query_id
stringlengths
1
4
query
stringlengths
11
185
positive_passages
listlengths
1
9
negative_passages
listlengths
1
30
2287
เอ็มทีวีไทยแลนด์ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "96843#0", "text": "เอ็มทีวีไทยแลนด์ () เป็นสถานีโทรทัศน์ทางดนตรีในประเทศไทย ปัจจุบันบริหารงานโดยบริษัท อันลิมิเต็ด คอนเท้นท์ จำกัด ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 โดยรายการแรกที่ออกอากาศคือรายการ \"เอ็มทีวีไทยแลนด์ฮิตลิสต์\" ดำเนินรายการโดย วีเจแองจี้ ส่วนมิวสิกวิดีโอเพลงแรกที่เปิดคือ เพลงพันธ์ทิพย์ ของโลโซ สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของเอ็มทีวีไทยแลนด์คือวัยรุ่นกินอาณาเขตตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น-ตอนปลาย อายุตั้งแต่ 12-25 ปี และกลุ่มเป้าหมายรองคืออายุตั้งแต่ 25-35 ปี", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" } ]
[ { "docid": "96843#1", "text": "เอ็มทีวีไทยแลนด์ออกอากาศครั้งแรกบนช่อง 49 เครือยูบีซี ต่อมาย้ายมาช่องยูบีซี 32 ต่อมา เอ็มทีวีไทยแลนด์ประกาศย้ายการออกอากาศในไทยวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 จากเคเบิลทีวี ช่องทรูวิชั่นส์ไปแพร่ภาพทางทีวีดาวเทียม ดีทีเอช หรือรับชมผ่านเคเบิลทีวีท้องถิ่น ขณะนี้เอ็มทีวีไทยแลนด์ ได้ย้ายการออกอากาศจากสไมล์ทีวี เน็ตเวิร์ค โดยได้กลับมาออกอากาศ ทาง ทรูวิชั่นส์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ย้ายมาอยู่ช่อง 85 เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ออกอากาศในวันสุดท้ายของคืนวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 \nปัจจุบันเอ็มทีวีได้กลับมาออกอากาศใหม่อีกครั้งทางช่องทรูวิชันส์ เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556 โดยถ่ายทอดสัญญาณของเอ็มทีวีเอเชียมา และออกอากาศอย่างเป็นทางการผ่านระบบซีแบนด์ (ที่ได้รับสัมปทานความถี่ช่องดาวเทียมของ อสมท.) และเคยูแบนด์ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 กลับมาฉายอีกครั้งในรูปแบบเอ็มทีวีไทยแลนด์", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "96843#17", "text": "นอกจากออกแพร่ภาพทางช่องเคเบิลทีวีแล้ว เอ็มทีวีไทยแลนด์ยังมีรายการออกอากาศทางฟรีทีวี คือรายการ \"เอ็มทีวีนิวส์ออนทีไอทีวี\" ทางช่องทีไอทีวี เป็นรายการสรุป ข่าว เบื้องหลังต่าง ๆ ไม่ว่าดนตรี หรือภาพยนตร์ เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 แต่ก็ได้ยกเลิกออกอากาศไปหลังจากที่สถานีทีไอทีวีถูกระงับการออกอากาศไป และต่อมากับรายการทางช่อง 5 ชื่อรายการ \"เอ็มทีวีสกูลแอตแท็ก\" ที่มีรูปแบบรายการนำศิลปินไปสร้างความประหลาดใจ ออกอากาศวันพฤหัส เวลา 17.05 – 17.30 น. ดำเนิน รายการโดย ศุภกาญจน์ ปลอดภัย และภูมิใจ ตั้งสง่า ปัจจุบันยุติการออกอากาศไปแล้ววีเจที่มาจากการคัดเลือกในโครงการวีเจฮันต์ คือ \"วีเจภูมิ\" และ \"วีเจนิกกี้\" \"วีเจอเล็กซ์\" \"วีเจแวว\"", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "96843#5", "text": "ต่อมาเอ็มทีวีไทยแลนด์ประกาศย้ายการออกอากาศในไทยวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 จากเคเบิลทีวี ช่องทรูวิชั่นส์ เนื่องจากหมดสัญญา 5 ปี ไปแพร่ภาพทางทีวีดาวเทียม ดีทีเอช และ กับลูกค้าเคเบิลท้องถิ่น 2 ล้านครัวเรือน โดยออกอากาศพร้อมช่องเครือข่ายอย่าง วีเอชวัน และนิกเคลโลเดียน ออกอากาศต่อเนื่องถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551 หลังจากนั้นอยู่ในช่วงไม่ได้ออกอากาศที่ใด (ออฟแอร์)", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "96843#3", "text": "เอ็มทีวีในเอเชียเริ่มมีครั้งแรกในปี พ.ศ. 2535 โดยเริ่มจากเอ็มทีวีญี่ปุ่น หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2538 จึงได้มีเอ็มทีวีเอเชียซึ่งออกอากาศในหลายประเทศและได้รับความนิยม หลังจากนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2544-2545 เอ็มทีวีเอเชียได้แยกช่องออกเป็นอีกสามช่องคือ เอ็มทีวีฟิลิปปินส์ เอ็มทีวีไทยแลนด์ และเอ็มทีวีอินโดนีเซีย", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "96843#6", "text": "เอ็มทีวีไทยแลนด์ได้กลับมาทดลองออกอากาศทางทรูวิชั่นส์ ช่อง 111 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 จากนั้นย้ายมาที่ช่อง 85 เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 โดยอยู่ในแพ็กเกจโกลด์ของทรูวิชั่นส์เฉพาะระบบจานดาวเทียม เอ็มทีวีไทยแลนด์ออกอากาศในวันสุดท้ายของคืนวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 และ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "96653#1", "text": "แชนแนลวีไทยแลนด์ เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2539 ผลิตโดย เป็นการร่วมทุนระหว่าง สตาร์ กรุ๊ป (เจ้าของลิขสิทธิ์แชนแนลวี) และ Broadcasting Network Thailand (BNT) ออกอากาศเป็นครั้งแรกที่ ยูทีวี ช่อง 48 ภายข้อตกลงที่ว่าแชนแนลวีไทยแลนด์จะต้องออกอากาศในช่อง ยูทีวี ที่เดียวเท่านั้น", "title": "แชนแนลวีไทยแลนด์" }, { "docid": "954407#1", "text": "ไทยทึ่ง เดิมเคยออกอากาศในชื่อ เมดอินไทยแลนด์ ยกระดับกระชับสยาม ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 จนถึง พ.ศ. 2557 โดยนำเสนอเรื่องราวสาระความรู้เรื่องราวน่าทึ่ง ทั้งอาชีพแปลก ของดีของเด่นประจำจังหวัดทั้ง 77 จังหวัดมาให้ผู้ชมได้รู้ได้เห็นได้ทึ่ง และได้ภาคภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งเรื่องศิลปะวัฒนธรรม อาหารการกิน อาชีพแปลก ๆ น่าทึ่งจากภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมทั้งออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อรวมเรื่องราวน่าทึ่งทั่วทั้งประเทศไทย ในช่วงที่ออกอากาศมีการเปลี่ยนแปลงพิธีกรเสริมมาแล้วมากมาย โดยที่ โน้ต เชิญยิ้ม ยังคงรับหน้าที่เป็นพิธีกรหลัก", "title": "ไทยทึ่ง" }, { "docid": "96843#30", "text": "เอ็มทีวีไทยแลนด์ได้มีกิจกรรมคอนเสิร์ตร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในงานพัทยา มิวสิก เฟสติวัล โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เอ็มทีวีไทยแลนด์ได้จัดงานพัทยามิวสิกเฟสติวัล 3 วัน 3 เวที ในวันที่ 18 – 20 มีนาคม พ.ศ. 2548 ภายใต้แนวคิดความบันเทิงของเสียงเพลงที่ไร้พรมแดน โดยศิลปินที่มา เช่น ทาทา ยัง เคน ชู (เอฟโฟร์) มาโกโตะ (ลูซิเฟอร์) เครสเชนโด้ อาร์มแชร์ บิ๊กแอส เป็นต้น", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "962781#0", "text": "มาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ไทยแลนด์ เป็นรายการเกมโชว์ทำอาหาร ออกอากาศครั้งแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 ทาง ช่อง 7 โดยเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 8 - 13 ปี จากทุกภาคของประเทศไทย ดำเนินรายการโดยปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ (ป๊อก) และมีคณะกรรมการในการตัดสินคือ หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์), หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล (คุณป้อม) และพงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย (เชฟเอียน)", "title": "มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์" } ]
2069
ใครเป็นผู้ค้นพบ เซลล์กัลวานิก?
[ { "docid": "355991#2", "text": "ในปั 1780 นายลุยจิ กัลวานี ค้นพบว่าเมื่อโลหะสองชนิดที่แตกต่างกัน (เช่นทองแดงและสังกะสี) ถูกนำมาแตะกับส่วนต่าง ๆ ของเส้นประสาทของขากบในเวลาเดียวกัน ขาของกบจะหดตัว[2] เขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า \"ไฟฟ้าจากสัตว์\" ต่อมานายแอเลสซานโดร โวลตา ได้ประดิษฐ์เซลล์โวลตาวางซ้อน (English: voltaic pile) ในปี 1800 มันประกอบด้วยหลายเซลล์ที่คล้ายกับเซลล์กัลวานีวางซ้อนกันเป็นชั้น อย่างไรก็ตาม โวลตาสร้างมันขึ้นมาทั้งหมดจากวัสดุที่ไม่ใช่ชีวภาพเพื่อที่จะท้าทายทฤษฎีไฟฟ้าจากสัตว์ของกัลวานี (และนักทดลองต่อมานาย Leopoldo Nobili) เพื่อตอบสนองกับความพอใจในทฤษฎีสัมผัสไฟฟ้าโลหะต่อโลหะของตัวเขาเอง[3] นายคาร์โล Matteucci ได้เปลี่ยนมาสร้างแบตเตอรี่ที่ปราศจากวัสดุชีวภาพโดยสิ้นเชิงเพื่อสนองตอบต่อนายโวลตา[4] การค้นพบเหล่านี้ปูทางไปสู่แบตเตอรี่ไฟฟ้าทั้งหลาย; เซลล์ของโวลตาเป็นชื่อในลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญของ IEEE ในปี 1999[5]", "title": "เซลล์กัลวานี" } ]
[ { "docid": "630808#39", "text": "เซลล์รับแสงนี้อาจสำคัญต่อการเข้าใจโรคต่าง ๆ รวมทั้งโรคที่ทำให้เกิดตาบอดทั่วโลกรวมทั้งต้อหิน ซึ่งเป็นโรคที่มีผลต่อ RGC และการศึกษาเซลล์รับแสงนี้ อาจทำให้สามารถค้นหาแนวทางใหม่ ๆ ในการบำบัดรักษาโรคที่ให้เกิดตาบอด การค้นพบเซลล์รับแสงใหม่ ๆ ในมนุษย์ และการศึกษาว่า เซลล์เหล่านี้มีบทบาทในการเห็นอย่างไร (ไม่ใช่บทบาทในพฤติกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเห็นอย่างอื่น ๆ) นี่แหละ จะมีผลกว้างขวางที่สุดในสังคมมนุษย์ แม้ว่า ความบกพร่องเกี่ยวกับจังหวะรอบวันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจในการแพทย์รักษาอีกอย่างหนึ่ง", "title": "เซลล์รับแสง" }, { "docid": "932053#1", "text": "กรดแมนดีลิกถูกค้นพบโดยเฟอร์ดินาน ลูดวิก วิงเคลอร์ เภสัชกรชาวเยอรมัน เมื่อปี 1831 จากการให้ความร้อนแก่สารสกัดที่ได้จากอัลมอนด์ขม นอกจากนี้ยังพบการเกิดกรดแมนดีลิกขึ้นได้จากกระบวนการเมแทบอลิซึมของเอพิเนฟรีน และนอร์เอพิเนฟริน ในร่างกาย ปัจจุบันสามารถสังเคราะห์กรดแมนดีลิกขึ้นได้หลากหลายช่องทางภายในห้องปฏิบัติการ โดยกรดแมนดีลิกนี้ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อเป็นยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ รวมไปถึงการใช้เพื่อช่วยในการผลัดเซลล์ผิว", "title": "กรดแมนดีลิก" }, { "docid": "574997#25", "text": "เป็นที่รู้กันดีว่า รามจันทรันเป็นผู้เน้นความสำคัญของเซลล์ประสาทกระจก (Mirror neuron) เขาได้กล่าวว่า การค้นพบเซลล์ประสาทกระจกเป็นข่าวสำคัญที่สุดที่ไม่ได้รับการเผยแพร่ (จากสื่อมวลชน) ภายในทศวรรษที่ผ่านมา ", "title": "วิลยนอร์ สุพรหมัณยัม รามจันทรัน" }, { "docid": "984705#3", "text": "ไวรัสจะแพร่กระจายไปยังเซลล์เจ้าบ้านและเปลี่ยนระบบภายในเซลล์เพื่อที่จะเพิ่มจำนวนไวรัส คิลเลอร์ทีเซลล์ () จะทำการกำจัดเซลล์ที่ติดไวรัสเพื่อที่จะยับยั้งการแพร่กระจาย โดเฮอร์ทีและ Rolf M. Zinkernagel ค้นพบว่าการที่คิลเลอร์ทีเซลล์จะทำอย่างเช่นนั้นได้ คิลเลอร์ทีเซลล์ต้องพบเจอโมเลกุลสองตัวบนเยื่อหุ้มเซลล์ก่อนซึ่งมีแอนติเจนไวรัสและโมเลกุลจาก คิลเลอร์ทีเซลล์มีตัวรับโมเลกุลสองตัวอยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ของตัวมันเอง ก่อนหน้างานวิจัยของโดเฮอร์ที MHC ถูกระบุว่าเป็นตัวการในการปฏิเสธเนื้อเยื่อระหว่างการปลูกถ่าย นอกจากนี้แล้วโดเฮอร์ทีและ Rolf M. Zinkernagel ค้นพบว่า MHC สามารถต่อต้านไวรัสที่ก่อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ด้วย", "title": "ปีเตอร์ ซี. โดเฮอร์ที" }, { "docid": "19724#54", "text": "การค้นพบเอ็นไซม์ (enzyme) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเอดูอาร์ด บุชเนอร์เป็นการแยกการศึกษาปฏิกิริยาเคมีเมแทบอลิซึมจากการศึกษาทางชีวภาพของเซลล์ และเป็นจุดเริ่มต้นของวิชาชีวเคมี ปริมาณความรู้ด้านชีวเคมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักชีวเคมีสมัยใหม่ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง คือ ฮันส์ เครบส์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการศึกษาเมแทบอลิซึม เขาค้นพบวัฏจักรยูเรียและต่อมารวมถึงวัฏจักรกรดซิตริกและวัฏจักรไกลออกซีเลต โดยทำงานร่วมกับฮันส์ คอร์นเบิร์ก การวิจัยชีวเคมีสมัยใหม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างมากจากการพัฒนาเทคนิคใหม่อย่างโครมาโทกราฟี การเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ เอ็นเอ็มอาร์สเปกโตรสโคปี การติดฉลากไอโซโทปกัมมันตรังสี กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน และแบบจำลองพลวัตโมเลกุล เทคนิคเหล่านี้ทำให้เกิดการค้นพบและดารวิเคราะห์ในรายละเอียดของหลายโมเลกุลและวิถีเมแทบอลิกในเซลล์", "title": "เมแทบอลิซึม" }, { "docid": "533640#1", "text": "แอเรียลถูกค้นพบเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1851 โดย วิลเลียม ลาสเซลล์ แอเรียลถูกตั้งชื่อตามจิตวิญญาณของท้องฟ้าในเรื่อง \"The Rape of the Rock\" ของ อเล็กซานเดอร์ โป๊ป และ เรื่อง \"The Tempest\" ของ วิลเลียม เชกสเปียร์\nทั้งแอเรียลและดาวบริวารของดาวยูเรนัสขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ที่ชื่อว่า อัมเบรียล ถูกค้นพบโดย วิลเลียม ลาสเซลล์ ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1851 แม้ว่า วิลเลียม เฮอร์เชล ผู้ค้นพบดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 2 ดวงแรก คือ โอเบอรอน และ ทิทาเนียใน ค.ศ. 1787 อ้างว่าได้ตั้งข้อสังเกตสี่ดาวบริวารของดาวยูเรนัสเพิ่มเติมก็ยังไม่เคยได้รับการยืนยันและบรรดาสี่ดาวบริวารที่กำลังคิดว่าตอนนี้จะเป็นวัตถุปลอม", "title": "แอเรียล (ดาวบริวาร)" }, { "docid": "680150#4", "text": "การทดลองขากบของกัลวานีเป็นแนวทางให้อาเลสซานโดร โวลตาใช้สร้างแบตเตอรีชิ้นแรกของโลก ชื่อของกัลวานียังถูกนำไปใช้เรียกอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ อาทิเช่น เซลล์กัลวานิก, กัลวานอมิเตอร์, กัลวาไนเซชัน เป็นต้น", "title": "ลุยจี กัลวานี" }, { "docid": "310171#0", "text": "คาร์ซิโนเอมบริโอนิกแอนติเจน () เป็นกลัยโคโปรตีนที่มีส่วนในการยึดเกาะของเซลล์ ปกติจะถูกสร้างขึ้นในระยะตัวอ่อนและจะหยุดสร้างก่อนเกิด ดังนั้นมักจะไม่พบในเลือดของร่างกายคนปกติ แม้อาจเพิ่มขึ้นได้ในผู้ที่สูบบุหรี่จัด\nCEA ได้รับการค้นพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1965 โดย Phil Gold และ Samuel O. Freedman ในเนื้อเยื่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ของมนุษย์\nจะพบ CEA ได้ในน้ำเลือดของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดเมดุลลารี", "title": "คาร์ซิโนเอมบริโอนิกแอนติเจน" }, { "docid": "500375#3", "text": "ทั้งคู่ทำเพชรหายเนื่องจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก และใช้เวลาอย่างมากในการค้นหาเพชรบนเกาะ เปาลูสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ดังนั้นเมื่อเปาลูเจอเพชรในวันที่ 33 หลังเครื่องบินตก ก็มิได้บอกนิกกี วันหนึ่งขณะที่อยู่ในป่าพวกเขาได้พบสถานีไข่มุกของธรรมะปฏิบัติการ ซึ่งเป็นสถานีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สร้างขึ้นต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 นิกกีไม่สนใจอะไรแต่เปาลูกลับมาสถานีแห่งนี้อีกครั้งในวันที่ 49 ที่อยู่บนเกาะนี้ และได้ซ่อนเพชรไว้ในโถส้วม ขณะที่เปาลูอยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงจากบุคคลลึกลับ 2 คน และผู้อยู่อาศัยบนเกาะ ที่รู้จักในชื่อ \"คนอื่น\" เขาได้ยินว่าเพื่อนผู้รอดชีวิตบางคนของเขาถูกจับตัวโดยกลุ่ม \"คนอื่น\" แต่เขาก็ไม่ได้บอกใคร", "title": "นิกกีและเปาลู" }, { "docid": "994758#0", "text": "เซลล์พีระมิด หรือ เซลล์ประสาทพีระมิด หรือ นิวรอนพีระมิด () เป็นเซลล์ประสาทหลายขั้วที่พบในเขตต่าง ๆ ของสมองรวมทั้งเปลือกสมอง ฮิปโปแคมปัส และอะมิกดะลา\nเป็นหน่วยส่งสัญญาณแบบเร้าหลักของ prefrontal cortex (คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า) ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และของลำเส้นใยประสาทเปลือกสมอง-ไขสันหลัง (corticospinal tract)\nเป็นเซลล์อย่างหนึ่งในสองอย่างที่มีลักษณะเฉพาะ คือ Negri bodies เมื่อชันสูตรศพหลังติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า\nนักประสาทวิทยาศาสตร์ชาวสเปนซานเตียโก รามอน อี กาฮาล เป็นผู้ค้นพบและศึกษาเซลล์นี้เป็นบุคคลแรก\nตั้งแต่นั้นมา ได้มีการศึกษาเซลล์พีระมิดในประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่สภาพพลาสติกของระบบประสาท (neuroplasticity) จนถึงเรื่องประชาน", "title": "เซลล์พีระมิด" }, { "docid": "110556#8", "text": "ในปี พ.ศ ๒๕๔๗ คณะผู้วิจัยรายงานการค้นพบรอยฉีกขาดของดีเอนเอที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน รอยฉีกขาดของดีเอนเอที่รู้จักกันจะทำให้เซลล์ตายหรือกลายพันธุ์ แต่รอยฉีกขาดที่ค้นพบกลับน่าจะมีประโยชน์ต่อเซลล์ทำให้จีโนมเสถียร ไม่แก่และไม่เป็นมะเร็ง ดังนั้นการเข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงในระดับโมเลกุลที่รอยฉีกขาดนี้อาจนำไปสู่การป้องกันการแก่และมะเร็งในอนาคต\nศาสตราจารย์นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ได้รับรางวัลในด้านการวิจัยสูงสุด คือหนังสือ รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2551 มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์\n1. Mutirangura A, Pornthanakasem W, Theamboonlers A, Sriuranpong V, Lertsanguansinchi P, Yenrudi S, et al. Epstein-Barr viral DNA in serum of patients with nasopharyngeal carcinoma. Clinical cancer research : an official journal of the American Association for Cancer Research. 1998;4(3):665-9.", "title": "อภิวัฒน์ มุทิรางกูร" }, { "docid": "611672#3", "text": "มีเซลล์ต่าง ๆ หลายประเภทที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเนื้องอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์เอนโดทีเลียมโปรเจนนิเตอร์ซึ่งเป็นเซลล์หลักที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเนื้องอกในเส้นเลือด การค้นพบนี้ได้มีการแสดงให้เห็นทางวารสารที่มีอิทธิพลสูงอย่าง \"ไซน์\" (ค.ศ. 2008) และ \"ยีนแอนด์ดีเวลลอปเมนต์\" (ค.ศ. 2007) ซึ่งยังพบว่าเซลล์เอนโดธีเลียมโปรเจนนิเตอร์ต่างมีส่วนในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง และการเพิ่มจำนวนของเครือข่ายของเส้นเลือดที่แทรกซึมเข้าไปในการเจริญเติบโตของมะเร็ง ส่วนหลักของเซลล์เอนโดธีเลียมโปรเจนนิเตอร์ในการเจริญเติบโตของเนื้องอกและการเพิ่มจำนวนของเครือข่ายของเส้นเลือดที่แทรกซึมเข้าไปในการเจริญเติบโตของมะเร็งได้รับการยืนยันจากสื่อสิ่งพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้อย่าง \"แคนเซอร์รีเซิร์ช\" (สิงหาคม ค.ศ. 2010) รายงานที่น่าเชื่อถือนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเซลล์เอนโดธีเลียมโปรเจนนิเตอร์สามารถโดดเด่นได้โดยใช้อินฮิบิเตอร์ออฟดีเอ็นเอไบน์ดิง 1 (ไอดี 1) การค้นพบใหม่นี้หมายความว่านักวิจัยมีความสามารถในการติดตามเซลล์เอนโดธีเลียมโปรเจนนิเตอร์จากไขกระดูกจนถึงโลหิตสู่เนื้องอกของสโตรมาและแม้กระทั่งเนื้องอกของหลอดเลือด การค้นพบเซลล์เอนโดทีเลียมโปรเจนนิเตอร์ได้รวมเข้าด้วยกันในเนื้องอกของหลอดเลือด โดยได้แสดงให้เห็นว่าเป็นส่วนหลักของเซลล์ชนิดนี้ในพัฒนาการทางเส้นโลหิตที่บริเวณของเนื้องอก นอกจากนี้ การตัดเอาออกของเซลล์โปรเจนนิเตอร์ในไขกระดูกได้นำไปสู่การลดอย่างมีนัยสำคัญในการเจริญเติบโตของเนื้องอกและการพัฒนาของเส้นเลือด ด้วยเหตุนี้ เซลล์เอนโดธีเลียมโปรเจนนิเตอร์จึงมีความสำคัญอย่างมากในชีววิทยาเนื้องอกและเป็นเป้าหมายใหม่ของการรักษาแผนปัจจุบัน", "title": "การวิจัยโรคมะเร็ง" }, { "docid": "166269#3", "text": "อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครค้นพบคำตอบของปัญหาข้อนี้ แต่จำนวนกราแฮมถือเป็นขอบเขตบนที่ดีที่สุดของคำตอบเท่าที่มีการค้นพบ", "title": "จำนวนกราแฮม" }, { "docid": "338218#1", "text": "ในปี ค.ศ. 1943 Martin และ Bell ได้สำรวจครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นเพศชายมีภาวะสติปัญญาบกพร่องหลายราย ทั้งสองสามารถเชื่อมโยงการถ่ายทอดภาวะสติปัญญาบกพร่องนี้ว่าเป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครโมโซมเอกซ์ได้แม้จะยังไม่ทราบลักษณะที่แน่นอน ต่อมาในปี ค.ศ. 1969 Lubs ค้นพบข้อมูลทางพันธุกรรมส่วนที่เกินมาจากแขนข้างยาวของโครโมโซมเอกซ์ในผู้ป่วยเพศชายและเพศหญิงที่ไม่มีอาการ ผลการสังเกตนี้ยังไม่มีใครพบยืนยันซ้ำจนกระทั่งมีการค้นพบว่าผลจาก folate-deficient thymidine-deficient medium ที่ใช้ในการเพาะเซลล์ลิมโฟซัยต์ในการศึกษาระยะแรกๆ นั้นเป็นส่วนสำคัญในการศึกษา", "title": "กลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะบาง" }, { "docid": "19816#9", "text": "ออร์สเตดไม่ใช่คนเดียวที่ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้ากับแม่เหล็ก ในปี ค.ศ. 1802 เกียน โดเมนิโก โรมานยอซิ นักวิชาการกฎหมายชาวอิตาลี ขยับเข็มแม่เหล็กด้วยประจุไฟฟ้าสถิต สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ไม่มีกระแสกัลวานิกไหล จึงไม่มีอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดขึ้น การค้นพบถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อิตาลีในปี ค.ศ. 1802 แต่ถูกกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มองข้ามไปในสมัยนั้น\nเราอาจเข้าใจสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจะสร้างสนามไฟฟ้า และทำให้เกิดแรงไฟฟ้าขึ้น แรงนี้ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต และทำให้เกิดการไหลของประจุไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้า) ในตัวนำขึ้น ขณะเดียวกัน อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ จะสร้างสนามแม่เหล็ก และทำให้เกิดแรงแม่เหล็กต่อวัตถุที่เป็นแม่เหล็ก", "title": "ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า" }, { "docid": "783166#24", "text": "คำถามที่ว่าแบตเตอรี่ (เซลล์กัลวานิก) สามารถสร้างแรงเคลื่อนไฟฟ้าได้อย่างไรเป็นคำถามหนึ่งที่ครอบงำนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากในช่วงศตวรรษที่ 19 \"แปลงของแรงเคลื่อนไฟฟ้​​า\" ในที่สุดก็ถูกกำหนดโดยนายวอลเธอร์ เนินส์ ให้เป็นเบื้องแรกที่จะสัมผัสกันระหว่างขั้วไฟฟ้าและอิเล็กโทรไลต์", "title": "แรงเคลื่อนไฟฟ้า" }, { "docid": "81635#3", "text": "การค้นพบเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เริ่มต้นจากปี ค.ศ.1655 รอเบิร์ต ฮุก(Robert Hook) ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์ประกอบที่มีลำกล้องป้องกันแสงจากภายนอกรบกวน แล้วนำไปส่องดูชิ้นไม้คอร์คที่ฝานบาง ๆ ได้พบโครงสร้างที่มีรูปร่างเป็นช่องเหลี่ยมเล็ก ๆ จึงเรียกว่า เซลล์(Cell) ตามฮุกก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้พบและตั้งชื่อเซลล์เป็นคนแรก", "title": "ชีวิต" }, { "docid": "19724#53", "text": "ในการศึกษาแรก ๆ เหล่านี้ ไม่มีการระบุกลไกกระบวนการเมแทบอลิกเหล่านี้และคิดกันว่าพลังชีพเป็นสิ่งที่ทำให้เนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิตมีชีวิต ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขณะกำลังศึกษาการหมักน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ของยีสต์ หลุยส์ ปาสเตอร์สรุปว่า การหมักถูกเร่งปฏิกิริยาโดยสารที่อยู่ในเซลล์ยีสต์ซึ่งเขาเรียกว่า \"เอ็นไซม์\" (ferments) เขาเขียนว่า \"การหมักแอลกอฮอล์เป็นการกระทำที่ต้องกันกับชีวิตและการจัดระเบียบของเซลล์ยีสต์ ไม่ใช่กับความตายหรือการเน่าสลายของเซลล์\" การค้นพบนี้ ร่วมกับการจัดพิมพ์ของฟรีดริช เวอเลอร์ใน ค.ศ. 1828 ของเอกสารว่าด้วยการสังเคราะห์เคมียูเรีย และมีความสำคัญที่เป็นสารประกอบอินทรีย์แรกที่เตรียรมขึ้นจากสารตั้งต้นอนินทรีย์ทั้งหมด อันเป็นการพิสูจน์ว่าสารประกอบอินทรีย์และปฏิกิริยาเคมีที่พบในเซลล์ไม่มีความแตกต่างในหลักการกับเคมีส่วนอื่น", "title": "เมแทบอลิซึม" }, { "docid": "594885#27", "text": "กลุ่มผู้ก่อการหลายหน่วยได้เจ้าไปล้อมที่พำนักของนายกรัฐมนตรีดิมิทรีเย ซินซา-มาร์โกวิกและข้าราชการอาวุโสที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ร้อยโทเปตาร์ ซิฟโกวิกได้ปฏิบัติหน้าที่ในตอนกลางคืนได้ปลดล็อกประตูในเวลา 2 นาฬิกาการค้นหาทั้งสองพระองค์ไม่ประสบผบสำเร็จจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบจะ 2 ชั่วโมง ในช่วงนี้ร้อยเอกโจวาน มิลิจโกวิก ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับคณะผู้ก่อการแต่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม และมิไฮโล เนามูวิก(ซึ่งฝ่ายผู้ก่อการไม่ทราบว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน)ได้ถูกสังหารไปด้วย ประตูห้องบรรทมของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ถูกทำลายด้วยระเบิด แต่ไม่มีใครอยู่ที่แท่นบรรทม ด้วยการที่ไม่รู้จักกัยคนอื่นๆ เอพิสเห็นใครบางคนหนีลงจากบันไดไปที่ลานพระราชวัง เขาคิดว่าเป็นพระมหากษัตริย์และวิ่งไล่ตามไป ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในทหารรักษาพระองค์ที่จงรักภักดีและได้มีการดวลปืนกันขึ้น เอพิสได้รับบาดเจ็บจากกระสุนสามนัดที่ฝังบนหน้าอกของเขา ซึ่งเขาเอาชีวิตรอดมาได้เนื่องจากสุขภาพที่แข็งแรงของเขา", "title": "รัฐประหารเดือนพฤษภาคม" }, { "docid": "957202#19", "text": "สำหรับสถานีแรก (OR1) ระบบผู้ใช้ขอให้สถานีสร้างวงจร (Create c1) โดยส่งข้อมูล (g^x1) ที่เข้ารหัสลับด้วยกุญแจหัวหอมของสถานีแรก ซึ่งเป็นส่วนแรกของโพรโทคอลต่อรองเพื่อกุญแจสมมาตรคือกุญแจอายุสั้น (ให้สังเกตว่า สถานีแรกรู้ที่อยู่ไอพีของระบบผู้ใช้[35] และสถานีแรกจะตอบสนองต่อคำขอได้ก็ต่อเมื่อรู้กุญแจหัวหอมส่วนตัวของตน[15][20]) สถานีแรกส่งคำตอบยอมรับการสร้างวงจร (Created c1) พร้อมข้อมูลที่กำหนดกุญแจอายุสั้น (g^y1 เป็นต้น) ที่จะใช้เพื่อเข้ารหัสข้อมูลเซลล์ระหว่างระบบผู้ใช้กับสถานีแรก สำหรับสถานีสอง (OR2) ระบบผู้ใช้จะส่งคำขอให้ต่อวงจรเชื่อมกับสถานีที่สองไปยังสถานีแรก โดยรวมข้อมูลที่เข้ารหัสลับด้วยกุญแจหัวหอมของสถานีที่สอง (g^x2) ซึ่งเป็นส่วนแรกของโพรโทคอลต่อรองเพื่อกุญแจอายุสั้น พร้อมกับคำขอการต่อวงจร (Extend) ซึ่งระบุสถานีที่สองโดยเฉพาะ เข้าเป็นส่วนข้อมูลของเซลล์ แล้วเข้ารหัสลับส่วนข้อมูลด้วยกุญแจอายุสั้นที่ใช้ร่วมกับสถานีแรก (g^x1y1) ต่อจากนั้นจึงส่งคำขอให้ส่ง (Relay/Relay early) ไปยังสถานีแรก (ให้สังเกตว่า ถ้ามีใครสามารถถอดรหัสลับการสื่อสารโดยใช้ทีแอลเอสได้ แต่ไม่มีกุญแจอายุสั้นของสถานีแรก ก็จะไม่สามารถกำหนดได้ว่า เซลล์มีข้อมูลที่จะส่งต่อ หรือเป็นคำขอ/คำตอบรับ คือไม่สามารถรู้ว่าใครกำลังเดินเนินงานกิจกรรมอะไรจริง ๆ) สถานีแรกถอดรหัสส่วนข้อมูลของเซลล์ด้วยรหัสอายุสั้นที่ใช้ร่วมกับระบบผู้ใช้ (g^x1y1) แล้วพบคำขอให้ต่อวงจร (Extend) จึงขอให้สถานีสองสร้างวงจร (Create c2) โดยส่งคำขอพร้อมกับข้อมูลเข้ารหัสลับ (g^x2) ที่มาจากระบบผู้ใช้ ให้สังเกตว่า สถานีแรกรู้ที่อยู่ไอพีของสถานีสอง แต่ไม่รู้ส่วนข้อมูลที่เข้ารหัสลับด้วยกุญแจหัวหอมของสถานีสองจากระบบผู้ใช้ ข้อมูลซึ่งเป็นส่วนแรกของโพรโทคอลต่อรองเพื่อกุญแจสมมาตรคือกุญแจอายุสั้น สถานีสองจะตอบสนองต่อคำขอได้ก็ต่อเมื่อรู้กุญแจหัวหอมส่วนตัวของตน และจากมุมมองของสถานีสอง คำขอการสร้างวงจรเหมือนกับมาจากสถานีแรก จึงไม่สามารถบอกได้ว่า เป็นการเพิ่มต่อวงจรจากระบบผู้ใช้ สถานีสองส่งคำตอบยอมรับการสร้างวงจร (Created c2) พร้อมข้อมูลที่กำหนดกุญแจอายุสั้น (g^y2 เป็นต้น) ที่จะใช้เพื่อเข้ารหัสส่วนข้อมูลของเซลล์ระหว่างระบบผู้ใช้และสถานีสอง โดยส่งไปยังสถานีหนึ่ง สถานีแรกรวมการยอมรับการต่อวงจร (Extended) พร้อมกับข้อมูลที่กำหนดกุญแจอายุสั้น (g^y2 เป็นต้น) เข้าในส่วนข้อมูลของเซลล์ แล้วเข้ารหัสลับด้วยกุญแจอายุสั้นที่ใช้ร่วมกับระบบผู้ใช้ ต่อจากนั้นจึงส่งข้อมูลกลับไปยังระบบผู้ใช้โดยเป็นคำขอให้ส่ง (Relay) (ให้สังเกตว่า ถ้ามีใครสามารถถอดรหัสลับการสื่อสารโดยใช้ทีแอลเอสได้ แต่ไม่มีกุญแจอายุสั้นของสถานีแรก ก็จะไม่สามารถกำหนดได้ว่า เซลล์มีข้อมูลที่จะส่งต่อ หรือเป็นคำขอ/คำตอบรับ คือไม่สามารถรู้ว่าใครกำลังเดินเนินงานกิจกรรมอะไรจริง ๆ)", "title": "การจัดเส้นทางแบบหัวหอม" }, { "docid": "469223#0", "text": "อวัยวะของคอร์ติ () เป็นอวัยวะรับรู้เสียงที่อยู่ในหูชั้นในรูปหอยโข่ง (หรือคอเคลีย) ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม\nมีแถบเซลล์เยื่อบุผิวที่ไม่เหมือนกันตลอดแถบ ทำให้สามารถถ่ายโอนเสียงต่าง ๆ ให้เป็นสัญญาณประสาทต่าง ๆ\nโดยเกิดผ่านแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้น้ำในคอเคลียและเซลล์ขนในอวัยวะของคอร์ติไหว\nนักกายวิภาคชาวอิตาลี นพ. แอลฟอนโซ คอร์ติ (พศ. 2365-2419) เป็นผู้ค้นพบอวัยวะของคอร์ติในปี 2394\nโครงสร้างมีวิวัฒนาการมาจาก basilar papilla และขาดไม่ได้เพื่อแปลแรงกลให้เป็นสัญญาณประสาทในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม\nอวัยวะของคอร์ติอยู่ในคอเคลียภายในหูชั้นในระหว่างท่อ vestibular duct กับ tympanic duct และประกอบด้วยเซลล์รับแรงกลที่รู้จักกันว่า เซลล์ขน\nซึ่งตั้งขึ้นอย่างเหมาะสมที่เยื่อกั้นหูชั้นใน (basilar membrane) ของอวัยวะ โดยมีเซลล์ขนด้านนอก (outer hair cell, OHC) 3 แถว กับเซลล์ขนด้านใน (inner hair cell, IHC) อีกหนึ่งแถว\nและมีเซลล์ที่เป็นตัวแยกและค้ำจุนเซลล์ขนเหล่านี้ คือ Deiters cell (phalangeal cell) และ pillar cell\nเซลล์ขนมีส่วนยื่นออกด้านบนคล้าย ๆ กับนิ้วที่เรียกว่า stereocilia ซึ่งเรียงตามลำดับความสูงโดยมีเส้นที่สั้นที่สุดอยู่ด้านนอกและยาวที่สุดตรงกลาง\nเชื่อว่า การเรียงลำดับเช่นนี้สำคัญมากเพราะว่าช่วยให้เซลล์ให้ปรับรับเสียงได้ดี (superior tuning)", "title": "อวัยวะของคอร์ติ" }, { "docid": "505216#1", "text": "ในภาพยนตร์เรื่อง ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส อภิมหาสงครามแค้น ก็ได้มีการนำเอาเรื่องราวของ แมททริกซ์แห่งจิตพลังผู้นำ ไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย กล่าวคือ เหล่าไพรม์ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ อ็อพติมัส ไพรม์ ได้ตั้งกฏขึ้นเอาไว้ข้อหนึ่งคือ ห้ามทำลายดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิต จนกระทั่งมีหนึ่งในเจ็ดคิดแหกกฏข้อนี้ นั่นคือ เดอะฟอลเลน เขาคิดแหกกฏเพราะ รังเกียจเผ่าพันธุ์มนุษย์ เดอะฟอลเลนจึงคิดจะล้างเผ่าพันธุ์โดยการเปิดเครื่องมหาจักรกล ทางเดียวที่จะปลุกมันให้เปิดคือใช้กุญแจในตำนานคือแมททริกซ์แห่งจิตพลังผู้นำนี้เอง จนเกิดสงครามแย่งชิงขุมพลังแมททริกซ์ขึ้นมา เหล่าไพรม์จึงจำต้องขโมยแมททริกซ์ไปซ่อนไว้ให้พ้นจากเดอะ ฟอลเลน ทำให้เกิดการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่คือ เหล่าไพรม์ได้สละชีวิตเพื่อซ่อนรักษาแมททริกซ์ในสุสานที่ผนึกซากจากร่างของพวกเขา สุสานที่ไม่เคยมีใครค้นหาพบ", "title": "Matrix of Leadership" }, { "docid": "630808#1", "text": "เซลล์รับแสงแบบคลาสิกก็คือเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย แต่ละอย่างล้วนแต่ให้ข้อมูลที่ใช้ในระบบการมองเห็นเพื่อสร้างแบบจำลองของโลกภายนอกที่เห็นทางตา เซลล์รูปแท่งนั้นบางกว่าเซลล์รูปกรวย และมีความกระจัดจายไปในจอประสาทตาที่แตกต่างกัน แม้ว่า กระบวนการเคมีที่ถ่ายโอนแสงไปเป็นพลังประสาทนั้นคล้ายคลึงกัน[6] มีการค้นพบเซลล์รับแสงประเภทที่สามในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990[7] ซึ่งก็คือ photosensitive retinal ganglion cell เป็นเซลล์ที่ไม่ได้มีส่วนให้เกิดการเห็นโดยตรง แต่เชื่อกันว่า มีส่วนช่วยในระบบควบคุมจังหวะรอบวัน (circadian rhythms) และปฏิกิริยาปรับรูม่านตาแบบรีเฟล็กซ์", "title": "เซลล์รับแสง" }, { "docid": "741059#0", "text": "ไฟฟ้ากระแสตรง () เป็นไฟฟ้ากระแสที่มีทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าไปในทิศทางเดียวกันเป็นวงจร ในอดีตไฟฟ้ากระแสตรงเคยถูกเรียกว่า \"กระแสกัลวานิก\" (galvanic current) อุปกรณ์ที่สามารถผลิตไฟฟ้ากระแสตรงได้ เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ ทั้งชนิดประจุไฟฟ้าใหม่ได้และชนิดใช้แล้วทิ้ง และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง ไฟฟ้ากระแสตรงสามารถไหลผ่านตัวนำไฟฟ้า เช่น สายไฟ สารกึ่งตัวนำ ฉนวนไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งเคลื่อนที่ในภาวะสุญญากาศในรูปของลำอิเล็กตรอนหรือลำไอออน", "title": "ไฟฟ้ากระแสตรง" }, { "docid": "630808#38", "text": "ในมนุษย์ RGC ไวแสงมีส่วนในการเห็น (conscious sight) และในหน้าที่อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเห็นรวมทั้งที่เกี่ยวกับจังหวะรอบวัน พฤติกรรม และการปรับรูม่านตา[34] เพราะว่า เซลล์เหล่านี้ตอบสนองโดยมากกับแสงสีน้ำเงิน จึงมีข้อเสนอว่าเซลล์เหล่านี้มีบทบาทใน mesopic vision (การเห็นในที่สลัวไม่ถึงกับมืด) งานของไซดีและคณะในมนุษย์ที่ไม่มีเซลล์รูปแท่งไม่มีเซลล์รูปกรวยยังเปิดทางให้กับงานทดลองเกี่ยวกับบทบาทของ RGC ไวแสงต่อการเห็นอีกด้วย คือ เกิดการพบว่า มีวิถีประสาทขนานกันที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเห็น วิถีหนึ่งเป็นวิถีคลาสสิกไปจากเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยที่อยู่ทางด้านนอกของเรตินา และอีกวิถีหนึ่งเป็นการตรวจจับระดับแสงสว่างแบบคร่าว ๆ ที่เกิดจากเรตินาด้านใน ซึ่งดูเหมือนจะเกิดการทำงานก่อนด้านนอก[34] นอกจากนั้นแล้ว ระบบคลาสสิกยังป้อนข้อมูลให้กับระบบที่ค้นพบใหม่อีกด้วย และนักวิจัยฟอสตอร์ได้เสนอว่า ความสม่ำเสมอของสี (colour constancy[35]) อาจจะเป็นหน้าที่สำคัญของระบบใหม่", "title": "เซลล์รับแสง" }, { "docid": "524697#0", "text": "ดาวเนปจูนมีดาวบริวารเป็นที่รู้จักกันทั้งหมดสิบสี่ดวงโดยดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดคือดาวบริวารไทรทัน, ค้นพบโดยวิลเลียม ลาสเซลล์ เมื่อ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1846 เพียง 17 วันหลังจากการค้นพบดาวเนปจูน กว่าศตวรรษผ่านไปจึงมีการค้นพบดาวบริวารดวงที่สองมีชื่อเรียกว่านีเรียด ดาวบริวารของดาวเนปจูนเป็นชื่อของเทพแห่งน้ำในตำนานเทพเจ้ากรีก", "title": "ดาวบริวารของดาวเนปจูน" }, { "docid": "387170#8", "text": "นักวิจัยที่สถาบันมะเร็งอแบรมสัน (Abramson Cancer Center) แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย รายงานความสำเร็จขั้นต้นในการใช้ยีนบำบัด โดยการดัดแปลงทีเซลล์ด้วยกลไกทางพันธุกรรม ในการรักษา CLL การค้นพบดังกล่าว ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 อาศัยข้อมูลจากผู้ป่วยสามคนผู้ฉีดเซลล์ทีดัดแปลงเข้าไปในเลือด เซลล์ทีได้ถูกดัดแปลงเพื่อให้ยีนที่ให้เซลล์เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในร่างกายและทำลายเซลล์บี รวมทั้งเซลล์ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยสองคนเข้าสู่ระยะทุเลา (remission) ขณะที่การมีอยู่ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวคนที่สามลดลงถึงร้อยละ 70 ผู้ป่วยคนหนึ่งที่ถูกวินิจฉัยเป็น CLL มากว่า 13 ปี และการรักษาเขาล้มเหลวก่อนที่จะเข้าร่วมในการวิจัยคลินิกได้ หนึ่งสัปดาห์หลังฉีดเซลล์ทีเข้าไป เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเลือดของเขาก็หายไป เซลล์ทียังคงถูกพบในกระแสเลือดของผู้ป่วยหกเดือนหลังกระบวนการนั้น หมายความว่าพวกมันจะยังสู้กับโรคได้หากมะเร็งเม็ดเลือดขาวกลับมาอีก นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ \"ใช้ยีนบำบัดทำลายเนื้องอกมะเร็งได้สำเร็จในผู้ป่วยที่เป็นโรคมาก\" บทบรรณาธิการหนึ่งในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ยังได้กระตุ้นเตือน เพราะมีเพียงการวิจัยเพิ่มเติมที่จะชี้ชัดว่าการค้นพบดังแล้ว \"เป็นความก้าวหน้าสู่การบำบัดที่ใช้ได้ในเชิงคลินิกและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง\"", "title": "มะเร็งเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์แบบเรื้อรังชนิดบีเซลล์" }, { "docid": "70761#13", "text": "พรีออนมีการติดต่อสองแบบคือ หนึ่งแบบการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธุ์ (mutation) ของยีน prnp ซึ่งสามารถเกิดขึ้นเอง (sporadic) หรือได้รับถ่ายทอดจากพ่อแม่ก็ได้ (familial) ส่วนสาเหตุที่สองที่เป็นวิธีแพร่ของโรคร้ายแรงอย่างโรควัวบ้าคือการถ่ายทอดแบบ horizontal transmissable ผ่านการบริโภคอาหารที่มี PrPSC เข้าไป หรือ แบบ iatrogenic ที่เกิดจากการนำอุปกรณ์การแพทย์ที่เคยใช้กับผู้ป่วยพรีออนไปใช้กับผู้ป่วยปกติ แม้จะทำความสะอาดแล้วแต่เพราะพรีออนทนทานต่อสารเคมีและความร้อน ทำให้ยังคงเหลือพรีออนอยู่กับอุปกรณ์การแพทย์นั้น และสามารถทำให้เกิดการติดต่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับและสภาพของตัวผู้ป่วยด้วย เพราะ มีการค้นพบว่าชาวเอเชียจะมีภูมิต้านทานต่อพรีออนมากกว่า และจะติดพรีออนได้น้อยกว่าฝรั่งผิวขาว หรือ แม้มีพรีออนในนมของวัวที่เป็นโรควัวบ้า แต่อยู่ในปริมาณที่ต่ำมากทำให้ผู้บริโภคไม่ติดโรคพรีออน สำหรับกรณีของการติดต่อจากการบริโภคที่เป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับระบบอุตสาหกรรมอาหารในโลกสมัยใหม่ การเดินทางของพรีออนจากระบบทางเดินอาหารไปยังสมอง ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ แต่ปัจจุบันได้มีการค้นพบแล้วว่า ระบบภูมิคุ้มกันมีบทบาทอย่างมากในการพาพรีออนไปยังสมอง โดยเริ่มจากการผ่านการย่อยในทางเดินอาหารพรีออนแม้จะไม่ถูกทำลายโดยเอนไซม์ต่างๆแต่ก็ยังสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้บริเวณ distal ileum (ลำไส้เล็กส่วนปลาย) โดยสันนิษฐานว่าน่าจะผ่านทาง Membranous epithelial cell (M cell) ซึ่งเป็นเซลล์บุเยื่อต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง แล้วจึงถูกนำไปยังต่อมน้ำเหลืองทุติยภูมิ (secondary lymphoid organ: Peyer's patches) โดยเซลล์เคลื่อนที่ได้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเซลล์ใด จากนั้นก็ไปเกิดการเพิ่มจำนวนที่ต่อมน้ำเหลืองนี้ที่เซลล์ Follicular dendritic cells (FDCs) โดยความช่วยเหลือของบีเซลล์ (B lymphocyte) ที่ปล่อยสาร Lymphotoxin (LT) มากระตุ้น FDCs นี้ จากนั้นก็จะมีปฏิกิริยาต่อกันทั้งการหลั่งสารไซโตคีนและ cell contact ระหว่างบีเซลล์ คอมพลีเมนต์ สโตรมาเซลล์ และ FDCs ซึ่งช่วยในการเพิ่มจำนวนพรีออนบน FDCs ส่วนการเดินทางของพรีออนไปยังระบบประสาทนั้น ที่ต่อมน้ำเหลืองทุติยภูมินี้จะมีเส้นประสาท autonomic nervous system ประเภท sympathetic มาเชื่อมกันอยู่แล้ว เซลล์ FDCs ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ก็จะพาเอาพรีออนไปยังเซลล์ประสาทนี้เอง (ยังมีการโต้เถึยงกันในเรื่องนี้ โดยเฉพาะระยะห่างระหว่างเซลล์ FDCs และเซลล์ประสาท) แล้วจากเซลล์ประสาทระบบซิมพาเทติกนี้ พรีออนก็จะถูกส่งไปยังระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system: CNS) ผ่านทาง ganglion cell ซึ่งจะไปเพิ่มจำนวนที่เซลล์สมองและทำลายสมองต่อไป ส่วนของสมองส่วนแรกที่จะติดพรีออนได้เร็วที่สุดคือ corpus callosum และ ไฮโปทาลามัส อนึ่งในผู้ป่วยหรือสัตว์ที่ป่วยจะไม่พบพรีออนเพียงแต่ในเซลล์ประสาทหรือสมองเท่านั้นแต่ยังพบได้ในกล้ามเนื้อ เลือด ม้าม ลูกตา ทางเดินอาหาร และต่อมต่างๆ เช่นต่อมน้ำนม", "title": "พรีออน" }, { "docid": "789453#0", "text": "เพาล์ ลังเงอร์ฮันส์ (; 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1847 – 20 มิถุนายน ค.ศ. 1888) เป็นพยาธิแพทย์และนักสรีรวิทยาชาวเยอรมัน เกิดที่กรุงเบอร์ลิน เป็นบุตรของดร. เพาล์ เอากุสท์ แฮร์มันน์ ลังเงอร์ฮันส์ กับอันนา ลูอีเซอ คาโรลีเนอ ลังเงอร์ฮันส์ (นามสกุลเดิม ไคเบิล) เรียนที่โรงเรียนเกราเอินโคลสเตอร์ (Grauen Kloster) ก่อนจะเรียนต่อด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเยนา ในปี ค.ศ. 1868 ลังเงอร์ฮันส์วิเคราะห์เซลล์หนังกำพร้าและค้นพบเดนดริติกเซลล์ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า \"เซลล์ลังเงอร์ฮันส์\" หนึ่งปีต่อมา เขานำเสนอวิทยานิพนธ์เรื่อง \"กายวิภาคระดับจุลภาคของตับอ่อน\" ซึ่งพูดถึงกลุ่มเซลล์ใส ลังเงอร์ฮันส์สันนิษฐานว่ากลุ่มเซลล์เหล่านี้เป็นต่อมน้ำเหลือง ซึ่งต่อมารู้จักในชื่อ \"ไอลิตส์ออฟแลงเงอร์แฮนส์\"", "title": "เพาล์ ลังเงอร์ฮันส์" }, { "docid": "48613#12", "text": "ในปี 1887 ไฮน์ริช เฮิร์ตซ์[17]:843–844[18] ค้นพบว่าขั้วไฟฟ้าที่เรืองแสงด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเลตจะสร้างประกายไฟฟ้าได้ง่ายมาก ในปี 1905 อัลเบิรต ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์เอกสารที่อธิบายข้อมูลการทดลองจากผลกระทบโฟโตอิเล็กตริกเมื่อการเป็นผลลัพธ์ของพลังงานแสงที่กำลังถูกนำส่งในแพกเกตที่แปลงเป็นปริมาณที่ไม่ต่อเนื่อง เป็นการใส่พลังงานให้กับอิเล็กตรอน การค้นพบนี้นำไปสู่การปฏิวัติควอนตัม ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1921 สำหรับ \"การค้นพบกฎของผลกระทบโฟโตอิเล็กตริก\"[19] ผลกระทบโฟโตอิเล็กตริกยังถูกใช้ในโฟโตเซลล์อย่างที่สามารถพบได้ในเซลล์แสงอาทิตย์อีกด้วยและเซลล์นี้มักจะถูกใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อการพานิชย์", "title": "ไฟฟ้า" } ]
3006
ใครเป็นผู้ก่อตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี)?
[ { "docid": "268309#0", "text": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) เดิมชื่อ วิทยาลัยการอาชีพพานทอง ประกาศจัดตั้งเมื่อ 24กุมภาพันธ์2540โดยนายสุขวิช รังสิตพลรัฐมนตรีว่าการกนะทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ต่อมากระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ได้ร่วมกันจัดทำโครงการจัดตั้งโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์นำร่อง โดยมีวิทยาลัยการอาชีพพานทอง เป็นสถานศึกษานำร่องแห่งแรก และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ต่อมากระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศเปลี่ยนชื่อวิทยาลัยเมื่อวันที่ 21พฤษภาคม 2552 เพื่อรองรับการขยายผลของนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบของห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษาที่มีอยู่เดิม (school in school)", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" } ]
[ { "docid": "268309#70", "text": "เมื่อเริ่มจัดตั้งโครงการฯโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบของโรงเรียนประจำที่นักเรียนจะต้องอยู่หอพัก แต่เดิมนั้นทางโรงเรียนยังไม่มีหอพักนักเรียนให้นักเรียนเข้าพักได้ทันกำหนดการรับนักเรียนเข้าศึกษาของนักเรียนรุ่นที่ 1 จึงทำให้นักเรียนรุ่นที่ 1 ต้องอาศัยอยู่ที่หอพักเอกชนภายนอกและมีรถรับส่งนักเรียนแทน หลังจากนั้นภายในปีการศึกษา ทางโรงเรียนได้ปรับปรุงอาคารอำนวยการและอาคารเรียนหลังเก่า ที่ตั้งอยู่ ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์(ชลบุรี) เขต1 เป็นหอพักนักเรียน และเริ่มรับนักเรียนรุ่นที่ 2 เข้าศึกษา ต่อมาทางโรงเรียนได้รับงบประมาณในการก่อสร้างหอพักนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ จำนวน 2 หลัง แล้วเสร็จในปี 2557 ปัจจุบันหอพักนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ มีจำนวน 3 อาคาร คืออาคารหอพักนักเรียนชาย(หอบุษกร) อาคารหอพักนักเรียนหญิง(หอขจรรัตน์) และหอพักใหม่(สร้างเมื่อปีการศึกษา 2559) ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์(ชลบุรี) เขต 2 โดยชื่อที่ใช้เรียกนั้น เป็นชื่อหอที่เคยใช้เรียกกันตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่หอพักเดิม ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์(ชลบุรี) เขต1 โดยมีรูปแบบอาคารที่เหมือนกัน คือ เป็นอาคาร 4 ชั้น บริเวณชั้นล่างมีพื้นที่ส่วนกลาง คือห้อง common room ที่ใช้ในการทำกิจกรรมทางวิชาการ กิจกรรมนั้นทนาการ การจัดการประชุม เป็นต้น", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" }, { "docid": "268309#86", "text": "บูมฐานวิทย์ฯ ได้เปิดการบูมขึ้นเป็นครั้งแรก ในงาน Bye’nior นักเรียนรุ่นที่1 ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 ณ สนามกีฬา วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์(ชลบุรี) เขต1 โดยผู้เข้าร่วมการบูมครั้งนี้ประกอบด้วยผู้บูมคือนักเรียนรุ่นที่2และ3 บูมให้นักเรียนรุ่นพี่ รุ่นที่1 ซึ่งได้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเสียงบูม ที่ดังกึกก้องกัมปนาท แฝงด้วยความรัก ความเคารพ และความภาคภูมิใจในการเป็น “นักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์” \nนับแต่นั้นเป็นต้นมา บูมฐานวิทย์ฯ จึงเป็นบูมประจำโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ที่ได้นำมาใช้ในงานสำคัญต่างๆ ด้วยเนื้อหาความหมายที่ผู้ประพันธ์ได้รวบรวม “หัวใจหลักแห่งเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์” ผ่านบทประพันธ์ทั้งหมดนี้ \"บูมฐานวิทย์ฯจึงเป็นบูมที่สถิตอยู่ในใจของนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ทุกคนตลอดชั่วกาลนาน\"", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" }, { "docid": "268309#27", "text": "โครงการนี้ ถือเป็นโครงการใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) เพื่อบ่มเพาะนักเรียนระดับ ปวช. ที่มีศักยภาพด้านการประดิษฐ์คิดค้นเชิงเทคโนโลยี โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 ใช้รูปแบบของห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษาที่มีอยู่เดิม (school in school) และนำร่องแห่งแรกที่ “วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์(ชลบุรี)” \nการดำเนินการในช่วงแรกจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมหลายด้าน และยังมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ แต่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ และหน่วยงานพันธมิตรจากภายนอก เช่น สถาบันอุดมศึกษา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ รวมทั้ง การทุ่มเทของผู้บริหารและบุคลากรของวิทยาลัยฯ จนสามารถการสามารถขับเคลื่อนได้ในปีการศึกษา 2551 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" }, { "docid": "268309#16", "text": "กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีคำสั่งที่ 159/2550 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อเสนอโครงการจัดตั้งโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์นำร่อง เพื่อจัดทำข้อเสนอโครงการนำร่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญภายใต้แผนกลยุทธ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(พ.ศ. 2547-2556) เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพเพียงพอที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศและตอบสนองต่อความต้องการของภาคเศรษฐกิจและสังคม แต่การพัฒนากำลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา มักมุ่งเน้นไปที่การสร้างและเพิ่มจำนวนบุคลากรวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยจะเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นของการผลิตสินค้าและบริการที่ใช้องค์ความรู้จากการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีเพื่อยกระดับความสามารถของธุรกิจให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเพิ่มความสามารถการแข่งขันในระยะยาว แต่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ความพร้อมในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา โดยยังมีข้อจำกัดในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านศักยภาพในการทำวิจัยและพัฒนา แหล่งเงิน และบุคลากรที่มีทักษะด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในกลุ่มของ “นักเทคโนโลยี” หรือนักประดิษฐ์คิดค้น ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่มีทักษะฝีมือหรือเก่งทางด้านช่างเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่เก่งด้านวิทยาศาสตร์ด้วย กล่าวคือ สามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายสาขามาผสมผสานกับความรู้ความชำนาญด้านการประดิษฐ์ เพื่อสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในแขนงต่างๆ อาทิ การพัฒนากระบวนการผลิตใหม่ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ การให้บริการในรูปแบบใหม่ เป็นต้น", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" }, { "docid": "850500#2", "text": "ปี พ.ศ. 2550 กระทรวงศึกษาธิการและระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมกันทำ \"โครงการจัดตั้งโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์นำร่อง\" เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีทักษะด้านช่าง ในปี พ.ศ. 2552 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศเปลี่ยนชื่อวิทยาลัยการอาชีพพานทองเป็น วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) เพื่อรองรับการขยายผลของนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบของห้องเรียนพิเศษในสถานศึกษาที่มีอยู่เดิม (school in school)", "title": "สถาบันการอาชีวศึกษา" }, { "docid": "269339#0", "text": "ศาสตราจารย์สวาสดิ์ ไชยคุณา อธิการบดีวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาคนแรก (พ.ศ. 2518) เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา และพัฒนากิจการของวิทยาลัยฯ อย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ยอมรับ นับถือของคณาจารย์ ศิษย์เก่า และนักศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทุกแห่ง", "title": "สวาสดิ์ ไชยคุณา" }, { "docid": "268309#18", "text": "ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งขยายฐานการศึกษาเพื่อบ่มเพาะและสร้างนักเทคโนโลยีที่สามารถผสมผสานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เข้ากับทักษะด้านช่างเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ อันจะนำไปสู่การยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยีให้กับภาคการผลิตและบริการของประเทศต่อไปในอนาคต โดยเร่งพัฒนาหลักสูตรเพื่อรองรับการสร้างบุคลากรกลุ่มนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีฐานกำลังคนที่ครบถ้วนและเพียงพอที่จะเป็นกำลังสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรม\nกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ได้ร่วมกันจัดทำโครงการจัดตั้งโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์นำร่อง โดยมีวิทยาลัยการอาชีพพานทอง จ.ชลบุรี เป็นสถานศึกษานำร่องแห่งแรก และโครงการนำร่องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" }, { "docid": "268309#52", "text": "เพื่อจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพที่เป็นผู้มีศักยภาพหรือ ความสามารถพิเศษด้านการประดิษฐ์คิดค้น(นักเรียนโครงการฯโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์)ให้มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีทักษะที่เพียงพอ เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีบน ฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่เข้มแข็งต่อไปในอนาคต", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" }, { "docid": "268309#60", "text": "จัดการเรียนการสอนระบบปกติ ในสาขาวิชาดังนี้ \nจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้ประกอบอาชีพหรือผู้มีงานทำโดยเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ ในสาขาวิชาดังนี้ \nปีการศึกษา 2553 นายเจษฎา ตั้งมงคลสุข (นักเรียนสาขาวิชาช่างอุตสาหกรรมฐานวิทยาศาสตร์ โครงการโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์) ได้รับพระราชทานรางวัลนักเรียน \"รางวัลพระราชทาน\" จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์พระราชทานรางวัล ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" } ]
1211
เทียรี่ เมฆวัฒนา เป็นลูกครึ่งอะไร?
[ { "docid": "56155#0", "text": "เทียรี่ เมฆวัฒนา นักร้องและนักดนตรีชาวไทย สมาชิกวงคาราบาว มีชื่อจริงว่า เทียรี่ สุทธิยงค์ เมฆวัฒนา เกิดวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2501 ที่ประเทศลาว โดยมีพ่อเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนชื่อ เอนก เมฆวัฒนา แม่เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#1", "text": "เทียรี่ เมฆวัฒนา เกิดที่ประเทศลาว โดยมีพ่อทำงานให้กับหน่วยซีไอเอในลาวคอยหาเครื่องใช้ให้ทหารอเมริกัน แม่เป็นชาวสวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ Simone หลังจากนั้นพอเทียรี่มีอายุได้ 2 ขวบ ประเทศลาวได้เกิดสงครามกลางเมืองจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2503 พ่อจึงพาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย และเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนจะย้ายมาเรียนที่โรงเรียนดรุณพิทยาจนจบชั้นมัธยมปลาย จากนั้นได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านการบริหารธุรกิจที่ American Business Institute ที่เมืองแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" } ]
[ { "docid": "56155#25", "text": "เทียรี่ เมฆวัฒนา แต่งงานกับ อุทุมพร ศิลาพันธุ์ นักแสดงสาว ทั้งคู่ได้อยู่กินกันมานับสิบปี จนมีลูกด้วยกันทั้งสิ้น 2 คน คือ เจน เมขลา (ลูกสาว) และ เจสซี เมฆ (ลูกชาย) แต่ก็ได้หย่าร้างกันเมื่อต้นปี พ.ศ. 2545 โดยเทียรี่เป็นฝ่ายขอหย่าเอง โดยอ้างว่าไม่มีเวลาให้กับครอบครัวเพียงพอ ปัจจุบัน เทียรี่มีห้องอัดเสียงเป็นของตนเองชื่อ jessie&jane studio มีบริษัทเพลงของตัวเองชื่อ here entertainment และมีบริษัท CRB entertainment จำกัด รับงานโฆษณาและผลิตรายการโทรทัศน์ โดยมีนิตยสารของตนเองชื่อ Coffee Break", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#10", "text": "ความโด่งดังของอัลบั้ม ท.ทหารอดทน ทำให้วงคาราบาวทั้งวงได้เล่นเป็นดารารับเชิญในภาพยนตร์เรื่อง ปล.ผมรักคุณ และเทียรี่ในฐานะนักดนตรีแบ็กอัพก็ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้พร้อมกับคาราบาวด้วย โดยในปีดังกล่าว เทียรี่ เมฆวัฒนา ได้แต่งงานเป็นครั้งแรกกับแฟนสาวที่คบหากันมานานถึง 6 ปี แต่กลับใช้ชีวิตคู่อยู่เพียงแค่ 6 เดือนก็ได้หย่าขาดจากกันในปีเดียวกัน", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#12", "text": "ในปีเดียวกัน เทียรี่ เมฆวัฒนาได้แสดงภาพยนตร์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องเสียงเพลงแห่งเสรีภาพ คู่กับนางเอกสาว จุ๋ม - อุทุมพร ศิลาพันธ์ ซึ่งสมาชิกวงคาราบาวได้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยกันทั้งวง ตลอดจนมีดาราอื่น ๆ เช่น ษา - สุพรรษา เนื่องภิรมย์, หมู - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ, สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน มาร่วมแสดงด้วย และในปีดังกล่าว บริษัทการบินไทย ครบรอบ 25 ปี จึงได้มอบหมายให้วงคาราบาวแต่งเพลงให้ ซึ่งแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้แต่งเพลง \"รักคุณเท่าฟ้า\" โดยมอบให้เทียรี่เป็นผู้ขับร้อง และกลายเป็นเพลงฮิตที่ติดหูผู้ฟังอย่างมากจนถึงปัจจุบันและมีการนำกลับมาร้องซ้ำโดยศิลปินอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ฟอร์ด - สบชัย ไกรยูรเสน เป็นต้น", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#4", "text": "หลังจากนั้น ด้วยความที่ตัวเทียรี่ได้ออกโทรทัศน์บ่อยจึงได้รับการติดต่อให้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือเรื่อง สตรีหมายเลขศูนย์ คู่กับ ชลธิชา สุวรรณรัต และได้เล่นเป็นพระเอกอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง โอ้กุ๊กไก่ ในปี พ.ศ. 2522 ก่อนจะพักงานในวงการบันเทิงเพื่อเดินทางไปศึกษาต่อที่ American Business Institute และทำงานเป็นนักดนตรีตอนกลางคืนในร้านอาหาร ที่เมืองแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยร้องเพลงสากลของเซอร์ คลิฟฟ์ ริชาร์ด และ เอลวิส เพรสลี่ย์", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#16", "text": "เทียรี่ เมฆวัฒนาโด่งดังถึงขีดสุดในอัลบั้ม ทับหลัง ในปี พ.ศ. 2531 จากการขับร้องเพลง \"แม่สาย\" ซึ่งเป็นเพลงนำร่องในอัลบั้ม ซึ่งเพลงนี้มีการทำเป็นมิวสิกวิดีโอแบบแอนิเมชันเป็นเพลงแรกในประเทศไทยอีกด้วย", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "711804#0", "text": "เมฆ เมฆวัฒนา เกิดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นบุตรชายของ เทียรี่ เมฆวัฒนา และ อุทุมพร ศิลาพันธ์ เป็นบุตรคนที่สอง มีพี่สาว 1 คน ชื่อ เมฆขลา (เจน) เขาจบการศึกษาจากชั้นมัธยมศึกษาจาก Marlborough boys college, NZ. ที่ประเทศนิวซีแลนด์ และกำลังศึกษาต่อชั้นอุดมศึกษาที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เอกภาควิชานิเทศภาพยนตร์)", "title": "เมฆ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#7", "text": "จนกระทั่งปี พ.ศ. 2526 เทียรี่ เมฆวัฒนา ได้มีโอกาสร่วมงานกับวงคาราบาวเป็นครั้งแรก โดยเป็นการออกทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมทอัลบั้ม \"วณิพก\" โดยรับหน้าที่เล่นกีตาร์ไฟฟ้าบนเวทีคอนเสิร์ตแทนที่เล็ก - ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์โซโล่ตัวจริงของทางวง ที่ติดภารกิจต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตกับวงเพรสซิเดนท์ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเทียรี่เคยไปศึกษาที่นั่น", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#6", "text": "โดยเทียรี่ เมฆวัฒนา ได้มีอัลบั้มเพลงของตัวเองครั้งแรก เป็นอัลบั้มที่ร้องคู่กับไพจิตร อักษรณรงค์ คืออัลบั้ม รักแรก ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จทางยอดขายเป็นอย่างดี ทำให้มีผลงานการถ่ายแบบ และเป็นพิธีกรในรายการเกมโชว์ถึง 2 รายการ", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" } ]
2596
พระบรมราชา (มัง) เกิดเมื่อใด ?
[ { "docid": "782764#0", "text": "พระบรมราชา (มัง) (พ.ศ. 2348 - 2369) ทรงมีพระนามเต็มว่า พระบรมราชากิตติศัพท์เทพฤๅยศ ทศบุรีศรีโคตรบูรหลวง ทรงเป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองนครบุรีราชธานีศรีโคตรบูรหลวง หรือเมืองนครพนมในอดีต และทรงเป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองนครราชสีมาอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อครั้งนครพนมยังเป็นเมืองเจ้าหัวเศิกหรือนครประเทศราชของราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2348 - 2371) แห่งเวียงจันทน์ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367 - 2394) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นผู้สร้างเวียงท่าแขกหรือเมืองท่าแขกของแขวงคำม่วนในประเทศลาวปัจจุบัน เมื่อครั้งสงครามสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ พระบรมราชา (มัง) ทรงเป็นแม่ทัพองค์สำคัญของฝ่ายนครเวียงจันทน์เช่นเดียวกันกับพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) อนึ่ง พระบรมราชา (มัง) ทรงเป็นต้นสกุลพระราชทาน มังคลคีรี แห่งจังหวัดนครพนมในภาคอีสานของประเทศไทย อีกทั้งทรงเป็นเจ้าประเทศราชแห่งเมืองนครพนมองค์สุดท้ายที่ขึ้นกับนครเวียงจันทน์และได้รับพระราชทานพระนามเป็นที่ พระบรมราชา เป็นองค์สุดท้ายก่อนที่นครพนมจะตกเป็นประเทศราชของสยาม จากนั้นสยามจึงเปลี่ยนราชทินนามของเจ้าเมืองนครพนมเป็น พระยาพนมนครนุรักษ์ แทน", "title": "พระบรมราชา (มัง)" } ]
[ { "docid": "782764#17", "text": "หนังสือมา ณ วันศุกร เดือน ๗ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีมะเส็งนักษัตรเบญจศก (พ.ศ. ๒๓๗๖) ร่างตรานี้ท่านปลายเชือกทำ ครั้น ณ วันเดือน ๗ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เพลาบ่ายฯ พณฯ สมุหนายกว่าราชการ ณ จวน หลวงราชเสนาได้เอาร่างตรานี้อ่านกราบเรียน สั่งให้ตกแทรกลงบ้าง วงกาเสียบ้าง แล้วสั่งให้มีไปตามร่างนี้เถิด วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเส็ง เบญจศก ได้ส่งตรานี้ให้ท้าวอุปหาตรับไป [6]", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#23", "text": "ณ นครพนม พรหมประกาย (พระราชทาน) พรหมประกาย ณ นครพนม พิมพ์พานนท์ (พระราชทาน)[10] พิมพานนท์ ณ นครพนม สูตรสุคนธ์ (พระราชทาน) สูตรสุคนธ์ ณ นครพนม สิทธิรัตน์ สิทธิรัตน์ ณ นครพนม ศรียาวงศ์ ประสิทธิ์สา จันทรสาขา (พระราชทาน)[11] พรหมสาขา ณ สกลนคร (พระราชทาน) สิงหะวาระ พรหมอาสา ปะทุมชาติ (พระราชทาน)[12] หงษ์ภักดี หน่อสวรรค์ (หน่อสะหวัน) นาครทรรภ (พระราชทาน) มังคละวงศ์", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "40647#4", "text": "ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชานุญาตให้ใช้นามสกุลจากราชทินนาม ตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พุทธศักราช 2484 ว่า \"ผู้ใดประสงค์จะขอใช้ราชทินนามของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นชื่อสกุล ให้ยื่นเรื่องราวต่อรัฐมนตรีเพื่อถวายต่อพระมหากษัตริย์ ถ้าได้รับพระบรมราชานุญาตและได้นำหลักฐานไปจดทะเบียนต่อกรมการอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ซึ่งผู้ยื่นเรื่องราวมีภูมิลำเนาแล้ว จึงให้ถือว่าเป็นชื่อสกุลอันชอบด้วยกฎหมาย\" ", "title": "นามสกุลพระราชทาน" }, { "docid": "782764#6", "text": "'\"...ในปีมะเส็งศกนั้น (พ.ศ. 2352) พระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนมวิวาทกับท้าวไชยอุปฮาด พวกบ่าวไพร่อุปฮาดไม่ยอมอยู่ในบังคับบัญชาพระบรมราชา อุปฮาดจึงพาสมัครพรรคพวกประมาณ 2,000 คนเศษ อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในกรุงเทพมหานคร มาถึงกรุงเมื่อเดือนยี่ โปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ คลองมหาวงศ์เมืองสมุทรปราการ และให้ทำบัญชีสำรวจได้ชายฉกรรจ์ 860 คน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวอินทรสารบุตรผู้ใหญ่อุปฮาด เป็นพระยาปลัดเมืองสมุทรปราการ ดูแลควบคุมพลพวกนั้นต่อมา...\"[3]", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#12", "text": "ในเอกสารเพ็ชรพื้นเมืองเวียงจันทน์ ตอนพญาเมืองลครครองโคราช กล่าวถึงเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ได้กรีฑาทัพเข้าบุกเมืองนครราชสีมาและยึดเมืองไว้ได้ พระองค์ทรงตั้งให้พระบรมราชา (มัง) ขึ้นเป็นผู้ครองเมืองนครราชสีมา พร้อมทั้งชื่นชมว่าพระบรมราชา (มัง) นี้เป็นผู้มีสติปัญญาดี ดังปรากฏรายละเอียดต่อไปนี้", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#3", "text": "พระบรมราชา (มัง) มีพระราชเชษฐาพระราชอนุชารวม 5 พระองค์ ดังนี้", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#11", "text": "\"...เถิงเมื่อเดือนหกขึ้นสิบสองค่ำ มาเถิง เจ้าก็แปลงตราขัดฮอดละครมิช้า เจ้าให้หาเกณฑ์คนกล้าไปตีเหมราษฐ เสียเทอญ เหตุว่าเหมราฐนั้นเขาเกิดเป็นเศิกขึ้นแล้ว ให้เจ้าไปตีเสียอย่ากลายเดี๋ยวนี้ อันว่าปลูกเวียงนั้นเซาดูหยุดก่อน หั้นเทอญ จักว่าดีแลฮ้ายเมือหน้าบ่เห็น ฯ แต่นั้น นายคุมเจ้าเวียงแกแจ้งเหตุ เจ้าก็ฮัดเฮ่งขึ้นทั้งฟ้าวบ่เซา เจ้าก็กลับเมือเฝ้าบาทายั้งขม่อม เห็นแต่เฮือตั้งเต้าเต็มน้ำกึ่งกอง...แต่นั้น เมืองละครพร้อมมหาไชยฟ้าวฟั่ง ไปฮอดท่าแขกแล้วบ่เห็นแท้ที่ใด เห็นแต่ลาวเต็มเต้าเมืองลครของเก่า ภายพุ้น เขาก็คืนคอบไหว้องค์เจ้าสู่อัน หั้นแล้ว แกวก็เลยเคียดคล้อยป้อยด่าคำแข็ง สูอย่าเลิงๆ ตัวะล่ายกูฉันนี้ อันว่าของฟากนั้นบ้านอยู่เดิมเขา แท้นา สูว่าเศิกมาเต็มฝ่ายเฮาภายนี้ สูจงไปตั้งค่ายเป็นด่านหนองหลาง หั้นเทอญ กูจักเอากำลังเคลื่อนไปในหั้น หน่วยหนึ่งตั้งท่าแขกแคมของ ที่พุ้น ผุงหมู่ไทยเมืองสูอยู่ตระเวนภายหั้น คันว่าเศิกหากข้ามยามใดให้มาคอบ กูเทอญ กูก็บ่หย่อนย้านเสียมนั้นท่อใย แท้แล้ว ให้สูจัดมาเฝ้ายังกูให้มันมาก จริงเทอญ กูนี้คนเจ้าฟ้าหาญแท้อยู่กลาง หั้นแล้ว ฯ...\"", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "648467#1", "text": "ในเวลาเดียวกัน หลังจากพระบาทรามเชิงไพรสวรรคต กลุ่มทหารสเปนและโปรตุเกสได้ไปอัญเชิญพระบรมราชาที่ 5 ที่อยู่ที่เมืองสตึงแตรงให้เสด็จมาครองราชย์ที่เมืองศรีสันทร แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์กบฏต่อมา จนพระบรมราชาที่ 5 และพระบรมราชาที่ 6 ถูกปลงพระชนม์ใน พ.ศ. 2142 - 2143", "title": "พระรามที่ 2" }, { "docid": "352291#4", "text": "อย่างไรก็ตาม ท่าแขกในสมัยนั้นน่าจะยังไม่ได้พัฒนามาจนกลายเป็นหัวเมืองขนาดใหญ่เช่นในปัจจุบัน และเชื่อว่าคงมีฐานะเป็นชุมชนที่มีความเจริญไม่น้อย ต่อมา ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ พระองค์ทรงสั่งให้พระบรมราชากิตติศัพท์เทพฤๅยศ (มัง มังคละคีรี) เจ้าเมืองนครพนม (เมืองละคร) สร้างเมืองท่าแขกขึ้นฝั่งตรงข้ามกับเมืองนครพนม เพื่อกวาดต้อนผู้คนให้หนีศึกจากสยามเข้ามาอาศัยอยู่ พร้อมทั้งสั่งให้เจ้านายจากเวียงจันทน์มาช่วยควบคุมการก่อสร้าง หลังจากสยามยกทัพขึ้นมาแล้วทำให้การสร้างเมืองท่าแขกหยุดชะงักลง ดังปรากฏโดยละเอียดในเอกสารเพ็ชรพื้นเมืองเวียงจันทน์ ความว่า ", "title": "ท่าแขก" }, { "docid": "782764#7", "text": "ในเอกสารเพ็ชรพื้นเมืองเวียงจันทน์กล่าวว่า พระบรมราชา (มัง) มีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง พระองค์ได้ถวายไว้เป็นพระชายาในเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีทางเครือญาติของราชวงศ์ศรีโคตรบูรจากเมืองศรีสิทธิศักดิ์โคตรบองหลวงหรือเมืองนครพนมกับราชวงศ์เวียงจันทน์จากกรุงศรีสัตนาคนหุต ภายหลังสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ถูกกองทัพสยามจับได้ พระนางได้สูญเสียพระราชโอรส 1 พระองค์ และถูกทัพสยามของเจ้าพระยาราชสุภาวดีจับได้ภายหลังที่ปากน้ำกระดิงตรงข้ามฝั่งหนองคาย จากนั้นจึงถูกนำไปทูลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ดังปรากฏความว่า", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#5", "text": "หลังจากพระบรมราชา (อุ่นเมือง) ได้ถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. 2347 แล้ว เจ้าราชวงศ์ (มัง) จึงได้ขึ้นเสวยราชย์เป็นเจ้าเมืองนครพนมองค์ต่อไปต่อจากพระราชบิดาของตน ตามราชธรรมเนียมเจ้านายหัวเมืองลาวในการขึ้นเป็นเจ้านครที่ถือสืบต่อกันมาเป็นโบราณราชประเพณีนั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอุปฮาตจะต้องได้รับการแต่งตั้งหรือขึ้นเสวยราชย์แทนเจ้าเมืององค์ก่อน ส่วนเจ้าราชวงศ์และเจ้าราชบุตรนั้นมีสิทธิ์เป็นลำดับที่ 2 และที่ 3 ต่อจากเจ้าอุปฮาต เมื่อเป็นดังนี้แล้วเจ้าอุปฮาต (ไชย) บุตรพระบรมราชา (ศรีสุราช) เจ้าเมืองนครพนมองค์ก่อนก็เกิดความไม่พอใจ จึงอพยพครอบครัวและบ่าวไพร่ในกองอุปฮาตของตนยกลงไปยังกรุงเทพมหานคร เจ้าแผ่นดินสยามจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปฮาด (ไชย) และไพร่พลตั้งรกรากบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองสมุทรปราการ ภายหลังจึงได้แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และเมืองพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ทางฝ่ายเมืองนครพนมนั้นได้มีการแต่งตั้งให้เจ้าศรียาหรือเจ้าราชศรียาผู้พระราชอนุชาพระบรมราชา (มัง) ขึ้นเป็นเจ้าราชวงศ์ ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์การอพยพครั้งนี้ว่า", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#24", "text": "หมวดหมู่:พระบรมวงศานุวงศ์ลาว หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดนครพนม หมวดหมู่:เจ้าผู้ครองนครพนม หมวดหมู่:ราชวงศ์ศรีโคตรบูร", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#15", "text": "ฉะบับที่ ๑ ตราถึงเจ้าเมืองมุกดาหาร ตอบเรื่องรับผลเร่ว ขี้ผึ้ง ป่านใบ ตามจำนวนเกณฑ์ และชี้แจงข้อราชการบ้างเล็กน้อย หน้า ๑๔-๑๘ ความว่า", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#22", "text": "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ของสยาม ทรงพระราชทานนามสกุลของทายาทผู้สืบเชื้อสายมาจากพระบรมราชา (มัง) ว่า มังคลคีรี เขียนเป็นอักษรโรมันว่า Mangalagiri นามสกุลเลขที่ 1373 ทรงพระราชทานแก่พระพิทักษ์นครพนม (โต๊ะ) นอกราชการ สังกัดกระทรวงมหาดไทย อดีตกรมการเมืองนครพนม มีศักดิ์เป็นหลานปู่ของพระบรมราชา (มัง) ปัจจุบันทายาทบางส่วนนิยมเขียนนามสกุลเป็นภาษาไทยว่า มังคละคีรี [9] อนึ่ง คำว่า มังคลคีรี หมายถึง ภูเขามงคล มังคละ หมายถึงพระนามเดิมของพระบรมราชา (มัง) คีรี แปลว่า ภูเขา หมายถึงนามเมืองนครพนม", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#18", "text": "ฉะบับที่ ๑๑ หนังสืออุปฮาดเมืองหลวงมูเลง มาถึงเจ้าเมืองหลวงมูเลง พระนครพนม ท้าววรบุตร (ต้นฉะบับเป็นอักษรไทยเหนือ เจ้าอุปราช เจ้าเหม็น แปล) หน้า ๔๙ -๕๐ ความว่า", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "392551#12", "text": "พระที่นั่งเหล่านี้ได้ถูกรื้อลงแล้วเนื่องจากมีความชำรุดความทรุดโทรม พบว่าเสาของพระที่นั่งแตกและโป่งออกทางด้านข้าง ปูนก่ออิฐหมดความแข็งแรงเพราะว่าน้ำหนักขององค์พระที่นั่งมีมาก เสาแข็งแรงเพียงพอที่จะรับน้ำหนักส่วนบนได้ และพื้นชั้นบนทรุด ผนังแตกร้าว และอาจจะพังลงมาได้โดยง่าย อนึ่งเมื่อสมัยอดีตบรรดาพระที่นั่งและตำหนักต่าง ๆ ในเขตพระราชฐานชั้นใน สร้างขึ้นอย่างแออัดเพื่อให้เพียงพอกับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน และข้าบาทบริจาในองค์สมเด็จมหากษัตริยาธิราชเจ้า ในสมัยก่อนซึ่งมีอยู่มาก แต่เมื่อมาถึงในปัจจุบันหมดความจำเป็นที่จะต้องมีที่ประทับสำหรับฝ่ายในมาก เช่นในสมัยก่อนแล้ว ประกอบกับทั้ง พระที่นั่งหรือตำหนัก และอาคาร ต่าง ๆ ในเขตพระราชฐานชั้นในก็ชำรุดทรุดโทรมลงมาก บางอาคารก็ใกล้จะพังลงมา ถ้าจะซ่อมให้คงดีตามสภาพเดิมก็ย่อมเป็นการสิ้นเปลืองและไม่เกิดประโยชน์อัน ใด สำนักพระราชวังจึงนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต รื้อ เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วจึงดำเนินการรื้อลงในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2501", "title": "หมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท" }, { "docid": "34380#35", "text": "ต่อมาพระองค์ก็ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจะทำการสมรสกับหม่อมเจ้าชวลิตโอภาศ รพีพัฒน์ พระธิดาในพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ต่อสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่จะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบชัด พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรับพระบรมราชานุญาต จึงทรงร่วมชีวิตกันเองโดยมิได้มีพิธีสมรส [10]", "title": "สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ" }, { "docid": "782764#9", "text": "ภายหลังจากสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ทรงถอยทัพจากนครราชสีมาแล้ว สยามได้ยกทัพตามขึ้นมานครเวียงจันทน์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมราชา (มัง) สร้างเวียงท่าแขกขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามเมืองนครพนม เพื่อกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งขวาให้หนีศึกจากสยามเข้ามาอาศัยอยู่ พร้อมทั้งสั่งให้เจ้าเวียงแกเจ้านายจากนครเวียงจันทน์มาเป็นผู้ช่วยควบคุมการก่อสร้างเวียง หลังจากสยามยกทัพขึ้นมาประชิดน้ำโขงแล้วทำให้การสร้างเวียงท่าแขกหยุดชะงักลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ดังปรากฏความในเอกสารเพ็ชรพื้นเมืองเวียงจันทน์ ดังนี้", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#4", "text": "พระบรมราชากิตติศัพท์เทพฤๅยศ ทศบุรีศรีโคตรบูรหลวง (มัง) เจ้าเมืองนครพนม พระยาพนมนครานุรักษ์สิทธิศักดิ์เทพฤๅยศ ทศบุรีศรีโคตรบูรหลวง (อรรคราช) เจ้าเมืองนครพนม เจ้าราชบุตร คณะอาญาสี่เมืองนครพนม (พิราลัยด้วยถูกพวกญวณฆ่า) เจ้าราชศรียา กรมการเมืองนครพนม ท้าวโคตะ กรมการเมืองนครพนม", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#19", "text": "หนังสืออุปฮาดผู้น้อง อุทิศสวัสดีมาเถิงเจ้าพี่เจ้าน้องและตาลุงทั้งปวงได้แจ้ง ข้าอยู่ข้านี้ก็อยู่ด้วยบุญด้วยคุณแก้วทั้งสามพระรัตนตรัยและบารมีเจ้าฟ้าสามกว้านหลวง ซึ่งว่าบ้านเมืองของเรานี้ใครก็ไม่ได้เคืองทำอะไรแก่กัน หากเป็นบาปบ้านเวรเมืองหากจำพรากจากกัน ข้าก็ทุกข์ยากไม่มีใครข้าก็ขออาศัยพึ่งบุญเจ้าพี่เจ้าน้อง อย่าให้ข้องขัดสน คนทั้งปวงก็หากได้ลงมาสู่พระราชสมภารสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ ข้างนี้หมดแล้ว ข้าอยู่โน่นบ่าวไพร่ยังมีมากน้อยเท่าใด ก็ขอไว้อยู่กับข้าทำราชการกับเจ้าฟ้าสามกว้านหลวงไปก่อน สุดแต่บุญเราเจ้าข้าทั้งหลายเถิด ข้อหนึ่งรายข้าวเรากับข้าว<b data-parsoid='{\"dsr\":[19620,19636,3,3]}'>เจ้าพระนคร เจ้าวรบุตรมาจัดแจงให้ศรีลามวัดกับบิดา นายกองรักษาไว้มีข้าว ๔๑ ยุ้งนั้น แต่ข้ามาเถิงข้าวยังมีแต่ ๔ ยุ้ง ข้าแบ่งปันกับพวกอยู่บ้านกินก็หมดแล้ว อย่าว่าข้าไม่ให้ไม่ปันกันกิน ข้าก็ไม่ได้ว่าบ่าวไพร่ข้างโน้นข้างนี้ แม้นว่าคนอยู่กับข้างนี้จะไปหาข้างโน้นข้าก็ไม่ว่าอะไร และทิตด้วงกับตาพรมขึ้นมากับ<b data-parsoid='{\"dsr\":[19924,19940,3,3]}'>เจ้าพระนคร เขาเจ็บไข้ลงไปไม่ได้ ข้าไม่ได้เกาะกุมไว้ ถ้าที่พระนครเป็นบ้านเป็นเมืองปกติดีแล้วเมื่อใด ข้าไม่ว่าจะเอาของพี่ของน้องดอก และนางออนให้ลงไปหานั้นข้าไม่ว่าอะไร นางออนก็ลงไปไม่ได้ นางออนก็ยังไม่มาเถิงข้า ยังอยู่ข้างใต้โน้น เอาแต่ใจนางออนจะอยู่ข้างนี้ก็ตามจะไปข้างโน้นก็ตาม", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "95911#2", "text": "พ.ศ. ๒๓๖๘ เจ้าอนุวงศ์เสด็จลงมาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) แห่งสยาม สยามอ้างว่าพระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่ากองทัพไทยอ่อนแอ เนื่องจากแม่ทัพนายกองรุ่นเก่าที่มีฝีมือได้สิ้นชีวิตไปหลายคน ต่อมายังมีข่าวลือไปถึงนครเวียงจันทน์ว่า ไทยกับอังกฤษวิวาทกันจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นี ต่อมา เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายทับ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้รับการสถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระเจ้าแผ่นดินสยามแล้ว พระองค์จึงทูลขอพระราชทานละครในของเวียงจันทน์ เจ้าหญิงลาว และชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาสยามให้กลับคืนไปเวียงจันทน์ แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงพระราชทานพระราชานุญาต เป็นเหตุให้พระองค์ไม่พอพระทัย พระองค์จึงยกทัพลงมากรุงเทพมหานคร โดยวางอุบายหลอกเจ้าเมืองต่าง ๆ ตามรายทางว่าจะยกทัพลงไปช่วยกรุงเทพมหานครรบกับพวกอังกฤษ ทำให้กองทัพของเจ้าอนุวงศ์สามารถเดินทัพผ่านมาได้โดยสะดวก แต่ \"เอกสารฝ่ายลาว\" อ้างว่า พระองค์มีพระบรมราชโองการแก่เจ้านายหัวเมืองลาวอีสานทั้งหลายว่า จะลงไปตีนครราชสีมาด้วยเจ้านครราชสีมาล่วงล้ำเขตแดนเข้าไปตีข่าสักเลกไพร่พลในแดนลาว และพระองค์มิได้ลงไปตีกรุงเทพมหานครอย่างที่ไทยกล่าวอ้างแต่ประการใด บรรดาเจ้าเมืองหัวเมืองลาวอีสานทั้งหลายต่างรังเกียจพฤติกรรมและนิสัยของเจ้าเมืองนครราชสีมาอยู่แล้วจึงร่วมมือกับพระองค์ เจ้าเมืองลาวอีสานทั้งหลายต่างขันอาสาออกศึกช่วยเหลือพระองค์และกล่าวคำชื่นชมพระบารมีของพระองค์อย่างมาก ฝ่ายสยามกล่าวว่าเมื่อกองทัพลาวยกมาถึงนครราชสีมา เจ้าอนุวงศ์ได้ฉวยโอกาสที่เจ้านครราชสีมาและพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการที่เมืองขุขันธ์เข้ายึดเมือง และกวาดต้อนครอบครัวชาวเมืองขึ้นไปเวียงจันทน์ แต่เอกสารฝ่ายลาวกล่าวว่า เจ้าเมืองนครราชสีมาทราบข่าวว่าพระองค์เสด็จมาถึงนครราชสีมาแล้ว เจ้าพระยานครราชสีมาเกรงพระราชบารมีและเกรงว่าตนจะต้องโทษที่ล่วงล้ำเขตแดนเวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ จึงได้ปลอมตัวหนีทิ้งเมืองของตนเองเสีย เอกสารฝ่ายลาวยังกล่าวอีกว่า เมื่อพระองค์เข้าเมืองของเจ้านครราชสีมาได้แล้ว ทรงเห็นว่าวังของเจ้านครราชสีมานั้นใหญ่โตและมีจำนวนมากถึง ๗ หลัง ในเขตวังของเจ้านครราชสีมาสามารถบรรจุทหารของพระองค์ได้มากกว่าพันคน พระองค์จึงทรงตั้งให้พระบรมราชา (มัง ต้นสกุล มังคละคีรี) เจ้าเมืองนครพนมให้กินเมืองนครราชสีมาแทนเจ้าเมืองคนเดิม ", "title": "เจ้าอนุวงศ์" }, { "docid": "95911#29", "text": "ในสมัยเจ้าอนุวงศ์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมราชากิตติศัพท์เทพฤๅยศ (มัง มังคละคีรี) เจ้าเมืองนครพนม (เมืองละคร) สร้างเมืองท่าแขกขึ้นฝั่งตรงข้ามกับเมืองนครพนม เพื่อกวาดต้อนผู้คนให้หนีศึกจากสยามเข้ามาอาศัยอยู่ พร้อมทั้งสั่งให้เจ้านายจากเวียงจันทน์มาช่วยควบคุมการก่อสร้าง หลังจากสยามยกทัพขึ้นมาแล้วทำให้การสร้างเมืองท่าแขกหยุดชะงักลง ดังปรากฏโดยละเอียดในเอกสารเพ็ชรพื้นเมืองเวียงจันทน์ ความว่า ", "title": "เจ้าอนุวงศ์" }, { "docid": "797857#0", "text": "พระปราณีศรีมหาพุทธบริษัท หรือ อาชญาหลวงปรานี นามเดิมว่า ท้าวเมฆ หรือ ท้าวเมฆทองทิพย์ เป็นเจ้าเมืองพนม (เมืองธาตุพนม) อันเป็นเมืองกัลปนาหรือเมืองพุทธศาสนานครองค์ที่ ๓ หรือองค์สุดท้ายจากราชวงศ์เวียงจันทน์ เมื่อครั้งธาตุพนมยังเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตล้านช้างเวียงจันทน์ ก่อนตกเป็นประเทศราชของราชอาณาจักรสยาม เป็นเจ้าขุนโอกาส (ขุนโอกลาษ) ผู้รักษากองข้าอุปัฏฐากพระบรมมหาธาตุเจ้าเจดีย์พระนม (พระธาตุพนม วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร) องค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์เวียงจันทน์ ภายหลังทรงถูกลดบทบาททางการปกครองลงและด้วยปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองกับกลุ่มเจ้านายเมืองธาตุพนมซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิด จึงเสด็จหนีจากธาตุพนมไปประทับยังเมืองเซบั้งไฟทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงหลังการสิ้นสุดของราชวงศ์เวียงจันทน์ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑) ก่อนที่ตำแหน่งเจ้าเมืองหรือขุนโอกาสจะถูกลดฐานะไปเป็นนายกอง ทรงสืบเชื้อสายเจ้านายผู้ปกครองเมืองธาตุพนมจากฝ่ายพระมารดา โดยมีศักดิ์เป็นพระนัดดา (หลานดา) ในเจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร) เจ้าเมืองและขุนโอกาสเมืองธาตุพนมพระองค์แรก และสืบเชื้อสายฝ่ายพระบิดาจากเจ้านายในราชวงศ์ศรีโคตรบูรแห่งเมืองนครพนม สายพระบรมราชากิติศักดิ์เทพฤๅยศ ทศบุรีศรีโคตรบูรหลวง (มัง มังคละคีรี) ", "title": "พระปราณีศรีมหาพุทธบริษัท (เมฆ รามางกูร)" }, { "docid": "782764#20", "text": "หนังสือมา ณ วันเสาร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ทุติยาษาฒ ปีมะเมียฉอศก หนังสืออุปฮาดเมืองหลวงมูเลง มาเถิงเจ้าเมืองหลวงมูเลง พระนคร ท้าววรบุตร ซึ่งมาตั้งอยู่ ณ บ้านอุเทน[7]", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#1", "text": "พระบรมราชา (มัง) มีพระนามเดิมว่า ท้าวมัง หรือ เจ้าศรีสุมังค์ ในเอกสารพื้นเวียงจันทน์ออกพระนามว่า พระบุรมราชา ในจดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ 3 ฉะบับที่ 11 หนังสืออุปฮาดเมืองหลวงมูเลงออกพระนามว่า เจ้าพระนคร เดิมทรงพระยศเป็นที่เจ้าราชบุตร คณะอาญาสี่เมืองนครพนม แต่เมื่อครั้งพระราชบิดาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครพนม พระบรมราชา (มัง) ทรงถือกำเนิดในราชวงศ์ศรีโคตรบูร ซึ่งเป็นราชวงศ์อันเอาแก่ราชวงศ์หนึ่งของราชอาณาจักรล้านช้าง ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบรมราชา (อุ่นเมือง) เจ้าผู้ครองเมืองนครพนม เป็นพระราชนัดดาในพระบรมราชา (ศรีกุลวงษ์) เจ้าเมืองนครพนม บ้างก็ว่าเป็นพระราชนัดดาในพระบรมราชา (กู่แก้ว) ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบรมราชา (แอวก่าน) เอกสารบางแห่งกล่าวว่าพระบรมราชา (มัง) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบรมราชา (สุดตา) เจ้าผู้ครองเมืองนครพนม พระบรมราชา (สุดตา) ผู้เป็นพระราชบิดานี้เดิมมียศเป็นเจ้าอินทร์ศรีเชียงใหม่หรือพระศรีเชียงใหม่ เป็นอดีตเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของเมืองนครพนม มีศักดิ์เป็นพระราชอนุชาในพระบรมราชา (ศรีกุลวงษ์) เจ้าเมืองนครพนมพระองค์ก่อน และเป็นพระสวามีของพระเชษฐภคินีในพระบรมราชา (พรหมา) เจ้าเมืองนครพนม (ต้นสกุล พรหมประกาย ณ นครพนม)[1] เอกสารบางแห่งกล่าวว่า พระบรมราชา (มัง) ทรงเป็นหลานปู่ในพระยาเถินหรือเจ้าหล่องเมืองเถินของลาว และเป็นหลานลุงในพระบรมราชา (ศรีกุลวงษ์) เจ้าเมืองนครพนม[2]", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "782764#14", "text": "ในจดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ 3 ตอนที่ 1 พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ เสวกเอก พระยานครราชเสนี (สหัด สิงหเสนี) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 พิมพ์ที่โรงพิมพ์พระจันทร์ ได้กล่าวถึงพระบรมราชา (มัง) ในจดหมายเหตุ 2 ฉบับด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้", "title": "พระบรมราชา (มัง)" }, { "docid": "58254#1", "text": "หลังจากที่พระบรมโพธิสัตว์ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขที่เกิดจากความหลุดพ้น) ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ 7 วัน จากนั้นเสด็จไปทรงยืนอยู่กลางแจ้ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงทำอุปหาร คือ ยืนทอดพระเนตรต้นศรีมหาโพธิ์ สถานที่เสด็จมาทรงยืนทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นได้นามว่า อนิมิสเจดีย์อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะ วิปปะภาโส ตัง ตัง มะมัสสามิ หะริส สะวัณนัง ปะฐะ วิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง \nเย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นโม เต จะ มัง ปาละยันตุ นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา\nอิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร จะระติ เอสะนาฯ", "title": "ปางถวายเนตร" }, { "docid": "559896#2", "text": "พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดจะหมดสิทธิในการสืบราชสันตติวงศ์หากทรงเสกสมรสโดยปราศจากพระบรมราชานุญาติแห่งพระมหากษัตริย์ (หรือ ผู้สำเร็จราชการ) ซึ่งสามารถคืนสิทธิ์ให้ได้โดยพระบรมราชานุญาติแห่งพระมหากษัตริย์ (หรือ ผู้สำเร็จราชการ) โดยปรึกษากับรัฐสภา อนึ่ง หากไม่มีผู้สืบราชสันตติวงศ์จากสมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโปลด์ที่ 1 แล้ว ให้พระมหากษัตริย์ที่ยังทรงราชย์อยู่ มีสิทธิขาดในการเลือกองค์รัชทายาทซึ่งจะต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาก่อน และหากพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นมิได้ทรงกำหนดองค์รัชทายาทไว้ ราชบัลลังก์ก็จะว่างลง", "title": "ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์เบลเยียม" }, { "docid": "782764#2", "text": "อนึ่ง ปฐมราชตระกูลและเครือญาติของพระองค์ทรงปกครองหัวเมืองใหญ่น้อยในราชอาณาจักรล้านช้าง จนถึงสมัยปฏิรูปการเมืองการปกครอง พ.ศ. 2444 นับรวมได้ 17 หัวเมือง คือ นครบุรีราชธานีศรีโคตรบูรหลวง (เมืองนครพนม) เมืองมรุกขนคร เมืองเก่าหนองจันทน์ เมืองศรีโคตรบอง (เมืองเซบั้งไฟ) เมืองธาตุพนม (เมืองพนม) เมืองคำเกิด เมืองมหาชนไชยก่องแก้ว (เมืองมหาชัยกองแก้ว) เมืองกวนกู่ เมืองกวนงัว เมืองสกลนคร เมืองรามราช เมืองสุวรรณเขต เมืองมุกดาหารบุรี (เมืองบังมุก) เมืองภูวดลสอาง (บ้านภูหวา) เมืองภูวานากระแด้ง (บ้านนากระแด้ง) เมืองพนัสนิคม เมืองเถิน", "title": "พระบรมราชา (มัง)" } ]
3814
ริสเพอริโดน ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "815767#3", "text": "งานศึกษาเกี่ยวกับยาเริ่มขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และได้รับอนุญาตให้ขายในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2536[1][4] เป็นยาในรายการยาจำเป็นขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นยาจำเป็นสำคัญที่สุดในระบบดูแลสุขภาพพื้นฐาน[5] ปัจจุบันมีขายเป็นยาสามัญ (generic)[2] โดยในประเทศกำลังพัฒนา ราคาขายส่งอยู่ที่ 0.01-0.60 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 35 สตางค์จนถึง 21 บาท) ต่อวันโดยปี 2557[6] ส่วนค่ายาทั่วไปปี 2558 ในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระหว่าง 100-200 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,500-7,000 บาท) ต่อเดือน[2]", "title": "ริสเพอริโดน" } ]
[ { "docid": "815767#17", "text": "ผู้สูงอายุที่มีอาการโรคจิต (psychosis) ที่สัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อม มีความเสี่ยงตายสูงกว่าถ้าได้ยาริสเพอริโดนเทียบกับคนที่ไม่ได้ การตายมักจะสัมพันธ์ปัญหาหรือการติดเชื้อทางหัวใจ[38]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#23", "text": "แม้ว่ายานี้จะมีผลเหมือนกับยารักษาโรคจิตทั้งแบบ typical และ atypical อื่น ๆ แต่มันก็ไม่มีสัมพรรคภาพ (affinity) กับตัวรับแบบ muscarinic acetylcholine ในหลาย ๆ ด้าน ยานี้อาจจะมีประโยชน์เป็น \"acetylcholine release-promoter\" คล้ายกับยากระเพาะลำไส้เช่น metoclopramide และ cisapride", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815703#8", "text": "การรักษาเบื้องต้นสำหรับอาการฟุ้งพล่าน (mania) และอาการโรคจิตฉับพลัน ร่วมกับยาลำดับต้น (first-line) เช่น lithium, haloperidol, หรือริสเพอริโดน[26][27] กลุ่มอาการคนตัวแข็งทื่อ (Hyperekplexia)[28] สามารถใช้รักษารูปแบบต่าง ๆ ของการละเมอ (parasomnia) และความผิดปกติทางการนอนหลับอื่น ๆ[29] ไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันไมเกรน[30]", "title": "คโลนะเซแพม" }, { "docid": "815767#28", "text": "ในเดือนสิงหาคม 2555 บริษัทตกลงจ่าย 181 ล้านเหรียญสหรัฐแก่มลรัฐ 36 รัฐเพื่อยุติการฟ้องคดีว่า บริษัทได้โปรโหมตยาเพื่อใช้ในการรักษานอกป้ายรวมทั้ง ภาวะสมองเสื่อม การจัดการความโกรธ และโรควิตกกังวล[52]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#9", "text": "เทียบกับยาหลอก ยาลดพฤติกรรมปัญหาบางอย่างในเด็กโรคออทิซึม รวมทั้งความก้าวร้าว การทำร้ายตัวเอง ความงอแง และอารมณ์ที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และหลักฐานที่แสดงประสิทธิผลดูเหมือนจะมากกว่าการรักษาด้วยยาอื่น ๆ[22] น้ำหนักเพิ่มเป็นผลที่ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง[23][24]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#13", "text": "ยาไม่มีหลักฐานว่ามีประโยชน์ต่อการรักษาความผิดปกติในการรับประทาน (eating disorder) และความผิดปกติทางบุคลิกภาพ[29]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#4", "text": "ริสเพอริโดนโดยหลักใช้รักษาโรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว และความหงุดหงิดของคนไข้โรคออทิซึม[7]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#5", "text": "ยามีประสิทธิผลในการรักษาการแย่ลงอย่างฉับพลันของโรคจิตเภท[8][9]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#30", "text": "หมวดหมู่:Atypical antipsychotics หมวดหมู่:ออทิซึม หมวดหมู่:Benzisoxazoles หมวดหมู่:Janssen Pharmaceutica หมวดหมู่:Lactams หมวดหมู่:Organofluorides หมวดหมู่:Piperidines หมวดหมู่:ยาหลักขององค์การอนามัยโลก", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#21", "text": "ยาออกฤทธิ์ต่อตัวรับดังต่อไปนี้", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#20", "text": "พึ่งพบเมื่อปี 2553 ว่า ยามีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ D-amino acid oxidase ซึ่งเร่งปฏิกิริยาการสลายตัวของ D-amino acids (เช่น สารสื่อประสาทแบบ D-alanine และ D-serine)[41]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "367751#0", "text": "สำนักศึกษาเพริพาเททิก () เป็นหนึ่งในสำนักศึกษาทางปรัชญาในสมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีรูปแบบการสอนปรับปรุงมาจากวิธีการของผู้ก่อตั้ง คืออริสโตเติล นักปรัชญากรีก คำว่า เพริพาเททิก จะใช้เรียกบรรดาลูกศิษย์ของเขา ชื่อของโรงเรียนมีที่มาจากคำว่า \"Peripatos\" ซึ่งมาจาก \"peripatoi\" (\"περίπατοι\" \"ระเบียง\") ของสนามประลองไลเซียมในกรุงเอเธนส์ อันเป็นสถานที่ที่บรรดาสมาชิกของสำนักศึกษามาพบปะกัน นอกจากนี้มีอีกคำหนึ่งในภาษากรีกคือ \"peripatetikos\" () ซึ่งหมายถึง การเดิน ดังนั้นคำว่า เพริพาเททิกจึงใช้ในความหมายว่า การท่องเที่ยว การค้นหา หรือการเดินและพูดคุย มีตำนานเล่ากันหลังจากที่อริสโตเติลเสียชีวิตแล้วว่า เขาจะเดินไปเดินมาในขณะใช้ความคิด\nสำนักศึกษาแห่งนี้น่าจะก่อตั้งขึ้นราว 335 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงที่อริสโตเติลเริ่มการสอนในไลเซียม โดยเป็นสถาบันศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ สมาชิกประกอบด้วยผู้สนใจในปรัชญาและวิทยาศาสตร์ ผู้สืบทอดของอริสโตเติลคือ เทโอพราสตุส และ สตราโต ยังคงยึดถือประเพณีในการศึกษาทฤษฎีต่างๆ ในทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ จนประมาณกลางศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล สำนักศึกษานี้ก็เริ่มเสื่อมความนิยม และกลับฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งก็เมื่อล่วงเข้าสู่ยุคโรมันแล้ว ในช่วงหลัง สมาชิกของสำนักศึกษาหันไปเอาใจใส่ในการเก็บรักษาบันทึกผลงานของอริสโตเติล และไม่ได้สนใจในการค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมอีก สำนักศึกษายุติลงในที่สุดเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3", "title": "สำนักศึกษาเพริพาเททิก" }, { "docid": "815767#25", "text": "สิทธิบัตรยาของบริษัท Janssen หมดอายุวันที่ 29 ธันวาคม 2546 ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทอื่นวางขายยาสามัญ และสิทธิในการวางตลาดเพียงผู้เดียวทั้งหมดของบริษัทก็หมดลงในวันที่ 29 มิถุนายน 2547 (เพราะได้เวลาขยายเนื่องจากใช้เป็นยาเพื่อเด็ก) เป็นยาที่ขายโดยมีชื่อการค้าต่าง ๆ ทั่วโลก[48] มีเป็นยาเม็ด ยาน้ำ และเป็นแบบขวดที่ใช้สำหรับฉีด[48]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#14", "text": "แม้ว่ายารักษาโรคจิตเช่นริสเพอริโดน จะมีประโยชน์เล็กน้อยกับคนไข้ภาวะสมองเสื่อม (dementia) แต่ก็สัมพันธ์กับอัตราการตายและโรคหลอดเลือดสมองที่สูงขึ้น[29] เพราะความเสี่ยงตายที่สูงขึ้น การรักษาอาการโรคจิต (psychosis) ที่เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมจึงไม่ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ[30]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#1", "text": "ผลข้างเคียงที่สามัญรวมทั้งปัญหาการเคลื่อนไหว (extrapyramidal symptoms) ความง่วง ปัญหาในการมองเห็น ท้องผูก และน้ำหนักเพิ่ม[1][3] ผลข้างเคียงหนักอาจรวมความพิการทางการเคลื่อนไหวแบบถาวรคืออาการยึกยือเหตุยา (tardive dyskinesia) กลุ่มอาการร้ายจากยารักษาโรคจิต (neuroleptic malignant syndrome) โอกาสเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงขึ้น และภาวะเลือดมีน้ำตาลมาก (hyperglycemia)[1][2] ในผู้สูงอายุที่มีอาการโรคจิต (psychosis) เนื่องจากภาวะสมองเสื่อม อาจจะเพิ่มโอกาสเสียชีวิต ยังไม่ชัดเจนว่ายาปลอดภัยที่จะใช้ระหว่างมีครรภ์หรือไม่", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#8", "text": "สำหรับโรคอารมณ์สองขั้ว ยารักษาโรคจิต (antipsychotic) รุ่นสองต่าง ๆ รวมทั้งริสเพอริโดนมีประสิทธิผลในการรักษาอาการฟุ้งพล่าน (mania) ไม่ว่าจะเป็นแบบฉับพลัน (acute) หรือเป็นความแย่ลงแบบผสม (mixed exacerbation) ของโรค[16][17][18] ในเด็กและวัยรุ่น ริสเพอริโดนอาจมีประสิทธิผลดีกว่า lithium หรือ divalproex แต่มีผลข้างเคียงทางเมแทบอลิซึมมากกว่า[19] ส่วนสำหรับการรักษาแบบดำรงสภาพ (maintenance) ยามีประสิทธิผลในการป้องกันคราวฟุ้งพล่าน (manic episode) แต่ไม่มีสำหรับคราวซึมเศร้า[20] ยาแบบฉีดที่มีฤทธิ์ยาวอาจมีข้อได้เปรียบกว่ายารักษาโรคจิตรุ่นแรกที่มีฤทธิ์ยาวอื่น ๆ เพราะว่าคนไข้ทนยาได้ดีกว่า (เพราะมีผล extrapyramidal effects น้อยกว่า) และเพราะว่า ยารักษาโรคจิตรุ่นแรกแบบฉีดที่มีฤทธิ์ยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความซึมเศร้า[21]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#29", "text": "—National Center for Biotechnology Information. —U.S. National Library of Medicine", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#7", "text": "งานวิจัยพบว่า ยาฉีดรักษาโรคจิตที่มีฤทธิ์ยาวช่วยการได้ยาตามคำสั่งแพทย์และลดอัตราการเกิดโรคอีกเทียบกับยาทาน[13][14] ส่วนประสิทธิผลของยาฉีดริสเพอริโดนที่มีฤทธิ์ยาวดูหมือนจะคล้ายกับยารักษาโรคจิตรุ่นแรกแบบฉีดที่มีฤทธิ์ยาวอื่น ๆ[15]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#19", "text": "ริสเพอริโดนจัดโดยสถิติว่าเป็นยา atypical antipsychotic ที่มีความชุกปัญหาการเคลื่อนไหว (Extrapyramidal symptoms) ต่ำเมื่อให้ในขนาดต่ำ โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบเซโรโทนิน (serotonin antagonism) มากกว่าระบบโดพามีน ยามีหมู่ทำหน้าที่ (functional group) คือ benzisoxazole และ piperidine เป็นส่วนโครงสร้างทางเคมี แม้ว่าจะไม่มีโครงสร้างของ butyrophenone แต่ยาก็พัฒนาขึ้นโดยใช้โครงสร้างของ benperidol และ ketanserin เป็นมูลฐาน และมีฤทธิ์ต่อตัวรับแบบ 5-HT (serotonin) ต่าง ๆ รวมทั้ง 5-HT2C ซึ่งสัมพันธ์กับการเพิ่มน้ำหนัก และ 5-HT2A ซึ่งสัมพันธ์กับฤทธิ์รักษาโรคจิตและบรรเทาผลข้างเคียงแบบ extrapyramidal ที่มักจะมีกับยาแบบ typical neuroleptic ต่าง ๆ[40]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#18", "text": "ริสเพอริโดนจะผ่านการสลายตัวในตับและการขับออกทางไต แนะนำให้ใช้ยาขนาดต่ำสำหรับคนไข้ที่มีโรคตับหรือไตหนัก[30] เมแทบอไลต์ออกฤทธิ์ของยา คือ paliperidone ก็ใช้เป็นยารักษาโรคจิตเหมือนกัน (antipsychotic)[39]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#2", "text": "ริสเพอริโดนเป็นยากลุ่ม atypical antipsychotic กลไกการออกฤทธิ์ของมันยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเกี่ยวกับความเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบโดพามีน (dopamine antagonist)[1]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#0", "text": "ริสเพอริโดน (English: Risperidone) หรือชื่อทางการค้าคือ ไรสเปอร์ดัล (Risperdal) เป็นยาระงับอาการทางจิต[1] ใช้โดยหลักเพื่อรักษาโรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว และความหงุดหงิดของคนไข้โรคออทิซึม เป็นยาที่ใช้รับประทานหรือฉีดในกล้ามเนื้อ[1] โดยแบบฉีดมีฤทธิ์ยาวนานประมาณ 2 อาทิตย์[2]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#11", "text": "ในโรคซึมเศร้า ถ้ายาที่รักษาในเบื้องต้น (ซึ่งปกติเป็นยากลุ่ม SSRI) ไม่ช่วยบรรเทาอาการพอเพียง มีเทคนิคให้ยาเพิ่ม (adjuncts) คือ ใช้ยารักษาโรคจิต (antipsychotic) รวมกับยาแก้ซึมเศร้า โดยเฉพาะยารักษาโรคจิตแบบ atypical เช่น aripiprazole, quetiapine, olanzapine, และ ริสเปอริโดน[27]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#12", "text": "ยาดูจะมีอนาคตในการรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำที่ดื้อการรักษา เมื่อยา serotonin reuptake inhibitor ไม่พอเพียง[28]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#26", "text": "วันที่ 11 เมษายน 2555 บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และบริษัทย่อย Janssen Pharmaceutica ถูกศาลชั้นกลางของรัฐอาร์คันซอปรับ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 37,059 ล้านบาท)[49] โดยคณะลูกขุนพบว่า บริษัทไม่ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงหลายอย่างที่สัมพันธ์กับยา Risperdal แต่ต่อมาศาลสูงสุดของรัฐได้กลับคำพิพากษานั้น[50]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#6", "text": "ประโยชน์ของยาเพื่อรักษาแบบดำรงสภาพ (maintenance) มีข้อสรุปที่ต่าง ๆ กัน งานปริทัศน์เป็นระบบปี 2555 สรุปว่า มีหลักฐานที่หนักแน่นว่าริสเพอริโดนมีประสิทธิผลกว่ายาระงับอาการทางจิตรุ่นแรก ทั้งหมดยกเว้น haloperidol แต่หลักฐานที่สนับสนุนว่าดีกว่ายาหลอกไม่ชัดเจน[10] ส่วนงานทบทวนวรรณกรรมปี 2554 สรุปว่า ยามีประสิทธิผลป้องกันการเกิดขึ้นอีกของโรคมากกว่ายารักษาโรคจิตรุ่นแรกและรุ่นสองทังหมดยกเว้น olanzapine และ clozapine[11] ส่วนงานทบทวนแบบคอเครนปี 2553 พบประโยชน์เล็กน้อยในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกในการรักษาโรคจิตเภท แต่งานก็อ้างปัญหาด้วยว่ามีความเอนเอียง (bias) ว่ายามีประโยชน์[12]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "864684#39", "text": "คนไข้ที่มีความคิดแทรกซอนรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อ SSRI หรือยาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ อาจจะต้องได้ยารักษาโรคจิตตรงแบบ (typical) หรือนอกแบบ (atypical) รวมทั้งริสเพอริโดน (ชื่อการค้า Risperdal), ziprasidone (Geodon), haloperidol (Haldol), และ pimozide (Orap) [63]", "title": "ความคิดแทรกซอน" }, { "docid": "815767#15", "text": "คาร์บามาเซพีนและยาเสริมเอนไซม์ (enzyme inducer) อื่น ๆ อาจจะลดระดับริสเพอริโดนในน้ำเลือด[30] ดังนั้น ถ้ากำลังทานทั้งยาคาร์บามาเซพีนและริสเพอริโดน อาจจะต้องเพิ่มขนาดของริสเพอริโดน ซึ่งไม่ควรจะเกินกว่า 2 เท่าจากดั้งเดิม[23] ส่วนยาที่ยับยั้งเอนไซม์ CYP2D6 เช่นยากลุ่ม SSRI อาจเพิ่มระดับริสเพอริโดนในน้ำเลือด[30] เพราะริสเพอริโดนอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ จึงควรสอดส่องระมัดระวังถ้าคนไข้กำลังทานยาลดความดันเพื่อป้องกันความดันต่ำเกิน[23] มีรายงานว่าการใช้ริสเพอริโดนร่วมกับยากลุ่ม SSRI มีผลให้เกิดเซโรโทนินเป็นพิษ (serotonin syndrome)[31]", "title": "ริสเพอริโดน" }, { "docid": "815767#10", "text": "นักวิชาการบางท่านแนะนำให้จำกัดใช้ยานี้และยา aripiprazole ในบุคคลที่มีปัญหาพฤติกรรมมากที่สุดเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการของยาให้น้อยที่สุด[25] ส่วนหลักฐานประสิทธิภาพของยากับวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยต้นที่มีโรคออทิซิมชัดเจนน้อยกว่า[26]", "title": "ริสเพอริโดน" } ]
1976
พระธรรมวิสุทธิมงคล เกิดที่ใด ?
[ { "docid": "237190#3", "text": "พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว เดิมมีชื่อว่า \"บัว โลหิตดี\" เกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2456 ณ ตำบลบ้านตาด อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มีพี่น้องทั้งหมด 16 คน ในวัยเด็กท่านเป็นคนที่เลื่อมใสในศาสนาพุทธ โดยได้ทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ[2]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" } ]
[ { "docid": "7860#36", "text": "พระเทพวิสุทธิมงคล (ศรี มหาวีโร) ผู้ก่อตั้งพระมหาเจดีย์ชัยมงคล พระธรรมเจติยาจารย์ พระราชาคณะชั้นธรรม เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน กรุงเทพมหานคร เจ้าคณะภาค ๘ (ธ) พระเทพสิทธาจารย์ (น้อย ญาณวุฑฺโฒ) เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม เจ้าอาวาสวัดมหาชัย (พระอารามหลวง) พระสุทธิธรรมโสภณ (สุทธิพงศ์ ชยุตฺตโม) เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม (ธ) เจ้าอาวาสวัดป่าวังเลิง", "title": "จังหวัดมหาสารคาม" }, { "docid": "608622#0", "text": "หลวงปู่เพียร วิริโย พระภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระ อรัญวาสี อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าหนองกอง ศิษย์ของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ท่านได้รับการยกย่องจากหลวงตามหาบัวว่าเป็นผู้มีวัตรเรียบร้อย ปฏิบัติเอาจริงเอาจรัง ไม่มีด่างพร้อย", "title": "หลวงปู่เพียร วิริโย" }, { "docid": "843673#5", "text": "ในปี พ.ศ. 2521 พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้ทราบข่าวการการปฏิบัติพระกรรมฐานของพระอาจารย์อุทัย สิริธโร ณ.สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัว จึงได้เมตตาและมีโอกาสมาเยี่ยมพระอาจารย์อุทัย สิริธโรอยู่เสมอๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2549 พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้รับการบริจาคที่ดินบริเวณเขาใหญ่ จึงได้นิมนต์ให้พระอาจารย์อุทัย สิริธโร มาสร้างวัดขึ้นที่บริเวณนี้ เพื่อให้สามารถเป็นที่ฝึกปฏิบัติธรรมของพระ เณรและญาติโยมได้\nหลังจากนั้นเป็นต้นมาอาจารย์อุทัย สิริธโร จึงได้มาจำวัดและปฏิบัติธรรมที่ วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "พระอาจารย์อุทัย สิริธโร" }, { "docid": "28453#11", "text": "ที่เป็นงานยิ่งใหญ่อลังการคือการก่อสร้าง \"พระมหาเจดีย์ชัยมงคล\" ณ วัดเจดีย์ชัยมงคล อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด พระมหาเจดีย์ชัยมงคลแห่งนี้ เป็นผลานิสงส์แห่งแรงศรัทธา ของชาวพุทธ ต่อพระบวรพุทธศาสนา ต่อพระสุปฏิปันโน ต่อบารมีธรรม ของพระเทพวิสุทธิมงคล(หลวงปู่ศรี มหาวีโร) ที่มุ่งเพื่อประโยชน์ ต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นหลักชัยหลักใจของชาวไทย หมายจรรโลงพระพุทธศาสนา สืบสานศิลปวัฒนธรรม งานพุทธศิลปให้สถิตสถาพรสืบไป รูปแบบอันวิจิตร เป็นศิลปผสมความยิ่งใหญ่ ของพระปฐมเจดีย์ กับความ โอฬารของพระธาตุพนม กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียว ประดิษฐานตระหง่าน ตระการตา ด้วยศิลปกรรม อันล้ำเลิศ ด้วยฝีมือลูกหลานไทย เป็นนฤมิตกรรมแห่งยุคสมัย ที่จะเป็นปูชนียสถานสำคัญ ของไทย และของโลกวัฒนา สืบต่อไปภายภาคหน้า ในยามเช้าผู้คนจากบ้านไกลเรือนไกล จากหลายถิ่น จะมารวมกัน ที่หน้าวัดประชาคมวนาราม เพื่อเตรียมถวายภัตตาหาร บิณฑบาตรพระคุณเจ้า เป็นโอกาสที่พุทธศาสนิกชน จะได้กราบนมัสการหลวงปู่ศรี อย่างใกล้ชิด บางรายบางท่าน ก็มาขอพึ่งบารมีธรรมของท่าน ซึ่งท่านก็เมตตาเสมอตลอดมา ", "title": "พระเทพวิสุทธิมงคล (ศรี มหาวีโร)" }, { "docid": "455870#0", "text": "พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หมู่ 5 บ้านพุไม้แดง ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี นามเดิมคือ ภูสิต แต่มักจะคุ้นหูในชื่อ หลวงตาจันทร์ ท่านเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดและเคยอุปัฎฐาก พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) มาเป็นเวลานานและชื่อ\"จันทร์\" ก็เป็นชื่อที่หลวงตาตั้งให้ใหม่ หลังจากบวชที่วัดป่าบ้านตาด", "title": "พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขนฺติธโร)" }, { "docid": "860574#3", "text": "หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ออกศึกษาพระกรรมฐานจากพ่อแม่ครูอาจารย์ อาทิ พระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร) , หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม , หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นต้น หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ยังได้รับความเมตตาจากหลวงตา พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ซึ่งท่านให้ความสนิทสนมและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ ", "title": "พระโสภณวิสุทธิคุณ (บุญเพ็ง กปฺปโก)" }, { "docid": "615594#13", "text": "พระครูประสิทธิ์สมณญาณ จนฺโทปโม(สม) เจ้าอาวาสวัดสุวรรณชัยศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ ศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สมัยท่านจำพรรษาอยู่แถบจังหวัดเชียงใหม่ พระสุธรรมคณาจารย์ (แดง ธมฺมรกฺขิโต) ผู้ก่อตั้งวัดประชานิยม จังหวัดกาฬสินธุ์ ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สมัยก่อนที่ท่านจะเดินทางไปเชียงใหม่ เป็นศิษย์ร่วมสมัยหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ พระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) วัดธรรมมงคล จังหวัดกรุงเทพมหานคร หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร หลวงปู่ทองมา ถาวโร วัดสว่างท่าสี จังหวัดร้อยเอ็ด พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) วัดรังสีปาลิวัน จังหวัดกาฬสินธุ์", "title": "พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร)" }, { "docid": "237190#30", "text": "ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2548 หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ได้ตีพิมพ์การเทศนาของพระธรรมวิสุทธิมงคล ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์พันตำรวจโททักษิณ อย่างหนัก และมีเนื้อหาส่วนหนึ่งได้กล่าวถึงพันตำรวจโททักษิณว่ามีการใช้อำนาจ \"...มุ่งหน้าต่อประธานาธิบดีชัดเจนแล้วเดี๋ยวนี้ พระมหากษัตริย์เหยียบลง ศาสนาเหยียบลง ชาติเหยียบลง...\"[34] ทำให้เกิดหัวข้อโต้เถียงกันเป็นวงกว้าง ต่อมา พันตำรวจโททักษิณได้ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ เป็นเงินกว่า 500 ล้านบาท แต่ไม่ได้ฟ้องร้องพระธรรมวิสุทธิมงคล", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "28453#6", "text": "พระอาจารย์ศรี มหาวีโร จึงเข้าไปกราบนมัสการ พระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่สำนักป่าบ้านหนองผือ ขออนุญาต พำนักจำพรรษา และศึกษาธรรมกับท่าน ซึ่งหลวงปู่มั่น ก็เมตตาอนุญาต นับเป็นโอกาส อันเป็นมหามงคล ในชีวิตบรรพชิต ที่มีโอกาสศึกษาธรรม และอุปฏฺฐากพระบุพพาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รวมทั้งมีโอกาสเจริญธรรม กับสหธรรมิกร่วมสำนัก ร่วมครูอาจารย์เดียวกัน เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อาพาธพระอาจารย์ศรี ก็มีโอกาสถวายการปฏิบัติ เมื่อท่านพระอาจารย์ใหญ่ถึงแก่มรณภาพ ก็นำความวิโยคอาดูร มาสู่ผู้เป็นศิษย์ ผู้เคารพศรัทธาครูอาจารย์ อย่างสุดจิต สุดใจ พระอาจารย์ศรี มหาวีโร ได้ถวายสักการะ สรีระ หลวงปู่มั่น เป็นครั้งสุดท้าย ในงานถวายเพลิง ฌาปนกิจ ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ", "title": "พระเทพวิสุทธิมงคล (ศรี มหาวีโร)" }, { "docid": "237190#23", "text": "13 ธันวาคม พ.ศ. 2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูญาณวิสุทธาจารย์[26] 5 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชญาณวิสุทธิโสภณ สมถวิปัสสนาวิมลอนุสิฐ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม อรัณยวาสี[27] 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวิสุทธิมงคล สมถวิปัสสนาโกศลธรรมธารี อรรถภาณีสรรพกิจ โสภิตเสฏฐคุณาภรณ์ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม อรัญญวาสี[28]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "616570#0", "text": "พระครูวิสุทธิบุญดิตถ์ หรือ พ่อท่านนวล ท่านเกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2465 เกิดในตระกูลเจริญรูป ณ อำเภอทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ชีวิตในวัยเด็กของท่าน แต่ท่านเป็นคนขี้อาย มีความประพฤติเรียบร้อย ท่านเป็นคนรักเพื่อฝูง เป็นเด็กดีและเป็นที่รักของเพื่อนๆ และครอบครัว จนกระทั่งเมื่อถึงอายุเกณฑ์เข้าโรงเรียน ตอนนั้นท่านมีอายุ 7 ขวบ ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดมะเฟือง ต.นากกะชะ อ.ฉวาง จ.นครศรี ธรรมราช จนจบชั้นประถมปีที่ 6 ต่อมาเมื่อท่านมีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ณ พัทธสีมาวัดภูเขาหลัก ต.ทุ่งสัง อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช มีพระครูถาวรบุญรัตน์ วัดท่ายาง อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดชื่น อินทสุวัณโณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างจริงจัง จนกระทั่งท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท ที่วัดประดิษฐาราม และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสมาจนถึงปัจจุบันพ่อท่านนวล ท่านเริ่มพัฒนาการศึกษาและสาธารณูปโภค โดยเริ่มในปี พ.ศ. 2501 ท่านเริ่มสร้างโรงเรียนวัดประดิษฐาราม โดยบริจาคที่ดินของวัดจำนวน 12 ไร่ เป็นที่ตั้งโรงเรียน และสนับสนุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี แต่ฐานะยากจน โดยได้ก่อตั้งกองทุน หลวงพ่อนวล ปริสุทโธ และได้ก่อตั้งกองทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษา แก่พระภิกษุ และ สามเณร นอกจากนั้น ท่านยังเริ่มก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในวัด เช่น กุฏิ โรงธรรม หอฉัน และ บ่อน้ำสาธารณะ และต่อมาก็ได้ขอแรงจากแรงงานเครื่องจักรกลจากแขวงการทางนครศรีธรรมราช เพื่อมาสร้างถนน สิ่งปฏิสังขรณ์ เมรุเผาศพ ศาลาพักร้อน ซุ้มประตูวัด และโรงทานเอนกประสงค์ ใช้ในเวลาที่จะมีการประชุมกันในวัดของหน่วยงานราชการและชุมชน สร้างอาคารรับรองอาคันตุกะและอื่นๆ อีกมากมาย ท่านมักจะคอยอบรมสั่งสอนสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ให้ยึดมั่นในหลักธรรมของพุทธศาสนาในการดำรงชีวิต และทำแต่ความดี หลวงพ่อท่านมีศีลวัตรปฏิบัติอันงดงาม จนทำให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใส พ่อท่านได้รับกิจนิมนต์เป็นประจำ ไปร่วมประกอบพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ในต่างจังหวัด หรือ ในกรุงเทพฯ หรือบางที ท่านเดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคล ถึงต่างประเทศ เช่น ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ วัตถุมงคลของท่าน ก็คอยคุ้มครองคนดีเสมอ ส่วนใหญ่ท่านไม่ค่อยอยู่ประจำจังหวัด มักจะมีกิจนิมนต์มากมาย ท่านต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มีแค่วันพระ ที่ท่านจะอยู่ที่วีด เพื่อคอยต้อนรับญาติโยม ที่มาทำบุญ ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด มีจริยวัตรที่งดงามปฏิบัติกิจตามหน้าที่ของสมณะอย่างสม่ำเสมอไม่เว้นแม้แต่ยามเจ็บไข้ได้ป่วย พ่อท่านเคร่งครัดในกฎระเบียบยิ่ง ในการประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบท คนที่เคยติดสุรา หรือ บุหรี่ จะต้องเลิกเด็ดขาด พ่อท่านมักจะอบรมสั่งสอน และให้ข้อคิดดีๆ เสมอ โดยเฉพาะเรื่องชีวิตของมนุษย์ ท่านมักจะเตือนสติ ญาติโยม ลูกศิษย์ ลูกหา ว่า \"คนเราเกิดมาล้วนมีหนี้ติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินหนี้บุญคุณและหนี้ชีวิตซึ่งตัวท่านได้ปฏิบัติเพื่อปลดเปลื้องหนี้ตลอดมา โดยเฉพาะหนี้ชีวิต\" ", "title": "พระครูวิสุทธิบุญดิตถ์ (นวล ปริสุทฺโธ)" }, { "docid": "237190#0", "text": "พระธรรมวิสุทธิมงคล นามเดิม บัว โลหิตดี ฉายา ญาณสมฺปนฺโน หรือที่นิยมเรียกกันว่า หลวงตามหาบัว[1] หรือ หลวงตาบัว (12 สิงหาคม พ.ศ. 2456 - 30 มกราคม พ.ศ. 2554) เป็นพระภิกษุคณะธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุดรธานี เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดป่าบ้านตาด (วัดเกษรศีลคุณ) เป็นวิปัสสนาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ศิษย์ของพระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต ซึ่งมีโอกาสอุปฐากรับใช้หลวงปู่มั่นในช่วงปัจฉิมวัยและเป็นผู้หนึ่งที่ได้บันทึกประวัติของหลวงปู่มั่นโดยละเอียดในเวลาต่อมา", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "842063#0", "text": "พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร หรือ หลวงปู่แบน ธนากโรเป็นพระสายกรรมฐานรูปหนึ่ง ผู้เป็นสหธรรมิกผู้ใกล้ชิดกับพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)และรับการวางใจจากหลวงตามหาบัว ให้เป็นเสาหลักของคณะพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น", "title": "พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร (แบน ธนากโร)" }, { "docid": "237190#33", "text": "รวมชีวประวัติ ผลงาน และพระธรรมเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน รวม \"ธรรมะชุดเตรียมพร้อม\" ที่หลวงตามหาบัวเทศน์ ในราวปี 2518-2519", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "906756#10", "text": "ปี พ.ศ. 2540 \"พระราชญาณวิสุทธิโสภณ\" สมณศักดิ์ในขณะนั้น ต่อมาก็คือ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้เมตตามาวัดป่าวิเวกธรรม เพื่อเป็นในพิธีเททองหล่อพระประธานวัดกู่ทอง ซึ่ง \"พระครูวิเวกวัฒนาทร\" เจ้าอาวาสในขณะนั้น ต่อมาก็คือ พระโสภณวิสุทธิคุณ (บุญเพ็ง กปฺปโก) ได้จัดสร้างขึ้น และในโอกาสนี้ยังได้เมตตาเททองหล่อรูปเหมือนพระบูรพาจารย์ 7 องค์ ได้แก่ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต, หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร, หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่สิม พุทฺธจาโร เพื่อประดิษฐานไว้ ณ วัดป่าวิเวกธรรม ", "title": "วัดป่าวิเวกธรรม" }, { "docid": "455870#2", "text": "พระอาจารย์ภูสิต (จันทร์) ขันติธโร เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2494 ภูมิหลังก่อนที่จะบวช ท่านได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือด จึงรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต และขณะนั้นได้มีโอกาสอ่านหนังสือ\"ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ\" ซึ่งหลวงตามหาบัว เป็นผู้เขียน จึงเกิดศรัทธาอันแรงกล้าที่จะขอบวชในพระพุทธศาสนา แต่ในขณะนั้นได้ทราบว่าหลวงปู่มั่นได้มรณภาพแล้ว และเหลือแต่ศิษย์ของท่านคือหลวงตามหาบัว \nพ.ศ. 2524:อุปสมบทสายพระธรรมยุตที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพ เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดในขั้นสุดท้าย จึงตัดสินใจบวชเพื่อเตรียมตัวตายในเพศบรรพชิต\nพ.ศ. 2524 - 2531 : หลังจากได้รับการอุปสมบทเป็นที่เรียบร้อย จึงได้เดินทางมาอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้รับการอบรมอย่างใกล้ชิดโดยพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคร่งครัดตามแนวทางปฏิบัติของพระป่าสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต คือ ท่านพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) และได้เป็นพระอุปัฏฐากหรือพระเลขาของท่านอาจารย์หลวงตาพระมหาบัวฯในเวลาต่อมา", "title": "พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขนฺติธโร)" }, { "docid": "237190#31", "text": "และเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2549 พระธรรมวิสุทธิมงคลได้แนะนำให้พันตำรวจโททักษิณ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และในการเทศนา ท่านได้อธิบายถึงรัฐบาลว่า \"เลวทราม ฉ้อราษฎร์บังหลวง กระหายอำนาจและโลภ\"[35]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "237190#14", "text": "พระธรรมวิสุทธิมงคล อาพาธลำไส้อุดตัน และมีปอดติดเชื้อมานานกว่า 6 เดือน คณะแพทย์ถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างกุฏิปลอดเชื้อให้แก่พระเดชพระคุณ แต่อาการอาพาธไม่ดีขึ้น จนเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 02.49 น. ตรวจพบสมองของพระเดชพระคุณหยุดทำงานใน ต่อมา ตรวจพบม่านตาขยายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ออกซิเจนในเลือดเป็น 0 จากนั้นเวลา 03.53 น. ความดันโลหิตมีค่าเป็น 0 หัวใจหยุดเต้นและหยุดการหายใจ จึงเป็นอันมรณภาพ สิริอายุได้ 97 ปี 5 เดือน 18 วัน 77 พรรษา[12]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "595645#8", "text": "กุมารปัญหา (สามเณรปัญหา) ว่าด้วยการถามปัญหากับโสปากสามเณร พระอรรถกถาจารย์ได้อรรถาธิบายคำตอบเพิ่มเติม มีคำอธิบายว่า เมื่อใดเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์นั่นเป็นทางแห่งวิสุทธิ เป็นอาทิ หรือผู้ใดเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์นี้เป็นทางแห่งวิสุทธิ และว่า ผู้ใดเห็นสุขเป็นทุกข์ เห็นทุกข์เป็นดังลูกศร เห็นอทุกขมสุขมีอยู่ ผู้นั้นชื่อว่า เห็นเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง เป็นต้น", "title": "ปรมัตถโชติกา" }, { "docid": "237190#34", "text": "วิสุทธิมงคล หมวดหมู่:ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย หมวดหมู่:เจ้าอาวาส หมวดหมู่:เปรียญธรรม 3 ประโยค หมวดหมู่:สายพระป่าในประเทศไทย หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดอุดรธานี ธรรมวิสุทธิมงคล", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "608464#0", "text": "พระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต) เป็นพระภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระ สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ศิษย์ของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร", "title": "พระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต)" }, { "docid": "237190#26", "text": "นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานต่าง ๆ ที่แต่งหนังสือชีวประวัติของท่าน อาทิ หยดน้ำบนใบบัว จัดทำขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเรียบเรียงจากเทศนาธรรมของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)ในวาระต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนแก่สถานศึกษาทุกระดับชั้น[31], ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ จัดทำขึ้นโดยวัดป่าบ้านตาด ซึ่งเป็นหนังสืออนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงถวายแด่พระสรีระสังขารพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)[32]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "828896#5", "text": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้กล่าวยกย่อง \"พระราชวุฒาจารย์\" (สวัสดิ์ ขันติวิริโย) หรือ \"เจ้าคุณอุดร\" ว่า\"ท่านเป็นคนใจดี เรียกว่าเลิศทางไม่ดุ ไม่เคยดุใคร ดุคนไม่เป็น\"", "title": "พระราชวุฒาจารย์ (สวัสดิ์ ขนฺติวิริโย)" }, { "docid": "237190#6", "text": "ระหว่างนั้นท่านเริ่มเรียนหนังสือทางธรรมและศึกษาเกี่ยวกับพุทธประวัติ รวมทั้งพุทธสาวก โดยหลังจากพุทธสาวกเหล่านั้นได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าแล้วจะเดินทางไปบำเพ็ญในป่าอย่างจริงจังจนสำเร็จอรหันต์ ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสและตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรหัตผลให้ได้ จึงตั้งสัจอธิษฐานว่า เมื่อเรียนจบเปรียญธรรม 3 ประโยคแล้วจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว[5]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "400045#1", "text": "เป็นพระเถราจารย์ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่น่าเคารพสักการบูชาของบรรดาศิษยานุศิษย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้ง เป็นเพื่อนสหธรรมิกกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก", "title": "พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล)" }, { "docid": "860574#4", "text": "นอกจากนี้ หลวงปู่ยังมีสหธรรมิกที่สนิทสนมกันหลายรูป เช่น พระราชญาณวิสุทธิโสภณ (ท่อน ญาณธโร) พระครูวิสุทธิธรรมสุนทร (บุญเกิด ยุตฺตธมฺโม) พระพิศาลสารคุณ (หลวงปู่ปรีชา สุปัญโญ) พระครูการุณยธรรมนิวาส (หลวงปู่หลวง กตปุญโญ) พระธรรมเจติยาจารย์ (หลวงพ่อบุญเรือง ปุญญโชโต) เป็นต้น", "title": "พระโสภณวิสุทธิคุณ (บุญเพ็ง กปฺปโก)" }, { "docid": "237190#12", "text": "ท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 แรม 14 ค่ำ เดือน 6 เวลา 5 ทุ่มตรง บนหลังเขาซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร[9]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "237190#10", "text": "อย่างไรก็ตาม ด้วยจริตนิสัยของท่านเรื่องการภาวนานั้นถูกกับการอดอาหารเพราะทำให้ธาตุขันธ์เบาสบาย การตั้งสติทำสมาธิภาวนาก็ง่าย และช่วยให้การบำเพ็ญจิตภาวนาเจริญขึ้นได้เร็วกว่าขณะที่ออกฉันตามปกติ แม้มีผู้คัดค้านก็ไม่ทำให้ท่านเปลี่ยนใจได้ ด้วยท่านพิจารณาแล้วว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุอดอาหารเพื่อบำเพ็ญจิตตภาวนาได้ แต่ไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดหรืออดเพียงอย่างเดียวโดยไม่ฝึกฝนด้านจิตภาวนาเลยซึ่งไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้น ท่านจึงใช้อุบายนี้เพื่อบำเพ็ญจิตตภาวนาเรื่อยมา[7]", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" }, { "docid": "237190#15", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ไปทรงเป็นประธานพิธีถวายน้ำหลวงสรงศพพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) และทรงวางพวงมาลาหลวง พวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พวงมาลาส่วนพระองค์ และพวงมาลาของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานโกศโถและทรงรับพระพิธีธรรมไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน[13] และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานบำเพ็ญพระราชกุศล 1 วัน[14] โดยโปรดให้พระเทพสารเวที (บุญยนต์ ปุญฺญาคโม) ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้แทนพระองค์เดินทางมาร่วมประกอบพิธีธรรม[15] จากนั้นจึงเปิดให้พ่อค้า ประชาชน ส่วนราชการต่าง ๆ เป็นเจ้าภาพตลอดไป", "title": "พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)" } ]
1420
แอลัน แมธิสัน ทัวริง เกิดที่ไหน ?
[ { "docid": "692#5", "text": "แอลัน ทัวริงเป็นชาวอังกฤษ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ที่ลอนดอน และอาศัยอยู่กับพี่ชาย บิดาและมารดาของทัวริงพบกันและทำงานที่ประเทศอินเดีย", "title": "แอลัน ทัวริง" } ]
[ { "docid": "692#0", "text": "แอลัน แมธิสัน ทัวริง (; 23 มิถุนายน พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) – 7 มิถุนายน พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954)) เป็นนักคณิตศาสตร์, นักตรรกศาสตร์, นักรหัสวิทยาและวีรบุรุษสงครามชาวอังกฤษ และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์", "title": "แอลัน ทัวริง" }, { "docid": "148263#0", "text": "วิลลี่ แมคอินทอช หรือ เริงฤทธิ์ ปาตัน เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2513 ที่กรุงเทพฯ เป็นลูกครึ่ง ไทย-สก็อต และชาติจีน มีอาชีพนักแสดง นายแบบ, พิธีกร ปัจจุบันเป็นประธานบริษัท ลักษ์ 666 มีคุณพ่อชาวสก็อต ชื่อคุณวิลเลียม แมคอินทอชซึ่งเมื่อครั้งยังหนุ่มเป็นนักรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประจำฝ่ายบิน เมื่อหมดสงคราม จึงไปสมัครเข้าสายการบินเอส.เอ.เอสของเดนมาร์ค การบินไทยเช่าเครื่องบินจากบริษัทนี้ และยังเป็นหุ้นส่วนกันด้วย ต่อมามิสเตอร์วิลเลี่ยม แมคอินทอชจึงถูกส่งตัวมาทำงานกับการบินไทย และได้เจอกับคุณแม่ของเขาคุณยุรภรณ์ มีน้องสาวเป็นนักแสดง พิธีกร คือ คัทลียา แมคอินทอช สมรสกับนางแบบชื่อดัง เยลหลี ริคอร์เดล มีผลงานชิ้นแรกคือ ธัญญา แม่มดยอดยุ่ง (คู่กับ หมิว ลลิตา)", "title": "วิลลี่ แมคอินทอช" }, { "docid": "210820#0", "text": "ไรอัน ร็อดนีย์ เรย์โนลส์ ( เกิดวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1976) เป็นนักแสดงและโปรดิวเซอร์ชายชาวแคนาดา เขามีบทบาทเป็น ไมเคิล เบอร์เจิน ในซิตคอมเรื่อง \"ทูกายส์แอนด์อะเกิร์ล\" (1998-2001) บิลลี ซิมป์สัน ในละครวัยรุ่นแคนาดาเรื่อง \"ฮิลล์ไซด์\" (1991-93) และเป็นตัวละครในเครือมาร์เวลคอมิกส์ ในบทฮันนิบาลคิง ในเรื่อง\"เบลด 3 อำมหิตพันธุ์อมตะ\" (2004) และเดดพูล ในเรื่อง\"เอ็กซ์เมน กำเนิดวูล์ฟเวอรีน\" (2009) และ \"เดดพูล\" (2016) และ \"เดดพูล 2\" (2018)", "title": "ไรอัน เรย์โนลส์" }, { "docid": "610350#1", "text": "เทอร์รี เกิดในเมืองเมืองก็อธแฮม ในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2022 กับวอร์เรน และแมรี่ แม็คกินนิส นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เวย์น-เพาเวอร์ และนักดาราศาสตร์ที่ Astro-Tech respectively โดยการเข้าเรียนของเขาเองเขาครั้งหนึ่งเคยเป็น \"เด็กเลว\" ในฐานะที่เป็นอดีตสมาชิกของแก๊งข้างถนนที่ดำเนินการโดยการต้มตุ๋นหนุ่มชาร์ลี \"บิ๊กไทม์\" บิจโลว์ เทอร์รี่มีส่วนแบ่งยุติธรรมของการใช้เสริมที่มี Gotham City Police เมื่ออายุสิบสี่ในขณะที่พ่อแม่ของเขากำลังจะผ่านการหย่าร้าง จนกระทั่งได้ถูกอุปถัมถ์สามเดือนในสถานพินิจ (ได้รับยังไม่บรรลุนิติภาวะเขารอดโทษในปีที่สามของชาร์ลี)", "title": "แบทแมน (เทอร์รี แม็คกินนิส)" }, { "docid": "563716#0", "text": "อิแมนิวเอล แพสไทรช์ (; \"เป้ย์ อีหมิง\"; ; ) เป็นนักวิชาการชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1964 ที่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ทำงานส่วนใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้เป็นหลัก\nโดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์วิทยาลัยวิเทศศึกษา มหาวิทยาลัยคย็องฮี และเป็นผู้อำนวยการสถาบันเอเชีย (The Asia Institute) ณ โซล อีกทั้งยังมีงานเขียนวรรณกรรมคลาสสิกเอเชียตะวันออก และงานในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเทคโนโลยี", "title": "อิแมนิวเอล แพสไทรช์" }, { "docid": "198681#1", "text": "เททัม เกิดที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อคัลแมน ในรัฐแอละแบมา เขามีเชื้อสายฝรั่งเศส-ไอริช และชาวอเมริกันท้องถิ่น ครอบครัวของเขาย้ายไปมิสซิสซิปปิ เมื่อเขาอายุได้ 6 ปี เขาโตมากับการเล่นกีฬาหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น กรีฑา เบสบอล ฟุตบอล หรืออเมริกันฟุตบอล แรกเริ่มเขาเรียนที่ Gaither High School ใน Tampa ฟลอริดา หลังจากนั้นเขาเรียนโรงเรียนทหาร เขาได้รับทุนที่จะได้ศึกษาต่อที่รัฐ West Virginia เขายังได้เรียนรู้วิชากังฟู และ กังฟู Gor-Chor จนได้รับสายจากวิชาทั้งสอง", "title": "แชนนิง เททัม" }, { "docid": "83331#0", "text": "เอียน แลนแคสเตอร์ เฟลมมิง () เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษ เจ้าของนวนิยายเรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 ซึ่งต่อมามีการนำไปสร้างเป็นการ์ตูน และภาพยนตร์อีกมากมาย เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) ณ บ้านเลขที่ 7 ถนนกรีนสตรีท เมืองเมย์แฟร์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร เรียนภาษาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิวนิค และมหาวิทยาลัยเจนิวา จากนั้นได้เป็นนักข่าวของศูนย์ข่าวรอยเตอร์ส (Reuters news service) ซึ่งเคยส่งเขาไปทำข่าวจารกรรมที่รัสเซีย", "title": "เอียน เฟลมมิง" }, { "docid": "933505#0", "text": "กรณีเทียนอันเหมิน () เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2519 ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดตรงกับเทศกาลเช็งเม้ง หลังเหตุการณ์นานจิง และมีชนวนเหตุจากการถึงแก่อสัญกรรมของนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลในปีเดียวกันก่อนหน้านี้ บางคนคัดค้านการแสดงความไว้อาลัย และเริ่มชุมนุมกันในจัตุรัสเพื่อประท้วงต่อรัฐบาลกลาง ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของแก๊งออฟโฟร์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสั่งการให้เก็บกวาดจัตุรัส", "title": "กรณีเทียนอันเหมิน" }, { "docid": "962538#1", "text": "แรตเทิลเกิดที่เมืองลิเวอร์พูล และมีความสามารถด้านเปียโนและไวโอลินตั้งแต่เด็ก เขาจบการศึกษาจากคีตราชวิทยาลัย (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยลอนดอน) ในกรุงลอนดอนในปี 1974 เมื่อจบการศึกษา เขาได้เข้าเป็นวาทยากรผู้ช่วยของวงบอร์นมัทซิมโฟนีออร์เคสตรา ต่อมาในปี 1977 เขาได้เป็นวาทยากรผู้ช่วยของวงรอยัลลิเวอร์พูลฟิลฮาร์โมนิก และในปี 1980 เขาก็ได้เป็นวาทยากรเอกประจำวงซิมโฟนีออร์เคสตราเมืองเบอร์มิงแฮม (CBSO)", "title": "ไซมอน แรตเทิล" } ]
1536
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็นของเอกชนหรือไม่ ?
[ { "docid": "12289#11", "text": "เป้าหมายในอนาคตอันสั้น มธบ. ควรจะพัฒนาตนเองเพื่อก้าวขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการจัดการเรียนการสอนดีที่สุด (Best teaching university) และเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่คุ้มค่าที่สุด (Best value-for-money private university)ระเบียบนักศึกษา\nมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีระเบียบ ว่าด้วยเรื่องการแต่งกายของนักศึกษา ที่เคร่งคัด ทุกวันจะมีอาจารย์ 5 ถึง 6 คน เดินดูการแต่งกายของนักศึกษา หากผิดระเบียบจะตักเตือน จดชื่อและจะเรียกมาตรวจสอบการแต่งกายในวันถัดไป มีข้อตกลงกันกับนักศึกษาที่เป็นดารา ว่าจะต้องไม่มีการแต่งตัวจนเกินขอบเขตทั้งที่อยู่ในและนอกมหาวิทยาลัย หากมีการฝ่าฝืนก็จะตักเตือน ทำทัณฑ์บนตัดคะแนนความประพฤติ เชิญผู้ปกครองมาพบ และเข้าค่ายคุณธรรมปลุกจิตสำนึกบำเพ็ญประโยชน์\nการแต่งกายของนักศึกษา\nเนื่องจากปัจจุบันนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีค่านิยมในการแต่งกาย ชุดนักศึกษาที่หลายหลากมีทั้งแต่งตัวได้ถูกต้อง เหมาะสมและไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการยกย่องและส่งเสริมนักศึกษาที่\nปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยในเรื่องการแต่งกาย และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักศึกษา\nทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ทางแผนกวินัยและสวัสดิภาพนักศึกษาจึงจัดให้มีโครงการ “DPUSMART”\nขึ้นเพื่อประโยชน์ของนักศึกษาเอง\nกิจกรรมนักศึกษา โดย \"สำนักกิจการนักศึกษา\" และ \"สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์\" ประจำปีการศึกษานั้นๆ", "title": "มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" }, { "docid": "12289#0", "text": "มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 1 ใน 5 แห่งแรกในประเทศไทยถูกสถาปนาขึ้นพร้อมกับ วิทยาลัยเกริก วิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาลัยไทยสุริยะ และวิทยาลัยพัฒนา ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2511 ปัจจุบัน เปิดการเรียนการสอนใน 6 คณะ 6 วิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" }, { "docid": "12289#6", "text": "มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้รับรางวัลระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ระดับอุดมศึกษา ประเภทดีเลิศ ประจำปี 2551-2552 จากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งเดียวของประเทศที่ได้รับรางวัลประเภทดีเลิศในปีนี้ ทั้งนี้มีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลประเภทดีเลิศในครั้งนี้ด้วย", "title": "มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" }, { "docid": "223438#21", "text": "ในที่สุดกระทรวงศึกษาธิการได้อนุญาตให้ “โรงเรียนธุรกิจบัณฑิตย์” เปิดทำการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 ต่อมาในวันที่ 30 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยมี ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมกับเปลี่ยนคำว่า “โรงเรียน” เป็น “สถาบัน” ก่อตั้งบนพื้นที่ 1 ไร่ 14 ตารางวา ณ เลขที่ 73 ถนนพระราม 6 สถาบันการศึกษานาม “ธุรกิจบัณฑิตย์” จึงเกิดขึ้นในวงการศึกษาไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้เติบโตเป็น “วิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์” ใน พ.ศ. 2513 ต่อมาใน พ.ศ. 2527 ได้เจริญก้าวหน้าเป็น “มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์” บนเนื้อที่ 36 ไร่ ริมคลองประปา ถนนประชาชื่น โดยมี ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีคนแรก (พ.ศ. 2527 - 2537) จนถึงปัจจุบันมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มั่นคงและแข็งแกร่ง", "title": "ไสว สุทธิพิทักษ์" } ]
[ { "docid": "833421#0", "text": "วิทยาลัยพัฒนา เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 1 ใน 5 แห่งแรกในประเทศไทยถูกสถาปนาขึ้นพร้อมกับ วิทยาลัยเกริก วิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาลัยไทยสุริยะ และวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้รับอนุญาตจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการวิทยาลัยเอกชน ได้มีคำสั่งให้วิทยาลัยพัฒนาอยู่ในความควบคุมของทบวงมหาวิทยาลัย และได้แต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมวิทยาลัยพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่คณะกรรมการได้พิจารณาแล้วว่าวิทยาลัยพัฒนาไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ วิมลศิริ ชำนาญเวช รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย จึงได้มีคำสังเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2520", "title": "วิทยาลัยพัฒนา" }, { "docid": "803#4", "text": "จากการที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซียเป็นสถาบันการศึกษาที่มีสถานะแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศไทย เนื่องจากมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นทั้งสถาบันของรัฐบาลและเอกชน แต่มีสถานะเทียบเท่ากับสถาบันระหว่างประเทศ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2555 ได้เกิดประเด็นเกี่ยวกับการไม่รับรองในระบบราชการไทยขึ้นจากการที่ไม่ได้เป็นสถาบันการศึกษาเอกชน แต่ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขในเวลาต่อมา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) ได้ให้การรับรองคุณวุฒิจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซียจัดอยู่ในการรับรองคุณวุฒิต่างประเทศ", "title": "สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย" }, { "docid": "312134#2", "text": "ภาควิชาการจัดการพลังงานได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการนำร่องพัฒนาหลักสูตรผู้รับผิดชอบพลังงานสามัญสำหรับสถาบันอุดมศึกษา ร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552 บัณฑิตสาขาวิชาการจัดการพลังงานสามารถเข้ารับการสอบเป็นผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน PRE สามัญ หากผ่านการสอบตามข้อสอบมาตรฐานและเกณฑ์มาตรฐาน และมีสิทธิ์ได้รับวุฒิบัตรผู้รับผิดชอบด้านพลังงานจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศที่ได้ทำข้อตกลงในลักษณะนี้การเดินทางมาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สามารถเดินทางมาได้ดังนี้", "title": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" }, { "docid": "497973#2", "text": "คณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ประกอบด้วยภาควิชาดังต่อไปนี้คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้จัดตั้งสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2529 เพื่อให้เป็นการให้บริการทางวิชาการแก่สังคมและการให้คำปรึกษาแนะนำทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน\nเป็นหน่วยงานในสังกัดของคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อการพัฒนา และเผยแพร่องค์ความรู้ทางสาขานิติศาสตร์ สนับสนุนงานวิจัยและให้บริการทางวิชาการ แก่สังคม\nเรียกและเขียนชื่อย่อในภาษาไทยว่า ส.น.มธบ. และใช้ชื่อภาษาอังกฤษ Dhurakij pundit University Law Association ใช้ชื่อย่อภาษาอังกฤษ DPU.L.A. เครื่องหมายของสมาคม เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีพระสิทธิธาดา มีตราชูตรงกลางจารึกชื่อสมาคมอยู่ด้านล่าง สำนักงานตั้งอยู่ที่ คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กรุงเทพมหานคร\nเพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักศึกษารู้รักสามัคคีในหมู่คณะรู้จักการทำงานร่วมกัน อันเป็นการสร้างความ สัมพันธ์อันดีระหว่างนักศึกษาด้วยกัน และกับอาจารย์ กอปรกับเป็นการทำกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่จะเพิ่มพูน ประสบการณ์ให้กับนักศึกษามากยิ่งขึ้น", "title": "คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" }, { "docid": "12279#2", "text": "ในระยะต่อมา วิทยาลัยกรุงเทพขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ ขณะเดียวกัน มีการก่อตั้งวิทยาลัยเอกชน เพิ่มเติมขึ้นอีกหลายแห่ง เช่นวิทยาลัยการค้าหรือวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ส่งผลให้การแข่งขันของสถาบันการศึกษาเอกชนสูงขึ้น ผู้บริหารวิทยาลัยกรุงเทพ จึงวางโครงการขยายการศึกษา เพื่อยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ทบวงมหาวิทยาลัยจึงยกฐานะขึ้นเป็น \"มหาวิทยาลัยกรุงเทพ\" (พร้อมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย)", "title": "มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" }, { "docid": "11994#0", "text": "มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยมี \"หอการค้าไทย\" เป็นเจ้าของ และได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านธุรกิจในประเทศไทย ประกอบด้วย 9 คณะ ได้แก่ คณะบริหารธุรกิจ คณะบัญชี คณะเศรษฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และประยุกต์ศิลป์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะนิเทศศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ และคณะการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ รวมถึง 2 วิทยาลัย ได้แก่ วิทยาลัยผู้ประกอบการ และวิทยาลัยนานาชาติ โดยเปิดสอนระดับปริญญาตรี โท และเอก รวมทั้งหลักสูตรนานาชาติ", "title": "มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" }, { "docid": "12289#4", "text": "วิทยาลัยนานาชาติจีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดดำเนินการในปีการศึกษา 2553 เป็นวิทยาลัยนานาชาติจีนที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมทุน เพื่อทำการศึกษาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศจีนคือมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคุนหมิงกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์\nวิทยาลัยนานาชาติจีน เปิดโอกาสให้ทั้งนักศึกษาไทย นักศึกษาจากประเทศจีน และนักศึกษาจากนานาชาติ เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ระดับปริญญาตรีในหลักสูตรนานาชาติโดยใช้ภาษาจีนเป็นสื่อการสอน โดยวิทยาลัยนานาชาติจีน ทำหน้าที่ในการสร้างและพัฒนาความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์กับสถาบันเครือข่ายในประเทศจีน\nสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2524 โดยการรวมตัวของนักศึกษาจากทุกคณะ ภายใต้การสนับสนุนของ ท่านอดีตอธิการบดี ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ที่ ต้องการให้องค์กรนี้เป็นศูนย์รวมของศิษย์เก่า ไม่ว่าจะเป็นยุคของสถาบัน หรือวิทยาลัย เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งในคณะก่อตั้งดังกล่าว ได้รับแนวทางมาปฏิบัติ และมีการยื่นจดทะเบียนขอจัดตั้งเป็น “สมาคมนักศึกษาเก่าวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์” อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2524 โดยมี คุณธารา รัตนพิภพ (ศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์) เป็นนายกสมาคมคนแรก (พ.ศ. 2524 - 2526) มีเงินทุนในการดำเนินงานของสมาคมฯ จำนวน 50,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่เกิดขึ้นจากรายได้ในการฉลองปริญญาบัตร ที่สำเร็จการศึกษา โดยมีที่ทำการของสมาคมฯ อยู่ที่ 73 ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร\nต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2538 ในสมัยที่ท่าน ศาสตราจารย์ไพฑูรย์ พงศะบุตร ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ได้มีการยื่นขอเปลี่ยนแปลงชื่อและข้อบังคับสมาคมฯใหม่เป็น “สมาคมนักศึกษาเก่า มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์” เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานะภาพของมหาวิทยาลัย ซึ่งคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ในแต่ละยุคได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ เรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความกรุณาอย่างยิ่งจากท่านผู้บริหารมหาวิทยาลัย ในการอนุญาตให้ใช้สถานที่บริเวณชั้นล่างของอาคารสำนักอธิการบดี เป็นสถานที่ตั้งและทำงานของสมาคมฯ\nปัจจุบันสมาคมฯ มีสมาชิก ประมาณ 25,000 คน และจะยังคงมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี จากบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาออกไป รับใช้สังคม และสมาคมฯ มีนโยบายที่ต้องการจะขยายส่วนงานของศิษย์เก่าและสมาชิกออกไปในภาคต่าง ๆ เพื่อ ประสานความดีงามและเป็นประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป", "title": "มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" } ]
1916
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล คืออะไร?
[ { "docid": "115739#1", "text": "ตำแหน่งพระมหาอุปราชปรากฏครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ต่อมาสมเด็จพระเพทราชาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น \"กรมพระราชวังบวรสถานมงคล\" ภายหลังจากการเสด็จทิวงคตของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลิกธรรมเนียมตั้งพระมหาอุปราช แล้วทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแทน", "title": "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" }, { "docid": "115739#0", "text": "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เรียกกันเป็นสามัญว่าวังหน้า เป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์สยามทรงสถาปนาขึ้นสำหรับพระมหาอุปราช และมีฐานะเป็นองค์รัชทายาทผู้มีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชสมบัติต่อไป", "title": "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" } ]
[ { "docid": "43575#2", "text": "ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการสถาปนากรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ที่ประชุมอันมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นประธาน ตกลงที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตามคำเสนอของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นมติเอกฉันท์ของที่ประชุม เพราะพระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ทรงคัดค้านว่า การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น ตามโบราณราชประเพณีเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของที่ประชุม ซึ่งทำความไม่พอใจให้แก่สมเด็จเจ้าพระยาฯ ท่านจึงได้ย้อนถามว่า \"ที่ไม่ยอมนั้น อยากจะเป็นเองหรือ\" (ทิพากรวงศ์ 2504, 266-267)", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ" }, { "docid": "8726#25", "text": "พระราชมณเฑียร หรือ หมู่พระวิมาน เป็นหมู่พระที่นั่งภายในพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์แรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างเป็นหมู่พระที่นั่งประกอบกัน และมีการซ่อมแซมและปรับปรุงครั้งใหญ่ในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ใช้เป็นสถานที่ที่จัดแสดงนิทรรศการ วัตถุสิ่งของต่าง ๆ", "title": "พระราชวังบวรสถานมงคล" }, { "docid": "53263#3", "text": "ก่อนหน้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต 1 วัน ได้มีการประชุมพระญาติวงศ์และขุนนาง ที่ประชุมอันมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นประธาน ตกลงที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลตามคำเสนอของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นมติเอกฉันท์ของที่ประชุม เพราะพระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ทรงคัดค้านว่า การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น ตามโบราณราชประเพณีเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของที่ประชุม ซึ่งทำความไม่พอใจให้แก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ท่านจึงได้ย้อนถามว่า \"\"ที่ไม่ยอมนั้น อยากจะเป็นเองหรือ\"\" กรมขุนวรจักรธรานุภาพ จึงตอบว่า \"\"ถ้าจะให้ยอมก็ต้องยอม\"\" จึงเป็นอันว่าที่ประชุมเห็นสมควรที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 เป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าองค์สุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" }, { "docid": "115739#4", "text": "ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาหลวงสรศักดิ์พระราชโอรสบุญธรรมเป็นพระมหาอุปราช ประทับ ณ วังหน้า พร้อมทั้งบัญญัติศัพท์นามสังกัดวังหน้าว่า \"กรมพระราชวังบวรสถานมงคล\" นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ สถาปนานายจบคชประสิทธิ์ให้ดำรงพระยศเป็นวังหลัง พระราชทานวังหลังเป็นที่ประทับ พร้อมทั้งบัญญัติศัพท์นามวังหลังว่า \"กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข\" เป็นครั้งแรก", "title": "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" }, { "docid": "8726#11", "text": "ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพ ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ออกพระนามว่า\"สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ\") หลังจากนั้น พระองค์ทรงประทับอยู่ที่พระราชวังบวรสถานมงคลตลอดพระชนม์ชีพ โดยพระองค์ได้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพระราชวังบวรสถานมงคลมากมาย", "title": "พระราชวังบวรสถานมงคล" }, { "docid": "53236#5", "text": "หลังจากสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพสวรรคต พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ทรงตั้งผู้ใดเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เดิมทรงหมายมั่นจะสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ ซึ่งเป็นพระปิตุลา แต่มีผู้ถวายฎีกาอยู่เสมอว่ากรมหลวงรักษ์รณเรศกระทำการกระด้างกระเดื่อง ทุจริตต่อหน้าที่ รับสินบน อีกทั้งยังมีการส้องสุมกำลังผู้คน เมื่อทรงสอบสวนแล้วเป็นจริง จึงทรงให้ถอดพระยศเป็นหม่อมไกรสร แล้วให้นำสำเร็จโทษเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2391", "title": "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ" }, { "docid": "143429#0", "text": "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือ กรมพระราชวังหลัง เป็นตำแหน่งรองลงมาจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคลที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งขึ้น เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอยุธยา โดยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ทรงสร้างวังขึ้นหลังพระราชวังหลวง พระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเอกาทศรถ ดังนั้น จึงเกิดคำว่า \"วังหลัง\" ขึ้นมา ต่อมา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้พระไตรภูวนาถทิตยวงศ์ พระราชอนุชา ประทับที่วังหลังอีกพระองค์ อย่างไรก็ตาม ทั้งสมเด็จพระเอกาทศรถและพระไตรภูวนาถทิตยวงศ์เพียงแต่ประทับอยู่ในวังหลังเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการเพิ่มยศศักดิ์แต่ประการใด", "title": "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข" }, { "docid": "118866#0", "text": "หมู่พระวิมาน เป็นหมู่พระที่นั่งภายในพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์แรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นสมเด็จพระราชอนุชาร่วมพระชนกพระชนนีกับ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หมู่พระวิมานเป็นหมู่พระที่นั่งหลายองค์ประกอบกัน และมีการซ่อมแซมและปรับปรุงครั้งใหญ่ในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ปัจจุบัน เป็นอาคารหลักของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ใช้เป็นสถานที่ที่จัดแสดงนิทรรศการ วัตถุสิ่งของต่าง ๆ \nปัจจุบัน หมู่พระวิมาน ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด คงเหลือไว้แต่เพียงพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ซึ่งเป็นสถานที่จัดนิทรรศการ", "title": "หมู่พระวิมาน (พระราชวังบวรสถานมงคล)" }, { "docid": "143429#1", "text": "ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงแต่งตั้งหลวงสรศักดิ์ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และได้แต่งตั้งให้นายจบคชประสิทธิ์ขึ้นเป็น \"กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข\" ให้ทรงรับพระราชบัญชา ซึ่งถือเป็นกรมพระราชวังหลังพระองค์แรกในสมัยอยุธยา ต่อมา ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือ สมเด็จพระเจ้าเสือ พระองค์ทรงสถาปนา \"เจ้าฟ้าเพชร\" พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ พระบัณฑูรใหญ่ และทรงสถาปนา \"เจ้าฟ้าพร\" พระราชโอรสพระองค์เล็กที่กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข แต่โปรดให้ออกพระนามกรมว่า \"พระบัณฑูรน้อย\" เนื่องจากพระองค์อาจจะทรงรังเกียจตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขเนื่องจากในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชาเมื่อทรงสถาปนานายจบคชประสิทธิขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขได้ไม่นาน นายจบคชประสิทธิก็ถูกสำเร็จโทษ หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์ทรงต้องการยกย่องพระยศของเจ้าฟ้าพรให้เสมอกับกรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็เป็นไปได้อย่างใดอย่างหนึ่ง", "title": "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข" }, { "docid": "115739#9", "text": "พระบัณฑูร คือ คำสั่งของพระมหาอุปราช มาจากภาษาเขมร แปลว่า \"สั่ง\" สำหรับคำสั่งของพระมหากษัตริย์นั้นใช้คำว่า \"พระราชโองการ\" ในการสถาปนาพระมหาอุปราชตั้งแต่อดีตนั้น มักเรียกว่า \"วังหน้ารับพระบัณฑูร\"", "title": "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" }, { "docid": "115739#10", "text": "ส่วน\"วังหน้ารับ (บวร) ราชโองการ\" นั้น เป็นพระมหาอุปราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 เสมอกับพระองค์ มีเพียง 2 พระองค์ ได้แก่", "title": "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" } ]
1182
ใครเป็นผู้นำทัพฝั่งกรุงธนบุรี ในสงครามอะแซหวุ่นกี้?
[ { "docid": "780264#0", "text": "สงครามอะแซหวุ่นกี้ เป็นสงครามระหว่างอาณาจักรธนบุรีและพม่าครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2318 - กันยายน พ.ศ. 2319 โดยทางฝั่งพม่ามี อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพใหญ่วัย 72 ปีเป็นผู้นำทัพ ส่วนทางฝั่งกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำทัพด้วยพระองค์เอง [1]", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" } ]
[ { "docid": "43492#10", "text": "การรบครั้งนี้ทำให้ต้าชิงต้องสูญเสียฟู่เหิง กับอาหลีกุ่นแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพด้วยไข้มาเลเรีย หลังจากนั้น 20 ปี เมื่อพระเจ้ามังระสิ้นไปแล้วราชวงค์คองบองและจีนก็ได้ฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ในยุคของพระเจ้าปดุงหลังพระองค์ทรงพ่ายแพ้ต่อกรุงรัตนโกสินทร์ถึง2ครั้ง โดยพม่ายอมส่งบรรณาการให้แก่อาณาจักรต้าชิง แลกกับการที่จีนยอมรับราชวงค์คองบองของพม่าพระเจ้ามังระทราบว่าขณะนี้ทางอยุธยากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ราชธานีแห่งใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นนั้นคือกรุงธนบุรี แต่ในช่วงเวลานี้ภัยคุกคามจากต้าชิงสำคัญกว่ามาก เพราะหากพลาดพลั้งนั้นหมายถึงการล่มสลายของอาณาจักรคองบองที่พระองค์เพียรสร้างขึ้น ดั่งเช่นอาณาจักรพุกามที่ถูกกองทัพมองโกลทำลายล้างในอดีต หลังจากจบศึกกับต้าชิง พระองค์ประเมินแล้วว่าอาณาจักรของพระองค์บอบช่ำเกินกว่าจะทำศึกต่อไปได้อีก พระองค์จึงทรงให้ไพร่พลได้พักฟื้นถึง 5 ปี ในระหว่างพักพื้นนั้นก็ได้มีการตระเตรียมเสบียงอาหารเอาไว้ เพื่อใช้สำหรับทำศึกกับอาณาจักรที่พึ่งก่อตั้งอย่างกรุงธนบุรี หลังเตรียมการเป็นอย่างดีในปี พ.ศ. 2318 พระเจ้ามังระได้ให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ลงมาทำศึกด้วยตนเอง อะแซหวุ่นกี้ได้นำทัพ 35,000 นาย พิชิตหัวเมืองต่างๆมาได้ตลอดทางรวมแล้วมีกำลังพลมากกว่า 50,000 นาย จนสามารถตีเมืองพิษณุโลกแตกและเตรียมรวมทัพมุ่งสู่กรุงธนบุรี อีกเส้นพระองค์ได้ให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพไปปราบปรามหัวเมืองทางเหนือจนสามารถยึดเชียงใหม่ได้เตรียมนำกองทัพลงไปสมทบกับอะแซหวุ่นกี้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่อีกทางหนึ่ง ส่วนทัพทางใต้ก็สามารถตีเมืองกุย เมืองปราณได้สำเร็จพร้อมนำทัพบุกเข้ากรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง แต่แล้วในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 ราชสำนักอังวะได้แจ้งข่าวมาถึงอะแซหวุ่นกี้ ว่าพระเจ้ามังระได้เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าจิงกูจากษัตริย์องค์ใหม่จึงมีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับกรุงอังวะในทันที ", "title": "พระเจ้ามังระ" }, { "docid": "179615#32", "text": "พ.ศ. 2318 แม่ทัพอะแซหวุ่นกี้ของพม่ายกทัพมาตีหัวเมืองเหนือ เป็นสงครามอะแซหวุ่นกี้ที่มีขนาดใหญ่มาก อะแซหวุ่นกี้เป็นผู้เชี่ยวชาญศึก ส่วนฝ่ายไทยนั้นมีเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช (บุญมา) ในการครั้งนี้พม่ายกพลมา 30,000 คนเข้าล้อมเมืองพิษณุโลกอีก 5,000 คนล้อมเมืองสุโขทัย ส่วนเมืองพิษณุโลกมีพลประมาณ 10,000 คน สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพไปช่วย ต่อมาอะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับไปเอง เนื่องจากพระเจ้ามังระสวรรคต กองทัพพม่าส่วนที่ตามไปไม่ทันจึงถูกจับ[47]", "title": "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" }, { "docid": "938315#1", "text": "ในการบุกครั้งที่3ของจีนนั้นสร้างความลำบากให้แก่กองทัพพม่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากหมิงรุ่ยเป็นผู้เจนจบในพิชัยสงครามเขาเคลื่อนกองทัพอย่างระมัดระวังตลอดการทำศึก นั้นทำให้แม้แต่อะแซหวุ่นกี้เองก็ยากที่จะใช้กลอุบายเอาชนะเขาได้ ในขณะนั้นเองพระเจ้ามังระได้ตัดสินใจส่งกองกำลังพิเศษของพระองค์ออกไปทัพหนึ่ง นำโดยเตนจามินคองมีจุดประสงค์เพื่อทำสงครามกองโจรกับหมิงรุ่ย ซึ่งเตนจามินคองก็สามารถทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง แม้เขาจะมีกองทัพไม่ถึงหนึ่งพันนาย แต่ก็สามารถปั่นป่วนกองทัพนับหมื่นของหมิ่งรุ่ยจนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้สะดวก อีกทั้งยังสามารถตัดกำลังบำรุงของฝ่ายจีนที่ส่งมากจากแสนหวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกองทัพของหมิงรุ่ยที่บุกลึกเข้ามาเริ่มอดอาหาร นั้นทำให้ผลของสงครามเริ่มเปลี่ยนไป ชื่อเสียงของเตนจามินคองและพระเจ้ามังระที่พลิกสถานการณ์ให้ฝ่ายอังวะในครั้งนั้น จึงเป็นที่เลื่องลือขึ้นมา สุดท้ายอะแซหวุ่นกี้ที่เตรียมกองทัพไว้อยู่แล้วจึงได้ช่องนำกองกำลังที่ซุ่มไว้เข้ายึดแสนหวีคืนได้ และยกทัพลงมาช่วยพระเจ้ามังระตีกระหนาบหมิงรุ่ยจนเอาชนะไปได้ในยุทธการเมเมียว", "title": "เตนจามินคอง" }, { "docid": "780264#12", "text": "สายที่1 ให้มังแยยางูคุมมาทางเมืองเพชรบูรณ์ รวบรวมเอาเสบียงอาหารรวมถึงกวาดต้อนผู้คนบริเวณนั้นส่งไปยังทัพใหญ่ของอะแซหวุ่นกี้ มีจุดมั่งหมายที่กรุงธนบุรี สายที่2 ให้กะละโบคุมกองทัพอีกกองยกมาทางเมืองกำแพงเพชร ให้รวบรวมเอาเสบียงอาหารรวมถึงกวาดต้อนผู้คนมุ่งสู่พระนครเช่นเดียวกัน สายที่3 ให้ปะกาจีเมงกองจอคุมทัพลงมาทางพิจิตร มุ่งตรงมายังกรุงธนบุรีโดยกวาดต้อนผู้คนรวมถึงเสบียงอาหารตลอดทาง", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "312866#5", "text": "ครั้น พระเจ้ามังระ กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์คองบอง ทราบข่าวว่ามีคนไทยตั้งตนเป็นใหญ่อีกครั้งจึงได้มีพระบรมราชโองการให้ \"แมงกี้มารหญ้า\" เจ้าเมือง ทวาย ยกทัพมาปราบปราม กองทัพพม่ายกมาถึงอำเภอบางกุ้ง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงธนบุรีมีกำลังตามพระราชพงศาวดาร 2,000 คน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จนำกองทัพออกตีพม่าจนแตกพ่ายกิตติศัพท์ที่รบชนะทำให้พระราชอำนาจทางการเมืองในภาคกลางยิ่งเข้มแข็งยิ่งขึ้น ราวปี พ.ศ. 2311 พระองค์ก็ยกทัพไปตีชุมนุมพิษณุโลกอีกแต่กระสุนปืนเข้าที่พระชงฆ์ (แข้ง) จึงต้องยกทัพกลับและรักษาพระองค์ยังพระนคร", "title": "การสงครามสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" }, { "docid": "780264#15", "text": "wikisource ครั้งกรุงธนบุรีคราวอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ เทปสนทนาเรื่อง วาระสุดท้าย...ของ อาณาจักรอยุธยาและราชวงศ์อลองพญา โดย ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ วีระ ธีรภัทร (เมษายน พ.ศ. 2544)", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#14", "text": "ที่อะแซหุว่นกี้รีบเช่นนั้น เนื่องจากเสนาอำมาตย์ต่างแตกออกเป็นพวกๆ ให้การสนับสนุนเชื้อพระวงศ์คนละพระองค์ ถ้าเกิดมีใครคิดกบฎโดยยึดพระราชโองการของพระเจ้าอลองพญา ที่ให้บุตรของพระองค์ครองราชย์ต่อก็อาจทำให้พระเจ้าจิงกูจาตกอยู่ในอันตราย อะแซหวุ่นกี้ที่เป็นพ่อตาของพระเจ้าจิงกูจา จึงเร่งกลับกรุงอังวะในทันที", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "115376#12", "text": "เมื่อพระเจ้าจิงกูจามีตำแหน่งที่มั่นคงแล้ว ได้ทำสิ่งที่ทำให้แม่ทัพนายกองแห่งราชวงค์คองบองตกใจเป็นอย่างยิ่ง คือพระองค์ได้ทำการถอดยศอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพคู่บารมีของพระเจ้ามังระพระบิดาของพระองค์ลง และเนรเทศไปอยู่เมืองสะกายทั้งที่แม่ทัพเฒ่าผู้นี้ยกทัพกลับมาปกป้องตำแหน่ง และรักษาอำนาจในการปกครองสูงสุดให้แก่พระองค์จนมีความมั่นคง เหตุก็อาจเนื่องมาจากทรงระแวงอะแซหวุ่นกี้ที่มีอำนาจ และบารมีทางการทหารมากเกินไป หรืออีกนัยหนึ่งคือต้องการแสดงพระราชอำนาจให้ผู้คนทั้งแผ่นดินเห็นว่า ใครคือผู้กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน", "title": "อะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#5", "text": "ในขณะที่ทัพหลวงของพระเจ้ากรุงธนบุรี และเจ้าพระยาทั้ง2นั้นทุ่มกำลังขึ้นไปรับศึกอยู่แถวเมืองพิษณุโลก พระเจ้ามังระก็ได้ส่งกองทัพที่3 บุกเข้ามาทางด่านสิงขรในขณะที่การป้องกันทางใต้อ่อนแอที่สุด เนื่องจากติดศึกทางด้านเหนือสามารถตีเมืองกุย เมืองปราณจนแตก กรมขุนอนุรักษ์สงครามซึ่งรักษาเมืองเพชรบุรีอยู่ในขณะนั้น แต่งกองทหารมาตั้งรับอยู่แถบช่องแคบในแขวงเมืองเพชรบุรี ขัดตาทัพรอกำลังเสริม", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "115376#9", "text": "ในหนังสือพระราชพงศาวดารฝ่ายไทยอะแซหวุ่นกี้พูดเชิงตัดพ้อและยกย่องกรุงธนบุรีประมาณว่า พลาดโอกาสครั้งนี้ไป จะหาโอกาสเช่นนี้อีกในภายภาคหน้านั้นยากเสียแล้ว โดยประกาศแก่พวกนายกองทั้งปวงว่า", "title": "อะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#8", "text": "แม้อะแซหวุ่นกี้จะสามารถพิชิตเมืองพิษณุโลกได้ แต่ก็ชื่นชมแม่ทัพศัตรูเป็นอย่างมากที่สามารถมองแผนการของเขาออกแทบทุกอย่าง ตามบันทึกในพงศาวดารฝ่ายไทย (ฝ่ายเดียว) เล่าว่าโดยก่อนหน้านั้นฝั่งสยามและฝั่งพม่าได้หยุดพักรบ และอะแซหวุ่นกี้ได้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี พร้อมกับทำนายว่าในภายภาคหน้าจะได้เป็นกษัตริย์โดยมีเนื้อหาดังนี้ “อะแซหวุ่นกี้ให้ล่ามถามเจ้าพระยาจักรีว่าอายุเท่าใด เจ้าพระยาจักรีให้บอกไปว่าอายุได้ 30 เศษ แล้วจึงให้ถามอายุอะแซหวุ่นกี้บ้าง บอกมาว่าอายุได้ 72 ปี อะแซหวุ่นกี้พิจารณาดูรูปลักษณะเจ้าพระยาจักรีแล้วสรรเสริญว่า ท่านนี้รูปก็งาม ฝีมือก็เข้มแข็ง อาจสู้รบเราผู้เป็นผู้เฒ่าได้ จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแท้” แล้วให้เอาเครื่องม้าทองสำรับ 1 กับสักหลาดพับ 1 ดินสอแก้ว 2 ก้อน น้ำมันดิน 2 หม้อมาให้เจ้าพระยาจักรี ๆ ก็ให้ของตอบแทนตามสมควร", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#13", "text": "ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 ทางกรุงอังวะ ได้มีข่าวแจ้งมายังอะแซหวุ่นกี้ว่าพระเจ้ามังระได้เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าจิงกูจา กษัตริย์พระองค์ใหม่จึงมีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับกรุงอังวะ ทางด้านอะแซหวุ่นกี้เมื่อทราบข่าวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจะเห็นได้จากครั้งนั้นอะแซหวุ่นกี้มีคำสั่งให้ม้าเร็ว 3 หน่วย วิ่งไปบอกกองทัพทั้ง 3 สายที่ไหล่บ่าสู่กรุงธนุบุรีว่าให้รีบถอนกำลังทั้งหมดกลับมาทันที แต่ม้าเร็วแจ้งทันแค่ 2 กองทัพ อีกหนึ่งกองทัพไปไกลแล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงมีคำสั่งให้ประหารม้าเร็วหน่วยนั้นเสีย จากนั้นเร่งกองทัพทั้งกลางวันกลางคืนกลับสู่กรุงอังวะ ทิ้งกองทัพอีก 1 กองที่เหลือไว้ในกรุงธุนบุรีโดยไม่รอ ทำให้กองทัพที่ตกค้างอยู่ถูกกองทัพสยามตีแตกพ่ายไป", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#7", "text": "อะแซหวุ่นกี้ล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่ 4 เดือน สุดท้ายสามารถตัดขาดกำลังบำรุงของกรุงธนบุรีได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ภายในเมืองพิษณุโลกขาดแคลนเสบียงอาหาร เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์เห็นแล้วว่าไม่อาจต้านศึกนี้ได้อีกต่อไป จึงนำกำลังทหารและผู้คนตีฝ่าวงล้อมไปตั้งมั่นที่บ้านมุงดอนชมพู แขวงเมืองเพชรบูรณ์ ทำให้อะแซหวุ่นกี้สามารถนำกองทัพบุกเข้าไปในเมืองพิษณุโลกได้สำเร็จ แต่ก็ขาดแคลนเสบียงอาหารเช่นเดียวกัน เนื่องจากเจ้าพระยาทั้งสองก็หาทางตัดเสบียงของกองทัพพม่ามาโดยตลอด แต่เนื่องจากเส้นทางลำเลียงเสบียงทางด่านแม่ละเมา ตาก สุโขทัยยังอยู่ในการดูแลของพม่า ทำให้อะแซหวุ่นกี้ยังสามารถทำศึกได้ต่อไปได้ แต่ก็ต้องเสียเวลาจัดเตรียมเสบียงอาหารอยู่หลายวัน ก่อนมุ่งสู่กรุงธนบุรีต่อไป [5]", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#11", "text": "เมื่อพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งสุดท้ายแตกแล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงได้แบ่งกำลังเป็น 3 สาย โดยมีตัวเองเป็นทัพหลักคอยสนับสนุน เนื่องจากมีกำลังคนมากกว่าจึงใช้ประโยชน์จากข้อนี้ไหล่บ่าลงมาพร้อมๆกัน มุ่งสู่พระนครกรุงธนบุรี", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "382172#5", "text": "ในขณะที่เนเมียวสีหบดีกำลังทำสงครามอยู่กับอยุธยาอยู่นั้น กองทัพต้าชิงของจักรพรรดิเฉียนหลงได้เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะเข้าทำลายกรุงอังวะ เนื่องจากมีปัญหาข้อพิพาทแถวชายแดนมานาน ในระยะแรกของการบุกครั้งที่1 และ2 พระเจ้ามังระยังให้เนเมียวสีหบดีทำสงครามในอยุธยาต่อไป โดยสงครามกับจีนพระองค์จะทรงจัดการเอง ต่อมาภายหลัง ในการบุกครั้งที่3กองทัพต้าชิงส่งทัพใหญ่มา เนเมียวสีหบดีที่พิชิตอยุธยาลงได้แล้วเร่งเดินทางกลับมาช่วยกรุงอังวะรับศึกต้าชิงทันที แต่ยังไม่ทันกลับมาถึงอะแซหวุ่นกี้ก็สามารถพิชิตกองทัพต้าชิงได้แล้ว ส่วนในการบุกครั้งที่4ของต้าชิง เนเมียวสีหบดีได้เดินทางกลับมาถึงกรุงอังวะ โดยมีส่วนสำคัญในการช่วยอะแซหวุ่นกี้ตีกระหนาบต้าชิงจนจะได้ชัยชนะอยู่แล้ว แต่แม่ทัพใหญ่อะแซหวุ่นกี้ก็ได้ตัดสินใจจบสงครามที่ไม่มีประโยชน์ครั้งนี้ลง ด้วยการเจรจาสงบศึกได้ลงนามในสนธิสัญญากองตนในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2312 อันเป็นการยุติสงครามจีน-พม่าลง", "title": "เนเมียวสีหบดี" }, { "docid": "42321#6", "text": "พ.ศ. 2310 ตีค่ายโพธิ์สามต้นของข้าศึก พ.ศ. 2311 ตีค่ายพม่าที่บางกุ้ง และที่สมุทรสงคราม ขณะนั้นทรงมีบรรดาศักดิ์เป็น พระมหามนตรี และเสด็จไปรับพระเชษฐาธิราช จาก อำเภออัมพวา เข้ามารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และทรงรับสถาปนาเป็น พระราชวรินทร์ พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพิษณุโลก และยกไปปราบชุมนุมเจ้าพิมายที่นครราชสีมา พระมหามนตรี และพระราชวรินทร์ได้ร่วมการสงครามที่ด่านขุนทด มีชัยชนะในเวลา 3 วัน ความชอบในการสงครามครั้งนี้ พระราชวรินทร์ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระมหามนตรี เป็นพระยาอนุชิตราชา จางวางตำรวจ พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระยาอนุชิตราชา ยกทัพไปปราบกรุงกัมพูชา ตีได้เมืองเสียมราฐ พ.ศ. 2313 พระยาอนุชิตราชาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็น พระยายมราช ได้ยกทัพไปร่วมกับทัพหลวงปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองสวางคบุรี และได้หัวเมืองเหนือไว้ในพระราชอำนาจทั้งหมด เมื่อเสร็จราชการศึกครั้งนี้ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก เป็นผู้ปกป้องพระราชอาณาจักรฝ่ายเหนือ และได้ยกทัพไปตีทัพโปมยุง่วนที่มาล้อมเมืองสวรรคโลก พ.ศ. 2315 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้ยกทัพไปปราบพม่าที่ยกมาตีเมืองลับแล หรืออุตรดิตถ์ และเมืองพิชัยจนแตกพ่ายไป พ.ศ. 2316 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และพระยาพิชัย ได้ยกทัพไปรบถึงประจัญบาน กับทัพโปสุพลาที่เมืองพิชัย จนข้าศึกแตกพ่าย ครั้งนี้เองที่พระยาพิชัยได้รับสมญานามว่า \"พระยาพิชัยดาบหัก\" พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งขณะนั้นเป็น เจ้าพระยาจักรี กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ยกทัพหัวเมืองเหนือไปตีเมืองเชียงใหม่ มีชัยชนะ และเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราชได้คุมทัพเหนือไปล้อมทัพพม่าที่เขาชะงุ้ม ตีค่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม และปากแพรกแตกจนพม่ายอมแพ้ พ.ศ. 2318 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และเจ้าพระยาจักรี ได้รับพระราชบัญชาให้ยกทัพจากพิษณุโลกไปขับไล่โปสุพลา ที่ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ และต่อมาอะแซหวุ่นกี้ ยกมาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาทั้งสองจึงนำไพล่พลออกจากพิษณุโลกไปตั้งมั่นที่เมืองเพชรบูรณ์ ต่อมาพม่าถอนกำลัง จึงได้คุมกำลังเมืองนครราชสีมาติดตามตีทัพที่กำลังถอยแตกกลับไป พ.ศ. 2320 ได้ยกทัพจากกรุงธนบุรีไปสมทบทัพเจ้าพระยาจักรีที่นครราชสีมา ตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองอัตบือ สุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ ไว้ได้ จากความชอบในการพระราชสงครามครั้งนี้ เจ้าพระยาจักรีได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น \"เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก\" พ.ศ. 2321 เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เกณฑ์ทัพเรือจากกัมพูชา ไปล้อมเมืองเวียงจันทน์ 4 เดือนจึงตีได้ และตีหัวเมืองต่างๆ ในแคว้นลาวจนจดตังเกี๋ยของญวนไว้ได้ด้วย และในครั้งนั้น เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร กลับคืนเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่กรุงธนบุรีด้วย พ.ศ. 2324 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เป็นแม่ทัพหน้าร่วมกับเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีกัมพูชา แต่ต้องเสด็จกลับกรุงธนบุรี เนื่องจากบ้านเมืองเกิดจลาจล เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เสด็จปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์และสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี แล้วโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จเถลิงพระราชมนเทียรที่<i data-parsoid='{\"dsr\":[7499,7539,2,2]}'>พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล[3] บันทึกบางฉบับจะเอ่ยพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคลบ้าง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์บ้าง (หมายความรวมถึงรัชกาลที่ 1 และสมเด็จวังหน้า) ไม่เป็นที่แน่นอน ซึ่งพระนามนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดระเบียบเกี่ยวกับพระเกียรติเจ้านายใหม่ โดยให้ขานพระนามว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท", "title": "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท" }, { "docid": "5419#17", "text": "กองทัพพม่าพยายามเข้าตีค่ายไทยหลายครั้ง แต่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ได้ช่วยป้องกันเมืองเป็นสามารถ ทั้งที่ทหารน้อยกว่าแต่ไม่สามารถชนะกันได้ อะแซหวุ่นกี้ถึงกับกล่าวยกย่องแม่ทัพฝ่ายไทย เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบข่าวอะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพใหญ่มาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย จึงทรงยกทัพใหญ่ขึ้นไปช่วยทันที ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ทราบข่าวว่ากองทัพไทยมาตั้งค่ายเพื่อช่วยเหลือเมืองพิษณุโลก จึงแบ่งกำลังพลไปตั้งมั่นที่วัดจุฬามณีฝั่งตะวันตก อะแซหวุ่นกี้เห็นว่าถ้าชักช้าไม่ทันการณ์จึงสั่งให้ทัพพม่าที่กรุงสุโขทัยไปตีเมืองกำแพงเพชร ส่วนกองทัพเมืองกำแพงเพชรไปตีเมืองนครสวรรค์ และสั่งให้กองทัพพม่าอีกกองทัพหนึ่งยกไปตีกรุงธนบุรี การวางแผนของอะแซหวุ่นกี้เช่นนี้ เป็นการตัดกำลังฝ่ายไทยไม่ให้ช่วยเมืองพิษณุโลกและต้องการให้กองทัพไทยระส่ำระสาย", "title": "จังหวัดพิษณุโลก" }, { "docid": "780264#2", "text": "แผนการขั้นต่อไปของอะแซหวุ่นกี้คือส่งเนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือเมื่อคราวมาตี กรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น โปสุพลา และโปมะยุง่วน นำทัพจากเมืองเชียงแสนยกมาตีเมืองเชียงใหม่ ทางด้านพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อทราบข่าวจึงได้ส่งเจ้าพระยาจักรี รวมถึงเจ้าพระยาสุรสีห์ที่ยกกองทัพจากหัวเมืองเหนือขึ้นไปช่วยเชียงใหม่ก่อนแล้ว ครั้นไปถึงกองทัพพม่ากลับไม่สู้ โดยแสร้งตั้งทัพดูเชิง พอทัพไทยจะสู้ก็ถอย ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งจากนั้นจึงถอนกำลังกลับไปยังเมืองเชียงแสน เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จึงเตรียมทัพเพื่อหมายจะพิชิตเมืองเชียงแสน ในระหว่างที่กำลังเตรียมทัพมุ่งไปยึดเชียงแสนนั้นเองสงครามตีเมืองพิษณุโลกก็เกิดขึ้นพร้อมๆกัน โดยอะแซหวุ่นกี้นำทัพใหญ่ 30,000 นายเข้าทางด่านแม่ละเมาไปเมืองตาก มุ่งต่อไปยังเมืองสุโขทัยแล้วให้กองทัพหน้าลงมาตั้งที่บ้านกงธานี ส่วนทัพหลวงตั้งพักที่เมืองสุโขทัย เมื่อเจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ทราบข่าว ก็รู้ในทันทีว่าเป็นแผนของอะแซหวุ่นกี้ที่ดึงกองทัพของฝ่ายกรุงธนบุรีเอาไว้แถวเชียงใหม่ แล้วมุ่งไปยึดเมืองพิษณุโลกในขณะที่การป้องกันอ่อนแอที่สุด เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ จึงเร่งนำกองทัพที่จะไปตีเชียงแสน มุ่งหน้าสู่พิษณุโลกในทันที เพราะหากเสียเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งสุดท้ายไปนั้น กองทัพมหาศาลของพม่าจะไหล่บ่าลงมาได้พร้อมๆกัน ซึ่งกรุงธนบุรีไม่มีกำแพงเมืองและปราการธรรมชาติที่เหมาะแก่การตั้งรับเท่ากรุงศรีอยุธยา [1][2]", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "115376#11", "text": "ยังไม่ทันที่จะได้รบตัดสินแพ้ชนะกัน อะแซหวุ่นกี้ต้องยกทัพกลับอังวะอย่างกะทันหัน เมื่อทางกรุงอังวะแจ้งข่าวพระเจ้ามังระสวรรคต อะแซหวุ่นกี้จึงต้องนำทัพกลับไปปกป้องพระเจ้าจิงกูจาราชบุตรพระเจ้ามังระ เพื่อป้องกันเหตุความวุ่นวายที่อาจจะมีเนื่องจากอยู่ในช่วงผลัดแผ่นดิน ซึ่งเหล่าบรรดาขุนนางและเสนาอำมาตย์ต่างแตกออกเป็นพวกๆ ให้การสนับสนุนเชื้อพระวงศ์คนละพระองค์ ส่วนอะแซหวุ่นกี้ต้องกลับไปปกป้องราชบุตรของพระเจ้ามังระที่พระองค์ฝากฝังไว้ ครั้งนั้นอะแซหวุ่นกี้มีคำสั่งให้ม้าเร็ว3หน่วย วิ่งไปบอกกองทัพทั้ง3สายที่ไหล่บ่าสู่กรุงธนุบุรีว่าให้รีบถอนกำลังทั้งหมดกลับมาทันที แต่ม้าเร็วแจ้งทันแค่2กองทัพ อีกหนึ่งกองทัพไปไกลแล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงมีคำสั่งให้ประหารม้าเร็วหน่วยนั้นเสีย จากนั้นเร่งกองทัพทั้งกลางวันกลางคืนกลับสู่กรุงอังวะ ทิ้งกองทัพอีก1กองที่เหลือไว้ในกรุงธุนบุรีโดยไม่รอ", "title": "อะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#1", "text": "สงครามครั้งนี้เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเริ่มจากสงครามบางแก้ว ที่เมืองราชบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2317 หลังจากที่ทัพของ พระเจ้ากรุงธนบุรี นำทัพ 15,000 นายไปป้องกันกองทัพพม่าด้วยพระองค์เอง ทรงสามารถล้อมทัพของงุยอคงหวุ่น หรือฉับกุงโบ่ หนึ่งในแม่ทัพที่เคยมาตี กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2310 ไว้ได้นานถึง 47 วันก่อนที่งุยอคงหวุ่นจะยอมแพ้ทำให้ทางฝั่งกรุงธนบุรีสามารถจับเชลยได้มากตามที่ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ได้บันทึกเอาไว้ว่าทางกรุงธนบุรีได้เชลยมากถึง 1,328 คนจากทหารทั้งหมด 3,000 คน ทางด้านอะแซ่หวุ่นกี้ที่อยู่ เมืองเมาะตะมะ เมื่อทราบข่าวว่าทัพหน้าที่ส่งไปพ่ายแพ้ก็มิได้ส่งกองทัพลงไปช่วย เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้สูญเสียกำลังไพร่พลไปมากกว่านี้ โดยกองทัพนี้เป็นกองทัพที่อะแซหวุ่นกี้แบ่งมาเพื่อกวาดต้อนผู้คนเสบียง รวมไปถึงหยั่งเชิงดูการป้องกันของฝ่ายกรุงธนบุรีในเส้นทางนี้ และสร้างความสับสนในเส้นทางการบุก ส่วนอะแซหวุ่นกี้นำทัพใหญ่ 30,000 นายยังรั้งรออยู่ไม่มีความเคลื่อนไหว", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "115376#7", "text": "ศึกกรุงธนบุรีครั้งนี้อะแซหวุ่นกี้วัย 72 ปีได้เดินทางมาถึงเมืองพิษณุโลกแล้ว แต่ไม่อาจเอาชัยได้โดยง่ายนักเนื่องจากในขณะนั้นพระเจ้าตากสิน ได้ส่งพระยาจักรี และพระยาสุรสีห์มาป้องกันเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองใหญ่ด่านสุดท้ายเอาไว้ ซึ่งการต่อสู้ก็เป็นไปอย่างดุเดือดแม้พระยาจักรีจะทรงใช้การแบ่งกำลังทหารแต่งเป็นกองโจรคอยดักซุ่มตัดเสบียงอาหารเป็นที่ได้ผลในช่วงแรก แต่ด้วยประสบการณ์ของแม่ทัพเฒ่าผู้นี้ก็ทำให้สามารถรับมือได้ทุกครั้ง เมื่อการรบไม่อาจหักเอาได้ด้วยกำลังอะแซหวุ่นกี้ก็ได้ใช้แผนเมื่อครั้งสยบกองทัพต้าชิงนั้นคือหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทัพที่แข็งแกร่ง ทำเพียงตรึงเอาไว้ และหาทางตัดเสบียงอาหาร กล่าวคือเมื่อเจอกองทัพของพระยาจักรี ก็ไม่ส่งทัพใหญ่เข้าปะทะด้วยตรงๆ แต่ให้ทหารเข้าปะทะเพื่อตรึงไว้เท่านั้น จากนั้นก็แต่งกองโจรคอยดักปล้นเสบียงอาหารและตัดกำลังเสริมที่จะเข้ามาช่วยพิษณุโลก สุดท้ายการรบระหว่างอะแซหวุ่นกี้ กับพระยาจักรีก็จบลง แอแซหุว่นกี้สามารถเข้ายึดพิษณุโลกได้แต่ก็ไม่สามารถรุกต่อได้ในทันที ต้องเสียเวลาหาเสบียงอาหารอยู่หลายวัน เนื่องจากเจ้าพระยาจักรีได้แต่งทัพซุ่มมาตัดเสบียงแม่ทัพเฒ่าผู้นี้เอาไว้ตลอดการศึก นับเป็นการสู้รบที่อะแซหวุ่นกี้ทั้งแปลกใจและชื่นชมแม่ทัพศัตรูผู้นี้มาก เมื่อพิชิตเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวใจหลักในแผนป้องกันของกรุงธนบุรีได้แล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงได้แบ่งกองทัพออกเป็น3สายกวาดต้อนผู้คนและเสบียงไหล่บ่าลงมาพร้อมๆกัน ส่วนอะแซหวุ่นกี้เป็นทัพหลวงคอยหนุนทัพต่างๆอีกที ในขณะนี้กองทัพทุกสายพร้อมแล้วที่จะมาบรรจบที่กรุงธนบุรี อีกทางด้านหนึ่งพระเจ้ามังระ ก็ส่งเนเมียวสีหบดียกทัพเข้ายึดหัวเมืองทางเหนือได้ราบคาบ ส่วนทัพทางใต้ก็สามารถยึดเมืองกุย เมืองปราณเอาไว้ได้แล้วเช่นกัน ทั้ง2ทัพเตรียมมุ่งสู่กรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง ขณะนั้นสถานการของกรุงธนบุรีวิกฤตมากเนื่องจากหัวเมืองใหญ่เมืองสุดท้ายอย่างพิษณุโลกแตกแล้ว ทั้งทัพใหญ่ของเนเมียวสีหบดีอีกสายก็ตีเชียงใหม่แตกแล้ว อีกทั้งทัพทางใต้ก็ตีมาถึงเมืองเพรชบุรีแล้วเช่นกัน และกำลังจะไหลบ่าลงมารวมกับทัพของอะแซหวุ่นกี้อีก แต่แล้วเหตุการณ์เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นเมื่อมีข่าวด่วนจากรุงอังวะใจความว่า พระเจ้ามังระเสด็จสวรรคตแล้ว", "title": "อะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#3", "text": "ในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2318 พระเจ้ามังระ ได้มีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกลงมาตีกรุงธนบุรี ซึ่งทางอะแซ่หวุ่นกี้ได้ใช้เส้นทางด้านด่านแม่ละเมา แขวงเมืองตาก ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่ พระเจ้าบุเรงนอง เคยใช้เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ถึง 2 ครั้งเข้าตีกรุงธนบุรีโดยมี เนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ที่เคยเข้าตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2310 เป็นรองแม่ทัพซึ่งอะแซหวุ่นกี้ได้ให้เนเมียวสีหบดีคุมกองทัพอีกด้านอยู่แถวเมืองเชียงแสน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนกองทัพของเจ้าพระยาจักรี แต่เจ้าพระยาจักรีทราบในทันทีว่าเป็นแผนลวงจึงนำทัพกลับมาป้องกันเมืองพิษณุโลกในทันที ส่วนกองทัพของอะแซหวุ่นกี้พยายามบุกเข้ายึด เมืองพิษณุโลกเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่น แต่เจ้าพระยาจักรีซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลกที่ต่อมาคือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เร่งนำกองทัพลงมาป้องกันเมืองพิษณุโลกได้ทันเวลา . [3]", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "780264#6", "text": "เมื่อม้าเร็วแจ้งข่าวนี้ไปถึงพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์ทรงไม่ไว้พระทัยเกรงพม่าจะยกทัพใหญ่เพื่อเข้าตีกรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง จึงดำรัสสั่งให้เจ้าประทุมไพจิตรคุมกองทัพหน่วยหนึ่งเร่งกลับลงมารักษาพระนคร และกองทัพหลวงจึงค่อยๆถอยลงมาทางบางข้าวตอก นั้นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เส้นทางเสบียงของเมืองพิษณุโลกถูกตัดขาด [4]", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "110970#2", "text": "เมื่อบิดาเสียชีวิต พระยาอภัยรณฤทธิ์ (หมัด) ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยายมราช และมีส่วนร่วมในราชการสงครามอีกหลายครั้ง เช่น รบกับอะแซหวุ่นกี้ที่เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2318 โดยท่านเป็นผู้คุมทัพหลวงตามขึ้นไปหลังจากเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ยกไปตั้งรับที่พิษณุโลก ทัพของท่านถูกพม่าโอบเข้าด้านหลังตีค่ายแตก แต่ท่านชิงค่ายคืนได้ เมื่อเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ตีหักออกจากเมืองพิษณุโลกไปตั้งมั่นที่เพชรบูรณ์ ประกอบกับอะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับเพราะปัญหาภายในอังวะ พระยายมราชเป็นผู้คุมทัพไปตามทัพพม่าถึงด่านแม่ละเมา ยิงทหารพม่าล้มตายและจับเป็นเชลยได้มาก", "title": "พระยายมราช (หมัด)" }, { "docid": "780264#4", "text": "ในการรบป้องกันเมืองพิษณุโลกในครั้งนี้ เป็นการต่อสู้แถวค่ายรอบเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ มีการโอบล้อมและต่างฝ่ายต่างหาทางตัดเสบียงกันเป็นหลัก ทางฝ่ายเจ้าพระยาจักรีที่แม้จะมีทหารน้อยกว่าแต่ก็สามารถต่อสู้กับแม่ทัพเฒ่าอย่างอะแซหวุ่นกี้ได้อย่างสูสี แต่ด้วยประสบการณ์ของแม่ทัพอะแซหวุ่นกี้จึงเปลี่ยนแผนการรบ กล่าวคือเมื่อการรบไม่อาจหักเอาได้ด้วยกำลังอะแซหวุ่นกี้ก็ได้ใช้แผนเมื่อครั้งสยบกองทัพต้าชิง นั้นคือหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทัพที่แข็งแกร่ง ทำเพียงตรึงเอาไว้และหาทางตัดเสบียงอาหาร กล่าวคือเมื่อเจอกองทัพของเจ้าพระยาจักรี ก็ไม่ส่งทัพใหญ่เข้าปะทะด้วยตรงๆ แต่ให้ทหารเข้าปะทะเพื่อตรึงไว้เท่านั้น จากนั้นก็แต่งทัพย่อยคอยดักปล้นเสบียงอาหารและตัดกำลังเสริมที่จะเข้ามาช่วยพิษณุโลก ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อทรงทราบว่าเจ้าพระยาทั้งสองถูกกองทัพพม่าล้อมเอาไว้ จึงทรงคุมกองทัพหนุนขึ้นไปช่วยแต่ก็ถูกตีสกัดเอาไว้หลายครั้ง ถึงอย่างนั้นกองทัพพม่าก็ไม่อาจเอาชนะกองทัพหนุนของพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ ทำให้อะแซหวุ่นกี้ถูกตรึงไว้แถวพิษณุโลก", "title": "สงครามอะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "22895#1", "text": "ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าในสมัยกรุงธนบุรี จะปรากฏในรูปของความขัดแย้ง การทำสงคราม โดยไทยเป็นฝ่ายตั้งรับการรุกรานของพม่า หลังจากได้รับเอกราช ต้องทำสงครามกับพม่าถึง 9 ครั้ง ส่วนใหญ่พม่าเป็นฝ่ายปราชัย\nครั้งสำคัญที่สุด คือ ศึกอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองเหนือ พ.ศ. 2318 ครั้งนั้นเจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ 1) และเจ้าพระยาสุรสีห์ สองพี่น้องได้ร่วมกันป้องกันเมืองพิษณุโลกอย่างสุดความสามารถ แต่พม่ามีกำลังไพร่พลเหนือกว่าจึงตีหักเอาเมืองได้", "title": "ความสัมพันธ์กับต่างชาติสมัยกรุงธนบุรี" }, { "docid": "22895#3", "text": "เป็นการรบกับพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น ก่อนหน้าที่จะสถาปนากรุงธนบุรี ไทยชนะ\nเป็นการรบพม่ากันที่บางกุ้ง เขตแดนระหว่างเมืองสมุทรสงครามกับราชบุรี ไทยสามารถขับพม่าออกไปได้\nรบกับพม่าครั้งพม่าตีเมืองสวรรคโลก ไทยสามารถตีแตกไปได้\nเป็นการรบกับพม่าเมื่อฝ่ายไทยยกไปตีนครเชียงใหม่ครั้งแรก แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากขาดเสบียง\nรพกับพม่าเมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งแรก โปสุพลา แม่ทัพยกทัพไปช่วยเมืองเวียงจันทน์รบกับหลวงพระบาง ขากลับแวะตีเมืองพิชัย แต่ไม่สำเร็จ ไทยชนะ\nพม่ายกมาตีเมืองพิชัย ครั้งที่ 2 แต่พม่าตีไม่สำเร็จ พระยาพิชัย ได้วีรกรรม พระยาพิชัยดาบหัก\nรบกับพม่าเมื่อไทยยกไปตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ผลปรากฏว่า กองทัพไทยชนะ ยึดนครเชียงใหม่กลับจากพม่าได้ เพราะชาวล้านนาออกมาสวามิภักดิ์กับไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงแต่งตั้งให้ พระยาจ่าบ้าน เป็น พระยาวิเชียรปราการ ปกครองนครเชียงใหม่ พระยากาวิละ ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์กาวิละ ปกครองนครลำปาง และ พระยาลำพูน เป็น พระยาวัยวงศา ปกครองเมืองลำพูน การครั้งนี้จึงได้ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และ น่าน กลับมาเป็นของไทย\nเป็นการรบกับพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสว่า ในขณะเดินทัพ อย่าให้ผู้ใดแวะบ้านเรือนเด็ดขาด แต่ พระยาโยธา ขัดรับสั่งแวะเข้าบ้าน เมื่อพระองค์ทรงทราบ พระองค์พิโรธ ทรงตัดศีรษะพระยาโยธาด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง และนำศีรษะไปประจารที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ พม่าสู้ไม่ได้แตกทัพไป\nเป็นการรบกับพม่า เมื่อครั้งอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองเหนือ เป็นสงครามที่ใหญ่มาก อะแซหวุ่นกี้เป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญศึก มีอัธยาศัยสุภาพ ส่วนทางด้านฝ่ายไทยนั้น มี เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และ เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช (บุญมา) ในการครั้งนี้พม่ายกพลมา 30,000 คน เข้าล้อมเมืองพิษณุโลก อีก 5,000 คน ล้อมเมืองสุโขทัย ส่วนเมืองพิษณุโลกมีพลประมาณ 10,000 คน เท่านี้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพไปช่วย และในที่สุดอะแซหวุ่นกี้ต้องยกทัพกลับ เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินพม่าสวรรคต กองทัพพม่าส่วนที่ตามไปไม่ทันจึงถูกกองทัพทหารจับ\nเป็นการรบกับพม่าที่เชียงใหม่ พระเจ้าจิงกูจาโปรดให้เกณฑ์ทัพพม่ามอญ 6,000 คน ยกมาตีเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2319 พระยาวิเชียรปราการได้พิจารณาแลเห็นว่า นครเชียงใหม่ไม่มีพลมากมายขนาดที่จะว่าป้องกันเมืองได้ จึงให้ประชาชนพลเรือนอพยพลงมาอยู่ที่เมืองสวรรคโลก สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้า ให้พระยาสุรสีห์คุมกองทัพเมืองเหนือขึ้นไปสมทบกองกำลังพระยากาวิละ เจ้าเมืองนครลำปาง ยกไปตีเมืองเชียงใหม่คืนสำเร็จ และทรงให้นครเชียงใหม่เป็นเมืองร้างถึง 15 ปี จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้ฟื้นฟูใหม่", "title": "ความสัมพันธ์กับต่างชาติสมัยกรุงธนบุรี" }, { "docid": "71704#3", "text": "ถึงแม้อาณาจักรอยุธยาจะถูกทำลายแต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงสถาปนาศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาใหม่ที่กรุงธนบุรี พระเจ้ามังระจึงทรงส่งแม่ทัพคนใหม่มา คือ อะแซหวุ่นกี้ นำทัพใหญ่เข้ามาปราบปรามฝ่ายธนบุรีในปี พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกี้สามารถตีหัวเมืองพิษณุโลกแตกและกำลังจะยกทัพตามลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็ต้องยกทัพกลับเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามังระในปี พ.ศ. 2319 จากนั้นก็เกิดการแย่งชิงราชสมบัติราว 4–5 ปี ก่อนที่จะกลับมามีความมั่นคงขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยของพระเจ้าปดุง พระองค์ทรงยกทัพเข้าตีดินแดนยะไข่ได้สำเร็จ ซึ่งไม่เคยมีกษัตริย์พม่าพระองค์ใดทำได้มาก่อน ทำให้พระองค์เกิดความฮึกเหิม ยกกองทัพใหญ่มา 9 ทัพ 5 เส้นทาง ที่เรียกว่า สงครามเก้าทัพ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ", "title": "ราชวงศ์โกนบอง" }, { "docid": "5419#16", "text": "พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพพม่าผู้ชำนาญการรบ ได้วางแผนยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย ตีได้เมืองตาก เมืองสวรรคโลก บ้านกงธานี และมาพักกองทัพอยู่ที่กรุงสุโขทัย ขณะนั้นเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์กำลังยกกองทัพขึ้นไปตีเชียงแสน เมื่อทราบข่าวข้าศึก จึงรีบยกทัพกลับมารับทัพพม่าที่เมืองพิษณุโลก ก่อนที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตั้งค่ายล้อมเมืองพิษณุโลก", "title": "จังหวัดพิษณุโลก" } ]
387
นกกระจอกเทศเป็นนกที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช่หรือไม่ ?
