Doodle Dandy ซึ่งบักส์เชื่อว่าเขาควรจะได้รับ เขาได้แสดงหลักฐานสนับสนุน ด้วยการฉายช่วงหนึ่งจากตอน Hiawatha's Rabbit Hunt บักส์พยายามพิสูจน์ความสามารถในการแสดงของเขา โดยการเลียนแบบลีลาการแสดงของนักแสดงในช่วงเวลานั้น หลังจากเชื่อว่าเขาได้แสดงหลักฐานที่หนาแน่น เขาก็เรียกร้องที่จะได้รับรางวัล แต่ก็โดนคัดค้านโดยผู้เข้าร่วมงาน สิ่งที่เด่นในตอนนี้คือ เหล่านักแสดงที่มีชื่อเสียงที่ปรากฏในการ์ตูน และการที่บักส์กล่าวอ้างว่าตัวนั้นเป็นนักแสดงที่ดีที่สุด
ตอนถัดมาซึ่งกำกับโดย ชัค โจนส์ ชื่อ Bugs Bunny and the Three Bears ออกฉาย 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 มีเค้าโครงมาจากเรื่อง "Goldilocks and the Tree Bears" ในเรื่องมีหมี 3 ตัวคือ พ่อหมี "Papa Bear" แม่หมี "Mama Bear" และ ลูกหมี "Junyer Bear" พ่อหมีนั้นมีเสียงหยาบห้าว พากย์โดย เมล บลังค์ ซึ่งตอนหลังได้เปลี่ยนให้ วิลเลียม เบล็ทเชอร์ (ชาตะ 24 กันยายน ค.ศ. 1894 - มรณะ 5 มกราคม ค.ศ. 1979) ซึ่งมีเสียงทุ้มต่ำเป็นผู้พากย์แทน
==== หลัง ค.ศ. 1944 ====
หลังจากนั้น บักส์ก็ปรากฏในการ์ตูนซีรีส์ ลูนีย์ทูนส์ อีกหลายตอน รวมทั้งการ์ตูนเช้าวันเสาร์ และ การ์ตูน syndicated animated series ลักษณะของบักส์นั้น ทำให้เขาเป็นที่โปรดปรานของผู้กำกับการ์ตูนหลายคน เช่น ฟริซ เฟรเลง โรเบิร์ต แม็คคิมสัน เท็กซ์ เอฟวรีย์ และ ชัค โจนส์ และนอกจากนั้น ยังได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์จอใหญ่ เช่นเรื่องสเปซแจม โดยร่วมแสดงกับ ไมเคิล จอร์แดน
ตอน Knighty Knight Bugs ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องในยุคของอัศวิน บักส์ได้ดวลกับ โยเซมมะที แซม (ซึ่งเป็น "Black Knight") และมังกรพ่นไฟของเขา บักส์ได้รับรางวัลออสการ์ จากตอนนี้ ในตอน What's Opera, Doc? ที่กำกับโดย ชัค โจนส์ และมี เอลเมอร์ ร่วมล้อเลียน โอเปร่า " Der Ring des Nibelungen ของ ริชาร์ด วากเนอร์ นั้น ได้รับการยกย่องว่า มีความสำคัญทางวัฒนธรรม โดย ห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา และ ได้ถูกอนุรักษ์ไว้ในหอภาพยนตร์แห่งชาติ โดยเป็นการ์ตูนเรื่องเดียวในขณะนั้น ที่ได้รับเกียรติอันนี้
บักส์ รับบทเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัย acme looniversity ในการ์ตูน Tiny Toon Adventures ของSteven Spielberg
== อ้างอิง ==
* Bugs Bunny: 50 years and Only one Grey Hare, by Joe Adamson (1990) , Henry Holt, ISBN 0-8050-1855-7
* Chuck Amuck : The Life and Times of an Animated Cartoonist by Chuck Jones, published by Farrar Straus & Giroux, ISBN 0-374-12348-9
* That's Not All, Folks!'' by Mel Blanc, Philip Bashe. Warner Books, ASIN 0446390895 (Softcover) ASIN 0446512443 (Hardcover)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* A study of his early shorts
* His profile in the Toonopedia
* The lyrics to Dixie'and, which Bugs was singing
* Wikiquote - Quotes by Bugs Bunny
หมวดหมู่:ลูนี่ตูนส์
หมวดหมู่:ตัวละครในลูนีทูนส์
หมวดหมู่:ตัวละครที่เป็นกระต่าย
หมวดหมู่:ตัวละครที่เป็นนักเล่นแผลง ๆ
หมวดหมู่:ตัวละครที่เป็นนักเล่นกลลวง
หมวดหมู่:ตัวละครที่เป็นครอสเดรสเซอร์
หมวดหมู่:ตัวละครชายในแอนิเมชัน
หมวดหมู่:ตัวละครชายในการ์ตูนทีวีแอนิเมชัน
หมวดหมู่:ตัวละครชายในโทรทัศน์
หมวดหมู่:ตัวละครในบันเทิงคดีที่ทำลายกำแพงที่สี่
หมวดหมู่:สัญลักษณ์นำโชคการ์ตูน
หมวดหมู่:สัญลักษณ์นำโชคสตูดิโอภาพยนตร์
หมวดหมู่:สัญลักษณ์นำโชคอเมริกัน
หมวดหมู่:บักส์ บันนี |
776 | https://th.wikipedia.org/wiki/เทคโนโลยี | เทคโนโลยี | เทคโนโลยี (; "ศาสตร์การประดิษฐ์", จากภาษากรีกโบราณ , techne, "ศิลปะ, ทักษะ, ฝีมือ"; กับ {{lang|grc
คำว่า "เทคโนโลยี" เปลี่ยนความหมายไปอย่างมาก ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 คำนี้ไม่ปรากฏใช้ในภาษาอังกฤษมากนัก และหากปรากฏก็มีไว้สื่อถึงศาสตร์ของศิลปะเพื่อการใช้งาน หรือการศึกษาเชิงเทคนิค ดังเช่นในชื่อของ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (จัดตั้งในปี 1861)
คำว่า "เทคโนโลยี" เริ่มกลายมาเป็นคำที่ใช้ทั่วไปนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองในศตวรรษที่ 20 คำนี้เริ่มเปลี่ยนความหมายในต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อนักสังคมวิทยา เริ่มต้นโดยธอร์สไตน์ เวเบลน แปลแนวคิดภาษาเยอรมันของคำว่า Technik เป็น "เทคโนโลยี" ในภาษาเยอรมันและภาษายุโรปอื่น มีความแตกต่างชัดเจนระหว่างความหมายของ technik กับ technologie แต่ความต่างนี้ไม่ปรากฏในภาษาอังกฤษ ซึ่งมักแปลทั้งสองคำเป็น "technology" เหมือนกัน ภายในทศวรรษ 1930s "เทคโนโลยี" ถูกใช้เพื่อสื่อความหมายถึงทั้งการศึกษาศิลปะอุตสาหกรรมและตัวศิลปะอุตสาหกรรมเอง
== อ้างอิง == |
779 | https://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ | มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ | มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ () เป็นสถาบันอุดมศึกษาขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ในสหราชอาณาจักร มีความเก่าแก่เป็นอันดับที่สองของสหราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 1752 โดยมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งก่อนหน้านั้นคือ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่เป็นอันดับที่สี่ของโลกที่ยังเปิดดำเนินการอยู่อีกด้วย มหาวิทยาลัยก่อกำเนิดจากคณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งขัดแย้งกับชาวบ้านที่เมืองออกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริจด์และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมักได้รับการจัดอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับโดยสำนักต่าง ๆ จนมีการเรียกรวมกันว่า ออกซบริดจ์ ในปีพ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รั้งตำแหน่งอันดับที่หนึ่งในสหราชอาณาจักร และอันดับที่สองของโลก ในบรรดามหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด กล่าวคือ 121 รางวัล
นิสิตและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย จะถูกจัดให้สังกัดแต่ละวิทยาลัยแบบคณะอาศัย (College) จำนวนทั้งสิ้น 31 แห่ง โดยคละกันมาจากคณะวิชา (School) 6 คณะ โดยวิทยาลัยแต่ละแห่งอาศัยบริหารงานอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ลักษณะการบริหารเช่นนี้มีให้เห็นในมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคนต์ และมหาวิทยาลัยเดอรัม อาคารต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารแทรกตัวตามร้านรวงในเมือง แทนที่จะเป็นกลุ่มอาคารในพื้นที่ของตนเองเช่นมหาวิทยาลัยยุคใหม่ อาคารเหล่านั้นบางหลังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มหาวิทยาลัยจัดให้มีสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ซึ่งถือเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกที่สังกัดมหาวิทยาลัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีห้องสมุดขนาดใหญ่อีกด้วย
== ประวัติ ==
ภาพ King's College Chapel ใจกลางเมืองเคมบริดจ์
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้รับการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาจากหลายหน่วยงาน เช่น Complete, Guardian, Times/Sunday Times ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักรติดต่อกันหลายปี กระทั่งถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2562) และตามมาด้วยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่รั้งอันดับที่สอง
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นหนึ่งในหลาย ๆ สถาบันการศึกษาในโลกที่ได้รับการจับตามอง ระหว่างที่ประเทศโลกเสรีพยายามพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันประเทศ เมื่อเกิดภัยคุกคามจากเยอรมนี ซึ่งมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำ ระหว่างนี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีการเคลื่อนไหวทางวิชาการอย่างคึกคัก เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยเป็นจำนวนมหาศาล อาทิเช่น มหาวิทยาลัยปารีส มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยมอสโกสเตท มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล สถาบันเอ็มไอที ฯลฯ มหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงแข่งขันกันอยู่ในที บางทีก็มีการดึงเอาคณาจารย์จากกันไปโดยเพิ่มเงินเดือนให้สูงกว่าก็มี
เมื่อเทียบกับหลายมหาวิทยาลัยในโลก เคมบริดจ์ได้เปรียบทางวิทยาศาสตร์อยู่มาก เพราะรากฐานทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้เข้มแข็งมาช้านาน ดังนั้น ตั้งแต่อดีตจวบจนยุคปัจจุบัน นอกจากจะได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นเยี่ยมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอังกฤษแล้ว ยังเป็นมหาวิทยาลัยลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดในโลกลำดับที่ 2 (ถัดจากฮาวาร์ด) กล่าวคือมีถึง 121 รางวัล เพราะความมีชื่อเสียงในด้านการวิจัยนี้เอง ในระยะหลัง เคมบริดจ์ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนด้านเงินทุนจากหลายหน่วยงาน เช่น EPSRC และ Gates Foundation ทำให้เคมบริดจ์มีสถานะการเงินที่ดีกว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษอื่น ๆ หลายแห่ง
ที่จริงแล้ว มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่จัดตั้งสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย แต่บังเอิญว่างานวิจัยส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสมัยก่อนนั้น ยังไม่มีการนำไปใช้เชิงพาณิชย์เท่าใดนัก จึงขยายตัวสู้สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดซึ่งเกิดทีหลัง แต่มีปริมาณงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มากกว่าไม่ได้ แต่ระยะหลัง สำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างมาก เห็นได้จากปริมาณงานทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ซึ่งมีเพิ่มขึ้น
ในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยแบ่งเป็น: อันดับ 1 ของยุโรปในคะแนนรวม, เป็นอันดับ 1 ของโลกด้านวิทยาศาสตร์, เป็นอันดับ 6 ของโลกทางด้านเทคโนโลยี, อันดับ 2 ของโลกทางด้านชีวเวช, อันดับ 8 ของโลกด้านสังคมศาสตร์ และ อันดับ 3 ของโลกด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006), ปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007), และปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ให้มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 2 ของโลก
== ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ==
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ผลิตนักวิจัย ได้รางวัลโนเบล 121 รางวัล ซึ่งจัดว่ามากเป็นอันดับสองโลกรองจากฮาร์วาร์ด ซึ่งส่วนมากเป็นรางวัลด้านวิทยาศาสตร์ เพราะมหาวิทยาลัยเน้นหนักงานวิจัยทางนี้มากที่สุด อย่างไรก็ดีงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ก็มีความโดดเด่นระดับต้นของโลกเช่นกัน ศิษย์เก่าชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมาก
* Abdus Salam (St John's) - โนเบล, ทฤษฎี Electroweak
* Alan Hodgkin (Trinity) - โนเบลการแพทย์
* แอลัน ทัวริง (Alan Turing) (King's) - บิดาแห่งวิทยาการคอมพิวเตอร์
* Amartya Sen (Trinity) - โนเบลเศรษฐศาสตร์
* Archibald vivian Hill (Trinity) - โนเบลการแพทย์
* Arthur Cayley (Trinity) - สร้างระบบเมตริกส์
* Augustus De Morgan (Trinity) - นักตรรกศาสตร์
* Austen Chamberlain (Trinity) - โนเบลสันติภาพ
* A. A. Milne (Trinity) - ประพันธ์ Winnie the Pooh
* เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell) (Trinity) - นักคณิตศาสตร์
* Brian Josephson (Trinity) - โนเบลฟิสิกส์, semiconductors
* ชาลส์ ดาร์วิน (Chales Darwin) (Christ's) - นักชีววิทยา
* King Charles III สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (Trinity)- พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร
* Charles Glover Barkla (King's) - โนเบล, รังสีเอกซ์
* ชาร์ลส แบบเบจ (Charles Babbage) (Trinity) - นักคณิตศาสตร์/คอมพิวเตอร์
* Charles Rolls (Trinity) - ตั้งบริษัท Rolls-Royce
* ซี. เอส. ลิวอิส (Magdalene) - นักประพันธ์
* Douglas Adams (St John's) - นักประพันธ์
* Prince Edward เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ (Jesus) - พระบรมวงศ์ในราชวงศ์อังกฤษ
* Emma Thompson (Newnham) - นักแสดงรางวัลออสการ์
* Ernest Rutherford (Trinity) - โนเบลเคมี, บิดาแห่งนิวเคลียร์ฟิสิกส์
* Sir Francis Bacon (Trinity) - นักปราชญ์ (นักวิทยาศาสตร์ นักประพันธ์ นักกฎหมาย)
* Francis Crick (Gonville and Caius) - โนเบล, ค้นพบดีเอ็นเอ
* Frederick Sanger (St John's) - โนเบล 2 ครั้ง, โครงสร้างโมเลกุล
* จี. เอช. ฮาร์ดี้ (Trinity) - นักคณิตศาสตร์
* Harold Abrahams (Gonville and Caius) - นักกีฬาโอลิมปิก (ชีวิตถูกสร้างเป็นหนังเรื่อง Chariots of Fire)
* Henry Cavendish (Peterhouse) - นักฟิสิกส์
* Henry Dunster (Magdalene) - ประธานคนแรกของ มหาวิทยาลัย Harvard, สหรัฐอเมริกา
* Henry Hallett Dale (Trinity) - โนเบลการแพทย์
* Isaac Barrow (Trinity) - นักคณิตศาสตร์
* ไอแซก นิวตัน (Isaac Newton) (Trinity) - นักฟิสิกส์
* James Chadwick (Gonville and Caius) - โนเบล, ค้นพบนิวตรอน
* เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ (Trinity) - นักฟิสิกส์
* James D. Watson (Clare) - โนเบล, ค้นพบดีเอ็นเอ
* Jawaharlal Nehru (Trinity) - นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย
* John Cockcroft (Churchill) - โนเบล, แยกอะตอม
* John Harvard (Emmanuel) - ตั้ง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, สหรัฐอเมริกา
* John Pople (Trinity) - โนเบลเคมี
* จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (King's) - นักเศรษฐศาสตร์
* John Wallis (Emmanuel) - นักคณิตศาสตร์
* J.J. Thomson (Trinity) - โนเบล, ค้นพบอิเล็กตรอน
*J. Robert Oppenheimer (Christ's) - นักฟิสิกส์
* Lord Byron (Trinity) - นักประพันธ์
* Lord Burghley (St John's) - นักการเมือง/ที่ปรึกษาหลักของ Queen Elizabeth I
* Lord Rayleigh (Trinity) - โนเบล, ค้นพบอาร์กอน
* Lord Mountbatten หลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน (Christ's) - จอมพลเรือ เดอะไรต์ออนะระเบิล
* Martion Ryle (Trinity) - โนเบลการแพทย์
* Maurice Wilkes (St John's) - นักคอมพิวเตอร์ (EDSAC)
* Maurice Wilkins (St John's) - โนเบล, โครงสร้างดีเอ็นเอ
* Max Perutz (Peterhouse) - โนเบล, โครงสร้างโปรตีน
* Niels Bohr (Trinity) - โนเบล, กลศาสตร์ควอนตัม
* โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Sidney Sussex) - นักการเมือง/“เจ้าผู้พิทักษ์” (Lord Protector)
* Osborne Reynolds (Queens') - นักคณิตศาสตร์
* Owen Willans Richardson (Trinity) - โนเบล, Thermionic
* พอล ดิแรก (Paul Dirac) (St John's) - โนเบล, กลศาสตร์ควอนตัม
* Rajiv Gandhi (Trinity) - นายกรัฐมนตรีอินเดีย
* Robert Walpole รอเบิร์ต วอลโพล (King's) - นายกรัฐมนตรีคนแรกของสหราชอาณาจักร
* สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) (Trinity Hall) - นักฟิสิกส์
* Subramanyan Chandrasekhar (Trinity) - โนเบล, โครงสร้างดาราศาสตร์
* Sylvia Plath (Newnham) - กวี
* Ted Hughes (Pembroke) - กวี
* Walter Gilbert (Trinity) - โนเบลเคมี
* William Harvey (Gonville and Caius) - การแพทย์
* William Lawrence Bragg (Trinity) - โนเบล, การรักษาด้วยรังสีเอกซ์. ตอนอายุ 25 ปี
* William Thomson, 1st Baron Kelvin (Peterhouse) - นักฟิสิกส์ ผู้สร้างหน่วย Kelvin สำหรับการวัดอุณหภูมิ
* Ghil'ad Zuckermann (กิลอัด สุขเคอร์แมน) (Churchill) - นักภาษาศาสตร์
== ดูเพิ่ม ==
* สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
=== รายชื่อมหาวิทยาลัยที่ใช้ระบบวิทยาลัยแบบคณะอาศัย ===
* มหาวิทยาลัยเคนต์
* มหาวิทยาลัยยอร์ก
* มหาวิทยาลัยเดอรัม
* มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* University of Cambridge
* เกียรติภูมิด้านวิทยาศาสตร์ของเคมบริดจ์
* Cambridge University Thai Society (CUTS)
* ระบบการศึกษาของเคมบริดจ์
* Cambridge Society
* Thai Cambridge Network
* สามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักร
หมวดหมู่:อังกฤษ
หมวดหมู่:สถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 13
หมวดหมู่:ก่อตั้งในประเทศอังกฤษในปี พ.ศ. 1752 |
781 | https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย | รายชื่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย | รายชื่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย แบ่งตามประเภทสถานศึกษา
== สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ==
=== สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== มหาวิทยาลัยของรัฐ ประเภทมหาวิทยาลัยราชภัฏ ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== มหาวิทยาลัยของรัฐประเภทมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== สถาบันวิทยาลัยชุมชน ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== สถาบันการอาชีวศึกษา ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== สถาบันการศึกษาของทหารและตำรวจ ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== สถาบันการศึกษานอกสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
== สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ==
=== มหาวิทยาลัย ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== สถาบัน ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== วิทยาลัย ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
== สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ==
=== มหาวิทยาลัย ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== สถาบัน ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== วิทยาลัย ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
== สถาบันอุดมศึกษาอิสระ ==
=== สถาบันอุดมศึกษาอิสระนานาชาติ ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
=== สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ===
* ก่อตั้ง : ปีที่เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรก
* สถาปนา : ปีที่สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบัน
== อดีตสถาบันอุดมศึกษา ==
=== มหาวิทยาลัย ===
=== สถาบัน ===
=== วิทยาลัย ===
== กลุ่มสถานศึกษา ==
* มหาวิทยาลัยรัฐ
* มหาวิทยาลัยราชภัฏ
* มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
* สถาบันการอาชีวศึกษา
* สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร
* สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ
* สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทยเรียงตามการสถาปนา
* อันดับมหาวิทยาลัยไทย |
785 | https://th.wikipedia.org/wiki/เฟิร์มแวร์ | เฟิร์มแวร์ | thumb|เฟิร์มแวร์ที่พบได้ทั่วไปคือ ซอฟต์แวร์ในรีโมตคอนโทรล
เฟิร์มแวร์ (firmware) ในระบบคอมพิวเตอร์ คือซอฟต์แวร์ที่ฝังอยู่ในฮาร์ดแวร์ โดยที่ผู้ใช้จะสามารถอ่าน และเรียกใช้งานเฟิร์มแวร์ได้ แต่ไม่สามารถแก้ไข เขียน หรือลบเฟิร์มแวร์ได้
ตัวอย่างเฟิร์มแวร์ในระบบ
* โปรแกรมใน
* เป็นการเขียนเฟิร์มแวร์ฝังข้อมูลการทำงานของฮาร์ดแวร์เอาไว้ถาวร
* โปรแกรมใน
* โดยส่วนมาก จะเป็นการใช้โครงสร้างของฮาร์ดแวร์ แทนการทำงานของซอฟต์แวร์
* โปรแกรมใน
* (EPROM) ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยฮาร์ดแวร์พิเศษ (แต่ไม่ใช่จากซอฟต์แวร์อื่น)
== อ้างอิง ==
* Opler, Ascher (January 1967). "Fourth-Generation Software". Datamation 13 (1) : 22-24.
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์
หมวดหมู่:ระบบฝังตัว |
786 | https://th.wikipedia.org/wiki/ระบบปฏิบัติการ | ระบบปฏิบัติการ | ระบบปฏิบัติการ (operating system) หรือ โอเอส (OS) เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่จัดการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแหล่งซอฟต์แวร์และบริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่หลัก ๆ คือ การจัดสรรทรัพยากรในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในเรื่องการรับส่งและจัดเก็บข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ เช่น การส่งข้อมูลภาพไปแสดงผลที่จอภาพ การส่งข้อมูลไปเก็บหรืออ่านจากฮาร์ดดิสก์ การรับส่งข้อมูลในระบบเครือข่าย การส่งสัญญานเสียงไปออกลำโพง หรือจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจำ ตามที่ซอฟต์แวร์ประยุกต์ร้องขอ รวมทั้งทำหน้าที่จัดสรรเวลาการใช้หน่วยประมวลผลกลาง ในกรณีที่อนุญาตให้ซอฟต์แวร์ประยุกต์หลาย ๆ ตัวทำงานพร้อม ๆ กัน
ระบบปฏิบัติการ ช่วยให้ตัวซอฟต์แวร์ประยุกต์ ไม่ต้องจัดการเรื่องเหล่านั้นด้วยตนเอง เพียงแค่เรียกใช้บริการจากระบบปฏิบัติการก็พอ ทำให้พัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้ง่ายขึ้น
ระบบปฏิบัติการที่เป็นที่นิยมในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทุกวันนี้ ได้แก่ ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ แมคโอเอส และลินุกซ์ นอกจากนี้ ยังมีระบบปฏิบัติการตระกูลยูนิกซ์ ซึ่งได้รับความนิยมในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้กันในหน่วยงาน ระบบปฏิบัติการตระกูลยูนิกซ์ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ยูนิกซ์ตระกูลบีเอสดี เอไอเอกซ์ และโซลาริส และรวมถึงลินุกซ์ซึ่งพัฒนาโดยอาศัยหลักการเดียวกันกับยูนิกซ์ ระบบปฏิบัติการบางตัว ถูกออกแบบมาสำหรับการเรียนการสอนวิชาระบบปฏิบัติการโดยเฉพาะ เช่น มินิกซ์ ซินู หรือ พินโทส
ในอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ก็อาจมีระบบปฏิบัติการเช่นกัน เช่น ไอโอเอส แอนดรอยด์ หรือ ซิมเบียน ในโทรศัพท์มือถือ หรือระบบปฏิบัติการ TRON ในเครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้าน
== อ้างอิง ==
* Deitel, Harvey M.; Deitel, Paul; Choffnes, David. Operating Systems. Pearson/Prentice Hall. ISBN 978-0-13-092641-8.
== ดูเพิ่ม ==
* ระบบปฏิบัติการแบบเวลาจริง
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ความสำคัญของระบบปฏิบัติการ
* จำนวนผู้ใช้ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์รุ่นต่างๆ
* จำนวนผู้ใช้ระบบปฏิบัติการบนแทปเล็ตรุ่นต่างๆ
หมวดหมู่:สิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ |
792 | https://th.wikipedia.org/wiki/โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก | โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก | โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก ( ย่อว่า OO.o หรือ OOo) เป็นชุดซอฟต์แวร์สำนักงานที่ทำงานบนหลายระบบปฏิบัติการ เผยแพร่ในรูปแบบซอฟต์แวร์เสรี เขียนขึ้นโดยใช้ชุดเครื่องมือส่วนต่อประสานกราฟิกของตัวเอง รองรับรูปแบบโอเพนด็อกคิวเมนต์ (ODF) ซึ่งเป็นมาตรฐานไอเอสโอ/ไออีซีเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้เป็นรูปแบบแฟ้มพื้นฐาน อีกทั้งยังรองรับรูปแบบเอกสารจากไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ และอื่น ๆ กระทั่งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 โอเพนออฟฟิศดอตอ็อกรองรับมากกว่า 110 ภาษา
ซอฟต์แวร์และโครงการนี้อาจเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า โอเพนออฟฟิศ แต่ชื่อนี้เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งก่อตั้งโดย Wouter Hanegraaff <
ในประเทศไทย เคยมีการนำ โอเพนออฟฟิศดอตอ็อกมาพัฒนาต่อเพื่อให้ใช้งานภาษาไทยได้ โดยสองตัวหลักที่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง คือ ปลาดาวออฟฟิศ ที่สนับสนุนโดย ซัน ไมโครซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) และ ออฟฟิศทะเล ที่พัฒนาโดยเนคเทค
== ประวัติ ==
ในปีค.ศ. 1999 ซันไมโครซิสเต็มส์ได้ซื้อซอฟต์แวร์ สตาร์ออฟฟิศ จากบริษัทซอฟต์แวร์ของเยอรมนีชื่อ สตาร์ดิวิชัน ซันได้อนุญาตให้ใช้สตาร์ออฟฟิศ เวอร์ชัน 5.2 ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในปีค.ศ. 2000 ซันได้เผยแพร่ซอร์สโค้ดของสตาร์ออฟฟิศภายใต้สัญญาอนุญาต LGPL และ Sun Industry Standards Source License (SISSL) เพื่อจะสร้างชุมชนโอเพนซอร์ส โครงการใหม่ที่ตั้งขึ้นมีชื่อว่า OpenOffice.org เว็บไซต์ของโอเพนออฟฟิศดอตอ็อกเริ่มเปิดใช้งานในเดือนตุลาคม ปี 2000
โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก 1.0 เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002
ซันประกาศยุติการใช้งาน SISSL ในปี ค.ศ. 2005 โครงการโอเพนออฟฟิศดอตอ็อกจึงใช้เพียงสัญญาอนุญาตแบบ LGPL ในเวอร์ชันหลังจากนั้นมา โอเพนออฟฟิศดอตอ็อกเปิดตัวโปรแกรมเวอร์ชัน 2.0 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2005 โดยใช้รูปแบบไฟล์ OpenDocument แทน OpenOffice.org XML
โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก 3.0 เปิดตัวในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 โดยสามารถเปิดเอกสารในรูปแบบ Office Open XML ได้ และรองรับรูปแบบไฟล์ OpenDocument 1.2
ซันไมโครซิสเต็มส์ยังคงทำตลาดสตาร์ออฟฟิศเป็นซอฟต์แวร์เชิงพานิชย์ โดยใช้โอเพนออฟฟิศดอตอ็อกเป็นฐาน และเพิ่มความสามารถบางอย่างเข้าไป
== โปรแกรมในชุด ==
== รุ่นที่เข้ากันได้ ==
* FreeBSD: v3.0.1 v2.4.1
* Mac OS X 10.2: ไปจนถึง v1.1.2
* Mac OS X 10.3: ไปจนถึง v2.1
* Mac OS X 10.4-10.5 (PowerPC) : ไปจนถึง v2.4.1 (v3.0 อยู่ระหว่างการทดสอบ)
* Mac OS X 10.4-10.5 (Intel) : v3.0
* Windows 95: ไปจนถึง v1.1.5
* Windows 98-ME: ไปจนถึง v2.4.2
* Windows 2000-SEVEN: v3.0
* โอเอส/2 และ eComStation: ไปจนถึง v2.4.0 (v3.0 อยู่ระหว่างการทดสอบ)
== คู่มือการใช้งาน ==
* ดาวน์โหลด คู่มือ โปรแกรมสำนักงาน OpenOffice.org ของ SIPA
* ดาวน์โหลด OpenOffice.org Flash training ของ SIPA
* ค้นปัญหาที่ถามบ่อย (FAQ) ที่ OpenOffice.org KBS [Knowleage Base System''']
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
* ปลาดาวออฟฟิศ
* ออฟฟิศทะเล
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* OpenOffice.org
* OpenOffice.org ภาษาไทย
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์เสรี
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์สำนักงาน
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์บนวินโดวส์
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์บนแมคโอเอสเท็น
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์บนยูนิกซ์ |
795 | https://th.wikipedia.org/wiki/นามปากกา | นามปากกา | นามปากกา หมายถึงนามแฝงของนักเขียนและใช้บนปกหนังสือหรือกลุ่มของผลิตภัณฑ์ของงานที่ใช้แทนชื่อจริง นามปากกามีไว้เพื่อทำให้ชื่อผู้เขียนดูโดดเด่นขึ้น, ปกปิดเพศผู้เขียน, ทำให้แตกต่างจากงานเขียนอื่น, เพื่อปกป้องผู้เขียน, ชื่อรวมของนักเขียนร่วม, หรืออีกหลายเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการตลาดหรือการแสดงทางสุนทรียศาสตร์ของผลงาน
== ดูเพิ่ม ==
* ชื่อศิลปิน
* รายชื่อนามปากกา
หมวดหมู่:นามแฝง |
796 | https://th.wikipedia.org/wiki/ป._อินทรปาลิต | ป. อินทรปาลิต | ป. อินทรปาลิต เป็นนามปากกาของ ปรีชา อินทรปาลิต (12 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 - 25 กันยายน พ.ศ. 2511) เป็นนักเขียน แนวหัสนิยาย บันเทิง ผลงานที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คือ พล นิกร กิมหงวน หรือ สามเกลอ
==ประวัติ==
ปรีชา อินทรปาลิต เป็นบุตรชายคนที่สองของ พันโท พระวิสิษฐพจนการ (อ่อน อินทรปาลิต) และนางชื่น วิสิษฐพจนการ เกิดที่บ้านตำบลหลานหลวง อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ตรงกับวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2453
==พี่น้อง==
ปรีชา อินทรปาลิต มีพี่น้องร่วมบิดามารดา จำนวน 7 คน ได้แก่
* นางสาลี่ อรรถยุกติ
* นายปรีชา อินทรปาลิต คือ ป. อินทรปาลิต
* นางมาลัย อินทรปาลิต
* นายอุทัย อินทรปาลิต
* นายอรุณ อินทรปาลิต
* นายอาภรณ์ อินทรปาลิต
* นายโกมล อินทรปาลิต
==ครอบครัว==
ป. อินทรปาลิตได้สมรสกับนางสาวไข่มุกด์ ระวีวัฒน์ คุณข้าหลวงของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี เมื่อ พ.ศ. 2472 มีธิดาด้วยกัน 2 คน คือ
* นายฤทัย อินทรปาลิต
* นางฤดี (อินทรปาลิต) เคนนี่
นางไข่มุกด์ ภรรยา นอกจากจะปฏิบัติหน้าที่แม่บ้านและเป็นแม่ของลูก ๆ แล้ว เธอยังเป็นนักอ่านนวนิยายอย่างแท้จริงคนหนึ่ง เป็นผู้มีความรอบรู้เรื่องต่าง ๆ เป็นอย่างดี ฉะนั้น จึงมีส่วนช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้แก่ ป. อินทรปาลิตตลอดมา จนกระทั่งเธอได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง เมื่อ พ.ศ. 2491
ต่อมา ป. อินทรปาลิต สมรสกับนางปราณี อินทรปาลิต ไม่มีบุตรด้วยกัน
==ชีวิตการประพันธ์==
ด้วยความปรารถนาของ พันโท พระวิสิษฐพจนการ (อ่อน อินทรปาลิต) ผู้เป็นบิดา ที่จะให้บุตรชายได้เป็นนายทหารเหมือนอย่างตัวท่าน เมื่อปรีชา อินทรปาลิต ได้รับการศึกษาชั้นมัธยมต้นแล้ว จึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบก (ปัจจุบัน คือ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) ซึ่งขณะนั้นยังแยกเป็นโรงเรียนนายร้อยประถมและมัธยม เป็นนักเรียนร่วมรุ่นกับนายทหาร รุ่น 2474
แต่เนื่องจากปรีชา เป็นผู้มีนิสัยชอบความสนุกสนานและรักชีวิตอิสระมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงไม่อาจจะศึกษาต่อให้สำเร็จได้ ด้วยความเป็นผู้ชอบอ่านหนังสือ และได้มีโอกาสรู้จักกับนักประพันธ์ผู้ใหญ่หลายท่านในสมัยที่บิดาเป็นทั้งอาจารย์และบรรณาธิการหนังสือ "เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์" ทำให้มีใจรักการประพันธ์และได้หัดเขียนเรื่องสั้น ๆ ตั้งแต่บัดนั้น เมื่อลาออกจากโรงเรียนแล้วได้เข้ารับราชการในกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ต่อมาได้โอนไปอยู่กองทาง กรมโยธาเทศบาล ได้ใช้เวลาว่างเขียนหนังสืออยู่เสมอ และได้เคยส่งไปลงในหนังสือพิมพ์บางฉบับโดยมิได้รับผลประโยชน์ตอบแทน นอกจากความภูมิใจจากเรื่องสั้น ๆ กลายเป็นนวนิยายขนาดเล่มเดียวจบในสมัยนั้น เขียนแล้วเก็บไว้เป็นหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งพี่ ๆ น้อง ๆ ก็ได้อ่านกันทุกเรื่อง และทุกคนก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่อง "นักเรียนนายร้อย" เป็นเรื่องที่เขียนได้ดีที่สุด อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวมีแรงบันดาลใจมากกว่าเรื่องอื่น ด้วยเลือดเข้มของนักเรียนนายร้อยยังซ่อนเร้นอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ และด้วยเรื่องสนับสนุนของวงศ์ญาติ นางไข่มุกด์ อินทรปาลิต ผู้เป็นภรรยา จึงได้นำต้นฉบับ "นักเรียนนายร้อย" ไปส่งยังสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ ของนายเวช กระตุฤกษ์ เจ้าของสำนักพิมพ์ได้รับไว้ด้วยความยินดี เมื่อพิมพ์ออกมาจำหน่ายปรากฏว่าหนังสือขายได้เป็นจำนวนสูงในเวลาอันรวดเร็ว และเป็นเรื่องที่กล่าวขวัญในหมู่นักอ่านทั่วไป นับว่า "นักเรียนนายร้อย" เป็นผู้มอบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในความเป็นนักประพันธ์ให้แก่ ป. อินทรปาลิต สำนักพิมพ์รีบส่งผู้แทนมาติดต่อขอซื้อเรื่องต่อไปโดยด่วน นับแต่นั้นเรื่อยมาเรื่องของ ป. อินทรปาลิต ก็ทะยอยออกสู่ตลาดเรื่อย ๆ สำนักพิมพ์อื่น ๆ ก็ติดต่อขอซื้อเรื่องอีกหลายต่อหลายแห่งด้วยกัน
== การศึกษา ==
ป. อินทรปาลิต เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนโสมนัสและเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยฝ่ายประถม รุ่นเดียวกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และเมื่อเรียนถึงชั้นปีที่สองฝ่ายชั้นมัธยม เกิดความรู้สึกว่าไม่ชอบอาชีพทหาร จึงขอลาออกจากโรงเรียนนายร้อย แต่ระบุในอัตตชีวประวัติของ ป.อินทรปาลิต ที่เขียนด้วยตนเอง เปิดเผยว่า เรียนโรงเรียนนายร้อย รุ่นเดียวกับ จอมพล ถนอม กิตติขจร และ มี จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นรุ่นพี่ และตนเองเรียนตกซ้ำชั้น 2 ปี เพราะต้องการรอเรียนกับเพื่อน เลยต้องรีไทร์จากโรงเรียนนายร้อย
== อาชีพการงาน ==
=== ผลงาน ===
* นักเรียนนายร้อย
* ชุดสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน
==อาการเจ็บป่วย และมรณกรรม==
ป. อินทรปาลิต ได้ล้มป่วยด้วยโรคเบาหวาน เมื่อ พ.ศ. 2498 ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลจาก นายแพทย์เดวิด เคนนี่ ผู้เป็นบุตรเขย อาการของโรคในระยะปีแรก ๆ ก็ไม่ร้ายแรงอะไรนัก
ต่อมา ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2510 อาการป่วยของ ป. อินทรปาลิต กำเริบขึ้น ถึงกับต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ การป่วยครั้งนี้มีอาการทางหัวใจและโรคปอดเข้าแทรก คณะแพทย์ได้ทำการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด ได้พักรักษาตัวอยู่ประมาณหนึ่งเดือน แพทย์ก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2511 อาการของโรคเดิมได้กำเริบขึ้น จึงได้กลับเข้ารักษาตัว ณ ที่เดิมอีก คราวนี้รักษาตัวนานถึงสองเดือนเศษ และเมื่อทุเลาก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาอยู่บ้าน มีอาการกำเริบบ้างเป็นครั้งคราว แล้วก็หายไป เป็นเช่นนี้เสมอมา และเนื่องจากชีวิตในบั้นปลายของ ป. อินทรปาลิต ต้องอยู่บ้านตามลำพัง เพราะบุตรชายหญิงทั้งคู่ต้องทำงานประกอบอาชีพ และแยกไปมีครอบครัวกันแล้วทั้งสิ้น ทั้งปราณีผู้เป็นภรรยา ก็ทำงานอยู่ ณ ร้านจำหน่ายหนังสือ ไม่สามารถจะลาหยุดบ่อย ๆ ได้ อาการป่วยเรื้อรังเช่นนี้ ควรจะได้มีผู้ดูแลประจำอยู่ พอดีกับน้องสาวและน้องเขย (นายชูชัย พระขรรค์ชัย) ของภรรยา ได้แสดงความมืน้ำใจเอื้อเฟื้อ ขอรับ ป. อินทรปาลิต ไปพักอยู่ด้วยกันที่บ้านของตนที่ซอยโชคชัย เพื่อจะได้มีโอกาสช่วยดูแลพยาบาล เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ ป. อินทรปาลิต ได้มีต่อครอบครัวของตนอย่างดียิ่งมาช้านาน ซึ่งน้องสาวของภรรยาให้ความคารวะพี่เขยเสมอด้วยบิดาตน
โดยปกติแล้ว ป. อินทรปาลิต เป็นผู้ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครง่าย ๆ หากด้วยความเอ็นดูน้องภรรยาที่ ป. อินทรปาลิต เคยอุปถัมภ์มาตั้งแต่เยาว์วัย จึงยอมรับการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทิตานั้น โดยได้ย้ายไปอยู่ ณ บ้านหลังดังกล่าว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2511 อย่างไรก็ดี ป. อินทรปาลิต เป็นผู้มีทิษฐิในการยืนอยู่เป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง แม้จะเจ็บป่วยสักเพียงไรก็ยังสามารถหารายได้จากการเขียนหนังสือเลี้ยงครอบครัว อาจจะกล่าวได้ว่าตราบจนลมหายใจครั้งสุดท้าย โดยปราณีผู้เป็นภรรยาได้รับเงินค่าเรื่องจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในตอนเช้าของวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2511 และเมื่อเวลา 18.15 น. ของวันเดียวกัน ป. อินทรปาลิต ก็ได้ถึงแก่กรรมโดยสงบด้วยอาการหัวใจวาย จะมีใครทราบล่วงหน้าก็หาไม่ รวมสิริอายุได้ 58 ปี
ป. อินทรปาลิต ได้รับการฌาปนกิจศพ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2512
==อ้างอิง==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Samgler.org - พล นิกร กิมหงวน (สามเกลอ) ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
* ป. อินทรปาลิต คนขายฝันผู้ยิ่งใหญ่
หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย
หมวดหมู่:นักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:นามปากกา
หมวดหมู่:บุคคลจากเขตดุสิต
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเทพศิรินทร์
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า |
798 | https://th.wikipedia.org/wiki/หนังสือดี_100_เล่มที่คนไทยควรอ่าน | หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน | รายชื่อหนังสือดี 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน (พ.ศ. 2408-2519) เป็นงานวิจัยของวิทยากร เชียงกูล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับคณะวิจัยอีก 10 ท่าน ชื่อ "โครงการวิจัยเพื่อคัดเลือกและแนะนำหนังสือดีในรอบศตวรรษ" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในช่วงปี พ.ศ. 2540-2541
== หลักเกณฑ์ในการคัดเลือก ==
# เป็นหนังสือภาษาไทย ที่เขียนขึ้นในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2411 ถึงปี พ.ศ. 2519 ที่จัดเป็นหนังสือประเภทคลาสสิก หรือโมเดิร์นคลาสสิก มีค่าควรอ่านได้ทุกยุคสมัย
# เป็นหนังสือที่มีศิลปะในการเขียนและการใช้ภาษาที่ดี มีคุณค่าทางศิลปวรรณกรรม ครบถ้วนตามแนวทางของวรรณกรรมโลก หรือวรรณกรรมสากล
# เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระ ที่แสดงออกถึงความริเริ่มสร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้อ่านมีทัศนะต่อชีวิตและต่อโลกกว้างขึ้น ได้รับความรู้ ความคิดอ่าน ความบันเทิงทางศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ ให้ผู้อ่านมีความฉลาด และมีความคิดแบบเสรี หรือมีจิตใจที่กว้างมากขึ้น เข้าใจชีวิตและสังคมมากขึ้น และช่วยให้ลดการมีอคติในเรื่องเผ่าพันธุ์ เพศ ฯลฯ
# เป็นหนังสือที่มีความโดดเด่น มีอิทธิพลต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของผู้อ่านจำนวนมากในยุคหนึ่ง ที่มีผลสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
== รายชื่อหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ==
กดที่กล่องหัวตารางเพื่อทำการเรียงตาม ชื่อหนังสือ หรือ ผู้ประพันธ์
== อ้างอิง ==
* หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน บทสรุปโครงการวิจัย
== ดูเพิ่ม ==
* หนังสือและบทความ
** ธนาพล ลิ่มอภิชาต และวริศา กิตติคุณเสรี. (2551, ต.ค.-ธ.ค.). ประวัติศาสตร์และการเมืองของวาทกรรม “หนังสือดี”. อ่าน. 1(3): 38-60.