[ { "docid": "86461#0", "text": "นกกระจอกเทศ (; ) จัดอยู่ในประเภทสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา", "title": "นกกระจอกเทศ" } ]
[ { "docid": "86461#11", "text": "3. นกกระจอกเทศพันธุ์คอน้ำเงิน (Blue Neck)\nมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือ ตะวันตก หรือทางตอนใต้ของแอฟริกาและเป็นนกกระจอกเทศป่า พัฒนามาจากพันธุ์ S. molybdophanes และ S.australis นกกระจอกเทศพันธุ์นี้จะมีผิวหนังสีฟ้าอมเทา ในตัวผู้จะมีผิวหนังสีฟ้าอมเทาบนคอ ขา และต้นขา มีเพียงหน้าแข้งเท่านั้นที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงในฤดูผสมพันธุ์ นกกระจอกเทศตัวเมียที่โตเต็มที่จะมีสีฟ้าอมเทา ขนของตัวผู้ที่โตเต็มที่จะเป็นสีดำแซมขาว ในขณะที่ขนของตัวเมียจะมีสีเทาจางๆถึงน้ำตาลเทา ให้เนื้อน้อยกว่าพันธุ์คอแดง แต่ให้ไข่มากกว่า\nนกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตในพื้นที่ป่าโปร่งแบบทุ่งหญ้า พื้นที่ราบแบบทะเลทรายที่มีพืชอาหารที่อุดมสมบูรณ์ นกชนิดนี้มีพฤติกรรมที่วิ่งเร็วมาก ชอบใช้ชีวิตแบบอิสระ และเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย ดังนั้นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงนกกระจอกเทศ คือ", "title": "นกกระจอกเทศ" }, { "docid": "86461#2", "text": "ลักษณะเท้าของนกกระจอกเทศจะพบว่ามีนิ้วเท้าข้างละ 2 นิ้ว ใต้นิ้วเป็นเนื้ออ่อน ๆ ปลายนิ้วทู่ ๆ ใหญ่ ๆ นิ้วทั้งสองจัดเป็นนิ้วกลางและนิ้วนางเท่านั้น นิ้วที่ใหญ่มากคือนิ้วกลาง ซึ่งเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกอย่างหนึ่งคือ สัตว์ที่ไม่ใช้ความเร็วของฝีเท้าจะมีนิ้วครบชุดมือ – เท้าข้างละ 5 นิ้ว หากสัตว์นั้นต้องการความเร็วของฝีเท้าเพื่อวิ่งหนีศัตรู ธรรมชาติก็จะวิวัฒนาการให้นิ้วหายไปทีละนิ้วสองนิ้วจนเหลือแต่เพียงนิ้วเดียว เช่นเท้าของม้า มีเพียงนิ้วเดียวที่เรียกว่ากีบเท้าม้า \nขนาดโตเต็มที่สูงประมาณ 2 – 2.5 เมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่จะหนักประมาณ 160 กิโลกรัม มีอายุยืนได้ถึง 65 – 75 ปี หัวเล็ก คอยาว ตาโต ขนตายาว มีขาใหญ่แข็งแรง บินไม่ได้แต่วิ่งได้เร็ว ลูกนกอายุเพียง 2-3 วันก็จะวิ่งได้แล้ว หากินในทุ่งกว้างเป็นฝูงใหญ่ อยู่ร่วมฝูงกับม้าลายและยีราฟ การต่อสู้ป้องกันตัวของนกกระจอกเทศจะกระโดดเตะได้ ระวังตัวสูง จึงหลบหลีกสัตว์กินเนื้อได้ดี ไข่ของนกกระจอกเทศเป็นไข่นกที่ใหญ่ที่สุดในโลก กินพืช, เมล็ดพืช, ผลไม้สุกและสัตว์ตัวเล็ก ๆ โดยใช้ปากงับแล้วกระดกเข้าลำคอ จากนั้นยืดคอให้ตรง ให้อาหารไหลลงไปตามหลอดอาหารในลำคอ นอกจากนั้น ยังชอบกินของแปลกปลอม โดยเฉพาะสิ่งที่สะท้อนแสงได้ เช่น นาฬิกา, ขวดพลาสติก", "title": "นกกระจอกเทศ" }, { "docid": "86461#4", "text": "นอกจากนี้แล้ว นกกระจอกเทศยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดอีกว่า เมื่อเวลาตกใจหรือเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจะใช้หัวซุกหรือมุดลงในทราย จนเป็นที่มาของสำนวนในภาษาอังกฤษว่า \"bury your head in the sand like an ostrich\" (ซ่อนหัวของคุณในทรายเหมือนนกกระจอกเทศ) อันหมายถึง คนขี้ขลาดหรือคนที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาหรือความเป็นจริง แต่ความจริงแล้วนกกระจอกเทศมิได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น เชื่อว่าคงจะเป็นการเข้าใจผิดจากการที่มองเห็นนกกระจอกเทศในระยะไกลมากกว่า แท้ที่จริงแล้วคงเป็นพฤติกรรมที่ก้มหัวลงใช้จะงอยปากพลิกไข่ในหลุมขนาดใหญ่วันละหลายครั้งมากกว่า", "title": "นกกระจอกเทศ" } ]
3776
บริษัท ซัมซุง ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "107581#1", "text": "ซัมซุงได้ก่อตั้งโดย ลี เบียงชอล ในปีพ.ศ. 2493 ในช่วงแรกของการทำธุรกิจนั้นได้เน้น ไปที่การส่งออกสินค้า, แปรรูปอาหาร, สิ่งทอ ซัมซุงเริ่มเข้ามาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปลายปี พ.ศ. 2503 หลังจากการจากไปของประธานผู้ก่อตั้ง ลี เบียงชอล ทำให้ซัมซุงได้แยกกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม คือ Samsung Group, Shinsegae Group, CJ Group และ Hansol Group และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มา ซัมซุงได้เป็นที่รู้จักเป็นสากลมากขึ้นจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของบริษัทในปัจจุบัน", "title": "ซัมซุง" } ]
[ { "docid": "137039#1", "text": "อี ได้ก่อตั้งบริษัทการค้าซัมซุงขึ้นในปี พ.ศ. 2481 ในเมืองแทกู หลังจากนั้นก็ได้ก่อตั้งบรัษัทซัมซุงโปรดักส์ บริษัทสิ่งทอ และ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดระยะเวลาที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์นานัปการให้กับประเทศเกาหลีใต้ เขาจึงกลายเป็นต้นแบบทีมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแวดวงธุรกิจในยุคสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2504 เขาได้รับการเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมนักธุรกิจ ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิวัฒนธรรมซัมซุงขึ้น ด้วยแนวคิดที่ต้องการจะอนุรักษ์และรับผิดชอบต่อสังคม", "title": "อี บย็อง-ช็อล" }, { "docid": "670267#0", "text": "แทจ็อนซัมซุงไฟร์บลูแฟงส์ (; )เป็นทีมวอลเลย์บอลระดับอาชีพของประเทศเกาหลีที่ได้รับการก่อตั้งในปี ค.ศ. 1995 และเปลี่ยนเป็นระดับอาชีพในปี ค.ศ. 2005 ทีมนี้ตั้งอยู่ ณ เมืองแทจ็อนและเป็นสมาชิกแห่งสหพันธ์วอลเลย์บอลเกาหลี (KOVO) โดยมีสนามเหย้าของสโมสรแห่งนี้คือ ชุงมู ยิมเนเซียม ในแทจ็อน", "title": "แทจ็อนซัมซุงไฟร์บลูแฟงส์" }, { "docid": "137039#0", "text": "อี บย็อง-ช็อล (; ; 12 กุมภาพันธ์ 2453 — ) เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้ อี บย็อง-ช็อล เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2453 ในเมืองอึย-รย็อง มนฑลคยองซังนัม", "title": "อี บย็อง-ช็อล" }, { "docid": "443734#5", "text": "บริษัทเช่น ฮุนไดมอเตอร์ ซัมซุงแอลซีดี และซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์มีโรงงานอยู่ที่เมืองอาซัน และมีนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 14 แห่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโรงงานอื่น ๆ", "title": "อาซัน" }, { "docid": "736336#0", "text": "ซัมซุง เอสจีเอช-ที409เป็นโทรศัพท์ประเภทฝาพับ นำเสนอโดย T-Mobile (สหรัฐอเมริกา) ในปี 2550 ที่ผลิตบริษัทซัมซุง", "title": "ซัมซุง เอสจีเอช-ที409" }, { "docid": "478165#37", "text": "ซัมซุงคาดว่า ปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 เอส 3 จะถูกวางขายบน 296 ผู้ให้บริการเครือข่ายใน 145 ประเทศ[4] และมากกว่า 10 ล้านที่ถูกขายไปแล้ว[129] ชิน จอง-กยุน ประธานแผนกการสื่อสารของซัมซุง ได้ยืนยันว่าในวันที่ 22 กรกฎาคม เอส 3 ถูกขายไปแล้ว 10ล้านเครื่อง[130] ตามการประเมินโดย ยูบีเอส (UBS) บริษัททางการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ ซัมซุงวางขายเอส 3 จำนวน 5–6ล้านเครื่อง ในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2555 และ 10–12ล้านเครื่อง ต่อไตรมาส ในช่วงเวลาที่เหลือของปี และยิ่งกว่านั้น บีเอ็นพี ปารีบาส (BNP Paribas) บริษัททางการเงินในปารีส กล่าวว่าเอส 3 นั้นจะถูกขาย 15ล้านเครื่องในไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2555[131] ส่วน โนมุระ (Nomura) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในประเทศญี่ปุ่น คิดว่าน่าจะถูกวางขายมากถึง 18ล้านเครื่อง[132] และเอส 3 จะถูกขาย 40ล้านเครื่องภายในสิ้นปี[133] เพื่อความต้องการสูง ซัมซุงจำเป็นที่ต้องจ้างพนักงาน 75,000 คน และโรงงานในประเทศเกาหลีใต้นั้นสามารถผลิตได้สูงสุด 5ล้านเครื่องต่อเดือน[119][134]", "title": "ซัมซุง กาแลคซีเอส 3" }, { "docid": "740397#0", "text": "ซัมซุง กาแลคซี อี5 เป็นสมาร์ตโฟนประเภทแอนดรอยด์ ผลิตโดยบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ วางจำหน่ายในช่วงเดือนมกราคม 2015", "title": "ซัมซุง กาแลคซี อี5" }, { "docid": "478165#6", "text": "การคาดเดาของผู้คนและเว็บไซต์ต่าง ๆ ก่อนจะที่จะมีการเปิดตัวหลายเดือนก่อนหน้า ซึ่งมีข่าวที่ค่อนข้างมากพอสมควร ก่อนจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 ก่อนหน้านั้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ในงานโมบายล์เวิลด์คองเกรส ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน มีข่าวลือออกมาก่อนแล้วว่า จะใช้หน่วยประมวลผลควอด-คอร์ 1.5จิกะเฮิรตซ์ ส่วนจอจะมีความละเอียด 1080p (1,920×1,080 พิกเซล) และมีกล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล และใช้จอแสดงผล จอสัมผัส เอชดี ซูเปอร์อโมเลดพลัส[33][34] ส่วนข่าวลืออื่น ๆ นั้นก็รวมไปถึง แรม 2จิกะไบต์, พื้นที่เก็บข้อมูล 64จิกะไบต์, 4 จี แอลทีอี, จอขนาด 4.8 นิ้ว, กล้องหลัก 8 ล้านพิกเซล และความหนาของเครื่อง 9 มิลลิเมตร[33][34] ซัมซุงได้ยืนยันถึงการผลิตรุ่นต่อของ กาแลคซีเอส 2 ในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555 แต่ยังไม่ระบุถึงชื่อทางการ จนในช่วงปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 โรเบิร์ต ยี่ รองประธานอาวุโสของบริษัทซัมซุง ได้ยืนยันว่ามันจะมันจะมีชื่อว่า \"ซัมซุง กาแลคซีเอส 3\" (Samsung Galaxy S III)[35][36]", "title": "ซัมซุง กาแลคซีเอส 3" }, { "docid": "848293#4", "text": "ตัวเครื่องของเอส 8 และเอส 8+ ได้ใช้แบตเตอรีที่ไม่สามารถถอดได้ขนาด 3000 และ 3500 mAh ตามลำดับ ซึ่งซัมซุงได้กล่าวไว้ว่าได้ใช้เวลาปรับปรุงและทดลองแบตเตอรีสำหรับรุ่นเหล่านี้นานกว่ารุ่นก่อน ๆ ที่ผ่านมา กาแลคซีเอส 8 รองรับ AirFuel Inductive (สมัยก่อนคือ PMA) และมาตรฐานการชาร์จไร้สาย Qi สืบเนื่องจากเหตุการณ์การเรียกคืนของซัมซุง กาแลคซี โน้ต 7 ซัมซุงกล่าวในงานแถลงข่าวว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะควบคุมคุณภาพและขั้นตอนการทดสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมากขึ้นในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทในอนาคต", "title": "ซัมซุง กาแลคซีเอส 8" }, { "docid": "473908#0", "text": "คดีระหว่างบริษัทแอปเปิลกับบริษัทซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ จำกัด () เป็นคดีในศาลแรกในชุดที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างบริษัทแอปเปิล กับบริษัทซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ จำกัด ว่าด้วยแบบผลิตภัณฑ์สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ ทั้งสองบริษัทเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนขายเกินครึ่งทั่วโลก ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 ในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2554 แอปเปิลเริ่มฟ้องร้องซัมซุงในคดีการละเมิดสิทธิบัตร ขณะที่แอปเปิลกับโมโตโรล่าโมบิลิตีได้มีการฟ้องร้องมาแล้วก่อนหน้านี้ การฟ้องร้องสิทธิบัตรเทคโนโลยีในหลายชาติของแอปเปิลได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ \"สงครามสิทธิบัตรอุปกรณ์เคลื่อนที่\" ซึ่งเป็นการฟ้องร้องอย่างกว้างขวางในการแข่งขันอย่างดุเดือดในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ผู้บริโภคของโลก", "title": "คดีระหว่างบริษัทแอปเปิลกับบริษัทซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ จำกัด" }, { "docid": "856403#0", "text": "ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต () เป็นชุดของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระดับสูงที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ซึ่งมือถือรุ่นนี้มีจุดประสงค์ที่มุ่งหลักไปทางปากกาคอมพิวเตอร์ โดยซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ตทุกเครื่องประกอบด้วยปากกาสไตลัส และสามารถรองรับแรงกดปากกาได้ด้วย ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ตทุกเครื่องยังมีซอฟต์แวร์ที่มีคุณสมบัติรองรับปากกาสไตลัสได้ เช่น note-taking และ digital scrapbooking และมีมัลติสกรีนด้วย", "title": "ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต (ชุด)" }, { "docid": "486496#23", "text": "ซัมซุงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดการจ้างงานมากที่สุดในเมือง ความจริงแล้วซัมซุงมีโรงงานหลักอยุ่ที่โซล แต่ในช่วงเริ่มต้นของสงครามเกาหลี สิ่งของหลายอย่างของซัมซุงได้รับความเสียหาย ผู้ก่อตั้ง อี บย็อง-ช็อล (이병철) ได้ฝืนทำธุรกิจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2494 ส่วนซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ได้ก่อตั้งที่เมืองซูว็อนในปี พ.ศ. 2512 และปัจจุบันได้เป็นสำนักงานใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรมกลางใจเมือง ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆก็ประกอบด้วยเอสเค, ซัมซุงอิเล็กทริกส์, ซัมซุงแอลอีดี, ซัมซุงเอสดีไอและอื่นๆอีกมากมาย", "title": "ซูว็อน" }, { "docid": "499542#0", "text": "ซัมซุงแอพ () เป็นร้านค้าแอพลิเคชันสำหรับมือถือซัมซุงและผู้ใช้โทรทัศน์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2009 หลังจากที่บริษัทได้รับการวางจำหน่ายของ ซัมซุงเวฟสมาร์ตโฟน", "title": "ซัมซุงแอพ" }, { "docid": "523393#0", "text": "ทัชวิซ (หรือ ซัมซุง ทัชวิซ) เป็นส่วนติดต่อประสานกับผู้ใช้ สร้างและพัฒนาโดยบริษัทซัมซุง อิเล็คทรอนิกส์ มีคุณสมบัติเป็นส่วนติดต่อประสานกับผู้ใช้ในระบบสัมผัส ทัชวิซนั้นใช้งานได้เฉพาะบนอุปกรณ์ซัมซุง บางครั้งทัชวิซมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอีกหนึ่งระบบปฏิบัติการ ทัชวิซสามารถพบเห็นได้ในสมาร์ตโฟน ฟีเจอร์โฟนและแท็บเล็ตจากซัมซุง และไม่สามารถขอรับใบอนุญาตจากภายนอกได้ ทัชวิซเวอร์ชันแอนดรอยด์ยังมาพร้อมกับ Galaxy Apps ซึ่งเป็นร้านค้าแอปพลิเคชันที่ซัมซุงทำเองด้วย", "title": "ทัชวิซ" }, { "docid": "515410#0", "text": "ซัมซุง กาแลคซี () เป็นชุดของ สมาร์ตโฟน ที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ โดยผลิตภัณฑ์ก็มีชุดของซัมซุง กาแลคซีเอส ที่เป็นสมาร์ทโฟนที่มีความฉลาดสูงสุด, ซัมซุง กาแลคซี แท็บ ที่เป็นแท็บเล็ต, ซัมซุง กาแลคซี โน้ต เป็นแฟบเล็ตที่มีฟังก์ชันปากกาสไตลัสเพิ่มเข้ามา และซัมซุง กาแลคซี เกียร์ ที่เป็นนาฬิกาอัจฉริยะ", "title": "ซัมซุง กาแลคซี" }, { "docid": "478165#7", "text": "หลังจากมีการเชิญผู้สื่อข่าวเข้าร่วมงานในช่วงกลางเดือนเมษายน ซัมซุงได้ทำการเปิดตัวกาแลคซีเอส 3 ในระหว่างงานซัมซุงโมบายล์อันแพ็ก 2012 (Samsung Mobile Unpacked 2012) ที่ เอิร์ลคอร์ตเอ็กซ์ฮีบีชันเซ็นเตอร์ ใน ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 แทนที่จะมีการเปิดตัวในช่วงต้นปีในงานโมบายล์เวิลด์คองเกรส หรือ คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์โชว์[12][37] ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้เพราะซัมซุง ต้องการเวลาสำหรับความพร้อมในการเปิดตัว[38] การอธิบายในการเปิดตัวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดย ลอสเย เดอ รีเซ ผู้อำนวยการตลาดของบริษัทซัมซุงเบลเยียม[39]", "title": "ซัมซุง กาแลคซีเอส 3" }, { "docid": "949975#1", "text": "เสียงตอบรับต่อซัมซุง กาแลคซีเอส 9 มีหลากหลาย จอห์น แมคแคนจาก \"เทคเรดาร์\" ชื่นชมการปรับปรุงของกล้องและตำแหน่งตัวสแกนลายนิ้วมือ แต่วิจารณ์ข้อจำกัดของ AR Emoji และภาพรวมที่คล้ายกับรุ่นก่อน \"คอมพิวเตอร์เวิลด์\" ให้การตอบรับในแง่บวกโดยกล่าวว่าเอส 9 \"ดีกว่ารุ่นก่อน\" แต่วิจารณ์ว่าฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาไม่ได้ทำให้รู้สึก \"ตื่นตาตื่นใจ\" แดน ไซเฟิร์ตจาก \"เดอะเวิร์จ\" ให้คะแนน 8.5 โดยกล่าวว่าพึงพอใจกับการออกแบบและประสิทธิภาพ แต่วิจารณ์เรื่องแบตเตอรี บิกซ์บีและการอัปเดตจากทางซัมซุง ไอฟิกซ์อิต บริษัททำสื่อสอนการซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้คะแนนซัมซุง กาแลคซีเอส 9 4 เต็ม 10 โดยกล่าวชมชิ้นส่วนภายในส่วนใหญ่ที่เป็นมอดูล แต่วิจารณ์ด้านหน้าและด้านหลังที่เป็นกระจก ซึ่งอาจเสียหายได้เมื่อเริ่มถอดชิ้นส่วน", "title": "ซัมซุง กาแลคซีเอส 9" }, { "docid": "591385#0", "text": "ซัมซุง เอสจีอาร์-เอ1 () เป็นหุ่นยนต์ทหารคุ้มกันสัญชาติเกาหลีใต้ โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อแทนที่แรงงานมนุษย์ในเขตปลอดทหารที่ชายแดนประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ มันเป็นหุ่นยนต์ระบบประจำที่ฝ่ายป้องกันของบริษัทซัมซุงเทควินซึ่งเป็นบริษัทย่อยของซัมซุง", "title": "ซัมซุง เอสจีอาร์-เอ1" }, { "docid": "473908#1", "text": "จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 แอปเปิลและซัมซุงได้ฟ้องร้องกันแล้ว 19 คดีใน 9 ประเทศ เมื่อถึงเดือนตุลาคม ได้มีการฟ้องร้องเพิ่มในอีกประเทศหนึ่ง รวมเป็น 10 ประเทศ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 ศาลสหรัฐสั่งให้ประธานบริหารของแอปเปิลและซัมซุงเจรจาระงับคดีเพื่อจำกัดหรือแก้ไขข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร จนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 ทั้งสองบริษัทยังพัวพันอยู่ในกว่า 50 คดีทั่วโลก โดยทั้งสองมีการเรียกร้องค่าเสียหายหลายพันล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อกัน", "title": "คดีระหว่างบริษัทแอปเปิลกับบริษัทซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ จำกัด" }, { "docid": "523779#0", "text": "บริษัทแอลจี อิเล็คทรอนิกส์ () หรือที่เรียกกันทั่วไปสั้น ๆ ว่า แอลจี (LG) เป็นบริษัทประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามชาติ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในเกาหลีใต้ รองจากซัมซุง, ฮุนได และ กลุ่มเอสเค. มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Yeouido-dong, ในโซล, ประเทศเกาหลีใต้. แอลจีประกอบธุรกิจใน 4 ส่วนด้วยกัน คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่, ความบันเทิงภายในบ้าน, เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, เครื่องปรับอากาศ และการประหยัดพลังงาน แอลจีเป็นบริษัทผลิตโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก (ซัมซุงครองอับดับหนึ่ง) และยังเป็นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่มียอดขายมากที่สุดอันดับห้า ในไตรมาสที่สอง ในปี พ.ศ. 2555 อีกด้วย", "title": "แอลจี อีเลคทรอนิคส์" }, { "docid": "772669#0", "text": "ซัมซุง เอสพีเอส-เอ็ม810 (รู้จักกันในชื่อ อินสติงต์ เอส30 หรือ อินสติงต์ มินิ) เป็นโทรศัพท์มือถือจากบริษัทซัมซุง ในรูปแบบของจอสัมผัส และมีปุ่มกด 3 ปุ่ม(จากซ้ายไปขวา - [ย้อนกลับ], [ปุ่มโฮม], และ [ปุ่มโทรศัพท์]) ซัมซุง อินสติงต์ วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2009", "title": "ซัมซุง อินสติงต์ เอส30" }, { "docid": "478165#8", "text": "วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555 แอปเปิลดำเนินคดีฟ้องเบื้องต้นในศาลแขวง เขตตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา กับบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ โดยอ้างว่ากาแลคซีเอส 3 ได้ละเมิดสิทธิบัตรอย่างน้อย 2 อย่าง โดยขอให้ศาลรวมคดีเก่ากับซัมซุงด้วย (ดูเพิ่มที่ \"คดีระหว่างบริษัทแอปเปิลกับบริษัทซัมซุงอิเล็คทรอนิกส์ จำกัด\") และให้ศาลสั่งห้ามขายกาแลคซีเอส 3 ซึ่งจะมีการวางจำหน่ายในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ในสหรัฐอเมริกา[40] แอปเปิลอ้างว่าการละเมิดข้อกล่าวหาจะทำให้เกิดอันตรายและไม่สามารถแก้ไขได้ในประโยชน์ทางการค้า[41] โดยซัมซุงทำการต่อต้านให้ศาลเห็นว่า \"กาแลคซีเอส 3 นั้นเป็นวัตกรรมที่โดดเด่น\" และอยากให้การวางขายในวันที่ 21 มิถุนายน เป็นไปตามแผนที่วางไว้[41] ในวันที่ 11 มิถุนายน ลูซี โก ผู้พิพากษาเห็นว่า ขอให้แอปเปิลนั้น เลิกคำร้องขอในการห้ามขายของกาแลคซีเอส 3 ในวันที่ 21 มิถุนายน[42]", "title": "ซัมซุง กาแลคซีเอส 3" }, { "docid": "992324#0", "text": "บริษัทแพร่สัญญาณทงยาง หรือ ทีบีซี (; ) เป็นอดีตบริษัทที่ประกอบกิจการแพร่สัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2508 - 2523 โดยมี ลี เบียงชอล ผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุง เป็นผู้บริหาร", "title": "บริษัทแพร่สัญญาณทงยาง" }, { "docid": "490195#0", "text": "ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น (; ) เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่น มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ย่าน Abeno-ku ทางใต้ของโอซะกะ บริษัทก่อตั้งในปี ค.ศ. 1912 โดยใช้ชื่อบริษัทตามชื่อผลิตภัณฑ์ \"เอเวอร์-ชาร์ป\" เป็นดินสอกดที่ออกแบบโดย โทะกุจิ ฮะยะคะวะ (早川 徳次) ผู้ก่อตั้งบริษัท และวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1815 ปัจจุบันชาร์ป คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้ผลิตเครื่องรับโทรทัศน์รายใหญ่อันดับสี่ของโลก รองจากซัมซุง แอลจี และโซนี่ ", "title": "ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น" }, { "docid": "324813#0", "text": "สโมสรฟุตบอลซูว็อนซัมซุงบูลวิงส์ (수원 삼성 블루윙즈) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศเกาหลีใต้ เล่นอยู่ในเคลีก ตั้งอยู่ที่เมืองซูว็อน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 เป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทีมหนึ่งในเกาหลีใต้", "title": "ซูว็อนซัมซุงบลูวิงส์" }, { "docid": "738222#0", "text": "ซัมซุง กาแลคซี วิน () หรือบางแห่งใช้ชื่อ \"กาแลคซีแกรนด์ควอทโตร\" () เป็นสมาร์ตโฟนที่พัฒนาโดยบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556 ซัมซุงกาแลคซีวินมีแกนรูปสี่เหลี่ยม Cortex-A5 ประมวลผล 1.2 GHz และ RAM 1 GB มีหน่วยความจำภายใน 8 GB การ์ดหน่วยความจำ micro-SD สูงสุดได้ถึง 32 GB อุปกรณ์ยังรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน 2G และ 3G และการเชื่อมต่อไวไฟ รวมถึงระบบนำทาง A-GPS ด้วย Google Maps ระบบปฏิบัติการเครื่อง Android 4.1 (Jelly Bean)", "title": "ซัมซุง กาแลคซี วิน" }, { "docid": "478165#17", "text": "ในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ซัมซุงได้ทำการเปิดตัวซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร ภายใต้บริษัทซัมซุงแอปโพรฟฟอร์เอ็นเทอร์ไพรซ์ (Samsung Approved For Enterprise) หรือ เอสเอเอฟอี (SAFE) โดยมุ่งมั่นที่จะให้อุปกรณ์แอนดรอยด์สามารถใช้สำหรับพนักงานบริษัทในภาคเอกชนได้ หรือที่เรียกว่า Bring Your Own Device หรือการนำอุปกรณ์มาเอง[67] โดยเอส 3 รุ่นสำหรับองค์กรนี้สามารถรองรับ เออีเอส-256 (AES-256) ซึ่งเป็นการเข้ารหัส ชนิดหนึ่ง, เครือข่ายส่วนตัวเสมือน และ การจัดการโทรศัพท์มือถือ รวมไปถึง ไมโครซอฟท์ เอ็กซ์เชนจ์ แอคทีฟซิงก์[68] โดยมีกำหนดการวางขายในประเทศสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งเป็นรุ่นสำหรับองค์กรที่คิดว่าน่าจะโดดเด่นโดยรีเสิร์ชอินโมชัน บริษัทผู้ผลิต แบล็คเบอร์รี หลังจากการปล่อยรุ่นสำหรับองค์กรในรุ่นกาแลคซี โน้ต, กาแลคซีเอส 2 และ กาแลคซี แท็บ ซึ่งเป็นแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์[68][69]", "title": "ซัมซุง กาแลคซีเอส 3" }, { "docid": "107581#0", "text": "ซัมซุง หรือ ซัมซอง (อังกฤษ: Samsung ; เกาหลี: 삼성, ฮันจา: 三星, MC: Samseong, MR: Samsŏng, ภาษาเกาหลีอ่านว่า ซัม-ซอง) เป็นชื่อกลุ่มบริษัทแห่งหนึ่งจากประเทศเกาหลีใต้ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โซล, ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งประกอบด้วยบริษัทย่อยจำนวนมาก และธุรกิจที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่อยู่ภายใต้แบรนด์ซัมซุง และเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้", "title": "ซัมซุง" }, { "docid": "107581#10", "text": "หมวดหมู่:บริษัทของเกาหลีใต้ หมวดหมู่:ธุรกิจเครื่องใช้ในครัวเรือน หมวดหมู่:บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2481 หมวดหมู่:ซัมซุง หมวดหมู่:บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เกาหลีใต้", "title": "ซัมซุง" } ]
1022
วัดไทยพุทธคยามีเจ้าอาวาสประจำการหรือไม่ ?
[ { "docid": "11114#0", "text": "วัดไทยพุทธคยา เป็นวัดไทยแห่งแรกในประเทศอินเดีย เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 มีเนื้อที่ราว 12 ไร่ (5 เอเคอร์) ตั้งอยู่บริเวณพุทธคยา อยู่ห่างจากองค์เจดีย์พุทธคยาประมาณ 500 เมตร เป็นวัดที่อยู่ในความดูแลและอุปถัมภ์ของรัฐบาลไทย ปัจจุบันมีพระเทพโพธิวิเทศ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เป็นเจ้าอาวาส", "title": "วัดไทยพุทธคยา" } ]
[ { "docid": "11114#2", "text": "ประเทศอินเดีย ได้รับได้เอกราชจากอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2490 และต่อมา ฯพณฯ ชวาหระลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีอินเดียคนแรก ได้เตรียมการจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษขึ้น หรือเรียกว่า พุทธชยันตี ใน พ.ศ. 2500 จึงได้ประกาศเชิญชวนให้ประเทศต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาได้มาสร้างวัดด้วยศิลปะของตน ณ พุทธคยา ดินแดนตรัสรู้ของพระโคตมพุทธเจ้า โดยรัฐบาลอินเดียได้จัดสรรที่ดินให้เช่าในนามรัฐบาลต่อรัฐบาลคราวละ 99 ปี และเมื่อหมดสัญญาแล้วสามารถต่ออายุสัญญาได้อีกคราวละ 50 ปีวัดไทยพุทธคยา ตั้งอยู่ห่างจากบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณ 500 เมตร ตำบลพุทธคยา อ.คยา รัฐพิหาร ห่างจากสถานีรถไฟคยา ประมาณ 15 กิโลเมตร และสนามบินพุทธคยา ประมาณ 10 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ (5 เอเคอร์) อยู่ในความอุปถัมภ์ของรัฐบาลไทย มีฐานะเป็นพระอารามหลวง เพราะได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินเป็นประจำทุกปี", "title": "วัดไทยพุทธคยา" } ]
1063
เม็กซิโกมีเมืองหลวงชื่อว่าอะไรในปัจจุบัน ?
[ { "docid": "42833#0", "text": "เม็กซิโกซิตี (English: Mexico City) หรือ ซิวดัดเดเมคีโก (Spanish: Ciudad de México) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเม็กซิโก ตั้งอยู่ในหุบเขาเม็กซิโกบริเวณกึ่งกลางประเทศ", "title": "เม็กซิโกซิตี" }, { "docid": "17294#1", "text": "หลังจากได้รับเอกราชจากประเทศสเปน ก็มีการตกลงว่าจะตั้งชื่อประเทศใหม่แห่งนี้ตามชื่อเมืองหลวงคือ กรุงเม็กซิโกซิตี ซึ่งมีชื่อดั้งเดิมในสมัยก่อตั้งว่า \"เม็กซิโก-เตนอชตีตลัน\" (Mexico-Tenochtitlan) มีที่มาจากชื่อของชนเผ่าเม็กซิกา (Mexica) ซึ่งเป็นชนกลุ่มหลักในอารยธรรมแอซเท็กอีกทอดหนึ่ง ส่วนต้นกำเนิดของชื่อเม็กซิกานั้นยังไม่ทราบชัดเจน มีการตีความไปหลาย ๆ ทาง มีข้อสันนิษฐานว่า มาจากคำในภาษานาอวตล์ว่า \"เมชตลี\" (Mextli) หรือ \"เมชิตลี\" (Mēxihtli) ซึ่งเป็นชื่อลับของเทพเจ้าวิตซีโลโปชตลี (Huitzilopochtli) เทพเจ้าแห่งสงครามและผู้คุ้มครองชาวแอซเท็ก (หรือชาวเม็กซิกา) ในกรณีนี้ Mēxihco [เมชิโก] จึงอาจจะแปลว่า \"สถานที่ซึ่งเมชตลีทรงสถิตอยู่\"[5]", "title": "ประเทศเม็กซิโก" } ]
[ { "docid": "701804#0", "text": "เอมานูเอล อาเลคันโดร โรดรีเกซ (Emanuel Alejandro Rodriguez; 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1986) เป็นนักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน แม้ว่าจะเกิดในสหรัฐอเมริกา, เขาใช้เวลาห้าปีแรกในการใช้ชีวิตที่เม็กซิโกซิตี ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWEในนาม คาลิสโต (Kalisto)", "title": "คาลิสโต" }, { "docid": "147468#3", "text": "แบบของธงชาติเม็กซิโกในปัจจุบัน ได้กำหนดไว้ในมาตรา 3 ของ รัฐบัญญัติว่าด้วยตราแผ่นดิน ธงชาติ และเพลงชาติ ซึ่งตราครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2417 โดยกำหนดไว้ทั้งลักษณะและสัดส่วนธงที่ถูกต้อง แบบธงชาติที่ทำขึ้นเป็นตัวอย่างนี้ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ (\"Archivo General de la Nación\") และ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโก (\"Museo Nacional de Historia\")\nข้อความในกฎหมายดังกล่าว ระบุไว้ดังต่อไปนี้", "title": "ธงชาติเม็กซิโก" }, { "docid": "159247#41", "text": "กล่าวถึงประเทศเม็กซิโกซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของสเปน ได้ทำสงครามประกาศเอกราชจากสเปนและจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐเม็กซิโก (Republic of Mexico) ในปีค.ศ. 1824 โดยมีลักษณะเป็นสมาพันธรัฐ (Federation) โดยแต่ละรัฐมีรัฐบาลเป็นของตนเองขึ้นแก่รัฐบาลกลาง รัฐเท็กซัสเป็นหนึ่งในนั้น โดยทางรัฐบาลรัฐเท็กซัสซึ่งขึ้นแก่เม็กซิโกได้ส่งเสริมเชื้อเชิญให้ชาวแองโกล-อเมริกัน (Anglo-American) หรือชาวอเมริกันทั่วไปจากมลรัฐทางใต้ของสหรัฐเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเท็กซัสเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภายในรัฐ โดยที่ชาวอเมริกันได้นำทาสผิวดำชาวแอฟริกันมาด้วย แต่ทว่าในปีต่อมาค.ศ. 1825 ประธานาธิบดีอันโตนิโอ โลเปซ เดอ ซันตา อันนา (Antonio Lopez de Santa Anna) แห่งเม็กซิโกเปลี่ยนนโยบายให้เม็กซิโกเป็นรัฐเดี่ยวรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางยกเลิกรัฐบาลของแต่ละรัฐ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวอเมริกันในเท็กซิสที่คุ้นชินกับการปกครองรัฐบาลท้องถิ่นมาแต่เดิม ที่สำคัญเม็กซิโกมีนโยบายเลิกทาส ชาวอเมริกันจึงก่อการกบฏเพื่อแยกตนเองเป็นเอกราชจากเม็กซิโกเรียกว่า การปฏิวัติเท็กซัส (Texas Revolution) ในค.ศ. 1835 มีผู้นำคือนายพลแซม ฮิวสตัน (Sam Houston) ทัพฝ่ายเม็กซิโกเข้าทำลายล้างสังหารฝ่ายเท็กซัสในยุทธการอลาโม (Battle of the Alamo) แต่ฝ่ายเท็กซัสสามารถเอาชนะฝ่ายเม็กซิกันได้ในยุทธการซานฮาซินโต (Battle of San Jacinto) จนนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐเท็กซัส (Republic of Texas) ขึ้นในค.ศ. 1836\nแซม ฮิวสตัน เห็นว่าสาธารณรัฐเท็กซัสควรที่จะเข้ารวมกับสหรัฐแต่ทว่าถูกคัดค้านโดยรัฐบาลของประธานาธิบดีแวนบิวเรนด้วยเหตุผลที่ว่าการรับเท็กซัสเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะเข้ามาในฐานะรัฐมีทาส จะทำให้สมดุลของจำนวนระหว่างรัฐมีทาสและรัฐปลอดทาสเสียไป และอาจนำสหรัฐเข้าสู่สงครามกับเม็กซิโกได้ ฝ่ายเท็กซัสพยายามที่จะยื่นข้อเสนอที่จะเข้ารวมกับสหรัฐต่อมาอีกหลายครั้ง แต่ถูกละเลยโดยรัฐบาลพรรควิกในสมัยต่อมาเช่นเดิม ประชาชนชาวอเมริกันทางใต้นั้นต้องการที่จะให้เท็กซัสเข้ามาเป็นสมาชิกเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันเข้าไปแสวงหาที่ดินทำกินเพิ่มเติม นายเจมส์ เค. โพล์ก (James K. Polk) แห่งพรรคเดโมแครตได้ใช้จุดนี้ในการหาเสียงโดยประกาศสนับสนุนการรวมเท็กซัสเข้ากับอเมริกา จนกระทั่งนายโพล์กสามารถชนะนายเฮนรีเคลย์แห่งพรรควิกในการเลือกตั้งค.ศ. 1845 ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อมา สภาคองเกรสภายใต้ประธานาธิบดีโพล์กผ่านร่างเห็นชอบให้เท็กซัสเข้ามาเป็นมลรัฐใหม่ของสหรัฐในค.ศ. 1846 โดยเป็นมลรัฐที่มีทาส และให้ดินแดนโอเรกอน (Oregon Territory) อันเป็นดินแดนร่วมระหว่างสหรัฐกับบริเทน เข้ามาเป็นมลรัฐโอเรกอนเป็นรัฐปลอดทาสเพื่อความสมดุล โดยทำสนธิสัญญาโอเรกอน (Oregon Treaty) แบ่งเขตแดนระหว่างสหรัฐกับแคนาดาของบริเทนที่เส้นขนาน 49 องศาเหนือ\nแต่ทว่ามลรัฐเท็กซัสนั้นมีเขตแดนทับซ่อนกันกับสาธารณรัฐเม็กซิโก โดยที่ฝ่ายอเมริกานั้นอ้างดินแดนจนถึงแม่น้ำริโอแกรนด์ (Rio Grande) ในขณะที่ฝ่ายเม็กซิโกอ้างดินแดนเข้ามาจนถึงแม่น้ำนิวซ์ (Neuces River) ประธานาธิบดีโพล์กได้ส่งนายพลแซคารี เทย์เลอร์ (Zachary Taylor) เป็นผู้นำทัพอเมริกันเข้าไปในดินแดนพิพาท และส่งนายจอห์น ซี. เฟรมองต์ (John C. Frémont) ไปยังแคลิฟอร์เนียเพื่อปลุกปั่นให้ชาวแคลิฟอร์เนียก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลเม็กซิโก ในค.ศ. 1846 ทัพเม็กซิโกได้เข้าโจมตีทัพของอเมริกาในดินแดนข้อพิพาท ทางฝ่ายสภาคองเกรสจึงประกาศสงครามกับเม็กซิโก โดยทัพอเมริกาเข้าบุกยึดดินแดนที่ปัจจุบันคือภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐซึ่งในขณะนั้นเป็นของเม็กซิโกอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันทัพเรือแปซิฟิก (Pacific Squadron) ได้เข้าปิดล้อมเมืองท่าต่างๆของเม็กซิโกในแคลิฟอร์เนีย และนายพลวินฟีลด์ สก็อต (Winfield Scott) ได้ยกทัพลงใต้เข้าบุกยึดเมืองเม็กซิโกซิตี้ อัรเป็นเมืองหลวงของเม็กซิโกได้สำเร็จในค.ศ. 1847 เป็นเหตุให้เม็กซิโกยอมจำนนและทำสนธิสัญญากวาเดอลูป-ฮิดัลโก (Treaty of Guadelupe-Hidalgo) ในค.ศ. 1848 ยอมรับสถานะของมลรัฐเท็กซัส และยอมยกแคลิฟอร์เนียรวมทั้งดินแดนที่เป็นภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐในปัจจุบันให้แก่สหรัฐ", "title": "ประวัติศาสตร์สหรัฐ" }, { "docid": "390415#10", "text": "5.เม็กกะก็อตซิลล่า ในช่วงแรกมันถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาวเพื่อใช้ยึดครองโลก โดยมีก็อตซิลลาเป็นต้นแบบ แต่ในภาคหลังๆมันกลับถูกสร้างโดยมนุษย์แทน เม็กกะก็อตซิลลามีขีปนาวุธทั่วทั้งตัว ยิงได้หลายอย่างพร้อมกันได้(เจอก็อตซิลลาครั้งแรกใน Godzilla VS Mechagodzilla(1974))(ยุคมิลเลนเนียมมันใช้ชื่อว่า คิริว)", "title": "ก็อตซิลลา" }, { "docid": "147468#7", "text": "ตราแผ่นดินกลางธงชาติเม็กซิโกนั้น ได้รับแรงบัลดาลใจในการออกแบบจากตำนานชาวอัซเตก เกี่ยวกับตำนานสร้างเมืองเตนอชตีตลัน (Tenochtitlán) ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันทั่วไปกล่าวกันว่า ชาวอัซเตกได้ออกเดินทางไปทั่วบริเวณที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน เพื่อแสวงหาที่ตั้งเมืองหลวงของพวกตน ตามนิมิตที่เทพเจ้าวิตซิลโลปอชตลี (Huitzilopochtli) ผู้เป็นเทพแห่งสงครามของชาวอัซเตกระบุไว้ว่า ที่ตั้งของเมืองหลวงใหม่นั้นจะมีนกอินทรีคาบและจับอสรพิษเกาะอยู่บนต้นกระบองเพชร ซึ่งตั้งอยู่บนโขดหินกลางทะเลสาบ 200 ปีต่อมาพวกเขาจึงพบนกอินทรีตามนิมิตดังกล่าวบนเกาะเล็กๆ ในทะเลสาบเท็กโกโก้ พวกเขาจึงสร้างเมืองเตนอชตีตลันขึ้น ณ ที่นี้ ซึ่งในเวลาต่อมาคือกรุงเม็กซิโกซิตี เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน ", "title": "ธงชาติเม็กซิโก" }, { "docid": "359503#2", "text": "ลีลาเป็นลูกสาวของนักร้องคาบาเร่ต์ อานา และอัลเลน ดาวน์ ศาสตราจารย์ของโรงภาพยนตร์อเมริกันของมินนิโซตา เขาอาศัยอยู่ใน โออาซากา เม็กซิโกรวมทั้งในรัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นวัยรุ่นและเป็นผู้ใหญ่ใน รัฐมินนิโซตา เขาได้รับปริญญาในมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ต่อมาทรงกลับไปยังเม็กซิโกซึ่งเขาจะเริ่มร้องเพลงในคลับของ โออาซากา และใน ฟิลาเดลเฟีย ด้วยการสนับสนุนของ เปาโล โคเฮนลีลา ดาวส์ มีเงินเดิมพันเล็ก ๆ ในภาพยนตร์เช่น \"Fados\", \"ฟรีด้า\" และ \"จนถึงหยดสุดท้ายหลังหัวใจเป็น\"; สารคดี ใน เพลงเม็กซิกัน ที่เกี่ยวข้องกับเลขยกกำลังที่แตกต่างกันของประเภท ปัจจุบัน ดาวส์ จะทำงานเกี่ยวกับองค์ประกอบและการเตรียมการสำหรับการดนตรี \"น้ำเช่นช็อคโกแลตสำหรับ\", ตามหนังสือของ Laura Esquivel ซึ่งจะฉายรอบปฐมทัศน์ที่โรงละครสาธารณะ นิวยอร์ก และ บรอดเวย์ ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2554 หรือต้นปี พ.ศ. 2555 และจะเข้าร่วมในการถ่ายทำภาพยนตร์ของ ภาพยนตร์ อเมริกัน \"Mariachi Gringo\" ที่กำกับโดย Tom Gustafson ที่เธอทำงานร่วมนักแสดงหญิงเม็กซิกัน อะเดรีย บาร์ฮ, รูอิซเท เรซา และ นักแสดง แคนาดา ชอว์น แอชมอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้คาดว่าจะเปิดตัวในต้น พ.ศ. 2555", "title": "ลีลา ดาวส์" }, { "docid": "794330#2", "text": "แพ็ตตันยังเป็นผู้ออกแบบดาบ M1913 ทหารม้าดาบที่รู้จักกันทั่วไปว่า \"ดาบของแพ็ตตัน\" (“Patton Sword”) ในช่วงสงครามชายแดนในส่วนหนึ่งของการปฏิวัติเม็กซิกัน เขาได้คิดวิธีในการปราบกองโจรม้าเม็กซิกัน โดยนำปืนกลหนักติดกับรถเปิดประทุน ผลเป็นที่น่าพอใจมาก ทำให้ได้มีการนำปืนกลหนักติดกับรถจิป สิ่งนั้นได้แพร่หลายไปทั่วโลกและยังมีการทำอยู่ในปัจจุบัน", "title": "จอร์จ เอส. แพตตัน" }, { "docid": "147616#5", "text": "เพลงชาติเม็กซิโกทั้งบทร้องและทำนองข้างต้น ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในเมื่อวันที่ 16 กันยายน ปีเดียวกัน อันเป็นวันคล้ายวันประกาศเอกราชของเม็กซิโก ซึ่งได้มีการขับร้องและบรรเลงครั้งแรก ณ โรงละครซันตาอันนา (ปัจจุบันคือโรงละครแห่งชาติของประเทศเม็กซิโก) อำนวยการบรรเลงเพลงครั้งแรกโดย ควน บอตเตสินี ขับร้องโดย คลอเดีย ฟลอเรนตี (Claudia Florenti) นักร้องเสียงโซปราโน และลอเรนโซ ซัลวี (Lorenzo Salvi) นักร้องเสียงเทเนอร์ ", "title": "เพลงชาติเม็กซิโก" }, { "docid": "17294#9", "text": "กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของแอซเท็กได้แก่ พระเจ้ามอกเตซูมาที่ 2 เมื่อถึงปี ค.ศ. 1519 เตนอชตีตลัน เมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็ก (เม็กซิกา) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรถึงประมาณ 350,000 คน ซึ่งกรุงลอนดอนในขณะนั้นมีประชากรเพียง 80,000 คนเท่านั้น เตนอชตีตลันเป็นที่ตั้งของกรุงเม็กซิโกซิตีในปัจจุบัน", "title": "ประเทศเม็กซิโก" }, { "docid": "992721#0", "text": "นายพลกอง ซัลบาดอร์ ซิเอนฟูเอโกส เซเปดา (; เม็กซิโกซิตี, 14 มิถุนายน ค.ศ. 1948 – ) ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลของประธานาธิบดีเม็กซิโก เอนริเก เปญญา นิเอโต", "title": "ซัลบาดอร์ ซิเอนฟูเอโกส เซเปดา" }, { "docid": "350532#0", "text": "รัฐเมฮีโก ( หรือย่อว่า Edomex; ) เป็นรัฐที่เป็นศูนย์กลางของประเทศเม็กซิโก มีเมืองหลวงของรัฐคือเมืองโตลูกา รัฐเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ครั้งเป็นดินแดนของจักรวรรดิแอซเต็ก และยังคงมีเรื่อยมาจนอยู่ในเขตอุปราชแห่งนิวสเปนในยุคล่าอาณานิคม หลังจากที่ได้รับอิสรภาพ รัฐแบ่งแยกออกเป็นรัฐต่าง ๆ คือ รัฐอีดัลโก รัฐเกร์เรโร และรัฐโมเรโลส ซึ่งเม็กซิโกซิตีได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของชาติใหม่นี้ และดินแดนก็จึงถูกแบ่งแยกออกมา ดินแดนถูกแยกออกมาที่มีรูปร่างหน้าตาดังปัจจุบันนี้ มาจากหุบเขาโตลูกา ทางตะวันตกของเม็กซิโกซิตีและรูปด้ามกะทะมีพื้นที่ทางทิศเหนือและตะวันออก ที่เป็นเอกลักษณ์ของรัฐนี้", "title": "รัฐเมฮีโก" }, { "docid": "928894#0", "text": "นี่คือรายนามประมุขแห่งรัฐเม็กซิโกตั้งแต่การจัดตั้งจักรวรรดิเม็กซิโกในค.ศ. 1822 ถึงการจัดตั้งสหรัฐเม็กซิโกในปัจจุบัน", "title": "รายพระนามและรายนามประมุขแห่งรัฐเม็กซิโก" }, { "docid": "763012#1", "text": "รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1917 ฉบับปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกในโลกที่กำหนดสิทธิทางสังคม ใช้เป็นตัวแบบสำหรับรัฐธรรมนูญไวมาร์ ค.ศ. 1919 และรัฐธรรมนูญรัสเซีย ค.ศ. 1918 บทบัญญัติที่สำคัญที่สุดบางข้อ ได้แก่ มาตรา 3, 27 และ 124 ซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งในปรัชญาการเมืองเม็กซิโกซึ่งช่วยกำหนดกรอบฉากหลังทางการเมืองและสังคมแก่ประเทศเม็กซิโกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มาตรา 3 มุ่งจำกัดคริสตจักรโรมันคาทอลิกในเม็กซิโก และสถาปนาฐานสำหรับการศึกษาแบบฆราวาสภาคบังคับให้เปล่า มาตรา 27 นำมาซึ่งรากฐานสำหรับการปฏิรูปที่ดิน และมาตรา 123 ออกแบบมาเพื่อเสริมอำนาจภาคแรงงาน ซึ่งกำเนิดในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และสนับสนุนกลุ่มแยกที่เป็นฝ่ายชนะในการปฏิวัติเม็กซิโก", "title": "รัฐธรรมนูญเม็กซิโก" }, { "docid": "393850#0", "text": "โตลูกา () หรือ ชื่ออย่างเป็นทางการคือ โตลูกาเดเลร์โด () เป็นเมืองหลวงของรัฐเม็กซิโก เป็นเมืองที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของประเทศเม็กซิโก ตั้งอยู่ห่างจากเม็กซิโกซิตี ทางทิศตะวันตก-ตะวันตกเฉียงใต้ 63 กิโลเมตร จากข้อมูลสำรวจประชากรในปี ค.ศ. 2005 มีประชากร 467,713 คน และเขตเทศบาลมีประชากรรวม 747,512 คน เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 8 ของเม็กซิโกในด้านประชากร", "title": "โตลูกา" }, { "docid": "148100#0", "text": "ตราแผ่นดินกลางธงชาติเม็กซิโก ได้รับแรงบัลดาลใจในการออกแบบจากตำนานชาวอัซเตก เกี่ยวกับตำนานสร้างเมืองเตนอชตีตลัน (Tenochtitlán) ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันทั่วไปกล่าวกันว่า ชาวอัซเตกได้ออกเดินทางไปทั่วบริเวณที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน เพื่อแสวงหาที่ตั้งเมืองหลวงของพวกตน ตามนิมิตที่เทพเจ้าวิตซิลโลปอชตลี (Huitzilopochtli) ผู้เป็นเทพแห่งสงครามของชาวอัซเตกระบุไว้ว่า ที่ตั้งของเมืองหลวงใหม่นั้นจะมีนกอินทรีคาบและจับอสรพิษเกาะอยู่บนต้นกระบองเพชร ซึ่งตั้งอยู่บนโขดหินกลางทะเลสาบ 200 ปีต่อมาพวกเขาจึงพบนกอินทรีตามนิมิตดังกล่าวบนเกาะเล็กๆ ในทะเลสาบเท็กโกโก้ พวกเขาจึงสร้างเมืองเตนอชตีตลันขึ้น ณ ที่นี้ ซึ่งในเวลาต่อมาคือกรุงเม็กซิโกซิตี เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน ", "title": "ตราแผ่นดินของเม็กซิโก" }, { "docid": "538506#0", "text": "สงครามเม็กซิโก–อเมริกา หรือสงครามเม็กซิโก สงครามสหรัฐ–เม็กซิโก การบุกครองเม็กซิโก การแทรกแซงของสหรัฐ หรือสงครามต่อต้านเม็กซิโกของสหรัฐ เป็นการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหรัฐเม็กซิโกตั้งแต่ ค.ศ. 1846 ถึง 1848 หลังการผนวกเท็กซัสของสหรัฐเมื่อปี 1845 ซึ่งเม็กซิโกถือว่าเป็นดินแดนของตน", "title": "สงครามเม็กซิโก–อเมริกา" }, { "docid": "943311#0", "text": "คลับ อเมริกา เป็นสโมสรฟุตบอลของประเทศเม็กซิโก ตั้งอยู่ที่กรุงเม็กซิโกซิตี ก่อตั้งเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1916 ปัจจุบันกำลังลงเล่นอยู่ในลีกา เอ็มเอ็กซ์", "title": "กลุบอาเมริกา" }, { "docid": "673104#0", "text": "เมอร์เซด โซลิส () เกิดวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 เป็นนักมวยปล้ำอาชีพกึ่ง-เกษียณอายุชาวเม็กซิกัน-อเมริกัน สังกัดสมาคม เวิลด์เรสต์ลิงเฟเดเรชั่น (WWF) เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า ทีโท ซานตานา () เป็นอดีต แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล 2 สมัย และแชมป์แทคทีม WWF ปัจจุบันได้เข้าสู่ หอเกียรติยศดับเบิลยูดับเบิลยูอี ประจำปี 2004", "title": "ทีโท ซานตานา" }, { "docid": "17294#8", "text": "เมื่อเกือบสามพันปีก่อน ดินแดนประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งอารยธรรมของชาวพื้นเมืองอเมริกันที่ยิ่งใหญ่หลายกลุ่ม เช่น โอลเมก เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมสมัยแรกเริ่มสุด ประมาณ 2,300 ปีก่อนคริสตกาล อยู่ทางภาคกลางของค่อนไปทางใต้ของเม็กซิโกปัจจุบัน มายา มีอำนาจอยู่ประมาณระหว่างปี ค.ศ. 200 ถึง ค.ศ. 900 ตั้งถิ่นฐานอยู่บนคาบสมุทรยูกาตันในนครรัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์ มายามีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกัน หลังจากเมืองเตโอตีอัวกันเสื่อมอำนาจทางการเมืองลงไป พวกโตลเตกก็ขึ้นมามีอำนาจแทนในราวปี ค.ศ. 700 อิทธิพลของอารยธรรมโตลเตกพบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาลงไปจนถึงคอสตาริกาในปัจจุบัน ผู้ปกครองโตลเตกที่มีชื่อเสียงคือ เกตซัลโกอัตล์ ภายหลังอารยธรรมโตลเตกก็ล่มสลายลงไปและสืบทอดต่อมาโดยพวกแอซเท็กที่เรียกจักรวรรดิของตนเองว่า \"เม็กซิกา\"", "title": "ประเทศเม็กซิโก" }, { "docid": "338356#43", "text": "ระหว่างปี พ.ศ. 2387 - 2391 ทั้งสองชาติมีความขัดแย้งกันในเรื่องการอ้างกรรมสิทธิ์เหนืออาณาบริเวณออริกอน โดยส่วนมากแล้วพื้นที่ดังกล่าวไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ทำให้วิกฤตความขัดแย้งรอบใหม่นี้จบลงอย่างง่ายดายด้วยการแบ่งอาณาบริเวณดังกล่าวให้แก่สองฝ่ายโดยเท่าเทียมกัน อังกฤษได้พื้นที่ที่เป็นรัฐบริติชโคลัมเบียในปัจจุบันไป ส่วนสหรัฐได้พื้นที่ที่เป็นรัฐวอชิงตัน, รัฐไอดาโฮ และรัฐออริกอนในปัจจุบันไป จากนั้นสหรัฐได้หันความสนใจไปยังเม็กซิโกที่ได้แสดงท่าทีข่มขู่จะก่อสงครามจากการที่สหรัฐเข้ายึดครองดินแดนเท็กซัส อังกฤษพยายามบรรเทาท่าทีที่เกรี้ยวกราดของชาวเม็กซิกันลงแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เมื่อสงครามได้ปะทุขึ้น อังกฤษได้วางท่าทีที่เป็นกลาง ผลของสงครามทำให้สหรัฐได้ดินแดนแคลิฟอร์เนียมา ที่ซึ่งอังกฤษแสดงท่าทีที่สนใจเพียงเล็กน้อย", "title": "ความสัมพันธ์สหราชอาณาจักร–สหรัฐ" }, { "docid": "342762#0", "text": "เอ็ดวาโด กอรี เกร์เรโร ยาเนส (Eduardo Gori Guerrero Llanes; – ) นักมวยปล้ำอาชีพที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อ เอ็ดดี เกร์เรโร (Eddie Guerrero) เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลนักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงตลอดกาลที่สุดของเม็กซิโกนั่นก็คือตระกูลเกร์เรโร ซึ่งบิดาของเขาคือกอรี เกร์เรโร ถือว่าเป็นหนึ่งในตำนานนักมวยปล้ำเม็กซิโกเลยทีเดียว เอ็ดดีมีพี่น้องอยู่ 4 คน เป็นผู้หญิง 2 คน เป็นผู้ชาย 3 คน ส่วนที่เป็นผู้ชายเป็นนักมวยปล้ำอาชีพทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แมนโด เกร์เรโร สุดยอดนักมวยปล้ำเม็กซิโก, เฮกเตอร์ เกร์เรโร ผู้ที่มีหน้าคล้ายกับเอ็ดดีมากที่สุด และชาโว เกร์เรโร ซีเนียร์ อดีตแชมป์จูเนียร์เฮฟวี่เวทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการมวยปล้ำโลก เอ็ดดีมีหลานอยู่หนึ่งคนชื่อว่า ชาโว เกร์เรโร จูเนียร์ ซึ่งเป็นลูกของชาโว ซีเนียร์ ซึ่งเขากับชาโวอายุห่างกันเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น และเอ็ดดียังมีญาติอย่าง Enrique Llanes และ Javier Llanes ทั้งคู่เป็นนักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงแห่งเม็กซิโกด้วย ถึงจะเกิดที่เม็กซิโก แต่ตระกูลก็ยังเป็นทั้งสัญชาติเม็กซิกันและอเมริกันด้วย เอ็ดดีได้เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวายฉับพลันในปี 2005 และได้เข้าสู่หอเกียรติยศดับเบิลยูดับเบิลยูอีประจำปี 2006", "title": "เอ็ดดี เกร์เรโร" }, { "docid": "990945#1", "text": "ถึงแม้ว่าองค์การค้ายาเสพติดของเม็กซิโกจะมีมาหลายทศวรรษ แต่อิทธิพลของพวกเขาก็ยังคงเพิ่มขึ้น หลังจากการสิ้นสุดของแก๊งค้ายากาลิและเมเดยินของโคลอมเบียในคริสต์ทศวรรษ 1990 แก๊งค้ายาเสพติดเม็กซิโกก็ได้เป็นผู้ครองตลาดยาเสพติดผิดกฎหมายในปัจจุบัน และในปี ค.ศ. 2007 ได้มีการควบคุม 90 เปอร์เซ็นต์ของโคเคนที่เข้าสู่สหรัฐ การจับกุมผู้นำแก๊งค้ายาที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแก๊งค้ายาติฆัวนาและอ่าว ได้นำไปสู่การเพิ่มความรุนแรงเนื่องจากการต่อสู้ของแก๊งค้ายาเพื่อควบคุมเส้นทางการค้าสู่สหรัฐ", "title": "สงครามยาเสพติดเม็กซิโก" }, { "docid": "350647#1", "text": "รัฐเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเม็กซิโกตั้งแต่จนกระทั่ง ค.ศ. 1869 เมื่อแยกออกมาและตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โคเซ มารีอา โมเรโลส ภูมิอากาศของรัฐโดยมากแล้วจะอบอุ่นตลอดปี ทำให้สามารถปลูกต้นอ้อยและพืชอย่างอื่นได้ดี สถานที่ท่องเที่ยวเช่น หุบเขาเม็กซิโก ที่มีมาตั้งแต่ยุคแอซเท็ค ปัจจุบันชาวเม็กซิโกจากเม็กซิโกซิตีมักใช้เวลาในวันหยุดที่รัฐนี้และเป็นเจ้าของบ้านหลังที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณเมือง กูเอร์นาวากา (Cuernavaca)", "title": "รัฐโมเรโลส" }, { "docid": "988168#0", "text": "ประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก () เป็นจิตรกรรมฝาผนังอยู่ที่บันไดของพระราชวังแห่งชาติในเม็กซิโกซิตี้ ถูกวาดขึ้นระหว่างปี 1929 และ 1935 โดย ดิเอโก ริเวร่า เรื่องของจิตรกรรมฝาผนังเป็นประวัติศาสตร์ของเม็กซิโกตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีภาพการต่อสู้จำนวนมากของชาวเม็กซิกันกับสเปน, ฝรั่งเศส, และเผด็จการที่ควบคุมประเทศที่แตกต่างกันในประวัติศาสตร์ และถูกบูรณะในปี 2009 ในโอกาสของการจัดทำ Bicentenario de la Independencia de México และ Centenario de la Revolución Mexicana ในปี 2010", "title": "ประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง)" }, { "docid": "147468#1", "text": "ซึ่งแม้ว่าการนิยามความหมายในสีธงชาติจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง แต่สีธงที่ใช้ก็ยังคงเป็นสีเดิมตลอดมานับตั้งแต่เม็กซิโกทำสงครามประกาศอิสรภาพจากสเปน แบบธงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2511 แต่รูปแบบธงชาติโดยรวมนั้นได้เริ่มใช้อย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2361 ส่วนกฎหมายว่าด้วยสัญลักษณ์ประจำชาติฉบับปัจจุบัน ซึ่งมีชื่อในภาษาสเปนว่า \"Ley sobre el Escudo, la Bandera y el Himno Nacionales\" (รัฐบัญญัติว่าด้วยตราแผ่นดิน ธงชาติ และเพลงชาติ) ซึ่งระบุข้อกำหนดในการชัก ใช้ และแสดงธงชาติ ได้เริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2527", "title": "ธงชาติเม็กซิโก" }, { "docid": "80960#14", "text": "สาธารณรัฐเม็กซิโกได้สนับสนุนรัฐบาลสเปนอย่างเต็มที่ในสงครามกลางเมือง เม็กซิโกยังปฏิเสธนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในของอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเม็กซิโกก็สามารถจับได้ว่าทั้งสองก็แอบให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่ายกบฏเช่นเดียวกัน ตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกา เม็กซิโกมิได้มีความรู้สึกว่าตนวางตัวเป็นกลางระหว่างรัฐบาลและสภาทหารนั้นเป็นนโยบายที่ถูกต้อง ท่าทีของเม็กซิโกทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีความหวังมากขึ้น หลังจากประเทศกลุ่มละตินอเมริกันส่วนใหญ่ทางแถบอเมริกาใต้ซึ่งมีท่าทีเปิดเผยน้อยกว่า แต่ว่าการช่วยเหลือของเม็กซิโกทำได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น เนื่องจากมีการปิดพรมแดนฝรั่งเศส-สเปน ทำให้ฝ่ายชาตินิยมสามารถหายุทโธปกรณ์เพิ่มเติมได้ตามปกติ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้", "title": "สงครามกลางเมืองสเปน" }, { "docid": "281418#10", "text": "ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นหนึ่งในสองพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในสหรัฐอเมริกาที่จัดแสดง Great hammerhead โดยอีกที่หนึ่งคือ Adventure aquarium และยังจัดแสดงวาฬ beluga ขนาดยาวสามเมตรจำนวนห้าตัว เป็นเพศผู้สองตัว ชื่อว่า Nico และแกสเปอร์ ถูกช่วยเหลือมาจากสวนสนุกในเม็กซิโกซิตีที่ซึ่งทั้งสองอาศัยอยู่ใต้รถไฟเหาะ แกสเปอร์ตายโดยการุณยฆาตเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2550 เนื่องจากมีน้ำหนักน้อย มีรอยโรคผิวหนัง และโรคกระดูก วาฬเพศเมียที่ชื่อ Marina ตายเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยคาดว่าตายตามธรรมชาติ (มีอายุ 25 ปี) Nico ตายหลังจากถูกย้ายไปยัง SeaWorld San Antonio ชั่วคราวระหว่างปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ โดยคาดว่าตายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552 วาฬเพศเมียสองตัวที่เหลือคือ นาตาชา และ Maris ได้ขอยืมมาจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนิวยอร์กเพื่อการผสมพันธุ์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นหนึ่งในหกแห่งในสหรัฐอเมริกาที่มีวาฬ beluga ซึ่งรวมถึงที่ Chicago's Shedd Aquarium ด้วย", "title": "พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจอร์เจีย" }, { "docid": "147468#2", "text": "ตามประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก ได้ปรากฏว่าประเทศนี้มีการเปลี่ยนแบบธงชาติมาแล้ว 4 ครั้ง โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงของขนาดสัดส่วนธงและรูปแบบตราแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ตราแผ่นดินของเม็กซิโกทุกแบบล้วนมีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นภาพนกอินทรีจับงูไว้ด้วยกรงเล็บและคาบงูไว้ในปาก โดยนกนั้นยืนอยู่บนต้นกระบองเพชร ซึ่งตั้งอยู่บนโขดหินกลางทะเลสาบ ตราดังกล่าวนี้ มีที่มาจากตำนานของชาวอัซเตก โดยเล่ากันว่า เทพเจ้าของพวกเขาได้บอกนิมิตให้สร้างเมืองขึ้นในจุดที่เห็นนกอินทรีคาบงู ซึ่งที่นั่นก็คือที่ตั้งของกรุงเม็กซิโกซิตีในปัจจุบัน", "title": "ธงชาติเม็กซิโก" }, { "docid": "107944#3", "text": "เผ่าอาปาเชทั้งสาม เริ่มสงครามกับเม็กซิโกใน พ.ศ. 2402 (ค.ศ. 1859) โดยในฤดูร้อน ก็เริ่มโจมตีหน่วยทหารลาดตระเวนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในแถบชนบทของเม็กซิโก โดยมีโกยาตเลย์เป็นผู้นำทีมปล้นสะดม เผ่าอาปาเชทั้งสาม ออกปล้นอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลเม็กซิโกก็ไม่สามารถจับกุมได้เลย ดังนั้น ในพ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862) รัฐบาลอเมริกัน ได้ร่วมมือกับรัฐบาลเม็กซิโก เพื่อการจับกุมโกยาตเลย์โดยเฉพาะ และนอกจากนี้ยังให้ชื่อโกยาตเลย์ใหม่ สำหรับเรียกกันในหมู่ชาวเม็กซิกันและอเมริกันว่า เจอโรนิโม จนเป็นคำเรียกติดปากมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "เจอโรนิโม" }, { "docid": "409141#1", "text": "สาธารณรัฐเทกซัสสถาปนาตนเองเป็นสาธารณรัฐโดยแยกดินแดนออกมาจากเม็กซิโกในเหตุการณ์ปฏิวัติเทกซัส โดยอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่มีขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของรัฐเทกซัส รวมไปถึงบางส่วนของรัฐนิวเม็กซิโก, โอคลาโฮมา, แคนซัส, โคโลราโด และไวโอมิงของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน โดยยึดตามสนธิสัญญาวิลาสโกระหว่างสาธารณรัฐเทกซัสที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่กับเม็กซิโก พรมแดนทางตะวันออกกับสหรัฐอเมริกาถูกกำหนดโดยสนธิสัญญาแอดัมส์-โอนิสที่ทำขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสเปนในปี ค.ศ. 1819 ส่วนพรมแดนทางตอนใต้และทางตะวันตกซึ่งติดกับเม็กซิโกนั้นตกเป็นข้อพิพาทระหว่างสองประเทศตลอดระยะเวลาที่สาธารณรัฐดำรงอยู่ โดยเทกซัสใช้สองฝั่งของแม่น้ำรีโอแกรนด์เป็นตัวขีดเส้นแบ่งพรมแดน ในขณะที่เม็กซิโกใช้แม่น้ำนูเอซิสในการปักปันเขตแดน ซึ่งข้อพิพาทดังกล่าวกลายเป็นเหตุชนวนสงครามเม็กซิโก-อเมริกา หลังจากการผนวกเทกซัสเข้ามาเป็นรัฐในสหรัฐอเมริกา", "title": "สาธารณรัฐเทกซัส" } ]
2619
แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554 เกิดขึ้นในรัฐใดของพม่า?
[ { "docid": "365447#0", "text": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554 () เป็นแผ่นดินไหวความรุนแรง 6.8 แมกนิจูด ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ทางตะวันออกของรัฐฉาน โดยมีจุดเกิดแผ่นดินไหวลึกลงไป 10 กิโลเมตร มีแผ่นดินไหวตามเกิดขึ้นแล้ว 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งความรุนแรง 4.8 แมกนิจูด อีกครั้งหนึ่งมีความรุนแรง 5.4 แมกนิจูด และแผ่นดินไหวตามที่เกิดขึ้นอีก มีความรุนแรง 5 แมกนิจูด ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากจังหวัดเชียงรายไปทางทิศเหนือ 70 กิโลเมตร และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเชียงตุงในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 มีแผ่นดินไหวตามเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งความรุนแรง 4.6 แมกนิจูด โดยในหลายจังหวัดทางภาคเหนือในประเทศไทยได้เกิดแผ่นดินไหวด้วย", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554" }, { "docid": "365447#2", "text": "เวลา 20.55 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศพม่า โดยมีจุดศูนย์กลางบริเวณเชิงเขาในประเทศพม่าใกล้กับชายแดนไทยและลาว ในรัฐฉานทางภาคตะวันออกของพม่า ลึกลงไปใต้ดิน 10 กิโลเมตร วัดแรงสั่นสะเทือนได้ที่แมกนิจูด 6.7 โดยแรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ในหลายเมืองของพม่า ตั้งแต่ตองยี พะโค ชเวยิน ตองอู มัณฑะเลย์ และเนย์ปิดอว์ เมืองหลวงของพม่า โดยเฉพาะที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก สามารถรับรู้ได้มากที่สุด และแรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ในหลายประเทศ เช่น ทางภาคเหนือและภาคกลางของประเทศไทย กรุงเวียงจันทน์ของประเทศลาว กรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม และแคว้นสิบสองปันนาของประเทศจีน", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554" } ]
[ { "docid": "365447#1", "text": "แผ่นดินไหวระดับตื้นนี้เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ซึ่งเป็นเขตมุดตัวของเปลือกโลกระหว่างแผ่นอินโด-ออสเตรเลียนและแผ่นยูเรเซียน โดยมีสาเหตุมาจากรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกตั้งแต่ที่ราบสูงยูนนาน-กุ้ยโจวลงมาถึงทางภาคเหนือของประเทศไทย และจากการที่ประเทศพม่าเป็นเขตเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวอยู่แล้วด้วย แผ่นดินไหวครั้งสำคัญอื่น ๆ ในบริเวณนี้คือแผ่นดินไหวในมณฑลยูนนาน พ.ศ. 2554 และ แผ่นดินไหวในประเทศลาว พ.ศ. 2550", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554" }, { "docid": "776604#0", "text": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า เมษายน พ.ศ. 2559 เป็นแผ่นดินไหวขนาด 6.9 ตามมาตราขนาดโมเมนต์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 เมษายน เวลา 20:25 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศพม่า () ซึ่งมีจุดเกิดแผ่นดินไหวอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองมัณฑะเลย์ แผ่นดินไหวครั้งนี้รู้สึกแรงสั่นสะเทือนได้ถึงประเทศบังกลาเทศ และ อินเดีย รวมไปถึงประเทศไทย ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า เมษายน พ.ศ. 2559" }, { "docid": "804047#0", "text": "ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เมื่อเวลา 17:04 น. ตามเวลามาตรฐานพม่า (17:34 น. ตามเวลาในไทย) เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ตามมาตราขนาดโมเมนต์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแห่งหนึ่งทางตอนกลางของพม่า ห่างจากเมืองเชาะไปทางทิศตะวันตกประมาณ สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐอเมริกาวัดความลึกได้ 84.1 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ถึงนครย่างกุ้ง; กรุงเทพมหานคร; กรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศ; เมืองปัฏนา, โกลกาตา และคุวาหาฏี ทางภาคตะวันออกของอินเดีย มีรายงานว่าวัดและเจดีย์หลายแห่งบริเวณเมืองโบราณพุกามได้รับความเสียหาย และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า สิงหาคม พ.ศ. 2559" }, { "docid": "365447#3", "text": "สำหรับประเทศไทย ในเวลา 20.55 น. ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทั่วทุกพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย โดยภายในตัวเมืองรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนได้ครั้งแรกในเวลา 20.55 น. และครั้งที่ 2 ในเวลา 21.30 น. โดยแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นครั้งละประมาณ 5 วินาที โดยในครั้งแรกที่ประชาชนเริ่มรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน ได้เริ่มหนีออกมาอยู่นอกตัวอาคารบ้านเรือนกันจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ภายในตึกสูง เช่น อพาร์ทเม้นท์ และหอพัก สำหรับในครั้งแรก ซึ่งการสั่นสะเทือนยาวนานถึงประมาณ 7 วินาที ส่งผลให้ไฟฟ้าในหลายจุดดับลง และเป็นปกติได้ในเวลาไม่นานนัก สำหรับการติดต่อสื่อสาร นอกจากระบบ AIS ที่ยังพอสามารถใช้การได้ในบางช่วง ส่วนที่เหลือทุกระบบไม่สามารถใช้การได้เป็นส่วนใหญ่", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554" }, { "docid": "365447#14", "text": "ต่อมา ในวันที่ 26 มีนาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้า กรณีเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่าเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยว่า ยอดผู้บาดเจ็บทั้งหมด 18 ราย เสียชีวิต 1 ราย และจากการติดตามผลความเสียหายของกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พบโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้รับความเสียหายเล็กน้อย ผนังกะเทาะ ไม่กระทบกระเทือนถึงโครงสร้างหลักทั้งหมด 14 แห่ง เป็นโรงพยาบาลศูนย์ 1 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน 8 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 5 แห่ง นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ได้ออกมาตรการป้องกันและลดผลกระทบจากแผ่นดินไหว ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ กาญจนบุรี และตาก ให้เตรียมความพร้อมด้วยมาตรการ 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ โดยให้ซักซ้อมทำความเข้าใจกับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ ถึงแนวทางปฏิบัติพร้อมกับสำรวจผู้ป่วยที่จะต้องดำเนินการเคลื่อนย้ายกรณีฉุกเฉิน และเตรียมความพร้อมด้านเส้นทาง 2.ด้านระบบบริการ ให้เตรียมความพร้อมของทีม บุคลากร อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นในการให้บริการผู้บาดเจ็บ 3.ด้านอาคารและสถานที่ ให้ตรวจสอบจุดที่เสี่ยงต่อการพังทลาย ดำเนินการป้องกัน และเตรียมทางออกฉุกเฉินอย่าให้มีสิ่งกีดขวาง 4.ด้านสาธารณูปโภค เตรียมความพร้อมระบบไฟฟ้าสำรอง ระบบสื่อสาร และเครื่องมือดับเพลิง และ5.ด้านวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ โดยป้องกันวัสดุ สิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ให้ล้มทับ ตกหล่น ตลอดจนสำรวจป้องกันอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ที่มีราคาสูง", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554" }, { "docid": "365447#16", "text": "เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในห้างสรรพสินค้าเดอะแพลทินัม แฟชั่นมอลล์ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยไฟไหม้อุปกรณ์ก่อสร้างบริเวณชั้นใต้ดินซึ่งกำลังมีการก่อสร้างเป็นลานจอดรถ ใช้เวลาในการดับเพลิงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพลิงจึงสงบ โดยไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ปรากฏเพียงรอยไหม้บนพื้นเพียง 15 ตารางเมตร ไม่ได้ลุกลามมาทางห้าง ส่วนใหญ่มีเพียงควันลอยเข้าไป ทั้งนี้ มีบริษัท ซินเทค เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบริเวณที่เกิดไฟไหม้", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554" }, { "docid": "414755#0", "text": "แผ่นดินไหวในรัฐเวอร์จิเนีย พ.ศ. 2554 เกิดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เมื่อเวลา 19.51 น. ตามเวลาท้องถิ่น (17:51 UTC) ในพื้นที่เปียดมอนต์ของรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ในลุยซาเคาน์ตี ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของริชมอนด์ 61 กิโลเมตร และ 8 กิโลเมตรทางใต้-ตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองมิเนอรัล 8 กิโลเมตร แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวระหว่างแผ่นเปลือกโลกโดยมีวัดขนาดได้ที่แมกนิจูด 5.8 และวัดความรุนแรงได้ระดับ 7 ตามมาตราเมร์กัลลี เกิดแผ่นดินไหวตามหลายครั้ง ซึ่งมีขนาดใหญ่สุด 4.5 เกิดขึ้นหลังการสั่นสะเทือนหลัก", "title": "แผ่นดินไหวในรัฐเวอร์จิเนีย พ.ศ. 2554" }, { "docid": "887084#1", "text": "แผ่นดินไหวในรัฐปวยบลาเกิดขึ้นหลังจากเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่นอกชายฝั่งรัฐเชียปัสเมื่อ 11 วันก่อน นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นในวันครบรอบปีที่ 32 ของเหตุแผ่นดินไหวในเม็กซิโกซิตี พ.ศ. 2528 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 10,000 คน ก่อนที่จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวประมาณสองชั่วโมง ทั่วประเทศได้เริ่มจัดการซ้อมหลบภัยแผ่นดินไหวเนื่องในโอกาสครบรอบการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 2528 พอดี", "title": "แผ่นดินไหวในรัฐปวยบลา พ.ศ. 2560" } ]
848
สงครามอ่าวเปอร์เซีย สิ้นสุดลงเมื่อใด?
[ { "docid": "10947#0", "text": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือ สงครามอ่าว (English: Gulf War, 2 สิงหาคม 2533 – 28 กุมภาพันธ์ 2534) ชื่อรหัส<b data-parsoid='{\"dsr\":[7566,7593,3,3]}'>ปฏิบัติการโล่ทะเลทราย (Operation Desert Shield, 2 สิงหาคม 2533 – 17 มกราคม 2534) เป็นปฏิบัติการนำสู่การสั่งสมกำลังและการป้องกันของซาอุดีอาระเบียและ<b data-parsoid='{\"dsr\":[7719,7747,3,3]}'>ปฏิบัติการพายุทะเลทราย (Operation Desert Storm, 17 มกราคม 2534 – 28 กุมภาพันธ์ 2534) ในระยะสู้รบ เป็นสงครามในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียระหว่างกำลังผสมจาก 34 ชาตินำโดยสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอิรักหลังการบุกครองและผนวกคูเวตของอิรัก", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" } ]
[ { "docid": "273127#1", "text": "ความเห็นที่ยังไม่ตกลงกันได้คือความเห็นที่เกี่ยวกับว่าเมื่อใดที่สงครามการปฏิวัติฝรั่งเศสสิ้นสุดลง และเมื่อใดที่สงครามนโปเลียนเริ่มขึ้น วันเริ่มต้นอาจจะเป็นวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1799 ซึ่งเป็นวันที่นโปเลียนทำรัฐประหาร 18 บรูแมร์ (ในปีที่ 7 ตามปฏิทินสาธารณรัฐฝรั่งเศสในยุคนั้น) หรือวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1803 เมื่อมีการประกาศสงครามระหว่างบริเตนและฝรั่งเศสที่ทำให้ช่วงเวลาของความสันติในยุโรประหว่าง ค.ศ. 1792 ถึง ค.ศ. 1814 ต้องมาสิ้นสุดลง หรือเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1804 เมื่อนโปเลียนสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิ", "title": "สงครามนโปเลียน" }, { "docid": "10947#146", "text": "ขีปนาวุธสกั๊ดใช้ตัวนำวิถีแบบเฉื่อยซึ่งจะทำงานอยู่สักระยะพร้อมกับเครื่องยนต์ อิรักใช้สกั๊ดเพื่อโจมตีใส่อิสราเอลและซาอุดิอาระเบีย ขีปนาวุธบางลูกสร้างความเสียหายมหาศาลในขณะที่บางลูกทำได้เพียงเล็กน้อย ความกลัวต่อสกั๊ดเพิ่มขึ้นเมื่อคาดกันว่าอิรักอาจใช้หัวรบที่เป็นอาวุธชีวภาพหรือเคมี แต่กระนั้นก็ไม่มีขีปนาวุธแบบดังกล่าวโจมตีใส่ที่ใด", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "238555#9", "text": "ค.ศ. 1537 ฟรันซิสโก ฆาบิเอร์ กับอิกเนเชียสแห่งโลโยลาเดินทางไปกรุงโรมเพื่อขอพรจากสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 3 ก่อนการเดือนทางไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ แต่การเดินทางก็ไม่สามารถเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดสงครามระหว่างเวนิสกับตุรกี เมื่อสหายทั้งสองได้รับศีลอนุกรมเมื่อมาถึงเวนิส ในวันที่ 24 มิถุนายนของปีเดียวกัน ในขณะที่รอเรือเพื่อจะไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ พวกได้เริ่มพระกาศความเชื่อให้กับคนรอบข้าง และพวกเขาได้เสนอตัวต่อสมเด็จพระสันตะปาปาเพื่อจะไปประกาศความรักของพระเจ้าในสถานที่ใดก็ตาม ด้วยเหตุนั้นนี่เองพวกเขาเดินทางไปลิสบอนในปี ค.ศ.1540 เพี่อเริ่มชีวิตมิชชันนารี เหตุที่ต้องเดินทางไปลิสบอนก็เพราะเอกอัครราชทูตโปรตุเกส ณ กรุงโรม ได้ขอสมาชิกจำนวนหนึ่งจากอิกเนเชียสแห่งโลโยลา ในนามของพระเจ้าฌูเอาที่ 3 แห่งโปรตุเกส เพื่อส่งไปยังอินเดีย ส่วนฟรังซิสโก ฆาบิเอร์ ถูกส่งไปโดยพระสันตะปาปาโดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนพระองค์ในแผ่นดินของทะเลแดง อ่าวเปอร์เซีย และทะเลทั้งสองฝั่งของแม่น้ำคงคา", "title": "ฟรันซิสโก ฆาบิเอร์" }, { "docid": "10947#1", "text": "สงครามนี้มีชื่ออื่น เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามอ่าวครั้งที่หนึ่ง, สงครามคูเวต, สงครามอิรัก[1][2][3][lower-alpha 1] ซึ่งคำว่า \"สงครามอิรัก\" ต่อมาใช้เรียกการบุกครองอิรักเมื่อปี 2546 แทน[4] การยึดครองคูเวตของกองทัพอิรักซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 นั้นถูกนานาชาติประณาม และสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติพลันใช้วิธีการบังคับทางเศรษฐกิจต่ออิรัก ประธานาธิบดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช วางกำลังสหรัฐเข้าสู่ซาอุดีอาระเบียและกระตุ้นให้ประเทศอื่นส่งกำลังของตนไปที่นั้นด้วย มีหลายชาติเข้าร่วมกำลังผสม ซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารที่ใหญ่ที่สุดนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง กำลังทหารของกำลังผสมส่วนใหญ่มาจากสหรัฐ โดยมีซาอุดีอาระเบีย สหราชอาณาจักรและอียิปต์เป็นผู้มีส่วนร่วมรายใหญ่ตามลำดับ ซาอุดีอาระเบียสมทบเงิน 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากค่าสงคราม 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[5]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#119", "text": "กระสุนยูเรเนียม (Depleted uranium) ถูกใช้ในสงครามอ่าวเป็นกระสุนเจาะเกราะพลังงานจลล์ของรถถังและกระสุนปืนใหญ่ขนาด 20-30 ม.ม. การใช้กระสุนแบบนี้ในสงครามอ่าวครั้งแรกถูกกล่าวว่าเป็นผลทำให้สุขภาพของทหารผ่านศึกและพลเรือนได้รับผลกระทบ[101][102][103]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#104", "text": "ออสเตรเลียได้ส่งกองเรือเฉพาะกิจเข้าร่วมสงคราม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือนานาชาติในอ่าวเปอร์เซียและอ่าวโอมานใน<b data-parsoid='{\"dsr\":[76353,76376,3,3]}'>ปฏิบัติการดามาส์ค นอกจากนี้แล้วยังมีทีมแพทย์ที่ทำหน้าที่บนเรือพยาบาลของสหรัฐแและทีมกวาดทุ่นระเบิดใต้น้ำที่ได้ทำการกำจัดทุ่นระเบิดที่ท่าเรือของคูเวตหลังจากการรบสิ้นสุดลง", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "7675#6", "text": "ในการแข่งขันครั้งที่ 12 ซึ่งจัดขึ้นที่นครฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) เป็นครั้งแรกที่มิได้จัดแข่งขันในเมืองหลวงของประเทศ โดยกลุ่มประเทศที่แยกตัวเป็นเอกราชจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งประกอบด้วยคาซักสถาน, คีร์กีซสถาน, อุซเบกิสถาน, เติร์กเมนิสถาน และทาจิกิสถาน เข้าร่วมเป็นครั้งแรก ส่วนอิรักมิได้รับการยินยอมให้เข้าร่วม เนื่องจากเป็นชาติที่ก่อสงครามอ่าวเปอร์เซีย เมื่อปี พ.ศ. 2533 และเกาหลีเหนือคว่ำบาตรการแข่งขัน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นปัญหา นอกจากนี้ยังเกิดการสูญเสียผู้แทนจากประเทศเนปาล \"ณเรศกุมาร์ อธิการี\" (Nareshkumar Adhikari) ซึ่งเสียชีวิตระหว่างพิธีเปิดการแข่งขัน จากนั้นในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) เป็นประวัติศาสตร์ของเอเชียนเกมส์ เมื่อกรุงเทพฯของไทย เป็นเจ้าภาพครั้งที่ 4 โดยพิธีเปิดในสามครั้งแรก มีขึ้นในวันที่ 9 ธันวาคม ส่วนครั้งนี้เปิดในวันที่ 6 แต่ทั้งหมดสิ้นสุดในวันเดียวกันคือ 20 ธันวาคม และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดทั้งสี่ครั้ง", "title": "เอเชียนเกมส์" }, { "docid": "10947#148", "text": "สงครามอิหร่าน-อิรัก สงครามอิรัก", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#124", "text": "นับเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เน้นย้ำคำถามว่าทำไมอิรักจึงมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงนัก เหตุการณ์นี้เรียกว่า\"การจู่โจมด้วยรถบูลโดเซอร์\" ซึ่งมีกองทหารสองกองจากกองพลทหารราบที่ 1 ของสหรัฐได้พบกับสนามเพลาะขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนและเป็นส่วนหนึ่งของแนวป้องกันที่แน่นหนาที่เรียกกว่า\"แนวซัดดัม ฮุสเซน\" หลังจากการหารือพวกเขาก็ตัดสินใจใช้พลั่วกวาดทุ่นระเบิดที่ติดตั้งกับรถถังและเครื่องมือทหารช่างเข้าบดไถทหารอิรักที่กำลังป้องกันแนวทั้งเป็น หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงรายงานว่าผู้บัญชาการของสหรัฐคาดว่ามีทหารอิรักนับพันที่ยอมจำนนและรอดจากการถูกฝังทั้งเป็นซึ่งกินเวลานานสองวันตั้งแต่วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 แพททริก เดย์ สโลยันจาก\"นิวส์เดย์\"รายงานว่า \"ยานเกราะแบรดลีย์และยานลำเลียงหุ้มเกราะวัลแคนได้แล่นทับแนวสนามเพลาะพร้อมกับยิงเข้าใส่ทหารอิรัก ในขณะที่รถถังกลบฝังพวกเขาด้วยกองทราย 'ผมตามติดกองร้อยหน้าข้างหน้า' [ผู้พันแอนโธนี] มอรีโนกล่าว 'สิ่งที่เห็นคือสนามเพลาะที่ถูกฝังพร้อมกับคน' มีอาวุธและสิ่งของโผล่ขึ้นมาจากร่างเหล่านั้น...'\"[106] อย่างไรก็ตามหลังสิ้นสุดสงครามรัฐบาลอิรักได้อ้างว่าพวกเขาพบศพเพียง 44 ศพเท่านั้น[107] ในหนังสือ\"เดอะวอร์สอะเกนส์ทซัดดัม\"ของจอห์น ซิมป์สันกล่าวหาทหารอเมริกันว่าพยายามปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้น[108] หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาจากกรมทหารที่ 1 ออกมากล่าวว่า \"ผมรู้ว่าการฝังกลบคนแบบนั้นเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ผมคิดว่ามันจะเลวร้ายกว่ามากถ้าหากเราส่งทหารของเราเข้าไปในสนามเพลาะนั่นแหละจัดการศัตรูด้วยมีดปลายปืน\"[106]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#109", "text": "การสืบสวนของเบธ ออสบอร์น ดาปองต์ประมาณได้ว่ามีพลเรือนโดนทิ้งระบิดไป 3,500 คนและอีก 1 แสนคนได้รับผลกระทบอื่นๆ จากสงคราม[84][85][86]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#105", "text": "แม้ว่ากองกำลังของออสเตรเลียจะไม่ได้ทำการปะทะใดๆ แต่พวกเขาก็มีบทบาทสำคัญในการคว่ำบาตรอิรัก เช่นเดียวกับการให้การสนับสนุนอื่นๆ ในปฏิบัติการพายุทะเลทราย หลังจากสิ้นสุดสงครามออสเตรเลียได้ส่งหน่วยแพทย์ไปทำหน้าที่ในปฏิบัติการฮาบิแทตที่ทางตอนเหนือของอิรัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการโพรไวด์คอมเฟิร์ท", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#129", "text": "ด้วยเหตุที่ซาอุดิอาระเบียเป็นที่ตั้งของเมกกะและเมดินา สถานที่ศักดิ์สิทธิที่สุดของชาวมุสลิม ชาวมุสลิมมากมายจึงไม่พอใจที่มีทหารเข้ามาประจำการถาวรในเมือง การมีอยู่ของทหารสหรัฐในซาอุหลังจากสิ้นสุดสงครามเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เป็นแรงจูงใจให้กับเหตุการณ์11 กันยายน[120] การระเบิดหอโคบาร์ และการเลือกวันระเบิดสถานทูตสหรัฐ (7 สิงหาคม) ในปีพ.ศ. 2541 ซึ่งนับเป็นระยะเวลาแปดปีตั้งแต่ที่ทหารสหรัฐเข้าไปตั้งฐานในซาอุดิอาระเบีย[121] โอซามา บิน ลาเดนย้ำเสมอว่าศาสดามุฮัมมัดได้ห้ามมิให้มี\"การปรากฏตัวของพวกนอกศาสนาในพื้นที่ของอาหรับ\"[122] ในปีพ.ศ. 2539 บิน ลาเดนได้ทำการฟัตวาโดยเรียกร้องให้ทหารของสหรัฐถอยกำลังออกจากซาอุดิอาระเบีย ในเดือนธันวาคมพ.ศ. 2542 บิน ลาเดนได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกว่าชาวอเมริกัน \"อยู่ใกล้เมกกะมากเกินไป\" และมองว่าเป็นการกระทำที่ยั่วยุโลกอาหรับ[123]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#55", "text": "ห้าชั่วโมงหลังจากการโจมตีครั้งแรก วิทยุของอิรักได้ประกาศว่า \"ชัยชนะของเราอยู่แค่เอื้อมเมื่อเราเริ่มตอบโต้นี้\" อิรักได้ยิงขีปนาวุธแปดลูกในวันต่อมา การใช้ขีปนาวุธเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดสงคราม มีการยิงขีปนาวุธสกั๊ดไปทั้งหมด 88 ลูกในช่วงเจ็ดสัปดาห์ของสงคราม[63]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "203634#3", "text": "หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้แถลงการณ์ว่า “...การประกาศสงครามกับประเทศอเมริกาของประเทศไทยเป็นการกระทำที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นปฏิปักษ์ต่อเจตจำนงของประชาชนชาวไทย และประเทศไทยมีความตั้งใจมั่นที่จะฟื้นความสัมพันธ์ทางไมตรีกับสหประชาชาติเหมือนดังที่มีก่อนถูกญี่ปุ่นเข้าครอบครอง มีคำมั่นสัญญาว่ากฎหมายใดที่ได้ออกมาเป็นปฏิปักษ์ต่อส่วนได้เสียของเราจะได้มีการพิจารณายกเลิก มีคำรับรองว่าถ้ากฎหมายเช่นว่านี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายและประกาศปฏิญญาว่าประเทศไทยจะได้ให้ความร่วมมือทุกอย่างแก่สหประชาชาติในการสร้างเสถียรภาพโลก...” ", "title": "อาชญากรรมสงคราม" }, { "docid": "359243#0", "text": "เบบีบูมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หมายถึง ช่วงเบบีบูมที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศตะวันตก ยังไม่เป็นที่ตกลงกันว่าช่วงเบบีบูมดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นและสิ้นสุดลงอย่างชัดเจนเมื่อใด แต่ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าช่วงเบบีบูมนี้เริ่มต้นขึ้นทันทีหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ และสิ้นสุดลงในอีกมากกว่าหนึ่งทศวรรษถัดมา อัตราการเกิดในสหรัฐอเมริกาเริ่มลดลงใน ค.ศ. 1957 ซิลเวีย พอร์เตอร์ คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กโพสต์ เป็นบุคคลแรกที่ใช้คำว่า \"บูม\" เพื่อหมายถึงปรากฏการณ์การเพิ่มอัตราการเกิดในสหรัฐอเมริกาหลังสงคราม", "title": "เบบีบูมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง" }, { "docid": "10947#40", "text": "กองกำลังผสมบางส่วนรู้สึกลังเลที่จะเข้าร่วมสงคราม บางชาติเห็นว่าสงครามดังกล่าวเป็นเรื่องภายในของชาติอาหรับ หรือบางชาติก็ไม่ต้องการที่จะให้สหรัฐมีอิทธิพลในตะวันออกกลางมากขึ้น ในท้ายที่สุดหลายประเทศก็ยอมเข้าร่วมเพราะเห็นความเกรี้ยวกราดของอิรักที่มีต่อรัฐอาหรับอื่นๆ โดยชาติเหล่านั้นเสนอที่จะให้การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจหรือยกเลิกหนี้สิน[47]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#18", "text": "เมื่อสิ้นสุดสงครามอิหร่านอิรักในปีพ.ศ. 2531 กองทัพบกอิรักกลายเป็นกองทัพอันดับสี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยประกอบด้วยทหาร 955,000 นายและกองกำลังกึ่งทหารอีก 650,000 นาย จากการคาดการณ์ขั้นต่ำของจอห์น ไชลด์สและอังเดร คอร์วิแซร์ กองทัพอิรักสามารถระดมรถถังได้ 4,500 คัน อากาศยานรบ 484 ลำ และเฮลิคอปเตอร์รบอีก 232 ลำ[20] ไมเคิล ไนท์ส คาดการว่า ในกรณีอย่างมาก อิรักจะสามารถระดมพลได้ 1 ล้านนายและกองกำลังสำรองอีก 850,000 นาย พร้อมรถถัง 5,500 คัน ปืนใหญ่ 3,000 กระบอก อากาศยานรบและเฮลิคอปเตอร์ 700 ลำ เป็นทั้งหมด 53 กองพล กรมสงครามพิเศษ 20 กรม และกองกำลังติดอาวุธอีกจำนวนมากตามพื้นที่ และพวกเขาก็มีการป้องกันทางอากาศที่แน่นหนาอีกด้วย[21]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#3", "text": "ความขัดแย้งระยะแรกเพื่อขับกองทัพอิรักออกจากคูเวตเริ่มด้วยทางระดมทิ้งระเบิดทางอากาศและทางเรือเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2534 และดำเนินไปห้าสัปดาห์ ตามด้วยการโจมตีภาคพื้นดินเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ สงครามสิ้นสุดด้วยชัยชนะอย่างขาดลอยของกำลังผสม ซึ่งขับกองทัพอิรักออกจากคูเวตและรุกเข้าดินแดนอิรัก กำลังผสมยุติการบุกและประกาศหยุดยิงหลังการทัพภาคพื้นเริ่ม 100 ชั่วโมง การสู้รบทางอากาศและทางบกจำกัดอยู่ในประเทศอิรัก คูเวตและบางพื้นที่ตรงพรมแดนซาอุดีอาระเบีย ประเทศอิรักปล่อยขีปนาวุธสกั๊ดต่อเป้าหมายทางทหารของกำลังผสมและต่ออิสราเอล", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "93741#46", "text": "อังกฤษถือว่าการที่ไทยได้เป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามต่ออังกฤษ ได้สร้างความเสียหายต่ออังกฤษและอังกฤษมีสิทธิจะเรียกร้องความเสียหายนั้นจากไทย นอกจากนี้ อังกฤษยังต้องการรื้อฟื้นระบบอาณานิคมของตนในเอเชียตะวันออกขึ้นมาใหม่ หลังจากที่อิทธิพลของตนในอาณานิคมต่างๆเสื่อมถอยลงจากการรุกรานของญี่ปุ่น เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ท่าทีของอังกฤษขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐอเมริกาไม่อยากถูกมองว่าเข้าร่วมสงครามเพื่อรักษาระบบอาณานิคมของชาติใด สหรัฐต้องการจัดระเบียบโลกใหม่ให้เป็นตามกฎบัตรแอตแลนติก หนึ่งในนโยบายของสหรัฐคือการคงเอกราชของไทยไว้เพื่อเป็นตัวอย่างนโยบายของตัวเองต่อภูมิภาค สหรัฐกรานปกป้องไทยซึ่งเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก โดยถือว่าไทยในขณะนั้นเป็นดินแดนที่ถูกข้าศึกครอบครอง และไม่ยอมรับว่าไทยประกาศสงครามต่อตัวเองตามแนวคิดของขบวนการเสรีไทย", "title": "สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย" }, { "docid": "10947#54", "text": "รัฐบาลของอิรักเตรียมพร้อมที่จะโจมตีกลับเสมอหากถูกรุกราน ก่อนที่สงครามเริ่มต้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิรักทาริก อซิซถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าวหลังจากการประชุมเพื่อสันติภาพกับสหรัฐที่เจนีวาล้มเหลวลง นักข่าวถามเขาว่า \"ท่านรัฐมนตรีครับ ถ้าสงครามเริ่มขึ้น...อิรักจะตอบโต้หรือไม่\" นายทาริกตอบว่า \"ครับ แน่นอน\"[61][62]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#94", "text": "ในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2534 ทหารสหรัฐจำนวน 540,000 นายเริ่มทำการถอนกำลังออกจากอ่าวเปอร์เซีย", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#93", "text": "คำถามในใจผมคือ ซัดดัมมีค่ามากแค่ไหนที่เราจะยอมสูญเสียทหารอเมริกันเพิ่มอีก คำตอบก็คือ ไม่เลย ผมจึงคิดว่าเราควรทำสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งตอนที่เราตัดสินใจขับไล่เขาออกจากคูเวตและตอนที่ท่านประธานาธิบดีตัดสินใจว่าเราได้บรรลุเป้าหมายแล้วและเราจะไม่ยอมให้มีปัญหาใดจากการพยายามยึดครองอิรักมาหยุดพวกเรา[80]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#2", "text": "สงครามนี้มีการริเริ่มการถ่ายทอดข่าวสดจากแนวหน้าของการสู้รบ หลัก ๆ โดยเครือข่ายซีเอ็นเอ็นของสหรัฐ[6][7][8] สงครามนี้ยังได้ชื่อเล่นว่า สงครามวิดีโอเกม หลังการถ่ายทอดภาพรายวันจากกล้องบนเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐระหว่างปฏิบัติการพายุทะเลทราย[9][10]", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#149", "text": "หมวดหมู่:สงครามปัจจุบัน หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับโมร็อกโก หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบีย หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับคูเวต", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#138", "text": "นานาประเทศจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการร่วมกันให้ความช่วยเหลือผ่านทางกลุ่มร่วมมือทางการเงินวิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซีย (The Gulf Crisis Financial Co-ordination Group) มีประเทศทั้งหมด 24 ประเทศเข้าร่วมกลุ่ม โดยส่วนมากมาจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และคูเวต สมาชิกของกลุ่มได้ตกลงที่จะกระจายเงินจำนวน 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่การช่วยเหลือด้านการพัฒนา", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "384396#4", "text": "ซึ่งสงครามครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาณาจักรโกนบอง ที่ถือได้ว่ามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ขณะนั้น ซึ่งนับจากนี้ต่อไป พม่าไม่อาจจะแสดงอิทธิพลหรือแผ่แสนยานุภาพใด ๆ อีกต่อไป และนำไปสู่การสิ้นสุดลงของราชวงศ์โกนบอง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายในประวัติศาสตร์พม่า และถือเป็นสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยของพม่าในปี ค.ศ. 1885 หลังสิ้นสุดสงครามพม่า-อังกฤษ ครั้งที่ 3", "title": "สงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "338356#34", "text": "ต่อมาได้มีการเจรจาระหว่างกันจนนำไปสู่สนธิสัญญาเกนต์ ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามด้วยการรื้อฟื้นสถานะ \"รัฐแห่งสภาวะก่อนสงคราม\" () ซึ่งทำให้อาณาเขตของทั้งสองฝ่ายไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่อย่างใด ผู้แทนเจรจาฝ่ายสหรัฐ อัลเบิร์ต แกลลาติน ได้แถลงยอมรับว่า", "title": "ความสัมพันธ์สหราชอาณาจักร–สหรัฐ" }, { "docid": "10947#33", "text": "ความกังวลหลักของประเทศตะวันตกคือการที่ซาอุดิอาระเบียตกอยู่ในภัยคุกคามจากอิรัก หลังจากที่คูเวตถูกยึด อิรักก็เข้าสู่ระยะใกล้พอที่จะเข้าโจมตีบ่อน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย หากว่าบ่อน้ำมันดังกล่าวถูกควบคุมพร้อมกับในคูเวตและของอิรัก ซัดดัมก็จะควบคุมแหล่งน้ำมันหลักของโลกเอาไว้ นอกจากนี้แล้วอิรักเองก็มีความแค้นส่วนตัวกับซาอุ ซาอุนั้นได้ให้เงินยืมแก่อิรักในสงครามอิรักอิหร่านเป็นจำนวน 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุที่ซาอุยอมช่วยอิรักในครั้งนั้นก็เพราะว่ากลัวอิทธิพลของนิกายชีอะฮ์ที่ลุกฮือจากการปฏิวัติในอิหร่าน หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ซัดดัมคิดว่าเขาไม่ต้องจ่ายหนี้ให้กับซาอุเพราะอิรักได้ช่วยตอบแทนด้วยการต่อสู้กับอิหร่านไปแล้ว", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" }, { "docid": "10947#97", "text": "สหราชอาณาจักรเป็นชาติยุโรปที่ส่งกองทัพเข้าร่วมรบมากที่สุดในสงคราม ปฏิบัติการทั้งหลายในสงครามอ่าวถูกเรียกว่าปฏิบัติการแกรนบี้ กองพลจากกองทัพบกอังกฤษ (ส่วนใหญ่มาจากกองพลยานเกราะที่ 1) กองทัพอากาศ และกองทัพเรือเข้าร่วมในสงครามอ่าว กองทัพอากาศอังกฤษใช้ฐานบินในซาอุดิอาระเบีย มียานเกราะเกือบ 2,500 คันและทหาร 53,462 นายถูกส่งมาทางเรือ", "title": "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" } ]
3100
พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ มรณภาพเมื่อไหร่?
[ { "docid": "908995#0", "text": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ หรือ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม (27 มกราคม พ.ศ. 2432 - 8 กันยายน พ.ศ. 2504) เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี พระป่ากรรมฐานศิษย์องค์สำคัญของ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" } ]
[ { "docid": "908995#17", "text": "ในการนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ดำริให้สร้างวัดป่าอรัญวาสีขึ้น สำหรับคณะสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ เพื่อใช้จำพรรษาและบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐาน หลวงชำนาญนิคมเขต ผู้บังคับกองตำรวจกองเมืองนครราชสีมาในขณะนั้น มีศรัทธาถวายที่ดินและรับบัญชาก่อสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้น ซึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ให้นามว่า วัดป่าสาลวัน โดยมี พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก และได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นอีกแห่ง ซึ่งก็คือ วัดป่าศรัทธารวม โดยมี พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ในกาลต่อมาได้มีสร้างวัดป่าอรัญวาสีในเขตจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียงเพิ่มมากขึ้น", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#22", "text": "ในปีนี้ คณะวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้มาอาราธนาให้ไปช่วยสั่งสอนพุทธบริษัทญาติโยมและช่วยสร้างศาลาการเปรียญ เมื่อทำเสร็จแล้วจึงกลับไปจำพรรษา ณ วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา และ พ.ศ. 2486 ในช่วงเวลานอกพรรษา ได้กลับไปจัดสร้างพระพุทธบาท กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร พร้อมมณฑปเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาท ณ วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#10", "text": "หลังจากออกพรรษาในปี พ.ศ. 2463 ท่านได้เดินทางไปหาหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งพำนักอยู่ที่จังหวัดสกลนคร และธุดงค์ติดตามต่อไปในเขตจังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และในช่วงนี้ได้ท่านได้พำนักกับ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อีกด้วย", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#3", "text": "ปี พ.ศ. 2446 เมื่อท่านอายุ 14 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรสำนักพระอุปัชฌาย์ป้อง ณ วัดบ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#1", "text": "หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมวินัย เอาใจใส่การศึกษาปฏิบัติธรรม มีความรู้ความเห็นลึกซึ้ง มีปฏิภาณเทศนาแจ่มแจ้ง โวหารไพเราะจับใจ มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนาธุระ ธรรมบาลี อักษรสมัย และวิทยาคม เป็นบุคคลที่มีจิตใจหนักแน่ ประพฤติพรหมจรรย์ บำเพ็ญวิปัสสนาธุระตลอดชีวิต มุ่งดีต่อหมู่คณะและพระศาสนา รับภารธุระครูบาอาจารย์ ฟื้นฟูทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระ เมื่อรับตำแหน่งฝ่ายบริหาร ยินดีรับภารธุระและเอาใจใส่ด้วยความเต็มใจ ยังกิจการคณะสงฆ์ให้เจริญรุ่งเรื่อง มีพระสงฆ์สามเณรและฆราวาสเป็นศิษย์มากมาย จนได้รับขนานนามว่า แม่ทัพธรรมพระกรรมฐาน", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#21", "text": "ปี พ.ศ. 2485 พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้เดินทางไปจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ ประเทศไทย ในขณะนั้น เพื่อรับสรีระสังขาร หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งได้มรณภาพในอิริยาบถนั่งกราบพระประธานครั้งที่ 3 ในพระอุโบสถวัดอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากร จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ ประเทศไทย ในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 สิริอายุ 82 ปี พรรษา 62 คณะศิษย์ได้เชิญศพของท่านกลับมา ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และได้ประกอบพิธีฌาปนกิจในวันที่ 15 - 16 เมษายน พ.ศ. 2486", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "6993#81", "text": "ลูกศิษย์ พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม)", "title": "จังหวัดขอนแก่น" }, { "docid": "908995#28", "text": "ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ตามลำดับ ดังนี้", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#27", "text": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม) ได้ละวางสังขารเนื่องจากเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารเรื้อรัง มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2504 เวลา 10.20 น. ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา สิริอายุ 72 ปี พรรษา 52", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#29", "text": "5 ธันวาคม พ.ศ. 2496 เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ \"พระครูญาณวิศิษฏ์\" [2] 5 ธันวาคม พ.ศ. 2500 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ \"พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์\"[3]", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#11", "text": "ปี พ.ศ. 2466 หลังออกพรรษา ปี พ.ศ. 2465 ท่านได้เดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากโยมมารดาถึงแก่กรรม และอยู่พำนักจำพรรษา ณ วัดสุทัศน์ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในการนี้ท่านได้นำ สามเณรเทสก์ เรี่ยวแรง ทำการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสุทัศน์ หรือ วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 โดยมี พระมหารัตน์ รฏฺฐปาโล ป.ธ. 4 เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ซึ่งสามเณรเทสก์ เรี่ยวแรง นั้นในกาลต่อมาก็คือ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี)", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "363800#21", "text": "พระครูวินัยธร พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร พระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ วัดใต้ จ.อุบลราชธานี พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา พระอาจารย์มหาปื่น ปญฺญาพโล วัดป่าแสนสำราญ จ.อุบลราชธานี พระอาจาย์อุ้ย บ้านหนองดินดำ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร พระอาจารย์บุญช่วย ธมฺมวโร วัดป่าศรีฐานใน จ.ยโสธร พระอาจารย์ทอง อโสโก วัดป่าโสภนาราม (สวนงัว) จ.อุบลราชธานี พระอาจารย์ดี ฉนฺโน วัดป่าสุนทราราม จ.ยโสธร พระอาจารย์เฒ่าทองรัตน์ กนฺตสีโล วัดป่าบ้านคุ้ม จ.อุบลราชธานี พระอาจารย์กงแก้ว ขนฺติโก วัดป่ากลางสนาม จ.มุกดาหาร พระอาจารย์บัวพา ปญฺโญภาโส วัดป่าพระสถิตย์ จ.หนองคาย พระราชสังวรญาณ พระอาจารย์มหาพุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา พระเทพสังวรญาณ พระอาจารย์พวง สุขินฺทริโย วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร พระอาจาย์หงส์ทอง สหธมฺโม (หลานพระอาจารย์ดี)", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "908995#30", "text": "ญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ หมวดหมู่:ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดอุบลราชธานี", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#23", "text": "ปี พ.ศ. 2487 พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้ไปพำนักจำพรรษา ณ วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจาก พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระน้องชายอาพาธและพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าแสนสำราญแห่งนี้ อีกทั้ง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ก็อาพาธและได้มาพักรักษาตัวอยู่ที่วัดสุปัฏนารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯก็ได้บัญชาให้ท่านมาอยู่พำนักจำพรรษาในที่ใกล้ๆไปมาเยี่ยมเยียนกันได้ง่าย", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#7", "text": "ปี พ.ศ. 2460 หลังออกพรรษา พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้เดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับ เด็กชายเทสก์ เรี่ยวแรง เพื่อเยี่ยมอาการป่วยของพี่ชายและน้องชาย ต่อมาพี่ชายได้ถึงแก่กรรม ส่วนน้องชาย คือ พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล หายป่วยและได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#19", "text": "ปี พ.ศ. 2483 ในขณะ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้กลับมาพำนักจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน เพื่อสอนพุทธบริษัทให้ฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาเป็นประจำ กระทั่งออกพรรษา คณะชาวบ้านหนองบัวใหญ่ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ได้มาอาราธนาให้ไปสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่ บ้านหนองบัวใหญ่ ท่านจึงได้เดินทางไปสร้างวัดขึ้นและให้ชื่อว่า วัดป่าไพโรจน์ ปัจจุบันคือ วัดป่าสุวรรณไพโรจน์ ต.หนองบัวใหญ่ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#13", "text": "ปี พ.ศ. 2470 ในวันเพ็ญ เดือน 3 ก่อนเข้าพรรษา คณะพระธุดงค์กรรมฐานของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ปักหลักอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี และได้จัดประชุมคณะสงฆ์ขึ้นในช่วงวันมาฆบูชา ซึ่งในการนี้ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ปรารภถึงการออกธุดงค์วิเวกเพียงลำพังเพื่อพิจารณาค้นคว้าในปฏิปทาสัมมาปฏิบัติอันเป็นธรรมอันสูงสุด และได้มอบภารธุระทุกอย่างให้แก่ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ศิษย์อาวุโสเป็นผู้บริหารปกครองหมู่คณะสงฆ์ แนะนำพร่ำสอน ตามแนวทางที่ท่านได้ให้ไว้แล้วต่อไป", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#20", "text": "ในปีนี้ ช่วงที่พำนักอยู่ วัดป่าไพโรจน์ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเป็นประธานในการจัดงานถวายมุทิตาจิต หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล อายุครบ 80 ปี โดยจัดขึ้น ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#16", "text": "ปี พ.ศ. 2475 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ในขณะที่ดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมปาโมกข์ และดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาสวัดสุทธจินดาวรวิหาร และ เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา ได้บัญชาให้ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระและหลักธรรมคำสอนให้แก่ประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ดังนั้น พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม จึงนำหมู่คณะสงฆ์ อาทิ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เดินทางมุ่งสู่งจังหวัดนครราชสีมา", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#12", "text": "ในปีนี้ ท่านได้ทำการอบรม พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ป.ธ.5 ผู้เป็นพระน้องชาย ในทางวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งพระมหาปิ่นผู้เป็นน้องชายได้ตัดสินใจออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมกรรมฐานศึกษาด้านวิปัสสนาธุระ และเผยแผ่พระธรรมคำสอนสู่ประชาชนเคียงบ่าเคียงไหล่พระพี่ชาย ชื่อเสียงขจรหอมฟุ้งร่ำลือไปไกล จนมีผู้จนเลื่อมใสศรัทธาอย่างกว้างขวางมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#8", "text": "ในการกลับมาจังหวัดอุบลราชธานีในครั้งนี้ ได้รับบัญชาจาก สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ในขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชมุนี เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนารามวรวิหารและเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี ให้ช่วยสั่งสอนพุทธบริษัทในวัดสุปัฎน์ (วัดสุปัฏนารามวรวิหาร) และวัดสุทัศน์ (วัดสุทัศนาราม) อีกด้วย และหลังออกจากพรรษาในปี พ.ศ. 2461 ท่านได้ออกธุดงค์ติดตามหา หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และพำนักจำพรรษาในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#14", "text": "ปี พ.ศ. 2471 พระครูพิศาลอรัญเขต ในกาลต่อมาก็คือ พระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์และเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่นในขณะนั้น ได้ทำหนังสือไปนิมนต์พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ศิษย์อาวุโสในองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ให้มาช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาธรรมปฏิบัติให้แก่ประชาชนจังหวัดขอนแก่น ท่านจึงได้กราบเรียนปรึกษาหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เมื่อเห็นว่าเหมาะสมดีแล้ว จึงมอบให้เป็นหน้าที่ของพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม รับนิมนต์", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#25", "text": "ปี พ.ศ. 2491 พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้ไปพำนักจำพรรษา ณ วัดป่าทรงคุณ ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพื่ออบรมสั่งสอนคณะพุทธบริษัทวัดป่าทรงคุณ ให้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ให้เป็นไปเพื่อความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่อมาได้สร้าง วัดป่าทรงธรรม ตำบลท่าตูม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี และท่านได้ไปช่วยคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบุรีสร้างวัดธรรมยุตขึ้นในเขตจังหวัดเพชรบุรีอีกด้วย", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#5", "text": "ปี พ.ศ. 2452 เมื่อท่านอายุ 20 ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสุทัศน์ เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 โดยมี พระศาสนดิลก (อ้วน ติสฺโส) ต่อมาดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเสน ชิตเสโน ต่อมาดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนดิลก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระปลัดทัศน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และได้พำนักจำพรรษา ณ วัดสุทัศน์ เมืองอุบลราชธานี แห่งนี้ ในปัจจุบันคือ วัดสุทัศนาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#24", "text": "ปี พ.ศ. 2489 ในขณะที่พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้กลับไปพำนักจำพรรษา ณ วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา นั้น พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489 ณ ณ วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ในการนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ได้บัญชาให้จัดพิธีฌาปนากิจโดยไม่ชักช้า พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม จึงได้จัดพิธีฌาปนากิจ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2489", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#2", "text": "หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม นามเดิมชื่อ สิงห์ บุญโท ถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ปีฉลู เอกศก จุลศักราช 1251 ตรงกับวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2432 ณ บ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในปัจจุบันคือ บ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ บิดาชื่อ เพียอินทวงษ์ (อ้าน บุญโท) มารดาชื่อ หล้า บุญโท ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 7 คน (บุตรคนที่ 5 คือ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ป.ธ.5 พระน้องชายของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม)", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "908995#26", "text": "ปี พ.ศ. 2504 พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้จัดงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดป่าสาลวันขึ้น ในการนี้ ได้ถือโอกาสจัดประชุมใหญ่คณะสงฆ์พระกรรมฐาน ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคอื่นๆ ได้มีตัวแทนพระภิกษุสงฆ์มาร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก เพื่อปรึกษาหารือข้อปัญหาทางพระวินัย และระเบียบการเดินธุดงค์ของคณะพระกรรมฐาน เพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจมีขึ้นเนื่องจากการเดินธุดงค์ไปต่างถิ่นห่างไกลครูบาอาจารย์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 และเมื่อเสร็จการประชุมแล้ว คณะสงฆ์ได้พร้อมเพรียงกันสวดถอดถอน และผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 7 -8 พฤษภาคม พ.ศ. 2504", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "860574#8", "text": "หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ได้อุปการะการสร้างและปฏิสังขรณ์เสนาสนะวัดป่าวิเวกธรรม เช่น พระอุโบสถวัดป่าวิเวกธรรม ศาลาขันตยาคมานุสรณ์ (เพื่อเป็นอนุสรณ์บูชาคุณ พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม) เจ้าอาวาสรูปแรก แม่ทัพธรรมพระกรรมฐาน ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) ศาลา 82 ปี \"พระมหาเจดีย์บูรพาจารย์\" กุฎิ เมรุ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้อุปการะการสร้างและปฏิบติสังขรณ์เสนาสนะให้แก่วัดต่างๆเช่น สร้างโบสถ์วัดกู่ทอง จ.มหาสารคาม สร้างศาลาการเปรียญวัดเทพนิมิต จ.มหาสารคาม สร้างเจดีย์และบูรณะเสนาสนะวัดป่าคีรีวัน จ.ขอนแก่น สร้างสถานปฏิบัติธรรมมัชฌิมชนบท จ.ขอนแก่น เป็นต้น", "title": "พระโสภณวิสุทธิคุณ (บุญเพ็ง กปฺปโก)" }, { "docid": "908995#4", "text": "ปี พ.ศ. 2449 เมื่อท่านอายุ 17 ปี ได้ย้ายไปอยู่ วัดสุทัศน์ เมืองอุบลราชธานี เพื่อศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ให้ยิ่งขึ้น และได้บวชซ้ำเป็นสามเณรธรรมยุตในสำนักพระครูสมุห์โฉม ณ วัดสุทัศน์ เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2449 ในปัจจุบันคือ วัดสุทัศนาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" } ]
2012
ขุนศึกโจโฉ มีบุตรกกี่คน?
[ { "docid": "19644#6", "text": "โจโฉมีบุตรชายทั้งหมด 5 คน คนแรกชื่อโจงั่ง ซึ่งเกิดจากนางเล่าฮูหยิน แต่เสียชีวิตเมื่อครั้งเกิดศึกสงครามกับเตียวสิ้วพร้อมกับภรรยาอีกคนหนึ่งคือนางเอียนสี โจโฉยังมีบุตรชายกับภรรยาคนที่สองซึ่งภายหลังกลายเป็นภรรยาเอกคือนางเปี้ยนสี อีก 4 คนคือโจผี โจเจียง โจสิด และ โจหิม โจหิมป่วยหนัก และเสียชีวิตแต่ยังหนุ่ม บุตรชายที่เหลือทั้ง 3 ได้รับราชการและสร้างผลงานเอาไว้ชัดเจน ในบั้นปลายชีวิตโจโฉป่วยเป็นโรคประสาท มักปวดหัวเป็นประจำ ว่ากันว่าเกิดขึ้นหลังจากแม่ทัพกวนอูแห่งจ๊กก๊กได้ถูกตัดหัวด้วยฝีมือของซุนกวนแห่งง่อก๊ก ซุนกวนก็คิดที่จะส่งหัวของกวนอูไปให้โจโฉเพื่อให้เล่าปี่หันไปล้างแค้นกับโจโฉแทนที่จะมาล้างแค้นตน เมื่อกล่องใส่หัวของกวนอูมาถึงมือโจโฉ โจโฉเปิดกล่องมองดูหัวของกวนอูก็หัวเราะและทักทายแต่แล้วจู่ๆหัวของกวนอูก็เบิกตาโพลงอ้าปากค้างทำให้โจโฉตกใจจนตกจากเก้าอี้ หลังจากนั้นเมื่อได้ฟังเรื่องลิบองถูกวิญญาณของกวนอูเข้าสิงลุกขึ้นด่าซุนกวนจนกระอั่งเลือดตายก็เกิดความกลัวจนพูดว่า \"ขนาดกวนอูตอนเป็นยังดูน่ากลัว ตอนตายก็ดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่อีก\"(และโจโฉก็รู้แผนของซุนกวนว่าปัดภัยมาให้ตน) จึงสั่งให้สลักร่างกายด้วยไม้หอมให้แก่กวนอูและฝังศพกวนอูทางทิศใต้ของเมืองลกเอี๋ยงและแต่งตั้งกวนอูเป็นอ๋องแห่งเกงจิ๋ว ตนก็จะไปเซ่นไหว้ให้แก่กวนอู หลังจากงานศพของกวนอูผ่านไป จิตใจของโจโฉก็อยู่ไม่เป็นสุขทุกคืนจึงคิดจะสร้างตำหนักใหม่แต่ขาดเสาเอก แต่ก็ได้พบมีศาลแห่งหนึ่งที่มีต้นสาลี่ใหญ่สูงกว่า 100 ศอกเหมาะที่จะเอามาทำเป็นเสาเอก โจโฉสั่งให้โค่นลงแต่คนตัดไม้ไม่สามารถโค่นลงได้จึงไปรายงานให้กับโจโฉ โจโฉจึงไปดูต้นสาลี่ด้วยตัวเอง เมื่อสำรวจแล้วก็สั่งให้คนตัดไม้โค่นอีกแต่ก็ได้รับเสียงค้ดคานจากชาวบ้านว่าต้นสาลี่นั้นศักดิ์สิทธิ์มีเทพคุ้มครองอยู่โค่นไม่ได้ แต่โจโฉหาได้ใส่ใจไม้และบอกกับชาวบ้านว่า\"ข้ากร่ำศึกมากกว่าสี่สิบปี ไม่เคยกลัวผู้ใด มีแต่ไพร่สามัญจนถึงฮ่องเต้ล้วนเกรงกลัวข้า ภูตผีที่ไหนกล้าขวางข้า\" จึงชักดาบฟันต้นสาลี่ทำให้มียางไม้ที่มีสีคล้ายเลือดพ่นออกมาถูกเสื้อ โจโฉก็เผ่นหนีไปด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็อาการปวดหัวหนักขึ้น ต่อมาหมอฮัวโต๋ได้มาทำการตรวจอาการของโจโฉก็พบว่าลมในสมองมันตีบซึ่งต้นเหตุมันอยู่ในกะโหลกและเสนอการรักษาด้วยการให้ผ่ากะโหลกศีรษะ โจโฉกลับคิดว่าฮัวโต๋จะฆ่าตนจึงสั่งให้จับไปขังคุกและทรมานสอบสวน แม้จะได้รับการคัดค้านจากที่ปรึกษาก็ไม่ฟัง ฮัวโต๋ก็ถูกจับขังคุกจนตาย ต่อมาโจโฉได่ก็ได้จัดงานเลี้ยงแม้จะปวดหัวก็ยังทนได้และได้รับจดหมายจากซุนกวนว่าขอให้โจโฉขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ปราบปรามเล่าปี่พิชิตเสฉวน เมื่อปราบได้ก็จะมาสวามิภักดิ์แต่โจโฉกลับไม่เชื่อ แต่เหล่าที่ปรึกษาและทหารของท่านก็กลับเห็นด้วยได้พากันอ้อนวอนขอให้ขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แต่โจโฉไม่รับและขอเป็นวุยอ๋องก็พอแล้ว หลังจากนั้นอาการของโจโฉก็ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆจนซบเซานอนลงบนเตียง แต่ในขณะที่หลับฝันเห็นวิญญาณที่ตนเคยฆ่ามาก่อนตามทวงเอาชีวิตจนสะดุ้งตื่นขึ้นชักดาบจนทำให้เหล่านางกำนัลต้องเผ่นหนีกระเจิงไป ที่ปรึกษาก็ได้แนะนำให้เชิญนักพรตลัทธิเต๋ามาช่วยทำพิธีปัดรังควาน แต่โจโฉก็ได้พูดว่าฟ้าได้ลงโทษแล้ว ไม่อาจฏีกาหรือขอขมาได้เลย ตนหมดบุญเพียงเท่านี้แล้วไม่อาจช่วยได้แล้ว", "title": "โจโฉ" } ]
[ { "docid": "115102#1", "text": "โจผีนั้นเป็นบุตรคนรอง แต่ก็ได้มีบทบาทในการสืบทอดอำนาจจากโจโฉ เนื่องจากบุตรชายคนโต คือ โจงั่ง ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังอายุน้อยในการติดตามโจโฉไปทำสงคราม ในนิยายสามก๊กได้ โจโฉได้กล่าวถึงโจผี ว่าเป็นคนมีปัญญา จิตใจหนักแน่น โอบอ้อมอารีย์ จึงสมควรจะเป็นสืบทอดอำนาจของตน โจผีเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแต่งกลอน กาพย์กวี เช่นเดียวกับโจโฉผู้บิดา และยังได้เคยติดตามบิดาออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง ตั้งแต่ยังเยาว์ \nโจผีมีภรรยาหลวง คือนางเอียนสี ซึ่งได้ตัวมาเมื่อครั้งที่โจโฉทำสงครามกัวต๋อกับตระกูลอ้วน นางเอียนสีนั้นเป็นสาวงามที่มีชื่อว่า เป็นหญิงงามแห่งแผ่นดินทางเหนือ และยังเป็นภรรยาม่ายของอ้วนฮี บุตรชายของอ้วนเสี้ยว คู่ศึกของโจโฉ จึงย่อมถือเป็นเชลยศึก แต่โจผีก็ได้รับนางมาตกแต่งเป็นภรรยาหลวง ในขณะนั้นโจผีอายุได้ 17 ปี ขณะที่นางเอียนสีอายุมากกว่า คือ 22 ปี ซึ่งภายหลังเมื่อโจผีได้ขึ้นครองราชย์ ก็ได้สถาปนานางเป็นฮองเฮา", "title": "โจผี" }, { "docid": "845674#1", "text": "บังโฮยเป็นบุตรชายของ บังเต๊ก ขุนศึกคนสำคัญของ โจโฉ มีบทบาทสำคัญเมื่อคราวสังหารหมู่ลูกหลานของ กวนอู จนหมดสิ้นภายหลังจาก จ๊กก๊กล่มสลาย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 263 เพื่อเป็นการล้างแค้นให้กับบังเต๊กที่ถูกกวนอูสั่งประหารโดยหลังจากนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงบังโฮยอีกเลย", "title": "บังโฮย" }, { "docid": "378953#5", "text": "ครูจิ๋ว พิจิตร สมรสกับ นางประมวล เกศรีระคุปต์ มีบุตรทั้งสิ้น 7 คน จนกระทั่งช่วงบั้นปลายชีวิต ครูจิ๋วเริ่มมีสภาพร่างกายเจ็บปวด แม้ตนเองจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากคนลูกทุ่งส่วนมาก รวมถึงศิษย์และนักร้องลูกทุ่งที่ครูจิ๋วแต่งเพลงไว้ให้ แต่ก็ได้รับการดูแลจากลูกๆ อย่างเอาใจใส่", "title": "จิ๋ว พิจิตร" }, { "docid": "731483#1", "text": "บ้านชยานันท์ มีประมุขของบ้าน คือ คุณย่ามาลา หญิงชราปากร้ายแต่ใจดี ทรงความยุติธรรม มีบุตรชายโทนคนเดียว คือ คุณชาญศักดิ์ ซึ่งอาศัยความร่ำรวยและรูปหล่อมีภรรยาถึงสี่คน ภรรยาคนแรกคือ คุณหญิงฉวี สุภาพสตรีที่เกิดในตระกูลทัดเทียมกัน แต่งงานแบบคลุมถุงชน โดยมีคุณย่าเป็นคนสนับสนุน คุณหญิงฉวีเป็นคนที่คุณย่ารักมากที่สุด และคุมอำนาจการเงินทั้งสิ้น แต่คุณหญิงเป็นหมัน จึงได้ไปขอบุตรชายจากเพื่อนสนิทมาเลี้ยงโดยมีข้อแม้ว่าไม่ใช้นามสกุล ชยานันท์ ชื่อ อาติยะ พิษณุเวช เมื่อเรียนจบจากอังกฤษ อาติยะได้บริหารงานกิจการทุกอย่างแทนคุณชาญศักดิ์บิดาบุญธรรมซึ่งเสียชีวิตอย่างกระทันหัน จนเป็นที่รักและเกรงใจของคุณฉวีและทุกคน ภรรยาคนที่สอง ชื่อ ปาน เป็นคนที่คุณหญิงฉวียอมให้เป็นเมียน้อยเพราะเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหญิงนั่นเอง ภรรยาคนที่สามชื่อ วลัย เป็นเลขาสาวสวยคล่องแคล่วของคุณชาญศักดิ์ ซึ่งได้กันเพราะความใกล้ชิดในหน้าที่การงาน วลัยเองก็จ้องจับเจ้านายอยู่นาน เพราะหล่อนเป็นคนกลัวความจนและมีนิสัยทะเยอทะยาน จับจด ชอบบงการ กรีดกรายเข้าสังคมชั้นสูง ซึ่งนิสัยนี้ถอดแบบให้กับ ทัศนาวลัย ผู้เป็นลูกสาว จนหมดสิ้น วลัยทั้งโชคดีและโชคร้ายปนกัน ได้บุตรชายกับคุณชาญศักดิ์คนหนึ่งชื่อ สิทธา เป็นหลานชายแท้ๆ คนเดียวของตระกูลชยานันท์ ที่โชคร้ายคือ สิทธามีนิสัยกระเดียดไปทางผู้หญิง ถูกบ่าวบริวารในบ้านค่อนว่าเป็น “กะเทย” ภรรยาคนที่สี่ ชื่อ บุษบง เป็นสาวชายไร่ที่ถูกมารดานำมาขายให้กับคุณย่ามาลาเนื่องจากหน้าตาค่อนข้างสวยเป็นที่ถูกใจคุณชาญศักดิ์ จึงได้รับเลี้ยงบุษบาเป็นภรรยา และมีบุตรสาวชื่อ บุษบา ภรรยาทั้งสี่ของคุณชาญศักดิ์เกรงใจคุณหญิงฉวีมากที่สุด ขณะเดียวกันก็รักปานมากกว่าคนอื่นๆ เมื่อปานท้องแก่หายออกไปจากบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณชาญศักดิ์และคุณหญิงฉวีเสียใจมาก หลังจากนั้นเมื่ออาติยะอายุได้ 10 ปี คุณปู่สิทธิก็เสียชีวิต ต่อมาเพียงปีเศษคุณชาญศักดิ์ก็หัวใจวายไปอีกคน คุณหญิงฉวี อยู่ตึกใหญ่กับคุณย่ามาลา วลัยอยู่เรือนเล็กหลังซ้าย บุษบงอยู่เรือนเล็กหลังขวา เหลือเรือนของปานซึ่งถูกปิดตาย และเรือนหลังเล็กรับรองแขกอีกแห่งหนึ่ง วันหนึ่งคุณบุษบงนำเด็กสาวชื่อ ปิ่น ซึ่งเป็นลูกของปาน ท่าทางแก่นแก้วเหมือนทอมบอย ใบหน้าหมดจด สวมเสื้อผ้าเก่ามอซอ ทำหน้าตาเด๋อด๋าราวกับตื่นสถานที่เข้ามายังบ้านชยานันท์ และแนะนำให้รู้จักกับทุกคนในบ้านในฐานะญาติ คุณวลัยได้แสดงอาการรังเกียจปิ่นอย่างชัดเจน ต่างจากคุณหญิงฉวีซึ่งเห็นความใสซื่อของปิ่น และไม่รังเกียจ คุณวลัยกลับไปที่เรือนซ้ายด้วยความโมโหและพบกับทัศนาวลัย ซึ่งสวยเด่นเหนือเด็กสาวทั่วไป ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ทำให้เธอคิดว่าไม่จำเป็นต้องเรียนสูง เมื่อเรียนจบเพียงมัธยมศึกษาปีที่ 5 และสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้จึงเลิกเรียน คิดจะเปิดร้านเสริมสวย ประเภททำผมและเสื้อผ้าควบ แต่ติดขัดเรื่องทุนก้อนใหญ่ซึ่งคุณย่าและคุณหญิงฉวียังไม่อนุมัติ ทัศนาวลัยแอบชอบอาติยะอย่างลึกซึ้งเกินความเป็นพี่เป็นน้อง สิทธาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและได้ มาช่วยงานที่บ้านแต่ก็สู้อาติยะไม่ได้ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนเรียนเก่งแต่ก็ทำงานไม่เป็น ทุกอย่างต้องอาศัยอาติยะจัดการ สิทธาไม่ใช่คนทะเยอทะยาน เขาก็พอใจกับความเป็นอยู่ที่สบายๆในปัจจุบัน คุณย่ามาลารู้สึกถูกชะตากับปิ่นทันทีที่เห็นหน้า ท่านชอบในการรู้จักปรนนิบัติและการพูดจาของปิ่น ส่วนคุณหญิงฉวีถึงกับเอ่ยปากที่จะให้ครูมาสอนปิ่นที่บ้าน เพราะปิ่นบอกกับทุกคนว่าเรียนหนังสือแค่ ป.7 เท่านั้น ปิ่นอาศัยอยู่ที่เรือนของคุณบุษบงและบุษบาผู้เป็นลูกสาว ซึ่งจริงๆ แล้วปิ่นกับบุษบาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน บุษบารู้เรื่องทุกอย่างของปิ่นจากคุณบุษบงและยอมช่วยปิ่นเรื่องไปเรียนที่มหาลัย เพราะบุษบามีเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งชื่อ พิสมัยหรือ ไก่ ซึ่งเป็นลูกสาวเศรษฐีต่างจังหวัดมาเช่าบ้านอยู่รั้วติดกัน พิสมัยอยู่กับพี่ชาย แต่พี่ชายทำงานออกต่างจังหวัดบ่อย นานๆ ถึงกลับบ้าน พิสมัยจึงสนิทสนมกับบุษบามากเป็นพิเศษ บุษบาเล่าเรื่องปิ่นให้พิสมัยฟังจนหมด ทั้งสามคนจึงเป็นมิตรกันในระยะเวลาอันสั้น พิสมัยช่วยปิ่นโดยการเอาชุดนักศึกษาไปเก็บไว้ที่บ้าน เวลาไปเรียนปิ่นจะปีนข้ามกำแพงบ้านไปเปลี่ยนชุดนักศึกษาที่บ้านพิสมัย อาติยะพบกับปิ่นครั้งแรกในขณะที่ปิ่นปีนไปเก็บมะม่วงบนต้น และอยู่ในสภาพมอมแมม อาติยะจึงเข้าใจว่าเป็นเด็กรับใช้ ปิ่นอธิบายให้รู้ว่าตนเองเป็นใคร แถมคุยทับว่ากำลังเป็นคนโปรดของคุณย่า ปิ่นถูกอาติยะอบรมเรื่องนิสัยและการวางตัวในบ้าน สิทธา ได้มาทำความรู้จักกับปิ่นทันทีที่รู้เรื่องปิ่นจากบุษบา สิทธาไม่ถือตัว และเห็นปิ่นเหมือนญาติ ส่วนปิ่นเมื่อเห็นท่าทางของสิทธาก็รู้สึกถูกชะตา และสงสารเมื่อเห็นพฤติกรรมของสิทธาที่เหมือนผู้หญิง สิทธาระบายความในใจให้ปิ่นฟังพร้อมพาปิ่นไปที่เรือนเพื่อดูผลงานการวาดภาพซึ่งเป็นงานที่ชอบของเขา ขณะที่ปิ่นกำลังจะกลับได้สวนกับทัศนาวลัยที่ เห็นปิ่นออกมาจากห้องของสิทธา ทัศนาวลัยแสดงอาการรังเกียจและพูดจาดูถูกปิ่นทันทีที่เห็นหน้า ปิ่นโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน ทัศนาวลัยเข้าตบปิ่นแต่ถูกเพียงเล็กน้อย แต่กลับโดนปิ่นตบกลับไปด้วยความแรง อาติยะเข้ามาห้ามและบอกให้ปิ่นขอโทษทัศนาวลัยแต่ปิ่นปฏิเสธหาว่าอาติยะไม่ยุติธรรม อาติยะระงับอารมณ์ไม่อยู่และตบหน้าปิ่นจนชา อาติยะเองก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเอง บุษบงเข้ามาเห็นเหตุการณ์และได้พูดจาเตือนสติปิ่น ทัศนาวลัยต้องการจะจัดงานวันเกิดที่บ้านจึงไปขออนุญาตอาติยะ ซึ่งไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ทัศนาวลัยตื้อขอจนอาติยะอนุญาต แต่มีข้อแม้ว่าต้องได้รับการอนุญาตจากคุณย่าและคุณหญิง ซึ่งทัศนาวลัยรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งสองต้องแล้วแต่อาติยะ รุ่งขึ้นอาติยะไปเดินเล่นที่บริเวณสวนหลังบ้าน พบกับปิ่นซึ่งยังโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้น อาติยะได้ขอโทษปิ่นที่ไม่ได้ไต่ถามเรื่องราวก่อนลงโทษปิ่น ทั้งสองต่างเข้าใจกัน เมื่ออาติยะเห็นปิ่นฟันหลอจึงให้ไปเอาเงินไปทำฟัน หลังอาหารค่ำปิ่นไปพบอาติยะที่ห้องสมุด โดยมีทัศนาวลัยเดินตามไปด้วยความสงสัย อาติยะอบรมปิ่นและให้เงินปิ่นไปทำฟันและซื้อเสื้อผ้า ทัศนาวลัยเข้ามาหาอติยะในชุดนอนบางๆ หลังจากปิ่นออกไป เอาผ้าเย็นมาเช็คหน้าให้อาติยะ และพูดจาดูถูกปิ่น จึงถูกอาติยะอบรมเรื่องนิสัยและการแต่งตัว เธอกลับบ้านด้วยความโมโห ไประบายกับสิทธาแทน คุณวลัยสอนให้ทัศนาวลัยใจเย็น คุณย่าให้เด็กไปตามปิ่นมาพบที่ห้อง และต่อว่าที่ปิ่นหายหน้าไป ปิ่นอ้างว่าไปเรียนทำกับข้าวกับ ป้าสำรวย ซึ่งเป็นแม่ครัวตึกใหญ่ คุณย่าอารมณ์ดีทันที่ที่ได้คุยกับปิ่น และบอกข่าวดีกับปิ่นเรื่องให้ครูมาสอนหนังสือปิ่นที่บ้าน คุณย่าทักปิ่นที่หน้าตาเปลี่ยนไป ปิ่นอ้างว่าเป็นเพราะใส่ฟันแล้ว ทำให้ดูดีขึ้น ทัศนาวลัยเข้ามาหาคุณย่าเพื่อขอบคุณที่สนับสนุนให้ตนจัดงานวันเกิดที่บ้าน และได้ปะทะคารมกับปิ่น แต่เธอไม่กล้าทำร้ายปิ่นต่อหน้าคุณย่า เพราะรู้ว่าปิ่นกำลังเป็นคนโปรด ทัศนาวลัยพูดประจบขอของขวัญจากคุณย่าซึ่งท่านก็รับปาก ปิ่นนั่งอยู่ที่เรือนขวาขณะที่คุณวลัยไปพบคุณบุษบงที่บ้าน ปิ่นอยากจะหลบแต่หลบไม่ทัน คุณวลัยเข้ามาจ้องดูปิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากวันแรกที่เจอ จึงพูดจาประชดประชันแต่กลับถูกปิ่นโต้กลับไปจนจะเป็นลม กลับเรือนไป ทัศนาวลัย คบหากับพ่อเลี้ยงวุฒิไกร หนุ่มโสด หล่อสมาร์ทและร่ำรวย ซึ่งพบกันในงานเลี้ยง พ่อเลี้ยงถึงกับตะลึงเมื่อถูกแนะนำให้รู้จัก คุณสมบัติของเขาทำให้ทัศนาวลัยโปรยเสน่ห์เต็มที่ หล่อนยอมจับปลาสองมือ มือหนึ่งคือ อาติยะ อีกมือหนึ่งคือ วุฒิไกร ซึ่งหล่อนไม่แคร์ถ้าปลาตัวไหนจะหลุดมือเพราะมีสำรองโดยไม่รู้ว่าตนกำลังเล่นกับไฟ ทัศนาวลัยเล่าเรื่องพ่อเลี้ยงวุฒิไกรให้คุณวลัยฟัง คุณวลัยซึ่งเป็นคนเห็นแก่เงินอยู่แล้วก็เห็นดีด้วย แม้จริงๆ แล้วต้องการได้อาติยะมาเป็นลูกเขยมากกว่า ปิ่นและบุษบามักปีนข้ามกำแพงไปบ้านพิสมัยแทนการเข้าทางประตูเป็นประจำอยู่แล้ว จนวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองข้ามกำแพงไปบ้านพิสมัย ได้พบกับชายหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ทั้งหมดต่างตกใจซึ่งกันและกัน เกิดปะทะคารมขึ้น จึงรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นคือ ภานุหรือ กบ พี่ชายของพิสมัยนั่นเอง บุษบารู้สึกไม่ชอบและมีอคติต่อภานุทันทีถึงกับออกปากกับปิ่นเรียกภานุว่า “เปรตปลาจวด” และปีนกลับบ้านหลังจากที่รู้ว่าพิสมัยไม่อยู่ คุณวลัยและทัศนาวลัยคุมช่างทำเวทีอยู่ เมื่อเห็นปิ่นเดินผ่านจึงเรียกใช้ด้วยเจตนาจะแกล้งปิ่น ปิ่นปฏิเสธเพราะเป็นงานผู้ชาย และคำพูดที่ไม่ดี ทำให้สองแม่ลูกโกรธ นำเรื่องไปฟ้องอาติยะ ซึ่งเรียกปิ่นไปสอบถาม เมื่อฟังเหตุผลของปิ่นแล้ว อาติยะก็ได้แต่เตือนให้ปิ่นลดความดื้อดึงลงเสียบ้าง พิสมัยต่อว่าภานุพี่ชายที่แสดงกิริยาไม่ดีต่อเพื่อนทั้งสองของเธอ ซึ่งภานุก็บ่นว่าพิสมัยเห็นเพื่อนดีกว่าพี่ชาย และรับปากจะไม่ยุ่งเรื่องของสาวๆ ปิ่นมาเรือนที่แม่ปานเคยอยู่ ซึ่งถูกทิ้งไว้รกร้างไม่มีคนดูแลแล้วเกิดอาการคิดถึงแม่ จนคุณบุษบงต้องมาปลอบและเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง ปิ่นไปนวดให้คุณย่าตามปกติและแวะไปที่เรือนซ้ายเมื่อเห็นว่าคุณวลัยและทัศนาวลัยไม่อยู่บ้านเพื่อพบกับสิทธา ปิ่นแกล้งเล่าถึงความดุของภานุให้สิทธาฟัง เพราะสิทธาแอบชอบพิสมัยอยู่โดยที่ปิ่นเป็นแม่สื่อให้แต่มีข้อแม้ว่าสิทธาต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้ชายให้ได้ซึ่งสิทธารับปากจะพยายามและขอตามปิ่นไปทานข้าวที่เรือนขวาได้ยืมหนังสือกำลังภายในแปดเล่มไปอ่านจนแทบไม่ได้นอน คุณวลัยเมื่อรู้ว่าสิทธาไปตึกขวาจึงต่อว่าลูกชายและสั่งให้หมั่นไปหาคุณย่าและคุณหญิงที่ตึกใหญ่แทน เมื่อถึงงานวันเกิดของทัศนาวลัย เจ้าภาพในชุดที่สวยสะดุดตา แขกเหรื่อซึ่งเป็นเพื่อนของเจ้าภาพต่างมาร่วมงานประมาณร้อยคน ทัศนาวลัยสวยขนาดหนังสือพิมพ์ขอถ่ายภาพเพื่อลงข่าวสังคม เธอยินดีเพราะต้องการความดังและความเด่นอยู่แล้ว คุณวลัยเองก็หน้าบานเมื่อได้ยินเสียงชมลูกสาวไม่ขาดปากจากแขกเหรื่อที่มางาน แต่แม้จะมีใบหน้ายิ้มแย้มแต่ทัศนาวลัยก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อไม่เห็นหน้าแขกสองคน คือ พ่อเลี้ยงวุฒิไกรและ อาติยะ อาติยะซึ่งกลับมาในเวลาใกล้เคียงกับที่พ่อเลี้ยงวุฒิไกรมางาน ทัศนาวลัยชวนอาติยะเต้นรำแต่อาติยะปฏิเสธและบอกให้ทัศนาวลัยไปดูแลแขกอื่นแทน ทัศนาวลัยพาพ่อเลี้ยงไปแนะนำให้รู้จักกับคุณวลัยซึ่งรู้สึกพอใจ ทัศนาวลัยดูแลเอาใจพ่อเลี้ยงและเต้นรำด้วย พ่อเลี้ยงให้ของขวัญเป็นสร้อยคอพร้อมจี้เพชรยิ่งทำให้ทัศนาวลัยปราบปลึ้มในตัวชายหนุ่มยิ่งขึ้น ปิ่นมาร่วมงานเลี้ยงตามความต้องการของคุณย่า แต่มาในชุดเสื้อสีเขียวปี๊ กระโปรงสีแดงแปร๊ดตัดกัน กระโปรงเหมือนใส่สุ่มบานเทอะทะเหมือนสาวอังกฤษในสมัยโบราณ ส่วนผมที่ยาวของเธอ ส่วนบนหวีเรียบ ส่วนปลายยีจนฟูพองและฉีดสเปรย์จนลมพัดไม่กระดิก รองเท้าส้นสูงประมาณสี่นิ้วครึ่ง เดินตรงบ้าง สะดุดบ้าง ปิ่นกลายเป็นเป้าสายตาของคนในงาน สมาชิกในโต๊ะของบุษบาอันประกอบไปด้วย บุษบง,บุษบา,สิทธา,พิสมัย ต่างมองด้วยหัวเราะด้วยความขบขันต่างกับวลัยและทัศนาวลัยทำท่าจะเป็นลมโกรธจนตัวสั่นขอตัวจากพ่อเลี้ยงไปจัดการกับปิ่นซึ่งพูดโต้ตอบแบบไม่ยอมกัน ทัศนาวลัยต่อว่าปิ่นทำให้เธออายเพื่อนและหมดสนุก ปิ่นแกล้งตีหน้าเศร้าขอโทษและจะขอแก้ตัว ทัศนาวลัยยิ้มเจ้าเล่ห์และให้ปิ่นไปช่วยเสริ์ฟน้ำบริการเพื่อนๆ ของเธอ ปิ่นรับปากและจัดการเตรียมเครื่องดื่มทุกชนิดเสิร์ฟแขกในงานทุกคนด้วยสีหน้าระรื่น คุณวลัยแกล้งพูดออกตัวกับคุณบุษบงในการที่ใช้ปิ่น ซึ่งบุษบงเข้าใจความหมายเพราะเธอเคยเป็นเบี้ยล่างของวลัยมานานเกือบยี่สิบปี จึงไม่ใส่ใจ ปิ่นยังทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มแก่แขกทุกคนในงานจนทั่วถึงอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพราะเธอกำลังแก้เผ็ดคุณวลัยและทัศนาวลัย อาติยะหลบมายืนมองความสนุกสนานอยู่เงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงปิ่นทัก พร้อมหมุนให้ดูชุดที่ใส่ ซึ่งอาติยะไม่แน่ใจในเจตนาที่แท้จริงของปิ่น อาติยะหยิบเครื่องดื่มจากถาดแต่ปิ่นรีบเปลี่ยนแก้วใหม่ให้ทันทีและรีบเดินออกไปเสิร์ฟน้ำให้กับพ่อเลี้ยงและทัศนาวลัย พ่อเลี้ยงเอ่ยปากชมปิ่นเรื่องชุด ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทัศนาวลัย จนถึงเวลาที่ทัศนาวลัยต้องกล่าวคำขอบคุณเพื่อนๆ ที่มาในงาน และร้องเพลง ก่อนที่เจ้าภาพจะตัดเค้กแจกแขกที่มาในงาน ขณะนั้นเองแขกที่มาในงานต่างมีปฏิกิริยาปวดท้องแย่งกันเข้าห้องน้ำ เริ่มจากห้าหกคน เป็นสิบคน ความโกลาหลย่อยๆ จึงเกิดขึ้น เมื่อห้องน้ำไม่พอแขกก็พร้อมใจกันลากลับโดยไม่ร่ำลา ทุกคนต่างมีอาการเดียวกันไม่เว้นแม้พ่อเลี้ยงและคุณวลัย ทิ้งไว้แต่เพียงความว่างเปล่าของสนาม ปิ่น,พิสมัย,บุษบาแอบอมยิ้มให้กัน พิสมัยลากลับ สิทธากลับเรือนซ้าย ปิ่น บุษบา,บุษบง กลับเรือนขวา ทัศนาวลัยร้องไห้โฮโผเข้ากอดอาติยะซึ่งได้แต่ปลอบอย่างเห็นใจ อาติยะคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา ภาพยิ้มอย่างผู้ชนะของปิ่นทำให้ชายหนุ่มเดาอะไรได้รางๆ รุ่งเช้าทัศนาวลัยและคุณวลัยต่างอยู่ในสภาพอิดโรยตามหาสาเหตุเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเรียกตัน สาวใช้คนโปรดมาสอบถามเพราะคิดว่าอาหารที่เลี้ยงอาจไม่สะอาดแต่ตันปฏิเสธ เพราะอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยง คนใช้ในบ้านกินต่อโดยไม่มีใครท้องเสียเลย คุณวลัยเตือนให้ทัศนาวลัยใจเย็นๆ ค่อยๆ สืบและให้ทัศนาวลัยไปขอพรจากผู้ใหญ่ในบ้านก่อน ทัศนาวลัยขึ้นตึกใหญ่เพื่อพบคุณย่าเป็นคนแรก จากคุณย่าเพราะนอกจากอาวุโสสุดแล้ว ยังต้องมอบของขวัญที่มีค่าที่สุดด้วย ทัศนาวลัยเข้าห้องคุณย่า ก็พบกับปิ่นซึ่งนั่งอยู่ในห้องแล้ว จึงรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงคุณย่าเรียก เธอจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที คุณย่าให้พรและมอบสร้อยข้อมือเป็นสร้อยเพชรเม็ดเล็กๆ ล้อมรอบทับทิมมาใส่ให้หลานสาว ทัศนาวลัยพูดจาเหน็บแนมปิ่นจนเกิดการปะทะคารมอีก คุณย่าห้ามทั้งสองและบอกให้ทัศนาวลัยไปขอพรจากคุณหญิงฉวี และบุษบง ทัศนาวลัยรับปากและลากลับทันที ทัศนาวลัยมากราบคุณหญิงฉวี ซึ่งถามเรื่องงานวันเกิดและอวยพรให้มีความสุข ส่วนของขวัญที่ทัศนาวลัยได้รับจากคุณหญิง คือ แจกันลายครามโบราณ ซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ของตระกูล ทัศนาวลัยลาคุณหญิงกลับอ้างว่าจะไปที่เรือนขวาซึ่งจริงๆ แล้วเธอต้องการไปพบกับอาติยะก่อน แต่อาติยะไม่อยู่ จึงไปหาคุณบุษบงที่เรือนขวา ทัศนาวลัยอวดสร้อยข้อมือกับบุษบา คุณบุษบงอวยพรและมอบของขวัญให้กับทัศนาวลัยซึ่งขอเปิดดูเลยของขวัญที่ได้คือ ผ้าตัดเสื้อสีแดงหนึ่งชุดเป็นผ้าเนื้อดีจากต่างประเทศ หญิงสาวผิดหวังที่เป็นของราคาถูกแม้จะชอบสีผ้า ก่อนกลับทัศนาวลัยแกล้งถามถึงงานเลี้ยง ซึ่งที่เรือนขวาไม่มีใครท้องเสียเลย ปิ่นถูกอาติยะเรียกไปพบที่ตึกใหญ่ และถามเหตุผลที่ปิ่นแกล้งทัศนาวลัย ปิ่น เชิดหน้าก่อนที่จะยอมรับและบอกเหตุผลว่าเพราะทัศนาวลัยตวาดเธอต่อหน้าคนหลายคน ทำให้เธออับอายขายหน้าเพื่อนๆ เธอจึงโต้กลับแต่ไม่ใช่ด้วยคำพูดแต่เป็นการกระทำ โดยสารภาพว่าได้ใส่ยาถ่ายในน้ำทุกชนิดที่เสิร์ฟ อาติยะรู้สึกถึงความดื้อและรั้นของปิ่น จึงได้แต่ตักเตือน และบอกว่าเมื่อปิ่นยอมรับผิด เรื่องทุกอย่างก็จบ จะไม่มีการแพร่งพรายให้ใครรู้ ปิ่นยอมรับว่าเธอทำเกินไปและจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก อาติยะยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ ทัศนาวลัยได้มาเห็นภาพนั้นจึงเกิดอาการริษยา หึงหวง ทัศนาวลัยพูดถึงปิ่นด้วยคำพูดที่ไม่ดี จึงถูกอาติยะดุด้วยสีหน้าเครียด อาติยะตำหนิเรื่องการวางตัวไม่เหมาะสมในวันงาน เพื่อไม่อยากให้สกุลชยานันท์เสียชื่อ ทัศนาวลัยคิดว่าอาติยะโกรธและหึงพ่อเลี้ยง อาติยะเตือนเธอในฐานะพี่ชายเตือนน้องสาว ทัศนาวลัยน้อยใจว่าอาติยะสนใจและเอาใจปิ่นมากกว่าเธอ อาติยะถึงกับส่ายหน้าอย่างระอา ไม่เข้าใจสองสาวเลย จึงตัดบทด้วยการหยิบของขวัญมาให้กับทัศนาวลัยซึ่งยิ้มลืมเรื่องอื่นๆ ไปชั่วขณะ ของขวัญเป็นนาฬิกาอย่างดีถูกใจทัศนาวลัยมาก เธอชะโงกหน้าไปหอมแก้มอาติยะ คุณหญิงฉวีเข้ามาเห็นภาพนั้นแต่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เมื่อทัศนาวลัยกลับไป อาติยะได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับทัศนาวลัยให้คุณหญิงฟัง ซึ่งคุณหญิงจะไปพูดกับคุณวลัยให้เตือนลูกสาวอีกทาง บุษบาเข้ามาในห้องพร้อมพวงมาลัยที่คุณบุษบงร้อยให้คุณหญิงถวายพระ อาติยะได้ตำหนิบุษบาว่าให้ความร่วมมือกับปิ่นแกล้งทัศนาวลัย ซึ่งบุษบายอมรับผิดและขอร้องไม่ให้บอกคุณวลัยและทัศนาวลัย วันรุ่งขึ้นบุษบาตามปิ่นให้ไปเรียนแต่ปิ่นขอโดดหนึ่งวัน เพราะไม่สบายใจเรื่องที่บุษบาโดนอาติยะตำหนิถึงกับนอนไม่หลับ บุษบาปีนกำแพงไปหาพิสมัยที่บ้านด้วยความเคยชิน แต่ทันทีที่เธอกระโดดลงไป กลับพบภานุยืนอยู่และพูดจาประชดประชันจนเป็นปากเสียงกัน ภานุแกล้งข่มขู่บุษบาเล่นๆ โดยจูบบุษบาทำให้ถูกบุษบาตบหน้า บุษบาเก็บหนังสือวิ่งออกจากบ้านไปปล่อยให้ภานุยืนหัวเราะอยู่คนเดียว คุณวลัยให้ทัศนาวลัยดูรูปงานวันเกิดในหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นภาพของทัศนาวลัยกับพ่อเลี้ยงในสภาพใกล้ชิดกันมาก คุณวลัยถามความรู้สึกของลูกสาวที่มีต่อพ่อเลี้ยงและอาติยะ ซึ่งทัศนาวลัยบอกว่า เธอเจ็บใจเรื่องงานเลี้ยงและโมโหอาติยะที่เข้าข้างปิ่นในทุกเรื่อง คุณวลัยฟ้องคุณหญิงฉวีหาว่าปิ่นไม่เจียมตัว หยิ่งผยองเกินฐานะ ไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ ประจบแต่คุณย่าคนเดียวเพราะหวังสมบัติของชยานันท์ คุณหญิงไม่เชื่อกลับตอกกลับไปจนคุณวลัยแทบหงายหลัง แถมเตือนไปถึงทัศนาวลัยถึงเรื่องการเที่ยวเตร่ด้วย ปิ่นดักรออาติยะหลังกลับจากเลิกงาน เพราะเดือดร้อนแทนบุษบาที่ถูกอาติยะดุ เพราะคิดว่าบุษบาร่วมมือกับปิ่น บุษบาไม่ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น บุษบายอมรับคำตำหนิจากอาติยะ ซ้ำยังช่วยพูดให้ปิ่นพ้นผิด อาติยะแปลกใจที่สองสาวนี้รักใคร่และออกรับกันแทนดี ไม่ใช่พี่น้องก็เหมือนพี่น้อง ปิ่นไม่อยากให้คุณบุษบงและบุษบาเดือนร้อนเพราะเธอ อาติยะรับปากจะไม่บอกเรื่องนี้กับคุณบุษบงอย่างแน่นอน ปิ่นไปทำความสะอาดเรือนแม่ปานบริเวณด้านนอก จนดูสะอาดสะอ้านขึ้น คุณวลัยผ่านมาพบเข้าได้จึงถูกปิ่นแกล้ง คุณหญิงมาได้ยิน คุณวลัยรีบฟ้องคุณหญิงให้ลงโทษปิ่นที่แกล้งเธอ คุณหญิงให้ปิ่นขอโทษ คุณวลัยยังไม่พอใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก ได้แต่สะบัดหน้ากลับเรือนไป ปิ่นยอมรับผิดกับคุณหญิงที่แกล้งคุณวลัย คุณวลัยบังคับให้สิทธาไปพูดกับคุณย่าเรื่องให้ยกสมบัติให้สิทธาคนเดียว แต่สิทธาไม่เห็นด้วย คุณวลัยยื่นคำขาดไม่ให้เรียกเธอว่าแม่ โดยบีบน้ำตาใช้แผนสุดท้าย สิทธาไหวทันและรู้จุดอ่อนของตัวเอง จึงลุกออกจากบ้านไปพบคุณย่า ซึ่งให้การต้อนรับ และเอ่ยปากให้สิทธาพาคนรักมาให้นางรู้จัก เพื่อสิทธาจะได้พ้นมลทินที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกะเทย โดยคุณย่าจะจัดการหมั้นให้ก่อน บุษบงพา อ. นิพนธ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนพิเศษและเป็นเพื่อนกับอาติยะมาแนะนำให้ปิ่นและบุษบารู้จัก ทัศนาวลัยไม่พอใจที่ต้องเรียนกับปิ่น ซึ่งแสดงความเป็นบ้านนอกออกมาเต็มที่ ทำให้ อ.นิพนธ์กลุ้มใจกับลูกศิษย์สามคน ทัศนาวลัยแสดงอาการออกมาและทนเรียนกับอีกสองสาวไม่ได้ อ.นิพนธ์ได้เล่าถึงปัญหาการสอนพิเศษให้อาติยะฟัง คุณย่าเรียกทัศนาวลัยไปตำหนิเรื่องรูปที่ลงในหนังสือพิมพ์ แต่กลับถูกทัศนาวลัยพูดจายอกย้อนจนคุณย่าไม่สบาย เมื่อคุณวลัยทราบเรื่องให้ทัศนาวลัยไปขอโทษคุณย่า บุษบาไม่คิดว่าต้องพบภานุอีก แต่ก็ต้องพบจนได้ที่ปากซอยเข้าบ้านในตอนเย็นวันหนึ่ง ขณะกลับจากมหาวิทยาลัย ส่วนภานุกลับจากทำงาน บุษบาเห็นภานุจึงรีบหลบ แต่ภานุหันมาเห็นเข้าพอดี เดินมาทักและชวนคุย บุษบาแสดงอาการไม่พอใจกับการพูดจายั่วยวนของภานุ จนถึงบ้าน พิสมัยซึ่งเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวจึงซักถามจากพี่ชาย จึงรู้ว่าภานุกำลังจีบบุษบา พิสมัยสนับสนุนแต่สั่งห้ามจีบเล่นๆ เป็นอันขาด อาติยะขับรถไปเสียใกล้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งและเห็นหญิงสาวหน้าตาคล้ายปิ่นกำลังรอรถประจำทาง จึงลงไปแกล้งเรียกชื่อ แต่หญิงสาวปฏิเสธบอกว่าเธอชื่อ มุก และแกล้งคิดว่าเขาเป็นสิบแปดมงกุฎ จนอาติยะคิดว่าเขาเข้าใจผิดเอง ทัศนาวลัยดีใจเมื่อได้รับโทรศัพท์จากพ่อเลี้ยงนัดมารับที่บ้าน รีบแต่งตัวรอโดยมีคุณวลัยสนับสนุนเพราะเห็นแก่ฐานะ คุณหญิงฉวีเล่าเรื่องทัศนาวลัยเถียงคุณย่าจนไม่สบาย และเรื่องการสอนหนังสือให้อาติยะฟัง ส่วนอาติยะก็เล่าเรื่องผู้หญิงหน้าเหมือนปิ่นให้คุณหญิงฟัง ทัศนาวลัยมาพบคุณย่าที่ห้องแบบไม่เต็มใจเพราะคุณวลัยขอร้อง ยิ่งมาเจอท่าทางผยองของปิ่นเธอก็อยากเอาชนะ ส่วนคุณย่ายังโกรธทัศนาวลัยอยู่เพราะจากวันที่เกิดเรื่องสามวันแล้วท่านเพิ่งจะได้เห็นหน้า ทัศนาวลัยตีหน้าเศร้าเรียกร้องความเห็นใจจากคุณย่าซึ่งใจอ่อนยอมยกโทษให้หลานสาว ส่วนอาติยะได้ไปพบทัศนาวลัยที่เรือนซ้ายเพื่อต่อว่าเรื่องที่เถียงคุณย่าและเรื่องที่ไม่เรียนหนังสือ ทัศนาวลัยแกล้งบีบน้ำตาอ้างว่าสำนึกผิดแล้ว ส่วนเรื่องเรียนเพราะไม่ต้องการเรียนร่วมกับปิ่น แต่อาติยะไม่ยอม ทำให้ทัศนาวลัยต้องยอมไปเรียนด้วยความไม่พอใจ อาติยะยังสงสัยเรื่องปิ่นกับผู้หญิงหน้าเหมือนที่ชื่อมุก จึงไปถามกับคุณบุษบงว่าปิ่นมีแฝดหรือไม่ คุณบุษบงปฏิเสธเพราะเธอรู้ว่าปิ่นยังไม่ต้องการแสดงตัวกับผู้ใด เมื่อปิ่นกลับมาคุณบุษบงได้ถามเรื่องที่พบกับอาติยะในชุดนักศึกษา ปิ่นยอมรับและบอกว่าเธอสามารถเอาตัวรอดได้ อาติยะจับตามองปิ่นอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เรื่องหนังสือเรียนที่ปิ่นอ่าน แต่ปิ่นกลับอ้างว่าเป็นของบุษบา ส่วนโคลงที่แต่งปิ่นยอมรับว่าแต่งเอง เพราะสนใจมาตั้งแต่เรียนประถม เขาคิดว่าปิ่นเหมือนเด็กกระล่อนคนหนึ่ง จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็แล้วไป แต่ถ้าจับได้เธอจะหาข้ออ้างได้อยู่เสมอ และข้อโต้แย้งมักซ้ำซากจำเจวนเวียนไป เพื่อให้คนฟังๆ ว่าเธอซื่อ และเซ่อ คุณย่าเมื่อรู้ว่าปิ่นมีความสามารถด้านแต่งโคลงกลอน จึงให้ปิ่นช่วยแต่งโคลงมงคลสามสิบแปดบท จัดพิมพ์ในหนังสือธรรมะเพื่อแจกเป็นวิทยาทานโดยฝากเงินไว้กับคุณบุษบง ตัน สาวใช้ของคุณวลัยแอบเห็นจึงนำเรื่องไปบอกกับสองแม่ลูก ทัศนาวลัยไปถามความจริงจากคุณบุษบง เมื่ออาติยะรู้เรื่องหนังสือจึงขอปิ่นดูต้นฉบับก่อนพิมพ์ ปิ่นเข้าไปขอกุญแจเรือนแม่ปานกับคุณหญิงฉวีเพื่อทำความสะอาดโดยอ้างว่าเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของคุณชาญศักดิ์กับปาน คุณหญิงไม่ปฏิเสธแต่จะไปขออนุญาตคุณย่าก่อน ซึ่งปิ่นมั่นใจว่าคุณย่าต้องอนุญาตแน่นอน คุณหญิงเรียกปิ่นไปพบเพื่อบอกข่าวดีเรื่องเรือนแม่ปานที่คุณย่าเห็นดีด้วย แต่เมื่อปิ่นไปถึงก็พบว่าคุณหญิงมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง จึงรีบตามอาติยะให้พาคุณหญิงไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าคุณหญิงเป็นไส้ติ่งอักเสบต้องผ่าตัดด่วน ทุกคนต่างมาเยี่ยมคุณหญิงด้วยความเป็นห่วง หลังผ่าตัดคุณหญิงขอบใจปิ่นที่ช่วยชีวิตเธอ และปิ่นอาสานอนเฝ้าคุณหญิงที่โรงพยาบาล ภานุมาดักพบบุษบาที่บ้านพร้อมแสดงความจริงใจโดยบอกว่าจะมารับบุษบาไปเยี่ยมคุณหญิงในวันรุ่งขึ้น ในระหว่างที่เฝ้าไข้อยู่โรงพยาบาลอาติยะแวะมาพาปิ่นไปกินข้าวและซื้อเสื้อผ้าตอนกลางวันเสมอจนรู้ถึงหูของทัศนาวลัยจึงมาดักรออาติยะและตื้อให้อาติยะพาไปซื้อของ เพราะอิจฉาที่เห็นปิ่นใส่เสื้อผ้าสวยงาม วันที่คุณหญิงออกจากโรงพยาบาลทัศนาวลัยขอติดรถไปรับด้วยเพราะต้องการอยู่ใกล้ชิดอาติยะและเธอมีแผนอยู่ในใจ คือไม่อยากแพ้ปิ่นและต้องการเงินก้อนหนึ่งของคุณย่า ซึ่งเธอขอมานานตั้งแต่เรียนจบมัธยมปีที่ 5 คุณย่าซึ่งรู้นิสัยของทัศนาวลัยไม่ขัดข้องเรื่องทัศนาวลัยขอเงินเปิดร้านเสื้อผ้าโดยให้ไปคุยกับอาติยะ ทัศนาวลัยขอให้คุณย่าพูดแทนเพราะรู้ว่าอาติยะไม่กล้าปฏิเสธ พ่อเลี้ยงวุฒิไกรมาพบทัศนาวลัยที่บ้านอีกครั้งแต่มาเจอฤทธิ์น้ำส้มใส่ยาถ่ายของปิ่นที่ต้องการแกล้งทัศนาวลัยที่พูดจาดูถูกเธอจนต้องรีบกลับไป ทัศนาวลัยรู้ทันทีว่าปิ่นเป็นคนแกล้งพ่อเลี้ยงและแขกของเธอในงานเลี้ยงด้วย ซึ่งปิ่นยอมรับเมื่อเธอไปถาม ทัศนาวลัยร้องไห้ไปฟ้องคุณย่าให้ลงโทษปิ่น ป้าสำรวยซึ่งเป็นคนสนิทของคุณหญิงได้แอบฟังการคุยของคนทั้งสอง คุณหญิงใช้ให้ป้าสำรวยไปตามทัศนาวลัยมาพบท่านที่ห้องซึ่งไม่กล้าปฏิเสธจำต้องออกจากห้องคุณย่า เมื่ออยู่ตามลำพังปิ่นยอมรับผิดกับคุณย่าทุกอย่าง คุณย่ายอมอภัยให้ปิ่นโดยไม่ตำหนิปิ่นเลย คุณหญิงเรียกทัศนาวลัยไปตำหนิเรื่องที่ปล่อยตัวให้พ่อเลี้ยงวุฒิไกรล่วงเกินและให้ทัศนาวลัยยุติเรื่องปิ่นมิฉะนั้นท่านจะเรียนเรื่องนี้ให้คุณย่าทราบ ทัศนาวลัยมาพบคุณย่าอีกครั้งเพื่อถามผลการลงโทษปิ่นและไปฟ้องอาติยะ เพื่อให้มีอคติกับปิ่น แต่อาติยะกลับบอกว่ารู้เรื่องนานแล้ว ทำให้ทัศนาวลัยร้องไห้กอดอาติยะด้วยความน้อยใจ อาติยะเกิดความเวทนาจึงลูบหลังปลอบใจ ทำให้ปิ่นซึ่งยืนอยู่หน้าห้องถึงกับตะลึงกับภาพที่เห็นและเข้าใจว่าทั้งสองมีใจให้กัน ทัศนาวลัยมาพูดกับอาติยะอีกครั้งเรื่องขอเปิดร้านเสื้อ โดยอ้างว่าคุณย่าอนุญาตแล้ว ซึ่งแม้นอาติยะจะมีอ้างเหตุผลอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของทัศนาวลัยได้ จึงยอมตกลง ปิ่นพยายามเป็นแม่สื่อให้สิทธากับพิสมัยจนสำเร็จ สิทธาเริ่มทำตัวเป็นผู้ชายมากขึ้น ทั้งสองรวมทั้งบุษบาแปลกใจที่เห็นปิ่นมีอาการเศร้า คอยหลบหน้าอาติยะจนอาติยะรู้ถึงการเปลี่ยนไปของปิ่น ซึ่งไม่เคยสะดุ้งสะเทือนที่จะพบอาติยะมาก่อน อาติยะจึงไปพบ อ.นิพนธ์ เพื่อให้สืบเกี่ยวกับนักศึกษาชื่อ มุก ซึ่ง อ.นิพนธ์รับปากจัดการให้ ทัศนาวลัยไปรับเช็คจากคุณย่าที่ห้อง และเห็นว่าคุณย่าไว้ใจปิ่นขนาดให้เปิดตู้ที่ใส่เงินสดและเครื่องเพชร เอาเช็คให้เธอ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดจากดูถูกปิ่นเรื่องชุดที่ปิ่นใส่จนมีปากเสียงกัน คุณย่าต้องคอยห้ามทัพตลอด แต่เมื่อได้เช็คทัศนาวลัยก็อารมณ์ดีรีบกลับไปอวดคุณวลัย ปิ่นนำหนังสือธรรมะไปให้คุณหญิง,คุณย่าและอาติยะ เมื่ออาติยะเห็นปิ่นไม่ใส่เสื้อผ้าที่เขาซื้อให้จึงตามไปถามเหตุผล ปิ่นบอกว่าไม่อยากมีปัญหากับทัศนาวลัย อาติยะโกรธบอกให้ปิ่นฉีกชุดทิ้ง คุณย่าชวนปิ่นเอาหนังสือธรรมะไปมอบให้วัดโดยมีอาติยะขับรถ ปิ่นยอมแต่งชุดที่อาติยะซื้อให้ทำให้เขาพอใจ คุณหญิงเรียกปิ่นไปพบแล้วมอบแหวนเพชรให้ โดยบอกเหตุผลว่าให้เพราะอยากให้ และรู้เรื่องที่คุณหญิงช่วยเธอจากทัศนาวลัยจากป้าสำรวย ปิ่นรับโทรศัพท์จากพ่อเลี้ยงซึ่งโทรมาหาทัศนาวลัยที่ตึกใหญ่ พ่อเลี้ยงบอกกับปิ่นว่าทัศนาวลัยไม่ใช่ผู้หญิงในทัศนะของเขา และให้ปิ่นไปตามทัศนาวลัยมารับสาย แต่เมื่อไปถึงเรือนซ้ายปิ่นก็ต้องปะทะคารมกับทัศนาวลัยอีก จนทำให้พ่อเลี้ยงรอสายนาน พ่อเลี้ยงนัดจะมารับทัศนาวลัยไปกินข้าว ขณะเดินเล่นที่ศูนย์การค้า ทั้งสองได้พบกับปิ่นในชุดนักศึกษา จึงเข้าไปทัก แต่ปิ่นปฏิเสธไม่รู้จักทั้งสอง บอกว่าเธอชื่อมุก ทำให้ทั้งสองไม่แน่ใจกลับมาเล่าให้วลัยและสิทธาฟัง สองแม่ลูกจึงไปถามประวัติของปิ่นจากคุณบุษบง ซึ่งยืนกรานปฏิเสธไม่รู้จักผู้หญิงชื่อมุก และปิ่นเองไม่มีคู่แฝด ทัศนาวลัยนำเรื่องนี้ไปเล่าให้อาติยะฟัง และใช้มารยายั่วยวนจนอาติยะลืมตัวจูบเธอ แต่เมื่อได้สติเขาก็บอกเธอว่ารักเธอเหมือนน้องสาว ทำให้ทัศนาวลัยวิ่งออกไปด้วยความเจ็บใจและอับอาย คุณหญิงเรียกคุณบุษบงไปถามเรื่องประวัติของปิ่น คุณบุษบงไม่กล้าโกหกจึงเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง และขอร้องให้คุณหญิงเก็บเป็นความลับ เพราะปิ่นขอไว้ คุณหญิงถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสารเมื่อรู้ว่าปานได้ตายจากไปแล้ว ทัศนาวลัยเปิดร้านขายเสื้อผ้า ทุกคนในบ้านชยานันท์ต่างไปร่วมยินดียกเว้นเรือนใหญ่ และปิ่น อาติยะขอร้องปิ่นให้มาเฝ้าคุณย่าซึ่งไม่สบาย เพราะเขาจะขึ้นไปทำธุระที่ไร่พิษณุเวช ปิ่นเฝ้าดูแลคุณย่าทุกวัน ทัศนาวลัยมาเยี่ยมคุณย่าแบบมีแผนในใจ เธอวางแผนกับคุณวลัย โดยคิดกำจัดคนที่เรือนขวา โดยให้ตันติดต่อโชติพี่ชายปีนเข้าไปลวนลามบุษบง และให้ทัศนาวลัยแอบถ่ายรูปไว้ ขณะที่ กำลังวางแผนอยู่ใกล้กำแพงรั้วบ้านภานุ ซึ่งสงสัยในพฤติกรรมของคนทั้งสาม ได้นำเทปมาอัดคำพูดทั้งหมดไว้ ทั้งที่ไม่เข้าใจ เมื่อทั้งสามทำตามแผนที่วางไว้สำเร็จ ปิ่นมาเห็นคุณบุษบงกำลังช๊อก เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว จึงช่วยกันแก้ไขกับบุษบาโดยให้คุณบุษบงดื่มบรั่นดีจนเริ่มรู้สึกตัว เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งสองเชื่อในคำพูดของคุณบุษบงและให้คุณบุษบงคิดว่าเป็นฝันร้าย ทัศนาวลัยนำรูปบุษบงที่เธอถ่ายมาให้คุณวลัยดูซึ่งยังไม่ค่อยพอใจรูปนัก ส่วนบุษบงถึงกับเป็นไข้คุณหญิงได้มาเยี่ยมคุณบุษบงด้วยความเป็นห่วง คุณวลัยกับทัศนาวลัยแกล้งมาเยี่ยมแต่จริงๆ แล้วนำรูปมาต่อรองให้ทุกคนที่เรือนขวาออกไปจากบ้านมิฉะนั้นจะนำรูปไปให้คุณหญิงและคุณย่าดู ปิ่นฉีกรูปก่อนที่คุณบุษบงจะได้เห็นและรู้ว่าแผนสกปรกเป็นผีมือของสองแม่ลูก คุณวลัยให้เวลาทุกคนคิดเพียงสามวัน ซึ่งปิ่นยืนยันว่าทุกคนจะอยู่ที่บ้านชยานันท์ต่อไป สิทธาซึ่งรู้เรื่องเสียใจกับการกระทำของแม่และน้องสาวได้ไปพูดเกลี้ยกล่อมมารดาให้ล้มเลิกแผนการแต่ไม่ได้ผลกลับถูกสองแม่ลูกไล่ออกจากห้อง ทุกคนที่เรือนขวาใจคอไม่ดีเพราะใกล้วันที่อาติยะจะกลับมา ปิ่นกลุ้มใจเพราะยังหาวิธีช่วยบุษบงไม่ได้ จึงข้ามกำแพงไปหาพิสมัยที่บ้าน แต่พบภานุอยู่คนเดียว ภานุสังเกตเห็นความผิดปกติของปิ่นจึงนำเทปที่อัดไว้มาให้ปิ่นฟัง เมื่อได้ยินเสียงพูดในเทป ปิ่นมีอาการตื่นเต้นดีใจรีบนำเทปกลับบ้านด้วยอาการสดชื่นจนบุษบงและบุษบาแปลกใจ อาติยะมาเยี่ยมคุณบุษบงและบอกปิ่นเรื่องของฝาก ทัศนาวลัยมาตามอาติยะกลับตึกใหญ่ อาติยะถามเรื่องร้านเสื้อของทัศนาวลัยที่ปิดไปแล้ว เธอแก้ตัวว่าเพราะเธอไม่เหมาะกับการค้าขอไปทำงานที่บริษัทดีกว่า อาติยะบอกว่าไม่เหมาะควรอยู่บ้านเรียนภาษาและดูแลคุณย่าจะดีกว่า คุณหญิงเรียนให้คุณย่าทราบเรื่องทำอาหารเลี้ยงทุกคนในบ้าน เนื่องในวันครบรอบวันเกิดคุณชาญศักดิ์ให้ทุกคนมาทานข้าวร่วมกันที่ตึกใหญ่รวมทั้งปิ่นด้วย คุณวลัยมาฟังคำตอบจากคุณบุษบง ถึงเรือนขวา ปิ่นยืนยันจะไม่ออกจากบ้าน ทำให้คุณวลัยกลับไปด้วยความแค้นใจ สิทธาทำข่าวที่คุณวลัยเตรียมรูปไว้ให้ทุกคนดูมาบอกปิ่น อาติยะต่อว่าปิ่นเรื่องที่ไม่ยอมมาพบ ปิ่นแกล้งพูดเรื่องของฝาก ซึ่งอาติยะบอกว่ายังเก็บไว้ให้เธอ บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอึดอัดสำหรับบุษบงและบุษบา ซึ่งต่างกลืนอาหารไม่ลง ผิดกับปิ่นซึ่งเจริญอาหารมากเป็นพิเศษ คุณย่าสังเกตเห็นความผิดปกติของคุณบุษบงและคุณวลัย จึงสอบถาม คุณวลัยได้โอกาสนำรูปมาให้คุณหญิง,คุณย่าและอาติยะดู ทั้งสามต่างตกใจกับภาพที่เห็น แต่ปิ่นขอเวลาชี้แจงความบริสุทธิใจของบุษบงด้วยการนำเทปที่เตรียมไว้มาเปิดให้ทุกคนฟัง คุณวลัยนั่งคอตกแทบเป็นลม ทัศนาวลัยทนไม่ไหววิ่งออกไปจากห้อง ทุกอย่างกระจ่าง คุณบุษบงพ้นมลทิน และขอให้ยุติเรื่องนี้ คุณวลัยถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นความจริงใจของบุษบง ที่ไม่โกรธเธอ ทุกคนต่างแยกย้ายกลับตึก ปิ่นเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง คุณบุษบงและบุษบาต่อว่าปิ่นที่ไม่ยอมบอกความจริงก่อน ซึ่งปิ่นก็มีเหตุผลเพราะรู้นิสัยคุณบุษบงดีว่าเธอคงเอาเทปไปขอแลกกับรูปถ่ายเท่านั้น ซึ่งปิ่นไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เธอไม่ต้องการทำเพื่อคุณบุษบงคนเดียว เธอต้องการแก้แค้นแทนแม่ปานด้วย คุณบุษบงต้องการรู้จักภานุ ปิ่นเกี่ยงให้บุษบาเป็นคนพามาแนะนำเองเพราะรู้ว่าภานุชอบอยู่กับบุษบา บุษบามาขอบคุณภานุที่บ้านที่ช่วยเธอกับแม่ไว้และให้เขาไปพบคุณบุษบงซึ่งภานุยินดี ส่วนคุณวลัยสำนึกผิดได้มาขอโทษบุษบงถึงตึกขวาเพราะเธอแพ้ในความดีของบุษบง อ.นิพนธ์โทรมาบอกอาติยะเรื่องปิ่นกับมุกคือคนเดียวกันพร้อมประวัติ ทำให้อาติยะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ปิ่นมุกเป็นลูกสาวของคุณชาญศักดิ์กับแม่ปาน ทำให้เขาทั้งโกรธและขำถึงกับนอนไม่หลับ รุ่งเช้าอาติยะตามหาตัวปิ่นและบอกว่ารู้เรื่องเธอหมดแล้ว ปิ่นถึงกับตกใจหน้าซีดยอมรับความจริงโดยมีเหตุผลว่าเธอต้องการดูท่าทีของทุกคนในบ้านชยานันท์ เพราะถ้าเธอมาอยู่ในฐานะลูกหลานเธออาจอยู่ในบ้านอย่างไม่มีความสุขเหมือนแม่ของเธอ อาติยะบอกว่าปิ่นทรมานคนอื่น ปิ่นเล่าเรื่องให้คุณบุษบงฟังว่าอาติยะรู้ความจริงหมดแล้ว ทัศนาวลัยเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องด้วยความเสียขวัญในความพ่ายแพ้จนเกิดทิฐิและความแค้นในตัวปิ่นแม้วลัยและสิทธาจะขอร้องแต่ไม่เป็นผล ทัศนาวลัยคว้าปืนออกไปหาปิ่นที่ตึกขวา ทุกคนต่างร้องห้ามแต่ไม่สำเร็จ ปิ่นกลับจากบ้านพิสมัยมาพบทัศนาวลัยซึ่งจ่อปืนเตรียมยิงเธอ อาติยะได้เข้ามาบอกความจริงว่าปิ่นเป็นน้องสาวของเธอ ทำให้ทัศนาวลัยถึงกับเป็นลมหมดสติ ปิ่นยอมรับความจริงและขอโทษทุกคนโดยเฉพาะคุณย่าและคุณหญิง ทั้งสองไม่ถือโกรธปิ่นเลย ทัศนาวลัยฟื้นขึ้นมารู้สึกละอายใจต่อการกระทำของตนเอง ถึงกับซึมไม่พูดจากับใคร ปิ่นมาเยี่ยมและปรับความเข้าใจกัน ทุกคนในบ้านต่างให้อภัยเธอ อาติยะบอกปิ่นเรื่องคุณหญิงจะยกสมบัติในส่วนของเธอให้ปิ่นทั้งหมดและชวนปิ่นไปทานข้าวนอกบ้าน ปิ่นปฏิเสธโดยบอกว่าเธอมีนัดกับสิทธา ทำให้อาติยะเข้าใจผิดคิดว่าเธอมีใจให้กับสิทธาแต่จริงแล้วปิ่นมีนัดกับสิทธา,บุษบา,ภานุ และพิสมัย ตั้งแต่ทุกคนรู้ว่าปิ่นมุกคือหลานสาวแท้ๆ ของคุณย่า เธอได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เพราะศัตรูอย่างวลัย,ทัศนาวลัย ก็กลายเป็นมิตร บ้านชยานันท์น่าจะสงบสุข แต่ก็เกิดเรื่องกับทัศนาวลัย ซึ่งมีเหมือนคนแพ้ท้อง คุณวลัยคาดคั้นและพาเธอไปหาหมอ ซึ่งผลออกมาว่าทัศนาวลัยท้องได้สามเดือนแล้ว คุณวลัยรู้ว่าพ่อเลี้ยงเป็นพ่อเด็ก จะตามให้มารับผิดชอบ แต่ทัศนาวลัยคิดว่าเขาไม่รับผิดชอบ เพราะเขา หายหน้าไปเลย ทัศนาวลัยจะไปทำแท้ง แต่ปิ่นไม่เห็นด้วย ทัศนาวลัยขอร้องให้ปิ่นเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และให้ปิ่นหาที่ที่เธอจะหลบไปอยู่ระหว่างท้อง ปิ่นรับปากทันที อาติยะถึงกับซึมเมื่อได้รับโทรเลขจากไร่พิษณุเวช ซึ่งป้าอนงค์ คนสนิทของแม่ทิพย์ ส่งมาว่า แม่ทิพย์ป่วย อาติยะขออนุญาตคุณหญิงไปเยี่ยมแม่ทิพย์ และขอพาปิ่นมุกไปรู้จักกับแม่แท้ๆ ของเขาด้วย โดยอ้างกับทุกคนว่าจะพาไปช่วยดูแลพยาบาลแม่ทิพย์ชั่วคราว คุณหญิงและคุณย่าซึ่งรู้ถึงความในใจของอาติยะจึงอนุญาต อาติยะมาบอกปิ่นเรื่องขอให้ไปดูแลแม่ทิพย์ ซึ่งตอนแรกเธอปฏิเสธเพราะไม่เข้าใจเหตุผลของอาติยะ ทำให้เขาคิดว่าปิ่นมุกรังเกียจมารดาของเขา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอาติยะแล้ว ปิ่นก็รับปากเพราะใจจริงแล้วเธอต้องการอยู่ใกล้ชิดกับอาติยะ ปิ่นไปลาทุกคนโดยเฉพาะทัศนาวลัยเพราะเธอรับปากจะจัดการปัญหาให้ทันทีที่กลับมา เมื่อถึงไร่พิษณุเวช อาติยะได้แนะนำให้ปิ่นมุกรู้จักกับแม่ทิพย์ ซึ่งแม่ทิพย์ให้ความเอ็นดูปิ่นเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง ปิ่นรู้ว่าอาติยะไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่ไร่พิษณุเวชเลยแม้แต่บุษบาและทัศนาวลัย ปิ่นรู้สึกเห็นใจแม่ทิพย์ที่ต้องเสียสละให้อาติยะไปอยู่ที่บ้านชยานันท์ แต่เมื่อฟังเหตุผลจากแม่ทิพย์จึงเข้าใจ ปิ่นมุกอยู่ที่ไร่แบบสบายๆ แต่เหงาเพราะแม่ทิพย์มีป้าอนงค์เป็นคนดูแล ส่วนอาติยะก็ออกไปไร่ทุกวัน ปิ่นเดินสำรวจไร่คนเดียวจนข้ามแดนไปไร่ติดกัน ซึ่งเจ้าของไร่ก็คือ พ่อเลี้ยงวุฒิไกร ปิ่นดีใจที่เห็นพ่อเลี้ยงเพราะนึกถึงเรื่องของทัศนาวลัย เพราะปิ่นเห็นว่าพ่อเลี้ยงไม่ใช่คนร้ายกาจนัก เป็นคนอ่านง่ายและอารมณ์ดีเสมอสังเกตจากรอยยิ้มที่หน้า จึงเปลี่ยนความตั้งใจจากที่จะโกรธแค้นพ่อเลี้ยง กลายมาเป็นผูกมิตรเพื่อทัศนาวลัย เธอทำดีเพื่อลองใจพ่อเลี้ยง ว่าจะมีความเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ ปิ่นกลับไปที่บ้านพบว่าอาติยะยืนหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะตั้งใจจะพาปิ่นเที่ยวไร่ แต่ เมื่อรู้ว่าผู้ชายที่ปิ่นคุยด้วยเป็นพ่อเลี้ยง อาติยะจึงเตือนปิ่นด้วยความไม่พอใจเพราะรู้ว่าพ่อเลี้ยงเจ้าชู้ ชอบเอาเงินไปบำเรอผู้หญิงจนเงินขาดมือต้องขายที่ให้กับอาติยะ ปิ่นงอนขึ้นไปหาแม่ทิพย์ ปิ่นได้ยินเสียงเด็กร้องที่เรือนพักคนงาน จึงถามหากับป้าอนงค์ และไปช่วย สะอาด เลี้ยงลูกที่เรือนคนใช้ จนป้าอนงค์ต้องมาตามให้กลับ พ่อเลี้ยงวุฒิไกรมาหาปิ่นที่บ้านในวันรุ่งขึ้น และพูดจาจีบปิ่น ปิ่นพยายามเตือนเขาถึงเรื่องทัศนาวลัยจนพ่อเลี้ยงแปลกใจเพราะเขารู้ว่าทั้งสองไม่ถูกกัน ปิ่นบอกพ่อเลี้ยงว่าเธอรู้ความสัมพันธ์ของพ่อเลี้ยงกับทัศนาวลัย ซึ่งพ่อเลี้ยงบอกว่าเป็นเรื่องของหนุ่มสาวสมัยใหม่ ปิ่นหาทางช่วยทัศนาวลัยแต่ติดที่อาติยะที่คอยขัดจังหวะ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าปิ่นกำลังชอบกับพ่อเลี้ยง และไม่ยินดีต้อนรับพ่อเลี้ยงที่ไร่พิษณุเวช คืนหนึ่งปิ่นได้ยินเสียงลูกของสะอาดร้องไห้จึงอาสาเลี้ยงให้โดยพาไปเดินเล่นรับลมด้านนอก พ่อเลี้ยงมาเห็นจึงเข้ามาคุยกับปิ่น และให้ความเอ็นดูเด็กน้อย ทำให้ปิ่นดีใจที่พ่อเลี้ยงบอกว่าเขารักเด็กมาก แต่หมอบอกว่าเขาเป็นคนที่มีลูกยาก ปิ่นจึงยอมบอกความจริงกับพ่อเลี้ยงเรื่องทัศนาวลัยท้องได้สามเดือนแล้ว พ่อเลี้ยงดีใจมากรับปากปิ่นจะไปหาทัศนาวลัยในวันรุ่งขึ้นทันที แต่เมื่อปิ่นอุ้มเด็กไปคืนให้สะอาดก็พบว่าอาติยะมายืนรอและเห็นภาพพ่อเลี้ยงจับมือปิ่นด้วยความเข้าใจผิด ทั้งสองปะทะคารมกันจนอาติยะอดใจไม่ไหวจูบปิ่นด้วยความหึงหวง ปิ่นบอกอาติยะว่าจะกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ รุ่งเช้าแม่ทิพย์แปลกใจที่เห็นปิ่นในชุดเดินทางมากราบลากลับกรุงเทพฯ และบอกว่าอาติยะรู้เรื่องแล้ว แม่ทิพย์ถามเหตุผล ปิ่นอ้างว่ามีธุระที่กรุงเทพฯ แต่ให้สัญญาว่าจะพูดกับคุณย่าและคุณหญิงให้คืนอาติยะให้แม่ทิพย์ อาติยะเมื่อรู้เรื่องจึงเดินทางกลับพร้อมปิ่นเช่นกัน ระหว่างเดินทางทั้งสองเหมือนคนแปลกหน้าเพราะต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง บุษบาดีใจที่เห็นหน้าปิ่น บุษบงให้ปิ่นรีบไปกลับคุณย่ากับคุณหญิงที่ตึกใหญ่ แต่ปิ่นไม่อยากพบอาติยะ แต่คุณบุษบงคะยั้นคะยอจนปิ่นไม่มีทางเลี่ยง พบคุณย่าอยู่กับคุณหญิงตามลำพังจึงรู้ว่าอาติยะเพิ่งกลับออกไป ปิ่นเล่าถึงเรื่องที่ไร่และแม่ทิพย์ให้ทั้งสองฟัง ซึ่งยอมที่จะคืนอาติยะให้กับแม่ทิพย์ตามที่ปิ่นต้องการและให้คนทำความสะอาดเรือนแม่ปานเตรียมไว้เป็นที่อยู่ของปิ่นต่อไป ปิ่นรู้ข่าวการหมั้นของสิทธากับพิสมัย และบุษบากับภานุ ด้วยความรู้สึกดีใจเพราะเธอเป็นแม่สื่อได้สำเร็จ ส่วนทางเรือนซ้ายปิ่นได้พบว่าทุกคนในเรือนกำลังมีความสุข พ่อเลี้ยงได้มาตกลงกับทัศนาวลัยเรื่องจะมาสู่ขอเรียบร้อยแล้ว ปิ่นขอตัวกลับทันทีที่เห็นอาติยะเข้ามาในห้อง ทัศนาวลัยสังเกตเห็นจึงถามอาติยะ อาติยะเล่าว่าปิ่นกำลังมีความรักกับพ่อเลี้ยง ทัศนาวลัยจึงเล่าความจริงทั้งหมดให้อาติยะฟัง หลังงานหมั้นของสองคู่ ปิ่นเกิดอาการเหงาและว้าเหว่กระทันหันจนคุณบุษบงสังเกตเห็น ปิ่นอ้างว่าคิดถึงแม่ปานจะขอกลับบ้านนอกแต่คุณบุษบงให้เห็นแก่คุณย่าและบอกสาเหตุที่ปิ่นเป็นแบบนี้เพราะกำลังสับสน คุณบุษบงขอตัวไปตามผู้ที่จะรั้งตัวปิ่นไว้ได้ ซึ่งก็คือ อาติยะ ที่เข้าใจปิ่นแล้ว อาติยะขอปิ่นแต่งงานโดยไม่ได้บอกว่ารัก ทำให้ปิ่นเข้าใจผิดคิดว่าอาติยะขอเธอแต่งงานเพื่อให้อยู่ปรนนิบัติคุณย่า อาติยะสารภาพว่าเขารักปิ่นมานานแล้วและทุกคนที่ชยานันท์ก็รู้เพราะอาติยะพาปิ่นไปแนะนำให้รู้จักแม่ทิพย์ ปิ่นรู้สึกเหมือนเป็นความฝันเพราะในที่สุดเธอก็ได้ยินคำว่ารักจากอาติยะ", "title": "ปิ่นมุก" }, { "docid": "350940#3", "text": "อาเชมมีบุตรชายสองคนและมีบุตรสาวสองคน ลูกสาวคนเล็กของเขา ได้เข้าร่วมการแข่งขันในนามของมาเก๊า ของรายการ AKF เอเชียนยูธ ครั้งที่ 9 ในค.ศ. 2008 ซึ่งจัดขึ้นที่รัฐซาบะฮ์ ที่มีชื่อการแข่งขันว่าจูเนียร์คาราเต้ แชมเปี้ยนชิป ส่วนบุตรชายคนที่สามของเขาที่มีชื่อว่าโจเซ่ หลุยส์ เปดรูโก อาเชม ได้เข้าร่วมเอเชียนยูธ จูเนียร์คาราเต้แชมเปี้ยนชิป ในค.ศ. 1998 และในประเภททีมอายุ 15 ปีก็ชนะรางวัลเหรียญเงินด้วยฝีมือของเขาเอง", "title": "โจเซ่ มาร์ตินส์ อาเชม" }, { "docid": "217858#172", "text": "และในวันที่ 15 ตุลาคม 2017 โรกูโซ ได้แจ้งข่าวผ่านทางอินสตาแกรมว่าพวกเขากำลังมีลูกคนที่ 3 โดยโรกูโซได้ลงภาพครอบครัวซึ่ง ติอาโก ลูกชายคนโต และเมสซีซึ่งกำลังอุ้มมาเตโอลูกชายคนรองอยู่ ต่างสัมผัสหน้าท้องของเธอ พร้อมลงข้อความว่า \"ครอบครัว 5 คน\" กำหนดคลอดคือ ช่วงสัปดาห์ที่ 2-3 ในเดือนมีนาคม 2018 แต่โรกูโซมีอาการน้ำคร่ำแตก จำเป็นต้องคลอดก่อนกำหนดเล็กน้อย ซีโร เมสซี่ ลูกชายคนที่ 3 ของพวกเขาจึงถือกำเนิดในวันที่ 10 มีนาคม 2018 เดิมเมสซี่ต้องร่วมเดินทางไปกับทีมเพื่อแข่งขันเกมลีก นัดเยือนกับมาลากาในวันนั้น แต่เมื่อภรรยาต้องคลอดก่อนกำหนดอย่างกะทันหัน เขาจึงขอถอนตัว ไม่ร่วมเดินทางไปแข่งขัน ซึ่งได้รับอนุญาตจากเอร์เนสโต บัลเบร์เดเรียบร้อยแล้ว เมสซีได้ลงรูปผ่านทางเฟซบุ๊คและอินสตาแกรมต้อนรับซีโรในวันนั้นด้วยข้อความว่า \"ยินดีต้อนรับ \"ซีโร\" ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทั้งแม่และลูกปลอดภัยดี พวกเรากำลังมีความสุขมาก\"", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "37312#11", "text": "ด้านชีวิตครอบครัว ได้สมรสกับ คุณอุษา บุณยรักษ์ บุตรี ร้อยเอกสุวิทย์ บุณยรักษ์ มีบุตร-ธิดา 4 คน คือและมีบุตร-ธิดา กับภรรยาท่านก่อน คือสุรัฐ พุกกะเวส เริ่มป่วยด้วยอาการต่อมลูกหมากโต ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2526 จึงทำการผ่าตัดในเดือนสิงหาคมปีนั้น ภายหลังตรวจพบว่ามีโรคแทรกซ้อนอีกหลายโรค ได้ทำการรักษาเรื่อยมา แต่อาการไม่ดีขึ้น ท้ายที่สุดเกิดอาการไตวาย แพทย์ต้องทำการล้างไตตลอด จนถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมอายุได้ 69 ปี 2 เดือน 7 วัน", "title": "สุรัฐ พุกกะเวส" }, { "docid": "325959#2", "text": "นายผินมีภรรยาสองคน คือ สุเนตร คิ้วคชา และ อาภา เตชะรัตนไชย มีบุตร 9 คน คือ โสภิดา เชิดชัย กิตติกร คิ้วคชา (ดูแลกิจการภูเก็ตแฟนตาซี) อัมพรศรี คิ้วคชา ธนะ คิ้วคชา (ดูแลกิจการบางกอกฟาร์ม) สมหวัง คิ้วคชา โชค คิ้วคชา ฤทธิ์ คิ้วคชา (ดูแลกิจการไอศครีมสฟรี) เดช คิ้วคชา ดวง คิ้วคชา", "title": "ผิน คิ้วคชา" }, { "docid": "197844#6", "text": "จากหลักบันทึกทางประวัติศาสตร์จีนระบุว่า โจโก๋มีโจเท้งเป็นบิดาบุญธรรม และมีโจเต๊กเป็นน้องชาย มีบุตรชายหนึ่งคนคือโจโฉ และมีหลานชายห้าคนได้แก่ โจงั่ง โจผี โจเจียง โจสิด โจหิม โดยมีโจผีเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์วุย", "title": "โจโก๋" } ]
3602
ประเทศโครเอเชียตั้งอยู่ในทวีปใด ?