* เว็บไซต์
** รายชื่อ 100 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย
** รายชื่อ 88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:รายชื่อเกี่ยวกับวรรณกรรมในประเทศไทย |
800 | https://th.wikipedia.org/wiki/88_หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย | 88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย | 88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ เป็นผลการวิจัยของคณะวิจัย โครงการวิจัยหนังสือดีวิทยาศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และกรมวิชาการ โดยคณะวิจัยของโครงการได้ทำการคัดเลือกหนังสือซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ที่ตีพิมพ์เป็นเล่ม เนื้อหาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ที่เป็นภาษาไทย เขียนโดยชาวไทย ตั้งแต่ ยุคสุโขทัย ถึง พ.ศ. 2536 มากกว่า 500 เล่ม แล้วแถลงข่าวประกาศยกย่องเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2544
ในจำนวนหนังสือ 88 เล่มนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
* บันเทิงคดี - 29 เล่ม
* สารคดี - 30 เล่ม
* ความรู้ทั่วไป - 29 เล่ม
== บันเทิงคดี ==
ปกจากหนังสือจากลูกคิดสู่คอมพิวเตอร์
* กสิกรรมบนดอนฯ - ม.จ. สิทธิพร กฤดากร (2514)
* การปลูกอุบลชาติ - เสริมลาภ วสุวัต (2525)
* ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม - สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (2523)
* คู่มือดูดาว - กนก จันทรขจร (2525)
* จักรวาลและอวกาศ - นิพนธ์ ทรายเพชร (2529)
* จากลูกคิดสู่คอมพิวเตอร์ - ครรชิต มาลัยวงศ์ (2520)
* ชีวิตแมลง - สิรินทร์ ช่วงโชติ (2519)
* ดาราศาสตร์และอวกาศ - ระวี ภาวิไล (2522)
* ตำรายา (วัดโพธิ์) - ศิลาจารึกวัดพระเชตุพน (2505)
* ไตรภูมิพระร่วง - พระยาลิไท (1888) (ฉบับ สนพ. ศิลปบรรณาคาร, 2504)
* ทรัพยากรแร่ในประเทศไทย - งามพิศ แย้มนิยม (2525)
* นักวิทยาศาสตร์ไทย - สมบัติ จำปาเงิน (2517)
* นักวิทยาศาสตร์หนุ่ม - บุญภักดิ์ ขวัญเจริญ (2513)
* นิยายดาว - สิงโต ปุกหุต (2530)
* ป่าเขตร้อน - อรวรรณ คูหเจริญ (2535)
* พรรณไม้ในวรรณกรรมสุนทรภู่ - เสวตร เปี่ยมพงศานต์ (2532)
* พลังงานกับชีวิต - วิจิต คงพูล (2524)
* พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ - คณะกรรมการพลังงาน (2502)
* พลาสติก - จงดี แสงเพชร (2518)
* พืชกินได้และพืชมีพิษในป่าเมืองไทย - สมจิตร พงศ์พวัน (2515)
* รู้ไว้ใช่ว่า ประสาวิทยาศาสตร์ - กฤษณา ชุติมา (2532)
* เราเกิดมาจากไหน - วิริยะ สิริสิงห (2519)
* วาโย - วิชัย หโยดม (2516)
* วิทยาการแห่งอารยะ - สุทัศน์ ยกส้าน (2535)
* วิทยาศาสตร์ 200 ปี : สมาคมวิทย์ฯ (2525)
* วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน - ปุ๋ย โรจนบุรานนท์ (2502)
* วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม - เกษม จันทร์แก้ว (2524)
* หมอไทย ยาไทย - โครงการเผยแพร่เอกลักษณ์ไทย (กระทรวงศึกษาธิการ) (2522)
* 300 ปี ดาราศาสตร์ไทย - ไชยันต์ ภาคอุทัย, สาลิน วีรบุตร (บรรณาธิการ) (2530)
== ดูเพิ่ม ==
* 100 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย (โครงการลำดับถัดไป)
* หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน
* หนังสือดี 100 เล่มที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
== ดอกบัวไม่ยอมบาน ==
* http://www.bangkokbookclub.com/article.php?id=1391&lang=th
88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:รายชื่อเกี่ยวกับวรรณกรรมในประเทศไทย |
803 | https://th.wikipedia.org/wiki/สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย | สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย | สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย () หรือ เอไอที เป็นสถาบันการศึกษาที่มีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2502 โดยความร่วมมือจากกลุ่มประเทศสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีโต้ หรือ สปอ.) ในชื่อ โรงเรียนวิศวกรรม สปอ. (SEATO Graduate School of Engineering) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสถาบันอิสระในชื่อปัจจุบันเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เปิดสอนระดับอุดมศึกษา (ปริญญาโท และปริญญาเอก) โดยเน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการจัดการ ในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีศูนย์การศึกษาในประเทศเวียดนามด้วย
สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นสมาชิกของเครือข่าย LAOTSE ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำในเอเชียและยุโรป ตามกรอบความร่วมมืออาเซม โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติที่ดีที่สุดในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดย U-Multirank ขณะเดียวกันยังได้รับการประเมินจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยให้เป็นสถาบันที่มีผลงานวิจัยเป็นเลิศ
== ประวัติ ==
เมื่อปี พ.ศ. 2500 องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มีแนวคิดที่จะก่อตั้งโรงเรียนวิศวกรรมขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกองค์กรซีโต้ ทั้งประเทศออสเตรเลีย ประเทศฝรั่งเศส ประเทศนิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐ รวมถึงประเทศสมาชิกในภูมิภาค ได้แก่ ประเทศปากีสถาน ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศไทย โดยแนวคิดนี้ได้รับการอนุมัติในการประชุมที่กรุงมะนิลาในปีถัดมา จนกระทั่งมีการประกาศก่อตั้งโรงเรียนวิศวกรรม สปอ. ขึ้นภายหลังจากการประชุมที่กรุงเวลลิงตันในปี พ.ศ. 2502 ต่อมาโรงเรียนวิศวกรรม สปอ. ได้เปลี่ยนสถานะเป็นสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียในปี พ.ศ. 2510 เมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ประกาศให้กฎบัตรสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีผลตามกฎหมาย ซึ่งทำให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นสถาบันอิสระและไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานใด
เมื่อปี พ.ศ. 2532 สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ ในสาขาสันติภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศ จากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลยุคใหม่ โดยเฉพาะวิศวกรและผู้จัดการ ในทวีปเอเชีย โดยมีบรรยากาศการเรียนการสอนที่ดีเยี่ยมและมีความเป็นมิตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2536 สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้ลงบันทึกความร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามในการเปิดศูนย์เวียดนามที่กรุงฮานอย ทำให้หลังจากนั้นรัฐบาลเวียดนามได้มอบรางวัลเหรียญมิตรภาพให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งถือเป็นรางวัลที่สูงที่สุดที่มีการมอบในระดับระหว่างประเทศ และมีการเสนอไปยังสถาบันระหว่างประเทศที่กระจายการฝึกทักษะทรัพยากรบุคคลแก่เวียดนาม และการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับประเทศอื่น
จากการที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นสถาบันการศึกษาที่มีสถานะแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศไทย เนื่องจากมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นทั้งสถาบันของรัฐบาลและเอกชน แต่มีสถานะเทียบเท่ากับสถาบันอิสระระหว่างประเทศ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2555 ได้เกิดประเด็นเกี่ยวกับการไม่รับรองในระบบราชการไทยขึ้นจากการที่ไม่ได้เป็นสถาบันการศึกษาเอกชน แต่ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขในเวลาต่อมา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) ได้ให้การรับรองคุณวุฒิจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียจัดอยู่ในการรับรองคุณวุฒิต่างประเทศ
== ทำเนียบอธิการบดี ==
== การศึกษา ==
right|อาคารเรียนและสภาพแวดล้อมภายในเอไอที
ระยะแรกของการก่อตั้ง บัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ สปอ. (ชื่อของสถาบันในขณะนั้น) ตั้งอยู่ในพื้นที่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาได้รับการอนุมัติให้ใช้พื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐบาลไทย อยู่บริเวณติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตในปัจจุบัน จึงได้พัฒนาเป็นที่ตั้งจนถึงทุกวันนี้
ด้านหน้าของสถาบันฯ เป็นพื้นที่สีเขียวเป็นแนวกว้าง เดิมได้ออกแบบเพื่อเป็นพื้นที่ถอยร่นใช้กันเสียงและมลภาวะจากภายนอก และใช้เป็นพื้นที่สนามกอล์ฟ 9 หลุมสำหรับนักศึกษาและบุคลากรของสถาบันฯ จนเมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้มีโครงการเปลี่ยนพื้นที่สนามกอล์ฟเป็นพื้นที่สวนพฤกษศาสตร์เปิดให้บุคคลภายนอกได้ใช้ เป็นหนึ่งในพื้นที่สีเขียวที่สำคัญของจังหวัดปทุมธานี
นอกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว พื้นที่ติดกับสถาบันยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำคัญอย่าง อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
นอกจากศูนย์หลักที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยแล้ว ยังมีศูนย์เอไอทีเวียดนามที่ตั้งกระจายอยู่ตามเมืองสำคัญในประเทศเวียดนาม ได้แก่ กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ซิตี และเกิ่นเทอ ซึ่งเป็นศูนย์หลักในประเทศเวียดนามทั้ง 3 แห่ง และยังมีสำนักงานย่อยกระจายในเมืองต่างๆอีก 4 แห่ง โดยศูนย์เอไอทีเวียดนามนั้นก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ภายใต้ข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลเวียดนาม ทำให้เป็นสถาบันการศึกษานานาชาติแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม
== ชีวิตนักศึกษา ==
ปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีการเปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยจากรายงานประจำปี พ.ศ. 2559 พบว่า สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีนักศึกษาเข้าใหม่มาจากประเทศต่างๆในทุกปี สามารถแบ่งออกเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร้อยละ 60 เอเชียใต้และเอเชียตะวันตก ร้อยละ 27 เอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง ร้อยละ 7 ทวีปยุโรป ร้อยละ 4 และทวีปแอฟริกา ร้อยละ 2 รวมมีนักศึกษารวมทุกระดับจำนวน 2,192 คน ที่มาจาก 49 ประเทศทั่วโลก เป็นนักศึกษาไทยเพียงร้อยละ 30 ส่วนเพศของนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศชายถึงร้อยละ 65 และเป็นเพศหญิงร้อยละ 35
นักศึกษาในสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มีผลการเรียนดี จึงได้รับทุนการศึกษาที่สถาบัน โดยแบ่งออกเป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนให้เปล่าแบบเต็มจำนวน เช่น ทุนรัฐบาลไทย ทุนญี่ปุ่น ฯลฯ ร้อยละ 46 และมีเพียงนักศึกษาร้อยละ 20 เท่านั้น ที่ออกค่าใช้จ่ายในการศึกษาเองทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนบางส่วน
=== การจัดอันดับโดยเว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ===
การจัดอันดับโดยเว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บไซต์ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก โดยบ่งบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ของสถาบัน เพื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ในการประเมินผลงานวิจัยของสถาบัน ซึ่งทางเว็บโอเมตริกซ์ได้จัดอันดับปีละ 2 ครั้งในเดือนมกราคม และกรกฎาคม โดยเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย อยู่ในอันดับที่ 1,104 ของโลก อันดับที่ 35 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันดับที่ 13 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
=== การจัดอันดับโดย U-Multirank ===
สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้การจัดอันดับมหาวิทยาลัยนานาชาติยอดเยี่ยมของโลกจาก U-Multirank 2015 International Ranking ในฐานะมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นความเป็นนานาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติเพียงแห่งเดียวในทวีปเอเชียที่ได้รับการจัดระดับในระดับ A ครบทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การเรียนการสอน การวิจัย การถ่ายทอดองค์ความรู้ การมุ่งเน้นความเป็นนานาชาติ และความเกี่ยวข้องในระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียยังได้รับการให้คะแนนระดับ A ถึง 11 ตัวชี้วัด จากทั้งหมด 31 ตัวชี้วัด ซึ่ง U-Multirank ให้การยกย่องว่าเป็นสถาบันที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพดีและมีความกว้างขวาง โดยเป็นสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุดในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 15 ของทวีปเอเชีย ในการวัดระดับในภาพรวม
== การเดินทาง ==
นักศึกษา บุคลากร และบุคคลทั่วไปสามารถเดินทางมายังสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้หลายเส้นทาง เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์โดยผ่านถนนพหลโยธิน หรือ ทางพิเศษอุดรรัถยา และ ถนนกาญจนาภิเษก โดยผ่านถนนเชียงราก/ถนนคลองหลวง รถเมล์ สาย 39(1-4) 356 510(1-19) 510(1-20E) และ 1-9E รถตู้โดยสารร่วม ขสมก. สาย ต.85 จาก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ สาย ต.118 จาก รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีหมอชิต/รถไฟฟ้ามหานคร สถานีสวนจตุจักร รถตู้โดยสารปรับอากาศท่าพระจันทร์-ศูนย์รังสิต และรถตู้โดยสารปรับอากาศจากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต รวมทั้งสามารถเดินทางโดยรถไฟ มาลงที่สถานีรถไฟมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้อีกทางหนึ่ง สำหรับสถานีรถไฟมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ปัจจุบันมีขบวนรถชานเมืองและธรรมดา หยุดรับส่งผู้โดยสาร 11 ขบวนต่อวัน
== บุคคลที่มีชื่อเสียงจากสถาบัน ==
=== ชาวไทย ===
* สุบิน ปิ่นขยัน - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และทบวงมหาวิทยาลัย และผู้ก่อตั้ง บริษัท เอ็มดีเอ็กซ์ จำกัด
* ศาสตราจารย์ ศรีศักดิ์ จามรมาน - อดีตหัวหน้าคณะทำงานหลายคณะในคณะกรรมการคอมพิวเตอร์ของรัฐ สำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ไทย
* ศาสตราจารย์ อาณัติ อาภาภิรม - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
* ทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ - ผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยคนแรก
* ประเสริฐ ภัทรมัย - ผู้ก่อตั้งบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด
* พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ - อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด
* ประสาร ไตรรัตน์วรกุล - อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
* รองศาสตราจารย์ กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย - อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น คนที่ 10
* พนิตา กำภู ณ อยุธยา - อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
* สามารถ ราชพลสิทธิ์ - อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ายโยธาและจราจร
* ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพดล อินนา - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทย และอดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ยงยุทธ ติยะไพรัช - อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร
* ห้างทอง ธรรมวัฒนะ - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชากรไทย
* มณทิพย์ ศรีรัตนา - อดีตรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
* โสภณ พรโชคชัย - นักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ การประเมินค่าทรัพย์สิน การพัฒนาเมือง
* อริยา อรุณินท์ - อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ร่วมออกแบบงานผังของ สวนหลวง ร.9
* รองศาสตราจารย์ ยงธนิศร์ พิมลเสถียร - อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนึ่งในคณะอนุกรรมการอนุรักษ์ และพัฒนาเกาะกรุงรัตนโกสินทร์
*สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมจราจรและขนส่ง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่
*มานะ มหาสุวีระชัย - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
*วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล-นักแสดง นักเขียน และผู้ผลิตรายการ
*ณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคก้าวไกล
=== ชาวต่างประเทศ ===
* เหมา จื้อกั๋ว - อดีตนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐจีน
* Bindu Lohani - อดีตรองประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย
* Dang Hoang An - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
* ยู่ เสี่ยวกัง - นักสิ่งแวดล้อมชาวจีน และผู้ได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ 2009
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
* สมาคมนักเรียนเก่าเอไอที (ประเทศไทย)
อเชีย,สถาบันเทคโนโลยีแห่ง
อเชีย,สถาบันเทคโนโลยีแห่ง
หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ
หมวดหมู่:เครือข่ายการศึกษาและการวิจัยแห่งลุ่มแม่น้ำโขง
หมวดหมู่:องค์การระหว่างประเทศ
หมวดหมู่:สถานศึกษาในอำเภอคลองหลวง |
809 | https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย | สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย | สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย () หรือเรียกโดยย่อว่า สกว. เป็นองค์กรขนาดเล็กของรัฐภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรีที่มิได้ใช้ระบบราชการในการดำเนินงาน ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบตราพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. 2535 เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยใช้การวิจัยเป็นกลไกสร้างฐานความรู้สำหรับการแก้ปัญหาให้แก่สังคม
== ประวัติ ==
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นองค์กรขนาดเล็กของรัฐภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อตั้งโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. 2535 ในสมัยรัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ การวิจัยเชิงนโยบาย และการวิจัยประยุกต์ต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวิชาการของประเทศ
สกว. ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) เพื่อร่วมกันเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยของประเทศ นอกจากนี้ในด้านความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยใช้จุดแข็งของระบบการสนับสนุนทุนที่ยืดหยุ่นคล่องตัว ในการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายวิจัยระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน เพื่อร่วมกันพัฒนาความเข้มแข็งของระบบวิจัยในอาเซียน
สกว. ได้พัฒนาแนวคิดวิธีการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัย เพื่อตอบสนองต่อปัญหาให้สอดคล้องกับโครงสร้างทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ตลอดจนการบูรณาการนักวิจัยและศาสตร์แขนงต่างๆ เข้ามาร่วมสร้างผลงานวิจัย
การก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 ได้มีผลงานในการบริหารจัดการงานวิจัยจนเป็นที่ประจักษ์ จากการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ส่งผลให้ สกว. ได้รับรางวัล ทุนหมุนเวียนดีเด่น ประเภทรางวัลผลการดำเนินงานดีเด่นกลุ่มทุนหมุนเวียนขนาดใหญ่ และรางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียนดีเด่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ติดต่อกันมาแล้วเป็นเวลา 6 ปี และได้รับอีก 2 รางวัล คือ รางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศ และ รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2561
กระทั่งวันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหรือ สกสว. ขึ้นมาทำหน้าที่แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยส่งผลให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยต้องถูกยุบเลิกไปในที่สุดพร้อมกับให้มีการโอนกิจการรวมถึงพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดยให้มีผลบังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
== ภาพเครื่องหมายราชการ ==
ภาพเครื่องหมายราชการของ สกว. เป็นรูปลูกโลกสีทองพื้นสีขาวแสดงที่ตั้งของประเทศไทย ลูกโลกวางอยู่บนริ้วสีน้ำเงิน 3 ริ้ว ประกอบด้วย
ริ้วบน หมายถึง กระแสโลกาภิวัตน์
ริ้วกลาง หมายถึง องค์ความรู้
ริ้วล่าง หมายถึง กระแสวัฒนธรรมท้องถิ่น
โดยรวมหมายถึง การใช้ความรู้สร้างสรรค์ปัญญาเพื่อพัฒนาประเทศ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ ด้านล่างของภาพมีตัวอักษร สกว. และ TRF สีแดง ซึ่งเป็นอักษรย่อของหน่วยงาน
== รายชื่อคณะกรรมการ ==
สกว. ประกอบด้วยคณะกรรมการ 2 คณะ ทำหน้าที่คอยกำกับดูแลการดำเนินงาน ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย และ คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัย
=== คณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย ===
=== คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัย ===
== เมธีวิจัยอาวุโส ==
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มีทุนสนับสนุนนักวิจัยอาวุโสให้สร้างนักวิจัยใหม่ที่มีความสามารถทางวิชาการสูง และเพื่อเป็นเกียรติแก่นักวิจัยในฐานะที่สร้างผลงานดีเด่น เรียกว่า เมธีวิจัยอาวุโส สกว. โดยเริ่มให้ทุนวิจัยตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา ผู้ได้รับคัดเลือกให้เป็น เมธีวิจัยอาวุโส สกว. จะเข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
=== การคัดเลือก ===
ใช้วิธีการสรรหา และเสนอชื่อโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยพิจารณาจาก รายนามศาสตราจารย์ในประเทศ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในพระบรมราชูปถัมภ์, นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, ผู้ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นของมหาวิทยาลัยต่างๆ, คณาจารย์ที่มีผลงานวิจัยเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ และการเสนอชื่อจากคณบดีทุกมหาวิทยาลัย
=== คุณสมบัติเมธีวิจัยอาวุโส ===
เป็นนักวิจัยที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติ มีจริยธรรม และพร้อมที่จะเป็นผู้นำในทีมวิจัย สามารถพัฒนางานวิจัยและนักวิจัยรุ่นใหม่ได้
=== รายนามเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ===
== อ้างอิง ==
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สำนักงาน)
หมวดหมู่:กองทุน
หมวดหมู่:การวิจัย
หมวดหมู่:องค์การมหาชน
หมวดหมู่:องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535
หมวดหมู่:สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2562
หมวดหมู่:หน่วยงานของรัฐบาลไทยในอดีต
หมวดหมู่:หน่วยงานของรัฐบาลไทยในเขตพญาไท |
814 | https://th.wikipedia.org/wiki/โฮเมอร์_ซิมป์สัน | โฮเมอร์ ซิมป์สัน | โฮเมอร์ เจย์ ซิมป์สัน () เป็นตัวการ์ตูนหลักในการ์ตูนชุดทางโทรทัศน์ในสหรัฐ เรื่อง เดอะซิมป์สันส์ สร้างโดย แม็ตต์ เกรนิง (Matt Groening) ให้เสียงพากย์โดย แดน แคสเทลลาเนตา (Dan Castellaneta)
โฮเมอร์เป็นพ่อในครอบครัวซิมป์สัน ลักษณะอ้วนลงพุง ขี้เกียจ ตะกละ และไม่ฉลาด เขาทำงานที่โรงไฟฟ้าพลังปรมาณูของ ชารลส์ มอนโกเมอร์รี่ เบิร์นส์ (C.M. Burns)ในเมืองสปริงฟิลด์ (Springfield) ที่แผนก Sector 7G โดยใช้เวลาส่วนใหญ่กินโดนัทแทนที่จะทำงาน และงีบหลับ และใช้เวลาหลังเลิกงานที่ผับชื่อโมส์ ทาเวิร์น เมื่ออยู่บ้านก็มักจะนั่งบนโซฟาหน้าจอโทรทัศน์ พร้อมกับแกล้มและเบียร์ในมือ และมีคำอุทานติดปากว่า "โด้ะ!" (D'oh!) ซึ่งคำนี้ถูกบรรจุแล้วในพจนานุกรมออกซฟอร์ด
โฮเมอร์เกิดที่เมืองและโตที่เมืองสปริงฟิลด์ เป็นลูกชายคนแรกของ อับราฮัม ซิมป์สัน และแต่งงานกับ มาร์จ บูวีเยร์ (Marge Bouvier) หรือเรียกว่ามาร์จ มีลูกสามคนได้แก่ บาร์ต ซิมป์สัน ลิซา ซิมป์สัน และ แมกกี ซิมป์สัน มีพี่น้องต่างมารดาชื่อ เฮิร์บ โพเวลล์ (Herb Powell)
== อ้างอิง ==
โฮเมอร์ ซิมป์สัน
หมวดหมู่:ตัวละครมนุษย์เคลื่อนไหว
หมวดหมู่:ตัวละครชายในการ์ตูนทีวีแอนิเมชัน
หมวดหมู่:ตัวละครที่เป็นผู้กระทำทารุณต่อเด็ก |
817 | https://th.wikipedia.org/wiki/ไมเคิล_จอร์แดน | ไมเคิล จอร์แดน | ไมเคิล เจฟฟรีย์ จอร์แดน (; เกิด 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963) เป็นอดีตนักบาสเกตบอลอาชีพ สังกัดทีมชิคาโก บูลส์ (Chicago Bulls) เล่นในตำแหน่งชู้ตติ้งการ์ด ในลีกเอ็นบีเอ (NBA: National Basketball Association) ในสหรัฐ เป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การกีฬาบาสเกตบอล ปัจจุบันเป็นเจ้าของทีมชาล็อต ฮอร์เน็ตส์ (Charlotte Hornets)
== ประวัติ ==
ไมเคิล จอร์แดน เกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963 ที่บรู๊กลิน ในรัฐนิวยอร์ก จบการศึกษาระดับไฮสคูลที่เลนีย์ ไฮสคูลในวิลมิงตั้น รัฐนอร์ทแคโรไลนา และจบการศึกษาระดับวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์
== การเล่นบาสเกตบอล ==
ไมเคิล จอร์แดน มีความสูงถึง 198 เซนติเมตร (6 ฟุต 6 นิ้ว) จึงมีความโดดเด่นในวงการบาสเกตบอล ได้เริ่มเล่นบาสเกตบอลให้กับทีมมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ และภายหลังได้รับเลือกไปเล่นให้กับทีม ชิคาโก บูลส์ ในการดราฟ เป็นอันดับที่ 3
=== การเล่นให้กับทีมชิคาโก บูลส์ และ ทีมชาติ ===
ไมเคิล จอร์แดนเล่นให้ทีม ชิคาโก บูลส์ (Chicago Bulls) ในปี ค.ศ. 1984 สามารถทำให้ ทีมชิคาโกบูลล์ เป็นแชมป์ เอ็น บี เอ ถึง 6 สมัย และได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของเอ็นบีเอ 5 สมัย (ค.ศ. 1988, 1991, 1992, 1996 และ 1998) และได้รับ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า 3 ประเภท (MVP triple-crown) 2 สมัย (ที่หมายถึงการได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 3 ประเภท คือ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในฤดูกาล, รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าหลังฤดูกาลในช่วงแข่งชิงแชมป์เอ็นบีเอ, และ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในการแข่งรวมดาวนักกีฬา ในฤดูกาลเดียวกัน) นักกีฬาคนอื่น ๆ ที่เคยได้รับรางวัลทั้งสามในฤดูกาลเดียวกัน ได้แก่ วิลลิส รีด (Willis Reed) (ค.ศ. 1970) และ แชคิล โอนีล (Shaquille O'Neal) (ค.ศ. 2000)
ไมเคิล จอร์แดนเป็นหนึ่งใน ดรีมทีม ของสหรัฐฯ ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน เมื่อปี ค.ศ. 1992 ร่วมกับผู้เล่นระดับดาราคนอื่น ๆ อย่าง แมจิก จอห์นสัน และ แลร์รี่ เบิร์ด และทีมของสหรัฐอเมริกามีชัยชนะได้เหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขัน
=== เกียรติประวัติในการเล่นบาสเกตบอล ===
# ผู้เล่นดาวรุ่งแห่งปีในปี ค.ศ. 1985 ติดทีมรวมดาวรุ่งเอ็นบีเอในปีเดียวกัน
# ติดทีมออลสตาร์ในปี ค.ศ. 1987, 1988, 1989, 1990, 1991, 1992, 1993, 1996, 1997 และ 1998 และเป็นผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยมในปี 1988
# เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าของเอ็นบีเออีก 5 สมัยในปี ค.ศ. 1988, 1991, 1992, 1996 และ 1998
# ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในนัดชิงชนะเลิศเอ็นบีเออีก 6 สมัย ในปี ค.ศ. 1991, 1992, 1993, 1996, 1997 และ 1998
# เป็นสมาชิกของทีมชาติบาสเกตบอลสหรัฐอเมริกา คว้าเหรียญทองในโอลิมปิกเกมส์อีก 2 สมัย
ด้วยความที่ ไมเคิล จอร์แดน เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงมาก และกีฬาบาสเกตบอลก็เป็นที่แพร่หลายมากทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ทำให้สินค้ามากมายหลายชนิด ต่างก็อยากได้ตัวเขาไปเป็นผู้เสนอสินค้า (พรีเซนเตอร์) หรือเอาชื่อของเขาไปใส่ในชื่อสินค้าหรือการส่งเสริมการขายต่าง ๆ ค่าตัวของจอร์แดน จึงสูงมาก และทำให้เขาเป็นนักกีฬาที่มีรายได้อันดับต้น ๆ ของโลก
เขาเข้ามาในปี ค.ศ. 1985 จากการดราฟด์เป็นอันดับที่ 3 โดยทีมชิคาโก บูลส์ ส่วนอันดับ 1 คือ ฮาคีม โอลาจูวอน อันดับสอง คือ แซม โบวี่ สาเหตุที่สองทีม ไม่เลือกจอร์แดนเพราะ ในยุคนั้นเน้นการดราฟเซ็นเตอร์ตัวใหญ่ และจอร์แดนเล่นการ์ดซึ่งตัวเล็กเกินไป
ในปี ค.ศ. 1996 ไมเคิล จอร์แดน เล่นภาพยนตร์เรื่อง สเปซแจม (Space Jam) โดยเป็นพระเอกร่วมกับตัวละครการ์ตูนของ Warner Bros ได้แก่ บั๊กส์ บันนี่ และ แดฟฟี่ ดั๊ก เนื้อเรื่องของจอร์แดนได้หลุดเข้าไปในแดนมหัศจรรย์ และช่วยตัวละครการ์ตูนแข่งบาสเกตบบอลกับมนุษย์ต่างดาว
ปัจจุบัน ไมเคิล จอร์แดนเลิกเล่นบาสเกตบอลแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในวงการกีฬาเหมือนเดิม โดยเขาได้เข้าซื้อหุ้น ทีม วอชิงตัน วิซาร์ดส์โดย เข้ามาเป็น ประธานทีม ดราฟ ตัวผู้เล่น คาวาเม่ บราวน์ มาเป็นอันดับที่ 1 และได้กลับเข้ามาใน NBA อีกครั้ง โดยเล่นให้กับ สังกัด ทีม วอชิงตัน วิซาร์ดส์ ใน ฤดูกาล 2001-2002 ถึง 2002-2003 โดยเขาได้เข้าเล่น ออล สตาร์ ทั้ง 2 สมัย ก่อนจะขายหุ้น ทิ้ง เนื่องจากมีปากเสียงกับทีมบริหารด้วยกัน โดยเขาได้มองที่จะซื้อทีมใหม่เพื่อเป็นเจ้าของ ในขณะนั้นเอง ชิคาโก บูลส์ อดีตทีมต้นสังกัดของเขาได้ยื่นข้อเสนอให้หุ้นฟรีแก่เขา พร้อมเสนอตำแหน่ง รองประธาน ในบอร์ดบริหาร แต่เขาได้ปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการเป็นเจ้าของเท่านั้น โดยในขณะนั้น เขาได้เข้าไปคุยกับ บอร์ดบริหาร มิววอกกี้ บักส์ ถึง เรื่องการเข้าซื้อหุ้นเพื่อเป็นเจ้าของ หลังจากได้ข่าวว่าเจ้าของทีม มิววอกกี้ บักส์ ให้สัมภาษณ์ว่าต้องการขายทีม แต่เขาได้ปฏิเสธ ไมเคิล จอร์แดน เนื่องจากเขาต้องการขายทีมให้กับ ชาวเมือง มิววอกกี้ เท่านั้น ภายหลัง เจ้าของทีม ชาล็อต บ็อบแคทส์ เสนอขายหุ้นให้เขามาเป็นเจ้าของร่วม โดย ให้ ไมเคิล จอร์แดน เป็น ประธานด้านกีฬาบาสเกตบอล และ บริหารส่วนอื่นของทีมอีกด้วย ซึ่ง ไมเคิล จอร์แดน ก็พอใจกับข้อเสนอดังกล่าว เขาได้ซื้อหุ้นของทีมชาล็อต บ็อบแคทส์ และเป็นผู้ร่วมบริหารทีมอยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้นก็ยังเป็นเจ้าของทีมฮอกกี้น้ำแข็ง วอชิงตัน แคพิตอลส์
งานทางด้านการกุศล ไมเคิล จอร์แดน ได้ก่อตั้งศูนย์ เจมส์ อาร์.จอร์แดน บอยส์ แอนด์ เกิร์ลส์ คลับ แอน แฟมิลี่ ไลฟ์ เซ็นเตอร์ ซึ่งให้ความช่วยเหลือเด็ก ๆ จากทั่วประเทศทั้งด้าน ชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษา และให้การอบรมทางด้านกีฬาแก่เยาวชนผู้สนใจ โดยมูลนิธินี้ตั้งตามชื่อ เจมส์ จอร์แดน ซึ่งเป็นบิดาของเขา
== ชีวิตครอบครัว ==
ไมเคิล จอร์แดน แต่งงาน กับ ฮัวนิต้า จอร์แดน มีบุตร 3 คน คือ เจฟฟรีย์ มาร์คัส และ จัสมิน มีสุนัขคู่ใจหนึ่งตัวชื่อ อกิต้า
แต่ปัจจุบันภรรยาใหม่ชื่อว่า อีเวต์ ปิเอโตร
== ส่วนเกี่ยวข้อง ==
* ในวัยเด็กจอร์แดนเคยประสบอุบัติเหตุทางทะเล จนทำให้เพื่อนเขาเสียชีวิตแต่ตัวเองรอดมาได้ จากนั้นมาจอร์แดนจึงไม่ชอบทะเลและการว่ายน้ำ
* จอร์แดนเคยถูกตัดจากทีมบาสไฮสคูลที่เขาเรียน หลังจากนั้นจอร์แดนจึงขยันฝึกซ้อมอย่างหนักวันละหลายชั่วโมง
* ในวัยเด็กเขาชอบเล่นเบสบอลมาก แต่ก็เล่นบาสเกตบอลกับอเมริกันฟุตบอลบ้าง แต่เริ่มมารักบาสเกตบอล หลังจากที่เขาเล่นบาสเกตบอล หนึ่งต่อหนึ่ง กับพี่แล้วก็แพ้ทุกครั้งไป
* พ่อของเขา เจมส์ จอร์แดน ถูกฆาตกรรมระหว่างเดินทางโดยโจรปล้นรถ ซึ่งรถที่ถูกปล้นไปคือรถที่ไมเคิลซื้อให้ จากการเสียชีวิตของพ่อทำให้เขาประกาศเลิกเล่นครั้งแรก ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง
* ทีมชิคาโก บูลส์ ประกาศเลิกใช้เสื้อหมายเลข 23 ของเขา ในการประกาศเลิกเล่นครั้งแรกของไมเคิล จากนั้นเขากลับมาเล่นใหม่ โดยใส่หมายเลข 45 ในช่วงแรก ก่อนจะกลับมาใส่หมายเลข 23 อีกครั้ง หลังจากไมเคิลไปเล่นให้กับ วอชิงตัน วิซาร์ดส์ ทีมไมอามี ฮีท ก็ประกาศเลิกใช้หมายเลข 23 เช่นกัน ซึ่งเป็นการเลิกใช้หมายเลขโดยทีมที่จอร์แดนไม่เคยไปเล่นหรือเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
* มีช่วงหนึ่งที่ไมอามีเกิดจลาจล มีการหยุดการจลาจลหนึ่งวันเพราะวันนั้น ทีมชิคาโก บูลส์ ที่จอร์แดนเล่นอยู่มาแข่งกับ ทีมไมอามี ฮีท นายกเทศมนตรีถึงกลับกล่าวว่า อยากให้จอร์แดนมาแข่งทุกวัน
* ไมเคิล จอร์แดน ที่จริงแล้วอยากใส่เสื้อเบอร์ 45 มากกว่า 23 ตั้งแต่เรียนไฮสคูลแล้ว เนื่องจาก จอร์แดน มีพี่ชายของเขาเป็น Hero เสมอมา และที่ใส่ไม่ได้ก็เพราะว่ามาเข้าโรงเรียนเดียวกัน และเสื้อหมายเลข 45 พี่ชายของเขาก็ใส่อยู่แล้ว เขาเลยตัดครึ่งของ 45 ออกมาและเป็นเบอร์ที่ไม่มีใครใช้ ผลสรุป คือเบอร์ 23 จอร์แดน เคยพูดไว้ว่า "อย่างน้อยผมต้องเก่งให้ได้ซักครึ่งนึงของเขา (พี่ชาย ชื่อว่า (แลลี่ย์ จอร์แดน) ) " และเรื่องหมายเลขเสื้อของชายผู้นี้ก็ยังไม่จบ เขาเคยใส่เสื้อหมายเลข 12 ด้วย เนื่องจากมีเกมส์นึง เสื้อหมายเลข 23 ของเขาถูกขโมยไปจากล็อกเกอร์ แล้วในล็อกเกอร์ของทีมก็เหลือเสื้อแบบไม่ปัก นามสกุลอยู่ ซึ่งเป็นเสื้อที่ไม่มีผู้เล่นคนไหนเป็นเจ้าของนี่เอง จอร์แดน จึงเลือกเบอร์ 12 เนื่องจากการหักครึ่ง ของเบอร์ 23 เช่นกัน
* จุดเด่นของ จอร์แดนคือ จอร์แดนกระโดดได้สูงและค้างตัวกลางอากาศได้นานมาก
* ลูกชู้ตที่จอร์แดนถนัดคือ ลูกชู้ตเฟดอเวย์ (fade-away jump shot) และการลอยตัวเข้าไปทำคะแนน
* ทุกนัดที่จอร์แดนลงแข่ง เขาจะเอากางเกงบาส สมัยเรียนใส่ไว้หลังรถเสมอ
* จอร์แดน ยังก่อตั้งศูนย์ เจมส์ อาร์.จอร์แดน บอยส์ แอนด์ เกิร์ลส์ คลับ แอน แฟมิลี่ ไลฟ์ เซ็นเตอร์ ซึ่งให้ความช่วยเหลือเด็ก ๆ จากทั่วประเทศทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษาและให้การอบรมทางด้านกีฬาแก่เยาวชนผู้สนใจด้วย โดยมูลนิธินี้ ตั้งตามชื่อเจมส์ จอร์แดนพ่อของเขานั่นเอง
== อ้างอิง ==
* ประวัติ ไมเคิล จอร์แดน จากเว็บเอ็นบีเอ
หมวดหมู่:นักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน
หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา
หมวดหมู่:บุคคลจากบรุกลิน
หมวดหมู่:นักลงทุนชาวอเมริกัน |
818 | https://th.wikipedia.org/wiki/กระทิงแดง | กระทิงแดง | กระทิงแดง () เป็นเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง มีส่วนผสมหลักได้แก่ น้ำตาล กาเฟอีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ผลิตโดยบริษัทในประเทศไทย
กระทิงแดงเป็นที่นิยมของผู้ใช้แรงงานมาเป็นเวลานาน เนื่องจากทำให้ตื่นตัว และเมื่อไม่นานมานี้ ก็ได้ขยายรวมถึงกลุ่มนักเดินทาง พนักงานรุ่นใหม่ที่นิยมทำงานล่วงเวลา และนักเที่ยวที่นิยมผสมกระทิงแดงกับเครื่องดื่มอื่น ๆ โดยเฉพาะเหล้าวอดก้า ปัจจุบัน กระทิงแดงมีขายในหลายประเทศทั่วโลกและได้รับความนิยมอย่างมาก
==ผู้ก่อตั้ง==
นายเฉลียว อยู่วิทยาเป็นประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง
==ผลิตภัณฑ์==
ในปี พ.ศ. 2524 บริษัท กระทิงแดง ออกวางจำหน่าย กระทิงแดงแบบขวดบรรจุ 150 ซี.ซี. โดยใช้เครื่องหมายการค้ารูปกระทิงแดงคู่ ให้ความหมายถึง พละกำลัง
ต่อมาปี 2531 บริษัทฯ ยังได้นำเครื่องดื่ม กระทิงแดง โดยมอบหมายให้ Mr. Dietrich Mateschitez ไปเริ่มทำตลาดในประเทศเยอรมันและออสเตรีย และขยายธุรกิจครอบคลุมกว่า 108 ประเทศทั่วโลกโดยในปัจจุบัน Mr.Dietrich Mateschitz ดำรงตำแหน่ง Director of International Marketing Red Bull GmbH. ซึ่งสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรีย ที่ดูแลธุรกิจทั้งทางด้านการผลิตและจัดจำหน่าย เรดบูล ให้กับประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย
ปัจจุบันนอกจากสำนักงานและโรงงานในประเทศไทยและประเทศออสเตรียแล้ว บริษัทฯ ยังได้ลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตและจัดจำหน่าย เครื่องดื่มกระทิงแดง ในเวียดนาม, จีน และอินโดนีเซียอีกด้วย โดยทุกสำนักงาน และโรงงานการผลิตยังคงยึดมั่นในการรักษาคุณภาพ ของสินค้าในระดับมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วโลกตลอดมา
โดยตราสินค้าที่ใช้ทั่วโลกเป็น Red Bull
== กิจกรรมการละเล่นของไทย ==
=== โครงการกระดานดำกับกระทิงแดง ===
โครงการกระดานดำกับกระทิงแดง เป็นโครงการสนับสนุนทุนสำหรับการออกค่ายอาสาพัฒนาของนักศึกษาในประเทศไทย ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งโดย บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด เริ่มก่อตั้งกองทุนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 โดยให้นักศึกษาเขียนโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. 2545 เป็นปีแรก โดยให้การสนับสนุนโครงการละ 100,000 บาท รวม 10 โครงการ
ปัจจุบันโครงการกระดานดำกับกระทิงแดง ได้รับการดูแลโดย สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา บุตรสาวเฉลียว อยู่วิทยา
==== หนังสือกระดานดำเดินทาง ====
ในโอกาสครบรอบ 5 ปี โครงการกระดานดำกับกระทิงแดง ได้มีการจัดทำหนังสือที่ระลึกรวบรวม 10 โครงการเด่นของสมาชิกกระดานดำกับกระทิงแดง โดยการถ่ายทอดประสบการณ์ของประธานค่ายอาสา 10 คน ที่ได้รับทุนจากโครงการกระดานดำกับกระทิงแดง
=== ทีมกีฬา ===
กระทิงแดงในต่างประเทศหรือ เรดบูล เป็นเจ้าของทีมกีฬาหลายทีม ได้แก่
* นิวยอร์กเร็ดบุลส์ ทีมฟุตบอลในสหรัฐ
* แอร์เบ ไลพ์ซิช ทีมฟุตบอลในเยอรมนี
* เร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค ทีมฟุตบอลในออสเตรีย
* อาร์บี โอมิยะ อาร์ดิจา ทีมฟุตบอลในญี่ปุ่น
* เร็ดบุลบรากังชีนู ทีมฟุตบอลในบราซิล
* เร็ดบุลกานา ทีมฟุตบอลในกานา
* แอสตันมาร์ตินเร็ดบุลเรซซิง ทีมแข่งรถสูตรหนึ่งในออสเตรีย
* สกูเดเรียอัลฟาทอรีฮอนด้า ทีมแข่งรถสูตรหนึ่งในอิตาลี
* ทีมเร็ดบุลเรซซิง ทีมแข่งรถประเภทนาสคาร์
* เอเซเร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค ทีมฮอกกี้น้ำแข็งในออสเตรีย
* เร็ดบุลเคทีเอ็มแฟกทรีเรซซิง ทีมแข่งรถจักรยานยนต์วิบาก และทีมแข่ง MotoGP ของประเทศออสเตรีย
* เรดบูล เคทีเอ็ม เท็ก3 ทีมแข่ง MotoGP และ Moto3 / เทช3 อี-เรซซิง ทีมแข่ง MotoE ของประเทศฝรั่งเศส
* เร็ดบุล โอจี ทีมแข่งเกม DOTA2
นอกจากนี้เรดบูลยังเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมกีฬาอื่นเช่น ลีกแข่งขันทางอากาศ เร็ดบุลแอร์เรซเวิลด์ซีรีส์ (Red Bull Air Race World Series) และเร็ดบุลบาราโก ทีมบาสเกตบอลในฟิลิปปินส์ และในส่วนของประเทศไทยก็ยังเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาอีกหลายชนิดด้วย เช่น วงการมวยสากล โดยเริ่มจากการป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกรุ่น 105 ปอนด์ ครั้งที่ 5 ของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ของรัตนพล ส.วรพิน นักมวยเจ้าของตำแหน่งชาวไทย กับรอนนี่ มากราโม ผู้ท้าชิงชาวฟิลิปปินส์ ที่อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537
==ระเบียงภาพ==
ไฟล์:Mini Red Bull Międzyzdroje1.JPG|รถโฆษณากระทิงแดงในยุโรป
ไฟล์:Red Bull Salzburg 23-10-2005.jpg|ทีมฟุตบอลเรดบูลซาลซ์บูร์ก
==อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
* เว็บไซต์เรดบูลในประเทศไทย
หมวดหมู่:เรดบูล
หมวดหมู่:เครื่องดื่มชูกำลัง
หมวดหมู่:ธุรกิจเครื่องดื่ม
หมวดหมู่:เครื่องดื่มไทย
หมวดหมู่:ตราสินค้าไทย
หมวดหมู่:แบรนด์เครื่องดื่มสัญชาติไทย |
819 | https://th.wikipedia.org/wiki/นักเขียนโปรแกรม | นักเขียนโปรแกรม | นักเขียนโปรแกรม หรือ โปรแกรมเมอร์ () มีหน้าที่หลักคือการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งนักเขียนโปรแกรมสามารถหมายถึงผู้ที่เชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรมเฉพาะด้าน หรือผู้ที่สามารถเขียนรหัสซอฟต์แวร์ได้หลากหลายข้อมูล
เอดา ไบรอนได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนโปรแกรมคนแรกของโลก เพราะเป็นคนแรกที่สามารถนำขั้นตอนวิธี มาเรียบเรียงเป็นชุดคำสั่ง ให้แก่เครื่องคำนวณได้ในปี พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) ในยุคที่ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์
== ชื่อตำแหน่งงาน==
ชื่อตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนโปรแกรมมีความหมายแตกต่างกันในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และสำหรับแต่ละบุคคล คำอธิบายที่สำคัญมีดังนี้:
"นักพัฒนาซอฟต์แวร์" (Software developer) ส่วนใหญ่จะทำการเขียนโปรแกรมตาม "ข้อกำหนด" (specifications) และแก้ไข "ข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์" (Software bugs) หน้าที่อื่น ๆ อาจรวมถึง "การตรวจสอบโค้ด" (code review) และ "การทดสอบซอฟต์แวร์" (software testing) เพื่อให้ได้ทักษะที่จำเป็นสำหรับงาน พวกเขาอาจได้รับ "ปริญญาวิทยาการคอมพิวเตอร์" (computer science) หรือ "อนุปริญญา" (associate degree) เข้าร่วม "ค่ายฝึกอบรมการเขียนโปรแกรม" (Coding bootcamp) หรือ "เรียนรู้ด้วยตนเอง" (self-taught)
"วิศวกรซอฟต์แวร์" (Software engineer) โดยปกติจะรับผิดชอบงานเดียวกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ รวมถึงความรับผิดชอบที่กว้างขึ้นของ "วิศวกรรมซอฟต์แวร์" (software engineering) เช่น การออกแบบสถาปัตยกรรมและออกแบบคุณสมบัติและแอปพลิเคชันใหม่ ๆ การกำหนดเป้าหมายแพลตฟอร์มใหม่ ๆ การจัดการ "วงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์" (software development lifecycle) (การออกแบบ การนำไปใช้ การทดสอบ และการปรับใช้) การเป็นผู้นำทีมโปรแกรมเมอร์ การสื่อสารกับลูกค้า ผู้จัดการ และวิศวกรคนอื่น ๆ การพิจารณาความเสถียรและคุณภาพของระบบ และการสำรวจวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์
บางครั้ง วิศวกรซอฟต์แวร์จะต้องมีปริญญาด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ "วิศวกรรมคอมพิวเตอร์" (computer engineering) หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ บางประเทศกำหนดให้มีปริญญาด้านวิศวกรรมเพื่อใช้ชื่อ "วิศวกร" (engineer) ตามกฎหมาย{{cite web|url=https://bootcamp.ce.arizona.edu/blog/programmer-vs-software-engineer-whats-the-difference|title=Programmer vs. Software Engineer: What's the Difference?|author=<
== ดูเพิ่มเติม ==
* นักพัฒนาซอฟต์แวร์
* ซอร์สโค้ด
* แฮกเกอร์
หมวดหมู่:ซอฟต์แวร์
หมวดหมู่:อาชีพทางคอมพิวเตอร์
หมวดหมู่:นักเขียนโปรแกรม |
820 | https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ไทย | รายชื่อบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ไทย | นี่คือ รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
== เรื่องสั้น ==
* แคมเบียส - ยรรยง เต็งอำนวย
* เงาสีเขียว - ชัยคุปต์
* เสียงเรียกจากดวงดาว - ชัยคุปต์
* จินตนาการย้อนศร - ฉัตรเฉลิม ตันติสุข
* รถไฟตู้นี้ชื่อปริศนากาล - สมภพ นิลกำแหง
* อิสระนอกระนาบ - สมภพ นิลกำแหง
* จดหมายถึงมนุษย์ต่างดาว - สมภพ นิลกำแหง
* นิ้วโป้งอันที่12 - สมภพ นิลกำแหง
* แคปซูลหยุดเวลา - สมภพ นิลกำแหง
*มิติคู่ขนาน - ชัยคุปต์
::เรื่องย่อ เรื่องราวเกี่ยวกับการรุกรานโลกของมนุษย์จากต่างมิติ ซึ่งเป็นโลกที่นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่ามีอยู่ เรียกว่า โลกคู่ขนาน ซึ่งผู้รุกรานปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับ "ประตูโค้งสีรุ้ง" ซึ่งเป็นประตูเชื่อมมิติระหว่างโลกทั้งสอง ทำให้นักข่าวหนุ่มไฟแรง ที่ชื่อ สันต์ เดชานนท์ ต้องหาทางหยุดยั้งเอาไว้ให้ได้
== เรื่องขนาดยาว ==
* กรุงเทพ 2550 - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
* คำวิงวอนของมนุษยชาติ - นิรันศักดิ์ บุญจันทร์
* จรดลดาราจักร - สมภพ นิลกำแหง
* จอมพิภพ - นรสิงห์ 2502
::จอมพิภพเป็นนิยายขนาดยาว หลายเล่มจบ พิมพ์เมื่อปี 2502
* จ้อนท่องพิภพมหัศจรรย์ - เจตน์ เจริญโท
* เงาเสน่หา - นราเกตต์
::เรื่องย่อ: เรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่โคลนนิ่งหญิงสาวคนรักในชาติอดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
* ดั่งหนึ่งเม็ดทราย - โบตั๋น
* เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว - วินทร์ เลียววาริณ
* แดนดาว - แก้วเก้า
* แดนศิวิไลซ์ - วิมล เดชาเลิศ
* นครโลหะหนาว - นันท์ นันทคุณ
* ผจญภัย ณ ดาวนิรนาม - สมภพ นิลกำแหง
* ผู้ดับดวงอาทิตย์ - จันตรี ศิริบุญรอด
* ผู้สืบทอด - ณัฐ ศาสตร์ส่องวิทย์
* พันเจีย 1-3 - วรากิจ เพชรน้ำเอก
* ฟากฟ้า,นิรันดร,บั้งไฟ - บุญถึง แน่นหนา
* มนุษย์กลายพันธุ์ - ธรรมดา ประทีปสิต
* มนุษย์มหัศจรรย์ - จันตรี ศิริบุญรอด
::เรื่องย่อ: นักวิทยาศาสตร์คิดยาทำให้สัตว์และพืชมีขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนอาหาร แต่ถูกนักวิทยาศาสตร์อีกคนนำไปใช้กับตัวเอง ทำให้กลายเป็นมนุษย์ยักษ์ไป
* มิติเร้น - จินตวีร์ วิวัธน์
* เมืองนิมิตร - ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน์
* ล่องหน พล นิกร กิมหงวน ชุด วัยหนุ่ม - ป. อินทรปาลิต
* สัญญาณมรณะ - จันตรี ศิริบุญรอด
::เรื่องย่อ: นิยายวิทยาศาสตร์ฆาตกรรม ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ในการแก้แค้น โดยที่ตำรวจไม่สามารถจับตัวคนลงมือได้ แม้คนร้ายจะแจ้งล่วงหน้าให้เหยื่อทราบล่วงหน้าทุกครั้ง
* สัมผัสแห่งอารยะ (ออบิท 7) - สมเกียรติ เจิ่งประภากร
* สุดขอบจักรวาล - จุฑารัตน์
* สู่สรวงสวรรค์ - โกศล อนุสิน
* อุบัติจากดวงดาว - นันทนา วีระชน
* แอนโดรมีดา - ชัยคุปต์
== นิตยสารนิยายวิทยาศาสตร์ไทย ==
* กาแลคซี (นิตยสาร)
* ไดเมนชั่น (นิตยสาร)
* เนบิวล่า (นิตยสาร)
* สเปคตรัม (นิตยสาร)
* ออบิท (นิตยสาร)
* จักรวาลมหัศจรรย์ (นิตยสาร ปี2548)
* ฟิคชั่น รีวิว ออกจำหน่ายราวปี 2527 โดยออกได้เพียง 1 ฉบับแล้วก็เลิกไป
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อ 100 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย
* รายชื่อ 88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย
* โครงการรวบรวมบทความที่ต้องการ
บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
==อ้างอิง== |
822 | https://th.wikipedia.org/wiki/สถาบันสถาปนา | สถาบันสถาปนา | ชุดนิยาย สถาบันสถาปนา () เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ขนาดยาว ประพันธ์โดยนักเขียนชาวอเมริกัน ไอแซค อสิมอฟ แต่ดั้งเดิมถูกเขียนขึ้นมาเป็นไตรภาค ประกอบด้วย สถาบันสถาปนา, สถาบันสถาปนาและจักรวรรดิ, และสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง ได้รับรางวัลฮิวโก้สาขา "นวนิยายชุดยอดเยี่ยมตลอดกาล" เมื่อ ค.ศ. 1966 ซึ่งเป็นครั้งเดียวที่มีการมอบรางวัลนี้ สามสิบปีต่อมาอสิมอฟจึงเขียนภาคต่ออีก 2 ภาค ได้แก่ สถาบันสถาปนาและปฐมภพ และ สถาบันสถาปนาและโลก กับภาคย้อนความอีก 2 ภาค ได้แก่ กำเนิดสถาบันสถาปนา และ สู่เส้นทางสถาบันสถาปนา ภาคเสริมเหล่านี้ได้เพิ่มการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในหนังสือนิยายเล่มอื่นๆ ของอสิมอฟ ได้แก่ ชุดหุ่นยนต์ และชุดจักรวรรดิ เป็นการบ่งบอกว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในจักรวาลวรรณกรรมเดียวกัน
เนื้อหาของชุดนิยายเป็นเรื่องในช่วงเวลาที่มนุษยชาติได้กระจายอาศัยอยู่ทั่วไปในจักรวาล เนื้อเรื่องบอกเล่าถึงการล่มสลายของจักรวรรดิ และความพยายามของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการจะช่วยให้มนุษยชาติ กลับจากภาวะล่มสลายให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยการรวมรวบความรู้ต่าง ๆ เก็บไว้ในสานานุกรม ซึ่งจัดทำโดยสถาบันสถาปนา
== รายชื่อเรื่องในชุด ==
=== สถาบันสถาปนา ===
ในตอนแรกออกมาเพียง 3 เล่ม ในลักษณะไตรภาค ต่อมาภายหลัง อาซิมอฟได้เขียนเพิ่มเติมอีก 4 เล่ม, โดยที่ช่วงเวลาในเล่ม 6 และ 7 นั้น เกิดก่อนเล่มที่ 1 และเป็นการโยงเรื่องชุดสถาบันสถาปนา เข้ากับเรื่องชุดหุ่นยนต์.