[ { "docid": "6224#0", "text": "โครเอเชีย (English: Croatia; Croatian: Hrvatska) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐโครเอเชีย (English: Republic of Croatia; Croatian: Republika Hrvatska) เป็นประเทศรูปเสี้ยววงเดือนในยุโรปที่มีอาณาเขตจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลาง และบอลข่าน เมืองหลวงชื่อซาเกร็บ ในประวัติศาสตร์ปัจจุบัน โครเอเชียเคยเป็นสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียเดิม แต่ได้รับเอกราชในพ.ศ. 2534 และได้สมัครเพื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอนาคต", "title": "ประเทศโครเอเชีย" } ]
[ { "docid": "6224#14", "text": "หลังจากออสเตรีย-ฮังการียึดครองบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา จากสนธิสัญญาเบอร์ลิน 1878 (1878 Trety of Berlin) แนวหน้าทางทหารโครเอเชียถูกโค่นล้ม และอาณาเขตได้กลับคืนเป็นของโครเอเชียในปีค.ศ. 1881 ตามบทบัญญัติข้อยุติของโครเอเชีย-ฮังการี ความพยายามในการรื้อฟื้นออสเตรีย-ฮังการีที่นำมาซึ่งไปสู่การรวมโครเอเชียในฐานะหน่วยสหพันธรัฐ หยุดโดยการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1", "title": "ประเทศโครเอเชีย" }, { "docid": "474996#3", "text": "เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ได้มีการพบร่างของ เซียร์เกย์ ออฟชินนิคอฟ ในวัย 43 ปี ซึ่งอยู่ในสภาพถูกแขวนคออยู่ในห้องพักของโรงแรม ณ ค่ายฝึกในเมืองโพเรค ประเทศโครเอเชีย ภายหลังจากตำรวจโครเอเชียตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ก็ไม่ได้พบหลักฐานการก่อเหตุฆาตกรรมแต่อย่างใด โดยได้สรุปเหตุการณ์นี้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย", "title": "เซียร์เกย์ ออฟชินนิคอฟ" }, { "docid": "978352#1", "text": "สโมสรฟุตบอลในประเทศโครเอเชียสโมสรแรกได้รับการก่อตั้งขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และมีส่วนร่วมในโครงสร้างลีกยูโกสลาเวียหลังจากประเทศโครเอเชียกลายเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวียหลังสงคราม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 ถึง ค.ศ. 1944 มีการแข่งนัดกระชับมิตรสิบเก้าแมตช์โดยทีมชาติโครเอเชียซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐหุ่นเชิดยุคสงครามโลกครั้งที่สองของบาโนวีนาแห่งโครเอเชียและรัฐเอกราชโครเอเชีย ครั้นหลังสงคราม ส่วนใหญ่ของสโมสรยูโกสลาเวียที่โดดเด่น รวมทั้งสโมสรในโครเอเชีย ได้ถูกลบล้างและแทนที่ด้วยข้างใหม่โดยระบอบคอมมิวนิสต์ของจอมพลตีโต", "title": "ฟุตบอลในประเทศโครเอเชีย" }, { "docid": "6224#9", "text": "หลังจากชัยชนะที่เด็ดขาดของออตโตมัน โครเอเชียได้แยกเป็นอาณาเขตพลเมืองและอาณาเขตทางทหาร ซึ่งแบ่งแยกในปีค.ศ. 1538 อาณาเขตทางทหารกลายเป็นที่รู้จักกันใน \"แนวหน้ากองทหารโครเอเชีย\" (Croatian Military Frontier) และอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิโดยตรง ออตโตมันได้รุดหน้าไปในอาณาเขตของโครเอเชียต่อไปจนถึงปีค.ศ. 1593 ศึกของซีซีค เป็นการพ่ายแพ้ของชาวออตโตมันครั้งแรก และการรักษาเสถียรภาพของเขตแดน ในระหว่างสงครามเติร์กครั้งยิ่งใหญ่ (ปีค.ศ. 1683-1698) เขตสลาโวเนียได้ถูกยึดคืนมา แต่ทางตะวันตกของบอสเนีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของโครเอเชียมาตลอด ก่อนที่ออตโตมันจะพิชิตได้ ยังคงอยู่นอกการปกครองของโครเอเชีย เขตแดนในปัจจุบันระหว่างสองประเทศนี้เป็นเศษซากของผลการพิชิตนี้ ดัลมาเชีย ชายแดนทางตอนใต้ของประเทศถูกนิยามใกล้เคียงกัน โดยสงครามออตโตมัน-เวเนเชียนครั้งที่ห้าและครั้งที่เจ็ด", "title": "ประเทศโครเอเชีย" }, { "docid": "858702#2", "text": "อาณาเขตที่ใช้ในการแบ่งทวีปเอเชียกับทวีปแอฟริกาคือคลองสุเอซและทะเลแดง ส่วนการแบ่งเขตทวีปยุโรปกับทวีปเอเชียคือทางตะวันตกเฉียงเหนือนั้นจะใช้เทือกเขายูรัลในประเทศรัสเซียในการแบ่งเขต ส่วนในตะวันตกนั้นยังไม่มีการกำหนดอย่างแน่ชัดแต่ส่วนมากจะใช้แม่น้ำยูรัล,แม่น้ำเอ็มบา,ทะเลดำและทะเลแคสเปียนในการแบ่งเขต โดยจุดสิ้นสุดของทวีปเอเชียคือช่องแคบบอสพอรัสในประเทศตุรกี และส่วนที่แยกทวีปเอเชียออกจากทวีปอเมริกาเหนือคือช่องแคบเบริง", "title": "ภูมิศาสตร์เอเชีย" }, { "docid": "2721#3", "text": "ตุรกีเป็นประเทศสองทวีปที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ตุรกีในฝั่งเอเชียซึ่งครอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอานาโตเลีย นับเป็นพื้นที่ร้อยละ 97 ของประเทศ และถูกแยกจากตุรกีฝั่งยุโรปด้วยช่องแคบบอสพอรัส ทะเลมาร์มะรา และช่องแคบดาร์ดะเนลส์ (ซึ่งรวมกันเป็นพื้นน้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ตุรกีในฝั่งยุโรปซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่านมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 3 ของทั้งประเทศ ดินแดนของตุรกีมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความยาวมากกว่า 1,600 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 800 กิโลเมตร ตุรกีมีพื้นที่ (รวมทะเลสาบ) ประมาณ 783,562 ตารางกิโลเมตร ", "title": "ประเทศตุรกี" }, { "docid": "107665#8", "text": "หลังจากปี พ.ศ. 2533 เมื่อทำงานใช้ทุนของรัฐบาลจนหมดแล้ว ดร.พีรศักดิ์ ได้ลาออกจากราชการและเข้าทำอุตสาหกรรมในบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโคคาโคลาในประเทศไทย ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ (เทคนิค) ผู้อำนวยการโรงงานรังสิต และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซึ่งในเวลาดังกล่าวได้มีส่วนทำให้บริษัทไทยน้ำทิพย์มีการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ เช่น โรงงานรังสิตเป็นโรงงานแรกของระบบโคคาโคลาทั่วโลกที่ได้รับการรับรองระบบ ISO 14001 และเป็นโรงงานแรกในทวีปเอเชียทางด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ได้รับการรับรองดังกล่าวด้วย ได้นำระบบการบริหาร TQM และ Benchmarking เข้ามาเป็นกรอบในการบริหารงาน", "title": "พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ" }, { "docid": "6224#18", "text": "ในเดือนเมษายน ปีค.ศ. 1941 ยูโกสลาเวียอยู่ภายใต้การควบคุมของประเทศเยอรมนีและประเทศอิตาลี ตามด้วยการบุกรุกอาณาเขตของประเทศโครเอเชีย ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และพื้นที่ Syrmia ถูกผนวกรวมเป็นรัฐเอกราชโครเอเชีย (Independent State of Croatia – NDH) ซึ่งเป็นรัฐหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนี พื้นที่ฝั่งดัลมาเชียถูกผนวกรวมกับประเทศอิตาลี และพื้นที่บารันยา (Baranja) และเมจิมูเรีย (Međimurje) ในทางตอนเหนือของโครเอเชีย ได้ถูกผนวกรวมเข้ากับประเทศฮังการี รัฐเอกราชโครเอเชียปกครองโดย อันเต ปาเลวิช (Ante Pavelić) และกลุ่มคลั่งชาติอุสตาเช่ (Ustaše)", "title": "ประเทศโครเอเชีย" }, { "docid": "492139#5", "text": "พบกระจายพันธุ์ตามแหล่งน้ำที่สะอาดต่าง ๆ ในป่าประเภท ป่าผลัดใบ หรือภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นป่าที่มีพืชชั้นต่ำประเภทมอสส์ปกคลุม ในหลายประเทศของทวีปยุโรป ตั้งแต่ประเทศแอลเบเนีย, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บัลแกเรีย, ฮังการี, โครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, มอนเตเนโกร, ยูโกสลาเวีย, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, โปรตุเกส, โรมาเนีย, สเปน, สวิสเซอร์แลนด์ โดยพบไปได้ไกลถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ตุรกี และอิหร่าน", "title": "ซาลาแมนเดอร์ไฟ" }, { "docid": "978352#0", "text": "ฟุตบอลในประเทศโครเอเชีย เรียกว่า\"โนโกเมต\" (\"nogomet\") เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในประเทศและนำโดยสหพันธ์ฟุตบอลโครเอเชีย มีการเล่นในสี่ส่วนอย่างเป็นทางการ ได้แก่ ลีกในประเทศประกอบด้วยสามระดับลำดับชั้น และทีมชาติเดี่ยวซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐประเทศ", "title": "ฟุตบอลในประเทศโครเอเชีย" }, { "docid": "858702#30", "text": "ประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชียนั้นคือประเทศที่มีดินแดนตั้งอยู่ในอาณาเขตของทวีปเอเชียที่มีการแบ่งอาณาเขตอย่างชักเจนแล้วแต่ถึงอย่างนั้นบางประเทศก็ไม่ได้อยู่ในทวีปเอเชียตามโครงการของ UNSD เช่นรัสเซียแต่เพื่อเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติของกองสถิติสหประชาชาติจึงได้นำสถิติประชากรของประเทศบางส่วนที่อยู่ในเอเชียมานับเป็นประชากรในทวีปเอเชียด้วย แต่ทั้งนี้ก็จะไม่นับรวมกับคาบสมุทรไซไนของประเทศอียิปต์เนื่องจากถึงจะอยู่ในเอเชียแต่ส่งนใหญ่ของอียิปต์อยู่ในแอฟริกาจึงไม่เหมือนในกรณีของรัสเซีย และหมู่เกาะในเอเชียตะวันตกและดินแดนนอกของเกาะคริสต์มาสและหมู่เกาะโคโคสที่ถึงจะมีความเกี่ยวข้องกับเอเชียแต่ก็ไม่เอามารวมกับสถิติของเอเชียตามหลักgeoscheme UNSD", "title": "ภูมิศาสตร์เอเชีย" }, { "docid": "705453#0", "text": "แอร์โครยอ (Korean: 고려항공, โครยอฮังกง; ชื่อเดิมคือ โชซ็อนมินฮัง (조선민항)) เป็นสายการบินประจำชาติของประเทศเกาหลีเหนือ ดำเนินการโดยรัฐบาล มีศูนย์บัญชาการในเขตซูนัน กรุงเปียงยาง[2] และมีฐานการบินหลักอยู่ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติเปียงยางซูนัน (IATA: FNJ)[3] โดยให้บริการเที่ยวบินประจำและเที่ยวบินพิเศษไปยังจุดหมายปลายทางในทวีปเอเชียและยุโรป", "title": "แอร์โครยอ" }, { "docid": "499739#0", "text": "แม่น้ำดราวา (; ; อิตาลี, โครเอเชียและสโลวีเนีย: \"Drava\") เป็นแม่น้ำในทวีปยุโรป อยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางใต้ของทวีป มีต้นน้ำอยู่ที่ทิวเขาคาร์นิกแอลป์ ไหลไปทางตะวันออกผ่านเมืองรัฐทิโรลทางตะวันตกและรัฐคารินเทีย ผ่านทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสโลวีเนีย วกไปทางตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปยังบริเวณเหนือสุดของประเทศโครเอเชียกับประเทศฮังการี แล้วไหลลงสู่แม่น้ำดานูบ ใกล้กับเมืองโอซีเยกของประเทศโครเอเชีย แม่น้ำสายนี้มีความยาว 707 กม. (439 ไมล์)", "title": "ดราวา" }, { "docid": "6224#22", "text": "รัฐบาลโครเอเชียยังมีโครงการสนับสนุนการลงทุนด้านท่าเรือ ซึ่งเป็นโครงการระยะยาว เนื่องจากเห็นว่า การลงทุนด้านนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโครเอเชีย ช่วยให้เกิดการขนส่ง การก่อสร้างถนน ทางรถไฟ และธุรกิจบริการเกี่ยวกับบริษัทขนส่งสินค้าต่างๆ โดยรัฐบาลได้สนับสนุนเงินกู้จำนวนหนึ่งเพื่อสร้างถนนเชื่อมโยงกับเส้นทางของฮังการี ปรับปรุงทางรถไฟและสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งนี้ โครเอเชียมีชายฝั่งทะเลที่ยาวกว่า 5,000 กิโลเมตร และเต็มไปด้วยเกาะแก่งต่างๆ ถึง 1,185 เกาะ จึงมีความจำเป็นต้องจัดการคมนาคมขนส่งทางน้ำเพื่อเชื่อมโยงระหว่างกัน รวมทั้งดูแลชายฝั่งทะเลซึ่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการก่อสร้างถนนหนทางภาคพื้นดินภายในประเทศเพื่อรองรับการคมนาคมทางน้ำ โครเอเชียมีท่าเรือ Rijeka ใช้ขนถ่ายและกระจายสินค้าได้ มีโครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่ง โดยเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2549 ซึ่งจะเป็นเส้นทางคมนาคมทางบกที่รวดเร็วที่สุดระหว่างเอเชียและยุโรปกลาง", "title": "ประเทศโครเอเชีย" }, { "docid": "5255#2", "text": "ฮังการีตั้งอยู่กลางทวีปยุโรปแถบที่ราบเทือกเขาคาร์เปเทียน (Kárpát-medence) มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน 7 ประเทศ คือ โรมาเนีย ออสเตรีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย โครเอเชีย และสโลวีเนีย รูปร่างประเทศฮังการีคล้ายรูปไต มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 93,000 ตารางกิโลเมตร", "title": "ประเทศฮังการี" }, { "docid": "871758#0", "text": "สำนักข่าวโครเอเชีย (ไฮนา) (; ) เป็นสำนักข่าวรัฐบาลแห่งชาติประจำประเทศโครเอเชีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 สำนักข่าวโครเอเชียตั้งอยู่ที่ซาเกร็บ[1]", "title": "สำนักข่าวโครเอเชีย" }, { "docid": "661268#2", "text": "เนื่องจากบทบาทของวูคอวาร์ในสงครามประกาศอิสรภาพของโครเอเชีย ทำให้แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีความตึงเครียดระหว่างชาวเมืองสองฝ่ายคือ ชาวโครแอทซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่กับชาวเซิร์บซึ่งมีอยู่ในเมืองราวๆ 30% ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 ซึ่งรัฐธรรมนูญของโครเอเชียประกาศให้เมืองใดก็ตามที่มีประชากรเป็นชนเชื้อสายอื่นนอกเหนือจากชาวโครแอทรวมกันได้ถึง 30% จะมีสิทธิ์ในการใช้ภาษาของชนกลุ่มนั้นเป็นหนึ่งในภาษาราชการของเมืองด้วย วูคอวาร์จึงได้กลับมาเป็นเมืองซึ่งจุดประเด็นร้อนแรงขึ้นมาในโครเอเชียอีกครั้งเมื่อเหล่าทหารผ่านศึกของโครเอเชียที่เคยรบในสงครามเมื่อทศวรรษที่ 90 ไม่ยอมรับให้มีการใช้ภาษาเซิร์บเป็นภาษาราชการของเมืองอีกภาษาหนึ่ง และได้คอยทำการทุบทำลายหรือถอดป้ายชื่อสถานที่ราชการต่างๆในเมืองที่มีการเขียนด้วยตัวอักษรซีริลลิคของภาษาเซิร์บควบคู่กับอักษรละตินของภาษาโครเอเชีย", "title": "วูคอวาร์" }, { "docid": "984693#0", "text": "แม่น้ำซาวา (; , , ) เป็นแม่น้ำทางตอนกลางและตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป เป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำดานูบทางฝั่งขวา ไหลผ่านประเทศสโลวีเนีย โครเอเชีย ไหลผ่านชายแดนทางตอนเหนือของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาแล้วผ่านเซอร์เบีย ไหลลงแม่น้ำดานูบที่กรุงเบลเกรด ส่วนกลางของแม่น้ำเป็นชายแดนตามธรรมชาติของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและโครเอเชีย แม่น้ำซาวาจะได้กำหนดเขตแดนทางตอนเหนือของคาบสมุทรบอลข่าน และปลายทางตอนใต้ของที่ราบพันโนเนีย", "title": "ซาวา" }, { "docid": "6224#15", "text": "วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1918 รัฐสภาโครเอเชีย (Sabor) ประกาศเอกราชและตัดสินใจที่จะเข้าร่วมรัฐสโลวีน โครแอตและเซิร์บที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ซึ่งภายหลังได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับราชอาณาจักรเซอร์เบียในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ.1918 จึงได้ชื่อใหม่ว่า ราชอาณาจักรเซิร์บ โครแอต และสโลวีน ทางสภาโครเอเชียไม่เคยยื่นข้อเสนอในการรวมกับเซอร์เบียและมอนเตเนโกร รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1921 กำหนดให้ประเทศเป็นรัฐเดี่ยว แล้วยกเลิกระบบสภาของโครเอเชียและเขตการปกครองทางประวัติศาสตร์ ส่งผลให้การปกครองตนเองของโครเอเชียได้สิ้นสุดไป", "title": "ประเทศโครเอเชีย" }, { "docid": "272370#8", "text": "ราชอาณาจักรโครเอเชีย และราชอาณาจักรฮังการีรวมตัวเป็นสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1102 ภายใต้พระมหากษัตริยฮังการี รายละเอียดของการรวมตัวระบุในข้อตกลงสหภาพ (Pacta conventa) ที่ระบุการก่อตั้งโครเอเชียเป็นรัฐเอกเทศที่บริหารโดยซาบอร์ (สภาขุนนางโครเอเชีย) และอุปราช นอกจากนั้นขุนนางโครเอเชียก็ยังคงรักษาที่ดินและทรัพย์สิน และ ตำแหน่งที่มีอยู่ได้ การรวมตัวของฮังการีและโครเอเชียในยุคกลางเกิดขึ้นจาก “รัฐร่วมประมุข” และดำเนินต่อมาจนถึงยุทธการโมเฮ็คส์ในปี ค.ศ. 1526 เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1527 ขุนนางโครเอเชียมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกอาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรียและผู้สืบเชื้อสายจากพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์และรัชทายาท แต่โดยทางการแล้วสหราชอาณาจักรฮังการี-โครเอเชียก็มีอยู่ต่อมาจนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และ สนธิสัญญาไทรอานอน\nในฐานะเป็นอาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งฟินแลนด์ปกครองโดยซาร์แห่งรัสเซียในฐานะแกรนด์ดยุคแห่งฟินแลนด์ระหว่าง ค.ศ. 1809 จนถึง ค.ศ. 1917 ตามความเห็นของชาวฟินแลนด์ลักษณะของการรวมตัวคล้ายกับ “รัฐร่วมประมุข” ตามสนธิสัญญาเฟรดริคสฮัมน์ (Treaty of Fredrikshamn) ฟินแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย และได้พระราชทานฐานะให้เป็นเขตปกครองตนเองโดยพระเจ้าซาร์ แต่สิทธินี้ก็มาถูกเพิกถอน (Russification of Finland) เป็นการชั่วคราวต่อมาข้อสังเกต: ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปัญหาที่ก่อให้เกิดสงครามสืบราชบัลลังก์สเปนคือความหวาดระแวงของการสืบราชบัลลังก์สเปนที่ระบุโดยกฎหมายสเปน ที่มีผลทำให้หลุยส์ผู้เป็นรัชทายาทของฝรั่งเศสอยู่แล้วจะได้ครองสเปนด้วยโดยสิทธิ “รัฐร่วมประมุข” ซึ่งเป็นการทำให้เสถียรภาพของมหาอำนาจในยุโรปขาดความสมดุล (ฝรั่งเศสขณะนั้นเป็นประเทศที่มีอานุภาพทางทหารมากกว่าผู้ใดในยุโรปและสเปนก็เป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุด)", "title": "รัฐร่วมประมุข" }, { "docid": "740809#0", "text": "สงครามโครเอเชีย หรือ สงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย เป็นสงครามที่เกิดขึ้น เมื่อสมัชชาโครเอเชีย ต้องการเอกราชโครเอเชีย โดยมูลเหตุมาจากในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียดุเดือดสุดๆ สมัชชาเซอร์เบียและสมัชชาโครเอเชียโต้เถี่ยงกันในสภาโดยสมัชชาเซอร์เบียใช้อำนาจทั้งหมดขัดขวางการขึ้นมีอำนาจของประธานาธิบดียูโกสลาเวียที่มาจากชาวโครแอท ทำให้ทางสมัชชาโครเอเชียจึงเดินออกจากสภาไป ทางสมัชชาจัดการชุมุนมเรียกร้องให้ประชาชนมาชุมนุมซึ่งผลตอบรับค่อนข้างสูงชาวโครแอทต้องการเอกราชโครเอเชีย ทำให้เกิดการปะทะกับตำรวจและผลลัพธ์จมลงด้วยสงคราม โดย นายทหารยูโกสลาเวียที่เป็นชาวโครแอทได้รวบรวมอาวุธเพื่อประกาศเอกราช ในวันที่ 31 มีนาคม 1991 กองทัพยูโกสลาเวีย ยกพลบุกโครเอเชีย แม้จะได้รับการคัดค้านจะสมัชชาบอสเนีย แต่กองพลยุโกสลาเวียก็เคลือนพล ทหาร ประชาชน ชาวโครแอทที่ถูกปราบปราม ขณะที่ชาวเซิร์บในโครเอเชียก็ไก้ประกาศตั้งประเทศ สาธารณรัฐเซอร์เบียกราจีนาซ้อนทับโครเอเชีย ", "title": "สงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย" }, { "docid": "186328#5", "text": "ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนที่เข้าร่วมในการแข่งขันต้องสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ได้ เนื่องจากความแตกต่างด้านภาษาในทวีปเอเชีย ในการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันจะมาจากหลาย ๆ ประเทศในเอเชีย และไม่จำกัดเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยรวมแล้ว ผู้เข้าแข่งขันจะมาจากประเทศในเอเชียทั้งหมด ยกเว้นจากประเทศในตะวันออกกลาง แต่ถ้าผู้เข้าแข่งขันคนใดที่ทำงานอยู่ในทวีปเอเชียเป็นเวลานาน แม้ว่าผู้เข้าแข่งขันคนนั้นจะไม่ใช่ชาวเอเชีย ผู้เข้าแข่งขันนั้นก็ยังสามารถถูกคัดเลือกมาแข่งในนามของประเทศที่ตนไปทำงานได้[2] (เช่น แอนดี้กับลอร่า (ซีซั่นที่ 1) ที่แข่งในนามของประเทศไทยแต่มาจากสหราชอาณาจักร)", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซเอเชีย" }, { "docid": "739727#1", "text": "อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 คณะตุลาการอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวียได้มีคำวินิจฉัยว่า เฮิร์ตเซก-บอสเนียได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่จะแยกตัวออกจากบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและไปรวมกับโครเอเชีย ตามความเห็นของคณะตุลาการฯ ความปรารถนาเหล่านั้น (ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสาธารณรัฐโครเอเชีย) เป็นที่ประจักษ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่เฮิร์ตเซก-บอสเนียประกาศใช้ภาษาโครเอเชียและหน่วยเงินดีนาร์ของโครเอเชีย และจากการที่สาธารณรัฐโครเอเชียมอบความเป็นพลเมืองโครเอเชียแก่ชาวโครแอตในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ศาลรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาประกาศให้ประชาคมโครเอเชียแห่งเฮิร์ตเซก-บอสเนียไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1992 ", "title": "สาธารณรัฐโครเอเชียแห่งเฮิร์ตเซก-บอสเนีย" }, { "docid": "3897#6", "text": "เฮรอโดตัส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ชาวกรีก เป็นบุคคลแรกที่ใช้คำ \"เอเชีย\" เรียกทวีป ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาประดิษฐ์คำนี้ขึ้น แต่เพราะข้อเขียนเรื่อง \"ฮิสตอรีส์ (Histories) \" ของเขาเป็นงานชิ้นเดียวที่บรรยายทวีปเอเชียไว้โดยละเอียดและเหลือรอดมาถึงยุคปัจจุบัน เฮรอโดตัสนิยามคำว่า \"เอเชีย\" เอาไว้อย่างครบถ้วนกระบวนความ เขากล่าว่า เขาได้อ่านผลงานของนักภูมิศาสตร์หลายคนซึ่งปัจจุบันสาบสูญไปทั้งสิ้นแล้ว พบว่า ชาวกรีกส่วนใหญ่ถือกันว่า ชื่อทวีปเอเชียนั้นมาจากชื่อของนางฮีไซโอนี (Hesione) ภริยาของพรอมีเธียส (Prometheus) ขณะที่ชาวลิเดียถือว่า ชื่อทวีปเอเชียมาจากชื่อเจ้าชายเอเซียส (Asies) โอรสแห่งโคติส (Cotys) และนัดดาของพระเจ้าเมนีส (Manes) เฮรอโดตัสแสดงความเห็นแย้งว่า ชื่อ \"เอเชีย\" มาจากชื่อของพรายนางหนึ่งซึ่งเป็นเทพีประจำเมืองลิเดียตามความในเทพปกรณัมกรีก และแสดงความสงสัยไว้ว่า เหตุใดจึงเอานามสตรีสามนาง \"ไปตั้งเป็นนามภูมิภาคซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน\" กล่าวคือ ชื่อนางยูโรปา (Europa) สำหรับยุโรป นางเอเชียสำหรับเอเชีย และนางลิเบีย (Libya) สำหรับแอฟริกา", "title": "ทวีปเอเชีย" }, { "docid": "35751#3", "text": "นอกจากนี้ หลายๆ ประเทศยังได้ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์รูปแบบรายการไปสร้างและออกอากาศในประเทศนั้นๆ ด้วย ได้แก่ สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, โปแลนด์, อิตาลี, ฮอลแลนด์, ,ยูเครน, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, แอฟริกาใต้, บราซิล, แอลเบเนีย, เบลเยียม, เบเนลักซ์, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, แคริบเบียน, อเมริกากลาง, โครเอเชีย, เอสโตเนีย, จอร์เจีย, กรีซ, ฮังการี, อิสราเอล, เม็กซิโก, มอลตา, นิวซีแลนด์, เปรู, โรมาเนีย, รัสเซีย, เซอร์เบีย, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, สเปน, สวิสเซอร์แลนด์, ตุรกี, สแกนดิเนเวีย, นอร์เวย์, เดนมาร์ก, สวีเดน, ฟินแลนด์, กลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย เวียดนาม, กัมพูชา, อินเดีย, จีน, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์ และ ไทย เป็นต้น", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล" }, { "docid": "740878#0", "text": "สงครามโครแอต-บอสนีแอก เป็นสงครามระหว่างชาวบอสเนียกับชาวโครแอต ซึ่งเกิดทั้งในภูมิภาคบอสเนียกลาง เฮอร์เซโกวีนา และในเขตประเทศโครเอเชีย มูลเหตุสงครามมาจากในปี1991 โครเอเชียได้ประกาศเอกราชจาก ยูโกสลาเวีย แต่ก็แยกไปเฉพาะชาวโครแอตในโครเอเชีย ทำให้ชาวโครแอตในบอสเนียจึงได้ก่อตั้ง สาธารณรัฐโครเอเชียแห่งเฮิร์ตเซก-บอสเนีย เพื่อประกาศเอกราชจาก สาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งกำลังทำสงครามกับกลุ่มชาตินิยมชาวเซิร์บอยู่ ซึ่งถ้าเปิดศึกกับชาวโครแอตก็จะกลายเป็นสงครามสองฝ่าย แต่ด้วยรัฐบาลบอสเนียไม่ยอมรับให้โครเอเชียยึดดินแดนอีกต่อไป กองทัพบอสเนียจึงเคลื่อนพลบุกฐานที่มั่นกองกำลังโครแอต ซึ่งมีทั้งชาวโครแอตบอสเนียและชาวโครเอเชียประจำอยู่ในกองกำลัง บอสเนียได้เปิดศึกกับโครเอเชียด้วย ในพรมแดนโครแอต-บอสเนีย ทั่วประเทศบอสเนีย ", "title": "สงครามโครแอต-บอสนีแอก" }, { "docid": "3656#3", "text": "ในทวีปเอเชีย สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สองเป็นการต่อสู้ระหว่างเจ้าอาณานิคมหลายชาติ ความขัดแย้งดังกล่าวเกี่ยวข้องกับชาติยุโรปกับรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นซึ่งกำลังผงาด ทว่า ไม่มีเจ้าอาณานิคมประเทศใดมีทรัพยากรเพียงพอกับความเสียหายจากสงครามโลกทั้งสองครั้งและธำรงการปกครองโดยตรงในทวีปเอเชียได้ แม้ขบวนการชาตินิยมทั่วโลกอาณานิคมนำมาซึ่งเอกราชทางการเมืองในอาณานิคมแทบทั้งหมดที่เหลืออยู่ในทวีปเอเชีย การปลดปล่อยอาณานิคมถูกสงครามเย็นขัดขวาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลางและเอเชียตะวันตกยังจมอยู่ในระบบเศรษฐกิจ การเงินและทหารโลกซึ่งมหาอำนาจแข่งกันขยายอิทธิพล อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเศรษฐกิจหลังสงครามที่รวดเร็วของเสือเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก อินเดีย จีน ตลอดจนการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้ลดอิทธิพลของยุโรปและอเมริกาเหนือในทวีปเอเชีย ทำให้มีการสังเกตในปัจจุบันว่าอินเดียและจีนสมัยใหม่อาจกำเนิดเป็นอภิมหาอำนาจใหม่ของโลก", "title": "จักรวรรดินิยมในเอเชีย" }, { "docid": "269369#7", "text": "นกแสกนับได้ว่าเป็นนกที่มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางมาก โดยพบได้แทบทุกมุมโลก ยกเว้นในทวีปอเมริกาเหนือในส่วนของรัฐอะแลสกาและประเทศแคนาดา บางส่วนของทวีปแอฟริกาทางตอนเหนือ และทวีปเอเชียในส่วนของภูมิภาคเอเชียเหนือ, เอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเท่านั้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ในทุกภาค จึงทำให้นกแสกมีชนิดย่อยมากมายถึง 32 ชนิดย่อยด้วยกัน เช่น \"T. a. alba\" พบในทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกาบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์, \"T. a. javanica\" พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นนกแสกนับว่าเป็นนกจำพวกนกเค้าแมวที่อาจนับได้ว่าใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด ด้วยความที่มีถิ่นอาศัยใกล้หรืออยู่ในชุมชนของมนุษย์ จึงทำให้มีความเชื่อในบางวัฒนธรรมว่า เป็นนกที่ส่งสัญญาณเตือนถึงความตาย เช่น ในความเชื่อของไทย เชื่อว่า หากนกแสกบินข้ามหลังคาบ้านผู้ใดหรือไปเกาะที่หลังคาบ้านใคร หรือส่งเสียงร้องด้วย จะต้องมีบุคคลในที่แห่งนั้นถึงแก่ความตาย จึงทำให้เชื่อกันว่าเป็นนกผีหรือนกปีศาจ ", "title": "นกแสก" }, { "docid": "6224#5", "text": "พื้นที่ที่รู้จักกันในปัจจุบันในนามโครเอเชียได้ดำรงอยู่ตลอดตั้งแต่ช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ฟอสซิลของมนุษย์ยุคหินในยุคพาเลโอลิธิคถูกขุดค้นพบในที่ตั้งเมืองที่โด่งดังและเป็นที่ถูกนำเสนอมากที่สุดอยู่ที่เมืองคราปินาในทางตอนเหนือของประเทศโครเอเชีย เศษซากของวัฒนธรรมนีโอลิธิคและคัลโคลิธิคมากมายถูกค้นพบในทุกบริเวณของประเทศ สัดส่วนที่ใหญ่สุดของที่เมืองคราปินาคือหุบเขาแม่น้ำของทางตอนเหนือของประเทศโครเอเชีย และวัฒนธรรมสำคัญที่ถูกค้นพบในบริเวณนั้น ได้แก่ วัฒนธรรมสตาร์เชโว วูเชดอล และบาเดน ต่อมาช่วงยุคเหล็กได้เหลือร่องรอยวัฒนธรรมฮัลชตัตต์อิลลิเรียและวัฒนธรรมเซลติกลาเทน", "title": "ประเทศโครเอเชีย" } ]
508
กิมย้ง มีชื่อเต็มว่าอะไร ?
[ { "docid": "1231#0", "text": "กิมย้ง (Chinese:金庸; pinyin:Jīnyōng จินยง) หรือชื่อจริง จา เหลียงยง (simplified Chinese:查良镛; traditional Chinese:查良鏞; pinyin:Zhā Liángyōng จา เหลียงยง; English: Louis Cha Leung-yung) เป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในที่ได้รับความนิยมมาก มักเขียนนิยายโดยแฝงเนื้อหาทางการเมืองบางอย่างไว้ โดยเฉพาะการวิจารณ์ระบบกษัตริย์ พรรคคอมมิวนิสต์ และลัทธิเชื้อชาติฮั่นเป็นใหญ่", "title": "กิมย้ง" } ]
[ { "docid": "1214#0", "text": "มังกรหยก (อักษรจีนตัวเต็ม: 射鵰英雄傳; อักษรจีนตัวย่อ: 射雕英雄传; พินอิน: shè diāo yīng xióng zhuàn) เป็นนิยายกำลังภายในชื่อดังและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเรื่องหนึ่ง แต่งโดยกิมย้ง มีภาคต่อในชุดเดียวกันอีกสองภาค คือ มังกรหยก ภาค 2 และดาบมังกรหยก แต่ชื่อเรื่องภาษาจีนและภาษาอังกฤษนั้นแยกกันเป็นคนละเรื่อง (ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ คือ \"The Legend of the Condor Heroes\" หรือ \"The Eagle-Shooting Heroes\") มีการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง รวมถึงวิดีโอเกม ด้วย ประกอบด้วยกัน 3 ภาค ได้แก่ ก๊วยเจ๋ง เอี๊ยก้วย และเตียบ่อกี้ ก๊วยเจ๋งและเอี๊ยก้วยเป็นภาคต่อกัน แต่ภาคเตียบ่อกี้ เป็นอีกหลายๆปีข้างหน้าต่อจากเอี๊ยก้วย", "title": "มังกรหยก" }, { "docid": "6604#0", "text": "ดาบมังกรหยก (หรือ มังกรหยกภาค 3 หรือ กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร) เป็นนิยายกำลังภายในภาคต่อของ มังกรหยก แต่งโดยกิมย้ง (ชื่อในภาษาจีน อักษรจีนตัวเต็ม: 倚天屠龍記; อักษรจีนตัวย่อ: 倚天屠龙记; พินอิน: yǐ tiān tú lóng jì) และชื่อในภาษาอังกฤษ คือ \"The Heavenly Sword and the Dragon Saber\" หรือ \"The Heaven Sword and Dragon Saber\")", "title": "ดาบมังกรหยก" }, { "docid": "32588#69", "text": "แต่แรกเริ่มเมื่อประพันธ์ กิมย้ง ไม่ได้ให้มกเนี่ยมชื้อเป็นมารดาของเอี้ยก้วย หากแต่มารดาของเอี้ยก้วยเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้วิทยายุทธที่มีชื่อว่า ชิ้นน่ำคิ้ม โดยลงตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ไปแล้วกว่า 10 ปี ต่อมาเมื่อมีการรวมเล่มจึงค่อยปรับเปลี่ยน", "title": "เอี้ยก้วย" }, { "docid": "10022#0", "text": "กระบี่ใจพิสุทธิ์ (; \"A Deadly Secret\", \"เหลียน เฉิง เจ่ว์\") มีชื่อเดิมเป็นภาษาแต้จิ๋วว่า \"ซู้ซิมเกี้ยม\" ซึ่งแปลว่า \"กระบี่ใจพิสุทธิ์\" (ชื่อเรื่องภาษาไทย ได้ชื่อมาจากการแปลฉบับเดิม) พิมพ์ครั้งแรกลงในวารสาร Southeast Asia Weekly ในปี พ.ศ. 2506 ก่อนที่จะเปลี่นชื่อเป็น \"เหลียนเฉิงเจ่ว์\" เช่นปัจจุบัน นิยายเรื่องนี้เป็นผลงานประพันธ์ของกิมย้ง ผู้มีฉายา \"จอมอักษราแห่งบูรพาทิศ\" ที่เขียนได้สะเทือนอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เป็นเรื่องราวของตัวเอกที่ถูกใส่ร้าย จนต้องถูกจองจำในคุกและถูกแย่งชิงหญิงที่ตนรักไป ถูกทัณฑ์ทรมาน จนกลายเป็นคนพิการ แต่ยังมีวาสนาในคราเคราะห์ ได้พบพานยอดคนภายในคุก สุดท้ายหนีออกมาได้ แต่กลับถูกชาวยุทธตามล่า ด้วยเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกับพรรคมาร เรื่องนี้แฝงไปด้วยปรัชญาชีวิตอันทรงคุณค่า ฉบับแปลของ น.นพรัตน์ เดิมใช้ชื่อว่า หลั่งเลือดมังกร แล้วเปลี่ยนเป็น \"กระบี่ใจพิสุทธิ์\" ส่วนฉบับแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้ชื่อว่า มังกรแก้ว", "title": "กระบี่ใจพิสุทธิ์" }, { "docid": "425006#0", "text": "หมี เสว่ (; ; นิยมเรียกว่า หมี เซียะ) มีชื่อจริงว่า มิเชล ยิม ไหว่หลิง (嚴慧玲, Michelle Yim Wai-ling) นักแสดงหญิงฮ่องกงที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะในยุคทศวรรษที่ 70 และ 80 มีชื่อเสียงจากการแสดงบทบาท อึ้งย้ง จากละครโทรทัศน์ของซีทีวี เรื่อง \"มังกรหยก\" จากบทประพันธ์ของ กิมย้ง", "title": "หมี เสว่" }, { "docid": "7200#0", "text": "สำนักง้อไบ๊ เป็นสำนักนางชีที่มีชื่อด้านกำลังภายใน ปรากฏในนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ในภาษาจีนกลาง เรียกว่า เอ้อเหมย ซึ่งเป็นเขาที่มีอยู่จริง เชื่อกันว่าบนเขาเอ้อเหมยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตย์อยู่ เป็นหนทางที่สามารถเชื่อมต่อกับสวรรค์ได้ เพราะบนยอดเขามักจะมีคนพบเห็นแสงสว่างที่เป็นรัศมีเรืองรองอยู่บ่อยๆ ซึ่งนั่นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แสงอาทิตย์ทำมุมตกกระทบกับยอดเขานั่นเอง", "title": "สำนักง้อไบ๊" }, { "docid": "223738#2", "text": "หากจะกล่าวว่า \"อ้วงเซ็งจี้\" เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งช่วงปลายสมัยในประวัติศาสตร์จักรวาลกิมย้งก็ไม่ผิดมากนัก เพราะยอดฝีมือในเรื่องอุ้ยเสี่ยวป้ออย่าง กุยซินซิ่ว ยังเคยสู้แพ้อ้วงเซ็งจี้มาแล้วถึงสองครั้งสองครา แม้แต่อันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรมอย่าง ฮ้อทิซิ่ว ก็ยังพ่ายแพ้ต่ออ้วงเซ็งจี้ด้วยเช่นกัน (ภายหลังเป็นศิษย์อ้วงเซ็งจี้จึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ฮ้อเท็กซิ่ว) ดังนั้นผู้รู้ในเชิงนิยายกำลังภายในหลายท่าน จึงคิดเห็นตรงกันว่าสมควรจัดให้ \"อ้วงเซ็งจี้\" เป็นสุดยอดฝีมือยุคหลังในจักรวาลของกิมย้ง", "title": "อ้วงเซ็งจี้" }, { "docid": "1231#4", "text": "กิมย้งเสียชีวิตวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561 อายุรวม 94 ปี 7 เดือน 20 วัน", "title": "กิมย้ง" }, { "docid": "425068#14", "text": "หลังจากที่เธอ ได้แจ้งเกิดและเริ่มเป็นที่รู้จักกับผลงานละครเรื่อง \"\"สมิงสาวใจเพชร\"\" ในฐานะดาวรุ่งน้องใหม่ของวงการ แล้ว ทีวีบีได้มองเห็นอนาคตอันสดใสของเธอ จึงได้ตัดสินใจคัดเลือกเธอให้รับบท อึ้งย้ง คู่กับ พระเอกที่กำลังมาแรงในขณะนั้น หวงเย่อหัว รับบทเป็น ก๊วยเจ๋ง ในละครฟอร์มใหญ่เรื่อง \"มังกรหยก ภาค1\" (2526) การได้มาของบท อึ้งย้ง ไม่ใช่ง่าย ซึ่ง อง เหม่ยหลิง เองก็ได้มีโอกาสไปทดสอบหน้ากล้องในบท อึ้งย้ง นี้ เพราะทางบริษัท ทีวีบี ได้ประกาศหาผู้สมัครรับบทอึ้งย้ง ในโครงการ \"อึ้งย้งในอุดมคติ\" กันอย่างเปิดเผย และเธอต้องฝ่าด่านผู้สมัครรับบทอึ้งย้ง นี้ถึง 3,000 คน ทีวีบีได้คัดจนเหลือ 60 คนทันที และในที่สุดก็เหลือเพียงแค่ 4 คนสุดท้ายและเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น คะแนนทั้ง 4 คนสูสีกันมาก ทำให้ผู้กำกับและฝ่ายโปรดิวเซอร์ของละครชุดนี้ ลำบากใจในการเลือก ดังนั้นจึงมอบหมายให้ กิมย้ง ผู้แต่งละครเรื่องนี้ เป็นคนตัดสินใจเลือก ครั้งแรกที่กิมย้ง พบ องเหม่ยหลิง ก็สะดุดในความน่ารักบนใบหน้าของเธอทันที โดยเฉพาะดวงตาที่กลมโตของเธอ ซึ่งส่อแววความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก กิมย้งให้ นักแสดง 4 คนสุดท้ายร่ายรำกระบี่ให้เขาดู ทันทีที่เขาเห็น องเหม่ยหลิง ร่ายรำกระบี่ เขาพูดกับผู้กำกับว่า นี่คือ อึ้งย้งที่เขาหามานาน ด้วยบุคลิกที่ร่าเริง คล่องแคล่ว เหมือน อึ้งย้งในนิยาย ในที่สุดทั้ง กิมย้ง,ผู้กำกับและฝ่ายโปรดิวเซอร์ของกองละคร ก็ได้ตัดสินใจเลือกเธอ เป็นอึ้งย้ง คนใหม่. หลังจากที่บริษัท (TVB) ได้ประกาศสร้างละครฟอร์มใหญ่เรื่อง มังกรหยก ภาค1 (2526) ซึ่งมีความยาวถึง 60 ตอนดั่งเดิม (59 ตอนปัจจุบัน \"cut\") โดยมีเธอรับบทนำเป็น อึ้งย้ง นั้น เธอกลับถูกกระแสวิจารณ์โจมตีอย่างหนักโดยทันที สาเหตุนั้นก็เพราะเธอเป็นดาราสาวหน้าใหม่ ที่ต้องมารับบท อึ้งย้ง ซึ่งเป็นตัวละครหลักสำคัญในนวนิยายชื่อดัง รวมถึงเธอถูกเปรียบเทียบกับ ดาราสาว หมีเซียะ ที่เคยโด่งดังจากบทนี้มาก่อน จึงทำให้เธอถูกแรงกดดันอย่างมากมาย จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการสวมบทบาท เป็น อึ้งย้ง", "title": "อง เหม่ยหลิง" }, { "docid": "425068#67", "text": "1.กิมย้ง ผู้ประพันธ์เรื่อง มังกรหยก เคยให้สัมภาษณ์ กับสื่อว่า มีผู้คนมากมายกล่าวว่า นักแสดงที่เล่นบทอึ้งย้งได้ดีที่สุดคือ อง เหม่ยหลิง แต่ในสายตาของเขาซึ่งเป็นผู้แต่ง กลับคิดว่า หมีเซียะ แสดงอารมณ์ของตัวละครอึ้งย้งออกมาได้ลึกกว่า แต่ถึงกระนั้น ตัวกิมย้งเองก็ยอมรับว่า อง เหม่ยหลิง เป็นอึ้งย้งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ด้วยการแสดงที่แปลกแตกต่างจาก หมีเซียะ ด้วยบุคลิกของ อง เหม่ยหลิง เองที่ดูสดใสน่ารัก ซุกซนและมีแววตาที่แสดงถึงความฉลาดเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่ประทับใจของคนดูมาจนถึงทุกวันนี้ อ้างอิงจาก ", "title": "อง เหม่ยหลิง" }, { "docid": "190017#3", "text": "คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นปรากฏตัวขึ้นอย่างเด่นชัดครั้งแรกในนิยายเรื่อง \"แปดเทพอสูรมังกรฟ้า\" ถูกใช้โดยตัวละครปริศนาที่ไม่มีชื่อเรียกหา แต่นักอ่านได้เรียกกันทั่วไปว่า หลวงจีนหอไตร,หลวงจีนกวาดลานวัด, หลวงจีนนิรนาม บ้างล่ะ ซึ่งก็สามารถเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะใช้คำเรียกแบบไหนไหน และสาเหตุที่ทำให้วิชานี้เป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาของกิมย้งนั้น เนื่องมาจากสาเหตุการใช้วิชานี้โจมตียอดฝีมืออย่าง เซียวเอี้ยวซัว และ ม่อย้งผัก ภายในกระบวนท่าเดียว", "title": "คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น" }, { "docid": "32588#0", "text": "เอี้ยก้วย (อังกฤษ:Yang Guo ,จีนตัวเต็ม: 楊過; จีนตัวย่อ: 杨过; พินอิน: Yáng Guò) เป็นตัวละครในนิยายกำลังภายใน บทประพันธ์โดย กิมย้ง ที่นำเอาประวัติศาสตร์จีนช่วงหนึ่งซึ่งตรงกับราชวงศ์ซ้องใต้ (หนานซ้อง-น่ำซ้อง) หรือประมาณ พ.ศ. 1669-1822 ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัย มาผูกปมเข้ากับบทประพันธ์ ให้ชื่อเรื่องตามภาษาจีนว่า จอมยุทธคู่อินทรีเทพยดา (หรือจอมยุทธจ้าวอินทรีหรือจอมยุทธเทพอินทรี แล้วแต่ผู้แปล) กิมย้งได้ผูกเรื่องให้เชื่อมโยงต่อจากเรื่องจอมยุทธล่าอินทรี (มังกรหยกภาค 1) แต่คนไทยรู้จักเรื่องจอมยุทธคู่อินทรีเทพยดาในชื่อมังกรหยกภาค 2 ทั้งที่เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับมังกรหรือหยก ที่เป็นเช่นนี้มีผู้สันนิษฐานว่า อาจเพราะผู้แปลฉบับภาษาไทยท่านแรกเห็นว่าเป็นนิยายจีน มังกรเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำชาติที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ส่วนหยกเป็นหินประดับที่มีค่าในความรู้สึกนึกคิดของชาวจีน", "title": "เอี้ยก้วย" }, { "docid": "70300#10", "text": "จักรพรรดิคังซีสวรรคตในปี พ.ศ. 2265 (ค.ศ. 1722) รวมระยะเวลาครองราชย์ยาวนานถึง 61 ปี นับเป็นจักรพรรดิที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาตร์จีน ในยุคสมัยของพระองค์มีเรื่องการเกิดขึ้นต่าง ๆ มากมายเช่น ในนวนิยายต่างๆ ระบุว่าพระองค์นั้นสวรรคตจากการปลงพระชนม์ขององค์ชายสี่ หรือหย่งเจิ้น แต่ปัจจุบันมีการสันนิษฐานว่าพระองค์สวรรคตจากชราภาพเอง เป็นที่เลื่องลือจนถึงปัจจุบัน มีวรรณกรรมต่าง ๆ มากมายที่บอกเล่าถึงยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็น นิยาย ละครโทรทัศน์ หรือ ภาพยนตร์ ที่มีการจัดสร้างหลายต่อหลายครั้งแม้ในปัจจุบัน เรื่องที่มีชื่อเสียงมากคือ นิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ของ กิมย้ง เรื่อง อุ้ยเสี่ยวป้อ", "title": "จักรพรรดิคังซี" }, { "docid": "425034#2", "text": "หลังจากหมดสัญญากับทางค่ายอาร์ทีวีในปีพ.ศ. 2513 เธอได้เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเรียนการร้องเพลงและการเต้นประมาณกว่าปี หลังจากเรียนจบครอส์ที่นั้นแล้วเธอก็ได้บินกลับมายังฮ่องกงและได้เข้าร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ทีวีบี (TVB) เนื่องจากพรสวรรค์ที่มีพร้อมทางด้านต่าง ๆ ของเธอทั้งการแสดง-ร้องเพลง และเต้น จึงทำให้เธอมักจะได้รับมอบหมายงานแสดงโชว์รวมถึงเป็นพิธีกรในงานสำคัญ ๆ ของทางช่องอยู่บ่อย ๆ เช่น งานครบรอบวันเกิดของทางช่องและงานแสดงโชว์ตามงานการกุศลต่าง ๆ รวมไปถึงกิจกรรมงานสำคัญ ๆ ของทางช่อง ซึ่งในช่วงแรก ๆ ที่ร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ทีวีบีเธอได้ทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังการผลิตรายการโทรทัศน์ ต่อมาก็ได้มีผลงานละครตามมาและได้เป็นสมาชิกในกลุ่มเกิร์ลกรุ๊ปภายใต้ชื่อ กลุ่ม 4 ดอกไม้สีทอง (Four Golden Flowers) และมีอัลบั้มที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อกลุ่มออกมา ซึ่งก็ได้รับความนิยมในฮ่องกงช่วงนั้นเป็นอย่างมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องแยกวงกันไปตามทางที่ตัวเองถนัด จนกระทั่งผลงานละครที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในระดับเอเชียคือเรื่อง จอมใจจอมยุทธ (The Legend Of The Book and the Sword 1976) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่อง ตำนานอักษรกระบี่ ของกิมย้ง โดยในเรื่อง วังหมิงฉวน ได้รับบทเป็น ฮั่วชิงถง ตามด้วยผลงานละครแนวสากลเรื่อง บ้านแตก (Homoe is not Home 1977) ที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงในระดับเอเชียเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากในเรื่องที่เธอได้สวมบทบาทเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้และมีความมั่นใจในตัวเองสูงซึ่งกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวของเธอนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และผลงานที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชียกับบทบาท เตี๋ยเมี่ยง ในละครกำลังภายในจากบทประพันธ์ของกิมย้ง เรื่อง ดาบมังกรหยก (Heaven Sword and Dragon Saber 1978) ซึ่งความสำเร็จของละครเรื่องนี้ได้ทำให้เธอขึ้นมาเป็นนักแสดงหญิงเบอร์หนึ่งของทางช่องทีวีบี และดารายอดนิยมแถวหน้าของเอเชียโดยทันที ตามต่อด้วยผลงานที่ทำให้เธอยิ่งเพิ่มความดังขึ้นไปอีกกับผลงานสุดฮิต เรื่อง ชอลิ้วเฮียงจอมโจรจอมใจ (Chor Lau Heung 1979) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากบทประพันธ์ของโกวเล้ง โดยเธอรับบทเป็น ซิมฮุ่ยซัง ถึงแม้บทบาทของเธอในเรื่องนี้จะมีไม่มากนักก็ตามแต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมาก็จะโดดเด่นมาก และนับได้ว่าเป็นอีกผลงานอมตะที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเธออีกเรื่อง", "title": "วาง หมิงฉวน" }, { "docid": "53361#0", "text": "อุ้ยเสี่ยวป้อ () เริ่มนำลงในหนังสือพิมพ์หมิงเป้า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1969 จวบกระทั่ง วันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1972 ค่อยนำลงจบเรื่อง ใช้เวลานำลงสองปีกับอีกสิบเอ็ดเดือน เป็นนิยายเรื่องสุดท้ายของ กิมย้ง ซึ่ง เหง่ยคัง ถือว่าเรื่องนี้เป็นสุดยอดพัฒนาการทางการประพันธ์ของกิมย้ง และเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือกิมย้งว่า \" ไม่มีใครเป็นคู่แข่งได้ \" ความเป็นยอดของเรื่องนี้อยู่ที่เป็นนิยายกำลังภายในที่ไม่ใช่นิยายกำลังภายใน นิยายกำลังภายในโดยทั่วไปมีขนบในการแต่งที่เห็นได้ง่ายอยู่สองประการคือ ตัวเอกต้องเป็นจอมยุทธหรืออย่างน้อยต้องมีวิทยายุทธ และตัวเอกต้องเป็นคนดีในแง่ของคุณธรรม แต่อุ้ยเสี่ยวป้อในเรื่องนี้มีลักษณะตรงข้ามกับขนบดังกล่าวทุกประการ ลักษณะดังกล่าวไม่เคยปรากฏในนิยายกำลังภายในเรื่องใดมาก่อน และเหง่ยคังว่าไม่มีเรื่องอื่นอีกต่อไป เรื่องนี้กิมย้งหันกลับไปใช้ประวัติศาสตร์จีนสมัยจักรพรรดิคังซี แห่ง ราชวงศ์ชิง มีส่วนสะท้อนการเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่หลังปฏิวัติวัฒนธรรมอยู่ไม่น้อย แต่ความเด่นอยู่ที่สะท้อนธรรมชาติวิสัยมนุษย์ในสังคมปัจจุบันที่ต้องลดมาตรฐานศีลธรรมลงเพื่อความอยู่รอด เป็นนิยายที่มุ่งสะท้อนความจริงมากกว่าจะชี้นำผู้อ่านอย่างที่กิมย้งเคยสอดแทรกไว้ในแทบทุกเรื่อง นับเป็นการแหวกวงล้อมครั้งยิ่งใหญ่ของนักประพันธ์เอกผู้นี้ ", "title": "อุ้ยเสี่ยวป้อ" }, { "docid": "7199#0", "text": "สำนักบู๊ตึ๊ง เป็นสำนักวิชากำลังภายในที่มีชื่อเสียงในนิยายกำลังภายในหลายเรื่อง โดยเฉพาะนิยายกำลังภายในของกิมย้ง", "title": "สำนักบู๊ตึ๊ง" }, { "docid": "340714#0", "text": "อาเจียว (อักษรจีนตัวเต็ม: 阿嬌) ดารานักแสดงนักร้องสาวชาวฮ่องกง เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักร้องดูโอในวง ทวินส์ คู่กับ อาซา อาเจียวเกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1981 ที่ฮ่องกง มีชื่อจริงว่า จง ซินถง (อักษรจีนตัวเต็ม: 鍾欣桐, อักษรจีนตัวย่อ: 钟欣桐, พินอิน: zhōng xīntóng) มีชื่อภาษาอังกฤษว่า จิลเลียน ชุง (Gillian Chung) มีชื่อเดิมว่า จง เจียลี่ (อักษรจีนตัวเต็ม: 鍾嘉勵, พินอิน: Zhong Jia Li)", "title": "อาเจียว" }, { "docid": "1231#1", "text": "กิมย้งมีหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเองและดูแลกิจการหนังสือพิมพ์ ชื่อ หมิงเป้า (明報) กิมย้ง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2018", "title": "กิมย้ง" }, { "docid": "40032#1", "text": "เฉี่ย แปลว่า ยิ้ม หัวเราะ, เหงา แปลว่า ผยอง หยิ่ง, กังโอ๊ว แปลว่า ยุทธจักร รวมแล้วพอจะแปลเอาความได้ว่า 'ยิ้มผยอง (ใน) ยุทธจักร' หรือ 'ยิ้มผยอง หยันยุทธจักร' ในความหมายของไทย \"กระบี่เย้ยยุทธจักร\" หมายความว่า \"มือกระบี่มือหนึ่งแห่งแผ่นดินเยาะเย้ยความเป็นไปของยุทธจักร และ กฎเกณฑ์อันหลอกลวงของยุทธจักร\" อันเป็นผลงานชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งของกิมย้ง และ เรื่องนี้ \"กิมย้ง\" ยังไม่คล้ายคลึงประวัติศาสตร์ของจีนอย่างตายตัว นิยายเรื่องนี้กิมย้งได้เขียนในเชิงเสียดสีกับการเมืองในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (Cultural Revolution, ปี ค.ศ. 1966-1976) ของจีน ซึ่งเป็นการต่อสู้ภายในเพื่อแย่งชิงอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากโครงเรื่องของ The Count of Monte Cristo ของ Alexandre Dumas เช่นเดียวกับกระบี่ใจพิสุทธิ์ ซึ่งเขียนก่อนหน้านี้ (แต่ไม่ได้เสียดสีการเมือง)", "title": "กระบี่เย้ยยุทธจักร" }, { "docid": "53361#1", "text": "ในด้านศิลปะการประพันธ์นั้น งานของกิมย้งมีความประณีตแยบยลทุกด้าน ที่เห็นได้ชัดคือ ด้านสำนวนภาษา กิมย้งมีทัศนะว่านิยายกำลังภายในเป็นวรรณกรรมแบบจีนแท้ แม้จะใช้ศิลปะการประพันธ์นวนิยายช่วยในการแต่ง แต่ไม่ควรใช้สำนวนภาษาแบบนวนิยาย ของตะวันตก ควรใช้สำนวนภาษาแบบนิยายรุ่นเก่าเช่น สามก๊กของจีน เป็นแนวทางพัฒนาให้เหมาะแก่ยุคสมัย http://baike.baidu.com/item/%E9%9F%A6%E5%B0%8F%E5%AE%9D/1448539", "title": "อุ้ยเสี่ยวป้อ" }, { "docid": "78021#0", "text": "ชิ้นน่ำคิ้ม เป็นตัวละครในนิยายกำลังภายในของกิมย้ง เรื่อง มังกรหยก เป็นตัวละครดั้งเดิมที่กิมย้งสร้างขึ้นในฐานะที่เป็นมารดาของเอี้ยก้วย ในเรื่องมังกรหยกฉบับดั้งเดิมที่ได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์รายวัน แต่เนื่องจากมังกรหยกนั้นเป็นนิยายภายในที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้อ่านมาก ถึงขนาดมีการรออ่านเนื้อเรื่องจากแท่นพิมพ์เลยทีเดียว จากความนิยมในหมู่ผู้อ่านนี้เอง ภายหลังจึงได้มีการรวมเล่มมังกรหยกขึ้น ในการรวมเล่มนี้กิมย้งได้เรียบเรียงเนื้อหามังกรหยกขึ้นใหม่ โดยตัดเนื้อเรื่องบางส่วนที่มีรายละเอียดปลีกย่อยจนเกินไปออก ทำให้ตัวละครอย่างชิ้นน่ำคิ้มถูกตัดออกไป และได้ให้ตัวละครที่เป็นมารดาของเอี้ยก้วยคือ มกเนี่ยมชื้อ แทน ", "title": "ชิ้นน่ำคิ้ม" }, { "docid": "33468#0", "text": "เกาะดอกท้อ เป็นเกาะในมณฑลเจ้อเจียง มีชื่อเสียงเพราะปรากฏในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยกของกิมย้ง ", "title": "เกาะดอกท้อ" }, { "docid": "424189#0", "text": "เจสัน ไป่ เปียว (白彪, Jason Pai Piao) นักแสดงภาพยนตร์กำลังภายในชาวจีน มีชื่อเสียงจากละครโทรทัศน์จากบทประพันธ์ของกิมย้ง เรื่อง มังกรหยก ในปี 1976 โดยรับบทนำเป็น ก๊วย เจ๋ง คู่กับ หมี เซียะ", "title": "ไป่ เปียว" }, { "docid": "8184#7", "text": "วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประเทศจีนและในต่างประเทศ ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของกระบวนท่าวิทยายุทธ เพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งวิชาการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน ปรากฏชื่อในนิยายกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่กล่าวถึงวิชาเพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินอยู่เสมอ[7] โดยเฉพาะนิยายกำลังภายในของกิมย้งเช่น มังกรหยก, จอมใจจอมยุทธ์, จิ้งจอกภูเขาหิมะ เป็นต้น ปัจจุบันมีหลวงจีนที่บวชเพื่อศึกษาธรรมะและกังฟูจำนวน 180 รูป[8] มีหลวงจีน ซือ หย่งซิน (All {{zh-xx}} templates have been merged into {{zh}}, which can do anything. Consult that template's documentation for more details.", "title": "วัดเส้าหลิน" }, { "docid": "98221#3", "text": "ปรากฏว่ามีนักอ่านระบุว่าผู้แต่งดูแคลนลัทธิพุทธะตันตระของธิเบต สร้างภาพลบต่อนิกายลามะ แท้ที่จริงท่านกิมย้งให้ความเคารพต่อลัทธิพุทธะตันตระของทิเบตไม่ด้อยกว่าสำนักนิกายใดในพุทธศาสนา ในเรื่องนี้เขียนให้ลามะเป็นตัวร้าย หามีเจตนาตั้งข้อรังเกียจไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด ในฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ล่าสุด ท่านกิมย้งจึงได้เปลี่ยนจาก ฮวบอ้วง (ธรรมราชา) เป็น กงซื้อ (ราชครู)", "title": "ราชครูจักรทอง" }, { "docid": "223529#3", "text": "จุดที่แสดงความเป็นสุดยอดฝีมือของอาแชได้ดีที่สุดคือการที่อาแชบุกฝ่าเข้าไปในกองทัพแคว้นเวียดด้วยไม้ไผ่เพียงกิ่งเดียว และที่สำคัญนางได้กลับออกมาด้วยอาการไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ยากที่จะหายอดฝีมือในเรื่องใดของกิมย้งเทียบเคียง ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้อาแชได้ฉายา \"หนึ่งเดียวสยบกองทัพ\" และชื่อเพลงกระบี่ของนางก็มีชื่อว่า เพลงกระบี่แคว้นเวียด", "title": "อาแช" }, { "docid": "1231#5", "text": "กิมย้ง หรือ จาเหลียงย้ง ได้สร้างผลงานจำนวน 15 เรื่อง โดยทั้งหมดที่กิมย้งเขียนล้วนเป็นนิยายกำลังภายใน เป็นเรื่องยาว 12 เรื่อง เรื่องขนาดกลาง 2 เรื่อง และ เรื่องสั้น 1 เรื่อง อันได้แก่", "title": "กิมย้ง" }, { "docid": "171674#0", "text": "เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาในตำนานของท่านกิมย้ง ว่ากันว่าผู้บัญญัติมีฉายา ต๊กโกวคิ้วป้าย แปลว่า แสวงหาความพ่ายแพ้ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่วิชาที่คำว่า \"วิทยายุทธย่อมเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา\" ใช้กับวิชานี้ไม่ได้ \nอาจด้วยแนวคิดอันสุดโต่งทางปรัชญาที่ท่านอาจารย์กิมย้งต้องการแฝงเอาไว้ในวิชานี้ ทำให้ เก้ากระบี่เดียวดาย เป็นเคล็ดที่ไม่แพ้ หากผู้ใดฝึกได้จนสำเร็จแล้วจึงทำได้แต่เพียง \"แสวงหาความพ่ายแพ้\" \nและหากมีใครไปถามอาจารย์กิมย้งว่า วิชาใดสามารถชนะวิชานี้ได้ ก็อาจได้คำตอบสั้นๆว่า ที่ให้ผู้คิดค้นนามว่า ต๊กโกวคิ้วป้าย ก็น่าจะเป็นคำตอบได้ดีที่สุดอยู่แล้ว อนึ่งถ้ามีผู้ใด \"เสมอ\" กับเก้ากระบี่เดียวดายได้ นั้นก็อาจเป็นการยกย่องวิชานั้นอย่างสูงสุดแล้วก็เป็นได้ ก ", "title": "เก้ากระบี่เดียวดาย" }, { "docid": "33235#0", "text": "จาง ซันเฟิง (สำเนียงจีนกลาง) หรือ เตียซำฮง (สำเนียงแต้จิ๋ว) () เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน มักกล่าวถึงในภาพยนตร์หรือนิยายกำลังภายใน ที่มีชื่อเสียง เช่น เรื่อง ดาบมังกรหยก ซึ่งเขียนโดยกิมย้ง หรือจินหยง ยอดนักเขียนนวนิยายกำลังภายในชาวจีนนั่นเอง", "title": "จาง ซันเฟิง" } ]
1114
กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเมื่อปีใด?
[ { "docid": "44328#0", "text": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง</b>หรือ สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งที่สองระหว่างราชวงศ์โกนบองแห่งพม่า กับราชวงศ์บ้านพลูหลวงแห่งอยุธยา ในการทัพครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีคนไทยเกือบสี่ศตวรรษได้เสียแก่พม่าและถึงกาลสิ้นสุดลงไปด้วย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310[I]", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
[ { "docid": "42542#1", "text": "ยูดาห์ถูกสันนิษฐานว่าน่าจะพัฒนากลายมาเป็นรัฐในช่วงหลังศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตกาล แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ได้ ในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล เยรูซาเลมซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรมีประชากรเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งมากกว่าประชากรของรัฐข้างเคียงมาก ต่อมาพวกอัสซีเรียเข้ารุกรานและควบคุมยูดาห์เนื่องจากต้องการทรัพยากรน้ำมันมะกอกอันล้ำค่าของยูดาห์ ยูดาห์จึงตกเป็นรัฐบริวารของอัสซีเรีย ราชอาณาจักรยูดาห์สงบสุขและรุ่งเรืองระหว่างที่อยู่ใต้อาณัตของอัสซีเรีย (ขณะที่มีการก่อกบฏรุนแรงในรัชสมัยของกษัตริย์เซนนาเชริบแห่งอัสซีเรีย) แต่ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล อัสซีเรียก็ล่มสลายลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนแถบนี้ระหว่างอียิปต์โบราณกับจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ตามมานับครั้งไม่ถ้วน จนในที่สุดนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรยูดาห์ในช่วง 597 - 582 ปีก่อนคริสตกาล รวมไปถึงการเนรเทศขับไล่ชนชั้นปกครองออกจากดินแดนดังกล่าว", "title": "อาณาจักรยูดาห์" }, { "docid": "246628#0", "text": "วุฒิสภาโรมัน () เป็นสถาบันทางการเมืองของโรมันโบราณที่ก่อตั้งก่อนที่พระมหากษัตริย์แห่งโรมพระองค์แรกจะขึ้นครองราชย์ (ที่กล่าวกันว่าเป็นเวลา 753 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ระบบนี้รอดการล่มสลายของราชอาณาจักรโรมันเมื่อ 509 ปีก่อนคริสต์ศักราช, การล่มสลายของสาธารณรัฐโรมันเมื่อ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช และการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปี ค.ศ. 476 ระหว่างสมัยราชอาณาจักรวุฒิสภาก็เป็นเพียงคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์แห่งโรมองค์สุดท้ายผู้โหดร้ายลูซิอัส ทาร์ควินิอัส ซูเพอร์บัส (Lucius Tarquinius Superbus) ถูกโค่นอำนาจโดยวุฒิสภาที่นำโดยลูซิอัส จูนิอัส บรูตัส (Lucius Junius Brutus) ", "title": "วุฒิสภาโรมัน" }, { "docid": "5256#2", "text": "อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าระดับนานาชาติ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครอง ซึ่งบางส่วนใช้สืบมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังทรงตราพระราชกำหนดศักดินา ทำให้อยุธยาเป็นสังคมศักดินา อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตกเมื่อ พ.ศ. 2054 หลังโปรตุเกสยึดครองมะละกา หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2112 กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอูแห่งพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีให้หลัง อาณาจักรอยุธยาเจริญถึงขีดสุดหลังจากนั้น ทั้งความสัมพันธ์กับต่างประเทศก็รุ่งเรืองมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมลง จนล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310", "title": "ประวัติศาสตร์ไทย" }, { "docid": "399537#13", "text": "ไม่ว่ารัฐบาลและธนาคารกลางจะทำอย่างไร แต่ก็ดูจะเริ่มไร้ประโยชน์ ความน่าเชื่อถือในเงินสกุลนี้หายไปแล้ว เศรษฐีที่มีเงินแสนล้าน เมื่อสองปีก่อน กลับจะเหลือทรัพย์สินเพียงสิบ มีรายงานว่าชาวซิมบับเวบางส่วนเลิกประกอบอาชีพทั้งหมด ไปร่อนทองในแม่น้ำ เพื่อนำเศษทองที่ร่อนได้ไปแลกอาหารประทังชีวิตเป็นรายวัน ส่วนระบบที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้เงินสกุลอื่นได้ล่มสลายไปโดยปริยาย แรงงานในสาขาอาชีพต่างๆ อพยพไปทำงานในประเทศอื่นถึงร้อยละ 10 ของประเทศ แม้แต่แพทย์-พยาบาล ยังได้อพยพไปทำงานในประเทศอื่นๆ มากกว่าครึ่ง ระบบสาธารณสุขล่มสลายโดยปริยาย อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึงร้อยละ 80 อัตราการติดเชื่อเอดส์ สูงถึงร้อยละ 20 เป็นความล่มสลายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสิ้นเชิง", "title": "ภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวดในประเทศซิมบับเว" }, { "docid": "900860#4", "text": "ในปีค.ศ. 431 พระศาสนจักรกระแสหลักได้ยอมรับคำสอนที่ได้รับการรับรองจากสภาสังคายนาแห่งเอเฟซัส (ซึ่งประณามเนสตอริอุส ผู้นำลัทธิเนสตอเรียน) และประกาศว่าผู้ใดปฏิเสธถ้อยแถลงดังกล่าว จะถือว่าเป็นพวกนอกรีต ศาสนจักรแห่งตะวันออกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจักรวรรดิแซสซานิดไม่ยอมรับคำสอนที่รับรองจากสภานี้และตัดขาดจากพระศาสนจักรกระแสหลักไป ซึ่งต่อมาศาสนจักรนี้ได้เติบโตและแผ่ขยายไปทั่วเอเชียก่อนจะถึงคราวล่มสลายหลังมองโกลเข้ารุกรานตะวันออกกลางช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14", "title": "คาทอลิกตะวันออก" }, { "docid": "665#22", "text": "ชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากพยายามข้ามไปยังเยอรมนีตะวันตกเพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เยอรมนีตะวันออกตัดสินใจสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1961 กำแพงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นระหว่างฝ่ายเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์.[17] [18] การพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ นำมาซึ่งการรวมประเทศเยอรมนีในปีถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีให้หลัง", "title": "ประเทศเยอรมนี" }, { "docid": "269239#0", "text": "พระมหากษัตริย์อิตาลี (, , ) เป็นตำแหน่งที่ใช้สำหรับประมุขผู้ครองคาบสมุทรอิตาลีมาตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน แต่ก็ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดที่ปกครองคาบสมุทรอิตาลีทั้งหมดมาจนถึง สมเด็จพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 ในปี ค.ศ. 1870 แม้ว่าจะมีกษัตริย์บางพระองค์ก่อนหน้านั้นที่ทรงอ้าง", "title": "พระมหากษัตริย์อิตาลี" }, { "docid": "224477#33", "text": "เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในปีพ.ศ. 2310 ก่อให้เกิดความแตกแยกกันขึ้นในระหว่างข้าราชการและขุนนาง ฝ่ายเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เจ้าพระยานครพระยาไชยาธิเบศร์ก็ถูกเรียกตัวเข้าไปช่วยราชการงานศึกที่กรุงศรีอยุธยา แล้วถึงแก่อนิจกรรมไม่ได้กลับมาที่นครศรีธรรมราชอีก พระปลัด (หนู)จึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะประกาศอิสรภาพแก่นครศรีธรรมราช ซึ่งเคยเป็นเมืองอิสระแต่ครั้นโบราณกาล จึงตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2307 และได้เกลี้ยกล่อมหัวเมืองปักษ์ใต้ให้เข้าเป็นพวกด้วย", "title": "ประวัติศาสตร์จังหวัดภูเก็ต" }, { "docid": "6993#15", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "จังหวัดขอนแก่น" }, { "docid": "44328#2", "text": "การเสียกรุงครั้งนี้ นอกจากจะส่งผลให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลายลงแล้ว ตะนาวศรีตอนใต้ยังได้ตกเป็นของพม่าเป็นการถาวร[2] และเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองในระดับต่าง ๆ จนแทบนำไปสู่การล่มสลายของรัฐไทย[9] อย่างไรก็ดี พม่าจำต้องถอนกำลังส่วนใหญ่ในอาณาจักรอยุธยาเดิมกลับคืนประเทศไปเมื่อถูกจีนบุกครอง จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเถลิงอำนาจและตั้งอาณาจักรของคนไทยใหม่", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "17119#0", "text": "อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรที่มีระยะเวลาสั้นที่สุดของไทย คือระหว่าง พ.ศ. 2310 - 2325 ระยะเวลา 15 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายหลังอาณาจักรอยุธยาล่มสลายไปพร้อมกับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ทว่า ในเวลาต่อมา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน", "title": "อาณาจักรธนบุรี" }, { "docid": "224477#29", "text": "ขณะนั้นกรุงศรีอยุธยากำลังระส่ำระสายด้วยการผลัดแผ่นดินจากสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเป็นพระเจ้าอุทุมพร แล้วเปลี่ยนเป็นพระเจ้าเอกทัศและกลับเปลี่ยนเป็นพระเจ้าอุทุมพรอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำการสู้ศึกกับพม่า ซึ่งยกทัพเข้ามาโจมตีกรุงศรีอยุธยายืดเยื้อติดต่อกันนับตั้งแต่พ.ศ. 2301 จนถึงพ.ศ. 2310 อันเป็นปีที่กรุงศรีอยุธยาล่มสลาย", "title": "ประวัติศาสตร์จังหวัดภูเก็ต" }, { "docid": "59325#19", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "อำเภอสุวรรณภูมิ" }, { "docid": "10574#16", "text": "จ.ศ. 12068 นักคณิตศาสตร์ฮาริ เซลดอน พยากรณ์ถึงการล่มสลายของจักรวรรดิด้วยวิชาอนาคตประวัติศาสตร์ (Psychohistory) ว่าจะล่มสลายภายใน 300 ปี และจักรวรรดิใหม่ต้องใช้เวลาอีก 30,000 ปีกว่าจะฟื้นตัวได้ดังเดิม", "title": "จักรวรรดิสากลจักรวาล" }, { "docid": "322783#1", "text": "ถึงแม้ว่าตัวอย่างของการให้เอกราชจะพบได้นับแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา ในช่วงเวลาสมัยใหม่ มีช่วงเวลาการให้เอกราชที่เฉพาะเป็นจำนวนมาก อาทิ การล่มสลายของจักรวรรดิสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 19 การล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิรัสเซียภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การล่มสลายของจักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิฝรั่งเศส จักรวรรดิเยอรมัน และจักรวรรดิอาณานิคมอิตาลี ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตภายหลังกำแพงเบอร์ลินถูกพังทลาย ในปี ค.ศ. 1989", "title": "การให้เอกราช" }, { "docid": "399346#1", "text": "เป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้ว ที่มนุษย์เริ่มต้นใช้ชีวิตในอวกาศ จนกระทั่ง ปี A.G. 101 ศัตรูลึกลับ UE (Unknown Enemy) ได้โจมตีโคโลนี่ \"แองเจิล\" จนล่มสลาย เหตุการณ์ในวันนั้นต่างก็เรียกขานกันว่า \"วันแห่งการล่มสลายของนางฟ้า\" และสงครามก็ได้เริ่มขึ้น", "title": "กันดั้มเอจ" }, { "docid": "44328#50", "text": "ภายหลังจากการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา เพื่อความอยู่รอด ทำให้เกิดชุมนุมทางการเมืองในระดับต่าง ๆ ซึ่งเป็น \"รัฐบาลธรรมชาติ\" ขึ้นมาในท้องถิ่นทันที ส่วนรัฐบาลธรรมชาติเหล่านี้เกิดจากการที่บรรดาเจ้าเมืองขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนักได้ตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน เรียกว่า \"ชุมนุม\" หรือ \"ก๊ก\" ซึ่งมีจำนวน 4-6 แห่ง นับว่ารัฐไทยเกือบสิ้นสลายไปเพราะไม่อาจรวมกันเป็นปึกแผ่นได้อีก[9]", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "80088#5", "text": "นักประวัติศาสตร์หลายคนยกตัวอย่างเช่น ได้เขียนยืนกรานในหนังสือเรื่องวิวัฒนาการของอารยธรรม ว่าอารยธรรมตะวันตกเกิดขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ. 500 หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกโดยการล่มสลายนี้ทำให้เกิดพื้นที่ว่างสำหรับการเบ่งบานของความคิดใหม่ๆที่เป็นไปไม่ได้ในสังคมสมัยคลาสสิก แต่ไม่ว่าอารยธรรมตะวันตกจะเกิดขึ้นเมื่อใดจะเห็นได้ว่าตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา โลกตะวันตกได้พบกับความเสื่อมที่มากพอสมควรในช่วงแรก ตามด้วยการปรับตัว เปลี่ยนแปลงและท้ายที่สุดการพัฒนาทางวัตถุ เทคโนโลยีและการเมือง ช่วงเวลาที่กล่าวถึงนี้กินเวลาประมาณหนึ่งพันปีและได้ถูกเรียกว่ายุคสมัยกลาง โดยส่วนเริ่มต้นของสมัยกลางทำให้เกิด \"ยุคมืด\" และจุดจบของสมัยกลางถือเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ", "title": "โลกตะวันตก" }, { "docid": "671#23", "text": "อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอยุธยาสามารถรวบรวมอำนาจบางกลุ่มผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งเดียวกับตนได้สำเร็จ โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงใช้กุศโลบายต่าง ๆ ทั้งความสัมพันธ์เครือญาติ การปฏิรูปการปกครองไปจนถึงการใช้กำลังทหาร เพื่อผนวกเอาแคว้นสุโขทัยมาเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา สมัยดังกล่าวยังมีการปกครองที่เป็นปึกแผ่นมากขึ้น กระทั่งการล่มสลายอย่างสิ้นเชิงก็ไม่สามารถทำลายความรู้สึกของผู้คนตามไปด้วยได้ จึงนำไปสู่การเกิดใหม่ของกรุงศรีอยุธยาเป็นกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "96288#43", "text": "นอกจากนี้พวกมันยังสามารถได้รับการออกแบบด้วยทฤษฎีเส้นผลตอบแทน (), ในที่ซึ่งกลไกการล่มสลายที่ได้สันนิษฐานไว้มีการวิเคราะห์เพื่อให้ขอบเขตด้านบน () บนโหลดที่ล่มสลาย (ดู Plasticity). เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติ แต่เพราะวิธีการนี้จะให้ ขอบเขตด้านบน, เช่นการคาดการณ์ที่ไม่ปลอดภัยของการโหลดที่ล่มสลาย, สำหรับกลไกการล่มสลายที่ถูกคิดขึนอย่างไม่ดี การดูแลอย่างมากเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่ากลไกการล่มสลายที่สันนิษฐานไว้จะเป็นจริง.", "title": "วิศวกรรมโครงสร้าง" }, { "docid": "3852#40", "text": "พรรคการเมืองมากซ์สต์รวมถึงการเคลื่อนไหวต่าง ๆ นั้น ลดความเข้มแข็งลง ภายหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต นักวิจารณ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายขวา ได้ใช้เหตุการณ์นี้อธิบายว่า เกิดขึ้นมาจากความล้มเหลวภายในหลาย ๆ อย่างในสหภาพโซเวียต และการล่มสลายที่ตามมานี้ เป็นผลพวงโดยตรงจากแผนการของมากซ์ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของแนวคิดมากซ์สม์. อย่างไรก็ตาม กลุ่มมากซ์สต์กล่าวว่า นโยบายของสหภาพโซเวียต ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบเลนินนิสต์และสตาลินนิสต์นั้น แม้จะดูผิวเผินแล้วคล้ายคลึงกับทฤษฎีของมากซ์ แต่ในเนื้อแท้แล้วแตกต่างกันมาก. มากซ์วิเคราะห์โลกในยุคสมัยของเขา และปฏิเสธที่จะเขียนแผนการว่าโลกสังคมนิยมจะต้องเป็นอย่างใด โดยเขากล่าวว่าเขามิได้ \"เขียนตำราอาหาร สำหรับอนาคต\". สำหรับภายนอกยุโรปและสหรัฐอเมริกาแล้ว การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม รวมถึงการกลุ่มชาตินิยม มักมีความสำคัญกว่าคอมมิวนิสต์. อย่างไรก็ตาม หลายครั้งกลุ่มเคลื่อนไหวนี้ ได้ใช้แนวคิดของมากซ์เป็นพื้นฐานทางทฤษฎี.", "title": "คาร์ล มากซ์" }, { "docid": "5256#7", "text": "การจัดแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของไทยนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงพระทัศนะไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง \"ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร\" ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเมื่อ พ.ศ. 2457 ถึงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของไทยไว้ว่า \"เรื่องพระราชพงศาวดารสยาม ควรจัดแบ่งเป็น 3 ยุค คือ เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานียุค 1\"[2] ซึ่งการลำดับสมัยทางประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง (Linear) โดยวางโครงเรื่องผูกกับกำเนิดและการล่มสลายของรัฐ กล่าวคือใช้รัฐหรือราชธานีเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ ยังคงมีอิทธิพลอยู่มากต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยในปัจจุบัน", "title": "ประวัติศาสตร์ไทย" }, { "docid": "939125#1", "text": "สงครามนี้เริ่มในเดือนเมษายน ค.ศ. 1752 ในสภาพขบวนการอิสระต่อต้านอำนาจกองทัพหงสาวดีที่เพิ่งยึดอำนาจจากราชอาณาจักรตองอู การต่อต้านดังกล่าวมีผู้นำคือพระเจ้าอลองพญาผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรโกนบอง พระองค์สามารถเอาชัยในพื้นที่พม่าตอนบนได้ทั้งหมดเมื่อสิ้น ค.ศ. 1753 หงสาวดีจากภาคใต้จึงรุกรานกลับอย่างเต็มรูปแบบใน ค.ศ. 1754 แต่ไม่สำเร็จ เมื่อเวลาผ่านไป สงครามก็มีลักษณะทางชาติพันธุ์มากขึ้น เพราะเป็นการสู้กันของพม่าจากทางเหนือกับมอญจากทางใต้ กองทัพโกนบองเข้าสู่พม่าตอนล่างในเดือนมกราคม ค.ศ. 1755 ยึดดินดอนสามเหลี่ยมอิรวดีและเมืองดะโกนเป็นผลสำเร็จในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น เมืองท่าสิเรียมที่อยู่ในความพิทักษ์ของกลุ่มฝรั่งเศสยื้อสงครามออกไปอีก 14 เดือน แต่ถูกตีแตกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1756 ทำให้ฝรั่งเศสยุติบทบาทในสงครามครั้งนี้ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1757 ฝ่ายโกนบองยึดพะโคเมืองหลวงของหงสาวดีไว้ได้ ราชอาณาจักรหงสาวดีที่ตั้งมาได้ 16 ปีจึงล่มสลายลง กองกำลังมอญแห่งหงสาวดีถอยไปตั้งตัวในคาบสมุทรตะนาวศรีอยู่หลายปีโดยได้ความช่วยเหลือจากกรุงศรีอยุธยา แต่พม่าแห่งโกนบองยึดคาบสมุทรดังกล่าวคืนจากกรุงศรีอยุธยาและขับไล่มอญออกไปได้ใน ค.ศ. 1765", "title": "สงครามโกนบอง–หงสาวดี" }, { "docid": "27551#3", "text": "พงศาวดารเรื่องราชาธิราชได้มีการแปลจากฉบับภาษามอญเป็นภาษาไทยครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งฉบับแปลครั้งแรกนั้นได้สูญหายไปเมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในปี พ.ศ. 2310 ต่อมาในปี พ.ศ. 2328 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระราชดำริว่า หนังสือเรื่องราชาธิราชเป็นหนังสือดี เคยได้รับการยกย่องมาแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแปลและเรียบเรียงใหม่ โดยมีเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นแม่กองกำกับการแปล ร่วมกับพระยาอินทรอัครราช พระภิรมรัศมี และพระศรีภูริปรีชา ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกที่โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์ เมื่อ พ.ศ. 2423", "title": "ราชาธิราช" }, { "docid": "77808#3", "text": "จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมิวลุส ออกุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453", "title": "จักรวรรดิโรมัน" }, { "docid": "233878#2", "text": "พ.ศ. 1896 ในสมัยพระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรเขมรก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยานำโดยขุนหลวงพระงั่วซึ่งเป็นพี่เมียของพระเจ้าอู่ทองยกทัพโจมตียึดเป็นเมืองขึ้น กองทัพไทยจากพระนครศรีอยุธยาไปรวมกำลังที่นครโคราปุระหรือโคราชหรือนครราชสีมา แล้วแยกกองทัพลงไปโจมตีกัมพูชาเป็น 3 ทางมีทหารไทย มอญ ลาวรวมกันประมาณ 50,000 คนและสามารถทำให้อาณาจักรขอมแตกได้ อาณาจักรเขมรจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา เป็นผลให้อาณาจักรเขมรล่มสลายอย่างสิ้นเชิง จนไม่สามารถฟื้นฟูอาณาจักรให้กลับมายิ่งใหญ่ตามเดิมได้", "title": "ยุคมืดของกัมพูชา" }, { "docid": "923740#0", "text": "การล้อมคะมะกุระ () สงครามครั้งสำคัญซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ สงครามปีเก็งโก ที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1333 อันเป็นหมุดหมายสำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายของ ตระกูลโฮโจ ตระกูลที่ทำหน้าที่เป็น ชิกเก็ง หรือผู้สำเร็จราชการแทนโชกุนมานับร้อยปีกองทัพที่จงรักภักดีต่อ จักรพรรดิโกะ-ไดโงะ ภายใต้การนำของ นิตตะ โยะชิซะดะ ได้บุกเข้ายึดเมืองคะมะกุระและทำลายเมืองจนราบคาบทำให้ รัฐบาลโชกุนคะมะกุระ ล่มสลายลงและผู้นำตระกูลโฮโจคนสุดท้ายคือ โฮโจ ทะกะโตะกิ ได้หนีไปยัง วัดโทโช อันเป็นวัดประจำตระกูลโฮโจพร้อมกับทำ เซ็ปปุกุ หรือการฆ่าตัวตายส่งผลให้ตระกูลโฮโจล่มสลายลง", "title": "การล้อมคะมะกุระ (ค.ศ. 1333)" }, { "docid": "537713#9", "text": "ปลายพุทธศตวรรษที่ 20 บรรดาแว่นแคว้นและนครรัฐต่าง ๆ ค่อย ๆ ถูกรัฐที่ใหญ่กว่าผนวก อาณาจักรสุโขทัยล่มสลายและรวมเข้ากับกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 1981 แต่นครรัฐน่านที่ห่างไกลยังคงเป็นนครรัฐอิสระขนาดเล็กอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก่อนถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรล้านนาใน ปี พ.ศ. 1992 ใน พื้นเมืองน่าน กล่าวว่าพระเจ้าติโลกราชทรงยกทัพจากพะเยามาทางเมืองปง เมืองควร เข้าล้อมเมืองน่าน และ \"ตั้งอม็อกสินาดยิงเข้าทางประตูอุทยาน โห่ร้องเข้าคุ้มเวียง\"[16] อินทแก่นท้าวหนีไปพึ่งพระยาเชลียง พระเจ้าติโลกราชจึงแต่งตั้งท้าวผาแสงพระโอรสเจ้าแพงกินเมืองสืบมา ครั้นสิ้นท้าวผาแสงก็หาขุนนางมากินเมืองแทน ดังปรากฏ ความว่า \"...แต่นั้นมาชื่อว่าพระญาบ่มีแลย่อมว่าเจ้าเมืองว่าอั้นมาแล...\"[5]", "title": "นครรัฐน่าน" }, { "docid": "60995#3", "text": "หลังการตายของสตาลินในปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496) ทางการได้ยกเลิกเนื้อร้องฉบับที่ 2 เพื่อกำจัดอิทธิพลสตาลิน เพลงชาติโซเวียตจึงไม่มีเนื้อร้องอยู่ระยะหนึ่ง มิคาลกอฟได้เขียนเนื้อเพลงชาติฉบับใหม่เสร็จในปี ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) แต่ได้เสนอต่อทางการในปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) และได้รับการอนุมัติวันที่ 1 กันยายน ปีเดียวกัน โดยเนื้อร้องฉบับนี้ไม่มีส่วนใดที่เอ่ยถึงสตาลินเลย เพลงชาติสหภาพโซเวียตยุดนี้ได้ใช้มาจนถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการแยกตัวจากสหภาพเดิมออกเป็น 15 ประเทศในปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) ", "title": "เพลงชาติสหภาพโซเวียต" }, { "docid": "22602#0", "text": "สภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นการอธิบายถึงความแตกแยกระหว่างกลุ่มการเมืองน้อยใหญ่ในอาณาจักรอยุธยาเดิม ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2310 โดยในทัศนะของนิธิ เอียวศรีวงศ์ สภาวะดังกล่าวแทบจะทำให้รัฐไทยล่มสลายลงไปตามเจตนาของพม่าในการรุกรานอาณาจักรอยุธยาเลยทีเดียว สภาวะดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ก่อนที่บ้านเมืองอันเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริงจะถูกสถาปนาขึ้นอีกครั้งหลังจากการปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก", "title": "สภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
2709
ประเทศฝรั่งเศส มีระบอบการปกครองแบบกษัตริย์หรือไม่ในปัจจุบัน ?
[ { "docid": "4496#2", "text": "ในช่วงท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ระบอบกษัตริย์และเจ้าขุนมูลนายถูกล้มล้างในการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสและประวัติศาสตร์โลกไปตลอดกาล ประเทศฝรั่งเศสถูกปกครองโดยระบอบสาธารณรัฐเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยระบอบจักรวรรดิเมื่อนโปเลียน โบนาปาร์ต ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ ตามมาด้วยความพ่ายแพ้ของนโปเลียนในสงครามนโปเลียน ฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหลายครั้ง เช่น การฟื้นฟูระบอบกษัตริย์, การสถาปนาระบอบสาธารณรัฐครั้งที่สองช่วงสั้นๆ ตามมาด้วยจักรวรรดิที่สอง จนไปสิ้นสุดลงที่สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สามซึ่งสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1870", "title": "ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส" }, { "docid": "1820#13", "text": "ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16ในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "1820#15", "text": "ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "235071#1", "text": "ราชอาณาจักรฝรั่งเศสมีต้นกำเนิดมาจากราชอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก ซึ่งเป็นรัฐด้านตะวันตกของจักรวรรดิการอแล็งเฌียงตามสนธิสัญญาแวร์เดิง และอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์การอแล็งเฌียงจนถึงปี ค.ศ. 987 พระเจ้าอูก กาแป จึงได้สถาปนาราชวงศ์กาเปเซียง ในขณะนั้นรัฐนี้ยังใช้ชื่อว่าฟรังเกีย และประมุขดำรงพระอิสริยยศเป็น \"พระมหากษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์\" () ต่อมาในปี ค.ศ. 1190 พระเจ้าฟิลิปที่ 2 จึงเปลี่ยนพระอิสริยยศเป็น \"พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส\" () ราชวงศ์วาลัวและราชวงศ์บูร์บงซึ่งเป็นมหาสาขาของราชวงศ์กาเปเซียงก็ได้ปกครองอาณาจักรต่อมาจนกระทั่งสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1792", "title": "ราชอาณาจักรฝรั่งเศส" } ]
[ { "docid": "1820#11", "text": "ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกล (Gaul)ในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "140305#1", "text": "การปกครองท้องถิ่นในรูปแบบนี้ถือเป็นสถาบันทางการเมืองที่เก่าแก่และฝังรากลึกมาอย่างช้านาน อีกทั้งยังสะท้อนถึงลักษณะทางประวัติศาสตร์สังคมชุมชนอย่างแท้จริง เทศบาลในสมัยปัจจุบันมีพื้นฐานทางพัฒนาการมาจากเขตแพริช (Parish) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 - 12 และต่อมาในสมัยหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ได้มีการจัดเขตพื้นที่ใหม่ แต่โดยรวมก็ยังคงอยู่บนฐานของเขตศาสนาดังเดิม สถานะของเทศบาลในฐานะที่เป็นหน่วยการปกครองท้องถื่นสมัยใหม่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2427 อันเป็นผลจากการออกกฎหมายพระราชบัญญัติเทศบาล (Municipal Government Act 1884) ครอบคลุมชนชั้นต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่เมืองขนาดใหญ่ไปจนถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบท", "title": "เทศบาลในประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "4496#72", "text": "ภายใต้ข้อตกลงของคองเกรสแห่งเวียนนา ราชวงศ์บูร์บงกลับมาครองฝรั่งเศสอีกครั้ง เคานต์แห่งพรอว็องส์ (Comte de Provence) พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กลับเข้าฝรั่งเศสมาครองราชย์เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 การปกครองใหม่ของฝรั่งเศสเป็นแบบสองสภา คือ สภาขุนนาง (Chamber of Peers) และสภาผู้แทน (Chamber of Deputies) เกิดพวกคลั่งเจ้า ซึ่งได้ชื่อว่านิยมระบอบกษัตริย์มากกว่าองค์กษัตริย์เสียเอง กวาดล้างขบวนการปฏิวัติและพวกนโปเลียนเดิม เรียกว่า มิคสัญญีขาว (White Terror) ทำให้ประชาชนหวาดกลัว การเลือกตั้งค.ศ. 1815 พวกนิยมกษัตริย์จึงได้รับการเลือกตั้งท่วมท้น เรียกว่า chambre introuvable แปลว่า สภาที่ทำงานด้วยไม่ได้ พระเจ้าหลุยส์ทรงยุบสภานี้เสีย เพราะทรงตระหนักว่าพวกนี้หัวรุนแรงเกินไป และเลือกตั้งใหม่ จึงได้พวกเสรีนิยมมากขึ้น", "title": "ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส" }, { "docid": "125744#3", "text": "เดอ โกล ได้ใช้วิกฤตการณ์นี้เพื่อที่จะได้ก่อตั้งระบอบการปกครองของฝรั่งเศสใหม่ เนื่องจากในยุคสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 4 นั้น รัฐบาลต่าง ๆ ก็ได้ล้มเหลวตั้งแต่การเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว และไม่มีพรรคการเมืองใดที่สามารถครองใจประชาชนชาวฝรั่งเศสได้เลย และตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยนั้นไม่ได้มีอำนาจเท่ากับสมัยปัจจุบัน ซึ่งเดอ โกลได้เสนอที่จะให้ประธานาธิบดีมีวาระ 7 ปี ตั้งแต่ที่ลดลงเหลือ 5 ปี และควรมีอำนาจบริหารประเทศควบคู่กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี และต้องได้รับการเลือกตั้ง และมาจากรัฐสภาฝรั่งเศส", "title": "สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5" }, { "docid": "75071#1", "text": "กษัตริย์แห่งราชวงศ์บูร์บงเริ่มการปกครองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2098 (ค.ศ. 1555) ที่เมืองนาวาร์ (ตอนเหนือของประเทศสเปนและทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส) และพอมาถึงปี พ.ศ. 2132 (ค.ศ. 1589) ราชวงศ์บูร์บงก็ได้ปกครองประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศ จนมาถึงสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) เมื่อครั้งการปฏิวัติฝรั่งเศส ถึงแม้จะมีการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ก็ดำรงอยู่ได้เพียง 24 ปี ก็ได้มีการล้มล้างระบอบกษัตริย์ลง", "title": "ราชวงศ์บูร์บง" }, { "docid": "275067#0", "text": "สภาฐานันดร (; ) เป็นสภานิติบัญญัติในระบอบเก่าของราชอาณาจักรฝรั่งเศส ประกอบด้วยสามฐานันดรแห่งราชอาณาจักร (Three Estates of the Realm) คือ นักบวช (those who pray) ชนชั้นขุนนาง (those who fight) และสามัญชน (those who work) แต่ละฐานันดรมีการประชุมแยกกัน แต่เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการเรียกประชุมและยุบสภาฐานันดร กับทั้งสภาฐานันดรไม่มีอำนาจให้ความเห็นชอบพระราชโองการเกี่ยวกับภาษีอากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีอำนาจนิติบัญญัติเลย เพียงตั้งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือของพระมหากษัตริย์เท่านั้น สภาฐานันดรจึงไม่มีอำนาจเป็นของตนอย่างแท้จริง เป็นข้อต่างจากรัฐสภาแห่งอังกฤษ", "title": "สภาฐานันดร (ประเทศฝรั่งเศส)" } ]
2608
สมองกลีบหน้าคืออะไร?
[ { "docid": "139799#0", "text": "ในทางประสาทกายวิภาคศาสตร์ สมองกลีบหน้า (Frontal lobe) เป็นบริเวณของสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของซีรีบรัล เฮมิสเฟียร์ (cerebral hemisphere) แต่ละข้าง และอยู่ด้านหน้าของสมองกลีบข้าง (parietal lobe) ส่วนสมองกลีบขมับ (temporal lobe) ตั้งอยู่ล่างและหลังต่อสมองกลีบหน้า", "title": "กลีบหน้า" } ]
[ { "docid": "601935#41", "text": "เมื่อระบบสมองกลีบหน้าส่วนหน้าด้านใน (anteromedial) มีความเสียหาย\nการเคลื่อนไหวที่ประกอบด้วยจุดมุ่งหมายแต่ไม่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ ที่เข้าไปสำรวจ เข้าไปจับ \nก็ถูกปล่อยออก (คือไม่มีการยับยั้ง) ในอวัยวะด้านตรงกันข้ามของซีกสมอง \nนี้เรียกว่า positive cortical tropism เพราะว่าสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัส\nเช่นความรู้สึกสัมผัสที่เกิดขึ้นที่ด้านหน้าของนิ้วหรือฝ่ามือ\nมีความสัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของการเคลื่อนไหวที่เพิ่มหรือยกระดับการเร้าผ่านการเชื่อมต่อป้อนกลับแบบบวก (ดูที่กล่าวมาแล้วด้านบนเกี่ยวกับ \"สมองกลีบข้างและสมองกลีบท้ายทอย\")", "title": "กลุ่มอาการมือแปลกปลอม" }, { "docid": "552407#22", "text": "งานวิจัยนั้นสรุปว่า สำหรับโรคอัลไซเมอร์ ความเสียหายใน ITC ไม่ใช่สาเหตุหลักของโรค\nเพราะว่าในคนไข้ที่รับการทดลอง ความเสียหายที่ชัดเจนอยู่ที่ entorhinal cortex, อะมิกดะลา และ ฮิปโปแคมปัส\nส่วนสำหรับโรคความจำอาศัยความหมายเสื่อม มีการสรุปว่า\n\"รอยนูนกลีบขมับทั้งส่วนกลางและส่วนล่างอาจมีบทบาทที่สำคัญ\" ในความทรงจำอาศัยความหมาย\nดังนั้น จึงเป็นความโชคไม่ดีว่า คนไข้ที่มีสมองกลีบขมับส่วนหน้า (anterior) เสียหาย ก็จะมีความจำอาศัยความหมายเสื่อม \nงานวิจัยนี้แสดงหลักฐานว่า แม้ว่าโรคทั้งสองนี้บ่อยครั้งมักจะรวมอยู่ในประเภทเดียวกัน\nแต่จริง ๆ แล้ว เป็นโรคที่แตกต่างกันอย่างมาก\nและมีความเสียหายทางสมองที่แตกต่างกัน", "title": "รอยนูนสมองกลีบขมับด้านล่าง" }, { "docid": "552407#24", "text": "ในปี ค.ศ. 1995 เฮย์วูดและคณะทำงานวิจัยหมายจะแสดงส่วนของสมองที่สำคัญต่อภาวะเสียการระลึกรู้สีในลิง\nแต่ว่า งานวิจัยนั้นแหละได้แสดงเขตในสมองที่เกี่ยวข้องกับภาวะเสียการระลึกรู้สีในมนุษย์ด้วย\nในงานวิจัยนี้ ลิงกลุ่มหนึ่ง (กลุ่ม AT) มีสมองกลีบขมับด้านหน้าเขตสายตา V4 ถูกทำให้เสียหาย\nและอีกกลุ่มหนึ่ง (กลุ่ม MOT) มีจุดที่เชื่อมต่อกันระหว่างสมองกลีบท้ายทอยและสมองกลีบขมับถูกทำให้เสียหาย\nซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับตำแหน่งกะโหลกมนุษย์ที่เสียหายเมื่อมีภาวะเสียการระลึกรู้สี\nงานนี้สรุปว่า กลุ่ม MOT ไม่เกิดความเสียหายในการเห็นสี\nในขณะที่กลุ่ม AT เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในการเห็นสี\nซึ่งตรงกับมนุษย์ที่เกิดภาวะเสียการระลึกรู้สี \nงานวิจัยนี้แสดงว่า สมองกลีบขมับเขตข้างหน้าเขตสายตา V4\nซึ่งประกอบด้วย ITC มีบทบาทสำคัญในภาวะเสียการระลึกรู้สี", "title": "รอยนูนสมองกลีบขมับด้านล่าง" }, { "docid": "571363#17", "text": "การชักที่สมองกลีบท้ายทอย เป็นการชักที่จำกัดอยู่ในสมองกลีบท้ายทอย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุอะไร หรืออาจจะถูกเหนี่ยวนำด้วยตัวกระตุ้นทางตาภายนอก โรคชักที่สมองกลีบท้ายทอยมีแบบ idiopathic แบบ symptomatic และแบบ cryptogenic ภาวะแบบ symptomatic เริ่มเกิดในวัยใดก็ได้ และในขั้นใดก็ได้หลังจากหรือระหว่างการเป็นไปของโรคที่เป็นเหตุของการชัก ในขณะที่แบบ idiopathic มักจะเริ่มเกิดขึ้นในวัยเด็ก", "title": "กลีบท้ายทอย" }, { "docid": "601935#13", "text": "ส่วนอาการที่เกิดจากรอยโรคที่สมองกลีบหน้ามักจะมีผลต่อมือที่ถนัด แต่ก็มีผลต่อมือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับซีกสมองกลีบหน้าด้านใน (medial) ที่เกิดความเสียหาย และมักจะมีผลเป็น grasp reflex, การลูบคลำวัตถุที่บังคับไม่ได้, และความยากลำบากในการปล่อยวัตถุที่อยู่ในมือ", "title": "กลุ่มอาการมือแปลกปลอม" }, { "docid": "608094#1", "text": "ส่วนของสมองนี้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สิ่งที่คนอื่นกำลังเพ่งดูอยู่ (ที่เรียกว่า joint attention) \nและดังนั้นจึงมีความสำคัญในการกำหนดว่า ผู้อื่นกำลังมีอารมณ์ความรู้สึกเพ่งเล็งไปที่อะไร \nนอกจากนั้นแล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับรู้การเคลื่อนไหวทางชีวภาพ (biological motion) \nและในบุคคลปกติผู้ไม่มีโรคออทิซึม \"ร่องสมองกลีบขมับส่วนบน\"จะเริ่มทำงานถ้าได้ยินเสียงมนุษย์", "title": "ร่องสมองกลีบขมับส่วนบน" }, { "docid": "568199#23", "text": "สมองกลีบหน้า มีบทบาทในการวางแผนพฤติกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว และในความคิดทางนามธรรม ในอดีต ได้มีทฤษฎีว่า สมรรถภาพเกี่ยวกับภาษานั้นอยู่ในสมองซีกซ้าย กล่าวโดยเฉพาะคือ ในเขตบร็อดแมนน์ 44/45 หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เขตโบรคา ในด้านการแสดงออก (เช่นคำพูดและการเขียน), และในเขตบร็อดแมนน์ 22 หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เขตเวอร์นิก ในด้านการรับรู้ (เช่นการฟังและการอ่าน) แต่ปรากฏว่า สมรรถภาพเกี่ยวกับภาษากลับไม่จำกัดอยู่ในเพียงแค่เขตเหล่านั้นเท่านั้น งานวิจัยเร็ว ๆ นี้เสนอว่า กระบวนการแสดงออกและการรับรู้ของภาษา เกิดขึ้นในเขตอื่นนอกเหนือจากเขตรอบร่องด้านข้างเหล่านั้น เช่น ในคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า ปมประสาทฐาน ซีรีเบลลัม พอนส์ นิวเคลียสมีหาง (caudate nucleus) และเขตอื่น ๆ", "title": "เปลือกสมอง" }, { "docid": "140859#7", "text": "สมองกลีบข้างมีบทบาทสำคัญในการประสานข้อมูลความรู้สึกมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในความรู้เกี่ยวกับตัวเลขและความสัมพันธ์ของตัวเลข และในการเคลื่อนไหวจัดการวัตถุต่าง ๆ. มีเขตหลายเขตในสมองกลีบข้างที่มีความเกี่ยวข้องกับการประมวลปริภูมิทางตา ถึงแม้ว่าเราจะรู้ถึงกิจของสมองส่วนนี้ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว สมองกลีบข้างนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีเท่ากับสมองกลีบอื่น ๆ ในซีรีบรัม", "title": "กลีบข้าง" }, { "docid": "590643#4", "text": "STG มีบทบาทในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกจากใบหน้าที่เห็น \nนอกจากนั้นแล้ว STG ยังเป็นโครงสร้างสำคัญในการประมวลผลเกี่ยวกับเสียงและการทำงานทางภาษาของบุคคลที่อาจจะมีปัญหาในการใช้ศัพท์ หรือบุคคลที่กำลังพัฒนาการใช้ภาษาอยู่\nและยังพบอีกว่า STG เป็นโครงสร้างสำคัญในวิถีประสาทที่ประกอบด้วยอะมิกดะลา (amygdala) และคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งมีบทบาทในการประมวลผลเนื่องกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าสังคม \nเขตต่าง ๆ ด้านหน้า (anterior) และด้านบน (dorsal) ของสมองกลีบขมับ รวมทั้ง STG ด้วย มีส่วนในการประมวลผลเกี่ยวกับลักษณะของใบหน้าที่ปรากฏต่าง ๆ กันไป \nงานวิจัยที่ทำโดยใช้เทคนิคการสร้างภาพในสมอง (neuroimaging) พบว่า คนไข้โรคจิตเภทมี STG ที่มีความผิดปกติทางโครงสร้าง", "title": "รอยนูนสมองกลีบขมับส่วนบน" } ]
2417
ใครเป็นผู้ประดิษฐ์คอนแท็กเลนส์?
[ { "docid": "35590#1", "text": "เลโอนาร์โด ดา วินชี มักได้รับการยกย่องในเรื่องการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเลนส์สัมผัส ในปี ค.ศ. 1508 ในหนังสือเรื่อง Codex of the eye, Manual D เขาอธิบายถึงวิธีการปรับเปลี่ยนกำลังสายตาของกระจกตาของมนุษย์โดยการมองใต้น้ำ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กล่าวว่าวิธีการดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการแก้ปัญหาสายตา เลโอนาร์โด ดา วินชีสนใจศึกษาเกี่ยวกับกลไกการเพ่งของสายตา[1]", "title": "เลนส์สัมผัส" } ]
[ { "docid": "19383#86", "text": "มีเดียแล็บ (MIT Media Lab) ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 ภายใต้โรงเรียนสถาปัตยกรรมและการวางแผน เป็นแล็บที่รู้จักกันดีโดยงานวิจัยที่ไม่เหมือนใคร เป็นที่ทำการของนักวิจัยที่มีชื่อเสียง เช่น ศ.เซมอร์ เพเปอรต์ ผู้เป็นอาจารย์สอนทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism และผู้ประดิษฐ์ภาษาโปรแกรม Logo", "title": "สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์" }, { "docid": "10115#0", "text": "สาธารณสมบัติ หรือ สมบัติสาธารณะ (public domain) หมายถึง องค์ความรู้หรือนวัตกรรม (เช่น งานเขียน ศิลปะ ดนตรี สิ่งประดิษฐ์) ที่ไม่มีใครสามารถถือตัวเป็นเจ้าของได้ รวมไปถึงสิ่งก่อสร้าง และถนนหนทาง ในทางคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สาธารณสมบัติ หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นแล้วผู้สร้างหรือเจ้าของยินยอมให้ใคร ๆ สามารถคัดลอกนำไปใช้ได้ โดยไม่ผิดลิขสิทธิ์", "title": "สาธารณสมบัติ" }, { "docid": "618657#240", "text": "คอนโซลวิดีโอเกม เป็นคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการโต้ตอบบันเทิง ที่ผลิตสัญญาณวิดีโอเพื่อการแสดงผล ที่สามารถใช้กับอุปกรณ์แสดงผลเช่นโทรทัศน์ เพื่อแสดง วิดีโอเกม. จอยสติกหรือแผ่นควบคุมมักจะถูกใช้ในการจำลองและเล่นวิดีโอเกม. มันไม่ได้มีอะไรจนกระทั่งปี 1972 ที่ Magnavox ออกคอนโซลเกมโฮมวิดีโอตัวแรก, Magnavox Odyssey, ประดิษฐ์คิดค้นโดย ราล์ฟ เอช Baer.[213]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "69517#5", "text": "พ.ศ. 2225 ฟอลคอนแต่งงานกับดอญา มารี กีมาร์ (ท้าวทองกีบม้า) ซึ่งภายหลัง เป็นผู้ประดิษฐ์ขนมไทยหลายอย่าง", "title": "เจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน)" }, { "docid": "863802#10", "text": "ฤดูกาล 2011–12 สโมสรซื้อตัวเจมี วาร์ดี กองหน้าที่กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงให้กับสโมสรฮาลิแฟกซ์ ทาวน์ ในคอนเฟอเรนซ์ นอร์ท มาร่วมทีม และวาร์ดี ก็มีส่วนสำคัญในผลงานฤดูกาลนี้เมื่อยิงในคอนเฟอเรนซ์ พรีเมียร์ ไปถึง 31 ประตู คว้ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดประจำคอนเฟอเรนซ์ พรีเมียร์ในฤดูกาลนั้นไปครอง โดยสโมสรไม่แพ้ใครติดต่อกันถึง 29 นัด และสามารถคว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล ทำให้ได้เลื่อนชั้นสู่ฟุตบอลลีกทูซึ่งนับเป็นการเลื่อนชั้นไปแข่งขันในฟุตบอลลีกของอังกฤษเป็นครั้งแรกนับแต่ก่อตั้งสโมสร โดยหลังจบฤดูกาล เจมี วาร์ดี ได้ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี ด้วยค่าตัวกว่า 1 ล้านปอนด์ สร้างสถิติค่าตัวสูงที่สุดสำหรับนักฟุตบอลที่ไม่ได้เล่นในระดับลีกอาชีพ", "title": "สโมสรฟุตบอลฟลีตวุดทาวน์" }, { "docid": "84652#28", "text": "แม้ว่าจะมีการประดิษฐ์เกิดขึ้นมากมายเพราะเขา แต่ก็มีผู้มีบางคนโต้แย้งว่า ที่แท้แล้ววัตต์คิดค้นนวัตกรรมต้นฉบับเพียงอันเดียวจากสิทธิบัตรจำนวนมากที่เขาจด อย่างไรก็ตามไม่มีใครแย้งเรื่องที่นวัตกรรมเดียวนั้นเขาได้ประดิษฐ์จริง ก็คือ เครื่องสันดาปแยก (separate condenser) ซึ่งเป็นการฝึกหัดเพื่อเตรียมแนวความคิดที่สร้างชื่อแก่เขา เพราะเขาตั้งใจให้สิทธิบัตรเชื่อถือได้ในความปลอดภัย และทำให้แน่ใจได้ว่า ไม่มีใครได้ฝึกหัดและคิดค้นสิ่งประดิษฐ์นั้นได้อย่างเขา", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "268054#1", "text": "ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าใครเป็นคิดค้นการพับเครื่องบินกระดาษเป็นครั้งแรก ระหว่างนักประดิษฐ์ชาวจีนที่เป็นผู้คิดค้นว่าว เมื่อ 2800 ปีก่อน หรือเลโอนาร์โด ดา วินชี ที่มีหลักฐานแสดงการสร้างแบบจำลองของเครื่องบินจากแผ่นหนัง ในคริสต์ศตวรรษที่ 15", "title": "เครื่องบินกระดาษ" }, { "docid": "618288#32", "text": "2008 คอนแทคเลนส์ ไบโอนิค", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (หลัง ค.ศ. 1991)" }, { "docid": "196013#2", "text": "สำหรับในซีซั่นที่ 14 นี้ เบอร์แทรม ฟาน มุนสเตอร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับยูเอสเอทูเดย์ไว้ว่า จะมีการอัปเดตแผนที่แสดงเส้นทางในรายการผ่านทาง กูเกิล แมปส์ มีช่วงเปิดรายการแบบใหม่ กราฟิกใหม่ (ฟอนต์ของชื่อผู้เข้าแข่งขันและคำอธิบายภารกิจในรายการ และไอคอนแสดงสัญลักษณ์คำใบ้ต่าง ๆ อย่างไรก็ดีไอคอนแบบเก่ายังพบในการถ่ายทำอยู่) มีการแบ่งครึ่งหน้าจอในช่วงที่มีสองฉากเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน และมีการปรับปรุงเพลงประกอบรายการใหม่อีกด้วย นอกจากนี้ซีซั่นนี้เป็นครั้งที่สองที่เส้นชัยไม่ได้อยู่ที่แผ่นดินใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยฤดูกาลแรกที่เส้นชัยอยู่นอกแผ่นดินใหญ่ในสหรัฐอเมริกาคือ ดิ อะเมซิ่ง เรซ 12 ไม่เพียงเท่านี้ ฤดูกาลนี้ยังมีการเปลี่ยนกติกาของคำสั่งย้อนกลับ (U-Turn) เล็กน้อย ซึ่งปรากฏในเลกที่ 4 ของการแข่งขัน คำสั่งย้อนกลับที่ปรากฏในเลกนั้นทีมที่ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยว่าตนสั่งย้อนกลับ (ไม่จำเป็นต้องปิดป้ายแสดงว่าพวกเขาเป็นผู้สั่งย้อนกลับ (Blind U-Turn) ซึ่งตั้งแต่มีการใช้คำสั่งถ่วงเวลา (Yield) และคำสั่งย้อนกลับ ทีมที่ใช้จะต้องปิดป้ายแสดงว่าตนเป็นผู้สั่งย้อนกลับให้ทีมอื่น ๆ ทราบ) แต่ทว่า U-Turn ในเลกที่ 10 ของฤดูกาลนี้นั้นเป็น U-Turn แบบปกติ คือ ต้องติดแผ่นป้ายบอกว่าใครเป็นคนสั่ง U-Turn ใคร\nในการแข่งขันครั้งนี้ มีคำสั่งทางด่วนที่ไม่ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ 1 ครั้ง โดยเมลกับไมค์ให้สัมภาษณ์หลังจากจบการแข่งขันว่าคำสั่งทางด่วนในเลก 7 ของการแข่งขันเป็นคำสั่งที่ให้ทีมเดินทางไปยังตลาดและซื้อของให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยเงินของพวกเขาเอง ซึ่งในที่สุดแล้วไม่มีทีมใดใช้ทางด่วนในเลกดังกล่าวเลยรวมถึงเป็นครั้งแรกที่จำนวนทางด่วนนั้นมีแค่ 1 ครั้งเท่านั้นซึ่งโดยปกติแล้วจำนวนทางด่วนในฤดูกาลที่ 5-13 จะมีทั้งหมด 2 ครั้ง (ฤดูกาลที่ 1-4 มีจำนวนทางด่วน 9-11 ครั้งด้วยกัน)", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 14" }, { "docid": "401851#4", "text": "ในการตอบคำถามว่าใครเป็นผู้ประดิษฐ์หลอดไส้ นักประวัติศาสตร์โรเบิร์ต ฟรีเดล และพอล อิสราเอล ทำรายการนักประดิษฐ์หลอดไส้ 22 คน ก่อนโจเซฟ สวอน และโทมัส เอดิสัน พวกเขาสรุปว่ารุ่นของเอดิสันนั้นล้ำหน้ากว่าของคนอื่น เพราะองค์ประกอบสามปัจจัย ได้แก่ (1) วัสดุเปล่งแสงที่มีประสิทธิภาพ, (2) สุญญากาศที่สูงกว่าที่คนอื่น ๆ สามารถทำสำเร็จ และ (3) ความต้านทานไฟฟ้าที่สูงซึ่งทำให้การแจกจ่ายพลังงานจากแหล่งกลางทำงานได้อย่างประหยัด", "title": "หลอดไส้ร้อนแบบธรรมดา" }, { "docid": "524216#0", "text": "Moondog หรือ Louis Thomas Hardin (26 พฤษภาคม 1916 - 8 กันยายน 1999) เป็นนักแต่งเพลงชาวอเมริกันตาบอด โดยยังเป็นนักดนตรี กวี และเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีอีกหลากหลายชนิดด้วย มูนด๊อกย้ายมานิวยอร์กตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม โดยอาศัยตามท้องถนนและแต่งกายเป็นเทพโอดิน ด้วยเครื่องแต่งกายและการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใครของมูนด๊อกทำให้เขาถูกจดจำในชื่อของ \"The Viking of 6th Avenue\"", "title": "มูนด๊อก" }, { "docid": "723995#3", "text": "มินสกี เป็นผู้ประดิษฐ์หน้าจอดิสเพลย์แสดงกราฟิกแบบสวมหัวเครื่องแรกของโลกในปี ค.ศ 1963 และกล้องคอนโฟคอลในปี ค.ศ. 1957 อันเป็นที่มาของกล้องกล้องจุลทรรศน์แบบคอนโฟคอลชนิดที่ใช้เลเซอร์ในการสแกนที่ใช้กันในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้พัฒนาหุ่นยนต์เต่า และเครื่อง SNARC เครื่องจักรที่เรียนรู้จากโครงข่ายประสาทเทียมแบบต่อสุ่มเครื่องแรกในปี ค.ศ. 1951", "title": "มาร์วิน มินสกี" }, { "docid": "134324#23", "text": "ผู้เล่นทราบจากโรแลนด์ว่าหุ่นยนต์ตัวนี้ถูกส่งไปสำรวจโรงกักเก็บน้ำคอลโตผิดกฎหมายของสาธารณรัฐที่เพิ่งสูญเสียการติดต่อกับพื้นผิวไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาบอกผู้เล่นว่าสาธารณรัฐได้จ้างทหารรับจ้างหลายต่อหลายคนให้เข้าไปสำรวจที่สถานีดังกล่าวแต่ไม่มีใครได้กลับมา และยังบอกอีกว่าได้ขาดการติดต่อกับโรงงานข้างล่างไปหลังจากมีรายงานการพบสิ่งประดิษฐ์โบราณ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการลงไปสำรวจเหตุการณ์นี้ โรแลนด์ได้มอบเรือดำน้ำให้กับคณะผู้เล่นและพาไปส่งตามทาง", "title": "สตาร์ วอร์ส: ไนทส์ออฟดิโอลด์รีพับลิค (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "9139#1", "text": "เบทโฮเฟินเป็นตัวอย่างของศิลปินยุคจินตนิยมผู้โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่เข้าใจของบุคคลในยุคเดียวกันกับเขา ในวันนี้เขาได้กลายเป็นคีตกวีที่มีคนชื่นชมยกย่องและฟังเพลงของเขากันอย่างกว้างขวางมากที่สุดคนหนึ่ง ตลอดชีวิตของเขามีอุปสรรคนานัปการที่ต้องฝ่าฟัน ทำให้เกิดความเครียดสะสมในใจเขา ในรูปภาพต่าง ๆ ที่เป็นรูปเบทโฮเฟิน สีหน้าของเขาหลายภาพแสดงออกถึงความเครียด แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขา ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตของเขาได้ ตำนานที่คงอยู่นิรันดร์เนื่องจากได้รับการยกย่องจากคีตกวีจินตนิยมทั้งหลาย เบทโฮเฟินได้กลายเป็นแบบอย่างของพวกเขาเหล่านั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียมทาน ซิมโฟนีของเขา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งซิมโฟนีหมายเลข 5 ซิมโฟนีหมายเลข 6 ซิมโฟนีหมายเลข 7 และซิมโฟนีหมายเลข 9) และคอนแชร์โตสำหรับเปียโนที่เขาประพันธ์ขึ้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนแชร์โตหมายเลข 4 และหมายเลข 5) เป็นผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็มิได้รวมเอาความเป็นอัจฉริยะทั้งหมดของคีตกวีไว้ในนั้น", "title": "ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน" }, { "docid": "81017#2", "text": "โดยก่อนหน้าที่จะมารับบทเจมส์ บอนด์ นั้น คอนเนอรี่เป็นเพียงนักแสดงตัวประกอบโนเนมคนหนึ่งเท่านั้นเอง ซ้ำยังมีอาชีพเสริมคือรับจ้างส่งนมขวดตามบ้านอีกด้วย อีกทั้งยังไม่มีบุคลิกของเจมส์ บอนด์ ตามทรรศนะของเอียน เฟลมมิ่ง เจ้าของบทประพันธ์อีกต่างหาก แต่เมื่อเขาได้รับการคัดเลือกให้มาทดสอบบท โดยเดินเข้ามาและหยิบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะคาบใส่ปากแล้วพูดประโยคอมตะว่า \" Bond, James Bond \" เขาก็ได้รับบทนี้จาก อัลเบิร์ต อาร์. บรอลโคลี่ ผู้อำนวยการสร้างทันที และก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เมื่อเขากลายมาเป็นเจมส์ บอนด์ อันดับหนึ่งตลอดกาลในใจของแฟน ๆ ภาพยนตร์ชุดนี้ทั่วโลก และผู้ชมภาพยนตร์คนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่มีนักแสดงหลายต่อหลายคนมารับบทนี้ต่อจากคอนเนอรี่ แต่ก็ไม่มีใครสามารถสร้างความประทับใจได้เท่าคอนเนอรี่", "title": "ฌอน คอนเนอรี" }, { "docid": "277158#0", "text": "คอนเวอร์เจนซ์เลิฟวัน () เป็นผลงานอัลบั้มเพลงในสังกัดไอมิวสิก ออกวางขายวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552 มีศิลปินที่มาร้องเพลงคือ อเล็กซานเดอร์ เรนเดลล์‎ คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ ฮาเวิร์ด หวัง และ หม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส ยุคล มีผู้อำนวยการสร้างคือรับเบอร์ดั๊ก ศิลปินทั้ง 4 คนของอัลบั้มนี้ ได้มาจากที่ค่ายได้ทำแบบสำรวจกับคนรุ่นใหม่ถามว่า อยากเห็นใครมาร้องเพลงบ้าง ทั้ง 4 คน ทางบริษัทจึงเรียกเข้ามาทดสอบ\nในอัลบั้มมีเพลง 4 เพลงคือ \"แพ้อากาศ\" ,\"Would U Mind ?\", \"จะพยายาม\" และ \"เสียใจมากๆ\" ซึ่งมิวสิกวิดีโอเป็นเรื่องราวเดียวกัน แต่ถ่ายทอดในมุมมองของ 4 ศิลปิน", "title": "คอนเวอร์เจนซ์เลิฟวัน" }, { "docid": "289528#0", "text": "คอนทราบาสซูน หรือดับเบิลบาสซูน (Contra Bassoon or Double Bassoon) ประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกโดยชาวอังกฤษสองคน ชื่อ สโตน และ มอร์ตัน(Stone & Morton) ต่อมา เฮคเคล (Heckel) ได้ปรับปรุงโดยติดกลไกของแป้นนิ้วต่าง ๆ ให้สมบูรณ์และนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ คอนทราบาสซูนเป็นปี่ที่ใหญ่กว่าบาสซูน ประมาณเท่าตัวคือมีความยาวของท่อลมทั้งหมดถึง 18 ฟุต 4 นิ้ว หรือ 220 นิ้วพับเป็นสี่ท่อน แต่ละท่อนเชื่อมต่อด้วย Butt และข้อต่อรูปตัว U ที่ปลายท่อนสุดท้ายจะต่อกับลำโพงโลหะที่คว่ำลงในแนวดิ่ง แต่คอนทราบาสซูนอีกชนิดหนึ่งลำโพงหงายขึ้นในแนวดิ่ง ให้เสียงต่ำกว่าบาสซูน ลงไปอีก 1 ออคเทฟ เสียงจะนุ่มไม่แข็งกร้าวเหมือนบาสซูน แต่ถ้าบรรเลงเสียงต่ำอย่างช้า ๆ ในวงออร์เคสตรา ขณะที่เครื่องดนตรีอื่น ๆ เล่นอย่างเบา ๆ จะสร้างภาพพจน์คล้ายมีงูใหญ่เลื้อยออกมาจากที่มือโอกาสที่ใช้ไม่สู้มากนัก", "title": "คอนทราบาสซูน" }, { "docid": "58476#1", "text": "ใครเป็นผู้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีที่เรียกว่า \"แคน\" เป็น คนแรก และทำไมจึงเรียกว่า \"แคน\" นั้น ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนยืนยันได้\nแคนมีหลายประเภทตามจำนวนลูกแคน คือ ", "title": "แคน" }, { "docid": "753317#5", "text": "วีลแจ็คในฉบับภาพยนตร์คนแสดงนั้นมีชื่อว่า คิว (Que) มีบทบาทเป็นนักประดิษฐ์ สร้างอาวุธพิเศษขนาดย่อมให้กับเพื่อนร่วมทีมของเขา ภายหลังได้เกิดเหตุการณ์ที่ บัมเบิลบี แร็ดเชต ไซด์สไวป์ และคิวเองนั้นถูก ซาวด์เวฟ บาร์ริเคด และเหล่าดีเซปติคอนส์ตัวอื่น ๆ จับเป็นเชลย คิวถูกบาร์ริเคดและลูกน้องใช้ปืนยิงจนเสียชีวิต แต่ขณะเดียวกัน แซม วิทวิคกี้ ได้ใช้อาวุธประดิษฐ์ของคิว ซึ่งคิวให้แซมไว้ก่อนสิ้นใจ ใช้สังหารสตาร์สครีมได้สำเร็จ", "title": "วีลแจ็ค" }, { "docid": "113093#17", "text": "นักชีววิทยาบางคนให้ความเห็นว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากถูกปลาฉลามขาวจู่โจมในรอบ 100 ปี มีน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่ถูกสุนัขกัดเสียอีก แต่ความเห็นนี้ยังไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะว่ามนุษย์มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสุนัขมากกว่าปลาฉลามขาว จึงมีโอกาสมากกว่าเมื่อเทียบกับฉลาม มนุษย์ได้มีความพยายามที่จะประดิษฐ์ชุดป้องกันฉลาม แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการป้องกันปลาฉลามขาว คือ อิเล็กทรอนิค บีคอน (electronic beacon) ซึ่งนักประดาน้ำและนักเล่นเซิร์ฟจะใช้กัน โดยมันจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปรบกวนสัมผัสพิเศษของปลาฉลามขาว", "title": "ปลาฉลามขาว" }, { "docid": "56511#12", "text": "ในปี พ.ศ. 2444 เรินต์เกนได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ซึ่งเป็นรางวัลแรกสุด รางวัลนี้ให้อย่างเป็นทางการเพื่อ \"\"เป็นการรับรู้และยกย่องในความวิริยอุตสาหะที่เขาได้ค้นพบรังสีที่มีความสำคัญและได้รับการตั้งชื่อตามเขานี้\"\" เรินต์เกนได้บริจาครางวัลทีได้รับให้แก่มหาวิทยาลัยที่เขาสังกัด และได้ทำเช่นเดียวกับที่ ปิแอร์ คูรี ได้ทำบ้างในหลายปีต่อมา คือการปฏิเสธไม่ถือลิขสิทธิ์ในสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่สืบเนื่องมาจากผลงานที่เขาค้นพบด้วยเหตูผลทางจริยธรรม เรินต์เกนไม่ยอมแม้แต่จะให้ใช้ชื่อเขาเรียงรังสีที่เขาเป็นผู้ค้นพบ อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2547 IUPAC ได้ตั้งชื่อธาตุใหม่ว่า \"เรินต์เกนเนียม\" (Roentgenium) เพื่อเป็นเกียรติแก่เรินต์เกน", "title": "วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน" }, { "docid": "161146#0", "text": "ปืนคาบศิลา () เป็นปืนที่ใช้ดินปืน(ดิน\"แรงดันต่ำ\")ตำกรอกทางปากกระบอกปืน จากนั้นรอง\"หมอน\"นุ่น หรือผ้า แล้วใส่หัวกระสุนทรงกลม ปิดด้วยหมอนอีกชั้น ปืนชนิดนี้เมื่อบรรจุกระสุนไว้ต้องถือตั้งตรงตลอด ไม่งั้นกระสุนอาจไหลออกจากปากลำกล้อง เวลาจะยิงต้องใช้ หิน\"คาบศิลา\"(หินไฟ-Flint) ตอกกระทบโลหะ หรือกระทบกันเอง (มักทำเป็น คอนกติดหินไฟ ผงกด้วยสปริง) เพื่อจุดดินขับในถ้วยที่โคนปืน ให้ไฟแล่บติดดินขับ วิ่งเข้าไปทางรูที่ท้ายลำกล้อง แล้วจึงเกิดการลุกไหม้ในดินปืน ระเบิดกระสุนออกไป ปืนชนิดนี้เป็นต้นแบบของปืนไรเฟิลในปัจจุบันด้วย ไม่มีผู้ทราบว่าใครประดิษฐ์ขึ้น แต่ว่าในเอกสารทางการทหารของจีนได้มีการกล่าวถึงอาวุธชนิดหนึ่งเรียกว่า \"หั่วหลงจิง (火龙经)\" ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในแรกเริ่มปืนคาบศิลาไค้มีการออกแบบให้ใช้กับทหารราบเท่านั้น และได้มีการปรับปรุงขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม เช่นมีเกลียวในลำกล้อง การมีกล้องเล็ง มีกระสุนปลายแหลมซี่งแต่เดิมนั้นเป็นลูกกลมๆ และในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก็มีการประดิษฐ์ปืนชนิดที่บรรจุกระสุนทางท้ายรังเพลิงปืนซึ่งแต่เดิมนั้นบรรจุกระสุนทางปากลำกล้องเข้ามาแทนที่", "title": "ปืนคาบศิลา" }, { "docid": "618657#284", "text": "ส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ หรือ (English: Graphic User Interface (GUI)) ใช้ หน้าต่าง, ไอคอนและเมนู ในการออกคำสั่ง เช่นการเปิดไฟล์, ลบไฟล์, ย้ายไฟล์และอื่นๆ และ แม้ว่าหลายระบบปฏิบัติการ GUI จะดำเนินการโดยใช้เมาส์ก็ตาม, แป้นพิมพ์ก็ยังสามารถใช้ได้โดยการใช้แป้นพิมพ์ทางลัดหรือปุ่มลูกศร. GUI ร่วมคิดค้นที่ ซีร็อกซ์ โดย อลัน เคย์ และ ดักลาส Engelbart ในปี 1981.[250]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "41557#1", "text": "เอนามิ ซึซึกะ แอบหลงรักคอนโนะ นาโอโตะเพื่อนที่เคยอยู่ห้องเดียวกัน โดยมีฟุตาบะ มิยาบิ เพื่อนสนิทใช้ไพ่ทาโรต์ทำนายดวงให้โดยบอกว่าจะได้ใกล้ชิดกับคอนโนะแต่ก็ดันเจอไฟ่เจ้าปัญหาอย่าง \"ไพ่เดธ\" คอนโนะถูกรถชนวิญญาณออกจากร่าง ไม่มีใครเห็นวิญญาณของคอนโนะนอกจากซึซึกะและไซโจ เอ็ตสึ(มีพลังวิญญาณมาก) แฟนของมิยาบิ มิยาเสนอให้คอนโนะไปอาศัยอยู่ที่บ้านของซึซึกะเพราะอย่างน้อยซึซึกะก็มองเห็นคอนโนะ อยู่มาวันหนึ่งมีแจกันโบราณสมัยเอโดะส่งมาที่บ้านซึซึกะเป็นแจกันที่มี \"ซาชิคิวาราชิ\" (วิญญาณคุ้มครอง) ชื่อโซทาโร่ โซทาโร่เป็นเด็กรับใช้ของเจ้าหญิงซึซึ ที่กลับชาติมาเกิดเป็นซึซึกะ คอนโนะกลับเข้าร่างได้เพราะยอมรับเรื่องที่รุ่นพี่ฮิโตมิมีแฟนได้แล้ว (สาเหตุที่วิญญาณคอนโนะออกจากร่างคือโดนรถชนหลังจากรู้ว่ารุ่นพี่ที่ตัวเองชอบมีแฟนแล้ว) ", "title": "เทวดาปลายศตวรรษ" }, { "docid": "618288#33", "text": "คอนแทคเลนส์ไบโอนิค เป็นคอนแทคเลนส์แบบดิจิตอลสวมใส่โดยตรงในตาของคน, ซึ่งในอนาคต, นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวันหนึ่งมันจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มเสมือนที่มีประโยชน์ในกิจกรรม เช่นการท่องเวิลด์ไวด์เว็บ, ซ้อนภาพบนวัตถุจริง, เล่นวิดีโอเกมเพื่อความบันเทิง และ สำหรับการตรวจสอบสภาวะทางการแพทย์ของผู้ป่วย. คอนแทคเลนส์ไบโอนิคเป็นรูปแบบนาโนเทคโนโลยีและการผลิตแบบ microfabrication ของการสร้างไดโอดเปล่งแสง, เสาอากาศ, และการเดินสายไฟในวงจรอิเล็กทรอนิกส์.[39] คอนแทคเลนส์ไบโอนิคเป็นงานสร้างในปี 2008 ของชาวอิหร่านอเมริกัน Babak Parviz, วิศวกรไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (UW) ในซีแอตเติล.[40][41]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (หลัง ค.ศ. 1991)" }, { "docid": "353887#0", "text": "คอนสตันติน คอนสตันติโนวิช ฮเรนอฟ (; 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1894 — 12 ตุลาคม ค.ศ. 1984) เป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์ชาวโซเวียต ซึ่งได้คิดค้นการเชื่อมไฮเปอร์บาริกใต้น้ำและการตัดโลหะ ใน ค.ศ. 1932 ซึ่งวิธีการดังกล่าว ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเรือโซเวียตระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ฮเรนอฟได้รับรางวัลรัฐสตาลิน ใน ค.ศ. 1946", "title": "คอนสตันติน ฮเรนอฟ" }, { "docid": "324196#2", "text": "วลี \"No Taxation Without Representation!\" ประดิษฐ์ขึ้นโดยนักบวช โจนาธาน เมย์ฮิว ระหว่างการเทศน์ครั้งหนึ่งในบอสตัน ค.ศ. 1750 ในปี ค.ศ. 1765 ได้มีการใช้วลีดังกล่าวในบอสตัน แต่ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ใช้คนแรก นักการเมืองบอสตัน เจมส์ โอติส มักจะหยิบยกวลีดังกล่าวไปพูดเสมอ โดยว่า \"ไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทนคือทรราช\" ", "title": "ห้ามจัดเก็บภาษีหากไม่มีผู้แทน" }, { "docid": "255642#1", "text": "ก่อนหน้าที่จะล้อมเมืองผู้ลี้ภัยคริสเตียนชาวซีเรียชื่อคาลลินคอสแห่งเฮลิโอโพลิสประดิษฐ์อาวุธใหม่ที่มีประสิทธิภาพให้แก่จักรวรรดิไบแซนไทน์ ที่มารู้จักกันว่า “ปืนไฟกรีก” (Greek fire) ในปี ค.ศ. 677 ราชนาวีของไบแซนไทน์ก็ใช้อาวุธนี้ในการทำลายกองเรือของฝ่ายอุมัยยะฮ์อย่างย่อยยับในทะเลมาร์มารา ที่เป็นผลทำให้ฝ่ายอุมัยยะฮ์ยุติการล้อมเมืองในปี ค.ศ. 678 ชัยชนะครั้งนี้เป็นการหยุดยั้งการขยายอำนาจของอุมัยยะฮ์เข้ามาในยุโรปเป็นเวลาเกือบสามสิบปี แม้ว่าฝ่ายอาหรับจะไม่ได้รับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงมาจนกระทั่งในการล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลครั้งที่สอง ระหว่างปี ค.ศ. 717-718", "title": "การล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิล (ค.ศ. 674–678)" }, { "docid": "331594#2", "text": "ในปี 1938 อินเดียน่า โจนส์ (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) ต้องเดินทางตามหาขุมทรัพย์อีกครั้ง นั่นคือ จอกกาลิซ หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย แล้วจอกที่ว่านี้ยังเคยรองรับพระโลหิตของพระองค์ตอนถูกตรึงกางเขนมาแล้วด้วย จากนั้นจอกดังกล่าวตกอยู่ในมือของโจเซฟแห่งอารามาเทียอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหายสาบสูญไปนับพันปี เงื่อนงำล่าสุดก็คือ อัศวินสามพี่น้องแห่งสงครามครูเสดเป็นผู้พิทักษ์เอาไว้ คนพี่คนแรกได้เสียชีวิตไปก่อน ส่วนอัศวินคนที่สองก่อนตายก็ได้เปิดเผยความลับนี่แก่หลวงพ่อรูปหนึ่ง ส่วนคนน้องสุดท้องก็ไม่มีใครได้พบ ว่ากันว่าเขายังคงปกป้องจอกนี้อยู่ ในตำนานได้กล่าวไว้ว่า ใครได้ครอบครองและดื่มน้ำจากจอก คนผู้นั้นจะเป็นอมตะ หลังจากที่ ศจ.เฮนรี โจนส์ (ฌอน คอนเนอรี่) พ่อของอินดี้ก็ได้ออกตามหาจอกแล้วก็หายไปก่อนหน้านี้ อินดี้จึงรีบดำเนินการสืบหาร่องรอยของพ่อทันที แล้วการผจญภัยครั้งใหม่ก็เริ่มขึ้นครับ มันนำพาเขาไปพบกับศัตรูดั้งเดิมอย่างพวกนาซีที่ต้องการจอกเช่นกันต่อมาเมื่อหนังภาค 2 ฉายไปและยังทำเงินอยู่ ทางจอร์จ ลูคัส ก็เริ่มมาคุยกับผู้กำกับ ถึงหนังภาค 3 ซึ่ง จอร์จ ลูคัส เสนอว่าอยากให้ภาค 3 มันเกี่ยวกับเรื่องของบ้านผีสิงอะไรทำนองนั้น แต่เผอิญช่วงนั้น ผู้กำกับ เพิ่งสร้าง Poltergeist ไปเมื่อปี 1982 และเขาก็ไม่อยากทำอะไรที่มันซ้ำซาก จอร์จ ลูคัส เลยคิดบทเกี่ยวกับเรื่องของจอกกาลิซขึ้นมาแทน แล้วผู้กำกับ ก็เสนอให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อลูกตระกูลโจนส์ ซึ่งคนที่จะมาแสดงเป็นพ่อของอินดี้ คือ ฌอน คอนเนอรี่ เขาคือต้นตำรับแห่ง เจมส์ บอนด์ และนักแสดงอื่นๆ จาก 007 ในแต่ละภาค", "title": "ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด" }, { "docid": "329928#2", "text": "เมกะทรอน () / เบิร์นนิ่ง เมกะทรอน () / เมกะทรอน ซูเปอร์โหมด () / กัลวาทรอน () / กัลวาทรอน G (เจเนรัล) () ผู้นำสูงสุดของฝ่ายเดสทรอน มีความทะเยอทะยานที่จะยึดครองจักรวาลมาเป็นของตน บ่อยครั้งที่มักจะประมือกับคอนวอยพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะว่าใครคือคนที่สมควรจะได้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด มีนิสัยทรนงตน", "title": "เมกะทรอน (ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส)" } ]
1426
เอมี เจด ไวน์เฮาส์ เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "130676#0", "text": "เอมี เจด ไวน์เฮาส์ (English: Amy Jade Winehouse, เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1983 - เสียชีวิต 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2011) นักร้องแนวโซลชาวอังกฤษ และนักแต่งเพลงแจ๊ส", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" } ]
[ { "docid": "379151#9", "text": "ความบาดหมางระหว่าง เอเจ กับ เคทลิน ยังไม่จบเพียงเท่านี้. เอเจ ยังเอาเรื่องน้ำหนักตัวของ เคทลิน มาล้อเลียน และ ตามรังควาน เคทลิน แทบทุกแมตช์การปล้ำ แต่ขณะเดียวกับ เคทลิน ก็สามารถเอาคือ เอเจ ได้อย่างเจ็บแสบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแต่งตัวล้อเลียน เอเจ ทำให้ เอเจ ขาดสมาธิแพ้ให้กับ นาตาเลีย, หรือ จะเป็นการโจมตี เอเจ หลังจากจบแมตช์ทำให้ เอเจ ถึงขั้นสลบมาแล้ว. ใน Smackdown วันที่ 12 กรกฎาคม, ได้มีการเซ็นต์สัญญาการชิงแชมป์ระหว่าง เอเจ และ เคทลิน ในศึก Money in the Bank หลังจากการเซ็นต์สัญญาจบลง, เคทลินก็เล่นงาน เอเจ จนสลบอีกครั้ง. แต่ในศึก Money in the Bank เคทลิน เสียท่าแพ้ให้กลับ เอเจ หลังจากเธอเกิดเจ็บข้อศอกขึ้นมา. ใน Smackdown วันที่ 26 กรกฎาคม, เคทลิน ลอบทำร้าย เอเจ ตอนเอเจเผลอ จนทำให้เกิดแมตช์ในสัปดาห์ถัดมาใน Raw โดยไม่มีเข็มขัดเป็นเดิมพัน, ซึ่งเป็นฝ่าย เคทลิน เอาชนะไปได้อย่างน่าประหลาดใจ. ในศึก Smackdown วันที่ 2 สิงหาคม, เคทลินได้รับโอกาสได้ชิงแชมป์กับ เอเจ อีกครั้งในบ้านเกิดของตนเอง ระหว่างที่ได้เปรียบอยู่นั้นเอง เลย์ล่า (ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ติดตามของเคทลิน) ได้หักหลังเคทลิน จนทำให้ เอเจ ได้โอกาสเล่นงาน เคทลิน จนสามารถเอาชนะเธอมาได้, สัปดาห์ต่อมาเธอได้เจอกับเลย์ล่าในการปล้ำเดี่ยว ผลจากการช่วยเหลือของ เคทลิน ทำให้ เลย์ล่าสามารถเอาชนะ เคทลิน มาได้, คืนเดียวกันนี้เอง เอเจ ได้ไปรบกวน แมตช์การปล้ำของ ดลอฟ ซิกส์เลอร์ กับ บิ๊กอี เคทลิน จึงออกมาเล่นงาน เอเจ ซึ่งส่งผลให้ ดลอฟ เสียสมาธิโดยบิ๊กอีจับเล่นงานพ่ายแพ้ไปในที่สุด. ทำให้เกิดการปล้ำคู่ผสมในศึก SummerSlam ซึ่งเป็นฝ่าย เคทลิน และ ดลอฟเอาชนะมาได้, และถือเป็นการจบเรื่องราวบาดหมางของ เคทลิน กับ เอเจ ด้วยเช่นกัน หลังจากนั้น เคทลิน ขอลาพักการปล้ำและหายจากหน้าจอทีวีไปหลายเดือน.", "title": "เคทลิน" }, { "docid": "748249#10", "text": "ข้อตกลงระหว่างสมเด็จพระพันปีหลวงเอลิซาเบธกับคณะผู้แทนจากโปแลนด์บรรลุผลที่เซียรัดส์ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1383 สมเด็จพระพันปีหลวงทรงเสนอเจ้าหญิงเจดวิกา พระราชธิดาองค์สุดท้องให้เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ของพระเจ้าหลุยส์ในโปแลนด์ และทรงอภัยโทษแก่ขุนนางโปแลนด์ที่เคยให้สัตย์ปฏิญาณแก่สมเด็จพระราชินีนาถแมรีและเจ้าชายซีกิสมุนด์เมื่อปี ค.ศ. 1382 สมเด็จพระพันปีหลวงทรงยินยอมให้เจ้าหญิงเจดวิกาประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในกรากุฟ แต่ทรงร้องขอให้เจ้าหญิงเจดวิกาต้องประทับที่บูดอเป็นเวลามากกว่าสามเดือนก่อนจะถึงวันพระราชพิธี เนื่องจากทรงมองว่าพระราชธิดายังมีเยาว์พระชันษา ชาวโปลซึ่งกำลังวุ่นวายจากสงครามกลางเมืองโปแลนด์ครั้งยิ่งใหญ่ ได้ให้การยินยอมข้อเรียกร้องของพระนางในช่วงต้นแต่ภายหลังยอมรับไม่ได้ที่พระมหากษัตริย์ของพวกเขาประทับอยู่ที่ต่างประเทศเป็นเวลานาน การประชุมครั้งที่สองที่เซียรัดส์ ในวันที่ 28 มีนาคม เหล่าขุนนางไตร่ตรองว่าควรมอบราชบัลลังก์ให้กับ ซีโมวิทที่ 4 ดยุกแห่งมาโซเวีย พระญาติห่างๆของเจ้าหญิงเจดวิกา แต่ท้ายที่สุดเหล่าขุนนางก็เลือกที่จะต่อต้านข้อเสนอนี้ แต่ในการประชุมครั้งที่สาม ดยุกซีโมวิทตัดสินใจอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ด้วยตนเอง สมเด็จพระพันปีหลวงเอลิซาเบธทรงตอบสนองด้วยการส่งกองทัพที่มีทหาร 12,000 นายเข้าไปกวาดล้างกองทัพของมาโซเวียในเดือนสิงหาคม เพื่อให้เขายกเลิกการอ้างสิทธิ ในขณะเดียวกันพระนางก็ตระหนักแล้วว่าไม่ทรงสามารถคาดหวังให้ขุนนางยอมรับข้อเรียกร้องของพระนางได้และพระนางทรงแก้ปัญหาด้วยการเลื่อนการเสด็จถึงของเจ้าหญิงเจดวิกาให้ช้าลงแทน ทั้งๆที่ขุนนางโปแลนด์พยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งให้เจ้าหญิงเจดวิกาเสด็จมาถึงโดยเร็ว แต่เจ้าหญิงเจดวิกาก็ยังเสด็จไม่ถึงกรากุฟจนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1384 เจ้าหญิงเจดวิกาทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1384 ไม่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สมเด็จพระราชินีนาถพระชนมายุ 10 พรรษาทรงสามารถใช้พระราชอำนาจภายใต้คำปรึกษาของขุนนางผู้มีอิทธิพลในกรากุฟ สมเด็จพระพันปีหลวงเอลิซาเบธไม่ทรงได้พบกับพระราชธิดาองค์นี้อีกเลย", "title": "เอลิซาเบธแห่งบอสเนีย สมเด็จพระราชินีแห่งฮังการีและโปแลนด์" }, { "docid": "362876#3", "text": "เบทได้จะลาออกจาก WWE ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม 2012 ทาง PWInsider รายงานว่า ตัวเบทเองได้แจ้งให้ทาง WWE ทราบก่อนหน้านี้แล้วว่าเธอจะลาออก แถมยังกำหนดวันเวลาไว้แล้วด้วยว่าจะออกเมื่อไหร่ แหล่งข่าวภายใน WWE บอกไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรกับการที่เบทแจ้งว่าเธอจะลาออกจาก WWE ล่วงหน้าไว้แล้ว เนื่องจากดูเหมือนเธอมีที่ท่าทีว่าจะออกตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ทุกวันนี้เบทมักใช้เวลาอยู่กับแฟนหนุ่มอย่าง เอดจ์ ที่บ้านของเอดจ์ ในเมืองนอร์ทแคโรไลนา ถ้าหากหลังจากลาออกจาก WWE ไปแล้ว และวันนึงเบทตัดสินใจที่จะปล้ำกับสมาคมอื่น เธอก็สามารถที่จะใช้ชื่อเบทเป็นชื่อในการปล้ำได้ เนื่องจากเธอใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาปล้ำใน WWE แล้ว ซึ่งแท้จริงแล้วเบทแค่อยากจะออกเพื่อเอาเวลาไปทำบางสิ่งบางอย่างสักพักเท่านั้น ซึ่งก็มีการคาดการณ์เช่นกันว่าที่เธอลาออกไปนั้น เป็นเพราจะไปคอยดูแลเอดจ์ ซึ่งเตรียมจะเข้ารับการผ่าตัดต้นเดือนพฤศจิกายน 2012 และพักรักษาตัวอีกประมาณ 4 เดือน และก็มีการคาดการณ์ว่า เบทจะกลับมาใน WWE อีกในอนาคต ซึ่งเธอได้ปล้ำแมตช์สุดท้ายสั่งลาในรอว์ (29 ตุลาคม 2012) โดยเจอกับ เอเจ ลี ", "title": "เบท ฟีนิกซ์" }, { "docid": "291269#3", "text": "เจริโคได้มีเรื่องกับนักมวยปล้ำในตำนาน ได้แก่ ริกกี สตีมโบต, จิมมี สนูกกา, ร็อดดี ไพเพอร์ และริก แฟลร์ จนทำให้ต้องเจอกันในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 25 โดยมีริก แฟลร์ยีนอยู่ข้างเวที ผลสรุปคือเจริโคเอาชนะตำนานทั้ง 3 คนไปได้ ในเดือนเมษายน 2009 เจริโคก็ได้ถูกดราฟท์ตัวไปอยู่สแมคดาวน์ เขาได้มีเรื่องกับสตีมโบตอีกจนทำให้ต้องเจอกันในแบคแลช (2009) ผลปรากฏว่าเจริโคชนะไปได้ ในเอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2009) เจริโคสามารถคว้าแชมป์อินเตอร์สมัยที่9 ได้จากเรย์ มิสเตริโอ โดยการใช้กลโกงดึงหน้ากากของเรย์ออก ในเดอะแบช (2009)ได้เสียแชมป์คืนให้กับเรย์ คืนเดียวกันก็สามารถคว้าแชมป์แท็กทีมยูนิฟายด์ร่วมกับเอดจ์มาได้ แต่ก็ครองแชมป์ได้เดือนเดียวเอดจ์ก็มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าต้องพักการปล้ำไป ส่วนเจริโคก็พูดจาถากถางเอดจ์ว่าเป็นจุดอ่อนของทีม และก็เอาบิ๊กโชว์มาเป็นคู่แทนและได้ตั้งชื่อทีมว่าเจริ-โชว์ โดยเอดจ์บอกกับเจริโคว่าถ้าเขาหายเมื่อไหร่เขาจะกลับมาแก้แค้น ใน เจริ-โชว์เสียแชมป์ให้ดิ-เจเรเนชั่น เอ็กซ์ (ทริปเปิลเอชและชอว์น ไมเคิลส์) ในTLC Match", "title": "คริส เจริโค" }, { "docid": "218758#1", "text": "ในฝั่งของรอว์ คริส เจอริโค ได้มีเรื่องกับนักมวยปล้ำในตำนาน ได้แก่ ริกกี สตีมโบต, จิมมี สนูกกา, ร็อดดี ไพเพอร์ และริก แฟลร์ จนทำให้ต้องเจอกันในเรสเซิลเมเนีย โดยมีริก แฟลร์ยีนอยู่ข้างเวทีด้านของแรนดี ออร์ตัน ชึ่งในรอยัลรัมเบิล (2009) ออร์ตันได้เป็นผู้ชนะรอยัลรัมเบิล ซึ่งมีสิทธิ์ในการชิงแชมป์โลกในเรสเซิลเมเนีย และได้เลือกชิงแชมป์ WWEกับทริปเปิลเอช ซึ่งเป็นลูกเขยของตระกูลแม็กแมนรอคอยการแก้แค้นให้พ่อตาจึงท้าให้ออร์ตันชิงแชมป์กับเขาในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 25ในฝั่งของสแมคดาวน์ โดยทางด้านของแมทท์ ฮาร์ดี และเจฟฟ์ ฮาร์ดี ชึ่งในรอยัลรัมเบิล (2009) แมทท์ได้เอาเก้าอี้ฟาดใส่เจฟฟ์ จนทำให้เจฟฟ์เสียแชมป์ WWE ให้กับเอดจ์ เป็นเพราะแมทท์อิจฉาเจฟฟ์ นอกจากนี้ แมทท์ยังได้ยิงพลุใส่เจฟฟ์ ขับชนใส่เจฟฟ์ และยังเผาบ้านเจฟฟ์ จนทำให้หมาของเจฟฟ์ตาย ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นศัตรูคู่แค้นกันจนในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 25 แมทท์และเจฟฟ์จะต้องเจอกันในแมตช์ Extreme Rules ในรายการรอว์ มีการคัดเลือกนักมวยปล้ำจากรอว์ ไปปล้ำกติกา Money In The Bank จำนวน 6 คน โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 8 คน โดยผู้ชนะจะสามารถท้าชิงแชมป์อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาใดก็ได้ ด้านของจอห์น ซีนา ซึ่งในNo Way Out (2009) ซีนาต้องป้องกันแชมป์โลกเฮฟวี่เวท ในกรงเหล็กมรณะ หรือ Elination Chamber กับนักมวยปล้ำถึง 5 คน ได้แก่ เรย์ มิสเตริโอ, เคน, ไมค์ นอกซ์, คริส เจริโค และโคฟี คิงส์ตัน ผลปรากฏว่า ตอนเปิดตัว เอดจ์ได้วิ่งเข้ามาลอบทำร้ายโคฟี หลังจากเสียแชมป์ WWE ให้กับทริปเปิลเอชไปแล้ว ทำให้โคฟีหมดสิทธิ์การปล้ำ และเอดจ์ก็เข้าไปในกรงแทน และก็ใช้กลโกงสารพัดจนกระชากเข็มขัดแชมป์โลกเฮฟวี่เวทไปจากซีนา ซีนาแค้นมากที่ตนเสียแชมป์โลกให้เอดจ์ ตนจึงพยายามหาโอกาสชิงเข็มขัดคืนมา แต่ก็ไม่ได้ซักที เพราะวิกกี เกร์เรโร ภรรยาของเอดจ์ ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของสแมคดาวน์ ได้กีดกันทุกวิถีทางไม่ให้เอดจ์ได้เจอกับซีนา แต่ซีนาก็ไม่ยอมแพ้ ขู่วิกกีเรื่องที่เธอแอบเป็นกิ๊กกับบิ๊กโชว์ จนเธอจำต้องยอมให้ซีนา ได้ชิงแชมป์กับเอดจ์ แต่สุดท้ายความจริงก็ปรากฏให้เอดจ์ รู้ว่าเธอปันใจให้กับ บิ๊กโชว์ ทำให้คู่นี้กลายเป็นศัตรูกัน ทั้งๆที่กะจะรุมซีนาแต่แรก 3 คนนี้ได้เจอกันในเรสเซิลเมเนียชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวท", "title": "เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 25" }, { "docid": "130676#19", "text": "เอมี ไวน์เฮาส์ ได้เสียชีวิตลงในอพาร์ทเมนต์ส่วนตัวที่ลอนดอน เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งสาเหตุเบื้องต้นได้สันนิษฐานว่าเกิดจากการติดสารเสพติดและสุราเป็นเวลายาวนาน โดยเธอได้สิ้นใจลงก่อนรถพยาบาลจะเข้ามาถึง[43]", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "11750#11", "text": "เหล่าอัศวินเจได พร้อมกับกองทัพโคลนที่ถูกอนุมัติใช้ ภายใต้การนำของโยดา ขณะนั้นอาจารย์เจไดเมซ วินดูพาเจไดกว่า 200 นาย บุกไปช่วยโอบีวัน อนาคิน และ อมิดาล่า ในขณะที่เจไดกำลังเสียท่ากับพวกดรอยอยู่ โยดานำกองทัพโคลนส์มาช่วย ทำให้เจไดรอดตายและสงครามระหว่างพวกดรอยท์และโคลนได้เกิดขึ้นและเจไดที่เหลือก็ลงสนามรบด้วยขบวนการแบ่งแยกต่างๆ เห็นว่ากำลังพ่ายแพ้จึงถอนทัพกลับ เคาท์ดูกูหนีไปยังโรงเก็บยานโอบีวันและอนาคินตามไป อนาคินโดนพลังสายฟ้าฟาดจนสลบเหลือเพียงโอบีวันเพียงคนเดียวจึงต่อสู้ด้วยกระบี่แสงแต่พลาดท่าโดนเคาท์ดูกูเอาดาบจิ้มที่แขนและขา อนาคินฟื้นขึ้นมาและดวลกระบี่แสงจึงโดนเคาท์ดูกูตัดแขนขวาขาด\nปรมาจารย์โยดามาช่วยดวลพลังกับเคาท์ดูกูไม่แพ้ไม่ชนะกันจึงดวลด้วยกระบี่แสงเคาท์ดูกูหนีไปได้\nเมื่อได้รับชัยชนะอนาคินและอมิดาลาแต่งงานกันอย่างลับๆ โดยมีแค่ซีทรีพีโอและอาร์ทูดีทูเป็นพยาน", "title": "สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 2: กองทัพโคลนส์จู่โจม" }, { "docid": "850567#8", "text": "ศิลปินที่มีอิทธิพลต่องานเพลงของอเลสเซียประกอบไปด้วย ลอรีน ฮิลล์ เอมี ไวน์เฮาส์ พิงก์ เฟอร์กี้ แห่ง เดอะแบล็กอายด์พีส์ เดรก และ เอ็ด ชีแรน", "title": "อเลสเซีย คารา" }, { "docid": "946777#0", "text": "เจมส์ โอกิลวี ()\nเจมส์ โอกิลวี เกิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 ณ เซอร์รีย์ สหราชอาณาจักร เป็นพระโอรสคนแรกใน เจ้าหญิงอเล็กซานดรา เลดีโอกิลวี และ เซอร์แองกัส โอลกิลวี เป็นพระนัดดาใน เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์ และเป็นพระราชปนัดดาใน พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร โดยเขาได้รับการบพิศมาโดย ไมเคิล รามซี ผู้เป็นอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี โดยเขามีพระราชมารดาทูลหัวคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ตอนที่เขาเกิดเขาอยู่อันดับที่ 13 ในการสืบราชบีลลังก์ และปัจจุบันอยู่อันดับที่ 53 เจมส์ เริ่มต้นศึกษาในพระราขวังกับ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ ผู้เป็นพระญาติ และ เลดีซาราห์ แชตโท ก่อนจะเข้าศึกษาในโรงเรียนเตรียมอุดมแห่งสหราชอาณาจักร ก่อนที่เจมส์และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด จะทรงแยกจากกันจาก มหาวิทยาลัยโกดอนสโตล ซึ่งเจมส์ได้ย้ายไปที่วิทยาลัยอีตัน และมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ จากนั้นเขาไปเรียนต่อที่ สก็อตแลนด์ คณะ ศิลปะประวัติศาสตร์ โดยหลังจากเรียนจบแล้ว เขาได้ทำงานที่ บริษัทจัดส่งสินค้าในเอดินบะระ \nเจมส์ ได้แต่งงานกับ จูเลีย ราวไลน์ซัน เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม เมื่อปี พ.ศ. 2531 ณ โบสถ์เซนต์แมรี โดยมีบุตร-ธิดา 2 คนดังนี้", "title": "เจมส์ โอกิลวี" }, { "docid": "130676#16", "text": "ในส่วนอัลบั้มของเอมีเอง เธอก็ได้ร่วมมือกับศิลปินอื่นๆ ด้วย หนึ่งในนั้นคือเพลง \"Valarie\" ของมาร์ก รอนสัน ในอัลบั้มเดี่ยวของเขาชื่อ Version ซึ่งเอมีเป็นผู้ขับร้อง เพลงนี้ออกอากาศในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 ติดอันดับสูงสุดอันดับที่ 2 ในสหราชอาณาจักร \"Valarie\" ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบริท สาขา \"Best British Single\" ประจำปีค.ศ. 2008[34][35][36] นอกจากนี้เอมียังได้ร่วมงานกับ มิวทยา บูนา อดีตสมาชิกวงชูการ์เบบ ในเพลง \"B Boy Baby\" ซึ่งเป็นเพลงในอัลบั้มที่สี่ของมิวทยาชื่อ Real Girl[37]", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "130676#15", "text": "ด้วยกระแสความดังของอัลบั้ม Back to Black อัลบั้ม Frank จึงถูกนำกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกาในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ติดอันดับ 61 ของบิลบอร์ด 200 ชาร์ท[31] พร้อมได้รับบทวิจารณ์ในแง่ดีอีกเช่นเคย[32][33]", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "291269#4", "text": "เจริโคได้เข้าร่วมปล้ำแมตช์รอยัลรัมเบิล (2010)ออกมาลำดับที่28 แต่ก็ไม่ได้ชนะ โดยถูกเอดจ์ซึ่งกลับมาล้างแค้นจับเหวี่ยงออกจากเวที ในอิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ (2010) เจริโคได้คว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวทจากแมตช์อิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 26 เจริโคสามารถป้องกันแชมป์จากเอดจ์ที่เป็นผู้ชนะรอยัลรัมเบิลเอาไว้ได้ แต่ว่าในสแมคดาวน์ เพียง 5 วัน เอดจ์ได้ออกมาลอบทำร้ายเจริโค และแจ็ก สแวกเกอร์ได้มาขอใช้สิทธิ์กระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์ชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวทกับเจริโคในสภาพไม่พร้อมปล้ำ ทำให้เสียแชมป์ให้กับสแวกเกอร์ ต่อมาเจริโคก็ได้ถูกดราฟท์ตัวกลับมารอว์ ในซัมเมอร์สแลม (2010) เจริโคได้ร่วมปล้ำแทกทีมกับทีม WWE นำทีมโดย จอห์น ซีนา เพื่อล้างแค้นเดอะเน็กซัส ในรูปแบบแทกทีม 7 ต่อ 7 แต่สมาชิกในทีมอย่างเดอะเกรทคาลีถูกเน็กซัสลอบทำร้ายจนมาร่วมปล้ำไมได้ ทำให้ต้องหาคนมาแทน โดยซีนาได้เลือกแดเนียล ไบรอัน อดีตกลุ่มเน็กซัส มาร่วมทีม WWE และสามารถเอาชนะกลุ่มเน็กซัสได้ ในรอว์ 27 กันยายน เจริโคได้ถูกแรนดี ออร์ตันเตะเข้าที่ศีรษะจบเจ็บตามบท แท้จริงแล้วเขาต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตกับวงฟอซซี ทำให้ต้องอำลาวงการมวยปล้ำ", "title": "คริส เจริโค" }, { "docid": "130676#5", "text": "เอมี ไวน์เฮาส์เกิดที่เขตเซาธ์เกท เมืองเอนฟีลด์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เธอเกิดในครอบครัวเชื้อสายยิวที่รักดนตรีแจ๊ส[6] ครอบครัวของเธอมีสมาชิก 4 คน พ่อของเธอชื่อ มิทเชลล์ ทำงานอาชีพเป็นคนขับรถแท็กซี่ แม่ของเธอชื่อ เจนิส ทำงานอาชีพเป็นเภสัชกร และพี่ชายของเธอชื่อ อเล็กซ์[7] ในตอนที่เอมี่ยังเป็นเด็กพ่อของเธอมักจะร้องเพลงของแฟรงก์ ซินาตรา ซึ่งทำให้เอมีร้องเพลงแบบนั้นมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่ตอนที่เธอเป็นนักเรียน ครูมักจะดุเธอเรื่องร้องเพลงในห้องเรียนเสมอ[8]", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "748249#11", "text": "ในปี ค.ศ. 1385 สมเด็จพระพันปีหลวงเอลิซาเบธเสด็จรับคณะผู้แทนจากแกรนด์ดยุกโยไกลาแห่งแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย ผู้ประสงค์จะอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีนาถเจดวิกา ตามพระราชบัญญัติเครวา แกรนด์ดยุกโยไกลาทรงสัญญาที่จะจ่ายค่าชดเชยให้แก่วิลเลียมแห่งออสเตรียในพระนามของพระนางเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นพระมเหสีม่ายของพระเจ้าหลุยส์และทายาทหญิงแห่งโปแลนด์ในฐานะพระราชปนัดดาของพระเจ้าวลาดิสเลาสที่ 1 แห่งโปแลนด์ (ซึ่งสันนิษฐานว่าแกรนด์ดยุกโยไกลาทรงใช้พระนามของพระองค์เมื่อทรงเข้าพิธีบัพติศมาครั้งแรก) โดยทรงรับแกรนด์ดยุกเป็นพระโอรสของพระนางตามกฎหมายเพื่อที่จะทำให้พระองค์มีสิทธิในราชบัลลังก์โปแลนด์เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเจดวิกาสวรรคต พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1386", "title": "เอลิซาเบธแห่งบอสเนีย สมเด็จพระราชินีแห่งฮังการีและโปแลนด์" }, { "docid": "130676#20", "text": "2003: Frank 2006: Back to Black", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "221031#2", "text": "ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 21 เอดจ์ได้เป็นผู้ชนะแมตช์ไต่บันไดคว้ากระเป๋าสัญญา Money In The Bank ทำให้เอดจ์นั้นได้มีสิทธิ์ชิงแชมป์โลกที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ภายในระยะเวลา 1 ปีเต็ม แต่เอดจ์นั้นก็ยังไม่ยอมเปิดกระเป๋าเพื่อขอท้าชิงแชมป์ซะที เพราะเขากลัวว่าอาจจะไม่ชนะและต้องเสียสิทธิ์ไปฟรีๆ เอดจ์จึงเข้าปล้ำใน Gold Rush Tournament เพื่อไปชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวทกับบาทิสตา ซึ่งเอดจ์ก็ได้เอาชนะนักมวยปล้ำหลายคนจนไปได้ไปชิงถึงรอบสุดท้ายกับเคน ผลปรากฏว่าลิตาที่เป็นแฟนของเคนในตอนนั้น ได้หักหลังเคนโดยส่งกระเป๋าให้เอดจ์ไปตีเคน จนสามารถเอาชนะเคนไปได้ และได้ไปชิงแชมป์กับบาทิสตา ทำให้ลิตากลายเป็นแฟนกับเอดจ์ นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แต่เอดจ์ก็ไม่สามารถเอาชนะบาทิสตาได้ ส่วนแมต ฮาร์ดีที่เป็นแฟนของลิตาอยู่ก่อนหน้านั้น ก็ได้กลับมาทำร้ายเอดจ์ที่แย่งแฟนของเขาไป ทำให้2คนนี้ต้องมาเจอกัน ในซัมเมอร์สแลม 2005 ผลปรากฏว่าเอดจ์เป็นฝ่ายชนะ แต่แมตก็สามารถเอาคืนเอดจ์ได้ในอันฟอร์กิฟเว่น 2005 สุดท้าย2คนนี้ต้องมาเจอกันในรอว์โฮมคัมมิ่ง ในการไต่บันไดชิงกระเป๋า Money In The Bank และใครแพ้ต้องออกจากรอว์ ผลปรากฏว่าลิตาก็ได้ช่วยเอดจ์จนเอาชนะแมตไปได้ ทำให้แมตต้องย้ายไปอยู่สแมคดาวน์แทน\nในนิวเยียส์เรโวลูชัน (2006) จอห์น ซีนาได้ป้องกันแชมป์ WWE ในกรงเหล็กที่มีชื่อว่าอิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ กับ เคน, ชอว์น ไมเคิลส์, เคิร์ต แองเกิล, คาร์ลีโต และคริส มาสเตอส์ โดยซีนาป้องกันแชมป์ WWE เอาไว้ได้ แต่เอดจ์ได้ออกมาใช้สิทธิ์ Money In The Bank ในจังหวะที่ซีนาเหนื่อยและสภาพไม่พร้อมปล้ำ ทำให้ เอดจ์ สามารถคว้าแชมป์ WWE มาได้เป็นสมัยแรก หลังจากนั้น เอดจ์ และซีนา ก็กลายเป็นคู่ปรับกันเป็นเวลานานพอสมควร ผลัดกันแพ้-ชนะเรื่อยมา แต่ส่วนใหญ่ ซีนา จะชนะมากกว่า จนกระทั่ง เอดจ์ ก็ต้องเสียแชมป์ WWE คืนให้กับซีนา ในศึก อันฟอร์กิฟเว่น 2006 จากนั้น เอดจ์ ก็หันไปเปิดศึกกับ ดี-เจเนอเรชันเอ็กซ์ (ทริปเปิลเอช และชอว์น ไมเคิลส์) โดยมีแรนดี ออร์ตันเป็นเพื่อนร่วมทีม ในนามเรด-อาร์เคโอ และสามารถคว้าแชมป์แทคทีมคู่กัน ซึ่งเป็นแชมป์แท็กทีมสมัยที่11 ของเอดจ์อีกด้วย", "title": "เอดจ์ (นักมวยปล้ำ)" }, { "docid": "972654#1", "text": "ประสูติเมื่อ 23 กันยายน ค.ศ. 1158 เจฟฟรีย์เป็นคนที่สี่ในพระโอรสห้าคนและคนที่ห้าในพระโอรสธิดาแปดคนของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษกับเอเลนอร์แห่งอากีแตน พระองค์ถูกตั้งชื่อตามพระอนุชาของเฮนรี จอฟฟรีย์ (หรือเจฟฟรีย์) เคานต์แห่งนองต์ส์ ที่ตายสองเดือนก่อนหลานชายเกิด", "title": "เจฟฟรีที่ 2 ดยุกแห่งบริตานี" }, { "docid": "130676#18", "text": "อย่างไรก็ตามทัวร์คอนเสิร์ตของเอมีก็ไม่ได้ราบรื่นดีนัก เอมีได้ยกเลิกคอนเสิร์ตในฟินแลนด์ที่จะแสดงในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2007 เนื่องจากเจ็บคอ[39] และในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน คืนวันแรกของทัวร์คอนเสิร์ต 17 วัน ณ National Indoor Arena ในเบิร์มมิงแฮม นักวิจารณ์เพลงกล่าวได้กล่าวในหนังสือพิมพ์เบิร์มมิ่งแฮมเมล์ว่า \"คอนเสิร์ตนี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ฉันเกิดมา... ฉันเห็นศิลปินผู้มีพรสวรรค์ดูเหมือนร่างกายจะแตกเป็นชิ้นๆ เดินโซเซไปมาบนเวที และยังสบถใส่ผู้ชมอีกด้วย\"[40] ซึ่งคอนเสิร์ตครั้งอื่นๆ ก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตลอด[41] ในที่สุดวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เอมีได้ประกาศยกเลิกทุกคอนเสิร์ตของปี 2007 โดยแพทย์แนะนำให้เอมีพักผ่อนระยะยาว Live Nation ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ตของเอมีได้ออกมากล่าวถึงเหตุผลที่ต้องยกเลิกคอนเสิร์ตว่า \"เอมีเคร่งเครียดจากการทัวร์คอนเสิร์ตมาตลอดหลายสัปดาห์ติดต่อกัน\"[42]", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "260729#7", "text": "มิสเตอร์เจย์ได้มาหาสาวๆ ที่ถนนเมลโรสเอเวนนิว เพื่อแจ้งพวกเธอเรื่องของแอมเบอร์ว่าเธอขอออกจากการแข่งขันด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง และให้ ลิซ่า เข้ามาแข่งแทน จากนั้นเจทั้งสองได้พาสาวๆ ทั้ง 14 คนไปรับการแปลงโฉม ซึ่งสาวๆ ส่วนใหญ่ต่างก็พึงพอใจกับลุคใหม่ของพวกเธอ ยกเว้นลิซ่า ซึ่งรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ และ บีอันก้าที่ไม่พอใจที่คิ้วของเธอถูกย้อมสี", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 13" }, { "docid": "130676#10", "text": "เอมีกล่าวว่า เธอพอใจกับอัลบั้ม Frank เพียง 80% เท่านั้น เนื่องจากเพลงบางส่วนไม่ใช่ตัวเธอ [6] ในช่วงระหว่างการทำอัลบั้มที่ 2 เธอกล่าวว่า เธอไม่สามารถฟังเพลงในอัลบั้ม Frank ได้อีกต่อไป จริงๆคือเธอไม่เคยฟังมันได้เลย ถึงแม้เธอจะชอบร้องมัน แต่สำหรับการฟังนั้น มันคนละเรื่องเลย [22] เอมียังกล่าวอีกว่า เธอฟังเพลงในอัลบั้ม Frank ได้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ภูมิใจกับมัน เอมีคิดว่ามันเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบอัลบั้มนี้ แต่เธอต้องทำให้แตกต่างออกไป[23]", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "130676#11", "text": "ในอัลบั้มชุดที่ 2 เอมีเปลี่ยนจากแนวแจ๊สในอัลบั้ม Frank มาเป็นแนวของนักร้องวงผู้หญิงในยุค 50และ 60 เอมีกล่าวว่า หลังจากเสร็จสิ้นจากอัลบั้ม Frank เธอไม่สามารถแต่งเพลงได้เลยตลอดระยะเวลา 18 เดือน จนกระทั่งเอมีได้พบกับ มาร์ก รอนสัน ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เธอ เธอจึงแต่งเพลงได้ครบทั้งอัลบั้มภายใน 6 เดือน [22] หลังจากซิงเกิล \"Fuck Me Pumps\" ต้นปีค.ศ. 2006 เพลงจากอัลบั้มที่ 2 ของเอมี ได้แก่ เพลง \"Wake Up Alone\" และ เพลง \"Rehab\" ก็ได้กระจายเสียงผ่านทางคลื่นวิทยุ อีสต์ วิลเลจ เรดิโอ ในนิวยอร์ก ในรายการของมาร์ก รอนสัน ต่อมาเพลงทั้งสองนี้ได้ถูกรวมเข้าในอัลบั้มที่ 2 ของเธอด้วย และมีเพลงอื่นๆในอัลบั้มนี้เปิดในวิทยุเช่นเดียวกัน", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "220668#0", "text": "วิลเลียม เจสัน \"เจย์\" เรโซ (William Jason \"Jay\" Reso) เกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1973 นักแสดงและอดีตนักมวยปล้ำอาชีพชาวแคนาดาเป็นที่รู้จักในWWEภายใต้ชื่อ คริสเตียน (Christian) เป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท, แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล, แชมป์ยุโรป WWE, แชมป์ฮาร์ดคอร์ WWE, แชมป์ไลท์เฮฟวีเวต WWF และแชมป์โลกแท็กทีม เคยเป็นครึ่งหนึ่งของแท็กทีมคู่กับเอดจ์ที่มีชื่อว่าเอดจ์และคริสเตียน โดยชีวิตจริงพวกเขาเป็นเพื่อนกันและในบทเขาเป็นน้องชายของเอดจ์ เขายังเคยปล้ำให้TNAใช้นาม คริสเตียน เคจ (Christian Cage)", "title": "คริสเตียน (นักมวยปล้ำ)" }, { "docid": "130676#21", "text": "หมวดหมู่:นักร้องอังกฤษ หมวดหมู่:นักร้องเสียงคอนทราลโต หมวดหมู่:บุคคลจากลอนดอน หมวดหมู่:ชาวอังกฤษเชื้อสายยิว หมวดหมู่:เสียชีวิตจากการใช้ยา", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "533124#7", "text": "เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1955 เจสซัพได้รับจดหมายจากชายคนหนึ่งที่ระบุตัวเองว่าเป็นใครคนหนึ่งที่มีชื่อว่า \"คาร์ลอส ซาเยนเด\" (Carlos Allende) ในจดหมาย, อะเยนเดได้เล่าให้เจสซัพทราบถึงรายละเอียดของ \"การทดลองฟิลาเดลเฟีย\" จึงยิ่งทำให้เกิดแหล่งที่มาสองแหล่งที่ไม่ดีของบทความในหน้าหนังสือพิมพ์ร่วมสมัยในขณะนั้นเป็นหลักฐานผูกมัด อะเยนเดเป็นผู้เขียนจดหมายตอบโต้โดยตรงต่อการเรียกร้องของเจสซัพสำหรับงานวิจัยเกี่ยวกับ \"ทฤษฎีสนามรวม\" หรือ \"สนามเอกภาพ\" ซึ่งเขาเรียกว่า \"UFT\" ตามที่กล่าวอ้างโดยอะเยนเด, ไอสไตน์เป็นผู้ที่ได้พัฒนาทฤษฎีนี้เอาไว้ แต่ได้เก็บกดมันไว้เป็นความลับ เมื่อมวลมนุษยชาติยังไม่พร้อมสำหรับมัน, จากคำสารภาพกล่าวว่ามีนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าได้ร่วมมือกันกับนักคณิตศาสตร์และนักปรัชญานามว่า เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ ในการดำเนินการในครั้งนี้ด้วย อะเยนเดยังกล่าวว่าเขาได้เห็นเรือเอลดริดจ์ ปรากฏขึ้นและหายไปในขณะที่กำลังทำหน้าที่บนเรือเอสเอสแอนดรูเฟอรูเซท (the SS Andrew Furuseth), ที่อยู่ใกล้กับเรือพาณิชย์ในบริเวณใกล้เคียง อะเยนเดมีชื่อพร้อมกับลูกเรือคนอื่น ๆ โดยที่เขาทำหน้าที่บนเรือแอนดรูเฟอรูเซท, และอ้างว่าเขารู้ชะตากรรมบางส่วนของลูกเรือของเรือเอลดริดจ์ หลังจากการทดลอง, รวมทั้งคนที่เขาเคยเห็นที่ได้หายตัวไปในระหว่างความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นที่บาร์เหล้าบนเรือ แม้ว่าอะเยนเดอ้างว่าได้ตั้งข้อสังเกตการทดลองในขณะที่อยู่บนเรือแอนดรูเฟอรูเซท เขาได้ให้การว่าไม่มีการพิสูจน์ข้อเรียกร้องอื่น ๆ ของเขาในการเชื่อมโยงการทดลองนี้ด้วยทฤษฎีสนามรวมแต่ประการใด ไม่มีหลักฐานของทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ถูกกล่าวหา และไม่มีข้อพิสูจน์เกี่ยวกับไอน์สไตน์ที่ถูกกล่าวหาจากคำสารภาพโดยส่วนตัวที่เกี่ยวโยงไปถึงรัสเซล", "title": "การทดลองฟิลาเดลเฟีย" }, { "docid": "394080#3", "text": "ในบทความชื่อ \"Death Stalks A Continent\" (ความตายย่องเข้าทวีป) โจฮันนา แมกเกียรีพยายามอธิบายความรุนแรงของปัญหา \"คนที่แข็งแรงที่สุดของสังคม มิใช่คนที่อ่อนแอที่สุด เป็นผู้ที่จะตาย ผู้ใหญ่หายไป ทิ้งคนชราและเด็กไว้เบื้องหลัง คุณไม่สามารถนิยามกลุ่มเสี่ยงได้ ทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ล้วนเสี่ยงหมด เด็กทารกก็เช่นกัน ได้รับเชื้อผ่านมารดาโดยไม่เจตนา น้อยครอบครัวนักที่ไม่มีผู้ป่วยเอดส์เลย ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าพวกเขาติดเชื้ออย่างไรหรือเมื่อไหร่ หลายคนไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาติดเชื้อ หลายคนที่รู้ตัวก็ไม่บอกใครเลยว่าพวกเขากำลังรอความตายอยู่\"", "title": "เอชไอวี/เอดส์ในแอฟริกา" }, { "docid": "130676#17", "text": "หลังจากที่อัลบั้ม Back to Black วางจำหน่าย เอมีก็เริ่มเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต เธอเริ่มออกทัวร์ในเดือนกันยายนและพฤศจิกายน ค.ศ. 2006 หนึ่งในนั้นเป็นคอนเสิร์ตกุศลชื่อ Little Noise Sessions ที่โบสถ์ยูเนียนชาเปล ในอีสลิงตัน ลอนดอน นอกจากนี้เอมียังได้ร่วมรายการเพลงประจำปีของจูลส์ ฮอลแลนด์ ในรายการฮูทเท็นแอนนี่ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 เอมีได้ทัวร์คอนเสิร์ตเล็กๆ 14 แห่ง และระหว่างช่วงฤดูร้อนในปีค.ศ. 2007 เอมีได้ร่วมร้องเพลงในงานเทศกาลเพลงต่างๆ เช่น เทศกาลกลาสตันเบอร์รี่[38], เทศกาลลอลลาโปลูซา ในชิคาโก, ร็อก เวิร์ชเทอร์ และเวอร์จินมิวสิกเฟสติวอล ฯลฯ", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "287478#1", "text": "เจค อดีตนาวิกโยธินหนุ่มที่เป็นอัมพาตครึ่งตัว ที่ถูกเรียกมาปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจพิเศษที่จะต้องเปลี่ยนร่างกายของเขา (อวตาร) ให้กลายเป็นชาวมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่ที่ดาวแพนดอร่า โดยเจคต้องเข้าไปสอดแนมในกลุ่มของชาวนาวี เพื่อนำทางให้มนุษย์เข้าไปตักตวงแร่อันมีค่าของที่นั่น แต่ยิ่งเจคได้สัมผัสชีวิตบนดาวแพนดอร่ามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหลงใหลในความงามของที่นี่มากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดเขาต้องเลือกระหว่างภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายจากโลกและความรักความผูกพันที่มีต่อชาวนาวี\nเจมส์ คาเมรอนกล่าวว่า ฉากดาวแพนโดรานั้น ได้รับอิทธิพลมาจากทิวทัศน์ของของเทือกเขาสูงในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะเขาหวงซาน ทางตอนใต้ของมณฑลอันฮุย และอุทยานแห่งชาติอู่หลิงยฺเหวียน เมืองจางเจียเจีย มณฑลหูหนาน", "title": "อวตาร (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "130676#7", "text": "เอมีได้กีต้าร์เป็นของตัวเองครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี เธอได้เริ่มแต่งเพลง และทำงานต่างๆ เช่น เป็นนักหนังสือพิมพ์ให้กับ เวิร์ด เอ็นเตอร์เทนเมนท์ นิวส์ เน็ตเวิร์ค (World Entertainment News Network) และร้องเพลงในวงดนตรีแจ๊ส เป็นต้น[7] แฟนหนุ่มในขณะนั้นของเธอ ชื่อ ไทเลอร์ เจมส์ ซึ่งเป็นนักร้องเพลงโซลได้ส่งเทปเพลงตัวอย่างของเอมีไปให้ A&R[6] ทำให้เธอได้เซ็นต์สัญญากับ ไอซ์แลนด์ เรคคอร์ด ยูนิเวอร์แซล (Island Records/Universal) ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท 19 แมนเนจเมนท์ (19 Management) ของ ไซมอน ฟูลเลอร์ (Simon Fuller) [14] และกับ EMI เอมีได้ร่วมร้องเพลงและออกทัวร์กับ ชาร์รอน โจนส์ กับวงแดป-คิงส์ [15]", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "130676#2", "text": "ในปี 2007 เธอชนะได้รับรางวัลแกรมมี สาขาเพลงแห่งปี ในเพลง rehab สาขาบันทึกเสียงแห่งปี", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" } ]
3241
กษัตริย์องค์แรกของกรุงศรีอยุธยาคือใคร?
[ { "docid": "2358#4", "text": "การกำเนิดอาณาจักรอยุธยาที่ได้รับการยอมรับกว้างขวางที่สุดนั้น อธิบายว่า รัฐไทยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เจริญขึ้นมาจากราชอาณาจักรละโว้ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ใต้การควบคุมของขะแมร์) และอาณาจักรสุพรรณภูมิ แหล่งข้อมูลหนึ่งระบุว่า กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะภัยโรคระบาดคุกคาม สมเด็จพระเจ้าอู่ทองจึงทรงย้ายราชสำนักลงไปทางใต้ ยังที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงอันอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำเจ้าพระยา บนเกาะที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ ซึ่งในอดีตเคยเป็นนครท่าเรือเดินทะเล ชื่อ \"อโยธยา\" (Ayothaya) หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร นครใหม่นี้ถูกขนานนามว่า \"กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา\" ซึ่งภายหลังมักเรียกว่า กรุงศรีอยุธยา แปลว่า นครที่ไม่อาจทำลายได้", "title": "อาณาจักรอยุธยา" } ]
[ { "docid": "21893#2", "text": "เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนครอินทราธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ โปรดเกล้าให้พระราชโอรสของพระองค์ทั้ง 3 พระองค์ได้แก่ เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยาและเจ้าสามพระยา แยกย้ายกันปกครองหัวเมืองต่าง ๆ โดยทรงมอบหมายให้เจ้าอ้ายพระยา พระราชโอรสองค์ใหญ่ปกครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยา พระราชโอรสองค์กลางปกครองเมืองแพรกศรีราชา และเจ้าสามพระยาพระราชโอรสองค์เล็ก ปกครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก)", "title": "วัดราชบูรณะ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)" }, { "docid": "44328#3", "text": "สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยานั้น มีพระนามเดิมว่า \"กรมขุนอนุรักษ์มนตรี\" เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พระองค์แรก คือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ผู้ต้องพระราชอาญาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "23361#2", "text": "หลังสิ้นรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) พระยายุทธิษฐิระซึ่งเดิมทีอยู่ศรีสัชนาลัย ได้เข้ามาครองเมืองสองแคว (พิษณุโลก) และเมื่อแรกที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จขึ้นผ่านพิภพ เป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าขณะนั้น พระยายุทธิษฐิระ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ได้เพียงตำแหน่งพระยาสองแคว เนื่องด้วย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเคยดำริไว้สมัยทรงพระเยาว์ว่า หากได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ จะชุบเลี้ยงพระยายุทธิษฐิระให้ได้เป็นพระร่วงเจ้าสุโขทัย พ.ศ. 2011 พระยายุทธิษฐิระจึงเอาใจออกห่างจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ไปขึ้นกับ พระยาติโลกราช กษัตริย์ล้านนาในขณะนั้น เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการเฉลิมพระนามกษัตริย์ล้านนา จากพระยา เป็น พระเจ้า เพื่อให้เสมอศักดิ์ด้วยกรุงศรีอยุธยา พระนามพระยาติโลกราช จึงได้รับการเฉลิมเป็นพระเจ้าติโลกราช", "title": "อาณาจักรสุโขทัย" }, { "docid": "900864#11", "text": "องค์ชายรัชทายาทแห่งกรุงรามเทพ (ไชยราเมศ)\nรัชทายาทองค์สุดท้ายแห่งรามเทพนคร ถูกจองจำอยู่ในคุกของเชื้อพระวงศ์ตั้งแต่แรกเกิด จนเมื่อโหรชราได้ทำนายเกี่ยวกับบุรุษหนุ่มผู้สามารถกอบกู้แผ่นดินรามเทพได้ ข้าหลวงผู้จงรักภักดีจึงเกรงว่าองค์ชายจะมีภัย จึงได้ลักลอบพาตัวองค์ชายซึ่งยังเป็นทารกมาที่คุกใต้ดิน เพื่ออยู่รวมปะปนกับทาสคนอื่น ๆ แม้จะเติบโตไม่ต่างจากทาสชั้นเลวทั่วไป แต่บารมีแห่งสายเลือดกษัตริย์ ก็ทำให้ในบางครั้งไชยราเมศสามารถหยุดการจู่โจมของพวกยักษ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภายในคุกใต้ดินนั้น ไชยราเมศได้รู้จักกับฟงเอ๋อ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าฐานะแท้จริงของไชยราเมศคือใคร", "title": "9 ศาสตรา" }, { "docid": "546230#1", "text": "หลังจากกองทัพเวียดนามยกมาตีกัมพูชาใน พ.ศ. 2291 และได้รบชนะเวียดนามแล้ว ทางกรุงศรีอยุธยาแต่งตั้งในนักองค์สงวนขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระศรีไชยเชษฐ์ และได้ตั้งให้ออกญาสวรรคโลก (อูฐ) ผู้มีบทบาทสำคัญในการรบกับเวียดนามขึ้นเป็นเจ้าฟ้าทะละหะ (อูฐ) แต่ใน พ.ศ. 2292 พระองค์เกิดพิพาทกับเจ้าฟ้าทะละหะ (อูฐ) เจ้าฟ้าทะละหะ (อูฐ) จึงหนีไปกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้น ในรัชกาลของพระองค์ก็เกิดกบฏขึ้นหลายครั้ง ตั้งแต่ กบฏเจ้าฟ้าทะละหะ (เอก) ที่ต้องการยกนักองค์ตน หลานปู่ของนักองค์ทองขึ้นเป็นกษัตริย์ กบฏศิลป์สัวะซ์ที่อ้างว่าเป็นพระอนุชาของนักพระสัตถา ผู้ที่เวียดนามเคยสนับสนุนให้เป็นกษัตริย์มาก่อน แต่ก็สามารถปราบกบฏลงได้โดยความช่วยเหลือของนักองค์ทอง พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2298 พระชนม์ได้ 46 พรรษา นักองค์ทองได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อมา", "title": "พระศรีไชยเชษฐ์" }, { "docid": "37976#0", "text": "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือ ขุนหลวงพะงั่ว เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในราชวงศ์สุพรรณภูมิที่ได้ครองกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1913 - 1931 รวมเป็นระยะเวลา 18 ปี พระองค์เป็นพระเชษฐาของมเหสีในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) และเป็นพระมาตุลา (ลุง) ของสมเด็จพระราเมศวร", "title": "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1" }, { "docid": "77744#22", "text": "พระเจ้าบุเรงนองประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาจนกระทั่ง วันศุกร์ขึ้นหกค่ำ เดือนสิบสอง ปีมะเส็ง พ.ศ. 2112 ได้อภิเษกให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา ในฐานะประเทศราช ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญที่ 1 บางแห่งเรียก \"พระสุธรรมราชา\"", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "42761#17", "text": "ในประวัติศาสตร์ไทย พระเจ้าเอกทัศเป็นพระมหากษัตริย์ที่ถูกกล่าวถึงในแง่ร้ายเรื่อยมา และถูกจดจำในฐานะ \"\"บุคคลที่ไม่มีใครอยากจะตกอยู่ในฐานะเดียวกัน\"\" เหตุเพราะไม่สามารถป้องกันกรุงศรีอยุธยาให้พ้นจากข้าศึก ทั้งนี้ คนไทยที่เหลือรอดมาถึงสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือเอาว่า พระองค์ควรรับผิดชอบการเสียกรุงครั้งที่สองร่วมกับพระเจ้าอุทุมพร", "title": "สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์" }, { "docid": "975264#50", "text": "ณ ดินแดนทางภาคเหนือซึ่งเป็นถิ่นประสูติของเจ้าหญิงจามเทวีนั้น เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองมิคสังคร ซึ่งท่านสุเทวฤๅษีได้สร้างไว้ให้โอรสธิดาของท่าน ซึ่งบังเกิดจากนางเนื้อที่ได้มาดูดกินน้ำมูตรของท่านฤๅษีที่มีอสุจิปนอยู่ เข้าไป รวมกับผู้บังเกิดอย่างอัศจรรย์ในรอยเท้าสัตว์ ๓ ชนิด คือ ช้าง แรด และวัว หรือ โคลานซึ่งท่านฤๅษีไปพบเข้าภายหลังลงจากดอยสุเทพ เจ้าผู้ครองมิคสังครองค์แรกนี้มีพระนามว่า กุนรฤษี โดยมีพระชายาเป็นพี่น้องกันคือ มิคุปปัตติ ทั้งสองพระองค์ได้ครองนครโดยตั้งอยู่ในโอวาทของพระสุเทวฤๅษีได้ ๗๗ ปี มีโอรส ๓ พระองค์ คือ เจ้ากุนริกนาสหรือกุนริสิคนาส เจ้ากุนริกทังษะ และเจ้ากุนริกโรส พระธิดาอีก ๑ องค์ ชื่อเจ้าปทุมาเทวี ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้สร้างเมืองให้พระโอรสทั้ง ๓ ปกครององค์ละเมือง เมื่อพระเจ้ากุนรฤษีสวรรคต เจ้ากุนริกนาสจึงเสด็จกลับไปครองเมืองมิคสังคร แล้วกลับไปครองเมืองรันนปุระที่ท่านฤๅษีสร่างไง้ให้แต่เดิมอีก บางตำนานก็ว่าท่านฤๅษีเนรมิตเมืองใหม่ให้อีกเมืองหนึ่งให้เจ้ากุนริกนาสละ จากเมืองมิคสังครไปปกครอง ชื่อรมยนคร เพราะท่านฤๅษีเกิดเห็นว่าเมืองมิคสังครเป็นที่ไม่สมควร", "title": "ฤๅษีวาสุเทพ" }, { "docid": "54588#0", "text": "ท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นตำแหน่งพระสนมเอกตำแหน่งหนึ่งของพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมาจากราชวงศ์อู่ทอง อีก 3 ตำแหน่งได้แก่ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์จากราชวงศ์พระร่วง ท้าวอินทรสุเรนทรจากราชวงศ์สุพรรณภูมิ และท้าวอินทรเทวีจากราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช โดยใช้เป็นการแสดงพระราชอำนาจเหนือดินแดนสยามทั้งมวล หากพระชายาองค์ใดมีประสูติกาลพระราชโอรสที่จะสืบราชสมบัติ พระชายาองค์นั้นก็จะมีฐานะที่สูงกว่าพระชายาอื่นอีก 3 พระองค์", "title": "ท้าวศรีสุดาจันทร์" } ]
3295
โรควิตกกังวลไปทั่ว มีตัวย่อภาษาอังกฤษคืออะไร?
[ { "docid": "837390#0", "text": "โรควิตกกังวลไปทั่ว[1] (English: Generalized anxiety disorder ตัวย่อ GAD) หรือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[483,507,3,3]}'>โรควิตกกังวลทั่วไป</b>เป็นโรควิตกกังวลอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความกังวลที่เกินควร ควบคุมไม่ได้ และบ่อยครั้งไม่สมเหตุผล เป็นความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่าง ๆ[2] ซึ่งมักจะขวางชีวิตประจำวัน เพราะคนไข้มักคิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้าย หรือกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น สุขภาพ การเงิน ความตาย ปัญหาครอบครัว ปัญหากับเพื่อน ปัญหากับคนอื่น หรือปัญหาการงาน[3][4]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" } ]
[ { "docid": "248497#30", "text": "แม้ว่าความกังวลจะเป็นการปรับตัวอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันมักจะในแง่ลบโดยเป็นส่วนของโรควิตกกังวล คนที่มีโรคนี้มีระบบที่อ่อนไหวมาก ดังนั้น ระบบจึงมักจะตอบสนองมากเกินไปต่อสิ่งเร้าที่ไม่อันตราย บางครั้ง โรคจะเกิดในบุคคลที่มีเหตุการณ์สะเทือนใจในวัยเด็ก โดยเริ่มแสดงความวิตกกังวลที่สูงขึ้นเมื่อเด็กดูจะมีอนาคตที่ลำบาก[46] ในกรณีเช่นนี้ โรคเกิดขึ้นเป็นตัวพยากรณ์ว่า สิ่งแวดล้อมของบุคคลจะคงความเป็นอันตรายต่อไป", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#50", "text": "นอกจากจะเกิดร่วมกับโรคซึมเศร้าแล้ว งานวิจัยแสดงว่า GAD ยังบ่อยครั้งเกิดร่วมกับโรคอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับความเครียด เช่น กลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น (IBS)[59] คนไข้ GAD บางครั้งจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือปวดหัว ร่วมกับความเจ็บปวด ปัญหาโรคหัวใจ หรือปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น[60] งานวิจัยอื่นแสดงว่า คนไข้โรคสมาธิสั้น (ADHD) 20-40% มีโรควิตกกังวลเป็นโรคร่วม โดยมี GAD สามัญที่สุด[61]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "248497#74", "text": "เด็กก็เหมือนผู้ใหญ่เพราะสามารถมีโรควิตกกังวลได้หลายประเภท รวมทั้ง โรควิตกกังวลไปทั่ว (GAD) - เด็กจะกังวลกับหลาย ๆ เรื่องอย่างคงยืน และความกังวลอาจปรับเข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น หรืออาจมีมูลฐานเพียงแค่จินตนาการแต่ยังไม่ได้เกิดจริง ๆ การปลอบโยนมักจะไม่ค่อยได้ผล[97][101]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#5", "text": "การใช้ยากลุ่ม benzodiazepines ในระยะยาวสามารถทำให้โรคแย่ลง[14][15] และมีหลักฐานด้วยว่าการลด benzodiazepines สามารถทำให้อาการวิตกกังวลดีขึ้น[16] โดยนัยเดียวกัน การดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ เป็นต้น) ระยะยาวก็สัมพันธ์กับโรควิตกกังวล[17] และมีหลักฐานว่า การอดเหล้าในระยะยาวอาจกำจัดอาการวิตกังวลโดยสิ้นเชิง[18] แต่ว่า อาจจะใช้เวลาถึงสองปีที่อาการจะกลับไปสู่ระดับปกติ (ของบุคคล) ในประมาณ 1/4 ที่เลิกสุรา[19]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "837390#28", "text": "องค์ประกอบสำหรับ GAD ของ CBT รวมทั้งการให้ศึกษาเรื่องจิต การตรวจตราตัวเอง เทคนิคการควบคุมสิ่งเร้า การผ่อนคลาย การลดความไวอารมณ์เอง การเปลี่ยนการรู้คิด การฝึกรับความกังวล การป้องกันพฤติกรรมที่ทำให้กังวล และการแก้ปัญหา", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "248497#23", "text": "ในงานศึกษาปี 2531-2533 โรคในผู้ป่วยครึ่งหนึ่งที่หาหมอสุขภาพจิตที่คลินิกจิตเวชใน รพ. ประเทศอังกฤษ สำหรับปัญหาต่าง ๆ รวมทั้ง โรควิตกกังวล เช่น โรคตื่นตระหนก หรือโรคกลัวการเข้าสังคม พบว่าเป็นผลของการติดเหล้าหรือยา benzodiazepine คนไข้เหล่านี้จะกังวลเพิ่มขึ้นในช่วงอดสาร แล้วตามด้วยการหยุดความวิตกกังวล[30]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#58", "text": "หมวดหมู่:โรควิตกกังวล หมวดหมู่:โรคประสาท ความผิดปกติที่สัมพันธ์กับความเครียด และโรคโซมาโตฟอร์ม หมวดหมู่:การวินิจฉัยจิตเวช", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "837390#25", "text": "เพื่อรับมือกับปัญหาทาการรู้คิดและอารมณ์ที่สัมพันธ์กับ GAD นักจิตวิทยามักจะรวมองค์ประกอบการรักษาดังต่อไปนี้ในแผนการรักษา การตรวจดูตัวเอง, เทคนิคการผ่อนคลาย, การลดความไวอารมณ์เอง, การค่อย ๆ เพิ่มระดับสิ่งเร้า, การเปลี่ยนการรู้คิด, การตรวจดูผลของความวิตกกังวล, การเน้นปัจจุบัน, การใช้ชีวิตอย่างไม่คาดหวัง, เทคนิคการแก้ปัญหา, การรับมือกับความกลัวหลัก, ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม, การปรึกษาและเปลี่ยนกรอบของความเชื่อที่ทำให้เกิดความกังวล, การฝึกควบคุมอารมณ์, การเปิดรับสถานการณ์ที่กลัว (experiential exposure), การศึกษาด้านจิตใจ, การฝึกสติและการยอมรับ[33]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "568294#20", "text": "ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสร้างภาพประสาท (neuroimaging) เช่น MRI นักประสาทวิทยาได้ทำการค้นพบที่สำคัญเกี่ยวกับอะมิกดะลาในสมองมนุษย์\nข้อมูลงานวิจัยแสดงว่า อะมิกดะลามีบทบาทสำคัญในสภาวะของจิตใจ และมีความสัมพันธ์กับโรคทางใจ (mental illness) หลายอย่าง งานวิจัยบางพวกแสดงว่า เด็กที่มีโรควิตกกังวล (anxiety disorders) มักจะมีอะมิกดะลาซีกซ้ายที่มีขนาดเล็กกว่าปกติ\nอีกอย่างหนึ่ง ในกรณีโดยมาก มีความสัมพันธ์กันระหว่างขนาดที่ใหญ่ขึ้นของอะมิกดะลาซีกซ้าย กับการใช้ยา selective serotonin reuptake inhibitor ซึ่งเป็นยาแก้ซึมเศร้า หรือกับการรักษาโดยจิตบำบัด (psychotherapy)\nอะมิกดะลาซีกซ้ายมีความสัมพันธ์กับความวิตกกังวลในการติดต่อกับผู้คน โรคย้ำคิดย้ำทำ และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ รวมทั้งความวิตกกังวลที่เกิดจากความพลัดพรากและความวิตกกังวลทั่ว ๆ ไป ", "title": "อะมิกดะลา" }, { "docid": "248497#69", "text": "ทั่วโลกโดยปี 2553 มีคนประมาณ 273 ล้าน (4.5%) ที่มีโรควิตกกังวล[90] เป็นโรคที่สามัญในหญิง (5.2%) มากกว่าในชาย (2.8%)[90] ในยุโรป แอฟริกา และเอชีย อัตราการมีโรควิตกกังวลตลอดชีวิตอยู่ระหว่าง 9-16% และอัตราต่อปีที่ 4-7%[91] แต่ในสหรัฐอเมริกา ความชุกชั่วชีวิต (lifetime prevalence) อยู่ที่ 29%[92] และผู้ใหญ่ประมาณ 11-18% เป็นโรคทุกปี[91] ความต่างขึ้นอยู่กับมุมมองอาการวิตกกังวลที่ต่างกันของวัฒนธรรมต่าง ๆ และสิ่งที่สังคมมองว่าเป็นพฤติกรรมปกติ[93][94] โดยทั่วไปแล้ว โรควิตกกังวลเป็นอาการทางจิตเวชที่ชุกที่สุดในสหรัฐ ยกเว้น การเสพสารเสพติด (substance use disorder)[95]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#7", "text": "นอกจากนั้นแล้ว การสูบบุหรี่มีหลักฐานว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรควิตกกังวล[20] และการทานกาเฟอีนมากเกิน (เช่นจากกาแฟ) ก็สัมพันธ์กับความวิตกกังวลด้วย[21]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "248497#1", "text": "โรควิตกกังวลไปทั่ว (Generalized anxiety disorder, GAD) เป็นโรคที่สามัญ เรื้อรัง กำหนดโดยความวิตกกังวลที่ดำรงอยู่นานโดยไม่ได้เพ่งไปที่เรื่องหรือสถานการณ์ใดโดยเฉพาะ คนไข้กลัวและกังวลอย่างไม่เฉพาะเจาะจงและเป็นห่วงเรื่องชีวิตประจำวันมากเกินไป ตามหนังสือจิตวิทยาเล่มหนึ่ง GAD \"กำหนดโดยความกังวลมากเกินไปที่เรื้อรังตามด้วยอาการ 3 อย่างหรือมากกว่านั้นดังต่อไปนี้ คือ อยู่ไม่สุข ล้า ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด กล้ามเนื้อเกร็ง และมีปัญหาการนอน\"[4]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#6", "text": "ในงานศึกษาระหว่างปี 2531-2533 โรคในคนไข้ประมาณครึ่งหนึ่งที่หาหมอคลินิกสุขภาพจิตในโรงพยาบาลประเทศอังกฤษ สำหรับโรควิตกกังวลรวมทั้งโรคตื่นตระหนก โรคกลัวสังคม (SAD) ระบุว่าเป็นผลของการติดเหล้าหรือยา benzodiazepine ในคนไข้เหล่านี้ แม้ว่าอาการวิตกกังวลจะแย่ลงในระยะต้น ๆ ของการอดเหล้า/ยา แต่ว่าในที่สุดอาการก็หายไป บางครั้ง ความกังวลก็มีอยู่ก่อนการเริ่มติดเหล้า/ยาแล้ว แต่ว่า การติดทำให้โรควิตกกังวลคงยืนและบ่อยครั้งทำให้แย่ลง ๆ การฟื้นตัวจากการติดยามักจะใช้เวลานานกว่าการติดเหล้า แต่ในที่สุดก็จะได้สุขภาพคืนมา[19]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "605037#0", "text": "ภาวะขยายความรู้สึกจากกาย (, ตัวย่อ SA) เป็นแนวโน้มที่จะรับรู้ความรู้สึกปกติจากกาย (somatic) และจากอวัยวะภายใน (visceral) ว่ารุนแรง ก่อกวน หรือมีอันตราย\nเป็นอาการสามัญในโรคคิดว่าตนป่วย (hypochondriasis ICD-10 F45.2), เป็นอาการที่พบบ่อย ๆ ในโรคไฟโบรไมอัลเจีย โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลบางประเภท กลุ่มอาการแอสเปอร์เจอร์ และ alexithymia \nวิธีสามัญในการวัดภาวะนี้ทางคลินิกเรียกว่า Somatosensory Amplification Scale (แปลว่า ระดับการขยายความรู้สึกทางกาย, ตัวย่อ SSAS)", "title": "ภาวะขยายความรู้สึกจากกาย" }, { "docid": "837390#42", "text": "Benzodiazepines เป็นยาระงับประสาทที่ช่วยให้นอนหลับ ที่ใช้ในการรักษา GAD และโรควิตกกังวลอื่น ๆ ด้วย[37] โดยแพทย์จะให้ Benzodiazepine สำหรับ GAD เพราะแสดงผลดีในระยะสั้น ยาจากกลุ่มนี้ที่นิยมก็คือ alprazolam, lorazepam, และคโลนะเซแพม แต่ว่า คณะกรรมการโรควิตกกังวลโลก (World Council of Anxiety) ไม่แนะนำให้ใช้ยาในระยะยาวเพราะว่าสัมพันธ์กับการดื้อยา ความพิการทางการเคลื่อนไหว ปัญหาทางการรู้คิดและความจำ การติดยาทางกายภาพ และอาการขาดยาเมื่อหยุดยา (benzodiazepine withdrawal syndrome)[47][48] ผลข้างเคียงรวมทั้งง่วงนอน ร่างกายทำงานไม่ประสาน และปัญหาการทรงตัว (equilibrioception)", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "837390#14", "text": "ต่อไปเป็นเกณฑ์วินิจฉัยโรควิตกกังวลไปทั่วของ ICD-10 (ICD-10 Chapter V: Mental and behavioural disorders) ให้สังเกตว่าเด็กอาจต้องมีเกณฑ์ต่างกัน (ดู F93.80 คือ ความผิดปกทางอารมณ์แบบอื่นในวัยเด็ก)", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "747322#39", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานหลายงานพบว่า CCBT คุ้มราคาและบ่อยครั้งถูกกว่าการรักษาตามปกติ\nรวมทั้งโรควิตกกังวล\nมีงานหลายงานที่พบว่าบุคคลที่มีความวิตกกังวลทางสังคม (social anxiety) และความซึมเศร้าดีขึ้นเมื่อบำบัดโดย CBT แบบออนไลน์\nงานทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับผลงานวิจัยใน CCBT ในการบำบัดโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-compulsive disorder ตัวย่อ OCD) ในเด็กพบว่า โปรแกรมมีอนาคตที่สดใสในการบำบัด OCD ในเด็กและวัยรุ่น\nCCBT ยังอาจใช้บำบัดความผิดปกติทางอารมณ์ (mood disorder) ในกลุ่มประชากรต่าง ๆ ที่ไม่ใช่คนรักต่างเพศ ที่อาจจะหลีกเลี่ยงการมาพบตัวต่อตัวเพราะกลัวมลทินทางสังคม\nแต่ว่า โปรแกรม CCBT ปัจจุบันยังไม่ได้จัดให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้", "title": "การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม" }, { "docid": "837390#12", "text": "ความวิตกกังวลเกินส่วน (คือ ความคาดหมายประกอบด้วยความกลัว) เกิดขึ้นมากวันกว่าอย่างน้อย 6 เดือน เกี่ยวกับเหตุการณ์หรือกิจกรรม (เช่น เรื่องการทำงานหรือการเรียน) คนไข้มีปัญหาควบคุมความกังวล ความวิตกกังวลสัมพันธ์กับอาการ 3 อย่าง (หรือมากกว่านั้น) ดังต่อไปนี้ (โดยมีอาการบางอย่างอย่างน้อยเกิดขึ้นมากวันกว่าไม่เกิดใน 6 เดือนที่ผ่านมา) โดยสำหรับเด็ก อาการเพียงแค่อย่างเดียวก็พอ การอยู่ไม่สุข หรือรู้สึกเครียด หรือวิตกกังวล รู้สึกล้าง่าย ไม่มีสมาธิหรือคิดอะไรไม่ออก หงุดหงิด กล้ามเนื้อตึงเกร็ง มีปัญหาการนอน เช่น มีปัญหาในการหลับหรือนอนไม่อิ่ม หรือรู้สึกไม่เป็นสุข หรือนอนแล้วไม่รู้สึกสดชื่น ความวิตกกังวล หรืออาการทางกาย เป็นเหตุให้เป็นทุกข์หรือเป็นอุปสรรคอย่างสำคัญโดยเห็นได้ในการใช้ชีวิตทางสังคม ทางอาชีพ หรือทางด้านสำคัญอื่น ๆ ปัญหาไม่ใช่เกิดจากผลทางสรีรภาพของสาร (เช่น ยาเสพติด ยา) หรือโรคอื่น ๆ (เช่น อาการไฮเปอร์ไทรอยด์) ปัญหาอธิบายไม่ได้ดีกว่าด้วยโรคจิตอย่างอื่น เช่น กลัวจะตื่นตระหนกในโรคตื่นตระหนก กลัวถูกติเตียนวิพากษวิจารณ์ในโรคกลัวสังคม (SAD) ปัญหาหรือความหมกมุ่นเนื่องจากโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) การต้องจากผู้ที่ผูกพันในโรควิตกกังวลเมื่อต้องแยก (SepAD) เหตุการณ์ที่กระทบจิตใจเนื่องกับเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีต (OCD) รู้สึกน้ำหนักเพิ่มในโรคเบื่ออาหารเหตุจิตใจ (anorexia nervosa) ปัญหาทางกายจากโรคที่มีอาการทางกาย รู้สึกว่ารูปร่างผิดปกติในโรคคิดว่าตนเองมีรูปร่างหรืออวัยวะผิดปกติ (BDD) รู้สึกว่ามีโรคหนักในโรควิตกกังวลว่ามีโรค หรือเชื่อแบบหลงผิดในโรคจิตเภทหรือโรคหลงผิด (delusional disorder)", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "837390#16", "text": "การเร้าของระบบประสาทอิสระ (1) ใจสั่น หัวใจเต้นแรง หรือหัวใจเต้นเร็ว (2) เหงื่อออก (3) สั่น (4) คอแห้ง (ไม่ใช่เหตุจากยาหรือขาดน้ำ) อาการที่หน้าอกหรือท้อง (5) หายใจลำบาก (6) รู้สึกหายใจไม่ออก (7) เจ็บหน้าอกหรืออึดอัด (8) คลื่นไส้หรือปัญหาที่ท้อง (เช่นท้องป่วน) อาการทางสมองหรือทางจิต (9) คลื่นไส้ ทรงตัวไม่ดี หัวเบา หรือเวียนหัว (10) รู้สึกว่าวัตถุรอบ ๆ ไม่ใช่ของจริง (derealization) หรือว่าตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ เหมือนอยู่ที่อื่น (depersonalization) (11) กลัวควบคุมตนเองไม่ได้ จะเป็นบ้า หรือเป็นลม (12) กลัวตาย อาการทั่วไป (13) ครั่นเนื้อครั่นตัว (14) รู้สึกเหน็บชา อาการตึงเครียด (15) ตึงกล้ามเนื้อ หรือเจ็บปวด (16) อยู่ไม่สุข ทำตัวสบาย ๆ ไม่ได้ (17) รู้สึกเครียด หรือวิตกกังวล (18) จุกคอ หรือกลืนไม่ลง อาการไม่เฉพาะอื่น ๆ (19) ตกใจมากในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ (20) ไม่มีสมาธิ คิดไม่ออก เพราะวิตกกังวล (21) หงุดหงิดเรื่อย ๆ (22) นอนไม่หลับเพราะกังวล", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "837390#18", "text": "สมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA) เริ่มเกณฑ์วินิจฉัยของ GAD ใน DSM-III ในปี 2523 ก่อนหน้านั้น GAD เป็นกลุ่มอาการหนึ่งในสองอย่างของ anxiety neurosis โดยอีกอย่างคือความตื่นตระหนก นิยามใน DSM-III เจาะจงว่าต้องมีความวิตกกังวลที่ควบคุมไม่ได้ มีไปทั่ว เกินควร ไม่สมจริง และคงยืนอย่างน้อย 1 เดือน แต่อัตราการเกิดโรคร่วมกับโรคซึมเศร้า (MDD) ในระดับสูงทำให้มีการวิจารณ์ว่า GAD น่าจะรวมเป็นส่วนของโรคซึมเศร้าแทนที่จะเป็นโรคต่างหาก[24] และมีนักวิจารณ์อื่นอีกที่อ้างว่า เกณฑ์วินิจฉัยของโรคนี้ไม่ชัดเจนจนกระทั่งออก DSM-III-R[25] และเพราะการเกิดร่วมกับโรคอื่นจะลดลงถ้ากำหนดเวลายาวนานขึ้น DSM-III-R จึงเปลี่ยนระยะที่จะวินิจฉัยว่าเป็น GAD ไปเป็น 6 เดือนหรือมากกว่านั้น[26]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "248497#73", "text": "ความวิตกกังวลในเด็กมักเป็นเรื่องที่สมกับวัย เช่น กลัวไปโรงเรียน (โดยไม่เกี่ยวกับถูกเพื่อข่มเหง) หรือไม่เก่งพอที่โรงเรียน กลัวเพื่อนไม่ยอมรับ กลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนที่รัก เป็นต้น ดังนั้น ลักษณะที่แยกโรควิตกกังวลจากความวิตกกังวลของเด็กที่ปกติก็คือระยะเวลาและความรุนแรงที่กลัว[97] ยกตัวอย่างเช่น เด็กเล็ก ๆ มักจะกังวลเมื่อจากคนที่รัก แต่โดยทั่วไปเมื่อถึงอายุ 6 ขวบอาการก็จะหายเอง เทียบกับเด็กโรควิตกกังวลที่อาจจะเป็นต่อไปเป็นปี ๆ ซึ่งขัดขวางพัฒนาการของเด็ก[101] และคล้าย ๆ กัน เด็กโดยมากจะกลัวความมืดและกลัวสูญเสียพ่อแม่ในช่วงหนึ่งในวัยเด็ก แต่ความกลัวนี่จะหายไปเองโดยไม่รบกวนกิจกรรมชีวิตประจำวันมาก แต่ในเด็กโรควิตกกังวล ความกลัวความมืดหรือสูญเสียคนที่รักอาจจะเพิ่มจนกลายเป็นเรื่องหมกมุ่น ที่เด็กพยายามรับมือโดยคิดทำอะไรอย่างหมกมุ่นจนเป็นปัญหากับคุณภาพชีวิต[101] การเริ่มมีอาการซึมเศร้าร่วมกับโรควิตกกังวลอาจเป็นตัวบ่งว่าโรคกำลังรุนแรง ทำให้เสียหาย และทำให้พิการมากขึ้นทั้งในวัยก่อนโรงเรียนหรือในวัยเข้าโรงเรียน[102]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "248497#5", "text": "กลุ่มย่อยของโรควิตกกังวลที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในจำพวกความผิดปกติจากความกลัว (phobic disorders) ซึ่งรวมกรณีที่ความกลัวและความวิตกกังวลทั้งหมดจุดชนวนโดยสิ่งเร้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ ประชากรประมาณ 5%-12% ทั่วโลกมีโรคกลัว[6] คนไข้ปกติจะกังวลถึงผลน่ากลัวที่เกิดจากการประสบกับสิ่งที่ตนกลัว ซึ่งอาจเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่สัตว์ สถานที่ ของเหลวจากร่างกาย หรือสถานการณ์อะไรบางอย่าง และจะเข้าใจว่า ตนกลัวมากโดยไม่สมกับอันตรายที่อาจมีจริง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี[7]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#48", "text": "หลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่า คนไข้ที่มีโรคซึมเศร้าร่วมกับโรควิตกกังวลมักจะมีอาการหนักกว่าและตอบสนองต่อการรักษาน้อยกว่าคนไข้ที่มีโรคเพียงอย่างเดียว[56] นอกจากนั้นแล้ว การดำเนินชีวิตทางสังคมและคุณภาพชีวิตก็แย่กว่ามาก แต่สำหรับคนเป็นจำนวนมาก อาการทั้งของโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลไม่รุนแรงพอที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ dysthymia ซึ่งเป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ก็ยังเป็นโรคร่วมชุกที่สุดในคนไข้ GAD คนไข้ยังสามารถจัดได้ว่าเป็นโรคผสมระหว่างโรควิตกกังวล-โรคซึมเศร้า (mixed anxiety-depressive disorder) ซึ่งเสี่ยงต่อโรควิตกกังวลหรือโรคซึมเศร้าอย่างเต็มตัวสูงขึ้นอย่างสำคัญ", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "813101#32", "text": "องค์การสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร NICE แนะนำให้ใช้ยาแก้ซึมเศร้ารักษาโรควิตกกังวลทั่วไป (generalized anxiety disorder ตัวย่อ GAD) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอนุรักษ์เช่นการให้การศึกษาและช่วยตนเอง\nGAD เป็นโรคสามัญที่อาการสำคัญก็คือ ความวิตกกังวลเกินไปเกี่ยวกับเหตุการณ์และปัญหาหลายอย่าง และความลำบากในการควบคุมความคิดที่ทำให้เป็นห่วงที่คงยืนอย่างน้อยเป็นระยะ 6 เดือน", "title": "ยาแก้ซึมเศร้า" }, { "docid": "248497#56", "text": "ยาที่ใช้รักษาเป็นเบื้องต้นรวมทั้ง SSRI และ SNRI (Serotonin-norepinephrine reuptake inhibitor) สำหรับโรควิตกกังวลไปทั่ว (GAD) ไม่มีหลักฐานที่ดีว่ายากลุ่มไหนดีกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้น ราคามักจะเป็นตัวกำหนดยาที่เลือก[68] ส่วนยา Buspirone, quetiapine และ pregabalin ใช้รักษาเป็นอันดับสองสำหรับบุคคลที่ไม่ตอบสนองต่อ SSRI หรือ SNRI มีหลักฐานด้วยว่ายากลุ่ม benzodiazepines รวมทั้ง diazepam และคโลนะเซแพมก็มีประสิทธิผล แต่ว่า มักจะไม่ค่อยใช้เพราะมีโอกาสติด[68]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#21", "text": "โรคจิตป้องกันได้ยาก แต่มีเทคนิคหลายอย่างที่ช่วยบรรเทาและบริหารความกังวล คนไข้รู้สึกดีขึ้นด้วยวิธีผ่อนคลาย วิธีการหายใจลึก ๆ และการนั่งสมาธิ[28] นอกจากนั้นแล้ว การหลีกเลี่ยงกาเฟอีนอาจป้องกัน GAD[29] การหลีกเลี่ยงนิโคติน (เช่นในบุหรี่) ยังอาจลดความเสี่ยงการเกิดโรควิตกกังวลต่าง ๆ รวมทั้ง GAD[30]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" }, { "docid": "248497#0", "text": "โรควิตกกังวล (English: Anxiety disorders) เป็นกลุ่มความผิดปกติทางจิตกำหนดโดยความวิตกกังวลและความกลัว[1] ความวิตกกังวล (anxiety) เป็นความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตและความกลัว (fear) เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน ความรู้สึกเช่นนี้อาจทำให้เกิดอาการทางกาย เช่น หัวใจเต้นเร็วและตัวสั่น มีโรควิตกกังวลหลายอย่าง รวมทั้งโรควิตกกังวลไปทั่ว (GAD), โรคกลัว (phobia) ที่เฉพาะเจาะจง, โรคกลัวการเข้าสังคม (social anxiety disorder), โรควิตกกังวลเมื่อต้องแยก (separation anxiety disorder), โรคกลัวที่ชุมชน (agoraphobia), และโรคตื่นตระหนก (panic disorder) โดยโรคจะต่าง ๆ กันตามอาการ แต่คนไข้มักจะมีโรควิตกกังวลมากกว่าหนึ่งชนิด[1] โรคมีปัจจัยจากกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม[2] ปัจจัยเสี่ยงรวมทั้งประวัติถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ประวัติความผิดปกติทางจิตในครอบครัว และความยากจน โรคมักเกิดร่วมกับความผิดปกติทางจิตอื่น ๆ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า (MDD) ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (PD) และการเสพสารเสพติด (substance use disorder)[3] เพื่อจะวินิจฉัยว่าเป็นโรค จะต้องมีอาการอย่างน้อย 6 เดือน มีความวิตกกังวลเกินเหตุ และมีปัญหาในการดำเนินชีวิต[1][3] แต่ก็มีปัญหาทางจิตเวชและทางแพทย์อื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้าย ๆ กันรวมทั้งอาการไฮเปอร์ไทรอยด์, โรคหัวใจ, การเสพกาเฟอีน แอลกอฮอล์ และกัญชา, และการขาดยา (withdrawal) บางประเภท[3] ถ้าไม่รักษา โรคมักจะไม่หาย[1][2] การรักษารวมทั้งการเปลี่ยนสไตล์ชีวิต จิตบำบัด และการทานยา จิตบำบัดมักจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (CBT)[3] ยาเช่นยาแก้ซึมเศร้าหรือเบต้า บล็อกเกอร์ อาจช่วยให้อาการดีขึ้น[2] คนประมาณ 12% มีโรคทุก ๆ ปี[3] โดยเกิดในหญิงมากกว่าชาย 2 เท่า และทั่วไปเริ่มก่อนอายุ 25 ปี[1][3] ประเภทโรคที่สามัญที่สุดคือโรคกลัวที่เฉพาะเจาะจงซึ่งเกิดในคน 12% และโรคกลัวการเข้าสังคม (SAD) ซึ่งเกิดในคน 10% ในช่วงหนึ่งในชีวิต โดยเกิดกับบุคคลอายุ 15-35 ปีมากที่สุด และเกิดขึ้นน้อยหลังถึงอายุ 55 ปี อัตราการเกิดดูจะสูงกว่าในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป[3]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "248497#46", "text": "ในภาษาอังกฤษทั่วไป คำว่า \"anxiety\" และ \"fear\" มักใช้แทนกันได้ แต่ในการแพทย์ ทั้งสองมีความหมายต่างกัน คือ ความวิตกกังวล (anxiety) เป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ โดยไม่สามารถระบุสาเหตุได้หรือรู้สึกว่าควบคุมและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เทียบกับ ความกลัว (fear) ซึ่งเป็นการตอบสนองทางสรีรภาพและทางอารมณ์ต่อภัยภายนอกที่ระบุได้ ส่วนคำว่า โรควิตกกังวล (anxiety disorder) รวมทั้งความกลัว (เช่นโรคกลัวต่าง ๆ) และความวิตกกังวลเข้าด้วย แบบวัดมาตรฐานทางคลินิก เช่น Taylor Manifest Anxiety Scale หรือ Zung Self-Rating Anxiety Scale สามารถใช้ตรวจจับอาการวิตกกังวล แล้วแนะว่าแพทย์ควรจะประเมินวินิจฉัยโรคเพิ่มขึ้นหรือไม่[64]", "title": "โรควิตกกังวล" }, { "docid": "837390#47", "text": "งานสำรวจโรคที่เกิดร่วมกันของสหรัฐอเมริกาปี 2548 พบว่า 58% ของคนไข้ที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า (MDD) มีโรควิตกกังวลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย ในบรรดาคนไข้เหล่านั้น อัตราการเกิดร่วมกับ GAD อยู่ที่ 17.2% และกับโรคตื่นตระหนกที่ 9.9% คนไข้ที่วินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวลยังมีโรคซึมเศร้าเกิดร่วมด้วยในอัตราที่สูง รวมทั้งคนไข้โรคกลัวสังคม (SAD) 22.4% คนไข้โรคกลัวที่ชุมชน (agoraphobia) ที่ 9.4% คนไข้โรคตื่นตระหนกที่ 2.3% ส่วนงานศึกษาตามยาวตามรุ่น (longitudinal cohort study) พบว่าผู้ร่วมงานศึกษา 12% จาก 972 คนมี GAD ร่วมกับ MDD[55]", "title": "โรควิตกกังวลไปทั่ว" } ]
2007
เวียงกุมกาม ล่มสลายเมื่อใด ?
[ { "docid": "6830#2", "text": "เวียงกุมกามล่มสลายลงเพราะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยช่วงเวลานี้อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2101 - 2317 ซึ่งตรงกับสมัยพม่าปกครองล้านนา พม่าปกครองล้านนาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงเวียงกุมกามทั้งๆที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากและสมควรที่จะบันทึกไว้ แต่ก็ไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ใดเลย ผลของการเกิดน้ำท่วมนี้ทำให้เวียงกุมกามถูกฝังจมลงอยู่ใต้ตะกอนดินจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมา สภาพวัดต่างๆ และโบราณสถานที่สำคัญเหลือเพียงซากวิหารและเจดีย์ร้างที่จมอยู่ดินในระดับความลึกจากพื้นดินลงไปประมาณ 1.50 -2.00 เมตร โดยวัดที่จมดินลึกที่สุดคือวัดอีค่าง รองลงมาคือ วัดปู่เปี้ย และวัดกู่ป่าด้อม", "title": "เวียงกุมกาม" }, { "docid": "6830#5", "text": "ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำดังกล่าวคาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 23 การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำครั้งนั้น ทำให้เกิดน้ำท่วมเวียงกุมกามครั้งใหญ่จนเวียงกุมกามล่มสลาย และวัดวาอารามจมอยู่ใต้ดินทราย จนกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า อีกหนึ่งสมมติฐานที่เวียงกุมกามถูกทิ้งร้างนั้นอาจเป็นได้ว่าเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่าทำให้ผู้คนหลบหนีออกจากเมืองไปก็เป็นได้", "title": "เวียงกุมกาม" } ]
[ { "docid": "6830#4", "text": "เวียงกุมกามมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความยาวประมาณ 850 เมตร ไปตามแนวทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และกว้างประมาณ 600 เมตร ตัวเมืองยาวไปตามลำน้ำปิงสายเดิมที่เคยไหลไปทางด้านทิศตะวันออกของเมือง ดังนั้นในสมัยโบราณตัวเวียงกุมกามจะตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกหรือฝั่งเดียวกับเมืองเชียงใหม่ แต่เชื่อกันว่าเนื่องจากกระแสของแม่น้ำปิงเปลี่ยนทิศทาง จึงทำให้เวียงกุมกามเปลี่ยนมาตั้งอยู่ทางฝั่งด้านตะวันออกของแม่น้ำดั่งเช่นปัจจุบัน", "title": "เวียงกุมกาม" }, { "docid": "291210#0", "text": "จอม (อารักษ์) / เทวัญ - หนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ที่กำลังรุ่งโรจน์กับงานอาชีพสถาปนิก ก่อนชีวิตจะพลิกผัน เสียเมียและลูกไปในอุบัติเหตุ ใบหน้าเสียโฉมและสภาพจิตแตกสลาย เขาเหลือแต่ความแค้นตระกูลสิริน โดยเฉพาะนงไฉนที่เขาคิดว่าเป็นต้นเหตุการตายของลูกเมีย เขาพยายามทุกอย่างที่จะทำลายครอบครัวนี้ แม้แต่ทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าและปลอมเข้ามาร่วมทำงานกับสิริน ก่อนที่เขาจะรู้ความจริงว่า ต้นเหตุของความสูญเสียทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกิดจากนงไฉนแม้แต่น้อย แต่มันมาจากตัวเขาเองแท้ๆ", "title": "บริษัทบำบัดแค้น" }, { "docid": "6830#0", "text": "เวียงกุมกาม ( \"เวียงกุ๋มก๋าม\") เป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา ที่พญามังรายโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1829 โดยโปรดให้ขุดคูเวียงทั้ง 4 ด้าน ไขน้ำแม่ปิงให้ขังไว้ ในคูเมืองโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในเวียงกุมกามและใกล้เคียง เป็นเวียง (เมือง) ทดลองที่สร้างขึ้น ก่อนที่จะมาเป็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีระยะห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร", "title": "เวียงกุมกาม" }, { "docid": "116988#3", "text": "วันหนึ่งพระฤๅษีโคดมพาลูกน้อยทั้งสามไปเล่นน้ำ ลูกชายคนโตขี่หลัง ลูกชายคนเล็กอุ้มไว้ ลูกสาวเดินตาม นางสวาหะคับแค้นใจจึงบ่นว่า “ ทีลูกตัวเองให้เดินดิน ลูกเขาล่ะก็ทั้งอุ้มทั้งขี่หลัง ” พระฤๅษีเอะใจในคำนางสวาหะ จึงซักถามจนได้ความ พระฤๅษีจึงยกมือพนม ตั้งสัตย์อฐิษฐานจะโยนเด็กทั้งสามลงกลางน้ำ ถ้าเป็นลูกตนให้ว่ายกลับมาหา ถ้าเป็นลูกชายคนอื่นให้เป็นลิงป่า อย่าว่ายคืนกลับมา นางสวาหะว่ายกลับมา บุตรชายทั้งสองว่ายน้ำขึ้นฝั่ง กลายเป็นลิงวิ่งเข้าป่าไป", "title": "พระฤๅษีโคดม" }, { "docid": "735858#0", "text": "ลิเกหมัดสั่ง เป็นละครโทรทัศน์ไทย แนวแอ็กชั่น-ดราม่า-คอมเมดี้ นำแสดงโดย สิทธา สภานุชาติ, ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ, สุพจน์ จันทร์เจริญ, ภัครมัย โปตระนันทน์ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 9 เมษายน– 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ทุกวันพุธ - ศุกร์ เวลา 08.00 น. , 12.30 น. , 19.50 น. , 00.30 น. ต่อจากละครเรื่องแม้เลือกเกิดได้ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ผลิตโดย บริษัท มั่งมีศรีสุขโปรดักชั่น จำกัด โดยผู้จัด \"เป็ด\" ธีรภาพ สุขกันตะ บทประพันธ์โดย สร้างสรรค์ สันติมณีรัตน์ บทโทรทัศน์โดย นภัค กำกับการแสดงโดย ภูมิภัทร สังวาลย์วรกุล", "title": "ลิเกหมัดสั่ง" }, { "docid": "6830#7", "text": "สภาพทั่วไปทางภูมิศาสตร์ของเวียงกุมกามตั้งอยู่บริเวณแอ่งที่ราบเชียงใหม่-ลำพูน มีแม่น้ำปิงเป็นแม่น้ำสายสำคัญ โดยมีต้นน้ำอยู่ที่ดอยถ้วย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณแอ่งที่ราบแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ราบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือตอนบน เป็นที่ราบระหว่างภูเขา มีอาณาบริเวณครอบคลุมเขตจังหวัดเชียงใหม่ และลำพูนรวม 13 อำเภอ (โดย 10 อำเภออยู่ในจังหวัดเชียงใหม่คือ แม่แตง แม่ริม สันทราย ดอยสะเก็ด สันกำแพง เมือง สารภี หางดง สันป่าตอง และจอมทอง และอีก 3 อำเภออยู่ในจังหวัดลำพูนคือ เมือง (ลำพูน) ป่าซาง และบ้านโฮ่ง) โดยมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 940,000 ไร่", "title": "เวียงกุมกาม" }, { "docid": "918872#0", "text": "วิหคหลงลม เป็นละครโทรทัศน์ไทยที่ออกอากาศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2561 บทประพันธ์ของ สุริยาทิศ บทโทรทัศน์โดย เริงฤทัย กำกับการแสดงโดย แดง บูรพา นำแสดงโดย แซมมี่ เคาวเวลล์ , เคลลี่ ธนะพัฒน์ , กิตตน์ก้อง ขำกฤษ , อานัส ฬาพานิช สร้างโดย บริษัท ดาราวิดีโอ จำกัด ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20:45 - 22:50 น. และวันเสาร์ - วันอาทิตย์ เวลา 20:30 - 22:35 น. เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ต่อจากละครเรื่องคุณชายไก่โต้ง", "title": "วิหคหลงลม" }, { "docid": "6830#1", "text": "หลังจากที่พญามังรายได้ปกครองและพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย (ลำพูน) อยู่ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาสิ่งหลายๆอย่าง และมีพระราชดำริที่จะลองสร้างเมืองขึ้น เมืองนั้นก็คือ เวียงกุมกาม แต่พระองค์ก็ทรงสร้างไม่สำเร็จ เพราะเวียงนั้นมีน้ำท่วมอยู่ทุกปี จนพญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหาย คือพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย และพญางำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยา หลังจากทรงปรึกษากันแล้วจึงทรงตัดสินใจไปหาที่สร้างเมืองใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่นครพิงค์เชียงใหม่เป็นเมืองใหม่ และ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาต่อมา จึงสรุปได้ว่าเวียงกุมกามนั้น เป็นเมืองที่ทดลองสร้าง", "title": "เวียงกุมกาม" } ]
1381
จอร์จ โซรอส มีบุตรกี่คน?
[ { "docid": "271393#7", "text": "โซรอสแต่งงานและหย่าสองครั้ง กับ Annaliese Witschak และ Susan Weber Soros เขามีบุตรทั้งหมด 5 คน Robert, Andrea, Jonathan กับภรรยาคนแรก Annaliese และ Alexander, Gregory กับภรรยาคนที่สอง Susan พี่ชายของ จอร์จ Paul Soros ผู้ซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนตัว และคนใจบุญ เป็นวิศวกรที่เกษียณแล้ว ได้ก่อตั้ง Paul and Daisy Soros Fellowships for Young Americans และยังเป็นหัวเรือใหญ่ใน Soros Associates ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมนานาชาติที่มีฐานอยู่ในนครนิวยอร์ก หลานของจอร์จโซรอส Peter Soros ซึ่งเป็นลูกชายของ Paul Soros ได้แต่งงานกับสตรีที่ชื่อ Flora Fraser ผู้ซึ่งเป็นบุตรีของ Lady Antonia Fraser และ Sir Hugh Fraser และมีพ่อเลี้ยงนั่นคือ นักเขียนรางวัลโนเบล ฮาโรลด์ พินเทอร์", "title": "จอร์จ โซรอส" } ]
[ { "docid": "271393#19", "text": "โซรอสเป็นคนใจบุญมาตั้งแต่ปี 1970 เมื่อเขาเริ่มให้ทุนทรัพย์เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนผิวดำเพื่อจะได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเคปทาวน์ในประเทศแอฟริกาใต้ และเริ่มให้ทุนต่อกลุ่มต่อต้าน Iron Curtain โซรอสสนับสนุนทุนทรัพย์เพื่อสนับสนุนการรณรงค์งดใช้ความรุนแรงในการเปลี่ยนแปลงระบบประชาธิปไตย์ในประเทศที่เคยตกอยู่ในอำนาจของโซเวียต ซึ่งส่วนมากจะอยู่บริเวณยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เกิดขึ้นจากการมี Open Society Institute (สถาบันสังคมเปิด) และ Soros Foundation ซึ่งบางครั้งก็ใช้ชื่ออื่นเช่น Stefan Batory Foundation ในโปแลนด์ ค.ศ. 2003 PBS คำนวณว่าเขาได้บริจาคเงินทั้งหมดประมาณ $4,000,000,000 OSI บอกว่าเขาใช้เงินประมาณ $400,000,000 ต่อปีเมื่อปีที่ผ่านๆ มา ในปี 2007 นิตยสาร Times ได้กล่าวถึงผลงานสองผลงาน นั่งคือ $100,000,000 เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตของมหาวิทยาลัยในรัสเซีย และ $50,000,000 สำหรับ Millennium Promise เพื่อกำจัดปัญหาการขาดแคลนอาหารในแอฟริกา แต่ไม่กล่าวถึง $742,000,000 ที่โซรอสบริจาคให้กับโครงการต่างๆ ในสหรัฐ หรือว่าเขาได้ใช้เงิน กว่า $6,000,000,000,000 ไปกับการกุศล", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "85657#8", "text": "โซฟี → จอร์จที่ 1 → จอร์จที่ 2 → เจ้าชายเฟรเดอริก เจ้าชายแห่งเวลส์ → จอร์จที่ 3 → เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ออกุสตุส → วิกตอเรีย →\nเอ็ดเวิร์ดที่ 7 → จอร์จที่ 5 → จอร์จที่ 6 → เอลิซาเบธที่ 2วิกตอเรีย → เอ็ดเวิร์ดที่ 7 → จอร์จที่ 5 → จอร์จที่ 6 → เจ้าหญิงมาร์กาเรต\nเดวิด อาร์มสตรอง-โจนส์ ไวเคานต์ลินเลย์ (\"เกิด\" พ.ศ. 2504) พระโอรสในเจ้าหญิงมาร์กาเรต\nเดอะ ฮอนอเรเบิล ชาร์ลส์ อาร์มสตรอง-โจนส์ (\"เกิด\" พ.ศ. 2542) บุตรชายของไวเคานต์ลินเลย์\nเดอะ ฮอนอเรเบิล มาร์การิตา อาร์มสตรอง-โจนส์ (\"เกิด\" พ.ศ. 2545) บุตรสาวของไวเคานต์ลินเลย์\nเลดี ซาราห์ แช็ตโต (\"เกิด\" พ.ศ. 2507) พระธิดาในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต\nแซมูเอล แช็ตโต (\"เกิด\" พ.ศ. 2539) บุตรชายคนโตของเลดี ซาราห์ แช็ตโต\nอาร์เธอร์ แช็ตโต (\"เกิด\" พ.ศ. 2542) บุตรชายคนเล็กของเลดี ซาราห์ แช็ตโต", "title": "ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์สหราชอาณาจักร" }, { "docid": "271393#30", "text": "โซรอสมีความสนใจเกี่ยวเรื่องปรัชญาอย่างชัดเจน และเขาได้กล่าวว่าการเข้ามาในโลกของการเงินของเขานั้นเพื่อสนับสนุนตัวเองในฐานนักปรัชญาคนหนึ่ง ปรัญชาของเขาได้รับอิทธิพลจาก Karl Popper ผุ้ที่เขาได้เรียนด้วยเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่ London School of Economic สถาบัน Open Society Institute ของเขาได้ชื่อมาจากหนังสือ ของ Karl Popper “the open society and it’s enemy” โซรอสได้ตั้งปณิทานเกี่ยวกับหลักการ Fallibilism สาขาหนึ่งจากปรัญชาของ Popper ในบทสัมภาษณ์กับ Minutesโซรอสเคยพูดไว้ว่าเขาไม่เชื่อในพระเจ้า", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#21", "text": "Washington Post ของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2003 โซรอสได้กล่าวไว้ว่า การที่ทำให้ George E. Bush ได้ออกจากตำแหน่ง เป็น “เป้าหมายของชีวิต” และ “เป็นดั่งความเป็นความตาย” เขาพูดแบบขำขันว่าเขาจะยอมสละทรัพย์สินทั้งหมดที่มีเพื่อล้ม George Bush “หากมีใครซักคนจะรับประกันว่ามันจะสำเร็จ” โซรอสมอบเงิน $3,000,000,000 ให้กับ Center for American Progress $5,000,000,000 ให้กับ MoveOn และ $10,000,000,000 ให้กับ American Coming Together กลุ่มคนเหล่านี้ สนับสนุนพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2004", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#2", "text": "โซรอสเคยเป็นสมาชิกในคณะกรรมการของ Council on Foreign Relations และยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง Center for American Progress ปัจจุบันจอร์จ โซรอส ก็ยังคงมีตัวแทนในคณะกรรมการอยู่ แม้ว่าตัวเขาเองจะคิดว่าเป็นการกล่าวชมยกยอกันมากเกินไป แต่ชาวรัสเซียและชาวตะวันตกก็มองว่าการสนับสนุนทางการเงินและการจัดการของเขา เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ Georgia’s Rose ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#22", "text": "28 กันยายน 2004 เขาบริจาคเงินเพิ่มและเปิดตัวการพูดสุนทรพจน์หัวข้อ “ทำไมเราไม่ควรจะเลือกประธานนาธิบดีบุชอีกครั้ง” ที่ National Press Club เมืองวอชิงตัน ดีซี มีผู้ฟังหลายคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่เขาได้พูด แต่เกิดความเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเมื่อ Dick Cheney ได้อ้างอิงเว็บไซต์ผิดจาก FactCheck.org เป็น Factcheck.com ทำให้เจ้าของเว็บไซต์นั้นต้องโอนข้อมูลไปให้โซรอส", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#6", "text": "หลังจากนั้นไม่นาน ทางครอบครัวได้เปลี่ยนชื่อจาก Schwartz เป็น Soros เพื่อปรับตัวกับการเติบโตของการต่อต้านชาวยิวและความนิยมของระบบฟาสซิสต์ Tivarda ชอบชื่อนี้ เพราะว่าเมื่อสะกดกลับหลัง แล้ว ก็ยังเหมือนเดิม (S-O-R-O-S ) และเพราะมันมีความหมายในภาษาฮังการีว่า “คนต่อไป” และในภาษา Esperanto โซรอสมีความหมายที่แปลได้ว่า “จะทะยานขึ้นไปยังในอากาศ” ตั้งแต่เด็กจอร์จ โซรอส ถูกอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีให้พูดภาษา Esperanto ตั้งแต่เกิด จึงทำให้เขาเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่หายากที่จะมีภาษา Esperanto เป็นภาษาแม่ จอร์จเคยกล่าวไว้ว่า เขาเติบในครอบครัวยิวพ่อแม่ของเขามักระมัดระวังเกี่ยวกับรากศาสนาของเขา", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "416071#4", "text": "สหราชอาณาจักรเข้า ERM ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2533 แต่ถูกบีบให้ออกจากโครงการภายในสองปีหลังปอนด์สเตอร์ลิงได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากผู้สังเกตการณ์เงินตรา รวมทั้งจอร์จ โซรอส เหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์ตกเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2535 ที่เกิดขึ้นตามมา ถูกขนานนามภายหลังว่า \"วันพุธทมิฬ\" มีการทบทวนทัศนะต่อเหตุการณ์นี้โดยแสดงสมรรถนะทางเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งของสหราชอาณาจักรหลัง พ.ศ. 2535 โดยมีผู้วิจารณ์เรียกว่า \"วันพุธขาว\" นักวิจารณ์บางคน หลังนอร์แมน เท็บบิต เรียก ERM ว่าเป็น \"กลไกถดถอยตลอดกาล\" (Eternal Recession Mechanism) หลังสหราชอาณาจักรเข้าสู่ห้วงเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1990 สหราชอาณาจักรใช้เงินกว่า 6,000 ล้านปอนด์พยายามรักษาค่าเงินให้อยู่ในขีดจำกัดแคบ ๆ โดยมีรายงานกว้างขวางว่า รายได้ส่วนตัวของโซรอสมีถึง 1 พันล้านปอนด์ เทียบกับ 12 ปอนด์ของประชากรอังกฤษแต่ละคน และขนานนามโซรอสว่าเป็น \"ชายผู้ทุบธนาคารอังกฤษ\"", "title": "กลไกอัตราแลกเปลี่ยนยุโรป" }, { "docid": "271393#18", "text": "2008 โซรอส มีชื่อเกี่ยวข้องกับ AS Roma ธีมฟุตบอลของอิตาลี แต่ตัวสโมสรไม่ได้ถูกขาย โซรอสยังเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินของ Washinton Soccer L.P. กลุ่มที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิการจัดการสโมสรฟุตบอล D.C. United ใน Major League Soccer เมื่อตอนที่ลีกถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1995 แต่เสียกรรมสิทธิไปเมื่อปี 2000", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#4", "text": "นอกจากโซรอสจะส่งเสริมเสรีทางการค้าแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือการที่ปรับให้ประชาชนเปิดรับความคิดใหม่ๆ ให้ประชนของประเทศนั้นๆ ยอมรับฟังแนวคิดและการกระทำที่แตกต่างออกไป", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#10", "text": "เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายของเขาถูกพวกนาซีจับตัว พ่อของจอร์จโซรอสจ่ายเงินให้กับราชการในกระทรวงกสิกรเพื่อที่จะให้โซรอสไปอยู่ที่นั่นระหว่างฤดูร้อนของปี 1944 ในฐานะลูกบุญธรรม จอร์จ โซรอสต้องซ่อนความเป็นยิวของเขา แม้ว่าทางรัฐบาลกำลังยึดทรัพชาวยิวอยู่ ในปีต่อมาเขาได้รอดพ้นจากการต่อสู้ในเมืองบูดาเปสต์ โซรอสได้แลกเปลี่ยนเงินตราและเครื่องประดับ เมื่อครั้งที่เงินเฟ้อในประเทศฮังการีช่วงปี 1945-46 โซรอสย้ายสัญชาติไปอังกฤษเมื่อปี 1947 และจบจาก London School of Economics ในปี 1952 โซรอสได้ทำงานเสริมเป็นพนักงานเสิร์ฟและเด็กยกกระเป๋าตามสถานีรถไฟ ทั้งๆ ที่เป็นนักศึกษาด้านปรัชญากับ Karl Popper ทางมหาวิทยาลัยได้ขอให้โซรอสช่วยเป็นติวเตอร์เพื่อแลกกับเงิน 40 ปอนด์จากกองทุน Quaker และสุดท้ายได้ทำงานกับธนาคาร Singer & Friedlander", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#1", "text": "นิตยสาร ฟอร์บส์ ได้จัดให้ จอร์จ โซรอส อยู่ในอันดับที่ 35ของบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาได้บริจาคเงิน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการกุศลตั้งแต่ ค.ศ. 1979 เป็นต้นมา", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#13", "text": "Black Wenesday (16 กันยายน 1992) กองทุนของโซรอสขายหุ้นมูลค่ากว่า $1,000,000,000 ปอนด์ โดยเก็งกำไรว่าจะซื้อกลับด้วยราคาที่ต่ำกว่า เพื่อที่จะดูว่าทางธนาคารจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจะได้เทียบเท่ากับค่าเงินยุโรปหรือว่าจะปล่อยให้ค่าเงินลอยตัว ในที่สุดธนาคารอังกฤษถอนเงินออกจาก Europen Exchange Rate Mechanism ทำให้ค่าเงินตก ในการกระทำครั้งนี้ โซรอสสร้างกำไรประมาณ 1,100,000,000 เขาขึ้นชื่อว่า “ชายผู้ทำลายธนาคารอังกฤษ” The Times ของวันจันทร์ ที่ 26 ตุลาคม ปี 1992 ได้คัดลอกบทสนทนาของ จอร์จ โซรอส ว่า “ในตำแหน่งของเรา ในวัน Black Wenesday ต้องมีมูลค่าเกือบ $10,000,000,000 แน่ เรากะว่าจะขายมากกว่านั้น ความจริงแล้วตอนที่ Norman Lamont บอกก่อนที่จะค่าเงินตกว่าจะยืมเงินเกือบ $15,000,000,000 เพื่อจะปกป้องค่าเงินของเขา เราก็นึกสนุกขึ้นมาเพราะนั่นคือจำนวนที่เรากะว่าจะขายอยู่พอดี” Stanley Druckenmiller ที่ทำการแลกเปลี่ยนภายใต้การดูแลของโซรอส เป็นผู้เห็นจุดอ่อนในค่าเงินปอนด์ สิ่งที่โซรอสทำคือดันเขาให้ทำให้มันใหญ่ขึ้น ในปี 1997 ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของเอเชีย นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย มหาธีร์ โมฮาหมัด กล่าวหาโซรอสว่าเขาใช้ความมั่งคั่งลงโทษกลุ่มอาเซียนที่รับพม่าเข้ามาเป็นสมาชิก แต่โซรอสก็ปฏิเสธคำกล่าวหานั้น ในหนังสือของเขาที่ออกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 The New Paradigm for Financial Markets กล่าวถึงกลุ่มที่เรียกว่า “Supperbubble” ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นภายใน 25 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นหนังสือเล่มที่สามที่เขาได้เขียนที่พยากรณ์ความหายนะ โซรอสได้กล่าวไว้ว่า เขาเป็นเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ หนังสือเล่มแรก The Alchemy of Finance ในปี 1987 แล้วก็ The Crisis of Global Capitalism ในปี 1998 แล้วก็เล่มนี้ เพราะฉะนั้นก็มีหนังสือทั้งหมดสามเล่มที่ทำนายว่าจะมีหายนะเกิดขึ้น หลังจากเด็กเลี้ยงแกะบอกว่าหมาป่ามาสามครั้ง หมาป่าก็มาจริงๆ", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#25", "text": "Neil Clark ของ New Stateman ได้บอกว่า บทบาทของ โซรอส มีความสำคัญมาต่อการล่มของระบบ คอมมิวนิสในยุโปรตะวันออก Clark กล่าวว่า โซรอส ใช้เงิน $ 3,000,000,000 ต่อปี ให้กับฝ่ายค้านต่อการเคบลื่อนไหว Solidarity ของประเทศโปแลนด์ รวมไปถึง Charter 77 ในประเทศ เชคโกสโลวาเกีย และ Andrei Sakhorov ในสหภาพโซเวียต เค้าก่อตั้ง Open Society Institute ที่แรกใน ฮังการี แล้วสูบฉีดเงินกว่าล้าน ดอลล์ลา ในการคัดค้านและการโฆษณาอย่างเสรี หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต การสนับสนุนทางด้านการเงินของโซรอสมีความสำคัญมากในแถบบริเวณนั้นๆ กองทุนและสถาบัน Georgia’s Rose Revolution ได้ถูกมาองว่ามีบทบาทสำคัญในการที่ทำให้เประสบความสำเร็จ แต่โซรอสได้อ้างว่ามันเป็นการกล่าวเกินเหตุ Alexander Lomaia เลขาธิการของ Georgia Security Council และอดีต อธิบดีกระทรวงการศึกษาและวิทยาศาสตร์ และยังเป็นอตีด ผู้บิรารระดับสูงของ Opens Society Georgia Foundation (Soros foundation) ควบคุมพนักงานกว่า 50 คนและเงินกว่า $2,500,000 อดีต รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของ Gerogia Solome Zourabichvili เขียนว่าสถาบันอย่าง โซรอส เป็นดั่งพื้นฐานของประชาธิปไตย์และ NGO ที่มีความเหี่วค้องกะโซรอส มีผลต่อการเคลื่อนไหวของการปฏิวัติ เธอบอได้กล่าวไว้หลังจากการปฏิวัติ Soros Foudnation และ NGO จะเข้ามายึดอำนาจ", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#20", "text": "อีกโครงการที่เห็นได้ชัดคือการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยทั่วทั้งยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ช่วยประชาชนช่วง Siege of Sarajevo และ Transparency International Muhamed Yunus ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้รับการสนับสนุนจาก Open Society Institute เช่นกัน National Review บอกว่า Open Society Institute บริจาคเงิน $20,000 ให้กับ Defense Committee ของ Lynne Stewart เมื่อเดือนกันยายน ปี 2002 Lynne Stewart เป็นทนายที่ปกป้องผู้ก่อการร้ายในชั้นศาล และถูกจำคุก 2 ปี 4 เดือน ข้อหาสนับสนุนแผนการก่อการร้ายผ่านทางการประชุมกับลูกค้า โฆษก Open Society Institute บอกว่า ณ เวลานั้นการกระทำของเขาดูมีเหตุผลที่ดีพอที่เราจะสนับสนุน กันยายน ปี 2006 จอร์จ โซรอส ได้ถอนตัวจากการสนับสนุนโครงการสร้างเสริมประชาธิปไตย และมอบเงินกว่า $50,000,000 ให้กับ Jeffry Sach ในโครงการ Millennium Promise ที่ช่วยผู้ที่ขาดอาหารอาหารในแอฟริกาเขาบอกว่าสิ่งที่ควรสังเกตคือความสัมพันธ์ระหว่างความหิวโหยกับการปกครองที่ไม่ดีจึงทำให้การช่วยเหลือครั้งนี้มีค่า ในปี 1980 New School for Social Research และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้มอบปริญญาเอกให้กับโซรอส ในปี 1991 Corvinus University of Budapest และนอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Yale International Center for Finance Award จาก Yale School of Management และ Laurea Honoris Causon เกียรติสูงสุด ของ University of Bologna ในปี 1995", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#23", "text": "ก่อนหน้าการเลือกตั้งในปี 2004 โซรอสไม่เคยจะบริจาคเงินให้กับการเมืองเลย Center of Responsive Politics ได้ทำการสำรวจว่า ระหว่างปี 2003-2004 จอร์จ โซรอสได้บริจาคเงินกว่า $23,581,000 ให้กับกลุ่ม 527 Group เพื่อที่จะเอาชนะ George W. Bush 527 Group เป็นกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษี ตั้งชื่อตามรหัสภาษีของสหรัฐ 26.U.S.C. 527 แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร Geroge Bush ก็ได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งอยู่ดี", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#39", "text": "{{subst:#if:ซโรอส, จอร์จ|}} [[Category:{{subst:#switch:{{subst:uc:1930}}", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#11", "text": "1956 โซรอสย้ายไปนิวยอร์ก ในตำแหน่งนักเก็งกำไรจากการแลกเปลี่ยนกับบริษัท F.M. Mayer ตั้งแต่ปี 1956-59 และเป็นนักวิเคราะห์ กับ Wertheim and Company ตั้งแต่ 1959-1963 ระหว่างนี้นี่เองที่เข้าได้คิดค้น “Reflexivity” ซึ่งมาจากความคิดของ Karl Popper", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#17", "text": "2005 โซรอสเป็นหุ้นส่วนเล็กในกลุ่มผู้ลงทุน ที่พยายามจะซื้อ Washington Nationals ของ National Leagues ผู้ร่างกฎหมาย republican บางคนพูดว่าพวกเขาอาจจะเปลี่ยนการกะทำของเขาที่มี", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#31", "text": "งานเขียนของโซรอสเน้นไปที่หลักการ Reflexivity ในการความอคติของบุคคลมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาด และสามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองพื้นฐานของเศรษฐกิจ โซรอสบอกว่าการเปลี่ยนแปลงในมุมมองของพื้นฐานเศรษฐกิจส่วนมากส่งผลจาก ความไม่สมดุล มากกว่าความสมดุลของตลาด และ แนวคิดในอดีตของทฤษฏีเศรษฐกิจของตลาดไม่เกี่ยวสามารถนำมาใช้ในทฤษฏีนี้ โซรอสทำให้ การเคลื่อนไหวอย่างไม่สมดุลของตลาด และ การหยุดนิ่งของความสมดุลในตลาด และ สถานภาพกึ่งสมดุลของตลาด กลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนสนใจ", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#8", "text": "เมื่อตอนที่นาซีเข้ายึดฮังการี ในเดือนมีนาคม 1944 โซรอสมีอายุได้ 13 ปี เขาเคยได้ทำงานใน Jewish Council ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อสมัยที่นาซียึดครองฮังการี เพื่อที่จะใช้กำลังในการต่อต้านชาวยิวของนาซีและรัฐบาลฮังการี โซรอสเคยเล่าถึงประสบการสองวันนี้กับนักเขียน Michael Lewis ว่า:", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#27", "text": "มิถุนายน 2009 โซรอสบริจาคเงิน $100,000,000 ให้กับยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เพื่อจะโต้ตอบผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของคนจน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาสาสมัคร หรือ องค์กรภาคเอกชน The Opwn Society Initiative for South Africa เป็นองกรที่เกี่ยวค้องจะ โซรอส แกนนำของซิมบับเว Godfrey Kanyenze ผู้เป็นแกนนำ Zimbabwe Congress of Trade Unions ผู้เป็นแกนนำหลักในการก่อตั้งการเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงของประชาธิปไตย หลังการขององกรนี้คือ การเปลี่ยนผู้ปกครองในซิมบับเว", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#5", "text": "โซรอสเกิดที่เมืองบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการี จอร์จ โซรอส เป็นลูกชายของ Tivarda Soros (หรือ Teodoro) ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Esperantist Tivarda Soros เป็นชาวฮังการเชื้อสายยิว เคยตกเป็นเชลยศึกเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้หนีจากประเทศรัสสเซียกลับมาอยู่กับครอบครัวที่บูดาเปสต์", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#12", "text": "Reflexivity คือ การเชื่อว่า การที่บุคคลที่เกี่ยวข้องเห็นการประเมินมูลค่าของตลาดอะไรก็ได้ มีผลกระทบต่อกลไลการประเมินมูลค่าของตลาดนั้นๆ ไม่ว่าจะในทางบวกหรือลบก็ตาม แต่โซรอสก็รู้ตัวว่า เขาจะไม่ทำเงินจากทฤษฏีของเขาเลยหากเขาไม่ลงทุนด้วยตัวเอง เขาเริ่มที่จะสังเกตและวิเคราะห์วิธีการลงทุน ตั้งแต่ปี 1963-73 เขาทำงานให้กับ Arnhold and S.Bleichroeder ที่นี่เองเขาได้รับตำแหน่งรองประธาน โซรอสสรุปเองว่าเขาเป็นนักลงทุนที่ดีกว่าจะเป็นนักปรัชญาหรือผู้บริหาร 1967 เขาเริ่มก่อตั้งกองทุน First Eagle 1969 ก็มีกองทุนรวมที่สองคือ Double Eagle เมื่อกฎข้อบังคับจำกัดการลงทุนของเขา เขาก็ลาออกและก่อตั้งบริษัทลงทุนส่วนตัว Quantum Fund ในปี 1973 ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะหาเงินในวอลล์สตรีทให้เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองเพื่อที่เขาจะได้เป็นนักเขียนและนักปรัชญา ซึ่งเขาคำนวณไว้ว่าประมาณ $500,000 หลังจากนั้นห้าปีก็จะเป็นไปได้ เขาเคยสมาชิกของ Carlyle Group ด้วย โซรอสเป็นผู้ก่อตั้ง Soros Fund Management ในปี 1970 เขาได้ก่อตั้ง Quantum Fund กับ Jim Rogers ซึ่งสร้างรายได้ให้โซรอสอย่างมหาศาล Roger ได้เกษียณเมื่อปี 1980 หุ้นส่วนคนอื่นได้แก่ Victor Niederhoffer Stanley Druckenmiller ในปี 2007 Quantum Fund ให้ผลตอบแทน 32% เป็นเงินจำนวน $2,900,000,000", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#3", "text": "อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เขียนถึงจอร์จ โซรอส หลังจากที่เขาออกหนังสือ The Alchemy of Finance เมื่อปี ค.ศ. 2003 ว่า จอร์จ โซรอส ได้สร้างความโดดเด่นในด้านที่เขาเป็นผู้วิเคราะห์มาก โซรอสนับได้ว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล และเป็นที่รู้กันในความฉลาดหลักแหลมของเขา เพราะโซรอสจะถอนตัวเมื่อยังอยู่ในจุดที่มีความได้เปรียบ การกระทำของโซรอสได้เพิ่มแรงกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศให้กลายเป็นประเทศที่สนับสนุนสังคมเปิด", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "555878#13", "text": "อนึ่ง วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2460 [[พระเจ้าจอร์จที่ 5]] ตรัสสั่งไว้ว่า ฐานันดรศักดิ์ \"รอยัลไฮเนส\" นั้นมีไว้สำหรับพระราชบุตรพระมหากษัตริย์ พระราชบุตรของพระราชบุตรพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ซึ่งมีพระชนม์อยู่และเป็นพระราชโอรสหัวปีในพระราชโอรสหัวปีซึ่งยังดำรงพระชนม์อยู่ของเจ้าชายแห่งเวลส์ ฉะนั้น ในพระสถานะพระโอรสหัวปีของดยุกแห่งเคมบริดจ์ผู้ซึ่งดำรงพระชนม์อยู่และเป็นพระราชโอรสหัวปีของเจ้าชายแห่งเวลส์ พระกุมารจึงทรงชอบที่จะมีฐานันดรศักดิ์ดังกล่าว", "title": "เจ้าชายจอร์จแห่งเคมบริดจ์" }, { "docid": "271393#0", "text": "จอร์จ โซรอส (12 สิงหาคม ค.ศ. 1930 - ) เดิมชื่อ จอร์จี ชวาร์ตซ์ (Hungarian: György Schwartz) นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เป็นนักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Institute", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#28", "text": "โซรอสให้การสนันสนุนทุนในการเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติด ในปี 2008 โซรอสบริจาคเงินจำนวน $400,000 เพื่อสนับสนุนการร่างกฎหมายในรัฐ Massachusetts ในนาม Massachusetts Sensible Marijuana Policy Initiative ซึ่งทำให้การครอบครองกัญชาน้อยกว่า 1 oz (28g) ไม่ผิดกฎหมายในรัฐนั้น โซรอสสนับสนุนเงินทุนในทำนองเดียวกันให้กับ รัฐ California Alaska Oregon Washington Colorado Nevada และ Maine และองค์กรที่สนับสนุนแนวคิดนี้ที่ได้รับการสนันสนุนเงินทุนจากโซรอส ประกอบด้วย Lindsmith Center และ Drug Policy Foundation", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#24", "text": "หลังจากที่บุชได้รับเลือกอีกครั้ง โซรอสและผู้สนันสนุนอื่นๆ ได้ให้ความสนับสนุนกับกลุ่มกองทุนการเมืองอีกกลุ่มชื่อ Democracy Alliance ที่สนับสนุนเป้าหมายของ พรรคการเมือง แนวประชาธิปไตย์ โซรอส สนับสนุน McCain-Feingold ในการทำ Bipartisan Campaign Reform Act ที่ทุกคนให้ความหวังว่าจะยับยั้ง “soft money” ที่มอบให้กับการเลือกตั้งรัฐบาล โซรอสมอบ soft money ให้กับ 527 ที่ไม่มีใครจะมากล่าวหาว่าเป็นการคอรับชั่นเหมือนกับการที่จะยิบยื่นเงินให้กับพรรคการเมืองด้วยตนเอง สิงหาคม 2009 โซรอส บริจาคเงิน $35,000,000,000 รัฐ นิวยอร์ก เป็น ear marked สำหรับเด็กด้อยโอกาส เพื่อมอบให้กับผู้ปกครองที่มีบัตร benefit โดยจะได้รับเงินจำรชนว $200 ต่อเด็กคนหนึ่ง อายุทตั้งแต่ 3 -17 ปี โดยไม่จำกัดจำนวนเด็ก นอกจากนี้ โซรอสยังมอบเงิน $ 140,000,000,000 เป็นกองทุนของ นิวยอร์ก จากเงินที่ได้มาจาก federal recovery act ในปี 2009", "title": "จอร์จ โซรอส" } ]
1804
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระราชธิดาของใคร ?
[ { "docid": "5513#7", "text": "เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชธิดาองค์แรกในเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (ภายหลังขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6) กับเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งยอร์ก พระราชบิดาของพระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาคนสุดท้ายของขุนนางชาวสกอตแลนด์นามว่า โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น เจ้าหญิงเอลิซาเบธประสูติโดยการคลอดแบบผ่าท้องเมื่อเวลา 2.40 น. (ตามเวลากรีนิช) ของวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2469 ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นของพระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา (ตา) ในกรุงลอนดอน ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมานิกายแองกลิคันจากคอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปแห่งยอร์ก ณ โบสถ์ส่วนพระองค์ภายในพระราชวังบักกิงแฮม และได้รับพระนาม \"เอลิซาเบธ\" ตามพระราชมารดา, \"อะเล็กซานดรา\" ตามสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระปัยยิกา (ย่าทวด) ซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนการประสูติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ 6 เดือน และ \"แมรี\" ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา (ย่า) เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชนัดดาหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี พ.ศ. 2472 ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงมีกำลังพระทัยและพระอาการดีขึ้น", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#10", "text": "ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบุรุษ มีพระนามเต็มว่า \"เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก\" และอยู่ลำดับที่สามในลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ ตามหลังเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระปิตุลาในลำดับแรก และเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชบิดาในลำดับที่สอง แม้ว่าการประสูติของพระองค์จะอยู่ในความสนใจของสาธารณชน แต่ก็ไม่มีใครคาดหมายว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายแห่งเวลส์ (พระปิตุลา) ยังมีพระชนมายุไม่มาก ทั้งยังได้รับการคาดหมายว่าจะอภิเษกสมรสและมีพระโอรส-ธิดาของพระองค์เอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2479 เมื่อพระอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคต และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระปิตุลา เถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เจ้าหญิงเอลิซาเบธจึงเลื่อนขึ้นมาลำดับที่สองในลำดับการสืบราชบัลลังก์ตามหลังพระราชบิดาในลำดับที่หนึ่ง ภายหลังในปีเดียวกันนี้เองที่พระปิตุลาทรงสละราชสมบัติเพื่อไปสมรสกับวอลลิส ซิมป์สัน แม่หม้ายชาวอเมริกันผู้หย่าร้างมาแล้วสามรอบ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้น พระราชบิดาขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์และพระองค์ก็ทรงกลายมาเป็นรัชทายาทโดยสันนิษฐานด้วยพระอิสริยยศ \"เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ\" ซึ่งถ้าหากพระองค์มีพระเชษฐาหรือพระอนุชาร่วมบิดา-มารดา พระองค์ก็จะทรงสูญเสียสถานะรัชทายาทโดยสันนิษฐานและอยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังก์ที่ต่ำกว่า เพราะตามกฏสืบราชสมบัติอังกฤษจะให้สิทธิ์แก่รัชทายาทบุรุษเป็นรัชทายาทโดยนิตินัย", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "68672#9", "text": "ในปี พ.ศ. 2469 ทั้งสองพระองค์ก็มีพระธิดาพระองค์แรกคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ที่ต่อมาได้เสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ส่วนพระธิดาอีกพระองค์หนึ่งคือ เจ้าหญิงมาร์กาเรต โรส ที่ประสูติอีกสี่ปีต่อมา ดยุกและดัชเชสแห่งยอร์กเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลียเพื่อเปิดอาคารรัฐสภาในกรุงแคนเบอร์ราในปี พ.ศ. 2470", "title": "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี" } ]
[ { "docid": "39175#1", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ผู้ประสูติที่พระราชวังกรีนิช เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กับสมเด็จพระราชินีแอนน์ บุลิน พระมเหสีพระองค์ที่ 2 ซึ่งถูกประหารชีวิตโดยการบั่นพระเศียรเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 พระชนมายุได้เพียงเกือบ 3 พรรษา จากนั้นพระองค์ก็ทรงถูกประกาศว่าเป็นพระราชธิดานอกกฎหมาย", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ" }, { "docid": "68672#0", "text": "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี (), เอลิซาเบธ แองเจลา มาร์เกอริต โบวส์-ลีออน (; 4 สิงหาคม พ.ศ. 2443 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2545) เป็นสมเด็จพระราชินีมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ พ.ศ. 2479 จนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2495 หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระสวามีได้ดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับพระธิดาองค์โตคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของพระสวามีในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2466 จนถึงปี พ.ศ. 2479 ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดัชเชสแห่งยอร์ก อีกทั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งไอร์แลนด์และจักรพรรดินีแห่งอินเดียพระองค์สุดท้ายอีกด้วย ประชาชนนิยมเรียกพระองค์ท่านว่า \"ควีนมัม\"", "title": "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี" }, { "docid": "5513#0", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (; พระราชสมภพ 21 เมษายน พ.ศ. 2469) เป็นพระประมุขของ 16 ประเทศ จาก 53 รัฐสมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและผู้ปกครองสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "490496#5", "text": "ในพระสถานะพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงได้รับการเฉลิมพระนามว่า \"โดยพระคุณของพระเป็นเจ้า เอลิซาเบธที่ 2 สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ตลอดทั้งราชอาณาจักรและดินแดนอื่น ๆ ของพระนาง พระประมุขแห่งเครือจักรภพ ผู้ปกป้องศรัทธา\" (Elizabeth the Second, by the Grace of God, of the United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland and of Her other Realms and Territories Queen, Head of the Commonwealth, Defender of the Faith)", "title": "อัครศาสนูปถัมภก" }, { "docid": "5513#54", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานแซงหน้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ ทรงเป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุด เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์ได้รับการเฉลิมฉลองที่แคนาดาในฐานะ \"\"ประมุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในยุคสมัยใหม่ของแคนาดา\"\" (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทรงเป็นพระประมุขของแคนาดายาวนานกว่าสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) พระองค์ยังเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังทรงราชย์ยาวนานที่สุดในโลก หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร พระองค์แรกที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#49", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัส ณ ที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติเป็นครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2553 ในฐานะที่เป็นพระประมุขแห่งประเทศเครือจักรภพ เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กีมุน กล่าวสดุดีพระองค์ว่าเป็น \"เสาหลักสำหรับยุคของเรา\" ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์กซึ่งตามมาด้วยการเสด็จฯ เยือนแคนาดา เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวนอนุสรณ์ระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งที่ 16 นับตั้งแต่ พ.ศ. 2497 และได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น \"การเสด็จฯ เยือนอำลา\" เนื่องจากพระองค์มีพระพรรษามากแล้ว", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#6", "text": "พระองค์ทรงมีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น \"เจ้าชายแห่งเวลส์\" ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2491 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอนน์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น \"เจ้าหญิงพระราชกุมารี\" ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2493 พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น \"ดยุกแห่งยอร์ก\" ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2503 และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น \"เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์\" ซึ่งประสูติในปี พ.ศ. 2507", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" } ]
442
จักรพรรดิ์ของประเทศญี่ปุ่นในปี2018 มีชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "33649#8", "text": "จักรพรรดิอะกิฮิโตะได้มีพระราชกระแสรับสั่งต่อประชาชนในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งมีความนัยถึงการสละราชบัลลังก์ให้แก่มกุฎราชกุมารนะรุฮิโตะ พระราชโอรสองค์ใหญ่[1][2] และในกรณีเมื่อจักรพรรดิอะกิฮิโตะสละราชบัลลังก์แล้ว ก็จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมนเทียรบาล คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า จะสามารถทูลเชิญเจ้าชายนะรุฮิโตะขึ้นสืบราชบัลลังก์ได้ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561[3] โดยจักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ล่าสุดที่สละราชสมบัติ คือ จักรพรรดิโคกะกุ เมื่อ พ.ศ. 2360[4][5]", "title": "สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ" } ]
[ { "docid": "572269#1", "text": "หนึ่งในความสำเร็จของทีมวอลเลย์บอลหญิงอิตาลีคือการคว้าแชมป์วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2002 ที่เยอรมัน โดยทีมชาติอิตาลีสามารถเอาชนะทีมชาติสหรัฐอเมริกาในรอบชิงชนะเลิศ และคว้าแชมป์วอลเลย์บอลหญิงเวิลด์คัพในปี 2007 และปี 2011 ที่ประเทศญี่ปุ่น\nและคว้า อันดับที่2 ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ปี2018\nทีมชาติอิตาลีได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 จากการเป็นฝ่ายคว้าแชมป์วอลเลย์บอลหญิงเวิลด์คัพ 2011 ตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 18 พฤศจิกายน ณ ประเทศญี่ปุ่น และที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ทีมดังกล่าวได้อันดับห้าจากการแข่งขัน", "title": "วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติอิตาลี" }, { "docid": "56151#9", "text": "สาขาแรกของสตาร์บัคส์ที่ตั้งอยู่นอกอเมริกาเหนือตั้งอยู่ที่ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1996 ต่อมาได้เข้าทำตลาดในสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1998 ด้วยมูลค่า 83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยร้าน 56 สาขา และปรับปรุงร้านภายใต้ชื่อ สตาร์บัคส์ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในลาตินอเมริกา ที่เม็กซิโกซิตี ซึ่งในขณะนี้มีมากกว่า 500 สาขาในประเทศเม็กซิโก อีกทั้งยังมีแผนที่จะขยายเป็น 850 สาขาใน ค.ศ. 2018", "title": "สตาร์บัคส์" }, { "docid": "997477#0", "text": "My Hero Academia: Two Heroes (กำเนิดใหม่ 2 วีรบุรุษ) () เป็นหนังแอนิเมชั่นซูเปอร์ฮีโร่ของญี่ปุ่น ฉายในปี 2018 อ้างอิงเนื้อเรื่องจากมังงะญี่ปุ่นเรื่อง มายฮีโร่ อคาเดเมีย โดยโฮริโคชิ โคเฮย์ เนื้อเรื่องอยู่ระกว่างซีซั่น 2 และ 3 ของอนิเมะซีรีส์ กำกับโดย นางาซากิ เคนจิ ให้การผลิตโดย Bones ออกฉายครั้งแรกที่งาน Anime Expo เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2018 และเข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 3 สิงหาคม 2018 และเข้าฉายที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2018 โดยมีรอบพิเศษฉายในวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2018 ซึ่งมีการแจกสินค้าพิเศษ (พัดหน้าออลไมต์)", "title": "My Hero Academia: Two Heroes" }, { "docid": "985046#2", "text": "กลาราเป็นตัวแทนของปารากวัย ในประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2018 ที่ ย่างกุ้ง ประเทศพม่า วันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2018 กลาราสามารถคว้าตำแหน่งมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2018 มาครองได้สำเร็จ โดยมีสาวงามจากอินเดีย อินโดนีเซีย ปวยร์โตรีโก และญี่ปุ่นเป็นรองชนะเลิศตามลำดับ โดยเธอเป็นผู้เข้าประกวดคนแรกจากประเทศปารากวัยที่สามารถชนะในการการประกวด และเป็นสาวงามคนที่ 6 ที่ชนะในการประกวด", "title": "กลารา โซซา" }, { "docid": "336154#0", "text": "อาซากูซะ () เป็นย่านสำคัญของแขวงไทโต (台東区 \"Taitō-ku\") กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่ตั้งของวัดเซ็นโซ (浅草寺 \"Sensō-ji\") ที่มีชื่อเสียง วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์กวนอิม หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า \"คันนง\" (観音 \"Kannon\") อันเป็นที่เคารพบูชาของชาวญี่ปุ่นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีงานเทศกาลประจำปีที่มีชื่อเสียงระดับประเทศด้วย", "title": "อาซากูซะ" }, { "docid": "915283#1", "text": "ในวันที่ 12 เมษายน 2018 ได้มีการประกาศในเว็บไซต์ที่ Akemi Shimomura ประธานสมาคมวัฒนธรรมระหว่างประเทศได้ประกาศว่าการประกวด 2018 จะจัดขึ้นที่ โตเกียวโดม ซิตี้ฮอลล์, โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2018", "title": "นางงามนานาชาติ 2018" }, { "docid": "769858#2", "text": "การจับสลากแบ่งกลุ่มจัดขึ้นที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ประเทศญี่ปุ่นฐานะประเทศเจ้าภาพได้รับให้เป็นทีมวางของกลุ่ม A และ 7 ทีมแรกจากอันดับโลก ณ วันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2017 จะได้รับให้เป็นทีมวางของแต่ละกลุ่มโดยใช้วิธีสลับฟันปลาในสองแถวแรกจากอันดับโลก ส่วนที่เหลืออีก 16 ทีมจะถูกจับสลากในสี่แถวถัดไป โดยแต่ละกลุ่มจะมีทีมจากสมาพันธ์เดียวกันไม่เกิน 3 ทีม ตัวเลขในวงเล็บหมายถึงอันดับโลกทีมชุดใหญ่ ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นประเทศเจ้าภาพอันดับที่ 6\nบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 ในทุกนัดการแข่งขันที่วอลเลย์บอลสาวไทยลงแข่ง รวมถึงเทปบันทึกการแข่งขันนัดต่างๆ", "title": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018" }, { "docid": "861198#3", "text": "14 ปีต่อมา เรื่องราวชีวิตวัยเด็กของพระเจ้าอโศกพระองค์ได้รับการช่วยเหลือจากจาณักยะหรือชานัคยา เพื่อผ่านอุปสรรคต่างๆนางธรรมาไม่ได้บอกเรื่องของพ่อให้เจ้าชายอโศกได้รับรู้ นางต้องการให้เขาได้ใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน แต่ต่อมา เจ้าชายอโศกก็ได้รับรู้จากหลักฐานหลายๆ อย่าง และพยายามให้พระเจ้าพินทุสารและนางธรรมากลับมาอยู่ด้วยกัน จาณักยะเชื่อว่าเจ้าชายอโศกจะเป็นผู้ปกครองที่ดีของแคว้นมคธ เพราะความไม่เห็นแก่ตัวและคำปฏิญาณที่จะรับใช้มาตุภูมิจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แต่เจ้าชายอโศกไม่เคยคิดหวังจะขึ้นครองราชย์ และเชื่อว่าน้องชายต่างมารดาอย่างเจ้าชายสยามักจะเป็นกษัตริย์ที่เพียบพร้อมของแคว้นมคธได้\nจาณักยะกับราธาคุปต์และเหล่าบริวารต้องวุ่นวายกับการปกป้องราชบัลลังก์ของแคว้นมคธจากความชั่วร้ายของพระนางเฮเลน่าและศัตรูของแคว้นจาณักยะได้ปฏิญาณว่าจะปกป้องมาตุภูมิ และขัดขวางพระนางเฮเลน่าอย่างสุดความสามารถ ซึ่งพระนางเฮเลน่าก็ได้วางแผนสังหารเขาในภายหลัง พระนางจารุมิตราฝึกฝนมนต์ดำ เพื่อทำร้ายนางธรรมา เจ้าชายสุศิมะทรงเกลียดชังจาณักยะเพราะเขามักจะช่วยเหลือเจ้าชายอโศกเสมอ ขณะที่ขัลลาตักมักจะอิจฉาจาณักยะเพราะพระเจ้าพินทุสารทรงชื่นชมจาณักยะมากกว่าตน ดังนั้นพระนางเฮเลน่าจึงทรงร่วมมือกับพระนางจารุมิตรา เจ้าชายสุศิมะ ขัลลาตักและเจ้าชายสยามักที่เข้าร่วมแผนการนี้ด้วย พวกเขาสังหารจาณักยะ ซึ่งก่อนตาย จาณักยะได้บอกกับเจ้าชายอโศกว่า หนทางเดียวที่จะช่วยมาตุภูมิได้คือ เจ้าชายอโศกต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิ์ของแคว้นมคธเจ้าชายอโศกเชื่อว่า จาณักยะถูกสังหารโดยศัตรูของแคว้นมคธ จึงตั้งใจว่า จะหาตัวคนผิดมาลงโทษ และทำให้ความต้องการสุดท้ายของจาณักยะเป็นจริง โดยการเป็นจักรพรรดิ์ของแคว้นมคธ\nแต่เพื่อการกำจัดทรราชอย่างกีจักให้สิ้นซากเจ้าชายอโศกจึงเดินทางไปเมืองตักสิลา พระองค์ได้พบกับเจ้าหญิงกรกีเกิดเป็นความสัมพันธ์อันดีต่อกัน สร้างความไม่พอใจแก่พระเจ้าชคันนาถพระบิดาของนาง ต่อมาเจ้าชายอโศกได้กลับมาที่เมืองปาฏลีบุตรและทราบถึงตัวคนร้ายที่สังหารจาณักยะจึงต้องการจับคนร้ายมาลงโทษ สถานการณ์บีบบังคับให้เจ้าชายอโศกต้องโจมตีพระเจ้าพินทุสารและทำให้เจ้าชายสุศิมบาดเจ็บ ด้วยความโกรธเกรี้ยว พระเจ้าพินทุสารจึงขับไล่เจ้าชายอโศกออกจากเมืองนางธรรมาจึงออกจากเมืองไปกับเจ้าชายอโศก ทั้งคู่ย้ายไปอยู่ที่เมืองอุชเชนีย์ ", "title": "อโศกมหาราช (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2558)" }, { "docid": "445600#0", "text": "มหาวิทยาลัยจุงอัง (; ; อักษรย่อ: CAU) เป็นสถาบันการศึกษาเอกชน ซึ่งมีที่ตั้งมากกว่าสองวิทยาเขต ทั้งในโซล และนครอันซ็อง สถาบันแห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้นภายหลังจากการปลดปล่อยจากการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและความก้าวหน้าทางอารยธรรม ด้วยปรัชญาการศึกษาด้านความซื่อสัตย์และความยุติธรรม ภายใต้การดูแลของ ดร.อิม ยองซิน และเป็นแห่งแรกในเกาหลีใต้ที่นำเสนอในหลักสูตรเภสัชศาสตร์, บริหารธุรกิจ, สื่อสารมวลชน, การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์, การถ่ายภาพ และการละครกับภาพยนตร์ศึกษา โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านเภสัชศาสตร์, สื่อและศิลปะ จากการวิเคราะห์เมื่อไม่นานมานี้ คณะสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยจุงอัง มีการผลิตนักข่าวเป็นจำนวนมากที่สุดในตำแหน่งผู้บริหารในองค์กรสื่อที่สำคัญ ในขณะที่สาขาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์มีการผลิตตัวแทนโฆษณาเป็นจำนวนมากที่สุดจากมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศ หลักสูตรปริญญาโทที่นำเสนอโดยมหาวิทยาลัยจุงอังประกอบด้วย บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, คณะนิติศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ ใน ค.ศ. 2008 ดูซัน ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก ได้ทำการรวมเข้าในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง และโครงการมหาวิทยาลัยจุงอัง 2018+ ได้กำหนดภายใต้แผนพัฒนาใหม่ ด้วยวัตถุประสงค์สำหรับการปลูกฝังความรู้ในระดับโลก และสร้างความสามารถทางวิชาการเพื่อให้บรรลุการจัดอันดับ 100 มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในระดับสากลภายในปี ค.ศ. 2018", "title": "มหาวิทยาลัยจุงอัง" }, { "docid": "956524#5", "text": "ในเดือนพฤษภาคม 2018 เพลดิสนิวส์ประกาศทัวร์คอนเสิร์ต 2018 SEVENTEEN CONCERT 'IDEAL CUT' เป็นคอนเสิร์ตเอเชียทัวร์ครั้งที่สอง โดยจะจัดขึ้นในประเทศฮ่องกง, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน โดยคาดว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติมสำหรับอีกหลายประเทศ ", "title": "รายชื่อทัวร์คอนเสิร์ตและแฟนมีตติงของเซเวนทีน" }, { "docid": "888823#0", "text": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ จะมีประเทศสมาชิก 2 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายจะจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยทีมชนะเลิศชิงแชมป์อเมริกาใต้ 2017 และอีก 1 ทีมจากการแข่งขันรอบคัดเลือกจะผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันชิงแชมป์โลก 2018", "title": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้" }, { "docid": "832361#0", "text": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือกโซนยุโรป จะมีสมาชิก 7 ประเทศผ่านเข้าร่วมแข่งขันในรอบสุดท้ายที่ประเทศญี่ปุ่น\nสมาชิก 42 ประเทศจะเข้าร่วมการคัดเลือก", "title": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือก โซนยุโรป" }, { "docid": "769858#0", "text": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 () เป็นการแข่งขันครั้งที่ 18 ของวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก อยู่ภายใต้การกำกับของสหพันธ์วอลเลย์บอลระหว่างประเทศ ซึ่งรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 20 ตุลาคม ค.ศ. 2018 การแข่งขันครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 5 และครั้งที่ 3 ในรอบ 12 ปี. รอบหกทีมสุดท้ายจะจัดขึ้นที่เมืองโยะโกะฮะมะ มีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 24 ทีม", "title": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018" }, { "docid": "167146#3", "text": "จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2530 การรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่นก็ตกเป็นหนี้จำนวนมหาศาลถึง 25 ล้านล้านเยน (ประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีต่อมา เครือข่ายรถไฟนี้จึงถูกระงับโดยรัฐสภาญี่ปุ่น แล้วจึงแบ่งการรถไฟญี่ปุ่นออกเป็นบริษัทย่อยๆหลายบริษัทที่มีชื่อเรียกว่า กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น (JR Group)", "title": "การรถไฟญี่ปุ่น" }, { "docid": "861817#0", "text": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือกโซนแอฟริกา จะมีสมาชิกทั้งหมด 2 ประเทศ ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมแข่งขันในรอบสุดท้ายที่ประเทศญี่ปุ่น", "title": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือก โซนแอฟริกา" }, { "docid": "61936#5", "text": "เป็นปลาที่มีรสชาติดี อร่อย มีราคาแพง บางชนิดจึงถูกนำมาเพาะเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีชื่อ เช่น ปลาตูหนาญี่ปุ่น หรือปลาไหลญี่ปุ่น (\"A. japonica\") ซึ่งได้มีการเลี้ยงกันที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่ว่าต้องรวบรวมลูกปลาจากธรรมชาติ ซึ่งเคยมีการนำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทยระยะหนึ่ง ปลาตูหนาชนิดนี้ได้ถูกปรุงเป็นอาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อคือ ข้าวหน้าปลาไหล () ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้รับประทานกันมาอย่างยาวนานกว่า 5,000 ปีแล้ว", "title": "วงศ์ปลาตูหนา" }, { "docid": "813864#0", "text": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือกโซนนอร์เซกา จะมีสมาชิกทั้ง 6 ประเทศ เข้าร่วมแข่งขันในรอบสุดท้ายที่ประเทศญี่ปุ่น ทีมชาติสหรัฐอเมริกาได้ผ่านการคัดเลือกโดยอัตโนมัติสำหรับชิงแชมป์โลก 2018 ในฐานะแชมป์โลก 2014", "title": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาเหนือ" }, { "docid": "184758#5", "text": "หญ้ามิสแคนทัสซูซูกิเป็นพืชทางการค้าสำหรับปลูกเป็นไม้ประดับ มีชื่อเรียกในประเทศญี่ป่นว่า \"หญ้าซูซูกิ\" (すすき) ซึ่งนิยมปลูกเป็นต้นไม้สัญญลักษณ์ในช่วงปลายฤดูร้อน ได้มีการกล่าวถึงไว้ในกวีนิพนธ์เก่าแก่ของญี่ปุ่น (เล่มที่ 8 พ.ศ. 2018) ว่าเป็นพืช 1 ใน 7 ของสมุนไพรฤดูใบไม้ร่วง \"(akinonanankusa)\" รวมทั้งการใช้เป็นเดือนที่ 8 ใน\"ไพ่ฮานาฟูดา (hanafuda)\" ซึ่งเป็นไพ่โบราณของญี่ปุ่น นอกจากนี้หญ้าซูซูกิยังมีคุณสมบัติในการใช้ทำเยื่อสำหรับทำกระดาษได้เป็นอย่างดีอีกด้วย", "title": "หญ้ามิสแคนทัส" }, { "docid": "2417#65", "text": "ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ, เท็มปุระ, สุกียากี้, ยะกิโทะริ และ โซบะ เป็นต้น อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงกะสึ, ราเม็งปลาดิบ และ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก", "title": "ประเทศญี่ปุ่น" }, { "docid": "150672#68", "text": "โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นที่สิบสองในรูปแบบแฮทช์แบ็กได้เผยโฉมที่งานแสดงรถยนต์เจนีวาเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ในชื่อว่าออริส[1] รุ่นโคโรลล่า แฮทช์แบ็กเวอร์ชันอเมริกาเหนือได้เผยโฉมที่งานแสดงรถยนต์นานาชาตินิวยอร์กประจำปี 2018 อย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561 โคโรลล่า แฮทช์แบ็กเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ในชื่อว่า โคโรลล่า สปอร์ต โคโรลลา แฮทช์แบ็กเริ่มจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกากลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2018 และต่อมาได้เปิดตัวในออสเตรเลียในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561", "title": "โตโยต้า โคโรลล่า" }, { "docid": "20659#28", "text": "ปี 2006 สเตฟานีเปลี่ยนภาพลักษณ์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครที่มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์แสดงที่ชื่อ เอลวิรา แฮนคอก ในภาพยนตร์ปี 1983 เรื่อง สการ์เฟซ[2] การเปลี่ยนภาพลักษณ์นี้รวมถึง การใช้สัญลักษณ์ตัว G หลังชนกัน ที่เห็นได้จากกุญแจเครื่องประดับเพชรที่เธอสวมใส่ที่คอ ที่ถือเป็นจุดเด่นในการประชาสัมพันธ์ในชุด เดอะสวีตเอสเคป[96] สเตฟานีได้รับความสนใจในช่วงเดือนมกราคม 2007 เกี่ยวกับเรื่องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหลังตั้งครรภ์ เธอออกมาพูดภายหลังว่า เธอควบคุมอาหารตั้งแต่เรียนเกรด 6 เพื่อให้สวมชุดขนาด 4 ได้อย่างพอดี โดยพูดว่า \"เป็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง และเป็นฝันร้าย แต่ฉันก็ชอบเสื้อผ้ามากเกินไป ฉันเลยต้องการสวมเสื้อผ้าที่ฉันทำเองอยู่ตลอดเวลา\"[148] หุ่นขี้ผึ้งของสเตฟานีเปิดตัวที่มาดามทุซโซต์ ลาสเวกัส ในเดอะเวเนเชียน เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2010[149] การออกขายอัลบัมเดี่ยวชุดแรกของสเตฟานี ได้สร้างความสนใจต่อสมุน 4 คน ที่ชื่อ ฮาราจูกุเกิลส์ ที่ปรากฏตัวในชุดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชันกอทิกโลลิตา[150] และตั้งชื่อตามย่านบริเวณสถานีรถไฟฮะระจุกุในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ชุดแต่งกายของสเตฟานียังได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นญี่ปุ่น โดยอธิบายว่าเป็นการผสมผสานระหว่างคริสตีย็อง ดียอร์กับญี่ปุ่น[34] ผู้เต้นเหล่านี้ยังปรากฏในมิวสิกวิดีโอ ในสื่อ และปกอัลบัม เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี. โดยมีเพลงที่อุทิศให้พวกเธอในอัลบัมนี้ด้วย พวกเธอยังได้ร่วมในทัวร์และใช้ชื่อเดียวกับพวกเธอ ใน สเตฟานีส์ฮาราจูกุเลิฟเวอส์ทัวร์ นิตยสาร ฟอบส์ รายงานว่า เธอทำรายได้ในปี 2018 ได้ 27 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างเดือนมิถุนายน 2007 ถึง มิถุนายน 2008 จากทัวร์ สินค้าแฟชั่นและโฆษณา ทำให้เธอเป็นผู้มีชื่อเสียงด้านดนตรีที่ทำรายได้มากที่สุดอันดับ 10 ณ ขณะนั้น[151]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "806813#0", "text": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย จะมีสมาชิก 17 ประเทศเข้าร่วมการคัดเลือก ในรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยจะมี 4 ทีมที่ผ่านการคัดเลือก และประเทศเจ้าภาพ (ญี่ปุ่น) 1 ทีม รวมทั้งหมด 5 ทีม (4+1)", "title": "วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย" }, { "docid": "616907#5", "text": "ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยชิงหฺวา มีอันดับมหาวิทยาลัยโลก อยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก ประจำปี 2018-2019 โดย QS World University Rankings สำนักจัดอันดับชื่อดังจากประเทศอังกฤษ และอันดับที่ 30 ของโลก โดย Times Higher Education สำนักจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกจากประเทศอังกฤษ ที่ได้รับการยอมรับเรื่องระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) ด้านการเรียนการสอนและการวิจัยมากที่สุด มหาวิทยาลัยชิงหฺวา ได้รับการจัดอันดับให้เป็น มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ประจำปี 2017 ในอันดับที่ 14 ของโลก อันดับที่ 2 ของเอเชีย และอันดับที่ 1 ของจีน และ ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น สุดยอดสถาบันการศึกษาจากกลุ่มประเทศ, เศรษฐกิจเกิดใหม่ และกลุ่ม BRICS อันดับที่ 1 จากการจัดอันดับของ QS World University Rankings 6 ปีติดต่อกันในปี 2013, 2014, 2015, 2016, 2017 และ 2018 อีกด้วย", "title": "มหาวิทยาลัยชิงหฺวา" }, { "docid": "269601#1", "text": "ทีมวอลเลย์บอลหญิงของไทยได้พัฒนาการเล่นมาโดยตลอดจนก้าวขึ้นเป็นทีมระดับแนวหน้าของทวีปเอเชีย โดยคว้าอันดับ 3 การแข่งขัน-วอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชียได้ 2 ครั้ง ในปี ค.ศ. 2001 และ ค.ศ. 2007 ก่อนสร้างประวัติศาสตร์เมื่อสามารถเอาชนะทีมชาติจีน 3-1 เซต เป็นแชมป์ทวีปเอเชียเป็นครั้งแรกในการแข่งขันวอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชียในปี ค.ศ. 2009 ที่สนามเกวิ่นเงือ ประเทศเวียดนาม ทำให้ได้เป็นตัวแทนทวีปเอเชียไปแข่งขันวอลเลย์บอลเวิลด์แกรนด์แชมเปียนคัพในปี ค.ศ. 2009 จากนั้นในปี ค.ศ. 2012 สามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้อีกครั้ง เมื่อสามารถคว้าแชมป์วอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชียนคัพมาครองเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะทีมชาติจีนได้อีกครั้ง 3-1 เซต ที่ประเทศคาซัคสถาน ต่อมาในปี ค.ศ. 2013 สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ในการแข่งขันวอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศไทย เมื่อสามารถคว้าแชมป์ในการแข่งขันรายการนี้ได้อีกครั้ง หลังเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่น 3-0 เซตในรอบชิงชนะเลิศ นับเป็นการคว้าแชมป์เอเชียครั้งที่ 2 โดยเป็นการคว้าแชมป์ในประเทศไทยได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย จากการคว้าแชมป์ทำให้ได้สิทธิ์ไปแข่งขันวอลเลย์บอลเวิลด์แกรนด์แชมป์เปี้ยนคัพที่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ในฐานะแชมป์ของทวีปเอเชีย โดยสร้างผลงานคว้าอันดับ 5 มาครอง​ ต่อมาในปี 2014 วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยได้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง​ โดยการเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่นได้​ 3-0เซต​ ในรอบชิงอันดับที่สาม​ ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์2014​ ที่อินช็อน ประเทศเกาหลีใต้​ ซึ่งเป็นเหรียญทองแดงประวัติศาสตร์ของทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยอีกด้วย และในปี 2018 ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย ก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งในการผ่านเข้าชิงเหรียญทอง​ ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ที่ ประเทศอินโดนีเซีย แม้สุดท้ายจะพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติจีนแต่ก็เป็นเหรียญเงินครั้งแรกสำหรับกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ผลการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พ.ศ. 2561", "title": "วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย" }, { "docid": "933728#4", "text": "หลังจบการศึกษา แจนก็เริ่มต้นงานในฐานะศิลปินเดี่ยว และเข้าร่วมใน Upme แอปพลิเคชันช็อปปิงออนไลน์ กับ SHOWROOM แอปพลิเคชันไลฟ์สตรีมมิงของญี่ปุ่น งานส่วนใหญ่ของแจนเป็นงานที่ร่วมกับทางญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตท่องเที่ยวของจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido Smile Ambassador) ช่วงแรก ๆ เธอจึงต้องใช้เวลาอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นหลัก ต่อมาในเดือนพฤษภาคมก็เริ่มทำงานเพลงกับโทโมะ ฮิราตะ โปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น และฮอลลี เทอร์เรนส์ นักแต่งเพลงชาวออสเตรเลีย โดยผ่านการแนะนำจากทาง SHOWROOM ออกมาเป็นซิงเกิลแรกที่มีชื่อว่า \"You Make Me (My Dreams)\" เพลงนี้เปิดตัวครั้งแรกที่งานแคททีเชิ้ต 5 ซึ่งจัดโดยแคทเรดิโอเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561 และวางขายในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลด 17 แพลตฟอร์ม 240 ประเทศทั่วโลกในวันที่ 3 มิถุนายน ส่วนซิงเกิลต่อมา \"lanla (la la la)\" เปิดตัวที่งาน NIPPON HAKU BANGKOK 2018 เมื่อวันที่ 1 กันยายน และวางขายในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลดในวันเดียวกัน", "title": "เจตสุภา เครือแตง" }, { "docid": "307422#3", "text": "ในปี 2554 พย็องชังได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากลให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2561 โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งจากอีก 2 เมืองคือ มิวนิกและอานซี การแข่งขันครั้งที่นับเป็นครั้งที่ 3 ที่โอลิมปิกฤดูหนาว ได้ถูกจัดขึ้นในทวีปเอเชีย (ครั้งที่หนึ่ง ณ เมืองซัปโปะโระ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2515 และครั้งที่สอง ณ เมืองนะงะโนะ ประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2541) พย็องชังประสบความสำเร็จในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาว 2018 หลังจากการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาว 2 ครั้งก่อนหน้า ทั้งในปี 2010 และ 2014 ไม่ประสบผลสำเร็จ", "title": "พย็องชัง" }, { "docid": "946452#0", "text": "สาวมหัศจรรย์กับแท็บเล็ตแยกโลก () เป็นภาพยนตร์อะนิเมะแนวจินตนิมิตและผจญภัยจากประเทศญี่ปุ่น ภาพยนตร์ผลิดโดย Signal.MD กำกับและเขียนบทโดย Kenji Kamiyama และให้เสียงพากย์โดย มิตสึกิ ทากาฮาตะ ภาพยนตร์เข้าฉายในประเทศญี่ปุ่นโดยวอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอส์เจเปนในวันที่ 18 มีนาคม 2017 ส่วนฉบับพากย์ภาษาอังกฤษเข้าฉายที่สหราชอาณาจักรในวันที่ 16 สิงหาคม 2017 และที่สหรัฐในวันที่ 8 กันยายน ปีเดียวกัน ภาพยนตร์ได้ออกวางจำหน่ายเป็นแผ่นดีวีดีและบลูเรย์โดย GKIDS ที่อเมริกาเหนือในวันที่ 30 มกราคม 2018", "title": "สาวมหัศจรรย์กับแท็บเล็ตแยกโลก" }, { "docid": "350295#1", "text": "ตลอดการพิจารณา ประเทศนอกทวีปยุโรปทั้งหมดได้ถอนตัวจากการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 ทำให้ประเทศผู้เสนอตัวทวีปยุโรปทั้งหมดไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 ณ เวลาของการตัดสินใจ การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 ประกอบด้วยการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมของเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ อังกฤษ การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมของโปรตุเกสและสเปน และรัสเซีย ในขณะที่ประเทศผู้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 มาจากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น กาตาร์ เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพของอินโดนีเซียได้รับการตัดสิทธิเนื่องจากขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ เม็กซิโกถอนตัวจากการเสนอตัวเนื่องจากปัญหาทางการเงิน", "title": "การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 และ 2022" }, { "docid": "928399#0", "text": "(อังกฤษ: Autobacs Super GT Series) หรือ (Super GT) เป็นการแข่งรถในประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1993 เริ่มต้นใช้ชื่อว่า All-Japan Grand Touring Car Championship (JGTC) ภายใต้การรับรองจากสหพันธ์รถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น(JAF) ซึ่งต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ซูเปอร์จีที ในปี ค.ศ. 2005 และผ่านการรับรองจากเอฟไอเอโดยตรง ซึ่งในฤดูกาล 2018 นี้ ถือเป็นการแข่งขันครั้งที่ 25", "title": "ซูเปอร์ จีที ฤดูกาล 2018" }, { "docid": "947883#1", "text": "สโมสรแรกในอาชีพของเขาคืออัลอะฮ์ลี ก่อนที่จะถูกปล่อยยืมตัวให้กับอันเดอร์เลคต์ในปี ค.ศ. 2015 เขาลงเล่นทีมชาตินัดแรกในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งในปีนั้น เขามีอายุได้ 19 ปี และล่าสุดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018 เขามีชื่อติดทีมชาติไปแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย", "title": "มะห์มูด ฮะซัน (นักฟุตบอล)" } ]
2588
สุโขทัย ตั้งอยู่ภาคใด ?
[ { "docid": "5487#0", "text": "สุโขทัย (Northern Thai: ᩈᩩᨠᩮ᩠ᨡᩣᨴᩱ᩠ᨿ, เดิมสะกดว่า ศุโขไทย[1]) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร ตาก และลำปาง (เรียงตามเข็มนาฬิกาจากด้านเหนือ)", "title": "จังหวัดสุโขทัย" } ]
[ { "docid": "129615#31", "text": "สำเนียงพูดในภาษาถิ่นบ้านคุ้งตะเภา (ยังคงมีพูดกันอยู่ใน หมู่ 4, 3 ตำบลคุ้งตะเภา) เป็นส่วนหนึ่งของสำเนียงในภาษาถิ่นสุโขทัย ซึ่งเป็นสำเนียงที่ไม่ตรงกับภาษาเขียนและสำเนียงพูดของชาวภาคกลางมาแต่โบราณ ภาษาถิ่นบ้านคุ้งตะเภา เป็นสำเนียงโบราณที่สืบมาตั้งแต่ผู้คนในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ปัจจุบันพบได้ในจังหวัดอุตรดิตถ์, จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดใกล้เคียงในพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอาณาจักรสุโขทัยโบราณ โดยคนคุ้งตะเภาดั้งเดิมนั้นจะมีสำเนียงการพูดภาษาถิ่นสุโขทัย คล้ายคนสุโขทัยเดิม และเมืองฝางสวางคบุรี ในเรื่องนี้ สมชาย เดือนเพ็ญ นักวัฒนธรรมผู้เชี่ยวชาญภาษาถิ่นสุโขทัย ได้กล่าวว่า", "title": "หมู่บ้านคุ้งตะเภา" }, { "docid": "129615#8", "text": "ซึ่งเรื่องเรือสำเภาล่มนี้ถูกเล่าขานเป็นตำนานมานานแล้ว โดยไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ของเรือลำดังกล่าวหลงเหลืออยู่ หากในตำนานหมายถึงเรือสำเภาเดินทะเลในสมัยรัตนโกสินทร์หรืออยุธยา ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีการแต่งเสริมตำนานกันในสมัยหลัง เพราะจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์ในพื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาของพื้นที่ภาคกลางในปัจจุบันที่ชายฝั่งทะเลในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมาจะอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดินมาก โดยในช่วงหลังชายฝั่งได้ยื่นกลับออกไปจนเป็นพื้นที่ภาคกลางตอนล่างในปัจจุบัน ทำให้เรือสำเภานั้นไม่สามารถเแล่นเข้ามาสู่แผ่นดินตอนในเกินกว่าเมืองอยุธยาได้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายแล้ว อย่างไรก็ตามบาทหลวงปาลกัว มุขนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิกประจำสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้กล่าวอ้างอิงถึงตำนานโบราณของสยามตอนหนึ่งไว้ในหนังสือของท่านว่าในสมัยพระร่วงเจ้า พ.ศ. 1193 หรือในสมัยสุโขทัยนั้น เรือสำเภาจีนเดินทะเลสามารถขึ้นมาได้ถึงเมืองสังคโลก หรือสวรรคโลก ซึ่งหากเป็นจริงตามนี้ เรื่องเรือสำเภาล่มหน้าวัดคุ้งตะเภาอาจจะเก่าแก่ไปถึงสมัยสุโขทัยก็เป็นได้", "title": "หมู่บ้านคุ้งตะเภา" }, { "docid": "77832#1", "text": "พระร่วงทองคำ เป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดโคกสิงคาราม อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย สร้างในรัชสมัยใดไม่ปรากฏ แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี", "title": "พระร่วงทองคำ" }, { "docid": "152042#1", "text": "การออกแบบอาคารผู้โดยสารเป็นลักษณะทรงไทย เปิดโล่งตามศิลปะสุโขทัยโบราณ เพื่อความกลมกลืนและสอดคล้องกับวัฒนธรรมของจังหวัดสุโขทัย โดยตัวอาคารสามารถรองรับผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกอาคารละ 150 คน ปัจจุบันทางวิ่ง (Runway) ยาว 2,300 เมตร กว้าง 45 เมตร รองรับน้ำหนักได้ 45ตัน\nสนามบินสุโขทัย ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ ได้แก่ ด้านแรงงานต่างด้าว, ด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์, ด้านภาษีอากร และการหักลดหย่อน และด้านเงินตราต่างประเทศ\nทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด มาเป็นผู้ดูแลด้านการควบคุมการจราจรทางอากาศ โดยติดตั้งเครื่องช่วยเดินอากาศ และด้านการสื่อสารการบิน โดยให้บริการข่ายสื่อสารการบินผ่านดาวเทียม VSAT และยังได้รับความร่วมมือจากกองอากาศการบิน กรมอุตุนิยมวิทยา ติดตั้งเครื่องมือตรวจอากาศและรายงานสภาพอากาศบริเวณสนามบิน โดยใช้เครื่องวัดทิศทางความเร็วของลม เครื่องวัดความกดอากาศ และเครื่องวัดอุณหภูมิ ให้ทั้งสนามบินสุโขทัยและสนามบิน สมุยด้วย\nสนามบินสุโขทัยได้รับอนุญาตให้เป็นสนามบินศุลกากรประกอบกิจการเดินอากาศแบบประจำมีกำหนดประกอบด้วย ด่านตรวจคนเข้าเมือง, ด่านศุลกากร ด่านกักกันพืช และด่านควบคุมโรคติดต่อ สามารถรองรับผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศได้\nบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด เปิดสนามบินสุโขทัย พร้อมให้บริการในเส้นทาง กรุงเทพฯ-สุโขทัย และ กรุงเทพ-สุโขทัย-ลำปาง และจังหวัดใกล้เคียง ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย อาทิเช่น อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ฯลฯ รวมทั้ง ในเส้นทางในประเทศแถบอินโดจีน โดยบริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะใช้สนามบินสุโขทัย เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคแถบนี้", "title": "ท่าอากาศยานสุโขทัย" }, { "docid": "64140#2", "text": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[1776,1806,3,3]}'>สร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม เพราะได้พบหลักฐานศิลาจารึกสุโขทัยมีความว่า พ่อขุนศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันตธาตุสุคนธเจดีย์ ...", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" }, { "docid": "368374#0", "text": "พระสวรรค์วรนายก (ทองคำ โสโณ) เป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดสวรรคโลก (กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยุบจังหวัดสวรรคโลกให้ไปขึ้นกับจังหวัดสุโขทัย เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2482 ดังนั้นฐานะของเจ้าคุณสวรรค์วรนายก ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสวรรคโลก จึงเปลี่ยนเป็นเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัยไปด้วย ) และเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสวรรคาราม เกียรติคุณที่ปรากฏท่านเป็นพระผู้ที่ชอบสะสมวัตถุโบราณ ของเก่า เมื่อไปบวชเป็นพระอุปัชฌาย์ที่แห่งใด ญาติโยมที่เคารพนับถือได้ถวายวัตถุโบราณให้ท่าน ซึ่งต่อมาท่านได้ดำริในการมอบวัตถุโบราณให้กับทางราชการในการก่อตั้ง \"พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสวรรค์วรนายก\" อันตั้งอยู่ที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน", "title": "พระสวรรค์วรนายก (ทองคำ โสโณ)" }, { "docid": "23361#12", "text": "ด้านความเชื่อและศาสนา สังคมยุคสุโขทัยประชาชนมีความเชื่อทั้งเรื่องวิญญาณนิยม (Animism) ไสยศาสตร์ ศาสนาพราหมณ์ฮินดู และพุทธศาสนา ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 5 ว่า \"…เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้มีกุฎิวิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดพงส์ มีป่าพร้าว ป่าลาง ป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขระพุงผี เทพยาดาในเขาอันนั้นเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ว ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยว เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอันนั้นบ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย…\"", "title": "อาณาจักรสุโขทัย" }, { "docid": "11905#35", "text": "มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ยังเปิดการเรียนทางไกลให้สำหรับนักเรียนหรือบุคคลที่ต้องการเรียนล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องมีวุฒิการศึกษา ไม่ต้องสมัครเป็นนักศึกษาในหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งก็ได้ เมื่อสอบผ่านแล้วผู้เรียนยังสามารถโอนชุดวิชาที่เรียนผ่านเข้าเป็นชุดวิชาในหลักสูตรที่ต้องการศึกษาในภายภาคหน้าได้ ซึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่", "title": "มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" }, { "docid": "108913#0", "text": "อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีอำนาจอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 - 19 ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (เขตเทศบาลตำบลเมืองเก่า) อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน (เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี) ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (ถนนจรดวิถีถ่อง)", "title": "อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย" }, { "docid": "71307#2", "text": "อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนสมัยโบราณ มีชื่อที่ใช้เรียกดั้งเดิมจากท่าน้ำ 3 ท่าน้ำที่เป็นท่าน้ำประวัติศาสตร์ของอุตรดิตถ์ คือ ท่าโพธิ์ ท่าเสา และท่าอิฐ สันนิษฐานว่า ชื่อท่าโพธิ์ เนื่องจากมีต้นโพธิ์มากในบริเวณนั้น และมีคลองไหลผ่าน จึงเรียกคลองนั้นว่า คลองบางโพธิ์ (เพี้ยนมาเป็นบางโพ) ชื่อของคลองโพธิ์นี้เป็นชื่อที่ทำให้เกิดบริเวณที่เรียกว่า ปากน้ำโพธิ์ใน จังหวัดนครสวรรค์ บริเวณท่าโพธิ์ ปัจจุบัน คือ บริเวณวัดท่าถนน วัดคลองโพธิ์ และตลาดคลองโพ หรือก็คือตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน ท่าเสา มาจากคำว่า เซา เป็นภาษาเหนือ แปลว่า ส่วนท่าอิฐ (ท่าอิด) เป็นภาษาเหนือ คำว่า อิด แปลว่า เหนื่อย เนื่องจากการเดินทางมาค้าขายที่ท่าอิดทางเรือ และทางบกของจังหวัดภาคเหนือและภาคกลางสมัยโบราณ กว่าจะถึงก็เหนื่อย ความหมายของท่าอิฐและท่าเสาในอีกความเห็นหนึ่งนั้น พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษประจำกรมศิลปากร กล่าวไว้ในหนังสือของท่านคัดค้านการสันนิษฐานความหมายตามภาษาคำเมืองดัง กล่าว โดยกล่าวว่า คำว่าท่าอิฐและท่าเสานั้นเป็นคำในภาษาไทยกลาง เพราะคนท่าอิฐและท่าเสาเป็นกลุ่มชนสุโขทัยดั้งเดิมที่ใช้กลุ่มภาษาไทยกลุ่ม เมืองในแคว้นสุโขทัย เช่นเดียวกับชาวสุโขทัย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก กำแพงเพชร และเช่นเดียวกับกลุ่มคนในตำบลทุ่งยั้ง บ้านพระฝาง เมืองพิชัย บ้านแก่ง และบ้านคุ้งตะเภา ซึ่งเป็นกลุ่มคนแคว้นสุโขทัยเดิมในจังหวัดอุตรดิตถ์เช่นเดียวกัน โดยคำว่าท่าเสานั้น มีความหมายโดยตรงเกี่ยวข้องกับการล่องซุงหมอนไม้ในสมัยโบราณเช่นเดียวกับ ชื่อนามหมู่บ้านหมอนไม้ (หมอนไม้ซุง) ซึ่งอยู่ทางใต้ของบ้านท่าอิฐ \nท่าอิดเป็นท่าที่มีความเจริญทางการค้ามากกว่าทุกท่าใน ภาคเหนือ เป็นท่าจอดเรือ ค้าขายจากมณฑลภาคเหนือ และภาคกลางรวมถึงเชียงตุงเชียงแสนหัวพันทั้งห้าทั้งหก สิบสองปันนาสิบสองจุไทย เดิมท่าอิดอยู่ในความปกครองของขอมตลอดจน ถึงสมัยสุโขทัย ขอมหมดอำนาจ ท่าอิดจึงเป็นเมืองท่าขึ้นอยู่กับเมืองทุ่งยั้ง อันเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย สมัยต่อมาแคว้นน่านได้เปลี่ยนทางเดิน ทำให้หาดท่าอิดงอกออกไปทางตะวันออกมากทุก ๆ ปี ท่าอิดจึงเลื่อนตามลงไปเรื่อย ๆ เรียกว่าหาดท่าอิดล่าง ท่าอิดเดิมเรียกว่าท่าอิดบน ท่าอิดล่างก็ยังคงเป็นศูนย์การค้ามาตลอดจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ส่วนชื่อที่ใช้เรียกในระยะเวลาต่อมาว่า บางโพธิ์ท่าอิฐ น่าจะเป็นชื่อที่ได้รับการเรียกขึ้นมาในภายหลัง ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ท่าอิฐมีความเจริญขึ้นมากที่สุดใน 3 ท่าน้ำ รัชกาลที่ 4 (ไม่ชัดเจนว่ารัชกาลที่ 4 หรือ 5 เป็นผู้พระราชทานชื่ออุตรดิตถ์ แต่หากยึดตามพ.ศ.ที่พระราชทานตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4)จึงทรงพระราชทานชื่อเมืองให้ใหม่ว่า \"อุตรดิตถ์\" แปลว่า ท่าน้ำทางภาคเหนือ หรือท่าน้ำทางทิศเหนือ เนื่องจากเป็นท่าน้ำของไทยที่ตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศ เพราะเหนืออุตรดิตถ์ขึ้นไปในสมัยนั้นเป็นเมืองประเทศราชของสยาม ( อาณาจักรล้านนา)", "title": "อำเภอเมืองอุตรดิตถ์" }, { "docid": "20838#91", "text": "ความจากหนังสือตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ดังกล่าวมานี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับเค้าโครงของหนังสือนี้ว่ามีเค้าโครงมาจากสมัยสุโขทัยจริง แต่รายละเอียดบางส่วนอาจจะมีการแต่งเสริมกันขึ้นมาในสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์[51] อย่างไรก็ดี จากหลักฐานดังกล่าว (แม้จะไม่แน่ชัด) การพิธีวิสาขบูชา ย่อมเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย เพราะในสมัยนั้นกรุงสุโขทัยได้สืบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาจากลังกาประเทศ ซึ่งเป็นเมืองที่มั่นทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และขนาดของการจัดพิธีบูชาเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาของชาวศรีลังกานั้น นับเป็นพิธีใหญ่และสำคัญมากของอาณาจักรมาตั้งแต่แรกรับพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดพิธีเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาของประเทศศรีลังกานั้นมีความสำคัญและส่งอิทธิพลต่อประเทศพุทธศาสนาอื่นเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรสุโขทัยที่รับสืบพระพุทธศาสนามาจากประเทศศรีลังกาโดยตรง และหลังการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย จนถึงในสมัยอยุธยาก็สันนิษฐานว่าคงมีการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาอยู่ แต่ลดความสำคัญลงไปมาก จนไม่ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารหรือจารึกใด จนมาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พิธีวิสาขบูชาจึงได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง หลังจากความเสื่อมของพระพุทธศาสนาหลังยุคสุโขทัยล่มสลาย เพราะหลังจากสิ้นยุคอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยาได้ถูกครอบงำด้วยแนวคิดทางคติพราหมณ์ซึ่งได้รับจากการซึมซับวัฒนธรรมฮินดูแบบขอม (นครวัด)[52] จนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พระองค์ได้มีพระราชประสงค์ให้ทำการฟื้นฟูการประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น พระองค์ได้ทรงปรึกษากับ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ให้วางแนวปฏิบัติการพระราชพิธีวิสาขบูชา และพระราชพิธีวันวิสาขบูชาครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้จัดขึ้นเป็นการพระราชพิธีใหญ่ 3 วัน 3 คืน นับตั้งแต่วันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ ถึง วันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ปีฉลู นพศก จุลศักราช 1179 ( พ.ศ. 2360) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงเพิ่มจัดให้มีการเทศน์ปฐมสมโพธิกถา (พระพุทธประวัติ) ในวันวิสาขบูชาด้วย ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการตั้งโต๊ะเครื่องบูชารอบระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ปรากฏหลักฐานว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจุดดอกไม้เพลิงถวายเป็นพุทธบูชา และให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายใน และหน่วยราชการต่าง ๆ เดินเวียนเทียน จัดโคมประทีป และสวดมนต์ที่พระพุทธรัตนสถาน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และมีการจัดพิธีวิสาขบูชาสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "วันวิสาขบูชา" }, { "docid": "393495#0", "text": "เขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดสุโขทัย เป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 5", "title": "เขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดสุโขทัย" }, { "docid": "907017#1", "text": "พระนางประสูติเมื่อใดไม่มีหลักฐานเป็นพระราชธิดาของ พระยาเลอไทย กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่ง อาณาจักรสุโขทัย ใน ค.ศ. 1311 พระยาเลอไทยได้ส่งพระนางมายัง เมาะตะมะ เพื่ออภิเษกกับพระเจ้าแสนเมืองเมื่อขึ้นสืบราชบัลลังก์ (ขณะนั้นเมาะตะมะยังเป็นประเทศราชของสุโขทัยอยู่นับตั้งแต่สถาปนาอาณาจักร) เมื่อมาถึงเมาะตะมะพระนางได้รับการสถาปนาเป็นพระอัครมเหสีและมีพระประสูติกาลพระราชโอรส-ธิดา 2 พระองค์คือ สอเอ และ แม่นางโอกัลยาณ์ พระเจ้าแสนเมืองได้ประกาศเอกราชจากสุโขทัยพร้อมกับเข้าตี ทวาย และ ตะนาวศรี จากสุโขทัยเมื่อ ค.ศ. 1321", "title": "แม่นางตะปี" }, { "docid": "209494#0", "text": "สรีดภงส์ หรือ ทำนบพระร่วง คือ ทำนบกั้นน้ำหรือเรียกกันในปัจจุบันว่าเขื่อน เดิมคนท้องถิ่นตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เรียกร่องรอยของคันดินโบราณเพื่อการชลประทานว่า ทำนบพระร่วง เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นผู้สร้างขึ้น จึงถือว่าเป็นของที่พระร่วงทำขึ้นหรือเกิดขึ้นด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระร่วงทั้งสิ้น \nสรีดภงส์หรือทำนบพระร่วงอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเก่าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตรงบริเวณที่ถูกขนาบด้วยภูเขาสองลูกเป็นรูปก้ามปู คือ เขาพระบาทใหญ่และเขากิ่วอ้ายมา ภูเขาทั้งสองลูกนี้อยู่ในทิวเขาหลวงด้านหลังตัวเมืองสุโขทัยโบราณ ลึกเข้าไปในทิวเขานี้เป็นซอกเขาอันเป็นต้นกำเนิดของทางน้ำเรียกว่า \"โซกพระร่วงลองขรรค์\"", "title": "สรีดภงส์" }, { "docid": "48101#41", "text": "รูปแบบของเจดีย์เกิดขึ้นในสมัยศิลปะสุโขทัย นิยมสร้างกันเพียงในช่วงเวลาสมัยศิลปะสุโขทัยเท่านั้น ความที่เจดีย์แห่งนี้มีลักษณะเฉพาะของศิลปะสุโขทัย ไม่เหมือนเจดีย์แห่งอื่นใด และได้รับความนิยมในช่วงที่กรุงสุโขทัยเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ ทำให้คิดว่าเป็นเพราะลักษณะเฉพาะที่เด่นชัดของเจดีย์ เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นสุโขทัย เป็นเหตุให้ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไปภายหลังที่สุโขทัยหมดอำนาจและถูกรวมไว้ภายใต้อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ซึ่งอาจนับเป็นเหตุผลทางการเมืองอย่างหนึ่งก็เป็นได้[50]", "title": "เจดีย์" }, { "docid": "315254#4", "text": "ดนตรีปี่กลองมังคละ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวอาณาจักรสุโขทัยมาช้านาน ด้วยเหตุนี้สำเนียงการพูดดั้งเดิมแบบสุโขทัย (ภาษาถิ่นสุโขทัย) และการละเล่นดนตรีมังคละ จึงเป็นส่วนหนึ่งในการชี้วัดความเป็นชุมชนดั้งเดิมที่สืบทอดมาตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัยในเขตภาคเหนือตอนล่างในปัจจุบันอีกด้วย", "title": "วงมังคละ" }, { "docid": "5487#2", "text": "ตามการแบ่งจังหวัดเป็นภาคโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติและราชบัณฑิตยสภา จังหวัดสุโขทัยตั้งอยู่ในภาคกลาง บริเวณตอนบนของภาค หากแบ่งเขตตามการพยากรณ์อากาศและเศรษฐกิจ สังคม จะจัดอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ห่างจากกรุงเทพมหานครตามระยะทางหลวงแผ่นดินประมาณ 440 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้", "title": "จังหวัดสุโขทัย" }, { "docid": "83231#9", "text": "วารสารกฎหมายสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นวารสารประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดยมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช​ได้ตีพิมพ์วารสารสุโขทัยธรรมาธิราชขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2531​เพื่อเป็นวารสารกลางในการลงพิมพ์บทความทางวิชาการ รายงานการวิจัยทางนิติศาสตร์ รวมไปถึงเฉลยและวิเคราะห์ข้อสอบปัญหาข้อกฎหมายที่น่าสนใจที่สาขาวิชานำมาออกเป็นปัญหาข้อสอบในภาคที่ผ่านมา รวมไปถึงการวิจารณ์และแนะนำหนังสือกฎหมายที่น่าสนใจ", "title": "สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" }, { "docid": "152400#6", "text": "การตัดแต้มวัดผลของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช มีการตัดแต้มและการให้ปริญญาเกียรตินิยมโดยใช้เกณฑ์การคิดคะแนนเฉลี่ยสะสมเช่นเดียวกัน แตกต่างกันเพียงใช้อักษร \"H S U\"มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช มีข้อจำกัดในการได้รับสิทธิ์รับปริญญาเกียรตินิยม คือ ต้องไม่เคยสอบตกในชุดวิชาใดตลอดหลักสูตร ไม่เคยโอนชุดวิชาหรือเทียบโอนวิชาเพื่อเข้าชุดวิชาใดในหลักสูตร และต้องสอบไล่ได้ทุกชุดวิชาภายในเกณฑ์การศึกษาของมหาวิทยาลัย", "title": "นโยบายสถานศึกษาเปิด" }, { "docid": "4529#10", "text": "เหนือสิ่งอื่นใดราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช ได้สถาปนาพระพุทธศาสนา ลัทธิลังกาวงศ์ ขึ้นอย่างมั่นคงในนครศรีธรรมราช มีการบูรณะพระเจดีย์เดิม ให้เป็นทรงระฆังคว่ำ อันเป็น ศิลปะลังกา จนนครศรีธรรมราชกลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม เป็นเมืองแม่แห่งวัฒนธรรม ที่ได้ถ่ายทอด ศิลปวัฒนธรรมไปยัง หัวเมืองอื่น ๆ รวมทั้งสุโขทัยซึ่งในเวลานั้นเพิ่งเริ่ม ก่อตัวขึ้นเป็นราช ธานีทาง ภาคเหนือตอนล่างใหม่ ๆ", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "11905#38", "text": "ปัจจุบันมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชมีศูนย์วิทยพัฒนาทั้งสิ้น 10 ศูนย์ กระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ครบทุกภาคของประเทศไทย ดังนี้[20]", "title": "มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" }, { "docid": "78585#12", "text": "พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย ถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และครั้งที่ 2 ในสมัยพระยาลิไท พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะสมัยสุโขทัยได้รับการกล่าวขานว่างดงามมาก โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย มีลักษณะงดงาม ไม่มีศิลปะสมัยใดเหมือน", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศไทย" }, { "docid": "83231#7", "text": "สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มีการออกข้อสอบวิชากฎหมาย แตกต่างจากโรงเรียนกฎหมายอื่นในประเทศไทยคือ มีการออกข้อสอบแบบปรนัยในการสอบไล่วิชากฎหมายด้วย โดยตัดคะแนนปรนัย 50% และอัตนัย 50% โดยการออกข้อสอบในภาคปรกติ จะออกข้อสอบแบบตัวเลือก (ปรนัย) 60 ข้อ และข้อสอบแบบเขียนตอบ (อัตนัย) 3 ข้อ (ข้อละ 20 คะแนน) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนอัตนัยเช่นเดียวกับโรงเรียนกฎหมายทั่วไป (คณะนิติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ) โดยตัดคะแนนผ่านในชุดวิชานั้น ๆ ที่ 60/100 คะแนน (ในคำวินิจฉัยปัญหาข้อสอบกฎหมาย ในวารสารกฎหมายสุโขทัยธรรมาธิราช มีคำแนะนำว่า มีหลายครั้งที่นักศึกษาทำข้อสอบอัตนัยได้คะแนนดี แต่ทำข้อสอบปรนัยไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้เนื่องจากข้อสอบปรนัยของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นการออกข้อสอบที่ไม่เน้นออกบทเรียนเฉพาะจุด ไม่ซ้ำซ้อนกับภาคที่ผ่านมา (ออกข้อสอบใหม่หมดในทุกภาค ไม่มีการนำข้อสอบเก่ามาออกใหม่) ทั้งนี้เพื่อการประเมินผลความรู้โดยรวมของนักศึกษา และบ่อยครั้งที่ออกข้อสอบปรนัยในระดับวิเคราะห์และสังเคราะห์ปะปนกันไป ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เน้นเฉพาะการทำข้อสอบอัตนัยเท่านั้นสอบไม่ผ่าน ทั้งที่สามารถทำข้อสอบอัตนัยได้คะแนนดีมาก)", "title": "สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" }, { "docid": "176164#2", "text": "ประเพณีงานบุญกลางบ้าน เป็นประเพณีงานบุญของชาวไทยกลุ่มวัฒนธรรมที่ราบลุ่มภาคกลาง มีมาแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ แต่สันนิษฐานว่าอาจจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังการพบหลักฐานตุ๊กตาดินเผาสะเดาะเคราะห์รูปคน หรือที่เรียกว่า \"ตุ๊กตาเสียกบาล\" ซึ่งเป็นสิ่งประกอบในการกระทำประเพณีงานบุญกลางบ้านมาจนถึงปัจจุบัน ", "title": "งานบุญกลางบ้าน" }, { "docid": "35773#1", "text": "แม่สอดเป็นอำเภอที่มีการค้าระหว่างประเทศไทยกับพม่า เนื่องจากเป็นอำเภอที่อยู่ติดชายแดน และเป็นที่ตั้งจุดผ่านแดนถาวรด่านพรมแดนแม่สอด เชื่อมโยงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ประวัติความเป็นมาของอำเภอแม่สอดนั้นยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจะเป็นเมืองฉอดของขุนสามชนที่เคยยกทัพไปตีกรุงสุโขทัยหรือไม่ ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ เมื่อดูตามสภาพบ้านเมืองของอำเภอแม่สอดนั้น ไม่พบว่ามีสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่มีอายุอยู่ในยุคของสุโขทัยได้เลย ฉะนั้นจึงน่าเชื่อได้ว่าไม่ใช่เมืองเดียวกัน และขณะนี้ได้มีนักโบราณคดีพบซากเมืองโบราณอยู่ในป่าทึบในท้องที่อำเภอแม่ระมาด ซึ่งอาจจะเป็นเมืองฉอดตามศิลาจารึกกรุงสุโขทัยได้", "title": "อำเภอแม่สอด" }, { "docid": "241666#4", "text": "เหตุการณ์อุทกภัยและโคลนถล่มในจังหวัดบริเวณภาคเหนือตอนล่าง มีพื้นที่ประสบภัย รวม 5 จังหวัด 26 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 171 ตำบล 1,200 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย แพร่ ลำปาง และน่าน มีผู้เสียชีวิต 87 คน (จ.อุตรดิตถ์ 75 คน จ.สุโขทัย 7 คน และ จ.แพร่ 5 คน) สูญหาย 29 คน (จ.อุตรดิตถ์ 28 คน จ.สุโขทัย 1 คน) บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 697 หลัง เสียหายบางส่วน 2,970 หลัง ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 352,016 คน 108,762 ครัวเรือนอพยพ 10,601 คน", "title": "อุทกภัยและโคลนถล่ม 5 จังหวัดในเขตภาคเหนือตอนล่าง พ.ศ. 2549" }, { "docid": "78585#11", "text": "หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลง คนไทยจึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระ ได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นเอง 2 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่และอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกา จึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่อยู่ที่นครศรีธรรมราช มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศไทย" }, { "docid": "156124#2", "text": "ในสมัยสุโขทัยช่วงมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน พบว่าได้มีการดื่มชากัน แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำเข้ามาได้อย่างไร และเมื่อใด แต่จากจดหมายของลาลูแบร์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวไว้ว่า คนไทยได้รู้จักการดื่มชาแล้ว โดยนิยมชงชาเพื่อรับแขก การดื่มชาของคนไทยสมัยนั้นดื่มแบบชาจีนไม่ใส่น้ำตาล สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น แหล่งกำเนิดเดิมอยู่ทางภาคเหนือที่รู้จักกันทั่วไปในไทย\nการชงเซนฉะ", "title": "ชาเขียว" }, { "docid": "129615#15", "text": "การอพยพมาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายมาเป็นชาวบ้านคุ้งตะเภาในปัจจุบันนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีการย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งแต่เมื่อใด แต่อย่างไรก็ตาม จากบริบทด้านชาติพันธุ์และสำเนียงภาษาของชาวบ้านคุ้งตะเภานั้น ทำให้สามารถสันนิษฐานได้ชัดเจนว่าพื้นเพของคนคุ้งตะเภานั้นเป็น \"\"คนไทยเหนือ\"\" ตามคำปากของคนในสมัยอยุธยา คือเป็นกลุ่มคนชาติพันธ์ไทยเดิมที่อยู่แถบเมืองพิษณุโลก, พิจิตร และสุโขทัย ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ปลายดินแดนหัวเมืองทางเหนือของอาณาจักรอยุธยา อันเป็นรอยต่อระหว่างวัฒนธรรมภาคกลางและวัฒนธรรมล้านนา โดยคนคุ้งตะเภาดั้งเดิมนั้นจะมีสำเนียงการพูดคล้ายคนสุโขทัยเดิม เมืองฝางสวางคบุรีและทุ่งยั้ง ในเรื่องนี้ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ประจำกรมศิลปากร สันนิษฐานว่าสำเนียงการพูดของคนคุ้งตะเภานั้น เป็นสำเนียงดั้งเดิมของคนไทยที่ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัย โดยกล่าวว่าคนบ้านคุ้งตะเภานั้น ", "title": "หมู่บ้านคุ้งตะเภา" }, { "docid": "86487#0", "text": "ขนุน ( หรือ \"A. heterophylla\") ภาคอีสานเรียกบักมี่ ภาคเหนือเรียกบ่าหนุน สิบสองปันนาเรียกหมากมี่ หรือ หมากหนุน กาญจนบุรีเรียกกระนู ภาษาไทใหญ่เรียก ลาง เป็นไม้ผลยืนต้นในวงศ์ Moraceae มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และแพร่หลายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และได้รับความนิยมมากในคาบสมุทรมลายู ไม่ปรากฏว่าเข้ามายังประเทศไทยเมื่อใด แต่มีกล่าวถึงในเอกสารโบราณตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ชื่อสามัญของขนุนในภาษาอังกฤษคือ jackfruit มาจากภาษาโปรตุเกส jaka ที่เพี้ยนมาจากภาษามลายู chakka หรือภาษามาลายาลัม \"chakka\" (ചക്ക) ในขณะที่ยูกันดาในทวีปแอฟริกาเรียกว่า ไข่ช้าง เนื่องจากขนุนมีผลขนาดใหญ่ ขนุนเป็นผลไม้ที่มีผลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก นานๆครั้งถึงจะมีผลที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 25 ซม.", "title": "ขนุน" } ]
3581
แมนจูเรีย คืออะไร?
[ { "docid": "25750#0", "text": "แมนจูเรีย (simplified Chinese:满洲; traditional Chinese:滿洲; pinyin:Mǎnzhōu) เป็นแคว้นหนึ่งทางเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ในบางบริบทอาจหมายถึงแคว้นหนึ่งของประเทศจีน[1][2][3] (ปัจจุบันเรียกว่าจีนตะวันออกเฉียงเหนือ (simplified Chinese:东北; traditional Chinese:東北; pinyin:Dōngběi) ) หรือครอบคลุมถึงประเทศรัสเซีย ดินแดนนี้เป็นถิ่นอาศัยของชาวเซียนเปย์ ชาวชี่ตัน และชาวแมนจู (ชื่อแคว้นมาจากชื่อชนกลุ่มนี้) ซึ่งสถาปนารัฐของตนขึ้นหลายรัฐในดินแดนนี้", "title": "แมนจูเรีย" } ]
[ { "docid": "609282#4", "text": "สำหรับการเจรจานั้น มีขึ้นที่อาคาร \"General Stores\" ในฐานทัพเรือ ซึ่งบรรดาเฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานีในการเจรจาครั้งนี้ ถูกจัดไว้แบบเดียวกับห้องประชุมรัฐบาลในทำเนียบขาว และถูกส่งมาจากวอชิงตัน ดี.ซี.\nสำหรับข้อตกลงร่วมกันในสนธิสัญญา ทั้งญี่ปุ่นและรัสเซีย ต่างตกลงที่จะปล่อยแมนจูเรีย คืนแก่เจ้าของที่แท้จริงคือจีน แต่ญี่ปุ่น ขอเช่าคาบสมุทรเหลียวตง (ประกอบด้วยเมืองพอร์ตอาเธอร์ และ ต้าเหลียน) ตลอดจนเช่าทางรถไฟของรัสเซียในภาคใต้ของแมนจูเรีย เพื่อการเข้าถึงทรัพยากรสำคัญทางยุทธศาสตร์ และญี่ปุ่น ยังได้ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งทางใต้ของเกาะซาฮาลินจากรัสเซีย ทั้งหมดนี้ในทางพฤติการณ์ เท่ากับว่าจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เข้าปกครองดินแดนแมนจูเรีย", "title": "สนธิสัญญาพอร์ตสมัท" }, { "docid": "8538#53", "text": "หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์แมนจูเรีย หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์เกาหลี หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับรัสเซีย หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับจีน", "title": "สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น" }, { "docid": "926752#0", "text": "การพิชิตหมิงของชิง หรือ การเปลี่ยนผ่านจากหมิงสู่ชิง เป็นที่รู้จักกันในการพิชิตประเทศจีนของชาวแมนจู เป็นยุคสมัยของการสู้รบระหว่างราชวงศ์ชิงที่ก่อตั้งโดยแมนจู ตระกูลอ้ายซินเจว๋หลัวในดินแดนแมนจูเรีย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนในปัจจุบัน)และราชวงศ์หมิงของชาวฮั่นที่อยู่ทางตอนใต้\nในปี ค.ศ. 1618 นู่เอ๋อร์ฮาชื่อผู้นำเผ่าแมนจูอ้ายซินเจว๋หลัว ได้ประกาศความแค้นเจ็ดประการซึ่งได้ระบุความไม่พอใจต่อราชสำนักหมิงและประกาศตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับราชวงศ์หมิง หนึ่งในความแค้นทั้งเจ็ดข้อเกี่ยวข้องกับการสู้รบกับเผ่าเย่อเหอ, ซึ่งเป็นเผ่าที่มีความคิดแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่สนับสนุนเผ่าแมนจูและฝ่ายที่นิยมราชวงศ์หมิง ซึ่งราชสำนักหมิงเสี้ยมให้ทั้งสองเผ่าสู้กันเองเพื่อที่จะได้ปกครองโดยง่าย นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ต้องการให้ราชสำนักหมิงส่งเครื่องบรรณาการเป็นการขอขมาต่อเขาและยอมรับเขาในฐานะจักรพรรดิแมนจูเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสงคราม แต่อย่างไรก็ตามราชวงศ์หมิงกลับเผิกเฉยและไม่ยินยอมส่งเครื่องขอขมาไปยังชนเผ่าแมนจูเพื่อเป็นการขอโทษเพราะทางราชสำนักถือว่าเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรตืของฮ่องเต้หมิงและราชวงศ์หมิงที่ถือว่าแมนจูเป็นอดีตประเทศราชของตนมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานนู่เอ๋อร์ฮาชื่อได้เริ่มการก่อกบฎทำสงครามกับหมิงที่เหลียวหนิงทางตอนใต้ของแมนจูเรีย ในเวลาเดียวกันราชวงศ์หมิงก็กำลังต่อสู้ดิ้นรนเพือการอยู่รอดของตน เนื่องจากประสบปัญหาภายใน ความวุ่นวายทางการเงินและปัญหาการลุกฮือของกบฎชาวนาและทั้งภายในราชสำนักเอง", "title": "การพิชิตหมิงของชิง" }, { "docid": "76468#0", "text": "นกกระเรียนมงกุฎแดง หรือ นกกระเรียนญี่ปุ่น หรือ นกกระเรียนแมนจูเรีย (; ) ", "title": "นกกระเรียนมงกุฎแดง" }, { "docid": "194327#9", "text": "แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อได้เปรียบดังกล่าวขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ หนึ่งคือ กองทัพญี่ปุ่นสามารถได้รับกำลังเสริมจากเกาหลีทางรถไฟได้ ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่นที่อยู่ประชิดกับแมนจูเรีย สองคือ กองทัพมากกว่าครึ่งหนึ่งของจีนตั้งอย่ทางตอนใต้ของกำแพงเมืองจีน ในมณฑลหูเป่ย ขณะที่กองกำลังทางตอนเหนือวางกำลังอย่างกระจัดกระจายไปทั่วแมนจูเรีย และกองทัพจีนก็ไม่อาจวางกำลังพลได้รวดเร็วพอที่จะหยุดยั้งการบุกของญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้ ทหารจีนในพื้นที่ยังเป็นพวกฝึกหัด มีขวัญกำลังใจต่ำ และมีความจงรักภักดีที่คลอนแคลน และที่สำคัญที่สุด คือ สายลับของญี่ปุ่นได้แทรกซึมการบัญชาการของจาง เซวเหลียง เนื่องจากมีประวัติว่าเขามักจะไว้ใจที่ปรึกษาชาวญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นปฏิบัติการได้อย่างง่ายดาย", "title": "กรณีมุกเดน" }, { "docid": "282507#21", "text": "รัฐพัลแฮ (698–926) เป็นรัฐเกาหลีโบราณที่สถาปนาหลังการล่มสลายของนรัฐโกคูรยอ กินพื้นที่ไปถึงตอนใต้ของแมนจูเรีย Primorsky Krai และตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี.", "title": "รายพระนามพระมหากษัตริย์เกาหลี" }, { "docid": "92851#7", "text": "ญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดแมนจูเรีย และเจียงไคเชคจึงยุติสงครามกลางเมืองกับ \"จูเหมา\" หันไปต่อต้านญี่ปุ่นแทน ด้านเหมาเจ๋อตงและจูเต๋อ ก็มุ่งเดินทัพทางไกลเพื่อไปต่อต้านญี่ปุ่นเช่นกัน ", "title": "จูเต๋อ" }, { "docid": "558879#25", "text": "โดยในวันที่ 18 กันยายนปีนั้น เกิดระเบิดขึ้นที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ของญี่ปุ่น แต่มีความเสียหายน้อยมากจนไม่กระเทือนการให้บริการปกติ ทว่าทหารญี่ปุ่นกลับอ้างว่า ทหารจีนยิงใส่พวกตนจากท้องนา จึงจำเป็นต้อง “ป้องกันตนเอง” เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่จักกันในกรณีมุกเดน ต่อมาญี่ปุ่นจึงเปิดฉากยิงใส่ทหารจีนทันทีและถือโอกาสเข้ารุกรานประเทศจีนโดยเริ่มการรุกรานแมนจูเรีย", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "799301#0", "text": "การบุกครองแมนจูเรียของสหภาพโซเวียต ยังเป็นที่รู้จักในฐานะกลยุทธปฏิบัติการรุกแมนจูเรีย (Манчжурская стратегическая наступательная операция, lit. Manchzhurskaya Strategicheskaya Nastupatelnaya Operaciya) หรือปฏิบัติการแมนจูเรีย (Маньчжурская операция) เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 1945 กองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียตได้รุกรานรัฐหุ่นเชิดของจักรวรรดิญี่ปุ่นคือรัฐแมนจูกัว มันเป็นการทัพครั้งสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองและใหญ่ที่สุดของสงครามโซเวียต–ญี่ปุ่นในปี 1945 ที่ได้กลับมาสู้รบกันอีกครั้งระหว่างสหภาพโซเวียตและจักรวรรดิญี่ปุ่น หลังจากสงบศึกกันเป็นเวลาเกือบหกปี ผลประโยชน์ที่ได้รับของโซเวียตคือ แมนจูกัว, เหม่งเจียง (มองโกลเลีย), ดินแดนเกาหลีทางตอนเหนือ การที่โซเวียตเข้าสู่สงครามและความพ่ายแพ้ของกองทัพคันโตแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จะยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขตามที่มันทำให้เห็นได้ชัดล้าหลังจะไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำหน้าที่เป็นบุคคลที่สามในการเจรจาสิ้นสุดสงครามในข้อตกลงเงื่อนไข", "title": "การบุกครองแมนจูเรียของสหภาพโซเวียต" }, { "docid": "203948#0", "text": "กลุ่มภาษาตุงกูซิก () หรือ กลุ่มภาษาแมนจู-ตุงกุส เป็นภาษาที่ใช้พูดในไซบีเรียตะวันออกและแมนจูเรีย ยังเป็นที่โต้เถียงอยู่ว่าควรจัดให้อยู่ในตระกูลภาษาอัลตาอิกหรือไม่ ภาษานี้รวมอยู่ในกลุ่มภาษาเตอร์กิกและกลุ่มภาษามองโกลตามลำดับ ภาษาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นภาษาที่ใกล้ตาย", "title": "กลุ่มภาษาตุงกูซิก" }, { "docid": "402862#2", "text": "พัก ได้รับรางวัลการเข้าสู่โปรแกรมการฝึกอบรมสองปี ในแมนจูกัว เขตปกครองของญี่ปุ่น ในแมนจูเรีย ภายใต้นโยบายของญี่ปุ่น โซชิ-kaimei เขามีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ทาคากิ มาซาโอะ (高木正雄) เขาจบการศึกษาจาก \"ญี่ปุ่นแมนจูเรีย\" สถาบันการทหารด้วยคะแนนเกียรตินิยมของชั้นเรียน ในปี 1942 จากนั้นเขาได้รับเลือกอีกสองปีของการฝึกอบรมที่สถาบันการทหารอิมพีเรียล ในกรุงโตเกียว เป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญของการแสดงสิทธิโดยกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น หลังจากที่เขาจบการศึกษาในปี 1944 เขากลายเป็นเจ้าหน้าที่ของ Kantogun ที่หน่วยของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยโทของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น (รัฐกัว) ก่อนที่จะสิ้นสุดของสงครามในมหาสมุทรแปซิฟิกในปี 1945 (สงครามโลกครั้งที่สอง)", "title": "พัก ช็อง-ฮี" }, { "docid": "49971#6", "text": "ผลสืบเนื่องมาจากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 จุดเริ่มต้นของสงครามคือจักรวรรดิญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดครองดินแดนแมนจูเรียหลังเกิดกรณีมุกเดน เพราะเนื่องจากญี่ปุ่นได้เล็งเห็นผลประโยชน์ในดินแดนแมนจูเรียหลายประการ หลังจากยึดครองสำเร็จก็แต่งตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดให้อยู่ภายใต้การนำของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยมีจักรพรรดิปูยี (อดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง) ให้มาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและเป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูเรียได้แต่เพียงในนามเท่านั้น เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจแก่สาธารณรัฐจีนเป็นอย่างมากจึงได้ไปร้องเรียนขอความช่วยเหลือไปยังสันนิบาตชาติ เวลาต่อมาสันนิบาตชาติดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นสันนิบาตชาติก็ได้ลงความเห็นเห็นว่า จักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นฝ่ายผิดและเป็นผู้รุกราน จึงออกแถลงการณ์ลิตตัน เพื่อประณามการกระทำของญี่ปุ่นในการรุกรานแมนจูเรียและออกคำสั่งให้ญี่ปุ่นถอนกองทัพออกจากดินแดนแมนจูเรีย ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจพร้อมประกาศถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติไปโดยสิ้นเชิง", "title": "การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์" }, { "docid": "558879#27", "text": "ในเดือนถัดมาญี่ปุ่นได้สร้างรัฐใหม่ขึ้นบนแผ่นดินแมนจูเรีย โดยมีญี่ปุ่นคอยเชิดอยู่เบื้องหลัง ตั้งชื่อว่า ประเทศแมนจูกัว (满洲国) มีฉางชุนเป็นเมืองหลวง แล้วนำจักรพรรดิผู่อี๋ (ปูยี) ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิงองค์สุดท้ายที่ถูกปฏิวัติในปี ค.ค. 1911 ซึ่งมีอายุ 25 พรรษในขณะนั้นมาเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดที่ได้ปกครองแต่ในนาม จากนั้นญี่ปุ่นก็ใช้อำนาจในการขูดรีดประชาชน ทำลายวัฒนธรรม ทำให้ชาวจีนกว่า 30 ล้านคนต้องทนทุกข์ทรมาน", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "207680#1", "text": "ชาวแมนจูเป็นกลุ่มสาขาที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มชาวตุงกูซิกที่ใช้ภาษากลุ่มตุงกูซิกและได้อาศัยกระจัดกระจายทั่วประเทศจีน ถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศจีน ชาวแมนจูได้อาศัยและพบได้ใน 31 จังหวัดของจีน โดยเฉพาะในดินแดนแมนจูเรีย ", "title": "ชาวแมนจู" }, { "docid": "427612#2", "text": "พบกระจายพันธุ์ในเอเชียเหนือ ในป่าไทกาทางตอนใต้ของไซบีเรีย และพบในบางส่วนของมองโกเลีย, มองโกเลียใน, แมนจูเรีย และคาบสมุทรเกาหลี ออกหากินตามลำพังเวลาเช้ามืดหรือพลบค่ำ", "title": "กวางชะมดไซบีเรีย" }, { "docid": "25750#1", "text": "ในอดีต แมนจูเรียเป็นชาติเอกราชที่มีเชื้อสายชาวแมนจู มีอิทธิพลในประเทศจีนสมัยราชวงศ์ชิงหรือฉิง ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่มาปกครองจีน ต่อมาถูกกำจัดในข้อหาที่ทำให้ชาวจีนเดือดร้อน ไม่เอาใจใส่เท่าที่ควร องค์จักรพรรดิแห่งชิงก็ทรงสำราญพระราชหฤทัยแต่ในวังหลวง คนที่กำจัดคือ ดร.ซุน ยัตเซ็น แล้วสถาปนาจีนฮั่นขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาชาวญี่ปุ่นได้ปลดแอกแมนจูเรียโดยสถาปนาสาธารณรัฐแมนจูกัว ขึ้นมาทำให้จีนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะญี่ปุ่นใช้เป็นที่สะสมอาหารและอาวุธในการโจมตีจีน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แมนจูเรียได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีนจนถึงปัจจุบัน", "title": "แมนจูเรีย" }, { "docid": "194327#1", "text": "เหตุการณ์ดังกล่าวมีชื่อเรียกกันหลายแบบ เช่น กรณีมุกเดน () ในญี่ปุ่นเรียก กรณีแมนจูเรีย (, ) ส่วนในจีนเรียก เหตุการณ์ 18 กันยายน ( → \"Jiǔyībā Shìbiàn\") หรือ เหตุการณ์หลิ่วเถียวโกว ( → \"Liǔtiáogōu Shìbiàn\")", "title": "กรณีมุกเดน" }, { "docid": "6332#26", "text": "ในปี 1644 ปักกิ่งถูกยึดครองโดยกบฏชาวนานำโดย Li Zicheng และจักรพรรดิหมิงองค์สุดท้ายปลงพระชนม์ชีพพระองค์เอง พวกแมนจู (ราชวงศ์ชิง) ให้การสนับสนุนนายพลของราชวงศ์หมิงอู๋ซานกุ้ยและยึดกรุงปักกิ่งไว้ กองทัพหมิงที่เหลืออยู่นำโดยโคซิงกาจึงหนีไปไต้หวันที่ซึ่งในท้ายที่สุดพวกเขายอมจำนนต่อกองทัพชิงในปี 1683 เกาะไต้หวันที่ผู้อยู่อาศัยแต่เดิมส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นเมืองที่ไม่ใช่ฮั่นถูกทำให้กลายเป็นฮั่นโดยผู้อพยพจำนวนมากประกอบกับการผสมกลมกลืนไปด้วยในช่วงเวลานี้ แม้ว่าจะมีความพยายามจากพวกแมนจูในการขัดขวางก็ตาม เนื่องจากพวกแมจูพบความยากลำบากในการควบคุมดูแลเกาะแห่งนี้ ในขณะเดียวกันพวกแมนจูก็ห้ามไม่ให้ชาวฮั่นอพยพไปแมนจูเรีย เพราะพวกแมนจูเห็นว่าเป็นฐานที่มั่นของราชวงศ์ ในปี 1681 พวกแมนจูจึงสั่งให้ก่อสร้างคูน้ำและทำนบเพื่อห้ามชาวฮั่นไม่ให้ตั้งถิ่นฐานเลยออกไปจากเขตนี้ ราชวงศ์ชิงเริ่มเข้าครอบครองแผ่นดินพร้อมชาวจีนฮั่นในภายหลังภายใต้กฎของราชวงศ์ การเคลื่อนย้ายชาวฮั่นครั้งนี้ไปแมนจูเรียถูกเรียกว่า Chuang Guandong (ในระหว่างราชวงศ์ก่อนๆการตั้งถิ่นฐานของชาวฮั่นในแมนจูเรียอยู่ทางตอนใต้เป็นหลัก ที่ซึ่งตอนนี้เป็นมณฑลเหลียวหนิง อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างและหลังจากปลายราชวงศ์ชิงชาวฮั่นได้ตั้งถิ่นฐานและกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่เกือบทั้งหมดของแมนจูเรีย)", "title": "ชาวฮั่น" }, { "docid": "452973#1", "text": "จากการเข้าไปตักตวงผลประโยชน์จากชาติตะวันตกบนดินแดนของจีน ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชาวจีนผู้รักชาติ จนเกิดกบฏนักมวย ในปี ค.ศ. 1900 จนมหาอำนาจทั้งหลายรวมถึงอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย และญี่ปุ่น ส่งกำลังเข้าไปช่วยรักษาความสงบในปักกิ่ง จนเหตุการณ์สงบลง แต่รัสเซียกลับไม่ยอมถอนทหารออกจากแมนจูเรีย แสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งว่าจะยึดครองแมนจูเรีย พร้อมทั้งยังเสนอให้ญี่ปุ่นยินยอมให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นดินแดนที่เป็นกลาง ญี่ปุ่นปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว เพราะมองว่าจะเป็นการยอมรับการครอบครองแมนจูเรียของรัสเซียไปโดยปริยาย", "title": "ยุทธนาวีที่พอร์ตอาเธอร์" }, { "docid": "2519#7", "text": "ในประวัติศาสตร์เกาหลี แบ่งเป็นราชอาณาจักรทั้งสาม คือราชอาณาจักรโคกูรยอ ราชอาณาจักรแพ็กเจ และราชอาณาจักรชิลลา ซึ่งปกครองคาบสมุทรเกาหลีและบางส่วนของแมนจูเรีย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ในช่วงหนึ่งศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช คาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด และดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศแมนจูอยู่ภายใต้การปกครองของสามอาณาจักร", "title": "ประเทศเกาหลีเหนือ" }, { "docid": "133828#7", "text": "ชาวโคโจซ็อนมีวัฒนธรรมของชุมชนที่ยังชีพด้วยการเพาะปลูก ในบันทึกของชาวจีนเคยมีการบันทึกและกล่าวถึงชาวโคโจซ็อนในสมัยราชวงศ์โจว และเรียกโคโจซ็อนว่าเป็นกลุ่มพวก นักรบคนเถื่อนแห่งตะวันออก ซึ่งในสมัยราชวงศ์โจว นี้มีกลุ่มชาวจีนเรียกว่าคนเถื่อนอยู่มากมายหลายกลุ่มที่อาศัยอยู่นอกเขตแดนที่ราบภาคกลางของจีน ซึ่งเป็นชนเผ่าเรร่อนอาศัยอยู่ในแถบมองโกเลียและแมนจูเรีย โคโจซ็อนที่มีเขตแดนติดต่อกับแมนจูเรีย จึงถูกเรียกรวมไปว่าเป็นพวกคนเถื่อน ถึงแม้ชาวโคโจซ็อนจะไม่ได้เป็นพวกเร่ร่อนก็ตาม", "title": "อาณาจักรโชซ็อนโบราณ" }, { "docid": "961184#1", "text": "ในปี ค.ศ. 1938 วันที่ 18 เขาอยู่ในแมนจูเรีย เมื่อเขาถูกเกณฑ์ทหารในกองทัพคันโตแห่งกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเพื่อต่อสู้รบปะทะกับสหภาพโซเวียต ช่วงเวลาสมัยที่เกาหลีอยู่ภายใต้ปกครองของญี่ปุ่น", "title": "ยัง คย็อง-จ็อง" }, { "docid": "400809#0", "text": "เหมิ่งเจียง () เป็นเขตปกครองตนเองในมองโกเลีย เป็นรัฐหุ่นเชิดของจักรวรรดิญี่ปุ่น ประกอบด้วยจังหวัดของชาร์ฮาร์และสุย-ยฺเหวี่ยน ซึ่งอยู่ในภูมิภาคของ​​มองโกเลียใน ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจีน รัฐแห่งนี้เรียกแบบไม่เป็นทางการว่า เหมิงกู่กั๋ว (蒙古国) มีสถานะรัฐคล้ายคลึงกับแมนจูกัว รัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย สำหรับเหมิ่งเจียง แล้ว เมืองหลวงอยู่ที่จางเจียโข่ว โดยญี่ปุ่นได้ส่งเจ้าชายมองโกลนามว่าเดมชูงดองรอปซ์ ไปปกครองเหมิ่งเจียง", "title": "เหมิ่งเจียง" }, { "docid": "23110#1", "text": "ราชวงศ์ชิงไม่ได้ก่อตั้งโดยชาวฮั่นซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศจีน แต่เป็นชาวแมนจูซึ่งอาศัยอยู่ในเขตแมนจูเรีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบัน ในสมัยนั้น ชาวแมนจูเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยเร่ร่อนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งยังไม่มีคนรู้จักมากนั้น ในช่วงที่ราชวงศ์หมิงของชาวจีนฮั่นอยู่ในสภาพอ่อนแอ เกิดจลาจลและการเมืองไร้เสถียรภาพ", "title": "ราชวงศ์ชิง" }, { "docid": "228255#0", "text": "ข้อพิพาทชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่น เป็นความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างสหภาพโซเวียตกับจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 ถึง 1939 ซึ่งเริ่มต้นหลังจากการยึดครองแมนจูกัวและคาบสมุทรเกาหลี ญี่ปุ่นได้มุ่งความสนใจทางทหารไปยังดินแดนของสหภาพโซเวียต ความขัดแย้งระหว่างสหภาพโซเวียตกับญี่ปุ่นเกิดขึ้นตามแนวชายแดนของแมนจูเรีย", "title": "ข้อพิพาทชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่น" }, { "docid": "153970#4", "text": "หลังจากที่จีนสิ้นอำนาจไปแล้วจักรวรรดิรัสเซียก็เริ่มที่จะมีอิทธิพลในตะวันออกไกลแทน รัสเซียสร้างทางรถไฟในแมนจูเรียจากฮาร์บินผ่านมุกเดนมาถึงพอร์ตอาเธอร์ แต่กบฏนักมวยได้เผาทางรถไฟของรัสเซียในแมนจูเรียในพ.ศ. 2442 (ค.ศ. 1899)ทำให้รัสเซียยกทัพเข้ายึดครองแมนจูเรีย อ้างว่าเพื่อปกป้องทางรถไฟของตน และบรรลุข้อตกลงกับญี่ปุ่น ว่ารัสเซียจะไม่ยุ่งกับโชซ็อน และญี่ปุ่นจะไม่ยุ่งกับแมนจูเรีย แต่ทั้งสองประเทศต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจ้องจะยึดครองอาณานิคมของอีกฝ่ายอยู่", "title": "จักรวรรดิเกาหลี" }, { "docid": "194327#0", "text": "ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1931 ใกล้กับเมืองมุกเดน (หรือ เสิ่นหยางในปัจจุบัน) ทางแมนจูเรียตอนใต้ ส่วนหนึ่งของรางรถไฟซึ่งกองทัพญี่ปุ่นยังคงยึดครองอยู่ในขณะนั้นเกิดการระเบิดขึ้น กองทัพญี่ปุ่นจึงได้ใช้ข้ออ้างดังกล่าวในการรุกรานแมนจูเรีย และนำไปสู่การก่อตั้งแมนจูกัวในปีต่อมา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรบในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ถึงแม้ว่าสงครามครั้งนี้จะปะทุขึ้นมาในปี ค.ศ. 1937 ก็ตาม", "title": "กรณีมุกเดน" }, { "docid": "263409#2", "text": "คิม อิล-ซ็อง ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่มณฑลจี๋หลิน เนื่องจากเติบโตมาในแมนจูเรีย คิม อิล-ซ็อง จึงพูดภาษาจีนกลางเป็นหลักและบางหลักฐานบอกว่า คิม อิล-ซ็อง นั้นพูดภาษาเกาหลีได้น้อยมากในวัยเยาว์[8] ชีวประวัติซึ่งแต่งโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือบรรยายว่าคิม อิล-ซ็อง มีบทบาทและมีความกระตือรือร้นในการเคลื่อนไหวปลดแอกเกาหลีจากการปกครองของญี่ปุ่น และยึดมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งถูกทางการสาธารณรัฐจีนจับกุมตัว ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ไม่พบหลักฐานรายละเอียดว่า คิม ซ็อง-จู เข้าร่วมลัทธิคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร เมื่อ พ.ศ. 2474 คิม ซ็อง-จู เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในปีเดียวกันนั้นเองเกิดเหตุการณ์มุกเดน เป็นเหตุให้จักรวรรดิญี่ปุ่นยกทัพเข้ารุกรานแมนจูเรีย นำไปสู่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 คิม ซ็อง-จู จึงได้เข้าร่วมทหารกองโจรคอมมิวนิสต์จีนต่อสู้เพื่อต้านทานการรุกรานของญี่ปุ่น ระหว่างการต่อสู้ต้านทานญี่ปุ่นภายใต้ธงของรัฐบาลจีนนั้น คิม ซ็อง-จู ได้รู้จักกับเว่ย์ เจิ้งหมิน (Wei Zhengmin) ผู้บังคับบัญชาชาวจีนซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวความคิดทางด้านลัทธิคอมมิวนิสต์และเปรียนเสมือนเป็นอาจารย์ของคิม ซ็อง-จู", "title": "คิม อิล-ซ็อง" }, { "docid": "183469#1", "text": "หลังจาก กรณีมุกเดน เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1931 กองทัพคันโตของจักรวรรดิญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรีย และสามารถยึดครองแมนจูเรียทั้งหมดได้เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1932 จักรพรรดิผู่อี๋ จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง ผู้ซึ่งถูกเนรเทศในสัมปทานนครเทียนจิน กองทัพญี่ปุ่นได้เลือกให้พระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งแมนจูกัว ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ในเดือนมกราคม 1933 เพื่อที่จะรักษาแนวชายแดนด้านทิศใต้ กองทัพผสมญี่ปุ่น-แมนจูกัวได้รุกรานเรอเหอ และภายหลังยึดมณฑลนี้ได้ในเดือนมีนาคม กองทัพญี่ปุ่นยังได้กวาดล้างกองทัพชาตินิยมจีนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เอาชนะกองทัพจีนได้ที่กำแพงเมืองจีน และเข้าสู่มณฑลเหอเป่ย์", "title": "การพักรบตางกู" } ]
980
ภาพยนตร์เรื่องแรก ของศรัณยู วงษ์กระจ่าง มีชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "20852#11", "text": "หลังจากช่อง 7 ชิมลางจับคู่ ศรัณยู กับนางเอกยอดนิยม มนฤดี ยมาภัยในมัสยา ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ในปี 2530 ดาราวิดีโอ ได้มอบโปรเจกต์ใหญ่กับวรรณกรรมคลาสสิคที่มีแฟนละครรอชมเสมออย่าง บ้านทรายทอง ออกอากาศ 9 มกราคม 2530 - 29 มีนาคม 2530 ศรัณยู รับบท ม.ร.ว.ภราดาพัฒน์ระพี สว่างวงศ์ / ชายกลาง คู่กับ มนฤดี ยมาภัย ในบทพจมาน ด้วยบทที่เขียนได้สนุกและนักแสดงฝีมือยอดเยี่ยม ทำให้เกิดกระแสฟีเว่อร์บ้านทรายทอง พจมานกับทรงผมเปียคู่ เด็กๆเล่นบทบาทเลียนแบบคุณชายน้อยกันทั่วบ้านทั่วเมือง และคุณชายกลางที่กลายเป็นชายในฝันของสาวๆในเวลานั้นและกลายเป็นภาพจำของบทชายกลางในเวลาต่อมา[12] กระแสฟีเว่อร์ทำให้มีการนำภาพยนตร์ บ้านทรายทอง (2523) ที่โด่งดังอย่างมากเมื่อ 7 ปีก่อนกลับมาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ใหม่ เมื่อบ้านทรายทองจบลง ช่อง 7 ได้ส่ง พจมาน สว่างวงศ์ มาให้ชมต่อทันที ออกอากาศ 3 เมษายน 2530 - 21 มิถุนายน 2530 หลังจากนั้น ศรัณยู ได้รับบทนำในละครเวที สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ (Man of La Mancha) ผลงานของผู้กำกับ ยุทธนา มุกดาสนิท ที่กลายเป็นละครเวทีระดับตำนานของไทย[13][14] เปิดแสดงเมื่อวันที่ 28 ส.ค. – 2 ก.ย. พ.ศ. 2530 ณ โรงละครแห่งชาติ การรับบท เซรบานเตส/ดอน กิโฮเต้ ของศรัณยู และ จรัล มโนเพ็ชร และบท อัลดอนซ่า ของ นรินทร ณ บางช้าง ได้รับการยกย่องในฝีมือการแสดงที่สร้างความประทับใจเป็นอันมาก ละครเวทีได้ผลตอบรับยอดเยี่ยมเป็นกระแสดัง ตั๋วเต็มหมดทุกที่นั่งจนคนออแน่นเต็มบันไดทางเดิน[15] ในปีเดียวกัน ศรัณยู มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก ผลงานกำกับของ ธนิตย์ จิตนุกูล กับหนังกระบวนการต่อสู้คดีในชั้นศาล เรื่อง อย่าบอกว่าเธอบาป คู่กับดาราเจ้าบทบาท สินจัย หงษ์ไทย[16] หลังจากความสำเร็จของบ้านทรายทอง ศรัณยู ได้มีผลงานทางช่อง 7 อีก 1 เรื่องคือ บริษัทจัดคู่ ออกอากาศเดือนเมษายน – 4 กรกฎาคม 2531 ก่อนจะทิ้งช่วงไปนาน ในขณะที่ทางฝั่งช่อง 3 ได้ตัวศรัณยูไปลงละครหลายต่อหลายเรื่อง ตั้งแต่การกลับมาพบกันอีกครั้งกับนางเอก จริยา สรณะคม ในเรื่อง อวสานของเซลส์แมน ในปี 2530 ร่วมกับ พิศาล อัครเศรณี และ พงศ์พัฒน์ วชิรบรรจง โดยเรื่องนี้ศรัณยูได้ร่วมเขียนบทโทรทัศน์กับ วีรประวัติ วงศ์พัวพันธ์ และในปีเดียวกันนี้ละคร ปริศนา (2530) ของผู้จัด วรายุฑ มิลินทจินดา โด่งดังเป็นพลุแตกทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้สร้างอีก 2 เรื่องในซีรีส์นี้ของ ว.ณ ประมวญมารค วรายุฑยืนยันสร้าง เจ้าสาวของอานนท์ และ รัตนาวดี พร้อมกับเผยว่าได้ดึงตัวพระเอกคิวทองอย่าง ศรัณยู มารับบท อานนท์ ปี 2531 ศรัณยู มีผลงานทางช่อง 3 ถึง 4 เรื่อง เริ่มต้นด้วย อาศรมสาง ร่วมกับ รังสิมา กสิกรานันท์, อภิรดี ภวภูตานนท์, พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ออกอากาศ 26 มีนาคม – 7 พฤษภาคม 2531 ตามด้วยละครเรื่อง ทายาท ร่วมกับ ชุดาภา จันทเขตต์, ดวงตา ตุงคะมณี, สุประวัติ ปัทมสูต ออกอากาศ 25 กรกฎาคม – 7 กันยายน 2531 เวลา 20.40 – 21.40 น. จากนั้นศรัณยูรับบทคู่ จริยา สรณะคม อีกครั้งในเรื่อง เกมกามเทพ ออกอากาศ 7 ตุลาคม – 6 พฤศจิกายน 2531 ปีเดียวกัน ก็ถึงคิวของละครที่รอคอย เจ้าสาวของอานนท์ ซึ่งศรัณยูรับบทคู่ จริยา สรณะคม เป็นเรื่องที่ 4 ฉัตรชัย เปล่งพานิช และ ลลิตา ปัญโญภาส กลับมารับบท มจ.พจนปรีชาและหม่อมปริศนาเพื่อนของอานนท์ในเรื่องนี้ด้วย เจ้าสาวของอานนท์ ออกอากาศ 11 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคม 2531 (1 ปีให้หลังจากละครปริศนา) เป็นเวอร์ชันที่โด่งดังมาก[17] เรื่องนี้ศรัณยูได้รับหน้าที่ในการร้องเพลง \"รักนิรันดร์\" ประกอบละคร", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" } ]
[ { "docid": "269587#0", "text": "บินแหลก เป็น ภาพยนตร์ไทย จาก ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น ออกฉายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 นำแสดงโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง และ รัชนก พูนผลิน โดยเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เล่าถึงเรื่องราวฮาๆของเหล่าสจ๊วต กัปตัน และ แอร์โฮสเตส ของสายการบินแห่งหนึ่ง พร้อมกับเหล่าผู้โดยสารเจ้าปัญหาที่สร้างเรื่องป่วนๆไว้มากมายให้เหล่าพนักงานบนเครื่องต้องแก้ไข", "title": "บินแหลก" }, { "docid": "20852#55", "text": "2535: อัลบั้ม ครั้งหนึ่ง ศรัณยู วงษ์กระจ่าง 2538: อัลบั้ม รวมเพลงประกอบละคร มนต์รักลูกทุ่ง ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 2 2539: อัลบั้ม หัวใจลูกทุ่ง ศรัณยู วงษ์กระจ่าง 2544: อัลบั้ม เพลงประกอบละคร นายฮ้อยทมิฬ ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 2 193 วัน รำลึก 7 ตุลา รำลึก", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#15", "text": "ในปี 2533 ด้วยความโด่งดังของศรัณยู ทางฝั่งช่อง 5 จึงได้นำละครเก่าเก็บที่ถ่ายทำไว้ตั้งแต่ปี 2531 ของศรัณยูคือ คนขายคน แต่ชื่อเรื่องไม่ผ่านกบว. มาลงจอโทรทัศน์ในชื่อเรื่องใหม่คือ เธอคือดวงดาว ออกอากาศ 19 สิงหาคม - 21 ตุลาคม 2533", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#4", "text": "ปัจจุบัน ศรัณยูเป็นผู้จัดละครและผู้กำกับการแสดง ผลิตละครโทรทัศน์ ในนาม \"สามัญการละคร\" มีผลงานการกำกับละครเรื่อง \"สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย\" (2556), หัวใจเถื่อน (2557), รอยรักแรงแค้น (2558) และล่าสุดเรื่อง บัลลังก์หงส์ (2559)", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#44", "text": "ในส่วนของงานผู้จัดละคร ศรัณยูเริ่มงานใหม่กับช่อง 8 ประเดิมด้วยละครเรื่องแรก ดงผู้ดี [32][33][34][35] ในปีเดียวกันศรัณยูและภรรยา หัทยา วงษ์กระจ่าง ยังเป็นแขกรับเชิญเซอร์ไพรส์ในบทพ่อแม่สุดเท่ที่ยอมรับและเข้าใจในตัวตนของลูกชายในละคร ไดอารีตุ๊ดซีส์ เดอะซีรีส์ ซีซั่น 2 ตอนอวสาน (ตอนที่ 12) ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 29 เมษายนทางช่อง GMM25 อีกด้วย ครึ่งปีหลังศรัณยู ร่วมงานแถลงข่าวรับบทในละคร Club Friday the Series 9 รักครั้งหนึ่ง ที่ไม่ถึงตาย ตอน \"รักที่ไม่มีจริง\" ร่วมกับ รฐา โพธิ์งาม และ ธนา สุทธิกมล ออกอากาศทางช่อง GMM25[36]", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#1", "text": "ศรัณยู เป็นนักแสดง พิธีกร ผู้กำกับการแสดงละครและภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการบันเทิงของไทย ก่อนจะเข้ามาในวงการบันเทิง ประกอบอาชีพเป็นสถาปนิกมาก่อน แต่เนื่องจากอาชีพสถาปนิกในเวลานั้น ยังไม่เป็นที่นิยมอย่างในปัจจุบัน ซึ่งศรัณยูได้ร่วมกิจการการแสดงโดยแสดงละครของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เมื่อยังเป็นนักศึกษาอยู่แล้ว เมื่อจบออกมามีผลงานชิ้นแรกทางโทรทัศน์ โดยแสดงเป็นตัวประกอบในรายการเพชฌฆาตความเครียด ทางช่อง 9 ในปี พ.ศ. 2527 โดยแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นพี่ที่เป็นศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นเดียวกัน เช่น ปัญญา นิรันดร์กุล, เกียรติ กิจเจริญ, วัชระ ปานเอี่ยม เป็นต้น", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#18", "text": "ปี 2535 ศรัณยู มีผลงานโทรทัศน์ทางช่อง 3 คู่กับ มาช่า วัฒนพานิช เป็นครั้งแรก ในละครเรื่องแรกในฐานะผู้จัดของ หทัยรัตน์ อมตะวณิชย์ เรื่อง ไฟโชนแสง ออกอากาศ 14 พฤษภาคม 2535 - 26 สิงหาคม 2535 ในเรื่องนี้ศรัณยูได้ขับร้องเพลงประกอบละครชื่อ ไฟโชนแสง เวอร์ชันผู้ชายเองอีกด้วย และมีละครทางช่อง 5 คู่กับ แสงระวี อัศวรักษ์ ในละครของ พิศาล อัครเศรณี เรื่อง เมียนอกกฎหมาย ประสบความสำเร็จด้วยดีทั้ง 2 เรื่อง", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#62", "text": "MAN OF ‘มัฆวานรังสรรค์’ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง: สู่ฝันอันสูงสุด, นิตยสาร Mars, พฤศจิกายน 2551 ประวัตินิสิตเก่าดีเด่น คณะสถาปัตย์จุฬาฯ นิตยสารดาราภาพยนตร์ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#36", "text": "ปี 2552 มีผลงานภาพยนตร์เรื่อง สวยซามูไร ในบท วายิบ", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#32", "text": "การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในปี 2549 ของ ศรัณยู ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากส่งผลกระทบต่องานละครโทรทัศน์และงานพิธีกรรายการโทรทัศน์[25] อย่างไรก็ตามเขายังคงมีผลงานภาพยนตร์ ละครเวที และผลงานในบทบาทผู้กำกับและผู้จัดอย่างต่อเนื่อง", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#25", "text": "ปี 2540 ศรัณยู กลับสู่ช่อง 3 ในรอบ 4 ปี โดยรับบทคู่ บุษกร พรวรรณะศิริเวช ในเรื่อง ทานตะวัน จากนั้นรับบทในละคร ตะวันยอแสง คู่กับ ซอนย่า คูลลิ่ง ในปีเดียวกันศรัณยูมีละครทางช่อง 5 อีก 2 เรื่อง คือ เขมรินทร์ อินทิรา คู่กับ แคทรียา อิงลิช ซึ่งเป็นอีกครั้งกับการเป็นพระเอกบทประพันธ์ของ ก.สุรางคนางค์ อีกเรื่องทางช่อง 5 ได้แก่ แก้วจอมแก่น เป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งกับนางเอกยอดฝีมือ สินใจ หงษ์ไทย", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "130086#7", "text": "และกลับเข้าสู่วงการอีกครั้งด้วยละครเรื่องแรก สุภาพบุรุษ..ลูกผู้ชาย จากการชักชวนของ ศรัณยู-หัทยา วงษ์กระจ่าง และภาพยนตร์คือ ทวิภพ ส่วนงานละครและภาพยนตร์มีตามมาอีกหลายเรื่อง มหาอุตม์, โอปปาติก, ซุ้มมือปืน, ทับตะวัน, สี่แผ่นดิน, ตามรอยพ่อ, สุดรัก สุดดวงใจ, รักเธอทุกวัน , บ่วงรักกามเทพ , ไฟอมตะ เป็นต้น", "title": "นิรุตติ์ ศิริจรรยา" }, { "docid": "185592#0", "text": "หัทยา วงศ์กระจ่าง มีชื่อจริงว่า หัทยา เกษสังข์ นักจัดรายการวิทยุชื่อดัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินดิเพนเด้นท์ คอมมูนิเคชั่น เนตเวิร์ค จำกัด ผู้บริหารสถานีวิทยุเก็ท 102.5, 103.5 เอฟ.เอ็ม.วัน และเลิฟ เรดิโอ 104.5 และพิธีกรรายการ เช่น รายการ หัวใจใกล้กัน ทางทีวีไทย เคยมีผลงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง กาเหว่าที่บางเพลง เมื่อ พ.ศ. 2537, ละครโทรทัศน์เรื่อง ดอกฟ้าและโดมผู้จองหอง ช่อง 3 แสดงร่วมกับ คุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง,โปรเจกต์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ รับบทเป็น ตั้ม/แม่ตั้ม/อีตั้ม (2560), สวัสดีคุณผู้ฟัง ช่อง 7 และเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ \"ผู้หญิงวันนี้\" \"ดูดีดีมี รางวัล\", \"ผู้หญิงผู้หญิง\", \"มิวสิกเกม\" \"คอนเสิร์ตลืมโลก\" รายการ \"ก้าวทันโรค\" ทางช่อง 3 และรายการ \"อยากให้ลูกเก่ง\" ทางช่อง 5 และเคยเล่นมิวสิกวิดีโอ ของ ธงไชย แมคอินไตย์ ในเพลง บูมเมอแรง ผู้อำนวยการบริษัท คลิกเรดิโอ , Click Televsion และ VR1 Radio และ ปัจจุบันเป็น กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินดิเพนเด้นท์ คอมมูนิเคชั่น เนตเวิร์ค จำกัด ผู้บริหารสถานีวิทยุเก็ท 102.5, 103.5 เอฟ.เอ็ม.วัน และเลิฟ เรดิโอ 104.5 จัดรายการวิทยุ คลื่น Get 102.5 ของวิทยุตัวเอง. และเป็นผู้ดำเนินรายการ หัวใจใกล้กัน ทางทีวีไทย และ รายการ คิดถึงจัง ทางมะจัง ดิ ออริจินัล ทีวี ทรูวิชั่น 82", "title": "หัทยา วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#13", "text": "ปี 2533 ศรัณยูเปิดปีด้วยภาพยนตร์เรื่อง เล่นกับไฟ รับบทคู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส เป็นครั้งที่ 2 ออกฉายปลายเดือน เมษายน 2533 สำหรับงานละครโทรทัศน์ถือเป็นปีทองของ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เพราะเขาได้มีผลงานละครโทรทัศน์กับทางช่อง 3 ถึง 5 เรื่องในปีเดียว ศรัณยูโด่งดังมากจนทำให้ช่อง 3 อนุมัติให้เขาและเพื่อนๆ กลุ่มซูโม่สำอาง ได้แก่ ซูโม่ตู้ กิ๊ก ซูโม่ตุ๋ย ปัญญา นิรันดร์กุล และดารารับเชิญมากมาย มาสร้างละครตลกล้อเลียนหนังจีนเรื่อง โหด เลว อ้วน ออกอากาศ 1 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม 2533 โดยรับบทคู่กับ เพ็ญ พิสุทธิ์ แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องค่อนข้างสับสนจึงถูกตัดจบในที่สุด ต่อมา ศรัณยู ได้รับบทคู่ ลลิตา ปัญโญภาส ครั้งแรกทางละครโทรทัศน์เรื่อง วนาลี ออกอากาศ 21 กันยายน - 7 ธันวาคม 2533 (เวลา 20.50-21.50 น.) ละครโด่งดังเป็นพลุแตก วนาลีประสบความสำเร็จเป็นอันมาก ส่งผลให้ ศรัณยู-ลลิตา เป็นดาราคู่ขวัญและมีคนเรียกร้องให้แสดงคู่กันอีก วนาลียังได้นำเพลงอมตะของ ม.ร.ว.ถนัดศรี และ รวงทอง \"วนาสวาท\" มาเป็นเพลงประกอบละคร โดยมีเวอร์ชันที่ขับร้องโดย ศรัณยู กับ รัญญา ศิยานนท์", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#35", "text": "ปี 2551 ศรัณยูรับหน้าที่กำกับละครพีเรียดค่าย เอ็กแซ็กท์ เรื่อง ตราบสิ้นดินฟ้า นำแสดงโดย ยุรนันท์ ภมรมนตรี และ คัทลียา แมคอินทอช สำหรับงานด้านการแสดงเขามีผลงานภาพยนตร์เรื่อง สลัดตาเดียวกับเด็ก 200 ตา โดยรับบทกัปตันฤทธิ์ ออกฉายในปีนี้ จากนั้นยังรับบท พระยาราชเสนา ในภาพยนตร์ องค์บาก 2 ปลายปี ศรัณยูนำแสดงละครเวที ทึนทึก 2 40 ปีผ่านคานเพิ่งขยับ ระหว่าง 20-23 พฤศจิกายน 2551 ณ เอ็มเธียเตอร์", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#37", "text": "ปี 2553 มีผลงานภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก 3 โดยกลับมารับบทเดิมคือ พระยาราชเสนา", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#24", "text": "ปี 2539 ศรัณยู รับบทคู่กับนางเอกดัง สุวนันท์ คงยิ่ง ในละคร ด้วยแรงอธิษฐาน ค่ายดาราวิดีโอ ออกอากาศ 26 กรกฎาคม 2539 - 29 กันยายน 2539 ซึ่งเป็นเรื่องราวของนางเอกที่ตายไปพร้อมความเข้าใจผิด และเกิดใหม่กลับมาแก้แค้นพระเอก ด้วยแรงอธิษฐานประสบความสำเร็จด้วยดี ในปีเดียวกัน ศรัณยู มีผลงานนำแสดงภาพยนตร์เรื่อง เรือนมยุรา โดยรับบท คุณพระนาย คู่กับ นุสบา วานิชอังกูร", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#0", "text": "ศรัณยู วงศ์กระจ่าง (ชื่อเล่น: ตั้ว) มีชื่อจริงว่า นรัณยู วงษ์กระจ่าง (เปลี่ยนมาจาก ศรัณยู วงศ์กระจ่าง)[1] เกิดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2503 ที่ตำบลกระดังงา อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม[2]", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "383021#3", "text": "ต่อมาได้เข้าทำงานในแวดวงบันเทิง ด้วยการเป็นนักแสดงและผู้จัดฉากและผู้ช่วยผู้กำกับละครเวทีเรื่องต่าง ๆ อาทิ \"สู่ฝันอันสูงสุด\" ที่กำกับการแสดงโดย ยุทธนา มุกดาสนิท และนำแสดงโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ในปี พ.ศ. 2529 และเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ 2 ให้ภาพยนตร์เรื่อง \"หลังคาแดง\" กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิท นำแสดงโดย ธงไชย แมคอินไตย์ และ จินตหรา สุขพัฒน์ ในปี พ.ศ. 2530", "title": "สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ" }, { "docid": "20852#38", "text": "ปี 2554 ศรัณยู มีผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง คนโขน โดยค่าย สหมงคลฟิล์ม นำแสดงโดย นิรุตติ์ ศิริจรรยา สรพงศ์ ชาตรี และ เพ็ญพักตร์ ศิริกุล", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#12", "text": "ปี 2532 ศรัณยูรับบทชายหนุ่มจองหองในละครของ วีรประวัติ วงศ์พัวพันธ์ ทางช่อง 3 เรื่อง ดอกฟ้าและโดมผู้จองหอง คู่กับ นาถยา แดงบุหงา ออกอากาศ 8 มีนาคม – 20 เมษายน 2532 อีกครั้งสำหรับการรับบทพระเอกบทประพันธ์ของ ก.สุรางคนางค์ หลังจาก บ้านทรายทอง และ พจมาน สว่างวงศ์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี ในปีเดียวกัน ศรัณยู ได้รับบทคู่ ลลิตา ปัญโญภาส เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์รักโรแมนติกเรื่อง หัวใจ 4 สี ร่วมด้วย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง และ ธัญญา โสภณ ศรัณยูรับบทพ่อม่ายลูกติดที่จ้างนางเอกไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ถ่ายทำที่ประเทศออสเตรีย เข้าฉาย 7 ตุลาคม พ.ศ. 2532 จากนั้นศรัณยูมีผลงานละครต่อเนื่องกับผู้กำกับ วีรประวัติ วงศ์พัวพันธ์ ทางช่อง 3 อีกเรื่องคือ รัตติกาลยอดรัก คู่กับ ปาหนัน ณ พัทลุง ออกอากาศเดือนธันวาคม 2532 – 4 กุมภาพันธ์ 2533 ซึ่งเป็นรัตติกาลยอดรักเวอร์ชันที่โด่งดังมาก", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "569562#0", "text": "สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย เป็นละครโทรทัศน์ไทยจากบทประพันธ์ของศรัณยู วงษ์กระจ่าง สร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2546 เขียนบทโทรทัศน์โดย เมจิก อีฟ กำกับการแสดงโดยศรัณยู วงษ์กระจ่าง นำแสดงโดย ตะวัน จารุจินดา, วรนุช วงษ์สวรรค์, ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์, มาติกา อรรถกรศิริโพธิ์ และนำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2556 ผลิตโดย บริษัท สามัญการละคร จำกัด ของศรัณยู วงษ์กระจ่าง เขียนบทโทรทัศน์และกำกับการแสดงโดยศรัณยู วงษ์กระจ่าง นำแสดงโดยศรัณย์ ศิริลักษณ์, ธัญญะสุภางค์ จิรปรีชานนท์, ปิยพันธ์ ขำกฤษ, ณัฐชา นวลแจ่ม, ศุภมร โคร์นิน ร่วมด้วยตฤณ เศรษฐโชค, ศรุต วิจิตรานนท์, อาภาศิริ นิติพน, ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์, แวร์ โซว และพิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7", "title": "สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย" }, { "docid": "20852#3", "text": "นอกจากนั้นแล้ว ศรัณยูยังมีผลงานพิธีกร ผู้กำกับละครโทรทัศน์ และผู้กำกับภาพยนตร์ มากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น เป็นผู้กำกับละครโทรทัศน์เรื่อง \"เทพนิยายนายเสนาะ\" (2541), ละครพีเรียดเรื่อง \"น้ำพุ\" (2545), ละครสั้นสองตอนจบเรื่อง \"ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด\" (2545), ละครเรื่อง \"สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย\" (2546), ละครเรื่อง \"หลังคาแดง\" (2547), ละครเรื่อง \"ตราบสิ้นดินฟ้า\" (2551) ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่อง \"อำมหิตพิศวาส\" (2550) และ \"คนโขน\" (2554) อีกทั้งศรัณยูยังได้นำบทประพันธ์เรื่อง \"หลังคาแดง\" มาดัดแปลงและนำเสนอในรูปแบบละครเวทีเรื่อง \"หลังคาแดง เดอะมิวสิคัล\" (2555) อีกด้วย", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "31568#98", "text": "โขนได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ โดยภาพยนตร์เรื่อง คนโขน นำแสดงโดย สรพงษ์ ชาตรี,นิรุตติ์ ศิริจรรยา,เพ็ญพักตร์ ศิริกุล,พิมลรัตน์ พิศลยบุตร กำกับโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ออกฉายเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554", "title": "โขน" }, { "docid": "20852#58", "text": "ศรัณยู สมรสกับ หัทยา เกตุสังข์ นักแสดงและดีเจชื่อดัง โดยเข้าพิธีหมั้น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2537 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระตำหนักสวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2537 ตามด้วยงานฉลองพิธีสมรสในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2537[6] ทั้งคู่มีบุตรสาวฝาแฝด ชื่อ ศุภรา วงษ์กระจ่าง (ชื่อเล่น: ลูกหนุน) และ ศีตลา วงษ์กระจ่าง (ชื่อเล่น: ลูกหนัง)[45]", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#33", "text": "ปลายปี 2549 ศรัณยู นำแสดงและกำกับภาพยนตร์แนว psychological thriller เรื่อง อำมหิตพิศวาส ร่วมกับ บงกช คงมาลัย ตะวัน จารุจินดา และปรางทอง ชั่งธรรม[26] จากนั้นเขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ชื่อเสียงระดับนานาชาติเรื่อง 13 เกมสยอง", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#34", "text": "ปี 2550 ศรัณยูรับบท สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา ในปีเดียวกัน ศรัณยู กลับมาร่วมงานกับ เอ็กแซ็กท์ อีกครั้ง โดยรับบท กษัตริย์อาเหม็ด ในละครเวที ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล ซึ่งเป็นละครเวทีเปิดโรงละครใหม่ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ด้วยความนิยมจึงมีการเปิดการแสดงถึง 53 รอบ", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#17", "text": "ปี 2534 และแล้วละครที่แฟนๆต่างตั้งตารอคอยกับการกลับมาอีกครั้งของคู่ขวัญ ศรัณยู-ลลิตา ในผลงานของ วรายุฑ มิลินทจินดา ในเรื่อง วนิดา ออกอากาศ 10 กรกฎาคม - 11 ธันวาคม 2534 เวลา 21.05-22.05 น. เรื่องราวของการแต่งงานที่ไม่เต็มใจของ พันตรีประจักษ์ มหศักดิ์ หรือ ใหญ่ กับลูกสาวคหบดีอย่าง วนิดา เพื่อชดใช้แทนหนี้ที่น้องชายก่อไว้ ในเรื่องนี้ศรัณยูยังเป็นผู้ร่วมเขียนบทโทรทัศน์ในนามปากกา รัญดาศิริ ซึ่งเป็นามปากกาของ รัญ คือ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ดา คือ ดาลัด คุปตะเวทิน และ ศิริ คือ พงษ์ศิริ อินทรชัย เหมือนเช่นเคย ศรัณยู ได้ขับร้องเพลงประกอบละครวนิดาไว้ 3 เพลง คือ บุพเพสันนิวาส ยามรัก และ ยามชัง วนิดาเวอร์ชันศรัณยู-ลลิตา โด่งดังและสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมเป็นอันมาก", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#20", "text": "ปี 2537 ช่อง 7 นำเอาบทประพันธ์ยอดนิยมของ ทมยันตี เรื่อง ทวิภพ ที่เคยสร้างเป็นภาพยนตร์มาก่อนมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์เป็นครั้งแรก ออกอากาศ 28 กุมภาพันธ์ 2537 - 24 พฤษภาคม 2537 ศรัณยู รับบท คุณหลวงอัครเทพวรากร คู่กับ สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ทวิภพเวอร์ชันนี้ประสบความสำเร็จโด่งดังอย่างมาก คู่พระนางได้รับความนิยมอย่างสูง ละครกวาด รางวัลเมขลา ครั้งที่ 14 ประจำปี 2537 ไปถึง 6 รางวัล ได้แก่ ละครชีวิตดีเด่น ผู้เขียนบทละครดีเด่น เพลงนำละครดีเด่น ผู้กำกับการแสดงดีเด่น ผู้แสดงนำชายดีเด่น และ ผู้แสดงนำหญิงดีเด่น[18][19] การถ่ายทอดบทคุณหลวงและแม่มณีของทั้งศรัณยู และ สิเรียม กลายเป็นภาพจำอันประทับใจ ในปัจจุบันแม้จะมีการนำมารีเมคหลายต่อหลายครั้ง ก็มักจะมีการนำไปเทียบกับเวอร์ชัน ศรัณยู-สิเรียมอยู่เสมอ จากนั้นในปีเดียวกัน ศรัณยู ได้มีผลงานละครกับดาราวิดีโออีกเรื่องคือ ปลายฝนต้นหนาว คู่กับ รชนีกร พันธุ์มณี ออกอากาศ 23 สิงหาคม 2537 - 19 ธันวาคม 2537", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" }, { "docid": "20852#23", "text": "ในปีเดียวกันนี้ ศรัณยู รับบทนำในภาพยนตร์ผลงานกำกับของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ที่กวาด รางวัลตุ๊กตาทอง ครั้งที่ 26 ประจำปี พ.ศ. 2537 ไปถึง 6 รางวัล ในเรื่อง มหัศจรรย์แห่งรัก ร่วมกับดาราชั้นนำอย่าง สินจัย หงษ์ไทย สันติสุข พรหมศิริ วิลลี่ แมคอินทอช นุสบา วานิชอังกูร และ อังคณา ทิมดี (ศรัณยูเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย)", "title": "ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" } ]
2939
มหายานมาจากธาตุศัพท์ภาษาอะไร?
[ { "docid": "32409#1", "text": "มหายาน (Sanskrit: महायान, Chinese:大乘; Japanese: 大乗; Vietnamese: Đại Thừa; Korean: 대승) มาจากธาตุศัพท์ภาษาบาลี-สันสกฤต มหา + ยาน แปลว่า พาหนะที่ใหญ่ เป็นคำเรียกที่อาศัยการเปรียบเทียบ จากคำว่า หีนยาน ซึ่งแปลว่า พาหนะที่เล็ก ๆ มหายานยังมีความหมายว่า “ยานที่สูงสุด” ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายาน คำว่ามหายาน ไม่เพียงแต่เป็นยานใหญ่และสูงสุดเท่านั้น หากเป็นยานที่รื้อขนสรรพสัตว์ได้ทุกประเภททุกวัย รวมทั้งสัตว์โลกทุกรูปนาม เพื่อไปสู่พระนิพพาน และยานนี้ยังหมายถึงยานที่จะไปถึงพุทธภูมิ แล้วสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า", "title": "มหายาน" } ]
[ { "docid": "2456#1", "text": "มีการค้นพบฮีเลียม เมื่อปี ค.ศ. 1868 ในบรรยากาศรอบดวงอาทิตย์ โดย โจเซฟ นอร์มัน ล็อกเยอร์ เขาได้ทำการทดลองโดยการส่องดวงอาทิตย์สังเกตเห็นเส้นสีเหลืองในสเปคตรัมของดวงอาทิตย์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับธาตุใด ๆ ที่รู้จักกันบนโลก ล็อกเยอร์ ใช้คำศัพท์ภาษากรีกที่เรียกดวงอาทิตย์ (เฮลิออส : Helios) มาตั้งชื่อธาตุนี้ ว่า ฮีเลียม (Helium) นอกจากนี้ เซอร์ วิลเลียม แรมเซย์ ได้ค้นพบฮีเลียมบนโลก (ค.ศ. 1895) โดยเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในแร่ยูเรนิไนท์ ซึ่งมีเส้นสเปกตรัมตรงกับที่สังเกตจากดวงอาทิตย์", "title": "ฮีเลียม" }, { "docid": "673#35", "text": "ประสงค์ แสนบุราณ. พระพุทธศาสนามหายาน. กทม. โอเดียนสโตร์. 2548 พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). \"พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์\".", "title": "พระพุทธเจ้า" }, { "docid": "68404#0", "text": "พจนานุกรมพุทธศาสนาจีน-สันสกฤต-อังกฤษ-ไทย เป็นพจนานุกรมศัพท์ทางพระพุทธศาสนามหายานเล่มแรกของไทย ที่รวบรวมคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกจีน รวมถึงอรรถกถา และปกรณ์คัมภีร์ต่างๆ ภายในเล่มบรรจุคำศัพท์ทั้งภาษาจีน สันสกฤต บาลี มีคำแปลความหมายเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทย เนื้อหาครอบคลุมทั้งพระพุทธศาสนามหายาน เถรวาท และลัทธิปรัชญาทั้งในอินเดีย จีน ญี่ปุ่น ตลอดจนขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมทางศาสนาของเอเชียตะวันออก จัดพิมพ์เผยแพร่โดยคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2519", "title": "พจนานุกรมพุทธศาสนาจีน-สันสกฤต-อังกฤษ-ไทย" }, { "docid": "142061#14", "text": "แรกเริ่มโรงเรียนของคุณพ่อกอลมเบต์ (บาทหลวงเอมิล กอลมเบต์) ได้ใช้ชื่อเป็น ภาษาฝรั่งเศส \"Le College De L'Assomption\" ซึ่งคุณพ่อได้ใช้ชื่อในภาษาไทยว่า \"โรงเรียนอาซมซาน กอเล็ศ\" แต่คนทั่ว ๆ ไปมักเรียก และเขียนผิด ๆ กันไปตามถนัด ดังนั้นในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2453 ภราดาฮีแลร์จึงได้มี จดหมายไปยังกระทรวงธรรมการ กรมคึกษา ขอเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น \"อาศรมชัญ\" เพื่อให้เป็นภาษาไทย ตามนโยบายของทางกรมฯ วันที่ 26 กันยายน 2453 พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ อธิบดีกรมศึกษาก็ได้ตอบกลับมา ว่า ควรเปลี่ยนเป็น\"อัสสัมชัญ\"เพราะได้เสียงใกล้เคียง ของเดิม และความ หมายก็คงไว้ตาม \"อาศรมชัญ\" ดังนั้นชื่อ \"อัสสัมชัญ\" จึงได้เริ่มใช้กัน ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2453 เป็นต้นมา ซึ่งคำๆนี้ให้เสียงเป็นคำไทย และ คล้ายกับภาษาอังกฤษว่า \"Assumption\" ซึ่งทั้งคำแปลก็เหมาะ สมที่จะเป็นชื่อ ของโรงเรียน โรงสวดกุฏิที่ถือศีลเป็นอันมากเพราะคำว่า \"อัสสัมชัญ\" ก็ได้แก่ ศัพท์ในภาษาบาลี มคธว่า \"อัสสโม\" แผลงเป็นไทยว่า \"อาศรม\" ซึ่งหมายความถึง \"กุฏิที่ถือศีลกินพรต\" ส่วนคำว่า \"ชัญ\" ก็ จะแยกตาม ชาติศัพท์เดิม ก็ได้แก่ ่ธาตุศัพท์ว่า\"ช\" ซึ่งแปลว่า เกิด และ \"ญ\" ซึ่งแปลว่าญาณ ความรู้ รวมความได้ว่า \"ชัญ\" คือที่สำหรับเกิด ญาณความรู้ ครั้นรวมสองศัพท์ มาเป็นศัพท์เดียวกันแล้ว ได้ว่า \"อัสสัมชัญ\" คือ \"ตำแหน่งที่สำหรับระงับบาปและหาวิชาความรู้\" นั่นเอง และความหมาย คำว่า อัสสัมชัญ ภาษาอังกฤษ แปลว่า แม่พระได้รับเกรียติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายละวิญญาณ ซึ่งตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันหยุดของโรงเรียนอัสสัมชัญ ทุกปีเครื่องหมายโรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมามีลักษณะ เป็นตราโล่ (Arm) สีแดงคาดสีขาวตรงกลาง \nมีตัวอักษร ACN สีน้ำเงินไขว้กันอยู่ตรงกลาง และปีคริสต์ศักราช 1967 สีนำเงินอยู่ใต้ตัวอักษร ซึ่งเป็นปีที่ก่อตั้งโรงเรียน", "title": "โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา" }, { "docid": "11735#10", "text": "อ่านอย่างไรและเขียนอย่างไร ลักษณนาม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หลักเกณฑ์การใช้เครื่องหมายวรรคตอนและเครื่องหมายอื่น ๆ หลักเกณฑ์การเว้นวรรค หลักเกณฑ์การเขียนคำย่อ ภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมและสารานุกรมซึ่งบัญญัติและอธิบายศัพท์วิชาการสาขาต่าง ๆ เป็นภาษาไทย เช่น ศัพท์เศรษฐศาสตร์ ศัพท์รัฐศาสตร์ ศัพท์นิติศาสตร์ ศัพท์สังคมวิทยา ศัพท์ปรัชญา ศัพท์จิตวิทยา ศัพท์คณิตศาสตร์ ศัพท์วิทยาศาสตร์ ศัพท์วิศวกรรมเครื่องกล ศัพท์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ศัพท์ธรณีวิทยา ศัพท์ภูมิศาสตร์ ศัพท์ภาษาศาสตร์ ศัพท์สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศัพท์ศิลปะ ศัพท์วรรณกรรมไทย ศัพท์ดนตรีไทย ศัพท์ดนตรีสากล ศัพท์การกีฬาและวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นต้น พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมท้องถิ่นไทย ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน สารานุกรมประวัติศาสตร์ไทยและสารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่ ภูมิภาคเอเชีย ภูมิภาคยุโรป และภูมิภาคอเมริกา อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทยและพจนานุกรมชื่อภูมิศาสตร์สากล อักขรานุกรมวิธานพืชและอนุกรมวิธานสัตว์ พจนานุกรมคำใหม่และพจนานุกรมศัพท์ต่างประเทศที่ใช้คำไทยแทนได้ คู่มือระบบเขียนภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เป็นอักษรไทย เช่น ภาษาชอง ภาษาเขมรถิ่นไทย ภาษาเลอเวือะ ภาษาญัฮกุร เป็นต้น ฯลฯ", "title": "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "11735#9", "text": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียง หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาต่าง ๆ ชื่อจังหวัด เขต อำเภอ และกิ่งอำเภอ เป็นอักษรไทยและอักษรโรมัน ชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง ศัพท์บัญญัติชื่อแร่และชื่อธาตุ", "title": "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "443102#2", "text": "ปี ค.ศ. 1913 ญาติห่างๆ ของเธอ คือ เฟรเดอริก ซอดดี ซึ่งเวลานั้นเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ได้อธิบายผลงานวิจัยเกี่ยวกับสารกัมมันตรังสีให้เธอฟัง ซึ่งต่อมาผลงานของเขาชิ้นนี้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1921 เขาแสดงให้เธอดูว่า ธาตุกัมมันตรังสีบางตัวจะมีมวลอะตอมมากกว่า 1 ค่า แม้ว่าจะมีคุณสมบัติทางเคมีเหมือนกันทุกประการก็ตาม ดังนั้นอะตอมที่มีมวลไม่เท่ากันนั้นก็จะอยู่ใน \"ช่องเดียวกัน\" ในตารางธาตุ ท็อดด์เสนอว่าอะตอมพวกนั้นน่าจะเรียกชื่อว่า \"ไอโซโทป\" ซึ่งเป็นคำภาษากรีกมีความหมายว่า \"อยู่ที่เดียวกัน\" ซอดดียอมรับและนำคำนี้ไปใช้ ซึ่งต่อมากลายเป็นคำศัพท์มาตรฐานในทางวิทยาศาสตร์", "title": "มาร์กาเร็ต ท็อดด์" }, { "docid": "32409#51", "text": "หมวดหมู่:อภิธานศัพท์ศาสนาพุทธ หมวดหมู่:ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 1", "title": "มหายาน" }, { "docid": "32409#20", "text": "มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า ถ้ามีกิเลสมาบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ปรากฏ มนุษย์ทุกคนจึงมีศักยภาพที่จะ เป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ถ้าได้รับการฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ พระโพธิสัตว์จึงมีจำนวน มหาศาล และมีหน้าที่ส่งเสริมงานของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก ด้วยสำนึก เช่นนี้ ฝ่ายมหายานจึงมีคัมภีร์เกิดขึ้นมากมาย และให้ความเคารพเทียบเท่าพระไตรปิฎก", "title": "มหายาน" }, { "docid": "67504#27", "text": "คำวิทยาศาสตร์จีนของน้ำอสุจิก็คือ 精液 (ภาษาจีน: jīng yè, แปลโดยบทว่า: หยดแก่นสาร/หยดหยิน) \nและคำของตัวอสุจิก็คือ 精子 (ภาษาจีน: jīng zǐ, แปลโดยบทว่า: ธาตุของแก่นสาร/ธาตุของหยิน)\nซึ่งเป็นคำศัพท์ปัจจุบันที่มีการเท้าความเดิม", "title": "น้ำอสุจิ" }, { "docid": "24217#53", "text": "ส่วนใหญ่หลักฐานที่พบบนศิลาจารึกนั้นมักเป็นความเชื่อทางมหายานโดยการสังเกตว่าศิลาจารึกของมหายานจะจารึกด้วยภาษาสันสกฤษและฝ่ายเถรวาทนั้นจะจารึกด้วยภาษาบาลี", "title": "ธรรมกาย" }, { "docid": "710543#18", "text": "ชื่อว่า \"กาเหว่า\" และชื่ออื่น ๆ อีกหลายภาษารวมทั้งชื่ออังกฤษว่า \"koel\" เป็นชื่อเลียนเสียงนก\nธาตุศัพท์ (รากศัพท์) ของภาษาสันสกฤตคือ \"โกกิล\" และคำที่ใช้ในภาษาอินเดียอื่น ๆ จะคล้าย ๆ กัน \nเสียงดังไพเราะของนกคุ้นเคยกันดี จึงมีการพูดถึงนกในวรรณกรรมต่าง ๆ รวมทั้งนิทานพื้นบ้าน ตำนาน และกวีนิพนธ์ \nและเสียงเพลงของมันก็เป็นที่ยกย่อง \nและเลื่อมใสในพระธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นกฎหมายโบราณที่อนุรักษ์นก \nในคัมภีร์พระเวทซึ่งเกิดก่อนคริสต์ศักราชประมาณ 2,000 ปี นกมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า \"อญฺญวปฺป\" ซึ่งแปลว่า \"ที่เลี้ยงโดยสัตว์อื่น\" (หรือหว่านให้คนอื่นเก็บเกี่ยว)\nซึ่งตีความว่า เป็นความรู้เก่าแก่ที่สุดว่านกเป็นปรสิต (วางไข่ให้นกอื่นเลี้ยง) \nนกได้รับเลือกเป็นนกประจำเขตการปกครองปุทุจเจรีของประเทศอินเดีย", "title": "นกกาเหว่า" }, { "docid": "436900#6", "text": " อย่างไรก็ตาม หลังรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถูกทำรัฐประหารยึดอำนาจโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 การกำหนดวันธรรมสวนะให้เป็นวันหยุดราชการก็ได้ถูกยกเลิกลง ในสมัยรัฐบาลของนายพจน์ สารสิน ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2500 ด้วยเหตุ \"การหยุดราชการในวันธรรมสวนะไม่สะดวกแก่การปฏิบัติราชการ\"\nพุทธชยันตี ถ้าแยกออกเป็นภาษาบาลี ก็มาจาก พุทฺธ+ชิ+อนฺต+อิ\nพุทฺธ เป็น ธาตุ เป็นรากศัพท์ แปลว่า รู้\nชิ เป็น ธาตุ ศัพท์ แปลว่า ชนะ\nอนฺต เป็น ปัจจัย แปลว่า เป็น อยู่ คือ\nอิ เป็น ปัจจัย เหมือนกัน น่าจะเป็น ตทัทสัทถิตัททิต แปลว่า มี ", "title": "พุทธชยันตี" }, { "docid": "68404#2", "text": "หลังจากได้พิมพ์พจนานุกรมพระพุทธศาสนาเล่มแรกสำเร็จในปี พ.ศ. 2519 คณะสงฆ์จีนนิกายได้เล็งเห็นว่า พจนานุกรมเล่มเดิมนั้นได้อำนวยประโยชน์สมดังเจตนารมณ์และมีความแพร่หลายไปในระดับนานาชาติ จำเนียรกาลล่วงมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2539 คณะผู้จัดทำเห็นสมควรที่จะตรวจสอบชำระปรับปรุงใหม่ให้มีความทันสมัยและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงได้เกิดโครงการพจนานุกรมพระพุทธศาสนามหายานฉบับเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีขึ้น ด้วยการอุปถัมภ์ของ พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปปัจจุบัน วัดโพธิ์แมนคุณาราม กรุงเทพ ฯ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านศาสนา ปรัชญา ภาษาศาสตร์ และนักวิชาการของคณะสงฆ์จีนนิกาย ช่วยกันยกร่างพจนานุกรมขึ้นใหม่ในลักษณะของกึ่งสารานุกรมซึ่งรวบรวมทั้งคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ปกรณ์พิเศษของนิกายต่าง ๆ ของทั้งเถรวาทและมหายาน โดยรวบรวมข้อมูลได้มากมายจากหลักฐานทั้งในฝ่ายบาลี สันสกฤต จีน ญี่ปุ่น ทิเบต เนื้อหาภายในบรรจุข้อมูลหลากหลาย อาทิ หลักธรรมนิกายต่างๆ ทั้งในยุคโบราณและปัจจุบัน เนื้อหาสาระจากคัมภีร์สำคัญ รวมถึงหลักปรัชญาอินเดียทั้งในและนอกพุทธศาสนา ชีวประวัติบุคคลสำคัญทางศาสนา สถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนา หลักพิธีกรรมความเชื่อทางศาสนา โดยมีรูปภาพประกอบมากมาย ตลอดจนให้รายชื่อคำเทียบศัพท์ต่างๆ มากกว่า 25,000 คำ ตลอดจนการเทียบคำศัพท์จากภาษาจีนเป็นสันสกฤต เรียงตามลำดับขีดอักษรจีนและแปลเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คาดว่าจะสำเร็จสมบูรณ์เป็นหนังสือชุดราว 7 เล่ม ปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการจัดทำ และจะเสร็จสมบูรณ์ในราว พ.ศ. 2551", "title": "พจนานุกรมพุทธศาสนาจีน-สันสกฤต-อังกฤษ-ไทย" }, { "docid": "77973#55", "text": "นงคราญ ศรีชาย. ตามรอยศรีวิชัย.กทม. มติชน.2544 ประยงค์ แสนบุราณ. พระพุทธศาสนามหายาน. กทม.โอเดียนสโตร์. 2548 พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัญฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กทม. ราชบัณฑิตยสถาน. 2548 สุชาติ หงษา. ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาจากอดีตถึงปัจจุบัน. กทม. สถาบันบันลือธรรม. 2545 เสถียร โพธินันทะ. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กทม. บรรณาคาร. 2513 อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสต์. พระพุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กทม. มหามกุฏราชวิทยาลัย. 2539 \"Japanese Buddhism\" by Sir Charles Eliot, ISBN 0-7103-0967-8 \"Religions of the Silk Road\" by Richard Foltz (St. Martin’s Griffin, New York, 1999) ISBN 0-312-23338-8", "title": "ประวัติศาสนาพุทธ" }, { "docid": "190064#13", "text": "เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2559 พระวิศวภัทร ได้ทำความร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนทางพระพุทธศาสนามหายาน กับพระธรรมาจารย์หมิงเซิงมหาเถระ (明生大和尚) รองประธานสำนักพุทธศาสนาแห่งประเทศจีน ประธานสำนักพุทธศาสนา มณฑลกวางตุ้ง เจ้าอาวาสวัดกวงเซี้ยว (光孝寺) เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน โดยพระธรรมาจารย์หมิงเซิง ได้ตั้งชื่อสำนักและเขียนอักษรพู่กันจีนให้แก่มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัยว่า"大乘禪寺" แปลว่า อารามมหายาน เพื่อแกะสลักเหนือซุ้มประตู พร้อมกันนี้ได้มอบพระไตรปิฎก (ภาษาจีน) ประกอบด้วย 永樂北藏,大正藏,乾隆大藏經,卍續藏經,浄土藏 รวม 5 ชุด 129 กล่อง 1,448 เล่ม เพื่อไว้เป็นที่ศึกษา ค้นคว้า ในหอพระไตรฯ มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย และ ได้มอบ รูปหล่อพระสังฆนายกฮุ่ยเหนิงมหาเถระ (หรือ ท่านเว่ยหล่าง:六祖惠能) เนื้อทองเหลือง สูง 1.98 เมตร จากวัดกวงเซี้ยว เมืองกว่างโจ่ว ที่จัดสร้างขึ้นเพียง 3 องค์ (วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ท่านฮุ่ยเหนิง ได้ปลงผมใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ และได้นำเกศาบรรจุไว้ในสถูป 7 ชั้น ซึ่งปัจจุบันต้นโพธิ์ใหญ่และพระสถูปยังคงอยู่ และยังเป็นสถานที่พระอาจารย์โพธิธรรม หรือพระตั๊กม้อ ได้เคยพักอาศัยเมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน โดยรูปปฏิมานี้ ได้ปั้นและหล่อโดยช่างฝีมือ ชื่อ พ่านเคอ เป็น 1 ใน 4 ช่างปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน โดยได้อัญเชิญกลับสู่ประเทศไทย เพื่อเปิดให้สาธุชนได้เข้ากราบสักการะ ภายในหอบูรพาจารย์ มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย เมื่อวันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2559 ถือเป็นนิมิตหมายมงคล แห่งการเผยแผ่พระพุทธธรรมมหายาน สายฌาน (เซ็น) และบารมีธรรมแห่งพระบูรพาจารย์ จากต้นกำเนิดสู่ประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ พระธรรมาจารย์ฉางจั้งมหาเถระ (常藏大和尚) รองประธานสำนักพระพุทธศาสนาแห่งนครปักกิ่ง เจ้าอาวาสวัดหลิงกวง (วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว) นครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มอบสำเนาหนังสือพระไตรปิฎกทองคำ (趙城金藏)อายุกว่า 1,000 ปี จำนวน 150 เล่ม มาแล้ว ", "title": "หลวงจีนวิศวภัทร มณีปัทมเกตุ" }, { "docid": "618416#0", "text": "พรหมชาลสูตร ในพระไตรปิฎกภาษาจีนของฝ่ายมหายาน ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพรหมชาลสูตร ในสีลขันธวรรค ของทีฆนิกาย พระไตรปิฎกภาษาบาลี ของเถรวาท พรหมชาลสูตรของฝ่ายมหายาน เรียกว่า ฟั่นวั่งจิง (梵網經) ในสารบบพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับไทโช อยู่ในลำดับที่ 1418 หรือ CBETA T24 No. 1484 ส่วนในสารบบพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับเกาหลี อยู่ในลำดับที่ K 527พระสูตรนี้ได้รับการแปลจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนโดยพระกุมารชีพ โดยท่านแปลเมื่อวันที่ 12 เดือน 6 ปีที่ 7 แห่งรัชสมัยจักรพรรดิฉินเหวินหวน หรือ พ.ศ. 949 มีชื่อเต็มในภาษาจีนว่า 梵網經廬舍那佛說菩薩心地戒品第十 แต่มักเรียกโดยสังเขปว่า 梵網經", "title": "พรหมชาลสูตร (มหายาน)" }, { "docid": "307037#0", "text": "ศัพท์เทียม () คือคำที่ดูเหมือนหรือดูเผินๆ จะเป็นคำศัพท์ที่มีความหมายจริงในภาษาหนึ่งภาษาใด แต่อันที่จริงแล้วมิได้เป็นส่วนหนึ่งของศัพทานุกรม ในด้านภาษาศาสตร์ ศัพท์เทียมเป็นคำสำหรับความจำกัดของระบบเสียง ซึ่งหมายความว่าเป็นคำที่ไม่ได้ใช้เสียงหรือกลุ่มเสียงที่ไม่มีในภาษา ซึ่งทำให้ง่ายต่อเจ้าของภาษาที่จะออกเสียง นอกจากนั้นแล้วเมื่อเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วศัพท์เทียมก็จะไม่ใช้กลุ่มอักษรที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในภาษาที่ต้องการ เช่นคำว่า “Vonk” แต่คำว่า “dfhnxd” จะไม่ถือว่าเป็นศัพท์เทียมของภาษาอังกฤษ แต่จะเป็น “อศัพท์” (nonword) อศัพท์ตรงกันข้ามกับศัพท์เทียมตรงที่เป็นคำที่ ไม่สามารถออกเสียงได้ และไม่สามารถสะกดได้อย่างดูแล้วถูกต้องตามหลักการสะกดของภาษาตามปกติ", "title": "ศัพท์เทียม" }, { "docid": "23996#34", "text": "คำว่า \"อัสสัมชัญ\" นี้ออกเสียงคล้ายกับภาษาอังกฤษว่า \"Assumption\" และยังมีคำในภาษาบาลีว่า \"อัสสโม\" แผลงเป็นไทยว่า \"อาศรม\" ซึ่งหมายความถึง \"กุฏิที่ถือศีลกินพรต\" ส่วนคำว่า \"ชัญ\" ก็ จะแยกตาม ชาติศัพท์เดิม ก็ได้แก่ ธาตุศัพท์ว่า \"ช\" ซึ่งแปลว่า เกิด และ \"ญ\" ซึ่งแปลว่าญาณ ความรู้ รวมความได้ว่า \"ชัญ\" คือที่สำหรับเกิด ญาณความรู้ เมื่อรวมสองศัพท์ มาเป็นศัพท์เดียวกันแล้ว ได้ว่า \"อัสสัมชัญ\" คือ \"ที่สำหรับระงับบาปและหาวิชาความรู้\"", "title": "โรงเรียนอัสสัมชัญ" }, { "docid": "190064#12", "text": "ผลงานการแปลพระสูตรฝ่ายมหายานนั้น ไม่เพียงได้ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวจีนจำนวนมาก ที่ศรัทธาพระพุทธศาสนาแบบจีนหรือมหายานได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามคัมภีร์ฝ่ายมหายานยิ่งขึ้นเท่านั้น ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทก็ยังได้มีความรู้ความเข้าใจ ได้สัมผัสพระธรรมคัมภีร์ฝ่ายมหายานโดยการอ่าน ซึ่งที่ผ่านมานั้นความรู้หรือตำราฝ่ายนิกายมหายานนั้น ถูกจำกัดอยู่แต่ในภาษาจีน จึงทำให้ชาวจีนยุคใหม่และชาวไทยจำนวนมากขาดความเข้าใจและศรัทธาที่ถูกต้อง งานแปลพระสูตรนี้ยังได้สร้างกระแสความสนใจและความตื่นตัวให้หน่วยงานหลายแห่งที่เกี่ยวข้อง ได้สนใจศึกษาและเผยแผ่พระสูตรทางมหายานอย่างจริงจัง", "title": "หลวงจีนวิศวภัทร มณีปัทมเกตุ" }, { "docid": "10760#3", "text": "บทละครเรื่องเงาะป่านี้แต่งด้วยกลอนบทละคร ตลอดทั้งเรื่อง มีการบอกเพลงกำกับไว้ด้วย ทรงใช้ภาษาอย่างเรียบง่ายแต่มีความไพเราะ ไม่มีศัพท์สูงๆ ที่เข้าใจยากอย่างวรรณคดีทั่วไป ทว่าได้ทรงสอดแทรกคำศัพท์ภาษาก็อย (ซาไก) ไว้โดยตลอด อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงเนื้อเรื่อง มีบัญชีศัพท์ภาษาก็อยใส่ไว้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถพลิกมาเปิดหาความหมายของคำศัพท์เหล่านั้นได้โดยสะดวก แต่แม้ผู้อ่านจะไม่ได้ย้อนกลับมาเปิดศัพท์ ก็คงอ่านได้รู้เรื่องโดยไม่ยาก เพราะมักทรงใช้คำศัพท์ภาษาก็อยควบคู่กับภาษาไทย ทำให้สามารถเดาความหมายภาษาก็อยได้ ", "title": "เงาะป่า (วรรณคดี)" }, { "docid": "618549#1", "text": "โพธิสัตว์ศีล ของฝ่ายมหายานปรากฏในในพรหมชาลสูตร (มหายาน) ซึ่งระบุถึงศีลสำหรับพระโพธิสัตว์ อันเป็นมูลฐานของการเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และพุทธะธาตุ หรือความเป็นพุทธะในตัวของสรรพสัตว์ แบ่งออกเป็นมหาโพธิสัตว์ศีล 10 (ครุกาบัติ) และจุลโพธิสัตว์ศีล 48 (ลหุกาบัติ) รวมเป็นโพธิสัตว์ศีล 58 ", "title": "โพธิสัตว์ศีล" }, { "docid": "50181#6", "text": "สำเนียงที่ถือเป็นมาตรฐานของภาษาคุชราตคือสำเนียงที่ใช้พูดในบริเวณพโรทะจนถึงอะห์เมดาบัดและทางเหนือ. สำเนียงอื่นๆของภาษาคุชราตได้แก่\nภาษากุจจิหรือภาษากัจฉิหรือภาษาโขชกีเป็นภาษาที่มักจะถูกกล่าวถึงว่าเป็นสำเนียงของภาษาคุชราต แต่นักภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่กล่าวว่าภาษานี้ใกล้เคียงกับภาษาสินธี\nเขียนด้วยอักษรคุชราตซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับอักษรเทวนาครี ต่างกันแต่อักษรคุชราตไม่มีเส้นขีดด้านบนของอักษร ภาษากัจฉิเขียนด้วยอักษรคุชราตด้วยเช่นกัน และทั้งสองภาษานี้เคยเขียนด้วยอักษรอาหรับแบบเปอร์เซียด้วย\nโดยทั่วไป ภาษากลุ่มอินโด-อารยันสมัยใหม่แบ่งคำศัพท์โดยทั่วไปเป็น 3 กลุ่มคือ ตัตสัม ตัคภัพ และคำยืม\nภาษาคุชราตเป็นภาษากลุ่มอินโดอารยันสมัยใหม่ที่เป็นลูกหลานของภาษาศัพท์ในหมวดนี้เกี่ยวข้องกับภาษาสันสกฤต เป็นศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และศัพท์ทางศาสนา\nเมื่อเลิกใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาพูด และเปลี่ยนมาสู่ยุคของภาษากลุ่มอินโด-อารยันยุคกลาง มีการจัดมาตรฐานให้เป็นภาษาเขียนและภาษาสำหรับศาสนาในยุคนั้น ศัพท์ในหมวดนี้จึงเป็นคำยืมจากภาษาสันสกฤตในรูปแบบที่เป็นทางการ ศัพท์เทคนิค มีการผันคำและใช้เครื่องหมายตามแบบภาษาสันสกฤต ตัตสัมโบราณบางคำมีการเปลี่ยนความหมายไปในภาษาสมัยใหม่ ตัวอย่างเช่น ปรสาระหมายถึงการแพร่ ทำให้กระจาย แต่ในปัจจุบันหมายถึงการออกอากาศ คำบางคำเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่เช่น โทรศัพท์ ในภาษาคุชราตใช้ว่า\"ทุรภาษ\" หมายถึงการพูดในระยะไกล แต่ชาวคุชราตมักใช้ว่า โฟนมากกว่า\nนอกจากศัพท์ที่มาจากภาษาสันสกฤตแล้ว ยังมีศัพท์ที่มาจากภาษาอื่นๆที่มาเป็นคำยืมในภาษาคุชราต ได้แก่ ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอาหรับ ภาษาอังกฤษ และมีบางส่วนมาจากภาษาโปรตุเกสและภาษาคำยืมจากภาษาอังกฤษจัดว่าใหม่ที่สุด ส่วนคำยืมจากภาษาเปอร์เซียและภาษาอาหรับมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า คำศัพท์จากทั้งสามภาษานี้จัดว่ามีความสำคัญและใช้เป็นศัพท์ทั่วไป ควบคู่กับตัตสัม\nประเทศอินเดียเคยถูกปกครองด้วยมุสลิมที่พูดภาษาเปอร์เซียเป็นเวลานาน ทำให้ภาษาในประเทศอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งภาษาคุชราต โดยรับคำยืมจากภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซียเข้ามามาก ตัวอย่างเช่น การใช้คำสันธาน ke ที่มาจากภาษาเปอร์เซีย เมื่อเวลาผ่านไป คำเหล่านี้ถูกทำให้มีลักษณะของภาษาคุชราตมากขึ้น โดยทุกคำมีเครื่องหมายเพศตามแบบภาษาคุชราต", "title": "ภาษาคุชราต" }, { "docid": "190064#1", "text": "ท่านเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการแปลพระสูตรมหายานจากพระไตรปิฎกภาษาจีนเป็นภาษาไทย จำนวนมากกว่า 20 พระสูตร และเน้นการนำข้อวัตรปฏิบัติที่ปรากฏในพระสูตรมหายานออกมาปฏิบัติได้จริง ปัจจุบันเป็นรองประธานและคณะทำงานโครงการแปลพระสูตรมหายานจีน-ไทยเฉลิมพระเกียรติ (; )", "title": "หลวงจีนวิศวภัทร มณีปัทมเกตุ" }, { "docid": "68404#1", "text": "แต่เดิมการศึกษาพระพุทธศาสนามหายานในประเทศไทยยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ตำราสำหรับศึกษาค้นคว้ามีอยู่จำกัด ทำให้ผู้สนใจศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในภาคภาษาจีนเป็นไปได้โดยลำบาก เนื่องจากพระธรรมคัมภีร์ในฉบับจีนนั้นมีอรรถะอันลึกซึ้งคัมภีรภาพยิ่งนัก ทั้งสำนวนการแปลก็เป็นภาษาเก่า มีสำนวนที่ยาก บางแห่งใช้คำน้อยแต่กินความมาก บุคคลทั่วไปที่แม้จะรู้ภาษาจีนก็ยังอาจทำความเข้าใจได้ไม่กระจ่าง จำเป็นต้องอาศัยคำอธิบายจากพจนานุกรมเฉพาะทางเพื่อค้นคว้าอ้างอิง สำหรับในประเทศจีนได้มีการทำพจนานุกรมอธิบายความศัพท์ทางพระพุทธศาสนามาแต่ครั้งโบราณแล้ว แม้นักปราชญ์ชาวตะวันตกก็ได้พยายามค้นคว้าและจัดทำขึ้น ดังที่ในอดีต อ.เสถียร โพธินันทะ ก็ได้อาศัย Dictionary of Chinese Buddhist Term ซึ่งรวบรวมโดย William Edward Soothill และ Lewis Hodous กับ A Sanskrit Chinese Dictionary ของ Ernest J. Eitel เป็นคู่มือในการเทียบศัพท์สันสกฤต-จีนเพื่อประกอบในการค้นคว้าและการแปล ซึ่งพจนานุกรมทั้งสองเล่มนี้ได้รับการยอมรับและใช้อ้างอิงในหมู่นักวิชาการด้านจีนศึกษาและพุทธศาสนามหายานตลอดมา ในระยะแรกพระภิกษุสามเณรฝ่ายจีนนิกายในประเทศไทย เมื่อจะศึกษาพระสูตรพระคัมภีร์ในพระไตรปิฎกจีน ก็ได้อาศัยพจนานุกรมพระพุทธศาสนาฉบับของนายแพทย์ เต็ง ฮก เป้า เป็นหลัก แต่เนื่องจากพจนานุกรมเล่มดังกล่าวมีคำอธิบายเป็นภาษาจีน จึงไม่สะดวกต่อการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ในประเทศไทย พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย ได้เล็งเห็นความสำคัญที่จะมีตำราหลักเป็นคู่มือในการค้นคว้าทำความเข้าใจคัมภีร์พระพุทธศาสนาในภาคภาษาจีน สำหรับคนไทยได้ใช้ศึกษา จึงตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดทำพจนานุกรมพระพุทธศาสนา จีน-สันสกฤต-อังกฤษ-ไทย ขึ้นชุดหนึ่ง โดยมีหลวงจีนใบฎีกาเย็นหงวน (ปัจจุบันคืออาจารย์กิตติ ตันทนะเทวินทร์) เป็นประธานดำเนินการ โดยในชั้นแรกได้ อ. สุชิน ทองหยวก ปธ.6 MA. Sanskrit (BHU) นักวิชาการภาษาสันสกฤตและพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นผู้จัดทำและรับผิดชอบภาษาอังกฤษ รวมถึงภาษาบาลีสันสกฤต ต่อมาจึงได้เชิญ อ.ทรงวิทย์ แก้วศรี ปธ.7 สำนักวัดเบญจมบพิตร M. Lib.Sc.(BHU) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นผู้รับผิดชอบต่อจนแล้วเสร็จ และโดยที่เป็นเล่มแรกจึงต้องอาศัยการค้นคว้าข้อมูลค่อนข้างมาก รวมแล้วใช้เวลาดำเนินงานไม่น้อยกว่า 7 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2519", "title": "พจนานุกรมพุทธศาสนาจีน-สันสกฤต-อังกฤษ-ไทย" }, { "docid": "84186#1", "text": "ซึ่งคำ มหานิกาย นั้น มาจากธาตุศัพท์ภาษาบาลี มหนฺต + นิกาย แปลว่าพวกมาก กล่าวโดยสรุป มหานิกายก็คือ พระสงฆ์สายเถรวาทลังกาวงศ์ดั้งเดิมในประเทศไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย", "title": "มหานิกาย" }, { "docid": "53950#8", "text": "แรกเริ่มโรงเรียนของบาทหลวงเอมิล ออกัสต์ กอลมเบต์ ได้ใช้ชื่อเป็น ภาษาฝรั่งเศส \"Le Collège De L'Assomption\" (เลอ โกแลช เดอ ลัซซงซิอง) ซึ่งคุณพ่อได้ใช้ชื่อในภาษาไทยว่า \"โรงเรียนอาซมซาน กอเล็ศ\" แต่คนทั่ว ๆ ไปมักเรียก และเขียนผิด ๆ กันไปตามถนัด ดังนั้นในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2453 ภราดาฮีแลร์จึงได้มี จดหมายไปยังกระทรวงธรรมการ กรมคึกษา ขอเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น \"อาศรมชัญ\" เพื่อให้เป็นภาษาไทย ตามนโยบายของทางกรมฯ วันที่ 26 กันยายน 2453 พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ อธิบดีกรมศึกษาก็ได้ตอบกลับมา ว่า ควรเปลี่ยนเป็น\"อัสสัมชัญ\"เพราะได้เสียงใกล้เคียง ของเดิม และความ หมายก็คงไว้ตาม \"อาศรมชัญ\" ดังนั้นชื่อ \"อัสสัมชัญ\" จึงได้เริ่มใช้กัน ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2453 เป็นต้นมา ซึ่งคำๆนี้ให้เสียงเป็นคำไทย และ คล้ายกับภาษาอังกฤษว่า \"Assumption\" ซึ่งทั้งคำแปลก็เหมาะ สมที่จะเป็นชื่อ ของโรงเรียน โรงสวดกุฏิที่ถือศีลเป็นอันมากเพราะคำว่า \"อัสสัมชัญ\" ก็ได้แก่ ศัพท์ในภาษาบาลีว่า \"อัสสโม\" แผลงเป็นไทยว่า \"อาศรม\" ซึ่งหมายความถึง \"กุฏิที่ถือศีลกินพรต\" ส่วนคำว่า \"ชัญ\" ก็ จะแยกตาม ชาติศัพท์เดิม ก็ได้แก่ ธาตุศัพท์ว่า\"ช\" ซึ่งแปลว่า เกิด และ \"ญ\" ซึ่งแปลว่าญาณ ความรู้ รวมความได้ว่า \"ชัญ\" คือที่สำหรับเกิด ญาณความรู้ ครั้นรวมสองศัพท์ มาเป็นศัพท์เดียวกันแล้ว ได้ว่า \"อัสสัมชัญ\" คือ \"ตำแหน่งที่สำหรับระงับบาปและหาวิชาความรู้\" นั่นเอง และความหมาย คำว่า อัสสัมชัญ ภาษาอังกฤษ แปลว่า แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายละวิญญาณ ซึ่งตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันหยุดของโรงเรียนอัสสัมชัญทุกปี", "title": "คณะภราดาเซนต์คาเบรียล" }, { "docid": "32409#19", "text": "พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมิได้ปฏิเสธพระไตรปิฎกดั้งเดิม หากแต่ถือว่าอาจยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเกิดมีแนวคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นโลกุตรสภาวะ ไม่อาจดับสูญ ที่ชาวโลกคิดว่าพระพุทธองค์ดับสูญไปแล้วนั้นเป็นเพียงภาพมายาของรูปขันธ์ แต่ธรรมกายอันเป็นสภาวธรรมของพระองค์เป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังดำรงอยู่ต่อไป มหายานถือว่ามนุษย์ทุกคนมี พุทธธาตุ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสอวิชชาบดบังธาตุพุทธะจึงไม่ปรากฏ หากกิเลสอวิชชาเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มหายานมีแนวคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถที่จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ และสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ หากฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยบารมีทั้ง 10 ประการ พระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายานจึงมีมากมาย แม้พระพุทธเจ้าก็มีปริมาณที่ไม่อาจคาดคำนวณได้ และพระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมโปรดสรรพสัตว์เช่นเดียวกับจริยาของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก ในพุทธศาสนามหายานจึงมีคัมภีร์สำคัญระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เพื่อให้เหมาะสมกับจริตและอินทรีย์ของสรรพสัตว์แต่ละจำพวก อีกทั้งเพื่อเป็นกุศโลบายในการสั่งสอนพุทธธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อเจตจำนงจะเกื้อกูลสรรพชีวิตทั้งมวลให้ถึงพุทธรรมและบรรลุความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ คัมภีร์ของมหายานดั้งเดิมเขียนขึ้นด้วยภาษาสันสกฤต แต่ก็มิใช่สันสกฤตแท้ หากเป็นภาษาสันสกฤตที่ปะปนกับภาษาปรากฤตตลอดจนภาษาบาลีและภาษาท้องถิ่นอื่นๆ เรียกว่าภาษาสันสกฤตทางพุทธศาสนา คัมภีร์เหล่านี้กล่าวในฐานะเป็นพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าบ้าง คำสอนพระโพธิสัตว์บ้าง หรือแม้แต่ทวยเทพต่างๆ โดยมีเนื้อหาหลากหลาย สันนิษฐานว่าพระสูตรปรัชญาปารมิตา เป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และได้มีการเขียนพระสูตรขึ้นต่อมาอีกอย่างต่อเนื่องจนถึงสมัยคุปตะ พระสูตรบางเรื่องก็เกิดขึ้นในประเทศจีน และในหมู่คณาจารย์ของมหายานเองก็เขียนคัมภีร์ที่แสดงหลักปรัชญาอันลึกซึ้งของตน เรียกว่าศาสตร์ซึ่งเทียบได้กับอภิธรรมของฝ่ายเถรวาท ที่มีชื่อเสียงคือ มาธยมกศาสตร์, โยคาจารภูมิศาสตร์, อภิธรรมโกศศาสตร์, มหายานศรัทโธตปาทศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ในประเทศต่างๆ ที่นับถือมหายาน ก็มีการรจนาคัมภีร์ขึ้นเพื่อสั่งสอนหลักการของตนเองอีกเป็นอันมาก คัมภีร์ของมหายานจึงมีมากมายเท่าๆกับความหลากหลายและการแตกแยกทางความคิดในหมู่นักปราชญ์ของมหายาน", "title": "มหายาน" }, { "docid": "129615#32", "text": "โดยปัจจุบันคนบ้านคุ้งตะเภาดั้งเดิม ยังคงใช้สำเนียงพูดแบบสุโขทัยอยู่ ซึ่งเป็นชุมชนหนึ่งในไม่กี่แห่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ยังใช้สำเนียงแบบสุโขทัยโบราณ ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลและเทียบเคียงสำเนียงการพูดของ ภาษาถิ่นบ้านคุ้งตะเภา และ ภาษาถิ่นบ้านพระฝาง พบว่ามีการใช้คำศัพท์ใกล้เคียงกันมากที่สุดกว่าสำเนียงสุโขทัยแบบอื่น จึงเป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งว่า ชาวบ้านคุ้งตะเภา อาจสืบเชื้อสายมาจากครัวเรือน ที่พระมหากษัตริย์ในสมัยอาณาจักรสุโขทัยพระราชทานพระบรมราชูทิศไว้ในพระพุทธศาสนา ตามธรรมเนียมโบราณ เมื่อ ๗๐๐ ปี ก่อน เพื่อให้เป็นผู้ดูแลรักษาพระทันตธาตุ แห่งพระมหาธาตุพระฝาง เมืองสวางคบุรี ก็เป็นได้", "title": "หมู่บ้านคุ้งตะเภา" } ]
3373
ดราก้อนบอลจีที เคยนำมาฉายที่ช่องอะไรของไทย?