# สถาบันสถาปนา - Foundation
# สถาบันสถาปนาและจักรวรรดิ - Foundation and Empire
# สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง - Second Foundation
# สถาบันสถาปนาและปฐมภพ - Foundation's Edge
# สถาบันสถาปนาและโลก - Foundation and Earth
# กำเนิดสถาบันสถาปนา - Prelude to Foundation
# สู่เส้นทางสถาบันสถาปนา - Forward the Foundation
=== สถาบันสถาปนา ไตรภาคที่สอง (Second Trilogy) ===
กองมรดกของไอแซค อาสิมอฟ ได้ว่าจ้างให้นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ยุคหลังอีก 3 คนแต่งเรื่องต่อไปจนจบ โดยเรียกว่าเป็นไตรภาคที่สองของสถาบันสถาปนา เนื้อเรื่องจะครอบคลุมระยะเวลาระหว่างเล่ม 6-7 กับเล่ม 1 และเรื่องราวที่ต่อจากเล่มที่ 5
# สุดหนทางสถาบันสถาปนา - Foundation's Fear โดย Gregory Benford
# ฝ่าวิกฤตสถาบันสถาปนา - Foundation and Chaos โดย Greg Bear
# ชัยชนะของสถาบันสถาปนา - Foundation's Triumph โดย David Brin
=== ความเกี่ยวเนื่องกับนิยายเรื่องอื่น ===
อสิมอฟได้เขียนให้เรื่องราวของสถาบันสถาปนาเล่มหลังๆ (ตั้งแต่เล่ม 4 สถาบันสถาปนาและปฐมภพ เป็นต้นไป) เกี่ยวเนื่องกับนิยายชุดอื่นๆ ของเขาเอง โดยเฉพาะชุดนักสืบหุ่นยนต์ และชุดจักรวรรดิ รายชื่อหนังสือที่เกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถอ่านได้ในจักรวาลของอสิมอฟ
== รายชื่อตัวละครสำคัญ ==
* ฮาริ เซลดอน
* ซาลวอร์ ฮาร์ดิน
* ดอร์ส วินาบลิลี
* ยูโก อะมารีล
* จักรพรรดิคลีออนที่ 1 (Cleon I)
* อีโต ดีเมอร์เซล
* มโนมัย (The Mule)
* โฮเบอร์ มัลโลว์
* เบย์ต้า ดารีล
* โทแรน ดารีล
* อะคาดี ดารีล
* พรีม พัลเวอร์
* โกลาน เทรวิซ
* ดร. จานอฟ เพโลเรท
* บลิส - บลิสเชนโนบีอาเรลล่า
* มิทชา ไลซาลอร์
* ชาร์ตัน แบนเดอร์
* แดนีล โอลิวาว
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
สถาบันสถาปนา (ชุดหนังสือ)
สถาบันสถาปนา (ชุดหนังสือ)
หมวดหมู่:มหากาพย์อวกาศ |
823 | https://th.wikipedia.org/wiki/สหรัฐอเมริกา | สหรัฐอเมริกา | สหรัฐอเมริกา (; ย่อเป็น: U.S.A. หรือ USA) โดยทั่วไปเรียก สหรัฐ หรือ สหรัฐฯ (United States; ย่อเป็น: U.S. หรือ US) หรือ อเมริกา (America) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐซึ่งตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ เขตปกครองกลาง 1 เขต ดินแดนปกครองตนเองสำคัญ 5 ดินแดน รวมทั้งเขตสงวนอินเดียน 326 เขต และเกาะเล็กรอบนอกประเทศอีก 11 เกาะ สหรัฐฯ มีพรมแดนทางทิศเหนือติดประเทศแคนาดา และทางทิศใต้ติดประเทศเม็กซิโก และยังมีพรมแดนทางทะเลติดประเทศหลายประเทศ การที่มีพื้นที่กว่า 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร และประชากรราว 334 ล้านคน ทำให้สหรัฐมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รวมทั้งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปอเมริกา เมืองหลวงของประเทศคือกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และนครใหญ่ที่สุดคือนิวยอร์กซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ การปกครองส่วนกลางของสหรัฐฯ เป็นแบบสาธารณรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข และแบบประชาธิปไตยเสรีนิยม โดยแบ่งการปกครองเป็น 3 ฝ่ายแยกกัน คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ มีการให้อำนาจปกครองตนเองแก่รัฐต่าง ๆ ยกเว้นแต่ดินแดนทั้งหลาย และเขตปกครองเหล่านี้ได้รับการรับประกันว่าจะมีการปกครองแบบสาธารณรัฐ
อินเดียนดึกดำบรรพ์จากอียิปต์ย้ายถิ่นมาแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 15,000 ปีก่อน การยึดเป็นอาณานิคมของยุโรปเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหรัฐกำเนิดจากสิบสามอาณานิคมของบริเตนตามชายฝั่งตะวันออก ข้อพิพาทหลายครั้งระหว่างบริเตนใหญ่และอาณานิคมหลังสงครามเจ็ดปีนำสู่การปฏิวัติอเมริกาซึ่งเริ่มใน ค.ศ. 1775 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 ผู้แทนจาก 13 อาณาเขตลงมติรับคำประกาศอิสรภาพเป็นเอกฉันท์ ขณะที่อาณานิคมกำลังต่อสู้กับบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกา สงครามยุติใน ค.ศ. 1783 โดยราชอาณาจักรบริเตนใหญ่รับรองเอกราชของสหรัฐฯ และเป็นสงครามประกาศอิสรภาพต่อจักรวรรดิอาณานิคมยุโรปที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญของประเทศใน ค.ศ. 1788 หลังบทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งมีการลงมติรับในปี 1781 รู้สึกว่าให้อำนาจแก่สหพันธรัฐไม่เพียงพอ ใน ค.ศ. 1791 มีการให้สัตยาบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสิบครั้งแรก ซึ่งเรียกรวมว่า รัฐบัญญัติสิทธิ ซึ่งออกแบบมาเพื่อประกันเสรีภาพพลเมืองพื้นฐานหลายข้อ
สหรัฐฯ เริ่มขยายดินแดนอย่างแข็งขันทั่วทวีปอเมริกาเหนือตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขับไล่เผ่าอเมริกันพื้นเมือง ซื้อดินแดนใหม่ และค่อย ๆ รับรัฐใหม่จนขยายทั่วทวีปใน ค.ศ. 1848 ระหว่างครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สงครามกลางเมืองอเมริกานำให้ยุติความเป็นทาสตามกฎหมายในประเทศ เมื่อถึงสิ้นศตวรรษนั้น สหรัฐฯ ขยายเข้ามหาสมุทรแปซิฟิก และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกใน ค.ศ. 1900 สงครามสเปน-อเมริกาและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยืนยันสถานภาพมหาอำนาจทางทหารโลกของสหรัฐฯ การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์โดยจักรวรรดิญี่ปุ่นนำสหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ภายหลังสงครามยุติ สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นสองอภิมหาอำนาจโลกนำไปสู่ช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง เป็นผลให้เกิดสงครามเย็นซึ่งกินเวลาหลายทศวรรษ ทว่าไม่มีการสู้รบกันโดยตรง ทั้งสองชาติยังมีส่วนร่วมในการแข่งขันอวกาศนำไปสู่ต้นกำเนิดของอะพอลโล 11ของสหรัฐซึ่งนำมนุษย์เดินทางสู่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองซึ่งเริ่มต้นในทศวรรษ 1950 นำไปสู่การออกกฎหมายเพื่อล้มล้างกฎหมายของรัฐ รวมถึงขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติต่อชาวแอฟริกัน-อเมริกัน การสิ้นสุดลงของสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1991 ส่งผลให้สหรัฐกลายเป็นอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน นำประเทศเข้าสู่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายซึ่งรวมถึงสงครามอัฟกานิสถานและสงครามอิรัก
สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนามากที่สุดในโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตามอัตราจีดีพีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 โดยคิดเป็นอัตราส่วนสูงถึง 15% ของเศรษฐกิจโลก และมีความมั่งคั่งสูงที่สุดในโลก สหรัฐได้รับการจัดอันดับสูงสุดในด้านดัชนีการพัฒนามนุษย์, คุณภาพชีวิต, รายได้, การศึกษา, อุตสาหกรรมการผลิต และสิทธิมนุษยชน สหรัฐเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองของโลก เป็นผู้นำโลกทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ปัญญาประดิษฐ์, การแพทย์, การสำรวจอวกาศ และการบันเทิง และเป็นมหาอำนาจทางอาวุธนิวเคลียร์และการทหารแนวหน้าของโลก โดยมีค่าใช้จ่ายทางการทหารมากถึงหนึ่งในสามของโลก สหรัฐเป็นผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ, ธนาคารโลก, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ, องค์การนานารัฐอเมริกา, เนโท, องค์การอนามัยโลก รวมทั้งเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สหรัฐมีการทุจริตต่ำแต่มีอัตราการถูกจับสูงที่สุดในโลก สหรัฐฯ เป็นประเทศวัฒนธรรมที่โดดเด่นซึ่งขยายอิทธิพลไปทั่วโลก ถือเป็นประเทศอำนาจแข็งทางการเมือง และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้อพยพพลัดถิ่นเข้ามามากที่สุดในโลก สหรัฐฯ มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามากเป็นอันดับ 3 ของโลก
== นิรุกติศาสตร์ ==
ในปี 1507 นักเขียนแผนที่ชาวเยอรมัน มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ผลิตแผนที่โลกซึ่งเขาได้ตั้งชื่อดินแดนทางซีกโลกตะวันตกในแผนที่ดังกล่าวว่า "อเมริกา" ตามชื่อของนักสำรวจและนักเขียนแผนที่ชาวอิตาเลียน อเมริโก เวสปุชชี หลักฐานเอกสารแรกของวลี "สหรัฐอเมริกา" มาจากจดหมายลงวันที่ 2 มกราคม 1776 ซึ่งสตีเฟน มอยแลน นายทหารผู้ช่วยของจอร์จ วอชิงตันและนายพลแห่งกองทัพภาคพื้นทวีป ส่งถึงพลโท โจเซฟ รีด มอยแลนแสดงความปรารถนาของเขาในการนำ "อำนาจเต็มและเกินพอของสหรัฐอเมริกา" ไปประเทศสเปนเพื่อสนับสนุนในความพยายามของสงครามปฏิวัติ สิ่งพิมพ์เผยแพร่แรกเท่าที่ทราบของวลี "สหรัฐอเมริกา" อยู่ในความเรียงไม่ทราบผู้เขียนในหนังสือพิมพ์ เดอะเวอร์จิเนียกาเซต ในวิลเลียมสเบิร์ก เวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1776
เดิมอดีตอาณานิคมอังกฤษได้ใช้ชื่อเรียกสมัยใหม่ของประเทศในคำประกาศอิสรภาพ ("การประกาศอิสรภาพของสิบสามสหรัฐอเมริกาด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน") ประกาศใช้โดย "คณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา" เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 ส่วนชื่อในปัจจุบันได้รับการสรุปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2320 เมื่อสภานิติบัญญัติภาคพื้นทวีปที่สองได้ประกาศใช้ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐ ความว่า "สมาพันธรัฐซึ่งตั้งขึ้นนี้ เรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ถ้อยคำมาตรฐานสั้น ๆ ซึ่งใช้เรียกสหรัฐอเมริกา คือ สหรัฐฯ (United States) และชื่อเรียกอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ the U.S., the USA และ America คำว่า Columbia ก็เคยเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมในการเรียกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากชื่อของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และยังปรากฏในชื่อ "District of Columbia" อีกด้วย
สำหรับการเรียกสหรัฐอเมริกาของคนไทย ในอดีต เคยเรียกชื่อสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา" ส่วนชื่ออื่นที่ใช้เรียกสหรัฐอเมริกา เช่น มะกัน ลุงแซม อินทรี พญาอินทรี เจ้าโลก หรือ ตำรวจโลก
=== ภาษาศาสตร์ ===
ในภาษาอังกฤษ คำมาตรฐานซึ่งหมายถึงพลเมืองของสหรัฐอเมริกา คือ อเมริกัน (American) ถึงแม้ว่า United States จะเป็นคำคุณศัพท์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งคำว่า American และ U.S. เป็นคำคุณศัพท์อันเป็นที่นิยมมากกว่า ในการระบุถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ อเมริกัน ยังอาจหมายถึง ทวีปอเมริกา อีกด้วย แต่มักจะถูกใช้น้อยมากในภาษาอังกฤษ เพื่อหมายความถึงประชากรซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา
เดิม วลี "สหรัฐอเมริกา" ถือว่าเป็นคำพหูพจน์ (ใช้กับคำกริยา are, were, ...) - รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 13 ซึ่งมีผลใช้บังคับในปี พ.ศ. 2408 อีกด้วย แต่คำดังกล่าวได้กลายมาเป็นคำเอกพจน์ (ใช้กับคำกริยา is, was, ...) - หลังจากยุคสงครามกลางเมือง และได้กลายมาเป็นรูปแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่รูปแบบพหูพจน์ก็ยังคงปรากฏในสำนวน "these United States"
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ชนพื้นเมืองและประวัติศาสตร์ยุคก่อนโคลัมบัส ===
นักสำรวจชาวอิตาลี [[คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาถึงทวีปอเมริกาและเข้าควบคุมกัวนาฮานิ]]
หลังสเปนส่งโคลัมบัสในการล่องเรือเที่ยวแรกของเขาสู่โลกใหม่ ในปี 1492 ก็มีนักสำรวจอื่นตามมา ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาถึงดินแดนของสหรัฐสมัยใหม่เป็นกองกิสตาดอร์สเปนอย่างควน ปอนเซ เด เลออน ซึ่งเดินทางถึงฟลอริดาครั้งแรกในปี 1513 ทว่า หากคิดดินแดนที่ไม่รวมเข้าด้วยกันของสหรัฐด้วยแล้ว ความชอบจะเป็นของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสซึ่งขึ้นฝั่งที่ปวยร์โตรีโกในการเดินทางปี 1493 ชาวสเปนตั้งนิคมแห่งแรกในฟลอริดาและนิวเม็กซิโกอย่างเซนต์ออกัสตีน และแซนตาเฟ ชาวฝรั่งเศสตั้งอาณานิคมของตนเช่นกันตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษที่สำเร็จตามชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือเริ่มด้วยอาณานิคมเวอร์จิเนียในปี 1607 ที่เจมส์ทาวน์ และอาณานิคมพลีมัทของพิลกริมในปี 1620 ผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากเป็นกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนขัดแย้งที่มาแสวงเสรีภาพทางศาสนา มีการสร้างสภาเบอร์จัสซิส (House of Burgesses) แห่งเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งแห่งแรกของทวีป ในปี 1619 และข้อตกลงร่วมกันเมย์ฟลาวเออร์ (Mayflower Compact) ซึ่งพิลกริมลงนามก่อนขึ้นฝั่ง และภาคีมูลฐานแห่งคอนเนกติคัด สถาปนาแบบอย่างสำหรับรูปแบบการปกครองตนเองแบบมีผู้แทนและระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งจะพัฒนาทั่วอาณานิคมอเมริกา
ผู้ตั้งถิ่นฐานส่วนมากในทุกอาณานิคมเป็นเกษตรกรรายย่อย แต่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นในไม่กี่ทศวรรษแตกต่างกันตามนิคม พืชเศรษฐกิจมียาสูบ ข้าวเจ้าและข้าวสาลี อุตสาหกรรมการสกัดเติบโตขึ้นในหนังสัตว์ การประมงและการทำไม้ ผู้ผลิตผลิตรัมและเรือ และเมื่อถึงสมัยอาณานิคมตอนปลาย ชาวอเมริกันก็ผลิตหนึ่งในเจ็ดของอุปสงค์เหล็กโลก สุดท้ายนครต่าง ๆ ผุดขึ้นตามชายฝั่งเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและใช้เป็นศูนย์กลางการค้า ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษมีระลอกชาวสกอต-ไอริชและกลุ่มอื่นเข้ามาเสริม เมื่อที่ดินชายฝั่งมีราคาแพงขึ้นทำให้แรงงานสัญญา (indentured servant) ที่เป็นอิสระถูกผลักไปทางทิศตะวันตก
การค้าทาสขนานใหญ่กับไพรวะเทียร์อังกฤษเริ่มต้น การคาดหมายคงชีพของทาสในทวีปอเมริกาเหนือสูงกว่าทางใต้มาก เนื่องจากมีโรคน้อยกว่าและมีอาหารและการปฏิบัติที่ดีกว่า นำให้มีการเพิ่มจำนวนของทาสอย่างรวดเร็ว สังคมอาณานิคมส่วนใหญ่แบ่งแยกกันระหว่างการส่อความทางศาสนาและศีลธรรมของความเป็นทาส และอาณานิคมผ่านรัฐบัญญัติทั้งสนับสนุนและคัดค้านทาส แต่เมื่อย่างเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทาสแอฟริกาก็เป็นแรงงานพืชเศรษฐกิจแทนที่แรงงานสัญญา โดยเฉพาะในภาคใต้
ด้วยการทำให้จอร์เจียเป็นอาณานิคมของบริติชในปี 1732 จึงมีการสถาปนาสิบสามอาณานิคมที่จะกลายเป็นสหรัฐในเวลาต่อมา ทุกอาณานิคมมีรัฐบาลท้องถิ่นและการเลือกตั้งที่เปิดแก่ชายไททุกคน โดยมีการฝักใฝ่สิทธิชนอังกฤษโบราณและสำนึกการปกครองตนเองที่กระตุ้นการสนับสนุนสาธารณรัฐนิยม ด้วยอัตราการเกิดที่สูงมาก อัตราการตายที่ต่ำมากและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง ประชากรอาณานิคมจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรอเมริกันพื้นเมืองค่อนข้างน้อยถูกบดบัง ขบวนการฟื้นฟูคริสต์ศาสนิกชน (Christian revivalist) คริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 ที่เรียก การตื่นใหญ่ (Great Awakening) ช่วยเร่งความสนใจทั้งศาสนาและเสรีภาพในการนับถือศาสนา
ระหว่างสงครามเจ็ดปี (หรือเรียก สงครามฝรั่งเศสและอินเดียน) กำลังบริติชยึดแคนาดาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรที่พูดภาษาฝรั่งเศสยังโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ 13 อาณานิคมเหล่านี้มีประชากรกว่า 2.1 ล้านคนหรือประมาณหนึ่งในสามของบริเตนในปี 1770 หากไม่นับอเมริกันพื้นเมืองซึ่งถูกพิชิตและขับไล่ แม้มีการเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติสูงจนเมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1770 มีชาวอเมริกันน้อยมากที่เกิดโพ้นทะเล ระยะห่างของอาณานิคมจากบริเตนทำให้มีการพัฒนาการปกครองตนเอง แต่ความสำเร็จของพวกเขาบันดาลให้พระมหากษัตริย์มุ่งย้ำพระราชอำนาจอยู่เป็นระยะ
ในปี 1774 เรือกองทัพเรือสเปน ซานเตียโก ภายใต้ควน เปเรซเข้าและทอดสมอในทางเข้าที่นูตคาซาวน์ (Nootka Sound) แม้ชาวสเปนมิได้ขึ้นฝั่ง แต่ชนพื้นเมืองพายเรือมายังเรือสเปนเพื่อค้าหนังสัตว์แลกกับเปลือกแอบะโลนีจากแคลิฟอร์เนีย ในเวลานั้น สเปนสามารถผูกขาดการค้าระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือได้โดยให้ใบอนุญาตจำกัดแก่โปรตุเกส เมื่อชาวรัสเซียเริ่มสถาปนาระบบการค้าหนังสัตว์ที่เติบโตขึ้นในอะแลสกา ชาวสเปนเริ่มคัดค้านรัสเซีย โดยการเดินเรือของเปเรซเป็นครั้งแรก ๆ ที่ไปแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ
หลังมาถึงหมู่เกาะฮาวายในปี 1778 กัปตันคุกแล่นเรือขึ้นเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสำรวจฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่เหนือกว่านิคมสเปนในอัลตาแคลิฟอร์เนีย เขาขึ้นบกที่ฝั่งออริกอนที่ประมาณละติจูด 44°30′ เหนือ โดยตั้งชื่อจุดขึ้นบกนั้นว่า เคปเฟาล์เวเทอร์ ลมฟ้าอากาศเลวบังคับให้เรือของเขาลงใต้ไปประมาณ 43° เหนือก่อนสามารถเริ่มการสำรวจชายฝั่งไปทางเหนือ ในเดือนมีนาคม 1778 คุกขึ้นบกที่เกาะไบล และตั้งชื่อทางเข้าว่า "คิงจอจส์ซาวด์" เขาบันทึกว่าชื่อชนพื้นเมือง คือ นุตคาหรือนูตคา
==== ผลต่อและอันตรกิริยากับประชากรพื้นเมือง ====
ด้วยความคืบหน้าของการทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในดินแดนสหรัฐฯ ร่วมสมัย อเมริกันพื้นเมืองมักถูกพิชิตและย้ายถิ่น ประชากรพื้นเมืองของอเมริกาเสื่อมลงหลังชาวยุโรปมาถึง และด้วยหลายสาเหตุ จากโรคอย่างโรคฝีดาษและโรคหัดเป็นหลัก ความรุนแรงมิใช่ปัจจัยสำคัญในการเสื่อมลงโดยรวมในหมู่อเมริกันพื้นเมือง แม้มีความขัดแย้งระหว่างกันเองและกับชาวยุโรปมีผลต่อบางเผ่าและนิคมอาณานิคมต่าง ๆ
ในช่วงแรกของการทำให้เป็นอาณานิคม ผู้ตั้งถิ่นฐานยุโรปจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร โรคและการโจมตีจากอเมริกันพื้นเมือง อเมริกันพื้นเมืองยังมักก่อสงครามกับเผ่าใกล้เคียงและเป็นพันธมิตรกับชาวยุโรปในสงครามอาณานิคมของตนเอง ทว่า ในเวลาเดียวกัน ชนพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากพึ่งพาอาศัยกัน ผู้ตั้งถิ่นฐานแลกเปลี่ยนเอาอาหารและหนังสัตว์ ส่วนชนพื้นเมืองแลกเอาปืน เครื่องกระสุนและสินค้ายุโรปอื่น ชนพื้นเมืองสอนผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากว่าจะเพาะปลูกข้าวโพด ถั่วและน้ำเต้าที่ไหน เมื่อใดและอย่างไร มิชชันนารียุโรปและอื่น ๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญจะ "ทำให้เจริญ" ซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและกระตุ้นให้พวกเขารับเทคนิคเกษตรกรรมและวิถีชีวิตของยุโรป
การเดินเรือเที่ยวสุดท้ายของกัปตันเจมส์ คุกรวมถึงการแล่นตามชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือและอะแลสกาเพื่อแสวงช่องทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลาประมาณเก้าเดือน เขากลับฮาวายเพื่อเติมกำลังบำรุง เดิมสำรวจชายฝั่งเมาวีและเกาะใหญ่ ค้าขายกับคนท้องถิ่นแล้วทอดสมอที่อ่าวเกียลาเคกัวในเดือนมกราคม 1779 เมื่อเรือและพวกของเขาออกจากเกาะ เสาเรือหักในลมฟ้าอากาศเลว บังคับให้พวกเขาหวนคืนในกลางเดือนกุมภาพันธ์ คุกถูกฆ่าในอีกหลายวันต่อมา
=== เอกราชและการขยายอาณาเขต ===
คำประกาศอิสรภาพ โดย จอห์น ทรัมบูล
สงครามปฏิวัติอเมริกาเป็นสงครามประกาศอิสรภาพอาณานิคมที่สำเร็จครั้งแรกต่อชาติยุโรป ชาวอเมริกันพัฒนาอุดมการณ์ "สาธารณรัฐนิยม" โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะต้องมาจากเจตจำนงของประชาชนโดยแสดงออกผ่านสภานิติบัญญัติท้องถิ่น พวกเขาเรียกร้องสิทธิเป็นชาวอังกฤษและ "ห้ามจัดเก็บภาษีหากไม่มีผู้แทน" ฝ่ายบริติชยืนยันการบริหารจักรวรรดิผ่านรัฐสภา และความขัดแย้งบานปลายเป็นสงคราม
หลังการผ่านข้อมติลีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1776 ซึ่งเป็นการออกเสียงลงมติเอกราชที่แท้จริง สภาทวีปที่สองลงมติรับคำประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งประกาศในคำปรารภยาวว่า มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกันในสิทธิที่ไม่อาจโอนกันได้และบริเตนใหญ่ไม่คุ้มครองสิทธิเหล่านี้ และประกาศในคำของข้อมติว่าสิบสามอาณานิคมเป็นรัฐเอกราชและไม่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์บริติชในสหรัฐ มีการเฉลิมฉลองวันที่ 4 กรกฎาคมทุกปีเป็นวันประกาศอิสรภาพ
บริเตนรับรองเอกราชของสหรัฐฯ หลังปราชัยที่ยอร์กทาวน์ในปี 1781 ในสนธิสัญญาสันติภาพปี 1783 เอกราชของสหรัฐได้รับการรับรองจากชายฝั่งแอตแลนติกไปทางตะวันตกถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี นักชาตินิยมนำการประชุมฟิลาเดลเฟียปี 1787 ในการเขียนรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐฯ ให้สัตยาบันในการประชุมรัฐในปี 1788 มีการจัดระเบียบรัฐบาลกลางใหม่เป็นสามอำนาจ โดยหลักการสร้างการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประโยชน์ ในปี 1789 จอร์จ วอชิงตันซึ่งนำกองทัพปฏิวัติคว้าชัย เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ในปี 1791 มีการลงมติรับบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองซึ่งห้ามการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของรัฐบาลกลางและรับประกันการคุ้มครองทางกฎหมายต่าง ๆ
แม้รัฐบาลกลางทำให้การค้าทาสระหว่างประเทศเป็นความผิดในปี 1808 แต่หลังปี 1820 การใช้ทาสเพาะปลูกผลผลิตฝ้ายที่ได้กำไรสูงปะทุในดีปเซาท์ พร้อมกับจำนวนประชากรทาสด้วย การตื่นใหญ่ที่สอง (Second Great Awakening) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 1800-1840 เข้ารีตคนหลายล้านคนสู่โปรเตสแตนท์อีแวนเจลิคัล (evangelical) ในทิศเหนือ เหตุนี้ทำให้เกิดขบวนการปฏิรูปสังคมหลายขบวนการซึ่งรวมการเลิกทาส ในภาคใต้ มีการชวนเข้ารีตเมทอดิสต์ (Methodist) และแบปทิสต์ในหมู่ประชากรทาส
ดินแดนซึ่งสหรัฐเข้าถือสิทธิ์แบ่งตามเวลา
ความกระตือรือร้นของสหรัฐฯ ในการขยายดินแดนไปทางทิศตะวันตกทำให้เกิดสงครามอเมริกันอินเดียนยืดเยื้อ การซื้อลุยเซียนาซึ่งดินแดนที่ฝรั่งเศสอ้างในปี 1803 ทำให้ประเทศมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว สงครามปี 1812 ซึ่งประกาศต่อบริเตน กับความเดือดร้อนต่าง ๆ และการต่อสู้เพื่อดึงดูดและเสริมชาตินิยมสหรัฐ ชุดการบุกเข้าทางทหารสู่ฟลอริดานำให้สเปนยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนฝั่งอ่าว (Gulf Coast) ในปี 1819 การขยายดินแดนได้รับการช่วยเหลือจากเครื่องจักรไอน้ำ เมื่อเรือจักรไอน้ำเริ่มล่องตามระบบธารน้ำขนาดใหญ่ของอเมริกาซึ่งเชื่อมด้วยคลองสร้างใหม่ เช่น อีรีและไอแอนด์เอ็ม แล้วกระทั่งรางรถไฟที่เร็วกว่าเริ่มลากข้ามดินแดนของประเทศ
ตั้งแต่ปี 1820 ถึง 1850 ประชาธิปไตยแบบแจ็กสันเริ่มชุดการปฏิรูปซึ่งรวมสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของชายผิวขาวในวงกว้างขึ้น นำสู่ความเจริญของระบบพรรคที่สองประชาธิปไตยและวิกเป็นพรรคการเมืองหลังตั้งแต่ปี 1828 ถึง 1854 เส้นทางธารน้ำตาในคริสต์ทศวรรษ 1830 เป็นตัวอย่างของนโยบายกำจัดอินเดียนซึ่งตั้งถิ่นฐานอินเดียนใหม่ทางตะวันตกในเขตสงวนอินเดียน สหรัฐผนวกสาธารณรัฐเท็กซัสในปี 1845 ระหว่างสมัยเทพลิขิตซึ่งมีลักษณะขยายดินแดน สนธิสัญญาออริกอนปี 1846 กับบริเตนนำให้สหรัฐควบคุมภาคตะวันตกเฉียงเหนือปัจจุบัน ชัยในสงครามเม็กซิโก-อเมริกาลงเอยด้วยการยกแคลิฟอร์เนียของเม็กซิโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกเฉียงใต้ปัจจุบัน
การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียปี 1848-1849 กระตุ้นการย้ายถิ่นไปทางตะวันตกและการสถาปนารัฐทางตะวันตกเพิ่ม หลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ระบบรางข้ามทวีปใหม่ทำให้การย้ายถิ่นง่ายขึ้นสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐาน การค้าภายในขยายตัวและความขัดแย้งกับอเมริกันพื้นเมืองเพิ่มขึ้น กว่าครึ่งศตวรรษ การสูญเสียอเมริกันไบซันมีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ต่อวัฒนธรรมอินเดียนที่ราบหลายวัฒนธรรม ในปี 1869 นโยบายสันติภาพใหม่มุ่งคุ้มครองอเมริกันพื้นเมืองจากการละเมิด เลี่ยงสงครามเพิ่ม และประกันความเป็นพลเมืองสหรัฐในที่สุด แม้ความขัดแย้งซึ่งรวมสงครามอินเดียนครั้งใหญ่สุดหลายครั้งยังดำเนินต่อไปทั่วตะวันตกจนล่วงเข้าคริสต์ทศวรรษ 1900
=== สงครามกลางเมืองและสมัยการบูรณะ ===
[[เกาะเอลลิสในนครนิวยอร์กเป็นประตูสำคัญสำหรับการเข้าเมืองของชาวยุโรป]]
ในภาคเหนือ การขยายตัวของเมืองและการหลั่งไหลของคนเข้าเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มีแรงงานเหลือเฟือสำหรับการปรับประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม โครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งมีโทรเลขและทางรถไฟข้ามทวีปกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐานยิ่งใหญ่ขึ้นและการพัฒนาโอลด์เวสต์อเมริกา การประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าและโทรศัพท์ ต่อมายังมีผลต่อการคมนาคมและชีวิตคนเมือง
การสิ้นสุดของสงครามอินเดียนยิ่งขยายพื้นที่ภายใต้การเพาะปลูกโดยใช้เครื่องจักร เพิ่มส่วนเกินสำหรับตลาดระหว่างประเทศ การขยายดินแดนแผ่นดินใหญ่สำเร็จด้วยการซื้ออะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซียในปี 1867 ในปี 1893 ส่วนนิยมอเมริกาในฮาวายล้มราชาธิปไตยและตั้งสาธารณรัฐฮาวาย ซึ่งสหรัฐผนวกในปี 1898 สเปนยกปวยร์โตรีโก กวมและฟิลิปปินส์ให้สหรัฐในปีเดียวกันหลังสงครามสเปน-อเมริกา
การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ช่วยให้นักอุตสาหกรรมโดดเด่นจำนวนมากเฟื่องฟูขึ้น นักธุรกิจใหญ่อย่างคอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลท์, จอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์และแอนดรูว์ คาร์เนกีนำความก้าวหน้าของชาติในอุตสาหกรรมรางรถไฟ ปิโตรเลียมและเหล็กกล้า การธนาคารกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยเจ. พี. มอร์แกนมีบทบาทเด่น ทอมัส เอดิสันและนิโคลา เทสลาทำให้ไฟฟ้ากระจายแพร่หลายสู่อุตสาหกรรม บ้านเรือนและสำหรับการให้แสงสว่างตามถนน เฮนรี ฟอร์ดปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจอเมริกาเฟื่องฟูและกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก และสหรัฐได้สถานภาพมหาอำนาจ การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้กอปรกับความไม่สงบทางสังคมและความเจริญของขบวนการประชานิยม สังคมนิยมและอนาธิปไตย สุดท้ายสมัยนี้สิ้นสุดลงด้วยการมาของสมัยก้าวหน้า (Progressive Era) ซึ่งมีการปฏิรูปสำคัญในสังคมหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี การห้ามแอลกอฮอล์ การกำกับสินค้าบริโภค มาตรการป้องกันการผูกขาดที่มากขึ้นเพื่อประกันการแข่งขันและความใส่ใจความเป็นอยู่ของแรงงาน
=== สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง ===
upกลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดแบ่งตามเทศมณฑล (ปี 2000) ซึ่งมี[[German Americans|ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันมากที่สุด]]
สำนักงานสำมะโนสหรัฐประมาณจำนวนประชากรของประเทศเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2016 ไว้ที่ 323,425,550 คน โดยเพิ่มขึ้น 1 คน (เพิ่มสุทธิ) ทุก 13 วินาที หรือประมาณ 6,646 คนต่อวัน ประชากรสหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากประมาณ 76 ล้านคนในปี 1900 สหรัฐเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสามของโลกรองจากประเทศจีนและอินเดีย สหรัฐเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักประเทศเดียวที่มีการทำนายการเพิ่มของประชากรขนาดใหญ่ ในคริสต์ทศวรรษ 1800 หญิงเฉลี่ยมีบุตร 7.04 คน เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1900 จำนวนดังกล่าวลดลงเหลือ 3.56 คน นับแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดต่ำกว่าอัตราทดแทน 2.1 โดยอยู่ที่บุตร 1.86 คนต่อหญิง 1 คนในปี 2014 การเข้าเมืองที่เกิดต่างด้าวทำให้ประชากรสหรัฐยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยประชากรที่เกิดต่างด้าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากประมาณ 20 ล้านคนในปี 1990 เป็นกว่า 40 ล้านคนในปี 2010 โดยเป็นการเพิ่มของประชากรหนึ่งในสาม ประชากรที่เกิดต่างด้าวถึง 45 ล้านคนในปี 2015'
สหรัฐมีประชากรหลากหลายมาก โดยกลุ่มบรรพบุรุษ 37 กลุ่มมีสมาชิกกว่า 1 ล้านคน ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่สุด (กว่า 50 ล้านคน) รองลงมาได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายไอร์แลนด์ (ประมาณ 37 ล้านคน), ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโก (ประมาณ 31 ล้านคน) และชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ (ประมาณ 28 ล้านคน) ชาวอเมริกันผิวขาวเป็นกลุ่มเชื้อชาติใหญ่สุด ชาวอเมริกันผิวดำเป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยใหญ่สุดของประเทศ (หมายเหตุว่าในสำมะโนสหรัฐ อเมริกันฮิสแปนิกและละติโนนับเป็นกลุ่ม "ชาติพันธุ์" มิใช่กลุ่ม "เชื้อชาติ") และเป็นกลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดอันดับสาม อัตราการเติบโตของประชากรเป็นบวก 0.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ในปีงบประมาณ 2012 ผู้เข้าเมืองกว่าหนึ่งล้านคน (ส่วนมากเข้าประเทศผ่านการรวมครอบครัว) ได้รับถิ่นที่อยู่ตามกฎหมาย ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศต้นทางของผู้อยู่อาศัยใหม่อันดับต้น ๆ ตั้งแต่รัฐบัญญัติการเข้าเมืองปี 1965 ประเทศจีน อินเดียและฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีผู้เข้าเมืองสูงสุดสี่อันดับทุกปีมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 ในปี 2012 ผู้อยู่อาศัยประมาณ 11.4 ล้านคนเป็นผู้เข้าเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในปี 2015 47% ของผู้เข้าเมืองทั้งหมดเป็นฮิสแปนิก 26% เป็นชาวเอเชีย 18% เป็นคนขาว และ 8% เป็นคนดำ ร้อยละของผู้เข้าเมืองซึ่งเป็นชาวเอเชียเพิ่มขึ้นส่วนร้อยละของผู้เป็นฮิสแปนิกลดลง และคาดว่าจะกลายเป็นฝ่ายข้างมากเมื่อถึงปี 2044 การสำรวจมติมหาชนปี 2016 ยังสรุปว่า 4.1% ของชาวอเมริกันผู้ใหญ่ระบุตนเป็นแอลจีบีที ร้อยละสูงสุดมาจากเขตโคลัมเบีย (10%) ส่วนรัฐที่ตัวเลขต่ำสุด คือ รัฐนอร์ทดาโกตาที่ 1.7% การสำรวจในปี 2013 ศูนย์สำหรับการควบคุมและป้องกันโรคพบว่า 96.6% ระบุตนว่าตรงเพศ ส่วน 1.6% ระบุว่าเป็นเกย์หรือเลสเบียน และ 0.7% ระบุว่าเป็นรักสองเพศ
ในปี 2010 ประชากรสหรัฐประมาณ 5.2 ล้านคนมีบรรพบุรุษเป็นอเมริกันอินเดียนหรือชนพื้นเมืองอลาสก้า (2.9 ล้านคนที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษดังกล่าว) และ 1.2 ล้านคนที่มีบรรพบุรุษชนพื้นเมืองฮาวายหรือชาวเกาะแปซิฟิก (0.5 ล้านคนมีเฉพาะบรรพบุรุษดังกล่าว) สำมะโนนับกว่า 19 ล้านคนอยู่ใน "เชื้อชาติอื่น" ซึ่ง "ไม่สามารถระบุได้" ว่าอยู่ในหมวดเชื้อชาติอย่างเป็นทางการห้าหมวดในปี 2010 โดยมีกว่า 18.5% (97%) ของจำนวนนี้มีชาติพันธุ์ฮิสแปนิก ระหว่างปี 2000 ถึง 2010 ประชากรฮิสแปนิกของประเทศเพิ่ม 43% ขณะที่ประชากรที่มิใช่ฮิสแปนิกเพิ่มเพียง 4.9% การเติบโตส่วนมากมาจากการเข้าเมือง ในปี 2007 12.7% ของประชากรสหรัฐเกิดต่างด้าว ขณะที่ 54% ในจำนวนนี้เกิดในละตินอเมริกา
ชาวอเมริกันประมาณ 82% อาศัยอยู่ในเขตเมือง (รวมชานเมือง) สหรัฐมีหลายกลุ่มนครที่เรียก เมกะรีจัน (megaregion) เมกะรีจันขนาดใหญ่สุดคือ อภิมหานครเกรตเลกส์ (Great Lakes Megalopolis) ตามด้วยอภิมหานครตะวันออกเฉียงเหนือและแคลิฟอร์เนียใต้ ในปี 2008 มีเทศบาล 273 เทศบาลที่มีประชากรกว่า 100,000 คน มีเก้านครที่มีผู้อยู่อาศัยกว่าหนึ่งล้านคน และสี่นครโลกที่มีประชากรกว่าสองล้านคน (นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ชิคาโกและฮุสตัน) พื้นที่มหานครที่เติบโตเร็วที่สุด 47 จาก 50 พื้นที่อยู่ในภาคตะวันตกหรือภาคใต้ พื้นที่มหานครแซนเบอร์นาร์ดีโน แดลลัส ฮุสตัน แอตแลนตาและฟีนิกซ์ล้วนเติบโตกว่าหนึ่งล้านคนระหว่างปี 2000 ถึง 2008 ชาวอเมริกันบางส่วนสนับสนุนให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของประเทศ เนื่องจากเป็นภาษาราชการแล้วใน 32 รัฐ
ทั้งภาษาฮาวายและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการในรัฐฮาวายตามกฎหมายของรัฐ แม้ไม่มีภาษาราชการ แต่รัฐนิวเม็กซิโกมีกฎหมายที่กำหนดการใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน เช่นเดียวกับที่รัฐลุยเซียนากำหนดให้ใช้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส รัฐอื่น เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียมีคำสั่งศาลสูงให้พิมพ์เผยแพร่เอกสารราชการบางชนิดเป็นภาษาสเปน รวมทั้งแบบของศาล หลายเขตอำนาจที่มีผู้ไม่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากมีการผลิตเอกสารรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศการเลือกตั้ง ในภาษาที่มีผู้พูดแพร่หลายในเขตอำนาจเหล่านั้น
หลายดินแดนเกาะให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อภาษาพื้นเมืองร่วมกับภาษาอังกฤษ โดยอเมริกันซามัวและกวมรับรองภาษาซามัว 18% ของชาวอเมริกันอ้างว่าตนพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานอกจากภาษาอังกฤษ
=== ศาสนา ===
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งแรกรับประกันการนับถือศาสนาอย่างเสรีและห้ามรัฐสภาผ่านกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันศาสนา
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในสหรัฐ ในการสำรวจปี 2013 ชาวอเมริกัน 56% กล่าวว่า ศาสนามี "บทบาทสำคัญมากในชีวิตของพวกเขา" ซึ่งเป็นตัวเลขสูงกว่าของประเทศที่ร่ำรวยอื่นมาก ในการสำรวจมติมหาชนปี 2009 ชาวอเมริกัน 42% กล่าวว่า พวกเขาเข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์หรือเกือบทุกสัปดาห์ ตัวเลขดังกล่าวแปรผันตั้งแต่ 23% ในรัฐเวอร์มอนต์ จนถึงสูง 63% ในรัฐมิสซิสซิปปี ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยและผู้ประพันธ์เรียกสหรัฐว่าเป็น "ชาติโปรเตสแตนต์" หรือ "ก่อตั้งบนหลักการโปรเตสแตนต์" โดยเน้นมรดกลัทธิคาลวินเป็นพิเศษ
สหรัฐเริ่มเคร่งศาสนาน้อยลงเช่นเดียวกับประเทศตะวันตกอื่น การไม่มีศาสนาเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวอเมริกันอายุต่ำกว่า 30 ปี การสำรวจแสดงว่า ความเชื่อมั่นในศาสนาของชาวอเมริกันโดยรวมเสื่อมลงมาตั้งแต่กลางถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันอายุน้อยที่ไม่มีศาสนาเพิ่มขึ้น การศึกษาในปี 2012 บ่งชี้ว่าสัดส่วนประชากรสหรัฐที่นับถือโปรเตสแตนต์ลดลงเหลือ 48% ทำให้ยุติสถานภาพเป็นหมวดศาสนาของฝ่ายข้างมากเป็นครั้งแรก ชาวอเมริกันที่ไม่มีศาสนามีบุตร 1.7 คนเทียบกับคริสต์ศาสนิกชน 2.2 คน ผู้ไม่นับถือศาสนายังมีแนวโน้มสมรสน้อยกว่าคริสต์ศาสนิกชน 37% ต่อ 52%
จากการสำรวจปี 2014 ผู้ใหญ่ 70.6% ระบุตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน ลดลงจาก 73% ในปี 2012 โปรเตสแตนต์นิกายต่าง ๆ คิดเป็น 46.5% ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด ศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์ที่รายงานทั้งหมดในปี 2014 มี 5.9% นอกจากนี้ยังมีชุมชน ยูนิทาเรียนยูนิเวอร์แซลิสต์, ศาสนาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, ศาสนาเชน, ลัทธิชินโต, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ดรูอิด, พื้นเมืองอเมริกัน, วิคะ, มนุษยนิยม, และเทวัสนิยม
โปรเตสแตนต์เป็นกลุ่มศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีคริสตจักรแบปทิสต์รวมกันเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด และสหคริสตจักรแบปทิสต์ใต้ (Southern Baptist Convention) เป็นนิกายโปรเตสแตนต์เดี่ยวที่ใหญ่สุด ชาวอเมริกันประมาณ 26% ระบุตนเป็นโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล (Evangelical Protestant) ส่วน 15% เป็นสายหลัก (Mainline) และ 7% เป็นคริสตจักรดำดั้งเดิม โรมันคาทอลิกในสหรัฐมีเหง้าในการทำให้ทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของสเปนและฝรั่งเศส และต่อมาขยายตัวเนื่องจากการเข้าเมืองของชาวไอริช อิตาลี โปแลนด์ เยอรมันและสเปน รัฐโรดไอแลนด์มีร้อยละของคาทอลิกสูงสุดโดยมี 40% ของประชากร นิกายลูเทอแรนในสหรัฐกำเนิดจากการเข้าเมืองจากยุโรปเหนือและประเทศเยอรมนี รัฐนอร์ทและเซาท์ดาโคตาเป็นเพียงสองรัฐที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นลูเทอร์แรนมากกว่า ผู้เข้าเมืองชาวสกอตและสกอตอัลสเตอร์เผยแผ่นิกายเพรสไบทีเรียนในทวีปอเมริกาเหนือ แม้นิกายดังกล่าวได้เผยแผ่ทั่วสหรัฐ แต่กระจุกอยู่ในชายฝั่งตะวันออกเป็นหลัก มีการก่อตั้งกลุ่มผู้นับถือศาสนาปฏิรูปดัตช์ครั้งแรกในนิวอัมสเตอร์ดัม (นครนิวยอร์ก) ก่อนเผยแผ่ไปทางทิศตะวันตก รัฐยูทาห์เป็นรัฐเดียวที่มอรมอนเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ ฉนวนมอรมอนยังขยายไปถึงบางส่วนของรัฐไอดาโฮ เนวาดาและไวโอมิง
เข็มขัดไบเบิล (Bible Belt) เป็นภาษาปากใช้เรียกภูมิภาคในภาคใต้ของสหรัฐซึ่งโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัลซึ่งเป็นอนุรักษนิยมทางสังคมเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและอัตราการเข้าโบสถ์คริสต์ในนิกายต่าง ๆ ปกติสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ในทางกลับกัน ศาสนามีบทบาทสำคัญน้อยในเขตนิวอิงแลนด์และภาคตะวันตกของสหรัฐ ขณะนี้หญิงส่วนใหญ่ทำงานนอกบ้าน และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีมากกว่าชาย
อัตราการตั้งครรภ์วัยรุ่นสหรัฐอยู่ที่ 26.5 คนต่อ 1,000 คน อัตราดังกล่าวลดลง 57% จากปี 1991 ในปี 2013 อัตราเกิดวัยรุ่นสูงสุดอยู่ในรัฐแอลาบามา และต่ำสุดในรัฐไวโอมิง การทำแท้งชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ เนื่องจากคดีระหว่างโรและเวด (Roe v. Wade) คำวินิจฉัยบรรทัดฐานในปี 1973 ของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ แม้อัตราการทำแท้งจะลดลง แต่อัตราทำแท้ง 241 ต่อ 1,000 การคลอดมีชีพและอัตราการทำแท้ง 15 คนต่อ 1,000 คนในหญิงอายุระหว่าง 15-44 ปีก็ยังสูงกว่าอัตราของชาติตะวันตกส่วนใหญ่ ในปี 2013 อายุเฉลี่ยของการคลอดครั้งแรกอยู่ที่ 26 ปีและ 40.6% ของการเกิดเกิดกับหญิงไม่สมรส
มีการประมาณอัตราเจริญพันธุ์รวมของปี 2013 ไว้ที่ 1.86 การเกิดต่อหญิง 1 คน การรับบุตรบุญธรรมในสหรัฐมีทั่วไปและค่อนข้างง่ายจากมุมมองกฎหมายเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกอื่น ในปี 2001 ด้วยการรับบุตรบุญธรรมกว่า 127,000 คน สหรัฐคิดเป็นเกืบอกึ่งหนึ่งของจำนวนการรับบุตรบุญธรรมทั้งหมดทั่วโลก การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายทั่วประเทศและคู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมาย พหุสามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ
== การเมืองการปกครอง ==
สหรัฐเป็นสหพันธรัฐเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีอยู่มาถึงปัจจุบัน เป็นสาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน "ซึ่งการถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์มากถูกจำกัดโดยสิทธิฝ่ายข้างน้อยที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย" มีการวางระเบียบการปกครองด้วยระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่นิยามตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ สำหรับ ค.ศ. 2016 สหรัฐจัดอยู่ในอันดับที่ 21 ตามดัชนีประชาธิปไตย และอันดับที่ 18 ในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน
ในระบบสหพันธรัฐนิยมอเมริกา ปกติพลเมืองอยู่ใต้บังคับแห่งการปกครองสามระดับ คือ สหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น หน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นปกติแบ่งกันระหว่างรัฐบาลเทศมณฑล (county) และองค์การเทศบาล ในเกือบทุกกรณี ข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าของพลเมืองแบ่งตามเขต ไม่มีการมีผู้แทนตามสัดส่วนในระดับสหพันธรัฐ และพบน้อยในระดับล่างกว่า
รัฐบาลกลางประกอบด้วยสามอำนาจ ได้แก่
* สภานิติบัญญัติ: รัฐสภาซึ่งใช้ระบบสองสภา ประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ออกกฎหมายกลาง ประกาศสงคราม รับรองสนธิสัญญา มีอำนาจผ่านงบประมาณ (power of the purse) และมีอำนาจฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่ง ซึ่งสามารถถอดถอนสมาชิกรัฐบาลปัจจุบันได้
* ฝ่ายบริหาร: ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด สามารถใช้สิทธิยับยั้งร่างกฎหมายก่อนมีผลใช้บังคับ (แต่สามารถถูกรัฐสภาแย้งได้) และแต่งตั้งสมาชิกคณะรัฐมนตรี (โดยการอนุมัติของวุฒิสภา) และข้าราชการอื่น ซึ่งปกครองและใช้บังคับกฎหมายและนโยบายกลาง
* ฝ่ายตุลาการ: ศาลสูงสุดและศาลกลางระดับล่างกว่า ซึ่งผู้พิพากษามาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีด้วยการอนุมัติของวุฒิสภา ตีความกฎหมายและยกเลิกกฎหมายที่วินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
วุฒิสภามีสมาชิก 100 คน โดยแต่ละรัฐมีสมาชิกวุฒิสภาสองคน ได้รับเลือกตั้งโดยไม่แบ่งเขตมีวาระละ 6 ปี ตำแหน่งวุฒิสภาหนึ่งในสามมีการเลือกตั้งปีเว้นปี ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี และอาจได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกินสองครั้ง ประธานาธิบดีมิได้เลือกตั้งจากคะแนนเสียงโดยตรง แต่มาจากระบบคณะผู้เลือกตั้งทางอ้อมซึ่งกำหนดคะแนนเสียงที่จัดสัดส่วนให้แก่รัฐและเขตโคลัมเบีย ศาลสูงสุด ซึ่งมีประธานศาลสูงสุดแห่งสหรัฐเป็นหัวหน้า มีสมาชิกเก้าคน ซึ่งดำรงตำแหน่งตลอดชีพ
[[อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนครนิวยอร์กเป็นสัญลักษณ์ของทั้งสหรัฐและอุดมการณ์เสรีภาพ ประชาธิปไตยและโอกาส]]
รัฐบาลรัฐมีโครงสร้างคล้าย ๆ กัน แต่รัฐเนแบรสกามีสภานิติบัญญัติที่ใช้ระบบสภาเดียวต่างจากรัฐอื่น ผู้ว่าการแต่ละรัฐ (หัวหน้าฝ่ายบริหาร) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ผู้พิพากาษาและคณะรัฐมนตรีของบางรัฐมาจากการแต่งตั้งของผู้ว่าการของรัฐนั้น ๆ แต่บางรัฐมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ข้อความดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญกำหนดโครงสร้างและความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางและความสัมพันธ์กับรัฐหนึ่ง ๆ มาตรา 1 คุ้มครองสิทธิหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาล รัฐธรรมนูญมีการแก้ไขเพิ่มเติม 27 ครั้ง การแก้ไขเพิ่มเติมสิบครั้งแรก ซึ่งรวมเรียว่า รัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ก่อเป็นรากฐานกลางของสิทธิปัจเจกของชาวอเมริกัน กฎหมายและวิธีดำเนินการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การพิจารณาทบทวนโดยศาลและกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยว่าละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ศาลสูงสุดสถาปนาหลักการพิจารณาทบทวนโดยศาล แม้มิได้กล่าวไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ในคดีระหว่างมาร์บูรีกับเมดิสัน (Marbury v. Madison) ปี 1803
=== เขตรัฐกิจ ===
แผนที่เขตเศรษฐกิจ[[เขตเศรษฐกิจจำเพาะของสหรัฐ แสดงรัฐ ดินแดนและการครอบครอง]]
สหรัฐเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประกอบด้วย 50 รัฐ เขตสหพันธรัฐ ห้าดินแดนและเกาะที่ไม่มีคนอยู่อาศัยสิบเอ็ดเกาะ รัฐและดินแดนเป็นเขตการปกครองหลักในประเทศ แบ่งเป็นเขตย่อยเทศมณฑลและนครอิสระ เขตโคลัมเบียเป็นเขตสหพันธรัฐซึ่งมีเมืองหลวงของสหรัฐ คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. รัฐและเขตโคลัมเบียเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ละรัฐมีผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีเทียบเท่ากับผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในรัฐสภา เขตโคลัมเบียมีสามคน
เขตรัฐสภามีการกำหนดจำนวนผู้แทนตามส่วนของพลเมืองใหม่ของรัฐหลังสำมะโนประชากรทุกสิบปี แล้วแต่ละรัฐเป็นเขตสมาชิกหนึ่งให้เป็นไปตามการจัดสัดส่วนสำมะโน มีจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 คน และสมาชิกรัฐสภาผู้แทนเป็นตัวแทนของเขตโคลัมเบียและห้าดินแดนหลักของสหรัฐ
สหรัฐยังมีอำนาจอธิปไตยชนเผ่า (tribal sovereignty) ของชาติอเมริกันอินเดียนในขอบเขตจำกัด เช่นเดียวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐ อเมริกันอินเดียนเป็นพลเมืองสหรัฐและดินแดนชนเผ่าอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐสภาสหรัฐและศาลสหพันธรัฐ เช่นเดียวกับรัฐ ชนเผ่ามีอัตตาณัติสูง แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกาศสงคราม มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชองตนเอง หรือพิมพ์และออกเงินตรา
=== พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง ===
สหรัฐใช้ระบบสองพรรคมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์ สำหรับตำแหน่งเลือกตั้งแทบทุกระดับ การเลือกตั้งผู้สมัครรอบแรกที่รัฐจัดการเลือกผู้ได้รับเสนอชื่อของพรรคการเมืองหลักสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา นับแต่การเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1856 พรรคการเมืองหลักได้แก่ พรรคเดโมแครตซึ่งก่อตั้งใน ค.ศ. 1824 และพรรคริพับลิกันซึ่งก่อตั้งใน ค.ศ. 1854 นับแต่สงครามกลางเมือง มีผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีจากพรรคที่สามเพียงคนเดียว คือ อดีตประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ ซึ่งมาจากพรรคก้าวหน้าใน ค.ศ. 1912 ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านระบบคณะผู้เลือกตั้ง
ภายในวัฒนธรรมการเมืองอเมริกา พรรครีพับลิกันฝ่ายกลางขวาถือว่าเป็น "อนุรักษนิยม" และพรรคเดโมแครตฝ่ายกลางซ้ายถือว่าเป็น "เสรีนิยม" รัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชายฝั่งตะวันตกและรัฐเกรตเลกส์บางรัฐรู้จักกันในนาม "รัฐน้ำเงิน" ค่อนข้างเป็นเสรีนิยม "รัฐแดง" ในภาคใต้และบางส่วนของเกรตเพลนส์และเทือกเขาร็อกกีค่อนข้างเป็นอนุรักษนิยม
ดอนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2024 ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ผู้นำปัจจุบันในวุฒิสภา ได้แก่ รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์จากพรรครีพับลิกัน ประธานชั่วคราวชัก แกรสลีย์ (Chuck Grassley) จากพรรครีพับลิกัน หัวหน้าฝ่ายข้างมาก จอห์น ธูน (John Thune) และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย ชัก ชูเมอร์ (Chuck Schumer) ผู้นำในสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรไมก์ จอห์นสัน หัวหน้าฝ่ายข้างมาก สตีฟ สะกาลีซ (Steve Scalise) และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย ฮากีม เจฟฟรีส์ (Hakeem Jeffries)
ในรัฐสภาสหรัฐสมัยที่ 119 พรรครีพับลิกันครองทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปัจจุบันวุฒิสภามีเดโมแครต 45 คน และอิสระ 2 คนซึ่งประชุมลับกับเดโมแครต รีพับลิกัน 53 คน สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยรีพับลิกัน 220 คนและเดโมแครต 213 คน ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ มีรีพับลิกัน 27 คน เดโมแครต 23 คน ในบรรดานายกเทศมนตรี ดี.ซี. และผู้ว่าการดินแดน 5 คน มีรีพับลิกัน 2 คน เดโมแครต 1 คน ก้าวหน้าใหม่ 1 คนและอิสระ 2 คน
=== ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ===
หนี้สินรัฐบาลกลางสหรัฐที่ภาครัฐบาลถือครองเป็นร้อยละของจีดีพี ตั้งแต่ปี 1790 ถึง 2013
ภาษีในสหรัฐมีการจัดเก็บในระดับรัฐบาลสหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น ภาษีเหล่านี้รวมถึงภาษีรายได้, หักจากค่าจ้าง, ทรัพย์สิน, การขาย, นำเข้า, มรดกและการให้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในปี 2010 ภาษีที่รัฐบาลกลาง รัฐ และเทศบาลจัดเก็บได้คิดเป็น 24.8% ของจีดีพี ช่วงปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางจัดเก็บรายได้จากภาษีประมาณ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, เพิ่มขึ้น 147,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6% เมื่อเทียบกับรายได้ 2.30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของปีงบประมาณ 2011 หมวดหมู่หลักได้แก่ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา (1,132,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 47%) ภาษีหลักประกันสังคม/การประกันสังคม (845,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 35%) และภาษีนิติบุคคล (242,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 10%) ภายใต้กฎหมายภาษีปี 2013 ผู้มีรายได้สูงสุด 1% จะจ่ายอัตราภาษีเฉลี่ยสูงสุดนับแต่ปี 1979 ส่วนกลุ่มรายได้อื่นยังอยู่ในอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
โดยทั่วไปการเก็บภาษีอากรของสหรัฐเป็นแบบก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีรายได้ของรัฐบาลกลาง และเป็นแบบก้าวหน้ามากที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่ายภาษีของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่ ในปี 2013 ศูนย์นโยบายภาษีพยากรณ์ว่าอัตราภาษียังผลของรัฐบาลกลาง 35.5% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 1%, 29.7% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 20%, 13.8% สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและ -2.7% สำหรับผู้มีรายได้ต่ำสุด ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นประเด็นกรณีโต้เถียงที่กำลังดำเนินอยู่มาหลายทศวรรษ ภาษีรัฐและท้องถิ่นแตกต่างกันมาก แต่โดยทั่วไปเป็นแบบถดถอยน้อยกว่าภาษีรัฐบาลกลางเพราะการจัดเก็บภาษีนั้นอาศัยภาษีการขายและทรัพย์สอนแบบถดถอยซึ่งให้กระแสรายได้ที่ลบเลือนได้น้อยกว่า แม้รวมภาษีเหล่านี้ด้วยแล้ว การจัดเก็บภาษีโดยรวมก็ยังเป็นแบบก้าวหน้า
ระหว่างปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางใชังบประมาณหรือเกณฑ์เงินสด 3.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.7 % เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2011 ที่ใช้ 3.60 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายหมวดหลักในปีงบประมาณ 2012 ได้แก่ เมดิแคร์และเมดิเคด (802,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 23% ของรายจ่าย), หลักประกันสังคม (768,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 22%), กระทรวงกลาโหม (670,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 19%) ดุลยพินิจนอกเหนือจากการกลาโหม (615,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 17%) รายจ่ายบังคับอื่น (461,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 13%) และดอกเบี้ย (223,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 6%)
หนี้สินของชาติทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 18.527 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (106% ของจีดีพี) ในปี 2014 สหรัฐมีการจัดอันดับเครดิต AA+ จากสแตนดาร์ดแอนด์พัวส์, AAA จากฟิตช์ และ AAA จากมูดีส์
=== กองทัพ ===
ประธานาธิบดีมีตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร และแต่งตั้งหัวหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเสนาธิการร่วม กระทรวงกลาโหมของสหรัฐบริหารกองทัพ รวมทั้งกองทัพบก, กองทัพเรือ, เหล่านาวิกโยธิน, และกองทัพอากาศ หน่วยยามฝั่งดำเนินการโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในยามสงบและกระทรวงทหารเรือในยามสงคราม ในปี 2008 กองทัพมีกำลังพลประจำการ 1.4 ล้านนาย หรือ 2.3 ล้านนายหากนับรวมกำลังสำรองและกำลังป้องกันชาติ กระทรวงกลาโหมว่าจ้างพลเรือนประมาณ 700,000 คน ไม่นับรวมผู้รับเหมา
การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบของกรมตำรวจท้องถิ่นเป็นหลัก
การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบหลักของตำรวจท้องที่ และหน่วยงานของนายอำเภอ (sheriff) โดยมีตำรวจของรัฐบริการกว้างกว่า กรมตำรวจนครนิวยอร์กเป็นตำรวจท้องที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) และราชการพนักงานศาลแขวง (Marshals Service) ของสหรัฐมีหน้าที่ชำนัญพิเศษ ซึ่งรวมการพิทักษ์สิทธิพลเมือง ความมั่นคงของชาติและบังคับใช้คำวินิจฉัยของศาลกลางและกฎหมายกลางของสหรัฐ ในระดับรัฐบาลกลางและในเกือบทุกรัฐ ระบบกฎหมายใช้แบบคอมมอนลอว์ ศาลของรัฐตัดสินคดีอาญาส่วนใหญ่ ศาลกลางรับผิดชอบอาชญากรรมที่กำหนดบางอย่างตลอดจนคดีอุทธรณ์จากศาลอาญาของรัฐ การต่อรองคำรับสารภาพในสหรัฐพบดาษดื่น คดีอาญาส่วนใหญ่ในประเทศระงับด้วยการต่อรองคำรับสารภาพมิใช่การพิจารณาของคณะลูกขุน
ในปี 2015 มีการฆ่าคน 15,696 ครั้ง ซึ่งมากกว่าปี 2014 จำนวน 1,532 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ปี 1971 อัตราการฆ่าคนในปี 2015 อยู่ที่ 4.9 คนต่อประชากร 100,000 คน ในปี 2016 อัตราการฆ่าคนเพิ่มขึ้น 8.6% โดยมีการฆ่าคน 17,250 ครั้งในปีนั้น อัตราการชำระคดี (clearance rate) สำหรับการฆ่าคนของประเทศในปี 2015 อยู่ที่ร้อยละ 64.1 เมื่อเทียบกับร้อยละ 90 ในปี 1965 ในปี 2012 มีการฆ่าคน 4.7 คนต่อประชากร 100,000 คนในสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54 จากยอดสูงสุด 10.2 ในปี 1980 ในปี 2001-2 สหรัฐมีระดับอาชญากรรมรุนแรงสูงกว่าค่าเฉลี่ย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงจากปืนสูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น การวิเคราะห์ตามขวางของฐานข้อมูลการตายขององค์การอนามัยโลกจากปี 2010 แสดงว่าสหรัฐ "มีอัตราการฆ่าคนสูงกว่าประเทศรายได้สูงอื่น 7.0 เท่า ซึ่งมีสาเหตุจากอัตราการฆ่าคนด้วยปืนซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น 25.2 เท่า" สิทธิความเป็นเจ้าของปืนเป็นหัวข้อการถกเถียงทางการเมืองพิพาท
ตั้งแต่ปี 1980 ถึง 2008 ชายคิดเป็นร้อยละ 77 ของผู้ถูกฆ่า และร้อยละ 90 ของผู้ก่อเหตุ ผิวดำก่อเหตุฆ่าคนร้อยละ 52.5 ของทั้งหมดในช่วงนั้น เป็นอัตราเกือบแปดเท่าของผิวขาว (ซึ่งรวมฮิสแปนิกส่วนใหญ่) และเป็นผู้เสียหายมากเป็นหกเท่าของผิวขาว การฆ่าคนส่วนใหญ่เป็นคนผิวเดียวกัน โดยผู้ถูกฆ่าผิวดำร้อยละ 93 ถูกผิวดำฆ่า และผิวขาว 84% ถูกผิวขาวฆ่า ในปี 2012 รัฐลุยเซียนามีอัตราการฆ่าคนและการทำให้คนตายโดยประมาทสูงสุด และรัฐนิวแฮมพ์เชียร์มีอัตราต่ำสุด รายงานอาชญากรรมเอกรูปของเอฟบีไอประมาณว่ามีอาชญากรรมรุนแรงและอาชญากรรมต่อทรัพย์สิน 3,246 ครั้งต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012 รวมมีอาชญากรรมทั้งสิ้นกว่า 9 ล้านครั้ง
มีการอนุมัติโทษประหารชีวิตในสหรัฐสำหรับอาชญากรรมรัฐบาลกลางและทหารบางอย่าง และมีใช้ใน 31 รัฐ ขณะเดียวกัน หลายรัฐเลิกหรือให้โทษประหารชีวิตเป็นโมฆะ ในปี 2015 สหรัฐมีจำนวนการประหารชีวิตสูงสุดในโลกเป็นอันดับห้า รองจากประเทศจีน อิหร่าน ปากีสถานและซาอุดีอาระเบีย
สหรัฐมีอัตราการกักขังที่มีบันทึกและประชากรเรือนจำทั้งหมดสูงสุดในโลก ตั้งแต่ต้นปี 2008 มีประชากรกว่า 2.3 ล้านคนถูกกักขัง คิดเป็นกว่า 1 คนในผู้ใหญ่ 100 คน ในเดือนธันวาคม 2012 ระบบการดัดสันดานผู้ใหญ่ของสหรัฐรวมควบคุมดูแลผู้กระทำผิดประมาณ 6,937,000 คน ผู้อยู่อาศัยผู้ใหญ่ประมาณ 1 ใน 35 คนในสหรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลการดัดสันดานอย่างใดอย่างหนึ่งในเดือนธันวาคม 2012 ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดเท่าที่สังเกตมาตั้งแต่ปี 1997 ประชากรเรือนจำเพิ่มขึ้นสี่เท่าตั้งแต่ปี 1980 และรายจ่ายของรัฐและท้องถิ่นด้านเรือนจำและคุกเพิ่มขึ้นสามเท่าของรายข่ายด้านศึกษาธิการในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดี อัตราการจำคุกสำหรับนักโทษทุกคนที่ได้รับโทษจำคุกมากกว่าหนึ่งปีในสถานที่ของรัฐหรือรัฐบาลกลางอยู่ที่ 478 คนต่อ 100,000 คนในปี 2013 และอัตรานักโทษก่อนพิจารณา/ระหว่างพิจรารณาอยู่ที่ 153 คนต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012 อัตราการกักขังที่สูงของประเทศนี้ส่วนใหญ่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติคำพิพากษาและนโยบายยาเสพติด จากข้อมูลของกรมเรือนจำกลาง ผู้ต้องขังส่วนมากที่ถูกขังในเรือนจำกลางต้องโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชนซึ่งเรือนจำและราชการเรือนจำซึ่งเริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นหัวข้อถกเถียง ในปี 2008 รัฐลุยเซียนามีอัตราการกักขังสูงสุด ส่วนรัฐเมนมีต่ำสุด
== เศรษฐกิจ ==
แผนผังรายการส่งออกของสหรัฐปี 2011: สหรัฐเป็นผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
สหรัฐมีเศรษฐกิจแบบผสมทุนนิยม ซึ่งขับเคลื่อนโดยทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และผลิตภาพที่สูง จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐอยู่ที่ 16.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 24% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อัตราแลกเปลี่ยนตลาด และกว่า 19% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อำนาจซื้อเสมอภาค (PPP)
จีดีพีตามตัวเลขของสหรัฐโดยประมาณอยู่ที่ 17.528 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2014 ตั้งแต่ปี 1983 ถึง 2008 การเติบโตของจีดีพีต่อปีแบบทบต้นแท้จริง (real compounded annual GDP growth) อยู่ที่ 3.3% เทียบกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 2.3% สำหรับประเทศจี7 ที่เหลือ จีดีพีต่อหัวสหรัฐจัดอยู่อันดับเก้าของโลก และมีจีดีพีต่อหัวที่พีพีพีอันดับหก
สหรัฐเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่สุดและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับสอง แม้การส่งออกต่อหัวจะค่อนข้างต่ำ ในปี 2010 การขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 635,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศแคนาดา จีน เม็กซิโก ญี่ปุ่น และเยอรมนีเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุด ในปี 2010 น้ำมันเป็นโภคภัณฑ์นำเข้ามากที่สุด ขณะที่อุปกรณ์ขนส่งเป็นสินค้าออกใหญ่ที่สุดของประเทศ ผู้ถือหนี้สหรัฐสูงสุดเป็นองค์การของสหรัฐเอง รวมทั้งบัญชีของรัฐบาลกลางและระบบธนาคารกลางที่ถือหนี้ส่วนใหญ่
ในปี 2009 ประมาณว่าภาคเอกชนประกอบเป็น 86.4% ของเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมของรัฐบาลกลางคิดเป็น 4.3% และกิจกรรมของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น (รวมเงินโอนของรัฐบาลกลาง) เป็น 9.3% ที่เหลือ จำนวนลูกจ้างของรัฐบาลทุกระดับมากกว่าลูกจ้างในส่วนการผลิต 1.7 ต่อ 1 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถึงระดับการพัฒนาหลังอุตสาหกรรม (postindustrial) แล้วโดยภาคบริการประกอบเป็น 67.8% ของจีดีพี แต่สหรัฐยังเป็นประเทศอุตสาหกรรม สาขาธุรกิจชั้นนำตามรายการรับ (gross business receipt) ได้แก่การค้าส่งและปลีก ส่วนภาคการผลิตเป็นภาคที่มีรายรับสุทธิสูงสุด ในแบบธุรกิจแฟรนไชส์ แมคโดนัลด์และซับเวย์เป็นยี่ห้อที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดในโลกสองยี่ห้อ โคคา-โคล่าเป็นบริษัทน้ำอัดลมที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีที่สุด
เคมีภัณฑ์เป็นสาขาการผลิตชั้นนำ สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สุดอันดับสอง สหรัฐเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและนิวเคลียร์อันดับหนึ่ง ตลอดจนแก๊สธรรมชาติเหลว กำมะถัน ฟอสเฟต และเกลือ
แม้ว่าภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจีดีพี และถั่วเหลืองรายใหญ่สุดของโลก สหรัฐเป็นผู้ผลิตและปลูกอาหารดัดแปรพันธุกรรมหลัก โดยคิดเป็นกึ่งหนึ่งของพืชไบโอเทคของโลก
การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีสัดส่วนเป็น 68% ของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2015 ในเดือนสิงหาคม 2010 มีแรงงานอเมริกัน 154.1 ล้านคน สาขาการจ้างงานใหญ่สุด คือ ภาครัฐบาล 21.2 ล้านคน การจ้างงานภาคเอกชนใหญ่สุดคือ สาธารณสุขและการสังคมสงเคราะห์ จำนวน 16.4 ล้านคน คนงานประมาณ 12% อยู่ในสหภาพ เทียบกับ 30% ในยุโรปตะวันตก ธนาคารโลกจัดสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความง่ายในการจ้างและไล่คนงาน สหรัฐจัดอยู่อันดับต้นหนึ่งในสามในรายงานความสามารถการแข่งขันโลก (Global Competitiveness Report) เช่นกัน สหรัฐมีรัฐสวัสดิการขนาดเล็กและกระจายรายได้ผ่านการกระทำของรัฐบาลน้อยกว่าชาติยุโรป
สหรัฐเป็นประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าประเทศเดียวที่ไม่รับประกันการหยุดงานโดยจ่ายค่าจ้าง (paid vacation) แก่คนงาน และเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีการหยุดงานเลี้ยงบุตรโดยจ่ายค่าจ้าง (family leave) เป็นสิทธิตามกฎหมาย โดยมีประเทศอื่น เช่น ปาปัวนิวกินี ซูรินาม ไลบีเรีย แม้ปัจจุบันกฎหมายกลางไม่รับประกันการลาป่วย แต่เป็นผลประโยชน์ทั่วไปของคนงานของรัฐบาลและพนักงานเต็มเวลาของบริษัท ในปี 2009 สหรัฐมีผลิตภาพกำลังแรงงานต่อบุคคลสูงสุดเป็นอันดับสามในโลก รองจากลักเซมเบิร์กและนอร์เวย์ สหรัฐมีผลิตภาพต่อชั่วโมงสูงสุดเป็นอันดับสี่ รองจากสองประเทศดังกล่าวและเนเธอร์แลนด์
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกปี 2008-2012 มีผลกระทบต่อสหรัฐย่างสำคัญ โดยมีผลผลิตต่ำกว่าศักยะตามข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา ภาวะดังกล่าวนำมาซึ่งการว่างงานสูง (ซึ่งลดลงแล้วแต่ยังสูงกว่าระดับก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย) ร่วมกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ การเสื่อมของมูลค่าบ้านอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มการบังคับเอาทรัพย์จำนองหลุดและการล้มละลายของบุคคล วิกฤตหนี้รัฐบาลกลางบานปลาย ภาวะเงินเฟ้อ และราคาปิโตรเลียมและอาหารเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยังมีสัดส่วนผู้ว่างงานระยะยาวเป็นสถิติ รายได้ครัวเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องและภาษีและงบประมาณรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น
สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสต็อกโฮล์ม (SIPRI) พบว่า อุตสาหกรรมอาวุธของสหรัฐเป็นผู้ส่งออกอาวุธสำคัญรายใหญ่สุดของโลกตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2009 ตามข้อมูลของสำนักสำมะโน รายได้ครัวเรือนมัธยฐานคือ 59,039 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2016 แม้ประชากรอเมริกันมีเพียง 4.4% ของประชากรโลก แต่ชาวอเมริกันรวมครอบครองความมั่งคั่ง 41.6% ของโลก และเศรษฐีเงินล้าน (millionaire) ประมาณกึ่งหนึ่งของโลกเป็นชาวอเมริกัน ดัชนีความมั่นคงอาหารโลกจัดอันดับสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความสามารถมีอาหาร (food affordability) และความมั่นคงอาหารโดยรวมในเดือนมีนาคม 2013 ชาวอเมริกันเฉลี่ยมีพื้นที่อยู่อาศัยต่อเคหสถานและต่อบุคคลสูงกว่าผู้อยู่อาศัยในสหภาพยุโรปกว่าสองเท่า และมากกว่าประเทศสหภาพยุโรปทุกประเทศ ในปี 2013 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหรัฐอยู่อันดับ 5 จาก 187 และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับตามความไม่เสมอภาคแล้วอยู่อันดับที่ 28
หลังการเติบโตชะงักมาหลายปี ในปี 2016 ข้อมูลจากสำมะโนระบุว่า รายได้ครัวเรือนมัธยฐานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังการเติบโตสูงสุดสองปีติดต่อกัน แม้ว่าความไม่เสมอภาคของรายได้ยังสูงสุดโดยผู้มีรายได้สูงสุด 20% มีรายได้มากกว่าครึ่งของรายได้รวมทั้งหมด มีช่องว่างระหว่างผลิตภาพและรายได้มัธยฐานกว้างขึ้นนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ทว่า ช่องว่างระหว่างค่าตอบแทนทั้งหมดและผลิตภาพไม่กว้างเท่าอันเนื่องมาจากมีผลประโยชน์ของลูกจ้างเพิ่มขึ้น เช่น ประกันสุขภาพ ระหว่างเดือนมิถุนายน 2007 ถึงพฤศจิกายน 2008 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้ราคาสินทรัพย์ตกลงทั่วโลก ทรัพย์สินที่ชาวอเมริกันถือครองเสียมูลค่าประมาณหนึ่งในสี่ นับแต่ความมั่งคั่งครัวเรือนสูงสุดในไตรมาสที่สองของปี 2007 ความมั่งคั่งครัวเรือนลดลง 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นับจากนั้นเพิ่มขึ้น 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐกว่าระดับเมื่อปี 2006 เมื่อสิ้นปี 2014 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 11.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 13.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นปี 2008
มีประชากรไร้บ้านแบบมีและไม่มีที่อยู่อาศัยประมาณ 578,424 คนในสหรัฐในเดือนมกราคม 2014 โดยเกือบสองในสามอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยฉุกเฉินหรือโครงการเคหะช่วงเปลี่ยนสภาพ ในปี 2011 มีเด็ก 16.7 ล้านคนอาศยอยู่ในครัวเรือนที่ไม่มีความปลอดภัยทางอาหาร เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับระดับปี 2007 แม้เด็กสหรัฐเพียง 1.1% หรือ 845,000 คนกินอาหารลดลงหรือมีรูปแบบการกินถูกรบกวนในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนั้น และแทบทั้งสิ้นไม่เป็นแบบเรื้อรัง ตามรายงานปี 2014 ของกรมสำมะโน ปัจจุบันผู้ใหญ่ตอนต้นหนึ่งในห้าคนยากจน เพิ่มขึ้นจากหนึ่งในเจ็ดในปี 1980
== โครงสร้างพื้นฐาน ==
=== การขนส่ง ===
สายส่งไฟฟ้าของสหรัฐประกอบด้วยสายยาว 300,000 กิโลเมตร มีผู้ดำเนินการประมาณ 500 บริษัท โดยมี[[North American Electric Reliability Corporation|บริษัทความเชื่อถือได้ทางไฟฟ้าอเมริกาเหนือ (NERC) เป็นผู้ควบคุมดูแล]]
ตลาดพลังงานสหรัฐมีประมาณ 29,000 ชั่วโมงเทระวัตต์ต่อปี การบริโภคพลังงานต่อหัวมี 7.8 ตันเทียบเท่าน้ำมันต่อปี คิดเป็นอัตราสูงสุดอันดับ 10 ในโลก ในปี 2005 พลังงาน 40% มาจากปิโตรเลียม 23% จากถ่านหิน และ 22% มาจากแก๊สธรรมชาติ ส่วนที่เหลือมาจากพลังงานนิวเคลียร์และแหล่งพลังงานหมุนเวียน สหรัฐเป็นผู้บริโภคปิโตรเลียมรายใหญ่สุดของโลก สหรัฐมีแหล่งสำรองถ่านหินทั่วโลก 27% สหรัฐเป็นผู้ผลิตแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก
พลังงานนิวเคลียร์มีบทบาทจำกัดเมื่อเทียบกับหลายประเทศพัฒนาแล้วอื่นเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรับรู้ของประชาชนเนื่องจากอุบัติเหตุในปี 1979 ในปี 2007 มีการยื่นคำร้องขอเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่
=== การประปาและสุขาภิบาล ===
ปัญหาซึ่งมีผลต่อการประปาในสหรัฐรวมถึงภัยแล้งในภาคตะวันตก การขาดแคลนน้ำ มลภาวะ การลงทุนค้าง ความกังวลเกี่ยวกับการหาน้ำได้ของผู้ยากจนที่สุด และกำลังแรงงานที่กำลังเกษียณอย่างรวดเร็ว คาดหมายว่าความแปรผันได้และความรุนแรงของฝนตกที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นผลให้เกิดทั้งภัยแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงขึ้น โดยมีผลลัพธ์ที่อาจร้ายแรงต่อการประปาและมลภาวะที่เกิดจากท่อระบายรวมล้น
ภัยแล้งน่าจะมีผลกระทบเป็นพิเศษต่อชาวอเมริกันร้อยละ 66 ซึ่งชุมชนอาศัยน้ำผิวโลก ในด้านคุณภาพน้ำดื่ม มีความกังวลเกี่ยวกับผลพลอยได้ของการฆ่าเชื้อ ตะกั่ว เพอร์คลอเรตและสารยา แต่โดยทั่วไปน้ำดื่มในสหรัฐมีคุณภาพดี
== การศึกษา ==
นักบินอวกาศเจมส์ เออร์วินกำลังเดินบนดวงจันทร์ถัดจากส่วนลงจอดและยานสำรวจดวงจันทร์ของ[[อะพอลโล 15 ในปี 1971 ความพยายามไปดวงจันทร์เป็นผลมาจากการแข่งขันอวกาศ]]
สหรัฐเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และการวิจัยวิทยาศาสตร์ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 สหรัฐพัฒนาวิธีการผลิตชิ้นส่วนสับเปลี่ยนได้โดยคลังอาวุธกลาง กระทรวงสงครามสหรัฐ ระหว่างครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เทคโนโลยีดังกล่าว ร่วมกับการสถาปนาอุตสาหกรรมเครื่องมือกล ทำให้สหรัฐผลิตเครื่องจักรเย็บผ้า จักรยานและสินค้าอื่นขนาดใหญ่ได้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และกลายมาเป็นระบบการผลิตแบบอเมริกา มีการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และการริเริ่มสายการผลิตและเทคนิคประหยัดแรงงานแบบอื่นก่อให้เกิดระบบที่เรียก การผลิตขนานใหญ่ (mass production)
ในปี 1876 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ได้รับสิทธิบัตรสหรัฐครั้งแรกสำหรับโทรศัพท์ ห้องปฏิบัติการของทอมัส เอดิสันได้พัฒนาหีบเสียง หลอดไฟที่ใช้ได้นานหลอดแรกและกล้องภาพยนตร์ที่ทำงานได้ตัวแรก ซึ่งการพัฒนากล้องดังกล่าวทำให้เกิดอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลก ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บริษัทรถยนต์ของแรนซัม อี. โอลส์และเฮนรี ฟอร์ดทำให้สายการผลิตเป็นที่นิยม ในปี 1903 พี่น้องตระกูลไรต์ขับเครื่องบินครั้งแรกโดยใช้เครื่องบินพลังงานที่หนักกว่าอากาศแบบคงทนและควบคุมได้
ความรุ่งเรืองของฟาสซิสต์และนาซีในคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปจำนวนมาก รวมทั้ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เอนรีโก แฟร์มี และจอห์น ฟอน นอยมันน์เข้าเมืองสหรัฐ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โครงการแมนฮัตตันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ นำไปสู่ยุคอะตอม ขณะที่การแข่งขันด้านอวกาศสร้างความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านจรวด, วัสดุศาสตร์ และวิชาการบิน
การประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ทั้งหมด นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีจำนวนมากและการขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอย่างสำคัญ จากนั้นนำไปสู่การก่อตั้งบริษัทและภูมิภาคเทคโนโลยีใหม่จำนวนมากรอบประเทศ อย่างเช่น ในซิลิคอนแวลลีย์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย การก้าวหน้าของบริษัทไมโครโปรเซสเซอร์อเมริกาอย่างแอดแวนซ์ไมโครดีไวซ์ (AMD) และอินเทลร่วมกับทั้งก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ซึ่งรวมอะโดบีซิสเต็มส์ บริษัทแอปเปิล ไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์และซันไมโครซิสเต็มส์และทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยม มีการพัฒนาอาร์ปาเน็ต (ARPANET) ในคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อให้บรรลุข้อกำหนดของกระทรวงกลาโหม และกลายเป็นชุดเครือข่ายชุดแรกซึ่งพัฒนาเป็นอินเทอร์เน็ต
ความก้าวหน้าดังนี้นำไปสู่การทำให้มีลักษณะบุคคลซึ่งเทคโนโลยีสำหรับการใช้ของปัจเจก ในปี 2013 ครัวเรือนอเมริกัน 83.8% เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง และ 73.3% มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ชาวอเมริกัน 91% ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเดือนพฤษภาคม 2013
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ทุนวิจัยและพัฒนาประมาณสองในสามมาจากภาคเอกชน สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านงานวิจัยวิทยาศาสตร์และอิมแพกแฟกเตอร์ (impact factor)
== สุขภาพ ==
[[New York-Presbyterian Hospital|โรงพยาบาลนิวยอร์ก-เพรสไบทีเรียนในนครนิวยอร์กเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก]]
สหรัฐมีความคาดหมายการคงชีพที่ 79.8 ปีเมื่อเกิด เพิ่มขึ้นจาก 75.2 ปีในปี 1990 อัตราภาวะการตายของทารกอยู่ที่ 6.17 คนต่อ 1,000 คน ทำให้สหรัฐอยู่ในอันดับที่ 56 นับจากต่ำสุดจากทั้งหมด 224 ประเทศ
การเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนในสหรัฐและการปรับปรุงสุขภาพในด้านอื่นมีส่วนลดอันดับการคาดหมายการคงชีพจากอันดับที่ 11 ของโลกในปี 1987 เหลือ 42 ในปี 2007 อัตราโรคอ้วนในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สูงสุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก ประชากรผู้ใหญ่ประมาณหนึ่งในสามอ้วนและอีกหนึ่งในสามมีน้ำหนักเกิน บุคลากรสาธารณสุขถือว่าเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนเป็นโรคระบาด