[ { "docid": "44241#0", "text": "ดราก้อนบอลจีที (Dragon Ball GT) () เป็นการ์ตูนภาคเสริมที่ทำขึ้นมาเฉพาะฉบับอนิเมะโดยเรื่องราวต่อจาก ดราก้อนบอล Z ในภาคนี้ อากิระ โทริยาม่า มีส่วนร่วมเพียงแค่ช่วยตั้งชื่อภาค ออกแบบโลโก้ และออกแบบตัวละครเพียงเล็กน้อย ในส่วนของเนื้อเรื่องใน Dragon Ball GT นั้นไม่ได้มีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องแต่อย่างใด ครั้งหนึ่ง อากิระ โทริยาม่า ได้กล่าวว่า Dragon Ball GT นั้นเป็นเพียง Side-Story ไม่นับอยู่ในจักรวาลหลักแต่อย่างใด และภายหลังก็ได้สร้าง ดราก้อนบอล ซูเปอร์ เพื่อเป็นภาคต่อของจักรวาลหลักอย่างเป็นทางการ เคยนำมาฉายที่ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ใช้ทีมพากย์ของน้าต๋อย เซมเบ้", "title": "ดราก้อนบอล GT" } ]
[ { "docid": "733729#2", "text": "เนื้อหาต่อไปนี้จะยึดตามมังงะดราก้อนบอลซูเปอร์เป็นหลักในช่วงบทเทพทำลายล้างบิลส์ และ บทฟรีเซอร์คืนชีพมาจาก ภาพยนตร์ ศึกสงครามเทพเจ้า และ การคืนชีพของฟรีเซอร์ โดยถูกดัดแปลงในบทอนิเมะทีวีซีรีส์ ซึ่งถูกปรับเปลี่ยนรายละเอียดต่างๆ เพื่อเหมาะสมกับการออกอากาศและจุดเนื้อหาที่เปลี่ยนจากของเดิม\nในช่วงฮะไคชินแชมป้าเป็นต้นไป เป็นเนื้อหาที่มาจากต้นฉบับของดราก้อนบอลซูเปอร์ และรูปแบบมังงะจะแตกต่างกับอนิเมะที่ออกอากาศอยู่ดราก้อนบอล ซูเปอร์ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์เวลา 9:00 น. - 9:30 น. ทางช่องฟูจิทีวีของญี่ปุ่น ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2558 ต่อจากดราก้อนบอล ไค บทจอมมารบู", "title": "ดราก้อนบอล ซูเปอร์" }, { "docid": "47295#13", "text": "คุริลินกับเด็นเด้ที่เดินทางมาถึงที่อยู่ของผู้เฒ่าสูงสุดและได้พบกับเนลซึ่งเป็นผู้ดูแลและเป็นชาวนาเม็กสายนักรบเพียงคนเดียวของดาวนาเม็ก ผู้เฒ่าสูงสุดได้รู้เรื่องราวต่างๆของพวกคุริลินและได้มอบดราก้อนบอลลูกสุดท้ายไว้รวมไปถึงทำการเรียกพลังที่ซ่อนอยู่ให้ออกมา คุริลินดีใจที่มีพลังเพิ่มขึ้นและต้องการให้ผู้เฒ่าสูงสุดปลุกพลังของโกฮังจึงรีบไปหาพวกโกฮังที่ซ่อนตัวอยู่พร้อมกับดราก้อนบอล ทางด้านโกฮังได้นำดราก้อนเรด้าร์ไปค้นหาดราก้อนบอลและเจอดราก้อนบอลลูกที่เบจิต้าซ่อนไว้จึงนำกลับมา อีกด้านหนึ่งซาร์บอนได้รับคำสั่งจากฟรีเซอร์ให้รักษาเบจิต้าเพื่อที่จะให้บอกที่ซ่อนของดราก้อนบอล แต่ไม่เป็นอย่างที่คิดเบจิต้าที่ฟื้นตัวแล้วทำลายยานอวกาศของฟรีเซอร์และขโมยดราก้อนบอลที่ฟรีเซอร์ครอบครองไว้ 5 ลูกไปจนหมดซาร์บอนจึงต้องตามไปไล่ล่า เบจิต้าได้ดราก้อนบอลจากฟรีเซอร์ 5 ลูกรวมกับที่ตนซ่อนไว้ที่หมู่บ้านอีก 1 ลูกและบังเอิญพบกับคุริลินที่ถือดราก้อนบอลลูกสุดท้ายที่กำลังรีบไปหาพวกโกฮังจึงตามไปไล่ล่าคุริลินประจวบกับที่ซาร์บอนก็พบกับคุริลินกับเบจิต้าด้วยทั้งหมดจึงได้มาพบกันที่ที่ซ่อนตัวของพวกโกฮัง เบจิต้าเผยถึงความลับในความแข็งแกร่งของชาวไซย่าว่าเมื่อรอดตายจากการบาดเจ็บสาหัสพลังเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า เบจิต้าจัดการกับซาร์บอนที่แปลงร่างแล้วได้อย่างง่ายดายและนำดราก้อนบอลลูกที่คุริลินครอบครองอยู่ไป ระหว่างทางได้พบกับโกฮังพอดี โกฮังรอดพ้นจากเงื้อมมือของเบจิต้าและไม่เสียดราก้อนบอลให้ เบจิต้าเดินทางมายังที่ซ่อนบอลแต่ก็ได้รู้ว่าพวกโกฮังมีอุปกรณ์ค้นหาดราก้อนบอลและเอาลูกที่ตัวเองซ่อนไปทำให้ความทะเยอทะยานของเบจิตาต้องชะงัก", "title": "ดราก้อนบอล Z" }, { "docid": "11720#42", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 9 ฝ่าวิกฤติกาแล็คซี่ หรือ ที่สุดแห่งทางช้างเผือก!! ชายผู้สุดแกร่ง ฉายเมื่อ พ.ศ. 2536/ค.ศ.1993", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "44241#2", "text": "ที่โลก ปังจัดการโจรปล้นธนาคารในเมือง ซึ่งปังก็โตขึ้นจากภาคที่แล้ว เมื่อโกคูมาถึงปังก็ประหลาดใจว่าเป็นใคร หากแต่เซียนเต่ามาทักโกคู ซึ่งโกคูมีศักดิ์เป็นปู่ของปังทำให้ปังเองรู้สึกแปลกๆที่รู้ว่าคุณปู่ของตนกลายเป็นเด็กและตัวเล็กกว่าปังซะอีก พอมาถึงบ้าน จีจี้เสียใจที่สามีกลายเป็นเด็ก แต่ท่านจอมเทพมาบอกข่าวร้ายว่า ดราก้อนบอลดาวดำนั้นเป็นดราก้อนบอลรุ่นแรกที่พระเจ้าสมัยที่ยังไม่ได้แยกร่างกับราชาปีศาจพิคโกโร่ทำขึ้น เมื่อใช้แล้วดราก้อนบอลทั้ง 7 จะกระจายไปในอวกาศ พวกโกคูจำเป็นที่จะต้องตามไปรวบรวมดราก้อนบอลทั้ง 7 ลูกกลับมาที่โลกภายใน 1 ปีมิฉะนั้นโลกจะพินาศ", "title": "ดราก้อนบอล GT" }, { "docid": "11720#55", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 15 การคืนชีพของ F ฉายเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2558/ค.ศ. 2015", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#4", "text": "และในปี พ.ศ. 2552 ดราก้อนบอล ได้ถูกนำมาสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้งในชื่อว่า ดราก้อนบอล ไค โดยจะนำเนื้อหาของภาค ดราก้อนบอล Z มาสร้างใหม่ในระบบ High Definition Television (โทรทัศน์ความละเอียดสูง) เนื้อหาจะถูกตัดต่อใหม่ ให้กระชับฉับไวขึ้น เสียงประกอบ และ ดนตรี จะแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมดให้เหมาะกับยุคนี้ แต่ยังคงใช้นักพากย์เดิม และจะเริ่มออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 09.00 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) ทางช่อง ฟูจิทีวี ดราก้อนบอลนั้นได้รับความนิยมทั่วโลกสูงมากจนหนังสือการ์ตูนดราก้อนบอลตีพิมพ์ พ.ส.2527-2538 มีทั้งหมด42เล่มยอดขายรวมเล่ม240ล้านเล่มทั่วโลกยอดขายอันดับสองรองเพียงวันพีชเท่านั้น. ดราก้อนบอลเป็นหนึ่งไนการ์ตูนอันน้อยนิด ที่ยอดขายรายเล่มดีกว่าวันพีชโดยยอดรายเล่มเฉลี่ยอยู่ที่ 5.7 ล้านเล่มต่อเล่ม", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "1001254#2", "text": "ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กรฏาคม ค.ศ. 2018 ได้ประกาศชื่อเรื่องว่า ดราก้อนบอล ซูเปอร์ โบรลี่ ซึ่งได้นำตัวละครที่ชื่อ โบรลี่ ศัตรูจากภาพยนตร์ ดราก้อนบอล Z เดอะมูวี่ ร้อนแรงสุดขั้วศึกระเบิดซูเปอร์ไซย่า, การกลับมาของโบรลี่ และ การกลับมาของสุดยอดนักรบไบโอโบรลี่ เข้ามาอยู่ในเนื้อเรื่องหลักของการ์ตูนชุดนี้ พร้อมทั้งนำตัวละครจากดราก้อนบอลไมนัสและตัวละครใหม่จากภาพยนตร์ อย่างแม่ของโกคูชื่อกิเนะ, ลูกน้องฟรีเซอร์ คิโคโนะ, เบอริบลู, จิไร, เลโม และชาวไซย่าชื่อบีทส์", "title": "ดราก้อนบอล ซูเปอร์ โบรลี่" }, { "docid": "733729#1", "text": "ดราก้อนบอล ซูเปอร์ ซีรีส์ชุดใหม่ของดราก้อนบอล โดยผู้เขียนเรื่องต้นฉบับอย่างอากิระ โทริยาม่าได้กลับมาเขียนเนื้อเรื่องอีกครั้ง โดยภาคนี้ได้ดำเนินต่อจากดราก้อนบอล Z หลังจบศึกบู และได้นำเนื้อหาจากภาพยนตร์ ดราก้อนบอล Z ศึกสงครามเทพเจ้า และ ดราก้อนบอล Z การคืนชีพของฟรีเซอร์ มาเล่าเรื่องและขยายความใหม่อีกครั้งเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาใหม่ที่จะปรากฏในซีรีส์นี้ คือ ช่วงะหว่าง 10 ปี ก่อนที่โกคูพบอูบุ (จอมมารบูกลับชาติมาเกิดใหม่)", "title": "ดราก้อนบอล ซูเปอร์" }, { "docid": "211704#0", "text": "ทีมดราก้อน คุณหมอหัวใจแกร่ง หรือ Team Medical Dragon เป็นละครซีรีส์ญี่ปุ่นเกี่ยวข้องกับทีมหมอศัลยแพทย์การผ่าหัวใจของหมอสมัยใหม่ เดิมทีเป็นซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากการ์ตูนในเรื่องเดียวกัน ในประเทศไทยซีรีส์เรื่องนี้ฉายทางโทรทัศน์ช่องทีวีไทยทุกวันพฤหัสและศุกร์เวลา 22.10-23.10 ในญี่ปุ่นฉายทางสถานีโทรทัศน์ช่อง Fuji tv มีทั้งหมดสองภาคแต่ละภาคจะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดที่แตกต่างกันไปเช่น การผ่าตัดหัวใจ การผ่าตัดหลอดอาหาร เป็นต้น แต่ในภาคแรกจะเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดหัวใจที่มีความผิดปกติเรียกว่าการผ่าบาทิสต้าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนในภาคสองจะเน้นเรื่องการผ่าตัดที่แตกต่างออกไปและมีการผ่าตัดมากขึ้น นอกจากนั้นยังเพิ่มเรื่องของการครอบงำโรงพยาบาลเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอีกด้วย และในแต่ละภาคจะมีจำนวนตอน11ตอน", "title": "ทีมดราก้อน คุณหมอหัวใจแกร่ง" }, { "docid": "11720#36", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 6 การกลับมาของคูลเลอร์ หรือ ตะลุยเข้าไป!! เหล่านักรบพลัง 100 ล้านเท่า ฉายเมื่อ พ.ศ. 2535/ค.ศ.1992", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "733729#0", "text": "ดราก้อนบอล ซูเปอร์ () เป็นซีรีส์การ์ตูนชุดดราก้อนบอล แต่งเรื่องโดย อากิระ โทริยามะ และเป็นอนิเมะชุดที่ 5 ของซีรีส์ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2558 ต่อจากดราก้อนบอล ไค ทางช่องฟูจิทีวีของญี่ปุ่น", "title": "ดราก้อนบอล ซูเปอร์" }, { "docid": "233098#0", "text": "ดราก้อนบอล Z () เป็นภาพยนตร์ชุดที่ 4 ของซีรีส์ดราก้อนบอล ที่นำมาจากภาพยนตร์อนิเมะ ดราก้อนบอล Z เข้าฉายเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 กำกับโดย ไดสุเกะ นิชิโอะ ", "title": "ดราก้อนบอล Z (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2532)" }, { "docid": "47295#0", "text": "ดราก้อนบอล Z () เป็นภาพยนตร์อนิเมะ ภาคต่อของการ์ตูนเรื่องดราก้อนบอล เริ่มออกอากาศใน ประเทศญี่ปุ่น ทางสถานีฟูจิทีวี ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2532 ถึง 31 มกราคม พ.ศ. 2539 รวมความยาวทั้งสิ้น 291 ตอน นอกจากนั้นยังมีภาพยนตร์อีก 13 ตอน และมีตอนพิเศษทางโทรทัศน์อีก 2 ตอน", "title": "ดราก้อนบอล Z" }, { "docid": "11720#20", "text": "ดราก้อนบอล ตำนานเทพมังกร ฉายเมื่อ พ.ศ. 2529/ค.ศ.1986", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#22", "text": "ดราก้อนบอล เจ้าหญิงนิทราแห่งปราสาทจอมมาร ฉายเมื่อ พ.ศ. 2530/ค.ศ.1987", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "483728#0", "text": "ดราก้อนบอล Z ศึกสงครามเทพเจ้า (; ) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันแอ็คชั่นจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งกำลังเตรียมจัดฉาย โดยเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ \"ดราก้อนบอล\" และกำกับโดย มาซาฮิโร โฮโซดะ ภาพยนตร์มีกำหนดเปิดตัวที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2013 ซึ่งเทรลเลอร์ชุดแรกที่จัดฉายได้รับความสนใจจากผู้ชม 178 ประเทศทั่วโลกเป็นอย่างสูง ทั้งใน ประเทศญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, บราซิล, เม็กซิโก, ฝรั่งเศส, ชิลี, อาร์เจนตินา, เปรู, สเปน และสหราชอาณาจักร", "title": "ดราก้อนบอล Z ศึกสงครามเทพเจ้า" }, { "docid": "158389#0", "text": "ดราก้อนบอล () ภาพยนตร์อนิเมะ ที่มาจากหนังสือการ์ตูนดราก้อนบอล วาดและแต่งเรื่องด้วย อากิระ โทริยามะ ผลิตโดยบริษัทโตเอโดกะ (ปัจจุบันเป็น โตเอแอนิเมชัน) มีทั้งหมด 153 ตอนโดยฉายในญี่ปุ่นตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 ถึง 12 เมษายน พ.ศ. 2532", "title": "ดราก้อนบอล (ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์)" }, { "docid": "11720#52", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 14 ศึกสงครามเทพเจ้า ฉายเมื่อ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556/ค.ศ. 2013", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#63", "text": "ดราก้อนบอล GT หลักฐานแห่งความกล้า คือดราก้อนบอล 4 ดาว ! ฉายเมื่อ พ.ศ. 2540/ค.ศ.1997 ญี่ปุ่น: 悟空外伝! 勇気の証しは四星球 | Gokū Gaiden! Yūki no Akashi wa Sūshinchū อังกฤษ: DragonballGT: A Hero's Legacy", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#48", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 12 ฟิวชั่นของโกคูและเบจีต้า หรือ ฟิวชั่นคืนชีพ!! โกคูและเบจิต้า ฉายเมื่อ พ.ศ. 2538/ค.ศ.1995", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "1035#2", "text": "การ์ตูนที่เป็นที่รู้จักในยุคนั้น ได้แก่ รินที่รัก แคนดี้ คอบร้า คำสาปฟาโรห์ กุหลาบแวร์ซายส์ โดราเอมอน นินจาฮาโตริ ผีน้อยคิวทาโร่ ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ คินิคุแมน เซนต์เซย่า กันดั้ม มาครอส ดราก้อนบอล ทั้งในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์การ์ตูน โดยช่อง 9 นำมาฉายเป็นประจำในช่วงตอนเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ รวมถึงวันหยุดราชการที่สำคัญ และต่อมาช่องต่าง ๆ ได้นำการ์ตูนญี่ปุ่นมาฉาย เช่น ช่อง 3 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ ชินจัง ฮิคารุเซียนโกะ Yu-Gi-Ohเกมกลคนอัจฉริยะ เป็นต้น ช่อง 5 เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ เมก้าแมน เป็นต้น ช่อง TITV เรื่องที่นำมาฉายได้แก่ วันพีช เคโรโระ ขบวนการอ๊บอ๊บป่วนโลก แอร์เกียร์ ขาคู่ทะลุฟ้า ปริ๊นซ์ ออฟ เทนนิส เป็นต้น", "title": "การ์ตูนญี่ปุ่น" }, { "docid": "11720#28", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 2 ยอดยุทธหนึ่งในใต้หล้า หรือ ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก ฉายเมื่อ พ.ศ. 2533/ค.ศ.1990", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#24", "text": "ดราก้อนบอล การผจญภัยสุดพิสดาร ฉายเมื่อ พ.ศ. 2531/ค.ศ.1988", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#34", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 5 การแก้แค้นของคูลเลอร์ หรือ สุดยอดปะทะสุดยอดศึกอันเหลือเชื่อ ฉายเมื่อ พ.ศ. 2534/ค.ศ.1991", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#32", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 4 ซูเปอร์ไซย่า ซุน โกคู หรือ ซุน โกคูคือซูเปอร์ไซย่า ฉายเมื่อ พ.ศ. 2534/ค.ศ.1991", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#50", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 13 ฤทธิ์หมัดมังกรถล่มโลก หรือ หมัดมังกรระเบิด!! มีเพียงโกคูเท่านั้นที่ทำได้ ฉายเมื่อ พ.ศ. 2538/ค.ศ.1995", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "11720#58", "text": "ดราก้อนบอล Super โบรลี่ Broly (2018) (ในไทยฉาย 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561)", "title": "ดราก้อนบอล" }, { "docid": "174040#7", "text": "เป็นร่างรวมร่างหรือร่างฟิวชั่นของโกคูและเบจิต้าที่เกิดจากการใช้ท่าฟิวชั่น ปรากฏตัวครั้งแรกในดราก้อนบอลแซด เดอะมูฟวี่ ภาค12 การฟิวชั่นของโกคูและเบจิต้า (โลกคู่ขนาน) เพื่อปราบจาเนมบ้า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ร่างฟิวชั่นกำจัดศัตรูได้สำเร็จ โกจิต้าสามารถเพิ่มพลังได้มากกว่าเบจิโตะ เนื่องจากตามข้อมูลของอ.โทริยาม่าที่ลงในออฟฟิสเชี่ยล ปกติแล้วการฟิวชั่นด้วยท่าฟิวชั่นจะให้พลังมากกว่าการฟิวชั่นด้วยโปตาร่า ปรากฏตัวอีกครั้งในดราก้อนบอลจีทีตอนที่60 ในร่างซุปเปอร์ไซย่า4 เพื่อปราบโอเมก้าเชนรอน แต่พลังมีมากเกินไปทำให้เวลาในร่างนี้เหลือเพียง10นาที จนกระทั่งในปี2018 ได้ประกาศว่าโกจิต้าจะมีบทบาทในไทม์ไลน์หลักอย่างเป็นทางการใน\"Dragon Ball Super: Broly\"", "title": "ชาวไซย่า" }, { "docid": "11720#26", "text": "ดราก้อนบอล Z เดอะ มูฟวี่ 1 เดอะ มูฟวี่ หรือ โกฮังกลับมาแล้ว ฉายเมื่อ พ.ศ. 2532/ค.ศ.1989", "title": "ดราก้อนบอล" } ]
3155
ท่าอากาศยานแอตแลนตามีขนาดพื้นที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "80366#4", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2485-2486 เป็นโรงงานผลิตเครื่องดักลาส ซี-54 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุที่เลือกที่ดินบริเวณนี้ก็เพราะว่าอยู่ใกล้กับตัวเมืองและการคมนาคมขนส่ง ด้วยพื้นที่ขนาด 180,000 ตารางเมตร (ประมาณ 2 ล้านตารางฟุต) ต้องการคมนาคมเข้าออกสะดวกสำหรับแรงงานจากเมืองที่กลายมาเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ และมีทางรถไฟรองรับ ชุมชนออร์คาร์ด เพลส (Orchard Place) เป็นชุมชนเล็กๆที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นมาก่อน จึงเรียกชื่อบริเวณนี้ว่าท่าอากาศยานออร์คาร์ด เพลส/ดักลาส ฟิลด์ (Orchard Place Airport/Douglas Field) ในช่วงระหว่างสงคราม (และเป็นที่มาของรหัส IATA - ORD) และยังเป็นคลังสรรพาวุธของการบิน 803 ซึ่งเก็บเครื่องบินหายาก หรือเครื่องบินรุ่นทดลองไว้ รวมทั้งเครื่องบินของฝ่ายข้าศึกที่ยึดมาได้ โดยเครื่องบินประวัติศาสตตร์เหล่านั้นได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อากาศยานแห่งชาติ (National Air Museum) ในภายหลัง", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" } ]
[ { "docid": "80366#27", "text": "เดลต้า แอร์ไลน์ (ซอลท์เลกซิตี, แอตแลนตา) เดลต้าคอนเนคชั่น ให้บริการโดย คอมแอร์ (ซินซิเนติ/นอร์ทเทิร์นเคนตักกี, นิวยอร์ก-เจเอฟเค) เดลต้าคอนเนคชั่น ให้บริการโดย ชัทเทิล อเมริกา (แอตแลนตา) (เริ่ม 1 พฤษภาคม 2550) สปิริตแอร์ไลน์ (ฟอร์ทไมเยอร์, ฟอร์ทโลเดอเดล) อเมริกันแอร์ไลน์ (ดูที่คองคอส เอช) อลาสกาแอร์ไลน์ (ซีแอตเทิล/ทาโคมา, แองโคเรจ) ไอบีเรีย (มาดริด)", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "10452#9", "text": "สนามรบในขณะนี้คือแหล่งที่พักอาศัยในเมืองและพื้นที่การค้า และมีอนุสาวรีย์อยู่หลายแห่งในเมืองแอตแลนตาเพื่อระลึกถึงประวัติศาสตร์ของศึกครั้งนี้ รวมถึงอนุสรณ์ที่สวนอินแมน () ลายเส้นรูปตัวแอล (L) ที่อยู่ระหว่างถนนมอร์แลนด์จากลิตเติ้ล ไฟฟ์ พอยท์นส์ () และถนนระหว่างรัฐสายที่ 20 เส้นทางเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกซึ่งเป็นจุดที่ฮาร์ดีย์ทำการโจมตี และหอแสดงภาพรอบทิศแห่งแอตแลนตา () ซึ่งแสดงภาพวาดและเป็นพิพิธภัณฑ์ของศึกนี้", "title": "ยุทธการที่แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#13", "text": "จะก่อสร้างในปีพ.ศ. 2553+", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "210219#0", "text": "ปลาแอตแลนติกทาร์ปอน () ปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า \"Megalops atlanticus\" ในวงศ์ปลาตาเหลือก (Megalopidae) จัดเป็น 1 ใน 2 ชนิดของปลาในวงศ์นี้ มีรูปร่างเหมือนปลาตาเหลือกซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน ต่างกันเพียงปลาแอตแลนติกทาร์ปอนมีดวงตาขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับขนาดของหัว ส่วนหัวมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนของลำตัว ส่วนหัวตรงบริเวณหน้าผากเหนือตา มีลักษณเป็นหยัก ทำให้ปากดูเชิดขึ้นด้านบนมากกว่าและจะชัดเจนมากเมื่อปลาโตขึ้น ลำตัวค่อนข้างเพรียวยาวกว่าชัดเจน ไม่ป้อมสั้นและไม่มีเยื่อไขมันคลุมตาเหมือนปลาตาเหลือก", "title": "ปลาแอตแลนติกทาร์ปอน" }, { "docid": "823#133", "text": "อุตสาหกรรมสายการบินพลเรือนมีเอกชนเป็นเจ้าของทั้งหมด และส่วนใหญ่เลิกกำกับ (deregulate) ไปตั้งแต่ปี 1978 ขณะที่ท่าอากาศยานสำคัญส่วนมากเป็นของรัฐบาล[476] สายการบินใหญ่สุดในโลกนับจากจำนวนผู้โดยสาร 3 สายเป็นของสหรัฐ; อเมริกันแอร์ไลนส์เป็นที่หนึ่งหลังจากยูเอสแอร์เวย์ซื้อในปี 2013[477] ในจำนวนท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในโลก 50 แห่ง มี 16 แห่งอยู่ในสหรัฐ รวมทั้งที่หนาแน่นที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา และอันดับสี่ ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ในชิคาโก[478] หลังเหตุโจมตี 11 กันยายน 2001 มีการตั้งการความปลอดภัยขนส่งเพื่อตรวจตราท่าอากาศยานและสายการบินพาณิชย์", "title": "สหรัฐ" }, { "docid": "80694#15", "text": "จะก่อสร้างในปีพ.ศ. 2553+", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#6", "text": "ในปีพ.ศ. 2486 สนามบินแคนด์เลอร์ได้เปลี่ยนชื่อเป็นท่าอากาศยานเทศบาลเมืองแอตแลนตา (Atlanta Municipal Airport) ในปีพ.ศ. 2491 มีผู้โดยสารกว่าหนึ่งล้านคนมาใช้บริการที่ อาคารจอดเครื่องบินเก่าในช่วงสงครามซึ่งปรับเปลี่ยนมาเป็นอาคารผู้โดยสาร จนกระทั่งวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2499 อีสเทิร์นแอร์ไลน์ เปิดให้บริการเที่ยวบินไปยังมอนทรีอัล แคนาดา ซึ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศเที่ยวแรกของแอตแลนตา ในปีพ.ศ. 2500 แอตแลนเปิดให้บริการด้วยเครื่องบินเจ็ต Sud Aviation Caravelle เป็นครั้งแรกโดยบินมาจากวอชิงตัน ดี.ซี. ในปีเดียวกันนั้นเอง ก็ได้มีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ขึ้นเพื่อลดความคับแคบ จนแอตแลนสามารถทำสถิติมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นสองล้านคนในปีนั้น ซึ่งเปิดให้บริการเวลา เที่ยง - บ่ายสองโมง ทุกวัน จนทำให้เป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดของโลก", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#26", "text": "ดูรายละเอียดข้างต้น", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ตสฟีลด์-แจ็กสัน แอตแลนตา (English: Hartsfield-Jackson Atlanta International Airport) หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า ท่าอากาศยานแอตแลนตา, ท่าอากาศยานฮาร์ตสฟีลด์ หรือเรียกอย่างย่อว่า ฮาร์ตสฟีลด์ ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เป็นท่าอากาศยานที่ความหนาแน่นมากที่สุดในกรณีจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินขึ้น-ลง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นผลจากการที่สายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ ซึ่งเป็นสายการบินขนาดใหญ่ที่สุดโลกให้บริการอยู่ที่ท่าอากาศยานแห่งนี้เป็นท่าอากาศยานหลัก", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#3", "text": "ท่าอากาศยานแห่งนี้บางส่วนอยู่ในเขตเมืองแอตแลนตา และบางส่วนอยู่ในเขตเมืองคอลเลจปาร์ค ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ตสฟีลด์-แจ็กสัน แอตแลนตา เป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์, แอร์ทราน แอร์เวย์, เดลต้า คอนเนคชั่น และแอตแลนติกเซาท์อีสแอร์ไลน์", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#12", "text": "เดลต้า คอนเนคชั่น ให้บริการโดย แอตแลนติกเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ และคอมแอร์ เดลต้า แอร์ไลน์ แอร์ฟรานซ์", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#28", "text": "8 มิถุนายน พ.ศ. 2538 วาลูเจ็ต เที่ยวบิน 597 เครื่องยนต์เสียหายจึงยกเลิกเที่ยวบิน 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกจากไปพื้นที่รักษาความปลอดภัยเพื่อไปเอากระเป๋ากล้องที่ลืมไว้ แล้วก็พยายามจะลัดกลับเข้าไปยังพื้นที่ที่ผ่านการตรวจรักษาความปลอดภัยแล้ว โดยวิ่งเข้าบันไดเลื่อนผิดช่อง ทำให้ต้องมีการอพยพคนทั้งท่าอกาศยาน รวมถึงเครื่องบินทั้งหมด การดำเนินต้องหยุดชะงักไปกว่า 3 ชั่วโมง 12 มิถุนายน พ.ศ. 2550 พบศพผู้หลบเลี่ยมขึ้นเครื่องฟรีบริเวณล้อเครื่องบินของเดลต้า แอร์ไลน์ หลังจากที่ลงจอดที่แอตแลนตาโดยบินมาจากดาการ์ ประเทศเซเนกัล", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#14", "text": "อาคารหลังนี้จะตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของท่าอากาศยาน ใกล้กับโรงเก็บเครื่องบินของสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ ผthe Delta Air Lines Jet Base) ตรงบริเวณที่เป็นอาคารคลังสินค้าและหอบังคับการบิน ระบบเดินทางภายในท่าอากาศยานจะขยายเส้นทางมาถึงพื้นที่อาคารผู้โดยสารใหม่นี้ด้วย", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "669020#0", "text": "เดลตาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 1288 เป็นเที่ยวบินจากท่าอากาศยานเพนซาโคลา รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา แอตแลนตา ประเทศจอร์เจีย บนเครื่องบินแมคดอนเนลล์ดักลาส เอ็มดี-88 ", "title": "เดลตาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 1288" }, { "docid": "80694#1", "text": "ฮาร์ตสฟีลด์เป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในปีพ.ศ. 2549 ทั้งกรณีของจำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบิน โดยให้บริการผู้โดยสาร 84.8 ล้านคน และ 976,447 เที่ยวบิน โดยสารเที่ยวบินส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ ซึ่งแอตแลนตารองรับการเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายเส้นทางกับท่าอากาศยานท้องถิ่นทั่วภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ร้อยละ 57 ของผู้โดยสารของฮาร์ทสฟิวด์-แจ็กสันไม่ใช่คนจากแอตแลนตา แต่เป็นคนที่มาเพื่อต่อเครื่องไปยังจุดหมายปลายทางอื่นต่อไป นอกจากนี้ฮาร์ตสฟีลด์-แจ็กสันยังเป็นประตูสู่สหรัฐอเมริกาลำดับที่ 7 โดยอันดับหนึ่งก็คือนิวยอร์ก-เจเอฟเค", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "3937#0", "text": "มหาสมุทรแอตแลนติก () เป็นมหาสมุทรที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1 ใน 5 ของพื้นผิวโลก ชื่อของมหาสมุทรมาจากนิยายปรัมปรากรีก หมายถึง \"ทะเลของแอตลาส\" มหาสมุทรแอตแลนติกเป็นแอ่งที่มีรูปร่างเหมือนตัวเอส (S) ติดกับทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ทางตะวันตก ส่วนทางตะวันออกติดกับ ทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา ปัจจุบันมีการแบ่งมหาสมุทรแอตแลนติกเป็น 2 ส่วน คือ แอตแลนติกเหนือและแอตแลนติกใต้ โดยใช้บริเวณที่เกิดการเปลี่ยนทิศของกระแสน้ำที่ละติจูด 8° เหนือเป็นแนวแบ่ง", "title": "มหาสมุทรแอตแลนติก" }, { "docid": "940778#5", "text": "ภูเขาใต้ทะเลส่วนมากเคยเป็นภูเขาไฟและมีแนวโน้มที่จะพบบนเปลือกโลกมหาสมุทรใกล้เทือกเขากลางสมุทร กระจุกแม็กม่าและหมู่เกาะรูปโค้ง โดยรวมแล้วภูเขาใต้ทะเลและเขายอดราบใต้สมุทรจะพบในก้นทะเลแปซิฟิกเหนือคิดเป็น 4.39% ของภูมิภาค มหาสมุทรแอตแลนติกมีภูเขาใต้ทะเลเพียง 16 ลูกและไม่มีเขายอดราบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนรวมกับทะเลดำมีภูเขาใต้ทะเลเพียง 23 ลูกและเขายอดราบ 2 ลูก แผนที่แสดงว่าภูเขาใต้ทะเล 9,951 ลูกครอบคลุมพื้นที่ถึง 8,088,550 ตารางกิโลเมตร ภูเขาใต้ทะเลมีพื้นที่เฉลี่ยลูกละ 790 ตารางกิโลเมตร ภูเขาใต้ทะเลลูกเล็กที่สุดพบในแอตแลนติก เมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยที่ใหญ่ที่สุดคือภูเขาในมหาสมุทรอินเดียมีค่าเฉลี่ยที่ 890 ตารางกิโลเมตร ภูเขาใต้ทะเลที่มีพื้นที่มากที่สุดอยู่ในแปซิฟิกเหนือมีขนาด 15,500 ตารางกิโลเมตร เขายอดราบใต้สมุทรครอบคลุมพื้นที่ 707,600 ตารางกิโลเมตรและมีพื้นที่เฉลี่ยลูกละ 2,500 ตารางกิโลเมตรซึ่งใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยของภูเขาใต้ทะเลถึง 2 เท่า พื้นที่เขายอดราบ 50% และจำนวนเขายอดราบ 42% อยู่ในแปซิฟิกเหนือครอบคลุมพื้นที่ 342,070 ตารางกิโลเมตร เขายอดราบขนาดใหญ่สามอันดับแรกอย่าง เขายอดราบคูโค่ (มีพื้นที่ 24,600 ตารางกิโลเมตร) เขายอดราบซุยโกะ (มีพื้นที่ 20,220 ตารางกิโลเมตร) และเขายอดราบพราราด้า (มีพื้นที่ 13,680 ตารางกิโลเมตร) อยู่ในแปซิฟิกเหนือเช่นกัน", "title": "ภูเขาใต้ทะเล" }, { "docid": "80694#4", "text": "พื้นที่บริเวณฮาร์ตสฟีลด์-แจ็กสันนั้น เริ่มจากต้นจากการทำสัญญาเช่าพื้นที่ 287 เอเคอร์ เป็นเวลา 10 ปี เพื่อสร้างเป็นสนามแข่งม้า โดยมีการออกสัญญาเช่าให้เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2468 โดยนายกเทศมนตรีวอล์เตอร์ ซิมส์ (Walter Sims) ผู้ซึ่งให้คำมั่นกับประชาคมไว้ว่าจะพัฒนาให้เป็นสนามบินให้ได้ และได้ข้อตกลงร่วมกันที่จะเปลี่ยนชื่อที่บริเวณนี้ว่าสนามบินแคนด์เลอร์ (Candler Field) ตามชื่อเจ้าของดั้งเดิม ผู้ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโคคา-โคล่า และอดีตนายกเทศมนตรีเมืองแอตแลนตา Asa Candler เครื่องบินลำแรกที่มาลงจอดที่แคนด์เลอร์ คือในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2469 โดยเครื่องขนส่งไปรษณีย์ฟลอริดาแอร์เวย์ บินมาจากแจ็กสันวิลล์ จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2471 Pitcairn Aviation ได้เริ่มเปิดให้บริการที่แอตแลนตา ตามด้วยเดลต้า แอร์เซอร์วิส ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2473 หลังจากนั้นไม่นานก็มีสายการบินที่รู้จักในชื่อ อีสเทิร์นแอร์ไลน์ และเดลต้า แอร์ไลน์ ซึ่งทั้งสองสายการบินใช้ที่อัลบอร์ก (Aalborg) เป็นสนามบินหลัก", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#7", "text": "ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 ได้เปิดให้บริการอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ มีมูลค่าถึง 21 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้มากกว่า 6 ล้านคนต่อปี ทำให้จำนวนผู้โดยสารดันทะลุสถิติเป็น 9.5 ล้านคน ในปีพ.ศ. 2510 เมืองแอตแลนตาและสายการบินต่างๆ ได้ประชุมความเห็นในการวางแผนแม่บทในการพัฒนาท่าอากาศยานแอตแลนตาในอนาคต", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "11195#57", "text": "ทางฝ่ายนายพลเชอร์แมนก็เคลื่อนทัพจาก ชัตตานูกา (Chattanooga) ในเทนเนสซีลงสู่แอตแลนตา ระหว่างทางก็ตีทัพสมาพันธรัฐของนายพลโจเซฟ อี. จอห์นสัน กับจอห์น เบลล์ ฮู้ด แตกกระเจิงไป เมืองแอตแลนตาแตกในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1864 (ซึ่งเป็นการรับประกันว่าลินคอล์นจะได้รับเลือกเป็น ปธน. อีกสมัย) ทัพของจอห์น ฮู้ดออกจากพื้นที่แอตแลนตาแล้วเข้าคุกคามเส้นทางส่งกำลังบำรุงของเชอร์แมน จากนั้นก็รุกเข้าเทนเนสซีเพื่อตลบหลังในการทัพแฟรงคลิน-แนชวิลล์ ผู้บัญชาการทัพสหภาพ พลตรีจอห์น แม็คอัลลิสเตอร์ สโคฟิลด์ตีทัพของฮู้ดแตกพ่าย จนหมดขีดความสามารถในการรบ ในยุทธการที่แนชวิลล์", "title": "สงครามกลางเมืองอเมริกา" }, { "docid": "868689#1", "text": "สายการบินเอเชียแอตแลนติกเริ่มปฏิบัติการบินเที่ยวแรกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2556 โดยสายการบินเอเชียแอตแลนติก ก่อตั้งจริงเป็นวันแรก 3 ธันวาคม 2556 ปัจจุบันมีจำนวนเที่ยวบินที่ผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมากเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้\nมีสายการบินเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวญี่ปุ่น H.I.S. และกลุ่มธุรกิจโรงแรมใบหยก 2 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2561 สายการบินได้ทำการบินไปยัง ภูเก็ต เสิ่นหยาง และ ซับโปโร และมีเที่ยวบินจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังท่าอากาศยานอู่ตะเภา ใช้สำหรับฝึกนักบิน", "title": "เอเชียแอตแลนติกแอร์ไลน์ส" }, { "docid": "80694#25", "text": "อาคารหลังนี้จะตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของท่าอากาศยาน ใกล้กับโรงเก็บเครื่องบินของสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ ผthe Delta Air Lines Jet Base) ตรงบริเวณที่เป็นอาคารคลังสินค้าและหอบังคับการบิน ระบบเดินทางภายในท่าอากาศยานจะขยายเส้นทางมาถึงพื้นที่อาคารผู้โดยสารใหม่นี้ด้วย คาดว่าจะสามารถเปิดใช้บริการได้ในช่วงต้นปีพ.ศ. 2553 โดยคองคอสนี้จะมีหลุมจอด 10 หลุมและระบบศุลกากรใหม่", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#8", "text": "การก่อสร้างเริ่มตรงบริเวณพื้นที่ตรงกลางที่เป็นอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานในปัจจุบันในเดือนมกราคน พ.ศ. 2520 ดำเนินงานโดยนายกเทศมนตรีเมย์นาร์ด แจ็ดสัน (Maynard Jackson) ซึ่งเป็นการก่อสร้างที่มีมูลค่าสูงที่สุดในแดนใต้ 500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ จากนั้นก็ได้เปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานตามชื่อของอดีตนายกเทศมนตรีแอตแลนตา วิลเลี่ยม เบอร์รี่ ฮาร์ตสฟีลด์ (William Berry Hartsfield) ผู้ซึ่งผลักดันการเดินทางท่องเที่ยวด้วยเครื่องบิน ว่า ท่าอากาศยานนานาชาติวิลเลี่ยม บี. ฮาร์ทสฟิวด์ เปิดให้บริการในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2523 ซึ่งท่าอากาศยานใหม่นี้ออกแบบไว้ให้สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ถึง 55 ล้านคนต่อปี และครอบคลุมพื้นที่ถึง 230,000 ตารางเมตร (2.5 ล้านตารางฟุต) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2523 ทางวิ่งขนานกันขนาด 2,743 เมตร (9,000 ฟุต) ทั้ง 4 เส้น ก็เสร็จสมบูรณ์ และได้มีการขยายความยาวของทางวิ่งเส้นหนึ่งออกเป็น 3,624 เมตร (11,889 ฟุต) ในปีถัดมา", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "10452#4", "text": "พ.อ. ฮู้ด ที่มีกำลังทหารที่น้อยกว่าศัตรูของเขามาก กำลังเผชิญกับปัญหาสองปัญหา ประการแรกคือ เขาจำเป็นต้องป้องกันเมืองแอตแลนตา ที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรถไฟและการอุตสาหกรรมที่สำคัญมากสำหรับฝ่ายสหพันธรัฐ ประการที่สองคือ กองทัพของเขานั้นมีขนาดเล็กมาก เมื่อเทียบกับกองทัพขนาดใหญ่ที่นายพลเชอร์แมนมี เขาจึงตัดสินใจที่จะถอนกำลังของเขากลับเข้าไปในเมือง เพื่อล่อทหารฝ่ายสหรัฐให้รุกคืบเข้ามา ในขณะเดียวกัน กองทัพของแมคเฟอร์สันก็กำลังเดินทางจากเมืองดีคาเทอร์ รัฐจอร์เจีย มายังฝั่งตะวันออกของเมืองแอตแลนตา", "title": "ยุทธการที่แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#5", "text": "หอบังคับการบินหลังแรกของสนามบินแคนด์เลอร์เปิดให้บริการเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2482 และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นฐานทัพอากาศ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ขยายพื้นที่ออกไปอีกเป็นสองเท่าตัวและทำสถิติมีเที่ยวบินขึ้นลง 1,700 เที่ยวภายในวันเดียว ทำให้กลายเป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในกรณีจำนวนเที่ยวบินของสหรัฐอเมริกาไปทันที", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#2", "text": "แอตแลนตายังให้บริการเที่ยวบินตรงไปยังจุดหมายปลายทางมากกว่าท่าอากาศยานศูนย์กลางใดๆในโลก โดยรองรับ 243 เส้นทางบินตรง รวมถึง 72 เที่ยวบินต่างประเทศ ใน 45 ประเทศ", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "59840#1", "text": "แอตแลนตาเคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 1996 และในแอตแลนตายังมีทีมกีฬาที่มีชื่อเสียงหลายทีม อาทิ เช่น แอตแลนตา ฮอกส์ (บาสเกตบอล) และ แอตแลนตา ฟัลคอนส์ (อเมริกันฟุตบอล)", "title": "แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#9", "text": "ในปีพ.ศ. 2546 สภาเมืองแอตแลนตาได้ลงคะแนนเสียงเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ให้เปลี่ยนชื่อจาก ท่าอกาศยานนานาชาติฮาร์ตสฟีลด์แอตแลนตา เป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ตสฟีลด์-แจ็กสัน แอตแลนตา เพื่อให้เกีรยติอดีตนายกเทศมนตรีเมย์นาร์ด แจ็กสัน นายกเทศมนตรีชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกของแอตแลนตา ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2546 แรกเริ่มเดิมทีสภาเมืองแอตแลนจะเปลี่ยนท่าอากาศยานเป็นชื่อของท่านายกเทศมนตรีแจ็กสันเพียงคนเดียว แต่ประชาชนชาวเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานของอดีตนายกเทศมนตรีฮาร์ตสฟีลด์ ได้เรียกร้องให้คงชื่อของท่านไว้ด้วย", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "80694#10", "text": "ช่วงกลางปีพ.ศ. 2548 การก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 5 (10/28) จึงแล้วเสร็จ และเปิดใช้บริการในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งช่วยลดปัญหาการจราจรทางอากาศสำหรับการขึ้นลงของเครื่องบินขนาดกลาง ที่ใช้ทางวิ่งขนาดยาวร่วมกับเครื่องบินขนาดใหญ่อย่างโบอิง 777 ที่ต้องการระยะทางในการนำเครื่องขึ้น", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "59840#0", "text": "แอตแลนตา (Atlanta, บางสำเนียงออกเสียง แอตแลนนา) เป็นเมืองหลวงและเมืองขนาดใหญ่ในรัฐจอร์เจียของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประชากร ตามสัมมโนประชากรในปี 2548 ทั้งหมด 470,688 คน ซึ่งแอตแลนตานี้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของธุรกิจสำคัญระดับโลกหลายอย่าง ไม่ว่า โค้ก เอทีแอนด์ทีไวร์เลสส์ เดลต้า แอร์ไลน์ และ โฮมดีโปต์ รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นที่สุดของโลกฮาร์ทสฟิลด์-แจ็คสัน นอกจากนี้ในแอตแลนตายังเป็นที่ตั้งของ สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย ที่รู้จักในชื่อย่อว่า จอร์เจียเทค สถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐอเมริกาแห่งหนึ่ง และที่ตั้งของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ (CDC: Centers for Disease Control and Prevention)", "title": "แอตแลนตา" } ]
1089
ปลาหางนกยูงออกลูกเป็นตัวหรือไข่ ?
[ { "docid": "225260#3", "text": "ปลาหางนกยูงเป็นปลาที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นปลาสวยงาม ในประเทศไทยได้มีการนำเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยนิยมเลี้ยงกันในอ่างบัว เพราะเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายมาก มีสีสันสวยงาม สามารถเลี้ยงรวมกันเป็นฝูงได้โดยเริ่มต้นจากตัวเดียว จากการเป็นปลาผิวน้ำและเป็นปลาขนาดเล็ก ทำให้การเลี้ยงปลาหางนกยูงในอ่างบัว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องให้ออกซิเจนเหมือนปลาชนิดอื่น ๆ อีกทั้งการแพร่ขยายพันธุ์ก็กระทำได้ง่ายมาก เนื่องจากเป็นปลาที่ปฏิสนธิภายในตัว และออกลูกเป็นตัว โดยปลาตัวเมียเมื่อได้รับการผสมแล้วจะสามารถให้ลูกไปได้ราว 2-3 ครอก ซึ่งการขยายพันธุ์ก็เพียงแค่จับปลาตัวผู้และตัวเมียมาเลี้ยงไว้รวมกันก็สามารถให้ลูกได้แล้ว โดยปลาที่มีความพร้อมที่จะขยายพันธุ์จะมีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป", "title": "ปลาหางนกยูง" } ]
[ { "docid": "591772#1", "text": "เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับปลาหางนกยูง (\"P. reticulate\") ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก จนมีความเข้าใจผิดกันว่าเป็นปลาหางนกยูงสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ หรือปลาหางนกยูงป่า โดยชื่อ \"เอนด์เลอร์\" นั้นเป็นการตั้งชื่อสามัญเพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.จอห์น เอนด์เลอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาผู้ค้นพบในปี ค.ศ. 1975", "title": "ปลาเอนด์เลอร์" }, { "docid": "320635#4", "text": "ปลาแกมบูเซีย มีอายุขัยตลอดชีวิตอยู่ได้ราว 12 เดือน หรือ 1 ปี ในบางตัวอาจอยู่ได้ยาวถึง 15 เดือน กินจำพวก ตัวอ่อนของแมลงเช่น ลูกน้ำเป็นอาหาร รวมถึงแพลงก์ตอนพืช, แพลงก์ตอนสัตว์, ตะไคร่น้ำ และไดอะตอมได้ด้วย ลูกปลาที่เกิดใหม่มีขนาดยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร และสามารถกินลูกน้ำได้ทันที เฉลี่ยแล้วในวันหนึ่ง ปลาแกมบูเซียตัวหนึ่งอาจกินลูกน้ำได้เป็นร้อยตัว ซึ่งนับได้ว่ากินเก่งกว่าปลาหางนกยูงมาก ปลาตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 6-8 สัปดาห์ ปลาตัวเมียมีถุงพิเศษใช้เก็บน้ำเชื้อของตัวผู้ ซึ่งการผสมพันธุ์หนึ่งครั้งจะมีน้ำเชื้อมากพอ สำหรับใช้ผสมกับไข่ได้หลายท้อง ปลาแกมบูเซียออกลูกเป็นตัวโดยจะออกลูกท้องละ 40-100 ตัว (ใช้เวลาออกลูก 21-28 วันต่อหนึ่งท้อง) แต่ละท้องห่างกันประมาณ 6 สัปดาห์ และตลอดชีวิตของจะตั้งท้องได้ 3-4 ครั้ง", "title": "ปลากินยุง" }, { "docid": "892707#2", "text": "ในเกมจะมีโหมดการเล่นอยู่ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ โหมดผจญภัย (Adventure) โหมดจับเวลา (Time Trial) โหมดท้าทาย (Challenge Mode) และโหมดตู้ปลาจำลอง (Virtual Tank) โดยระหว่างที่เล่นเกม ผู้เล่นจะต้องดูแลปลาหางนกยูงและสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ภายในตู้ปลา โดยแต่ละด่านจะเริ่มด้วยปลาหางนกยูงสองตัว หรืออาจมีตัวผสมพันธุ์หนึ่งตัวซึ่งจะทำให้ผู้เล่นได้ปลาหางนกยูงเพิ่มอีกหนึ่งตัว โดยปลาหางนกยูงและปลาอื่น ๆ จะปล่อยเงินเหรียญหรืออาจเป็นเปลือกหอยลงมาด้านล่างของตู้ปลา โดยผู้เล่นจะต้องคลิกที่เหรียญหรือเปลือกหอยนั้นเพื่อเก็บสะสมและนำเงินเหล่านี้ไปซื้อสัตว์เลี้ยง อาหาร หรืออัปเกรดอย่างอื่นเพิ่ม เช่น อัปเกรดอาวุธที่ใช้ยิงเมื่อมีเอเลี่ยนเข้ามา เพิ่มขีดจำกัดอาหารที่สามารถป้อนได้ในครั้งเดียวกัน โดยผู้เล่นจะต้องให้อาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีชีวิตรอดอยู่ได้ ซึ่งอาจเป็นอาหารปลาที่ผู้เล่นซื้อ หรือเป็นปลาสายพันธุ์อื่น นอกจากนี้ ผู้เล่นยังต้องป้องกันไม่ให้เอเลี่ยนเข้ามากินสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ในตู้ปลาจนหมด โดยเอเลี่ยนจะเข้ามาเป็นช่วงสั้น ๆ โดยผู้เล่นสามารถกำจัดเอเลี่ยนได้โดยการคลิกเมาส์ที่ตัวเอเลี่ยนเพื่อยิงเอเลี่ยนจนกว่าเอเลี่ยนจะหายไป โดยในอินเซนิควาเรียมรุ่นดั้งเดิมจะมีเอเลี่ยนอยู่ 4 ชนิด ส่วนในรุ่นดีลักซ์จะมีอยู่ 8 ชนิด", "title": "อินเซนิควาเรียม" }, { "docid": "356326#4", "text": "ปลากระเบนค้างคาวออกลูกเป็นไข่ แต่ไข่ได้พัฒนาเป็นตัวในช่องท้องของปลาตัวเมีย เมื่อแรกเกิดลูกปลาจะมีถุงไข่แดงติดตัวมาด้วย", "title": "ปลากระเบนค้างคาว" }, { "docid": "346474#5", "text": "ม้าน้ำ เหมือนกับปลาชนิดอื่น ๆ ที่อยู่ในวงศ์เดียวกันนี้ คือ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายอุ้มท้อง โดยมีอวัยวะตรงบริเวณหน้าท้องคล้ายถุง ใช้สำหรับเก็บไข่และฟักเป็นตัว เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ม้าน้ำตัวผู้จะปรับเปลี่ยนสีของลำตัวเพื่อดึงดูดม้าน้ำตัวเมีย จากนั้นตัวผู้จะใช้หางโอบกอดตัวเมียพร้อมกับแอ่นท้องประกบกับท้องเข้าหากัน ตัวเมียจะออกไข่ใส่ลงในถุงหน้าท้องของตัวผู้ และม้าน้ำตัวผู้ก็จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมกับไข่และฟักเป็นตัวอ่อนภายในถุงหน้าท้อง โดยใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนแล้วแต่ชนิด โดยจำนวนไข่ในแต่ละครั้งจะมีประมาณ 100-200 ฟอง มากที่สุดคือ 1,500 ฟอง ตามแต่ละชนิด มีระยะการตั้งท้องในแต่ละครั้งเว้นห่าง 28-30 วัน แต่ม้าน้ำตัวผู้บางตัวเมื่อออกลูกในตอนเช้า พอถึงตอนค่ำก็สามารถอุ้มท้องใหม่ได้เลยทันที โดยม้าน้ำถือว่าเป็นปลาที่ออกลูกและแพร่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว แต่จะมีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่เจริญเติบโตจนกลายเป็นตัวเต็มวัยในเวลาต่อมา", "title": "ม้าน้ำ" }, { "docid": "225260#6", "text": "นอกจากนี้แล้ว ในทางวิชาการ จากการทดลองของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่ได้ออกแบบสถานการณ์กระตุ้นระดับความเครียดของปลาหางนกยูงจากธรรมชาติในตรินิแดดและโตเบโก เพื่อสังเกตพฤติกรรมของปลาแต่ละตัว พบว่า ปลาหางนกยูงมีพฤติกรรมที่หลากหลายในการรับมือกับความเครียด เช่น บางตัวพยายามจะที่จะหลบหนีออกมา, บางตัวก็สังเกตอย่างระมัดระวัง สรุปได้ว่า การเปบี่ยนแปลงพฤติกรรมของปลาหางนกยูงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น ทุกตัวจะเคร่งเครียดขึ้นในสถานการณ์ที่เครียดมากขึ้น", "title": "ปลาหางนกยูง" }, { "docid": "320636#1", "text": "จัดเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัวจำพวกหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์นี้สกุลอื่นทั่วไปหรือคล้ายปลาหางนกยูง แต่มีขนาดใหญ่กว่า ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3 นิ้วในตัวเมีย และ 1.5 นิ้ว ในตัวผู้ กระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงแคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้", "title": "ปลาแกมบูเซีย" }, { "docid": "420566#5", "text": "ปลาไบเคอร์ทุกชนิดออกลูกเป็นไข่ โดยในครั้งนึงจะออกประมาณ 300 ฟอง และตัวอ่อนจะออกจากไข่ภายในระยะเวลา 4 วัน นับจากแม่ปลาวางไข่", "title": "สกุลปลาไบเคอร์" }, { "docid": "27731#5", "text": "ปลาฉลามโดยมากเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว ในตัวผู้จะมีอวัยวะเพศเป็นติ่งยื่นยาวออกมาหนึ่งคู่เห็นได้ชัด ซึ่งเรียกว่า \"เดือย\" หรือ \"Clasper\" ในภาษาอังกฤษ แต่ก็มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ออกลูกเป็นไข่ โดยมากแล้วเป็นปลาทะเล อาศัยอยู่ในทะเลทั้งเขตอบอุ่นและขั้วโลก มีเพียงบางสกุลและบางชนิดเท่านั้น ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ อาทิ ปลาฉลามแม่น้ำ (\"Glyphis\" spp.) ที่เป็นปลาฉลามน้ำจืดแท้ โดยมีวงจรชีวิตอยู่ในน้ำจืดตลอดทั้งชีวิต และปลาฉลามหัวบาตร หรือ ปลาฉลามครีบดำ (\"Carcharhinus melanopterus\") ที่มักหากินตามชายฝั่งและปากแม่น้ำ ซึ่งอาจปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดสนิทได้", "title": "ปลาฉลาม" }, { "docid": "374702#4", "text": "ปลาแบล็คโกสต์ ออกลูกเป็นไข่ ไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 3 วัน หรือประมาณ 72-96 ชั่วโมง การเพาะพันธุ์ในที่เลี้ยงเท่าที่มีรายงานประสบความสำเร็จที่บริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย", "title": "ปลาแบล็คโกสต์" }, { "docid": "368161#2", "text": "เป็นปลาที่มีทั้งออกลูกเป็นไข่และออกลูกเป็นตัว โดยพวกที่ออกลูกเป็นตัว มักจะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด และที่ออกลูกเป็นไข่มักเป็นปลาทีอาศัยอยู่ในทะเล", "title": "วงศ์ปลาเข็ม" }, { "docid": "434823#4", "text": "ปลาฉลามหัวค้อนจะออกลูกเป็นตัว ตกคราวละ 4-37 ตัว โดยการผสมพันธุ์จะเกิดก่อนที่ตัวเมียจะตกไข่นานถึง 2 เดือน ปลาตัวเมียจะเก็บน้ำเชื้อของตัวผู้ไว้ในต่อมสร้างเปลือกไข่ ซึ่งไข่จะเจริญมาจากรังไข่ข้างขวาซึ่งจะทำหน้าที่เพียงข้างเดียว ตัวอ่อนในมดลูกจะได้รับอาหารและออกซิเจนจากถุงไข่แดงและพู่เหงือก ซึ่งจะหายไปเมื่อโตขึ้น", "title": "ปลาฉลามหัวค้อน" }, { "docid": "397840#3", "text": "ปลาในอันดับนี้ส่วนมากออกลูกเป็นไข่ แต่มีบางชนิดออกลูกเป็นตัว ชนิดที่ออกลูกเป็นตัวจะมีลักษณะเฉพาะ คือ ตัวผู้จะมีอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งมีการพัฒนาลักษณะโครงสร้างมาจากก้านครีบก้นคือ จะมีลักษณะแหลมยาวเรียกว่า โกโนโพเดียม ซึ่งจะใช้เป็นอวัยวะนี้ผสมพันธุ์กับตัวเมียส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของตัวเมียจะมีช่องเพศอยู่บริเวณหน้าครีบก้น ซึ่งตัวผู้จะใช้อวัยวะที่เรียกว่าโกโนโพเดียม สอดเข้าไปในช่องเพศของตัวเมีย และส่งน้ำเชื้อเข้าไปผสมกับไข่ของตัวเมียหรืออาจจะถูกเก็บไว้ในท่อนำไข่ ปลาในอันดับนี้สามารถออกลูกเป็นตัว โดยไข่ที่อยู่ในท้องของตัวเมียจะถูกผสมโดยน้ำเชื้อของตัวผู้ และไข่ก็จะพัฒนาอยู่ในท้องของตัวเมียจนกระทั่งฟักออกเป็นตัว ซึ่งปลาตัวเมียที่ได้ผสมกับปลาตัวผู้เพียงครั้งเดียว จะสามารถให้ลูกได้ต่อไปอีกหลายครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการผสมพันธุ์กับตัวผู้อีกเลย โดยไข่จะผสมพันธุ์กับน้ำเชื้อที่ถูกกักเก็บไว้ในท่อนำไข่ ซึ่งการที่ปลาออกลูกเป็นตัวตัวเมียสามารถกักเก็บน้ำเชื้อตัวผู้ได้ยาวนานนั้นขึ้นอยู่ชนิดและความสมบูรณ์ของตัวแม่ปลา", "title": "อันดับปลาหัวตะกั่ว" }, { "docid": "439222#2", "text": "เป็นปลาฉลามขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 1.50 เซนติเมตร อาศัยและหากินตามพื้นทะเล และเป็นปลาที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคจูแรซซิก ออกลูกเป็นไข่ ไข่มีลักษณะคล้ายกับเกลียวที่เปิดจุกไวน์มีสีคล้ำ ตามกอสาหร่าย ไข่บางส่วนจะถูกกระแสน้ำซัดขึ้นไปเกยหาดไม่มีโอกาสฟักเป็นตัว ในส่วนที่ฟักเป็นตัวจะใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ", "title": "อันดับปลาฉลามหัววัว" }, { "docid": "66735#4", "text": "เป็นปลาที่ออกลูกเป็นไข่ แต่ไข่จะมีการเจริญเติบโตในช่องท้องของตัวเมีย เมื่อฟักแล้วจะทำให้ดูคล้ายออกลูกเป็นตัวเป็นปลาที่อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์เต็มที่ ซึ่งปัจจุบันจะมีการเลี้ยงไว้ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถที่จะแพร่ขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้สำเร็จ", "title": "ปลาฉนาก" }, { "docid": "397860#2", "text": "เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วในทุกแหล่งน้ำอย่างกว้างขวางในอนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคซุนดา มีขนาดทั่วไปไม่เกิน 10 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าและสีสันสวยงามและหลากหลายกว่าตัวเมีย เป็นปลาที่ออกลูกเป็นไข่ โดยจะวางไข่ไว้กับไม้น้ำ ไข่จะฟักเป็นตัวใช้เวลาประมาณ 12-14 วัน ", "title": "ปลาหัวงอน" }, { "docid": "854659#0", "text": "ปลาสี่ตา () สกุลของปลาน้ำจืดในสกุล \"Anableps\" ในวงศ์ปลาสี่ตา (Anablepidae) ในอันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinidontiformes) เช่นเดียวกับปลาหางนกยูง, ปลากินยุง หรือปลาสอด", "title": "ปลาสี่ตา" }, { "docid": "551722#3", "text": "ปลาฉลามนางฟ้า มีความยาวประมาณ 1.5-2 เมตร เป็นปลาที่ออกลูกเป็นไข่ซึ่งไข่นั้นจะพัฒนาในช่องท้องของปลาตัวเมียจนคลอดออกมาเป็นตัวคราวละ 13 ตัว ลูกปลาจะได้รับอาหารจากไข่แดงที่อยู่ในฟองไข่", "title": "ปลาฉลามนางฟ้า" }, { "docid": "433506#4", "text": "เป็นปลาฉลามที่ออกลูกเป็นไข่ โดยลักษณะไข่เป็นกระเปาะคล้ายแคปซูลรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเปลือกเหนียวและมีเส้นใยไว้ยึดติดกับวัสดุใต้น้ำ ลูกปลาจะใช้เวลาในการพัฒนาตัวในกระเปาะไข่ประมาณ 12 สัปดาห์ โดยกินอาหารจากถุงไข่แดง และเมื่อฟักออกมาแล้วจะสามารถหาอาหารกินได้เองเลย ซึ่งได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กที่อาศัยอยู่หน้าดินพื้นทะเล", "title": "ปลาฉลามหิน" }, { "docid": "11220#4", "text": "ชั้นใหญ่พิสเซส ซึ่งเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เป็นสัตว์น้ำหายใจด้วยเหงือก ที่เหงือกมีช่องให้น้ำผ่านเข้าออก อาจมีแผ่นแข็งปกคลุมหรือมีผิวหนังปิด มีครีบใช้เคลื่อนไหวและทรงตัว มีหัวใจ 2 ห้อง เส้นประสาทสมอง 10 คู่ ปกคลุมตัวด้วยหนังหรือเกล็ด แบ่งได้เป็น 3 ชั้นคือ ชั้นอะแบทา ได้แก่ปลาปากกลม พบในเขตหนาว ไม่พบในประเทศไทย ชั้นคอนดริกไทออส ได้แก่ปลากระดูกอ่อน โครงสร้างเป็นกระดูกอ่อนทั้งหมด เช่นปลากระเบน ปลาฉลาม ปลาฉนาก ชั้นออกตีอิกไทออส ได้แก่ปลากระดูกแข็ง เช่น ปลามีปอด ปลาหมอเทศ ปลาดุก ชั้นใหญ่เตราโปดา มีรยางค์ใช้ในการเคลื่อนไหว 2 คู่ หัวใจมี 3 – 4 ห้อง หายใจด้วยปอด แบ่งได้เป็น 4 ชั้นคือ ชั้นแอมฟิเบีย ได้แก่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น กบ คางคก เขียด ปาดอึ่งอ่าง งูดิน ชั้นเรปทิเลีย ได้แก่สัตว์เลื้อยคลาน เช่น ตะพาบน้ำ ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลน งู จระเข้ ชั้นเอวีส ได้แก่สัตว์ปีก พวกนกต่างๆ ชั้นแมมมาเลีย ได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แบ่งได้อีกเป็น 2 ชั้นยอย คือ ชั้นย่อยโปรโตเทเรีย ออกลูกเป็นไข่ ได้แก่ ตุ่นปากเป็ดและตัวกินมด ชั้นย่อยเทเรีย ออกลูกเป็นตัว ได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลือเช่น จิงโจ้ ค้างคาว นิ่มเกล็ด กระต่าย กระรอก โลมา", "title": "สัตว์มีกระดูกสันหลัง" }, { "docid": "398517#6", "text": "เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันตามสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก มีฤดูกาลผสมพันธุ์อยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคม เป็นปลาที่ออกเป็นไข่แต่ลูกปลาจะพัฒนาจนฟักเป็นตัวในท้องของแม่ปลาเหมือนปลาฉลามส่วนใหญ่ชนิดอื่น ตั้งท้องนานประมาณ 6 เดือน ออกลูกสูงสุดได้ถึง 21-29 ตัว ใช้เวลานาน 18 เดือนสำหรับรังไข่ที่จะพร้อมให้กำเนิดไข่ชุดใหม่ ลูกปลาเมื่อแรกเกิดม่ีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร โดยจุดสีเข้มนั้นจะค่อย ๆ จางหายไปเมื่ออายุมากขึ้น", "title": "ปลาฉลามพยาบาล" }, { "docid": "434793#2", "text": "จัดเป็นปลาฉลามขนาดเล็ก ขนาดโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ 75–121 เซนติเมตร เมื่อยังเป็นปลาขนาดเล็กจะมีสีสัน]ลำตัวสวยงาม โดยจะเป็นปล้อง ๆ สีคล้ำสลับกับสีขาวตลอดทั้งตัว เมื่อโตขึ้นมาแล้วจะกลายเป็นสีเดียวตลอดทั้งลำตัว เช่น สีน้ำตาล, สีเขียว หรือเทา เป็นปลาที่หากินและอาศัยอยู่ในพื้นท้องน้ำหลากหลายสภาพ ทั้งพื้นทราย, พื้นโคลน และทรายปนโคลน โดยปกติถ้าไม่หากินมักจะอยู่นิ่ง ๆ กับพื้น ออกลูกเป็นไข่ ลักษณะไข่มีลักษณะคล้ายแคปซูล ลูกปลาจะกินอาหารโดยผ่านถุงไข่แดง มักจะวางไข่ในที่ ๆ น้ำตื้น หรือบริเวณปากแม่น้ำ หรือชายฝั่ง", "title": "วงศ์ปลาฉลามกบ" }, { "docid": "38344#4", "text": "ปลาการ์ตูนออกลูกเป็นไข่และสามารถเปลี่ยนเพศได้ ปลาการ์ตูนจะเปลี่ยนเพศเมื่อสิ่งแวดล้อมกำหนดบทบาทให้ โดยในระยะแรกเริ่มหลังจากที่ฟักออกจากไข่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าเป็นเพศใด จนกว่าจะเป็นตัวเต็มวัยจึงจะปรากฏเป็นปลาเพศผู้ และในปลารุ่นเดียวกันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นปลาเพศเมีย โดยในสังคมของปลาการ์ตูนกลุ่มหนึ่ง ๆ จะมีปลาเพศเมียเพียงตัวเดียวเท่านั้น ตัวใหญ่ที่สุดในฝูง สีสันไม่สดใสมากนัก พฤติกรรมก้าวร้าว ส่วนปลาเพศผู้มีขนาดเล็กกว่า สีสันสวยงามกว่า จากปลาเพศผู้ เมื่อมีสิ่งเร้าจากภายนอกและภายในเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ เทเลนฟาลอน (Telenephalon) จะส่งสัญญาณมาที่ทาลามัส (Thalamus) และไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนเฉพาะของเพศผู้ อวัยวะเป้าหมายส่วนที่ จะพัฒนาจนสามารถทำงานได้คืออัณฑะผลิตสเปิร์ม ส่วนตัวที่ใหญ่ ที่สุดจะมีพัฒนาการตรงกันข้าม ไฮโปธาลามัสจะส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนเฉพาะของเพศเมีย อวัยวะเป้าหมายคือรังไข่ ผลิตไข่ และถ้าเพศเมียตายไป ปลาการ์ตูนเพศผู้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แข็งแกร่งที่สุด จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพศทดแทนด้วยกลไกแบบหลังภายใน 4 สัปดาห์ โดยจะเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว พร้อมสีสันสวยน้อยลง ", "title": "ปลาการ์ตูน" }, { "docid": "225260#5", "text": "จากความเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ง่าย ทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้รณรงค์ให้คนไทยเลี้ยงปลาหางนกยูงไว้ในภาชนะที่ใส่น้ำในบ้านเพื่อกินลูกน้ำและยุงเพื่อเป็นการป้องกันโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากยุง และในปัจจุบัน ปลาหางนกยูงได้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นชนิดหนึ่งในประเทศไทยไปแล้ว มีการพบในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไปปะปนกับปลาขนาดเล็กพื้นเมืองทั้งหลาย ซึ่งปลาหางนกยูงส่วนใหญ่ในธรรมชาติที่พบนั้น จะมีลำตัวใส ไม่มีลวดลายทั้งนี้เนื่องจากเป็นผลจากการผสมภายในสายเลือดเดียวกัน", "title": "ปลาหางนกยูง" }, { "docid": "285267#2", "text": "เป็นปลาฉลามที่หากินอยู่บริเวณหน้าดิน มีพฤติกรรมชอบอยู่นิ่ง ๆ กินแต่พืชและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร ออกลูกเป็นไข่ โดยที่ตัวเมียจะไม่ดูแลไข่ แต่จะวางไข่อยู่บริเวณแนวปะการังที่มีสาหร่ายล้อมรอบอยู่ และสร้างเปลือกไข่ที่แข็งแรงเพื่อปกป้องตัวอ่อน จัดเป็นปลาทะเลอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม จากการที่เป็นปลาขนาดเล็กและสีสันที่สวยงาม", "title": "ปลาฉลามกบ" }, { "docid": "67504#4", "text": "ส่วนการผสมพันธุ์ภายในเกิดขึ้นภายในอวัยวะสืบพันธุ์ของตัวเมีย\nซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวผู้ฉีดน้ำอสุจิเข้าในช่องคลอดของตัวเมียในระหว่างการร่วมเพศ\nในสัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนมาก รวมทั้ง สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก ปลาที่ออกลูกเป็นตัว เช่น ปลาหางนกยูง หรือฉลาม และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับโมโนทรีม\nการร่วมเพศเกิดที่ทวารร่วม (cloaca) ของทั้งตัวผู้และตัวเมีย\nแต่ในสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องและในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีรก การร่วมเพศจะเกิดขึ้นผ่านช่องคลอด", "title": "น้ำอสุจิ" }, { "docid": "669124#5", "text": "เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว โดยออกเป็นไข่ ซึ่งตัวอ่อนจะพัฒนาอยู่ในไข่ ออกลูกครั้งละประมาณ 2 ตัว ไม่เกิน 4 ตัว เนื่องจากมี 2 มดลูก โดยตัวอ่อนจะไม่ได้รับอาหารผ่านทางรก แต่จะได้รับอาหารจากถุงไข่แดงแทน ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจนฟักเป็นประมาณ 6 เดือน ซึ่งเมื่อคลอดออกมาแล้ว ปลาฉลามพยาบาลสีน้ำตาลจะกัดกินกันเองจนเหลืออยู่เพียงตัวเดียวในมดลูกของแม่ เมื่อแรกเกิดมีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร และมีจุดกระดำกระจายไปทั่ว ", "title": "ปลาฉลามพยาบาลสีน้ำตาล" }, { "docid": "472930#16", "text": "เพลี้ยแป้งเพศเมียเต็มวัยสามารถขยายพันธุ์ได้ โดย ไม่ต้องผสมพันธุ์จากเพศผู้ มีทั้งสามารถออกลูกเป็นตัว และออกลูกเป็นไข่แล้วฟักเป็นตัวอ่อนได้ แต่ส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่ โดย วางไข่เป็นเม็ด เวลาวางไข่จะสร้างถุงไข่ไว้ใต้ท้องมีลักษณะเป็นใยคล้ายสำลีหุ้มไข่ไว้อีกชั้นหนึ่ง มีขนาดกว้าง 0.20 มิลลิเมตร ยาว 0.40 มิลลิเมตร ถุงไขมีจำนวนไข่ ตั้งแต่ 50-600 ฟอง ใช้เวลาวางไข่ 7 วัน ไข่ มีลักษณะเป็นเม็ดเดียว สีเหลืองอ่อน รูปร่างยาวรี ส่วนตัวอ่อนวัยแรกที่ฟักออกจากไข่ มีสีเหลืองอ่อน ลำตัวยาวรี สามารถเคลื่อนที่ได้ หลังจากนั้นลอกคราบ 3-4 ครั้ง ระยะตัวอ่อนใช้เวลา 18-59 วัน ตัวอ่อนมีขนาดกว้าง 1.00 มิลลิเมตร ยาว 2.09 มิลลิเมตร โดย ตัวอ่อนเริ่มมีหาง สามารถสร้างแป้งและไขแป้งสีขาวห่อหุ้มรอบลำตัวได้ สำหรับตัวเมียเต็มวัย มีลักษณะตัวค่อนข้างแบน บนหลังและรอบลำตัวมีไขแป้งปกคลุมมาก มีขนาดกว้าง 1.83 มิลลิเมตร ยาว 3.03 มิลลิเมตร และหางยาว 1.57 มิลลิเมตร ตัวเมียเต็มวัยอายุประมาณ 10 วัน สามารถวางไข่หรือออกลูกได้ ส่วนตัวผู้เต็มวัยมีปีกบินได้และหนวดยาว ขนาดกว้าง 0.45 มิลลิเมตร ยาว 1.35 มิลลิเมตร ปีกยาว 1.57 มิลลิเมตร เพลี้ยแป้งบางชนิดเท่านั้นที่ไข่พัฒนาเป็นตัวเต็มวัยเพศผู้ รวมชีพจักรเพลี้ยแป้ง ตั้งแต่ 35-92 วัน", "title": "เพลี้ยแป้ง" }, { "docid": "439213#4", "text": "ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสันเป็นปลาที่มีวงจรชีวิตค่อนข้างมหัศจรรย์ กล่าวคือ เป็นปลาฉลามที่ออกลูกเป็นไข่ ซึ่งเชื่อว่าลักษณะเดียวกับปลาฉลามในยุคจูราสซิคแพร่ขยายพันธุ์เช่นเดียวกัน ลักษณะของไข่จะมีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายกับที่เปิดจุกไวน์สีคล้ำ ปลาตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าปลาตัวผู้ จะวางไข่ครั้งละ 2 ฟอง การผสมพันธุ์จะเกิดในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงที่น้ำขึ้นเต็มที่ ปลาจะว่ายมารวมตัวกันนับร้อยตัว ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายกัดที่ครีบหลังตัวเมีย เมื่อออกไข่แล้ว ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายใช้ปากคาบไข่ไปซ่อนไว้ในกอสาหร่ายเพื่อให้ปกป้องไข่ ซึ่งจะเวลา 9 เดือน ที่ลูกปลาจะฟักออกมา เมื่อลูกปลาออกมาแล้ว จะว่ายน้ำเข้าสู่ชายฝั่งและเลี้ยงดูตัวเองบริเวณนั้น เช่น ป่าโกงกาง, ปากแม่น้ำ เป็นต้น ปลาจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 25 ปี", "title": "ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสัน" } ]
3762
การวิเคราะห์อภิมานเกิดขึ้นครังแรกที่ประเทศใด?
[ { "docid": "680848#4", "text": "งานศึกษาแบบ Meta-analysis ที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อคริสต์ทศวรรษที่ 12 ในประเทศจีน เมื่อนักปราชญ์จู ซี (朱熹, ค.ศ. 1130~1200) สร้างหลักปรัชญาโดยรวบรวมข้อมูลจากงานหนังสือต่าง ๆ จู ซี เรียกวิธีการศึกษาของตนว่า \"ทฤษฏีกฏเกณฑ์ทั้งระบบ\" (English: Theory of Systematic Rule, Chinese:道統論) ส่วนในประวัติชาวตะวันตก รากฐานของ meta-analysis เริ่มมาจากการศึกษาทางดาราศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่การประมวลผลการทดลองทางคลินิกด้วย meta-analysis เป็นครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1904 เผยแพร่ในวารสารแพทย์อังกฤษ (British Medical Journal) ซึ่งแสดงประสิทธิภาพของวัคซีนไข้รากสาดน้อย ทำโดยนักสถิติชาวอังกฤษคาร์ล เพียร์สัน[6][7] ส่วนงาน meta-analysis ที่รวบรวมงานศึกษาที่มีแนวคิดเดียวกันทั้งหมดเกี่ยวกับประเด็นวิจัยเดียวกัน แต่ทำโดยนักวิจัยกลุ่มต่าง ๆ กัน เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1940 ชื่อว่า Extrasensory Perception After Sixty Years (ประสาทที่ 6 หลังจากผ่านมา 60 ปี) โดยนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยดุ๊กคือ ดร. โจเซ็ฟ แพร็ตต์ และคณะ[8] เป็นงานปริทัศน์รวบรวมผลงานวิจัย 145 ผลงานในเรื่อง ESP (การรับรู้นอกประสาทสัมผัส) ที่พิมพ์ในระหว่างปี ค.ศ. 1882-1939 เป็นงานปริทัศน์ที่มีการประเมินระดับอิทธิพลของงานศึกษาที่ไม่ได้เผยแพร่ (คือประเมินอิทธิพลของความเอนเอียงในการตีพิมพ์)", "title": "การวิเคราะห์อภิมาน" } ]
[ { "docid": "720942#9", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานของงานวิจัยต่าง ๆ ในปี ค.ศ. 2014 รายงานว่ามีความเอนเอียงหลายประเภท ซึ่งทำให้มีปัญหาขึ้นว่า งานวิจัยที่ใช้การสร้างภาพทางสมองเหล่านี้สมเหตุสมผลหรือไม่ นักวิเคราะห์เสนอว่า ความเอนเอียงในการตีพิมพ์ อาจทำให้มีการรายงานผลที่มีนัยสำคัญมากเกินไป\nและว่า ความแตกต่างทางสมองที่สำคัญ ที่พบในผู้เจริญกรรมฐาน อาจจะเป็นความแตกต่างกันทางสมองที่มีอยู่แล้ว\nและจะต้องมีงานวิจัยเพิ่มขึ้นอีก ก่อนที่จะมีข้อสรุปที่ดีได้ในเรื่องนี้", "title": "การทำงานในสมองกับการเข้าสมาธิ" }, { "docid": "801608#11", "text": "แม้ว่า MBCT สามารใช้เป็นการรักษาทางเลือกหรือเพิ่มเติมสำหรับความซึมเศร้า ผลงานวิจัยแสดงว่า มีประสิทธิผลดีที่สุดในบุคคลที่มีประวัติคราวแสดงออกของโรคซึมเศร้าอย่างน้อย 3 ครั้งในอดีต\nในบรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลที่เกิดคราวซึมเศร้าจุดชนวนโดยเหตุการณ์ชีวิตยอมรับ MBCT ได้น้อยที่สุด\nส่วนงานวิเคราะห์อภิมานปี 2559 พบว่า MBCT มีประสิทธิผลในการป้องกันการเกิดคราวซึมเศร้าอีกในคนไข้ โดยเฉพาะถ้ายิ่งมีอาการที่เหลืออยู่มาก", "title": "การบำบัดด้วยการรู้อาศัยสติ" }, { "docid": "988819#9", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2008 พบว่า การทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนอย่างเข้มสัมพันธ์กับความเสี่ยงตายเพราะมะเร็งที่ลดลง 6%\nงานทบทวนวรรณกรรมปี 2017 พบว่า มีผลลดอัตราการเกิดมะเร็ง\nงานปริทัศน์เป็นระบบและงานวิเคราะห์อภิมานปี 2014 พบว่า การทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนสัมพันธ์กับความเสี่ยงตายเพราะมะเร็งที่ลดลง\nมีหลักฐานเบื้องต้นว่า การทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำอาจลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง", "title": "อาหารเมดิเตอร์เรเนียน" }, { "docid": "929124#1", "text": "อาหารเพื่อส่งเสริมการลดน้ำหนักสามารถจำแนกได้เป็นไขมันต่ำ คาร์โบไฮเดรตต่ำ แคลอรีต่ำ แคลอรีต่ำมากและล่าสุดได้แก่ อาหารยืดหยุ่น การวิเคราะห์อภิมานของการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมจำนวนหกการศึกษาพบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างอาหารแคลอรีต่ำ คาร์โบไฮเดรตต่ำและไขมันต่ำ โดยทั้งหมดทำให้น้ำหนักลดได้ 2–4 กิโลกรัมในเวลา 12–18 เดือน เมื่อผ่านไปสองปี อาหารชนิดที่ลดแคลอรีทั้งหมดทำให้น้ำหนักลดได้เท่า ๆ กันโดยไม่เกี่ยวกับว่าเน้นสารอาหารหลักใด โดยทั่วไป อาหารที่มีประสิทธิภาพที่สุดได้แก่อาหารชนิดใดก็ได้ที่ลดการบริโภคแคลอรี", "title": "การกำหนดอาหาร" }, { "docid": "242400#18", "text": "ในปี 2546 มีทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของยีน-สิ่งแวดล้อม (GxE) ที่อธิบายว่า ทำไมความเครียดในชีวิตจึงเป็นตัวพยากรณ์อาการซึมเศร้าในบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคน คือขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอัลลีลใน serotonin-transporter-linked polymorphic region (5-HTTLPR)[31] แต่ว่างานวิเคราะห์อภิมานปี 2552 กลับแสดงว่า แม้ว่าเหตุการณ์เครียดในชีวิตจะสัมพันธ์กับความซึมเศร้า แต่ก็ไม่พบหลักฐานว่ามีความสัมพันธ์กับลักษณะทางพันธุกรรม 5-HTTLPR[46] และก็มีงานวิเคราะห์อภิมานปี 2552 อีกงานหนึ่งที่เห็นด้วยกับข้อสรุปหลัง[47] ส่วนงานทบทวนวรรณกรรมปี 2553 ในเรื่องนี้พบความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบระหว่างวิธีที่ใช้วัดความทุกข์ยากทางสิ่งแวดล้อม (environmental adversity) กับผลของงานศึกษาต่าง ๆ และพบด้วยว่า งานวิเคราะห์อภิมานปี 2552 ทั้งสองงานเอนเอียงอย่างสำคัญต่องานศึกษาที่แสดงผลลบ ซึ่งใช้วิธีการวัดความทุกข์ยากโดยการแจ้งเอง (self-report)[48]", "title": "โรคซึมเศร้า" }, { "docid": "813135#8", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2553 ตรวจสอบประสิทธิผลของ MBSR และโปรแกรมที่มีโครงคล้าย ๆ กันต่อผู้ใหญ่ที่มีอาการวิตกกังวลและความซึมเศร้า\nงานแสดงว่า ค่าที่วัดก่อนและหลังการบำบัดมีผลต่างปานกลางเมื่อกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มเดียวกัน (Repeated measures design) และมีผลต่างน้อยจนถึงปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่รอการรักษา กลุ่มรักษาตามปกติ (treatment as usual) และกลุ่มทดลอง (MBSR) ซึ่งเป็นผลงานที่สนับสนุนแนวคิดว่า การบำบัดอิงสติมีประโยชน์ในการรักษาอาการของความซึมเศร้าและความวิตกกังวล\nส่วนงานวิเคราะห์อภิมานที่ครอบคลุมกว่าในปี 2547 พบผลคล้ายกันเมื่อตรวจผลที่ได้ทั้งทางกายและจิตใจหลังจากบำบัดด้วย MBSR", "title": "การลดความเครียดอิงสติ" }, { "docid": "911215#8", "text": "ในการรักษาแผลติดเชื้อที่เท้าจากโรคเบาหวาน (diabetic foot infections) นั้น การใช้ไลนิโซลิดจะมีราคาต้นทุนน้อยกว่าแต่กลับมีประสิทธิภาพในการรักษามากกว่าแวนโคมัยซิน[20] ในปี ค.ศ. 2004 ผลการศึกษาของการศึกษาแบบเปิด (Open-label study) พบว่า ไลนิโซลิดมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับแอมพิซิลลิน/ซัลแบคแตม (Ampicillin/sulbactam) และอะม็อกซีซิลลิน/กรดคลาวูลานิค (Amoxicillin/clavulanic acid) และมีประสิทธิภาพการรักษาเหนือกกว่าเป็นอย่างมากในการรักษาผู้ป่วยแผลติดเชื้อที่เท้าจากโรคเบาหวานที่ไม่มีกระดูกอักเสบติดเชื้อ (Osteomyelitis) ร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้ไลนิโซลิดนั้นมีอัตราการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาได้มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ[21][22] อย่างไรก็ตาม การศึกษาแบบการวิเคราะห์อภิมานในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งใช้ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมจำนวน 18 การศึกษามาวิเคราะห์ พบว่า การใช้ไลนิโซลิดสำหรับข้อบ่งใช้นี้นั้นเกิดความล้มเหลวในการรักษาได้ไม่แตกต่างไปจากยาปฏิชีวนะชนิดอื่น ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีภาวะกระดูกอักเสบติดเชื้อร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม[23]", "title": "ไลนิโซลิด" }, { "docid": "994710#12", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2012 พบว่า ความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารสูงขึ้นเมื่อทานเนื้อแดงหรือเนื้อแปรรูปมากขึ้น\nคือเนื้อแดงเองมีสารบางอย่างที่ในสถานการณ์โดยเฉพาะ ๆ จะเกิดสารก่อมะเร็งเช่นสารประกอบ N-nitroso (N-nitroso compound, NOC)", "title": "เนื้อแดง" }, { "docid": "747322#59", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานหนึ่งแสดงความสำคัญของการอำพรางสองด้าน เมื่อตรวจสอบประสิทธิผลของ CBT เมื่อพิจารณากลุ่มควบคุมด้วยการรักษาหลอก (placebo control) และการอำพรางในการทดลอง\nงานได้วิเคราะห์ข้อมูลรวมกันจากการทดลอง CBT ในโรคจิตเภท โรคซึมเศร้า และโรคอารมณ์สองขั้ว ที่ใช้กลุ่มควบคุมที่ได้รับการบำบัดที่ไม่ได้เจาะจง (non-specific)\nงานสรุปว่า CBT ไม่ได้ดีกว่าการแทรกแซงที่ไม่ได้เจาะจงของกลุ่มควบคุมในการบำบัดโรคจิตเภท และไม่ได้ลดการกำเริบของโรค, ผลการบำบัด MDD มีขนาดน้อยมาก, และไม่เป็นกลยุทธ์การบำบัดที่ดีเพื่อป้องกันการกำเริบของโรคอารมณ์สองขั้ว\nสำหรับ MDD ผู้เขียนให้ข้อสังเกตว่า ผลต่าง (effect size) ที่ได้รวมกันน้อยมาก\nอย่างไรก็ดี ก็มีนักวิชาการอื่นที่ตั้งข้อสงสัยในระเบียบวิธีการเลือกงานวิจัยเพื่อใช้วิเคราะห์ในงานวิเคราะห์อภิมานนี้ และในคุณค่าของผลที่ได้", "title": "การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม" }, { "docid": "813101#28", "text": "ผลรักษาของยาแก้ซึมเศร้าปกติจะไม่ดำเนินต่อหลังจากการใช้ยาสักระยะหนึ่ง ทำให้อัตราโรคกลับอยู่ในระดับสูง\nงานวิเคราะห์อภิมานปี 2546 ในงานทดลองยาแก้ซึมเศร้าที่ควบคุมด้วยยาหลอก โดยมากจำกัดในงานที่มีระยะ 1 ปี พบว่า คนไข้ 18% ที่ตอบสนองต่อยาแก้ซึมเศร้าเกิดโรคอีกแม้ยังทานยาอยู่ เทียบกับ 41% ที่เกิดโรคอีกเมื่อเปลี่ยนจากยาแก้ซึมเศร้ามาเป็นยาหลอก", "title": "ยาแก้ซึมเศร้า" }, { "docid": "806364#25", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2550 ที่เปรียบเทียบความก้าวร้าวและความเป็นปรปักษ์ที่เกิดขึ้นเมื่อรักษาด้วยฟลูอ๊อกซิตินเทียบกับยาหลอกในเด็กและวัยรุ่นพบว่า ไม่มีความแตกต่างกันอย่างสำคัญ\nมีหลักฐานด้วยว่า อัตราการจ่ายยา SSRI ที่สูงกว่าสัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายในเด็ก แม้ว่าหลักฐานจะเป็นแบบแสดงสหสัมพันธ์ ดังนั้น เหตุจริง ๆ ก็ยังไม่ชัดเจน", "title": "Selective serotonin re-uptake inhibitors" }, { "docid": "985862#0", "text": "การใช้ ข้อมูลผู้เข้าร่วมรายบุคคล หรือ ข้อมูลคนไข้รายบุคคล ( ตัวย่อ IPD)\nเป็นวิธีการทำงานวิเคราะห์อภิมานแบบหนึ่งที่เก็บข้อมูลแต่ละรายการโดยเป็นรายบุคคลจากงานศึกษาต่าง ๆ ที่กำลังวิเคราะห์\nเพราะสามารถทำได้อย่างแม่นยำและกลมกลืนกันมาก จึงทำให้นักวิจัยสามารถลดของการทดลองได้มากที่สุด และจึงพิจารณาว่า เป็นของงานวิเคราะห์อภิมาน\nเทียบกับงานวิเคราะห์อภิมานอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ข้อมูลผู้ป่วยแต่ละราย แต่ใช้ข้อมูลรวม (aggregate data, AD)\nแม้การวิเคราะห์ข้อมูลรวมจะใช้มานานกว่า แต่การเก็บข้อมูลแบบรายบุคคลก็นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ\nงานวิเคราะห์อภิมานเช่นนี้มักจะเป็นโครงการใหญ่โดยมีประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกัน และมีข้อจำกัดน้อยกว่าในเรื่องข้อมูลที่มีให้ใช้และคุณภาพข้อมูลที่สามารถใช้\nคณะกรรมการบรรณาธิการวารสารการแพทย์นานาชาติ () ได้ระบุว่า การเผยแพร่ข้อมูลผู้เข้าร่วม/อาสาสมัครเป็นรายบุคคล (แต่ตัดข้อมูลระบุบุคคล) เพื่อให้ใช้ร่วมกันเป็นเรื่องจำเป็นทางจริยธรรม", "title": "ข้อมูลผู้เข้าร่วมรายบุคคล" }, { "docid": "763867#14", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานที่วิเคราะห์งานศึกษา 118 งานที่มีผู้ร่วมการทดลอง 7,013 คนพบว่า มีงานศึกษาที่สนับสนุนแนวคิดของสัจนิยมเหตุซึมเศร้า (depressive realism) มากกว่าไม่สนับสนุน\nแต่งานเหล่านี้มีคุณภาพแย่กว่า ใช้ตัวอย่างที่ไม่ได้เป็นคนไข้ (non-clinical) ทำการอนุมานโดยอุปนัยง่าย ๆ กว่า ให้ผู้ร่วมการทดลองแจ้งผลวัดเองแทนที่จะใช้การสัมภาษณ์\nและใช้วิธีการทางความเอนเอียงโดยการใส่ใจ (attentional bias) หรือการประเมินโอกาสที่จะเกิดขึ้น (judgment of contingency) เป็นวิธีวัดค่าสัจนิยมเหตุซึมเศร้า\nเพราะว่าวิธีการเช่นการระลึกถึงคำวิจารณ์และการประเมินผลงาน ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถใช้วัดได้เหมือนกัน มักจะแสดงผลที่คัดค้านสัจนิยมเหตุซึมเศร้า", "title": "การแปลสิ่งเร้าผิดเชิงบวก" }, { "docid": "813101#17", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2551 ที่ตรวจการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCT) สรุปว่า อาการที่ดีขึ้นเนื่องจากยากลุ่ม SSRIs เกิดขึ้นมากที่สุดโดยสิ้นอาทิตย์แรกของการใช้ยา แต่ว่ามีอาการบางอย่างที่ดีขึ้นต่อ ๆ ไปจนถึงอาทิตย์ที่ 6", "title": "ยาแก้ซึมเศร้า" }, { "docid": "710583#18", "text": "การรวบรวมผลที่ไม่ทั่วถึงในงานวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) เป็นรูปแบบความเอนเอียงที่ค่อนข้างน่ากลัว ที่สามารถมีอิทธิพลสูงต่อความรู้ความเข้าใจ\nและเพื่อลดความเอนเอียงให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด การรวบรวมผลจากงานวิจัยที่คล้ายกันแต่ต่างกัน ต้องเกิดจากการค้นหาที่ทั่วถึงของงานวิจัยทั้งหมดที่ตรงกับประเด็น\nนั่นก็คือ การวิเคราะห์อภิมานต้องอาศัยข้อมูลจากการปริทัศน์ทั้งระบบ ไม่ใช่เป็นเพียงการปริทัศน์จากงานวิจัยบางพวกที่มีผลบวกเท่านั้น", "title": "ความเอนเอียงโดยการรายงาน" }, { "docid": "680848#11", "text": "ความเอนเอียงในการตีพิมพ์เช่นนี้มีผลเป็นขนาดผล (ที่เป็นประเด็นวิจัย) ที่ไม่ตรงกับความจริง ทำให้เกิดเหตุผลวิบัติประเภท base rate fallacy ที่นัยสำคัญของงานที่เกิดการตีพิมพ์เกินความจริง เพราะว่างานอื่น ๆ (ที่ไม่แสดงนัยสำคัญ) ผู้วิจัยไม่ส่งเพื่อพิมพ์ หรือวารสารปฏิเสธที่จะพิมพ์ ปัญหาเช่นนี้ต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเมื่อแปลผลที่เกิดจาก meta-analysis[14][15]", "title": "การวิเคราะห์อภิมาน" }, { "docid": "405824#15", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานในปี ค.ศ. 1998 ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันโดยเสนอว่า ทารุณกรรมทางเพศต่อเด็กไม่ได้มีผลเสียหายอย่างกว้างขวางในทุกกรณี คือผู้วิจัยกล่าวว่า มีนักศึกษามหาวิทยาลัยที่รายงานประสบการณ์เช่นนั้นในเชิงบวก และขอบเขตความเสียหายทางจิตขึ้นอยู่กับว่า เด็กคิดว่าประสบการณ์นั้นเป็นการยินยอมหรือไม่[73] ต่อมางานวิจัยนี้ถูกวิจารณ์ว่ามีระเบียบวิธีและการสรุปที่ผิดพลาด[74][75] รัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกาประณามงานศึกษาเพราะข้อสรุป และเพราะให้ข้ออ้างกับองค์กรคนใคร่เด็กเพื่อทำกรรมประทุษร้ายเด็ก[76]", "title": "การทารุณเด็กทางเพศ" }, { "docid": "491111#10", "text": "มีงานศึกษาวิจัยหลายขึ้นที่ค้นคว้าเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเมลาโทนินเกี่ยวกับอาการ Jetlag ข้อมูลที่ได้ค่อนข้างแตกต่างกัน จากการวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis) [การวิเคราะห์อภิมานเป็นการวิจัยงานวิจัย (Research of Research)] ที่เปิดเผยข้อมูลโดย องค์กรความร่วมมือคอเครน (Cocrane) ประเทศอังกฤษ[13] โดยแสดงผลของการใช้เมลาโทนินที่ปริมาณ 0,5 ถึง 5 มิลลิกรัมในสภาวะ Jetlag พบว่าให้ผลในการบรรเทาอาการ ได้อย่างไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากใช้ที่ปริมาณ 5 มิลลิกรัมจะทำให้เวลาในการเคลิ้มหลับสั้นลง และยิ่งเห็นผลชัดมากขึ้น เมื่อข้ามโซนเวลาและในเที่ยวบินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก ในการศึกษานี้ได้ตรวจสอบพารามิเตอร์ของการนอนเช่นเดียวกับอาการอื่น ๆ เช่น อาการง่วงนอนตอนกลางวัน และ การมีสุขภาพดีแข็งแรง การวิเคราะห์อภิมานอื่นๆ พบว่า เมลาโทนินไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ได้อย่างชัดเจนสำหรับอาการ Jetlag รวมทั้งไม่ได้ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นในกรณีที่เกิดอาการนอนไม่หลับ สำหรับผู้ที่ทำงานเป็นกะ นอกจากนี้เวลานอนหลับโดยรวมก็ไม่ได้นานอย่างมีนัยสำคัญ ในการศึกษาวิจัยทั้งหมด ขาดการศึกษาเกี่ยวข้องกับอายุ / การประเมินผล เหตุนี้ประสิทธิภาพของสารนี้ อาจจะเห็นผลมากกับคนอายุ 55 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ในงานวิจัย ยังพบว่ามีปฏิสัมพันธ์กับการต่อต้านการเกิดลิ่มเลือดและยาลดอาการลมชัก การรับประทานเมลาโทนินระยะสั้น (<3 เดือน) การวิเคราะห์แบบอภิมานนี้ยังถูกวิพากวิจารณ์ในเรื่องของการเลือกศึกษาเฉพาะเรื่องด้วย (เช่น การใช้ยาระยะสั้น ปริมาณที่ใช้และการกำหนดจุดสิ้นสุดของการทดลอง)", "title": "เมลาโทนิน" }, { "docid": "79585#80", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2549 พบว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่มีผล\"โดยตรง\"ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ\nแต่ก็มีผล\"โดยอ้อม\"ที่สำคัญและมีกำลัง\nคือ ประชาธิปไตยสัมพันธ์กับการสะสมทรัพย์ที่สูงกว่า ภาวะเงินเฟ้อที่น้อยกว่า เสถียรภาพทางการเมืองที่ดีกว่า และดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า\nแต่ก็มีหลักฐานด้วยว่ามันสัมพันธ์กับรัฐบาลที่ใหญ่กว่า และกับข้อจำกัดต่อการค้าระหว่างประเทศมากกว่า", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "760192#29", "text": "มีงานวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) ที่วิเคราะห์งานศึกษา 40 งานประกอบด้วยโหร 700 คน และใช้แผนภูมิการเกิด 1,000 แผ่น งานศึกษา 10 งานจากนั้น มีโหรกว่า 300 คนเข้าร่วม โหรต้องเลือกบทความทำนายให้เข้ากับแผนภูมิ โดยบทความที่เข้าจะรวมอยู่กับที่ไม่เข้า 3-5 บทความ เมื่อบทความไม่แสดงวันที่และตัวช่วยแบบชัดเจนอื่น ๆ โดยรวมแล้ว ไม่ปรากฏกว่าโหรต่าง ๆ จะเลือกแผนภูมิใดแผนภูมิหนึ่งโดยเฉพาะ คือโหรเลือกแผนภูมิที่ไม่เหมือนกัน[27]:190", "title": "โหราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "680848#0", "text": "การวิเคราะห์อภิมาน[1][2] (English: meta-analysis) หมายถึงวิธีการทางสถิติที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบและรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยต่าง ๆ กัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดสิ่งที่พบเหมือน ๆ กัน สิ่งที่ต่างกัน และความสัมพันธ์ที่น่าสนใจอื่น ๆ ที่อาจปรากฏด้วยการศึกษางานวิจัยหลาย ๆ งาน[3] Meta-analysis สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการ \"ทำการศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาอื่นที่ทำมาแล้ว\" โดยแบบที่ง่ายที่สุด Meta-analysis จะทำโดยกำหนดการวัดค่าทางสถิติที่เหมือนกันในงานวิจัยหลาย ๆ งาน เช่น ขนาดผล (effect size) หรือ p-value แล้วสร้างค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (weighted average) ของการวัดค่าที่เหมือนกัน โดยน้ำหนักที่ให้มักจะขึ้นอยู่กับขนาดตัวอย่าง (sample size) ของแต่ละงานวิจัย แต่ก็สามารถขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอย่างอื่น ๆ เช่นคุณภาพของงานศึกษาด้วย", "title": "การวิเคราะห์อภิมาน" }, { "docid": "801635#2", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2558 พบว่า ACT มีผลดีกว่ายาหลอกและการบำบัดทั่วไป (typical) สำหรับโรควิตกกังวล อารมณ์ซึมเศร้า และการติด\nโดยมีประสิทธิผลคล้ายกับการบำบัดที่นิยมเช่น CBT\nผู้เขียนเสนอว่า การเปรียบเทียบกับ CBT ที่พบในงานวิเคราะห์อภิมานปี 2555 อาจจะไม่ดีพอเพราะว่าได้รวมงานทดลองที่ไม่มีการสุ่มและมีขนาดตัวอย่างน้อย\nและยังให้ข้อสังเกตอีกด้วยว่า ระเบียบวิธีวิจัยได้ดีขึ้นเทียบกับงานวิจัยต่าง ๆ ที่งานปี 2551 ได้วิเคราะห์\nคือ งานปี 2551 สรุปว่า หลักฐานน้อยเกินไปที่จะกล่าวว่า ACT เป็นการบำบัดที่ได้ผล และได้ยกประเด็นเกี่ยวกับระเบียบวิธีที่ใช้ในงานวิจัยที่ศึกษา\nส่วนงานวิเคราะห์อภิมานปี 2552 พบว่า ACT มีผลดีกว่ายาหลอก และการรักษาปกติ (treatment as usual) ในปัญหาโดยมาก (ยกเว้นความวิตกกังวลและความซึมเศร้า) แต่ไม่ได้มีผลดีกว่า CBT และจิตบำบัดอื่น ๆ\nงานปี 2555 อีกงานหนึ่งพบผลที่สูงกว่า คือรายงานว่า ACT มีผลดีกว่า CBT ยกเว้นการรักษาความซึมเศร้าและความวิตกกังวล", "title": "การรักษาด้วยการยอมรับและการให้สัญญา" }, { "docid": "806299#4", "text": "ประสิทธิผลของฟลูอ็อกเซทีนและยาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ ในการรักษาโรคซึมเศร้าหนักน้อยถึงปานกลางยังไม่มีข้อยุติ\nงานวิเคราะห์อภิมานปี 2551 เสนอว่า ในอาการจากเบาจนถึงปานกลาง ประสิทธิผลของฟลูอ็อกเซทีนและยา SSRI ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก\nงานวิเคราะห์อภิมานปี 2552 ที่วิเคราะห์ข้อมูลระดับคนไข้จากงานทดลองหกงานที่ใช้ยา SSRI คือ paroxetine และยา non-SSRI คือ imipramine เป็นหลักฐานอีกอย่างว่า ยาแก้ซึมเศร้ามีประสิทธิผลน้อยในกรณีที่เบาจนถึงปานกลาง\nส่วนงานวิเคราะห์อภิมานปี 2555 ที่วิเคราะห์ข้อมูลระดับคนไข้ของฟลูอ็อกเซทีนที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าสรุปว่า มีผลที่มีนัยสำคัญทั้งทางสถิติและทางคลินิกไม่ว่าโรคจะอยู่ในระดับไหน และความรุนแรงของโรคไม่มีผลที่สำคัญต่อประสิทธิผลของยา", "title": "ฟลูอ็อกเซทีน" }, { "docid": "625166#21", "text": "การวิเคราะห์อภิมานในปี ค.ศ. 2012 ได้มีข้อสรุปว่า พบสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างใน 7% ของตัวอย่างผลิตภัณฑ์อินทรีย์และ 38% ของตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทั่วไป ผลสรุปยังมีความแตกต่างกันในทางสถิติอาจจะเป็นเพราะความแตกต่างในระดับการตรวจพบในการศึกษาเหล่านั้น มีเพียงการศึกษา 3 ฉบับที่รายงานผลการปนเปื้อนที่เกินค่าสูงสุดที่อนุญาต ทั้ง 3 มาจากสหภาพยุโรป สมาคมมะเร็งอเมริกาได้กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานแสดงว่า สารกำจัดศัตรูพืชตกค้างเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง", "title": "อาหารอินทรีย์" }, { "docid": "801635#13", "text": "ACT ปัจจุบันดูเหมือนจะมีประสิทธิผลพอ ๆ กับ CBT โดยมีงานวิเคราะห์อภิมานบางงานที่แสดงประสิทธิผลที่ดีกว่าเล็กน้อยของ ACT และมีงานอื่น ๆ ที่ไม่แสดง\nยกตัวอย่างเช่น งานวิเคราะห์อภิมานปี 2555\nตรวจงานศึกษา 16 งานที่เปรียบเทียบ ACT กับ CBT แบบมาตรฐาน\nแล้วพบว่า ACT ไม่ต่างจาก CBT ในผลต่างต่อความซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือคุณภาพชีวิต", "title": "การรักษาด้วยการยอมรับและการให้สัญญา" }, { "docid": "680848#13", "text": "วิธีการตรวจจับความเอนเอียงในการตีพิมพ์เป็นเรื่องที่ยังไม่มีที่ยุติ เพราะมักจะมีกำลังทางสถิติต่ำในการตรวจจับ และสามารถแม้จะให้ผลบวกที่ไม่เป็นจริงในบางกรณี[17] ยกตัวอย่างเช่น ในงานที่มีขนาดผลต่ำ ถ้ามีความแตกต่างกันในระเบียบวิธีระหว่างงานที่มีขนาดตัวอย่างน้อยและงานที่มีขนาดตัวอย่างมาก อาจทำให้เกิดความแตกต่างกันของขนาดผลที่ดูเหมือนจะเป็นความเอนเอียงในการตีพิมพ์", "title": "การวิเคราะห์อภิมาน" }, { "docid": "813101#24", "text": "แนวทางการปฏิบัติปี 2543 ของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA) แนะนำว่า ถ้าไม่ตอบสนองภายใน 6-8 อาทิตย์หลังจากรักษาด้วยยา ให้เปลี่ยนใช้ยาในกลุ่มเดียวกัน แล้วจึงไปเปลี่ยนใช้ยากลุ่มอื่นในภายหลัง\nงานวิเคราะห์อภิมานปี 2549 พบความแตกต่างกันมากมายในงานศึกษาก่อน ๆ \nคือ คนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม SSRI 12-86% จะตอบสนองต่อยาอีกอย่างหนึ่ง\nแต่ว่า ยิ่งได้ลองยาแก้ซึมเศร้ามามากแล้วเท่าไร โอกาสก็น้อยลงเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์กับยาที่ลองใหม่\nแต่ว่า งานวิเคราะห์อภิมานปี 2553 ไม่พบความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนยาและการใช้ยาเดิมต่อไป คือ แม้ว่า 34% ของคนไข้ที่ดื้อการรักษาจะตอบสนองเมื่อเปลี่ยนไปใช้ยาใหม่ แต่ว่า 40% ก็จะตอบสนองแม้ไม่ได้เปลี่ยนยา", "title": "ยาแก้ซึมเศร้า" }, { "docid": "680848#18", "text": "ในปี ค.ศ. 2011 มีงานวิจัยหนึ่งที่มุ่งจะเปิดเผยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของงานวิจัยที่ได้รับเลือกเพื่อใช้ในงาน meta-analysis ทางการแพทย์ งานวิจัยทำการปริทัศน์งาน meta-analysis ต่าง ๆ 29 งาน แล้วพบว่า การขัดกันแห่งผลประโยชน์ของงานวิจัยที่ได้รับเลือกเพื่อใช้ในงาน แทบไม่มีการเปิดเผยโดยประการทั้งปวง งาน 29 งานนี้รวม", "title": "การวิเคราะห์อภิมาน" }, { "docid": "405824#53", "text": "งานวิเคราะห์อภิมานปี 2009 ที่วิเคราะห์งาน 65 งานในประเทศ 22 ประเทศ พบความแพร่หลายระดับโลกที่ 19.7% สำหรับหญิง และ 7.9% สำหรับชาย พบว่า แอฟริกามีอัตราสูงสุดที่ 34.4% โดยหลักเพราะอัตราที่สูงในประเทศแอฟริกาใต้ ยุโรปมีอัตราต่ำสุดที่ 9.2% อเมริกาและเอเชียมีอัตราระหว่าง 10.1-23.9%[17]", "title": "การทารุณเด็กทางเพศ" } ]
1113
ปฏิทินสุริยคติคืออะไร?
[ { "docid": "2272#0", "text": "ปฏิทินสุริยคติไทย คือปฏิทินอย่างเป็นทางการของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นระบบปฏิทินสุริยคติอ้างวันเดือนปีตรงตามปฏิทินเกรกอเรียนที่มีจำนวนวัน 365 หรือ 366 วันในแต่ละปี โดยปรับเปลี่ยนจากปฏิทินจันทรคติไทยเดิมเมื่อ พ.ศ. 2431 (จุลศักราช 1240) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ชื่อเดือนในภาษาไทยทั้งสิบสองในปฏิทินตั้งชื่อโดยกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ", "title": "ปฏิทินสุริยคติไทย" }, { "docid": "5224#0", "text": "ปฏิทินสุริยคติ (อังกฤษ: solar calendar) คือ ปฏิทินที่สอดคล้องกับฤดูกาลและเดคลิเนชันของดวงอาทิตย์ ความยาวนานของปีโดยเฉลี่ยมีค่าใกล้เคียงกับปีฤดูกาล", "title": "ปฏิทินสุริยคติ" } ]
[ { "docid": "5224#3", "text": "ปฏิทินสุริยคติที่แสดงดิถีจันทร์ด้วย เรียกว่า ปฏิทินสุริยจันทรคติ ได้แก่นอกเหนือจากนี้ ยังมีปฏิทินที่ไม่ใช่ปฏิทินสุริยคติ เช่น ปฏิทินฮิจญ์เราะหฺ อันเป็น ปฏิทินจันทรคติของศาสนาอิสลาม, ปฏิทินที่สอดคล้องกับคาบซินอดิกของดาวศุกร์ และปฏิทินที่สอดคล้องกับการขึ้นของดาวฤกษ์ในท้องฟ้า", "title": "ปฏิทินสุริยคติ" }, { "docid": "154807#0", "text": "ปฏิทินสุริยจันทรคติ () เป็นคำใช้เรียกรูปแบบการใช้ปฏิทินรูปแบบหนึ่ง มีใช้กันในหลายวัฒนธรรม โดยใช้ดิถีของดวงจันทร์เพื่อบอกข้างขึ้นข้างแรม บอกเดือน ตามแบบปฏิทินจันทรคติ โดยมากจะใช้บอกวันสำคัญทางศาสนา หรือเทศกาลฉลองตามประเพณีดั้งเดิม และมีการกำหนดวันตามแบบปฏิทินสุริยคติ เพื่อบอกเดือน และปี ในรูปแบบผสมนี้มักกำหนดปีตามรอบสุริยคติ คือปีหนึ่งมี 365 วัน หรือ 366 วัน", "title": "ปฏิทินสุริยจันทรคติ" }, { "docid": "668536#9", "text": "ปฏิทินสุริยคติจีน ยึดถือตามวันบัวลอย วันตงจื้อ หรือวันเห'มายัน ของปีหนึ่งไปจนถึงอีกปีหนึ่ง ในหนึ่งปีถูกแบ่งออกเป็น 24 ฤดูกาล แต่ละฤดูกาลหมายถึงสภาพอากาศที่แตกต่างกันออกไป ในยุคชุนชิว (179 ปีก่อนพุทธศักราช - พ.ศ. 63) ปีสุริยคติถูกกำหนดไว้ที่ 365.25 วันในเวลาต่อมา ปฏิทินในรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิฮั่นบู๊เต้ได้ระบุว่าปีสุริยคติมีความยาว formula_1 ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงโดยนักทำปฏิทินอีกหลายท่าน อาทิ หลี่ฉุนเฟิ่ง (李淳风) จางสุ้ย (張遂) และกัวโส่วจิ้ง (郭守敬) ซึ่งในชั้นหลังนี้กัวโส่วจิ้งได้ปรับปรุงปฏิทินให้มีความยาวปีสั้นลงเท่ากับของปฏิทินเกรกอเรียน นั่นคือ 365.2425 โดยอาศัยงานที่เสิ่นคั่ว (沈括) ได้ทำไว้ในสาขาตรีโกณมิติเชิงทรงกลม ปีสุริยคติจีนสามารถแบ่งได้เป็นระยะ แต่ละระยะจะมีอักษรภาคดิน 12 ตัว กำกับอยู่ ดังนี้", "title": "ปฏิทินจีน" }, { "docid": "363957#5", "text": "นัยทางตรงกันข้าม คำสอนประเภท น้ำเย็นปลาตาย พูดจาไพเราะเพราะพริ้งคุณโยมอย่างนั้นอย่างนี้ ยกยอเอาเสียจนคนมาปฏิบัติธรรมไม่รู้ความผิดของตนพูดจาเอาอกเอาใจ โดยไม่มุ่งสอนตามความเป็นจริง ทำให้คนที่เข้ามาแสวงหาความดีกลับกลายเป็นคนเสียคนไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นธรรมะ ก็คือธรรมะเอาอกเอาใจ เอาอกเอาใจเขาเพื่อทำให้เขาศรัทธาในตัวเอง เขาพอใจเขาก็ศรัทธา เขาไม่พอใจเขาก็ไม่ศรัทธา การพูดการสอนแบบนี้ มุ่งเน้นให้คนมาชอบศรัทธาในตนมากกว่าสอนเขาให้เข้าใจในพระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า", "title": "พระครูสุทธิธรรมรังษี (เจี๊ยะ จุนฺโท)" }, { "docid": "400045#1", "text": "เป็นพระเถราจารย์ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่น่าเคารพสักการบูชาของบรรดาศิษยานุศิษย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้ง เป็นเพื่อนสหธรรมิกกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก", "title": "พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล)" }, { "docid": "668540#0", "text": "การทดปฏิทิน () หมายถึง การเพิ่มเติมวัน หรือเดือน ลงในปฏิทินจันทรคติเพื่อให้ไม่เคลื่อนไปจากปฏิทินสุริยคติมากนัก การทดปฏิทินพบได้ในปฏิทินจันทรคติไทย ปฏิทินจันทรคติอิสลาม ปฏิทินจันทรคติจีน และปฏิทินจันทรคติภารตะ นอกจากนี้ การทดปฏิทินยังหมายถึงการเพิ่มวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ในปีอธิกสุรทินอีกด้วย", "title": "การทดปฏิทิน" }, { "docid": "298562#3", "text": "ลัลทริมาเสมอ เป็นคนมองโลกในแง่ดี จิตใจเข้มแข็ง เข้าใจสัจธรรมของโลก และเป็นคนที่ให้กำลังใจลัลทริมาเสมอในวันที่เธอท้อแท้ แม้รสวดีจะรู้ว่าลัลทริมามีพลังญาณอาถรรพ์และรู้ดีว่าสักวันต้องเดือดร้อนเพราะพลังนี้ แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งลัลทริมาเลย ซ้ำยังเพิ่มการดูแลหลานสาวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจก็ตาม\nในต้นปี พ.ศ. 2554 ทางค่ายพูนิก้าก็ได้ตีพิมพ์การินฉบับพิเศษอีก 2 เล่ม เล่มแรกตีพิมพ์ในรูปแบบการ์ตูน คือ \"การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ บทสูญ\" โดยเป็นเรื่องราวในวัยเด็กของลัลทริมาเมื่อครั้งที่เธอสูญเสียพี่ชาย ซึ่งมีเนื้อหาก่อนเกิดเหตุการณ์ในคดีที่ 1 โดยเล่าถึงอดีตของตัวละครเอก 3 ตัว อันได้แก่ การิน, ลัลทริมา และเชียร ส่วนเล่มที่สองตีพิมพ์ในรูปแบบนิยาย คือ \"เชียร พันธนาอัตตานิรันดร์\" ซึ่งมี เชียร ตัวร้ายใน การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ เป็นตัวเอกของเรื่อง นอกจากการินฉบับพิเศษที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว ยังมีนิยายเรื่อง \"ริน/ชิน/เร ตรรกะ..ปริศนาคดีอาถรรพ์ เกมฆาตกรรม\" เป็นนิยายชุดพิเศษที่นำ การิน จาก การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ ชินะและเรวิน จาก ชินเร ตรรกะ เกมฆาตกรรม ซึ่งอยู่ในเครือพูนิก้าทั้งคู่ มาเผชิญหน้ากัน โดยเป็นการร่วมมือเขียนระหว่าง อัยย์ ผู้เขียนการินฯ และ แทน ผู้เขียนชินเรฯ รวมถึงนิยายเรื่อง \"บริษัทพิทักษ์ (คุณหนู) การิน\" เป็นการร่วมกันเขียนระหว่างอัยย์ และ เนบิวลา สองนักเขียนในเครือพูนิก้า มีตัวละครนำคือ การิน และ สองตัวเอกจาก นิยาย \"บริษัทพิทักษ์คุณหนู\" อคิน และแคปเปอร์", "title": "การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์" }, { "docid": "181905#3", "text": "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ จะดีอะไร วิญญาณอันเนื่องด้วยความยินดีในนิมิต หรือเนื่องด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ พึงตั้งอยู่ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาในสมัยนั้น พึงเข้าถึงคติ 2 อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ \nดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้ ฯ", "title": "อาทิตตปริยายสูตร" }, { "docid": "668536#1", "text": "ในการติดต่อราชการ-ธุรกิจ ชาวจีนใช้ปฏิทินสุริยคติสากลเช่นเดียวกับชาวตะวันตกและอีกหลายประเทศทั่วโลก แต่การกำหนดประเพณีสำคัญจะอาศัยปฏิทินจันทรคติเป็นหลักเสมอ ปฏิทินสุริยคติจีน กำหนดให้เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ดับที่ใกล้กับวันเหมายัน หรือวันที่ซีกโลกเหนือมีกลางวันสั้นที่สุด ส่วนปฏิทินจันทรคติจีน กำหนดให้เริ่มขึ้นปีนักษัตรใหม่ในวันลี่ชุน แต่เริ่มปีใหม่ในวันตรุษจีน ซึ่งเป็นวันจันทร์ดับต้นฤดูใบไม้ผลิ มักอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์หรือปลายเดือนมกราคมของทุกปี", "title": "ปฏิทินจีน" } ]
1351
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดสอนทั้งหมดกี่คณะ?
[ { "docid": "5519#21", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเรียนและสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 19 คณะ 1 สำนักวิชา 3 วิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน 2 สถาบัน และยังมีสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน ในปีการศึกษา 2556 เปิดสอนด้วยจำนวนหลักสูตรทั้งหมด 506 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 113 สาขาวิชา, หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต 9 สาขาวิชา หลักสูตรระดับปริญญาโท 230 สาขาวิชา หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง 39 สาขาวิชา และหลักสูตรระดับปริญญาเอก 115 สาขาวิชา[97] ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตร[98] ปัจจุบันประกอบด้วยส่วนงานทางวิชาการที่จัดการเรียนการสอน ได้แก่[99][100]", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" } ]
[ { "docid": "737359#5", "text": "ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้กลับเข้าสอนในตำแหน่งครูผู้สอนประจำชมรมดนตรีไทย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ส.จ.ม.) ตั้งแต่ พ.ศ. 2508 และได้ถวายการสอนดนตรีแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อครั้งเสด็จเข้าศึกษาเป็นนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ตลอดจนได้เป็นอาจารย์ควบคุมวงและสอนขับร้องในสถาบันและสโมสรต่าง ๆ ทั้งที่เป็นของภาครัฐและเอกชน ได้แก่ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สโมสรอาสากาชาด สภากาชาดไทย ชมรมดนตรีไทย ธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น", "title": "เจริญใจ สุนทรวาทิน" }, { "docid": "16208#25", "text": "จากผลการรายงาน 50 อันดับของคณะทางสาขาชีวการแพทย์ของคณะกรรมการการอุดมศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2552 โดยประเมินคุณภาพของการเรียนการสอนและงานวิจัย คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้อันดับที่ 23 และเป็นอันดับที่ 1 ในคณะเภสัชศาสตร์ทั้งหมด[45][46][47] ในส่วนผลการสอบใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมโดยสภาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีร้อยละของนิสิตผู้สอบผ่านมากเป็นอันดับต้นๆ ของคณะเภสัชศาสตร์ทั่วประเทศ อาทิ ในปี พ.ศ. 2552 มีนิสิตสอบผ่านร้อยละ 88.9[48] ปี พ.ศ. 2553 มีนิสิตผ่านร้อยละ 81.7[49] ในปี พ.ศ. 2554 มีนิสิตสอบผ่านร้อยละ 96.93 และในปี พ.ศ. 2555 มีนิสิตสอบผ่านร้อยละ 85.9[50] นอกจากนี้เว็บไซต์เด็กดียังจัดอันดับคณะที่มีนักเรียนเลือกมากที่สุด โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาเภสัชศาสตร์อยู่ในอันดับที่ 5 ในการสอบแอดมิชชันประจำปี พ.ศ. 2555[51]", "title": "คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "756712#0", "text": "สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย () มีชื่อย่อคือ CULI เป็นสถาบันหนึ่งในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 ทำหน้าที่สำคัญ คือการให้บริการทางวิชาการด้านวิชาภาษาอังกฤษให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับคณะวิชาต่าง ๆ สถาบันภาษาจะส่งอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานไปทำการสอนในคณะนั้น ๆ ยกเว้นนิสิตทั้งหลักสูตรภาษาไทยและหลักสูตรนานาชาติของคณะอักษรศาสตร์ จึงทำให้นิสิตจุฬาฯ หลักสูตรภาษาไทยในคณะอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คณะอักษรศาสตร์ จะต้องผ่านการเรียนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานจากสถาบันภาษาทุกคน ไม่มีข้อยกเว้นตามระดับคะแนนสอบเข้าวิชาภาษาอังกฤษเหมือนในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ และสถาบันภาษายังจัดการสอนวิชาภาษาอังกฤษให้เหมาะสมกับคณะวิชานั้น ๆ อีกด้วย นอกจากหน้าที่ในการจัดสอนวิชาภาษาอังกฤษแล้ว สถาบันภาษายังมีศูนย์การเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อสนุนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในทุกทักษะ", "title": "สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "756712#2", "text": "นับตั้งแต่มีการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจนถึงปี พ.ศ. 2513 การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่สำคัญและมีอยู่ในทุกภาคส่วนทางวิชาการของจุฬาฯ ตลอดช่วงระยะเวลานี้คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นองค์กรหลักในการจัดการเรียนการสอนให้กับหลายคณะและนิสิตของคณะอักษรศาสตร์เองด้วย ทำให้ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ", "title": "สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32956#3", "text": "วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลย้ายไปสังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ยังคงทำหน้าที่สอนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เช่นเดิม วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามใหม่แก่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ว่า “ มหาวิทยาลัยมหิดล ” และพระราชทานนามใหม่ให้กับคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลว่า \"คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล\" หน้าที่การสอนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้กับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจึงยุติลง แต่ในเวลานั้นคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว หน้าที่สอนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้กับคณะแพทยศาสตร์จึงดำเนินต่อไปจนมีการปรับปรุงหลักสูตรและคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความพร้อมเพียงพอที่จะดำเนินการสอนภายในคณะ คณะวิทยาศาสตร์จึงยุติการทำหน้าที่นี้ลงเช่นในปัจจุบัน ", "title": "คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#10", "text": "ในระยะแรกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยอยู่เพียงระดับประกาศนียบัตรพร้อมกับเตรียมการเรียนการสอนในระดับปริญญา โดยจัดการศึกษาออกเป็น 2 วิทยาเขต คือ วิทยาเขตปทุมวันและวิทยาเขตโรงพยาบาลศิริราช จัดการเรียนการสอนออกเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[35] (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูย้ายกลับไปสังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ และโรงเรียนกฎหมายย้ายกลับไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม[36]ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการติดต่อขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์[37] เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[38] เป็นผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถจัดการศึกษาในระดับปริญญาได้[39][40][41]", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "312612#1", "text": "คณะบัญชีได้ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับการก่อตั้งของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พุทธศักราช 2505 ทั้งนี้เนื่องจากในขณะนั้นมีสถาบันที่เปิดสอนทางด้านบัญชีอยู่เพียงไม่กี่แห่งและที่มีเสียงก็คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถาบันของรัฐ มีผู้สนใจศึกษาทางด้านบัญชีมากแต่ยังขาดสถาบันรองรับ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงเปิดสอนสาขาวิชาบัญชี โดยตั้งเป็นแผนกเรียกว่า แผนกบัญชี เพื่อสร้างบัณฑิตให้ออกไปทำงานด้านการบัญชีในหน่วยงานเอกชน และหน่วยงานราชการ ในเวลาต่อมาปีพุทธศักราช 2520 มหาวิทยาลัยได้ยกฐานะแผนกบัญชีขึ้นเป็นคณะวิชาบัญชีและเปลี่ยนชื่อเรียกให้สั้นเข้าในปีต่อมาว่า คณะบัญชี ปัจจุบันคณะบัญชีเปิดสอนนักศึกษาทั้งภาคปกติและภาคพิเศษ ในหลักสูตรปริญญาตรีและปริญญาตรีต่อเนื่อง", "title": "คณะบัญชี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" }, { "docid": "86434#0", "text": "ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลชลบุรี เป็นเป็นสถาบันสมทบของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนนิสิตแพทย์ชั้นคลินิกตามหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528\nในปีพุทธศักราช 2519 ได้มีการเจรจากันระหว่างผู้อำนวยการกองฝึกอบรม กระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์กิตติ ตนัคคานนท์) และรองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ทองจันทร์ หงส์ลดารมภ์) เรื่องการผลิตแพทย์เพื่อรับใช้ชาวชนบท โดยกระทรวงสาธารณสุขมีความประสงค์จะให้แพทย์ทำงานในชนบทมากขึ้น จึงได้มีหนังสือจากปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนั้น (ศาสตราจารย์กิตติคุณเติมศักดิ์ กฤษณามระ) ขอความร่วมมือให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมผลิตแพทย์เพิ่ม โดยรับ นิสิตจากต่างจังหวัดเพื่อจะได้กลับไปทำงานยังภูมิลำเนาของตน\nจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วเห็นว่าควรจะร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ช่วยผลิตแพทย์ดังกล่าว โดยอาศัยแนวคิด 2 ประการคือ\nต่อมากระทรวงสาธารณสุข และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พุทธศักราช 2520 และได้รับอนุมัติให้ดำเนินการจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พุทธศักราช 2521 จากนั้นจึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการ ซึ่งมีประธานร่วม ได้แก่ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์กิตติคุณ เติมศักดิ์ กฤษณามระ) และรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์อมร นนทสุต) และมีคณะกรรมการจากทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมอยู่ด้วย\nคณะกรรมการชุดนี้ ได้ดำเนินการพิจารณาแผนงาน โดยเสนอชื่อโครงการว่า “โครงการส่งเสริมการศึกษาแพทย์สำหรับชาวชนบท ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงสาธารณสุข” (Medical Education for Students in Rural Area Project-MESRAP) ได้วางโครงร่างการดำเนินการ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ คือ คณะอนุกรรมการพิจารณาเกณฑ์การคัดเลือกนิสิต คณะอนุกรรมการจัดทำหลักสูตร คณะอนุกรรมการแลกเปลี่ยนบุคลากร และคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือกสถานที่ คณะอนุกรรมการทั้ง 4 คณะ ได้ดำเนินการพิจารณาโครงสร้างและเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย โดยมีกองฝึกอบรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณบดี คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ประสานงานโดยได้พิจารณาคัดเลือกโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี เป็นศูนย์การศึกษาภาคคลินิกของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้มีพิธีเปิด “ศูนย์การศึกษาแพทยศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พุทธศักราช 2525 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขเป็นประธาน เริ่มจัดการเรียนการสอนนิสิตแพทย์รุ่นที่ 1 (หลักสูตรเก่า) และรุ่นที่ 2 (หลักสูตรใหม่) จำนวน 21 คน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา\nเนื่องจากคาดว่า จำนวนนิสิตจะเพิ่มมากขึ้นเป็นปีละ 40 คน ทำให้อาจเกิดปัญหาด้านการฝึกอบรมภาคคลินิกจึงจำเป็นต้องขยายศูนย์การศึกษาภาคคลินิกเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง โดยเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าโรงพยาบาลชลบุรีเป็นโรงพยาบาลที่พร้อมในด้านการบำบัดรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก บุคคลที่เป็นกำลังสำคัญได้แก่ นายแพทย์สุจินต์ ผลากรกุล และ นายแพทย์ปัญญา สอนคม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชลบุรี ในช่วงพุทธศักราช 2519-2524 และ2524-2529 ตามลำดับ นายแพทย์ หม่อมราชวงศ์แก้วแกมทอง ทองใหญ่ หัวหน้าฝ่ายวิชาการซึ่งมีส่วนร่วมในการจัดทำ, วิเคราะห์ พัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรและการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2522\nนิสิตแพทย์รุ่นแรกจำนวน 9 คน ได้เริ่มมาศึกษาชั้นคลินิก ณ โรงพยาบาลชลบุรีเมื่อ พุทธศักราช 2528 โดยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนั้น (ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา) เป็นประธานในพิธีปฐมนิเทศ ต่อมาอีก 1 ปี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิด ศูนย์การศึกษาแพทยศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลชลบุรี อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 15 กรกฎาคม พุทธศักราช 2529\nในปี พ.ศ. 2537 กระทรวงสาธารณสุขได้ตั้ง โครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (the Collaborative Project to Increase Production of Rural Doctor-CPIRD) โดยใช้โรงพยาบาลศูนย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นที่จัดการเรียนการสอนในชั้นคลินิกร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆที่เปิดทำการสอนในสาขาแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลชลบุรีได้เข้าร่วมโครงการนี้โดยเป็นสถาบันสมทบของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้สร้างอาคารเรียนขึ้นใหม่ และจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541", "title": "ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลชลบุรี" }, { "docid": "176649#4", "text": "พ.ศ. 2475 เมื่อมีการปฏิวัติสยามโดยคณะราษฎร รัฐบาลได้จัดตั้งคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรกในประเทศไทย แล้วให้โอนโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ไปสมทบกับคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 เมษายน ปีนั้นเอง ครั้งนั้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดให้การเรียนการสอนของโรงเรียนกฎหมาย เป็นแผนกวิชาหนึ่งในคณะดังกล่าว โดยผู้สำเร็จหลักสูตรนิติศาสตร์ได้รับเพียงประกาศนียบัตร หากต้องการเป็นเนติบัณฑิตต้องไปสมัครเป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภาอีกชั้นหนึ่ง อนึ่ง ปัจจุบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งคณะดังกล่าวขึ้นใหม่ โดยแยกออกเป็นคณะรัฐศาสตร์คณะหนึ่ง และคณะนิติศาสตร์อีกคณะหนึ่ง ทั้งนี้ การโอนไปสมทบดังกล่าวเป็นแต่ทางนิตินัย ทว่าโดยพฤตินัยแล้ว ยังคงจัดการเรียนการสอนยังคงอยู่ที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลาเช่นเดิม", "title": "คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "32970#0", "text": "คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2527 นับเป็นคณะที่ 15 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากด้านการสอนแล้ว คณะศิลปกรรมศาสตร์ยังทำหน้าที่วิจัย บุกเบิก และพัฒนาวิชาการด้านศิลปกรรม รวมทั้งทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมตามนโยบายของมหาวิทยาลัย", "title": "คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "16208#1", "text": "เมื่อประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว โรงเรียนปรุงยามีฐานะเป็นแผนกแพทย์ผสมยา ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล) และได้รับการพัฒนาหลักสูตรขึ้น จัดตั้งเป็นแผนกเภสัชกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2477 ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 มีการโอนย้ายสังกัดไปยังมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยมหิดล) เมื่อมหาวิทยาลัยมหิดลจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์ขึ้นใหม่ จึงได้โอนย้ายคณะเภสัชศาสตร์แห่งนี้กลับมาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้อาคารเภสัชศาสตร์ (ปัจจุบันคือคณะศิลปกรรมศาสตร์) เป็นที่ทำการเรียนการสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2525 ได้ย้ายอาคารมาทำการเรียนการสอน ณ ที่ตั้งปัจจุบัน บริเวณสยามสแควร์ ติดกับคณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์[2]", "title": "คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "140207#19", "text": "เป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชามรดกไทย (สถาปัตยกรรมไทย) คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมไทย คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมไทย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาวัฒนธรรมไทย (สถาปัตยกรรมไทย) คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมไทยของกรมศิลปากร แก่ครูบาอาจารย์ นิสิต นักศึกษา พระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั่วไป", "title": "อาวุธ เงินชูกลิ่น" }, { "docid": "32975#0", "text": "คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย () ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2460 โดยเป็นหนึ่งในสี่คณะที่กำเนิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อแรกเริ่มมีชื่อว่า \"คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์\" ทำหน้าที่สอนวิชาพื้นฐานด้านมนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ให้แก่คณะอื่น ๆ ต่อมาได้รับภาระผลิตครูมัธยมสายอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในหลักสูตรประโยคครูมัธยม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2477 คณะอักษรศาสตร์จึงเริ่มเปิดหลักสูตรอักษรศาสตรบัณฑิต ในปัจจุบันคณะอักษรศาสตร์เปิดสอนหลักสูตรทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก", "title": "คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32955#2", "text": "ในปัจจุบัน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีภาควิชาที่ทำการเรียนการสอนอยู่ 21 ภาควิชา และมีหน่วยงานภายใน 9 หน่วยงาน โดยแต่ละภาควิชาจะมีฐานะเป็นแผนกหนึ่งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยและคณะบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นบุคคลคนเดียวกัน นอกจากนี้คณาจารย์ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อีกด้วย", "title": "คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32952#0", "text": "คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นส่วนงานประเภทคณะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 164 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2515 มีรากฐานมาจากโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ที่โอนมาเป็นคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2476 แล้วแยกไปเป็นมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเมื่อปีเดียวกัน ก่อนจะเริ่มสอนนิติศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2494 ในฐานะแผนกหนึ่งของคณะรัฐศาสตร์ ปัจจุบัน เปิดสอนระดับปริญญาตรี โท และเอก", "title": "คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "19432#21", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เปิดสอนวิชาภูมิสถาปัตยกรรมระดับปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปีเป็นแห่งแรกในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ในปี พ.ศ. 2521 ปัจจุบัน ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรมในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลิตบัณฑิตออกไปรับใช้สังคมแล้วมากกว่า 25 รุ่น หรือประมาณ 500 คน ต่อมาได้มีการเปิดสอนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2538 และที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เปิดสอนระดับปริญญาตรีวิชาชีพหลักสูตร 5 ปีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการเปิดสอนระดับปริญญาโทเพิ่มขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์", "title": "ภูมิสถาปัตยกรรม" }, { "docid": "32950#1", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เปิดสอนวิชาการหนังสือพิมพ์ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2482 ซึ่งเป็นหลักสูตรในระดับอนุปริญญา สังกัดในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2497 ได้มีการโอนการศึกษาวิชาการหนังสือพิมพ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปทำการสอนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยได้เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดการสอนในสาขานิเทศศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่นั้นมา", "title": "คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32969#0", "text": "คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคณะสัตวแพทยศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2478 โดยมีพันธกิจหลักในด้านการเรียนการสอน การวิจัยและบริการวิชาการทางด้านสัตวแพทย์ ปัจจุบันคณะสัตวแพทยศาสตร์ เปิดสอนแผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ถูกโอนย้ายไปสังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์(ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยมหิดล) ในปี พ.ศ. 2486 ก่อนจะถูกโอนย้ายสังกัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 เข้าสู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้ปรับปรุงหลักสูตรสัตวแพทยศาสตร์ จาก 5 ปีเป็น 6 ปี โดยศึกษาเตรียมสัตวแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นศึกษาระดับปรีคลินิกและคลินิกที่คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ในพื้นที่เดิมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำเรื่องถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อขอโอนคณะสัตวแพทยศาสตร์ซึ่งยังคงตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับคืนเช่นเดิม แต่ทางสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่เห็นด้วย จึงเตรียมสร้างอาคารสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อย้ายออกจากพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม คณะสัตวแพทยศาสตร์ได้ทำเรื่องไม่ขอย้ายออกจากที่ตั้งเดิม และขอโอนกลับไปสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2510 ส่วนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เปิดหลักสูตรสัตวแพทย์ศาสตร์ขึ้นมาในพื้นที่ที่ได้จัดเตรียมไว้แล้ว และแยกการบริหารกับส่วนที่โอนคืนให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ", "title": "คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "10026#0", "text": "ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานด้านการศึกษาแรกของประเทศไทย ที่เปิดให้มีการเรียนการสอนด้านธรณีวิทยาในระดับมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ โดยเปิดทำการสอนตั้งแต่ พ.ศ. 2501 และรับอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยให้จัดตั้งเป็นภาควิชาธรณีวิทยาขึ้นในคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2502 ปัจจุบันเปิดสอนทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก ในหลักสูตร ธรณีวิทยา และ โลกศาสตร์ (วิทยาศาสตร์โลก)", "title": "ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "27944#0", "text": "คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีประวัติความสืบเนื่องจากการเปิดสอนหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ของโรงเรียนเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ปัจจุบัน คือ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อปี พ.ศ. 2502 ซึ่งต่อมาได้มีการโอนคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดลในส่วนที่ตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาสังกัดแผนกวิชาเวชศาสตร์ชันสูตร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2514 และมีการพัฒนาขึ้นเป็นภาควิชาเทคนิคการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่ง จัดตั้งเป็นคณะสหเวชศาสตร์เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 ซึ่งนับเป็นคณะลำดับที่ 17 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและถือเป็นคณะสหเวชศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย โดยมีหน้าที่ในการผลิตบัณฑิตสาขาวิชาในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพต่าง ๆ ทั้งเทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด และรังสีเทคนิคเป็นต้น", "title": "คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "16208#4", "text": "การศึกษาด้านเภสัชศาสตร์เริ่มต้นการสอนแผนกแพทย์ผสมยาหรือในอีกชื่อหนึ่งว่า \"โรงเรียนปรุงยา\" ในสังกัดโรงเรียนราชแพทยาลัย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2457 เมื่อจบการศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรแพทย์ปรุงยา โดยมีนักเรียนจบการศึกษาในรุ่นแรก 4 คน ต่อมาได้มีการประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้น กระทรวงธรรมการจึงได้ประกาศให้รวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้ามาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2460 เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) การศึกษาด้านเภสัชศาสตร์จึงได้ยกระดับขึ้นสู่ระดับอุดมศึกษา[2] โดยใช้สถานที่ทำการสอนบริเวณวังวินด์เซอร์ เรือนนอนหอวังและโรงพยาบาลศิริราช ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ปทานุกรมของไทยได้กำหนดให้บัญญัติใช้คำว่า \"เภสัชกรรม\" แทนคำว่า \"ปรุงยา\" หรือ \"ผสมยา\"[4] จึงได้มีประกาศกระทรวงธรรมการให้มีการเปลี่ยนชื่อแผนกเป็น \"แผนกเภสัชกรรม\" ในสังกัดของคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[5] ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2477 บังคับใช้ขึ้น โดยกำหนดจัดตั้งแผนกเภสัชกรรมศาสตร์ มีฐานะเป็นแผนกอิสระในบังคับบัญชาโดยตรงของมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับแผนกสถาปัตยกรรมศาสตร์ และได้ยกระดับวุฒิการศึกษาเป็น \"ประกาศนียบัตรเภสัชกรรม (ป.ภ.)\" เทียบเท่าอนุปริญญา โดยให้คณบดีคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รักษาการตำแหน่งหัวหน้าแผนกเภสัชกรรมศาสตร์อีกตำแหน่งหนึ่ง", "title": "คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32975#2", "text": "คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เดิมมีชื่อว่า \"คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์\" เป็นหนึ่งในสี่คณะที่ได้มีการจัดตั้งขึ้น (อีกสามคณะได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) และคณะรัฐฏประศาสนศาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์)) โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งเป็นอธิการบดีกรมมหาวิทยาลัยในกระทรวงธรรมการพระองค์แรก (กระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบัน) ได้ทรงจัดตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2460 ในระยะแรก การเรียนการสอนในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์จะเป็นการสอนรายวิชาให้กับนิสิตเตรียมแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ จนในปี พ.ศ. 2471 จึงได้เปิดสอนวิชาอักษรศาสตร์เป็นหลักสูตรแรก มีระยะเวลาการศึกษา 3 ปี โดยในสองปีแรกจะเป็นการเรียนวิชาอักษรศาสตร์และปีสุดท้ายจะเป็นการเรียนวิชาครู ซึ่งผู้สำเร็จตามหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรครูมัธยม ต่อมาในปี พ.ศ. 2473 จึงได้เปิดสอนวิชาวิทยาศาสตร์โดยมีระยะเวลาการศึกษาเท่ากับหลักสูตรวิชาอักษรศาสตร์", "title": "คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "139945#3", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่จัดการเรียนการสอนทางด้านนิเทศศาสตร์เป็นแห่งแรกของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482 โดยเปิดสอนในระดับอนุปริญญา สังกัดในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์[1] หลังจากนั้น จึงมีการโอนการศึกษาวิชาการหนังสือพิมพ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปทำการสอนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2497 โดยใช้ชื่อคณะว่า คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน และได้ปรับปรุงหลักสูตรจนสามารถเปิดสอนในระดับปริญญาตรีได้เป็นแห่งแรกของประเทศไทย[2] ภายหลังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จึงได้เปิดการเรียนการสอนในสาขาวิชาทางด้านนิเทศศาสตร์มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจะใช้ชื่อคณะที่แตกต่างกัน อาทิเช่น มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิตในวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้ชื่อ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ใช้ชื่อ คณะวิทยาการสารสนเทศ ขณะที่ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยทักษิณ ก็มีเปิดสอนในหน่วยงานต่างๆของมหาวิทยาลัย", "title": "นิเทศศาสตร์" }, { "docid": "16208#9", "text": "เมื่อย้ายสังกัดเข้าสู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ได้มีการปรับเปลี่ยนระบบบริหารและระบบติดตามการเรียนการสอน และการนับหน่วยกิตตามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนปัญหาด้านสถานที่ของคณะที่ไม่เอื้อต่อการเรียนการสอนและการขยายจำนวนนิสิต ทำให้คณะมีโครงการจัดสร้างอาคารใหม่ขึ้นในบริเวณใกล้เคียงอาคารหลังเดิม แต่อย่างไรก็ดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยมีแนวคิดการสร้าง \"Medical Square\" ในพื้นที่การศึกษาที่ติดต่อกับสยามสแควร์ซึ่งมีคณะทันตแพทยศาสตร์และคณะสัตวแพทยศาสตร์อยู่แล้ว จึงมีโครงการสร้างอาคารคณะเภสัชศาสตร์หลังใหม่ในบริเวณดังกล่าว[12] การก่อสร้างเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2525 และได้ย้ายสถานที่ทำการเรียนการสอนคณะเภสัชศาสตร์ไปยังอาคารแห่งใหม่บริเวณสยามสแควร์", "title": "คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32956#4", "text": "นอกจากนี้คณะวิทยาศาสตร์ ยังสอนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังมีแผนกฝึกหัดครู (ต่อมาเป็นคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ที่เป็นแหล่งผลิตครูวิทยาศาสตร์ เพื่อสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับประถมและมัธยมศึกษาและยังคงทำหน้าที่นี้จนถึงปัจจุบัน แต่เนื่องจากสมัยนั้น อาจารย์ที่สอนวิทยาศาสตร์ คือ แพทย์สามัญ ซึ่งไม่สามารถสอนวิทยาศาสตร์ได้ ทำให้นิสิตที่จบการศึกษามีความรู้ค่อนข้างจำกัด อีกทั้งการเรียนการสอนยังมีอุปสรรค เช่น นิสิตไม่มีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ จึงไม่สามารถนำตำราต่างประเทศมาใช้ในการสอนได้", "title": "คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32952#3", "text": "ในเวลาต่อมา ได้มีการจัดตั้งแผนกวิชานิติศาสตร์ขึ้นใหม่ในคณะรัฐศาสตร์โดยพระราชกฤษฎีกา จัดแบ่งแผนกวิชาในคณะต่าง ๆ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2494 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2494 จึงเป็นอันว่าวิชากฎหมายได้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2501 แผนกวิชานิติศาสตร์ได้ปรับปรุงหลักสูตร และเปิดรับนิสิตเข้าเรียนในแผนกวิชานิติศาสตร์โดยตรง การเรียนการสอนในขณะนั้นก็แยกออกจากแผนกวิชารัฐศาสตร์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง จึงเป็นอันว่าการเรียนการสอนในแผนกวิชานิติศาสตร์ในยุคหลังได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ตั้งแต่นั้นมา การศึกษาวิชากฎหมายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งมหาวิทยาลัยในขณะนั้นได้เล็งเห็นความสำคัญที่จะต้องเปิดภาคสมทบขึ้น เพื่อสนองความต้องการของผู้ที่จะเข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ จึงได้เปิดการสอนภาคสมทบขึ้นในปีการศึกษา 2508", "title": "คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32971#2", "text": "ปี พ.ศ. 2510 ศาสตราจารย์ อาภรณ์ กฤษณามระ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีในขณะนั้น ได้ริเริ่มและเสนอโครงการยกฐานะแผนกวิชาเศรษฐศาสตร์ขึ้นเป็นคณะเศรษฐศาสตร์ต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสภาการศึกษาแห่งชาติ แต่สภาการศึกษาแห่งชาติได้พิจารณาหลักสูตรการศึกษาของโครงการดังกล่าวแล้วมีความเห็นว่า หลักสูตรนั้นมีความคล้ายคลึงกับหลักสูตรการศึกษาของแผนกวิชาการคลัง คณะรัฐศาสตร์ อยู่มาก น่าที่จะพิจารณารวมการดำเนินงานเข้าด้วยกัน จึงส่งเรื่องมาให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพิจารณาอีกครั้ง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2513 มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะเศรษฐศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวว่า เนื่องจากวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่สำคัญและจำเป็นในการวางแผนพัฒนาประเทศประกอบกับขณะนั้น ในประเทศไทยยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้จำนวนมาก การสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขณะนั้นได้แยกกันจัดดำเนินการโดยสองแผนกวิชา คือ แผนกวิชาเศรษฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และแผนกวิชาการคลัง คณะรัฐศาสตร์ ให้ยุบแผนกวิชาเศรษฐศาสตร์และแผนกวิชาการคลัง แล้วจัดตั้งเป็นคณะเศรษฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโอนอาจารย์จากทั้ง 2 แผนกมาสังกัดคณะใหม่ โดยในขั้นแรกเปิดสอน 4 แผนกวิชา ได้แก่ เศรษฐศาสตร์ทฤษฎี เศรษฐศาสตร์พัฒนาการ เศรษฐศาสตร์การเงินและการคลัง และเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ", "title": "คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32948#1", "text": "การศึกษาคณะจิตวิทยาได้เริ่มขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใน หลักสูตรครุศาสตร์ ตั้งแต่ครั้งแรกเป็นแผนกครุศาสตร์ สังกัดคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 คณะครุศาสตร์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นคณะ การเรียนการสอนวิชาจิตวิทยาจึงอยู่ในความรับผิดชอบของคณะครุศาสตร์ เป็นต้นมา ในปี พ.ศ. 2505 เริ่มมีการเปิดสอนหลักสูตรปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษาและแนะแนวขึ้น การเรียนการสอน และการวิจัยทางจิตวิทยาได้พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยมีขอบเขตกว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2506 จึงได้มีการจัดแผนกวิชาจิตวิทยาขึ้น เพื่อรับผิดชอบการสอนในสาขาวิชาจิตวิทยาแขนงต่าง ๆ สำหรับนิสิตปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก หลักสูตรปริญญาเอกสาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาเปิดสอน ปีการศึกษา 2517 นับเป็นหลักสูตรปริญญาเอกหลักสูตรแรกที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย คณะจิตวิทยาได้จัดตั้งขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งคณะจิตวิทยา ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2539 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2539 นับเป็นคณะที่ 18 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดอยู่ในคณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยกำหนดให้วันที่ 7 กรกฎาคม 2539 เป็นวันสถาปนาคณะจิตวิทยา คณะจิตวิทยาตั้งอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้า MBK Center บริเวณเดียวกับคณะสหเวชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและคณะพยาบาลศาสตร์ คณะจิตวิทยาเปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีภาคไทยครั้งแรกในปีพ.ศ. 2545 โดยมีนิสิตรุ่นแรกทั้งสิ้น 25 คน นิสิตปัจจุบันในปีการศึกษา 2561 เป็นนิสิตรุ่นที่ 17 นอกจากนี้คณะจิตวิทยายังได้เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีในหลักสูตรนานาชาติ (JIIP) โดยความร่วมมือระหว่างคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ University of Queensland ประเทศออสเตรเลีย", "title": "คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#188", "text": "สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก - ทรงสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังและวิชาประวัติศาสตร์ แก่นิสิตเตรียมแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ นิสิตคณะวิทยาศาสตร์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทรงสอนระหว่าง พ.ศ. 2467 จนถึง พ.ศ. 2468 ทรงพระราชทานพระดำริเกี่ยวกับการพัฒนามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแผนพัฒนามหาวิทยาลัยฉบับแรกของประเทศไทย นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์[283] ตลอดจนทรงติดตามมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ให้ช่วยพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล[41][284] ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนาขึ้นจนถึงปัจจุบัน[285][286][287][288]", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "756712#4", "text": "ในปี พ.ศ. 2520 โครงสถาบันภาษาได้พัฒนาครั้งใหญ่สถาบันภาษาได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2520 เพื่อให้บริการสอนและฝึกฝนภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งการทำงานวิจัยและทดลองพัฒนาการเรียนการสอน ในปัจจุบันสถาบันภาษาได้ทำการสอนภาษาอังกฤษให้กับคณะวิชาทุกคณะในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมกับการส่งเสริมลักษณะนิสัยให้นิสิตสืบค้นและพัฒนาทักษะตามความสนใจ", "title": "สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" } ]
3659
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เสียชีวิตเมื่อไหร่?
[ { "docid": "384639#0", "text": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์เมื่อวันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:37 นาฬิกา ณ ตึก 84 ปี ชั้น 5 ด้านตะวันออก โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุมัติหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระศพระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม - 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง หมายกำหนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ระหว่างวันที่ 8 - 12 เมษายน พ.ศ. 2555 ซึ่งพระราชพิธีจะมีขึ้น ณ พระเมรุ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" } ]
[ { "docid": "384639#31", "text": "พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รัฐบาลไทยขึ้นจัดเพื่อแสดงความจงรักภักดีและความอาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โดยกำหนดวันพระราชพิธีระหว่างวันที่ 8-12 เมษายน พ.ศ. 2555 โดยกำหนดการพระราชพิธีสำคัญ ได้แก่ การบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ในวันที่ 8 เมษายน พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพในวันที่ 9 เมษายน พระราชพิธีเก็บพระอัฐิ ในวันที่ 10 เมษายน การบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระอัฐิ ในวันที่ 11 เมษายน การเชิญพระอัฐิขึ้นประดิษฐานที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และการเชิญพระผอบพระสรีรางคารไปบรรจุยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในวันที่ 12 เมษายน", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#13", "text": "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุมัติ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระศพฯ ในการถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสงฆ์ ระหว่างการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ ครบทั้ง 100 วัน ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม-4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#14", "text": "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้พระบรมวงศานุวงศ์ สมาชิกราชสกุลทุกมหาสาขา และราชินีกุล คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ร่วมในการบำเพ็ญพระราชกุศล บำเพ็ญพระกุศล และบำเพ็ญกุศล ถวายพระศพประจำสัปดาห์ในทุกวันพุธ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง หลังพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน 7 วัน จนถึงพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน 100 วัน โดยมีกำหนดการดังนี้", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" } ]
3774
คณะนิเทศศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับ ?
[ { "docid": "139945#0", "text": "นิเทศศาสตร์ (อังกฤษ: Communication Arts) หมายถึง ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในการสื่อสาร โดยให้ความสำคัญกับการสื่อสาร จากองค์ประกอบของการสื่อสาร กล่าวคือ ผู้ส่งสาร สาร สื่อ และผู้รับสาร ซึ่งผู้ส่งสารอาจเป็นตัวบุคคล องค์กร หรือบริษัทก็ได้ ข่าวสารจะต้องเป็นเนื้อหาสาระที่ผู้ส่งต้องการที่จะกระจายให้ประชาชนได้รับทราบ สื่อหรือช่องทาง เป็นการหาวิธีการกระจายข่าวสารต่างๆ ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้ได้มาก และกว้างไกล ตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่ง และผู้รับสาร หรือกลุ่มป้าหมาย จะต้องสามารถรับข่าวสารนั้นได้ โดยผู้ส่งสารจะต้องหาวิธีการทำให้ข่าวสารที่ส่งไป ถึงผู้รับสารได้มากที่สุด", "title": "นิเทศศาสตร์" } ]
[ { "docid": "649157#0", "text": "สภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อปี พ.ศ. 2532 ได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำหลักสูตร เพื่อจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี โดยเริ่มก่อตั้งคณะนิเทศศาสตร์ ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2533 โดยคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้รับอนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัย (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในปัจจุบัน) ให้เปิดรับสมัครนักเรียนเพื่อสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักศึกษารุ่นแรก ในระดับปริญญาตรี 3 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาวารสารศาสตร์ สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ ต่อมา ในปีการศึกษา 2536 ได้รับอนุมัติให้เปิดสอบคัดเลือกนักศึกษารุ่นแรกของสาขาวิชาการโฆษณา และเนื่องจากมีผู้สนใจเข้าเรียนจำนวนมาก จึงได้เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ในปีการศึกษา 2538 และต่อมาได้เปิดสอนในระดับบัณฑิตศึกษา มีการก่อตั้งศูนย์ศึกษาสื่อและการสื่อสารอาเซียน รวมทั้งร่วมมือกับคณะบริหารธุรกิจและคณะเศรษฐศาสตร์ ก่อตั้งศูนย์ศึกษาและวิจัยตราสินค้าหรือศูนย์แบรนด์ในระดับบัณฑิตศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ เปิดสอนนักศึกษาระดับปริญญาโทรุ่นแรก ในปีการศึกษา 2540 ในสาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด (Marketing Communication) และได้ปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 ประกอบด้วยกลุ่มวิชาเอกต่าง ๆ ดังนี้", "title": "คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" }, { "docid": "857468#1", "text": "สาขาวิชานิเทศศาสตร์ แรกเริ่มก่อตั้งเป็นหน่วยงานระดับกองของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชมีฐานะเทียบเท่าคณะของมหาวิทยาลัยในระบบ ปิดได้รับการจัดตั้งเป็นสาขาวิชาลำดับที่ 10 ของมหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2527 เปิดรับสมัครนักศึกษาเป็นครั้งแรกในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2527 นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดสอนสาขาวิชานิเทศศาสตร์ในระบบการศึกษาทางไกล ", "title": "สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" }, { "docid": "1000745#1", "text": "ณัฐพล ไรยวงศ์ เกิดที่ โรงพยาบาลลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ หลักสูตรนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต\nได้รับตำแหน่งเดือน คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และรางวัล To be number one idol4", "title": "ณัฐพล ไรยวงศ์" }, { "docid": "291591#6", "text": "ณเดชน์เรียนอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลพิมานเด็ก ต่อชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาชาย (ปัจจุบันเป็น โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กระทั่ง ป.5 ได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนขอนแก่นวิเทศศึกษา จังหวัดขอนแก่น จนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (สายวิทย์-คณิต) ระหว่างศึกษาได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันหลายครั้ง เมื่อเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาณเดชน์ได้คัดเลือกเข้าศึกษาต่อใน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรนานาชาติ แต่ไม่ผ่านการสอบคัดเลือก ณเดชน์จึงได้เลือกเรียนสาขาใหม่ในมหาวิทยาลัยเอกชน เนื่องจากขณะที่ศึกษาอยู่ชั้น ม.4 เขาเริ่มสนใจการผลิตภาพยนตร์สั้น รายการโทรทัศน์ จึงต้องการเรียนรู้การทำงานเบื้องหลัง เช่น กำกับการแสดง และสนใจศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการถ่ายภาพนิ่ง ไม่ชอบการเรียนคณิตศาสตร์ ประกอบกับระยะนั้นเขาได้เข้าสู่วงการบันเทิงเป็นที่เรียบร้อย และเริ่มแสดงละครโทรทัศน์ จึงเลือกเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จวบจนณเดชน์สำเร็จการศึกษาและได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.31 ปัจจุบัน ณเดชน์กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ดังเดิม", "title": "ณเดชน์ คูกิมิยะ" }, { "docid": "960727#1", "text": "ศึกษาระดับปริญญาตรีที่ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโทที่ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย", "title": "พัญสร" }, { "docid": "592601#1", "text": "ภาควิชานิเทศศาสตร์ เกิดจากความร่วมมือของอาจารย์ในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มีความตั้งใจจะเปิดสอนในด้านการสื่อสารมวลชน ในปีพ.ศ. 2534จึงได้มีการแต่งตั้งกรรมการดำเนินการจัดตั้งภาควิชานิเทศศาสตร์และคณะ กรรมการร่างหลักสูตร ศศ.บ. นิเทศศาสตร์ ได้เสนอหลักสูตรสาขาวิชานิเทศศาสตร์และโครงการจัดตั้งภาควิชานิเทศศาสตร์ต่อสภามหาวิทยาลัยในปีพ.ศ. 2537 \nปีพ.ศ. 2538 สภามหาวิทยาลัยให้ความเห็นชอบหลักสูตรนิเทศศาสตร์ และทบวงมหาวิทยาลัยรับทราบการให้ความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยในปีถัดมา\nปีพ.ศ. 2540 ได้เปิดรับนิสิตรุ่นแรกเข้าศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต และต่อมาได้เปิดรับภาคพิเศษในปีพ.ศ. 2542\nพ.ศ. 2547 สภามหาวิทยาลัยให้ความเห็นชอบให้โครงการจัดตั้งภาควิชานิเทศศาสตร์เป็นหน่วยงานภายในคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาในระดับภาควิชา", "title": "คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "370481#2", "text": "จบการศึกษาจาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ระดับอุดมศึกษา เคยศึกษาที่ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ต่อมาได้ย้ายไปเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์", "title": "พรภัทร ก่อเกียรติตระกูล" }, { "docid": "312122#1", "text": "ธันยาธนัส วงษ์สวัสดิ์ปภา มีชื่อเดิมว่า ภารดี อยู่ผาสุข เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 เป็นนักแสดงหญิงลูกครึ่งไทย-อิตาลี มารดาเป็นชาวไทยชื่อณัฏฐา อยู่ผาสุก มีน้องสาวคนหนึ่งอยู่ประเทศอิตาลี เธอเข้ารับการศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนไกรอำนวยวิทยา, ระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนบางบัว, ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ระดับอุดมศึกษาที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และระดับปริญญาโท การบริหารการสื่อสาร คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต", "title": "ธันยาธนัส วงษ์สวัสดิ์ปภา" }, { "docid": "106108#1", "text": "ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์\nสาขา นิเทศศาสตร์ธุรกิจ", "title": "อรัญญา ประทุมทอง" }, { "docid": "809066#1", "text": "ปฐมพงศ์ เรือนใจดี เกิดวันที่ 27 กรกฎาคม 2538 เริ่มศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียน โสมาภา 2 หลังจากนั้นก็เข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 จนสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สำเร็จการศึกษา ที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นเดือนคณะนิเทศศาสตร์ เข้าพิธีรับปริญญา วันที่ 14-16 ธันวาคม 2561", "title": "ปฐมพงศ์ เรือนใจดี" }, { "docid": "736250#1", "text": "เกิดที่จังหวัด กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2525 จบการศึกษาระดับมัธยมที่ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย แล้วจึงสอบเข้า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สาขาวิชาภาพยนตร์และภาพนิ่ง) นอกจากนี้ยังจบการศึกษาระดับ ปริญญาโท จากสองสถาบัน คือ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาวาทวิทยา และ Master of Music (Performance) ที่ University of Surrey ประเทศอังกฤษ", "title": "สวรรยา แก้วมีชัย" }, { "docid": "872276#0", "text": "อ๊ะ อริญากร บวรวิศรุติ เริ่มบ่มเพาะความสนใจเกี่ยวกับการแสดงตั้งแต่วัยเด็ก ได้มีโอกาสเรียนร้องเพลงครั้งแรกที่ \"โรงเรียนดนตรีมีฟ้า\" และต่อมาได้เรียนเพิ่มเติมทางด้านร้องและทางด้านเต้น (แจ๊ส) เบื้องต้นที่ \"โรงเรียนดนตรีเคพีเอ็น\" โดยเข้าร่วมทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงตั้งแต่ยังเรียนในระดับชั้นอนุบาลจนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญา อ๊ะ อริญากรเริ่มชีวิตนักเรียนในระดับประถมศึกษาที่ โรงเรียนราชวินิต และมัธยมศึกษาตอนต้นที่ \"โรงเรียนสาธิตสวนสุนันทา\" และ \"โรงเรียนอัมพรไพศาล\" จนสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย ในขณะที่เรียนอยู่ที่ \"โรงเรียนอัมพรไพศาล\" อ๊ะเข้าร่วมกิจกรรมการแสดงมาโดยตลอด อาทิ ผู้นำเชียร์ ประธานสีแข่งขันกีฬา ตลอดจน ได้รับเลือกคฑากรของโรงเรียนในขณะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จนเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจึงได้เลือกศึกษาต่อในสาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเป็นภาควิชาที่มีชื่อเสียงทางด้านการศิลปะการแสดง โดยเลือกเรียนวิชาเอกใน สาขาการแสดงและกำกับการแสดง ", "title": "อริญากร บวรวิศรุติ" }, { "docid": "229591#2", "text": "สุรัตนาวีสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ระดับปริญญาตรี สาขานิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และระดับปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ", "title": "สุรัตนาวี ภัทรานุกุล" }, { "docid": "856903#1", "text": "คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดดำเนินการตั้งแต่ปีการศึกษา 2532 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ศึกษาในศาสตร์แห่งการสื่อสารมวลชน ศิลปะการแสดงและแฟชั่นดีไซน์ได้ มีความรู้ความสามารถในการนำวิทยาการนิเทศศาสตร์ไปใช้ปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง หน่วยงาน สังคม และประเทศชาติ และต้องการเผยแพร่นวัตกรรมด้านวิชาชีพนิเทศศาสตร์ให้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ในปีการศึกษา 2543 ได้เปิดสอนที่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี และต่อมาในปีการศึกษา 2556 ได้เปิดสอนที่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตขอนแก่น เป็นแห่งล่าสุด คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุมจะแบ่งสีครุยวิทยฐานะออกเป็น 2 สี ได้แก่", "title": "คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม" }, { "docid": "37701#19", "text": "เคสของภารกิจต่างๆในรายการบิ้ก บราเธอร์ได้ถูกนำมาเป็นกรณีศึกษาพฤติกรรมของผู้เข้าแข่งขัน รวมถึงพฤติกรรมตอบสนองของคนดู โดยการริเริ่มของนายจีระนันท์ จิระบุญยานนท์ ในแง่จิตวิทยาบุคคล ต่อมาภารกิจต่างๆ ในรายการ ได้ถูกนำมาใช้เป็นกรณีศึกษาของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เนื่องจากเป็นเคสตัวอย่างในสภาวะปิดที่สังเกตการณ์ได้ง่ายสำหรับนักศึกษา นอกจากนั้นก็ยังถูกนำมาเป็นเคสวิเคราะห์ทางจิตวิทยา และบทความเกี่ยวกับพฤติกรรมบุคคลอีกหลายแห่ง นับเป็นการนำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาที่ได้ผลและเกิดประโยชน์ในแง่จิตวิทยาที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง", "title": "บิกบราเธอร์" }, { "docid": "146797#0", "text": "ชมรมนิเทศศิลป โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (Communication Arts Club of Triam Udom Suksa School - CACOTUSS) ก่อตั้งเมื่อ ปีการศึกษา 2546 เป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่อยู่ในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ มีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่สนใจวิชาชีพหรือสนใจศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งมีเนื้อหาวิชา สอดคล้องกับกิจกรรมของชมรมโดยตรง หรือคณะอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันเช่น คณะอักษรศาสตร์(ภาควิชาศิลปการละคร) และคณะศิลปศาสตร์ เป็นต้น ให้นักเรียนเหล่านั้นได้สัมผัสกับการทำงานจริงหรือใกล้เคียงมากที่สุด เพื่อให้นักเรียนมีประสบการณ์ในการทำงานในสาขาวิชาชีพนั้น ก่อนที่จะเข้าไป ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา", "title": "ชมรมนิเทศศิลป์" }, { "docid": "32950#1", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เปิดสอนวิชาการหนังสือพิมพ์ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2482 ซึ่งเป็นหลักสูตรในระดับอนุปริญญา สังกัดในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2497 ได้มีการโอนการศึกษาวิชาการหนังสือพิมพ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปทำการสอนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยได้เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดการสอนในสาขานิเทศศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่นั้นมา", "title": "คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "857468#5", "text": "ปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้การสื่อสารและองค์ความรู้ด้านนิเทศศาสตร์มีความจำเป็นมากขึ้น สาขาวิชานิเทศศาสตร์ จึงได้ปรับปรุงหลักสูตรให้มีความทันสมัยและสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ โดยทางทบวงมหาวิทยาลัย (ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ) ได้ให้ความเห็นชอบหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต ฉบับปรับปรุงเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2546 และได้เปิดสอนในภาคการศึกษาที่ 2/2546 รวม ถึงหลักสูตรบัณฑิตศึกษา ซึ่งได้เปิดสอนครั้งแรกเมื่อภาคการศึกษาที่ 2/2546 และมีการปรับปรุงหลักสูตรไปเมื่อพ.ศ. 2555", "title": "สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" }, { "docid": "651401#1", "text": "สาธิดา ปิ่นสินชัย ชื่อเล่น เอม เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2535 เป็นลูกสาวของนายตำรวจชื่อดัง พล.ต.ต.ดร.เสวก ปิ่นสินชัย อดีตผู้บังคับการตำรวจป่าไม้ และยังเป็นโปรโมเตอร์มวยศึกอัศวินดำอีกด้วย เอมสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี และระดับปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยในปัจจุบันเอมกำลังศึกษาระดับปริญญาโทที่ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย", "title": "สาธิดา ปิ่นสินชัย" }, { "docid": "181743#1", "text": "วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ปีการศึกษา 2531 ตั้งแต่ครั้งยังเป็น \"วิทยาลัยรังสิต\" หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ทบวงมหาวิทยาลัย ในขณะนั้น) ได้อนุญาตให้เปิดสอนใน 2 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และ สาขาวิชาสารนิเทศ โดยได้รับโอนนักศึกษาสาขาวิชาการสื่อสารการแสดง ของคณะศิลปศาสตร์ ร่วมกับการรับโอนนักศึกษาจากคณะต่างๆ เช่น คณะศิลปกรรม (คณะศิลปะและการออกแบบ ในปัจจุบัน) ที่สมัครใจเข้าศึกษาใน 2 สาขาวิชาดังกล่าว โดยในปีนั้น มีอาจารย์ประจำ 4 ท่าน และนักศึกษาประมาณ 100 คน จากนั้นในปีการศึกษา 2534 เปิดสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ และในปีการศึกษา 2535 เปิดสาขาวิชาการโฆษณา และสาขาวิชาการหนังสือพิมพ์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสาขาวารสารศาสตร์)", "title": "วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต" }, { "docid": "649157#1", "text": "คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เริ่มเปิดสอนนักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด (Marketing Communication) เป็นแห่งแรกของประเทศ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2559 โดยประกอบไปด้วย 2 แผนการศึกษา ดังนี้\nแบบ 1.1 สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ศึกษาเฉพาะหมวดดุษฎีนิพนธ์\nแบบ 2.1 สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ศึกษาวิชาเพิ่มเติมและหมวดดุษฎีนิพนธ์", "title": "คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" }, { "docid": "940288#0", "text": "คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ (Graduate School of Communication Arts and Innovation Management) : GSCM หรือที่นิยมเรียกกันว่า \"\"นิเทศฯนิด้า\"\" เป็นอีกหนึ่งคณะของสถาบันการศึกษาชั้นสูงของรัฐเปิดสอนเฉพาะระดับมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) และดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) สาขาวิชานิเทศศาสตร์และนวัตกรรมรายนามคณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันมีดังนี้", "title": "คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์" }, { "docid": "133337#2", "text": "โดม สุขวงศ์ จบการศึกษาจาก คณะนิเทศศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพุทธศักราช 2517 และเริ่มค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ไทยด้วยตนเองจากห้องสมุดต่างๆ และจากการออกตระเวนดูหนัง ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2523 จากนั้นเขาจึงหันมาให้ความสนใจกับการเป็นนักวิชาการทางภาพยนตร์ และการเป็นนักวิจารณ์หนังแทน", "title": "โดม สุขวงศ์" }, { "docid": "365351#3", "text": "จบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนจิตรลดา ปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และปริญญาเอก ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย", "title": "ลีลาวดี วัชโรบล" }, { "docid": "319714#2", "text": "การศึกษา โรงเรียนหัวหินวิทยาลัย โรงเรียนดาราวิทยาลัย เชียงใหม่ ระดับอุดมศึกษา เคยศึกษาที่ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ต่อมาได้ย้ายไปเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์", "title": "ณัฐณิชา ทิพยมณฑล" }, { "docid": "139945#3", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่จัดการเรียนการสอนทางด้านนิเทศศาสตร์เป็นแห่งแรกของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482 โดยเปิดสอนในระดับอนุปริญญา สังกัดในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์[1] หลังจากนั้น จึงมีการโอนการศึกษาวิชาการหนังสือพิมพ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปทำการสอนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2497 โดยใช้ชื่อคณะว่า คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน และได้ปรับปรุงหลักสูตรจนสามารถเปิดสอนในระดับปริญญาตรีได้เป็นแห่งแรกของประเทศไทย[2] ภายหลังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จึงได้เปิดการเรียนการสอนในสาขาวิชาทางด้านนิเทศศาสตร์มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจะใช้ชื่อคณะที่แตกต่างกัน อาทิเช่น มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิตในวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้ชื่อ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ใช้ชื่อ คณะวิทยาการสารสนเทศ ขณะที่ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยทักษิณ ก็มีเปิดสอนในหน่วยงานต่างๆของมหาวิทยาลัย", "title": "นิเทศศาสตร์" }, { "docid": "824238#1", "text": "ชลรัศมี งาทวีสุข เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2524 ปีระกา เป็นบุตรสาวของนายชาญชัย งาทวีสุข และนางมณฑารักษ์ งาทวีสุข เริ่มต้นการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ กรุงเทพ ศึกษาต่อระดับมัธยมปลาย จนจบมัธยมปีที่ 6 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นเข้าศึกษาต่อยังคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสาขาการสื่อสารมวลชน (วิทยุและโทรทัศน์) ระหว่างเป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ ชลรัศมี งาทวีสุขเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรงานฟุตบอลประเพณี, เล่นละครเวทีประจำปีของคณะ นอกจากนี้ยังเข้าร่วมประกวดกุลบุตร-กุลธิดากาชาด ประจำปี 2543 และคว้าตำแหน่งกุลธิดากาชาด สภากาชาดไทยในครั้งนั้นด้วย ขณะที่ ชลรัศมี งาทวีสุข เรียนอยู่ปี 4 มีโอกาสลงไปทำข่าวภาคสนามรายงานบรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไปผ่านทางสถานีวิทยุจุฬา และเข้าฝึกงานที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เมื่อสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกเปิดรับสมัครผู้ประกาศข่าว ชลรัศมี งาทวีสุข จึงได้ยื่นใบสมัครและเริ่มต้นการเป็นผู้ประกาศข่าวที่นี่", "title": "ชลรัศมี งาทวีสุข" }, { "docid": "536060#5", "text": "พินทุ์สุดา สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์, ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์, ระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาวิทยุโทรทัศน์ ปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ", "title": "พินทุ์สุดา ตันไพเราะห์" }, { "docid": "391468#1", "text": "ศึกษาระดับมัธยมศึกษาเรียนที่ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ เคยศึกษาระดับปริญญาตรี สาขานิเทศศาสตร์ การแสดง วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังจากการประกวดจึงย้ายมาศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ", "title": "เศรษฐพงศ์ เพียงพอ" }, { "docid": "649157#3", "text": "คณะนิเทศศาสตร์ได้ก่อตั้ง ศูนย์ศึกษาและวิจัยสื่อสารมวลชนอาเซียน (AMSAR Center) ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2541 เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือด้านการศึกษาและวิจัยในสาขาสื่อสารมวลชนของกลุ่มประเทศอาเซียน ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ได้ขยายขอบเขตภารกิจให้ครอบคลุมทั้งด้านสื่อและการสื่อสารในภาพใหญ่ และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์ศึกษาสื่อและการสื่อสารอาเซียน หรือ ASEAN Media and Communication Studies and Research Center (AMSAR)", "title": "คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" } ]
2102
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "16719#1", "text": "นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เกิดวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2504[1] ที่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จึงทำให้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เกิดในยุคกึ่งพุทธกาล (พ.ศ. 2500) นายอภิรักษ์มีชื่อเล่นว่า \"ต้อม\" เป็นบุตรคนโตของ นายบุญลักษณ์ โกษะโยธิน และ นางอมรา โกษะโยธิน (สกุลเดิม จามรมาน) มีน้องสาว 1 คนคือ อภิสรา โกษะโยธิน (ทำงานที่ ธนาคารนครหลวงไทย)", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" } ]
[ { "docid": "16719#20", "text": "นายอภิรักษ์มีปู่คือ พันโทจมื่นศักดิ์สงคราม (นายร้อยเอกนายไกรพลแสน) รับราชการในกรมทหารรักษาวังของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ ในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างระบบราชการ เพื่อลดจำนวนคนจากหน่วยงานต่าง ๆ ลง ปู่จึงลาออกจากราชการ มาเก็บค่าเช่าจากที่ดินและตึกแถว", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#12", "text": "ในช่วงที่นายอภิรักษ์ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายอภิรักษ์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการทำโครงการสำคัญต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนกรุงเทพฯ อาทิ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้าบีทีเอส), การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การพัฒนาคุณภาพการศึกษา, การวางผังพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "126244#0", "text": "หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร () หรือ หอศิลป์กรุงเทพฯ เป็นหอศิลปะร่วมสมัย ตั้งอยู่ที่สี่แยกปทุมวัน กรุงเทพมหานคร หอศิลป์แห่งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ดร.พิจิตต รัตตกุล ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้น ได้มีมติร่วมกับคณะกรรมการโครงการ เฉลิมพระเกียรติฯ ศิลปะแห่งรัชกาลที่ 9 เมื่อปี พ.ศ. 2538 ให้กรุงเทพมหานครจัดสร้าง หอศิลปะร่วมสมัยแห่งกรุงเทพมหานคร ณ สี่แยกปทุมวัน แต่โครงการกลับมาหยุดลงสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ซึ่งต้องการให้เป็นอาคารพาณิชย์มากขึ้น จนเกิดกิจกรรมเคลื่อนไหวคัดค้านจากหมู่นักศึกษาและศิลปิน ต่อมาในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ จึงพิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการจัดสร้างตามเดิม", "title": "หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "16719#22", "text": "ส่วนทางตระกูลจามรมานของมารดานายอภิรักษ์ มีต้นตระกูลคือ พระยานิติศาสตร์ไพศาล ที่เป็น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเป็น คณบดีคนแรกของ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#3", "text": "นายอภิรักษ์ สมรสกับ นางปฏิมา โกษะโยธิน (สกุลเดิม พงศ์พฤกษทล) มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน คือ อนรรฆ โกษะโยธิน (พี)", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "618503#3", "text": "นอกจากนี้ วิทเยนทร์และมูลนิธิเพื่อทะเลยังทำหน้าที่รณรงค์ให้ความรู้เพื่อการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเล ยังเป็นผู้ริเริ่มโครงการเยาวชนสัมผัสชีวิตใต้ท้องทะเลไทย เพื่อสอนเยาวชนให้เป็นนักดำน้ำและเรียนรู้ระบบนิเวศวิทยาทางทะเลด้วยเมื่อเกิดน้ำท่วมในช่วงปลายปีพ.ศ. 2553 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยขึ้น มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์ โดยวิทเยนทร์เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ ทำหน้าที่ประสานงานกับองค์กรต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รวมทั้งการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัย\nต่อมา นายอภิรักษ์ได้ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 กรุงเทพมหานคร ทำให้ ครม.มีมติให้วิทเยนทร์ทำหน้าที่รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ไปตลอดจนมีการเลือกตั้งใหม่", "title": "วิทเยนทร์ มุตตามระ" }, { "docid": "210316#20", "text": "เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีจึงมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ คนใหม่เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้วยคะแนนเสียง 911,441 คะแนน (38.20%)", "title": "การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "16719#14", "text": "ตลอดการทำงานด้วยความตั้งใจจนครบวาระ 4 ปี นายอภิรักษ์ได้สร้างผลงานโดดเด่นมากมาย ด้วยประสบการณ์ด้านการบริหาร และผลงานการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้นายอภิรักษ์ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนโหวตเกือบ 1 ล้านคะแนน", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#8", "text": "ในปี พ.ศ. 2553 นายอภิรักษ์ได้ลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในเขต 2 กรุงเทพมหานคร แทนที่ นายสมเกียรติ ฉันทวานิช ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส. ไปด้วยเหตุถือครองหุ้นส่วนของบริษัทไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2550[4] ซึ่งนายสมเกียรติก็ไม่ขอลงสมัครอีกเนื่องจากอายุมากแล้ว ทางพรรคจึงได้มีมติเลือกนายอภิรักษ์ให้ลงสมัครแทน และนายอภิรักษ์ก็ได้รับคะแนน 71,072 คะแนน ชนะ นายพงษ์พิสุทธิ์ จินตโสภณ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ 30,506 คะแนน[5] และได้รับการรับรองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร[6] ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 8[7] และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อีกสมัย", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#6", "text": "ต่อมาในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ซึ่งตรงกับวันลอยกระทง หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดในคดีนี้ นายอภิรักษ์ได้แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งในเวลา 15.30 น. ทั้ง ๆ ที่กฎหมายมิได้มีผลบังคับให้ต้องทำถึงขนาดนั้น แต่นายอภิรักษ์ระบุว่าต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่การเมืองไทย ทั้งนี้ให้มีผลในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 หลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสร็จสิ้น[3]", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#23", "text": "นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เริ่มได้รับฉายาว่า \"หล่อเล็ก\" ในช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพในปี พ.ศ. 2547 ในการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2547 นั้น นายอภิรักษ์จับได้เบอร์ 1 นายอภิรักษ์ ใช้แคมเปญในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่า \"กรุงเทพ 360 องศา\" ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯอยู่นั้น นายอภิรักษ์ได้จัดรายการ \"พบผู้ว่า กทม.\" เป็นประจำทุกวันพุธ เวลา 20.00 - 21.00 น. ทางคลื่นวิทยุ จส.100 โดยเปิดสายให้ผู้ฟังโทรเข้าไปพูดคุยได้ สามารถรับฟังได้ทางอินเทอร์เน็ต ในการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2551 นั้น นายอภิรักษ์จับได้เบอร์ 5 ซึ่งมีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ในการรับสมัครเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 2 ปี พ.ศ. 2553 นายอภิรักษ์จับได้เบอร์ 2 ซึ่งมีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "58857#0", "text": "นายถนอม อ่อนเกตุพล อดีตที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และโฆษกกรุงเทพมหานคร อดีตที่ปรึกษาและโฆษก สมัยผู้ว่าฯ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีต ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกรุงเทพมหานคร อดีตรองโฆษกกรุงเทพมหานคร อดีตเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์", "title": "ถนอม อ่อนเกตุพล" }, { "docid": "16719#17", "text": "นายอภิรักษ์ได้ประกาศลาออกในกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐได้แจ้งผิดกรณีรถดับเพลิง[11]", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "58857#6", "text": "ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และอดีตที่ปรึกษาและโฆษก กทม.สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน พร้อมกับการเป็นสื่อมวลชนอิสระ นักเขียนอิสระ ผลงานได้แก่ \"ฝันให้ไกลไปให้ถึง ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน\", \"เบื้องลึก เบื้องหลังรัฐบาลโอบามาร์ค\" และ \"ชีวิตที่เลือกได้ พ.ต.อ.สวัสดิ์ จำปาศรี\"", "title": "ถนอม อ่อนเกตุพล" }, { "docid": "16719#13", "text": "ผลงานด้านการต่างประเทศ นายอภิรักษ์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับกรุงเทพฯเป็นอย่างมาก ด้วยการสร้างความสัมพันธ์อันดีและทำการแลกเปลี่ยนความคิดในการพัฒนากรุงเทพฯร่วมกับเมืองหลวงสำคัญ ๆ ทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง, แต้จิ๋ว, โซล, ฟุกุโอกะ, ฮานอย, ลิเวอร์พูล, วอชิงตัน ดี.ซี., บริสเบน เป็นต้น นายอภิรักษ์ยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้บรรยายกิตติมศักดิ์ในงานสัมมนาระดับโลกมากมาย อาทิ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN 100 Leadership Forum) ในปี พ.ศ. 2542 ณ ประเทศสิงคโปร์ และในปี พ.ศ. 2544 ณ ประเทศเวียดนาม รวมถึงการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม (C40 Cities Climate Summit) ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "650380#1", "text": "พรรคไทยพอเพียงส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งครั้งแรก\nในการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่12 ธันวาคม พ.ศ. 2553 โดยทางพรรคได้ส่ง\nนายจำรัสซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคลงรับเลือกตั้งปรากฏว่านายจำรัสได้คะแนนมาเป็นอันดับ 3 พ่ายแพ้ต่อนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน จาก พรรคประชาธิปัตย์", "title": "พรรคไทยพอเพียง" }, { "docid": "16719#15", "text": "ในการเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายอภิรักษ์มีทีมงานประกอบด้วยรองผู้ว่าฯ 4 คนคือ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระบบจราจรเมืองใหญ่ เป็นรองผู้ว่าฯ ฝ่ายโยธาและจราจร ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ ฝ่ายการศึกษา พญ.เพ็ญศรี พิชัยสนิธ รองผู้ว่าฯ ฝ่ายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง เป็นรองผู้ว่าฯ ฝ่ายการคลัง", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#16", "text": "นอกจากนี้นายอภิรักษ์ยังมีทีมที่ปรึกษาอีก 8 คน คือ ศ.ดร.ตรึงใจ บูรณสมภพ ศ.ภิชาน ไกรฤทธิ์ บุญยเกียรติ นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย ดร.สุขพัฒน์ ทองเพ็ง ดร.ผุสดี ตามไท นายพรวุฒิ สารสิน นางทิชา ณ นคร นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#9", "text": "ซึ่งต่อมาในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำตัดสินให้นายอภิรักษ์พ้นข้อกล่าวหาในคดีรถดับเพลิงเนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีผลก่อนหน้าที่จะเข้ารับตำแหน่งแล้ว และได้มีการดำเนินการเพียรพยายามรักษาผลประโยชน์ของกทม. จนได้รับผลประโยชน์คืนให้กับกทม.อีก 250 ล้านบาท", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#4", "text": "นายอภิรักษ์มีฉายาจากสื่อมวลชนว่า \"หล่อเล็ก\" คู่กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีฉายาว่า \"หล่อใหญ่\" และต่อมามีนักการเมืองพรรคเดียวกันได้รับฉายาทำนองนี้อีกเช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคที่ได้รับฉายา \"หล่อโย่ง\" และ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล รองโฆษกพรรคที่มีฉายาว่า \"หล่อจิ๋ว\"", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "36663#8", "text": "ต่อมาในปี 2552 ลีนาลงเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีก หลังการลาออกของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลีนา ได้หมายเลข 3 แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง", "title": "ลีนา จังจรรจา" }, { "docid": "16719#0", "text": "นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน (30 มีนาคม พ.ศ. 2504 —) เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์, อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 สมัย", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "131074#3", "text": "สวนทวีวนารมย์ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2548 โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นประธานในพิธี", "title": "สวนทวีวนารมย์" }, { "docid": "16719#7", "text": "ในปี พ.ศ. 2552 นายอภิรักษ์เข้ารับตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาล โดยร่วมในองค์ประกอบคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ เพื่อเร่งรัดโครงการตามนโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ไขและบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มีต่อประชาชน เป็นผู้มีบทบาทหลักในการจัดทำแผนปฏิรูปประเทศไทยเสนอต่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งผลักดันงานด้านการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และนโยบายด้านการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม นอกจากนี้ยังได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยทั้งจากเหตุอุทกภัยและจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองในปี พ.ศ. 2553-2554", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#21", "text": "รุ่นถัดมาคือบิดาของนายอภิรักษ์ ที่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยรับราชการ ที่กรมชลประทาน ก่อนจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ในขณะที่ลุงของนายอภิรักษ์คือ พันเอกพิเศษทำนุ โกษะโยธิน รับราชการเป็นทหารจนเกษียณอายุ ส่วนป้า ของนายอภิรักษ์ คือ ร้อยเอกหญิงกานดา โกษะโยธิน เคยเป็นอาจารย์ในโรงเรียนเตรียมทหารจนได้ยศร้อยเอกหญิงนำหน้าชื่อ ก่อนจะย้ายไปเป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#2", "text": "นายอภิรักษ์เริ่มเข้าเรียนครั้งแรก ที่โรงเรียนอนุบาลนนทบุรี มัธยมศึกษาตอนต้น: โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม มัธยมศึกษาตอนปลาย: โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปริญญาตรี: วิทยาศาสตร์บัณฑิต (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2526 (รุ่นเดียวกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช) ปริญญาโท: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า (การจัดการการตลาด) ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบริหาร (AMP - General Management) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการพัฒนาการปกครอง มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "16719#5", "text": "นายอภิรักษ์เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรธุรกิจหลายแห่ง ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมือง เริ่มจากการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนาม พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี พ.ศ. 2547 การลงคะแนนเลือกตั้งมีขึ้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติเป็นเอกฉันท์ ประกาศให้ นายอภิรักษ์ เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2547 หลังได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมานายอภิรักษ์ได้รับเลือกตั้งให้เป็น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551 นายอภิรักษ์ได้ยุติการทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครชั่วคราว พร้อมกับได้ตั้ง ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ รักษาการแทน เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) แจ้งข้อกล่าวหาว่ามีความผิดกรณีซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นการชี้มูลความผิดหรือส่งเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลแล้ว[2] และในวันที่ 12 เมษายน ปีเดียวกัน ได้กลับมาทำงานอีกครั้งเนื่องจากครบวาระการพักงาน โดยเริ่มงานแรกคือ การสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ ที่ท้องสนามหลวง เนื่องในงานเทศกาลสงกรานต์ของกรุงเทพมหานคร", "title": "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" }, { "docid": "190250#1", "text": "เมื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี จึงมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551 โดยมีผู้สมัครเปิดตัวกันหลายคน เช่น ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ และนางลีนา จังจรรจา ในนามผู้สมัครอิสระ ทั้งนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์มีมติให้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 อีกด้วย โดยนายอภิรักษ์ได้ยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551 โดยให้ นายพงษ์ศักดิ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน", "title": "การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2551" }, { "docid": "190250#2", "text": "ต่อมา ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ได้ถอนตัวไปเนื่องจากอ้างถึงผลสำรวจว่าคะแนนนิยมยังห่างจากนายอภิรักษ์มาก และการเปิดรับสมัครวันแรก มีขึ้นในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 ทั้งนี้มีผู้สมัครหลายรายได้ไปยื่นสมัครเช่น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์, นางลีนา จังจรรจา เป็นต้น ในขณะเดียวกัน นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับสมัครเลือกตั้งในสังกัดพรรคพลังประชาชน ในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 ด้วย", "title": "การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2551" } ]
2297
เนทเวิร์คสวิตช์ เป็นอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่คิดค้นเมื่อปีใด ?
[ { "docid": "558978#1", "text": "สวิตช์ที่หลายประเภทของเครือข่ายเช่นแบบ Fibre Channel, Asynchronous Transfer Mode, InfiniBand, อีเทอร์เน็ต และอื่น ๆ อีเทอร์เน็ตสวิตช์ตัวแรกที่ถูกนำมาใช้โดย Kalpana ในปี 1990", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" } ]
[ { "docid": "224820#0", "text": "ศูนย์ข้อมูล () เป็นพื้นที่ที่ใช้จัดวางระบบประมวลผลกลางและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร โดยมากผู้ใช้งานหรือลูกค้าจะเชื่อมต่อมาใช้บริการผ่านระบบเครือข่ายที่มาจากภายนอก Data Center จึงเปรียบได้กับสมองขององค์กรนั่นเอง การออกแบบ Data Center นั้น โดยมากจะมีหลักการออกแบบโดยคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ ต่างๆดังนี้ อาทิเช่นเนื่องจากศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ต้องให้บริการตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด เสถียรภาพของศูนย์ข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่ต้องออกแบบและก่อสร้างให้ได้อย่างถูกต้อง ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่อยู่ในศูนย์ข้อมูลคือ เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) , เครื่องประมวลผลขนาดใหญ่ (Main frame) , เครื่องบันทึกข้อมูล (Storage) , อุปกรณ์เครือข่าย (Network switch) , ข่ายสายสัญญาณ (Data cabling system) และอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ", "title": "ศูนย์ข้อมูล" }, { "docid": "618657#263", "text": "อีเธอร์เน็ตเป็นครอบครัวเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้เฟรมในเครือข่ายท้องถิ่น(LANs). ชื่อนี้ได้มาจากแนวคิดทางกายภาพของอีเธอร์. มันกำหนดจำนวนของสายไฟและ มาตรฐานของสัญญาณสำหรับชั้น Physical Layer ของแบบจำลองเครือข่าย OSI, ด้วยวิธีการ ของการเข้าถึงเครือข่ายที่การควบคุมการเข้าถึงสื่อ (English: Media Access Control (MAC))/ชั้นการเชื่อมโยงข้อมูล, และรูปแบบการ addressing ร่วมกัน. โรเบิร์ต เมทคาล์ฟ ในขณะอยู่ที่ซีร็อกซ์ คิดค้นอีเธอร์เน็ตในปี 1975.[236]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "102213#0", "text": "Routing Protocol คือโพรโทคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน routing table ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในระดับ Network Layer (Layer 3) เช่น Router เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งข้อมูล (IP packet) ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผู้ดูแลเครือข่ายไม่ต้องแก้ไขข้อมูล routing table ของอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา เรียกว่าการทำงานของ Routing Protocol ทำให้เกิดการใช้งาน dynamic routing ต่อระบบเครือข่าย", "title": "Routing Protocol" }, { "docid": "299532#0", "text": "SNMP ย่อมาจาก Simple Network Management Protocol ซึ่งเป็นโพรโทคอลที่อยู่ระดับบนในชั้นการประยุกต์ และเป็นส่วนหนึ่งของชุดโพรโทคอล TCP/IP เครือข่ายอินทราเน็ตที่ใช้โพรโทคอล TCP/IP มีอุปกรณ์เครือข่ายแบบหลากชนิดและหลายยี่ห้อ แต่มาตรฐานการจัดการเครือข่ายที่ใช้งานได้ผลดีคือ SNMP ในการบริการและจัดการเครือข่ายต้องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ มีส่วนของการทำงานร่วมกับระบบจัดการเครือข่าย ซึ่งเราเรียกว่า เอเจนต์ (Agent) เอเจนต์เป็นส่วนของซอฟต์แวร์ที่อยู่ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมอยู่ในเครือข่ายโดยมีคอมพิวเตอร์หลักในระบบหนึ่งเครื่องเป็นตัวจัดการและบริหารเครือข่ายหรือเรียกว่า NMS-Network Management System", "title": "เอสเอ็นเอ็มพี" }, { "docid": "85162#11", "text": "เราเตอร์ที่มีไว้สำหรับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและสำหรับการเชื่อมต่อองค์กรที่สำคัญมักจะแลกเปลี่ยนข้อมูลเส้นทางโดยใช้ Border Gateway Protocol (BGP). มาตรฐาน RFC 4098 กำหนดประเภทของเราเตอร์ที่ใช้ BGP โพรโทคอลตามฟังก์ชันเราเตอร์ดังนี้:อุปกรณ์ตัวแรกๆที่มีพื้นฐานการทำงานเดียวกันกับเราเตอร์ในวันนี้ก็คือ Interface Message Processor (IMP); IMPเป็นอุปกรณ์ที่สร้าง ARPANET ขึ้นเป็นเครือข่ายแพ็คเก็ตตัวแรก ความคิดสำหรับเราเตอร์ (เรียกว่า \"เกตเวย์\" ในเวลานั้น) ในขั้นต้นเกิดขึ้นผ่านทางกลุ่มนานาชาติของนักวิจัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า International Network Working Group (INWG) ตั้งขึ้นในปี 1972 เป็นกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการที่จะต้องพิจารณาปัญหาทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกัน ในปีต่อมามันก็กลายเป็นคณะอนุกรรมการของสหพันธ์นานาชาติสำหรับการประมวลผลข้อมูล.", "title": "เราเตอร์" }, { "docid": "479901#4", "text": "สำหรับการสื่อสารแบบไอพีรุ่น 4 ส่วนต่อประสานวงย้อนกลับเสมือนของระบบคอมพิวเตอร์ตามปกติถูกกำหนดให้กับเลขที่อยู่ 127.0.0.1 ด้วยตัวพรางเครือข่ายย่อย 255.0.0.0 สิ่งนี้บรรจุอยู่ในตารางการจัดเส้นทางของระบบเฉพาะที่ด้วยรายการที่ทำให้กลุ่มข้อมูลที่ส่งมาจากเลขที่อยู่ใด ๆ ในบล็อก 127.0.0.0/8 จะถูกจัดเส้นทางภายในไปยังอุปกรณ์เครือข่ายวงย้อนกลับ โดยขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ใช้ (เช่นลินุกซ์หรือวินโดวส์) และกลไกการจัดเส้นทางที่ได้ติดตั้ง", "title": "โลเคิลโฮสต์" }, { "docid": "618657#226", "text": "เครือข่ายท้องถิ่นไร้สายเป็นการเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สองจุดหรือมากกว่า โดยใช้พื้นฐานของเทคโนโลยีการกล้ำคลื่นความถี่แพร่กระจาย หรือ OFDM เพื่อเปิดให้มีการสื่อสารระหว่างหลายอุปกรณ์ในพื้นที่ที่จำกัด. ในปี 1970 มหาวิทยาลัยฮาวายภายใต้การนำของ นอร์แมน อาบรามสัน ได้คิดค้นเครือข่ายการสื่อสารคอมพิวเตอร์ครั้งแรกของโลกที่ใช้วิทยุต้นทุนต่ำรูปร่างเหมือนแฮมชื่อ ALOHAnet. โครงสร้างของระบบเป็นแบบดาวสองทิศทาง รวมถึงการใช้งานคอมพิวเตอร์เจ็ดเครื่องบนสี่หมู่เกาะในการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลางบนเกาะโอวาฮูโดยไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์.[200]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "26787#0", "text": "ไวไฟ[1] (English: Wi-Fi หรือ WiFi) เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมที่ช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายโดยใช้คลื่นวิทยุ คำ ๆ นี้เป็นเครื่องหมายการค้าของ Wi-Fi Alliance ที่ได้ให้คำนิยามของไวไฟว่าหมายถึง \"ชุดผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย (แลนไร้สาย) ซึ่งอยู่บนมาตรฐาน IEEE 802.11\" อย่างไรก็ตามเนื่องจากแลนไร้สายที่ทันสมัยส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับมาตรฐานเหล่านี้ คำว่า \"ไวไฟ\" จึงนำมาใช้ในภาษาอังกฤษทั่วไปโดยเป็นคำพ้องสำหรับ \"แลนไร้สาย\" เดิมทีไวไฟออกแบบมาใช้สำหรับอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ และใช้เครือข่าย LAN เท่านั้น แต่ปัจจุบันนิยมใช้ไวไฟเพื่อต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เช่นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เครื่องเล่นเกมส์ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กล้องดิจิทัลและเครื่องเสียงดิจิทัล สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่าแอคเซสพอยต์รือ ฮอตสปอต และบริเวณที่ระยะทำการของแอคเซสพอยต์ครอบคลุมอยู่ที่ประมาณ 20 ม.ในอาคาร แต่ระยะนี้จะไกลกว่าถ้าเป็นที่โล่งแจ้ง", "title": "ไวไฟ" }, { "docid": "558978#4", "text": "ในการลดความเป็นไปได้ของการชนกันของข้อมูล จะใช้สะพานหรือสวิตช์ (หรือเราเตอร์) เพื่อแยกโดเมนที่มีการชนกันขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลงและเพื่อปรับปรุงความเร็วโดยรวม การแยกโดเมนนี้เรียกว่า segmentation ในการแยกโดเมนอย่างสุดขั้วหรือ microsegmentation, อุปกรณ์แต่ละตัวจะถูกติดตั้งอยู่บนพอร์ตของสวิตช์โดยเฉพาะ ทำให้มีโดเมนการชนกันที่แยกจากกัน สิ่งนี้จะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีแบนด์วิดธ์โดยเฉพาะในการเชื่อมต่อจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งไปยังเครือข่ายและยังทำงานในฟูลดูเพล็กซ์โดยไม่ต้องมีการชน โหมดฟูลดูเพล็กซ์มีเพียงเครื่องส่งสัญญาณและเครื่องรับสัญญาณแบบหนึ่งต่อหนึ่งในหนึ่ง 'โดเมนการชน' ทำให้การชนกันเป็นไปไม่ได้", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "239085#0", "text": "ข่ายวงจรไฟฟ้า โครงข่ายไฟฟ้า () หมายถึง การเชื่อมต่อเข้าด้วยกันของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนำ ตัวเก็บประจุ แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า แหล่งจ่ายกระแส สวิตช์ แต่ วงจรไฟฟ้า เป็นเครือข่ายที่มีเส้นทางไหลกลับ () สำหรับกระแสไหลได้ครบวงจร เครือข่ายไฟฟ้าเชิงเส้น, วงจรไฟฟ้าพิเศษชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยแหล่งจ่าย (แรงดันหรือกระแส), อุปกรณ์เชิงเส้นเป็นกลุ่ม (ตัวต้านทาน, ตัวเหนี่ยวนำ, ตัวเก็บประจุหลายตัว) และอุปกรณ์เชิงเส้นที่กระจายกันอยู่ (สายส่ง) เหล่านี้มีคุณสมบัติที่สัญญาณต่าง ๆ สามารถทับซ้อนกันได้เป็นเส้นต่อเนื่อง เครือข่ายเหล่านี้จึงง่ายต่อการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการของโดเมนความถี่ที่มีประสิทธิภาพ เช่นการแปลงของลาปลาซ เพื่อตรวจสอบการตอบสนองกับ DC, การตอบสนองกับ AC และการตอบสนองของสัญญาณที่เกิดระยะสั้น", "title": "เครือข่ายไฟฟ้า" }, { "docid": "2937#3", "text": "อุปกรณ์เครือข่ายที่สร้างข้อมูล, ส่งมาตามเส้นทางและบรรจบข้อมูลจะเรียกว่าโหนดเครือข่าย. โหนดประกอบด้วยโฮสต์เช่นเซิร์ฟเวอร์, คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย อุปกรณ์สองตัวจะกล่าวว่าเป็นเครือข่ายได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการในเครื่องหนึ่งสามารถที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกระบวนการในอีกอุปกรณ์หนึ่งได้", "title": "เครือข่ายคอมพิวเตอร์" }, { "docid": "558978#2", "text": "สวิตช์เป็นอุปกรณ์โทรคมนาคมที่รับข้อความจากอุปกรณ์ใดๆ และส่งข้อความไปที่อุปกรณ์ปลายทาง สิ่งนี้จะทำให้สวิตช์เป็นอุปกรณ์ที่ฉลาดกว่าฮับ (ซึ่งรับข้อความแล้วส่งไปยังอุปกรณ์อื่น ๆทุกตัวในเครือข่าย) สวิตช์เครือข่ายมีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบ Ethernet เครือข่ายท้องถิ่น (LAN) LANs ขนาดกลางและขนาดใหญ่ประกอบด้วยเนทเวิร์ตสวิตช์จำนวนมาก สำนักงาน / บ้านขนาดเล็กใช้งาน (SOHO) มักจะใช้สวิตช์เดียวหรือใช้อุปกรณ์อเนกประสงค์เช่น residential gateway ในการเข้าถึงสำนักงานขนาดเล็ก/บ้านเพื่อให้บริการบรอดแบนด์เช่น DSL หรือเคเบิลอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์ผู้ใช้ปลายทางมีเราเตอร์และส่วนประกอบที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีบรอดแบนด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางกายภาพ อุปกรณ์ผู้ใช้ยังอาจรวมถึงอินเตอร์เฟซสำหรับโทรศัพท์แบบ Voice over IP วีโอไอพี", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "243384#7", "text": "ประกาศนียบัตร CCDA (Cisco Certified Design Associate) เป็นการรับรองความรู้ในระดับผู้ร่วมงานเกี่ยวกับการออกแบบเครือข่ายอุปกรณ์ของซิสโก้ ผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรนี้จะมีความสามารถในการออกแบบเส้นทางเครือข่ายที่มีการเปลี่ยนเส้นทางโดยเราเตอร์และสวิตช์เป็นต้น ซึ่งเครือข่ายนั้นประกอบด้วยข่ายงานบริเวณเฉพาะที่ (LAN) ข่ายงานบริเวณกว้าง (WAN) และบริการโทรศัพท์ที่แตกต่างออกไป ทำข้อสอบชุด \"640-863 DESGN\" เมื่อผ่านแล้วจึงได้ประกาศนียบัตร และถึงแม้ว่าการทดสอบ CCDA ไม่จำเป็นต้องสอบผ่าน CCNA มาก่อน แต่ทางซิสโก้ก็แนะนำให้สอบเพื่อให้มีความรู้พื้นฐานในระดับ CCNA", "title": "ประกาศนียบัตรวิชาชีพซิสโก้" }, { "docid": "26787#11", "text": "โดยทั่วไปแล้วอุปกรณ์ในเครือข่ายไวไฟ จะเชื่อมต่อกันในลักษณะของโหมด Infrastructure ซึ่งเป็นโหมดที่อนุญาตให้อุปกรณ์ภายใน LAN สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ ในโหมด Infrastructure นี้จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 2 ประเภทได้แก่ สถานีผู้ใช้ (Client Station) ซึ่งก็คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Desktop, แล็ปท็อป, หรือ PDA ต่าง ๆ ) ที่มีอุปกรณ์ Client Adapter เพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่านไวไฟ และสถานีแม่ข่าย (Access Point) ซึ่งทำหน้าที่ต่อเชื่อมสถานีผู้ใช้เข้ากับเครือข่ายอื่น (ซึ่งโดยปกติจะเป็นเครือข่าย IEEE 802.3 Ethernet LAN) การทำงานในโหมด Infrastructure มีพื้นฐานมาจากระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กล่าวคือสถานีผู้ใช้จะสามารถรับส่งข้อมูลโดยตรงกับสถานีแม่ข่ายที่ให้บริการ แก่สถานีผู้ใช้นั้นอยู่เท่านั้น ส่วนสถานีแม่ข่ายจะทำหน้าที่ส่งต่อ (forward) ข้อมูลที่ได้รับจากสถานีผู้ใช้ไปยังจุดหมายปลายทางหรือส่งต่อข้อมูลที่ได้ รับจากเครือข่ายอื่นมายังสถานีผู้ใช้", "title": "ไวไฟ" }, { "docid": "348024#0", "text": "แอคเซสพอยต์ไร้สาย () หรือ WAP หรือเรียกสั้นๆว่า AP คือ อุปกรณ์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ช่วยให้อุปกรณ์ไร้สายสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายแบบมีสายได้โดยการใช้เทคโนโลยีของแลนไร้สาย หรือ มาตรฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง. AP มักจะเชื่อมต่อกับเราต์เตอร์ด้วยสายเคเบิล (ผ่านเครือข่าย แบบมีสาย) ซึ่งอาจเป็นอุปกรณ์ แยกต่างหาก หรือเป็นส่วนหนึ่งของเราต์เตอร์นั้น", "title": "แอคเซสพอยต์ไร้สาย" }, { "docid": "558978#11", "text": "Network Hub หรือ repeater เป็นอุปกรณ์เครือข่ายง่ายๆ Repeater Hub ไม่ได้จัดการใด ๆ ของการจราจรที่ผ่านเข้ามา แพ็คเก็ตใดเข้ามาพอร์ตหนึ่งก็ถูกปล่อยอีกทุกพอร์ตหรือ\"ทำซ้ำ\" เนื่องจากทุกๆแพ็คเก็ตจะถูกทำซ้ำบนพอร์ตอื่น ๆ ทุกพอร์ต การชนกันของพ็คเก็ตย่อมเกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายทั้งหมดและจำกัดความสามารถในการทำงาน", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "42409#5", "text": "อุปกรณ์ทุกตัวที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับตัวกลางไร้สายในเครือข่ายได้จะถูกเรียกว่า สถานี สถานีทุกสถานีจะใช้ตัวควบคุมระบบติดต่อประสานเครือข่ายไร้สาย (English: wireless network interface controller) หรือ WNIC สถานีไร้สายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Access Point และ เครื่องลูกข่าย Access Point (AP) ส่วนใหญ่จะเป็น เราต์เตอร์ คือสถานีฐานสำหรับเครือข่ายไร้สาย AP จะรับและส่งคลื่นความถี่วิทยุเพื่อให้อุปกรณ์ไร้สายสามารถสื่อสารกับตัวมันเองได้ เครื่องลูกข่ายแบบไร้สายมีได้หลายแบบ เช่น แล็ปท็อป, อุปกรณ์ช่วยเหลือแบบดิจิตอล (English: Personal Digital Assistance), โทรศัพท์ IP และ สมาร์ทโฟน อื่นๆ หรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่กับที่อย่าง คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ และ เวิร์คสเตชัน(คอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่ออกแบบมาใช้งานเฉพาะด้านเช่นด้านเทคนิคหรือวิทยาศาสตร์) ที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อกับระบบไร้สาย", "title": "แลนไร้สาย" }, { "docid": "35644#0", "text": "ระบบฝังตัว หรือ สมองกลฝังตัว (embedded system) คือระบบประมวลผล ที่ใช้ชิปหรือไมโครโพรเซสเซอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะโดย beenvai เป็นผู้คิดค้น เป็นระบบคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่ฝังไว้ในอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องเล่นอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความฉลาด ความสามารถให้กับอุปกรณ์เหล่านั้นผ่านซอฟต์แวร์ซึ่งต่างจากระบบประมวลผลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป ระบบฝังตัวถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและสำนักงาน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ เทคโนโลยีเครือข่ายเน็ตเวิร์ก เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร เทคโนโลยีเครื่องกลและของเล่นต่าง ๆ คำว่าระบบฝังตัวเกิดจาก การที่ระบบนี้เป็นระบบประมวลผลเช่นเดียวกับระบบคอมพิวเตอร์ แต่ว่าระบบนี้จะฝังตัวลงในอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์\nในปัจจุบันระบบสมองกลฝังตัวได้มีการพัฒนามากขึ้น โดยในระบบสมองกลฝังตัวอาจจะประกอบไปด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือ ไมโครโปรเซสเซอร์ อุปกรณ์ที่ใช้ระบบสมองกลฝังตัวที่เห็นได้ชัดเช่นโทรศัพท์มือถือ และในระบบสมองกลฝังตัวยังมีการใส่ระบบปฏิบัติการต่างๆแตกต่างกันไปอีกด้วย ดังนั้น ระบบสมองกลฝังตัวอาจจะทำงานได้ตั้งแต่ควบคุมหลอดไฟจนไปถึงใช้ในยานอวกาศ", "title": "ระบบฝังตัว" }, { "docid": "673307#0", "text": "ความมั่นคงคอมพิวเตอร์เป็นความมั่นคงซึ่งใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน ตลอดจนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น เครือข่ายเอกชนและสาธารณะ ซึ่งรวมอินเทอร์เน็ตทั้งหมด สาขานี้ครอบคลุมทุกกระบวนการและกลไกซึ่งอุปกรณ์ สารสนเทศและบริการดิจิทัลได้รับการป้องกันจากการเข้าถึง การเปลี่ยนแปลงหรือทำลายที่ไม่ตั้งใจหรือไม่ได้รับอนุญาต และมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเนื่องจากการพึ่งพาระบบคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นในสังคมส่วนใหญ่ ความมั่นคงคอมพิวเตอร์รวมความมั่นคงทางกายภาพเพื่อป้องกันการลักทรัพย์อุปกรณ์และความมั่นคงสารสนเทศเพื่อปกป้องข้อมูลในอุปกรณ์นั้น ความมั่นคงคอมพิวเตอร์ บ้างเรียก \"ความมั่นคงไซเบอร์\" หรือ \"ความมั่นคงไอที\" คำเหล่านี้โดยทั่วไปไม่หมายความถึงความมั่นคงทางกายภาพ แต่ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงคอมพิวเตอร์มีความเชื่อร่วมกันว่า การละเมิดความมั่นคงทางกายภาพเป็นการละเมิดความมั่นคงอย่างเลวที่สุดอย่างหนึ่งเพราะโดยทั่วไปทำให้เข้าถึงทั้งข้อมูลและอุปกรณ์ได้อย่างสมบูรณ์ ", "title": "ความมั่นคงคอมพิวเตอร์" }, { "docid": "558978#14", "text": "เนทเวิร์คบริดจ์(network bridge) ทำงานที่ data link layer เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์เนทเวิร์คทั้งหลายในบ้านหรือในสำนักงาน เนทเวิร์คบริดจ์จะทำงานเล็กๆของการบริดจิ้ง นั่นคือการเรียนรู้ MAC address ของอุปกรณ์แต่ละตัวที่เชื่อมต่อกัน", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "36822#16", "text": "วิศวกรอุปกรณ์โทรคมนาคมเป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบอุปกรณ์เช่นเราเตอร์, สวิตช์, multiplexers, และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมโดยเฉพาะ", "title": "วิศวกรรมโทรคมนาคม" }, { "docid": "560272#12", "text": "ป้ายจะถูกแจกจ่ายระหว่าง LERs และ LSRs โดยการใช้ Label Distribution Protocol (LDP). LSRs ในเครือข่าย MPLS แลกเปลี่ยนป้ายและข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าถึงของกันและกันอย่างสม่ำเสมอโดยการใช้แนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเพื่อที่จะสร้างภาพที่สมบูรณ์ของเครือข่ายที่สามารถใช้เพื่อส่งต่อแพ็กเกต เส้นทางแลกเปลี่ยนป้าย หรือ Label-switched paths (LSPs) ถูกจัดทำขึ้นโดยเนทเวิร์คโอปะเรเตอร์เพื่อวัตถุประสงค์หลากหลาย เช่นเพื่อสร้างเครือข่ายที่ใช้ IP เครือข่ายส่วนตัวเสมือนหรือเพื่อส่งข้อมูลไปตามเส้นทางการจราจรที่ระบุไว้ในเครือข่าย ในหลาย ๆ ประเด็น LSPs ไม่ได้แตกต่างไปจาก permanent virtual circuits (PVCs) ใน เครือข่าย ATM หรือ Frame Relay, ยกเว้นว่าพวกมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีชั้น 2 เท่านั้น", "title": "เอ็มพีแอลเอส" }, { "docid": "362736#0", "text": "หน่วยเก็บข้อมูลบนเครือข่าย () คือหน่วยเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ระดับไฟล์ที่เชื่อมต่ออยู่กับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งจัดบริการไว้สำหรับเครื่องลูกข่ายที่ต่างแบบกัน อุปกรณ์เก็บข้อมูลบนเครือข่ายกำลังได้รับความนิยมตั้งแต่ พ.ศ. 2553 เนื่องจากเป็นวิธีการที่สะดวกสำหรับการใช้ไฟล์ร่วมกันระหว่างคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง ประโยชน์ที่มีศักยภาพของหน่วยเก็บข้อมูลบนเครือข่ายเมื่อเทียบกับไฟล์เซิร์ฟเวอร์คือ การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วกว่า การดูแลจัดการที่ง่ายกว่า และการตั้งค่าระบบที่ไม่ยากจนเกินไป ", "title": "หน่วยเก็บข้อมูลบนเครือข่าย" }, { "docid": "348024#1", "text": "ก่อนที่จะมีเครือข่ายไร้สาย , การตั้งค่าระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในธุรกิจ, บ้าน หรือ โรงเรียน มักจะต้องวางเคเบิลจำนวนมากผ่านผนังและเพดาน เพื่อให้อุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในอาคารทั้งหมดสามารถเข้าถึงเครือข่ายหลักได้. ด้วยการติดตั้ง WAP, ผู้ใช้เครือข่ายสามารถที่จะเพิ่มอุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงเครือข่ายที่ใช้สายเคเบิลน้อยหรือไม่ต้องใช้สายเคเบิลเลย AP ปกติเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบอีเธอร์เน็ตแบบใช้สาย จากนั้น AP จะเชื่อมต่อไร้สายโดยความถี่วิทยุเพื่อให้อุปกรณ์ลูกข่ายทั้งหลาย สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายใช้สายมากที่สุด. APs ส่วนใหญ่เชื่อมต่อ อุปกรณ์ไร้สายได้หลายตัว. APs ที่ทันสมัยส่วนใหญ่รองรับมาตรฐานการส่งและรับข้อมูลโดยใช้ความถี่วิทยุ ที่มีการกำหนดโดย IEEE ที่เรียกว่ามาตรฐาน IEEE 802.11", "title": "แอคเซสพอยต์ไร้สาย" }, { "docid": "258947#15", "text": "ภายหลังที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 ในปี 2009 ผู้สนับสนุนกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ได้ให้การสนับสนุนโดยส่งคนงานหลายหมื่นคน สร้างสนามแข่งขันสำหรับโอลิมปิกฤดูหนาว 2014ในเดือนพฤศจิกายน 2011 จาเควร์ รอสต์ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ได้เดินทางไปที่เมืองโซซี เพื่อตรวจสอบความพร้อมของสนามแข่งขัน โดยได้กล่าวว่า \"เขาพึงพอใจกับสนามแข่งขันและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ และอยากให้โอลิมปิกฤดูหนาวนี้มีสีสันและยิ่งใหญ่อย่างที่เราได้คาดหวังเอาไว้ และจะกลับมาตรวจดูความพร้อมอีกครั้งในอีก 18 เดือนข้างหน้า\" \nทางรัฐบาลของรัสเซียได้ลงทุนกับด้านการสื่อสารไป 580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อความทันสมัยของการสื่อสารโทรคมนาคมภายในภูมิภาค บริษัทอวายาส์ ผู้สนับสนุนหลักในการจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม โดยให้ทั้งอุปกรณ์เครือข่ายข้อมูลรวมถึงสวิตช์, เราเตอร์, อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย, โทรศัพท์และระบบเครือข่ายการติดต่อ โดยวิศวกรและช่างเทคนิคได้อกแบบและทดสอบระบบการทำงาน กับอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อให้นักกีฬาหรือนักท่องเที่ยวได้รู้ข้อมูลของเวลา หรือสถานที่การแข่งขันในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ ได้เปิดใช้งานเครือข่ายระบบฟาบิค-อนาเบิล เครือข่ายมีความสามารถที่สูงมากถึง 54,000 กิกกะบิตช์ หรือ 54 เทเลบิตช์ โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นสำหรับโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งนี้ มี 3 หลัก ดังนี้", "title": "โอลิมปิกฤดูหนาว 2014" }, { "docid": "25423#8", "text": "โปรแกรมประยุกต์จะส่งผ่านข้อมูลซึ่งก็คือโพรโทคอลที่ตนใช้งานเช่น HTTP หรือ SMTP ผ่านไปยังลำดับชั้นต่างๆของ โครงสร้างแบบ TCP/IP เริ่มต้นที่ชั้นขนส่ง(Transport Layer) ซึ่งโปรแกรมประยุกต์จะต้องกำหนดหมายเลขท่า(Port Number)ของตนว่าจะใช้หมายเลขใด เพื่อให้ข้อมูลที่ใช้รับส่งสามารถส่งถึงโปรแกรมประยุกต์ที่เรียกใช้งานได้ถูกต้อง ที่ชั้นนี้ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆเรียกว่า Segment จากนั้นจะส่งผ่านไปยังชั้นเครือข่าย(Internetwork Layer) โดยในชั้นนี้จะมีหมายเลขไอพี(IP address) เป็นที่อยู่ของอุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานโปรแกรมประยุกต์อยู่ ข้อมูลจาก Segment จะถูกห่อหุ้มและส่งในรูปแบบของ Packet โดยที่ Packetต่างๆจะถูกกำหนดเส้นทางที่จะเริ่มต้นส่งออกไปยังระบบเครือข่าย ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกกำหนดอยู่ในส่วนหัวของ Packet เรียกว่า Packet Header สุดท้ายข้อมูลจะถูกส่งไปชั้นสุดท้ายคือชั้นการเชื่อมต่อ ซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆภายในเครือข่าย โดยแต่ละจุดเชื่อมต่อจะเรียกว่าโหนด(node) ข้อมูลจะถูกส่งไปยังโหนดต่างๆที่มีการเชื่อมต่อจากโหนดเริ่มต้นไปยังโหนดต่อไปและต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงโหนดปลายทาง", "title": "ชุดโพรโทคอลอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "618657#285", "text": "อินเทอร์เน็ตเป็นระบบระดับโลกของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่เชื่อมต่อถึงกันโดยใช้ มาตรฐาน Internet protocol suite (TCP/IP) ที่ให้บริการหลายพันล้านคนทั่วโลก. มัน เป็นเครือข่ายของหลายเครือข่ายที่ประกอบด้วยหลายล้านของภาครัฐและเอกชน, นักวิชาการ, ธุรกิจ, และเครือข่ายภาครัฐของท้องถิ่นจนถึงขอบเขตทั่วโลกที่มีการเชื่อมโยงโดยสายทองแดง , สายเคเบิลใยแก้วนำแสง, การเชื่อมต่อไร้สายและเทคโนโลยีอื่นๆ. แนวคิดของแพ็กเกตสวิตชิงของเครือข่ายมีการสำรวจครั้งแรกโดย Paul Baran ในช่วงต้นทศวรรษ 1960s,[251] และสูตรทางคณิตศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังแพ็กเกตสวิตชิงได้ถูกปรับเปลี่ยนต่อมาโดย Leonard Kleinrock.[252] เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1969 เครือข่ายคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์แรกของโลก, อาร์พาเนต, ถูกก่อตั้งขึ้นระหว่างหลายโหนดที่ห้องปฏิบัติการ Leonard Kleinrock ที่ ยูซีแอลเอ และห้องปฏิบัติการ ดักลาส Engelbart ที่ Stanford Research Institute (ตอนนี้เป็น SRI International).[253]. อีกขั้นเกิดขึ้นในปี 1973 เมื่อ บ๊อบ คาห์น และ Vinton Cerf ร่วมคิดค้นอินเทอร์เน็ตโพรโทคอล และ Transmission Control Protocol ขณะที่ทำงานกับอาร์พาเนตที่กระทรวง กลาโหมสหรัฐ.[10] เครือข่ายพื้นที่กว้าง (English: wide area network (wan)) ที่ใช้ T่CP/IP ชุดแรกได้ดำเนินการในวันที่ 1 มกราคม 1983 เมื่อมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSF)ของสหรัฐฯสร้างเครือข่ายกระดูกสันหลังของมหาวิทยาลัย ที่ต่อมากลายเป็น NSFNET. วันนี้ถือว่าเป็น\"วันเกิด\" ของอินเทอร์เน็ต.[254][255]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "558978#0", "text": "เนทเวิร์คสวิตช์ (English: Network Switch) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกลุ่มเครือข่ายหรืออุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยทั่วไปคำๆนี้หมายถึง network bridge หรือสะพานเครือข่ายหลายพอร์ตที่ประมวลและจัดเส้นทางข้อมูลที่ชั้นเชื่อมโยงข้อมูล (data link layer - เลเยอร์ 2) ของแบบจำลองโอเอสไอ. สวิตช์ที่ประมวลข้อมูลที่เลเยอร์ 3 และสูงกว่ามักจะเรียกว่าสวิตช์เลเยอร์ 3 หรือมัลติเลเยอร์สวิตช์", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "558978#33", "text": "หมวดหมู่:ฮาร์ดแวร์ทางเครือข่าย หมวดหมู่:อุปกรณ์ทางโทรคมนาคม", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "2937#0", "text": "เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (; ศัพท์บัญญัติว่า \"ข่ายงานคอมพิวเตอร์\") คือเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย) จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคือ อินเทอร์เน็ต", "title": "เครือข่ายคอมพิวเตอร์" } ]
2854
ลีกเอิง ของฝรั่งเศส ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อใด ?