ในปี 2010 โรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและอุบัติเหตุจราจรเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในสหรัฐ การเจ็บหลังส่วนล่าง โรคซึมเศร้า โรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การปวดคอและความวิตกกังวลเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีแก่ทุพพลภาพมากที่สุด ปัจจัยเสี่ยงเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุด ได้แก่ อาหารเลว การสูบบุหรี่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำตาลสูงในเลือด การขาดการออกกำลังกายและการใช้แอลกอฮอล์ โรคอัลไซเมอร์ การใช้ยาเสพติด โรคไตและมะเร็ง และการพลัดตกหกล้มเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในอัตราต่อหัวปรับตามอายุปี 1990
สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ สหรัฐพัฒนาแต่ผู้เดียวหรือมีส่วนร่วมอย่างสำคัญถึง 9 ใน 10 ของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ปี 1975 ตามการสำรวจความเห็นแพทย์ปี 2001 ส่วนสหภาพยุโรปและสวิสเซอร์แลนด์ร่วมกันมีส่วนร่วม 5 นวัตกรรม ตั้งแต่ปี 1966 มีชาวอเมริกันได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์มากกว่าประเทศอื่น ตั้งแต่ปี 1989 ถึงปี 2002 มีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเอกชนในอเมริกามากกว่าทวีปยุโรปสี่เท่า ระบบสาธารณสุขของสหรัฐใช้เงินมากกว่าประเทศอื่นมากเมื่อวัดทั้งรายจ่ายต่อหัวและร้อยละของจีดีพี
การคุ้มครองสาธารณสุขในสหรัฐเป็นการรวมกันของความพยายามของภาครัฐและเอกชนและไม่ถ้วนหน้า ในปี 2014 ประชากร 13.4 % ไม่มีประกันสุขภาพ หัวข้อเกี่ยวกับชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพและมีประกันที่ต่ำเกินไปเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ ในปี 2006 รัฐแมสซาชูเซตส์เป็นรัฐแรกที่จะบังคับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กฎหมายของรัฐบาลกลางที่ผ่านในช่วงต้นปี 2010 มุ่งสร้างระบบประกันสุขภาพเกือบถ้วนหน้าทั่วประเทศในปี 2014 แม้ว่ากฎหมายและผลกระทบบั้นปลายของมันยังเป็นข้อถกเถียงอยู่
== วัฒนธรรม ==
สหรัฐเป็นบ้านของหลายวัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์, ประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ นอกเหนือจากประชากรอเมริกันพื้นเมือง ชาวฮาวายพื้นเมืองและชาวอะแลสกาพื้นเมือง อเมริกันหรือบรรพบุรุษของพวกเขาเกือบทั้งหมดตั้งรกรากหรือเข้าเมืองภายในห้าศตวรรษที่ผ่านมา วัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่แปลงมาจากประเพณีของผู้เข้าเมืองชาวยุโรปที่มีอิทธิพลจากแหล่งอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ประเพณีที่ทาสจากทวีปแอฟริกานำเข้ามา การเข้าเมืองล่าสุดจากเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากละตินอเมริกา เพิ่มการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่เรียกว่าเป็นทั้งหม้อหลอมเป็นเนื้อเดียวกันและชามสลัดต่างชนิดกัน ในที่ซึ่งผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขายังคงรักษาลักษณะทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่นเดียวกับความเชื่อหนึ่งเดียวใน "หลักความเชื่อถือแบบอเมริกัน" ที่เน้นเสรีภาพ ความเสมอภาค ทรัพย์สินส่วนบุคคล ประชาธิปไตย นิติธรรม และความนิยมการปกครองที่จำกัด ชาวอเมริกันมีใจกุศลอย่างมากตามมาตรฐานโลก ตามการศึกษาของบริติชในปี 2006 ชาวอเมริกันอุทิศ 1.67% ของ GDP ให้การกุศล มากกว่าประเทศอื่น ๆ มากกว่าบริติชที่อยู่อันดับสองที่ 0.73 % ถึงสองเท่า และประมาณสิบสองเท่าของฝรั่งเศสที่ 0.14%
ฝันอเมริกัน หรือการรับรู้ว่าชาวอเมริกันมีการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมสูง มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้เข้าเมือง ไม่ว่าการรับรู้นี้เป็นจริงหรือไม่ยังเป็นหัวข้อการอภิปราย แม้วัฒนธรรมกระแสหลักถือว่า เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น แต่นักวิชาการระบุความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างชนชั้นทางสังคมต่าง ๆ ของประเทศ มีผลต่อการขัดเกลาทางสังคม ภาษาและค่านิยม ภาพลักษณ์ตนเอง มุมมองของสังคม และความคาดหวังทางวัฒนธรรมของชาวอเมริกันเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของพวกเขาในระดับที่ใกล้ชิดผิดปกติ แม้ชาวอเมริกันมีแนวโน้มอย่างมากที่จะให้คุณค่าของความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคม แต่โดยทั่วไปก็มองว่าการเป็นคนสามัญหรือระดับเฉลี่ยเป็นคุณลักษณะในทางบวก
=== อาหาร ===
[[ป้ายฮอลลีวูดในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย]]
ฮอลลีวูด ย่านตอนเหนือของลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้นำในด้านการผลิตภาพยนตร์แห่งหนึ่ง นิทรรศการภาพยนตร์พาณิชย์แห่งแรกของโลกจัดขึ้นในนครนิวยอร์กในปี 1894 โดยใช้ไคนีโตสโคปของทอมัส เอดิสัน ปีถัดมามีการจัดแสดงพาณิชย์ครั้งแรกซึ่งภาพยนตร์ฉาย (projected film) ในนิวยอร์กเช่นกัน และสหรัฐเป็นแนวหน้าของการพัฒนาภาพยนตร์เสียงในหลายศวรรษถัดมา ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในและรอบฮอลลีวูด แม้ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 จะมีภาพยนตร์ที่มิได้ผลิตที่นี่เพิ่มขึ้น และบริษัทภาพยนตร์ต่างได้รับอิทธิพลจากแรงของโลกาภิวัฒน์
ผู้กำกับ ดี. ดับเบิลยู. กริฟฟิท ผู้ผลิตภาพยนตร์อันดับหนึ่งของสหรัฐระหว่างยุคภาพยนตร์เงียบ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาของไวยากรณ์ภาพยนตร์ และผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ วอลต์ ดิสนีย์เป็นผู้นำทั้งในภาพยนตร์แอนิเมชันและการขายภาพยนตร์ ผู้กำกับอย่างจอห์น ฟอร์ดขัดเกลาภาพของอเมริกันโอลด์เวสต์และประวัติศาสตร์ และเช่นเดียวกับผู้อื่นอย่างจอห์น ฮิวสตันขยายโอกาสของภาพยนตร์ด้วยการถ่ายทำสถานี โดยมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้กำกับสมัยหลัง อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีปีทอง เรียกกันทั่วไปว่า "ยุคทองของฮอลลีวูด" ตั้งแต่สมัยเสียงตอนต้นถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยมีนักแสดงอย่างจอห์น เวย์นและมาริลิน มอนโรกลายเป็นบุคคลสัญรูป ในคริสต์ทศวรรษ 1970 ผู้กำกับภาพยนตร์อย่างมาร์ติน สกอร์เซซี, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และรอเบิร์ต แอลท์แมนเป็นส่วนสำคัญในสิ่งที่ต่อมาเรียก "ฮอลลีวูดใหม่" หรือ "ฮอลลีวูดเรอเนซองส์" ภาพยนตร์อาจหาญซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาพสัจนิยมของฝรั่งเศสและอิตาลีของสมัยหลังสงคราม นับแต่นั้น ผู้กำกับอย่างสตีเฟน สปีลเบิร์ก, จอร์จ ลูคัสและเจมส์ แคเมรอนได้รับชื่อเสียงจากภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ ซึ่งมีลักษณะค่าถ่ายทำสูง และได้รับรายได้สูงในบ็อกซ์ออฟฟิศตอบแทน โดยภาพยนตร์ อวตาร ของแคเมรอน (2009) ได้รับรายได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภาพยนตร์สำคัญที่ติดอันดับเอเอฟไอ 100 ของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันรวมถึง ซิติเซนเคน ของออร์สัน เวลส์ (1941) ซึ่งมักถูกกล่าวขานบ่อย ๆ ว่าเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล คาซาบลังกา (1942), เดอะ ก็อดฟาเธอร์ (1972), วิมานลอย (1939), เดอะวิซาร์ดออฟออซ (1939), เดอะแกรดูเอท (1967), ออนเดอะวอเทอร์ฟรอนต์ (1952), ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม (1993), ซิงกิงอินเดอะเรน (1952), อิตส์อะวันเดอร์ฟูลไลฟ์ (1946) และ ซันเซ็ตบูลละวาร์ด (1950) สำนักศิลป์และศาสตร์ภาพยนตร์จัดรางวัลอะคาเดมี ที่นิยมเรียกว่า ออสการ์ ทุกปีตั้งแต่ปี 1929 และรางวัลลูกโลกทองคำจัดทุกปีนับแต่เดือนมกราคม 1944
=== วรรณกรรม ปรัชญา และศิลปะ ===
[[มาร์ก ทเวน นักประพันธ์และนักเขียนเรื่องขบขันชาวอเมริกัน]]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปะและวรรณกรรมอเมริกันรับเจตนารมณ์ส่วนใหญ่จากทวีปยุโรป นักเขียนอย่างแนแธเนียล ฮอว์ธอร์น, เอดการ์ แอลลัน โพและเฮนรี เดวิด ทอโรสถาปนาเสียงวรรณกรรมอเมริกันที่โดดเด่นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มาร์ก ทเวนและกวี วอลท์ วิทแมน เป็นบุคคลสำคัญในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ; เอมิลี ดิกคินสัน ซึ่งแทบไม่มีผู้ใดรู้จักเธอครั้งยังมีชีวิต ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นกวีอเมริกันคนสำคัญ งานที่ถูกมองว่าเป็นการจับภาพลักษณะพื้นฐานของประสบการณ์และคุณลักษณะของชาติ เช่น โมบิดิก ของเฮอร์แมน เมลวิลล์ (1851) การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี ฟินน์ ของทเวน (1885) และรักเธอสุดที่รัก (The Great Gatsby) ของเอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ (1925) อาจได้รับขนานนามว่า "นวนิยายอเมริกันยิ่งใหญ่"
พลเมืองสหรัฐสิบสองคนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ล่าสุดคือ บ็อบ ดิลลันในปี 2016 วิลเลียม ฟอล์คเนอร์, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์และจอห์น สไตน์เบ็คมักจะมีชื่ออยู่ในหมู่นักเขียนที่มีอิทธิพลสูงสุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประเภทของวรรณกรรมยอดนิยม เช่น ตะวันตกและบันเทิงคดีอาชญากรรม ฮาร์ดบอยด์ ที่พัฒนาในสหรัฐ นักเขียนรุ่นบีต (Beat Generation) เปิดแนวทางวรรณกรรมใหม่ ซึ่งมีผู้ประพันธ์หลังสมัยใหม่ เช่น จอห์น บาร์ท, ทอมัส พินชอนและดอน เดอลิลโล
นักคตินิยมเหนือเหตุผลซึ่งมีทอโรและราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สันเป็นผู้นำ สถาปนาขบวนการปรัชญาอเมริกันสำคัญขบวนการแรก หลังสงครามกลางเมือง ชาลส์ แซนเดอร์ เพิร์ซ และวิลเลียม เจมส์และจอห์น ดูอีในขณะนั้นเป็นหัวหน้าในการพัฒนาปฏิบัตินิยม ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 งานของดับเบิลยู. วี. โอ. ไควน์และริชาร์ด รอร์ที และต่อมา โนม ชัมสกี นำปรัชญาวิเคราะห์มาสู่ส่วนหน้าของวิชาการปรัชญาอเมริกัน จอห์น รอวส์และรอเบิร์ต โนซิกนำการรื้อฟื้นปรัชญาการเมือง คอร์เนล เวสต์และจูดิท บัตเลอร์นำประเพณีแห่งทวีปในวิชาการปรัชญาอเมริกัน นักเศรษฐศาสร์สำนักชิคาโกอย่างมิลตัน ฟรีดแมน, เจมส์ บี. บิวแคนอนและทอมัส โซลกระทบต่อสาขาต่าง ๆ ในปรัชญาสังคมและการเมือง
ในด้านทัศนศิลป์ สกุลศิลปะลุ่มแม่น้ำฮัดสันเป็นขบวนการสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในด้านประเพณีของธรรมชาตินิยมแบบยุโรป จิตรกรรมสัจนิยมของทอมัส เอคินส์ปัจจุบันเป็นที่ยกย่องอย่างแพร่หลาย อาร์เมอรีโชว์ปี 1913 ในนครนิวยอร์ก นิทรรศการศิลปะสมัยใหม่แบบยุโรป ทำให้สาธารณะประหลาดใจและเปลี่ยนฉากศิลปะของสหรัฐ จอร์เจีย โอคีฟ, มาร์สเดน ฮาร์ตลีย์และอื่น ๆ ได้ทดลองกับลีลาปัจเจกนิยมแบบใหม่ ขบวนการทางศิลปะที่สำคัญเช่น ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรมของแจ็กสัน พอลล็อกและวิลเลิม เดอ โกนิง และศิลปะประชานิยมของแอนดี วอร์ฮอลและรอย ลิกเทนสไตน์พัฒนาในสหรัฐเป็นส่วนมาก กระแสของนวนิยมและหลังยุคนวนิยมได้นำชื่อเสียงให้กับสถาปนิกอเมริกัน เช่น แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์, ฟิลิป จอห์นสันและแฟรงก์ เกห์รี ชาวอเมริกันมีความสำคัญในสื่อภาพถ่ายศิลปะสมัยใหม่แต่ช้านาน โดยมีช่างภาพคนสำคัญอย่างอัลเฟรด สติกกลิซ, เอ็ดเวิร์ด สไตน์เคนและแอนเซล แอดัมส์
align = total_width=350
| image1 = Arian Foster fumble.jpg |width1=600|height1=400
| image2 = David-ortiz-batters-box.JPG |width2=600|height2=400
| image3 = Trevor Booker Troy Murphy.jpg |width3=600|height3=400
| image4 = 151005-F-ZJ145-361 (22030960390).jpg |width4=600|height4=400
| footer = กีฬายอดนิยมของสหรัฐสี่อย่าง ได้แก่ อเมริกันฟุตบอล เบสบอล บาสเกตบอลและฮอกกี้น้ำแข็ง
อเมริกันฟุตบอลในด้านต่าง ๆ เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุด เนชันแนลฟุตบอลลีก (NFL) มีผู้ชมเฉลี่ยของลีกกีฬาสูงสุดในโลกทุกชนิด และซูเปอร์โบวล์มีผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลก เบสบอลถือเป็นกีฬาประจำชาติสหรัฐตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยที่เมเจอร์ลีกเบสบอล (MLB) เป็นลีกสูงสุด บาสเกตบอลและฮ็อกกีน้ำแข็งเป็นกีฬาทีมอาชีพอันดับต้น ๆ อีกสองชนิด โดยมีลีกสูงสุดคือ สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA) และลีกฮอกกี้แห่งชาติ (NHL) ฟุตบอลวิทยาลัยและบาสเกตบอลดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก ในกีฬาฟุตบอล สหรัฐจัดฟุตบอลโลก 1994 ทีมฟุตบอลแห่งชาติประเภทชายเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 10 ครั้ง และทีมหญิงชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง เมเจอร์ลีกซอกเกอร์เป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลในสหรัฐ (มีทีมอเมริกัน 19 ทีม และแคนาดา 3 ทีม) ตลาดกีฬาอาชีพในสหรัฐมีมูลค่าประมาณ 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหญ่กว่าตลาดทั้งทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริการวมกันประมาณ 50%
มีการจัดกีฬาโอลิมปิกแปดครั้งในสหรัฐ ในปี 2014 สหรัฐได้เหรียญรางวัล 2,400 เหรียญในโอลิมปิกฤดูร้อน มากกว่าทุกประเทศ และ 281 เหรียญในโอลิมปิกฤดูหนาว มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศนอร์เวย์ แม้ว่ากีฬาสำคัญของสหรัฐส่วนมากมาจากทว่ปยุโรป แต่กีฬาบาสเกตบอล วอลเลย์บอล สเกตบอร์ดและสโนว์บอร์ดเป็นประดิษฐกรรมของสหรัฐ ซึ่งบางชนิดยังได้รับความนิยมในประเทศอื่นด้วย ลาครอสและโต้คลื่นมาจากกิจกรรมของอเมริกันพื้นเมืองและฮาวายพื้นเมืองซึ่งมีมาก่อนการติดต่อของชาวตะวันตก กีฬาเดี่ยวที่มีผู้ชมมากที่สุด ได้แก่ กอล์ฟและการแข่งรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาสคาร์ รักบี้ยูเนียนถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐ โดยมีผู้เล่นลงทะเบียนกว่า 115,000 คนและมีผู้เข้าร่วมอีก 1.2 ล้านคน
=== ดนตรี ===
[[รางวัลแกรมมีเป็นรางวัลที่มอบให้ศิลปินดนตรีชั้นนำ]]
ลีลาจังหวะและเนื้อร้องของดนตรีแอฟริกันอเมริกันมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อดนตรีอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มันแตกต่างจากดนตรียุโรป ดนตรีส่วนที่มาจากสำนวนชาวบ้านอย่างบลูส์และที่ปัจจุบันเรียก ดนตรีโอลด์ไทม์ (old-time) นั้นได้รับมาและแปลงเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมกับผู้ชมทั่วโลก แจ๊สประดิษฐ์ขึ้นจากบุคคลอย่างหลุยส์ อาร์มสตรองและดุ๊ก เอลลิงตันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ดนตรีคันทรีพัฒนาขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1920 และบลูส์ในคริสต์ทศวรรษ 1940 วงร็อกอย่างเมทัลลิกา ดิอีเกิลส์และแอโรสมิธมียอดขายทั่วโลกสูงสุดอันดับต้น ๆ
=== สื่อ ===
== อ้างอิง ==
== บรรณานุกรม ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Key Development Forecasts for the United States from International Futures
=== รัฐบาล ===
* เว็บท่ารัฐบาลสหรัฐอย่างเป็นทางการ - ช่องทางเข้าสู่เว็บไซต์ของรัฐบาล
* House - เว็บไซต์ทางการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
* Senate - เว็บไซต์ทางการของวุฒิสภาสหรัฐ
* White House - เว็บไซต์ทางการของประธานาธิบดีสหรัฐ
* [ Supreme Court] - เว็บไซต์ทางการของของศาลสูงสุดสหรัฐ
=== ประวัติศาสตร์ ===
* "Historical Documents" - website from the National Center for Public Policy Research
* "U.S. National Mottos: History and Constitutionality". Religious Tolerance. Analysis by the Ontario Consultants on Religious Tolerance.
* "Historical Statistics" - links to U.S. historical data
=== แผนที่ ===
* "National Atlas of the United States" - official maps from the U.S. Department of the Interior
* "Measure of America" - a variety of mapped information relating to health, education, income, safety and demographics in the United States
{{Navboxes
{{Coord|40
หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2319
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของอังกฤษ
หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมและรัฐในอารักขาของอังกฤษในทวีปอเมริกา
หมวดหมู่:อดีตประเทศที่เป็นกลาง
หมวดหมู่:อภิมหาอำนาจ |
824 | https://th.wikipedia.org/wiki/จิตร_ภูมิศักดิ์ | จิตร ภูมิศักดิ์ | จิตร ภูมิศักดิ์ (25 กันยายน พ.ศ. 2473 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509) เกิดที่อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี เป็นนักประวัติศาสตร์ นักกิจกรรม นักคิดด้านการเมือง นักภาษาศาสตร์ชาวไทย ผลงานของเขาได้รับยกย่องเป็นหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่านถึง 3 รายการ
จิตรเป็นนักวิชาการคนแรก ๆ ที่กล้าถกเถียงคัดค้านปราชญ์คนสำคัญ ด้วยวิธีคิดที่มีเหตุผลลุ่มลึก มีความโดดเด่นจากผลงานการค้นคว้าทางวิชาการที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ขณะเดียวกันจิตรยังมีความคิดต่อต้านระบบเผด็จการและการใช้อำนาจกดขี่ของชนชั้นสูงมาโดยตลอด
แม้ว่าจะมีผลงานหลากหลายแขนง แต่อุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของเขาเป็นปรปักษ์กับระบอบทหารที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้นในเวลานั้น จนทำให้ตัดสินใจไปเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อนถูกยิงเสียชีวิต กระนั้นผลงานและแนวคิดของเขาเป็นส่วนหนึ่งของพลังผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา และยังมีอิทธิพลอยู่เรื่อยมา
== ประวัติ ==
thumbnail|จิตร ภูมิศักดิ์ ในวัยเด็ก
จิตรเป็นบุตรของศิริ ภูมิศักดิ์ กับแสงเงิน ฉายาวงศ์ มีชื่อเดิมว่า สมจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น จิตร เพียงคำเดียว ตามนโยบายตั้งชื่อให้ระบุเพศชายหญิงอย่างชัดเจน ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม บิดาเป็นผู้มีความคิดก้าวหน้าและถือว่าหัวสมัยใหม่มากสำหรับคนในยุคนั้น มีการรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้ เป็นผลทำให้ความคิดของผู้เป็นบุตรมีความก้าวหน้าและเปิดกว้างมากกว่าเด็กในสมัยนั้น
== การเคลื่อนไหวทางการเมือง ==
ป้ายโฆษณาสุขสันต์วันเกิดจิตรเมื่อปี 2563
อนุสาวรีย์จิตร ภูมิศักดิ์ตั้งอยู่ที่บ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานวัน "จิตร ภูมิศักดิ์" ในวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี
ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ปานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร (ในขณะนั้น) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร และเทศบาลตำบลคำบ่อ ดำเนินการปรับภูมิทัศน์บริเวณที่จิตรถูกยิงเสียชีวิต พร้อมสร้างรูปปั้นจิตรแบบครึ่งตัวไว้ในพื้นที่ดังกล่าว ในโอกาสการรำลึก 80 ปีชาตกาลจิตร ภูมิศักดิ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์การสร้างอนุสรณ์สถานจิตร ภูมิศักดิ์ และมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ราษฎารานุสาวรีย์ของจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นผลงานของสันติ พิเชฐชัยกุล
ใน พ.ศ. 2563 กรรมการนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์ขอโทษกรณีโยนบกจิตร
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* โครงการจัดพิมพ์สรรพนิพนธ์ ของจิตร ภูมิศักดิ์ รวบรวมผลงานเขียนของจิตร ภูมิศักดิ์
หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย
หมวดหมู่:นักเคลื่อนไหวชาวไทย
หมวดหมู่:นักประวัติศาสตร์ชาวไทย
หมวดหมู่:นักภาษาศาสตร์ชาวไทย
หมวดหมู่:นักโบราณคดีชาวไทย
หมวดหมู่:นักปรัชญา
หมวดหมู่:นักปฏิวัติ
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนวิสุทธรังษี
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
หมวดหมู่:บุคคลจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอประจันตคาม
หมวดหมู่:พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธปืน
หมวดหมู่:นักแต่งเพลงชาวไทย
หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
หมวดหมู่:บุคคลจากพระตะบอง |
825 | https://th.wikipedia.org/wiki/รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม | รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม | รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม (, ) เป็นรางวัลโนเบลหนึ่งในห้าสาขา ที่ริเริ่มโดยอัลเฟรด โนเบล ตั้งแต่ ค.ศ. 1895 โดยรางวัลนี้บริหารจัดการโดยมูลนิธิโนเบลและมอบให้โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยสมาชิกห้าคนที่ได้รับเลือกจากบัณฑิตยสถานสวีเดน มีพิธีมอบเป็นครั้งแรก เมื่อ ค.ศ. 1901 ในปี 1958 เมื่อบอริส ปัสเตร์นัค ชาวรัสเซียได้รับรางวัลเขาถูกบังคับให้ปฏิเสธรางวัลต่อสาธารณชนภายใต้แรงกดดันจากรัฐบาลของสหภาพโซเวียต ในปี 1964 ฌ็อง-ปอล ซาทร์ประกาศว่าเขาไม่ประสงค์จะรับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เนื่องจากเขาเคยปฏิเสธการให้เกียรติอย่างเป็นทางการทั้งหมดในอดีตมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการโนเบลไม่ยอมรับการปฏิเสธ และรวมปัสเตร์นัค และซาทร์ ไว้ในรายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้วย
มีผู้หญิงสิบแปดคนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ซึ่งเป็นจำนวนรางวัลโนเบลของสตรีสูงสุดอันดับสองรองจากรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ มีสี่กรณีที่มอบรางวัลให้กับคนสองคน (1904, 1917, 1966, 1974) ไม่มีการมอบรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในเจ็ดปี (1914, 1918, 1935, 1940-1943) เป็นเวลาสามปีที่รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมถูกเลื่อนออกไปหนึ่งปี: รางวัลสำหรับปี 1915 โดยมีการรับรางวัลแต่ละรางวัลพร้อมกับของปีถัดไป ในเดือนตุลาคมของปีต่อมา
== รายชื่อผู้ได้รับรางวัล ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* The Nobel Prize in Literature - Laureates
หมวดหมู่:รางวัลโนเบล
หมวดหมู่:รางวัลวรรณกรรม |
827 | https://th.wikipedia.org/wiki/รางวัลโนเบล | รางวัลโนเบล | รางวัลโนเบล (; ) เป็นรางวัลประจำปีระดับนานาชาติ ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการสแกนดิเนเวีย พิจารณาผลงานวิจัยและความอัจฉริยะและความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น หรือสร้างคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ตามเจตจำนงของอัลเฟรด โนเบล นักเคมีชาวสวีเดน ผู้ประดิษฐ์ไดนาไมต์ โดยก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1895 แต่การมอบรางวัลในสาขาฟิสิกส์ สาขาเคมี สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ สาขาวรรณกรรม และสาขาสันติภาพ เริ่มมอบรางวัลครั้งแรกในปี ค.ศ. 1901
การมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจัดขึ้นที่เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ ส่วนสาขาอื่น ๆ จัดที่เมืองสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในแต่ละสาขานั้นถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดในสาขาวิชาชีพนั้น
การมอบรางวัลโนเบลจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 10 ธันวาคม โดยผู้พระราชทานคือ พระมหากษัตริย์สวีเดน ถึงแม้ว่าบางปีรางวัลบางสาขาอาจไม่มีการตัดสิน แต่มีข้อกำหนดว่าระยะการเว้นการมอบรางวัลต้องไม่เกิน 5 ปี สำหรับผู้ได้รับรางวัลจะได้รับเหรียญรางวัลโนเบล ใบประกาศเกียรติคุณ เงินรางวัลประมาณ 10 ล้านโคร์นหรือประมาณ 44 ล้านบาท
== ประวัติ ==
thumb|แผนที่ผู้ได้โนเบลแบ่งตามประเทศ
รางวัลโนเบลเป็นความตั้งใจก่อนเสียชีวิตของ อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) นักเคมีชาวสวีเดน ผู้คิดค้นระเบิดไดนาไมต์ ซึ่งรู้สึกเสียใจจากการที่ระเบิดของเขาถูกนำไปใช้ในการคร่าชีวิตมนุษย์ เขาจึงมอบ 94% ของทรัพย์สินมาให้เป็นเงินทุนในรางวัลโนเบล 5 สาขา (เคมี, การแพทย์, วรรณกรรม, สันติภาพ และฟิสิกส์)
สำหรับสาขาเศรษฐศาสตร์นั้น ได้เพิ่มเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) โดยธนาคารแห่งชาติสวีเดน โดยชื่ออย่างเป็นทางการคือ
Bank of Sweden Prize in Economic Sciences in Memory of Alfred Nobel (รางวัลธนาคารกลางสวีเดน สาขาเศรษฐศาสตร์ ในความทรงจำถึง อัลเฟรด โนเบล) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Nobel Memorial Prize in Economics โดยผู้ตัดสินรางวัลคือ Royal Swedish Academy of Sciences. เนื่องจากรางวัลนี้ไม่ได้อยู่ในความตั้งใจก่อนเสียชีวิตของ อัลเฟรด โนเบล ดังนั้นจึงไม่ได้รับเงินรางวัลจากมูลนิธิโนเบล แต่ได้รับเงินจากธนาคารกลางสวีเดน อย่างไรก็ตาม รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากับรางวัลในสาขาอื่น ๆ การมอบรางวัลนี้ ก็จะมอบในวันเดียวกันกับรางวัลโนเบลสาขาอื่น โดยมีกษัตริย์สวีเดนเป็นผู้มอบตั้งแต่ปี 1902 เป็นต้นมา ได้รับเหรียญตรา และจำนวนเงินเท่าเทียมกัน ซึ่งในตอนแรกนั้นกษัตริย์ออสการ์ที่ 2 แห่งสวีเดนทรงไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการมอบรางวัลที่สำคัญสูงสุดระดับประเทศนี้ให้กับคนต่างชาติ แต่สุดท้ายพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนพระทัยเนื่องจากทรงเล็งเห็นว่ารางวัลที่สำคัญนี้จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบล
* รายชื่อผู้ได้โนเบลแบ่งตามประเทศ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
* The Nobel e-Museum - พิพิธภัณฑ์โนเบล
* The Nobel Foundation - มูลนิธิโนเบล
* คณะกรรมการโนเบล แห่ง ราชบัณฑิตยสถานสวีเดน
* คณะกรรมการโนเบล แห่ง สถาบัน Karolinska
* The Swedish Academy
* คณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์
* The Nobel Prize Internet Archive - เว็บอย่างไม่เป็นทางการ
* Timeline of Nobel Winners
หมวดหมู่:ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2438 |
828 | https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบล | รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบล | ผู้ได้รับรางวัลโนเบล จะได้รับมอบเหรียญทองคำ ประกาศนียบัตร พร้อมกับเงินรางวัลอีก 9 ล้าน[[ครูนาสวีเดน (ณ ปี 2017)]]
รางวัลโนเบล (, ) เป็นรางวัลที่มอบให้รายปีโดยราชบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (Royal Swedish Academy of Sciences), Swedish Academy, สถาบันแคโรลินสกา (Karolinska Institutet) และ คณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์ (Norwegian Nobel Committee) แก่บุคคลและองค์กรที่มีผลงานโดดเด่นในด้านฟิสิกส์ เคมี สรีรวิทยาหรือการแพทย์ วรรณกรรม และสันติภาพ ตามเจตจำนงของอัลเฟรด โนเบล ใน ค.ศ. 1895 ซึ่งประสงค์ให้รางวัลควรได้รับการจัดการโดยมูลนิธิโนเบล ภายหลังในปี 1968 รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยธนาคารกลางสวีเดนเพื่อสนับสนุนบุคคลที่มีคุณูปการทางด้านเศรษฐศาสตร์ "ผู้ได้รับรางวัล" แต่ละรายจะได้รับมอบเหรียญทอง ประกาศนียบัตร และเงินจำนวนหนึ่ง
==รางวัล==
คณะกรรมการต่างคณะจะเป็นผู้มอบรางวัลแต่ละประเภทรางวัลให้แก่ผู้ได้รับรางวัล กล่าวคือ ราชบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนเป็นผู้มอบรางวัลในสาขาฟิสิกส์ เคมี และเศรษฐศาสตร์ สถาบันแคโรลินสกา มอบรางวัลในสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ และคณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์มอบรางวัลสันติภาพ ผู้ได้รับรางวัลแต่ละรายจะได้รับเหรียญ ประกาศนียบัตร และเงินรางวัลที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี
ในปีที่ไม่มีการมอบรางวัลโนเบลเนื่องจากเหตุการณ์ภายนอกหรือขาดการเสนอชื่อ เงินรางวัลจะถูกส่งกลับคืนไปยังกองทุนที่มอบรางวัลที่เกี่ยวข้อง เช่น การระหว่างปี 2483 ถึง 2485 ที่ไม่มีการมอบรางวัลเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง
==ผู้ได้รับรางวัล==
ระหว่างปี 1901 ถึง 2017 มีการมอบรางวัลโนเบลและรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ทั้งสิ้น 585 รางวัล แก่ 923 รายและองค์กร แต่เนื่องด้วยบางรายได้รับรางวัลมากกว่าหนึ่งครั้ง จึงมีบุคคลธรรมดาทั้งสิ้น 892 คน (ชาย 844 คน ผู้หญิง 48 คน) และองค์กร 24 แห่งที่ได้รับรางวัล
ผู้ได้รับรางวัลหกรายได้รับรางวัลมากกว่าหนึ่งรางวัล และจากหกรายนั้น คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึงสามครั้ง มากสุดในบรรดาผู้ได้รับรางวัล
ในบรรดาผู้ได้รับรางวัลโนเบล 892 คน มี 48 คนเป็นผู้หญิง โดยผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล คือ มารี กูว์รี ในรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1903 นอกจากนี้ เธอยังเป็นบุคคลแรก (ชายหรือหญิง) ที่ได้รับรางวัลโนเบลสองรางวัล ซึ่งรางวัลที่สองคือรางวัลโนเบลสาขาเคมี ซึ่งมอบให้ในปี 1911
== รายชื่อผู้ได้รับรางวัล==
==อ้างอิง==
หมวดหมู่:รางวัลโนเบล |
844 | https://th.wikipedia.org/wiki/หัวใจกล | หัวใจกล | หัวใจกล เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นนิยายวิทยาศาสตร์แปลจากหนังสือเรื่อง Robot & Android ในฉบับภาษาไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2524 บรรณาธิการคือ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
== เรื่องในเล่ม ==
* ผมเป็นเพียงหุ่นยนต์
* เฮเลน' โอ ลอยด์
* ผมกับหุ่นยนต์ อาร์.26/5 พไซ
* มนุษย์หุ่น
* พระเจ้าหุ่น
* เร็กซ์-หุ่นเผด็จการ
* ร็อบบี้-หุ่นเจ้าเล่ห์
* จูเนียร์-หุ่นตัวแสบ
* อีเร็ม-หุ่นผู้เสียสละ
* ข้อขัดแย้ง
* ปราสาทที่หก
* ชายคนไหน
* ใครจะมาแทนมนุษย์
* วาระสุดท้ายของโลก
* ฉันน่าจะบอกเธอ
== อ้างอิง ==
* หัวใจกล ร้านสุหนังสือเก่า
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ |
854 | https://th.wikipedia.org/wiki/โลกสนธยา | โลกสนธยา | โลกสนธยา เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นนิยายวิทยาศาสตร์แปลจากหนังสือเรื่อง Inner Space ในฉบับภาษาไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2524 บรรณาธิการคือ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
== เรื่องในเล่ม ==
* สาม...สอง...หนึ่ง...แล้วก็...ศูนย์
* ไปดูจุดจบของโลก
* บริการกำจัด
* งานที่เหมาะให้คนที่เหมาะ
* นักต้อนเหยื่อ
* หมากรุกกล
* ตู้นิรภัยอันตราย
* ชายผู้เดินทะลุกระจก
* โรคพรรค์นั้น
* อาทิตย์เที่ยงคืน
* คนขายโลก
* นักขี่ม้าหัวขาด
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย |
855 | https://th.wikipedia.org/wiki/ห้องอนาคต | ห้องอนาคต | ห้องอนาคต เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นนิยายวิทยาศาสตร์แปลจากหนังสือเรื่อง Time & Time Travel ฉบับภาษาไทยตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2524 โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล บรรณาธิการคือ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
== เรื่องในเล่ม ==
* ห้องอนาคต
* เช็คสเปียร์แห่งอนาคต
* เหนือกาลเวลา
* ณ.ที่จบสิ้นแห่งวัน
* เวลาคือเงิน
* อดีตกับอนาคต
* จดหมายลาตาย
* พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้
* ชายในชุดแอสเบสโตส
* เวลาที่ไม่รู้จบ
* งูกินหาง
* เสียงแห่งกาลเวลามีการสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว
* ไอ้โม่งกับมนุษย์นาฬิกา
* ผู้ล้ำเวลา
* ลูกศรแห่งกาลเวลา
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ |
860 | https://th.wikipedia.org/wiki/ขายดวงดาว | ขายดวงดาว | ขายดวงดาว () รวมเรื่องสั้น บรรณาธิการโดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี ตีพิมพ์ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2524 โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล
== เรื่องในเล่ม ==
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ |
861 | https://th.wikipedia.org/wiki/ซูว์ลี_พรูว์ดอม | ซูว์ลี พรูว์ดอม | ซูว์ลี พรูว์ดอม () เป็นนามปากกาของ เรอเน-ฟร็องซัว อาร์ม็อง พรูว์ดอม () กวีและนักเขียนชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม เป็นบุตรของเจ้าของร้านค้าชาวฝรั่งเศส จบการศึกษาด้านวิศวกรรม แต่สนใจด้านงานเขียนจนเข้ารับการศึกษาใหม่ด้านวรรณคดี และหันมาเอาดีด้านวรรณกรรมนับแต่บัดนั้น ได้รับเกียรติให้เป็นสมาชิกของบัณฑิตยสถานฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1907
พรูว์ดอมได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เมื่อปี ค.ศ. 1901
== ผลงานสำคัญ ==
=== กวีนิพนธ์ ===
* Stances et poèmes, 1865.
* Les épreuves, 1866.
* Les solitudes: poésies, A. Lemerre (Paris), 1869.
* Les destins, 1872.
* La France, 1874.
* Les vaines tendresses, 1875.
* Le Zénith , ตีพิมพ์ในวารสาร journal Revue des deux mondes, 1876.
* La justice (poem), 1878.
* Poésie, 1865-88, A. Lemerre, 1883-88.
* Le prisme, poésies diverses, A. Lemerre (Paris), 1886.
* Le bonheur, 1888.
* Epaves, A. Lemerre, 1908.
=== งานเขียนอื่น ๆ ===
* Oeuvres de Sully Prudhomme, 8 volumes, A. Lemerre, 1883-1908. (ร้อยกรอง และร้อยแก้ว)
* Que sais-je?, 1896. (ปรัชญานิพนธ์)
* Testament poétique , 1901. (ความเรียง)
* La vraie religion selon Pascal, 1905. (ความเรียง)
* Journal intime: lettres-pensée, A. Lemerre, 1922. (อนุทิน)
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
หมวดหมู่:กวีชาวฝรั่งเศส
หมวดหมู่:นักเขียนชาวฝรั่งเศส
หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
หมวดหมู่:ชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับรางวัลโนเบล
หมวดหมู่:บุคคลจากปารีส |
866 | https://th.wikipedia.org/wiki/จอมจักรวาล | จอมจักรวาล | จอมจักรวาล (Space Odyssey) เป็นชุดนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ประกอบด้วย ภาพยนตร์ 2 เรื่อง (โดย สแตนลีย์ คูบริก และ Peter Hyams) และนวนิยายอีก 4 เล่ม (ประพันธ์โดย อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก).
== เรื่องในชุด ==
# 2001 จอมจักรวาล (2001: A Space Odyssey) (หนังสือ และภาพยนตร์)
# 2010 จอมจักรวาล (2010: Odyssey Two) (หนังสือ และภาพยนตร์)
# 2061 จอมจักรวาล (2061: Odyssey Three) (หนังสือ)
# 3001 จอมจักรวาล (3001: The Final Odyssey) (หนังสือ)
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* สแตนเลย์ คูบริก แฟลชเว็บ - เว็บอธิบายจอมจักรวาลในฉบับภาพยนตร์ โดยตัวผู้กำกับ (Flash)
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก |
868 | https://th.wikipedia.org/wiki/โซลาริส | โซลาริส | โซลาริส () หรือในชื่อเต็ม The Solaris Operating Environment เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบบยูนิกซ์ ที่พัฒนาโดย ซัน ไมโครซิสเต็มส์
ระบบปฏิบัติการโซลาริส ใช้ได้กับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สองแบบ คือ แบบ สปาร์ค และแบบ x86 (แบบเดียวกับในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป)
รุ่นแรก ๆ ของโซลาริสนั้น ใช้ชื่อว่า ซันโอเอส (SunOS) โดยมีพื้นฐานมาจากยูนิกซ์ตระกูลบีเอสดี แต่ต่อมาในรุ่นที่ 5 ได้เปลี่ยนมาใช้โค้ดของ ซิสเต็มส์ไฟว์ (System V) แทน และเปลี่ยนชื่อมาเป็น โซลาริส ดังเช่นในปัจจุบัน โดยเรียกโซลาริสรุ่นแรกว่า โซลาริส 2 และเปลี่ยนชื่อเรียกของซันโอเอสรุ่นก่อน ๆ เป็น โซลาริส 1.x และหลังจากโซลาริสรุ่น 2.6 ก็ได้ตัด "2." ข้างหน้าออกไป และเรียกเป็น โซลาริส 7 แทน
รุ่นปัจจุบันของโซลาริสคือ โซลาริส 11.4
การพัฒนาบางส่วนของโซลาริสในอนาคต ขณะนี้ได้พัฒนาในโครงการ โอเพนโซลาริส (OpenSolaris) ซึ่งเป็นโครงการระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์ซ ซื่งโครงการนี้ได้ยุติลงแล้วโดยมีรุ่นฟรีคือ Solaris Express มาแทนที่
== ประวัติ ==
ในปี 1987, AT&T และ SUN ได้ประกาศให้บุคคลทั่วไปทราบว่าได้ร่วมกันทำโปรเจกต์ที่มีความลงตัวและต่างจาก Unix อื่น ๆ ออกมาจำหน่ายในเวลานั้นคือ BSD, System V, and Xenix กลายเป็นที่มาของ Unix System V Release 4 (SVR4).
วันที่ 4 กันยายน 1991 SUN ได้ประกาศให้มันเข้ามาแทนที่ BSD-derived Unix, SunOS 4 ซึ่งเป็นพื้นฐานของ SVR4 ที่มีอยู่, เป็นเอกลักษณ์ที่อยู่ภายใน SunOS 5, แต่เปลี่ยนชื่อทางการตลาดว่า Solaris, ในขณะที่ SunOS 4.1.x micro เปลี่ยนชื่อเป็น Solaris 1 จาก SUN, ชื่อ Solaris เกือบจะผูกขาดใช่เรียกทั้ง SVR4-derived SunOS 5.0 ในเวลาต่อมา
โดยให้รวบรวมไว้ใน overbrand ใหม่ ยกเว้น SunOS แต่เช่นเดียวกันกับ OpenWindows graphical user interface และ Open Network Computing (ONC) ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
SunOS เวอร์ชันรองลงมาได้ใช้พื้นฐานจาก Solaris และออกสู่ตลาดภายใต้ชื่อ Solaris 2.4, รวบรวมเป็น SunOS 5.4 หลัง Solaris 2.6, โดย SUN ได้วางให้เป็นหมายเลข 2. ไปเรื่อย ๆ
Solaris7 รวบรวมเป็น SunOS 5.7 จนถึง SunOS 5.10 จาก Solaris10.Solaris เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่ออกแบบสำหรับงานด้านโปรแกรม E-commerce
== สถาปัตยกรรมที่สนับสนุน ==
Solaris ใช้ร่วมกับ code base เช่น SPARC และ i86pc (ซึ่งรวมถึง x86 and x64) , Solaris มีชื่อเสียงพอสมควรใน symmetric multiprocessing, และ รองรับ CPU ได้อย่างมากมาย และการกำหนดการใช้งานอย่างเข้มงวดจากฮาร์ดแวร์ Sun's SPARC (รวมถึงสนับสนุนจาก 64-bit SPARC ตั้งแต่ Solaris7) ซึ่งทำเป็นแพ็กเกจร่วมกันออกวางตลาด เป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือ, แต่ราคาธรรมเนียมจะมากกว่าราคาสินค้าของฮาร์ดแวร์ PC, อย่างไรก็ตามมันสนับสนุนระบบ x86 ตั้งแต่ Solaris 2.4 จนถึงเวอร์ชันล่าสุด Solaris10 รวมถึงสนับสนุนจาก 64-bit x86 แอฟฟิเคชั่น Solaris7, SUN ยอมให้ CPU 64- bit เป็นสถาปัตยกรรมจาก x86 64, SUN ได้ประโยชน์จาก Solaris อย่างมากจากผู้ใช้ซึ่งเป็นเจ้าของ x64 ซึ่งเป็นพื้นฐานของ AMD Opteron and Intel Xeon รวมทั้งระบบ x86 ที่โรงงานผลิตของ Dell, Hewlett-Packard, and IBM. ในปี 2007 ผู้ขายทั้งหลายดังที่กล่าวมาได้สนับสนุน Solaris สำหรับระบบเครื่องแม่ข่าย x86
* Dell ได้ทดสอบและยอมรับว่าเหมาะสมและกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฏบนเมนูของ Dell
* IBM ยังเลือก Solaris x86 เป็นระบบพื้นฐานของระบบเครื่องแม่ขาย
* Hewlett Packard
== การสนับสนุนแพลต์ฟอร์มอื่น ๆ ==
โซลาลิสเวอร์ชัน 2.5.1 รองรับแพลต์ฟอร์ม PowerPC แต่คุณลักษณะนี้ถูกยกเลิกจากโซลาลิสก่อนเวอร์ชัน 2.6 จะออกสู่ตลาด
ในเดือนมกราคม 2006 นักพัฒนาจากเว็บไซต์ Blastwave เริ่มที่จะทำการพอร์ทโซลาริสให้สนับสนุนแพลต์ฟอร์ม PowerPC อีกครั้งโดยใช้ชื่อว่า Polaris
ในปี 1997 มีการประกาศว่า Solaris จะรองรับสถาปัตยกรรม Itanium ของ Inter แต่ Solaris เวอร์ชันนี้ไม่เคยออกสู่ตลาด
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2007 IBM, Sun และ Sine Nomine Associated เผยบางส่วน OpenSolaris ที่รองรับ System z ที่รันบน System z เมนเฟรมของ IBM โดยใช้ชื่อว่า Sirius
วันที่ 17 ตุลาคม 2008 Sirius ตัวต้นแบบถูกเข็นออกสู่ตลาด
และ Solaris สามารถที่จะรันไบนารี่ของ Linux บนแพลต์ฟอร์ม x86 โดยคุณลักษณะนี้มีชื่อว่า Solaris Containers for Linux Applications หรือ SCLA
== ภาพรวมของเดสค์ทอป ==
Solarisรุ่นล่าสุดที่ใช้ OpenWindows เป็นเดสค์ทอป ใน Solaris ที่ 2.0 ถึง2.2, OpenWindows ที่สนับสนุนทั้งข่าว และ applications, และภายใต้เงื่อนไข backward compatibility สำหรับ SunView จากdesktop environment. SUN ได้สนับสนุนข่าวและ SunView applications: OpenWindows 3. 3 (ซึ่งติดมาด้วยกับ Solaris 2.3) คือพอร์ตของ X11
สมาชิกของCOSE, เป็น Open Software ที่เกี่ยวกับการริเริ่มที่ SUN พัฒนาจาก Desktop ธรรมดา CDE มาเป็น Unix desktop ผู้ขายแต่ละอันจะสนับสนุนส่วนประกอบแตกต่างกันโดย Hewlett- Packard จะจัดการส่วน window manager, IBMจัดการส่วน file manager Sun จะจัดการส่วน e- mail และปฏิทินและสนับสนุนการลากและวาง (ToolTalk ). Solaris 2.5 สนับสนุนCDE, และ OpenWindows ถูกวางบน Solaris 9 Solaris 98/ 03 ยังแนะนำ GNOME 2.0 เป็นทางเลือกของCDE
Solaris 10 สนับสนุนระบบเดสค์ทอปภาษาจาวา (Java Desktop System) , สิ่งซึ่งอาศัยพื้นฐานบน GNOME และที่มา กับ applicationsรวมถึงStarOffice SUN บรรยาย JDSว่าเป็น"ส่วนประกอบหลัก"ของ Solaris 10 .
== ลิขสิทธิ์ ==
Solaris ซอสโค้ดกับ Exception เล็กน้อย ถูกเผยแพร่ภายใต้ลิขสิทธิ์แบบ Common Development and Distribution License (CDDL) โดยใช้ชื่อว่า OpenSolaris ซึ่ง CDDL เป็นลิขสิทธิ์ที่รับรองโดย OSI (Opensource Initative)
Free Software foundation ถือว่าโซลาลิสเป็นซอร์ฟแวร์ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ไม่สามารถเข้าได้กับลิขสิทธิ์แบบ GPL
โครงการ OpenSolaris เริ่มต้นในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2005 โดยพัฒนามาจากโค้ดของ Solaris โดยสามารถที่จะโหลดโค้ดต้นฉบับหรือไบนารี่ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ปรับคุณลักษณะใหม่ เช่น การรองรับ Xen จะกลายเป็นคุณลักษณะพื้นฐาน Opensolaris ในเวอร์ชันต่อ ๆ ไป Sun ยังกล่าวอีกว่า Solaris ในเวอร์ชันต่อ ๆ ไปจะได้รับแรงผลักดันจากโครงการ OpenSolaris เป็นหลัก
== เวอร์ชัน ==
ความสามารถที่โดดเด่นของ Solaris ประกอบไปด้วย DTrace, Doors, Service Management Facility, Solaris Containers, Solaris Multiplexed I/O, Solaris Volume Manager, ZFS, and Solaris Trusted Extensions.เวอร์ชันต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
== การพัฒนา ==
Solaris ที่อยู่ภายใต้ Code Base ได้มีการพัฒนาต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 1980 ได้นำเสนอ Solaris 2.0 จนกระทั่งถึง Solaris 10 ได้พัฒนาโดยการ “train” ซึ่งพัฒนาในแต่ละช่วงเวลาของมัน สืบทอดมาจากโปรเจกต์แต่ละโปรเจกต์และได้ปรับปรุงเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งรุ่นล่าสุดที่ออกมา
เวอร์ชันของ Solaris ภายใต้การพัฒนาของ SUN ก็คือ codenamed Nevada,
ในปี 2003 การเพิ่มกระบวนการพัฒนาของ Solaris ถูกแนะนำภายใต้ชื่อ Solaris Express Developer Edition (SXDE) , การพัฒนาที่ได้จาก “train” ถูกนำมามาให้ดาวน์โหลดและตีพิมพ์ทุก ๆ 3 เดือนและยอมให้บุคคลทั่วไปทดสอบความสามารถและคุณภาพและความเสถียรต่อระบบปฏิบัติการเช่นเดียวกับความก้าวหน้าของ Solaris รุ่นถัดไป
ในปี 2007 SUN ได้ประกาศความเป็นหนึ่งของ Project Indiana รวมถึงการ open source binary ของ OpenSolaris เพื่อปรับปรุงการติดตั้ง Solaris อีกทั้งแจก packaging โมเดลและเทคโนโลยีเพื่อแทนที่รุ่น SXDE ซึ่งเป็นรุ่นแรก โดยวาแผนเป็นผู้นำในปี 2008 เพราะว่า Solaris ได้เปิดตัวล่วงหน้าสำหรับ Solaris codebase ให้เป็นโปรแกรมไบนารีเท่านั้น แต่ Solaris ได้แสดง Community Release สำหรับผู้พัฒนา OpenSolaris หลังจากนั้นสัปดาห์ต่อมามันก็จะถูกปรับปรุงไว้สำหรับประเมินผลถึงแม้ว่าการดาวน์โหลดจะถูกจำกัดการอนุญาตให้ดาวน์โหลดได้ส่วนบุคคลแต่ก็มีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาและประเมินผล
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* เว็บไซต์โซลาริสอย่างเป็นทางการ
* Sunfreeware.com - ฟรีแวร์สำหรับโซลาริส
* Sun Country - รวมลิงก์เกี่ยวกับโซลาริส
* Solaris on Mobile Computers - โซลาริสบนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา
* Solaris x86 ระบบปฏิบัติการโซลาริสที่ใช้กับเครื่องแบบ x86
** Sun.com: Solaris x86
** Solaris-x86.org
** Solaris on Intel
* OpenSolaris
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:ระบบปฏิบัติการ
หมวดหมู่:ยูนิกซ์ |
876 | https://th.wikipedia.org/wiki/บุรุษผู้มาจากต่างดาว | บุรุษผู้มาจากต่างดาว | บุรุษผู้มาจากต่างดาว () เขียนโดย วอลเตอร์ เทวิส แปลโดย พจน์ อนุวงศ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว ที่ลงมาในโลก ตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2522 สำนักพิมพ์ดวงกมล และได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2519 นำแสดงโดย เดวิด โบวี่
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ |
877 | https://th.wikipedia.org/wiki/ดอกไม้สำหรับอัลเจอนอน | ดอกไม้สำหรับอัลเจอนอน | ดอกไม้สำหรับอัลเจอนอน นิยายแปลจากเรื่อง Flowers for Algernon (ฟลาวเวอรส์ฟอร์อัลเจอนอน) เรื่องสั้นขนาดยาว ประพันธ์โดย ดาเนียล คีย์ (Daniel Keyes) เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของชายปัญญาอ่อน ผู้มีไอคิวเพียง 68 ซึ่งได้เข้าร่วมเป็นมนุษย์ทดลอง รับการผ่าตัดเพื่อพัฒนาสมองให้ฉลาดขึ้นเป็นสามเท่า เขาได้เขียนบันทึกชีวิตจากที่เป็นคนปัญญาอ่อนจนกลายเป็นอัจฉริยะ
Flowers for Algernon ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร The Magazine of Fantasy and Science Fiction ปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) นอกเหนือไปจากรางวัลฮิวโกสำหรับเรื่องสั้นขนาดยาวในปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) เมื่อผู้เขียนนำไปขยายต่อเป็นนวนิยายในปี พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) ก็ได้รับรางวัลเนบิวลาในปีเดียวกัน และเมื่อถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) (Charly 1968) ก็ได้รางวัลออสการ์ สำหรับบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ส่วน คลิฟ โรเบิร์ตสัน ผู้เล่นบท ชาลี ได้ตุ๊กตาทองสำหรับผู้แสดงนำ ถูกนำไปแสดงเป็นละครเพลงบรอดเวย์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ทีวีในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) (ช่อง CBS นำแสดงโดย แมธธิว โมดีน) และถูกนำไปสร้างสรรค์ต่อในรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย
Flowers for Algernon ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยครั้งแรกในชื่อว่า "ดอกไม้สำหรับอัลเกอน่อน" โดย สุรชาติ จักร์ภัร์ศิริสุข ตีพิมพ์ใน "นิยายวิทยาศาสตร์ ชมรมการศึกษาฯ ฉบับที่ 1" โดยชมรมการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปีพ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) และครั้งที่สองในชื่อว่า "ดอกไม้สำหรับอัลเจอนอน" โดย ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ตีพิมพ์ใน "ดอกไม้สำหรับอัลเจอนอน" หนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อเดียวกัน โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล เมื่อปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) สมัยที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นบรรณาธิการนิยายวิทยาศาสตร์
== เนื้อเรื่องย่อ ==
ชาลี กอดอน เข้าร่วมการทดลองผ่าตัดให้สมองมีพัฒนาการเป็นสามเท่าจากที่มีอยู่เดิม เขาได้เขียนบันทึกประจำวัน เพื่อบันทึกความเป็นไปในชีวิตของเขา จากที่มีไอคิวเพียง 68 จนกลายเป็นอัจฉริยะ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ดอกไม้สำหรับอัลเจอนอน
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:วรรณกรรมแปล
หมวดหมู่:วรรณกรรมภาษาอังกฤษ
หมวดหมู่:มนุษย์ทดลองในบันเทิงคดี |
889 | https://th.wikipedia.org/wiki/สัตว์เลี้ยงประหลาด | สัตว์เลี้ยงประหลาด | สัตว์เลี้ยงประหลาด ()
== ข้อมูลเบื้องต้น ==
* ประเภทหนังสือ: เรื่องสั้นขนาดยาว
* จากเรื่อง: Sandkings (พ.ศ. 2522)
* ประพันธ์โดย: จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน
* ผู้แปลและเรียบเรียง: มาลา แย้มเอิบสิน
* ตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2531 สำนักพิมพ์ พี. วาทิน
* รางวัลเนบิวลาา ค.ศ. 1979
* รางวัลฮิวโก ค.ศ. 1980
* รางวัลโลกัส ค.ศ. 1980
== เนื้อเรื่องย่อ ==
เป็นเรื่องของร้านขายสัตว์เลี้ยงต่างดาว และผู้คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์ประหลาดและผิดกฎหมายจากต่างดาว ศูนย์กลางของสัตว์เลี้ยงนี้คือกระเพาะ เมื่อกระเพาะได้รับความร้อนจะสร้างบริวาร และบริวารจะเป็นผู้หาอาหารให้กับกระเพาะ ในตอนแรกมีสัตว์เลี้ยงอยู่สี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มถูกจัดให้อยู่ในตู้ปลา เนื่องจากสัตว์เลี้ยงนี้เรียกได้ว่ามีความฉลาดและมีการวิวัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว สามารถวางแผนการรบได้และมีพลังจิต ถ้าเลี้ยงอย่างดีก็อาจเชื่อฟังและใช้งานได้ มีกฎในการเลี้ยงสัตว์แต่เนื่องจากผู้ซื้อสัตว์เลี้ยงนี้ (พระเอกในเรื่อง) ปฏิบัติอย่างโหดร้ายโดยให้สัตว์เลี้ยงต่อสู้กับสัตว์อื่นๆ เมื่อตู้ปลาที่เลี้ยงไว้แตก สัตว์เลี้ยงเริ่มออกมายึดบ้านที่พักอาศัยและเริ่มวิวัฒนาการ เนื่องจากมีพื้นที่กว้างสัตว์เลี้ยงจึงเริ่มขยายขนาดและหิวมากยิ่งขึ้น พระเอกจึงต้องหาทางรับมือแก้ไขปัญหาเองโดยพยายามไม่ให้ผู้ขายสัตว์เลี้ยงและเจ้าหน้าที่รู้เรื่อง
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:รางวัลฮิวโก หมวดหมู่:รางวัลเนบิวลา หมวดหมู่:รางวัลโลกัส |
890 | https://th.wikipedia.org/wiki/วัฏจักรเวลา | วัฏจักรเวลา | วัฏจักรเวลา () เป็น เรื่องสั้นขนาดยาว แปลมาจากเรื่อง By His Bootstraps (พ.ศ. 2484) ประพันธ์โดย: โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ และนำมาแปลในภาษาไทยโดย เวหน วิษุวัต ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2525 โดย สำนักพิมพ์ต้นหมาก เป็นนิยายวิทยาศาสตร์แนว TIME PARADOX หรือ ความขัดแย้งของเวลา
==พล็อตย่อ==
บ๊อบ วิลสันขังตัวเองไว้ในห้องของเขาเพื่อจะให้เสร็จวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของเขาในด้านคณิตศาสตร์แห่งวิชาอภิปรัชญา โดยใช้แนวคิดของการเดินทางข้ามเวลาเป็นกรณีในประเด็นนี้ มีบางคนกล่าวไว้ว่า "อย่าไปยุ่งกับเรื่องไร้สาระเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา รังแต่จะทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปเปล่า ๆ"
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:วรรณกรรมแปล
หมวดหมู่:วรรณกรรมภาษาอังกฤษ
หมวดหมู่:วรรณกรรมในปี พ.ศ. 2484 |
892 | https://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีความอลวน | ทฤษฎีความอลวน | ทฤษฎีความอลวน () เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic)
ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ คำจำกัดความของระบบเคออส คือ ระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ประเภทหนึ่ง ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด
เรามักจะได้ยินคำพูดที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตีความคำพูดนี้ในลักษณะของขนาดความรุนแรงของผลลัพธ์เท่านั้น ระบบเคออสนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตกต่างกันในแง่ของ ขนาด ของผลลัพธ์เสมอไป แต่อาจแตกต่างกันในแง่ของ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงก็ได้ จากตัวอย่างข้างต้น การเปลี่ยนแปลงของระบบทั้งสองนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากในขณะเริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
== ประวัติ ==
จุดเริ่มต้นของทฤษฎีความอลวนนี้ สามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงในช่วงปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) จากการศึกษาปัญหาวงโคจรของวัตถุสามชิ้นในสนามแรงดึงดูดระหว่างกัน ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ปัญหาสามวัตถุ โดย อองรี ปวงกาเร ซึ่งได้ค้นพบว่า วงโคจรที่ศึกษานั้นอาจจะมีลักษณะที่ไม่ได้เป็นวงรอบ (periodic) คือไม่ได้มีทางวิ่งซ้ำเป็นวงรอบ ยิ่งไปกว่านั้น วงโคจรนั้นก็ไม่ได้ขยายวงออกไปเรื่อย ๆ หรือมีลักษณะที่ลู่เข้าหาจุดใด ๆ ต่อมาได้มีการศึกษาถึงปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์ไม่เป็นเชิงเส้นที่เกี่ยวข้อง โดยที่ เบอร์คอฟ (G.D. Birkhoff) นั้นศึกษาปัญหาสามวัตถุ คอลโมโกรอฟ ศึกษาปัญหาความปั่นป่วน (หรือ เทอร์บิวเลนซ์) และปัญหาเกี่ยวกับดาราศาสตร์. ส่วน คาร์ทไรท์ (M.L. Cartwright) และ ลิตเติลวูด (J.E. Littlewood) นั้นศึกษาปัญหาทางวิศวกรรมการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุ สเมล (Stephen Smale) นั้นอาจเป็นนักคณิตศาสตร์คนแรก ที่ทำการศึกษาถึงปัญหาทางด้านพลศาสตร์ของระบบไม่เป็นเชิงเส้น ถึงแม้ว่าความอลวนของเส้นทางโคจรของดาว นั้นยังไม่ได้มีการทำการสังเกตบันทึกแต่อย่างใด แต่ก็ได้มีการสังเกตพบ พฤติกรรมความอลวนในความปั่นป่วนของการเคลื่อนที่ของของไหล และ ในการออสซิลเลท แบบไม่เป็นวงรอบของวงจรวิทยุ ซึ่งไม่มีทฤษฎีใดในขณะนั้นสามารถอธิบายพฤติกรรมเหล่านี้ได้
ความตื่นตัวในการพัฒนาทฤษฎีความอลวนนี้ เกิดขึ้นในช่วงกลางของศตวรรษที่ 20 เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า ทฤษฎีของระบบเชิงเส้นนั้นไม่สามารถใช้อธิบายพฤติกรรมบางอย่าง แม้กระทั่งพฤติกรรมของระบบที่ไม่ซับซ้อนอย่าง แมพลอจิสติก (Logistic map) อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้พัฒนาการของทฤษฎีความอลวนเป็นไปอย่างรวดเร็วก็คือ คอมพิวเตอร์ การคำนวณในทฤษฎีความอลวนนั้น โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่เป็นการคำนวณค่าแบบซ้ำ ๆ จากสูตรคณิตศาสตร์ และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปวงโคจรของตัวดึงดูดลอเรนซ์
เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ (Edward Lorenz) เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกทฤษฎีความอลวน เขาได้สังเกตพฤติกรรมความอลวน ในขณะทำการทดลองทางด้านการพยากรณ์อากาศ ในปี ค.ศ. 1961 ลอเรนซ์ใช้คอมพิวเตอร์ซิมูเลชันแบบจำลองสภาพอากาศ ซึ่งในการคำนวณครั้งถัดมาเขาไม่ต้องการเริ่มซิมูเลชันจากจุดเริ่มต้นใหม่ เพื่อประหยัดเวลาในการคำนวณ เขาจึงใช้ข้อมูลในการคำนวณก่อนหน้านี้เพื่อเป็นค่าเริ่มต้น ปรากฏว่าค่าที่คำนวณได้มีความแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาพบว่าสาเหตุเกิดจากการปัดเศษ ของค่าที่พิมพ์ออกมา จากค่าที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีค่าน้อยมาก แต่สามารถนำไปสู่ความแตกต่างอย่างมากมาย เรียกว่า ไวต่อสภาวะเริ่มต้น
คำ "butterfly effect" ซึ่งเป็นคำที่นิยมใช้เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีความอลวน นั้นมีที่มาไม่ชัดเจน เริ่มปรากฏแพร่หลายหลังจากการบรรยายของ ลอเรนซ์ ในปี ค.ศ. 1972 ภายใต้ชื่อหัวข้อ "''Does the Flap of a Butterfly's Wings in Brazil Set Off a Tornado in Texas?" นอกจากนี้แล้วยังอาจมีส่วนมาจาก รูปแนวโคจรของตัวดึงดูดลอเรนซ์ (ดังรูปด้านขวามือ) ที่มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ซึ่งเขาได้ตีพิมพ์ในบทความวิชาการก่อนหน้านี้
ส่วนคำ "chaos" (เค-ออส) บัญญัติขึ้นโดย นักคณิตศาสตร์ประยุกต์ เจมส์ เอ ยอร์ค (James A. Yorke)
== อ้างอิง ==
* บัญชา ธนบุญสมบัติ. กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง''. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2551. หน้า 63-77. ISBN 978-974-484-155-1
== ดูเพิ่ม ==
* แฟร็กทัล
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* ทฤษฎีความโกลาหล โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ |
893 | https://th.wikipedia.org/wiki/รักต้องห้ามของหุ่นยนต์ | รักต้องห้ามของหุ่นยนต์ | รักต้องห้ามของหุ่นยนต์
== ข้อมูลเบื้องต้น ==
* ประเภทหนังสือ: นวนิยาย
* จากเรื่อง: Mockingbird
* ประพันธ์โดย: วอลเตอร์ เทวิส
* ผู้แปลและเรียบเรียง: กัญจนวิภา ฤทธิประศาสน์
* ตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2527 สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์สร้างสรรค์
* ฉบับแปลย่อ
* ผู้แปลและเรียบเรียง: จุฬา แก้วมงคล
== เนื้อเรื่องย่อ ==
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ |
894 | https://th.wikipedia.org/wiki/เหนือพระเจ้า | เหนือพระเจ้า | เหนือพระเจ้า
== ข้อมูลเบื้องต้น ==
* ประเภทหนังสือ: เรื่องสั้นขนาดยาว
* จากเรื่อง: Behold the Man
* ประพันธ์โดย: ไมเคิล มัวร์ค็อก
* ผู้แปลและเรียบเรียง: เวหน วิษุวัต
* ตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525 โดย สำนักพิมพ์ดอกหญ้า
* รางวัลเนบิวลา ค.ศ. 1967
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หเหนือพระเจ้า |
896 | https://th.wikipedia.org/wiki/เขามาจากดาวอังคาร | เขามาจากดาวอังคาร | เขามาจากดาวอังคาร เป็นนวนิยายแปล จากเรื่อง Stranger in a Strange Land ซึ่งประพันธ์โดย โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ ได้รับรางวัลนิยายวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยม รางวัลฮิวโก ในปี ค.ศ. 1961 ผู้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยคือ วีรยศ ฉัตรภูติ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดย สำนักพิมพ์บรรณกิจ
==เนื้อเรื่องย่อ==
==ดูเพิ่ม==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:วรรณกรรมภาษาอังกฤษ
หมวดหมู่:วรรณกรรมแปล
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:งานเขียนของไฮน์ไลน์ |
897 | https://th.wikipedia.org/wiki/ในอุ้งมือเหล็ก | ในอุ้งมือเหล็ก | ในอุ้งมือเหล็ก/ในอุ้งมือคน
== ข้อมูลเบื้องต้น ==
* ประเภทหนังสือ: นวนิยาย
* จากเรื่อง: With Folded Hands/The Humanoid
* ประพันธ์โดย: แจ็ค วิลเลี่ยมสัน
* ผู้แปลและเรียบเรียง: ชุตินันท์
* ตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2530 สำนักพิมพ์สมิต
== ดูเพิ่ม ==
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์
* รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ไทย
นในอุ้งมือเหล็ก/ในอุ้งมือคน |
932 | https://th.wikipedia.org/wiki/กาแลคซี_(นิตยสาร) | กาแลคซี (นิตยสาร) | กาแลคซี เป็นนิตยสารรวมเรื่องสั้นจัดทำโดย ชุมนุมวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
== ฉบับที่ตีพิมพ์ ==
; กาแลคซี 1 นิยายวิทยาศาสตร์ : มีเรื่องในเล่มได้แก่
:* หุ่นล้างโลก
:* Jokester (ไอแซค อสิมอฟ)
:* มนุษย์ใหม่
; กาแลคซี 2 อวกาศและเวลา : มีเรื่องในเล่มได้แก่
:* ซาตานจากอนาคต (Parasite) - อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก
:* ผู้ล่า แปลจาก (Time's Arrow) - อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก
:* ลูกบิลเลียด (Billiard Ball) - ไอแซค อสิมอฟ
:* Time Machine - ธีรยุทธ บุญมี
:* มนุษย์คนสุดท้าย (Exiles of Eons) - อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก
; กาแลคซี 3 หุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์ : มีเรื่องสั้นในเล่มได้แก่
:* เขาชื่ออดัม ลิงก์ (I, Robot) - Eando Binder
:* ร็อบบี้หุ่นแสนกล (Robby) - Ilya Varshavsky
:* เฮเลน โอลอย (Helen O' Loy) - Lester Del Ray
:* สมดุล (Runaround) - Isaac Asimov
:* เร็กซ์ (Rex) - Harl Vincent
:* คำถามสุดท้าย (The Last Question) - เขียน : ไอแซค อสิมอฟ (Issac Asimov) / แปล : สุชาย ธนวเสถียร
:: "นำเรื่องของ พระเจ้าสร้างโลกในศาสนาคริสต์ มารวมเข้ากับ ปรัชญาทางวิทยาศาสตร์ ได้อย่างสุดพิสดาร"
; กาแลคซี 4 มิติและความเร้นลับ : บรรณาธิการโดย อภิชาต ชิตามิตร และ ยรรยง ติยะรัตนกูร ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2515 มีเรื่องในเล่มได้แก่
:* พายเท่ากับสาม (The New Reality) - ชาร์ล แอล.ฮาร์เนส แปลโดย สวง ทั่งวัฒโนทัย
:* และอาทิตย์จะไม่ขึ้นอีก (No Morning After) - อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก แปลโดย ธีรศักดิ์ วงศ์เทียมชัย
:* หน้าต่างแห่งวิญญาณ (Eyes Do More Than See) - ไอแซค อสิมอฟ แปลโดย ฤทธิ ธีระโกเมน
:* พระเจ้ามืด (The Greater Thing - Noname) อภิชาต ชิตามิตร
:* ทางใต้ดินที่แมนสรวง (The Subways of Tazoo) - คอลลิน แกปป์ แปลโดย ดนุ เบญจพลชัย
:* ไอ้โรคพรรค์นั้น (Hyperpelosity) - แอล.สปราก เดอ แคมป์ แปลโดย นำชัย เกษมโกศลศรี
; กาแลคซี 5 คำตอบจากดาวคาเปล่า : มีเรื่องในเล่มได้แก่
:* คำตอบจากดาวคาเปล่า (The Reply) - เจมส์ กันน์ (James Gunn) แปลโดย อมรา ปฐภิญโญบูรณ์
:* 2001 ความรัก (The Conflict) - อิลยา วาร์เชฟสกี้ (Ilya Varshavsky) แปลโดย สมาน
:* ดุลย์แห่งอำนาจ (The Equalizer) - นอร์แมน สปิมราด (Norman Spimrad) แปลโดย อรุณี ปิตรวดี และ โสภาพร จารุศิริกุล
:* จดหมายจากนอกโลก (Dear Pen Pal) - เอ.อี. ฟาน ฟอกต์ (A.E. Van Vogt) แปลโดย สุทธินัย ธเนศวรกุล
:* โรคพิศวง (Disappearing Act) - อัลเฟรด เบสเตอร์ (Alfred Bester) แปลโดย ดนุ เบญจพลชัย
:* ในโลกกว้าง (It's Such a Beautiful Day) - ไอแซค อสิมอฟ แปลโดย ชุมศรี กีรติเรขา
:* หมอดู 4 มิติ (Life Line) - โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ แปลโดย ประภาพิม กนิษฐ์เสน
; กาแลคซี 6 เมฆสีดำ : มีเรื่องในเล่มได้แก่
; กาแลคซี 7 : บรรณาธิการโดย กวิน ชุติมา และ คณะ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2518 มีเรื่องในเล่มได้แก่
:* คนเก่ง (Superiority) - อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก แปลโดย ยรรยง เต็งอำนวย
:* ไอ้โม่งกับมนุษย์ติงต๊อง ("Repent Harlequin!" Said the Ticktockman) - ฮาร์เลน อีลิสัน แปลโดย นพดล วัฒนาคงทอง
:* ผจญภัยบนดาวนิวตรอน (Neutron Star) - ลาร์รี นิเวน แปลโดย นพดล วัฒนาคงทอง และ กวิน ชุติมา
:* ยุคทอง (Second Dawn) - อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก แปลโดย ยรรยง เต็งอำนวย
:* กู้ภัย (Rescue Party) - อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก แปลโดย สุพจน์ สุตัณฑวิบูลย์
; กาแลคซี 8 : ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2526 มีเรื่องในเล่มได้แก่
:* สู่นิรันดร์กาล (Flight to Forever) - พอล แอนเดอร์สัน แปลโดย อธิพันธ์ ณ นคร
:* คืนชีพ (Lazarus Rising) - เกรกกอรี่ เบนฟอร์ด แปลโดย วศิน เพิ่มทรัพย์
:* เจน (Faminine Intuition) - ไอแซค อสิมอฟ แปลโดย วัชรกฤษณ์ นพคุณ
:* เพกแมน (Peg-Man) - รูดี รัคเกอร์ (Rudy Rucker) แปลโดย อัทธา เอี่ยมวนานนทชัย
:* ส่งข่าวจากหลุมดำ (Old-Fasioned) - ไอแซค อสิมอฟ แปลโดย อนิรุทธิ์ รัชตะวราห์
:* ปฐมภพ (Mother Earth) - ไอแซค อสิมอฟ แปลโดย วศิน เพิ่มทรัพย์, อนิรุทธิ์ รัชตะวราห์
; กาแลคซี 9 : ตีพิมพ์เมื่อ เมษายน พ.ศ. 2527 โดยในบางส่วนของ คำนำหนังสือ ได้กล่าวสรุปไว้ว่า...
: "หนังสือเล่มนี้ได้แสดงถึงความสำคัญอีกด้านหนึ่งของนิยายวิทยาศาสตร์ คือ ไม่แต่เพียงทำนายถึงวิทยาการอันก้าวหน้าในอนาคต แต่ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของมันที่จะมีต่อสังคมด้วย ไม่ว่าด้านดีหรือเลวร้าย, ในเล่มนี้ ได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมในอนาคตหลาย ๆ รูปแบบ หลายเรื่องชี้ให้เห็นว่าศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์ก็คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง ในบางเรื่องก็สะกิดให้เราหยุดคิดก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเดินไปข้างหน้า"
: มีเรื่องสั้นในเล่มได้แก่
:* เพลงแห่งนิรันดร์ (A Song for Lya) - เขียน : จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน (George R.R. Martin) / แปล : วัชรกฤษณ์ นพคุณ, อธิพันธ์ ณ นคร
:: "ในขณะที่มนุษยชาติกำลังเจริญรุดหน้าในด้านวัตถุ ดูเหมือนว่า อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งจะค้นพบสิ่งที่มีค่าลึกซึ้งกว่ามากนัก"
:* โลกไขลาน (A Clockwork Lemon) - เขียน : เอ. เบอร์ฟราม แชนเดลอร์ (A. Berfram Chandler) / แปล : ดวงพร เติมวัฒนะ
:: "โลกอนาคตใช่ว่าจะเจริญทางวัตถุเสมอไป ปัญหาที่เราหวาดวิตก เช่น การขาดแคลนพลังงาน ก็เกิดขี้นได้"
:* ฤๅเจ้ารู้ มนุษย์นั้นเป็นฉันใด? (...That Thou Art Mindful of Him) - เขียน : ไอแซค อสิมอฟ (Isaac Asimov) / แปล : อัทธา เอี่ยมวนานนทชัย
:: "ในขณะที่มนุษย์เรามีพฤติกรรมใกล้เคียงหุ่นยนต์เข้าไปทุกที หุ่นยนต์ก็มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์เข้าไปทุกทีเช่นกัน จนในที่สุดมันก็เริ่มตระหนักว่า มันเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์กว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ซึ่งเต็มไปด้วยจุดอ่อนนานัปการ"
:* ขออีกหน่อยน่า (Eat Drink and be Merry) - เขียน : ดีแอน จีราร์ด (Dian Girard) / แปล : ชาญ ชนกโอวาท
:: "ในสังคมอนาคต คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้น จนมันมีส่วนบงการชีวิตเรา แม้แต่ในชีวิตประจำวัน"
:* ตัวตลก (The Comedian) - เขียน : ธิโมธี โรเบิร์ต ซุลลิแวน (Timothy Robert Sullivan) / แปล : ดวงพร เติมวัฒนะ
:: "เหตุการณ์อนาคตล้วนเลวร้ายลงทุกที จนมาถึงจุดสุดท้าย... แต่หลังจากผ่านพ้นจุดวิกฤตนั้นไปแล้ว มนุษย์จะหาทางแก้ไขให้มันกลับคืนมาดีได้อย่างไร"
:* วิถีทางคอมฯ (No Browing) - เขียน : L. Michael Matuszewicz / แปล : Phoenix (ฟีนิกซ์)
:: "หลังจากแสวงหามาแสนนาน คุณก็ได้พบกับความหมายของชีวิต แล้วมันก็พาคุณมาถึงจุดที่ต้องเลือกทำในสิ่งที่คุณเชื่อ แม้มันจะต้องเสี่ยงด้วยชีวิต... แต่คราวนี้ ผู้ที่พบกับปํญหาไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็น คอมพิวเตอร์เจ้าปัญญา"
:* ก้าวไปข้างหน้า? (The Red Queen's Race) - เขียน : ไอแซค อสิมอฟ (Isaac Asimov) / แปล : ปิยะ กู้พัฒนากุล
:: "มีคนที่ไม่พอใจกับสภาพสังคมในปัจจุบัน แล้วเขาก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงมันจากจุดเริ่มของอดีต"
:* อนาคตสมบูรณ์ (Future Perfect) - เขียน : เอ.อี. ฟาน ฟอกต์ (A.E. Van Vogt) / แปล : อธิพันธ์ ณ นคร
:: "ในสังคมอนาคตอุดมคติ มนุษย์พบว่า พันธนาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ สิ่งที่พวกเขาบัญญัติมันขึ้นมาเอง"
:* "???" - เขียน : Phoenix (ฟีนิกซ์)
:: "เรื่องขนาดสั้น Fantasy ของนักเขียนไทย"
== อ้างอิง ==
หมวดหมู่:บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
หมวดหมู่:นิตยสารบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
934 | https://th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาพุทธ | ศาสนาพุทธ | ศาสนาพุทธ (, พุทฺธศาสนา) เป็นศาสนาอเทวนิยมที่มีอายุกว่า 2,500 ปี มีผู้นับถือเป็นอันดับ 4 ของโลก ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน ทวีปเอเชีย โดยมีพระโคตมพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง และตรัสสอนไว้เป็นหลักคำสอนสำคัญ มีพระสงฆ์ (ภิกษุ ภิกษุณี) สาวกผู้ตัดสินใจออกบวชเพื่อศึกษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอน ธรรม-วินัย ของพระบรมศาสดา เพื่อบรรลุสู่จุดหมายคือพระนิพพาน และสืบทอดคำสอนของพระบรมศาสดา รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย นอกจากนี้ในพระพุทธศาสนา ยังประกอบคำสอนสำหรับการดำรงชีวิตที่ดีงาม สำหรับผู้ที่ยังไม่ออกบวช (คฤหัสถ์ - อุบาสก และอุบาสิกา) ซึ่งหากรวมประเภทบุคคลที่ที่นับถือและศึกษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา แล้วจะจำแนกได้เป็น 4 ประเภท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือที่เรียกว่า พุทธบริษัท 4
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง และเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจ ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ด้วยความเพียรของตน กล่าวคือ ศาสนาพุทธ สอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเอง ด้วยผลแห่งการกระทำของตน ตาม กฎแห่งกรรม มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง เพื่อพาตัวเองออกจากกอง ทุกข์ มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนาคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงและวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด
พระพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบันคือพระโคตมพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงเริ่มออกเผยแผ่คำสอนในชมพูทวีป ตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่หลังปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงสั่งสอน ได้ถูกรวบรวมเป็นหมวดหมู่ด้วยการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก จนมีการรวบรวมขึ้นเป็นพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดของฝ่าย เถรวาท ที่ยึดหลักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สอง ได้เกิดแนวคิดที่เห็นต่างออกไป ว่าธรรมวินัยสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาและสถานการณ์เพื่อความอยู่รอดแห่งศาสนาพุทธ แนวคิดดังกล่าวจึงได้เริ่มก่อตัวและแตกสายออกเป็นนิกายใหม่ในชื่อของ มหายาน ทั้งสองนิกายได้แตกนิกายย่อยไปอีกและเผยแพร่ออกไปทั่วดินแดนเอเชียและใกล้เคียง บ้างก็จัดว่า วัชรยาน เป็นอีกนิกายหนึ่ง แต่บ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิกายมหายาน แต่การจัดมากกว่านั้นก็มี หลักพื้นฐานสำคัญของปฏิจสมุปบาท เป็นเพียงหลักเดียวที่เป็นคำสอนร่วมกันของคติพุทธ
ปัจจุบันศาสนาพุทธได้เผยแผ่ไปทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันศาสนาพุทธ ได้มีผู้นับถือกระจายไปทั่วโลก ประมาณ 700 ล้านคน ด้วยมีผู้นับถือในหลายประเทศ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาสากล
== องค์ประกอบ ==
=== สิ่งเคารพสูงสุด ===
พระรัตนตรัย คือ สรณะที่พึ่งอันประเสริฐในศาสนาพุทธ สรณะ หมายถึง สิ่งที่ให้ศาสนิกชนถือเอาเป็นแบบอย่าง หรือให้เอาเป็นตัวอย่าง แต่มิได้หมายความว่าเมื่อเคารพแล้วจะดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการได้ พระรัตนตรัยนั้นประกอบด้วยองค์สาม (ไตรสรณะ) ได้แก่
# พระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่บำเพ็ญสั่งสมบารมีมาหลายภพชาติ จนชาติสุดท้ายเกิดเป็นมนุษย์แล้วอาศัยความเพียรพยายามและสติปัญญาปฏิบัติจนได้บรรลุสิ่งที่ต้องการคือธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ แล้วจึงทรงชี้แนะหรือชี้ทางให้คนอื่นทำตาม
# พระธรรม คือ คำสอนว่าด้วยธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วว่าทำให้พ้นจากทุกข์
# พระสงฆ์ คือหมู่ชนหรือชุมชนของพระสาวก ไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดา ที่ทำตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าแล้ว ประสบผลสำเร็จพ้นทุกข์ตามพระพุทธเจ้า
=== ศาสดา ===
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งอิสระเสรีภาพ ด้วยการสร้าง "ปัญญา" ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทัน เพื่อบรรลุ วัตถุประสงค์ อันสูงสุดคือ [[นิพพาน คือการไม่มีความทุกข์ อย่างที่สุด หรือ การอยู่ในโลกอย่างไม่มีทุกข์ คือกล่าวว่า ทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดจากการยึดถือ ต่อเมื่อ "หมดการยึดถือ" จึงไม่มีอะไรจะให้ทุกข์ (แก้ที่ต้นเหตุของทุกข์ทั้งหมด)|thumb]]
ความดับทุกข์ (นิโรธ) คือ นิพพาน ( เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ) อันเป็น แก่นของศาสนาพุทธ เป็นความสุขสูงสุด หรือเรียกอีกอย่างว่า
* วิราคะปราศจากกิเลส
* วิโมกข์พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
* อนาลโย ไม่มีความอาลัย
* ปฏินิสสัคคายะการปล่อยวาง
* วิมุตติ การไม่ปรุงแต่ง
* อตัมมยตา ไม่หวั่นไหว
* และสุญญตา ความว่าง
เนื่องจากธรรมดาของสัตว์โลกมีปกติทำความชั่วมากโดยบริสุทธิ์ใจในความเห็นแก่ตัว ทำดีน้อยซึ่งไม่บริสุทธิ์ใจ ซ้ำหวังผลตอบแทน จึงมีปกติรับทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้น ถ้าเป็นผู้มีปัญญาหรือเป็นพ่อค้าที่ฉลาดยอมรู้ว่าขาดทุนมากกว่าได้กำไร และ สุขที่ได้เป็นเพียงมายา ย่อมปรารถนาในพระนิพพาน เมื่อ ขันธ์5 แตกสลาย เจตสิกที่ประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้นก็แตกสลายตามเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีเหตุปัจจัยจะประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้น กรรมย่อมไม่อาจให้ผลได้อีก (อโหสิกรรม) เหลือเพียงแต่พระคุณความดี เมื่อมีผู้บูชาย่อมส่งผลกรรมดีให้แก่ผู้บูชาเหมือนคนตีกลอง กลองไม่รับรู้เสียง แต่ผู้ตีได้รับอานิสงส์เสียงจากกลอง
วิถีทางดับทุกข์ (มรรค) คือ มัชฌิมาปฏิปทา (หลักการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนา) ทางออกไปจากสังสารวัฏมีทางเดียว โดยยึดหลักทางสายกลาง อันเป็นอริยมรรค คือ การฝึกสติ (การทำหน้าที่ของจิตคือตัวรู้ให้สมบูรณ์) เป็นวิธีฝึกฝนจิตเพื่อให้ถึงซึ่งความดับทุกข์หรือมหาสติปัฏฐาน โดยการปฏิบัติหน้าที่ทุกชนิดอย่างมีสติด้วยจิตว่างตามครรลองแห่งธรรมชาติ มีสติอยู่กับตัวเองในเวลาปัจจุบัน สิ่งที่กำลังกระทำอยู่เป็นสิ่งสำคัญกว่าทุกสรรพสิ่ง ทำสติอย่างมีศิลปะคือรู้ว่าเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ ควรทำสติกำหนดรู้กิจใดเช่นไรจึงเหมาะสม จนบรรลุญานตลอดจน มรรคผล
เมื่อจำแนกตามลำดับขั้นตอนของการบำเพ็ญเพียรฝึกฝนทางจิต คือ
# ศีล (ฝึกกายและวาจาให้ละเว้นจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น รวมถึงการควบคุมจิตใจไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำด้วยการเลี้ยงชีวิตอย่างพอเพียง)
# สมาธิ (ฝึกความตั้งใจมั่นจนเกิดความสงบ (สมถะ) และทำสติให้รับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง) (วิปัสสนา) ด้วยความพยายาม
# ปัญญา (ให้จิตพิจารณาธรรมชาติจนรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) และตื่นจากมายาที่หลอกลวงจิตเดิมแท้ (ฐิติภูตัง)
=== ปฏิจจสมุปบาท/อิทัปปัจจยตา ===
=== ไตรลักษณ์ ===
=== เป็นเช่นนั้นเอง ===
=== ความว่าง ===
=== ความหลุดพ้น ===
== หลักปฏิบัติ ==
ศาสนาพุทธมุ่งเน้นเรื่องการพ้นทุกข์ และสอนให้รู้จักทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ให้พ้นจากความไม่รู้ความจริงในธรรมชาติ อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จากกิเลสทั้งปวงคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง รวมทั้งเน้นการศึกษาทำความเข้าใจ การโยนิโสมนสิการด้วยปัญญา และพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง เห็นเหตุผลว่าสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี จนเห็นตามความเป็นจริงว่าสรรพสิ่งในธรรมชาติเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ และสัตว์โลกที่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม แล้วเลือกใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาที่เหมาะกับผลที่จะได้สิ่งที่ปรารถนาอย่างถูกต้อง ด้วยความไม่ประมาทในชีวิตให้มีความสุขในทั้งชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป ตลอดจนปรารถนาในพระนิพพานของผู้มีปัญญา
=== ไตรสิกขา ===
การวางรากฐาน
=== การเจริญสติ ===
=== อริยมรรค ===
=== ทางสายกลาง ===
== ศาสนสถาน ==
วัดอันเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธ ซึ่งเป็นสถานที่อยู่อาศัย หรือ ที่จำพรรษา ของ พระภิกษุ สามเณรตลอดจน อุบาสิกา(แม่ชี)เพื่อใช้ประกอบกิจกรรมประจำวันของพระภิกษุสงฆ์ เช่น การทำวัตรเช้าและเย็น และสังฆกรรมในพระอุโบสถ อีกทั้ง ยังใช้ประกอบพิธีกรรมเช่นการเวียนเทียนเป็นต้นในวันสำคัญทางศาสนาพุทธ และยังเป็นศูนย์รวมในการมาร่วมกันทำกิจกรรมในทางช่วยกันส่งเสริมพุทธศาสนาเช่นการมาทำบุญในวันพระของแต่ละท้องถิ่นของพุทธศาสนิกชน อีกด้วย
== วันสำคัญทางศาสนา ==
วันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่สำคัญที่สุด คือ วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันพระพุทธ รองมาคือวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันพระธรรม และวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันพระสงฆ์
นอกจากวันสำคัญ 3 วันนี้แล้ว พุทธศาสนิกชนยังให้ความสำคัญกับวันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันตักบาตรเทโวและวันอัฏฐมีบูชาอีกด้วย
=== วันมาฆบูชา ===
วันมาฆบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหันต์จำนวน1250รูป ซึ่งโอวาทปาฏิโมกข์ประกอบไปด้วย หลักการ3 อุดมการ4 และวิธีการ6 ที่ทรงประสงค์ให้สาวกที่จะแยกย้ายไปเผยแผ่พุทธศาสนาในที่ต่างๆ มีแนวทางเผยแผ่เป็นอันเดียวกัน หรือเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเปรียบได้กับการกำหนดพันธกิจองค์กร หรือการก่อตั้งศาสนาในปัจจุบัน จึงถือว่าเป็นวันพระสงฆ์
=== วันวิสาขบูชา ===
วันวิสาขบูชา เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันพระพุทธ
=== วันอาสาฬหบูชา ===
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ทรงแสดงธัมมจักกัปวัตตนสูตรแก่ปัจจวัคคีย์ จนพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม และอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เป็นพระสงฆ์องค์แรก ทำให้มีพระรัตนตรัยครบสามประการ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงถือว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม
=== วันอัฏฐมีบูชา ===
คือวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 7 วัน) ถือเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือนวิสาขะ (เดือน 6 ของไทย)
นอกจากนั้น วันนี้เป็นวันคล้ายวันที่พระนางสิริมหามายา องค์พระพุทธมารดาสิ้นพระชนม์ (หลังประสูติ) และเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน (หลังตรัสรู้) อีกด้วย
== นิกาย ==
thumbnail|ถ้ำซ็อกคูรัม ประเทศเกาหลีใต้]]
ศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ได้ 2 นิกายคือ เถรวาทและมหายาน นอกจากนี้แล้วยังมีการแบ่งที่แตกต่างออกไปแบ่งเป็น 3 นิกาย เนื่องจากวัชรยานถือว่าตนเป็นยานพิเศษโดยเฉพาะ ต่างจากมหายาน
* เถรวาท หรือ สาวกยาน มีผู้นับถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทย, ศรีลังกา, พม่า, ลาว และกัมพูชา ส่วนที่นับถือเป็นส่วนน้อยพบทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม (โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อสายเขมร), บังกลาเทศ (ในกลุ่มชนเผ่าจักมา และคนในสกุลพารัว) และทางตอนบนของมาเลเซีย (ในหมู่ผู้มีเชื้อสายไทย)
* มหายาน (แปลว่า ยานใหญ่) หรือ อาจาริยวาท แพร่หลายในสาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้, เวียดนามและสิงคโปร์ พบเป็นประชาชนส่วนน้อยในประเทศเนปาล (ซึ่งอาจพบว่านับถือร่วมกับศาสนาอื่นด้วย) ทั้งยังพบในประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน
* วัชรยาน หรือ มหายานพิเศษ พบมากในเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน, ประเทศภูฏาน, มองโกเลีย และดินแดนในการปกครองรัสเซีย เช่น สาธารณรัฐตูวา และคัลมืยคียา นอกจากนี้เป็นประชากรส่วนน้อยในดินแดนลาดัก รัฐชัมมูและกัษมีร์ ประเทศอินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน (ในเขตบัลติสถาน)
== เชิงอรรถ ==
ไตรสรณคมน์ หรือที่แปลว่า การสมาทานนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก (taking refuge in the triple gem) เดิมเคยเป็นเอกลักษณ์และข้อผูกมัดแห่งวิถีพุทธ และเป็นความแตกต่างทั่วไประหว่างชาวพุทธกับศาสนิกชนอื่น
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* 84000 พระธรรมขันธ์ เว็บไซต์ข้อมูลพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐออนไลน์
* อภิธรรมออนไลน์
หมวดหมู่:ก่อตั้งในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล |
936 | https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศไทย | ประเทศไทย | |ไฟล์:Thai Royal Anthem - US Navy Band.ogg}}
| image_map =
| map_caption =
| capital = กรุงเทพมหานคร
| coordinates =
| largest_city = กรุงเทพมหานคร
| official_languages = ไทย
| languages_type = ภาษาถิ่น
| languages =
| ethnic_groups =
| ethnic_groups_ref =
| ethnic_groups_year = 2562
| religion =
*5.2% อิสลาม
*2.1% คริสต์
*0.2% ไม่มีศาสนา
*0.03% ฮินดู
*0.1% อื่น ๆ
| religion_ref =
| religion_year = 2566
| demonym = ชาวไทย
| government_type = รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
| leader_title1 = พระมหากษัตริย์
| leader_name1 = พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
| leader_title2 = นายกรัฐมนตรี
| leader_name2 = แพทองธาร ชินวัตร
| legislature = รัฐสภา
| upper_house = วุฒิสภา
| lower_house = สภาผู้แทนราษฎร
| sovereignty_type = สถาปนา
| established_event1 = อาณาจักรสุโขทัย
| established_date1 = 1792 - 1981
| established_event2 = อาณาจักรอยุธยา
| established_date2 = 1893 - 7 เมษายน 2310
| established_event3 = อาณาจักรธนบุรี
| established_date3 = 6 พฤศจิกายน 2310 - 6 เมษายน 2325
| established_event4 = อาณาจักรรัตนโกสินทร์
| established_date4 = 6 เมษายน 2325
| established_event5 = ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
| established_date5 = 24 มิถุนายน 2475
| established_event6 =
| established_date6 = 6 เมษายน 2560
| area_km2 = 513,120
| area_rank = อันดับที่ 50
| area_sq_mi = 198,115
| percent_water =
| population_estimate = 71,715,119
| population_estimate_year = 2566
| population_estimate_rank = อันดับที่ 20
| population_census = 64,785,909
| population_census_year = 2553
| population_census_rank = อันดับที่ 21
| population_density_km2 = 132.1
| population_density_sq_mi = 342
| population_density_rank = อันดับที่ 88
| GDP_PPP = 1.644 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
| GDP_PPP_year = 2567
| GDP_PPP_rank = อันดับที่ 23
| GDP_PPP_per_capita = 23,401 ดอลลาร์สหรัฐ
| HDI = 0.798
| HDI_year = 2566
| HDI_change = decrease
| HDI_ref =
| HDI_rank = อันดับที่ 76
| currency = บาท (฿)
| currency_code = THB
| time_zone = ICT
| utc_offset = +7
| date_format = วว/ดด/ปปปป (พ.ศ.)