[ { "docid": "56744#0", "text": "ลีกเอิง (French: Ligue 1) เป็นลีกฟุตบอลสูงสุดของฟุตบอลในประเทศฝรั่งเศส โดยมีลีกรองลงมาคือ ลีกเดอ (League 2) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2475 โดยมีการเล่นต่อเนื่องมาทุกปียกเว้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในอดีตจำนวนทีมที่เล่นในลีกเอิงจะเปลี่ยนไปมาระหว่าง 18 และ 20 ทีม ซึ่งปัจจุบันมีทีมทั้งหมด 20 ทีม และมีการเล่นในแบบการแข่งเหย้าและเยือน ทีมละ 38 นัด", "title": "ลีกเอิง" } ]
[ { "docid": "525019#0", "text": "สโมสรกีฬาโอลิมปิกลีล () หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ล็อสก์ลีล () และ ลีล () เป็นสโมสรฟุตบอลมืออาชีพของประเทศฝรั่งเศส ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1944 เล่นอยู่ในลีกเอิง (ลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศฝรั่งเศส) มาเกือบตลอด เคยได้แชมป์ลีกเอิง 3 สมัย ในฤดูกาล 1945-46, 1953-54 และล่าสุดในฤดูกาล 2010-11 และได้แชมป์ลีกเดอ 4 สมัย, กุปเดอฟร็องส์ 6 สมัย และในระดับการแข่งขันทวีปยุโรปเคยได้แชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ 1 สมัยในปี 2004 ปัจจุบันสโมสรใช้สตาดปีแยร์-โมรัวเป็นสนามเหย้าในการแข่งขันเมื่อเป็นเจ้าบ้าน และมีผู้จัดการทีมคนล่าสุดคือ รูว์ดี การ์ซียา", "title": "ล็อสก์ลีล" }, { "docid": "946271#0", "text": "ฟลอรีย็อง ทริสต็อง มารียาโน โตแว็ง (; เกิดวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1993) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันลงเล่นตำแหน่งปีกให้กับออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ในลีกเอิง และทีมชาติฝรั่งเศส", "title": "ฟลอรีย็อง โตแว็ง" }, { "docid": "993112#0", "text": "สตาดเดอแร็งส์ เป็นสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสที่มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองแร็งส์ สโมสรก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1910 ภายใต้ชื่อ Société Sportive du Parc Pommery และปัจจุบันเล่นในลีกเอิง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของฟุตบอลฝรั่งเศสโดยได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากลีกเดอซ์ ในฤดูกาลที่ผ่านมา suguste Delaune การปรับปรุงอาคารเก่าที่ตั้งอยู่ในเมือง ทีมบริหารโดย David Guion", "title": "สตาดเดอแร็งส์" }, { "docid": "713064#0", "text": "สมาคมกีฬาแซ็งเตเตียนลัวร์ () หรือรู้จักกันในชื่อ อาแอ็ส แซ็งเตเตียน () หรือ แซ็งเตเตียน () เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเมืองแซ็งเตเตียน จังหวัดลัวร์ ประเทศฝรั่งเศส สโมสรนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2462 และปัจจุบันเล่นอยู่ในลีกเอิง ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศฝรั่งเศส สโมสรนี้มีผู้จัดการทีมคือ ฌ็อง-หลุยส์ กาแซ และมีกัปตันทีมคือ ลออิก แปแร็ง ซึ่งเริ่มอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรนี้เมื่อปี พ.ศ. 2539", "title": "อาแอ็ส แซ็งเตเตียน" }, { "docid": "352406#0", "text": "บิลลี่ เกตุแก้วพรหมพร (; ) เกิดวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2533 ในชุมชนช็องปีญี-ซูร์-มาร์น ประเทศฝรั่งเศส เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสเชื้อสายลาว ปัจจุบันเล่นในลีกเอิง เล่นให้กับสโมสรอ็องเฌ", "title": "บิลลี่ เกตุแก้วพรหมพร" }, { "docid": "525027#0", "text": "รีโย อ็องตอนีโย ซอบา มาวูบา () เกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1984 เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลีลในลีกเอิง เป็นกัปตันทีมของสโมสรคนปัจจุบัน และยังเล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส โดยเล่นในตำแหน่งกองกลาง", "title": "รีโย มาวูบา" }, { "docid": "366565#0", "text": "ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ () เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองมาร์แซย์ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1899 ปัจจุบันเล่นอยู่ในลีกเอิง เป็นสโมสรที่ชนะการแข่งขันในลีกเอิงมากที่สุดเป็นอันดับ2 ในฟุตบอลฝรั่งเศสรองจากแซง เอเตียน มาร์เซย์ชนะการแข่งขันในเฟรนช์แชมเปียนส์ 9 ครั้ง และได้รับกูปเดอฟร็องส์ เป็นสถิติ 10 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1993 มาร์แซย์เป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวของฝรั่งเศส ที่ชนะการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปี ค.ศ. 1994 สโมสรถูกลดชั้นเพราะเกิดกรณีพิพาทติดสินบน ทำให้พลาดจากถ้วยท้องถิ่น แต่ตำแหน่งแชมเปียนยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกยังคงอยู่ ในปี ค.ศ. 2010 มาร์แซย์ชนะการแข่งขันเฟรนช์แชมเปียนส์อีกครั้ง ภายใต้การควบคุมของอดีตกัปตันทีม ดีดีเย เดช็อง", "title": "ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์" }, { "docid": "429283#0", "text": "อาซอซียาซียงสปอร์ตีฟว์เดอมอนาโก () โดยทั่วไปเรียกว่า อาแอ็ส มอนาโก หรือย่อว่า มอนาโก เป็นสโมสรฟุตบอลฝรั่งเศส จากเมืองฟงวีแยย์ ประเทศโมนาโก สโมสรก่อตั้งในปี ค.ศ. 1924 ปัจจุบันเล่นอยู่ในลีกเอิง ลีกอันดับ 1 ของฟุตบอลฝรั่งเศส มีสนามกีฬาเหย้าคือสนามสตาดลูยเดอ มีผู้จัดการทีมคือเลอูนาร์ดู ยาร์ดีม", "title": "อาแอ็ส มอนาโก" }, { "docid": "992284#0", "text": "สโมสรฟุตบอลน็องต์ เป็นสโมสรฟุตบอลของประเทศฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า Nantes, Pays de la Loire สโมสรก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2486 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอันเป็นผลมาจากสโมสรในท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในเมืองมารวมตัวกันเพื่อจัดตั้งสโมสรใหญ่แห่งหนึ่ง จากปี พ. ศ. 2535 ถึง 2550 สโมสรชื่อว่า FC Nantes Atlantiquebefore กลับมาเล่นในตำแหน่งเดิมในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 2550-08 ปัจจุบัน Nantes เล่นในลีกเอิง 1 ส่วนแรกของฟุตบอลฝรั่งเศส", "title": "สโมสรฟุตบอลน็องต์" }, { "docid": "964147#0", "text": "ฟุตบอลลีกเอิง ฤดูกาล 2018–19 เป็นฤดูกาลที่ 81 นับตั้งแต่การก่อตั้งในฤดูกาล 1932–33 โดยแข่งขันระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2018 – 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง คือทีมแชมป์เก่าจากเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาที่จะต้องมาป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้.", "title": "ลีกเอิง ฤดูกาล 2018–19" }, { "docid": "385041#0", "text": "สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง () หรือเรียกอย่างย่อว่า เปแอ็สเฌ () เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สโมสรก่อตั้งเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1970 สโมสรเล่นอยู่ในลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ในลีกเอิง มีสถิติการครองแชมป์ ชนะในลีก 2 ครั้ง ชนะในเฟรนช์คัพ 8 ครั้ง ชนะในลีกคัป 3 ครั้งและชนะในแชมเปียนส์โทรฟี 2 ครั้ง สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเป็นหนึ่งในสองสโมสรของฝรั่งเศสที่สามารถชนะเลิศในถ้วยยุโรปได้ (อีกสโมสรคือ ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์) โดยชนะในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ปี ค.ศ. 1996 ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งยังติดอันดับทีมแห่งปีของโลกจากการจัดอันดับของ IFFHS ในปี ค.ศ. 1994 และติดอันดับ 1 ของทีมยูฟ่าในปี ค.ศ. 1998 ปัจจุบันติดอยู่ในอันดับ 15 จากอันดับของ IFFHS และติดอันดับ 45 จากอันดับของยูฟ่า ", "title": "สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง" }, { "docid": "785891#0", "text": "สตาดียอมมูว์นีซีปาลเดอตูลูซ () เป็นสนามกีฬาอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ประจำเมืองตูลูซ ประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นเพื่อรองรับการจัดแข่งขันฟุตบอลโลก 1938 รอบสุดท้าย และต่อมาได้รับฉายาว่า \"เวมบลีย์น้อย\" เนื่องจากมีความคล้ายกับสนามเวมบลีย์ (สนามกีฬาแห่งชาติของอังกฤษ) ปัจจุบันใช้เป็นสนามเหย้าของตูลูซ (สโมสรในระดับลีกเอิง ลีกการแข่งขันฟุตบอลสูงสุดของฝรั่งเศส) ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของเทศบาลเมืองตูลูซ", "title": "สตาดียอมมูว์นีซีปาล" }, { "docid": "933491#0", "text": "สโมสรฟุตบอลสตาดแรแน () หรือ สตาดแรแน หรือ แรน () เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพตั้งอยู่ที่เมืองแรน ประเทศฝรั่งเศส ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1901 และปัจจุบันกำลังแข่งขันในลีกเอิง ลีกระดับสูงสุดของประเทศ แรนใช้โรอาซงปาร์กซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นสนามเหย้า ", "title": "สโมสรฟุตบอลสตาดแรแน" }, { "docid": "56744#4", "text": "หมวดหมู่:ฟุตบอลลีกสูงสุด หมวดหมู่:ฟุตบอลในประเทศฝรั่งเศส หมวดหมู่:ลีกเอิง", "title": "ลีกเอิง" }, { "docid": "525032#0", "text": "สตาดเดอแฌร์ล็อง () เป็นสนามกีฬาประเภทกีฬาฟุตบอล ตั้งอยู่ในเมือง ลียง, ประเทศฝรั่งเศส. ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1914 ปัจจุบันเป็นเคยสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอล ออแล็งปิกลียอแน สโมสรฟุตบอลใน ลีกเอิง \nมีความจุทั้งหมด 25,000 ที่นั่ง", "title": "สตาดเดอแฌร์ล็อง" }, { "docid": "451328#0", "text": "โธมัส ดอสเซวี เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1979 เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ โตโก ที่เกิดในฝรั่งเศส เขาเคยเล่นในลีกฟุตบอลของ ฝรั่งเศส ทั้งในลีกเอิง และลีกเดอซ์ มาหลายสโมสร ก่อนจะย้ายไปเล่นในอังกฤษ กับ สวินดอน ทาวน์ ในลีกทู กระทั่งในปี พ.ศ. 2555 วิทยา เลาหกุล ได้ซื้อตัวมาอยู่กับ สโมสรฟุตบอลชลบุรี ใน ไทยพรีเมียร์ลีก", "title": "โธมัส ดอสเซวี" }, { "docid": "967871#0", "text": "สโมสรฟุตบอลแม็ส () เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแม็ส แคว้นลอแรน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1932 ปัจจุบันแข่งขันในลีกเดอ ซึ่งเป็นลีกฟุตบอลระดับที่สองของฝรั่งเศส สนามเหย้าของสโมสรคือสตาดแซ็ง-แซ็งฟอเรียง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง แม็สเคยแข่งขันในลีกเอิง 60 ฤดูกาล และแข่งขันในลีกเดอทั้งหมด 17 ฤดูกาล เคยชนะเลิศกุปเดอฟร็องส์และกุปเดอลาลีกอย่างละ 2 สมัย", "title": "สโมสรฟุตบอลแม็ส" }, { "docid": "258327#2", "text": "ส่วนใหญ่มีเนื้อหาเป็นภาษาฝรั่งเศส ส่วนรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงจากฝรั่งเศส ยังมีรายการที่มีชื่อเสียง เช่น RTBF จากเบลเยียม, TSR จากสวิตเซอร์แลนด์ และ Radio-Canada TVA และจากเครือข่ายในประเทศแคนาดา นอกจากข่าวในประเทศและต่างประเทศแล้ว ยังได้แพร่ภาพการแข่งขันฟุตบอลลีกเอิง, ภาพยนตร์, ละคร, เพลง และการ์ตูน ซึ่งหมายเลข 5 ในชื่อของสถานีมาจากเครือข่ายการออกอากาศทั้ง 5 แห่งในการก่อตั้ง", "title": "เตเวแซ็งก์มงด์" }, { "docid": "483738#0", "text": "เฌราร์ อูลีเย (, ; เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1947 เป็นอดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส เขาได้อยู่ร่วมกับสโมสรต่าง ๆ ในฐานผู้จัดการทีมกับปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง, แอร์เซล็องส์ และลิเวอร์พูล เขานำลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์, ยูฟ่าคัพ และยูฟ่าซูเปอร์คัพในปี ค.ศ. 2001 จากนั้นเขาก็นำลียงได้แชมป์ลีกเอิง 2 สมัยในฤดูกาล 2005-06 และ 2006-07 นอกจากนี้อูลีเยยังเคยเป็นอดีตผู้จัดการทีมของฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสในปี 1992 ถึง 1993 และเขาถือว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศสที่มีการจัดทีมที่ยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยมีอาร์แซน แวงแกร์ และดีดีเย เดช็อง ที่มีผลงานใกล้เคียงในการเป็นผู้จัดการทีมกับเขา", "title": "เฌราร์ อูลีเย" }, { "docid": "713101#0", "text": "ลีกเอิง ฤดูกาล 2015–16 เป็นฤดูกาลที่ 78 ของลีกเอิงนับตั้งแต่การก่อตั้ง. ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง คือทีมแขมป์สามสมัยติดต่อกัน, ที่จะต้องมาป้องกันแชมป์.", "title": "ลีกเอิง ฤดูกาล 2015–16" }, { "docid": "504307#0", "text": "มาตีเยอ เดอบูว์ชี (, ; เกิดวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1985 ที่เมืองเฟรอแต็ง) เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสเล่นให้กับแซ็งเตเตียน ในลีกเอิง ฝรั่งเศส โดยเล่นในตำแหน่งกองหลังฝั่งขวา แต่ก็เล่นในตำแหน่งกองกลางด้วย ในตำแหน่งตัวทำเกมยืนต่ำ", "title": "มาตีเยอ เดอบูว์ชี" }, { "docid": "814057#0", "text": "สโมสรกายบริหารโอลิมปิกนิสโกตดาซูร์ () หรือเรียกแบบย่อว่า โอเฌเซ นิส () และ ฌีม () เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเมืองนิส แคว้นพรอว็องซาลป์โกตดาซูร์ ประเทศฝรั่งเศส ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1904 ปัจจุบันเล่นอยู่ในลีกเอิง ลีกสูงสุดของประเทศ มีสนามเหย้าคือ อลิอันซ์ริวีเอรา มีผู้จัดการทีมคือ ปาทริก วีเยรา และกัปตันทีมคือ ดังชี บงฟิง กอสตา ซังตุส ซึ่งเล่นอยู่ในตำแหน่งกองหลัง", "title": "โอเฌเซ นิส" }, { "docid": "493750#0", "text": "สโมสรกีฬาเอโรแห่งมงเปอลีเย () หรือเรียกแบบย่อว่า มงเปอลีเย อัชแอ็สเซ () เป็นสโมสรฟุตบอลฝรั่งเศสจากเมืองมงเปอลีเย เริ่มแรกก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1919 จากนั้นเปลี่ยนแปลงจากการรวมสโมสรในปี ค.ศ. 1974 มงเปอลีเยเล่นอยุ่ในลีกเอิง ลีกสูงสุดของฟุตบอลฝรั่งเศส มีสนามกีฬาเหย้าคือ สตาดเดอลามอซง (Stade de la Mosson) ทีมแรกมีผู้จัดการทีมคือ เรอเน ฌีราร์ (René Girard) มงเปอลีเยชนะในลีกเอิงเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2011–12 ส่วนเกียรติประวัติอื่น ชนะถ้วยกุปเดอฟร็องส์ในปี ค.ศ. 1929 และ 1990 นอกจากนั้นยังได้ถ้วยยูฟ่าอินเตอร์โทโทคัป ในปี ค.ศ. 1999", "title": "มงเปอลีเย อัชแอ็สเซ" }, { "docid": "213752#1", "text": "ด้วยความโดดเด่นในความสามารถ ทำให้สโมสรแมนยูฯ เรียกไปทดสอบฝีเท้า แต่สุดท้ายได้ย้ายมาค้าแข้งกับสโมสรฟุตบอลบัสตียา ในฝรั่งเศส และพาบัสตียาทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศเฟรนช์คัพ ในปี 2002 และก็ย้ายไปอยู่กับทีมออแล็งปิกลียอแนแชมป์ลีกด้วยค่าตัว 7.8 ล้านยูโรและได้แชมป์ลีกเอิง ของฝรั่งเศสกับลียง 2 ปีติดต่อกัน (2003-2004 และ 2004-2005) และในฤดูกาล 2004-2005 และได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของลีกเอิง", "title": "มิคาเอล เอสเซียง" }, { "docid": "877889#0", "text": "ฟุตบอลลีกเอิง ฤดูกาล 2017–18 เป็นฤดูกาลที่ 80 นับตั้งแต่การก่อตั้งในฤดูกาล 1932–33 โดยแข่งขันระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ถึง 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2018. มอนาโก คือทีมแชมป์เก่าจากเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาที่จะต้องมาป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้.", "title": "ลีกเอิง ฤดูกาล 2017–18" }, { "docid": "711653#1", "text": "สันนิบาตฟุตบอลอาชีพมีหน้าที่ควบคุมดูแล จัดระเบียบ และจัดการแข่งขันระหว่างสโมสรอาชีพในระดับบนสุด 2 ระดับของฝรั่งเศส ซึ่งได้แก่ลีกเอิงและลีกเดอ และรับผิดชอบดูแลสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ลงแข่งขันในฝรั่งเศสด้วย (20 สโมสรในลีกเอิง, 20 สโมสรในลีกเดอ รวมทั้งบรรดาสโมสรอาชีพที่ลงแข่งขันในช็องปียอนานาซียอนาลซึ่งอยู่ในระดับที่ 3) นอกจากนี้ยังมีหน้าที่จัดการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลประจำปีคือกุปเดอลาลีก ซึ่งต่างจากกุปเดอฟร็องส์ตรงที่กุปเดอลาลีกจำกัดเฉพาะสโมสรอาชีพเท่านั้น", "title": "สันนิบาตฟุตบอลอาชีพ (ฝรั่งเศส)" }, { "docid": "385049#0", "text": "ออแล็งปิกลียอแน () หรือรู้จักกันในชื่อ โอลิมปิกลียง เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของเมืองลียง เล่นอยู่ในลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ในลีกเอิง จากข้อมูลจากผู้สนับสนุนและนักประวัติศาสตร์กีฬาให้ข้อมูลว่า สโมสรก่อตั้งในปี ค.ศ. 1899 ในชื่อ ลียงออแล็งปิกอูนีแวร์แตร์ แต่ก่อตั้งในระดับประเทศในฐานะสโมสรในปี ค.ศ. 1950 สโมสรประสบความสำเร็จอย่างมากในศตวรรษที่ 21 สโมสรชนะในการจัดแข่งขันลีกเอิงที่จัดขึ้นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 2002 โดยสร้างสถิติเป็นผู้ชนะเลิศ 7 ครั้ง และยังชนะในถ้วยโทรฟีเดสแชมเปียนส์ 7 ครั้ง ชนะในถ้วยโกปาเดเฟรนช์ 5 ครั้งและชนะในลีกเดอซ์ 3 ครั้ง", "title": "ออแล็งปิกลียอแน" }, { "docid": "801829#0", "text": "ฟุตบอลลีกเอิง ฤดูกาล 2016–17 เป็นฤดูกาลที่ 79 นับตั้งแต่การก่อตั้งในฤดูกาล 1932–33 โดยแข่งขันระหว่างวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ถึง 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2017\nสโมสรในลีกเอิงนั้นจะมีทั้งหมด 20 สโมสร โดยสโมสรที่เล่นนั้นมาจาก 17 สโมสรจากลีกเอิง ฤดูกาล 2015-16 และอีก 3 สโมสรจากลีกเดอ 2015-16 ที่เลื่อนชั้นมาโดยการเป็นผู้ชนะเลิศ รองชนะเลิศ และรอบเพลย์ออฟ (หากชนะ) โดยคู่แข่งในรอบเพลย์ออฟก็คือทีมอันดับ 18 ของลีกเอิงนั้นเอง หากชนะก็จะได้เลื่อนชั้น แต่หากแพ้ก็จะไม่ได้เลื่อนชั้นโดยในปีนี้ทีมที่เลื่อนชั้นมาคือน็องซี, ดีฌง และแม็ส", "title": "ลีกเอิง ฤดูกาล 2016–17" }, { "docid": "664364#0", "text": "ฟุตบอลลีกเอิง ฤดูกาล 2014–15 เป็นฤดูกาลที่ 77 นับตั้งแต่การก่อตั้ง ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เป็นทีมแชมป์เก่าจากเมื่อฤดูกาลที่แล้วที่จะต้องป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้ให้ได้", "title": "ลีกเอิง ฤดูกาล 2014–15" } ]
3516
ใครเป็นผู้ใช้คำว่า ความน่ารัก เป็นคนแรก?
[ { "docid": "45844#1", "text": "นักวิทยาศาสตร์ที่ใช้คำนี้เป็นคนแรก (ชาวออสเตรียชื่อว่าค็อนแรด ลอเร็นซ์) ได้เสนอความคิดในเรื่องแผนภาพทารก (English: baby schema, German: Kindchenschema) ซึ่งเป็นลักษณะทางใบหน้าและร่างกาย ที่ทำให้สัตว์หนึ่ง ๆ ปรากฏว่า \"น่ารัก\" และกระตุ้นให้ผู้อื่นช่วยดูแลรักษาสัตว์นั้น ๆ[3] คำนี้สามารถใช้ในการชมบุคคลและสิ่งของที่น่าดูน่าชมหรือมีเสน่ห์[4]", "title": "ความน่ารัก" } ]
[ { "docid": "912955#6", "text": "นอกจากปรัชญาพื้นฐานสำหรับความสัมพันธ์แล้ว พอลีแอเมอรียังมีหลักปฏิบัติที่รับมือ และจัดการกับปัญหาบางอย่างไม่ต่างจากการมีคู่สมรสเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอมรับจากสังคมคอมเพอร์ชัน (หรือในสหราชอาณาจักรใช้คำว่า ฟรับเบิล (frubble)) ใช้เพื่ออธิบายว่าคนหนึ่งมีประสบการณ์ในแง่บวก เมื่อคนรักของตนกำลังมีความสุขกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น", "title": "การมีคนรักหลายคน" }, { "docid": "207452#0", "text": "\"นานาโกะ\" (อายะ อุเอะโตะ) เกิดและเติบโตในครอบครัวที่ยากจน เธอจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มี 1 วันพิเศษในแต่ละอาทิตย์ ที่เธอจะได้ทำตัวเหมือนเจ้าหญิง แต่งตัวและใช้จ่ายเงินทองอย่างฟุ่มเฟีอยอย่างที่ใจอยากทำ วันหนึ่งเธอได้พบกับเด็กหญิงลูกมหาเศรษฐีที่ทำให้เธอได้รู้ว่าเงินไม่สามารถทดแทนสิ่งสำคัญในชีวิตได้\n\"ยูนะ\" (มากิ โฮริคิตะ) พลั้งมือทำร้ายคนรักจนเขาต้องกลายเป็นคนพิการ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอกลายเป้นคนขลาดกลัว ไม่กล้าออกมาพบปะผู้คน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับใคร เธอมักจะแต่งตัวมิดชิด ใส่หมวกปิดบังใบหน้า ไม่ให้ใครได้เห็นเธอ เพราะเธอกลัวว่าตัวเองจะไปทำร้ายใครเข้าอีก ผู้ดูแลของเธอแนะนำงานพิเศษที่เขาคิดว่าเธอน่าจะพอที่จะทำได้ นั่นคือ Live Chat ในโลกไซเบอร์ ที่ไม่มีใครรู้จักใคร ที่ๆ เราไม่ต้องสัมผัสกับผู้คนจริงๆ ที่นี่เธอได้พบกับชายหนุ่มชื่อทาโร่ เขาคอยปลอบใจเธอให้กล้าที่จะออกมาเผชิญโลกกว้างอีกครั้ง วันหนึ่งเธอได้รู้ว่าทาโร่เป็นใคร ยูนะจึงตัดสินใจที่จะไปพบกับทาโร่\n\"นาโอะ โยชิอิ\" (ยู ยามาดะ) เป็นหญิงสาวจากต่างจังหวัด ที่มีความใฝ่ฝันเหมือนหญิงสาวทั่วๆ ไป ทึ่ต้องการจะเป็นนักแสดง จนถึงกับยอมทิ้งบ้านและครอบครัว เดินทางเข้ามาโตเกียว เพื่อทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง แต่ทว่าความฝันกั่บชีวิตจริงช่างต่างกัน เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการออดิชั่น แทบไม่มีงานแสดงที่เป็นชิ้นเป็นอัน พอให้เธอใช้ชีวิตอยู่ได้ เรื่องราวยิ่งเลวร้ายลง เมื่อเธอถูกนักต้มตุ๋นหลอกเอาเงินจำนวนมาก ที่เธอไปกู้ยิมมาไปจนหมด เพื่อใช้หนึ้ เธอตัดสินใจเป็นนักแสดงหนัง AV (Adult Video) วันหนึ่ง เธอก็ต้องตกใจเมื่อปู่ของเธอแอบมาเยี่ยมเธอถึงที่พัก นอกจากนี้คนรักของเธอยังมารู้อีกว่า เธอปิดบังความจริงเรื่องที่เธอเป็นนักแสดงหนัง AV ไว้\n\"เรียวโกะ ชิโมโจ\" (จุริ อุเอะโนะ) หญิงสาวที่ต้องการความรักอยู่ตลอดเวลา เธอถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้น เธอดำรงชีวิตด้วยเงินที่ได้จากการเล่นสล๊อต อยู่มาวันหนึ่งคนรักของเธอซึ่งทำงานเป็นโฮสต์ในไนต์คลับ ได้ทิ้งเคนตะเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ไว้ให้เธอดูแล และหายตัวไป โดยบอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขา เรียวโกะจำใจต้องเลี้ยงดูเคนตะเอาไว้ ทั้งที่เธอเกลียดเด็กเป็นที่สุด", "title": "Tsubasa No Oreta Tenshitachi" }, { "docid": "341850#0", "text": "ลุ้นแล้วรวย เป็นรายการโทรทัศน์ ประเภทเกมโชว์ ออกอากาศระหว่างปี พ.ศ. 2541-2543 ผลิตรายการโดย บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 17.00-18.00 น. ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เป็นรายการเกมโชว์ซึ่งสร้างความฮือฮาในยุคนั้น ด้วยการมีเงินรางวัลแจ็กพอตสูงสุดในประเทศไทยในขณะนั้น คือ 5,000,000 บาท สูงกว่ารายการชิงร้อยชิงล้านที่แจกเงินรางวัลเพียง 1,000,000 บาท แต่รายการลุ้นแล้วรวย ในระยะเวลาที่ออกอากาศมาทั้งหมดไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนใดที่สามารถทำแจ็คพอตเงินรางวัล 5,000,000 บาทเลย และการปรับผังรายการใหม่ของมีเดีย ออฟ มีเดียส์ที่ออกอากาศทางช่อง 9 ในขณะนั้นทำให้รายการนี้ต้องยกเลิกไป หลังจากนั้นก็มีผู้ที่แจกเงินรางวัลมากกว่านี้ คือรายการเกมทศกัณฐ์ ที่ออกอากาศในช่อง 9 เช่นเดียวกันรายการ ลุ้นแล้วรวย มีรูปแบบเป็นการแข่งขันตอบคำถาม โดยจะมีผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านกับดาราแบ่งเป็น 2 ทีม ทีมละ 2 คน ทั้งนี้ ในการแข่งขัน จะมีดาราปรัศนีย์ ซึ่งเปลี่ยนไปทุกสัปดาห์ มาเป็นแขกรับเชิญ ให้ผู้เข้าแข่งขันได้ตอบคำถาม โดยภายหลังจากการเปิดตัวดาราปรัศนีย์ ซึ่งออกมาร้องเพลงแล้ว ก็จะเริ่มเล่นเกมตอบคำถาม โดยจะนำสิ่งของที่ (อาจ) เป็นของรักของหวง หรือของสะสม หรือของที่อยู่ใกล้ตัวดาราปรัศนีย์คนนั้น และจะถามว่าสิ่งของดังกล่าวเป็นของดาราปรัศนีย์คนนั้นหรือไม่ โดยการตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ นั้น ทางรายการจะใช้คำว่า จริงใจ และคำว่า ไก่กา ตามลำดับ คำถามจะมี 3 ข้อ ข้อแรก 1 คะแนน ข้อที่ 2 ได้ 2 คะแนน และข้อที่ 3 ได้ 4 คะแนน หากทีมใดมีคะแนนมากที่สุดจะเข้าไปสู่รอบที่สองในรอบที่สองจะมีพี่โม่งมาเป็นปริศนาแล้วให้ผลัดกันเลือกคำใบ้แล้วให้ตอบว่าพี่โม่งคือใคร ใครตอบถูกจะได้เข้าไปชิงเงินรางวัล 5,000,000 บาททันที", "title": "ลุ้นแล้วรวย" }, { "docid": "171343#6", "text": "ธันวาคม 2549 เมย์ได้มีอัลบั้มชุดที่ 2 ชื่อว่า \"Black Me\" ที่มาของชื่ออัลบั้ม Black Me มีที่มาจากสีดำอันเป็นสีที่ เม ชอบ ประกอบกับรูปแบบอัลบั้มที่มีโทนแบบหม่นๆ ขรึมๆ เน้นเสื้อผ้าการแต่งกายที่เป็นสีดำ เป็นตัวแทนของความลึกลับน่าค้นหา เมื่อมารวมกับชื่อของเธอเองจึงทำให้ได้ชื่ออัลบั้ม ที่ฟังเผินๆ จะใกล้เคียงกับคำว่า Black Mail ที่แปลว่าหักหลังได้ด้วย เปิดตัวด้วยเพลง \"นอนไม่หลับ..ถ้าไม่กลับพร้อมเธอ\" ชื่อฟังดูแรงแต่เนื้อหากลับเป็นแบบอ้อนๆ ซึ่งถ่ายทอดออกมาแบบบัลลาดร็อก ฟังหนักแน่นแต่แฝงความหม่นและนุ่มนวล เข้มด้วยภาษาชัดเจนโดนใจใครหลายคน โดยเพลงนี้ ปอนด์ - ธนา ลวสุต โปรดิวเซอร์ของอัลบั้มเป็นคนวางแนวคิด ก่อนที่จะใช้นักแต่งเพลงถึง 5 คนร่วมกับเรียบเรียงเป็นตัวอักษรออกมา มาที่ \"ก่อนจะเป็นแฟนเก่า\" เป็นอีกเพลงช้าที่มีส่วนผสมของโฟล์กร็อกและบริตร็อก จนกลายเป็นเพลงให้อารมณ์เหงาเศร้าอย่างมีเสน่ห์ กับเรื่องราวความรักที่มาถึงจุดจบ ส่วน :เทียนไข\" ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ เม แนะนำให้ฟังกันในอัลบั้มนี้ โดยมีเนื้อหาเปรียบเทียบคนที่ไม่มีค่าในสายตาของใครบางคน ซึ่งเค้าจะมาหาเวลาที่ไม่มีใครเท่านั้น เหมือนเทียนไขที่ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนใช้กันแล้ว", "title": "จีระนันท์ กิจประสาน" }, { "docid": "37273#25", "text": "เกิดวันที่ 16 มกราคม ราศีมังกร ปัจจุบันอายุ 13 ปี เลือดกรุ๊ป O มีอลิซที่สามารถให้ชีวิตกับตุ๊กตาได้(แต่อายุขัยเค้าก็น้อยลงไปด้วย)เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของอันโด \nเพราะเป็นคนที่มีจิตใจดีเวลาใครมาขอร้องให้ทำตุ๊กตาให้ก็ทำให้หมด เลยทำให้อายุขัยน้อยลงไปเรื่อย ๆ ส่วนมากจะใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลซะส่วนใหญ่เป็นเพราะสุขภาพที่ไม่แข็งแรง\nเป็นตุ๊กตาที่โซโนโอะ คานาเมะสร้างไว้ เป็นผู้พิทักษ์ป่าเหนือ มีนิสัยไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ขี้หงุดหงิดง่าย ภายนอกหน้าตาน่ารัก แต่ถ้าเข้าไปใกล้จะเจอซัดทันที \n(ยกเว้นคานาเมะและอันโด)รักคานาเมะมาก รู้ประวัติของคานาเมะเป็นอย่างดี ตอนหลังได้กลายเป็นคนดูแลมิคัง", "title": "วัยซนคนมีพลังจิต" }, { "docid": "225971#2", "text": "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ทางทิศตะวันออกยังมีอาณาจักรที่ชื่อจูชิน ที่นั่นมีผู้ตรวจการณ์แผ่นดินซึ่งคอยกำจัดความชั่วร้ายเรียกว่า \"\"อังเงียวอนชิ\"\" (อาเมนโอซ่า) ซึ่งจะได้รับบัญชาจากจักรพรรดิและออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยปิดบังฐานะตัวเองเพื่อตรวจสอบดูการทำงานของขุนนางในแต่ละที่ หากพบว่าใครทำผิดก็จะลงโทษเพื่อช่วยเหลือพวกชาวบ้าน เมื่อครั้งหนึ่งที่ประเทศจูชิน อังเงียวอนชิที่รับคำสั่งจากจักรพรรดิจะออกตระเวนช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ถือเป็นผู้ตรวจการณ์แผ่นดิน และเมื่อจูชินล่มสลายลง ยังคงมีอังเงียวอนชิผู้หนึ่งได้พเนจรให้ความช่วยเหลือราษฎรและปราบปรามคนชั่วต่อไป โดยมี \"\"หม่าไผ\"\" ที่สามารถใช้บงการแฟนธ่อมโซลเย่อร์ได้ซึ่งเป็นตราประจำตัวของอังเงียวอนชิ เมื่อถึงเวลาปราบปรามศัตรูก็จะชูหม่าไผ พร้อมกับประกาศก้องว่า \"อังเงียวอนชิปรากฏตัวแล้ว\" และจะมี \"\"ซันเตา\"\" ผู้ติดตามคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือและคุ้มครองอาเมนโอซ่า (ภาษามองโกล) นอกจากนี้ยังมี \"\"ฝานจวื่อ\"\" คอยติดตามด้วยหน้าที่หลักๆของฝานจวื่อคือรับใช้ หรือเป็นคนคอยรับใช้อาเมนโอซ่านั่นเอง ทั้งสองจะร่วมออกเดินทางกับอาเมนโอซ่าเพื่อคอยช่วยเหลือให้สามารถทำงานได้สำเร็จ และอังเงียวอนชิผู้นี้มีนามว่า \"\"เหวินซิ่ว\"\" เขาเคยเป็นอดีตทหารหาญ ทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับฉายาวีรบุรุษจากการนำ \"\"หยวนซู่\"\" ยอดนักดาบอันดับ 1 ของจูชิน และทหารหาญมากมายเข้าต่อสู้ในสงครามอันยาวนานกับพวกอสูรจนได้รับชัยชนะ เหวินซิ่วออกเดินทางจนได้พบกับ \"\"ชุนเฮียง\"\" หญิงสาวที่สูญเสียคนรัก และคนรักของเธอเคยได้พบกับเหวินซิ่วก่อนหน้านี้ เมื่อรู้ว่าคนรักได้ตายไปจึงตัดสินใจที่จะเป็นซันเตาให้เหวินซิ่ว เพื่อสืบต่อปณิธานของ \"\"ม่งหลง\"\" คนรักที่ตายจากไป และทั้งสองก็ได้ออกเดินทางร่วมกัน และได้ฝานจวื่อผู้ที่สูญเสียเจ้านายเก่าซึ่งเป็นอาเมนโอซ่าคนก่อนมาเป็นพรรคพวกอีกคน หลังจากที่ทั้งสองได้พบกับฝานจวื่อแล้ว การเดินทางไปทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านของอาเมนโอซ่าและผู้ติดตามทั้งสอง แต่ละที่ที่พวกเขาเดินทางไปถึงนั้นจะได้พบกับอะไรบ้าง และอดีตของเหวินซิ่วที่ผ่านมาเต็มแน่นไปด้วยความแค้นที่มีต่อ \"\"เออจวื้อไท่\"\" เพราะเหวินซิ่วเชื่อว่าที่จูชินต้องล่มสลายนั้นก็เพราะเออจวื้อไท่ เหวินซิ่วจะหาตัวเออจวื้อไท่พบได้เมื่อไร และเพราะอะไรเหวินซิ่วจึงเชื่อว่าเออจวื้อไท่เป็นต้นเหตุของการล่มสลายของประเทศจูชิน แค้นนี้จะลงเอยอย่างไร สงครามครั้งนี้ใครจะต้องจากไป ใครที่จะต้องสูญเสีย โลกจะสั่นสะเทือนแค่ไหนกับสงครามระหว่างมนุษย์และอมนุษย์ และใครกันที่จะเป็นผู้ปลดปล่อยชะตากรรมของโลก", "title": "ตุลาการทมิฬ" }, { "docid": "794781#2", "text": "นักแสดงหลัก\nชายหนุ่มที่มีพื้นฐานเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แสนดีมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจละเอียดอ่อน รักเดียวใจเดียว ปากแข็ง เก็บความรู้สึกเก่ง รักพ่อยึดพ่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตแต่เมื่อชีวิตพบกับวิกฤตครั้งใหญ่ พ่อต้องมาเสียชีวิตกะทันหันเพราะโดนฆาตกรรม และโดนโกงบริษัทยาไปจนครอบครัวแตกต้องหนีตายไปหลบซ่อนตัวอยู่ในไร่กาแฟ ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแมงดาเกาะผู้หญิงรวย ชีวิตที่คับแค้นอย่างแสนสาหัสทำให้วิเศษกลายเป็นคนหยาบกระด้าง เก็บกด เงียบขรึม ใจนักเลงไม่เกรงกลัวใคร อาฆาต มองโลกในแง่ร้าย มุ่งแต่จะแก้แค้นครอบครัวสมมาตรแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน จนเกือบทำให้สูญเสียคนที่รักเขาอย่างแท้จริงไป\nหญิงสาวนักเรียนนอก นิสัยร่าเริง สดใสน่ารัก แต่กลัวการอยู่ในที่ๆมีความสูง หลงรักวิเศษตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นคนฉลาด กตัญญู รู้คุณคน รักเด็ก แต่เป็นคนใจเด็ดมีความตั้งใจแน่วแน่ ยอมทำทุกอย่างเพื่อไถ่บาปให้พ่อและครอบครัวที่ทำร้ายวิเศษ แต่ต่อมาเมื่อพบว่าวิเศษเป็นต้นเหตุทำให้พ่อของตนต้องตาย จากความรักจึงกลายเป็นความแค้นรุนแรงและพร้อมจะห้ำหั่นกับวิเศษให้ตายกันไปข้างหนึ่ง สุดท้ายเธอกับวินก็รักกัน\nลูกคนเล็กของมะลิ เรียนจบพยาบาล อุปนิสัยสุภาพเรียบร้อย หัวอ่อน ยอมพี่น้อง ไม่มีปากมีเสียงกับใคร ไม่เคยมีความรักเมื่อถูกวิเศษตามจีบจึงตกหลุมรักวิเศษอย่างสุดหัวใจ แต่เมื่อรู้ว่าโดนวิเศษใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นครอบครัวสมมาตร จึงเปลี่ยนชีวิตลาลิตไปอย่างสิ้นเชิงเพื่อให้ได้ครอบครองวิเศษทำให้ลาลิตกลายเป็นคนแยบยลและน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เธอซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ต่อคนอื่นเป็นคนดีลับหลังร้ายกาจมากและเธอก็จะพยายามเล่นงานเล็ก สุดท้ายเธอกลายเป็นคนพิการ แต่จริงๆแล้วเธอไม่ได้พิการเลยเธอแค่แกล้งเรียกร้องความสนใจเพื่อแก้แค้นวินและเล็ก แต่ผลการกระทำจากความร้ายกาจของเธอก็มาส่งผลร้ายกับสุขภาพของลาลิตเมื่อหมอตรวจพบว่าเธอเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หลังจากเธอป่วยหนักเธอก็เริ่มสำนึกผิดในผลการกระทำของตัวเธอเองที่เคยทำมา", "title": "รักร้าย" }, { "docid": "441050#8", "text": "แต่ขณะที่คนทั้งสองจะเข้าใจในรัก อ้อยก็เข้ามาเป็นมารขวาง อ้อยสกดรอยตามพี่สาวมา เพื่อจะเก็บเอาความอารีต่อชายที่พ่อถือว่าเป็นศัตรูผู้นี้ไปฟ้องพ่อ นักเลงเดี่ยวผู้นั้นจึงสร้างความรักจอมปลอมขึ้นกับอ้อยด้วยชั้นเชิงของเสือผู้หญิง เขาแกล้งทำเป็นเข้าใจว่าอ้อยคือชะเอม และพร่ำพรรณารักที่มีต่อชะเอมกับอ้อยเอง แล้วฝากจูบไปให้อ้อยด้วย อ้อยหลงเชื่อตายใจสนิทคิดว่าตนชนะพี่สาว เก็บเอาความรักที่นักเลงเดี่ยวผู้นั้นพร่ำเพ้อถึงตนมาเป็นความอบอุ่นชื่นใจของตนอยู่คนเดียว คืนนั้นเสือโทนใช้พวกมาลอบทำร้ายนักเลงเดี่ยวผู้นั้น ด้วยอาวุธปืนและระเบิดมือแต่กลับถูกซ้อนกลพ่ายกลับไป โจรชายแดน ทั้ง 4 เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ความมุ่งหมายของมันเกินแค้น มันต้องการจะเก็บนักเลงแปลกหน้าคนนี้ให้ได้ จึงปักป้ายไว้กลางตลาด ฉะนั้นแล้ววันรุ่งขึ้นพวกมันนับสิบจะเข้าทลายหมู่บ้าน คนทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในสภาพฝันร้าย ไม่มีใครมีปัญหากล้าไล่นักเลงแปลกหน้าคนนั้นออกไปได้ และไม่มีใครมีปัญญาจะคิดต่อต้านกับพวกเสือโทน ในวันรุ่งขึ้นแม้กระทั่งจ่าดับ จำเปาะก็ผละจากตำแหน่งจ้าวถิ่นไปอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเขามีใจอยู่กับชะเอม แต่บัดนี้ชะเอมมอบรักให้แก่นักเลงแปลกหน้าเสียแล้ว ", "title": "นักเลงเดี่ยว" }, { "docid": "236265#7", "text": "พระเจ้าการ์ซิอาอภิเษกสมรสกับมาร์เกอริตแห่งเลเกลอ ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันสี่คน พระองค์ปฏิเสธที่จะยอมรับพระโอรสธิดาคนสุดท้องเนื่องจากมีบันทึกว่ามาร์เกอริตลักลอบมีคนรัก มาร์เกอริตสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1141 พระองค์จึงอภิเษกสมรสใหม่ในปี ค.ศ. 1144 กับอูร์รากาแห่งกัสติยา ทั้งคู่มีพระธิดาด้วยกันหนึ่งคน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1150 ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อคือพระเจ้าซันโชที่ 6 ผู้เป็นพระโอรสคนโต พระองค์เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า \"นาวาร์\" พระเจ้าซันโชอภิเษกสมรสกับซันชาแห่งกัสติยา ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันหกคน เบเรงเกลา พระธิดาคนโตของทั้งคู่อภิเษกสมรสกับพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1194 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าซันโชที่ 7 ผู้เป็นพระโอรสคนโต พระมเหสีคนแรกของพระองค์คือกงสต็องซ์แห่งตูลูส พระมเหสีคนที่สองไม่มีใครทราบชื่อ แต่พระองค์ไม่มีพระโอรสธิดากับพระมเหสีทั้งสองคนจึงกลายเป็นพระมหากษัตริย์แห่งนาวาร์คนสุดท้ายของราชวงศ์ฆิเมเนส เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1234 ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์คือพระเจ้าธิโบต์ที่ 1 แห่งนาวาร์ผู้เป็นพระภาคิไนย มารดาของพระเจ้าธิโบต์คือบลังกาแห่งนาวาร์ พระธิดาคนสุดท้องของพระเจ้าซันโชที่ 6 แห่งนาวาร์", "title": "ราชอาณาจักรนาวาร์" }, { "docid": "245842#1", "text": "แล้วช่วงชีวิตหนึ่ง ก็ทำให้ป่านพบกับ นิค (ศรุต ชัชวาล) ช่างภาพอิสระ อารมณ์ศิลปิน ที่อาศัยอยู่ห้องตรงข้ามกับเธอ หลายครั้งที่เจอกัน ไม่มีใครกล้าเริ่มบทสนทนา จนวันหนึ่งที่นิคเอ่ยปากคุย ทั้งสองจึงเริ่มต้นที่จะมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน ทั้งสองเริ่มเรียนรู้กันและกัน เธอ สอนให้ เขา ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น.. แต่ เขา สอนให้ เธอ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ และรู้จักกับคำว่า “รัก” ที่จะไม่มีวันเลือนไปจากความทรงจำ...", "title": "กั๊กกะกาวน์" }, { "docid": "867717#14", "text": "แต่ไม่ว่าเพราะเธอจะยังรักเขามากจนไม่อาจตัดใจ หรือเพราะความใกล้ชิดที่ยังไม่เคยแยกจากกันไปไหน หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเธออย่างที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนก็คือ เธอได้พาชีวิตตัวเอง จากความเป็นเมียหลวงของเขามาสู่ความเป็นเพื่อนสนิท และกลับไปจบลงด้วยคำว่าเมียน้อย คนที่เคยเป็นเมียหลวง จากความรักที่เปิดเผยได้ทุกอย่างกลับกลายเป็นเมียน้อยที่ต้องทนอยู่กับความรักที่หลบๆ ซ่อนๆ บอกใครไม่ได้ แล้วเธอจะพาความรักของเธอเดินต่อไปทางไหนอย่างไร", "title": "Club Friday the Series 9 รักครั้งหนึ่ง ที่ไม่ถึงตาย" }, { "docid": "140962#2", "text": "คำว่าร่วมสมัย เป็นคำใช้คำประกอบคำอื่นเพื่อบอกลักษณะ เช่น เพลงร่วมสมัย ภาพเขียนร่วมสมัย ศิลปะร่วมสมัย วรรณกรรมร่วมสมัย กวีร่วมสมัย เป็นต้น ส่วนใหญ่ใช้กับงานศิลปะมากกว่าด้านวิทยาศาสตร์\nเพื่อให้ความหมายของคำ ร่วมสมัย ข้างต้นชัดเจนยิ่งขึ้น จะขอขยายความโดยกล่าวถึงลักษณะของวรรณกรรมร่วมสมัย เป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะทั่วไปและลักษณะพิเศษ\n1. ลักษณะทั่วไป \n1.1 ร่วมสมัยในเวลา ในความหมายนี้ วรรณกรรมสมัยเดียวกันทั้งหมดถือเป็นวรรณกรรมร่วมสมัย ส่วนกำหนดเวลาอาจเป็น 50 ปี หรือ 100 ปี หรือนับตามเวลาของการปกครองบ้านเมือง ก็สุดแต่จะกำหนด ถ้าถือผู้เขียนเป็นเกณฑ์ ก็หมายถึงผู้เขียนที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือมีอยู่ในช่วงเวลาที่กำหนด\nวรรณกรรมที่ร่วมสมัยกัน อาจมิใช่ในปัจจุบัน แต่เป็นสมัยเดียวกันในอดีตก็ได้ เช่น สามก๊ก ร่วมสมัยกับราชาธิราช ขุนช้างขุนแผน ร่วมสมัยกับพระอภัยมณี เป็นต้น\n1.2 ร่วมสมัยในเหตุการณ์ คือ วรรณกรรมเกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์เดียวกัน ซึ่งในกรณีนี้มักใช้เหตุการณ์ทางการเมืองเป็นเครื่องกำหนด เช่น วรรณกรรมในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไทยได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศรัชกาลที่ 3-5 วรรณกรรมยุคได้รับอิทธิพลต่างประเทศหลังรัชกาลที่ 5 วรรณกรรมยุคการต่อต้านของนักศึกษาหลังวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้น\n1.3 ร่วมสมัยในรูปแบบ กล่าวคือ ใช้รูปแบบเป็นเครื่องกำหนด เช่น ในระยะหนึ่งนิยมกลอนเปล่าที่เป็นบทประพันธ์คล้ายร้อยแก้ว วรรณรูป ที่จัดวางคำเป็นรูปภาพต่าง ๆ หรือบทกวีที่ไม่เคร่งครัดฉันทลักษณ์ เป็นต้น ใครที่เขียนบทประพันธ์รูปแบบดังกล่าวก็จัดเป็นกวีร่วมสมัย\n1.4 ร่วมสมัยในเนื้อหา คือวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเรื่องราวในสมัยเดียวกัน เช่น ในยุควิทยาศาสตร์ก้าวหน้า นิยมเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่องอวกาศ เป็นต้น ใครที่เกิดในยุคนื้แต่ชอบเขียนเรื่องที่มีฉากและตัวละครอยู่ในสมัยเก่า เช่นเรื่องนางนพมาศ ก็ไม่นับว่าเป็นนักเขียนร่วมสมัย ตามความหมายในข้อนี้\n1.5 ร่วมสมัยในแนวคิด กล่าวคือ วรรณกรรมที่มีแนวคิดเดียวกันตามความนิยม มักเน้นแนวคิดทางสังคมและการเมือง เช่น วรรณกรรมร่วมสมัยในยุคหนึ่งจะต้องเป็นประเภทรับใช้มวลชน ต่อต้านลัทธินายทุน ยกย่องผู้ใช้แรงงาน และโจมตีวรรณกรรมประเภทรัก ๆ ใคร่ ๆ หรือเรื่องเกี่ยวกับสังคมผู้ดี ว่าเป็นวรรณกรรมน้ำเน่า วรรณกรรมศักดินา ไม่ยอมรับว่าเป็นวรรณกรรมร่วมสมัย เป็นต้น\n2. ลักษณะพิเศษ\n2.1 ร่วมสมัยในความเป็นอมตะ หมายถึงวรรณกรรมที่มิได้เกิดในช่วงเวลาที่กำหนดไว้อาจแต่งไว้นานนับร้อยปีมาแล้ว แต่ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่เสมอ หรือนำมาเสนอใหม่ในรูปแบบอื่นให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายกว่าเดิม เช่น เรื่องเงาะป่า นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ หรือบทกลอนของสุนทรภู่ กลับมาได้รับความนิยมในปัจจุบัน เป็นต้น\n2.2 ร่วมสมัยในการเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ในลักษณะนี้หมายถึง วรรณกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และถือเป็นวรรณกรรมแบบฉบับ หรือที่เรียกว่าวรรณกรรมมรดก เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ ไม่ว่าจะแต่งในสมัยใด รูปแบบ เนื้อหา และแนวคิดจะทันสมัยหรือไม่ก็ตาม เช่น ลิลิตพระลอ อิเหนา ขุนช้างขุนแผน \nสำหรับ ธวัช ปุณโณทก (2527 : 3) ได้ให้ความหมายของวรรณกรรมร่วมสมัย ว่าหมายถึง วรรณกรรมที่ร่วมสมัยกับผู้อ่านผู้ศึกษา ฉะนั้นค่านิยมแนวคิดทางด้านปรัชญาชีวิตและสังคมอันปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเหล่านี้ จึงร่วมแนวคิดเดียวกับผู้อ่านผู้ศึกษา ซึ่งเป็นมโนทัศน์ร่วมของคนส่วนข้างมากของสังคม ถึงแม้ว่าวรรณกรรมบางเรื่องอาจจะเกิดก่อนผู้อ่านในปัจจุบันก็ตาม แต่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรมร่วมสมัย เพราะเหตุว่าปรัชญาชีวิตและสังคมยังใกล้เคียงกับผู้อ่านผู้ศึกษา\nจากการอภิปรายเรื่องบทบาทของวรรณกรรมร่วมสมัยต่อคนรุ่นใหม่ในวารสารโลกหนังสือ (2523 : 8-12) ได้มีผู้ให้คำจำกัดความของคำว่าวรรณกรรมร่วมสมัยไว้หลายท่าน เช่น เสนีย์ เสาวพงษ์ กล่าวว่าหากพิจารณาโดยรูปคำแล้ว วรรณกรรมร่วมสมัย น่าจะหมายถึงวรรณกรรมที่เขียนขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เพราะคำว่า ร่วมสมัย คือ ร่วมเวลามีผู้รู้ทางวรรณกรรมหลายท่านกล่าวถึงคำว่าร่วมสมัยไว้ต่างกัน บางท่านกล่าวว่า ถ้านับตามฝรั่ง 25 ปี ขึ้นไป ก็นับว่าเป็นคนละรุ่น นั่นคือนับสมัยกันจากเวลาที่เขียน\nส่วน รัญจวน อินทรคำแหง กล่าวว่า คำว่าวรรณกรรมร่วมสมัยในความรู้สึกของท่านนั้น คิดว่า จะใช้กาลเวลาเป็นเครื่องตัดสินเห็นจะไม่ได้ แต่จะถือเอาสิ่งที่ยังเป็นความใหม่ในวรรณกรรมชิ้นนั้น ไม่ว่าวรรณกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในสมัยใด คือจะเป็นเวลา 10,20,30,50 ปี ล่วงมาแล้วก็ตามแต่ถ้าหากวรรณกรรมชิ้นนั้น เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วยังสามารถมีไฟเกิดขึ้น เพราะวรรณกรรมนั้นเป็นไม้ขีดไฟที่จะจุดไฟ ซึ่งมีเชื้ออยู่แล้วในหัวใจของผู้อ่านให้ลุกโพลงขึ้น ก็จะถือว่า เป็นวรรณกรรมร่วมสมัย ซึ่งรู้สึกว่าอ่านแล้วยังมีผลกระทบต่อคนอ่าน\nอีกท่านหนึ่งคือ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวว่า คำว่าร่วมสมัยหรือคนรุ่นใหม่นั้นเป็นคำกลาง ๆ ยังไม่ได้เจาะจงอะไรเลยทีเดียวนักหลายคนสรุปว่า ร่วมสมัยนี้ ร่วมอะไร ก็สรุป 2-3อย่าง คือ 1. ร่วมเวลา 2. ร่วมความคิดและร่วมอายุกัน เช่น งานเขียนปีศาจ หรือ ความรักของวัลยา ถือเป็นวรรณกรรมร่วมสมัยคือ ใครที่เขียนแนวนี้ก็ร่วมสมัย ร่วมความคิด กับกลุ่มนี้ได้ ฉะนั้น คำว่าร่วมสมัยก็เป็นคำกลาง ๆ ฉะนั้น หนังสือ \"แปลก\" \"บ้าบอคอแตก\" อะไร ก็ร่วมสมัยของเขาเหมือนกัน คือร่วมสมัยของความงมงาย\nดังนั้น คำว่า วรรณกรรมร่วมสมัย จึงน่าจะมีความหมายว่า วรรณกรรมที่มีเนื้อหา มีแนวความคิดที่คล้ายคลึงกัน อยู่ในแนวเดียวกัน ทั้งนี้แนวคิดนั้นพึงเป็นแนวคิดที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ให้เกิดแก่มวลชนเป็นสำคัญ (สมพร มันตะสูตร 2525 : 16) ", "title": "วรรณกรรมร่วมสมัย" }, { "docid": "102207#1", "text": "นิเรโนะ อุซุกิ สาวน้อยจากต่างจังหวัด ผู้ไม่เคยก้าวออกจากบ้านเกิด สอบติดมหาวิทยาลัยมุซาชิ ในกรุงโตเกียว จึงได้ย้ายเข้ามาพักในโตเกียว ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ความไม่คุ้นเคยต่างๆ ผู้คนรอบตัวหลายหลากในเมืองใหญ่ เธอต้องพยายามปรับตัวเพื่อให้เข้ากับความแปลกใหม่ต่างๆที่พบเจอ เพียงเพื่อเป้าหมายบางอย่างที่เธอได้วาดหวังเอาไว้พบกับภาพยนตร์ที่จะพาคุณไปพบความหมายของคำว่า \"รัก\" สำหรับใครบางคนมันมีพลังมากมายขนาดที่จะเพิ่มความกล้าให้สามารถที่เผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ การแสดงนำของ ทาคาโกะ มัตสึ จะนำผู้ชมเข้าไปพบกับความรักอันสวยงามของสาวน้อยแรกรุ่นที่คุณจะต้องหลงรักเธอ เช่นเดียวกับผู้ชมอีกมากมาย", "title": "เพียงเพื่อ รอพบหัวใจเรา" }, { "docid": "862811#2", "text": "หนุ่ม วัย 21-24 ปี เพิ่งโดนรีไทร์จากช่างกลที่เรียนอยู่ เป็นคนฉลาดเฉลียว แต่ไม่โอ้อวดถ่อมตัว มีวาทะศิลป์ มีความคิดครอบงำผู้คนได้โดยธรรมชาติ ทั้งที่ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์อย่างไรจากการที่เห็นพ่อถูกรีดไถเรียกเก็บค่าคุ้มครอง เห็นเพื่อนตายจากการถูกลูกหลงของพวกนักเลงที่ตะลุมบอนกัน ทำให้เขารู้สึกว่าการจะกลบเสียงปืนได้ ต้องใช้เสียงปืนที่ดังกว่า\nเพื่อนรักเพื่อนแค้นของจอม วัยไล่เรี่ยกัน เป็นคนมุทะลุ ชอบใช้กำลัง แต่ถ้าคบใครเป็นเพื่อนแล้วจะไม่มีคำว่าเอาเปรียบ ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใครโดยเฉพาะเพื่อน คิดว่าตนเอง ฉลาดมีปมด้อยคือไม่สามารถเอาชนะจอมได้สักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหมากรุก เป่ายิ้งฉุบ ทายปัญหา ทางเดียวที่เขาชนะจอมได้ คือจอมปล่อยให้เขาชนะเท่านั้นเอง ซึ่งเขา ไม่เคยรู้ทันเลย\nเพื่อนผู้อยากเหนือเพื่อน ชอบใช้เงินเป็นตัวตั้ง เห็นแก่ตัว เชื่อว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง เอาแต่ใจตัวเอง มีปมด้อยคิดว่าตน เป็นคนไม่ดี ไม่มีความสามารถ จึงต้องพยายามปกปิดไว้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เข้าใจว่าตัวเองเป็นจ่าฝูงในกลุ่มเพื่อน ชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้โดยที่ไม่รู้เลยว่า ทั้งไม้ทั้งนกล้วนแล้วแต่จอมเป็นคนเตรียมเอาไว้ให้เขาชี้ทั้งสิ้น\nสาวน้อยวัย20 ตะลอนตะลอนเร่ร่อนไปกับลุงบุญธรรม ค่ำไหนนอนนั่นไม่ค่อยอยู่เป็นที่ ทางเอาตัวรอดได้ตามสภาวะแวดล้อม มองโลกสดใส เป็นคนมีทัศนคติเชิงบวกแม้ในยามน้อยใจไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นพ่อ เป็นแม่ที่แท้จริง ลักษณะนิสัยออกไปทางกะล่อน แต่ถ้าเห็นคนอื่นที่เดือดร้อนกว่า ก็สามารถแปลงความกะล่อนให้เป็นทุนไปช่วยเหลือผู้อื่นก่อนตนเองได้\nหญิงวัยเดียวกับบุญตา หลงใหลแสงสี อยากเด่นดังมีชีวิตที่สุขสบาย ต้องการเป็นที่ถูก สนใจเป็นคนมองโลกอย่างที่เห็นเป็นอยู่ ไม่ร้ายไม่ดี สามารถพลิกผันได้ตามสถานการณ์ต่างๆ ถ้าต้องเลือกระหว่างความรักกับความสบาย เธอยินดีเลือกความสบาย มีความเชื่อเสมอมาว่า โลกนี้มีอย่างเดียวที่เงินซื้อไม่ได้ คือเงินที่มากกว่าเท่านั้นเอง\nสาววัยยี่สิบ เป็นเพื่อนรักกับบุญตา และพรพรรณ ต้องทำอาชีพขายตัวด้วยความจำเป็น เพราะแม่ป่วย และมีฐานะยากจน เธอจึงไปกู้เงินและเป็นหนี้มากมาย สิ่งเดียวที่เธอมองหาคือความรัก ผู้ชายคนที่เธอรักที่สุดก็คือ เฉียด\nนายตำรวจยศใหญ่ ที่คอยดูแลความสงบในพระนคร ถูกส่งมาเพื่อดูแลความเรียบร้อยของทั้งสามก๊กใหญ่ ซึ่งสารวัตรท่านนี้ก็กินส่วยกินสินบนแหลกราน พร้อมเอาตัวรอดตลอดเวลา\nอายุ 65 ปี เป็นคนเร่ขายยาผีบอกตามข้างถนน เป็นคนสมถะ อารมณ์ดี พูดได้น้ำไหลไฟดับเพื่อให้ขายยาได้ มีความสามารถเล่นปาหี่ตีงู ดึงคนดูข้างถนนมุงดูเขาเล่นกลได้ มีความสามารถเชิงมวย เชิงอาวุธประชิดตัว ใช้ประกอบการแสดงขายยา แต่ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงภาพฉาบเบื้องหน้า ก่อนนั้น 20 ปีที่แล้ว เขาเคยเป็นนักเลงปล้นฆ่านามว่า เปี๊ยก ซัมมิท\nอายุประมาณ 52 ปี เป็นคนเก่งรอบด้าน อ่านเกมส์ทุกอย่างล่วงหน้า จนลืมอ่านหมากตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นเจ้าของสัมปทานฝิ่นยุคสุดท้าย โดยที่ตนเองไม่ยอมแตะต้องเสพย์เองเลย กลียุคที่เกิดขึ้นจากสงครามระหว่างก๊ก มาจากความกลัวที่จะหลุดจากอำนาจบารมีของ ‘สัว’ คนอย่างเขายอมที่จะฆ่าเพื่อนร้อยคน ดีกว่าปล่อยศตรูรอดไปเพียงคนเดียว\nอายุประมาณ 52 ปี เป็นคนโล้งเล้ง โวยวาย ขี้คุยโอ้อวด เป็นพ่อของบวร ตนเองเป็นเจ้าของสัมปทานท่าข้าวในพระนคร อยากวางมือ แต่ติดตรงที่ลูกชายตัวเองไม่ได้เรื่องได้ราว ชมเชยลูกคนอื่นตลอดเวลา แต่ไม่เคยชื่นชมลูกตัวเองเลย เจ้าอารมณ์เบ็ดเสร็จ เด็ดขาดสุขภาพไม่ค่อยดีนัก เขารู้ดีว่าจะมีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นานแต่ไม่ยอมบอกใคร\nอายุ 55 ปี เยือกเย็น สุขุม แต่โหดร้าย ใจดำ จ้องจะเอาทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นเจ้าของธุรกิจน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในพระนคร ปั๊มท์เล็กปั๊มท์น้อย ธุรกิจขนส่ง ล้วนแล้วแต่อยู่ในโอวาทมันเป็นคนตลบแตลง กลับคำพูดได้ตลอดเวลา ในบรรดาก๊กที่ครองพระนครอยู่นี้ ก๊กของเสี่ยเฮงจะมีสัมพันธภาพอันดีกับทางการมากที่สุด ติดสินบนทุกอย่าง มีสายสนกลในกับตำรวจ\nตำรวจสอบบรรจุชั้นผู้น้อย ไม่มีเส้นไม่มีสายมีแต่ใจอยากผดุงความยุติธรรม อายุย่าง 28 ปีประสบการณ์ยังน้อยอยู่เกือบตายในสถานการณ์วุ่นวาย ดีแต่ว่าจอมช่วยชีวิตจ้อยเอาไว้เขาจึงรู้สึกเป็นหนี้ชีวิตจอม จ้อยเห็นพ่อที่เป็นยามโดนยิงคาตาตอนเด็ก จากเหตุการณ์ปล้นทองคำแท่ง เขาจึงอยากเป็นตำรวจเพื่อตามสืบจับคนร้ายรายนั้น แม้ว่าจะเป็นคดีที่ถูกปิดไป\nหัวหน้ากลุ่มจับกัง กรรมกรนิสัยซื่อ พอใจกับการขายแรง ไม่คิดแย่งเป็นใหญ่กับใครแต่ก็ไม่ชอบถูกเอาเปรียบ รักและนับถือจอม เพราะรู้สึกว่าติดดินและไม่ดูถูกพวกตน\nนักฆ่ามือขวาของสัว เป็นผู้หญิงสาวสะพรั่งกระดังงาลนไฟ อายุ 28 ปี รูปร่างดี มีความสามารถในการใช่เสน่ห์เแห่งเรือนร่างเพื่อการฆ่าสูงมาก เธอหลงรักสัวมาโดยตลอด\nนักฆ่ามือพระกาฬ อายุประมาณ 35 ปี แข็งแกร่ง เชิงบู๊ฉกาจ เป็นคนชอบความเจ็บปวด มีนิสัยชอบทารุณเหยื่อที่อ่อนแอกว่า ในเวลาที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น เป็นฆาตกรต่อเนื่องกลายๆ\nมือขวาของ เถ้าแก่บ้วน อายุประมาณ 28 ปี ตัวเล็กแต่ว่าสามารถคว่ำคู่ต่อสู้ที่รูปร่างใหญ่กว่ามานักต่อนักแล้ว มีปมด้อยว่าตัวเองเป็นคนตัวเล็ก จึงมักชอบหาเรื่องคนอื่นก่อน อวดศักดา\nแม่ของจอม แม่ตัวอย่าง แม่แสนดี มีความหวังอยู่ตลอดว่าลูกจะเรียนจนจบ หางานหาการดีทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องซอมซ่อ อยู่ในร้านตัดผม เหมือนอย่างผัวของเธอ ซึ่งก็คือพ่อของจอม\nพ่อของจอม ขี้เหล้า เป็นช่างตัดผม เวลาว่างจากการตัดผม เขาจะดื่มเหล้าตลอด จนมือสั่นทำให้ไม่ค่อยจะมีคนเข้ามาใช้บริการสักเท่าไหร่ ดีแต่ว่า มีลูกน้องที่ตัดอยู่เก้าอี้ข้างๆดูแล\nนายตำรวจกองปราบอายุประมาณ 48 เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์โดยแท้ เป็นคนตลก รักสนุกเฮฮา แต่จริงจังกับการที่จะเอาเจ้าพ่อทั้งสาม เข้าคุกให้ได้ แม้ว่าจะเกินกำลังตน\nโจรปล้นทองคำแท่งร่วมกับเปี๊ยก ซัมมิท โดนสั่งจำคุกตลอดชีวิต แต่ติดจริงเพียงแค่20ปี กำลังจะพ้นโทษออกมา ตามล่าทองคืน กับ คนที่เขารู้สึกว่าหักหลังเขาครั้งนั้น\nพระแก่พรรษา ชื่อทางธรรมว่าพักตร์ เป็นพระสายปฏิบัติ ไม่ค่อยเคร่งครัดในเรื่องกิจของสงฆ์เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องกิจการของเหล่าวัยรุ่นแถววัดที่พระอยากให้เป็นคนดี ไม่มีขัด\nนักเลงในหมู่บ้าน มีพ่อเป็นข้าราชการใหญ่ ทำให้ สุธรรม ทำตัวเป็นนักเลงเก๋า เก็บค่าที่ ค่าคุ้มครองจากชาวบ้านละแวกนั้น โดยอ้างว่าเป็นที่ที่พ่อเขาบริจาคให้ ทำให้ จอม ไม่พอใจ และมีเรื่องกับ สุธรรม อยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงเพราะฝีมือของเพื่อนจอม\nสมุนคนสนิทของ เสี่ยเฮง ฝีมือการต่อสู้ดี ตอนหลังมาอยู่กับ ผู้กองอัศวิน เพราะไม่ชอบ เฉียด เพราะ เฉียด ยึดอำนาจจาก เสี่ยเฮง และตามแอบฆ่า เฉียด อยู่บ่อยๆ\nเป็นสมุนฝีมือดีของสัวกิม เป็นเด็กที่สัวกิมเอามาเลี้ยง แต่ในความเป็นจริง สัวกิมเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของตอง ตองแอบหลงรัก สิชล แต่สิชลกลับหลอกใช้ ตอง สุดท้าย สิชล ก็ตายด้วยน้ำมือของ ตอง\nสมุนของ เถ้าแก่บ้วน สนิทกับ เตี้ย ไปไหนไปคู่กันตลอด ฝีมือการต่อสู้ยอดเยี่ยม\nเป็นแม่เล้าที่พาจำปามาทำงานใช้หนี้ เป็นตัวกลางที่ทำให้เฉียดรับรู้ความจริงเรื่องจำปา", "title": "มือเหนือเมฆ" }, { "docid": "651446#3", "text": "เนื้อหาของเพลงนี้ เกี่ยวกับต้องการสื่อให้ใครสักคนก็พอชีวิตตายให้มีความหมาย เพื่อคำว่ารักไม่ยิ่งใหญ่แค่เธอจำไว้เพียงพอ เป็นเรื่องปกติของคนเราที่ย่อมมีเกิดแก่เจ็บตาย แต่ว่าในระหว่างที่เราใช้ชีวิตอยู่ เราจะใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไร อยู่เพื่อทำอะไร ... เพื่อที่จะเตรียมตัวที่จะไม่อยู่แล้วอย่างมีคุณค่าที่สุด บางทีไม่จำเป็นต้องเป็นประโยชน์สำหรับคนหมู่มาก ทำเพื่อสังคม หรือประเทศชาติที่มันใหญ่โต เพียงแค่ชีวิตชีวิตนึง มีใครสักคนหนึ่งที่จำว่าเราเคยมีคุณค่า แล้วทำให้คนๆนั้นอย่างเต็มที่ ที่สุดแล้วก็น่าจะมีค่าพอสำหรับใครที่จะจดจำ แค่นี้ถือว่าเป็นการเตรียมตัวตายที่ดี", "title": "เตรียมตัวตาย" }, { "docid": "428325#1", "text": "เรื่องราววุ่นๆของ ตั๊ด (วรเวช ดานุวงศ์) ชายหนุ่มบ้ากีฬาฟุตบอล ผู้มีชีวิตเป็นวงกลม ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจ ทำให้แฟนสาว มาแต (อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา) ที่คบกันมานานเริ่มเบื่อจนต้องบอกเลิกกันไป\nแต่ก็ไม่รู้ทำไมเพื่อนสาวของแฟนเก่า ง้อ (คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์) ผู้หญิงที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก จนลืมนึกถึงเรื่องตัวเอง ที่แอบหลงรักตั๊ดมานานจนสารภาพรัก เจ้าตัวก็ตอบรับในทันที\nแต่เรื่องราวยังไม่จบ เมื่อง้อถูกมองว่าแย่งแฟนเพื่อน เป็นได้แค่เงาของมาแต ส่วนมาแต สาวลูกคุณหนู ออกตัวแรง พกความมั่นใจมาอย่างเต็มพิกัด ที่เพิ่งจะบอกเลิกกับแฟนหนุ่มมามาดๆ \nพอเจอหนุ่มที่คิดว่าใช่ที่สุดในชีวิต ก็ไม่รีรอเดินหน้าจีบอย่างเต็มที่ แต่ทางด้านชายหนุ่ม แทน (อารักษ์ อมรศุภศิริ) ผู้ที่พยายามทำให้ตัวเองดูเท่ เพื่อจะได้มีคนมารัก แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับไม่แน่ใจ\nกลัวความรักที่เกิดขึ้น หลังอาน (โก๊ะตี๋ อารามบอย) ผู้ที่ให้ความรักกับผู้หญิงแค่ 2 คนบนโลกเท่านั้น คนแรกเป็นผู้หญิงที่หลังอานเลือกไม่ได้นั่นก็คือคุณแม่ ส่วนอีกคนหลังอานขอเป็นคนเลือกเอง\nจนได้พบกับ ฟ้า (อภิญญา สกุลเจริญสุข) ผู้หญิงที่ไม่ใส่ใจเรื่องรูปร่างหน้าตา แต่ขอเพียงใครสักคนที่รักตัวเองจริงก็พอ แต่ความรักของหลังอานอาจไม่ราบรื่น เพราะ คุณแม่กับแฟนสาวเข้ากันไม่ได้\nกลุ่มเพื่อนซี้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองรักใครกันแน่ เมื่อ 2 หนุ่ม อุ่น (โทนี่ รากแก่น) และเจ็ท (ธนกฤต พานิชวิทย์) ต้องมารับหน้าที่ปรึกษาหัวใจกับ เง็ก (รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์) สาวปากแข็งทีไม่ยอมรับหัวใจ\nตัวเอง ด้วยความที่ทั้ง 3 สนิทกันมากเลยจนมองข้ามความรักไป ฟิน (กวี ตันจรารักษ์) หนุ่มที่จริงจังกับการใช้ชีวิตทุกเรื่อง ต้องมาติดแง็กรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ กับคุณหมอสาวสุดเปรี้ยว\nที่นิสัยต่างกันคนละขั้วอย่าง ดี้ (ณัฐฐาวีรนุช ทองมี) ที่ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของความรัก", "title": "ส.ค.ส. สวีทตี้" }, { "docid": "306416#1", "text": "ไมค์ หนุ่มน้อยลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศไทยเพื่อตามหาแม่ โดยที่ตัวเองไม่ได้เตรียมตัวและมีความรู้ความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย \nกอล์ฟ หนุ่มน้อยชาวไทย รักธรรมชาติ มีอดีตฝังใจกับการสูญเสียพ่อไปจากการเก็บกู้ซากปะการัง ด้วยความเป็นคนนิสัยแข็งกระด้าง ทำให้กอล์ฟมักจะไม่ยอมลงให้กับใครง่าย ๆ ซึ่งคู่ปรับคนสำคัญของกอล์ฟก็คือ เปิ้ล ผู้ซึ่งคลั่งไคล้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ เป็นเจ้าของและผู้ดูแลอพาร์ทเมนท์ที่กอล์ฟเช่าอยู่ \nและเพราะการมาประเทศไทยโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ทำให้ไมค์ต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดมากมาย รวมถึงโชคชะตาที่เล่นตลกจนทำให้ไมค์ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับ แพท สาวที่ทำงานเป็นผู้ประสานงานบริษัทโฆษณา ผู้ซึ่งใช้ชีวิตยามว่างอยู่ในโลกไซเบอร์ สังคมอินเทอร์เน็ตและไดอารี่ออนไลน์ \nทั้ง 4 คน ไมค์, กอล์ฟ, เปิ้ล และ แพท ได้มาเจอะเจอและรู้จักกัน ผ่านเหตุการณ์ชุลมุนและบังเอิญ เหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อความชุลมุนจนถึงขั้นที่ทำให้ทั้ง 4 คน จำเป็นต้องมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน นั่นก็คืออพาร์ทเม้นท์ของเปิ้ล ทำให้ทั้ง 4 ได้รู้จักเรียนรู้และเกิดความใกล้ชิดผูกพันกันมากขึ้น...มากขึ้น \nการได้โคจรมาเจอกันของสองหนุ่มและสองสาว ก่อความรู้สึกดี ๆ ที่เรียกว่า ความรัก แม้จะเกิดอาการผิดฝาผิดตัวกันอยู่เนือง ๆ กว่าจะเรียนรู้หัวใจตัวเองกันได้ว่าใครรักใคร ใครชอบใคร ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุน ไปจนถึงขั้นวุ่นวาย (หัวใจ) แต่ก็ทำให้แต่ละคนได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่าง ไทยกับญี่ปุ่นกันโดยไม่รู้ตัว \nและภายใต้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ระหว่างกอล์ฟและไมค์นั้น ทั้งคู่ไม่ได้รู้ระแคะระคายเลยว่า แม่ที่ไมค์ตามหาอยู่จริง ๆ แล้วก็คือแม่ของกอล์ฟด้วยนั่นเอง ทั้งคู่เป็นลูกแม่เดียวกันและด้วยความไม่รู้ จึงทำให้ทั้งคู่เกิดปัญหาจนเกือบทำให้พี่น้องต้องเกือบผิดใจกัน เรื่องวุ่น ๆ ของความผูกพันระหว่าง เพื่อน พี่น้อง และคนรัก ที่อุบัติขึ้นท่ามกลางการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความประทับใจในวัฒนธรรมไทยและญี่ปุ่น จะดำเนินและจบลงอย่างไร ติดตามหาคำตอบได้ใน ละครรัก โรแมนติก แฝงแง่คิดให้กับวัยรุ่นไทยในยุคที่โลกหมุนเร็วกว่าวัฒนธรรม ใน \"อุบัติรัก ข้ามขอบฟ้า\"", "title": "อุบัติรักข้ามขอบฟ้า" }, { "docid": "852014#1", "text": "เรื่องราวความรักสามเส้าของ เรือเอกตฤณ วิชชุลดา นายทหารเรือหนุ่มที่ถูกตามล่าเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารจนต้องหนีลงมาอยู่ที่ปัตตานีพร้อมกับใช้ชื่อปลอมว่า นายใหม่ รักหมู่ , กฤษณ์ วิชชุลดา นักการทูตหนุ่มผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาของตฤณซึ่งหลงรักชลลดาบุตรสาวคนโตของท่านผู้พิพากษาประจำปัตตานีและ ชลลดา อรรถกิจวินิจฉัย หรือ กุ้ง สาวนักเรียนนอกบุตรสาวคนโตของ หลวงอรรถกิจวินิจฉัย ท่านผู้พิพากษาประจำปัตตานีสุดท้ายชลลดาจะเลือกใครระหว่างนายทหารเรือกับนักการทูต", "title": "กัลปังหา (นวนิยาย)" }, { "docid": "210386#1", "text": "\"ฤดูกาลในที่นี้ ใช้ตามฤดูกาลที่ฉายทางช่อง SBS\"ฤดูกาล ที่ 28 กับ 33 ไม่มีออกอากาศในไทยฤดูกาลที่ 38-40 ไม่มีออกออากศในไทยฤดูกาลที่ 61-62 ไม่มีออกอากาศในไทยผู้เข้าแข่งขันโดยส่วนใหญ่จะเป็นดารา นักร้อง และนักแสดง และ 1 ใน 16 ผู้เข้าแข่งขัน จะมี 1 คนเท่านั้นที่จะได้เป็น X-Man ตอนต้นรายการจะทำการต่อสายถึงทีมงาน ผู้เข้าแข่งขันคนที่ได้ยินคำว่า \"คุณได้รับเลือกให้เป็น...X-man\" คนนั้นจะต้องทำภารกิจในเกมเพื่อทำลายโอกาสทุกอย่าง", "title": "X-Man ปริศนาเขาคือใคร" }, { "docid": "34033#2", "text": "ผิดกับ ไนโต อาโร่ เด็กหนุ่มผู้สามารถมองเห็น \"อดีต\" แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากมองดูเฉย ๆ เพราะ \"อดีต\" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านพ้นมาแล้ว หลายครั้งที่ อาโร่ ต้องทนกับรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถแก้ไขหรือทำอะไรกับ \"อดีต\" ได้ และ นามิกิ มาซาฮิโระ เด็กหนุ่มที่แม้จะสามารถมองเห็น \"อนาคต\" ได้เหมือนกับคานาเดะ ก็ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือให้ใครรอดพ้นจากอนาคตที่ไม่ดี เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตกับตัวเขา ทำให้เขาคิดว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ของคนอื่น ไม่เคยให้ผลดีอะไรต่อตัวเอง แต่เมื่อได้มาพบกับ คานาเดะ ความรู้สึกของ อาโร่และนามิกิ ที่มีต่อพลังของตัวเองก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 โดย มารีน เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งจะมีเนื้อหาตรงกับในรวมเล่มฉบับที่ 1 คำว่า เมะคะคุชิ (目隠し) จากชื่อเรื่อง เมะคะคุชิ โนะ คุนิ (目隠しの国) มีความหมายในภาษาญี่ปุ่นว่า \"ผ้าปิดตา\" ซึ่งผู้เขียนนำมาใช้เป็นเหมือนสิ่งเปรียบเทียบว่าคนทุกคนในโลก ล้วนมีขอบเขตของการมองเห็นอยู่ โดยมี \"ผ้าปิดตา\" ปิดตาไว้เพื่อให้ \"มองเห็น\" เฉพาะในสิ่งที่ควรจะมองเห็นเท่านั้น การที่คานาเดะ อาโร่ และนามิกิ สามารถมองเห็น \"อนาคต\" หรือ \"อดีต\" ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ควรจะมองเห็น ก็เพราะ \"ผ้าปิดตา\" ของพวกเขาได้เลื่อนหลุดลงมานั่นเอง", "title": "สัมผัสรักจากฟากฟ้า" }, { "docid": "227788#4", "text": "ความรัก เป็นเรื่องหนึ่งที่คนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะความรักอยู่รอบตัวเรา อยู่ทุกที่ ความรักเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกับครอบครัว ญาติมิตร แฟน สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่สิ่งของ ดังนั้นเราจึงมีบทสนทนาเกี่ยวกับความรักเกิดขึ้นเสมอ ตราบเท่าที่เราอยากจะเอ่ยปากเล่าให้ใครสักคนฟัง และช่วงเวลาหนึ่งที่คนมักใช้เวลาพูดถึงเรื่องราวความรักของตัวเองกับเพื่อนได้อย่างสบายใจนั้น ก็คือ ช่วงเวลาทานอาหาร", "title": "Lovetaurant" }, { "docid": "804877#1", "text": "อายาโนะ ไอชิ หรือ ยันจัง เด็กนักเรียนสาวคนหนึ่งที่มีความแตกต่างจากคนอื่นคือเธอนั้นไร้ความรู้สึกจนกระทั่งได้พบกับ ยามาดะ ทาโร่ หรือ รุ่นพี่ เด็กนักเรียนหนุ่มที่อยู่โรงเรียนเดียวกันกับเธอ เธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบ ความรู้สึกเมื่อเธอพบกับรุ่นพี่ครั้งแรกนั้นเป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตเลย หลังจากนั้นเธอได้คอยแอบตามรุ่นพี่ไปทุกครั้งที่มีโอกาสและแอบตามไปเก็บสิ่งของต่างๆที่รุ่นพี่ไม่ใช้แล้ว และวันหนึ่งเธอได้รับข้อความจากหญิงสาวนิรนาม โดยเธอกล่าวว่าเธอนั้นเห็นอายาโนะแอบตามติดยามาดะ แต่อายาโนะก็ไม่มีทีท่ากับการที่มีผู้อื่นรู้ความลับของเธอ หญิงสาวนิรนามบอกว่าเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรกับนิสัยโรคจิตของอายาโนะ แต่เธอมาเพื่อบอกข้อมูลกับอายาโนะว่ามีหญิงสาวที่กำลังตกหลุมรักรุ่นพี่ที่อายาโนะแอบรักอยู่เหมือนกัน ชื่อของหญิงสาวคนนั้นคือ โอซานะ นาจิมิ เธอหวังจะใช้เรื่องเล่าตำนานของโรงเรียนที่ว่าถ้าสารภาพรักใต้ต้นซากุระในโรงเรียนในศุกร์ เธอจะสมหวังในรัก และหญิงสาวนิรนามได้กล่าวว่าคงจะเป็นการดีถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับโอซานะ อายาโนะเริ่มสงสัยว่าบุคคลที่เธอกำลังคุยอยู่ด้วยเป็นใครกันแน่ จึงได้ซักถามหญิงสาวนิรนามไป หญิงสาวนิรนามกล่าวว่าเธอคือ อินโฟจัง อายาโนะนึกขึ้นได้ว่าเธอคือคนที่เป็นที่กล่าวขานในโรงเรียนว่าเป็นผู้ที่คอยแบล็คเมล์เด็กนักเรียนสาวในโรงเรียน และขายรูปถ่ายกางเกงในของนักเรียนหญิงในโรงเรียนให้กับพวกเด็กผู้ชาย ไม่มีใครที่รู้ว่าตัวตนจริงๆของเธอนั้นคือใคร อินโฟจังกล่าวว่าถ้าอายาโนะต้องการความช่วยเหลือจากเธอไม่ว่าจะเป็นทางด้านสิ่งของหรือข้อมูลต่างๆ เธอก็จะช่วยเหลือเท่าที่เธอสามารถทำได้โดยแลกกับรูปถ่ายกางเกงในของเด็กนักเรียนหญิงในโรงเรียน หรือถ้าต้องการรู้ข้อมูลของบุคคลในโรงเรียนก็ให้เธอถ่ายรูปหน้าของบุคคลที่เธออยากรู้และส่งมาให้เธอและเธอจะบอกข้อมูลทุกอย่างที่เธอรู้ให้กับอายาโนะ อายาโนะได้ตอบกลับอินโฟจังไปว่าเธอนั้นเป็นคนที่น่ารังเกียจจริงๆ แต่ก็โดนอินโฟจังสวนกลับมาว่าเธอก็เป็นโรคจิตที่คอยตามผู้ชายเหมือนกัน และได้ส่งข้อความสุดท้ายมาว่าถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือให้ส่งข้อความมาหาเธอ แต่ถ้าไม่ก็ไม่ต้องติดต่อเธออีกเลย ก่อนจะบอกว่าอายาโนะมีเวลา 1 สัปดาห์ก่อนที่รุ่นพี่สุดที่รักของเธอนั้นจะตกไปเป็นของโอซานะ และเธอหวังว่าเธอจะได้เห็นโอซานะทรมานจากสิ่งที่อายาโนะกำลังจะทำ", "title": "ยันเดเระ ซิมูเลเตอร์" }, { "docid": "713522#3", "text": "บทสรุปของนิยามความรักที่ต่างเหตุผลของทั้ง 4 คน ที่มิอาจคาดเดา ร่วมกันค้นหานิยามของคำว่า \"รัก..คือ...การ...ให้\" นิยามของใครที่โดนใจคุณโดยสุเมธ องอาจ จากต้นฉบับ ของเติ้งลี่จวิน", "title": "Love Is สี่เส้า" }, { "docid": "151912#5", "text": "\"...เอาล่ะ ..ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับรางวัลจากเฉลิมไทยอวอร์ด สาขาผู้แสดงนำชาย ก็รู้สึกดีใจ และขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน ทั้งในส่วนของทีมงาน ทั้งทีมสร้าง ทีมโปรโมท และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ขอบคุณพี่มะเดี่ยวและพี่ดา ผู้อยู่เบื้องหลังการแสดงที่น่าประทับใจนี้ (คืออยากจะเล่าว่า ในเรื่องเวลาที่ต้องจ้องตามาริโอ้ จริง ๆ แล้วตรงนั้นมีพี่ดา หญิงแกร่งผู้นั้นคอยยืนเป็นอายไลน์อยู่เสมอ) \nขอบคุณไปถึงแฟน ๆ และชาวเฉลิมไทยที่ให้การสนับสนุน... แม้จะไม่ได้อ่านทุกกระทู้ ทุกรีวิวที่พี่ ๆเขียนขึ้น แต่การที่เปิดหน้าเฉลิมไทยขึ้นมาแล้วเจอคำว่ารักแห่งสยาม รักแห่งสยาม รักแห่งสยาม รักแห่งสยาม นั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเข้าไปอยู่ในใจของใครหลายคน... รางวัลนี้จึงเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรามาก ทุกคำติชมของพี่ ๆ ทุกคนจะเป็นเหมือนกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานและพัฒนาฝีมือต่อไป \nขอบคุณอีกครั้งครับ!!...\"", "title": "เฉลิมไทยอวอร์ด ครั้งที่ 5" }, { "docid": "769176#8", "text": "กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2559 ได้มีซิงเกิ้ลเพลง \"ที่ใดมีรัก\" โดยเป็นเนื้อหาเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อเอาใจคนโสด คนเหงาโดยเฉพาะ หากพูดถึงคำว่า “ที่ใดมีรัก” หลายๆ คนมักจะมีความเข้าใจเหมือนกันว่า “ที่นั่นย่อมมีทุกข์” แต่ความจริงแล้ว สำหรับใครอีกหลายๆ คนแล้ว การที่ไม่มีความรักนั้น ก็มีความทุกข์เช่นกัน โดยมี วอร์นเนอร์ มิวสิก ไทยแลนด์ เป็นผู้จัดจำหน่ายให้", "title": "แอร์บอร์น" }, { "docid": "702679#0", "text": "\"หรือว่าเธอ?\" เป็นซิงเกิลในปี พ.ศ. 2557 ของนักร้องนัน สุนันทา ผู้เข้าแข่งขันรายการทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 10 สังกัดค่ายสหภาพดนตรี ประพันธ์เนื้อร้องโดย Uncleae Team ทำนองโดย-เรียบเรียงโดย J & J ออกจำหน่ายในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557 โดยเป็นเพลงของคนขี้เหงาที่อยากได้ใครสักคนมาเปิด­ตัวใช้คำว่ารักไปด้วยกัน", "title": "หรือว่าเธอ" }, { "docid": "22207#0", "text": "นิม () คือ เกมวางแผนทางคณิตศาสตร์เกมหนึ่ง ซึ่งมีผู้เล่น 2 คน และมีกติกาในการเล่นดังนี้มีการเล่นนิมมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว บางคนกล่าวว่านิมมีต้นกำเนิดจากจีน แต่ความจริงแล้ว ยังไม่มีใครรู้ได้ จากหลักฐานของชาวยุโรป พบว่า นิมมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 Charles L. Bouton แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นผู้ตั้งชื่อเกมนี้ว่า นิม และได้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับเกมนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1901 แต่ชื่อเดิมของเกมนี้ยังไม่มีใครรู้ บางทีมันอาจมาจากภาษาเยอรมันคำว่า \"nimm!\" ซึ่งแปลว่า \"take!\" หรืออาจจะมาจากภาษาอังกฤษเก่า ซึ่งก็แปลว่า take เหมือนกัน มีการตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อเราหมุนคำว่า \"NIM\" เราจะได้คำว่า \"WIN\" ซึ่งอาจเป็นเพียงความบังเอิญ", "title": "นิม" }, { "docid": "935145#0", "text": "เฟรนออฟโดโรธี หรือ เพื่อนของโดโรธี () บางครั้งย่อว่า FOD เป็นคำสแลงของชาวเกย์ที่สื่อถึงชายรักร่วมเพศ วลีนี้ใช้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงที่การเป็นเกย์ผิดกฎหมายในสหรัฐ เมื่อถามใครว่าเป็น \"เพื่อนของโดโรธี\" หรือเปล่า จะเป็นการถามถึงรสนิยมทางเพศโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ คล้ายกับคำว่า เพื่อนของนางคิง (friend of Mrs. King) ที่ใช้ในอังกฤษในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20", "title": "เพื่อนของโดโรธี" }, { "docid": "20779#51", "text": "มีรายงานถึงโรคเอดส์ครั้งแรกในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2526 เมื่อ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้บันทึกการระบาดของโรค Pneumocystis carinii pneumonia (ปัจจุบันเรียก Pneumocystis pneumonia จากเชื้อ Pneumocystis jirovecii) ในชายรักร่วมเพศ 5 คนในลอสแอนเจลิส[81] ในระยะแรก CDC ยังไม่มีชื่อเรียกโรคนี้ โดยมักเรียกตามลักษณะอาการที่ปรากฏของโรค เช่น lymphadenopathy (พยาธิสภาพของต่อมน้ำเหลือง) ซึ่งเป็นชื่อที่เคยใช้เป็นชื่อของไวรัสเอชไอวีเมื่อแรกค้นพบ[10][11] ชื่ออื่นเช่น Kaposi's Sarcoma and Opportunistic Infection (เนื้องอกคาโปซีที่มีการติดเชื้อฉวยโอกาส) ซึ่งเป็นชื่อที่มีการตั้งทีมงานดูแลในปี พ.ศ. 2524[82] โดยทั่วไปยังมีการใช้คำว่า GRID (Gay-related immune deficiency - ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องสัมพันธ์กับกลุ่มรักร่วมเพศ) อีกด้วย[83] ทาง CDC ระหว่างที่กำลังหาชื่อโรคอยู่นั้นเคยใช้คำว่า \"โรค 4H\" (the 4H disease) เนื่องจากโรคนี้ดูเหมือนจะพบในชาวเฮติ (Heitians) ,กลุ่มรักร่วมเพศ (Homosexuals), ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophiliacs) และผู้ใช้ยาเฮโรอิน (Heroin users) [84] อย่างไรก็ดีหลังจากมีการค้นพบว่าโรคนี้ไม่ได้พบแต่ในกลุ่มคนรักร่วมเพศ[82] คำว่า GRID ก็กลายเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิด และคำว่า AIDS ก็ถูกเสนอขึ้นมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2525[85] จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2525 CDC ก็เริ่มใช้ชื่อโรคเอดส์ และเริ่มให้นิยามของโรคนี้ได้อย่างเหมาะสม[86]", "title": "เอดส์" }, { "docid": "227434#3", "text": "เด็กๆ จะเริ่มเรียก \"มา โอน้อยออก กัน\" จากนั้นทุกคนก็รวมกลุ่มยืนล้อมเป็นวง แล้วยื่นท่อนแขนตั้งแต่ศอกลงมาถึงมือ ออกมาหนึ่งข้าง ตั้งฉากกับลำตัว หรือขนานกับพื้นโลก เหยียดฝ่ามือ หันสันมือลงกับพื้น (นิ้วโป้งอยู่ด้านบน นิ้วก้อยอยู่ด้านล่าง) คล้ายท่า จะจับมือทักทายของฝรั่ง แล้ว สะบัดฝ่ามือแกว่งตามแนวนอน คล้ายการทำท่าพัด พร้อมกับช่วยกันเปล่งเสียงคำว่า \"โอ...น้อย...อ่อก\" ด้วยการลากเสียงคำว่า \"โอ\" และ/หรือ ลากเสียงคำว่า \"น้อย\" เพื่อเป็นการนัดพร้อม และออกเสียงห้วนๆ สั้นๆ กับคำว่า \"ออก\" เพื่อให้ทุกคนที่ล้อมวง เลือกว่า จะ \"หงายฝ่ามือ\" หรือ \"คว่ำฝ่ามือ\" ใคร หรือ กลุ่มใด แสดงผล \"หงายฝ่ามือ\" หรือ \"คว่ำฝ่ามือ\" มีจำนวนน้อยกว่า (เสียงส่วนน้อย) ก็เท่ากับว่าแพ้ ตกรอบไปก่อน คนที่เหลือ ก็ \"โอน้อยออก\" กันต่อไป คัดเสียงส่วนน้อย ออกไปเรื่อยๆ จนเหลือ 2 คน ก็จะใช้วิธีการ เป่ายิ้งฉุบ หรือ เป่ายิงฉุบ แทน ก็จะได้ผู้ชนะสุดท้าย", "title": "โอน้อยออก" } ]
3576
จังหวัดตรัง มีกี่อำเภอ ?
[ { "docid": "6840#4", "text": "แบ่งออกเป็น 10 อำเภอ 87 ตำบล 723 หมู่บ้าน", "title": "จังหวัดตรัง" } ]
[ { "docid": "6840#8", "text": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง (อำเภอเมืองตรัง) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง (อำเภอสิเกา) มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดตรัง (อำเภอเมืองตรังและอำเภอห้วยยอด) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาตรัง (อำเภอเมืองตรัง) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาตรัง วิทยาคารห้วยยอด (อำเภอห้วยยอด) มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ศูนย์การศึกษาตรัง (อำเภอเมืองตรัง) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ศูนย์การศึกษาตรัง ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง (อำเภอเมืองตรัง) มหาวิทยาลัยปทุมธานี ศูนย์การศึกษาตรัง ณ โรงเรียนห้วยยอด อำเภอห้วยยอด สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตตรัง (อำเภอย่านตาขาว) วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดตรัง (อำเภอกันตัง) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง (อำเภอเมืองตรัง) วิทยาลัยเทคนิคตรัง (อำเภอเมืองตรัง) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ตรัง วิทยาลัยสารพัดช่างตรัง", "title": "จังหวัดตรัง" }, { "docid": "364906#1", "text": "โรงเรียนห้วยยอด จังหวัดตรัง ดร. ก่อ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสามัญศึกษาได้โทรเลขถึงผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ความว่า สำนักงบประมาณได้อนุมัติงบประมาณสำหรับจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ปีการศึกษา 2512 ให้เปิดเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (มศ.1) เพียงชั้นเดียว จำนวน 1 ห้องเรียน เป็นโรงเรียนสหศึกษา จังหวัดตรังดำเนินการรับสมัครนักเรียนได้ 50 คน และเปิดเรียนตั้งแต่วัน 17 กรกฎาคม 2512 โดยให้นายสว่าง โอฬาริกบุตร ครูโทโรงเรียนวิเชียรติมาตุ จังหวัดตรัง รักษาการในตำแหน่งครูใหญ่ และนายฉลาด ศรีนคร ครูตรีโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง เป็นครูช่วยสอนใช้ห้องเรียน 1 ห้องเรียนของโรงเรียนห้วยยอด (กลึง วิทยาคาร) เป็นที่เรียนชั่วคราว วันที่ 17 กรกฎาคม ของทุกปี จึงเป็นวันคล้ายวันกำเนิดโรงเรียน", "title": "โรงเรียนห้วยยอด" }, { "docid": "85708#5", "text": "แม่น้ำนี้ไหลผ่านท้องที่จังหวัดตรัง 5 อำเภอ คือ อำเภอรัษฎา อำเภอห้วยยอด \nอำเภอวังวิเศษ อำเภอเมืองตรัง และอำเภอกันตัง แล้วไหลลงทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย \nที่ปากน้ำกันตัง อำเภอกันตัง", "title": "แม่น้ำตรัง" }, { "docid": "855061#0", "text": "หาดปากเมง () ชายหาดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งอยู่ใกล้กัน เป็นชายหาดแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับนิยมของจังหวัดตรัง ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรก ๆ ที่ผู้คนมักคิดถึงและไปท่องเที่ยวของจังหวัดตรัง", "title": "หาดปากเมง" }, { "docid": "6840#5", "text": "อำเภอเมืองตรัง อำเภอกันตัง อำเภอย่านตาขาว อำเภอปะเหลียน อำเภอสิเกา อำเภอห้วยยอด อำเภอวังวิเศษ อำเภอนาโยง อำเภอรัษฎา อำเภอหาดสำราญ", "title": "จังหวัดตรัง" }, { "docid": "22571#3", "text": "ในปี พ.ศ. 2434 ทางการได้ยุบเมืองปะเหลียนรวมกับเมืองตรัง ต่อมามีประกาศข้อบังคับลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ.115 (พ.ศ. 2439) แบ่งท้องที่การปกครองเป็นอำเภอ จังหวัดตรังมี 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง (กันตัง) อำเภอบางรัก อำเภอเขาขาว (ห้วยยอด) อำเภอสิเกา และอำเภอปะเหลียน มีตำบลรวม 109 ตำบล", "title": "อำเภอกันตัง" }, { "docid": "366653#9", "text": "โส เหมกุล ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรังสรุปสถานการณ์น้ำท่วม 4 อำเภอ ในอำเภอเมืองตรัง อำเภอนาโยง อำเภอห้วยยอด และอำเภอวังวิเศษ รวม 10 ตำบล 300 หมู่บ้าน ที่ตำบลนาโยงเหนือ น้ำท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรมากกว่า 500 ไร่ หมู่ 1 ถึงหมู่ 8 ในตำบลนาโยงใต้มีระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร ถนนเข้าหมู่บ้านรถเล็กไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ส่วนตำบลห้วยยอดและวังวิเศษ ระดับน้ำสูงประมาณ 20-50 เซนติเมตร ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำตรังได้ขนย้ายสิ่งของไปยังที่ปลอดภัย", "title": "อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ของประเทศไทย พ.ศ. 2554" }, { "docid": "452706#32", "text": "นอกจากนั้น ผลจากคลื่นลมแรงในทะเลอันดามัน ยังส่งผลให้เรือประมง และเรือท่องเที่ยว ทั้งหมด ต้องหยุดการเดินเรือในช่วงระยะเวลานี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย และมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งต้องติดตามข่าวสารจากหน่วยงานต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทำให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรัง ต้องประกาศงดการเดินเรือ หวั่นจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นซ้ำอีก\nขณะเดียวกัน ยังเกิดพายุพัดรุนแรงในหลายพื้นที่ของจังหวัดตรัง ส่งผลให้ทั้งบ้านเรือน สวนยางพารา ต้นไม้ และเสาไฟฟ้าแรงสูง หักโค่นลงมาในพื้นที่ 7 อำเภอ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเมืองตรัง กับอำเภอห้วยยอด", "title": "อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2555" }, { "docid": "349691#0", "text": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 416 สายฉลุง – สามแยก เป็นทางหลวงแผ่นดินที่เชื่อมจังหวัดสตูลเข้ากับจังหวัดตรัง อยู่ในความควบคุมของแขวงทางหลวงสตูล สังกัดสำนักงานทางหลวงที่ 18 (สงขลา) มีจุดเริ่มต้นจากสามแยกฉลุง ในอำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล แล้วขึ้นเหนือไปสิ้นสุดที่สามแยกปะเหลียน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง มีระยะทางทั้งสิ้น 93.002 กิโลเมตร", "title": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 416" }, { "docid": "428449#1", "text": "ปัจจุบัน รถตุ๊ก ๆ หัวกบ กลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของอำเภอเมืองตรัง แม้จะมีอายุที่มากกว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม แต่ในปัจจุบันชาวตรังยังคงใช้รถตุ๊ก ๆหัวกบเป็นรถโดยสารบริเวณรอบอำเภอเมืองตรัง จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจนักถ้าหากจะเห็นนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวจังหวัดตรังส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มักจะไม่พลาดโปรแกรมนั่งรถตุ๊ก ๆ หัวกบตระเวนรอบเมืองตรัง", "title": "รถตุ๊ก ๆ หัวกบ" }, { "docid": "81916#0", "text": "วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดตรัง ตั้งอยู่ที่ 89 หมู่ที่ 2 ตำบลควนธานี อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง", "title": "วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดตรัง" }, { "docid": "86585#0", "text": "ตรัง เป็นเทศบาลนครแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดตรัง มีพื้นที่ 14.77 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมเขตตำบลทับเที่ยง ซึ่งอาจเรียกตัวเมืองตรังได้อีกชื่อหนึ่งว่า \"เมืองทับเที่ยง\" มีประชากรในปี พ.ศ. 2560 จำนวน 59,894 คน", "title": "เทศบาลนครตรัง" }, { "docid": "85708#0", "text": "แม่น้ำตรัง เป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดตรัง มีความยาวประมาณ 123 กิโลเมตร เมื่ออยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกว่า แม่น้ำหลวง เมื่อไหลเข้าเขตจังหวัดตรังเรียกว่า แม่น้ำตรัง ในช่วงที่ไหลผ่านอำเภอเมืองตรัง เรียกว่า คลองท่าจีน เดิมใช้เป็นเส้นทางคมนาคม จากดินแดนภายในจังหวัดติดต่อไปยังทะเลที่ปากน้ำกันตัง กล่าวกันว่า ในสมัยโบราณสามารถเดินเรือไปได้ถึงทุ่งสง เดิมแม่น้ำสายนี้มีความกว้างราว 50 เมตร แต่ปัจจุบันบางแห่งเหลือความกว้างเพียง 30 เมตร", "title": "แม่น้ำตรัง" }, { "docid": "124251#1", "text": "ต่อมาข้าหลวงประจำจังหวัด มีความคิดที่จะตั้งโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดบ้าง จึงรวบรวมนักเรียนหญิงได้จำนวนหนึ่ง แต่ขณะนั้นยังไม่มีที่เรียน จึงให้ไปเรียนที่อาคารสภาราชินี พ.ศ. 2474 ได้มีคณะบุคคลผู้มีจิตศรัทธา ประกอบด้วยโดยการนำของข้าหลวงประจำจังหวัดตรัง จัดหาทุนก่อสร้างโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดตรัง ณ เลขที่ 142 ถนนวิเศษกุล อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ในพื้นที่ 8 ไร่ 3 งาน 2 ตารางวา อันเป็นสถานที่ปัจจุบัน", "title": "โรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง" }, { "docid": "102559#1", "text": "จังหวัดตรัง ได้มอบที่ดินจำนวน 686 ไร่ 57 ตารางวา ให้แก่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ \"ทุ่งกง\" ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลควนปริง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ตั้งแต่ปี 2524 โดยในระยะแรกมหาวิทยาลัยได้ใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นสถานีวิจัยทางการเกษตรของ คณะทรัพยากรธรรมชาติ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในปีพ.ศ. 2534 ฯพณฯ ชวน หลีกภัย ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรังและอุปนายกสภามหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ ได้มีหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เรื่องขอให้ขยายวิทยาเขตไปที่จังหวัดตรัง เนื่องจากจังหวัดตรังเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดทางภาคใต้ฝั่งตะวันตก และตัวจังหวัดยังเป็นศูนย์กลางของจังหวัดทางภาคใต้ตอนกลาง ประกอบกับจังหวัดตรังยังไม่มีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา จึงได้มีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกับภาคราชการและเอกชนของจังหวัดตรัง ถึงความเป็นไปได้ในการขยายการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไปที่จังหวัดตรัง ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการขยายการศึกษาไปที่จังหวัดตรัง ในหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ซึ่งเป็นหลักสูตรของคณะวิทยาการจัดการ โดยจัดให้มีการเรียนการสอนในชั้นปีที่ 1-2 ที่จังหวัดตรังในรายวิชาพื้นฐาน และเรียนชั้นปีที่ 3-4 ที่คณะวิทยาการจัดการ วิทยาเขตหาดใหญ่ในรายวิชาเฉพาะสาขา เริ่มเปิดสอนครั้งแรกในวันที่ 19 สิงหาคม 2534 และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 สิงหาคม 2534 ในปีพ.ศ. 2540", "title": "คณะพาณิชยศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "671764#3", "text": "ปัจจุบัน ปาล์มเจ้าเมิืองตรังสามารถหาดูได้รอบ ๆ สวนสาธารณะพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ในเขตเทศบาลเมืองตรัง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง", "title": "ปาล์มเจ้าเมืองตรัง" }, { "docid": "348910#0", "text": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 404 สายตรัง–หยงสตาร์ เป็นทางหลวงที่อยู่ในความควบคุมของแขวงทางหลวงตรัง สำนักงานทางหลวงที่ 16 นครศรีธรรมราช และแขวงทางหลวงสตูล สำนักงานทางหลวงที่ 18 สงขลา เป็นเส้นทางหลักในจังหวัดตรังที่เชื่อมอำเภอต่าง ๆ ทางใต้ของจังหวัดเข้ากับอำเภอเมืองตรัง มีระยะทางเริ่มต้นจากในตัวเมืองตรัง แล้ววิ่งลงใต้ไปสิ้นสุดที่บ้านหยงสตาร์ อำเภอปะเหลียน อยู่ในความควบคุมของแขวงทางหลวงตรัง 30.0 กิโลเมตร และอยู่ในความควบคุมของแขวงทางหลวงสตูล 19.64 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งหมด 49.64 กิโลเมตร อยู่ในเขตจังหวัดตรังทั้งหมด", "title": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 404" }, { "docid": "747433#0", "text": "สถานีรถไฟตรัง เป็นสถานีระดับ 1 เป็นสถานีหนึ่งในเส้นทางรถไฟสายอันดามัน (ชุมทางทุ่งสง-กันตัง) ตั้งอยู่ที่ ต.ทับเที่ยง (เขตเทศบาลนครตรัง) อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ", "title": "สถานีรถไฟตรัง" }, { "docid": "238744#1", "text": "เทศบาลเมืองกันตัง ตั้งอยู่เลขที่ 175 ถนนตรังคภูมิ ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง อยู่ทางทิศใต้ของจังหวัด ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 20 กิโลเมตร\nเทศบาลเมืองกันตังตั้งอยู่ริมแม่น้ำตรัง ซึ่งห่างจากปากน้ำตรังเพียง 27 กิโลเมตร จึงเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญมาแต่โบราณ และในปี พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรัง ย้ายที่ตั้งเมืองตรังจากตำบลควนธานีมาตั้งที่ตำบลกันตัง โดยขึ้นกับมณฑลภูเก็ต", "title": "เทศบาลเมืองกันตัง" }, { "docid": "266070#0", "text": "ถ้ำเลเขากอบ หรือ ถ้ำทะเล หรือ ถ้ำเขากอบ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอห้วยยอด ถ้ำเลเขากอบ เป็นชื่อที่ชาวบ้านในบริเวณตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เรียกกันตามภาษาพื้นบ้าน การที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ถ้ำเล หรือ ถ้ำทะเล นั้น ไม่ได้หมายถึง โพรงหรือถ้ำที่เกิดจากการผุกร่อนของหน้าผาชายฝั่งทะเล จากการถูกคลื่นกัดเซาะ ทั้งนี้เพราะบริเวณที่ตั้งของตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด อยู่ห่างจากทะเลกว่า 40 กิโลเมตร", "title": "ถ้ำเลเขากอบ" }, { "docid": "215299#3", "text": "โรงเรียนบ้านโคกยาง ตั้งอยู่ระหว่างวัดโคกยางกับสถานีตำรวจตำบลโคกยาง หมู่ที่ 2 ตำบลโคกยาง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ถนนสายตรัง-หาดยาว \nห่างจากตัวเมืองตรังประมาณ 12 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอกันตังประมาณ 18 กิโลเมตร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตรัง เขต2", "title": "โรงเรียนบ้านโคกยาง" }, { "docid": "85638#3", "text": "สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพัทลุง โรงเรียนบ้านนาวง สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาช่อง หน่วยจัดการต้นน้ำคลองบางแก้ว สำนักงานสวนพฤกษศาตร์ สถานีเพาะชำกล้าไม้ จังหวัดตรัง ศูนย์ศึกษาและพัฒนาวนศาสตร์ชุมชนที่ 9 สถานีวิจัยและพัฒนาการปลูกหวายเทือกเขาบรรทัด ชื่อหน่วยงาน เขาบรรทัด พื้นที่รับผิดชอบ 791976 ไร่ หรือ 1,267.16 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ที่รับผิดชอบอยู่ในแผนที่สภาพภูมิประเทศ มาตราส่วน 1:50,000 หมายเลขระวาง 4923 I , 4923 II , 4924 II , 5023 III , 5023 V จำนวนหน่วยพิทักษ์ป่า 1. สำนกงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง 2. หน่วยพิทักษ์ป่าหรือหน่วยย่อย หน่วยพิทักษ์ป่าเขาช่อง ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 7 ตำบลช่อง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง พิกัด 876348 หน่วยพิทักษ์ป่าน้ำตกสายรุ้ง ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 8 ตำบลนาชุมเห็ด อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง พิกัด 897224 หน่วยพิทักษ์ป่าไพรสวรรค์ ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 4 ตำบลโพรงจระเข้ อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง พิกัด 905192 หน่วยพิทักษ์ป่าโตนเต๊ะ ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 2 ตำบลปะเหลียน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง พิกัด975066 หน่วยพิทักษ์ป่าวังสายทอง ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 10 ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู จังหวัดสตูล พิกัด 6-01-355 E 7-84-386 N หน่วยพิทักษ์ป่าเหนือคลอง ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 8 ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล พิกัด 6-12-876- E 7-73-210 N129747 หน่วยพิทักษ์ป่าท่ามะปราง ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 8 ตำบลท่าชะมวง อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พิกัด 217905 หน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งนารี ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งนารี อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง พิกัด 187910 หน่วยพิทักษ์ป่าตะโหมด ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 11 ตำบลตะโหมด อำเภอตะโหมด จังหวัด พัทลุง พิกัด 141014 หน่วยพิทักษ์ป่าบ้านพูด ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 8 ตำบลคลองเฉลิม อำเภอกงหรา จังหวัด พัทลุง พิกัด 6-06-427E 8-13-483N หน่วยพิทักษ์ป่าบ้านโตน ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที 6 ตำบลลำสินธุ์ อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง พิกัด 991274 หน่วยพิทักษ์ป่าย่อยบ้านตระ ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 2 ตำบลปะเหลียน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง พิกัด 6-03-425E 7-99-761N หน่วยพิทักษ์ป่าคีรีวง ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล พิกัด 885855 หน่วยพิทักษ์ป่าย่อยหินจอก ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง พิกัด 918948 หน่วยพิทักษ์ป่าภูผาเพชร เพิ่มหลัง กย.2545", "title": "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด" }, { "docid": "76632#0", "text": "อำเภอห้วยยอด เป็นอำเภอเก่าแก่อำเภอหนึ่งในจังหวัดตรัง ที่มีชื่อเรียกว่า \"ห้วยยอด\" เนื่องมาจากภูมิประเทศของอำเภอห้วยยอด โดยคำว่า \"ห้วย\" หมายถึง ลำห้วยต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำตรัง อันเป็นแม่น้ำสายหลักของจังหวัดที่พาดผ่านพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของอำเภอ ส่วนคำว่า \"ยอด\" หมายถึง ยอดเขาที่เรียงรายตลอดแนวทางด้านทิศตะวันออกของอำเภอ ซึ่งเรียกว่า ภูเขาบรรทัด โดยพื้นที่ห้วยน้ำและยอดเขาสลับกันไปมา จึงได้เรียกว่าห้วยยอดมาจนปัจจุบัน", "title": "อำเภอห้วยยอด" }, { "docid": "548047#0", "text": "จัง จริงจิตร เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรัง (ส.ส.ตรัง) คนแรก เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 ที่ตำบลโคกขัน อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เป็นบุตรชายของนายหงวน และนางพริ้ม จริงจิตร", "title": "จัง จริงจิตร" }, { "docid": "85708#3", "text": "ต้นน้ำของแม่น้ำตรัง มีสาขาที่เกิดจากเทือกเขาในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่สำคัญ ได้แก่ คลองท่าเลา คลองทุ่งโจน คลองวังหีบ และคลองปาง โดยคลองท่าเลา เป็นคลองสาขาที่ยาวที่สุดของแม่น้ำตรัง มีต้นน้ำเกิดจากเขาวังหีบ ในเขตอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช", "title": "แม่น้ำตรัง" }, { "docid": "243604#1", "text": "พระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปัญฺญาวุโธ) ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้ และเจ้าอาวาสวัดกะพังสุรินทร์ ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง มีนามเดิมว่า สงัด ลิ่มไทย เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471 ที่บ้านหนองไทร ตำบลนาโยงเหนือ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง โดยโยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเปลี่ยน และนางทองอ่อน ลิ่มไทย ในปี พ.ศ. 2491 ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดจอมไตร อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง โดยมีพระครูสังวรโกวิท เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูพิบูลธรรมสาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระผุด มหาวีโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค ในปี พ.ศ. 2504", "title": "พระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ)" }, { "docid": "428449#5", "text": "พื้นที่ในเขตจังหวัดตรัง มีส่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นลอนลูกฟูก หรือที่ชาวท้องถิ่นในจังหวัดตรังเรียกว่า \"ควน\" ซึ่งแปลว่า \"เนิน\" การใช้รถบรรทุกสามล้อขนาดเล็ก หรือ รถตุ๊ก ๆ ในการขนส่งทั้งสินค้าและผู้โดยสาร จึงมีความเหมาะสมและสะดวก เพราะนอกจากจะช่วยทุ่นแรงแล้ว ยังสามารถเข้า-ออก ภายในซอยที่คับแคบได้โดยง่ายอีกด้วย จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจหากปัจจุบันในอำเภอเมืองตรัง มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งชมรมเกี่ยวกับรถตุ๊ก ๆ หัวกบชื่อว่า \"ชมรมสามล้อเครื่อง\" เพื่อเป็นการอนุรักษ์รถตุ๊ก ๆ หน้าตาประหลาด ที่ยังคงเหลือให้ได้เห็นกว่า 300 คัน ให้คงอยู่คู่กับชาวเมืองตรังต่อไป เพราะ \"รถตุ๊ก ๆ หัวกบ\" ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งประจำจังหวัดตรัง", "title": "รถตุ๊ก ๆ หัวกบ" }, { "docid": "182436#8", "text": "เส้นทางจากนี้จะเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน โดยในช่วงอำเภอเมืองชุมพรถึงอำเภอเมืองระนองจะเป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจรและ 4 ช่องจราจรในบางช่วง (ทางต่างระดับปฐมพรเข้าไปประมาณ 18 กิโลเมตร และ อำเภอกระบุรีถึงเลยคลองละอุ่นไปประมาณ 1.8 กิโลเมตร) จากนั้นถนนจะขยายเป็น 4-6 ช่องจราจรเมื่อผ่านเขตเทศบาลเมืองระนองถึงบ้านทุ่งหงาว จากนั้นถนนจะมีขนาด 2 ช่องจราจรตลอดสาย ยกเว้นเขตเทศบาลและทางแยก ผ่านอำเภอกะเปอร์ อำเภอสุขสำราญ เข้าเขตจังหวัดพังงาที่อำเภอคุระบุรี บรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 ที่อำเภอตะกั่วป่า จากนั้นเส้นทางจะเลี้ยวขวาเข้าสู่เขตเทศบาลเมืองตะกั่วป่า แล้วลงไปทางใต้อีกครั้งผ่านเทศบาลตำบลคึกคัก เขาหลัก เข้าสู่อำเภอท้ายเหมือง เลี้ยวซ้ายที่บ้านโคกกลอย ซึ่งมีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 402 แยกไปจังหวัดภูเก็ต จากนั้นถนนจะมีขนาด 4 ช่องจราจรผ่านอำเภอตะกั่วทุ่ง เข้าสู่อำเภอเมืองพังงา เมื่อพ้นตัวเมือง ถนนจะเหลือ 2 ช่องจราจรและขึ้นเขานางหงษ์ เมื่อลงเขามาจะเป็นตัวเมืองทับปุด ตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4311 (เลี่ยงเมืองพังงา) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 415 (ไปบ้านตาขุน) ตั้งแต่ตัวเมืองทับปุด ถนนจะขยายขนาดเป็น 4 ช่องจราจรอีกครั้ง แต่ไม่มีเกาะกลางถนน และมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วเบนไปยังทิศใต้ เข้าเขตจังหวัดกระบี่ ผ่านอำเภออ่าวลึก แล้วเลี้ยวซ้ายที่ตัวเมืองกระบี่ จากนี้ไปถนนจะมีเกาะกลางกั้น เส้นทางจะผ่านอำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม เข้าเขตจังหวัดตรัง ผ่านอำเภอวังวิเศษ ตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 403 ที่แยกห้วยยอด จากนั้นเส้นทางจะเข้าสู่ตัวเมืองห้วยยอด เส้นทางจะมุ่งลงไปทางใต้เข้าเขตอำเภอเมืองตรัง โดยช่วงห้วยยอด-ตรัง จะไม่มีเกาะกลางถนนกั้น เมื่อเข้าสู่เขตเทศบาลนครตรัง ถนนจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ผ่านอำเภอนาโยง ข้ามเขาพับผ้า เข้าสู่เขตจังหวัดพัทลุงที่อำเภอศรีนครินทร์ และมุ่งหน้าสู่อำเภอเมืองพัทลุง ตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41", "title": "ถนนเพชรเกษม" }, { "docid": "76632#8", "text": "แม่น้ำ ได้แก่ แม่น้ำตรัง ซึ่งต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาบรรทัด ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลผ่านตำบลต่าง ๆ ของอำเภอห้วยยอด หลายตำบล ผ่านอำเภอเมืองตรังและอำเภอกันตังออกทะเลด้านมหาสมุทรอินเดีย ราษฎรสามารถใช้ในเกษตรกรรม และในฤดูฝนเมื่อฝนตกหนักทำให้น้ำหลากผ่านแม่น้ำตรังทำให้เกิดอุทกภัยในตำบลต่าง ๆ ของอำเภอ", "title": "อำเภอห้วยยอด" }, { "docid": "85638#4", "text": "มีความสะดวกมากเพราะที่ตั้งสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด อยู่ติดกับถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4 ) จังหวัดพัทลุง-จังหวัดตรัง ที่บ้านนาวง ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง ประมาณ 27 กิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองจังหวัดพัทลุง ห่างจากตัวเมืองจังหวัดตรัง ประมาณ 31 กิโลเมตรสามารถเดินทางได้โดย 1. เส้นทางรถยนต์มีรถประจำทางวิ่งผ่านตลอดวัน 2. เส้นทางรถไฟสายพัทลุงต่อรถยนต์โดยสารประจำทาง พัทลุง-ตรัง ระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตร 3. เส้นทางอากาศโดยเครื่องบิน ลงที่สนามบินตรัง แล้วต่อรถโดยสารประจำทางจากตรังไปตามถนนเพชรเกษม ตรัง-พัทลุง ถึงสำนักงานเขตฯ ระยะทางประมาณ 40กิโลเมตร ถ้าลงที่สนามบินหาดใหญ่แล้วต่อรถโดยสารประจำทางไปตามถนนเพชรเกษมสายหาดใหญ่-ตรัง ถึงสำนักงานเขตฯระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร สถานที่โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับหน่วยงานได้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง 93000 โทรศัพท์สาธารณะ 074-614456", "title": "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด" } ]
3447
ฟิลลิป แจ็ก "ฟิล" บรูกส์ เกิดเมื่อใด ?
[ { "docid": "239873#0", "text": "ฟิลลิป แจ็ก \"ฟิล\" บรูกส์ (Phillip Jack \"Phil\" Brooks) เกิด 26 ตุลาคม ค.ศ. 1978 เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ซีเอ็ม พังก์ (CM Punk) เป็นนักต่อสู้แบบผสม, นักเขียนหนังสือการ์ตูน, นักแสดง และนักมวยปล้ำอาชีพที่เกษียณอายุชาวอเมริกัน ปัจจุบันเขาเซ็นสัญญากับสมาคม อัลติเมทไฟต์ติงแชมเปียนชิพ (UFC) เขาเป็นอดีตแชมป์ WWE ที่ยาวนานที่สุดในยุคใหม่ด้วยเวลา 434 วัน ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2011 ถึง 27 มกราคม 2013 เขาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในฐานะแชมป์ที่ยาวนานที่สุดอันดับ 6 ของตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่ยาวที่สุดตั้งแต่ปี 1988", "title": "ซีเอ็ม พังก์" } ]
[ { "docid": "662486#1", "text": "ฟิลิป บ็อบบิตต์ เกิดในเมืองเทมเปิล รัฐเทกซัส เป็นลูกคนเดียวของออสการ์ ไพรซ์ บ็อบบิตต์ (เสียชีวิต ค.ศ. 1995) และรีเบกกา ลูรัท จอห์นสัน บ็อบบิตต์ (ค.ศ. 1910-1978) ฟิลิปถือได้ว่าเป็นทายาทแท้ ๆ ของเฮนรี วิสเนอร์ ผู้แทนของรัฐนิวยอร์กในการลงนามประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา และทายาทของวิลเลียม บ็อบบิตต์ ชาวไร่เชื้อสายเวอร์จิเนีย (เสียชีวิต ค.ศ. 1673) พ่อและตาของรีเบกกา (แม่ของฟิลิป) ก็เป็นถึงสภานิติบัญญัติของรัฐเทกซัส และตาทวดยังเป็นประธานของมหาวิทยาลัยเบย์เลอร์", "title": "ฟิลิป บ็อบบิตต์" }, { "docid": "675368#5", "text": "อาร์เทอร์ ฟิลลิปเกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1738 เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาทั้งหมด 2 คนของเจคอบ ฟิลลิป และอลิซาเบธ บลีช พ่อของเขา เจคอบเกิดในแฟรงค์เฟิร์ตและเป็นครูสอนภาษาอีกทั้งพ่อของเขายังเป็นทหารในกองทีพเรือของสหรัฐด้วย ส่วนแม่ของเขาอลิซาเบธ เป็นหญิงม้ายกับกะลาสีเรือ , จอห์น เฮอเบริ์ต ที่เคยทำหน้าที่บนเรือ HMS Tartar ในจาเมก้าและเสียชีวิตจากโรคภัยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 1732 ในวันเกิดของอาร์เทอร์ ฟิลลิปพอดิบพอดี , ครอบครัวของฟิลลิปเป็นบ้านเช่าอยู่ในเมืองเชียบไซต์ ในกรุงลอนดอน", "title": "อาร์เทอร์ ฟิลลิป" }, { "docid": "377896#0", "text": "ฟิลิป แอนโทนี \"ฟิล\" โจนส์ () เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหลังให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด\nพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ 2010-2011 ฤดูกาลนี้เขาได้ลงนัดแรกของฤดูกาลกับสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ช่วงแรกๆของฤดูกาลนี้เขาได้ลงบ่อยมากแม้ว่าส่วนใหญ่เขาจะได้เล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวรับ\nเขาก็ได้มีอาการบาดเจ็บตรงบริเวณหมอนรองกระดูกเข่า ในเดือนธันวาคมนัดที่เจอกับสโมสรฟุตบอลเวสต์แฮม ทำให้เขาหมดสิทธ์ในการลงเล่นแทบทั้งฤดูกาล เขาลงเล่นไปทั้งหมด 26 เกม", "title": "ฟิล โจนส์" }, { "docid": "352271#0", "text": "ฟิลลิป แอนโทนี \"ฟิล\" บาร์ดสลีย์ () เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1985 เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวสกอตแลนด์ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งแบ็กขวาให้กับสโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ในพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลทีมชาติสกอตแลนด์ เขาเกิดในประเทศอังกฤษ แต่คัดเลือกกับทีมชาติสกอตแลนด์จากพ่อของเขาที่เกิดในกลาสโกว์", "title": "ฟิล บาร์ดสลีย์" }, { "docid": "185500#2", "text": "ไมเคิล เฟ็ลปส์ เกิดที่เมืองรอดเจอส์ฟอร์จ บริเวณชานเมืองของเมืองบอลทิมอร์ในรัฐแมริแลนด์ เขาเรียนจบระดับชั้นมัธยมที่ ทาวสัน ไฮสคูล เมื่อปี 2003 พ่อของเขาชื่อ เฟร็ด เฟ็ลปส์ เป็นตำรวจแห่งรัฐแมริแลนด์ และ เดบบี เดวิสสัน เฟ็ลปส์ แม่ของเขาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนประถม ทั้งคู่หย่าร้างกันในปี ค.ศ. 1994 ไมเคิลมีชื่อเล่นว่า \"เอ็มพี\" มีพี่สาวอีกสองคนชื่อ วิทนีย์ และ ฮิลารี่ ซึ่งทั้งคู่เป็นนักว่ายน้ำเช่นกัน (โดยวิทนีย์ เกือบจะได้ลงแข่งว่ายน้ำให้กับทีมชาติสหรัฐอเมริกา ในโอลิมปิกเกมส์ 1996 แต่ต้องมาบาดเจ็บเสียก่อน)\nในวัยเด็ก ไมเคิล เฟ็ลปส์ เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) เขาเริ่มว่ายน้ำตั้งแต่อายุได้ 7 ปี ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจมาจากพี่สาวทั้ง 2 คน และเมื่ออายุ 10 ขวบ เขาก็สามารถทำลายสถิติระดับประเทศเมื่อเทียบกับเด็กอายุรุ่นเดียวกัน และในปี ค.ศ. 2000 ได้เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ด้วยอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น", "title": "ไมเคิล เฟ็ลปส์" }, { "docid": "233943#0", "text": "ฟิลลิปเดอะกูด หรือ ฟิลลิปที่ 3 ดยุคแห่งบูร์กอญ (, ) (31 กรกฎาคม ค.ศ. 1396 - 15 มิถุนายน ค.ศ. 1467) ฟิลลิปเดอะกูดเป็นขุนนางชาวฝรั่งเศส ผู้เป็นบุตรของจอห์นเดอะเฟียร์เลสส์และมาร์กาเร็ตแห่งบาวาเรีย ฟิลลิปเดอะกูดได้รับบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งบูร์กอญตั้งแต่ปี ค.ศ. 1419 จนกระทั่งเสียชีวิต ฟิลลิปมาจากราชตระกูลวาลัวส์ซึ่งเป็นราชวงศ์เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ของฝรั่งเศสในขณะนั้น ระหว่างการปกครองดัชชีแห่งบูร์กอญก็กลายเป็นอาณาจักรที่มั่งคั่งและมีหน้ามีตาและเป็นศูนย์กลางของศิลปะ ฟิลิปเป็นที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้ปฏิรูปการบริหาร และเป็นผู้จับตัวโจนออฟอาร์ค นอกจากนั้นการเปลี่ยนข้างไปมาของการสวามิภักดิ์ระหว่างระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยการปกครองของฟิลลิปก็เป็นการทำเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่บูร์กอญ", "title": "ฟิลิปที่ 3 ดยุกแห่งเบอร์กันดี" }, { "docid": "908741#0", "text": "ดอนเฟลีเป เด มารีชาลาร์ อี บอร์บอน ()\nดอนเฟลีเป เด มารีชาลาร์ อี บอร์บอน เกิด 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ณ กรุงมาดริด เป็นพระโอรสคนใหญ่ใน อินฟันตาเอเลนา ดัชเชสแห่งลูโก กับ ไคเม เด มารีชาลาร์ อดีตพระสวามี เป็นพระราชนัดดาพระองค์แรกในสมเด็จพระราชาธิบดีควน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน กับ สมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน พระราชภาคิไนยใน สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลีเปที่ 6 แห่งสเปน โดยชื่อเขาเขามาจากกษัตริย์เฟลิเปที่ 6 พระราชมาตุลา (น้า) ของเขา โดยเขามีน้องสาว 1 คนคือ", "title": "เฟลีเป เด มารีชาลาร์ อี บอร์บอน" }, { "docid": "125700#17", "text": "วิลเลียม อาร์เธอร์ \"บิล\" วีสลีย์ (เกิด 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513) เป็นตัวละครตัวหนึ่งในแฮร์รี่ พอตเตอร์และเป็นลูกของอาร์เธอร์และมอลลี่ วีสลีย์ซึ่งพี่น้องของเขาประกอบด้วยชาลี เพอร์ซี่ เฟร็ด จอร์จ รอนและจินนี่\nทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านที่เรียกว่า \"บ้านโพรงกระต่าย\"เรียนจบจากโรงเรียนพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์\nเคยเป็นประธานนักเรียน ปัจจุบันทำงานที่ ธนาคารกริงกอตส์ในอียีปต์ ในภาค 6 ถูกเฟนเรีย เกรย์แบ็ก ทำร้ายทำให้มีนิสัยคล้ายมนุษย์หมาป่า ในภา ค7 ได้แต่งงานกับเฟลอร์ เดอลากูร์ทั้งคู่สร้างกระท่อมเปลือกหอยขึ้นเพื่อเป็นบ้าน มีลูกทั้งหมด 3 คน คือ victoire (หญิง) dominique (หญิง) และ louis (ชาย)", "title": "ภาคีนกฟีนิกซ์" }, { "docid": "304888#0", "text": "แบรดลีย์ ชาลส์ คูเปอร์ (; เกิด 5 มกราคม ค.ศ. 1975) เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน มีผลงานภาพยนตร์ ละครเวที ละครโทรทัศน์ เป็นที่รู้จักจากบทบาท ฟิล เวนเนก ในภาพยนตร์เรื่อง \"The Hangover\", บทวิล ทิปปิน จากซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง \"Alias\", บทแซกคารี \"แซก\" ลอดจ์ ในภาพยนตร์ตลกเรื่อง \"Wedding Crashers\", บทไอดาน สโตน ในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง \"Nip/Tuck\" และบทโฮลเดน บริสทาว ในภาพยนตร์เรื่อง \"Valentine's Day\" คูเปอร์ยังจะแสดงในภาพยนตร์เรื่อง \"The A-Team\"", "title": "แบรดลีย์ คูเปอร์" } ]
1987
เซนต์เซย์ย่า ถูกนำมาทำเป็นอนิเมชั่นครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "2694#2", "text": "เซนต์เซย์ย่าถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของอะนิเมะ และออกฉายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2529 โดยบริษัท โตเอแอนิเมชัน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจนได้ออกอากาศติดต่อกันนานเกือบ 3 ปี นอกจากนี้ยังได้แพร่ภาพทางโทรทัศน์ในประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศ ทั้งในแถบเอเชียด้วยกัน เช่น ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีการนำเซนต์เซย์ย่ามาออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยใช้ชื่อว่า \"เซย่า เทพบุตรหมัดดาวหาง\" จากนั้นก็ได้ออกอากาศซ้ำอีกในปี พ.ศ. 2547 ทางสถานีโทรทัศน์ยูบีซี (ทรูวิชั่นส์ ในปัจจุบัน) และมีการนำออกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดย บริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด ด้วย นอกจากนี้เซนต์เซย์ย่ายังได้รับการดัดแปลงเป็นสื่อในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ภาพยนตร์ ละครเวที เกม และของเล่นต่าง ๆ", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "2694#24", "text": "เซนต์เซย์ย่าได้รับการสร้างเป็นอะนิเมะ โดยบริษัทโตเอแอนิเมชัน และออกอากาศทางสถานีทีวีอาซาฮี ทุกวันเสาร์ เวลา 19.00 - 19.30 น. ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2529 ถึง 1 เมษายน พ.ศ. 2532 มีความยาวตอนละ 20 นาทีโดยประมาณ เซนต์เซย์ย่าฉบับโทรทัศน์นั้น แบ่งเป็น 5 ภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาค 1 เซนต์แห่งอาธีน่า (ตอนที่ 1-22) ภาค 2 นักรบเกราะเงิน (ตอนที่ 23-40) ภาค 3 ปราสาท 12 ราศี (ตอนที่ 41-74) ภาค 4 อัศวินแห่งแอสการ์ด (ตอนที่ 75-99) และภาค 5 เจ้าสมุทรโปเซดอน (ตอนที่ 100-114) รวม 114 ตอนจบ โดยเนื้อเรื่องหลักนั้นนำมาจากฉบับหนังสือการ์ตูน แต่ได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเข้าไป โดยเฉพาะภาค \"อัศวินแห่งแอสการ์ด\" นั้นเป็นภาคที่แต่งขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในเซนต์เซย์ย่าฉบับหนังสือการ์ตูน นอกจากนี้ชุดคล็อธของเซนต์บางคน เช่น เหล่าบรอนซ์เซนต์ ยังมีความแตกต่างจากฉบับหนังสือการ์ตูน", "title": "เซนต์เซย์ย่า" } ]
[ { "docid": "2694#33", "text": "ปี พ.ศ. 2545 เซนต์เซย์ย่า ถูกนำมาสร้างเป็นอะนิเมะอีกครั้งในรูปแบบโอวีเอ โดยนำเอาเนื้อเรื่องฉบับการ์ตูนตั้งแต่เล่มที่ 19 -28 มาสร้างและออกฉายทางสถานีโทรทัศน์เคเบิล สกายเพอร์เฟกต์ทีวี โดยใช้ชื่อว่า \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ แซงก์ทัวรี่\" ซึ่งเป็นเรื่องราวในช่วงแรกของภาคเจ้านรกฮาเดส มีความยาว 13 ตอน ต่อมา ในปี พ.ศ. 2548 ทางโตเอแอนิเมชันก็สร้างภาคต่อตามมาในชื่อว่า \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ อินเฟอร์โน\" ครึ่งแรกมีความยาว 6 ตอน ส่วนครึ่งหลัง สร้างขึ้นและออกอากาศในช่วงปลายปี พ.ศ. 2549 โดยมีความยาว 6 ตอนเช่นเดียวกัน สำหรับภาคสุดท้าย \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ เอลิเชียน\" ก็มีความยาว 6 ตอน และออกอากาศในเดือนมีนาคม - สิงหาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งถือเป็นการปิดฉากภาคฮาเดสอย่างสมบูรณ์", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "2694#27", "text": "นอกจากฉบับที่ออกฉายทางโทรทัศน์แล้ว เซนต์เซย์ย่า ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย จนถึงปัจจุบัน เซนต์เซย์ย่าฉบับภาพยนตร์ออกฉายแล้วจำนวน 5 ภาค โดยภาคสงครามเทพีอีริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำ เป็นฉบับภาพยนตร์ที่มีการออกฉายเป็นภาคแรกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 และฉบับภาพยนตร์ล่าสุด คือ ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์ ซึ่งออกฉายเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องของฉบับภาพยนตร์ใน 4 ภาคแรก ได้แก่ ภาคสงครามเทพีเอริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำ ภาคสงครามเทพเจ้าโอดีนแห่งแอสการ์ด ภาคสงครามสุริยเทพอาเบล และภาคสงครามครั้งสุดท้าย ความทะเยอทะยานของลูซิเฟอร์นั้นไม่ได้แต่งขึ้นโดยมะซะมิ คุรุมะดะ เรื่องราวและตัวละครต่าง ๆ จึงอาจจะมีความขัดแย้ง และไม่ต่อเนื่องกับรายละเอียดของเซนต์เซย์ย่าฉบับหนังสือการ์ตูน แต่ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์นั้น เป็นฉบับภาพยนตร์ภาคเดียวที่แต่งขึ้นโดยมะซะมิ คุรุมะดะ เป็นการเกริ่นถึงเรื่องราวภายหลังจากสงครามศักดิ์สิทธิ์กับฮาเดสเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีการคาดหมายว่า การที่มะซะมิ คุรุมะดะ แต่งภาพยนตร์ฉบับนี้ขึ้นมานั้น เขาอาจจะแต่งเซนต์เซย์ย่าในภาคต่อไป คือ ภาคสวรรค์ หรือ Tenkai hen ขึ้นมาในภายหน้านั่นเอง เซนต์เซย์ย่าฉบับภาพยนตร์นั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "2694#20", "text": "เซนต์เซย์ย่าฉบับหนังสือการ์ตูนชุดแรกนั้น มาซามิ คุรุมาดะ เป็นผู้แต่งเซนต์เซย์ย่าและวาดลายเส้นด้วยตัวเอง เขาตั้งใจที่จะให้เซนต์เซย์ย่าเป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง โดยเซนต์เซย์ย่าเริ่มลงตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ สำนักพิมพ์ชูเอฉะ และออกจำหน่ายเป็นหนังสือฉบับรวมเล่ม รวมทั้งสิ้น 28 เล่มจบ ซึ่งสามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาคแซงค์ทัวรี่ ภาคโปเซดอน และภาคฮาเดส ในประเทศไทย เซนต์เซย์ย่าได้ตีพิมพ์เล่มแรก เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2543 และเล่มสุดท้ายสำหรับการตีพิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549 โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ชูเอฉะเพื่อจัดทำเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "2694#40", "text": "Excellent Model คือ หุ่นเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบของ พีวีซีฟิกเกอร์ ซึ่งถอดประกอบไม่ได้ สูงประมาณ 20 เซนติเมตร ถูกผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2550โดยบริษัท เมการ์เฮาส์ และมีบริษัทดรีมทอยเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย \nเช่นเดียวกับสินค้า เซนต์คลอธมิธ โดยในช่วงแรกได้กำหนดการวางจำหน่ายชุดแรกในเดือนเมษายน แต่ในตอนหลังได้เลื่อนไปเดือนพฤษภาคม และได้ออกวางจำหน่ายจริงในเดือนมิถุนายน", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "2694#36", "text": "ปี พ.ศ. 2534 เซนต์เซย์ย่าได้ถูกสร้างเป็นละครเพลงในนามของ \"บันไดซูเปอร์มิวสิคัล\" ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างบริษัทบันไดและทีวีอาซาฮี โดยมีนักแสดงหลักคือกลุ่มนักร้องวัยรุ่น วง SMAP และวง TOKIO การแสดงละครเพลงชุดนี้จะดำเนินเรื่องโดยใช้เนื้อหาในภาคโปเซดอน และได้เปิดการแสดงตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน พ.ศ. 2534 \nเซนต์คลอธซีรีส์ คือ ของเล่นในรูปแบบตุ๊กตาที่นำมาสวมชุดเกราะได้ ผลิตโดยบริษัทบันได ในช่วงปลายของยุค 1980 (ตั้งแต่ พ.ศ. 2523 - พ.ศ. 2532) ลักษณะของของเล่นจะเป็นหุ่นรูปคนที่มีข้อต่ออยู่หลายจุด ทำให้สามารถจัดท่าทางต่าง ๆ ได้ และมีชิ้นส่วนของชุดเกราะซึ่งแยกมาให้เป็นชิ้น ๆ เพื่อประกอบเข้ากับตัวของหุ่น จนมีลักษณะเหมือนกับเซนต์ในภาพยนตร์การ์ตูน อีกทั้งยังสามารถนำชิ้นส่วนของชุดเกราะไปประกอบเป็นรูปลักษณ์ประจำกลุ่มดาวต่าง ๆ ที่เป็นต้นแบบของชุดเกราะนั้น ๆ เหมือนกับในภาพยนตร์การ์ตูนด้วย", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "2694#6", "text": "นอกจากนี้ เซนต์เซย์ย่า ยังได้สร้างอิทธิพลให้แก่การ์ตูนญี่ปุ่นในยุคต่อมาอย่าง ซามูไรทรูปเปอร์ ที่สร้างโดยซันไรส์ ในปี พ.ศ. 2531 และชูราโตะยอดองครักษ์ ที่สร้างโดยทัตสึโนะโกะโปร ในปี พ.ศ. 2532 ซึ่งแนวเรื่องของผลงานทั้ง 2 ที่กล่าวมา ต่างก็เน้นในด้านการต่อสู้และมิตรภาพของเหล่าเด็กหนุ่มที่สวมชุดเกราะ โดยรูปแบบของเกราะจะแยกชิ้นส่วนมาประกอบเข้ากับร่างกายเช่นเดียวกับในเรื่องเซนต์เซย์ย่า", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "2694#32", "text": "เซนต์เซย์ย่าฉบับภาพยนตร์ ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์ () หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า \"Heaven Chapter ~ Overture\" ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เหล่าเทพเจ้าแห่งสวรรค์ซึ่งไม่พอใจที่เหล่าเซนต์แห่งอาเธน่าบังอาจโค่นล้มบรรดาเทพต่าง ๆ ลง ดังนั้นจึงส่ง \"อาร์เทมิส เทพแห่งดวงจันทร์\" พร้อมนักรบแห่งแองเจิ้ล ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อกำจัดเซนต์แห่งอาเธน่า อาเธน่าซึ่งไม่ต้องการให้พวกเซย์ย่าต้องต่อสู้อีกครั้งจึงได้ยกการปกครองพื้นปฐพีให้อาร์เทมิส พร้อมทั้งยอมรับการลงทัณฑ์จากสวรรค์แทนเหล่าเซนต์แห่งอาเธน่า หลังจากนั้น เหล่าเซนต์แห่งอาเธน่าก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของแซงชัวรี่ที่เกิดขึ้น และได้เข้าต่อสู้กับเหล่าแองเจิ้ลเพื่อช่วยเหลืออาเธน่า อาร์เทมิสซึ่งพบว่าอาเธน่าต้องการขัดขืนคำสั่งสวรรค์โดยการแอบช่วยเหลือพวกเซย์ย่า จึงต้องการสังหารอาเธน่าเสีย แต่เซย์ย่าได้เข้ามาขัดขวาง และทันใดนั้น \"อพอลโล เทพแห่งดวงอาทิตย์\" ก็ปรากฏตัวขึ้นมา", "title": "เซนต์เซย์ย่า" }, { "docid": "721890#0", "text": "เซนต์เซย์ย่า Next Dimension ศึกถล่มอเวจี () เป็นชื่อของหนังสือการ์ตูน เป็นภาคเสริมของเซนต์เซย์ย่า ซึ่งแต่งและวาดขึ้นโดยมาซามิ คุรุมาดะ โดยได้แต่งออกมาเป็นภาพ4สี เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงเมื่อ240ปีก่อนในช่วงสงครามศักดิ์สิทธ์ มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับเซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดสในช่วงศตวรรษที่18 ปัจจุบันภาคนี้ในญี่ปุ่นตีพิมพ์ออกมาแล้ว 9 เล่มด้วยกัน ส่วนในประเทศไทยได้ตีพิมพ์ในภาพ4สีเช่นกับญี่ปุ่น ปัจจุบันตีพิมพ์ทั้งหมด5เล่ม", "title": "เซนต์เซย์ย่า Next Dimension ศึกถล่มอเวจี" } ]
23
กรุงเยรูซาเลมสำคัญกับศาสนาอิสลามอย่างไร ?
[ { "docid": "35599#0", "text": "เยรูซาเลม (English: Jerusalem), เยรูชาลายิม (Hebrew: יְרוּשָׁלַיִם) หรือ อัลกุดส์ (Arabic: القُدس‎) เป็นเมืองในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่บนที่ราบของภูเขายูดาห์ ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลเดดซี เยรูซาเลมเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกสรรไว้ให้เป็นป้อมแห่งความเชื่อถึงพระเป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ประเทศอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์ต่างอ้างสิทธิเหนือเยรูซาเลมว่าเป็นเมืองหลวงของตน อย่างไรก็ตาม การกล่าวอ้างของทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ", "title": "เยรูซาเลม" } ]
[ { "docid": "432612#115", "text": "ในเดือนตุลาคม 2555 กลุ่มศาสนาอิรักหลายกลุ่มเข้าร่วมความขัดแย้งในซีเรียทั้งสองฝ่าย ซุนนีหัวรุนแรงจากประเทศอิรักเดินทางไปประเทศซีเรียเพื่อต่อสู้กับประธานาธิบดีบัชชาร อัลอะซัดและรัฐบาลซีเรีย นอกจากนี้ ชีอะฮ์จากประเทศอิรัก ในจังหวัดบาบิลและดิยาลา เดินทางไปกรุงดามัสกัสจากกรุงเตหะราน หรือจากนะญัฟ ประเทศอิรัก นครศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามชีอะฮ์ เพื่อพิทักษ์ซัยยิดะห์ซัยนับ (Sayyida Zeinab) มัสยิดสำคัญและแท่นบูชาของนิกายชีอะฮ์ในกรุงดามัสกัส", "title": "สงครามกลางเมืองซีเรีย" }, { "docid": "6803#31", "text": "ประชากรในจังหวัดนนทบุรีประกอบด้วยหลายเชื้อชาติทั้งไทย (มีจำนวนมากที่สุด มีอยู่ทั่วไปในจังหวัด) จีน มอญ (อพยพมาในสมัยกรุงธนบุรีและสมัยรัชกาลที่ 2) และมลายู (อพยพมาจากเมืองปัตตานีและไทรบุรี) โดยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา รองลงไปเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาอื่น ๆ", "title": "จังหวัดนนทบุรี" }, { "docid": "3832#10", "text": "พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างประเสริฐจะเป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์จะปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ไปตามลำพัง โดยไม่ทรงเหลียวแล หรือปล่อยให้สังคมมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต กำเนิดขึ้น แล้วดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง สภาวะแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่จึงเป็นความพอดีอย่างทีสุดที่ผู้ใช้ปัญญา ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย\"ความบังเอิญ\" สอดคล้องตามทฤษฎีความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์", "title": "ศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "750690#0", "text": "ซิบฆัตตุลลอฮ์ โมญัดเดดี (; ; เกิดประมาณ ค.ศ. 1926) เป็นนักการเมืองชาวอัฟกานิสถาน เป็นประธานาธิบดีอัฟกานิสถานระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1992 และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติอัฟกานิสถาน (Afghan National Liberation Front) เกิดประมาณ ค.ศ. 1925–1929 ในครอบครัวนักวิชาการศาสนาที่มีชื่อในกรุงคาบูลl ตระกูลของเขาสืบทอดมาจากอะหมัด ซีร์ฮินดี (Ahmad Sirhindi) นักวิชาการศาสนาอิสลามลัทธิศูฟีสมัยศตวรรษที่ 16 โมญัดเดดีเรียนวิชากฎหมายอิสลามและนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอัลอะซาร์ (Al-Azhar University) ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ก่อนจะกลับมาอัฟกานิสถานในปี ค.ศ. 1952 เพื่อสอนหนังสือที่โรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยคาบูล แต่ในปี ค.ศ. 1959 โมญัดเดดีถูกจับในข้อหาสมรู้ร่วมคิดวางแผนต่อต้านนิกิตา ครุสชอฟ ประธานสภารัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียตในขณะนั้น เขาถูกคุมขังจนถึงปี ค.ศ. 1964", "title": "ซิบฆัตตุลลอฮ์ โมญัดเดดี" }, { "docid": "353103#0", "text": "\"อุลกุรอานเลือด\" เป็นสำเนาของคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม เขียนขึ้นจากเลือดของอดีตประธานาธิบดีอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ตลอดเวลามากกว่าสองปีในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ซัดดัมมอบหมายให้เริ่มดำเนินงานใน พ.ศ. 2540 ตรงกับวันคล้ายวันเกิดปีที่ 60 ของเขา ซึ่งตามรายงานระบุว่าเขาต้องการขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงช่วยเหลือเขาหลายครั้งตลอด \"การสมรู้ร่วมคิดและภยันตราย\" เขาอธิบายเหตุผลของเขาที่มอบหมายให้สร้างคัมภีร์ดังกล่าวในจดหมายซึ่งได้รับการตีพิมพ์โดยสื่อของรัฐอิรักในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543: \"\"ชีวิตของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยภยันตรายซึ่งข้าพเจ้าควรจะเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ... แต่เนื่องจากเลือดของข้าพเจ้าหลั่งออกมาเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าจึงร้องขอให้มีผู้เขียนพระวาทะของพระผู้เป็นเจ้าด้วยเลือดของข้าพเจ้าด้วยความรู้สึกขอบคุณ\"\" หลังจากซัดดัมสิ้นอำนาจใน พ.ศ. 2546 อัลกุรอานเลือดถูกนำออกจากการแสดงต่อสาธารณะ ปัจจุบัน ผลงานดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการถกเถียงว่าควรจะดำเนินการอย่างไรกับมันดี เนื่องจากกระบวนการสร้างสรรค์ถือว่าดูหมิ่นศาสนา แต่การทำลายผลงานดังกล่าวก็อาจถือได้ว่าดูหมิ่นศาสนาได้เช่นเดียวกัน", "title": "อัลกุรอานเลือด" }, { "docid": "139041#18", "text": "สงครามครูเสดเป็นสงครามศาสนาระหว่างผู้นับถือคริสต์ศาสนาจากยุโรป และ ผู้นับถือศาสนาอิสลามในตะวันออกกลาง เนื่องจากผู้นับถือคริสต์ศาสนาต้องการยึดครองกรุงเยรูซาเลมซึ่งถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์ศาสนา สงครามครูเสดทำให้คริสต์ศาสนิกชนเพิ่มความตื่นตัวทางด้านศาสนากันมากขึ้น โดยมีการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เจ้านายจากยุโรปที่กลับมาจากสงครามโดยปลอดภัยก็อาจจะสร้างวัดฉลองหรือขยายวัดเดิม หรือถ้าไม่กลับมาคนที่อยู่ข้างหลังก็อาจจะสร้างวัดให้เป็นอนุสรณ์", "title": "สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์" }, { "docid": "939771#15", "text": "3) ทัศนะที่สองอย่างน้อยก็ตั้งสมมติฐานไว้ว่าแก่นแท้อันเดียวที่ถูกยอมรับ ณ พระเจ้า คือ อิสลาม ที่เป็นศาสนาสัจธรรม แต่เราไม่อาจเข้าถึงได้ ดังนั้นแต่ละคนจะเข้าใจอย่างไรทั้งหมดก็คือสัจธรรมทั้งสิ้น แต่ทัศนะที่สามนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ สัจธรรมและแก่นแท้ก็มีหลากหลายเช่นกัน ซึ่งทำให้ไม่ประสบปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน ไม่อาจพูดได้ว่า อันนั้นมี อันนี้ไม่มี ถูกหรือผิด ทั้งสองคือความจริงและสัจธรรมด้วยกันทั้งสิ้น", "title": "พหุนิยมทางศาสนา" }, { "docid": "362520#1", "text": "กลุ่มชาติพันธุ์ที่คนไทยเรียกกันว่า \"แขก\" คาดว่าหมายถึงชาวมุสลิมโดยรวม ทั้งนี้พ่อค้าชาวมุสลิมในคาบสมุทรเปอร์เซียที่เข้ามาค้าขายในแหลมมลายู (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาด้วย ภายหลังคนพื้นเมืองจึงได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ส่วนในประเทศไทยนี้พบหลักฐานว่าคนไทยได้ติดต่อสัมผัสกับชาวมุสลิมตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัย และช่วงกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา โดยชาวมุสลิมบางคนนั้น เป็นถึงขุนนางในราชสำนัก ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีชาวมุสลิมอพยพมาจากมลายูและเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมอินเดียที่เข้ามาตั้งรกราก รวมถึงชาวมุสลิมยูนนานที่หนีภัยการเบียดเบียนศาสนาหลังการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน", "title": "ศาสนาอิสลามในประเทศไทย" }, { "docid": "209032#6", "text": "ดังนั้น ความขัดแย้ง แบ่งกลุ่มแบ่งคณะ และการตามแบบไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงใดๆ อ้างว่าท่านร่อซูลทำแค่นี้ ไม่เคยถามว่าเดือนคว่ำหรือหงาย เห็นที่ไหน และอ้างว่าเป็นความเห็นของนักวิชาการส่วนมาก ซึ่งจริงแล้วประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้หลักการตามโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลย(ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว) หรือบางครั้งเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ใช้หลักการตามหรือปฏิบัติอย่างไร ก็จะอ้างว่าศาสนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเห็นของคนส่วนมาก แล้วอะไรคือจุดยืนที่แน่นอน … ถึงตอนนี้น่าจะยอมรับความจริง หันหน้ามาพูดคุยทำความเข้าใจในเรื่องนี้กัน เพื่อสังคมจะได้ไม่แตกแยก ร่วมกันทำงานเพื่ออิสลามอย่างบริสุทธิ์ใจ ความไม่ตรงกันที่มีอยู่ในประเทศไทยต่างหาก ที่ทำให้เราเข้าใจไปว่า ที่ไหนๆ ก็ไม่ตรงกัน", "title": "เชาวาล" }, { "docid": "353103#3", "text": "หลังจากการนำทัพบุกแบกแดดนำโดยกองทัพสหรัฐในเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 ผู้รับผิดชอบดูแลสุเหร่าได้นำอัลกุรอานเลือดไปเก็บไว้เพื่อความปลอดภัย การเสียชีวิตของซัดดัมได้ทำให้องค์การศาสนาและฝ่ายฆราวาสอิรักอยู่ในสภาวะลำบากอย่างรุนแรง ในแง่หนึ่ง ศาสนาอิสลามถือว่าเป็นฮะรอม (ข้อห้าม) ที่จะเขียนอัลกรุอานด้วยเลือด พฤติการณ์ของซัดดัมได้รับการประณามใน พ.ศ. 2543 โดยองค์การศาสนาในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบีย ศาสตราจารย์อับดุล กอฮ์ฮะร์ อัล-อะนี ศาสตราจารย์ด้านความคิดอิสลามจากมหาวิทยาลัยแบกแดด ได้ให้เหตุผลว่า \"ซัดดัมไม่ใช่บุคคลศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเลือดของเขาจึงสกปรก\" อะลี อัลวะอะฮ์ นักบวชนิกายชีอะฮฺผู้ซึ่งถูกจองจำในสมัยซัดดัม อธิบายว่าอัลกุรอานเลือดเป็น \"เวทมนตร์ดำของซัดดัม อัลกุรอานเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับทองคำและเงิน ไม่ใช่สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ดังเช่นเลือด [อัลกุรอานเลือด] สามารถถูกเผาทิ้งหรือสามารถโยนลงแม่น้ำได้ ผมจะโยนมันลงในแม่น้ำ\" ในอีกแง่หนึ่ง เป็นข้อห้ามมิให้ทำให้อัลกุรอ่านแปดเปื้อนหรือเสียหาย โดยที่ชาวอิรักคนหนึ่งได้สรุปถึงปัญหาดังกล่าวว่า \"มันเป็นข้อห้ามที่จะเขียนอัลกุรอานด้วยเลือด แต่เราจะทำลายคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์จากพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร\"", "title": "อัลกุรอานเลือด" }, { "docid": "232211#16", "text": "ตั้งแต่พระวิหารที่สองถูกทำลายไปการสวดมนต์สำหรับการก่อสร้างพระวิหารที่สามก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสวนมนตร์ประจำวันสามครั้งของชาวยิว แต่คำถามที่ว่าเมื่อใดที่จะเหมาะสมในการสร้างพระวิหารที่สามก็ยังเป็นที่ไม่ตกลงกันในบรรดาชาวยิว บางกลุ่มก็เห็นด้วยกับการสร้างแต่บางกลุ่มก็ไม่เห็นด้วย ขณะที่การขยายตัวของศาสนาอับราฮัมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 เป็นต้นมาเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในความเป็นเจ้าของกรุงเยรูซาเลมซึ่งเป็นเมืองสำคัญของทั้งสามศาสนา--ศาสนายูดาห์, ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นที่ตั้งของกรุงเยรูซาเลมในปัจจุบันก็เป็นการยากที่จะก่อสร้างพระวิหารใหม่บนบริเวณที่ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอักศอ และโดมแห่งศิลาซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม", "title": "พระวิหารในกรุงเยรูซาเลม" }, { "docid": "21298#4", "text": "ขตบางคอแหลมแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 3 แขวง (khwaeng) ได้แก่\nประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท แต่ก็มีศาสนาอิสลามอยู่มากตามแนวถนนเจริญกรุง", "title": "เขตบางคอแหลม" }, { "docid": "160018#0", "text": "แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ (; ; ; ; ภาษาอารามิคโบราณ: ארעא קדישא \" Ar'a Qaddisha\") หมายถึงดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในบริเวณประเทศอิสราเอลซึ่งมีความสำคัญต่อศาสนาสำคัญศาสนาอับราฮัมสามศาสนา ได้แก่ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม สาเหตุของความศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากความสำคัญของกรุงเยรูซาเลมทางศาสนาและความสำคัญของการเป็นดินแดนแห่งอิสราเอล", "title": "แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์" }, { "docid": "39278#10", "text": "ดังนั้น ความขัดแย้ง แบ่งกลุ่มแบ่งคณะ และการตามแบบไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงใด ๆ อ้างว่าท่านร่อซูลทำแค่นี้ ไม่เคยถามว่าเดือนคว่ำหรือหงาย เห็นที่ไหน และอ้างว่าเป็นความเห็นของนักวิชาการส่วนมาก ซึ่งจริงแล้วประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้หลักการตามโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลย(ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว) หรือบางครั้งเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ใช้หลักการตามหรือปฏิบัติอย่างไร ก็จะอ้างว่าศาสนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเห็นของคนส่วนมาก แล้วอะไรคือจุดยืนที่แน่นอน … ถึงตอนนี้น่าจะยอมรับความจริง หันหน้ามาพูดคุยทำความเข้าใจในเรื่องนี้กัน เพื่อสังคมจะได้ไม่แตกแยก ร่วมกันทำงานเพื่ออิสลามอย่างบริสุทธิ์ใจ ความไม่ตรงกันที่มีอยู่ในประเทศไทยต่างหาก ที่ทำให้เราเข้าใจไปว่า ที่ไหน ๆ ก็ไม่ตรงกัน", "title": "เราะมะฎอน" }, { "docid": "708055#2", "text": "อาลียา อีเซ็ตเบโกวิช เกิดวันที่8 สิงหาคม ปี1925 ที่บอสสานสกา ซามัช ในครอบครัวที่เคร่งศาสนาอิสลาม แนวคิดอุดมการณ์ ชาตินิยมอิสลามบอสเนียได้เข้าสู่ตัวอาลียา ช่วงกลางศตวรรษที่19 อาลียาออกต้องจากกรุงเบลเกรด เพราะกฎหมายที่ประกาศห้ามเข้า มุสลิมบอสเนีย อาศัยในเมืองดังกล่าว เขาเข้ามาอยู่ในกรุงซาราเยโว และศึกษาเรื่อง รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การปกครอง ในมหาวิทยาลัยซาราเยโว ช่วงสงครามโลกครั้งที่2 เยอรมันบุกยึดกรุงซาราเยโว ฟาสซิสต์เยอรมันได้ก่อตั้งขบสนการต่อต้านยิว เซิร์บและเชิดชูมุสลิมนามว่า ยุวชนมุสลิมบอสเนีย อาลียา อีเซ็ตเบโกวิชได้เข้าร่วมองค์กร และดำเนินการต่อต้านเซิร์บ แต่ในปี1943 เซิร์บก็ยึดซาราเยโวและสังหารหมู่ชาวมุสลิมบอสเนีย ยุวชนมุสลิมบอสเนียได้เข้าต่อต้านแต่แพ้ราบคาบ กระนั้นบอสเนียในอำนาจเยอรมันของฮิตเลอร์จึงจบลง ยุวชนมุสลิมบอสเนีย ก็หายไป บอสเนียกลายเป็นส่วนหนึงของยูโกสลาเวียใหม่ ", "title": "อาลียา อีเซตเบกอวิช" }, { "docid": "117625#2", "text": "ประวัติศาสตร์อัฟกานิสถานก่อนศาสนาอิสลามเริ่มด้วยการเข้ามาของชาวอารยันเมื่อ 1,457 ปีก่อนพุทธศักราช ตามมาด้วยชาวเปอร์เซีย ชาวเมเดีย ชาวกรีก ชาวเมารยะและชาวแบกเทรีย ราชวงศ์เมารยะในอินเดียแผ่อำนาจเข้าควบคุมอัฟกานิสถานตอนใต้รวมทั้งกรุงคาบูลและกันดะฮาร์ ราชวงศ์นี้ปกครองอยู่ได้ 100 – 120 ปี มีการเผยแพร่ศาสนาพุทธเข้ามาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช", "title": "ประวัติศาสตร์อัฟกานิสถาน" }, { "docid": "493198#2", "text": "ต่อมาเมื่ออาลี ซัสโตรอามิโจโยล้มเหลวในการบริหารประเทศ ทำให้ซูการ์โนหันมาประกาศใช้ประชาธิปไตยแบบชี้นำมาใช้ใน พ.ศ. 2500 แต่พรรคมัสยูมีไม่เห็นด้วย พรรคมัสยูมีได้จัดประชุมบัณพิตทางศาสนาอิสลาม และประกาศว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับศาสนาอิสลาม ทำให้สมาชิกพรรคมัสยูมีถูกกลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์ข่มขู่จนต้องออกจากกรุงจาการ์ตา ในที่สุดพรรคมัสยูมีและพรรคสังคมนิยมอินโดนีเซียได้ก่อกบฏและจัดตั้งรัฐบาปฏิวัติที่เกาะสุมาตราเรียกว่ารัฐบาลปฏิวัติแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย บูร์ฮันอุดดินได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ด้วย", "title": "บูร์ฮันอุดดิน ฮาราฮัป" }, { "docid": "79301#5", "text": "เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 มีชาวมุสลิมหัวรุนแรงบุกเข้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในกรุงมาเลเพื่อทำลายงานประติมากรรมยุคก่อนอิสลาม ส่งผลให้โบราณวัตถุทางพุทธศาสนาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 จำนวนสามสิบชิ้นเสียหายหรือถูกทำลายลง เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ระบุว่าประติมากรรมเกือบทั้งหมดทำจากปะการังหรือหินปูน ส่วนใหญ่เปราะบางแตกง่ายยากแก่การซ่อมแซม มีเพียงสองถึงสามชิ้นเท่านั้นที่สามารถซ่อมแซมได้", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศมัลดีฟส์" }, { "docid": "37665#30", "text": "ผู้ปกครองของอัลอันดะลุสมีตำแหน่งอยู่ระดับเอมีร์ โดยขึ้นกับกาหลิบอัลวะลีดที่ 1 แห่งราชวงศ์อุไมยัดที่กรุงดามัสกัส พระองค์ทรงให้ความสนใจกับการขยายกำลังทางทหารอย่างมาก ทรงสร้างกองทัพเรือที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยของราชวงศ์นี้ ซึ่งเป็นกลวิธีที่สนับสนุนการขยายอิทธิพลในฮิสปาเนียนั่นเอง ขุนนางท้องถิ่นได้รับอนุญาตให้ครอบครองทรัพย์สินและสถานะทางสังคมของตนไว้ตราบเท่าที่ยังยอมรับศาสนาอิสลาม และการเปลี่ยนผู้ปกครองไม่ได้รบกวนกิจประจำวันของพวกเขามากนัก เขตการปกครองย่อยตามพื้นที่ต่าง ๆ ยังเป็นเช่นเดิม แต่ตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นจะตกเป็นของชาวมุสลิมอาหรับ ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมถูกบังคับให้ยอมรับกฎหมายไม่เป็นธรรมซึ่งส่งเสริมสถานะของศาสนาอิสลามให้อยู่เหนือศาสนาคริสต์และศาสนายิวในสังคม จึงมีชาวคริสต์จำนวนหนึ่งในอัลอันดะลุสเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามโดยหวังจะได้รับสิทธิในสังคมเท่าเทียมกับชาวมุสลิม เช่น จ่ายภาษีน้อยลง หรือไม่ต้องเป็นทาสหรือข้าติดที่ดินอีกต่อไป ซึ่งเรียกพวกนี้ว่า \"มูลาดีเอส\"", "title": "ประวัติศาสตร์สเปน" }, { "docid": "891185#1", "text": "เรื่อง เศรษฐศาสตร์ เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ และอิสลามก็มีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ โดยทั่วไปแล้วคำว่า \"เศรษฐศาสตร์อิสลาม\" จะถูกใช้ประโยชน์ไปในกรณีต่างๆที่หลากหลายออกไป เช่น \"วิชาเศรษฐศาสตร์อิสลาม\" \"สำนักคิดเศรษฐศาสตร์อิสลาม\" \"ระบบเศรษฐศาสตร์อิสลาม\" เกี่ยวกับ \"วิชาเศรษฐศาสตร์อิสลาม\" นั้นมีประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องระมัดระวัง หากไม่คำนึงถึงบทเบื้องต้นและประเด็นต่างๆนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถนำเสนอเป้าหมายที่น่าเชื่อถือของคำนี้ได้ เมื่อพูดถึงคำว่า \"ศาสตร์\" โดยทั่วไปอันเป็นที่รู้กันก็จะอธิบายว่าหมายถึง วิชา หรือ วิทยาศาสตร์ นั่นเอง ซึ่งก็หมายถึงประมวลความรู้ที่ได้รับการยืนยันด้วยวิธีการทดลองที่เกิดขึ้นในยุคเรืองปัญญาในตะวันตก แล้วก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยมา วิชาเศรษฐศาสตร์ا หรือ เศรษฐศาสตร์การเมือง ก็ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับกฎข้อนี้เช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐศาสตร์อิสลามหรือทุกแนวคิดทางศาสนากับศาสตร์ด้านการทดลองเป็นไปในเชิงการเปรียบเทียบ เพราะเศรษฐศาสตร์ต้องให้คำตอบแก่คำถามที่ว่า ในวิชานี้พูดถึงเรื่องด้านต่างๆที่เกี่ยวกับคุณค่า ด้านจริยธรรมหรือเรื่องที่เกี่ยวกับความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร? หากนักค้นคว้าด้านเศรษฐศาสตร์หรือนักปรัชญาด้านเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า สามารถพบเรื่องต่างๆนี้ได้ในประมวลของเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์การเมือง โดยตรรกะแล้วเขาสามารถเชื่อในการมีอยู่ของเศรษฐศาสตร์อิสลาม อีกด้านหนึ่งหากบุคคลหนึ่งเชื่อว่าไม่มีเรื่องเกี่ยวกับคุณค่าทางจริธรรมอยู่เลยในเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์การเมือง ดังนั้น \"เศรษฐศาสตร์อิสลาม\"ถือว่าไม่มีความหมายในทัศนะของเขา บนพื้นฐานของการจำแนกดังกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นว่ามีทัศนะต่างๆมากมายเกี่ยวกับ วิชาเศรษฐศาสตร์อิสลาม บ้างก็เชื่อว่าระหว่าง \"สำนักคิดเศรษฐศาสตร์อิสลาม\"กับ\"ระบบเศรษฐศาสตร์อิสลาม\"นั้นแยกออกจากกัน ในทัศนะของพวกเขา ระบบเศรษฐศาสตร์อิสลาม คือการนำเอาหลักการและกฎเกณฑ์ต่างๆมาใช้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสำนักเศรษฐศาสตร์อิสลามก็ให้ความความสนใจเช่นกัน สามารถให้คำนิยามแก่ระบบเศรษฐศาสตร์อิสลามตามบันทัดฐานของการให้คำนิยามได้ว่า หมายถึง ศาสตร์ที่ประมวลหลักการและกฎเกณฑ์ต่างๆ โดยรวมของ อิสลาม เอาไว้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการจัดระบบฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้านเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความยุติธรรมแก่สังคม ทั้งนี้มนุษย์จะได้พบกับความผาสุกและไปถึงยังสังคมในอุดมคติที่บรรดาศาสดาและบรรดาอิมามแห่งพระผู้เป็นเจ้าเพียรพยายามให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น", "title": "เศรษฐศาสตร์อิสลาม" }, { "docid": "899631#30", "text": "นมาซวันศุกร์ในกรุงเตหะราน เมืองเตหะราน เมืองกุม และเมืองมัชฮัด เป็นเมืองที่มีความพิเศษอันโดดเด่น  และเมืองใหญ่ๆที่เป็นศูนย์กลาง ก็จะมีการทำนมาซวันศุกร์กัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมาทำกันที่ มัสญิดกลาง (มัสญิดญาเมี้ยะอ์)\nในรอบหนึ่งสัปดาห์มวลมุสลิมจะมารวมตัวกันเพื่อทำนมาซนี้ ซึ่งเป็นนมาซที่สำคัญในประวัติศาสตร์อิสลามแห่งอิหร่าน เป็นสถานที่ปราศรัยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศ เพื่อกล่าวนโยบายทางด้านการเมืองและการบริหารประเทศของรัฐบาล มุฮัมหมัดคอรัซชาฮ์ กล่าวบรรยายธรรมในนมาซวันศูกร์เมื่อวันที่ 24 เดือน เมษายน ค.ศ. 1220 ว่า มองโกลคือบททดสอบหนึ่งแห่งฟากฟ้าล แต่ละคนต้องไปหรือจำนน นับตั้งแต่ยุคกษัตริย์ อิสมาอีล ที่หนึ่งแห่งราชวงศ์ซอฟะวีย์ การนมาซวันศุกร์ค่อยๆกลายเป็นที่ปราศัยอย่างเป็นทางการในสังคมชีอะฮ์แห่งอิหร่าน บรรดานักการศาสนาโดยเฉพาะ  ท่านมุฮักกิก กะระกี ท่านคือบุคคลแรกที่ทำนมาซวันศุกร์ขึ้นอย่างเป็นทางการในมัสญิดกลางอะตีกแห่งเมืองอิสฟาฮาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับของบรรดาฟะกีฮ์ส่วนใหญ่ หลังจากการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านเมื่อ 1357 การนมาซวันศุกร์ก็เบ่งบานมากขึ้น มีการจัดตั้งหน่วยงานและองค์กรเพื่อทำหน้าที่ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ท่านผู้นำสูงสุดแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้บรรยายถึงความสำคัญของการนมาซวันศุกร์เอาไว้ ถือกันว่าวันที่ 5 เดือนโมรดอด ปี 1358 ตรงกับวันที่ 27กรกฎาคม 1979 หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นวันแรกที่มีการนมาซวันศุกร์ขึ้นอย่างเป็นทางการในกรุงเตหะราน ซึ่งนำนมาซโดย มะห์มูด ฏอลิกอนี ที่มหาวิทยาลัยเตหะราน ", "title": "นมาซวันศุกร์" }, { "docid": "752065#0", "text": "การละทิ้งศาสนาอิสลาม หรือ การสิ้นสภาพจากการเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ( ', \"ริดดะฮ์\" หรือ ') หมายถึงการที่ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามได้ละทิ้งศาสนาอิสลามไปยึดมั่นในการปฏิเสธด้วยความเต็มใจ โดยสามารถเป็นการปฏิเสธทางกาย ทางจิตใจ หรือทางวาจา กรณีนี้รวมถึงผู้ที่ละทิ้งศาสนาอิสลาม อาจละทิ้งไปเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอื่น โดยผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามโดยกำเนิด หรือผู้ที่เคยเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลามมาก่อน", "title": "การละทิ้งศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "225561#0", "text": "ต่วน สุวรรณศาสน์ มีชื่อทางศาสนาว่าฮัจญีอิสมาแอล ยะห์ยาวี เกิดที่กรุงเทพฯ ได้ไปศึกษาวิชาการทางศาสนาอิสลามจากกรุงมักกะหฺ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นอาจารย์สอนศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียงและมีลูกศิษย์มาก ", "title": "ต่วน สุวรรณศาสน์" }, { "docid": "78831#5", "text": "ชาวอินโดนีเซียที่นับถือพุทธศาสนานิกายมหายานอยู่นั้นจะมีอยู่บนเกาะชวาได้แก่ ชาวชวา (นับถือพุทธศาสนาร้อยละ 1) และชาวซุนดา และจะมีชาวบาหลีบนเกาะบาหลี ซึ่งบางคนก็นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบพื้นเมืองควบคู่กันไป และมีชาวซาซะก์บางคนที่นับถือศาสนาพุทธ และลัทธิวตูตลู ซึ่งเป็นศาสนาอิสลาม ที่รวมกับความเชื่อแบบฮินดู-พุทธ อยู่บ้างบนเกาะลอมบอก รวมไปถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่อาศัยบนเกาะชวา ทุกๆปี ศาสนิกชนเหล่านี้จะมาประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาที่บุโรพุทโธ ที่เมืองมุนตีลาน ที่อินโดนีเซียนี้ได้จัดตั้งสมาคมเพื่อสอนพระพุทธศาสนาแก่เยาวชน มีการบรรยายธรรม ปฏิบัติสมาธิ ออกวารสาร เช่น วารสารวิปัสสนา และวารสารธรรมจารณี ซึ่งการปกครองดูแลศาสนิกชนในอินโดนีเซียจะขึ้นกับพุทธสมาคมในอินโดนีเซีย มีสำนักงานใหญ่ในกรุงจาการ์ตา มีสาขาย่อย 6 แห่ง", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศอินโดนีเซีย" }, { "docid": "101759#7", "text": "ได้มีพ่อค้าชาวโปรตุเกสมาเฝ้าทูลอองพระบาท จึงมีพระกระแสสอบถามถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก รวมถึงจำนวนพระมเหสีที่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในแต่ในดินแดนทรงมี กัปตันทูลตอบว่ากษัตริย์ตะวันตกมีได้พระองค์เดียวเพราะศาสนากำหนดไว้ เว้นแต่สุลต่านแห่งรัฐอิสลามที่มีมเหสีได้สี่องค์ ส่วนเรื่องดินแดนต่างๆ นั้นกัปตันทูลเกี่ยวกับการยึดครองดินแดนที่ค้นพบใหม่ทางตะวันตก (ทวีปอเมริกา) พระเจ้าจักราทรงสนพระทัยและตรัสถามต่อไปว่าดินแดนเหล่านี้ย่อมมีผู้ปกครองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ไปยึดแย่งเขามาได้อย่างไร กัปตันตอบว่าเพื่อนำพวกชนพื้นเมืองสู่อารยธรรมและเผยแผ่คริสต์ศาสนา และด้วยเหตุนี้เองทำให้ประชาชน (ของโปรตุเกสและชาติมหาอำนาจตะวันตก) ต้องทำสงครามกับอาหรับและทำสงครามอื่นๆ นับครั้งไม่ถ้วน", "title": "พระเจ้าช้างเผือก (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "52478#12", "text": "ชาวจามในอดีตนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพุทธมหายานได้ปรากฏในโบราณสถานต่างๆของชาวจาม แต่ต่อมาชาวมลายูได้มาเผยแพร่ศาสนาอิสลามแก่ชาวจาม โดยชาวจามที่แบ่งตามศาสนาสามารถแยกออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่แขกจามในไทยสะสมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวจามเหล่านี้น่าจะถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนของตัวเอง(เวียดนามปัจจุบัน)ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ในปริมณฑลของนครธม จนเมื่อถูกเจ้าสามพระยาโจมตีจึงเริ่มถูกกวาดต้อนมาอยู่อยุธยา ในช่วงสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่สอง ชุมชนชาวจามนี้ก็เป็นกำลังส่วนหนึ่งในการสู้รบกับการรุกรานของพม่าด้วย แต่ภายหลังการหลังเสียกรุง ชาวจามที่เหลือรอดได้เข้าสวามิภักดิ์กับพระเจ้ากรุงธนบุรี และได้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านครัว ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี มีการรุกรานเขมรและกวาดต้อนครัวจามมาเพิ่มเติมที่บ้านครัวเพิ่มอีก", "title": "ชาวจาม" }, { "docid": "749873#0", "text": "เยรูซาเลมตะวันออก (, ) เป็นส่วนหนึ่งของกรุงเยรูซาเลมที่มิได้เป็นส่วนหนึ่งของเยรูซาเลมตะวันตก โดยครอบคลุมเขตเมืองเก่าและสถานที่ศักดิสิทธิ์ที่สำคัญต่อศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาห์ และศาสนาอิสลาม ได้แก่ เนินพระวิหาร, กำแพงโอดครวญ, โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ มัสยิดอัลอักศอ และโดมแห่งศิลา ปัจจุบันเมืองนี้เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของรัฐปาเลสไตน์แม้ว่าที่ทำการรัฐบาลจะอยู่ที่รอมัลลอฮ์", "title": "เยรูซาเลมตะวันออก" }, { "docid": "37549#2", "text": "พระเป็นเจ้ามีหลายพระนามแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมที่นับถือว่าจะมองพระองค์เป็นใครและมีแง่มุมต่าง ๆ อย่างไร เช่น คัมภีร์ฮีบรูและคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิมระบุว่าพระเป็นเจ้ามีพระนามว่า \"พระยาห์เวห์\" หรือ \"เราเป็น\" แต่ในศาสนายูดาห์มักหลีกเลี่ยงการออกพระนามศักดิ์สิทธิ์นี้ แล้วออกพระนามว่า \"เอโลฮิม\" หรือ \"อะโดนาย\" ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า \"องค์พระผู้เป็นเจ้า\" แทน ในศาสนาอิสลามมีพระนามพระเป็นเจ้าถึง 99 พระนาม พระนามที่ใช้มากที่สุดคือ \"อัลลอฮ์\" ", "title": "พระเป็นเจ้า" }, { "docid": "57542#3", "text": "อย่างไรก็ตามไม่ว่าศาสนาอิสลามจะแตกออกเป็นหลายกลุ่ม แต่ศาสนาอิสลามที่ถูกต้องมีเพียงกลุ่มเดียวส่วนกลุ่มอื่นๆที่แตกแนวนั้นถือเป็นกลุ่มนอกศาสนา เพราะที่อยู่ของเขาเหล่านั้นคือไฟนรก ดังนั้นเราอาจจะสรุปได้ว่า ศาสนาอิสลาม มีนิกายเดียว (เพราะนิกายอื่นๆนั้นไม่ใช่อิสลาม ณ.ที่ อัลลอฮฺ)\nรายชื่อนิกายในศาสนาอิสลามจากตำราต่างๆ มานำเสนอรวมทั้งได้ผนวกกลุ่มต่างๆเท่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันเข้าไปด้วย ซึ่งการนำเสนอนี้อาจแตกต่างไปจากตำราทั้งหลาย แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไร เพราะแม้แต่ตำราเกี่ยวกับนิกายต่างๆในอิสลาม แต่ละเล่มต่างได้กล่าวไว้ ไม่เท่ากันและแตกต่างกันไป\nข้อสำคัญที่สุดที่ทุกท่านไม่ควรมองข้ามก็คือ แต่ละกลุ่มย่อมมีหลักความเชื่อ(อะกีดะฮ์หรืออุซูลุดดีน)และหลักปฏิบัติ(อัลฟิกฮ์หรืออะห์กาม)ที่เหมือนกันและแตกต่างกัน \nเพราะฉะนั้นทางเราใคร่ขอความร่วมมือจากทุกท่าน กรุณาส่งข้อมูลที่แท้จริงจากมัซฮับ(แนวทาง)ของท่านมายังเรา เพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้ใฝ่ศึกษาศาสนาอิสลามจะได้รับประโยชน์จากท่าน \nเช่นเดียวกันทางเราจะพยายามนำเสนอข้อมูลนิกายต่างๆแก่ท่านด้วย อินชาอัลลอฮ์", "title": "นิกายในศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "139985#0", "text": "นายแช่ม พรหมยงค์ มีชื่อและนามสกุลเดิมว่า ซำซุดดิน มุสตาฟา เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2444 ที่ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ บิดาชื่อ นายจำปา หรือ มุสตาฟา เป็นโต๊ะอิหม่าม แห่งมัสยิดพระประแดงและเป็นอาจารย์สอนศาสนาอิสลาม นายแช่มเองนั้นจบการศึกษาด้านศาสนาอิสลามจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ", "title": "แช่ม พรหมยงค์" } ]
3092
อัคระ สถาปนาเป็นเมืองหลวงของอินเดียเมื่อไหร่ ?
[ { "docid": "541563#0", "text": "อัคระ (; \"Āgrā\", , ) อดีตเมืองหลวงของอินเดียในสมัยที่ยังเรียกว่า \"ฮินดูสถาน\" (Hindustan) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมนา (Yomuna) ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในรัฐอุตตรประเทศ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลัคเนา (Lucknow) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทาง และ ทางทิศใต้ของกรุงนิวเดลี เมืองอัคระมีประชากรทั้งหมด 1,686,976 คน (ปีค.ศ. 2010) ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในรัฐอุตตรประเทศ และอันดับที่ 19 ในประเทศอินเดีย. อัคระ นั้นยังใช้เป็นชื่อของเขตอำเภอ (District) ซึ่งเมืองอัคระนั้นตั้งอยู่", "title": "อัคระ" }, { "docid": "541563#1", "text": "อัคระ เคยถูกกล่าวถึงในมหากาพย์มหาภารตะ (Mahābhārata) โดยถูกเรียกว่า \"อัครวนา\" (Agrevana) แปลตามศัพท์สันสกฤตว่า \"นครชายป่า\" และยังเกี่ยวข้องกับพระฤๅษีอังคีรส หนึ่งในสิบมหาฤๅษีของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่ถ้าพูดถึงการสร้างเป็นเมืองนั้น ตำนานกล่าวว่าเกิดขึ้นในสมัยเจ้าเชื้อสายราชบุตรชื่อ “ราชปฎลสิงห์” (Raja Badal Singh) เมืองนี้เคยผ่านสมรภูมิครั้งใหญ่ๆ เมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน มีการเปลี่ยนผู้ครองเมืองเป็นระยะ กษัตริย์องค์แรกที่ย้ายเมืองหลวงจากเดลีไปยังอัคระได้แก่ \"สุลต่านสิกันดร โลที\" (Sultan Sikandar Lodi) เมื่อ ค.ศ. 1506 (ยุคกรุงศรีอยุธยา ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1) จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1517 \"สุลต่านอิบราฮิม โลที\" (Ibrahim Lodi) พระโอรส ปกครองอัคระต่อมาอีก 9 ปีจนกระทั่งพ่ายแพ้ในยุทธการแห่งปณิปัต (Battle of Panipat) ในปี ค.ศ. 1526. จากนั้นมาระหว่างปีค.ศ. 1540 ถึงค.ศ. 1556 เจ้าเชื้อสายอัฟกานิสถานได้เข้าปกครองเมืองแทนเริ่มจากเจ้าเชอร์ชาห์สุรี (Sher Shah Suri) และเจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์ (Hem Chandra Vikramaditya) ราชาแห่งชาวฮินดู ก่อนที่จะเริ่มโด่งดังในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุล อันยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. 1556 ถึงค.ศ. 1658 อันเป็นช่วงกำเนิดของโบราณสถานสำคัญในปัจจุบัน อาทิเช่น ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ป้อมอัคระ (Akra Fort) และฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehpur Sikri) ซึ่งโบราณสถานโมกุลทั้งสามแห่งนี้ได้ถูกยกขึ้นเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก", "title": "อัคระ" } ]
[ { "docid": "541563#8", "text": "เนื่องจากที่อัคบาราบัดนี้เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในอินเดียภายใต้จักรวรรดิโมกุล จึงมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างสำคัญมากมาย สมเด็จพระจักรพรรดิบาบูร์ ผู้สถาปนาราชวงศ์โมกุล ได้วางแบบแผนสวนแบบเปอร์เซียในบริเวณริมฝั่งของแม่น้ำยมุนา สวนนี้มีชื่อว่า \"อารัม บักห์\" (Arām Bāgh) แปลว่า สวนแห่งความผ่อนคลาย พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร ได้สร้างป้อมปราการสีแดงขึ้นมา นอกจากนั้นยังทำให้อัคระเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ศิลปะ การค้า และศาสนา ในรัชสมัยของพระองค์ยังมีการสร้างเมืองแห่งใหม่บริเวณปริมณฑลของอัคระที่มีชื่อว่า \"ฟาเตห์ปูร์ สิครี\" ซึ่งสร้างในรูปแบบของป้อมค่ายทหารซึ่งสร้างจากหิน", "title": "อัคระ" }, { "docid": "541563#7", "text": "ยุคทองของอัคระนั้นเริ่มขึ้นในสมัยที่ปกครองโดยราชวงศ์โมกุล โดยรู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า \"อัคบาราบัด\" และเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุลภายใต้การปกครองของสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ และสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน และต่อมาสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ \"ชาห์ชะฮันนาบัด\" (Shahjahanabad) ในปีค.ศ. 1649", "title": "อัคระ" }, { "docid": "541563#10", "text": "สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ภายหลังนั้นได้ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่กรุงเดลี แต่พระโอรสของพระองค์ ออรังเซพ ได้ย้ายกลับไปที่อัคบาราบัด โดยจับคุมตัวองค์จักรพรรดิไว้ในป้อมจนสวรรคต ซึ่งอัคบาราบัดก็ยังเป็นเมืองหลวงในขณะนั้นจนสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซพ ได้ย้ายเมืองหลวงไปที่ \"ออรังกาบัด\" (Aurangabad) ในเดคคาน เมื่อปีค.ศ. 1653 จากนั้นต่อมาเป็นยุคปลายของจักรวรรดิโมกุล เมืองจึงได้ตกอยู่ในอิทธิพลของชาวมราฐา และถูกเรียกชื่อใหม่ว่า \"อัคระ\" ก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ หรือบริติชราช", "title": "อัคระ" }, { "docid": "541563#15", "text": "สร้างเสร็จในปีค.ศ. 1653 โดยสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันแห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อเป็นที่พักพิงหลังสุดท้ายของพระมเหสีของพระองค์ สร้างจากหินอ่อนสีขาว จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดในประเทศอินเดีย โดยก่อสร้างได้อย่างสมมาตร ซึ่งกินเวลาถึง 22 ปี (ปีค.ศ. 1630 - ค.ศ. 1652) ด้วยแรงงานกว่า 20,000 คน เพื่อสร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ถูกรังสรรค์อย่างสวยงาม โดยสถาปนิกชาวเปอร์เซีย อุซถัด อิซา (Ustād 'Īsā) บนริมแม่น้ำยมนา ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจากบริเวณป้อมอัคระ ที่ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันทรงใช้เวลา 8 ปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพเฝ้ามองทัชมาฮาล จากการถูกกักขังโดยพระโอรสของพระองค์เอง", "title": "อัคระ" }, { "docid": "541563#27", "text": "เมืองสิกันทรา (Sikandra) ซึ่งเป็นที่ตั้งของหลุมฝังพระศพสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์มหาราช (อักบัรมหาราช) แห่งราชวงศ์โมกุล ตั้งอยู่ระหว่างทางบนทางหลวงสายเดลี-อัคระ เพียง 13 กิโลเมตรจากป้อมอัคระ การออกแบบหลุมฝังพระศพแห่งนี้นั้นสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกของพระองค์อย่างครบถ้วน สร้างบนบริเวณกว้างขวางท่ามกลางสวนอันร่มรื่น ภายในอาคารอันสวยงามมีหลุมฝังพระศพสร้างจากหินทรายสีเหลือง-แดงที่สลักอย่างวิจิตรพิศดาร ตกแต่งเป็นลายรูปกวาง กระต่าย ค่างหนุมาน โดยว่ากันว่าพระองค์เป็นผู้เลือกสถานที่ตั้งหลุมพระศพของพระองค์เอง โดยถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางศาสนาของชาวโมกุลที่จะต้องสร้างหลุมฝังศพของตนโดยนำธรรมเนียมมาจากกลุ่มชนเตอร์กิก สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ พระโอรสของพระองค์ได้เป็นผู้สานต่องานก่อสร้างจนสำเร็จในปีค.ศ. 1613 บนโลงหินนั้นยังสลักชื่อ 99 ชื่อของพระอัลเลาะห์", "title": "อัคระ" }, { "docid": "541563#21", "text": "สมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ได้ทรงมีพระบัญชาให้สร้างฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehpūr Sikrī) ซึ่งตั้งอยู่ห่างเมืองอัคระเป็นระยะทาง และต่อมาได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่นั่น (ในระหว่างปีค.ศ. 1571 ถึงค.ศ. 1585) ในที่สุดก็ได้ทิ้งร้างลงกลับมาที่อัคระอีกหนหนึ่ง ฟาเตห์ปูร์ สิครีจึงประกอบด้วยอาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก", "title": "อัคระ" }, { "docid": "170688#1", "text": "โกลกาตาเคยเป็นเมืองหลวงของอินเดียในสมัยการปกครองของอังกฤษ จึงทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษาสมัยใหม่ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง (จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการย้ายเมืองหลวงไปนิวเดลี) โดยถือเป็นเมืองหนึ่งที่มีระบบระบายน้ำเก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยมีอายุกว่า 150 ปี อย่างไรก็ตาม โกลกาตาประสบกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเป็นเวลานานติดต่อกันหลายปีหลังจากอินเดียได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2490 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา การฟื้นฟูและการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้นำไปสู่ความเจริญเติบโตของเมืองอย่างเต็มที่ แต่ก็เช่นเดียวกับเมืองใหญ่แห่งอื่น ๆ ในอินเดีย โกลกาตาต้องเผชิญกับปัญหาเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน ปัญหามลภาวะ ปัญหาการจราจรติดขัด เป็นต้น นอกจากนี้ โกลกาตายังมีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์การปฏิวัติ ตั้งแต่การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย ไปจนถึงขบวนการฝ่ายซ้ายและสหภาพการค้าต่าง ๆ อีกด้วย", "title": "โกลกาตา" }, { "docid": "541679#0", "text": "ฟเตหปุระสีกรี (; ; ) เป็นเมืองตั้งอยู่ในเขตอำเภออัคระ รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1569 โดยสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร และยังใช้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุลระหว่างปี ค.ศ. 1571–1585 ภายหลังจากชัยชนะจากสงครามกับชาวเมืองจิตเตารครห์ (Chitaurgarh) และรณถัมโภระ (Ranthambore) พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยย้ายเมืองหลวงจากอัคระมายังที่แห่งใหม่บริเวณนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ตั้งของสะพานสิครีเป็นระยะทาง เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญลัทธิศูฟี พระนามว่า \"ซาลิม คิชติ\" (Salim Chishti) โดยได้ใช้เวลาออกแบบผังเมืองและสร้างถึง 15 ปี ซึ่งรวมถึงกำแพงเมืองรอบด้าน พระราชวัง ตำหนัก ฮาเร็ม ศาล มัสยิด และอาคารสาธารณูปโภคต่าง ๆ ทรงตั้งชื่อเมืองว่า \"ฟะเตฮาบาด\" (Fatehabad) มาจากคำภาษาอาหรับว่า \"ฟัตห์\" แปลว่า \"ชัยชนะ\" และต่อมากลายเป็น \"ฟเตหปุระสีกรี\" (Fatehpur Sikri) ฟเตหปุระสีกรี นั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างในสถาปัตยกรรมโมกุลที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศอินเดีย", "title": "ฟเตหปุระสีกรี" } ]
1963
ภัยพิบัติเชียร์โนบีล เกิดขึ้นในประเทศอะไร?
[ { "docid": "323534#0", "text": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล (; ) เป็นอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล ตั้งอยู่ที่นิคมเชียร์โนบีล ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมืองพริเพียต แคว้นเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส (ในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) อุบัติเหตุที่เชียร์โนบีลนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ในแง่ของค่าใช้จ่ายและชีวิต", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" } ]
[ { "docid": "323534#64", "text": "การอพยพเริ่มมานานก่อนที่การเกิดอุบัติเหตุจะเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนทั่วสหภาพ เฉพาะในวันที่ 28 เมษายน หลังจากที่ระดับรังสีเปิดการเตือนภัยที่โรงไฟฟ้​​านิวเคลียร์ Forsmark ในประเทศสวีเดน ที่อยู่ห่างจากโรงงานเชียร์โนบีลกว่า 1,000 กิโลเมตร (620 ไมล์) สหภาพโซเวียตก็ยอมรับกับสาธารณชนว่าอุบัติเหตุได้เกิดขึ้น เมื่อเวลา 21:02 น. ของเย็นวันนั้น มีการอ่านประกาศเป็นเวลา 20 วินาทีในรายการข่าวโทรทัศน์ Vremya:", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#145", "text": "ผู้เขียนแนะนำว่าส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตอยู่ในรัสเซีย เบลารุสและยูเครน แต่ที่อื่น ๆ เกิดขึ้นทั่วโลกจากหลายประเทศที่ได้รับฝุ่นละอองกัมมันตรังสีจากเชียร์โนบีลที่ตกลงมา การวิเคราะห์วรรณกรรมสร้างสิ่งตีพิมพ์กว่า 1,000 ชื่อและสื่ออินเทอร์เน็ตและเอกสารการพิมพ์กว่า 5000 ชุดที่พูดคุยกันเรื่องผลกระทบของภัยพิบัติที่เชียร์โนบีล ผู้เขียนยืนยันว่าสิ่งพิมพ์และเอกสารเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นโดยหน่วยงานชั้นนำในยุโรปตะวันออกและส่วนใหญ่ถูกมองว่าด้อยค่าหรือเพิกเฉยโดย IAEA และ UNSCEAR การประมาณการนี้ก็ยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าพูดเกินจริง ขาดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#9", "text": "ในบทหนึ่งของกรีนพีซ ผู้ก่อตั้งภูมิภาคนั้นชาวรัสเซียยังประพันธ์หนังสือเล่มหนึ่งท​​ี่ชื่อว่า \"เชียร์โนบีล: ผลกระทบของภัยพิบัติที่เกิดกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม\" ซึ่งสรุปได้ว่าท่ามกลางผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกที่ได้สัมผัสกับการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีจากภัยพิบัติ เกือบหนึ่งล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งก่อนวัยอันควรระหว่างปี 1986 ถึงปี 2004 อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ล้มเหลวในกระบวนการ peer review ในห้าความคิดเห็นที่ตีพิมพ์ในสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ สี่ความคิดเห็นพิจารณาว่าหนังสือเล่มนี้มีข้อบกพร่องและขัดแย้งอย่างรุนแรง และหนึ่งความคิดเห็นยกย่องในขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงข้อบกพร่องบางอย่าง ความคิดเห็นโดย M.I. Balonov เผยแพร่โดย 'สถาบันวิทยาศาสตร์นิวยอร์ก' สรุปว่ารายงานมีค่าเป็นลบเพราะมันมีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์น้อยมากในขณะที่สร้างความเข้าใจผิดอย่างมากให้กับผู้อ่าน มันประมาณการผู้เสียชีวิตเกือบหนึ่งล้านคนในดินแดนของนิยายมากกว่าในดินแดนของวิทยาศาสตร์", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#106", "text": "การกลายพันธุ์ทั้งในมนุษย์ และในสัตว์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามหลังภัยพิบัติ ยกตัวอย่างเช่นในหลายฟาร์มในเมือง Narodychi Raion ของยูเครน ในสี่ปีแรกของภัยพิบัติ สัตว์เกือบ 350 ตัวเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติขั้นต้นเช่นแขนขาหายไปหรือเกินมา ตา หัวหรือซี่โครงขาดหายไปหรือกะโหลกผิดรูป; ในการเปรียบเทียบ การเกิดแบบผิดปกติมีเพียงสามรายเท่านั้นที่มีการจดทะเบียนในช่วงห้าปีก่อนหน้า แม้จะมีการเรียกร้องเหล่านี้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า \"เด็กที่อยู่ในครรภ์ก่อนหรือหลังจากที่พ่อของพวกเขาเปิดรับกับรังสีจะไม่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญของความถี่ในการกลายพันธุ์\"", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#101", "text": "สวีเดนเป็นผู้ค้นหาแหล่งที่มาของกัมมันตภาพรังสี หลังจากที่พวกเขาได้พิจารณาแล้วว่าไม่มีการรั่วไหลที่โรงไฟฟ้าของสวีเดน ในตอนเที่ยงของวันที่ 28 เมษายน พวกเขาค้นพบเบาะแสแรกว่าเกิดปัญหานิวเคลียร์ร้ายแรงในทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ดังนั้นการอพยพของ Pripyat ในวันที่ 27 เมษายน หรือ 36 ชั่วโมงหลังจากการระเบิดครั้งแรกก็เสร็จสมบูรณ์อย่างเงียบ ๆ ก่อนที่ภัยพิบัติจะกลายเป็นที่รู้จักนอกสหภาพโซเวียต ในเวลานั้นการเพิ่มขึ้นของระดับรังสีได้มีการวัดเรียบร้อยแล้วในฟินแลนด์ แต่การนัดหยุดงานของข้าราชการพลเรือนทำให้การตอบสนองและข่าวล่าช้า", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#4", "text": "ภัยพิบัติเริ่มในช่วงการทดสอบระบบในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 1986 ที่เครื่องปฏิกรณ์หมายเลขสี่ของโรงไฟฟ้าเชียร์โนบีล มีพลังงานกระชาก () ที่ฉับพลันและไม่คาดคิด และเมื่อมีความพยายามที่จะปิดแบบฉุกเฉิน พลังงานกระชากขนาดที่ใหญ่กว่ามากก็เกิดขึ้นในส่วนของพลังงานส่งออก ซึ่งนำไปสู่​​การแตกของ'อ่างปฏิกรณ์' () และการระเบิดเป็นชุดของไอน้ำ เหตุการณ์เหล่านี้เปิดให้ตัวหน่วงปฏิกิริยานิวตรอนที่ทำด้วยกราไฟท์ () ของเครื่องปฏิกรณ์ได้สัมผัสกับอากาศ ก่อให้เกิดการลุกไหม้. ไฟที่ไหม้ส่งกลุ่มฝุ่น () ที่มีกัมมันตรังสีสูงออกสู่ชั้นบรรยากาศและทั่วพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง รวมทั้งเมือง Pripyat กลุ่มฝุ่นกัมมันตรังสีลอยเหนือส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกของสหภาพโซเวียตและยุโรป จากปี 1986-2000 ประชาชน 350,400 คนได้รับคำสั่งให้อพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ออกจากพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ปนเปื้อนอย่างรุนแรงของเบลารุส รัสเซียและยูเครน ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของโซเวียตช่วงหลังจากสลายตัว ประมาณ 60% ของกลุ่มฝุ่นกัมมันตรังสีตกลงในเบลารุส", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#144", "text": "\"เชียร์โนบีล: ผลกระทบจากภัยพิบัติสำหรับผู้คนและสิ่งแวดล้อม\" เป็นภาษาอังกฤษของสิ่งพิมพ์ของรัสเซียในปี 2007 \"เชียร์โนบีล\" ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 2009 โดยสถาบันวิทยาศาสตร์นิวยอร์กในงาน \"ประวัติศาสตร์ของ New York Academy of Sciences\" ของพวกเขา สิ่งพิมพ์นำเสนอการวิเคราะห์วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์และสรุปว่าเวชระเบียนระหว่างปี 1986 (ปีที่เกิดอุบัติเหตุ) และปี 2004 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร 985,000 คนเป็นผลมาจากการปลดปล่อยกัมมันตภาพรังสี แม้กระนั้น มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบได้อย่างแม่นยำถึงปริมาณของรังสีที่มีผลกระทบกับประชาชนเหล่านั้น เพื่อให้รู้ความจริงที่ว่าปริมาณที่ได้รับแตกต่างกันอย่างมากจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งในกลุ่มประชากรดังกล่าวข้างต้นในที่ซึ่งเมฆกัมมันตรังสีได้เดินทางไปถึง และยังให้รู้ความจริงที่ว่าไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่าโรคมะเร็งในบุคคลจากอดีตสหภาพโซเวียตเกิดจากรังสีจากอุบัติเหตุเชียร์โนบีลหรือเกิดจากปัจจัยทางสังคมหรือพฤติกรรมอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#183", "text": "อุบัติเหตุที่เชียร์โนบีลดึงดูดความสนใจเป็นอันมาก เพราะความไม่ไว้วางใจของผู้คนจำนวนมาก (ทั้งภายในและภายนอกสหภาพโซเวียต) ที่มีต่อหน่วยงานของสหภาพโซเวียต การอภิปรายจำนวนมากเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เชียร์โนบีลจึงเกิดขึ้นใน'โลกที่หนึ่ง'ในช่วงวันแรก ๆ ของเหตุการณ์ เพราะข้อมูลที่รวบรวมได้มีข้อบกพร่องขึ้นอยู่กับภาพที่ถ่ายจากอวกาศ มีความเข้าใจว่าปฏิกรณ์หน่วยที่สามก็ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุเช่นกัน", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "323534#143", "text": "การศึกษาที่สำคัญอีกอันหนึ่งของรายงานเชียร์โนบีลฟอรั่มถูกแต่งตั้งให้ดำเนินการโดยกลุ่มกรีนพีซ ซึ่งยืนยันว่าตัวเลขที่เผยแพร่ล่าสุดชึ้ว่าในเบลารุส รัสเซียและยูเครน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอาจมีผลในการเสียชีวิตเพิ่มเติมถึง 10,000-200,000 รายในช่วงระหว่างปี 1990 และปี 2004 เลขานุการด้านวิทยาศาสตร์ของเชียร์โนบีลฟอรั่มได้วิพากษ์วิจารณ์รายงานเกี่ยวกับการที่มันต้องพึ่งพาการศึกษาที่ผลิตในพื้นที่ที่ไม่ผ่านการทบทวนจากเพื่อน แม้ว่าส่วนใหญ่ของแหล่งที่มาของการศึกษาจะมาจากวารสารที่ผ่านการทบทวนจกเพื่อน รวมทั้งจากวารสารทางการแพทย์ตะวันตกจำนวนมากก็ตาม การประมาณการของอัตราการตายที่สูงขึ้นจะมาจากแหล่งที่มาที่ไม่ผ่านการทบทวนจากเพื่อน ในขณะที่เกรกอรี่ Hartl (โฆษกของ WHO) แนะนำว่าข้อสรุปได้รับแรงบันดาลใจโดยอุดมการณ์", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" } ]
1172
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เกิดเมื่อไหร่ ?
[ { "docid": "45565#0", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน (; ; \"พระนามเต็ม\" วิกตอเรีย อิงกริด อลิซ เดซิเร; 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 — ) เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งในราชบัลลังก์สวีเดน หากเมื่อเสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์ พระองค์จะทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถลำดับที่สี่ของประเทศ (ต่อจาก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 1 สมเด็จพระราชินีนาถคริสตินา และสมเด็จพระราชินีนาถอุลริคา เอเลโอนอรา) ทั้งนี้พระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นพระญาติใน เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก กับ เจ้าชายเปาโลส มกุฎราชกุมารแห่งกรีซ", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน" }, { "docid": "45565#2", "text": "เจ้าหญิงประสูติเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 ณ โรงพยาบาลแคโรลินสกา ในกรุงสต็อกโฮล์ม โดยเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ใน สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟและสมเด็จพระราชินีซิลเวีย และเป็นสมาชิกในราชวงศ์เบอร์นาดอตต์ อีกทั้งมีเชื้อสายส่วนใหญ่เป็นเยอรมัน พระองค์ทรงเป็นรัชทายาทผู้มีสิทธิ์โดยตรง (heir-apparent) ซึ่งเป็นสตรีเพียงองค์เดียวในโลก (แม้มีรัชทายาทหญิงในราชบัลลังก์อยู่อีกหลายองค์ แต่เป็นเพียงพระธิดาองค์ใหญ่ในรัชทายาทหรือมกุฎราชกุมาร) และทรงดำรงพระอิสริยยศ \"เจ้าหญิงมกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน (HRH The Crown Princess) \" นอกจากนั้นแล้วพระองค์ยังทรงอยู่ในอันดับที่ 192 ของลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ โดยผ่านทางพระชนก ซึ่งเป็นพระปนัดดาในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งคอนน็อต พระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร จึงทำให้ทรงมีศักดิ์เป็นพระประยูรญาติ (เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และสมเด็จพระราชาธิบดีฆวน คาร์ลอสที่ 1 แห่งสเปน) ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 หากเมื่อเจ้าหญิงเสวยสมบัติจะทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสวีเดน", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน" }, { "docid": "64083#0", "text": "พระราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Descendants of Queen Victoria) เป็นเรื่องราวของการสืบสายพระโลหิตของพระราชโอรสและธิดาทั้งหมด 9 พระองค์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร (อเล็กซานดรินา วิกตอเรีย; 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2362 - 22 มกราคม พ.ศ. 2444 \"เสวยราชสมบัติ\" 20 มิถุนายน พ.ศ. 2380) โดยมีพระราชนัดดา 42 พระองค์ และพระราชปนัดดา (เหลน) 88 พระองค์ แต่ละพระองค์จึงเป็นทั้งพี่น้องกันหรือพระญาติชั้นที่หนึ่งซึ่งกันและกัน (first cousin) และด้วยการอภิเษกสมรสเข้าไปยังราชสำนักต่างๆ ในทวีปยุโรป พระองค์จึงทรงมีผลกระทบต่อโชคชะตาของราชวงศ์ยุโรปอย่างมาก ทรงมีความเกี่ยวข้องทางสายพระโลหิตและการอภิเษกสมรสกับราชวงศ์สเปน เยอรมนี กรีซ รัสเซีย โรมาเนีย ยูโกสลาเวีย นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก จึงทำให้ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า สมเด็จย่าแห่งยุโรป (Grandmother of Europe)", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "32264#1", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียประสูติในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1819 เป็นพระราชธิดาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์และสแตรธเอิร์น พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรกับพระนางชาร์ลอตต์แห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์ พระราชชนนีคือเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งซัคเซิน-โคบวร์ค-ซาลเฟลด์ พระปิตุลา 2 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ได้แก่ พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร และ พระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร" } ]
[ { "docid": "175088#1", "text": "เจ้าฟ้าหญิงวิกตอเรีย ประสูติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2383 ณ พระราชวังบัคกิงแฮม,ลอนดอน พระราชชนนี คือ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระธิดาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ออกุสตุส ดยุคแห่งเคนท์และสตราเธิร์น และ เจ้าหญิงวิกตอเรีย แห่งแซ็กซ์-โคเบิร์ก-ซาลเฟลด์ พระราชชนก คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต แห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา พระโอรสพระองค์ที่ 2 ในแอร์นส์ที่ 1 ดยุคแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา และ เจ้าหญิงหลุยส์ แห่งแซ็กซ์-ก็อตธา-อัลเทนเบิร์ก เจ้าหญิงวิกตอเรีย เป็นพระราชธิดาพระองค์แรก", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี" }, { "docid": "64083#8", "text": "พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ตคือ เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี (วิกตอเรีย อเดเลด แมรี่ หลุยซา) ซึ่งมีพระนามลำลองว่า \"วิกกี้\" ประสูติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2383 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2444 ห้าเดือนหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชชนนี ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระราชกุมารี เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2384 และอภิเษกสมรสในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2401 กับ เจ้าชายฟรีดริช มกุฎราชกุมารแห่งปรัสเซีย (ฟรีดริช วิลเฮล์ม นิโคเลาส์ คาร์ล; 18 ตุลาคม พ.ศ. 2374 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2431 พระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 ซึ่งต่อมาได้สืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งเยอรมนี และครองราชย์ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน พ.ศ. 2431) และมีพระโอรสธิดาจำนวนแปดพระองค์และพระราชนัดดายี่สิบสามพระองค์", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "86294#1", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีประสูติเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2430 ณ ปราสาทบัลมอรัล มณฑลอเบอร์ดีนไชร์ ประเทศสกอตแลนด์ พระชนกของพระองค์คือ เจ้าชายเฮนรีแห่งบัทเทนแบร์ก พระโอรสองค์ที่สี่และองค์ที่สองในเจ้าชายอเล็กซานเดอร์แห่งเฮสส์และไรน์ ที่ประสูติกับเคาน์เตสจูเลีย ฟอน ฮ็อค ส่วนพระชนนีคือ เจ้าหญิงเบียทริซแห่งสหราชอาณาจักร พระราชธิดาองค์ที่ห้าและองค์เล็กในสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย", "title": "วิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน" }, { "docid": "64083#6", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ไม่เพียงเป็นพระชนนีในพระราชนัดดาพระองค์แรกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียคือ สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี เท่านั้น แต่ยังเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ในพระราชปนัดดาพระองค์แรกด้วยคือ \"เจ้าหญิงฟีโอดอราแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน\" (19 พฤษภาคม พ.ศ. 2422 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2488) พระธิดาองค์เดียวในเจ้าหญิงชาร์ล็อตแห่งปรัสเซีย (พระราชนัดดา (หญิง) พระองค์แรกในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) และในพระราชปนัดดาหญิงพระองค์สุดท้ายที่สิ้นพระชนม์คือ เลดี้ แคทเธอรีน แบรนด์แรม (พระอิสริยยศเดิมคือ \"เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งกรีซและเดนมาร์ก\"; 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2456 - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550) พระธิดาพระองค์สุดท้ายในเจ้าหญิงโซฟีแห่งปรัสเซีย (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ) พระขนิษฐาในเจ้าหญิงชาร์ล็อต หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ในปี พ.ศ. 2550 ขณะมีพระชันษา 94 ปี พระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งยังทรงพระชนม์เป็นพระองค์สุดท้ายคือ เคานต์ คาร์ล โยฮัน เบอร์นาด็อตแห่งวิสบอร์ก (พระอิสริยยศเดิมคือ \"เจ้าชายคาร์ล โยฮันแห่งสวีเดน ดยุกแห่งดาลาร์นา\"; 31 ตุลาคม พ.ศ. 2459 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555) ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์สุดท้ายในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งคอนน็อต พระธิดาในเจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อต พระราชโอรสพระองค์ที่สามในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทั้งนี้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษา 95 ปี สายพระโลหิตรุ่นพระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2422 (ปีประสูติของเจ้าหญิงฟีโอดอราแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน) จึงได้สิ้นสุดลงตามไปด้วย", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "32264#0", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรในช่วงระหว่าง 20 มิถุนายน ค.ศ. 1837 - 22 มกราคม ค.ศ. 1901 ทรงมีสายพระโลหิตสืบทอดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ทั่วยุโรป (ยกเว้น เนเธอร์แลนด์) เช่น จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี หรือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เป็นต้น จนได้รับพระราชสมัญญานามว่า \"สมเด็จย่าแห่งยุโรป\" (Grandmother of Europe)", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "175088#0", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระวรราชกุมารี หรือพระนามเต็ม วิกตอเรีย อเดเลด แมรี หลุยซา (ประสูติ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2383 สวรรคต 5 สิงหาคม พ.ศ. 2444) พระราชธิดาพระองค์แรกในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต แห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา เป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี" }, { "docid": "63808#0", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเอดินบะระและซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (วิกตอเรีย เมลิตา; 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2419 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2479) ทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษ โดยเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เจ้าหญิงได้ทรงดำรงพระอิสริยยศทั้ง แกรนด์ดัชเชสพระชายาแห่งเฮ็สเซิน (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2444) และ แกรนด์ดัชเชสวิกตอเรีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (พ.ศ. 2448 - พ.ศ. 2460)", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา แห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา" }, { "docid": "86294#0", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก (Princess Victoria Eugenie of Battenberg; \"พระนามเต็ม\" วิกตอเรีย ยูจีนี จูเลีย เอนา; 24 ตุลาคม พ.ศ. 2430 - 15 เมษายน พ.ศ. 2512) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีมเหสีในพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 แห่งสเปน และพระราชนัดดาพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย นอกจากนี้สมเด็จพระราชาธิบดีควน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน ยังเป็นพระราชนัดดาของพระองค์อีกด้วย", "title": "วิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน" } ]
2230
จอร์จ โซรอส ก่อตั้งบริษัทอะไร ?