| drives_on = ซ้ายมือ
| calling_code = +66
| iso3166code = TH
ประเทศไทย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรไทย เดิมมีชื่อว่า สยาม (ชื่ออย่างเป็นทางการจนถึง พ.ศ. 2482) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนคาบสมุทรอินโดจีน มีพรมแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดพม่า ทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือติดลาว และตะวันออกเฉียงใต้ติดกัมพูชา และเชื่อมกับอ่าวไทยและมาเลเซียทางทิศใต้ รวมทั้งทะเลอันดามันทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และยังมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับเวียดนามทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงอินโดนีเซียและอินเดียทางตะวันตกเฉียงใต้ มีจำนวนประชากรเกือบ 66 ล้านคน มีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร (198,115 ตารางไมล์) มีกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุด
เชื่อว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยอยู่ถาวรในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันมาแล้วประมาณ 40,000 ปี เดิมชาวมอญ ขอม และ มลายูปกครองพื้นที่ดังกล่าว บ้างก็มีทฤษฎีว่าชาวชาวไทเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในแถบเดียนเบียนฟูในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 และเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันในคริสต์ศตวรรษที่ 8-10 ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ของนักประวัติศาสตร์ แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท ภายหลังมีการตั้งแว่นแคว้นต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่ อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านนา และอาณาจักรอยุธยา นักประวัติศาสตร์มักถือว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย อาณาจักรอยุธยาก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1893 ต่อมาค่อย ๆ เรืองอำนาจมากขึ้นจนเป็นประเทศอำนาจนำภูมิภาคในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 แทนจักรวรรดิขอม และสามารถผนวกสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตนได้ การติดต่อกับชาติยุโรปเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2054 โดยมีคณะผู้แทนทางการทูตชาวโปรตุเกสเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา อาณาจักรอยุธยารุ่งเรืองถึงขีดสุดจนกระทั่งถูกทำลายสิ้นเชิงในการทำสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงรวบรวมบ้านเมืองที่แตกออกเป็นชุมนุมต่าง ๆ และสถาปนาอาณาจักรธนบุรีที่มีอายุ 15 ปี ความขัดแย้งช่วงปลายรัชกาลนำไปสู่การสำเร็จโทษพระองค์โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้สถาปนาอาณาจักรรัตนโกสินทร์ขึ้นและทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงเทพมหานครใน พ.ศ. 2325 ตลอดยุคจักรวรรดินิยมในเอเชีย สยามยังคงเป็นรัฐเดียวในภูมิภาคที่รอดพ้นการล่าอาณานิคมโดยมหาอำนาจตะวันตก ถึงแม้ว่าสยามจะถูกบังคับให้ยอมสละดินแดน การค้า และทางกฎหมายในสนธิสัญญาไม่เสมอภาคบ่อยครั้งก็ตาม ระบบการปกครองของสยามถูกเปลี่ยนมาเป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบรวมศูนย์อำนาจในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสยามเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเป็นการตัดสินใจทางการเมืองเพื่อแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาค ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 การรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในทางการเมือง
หลังจากการปฏิวัติโดยไม่เสียเลือดเนื้อในปี 2475 สยามได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็นประเทศไทย และกลายเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง รวมทั้งมีสถานะเป็นพันธมิตรหลักนอกเนโทของสหรัฐในช่วงสงครามเย็น และมีบทบาทในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคในฐานะสมาชิกซีโต้ นอกเหนือจากระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาช่วงสั้น ๆ ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 และ 1990 ประเทศไทยยังสลับสับเปลี่ยนระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับการปกครองแบบเผด็จการทหารเป็นระยะ ๆ นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 ประเทศอยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้สนับสนุนและฝ่ายตรงข้ามของทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งถึง 2 สมัย ซึ่งส่งผลให้เกิดการรัฐประหาร 2 ครั้ง (พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557) พร้อมด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน รัฐบาลผสมหลังการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย พ.ศ. 2562 และการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งใหญ่ พ.ศ. 2563-2564 ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องที่ไม่เคยมีมาก่อนในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โครงสร้างรัฐธรรมนูญปัจจุบันยังเอื้อประโยชน์ให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองโดยพฤตินัย
ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจกลางในกิจการระดับโลกและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียน มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใหญ่เป็นอันดับ 23 ของโลกตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ และอยู่ในอันดับที่ 29 ตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ โดยมีภาคการผลิต เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนชั้นนำ
== ชื่อเรียก ==
SPPM Mongkut Rex Siamensium (สมเด็จพระปรมินทรมหามงกุฎ พระเจ้ากรุงสยาม) พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ชาวต่างชาติเรียกอาณาจักรอยุธยาว่า "สยาม" เมื่อราวปี 2000 ยอร์ช เซเดส์ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เขียนว่ามีการพาดพิงทาสหรือเชลยศึกซีเอม (Syam) ในจารึกอาณาจักรจามปาในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทว่าคนไทยไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" หรือ "ชาวสยาม" เลย ส่วนคำว่า "คนไทย" นั้น จดหมายเหตุลาลูแบร์ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่า ชาวอยุธยาเรียกตนเองเช่นนั้นมานานแล้ว ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 รัฐบาลแปลก พิบูลสงคราม ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยม ฉบับที่ 1 เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" ซึ่งแปลกต้องการบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทยมิใช่ของเชื้อชาติอื่นตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อประเทศกลับเป็นสยามอีกช่วงสั้น ๆ เมื่อปี 2488 และเปลี่ยนกลับมาใช้ว่าไทยอีกครั้งเมื่อปี 2491 ซึ่งเป็นช่วงสมัยรัฐบาลที่แปลกกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน]]
มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคหินเก่าอย่างน้อยราว 20,000 ปี พบหลักฐานการปลูกข้าวเก่าแก่สุดเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาลเริ่มปรากฏการใช้เหล็ก หลักฐานจีนบันทึกถึงชาวไทครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล และมีแนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทอยู่หลายแนวคิด
=== อาณาจักรสุโขทัยและแคว้นต่าง ๆ ===
เขตอิทธิพลใน[[คาบสมุทรอินโดจีน ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13]]
เมื่อจักรวรรดิเขมรและอาณาจักรพุกามเสื่อมอำนาจเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทำให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไล่เลี่ยกัน อาณาจักรของชาวไทกินอาณาบริเวณตั้งแต่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียปัจจุบันจนถึงทิศเหนือของลาว และลงไปถึงคาบสมุทรมลายู การปกครองของอาณาจักรอยุธยามีลักษณะเป็นเครือข่ายราชรัฐและจังหวัดบรรณาการที่สวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์อยุธยาตามระบบมณฑล เนื่องจากขาดกฎสืบราชสมบัติ เมื่อใดที่มีการผลัดแผ่นดินจะมีเจ้าหรือขุนนางทรงอำนาจยกทัพเข้าเมืองหลวงเพื่ออ้างสิทธิ์ทำให้เกิดการนองเลือดบ่อยครั้ง การขยายอาณาเขตช่วงแรกอาศัยการพิชิตดินแดนและการอภิเษกทางการเมือง อย่างไรก็ดี การพยายามขยายอำนาจไปยังรัฐสุลต่านมะละกาทางใต้
[[โกษาปานนำพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถวายแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14]]
จากนั้น กรุงศรีอยุธยายังมุ่งเพิ่มความสัมพันธ์กับชาติยุโรปต่อมาอีกหลายรัชกาล หลังจากนั้นบ้านเมืองแตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ารวมทั้งสิ้น 5 ก๊ก ในปีเดียวกัน เจ้าตาก (ต่อมาเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ได้รวบรวมไพร่พลขับไล่พม่า และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี พระองค์ทรงรวบรวมแผ่นดินให้อยู่ภายใต้พระองค์ ด้านสงครามภายนอก กองทัพธนบุรีสามารถขับไล่พม่าออกจากล้านนาได้ใน พ.ศ. 2319 ใน พ.ศ. 2364 จอห์น ครอว์เฟิร์ดถูกส่งมาเจรจาความตกลงการค้าฉบับใหม่กับกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของปัญหาที่จะครอบงำการเมืองสยามในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ใน พ.ศ. 2369 กรุงเทพมหานครลงนามสนธิสัญญาเบอร์นี หลังสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่หนึ่งยุติลงด้วยชัยของอังกฤษ การเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหันของพระองค์ด้วยโรคมาลาเรียทำให้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ สืบราชสมบัติทั้งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการ ล่วงเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 20 สยามมุ่งเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคตั้งแต่สนธิสัญญาเบาว์ริงรวมทั้งสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่ต้องแลกมาด้วยการแลกเปลี่ยนดินแดนหลายครั้ง และริเริ่มระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งทำให้เขาได้รับฐานเสียงขนาดใหญ่ในหมู่คนยากจน ใน พ.ศ. 2547 เกิดคลื่นสึนามิพัดถล่มภาคใต้และเริ่มต้นความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้อีกครั้ง ใน พ.ศ. 2548 ทักษิณชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลายและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง โดยมีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่ปลายปี 2548 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้นโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ประท้วงขับไล่เขาออกจากตำแหน่ง สุดท้ายมีรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณในเดือนกันยายน 2549 รัฐบาลทหารปกครองประเทศหนึ่งปีจนมีการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550
[[การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553]]
พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปใน พ.ศ. 2550 และจัดตั้งรัฐบาล ต่อมา พธม. จัดการชุมนุมใหญ่ใน พ.ศ. 2551 ซึ่งมีการปิดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรครัฐบาล 3 พรรค หลังจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ ชุมนุมประท้วงรัฐบาลใน พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2553 ซึ่งครั้งหลังนี้ยุติลงด้วยการเข้าสลายการชุมนุมของทหารทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 70 คน ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ชนะการเลือกตั้งและเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ในปีเดียวกัน เกิดมหาอุทกภัย มีพื้นที่ประสบภัย 65 จังหวัด นับเป็น "อุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดทั้งในแง่ของปริมาณน้ำและจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ"
ปลายปี พ.ศ. 2556 เกิดวิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่ มีสาเหตุหลักจากสภาผู้แทนราษฎรผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ เกิดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลได้ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้เพิกถอนการเลือกตั้ง วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 กองทัพยึดอำนาจการปกครองประเทศ คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองพยายามจัดโครงสร้างการเมืองเพื่อสงวนอำนาจของอภิชน เพิ่มบทบาทและอำนาจของกองทัพขณะที่ลดอำนาจของประชาสังคมและการปกครองส่วนท้องถิ่นจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังมีการวางแผนปฏิรูปประเทศ 20 ปี และให้วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคที่กองทัพชี้นำประชาธิปไตย หลังพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2559 และเข้าสู่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กองทัพก้าวเข้ามาเป็นผู้ชี้นำการกระจายอำนาจและผลประโยชน์ในช่วงหลังเปลี่ยนรัชกาลใหม่ รวมทั้งมีกระแสสาธารณรัฐนิยมมากที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายทหารสองพรรค ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (อดีตหัวหน้า คสช.) อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรค และพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (อดีตรองหัวหน้า คสช.) เป็นหัวหน้าพรรค ส่งผลให้พรรคก้าวไกล (พรรคประชาชนในปัจจุบัน) ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดจากการเลือกตั้งกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน เศรษฐา ทวีสิน ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับประเทศไทยภายหลังลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศเป็นเวลากว่า 15 ปี ต่อมาในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนเศรษฐาจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องจาก "ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง" แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของทักษิณได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อ
== ภูมิประเทศ ==
ประเทศไทยตั้งอยู่กลางคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังอยู่บนคาบสมุทรมลายูด้วย อยู่ระหว่างละติจูด 5° ถึง 21° เหนือ และลองติจูด 97° ถึง 106° ตะวันออก มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร เป็นอันดับที่ 51 ของโลกและอันดับที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซียและเมียนมาร์ ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล (maritime zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 กว่า 323,488 ตารางกิโลเมตร มีความยาวชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันรวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมความยาวชายฝั่งทะเลในประเทศไทยทั้งสิ้น 3,148 กิโลเมตร
ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดสูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่ค่อยเอื้อต่อการเพาะปลูก ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง มีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งเกิดจากแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ภาคกลางเป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ
=== ภูมิอากาศ ===
ภูมิอากาศของไทยส่วนใหญ่เป็นแบบ "ภูมิอากาศร้อนชื้นเขตร้อนหรือสะวันนา" ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน ส่วนปลายใต้สุดและตะวันออกสุดของประเทศมีภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง 18-34 °C
ประเทศไทยมี 3 ฤดูกาล ฤดูแรกเป็นฤดูฝนหรือฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม) ฝนตกหนักที่สุดในเดือนสิงหาคมและกันยายน ฤดูหนาวหรือฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีอากาศแห้งและอุณหภูมิไม่ร้อนมาก ยกเว้นภาคใต้ที่มีฝนตกหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน มีอากาศร้อนในฤดูหนาว รวมถึงมีปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากเอลนีโญ ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะสุขภาพของประชากรไทยโดยรวม
=== ความหลากหลายทางชีวภาพ ===
ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคเกษตรกรรม และประเทศไทยมีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน ในประเทศไทย พบนก 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งมีการบันทึก
การลักลอบล่าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ยังเป็นปัญหาสำคัญ นักล่ามักฆ่าสัตว์อย่างเสือโคร่ง เสือดาวและแมวใหญ่อื่นเพื่อเอาหนัง มีการเลี้ยงหรือล่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้งเสือโคร่ง หมี จระเข้และงูจงอางเพื่อเอาเนื้อ ประชากรช้างซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณ 100,000 ตัวในปี 2393 เหลือเพียง 2,000 ตัวในปัจจุบัน การล่าเพื่อเอางาและหนังยังคงเป็นปัญหาหลัก รวมถึงการใช้แรงงาน และทารุณกรรมอย่างผิดกฏหมายในสถานที่ท่องเที่ยว แม้การค้าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ผิดกฎหมาย แต่ตลาดนัดจตุจักรในกรุงเทพมหานครยังขึ้นชื่อเรื่องการขายสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อยู่
นับได้ว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในระดับปานกลาง หากแต่มีการปรับปรุงที่ดีขึ้นในดัชนีประสิทธิภาพสิ่งแวดล้อมโลก (EPI) โดยมีการจัดอันดับโดยรวม 91 ประเทศจาก 180 ประเทศในปี 2559 ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับแย่ที่สุด ได้แก่ คุณภาพอากาศ (167) ผลกระทบจากอุตสาหกรรมการเกษตร (106) และสภาพภูมิอากาศและพลังงาน (93) อันมีสาเหตุหลักจากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงต่อกิโลวัตต์ตามชั่วโมงการผลิต อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังอยู่ในอันดับที่ดีในแง่การจัดการทรัพยากรน้ำ (66) โดยคาดว่าจะมีการปรับปรุงที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต รวมทั้งในด้านสุขาภิบาล (68) ทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของชาวไทยแตกต่างกันไปตามรัชกาล
ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นับเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศไทยขาดเสถียรภาพทางการเมืองสูงและมีรัฐประหารหลายครั้ง รัฐธรรมนูญมักถูกเปลี่ยนโดยผลของรัฐประหาร ประเทศไทยมีรัฐประหารมากที่สุดในโลกในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ในปี 2558 "ประเทศไทยมีทหารหรืออดีตทหารเป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศไทยเป็นเวลา 55 ปี จาก 83 ปีนับแต่ล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475" รัฐประหารครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2557 โดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งผลพวงจากเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564
ในทางพฤตินัย ปัจจุบันประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์การเมืองระบุว่าระบอบดังกล่าวมาจากการเลือกตั้งที่มีข้อบกพร่องและเป็นการสืบทอดอำนาจของกองทัพ รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ระบุว่า ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือใช้ว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยกำหนดรูปแบบองค์กรบริหารอำนาจทั้งสามส่วนดังนี้
* อำนาจนิติบัญญัติ มีรัฐสภาซึ่งใช้ระบบสภาคู่เป็นผู้ใช้อำนาจ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 500 คนจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 คน แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน มีวาระ 4 ปี โดยการเลือกตั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2566 และวุฒิสภาซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกกันเองจำนวน 200 คน มีวาระ 5 ปี โดยการเลือกล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2567 รัฐสภายึดระบบเวสต์มินสเตอร์ และใช้สัปปายะสภาสถานเป็นที่ประชุม
* อำนาจบริหาร มีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขแห่งอำนาจและเป็นหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรีอื่นไม่เกิน 35 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปีนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
* อำนาจตุลาการ มีระบบศาล ซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประมุขในส่วนของตน
กองทัพและอภิชนข้าราชการประจำควบคุมพรรคการเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จตั้งแต่ปี 2489 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 (ประมาณปี 2523) พรรคการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่มีความเป็นสถาบัน (institutionalize) ต่ำและแทบทั้งหมดมีอายุสั้น และมีแนวโน้มเป็นระบบพรรคเดียว (พรรคไทยรักไทย) มากขึ้นจนถึงปี 2549
อย่างไรจำนวนปีดังกล่าวไม่นับ ร้อยตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งไม่ได้เป็นทหารอาชีพหลายตำราจึงให้เป็นนายกพลเรือนมากกว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารหากนับจะเพิ่มเป็น 65 ปี 11 เดือน จาก 91 ปี จึงสรุปได้ว่าหากรวมอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีที่มียศทหารครองอำนาจร้อยละ 72 จากระยะเวลาทั้งหมด 91 ปี
อนึ่ง ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหาร 11 รายซึ่งสามรายจากสิบเอ็ดรายเป็นพลเรือน อาทิ ธานินทร์ กรัยวิเชียร อานันท์ ปันยารชุน พจน์ สารสิน โดยได้รับตำแหน่งภายหลังรัฐประหาร ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารหรืออดีตทหารที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการรัฐประหารด้วยเช่นกัน อาทิ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และ ร้อยตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พรรคการเมืองซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้งตั้งแต่ปี 2544 จนกระทั่งการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ชัยชนะของพรรคที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของตลอด 22 ปี ได้พ่ายแพ้เป็นครั้งแรกโดยพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ
อย่างไรก็ตามพรรคที่ทักษิณเป็นเจ้าของได้จัดตั้งรัฐบาลโดยเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งเป็นพรรคทหารที่ก่อการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 สร้างความตกใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมากเนื่องจากพรรคการเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการรัฐประหารกลับนำพรรคการเมืองที่มีส่วนในการรัฐประหารเชิญเข้าร่วมรัฐบาลและพร้อมเสนอตำแหน่งรัฐมนตรีให้แก่บุคคลสำคัญของพรรค นับเป็นการตระบัดสัตย์อีกครั้งหนึ่งของบุคคลที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงเพื่อที่จะได้คะแนนเสียงจากวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 ที่มาจากทหารในการจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น
=== การแบ่งเขตการปกครอง ===
ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มีการจัดระเบียบราชการออกเป็นสามระดับ ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนภูมิภาคจัดระเบียบเป็น 76 จังหวัด โดยจังหวัดเป็นการแบ่งเขตการปกครองระดับบนสุด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล สำหรับกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาเป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ สำหรับปริมณฑลและภูมิภาคไม่ใช่การแบ่งเขตการปกครองตามกฎหมาย ทั้งนี้ มีการแบ่งประเทศไทยออกเป็น 4 ถึง 6 ภาค แล้วแต่แหล่งอ้างอิง
การแบ่งจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทยออกเป็น 6 ภาค ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2478
=== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ===
อาณาจักรโบราณของไทยมีความสัมพันธ์เป็นรัฐบรรณาการของจีน ส่วนความสัมพันธ์กับรัฐใกล้เคียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่จะเน้นการรวบรวมอาณาจักรของคนไทซึ่งรวมทั้งสุโขทัย ล้านนา นครศรีธรรมราช และล้านช้าง ส่วนความสัมพันธ์กับพม่าและเวียดนามเป็นไปในลักษณะการทำสงครามเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ โดยมีการแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือกัมพูชากับเวียดนามตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนความสัมพันธ์ด้านการค้านั้น กรุงศรีอยุธยามีการค้าขายกับชาติในเอเชียและตะวันตกและเป็นเมืองท่าสำคัญ
นับแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศสยามเผชิญกับลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก นำไปสู่การลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริงซึ่งเป็นสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม รัฐบาลลงนามสนธิสัญญาทำนองเดียวกันกับชาติตะวันตกหลายประเทศเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์แบบพหุภาคีเพื่อให้ชาติเหล่านั้นถ่วงดุลกันเอง ประเทศสยามไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกซึ่งสาเหตุบางส่วนเนื่องจากบริเตนและฝรั่งเศสตกลงให้สยามเป็นรัฐกันชน ประเทศสยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ได้แก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม และในสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่น แต่กลับได้สถานะผู้ชนะสงครามไปด้วย จนได้ชื่อว่า "การทูตไม้ไผ่" หรือ "การทูตลู่ตามลม"
เครื่องบินขับไล่[[เอฟ-16 ไฟทิงฟอลคอนของกองทัพอากาศไทย]]
พระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยนิตินัย ในทางปฏิบัติ กองทัพอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงกลาโหม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บัญชาการ กองทัพไทยแบ่งออกเป็น 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ทุกวันนี้กองทัพไทยมีกำลังทหารทั้งสิ้น 1,025,640 นาย และมีกำลังหนุนกว่า 200,000 นาย และมีกำลังกึ่งทหารประจำการกว่า 113,700 นาย ในปี 2558 เครดิตสวิสจัดอันดับว่าประเทศไทยมีดัชนีกำลังทางทหารสูงเป็นอันดับที่ 16 ของโลก งบประมาณกลาโหมเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจาก 78,100 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 207,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2559 คิดเป็นประมาณร้อยละ 1.5 ของจีดีพี
ประเทศไทยมีการเกณฑ์ทหาร โดยหน้าที่ในการรับราชการทหารของชายไทยมีบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญ ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศอำนาจทางบกตามแบบที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ พร้อมทั้งกองทัพอากาศขนาดใหญ่พอสมควรและมีสมรรถนะกองทัพเรือที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การซื้อเรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือบรรทุกเครื่องบิน มีปัจจัยด้านเกียรติภูมิเข้ามาเกี่ยวข้องนอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอย
หน้าที่หลักของกองทัพไทยคือการรับมือภัยคุกคามในประเทศมากกว่านอกประเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายการเมืองของกองทัพไทย โดยมีอำนาจหน้าที่ทางสังคมและเศรษฐกิจของราชการพลเรือนด้วย และยังมีภารกิจในการต่อต้านประชาธิปไตย
=== อาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ===
คดีอาชญากรรมรวมทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละประมาณร้อยละ 1.3 ระหว่างปี 2540-2554 ในช่วงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร (กุมภาพันธ์-เมษายน 2546) อาชญากรรมยาเสพติดลดลงร้อยละ 64.6 แต่การฆ่าคนและอาชญากรรมอื่นต่อบุคคลเพิ่มขึ้น จังหวัดชลบุรีและภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีอาชญากรรมสูงสุดสองอันดับแรก แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาชญากรรมรุนแรง สหประชาชาติวิจารณ์ประเทศไทยว่าไม่สามารถขจัดความเป็นทาสและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคประมง ทรัพย์สินที่ถูกขโมยส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำติดตัวไปได้ นอกจากนั้นเป็นเครื่องใช้นอกและในบ้าน เครื่องประดับ เป็นต้น ประเทศไทยมีจำนวนผู้ต้องขังมากที่สุดในอาเซียน และมากเป็นอันดับที่ 3 ของทวีปเอเชีย ผู้ต้องขังก่อนพิจารณาคดีในศาลคิดเป็นร้อยละ 18 ของประชากรเรือนจำ ในปีงบประมาณ 2559 มีผู้เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว 762 คน บริษัทที่ไม่จ่ายค่าอำนวยความสะดวกแก่ข้าราชการอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันเทียบกับบริษัทอื่น และ "โหด"
== เศรษฐกิจ ==
กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ กรุงเทพมหานครเป็นนครที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ในทวีปเอเชีย
ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบผสม ประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดให้ประเทศไทยเป็น "ผู้ประสบความสำเร็จสูง" ในเอเชียตะวันออก ในปี 2556 ประเทศไทยมีดัชนีการรับรู้การทุจริตค่อนข้างต่ำ โดยอยู่อันดับที่ 102 จาก 177 ประเทศ ธนาคารโลกจัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศมีรายได้ปานกลาง-สูงในปี 2554 เศรษฐกิจของประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าสองในสามของจีดีพีรวมในประเทศ การส่งออกสินค้าและบริการคิดเป็นมูลค่ากว่า 105 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร, คอมพิวเตอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ข้าว, ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและรองเท้า, ผลิตภัณฑ์ประมง, ยาง และอัญมณี
ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับที่ 28 ของโลก ในปี 2564 การส่งออกเป็นสัดส่วน 74% ของจีดีพี ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพีมากที่สุดคือ 38.1% ภาคการค้าส่ง ค้าปลีกมีสัดส่วนต่อจีดีพี 13.4% ภาคการขนส่งและการสื่อสารมีสัดส่วนต่อจีดีพี 10.2% ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพี 8.3% ในปี 2552-2553 ประเทศไทยส่งชิ้นส่วนและส่วนประกอบออก ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ มูลค่า 48,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 25% ของมูลค่าการส่งสินค้าออก เครื่องจักรเป็นทั้งสินค้านำเข้าและส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทย องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) เป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของไทย
ประเทศไทยมีกำลังแรงงาน 39.38 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด 15.41 ล้านคน หรือ 39.1% ของกำลังแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ค่าแรงขั้นต่ำทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท อัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ 1.2% กับทั้ง 40% มีปัญหาการทำงานต่ำระดับ ในปี 2559 ประเทศไทยมีผู้ย้ายถิ่นขึ้นทะเบียนประมาณ 2 ล้านคน โดยหนึ่งในสามเป็นผู้ถือใบอนุญาตทำงานชั่วคราว ส่วนแรงงานไม่สม่ำเสมอคาดว่ามีอีกประมาณ 1-2 ล้านคน หลังรัฐประหารปี 2557 แรงงานต่างด้าวกัมพูชาหลบหนีกลับประเทศจำนวน 180,000 คนหลังรัฐบาลประกาศปราบปราม หลังประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ทำให้มีแรงงานต่างด้าวออกนอกประเทศหลายหมื่นคน ในปี 2560 เศรษฐกิจไทยมีแรงงานนอกระบบ (คือแรงงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองหรือไม่มีหลักประกันสังคม) 20.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 55.2 ของผู้มีงานทำ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยเป็นประเทศยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไทยซบเซามาอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษ ระหว่างปี 2508 ถึง 2539 ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้นต่อคนเติบโตร้อยละ 7 ต่อปี และระหว่างปี 2530 ถึง 2539 เรียกว่าเป็นช่วง "เศรษฐกิจบูม" เศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วที่สุดในโลก ซึ่งมาจากการลงทุนระดับสูงมาก ด้วยการขาดเสถียรภาพจากการประท้วงใหญ่ในปี 2553 การเติบโตของจีดีพีของประเทศไทยอยู่ที่ราวร้อยละ 4-5 ลดลงจากร้อยละ 5-7 ในรัฐบาลพลเรือนก่อน ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทหารหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ที่เรียก ประชารัฐ ทำให้เกิดทุนนิยมแบบลำดับชั้นที่ธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยเชื้อสายจีนเข้าไปเลี้ยงดูและชี้นำธุรกิจในท้องถิ่น หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสมัยประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 7 ปี (จนถึงเดือนพฤษภาคม 2564) รัฐบาลกู้เงินแล้ว 8.47 ล้านล้านบาท และมีตัวเลขในเดือนมิถุนายน 2565 ว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 42.50 เป็นร้อยละ 60.58 ใน 8 ปี
ในปี 2560 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3.9 เมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.3 ในปี 2559 นับเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภาครัฐที่สูง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญให้รัฐบาลจำต้องเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของประเทศจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี
จากข้อมูลในปี 2567 พบว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาผลผลิตต่ำ, ปัญหาการศึกษา, หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูง, การลงทุนจากภาคเอกชนต่ำ และการชลอตัวในการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นจาก 605 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2543 หลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ภาคครัวเรือนยังมีสภาพคล่องดี และมีความสามารถในการดำรงการบริโภคได้ แม้มีรายได้สุทธิต่อค่าใช้จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับปี 2549 แต่การบริโภคไม่ได้ลดลง กรุงเทพมหานครซึ่งมีผลิตภัณฑ์จังหวัดสูงสุดมีมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัดเป็น 406.9 เท่าของจังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งมีน้อยที่สุด{{refn|group=เชิงอรรถ|name=GPP58|ในปี 2558 กรุงเทพมหานครมีผลิตภัณฑ์จังหวัด 4,437,405 ล้านบาท ส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีผลิตภัณฑ์จังหวัด 11,448 ล้านบาท}}
ในปี 2560 ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 26,946 บาท ครัวเรือนที่มีรายได้สูงสุดร้อยละ 20 มีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็นร้อยละ 45.0 และครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำสุดร้อยละ 20 มีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็นร้อยละ 7.1
ในปี 2559 สถาบันการเงินเครดิตสวิสรายงานว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากประเทศรัสเซียและอินเดีย
ในปี 2559 ประเทศไทยมีคนยากจน 5.81 ล้านคน หรือร้อยละ 8.6 ของประชากร แต่หากนับรวม "คนเกือบจน" (near poor) ด้วยจะเพิ่มเป็น 11.6 ล้านคน หรือร้อยละ 17.2 ของประชากร ในปี 2559 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือมีสัดส่วนคนจนร้อยละ 12.96, 12.35 และ 9.83 ของประชากรในแต่ละภาคตามลำดับ
=== เกษตรกรรม ===
ประเทศไทยเป็น[[การผลิตข้าวในประเทศไทย|ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก]]
การพัฒนาการเกษตรตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ ในพื้นที่ชนบท อาชีพเกษตรกรรมคิดเป็นกึ่งหนึ่งของการจ้างงาน ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 55% ใช้ปลูกข้าว ในปี 2551 ประเทศไทยส่งข้าวออกราว 10 ล้านตัน คิดเป็นประมาณ 33% ของการค้าข้าวทั่วโลก ข้าวเป็นพืชผลสำคัญสุดของประเทศ และประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งมาช้านาน จนประเทศอินเดียและเวียดนามแซงเมื่อไม่นานนี้
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นร้อยละ 40 ของยางธรรมชาติโลก พืชที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุดอื่น ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง เนื้อไก่ เนื้อหมู มะม่วง มังคุด ฝรั่ง สัปปะรด รวมทั้งพวกผลไม้เขตร้อน ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่สุดในอาเซียน
=== อุตสาหกรรม ===
alt=Women wearing gloves and masks on an assembly line|คนงานสายการผลิตในโรงงานใน[[จังหวัดฉะเชิงเทรา]]
บริษัทเกือบทั้งหมดของไทย กว่า 2.7 ล้านวิสาหกิจ คิดเป็นร้อยละ 99.7 จัดเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในปี 2560 SME คิดเป็นการจ้างงานร้อยละ 80.3 ของการจ้างงานทั้งหมด (13 ล้านคน) ในปี 2556 สัดส่วนต่อจีดีพีของ SME อยู่ที่ร้อยละ 37.4 มีรายงานว่า SME ร้อยละ 70 ปิดกิจการภายใน "ไม่กี่ปี"
อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นภาคส่งออกใหญ่สุดของไทย คิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2557 การส่งออกดังกล่าวรวมมูลค่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีคนงานประมาณ 780,000 คนในปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 12.2 ของการจ้างงานทั้งหมดในภาคการผลิต แต่ผู้ผลิตกำลังย้ายการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าประเทศไทย อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่สุดเป็นอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีการจ้างงานประมาณ 417,000 ตำแหน่งในปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 10 ของจีดีพีประเทศ คนงานกว่าร้อยละ 70 ในทั้งสองภาคมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียงานให้กับหุ่นยนต์ ในปี 2558 ประเทศไทยมีการนำเข้าซึ่งพลังงานขั้นต้นสุทธิเทียบเท่าน้ำมัน 1.253 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมีการซื้อไฟฟ้าจากประเทศลาว และแก๊สธรรมชาติจากประเทศพม่า ปัญหาราคาน้ำมันในไทยมีสาเหตุมาจากโครงสร้างราคาน้ำมันที่มีการเก็บภาษีและเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ ถึง 35-60% ของราคาหน้าปั๊ม การอุดหนุนเชื้อเพลิงชีวภาพที่แพงกว่าน้ำมันปกติ และการปล่อยให้เอกชนกำหนดค่ากลั่นน้ำมันได้เอง
ในปี 2554 ประเทศไทยมีสมรรถภาพติดตั้งผลิตไฟฟ้าประมาณ 32.4 กิกะวัตต์ โดยผลิตจากแก๊สธรรมชาติมากที่สุด (71%) ประเทศไทยคิดสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์เพื่อลดการพึ่งพาแก๊สธรรมชาติ แต่หลังภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิในปีนั้น ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกที่เสนอถูกเลื่อนไปหลังปี 2569
ในปี 2561 รัฐบาลได้จัดทำแผนพัฒนาพลังงานทดแทน พ.ศ. 2561-2580 เพื่อเพิ่มพลังงานหมุนเวียนในประเทศเป็นเกือบ 30,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2580
=== การขนส่ง ===
แผนที่ถนนในประเทศไทย
การขนส่งทางถนนเป็นภาคหลักของการขนส่งผู้โดยสารและค่าระวางในประเทศไทย โดยคิดเป็นร้อยละ 85 และ 86 ของการขนส่งทางบกทั้งหมดตามลำดับ และมีเครือข่ายถนน 462,133 สาย อุตสาหกรรมขนส่งค่าระวางในประเทศไทยอาศัยรถบรรทุกถึงร้อยละ 80 ในปี 2555 ประเทศไทยมีอัตราเป็นเจ้าของยานพาหนะ 488 คันต่อประชากร 1,000 คน มากเป็นอันดับสองของอาเซียน และมีการดำเนินการรถตู้สาธารณะ 114 เส้นทางจากกรุงเทพมหานคร ในปี 2559 ประเทศไทยเป็นประเทศที่การจราจรติดขัดมากที่สุดในโลก สหประชาชาติจัดอันดับถนนในประเทศไทยว่าอันตรายสูงสุดเป็นอันดับสองของโลก โดยมียอดผู้เสียชีวิตจากยานพาหนะกว่า 30,000 คนต่อปี ซึ่งเป็นอัตราต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศลิเบีย การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้ดำเนินการเส้นทางรางแห่งชาติของประเทศ ซึ่งถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพและไม่ยอมเปลี่ยนแปลง รถไฟมักช้าและอุปกรณ์ส่วนใหญ่เก่าและมีการบำรุงรักษาไม่ดี ความพยายามของรัฐบาลในการจัดโครงสร้างใหม่และโอนเป็นของเอกชนถูกสหภาพคัดค้านอย่างหนักตลอดมา ในช่วงปีหลัง มีความพยายามก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง
สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และ สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทำหน้าที่ปลายทางหลักสำหรับเส้นทางข้ามจังหวัด ในขณะที่สถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ลาดกระบัง และสถานีรถไฟพหลโยธินเป็นสถานีหลักสำหรับขนส่งสินค้า การขนส่งระบบรางในกรุงเทพมหานครซึ่งรวมถึงการขนส่งทางไกล ประกอบด้วยระบบขนส่ง 4 ระบบในปัจจุบัน: รถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟฟ้ามหานคร, รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ แม้จะเคยมีโครงการพัฒนารถไฟฟ้ายกระดับ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าลาวาลิน และโครงการโฮปเวลล์แต่ถูกยกเลิกทั้งหมด ก่อนที่แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2537 และดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2538 จนถึงปัจจุบัน
ประเทศไทยมีท่าอากาศยานพาณิชย์ 38 แห่ง ในปี 2559 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมากที่สุดของประเทศและเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ประเทศไทยมีทางน้ำในประเทศที่ใช้เดินเรือได้ 1,750 กิโลเมตร ประเทศไทยท่าเรือน้ำลึกระหว่างประเทศ 8 แห่ง จำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากเดิมที่มีชาวต่างชาติ 336,000 ราย และทหารที่เข้ามาพัก 54,000 นายในปี 2510 ประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศมากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและลาว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศตั้งขึ้นในปี 2522 นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการจัดตั้งตำรวจท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เชื่อว่าเงินนักท่องเที่ยวอย่างน้อยร้อยละ 10 ใช้ค้าประเวณี ประเทศไทยติดอันดับจุดหมายปลายทางสำคัญด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกในด้านการใช้จ่าย ตามข้อมูลของสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลกซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมากถึง 2.5 ล้านคนในปี 2561 และเป็นอันดับ 1 ในทวีปเอเชีย ในปี 2556 ประเทศไทยมีรายจ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.5 ของจีดีพี เป็นรายจ่ายจากภาครัฐร้อยละ 51.3 และจากภาคเอกชนร้อยละ 48.7 รัฐบาลมีแผนใช้สิ่งจูงใจภาษีเพื่อเพิ่มการลงทุนของเอกชน การวิจัยและพัฒนาในประเทศไทยมีสัดส่วนงานวิจัยประยุกต์สูงกว่างานวิจัยพื้นฐานมาก ข้อมูลในปี 2552 พบว่าประเทศไทยมีนักวิจัย 38,500 คนหรือเทียบเท่าเต็มเวลา (FTE) 22,000 คน
== ประชากรศาสตร์ ==
=== ประชากร ===
กระทรวงมหาดไทยประมาณว่า ประเทศไทยมีประชากร 69,183,173 คน ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก แต่คาดว่าประชากรจะลดลงก่อนปี 2563 ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่รัฐบาลรับรอง 62 กลุ่ม ทั้งนี้ ไทยเชื้อสายจีนจัดเป็นชนชั้นอภิชนของไทย และเป็นกลุ่มที่ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ
ในปี 2553 ประเทศไทยมีการมีลักษณะแบบเมืองร้อยละ 34 ซึ่งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีเครื่องชี้ภาวะการพัฒนาพอ ๆ กัน
=== นครใหญ่ ===
=== ศาสนา ===
| title = ศาสนาในประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า "รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท [...] และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด" ในช่วงปีหลังมีการเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แม้ว่าประเทศไทยไม่มีรายงานการละเมิดทางสังคมหรือการเลือกปฏิบัติจากศาสนา แต่กฎหมายไทยบางส่วนได้รับอิทธิพลจากความเชื่อแบบพุทธ เช่น การงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลในวันหยุดทางศาสนา
กฎหมายรับรองห้ากลุ่มศาสนาหลัก ได้แก่ พุทธ อิสลาม คริสต์ ฮินดูและซิกข์ การสำรวจของเครือข่ายอิสระทั่วโลก/สมาคมแกลลัประหว่างประเทศ (WIN/GIA) ในปี 2560 พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่นับถือศาสนามากที่สุดในโลก โดยมีผู้ระบุตนว่าเป็นศาสนิกชนร้อยละ 98 ไม่เป็นศาสนิกชนร้อยละ 1 และผู้เชื่ออเทวนิยมอีกร้อยละ 1
ตามสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2557 ประชากรไทยนับถือศาสนาพุทธ ประมาณร้อยละ 94.6 ส่วนใหญ่นับถือนิกายเถรวาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยโดยพฤตินัย ทั้งนี้ ประเทศไทยถือได้ว่ามีผู้นับถือศาสนาพุทธมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากประเทศจีน ในปี 2559 ประเทศไทยมีวัดทั้งสิ้น 40,580 วัด มีพระสงฆ์ 33,749 รูป และสามเณร 6,708 รูปทั่วประเทศ นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศไทยจากอินเดียในรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์โมริยะในช่วงคริสต์สหัสวรรษที่ 1 ศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือรองลงมา ได้แก่ ศาสนาอิสลาม มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 4.2 แต่มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คิดเป็นเพียงร้อยละ 18 ของมุสลิมในประเทศไทย มุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่มีเชื้อสายมลายู ซึ่งสะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกับประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังมีผู้นับถือศาสนาอื่นอีก เช่น ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ ศาสนายูดาห์ ศาสนาบาไฮ รวมประมาณร้อยละ 0.1 สำหรับประชาคมชาวยิวนั้น มีประวัติยาวนานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17
=== ภาษา ===
แผนที่ชาติพันธุ์ภาษาในประเทศไทย ปี 2517
ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาทางการ เป็นภาษาหลักที่ใช้ติดต่อสื่อสาร การศึกษาและเป็นภาษาพูดที่ใช้กันทั่วประเทศ โดยใช้อักษรไทยเป็นรูปแบบมาตรฐานในการเขียน นอกเหนือจากภาษาไทยกลางแล้ว ภาษาไทยสำเนียงอื่นยังมีการใช้งานในแต่ละภูมิภาคเช่น ภาษาไทยถิ่นเหนือ ถิ่นใต้ และถิ่นอีสาน รัฐบาลรับรอง 5 ตระกูลภาษา 62 ภาษาในประเทศไทย
นอกเหนือจากภาษาไทยแล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น ภาษาจีนโดยเฉพาะสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบางครั้งนิยามว่าภาษาลาวสำเนียงไทย ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ นอกจากนี้ก็มีภาษาอื่นเช่น ภาษากวย ภาษากะยาตะวันออก ภาษาพวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ รวมไปถึงภาษาที่ใช้กันในชนเผ่าภูเขา ประกอบด้วยตระกูลภาษามอญ-เขมร เช่น ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาเวียดนาม และภาษามลาบรี; ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เช่น ภาษาจาม; ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น ภาษาม้ง ภาษากะเหรี่ยง และภาษาไตอื่น ๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาแสก เป็นต้น
=== การศึกษา ===
[[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย สถาปนาเมื่อปี 2459]]
การศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปี 2464 กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าแก่ประชาชนเป็นเวลา 12 ปี ส่วนการศึกษาภาคบังคับกำหนดไว้ 9 ปี (ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3) ในปีการศึกษา 2555 มีผู้เรียนในและนอกระบบโรงเรียน 16,376,906 คน แบ่งเป็นในระบบ 13,931,095 คน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 2,445,811 คน นักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบโรงเรียนมีสัดส่วนในสถานศึกษารัฐบาลมากกว่าเอกชน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาเอกชนอยู่จำนวนมาก โดยมีโรงเรียนนานาชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในชาติอาเซียน
ผู้เรียนร้อยละ 99 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 85 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประมาณร้อยละ 75 เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับนักเรียนทุก 100 คนในโรงเรียนประถม มี 85.6 คนศึกษาต่อระดับ ม. 1; 79.6 คนศึกษาต่อถึงชั้น ม. 3 และเพียง 54.8 คนศึกษาต่อถึงระดับ ม. 6 หรือสถาบันอาชีวะ ประเทศไทยยังคงเป็นไม่กี่ประเทศที่ยังมีการกำหนดให้แต่งเครื่องแบบจนถึงระดับมหาวิทยาลัย การเรียกร้องให้ยกเลิกเครื่องแบบยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมปัจจุบัน
อัตรารู้หนังสือของไทยอยู่ที่ร้อยละ 93.5 แม้ว่ามหาวิทยาลัยของไทย 5 แห่งติดอันดับ 100 มหาวิทยาลัยดีที่สุดในทวีปเอเชีย โรงเรียนกวดวิชาได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ในการสำรวจเด็กไทย 72,780 คนระหว่างเดือนธันวาคม 2553 ถึงมกราคม 2554 ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนชาวไทยมีระดับเชาวน์ปัญญาเฉลี่ย 98.53 (ค่ามัธยฐาน 100) นายแพทย์ อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต ว่า ไม่ควรโทษระบบการศึกษาไทยว่าทำให้เยาวชนไทยมีเชาวน์ปัญญาต่ำ เพราะสาเหตุหลักเกิดจากการพร่องไอโอดีน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นอย่างขาดความอบอุ่นในครอบครัว ถูกแยกจากธรรมชาติและอาหารไม่เหมาะสม ผลการศึกษาล่าสุดเสนอว่าความบกพร่องทางสติปัญญาในพื้นที่ชนบทบางแห่งอาจสูงถึงร้อยละ 10 สถานที่เกิดเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการทำนายความสำเร็จทางการศึกษาในประเทศไทย นักเรียนจากครอบครัวยากจนในพื้นที่ทุรกันดารมีการเข้าถึงการศึกษาคุณภาพต่ำกว่านักเรียนในเมือง
ถึงแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะประกาศว่าโรงเรียนกว่า 27,000 แห่งมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในโรงเรียน แต่โครงสร้างของประเทศยังไม่พร้อมสำหรับการเรียนการสอนทางไกล เพราะโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลยังได้รับผลกระทบหลังมาตรการงดการเรียนการสอนในชั้นเรียนระหว่างการระบาดของโควิด-19
ประเทศไทยเป็นจุดหมายการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาใหญ่สุดอันดับสามของอาเซียน โดยมีนักศึกษาต่างชาติกว่า 20,000 คนในปี 2555 ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน พม่า กัมพูชาและเวียดนาม
=== สาธารณสุข ===
[[โรงพยาบาลศิริราชในกรุงเทพมหานครเป็นโรงพยาบาลเก่าแก่สุดและใหญ่สุดในประเทศไทย]]
ในปี 2558 ประเทศไทยมีความคาดหมายคงชีพเมื่อเกิด 75 ปี (ชาย 71 ปี หญิง 79 ปี) ในปี 2558 ประเทศไทยมีอัตราตายทารก 10.8 ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก และอันดับ 1 ในทวีปเอเชียตามดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพโลกปี 2562 จากผลสำรวจกว่า 195 ประเทศ โดยเป็นประเทศกำลังพัฒนาเพียงประเทศเดียวที่ติด 10 อันดับแรกของโลก ประเทศไทยมีโรงพยาบาลจำนวน 62 แห่งที่ได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการร่วมรับรองมาตรฐานสถานพยาบาล (JCI) โดยในปี 2545 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กลายเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในทวีปเอเชียที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานนี้ การดูแลและการให้บริการด้านสุขภาพอยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข
ระหว่างปี 2552-56 พบว่าชายไทยอายุน้อยกว่า 60 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุด รองลงมาเป็นการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ โรคมะเร็งตับ และโรคหลอดเลือดสมอง ส่วนหญิงไทยอายุน้อยกว่า 60 ปีเสียชีวิตจากเอชไอวี/เอดส์มากที่สุด ส่วนสาเหตุหลักอันดับรองลงมาได้แก่ อุบัติเหตุทางถนน โรคหลอดเลือดสมอง และเบาหวาน ในปี 2557 สาเหตุการป่วยของผู้ป่วยนอกที่พบมากที่สุด ได้แก่ โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ, โรคระบบย่อยอาหาร และโรคของปากและฟัน ในปี 2552 สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า ทุก 1,000 การคลอดมีชีพ เกิดจากมารดาวัยรุ่น 60 การคลอด
ในปี 2555 ประเทศไทยมีรายจ่ายด้านสาธารณสุขคิดเป็นร้อยละ 3.9 ของจีดีพี หรือร้อยละ 14.2 ของรายจ่ายภาครัฐทั้งหมด ประเทศไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งครอบคลุมคนไทยร้อยละ 99 ในปี 2552 รายจ่ายด้านสาธารสุขของประเทศร้อยละ 75.8 มาจากภาครัฐ และร้อยละ 24.2 มาจากภาคเอกชน ในปี 2547 ประเทศไทยมีความหนาแน่นของแพทย์อยู่ที่ 2.98 ต่อประชากร 10,000 คน ตั้งแต่ปี 2533 กฎหมายกำหนดให้บุคคลที่ไม่ได้ทำงานรับราชการต้องส่งเงินเข้า สำนักงานประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคมจะกำหนดสถานพยาบาลให้ผู้ประกันตนเลือกในแต่ละปี ปัจจุบัน โรงพยาบาลที่สังกัดสำนักงานประกันสังคมมีไม่เพียงพอต่อผู้ประกันตนที่อยู่ในระบบดังกล่าว กล่าวคือ ผู้ประกันตนจำนวนกว่า 13 ล้านคน แต่มีโรงพยาบาลเพียง 159 โรง ข้าราชการและครอบครัวสายตรงมีสิทธิใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่บางอย่างบัตรทองและประกันสังคมได้รับสิทธิ์ที่ดีกว่า เช่น การดูแลแบบประคับประคองบัตรทองดีที่สุด และในกรณีหาเตียง ทั้งบัตรทองและประกันสังคมจะดีกว่าราชการประเทศไทยมีปัญหาในการเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เนื่องจากมีชาวต่างชาติประสบอุบัติเหตุและโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษา โดยให้เหตุผลว่าไม่รู้จะเบิกอย่างไร จนในที่สุดเสียชีวิต สร้างความน่าอับอายให้แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แสดงความเสียใจอย่างยิ่ง รัฐบาลกำลังพิจารณาทำประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติขณะที่แอป 1669 ใช้การไม่ได้ ระบบแจ้งเหตุขาดประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการรอดชีวิต ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กัญชาทางการแพทย์ชอบด้วยกฎหมาย
== วัฒนธรรม ==
วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลหลักจากวัฒนธรรมอินเดีย จีน ขอม ตลอดจนวิญญาณนิยม ศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู วัฒนธรรมชาติของไทยเป็นการสร้างสรรค์ใหม่ มีอายุได้เพียงประมาณหนึ่งร้อยปี สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพิบูลสงครามสนับสนุนการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยกลางเป็นวัฒนธรรมแห่งชาตินิยามและยับยั้งมิให้ชนกลุ่มน้อยแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมของตน วัฒนธรรมพลเมืองของไทยปัจจุบันนิยามว่าประเทศไทยเป็นดินแดนของคนไทยกลาง มีศาสนาเดียวคือ พุทธนิกายเถรวาท และปกครองโดยราชวงศ์จักรี วัฒนธรรมไทยปัจจุบันเป็นสิ่งสร้างทางสังคมจากสมัยรัฐบาล ป. พิบูลสงคราม
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเน้นว่า คนส่วนใหญ่ไม่สามารถตรัสรู้และไปถึงนิพพาน และดีที่สุดที่ทำได้คือ การสะสมบุญผ่านการปฏิบัติที่เป็นพิธีกรรมอย่างสูง เช่น การถวายอาหารพระสงฆ์และการบริจาคเงินเข้าวัด คำสอนทางศาสนาถูกเลือกให้สนับสนุนมุมมองทางโลกแบบศาสนาขงจื๊อใหม่ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่สามเสาหลัก ศาสนาพุทธของไทยยังรวมการบูชาวิญญาณของกัมพูชาและความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ อีกทั้งเน้นรูปแบบมากกว่าแก่นสาร คนไทยเคารพความสัมพันธ์แบบมีลำดับชั้น เมื่อคนไทยพบคนแปลกหน้าจะพยายามจัดให้อยู่ในลำดับชั้นทันทีเพื่อให้ทราบว่าควรปฏิบัติด้วยอย่างไร มักโดยถามเรื่องที่วัฒนธรรมอื่นมองว่าเป็นคำถามส่วนตัวอย่างยิ่ง สถานภาพมีเสื้อผ้า ลักษณะปรากฏทั่วไป อายุ อาชีพ การศึกษา นามสกุลและความเชื่อมโยงทางสังคมเป็นตัวกำหนด
=== ศิลปะ ===
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ [[พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา]]
ศิลปะไทยมีลักษณะที่ยืมหรือรับมาจากศิลปะอื่น เช่น อินเดีย มอญ-เขมร สิงหล จีน เป็นต้น มีคุณสมบัติเอกลักษณ์หลายอย่าง ศิลปะและงานฝีมือของอินเดียเป็นต้นแบบของศิลปะพุทธในประเทศไทย นอกจากนี้ ศิลปะพุทธในประเทศไทยยังเป็นผลของเชื้อชาติต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้มาแต่โบราณ ศิลปะทวารวดีเป็นสำนักศิลปะพุทธแรกในประเทศไทย
ศิลปะไทยสมัยใหม่เริ่มด้วยการทำลายรูปแบบเดิมของสังคมหลังการปฏิวัติปี 2475 อิทธิพลศิลปะในสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากงานของศิลป์ พีระศรี วัฒนธรรมอเมริกันยังมีอิทธิพลต่อศิลปินไทยที่ศึกษาในสหรัฐและภาพยนตร์ฮอลลีวูด ศิลปินสมัยใหม่อย่างกมล ทัศนาญชลีรวมความคิดแบบอเมริกันเข้าสู่ศิลปะไทย อาหารไทยแต่ละภูมิภาคล้วนมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป เช่น แกงเขียวหวานในภาคกลาง, ข้าวซอยในภาคเหนือ, ส้มตำในภาคอีสาน และแกงมัสมั่นในภาคใต้
ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอาหารข้างถนน อาหารข้างถนนมีลักษณะเป็นอาหารตามสั่งที่ประกอบได้รวดเร็ว เช่น ผัดกะเพรา ผัดคะน้า ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เป็นต้น กรุงเทพมหานครยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งอาหารข้างถนนของโลก เมื่อปี 2554 เว็บไซต์ CNNgo ได้จัดอันดับ 50 เมนูอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกโดยการลงคะแนนเสียงทางเฟซบุ๊ก ปรากฏว่า แกงมัสมั่นได้รับเลือกให้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก และในของหวานดีที่สุด 50 อันดับที่ซีเอ็นเอ็นรวบรวมไว้ ยังปรากฏชื่อของข้าวเหนียวมะม่วงและทับทิมกรอบซึ่งระบุว่ามาจากไทยด้วย นอกจากนี้ จากผลสำรวจความคิดเห็นโดยซีเอ็นเอ็นในปี 2560 พบว่า อาหารไทยติดอันดับอาหารยอดนิยมทั่วโลกมากกว่าทุกประเทศ
ไฟล์:Kaeng matsaman kai.JPG|แกงมัสมั่นไก่
ไฟล์:Tom yam kung maenam.jpg|ต้มยำกุ้ง
ไฟล์:Phat Thai kung Chang Khien street stall.jpg|ผัดไทยกุ้ง
ไฟล์:Mango sticy rice (3859549574).jpg|ข้าวเหนียวมะม่วง
=== วงการบันเทิง ===
[[จำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฎ ดาราคู่แรกของไทย]]
ภาพยนตร์ไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในประเทศไทย คือ เรื่อง นางสาวสุวรรณ ในปี 2470 ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่คนไทยสร้าง ช่วงหลังปี 2490 ถือเป็นช่วงยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทย สตูดิโอถ่ายทำและภาพยนตร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ภาพยนตร์ไทยก็ซบเซาลง กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองยุติ กิจการภาพยนตร์ในประเทศไทยค่อย ๆ ฟื้นตัว ได้เปลี่ยนไปสร้างเป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตรแทน และเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขัน ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้แสดงบทบาทของตนในฐานะกระจกสะท้อนปัญหาการเมืองและสังคมระหว่างปี 2516-2529 ต่อมาภาพยนตร์ไทยในช่วงปี 2530-2539 โดยในตอนต้นทศวรรษวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ นอกจากภาพยนตร์ประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ และหนังเกรดบี ก็มีการผลิตมามากขึ้น
ประเทศไทยมีภาพยนตร์ที่มุ่งสู่ตลาดโลก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง (2548) ที่ติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิสในสหรัฐ และยังมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (2553) ได้รับรางวัลปาล์มทองคำในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก..พระโขนง ที่ออกฉายในปี 2556 เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุดในประเทศ ภาพยนตร์ไทยมีการส่งออกไปยังตลาดยุโรป ประเทศที่พูดภาษาจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพยนตร์อย่าง ฉลาดเกมส์โกง (2560) ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในระดับสากลมากที่สุด ได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ รวมทั้งรางวัล Jury Award ในเทศกาลภาพยนตร์เอเชียนิวยอร์ก และทำรายได้รวมมากกว่า 42 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2547) ได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญไทยที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และสร้างชื่อในระดับสากล ละครโทรทัศน์ไทยมีชื่อเสียงในประเทศเพื่อนบ้านและจีน อย่างไรก็ดี ละครโทรทัศน์ไทยมักมีลักษณะตายตัว เช่น มีความเป็นละครประโลมโลกสูง มีเกย์เล่นตลก และมีนางอิจฉา
เพลงไทยได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ฟังหลายประเภท ศิลปินแดนซ์ป็อปหลายรายมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ เช่น ลิซ่า, วิโอเลต วอเทียร์ และ ทาทายัง
=== ดนตรีและนาฏศิลป์ ===
การแสดงโขนในประเทศไทย
ดนตรีไทยเดิมช่วงแรกได้รับอิทธิพลจากดนตรีจีน อินเดีย และเขมร ต่อมา รับเอาลักษณะของดนตรีชาติใกล้เคียงอย่างพม่าและมลายูเข้ามาด้วย อิทธิพลสมัยหลังมาจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก "เถา" เป็นเทคนิคการประพันธ์ที่สำคัญที่สุดและใช้บ่อยที่สุดในดนตรีไทยเป็นเวลาหลายร้อยปี เป็นเทคนิคที่รับมาจากปัลลาวีในภาคใต้ของอินเดีย ละครรำถือกำเนิดจากรามเกียรติ์ ในสมัยอยุธยา โขนเป็นละครรำของไทยที่มีชื่อเสียงที่สุด โขนมีการเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงและเป็นทางการ มีเครื่องแต่งกายสีสันวิจิตร และสวมหน้ากาก ส่วนละครเป็นรำไทยที่เป็นทางการน้อยกว่า แบ่งชนิดหลักได้เป็นละครชาตรี ละครนอกและละครใน สังข์ทอง เป็นตัวอย่างละครที่มีลักษณะของละครรำที่ดี คือ โรแมนซ์ ความรัก สงคราม การแก้แค้น เหนือธรรมชาติและการไถ่บาป ละครรำพื้นบ้าน ได้แก่ ลิเกและมโนห์รา การแสดงหุ่นกระบอกของไทยเก่าแก่กว่าละครรำทุกชนิด
ประเทศไทยจัดเทศกาลพุทธที่สำคัญและเป็นวันหยุดราชการ ได้แก่ มาฆบูชาในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม วิสาขบูชาในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน อาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาในเดือนกรกฎาคม ออกพรรษาในเดือนตุลาคม มีเทศกาลทำบุญ คือ ทอดกฐินในช่วงออกพรรษา และวันสารทเดือนสิบในกลางเดือนกันยายน
=== วรรณกรรม ===
last=Cooper |first=Robert George |title=Culture Shock
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* รัฐบาลไทย - เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของรัฐบาล
* ประมุขแห่งรัฐและสมาชิกคณะรัฐมนตรี
* Mfa.go.th - กระทรวงการต่างประเทศ
* Thailand Internet information - ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
* กระทรวงวัฒนธรรม (อังกฤษ; archived 28 April 2015)
; ข้อมูลทั่วไป
* Thailand. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
* ประเทศไทย ในLibrary of Congress Country Studies. 1987
* Thailand from UCB Libraries GovPubs (archived 7 February 2009)
* Thailand จาก BBC News
* ประเทศไทย ใน Encyclopædia Britannica
* Longdo Map - แผนที่ประเทศไทยในภาษาไทยและอังกฤษ
* Key Development Forecasts for Thailand from International Futures
* 2010 Thailand population census by Economic and Social statistics Bureau
; การท่องเที่ยว
* การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย - เว็บไซต์ทางการ
* Thailand Country Fact Sheet from the Common Language Project (archived 31 July 2014)
{{Geographic location
|North = ,
|Northeast =
|Southeast = อ่าวไทย
|Southwest = ช่องแคบมะละกา
|West = , ทะเลอันดามัน
|Northwest =
{{Navboxes
|title = ภูมิศาสตร์ไทย
{{Navboxes
|title = สมาชิกภาพระหว่างประเทศ
หมวดหมู่:ประเทศริมฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
หมวดหมู่:รัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หมวดหมู่:รัฐสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม |
937 | https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักหอสมุดแห่งชาติ | สำนักหอสมุดแห่งชาติ | สำนักหอสมุดแห่งชาติ (ตัวย่อ: หสช.) ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2448 ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ท่าวาสุกรี ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งเริ่มเปิดทำการมาตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 เป็นต้นมา เป็นหน่วยงานสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
ใน พ.ศ. 2556 หอสมุดนี้มีวัตถุข้างในมากกว่า 3 ล้านชิ้น และมีสาขาต่างจังหวัด 11 แห่ง โดยมีงบประมาณ 87 ล้านบาทและว่าจ้างพนักงานประมาณ 200 คน
== ภูมิหลัง ==
จุดประสงค์หลักของหอสมุดแห่งชาติคือการสะสม, จัดเก็บ, รักษา และบริหารทรัพย์สินทางปัญญาของชาติทั้งหมดโดยไม่คำนึงถึงสื่อ โดยมีชุดสะสมของเอกสารตัวเขียนไทย, ศิลาจารึก, ใบลาน, วรรณคดีไทย และสิ่งตีพิมพ์ เช่นเดียวกันกับวัตถุภาพและเสียงและทรัพยากรดิจิทัล
== ประวัติ ==
=== หอพระสมุดวชิรญาณ ===
ตราสัญลักษณ์ของหอพระสมุดวชิรญาณ
หอพระสมุดวชิรญาณนั้น เดิมพระราชโอรสธิดา ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมพระหฤทัยกันตั้งขึ้นเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมชนกนาถ เมื่อปีมะแม พ.ศ. 2426 แต่แรกอาศัยตั้งที่ห้องชั้นต่ำมุขกระสันพระที่นั่งจักรีมหาปราสาททางตะวันตก แล้วมาตั้งที่ตึกทิมดาบตรงหน้าพระที่นั่งจักรี เมื่อ พ.ศ. 2430 แล้วย้ายออกมาตั้งที่ตึกอันเป็นหอสหทัยสมาคม เมื่อ พ.ศ. 2434 หอพระสมุดวชิรญาณเป็นหอสมุดของสโมสรสมาชิกอยู่ตลอดสมัยที่กล่าวมา รวมเวลา 21 ปี
ในปีพุทธศักราช 2440 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติพระนครกลับจากเสด็จประพาสยุโรป พระองค์ได้มีพระราชดำริว่า ในประเทศสยามนี้ยังไม่มีหอสมุดสำหรับพระนคร ประจวบกับวาระที่พระบรมราชสมภพแห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกำลังจะเวียนมามาครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะทรงสถาปนาอนุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรดิสมเด็จพระบรมชนกนาถให้เป็นของถาวรสักอย่างหนึ่ง จึงทรงชักชวนพระราชวงศานุวงศ์ให้ทรงอุทิศถวายหอพระสมุดวชิรญาณเป็นหอพระสมุดสำหรับพระนคร ให้ขยายกิจการหอพระสมุดวชิรญาณซึ่งแต่เดิมทีเป็นหอพระสมุดสำหรับราชสกุล ให้เป็นหอสมุดสำหรับบริการประชาชนทั่วไป และพระราชทานนามว่า "หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร" โดยได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2448
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครจากเดิมที่ตั้งอยู่ที่ศาลาสหทัยสมาคม มาไว้ที่ตึกใหญ่ริมถนนหน้าพระธาตุซึ่งเรียกว่าตึกถาวรวัตถุ และพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2459
ในปีพุทธศักราช 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้แยกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครออกเป็น 2 หอ คือ หอพระสมุดวชิราวุธ ตั้งอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุเช่นเดิมให้เป็นที่เก็บหนังสือฉบับพิมพ์และ หอพระสมุดวชิรญาณ ให้ใช้เป็นที่เก็บหนังสือตัวเขียนและตู้พระธรรม
ปีพุทธศักราช 2476 รัฐบาลจัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นและมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกำหนดให้หอพระสมุดสำหรับพระนคร มีฐานะเป็นกองหนึ่งในกรมศิลปากรเรียกว่า กองหอสมุดและได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อหอพระสมุดสำหรับพระนครเป็นหอสมุดแห่งชาติในเวลาต่อมา จนถึงพุทธศักราช 2505 รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติเป็นอาคารทรงไทย สูง 5 ชั้นขึ้น ที่บริเวณท่าวาสุกรี ถนนสามเสน และได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 สำนักหอสมุดแห่งชาติ เป็นอาคารทรงไทย 5 ชั้น บนเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ท่าวาสุกรี ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร สังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
== การรวบรวมหนังสือ ==
หอพระมณเฑียรธรรมก่อตั้งในสมัยรัชกาลที่ 1 ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมพระไตรปิฎกฉบับหลวง ต่อมาจึงขยายไปสู่การรวบรวมฉบับมอญ สิงหล และหนังสืออื่นเนื่องในพุทธศาสนาด้วย สำหรับหอพุทธศาสนสังคหะก่อตั้งในรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2443 เพื่อเก็บงานเกี่ยวกับพุทธศาสนาไว้ในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎกในภาษาต่าง ๆ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา งานวิชาการ ไวยากรณ์บาลี งานแปล หนังสือเทศนา หนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาในภาษาลาว มอญ สิงหล ญี่ปุ่น และสันสกฤต ฯลฯ
ใน พ.ศ. 2448 หลังจากที่หอสมุดวชิรญาณ หอพระมณเฑียรธรรม และหอพุทธศาสนสังคหะ รวมเข้าเป็นชื่อ หอพระสมุดสำหรับพระนคร ภายใต้การดูแลของกระทรวงธรรมการ ก็ได้มีประกาศของทางหอสมุดฯ แจ้งไปยังเทศาภิบาล ว่าประสงค์จะรวบรวมคัมภีร์พระไตรปิฎก และหนังสือไทย ขอให้คนนำหนังสือมาบริจาค ให้ยืมคัดลอกหรือขายแก่หอสมุดฯ เมื่อหนังสือหลั่งไหลเข้ามาก็พบกับหนังสือแปลก เช่น หนังสือที่เขียนโดยเจ้านายและขุนนางในอดีต อย่าง พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ซึ่งพบขณะที่ยายแก่คนหนึ่งกำลังจะเอาไปเผาไฟรวมกับเอกสารอื่น พบว่าหนังสือฉบับนี้เก่าแก่กว่าฉบับอื่น ๆ เท่าที่พบมา ยังมีหนังสือแปลก ๆ ที่พบมาจากทางวังหน้า เป็นบันทึกประวัติศาสตร์สมัยต้นราชวงศ์จักรีชิ้นหนึ่ง คือ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งทำให้พบมุมมองประวัติศาสตร์ใหม่ ๆ ของบ้านเมือง หนังสือแปลกอีกประเภทคือ หนังสือใบลาน ที่อธิบายเรื่องราวแปลก ๆ เช่น การบรรยายถึงพิธีกรรมแปลก ๆ คาถาอาคม ลายแทง
สำหรับหมวดหนังสือต่างประเทศ เริ่มแรกได้มอบหมายให้บรรณารักษ์ชาวตะวันตกชาลส์ สไวสตรัป ทำรายชื่อหนังสือของหอสมุดวชิรญาณออกมาในปี พ.ศ. 2435 ชื่อว่า Catalogue of the Books of the Royal Vajirajan Library by Order of H.R.H. Krom Hmun Damrong Rachanphap จำแนกหนังสือออกเป็นหมวดหมู่ความรู้ตามมาตรฐานตะวันตก โดยแบ่งออกเป็นเรื่อง แพทย์ศาสตร์ ปรัชญาธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์การเมืองและสถิติ การเงินและการพาณิชย์ การทหาร นาวิกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดีบริสุทธิ์ โบราณคดี วิศวกรรมศาสตร์ การค้าและอุตสาหกรรม เทววิทยา เป็นต้น
สำหรับการแบ่งหมวดหมู่หนังสือของไทยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2448 แบ่งออกเป็น 3 แผนกกว้าง ๆ คือ แผนกหนังสือพระศาสนา แผนกหนังสือต่างประเทศ และแผนกหนังสือไทย นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2448 หอพระสมุดฯ ยังจัดแบ่งหนังสือแผนกไทยออกเป็น 3 หมวดหมู่ย่อย ได้แก่ โบราณคดี วรรณคดี และตำรา
ในปัจจุบันหอพระสมุดฯ มีคลังสิ่งพิมพ์ มีมาตั้งแต่หอสมุดสำหรับพระนคร จัดแบ่งหอสมุดออกเป็น 2 หอ คือ หอพระสมุดวชิรญาณ หอหนึ่ง สำหรับเก็บหนังสือตัวเขียน และหอพระสมุดวชิราวุธหอหนึ่ง สำหรับเป็นที่เก็บหนังสือตัวพิมพ์ ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ตั้งแต่อดีต ไม่ว่าโรงพิมพ์จะตีพิมพ์หนังสือเรื่องใด ต้องส่งหอพระสมุดเรื่องละ 2 เล่ม เล่มหนึ่งเก็บไว้ที่หอพระสมุดฯ อีกเล่มหนึ่งเก็บไว้ในห้องหนังสือพิสูจน์ สำหรับเป็นหลักฐานอ้างอิง เมื่อเกิดคดีขึ้นในโรงศาล เมื่อศาลสั่ง ห้องหนังสือพิสูจน์ได้เปลี่ยนเป็นงานคลังสิ่งพิมพ์ ในปี พ.ศ. 2538 และในปี พ.ศ. 2553 ได้เปลี่ยนเป็นคลังสิ่งพิมพ์ขึ้นกับกลุ่มพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ จนถึงปัจจุบัน โดยทำหน้าที่จัดเก็บสิ่งพิมพ์ทุกประเภทที่จัดพิมพ์ในประเทศที่กลุ่มพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศได้รับตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 อย่างละ 1 เล่ม/ฉบับ ได้แก่ หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ โดยทำการลงทะเบียนในฐานข้อมูล และทำบัตรหลักฐาน
== การจัดพิมพ์หนังสือ ==
อาคาร 1 หอสมุดแห่งชาติ
thumb|หน้าบันของหอวชิราวุธานุสรณ์
* อาคาร 1 หอสมุดแห่งชาติ มีห้องบริการหนังสือความรู้ทั่วไป ปรัชญา ศาสนา สังคมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มุมทรัพยากรสารสนเทศเกาหลี ศิลปะ วรรณคดี ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หนังสือเกี่ยวกับประเทศไทย ทรัพยากรสารสนเทศภาษาจีน และเก็บวารสารและหนังสือพิมพ์เย็บเล่ม และฉบับล่วงเวลา
* อาคาร 2 หอสมุดแห่งชาติ เก็บวิทยานิพนธ์และวิจัย หนังสือหายาก หนังสือตัวเขียนและจารึก (เอกสารโบราณ)
* หอวชิราวุธานุสรณ์ สร้างขึ้นเพื่อฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ 100 ปี ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2524 เป็นอาคารทรงไทย 3 ชั้น
* หอสมุดดนตรี ประกอบด้วยหอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่รวบรวมเพลงพระราชนิพนธ์ทุกรูปแบบ เป็นศูนย์ค้นคว้างานวิชาการทางด้านดนตรี และ ห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร เป็นศูนย์ข้อมูลทางวิชาการทางดนตรีสำหรับใช้ศึกษาค้นคว้า วิจัยดนตรีไทย ไทยสากล ไทยลูกทุ่ง และเพลงพื้นเมืองดนตรีต่างประเทศ
* หอสมุดดำรงราชานุภาพ ตั้งอยู่บริเวณวังวรดิศ มีหนังสือส่วนพระองค์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และหนังสือพระราชนิพนธ์ตลอดจนหนังสือที่เกี่ยงข้องโดยเน้นในสาขาประวัติศาสตร์โบราณคดี วรรณคดี การเมืองการปกครอง การท่องเที่ยว ศาสนาและขนบประเพณี ฯลฯ รวมถึงจัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์
* ศูนย์นราธิปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ หนังสือและเอกสารส่วนพระองค์ของพระเจ้าวรวงค์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงค์ประพันธ์ เช่น บทละครพระราชนิพนธ์พระเจ้าวรวงค์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงค์ประพันธ์ หนังสือหายากเกี่ยวกับประเทศไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ หนังสือกฎหมาย การเมืองการปกครอง ภาษาและวรรณคดี ทั้งที่เป็นงานนิพนธ์ และหนังสือส่วนพระองค์
* หอเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หนังสือเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและพระบรมวงศานุวงศ์
== หอสมุดแห่งชาติส่วนภูมิภาค ==
# หอสมุดแห่งชาติเขตลาดกระบัง เฉลิมพระเกียรติ
# หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่
# หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.9 นครราชสีมา
# หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นครพนม
# หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก กาญจนบุรี
# หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
# หอสมุดแห่งชาติ ชลบุรี
# หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
# หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช
# หอสมุดแห่งชาติกาญจนาภิเษก สงขลา
# หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สงขลา
# หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตรัง
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Review and photographs inside the National Library, edited by Bangkok Library website
หมวดหมู่:กระทรวงวัฒนธรรม (ประเทศไทย)
หมวดหมู่:กรมศิลปากร
หมวดหมู่:ห้องสมุดในประเทศไทย
หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างในเขตดุสิต
หมวดหมู่:หอสมุดแห่งชาติ
หมวดหมู่:หน่วยงานของรัฐบาลไทยในเขตดุสิต
หมวดหมู่:ก่อตั้งในสยามในปี พ.ศ. 2448
หมวดหมู่:ห้องสมุดที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2448 |
938 | https://th.wikipedia.org/wiki/สยาม | สยาม | ภาพแกะสลัก เนะ สยำ กุก ที่[[นครวัด]]
จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบที่มาของคำว่าสยามว่ามาจากที่ไหนอย่างแน่ชัด ซึ่งมีความคิดเห็นของผู้รู้ต่าง ๆ ดังนี้
จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ศึกษาประวัติที่มาของคำว่า "สยาม" และเขียนเป็นหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ มีความสรุปได้ว่า:
# จะต้องเป็นคำที่คล้ายกับ "ซาม-เซียม" ตามสมมุติฐานทางนิรุกติศาสตร์
# มีความหมายเกี่ยวข้องกับน้ำ เนื่องจากพบในพงศาวดารราชวงศ์หยวน อันสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชนชาติไต
# น่าจะเป็นภาษาหนานเจ้า
# ที่เกิดของคำว่า "สยาม" อยู่ในบริเวณทางตอนเหนือของพม่า
จิตร ภูมิศักดิ์ ยังอธิบายข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับภาพแกะสลัก แนะ สยำ กุก ที่นครวัดไว้ว่า สยำกุก หมายถึงชาวสยามแห่งลุ่มแม่น้ำกก เพราะเขมรโบราณใช้ สยำ เรียกชาวสยามตามด้วยแหล่งที่มา กุก จึงหมายถึงแม่น้ำสายหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางของชนชาติไทในทศวรรษที่ 17 เป็นบริเวณที่มีพลเมืองหนาแน่น จนสามารถจัดกองทัพขนาดใหญ่ และมีเศรษฐกิจดีพอที่จะจัดอาวุธยุทโธปกรณ์ จนมีภาพแกะสลักการกรีฑาทัพของชาวสยามจากลุ่มแม่น้ำกกไปที่นครวัดได้
ปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนไว้ว่า มีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนำกฎหมายเก่ามาชำระและรวบรวมเป็นกฎหมายตราสามดวง ชื่อประเทศได้รับการบันทึกเป็นภาษาบาลีว่า "สามปเทส" สาม หรือ สามะ แปลว่าความเสมอภาค ส่วน ปเทส แปลว่า ประเทศ แต่ฝรั่งออกเสียงเพี้ยน เป็นเซียมหรือไซแอม
=== คำที่ใกล้เคียงกับสยาม ===
* ตามภาษามอญ เรียกคนไทยว่า "หรั่ว เซม" (หรั่ว ภาษามอญแปลว่าพวก) จนกระทั่งปัจจุบัน
* ชาวมลายูและผู้มีเชื้อสายมลายู (รวมถึงในประเทศไทย) ใช้คำเรียกไทยว่า "สยาม" (โดยในภาษามลายูปัตตานีจะออกเสียงว่า ซีแย) มาจนถึงปัจจุบัน (ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้)
* ในภาษาพม่านั้น เรียกคนไทยว่า "เซี้ยน" ซึ่งถ้าดูจากการเขียน จะใช้ตัวสะกดเป็นตัว ม (ซย+ม) แต่ในภาษาพม่านั้นอ่านออกเสียงตัวสะกดตัว ม เป็นตัว น จึงทำให้เสียงเรียกคำว่า "สยาม" เพี้ยนเป็น "เซี้ยน" ในปัจจุบัน คนในประเทศพม่ามักจะเรียกชนกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลขร้า-ไทต่าง ๆ ว่า "เซี้ยน" หรือ ชื่อประเทศหรือพื้นที่ตามด้วยเซี้ยน เช่นเรียกคนไทยว่า "โย้ตะย้าเซี้ยน" (คนสยามโยธยา ซึ่งเมื่อก่อน อยุธยาเป็นเมืองหลวง) หรือไท้เซี้ยน (คนสยามไทย), เรียกคนลาวว่า "ล่าโอ่เซี้ยน" (คนสยามลาว), เรียกคนชนกลุ่มไทในจีนว่า "ตะโย่วเซี้ยน" (คนสยามจีน ซึ่งคำว่า "ตะโย่ว" ในภาษาพม่าแปลว่า "จีน") และเรียกคนไทใหญ่ในรัฐฉานว่า ต่องจยี๊เซี้ยน (สยาม ต่องกี๊ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐฉานในปัจจุบัน และจริง ๆ แล้วคำว่า "รัฐฉาน" นั้นคือ "รัฐสยาม" แต่พม่าออกเสียงเพี้ยนเป็น "เซี้ยน ปี่แหน่" เขียนเป็นอังกฤษว่า Shan State แล้วคนไทยก็ออกเสียงเพี้ยนจากคำอังกฤษ "Shan" เป็น "ฉาน" จึงกลายเป็นรัฐฉานตามการเรียกของคนไทยในปัจจุบัน) และทางการรัฐบาลพม่ากำหนดให้ คนไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรี มีสัญชาติเป็น เซี้ยน เช่นเดียวกับคนไทใหญ่ในรัฐฉาน
* ในภาษาพม่า ยังเรียกคนกลุ่มชาวไทว่า ชาน โดยเรียกคนไทยภาคเหนือว่า ชาน หรือชานยูน เรียกชาวไทลื้อว่า ลุ่ยชาน และเรียกชาวไทเหนือว่า ชานตยก หรืออาจใช้เรียกผู้ที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำโขง
ชาวสยามหรือเสียมเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นละติจูด 19° เหนือลงมา เป็นการผสมผสานของกลุ่มชนต่าง ๆ ที่ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เขียน "คนไทย มาจากไหน" จึงเสนอให้เรียกผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันว่า "ชาวไทยสยาม" แทน เพราะคำว่า "ชาวไทย" มีความหมายครอบคลุมถึง "ชาวไทใหญ่" และ "ชาวไทน้อย" ซึ่งอาศัยอยู่นอกประเทศไทยด้วย
== สยามในความหมายของชนชาติไทย ==
right|ชาวสยามในช่วงปลายรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
ถึงแม้ว่าจะมีกล่าวถึง "สยาม" (ซึ่งอาจหมายความถึงคนไทยหรือไม่ใช่ก็เป็นได้) โดยผู้คนจากต่างแดนอย่างกว้างขวางดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วก็ตาม แต่ทว่าในอดีตนั้น แนวคิดเรื่องรัฐชาติยังไม่ปรากฏชัดเจน ดังเช่นที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การอ้างอิงถึงราชอาณาจักรของทางราชสำนักของไทยจึงยังคงอ้างอิงโดยใช้ชื่อเมืองหลวง ดังเช่นพระราชสาสน์ของสมเด็จพระเอกาทศรถที่มีไปถึงพระเจ้าดอน ฟิลิปแห่งโปรตุเกส ผ่านผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองกัว ก็ได้มีการอ้างพระองค์ว่าเป็นผู้ปกครองแว่นแคว้นของ กรุงศรีอยุธยา เป็นต้น ส่วนชาวต่างชาติได้เรียกอาณาจักรอยุธยาว่า สยาม มาตั้งแต่ราว พ.ศ. 2000 เป็นต้นมา ด้านโกวิท วงศ์สุรวัฒน์ได้ระบุว่า นามสยามได้เริ่มใช้ในฐานะของประเทศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแปลว่าผิวคล้ำ
ในหนังสือสัญญาที่ไทยทำกับต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ 3 ไม่พบการใช้คำว่า "สยาม" เลย เมื่อประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดินิยมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงได้พยายามดัดแปลงให้ประเทศมีลักษณะสมัยใหม่ขึ้น เพื่อซึ่งประการหนึ่งในนั้นคือ การทำให้ประเทศไทยมีลักษณะเป็นรัฐชาติที่มีการรวมอำนาจปกครอง และเริ่มมีการใช้ชื่อ "ราชอาณาจักรสยาม" เป็นชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ โดยปรากฏใช้ชัดเจนครั้งแรกใน พ.ศ. 2399 แต่คนไทยส่วนมากไม่เห็นด้วยกับการใช้ชื่อดังกล่าว คงเรียกว่า "ไทย" ตามเดิม
อย่างไรก็ดี เหรียญกษาปณ์แทนเงินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ตัวหนังสือว่า "กรุงสยาม" และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ตัวหนังสือว่า "สยามรัฐ"
=== จากสยามเป็นไทย ===
ในสมัยรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ปลุกแนวคิดชาตินิยมและการเชื่อฟังผู้นำอย่างมาก ซึ่งจากรายงานการศึกษาในยุคนั้นโดยนักศึกษาประวัติศาสตร์บางคน ได้มีการค้นพบคนไทยที่อยู่ในเวียดนามและจีนตอนใต้ นอกเหนือไปจากจากกลุ่มไทใหญ่ในพม่า ทำให้เกิดกระแสที่ต้องการรวบรวมชนเผ่าไทยเหล่านั้นเข้ามาสู่ประเทศ "ไทย" เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ในที่สุดจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติเป็น "ไทย" ตามประกาศรัฐนิยมฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ซึ่งได้รับการคัดค้านจากบางฝ่ายว่าจะเป็นการทำให้คนเชื้อชาติอื่น เช่น จีน มลายู ไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศ "ไทย" แต่ทว่าในที่สุดประกาศรัฐนิยมก็มีผลบังคับใช้ ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ไทย ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นสิ่งตกทอดไม่กี่อย่างจากประกาศดังกล่าวมาถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับคำว่า "สวัสดี" ทั้งนี้ คำประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เพียงไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งชาญวิทย์ เกษตรศิริ มองว่าเป็น “สารที่ผู้นำไทยอีกฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายเสรีนิยมของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม (เจ้านาย) ต้องการสื่อกับฝรั่งตะวันตกผู้พิชิตสงครามเสียมากกว่า” แต่เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมามีอำนาจอีกครั้งผ่านการรัฐประหาร ในปี 2490 ชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษ ก็ถูกเปลี่ยนกลับไปใช้ว่า “Thailand” อีกครั้ง
== อ้างอิง ==
== บรรณานุกรม ==
* D.G.E. Hall. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, [ม.ป.ป.].
* สุจิตต์ วงษ์เทศ. คนไทยมาจากไหน?. กรุงเทพฯ : มติชน, 2548.
* จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และ ลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. กรุงเทพฯ : ศยาม, 2519.
หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์ไทย
หมวดหมู่:ชื่อ
หมวดหมู่:ข้อโต้เถียงในประเทศไทย
หมวดหมู่:ข้อโต้เถียงการตั้งชื่อ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.