[ { "docid": "271393#2", "text": "โซรอสเคยเป็นสมาชิกในคณะกรรมการของ Council on Foreign Relations และยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง Center for American Progress ปัจจุบันจอร์จ โซรอส ก็ยังคงมีตัวแทนในคณะกรรมการอยู่ แม้ว่าตัวเขาเองจะคิดว่าเป็นการกล่าวชมยกยอกันมากเกินไป แต่ชาวรัสเซียและชาวตะวันตกก็มองว่าการสนับสนุนทางการเงินและการจัดการของเขา เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ Georgia’s Rose ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา", "title": "จอร์จ โซรอส" } ]
[ { "docid": "271393#30", "text": "โซรอสมีความสนใจเกี่ยวเรื่องปรัชญาอย่างชัดเจน และเขาได้กล่าวว่าการเข้ามาในโลกของการเงินของเขานั้นเพื่อสนับสนุนตัวเองในฐานนักปรัชญาคนหนึ่ง ปรัญชาของเขาได้รับอิทธิพลจาก Karl Popper ผุ้ที่เขาได้เรียนด้วยเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่ London School of Economic สถาบัน Open Society Institute ของเขาได้ชื่อมาจากหนังสือ ของ Karl Popper “the open society and it’s enemy” โซรอสได้ตั้งปณิทานเกี่ยวกับหลักการ Fallibilism สาขาหนึ่งจากปรัญชาของ Popper ในบทสัมภาษณ์กับ Minutesโซรอสเคยพูดไว้ว่าเขาไม่เชื่อในพระเจ้า", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#21", "text": "Washington Post ของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2003 โซรอสได้กล่าวไว้ว่า การที่ทำให้ George E. Bush ได้ออกจากตำแหน่ง เป็น “เป้าหมายของชีวิต” และ “เป็นดั่งความเป็นความตาย” เขาพูดแบบขำขันว่าเขาจะยอมสละทรัพย์สินทั้งหมดที่มีเพื่อล้ม George Bush “หากมีใครซักคนจะรับประกันว่ามันจะสำเร็จ” โซรอสมอบเงิน $3,000,000,000 ให้กับ Center for American Progress $5,000,000,000 ให้กับ MoveOn และ $10,000,000,000 ให้กับ American Coming Together กลุ่มคนเหล่านี้ สนับสนุนพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2004", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#26", "text": "โซรอสสนันสนุน ผู้สนับสนุนประชาธิปไตย และความโปร่งใส NGO บอกว่าประเทศกึ่งมีอำนาจ แต่บางอย่างก็ถูกแบนในประเทศ Kazakhstan และ Turkmenistan Ercis Kurtulus หัวหน้า social Tranparency Movement Association ในประเทศตุรกี กล่าวในคำสัมภาษณ์ว่า โซรอสได้สืบสารเจตนารมณ์ใยยูเครน โดยใช้องกร NGO เมื่อปีที่แล้ว ประทเศรัสเซียออกกฎหมายพิเศษเพื่อควบคุมการนำเงินออกของชาวต่างประเทศของ NGO “ผมคิดว่ามันน่าจะถูกแบนในประเทศตุรกีเช่นกัน” ในปี 1977 โซรอสต้องปิดกองทุนของเขาใน Belarus หลังจากโดนปรับไป $3,000,000,000 จากรัฐบาลเนื่องจากทำผิดกฎภาษีการแลกเปลี่ยนเงินตรา New York Times ประธานาธิบดของ Belarus Aleksandr Lukashenko ได้ถูกวิจารณ์โดยชาวตะวันตกและชาวรัสเซีย ในการที่เขาพยายามจะควบคุม Soros Foundation ใน Belarus และ องค์กรอิสระของ NGO อื่นๆ เพื่อจะกดขี่สิทธิมนุษยชน โซรอสเรียกส่วนที่ถูกปรับขององค์กรว่า “การทำลายอิสภาพของสังคม”", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#22", "text": "28 กันยายน 2004 เขาบริจาคเงินเพิ่มและเปิดตัวการพูดสุนทรพจน์หัวข้อ “ทำไมเราไม่ควรจะเลือกประธานนาธิบดีบุชอีกครั้ง” ที่ National Press Club เมืองวอชิงตัน ดีซี มีผู้ฟังหลายคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่เขาได้พูด แต่เกิดความเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเมื่อ Dick Cheney ได้อ้างอิงเว็บไซต์ผิดจาก FactCheck.org เป็น Factcheck.com ทำให้เจ้าของเว็บไซต์นั้นต้องโอนข้อมูลไปให้โซรอส", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#6", "text": "หลังจากนั้นไม่นาน ทางครอบครัวได้เปลี่ยนชื่อจาก Schwartz เป็น Soros เพื่อปรับตัวกับการเติบโตของการต่อต้านชาวยิวและความนิยมของระบบฟาสซิสต์ Tivarda ชอบชื่อนี้ เพราะว่าเมื่อสะกดกลับหลัง แล้ว ก็ยังเหมือนเดิม (S-O-R-O-S ) และเพราะมันมีความหมายในภาษาฮังการีว่า “คนต่อไป” และในภาษา Esperanto โซรอสมีความหมายที่แปลได้ว่า “จะทะยานขึ้นไปยังในอากาศ” ตั้งแต่เด็กจอร์จ โซรอส ถูกอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีให้พูดภาษา Esperanto ตั้งแต่เกิด จึงทำให้เขาเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่หายากที่จะมีภาษา Esperanto เป็นภาษาแม่ จอร์จเคยกล่าวไว้ว่า เขาเติบในครอบครัวยิวพ่อแม่ของเขามักระมัดระวังเกี่ยวกับรากศาสนาของเขา", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#18", "text": "2008 โซรอส มีชื่อเกี่ยวข้องกับ AS Roma ธีมฟุตบอลของอิตาลี แต่ตัวสโมสรไม่ได้ถูกขาย โซรอสยังเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินของ Washinton Soccer L.P. กลุ่มที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิการจัดการสโมสรฟุตบอล D.C. United ใน Major League Soccer เมื่อตอนที่ลีกถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1995 แต่เสียกรรมสิทธิไปเมื่อปี 2000", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#10", "text": "เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายของเขาถูกพวกนาซีจับตัว พ่อของจอร์จโซรอสจ่ายเงินให้กับราชการในกระทรวงกสิกรเพื่อที่จะให้โซรอสไปอยู่ที่นั่นระหว่างฤดูร้อนของปี 1944 ในฐานะลูกบุญธรรม จอร์จ โซรอสต้องซ่อนความเป็นยิวของเขา แม้ว่าทางรัฐบาลกำลังยึดทรัพชาวยิวอยู่ ในปีต่อมาเขาได้รอดพ้นจากการต่อสู้ในเมืองบูดาเปสต์ โซรอสได้แลกเปลี่ยนเงินตราและเครื่องประดับ เมื่อครั้งที่เงินเฟ้อในประเทศฮังการีช่วงปี 1945-46 โซรอสย้ายสัญชาติไปอังกฤษเมื่อปี 1947 และจบจาก London School of Economics ในปี 1952 โซรอสได้ทำงานเสริมเป็นพนักงานเสิร์ฟและเด็กยกกระเป๋าตามสถานีรถไฟ ทั้งๆ ที่เป็นนักศึกษาด้านปรัชญากับ Karl Popper ทางมหาวิทยาลัยได้ขอให้โซรอสช่วยเป็นติวเตอร์เพื่อแลกกับเงิน 40 ปอนด์จากกองทุน Quaker และสุดท้ายได้ทำงานกับธนาคาร Singer & Friedlander", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#1", "text": "นิตยสาร ฟอร์บส์ ได้จัดให้ จอร์จ โซรอส อยู่ในอันดับที่ 35ของบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาได้บริจาคเงิน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการกุศลตั้งแต่ ค.ศ. 1979 เป็นต้นมา", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#7", "text": "โซรอสแต่งงานและหย่าสองครั้ง กับ Annaliese Witschak และ Susan Weber Soros เขามีบุตรทั้งหมด 5 คน Robert, Andrea, Jonathan กับภรรยาคนแรก Annaliese และ Alexander, Gregory กับภรรยาคนที่สอง Susan พี่ชายของ จอร์จ Paul Soros ผู้ซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนตัว และคนใจบุญ เป็นวิศวกรที่เกษียณแล้ว ได้ก่อตั้ง Paul and Daisy Soros Fellowships for Young Americans และยังเป็นหัวเรือใหญ่ใน Soros Associates ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมนานาชาติที่มีฐานอยู่ในนครนิวยอร์ก หลานของจอร์จโซรอส Peter Soros ซึ่งเป็นลูกชายของ Paul Soros ได้แต่งงานกับสตรีที่ชื่อ Flora Fraser ผู้ซึ่งเป็นบุตรีของ Lady Antonia Fraser และ Sir Hugh Fraser และมีพ่อเลี้ยงนั่นคือ นักเขียนรางวัลโนเบล ฮาโรลด์ พินเทอร์", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#13", "text": "Black Wenesday (16 กันยายน 1992) กองทุนของโซรอสขายหุ้นมูลค่ากว่า $1,000,000,000 ปอนด์ โดยเก็งกำไรว่าจะซื้อกลับด้วยราคาที่ต่ำกว่า เพื่อที่จะดูว่าทางธนาคารจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจะได้เทียบเท่ากับค่าเงินยุโรปหรือว่าจะปล่อยให้ค่าเงินลอยตัว ในที่สุดธนาคารอังกฤษถอนเงินออกจาก Europen Exchange Rate Mechanism ทำให้ค่าเงินตก ในการกระทำครั้งนี้ โซรอสสร้างกำไรประมาณ 1,100,000,000 เขาขึ้นชื่อว่า “ชายผู้ทำลายธนาคารอังกฤษ” The Times ของวันจันทร์ ที่ 26 ตุลาคม ปี 1992 ได้คัดลอกบทสนทนาของ จอร์จ โซรอส ว่า “ในตำแหน่งของเรา ในวัน Black Wenesday ต้องมีมูลค่าเกือบ $10,000,000,000 แน่ เรากะว่าจะขายมากกว่านั้น ความจริงแล้วตอนที่ Norman Lamont บอกก่อนที่จะค่าเงินตกว่าจะยืมเงินเกือบ $15,000,000,000 เพื่อจะปกป้องค่าเงินของเขา เราก็นึกสนุกขึ้นมาเพราะนั่นคือจำนวนที่เรากะว่าจะขายอยู่พอดี” Stanley Druckenmiller ที่ทำการแลกเปลี่ยนภายใต้การดูแลของโซรอส เป็นผู้เห็นจุดอ่อนในค่าเงินปอนด์ สิ่งที่โซรอสทำคือดันเขาให้ทำให้มันใหญ่ขึ้น ในปี 1997 ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของเอเชีย นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย มหาธีร์ โมฮาหมัด กล่าวหาโซรอสว่าเขาใช้ความมั่งคั่งลงโทษกลุ่มอาเซียนที่รับพม่าเข้ามาเป็นสมาชิก แต่โซรอสก็ปฏิเสธคำกล่าวหานั้น ในหนังสือของเขาที่ออกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 The New Paradigm for Financial Markets กล่าวถึงกลุ่มที่เรียกว่า “Supperbubble” ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นภายใน 25 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นหนังสือเล่มที่สามที่เขาได้เขียนที่พยากรณ์ความหายนะ โซรอสได้กล่าวไว้ว่า เขาเป็นเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ หนังสือเล่มแรก The Alchemy of Finance ในปี 1987 แล้วก็ The Crisis of Global Capitalism ในปี 1998 แล้วก็เล่มนี้ เพราะฉะนั้นก็มีหนังสือทั้งหมดสามเล่มที่ทำนายว่าจะมีหายนะเกิดขึ้น หลังจากเด็กเลี้ยงแกะบอกว่าหมาป่ามาสามครั้ง หมาป่าก็มาจริงๆ", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#25", "text": "Neil Clark ของ New Stateman ได้บอกว่า บทบาทของ โซรอส มีความสำคัญมาต่อการล่มของระบบ คอมมิวนิสในยุโปรตะวันออก Clark กล่าวว่า โซรอส ใช้เงิน $ 3,000,000,000 ต่อปี ให้กับฝ่ายค้านต่อการเคบลื่อนไหว Solidarity ของประเทศโปแลนด์ รวมไปถึง Charter 77 ในประเทศ เชคโกสโลวาเกีย และ Andrei Sakhorov ในสหภาพโซเวียต เค้าก่อตั้ง Open Society Institute ที่แรกใน ฮังการี แล้วสูบฉีดเงินกว่าล้าน ดอลล์ลา ในการคัดค้านและการโฆษณาอย่างเสรี หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต การสนับสนุนทางด้านการเงินของโซรอสมีความสำคัญมากในแถบบริเวณนั้นๆ กองทุนและสถาบัน Georgia’s Rose Revolution ได้ถูกมาองว่ามีบทบาทสำคัญในการที่ทำให้เประสบความสำเร็จ แต่โซรอสได้อ้างว่ามันเป็นการกล่าวเกินเหตุ Alexander Lomaia เลขาธิการของ Georgia Security Council และอดีต อธิบดีกระทรวงการศึกษาและวิทยาศาสตร์ และยังเป็นอตีด ผู้บิรารระดับสูงของ Opens Society Georgia Foundation (Soros foundation) ควบคุมพนักงานกว่า 50 คนและเงินกว่า $2,500,000 อดีต รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของ Gerogia Solome Zourabichvili เขียนว่าสถาบันอย่าง โซรอส เป็นดั่งพื้นฐานของประชาธิปไตย์และ NGO ที่มีความเหี่วค้องกะโซรอส มีผลต่อการเคลื่อนไหวของการปฏิวัติ เธอบอได้กล่าวไว้หลังจากการปฏิวัติ Soros Foudnation และ NGO จะเข้ามายึดอำนาจ", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#24", "text": "หลังจากที่บุชได้รับเลือกอีกครั้ง โซรอสและผู้สนันสนุนอื่นๆ ได้ให้ความสนับสนุนกับกลุ่มกองทุนการเมืองอีกกลุ่มชื่อ Democracy Alliance ที่สนับสนุนเป้าหมายของ พรรคการเมือง แนวประชาธิปไตย์ โซรอส สนับสนุน McCain-Feingold ในการทำ Bipartisan Campaign Reform Act ที่ทุกคนให้ความหวังว่าจะยับยั้ง “soft money” ที่มอบให้กับการเลือกตั้งรัฐบาล โซรอสมอบ soft money ให้กับ 527 ที่ไม่มีใครจะมากล่าวหาว่าเป็นการคอรับชั่นเหมือนกับการที่จะยิบยื่นเงินให้กับพรรคการเมืองด้วยตนเอง สิงหาคม 2009 โซรอส บริจาคเงิน $35,000,000,000 รัฐ นิวยอร์ก เป็น ear marked สำหรับเด็กด้อยโอกาส เพื่อมอบให้กับผู้ปกครองที่มีบัตร benefit โดยจะได้รับเงินจำรชนว $200 ต่อเด็กคนหนึ่ง อายุทตั้งแต่ 3 -17 ปี โดยไม่จำกัดจำนวนเด็ก นอกจากนี้ โซรอสยังมอบเงิน $ 140,000,000,000 เป็นกองทุนของ นิวยอร์ก จากเงินที่ได้มาจาก federal recovery act ในปี 2009", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#20", "text": "อีกโครงการที่เห็นได้ชัดคือการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยทั่วทั้งยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ช่วยประชาชนช่วง Siege of Sarajevo และ Transparency International Muhamed Yunus ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้รับการสนับสนุนจาก Open Society Institute เช่นกัน National Review บอกว่า Open Society Institute บริจาคเงิน $20,000 ให้กับ Defense Committee ของ Lynne Stewart เมื่อเดือนกันยายน ปี 2002 Lynne Stewart เป็นทนายที่ปกป้องผู้ก่อการร้ายในชั้นศาล และถูกจำคุก 2 ปี 4 เดือน ข้อหาสนับสนุนแผนการก่อการร้ายผ่านทางการประชุมกับลูกค้า โฆษก Open Society Institute บอกว่า ณ เวลานั้นการกระทำของเขาดูมีเหตุผลที่ดีพอที่เราจะสนับสนุน กันยายน ปี 2006 จอร์จ โซรอส ได้ถอนตัวจากการสนับสนุนโครงการสร้างเสริมประชาธิปไตย และมอบเงินกว่า $50,000,000 ให้กับ Jeffry Sach ในโครงการ Millennium Promise ที่ช่วยผู้ที่ขาดอาหารอาหารในแอฟริกาเขาบอกว่าสิ่งที่ควรสังเกตคือความสัมพันธ์ระหว่างความหิวโหยกับการปกครองที่ไม่ดีจึงทำให้การช่วยเหลือครั้งนี้มีค่า ในปี 1980 New School for Social Research และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้มอบปริญญาเอกให้กับโซรอส ในปี 1991 Corvinus University of Budapest และนอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Yale International Center for Finance Award จาก Yale School of Management และ Laurea Honoris Causon เกียรติสูงสุด ของ University of Bologna ในปี 1995", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#15", "text": "กุมภาพันธ์ 2009 โซรอสบอกว่า ระบบการเงินโลกได้แตกตัวออกจากกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังไม่มีทางแก้วิกฤติทางเศรษฐกิจอันใกล้นี้อยู่ดี “เราได้พบเจอการล่มสลายของระบบการเงิน และก็ถูกดูแลเป็นพิเศษเพื่อประคองตัวได้แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ และไม่ใกล้เคียงก้นบึ้งเลย”", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#23", "text": "ก่อนหน้าการเลือกตั้งในปี 2004 โซรอสไม่เคยจะบริจาคเงินให้กับการเมืองเลย Center of Responsive Politics ได้ทำการสำรวจว่า ระหว่างปี 2003-2004 จอร์จ โซรอสได้บริจาคเงินกว่า $23,581,000 ให้กับกลุ่ม 527 Group เพื่อที่จะเอาชนะ George W. Bush 527 Group เป็นกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษี ตั้งชื่อตามรหัสภาษีของสหรัฐ 26.U.S.C. 527 แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร Geroge Bush ก็ได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งอยู่ดี", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#39", "text": "{{subst:#if:ซโรอส, จอร์จ|}} [[Category:{{subst:#switch:{{subst:uc:1930}}", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#11", "text": "1956 โซรอสย้ายไปนิวยอร์ก ในตำแหน่งนักเก็งกำไรจากการแลกเปลี่ยนกับบริษัท F.M. Mayer ตั้งแต่ปี 1956-59 และเป็นนักวิเคราะห์ กับ Wertheim and Company ตั้งแต่ 1959-1963 ระหว่างนี้นี่เองที่เข้าได้คิดค้น “Reflexivity” ซึ่งมาจากความคิดของ Karl Popper", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#17", "text": "2005 โซรอสเป็นหุ้นส่วนเล็กในกลุ่มผู้ลงทุน ที่พยายามจะซื้อ Washington Nationals ของ National Leagues ผู้ร่างกฎหมาย republican บางคนพูดว่าพวกเขาอาจจะเปลี่ยนการกะทำของเขาที่มี", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#31", "text": "งานเขียนของโซรอสเน้นไปที่หลักการ Reflexivity ในการความอคติของบุคคลมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาด และสามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองพื้นฐานของเศรษฐกิจ โซรอสบอกว่าการเปลี่ยนแปลงในมุมมองของพื้นฐานเศรษฐกิจส่วนมากส่งผลจาก ความไม่สมดุล มากกว่าความสมดุลของตลาด และ แนวคิดในอดีตของทฤษฏีเศรษฐกิจของตลาดไม่เกี่ยวสามารถนำมาใช้ในทฤษฏีนี้ โซรอสทำให้ การเคลื่อนไหวอย่างไม่สมดุลของตลาด และ การหยุดนิ่งของความสมดุลในตลาด และ สถานภาพกึ่งสมดุลของตลาด กลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนสนใจ", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#8", "text": "เมื่อตอนที่นาซีเข้ายึดฮังการี ในเดือนมีนาคม 1944 โซรอสมีอายุได้ 13 ปี เขาเคยได้ทำงานใน Jewish Council ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อสมัยที่นาซียึดครองฮังการี เพื่อที่จะใช้กำลังในการต่อต้านชาวยิวของนาซีและรัฐบาลฮังการี โซรอสเคยเล่าถึงประสบการสองวันนี้กับนักเขียน Michael Lewis ว่า:", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#27", "text": "มิถุนายน 2009 โซรอสบริจาคเงิน $100,000,000 ให้กับยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เพื่อจะโต้ตอบผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของคนจน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาสาสมัคร หรือ องค์กรภาคเอกชน The Opwn Society Initiative for South Africa เป็นองกรที่เกี่ยวค้องจะ โซรอส แกนนำของซิมบับเว Godfrey Kanyenze ผู้เป็นแกนนำ Zimbabwe Congress of Trade Unions ผู้เป็นแกนนำหลักในการก่อตั้งการเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงของประชาธิปไตย หลังการขององกรนี้คือ การเปลี่ยนผู้ปกครองในซิมบับเว", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#5", "text": "โซรอสเกิดที่เมืองบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการี จอร์จ โซรอส เป็นลูกชายของ Tivarda Soros (หรือ Teodoro) ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Esperantist Tivarda Soros เป็นชาวฮังการเชื้อสายยิว เคยตกเป็นเชลยศึกเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้หนีจากประเทศรัสสเซียกลับมาอยู่กับครอบครัวที่บูดาเปสต์", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#12", "text": "Reflexivity คือ การเชื่อว่า การที่บุคคลที่เกี่ยวข้องเห็นการประเมินมูลค่าของตลาดอะไรก็ได้ มีผลกระทบต่อกลไลการประเมินมูลค่าของตลาดนั้นๆ ไม่ว่าจะในทางบวกหรือลบก็ตาม แต่โซรอสก็รู้ตัวว่า เขาจะไม่ทำเงินจากทฤษฏีของเขาเลยหากเขาไม่ลงทุนด้วยตัวเอง เขาเริ่มที่จะสังเกตและวิเคราะห์วิธีการลงทุน ตั้งแต่ปี 1963-73 เขาทำงานให้กับ Arnhold and S.Bleichroeder ที่นี่เองเขาได้รับตำแหน่งรองประธาน โซรอสสรุปเองว่าเขาเป็นนักลงทุนที่ดีกว่าจะเป็นนักปรัชญาหรือผู้บริหาร 1967 เขาเริ่มก่อตั้งกองทุน First Eagle 1969 ก็มีกองทุนรวมที่สองคือ Double Eagle เมื่อกฎข้อบังคับจำกัดการลงทุนของเขา เขาก็ลาออกและก่อตั้งบริษัทลงทุนส่วนตัว Quantum Fund ในปี 1973 ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะหาเงินในวอลล์สตรีทให้เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองเพื่อที่เขาจะได้เป็นนักเขียนและนักปรัชญา ซึ่งเขาคำนวณไว้ว่าประมาณ $500,000 หลังจากนั้นห้าปีก็จะเป็นไปได้ เขาเคยสมาชิกของ Carlyle Group ด้วย โซรอสเป็นผู้ก่อตั้ง Soros Fund Management ในปี 1970 เขาได้ก่อตั้ง Quantum Fund กับ Jim Rogers ซึ่งสร้างรายได้ให้โซรอสอย่างมหาศาล Roger ได้เกษียณเมื่อปี 1980 หุ้นส่วนคนอื่นได้แก่ Victor Niederhoffer Stanley Druckenmiller ในปี 2007 Quantum Fund ให้ผลตอบแทน 32% เป็นเงินจำนวน $2,900,000,000", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#3", "text": "อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เขียนถึงจอร์จ โซรอส หลังจากที่เขาออกหนังสือ The Alchemy of Finance เมื่อปี ค.ศ. 2003 ว่า จอร์จ โซรอส ได้สร้างความโดดเด่นในด้านที่เขาเป็นผู้วิเคราะห์มาก โซรอสนับได้ว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล และเป็นที่รู้กันในความฉลาดหลักแหลมของเขา เพราะโซรอสจะถอนตัวเมื่อยังอยู่ในจุดที่มีความได้เปรียบ การกระทำของโซรอสได้เพิ่มแรงกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศให้กลายเป็นประเทศที่สนับสนุนสังคมเปิด", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#35", "text": "นอกจากบทบาทของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ค่าเงิน เค้ากล่าวว่าระบบการวิเคราะห์การเงินส่งผลลบต่อการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจที่ดี ในประเทศโลกที่สาม โซรอสกล่าวโทษว่าในความคิดเห็นของเขา หลายปัญหาในโลกเกิดจากความล้มแหลวของพื้นฐานตลาด เขาโต้แย้งว่าปัจจัยหลายๆอย่างของการที่โลกเชื่อมต่อกันทำให้เขาเป็นตัวแทนของการกระตุ้นให้เกิดข้อขัดแย้ง Victor Niederhoffer บอกว่าโซรอสเชื่อว่า แม้ในเศรษฐกิจแบบผสม ผู้ที่มีรัฐบาลกลางที่แข็งแกร่งผู้คอยแก้ไขความต้องการส่วนบุคคลที่เกินความจำเป็น” โซรอสบอกว่าจะต้องมีการแยกข้อแตกต่างระหว่างการที่เป็นผู้มีส่วนร่วมในตลาดและ ผู้มีส่วนร่วมในการทำงานเพื่อจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณที่ผู้มีส่วนร่วมในตลาดต้องปฏิบัติตาม อ้างอิงจาก Mahathri Bin Mohamed นายกเทศมนตรีของประเทศมาเลเซียตั้งแต่ กรกฎาคม 1987 ถึง ตุลาคม 2003 โซรอสในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองทุน Quantum อาจจะมีบทบาทที่ทำให้เศรษฐกิจในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตกต่ำ เมื่อค่าเงินบาทของประเทศไทยลอยตัวเมื่อจำกัดค่าเงินบาทต่อดอลล่าของสหรัฐ Mahathri บอกว่าสามปีก่อนการล้มของเศรษฐกิจ โซรอสได้ลงทุนในการถือหุ้นและสังหาริมาทรัพระยะสั้นในประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการครอบครองโดยการกระทำที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการอ่อนตัวของค่าเงิน โซรอสโต้ว่า Mahatri ใช้ตัวของโซรอสเป็นแพะรับบาปของความผิดพลาดของตัว Mahatri เอง” และ Mahatri ได้กล่าวจะแบนการแลกเปลี่ยนค่าเงิน", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#0", "text": "จอร์จ โซรอส (12 สิงหาคม ค.ศ. 1930 - ) เดิมชื่อ จอร์จี ชวาร์ตซ์ (Hungarian: György Schwartz) นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เป็นนักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Institute", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#28", "text": "โซรอสให้การสนันสนุนทุนในการเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติด ในปี 2008 โซรอสบริจาคเงินจำนวน $400,000 เพื่อสนับสนุนการร่างกฎหมายในรัฐ Massachusetts ในนาม Massachusetts Sensible Marijuana Policy Initiative ซึ่งทำให้การครอบครองกัญชาน้อยกว่า 1 oz (28g) ไม่ผิดกฎหมายในรัฐนั้น โซรอสสนับสนุนเงินทุนในทำนองเดียวกันให้กับ รัฐ California Alaska Oregon Washington Colorado Nevada และ Maine และองค์กรที่สนับสนุนแนวคิดนี้ที่ได้รับการสนันสนุนเงินทุนจากโซรอส ประกอบด้วย Lindsmith Center และ Drug Policy Foundation", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#29", "text": "โครงการเกี่ยวกับความตายในประเทศอเมริกา มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2001-2003 เป็นโครงหนึ่งใน Open Society Institute ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่ม “ความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมของการเผชิญหน้าความตายและความกล้าหาญ” ในปี 1994 โซรอสได้กล่าวสุนทรพจน์ซึ่งรายงานว่า เขาได้เสนอความช่วยเหลือกับแม่ของเขาซึ่งเป็นสมาชิกของ Hamlock Society จากการฆ่าตัวตาย และเขาได้กล่าวว่า Oregon Death with Dignity Act เป็นองค์กรที่เข้าจะสนับสนุนเงินทุนให้", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#4", "text": "นอกจากโซรอสจะส่งเสริมเสรีทางการค้าแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือการที่ปรับให้ประชาชนเปิดรับความคิดใหม่ๆ ให้ประชนของประเทศนั้นๆ ยอมรับฟังแนวคิดและการกระทำที่แตกต่างออกไป", "title": "จอร์จ โซรอส" } ]
2060
เลดี้ กาก้า เกิดเมื่อไหร่ ?
[ { "docid": "211529#0", "text": "สเตฟานี โจแอนน์ แอนเจลินา เจอร์มาน็อตตา(English: Stefani Joanne Angelina Germanotta[1]) หรือที่รู้จักในนาม เลดี้ กาก้า (English: Lady Gaga) เป็นศิลปินเพลงป็อบชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1986 เริ่มแสดงดนตรีครั้งแรกกับวงร็อกในนิวยอร์ก ในปี ค.ศ. 2003 เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะทิสช์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ต่อมาได้อยู่ในสังกัดอินเตอร์สโคป และต่อสัญญากับค่ายสตรีมไลน์ ในเครืออินเตอร์สโคปในปี ค.ศ. 2007 เธอเคยเขียนเพลงให้กับศิลปินร่วมสังกัด ทำให้ความสามารถด้านการร้องเพลงของเธอได้รับความสนใจจาก Akon และได้เซ็นสัญญากับ คอนไลฟ์ดิสทริบิวชัน", "title": "เลดีกากา" } ]
[ { "docid": "211529#9", "text": "อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า เรื่องที่ฟูซารีอ้างถึงที่มาของชื่อ \"เลดี้ กาก้า\" นั้นไม่เป็นความจริง และจริง ๆ แล้ว ชื่อ \"เลดี้ กาก้า\" ได้มาจากการพบกันทางธุรกิจกับเลดี้สตาร์ไลต์ ศิลปินแสดงสด ในค.ศ. 2007[20] และกาก้าได้ร่วมงานกับเธอนับแต่นั้นมา สตาร์ไลต์เป็นยังเป็นผู้สร้างสรรค์แฟชั่นบนเวทีการแสดงเองด้วย[21] ทั้งคู่เริ่มงานแสดงที่คลับในดาวน์ทาวน์นิวยอร์ก ชื่อ เมอร์คิวรี่เลานจ์ และเดอะบิตเทอร์เอนด์ รวมไปถึง เดอะร็อกวูดมิวสิกฮอล ด้วยความสามารถในศิลปะการแสดงสดและจำอวดของพวกเธอที่เป็นที่พูดถึงแล้ว ทำให้เป็นที่รู้จักในชื่อ \"การแสดงเบ็ดเตล็ดของเลดี้ กาก้าและสตาร์ไลต์\" โดยถูกยกย่องว่าเป็น \"การแสดงป็อป-เบอร์เลสก์ชุดสุดท้าย\" การแสดงของกาก้าและสตาร์ไลต์มีกลิ่นอายของยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 ทั้งสองได้รับเชิญให้ขึ้นแสดงสดบนเวทีในเทศกาลดนตรีอเมริกันลอลลาพาลูซา ค.ศ. 2007[22][23] การแสดงของพวกเธอในครั้งนั้นได้รับการตอบรับดีมาก และได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวก ด้วยความสนใจในการทดลองแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ กาก้าค้นพบความสามารถทางดนตรีในตัวเองเมื่อตอนที่เริ่มผสมทำนองดนตรีป็อปกับเพลงแนวแกลมร็อกของเดวิด โบวี ลงในเพลงที่แต่งเอง[24]", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "562173#0", "text": "แอพพลอส เป็นซิงเกิลของนักร้องอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ของเธอ อาร์ตป็อป(2013) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ DJ White Shadow ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้มอย่างเป็นทางการ ที่ปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการทั่วโลกในวันที่ 12 สิงหาคม 2556 โดยตามจริงแล้วกาก้าได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า ซิงเกิลจะปล่อยอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 สิงหาคม 2556 โดยค่ายอินเตอร์สโคป แต่เนื่องจากมีผู้เจาะข้อมูลของกาก้า พยายามดึงเพลงนี้ออกมาทีละท่อน จนกาก้าตัดสินใจปล่อยเพลงก่อนกำหนดหนึ่งอาทิตย์เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ที่เจาะข้อมูลดังกล่าว", "title": "แอพพลอส (เพลง)" }, { "docid": "406679#0", "text": "แมรีเดอะไนต์ () เป็นซิงเกิลเพลงที่ 5 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม บอร์นดิสเวย์ (2011) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ Fernando Garibay, และผลิตโดย Fernando Garibay ปล่อยทั่วโลกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2011 เป็นซิงเกิลสุดท้ายในอัลบั้ม บอร์นดิสเวย์", "title": "แมรีเดอะไนต์" }, { "docid": "368846#0", "text": "จูดาส หรือ ยูดาส () เป็นเพลงบันทึกโดยศิลปินอเมริกา เลดี้ กาก้า เพลงยูดาสได้เปิดตัวทั้วโลกในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554 แต่งและร้องโดย เลดี้ กาก้า เป็นเพลงที่พูดถึงผู้หญิงในความรักในอดีตและคนที่ทรยศพระเยซู จูดาสมีเสียงร้องคล้ายกับซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้เช่น\"Poker face\", \"Love Game\", \"Bad Romance\" และ \"Alejandro\" ทำนองการร้องก็คล้ายกับเพลงบอร์นดิสเวย์ซึ่งเนื้อหาในมิวสิกวิดีโอโดยนำเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิลมาแสดงในแบบของเธอ ซึ่งกาก้าแสดงเป็นแมรี แม็กดาเลน และมี Norman Reedus แสดงเป็นยูดาส ซึ่งทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกไม่พอใจอย่างมากที่กาก้านำพระคัมภีร์มาหาผลประโยชน์ใส่ตัว และบอกว่าจะทำการยื่นฟ้องหลังจากมิวสิกวิดีโอยูดาสออก\nมิวสิกวิดีโอของเพลง Judas ได้ลงในเว็บไซต์ Youtube เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 โดยเนื้อหาในมิวสิควีดีโอเป็นเรื่องราวของแมรี่ แม็กดาเลน จูดาส พระเยซู โดยได้รับแรงบันดารใจจากเรื่องราวในพระคัมภีย์ไบเบิ้ล โดยเล่าถึงการทรยศของจูดาส ที่ขายพระเยซูให้กับพวกทหาร โดยสถานที่ใช้ถ่ายทำมิวสิควีดีโอคือ ยูนิเวอร์เซล สตูดิโอ ฮอลลีวูด โดยสามารถรับชมได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=wagn8Wrmzuc", "title": "จูดาส (เพลง)" }, { "docid": "211529#79", "text": "2009: เดอะเฟมบอลทัวร์ 2009-11: เดอะมอนสเตอร์บอลทัวร์ 2012-13: เดอะบอร์นดิสเวย์บอล 2014-15: ดิอาร์ทป็อปบอล () 2015: ชิคทูชิคทัวร์ ร่วมกับ โทนี เบนเนต 2017: โจแอนน์เวิร์ลด์ทัวร์ 2018-19: เลดี้ กาก้า ไลฟ์ อิน ลาสเวกัส", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "429116#15", "text": "ประเทศไทยถึงจะไม่ได้มีการประท้วงให้ยกเลิกคอนเสิร์ต แต่ประเด็นที่กาก้าถูกฟ้องร้องจากกระทรวงวัฒนธรรม เนื่อจากประเด็นที่ 1.จากการทวิตข้อความถึงประเทศไทยเมื่อกาก้าเดินทางมาถึงโดยเธอทวิตข้อความว่า \"I just landed in Bangkok baby! Ready for 50,000 screaming Thai monsters. I wanna get lost in a lady market and buy fake Rolex.\" \"ฉันพึ่งมาถึงกรุงเทพฯที่รัก! พร้อมแล้วที่จะฟังเสียงกริ๊ดของมอนสเตอร์(แฟนคลับ)ชาวไทย. ฉันอยากจะไปตลาดสินค้าของผู้หญิงและซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ปลอม\" ซึ่งการทวิตข้อความของเธอได้มีหลายคนตีความว่า Lady Market เลดี้ กาก้า จะสื่อความหมายถึงอะไรกันแน่ระหว่างตลาดช้อปปิ้งยามค่ำคืน เช่นที่ฮ่องกง หรือย่านสีลม หรือเลดี้ กาก้าจะหมายถึงสถานบันเทิงทางเพศกันแน่ ซึ่งมีหลายกลุ่มไม่พอใจที่กาก้าทวิตข้อความดูถูกประเทศไทย แต่หลังจากนั้นสำนักข่าวต่างชาติพากันหมิ่นรัฐบาลไทย ประเด็นทวิตเตอร์จึงจบไป ประเด็นที่ 2. กาก้านำชฎาไปใช้บนเวทีคอนเสิร์ต กระทรวงวัฒนธรรม ยื่นหนังสือพิจารณาดำเนินคดีกับ เลดี้ กาก้า ฐานสวมชฎา นุ่งบิกินี่ และใช้ธงชาติไทยผูกท้ายรถจักรยานยนต์ ชี้ไม่เหมาะสม กระทบจิตใจชาวไทย โดยระหว่างทำการแสดงนั้น เลดี้ กาก้า ได้สวมชฎา และใส่เสื้อผ้าในลักษณะคล้ายบิกินี่ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันใหญ่ ที่ผูกธงชาติไทยเอาไว้ด้านหลัง โดยเรื่องชฎานักแสดงหรือกูรูด้านแฟชั่นอย่าง ม้า อรณภาได้พูดไว้ว่า “เมื่อก่อนมาดอนน่าก็เคยเอาชฎามาสวมนะ ก็ไม่มีปัญหาอะไร สำหรับกรณีของเลดี้ กาก้า นี้ คงเป็นเพราะเธอเลือกใส่ผิดจังหวะกับชุดที่สวม หากเธอใส่ชุดราตรีออกมาแล้วก็คว้าชฎาของแฟนคลับมาใส่ ก็คงไม่ถูกวิพากย์วิจารณ์ขนาดนี้” หากมองต่างมุมในแบบกูรูม้า เธอแสดงความคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “หากให้ดิฉันมองต่างมุมให้มากๆ ถึงมากที่สุด ก็คิดว่าคนไทยนับถือของสูง ชฎาเป็นของสูง ซึ่งจะไม่เอามาใส่เล่นกัน แต่ฝรั่งคงไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งเหมือนเรา และเขาก็คงไม่จำเป็นต้องศึกษาด้วย หากไม่ได้สนใจเรื่องนั้นจริงๆ จังๆ แต่ด้วยความชอบในเรื่องศิลปะและแฟชั่นของเลดี้ กาก้า บวกกับการอยากเอาใจแฟนเพลงของเธอในเมืองไทย จึงทำให้พอเธอมีโอกาสก็อยากใส่ ใส่แล้วก็ยกมือไหว้คนไทย ความรู้สึกก็คงเหมือนฝรั่งเอาพระพุทธรูปไปประดับในห้องน้ำ มันไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ” โดยหลังจากกระทรวงประกาศฟ้องร้องเลดี้ กาก้าได้ไม่นาน บรรดาสื่อต่างประเทศพากันโจมตีรัฐบาลไทยว่า ไร้เหตุผลสิ้นดี ที่จะฟ้องในเรืองที่ไม่จำเป็น", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "393758#0", "text": "เลิฟเกม () เป็นเพลงที่ 4 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ เรดวัน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 24 มีนาคม 2009", "title": "เลิฟเกม" }, { "docid": "392333#0", "text": "อเลฮานโดร () เป็นเพลงที่ 3 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟมมอนสเตอร์ (2009) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ เรดวัน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 20 เมษายน 2010", "title": "อเลฮานโดร" }, { "docid": "372467#0", "text": "ดิเอดจ์ออฟกลอรี () เป็นซิงเกิ้ลเพลงที่ 3 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม ที่สามของเธอบอร์นดิสเวย์ (2011) เขียนและผลิตโดยเลดี้ กาก้า, Fernando Garibay และ DJ White Shadow ดิเอดจ์ออฟกลอรี ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 9 พฤษภาคม 2011 โดยมีคลาเรนซ์ เคลมอนส์เป็นนักแซ็กโซโฟนมาร่วมเล่นดนตรีประกอบเพลง มิวสิกวิดีโอถูกปล่อยในวันที่16 มิถุนายน พ.ศ. 2012 แต่หลังจากที่มิวสิกวิดีโอเผยแพร่ได้ 2วันคลาเรนซ์ เคลมอนส์นักแซ็กโซโฟนที่ร่วมดนตรีประกอบและแสดงในมิวสิกวิดีโอได้เสียชีวิตลงหลังจากมิวสิกวิดีโอปล่อยได้แค่ 2วัน โดยมิวสิกวิดีโอ ดิเอดจ์ออฟกลอรี เป็นวิดีโอและเพลงสุดท้ายของคลาเรนซ์ เคลมอนส์", "title": "ดิเอดจ์ออฟกลอรี" }, { "docid": "394155#0", "text": "จัสต์แดนซ์ () เป็นเพลงที่ 1 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า, เรดวัน และ เอค่อน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2008", "title": "จัสต์แดนซ์" }, { "docid": "239569#8", "text": "ในบทสัมภาษณ์ทางบีบีซีเรดิโอวัน กับเฟิร์น คอตตอน แฮร์ริสพูดว่าเขาปฏิเสธการทำงานร่วมกับเลดี้ กาก้า ในปี 2008 เพราะเขาไม่ชอบเพลงเดโมที่ให้เขามาและเขาไม่ต้องการขุ่นเคืองในเวลานั้น ต่อมาบีบีซีสัมภาษณ์เขาอีกครั้ง แฮร์ริสกล่าวว่า เลดี้ กาก้า \"เป็นศิลปินที่ดี\" ในการสัมภาษณ์เดียวกันเขาพูดถึงนักดนตรีวัย 16 ปีที่ชื่อริชาร์ด เจย์", "title": "แคลวิน แฮร์ริส" }, { "docid": "473358#3", "text": "ในสหราชอาณาจักร ได้มีการเปิดตัวน้ำหอม ณ ห้างสรรพสินค้า Harrods ที่ สหราชอาณาจักร โดยมี เลดี้ กาก้า มาร่วมในการเปิดตัวด้วย โดยประเทศนี้น้ำหอมเฟมก็สร้างสถิติน้ำหอมขายดีอันดับ 1 ด้วยเช่นกัน", "title": "เลดี้กาก้าเฟม" }, { "docid": "394151#0", "text": "โป๊กเกอร์เฟส () เป็นเพลงที่ 2 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ เรดวัน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2008", "title": "โป๊กเกอร์เฟส" }, { "docid": "364382#5", "text": "ต้นสังกัดของริทนี่ย์ ได้ปล่อยซิงเกิลออกมาเป็นซิงเกิลที่ 2 แต่ซิงเกิลนี้ ไม่แรงเท่าซิงเกิลที่ 1 ที่ทำได้ติดชาร์ตในบิลบอร์ดในวันแรกที่ปล่อยเพลง ซิงเกิลนี้เลยตกไปอยู่อันดับที่ 2 ในวันแรก และต่อมา ก็ตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 20 เนื่องจากสภาพ มิวสิกวิดีโอ ซิงเกิลก่อนที่เธอทำให้ชาวแฟนๆผิดหวัง แล้วนำเธอไปเปรียบเทียบกับ เลดี้ กาก้า ซึ่ง เพลง Born This Way ของเธอและมิวสิกวิดีโอของเธอ มาแรงแซงอันดับ1ไปได้ แต่ทางต้นสังกัดเองก็พยายามให้สุดความสามารถ เพื่อให้ไม่ทำให้แฟนๆเพลงของเธอผิดหวัง \nต่อมา ก็ได้มีมิวสิกวิดีโอออกมา ในวันที่ 5 เมษายน ที่กำกับโดย เรย์ เคย์ (ซึ่งเคยกำกับเพลง Poker Face ของ เลดี้ กาก้า และ Baby ของ จัสติน บีเบอร์ ฯลฯ) ทำให้เพลงนี้ขึ้นชาร์จในสัปดาห์แรกอยู่ที่ 8 และสัปดาห์ต่อมา ก็ขึ้นไปอยู่อันดับที่ 3ได้ ", "title": "ฟามฟาเตล (อัลบั้มของบริตนีย์ สเปียส์)" }, { "docid": "848619#2", "text": "นอกจากสนามแห่งนี้จะใช้ในการแข่งขันฟุตบอล และ รักบี้ ระดับชาติแล้ว ยังมีศิลปินเพลงระดับโลกหลายราย เช่นวงเอซี/ดีซี , มาดอนน่า , เลดี้ กาก้า, ไมเคิล บูเบล หรือวงดนตรีของไอร์แลนด์เองอย่างเดอะสคริปต์ ใช้ในการจัดคอนเสิร์ตเมื่อมาเปิดการแสดงที่กรุงดับลิน อีกด้วย", "title": "อวีวาสเตเดียม" }, { "docid": "392910#0", "text": "ปาปารัซซี () เป็นเพลงที่ 5 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ Rob Fusari, และผลิตโดย Rob Fusari ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 5 กรกฎาคม 2009", "title": "ปาปารัซซี (เพลง)" }, { "docid": "320550#4", "text": "ในปี 2009 สกาส์กอร์ดแสดงในมิวสิกวิดีโอของนักร้องเพลงป็อป เลดี้ กาก้า ในเพลง \"Paparazzi\"", "title": "อเลกซานเดอร์ สกาส์กอร์ด" }, { "docid": "211529#8", "text": "ต่อมาโปรดิวเซอร์เพลง ร็อบ ฟูซารี เป็นคนช่วยเธอแต่งเพลงขึ้นอีกหลายเพลง โดยเขาเปรียบเทียบเสียงร้องของเธอว่าคล้ายกับเสียงของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี[10][19] ฟูซารีเป็นคนที่คิดชื่อในวงการให้เธอว่า เลดี้ กาก้า หลังจากได้ฟังเพลงเรดิโอ-กาก้า ของวงควีน ซึ่งตอนนั้นกาก้ากำลังอยู่ในระหว่างคิดหาชื่อเพื่อใช้ในการแสดง เมื่อฟูซารีส่งความถึงเธอว่า \"Lady Gaga\" สเตฟานีจึงตัดสินใจใช้ชื่อนี้[19] และเป็นที่รู้จักทั่วไปหลังจากนั้น", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "393997#0", "text": "เอ, เอ (นอตติงเอลส์ไอแคนเซย์) () เป็นเพลงที่ 3 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ Martin Kierszenbaum, และผลิตโดย Martin Kierszenbaum ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 10 มกราคม 2009", "title": "เอ, เอ (นอตติงเอลส์ไอแคนเซย์)" }, { "docid": "211529#49", "text": "ต้นเดือนสิงหาคม 2018 เลดี้ กาก้า ได้เริ่มโปรโมทโชว์คอนเสิร์ตถาวรเป็นเวลา 2 ปี ที่โรงละคร พาร์ค เอ็มจีเอ็ม ในลาสเวกัส ชื่อโชว์ว่า Lady Gaga Enigma ซึ่งจะเริ่มทำการแสดงในเดือนธันวาคม ปี 2018 เป็นต้นไป[60]", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "580457#0", "text": "\"ดูวอทยูวอนท์\" () เป็นเพลงของนักร้องอเมริกา เลดี้ กาก้า ที่ได้ศิลปินมาร่วมร้อง อาร์ เคลลี่ ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่ 2 ของเลดี้ กาก้า เป็นหนึ่งในเพลงของสตูดิโออัลบั้มที่สามของกาก้า ที่มีชื่อว่า อาร์ตป็อป (2013) อยู่ลำดับที่เจ็ดของอัลบั้ม เขียนและแต่งโดย เลดี้ กาก้า, พอล ดีเจ ไวท์แชโด้ แบลร์, อาร์ เคลลี่, มาร์ตินและวิลเลี่ยม เพลงนี้ถูกเผยแพร่ออกมาในรูปแบบเพลงประกอบโฆษณาหูฟังของ ดร.เดร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2013 ที่ตัดเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และต่อมาก็ถูกขายในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลดผ่านทางไอทูนส์ และ เว็ปไซต์อแมซอน เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2013 ", "title": "ดูวอตยูวอนต์ (เพลงเลดี้ กาก้า)" }, { "docid": "211529#47", "text": "กลางเดือนเมษายน เลดี้ กาก้า ได้เริ่มเปิดกล้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A Star Is Born ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย รีเมคมาจากเวอร์ชันปี 1937 เธอใช้ชื่อในการแสดงว่า สเตฟานี่ เจอร์มาน็อตตา ซึ่งเป็นชื่อจริงๆของกาก้าเอง โดยเธอรับบทเป็น แอลลี่ นางเอกของเรื่อง ซึ่งแสดงคู่กับแบรดลีย์ คูเปอร์ ซึ่งเป็นผู้กำกับด้วย", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "79797#38", "text": "ลิงคินพาร์กเป็นวงดนตรีร็อกวงแรกที่ประสบความสำเร็จจากยอดการเข้าชมที่มากกว่าหนึ่งพันล้านในยูทูบ นอกจากนี้ ลิงคินพาร์กยังเป็นหนึ่งในสิบห้าหน้าในเฟซบุ๊กที่มีการกดถูกใจมากที่สุด ตามหลัง \"เลดี้ กาก้า\" และนำหน้าวง \"แบล็กอายด์พีส์\"", "title": "ลิงคินพาร์ก" }, { "docid": "881048#0", "text": "มิลเลียนรีซันส์ () เป็นเพลงที่บันทึกโดยนักร้องหญิงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า เป็นหนึ่งในเพลงของสตูดิโออัลบั้มที่ห้าของเธอ โจแอนน์ ปล่อยออกสู่สถานีวิทยุเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 โดยเธอแต่งขึ้นจากประสบการณ์เกี่ยวกับผู้ชายในชีวิตของเธอ", "title": "มิลเลียนรีซันส์" }, { "docid": "429116#1", "text": "ปี พ.ศ. 2555 นิตยสาร บิลบอร์ด จัดอันดับรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินที่มีทัวร์ในปี 2012 ซึ่ง เลดี้ กาก้า เดอะบอร์ดิสเวย์บอล อยู่อันดับที่ 5 รายได้ $161.4 million หรือประมาณ 5 พันล้านบาท ในการขายตั๋วทั้งหมดตั้งแต่โชว์แรกจนถึงโชว์ที่ทางกรรมการรวบรวมสถิติ รวมทั้งหมด 80 โชว์ทั่วโลก [2]", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "211529#66", "text": "ปี 2012 ได้มีการค้นพบพืชจำพวกเฟิร์นสายพันธุ์ใหม่โดยองค์กรชีววิทยา ได้ตั้งชื่อเฟิร์นพันธุ์นี้ว่า \"GAGA\" เหตุที่ใช้ชื่อเลดี้ กาก้า เป็นชื่อเฟิร์นชนิดใหม่เนื่องจาก ดีเอ็นเอของเฟิร์นตระกูลนี้ จำแนกออกมาแล้ว เรียงตัวตามลำดับเป็น Guanine, Adenine, Guanine, Adenine, และ เพื่อเป็นเกียรติให้กับนักร้องอเมริกันคนนี้ ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวเกย์และชาวรักร่วมเพศมาโดยตลอด อีกเหตุผลหนึ่งคือ \"เลดี้ กาก้า\" เคยสวมชุดที่เป็นแรงบันดาลใจจากเฟิร์น \"เกมีโตไฟท์\" ในการแสดงบนเวที นอกจากนี้ ชุดที่เป็นเอกลักษณ์ของเลดี้ กาก้า ที่เหมือนกางเกงขอบยื่น เป็นแบบเดียวกับใบอ่อนของเฟิร์นที่ม้วนเป็นก้อนกลม มีเฟิร์น 2 สปีชี่ย์ ที่เป็นการค้นพบใหม่ คือ \"กาก้า เจอร์มาน็อตต้า\" พบที่คอสตาริกา และได้ชื่อตามชื่อสกุลของเลดี้กาก้า กับ \"กาก้า มอนสตราพาร์วา\" ที่หมายถึง \"ลิตเติล มอนสเตอร์\" ชื่อที่เลดี้ กาก้า ใช้เรียกสาวกของตนเอง[96] [97]", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "562173#1", "text": "เขียนเพลงและแต่งโดย เลดี้ กาก้า และ DJ White Shadow และมีการบันทึกในปี 2012 ในช่วงที่กาก้ากำลังเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต เดอะ บอร์นดิสเวย์ บอลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงที่จะอยู่ในอัลบั้มที่สามของกาก้า อาร์ตป็อป ", "title": "แอพพลอส (เพลง)" }, { "docid": "511049#2", "text": "เลดี้ กาก้า เคยกล่าวว่า ตนเองเคยตกเป็นเหยื่อของการรังแกในโรงเรียน กล่าวต่อนักศึกษาฮาร์เวิร์ดที่นั่งกันเต็มห้องประชุมว่า แนวคิดของการก่อตั้งมูลนิธิเกิดขึ้นหลังจากเปิดตัวอัลบั้มบอร์น ดิส เวย์ได้ไม่นาน และเธอก็ได้รับอีเมล์จากกลุ่มคนที่กล่าวว่า อยากให้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ยอมรับความคิดหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ และ ซินเธีย เจอร์มาน็อตต้า แม่ของเธอ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน เป็นแรงบันดาลใจให้เธอตั้งมูลนิธินี้ขึ้น", "title": "มูลนิธิบอร์นดิสเวย์" }, { "docid": "394155#2", "text": "มิวสิกวิดีโอของเพลง เลดี้ กาก้า จะปรากฏตัวในงานปาร์ตี้ที่เพลงเธอเล่น ด้วยความเพลิดเพลิน ในปี ค.ศ. 2009 เพลงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี่ในประเภทการบันทึกการเต้นที่ดีที่สุด", "title": "จัสต์แดนซ์" } ]
3351
ความฝันอเมริกัน ปรากฎครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "146783#3", "text": "นิยามโดยรวมของ “ความฝันอเมริกัน” ปรากฏครั้งแรกในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย\"เจมส์ ทรัสโลว์ อดัมส์\" ชื่อ “\"มหากาพย์แห่งอเมริกา\"” (The Epic of America - พ.ศ. 2474", "title": "ฝันอเมริกัน" } ]
[ { "docid": "146783#5", "text": "แต่อย่างไรก็ดี แนวคิดความฝันอเมริกันมีประวัติย้อนหลังไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณ พ.ศ. 2044 – พ.ศ. 2143 หรือระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระเชษฐาธิราชกับรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราช) โดยระหว่างคริสต์วรรษที่ 16-17 ได้มีการส่งเสริมให้ชาวอังกฤษย้ายไปตั้งถิ่นฐานในอาณานิคมของอังกฤษในอเมริกา ภาษาที่จะใช้และสัญญาที่จะให้สิ่งต่างๆ แก่ผู้อพยพกลายเป็นพื้นฐาน 3 แนวทางของเรื่องปรัมปราอเมริกันที่เกี่ยวพันกันคือ: \"อเมริกามีทุกอย่างที่เหลือเฟือ, อเมริกาคือดินแดนแห่งโอกาส และอเมริกาเป็นดินแดนแห่งพรหมลิขิต\" อเมริกาในฐานะเป็นดินแดนแห่งความเหลือเฟือปรากฏชัดเจนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2144 - พ.ศ. 2243) มากกว่าความฝันอเมริกันดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จุดกลางของความฝันอยู่ที่แผ่นดินที่ยังเป็นธรรมชาติของอเมริกา รวมทั้งคำถามที่ว่าจะต้องทำอย่างไรกับแผ่นดินนี้ และจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนผืนแผ่นดินอเมริกาได้อย่างไร \nไม่ว่าเนื้อหาของความฝันอเมริกันของแต่ละแนวจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดจะรวมความเชื่อในโอกาสที่จะมีความสำเร็จในรูปใดรูปหนึ่งซึ่งอาจเป็นความสำเร็จเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพก็ได้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นถึงความฝันอเมริกันแนวต่างๆ ดังกล่าว จึงอาจเป็นการดีที่จะต้องนิยามวิธีการวัดความสำเร็จในแนวต่างๆ เหล่านั้นด้วย ในหนังสือเรื่อง “\"การเผชิญกับความฝันอเมริกัน: เชื้อชาติ, ชนชั้น, และจิตวิญาณของชาติ\"” \"เจนิเฟอร์ ฮอชส์ไชลด์\" (Jennifer Hochschild) ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเธอว่า นิยามของความสำเร็จเกี่ยวข้องกับทั้งการวัดและเนื้อหาของมัน เจนิเฟอร์ได้จำแนกความสำเร็จที่นับได้ว่ามีบรรทัดฐานสำคัญและมีการประพฤติปฏิบัติที่ตามมาออกเป็น 3 ประเภท", "title": "ฝันอเมริกัน" }, { "docid": "146783#0", "text": "ความหมายโดยทั่วๆ ไปแต่เดิมของ “ความฝันอเมริกัน” อาจนิยามได้ว่าเป็น “ความเท่าเทียมทางโอกาสและเสรีภาพที่เอื้อให้พลเมืองบรรลุถึงเป้าหมายในชีวิตด้วยการทำงานหนักและด้วยความมุ่งมั่น ปัจจุบัน ความหมายโดยทั่วไปได้ปรับเปลี่ยนเป็นว่า ความมั่งคั่งของบุคคลขึ้นอยู่กับขีดความสามารถและการทำงานหนัก ไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างระดับชั้นที่ตายตัวของสังคม ซึ่งความหมายนี้ไปเปลี่ยนไปตามเวลาของประวัติศาสตร์ สำหรับบางคน อาจหมายถึงโอกาสที่จะบรรลุความมั่งคั่งได้มากกว่าที่เคยได้ในประเทศเดิมที่ตนย้ายถิ่นมา บางคนอาจหมายถึงโอกาสที่บุตรหลานที่จะเจริญเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ดีและได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ รวมทั้งโอกาสการได้งานที่ดี สำหรับบางคนอาจเป็นการได้โอกาสที่จะเป็นปัจจเกชนที่ปราศจากการกีดกันด้วยชนชั้นทางสังคม จากวรรณะ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือชาติพันธุ์", "title": "ฝันอเมริกัน" }, { "docid": "291046#7", "text": "คำวิจารณ์ต่อภาพเขียนเมื่อตั้งแสดงครั้งแรกส่วนใหญ่เป็นความวิจารณ์ทางร้าย นักวิจารณ์หลายคนพบว่าม้าตัวใหญ่เกินไปและอีกหลายคนมีความรู้สึกว่าสีหน้าของเด็กมีความรู้สึกมากเกินไป โดยเฉพาะรัสคินผู้ประณามภาพเขียนในข้อที่ว่าเขียนผิด \"ไวยากรณ์ของการเขียนภาพ\" โดยเขียนด้านหน้าภาพอ่อนกว่าเนินในฉากหลังของภาพ และยังกล่าวว่ามิเลไม่เพียงแต่จะล้ม—แต่ยังล้มอย่างหายนะ", "title": "ความฝันของอดีต: เซอร์อิสซุมบราที่ลำธารตื้น" }, { "docid": "576906#1", "text": "ปรากฎตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน อัลติเมตฟอลล์เอาท์ ฉบับที่ 4 (สิงหาคม 2011) หลังจากการตายของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เป็นวัยรุ่นอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและลาติน ไมล์เป็นไอ้แมงมุมคนที่ 2 ในอัลติเมตมาร์เวล", "title": "สไปเดอร์-แมน (ไมล์ โมราเลส)" }, { "docid": "146783#17", "text": "การเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและความอดหยากจากโรคระบาดมันฝรั่งในไอร์แลนด์ และการทำลายป่าในที่ราบสูงของสกอตแลนด์และผลกระทบจากสงครามนโปเลียนได้ส่งผลอย่างรุนแรงในยุโรปตะวันตกทำให้เกิดการอพยพระลอกมหาศาลสู่อเมริกา ชาวสแกนดิเนเวียและชาวเยอรมันที่อพยพเข้ามาในช่วง พ.ศ. 2350 – พ.ศ. 2440 ส่วนใหญ่มักตั้งถิ่นฐานทำฟาร์มในแถบกลางของภาคตะวันตก (Midwest) และประมาณช่วง พ.ศ. 2395 – พ.ศ. 2440 มีการระดมคนจากภาคใต้และภาคตะวันออกของยุโรปมาเป็นคนงานในอุตสาหกรรมใหม่ของสหรัฐฯ ชาวยิวที่หนีจากการกดขี่ทางศาสนา และการถูกระดมไปเป็นทหารในจักรวรรดิรัสเซียต่างอพยพเข้ามามากประมาณช่วง พ.ศ. 2415 – พ.ศ. 2470 ชาวอเมริกัน-เอเชียเริ่มข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2344 – พ.ศ. 2443) เพื่อหางานทำในอเมริกาตะวันตก ปัจจุบันมีผู้อพยพจากเอเชียใต้ ลาตินอเมริกาและสหภาพโซเวียตเดิมหลั่งไหลมาไขว่คว้าหาความฝันอเมริกัน", "title": "ฝันอเมริกัน" }, { "docid": "908495#27", "text": "คำภาษาเยอรมันว่า mitempfindungen (แปลตรงตัวว่า \"ความรู้สึกประสาน\") ได้ใช้เป็นครั้งแรกในปี 2387 โดยนักกายวิภาคศาสตร์ชาวเยอรมัน\nส่วนคำภาษาอังกฤษว่า Referred itch ได้เริ่มใช้หลังปี 2427\nแต่ปรากฏการณ์นี้มีบันทึกอย่างช้าที่สุดก็ปี 2276\nในช่วงเวลานั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ Stephen Hales ได้สังเกตว่า เมื่อเกาส่วหนึ่งของร่างกายด้วยเล็บ ก็อาจรู้สึกคันที่อีกส่วนหนึ่งของร่างกายซึ่งห่างออกไป\nโดยเขาได้เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า \"Instances of the Sympathy of the Nerves\"\nในปี 2427 นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย Kowalewsky จึงได้บันทึกแล้วตีพิมพ์ปรากฏการณ์นี้อย่างละเอียดโดยสังเกตกับตนเอง", "title": "อาการคันต่างที่" }, { "docid": "841704#1", "text": "\"ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ\"ออกฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ค.ศ. 2014 สายประกวด หมวดหมู่ภาพยนตร์ดราม่าจากสหรัฐอเมริกา เมื่อ 16 มกราคม 2014 โดยเป็นภาพยนตร์ที่ฉายเปิดเทศกาล หลังจากนั้นสิทธิในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในต่างประเทศได้ตกเป็นของโซนี่พิคเจอร์สเวิลด์ไวด์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม บันทึกเสียงยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Simmons) และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในรางวัลออสการ์ครั้งที่ 87", "title": "ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ" }, { "docid": "780309#2", "text": "แรกเริ่มตัวละครนี้ปรากฎ โดยไม่มีชื่อ ในสงครามโลกครั้งที่สองและพบรักกับกัปตันอเมริกา Tales of Suspense #75 และ เล่ม 77 (พฤษภาคม 1966) โดยนักเขียน สแตน ลี และจิตรกร แจ็ก เคอร์บี . เธอปรากฎตัวอีกครั้งในฐานะพี่สาวของ ชารอน คาร์เตอร์ใน Captain America #161 (พฤษภาคม 1973)", "title": "เพ็กกี คาร์เตอร์" }, { "docid": "576876#0", "text": "บลูอีเกิล () เป็นตัวละครการ์ตูนซูเปอร์ฮีโรจากมาร์เวลคอมิกส์ ซึ่งปรากฎตัวครั้งแรกในนามของทีมซูเปอร์ฮีโรของ สควาดรอน สุพรีม ในการ์ตูนเรื่องดิ อเวนเจอร์ส ฉบับที่ 85 (กุมภาพันธ์ 1971) ในชื่อ อเมริกันอีเกิล ต่อมาในชื่อ แค็พ'เอ็นฮอว์ก ในการ์ตูนเรื่องดิ อเวนเจอร์ส\" ฉบับที่ 148 (มิถุนายน 1976) และต่อมาได้ชื่อว่า บลูอีเกิล ในการ์ตูนเรื่องสควาดรอน สุพรีม ฉบับที่ 1 (กันยายน 1985)", "title": "บลูอีเกิล (หนังสือการ์ตูน)" }, { "docid": "877805#2", "text": "คำว่าไรช์เยอรมันปรากฎอยู่ในสารบบราชการไทยครั้งแรกในปี 1937 เมื่อไทยและเยอรมนีได้ลงนามใน \"สนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์ และการเดินเรือระหว่างราชอาณาจักรไทยกับไรช์เยอรมัน\"", "title": "ไรช์เยอรมัน" } ]
1403
ใครเป็นผู้โคลนนิ่งแกะได้สำเร็จคนแรกของโลก?
[ { "docid": "841364#0", "text": "ดอลลี () (5 กรกฎาคม 2539 – 14 กุมภาพันธ์ 2546) เป็น แกะเลี้ยงเพศเมีย และเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตัวแรกที่ถูกโคลนจากเซลล์โซมาติก (somatic cell) ของสัตว์โตเต็มวัย โดยใช้วิธีถ่ายฝากนิวเคลียส (nuclear transfer) ดอลลีถูกโคลนโดย เอียน วิลมุต (Ian Wilmut) คีธ แคมป์เบล (Keith Campbell) และผู้ร่วมงาน ณ สถาบันรอสลิน (Roslin Institute) ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ PPL Therapeutics ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเอดินบะระ เงินทุนในการโคลนดอลลีมาจากบริษัท PPL Therapeutics และกระทรวงการเกษตรของสหราชอาณาจักร มันเกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 และตายด้วยโรคทางปอดเมื่ออายุได้ 6 ปี 7 เดือน หลายสื่อ เช่น BBC News และ \"Scientific American\" ยกย่องให้มันเป็น \"แกะดังที่สุดในโลก\"", "title": "ดอลลี (แกะ)" } ]
[ { "docid": "24736#1", "text": "เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่เช่นการโคลนนิ่ง ซึ่งการโคลนนิ่งสิ่งมีชีวิตครั้งแรกคือการโคลนนิ่งแกะดอลลี่\nโดยจะนำเซลล์ไข่ของแกะดอลลี่ตัวหนึ่งมาแล้วนำนิวเคลียสออก จากนั้นก็นำนิวเคลียสจากตัวต้นแบบมาใส่แทน เมื่อได้แล้วก็นำไปถ่ายฝากในครรภ์ของแกะตัวเมียอีกตัวหนึ่ง เมื่อได้ลูกแกะดอลลี่ออกมาแล้วจะมีลักษณะเหมือนตัวต้นแบบทุกประการ", "title": "เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่" }, { "docid": "256684#3", "text": "บุคคลแรกที่พิชิตยอดเขาแปดพันเมตรทั้งสิบสี่ยอดคือไรน์โฮลด์ เมสเนอร์ ผู้ทำสำเร็จเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1986 ปีต่อมาในปี ค.ศ. 1987 เยชี คูคุชคา (Jerzy Kukuczka) กลายเป็นคนที่สอง ในปี ค.ศ. 2009 มีผู้พิชิตทั้งสิบสี่ยอดทั้งหมดด้วยกัน 16 คน การพิชิตยอดเขาเหล่านี้เป็นการเสี่ยงอันตรายสูงที่มีผู้เสียชีวิตไปสี่คนในการพยายาม ผู้ที่ปีนยอดเขาเหล่านี้บ่อยที่สุดคือ คัวนีโต โอยาร์ซาบัล (Juanito Oiarzabal) ที่ปีนด้วยกันทั้งสิ้น 23 ครั้งระหว่าง ค.ศ. 1985 ถึง ค.ศ. 2009", "title": "ภูเขาแปดพันเมตร" }, { "docid": "430653#7", "text": "แต่ถึงอย่างนั้น ประเทศไทยก็สามารถทำการโคลนนิ่ง(Cloning)ได้สำเร็จคนแรกโดย ศาสตราจารย์มณีวรรณ กมลพัฒนะ ได้นำเซลล์ใบหูของ โคแบรงกัสเพศเมียมาเป็นเซลล์ต้นแบบ ทำให้เกิดลูกโคโคลนนิ่งตัวแรกของประเทศไทย มีชื่อว่า “อิง” เป็นลูกโคสีดำ เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งถือเป็นลูกโคโคลนนิ่งตัวแรกของประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ รายที่ 3 ของเอเชีย และรายที่ 6 ของโลก โดยได้ทำการโคลนนิ่ง(Cloning)ต่อจาก ญี่ปุ่น อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน และเกาหลี", "title": "การโคลน" }, { "docid": "219111#4", "text": "ไม่ว่าจะโดยคอนแสตนติโนหรือออร์ซิ คาราวัจโจก็ได้รับความสนใจจากคาร์ดินัลฟรานเชสโค มาเรีย เดล มอนเตผู้ซื้อภาพและกลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญคนแรก โดยให้ที่พำนักในวังมาดามาหลังจตุรัสนาวาร์โร จากนั้นภาพก็ตกไปเป็นของคาร์ดินัลอันโตนิโอ บาร์แบรินิผู้เป็นหลานของสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8 ที่ต่อมาคาราวัจโจเขียนภาพเหมือนให้(“ภาพเหมือนของมาฟเฟโอ บาร์เบอรินิ”) ในปี ค.ศ. 1598 ต่อมาเปลี่ยนมือไปเป็นของตระกูลโคโลนนา-สเคียร์รา และในที่สุดก็หายไปในคริสต์ทศวรรษ 1890 และมาพบอีกครั้งในปี ค.ศ. 1987 ในงานสะสมส่วนบุคคลในยุโรป", "title": "คนโกงไพ่ (คาราวัจโจ)" }, { "docid": "129687#2", "text": "ยอดเขาอันนะปุรณะ 1 (Annapurna I) เป็นยอดเขาสูงเกิน 8,000 เมตรแห่งแรก ที่มีมนุษย์ไต่ถึง โดย เมารีซ เออร์โซ (Maurice Herzog) และ ลูอิส แลชเนล (Louis Lachenal) นักไต่เขาชาวฝรั่งเศส นำทีมอีก 7 คน ขึ้นสู่ยอดเขาสำเร็จในปี พ.ศ. 2493 หรือ 3 ปีก่อนที่ เซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี จะพิชิต ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และแม้ว่าเอเวอร์เรสต์ จะโด่งดังในฐานะยอดเขาสูงที่สุดในโลก แต่ในความเป็นจริง มีนักไต่เขามาเยือนอันนะปุรณะ ถึงกว่า 40,000 คนต่อปี ซึ่งมากกว่าเอเวอร์เรสต์ 2 เท่า เนื่องจากอันนะปุรณะ มีความหลากหลายทางสภาพภูมิศาสตร์ ทั้งทะเลสาบในหุบเขาโปคราที่มีอากาศร้อนชื้น ไปจนถึงภูเขาน้ำแข็ง ประกอบไปด้วยพรรณไม้ และสัตว์ป่า เช่น แพะภูเขา เสือดาวหิมะ รวมทั้งนกต่างๆ กว่า 400 สปีชี่ส์ โดยมีชนเผ่าที่แตกต่างกันถึง 7 ชนเผ่า ทำให้เส้นทางเดินเขารอบทิวเขาอันนะปุรณะหนึ่งสัปดาห์ ถือเป็นเส้นทางคลาสสิกแห่งหนึ่ง สำหรับนักไต่เขาทั่วโลก", "title": "ยอดเขาอันนะปุรณะ" }, { "docid": "969346#9", "text": "วลาดิมีร์ เลนิน ผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิสต์คนแรกของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต หัวหน้าพรรคบอลเชวิก นายกรัฐมนตรีคนแรกและเป็นเจ้าของแนวคิดส่วนใหญ่ในลัทธิเลนิน ได้รายงานว่าป่วยหนักในปลายปี ค.ศ. 1921 โดยมีอาการหูไวเสียง ปวดหัว และนอนไม่หลับเป็นประจำ", "title": "ภาวะหูไวเกิน" }, { "docid": "5116#12", "text": "คนไทยที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จเป็นคนแรกคือ วิทิตนันท์ โรจนพานิช ซึ่งสามารถพิชิตยอดเขาได้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เวลา 8:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นเนปาล ร่วมกับนักปีนเขาชาวเวียดนาม 3 คนจากรายการเรียลลิตี้โชว์ \"Conquering Mount Everest 2008\" ของสถานีโทรทัศน์วีทีวี ประเทศเวียดนาม (ได้แก่ Phan Thanh Nhien, Bui Van Neogi, Nguyen Mau Linh)", "title": "ยอดเขาเอเวอเรสต์" }, { "docid": "648951#19", "text": "ปี พ.ศ. 2540 เจมี่ ฟอกซ์ นางงามแมริแลนด์ กลายเป็นผู้เข้าประกวดคนแรกใน 50 ปี ที่เข้าแข่งในชุดว่ายน้ำสองชิ้นในช่วงการประกวดชุดว่ายน้ำรอบคัดเลือกของเวทีการประกวดมิสอเมริกา. ถึงแม้ว่าชุดว่ายน้ำแบบชิ้นเดียวจะกลับมานิยมในช่วงปี พ.ศ. 2531 และ พ.ศ. 2541 บริษัทของเรอาร์ปิดลงในปี พ.ศ. 2531 สี่ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต ในช่วงปลายศตวรรษ บิกีนีกลายเป็นชุดว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก โอลิวิเย่ร์ เซราท นักประวัติศาสตร์ด้านแฟชั่นชาวฝรั่งเศสกล่าวถึงเหตุนี้ว่าเป็นเพราะ “พลังของผู้หญิง ไม่ใช่พลังของแฟชั่น” เขาอธิบายว่า “การปลดปล่อยเป็นอิสระของชุดว่ายน้ำมักถูกเชื่อมโยงไปยังการปลดปล่อยสู่อิสรภาพของผู้หญิง” ถึงแม้แบบสำรวจหนึ่งจะชี้ว่าบิกีนีร้อยละ 85 ไม่เคยสัมผัสกับน้ำเลย เหล่านักแสดงสาวในภาพยนตร์แอคชั่น นางฟ้าชาลี Full Throttle และBlue Crushได้สร้างให้ชุดว่ายน้ำสองชิ้นกลายเป็น “ความเท่าเทียมในสหศวรรษกับชุดเกราะ” จีน่า เบลลาฟอนเต้ กล่าวในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์", "title": "บิกีนี" }, { "docid": "638514#47", "text": "ในปี 1994, ดร.บรูซ แมคลูคัส (Dr. Bruce McLucas) เป็นผู้ทำการรักษาด้วยวิธีการ UAE สำเร็จเป็นคนแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่นั้นมาก็ได้มีการใช้วิธี UAE นี้ประสบความสำเร็จในผู้ป่วยนับพันคนทั่วโลก เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนของสูตินรีแพทย์ของโลกที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินการ UAE. ดร.แมคลูคัสยังฝึกอบรมแพทย์ทั่วโลกที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินการ UAE", "title": "เนื้องอกมดลูก" } ]
3585
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยามีพี่น้องกี่คน?
[ { "docid": "285046#1", "text": "หม่อมเจียงคำ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 ที่เมืองอุบลราชธานี เป็นธิดาลำดับที่ 9 หรือเป็นธิดาท่านสุดท้องของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) กับญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบล หม่อมเจียงคำมีศักดิ์เป็นหลานปู่ ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) (บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสุริยะ) กับอัญญานางทอง บุตโรบล มีศักดิ์เป็นเหลนทวด ในท้าวสีหาราช (พูลสุข หรือ พลสุข) กรมการเมืองอุบลราชธานีชั้นผู้ใหญ่ กับอัญญานางสุภา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากท้าวโคต ผู้เป็นพระราชโอรสในเจ้าพระตา (เจ้าพระวรราชปิตา) ผู้ครองนครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) นอกจากนี้ ท้าวโคตผู้เป็นต้นสกุล บุตโรบล ยังมีศักดิ์เป็นอนุชากับเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ 1 กับเจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (ฝ่ายหน้า) เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ (เมืองเก่าคันเกิง) องค์ที่ 3 ด้วย", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" } ]
[ { "docid": "134139#21", "text": "ณ อุบล สกุลนี้สืบเชื้อสายเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ และเจ้าอุปราชธรรมเทโวแห่งนครจำปาศักดิ์ ทางฝ่ายพระราชมารดา สายเจ้าอุปฮาด (สุดตา) และเจ้าอุปฮาด (โท) ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุลสายนี้คือ พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองพิเศษเมืองอุบลราชธานีในสมัยรัชกาลที่ 5 สุวรรณกูฏ สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีลำดับที่ 3 พระราชโอรสในเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ พระบริคุฏคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) เป็นผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล สิงหัษฐิต สกุลสายนี้สืบเชื้อสายมาจากพระเกษโกมลสิงห์ขัตติยะ พระนัดดาในพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล คือ พระวิภาคย์พจนกิจ (หนูเล็ก สิงหัษฐิต) บิดาของนายเติม วิภาคย์พจนกิจ ผู้เขียนหนังสือ ประวัติศาสตร์อีสาน ทองพิทักษ์ สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางเจ้าอุปฮาด (สุดตา) เชษฐาของพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) พระราชโอรสในเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ ท้าวไกรยราช (พู) บุตรของเจ้าอุปฮาด (สุดตา) เป็นผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล อมรดลใจ สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระอมรดลใจ (อ้ม) อดีตบรรดาศักดิ์ที่ท้าวสุริยวงศ์ เจ้าเมืองตระการพืชผลองค์แรก ท่านนี้เป็นบุตรในพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 และเป็นเขยในเจ้าองค์ครองนครจำปาศักดิ์ โทนุบล สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางเจ้าเมืองมหาชนะชัย หรือท้าวคำพูน สุวรรณกูฏ ผู้เป็นบุตรในพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามท้าวคำพูนว่า พระเรืองชัยชนะ เจ้าเมืองมหาชนะชัย ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ต่อมาภายหลังเมืองมหาชนะชัยได้ถูกลดฐานะเป็นอำเภอภายใต้การปกครองของเมืองอุบลราชธานี โดยมีหลวงวัฒนวงศ์ โทนุบล (โทน สุวรรณกูฏ) ผู้เป็นนัดดาในพระเรืองชัยชนะ เป็นนายอำเภอคนแรก บุตโรบล สายนี้สืบมาจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) และเจ้าราชบุตร (คำ) โอรสในเจ้าสีหาราช (พลสุข) และเจ้าโคตร (ท้าวโคต) ทั้งสองพระองค์เป็นพระราชโอรสในเจ้าพระตา และเป็นพระราชอนุชาในเจ้าพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ ผู้รับพระราชทานสกุลคือ พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง บุตโรบล) สายสกุลนี้เป็นสายสกุลของอัญญานางเจียงคำ บุตโรบล (หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา) ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์", "title": "เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง ณ อุบล)" }, { "docid": "437339#5", "text": "ต่อมาจังหวัดอุบลราชธานีได้รับงบประมาณจากทางราชการกว่า 4 หมื่นบาท เพื่อจัดสร้างอาคารเรียนหลังใหม่เพิ่มเติมในบริเวณกรมทหารเก่าซึ่งย้ายไปตั้งอยู่ที่อำเภอวารินชำราบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 (ปัจจุบันคือค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22) ทางทิศตะวันตกของทุ่งศรีเมือง หรือด้านหลังของศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีแห่งที่ 2 ในปัจจุบัน (เดิมที่ดินแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมรดกเชื้อสายเจ้านายเมืองอุบลราชธานี ซึ่งหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ได้อุทิศให้ทางราชการไทยใช้เป็นที่สาธารณประโยชน์) โรงเรียนแห่งนี้มีเนื้อที่ราว 40 กว่าไร่ ทิศเหนือจรดถนนเบ็ญจะมะและวัดชัยมงคล ทิศใต้จรดถนนศรีณรงค์และวัดศรีอุบลรัตนาราม ทิศตะวันออกจรดถนนอุปราชและทุ่งศรีเมือง ทิศตะวันตกจรดบ้านประชาชนและป่าช้าโรมันคาทอลิก ตัวอาคารเรียนหลักเป็นอาคารเรียนไม้ 2 ชั้น ขนาด 20 ห้องเรียน ตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีสนามและเสาธงขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนพูนดินมีขาเสาธงสี่ขาตั้งอยู่หน้าอาคารเรียน อาคารนี้เป็นอาคารหลังเดียวของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชแห่งที่ 2 ที่ยังคงหลงเหลือในปัจจุบัน ออกแบบโดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์) สถาปนิกประจำกระทรวงศึกษาธิการ ณ เวลานั้น", "title": "โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช" }, { "docid": "285046#9", "text": "หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ หม่อมเจียงคำและหม่อมเจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ ผู้เป็นบุตร ได้อุทิศที่ดินจำนวน 27 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของญาติวงศ์เจ้านายเมืองอุบลราชธานีในอดีต เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อปี พ.ศ. 2474 ก่อนหน้านี้ ได้บริจาคที่ดินของท่านและญาติ ๆ ให้ใช้เป็นที่สาธารณประโยชน์แก่แผ่นดิน ได้แก่ ที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) ที่ดินของพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) ที่ดินของพระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) ที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท ณ อุบล) ที่ดินของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการที่สำคัญในจังหวัดอุบลราชธานีหลายแห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง (อดีตสถานที่ถวายเพลิงพระศพเจ้าเมืองและพระราชทานเพลิงเจ้านายเมืองอุบลราชธานี) โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี (เดิมเป็นที่ตั้งโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช) และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์[1]", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "134139#19", "text": "เจ้าพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) เจ้าผู้ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ ๑ เจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) เจ้าผู้ครองนครกาลจำบากนัคบุรีศรีจำปาศักดิ์ องค์ที่ ๓ เจ้าพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าทิดพรหม) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ ๒ ( ต้นสกุลพระราชทาน พรหมวงศานนท์ ) อัญญาเจ้าโคต (เจ้าโคตร) พระบิดาของท้าวสีหาราช (พลสุข บุตโรบล) ปู่ของเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) ทวดของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) ผู้เป็นบิดาของอัญญานางเจียงคำ บุตโรบล (หม่อมเจียงจำชุมพล ณ อยุธยา) ในกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ อัญญานางมิ่ง อัญญาท้าวซุย อยู่บ้านเขื่องใน พระศรีบริบาล อัญญานางเหมือนตา อยู่บ้านสะพือตระการ อัญญาท้าวสุ่ย บิดาของอัญญาท้าวสิงห์ ต้นตระกูลสิงหัษฐิต ท้าวสิงห์มีบุตรธิดาคือ อัญญานางทอง ๑ อัญญาท้าวสีหาราช (หมั้น) ๑ อัญญานางบัว ๑ อัญญานางจันที ๑ อัญญานางวันดี ๑ อัญญาท้าวมา ๑ อัญญานางสีทา (ไม่มีบุตรธิดา) ๑ อัญญานางแพงแสน ๑ ฝ่ายอัญญาท้าวสีหาราช (หมั้น) นั้น สมรสกับอัญญานางสุนี ธิดาเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) มีบุตรธิดาคือ พระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) ๑ อัญญาท้าวสี ๑ อัญญาครูจำปาแดง ๑ อัญญานางบุญกว้าง ๑", "title": "เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง ณ อุบล)" }, { "docid": "285046#7", "text": "พระเจ้าพุทธวิเศษ หรือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เป็นพระพุทธรูปศิลาแลงปางนาคปรก ขนาดหน้าตักกว้าง 55 เซนติเมตร สูง 90 เซนติเมตร เป็นศิลปะยุคศรีโคตรบูรร่วมสมัยกับทวาราวดีของสยาม อายุราวพันกว่าปี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดทุ่งศรีวิไล บ้านชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี นับถือกันว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวบ้านชีทวนและตำบลใกล้เคียง ประชาชนนิยมจัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อพระพุทธวิเศษเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน คือวันขึ้น 14 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เรียกว่า งานปิดทองหลวงพ่อพุทธวิเศษประจำปี ส่วนบ้านชีทวนนั้นเดิมเป็นเมืองขอมโบราณเรียกว่า เมืองซีซ่วน] ภายหลังพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช ผู้เป็นต้นราชตระกูลของหม่อมเจียงคำ ได้โปรดให้ท้าวโหง่นคำพร้อมราษฎร 150 ครัวเรือน ยกมาตั้งเป็นบ้านเมืองอีกครั้งที่เมืองซีซ่วน[7] ชาวเมืองเชื่อกันสืบมาว่า ผู้ที่แต่งงานมีครอบครัวมานานแล้วแต่ไม่มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล สามีภรรยาก็มักพากันมานมัสการหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เพื่อบนบานศาลกล่าวให้ตนมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ปรากฏว่าเป็นผลสำเร็จมากมาย มีตำนานเล่าสืบมาว่าครั้งหนึ่ง พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ และหม่อมเจียงคำ ได้เสด็จออกไปเยี่ยมไพร่ฟ้าประชาชนตามหัวเมืองต่างๆ และได้เดินทางผ่านบ้านชีทวน ทราบข่าวว่าที่บ้านชีทวนมีพระพุทธศักดิ์สิทธิ์คือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ สามารถที่จะบนหรือขอสิ่งที่ปรารถนาได้ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์พร้อมหม่อมเจียงคำก็ดำริแก่กันว่า แต่เมื่อครั้งเสกสมรสมานานแล้วก็ยังหาได้มีพระโอรสพระธิดาไว้สืบสกุล ทั้งสองพระองค์จึงทรงนำดอกไม้ธูปเทียนและทองคำเปลวลงไปสักการบูชาขอพระโอรสพระธิดาจากหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ ต่อมาไม่นานหม่อมเจียงคำก็ทรงพระครรภ์และได้ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ ตามความปรารถนา คือหม่อมเจ้าอุปลีสานและหม่อมเจ้ากมลีสาน[8]", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#4", "text": "เกี่ยวกับนามของหม่อมเจียงคำนั้น คำว่า เจียง เป็นภาษาลาวโบราณ ตรงกับภาษาบาลีว่า จาป หมายถึง ธนู ศร หน้าไม้ กระสุน แล่ง (ที่ทำสำหรับวางลูกธนูหรือหน้าไม้ หรือที่ใส่ลูกธนูหน้าไม้สำหรับสะพาย)[3] บางครั้งชาวลาวเรียกว่า หน้าเจียง หรือ เกียง ดังนั้น นามของหม่อมเจียงคำจึงหมายถึง ธนูทองคำ หม่อมเจียงคำ เดิมสกุล บุตโรบล นามสกุลบุตโรบลเป็นนามสกุลที่ทายาทบุตรหลานเจ้านายเมืองอุบลราชธานีได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) นามสกุลเลขที่ 2692 เขียนแบบอักษรโรมันคือ Putropala [4] ตามบัญชีผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลคือ \"นายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) นายทหารกองหนุน สังกัดกองสัสดีมณฑลอุบล ปู่ชื่อราชบุตรสุ่ย บิดาชื่อเจ้าราชบุตร (คำ)\" หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา และนายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและทั้ง 2 ท่านเป็นหลานปู่ ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย)", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#10", "text": "ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนราชบุตร ทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท) บิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ที่ดินแปลงใหญ่นี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เดิมเป็นที่ตั้ง[[ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี กรมศิลปากร", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#12", "text": "เดิมเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนารีนุกูล ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นบริเวณเดียวกันกับทุ่งศรีเมือง แต่ปัจจุบันได้ถูกตัดถนนผ่านหน้าโรงเรียน ทำให้พื้นที่ของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานีถูกแยกออกไปจากทุ่งศรีเมือง บริเวณกลางทุ่งศรีเมืองนี้เดิมเป็นสถานที่ราชการของเมือง ใช้สำหรับจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง ตลอดจนงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าเมือง คณะอาญาสี่ และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น ทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันมีทิศเหนือติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนนครบาล ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช ปัจจุบันทุ่งศรีเมืองใช้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ประกอบรัฐพิธีต่างๆ เช่น วันเฉลิมพระชนพรรษา 5 ธันวาคมของทุกปี ตลอดจนประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา ประกอบพิธีทางประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัด เช่น เทศกาลวันแห่เทียนเข้าพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นต้น", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#15", "text": "ทิศเหนือติดกับวัดไชยมงคล ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนอุปราช ทิศตะวันตกติดกับสุสานโรมันคาทอลิก เดิมเป็นที่ตั้งของกรมทหาร ต่อมาได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชในปี พ.ศ. 2474 และเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี แห่งที่ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 - 2553 ปัจจุบันทางราชการได้ย้ายศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีไปอยู่ที่ตำบลแจระแม และปรับปรุงอาคารเรียนเดิมของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชซึ่งยังคงตั้งอยู่ในที่ดินแปลงนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี โดยอยู่ในความดูแลของเทศบาลนครอุบลราชธานี", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#0", "text": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา (ท.จ.) (4 ธันวาคม พ.ศ. 2422-20 ตุลาคม พ.ศ. 2481 ) มีนามเดิมว่า อัญญานางเจียงคำ สกุลเดิม บุตโรบล เป็นเจ้านายสตรีของเมืองอุบลราชธานีซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของราชอาณาสยามมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่ถวายตัวเป็นหม่อมใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง[1] เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างราชสำนักสยาม กับเจ้านายพื้นถิ่นเมืองอุบลราชธานีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในช่วงที่มีนโยบายปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#8", "text": "หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) อดีตประธานกรรมการผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงพวงรัตนประไพ เทวกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุทัยวงศ์ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงมีพระโอรส-พระธิดา 3 ท่าน คือ หม่อมราชวงศ์พัชรีสาณ ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับคุณสุภาพรรณ ปันยารชุน มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ หม่อมหลวงสุพัชร ชุมพล (พ.บ.) หม่อมหลวงภัทรีศา ชุมพล หม่อมราชวงศ์หญิงพวงแก้ว ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับนายแพทย์กุณฑล สุนทรเวช มีบุตรธิดา 3 คน คือ ทิพย์สุดา (สุนทรเวช) ถาวรามร พิมพ์แก้ว (สุนทรเวช) มาโกด์ สิทธิ์สรรพ์ สุนทรเวช หม่อมราชวงศ์จาตุรีสาณ ชุมพล สมรสกับนางชูศรี (คงเสรี) ชุมพล ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ หม่อมหลวงสุภสิทธิ์ ชุมพล หม่อมหลวงสุทธิมาน (ชุมพล) โภคาชัยพัฒน์ หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง สวัสดิวัฒน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฏ์ และหม่อมเจ้าหญิงฉวีลิลัย สวัสดิวัฒน์ (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พะรองค์เจ้าคัคณางยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงมีพระโอรส 2 ท่าน คือ หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล สมรสกับนางวราภรณ์ บุณยรักษ์ มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ หม่อมหลวงสิทธิสาณ ชุมพล หม่อมหลวงวราภา ชุมพล รองศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล สมรสกับนางอรพันธ์ ชาติยานนท์ มีบุตรธิดา 4 ท่าน คือ หม่อมหลวงวรารมณ์ ชุมพล หม่อมหลวงสมรดา ชุมพล หม่อมหลวงกมลพฤทธิ์ ชุมพล หม่อมหลวงรัมภาพันธุ์ ชุมพล", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "233894#0", "text": "หม่อมเจ้าธานีเสิกสงัด ชุมพล พระโอรสใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์และหม่อมบุญยืน ชุมพล ณ อยุธยา\nหม่อมเจ้าธานีเสิกสงัด ชุมพล พระโอรสใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์และหม่อมบุญยืน ชุมพล ณ อยุธยา บุตรีในท้าวไชยบุตร (บุดดี บุญรมย์) หลานเจ้าราชบุตรสุ่ย เจ้าเมืองอุบลราชธานี ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2445 ทรงมีพระพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีที่ร่วมหม่อมมารดา 4 พระองค์ คือ", "title": "หม่อมเจ้าธานีเสิกสงัด ชุมพล" }, { "docid": "285046#2", "text": "หม่อมเจียงคำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ดังนี้[2]", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#17", "text": "หม่อมเจียงคำ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคอัมพาต เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2481 สิริอายุ 59 ปี[10] ณ โฮงพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) เลขานุการในพระองค์กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้เป็นญาติใกล้ชิดของหม่อมเจียงคำ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ถนนพิชิตรังสรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี[11] ปัจจุบันทายาทได้นำพระอัฐิของท่านบรรจุไว้ ณ บริเวณฐานตั้งใบเสมาหน้าพระอุโบสถ วัดสุทัศนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) และเจ้านายญาติวงศ์เมืองอุบลราชธานี ได้ร่วมกันสร้างไว้ตั้งแต่ครั้ง พ.ศ. 2396 ก่อนที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) จะไปราชการศึกสงครามเมืองญวนที่ประเทศเขมร[12]", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#20", "text": "Family of Main Page ท้าวโคต พระราชโอรสเจ้าพระวรราชปิตา (พระตา)ท้าวสีหาราช (พลสุข)เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล)อาชญาแม่สุภาท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล)อาชญาแม่ทอง บุตโรบลหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยาพระศรีโสภา (ชาวจีน)อาชญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบลนางทุมมา", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285056#0", "text": "หม่อมเจ้ากมลีสาน ชุมพล โอรสใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ กับ หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา\nหม่อมเจ้ากมลีสาน ชุมพล เป็นโอรสใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ กับ หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2449 เษกสมรสกับหม่อมเจ้าสีดาดำรวง สวัสดิวัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ กับ หม่อมเจ้าฉวีวิลัย คัคณางค์ ทรงมีพระโอรส 2 ท่าน คือ ", "title": "หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล" }, { "docid": "285046#22", "text": "Family of Main Page แสนทิพย์นาบัวพระโพสาทธรรมิราชาไชยจักรพรรดิภูมินทราธิราช หรือเจ้าอุปราช (นอง) แห่งเวียงจันทน์พระราชมารดา (อดีตพระชายาเจ้าชมพู พระเชษฐาพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช)เจ้าพระวรราชปิตา (พระตา) หรือท้าวราชวงศาพระชายา", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#5", "text": "พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอีสาณ) เมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จมาปรับปรุงและจัดระบบราชการที่เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้ทรงพอพระทัยต่ออาชญานางเจียงคำ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น) กรมการชั้นผู้ใหญ่ของเมือง จึงได้ทรงขออาชญานางเจียงคำ ต่อเจ้านายผู้ใหญ่ในเมืองอุบลราชธานี คือ พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) และได้เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามจารีตประเพณีของบ้านเมืองลาวดั้งเดิม ถวายตัวเป็นหม่อมห้ามใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ต่อมาได้ให้กำเนิดพระโอรส 2 พระองค์", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#16", "text": "ที่ดินแปลงนี้มีทั้งหมด 27 ไร่ ซึ่งตกทอดเป็นมรดกของพระโอรสทั้ง 2 พระองค์ คือ หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) และหม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล พระโอรสทั้ง 2 ได้มอบให้ทางราชการเมื่อ พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์อีสานใต้ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของภาคอีสาน และมีผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก [9]", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#18", "text": "เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้า ฝ่ายใน (ท.จ.) เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 2 (จ.ป.ร.2) เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 (ว.ป.ร.1) เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1)", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285055#0", "text": "หม่อมเจ้าอุปลีสาน ชุมพล โอรสใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ กับ หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2442 ทรงเษกสมรสกับหม่อมเจ้าพวงรัตนประไพ เทวกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ กับ หม่อมพุก จันทรเสน มีบุตรธิดา คือ \nหม่อมเจ้าอุปลีสาน ชุมพล สิ้นชีพิตักษัยเมื่อ พ.ศ. 2517 ", "title": "หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล" }, { "docid": "285046#6", "text": "การถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเสด็จในกรมนั้น เท่ากับเป็นการสร้างการยอมรับอำนาจการปกครองจากส่วนกลางในหมู่เจ้านายเมืองอุบลราชธานีมากขึ้น และยังทำให้เจ้านายพื้นเมืองบางส่วนขยับฐานะตนเองจากการเป็นเจ้านายในราชวงศ์สายล้านช้างอันเก่าแก่ มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวงศ์จักรีของสยาม[5] โดยระหว่างที่เสด็จในกรมทรงประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น ได้ทรงสร้างตำหนักชื่อว่า วังสงัด ขึ้นบนที่ดินของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เมื่อ ร.ศ.112 และทรงประทับอยู่กับหม่อมเจียงคำเป็นเวลานาน 17 ปี ก่อนที่จะนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังและเสนาบดีที่ปรึกษาในพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อ ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) ภายหลังจากนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร พระองค์ก็มิได้กลับมาประทับที่เมืองอุบลราชธานีอีกเลย[6]", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#13", "text": "ทิศเหนือติดกับถนนพิชิตรังสรรค์ ทิศใต้ติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศตะวันตกติดกับวัดสุทัศนาราม ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลจังหวัดอุบลราชธานี ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี และด้านหลังของศาลจังหวัดอุบลราชธานี เป็นบริเวณบ้านพักผู้พิพากษาศาล ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) พระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) และพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต)", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#3", "text": "อัญญานางก้อนคำ สมรสกับ พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) ปลัดเมืองอุบลราชธานี บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสิทธิสาร ผู้ช่วยราชการคณะอาญาสี่เมืองอุบลราชธานี อัญญานางอบมา สมรสกับ ท้าววรกิติกา (คูณ) กรมการเมืองอุบลราชธานี อัญญานางเหมือนตา อัญญานางบุญอ้ม สมรสกับ ท้าวอักษรสุวรรณ กรมการเมืองอุบลราชธานี อัญญานางหล้า อัญญานางดวงคำ สมรสกับ รองอำมาตย์ตรี ขุนราชพิตรพิทักษ์ (ทองดี หิรัญภัทร์) อัญญาท่านคำม้าว โกณฺฑญฺโญ อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสารพัดนึก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี อัญญาไม่ปรากฏนาม (ถึงแก่กรรมเมื่อวัยเยาว์) อัญญานางเจียงคำ หรือหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#11", "text": "ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนหลวง ทิศตะวันตกติดกับถนนราชบุตร (เดิมคือที่ตั้งสโมสรข้าราชการเมืองอุบลราชธานี) ที่ดินแปลงนี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) และเป็นผืนเดียวกันกับที่ดินแปลงที่ 1 เมื่อราชการขยายผังบ้านเมืองออกไปและมีการตัดถนนผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นที่ดิน 2 แปลงดังปรากฏในปัจจุบัน", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#19", "text": "กลุ่มสืบสาน นำฮอย หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา[13] อาคารหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี วันรำลึกหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันถึงแก่อนิจกรรมของหม่อมเจียงคำ[14] กองทุนเครือข่ายแห่งบุญหม่อมเจียงคำอนุสรณ์[15]", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#14", "text": "ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย) ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี แล้วย้ายไปสร้างใหม่ ณ สำนักงานปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2553 ตั้งอยู่ข้างสำนักงานธนารักษ์จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าอุปฮาด (โท) พระบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#21", "text": "Family of Main Page เจ้านครเชียงรุ้งแสนหวีฟ้าเจ้าปางคำ เมืองหนองบัวลุ่มภูพระมเหสีเจ้าพระวรราชปิตา (พระตา)พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชแห่งนครเวียงจันทน์พระราชโอรสในพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชพระราชนัดดาในพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชพระชายา", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" }, { "docid": "285046#23", "text": "หมวดหมู่:พระบรมวงศานุวงศ์ลาว หมวดหมู่:หม่อม หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดอุบลราชธานี‎ หมวดหมู่:ราชสกุลชุมพล หมวดหมู่:ณ อยุธยา หมวดหมู่:คุณหญิง หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ. (ฝ่ายใน)", "title": "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา" } ]
3752
ตาเหล่ หรือ ตาเขรักษาได้ด้วยการผ่าตัดตาใช่หรือไม่?
[ { "docid": "901005#2", "text": "การรักษาจะขึ้นอยู่กับรูปแบบและเหตุ[3] ซึ่งอาจรวมการใช้แว่นตาและการผ่าตัด[3] มีบางกรณีที่มีผลดีถ้าผ่าตัดตั้งแต่ต้น ๆ[3] เป็นโรคที่เกิดในเด็กประมาณ 2%[3]", "title": "ตาเหล่" } ]
[ { "docid": "901021#11", "text": "โบทูลินั่ม ท็อกซินได้ใช้หลังการผ่าตัดเพื่อทำตาให้ตรงยิ่งขึ้นสำหรับคนไข้ตาเหล่ที่ผ่าตัดแก้น้อยไปหรือเกิน\nซึ่งช่วยกำจัดการเห็นภาพซ้อนหลังผ่าตัดได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจต้องฉีดหรือผ่าตัดซ้ำ\nและพิจารณาว่า มีประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับคนไข้ที่เห็นภาพเดียวด้วยตาสองข้าง\nการรักษาตาเหล่เข้าที่เกิดหลังผ่าตัด สำเร็จผลมากกว่ารักษาตาเหล่ออกหลังผ่าตัด\nท็อกซินบางครั้งจะใช้ร่วมกับการผ่าตัดในกรณีที่เหล่ไปทางด้านข้างค่อนข้างมาก และการผ่าตัดกล้ามเนื้อทั้งสองข้างไม่สามารถทำได้เพราะเหตุต่าง ๆ", "title": "การบำบัดตาเหล่ด้วยชีวพิษโบทูลินัม" }, { "docid": "901005#49", "text": "ยาจะใช้รักษาตาเหล่ในบางกรณี ในปี 2532 องค์การอาหารและยาสหรัฐอนุมัติการบำบัดด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซิน สำหรับคนไข้ตาเหล่อายุมากกว่า 12 ขวบ[47][48] เป็นการรักษาที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่โดยมาก แต่ก็ใช้ในเด็กด้วยโดยเฉพาะที่มี infantile esotropia[49][50][51] แพทย์จะฉีดท็อกซินเข้าในกล้ามเนื้อตามัดที่แข็งแรงกว่า ซึ่งทำให้อัมพาตชั่วคราว และอาจจะต้องฉีดซ้ำ 3-4 เดือนหลังจากที่ความอัมพาตหายไป ผลข้างเคียงสามัญรวมทั้งการเห็นภาพซ้อน หนังตาตก แก้เกิน และไร้ผล แต่ผลข้างเคียงปกติจะหมดไปภายใน 3-4 เดือน การรักษานี้รายงานว่า ได้ผลดีเท่ากับการผ่าตัดสำหรับคนไข้ที่สามารถเห็นภาพเดียวด้วยสองตา และได้ผลดีน้อยกว่าสำหรับคนไข้ที่เห็นภาพซ้อนด้วยสองตา[52]", "title": "ตาเหล่" }, { "docid": "901024#13", "text": "ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดเด็ก ก็มักจะทำก่อนเข้าโรงเรียน\nเพราะจะง่ายกว่าสำหรับเด็ก และให้โอกาสตาทำงานร่วมกันได้ดีมากกว่า\nเหมือนกับการผ่าตัดอื่น ๆ ทั้งหมด ก็มีความเสี่ยงบ้าง\nแต่การผ่าตัดรักษาตาเหล่ปกติจะปลอดภัยและได้ผล", "title": "ตาเหล่ออก" }, { "docid": "901005#50", "text": "ถ้าตาเหล่ตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดในช่วงวัยทารก อาจจะเป็นเหตุให้ตามัว (amblyopia) ที่สมองจะไม่สนใจข้อมูลสายตาจากตาที่มีปัญหา แม้จะบำบัดรักษาตามัว การไม่รู้ใกล้ไกล (stereoblindness) ก็ยังอาจเกิดได้ ตาเหล่ยังทำให้เกิดปัญหาภาพพจน์ส่วนบุคคล งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า คนไข้ผู้ใหญ่ 85% \"รายงานว่ามีปัญหาในที่ทำงาน ในสถาบันการศึกษา และการกีฬาเพราะตาที่เหล่ของตน\" คนไข้งานศึกษาเดียวกัน 70% รายงานว่า ตาเหล่ \"มีผลลบต่อภาพพจน์ของตนเอง\"[53] บ่อยครั้ง คนไข้ต้องผ่านการผ่าตัดเป็นครั้งที่สองเพื่อทำตาให้ตรง[27]", "title": "ตาเหล่" }, { "docid": "901021#0", "text": "การบำบัดตาเหล่ด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซิน ()\nเป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่บางครั้งใช้รักษาตาเหล่ โดยฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเข้าไปในกล้ามเนื้อตามัดที่เป็นเป้า เพื่อลดความไม่ตรงแนวของตา\nการใช้ท็อกซินเพื่อรักษาอาการตาเหล่ในปี 2524 พิจารณาว่าเป็นเหตุการณ์แรกที่ใช้โบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อรักษาโรค\nทุกวันนี้การฉีดท็อกซินเข้าไปในกล้ามเนื้อที่อยู่รอบ ๆ ตาเป็นทางเลือกการรักษาตาเหล่อย่างหนึ่ง\nวิธีการรักษาอื่น ๆ รวมทั้งการบำบัดการเห็น (vision therapy) การใช้ผ้าปิดตา แว่นสายตา (หรือเลนส์สัมผัส) แว่นปริซึม และการผ่าตัด", "title": "การบำบัดตาเหล่ด้วยชีวพิษโบทูลินัม" }, { "docid": "901005#42", "text": "ในคนไข้ Accommodative esotropia ตาจะเหล่เข้าเพื่อพยายามโฟกัสตาที่มีสายตายาว และการรักษากรณีเช่นนี้จะต้องแก้ไขการหักเหของแสง ซึ่งปกติจะทำโดยใช้แว่นตาหรือเลนส์สัมผัส ในกรณีที่อำนาจการหักเหแสงของนัยน์ตาสองข้างต่างกันมาก (anisometropia) เลนส์สัมผัสอาจดีกว่าแว่นตาเพื่อเลี่ยงปัญหาการเห็นวัตถุเดียวแต่มีขนาดต่างกัน (aniseikonia) ซึ่งอาจเกิดจากแว่นตาที่มีอำนาจการหักเหแสงที่ต่างกันมากระหว่างสองตา ในกรณีเด็กตาเหล่จำนวนหนึ่งที่มี anisometropic amblyopia แพทย์จะลองใช้เลนส์หักเหแสงระดับต่าง ๆ กันก่อนผ่าตัดแก้ตาเหล่[43]", "title": "ตาเหล่" }, { "docid": "901032#4", "text": "การผ่าตัดเพื่อรักษา oblique muscle disorders อาจมีผลเป็นตาเหล่หลังจากการผ่าตัด\nอย่างแรกก็คือ ตาอาจเหล่ขึ้นหรือลง\nมีหลักฐานบ้างว่า อาการอาจน้อยกว่าถ้าผ่าตัดเด็กตั้งแต่อายุน้อย ๆ\nอย่างที่สองคือ การผ่าตัดอาจมีผลเป็นตาเหล่แบบหมุน (cyclodeviation, cyclotropia)\nและการเห็นภาพซ้อนแบบหมุน (cyclotropia) ถ้าระบบการเห็นไม่สามารถชดเชยความผิดพลาดได้", "title": "การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา" }, { "docid": "901032#1", "text": "การผ่าตัดแก้ตาเหล่สำเร็จเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2382 โดยนายแพทย์ชาวเยอรมันและทำแก่เด็กตาเหล่เข้าอายุ 7 ขวบ\nแม้จะมีแพทย์ชาวอเมริกันที่ได้พยายามทำหลายครั้งมาก่อนในปี พ.ศ. 2361\nส่วนจักษุแพทย์ชาวอเมริกันเป็นผู้ตีพิมพ์ไอเดียการรักษาตาเหล่ด้วยการตัดใยกล้ามเนื้อตาเป็นครั้งแรกในปี 2380การผ่าตัดรักษาตาเหล่เป็นวิธีการที่ทำในวันเดียว\nคนไข้ต้องอยู่ใน รพ. เพียงแค่ 2-3 ชม. ก่อนผ่าตัดเพื่อเตรียมตัว\nส่วนระยะเวลาที่ใช้ผ่าตัดโดยเฉลี่ยจะต่าง ๆ กัน\nหลังจากผ่าตัด คนไข้จะเจ็บและบวมบ้าง\nในกรณีที่ต้องผ่าตัดอีก จะเจ็บเพิ่มขึ้น\nการตัดกล้ามเนื้อออก (Resection) จะเจ็บหลังผ่ามากกว่าการร่น (recession)\nและจะบวมนานกว่าและอาจทำให้อาเจียนในระยะต้น ๆ หลังผ่าตัด", "title": "การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา" }, { "docid": "901017#22", "text": "การจัดการตาเหล่ ตามัว หรือการเคลื่อนไหวของตาผิดปกติที่ไม่ใช้การผ่าตัด\nอาจรวมวิธีการบำบัดสายตาวิธีต่าง ๆ โดยหลักเพื่อให้ตาทั้งสองเห็นภาพคล้องจองกัน (retinal correspondence) เช่นการปิดตาข้างหนึ่ง และการฝึกให้เห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาโดยใช้ haploscope และวิธีการอื่น ๆ\nซึ่งสามารถใช้ก่อนหรือหลังการผ่าตัด ตามกำหนดของแพทย์พยาบาลที่ชำนาญการโดยเฉพาะ", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901017#16", "text": "การฉีด Bupivacaine ปัจจุบันเป็นวิธีการที่ทำได้ในคลินิก โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ในผู้ใหญ่ซึ่งให้ความร่วมมือได้\nและได้ใช้เป็นทางเลือกการผ่าตัดรักษาตาเหล่ระดับปานกลาง ที่ไม่ได้มีเหตุจากอัมพาต หรือจากการจำกัดการทำงานของกล้ามเนื้อตั้งแต่ปี 2549\nตาที่แก้แล้วบันทึกว่าเสถียรได้ถึง 5 ปี", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901005#46", "text": "การผ่าตัดแก้ตาเหล่ไม่ได้ช่วยให้เด็กไม่ต้องใส่แว่นตา สำหรับเด็ก ปัจจุบันยังไม่รู้ว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ ระหว่างการผ่าตัดแก้ตาเหล่ก่อนหรือหลังการรักษาตามัว[45]", "title": "ตาเหล่" }, { "docid": "901005#41", "text": "ตาเหล่ในประเทศตะวันตกมักจะรักษาแบบผสมโดยใช้แว่นตา การบำบัดการเห็น (vision therapy) และการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับสาเหตุ เทียบกับตามัว/ตาขี้เกียจ (amblyopia) ซึ่งถ้าเล็กน้อยและตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะสามารถแก้ได้โดยใช้ผ้าปิดตาอีกข้างหนึ่งหรือการบำบัดการเห็น แต่การใช้ผ้าปิดตามีโอกาสเปลี่ยนมุมตาเหล่ได้น้อย", "title": "ตาเหล่" }, { "docid": "901017#21", "text": "แต่การฉีด Bupivacaine ก็ไม่สามารถใช้กับกล้ามเนื้อที่อัมพาตหรือฝ่อ หรือว่ามีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหวของตาอื่น ๆ อยู่แล้ว (เช่น fibrotic muscle)\nและการตาเหล่เพียงเล็กน้อยอาจรักษาด้วยการผ่าตัดได้ดีกว่า เพราะการฉีดยาเสี่ยงต่อการแก้เกิน (overcorrection) ซึ่งมักจะทำให้เห็นภาพซ้อน", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901005#7", "text": "งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า เด็กตาเหล่มักจะมีพฤติกรรมช่างอาย วิตกกังวล และเป็นทุกข์ บ่อยครั้งทำให้มีความผิดปกติทางอารมณ์ ซึ่งเป็นอาการที่สัมพันธ์กับการที่เพื่อนมองในแง่ลบ โดยไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องสวย ๆ งาม ๆ เท่านั้น แต่จะเกี่ยวกับธรรมชาติของตาและการมองที่เป็นเครื่องหมายในการสื่อสารอีกด้วย ซึ่งมีบทบาททางสังคมที่สำคัญต่อชีวิตของบุคคล โดยเฉพาะก็คือ การมีตาเหล่จะขัดการสบตากับผู้อื่น ซึ่งสร้างความอับอาย ความโกรธเคือง และความเคอะเขิน และดังนั้นจึงมีผลต่อการสื่อสารทางสังคมโดยพื้นฐาน ซึ่งอาจมีผลลบต่อความภูมิใจในตน[14] สำหรับบางคน ปัญหาเหล่านี้จะดีขึ้นอย่างสำคัญหลังจากการผ่าตัด[15]", "title": "ตาเหล่" }, { "docid": "901024#11", "text": "การผ่าตัดรักษาตาเหล่บ่อยครั้งจะแนะนำถ้าตาเหล่ออกมากกว่าครึ่งตลอดทั้งวัน หรือถ้าเป็นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ\nและก็แนะนำด้วยถ้าเด็กตาเหล่ออกมากเมื่ออ่านหนังสือหรือดูวัตถุใกล้ ๆ หรือถ้ามีหลักฐานว่า ตาทั้งสองเสียสมรรถภาพในการมองเห็นเป็นภาพเดียว\nถ้าไม่ผ่านเกณฑ์เหล่านี้ อาจจะเลื่อนการผ่าตัดเพื่อสังเกตการณ์ต่อไปโดยใส่หรือไม่ใส่แว่น และ/หรือให้ปิดผ้า\nในกรณีที่เป็นน้อยมาก มีโอกาสด้วยว่า อาจจะหายไปเองโดยให้เวลา\nผลสำเร็จในระยะยาวของการผ่าตัดรักษาอาการตาเหล่หลายอย่าง รวมทั้งตาเหล่ออกที่เป็นชั่วครั้งชั่วคราว ยังมีหลักฐานไม่ชัดเจน\nและการผ่าตัดบ่อยครั้งมีผลเป็นอาการหนักขึ้นเนื่องจากทำเกิน\nหลักฐานจากวรรณกรรมทางการแพทย์บอกนัยว่า การผ่าตัดที่ตาข้างเดียวมีผลดีกว่าการผ่าตัดทั้งสองข้าง สำหรับคนไข้ที่มีตาเหล่ออกเป็นบางครั้งบางคราว", "title": "ตาเหล่ออก" }, { "docid": "901017#9", "text": "นอกจากนั้น แนวตาที่ไม่ตรงที่เหลือหลังจากการผ่าตัดโดยทั่วไปยังสามารถแก้ได้ด้วยการฉีดยา\nการฉีดท็อกซินยังสามารถบรรเทาอย่างชั่วคราวระยะฉับพลันของ thyroid ophthalmopathy ที่แนวตาซึ่งไม่ตรงจะผันผวนเกินไปที่จะผ่าตัดแก้ได้\nยังมีการฉีดท็อกซินในระหว่างการผ่าตัดกล้ามเนื้อตาเพื่อเพิ่มผลอีกด้วย\nและในกรณีตาเหล่ที่ซับซ้อน ยังสามารถฉีดท็อกซินเพื่อช่วยวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดได้ด้วย", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901017#7", "text": "การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินมักจะใช้สำหรับอาการตาเหล่เข้าของทารก (Infantile esotropia) ตาเหล่ที่เกิดในวัยผู้ใหญ่ และตาเหล่ที่เกิดเพราะการผ่าตัดแก้จอตาลอก โดยจะเป็นตาเหล่แบบค่อนข้างน้อยจนถึงปานกลาง\nซึ่งก็คือ เป็นกรณีของคนไข้ที่มีโอกาสมองเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาได้ดี เพราะตาที่มองตรงจะเกิดความเสถียรผ่านกระบวนการ motor fusion", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901017#4", "text": "การฉีดยารักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดเริ่มที่งานศึกษา พ.ศ. 2516 ที่พัฒนาใช้โบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อรักษา\nเนื่องจากตาเหล่บางรูปแบบสามารถแก้ได้โดยทำกล้ามเนื้อตาบางมัดให้อ่อนแรง\nดังนั้น จึงสามารถใช้โบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อลดการสื่อประสาทไปยังกล้ามเนื้อ มีผลทำกล้ามเนื้อที่ฉีดยาให้อัมพาต", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "922621#16", "text": "ในบรรดางานศึกษาเกี่ยวกับการเห็นเป็น 3 มิติหลังการผ่าตัด งานปี 2548 ได้รายงานคนไข้ 43 คนผู้อายุเกิน 18 ปี \nที่ได้ผ่าตัดหลังจากมีชีวิตอยู่กับตาเหล่ตามแนวนอนที่สม่ำเสมอมามากกว่า 10 ปีโดยไม่เคยผ่าตัดหรือเห็นเป็น 3 มิติมาก่อน\nและตาที่เหล่จะเห็นชัดในะระดับ 20/40 หรือมากกว่านั้น\nในกลุ่มนี้ การเห็นเป็น 3 มิติเกิดในคนไข้ 80% ที่ตาเหล่ออก และ 31% ที่ตาเหล่เข้า โดยการได้การเห็นเป็น 3 มิติและการเห็นชัดเป็น 3 มิติจะไม่สัมพันธ์กับจำนวนปีที่มีตาเหล่", "title": "การฟื้นเห็นเป็น 3 มิติ" }, { "docid": "901017#0", "text": "การรักษาตาเหล่ อาจรวมการใช้ยาหรือการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาตาเหล่\nตาเหล่เป็นอาการที่ตาทั้งสองไม่ได้มองไปที่เดียวกัน ซึ่งอาจมีผลเป็นตามัว (amblyopia หรือตาขี้เกียจ) หรือความบกพร่องในการเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา (binocular vision)", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901021#10", "text": "แพทย์บางท่านพิจารณาท็อกซินว่าเป็นทางเลือกการรักษาเด็ก ๆ ที่มีตาเหล่เข้าของวัยทารก (infantile esotropia) ตั้งแต่น้อยจนถึงปานกลาง\nงานศึกษาต่าง ๆ แสดงว่า การฉีดยาเข้าที่กล้ามเนื้อ medial rectus ทั้งสอง อาจมีผลดีกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อมัดเดียว\nการรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินได้รายงานคล้าย ๆ กันว่า มีผลดีต่อคนไข้ตาเหล่ที่เห็นภาพเดียวด้วยสองตา แต่ได้ผลน้อยกว่าคนไข้ที่ไม่เห็น\nงานศึกษาหนึ่งพบว่า การรักษาด้วยท็อกซินมีผลดีเท่ากับการผ่าตัด เมื่อรักษาตาเหล่ของวัยทารกก่อนอายุ 12 เดือน\nส่วนงานศึกษาอีกงานหนึ่งรายงานผลดีระยะยาวสำหรับตาเหล่เข้าของวัยทารกที่รักษาก่อนอายุ 24 เดือน ไม่ว่าจะด้วยการผ่าตัดหรือการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน", "title": "การบำบัดตาเหล่ด้วยชีวพิษโบทูลินัม" }, { "docid": "901017#20", "text": "ถ้ารักษาด้วยการผ่าตัด ผลจะเห็นได้ภายในไม่กี่วัน\nถ้าฉีดยา bupivacaine กล้ามเนื้อจะหยุดทำงานเนื่องจากยาระงับความรู้สึกวันหนึ่ง และ myocyte/myofiber จะสลายไปในช่วงอาทิตย์หนึ่ง หลังจากนั้น การฟื้นสภาพและการโตเกินของกล้ามเนื้อภายใน 2-3 อาทิตย์จะค่อย ๆ ทำให้ตาตรง\nและถ้าฉีด bupivacaine บวกกับฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินน้อย ๆ ที่กล้ามเนื้อตรงข้าม ความเหล่ของตาในช่วงฟื้นตัวจะน้อยลง\nการผ่าตัดแก้ตาเหล่บ่อยครั้งเป็นการแลกเปลี่ยนกลไกการทำงานบางอย่างกับอีกอย่าง และจะทำให้เกิดแผลเป็นแน่นอน ซึ่งทั้งสองจะทำให้การรักษาต่อ ๆ ไปยากขึ้น\nส่วนการฉีด Bupivacaine เทียบกันแล้ว จะลดกำลังและลดความยาวของกล้ามเนื้อโดยตรง\nการผ่าตัดต้องใช้ห้องผ่าตัด วิสัญญีแพทย์ และบุคลากรอื่น ๆ เทียบกับการฉีด bupivacaine ซึ่งสามารถทำภายในห้องพยาบาลโดยใช้เวลาไม่กี่นาทีสำหรับผู้ใหญ่ที่ร่วมมือได้", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901017#18", "text": "การรักษาปกติจะเป็นการผ่าตัด โดยทำที่จุดดึงกล้ามเนื้อตา (insertional end) ซึ่งเป็นส่วนที่ยึดอยู่กับลูกตา\nการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อออก (Resection) จะยืดกล้ามเนื้อ\nการร่น (recession) จะเลื่อนจุดยึดกล้ามเนื้อออกเพื่อลดการยืด\nการย้ายข้าง (transposition) จะเลื่อนจุดยึดกล้ามเนื้อไปข้าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทิศทางการทำงานของกล้ามเนื้อ\nposterior fixation เป็นการย้ายจุดยึดกล้ามเนื้อไปยังตำแหน่งที่ทำให้สมรรถภาพทางกายภาพลดลง\nทั้งหมดเหล่านี้เป็นการสร้างความบกพร่องเพื่อชดเชยการทำงานไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ\nและโดยเปรียบเทียบแล้ว การฉีดยาเพื่อรักษาจะมีโอกาสเพิ่มหรือลดกำลังกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นได้ เปลี่ยนความยาวของกล้ามเนื้อ โดยที่ไม่ต้องตัดเนื้อออกหรือเปลี่ยนกลไกการทำงานของตา\nวิธีการรักษาตาเหล่โดยการตัดใยกล้ามเนื้อได้เสนอโดยแพทย์ชาวอเมริกันตั้งแต่ปี 2380", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "922621#18", "text": "ส่วนงานปี 2552 พบว่า ผู้ใหญ่ที่ตาเหล่อย่างสม่ำเสมอแต่มองเห็นได้ดีบางท่าน สามารถฟื้นการเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาและการเห็นเป็น 3 มิติได้ด้วยการผ่าตัด\nเทียบกับงานศึกษาปี 2550 ที่ทำกับกลุ่มผู้ใหญ่และเด็กอายุอย่างน้อย 8 ขวบกลุ่มหนึ่ง\nทั้งหมดได้รับการผ่าตัดและการประเมินผลหลังจากนั้นเพราะมีตาเหล่เข้าตั้งแต่วัยทารก (infantile esotropia) ซึ่งไม่ได้รักษา\nส่วนมากสามารถมองเห็นเป็นภาพเดียวด้วย 2 ตา เมื่อตรวจด้วย Bagolini lenses และมีลานสายตาที่ใหญ่ขึ้น แต่ทั้งหมดก็ไม่เห็นเป็น 3 มิติ", "title": "การฟื้นเห็นเป็น 3 มิติ" }, { "docid": "901032#3", "text": "การผ่าตัดอาจทำให้ตาตรงแนวหรือเกือบตรง\nหรืออาจจะแก้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะต้องรักษาเพิ่มหรือผ่าตัดอีก\nโอกาสที่ตาจะคงตรงแนวในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น ถ้าคนไข้สามารถเห็นภาพเดียวด้วยสองตาหลังผ่าตัด\nงานศึกษาหนึ่งในคนไข้ตาเหล่เข้าวัยทารก ที่หลังจากผ่าตัดตาเหล่เข้าหรือตาเหล่ออกเพียงเล็กน้อย (ภายใน 8 ไดออปเตอร์) \nพบว่า คนที่ตาเหล่เข้าเพียงเล็กน้อยมีโอกาสที่ตาจะมองไปทางเดียวกัน 5 ปีหลังผ่าตัดสูงกว่าผู้ที่มีตาเหล่ออก\nมีหลักฐานเบื้องต้นว่า เด็กที่มีตาเหล่เข้าวัยทารกจะสามารถมองเห็นภาพเดียวด้วยสองตาหลังผ่าตัด ถ้าผ่าตัดตั้งแต่เนิ่น ๆ", "title": "การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา" }, { "docid": "901032#7", "text": "เป็นระยะเวลานานแล้วที่เชื่อว่า คนไข้ผู้ใหญ่ที่ตาเหล่เป็นระยะเวลานานจะดูดีขึ้นเท่านั้นถ้าผ่าตัด\nแต่เมื่อไม่นานนี้ ก็ได้พบกรณีคนไข้ที่สามารถมองเห็นภาพเดียวด้วยสองตา โดยเฉพาะถ้ากล้ามเนื้อสามารถปรับตาให้ตรง (motor alignment) ได้ดีมาก\nในกรณีที่ตาเหล่เข้าก่อนผ่าตัด การผ่าตัดจะช่วยขยายลานสายตาที่เห็นด้วยทั้งสองตา แล้วทำการเห็นรอบนอก (peripheral vision) ให้ดีขึ้น\nนอกจากนั้น การมีตาที่มองตรงจะให้ประโยชน์ทางจิต-สังคมและทางเศรษฐกิจต่อคนไข้", "title": "การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา" }, { "docid": "901017#6", "text": "โบทูลินั่ม เอ ท็อกซิน (ซึ่งเริ่มขายเป็น Oculinum และปัจจุบันเรียกว่าโบท็อกซ์) เป็นยาที่ใช้ทำกล้ามเนื้อตาให้อัมพาตชั่วคราวเป็นหลัก และปัจจุบันแพทย์ได้นำมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยเป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการผ่าตัดสำหรับตาเหล่บางชนิด \nยังมีพิษงู (Crotoxin) ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทที่กำลังพัฒนาใช้เพื่อการนี้ในประเทศบราซิล", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901017#3", "text": "เพราะการฉีดยาไม่มีผลเป็นแผลเป็นที่บ่อยครั้งเป็นผลของการผ่าตัดแก้ตาเหล่\nดังนั้น ถ้าไม่ได้ผลที่ต้องการโดยฉีดยาเพียงครั้งเดียว ก็อาจฉีดยาซ้ำหรือผ่าตัดได้อย่างไม่มีปัญหา", "title": "การรักษาตาเหล่" }, { "docid": "901024#12", "text": "การผ่าตัดแก้ตาเหล่ออกจะต้องผ่าเนื้อเยื่อที่ปกปิดตาเพื่อให้เข้าถึงกล้ามเนื้อตา\nหลังจากนั้นก็จะจัดการกล้ามเนื้อที่เป็นเป้าหมายเพื่อให้ตาสามารถขยับได้อย่างสมควร\nการผ่าตัดจะทำโดยให้ยาสลบ\nคนไข้จะฟื้นสภาพได้อย่างรวดเร็ว และโดยมากจะสามารถทำกิจกรรมปกติได้ภายในไม่กี่วัน\nหลังจากผ่าตัด อาจจะต้องใส่แว่นสายตา และในกรณีจำนวนมาก จะต้องผ่าตัดเพิ่มเพื่อรักษาตาให้ตรง", "title": "ตาเหล่ออก" }, { "docid": "901005#47", "text": "การผ่าตัดแก้ตาเหล่จะพยายามปรับตาให้ตรงโดยลดความยาว เพิ่มความยาว หรือเปลี่ยนตำแหน่งของกล้ามเนื้อตามัดหนึ่งหรือมากกว่านั้น ซึ่งสามารถทำได้ภายใน ชม. หนึ่ง โดยใช้เวลาฟื้นตัว 1-8 อาทิตย์ ไหมที่แก้ปรับได้อาจใช้เพื่อช่วยให้ปรับตาให้ตรงยิ่งขึ้นหลังการผ่าตัดในระยะต้น ๆ[46]", "title": "ตาเหล่" } ]
1423
โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่?
[ { "docid": "818770#0", "text": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เป็นโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุดในสังกัดสภากาชาดไทย ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกและสถาบันสมทบเพื่อการผลิตแพทย์ให้กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2445 ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ริมชายฝั่งทะเลอ่าวไทย สร้างขึ้นตามพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า[1]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" } ]
[ { "docid": "818770#2", "text": "ระหว่างที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าประทับอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ มีข้าราชบริพารและเจ้าหน้าที่รักษาพระองค์เป็นจำนวนมากที่เจ็บป่วย ประชาชนในเขตตำบลนี้ย่อมต้องเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน ด้วยพระทัยเต็มไปด้วยการกุศลสาธารณะจึงทรงมีดำริให้สร้างสถานพยาบาลขึ้นในบริเวณใกล้เคียงพระตำหนักของพระองค์ ในช่วงก่อตั้งมีพระบำบัดสรรพโรค(หมอเอช. อาดัมสัน) เป็นผู้ช่วยในการวางแผนผังการก่อสร้าง โดยสร้างเป็นเรือนหลังคามุงจาก 2 ชั้นขึ้นก่อน 1 หลัง แล้วเพิ่มขึ้นอีก 4 หลังเป็นกลุ่มอาคารเดียวกันยื่นลงไปในทะเล การก่อสร้างสถานพยาบาลใหม่นี้แล้วเสร็จในต้นเดือน กันยายน พ.ศ. 2445[3]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "998201#6", "text": "หลังจากนั้น หลวงพ่อทอง ท่านเริ่มอาพาธเป็นโรคปอดติดเชื้อ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ จนถึงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลาประมาณ 11.10น. หลวงพ่อทอง ปญฺญาทีโป ได้มรณภาพอย่างสงบ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ด้วยอาการปอดติดเชื้อ สิริอายุ 94 ปี พรรษาที่ 68", "title": "พระครูสุทธิคุณรังษี (ทองแดง ปญฺญาทีโป)" }, { "docid": "818770#8", "text": "สภากาชาดไทยเห็นถึงปัญหาความขาดแคลนแพทย์ในระดับภูมิภาคของประเทศไทย จึงรับนโยบายผลิตแพทย์เพิ่มของรัฐบาล ตามแผนลงทุนเสริมสร้างโครงสร้างสาธารณสุขแห่งชาติ พ.ศ.2549-2552 ตามมติการประชุมคณะกรรมการสภากาชาดไทย ครั้งที่ 293 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงเป็นองค์ประธานการประชุม ได้มีมติอนุมัติโครงการร่วมผลิตแพทย์ชั้นคลินิก(นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4-6) ระหว่างโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา[10]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "178970#9", "text": "ในปีการศึกษา 2553 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา รับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน 9 จังหวัดต่อไปนี้ ได้แก่ ชลบุรี สมุทรปราการ นครนายก ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว จำนวน 48 คน เข้าเป็นนิสิตแพทย์รุ่นที่ 4 โดยที่ นิสิตกลุ่มแรก จำนวน 32 คนจะไปศึกษาชั้นคลินิกที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และกลุ่มที่ 2 อีก 16 คนจะไปศึกษาชั้นคลินิกที่ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดยการเลือกสถานที่ศึกษาระดับคลินิก เป็นการตกลงกันเองระหว่างนิสิต", "title": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "818770#1", "text": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา กำเนิดขึ้นจากพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า หลังจากพระองค์เสด็จประพาสและประทับพักฟื้น ณ พระตำหนัก ตำบลบางพระ จังหวัดชลบุรี ในปี พ.ศ. 2441 ในการนี้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้จัดสร้างเรือนไม้ยื่นลงในทะเลตำบลศรีราชา เพื่อเป็นพระตำหนักแห่งใหม่และเชิญเสด็จจากตำบลบางพระมาประทับที่นี่ แต่พระตำหนักเรือนไม้ดังกล่าวอยู่ในน้ำ คับแคบและไม่แข็งแรง ราว 1 ปีหลังสร้างเสร็จ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าจึงทรงพระดำริเลือกหาพื้นที่บนชายฝั่งตำบลศรีราชาสำหรับสร้างพระตำหนัก จนกระทั่งพระองค์พอพระทัยพื้นที่บริเวณเนินเขาชายทะเลด้านทิศใต้ของพระตำหนักไม้เดิม พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์และเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีถวายความเห็น ต่อมามีพระกระแสรับสั่งให้จัดสร้างพระตำหนักใหญ่ 3 ชั้นขึ้นหลังหนึ่งสำหรับเป็นที่ประทับและเรือนหลังย่อมๆอีก 4-5 หลัง[2]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "818770#5", "text": "ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลด้านกายภาพทั้งเงินค่าก่อสร้าง ค่าซ่อมแซม รวมถึงค่าใช้สอยประจำโรงพยาบาลจำพวก ค่าเวชภัณฑ์ ค่าครุภัณฑ์ ค่าอาหารเลี้ยงคนเจ็บไข้ ตลอดจนเงินเดือนแพทย์และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ เป็นเงินส่วนพระองค์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทั้งสิ้น พระองค์พระราชทานตลอดมาทุกปี เป็นเงินราวปีละ 15,000 บาท ภายหลังได้เพิ่มเป็น 20,000 บาท ตลอดพระชนมายุ ต่อจากนั้นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพระราชทานเงินส่วนนี้เสมอมาทุกปี เพื่อเป็นที่รำลึกถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โรงพยาบาลได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา\"[6]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "818770#15", "text": "หมวดหมู่:สภากาชาดไทย หมวดหมู่:คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมวดหมู่:โรงพยาบาลในประเทศไทย หมวดหมู่:สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ไทย", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "28869#1", "text": "โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สร้างขึ้นตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพร้อมด้วยพระราชภาดาและภคินี เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์ ด้วยเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระชนม์อยู่นั้น ได้ทรงพระราชดำริจัดตั้ง สภากาชาดไทย ซึ่งเรียกในเวลานั้นว่า สภาอุณาโลมแดง ขึ้นไว้ โดยรับการรักษาพยาบาลผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ตามคติของนานาชาติที่เจริญแล้ว แต่การสภากาชาดไทยยังไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์ ถ้าจะบริจาคทรัพย์สร้างโรงพยาบาลสภากาชาดขึ้น ก็จะเป็นพระกุศล อันประกอบด้วยถาวรประโยชน์อนุโลม ตามพระราชประสงค์แห่งองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ และเป็นเกียรติแก่ราชอาณาจักรโดยทรงพระดำริเห็นพ้องกัน บรรดาพระราชโอรส พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงบริจาคทรัพย์รวมกันเป็นจำนวนเงิน 122,910 บาท สมทบกับทุนของสภากาชาด สร้างโรงพยาบาลขึ้น และพระราชทานนามตามพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์รำลึงถึงพระบรมชนกนารถ โรงพยาบาลของกาชาดนี้จึงมีนามว่า \"โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์\" เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2457 ตามแจ้งความสภากาชาดสยาม ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2457 ได้กำหนดจุดมุ่งหมายให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นโรงพยาบาลที่ดีจริงต้องตามวิทยาศาสตร์แผ่พระเกียรติยศในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวกับทั้งแพร่เกียรติยศของชาติไทย บริการรักษาพยาบาลช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล ให้บริการรักษาผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยไข้ทั้งในยามสงครามและปกติ โดยยึดมั่นในปณิธาณอันแน่วแน่ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั่วไป โดยไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะ ลัทธิ ศาสนา หรือความคิดเห็นทางการเมือง \nเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2489 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเสด็จพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) พระองค์ท่านได้พระราชทานพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า \"...พระองค์มีพระราชประสงค์ให้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ผลิตแพทย์ผู้ได้สำเร็จหลักสูตรให้มีปริมาณมากขึ้น เพื่อออกมาช่วยเหลือประเทศชาติ...\" โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นโรงเรียนแพทย์จึงได้รับการประสานงานจากรัฐบาลให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนแพทย์แห่งที่สองของประเทศไทย โรงเรียนแพทย์แห่งใหม่นี้ถือกำเนิดในนาม \"คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์\" จนกระทั่งมีมติให้โอนคณะที่ซ้ำซ้อนของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ให้กับมหาวิทยาลัยเดิมที่เป็นรากฐานของคณะนั้น ๆ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงถูกโอนมาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามใหม่ว่า \"คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\" ", "title": "โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์" }, { "docid": "818770#3", "text": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา อธิบดีกรมพยาบาล กระทรวงธรรมการ เสด็จประกอบพิธีเปิดสถานพยาบาลนี้ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2445 มีชื่อเรียกในขณะนั้นว่า “โรงพยาบาลศรีมหาราชา” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าพระราชทานนามโรงพยาบาลนี้ว่า “โรงพยาบาลสมเด็จ”[4]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "818770#6", "text": "แรกเริ่มสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงฝากโรงพยาบาลสมเด็จสมเด็จนี้ไว้ในสังกัดโรงพยาบาลศิริราช จนถึงปี พ.ศ. 2461 พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้โรงพยาบาลนี้ไปอยู่ภายในการกำกับดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[7] ภายใต้กระทรวงธรรมการ(กระทรวงศึกษาธิการ) 10 ปีให้หลังในเดือนเมษายน พ.ศ. 2471 จึงโปรดเกล้าฯให้โอนโรงพยาบาลจากกระทรวงธรรมการไปสังกัดสภากาชาดไทย เป็นโรงพยาบาลแห่งที่สองของสภากาชาดไทยแต่มีอายุมากกว่าโรงพยาบาลแห่งแรกคือโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ถึง 12 ปี[8]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "103871#1", "text": "วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2518 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เริ่มเปิดอาคารชั่วคราวเพื่อการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์และ ให้บริการประชาชน โดยใช้อาคารโรงพยาบาลโรคเรื้อนเดิมบริเวณสีฐาน ซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว เรียกว่า \"โรงพยาบาลฮัท\" (Hut Hospital) ต่อมาโรงพยาบาลศรีนครินทร์ได้กำเนิดขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่าง รัฐบาลไทยและรัฐบาลนิวซีแลนด์เพื่อให้ประชาชนในภาคตะวันออก เฉียงเหนือซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทยได้รับ บริการจากสถานพยาบาลในระดับมหาวิทยาลัย และเพิ่มศักยภาพในการ ผลิตแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุขทุกประเภท ให้มีความรู้ ความชำนาญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์ ณ อาคารโรงพยาบาล ศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 และมีพระบรมราชโองการพระราชทานนามว่า \"โรงพยาบาลศรีนครินทร์\" ตามพระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี การก่อสร้างอาคาร ตรวจรักษาและอาคารบริการของโรงพยาบาลได้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2525 จึงได้ย้ายหน่วยงานทั้งหมดมาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงพยาบาลศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2526 ในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรม ราชชนนีมีพระชนมายุ 89 พรรษา ได้มีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นตึกผ่าตัดหลังใหม่มีห้องผ่าตัดเพิ่มขึ้นอีก 9 ห้อง เพื่อให้การบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาพยาบาลแก่ประชาชนที่มารับการผ่าตัดได้เพิ่มขึ้น ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จมาทรงวางศิลาฤกษ์และพระราชทานนามว่า \"อาคาร 89 พรรษาสมเด็จย่า\" เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมพ.ศ. 2532 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมารเสด็จแทนพระองค์มาทรงเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2537", "title": "โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น" }, { "docid": "818770#9", "text": "ต่อมาวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ได้มีพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลง เรื่องความร่วมมือในการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ระหว่างสภากาชาดไทยและมหาวิทยาลัยบูรพา ในข้อตกลงความร่วมมือการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทร่วมกันโดยยืนยันเป็นพันธะร่วมกัน ที่จะรับผิดชอบดำเนินการร่วมมืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาการแพทย์ การสาธารณสุขของประเทศ และประชาชนในชนบทเป็นสำคัญ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ได้จัดพิธีมอบเสื้อกาวน์และปฐมนิเทศนิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา ชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 1 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่นิสิตแพทย์รุ่นแรกได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาล อย่างเป็นทางการ[11]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "818770#10", "text": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นคลินิก(นิสิตแพทย์ชั้นปี 4-6) ตามหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ใน 1 หลักสูตร คือ", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "37967#61", "text": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "37967#50", "text": "พระองค์ทรงสนับสนุนโรงศิริราชพยาบาล ในปี พ.ศ. 2431 ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เรื่อยมาตราบจนพระองค์เสด็จสวรรคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระราชโอรสธิดาไปถึงจำนวน 6 พระองค์ ส่งผลให้พระองค์ทรงพระประชวรและเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระองค์ที่พระตำหนักศรีราชา ซึ่งพระองค์ทรงให้จัดสร้างสถานพยาบาลขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลสมเด็จ” ปัจจุบัน คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และพระองค์ยังทรงริเริ่มหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อให้การรักษาแก่ประชาชนที่อยู่ห่างไกลอีกด้วย นอกจากนี้ ยังพระราชทานทุนส่งแพทย์พยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศเพื่อพัฒนาวงการแพทย์ไทยอย่างต่อเนื่อง[38]", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "818770#14", "text": "มหาวิทยาลัยบูรพา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "37967#2", "text": "นอกจากนี้พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งองค์สภาชนนีสภาอุณาโลมแดง อันเป็นชื่อของสภากาชาดไทยเมื่อครั้งแรกตั้งในต้นรัชกาลที่ 5 เป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว และองค์สภานายิกา สภากาชาดไทย พระองค์ที่ 2 และทรงสร้างสถานพยาบาลขึ้น ปัจจุบัน คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสภากาชาดไทย", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "818770#4", "text": "จากความทรุดโทรมของตัวโรงพยาบาลที่ยื่นลงไปในทะเล ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการใช้งานอีกทั้งความทรุดโทรมนี้ไม่คุ้มค่าที่จะซ่อมแซม นายบัวหรือขุนปราณเขตต์นครซึ่งเป็นผู้ดูแลโรงพยาบาล กราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เพื่อขอย้ายโรงพยาบาลขึ้นไปตั้งบนบกทางด้านหนือของเขาพระตำหนัก(คือที่ตั้งโรงพยาบาลปัจจุบันนี้) พระองค์ทรงเห็นชอบด้วยและได้พระราชทานเงินเป็นค่าก่อสร้างในการย้ายนี้ประมาณสองหมื่นบาทเศษ โดยเริ่มสร้างโรงพยาบาลบนบกในปี พ.ศ. 2451 ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง หลังแรกเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ 2 ชั้น ชั้นล่างสำหรับทำการตรวจโรคและชั้นบนเป็นที่ทำการ หลังที่สองและสามเป็นเรือนไม้สำหรับผู้ป่วย หลังที่สี่เป็นเรือนไม้ยาวชั้นเดียวยกพื้นสำหรับเป็นที่อยู่ของเจ้าหน้าที่ หลังที่ห้าเป็นบ้านพักแพทย์ผู้ปกครองโรงพยาบาล 1 หลัง อยู่บริเวณหน้าเรือนพักผู้ป่วย เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ย้ายคนเจ็บไข้จากเรือนในน้ำมาอยู่ในที่นี้เมื่อ พ.ศ. 2452[5]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "179650#0", "text": "หมอเอ้ก คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ (ชื่อเล่น: เอ้ก) แพทย์ประจำบ้านสาขาจักษุวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อดีตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รักดี เวนเจอร์/คราวด์ฟันดิ้ง จำกัด และอดีตนักแสดงและนายแบบ", "title": "คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์" }, { "docid": "818770#7", "text": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา มีศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก(ศพค.) จัดตั้งอยู่ในโรงพยาบาลทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนและฝึกปฏิบัติทางการแพทย์ให้กับนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4-6 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำหน้าที่สถาบันพี่เลี้ยง[9]", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "818770#11", "text": "ปริญญาตรีสถาบันอุดมศึกษา หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "179650#4", "text": "นายแพทย์คณวัฒน์ เข้ารับพระราชทานปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 จากนั้นเป็นแพทย์ใช้ทุน ประจำโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ก่อนกลับมาศึกษาต่อด้านจักษุวิทยา ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย", "title": "คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์" }, { "docid": "37967#46", "text": "พระตำหนักศรีราชาเป็นที่ประทับระหว่างพักฟื้นจากพระอาการประชวร เดิมเป็นพระตำหนักที่สร้างอยู่ริมทะเลต่อมาเมื่อพระตำหนักทรุดโทรมลง จึงทรงให้จัดสร้างพระตำหนักใหม่บริเวณเนินเขา และใน พ.ศ. 2486 กรุงเทพประสพภัยทางอากาศจากสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์จึงเสด็จมาประทับที่ตำหนักศรีราชาอีกระยะหนึ่ง ปัจจุบัน พระตำหนักศรีราชา เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "818770#12", "text": "ใช้ระยะเวลาในการศึกษาตลอดหลักสูตรรวม 6 ปี ดังนี้", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "11343#2", "text": "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนแพทย์ขึ้น ณ โรงศิริราชพยาบาล โดยมีชื่อว่า โรงเรียนแพทยากร นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้สร้างโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลขึ้น ในบริเวณโรงศิริราชพยาบาล นับเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย ในปัจจุบัน คือ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล\nพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดตึกโรงเรียนแพทย์ และพระราชทานนามโรงเรียนแพทยากรใหม่ว่า โรงเรียนราชแพทยาลัย ในโอกาสนั้นโปรดเกล้าฯ พระราชทานประกาศนียบัตรให้แพทย์รุ่นที่ 8 จำนวน 9 คน และพยาบาลรุ่นแรก จำนวน 10 คน\nในปี พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐาน โรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้าเป็นคณะหนึ่งของมหาวิทยาลัย มีชื่อว่า คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล", "title": "ประวัติมหาวิทยาลัยมหิดล" }, { "docid": "101991#5", "text": "โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2518 โดยบริษัท Llewelyn-Davies Weeks Forester-Walkers and Bor. แห่งประเทศอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบ และบริษัท Kingston Reynolds Thom & Allardice Limited (KRTA) แห่งประเทศนิวซีแลนด์เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง และเป็นที่ปรึกษาการวางแผนผังออกแบบสร้างคลังเลือดกลาง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินวางศิลาฤกษ์อาคารโรงพยาบาล ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ชื่อว่าโรงพยาบาลศรีนครินทร์ (SRINAGARIND HOSPITAL) โรงพยาบาลแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2521 และเริ่มเปิดบริการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ในปัจจุบัน", "title": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น" }, { "docid": "818770#13", "text": "ระดับชั้นสถานที่ศึกษาสังกัดระยะทางระหว่างสถานที่ศึกษา ระดับชั้นเตรียมแพทยศาสตร์และชั้นปรีคลินิก (ชั้นปี 1 - 3) ระดับชั้นคลินิก (ชั้นปี 4 - 6) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย มหาวิทยาลัยบูรพา สภากาชาดไทย ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตรบนเส้นทางถนนสุขุมวิท จากมหาวิทยาลัยบูรพาถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา", "title": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา" }, { "docid": "42942#21", "text": "กาชาด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สถานเสาวภา สถานีเอื้อน อนามัย จังหวัดเพชรบุรี ยุวกาชาด โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ", "title": "สภากาชาดไทย" }, { "docid": "37967#62", "text": "โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เดิมชื่อว่า โรงพยาบาลสมเด็จ เป็นโรงพยาบาลที่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงจัดสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2445 ทางโรงพยาบาลได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์ของพระองค์ขึ้นภายในโรงพยาบาล นอกจากนี้ อาคารต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาลนั้นยังได้รับพระราชทานนามตามพระนามของพระองค์ ได้แก่ ตึกพระพันวัสสา ตึกสว่างวัฒนา ตึกศรีสวรินทิรา ตึกบรมราชเทวี ตึกอัยยิกาเจ้า และตึกศรีสมเด็จ[43] นอกจากนี้ ภายในโรงพยาบาลยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ ณ ตึกพระพันวัสสา เพื่อจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชประวัติ และเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพระองค์[44]", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" } ]
2989
เกมส์มาริโอถูกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อใด?
[ { "docid": "97879#6", "text": "มาริโอปรากฏตัวครั้งแรกในนาม \"จัมป์แมน\" (Jumpman) ในเกมอาร์เคดที่ชื่อ ดองกีคอง ในปี ค.ศ. 1981[2] ในคราบของช่างไม้ที่เลี้ยงลิงตัวหนึ่ง[13]ชื่อ ดองกีคอง (Donkey Kong) เขาเลี้ยงดูลิงตัวนั้นอย่างทารุณ ต่อมาดองกีคองก์จึงหลบหนีไปพร้อมกับลักพาตัวแฟนสาวของจัมป์แมน (เดิมรู้จักกันในชื่อ เลดี้ และต่อมามีชื่อว่า พอลลีน (Pauline)) ไปด้วย ตัวผู้เล่นจะต้องรับบทเป็นจัมป์แมนและช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้น ต่อมาตัวละครนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น \"มาริโอ\" ในเกมอาร์เคด ดองกีคองจูเนียร์ ของปี ค.ศ. 1982 เป็นเกมเดียวที่เขาเป็นตัวร้าย ในเกมอาร์เคด มาริโอบราเธอร์ส ของปี ค.ศ. 1983 มาริโอและน้องชายชื่อ ลุยจิ (Luigi) ถูกพรรณนาให้เป็นช่างประปา[14]ลูกครึ่งอิตาลีอเมริกัน[8]ที่เอาชนะสัตว์ประหลาดที่ออกมาจากท่อน้ำทิ้งใต้นครนิวยอร์ก ชื่อท้ายของพวกเขาในตอนนั้นคือ \"มาริโอ\" ทำให้ชื่อเต็มของมาริโอที่ปรากฏครั้งแรกในที่นี้คือ \"มาริโอ มาริโอ\"[15]", "title": "มาริโอ (ตัวละคร)" } ]
[ { "docid": "97879#5", "text": "มิยาโมโตะพัฒนามาริโอด้วยแนวคิดในการใช้เขาเป็นตัวละคร \"เดินไปยัง\" (go to) ที่สามารถนำไปใส่ไว้ในฉากใดก็ได้ตามต้องการ แม้ในฉากความคิดก็ตาม เพราะขณะนั้น มิยาโมโตะไม่ได้คาดหวังให้มาริโอเป็นที่นิยม[5] เพื่อให้เป็นอย่างนั้น แรกเริ่มเขาเรียกตัวละครนี้ว่า \"มิสเตอร์วิดีโอ\" เทียบกับความตั้งใจที่จะให้มาริโอปรากฏในฉากความคิดที่สร้างโดยอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ในภาพยนตร์ของฮิตช์ค็อกเอง[10] เมื่อเวลาผ่านไป[11] การปรากฏตัวของมาริโอเริ่มมีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น โดยมีการเพิ่มถุงมือสีขาว รองเท้าสีน้ำตาล และตัวอักษร M สีแดงในวงกลมสีขาวบนด้านหน้าของหมวก และกระดุมสีทองบนชุดคลุม สีของเสื้อและชุดคลุมเคยสลับจากเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับชุดคลุมสีแดงเป็นเสื้อเชิ้ตสีแดงและชุดคลุมสีฟ้า มิยาโมโตะระบุว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลจากทีมงานและฝ่ายศิลป์ของแต่ละเกมรวมถึงความก้าวหน้าในเทคโนโลยีในตามเวลาที่ผ่านไป นินเทนโดไม่เคยเปิดเผยชื่อเต็มของมาริโอ กล่าวเพียงว่าไม่ใช่ \"มาริโอ มาริโอ\" แม้ว่าจะมีการบอกเป็นนัยๆในชื่อซีรีส์มาริโอบราเธอร์ส ในซูเปอร์มาริโอบราเธอร์ส ภาพยนตร์ และข้อมูลที่เคยให้ไว้ในคู่มือเกม มาริโอแอนด์ลุยจิ: ซูเปอร์สตาร์ซาก้า ของพรีมา[12]", "title": "มาริโอ (ตัวละคร)" }, { "docid": "17806#16", "text": "คาราโอเกะเกมนั้น เดิมเผยแพร่เป็น เกมแฟมิคอม แต่ด้วยข้อจำกัดความสามารถในการคำนวณ ทำให้มีรายการเพลงน้อย และมีคุณค่าลดลง ด้วยเหตุนี้คาราโอเกะเกมจึงถือว่ามีความสำคัญน้อย กระทั่งเดิมมีการเผยแพร่ในรูปแบบ DVD ความจุสูง", "title": "คาราโอเกะ" }, { "docid": "561624#7", "text": "บริษัทฟุจิเซนไกโทรคมนาคมสากล (Fujisankei Communications International) ได้นำบรรดาวิดีโอเกมของโพนีแคนยอนออกเผยแพร่ในอเมริกาเหนือ แต่ผลงานวิดีโอเกมของโพนีแคนยอนนั้นไม่ประสบผลสำเร็จเท่าผลงานด้านดนตรี ทั้งยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคุณภาพด้วย จึงปรากฏว่า โพนีแคนยอนไม่เผยแพร่เกมอีกเลยนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 เป็นต้นมา", "title": "โพนีแคนยอน" }, { "docid": "684561#1", "text": "มาริโอ () เป็นตัวละครจากวิดีโอเกมและการ์ตูนมาริโอ และเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทเกมนินเทนโด สร้างโดยนักออกแบบวิดีโอเกมชื่อ ชิเงรุ มิยาโมโตะ หลังจากได้เป็นสัญลักษณ์นำโชคให้กับบริษัทและเป็นตัวเอกของเกมชุดแล้ว มาริโอได้ปรากฏตัวในวิดีโอเกมต่าง ๆ กว่า 200 เกม มาริโอถูกออกแบบให้เป็นช่างประปาชาวอิตาลีร่างอ้วนเตี้ย อาศัยอยู่ในอาณาจักรเห็ด มีภารกิจคือการช่วยชีวิตเจ้าหญิงพีชจากคุปปะวายร้ายชื่อบาวเซอร์ มาริโอมีน้องชายชื่อ ลุยจิ", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "684561#9", "text": "ศาสตราจารย์ อี แกดด์ หรือ ศาสตราจารย์ เอลวิน แกดด์ (;) เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยลุยจิหามาริโอโดยการให้ลุยจิด้วย พอลเตอร์กัส 3000 () ซึ่งเป็นเครื่องดูดฝุ่นทรงพลังที่ดูดผีได้ ปรากฎตัวครั้งแรกในเกมลุยจิแมนชั่น", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "684561#11", "text": "คุริโบหรือกูมบา (;) หมายความว่ามนุษย์เกาลัดในภาษาไทยเป็นศัตรูที่ออกตัวแรกในเกมและสามารถจัดการด้วยการเหยียบบนหัว", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "684561#2", "text": "ลุยจิ (, ) หรือ หลุยส์ เป็นตัวละครจากเกมมาริโอ้ ลุยจิเป็นน้องชายของมาริโอ้และในเนื้อเรื่อง ทั้งคู่ต่างร่วมมือกันเพื่อช่วยเจ้าหญิงพีชให้รอดพ้นจากการลักพาตัวของคุปปะ\nลักษณะพิเศษของลุยจิ คือ มีขากรรไกรเป็นวงรี มีความสูง 170 ซม. หนัก 68 กม.", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "684561#0", "text": "รายชื่อตัวละครทั้งหมดในแฟรนไชส์มาริโอมาจากแฟรนไชส์มาริโอมีดังนี้", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "684561#7", "text": "เบบี้ลูม่า () เป็นตัวละครที่คล้ายกับไอเทมในเกมมาริโอมาก อาศัยอยู่กับโรซาลินา", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "107756#0", "text": "โปเกมอน () หรือในชื่อเต็มว่า พ็อกเก็ต มอนสเตอส์ ([1][2]) เป็นสื่อแฟรนไชส์ที่จัดพิมพ์และเป็นของนินเทนโดบริษัทวิดีโอเกมสัญชาติญี่ปุ่นและสร้างโดยซะโตะชิ ทะจิริ เมื่อปี ค.ศ. 1996 แรกเริ่มออกจำหน่ายวิดีโอเกมแนวบทบาทสมมุติบนเครื่องเล่นสายเกมบอยชนิดเล่นเชื่อมกันได้ระหว่างเครื่องต่อเครื่องพัฒนาโดยบริษัทเกมฟรีค ตั้งแต่นั้นมา โปเกมอนกลายมาเป็นสื่อแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จและได้กำไรมากเป็นอันดับ 2 รองจากแฟรนไชส์มาริโอ[3]", "title": "โปเกมอน" }, { "docid": "55592#72", "text": "เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2010 โซนีมิวสิกได้ออกแถลงข่าวการวางจำหน่ายผลงานชิ้นใหม่ ชื่ออัลบั้ม ไมเคิล เป็นรวมผลงานบันทึกเสียงของไมเคิล แจ็กสันที่ไม่เคยนำออกเผยแพร่ที่ใดมาก่อน มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 14 ธันวาคม โดยจะมีซิงเกิลชื่อ Breaking News ออกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ MichaelJackson.com ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2010 [230] โซนี่มิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ได้เข้าทำสัญญากับกองทุนจัดการมรดก ด้วยเงินมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสิทธิที่เกี่ยวพันกับการผลิต และจัดจำหน่ายผลงานทั้งอัลบั้มเพลง วีดีโอเกม ภาพยนตร์รวม 10 โครงการ รวมถึงเพลงที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ไปจนถึงปี 2017 นับเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงที่สุดสำหรับศินปินที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อุสาหกรรมดนตรี[231] มีการจัดหน่ายเกมส์ที่ผสมผสานการร้อง เต้น โดยใช้กล้องจับภาพการเคลื่อนไหว ชื่อว่า ไมเคิลแจ็กสัน: ดิเอกซพีเรียนซ์ ในรูปแบบของเครื่องเล่นวิดีโอเกมนินเทนโด ดีเอส, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล และวี", "title": "ไมเคิล แจ็กสัน" }, { "docid": "97879#0", "text": "มาริโอ () เป็นตัวละครจากวิดีโอเกมและการ์ตูนมาริโอ และเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทเกมนินเทนโด สร้างโดยนักออกแบบวิดีโอเกมชื่อ ชิเงรุ มิยาโมโตะ หลังจากได้เป็นสัญลักษณ์นำโชคให้กับบริษัทและเป็นตัวเอกของเกมชุดแล้ว มาริโอได้ปรากฏตัวในวิดีโอเกมต่าง ๆ กว่า 200 เกม มาริโอถูกออกแบบให้เป็นช่างประปาชาวอิตาลีร่างอ้วนเตี้ย อาศัยอยู่ในอาณาจักรเห็ด มีภารกิจคือการช่วยชีวิตเจ้าหญิงพีชจากเต่าวายร้ายชื่อบาวเซอร์ มาริโอมีน้องชายชื่อ ลุยจิ นอกจากนี้เขายังปรากฏในวิดีโอเกมแนวอื่น ๆ เช่น แนวรถแข่ง เช่นเกมชุด มาริโอคาร์ต (Mario Kart) เกมแนวกีฬา เช่นเกมชุด มาริโอเทนนิส และ มาริโอกอล์ฟ เกมแนวสวมบทบาทของนินเทนโด เช่นเกมชุด เปเปอร์มาริโอ และ ซูเปอร์มาริโออาร์พีจี และเกมเพื่อการศึกษา เช่น มาริโออิซมิสซิง! และมาริโอสไทม์แมตชีน แฟรนไชส์มาริโอยังได้ต่อยอดไปยังสื่อต่าง ๆ มากมาย เช่น รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือการ์ตูน และสินค้ามีลิขสิทธิ์ต่าง ๆ อีกด้วย ผู้พากย์เสียงเขาคือชาลส์ มาร์ทิเนต พากย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995[1]", "title": "มาริโอ (ตัวละคร)" }, { "docid": "684561#14", "text": "วาร์ท (;) เป็นราชากบและบอสในเกมซูเปอร์มาริโอบราเธอร์ส 2", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "17806#18", "text": "สำหรับเกม Karaoke Revolution นั้นสร้างขึ้นโดย โคนามิ สำหรับใช้ใน เพลย์สเตชัน 2 และเผยแพร่ในอเมริกาเหนือ ในปี 2003 เป็นเครื่องเล่นเกมที่ผู้เช่นคนเดียวร้องเพลงตามคำแนะนำบนจอ และรับคำแนนตามระดับเสียง จังหวะ หรือทำนอง ที่ทำได้ถูกต้อง เกมนี้ไม่ช้าก็ออกมาอีก 3 รุ่น คือ Karaoke Revolution Vol. 2', Karaoke Revolution Vol. 3 และ Karaoke Revolution Party Edition ขณะที่ Karaoke Revolution ของเดิมนั้นในที่สุดก็เผยแพร่ออกมาสำหรับเครื่องเล่น เอกซ์บอกซ์ ของไมโครซอฟท์ เมื่อปลายปี 2004 เป็นรุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานออนไลน์ได้ รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดเพลงเพิ่ม ผ่านบริการ Xbox Live พิเศษ รวมไปถึงเกม lips ของ XBOX 360", "title": "คาราโอเกะ" }, { "docid": "240803#3", "text": "กฎหมายลิขสิทธิ์กำหนดพฤติกรรมใดว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์งานของผู้อื่นไว้ชัดเจน ได้แก่ การทำซ้ำหรือดัดแปลง เผยแพร่งานต่อสาธารณชน ซึ่งงานลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต ส่วนงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นได้เพิ่มการกระทำละเมิดอีกอย่างหนึ่งไว้ คือ การให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางาน หากผู้ใดกระทำการดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องรับโทษอาญาและจ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าของงานด้วย\nหากผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น กระทำการต่อไปนี้แก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย ได้แก่\nการละเมิดนำงานลิขสิทธิ์ไปหากำไรโดยรู้หรือมีเหตุควรรู้ได้ จะใช้ลงโทษ เจ้าของร้านค้า ผู้จัดการ ลูกจ้างที่รู้ชัดหรือมีเหตุควรรู้ว่า กำลังขาย เผยแพร่ นำเข้า งานอันมีลิขสิทธิ์ ดังนั้น ร้านค้าใดขายแผ่นซีดีเพลงหรือภาพยนตร์ หนังสือ ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ที่ต้องรับโทษในคดีประเภทนี้ คือ เจ้าของร้าน ผู้จัดการ ลูกจ้างขายของ ซึ่งต้องรู้หรือควรรู้ว่ากำลังจำหน่ายงานละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย พวกเขาจึงรับโทษอาญาหรือจ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าของงาน กรณีสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือที่ละเมิดลิขสิทธิ์งานของผู้อื่น นอกจากนักเขียนที่ลอกหรือดัดแปลงงานนั้นต้องรับโทษอาญาแล้ว หากสำนักพิมพ์ทราบว่าผลิตงานโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของงานก่อน แล้วยังออกจำหน่ายอีก จะต้องรับโทษร่วมกับนักลอกด้วยซึ่งการทำเพื่อเห็นแก่การค้าหากำไร ผู้กระทำจะรับโทษจำคุกสูงขึ้นและปรับมากขึ้นเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้น การผลิตงานเผยแพร่จึงต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อมีการแจ้งเตือนให้พิจารณาว่าละเมิดงานลิขสิทธิ์ ต้องรีบตรวจสอบทันทีและงดเผยแพร่งานเพื่อมิให้ต้องรับโทษอาญาร่วมกับนักคัดลอกด้วย แต่สำนักพิมพ์มิได้เสียสิทธิในการเรียกค่าเสียหายจากนักคัดลอกที่สร้างความเสียหายแก่องค์กรของตน หากมีการเรียกร้องค่าเสียหายจากนักคัดลอกเหล่านั้นจะเป็นการปรามนักคัดลอกรุ่นต่อไปมิให้ยึดเป็นเยี่ยงอย่างด้วยและลดความเสียหายของตนลงได้", "title": "กฎหมายลิขสิทธิ์ไทย" }, { "docid": "684561#3", "text": "เจ้าหญิงพีช () เป็นตัวละครที่เริ่มปรากฎตัวตั้งแต่เกมซูเปอร์มาริโอบราเธอร์สเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเห็ด (อังกฤษ: Mushroom Kingdom) เป็นเจ้าหญิงที่โด่งดังที่สุดในบรรดาเจ้าหญิงทั้งหมดในเกมมาริโอมักจะโดนบาวเซอร์ลักพาตัวไปปราสาทของเขาบ่อยและทุกครั้งมาริโอจะนำเจ้าหญิงพีชกลับปราสาทได้เสมอ มีทหารชื่อว่าโท๊ด", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "683709#3", "text": "\"ซูเปอร์มาริโอบราเธอร์ส\" เปิด ตัวพาวเวอร์อัพ 3 ชิ้นที่กลายมาเป็นแกนหลักของซีรีส์ โดยเฉพาะในเกม 2 มิติ ได้แก่ เห็ดซูเปอร์ ที่ทำให้มาริโอตัวใหญ่ขึ้น ดอกไม้ไฟ ที่ทำให้มาริโอปาลูกไฟได้ และสตาร์แมน ที่ช่วยให้มาริโอเป็นอมตะได้ชั่วคราว ตามประวัติของซีรีส์มาริโอ มีเห็ดพาวเวอร์อัพหลากหลายชนิด เช่น เห็ด 1-อัพ ที่เพิ่มชีวิตใหม่ให้มาริโอ เห็ดพิษ ที่ทำให้มาริโอตัวหดหรือถึงตาย เห็ดเมกะ ทำให้ตัวมาริโอใหญ่ขึ้น และเห็ดมินิ ที่ทำให้มาริโอตัวหดลง ", "title": "มาริโอ (แฟรนไชส์)" }, { "docid": "811451#0", "text": "ฮาตส์ออฟไอรอน IV เป็นวิดีโอเกมสงครามกลยุทธ์พัฒนาและเผยแพร่โดย Paradox Interactive ปล่อยออกมาเมื่อ 6 มิถุนายน 2016ต่อ จากภาค Hearts of Iron III และชุดเกมHearts of Iron กลยุทธ์มุ่งเน้นไปที่สงครามโลกครั้งที่สองที่ช่วยให้ผู้เล่นที่จะใช้การควบคุมของประเทศใด ๆ ในโลกทั้งในปี 1936 หรือ 1939 และนำไปสู่ชัยชนะกลายเป็นมหาอำนาจในเวลานั้น (ฝ่ายอักษะ,สัมพันธมิตรและองค์การคอมมิวนิสต์สากล)\nประกาศอย่างเป็นทางการของเกมในเดือนมกราคมปี 2014 ความตั้งใจวันที่วางจำหน่ายไตรมาสแรกปี 2015ต่อมาเลื่อนออกไปเป็นไตรมาสที่สองปี 2015ไตรมาสที่สามปี 2015 ผู้อำนวยการสร้างโจฮาน แอนเดอได้รับการยืนยันว่าเกมนี้จะได้รับการผลักดันพัฒนาพยายามที่จะแก้ปัญหาหลายปัญหาที่พบในเกมอย่างไรก็ตาม แอนเดอยืนยันในภายหลังว่าเกมนี้จะไม่ปล่อยในช่วงไตรมาสแรกปี 2016วันที่ 15 มีนาคม 2016 ได้มีการประกาศว่าเกมนี้จะได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2016 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 72 ปีของการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี", "title": "ฮาตส์ออฟไอเอิร์น 4" }, { "docid": "984947#0", "text": "การประชุมผู้พัฒนาวิดีโอเกม () หรือ ครี () เป็นงานประจำปีสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอเกม, ผู้เผยแพร่ และผู้จัดจำหน่ายวิดีโอเกมในประเทศรัสเซีย และดินแดนโดยรอบ การแสดงยังมีการนำเสนอรางวัลการประชุมผู้พัฒนาวิดีโอเกมประจำปี รางวัลวิดีโอเกมระดับมืออาชีพสำหรับวิดีโอเกมในประเทศรัสเซียเท่านั้น การเข้าร่วมการประชุมผู้พัฒนาวิดีโอเกมมีขนาดค่อนข้างเล็กกว่าการประชุมนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เนื่องมาจากความหนาแน่นของประชากรในทางภูมิศาสตร์มหาศาลที่ครอบคลุมการประชุมและความยากลำบากในการขนส่ง ปัจจุบันเครือข่ายวิดีโอเกมของรัสเซียแพร่ระบาดโดยซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ด้วยการเผยแพร่ในรูปแบบดิจิตอลและกฎหมายต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ของรัสเซีย การประชุมผู้พัฒนาวิดีโอเกมได้เติบโตขึ้นในแต่ละปีเพื่อรองรับการเข้าร่วมประชุมระยะไกล และเพื่อสร้างและปกป้องมาตรการต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์", "title": "การประชุมผู้พัฒนาวิดีโอเกมรัสเซีย" }, { "docid": "684561#16", "text": "วาลุยจิ(;) เป็นเพื่อนของวาริโอจากหมู่บ้านยักษ์ ซึ่งเห็นวาริโอหายตัวไปจึงออกตามหา จนเจอที่ปราสาท วาริโอจึงวางแผนให้ปลอมตัวเป็นลุยจิตัวปลอมเพื่อจะได้ร่วมมือกันแก้แค้น แต่ก็ด้วยความโง่ ดันไปใช้ตัว L กลับด้าน ก็เลยถูกจับได้ ปรากฎตัวครั้งแรกในเกม มาริโอปาร์ตี้ 3", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "684561#15", "text": "วาริโอ (;) เดิมที่แล้วเป็นสมาชิคในหมู่บ้านยักษ์ ผู้ที่รักการหาสมบัติ แต่ครั้งนึงได้เข้าไปในอาณาจักรเห็ดในช่วงมาริโอกำลังโด่งดังมีชื่อเสียง จึงรู้สึกอิจฉา และปลอมตัวเป็นมาริโอ แต่ด้วยความโง่ดันไปใช้สัญลักษณ์ตัว M กลับหัว ทำให้กลายเป็นตัว W จึงถูกจับได้ จึงแค้นหนัก เลยไปขโมยเหรียญตราทั้ง 6 ที่ปกป้องปราสาทแล้วเข้ายึดครองพร้อมกับนำเอาความสามารถของเหรียญมาใช้ด้วย มาริโอจึงต้องไปตามเก็บเหรียญพวกนั้นคืนมา และเข้าไปยึดปราสาทคืนมาได้ จากนั้นก็โดนขับไล่ออกจากเมืองไปเป็นนักล่าสมบัติแบบเดิม แต่เกิดไปเจอกับขุมสมบัติมหาศาลเข้า เลยรวยและสร้างปราสาทของตัวเองไว้ที่นอกเมือง แต่ก็ยังคงรามรังควานมาริโออยู่เนือง ๆ ปรากฎตัวครั้งแรกในเกม ", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "287596#0", "text": "บลัดมูน (BloodMoon) เป็นซีดีโปรแกรมที่รวบรวมเกมคอมพิวเตอร์ในลักษณะโอเพนซอร์ส พัฒนาต่อและใช้พื้นฐานจากโครงการจันทรา ซึ่งแจกให้ใช้ฟรี สำหรับระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์วินโดวส์ พัฒนาและเผยแพร่โดยสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) โดยมีทีมงานwww.thaiopengames.org เป็นผู้ดูแล ซึ่งเกมโอเพนซอร์สทุกตัวได้ผ่านการคัดเลือกก่อนนำมาเผยแพร่ ขณะนี้เป็นรุ่น 1.0 ซึ่งเป็นรุ่นแรก ในชุดมีเกมทั้งหมด 13 เกม จาก 7 หมวด โดย บลัดมูน ประกาศพัฒนาเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2552", "title": "บลัดมูน" }, { "docid": "684561#8", "text": "เจ้าหญิงเดซี่ () เป็นตัวละครเจ้าหญิงอีกคนในแฟรนไชส์มาริโอ เธออาศัยอยู่ในซาราซาแลนด์ และถูกเอเลี่ยนที่มีชื่อว่า ทาทังก้า ลักพาตัวไป", "title": "รายชื่อตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอ" }, { "docid": "309835#16", "text": "จะเป็นวิธีใดหรือเมื่อใดที่ “ไฟทอฟธอรา อินเฟสทันส” เข้ามาเผยแพร่ในไอร์แลนด์นั้นไม่เป็นที่ทราบ แต่พี. เอ็ม. เอ. เบิร์คเชื่อว่ามิได้เกิดขึ้นก่อน ค.ศ. 1842 และอาจจะเข้ามาเผยแพร่ในปี ค.ศ. 1844 อย่างน้อยแหล่งข้อมูลแหล่งหนึ่งเสนอว่าอาจจะมาจากทางตอนเหนือของเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะจากเปรู จากนั้นก็เข้ามาเผยแพร่ในยุโรปโดยมากับเรือที่บรรทุก ปุ๋ยขี้นก (guano) ที่เป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการกันมากในการใช้เป็นปุ๋ยในการเกษตรกรรมในยุโรปและบริเตนมาขาย", "title": "ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์" }, { "docid": "683709#1", "text": "ตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอมีตัวละครเอกดังนี้ มาริโอ ลุยจิ เจ้าหญิงพีช โท้ด ดองกีคอง โยชิและตัวละครรองและตัวละครร้ายอีกมากมาย\nมาริโอคาร์ท (; ) เป็นซีรีส์วิดีโอเกมแข่งรถ ผลิตโดยบริษัทนินเทนโดจากประเทศญี่ปุ่น ในเกมมีตัวละครจากซีรีส์เกมมาริโอ เช่น มาริโอ, ลุยจิ, เจ้าหญิงพีช, คุปปะ มาขับรถโกคาร์ทแข่งกัน เกมแรกในซีรีส์คือเกม ซูเปอร์มาริโอคาร์ท วางจำหน่ายครั้งแรกในปี ค.ศ.1992 บนเครื่องซูเปอร์แฟมิคอม ในปัจจุบันมีเกมมาริโอคาร์ททั้งในเครื่องเกมคอนโซล เครื่องเกมพกพา และตู้เกมอาเคด", "title": "มาริโอ (แฟรนไชส์)" }, { "docid": "683709#5", "text": "เกม\"ซูเปอร์มาริโอกาแล็กซี\" เปิดตัวพาวเวอร์อัพชนิดใหม่ เช่น เห็ดผึ้ง ที่เปลี่ยนมาริโอเป็นผึ้งและทำให้บินได้ชั่วคราว เห็ดบู ที่เปลี่ยนมาริโอเป็นผี และทำให้เขาล่องลอยและเดินทะลุกำแพงได้ เห็ดสปริง ที่สอดตัวมาริโอลงไปในสปริง ทำให้เขากระโดดสูงขึ้น และดอกไม้น้ำแข็ง ที่ทำให้ผู้เล่นเดินบนน้ำหรือลาวาได้ชั่วคราวโดยไม่จมหรือบาดเจ็บ เกม\"ซูเปอร์มาริโอกาแล็กซี 2\" เปิดตัวพาวเวอร์อัพเพิ่มขึ้นเทียบเคียงไปกับ\"ซูเปอร์มาริโอกาแล็กซี\" เช่น ดอกไม้ก้อนเมฆ ทำให้มาริโอสร้างชานชาลากลางอากาศ และมาริโอหิน ที่แปลงร่างมาริโอเป็นหินก้อนใหญ่สำหรับทำลายเกราะกำบัง\nเกม\"นิวซูเปอร์มาริโอบราเธอร์สวี\" เพิ่มเติมดอกไม้น้ำแข็ง ทำให้มาริโอยิงก้อนน้ำแข็งและแช่แข็งศัตรูได้ชั่วคราว และยังเปิดตัวเห็ดใบพัด ทำให้เขาบินได้ รวมถึงชุดเพนกวิน ทำให้มาริโอเดินบนน้ำแข็งได้ง่ายขึ้นและว่ายน้ำได้นอกจากยิงน้ำแข็งได้ด้วย\nเกม\"ซูเปอร์มาริโอ 3ดีแลนด์\" เปิดตัวดอกไม้บูมเมอแรง ทำให้มาริโอโยนบูมเมอแรงไปยังศัตรูใกล้ตัว และใบไม้รูปปั้น ทำให้มาริโอกลายเป็นรูปปั้น\nในเกม\"นิวซูเปอร์มาริโอบราเธอร์สยู\" เปิดตัวผลโอ๊กซูเปอร์ แปลงร่างมาริโอเป็น กระรอกบิน ทำให้เขาบินร่อนและเกาะกำแพงได้ด้วย\nส่วนในซีรีส์มาริโอปาร์ตี้ได้มีพาวเวอร์อัพประกอบซึ่งทุกตัวละครในแฟรนไชส์มาริโอสามารถใช้พาวเวอร์อัพได้ทำให้มีความสนุกสนานมากขึ้น", "title": "มาริโอ (แฟรนไชส์)" }, { "docid": "748908#2", "text": "\"ซูเปอร์มาริโอคาร์ต\"ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวกและได้รับคำยกย่องในด้านการนำเสนอ นวัตกรรม และการใช้กราฟิกโหมด 7 เกมอยู่ในอันดับเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลที่จัดอันดับโดยองค์กรต่าง ๆ เช่น นิตยสาร\"เอดจ์\" บริษัท\"ไอจีเอ็น\" หนังสือพิมพ์\"ดิเอจ\" และบริษัทเกมสปอต ขณะที่\"บันทึกสถิติโลกกินเนสส์\"ขนานนามว่าเป็นเกมคอนโซลยอดเยี่ยม เกมยังถูกกล่าวขานในฐานะที่สร้างแนวเกมย่อยแข่งรถคาร์ต ทำให้นักพัฒนาเกมคนอื่น ๆ เลียนแบบความสำเร็จนั้น เกมยังเป็นกุญแจสำคัญที่เพิ่มขยายตลาดให้กับแฟรนไชส์มาริโอไปสู่เกมที่ไม่ใช่เกมแพลตฟอร์ม ทำให้กลายเป็นแฟรนไชส์เกมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล ซูเปอร์มาริโอคาร์ตมีเกมภาคต่อมากมายออกจำหน่ายสำหรับเครื่องเล่นวิดีโอเกม เกมกด และเกมตู้ เกมแต่ละเครื่องประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์อย่างมาก ขณะที่บางคุณสมบัติในเกมได้รับการพัฒนามาตลอด แต่แกนหลักของเกม\"ซูเปอร์มาริโอคาร์ต\"ยังคงอยู่เช่นเดิม", "title": "ซูเปอร์มาริโอคาร์ต" }, { "docid": "984133#1", "text": "วิดีโอเกมเวอร์ชันโดย Vicarious Visions ได้รับการเผยแพร่โดย THQ สำหรับเกมบอยอัดวานซ์ในวันที่ 26 มิถุนายน 2003 ในอเมริกาเหนือและวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2004 ในยุโรป วิดีโอเกมภาคต่อ \"เจ็ตเซ็ตเรดิโอฟิวเจอร์\" ได้รับการเผยแพร่ในปี 2002 สำหรับเอกซ์บอกซ์ และในปี 2012 วิดีโอเกมได้รับการพอร์ตลงหลายแพลตฟอร์มด้วยความละเอียดสูงซึ่งได้รับการเผยแพร่สำหรับหลายแพลตฟอร์ม", "title": "เจ็ตเซ็ตเรดิโอ" }, { "docid": "988259#0", "text": "Cytus เป็นวิดีโอเกมดนตรี พัฒนาโดย Rayark Games ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกมอิสระในไต้หวัน เกมนี้เปิดตัวครั้งแรกบนแพลตฟอร์ม iOS เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2012 จากนั้นเกมนี้ก็ได้รับการเผยแพร่บน Android ในวันที่ 7 สิงหาคม 2012 สำหรับ PlayStation Vita และ PlayStation Mobile ในชื่อ Cytus: Lambda เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2013รุ่นอาเขตชื่อ Cytus: Omega ในการทำงานร่วมกันกับ Capcom ได้รับการเปิดตัวในงาน Japan Amusement Expo ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 และทดสอบในเดือนกรกฎาคม 2015.", "title": "ไซตัส" }, { "docid": "589357#3", "text": "\"ลิงกส์อะเวกเคนนิง\" แตกต่างจากภาคอื่นๆที่การดำเนินเรื่องนั้นอยู่นอกอาณาจักรไฮรูลซึ่งไม่มีการเอ่ยถึงตัวละครและสถานที่จากภาคก่อนๆรวมถึงเจ้าหญิงเซลด้าด้วย แต่จะเล่าถึงเกาะโคโฮลินท์ ซึ่งเป็นเกาะที่ตัดขาดจากโลกภายนอกที่ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีเส้นทางเชื่อมต่อถึงกันอยู่มากมาย\nภายในเกมนั้น เราจะได้รับคำแนะนำจากตัวละครเช่นอูริร่า ชายแก่ขี้อายที่ชอบติดต่อผ่านทางโทรศัพท์ ขณะเดียวกันก็มีการล้อเลียนตัวละครจากเกมอื่นๆในเครื่องเล่นเกมนินเทนโดด้วยกัน เช่น วาร์ท โยชิ เคอร์บี้ เจ้าชายริชาร์ดผู้ถูกเนรเทศ ดร.ไวร์ท จากเกม \"ซิมซิตี้\" ในเครื่องซุปเปอร์นินเทนโด (ชอมพ์จากเกมซีรีส์มาริโอก็ได้อยู่ในเกมด้วยหลังจากที่มีการเพิ่มเติมตัวเกมให้ลิงก์สามารถพามันไปเดินเล่นได้ ,กูมบาจากซูปเปอร์มาริโอบรอสก็ได้ปรากฏตัวในฉากไซด์สครอลลิ่งใต้ดิน โดยสามารถเลือกได้ว่าจะกระโดดเหยียบหัวหรือใช้อาวุธจัดการก็ได้ และแต่ละวิธีก็จะได้โบนัสแตกต่างกันไป\n) ผู้กำกับทาคาชิ เทซึกะบอกว่าเนื่องจากความเป็นอิสระของเกม ทำให้ภาคนี้ดูเป็นภาคออกแนวล้อเลียนของซีรีส์เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา ตัวละครในเกมยังสามารถจะทำลายกำแพงที่สี่fourth wallได้ด้วย (เช่น มีเด็กคนหนึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการเซฟเกม แต่เจ้าตัวกับไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดเลยแม้แต่น้อย)", "title": "เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา ลิงส์อะเวกเคนนิง" } ]
2076
บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต เป็นกลุ่มไอดอลหญิงของประเทศไทยมีใครเป็นกัปตันวง ?
[ { "docid": "908236#0", "text": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต เป็นกลุ่มไอดอลหญิงของประเทศไทย และเป็นวงน้องสาวของกลุ่มไอดอลญี่ปุ่นเอเคบีโฟร์ตีเอต มีสมาชิกทั้งหมด 51 คน โดยแบ่งออกเป็นสมาชิกทีมบีทรี (Team BIII) 22 คน และสมาชิกเค็งกีวเซ (เด็กฝึก) อีก 29 คน มีเฌอปราง อารีย์กุลเป็นหัวหน้าวง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลภาพรวมของวง และมีปัญสิกรณ์ ติยะกร กับเจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ หัวหน้าและรองหัวหน้าทีมบีทรี คอยดูแลการแสดงต่าง ๆ ภายในโรงละครของวง", "title": "รายชื่อสมาชิกบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" } ]
[ { "docid": "840008#69", "text": "หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีสัญชาติไทย หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีป็อปสัญชาติไทย หมวดหมู่:เกิร์ลกรุป หมวดหมู่:บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต หมวดหมู่:วงน้องสาวของเอเคบีโฟร์ตีเอต หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีไทยในยุค 2010", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "908236#8", "text": "ปัญสิกรณ์เข้าสู่วงการครั้งแรกเมื่ออายุ 15 ปี จากการเป็นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ ผลงานการกำกับของ ชยนพ บุญประกอบ จากค่ายจีทีเอช เมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยเธอได้รับบทเป็นดาว ม.2 หนึ่งในแก๊งเชียร์ลีดเดอร์ดาวหกแฉก[82] ในปีต่อมา เธอได้ร่วมการออดิชัน และได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกรุ่นแรกของวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ในงานคอนเสิร์ต \"บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต วีวิชยู\" ทางวงได้ประกาศก่อตั้งทีมบีทรี (Team BⅢ) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกในวง 24 คน ซึ่งปัญสิกรณ์ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าทีม และมีรองหัวหน้าคือ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ[2][83]", "title": "รายชื่อสมาชิกบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "840008#14", "text": "ต่อมาวงได้เปิดตัวเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย เป็นครั้งแรกในคอนเสิร์ต 2017: 411 Fandom Party in Bangkok ร่วมกับศิลปินไทย ผลิตโชค อายนบุตร และกลุ่มดนตรีเกาหลี ไอคอน ที่รอยัลพารากอนฮอลล์[33][34] ซึ่งเป็นเพลงหลักของซิงเกิลลำดับที่ 2 ในชื่อเดียวกันที่วางจำหน่ายในวันที่ 20 ธันวาคม[35][36] ซึ่งขายได้ 30,000 แผ่น[37] จากนั้นวงได้แสดงเพลงนี้อีกครั้งในงาน \"เจแปนเอกซ์โปอินไทยแลนด์ 2017\" เมื่อวันที่ 1 และ 3 กันยายน ร่วมกับกลุ่มดนตรีญี่ปุ่น เวิลด์ออเดอร์ (World Order) พร้อมกับเปิดตัวเพลงรองในซิงเกิล \"คุกกี้เสี่ยงทาย\" ชื่อเพลง \"บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต\"[38]", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "889540#0", "text": "MNL48 (อ่านว่า เอ็มเอ็นแอลโฟร์ตีเอต) MNL ย่อมาจาก มะนิลา (Manila) ซึ่งเป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ โดยเป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นวงน้องสาวต่างประเทศลำดับที่ 5 ของ AKB48 ซึ่งมีการประกาศการก่อตั้งวงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559 ที่คอนเสิร์ตของ AKB48 รวมไปถึงวงน้องสาวอีกสองวง ได้แก่ TPE48 ประเทศไต้หวัน(ภายหลังได้ยุบวงและเปลี่ยนชื่อเป็น AKB48 Team TP) และ BNK48 ประเทศไทย", "title": "เอ็มเอ็นแอลโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "933411#0", "text": "รินะ อิซึตะ ()​ () เป็นอดีตสมาชิก รุ่นที่ 10 ทีม 4 ของวงไอดอลสาว เอเคบีโฟร์ตีเอต​ โดยเธอได้ประกาศว่าจะย้ายมาอยู่วงน้องสาวที่ประเทศไทยแทนซึ่งคือวง บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต​ เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2560", "title": "รินะ อิซึตะ" }, { "docid": "840008#11", "text": "ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559 ในงานคอนเสิร์ตจบการศึกษาของ มินามิ ทากาฮาชิ สมาชิกวงเอเคบีโฟร์ตีเอต ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการถึงการก่อตั้งวงน้องสาวต่างประเทศของเอเคบีโฟร์ตีเอตวงใหม่อีกสามวงด้วยกัน ซึ่งได้แก่วงทีพีอีโฟร์ตีเอต (TPE48) ประเทศไต้หวัน (ปัจจุบันปิดตัวลงและตั้งเป็นทีมใหม่ในนาม AKB48 Team TP)[24], เอ็มเอ็นแอลโฟร์ตีเอต (MNL48) ประเทศฟิลิปปินส์ และบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต (BNK48) ประเทศไทย[25]", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "908236#9", "text": "จิรดาภา อินทจักร (เกิด 18 มกราคม พ.ศ. 2541) มีชื่อเล่นว่า ปูเป้ เกิดที่จังหวัดเชียงราย[23] ไอดอลหญิงชาวไทย สมาชิกวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต รุ่นที่ 1 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย ปัจจุบันศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปูเป้ได้รับเลือกเป็นเซ็มบัตสึในเพลง \"คุกกี้เสี่ยงทาย\", \"วันแรก\", \"ริเวอร์\" และ\"เธอคือ...เมโลดี้\" ได้รับเลือกเป็นสมาชิกทีมบีทรี โดยในทีมบีทรีสเตจที่ 1 อยู่ในยูนิตเพลง \"เพื่อนคนพิเศษ\"[84] นอกจากนี้ ปูเป้ยังได้รับเลือกให้เป็นเซ็นเตอร์ครั้งแรกในเพลง \"หมื่นเส้นทาง\" ซึ่งเป็นเพลงรองของซิงเกิลที่ 4 \"เธอคือ...เมโลดี้\" อีกด้วย", "title": "รายชื่อสมาชิกบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "911391#0", "text": "SHY48 (อ่านว่า เอสเอชวายโฟร์ตีเอต) เป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศจีนประจำเมืองเสิ่นหยาง และเป็นวงน้องสาวลำดับที่ 3 ของกลุ่มไอดอลจีน SNH48 ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 สังกัด Shanghai Star48 Culture & Media Co. Ltd. ปัจจุบันทางวงมีสมาชิกทั้งหมด 54 คน โดยแบ่งออกเป็นสองทีม ได้แก่ ทีม SIII และ ทีม HIII", "title": "เอสเอชวายโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "840008#15", "text": "ในวันที่ 10 กันยายน วรรษมณฑ์ พงษ์วานิช (คิตแคต) หนึ่งในสมาชิกรุ่นแรกของวง เป็นคนแรกที่ได้ประกาศจบการศึกษาเนื่องจากเหตุผลที่ต้องการศึกษาต่อทางสายแพทยศาสตร์ ซึ่งวงก็ได้จัดคอนเสิร์ตอำลาในวันที่ 23 กันยายน ที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์[39] ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ไอรดา ธวัชผ่องศรี (ซินซิน) ได้ประกาศจบการศึกษาเช่นกัน โดยงานที่เธอเข้าร่วมเป็นครั้งสุดท้ายคือคอนเสิร์ตชื่อ \"บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต มินิไลฟ์แอนด์แฮนด์เชค\"[40] ซึ่งตรงกับวันที่ 18 พฤศจิกายน และภายในงานนี้วงก็ได้เปิดตัวเพลงใหม่ในชื่อ \"พลิ้ว\" ที่แสดงโดยสมาชิกยูนิตพิเศษ 7 คน ซึ่งเป็นเพลงรองประกอบในซิงเกิล \"คุกกี้เสี่ยงทาย\"[39][41][42]", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "886902#2", "text": "หมายเหตุ: สถานะทีม ณ วันวางจำหน่ายซิงเกิล สมาชิกที่ขึ้น \"ตัวหนา\" หมายถึงตำแหน่งเซ็นเตอร์ของเพลงนั้น ๆ \nในช่วงกลาง พ.ศ. 2560 บีเอ็นเคโฟร์ตีเอตได้นำเพลงไอตากัตตะไปทำเป็นฉบับภาษาไทยในชื่อ \"Aitakatta (อยากจะได้พบเธอ)\" โดยมี พงศ์จักร พิษฐานพร สมาชิกวงละอองฟอง เป็นโปรดิวเซอร์ เพลงนี้เปิดตัวครั้งแรกในงาน \"บีเอ็นเคโฟร์ตีเอตเดอะเดบิวต์\" เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พร้อมกับเพลงรองอีก 2 เพลง คือ \"Oogoe Diamond (ก็ชอบให้รู้ว่าชอบ)\" และ \"365 Nichi no Kamihikouki (365 วันกับเครื่องบินกระดาษ)\" นอกจากนี้ยังมีการประกาศสมาชิกเซ็มบัตสึจำนวน 16 คนสำหรับทั้ง 3 เพลงภายในงานนี้เช่นกัน", "title": "ไอตากัตตะ" }, { "docid": "840008#0", "text": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต (English: BNK48) เป็นกลุ่มไอดอลหญิงของประเทศไทย และเป็นวงน้องสาวต่างประเทศลำดับที่ 2[โน้ต 1] ของกลุ่มไอดอลญี่ปุ่น เอเคบีโฟร์ตีเอต (AKB48) ภายใต้แนวคิดร่วมกันคือ \"ไอดอลที่คุณสามารถไปพบได้\" (idols you can meet)[1] ในสังกัด บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ออฟฟิศ[2][3] วงเริ่มเปิดรับสมัครสมาชิกครั้งแรกเมื่อกลางปี พ.ศ. 2559[4] และเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560 พร้อมกับซิงเกิลแรกในชื่อ อยากจะได้พบเธอ ด้วยสมาชิก 30 คน[5][6] ทั้งนี้ สมาชิกของวงนั้นมีจำนวนไม่แน่นอนเนื่องจากมีการเปิดรับสมาชิกรุ่นใหม่และมีการจบการศึกษาอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันวงมีสมาชิกทั้งหมด 51 คน[7]", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "895341#0", "text": "SDN48 (อ่านว่า เอสดีเอ็นโฟร์ตีเอต, ย่อมาจาก Saturday Night 48) เป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นวงพี่สาวของกลุ่มไอดอลญี่ปุ่น AKB48 ซึ่งวงนี้ได้ก่อตั้งขึ้นในแนวคิด \"ไอดอลสำหรับผู้ใหญ่\" โดยที่มี คะโยะ โนะโระ อดีตสมาชิก AKB48 เป็นกัปตันวง ในเดือนพฤศจิกายน 2553 ทางวงได้เปิดตัวครั้งแรกกับซิงเกิล \"Gagaga\"", "title": "เอสดีเอ็นโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "908240#0", "text": "ผลงานของบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ประกอบด้วยซิงเกิล 5 ชุด ชุดละ 3–4 เพลง ซึ่งเพลงของซิงเกิลหลักนั้นร้องโดยสมาชิกของวงที่ได้รับเลือกจำนวน 16 หรือ 21 คน ที่เรียกว่า \"เซ็มบัตสึ\" () เพลงทุกเพลงจะมาจากเพลงต้นฉบับของวงพี่สาวอย่างเอเคบีโฟร์ตีเอต ที่นำมาร้องใหม่โดยมีการแปลภาษาเป็นเนื้อร้องภาษาไทย แต่ทั้งนี้วงอาจทำเพลงของตัวเองได้ในอนาคต", "title": "รายชื่อผลงานของบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "887737#0", "text": "เอเคบีโฟร์ตีเอต ทีมทีพี () เป็นกลุ่มไอดอลหญิงสัญชาติไต้หวันในกลุ่มโฟร์ตีเอต อดีตใช้ชื่อวงว่า ทีพีอีโฟร์ตีเอตนับเป็นวงน้องสาวของเอเคบีโฟร์ตีเอตในต่างประเทศ ลำดับที่ 3 ต่อจากเจเคทีโฟร์ตีเอตของอินโดนีเซีย, และบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตของไทย", "title": "เอเคบีโฟร์ตีเอต ทีมทีพี" }, { "docid": "893103#0", "text": "NMB48 (อ่านว่า เอ็นเอ็มบีโฟร์ตีเอต) NMB ย่อมาจาก นัมบะ ซึ่งเป็นชื่อเขตหนึ่งในจังหวัดโอซาก้า เป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นวงน้องสาวในญี่ปุ่นลำดับที่ 2 ของ AKB48 ต่อจาก SKE48 ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2554 ปัจจุบันมีเธียเตอร์เป็นของตัวเองที่ชั้นใต้ดินของตึก Yes-Namba ในย่านนัมบะ จังหวัดโอซาก้า", "title": "เอ็นเอ็มบีโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "840008#9", "text": "ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการจัดตั้งวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2554 ยาซูชิ อากิโมโตะ ผู้ก่อตั้งแฟรนไชส์เอเคบีโฟร์ตีเอต ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารจีคิว (GQ)[21] และรายการทีวีวารัตเตะ อีโตโมะ[22] ของประเทศญี่ปุ่น ถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งวงน้องสาวนอกประเทศญี่ปุ่นต่อจากวงเจเคทีโฟร์ตีเอต (JKT48) ซึ่งประเทศที่เป็นไปได้ก็คือประเทศไต้หวันและประเทศไทย", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "968852#3", "text": "ในแต่ละตอน จะมีสมาชิกจากวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตประมาณ 5-6 คน ซึ่งจะสลับเปลี่ยนหมุนเวียนมาร่วมแข่งขันกันในแต่ละสัปดาห์และจะมีสมาชิก บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต มาเป็นแขกรับเชิญในบางตอน", "title": "วิกทอรีบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "76701#7", "text": "ในปี 2011 เอเคบีโฟร์ตีเอต ได้ก่อตั้งวงน้องสาวนอกประเทศญี่ปุ่นวงแรกในชื่อ เจเคทีโฟร์ตีเอต (JKT48) ซึ่งประจำอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตามด้วยวงน้องสาวที่ประเทศจีน เอสเอ็นเอชโฟร์ตีเอต (SNH48) ประจำเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ภายหลังเอเคบีได้ยกเลิกสัญญาไม่ให้เป็นวงน้องสาวอีกต่อไปตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2016 ซึ่งเอสเอ็นเอชก็ได้ประกาศเช่นกันว่าตนเองไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเอเคบีมาตั้งแต่แรกและไม่เคยทำสัญญาใด ๆ กับทางวงมาก่อน นอกจากนี้ วงยังได้ประกาศจัดตั้งวงน้องสาววงใหม่อีก 3 วงด้วยกันในเดือนมีนาคม 2016 ได้แก่บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต (BNK48) ประจำกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย, เอ็มเอ็นแอลโฟร์ตีเอต (MNL48) ประจำกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์, และทีพีอีโฟร์ตีเอต (TPE48) ประจำกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน", "title": "เอเคบีโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "840008#10", "text": "ช่วงปลายปี พ.ศ. 2556 โรส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอร์ปอเรชั่น แพ้การประมูลทีวีดิจิทัล หมวดหมู่เด็ก เยาวชน และครอบครัว ของกสทช. ทำให้บริษัทเดินหน้าทำงานเกี่ยวกับการดูแลศิลปินแทน จิรัฐ บวรวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โรส อาร์ทิสท์ แมเนจเม้นท์ (ปัจจุบัน) ได้ติดต่อเอเคเอส บริษัทที่จัดการและบริหารกลุ่มไอดอลญี่ปุ่นเอเคบีโฟร์ตีเอต เพื่อขอสิทธิ์มาทำวงน้องสาวในประเทศไทย[23]", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "968852#1", "text": "เป็นการแข่นขันโดยแบ่งทีมเป็น 2 ฝ่าย คือทีม Victory Red (มี ภาคภูมิ จงมั่นวัฒนา เป็นโค้ช) และทีม Victory Blue (มี ปราโมทย์ ปาทาน เป็นโค้ช) โดยแต่ละทีมจะประกอบด้วยสมาชิกจากวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตประมาณ 5-6 คน ซึ่งจะสลับเปลี่ยนหมุนเวียนมาร่วมแข่งขันกันในแต่ละสัปดาห์ โดยในช่วงแรกของรายการจะมีการเปิดตัวไอคอนหรือดารารับเชิญของรายการ ซึ่งบางสัปดาห์จะให้สมาชิกทั้งสองทีม ร่วมกันทายว่าไอคอนประจำสัปดาห์นั้นเป็นใคร(ทีมไหนทายถูกจะได้รับ 1 คะแนน) หลังจากนั้นช่วงต่อมาก็จะเข้าสู่ช่วงเกมการแข่งขันต่าง ๆ ซึ่งจะแข่งขันอยู่ 2-3 เกม (บางสัปดาห์แข่งเพียง 1 เกม และช่วงก่อนหน้าแทนที่ด้วยช่วง แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ) โดยแต่ละเกมจะเป็นไปตามที่รายการและไอคอนประจำสัปดาห์กำหนดให้ ", "title": "วิกทอรีบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "76701#24", "text": "เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม วงได้ออกจำหน่ายซิงเกิล \"เฮฟวีโรเทชัน\" (Heavy Rotation) มียอดจำหน่าย 880,760 แผ่น ต่อมาวันที่ 23 ตุลาคม วงเข้าร่วมงานเอเชียซองเฟสติวัล จัดขึ้นโดยมูลนิธิแลกเปลี่ยนกิจกรรมระหว่างประเทศ ที่สนามกีฬาโอลิมปิกแจมซิล ประเทศเกาหลีใต้ 4 วันถัดมาหลังจากนั้น วงได้ออกวางขายซิงเกิลที่ 18 \"บีกินเนอร์\" (Beginner) ด้วยยอดขาย 826,989 แผ่นในอาทิตย์แรก และได้รับตำแหน่งกลุ่มไอดอลหญิงที่มียอดขายอาทิตย์แรกสูงที่สุด ต่อมา สมาชิกวง มายุ วาตานาเบะ ปรากฏตัวในปกนิตยสารไอดอล \"อัพทูบอย\" ฉบับเดือนธันวาคม คู่กับไอริ ซูซูกิ สมาชิกวงคิวต์ ถือเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่างเอเคบีโฟร์ตีเอตกับเฮลโล! พรอเจกต์", "title": "เอเคบีโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "840008#45", "text": "วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2561 วงได้ร่วมกับ Ookbee ประกาศเปิดตัวแอปพลิเคชันอย่างเป็นทางการของวง ในชื่อ BNK48 Official[125] โดยในแอปพลิเคชันนี้จะประกอบไปด้วย การถ่ายทอดสดเดี่ยวพร้อมดูย้อนหลังของแต่ละเมมเบอร์ (ย้ายจากแอปพลิเคชันวูฟ), การส่งของขวัญให้เมมเบอร์ในแอป, การถ่ายทอดสดดิจิตอลไลฟ์สตูดิโอ (ตู้ปลา), การถ่ายทอดสดพิเศษในโรงละคร, การจองบัตรสุ่มเข้าชมโรงละคร, การโหวตลงคะแนนซิงเกิลเลือกตั้ง รวมถึงรายละเอียดข่าวสารงานต่าง ๆ ของวงในอนาคตด้วย[126] เปิดให้ดาวน์โหลดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561[127] ต่อมาวันที่ 22 ธันวาคม ปีเดียวกัน วงได้เปิดตัวและเปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ชื่อ BNK48 Star Keeper[128] แอปพลิเคชันเกมส์แนวอาร์เคด เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับดาวจักรราศีทั้ง 13 กลุ่ม ถูกสิ่งมีชีวิตจากกาแลคซี่อื่นยึดครอง ยานอวกาศของกัปตันทั้ง 3 คน จึงต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ รวมถึงกำจัดเหล่าลูกน้องของมินิบอส และบอสของแต่ละด่านไปให้ได้ ซึ่งในระบบจะมีเสียงพากย์เกมส์ของ ปัญ, เฌอปราง และวี รวมทั้งไอเทมพิเศษ และชิพการ์ดของสมาชิกเซ็มบัตสึในซิงเกิลที่ 5 อีกด้วย[129]", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "891899#0", "text": "NGT48 (อ่านว่า เอ็นจีทีโฟร์ตีเอต) NGT ย่อมาจาก นีงะตะ ซึ่งเป็นชื่อเมืองของจังหวัดนีงะตะ เป็นกลุ่มไอดอลหญิงสัญชาติญี่ปุ่น และเป็นวงน้องสาวในประเทศลำดับที่ 4 ของ AKB48 ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดย ยะซุชิ อะกิโมะโตะ มีเธียเตอร์ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้า LoveLa2 ชั้น 4 เมืองนีงะตะ", "title": "เอ็นจีทีโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "908236#4", "text": "นับตั้งแต่งานเปิดตัวครั้งแรกของบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ทางวงได้มีการคัดเลือกสมาชิกเข้ามาแล้วทั้งสิ้น 2 รุ่น โดยไม่นับสมาชิกที่ย้ายมาจากวงพี่น้อง", "title": "รายชื่อสมาชิกบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "895644#0", "text": "SNH48 (อ่านว่า เอสเอ็นเอชโฟร์ตีเอต) SNH ย่อมาจากชื่อเมืองเซียงไฮ้ (Shanghai) ของประเทศจีน โดยเป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2012 สังกัด Shanghai Star48 Culture & Media Co. Ltd. โดยนำแนวคิดของ ยะซุชิ อะกิโมะโตะ ผู้ก่อตั้งแฟรนไชส์ เอเคบีโฟร์ตีเอต มาใช้ คือ \"ไอดอลที่คุณสามารถพบได้\" ทางจีนจึงได้ตกลงตั้งวงกลุ่มไอดอลหญิงขึ้นมาโดยร่วมมือกับทางญี่ปุ่นในชื่อ เอสเอ็นเอชโฟร์ตีเอต ซึ่งมีฐานะเป็นวงน้องสาวนอกประเทศญี่ปุ่นวงที่สองของ เอเคบีโฟร์ตีเอต ต่อจาก JKT48", "title": "เอสเอ็นเอชโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "908519#0", "text": "GNZ48 (อ่านว่า จีเอ็นซีโฟร์ตีเอต) เป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศจีนประจำกรุงกว่างโจว และเป็นวงน้องสาวของกลุ่มไอดอลจีน SNH48 ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2016 พร้อมกับวง BEJ48 สังกัด Shanghai Star48 Culture & Media Co. Ltd. ", "title": "จีเอ็นซีโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "965555#0", "text": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต: เกิร์ลดอนต์คราย () เป็นภาพยนตร์ไทยแนวสารคดี ว่าด้วยเรื่องราวของบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตตั้งแต่ก่อนเปิดตัววงจนถึงช่วงหลังได้รับชื่อเสียง กำกับโดย นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผลิตโดย บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ออฟฟิศ และ แซลมอน เฮ้าส์ จัดจำหน่ายโดย จีดีเอช ห้าห้าเก้า นำแสดงโดยสมาชิกวงรุ่นที่หนึ่ง โดยมีงานฉายรอบสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ณ พารากอนซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน และกำหนดฉายเป็นการทั่วไปตั้งแต่วันที่ 16 เดือนและปีเดียวกันเป็นต้นไป", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต: เกิร์ลดอนต์คราย" }, { "docid": "552288#1", "text": "เพลงนี้มีการคัฟเวอร์ใหม่โดยวงน้องสาวของเอเคบีโฟร์ตีเอตในภาษาของแต่ละประเทศที่วงนั้นตั้งอยู่ ได้แก่ฉบับภาษาอินโดนีเซีย จากเจเคทีโฟร์ตีเอต, ฉบับภาษาจีน จากเอสเอ็นเอชโฟร์ตีเอต ออกจำหน่ายใน พ.ศ. 2556, และฉบับภาษาไทย จากบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ออกจำหน่ายใน พ.ศ. 2560", "title": "โคอิซูรุฟอร์จูนคุกกี้" }, { "docid": "908324#0", "text": "BEJ48 (อ่านว่า บีอีเจโฟร์ตีเอต) เป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศจีนประจำกรุงปักกิ่ง และเป็นวงน้องสาวของกลุ่มไอดอลจีน SNH48 ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2016 พร้อมกับวง GNZ48 สังกัด Shanghai Star48 Culture & Media Co. Ltd. ", "title": "บีอีเจโฟร์ตีเอต" } ]
1209
เพลงชาติของประเทศไทยปัจจุบันแต่งโดยใคร ?
[ { "docid": "2091#0", "text": "เพลงชาติไทย เป็นชื่อเพลงชาติของสยามและประเทศไทย ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 คำร้องฉบับแรกสุดโดยขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องอีกหลายครั้งและได้เปลี่ยนมาใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2482", "title": "เพลงชาติไทย" }, { "docid": "2091#13", "text": "ในปี พ.ศ. 2482 \"ประเทศสยาม\" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"ประเทศไทย\" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า \"ไทย\" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "เพลงชาติไทย" } ]
[ { "docid": "372262#2", "text": "แต่งเพลงชาติไทย วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นวันที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย หลังจากนั้นไม่นานได้มีการแต่งเพลงชาติขึ้น เพลงชาติเพลงแรกใช้ทำนองเพลงมหาชัยโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นผู้แต่งเนื้อร้อง ต่อมา น.ต. หลวงนิเทศกลกิจ ร.น. (กลาง โรจนเสนา) ได้ขอให้พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร) แต่งทำนองเพลงชาติแบบสากล และขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) แต่งเนื้อร้องขึ้นต้นว่า “แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า”", "title": "ฉันท์ ขำวิไล" }, { "docid": "2091#6", "text": "ส่วนเนื้อร้องของเพลงชาตินั้น คณะผู้ก่อการได้ทาบทามให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้ประพันธ์ โดยคำร้องที่แต่ขึ้นนั้นมีความยาว 2 บท สันนิษฐานว่าเสร็จอย่างช้าก่อนวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคันพบโน้ตเพลงพร้อมเนื้อร้องซึ่งตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวันที่ตีพิมพ์ในวันดังกล่าว แม้เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นเพลงชาติ และมีการจดจำต่อๆ กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน ดังปรากฏว่า มีการคัดลอกเนื้อเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราส่งเข้าประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่งด้วย", "title": "เพลงชาติไทย" }, { "docid": "2091#3", "text": "ที่มาของทำนองเพลงชาติปัจจุบันนั้น จากบันทึกความทรงจำของพระเจนดุริยางค์ ได้เล่าไว้ว่า ราวปลายปี พ.ศ. 2474 เพื่อนนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่าน คือ หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) ได้ขอให้ท่านแต่งเพลงสำหรับชาติขึ้นเพลงหนึ่ง ในลักษณะของเพลงลามาร์แซแยส ซึ่งพระเจนดุริยางค์ได้บอกปฏิเสธ เพราะถือว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงชาติอยู่แล้ว ทั้งการจะให้แต่งเพลงนี้ก็ยังไม่ใช่คำสั่งของทางราชการด้วย แม้ภายหลังหลวงนิเทศกลกิจจะมาติดต่อให้แต่งเพลงนี้อีกหลายครั้งก็ตาม พระเจนดุริยางค์ก็หาทางบ่ายเบี่ยงมาตลอด เพราะท่านสงสัยว่าการขอร้องให้แต่งเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง ประกอบกับในเวลานั้นก็มีข่าวลือเรื่องการปฏิวัติอย่างหนาหูด้วย", "title": "เพลงชาติไทย" }, { "docid": "2091#4", "text": "หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปได้ประมาณ 5 วันแล้ว หลวงนิเทศกลกิจ ซึ่งพระเจนดุริยางค์รู้ภายหลังว่าเป็น 1 ในสมาชิกคณะราษฎรด้วย ได้กลับมาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของคณะผู้ก่อการ ท่านเห็นว่าคราวนี้หมดทางที่จะบ่ายเบี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงขอเวลาในการแต่งเพลงนี้ 7 วัน และแต่งสำเร็จในวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ตนได้กำหนดนัดหมายวันแต่งเพลงชาติไว้ ขณะที่นั่งบนรถรางสายบางขุนพรหม-ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบัติราชการที่สวนมิสกวัน จากนั้นจึงได้เรียบเรียงเสียงประสานสำหรับให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลง โดยได้เลือกใช้ทำนองคล้ายคลึงกับเพลงมาซูแร็กดอมบรอฟสกีแยกอและมอบโน้ตเพลงนี้ให้หลวงนิเทศกลกิจนำไปบรรเลง ในการบรรเลงตนตรีประจำสัปดาห์ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันพฤหัสบดีถัดมา พร้อมทั้งกำชับว่าให้ปิดบังชื่อผู้แต่งเพลงเอาไว้ด้วย", "title": "เพลงชาติไทย" }, { "docid": "2091#15", "text": "การประกวดเพลงชาติครั้งนี้ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีกวีและผู้มีชื่อเสียงในทางการประพันธ์เพลงหลายท่าน เช่น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี แก้ว อัจฉริยะกุล ชิต บุรทัต เป็นต้น ซึ่งรวมถึงผู้ประพันธ์เนื้อเพลงชาติสองฉบับแรก (ขุนวิจิตรมาตรา และฉันท์ ขำวิไล) ได้ส่งเนื้อร้องของตนเองเข้าประกวดด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการตัดสินครั้งนั้น เฉพาะเนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราแต่งใหม่นั้น ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า \"ไทย\" ถึง 12 ครั้งประพันธ์ด้วยทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ ใช้เป็นเพลงชาติไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 (ในลักษณะไม่เป็นทางการ) โดยช่วงแรกใช้คำร้องที่ประพันธ์โดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้จัดการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติ และประกาศรับรองเนื้อร้องที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่โดยขุนวิจิตรมาตรา และเนื้อร้องที่แต่งโดยนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นฉบับที่ชนะการประกวด เป็นเนื้อร้องเพลงชาติฉบับทางราชการ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477", "title": "เพลงชาติไทย" }, { "docid": "2091#23", "text": "แต่ด้วยกระแสเสียงคัดค้านจากสังคมเป็นจำนวนมาก ทำให้เพลงชาติที่มีการเรียบเรียงใหม่ทั้ง 6 แบบข้างต้น ไม่มีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการในที่สุด ทั้งนี้ เพลงชาติที่เป็นทางราชการของไทยในปัจจุบัน เป็นฉบับซึ่งจัดทำและเผยแพร่โดย คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับเพลงสำคัญของแผ่นดิน ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546 และได้เริ่มใช้มา นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 โดยมีการเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ในประเทศ", "title": "เพลงชาติไทย" }, { "docid": "2091#2", "text": "เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศใช้เพลงชาติมหาชัย ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเพลงชาติอยู่ 7 วัน (ใช้ชั่วคราว ระหว่างรอพระเจนดุริยางค์แต่งเพลงชาติใหม่) แต่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี", "title": "เพลงชาติไทย" }, { "docid": "243886#2", "text": "ด้วยเหตุที่ว่า การปฏิวัติสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นโดยคณะราษฎร ในวันและเดือนดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2475 คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดไว้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 มนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งเพลงประจำวันชาติของไทยขึ้น โดยให้ชื่อเพลงว่า \"\" อนึ่ง เมื่อวันดังกล่าวถูกยกเลิกในอีก 21 ปีต่อมา เพลงนี้จึงกลายเป็นเพลงที่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ใช้รำลึกวันเริ่มระบอบรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 24 มิถุนายนของทุกปี", "title": "วันชาติ (ประเทศไทย)" } ]
3399
อาณาจักรอยุธยาล่มสลายลมเมื่อไหร่?
[ { "docid": "6993#15", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "จังหวัดขอนแก่น" }, { "docid": "59325#19", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "อำเภอสุวรรณภูมิ" }, { "docid": "44328#0", "text": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองหรือ สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งที่สองระหว่างราชวงศ์โกนบองแห่งพม่า กับราชวงศ์บ้านพลูหลวงแห่งอยุธยา ในการทัพครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีคนไทยเกือบสี่ศตวรรษได้เสียแก่พม่าและถึงกาลสิ้นสุดลงไปด้วย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
[ { "docid": "44328#2", "text": "การเสียกรุงครั้งนี้ นอกจากจะส่งผลให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลายลงแล้ว ตะนาวศรีตอนใต้ยังได้ตกเป็นของพม่าเป็นการถาวร และเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองในระดับต่าง ๆ จนแทบนำไปสู่การล่มสลายของรัฐไทย อย่างไรก็ดี พม่าจำต้องถอนกำลังส่วนใหญ่ในอาณาจักรอยุธยาเดิมกลับคืนประเทศไปเมื่อถูกจีนบุกครอง จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเถลิงอำนาจและตั้งอาณาจักรของคนไทยใหม่", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "265553#19", "text": "การที่กรุงศรีอยุธยามีข้าศึกเข้ามาประชิดติดพันก็นับว่าเป็นภัยร้ายแรงอยู่แล้ว ซ้ำยังมาเกิดอัคคีภัยไหม้บ้านเรือนอีก ความอัตคัดขาดแคลนที่มีอยู่เป็นทุนเดิมก็กลับโถมทับทวียิ่งขึ้น ราษฎรต่างก็ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส บ้านเรือนไหม้ไปกว่า 10,000 หลัง ทำให้ราษฎรไม่มีที่พักอาศัยหลายหมื่นคน เมื่อเห็นว่าราษฎรต้องเผชิญกับความตาย ไร้ที่อยู่ทั้งขาดแคลนอาหาร กำลังใจและกำลังกายก็ถดถอยลง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ จึงเจรจากับพม่าขอเลิกรบ ยอมเป็นเมืองขึ้นต่อพระเจ้าอังวะ แต่แม่ทัพพม่าไม่ยอมเลิก", "title": "การล้อมอยุธยา (2309–2310)" }, { "docid": "17119#19", "text": "หลังจากบ้านเมืองแตกแยก เพราะการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาแล้ว เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่น พม่าจึงเล็งเห็นว่า ไม่ต้องการให้อาณาจักรสยามเจริญได้อีก จึงต้องมีการรบรากันอยู่บ่อย การเรียกกำลังพลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการหลบหนี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตรากฎหมายการสักเลกขึ้น โดยไพร่ชายใดอายุถึงกำหนด ต้องสักเลก เพื่อให้สามารถตรวจสอบจำนวนคนได้ และถ้าหากมีการหลบหนีเมื่อใด อาจจะมีโทษถึงประหารชีวิต โดยพระเจ้ากรุงธนบุรีจะเป็นผู้ตัดสินคดีด้วยตัวของพระองค์เอง ส่วนชนชั้นอื่น ๆ ที่เหลือนั้นก็มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับอยุธยา", "title": "อาณาจักรธนบุรี" }, { "docid": "265553#13", "text": "หลังจากนายทัพพม่ารู้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า กองทัพของทางกรุงศรีอยุธยาอ่อนกำลังลงมาก และประชาชนในเมืองก็อยู่ในสภาพอดยาก จึงตกลงใจเริ่มขุดอุโมงค์ลอดตัวกำแพงอยุธยาทางด้านหัวรอ ซึ่งเป็นจุดที่แคบที่สุดของคูเมือง อุโมงค์ที่ขุดมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 อุโมงค์ ในจำนวนนั้น 2 อุโมงค์เป็นอุโมงค์ที่ขุดมาหยุดลงตรงใต้ฐานกำแพง จากนั้นก็ขยายแนวขุดไปตามแนวกำแพงทั้งสองด้านเป็นขนาดความยาวประมาณ 350 หลา ด้านใต้อุโมงค์ใช้ไม้ทำขื่อรับฐานกำแพงไว้อีกชั้นหนึ่ง", "title": "การล้อมอยุธยา (2309–2310)" }, { "docid": "265553#26", "text": "ส่วนเรื่องเชลยนั้นพม่าจับเชลยคนไทยได้มากเกินกว่าจะมีเครื่องพันธนาการเพียงพอ จึงเจาะบริเวณเอ็นเหนือส้นเท้าแล้วร้อยด้วยหวายติดกันเป็นพวง เพื่อกวาดต้อนเชลยไทยให้เดินทางไปยังกรุงอังวะ ประเทศพม่า นับแต่นั้นมาคนไทยเรียกบริเวณเอ็นเหนือส้นเท้าว่า “เอ็นร้อยหวาย ” ในปัจจุบัน เชลยศึกชาวไทยที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปครั้งนั้น ได้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณปองเลไต๊ (ตึกปองเล) ใกล้คลองชะเวตาชอง หรือคลองทองคำ แถบระแหงโม่งตีส หรือตลาดระแหง ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ ประมาณ 13 กิโลเมตร มีวัดระไห่ เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน มีตลาดโยเดีย และมีการรำโยเดียที่มีท่ารำชั้นสูง เช่น พรหมสี่หน้าของไทย ในเมืองพม่าปัจจุบันด้วย", "title": "การล้อมอยุธยา (2309–2310)" }, { "docid": "671#23", "text": "อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอยุธยาสามารถรวบรวมอำนาจบางกลุ่มผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งเดียวกับตนได้สำเร็จ โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงใช้กุศโลบายต่าง ๆ ทั้งความสัมพันธ์เครือญาติ การปฏิรูปการปกครองไปจนถึงการใช้กำลังทหาร เพื่อผนวกเอาแคว้นสุโขทัยมาเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา สมัยดังกล่าวยังมีการปกครองที่เป็นปึกแผ่นมากขึ้น กระทั่งการล่มสลายอย่างสิ้นเชิงก็ไม่สามารถทำลายความรู้สึกของผู้คนตามไปด้วยได้ จึงนำไปสู่การเกิดใหม่ของกรุงศรีอยุธยาเป็นกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "42555#8", "text": "ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 17 การค้าขายระหว่างอาณาจักรละโว้กับจีนเจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่เนื่องจากอยุธยาตั้งอยู่ใกล้ทะเลซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะสมกว่า ศูนย์กลางการค้าขายจึงเปลี่ยนจากลพบุรีไปอยู่ที่อยุธยา และเมื่อพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรละโว้จึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา เป็นอันสิ้นสุดความเป็นอาณาจักรละโว้ตั้งแต่นั้นมา", "title": "อาณาจักรละโว้" }, { "docid": "265553#1", "text": "เมื่อสงครามคราวเสียกรุงเริ่มขึ้น กองทัพของอาณาจักรพม่า ภายใต้การบัญชาการของเนเมียวสีหบดีและมังมหานรธา ยกมาจากทางทวายและลำปาง ราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2309 กองกำลังภายใต้แม่ทัพทั้งสองก็เข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จในระยะไม่เกิน 1.25 ไมล์จากกำแพงพระนคร (ในพงศาวดารไทยบันทึกไว้ว่า ตอกระออมและดงรักหนองขาว)", "title": "การล้อมอยุธยา (2309–2310)" } ]
4002
นักประวัติศาสตร์ ทำหน้าที่อะไร ?
[ { "docid": "766#0", "text": "ประวัติศาสตร์ (English: history; รากศัพท์ภาษากรีก ἱστορία หมายถึง \"การสอบถามหาความรู้ที่ได้มาโดยการสอบสวน\") เป็นการค้นพบ ค้นหา รวบรวม จัดระเบียบและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตประวัติศาสตร์ยังอาจหมายถึงช่วงเวลาหลังมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น นักวิชาการผู้เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เรียกนักประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์เป็นสาขาการวิจัยซึ่งใช้การบรรยายเพื่อพิจารณาและวิเคราะห์ลำดับของเหตุการณ์[1][2] และบางครั้งพยายามสอบสวนรูปแบบของเหตุและผลซึ่งมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์อย่างยุติธรรม นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันเรื่องธรรมชาติของประวัติศาสตร์และประโยชน์ของมัน ซึ่งรวมทั้งถกเถียงการศึกษาสาขาวิชาเป็นจุดจบในตัวมันเองและเป็นเสมือนวิถีการให้ \"มุมมอง\" ต่อปัญหาในปัจจุบัน[1][3][4][5] เรื่องเล่าซึ่งเป็นสิ่งธรรมดาในวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง แต่ไม่มีการสนับสนุนจากแหล่งข้อมูลภายนอก (เช่น ตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์) มักจัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมมากกว่า \"การสอบสวนอย่างไม่นำพา\" ที่จำเป็นตามสาขาประวัติศาสตร์[6][7] เหตุการณ์ในอดีตก่อนมีบันทึกลายลักษณ์อักษรเรียกว่า ยุคก่อนประวัติศาสตร์", "title": "ประวัติศาสตร์" } ]
[ { "docid": "401142#2", "text": "โพรโทคอล โอเมกา เป็นทีมที่เอลโดราโดส่งมาเพื่อทำหน้าที่ในการลบล้างประวัติศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลทั้งหมด โดยทีมนี้ถูกจัดการรูปแบบหลายเวอร์ชันด้วยกันรวมถึงทีมย่อยโดยมีกัปตันและสมาชิกทีมในแต่ละกลุ่ม", "title": "รายชื่อตัวละครในนักเตะแข้งสายฟ้า GO" }, { "docid": "460447#1", "text": " มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เปิดสอนวิชาด้านสังคมศาสตร์ตั้งแต่พ.ศ. 2486 เป็นต้นมาพร้อมๆ \nกับการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รายวิชาที่เปิดสอนในระยะแรกได้แก่ \nวิชากฎหมาย เปิดสอนในคณะสหกรณ์ ส่วนรายวิชาด้านสังคมศาสตร์นั้นเปิดสอนเฉพาะบางรายวิชาเช่น \nวิชาสังคมวิทยาเบื้องต้น สังคมวิทยาชนบท แต่ยังไม่มีภาควิชาสังกัด\nภายในคณะแต่อย่างใด จนกระทั่งวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 จึงได้มีการจัดตั้งภาควิชาขึ้นจำนวน 5 ภาควิชา คือ ภาควิชาจิตวิทยา \nภาควิชาปรัชญาและศาสนา ภาควิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ และภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา\nภาควิชาประวัติศาสตร์ ทำหน้าที่ในการผลิตศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์ จนกระทั่งในพ.ศ. 2544 ภาควิชาประวัติศาสตร์จึงเปิดสอนหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต\nสาขาวิชาประวัติศาสตร์ร่วมด้วย ภาควิชาได้ผลิตบัณฑิตออกสู่สังคมไทยรับใช้สังคมในมิติต่าง ๆ ทั้งศึกษาต่อ รับราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชนและต่างประเทศ รวมถึงการผลิตนักประวัตศาสตร์ที่มีคุณภาพ มีความรู้รับใช้สังคมและประเทศชาติ", "title": "ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" }, { "docid": "797197#4", "text": "วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2510 เขาได้ทำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังจากการเสียชีวิตจอมพล โรดีออน มาลีนอฟสกี ในช่วงปี พ.ศ. 2513-2519 ที่ เกรชโค ได้ทำหน้าที่เป็นประธานของคณะกรรมการบรรณาธิการจัดบันทึกประวัติศาสตร์โซเวียตในของสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการเขาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2519 เถ้าของเขาถูกฝังอยู่ในกำแพงเครมลิน", "title": "อันเดรย์ เกรชโค" }, { "docid": "180062#0", "text": "ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre (Public Organisation)) เป็นศูนย์ข้อมูลความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ วัฒนธรรมและความรู้ท้องถิ่นของประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำหน้าที่เก็บรวบรวมบันทึกความรู้ในรูปแบบต่างๆ สนับสนุนการสร้างความรู้ใหม่ และเผยแพร่ผลงานการค้นคว้าให้แก่ประชาชนทั่วไป", "title": "ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "617583#0", "text": "หนึ่งฤทัย สระทองเวียน หรือ โค้ชหนึ่ง (1 มกราคม พ.ศ. 2515 – ) เป็นอดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ผู้ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลในประเทศไทย ในฐานะผู้ฝึกสอนฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำหน้าที่ดังกล่าว", "title": "หนึ่งฤทัย สระทองเวียน" }, { "docid": "229922#0", "text": "สงครามโค่นพันธุ์อสูร () เป็นภาพยนตร์แอ็กชั่น-สยองขวัญเกี่ยวกับความลับในประวัติศาสตร์ของแวมไพร์ และมนุษย์หมาป่า ที่เป็นที่รู้จักในเรื่องว่า ไลแคน เป็นภาพยนตร์ภาคแรกใน 3 ภาค มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเซลีน (เคต เบ็กคินเซล) แวมไพร์ที่มีตำแหน่งเป็นผู้ท้าความตาย ตามล่าพวกไลแคน เธอพบว่าเธอสนใจในมนุษย์ที่ชื่อ ไมเคิล คอร์วิน (สก็อตต์ สปีดแมน) ที่เขาเป็นเป้าหมายของพวกไลแคน หลังจากที่ไมเคิลถูกไลแคนกัด เซลีนจึงต้องตัดสินใจทำตามหน้าที่ทำตามหน้าที่ของเธอและฆ่าเขาหรือฝ่าฝืนกฎและไม่ฆ่าเขา", "title": "สงครามโค่นพันธุ์อสูร" }, { "docid": "624805#1", "text": "เสกสรรค์ เสวกสูตร สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เขาเคยทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูให้แก่ฟุตบอลทีมชาติไทย รวมถึงเป็นผู้รักษาประตูระดับอาชีพในหลายสังกัดสโมสร นอกจากนี้ เขายังมีผลงานการเป็นผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตูฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยในการแข่งขันระดับนานาชาติ อาทิ ใน พ.ศ. 2553 เสกสรรค์ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนให้แก่ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ในการแข่งขันฟุตบอลในเอเชียนเกมส์ 2010 ที่จัดขึ้น ณ เมืองกว่างโจว ประเทศจีน รวมถึงใน พ.ศ. 2556 ในการแข่งขันซีเกมส์ 2013 ที่ประเทศเมียนมาร์ และใน พ.ศ. 2557 ในการแข่งขันฟุตบอลหญิงเอเชียนคัพ 2014 ที่จัดขึ้น ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยเขาได้มีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์พาทีมเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง 2015 ที่ประเทศแคนาดาได้สำเร็จ", "title": "เสกสรรค์ เสวกสูตร" }, { "docid": "82210#9", "text": "\"Red Cliff\" (2008) คือผลงานมหากาพย์สงครามเรื่องล่าสุดของจอห์น นับว่าเป็นภาพยนตร์จีนเรื่องแรกของเขาในรอบ 15 ปีที่เขาไปทำหนังอเมริกา นำแสดงโดย เหลียงเฉาเหว่ย, ทาเคชิ คาเนชิโร, จางฟงอี้, จางเจิ้น, เจ้าเวย, ฮูจุน, หยูหยง โดยมีทุนสร้างกว่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจอห์นทำหน้าที่ทั้ง กำกับ, เขียนบท และอำนวยการสร้าง โดยสร้างจากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง สามก๊ก ซึ่งได้ยกเอาเหตุการณ์สำคัญๆในเรื่อง คือ ศึกผาแดง มาถ่ายทอดโดยแบ่งออกฉายเป็นสองภาค", "title": "จอห์น วู" }, { "docid": "352472#7", "text": "3.ผลิตผลเพื่อนการอยู่การกิน การจับจ่ายใช้สอย หรือผู้ทำงานด้านกสิกรรม การค้า หรือการผลิตต่างๆ ให้เป็นหน้าที่ของวรรณะแพศย์", "title": "ประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง" }, { "docid": "56714#28", "text": "การทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อพระเจ้าแผ่นดินยังทรงพระเยาว์ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่ก่อนนั้นพระเจ้าแผ่นดินทรงปรึกษาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วจึงเสด็จออกท้องพระโรงแล้วมีรับสั่งเอง แต่การทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในครั้งนี้อำนาจเด็จขาดทั้งหมดอยู่ที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงต้องคิดวิธีว่าราชการบ้านเมืองในหน้าที่ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักในการปฏิบัติสืบต่อไป ดังนั้น ในการจัดระเบียบราชการครั้งนี้จึงอาศัยแนวคิด 2 ประการ คือ ประการแรก การบังคับบัญชาข้าราชการบ้านเมืองนั้น ไม่ได้เอาอำนาจไว้แต่ในตัวผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น แต่เป็นไปด้วยการปรึกษาหารือพร้อมเพรียงกันของข้าราชการผู้ชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารซึ่งจะมีการประชุมกัน ณ หอวรสภาภิรมย์ ภายในพระบรมมหาราชวัง ประการที่สอง คือ การฝึกหัดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสามารถว่าราชการบ้านเมืองได้เอง[26][27]", "title": "สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)" }, { "docid": "916950#6", "text": "ผู้หญิงตอบสนองต่อโรซีคนตอกหมุดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเชื่อว่าพวกเขามีหน้าที่ที่ต้องทำมนฐานะคนรักชาติ บางคนอ้างว่าเธอเปิดโอกาสทำงานสำหรับผู้หญิง แต่คนอื่น ๆ โต้แย้งประเด็นนี้ โดยสังเกตว่าหลังสงครามผู้หญิงหลายคนต้องออกจากงานและงานถูกส่งกลับไปยังผู้ชาย นักวิจารย์อ้างว่าเมื่อสงครามจบลง ผูหญิงส่วนใหญ่จะกลับไปทำงานบ้านหรืองานเลขา บางคนเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่สองเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของผู้หญิง ในขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนเน้นย้ำว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวและทันทีหลังสงครามจบลง ผู้หญิงคงกลับไปทำหน้าที่ภรรยาและแม่ บางคนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่สงครามนำพามาเป็นพื้นฐานของการเคลื่อนไหวของสตรี", "title": "โรซีคนตอกหมุด" }, { "docid": "797929#5", "text": "ปัจจุบันสถาบันไทยคดีศึกษาทำหน้าที่เป็นสถาบันวิจัยด้านไทยศึกษา มีบทบาทหน้าที่ในการค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับสังคมไทย ควบคู่ไปกับการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมและการเผยแพร่ความรู้สู่สังคมในรูปแบบต่างๆ ภายใต้ปรัชญา “เข้าใจอดีต รู้ทันปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคต” พร้อมกันนั้นสถาบันมีนโยบายที่จะสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และสมานฉันท์ ปลูกฝังคุณธรรม/จริยธรรมแก่เยาวชน ส่งเสริมการศึกษาศิลปวัฒนธรรมโดยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกับไทย และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับองค์กรต่างๆ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและนานาชาติ", "title": "สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "45646#19", "text": "เป็นประติมากรรมวัว ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางของปราสาทประธานเคียงข้างกับศิวลึงค์ โคนนทิ ([Nandin]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) คือ พาหนะของพระศิวะ โคนนทิเป็นบุตรของพระกัศยปกับโคสุรภี พระศิวะเห็นโคสุรภีก็อยากจะได้เป็นบริวารแต่รังเกียจว่าเป็นเพศเมีย พระกัศยปจึงอาสาผสมพันธุ์กับโคสุรภี จึงให้กำเนิดเป็นวัวเพศผู้ชื่อว่า \"นนทิ\" แล้วถวายเป็นบริวารของพระศิวะ ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูวิมานบนเขาไกรลาสด้านทิศตะวันออกคู่กับมหากาลและทำหน้าที่เป็นเทพพาหนะเมื่อพระศิวะเสด็จออกภายนอก", "title": "อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง" }, { "docid": "987929#0", "text": "เวรียเมียเปร์วืยฮ์ () เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์แนวชีวิตจากประเทศรัสเซียเกี่ยวกับนักบินอวกาศ อะเลคเซย์ เลโอนอฟ บุคคลคนแรกของโลกที่เดินบนอวกาศ ซื่งเลโอนอฟยังได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ \"เวรียเมียเปร์วืยฮ์\" กำกับโดย Dmitriy Kiselev และ อำนวยการสร้างร่วมโดย Timur Bekmambetov และ Yevgeny Mironov ซึ่งต่อมาเขาได้รับบทนำ", "title": "เวรียเมียเปร์วืยฮ์" }, { "docid": "626684#6", "text": "ดวงนภาเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูชัยให้แก่ทีมชาติไทย เมื่อครั้งที่พบกับฟุตบอลหญิงทีมชาติเมียนมาร์ ในการแข่งขันฟุตบอลหญิงเอเชียนคัพ 2014 ที่จัดขึ้น ณ ประเทศเวียดนาม และเธอเป็นผู้ทำหน้าที่ร่วมกับทีมชาติไทย เมื่อครั้งที่พบกับฟุตบอลหญิงทีมชาติเวียดนาม ซึ่งเป็นทีมเจ้าภาพการแข่งขันรายการดังกล่าว โดยทีมของได้เธอเป็นฝ่ายชนะที่ 2 ประตูต่อ 1 ส่งผลให้ทีมชาติไทยได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง 2015 ที่ประเทศแคนาดาได้เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์", "title": "ดวงนภา ศรีตะลา" }, { "docid": "537454#1", "text": "ในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปิซาร์โรได้ทำประตู 133 ประตู โดยทำลายสถิติของเอลเบอร์ จีอูวาเน ทำให้ปิซาร์โร เป็นนักฟุตบอลชาวต่างชาติที่ทำประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันฟุตบอลในประเทศเยอรมนี ในการแข่งขันนัดระหว่างแวร์เดอร์เบรเมิน กับ โบรุสเซียเมินเชนกลัดบัค ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 ปิซาร์โร ได้เป็นผู้เล่นกองหน้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบุนเดิสลีกา ด้วยการทำประตูมากถึง 166 ประตู", "title": "คลาวดีโอ ปีซาร์โร" }, { "docid": "258785#3", "text": "รองประธานาธิบดีอินเดียเป็นนายกราชยสภาโดยตำแหน่ง ส่วนอุปนายกราชยสภานั้นเป็นสมาชิกราชยสภาคนหนึ่งที่ได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกด้วยกันเอง และจะทำหน้าที่กำกับการบริหารและการทำงานตามปกติของราชยสภา รวมทั้งทำหน้าที่ประธานการประชุมในวาระเมื่อรองประธานาธิบดี (นายกราชยสภา) ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ ราชยสภานี้เปิดประชุมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) ตรงกับสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ของไทย", "title": "ราชยสภา" }, { "docid": "85156#13", "text": "ในอาณาจักรแถบคาบสมุทรเกาหลีได้มีระบบขันทีเช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า แนซี () ซึ่งทำหน้าที่สนองพระราชบัญชาพระมหากษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ซึ่งปรากฏการมีอยู่ของขันทีครั้งแรกใน \"โครยอซา\" ( \"ประวัติศาสตร์โครยอ\") ซึ่งบันทึกเรื่องราวช่วงยุคโครยอ และต่อมาในยุคราชวงศ์โชซอน ระบบแนซีได้ถูกแก้ไข และเปลี่ยนแปลงเรียกว่า กรมแนซี ()", "title": "ขันที" }, { "docid": "586268#3", "text": "ภายหลังจากการศึกษาของเขาในสาขาภาษาเยอรมันและวรรณคดี, ประวัติศาสตร์ และพลศึกษาในมิวนิก แฮร์มันน์ รีเดอร์ ก็ได้มีบทบาทในฐานะผู้ช่วยศาสตรารย์ที่มหาวิทยาลัยเวือร์ซบูร์ก ตั้งแต่ ค.ศ. 1968 ถึง 1994 เขาได้ทำการชี้แนะแก่สถาบันการพลศึกษาที่มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ที่ซึ่งในภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันกีฬาและวิทยาศาสตร์การกีฬาใน ค.ศ. 1973 พร้อมกันนี้ เขายังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งชาติ ที่ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการตั้งแต่ ค.ศ. 1970 ถึง 1973 จุดสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญด้านการทำงานของเขาได้รวมถึงการก่อตั้งวิทยาศาสตร์การกีฬาในฐานะกฎระเบียบทางวิทยาศาสตร์และการสนับสนุนส่งเสริมการเล่นกีฬาสำหรับคนพิการ นอกจากนี้ รีเดอร์ยังเป็นเลขาธิการของสมาคมจิตวิทยาการกีฬานานาชาติ", "title": "แฮร์มันน์ รีเดอร์" }, { "docid": "513527#0", "text": "แหล่งปฐมภูมิ ในการศึกษาประวัติศาสตร์เป็นสาขาวิชาการ คือ สิ่งประดิษฐ์ เอกสาร บันทึกหรือแหล่งสารสนเทศอื่นที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่กำลังศึกษา ทำหน้าที่เป็นแหล่งสารสนเทศต้นฉบับเกี่ยวกับหัวข้อนั้น นิยามคล้ายกันยังใช้ในบรรณารักษศาสตร์ และสาขาวิชาการอื่น ในวารสารศาสตร์ แหล่งปฐมภูมิสามารถเป็นบุคคลที่มีความรู้สถานการณ์โดยตรง หรือเอกสารที่สร้างโดยบุคคลดังกล่าว", "title": "แหล่งปฐมภูมิ" }, { "docid": "154267#0", "text": "ง่อก๊กไถ้ (; ) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในยุคสามก๊ก ง่อก๊กไถ้ไม่ใช่ชื่อบุคคล แต่เป็นชื่อเรียกขาน มีความหมายว่า \"ผู้เป็นใหญ่แห่งง่อก๊ก\" เดิมมีชื่ออย่างไรไม่ปรากฏ เป็นพระมเหสีองค์ที่สองของซุนเกี๋ยน ทรงเป็นน้องสาวของงอฮูหยิน ภรรยาหลวงของซุนเกี๋ยน ผู้เป็นแม่แท้ ๆ ของซุนเซ็กและซุนกวน เมื่อพี่สาวเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ นางได้ฝากซุนกวน บุตรชายคนที่สองที่เพิ่งขึ้นครองแคว้นให้งอก๊กไถ้ดูแลด้วย ซึ่งงอก๊กไถ้ก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี จนซุนกวนนับถือนางเหมือนแม่แท้ ๆ ของตัว", "title": "งอก๊กไถ้" }, { "docid": "147755#19", "text": "ผนึกกำลัง สองสิงห์ บนหน้าประวัติศาสตร์สโมสรฟุตบอลจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อ คุณสมพร สิงห์รื่นรมย์ นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของธุรกิจจำหน่ายอะไหล่รถจักรยานยนต์รายใหญ่หลายสาขา และเจ้าของฟุตบอลหญ้าเทียม สองสิงห์ อารีน่า สปอร์ตคลับ ได้ก้าวเข้ามานั่งแท่นรองประธานสโมสรฯ พร้อมทำหน้าที่ผู้จัดการทีม", "title": "สโมสรฟุตบอลจังหวัดสมุทรปราการ" }, { "docid": "166369#18", "text": "กองทัพเยอรมันมีความเหนือกว่ากองทัพโปแลนด์ ทั้งทางด้านจำนวน และด้านคุณภาพ ทั้งยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมการรบครั้งนี้ กองทัพบกเยอรมันได้แบ่งรถถังจำนวน 2,400 คัน ออกเป็น 6 กองพลแพนเซอร์ และใช้หลักนิยมทางทหารแบบใหม่เพื่อใช้ในการรบ ซึ่งเป็นการนำกองพลยานเกราะไปปฏิบัติการร่วมกับทหารหน่วยอื่น ๆ มีหน้าที่หลัก คือ เจาะผ่านแนวรบของศัตรู แยกศัตรูออกจากกัน แล้วจึงปิดล้อมและทำลาย หลังจากนั้นหน่วยทหารยานยนต์ประเภทอื่น ๆ และทหารเดินเท้าจึงจะติดตามไป ส่วนกองทัพอากาศทำหน้าที่ยึดครองน่านฟ้าทั้งโดยยุทธศาสตร์และยุทธวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดซึ่งทำหน้าที่ทำลายแหล่งเสบียงและการคมนาคมของศัตรู เมื่อรวมปฏิบัติการทั้งหมดเข้าด้วยกันจะได้เป็นรูปแบบการโจมตีสายฟ้าแลบ นักประวัติศาสตร์สองคน คือ บาซิล ลิดเดลล์ ฮาร์ตและ เอ. เจ. พี. เทย์เลอร์ ได้กล่าวว่า \"โปแลนด์เป็นสนามทดสอบการโจมตีสายฟ้าแลบอย่างเต็มรูปแบบ\" อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์อีกหลายคนไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้", "title": "การบุกครองโปแลนด์" }, { "docid": "980628#2", "text": "ภูมิรัฐศาสตร์มุ่งเน้นถึงอำนาจการเมืองในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะอาณาเขตทางน้ำและทางบกภายใต้ความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การทูต ในทางวิชาการภูมิรัฐศาสตร์ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์โดยอ้างถึงภูมิศาสตร์ภายใต้ความสัมพันธ์ทางการเมือง มีกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายนอกเหนือจากทางวิชาการที่แสดงถึงการคาดการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรและสถาบันเอกชนที่แสวงหาผลกำไร (เช่น นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และบริษัทที่ปรึกษา) หัวข้อของภูมิรัฐศาสตร์ประกอบด้วยความสัมพันธ์ระหว่างผลประโยชน์ของตัวกระทำการทางการเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ที่มุ่งเน้นถึงเนื้อที่ พื้นที่ หรือองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์อันเกี่ยวข้องกับการสร้างระบบภูมิรัฐศาสตร์ \"ภูมิรัฐศาสตร์เชิงวิพากษ์\" โจมตีทฤษฎีคลาสสิกทางภูมิรัฐศาสตร์โดยสะท้อนบทบาททางการเมืองหรือแนวคิดเพื่อมหาอำนาจในช่วงยุคและหลังยุคของจักรวรรดินิยม", "title": "ภูมิรัฐศาสตร์" }, { "docid": "255696#46", "text": "รอมเมิลได้คัดค้านการลอบสังหารฮิตเลอร์ ภายหลังสงคราม ภรรยาหม้ายของเขาได้ยืนยันว่า เขาเชื่อว่าความพยายามลอบสังหารนั้นจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ตามที่นักข่าวและนักเขียน William L. Shirer, รอมเมิลได้รู้เกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดและสนับสนุนให้ฮิตเลอร์ถูกจับกุมและขึ้นศาล นักประวัติศาสตร์ Ian Becket ได้ระบุว่า \"ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า รอมเมิลมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าและจำกัดในแผนลับ\" และสรุปได้ว่า เขาจะไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้คบคิดในผลลัพธ์ของความพยายามในวันที่ 20 กรกฎาคม ในขณะที่นักประวัติศาสตร์ Ralf Georg Reuth ได้เชื่อว่า \"ไม่มีร่องรอยของการมีส่วนร่วมใดๆของรอมเมิลในการสมรู้ร่วมคิด \" นักประวัติศาสตร์ Richard Evans ได้สรุปว่า เขารู้เรื่องแต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง", "title": "แผนลับ 20 กรกฎาคม" }, { "docid": "6175#27", "text": "การเป็นเจไดคือชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ในฐานะนิกายเจไดซึ่งต้องมีตวามรับผิดชอบสูง ขณะที่เจไดส่วนมากเป็นเจไดรักษาการ บางที่อาจทำหน้าที่พิเศษในบริเวณไม่มากก็น้อย แต่ในการเห็นพ้องต้องกันกับความสนใจของพวกเขาและการเลื่อน หรือเพราะพวกเขาถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่รับผิดชอบสำหรับพื้ที่ซึ่งต้องการหน่วยพิเศษทำ ด้วยการเป็นหน่วยพิเศษนี้มักกลายเป็นเจไดที่ไม่เหมือนคน ยิ่งกว่านั้น ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของกาแล็กซี่ เจไดบางคนจะทำหน้าที่ทางการทหารและสู้รบเคียงข้างกับกองกำลังของสาธารณรัฐ", "title": "เจได" }, { "docid": "373578#2", "text": "ชาวกัมพูชาเริ่มรู้จักการเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกข้าวได้ตั้งแต่เมื่อราว 2,000 ก่อนคริสตกาล สามารถทำเครื่องมือจากเหล็กได้ตั้งแต่ราว 600 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าที่อิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียจะแผ่เข้ามาถึงดินแดนแถบนี้ ในราวปีที่ 100 ก่อนคริสตกาล", "title": "ประวัติศาสตร์ยุคแรกของกัมพูชา" }, { "docid": "70992#2", "text": "ชาวกัมพูชาเริ่มรู้จักการเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกข้าวได้ตั้งแต่เมื่อราว 2,000 ก่อนคริสตกาล สามารถทำเครื่องมือจากเหล็กได้ตั้งแต่ราว 600 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าที่อิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียจะแผ่นเข้ามาถึงดินแดนแถบนี้ ในราวปีที่ 100 ก่อนคริสตกาล", "title": "ประวัติศาสตร์กัมพูชา" }, { "docid": "44382#5", "text": "คุณสิริกิติยาสนใจงานภัณฑารักษ์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันตั้งแต่ทำงานที่แอร์เมส หลังกลับเข้ามาพำนักในไทย จึงเข้าฝึกงานในกลุ่มงานวิชาการการอนุรักษ์ สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากรตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2559 และหลังจากฝึกงานเสร็จก็ได้รับการบรรจุเป็นเข้าข้าราชการระดับ 3 ของหน่วยงานดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ในตำแหน่งนักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มประวัติศาสตร์ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ช่วยราชการที่สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ในปี พ.ศ. 2560 คุณสิริกิติยารับหน้าที่ดูแลการก่อสร้างพระเมรุมาศสำหรับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในฐานะข้าราชการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 คุณสิริกิติยาเป็นผู้อำนวยการโครงการ \"วังน่านิมิต\" ซึ่งเก็บและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งจัดแสดงโดยใช้สื่อเทคโนโลยีในรูปแบบภาพ (visual language) เธอกล่าวเกี่ยวกับความเป็นมานิทรรศการนี้ว่า \"...นิทรรศการนี้จึงทำขึ้นด้วยความตั้งใจที่อยากให้เด็กรุ่นใหม่เห็นว่าประวัติศาสตร์กับปัจจุบันไปด้วยกันได้ และให้รู้สึกว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ไกลจากตัว\"", "title": "คุณสิริกิติยา เจนเซน" }, { "docid": "596784#4", "text": "นอกจากนี้ มนต์ชัยยังทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย ในการแข่งวอลเลย์บอลชายชิงแชมป์โลก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสุดท้าย ที่แคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย รวมถึงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ในการแข่งวอลเลย์บอลชายชิงแชมป์เอเชีย 2013 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ซึ่งทีมชาติไทยได้อันดับ 6 รวมถึงในการแข่งวอลเลย์บอลในซีเกมส์ 2013 ที่กรุงเนปยีดอ ประเทศพม่า โดยในรอบรองชนะเลิศ ทีมชาติไทยเป็นฝ่ายชนะทีมชาติเวียดนาม 3-0 เซต และในรอบชิงชนะเลิศ ทีมชาติไทยเป็นฝ่ายชนะทีมชาติอินโดนีเซีย 3-0 เซต ส่งผลให้ทีมชายของไทยคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 6 และเป็นการป้องกันแชมป์ซีเกมส์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์", "title": "มนต์ชัย สุภจิรกุล" } ]
4070
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก มีชื่อเต็มว่าอะไร?
[ { "docid": "32174#0", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก[1] (English: Queen Margrethe II of Denmark; มาร์เกรเธอ อเล็กซานดรีน ธอร์ฮิลดูร์ อิงกริด ; พระราชสมภพ 16 เมษายน พ.ศ. 2483) เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก ในฐานะที่เป็นพระราชธิดาองค์โตในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์กกับเจ้าหญิงอิงกริดแห่งสวีเดน พระนางทรงสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชบิดาในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2515 จากการสืบราชบัลลังก์ทำให้พระนางทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์กพระองค์แรกนับตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก พระประมุขแห่งสแกนดิเนเวียในช่วงปีพ.ศ. 1918 ถึงพ.ศ. 1955 ในยุคสหภาพคาลมาร์", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" } ]
[ { "docid": "32174#11", "text": "ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 18 พรรษาของเจ้าหญิง ในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2501 เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงได้รับตำแหน่งในสภาองคมนตรีเดนมาร์ก เจ้าหญิงทรงเป็นประธานในการประชุมสภาในช่วงที่พระมหากษัตริย์ทรงติดพระราชกิจ", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#4", "text": "เจ้าหญิงมาร์เกรเธอประสูติเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2483 ณ พระราชวังอามาเลียนบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกน เป็นพระราชธิดาพระองค์โตในเจ้าชายเฟรเดอริกและเจ้าหญิงอิงกริด มกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก พระราชบิดาของพระนางเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์กกับสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรีน และพระราชมารดาของพระนางเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในมกุฎราชกุมารกุสตาฟ อดอล์ฟแห่งสวีเดนกับมกุฎราชกุมารีมาร์กาเร็ต เจ้าหญิงประสูติเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากกองทัพนาซีเยอรมนีได้ทำการยึดครองเดนมาร์กในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2463", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#14", "text": "เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงมีความถนัดในภาษาเดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สวีเดนและเยอรมัน[4]", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#33", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กทรงได้รับแรงสนับสนุนให้ใส่ภาพประกอบในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 พระนางทรงส่งภาพทั้งหมดไปให้เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ผู้ซึ่งตกตะลึงเพราะความคล้ายคลึงกันของภาพวาดของพระนางกับแบบของเขาเอง ภาพของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ได้ตีพิมพ์ในฉบับแปลภาษาเดนมาร์ก ซึ่งวาดขึ้นใหม่โดยอีริค ฟราเซอร์ จิตรกรชาวอังกฤษ", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "519304#2", "text": "นักประวัติศาสตร์บางคนวิพากษ์วิจารณ์สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 ว่าทรงฝักใฝ่เดนมาร์กมากเกินไป และปกครองด้วยเผด็จการอย่างหนัก แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วพระองค์ทรงได้รับการยกย่องอย่างสูงในนอร์เวย์ และเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งในเดนมาร์กและสวีเดน พระองค์ทรงถูกแต่งเติมเรื่องราวในแง่ลบจากพงศาวดารทางศาสนาร่วมสมัย ว่าพระองค์ไม่ทรงมีความปราณี ทรงปราบปรามศาสนจักรเพื่อสร้างพระราชอำนาจของราชวงศ์", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#30", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอทรงเป็นผู้สูบบุหรี่จัด และพระนางทรงมีชื่อเสียงจากพฤติกรรมยาสูบของพระนาง[13] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 หนังสือพิมพ์ บี.ที. ของเดนมาร์กได้รายงานว่ามีประกาศจากสำนักพระราชวังที่ระบุว่าในอนาคตสมเด็จพระราชินีจะทรงสูบบุหรี่เฉพาะในเวลาส่วนพระองค์เท่านั้น", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#18", "text": "เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กในฐานะ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และทรงกลายเป็นพระประมุขสตรีพระองค์แรกภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระนางทรงได้รับการประกาศเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ ณ มุขเด็จแห่งพระราชวังคริสเตียนบอร์กโดยนายกรัฐมนตรีเจนส์ ออตโต คร้าก ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2515 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า \"พระมหากษัตริย์สวรรคต สมเด็จพระราชินีทรงพระเจริญ\" (The King is dead, long live the Queen!) สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงสละพระอิสริยยศทุกตำแหน่งของอดีตพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน ๆ ยกเว้นพระอิสริยยศในเดนมาร์ก ดังนั้นทรงขนานพระนามว่า ด้วยพระคุณของพระเจ้า, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก (ภาษาเดนมาร์ก: Margrethe den Anden, af Guds Nåde Danmarks Dronning) สมเด็จพระราชินีนาถทรงเลือกคติพจน์ประจำรัชกาลว่า", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#10", "text": "กระบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้เริ่มต้นในปีพ.ศ. 2490 ไม่นานหลังจากพระราชบิดาทรงครองราชบัลลังก์และกลายเป็นที่เข้าใจว่าสมเด็จพระราชินีอิงกริดไม่มีพระประสูติกาลพระบุตรมากไปกว่านี้อีกแล้ว ด้วยกระแสความนิยมในพระเจ้าเฟรเดอริคและพระราชธิดาทั้งสามพระองค์และบทบาทของสตรีในสังคมเดนมาร์กได้ปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ได้มีการเริ่มต้นกระบวนการที่ซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ข้อเสนอได้มีการผ่านเข้ารัฐสภาทั้งสองและจากนั้นด้วยการลงประชามติ ที่ซึ่งกำหนดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2496 พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กฉบับใหม่ได้อนุญาตให้สตรีสามารถสืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก ตามที่สิทธิของบุตรหัวปี ซึ่งสตรีสามารถสืบราชบัลลงก์ได้ถ้าหากไม่มีพระเชษฐาหรือพระอนุชา เจ้าหญิงมาร์เกรเธอในขณะนั้นจึงทรงกลายเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "519304#3", "text": "ปัจจุบันพระองค์ทรงถูกเรียกว่า \"มาร์เกรเธอที่ 1\" ในเดนมาร์ก เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับสมเด็จพระราชินีนาถองค์ปัจจุบัน ซึ่งทรงใช้พระนามว่า \"มาร์เกรเธอ\" เหมือนกัน ดังนั้นพระประมุของค์ปัจจุบันจึงทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก\nเจ้าหญิงมาร์เกรเธอประสูติในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1353 ทรงเป็นพระราชบุตรพระองค์ที่หก และเป็นองค์สุดท้องในพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์กกับเฮลวิกแห่งชเลสวิช เจ้าหญิงประสูติที่ปราสาทซอบอร์ก ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระราชบิดาของเจ้าหญิง ทรงกักขังพระราชินีเฮลวิก พระราชมารดา เจ้าหญิงทรงเข้ารับบัพติศมาที่รอสกิลด์ และในปีค.ศ. 1359 ขณะมีพระชนายุ 6 พรรษา ทรงหมั้นหมายกับพระเจ้าโฮกุนที่ 6 แห่งนอร์เวย์ วัย 18 พรรษา พระโอรสองค์สุดท้องในพระเจ้ามักนุสที่ 4 และที่ 6 แห่งสวีเดนและนอร์เวย์ตามลำดับ ในสนธิสัญญาการอภิเษกสมรสได้มีข้อตกลงให้กษัตริย์วัลเดมาร์แห่งเดนมาร์กทำการช่วยเหลือกษัตริย์มักนุสแห่งสวีเดนในการต่อต้านพระเจ้าอีริคที่ 12 แห่งสวีเดน พระโอรสในกษัตริย์มักนุสซึ่งในปีค.ศ. 1356 ทำการยึดครองดินแดนภาคใต้ของสวีเดน ซึ่งต่อต้านอำนาจพระราชบิดา การอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงมาร์เกรเธอแห่งเดนมาร์กจึงเป็นส่วนหนึ่งของการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มอาณาจักรนอร์ดิก มีความไม่พอใจถึงเหตุการณ์นี้ในกลุ่มแวดวงการเมืองต่างๆ นักกิจกรรมทางการเมืองอย่าง บริจิตแห่งสวีเดน ได้เขียนบรรยายถึงเหตุการณ์นี้ไปยังสมเด็จพระสันตะปาปาว่าเหมือน \"พวกเด็กๆเล่นตุ๊กตา\" เป้าหมายของกษัตริย์วัลเดมาร์ในการอภิเษกสมรสของพระธิดานี้คือการครอบครองแคว้นสคาเนีย ซึ่งถูกจำนองไปให้กับสวีเดนตั้งแต่ปีค.ศ. 1332 ในรัชสมัยกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ที่ 2 ตามแหล่งหลักฐานร่วมสมัยระบุว่า สนธิสัญญาการอภิเษกสมรสมีการระบุถึงข้อตกลงในการคืนปราสาทเฮลซิงบอรย์แก่เดนมาร์ก แต่สิ่งนี้ไม่เพียงพอสำหรับกษัตริย์วัลเดมาร์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1359 ทรงระดมกองทัพขนาดใหญ่กรีฑาทัพข้ามเออเรซุนด์และยึดครองแคว้นสคาเนีย การโจมตีทางตอนใต้ของสวีเดนนี้ถิอเป็นการแสดงให้เห็นว่าเดนมาร์กโจมตีกษัตริย์อีริคที่ 12 และสนับสนุนกษัตริย์มักนุส แต่ในเดือนเดียวกันนั้นกษัตริย์อีริคเสด็จสวรรคต เป็นผลให้สมดุลแห่งอำนาจเปลี่ยน ข้อตกลงระหว่างกษัตริย์วัลเดมาร์และกษัตริย์มักนุสถูกยกเลิกเสียสิ้น รวมถึงการเตรียมอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงมาร์เกรเธอและกษัตริย์โฮกุนแห่งนอร์เวย์ต้องยกเลิกไปด้วย", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#1", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอเสด็จพระราชสมภพในปีพ.ศ. 2483 แต่พระนางไม่ทรงเป็นทายาทโดยสันนิษฐานจนกระทั่งพ.ศ. 2496 เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กได้อนุญาตให้สตรีมีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์ได้ (หลังจากมีความชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าเฟรเดอริกไม่ทรงมีรัชทายาทที่เป็นบุรุษ) ในปีพ.ศ. 2510 ทรงอภิเษกสมรสกับอ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซาและมีพระราชโอรสสองพระองค์คือ เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์กและเจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์ก", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "519304#1", "text": "พระองค์เป็นพระราชธิดาองค์สุดท้องในพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์กกับพระนางเฮลวิกแห่งชเลสวิช พระองค์ประสูติที่ปราสาทซอบอร์ก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 ทรงเป็นผู้ที่โปรดการทรงงาน บริหารราชอาณาจักรด้วยความอดทนและเป็นนักการทูตผู้มีชั้นเชิง ทรงเป็นผู้ที่มีปณิธานอย่างแรงกล้าในการรวมสแกนดิเนเวียให้เป็นรัฐอัตลักษณ์หนึ่งเดียวและมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะแข่งขันทางอำนาจกับสันนิบาตฮันเซอ พระองค์ไม่ทรงมีรัชทายาทตามสายพระโลหิตที่จะมาสืบบัลลังก์ต่อ ด้วยพระโอรสเพียงพระองค์เดียวได้สิ้นพระชนม์ลงเสียก่อนที่พระองค์จะครองราชย์ แม้ว่านักประวัติศาสตร์เชื่อว่าพระองค์ทรงมีพระราชธิดานอกสมรสอีกพระองค์หนึ่งอันประสูติแต่อับราฮัม บรอเดอร์สัน ที่ปรึกษาชาวสวีเดนคนสนิทของพระนาง อย่างไรก็ตามสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 ทรงใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดในการประคับประคองกษัตริย์พระองค์ต่อไปซึ่งไร้ความสามารถ โดยทรงอบรมและให้ความรู้แก่อีริคแห่งพอเมอเรเนีย และเจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งอังกฤษ พระชายาของพระองค์ อีริคแห่งพอเมอเรเนียเป็นพระนัดดา (หลานยาย) ของพระเชษฐภคินีในพระนางมาร์เกรเธอ โดยพระนางมาร์เกรเธอที่ 1 ทรงครองราชย์ร่วมกันกับอีริคแห่งพอเมอเรเนีย เป็นพระเจ้าอีริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก ทำให้มีพระประมุขสองพระองค์ สมเด็จพระราชินีฟิลิปปาเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมภายใต้การอบรมของพระองค์ แต่สิ้นพระชนม์เร็วเกินไป ในที่สุดสหภาพที่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 ทรงพยายามอย่างมากที่จะรักษาไว้สืบไปต้องสลายตัวลงอย่างช้าๆ", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "402298#0", "text": "เจ้าหญิงอิซาเบลลา เฮนเรียตตา อิงกริด มาร์เกรเธอแห่งเดนมาร์ก, เคาน์เตสแห่งมงเปอซา (21 เมษายน พ.ศ. 2550) พระธิดาพระองค์แรกในเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก กับเจ้าหญิงแมรี มกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก เป็นพระราชนัดดาองค์ที่สี่ และเป็นพระราชนัดดาหญิงพระองค์แรกในสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทั้งยังเป็นพระภาคิไนยในสมเด็จพระราชินีอันเนอ-มารีแห่งกรีซ", "title": "เจ้าหญิงอิซาเบลลาแห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#40", "text": "Media related to สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก at Wikimedia Commons", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#27", "text": "ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงจัดพระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 40 ปี (Ruby Jubilee)[7] พระราชพิธีนี้ประกอบด้วยขบวนรถม้าและการสัมภาษณ์จากโทรทัศน์จำนวนมาก พระราชอาคันตุกะที่มาร่วมพระราชพิธีนี้รวมทั้ง สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์และสวีเดน อดีตสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ และประธานาธิบดีแห่งฟินแลนด์ เป็นต้น [8]", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#29", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงเป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จ และทรงจัดแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา[9] ภาพประกอบของพระนางภายใต้นามแฝงว่า \"อินกาฮิลด์ กราธเมอร์\" เคยนำมาใช้ประกอบในนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ฉบับภาษาเดนมาร์กที่ตีพิมพ์ในปีพ.ศ. 2520 และตีพิมพ์ใหม่ในปีพ.ศ. 2545 ในปีพ.ศ. 2543 พระนางทรงใส่ภาพประกอบลงในหนังสือ Cantabile ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมบทกวีที่พระราชนิพนธ์ขึ้นโดยเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี พระนางยังคงประสบความสำเร็จในฐานะนักแปลและทรงมีส่วนร่วมในการแปลนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในภาษาเดนมาร์ก[9] ทักษะอื่น ๆ นอกำจากนี้ที่ทรงมีคือการออกแบบเครื่องแต่งกาย ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายในคณะบัลเล่ต์หลวงเดนมาร์กในเรื่องA Folk Taleและในปีพ.ศ. 2552 ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่อง \"De vilde svaner\" (the Wild Swans; ห่านป่า) ของผู้กำกับปีเตอร์ ฟลินธ์[10] พระนางยังทรงออกแบบฉลองพระองค์ของพระนางเองด้วยและเป็นที่รู้จักสำหรับฉลองพระองค์ของพระนางที่มีสีสันและบางครั้งทรงเลือกฉลองพระองค์แปลก ๆ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอยังทรงฉลองพระองค์ที่ออกแบบโดยอดีตดีไซนเนอร์ของปิแยร์ บาลเมนคือ อีริค มอร์เทนเซน, จอร์เกน เบนเดอร์, และเบอร์จิเต ทูโลว์[11] พระนางทรงได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 50 คนที่สวมชุดได้ดีที่สุดในช่วงวัย 50 ปีขึ้นไปของนิตยสารการ์เดียนในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556[12]", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#41", "text": "หมวดหมู่:สมเด็จพระราชินีนาถ หมวดหมู่:บุคคลจากโคเปนเฮเกน หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์เดนมาร์ก หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ในปัจจุบัน หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ร.ม.ภ. หมวดหมู่:เจ้าหญิงเดนมาร์ก หมวดหมู่:เลดีออฟเดอะการ์เตอร์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "323907#3", "text": "พระองค์เป็นพระราชขนิษฐาในสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก พระกษัตรีย์องค์ปัจจุบันแห่งเดนมาร์ก และพระองค์ยังเป็นพระญาติวงศ์ในสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสวีเดนองค์ปัจจุบัน", "title": "สมเด็จพระราชินีอันเนอ-มารีแห่งกรีซ" }, { "docid": "854545#0", "text": "อะเล็กซานดรินแห่งแมคเคลนบูร์ก - เชควริน สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก เป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์ก พระองค์และพระราชสวามีมีพระราชโอรสร่วมกัน 2 พระองค์ คือสมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดริคที่ 9 แห่งเดนมาร์กและเจ้าชายคนุด รัชทายาทแห่งเดนมาร์ก ทั้งนี้ พระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชอัยยิกาในพระราชนัดดา 6 พระองค์ คือสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงเบเนดิกเทอแห่งเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีอันเนอ-มารีแห่งกรีซ เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งเดนมาร์ก เคานต์อิงกอล์ฟแห่งโรเซินบอร์ก และ เคานต์คริสเตียนแห่งโรเซินบอร์ก พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยพระชนมายุ 55 พรรษา", "title": "อะเล็กซานดรินแห่งแมคเคลนบูร์ก-เชควริน สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "355025#0", "text": "เจ้าหญิงอเล็กเซียแห่งกรีซและเดนมาร์ก (, ประสูติ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2508) พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ กับสมเด็จพระราชินีอันเนอ-มารีแห่งกรีซ พระชนกของพระองค์เป็นพระอนุชาในสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน ส่วนพระชนนีของพระองค์เป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก", "title": "เจ้าหญิงอเล็กเซียแห่งกรีซและเดนมาร์ก" }, { "docid": "289252#0", "text": "เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก พระราชสวามี ในสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก (พระนามเต็ม: อ็องรี มารี ฌ็อง อ็องดร์ เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซา; 11 มิถุนายน พ.ศ. 2477 - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561) สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก พระองค์ประสูติที่เมืองตาลงซ์ แคว้นกีรงด์ สาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นโอรสในเคาต์อ็องดร์ เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซา และเรอเน ดูร์เซโน อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมาร์เกรเธอแห่งเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1967 ในขณะที่มีพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงผู้เป็นทายาทโดยสันนิษฐานแห่งราชบัลลังก์เดนมาร์ก", "title": "เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก พระราชสวามี" }, { "docid": "32174#20", "text": "พระนางมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 มีพระราชดำรัสว่า", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#9", "text": "เมื่อครั้งประสูติ พระราชวงศ์ฝ่ายชายสามารถสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กได้ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของพระราชบัญญัติการสืบราชสันตติวงศ์ที่มีการประกาศใช้ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1850 เมื่อสายราชสกุลกลึคส์บูร์กได้รับเลือกให้สืบราชสันตติวงศ์ต่อจากราชวงศ์โอลเดนบวร์ก ในฐานะที่เจ้าหญิงมาร์เกรเธอไม่มีพระเชษฐาหรือพระอนุชา ได้มีการสันนิษฐานว่าพระปิตุลาของเจ้าหญิงคือ เจ้าชายคนุดแห่งเดนมาร์ก จะได้สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กในวันใดวันหนึ่ง", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#8", "text": "ในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2490 พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 เสด็จสวรรคตและพระราชบิดาของเจ้าหญิงมาร์เกรเธอได้ครองราชบัลลังก์สืบต่อในพระนาม \"พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์ก\"", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "519304#0", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 1 แห่งเดนมาร์ก (, , , ; 15 มีนาคม ค.ศ. 1353 - 28 ตุลาคม ค.ศ. 1412) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินี (พระมเหสี) แห่งนอร์เวย์ (ค.ศ. 1363 - 1380) และสวีเดน (ค.ศ. 1363 - 1364) และจากนั้นทรงเป็นพระประมุขตามสิทธิในราชบัลลังก์ของเดนมาร์ก นอร์เวย์และสวีเดน ซึ่งในภายหลังนี้เกิดความคลุมเครือและสับสนถึงการเรียกพระอิสริยยศของพระองค์ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 ทรงเป็นผู้ก่อตั้งสหภาพคาลมาร์ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมทั่วคาบสมุทรสแกนดิเนเวียเป็นระยะเวลากว่าศตวรรษ พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่ทรงปัญญา ขะมักเขม้นและมีความสามารถ ทรงได้รับพระสมัญญาว่า \"เซมิรามิสแห่งอุดรทิศ\" (Semiramis of the North) หรือ \"เลดี้คิง\" (the Lady King) แม้ว่าพระนามชื่อหลังนี้เป็นพระนามที่เย้ยหยันอันมาจากศัตรูของพระองค์ คือ อัลเบิร์ตแห่งเมคเลินบวร์ค แต่กลับกลายว่าชื่อนี้เป็นที่นิยมใช้เมื่อมีการกล่าวถึงความสามารถของพระองค์", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "843390#3", "text": "สมเด็จพระราชชนนีอึนตอมบีเป็นที่รู้จักแพร่หลายในโลกตะวันตก โดยพระองค์ถือเป็นหนึ่งในสามพระราชินีที่ครองราชย์อยู่ ได้แก่ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร", "title": "สมเด็จพระราชินีอึนตอมบี พระราชชนนี" }, { "docid": "28335#18", "text": "นอกจากนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยังใช้รับรอง และพระราชทานเลี้ยงแก่พระราชอาคันตุกะ อาทิเช่น สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์แห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก แห่งประเทศเดนมาร์ก อินฟันตาเอเลนา ดัชเชสแห่งลูโก แห่งประเทศสเปน สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เจ้าชายฟุมิฮิโตะ เจ้าอะกิชิโนะแห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น [2]", "title": "พระราชวังบางปะอิน" }, { "docid": "519304#7", "text": "บทบาทแรกของสมเด็จพระราชินีมาร์เกรเธอแห่งนอร์เวย์หลังการสวรรคตของพระราชบิดาในปี ค.ศ. 1375 คือ การเตรียมการจัดการเลือกตั้งกษัตริย์ให้เจ้าชายโอลาฟแห่งนอร์เวย์ พระโอรสวัยทารกของพระนางขึ้นเป็นกษัตริย์เดนมาร์ก ทั้งๆที่สิทธิในบัลลังก์ควรเป็นของดยุกเฮนรีที่ 3 แห่งเมคเลินบวร์ค พระสวามี และอัลเบิร์ต พระโอรสของเจ้าหญิงอิงเกบอร์กแห่งเดนมาร์ก ดัชเชสแห่งเมคเลินบวร์ค พระเชษฐภคินีของพระนางมาร์เกรเธอที่สิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้ว พระนางมาร์เกรเธอทรงยืนยังต่อขุนนางว่า เจ้าชายโอลาฟจะได้รับการประกาศให้เป็นรัชทายาทโดยชอบธรรมแห่งราชบัลลังก์สวีเดนและตำแหน่งต่างๆ ซึ่งกษัตริย์โอลาฟที่ 2 ทรงพระเยาว์เกินกว่าจะปกครองแผ่นดิน และสมเด็จพระราชินีมาร์เกรเธอทรงสามารถพิสูจน์พระองค์เองว่าเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจและชาญฉลาดในช่วงหลายปีนี้ กษัตริย์โฮกุน พระสวามีของพระนางสวรรคตในปีค.ศ. 1380 กษัตริย์โอลาฟจึงทรงสืบราชบัลลังก์นอร์เวย์ด้วย แต่กษัตริย์โอลาฟกลับสวรรคตอย่างกระทันหันในปีค.ศ. 1387 ขณะมีพระชนมายุ 17 พรรษา และพระนางมาร์เกรเธอซึ่งปกครองในนามของกษัตริย์ได้รับการสถาปนาเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งนอร์เวย์และเดนมาร์กในปีถัดมา พระนางทรงมีความสามารถทางการปกครองโดยทรงสามารถทวงคืนชเลสวิชมาจากเหล่าเคานท์แห่งฮ็อลชไตน์-เรนด์บวร์กได้ เคานท์แห่งฮ็อลชไตน์ถือครองชเลสวิชมาหลายชั่วอายุคนและต่อมาได้ดินแดนกลับคืนมาตามข้อตกลงนีบอร์ก ค.ศ. 1386 แต่ด้วยข้อตกลงที่เข้มงวดในสัญญาดังกล่าว กลายเป็นว่าราชสำนักเดนมาร์กได้ประโยชน์ทั้งหมดจากการทำข้อตกลงนี้ ด้วยข้อตกลงที่เข้มงวดนี้ ทำให้เหล่าขุนนางชาวจูตที่มักจะแข็งข้อต่อราชวงศ์เดนมาร์กสูญเสียกำลังสนับสนุนจากดินแดนชเลสวิชและฮ็อลชไตน์ เมื่อพระนางมาร์เกรเธอทรงแก้ปัญหาภายในอาณาจักรได้แล้ว พระนางจึงหันไปสนใจสวีเดน ซึ่งเกิดขุนนางที่ทำการแข็งข้อต่อกษัตริย์สวีเดน นำโดย บีร์เกอร์ (บุตรชายของบริจิตและพี่ชายของมาร์ธา) เตรียมพร้อมก่อกองกำลังต่อต้านกษัตริย์อัลเบรกท์ ผู้ไม่เป็นที่นิยม ขุนนางผู้มีอำนาจหลายคนเพียนสาส์นถึงพระนางมาร์เกรเธอว่า ถ้าพระนางช่วยสวีเดนกำจัดกษัตริย์อัลเบรกท์ พระนางจะได้รับการสถาปนาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางจึงทรงรีบรวบรวมกองทัพเข้ารุกรานสวีเดน", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#7", "text": "เมื่อเจ้าหญิงมาร์เกรเธอมีพระชนมายุ 4 ชันษาในปีพ.ศ. 2487 พระขนิษฐาพระองค์แรกประสูติคือ เจ้าหญิงเบเนดิกเทอแห่งเดนมาร์ก ซึ่งต่อมาเจ้าหญิงเบเนดิกเทอทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายริชาร์ดที่ 6 แห่งไซน์-วิตเกนสไตน์-เบอร์เลบูร์กและบางครั้งทรงพำนักที่เยอรมนี พระขนิษฐาองค์สุดท้องคือ เจ้าหญิงแอนน์-มารีแห่งเดนมาร์ก ประสูติในปีพ.ศ. 2489 ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ และปัจจุบันทรงพำนักอยู่ที่ลอนดอน", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" }, { "docid": "32174#34", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กกับเจ้าชายเฮนริกมีพระราชโอรสร่วมกัน 2 พระองค์ได้แก่", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" } ]
815
เอดส์ เกิดครั้งแรกที่ไหน ?
[ { "docid": "20779#0", "text": "รายการตัวย่อที่ใช้ในบทความนี้ AIDS: acquired immunodeficiency syndrome HIV: human immunodeficiency virus CD4+: CD4+ T helper cells CCR5: Chemokine (C-C motif) receptor 5 CDC: Centers for Disease Control and Prevention WHO: World Health Organization PCP: Pneumocystis pneumonia TB: Tuberculosis MTCT: mother-to-child transmission HAART: highly active antiretroviral therapy STI/STD: sexually transmitted infection/disease", "title": "เอดส์" } ]
[ { "docid": "12911#80", "text": "เจ้าหญิงไดอานาทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้ป่วยโรคเอดส์ตั้งแต่ พ.ศ. 2525[128] เป็นต้นมา ใน พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดศูนย์บริการสุขภาพเพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์แลนด์มาร์ก ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน[129][130] พระองค์ทรงไม่รังเกียจที่จะสัมผัสร่างกายผู้ป่วยเอดส์ ทั้งที่การแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อผ่านทางการสัมผัส[106][131][132] เจ้าหญิงจึงถือเป็นสมาชิกพระราชวงศ์อังกฤษพระองค์แรกที่ทรงสัมผัสผู้ป่วยโรคเอดส์[128] ทรงพยายามลบล้างความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์ โดยทรงกุมมือผู้ป่วยโรคเอดส์คนหนึ่งในระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเมื่อ พ.ศ. 2530 ทรงมีรับสั่งในเวลาต่อมาว่า “ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีไม่ได้น่ากลัวอย่างหลายคนคิด เราสามารถจับมือและโอบกอดพวกเขาได้ สวรรค์เท่านั้นที่ทรงรู้ว่าพวกเขาต้องการ ยิ่งกว่านั้น เรายังสามารถอยู่อาศัยในบ้านเดียวกันร่วมกับผู้ป่วยได้ ทำงานในสถานที่เดียวกันได้ ตลอดทั้งใช้สนามเด็กเล่นและของเล่นร่วมกันได้อีกด้วย”[101][133][134] เจ้าหญิงไดอานาทรงไม่พอทัยเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่โปรดให้พระองค์ทรงงานการกุศลเกี่ยวผู้ป่วยเอดส์ พร้อมทั้งทรงแนะนำให้เจ้าหญิงเลือกปฏิบัติพระราชกิจที่ “น่าอภิรมย์” มากกว่านี้[128]", "title": "ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์" }, { "docid": "12911#81", "text": "ตุลาคม พ.ศ. 2533 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดแกรนด์มาส์เฮาส์ ซึ่งเป็นสถานสงเคราะห์เพื่อเยาวชนที่ป่วยด้วยโรคเอดส์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา[135] และยังเคยเป็นองค์อุปถัมภ์กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลมิดเดิลเซ็กส์ และได้ทรงกอดผู้ป่วยคนหนึ่งที่แผนกผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งกลายเป็นภาพข่าวโด่งดังในเวลาต่อมา ระหว่างที่ทรงให้การอุปถัมภ์องค์การเทิร์นนิงพอยท์[101] ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุข และใน พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงทรงมีโอกาสเสด็จฯ ไปเยี่ยมชนโครงการของเทิร์นนิงพอยท์เพื่อผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและและผู้ป่วยเอดส์[136] ต่อมาทรงริเริ่มการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยเพื่อรักษาโรคเอดส์[17]", "title": "ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์" }, { "docid": "141515#10", "text": "เธอกล่าวว่าเธอมีจุดอ่อนในเรื่องของเด็กๆ เมื่อเธอเห็นเด็กจะสงสารอยู่เสมอ เมื่อได้รับทราบข่าวการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก ทำให้เธอเกิดแรงบันดาลใจขึ้นในการพัฒนายาเอดส์[12] แม้จะประสบอุปสรรคขัดขวางทั้งจากในและนอกองค์กร อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2538 เธอก็สามารถผลิตยาสามัญ \"ยาเอดส์\" ได้", "title": "กฤษณา ไกรสินธุ์" }, { "docid": "20779#1", "text": "เอดส์ หรือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม[8] (acquired immunodeficiency syndrome - AIDS)เป็นโรคของระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus, HIV) ทำให้ผู้ป่วยมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและการเกิดเนื้องอกบางชนิด เชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อผ่านทางการสัมผัสของเยื่อเมือกหรือการสัมผัสสารคัดหลั่งซึ่งมีเชื้อ เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด น้ำหลั่งก่อนการหลั่งอสุจิ และนมมารดา อาจติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด หรือทวารหนัก หรือช่องปาก, การรับเลือด, การใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน, ติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ คลอด ให้นม หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ ดังกล่าว", "title": "เอดส์" }, { "docid": "516913#0", "text": "มูลนิธิเอดส์ฮ่องกง (จีนตัวเต็ม: 香港愛滋病基金會; ) เป็นองค์กรการกุศลที่ไม่ใช่ภาครัฐที่ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มอาสาสมัครใน ค.ศ. 1991 โดยมีประธานคนปัจจุบันคือ ดร.เหลียง จื้อหง (梁智鴻) เมื่อได้มีการก่อตั้งมูลนิธิขึ้น ความเข้าใจของสาธารณชนที่มีต่อโรคเอดส์มีอยู่อย่างจำกัด และมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ (เช่น เข้าใจว่าโรคเอดส์เป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายโดยการสัมผัส) ซึ่งเป็นความเข้าใจโดยทั่วไป และได้นำสู่การช่วยเหลือในวงกว้างสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอดส์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางมูลนิธิมีพนักงานเต็มเวลา 13 ราย แต่ต้องอาศัยอาสาสมัครกว่า 300 ราย เพื่อรองรับการให้บริการ เช่น การรับสายด่วน, การตรวจเลือดและการให้คำปรึกษา และโครงการสนับสนุนที่พักอาศัยสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์", "title": "มูลนิธิเอดส์ฮ่องกง" }, { "docid": "20779#12", "text": "เชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวีเกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 cell/mm3", "title": "เอดส์" }, { "docid": "297317#5", "text": "ในปีพ.ศ. 2551 Christine Maggiore นักเคลื่อนไหวคนหนึ่งเสียชีวิตลงด้วยวัย 52 ปี ขณะที่รับการรักษาจากแพทย์ด้วยโรคปอดบวม โดย Maggiore มีบุตรสองคน เธอเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรเพื่อช่วยเหลือให้แม่ที่มีเชื้อเอชไอวีหลีกเลี่ยงการรับยาต้านไวรัสที่ลดความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก หลักจากบุตรสาวอายุ 3 ปีได้เสียชีวิตลงจากโรคปอดบวมที่เกิดจากเอดส์ในปี พ.ศ. 2548 แล้ว Maggiore ก็ยังเชื่ออยู่ว่าเอชไอวีไม่ใช่สาเหตุของเอดส์ และเธอกับสามีคือ Robin Scovil ฟ้อง Los Angeles County ร่วมกับคนอื่นในนามของบุตรสาวเรื่องการละเมิดสิทธิของบุตรสาวของเธอด้วยการเปิดเผยผลการชันสูตรศพที่ระบุว่าบุตรสาวเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ ผลการฟ้องศาลทำให้เขตปกครองต้องจ่าย Scovill เป็นเงิน 15,000 เหรียญในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 โดยไม่ยอมรับผิด คำตัดสินของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของลอสแอลเจลิสว่า Eliza Jane Scovill เสียชีวิตจากโรคเอดส์ยังคงได้รับการยอมรับจากคณะลูกขุนอยู่", "title": "แนวคิดปฏิเสธเอดส์" }, { "docid": "20779#50", "text": "ส่วนเชื้อฉวยโอกาส ที่สามารถตรวจพบในผู้ป่วยเอดส์มากที่สุด ได้แก่ เชื้อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดวัณโรค นั่นเอง", "title": "เอดส์" }, { "docid": "552982#9", "text": "ในศึก มันนีอินเดอะแบงก์ (2013) แดเมียน แซนดาว ได้เอาชนะนักมวยปล้ำทั้ง 6 คน และคว้ากระเป๋าสิทธิ์ชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวทมาได้สำเร็จ ทำให้มีสิทธิ์ที่จะขอท้าชิงแชมป์ ที่ไหน เมื่อไร เวลาใดก็ได้ เพียง 1 ครั้งเท่านั้น โดยในแมตช์แซนดาวได้หักหลังโคดี โรดส์ ทำให้ทั้งคู่เป็นศัตรูกัน", "title": "ซัมเมอร์สแลม (2013)" }, { "docid": "297317#4", "text": "ในปี พ.ศ. 2550 เว็บไซต์ aidstruth.org นำโดยนักวิจัยเรื่องเอชไอวีเพื่อต่อต้านคำอ้างของกลุ่มผู้มีแนวคิดปฏิเสธได้แสดงรายชื่อส่วนหนึ่งของผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์ที่เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ ตัวอย่างเช่น นิตยสาร Continuum ซึ่งเคยปฏิเสธการมีอยู่ของเอชไอวีและเอดส์มาตลอดต้องปิดตัวลงหลังจากบรรณาธิการของนิตยสารต่างเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ทั้งหมด ในทุกรายที่เสียชีวิตนั้น ชุมชนผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์ต่างลงความเห็นว่าเป็นการเสียชีวิตที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือจากการใช้ยาบางอย่างโดยลับ หรือความเครียด แทนที่จะเป็นจากเอชไอวีหรือเอดส์ เช่นเดียวกันมีอดีตผู้คัดค้านที่มีเชื้อเอชไอวีหลายคนถูกขับออกจากชุมชนผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์หลังจากที่มีอาการของเอดส์และเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส", "title": "แนวคิดปฏิเสธเอดส์" }, { "docid": "18892#2", "text": "จนกระทั่งตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 1980 ก็ได้เกิดยาต้านไวรัสขึ้นมาเป็นสิบๆ ตัว จากความเจริญ\nก้าวหน้าทางการแพทย์สาขาพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุลที่ทำให้เราเข้าใจโครงสร้างและการทำงานของเชื้อไวรัส ประกอบกับความกดดันทางการแพทย์ ที่จะต้องหาทางรักษาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus - HIV) ที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ (acquired immunodeficiency syndrome - AIDS) มีคนกล่าวว่าเราควรขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันกดดันเราอย่างมากให้ต้องพัฒนาเทคโนโลยีการต่อต้านไวรัส", "title": "ยาต้านไวรัส" }, { "docid": "145827#96", "text": "             ผู้ติดเชื้อเอดส์หรือผู้ป่วยเอดส์  ดูแลตนเองได้ ทำงานได้ตามปกติ เมื่อมีการเจ็บป่วย และมีอาการ เอดส์มากขึ้น  จากที่เคยทำงานได้ก็จะเริ่มลดน้อยลง  บางครั้งต้องหยุดงานบ่อย  จนกระทั่งตกงานถูกไล่ออกจากงาน  จากสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยต่องานอาชีพ  ซึ่งสภาวะดังกล่าวที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตเนื่องจากไม่มีรายได้ที่ต้องเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว  สภาวะของผู้ติดเชื้อเอดส์  เศร้าหมอง หดหู่  หมดหวัง  สิ้นหวัง ท้อแท้ บางครั้งหรือบางคนอาจคิดทำร้ายตนเอง การฆ่าตัวตายในการจัดบริการต้องใช้เทคนิคในการพูดคุยกับผู้ติดเชื้อมากขึ้น ปัญหาได้กลายเป็นภาระของสังคมที่หลายฝ่ายต้องมาร่วมรับผิดชอบการจัดบริการแก่ผู้ป่วย  การบริการสังคมสงเคราะห์  เป็นกลวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา และฟื้นฟูสภาพทางกาย  จิต สังคมของผู้ติดเชื้อเอดส์และครอบครัวได้   ทีมสุขภาพ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือในการหาหนทางที่จะจัดบริการ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์  ผู้ติดเชื้อเอดส์และครอบครัว อย่างมีประสิทธิภาพที่จะทำให้เขาเหล่านั้น สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขและไม่เกิดความรู้สึกที่ถูกสังคมทอดทิ้ง     สำหรับปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบ การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในครอบครัว ทำให้เด็กที่บิดามารดาติดเชื้อได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกเหนือจากการรักษาพยาบาลแล้ว โรงพยาบาลยังให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการสังคม เด็กกลุ่มนี้มีจำนวนหนึ่งที่ประสบปัญหาทางสังคม เด็กที่คลอดจากมารดาติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ที่มีผลกระทบต่อกระบวนการรักษาพยาบาลและคุณภาพชีวิต  บทบาทที่สำคัญของนักสังคมสงเคราะห์ คือการพัฒนาเครือข่ายการช่วยเหลือทางสังคม เป็นการพัฒนาการและสนับสนุน การรวมกลุ่มคนที่มีจิตอาสาที่จะเข้าร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนการดำเนินงานด้านเอดส์ที่เกี่ยวข้องกับมิติหลากหลาย กลุ่มคนเหล่านี้มาจากต่างองค์กร ต่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานเอดส์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานสาธารณสุข หน่วยงานปกครอง หน่วยงานศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน และอื่นๆ ดังนั้น การพัฒนาบุคลากรของเครือข่ายการช่วยเหลือทางสังคม จึงถือว่าเป็นภารกิจหนึ่งที่ต้องดำเนินการ", "title": "สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์" }, { "docid": "133073#17", "text": "กรรมการบริหารมูลนิธิกองทุนการกุศลสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี กรรมการในคณะอนุกรรมการประสานการปฏิบัติการแก้ปัญหาธุรกิจทางเพศ ของคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.) กรรมการในคณะอนุกรรมการศึกษา อาชีพ และวัฒนธรรมของ กสส. กรรมการในคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ประสานการปฏิบัติการช่วยเหลือ โสเภณีเด็ก ของ กสส. กรรมการในคณะอนุกรรมการกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของ กสส. กรรมการในคณะอนุกรรมการ การมีส่วนร่วมในทางสังคมและการเมืองของ กสส. กรรมการในคณะกรรมการดำเนินการเกี่ยวกับบุคคลเร่ร่อนขอทาน กระทรวง แรงงานและสวัสดิการสังคม - คณะอนุกรรมการประสานกิจกรรมองค์กรเอกชน ในคณะกรรมการอำนวยการ รณรงค์วันป้องกันโรคเอดส์ สำนักนโยบายและแผน กระทรวงสาธารณสุข คณะอนุกรรมการด้านป้องกันควบคุมโรคเอดส์ และการจัดบริการในชุมชน (คณะที่ 1) ในคณะกรรมการประสานงานป้องกันและควบคุม โรคเอดส์ กระทรวง สาธารณสุข คณะอนุกรรมการด้านประสานงานภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับโรคเอดส์ (คณะที่ 8) ในคณะกรรมการประสานงานป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ กระทรวงสาธารณสุข คณะอนุกรรมการด้านโรคเอดส์ ที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก (คณะที่ 10)", "title": "กนิษฐา วิเชียรเจริญ" }, { "docid": "12431#38", "text": "หลังจากที่เป็นประธานาธิบดี สัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของแมนเดลาคือการสวมเสื้อบาติก ที่เรียกกันว่า \"เสื้อมาดิบา\" แม้กระทั่งในงานพิธีการต่าง ๆ[70] ในการปฏิบัติการทางทหารของแอฟริกาใต้ครั้งแรกหลังจากยุติการแบ่งแยกสีผิว แมนเดลาสั่งการให้กองทัพเคลื่อนเข้าไปเลโซโท ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 เพื่อช่วยปกป้องรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Pakalitha Mosisili หลังจากที่มีการเลือกตั้งอันวุ่นวายและเกิดการประจันหน้ากันระหว่างฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ[71] นักวิจารณ์จำนวนมากรวมถึงนักรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ เช่น เอ็ดวิน คาเมรอน ได้วิพากษ์วิจารณ์แมนเดลาอย่างมากในความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลของเขากับการรับมือวิกฤตการณ์โรคเอดส์[72][73] หลังจากที่เขาเกษียณแล้ว แมนเดลายอมรับว่าเขาทำให้ประเทศต้องผิดหวังเนื่องจากมิได้ให้ความสำคัญกับการระบาดของเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เท่าที่ควร[74][75] นับแต่นั้นแมนเดลาได้ขึ้นพูดในหลายโอกาสเพื่อรณรงค์ต่อต้านการแพร่กระจายของโรคเอดส์[76][77]", "title": "เนลสัน แมนเดลา" }, { "docid": "133649#8", "text": "และเพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ", "title": "วันเอดส์โลก" }, { "docid": "212367#23", "text": "ในต้นทศวรรษ 1980 เอดส์เป็นโรคติดต่อที่ถูกเข้าใจว่าติดต่อเฉพาะในหมู่เกย์ เพราะพบครั้งแรกในหมู่สังคมเกย์ ในนิวยอร์กซิตีและซานฟรานซิสโก จึงเรียกว่าโรค “ความบกพร่องของภูมิคุ้มกันในหมู่เกย์” () ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของเชื้อ เอชไอวี/เอดส์ ในสหรัฐอเมริกา คนคิดว่าเป็นปัญหาของพวกรักร่วมเพศ และผู้วางนโยบายของรัฐส่วนใหญ่ยังเพิกเฉย การติดเชื้อของไวต์เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเอดส์ไม่ได้เกิดเฉพาะในกลุ่มคนรักร่วมเพศเท่านั้น ในการพูดสนับสนุนการศึกษาเรื่องเอดส์ ไวต์ยังปฏิเสธทุกคำวิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นรักร่วมเพศ", "title": "ไรอัน ไวต์" }, { "docid": "212367#24", "text": "บางคนมองว่าไวต์เป็น \"เหยื่อที่บริสุทธิ์\" ของการระบาดของโรคเอดส์ แต่ทั้งครอบครัวไวต์และตัวไวต์เองปฏิเสธการใช้คำว่า \"เหยื่อที่บริสุทธิ์\" เพราะคำนี้เป็นการบอกเป็นนัยยะว่า กลุ่มคนรักร่วมเพศเป็น \"ฝ่ายผิด\" แม่ของไวต์บอกกับ \"เดอะนิวยอร์กไทมส์\" ว่า \"ไรอันมักพูดว่า ผมก็เหมือนทุก ๆ คนที่เป็นเอดส์ ไม่สำคัญหรอกว่าผมติดโรคมาอย่างไร และเขาจะอยู่ไม่ได้นานอย่างนั้นถ้าปราศจากสังคมเกย์ คนที่เรารู้จักในนิวยอร์กต้องบอกเราเรื่องการรักษาล่าสุด ก่อนที่เราจะรู้จักวิธีนี้ในอินดีแอนาเสมอ ฉันได้ยินเหล่าคุณแม่ในทุก ๆ วันนี้ ว่าเขาจะไม่ทำงานเลยถ้าสังคมเกย์ยังไม่ได้รับอะไรที่ดี ถ้ามันเกิดขึ้นกับลูกชายคุณ คุณจะเริ่มเปลี่ยนใจและเปลี่ยนทัศนคติรอบ ๆ ข้าง\"", "title": "ไรอัน ไวต์" }, { "docid": "20779#28", "text": "การติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันระหว่างคู่นอนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อเอชไอวี การติดต่อของเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่ในโลกเป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศชายและหญิง[26][27][28]", "title": "เอดส์" }, { "docid": "20779#2", "text": "ปัจจุบันมีการระบาดของเอดส์ไปทั่วโลก องค์การอนามัยโลกได้ประมาณไว้เมื่อ พ.ศ. 2552 ว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์อยู่ประมาณ 33.3 ล้านคนทั่วโลก โดยแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ประมาณ 2.6 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ปีละ 1.8 ล้านคน องค์กร UNAIDS ประมาณไว้เมื่อ พ.ศ. 2550 ว่ามีผู้ป่วยเอดส์ในปีดังกล่าว 33.2 ล้านคนทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ 2.1 ล้านคน เป็นเด็ก 330,000 คน และ 76% ของผู้เสียชีวิตเป็นชาวแอฟริกาเขตใต้ทะเลยทรายซาฮารา รายงาน พ.ศ. 2552 ของ UNAIDS ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกแล้ว 60 ล้านคน เสียชีวิตแล้ว 25 ล้านคน เฉพาะในแอฟริกาใต้ที่เดียวมีเด็กทีต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าเพราะบิดามารดาเสียชีวิตจากโรคเอดส์ 14 ล้านคน นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาด", "title": "เอดส์" }, { "docid": "263522#0", "text": "เจอร์เมน เบ็คฟอร์ด เป็นกองหน้าดาวรุ่งชาวอังกฤษ เกิดวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1983 เล่นให้กับลีดส์ยูไนเต็ด เป็นดาวยิงความหวังสูงสุดของสโมสร เขาเริ่มต้นค้าแข้งกับเชลซีในชุดเยาวชน แต่ไปเล่นอาชีพอย่างเต็มตัวกับลีดส์ ยูไนเต็ดโดยในช่วงแรกยังไม่สามารถแจ้งเกิดได้ก่อนจะถูก สคันธอร์ปยูไนเต็ด และคาร์ลิเซิลยูไนเต็ดสโมสรในอังกฤษยืมตัวไปก่อนกลับมาลีดส์ และสามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวใน เอฟเอ คัพ รอบสามปี 2009 โดยเบ็คฟอร์ดยิงประตูชัยให้ลีดส์ชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไป 1-0 ซึ่งสร้างความฮือฮาไปทั่ววงการ รวมถึงทำคนเดียว 2 ประตูใน เอฟเอ คัพ รอบ 4 ฤดูกาลเดียวกันในเกมส์พบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเกมส์จบลงด้วยการเสมอกัน2-2 ก่อนที่จะไปรีเพลย์แพ้สเปอร์3-1 หลังจากนั้นก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมด้วยการยิงไปถึง 25 ประตูทำให้ลีดส์คว้าอันดับ 2 เลื่อนชั้นขึ้นสู่ เดอะแชมเปี้ยนชิพได้สำเร็จหลังตกชั้นเมื่อ 3 ปีก่อนทำให้เบ็คฟอร์ดตัดสินใจไม่ต่อสัญญาพร้อมกับย้ายไปเอฟเวอร์ตัน", "title": "เจอร์เมน เบ็คฟอร์ด" }, { "docid": "20779#47", "text": "การระบาดทั่วของเอดส์ใน Sub-Saharan Africa ยังเป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงมากที่สุดอยู่จนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2550 มีผู้ป่วยเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ 68% ของทั้งโลก และมีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ 76% ของทั้งโลก", "title": "เอดส์" }, { "docid": "297624#0", "text": "เชื้อเอชไอวีซึ่งทำให้เกิดโรคเอดส์นั้นมีแหล่งกำเนิดมาจากไพรเมทที่ไม่ใช่มนุษย์ใน sub-Saharan Africa ต่อมาจึงถ่ายทอดมายังมนุษย์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือต้นศตวรรษที่ 20", "title": "ประวัติศาสตร์เอชไอวี/เอดส์" }, { "docid": "297624#3", "text": "ก่อนหน้านี้เคยเชื่อกันว่า genetic recombination จะ \"กวน\" (confound) การวิเคราะห์ทาง phylogenetic เช่นนี้อย่างมาก แต่งานวิจัยในช่วงหลังทำให้เชื่อว่า recombination เหล่านี้ไม่น่าจะทำให้เกิด systematic bias แม้จะเชื่อว่าทำให้เกิด variance มากขึ้นก็ตาม ผลการวิจัยทาง phylogenetics สนับสนุนงานวิจัยในช่วงหลังที่เสนอว่าเชื้อเอชไอวีมีการกลายพันธุ์อย่าง \"ค่อนข้างน่าเชื่อถือ\" (fairly reliably).", "title": "ประวัติศาสตร์เอชไอวี/เอดส์" }, { "docid": "67504#19", "text": "น้ำอสุจิเป็นสื่อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากมายหลายอย่างรวมทั้งเอชไอวี ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์", "title": "น้ำอสุจิ" }, { "docid": "20779#56", "text": "เอชไอวี รายชื่อประเทศตามจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์", "title": "เอดส์" }, { "docid": "297317#11", "text": "[[หมวดหมู่:แนวคิดปฏิเสธเอดส์]]\n[[หมวดหมู่:วิทยาศาสตร์เทียม]]\n[[หมวดหมู่:ข้อถกเถียงทางการแพทย์]]\n[[หมวดหมู่:ทฤษฎีสมคบคิด]]\n[[หมวดหมู่:เอดส์]]", "title": "แนวคิดปฏิเสธเอดส์" }, { "docid": "20779#26", "text": "ผลบวกจากการตรวจด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสจะได้รับการยืนยันอีกครั้งด้วยการตรวจหาแอนติบอดี[14] การตรวจเอชไอวีที่ทำเป็นประจำในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก (อายุน้อยกว่า 2 ปี)[15] ที่มารดามีผลบวกเอชไอวีนั้นไม่เกิดประโยชน์เนื่องจากแอนติบอดีของแม่สามารถคงอยู่ในเลือดของเด็กได้ ดังนั้นในเด็กจึงต้องวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีด้วยวิธีปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสต่อโปรไวรัลดีเอ็นเอในลิมโฟซัยต์ของเด็ก[16]", "title": "เอดส์" }, { "docid": "297317#0", "text": "แนวคิดปฏิเสธเอดส์ (AIDS denialism) เป็นมุมมองของกลุ่มคนและองค์กรบางกลุ่มที่ปฏิเสธว่าเชื้อเอชไอวีเป็นสาเหตุของกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อมหรือเอดส์ ผู้มีแนวคิดปฏิเสธบางคนปฏิเสธการมีอยู่ของเชื้อเอชไอวี ในขณะที่บางคนยอมรับว่าเชื้อนี้มีจริง แต่เป็นเชื้อไวรัสอาศัยธรรมดาที่ไม่มีอันตราย และไม่ได้ทำให้เกิดเอดส์ แม้ผู้มีแนวคิดปฏิเสธจะยอมรับว่าเอดส์เป็นโรคที่มีอยู่จริง แต่ก็จะเชื่อว่าเป็นโรคที่เกิดจากการใช้ยาเสพติด ภาวะทุพโภชนาการ ปัญหาสุขอนามัย และผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัส แทนที่จะเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี", "title": "แนวคิดปฏิเสธเอดส์" }, { "docid": "49991#5", "text": "วัณโรคและโรคเอดส์ เป็นแนวร่วมมฤตยูที่สามารถเพิ่มผลกระทบให้มีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ติดเชื้อเอดส์ โดยผู้ติดเชื้อโรคเอดส์ จะมีผลกระทบต่อวัณโรค ทั้งในส่วนของการวินิจฉัยและการรักษา ซึ่งจะทำให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้นในด้านการรักษา ผู้ป่วยมักขาดยา กินยาไม่สม่ำเสมอ นำไปสู่การดื้อยา ทำให้มีอัตราการรักษาหายต่ำ และจะส่งผลให้อัตราการตายสูง นอกจากนี้ ยังพบอัตราการกลับเป็นวัณโรคซ้ำมากขึ้น รวมทั้ง นำเชื้อวัณโรคดื้อยาแพร่กระจายแก่ผู้อื่นได้ง่าย", "title": "วัณโรค" }, { "docid": "20779#55", "text": "นักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งกังขาในความเชื่อมโยงกันระหว่างเอชไอวีและเอดส์[95] การมีอยู่ของเชื้อเอชไอวี[96] หรือความน่าเชื่อถือของการรักษาในปัจจุบัน (บางครั้งถึงกับอ้างว่าการรักษาด้วยยานี้เองที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยเอดส์) แม้ข้ออ้างเหล่านี้จะถูกพิจารณาอย่างละเอียดและแย้งกลับโดยชุมชนวิทยาศาสตร์แล้วก็ตาม[97] แต่ก็ยังมีการกระจายความเชื่อเช่นนี้อยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต[98] และนำไปสู่ผลกระทบทางนโยบายในบางประเทศ อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ Thabo Mbeki ได้ยอมรับเอาแนวคิดปฏิเสธเอดส์มาใช้และนำไปสู่การตอบสนองอย่างไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลต่อการระบาดของเอดส์ที่ทำให้มีผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตนับแสนคน[99][100]", "title": "เอดส์" } ]
3078
สไปเดอร์-แมน ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ใด?
[ { "docid": "96522#1", "text": "ในตอนที่ไอ้แมงมุมได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 60 ในเวลานั้น ตัวละครที่เป็นวัยรุ่นในหนังสือการ์ตูนยอดมนุษย์ของอเมริกา มักจะมีบทบาทเทียบเท่าตัวประกอบเท่านั้น แต่การ์ตูนชุดไอ้แมงมุมได้พังกรอบเหล่านี้ออกไป โดยให้ตัวไอ้แมงมุม ซึ่งยังเป็นวัยรุ่นอยู่ มีบทบาทของวีรบุรุษตัวเอก ที่มี \"ความสนใจเฉพาะตัว พร้อมกับการถูกปฏิเสธ ความขัดสน และความอ้างว้าง\" ด้วยลักษณะเช่นนี้เอง ไอ้แมงมุมจึงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านอายุน้อยได้[10]", "title": "สไปเดอร์-แมน" } ]
[ { "docid": "740230#4", "text": "การเข้าใจน้ำบนดาวอังคารสำคัญต่อการประเมินศักยภาพของดาวในการรองรับสิ่งมีชีวิตและให้ทรัพยากรที่ใช้ได้สำหรับการสำรวจของมนุษย์ในอนาคต ด้วยเหตุนี้ \"ตามน้ำ\" จึงเป็นแก่นวิทยาศาสตร์ของโครงการสำรวจดาวอังคารของนาซาในทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 21 การค้นพบโดย 2001 มาร์สโอดิสซีย์ (2001 Mars Odyssey) มาร์สเอ็กซ์พลอเรชันโรเวอร์ส (Mars Exploration Rovers) มาร์รีคอนนิเซินออร์บิเตอร์ (Mars Reconnaissance Orbiter) และมาร์สฟีนิกซ์แลนเดอร์ (Mars Phoenix Lander) มีส่วนสำคัญในการตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับปริมาณและการกระจายของน้ำบนดาวอังคาร ส่วนโคจรมาร์สเอ็กซ์เพรส (Mars Express) ขององค์การอวกาศยุโรปยังให้ข้อมูลที่สำคัญในภารกิจนี้ มาร์สโอดิสซีย์ มาร์สเอ็กซ์เพรส โรเวอร์\"ออพพอร์ทูนิตี\" (\"Opportunity\") มาร์รีคอนนิเซินออร์บิเตอร์ และโรเวอร์ \"คิวริออสซิตี\" (\"Curiosity\") ยังส่งข้อมูลกลับจากดาวอังคาร และยังมีการค้นพบอยู่เรื่อย ๆ", "title": "น้ำบนดาวอังคาร" }, { "docid": "205607#0", "text": "อเล็กซานเดอร์ อเล็กซานโดรวิช ฟรีดมาน (; ) (16 มิถุนายน ค.ศ. 1888, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, จักรวรรดิรัสเซีย – 16 กันยายน ค.ศ. 1925, เลนินกราด, สหภาพโซเวียตรัสเซีย) เป็นนักคณิตศาสตร์และนักจักรวาลวิทยาชาวรัสเซียและสหภาพโซเวียต ผู้ค้นพบคำตอบของการขยายตัวของเอกภพจากสมการสนามของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในปี ค.ศ. 1922 สอดคล้องกับการสังเกตการณ์ของ เอ็ดวิน ฮับเบิล ในปี ค.ศ. 1929 บทความวิชาการของฟรีดมานใน ค.ศ. 1924 เรื่อง \"Über die Möglichkeit einer Welt mit konstanter negativer Krümmung des Raumes\" (ความเป็นไปได้ของโลกในอวกาศโค้ง) ได้ตีพิมพ์ในวารสารฟิสิกส์ของเยอรมัน \"Zeitschrift für Physik\" (Vol. 21, pp. 326-332) แสดงแบบจำลองฟรีดมานสามแบบซึ่งอธิบายถึงความโค้งของอวกาศที่มีค่าเป็นบวก ศูนย์ และลบ ตามลำดับ ซึ่งเป็นเวลา 1 ทศวรรษก่อนที่โรเบิร์ตสันและวอล์กเกอร์จะตีพิมพ์งานวิเคราะห์ของพวกเขา", "title": "อเล็กซานเดอร์ ฟรีดแมน" }, { "docid": "799071#3", "text": "ชื่อขนม \"ปันนาค็อตตา\" ไม่ได้รับการกล่าวถึงในตำราอาหารอิตาลีก่อนคริสต์ทศวรรษ 1960 แต่มักได้รับการอ้างว่าเป็นของหวานดั้งเดิมจากแคว้นพีดมอนต์ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง (ซึ่งไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร) กล่าวว่าขนมชนิดนี้ได้รับการคิดค้นโดยหญิงชาวฮังการีคนหนึ่งในแถบลันเก ทางภาคตะวันตกของแคว้นในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 พจนานุกรมฉบับหนึ่งที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1879 กล่าวถึงอาหารชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า \"ลัตเตอินเกลเซ\" ( แปลว่า 'นมอังกฤษ') ทำจากครีม ปรุงกับเจลาตินแล้วเทใส่แม่พิมพ์ แต่แหล่งข้อมูลอื่นกล่าวว่า \"ลัตเตอินเกลเซ\" ทำจากไข่แดง ชื่ออาหารดังกล่าวจึงอาจครอบคลุมถึงของหวานชนิดใดก็ได้ที่มีลักษณะคล้ายคัสตาร์ด", "title": "ปันนาค็อตตา" }, { "docid": "771726#0", "text": "อัลทิเมต สไปเดอร์-แมน () คือ การ์ตูนชุดไอ้แมงมุมอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้นำเอาเนื้อเรื่องเดิมกลับมาสร้างใหม่โดยเริ่มต้นเรื่องตั้งแต่ตอนแรกสุดและดำเนินเรื่องให้มีความแตกต่างออกไปจากของเดิมที่เคยสร้างมากว่าทศวรรษ จุดประสงค์หลักของการ์ตูนชุดนี้มุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงตัวผู้อ่านใหม่ ๆ และมีอายุน้อย ซึ่งเมื่อได้วางจำหน่ายแล้ว นอกจากจะสร้างผู้อ่านหน้าใหม่ ๆ ได้แล้ว ผู้อ่านเก่า ๆ ของไอ้แมงมุมก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดีด้วย ", "title": "อัลทิเมต สไปเดอร์-แมน" }, { "docid": "96522#8", "text": "ในปี พ.ศ. 2525 แจ็ก เคอร์บี (Jack Kirby) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ลีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรตัวไอ้แมงมุมน้อยมาก นอกจากนั้นเขา (เคอร์บี) ยังอ้างว่า ตัวไอ้แมงมุมนี้มีต้นแบบมาจากตัวการ์ตูนอีกตัวหนึ่งที่ชื่อ \"เดอะซิลเวอร์สไปเดอร์\" (The Silver Spider) ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวเคอร์บีเองร่วมกับโจ ไซมอน (Joe Simon) เพื่อจะนำไปเสนอให้ตีพิมพ์ลงหนังสือการ์ตูนแบล็คแมจิค (Black Magic) ในสังกัดเครสท์วูด (Crestwood) แต่ทางผู้ตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนดังกล่าวได้ยุติกิจการไปเสียก่อน", "title": "สไปเดอร์-แมน" }, { "docid": "33486#1", "text": "แนวความคิดของสวิงแมน เริ่มปรากฏให้เห็นช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ถึงต้น 1980 เมื่อผู้เล่นมีชื่อเสียง เช่น จอร์จ เกอร์วิน (George \"Iceman\" Gervin) มีลักษณะที่ไม่ตรงกับตำแหน่งสองและสาม แต่ใช้ความสูงที่อยู่ก้ำกึ่งและความสามารถทางกีฬามาเป็นข้อได้เปรียบตอนประกบคู่แข่ง คือวิ่งเร็วกว่าผู้เล่นที่ตัวใหญ่กว่า และชู้ตลูกข้ามคนที่ตัวเล็กกว่า ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan) และเพื่อนร่วมทีม สก็อตตี พิพเพน (Scottie Pippen) เป็นอีกผู้เล่นที่เป็นสวิงแมนที่มีชื่อเสียงมาก นักบาสเกตบอลยอดนิยมในปัจจุบันหลายคนก็เป็นสวิงแมน เช่น เทรซี แม็คเกรดี (Tracy McGrady) , วินส์ คอร์เตอร์ (Vince Carter) , โคบี ไบรอันต์ (Kobe Bryant) , เลอบรอน เจมส์ และ พอล เพียส (Paul Pierce)", "title": "สวิงแมน" }, { "docid": "395762#6", "text": "เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับเปตรอฟเป็นที่รู้จักแก่สาธารณะในคริสต์ทศวรรษ 1990 ตามการตีพิมพ์บันทึกความทรงจำของพลเอกโวตินต์เซฟ การรายงานสื่ออย่างกว้างขวางนับแต่นั้นได้เพิ่มความตระหนักรู้ของสาธารณะต่อการกระทำของเปตรอฟ", "title": "สตานิสลาฟ เปตรอฟ" }, { "docid": "36168#22", "text": "หลังจากโทลคีนเสียชีวิตไปแล้วหลายปี คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายของเขาจึงได้นำงานเขียนร้อยแก้วของ ซิลมาริลลิออน มาเรียบเรียงขึ้นใหม่ ด้วยความตั้งใจจะใช้บทประพันธ์ชุดล่าที่สุดที่โทลคีนผู้พ่อได้เขียนเอาไว้ แต่คัดเลือกเนื้อหาที่สอดคล้องรับส่งต่อเนื่องกันทั้งภายในเรื่องชุดนี้และสอดคล้องกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ด้วย[9] แม้ว่าตัวเขาเองก็สารภาพเอาไว้ในบทนำของหนังสือว่า การจะทำให้สอดคล้องกันทั้งหมดแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ คริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้นำงานเขียนต้นฉบับจำนวนมากมารวบรวมเอาไว้พร้อมคำอธิบายเพิ่มเติมของเขา เพื่อชี้แจงว่าเขาเลือกใช้ต้นฉบับใดมาเป็นชุดเรียบเรียง และเพราะเหตุใด โดยในหนังสือชุดนี้มีต้นฉบับเก่าแก่ที่สุดย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1917 คือต้นฉบับ Book of Lost Tales ที่เก่าแก่ที่สุด ใน เควนตา ซิลมาริลลิออน บทท้าย ๆ คือเรื่อง \"การล่มสลายของโดริอัธ\" เป็นต้นฉบับส่วนที่โทลคีนไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขเลยตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 ดังนั้นคริสโตเฟอร์ จึงต้องเรียบเรียงความเรียงร้อยแก้วจำนวนหนึ่งขึ้นมาใหม่จากต้นฉบับที่กระจัดกระจายเป็นส่วน ๆ [10] จนกระทั่งได้ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ทั้งเนื้อเรื่อง ผังตระกูล แผนที่ ดรรชนีคำ รวมถึงรายการชื่อในภาษาเอลฟ์ชุดแรกที่สุดที่เคยจัดทำขึ้น ตีพิมพ์เป็นเล่มเมื่อปี ค.ศ. 1977", "title": "ตำนานแห่งซิลมาริล" }, { "docid": "300191#18", "text": "ในครั้งแรกที่จันทราเสนอเรื่องนี้ในช่วงที่อยู่ในทรีนิตีคอลเลจ ช่วงทศวรรษ 1930 เขาถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากอาร์เธอร์ เอดดิงตัน ซึ่งทำให้จันทราท้อแท้อย่างมาก เนื่องจากไม่มีนักฟิสิกส์ที่น่าเชื่อถือคนใดในยุโรปมาช่วยแก้ต่างให้เขา กรณีดังกล่าวสร้างความขมขื่นแก่จันทราเป็นอย่างยิ่ง และไม่ยอมรับรองรายงานดังกล่าวของจันทราเพื่อให้ราชสมาคมได้ตีพิมพ์ เขาจึงส่งไปตีพิมพ์ใน Astrophysical Journal ในอเมริกา และตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคม 1931 และไม่นานต่อมา ขีดจำกัดจันทรเศขร ก็เป็นที่ยอมรับในแวดวงฟิสิกส์ดาราศาสตร์", "title": "สุพรหมัณยัน จันทรเศขร" }, { "docid": "180426#3", "text": "สำหรับเดอลาครัว คริสต์ทศวรรษ 1820 เป็นเวลาสับสนของการค้นพบตัวเองทางศิลปะ ปารีสกลายเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวแบบโรแมนติก วิกตอร์ อูโก (Victor Hugo) สเตนดาล (Stendhal) อเล็กซานเดอร์ ดูมาส์ ผู้พ่อ (Alexandre Dumas senior) ทั้งหมดอยู่ที่นี่ และจิตรกรเดอลาครัวตอนนั้นอยู่ในเขตระหว่างแม่น้ำแซนกับแซ็ง-แฌร์แม็ง-เด-เพร (Saint-Germain-des-Prés) และจากหลายนิทรรศการ เขาทนทุกข์ทรมานจากความเศร้าใจอย่างหนักและความสงสัยในตัวเอง", "title": "เออแฌน เดอลาครัว" }, { "docid": "96522#19", "text": "นอกจากจะเป็นตัวละครเอกในชุดของตนเองแล้ว ไอ้แมงมุมยังได้ปรากฏตัวอยู่ในหนังสือการ์ตูนที่ตีพิมพ์ออกมาแบบจำกัดจำนวน และยังได้เป็นแขกรับเชิญในหนังสือการ์ตูนของขอดมนุษย์ตัวอื่นอีกด้วย", "title": "สไปเดอร์-แมน" }, { "docid": "11371#5", "text": "ปัจจุบัน มหากาพย์กิลกาเมชเป็นที่รู้จักกันทั่วไป การแปลมหากาพย์ในยุคใหม่ครั้งแรกเกิดขึ้นในราวคริสต์ทศวรรษ 1880 โดย จอร์จ สมิท การแปลเป็นภาษาอังกฤษในครั้งหลังๆ นี้รวมถึงการแปลครั้งหนึ่งซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากนักเขียนชาวอเมริกัน จอห์น การ์ดเนอร์ และจอห์น ไมเยอร์ ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1984 ต่อมาในปี ค.ศ. 2001 เบนจามิน ฟอสเตอร์ได้เรียบเรียงฉบับ Norton Critical ขึ้นโดยเติมเต็มช่องว่างมากมายที่มีอยู่ในชุดมาตรฐานโดยอาศัยหลักฐานอื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้า มหากาพย์ฉบับมาตรฐานชุดล่าสุดเป็นการเรียบเรียงอย่างระมัดระวังโดย แอนดรูว์ จอร์จ ตีพิมพ์เป็นฉบับพิเศษ 2 เล่ม เป็นฉบับที่แสดงเนื้อหาต่างๆ อย่างสมบูรณ์ที่สุด ทั้งยังจัดพิมพ์แบบสองภาษาเทียบเคียงกันด้วย ฉบับแปลของจอร์จชุดนี้ได้ตีพิมพ์เป็นฉบับสำหรับผู้อ่านทั่วไปโดยสำนักพิมพ์เพนกวินคลาสสิกเมื่อปี ค.ศ. 2003 แต่ในปี 2004 สตีเฟน มิตเชลล์ได้ออกผลงานมหากาพย์ฉบับโต้แย้ง ซึ่งเป็นผลงานการแปลของเขาจากการแปลของเหล่าบัณฑิตก่อนหน้า เขาเรียกงานชิ้นนี้ว่า \"ฉบับแปลอังกฤษใหม่\"", "title": "มหากาพย์กิลกาเมช" }, { "docid": "72753#51", "text": "ซูเปอร์แมนถือว่าเป็นตัวละครที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการออกแบบตัวละครซูเปอร์ฮีโรในเรื่องอื่นๆ [105][106] เช่น แบทแมน ซึ่งถือว่าเป็นตัวละครตัวแรกที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากซูเปอร์แมน โดยบ๊อบ เคน ผู้สร้างแบทแมน เคยกล่าวต่อ วิน ซัลลิแวน เอาไว้ว่า “จำนวนเงินพวกนั้น[ที่ชีเกลและชูสเตอร์ได้รับจากผลงานเรื่องซูเปอร์แมน]คุณจะได้มาแค่วันจันทร์วันเดียว”[107] เช่นเดียวกับวิคเตอร์ ฟอกซ์ สมุห์บัญชีของดีซีใขณะนั้นได้ทำการเสนอความคิดเห็นต่อ วิล ไอส์เนอร์ คณะกรรมการของ ดีซี ว่าควรจะสร้างตัวละครที่มีลักษณะใกล้เคียง กับซูเปอร์แมน ซึ่งตัวละครนั้นก็คือ วันเดอร์ วูแมน โดย<i data-parsoid='{\"dsr\":[72778,72796,2,2]}'>วันเดอร์ วูแมน ทำการตีพิมพ์ฉบับแรกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1939 แต่หลังจากที่ฟอกซ์แพ้คดีความในการครอบครองลิขสิทธิ์ของตัวละครต่อทางดีซี[108] ฟอกซ์จึงต้องยุติบทบาททั้งหมดที่เขามีต่อวันเดอร์ วูแมน จนกระทั่งภายหลังฟอกซ์จึงมาประสบความสำเร็จกับตัวละครที่มีชื่อว่า บลู บีทเทิล ส่วน กัปตันมาร์เวล ตัวละครของนิตยสารฟอว์เซทท์ คอมิคส์ ทำการตีพิมพ์ในปี ค.ศ 1940 ได้กลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของซูเปอร์แมนในการแย่งความนิยมตลอดทศวรรษ 1940 โดยในช่วงนั้นได้มีการฟ้องร้องกันไปมาระหว่าง 2 สำนักพิมพ์ จนกระทั่งทางสำนักพิมพ์ ฟอว์เซทท์ยอมรับข้อเสนอจากทางดีซีในปี ค.ศ.1953 โดยทางฟอว์เซทท์ต้องยุติการพิมพ์ผลงานทั้งหมดของกัปตันมาร์เวล[109] ในยุคสมัยปัจจุบันหนังสือการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโรนับได้ว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากในวงการหนังสือการ์ตูนของอเมริกา [110] ซึ่งมีตัวละครนับพันๆตัวได้ถูกสร้างขึ้นมาตามรอยของซูเปอร์แมน[111]", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "4216#3", "text": "เอกสารหลักฐานทางชีววิทยาวิวัฒนาการชี้ให้เห็นว่ากระบวนการวิวิฒนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทฤษฎีอยู่ในช่วงของการทดลอง และพัฒนาในสาเหตดังกล่าว การศึกษาซากฟอสซิล และความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตทำให้นักวิทยาศาสตร์ช่วงกลางคริสศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่เชื่อว่าสปีชีส์มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดในระยะเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กระบวนการที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นปริศนาต่อนักวิทยาศาสตร์ทั่วไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2402 ชาร์ล ดาวิน ตีพิมพ์หนังสือ \"กำเนิดสปีชีส์\" ซึ่งได้อธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการโดยกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หลังการตีพิมพ์หนังสือไม่นาน ทฤษฎีของดาร์วินก็เป็นที่ยอมรับต่อสมาคมวิทยาศาสตร์ ในคริสต์ทศวรรษที่ 1930 การคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วินเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่เกรเกอร์ เมนเดล ได้ค้นพบการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ก่อให้เกิดทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ โดยเมนเดลได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของ \"ยูนิต\" (ซึ่งภายหลังเรียกว่า ยีน) และ \"กระบวนการ\" ของการวิวัฒนาการ (การคัดเลือกโดยธรรมชาติ) การศึกษาของเมนเดลทำให้สามารถไขข้อข้องใจถึงวิธีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วินได้อย่างดี และเป็นหลักการสำคัญของชีววิทยาสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการอธิบายกระบวนการดังกล่าวร่วมกับความหลากหลายทางพันธุกรรมบนโลก", "title": "วิวัฒนาการ" }, { "docid": "155870#0", "text": "ตำนานบุตรแห่งฮูริน (English: The Children of Húrin) เป็นนวนิยายแฟนตาซีระดับสูงแบบมหากาพย์ที่บรรยายในลักษณะร้อยแก้ว ประพันธ์โดยเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ซึ่งได้เริ่มโครงเรื่องไว้ตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1910 และได้ปรับแก้เนื้อหาหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งโทลคีนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1973 เรื่องนี้ก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยพอจะตีพิมพ์ได้ คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายของเขา ได้นำต้นฉบับทั้งหมดมาเรียบเรียงขึ้นใหม่และใส่บทบรรยายเพิ่มเติมจนสำเร็จ ได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2007 ออกวางจำหน่ายพร้อมกันทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยมีการแปลและพิมพ์จำหน่ายในปี ค.ศ. 2008 โดยสำนักพิมพ์แพรวเยาวชน", "title": "ตำนานบุตรแห่งฮูริน" }, { "docid": "96522#9", "text": "แต่จากอัตชีวประวัติของไซมอน ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2533 นั้น ได้ให้ข้อมูลที่ต่างออกไปจากคำกล่าวข้างต้นของเคอร์บี โดยไซมอนได้ยืนยันว่า เขาไม่ได้สร้างตัวการ์ตูนเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์ขึ้นมาเพื่อที่จะตีพิมพ์ในแบล็คแมจิคเท่านั้น นอกจากนั้น ในตอนแรกเขาก็ตั้งชื่อให้ตัวการ์ตูนตัวนี้ว่า \"สไปเดอร์แมน\" เหมือนกับชื่อภาษาอังกฤษของไอ้แมงมุมในปัจจุบัน แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์แทน ส่วนตัวเคอร์บีนั้น ก็มีหน้าที่วางโครงเรื่องและลายละเอียดเกี่ยวกับพลังพิเศษต่าง ๆ ของตัวการ์ตูน ไซมอนได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ฐานคติหรือคอนเซ็ปเกี่ยวกับเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์ของทั้งเขาและเคอร์บีนั้น สุดท้ายแล้วก็ได้นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างตัวการ์ตูนยอดมนุษย์อีกตัวหนึ่งที่ชื่อ \"เดอะฟราย\" (The Fly) ซึ่งอยู่ในสังกัดอาชีคอมมิคส์ (Archie Comics) ของไซมอนเอง โดยเดอะฟรายนั้นเปิดตัวครั้งแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. 2502", "title": "สไปเดอร์-แมน" }, { "docid": "305507#0", "text": "เจฟฟรีย์ สกอต บั๊กลีย์ () (17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1966 - 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1997) หรือโตมาในชื่อ สก็อตตี มัวร์เฮด () เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง และนักกีตาร์ชาวอเมริกัน เขาเป็นบุตรชายของทิม บั๊กลีย์ นักดนตรีเช่นกัน หลังจากหนึ่งทศวรรษที่เขาทำงานเป็นมือกีตาร์รับจ้างในลอสแอนเจลิส บั๊กลีย์ก็มีชื่อเสียงมากขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 โดยเล่นเพลงทำใหม่ของศิลปินอื่น ในงานแสดงที่อีสต์วิลเลจ ในแมนฮัตตัน อย่างเช่น งานแสดงที่บาร์ Sin-é ที่เขาค่อย ๆ เพิ่มความเป็นตัวเองเข้าไปมากขึ้น หลังจากที่เขาปฏิเสธค่ายเพลงที่สนใจเขาไปหลายค่าย รวมถึงผู้จัดการของพ่อเขาที่ชื่อ เฮิร์บ โคเฮน เขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงโคลัมเบีย โดยได้รวบรวมสมาชิกวงและบันทึกเสียงผลงานสตูดิโออัลบั้มเพียงชุดเดียวของเขาที่ชื่อ \"Grace\"", "title": "เจฟฟ์ บั๊กลีย์" }, { "docid": "12431#76", "text": "หนังสืออัตชีวประวัติของแมนเดลา ชื่อ Long Walk to Freedom ได้ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2537 แมนเดลาเริ่มเขียนบันทึกชิ้นนี้อย่างลับ ๆ ตั้งแต่เขายังอยู่ในคุก[157] ในหนังสือนี้ แมนเดลาไม่ได้เปิดเผยสิ่งใดเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดซึ่งเฟรเดอริก วิลเลิม เดอ แกลร์ก อ้างไว้เกี่ยวกับการเกิดเหตุรุนแรงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 80 และ 90 หรือความเกี่ยวข้องระหว่างอดีตภรรยา วินนี แมนเดลา ในการหลั่งเลือดคราวนั้นเลย อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเขาได้ให้ความร่วมมือกับเพื่อนนักข่าวชื่อ แอนโทนี แซมป์สัน ซึ่งสอบถามแมนเดลาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และปรากฏเนื้อหาอยู่ในหนังสือ The Authorised Biography[158] ยังมีรายละเอียดเรื่องการสมรู้ร่วมคิดอื่น ๆ ที่แมนเดลาไม่ได้เอ่ยถึง อยู่ในหนังสือเรื่อง Goodbye Bafana[159] ผู้เขียนคือผู้คุมคนหนึ่งบนเกาะโรบเบิน เจมส์ เกรกอรี อ้างว่าได้สนิทสนมกันกับแมนเดลาเมื่ออยู่ในคุก และตีพิมพ์รายละเอียดเรื่องชู้สาวของครอบครัวของเขาในหนังสือ[159] แซมป์สันยืนยันว่าแมนเดลาไม่ได้รู้จักมักจี่กับเกรกอรี แต่เกรกอรีเป็นคนเซ็นเซอร์จดหมายทุกฉบับที่ส่งไปถึงแมนเดลา จึงได้รู้เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขาอย่างละเอียด แซมป์สันยังยืนยันด้วยว่าผู้คุมคนอื่น ๆ พากันสงสัยว่าเกรกอรีเป็นสายลับของรัฐบาล และแมนเดลาควรจะฟ้องร้องนายเกรกอรีคนนี้[160]", "title": "เนลสัน แมนเดลา" }, { "docid": "901021#15", "text": "แอลัน สก็อตต์ เป็นบุคคลแรกที่ฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เข้าในกล้ามเนื้อตาตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970\nและได้ตีพิมพ์ผลงานในปี พ.ศ. 2524\nซึ่งเป็นงานวิจัยทางคลินิกแรกในเรื่องนี้", "title": "การบำบัดตาเหล่ด้วยชีวพิษโบทูลินัม" }, { "docid": "3753#82", "text": "แม้กระทั่งบทความในคริสต์ทศวรรษ 1960 ยังมีการตีพิมพ์เรื่องชีววิทยาบนดาวอังคารโดยผลักไสคำอธิบายแนวทางอื่นออกไป คงไว้แต่ว่าสิ่งมีชีวิตบนนั้นนั่นเองเป็นเหตุของการเปลี่ยนตามฤดูกาลบนดาวอังคาร ภาวะการณ์โดยละเอียดทั้งเมแทบอลิซึมและวัฏจักรทางเคมีต่าง ๆ สำหรับระบบนิเวศที่ดำเนินได้จริงได้รับการตีพิมพ์", "title": "ดาวอังคาร" }, { "docid": "469891#18", "text": "มีการทดลองที่จะใส่หมายเลขบนเสื้อในคริสต์ทศวรรษ 1920 แต่แนวความคิดในช่วงแรกไม่ได้รับความนิยม[52] การแข่งขันใหญ่ครั้งแรกที่มีการสวมหมายเลขเกิดขึ้นในนัดตัดสินเอฟเอคัพ ค.ศ. 1933 ระหว่างสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี แทนที่แต่ละทีมจะมีหมายเลขติดอยู่กับชุดเดิม แต่ผู้จัดได้เตรียมชุดพิเศษ 2 ชุดคือสีขาวและสีแดง และเลือกโดยการทอยเหรียญ เอฟเวอร์ตันสวมชุดหมายเลข 1–11 ขณะที่ซิตีสวมชุดหมายเลข 12–22[53] จนกระทั่งราวช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถึงมีการนำหมายเลขเสื้อมาใช้เป็นมาตรฐาน แต่ละทีมสวมหมายเลข 1–11 ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎว่าตำแหน่งใดสวมหมายเลขอะไร แต่ก็มีการเจาะจงตำแหน่งผู้เล่นกับหมายเลข ตัวอย่างเช่น หมายเลข 9 มักสงวนไว้กับกองหน้าตัวเป้า[52] อีกตัวอย่างที่แตกต่าง สโมสรฟุตบอลเซลติก ของสกอตแลนด์ ใส่หมายเลขไว้บนกางเกงแทนบนเสื้อ ใช้จนกระทั่งนัดการแข่งขันระหว่างประเทศปี ค.ศ. 1975 และใช้ในการแข่งขันภายในประเทศจนปี ค.ศ. 1994[54] ในคริสต์ทศวรรษ 1930 เกิดการพัฒนาด้านการผลิตรองเท้า ใช้วัสดุสังเคราะห์ใหม่ที่เบากว่าหนัง ในปี ค.ศ. 1936 ผู้เล่นในยุโรปสวมรองเท้าที่เบากว่ารองเท้าเมื่อทศวรรษก่อนถึง 1 ใน 3 แต่สโมสรอังกฤษยังไม่ได้รับรองเท้ารูปแบบใหม่นี้เข้ามาใช้ นักฟุตบอลอย่าง บิลลี ไรต์ แสดงความเห็นอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับรองเท้าใหม่นี้ว่า เหมาะสำหรับการเล่นบัลเลต์มากกว่าฟุตบอล[55]", "title": "ชุดกีฬาฟุตบอล" }, { "docid": "409436#3", "text": "ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1900 คนส่วนมากมองว่าเพลงนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นเพลงชาติของสวีเดน ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1890 เพลง \"ดูกามลา ดูเฟรีย\" ได้เริ่มตีพิมพ์ในในหนังสือเพลงต่างๆ โดยจัดอยู่ในประเภทเพลงปลุกใจ แต่เมื่อถึงช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1920 เพลงนี้ก็ถูกตีพิมพ์ในหมวดหมู่ของ \"เพลงพื้นเมือง\" โดยปกติ ในปี ค.ศ. 1899 ได้มีการจัดประกวดเพื่อสรรหาเพลงชาติสวีเดนขึ้น แต่ไม่มีเพลงใดได้รับเลือกให้เป็นเพลงชาติ", "title": "ดูกามลา ดูเฟรีย" }, { "docid": "259253#0", "text": "แอนน์ แลนเดอร์ เป็นนามปากกา ในคอลัมน์ตอบปัญหา ในหนังสือพิมพ์ชิคาโก ซัน-ไทมส์ (Chicago Sun-Times) ของนักเขียนคอลัมน์ชื่อ รูท ครอวลี (Ruth Crowley) ซึ่งเริ่มตีพิมพ์คอลัมน์นี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1943 ต่อมาคอลัมน์ตอบปัญหานี้ถูกโอนมาอยู่ในความรับผิดชอบของ เอสเทอร์ พอลลิน ไฟร์ดแมน ลีดเดอร์เรอร์ ในปี ค.ศ. 1955 หรือประมาณ 12 ปีต่อมา นับเป็นเวลาประมาณ 56 ปีแล้วที่คอลัมน์ “ถามแอนน์ แลนเดอร์ (Ask Ann Landers)” ได้รับการตีพิมพ์และเป็นคอลัมน์ที่ได้รับความนิยม ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ทั่วทั้งแถบอเมริกาเหนือ อันเนื่องมาจากความนิยมอ่าน ความแพร่หลายและตีพิมพ์มาอย่างยาวนาน จนอาจกล่าวได้ว่า ทั้งการถามคำถามและข้อแนะนำที่ได้จากคอลัมน์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และสถาบัน ๆ หนึ่งของชาวอเมริกันก็ว่าได้", "title": "แอนน์ แลนเดอร์ตอบปัญหาชีวิต" }, { "docid": "96522#24", "text": "หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 มาร์เวลก็ต้องการจะตีพิมพ์เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ผ่านทางการ์ตูนเรื่องหนึ่งของสังกัด ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ได้เลือกการ์ตูนเรื่องไอ้แมงมุมเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้น โดยที่เนื้อเรื่องดังกล่าวอยู่ในหนังสือการ์ตูนชุดดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน ฉบับเดือนธันวาคม 2544[27]", "title": "สไปเดอร์-แมน" }, { "docid": "231131#3", "text": "อย่างไรก็ดีเนื่องจาก \"โมบิดิก\" มีเนื้อหาแฝงคำวิจารณ์ทางศาสนาไว้มากมาย เช่น การที่แต่งให้อิชมาเอลเป็นคนไม่เชื่อศาสนา และมีความสัมพันธ์เชิงรักร่วมเพศกับ เควเคว็ก เพื่อนผิวสีที่นับถือจารีตของชนเผ่าป่าเถื่อน เมื่อหนังสือออกตีพิมพ์คราวแรก จึงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบมากมาย แม้ว่าทางสำนักพิมพ์ในอังกฤษจะเซ็นเซ่อร์ข้อความที่แสดงทัศนะหมิ่นศาสนาคริสต์ออกไปมากแล้วก็ตาม \"โมบิดิก\" กลายเป็นหนังสือที่ขายไม่ได้ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยุติอาชีพทางการประพันธ์ของเมลวิลล์ นิยายเล่มนี้ถูกผู้อ่านลืมเลือนไปจน ดี. เอช. ลอว์เรนซ์ นักวิจารณ์วรรณกรรมชื่อดังมาค้นพบเข้าในช่วงทศวรรษที่ 1920s และให้คำนิยมว่าเป็นวรรณกรรมสำคัญ นับแต่นั้นมา \"โมบิดิก\" ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณกรรมเอกของอเมริกา ควบคู่ไปกับบทกวีของ วอล์ท วิทแมน กวีเอกชาวอเมริกันผู้มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับเมลวิลล์ นักวิจารณ์วรรณกรรมชื่อดัง ศ.แฮโรลด์ บลูม ให้ความเห็นว่า \"โมบิดิก\" เป็น \"มหากาพย์ร้อยแก้ว\" (epic prose) ประจำชาติอเมริกา และเป็นหนังสือนิยายที่ดีที่สุดจากปลายปากกาของนักเขียนอเมริกันตราบจนปัจจุบัน", "title": "โมบิดิก" }, { "docid": "893042#0", "text": "สถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่ () เป็นรูปแบบหรือการเคลื่อนไหวทางสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อต่อต้านความเคร่งครัด ความเป็นแบบแผน และการขาดความหลากหลายของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาปัตยกรรมแบบสากล ( international style) โดยการนำของเลอกอร์บูซีเยและลุดวิก มีส ฟาน เดอร์ โรห์ การเคลื่อนไหวนี้ได้มีการถ่ายทอดโดยสถาปนิกและนักทฤษฎีสถาปัตยกรรม โรเบิร์ต เวนทูรี ในหนังสือปี ค.ศ. 1966 ชื่อ \"Complexity and Contradiction in Architecture\" รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้แพร่หลายในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ถึง 1990 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลงานของโรเบิร์ต เวนทูรี, ฟิลิป จอห์นสัน, ชาลส์ มอร์ และไมเคิล เกรฟส์ จนปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ได้มีแนวโน้มสถาปัตยกรรมแบบใหม่ อย่าง สถาปัตยกรรมไฮเทค สถาปัตยกรรมคลาสสิกใหม่ และคตินิยมเปลี่ยนแนว", "title": "สถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่" }, { "docid": "267749#2", "text": "จักรวรรดิข่านรุ่งเรืองในรูปใดรูปหนึ่งมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1220 จนกระทั่งถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แม้ว่าทางครึ่งตะวันตกของจักรวรรดิจะเสียไปกับตีมูร์ ในคริสต์ทศวรรษ 1360 แต่ครึ่งตะวันออกยังคงอยู่ในมือของข่านจักกาไทที่บางครั้งก็เป็นปฏิปักษ์ต่อหรือบางครั้งก็เป็นพันธมิตรกับผู้ครองจักรวรรดิตีมูร์ต่อมา ในที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จักรวรรดิข่านจักกาไทที่ยังคงเหลือก็ตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของระบบเทวาธิปไตยของ Apaq Khoja และผู้สืบเชื้อสาย, โคจิจัน (Khojijan) ผู้ครองเติร์กสถานตะวันออก (East Turkestan) ภายใต้ดซุงการ์ (Dzungar) และในที่สุดประมุขของแมนจู", "title": "จักรวรรดิข่านจักกาไท" }, { "docid": "988819#15", "text": "นักชีววิทยาแอนเซ็ล คียส์ (Ancel Keys) และภรรยาคือนักเคมีชาวอเมริกันมาร์กาเร็ต (Margaret Keys) ได้พัฒนาอาหารเมดิเตอร์เรเนียนขึ้นให้คล้ายกับ \"รูปแบบอาหารปกติของครีต กรีซที่เหลือโดยมาก และอิตาลีภาคใต้ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1960\"\nแม้จะได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกก็ต่อเมื่อปี 1975\nและก็ไม่ได้การยอมรับจนกระทั่งคริสต์ทศวรรษ 1990", "title": "อาหารเมดิเตอร์เรเนียน" }, { "docid": "908495#3", "text": "งานวิจัยและข้อมูลเกี่ยวกับอาการจะค่อนข้างจำกัดและเก่า\nงานวิจัยในเรื่องนี้โดยมากได้ทำในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และงานที่ตีพิมพ์ล่าสุดเกิดเมื่อปลายคริสต์ทศวรรษ 1970\nมีงานศึกษาจำนวนหนึ่งที่ทำในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 อย่างไรก็ดี จะต้องรวบรวมและไขข้อมูลเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ความเข้าใจที่สมบูรณ์", "title": "อาการคันต่างที่" } ]
3573
ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิงโตคืออะไร?
[ { "docid": "11219#0", "text": "สิงโต (English: Lion) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมว สิงโตมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera leo มีขนาดลำตัวใหญ่ ขนาดไล่เลี่ยกับเสือโคร่งทั่วไป (P. tigris) ซึ่งเป็นสัตว์ในสกุล Panthera เหมือนกัน จัดเป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองมาจากเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) พื้นลำตัวสีน้ำตาล ไม่มีลาย ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนสร้อยคอยาว ขนปลายหางเป็นพู่ ชอบอยู่เป็นฝูงตามทุ่งโล่ง มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม (550 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า มักทำหน้าที่ล่าเหยื่อ มีน้ำหนักประมาณ 180 กิโลกรัม (400 ปอนด์) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและประเทศอินเดีย ในป่าธรรมชาติ สิงโตมีอายุขัยประมาณ 10-14 ปี ส่วนสิงโตที่อยู่ในกรงเลี้ยงมีอายุยืนถึง 20 ปี", "title": "สิงโต" } ]
[ { "docid": "234767#0", "text": "สหรัฐต์ หิรัญญ์ธนภูวดล เดิมชื่อ วิรัตน์ จันทร์ภักดี โดยหลังจากเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย ก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น \"สิงหรัตน์\" ต่อมาเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลเป็น \"ธนณัฏฐ์ รวงงาม\" และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น\"ทันโตวิ์\" ในปี พ.ศ. 2555 ในปี พ.ศ. 2556 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น \"ทันโตวิ์ หิรัญญ์ธนภูวดล\" และปัจจุบันใช้ชื่อว่า \"สหรัฐต์ หิรัญญ์ธนภูวดล\"\nสิงโต เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2535 ที่จังหวัดระยองศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ โรงเรียนกัลยาณวัตร ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น จนถึงปี พ.ศ. 2552 ภายหลังจากจบการประกวด เดอะสตาร์ 5 สิงโตได้ย้ายเข้ามาศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร สายวิทย์-คณิต ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.96 โดยสาเหตุที่ต้องย้ายโรงเรียน เนื่องจากสิงโตต้องการทำงานในวงการบันเทิงและเรียนหนังสือควบคู่กันไป ภายหลังเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายสิงโตได้สอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเข้าศึกษาอยู่ที่นั้นจนถึงชั้นปีที่ 2 จึงลาออก ปัจจุบันสิงโตได้เข้าศึกษาต่อที่ สถาบันการบิน มหาวิทยาลัยรังสิต\n- Fino Mountain / Fino Sea / Fino Amazing Fino\n- เบบี้มายด์ดับเบิ้ลมิลค์โปรตีนพลัส / ดับเบิ้ลมิลค์โปรตีนพลัส ค้นหาดาวโรงเรียน\n- มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ", "title": "สหรัฐต์ หิรัญญ์ธนภูวดล" }, { "docid": "11219#9", "text": "P. l. sinhaleyus หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตศรีลังกา ดูเหมือนจะสูญพันธุ์เมื่อประมาณ 39,000 ปีมาแล้ว มีการขุดค้นพบเพียงฟัน 2 ซี่เท่านั้นที่กุรุวิตา (Kuruwita) ด้วยพื้นฐานของฟัน 2 ซี่นี้ พี. ดีแรนนิรากะยา (P. Deraniyagala) ได้ตั้งชนิดย่อยขึ้นในปี ค.ศ. 1939[26] P. l. europaea หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตยุโรป สถานะชนิดย่อยของสิงโตชนิดนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งมันอาจจะเป็นชนิดย่อย Panthera leo persica หรือ Panthera leo spelea ก็ได้ สิงโตชนิดนี้สูญพันธุ์เมื่อราวคริสต์ศักราชที่ 100 เพราะการล่าและหาประโยชน์มากเกินไป สิงโตมีถิ่นอาศัยในบอลข่าน, คาบสมุทรอิตาลี, ตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส, และคาบสมุทรไอบีเรีย เป็นสัตว์ที่นิยมล่าในโรมันและกรีก P. l. youngi หรือ Panthera youngi มีชีวิตอยู่เมื่อ 350,000 ปีมาแล้ว[27] ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงโตชนิดย่อยในปัจจุบันยังคลุมเครือ มันอาจเป็นสปีชีส์ที่แยกออกไปต่างหาก P. l. maculatus หรือที่รู้จักกันในชื่อมาโรไซหรือสิงโตลายจุด บางคนเชื่อว่าเป็นสิงโตชนิดย่อยแต่ก็อาจเป็นสิงโตเต็มวัยที่ยังคงเหลือลายจุดจากวัยเด็กไว้ ถ้ามันเป็นชนิดย่อยจริง สิงโตชนิดนี้จะสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 ยังมีความเป็นไปได้อีกกรณีหนึ่งคือมันเป็นลูกผสมตามธรรมชาติของสิงโตกับเสือดาวหรือที่รู้จักกันในชื่อเลโอปอน (leopon) แต่มีความเป็นไปได้น้อยมาก[28]", "title": "สิงโต" }, { "docid": "11209#33", "text": "ในปี พ.ศ. 2377 ริชาร์ด โอเวน นักโบราณชีววิทยารายงานว่าสิงโตมีเส้นเอ็นที่ยาวถึง 6 นิ้วและสามารถยืดออกไปได้ถึง 8 - 9 นิ้ว ส่วนกล่องเสียงจะอยู่ลึกลงไปในบริเวณลำคอมากยิ่งขึ้น เพดานด้านบนและลิ้นก็จะยาวขึ้นเพื่อให้ช่องหายใจยาวและใหญ่ขึ้น โครงสร้างเหล่านี้จะทำให้สิงโตสามารถที่จะเปล่งเสียงคำรามดังกังวาน แต่สำหรับเสือที่มีขนาดใหญ่ที่สามารถคำรามได้เช่นกัน ได้แก่ เสือโคร่ง เสือดาว และ เสือจากัวร์ ก็จะพบเส้นเอ็นพิเศษทำหน้าที่เหมือนสายเสียงนี้เช่นกัน ซึ่งสำหรับเสือจากัวร์จะมีกลุ่มกระดูกลิ้นที่แตกต่างจากเสือที่สามารถคำรามได้ชนิดอื่น ๆ เล็กน้อย คือยังคงมีกระดูกอิพิฮายอัลและมีเส้นเอ็นสายเสียงอยู่ระหว่างกระดูกอิพิฮายอัลกับกระดูกซีราโตฮายอัลด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนได้ให้ความเห็นว่าเสือจากัวร์นั้น อาจจะมีวิวัฒนาการต่ำที่สุดในบรรดากลุ่มเสือที่สามารถคำรามได้ทั้ง 4 ชนิด เพราะเส้นเอ็นสายเสียงยังไม่ได้แทนที่กระดูกอิพิฮายอัลจนหมด สิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาวบางตัวมีปุ่มกระดูกตรงบริเวณปลายเส้นเอ็น ซึ่งอาจจะเป็นกระดูกอิพิฮายอัลที่ยังคงหลงเหลืออยู่", "title": "เสือ" }, { "docid": "500867#1", "text": "พบกระจายพันธุ์ในแถบแอฟริกาตะวันออก โดยชนิดต้นแบบได้รับการอธิบายว่ามาจาก \"นิวเบีย\" รวมถึงชนิดย่อยที่เคยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า \"massaica\" ซึ่งได้รับการอธิบายไว้ในขั้นต้นจากดินแดนแทนกันยีกาในแอฟริกาตะวันออก ", "title": "สิงโตมาไซ" }, { "docid": "555373#2", "text": "สิงโต ได้ตระเวนหาร้านกาแฟและชอบกินกาแฟดำมาก และเพื่อใช้สำหรับนั่งแต่งเพลง จนสิงโตได้มาเจอกับร้านกาแฟชื่อร้าน Anything Goes ซึ่งเจ้าของร้านชาเย็นเป็นพี่สาวของคุณ Kijjaz Monotone ที่มักจะชอบให้ร้องเพลงที่ร้านเพื่อแลกกับกาแฟและชาเย็น ซึ่งในขณะนั้นคุณ Kijjaz จะตั้งบริษัท พอลเลน ซาวด์ (Pollen Sound) ซึ่งเป็นบริษัท Music Production & Sound Desig จากนั้นพี่สาวของ Kijjaz จึงชักชวนให้มาทำงานเพลงร่วมกันในโปรเจกต์ “สิงโต นำโชค” โดยมี Kijjaz เป็นโปรดิวเซอร์เพลง", "title": "สิงโต นำโชค" }, { "docid": "11219#1", "text": "คำว่า lion คล้ายกับหลายคำในกลุ่มภาษาโรมานซ์ซึ่งกลายมาจากภาษาละติน \"leo\"[1] และภาษากรีกโบราณ \"λέων\" (leon)[2] คำในภาษาฮีบรู \"לָבִיא\" ([lavi]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ก็อาจเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน[3] สิงโตเป็นหนึ่งสปีชีส์ที่ถูกจัดจำแนกโดยลินเนียสผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้แก่สิงโตว่า Felis leo ซึ่งปรากฏอยู่ในงานของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 Systema Naturae[4] องค์ประกอบในการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera leo มักจะสันนิษฐานว่ามาจากภาษากรีก pan- (\"ทั้งหมด\") และ ther (\"สัตว์ร้าย\") แต่ก็อาจจะเป็นศัพทมูลวิทยาพื้นบ้าน แม้ว่าคำนี้จะกลายเป็นภาษาอังกฤษจากภาษาแบบแผน แต่เนื่องจากคล้ายคำ pundarikam \"เสือ\" ในภาษาสันสกฤตอย่างมาก ซึ่งคำนี้อาจมาจากคำ pandarah \"ขาว-เหลือง\"[5]", "title": "สิงโต" }, { "docid": "227205#2", "text": "แอดัมสันแนะนำคริสเตียนให้สิงโตที่อายุมากกว่าชื่อ \"บอย\" ซึ่งเป็นตัวแสดงในภาพยนตร์เรื่อง บอร์นฟรี และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง \"เดอะ ไลออน อาร์ ฟรี\" (The Lion Are Free) และคริสทีนา ลูกสิงโตเพศเมียเพื่อสร้างฝูงสิงโตกลุ่มใหม่ ฝูงสิงโตฝูงนี้เผชิญเหตุการณ์มากมาย คริสทีนาถูกกินโดยจระเข้ในหลุมน้ำ, สิงโตตัวเมียในฝูงตัวหนึ่งถูกสิงโตฝูงอื่นฆ่าตาย บอยได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง และสูญเสียความสามารถในการเข้าสังคมกับสิงโตอื่นและมนุษย์ สุดท้าย แอดัมสันตัดสินใจยิงบอยตายเนื่องจากมันบาดเจ็บปางตายเนื่องจากถูกมนุษย์ยิง จากเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้คริสเตียนกลายเป็นผู้รอดชีวิตหนึ่งเดียวจากฝูงดั้งเดิม", "title": "คริสเตียน เดอะ ไลออน" }, { "docid": "62286#7", "text": "ชื่อในภาษาอังกฤษของเสือดาว คือ Leopard มาจากภาษากรีกโบราณ 2 คำผสมกัน คือ λέων (leōn) ที่หมายถึง \"สิงโต\" และ πάρδος (pardos) ที่หมายถึง \"ลายจุด\" อันเนื่องจากในยุคก่อนประวัติศาสตร์มีความเชื่อกันว่า เสือดาวเป็นลูกผสมระหว่างเสือโคร่งกับสิงโต ทั้งนี้ในความหมายของชื่อสกุลทางวิทยาศาสตร์ \"Panthera\" หมายถึง \"เสือใหญ่\" หรือ \"เสือตัวผู้\" โดยรวมแล้วมีความหมายถึง \"เสือที่มีลายจุด\"", "title": "เสือดาว" }, { "docid": "11219#7", "text": "P. l. atrox หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตอเมริกาหรือสิงโตถ้ำอเมริกา กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาจากประเทศแคนาดาถึงประเทศเปรูในสมัยไพลสโตซีนจนกระทั่งราว 10,000 ปีมาแล้ว ชนิดย่อยนี้บางครั้งได้รับการพิจารณาเป็นตัวแทนที่แยกจากกันของชนิด เป็นสัตว์สปีชีส์อื่นที่ไม่ใช่สิงโต แต่การศึกษาถึงวิวัฒนาการแสดงว่าแท้จริงแล้วมันคือชนิดย่อยของสิงโต (Panthera leo)[8][21] เป็นสิงโตขนาดใหญ่ ลำตัวยาวประมาณ 1.6–2.5ม. (5–8ฟุต)[22] P. l. fossilis หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตถ้ำไพลสโตซีนต้นตอนกลาง มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 500,000 ปีมาแล้ว ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่ประเทศเยอรมนีและประเทศอิตาลี มีขนาดใหญ่กว่าสิงโตแอฟริกาในปัจจุบัน ขนาดใกล้เคียงกับสิงโตถ้ำอเมริกา[8][23]", "title": "สิงโต" }, { "docid": "11219#8", "text": "P. l. spelaea หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตถ้ำยุโรป สิงโตถ้ำยูเรเชีย หรือสิงโตถ้ำยุโรปไพลสโตซีนตอนปลาย ปรากฏขึ้นเมื่อในยูเรเชีย 300,000 ถึง 10,000 ปีมาแล้ว[8] สิงโตชนิดนี้เป็นที่รู้จักจากภาพวาดยุคหินเก่า, งาหรือเขาสัตว์แกะสลัก และรูปปั้นจากดิน[24] มีลักษณะหูยื่น หางเป็นพู่ อาจมีลายทางจางๆคล้ายเสือโคร่ง และเพศผู้บางตัวมีขนแผงคอ[25]", "title": "สิงโต" }, { "docid": "472975#0", "text": "สิงโตกลอกตา เป็นกล้วยไม้สกุลหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า \"บัลโบฟิลลัม\" () ซึ่งมาจากรากศัพท์ในภาษากรีกคือ bulbos แปลว่า \"หัว\" กับ phyllon แปลว่า \"ใบ\" หมายถึงลักษณะที่ก้านใบพองคล้ายหัว", "title": "สิงโตกลอกตา" }, { "docid": "16515#0", "text": "สิงโตพัดเหลือง หรือ สิงโตพัดสีทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า: \"Cirrhopetalum skeateanum\" (Ridl.) Garay / \"Bulbophyllum skeateanum\" Ridl. (ชื่อพ้อง)", "title": "สิงโตพัดเหลือง" }, { "docid": "354530#0", "text": "สิงโตบาร์บารี หรือ สิงโตแอตลาส หรือ สิงโตนูเบียน () มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า \"Panthera leo leo\" เป็นสิงโตชนิดย่อยชนิดหนึ่ง ที่เชื่อว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ", "title": "สิงโตบาร์บารี" }, { "docid": "508878#0", "text": "สิงโตแห่งซันมาร์โก () คือ สัญลักษณ์ของผู้สอนศาสนานามว่า มาระโก ผู้แต่งพระวรสาร ปรากฏในรูปแบบของสิงโตมีปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองเวนิส และสาธารณรัฐเวนิสเดิม สิงโตแห่งซันมาร์โกยังปรากฏในธงของพ่อค้าและทหารเรือของประเทศอิตาลี และบนยอดของหอระฆังซันมาร์โก มันยังเป็นสัญลักษณ์ของรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสในชื่อ \"รางวัลสิงโตทองคำ\" ซึ่งถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก รวมถึงบริษัทประกัน Assicurazioni Generali ซึ่งเป็นบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีและหนึ่งในบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ", "title": "สิงโตแห่งซันมาร์โก" }, { "docid": "11219#16", "text": "นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าสถานะความแตกต่างในระดับชนิดย่อยสามารถแบ่งแยกได้ทางสัณฐานวิทยา ซึ่งรวมถึง ขนาดของขนแผงคอ รูปร่างทางสัณฐานของสิงโตสามารถระบุบถึงความแตกต่างของชนิดย่อยได้ เช่น สิงโตบาร์บารีและสิงโตแหลมกูดโฮพ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาระบุบว่าปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อสีและขนาดของขนแผงคอสิงโต เช่น อุณหภูมิในสภาพแวดล้อม[37] เช่น อากาศหนาวเย็นของสวนสัตว์ในยุโรปและอเมริกาเหนืออาจมีผลทำให้ขนแผงคอหนาและหนักขึ้น ดังนั้น แผงคอจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่จะใช้ในการระบุบถึงชนิดย่อย[11][38] แต่อย่างไรก็ตาม สิงโตเอเชียเพศผู้มีขนแผงคอบางกว่าสิงโตแอฟริกาโดยเฉลี่ย[39]", "title": "สิงโต" }, { "docid": "626185#0", "text": "สวนป่าสิงโต (อังกฤษ: Lion Grove Garden; ) หรือสวนซือจึ ตั้งอยู่ที่เลขที่ 23 ถนนหยวนหลิน เขตผิงเจียง (Pingjiang District; 平江区) ในเมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นสวนที่มีความโดดเด่นที่อาณาบริเวณขนาดกว้างใหญ่และมีหินประดับจากไท่หู (หรือทะเลสาบหู) อันสวยงามซับซ้อนที่จัดแต่งอยู่กลางสวน ชื่อของสวนได้มาจากลักษณะของหินประดับนี้ที่มีรูปร่างคล้ายสิงโต นอกจากนั้นสวนป่าสิงโตยังได้รับการบันทึกให้เป็นหนึ่งในสวนโบราณเมืองซูโจวที่เป็นมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) เช่นกัน", "title": "สวนป่าสิงโต" }, { "docid": "354482#1", "text": "นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า การที่สิงโตกลุ่มนี้มีสีขาว เกิดจากยีนที่ตกทอดมาจากยุคน้ำแข็ง ที่สิงโตยังมีการแพร่กระจายในทวีปเอเชียและยุโรปด้วย สิงโตที่มีขนสีขาวสามารถปรับตัวได้ดีในภาวะแวดล้อมที่มีแต่น้ำแข็ง ซึ่งในสิงโตทั่วไปก็มียีนสีขาวอันนี้ และถ้าสิงโตที่มียีนสีขาว 2 ตัวผสมพันธุ์กัน มีโอกาสที่จะเกิดเป็นลูกสิงโตขาว 1 ใน 4", "title": "สิงโตขาว" }, { "docid": "472234#0", "text": "วงศ์ปลาแมงป่อง หรือ วงศ์ปลาสิงโต () เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งทะเล หาได้ยากในน้ำจืด ในอันดับปลาแมงป่อง (Scorpaeniformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scorpaenidae", "title": "วงศ์ปลาแมงป่อง" }, { "docid": "6218#0", "text": "\"กลุ่มดาวสิงโตเล็ก\"' เป็นกลุ่มดาวจางๆ อยู่ระหว่างกลุ่มดาวหมีใหญ่กับกลุ่มดาวสิงโต ตั้งชื่อโดยโจแฮนเนส เฮเวลีอุส ในคริสต์ศตวรรษที่ 17", "title": "กลุ่มดาวสิงโตเล็ก" }, { "docid": "11219#5", "text": "P. l. persica หรือที่รู้จักกันในชื่อ สิงโตเอเชีย สิงโตเอเชียใต้ สิงโตเปอร์เซีย หรือสิงโตอินเดีย มีการกระจายพันธุ์จากประเทศตุรกีข้ามเอเชียตะวันตกเฉียงใต้สู่ประเทศปากีสถาน ประเทศอินเดีย และแม้กระทั่งประเทศบังคลาเทศ อย่างไรก็ดี ด้วยความที่มันเป็นสิงโตฝูงใหญ่และออกหากินในเวลากลางวันทำให้ง่ายต่อการล่ามากกว่าเสือโคร่งหรือเสือดาว ปัจจุบันเหลือเพียงราว 300 ตัวในอุทยานแห่งชาติป่ากีร์ในประเทศอินเดีย[15] หลักฐานทางพันธุกรรมชี้ให้เห็นบรรพบุรุษสิงโตอินเดียแยกออกจากบรรพบุรุษของสิงโตแอฟริกาในระหว่าง 74,000 และ 203,000 ปีมาแล้ว[8] P. l. leo หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตบาร์บารี เดิมมีการกระจายพันธุ์จากประเทศโมร็อกโกถึงประเทศอียิปต์ ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติจากการถูกล่าอย่างหนัก สิงโตบาร์บารีตัวสุดท้ายถูกฆ่าตายในประเทศโมร็อกโกในปี ค.ศ. 1922[16] เป็นสิงโตชนิดย่อยที่มีขนาดใหญ่มากชนิดหนึ่ง[17] มีรายงานว่ายาว 3–3.3 เมตร (10–10.8ฟุต) และหนักมากกว่า 200 กก. (440 ปอนด์) ในเพศผู้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงโตเอเชียมากกว่าสิงโตแอฟริกา มีสิงโตจำนวนหนึ่งในกรงเลี้ยงที่อาจจะเป็นสิงโตบาร์บารี[18] โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงโต 90 ตัวที่ได้รับสืบทอดมาจากราชวงศ์โมร็อกโกที่สวนสัตว์ราบัต (Rabat)[19] P. l. senegalensis หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตแอฟริกาตะวันตกพบในทางตะวันตกของแอฟริกาจากประเทศเซเนกัลถึงประเทศไนจีเรีย[20] P. l. azandica หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตคองโกตะวันออกเฉียงเหนือพบในบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของคองโก P. l. nubica หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตแอฟริกาตะวันออก สิงโตมาไซ หรือสิงโตซาโว พบทางตะวันออกของแอฟริกาจากประเทศเอธิโอเปียและประเทศเคนยาถึงประเทศแทนซาเนียและประเทศโมซัมบิก[20] P. l. bleyenberghi หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ หรือสิงโตกาตองกา พบในทางตะวันตกเฉียงใต้ของแอฟริกา ประเทศนามิเบีย ประเทศบอตสวานา ประเทศแองโกลา กาตองกา (ซาเอียร์) ประเทศแซมเบีย และประเทศซิมบับเว[20] P. l. krugeri หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ หรือ สิงโตเทรนส์เวล พบในบริเวณทรานเวลของแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงอุทยานแห่งชาติครูเกอร์[20] P. l. melanochaita หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตแหลมกูดโฮพ สูญพันธุ์จากธรรมชาติราวปี ค.ศ. 1860 ผลจากการวิจัยไมโทคอนเดรีย DNA พบว่าไม่ควรแยกสิงโตแหลมกูดโฮพออกมาเป็นชนิดย่อย อาจเป็นไปได้ว่าสิงโตแหลมกูดโฮพเป็นประชากรที่อยู่ใต้สุดของการกระจายพันธุ์ของสิงโตชนิดย่อย P. l. krugeri[11]", "title": "สิงโต" }, { "docid": "10214#29", "text": "เป็นอ่างเก็บน้ำสำหรับใช้อุปโภคบริโภคภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเพื่อเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่า ดำเนินการสร้างโดยนายบุญเรือง สายศร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่คนแรกเมื่อปี 2524 โดยในช่วงที่สร้างนี้ นายบุญเรืองได้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานในวาระที่ 2 แต่เดิมเรียกกันว่าอ่างเก็บน้ำมอสิงโต โดยเรียกตามชื่อของเขามอสิงโตที่อยู่บริเวณหน้าอ่างเก็บน้ำซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับสิงโต แต่ต่อมาในปี 2550 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอ่างเก็บน้ำสายศรเพื่อเป็นเกียรติแก่นายบุญเรือง สายศร อดีตหัวหน้าอุทยานเขาใหญ่คนแรก (พ.ศ. 2503-2506) ผู้ซึ่งมีส่วนบุกเบิกในการจัดตั้งอุทยาน และไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีสิงโตอาศัยอยู่", "title": "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" }, { "docid": "472975#3", "text": "การสำรวจกล้วยไม้ในไทยเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี(พ.ศ. 2310-2325) โดยนักสำรวจชาวเดนมาร์กชื่อ Johann Grhard Kӧnig เดินทางมาสำรวจพรรณพืชในไทย ซึ่งครั้งนั้นได้พบกล้วยไม้ 24 ชนิด และ ในจำนวนนั้นมีกล้วยไม้สกุลสิงโตกลอกตาอยู่ 3 ชนิด คือ\nในจำนวนนี้ชิ้นที่ 17 คือ Epidendrum flabellum veneris หรือ Bulbophyllum flabellum veneris ในปัจจุบัน เป็นชนิดที่พบครั้งแรกของโลก และเป็นการตั้งชื่อกล้วยไม้สิงโตกลอกตาครั้งแรกของไทยอีกด้วย ส่วน Epidendrum longiflorum ต่อมามีชื่อว่า Bulbophyllum vaginatum และ Epidendrum sessile มีชื่อว่า Bulbophyllum clandestinum \nการสำรวจพรรณไม้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะทางภาคเหนือที่ยอดดอยสุเพท จังหวัดเชียงใหม่ ได้ตัวอย่างพืชราว 20,000 ชิ้น ในจำนวนนั้นมีสกุลสิงโตกลอกตารวมอยู่ด้วย ส่วนหนึ่งได้รับการจำแนกชื่อพฤกษศาสตร์และเก็บเป็นหลักฐานไว้ที่พิพิธภัณฑ์พืช สวนพฤกษศาสตร์คิวหรือสวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว ประเทศอังกฤษ อีกสวนหนึ่งคงเก็บไว้ในไทยที่พิพิธภัณฑ์พืช กรมวิชาการเกษตร แม้บางส่วนไม่สามารถตรวจสอบชื่อพฤกษศาสตร์ได้ แต่ยังคงเก็บรักษาชิ้นตัวอย่างไว้เป็นหลักฐานสำคัญ หลังจากนั้นระหว่างปี ค.ศ. 1958-1965 เอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับกล้วยไม้ของไทยก็ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก คือ “ The Orchids of Thailand : A Preliminary List ” จัดทำโดยสยามสมาคม ซึ่งเป็นการศึกษาร่วมกันของศาสตราจารย์ Gunnar Seidenfaden และศาสตราจารย์ ดร.เต็ม สมิตินันทน์ โดยตีพิมพ์เป็น 4 ฉบับ เป็นหนังสือที่กล่าวสรุปเบื้องต้นถึงการสำรวจกล้วยไม้ป่าในไทย รวมถึงสกุลสิงโตกลอกตาด้วย หลังตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ศาสตราจารย์ Gunnar Seidenfaden ได้นำตัวอย่างกล้วยไม้สกุลสิงโตกลอกตาทั้งหมดมาศึกษาเพิ่มเติม และตีพิมพ์อีกครั้งในวารสารทางพฤกษศาสตร์ที่มีชื่อว่า DANSKBOTANISK ARKIV ปี ค.ศ 1979 เรื่อง “Orchid Genera in Thailand VII, Bulbophyllum Thou.” ซึ่งมีกล้วยม้ที่สามารถตรวจสอบจนได้ชื่อพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้อง หลายชนิดตั้งขึ้นเป็นสิงโตกลอกตาชนิดใหม่ของโลก รวมทั้งสิงโตกลอกตาที่ระบุว่า B. sp. GT 2821 เก็บตัวอย่างจากดอยหลวงเชียงดาวก็ตั้งเป็นกล้วยไม้ชนิดใหม่ของด้วยเช่นกัน โดยบัญญัติชื่อพฤกษศาสตร์ว่า “Bulbophyllum trivial” หรือที่รู้จักในชื่อ “สิงโตแคระเชียงดาว”", "title": "สิงโตกลอกตา" }, { "docid": "626185#1", "text": "\"ในบรรดาหินประดับสวนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ มีเพืยงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ คือ หินประดับที่สวนป่าสิงโตในเมืองซูโจว (Of all the famous rock-gardens in history, only one has survived. This is the so-called 'Lion Garden' in Suzhou.\" สวนป่าสิงโตสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1342 ช่วงราชวงศ์หยวน โดยนักบวชในศาสนาพุทธนิกายเซน ชื่อ เหวินเทียนหรู๋ (Wen Tianru) เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่อาจารย์ของท่านที่ชื่อ นักบวชจงเฟิง (Abbot Zhongfeng) ซึ่งในเวลานั้นสถานที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของพระอารามผู๋ที๋เจ้งจง (อังกฤษ: Bodhi Orthodox Monastery; จีน:菩提正宗). ชื่อสวนแห่งนี้ได้มาจากหินจากทะเลสาบไท่หูที่มีรูปร่างคล้ายสิงโต หรืออีกนัยหนึ่งชื่อสวนแห่งนี้ได้มาจากยอดเขาสิงโต (the Lion Peak) แห่งทิวเขาเทียนมู่ (อังกฤษ: Mount Tianmu หรือ Tianmushan; จีนตัวย่อ: 天目山; พินอิน: \"Tiānmùshān\") ในเมืองหลินอัน (อังกฤษ: Lin'an City; จีนตัวย่อ: 临安市; พินอิน: \"Lín'ān Shì\") หางโจว มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักบวชจงเฟิงเข้าสู่นิพพาน ในช่วงเวลานั้นสวนป่าสิงโตมีพื้นที่ประมาณ 6,670 ตารางเมตร เต็มไปด้วยหินประดับและสวนไผ่ หลังจากที่เหวินเทียนหรู๋เสียชีวิตลงสวนได้ถูกปล่อยทิ้งร้างให้ชำรุดทรุดโทรม จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1589 ในช่วงของราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) นักบวชในพุทธศาสนาอีกรูปหนึ่งชื่อ หมิงซิง (Mingxing) บูรณะสวนขึ้นใหม่", "title": "สวนป่าสิงโต" }, { "docid": "224219#5", "text": "หรือแม้กระทั่งในประวัติศาสตร์ยุโรปเอง ก็มีภาพโมเสกของอเล็กซานเดอร์มหาราชทรงร่วมล่าสิงโตกับพระสหาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นแม่ทัพชื่อ เฮฟฟาฮิสเตียน เชื่อว่าสิงโตชนิดนั้นก็คือ สิงโตอินเดีย นั่นเอง", "title": "สิงโตอินเดีย" }, { "docid": "472975#1", "text": "สิงโตกลอกตามีประวัติการศึกษามายาวนานกว่า 200 ปี เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา สิงโตกลอกตาเป็นกล้วยไม้สกุลใหญ่มีมากกว่า 2000 ชนิด ส่วนมากจะมีการกระจายพันธุ์กว้างมากในเขตร้อน ซึ่งเป็นเขตที่ยากลำบากต่อการเข้าสำรวจและทำการศึกษา นอกจากนี้กระบวนการศึกษาทางพฤกษศาสตร์ยังเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีขั้นตอนต่างๆในการพิสูจน์มากมายเพื่อระบุว่านั่นคือกล้วยไม้สิงโตกลอกตาชนิดใด และมีลักษณะเช่นไร ชนิดไหนได้รับการตั้งชื่อแล้วชื่อไหนเป็นการตั้งชื่อซ้ำซ้อนกัน ไปจนถึงการตั้งชนิดใหม่ ในปัจจุบันมีการศึกษากล้วยไม้สกุลสิงโตกลอกตายังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในประเทศไทยด้วย", "title": "สิงโตกลอกตา" }, { "docid": "38540#0", "text": "อันดับปลาแมงป่อง หรือ อันดับปลาสิงโต () เป็นอันดับของปลาทะเลกระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scorpaeniformes ", "title": "อันดับปลาแมงป่อง" }, { "docid": "354530#2", "text": "สิงโตบาร์บารีในธรรมชาติตัวสุดท้ายถูกล่าเมื่อปี ค.ศ. 1922 ในบริเวณเทือกเขาแอตลาส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการเลี้ยงสิงโตสายพันธุ์นี้อยู่โรงแรม หรือคณะละครสัตว์หลายแห่งในทวีปยุโรป ในช่วงยุคกลางมีการเลี้ยงสิงโตบาร์บารี่ในบริเวณหอคอยลอนดอน ในปี ค.ศ. 1835 ได้มีการย้ายสิงโตออกจากหอคอยลอนดอนไปยังสวนสัตว์ลอนดอน โดยสิงโตบาร์บารี่ตัวที่มีชื่อเสียงที่สุด ชื่อ สุลต่าน ซึ่งอาศัยอยู่ในสวนสัตว์ลอนดอนในปี ค.ศ. 1896", "title": "สิงโตบาร์บารี" }, { "docid": "948722#4", "text": "ไฮน์ริช  เคลเลอร์ยืนกรานว่าจะต้องมีการสร้างอนุสาวรีย์ตามแผนเดิมของไฟเฟอร์ และธอร์วาลเซ่นก็เห็นด้วยกับแผนที่ว่านั่นคือควรจะสร้างสิงโตอย่างเดียวโดยไม่มีถ้ำ   อย่างไรก็ตามธอร์วาเซ่นไม่เห็นด้วยกับความคิดของไฟเฟอร์ที่จะให้มีการสร้างรูปสลักสิงโตที่ตายขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เศร้าสลดที่เกิดขึ้นที่ปารีส  แต่เขาคิดว่าควรจะสร้างรูปสลักสิงโตที่กำลังจะตายดีกว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่า “สิงโตไม่ได้ตาย แต่สิงโตจากไปอย่างสงบ” ในที่สุดได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นตามแบบของธอร์วาลเซ่นและในตอนแรกภายใต้การควบคุมของช่างสลักที่ชื่อ อัว พานคราซ  เอกเกนชวิลเลอร์ (ซึ่งต่อมาไม่นาน ก็ประสบอุบัติเหตุ)และสุดท้าย ชาวคอนสตานที่ชื่อ  ลูคัส  อาฮอร์นเป็นผู้สร้างเสร็จที่บ่อทรายเก่าเมืองลูเซิร์น   วันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1821 ซึ่งครบรอบ 29ปีพอดีหลังจากเหตุการณ์ลุกฮือที่พระราชวังวังทุยเลอเรียน  ได้มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์อย่างเป็นทางการ", "title": "สิงโตแห่งลูเซิร์น" }, { "docid": "354482#2", "text": "สิงโตขาวเป็นสัตว์ที่ปรากฏถึงในนิทานปรัมปราของชนเผ่าพื้นเมืองของแอฟริกาใต้ ที่กล่าวถึง ราชินีนามบี ซึ่งเป็นหญิงชรา วันหนึ่งมีลูกไฟขนาดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้า เมื่อกระทบถึงพื้นได้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ จะมีเสียงเรียกชื่อของพระนาง เมื่อราชินีนามบีได้เดินเข้าไปหา พระนางได้เปลี่ยนการเป็นหญิงสาวที่งดงาม และสิงโตก็ได้ตกลูกออกมาเป็นสิงโตขาว ในปัจจุบันนี้ชาวพื้นเมืองของแอฟริกาใต้ก็ยังเชื่อว่า สิงโตขาวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณ ", "title": "สิงโตขาว" } ]
3101
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่นิยมในอินเดียใช่หรือไม่?
[ { "docid": "13276#8", "text": "คาดว่าภาษาบาลีเป็นภาษาที่ใช้ในสมัยพุทธกาลเช่นเดียวกับภาษามคธโบราณหรืออาจจะสืบทอดมาจากภาษานี้ เอกสารในศาสนาพุทธเถรวาทเรียกภาษาบาลีว่าภาษามคธ ซึ่งอาจจะเป็นความพยายามของชาวพุทธที่จะโยงตนเองให้ใกล้ชิดกับราชวงศ์เมาริยะ พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสั่งสอนที่มคธ แต่ก็มีสังเวชนียสถาน 4 แห่งที่อยู่นอกมคธ จึงเป็นไปได้ที่จะใช้ภาษากลุ่มอินโด-อารยันยุคกลางหลายสำเนียงในการสอน ซึ่งอาจจะเป็นภาษาที่เข้าใจกันได้ ไม่มีภาษากลุ่มอินโด-อารยันยุคกลางใดๆมีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาบาลี แต่มีลักษณะบางประการที่ใกล้เคียงกับจารึกพระเจ้าอโศกมหาราชที่คิร์นาร์ทางตะวันตกของอินเดีย และหถิคุมผะทางตะวันออก", "title": "ภาษาบาลี" }, { "docid": "92403#0", "text": "ภาษาบาลี หรือภาษามคธ เป็นภาษาที่จารึกพระไตรปิฎก ด้วยเป็นภาษาที่คนชมพูทวีปในสมัยพุทธกาลนิยมใช้กันทั่วไป จึงเป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยนั้น หลังจากพุทธปรินิพพานมีการทำปฐมสังคายนา พระเถระได้ตกลงกันใช้ภาษาบาลีสำหรับจดจำพระไตรปิฎก พระสงฆ์สายเถรวาทจึงต้องศึกษาภาษาบาลีให้เข้าใจลึกซึ้งและสามารถเทียบเคียงสอบทานกับพระไตรปิฎกที่เก็บไว้ในสถานที่ต่างกันได้ เพื่อรักษาการแปลความหมายจากพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกให้ถูกต้องไม่บิดเบือน และหน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน", "title": "การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย" }, { "docid": "13276#9", "text": "นักวิชาการเห็นว่าภาษาบาลีเป็นภาษาลูกผสม ซึ่งแสดงลักษณะของภาษาปรากฤตหลายสำเนียง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 2 และได้ผ่านกระบวนการทำให้เป็นภาษาสันสกฤต พระธรรมคำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนาถูกแปลเป็นภาษาบาลีเพื่อเก็บรักษาไว้ และในศรีลังกายังมีการแปลเป็นภาษาสิงหลเพื่อเก็บรักษาในรูปภาษาท้องถิ่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ภาษาบาลีได้เกิดขึ้นที่อินเดียในฐานะภาษาทางการเขียนและศาสนา ภาษาบาลีได้แพร่ไปถึงศรีลังกาในพุทธศตวรรษที่ 9-10 และยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน\nภาษาที่เก่าแก่ที่สุดของกลุ่มภาษาอินโด-อารยันยุคกลางที่พบในจารึกสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชคือภาษาบาลีและภาษาอรธามคธี ภาษาทั้งสองนี้เป็นภาษาเขียน ภาษานี้ไม่ได้ใหม่ไปกว่าภาษาสันสกฤตคลาสสิกเมื่อพิจารณาในด้านลักษณะทางสัทวิทยาและรากศํพท์ ทั้งสองภาษาไม่ได้พัฒนาต่อเนื่องมาจากภาษาสันสกฤตพระเวทซึ่งเป็นพื้นฐานของภาษาสันสกฤตคลาสสิก อย่างไรก็ตาม ภาษาบาลีมีลักษณะที่ใกลเคียงกับภาษาสันสกฤตและมีความแตกต่างอย่างเป็นระบบ และสามารถเปลี่ยนคำในภาษาสันสกฤตไปเป็นคำในภาษาบาลีได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคำในภาษาบาลีเป็นส่วนหนึ่งของภาษาสันสกฤตโบราณหรือยืมคำโดยการแปลงรูปจากภาษาสันสกฤตได้เสมอไป เพราะมีคำภาษาสันสกฤตที่ยืมมาจากภาษาบาลีเช่นกัน", "title": "ภาษาบาลี" } ]
[ { "docid": "13276#0", "text": "ภาษาบาลี (; ); () เป็นภาษาที่เก่าแก่ภาษาหนึ่ง ในตระกูลอินเดีย-ยุโรป (อินโด-ยูโรเปียน) ในสาขาย่อย อินเดีย-อิหร่าน (อินโด-อิเรเนียน) ซึ่งจัดเป็นภาษาปรากฤตภาษาหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (มี พระไตรปิฎก เป็นต้น) โดยมีลักษณะทางไวยากรณ์ และคำศัพท์ที่คล้ายคลึงกับภาษาสันสกฤต ไม่มีอักษรชนิดใดสำหรับใช้เขียนภาษาบาลีโดยเฉพาะ มีหลักฐานจารึกภาษาบาลีด้วยอักษรต่าง ๆ มากมายในตระกูลอักษรอินเดีย เช่น อักษรพราหมี อักษรเทวนาครี จนถึง อักษรล้านนา อักษรขอม อักษรไทย อักษรมอญ แม้กระทั่งอักษรโรมัน (โดยมีการเพิ่มเครื่องหมายเล็กน้อย) ก็สามารถใช้เขียนภาษาบาลีได้", "title": "ภาษาบาลี" }, { "docid": "13276#10", "text": "ปัจจุบัน การศึกษาบาลีเป็นไปเพื่อความเข้าใจคัมภีร์ทางพุทธศาสนา และเป็นภาษาของสามัญชนทั่วไป ศูนย์กลางการศึกษาภาษาบาลีที่สำคัญคือประเทศที่นับถือศาสนาพุทธเถรวาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พม่า ลาว ไทย กัมพูชา รวมทั้งศรีลังกา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 25 มีการศึกษาภาษาบาลีในอินเดีย ในยุโรปมีสมาคมบาลีปกรณ์เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการเรียนภาษาบาลีโดยนักวิชาการชาวตะวันตกที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2424 ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ สมาคมนี้ตีพิมพ์ภาษาบาลีด้วยอักษรโรมัน และแปลเป็นภาษาอังกฤษ ใน พ.ศ. 2412 ได้ตีพิมพ์พจนานุกรมภาษาบาลีเล่มแรก การแปลภาษาบาลีเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2415รมสำหรับเด็กตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2419 นอกจากที่อังกฤษ ยังมีการศึกษาภาษาบาลีในเยอรมัน เดนมาร์ก และรัสเซีย", "title": "ภาษาบาลี" }, { "docid": "13276#3", "text": "นักภาษาศาสตร์บางท่านมีความเห็นว่าภาษาบาลีเป็นภาษาทางภาคตะวันตกของอินเดีย นักวิชาการชาวเยอรมันสมัยปัจจุบันซึ่งเป็นนักสันสกฤตคือศาสตราจารย์ไมเคิล วิตเซลแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ถือว่าภาษาบาลีเป็นภาษาทางภาคตะวันตกของอินเดีย และเป็นคนละภาษากับภาษาจารึกของ พระเจ้าอโศกมหาราช", "title": "ภาษาบาลี" }, { "docid": "13276#6", "text": "ปัจจุบันมีการศึกษาภาษาบาลีอย่างกว้างขวางในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และอินเดีย แม้กระทั่งในอังกฤษ ก็มีผู้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาได้พากันจัดตั้ง สมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) ขึ้นในกรุงลอนดอนของประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2424 เพื่อศึกษาภาษาบาลีและวรรณคดีภาษาบาลี รวมถึงการแปลและเผยแพร่ ปัจจุบันนั้น สมาคมบาลีปกรณ์ดังกล่าวนี้มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ตำบลเฮดดิงตัน ในเมืองอ๊อกซฟอร์ดของสหราชอาณาจักร", "title": "ภาษาบาลี" }, { "docid": "432353#2", "text": "ชาวจีนเหล่านี้ยังคงพูดภาษาจีนได้ แม้ว่าจะพูดภาษาฮินดีและภาษาเบงกาลีได้ด้วย แต่เด็กรุ่นใหม่จะนิยมเรียนในโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฮินดีมากกว่า วัฒนธรรมโดดเด่นของชาวอินเดียเชื้อสายจีนคืออาหารจีนที่เป็นที่นิยมในท้องถิ่นด้วย เช่น ฮักกา เป็นบะหมี่ผัดลักษณะคล้ายราดหน้า เขาว์เมน เป็นบะหมี่ผัดแห้ง ซึ่งเป็นอาหารจานเด่นที่พบได้ทั่วไปในกัลกัตตา และยังคงมีการเฉลิมฉลองในวันตรุษจีน สารทจีนและวันไหว้พระจันทร์อยู่", "title": "ชาวจีนในอินเดีย" }, { "docid": "13276#12", "text": "คำทุกคำในภาษาบาลีมีต้นกำเนิดเดียวกับภาษาปรากฤตในกลุ่มภาษาอินโด-อารยันกลางเช่นภาษาปรากฤตของชาวเชน ความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤตยุคก่อนหน้านั้นไม่ชัดเจนและซับซ้อน แต่ทั้งภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีต่างได้รับอิทธิพลซึ่งกันและกัน เมื่อเปรียบเทียบกับภาษาสันสกฤต ความคล้ายคลึงของทั้งสองภาษาดูจะมากเกินจริงเมื่อเปรียบเทียบกับภาษาในยุคหลัง ซึ่งกลายเป็นภาษาเขียนหลังจากที่ใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาในชีวิตประจำวันมาหลายศตวรรษ และได้รับอิทธิพลจากภาษาในอินเดียยุคกลาง รวมทั้งการยืมคำระหว่างกัน ภาษาบาลีเมื่อนำมาใช้งานทางศาสนาจะยืมคำจากภาษาท้องถิ่นน้อยกว่า เช่น การยืมคำจากภาษาสิงหลในศรีลังกา ภาษาบาลีไม่ได้ใช้บันทึกเอกสารทางศาสนาเท่านั้น แต่มีการใช้งานด้านอื่นด้วย เช่น เขียนตำราแพทย์ด้วยภาษาบาลี แต่ส่วนใหญ่นักวิชาการจะสนใจด้านวรรณคดีและศาสนา", "title": "ภาษาบาลี" }, { "docid": "13276#15", "text": "ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ภาษาปรากฤตเขียนด้วยอักษรพราหมี ซึ่งเป็นภาษาที่มีความใกล้เคียงกับภาษาบาลี ในทางประวัติศาสตร์ การใช้ภาษาบาลีเพื่อบันทึกคัมภีร์ทางศาสนาครั้งแรกเกิดขึ้นที่ศรีลังกา เมื่อราว พ.ศ. 443 แม้การออกเสียงภาษาบาลีจะใช้หลักการเดียวกัน แต่ภาษาบาลีเขียนด้วยอักษรหลายชนิด ในศรีลังกาเขียนด้วยอักษรสิงหล ในพม่าใช้อักษรพม่า ในไทยและกัมพูชาใช้อักษรขอมหรืออักษรเขมรและเปลี่ยนมาใช้อักษรไทยในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2436 และเคยเขียนด้วยอักษรอริยกะที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นเวลาสั้นๆ ในลาวและล้านนาเขียนด้วยอักษรธรรมที่พัฒนามาจากอักษรมอญ นอกจากนั้น อักษรเทวนาครีและอักษรมองโกเลียเคยใช้บันทึกภาษาบาลีเช่นกัน", "title": "ภาษาบาลี" } ]
2504
เทศบาลเมืองพระพุทธบาทตั้งอยู่ทางทิศใดของจังหวัดสระบุรี?
[ { "docid": "924192#2", "text": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท  ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดสระบุรี  ระยะทางห่างจากจังหวัดสระบุรีประมาณ  28  กิโลเมตร   ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ  136  กิโลเมตร   มีพื้นที่  29.6  ตารางกิโลเมตร  ครอบคลุมพื้นที่   4  ตำบล   32  หมู่บ้าน ของอำเภอพระพุทธบาท  คือ\nสภาพเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการค้า  การบริการ  การท่องเที่ยว ดังนั้น  จึงมีกิจการร้านค้ามากมาย  เช่น  กิจการที่จำหน่ายอาหาร  เครื่องดื่ม  สินค้าอุปโภคบริโภค  กิจการที่จำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่างมีจำนวนมากที่สุด  ได้แก่กิจการประเภทรถจักรยานยนต์   เครื่องใช้ไฟฟ้า  ร้านทอง  แหล่งธุรกิจจะอยู่ริมถนนพหลโยธินทางด้านเหนือ", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" } ]
[ { "docid": "924192#0", "text": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท หรือ เมืองพระพุทธบาท เป็นเทศบาลขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดสระบุรีของภาคกลางของประเทศไทย และที่สำคัญยังเป็นเมืองเศรษฐกิจอีกเมืองหนึ่งของจังหวัดสระบุรีด้วย", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" }, { "docid": "924192#1", "text": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท   ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้ตราพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งเป็นเทศบาล  โดยยกฐานะจากสุขาภิบาลพระพุทธบาท   อำเภอพระพุทธบาท  จังหวัดสระบุรี  ขึ้นเป็นเทศบาลตำบลพระพุทธบาท  มีชื่อว่า “เทศบาลตำบลพระพุทธบาท” และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  เล่มที่ 104 ตอนที่  224 ลงวันที่   6 พฤศจิกายน  2530 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2530 เป็นเทศบาลลำดับที่  130(ไม่รวมกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา)ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ ประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลตำบลพระพุทธบาท  อำเภอพระพุทธบาท  จังหวัดสระบุรี  ขึ้นเป็นเทศบาลเมืองพระพุทธบาท  ตั้งแต่วันที่   5 มกราคม  2549 จนถึงปัจจุบัน", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" }, { "docid": "546471#0", "text": "โรงพยาบาลพระพุทธบาท ตั้งอยู่เลขที่ 86 หมู่ 8 ตำบลธารเกษม อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ห่างจากตัวจังหวัด 28 กิโลเมตร โดยประมาณ มีเนื้อที่ 70 ไร่\nมีอาณาเขต ดังนี้\nทิศเหนือ : จดพื้นที่อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี\nทิศใต้: จดพื้นที่อำเภอบ้านหมอ อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี\nทิศตะวันออก :จดพื้นที่อำเภอเสาไห้ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี\nและทิศตะวันตก: จดพื้นที่อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี", "title": "โรงพยาบาลพระพุทธบาท สระบุรี" }, { "docid": "924192#90", "text": "พระตำหนักธารเกษม  ตั้งอยู่ที่ตำบลขุนโขลน  อำเภอพระพุทธบาท (ในพื้นที่ของสถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรี)   เป็นตำหนักที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดฯ ให้สร้างเป็นที่ประทับเมื่อคราวเสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาท  ณ  ริมธารน้ำใต้ธารทองแดง   ซึ่งเป็นที่มีแมกไม้ร่มรื่นเป็นที่สำราญพระราชหฤทัย   เวลานี้หักพังหมดแล้วคงเหลือแต่อิฐและปูนปรากฏให้เห็น", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" }, { "docid": "924192#84", "text": "วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาทห่างจากจังหวัดสระบุรีประมาณ  28  กิโลเมตร   มีปูชนียสถานที่สำคัญ คือ  พระมณฑป  สร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม  เดิมเป็นมณฑปยอดเดียว  ได้รับการ เปลี่ยนเครื่องบน  แปลงให้เป็นพระมณฑป  5  ยอดในสมัยพระเจ้าเสือ ภายในเป็น “มณฑปน้อย”  เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท  สร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม  แต่เดิมมีทองคำหุ้มอยู่  ต่อมาถูกพวกจีนซึ่งอาสา ต่อสู้กับพม่าลอกเอาทองคำไป  แล้วยังเผาพระมณฑปอีกด้วย  รัชกาลที่ 1 ได้ทรงปฏิสังขรณ์เมื่อ พ.ศ. 2330  และได้รับการปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมในรัชกาลที่ 3  และรัชกาลที่ 4 รอยพระพุทธบาท  ประดิษฐานอยู่ภายในพระมณฑปน้อย  อันมีพระมณฑปใหญ่สวมครอบไว้  มีขนาดกว้าง  21  นิ้ว  ยาว  5  ฟุต  และลึก  11  นิ้ว   ภายในรอยพระพุทธบาทนี้จะมองเห็นมีแผ่นทองคำเปลว และธนบัตรอยู่เสมอ  โดยผู้ที่เข้าไปนมัสการต่างก็บริจาคให้ไว้  เป็นการแสดงออกถึงความเลื่อมใสเพื่อสมทบทุนในการบูรณะซ่อมแซม", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" }, { "docid": "924192#88", "text": "พระราชวังโบราณ (พระตำหนักท้ายพิกุล)  พระราชวังโบราณหรือตำหนักท้ายพิกุล  ตั้งอยู่ติดกำแพงวัดพระพุทธบาทด้านทิศเหนือ   พระราชวังนี้พระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างพร้อมกับบริเวณวัดพระพุทธบาท  เพื่อเป็นที่ประทับเวลาเสด็จขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท  ได้ชำรุดทรุดโทรมหักพังไปหมด เหลือเพียงกำแพงวังและฐานพระตำหนัก  ฐานเกยช้าง – ม้า  ต่อมาสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างพระตำหนักทับบนฐานเดิม  ปัจจุบันไม่มีซากตำหนักเหลือปรากฏอยู่  คงมีแต่", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" }, { "docid": "385534#0", "text": "อยู่หลังพระวิหารหลวง ติดกำแพงพระพุทธบาทด้านทิศตะวันออกเฉียง เหนือ ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี \nพระราชวังนี้พระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับเวลาเสด็จขึ้น ไปนมัสการพระพุทธบาท ของเดิมเหลืออยู่แต่กำแพงวังและฐานพระตำหนัก ฐานเกยช้างม้า ก่ออิฐถือปูน ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้สร้างพระตำหนักทับบนฐานเดิม ตัวอาคารเป็น เครื่องขัดแตะถือปูนบ้าง เครื่องไม้บ้าง แต่ผุพังหมดแล้ว จากการขุดตรวจของนัก โบราณคดี กรมศิลปากร พบซากฐานอาคารก่ออิฐถือปูนหลายจุด รวมทั้งเกย ช้างเกยม้าที่ปรากฏในปัจจุบันก็มีการสร้างทับบนฐานเกยเดิมที่มีฐานขนาด กว้างใหญ่กว่า นอกจากนี้ยังพบท่อน้ำดินเผาสมัยกรุงศรีอยุธยา วางเป็นแนวมา จากธารทองแดง ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร", "title": "พระราชวังท้ายพิกุล" }, { "docid": "924192#27", "text": "งานประเพณีตักบาตรดอกไม้  นับว่าเป็นประเพณีที่สำคัญของจังหวัดสระบุรีและมีแห่งเดียวในโลก  โดยถือเอาวันเข้าพรรษา วันแรม  1  ค่ำ  เดือน  8  ของทุกปี  จะมีประชาชน  ผู้เฒ่าผู้แก่และคนหนุ่มสาวทั่วไปต่างพากันไปทำบุญตักบาตร เนื่องในวันเข้าพรรษาที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารตามประเพณีชาวพุทธทั้งหลาย   นอกจากนี้ทางเทศบาลเมืองพระพุทธบาทร่วมกับจังหวัดสระบุรี  ส่วนราชการ  เอกชน  และประชาชน   ร่วมกันจัดให้มีขบวนแห่  การแสดงอันสวยงาม และพิธีตักบาตรด้วยดอกไม้ที่มีชื่อว่า “ดอกเข้าพรรษา”  งานนี้จัดเป็นประจำทุกปีและเป็นงานยิ่งใหญ่ของจังหวัดสระบุรีงานประเพณีแห่พระเขี้ยวแก้ว   ซึ่งชาวพุทธเชื่อกันว่าเป็นฟันของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 จะมีการจัดงานของเทศบาลและชาวอำเภอพระพุทธบาทโดยอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากพิพิธภัณฑ์วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร  ออกแห่ฉลองรอบเมืองพระพุทธบาทโดยมีความเชื่อกันว่าหากมีการแห่พระเขี้ยวแก้วแล้วจะสามารถบันดาลให้ประชาชนชาวอำเภอพระพุทธบาทได้รับความร่มเย็นเป็นสุข  ทำมาค้าขายดีทั่วหน้า", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" }, { "docid": "924192#61", "text": "- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3020  อำเภอพระพุทธบาท – หนองโดน   จังหวัดสระบุรี", "title": "เทศบาลเมืองพระพุทธบาท" } ]
1033
เซรามิก พบว่าเริ่มทำครั้งแรกตั้งแต่เมื่อสมัยใด ?
[ { "docid": "12007#1", "text": "เซรามิกสามารถนำมาประยุกต์ เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ได้มากมาย อาทิ หม้อไหถ้วยชาม เครื่องเคลือบดินเผา อิฐ กระเบื้องเคลือบ วัสดุประเภทซีเมนต์ แก้ว และวัสดุทนไฟ เป็นต้น ตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาได้มีความเจริญก้าวหน้าในกระบวนการผลิต ตลอดจนมีความเข้าใจในลักษณะพื้นฐาน และกลไกที่ควบคุมคุณสมบัติของเซรามิค ทำให้มีการพัฒนาเซรามิกประเภทใหม่ ๆ มากมาย คำว่าเซรามิกจึงมีความหมายที่กว้างขึ้นรวมถึงเซรามิกที่มีคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ด้วย โดยวัสดุเหล่านี้ได้ถูกนำไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น", "title": "เซรามิก" } ]
[ { "docid": "840966#50", "text": "Zirconia เป็นเซรามิกที่แข็งมากที่สามารถใช้เป็นวัสดุในครอบฟันเซรามิกล้วน แม้ว่าจะยังเป็นวัสดุใหม่ที่เพิ่งนำมาใช้ในทันตแพทยศาสตร์ จึงมีข้อมูลทางคลินิกที่จำกัด[20] zirconia แบบที่ใช้ในทันตแพทยศาสตร์เป็น zirconium oxide ที่ทำให้เสถียรโดยเติมอิตเทรียมออกไซด์ ชื่อเต็มของวัสดุที่ใช้ในทันตแพทยศาสตร์ก็คือ yttria-stabilized zirconia (YSZ)", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "119126#0", "text": "แจกัน เป็นภาชนะเปิด นิยมใช้ใส่ดอกไม้เพื่อการประดับตกแต่ง แจกันมีหลากหลายรูปทรง และทำจากหลายวัสดุเช่น ดินเผา เซรามิก แก้ว ไม้ นิยมทำลวดลายบ่งบอกถึงวัฒนธรรมของผู้ผลิตแจกัน", "title": "แจกัน" }, { "docid": "666757#3", "text": "อีช้อนแบ่งการปกครองออกเป็น 2 \"อึบ\" (ตำบล) , 8 \"มย็อน\" (เขตการปกครองท้องถิ่น) และ 4 \"ทง\" (แขวง) หมู่บ้านเซรามิกของอีช็อนประกอบไปด้วยสำนักงานหรือบริษัทท้องถิ่นที่ทำเซรามิกมากกว่า 300 แห่งบริเวณรอบๆ หมู่บ้านซูควัง, ซินดันมย็อน, แขวงซาอึมและตามสถานที่ท่องเที่ยวภายในเมือง ด้วยการใช้ทักษะการปั้นแบบดั้งเดิมและกระบวนการในการสร้างเครื่องถ้วยชามในการเผาด้วยไม้ในเตาเผาแบบโบราณ ทำให้การปั้นหมอของเมืองนี้ได้รับการยอมรับในคุณภาพทั้งในเกาหลีและในต่างประเทศ", "title": "อีช็อน" }, { "docid": "12007#34", "text": "ประโยชน์ของค่าการขยายเนื่องจากความร้อนแบบไม่คืนกลับจะทำให้เราทราบถึงวิธีการจำแนกดินเหนียวออกเป็นกลุ่มเฉพาะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในส่วนผสมของเนื้อดินสูตรหนึ่งอาจจะสามารถใช้ดินตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มเดียวกันแทนที่ดินอีกตัวหนึ่งได้ เนื่องจากดินที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันมักจะแสดงคุณสมบัติคล้าย ๆ กันเมื่อผ่านกระบวนการเดียวกัน แต่เนื่องจากดินในกลุ่มเดียวกันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ค่อนข้างมาก เมื่อต้องการจะนำดินตัวใดตัวหนึ่งมาใช้แทนที่อีกตัวหนึ่งจึงควรพิจารณาดินที่มีคุณสมบัติทั้งทางเคมีและทางกายภาพที่คล้ายกันมากที่สุด ดินทนไฟ (Fireclays)", "title": "เซรามิก" }, { "docid": "10769#35", "text": "ชิ้นส่วนวามต้านทานถูกทำจากส่วนผสมของคาร์บอนบดละเอียด (เป็นผง) และ วัสดุฉนวน(ปกติเป็นเซรามิก) เรซินจะยึดส่วนผสมเข้าด้วยกัน ความต้านทานจะถูกกำหนดโดยอัตราส่วนของวัสดุ เติม (ผงเซรามิก) เทียบกับคาร์บอน คาร์บอนความเข้มข้นยิ่งสูง-ตัวนำยิ่งดี-เป็นผลให้ความต้านทานยิ่งต่ำ ตัวต้านทานองค์ประกอบคาร์บอนถูกนำมาใช้กันโดยทั่วไปในปี 1960s และก่อนหน้านี้ แต่จะไม่เป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานทั่วไปในปัจจุบัน เมื่อตัวต้านทานประเภทอื่นๆ มีคุณสมบัติที่ดีกว่า เช่น ความอดทน การพึ่งพาอาศัยแรงดัน และความเครียด (ตัวต้านทานองค์ประกอบคาร์บอนจะเปลี่ยนค่าเมื่อเครียดด้วยแรงดันไฟฟ้าเกิน) นอกจากนี้ หากมีความชื้นภายใน (จากการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่ชื้นเป็นเวลานาน) หรือความร้อนจากการบัดกรีจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในค่าความต้านทานที่ย้อนกลับไม่ได้ ตัวต้านทานองค์ประกอบคาร์บอนมี เสถียรภาพกับเวลาที่ไม่ดีและมีผลสะท้อนให้ถูกเลือกโดยโรงงานให้มีความอดทนที่ดีที่สุดเพียง 5% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตัวต้านทานเหล่านี้ ถ้ามันไม่เคยอยู่ภายใต้แรงดันไฟฟ้าเกินหรือร้อนเกิน มันจะเป็นที่เชื่อถือได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อพิจารณาถึงขนาดของส่วนประกอบของมัน", "title": "ตัวต้านทาน" }, { "docid": "840966#46", "text": "รู้จักโดยนิยมว่า ครอบฟันจักรพรรดินี (Empress Crown) ครอบฟันที่เสริม leucite คล้ายกับการทำครอบฟันโลหะอย่างผิวเผินตรงที่ว่า จะมีแบบพอกหุ่นกลวง แต่วิธีการที่เหลือจะไม่เหมือนกัน ช่างจะฉีดเซรามิกเสริม leucite ด้วยความดันเข้าในแบบพอกหุ่น (หรือแบบหล่อ) โดยใช้เตา pressable-porcelain-oven ทำให้เหมือนกับ \"หล่อ\" ครอบฟันแต่มีวัสดุเป็นเซรามิก หลังจากนั้น ครอบฟันสามารถย้อมสีและขัดเงา หรือตัดแล้วเคลือบด้วยเซรามิกเฟลด์สปาร์ให้เข้ากับสีและรูปฟันของคนไข้[17]", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "905941#0", "text": "สตูดิโอ เป็นห้องทำงานของนักทำงานหรือศิลปิน ห้องนี้อาจจะเพื่อวัตถุประสงค์ในด้าน แอกติ้ง ,สถาปัตยกรรม ,จิตรกรรม ,เครื่องปั้นดินเผา (เซรามิก) ,ประติมากรรม ,โอะริงะมิ ,การทำงานด้วยไม้ ,สแครปบุ๊กกิ้ง ,การถ่ายภาพ ,กราฟิกดีไซน์ ,การผลิตภาพยนตร์ ,แอนิเมชัน ,การออกแบบเชิงอุตสาหกรรม ,วิทยุ ,การผลิตรายการโทรทัศน์ หรือการทำดนตรี คำนี้ยังใช้สำหรับห้องทำงานของนักเต้นรำ มักระบุไว้ว่า Dance studio", "title": "สตูดิโอ" }, { "docid": "840966#44", "text": "อุปกรณ์ CAD/CAM มีราคาในต่างประเทศประมาณ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,500,000 บาท) โดยมีค่าใช้จ่ายเรื่อย ๆ สำหรับแท่งเซรามิกและหัวจักร เพราะมีราคาสูง ค่าใช้จ่ายของครอบฟันแบบ CAD/CAM ในคลินิกทันตแพทย์ปกติจะมีราคา 2-3 เท่าของครอบฟันเช่นเดียวกันที่ส่งห้องปฏิบัติการทำ และโดยทั่วไปแล้ว ครอบฟันที่ทำโดย CAD/CAM และใช้เซรามิก Vita Mark I และ Vita Mark II 95% จะยังไม่แตกหลังจาก 5 ปี[11][12] นอกจากนั้นแล้ว 90% ยังสามารถใช้งานได้หลังจาก 10 ปี[11][12]", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "840966#30", "text": "การซ่อมฟันโดยเซรามิกล้วนอาจต้องเตรียมขอบกว้าง (2 มม.) และต้องกรอฟันด้านบดเคี้ยว (occlusion) ออกอย่างน้อย 1.0 - 1.5มม. มีบางกรณีที่การเอาฟันออกขนาดนี้พิจารณาว่ามากเกินไป เหตุผลเพื่อไม่ใช้เซรามิกล้วนก็คือมีโอกาสแตกสูงกว่า เมื่อไม่มีเคลือบฟันเหลือเป็นที่ยึดโดยใช้สารยึด (adhesive) หรือว่าถ้าคนไข้กัดหรือบดฟัน (เช่นนอนกัดฟัน) มากเกินไป", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "840966#28", "text": "การอุดฝัง (inlay), การอุดครอบ (onlay), การเคลือบกระเบื้อง (porcelain veneer), การปลูกฟันแบบ crownlay และครอบฟันแบบต่าง ๆ สามารถทำมาจากเซรามิก เช่นที่ทำจากห้องปฏิบัติการทันตแพทย์ทั่วไป หรือที่ใช้ในทันตแพทยศาสตร์แบบ CAD/CAM เทคโนโลยี CAD/CAM ทำให้สามารถซ่อมฟันเสร็จภายในวันเดียว โดยผลิตวัสดุจากบล็อกกระเบื้อง ซึ่งจะมีสีและเงาคล้ายฟันคนไข้ ตามที่ทำมา วัสุดฟันเซรามิกล้วนจากห้องปฏิบัติการจะทำมาจากกระเบื้องเฟลด์สปาร์ (feldspathic porcelain) หรือเซรามิกอัด (pressed ceramic) ซึ่งต้องใช้แบบหล่อและแบบชั่วคราว แต่สามารถให้ผลงานที่งามถ้าทันตแพทย์และห้องปฏิบัติการติดต่อสื่อสารกันดี", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "11900#0", "text": "วัสดุชีวภาพ (อังกฤษ: biomaterials) คือวัสดุที่สามารถใช้แทนส่วนหนึ่งส่วนใดของเนื้อเยื้อในอวัยวะ\nส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกายมนุษย์ที่เสื่อมสภาพโดยไม่เกิดปฏิกิริยาจากร่างกายมนุษย์ วัสดุชีวภาพสามารถผลิตได้จากวัสดุทั่วไปไม่ว่าจะเป็น โลหะ เซรามิก พอลิเมอร์ วัสดุผสม หรือสารกึ่งตัวนำ", "title": "วัสดุชีวภาพ" }, { "docid": "840966#43", "text": "การออกแบบและสร้างวัสดุเซรามิกล้วนแบบ CAD/CAM เป็นการถ่ายและเก็บรูปของฟันที่เตรียมรักษาโดยระบบดิจิตัล แล้วใช้คอมพิวเตอร์เพื่อออกแบบวัสดุใน 3-มิติ เพื่อให้เหมาะกับการอุดฝัง (inlay) การอุดครอบ (onlay) หรือเพื่อครอบฟันชิ้นเดียว โดยไม่ต้องพิมพ์ฟัน หลังจากบอกคอมพิวเตอร์ว่า สิ่งที่ต้องการมีลักษณะ รูปร่าง และคุณสมบัติเช่นไร ก็จะส่งข้อมูลนี้ต่อไปยังเครื่องผลิตที่อยู่ไม่ไกล เครื่องจะใช้หัวจักรทำด้วยเพชรเพื่อผลิตวัสดุจากแท่งเซรามิกแข็งที่มีสีเหมือนกับฟันคนไข้ ภายในประมาณ 20 นาทีก็จะเสร็จ แล้วแพทย์ก็จะตัดมันออกจากแท่งเซรามิกที่เหลือและทดลองใส่ในปาก ถ้าเข้ากับฟันได้ดี ทันตแพทย์ก็จะสามารถยึดวัสดุกับฟันด้วยซีเมนต์ได้เลย", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "139222#18", "text": "SMPSs มีขีดจำกัดแน่นอนสำหรับกระแสเอาต์พุตที่ต่ำที่สุด มันจะจ่ายเอาต์พุตในระดับท่สูงกว่าค่าใดค่าหนึ่ง แต้จะไม่ทำงานถ้ากระแสเอาต์พุตต่ำกว่าจุดนั้น ในสภาพไม่มีโหลด ความถี่จากวงจรสวิตชิ่งจะสูงขึ้นอย่างมากจนทำให้หม้อแปลงแยกอินพุทกับเอาต์พุตเสียหาย อันเนื่องมาจากแรงดันไฟฟ้ายอดแหลมที่เรียกว่า spike ที่เกิดขึ้นสูงมาก วงจรป้องกันของ SMPS อาจทำงานในช่วงสั้นๆ แต่แล้วก็ปิดตัวลงเมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่มีโหลด dummy load ขนาดเล็กมากและใช้พลังงานต่ำเช่น power transistor แบบเซรามิก หรือหลอดไฟ 10 วัตต์ สามารถนำมาต่อเข้ากับเอาต์พุตเพื่อให้มันทำงานโดยไม่มีโหลดได้", "title": "แหล่งจ่ายไฟ" }, { "docid": "840966#25", "text": "การทำครอบฟันมีสองวิธี โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะเตรียมฟันที่จะทำ พิมพ์ฟัน ใส่ครอบฟันชั่วคราวให้ แล้วนัดให้คนไข้มาอีก พิมพ์ฟันจะส่งไปยังห้องปฏิบัติการทันตแพทย์ที่สร้างแบบจำลองมาจากพิมพ์ฟัน สร้างครอบฟันจากพิมพ์ฟันไม่ว่าจะทำโดยกระเบื้อง เซรามิก โลหะ หรือโลหะเคลือบกระเบื้อง/เซรามิก เมื่อคนไข้มาตามนัด 1-2 อาทิตย์ให้หลัง หมอก็จะเอาครอบฟันชั่วคราวออกและใส่ครอบฟันถาวรให้โดยใช้ซีเมนต์ยึดเข้ากับเนื้อฟัน", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "12007#37", "text": "สารเซรามิกเป็นวัสดุอนินทรีย์ ที่ประกอบไปด้วยธาตุที่เป็นโลหะและอโลหะ โดยเกิดพันธะไอออนิกและพันธะโควาเลนต์ร่วมกัน โดยทั่วไปสารเซรามิกจะมีสมบัติที่แข็งและเปราะ มีแข็งแรงน้อย เพราะพันธะเคมีที่แข็งแรงทำมีจุดหลอมเหลวค่อนข้างสูง ทนต่อการกัดกร่อนได้ เป็นฉนวนไฟฟ้าและฉนวนความร้อนที่ดี เพราะไม่มีอิเล็กตรอนอิสระ การให้ความร้อนกับสารเซรามิกเป็นกระบวนการที่ทำให้สารเซรามิกมีโครงสร้างที่ตามที่ต้องการ ซึ่งมีกระบวนการที่สำคัญ 3 กระบวนการคือ", "title": "เซรามิก" }, { "docid": "12007#6", "text": "วัตถุดิบประเภทดิน (Clays): เป็นตัวให้ความเหนียวและช่วยให้สามารถขึ้นรูปเนื้อดินได้ง่าย และช่วยทำให้เนื้อดินมีความแข็งแรงเพียงพอหลังการเผาซึ่งทำให้สามารถหยิบจับชิ้นงานในขั้นตอนการขึ้นรูปและการเผาได้ วัตถุดิบประเภทสารช่วยหลอม (Fluxes): เป็นแร่ที่ประกอบด้วยอัลคาไลน์หรืออัลคาไลน์เอิร์ทซึ่งจะหลอมตัวระหว่างเผาและทำปฏิกิริยากับสารประกอบตัวอื่น ๆ เพื่อฟอร์มตัวเป็นแก้วซึ่งจะทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงกับชิ้นงานหลังเผา ดังนั้นสารประกอบฟลักซ์จะเป็นตัวช่วยลดอุณหภูมิที่ใช้ในการเผาชิ้นงานลง วัตถุดิบประเภทตัวเติม (Fillers): โดยทั่วไปแล้วทรายแก้ว (Silica) ที่ใช้ในส่วนผสมของเนื้อดิน Whiteware จะทำหน้าที่หลักในการควบคุมค่าการขยายตัวเนื่องจากความร้อนของเนื้อดินหลังการเผา วัตถุดิบประเภทอื่น นอกจากวัตถุดิบใน 3 กลุ่มหลักข้างต้นแล้วปูนปลาสเตอร์ หรือ Plaster of Paris รวมทั้งเคลือบและสีต่าง ๆ ก็จัดว่าเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิกด้วยเช่นกัน", "title": "เซรามิก" }, { "docid": "19575#6", "text": "ตัวเก็บประจุชนิดเซรามิก โดยทั่วไปตัวเก็บประจุชนิดนี้มีลักษณะกลมๆ แบนๆ บางครั้งอาจพบแบบสี่เหลี่ยมแบนๆ ส่วนใหญ่ตัวเก็บประจุชนิดนี้ มีค่าน้อยกว่า 1 ไมโครฟารัด และเป็นตัวเก็บประจุชนิดที่ไม่มีขั้ว และสามารถทนแรงดันได้ประมาณ 50-100 โวลต์ค่าความจุของตัวเก็บประจุชนิดเซรามิกที่มีใช้กันในปัจจุบันอยู่ในช่วง 1 พิโกฟารัด ถึง 0.1 ไมโครฟารัด", "title": "ตัวเก็บประจุ" }, { "docid": "46345#13", "text": "เตอังการง (Teanggarong) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำมาฮากัม (mahakam) จากซามารินดา เป็นเมืองที่ปกครองโดยผู้สำเร็จราชการกีไต และต่อมาก็มอบอำนาจการปกครองให้สุลต่าน ตำหนักของสุลต่านตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของใช้ส่วนตัวแบบเก่าแก่และเป็นที่รวบรวมเครื่องใช้สิ่งของที่ทำด้วยเซรามิก ศิลปะสมัยโบราณของจีน", "title": "จังหวัดกาลีมันตันตะวันออก" }, { "docid": "12007#3", "text": "วัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิก สามารถแบ่งกลุ่มอย่างกว้าง ๆ ได้ดังนี้คือสมบัติ", "title": "เซรามิก" }, { "docid": "119263#48", "text": "ในปี พ.ศ. 2556 มีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิก : โถส้วมนั่งราบต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2556 มีสาระสำคัญเรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์วิเทรียสไชนา : โถส้วมนั่งราบ และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิก : โถส้วมนั่งราบ", "title": "ส้วมในประเทศไทย" }, { "docid": "12007#5", "text": "นอกจากการจำแนกตามลักษณะข้างต้นแล้ว ในอุตสาหกรรมการผลิตเซรามิก ประเภท Whiteware นิยมแบ่งกลุ่มของวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่", "title": "เซรามิก" }, { "docid": "12007#0", "text": "thumbnail|กระเบื้องเซรามิก เซรามิก (English: ceramic) เซรามิกมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก keramos มีความหมายว่า สิ่งที่ถูกเผา ในอดีตวัสดุเซรามิกที่มีการใช้งานมากที่สุดคือ เซรามิกดั้งเดิม ทำมาจากวัสดุหลักคือดินเหนียว โดยในช่วงแรกเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่า ไชน่าแวร์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับคนจีนซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการผลิตเครื่องปั้นดินเผารุ่นแรก ๆ สมบัติ", "title": "เซรามิก" }, { "docid": "909718#10", "text": "ไลท์นิงและเซราห์น้องสาวของเธอเป็นประชาชนในคูคูน (Cocoon) ซึ่งเป็นโลกจำลองที่ลอยอยู่เหนือดาวเคราะห์ชื่อแกรนพัลซ์ (Gran Pulse) ภูมิภาคต่าง ๆ ของทั้งสองโลกนั้นควบคุมโดยฟาลซี (fal'Cie) เชื้อชาติครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพที่แบ่งเป็นสองสำนัก \"แซงก์ทัม\" (Sanctum) แห่งคูคูน และ \"พัลซ์\" (Pulse) แห่งแกรนพัลซ์ ซึ่งเป็นศัตรูกัน[41][42] ใน ไฟนอลแฟนตาซี XIII เอพิโซดเซโร่ โพรมิส ชุดนิยายเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้าเหตุการณ์ในภาค XIII เปิดเผยว่าครอบครัวของไลท์นิงและเซราห์ตายเมื่อพวกเธอยังเด็ก จึงทำให้ปณิธานของไลท์นิงเป็นการปกป้องน้องสาวของเธอ แต่ภายหลังเธอกลับเพิกเฉยเซราห์[43] เธอเติมโตมาด้วยจิตอคติต่อสโนว์เพราะเขามีความสัมพันธ์แบบโรแมนติกกับเซราห์และเขาอยู่กับฝ่ายกบฎรัฐบาลที่ชื่อโนรา (NORA)[44] ไลท์นิงค้นพบในภายหลังว่าเซราห์ถูกสาปให้กลายเป็นลาซี (l'Cie) หรือมนุษย์ที่ถูกจองจำด้วยพลังเวทมนตร์โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวคือการบรรลุภารกิจที่ได้รับจากอานิมา ซึ่งเป็นฟาลซีของแกรนพัลซ์ ลาซีผู้ใดที่ทำภารกิจสำเร็จ ร่างกายของผู้นั้นจะเปลี่ยนเป็นคริสตัล เดิมทีแล้วไลท์นิงคิดว่าเซราห์จะใช้เหตุผลนี้ในการเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะแต่งงานกับสโนว์[45] ภายหลังเธอตัดสินใจถอดตัวออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มการ์เดียนคอปส์ (Guardian Corps) และสมัครใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อช่วยเหลือเพิร์จ (Purge) หรือกลุ่มประชาชนที่ถูกขับไล่ออกจากเมืองด้วยคำสั่งของอานิมา[46] เพื่อที่จะช่วยน้องสาวของเธอ", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "840966#31", "text": "ข้อบ่งชี้ในการซ่อมฟันโดยเซรามิกล้วนรวมทั้งเมื่อต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติ เมื่อมีปัญหาแพ้โลหะ และเมื่อต้องการให้กรอฟันเดิมออกน้อยในการซ่อมบางกรณี การซ่อมฟันโดยเซรามิกล้วนอาจไม่ต้องอาศัยโครงสร้างที่มีแรงเสียดทานหรือยึดตรึงได้ดี (resistance and retention) และดังนั้น จึงไม่ต้องเอาผิวฟันออกมากเท่า โดยวัสดุจะยึดอยู่กับที่โดยอาศัยพันธะทางเคมีและพันธะกลเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เซรามิกใหม่ ๆ เช่น lithium disilicate ได้พัฒนาขึ้นให้แข็งแรงกว่าและใช้งานได้นานกว่า", "title": "ครอบฟัน" }, { "docid": "10769#50", "text": "ตัวต้านทานแบบลวดพันโดยทั่วไปถูกทำขึ้นโดยการพันลวดโลหะที่มักจะเป็น Nichrome รอบแกนเซรามิก, พลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส ปลายของลวดทั้งสองด้านจะถูกบัดกรีหรือเชื่อมเข้ากับจุกหรือแหวนสองอัน ที่ผูกติดอยู่กับปลายของแกน ชิ้นงานถูกปกป้องด้วยชั้นของสี, พลาสติก หล่อหรือสารเคลือบที่ถูกอบที่อุณหภูมิสูง ตัวต้านทานเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อทนต่ออุณหภูมิที่สูงผิดปกติถึง +450 °C เส้นลวดในตัวต้านทานลวดพันกำลังงานต่ำปกติมีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 0.6 และ 0.8 มม.และเคลือบด้วยดีบุกเพื่อความสะดวกในการบัดกรี สำหรับ ตัวต้านทานลวดพันกำลังงานที่สูงกว่า ไม่ว่าจะใช้แบบกล่องใส่เซรามิกหรือกล่องใส่อะลูมิเนียมด้านนอกบนยอดของชั้นฉนวน - ถ้ากล่องด้านนอกเป็นเซรามิก, ตัวต้านทานดังกล่าวบางครั้งจะถูกอธิบายว่าเป็นตัวต้านทาน\"ซีเมนต์\" แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้มีส่วนของปูนซิเมนต์แบบดั้งเดิมจริงๆ ถ้าเป็นกล่องอะลูมิเนียม มันถูกออกแบบมาให้ติดกับ heat sink เพื่อกระจายความร้อน อัตรากำลังการทำงานจะขึ้นอยู่กับการใช้งานที่มีการระบายความร้อนที่เหมาะสม เช่นตัวต้านทานอัตรากำลัง 50 W จะ overheat ที่เศษส่วนของการกระจายความร้อนเท่านั้นหากไม่ได้ใช้ heat sink ตัวต้านทานลวดพันขนาดใหญ่อาจจะมีอัตราที่ 1,000 วัตต์ หรือมากกว่า", "title": "ตัวต้านทาน" }, { "docid": "631911#6", "text": "พิพิธภัณฑ์มีพื้นที่จัดแสดงประมาณ 2,200 ตารางเมตร มีของสะสมที่จัดแสดงมากกว่า 30,000 ชิ้น อาทิ ภาพวาด งานเขียนอักษรวิจิตร งานเซรามิก ของที่ระลึก งานประดิษฐ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเอกสารและบันทึกต่าง ๆ อีก 70,000 เล่ม รวมทั้งหินจารึกอีก 20,000 ชิ้น โดยเฉพาะภาพวาดและงานเขียนอักษรวิจิตรที่สะสมเป็นงานศิลปะชิ้นเอกจากสมัย[[ราชวงศ์ซ่ง]] (Song Dynasty) จนถึงสมัยราชวงศ์หมิง ([[ราชวงศ์หมิง|Ming]] Dynasty) และราชวงศ์ชิง ([[ราชวงศ์ชิง|Qing]] dynasty)", "title": "พิพิธภัณฑ์เมืองซูโจว" }, { "docid": "666757#4", "text": "ในพื้นที่แขวงซาอึมและซินดันมย็อนนั้นมีหมู่บ้านเซรามิกซึ่งเป็นร้านขายเครื่องเซรามิกมากมาย ช่างปั้นหม้อได้ใช้เวลาในการทำวิจัยเกี่ยวกับวิธีการปั้นหม้อแบบดั้งเดิมและพยายามที่จะฟื้นคืนเครื่องจักรในการผลิตในแบบของเครื่องสังคโลกสมัยโคยรอและเครื่องถ้วยชามขาวสมัยโชซ็อน หมู่บ้านเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของการอนุรักษ์กระบวนการแบบดั้งเดิมไว้", "title": "อีช็อน" }, { "docid": "944787#1", "text": "สนามแห่งนี้มีชื่อเดิมคือ \"เอลมาดริกัล\" ต่อมาทางสโมสรได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ \"เอสตาดิโอเดลาเซรามิกา\" (แปลว่า \"สนามกีฬาเซรามิก\") เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2017 ในนัดที่บิยาร์เรอัลเปิดบ้านพบกับบาร์เซโลนา โดยชื่อใหม่สื่อถึงอุตสาหกรรมเซรามิก", "title": "เอสตาดิโอเดลาเซรามิกา" }, { "docid": "153920#0", "text": "ฟันเทียม คือ สิ่งประดิษฐ์ที่ทำขึ้นเพื่อใช้ทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป ฟันเทียมอาจทำจากพลาสติก เซรามิก หรือโลหะก็ได้ \nฟันเทียมแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ", "title": "ฟันเทียม" } ]
197
สไปรูไลนาไม่ถูกมองว่าเป็นแหล่งวิตามินบี12 ที่ดีนักใช่หรือไม่?
[ { "docid": "387197#7", "text": "สไปรูไลนาไม่ถูกมองว่าเป็นแหล่งวิตามินบี12 ที่ดีนัก การวิเคราะห์ทางเคมีบี12 มาตรฐาน โดยใช้ \"Lactobacillus leichmannii\" แสดงให้เห็นว่าสไปรูไลนาเป็นแหล่งที่ให้วิตามินบี12 ที่มีชีวประสิทธิผลน้อยมาก อาหารเสริมสไปรูไลนามีวิตามินเทียม บี12 ซึ่งใช้การไม่ได้ทางชีววิทยาในมนุษย์ บริษัทซึ่งปลูกและจัดจำหน่ายสไปรูไลนาอ้างว่า เป็นแหล่งสำคัญของบี12 ตามการวิเคราะห์ทางเคมีอีกชุดหนึ่งและไม่ได้ตีพิมพ์ แม้ว่าการอ้างดังกล่าวจะไม่ได้รับการยอมรับจากองค์การวิทยาศาสตร์เลยก็ตาม สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา และนักโภชนาการแคนาดา ระบุในเอกสารแสดงจุดยืนว่าด้วยเรื่องอาหารมังสวิรัติ ว่า สไปรูไลนาไม่สามารถถูกนับได้ว่าเป็นแหล่งวิตามินบี12 ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ งานตีพิมพ์ทางการแพทย์ก็แนะนำคล้ายกันว่าสไปรูไลนาไม่เหมาะสมจะใช้เป็นแหล่งบี12", "title": "สไปรูลินา (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)" } ]
[ { "docid": "387197#17", "text": "การศึกษาใน พ.ศ. 2548 พบว่า สไปรูไลนาสามารถป้องกันไข้ละอองฟางได้ การศึกษาใหม่กว่าที่เป็นแบบปิดสองทางและมียาหลอกเป็นตัวควบคุม (double blind, placebo controlled) ใน พ.ศ. 2551 ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูก 150 คน พบว่า \"Spirulina platensis\" สามารถลดการหลั่งอินเตอร์ลิวคิน-4 ที่เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบ ได้ 32% และผู้ป่วยมีอาการบรรเทาลง ยิ่งไปกว่านั้น สไปรูไลนาถูกพบว่าลดการอักเสบที่เกี่ยวกับภาวะข้ออักเสบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยกระตุ้นการหลั่งอินเตอร์ลิวติน-2 ซึ่งช่วยควบคุมการตอบสนองการอักเสบ", "title": "สไปรูลินา (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)" }, { "docid": "387197#9", "text": "สไปรูไลนามีฟีนิลอะลานีน ซึ่งควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีอาการผิดปกติของเมตาโบลิซึม ที่ชื่อ ฟีนิลคีโตนูเรีย โดยร่างกายไม่สามารถเผาผลาญกรดอะมิโนชนิดดังกล่าวได้ ทำให้กรดอะมิโนไปสะสมอยู่ในสมอง ซึ่งทำให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากสไปรูไลนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาจึงไม่ได้วางระเบียบคุ้มครองและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สไปรูไลนาเป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินแบบหนึ่ง ซึ่งทราบกันว่ามีบางชนิดที่ผลิตพิษ อาทิ ไมโครซิสติน, BMAA และอื่น ๆ ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานใดมาวางระเบียบความปลอดภัยของสไปรูไลนา", "title": "สไปรูลินา (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)" }, { "docid": "97965#41", "text": "ความเสียหายต่อปลอกไมอีลินเหตุขาดวิตามินบี แม้จะมีโฟเลตและ methionine เพียงพอ เป็นตัวแสดงการขาดวิตามินที่ชัดเจนโดยเฉพาะ\nซึ่งสัมพันธ์กับปฏิกิริยาของวิตามินในกระบวนการ MUT ซึ่งจำเป็นอย่างขาดไม่ได้ในการเปลี่ยน\nmethylmalonyl coenzyme A เป็น succinyl coenzyme A ความล้มเหลวของกระบวนการหลังนี้มีผลเป็นระดับที่สูงขึ้นของ methylmalonic acid (MMA) ซึ่งเป็นตัวทำปลอกไมอีลินให้เสียหาย\nคือ การมี MMA จะขัดขวางการสังเคราะห์กรดไขมันตามปกติ หรือว่าตัวกรดเองอาจรวมเข้ากับกรดไขมันแทนที่ malonic acid ตามปกติ\nและถ้ากรดไขมันที่ผิดปกตินี้กลายเป็นส่วนประกอบของปลอกไมอีลิน ปลอกก็จะเปราะ และหลุดออก (demyelination)\nแม้ว่ารายละเอียดของกลไกนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ผลก็คือระบบประสาทกลางหรือไขสันหลังเสื่อมแบบรวมกึ่งเฉียบพลัน (subacute combined degeneration)\nและไม่ว่าเหตุจะคืออะไร แต่รู้อยู่แล้วว่าการขาดวิตามินบี มีผลเป็นโรคเส้นประสาท (neuropathies) แม้ว่า จะมีโฟเลตเพียงพอ และดังนั้น จะไม่ปรากฏภาวะเลือดจาง", "title": "วิตามินบี12" }, { "docid": "97965#52", "text": "วิตามินบี ที่สะสมในร่างกายผู้ใหญ่มีประมาณ 2-5 มก.\nประมาณ 50% อยู่ในตับ แต่จะเสียไปประมาณ 0.1% ทุกวันโดยหลั่งออกในลำไส้ และวิตามินในลำไส้ไม่ได้รับการดูดซึมทั้งหมด\nแม้ว่า น้ำดีจะเป็นตัวหลั่งวิตามินหลัก แต่วิตามินบี ในน้ำดีก็สามารถนำไปใช้ใหม่ผ่านกระบวนการ enterohepatic circulation (การดูดซึมโดย Enterocyte ในลำไส้เล็กแล้วส่งไปที่ตับ)\nเนื่องจากประสิทธิภาพของกระบวนการนี้ ตับสามารถสะสมวิตามินบี ที่ใช้ได้นาน 3-5 ปี ภายใต้สภาวะและการทำงานที่ปกติ\nดังนั้น การขาดวิตามินนี้จึงค่อนข้างมีน้อย", "title": "วิตามินบี12" }, { "docid": "823866#1", "text": "เหตุสามัญรวมทั้งการดูดซึมวิตามินได้ไม่ดีจากกระเพาะหรือลำไส้ การทานอาหารที่มีวิตามินไม่พอ และความต้องการที่เพิ่มขึ้น\nการดูดซึมได้ไม่ดีอาจมีเหตุจากโรคโลหิตจางเหตุขาดวิตามินบี (pernicious anemia) การผ่าตัดเอากระเพาะออก ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง พยาธิในลำไส้ ยาบางชนิด และความผิดปกติทางกรรมพันธุ์\nส่วนการทานอาหารที่มีวิตามินไม่พออาจเกิดกับผู้ที่ทานอาหารเจแบบวีแกน หรือได้สารอาหารไม่เพียงพอ\nความต้องการที่เพิ่มขึ้นอาจเกิดในคนไข้เอชไอวี/เอดส์ และในบุคคลที่สลายเม็ดเลือดแดงอย่างรวดเร็ว\nการวินิจฉัยปกติจะอาศัยระดับวิตามินบี ในเลือดที่ต่ำกว่า 120-180 picomol/L (หรือ 170-250 pg/mL) ในผู้ใหญ่\nการมีระดับกรด methylmalonic ที่สูงขึ้น คือ เกิน 0.4 micromol/L อาจจะเป็นตัวบ่งความขาดวิตามินได้ด้วย\nการมีภาวะโลหิตจางแบบ megaloblastic anemia (ที่เม็ดเลือดใหญ่เกินปกติเพราะแบ่งตัวไม่ได้) เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ไม่จำเป็น", "title": "การขาดวิตามินบี12" }, { "docid": "97965#0", "text": "วิตามินบี () เป็นวิตามินละลายน้ำได้ที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำงานเป็นปกติของสมองกับระบบประสาท และการสร้างเม็ดเลือดแดง\nเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 8 อย่าง\nที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึมในเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์ โดยมีผลเฉพาะต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ เมแทบอลิซึมของกรดไขมันและกรดอะมิโน\nไม่มีเห็ดรา พืช หรือสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่สามารถสร้างวิตามินบีได้\nมีแต่สิ่งมีชีวิตประเภทแบคทีเรียและอาร์เคียที่มีเอนไซม์เพื่อสังเคราะห์มันได้\nแหล่งของวิตามินที่ได้พิสูจน์แล้วเป็นผลิตภัณฑ์สัตว์รวมทั้งเนื้อ ปลา ผลิตภัณฑ์นม และอาหารเสริม\nแต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงว่า ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่มาจากสัตว์บางอย่างอาจเป็นแหล่งธรรมชาติของวิตามินได้ เพราะอยู่ร่วมกับแบคทีเรีย (bacterial symbiosis)\nวิตามินบี เป็นวิตามินที่ใหญ่ที่สุด มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุด และสามารถสังเคราะห์โดยหมักแบคทีเรีย (bacterial fermentation-synthesis)\nแล้วใช้เสริมอาหารและเป็นวิตามินเสริม", "title": "วิตามินบี12" }, { "docid": "97965#34", "text": "ไม่มีพืชหรือสัตว์ที่สามารถสร้างวิตามินบี ได้โดยตนเอง\nมีแต่สิ่งมีชีวิตแบบแบคทีเรีย และอาร์เคียเท่านั้น\nที่มีเอนไซม์ในการสังเคราะห์วิตามินทางชีวภาพ\nกระบวนการสังเคราะห์วิตามินบี เต็มรูปแบบรายงานเป็นครั้งแรก\nโดยคู่นักเคมีชาวอเมริกันและชาวสวิสในปี 2515\nซึ่งก็ยังคงเป็นงานคลาสสิกในเรื่องการสังเคราะห์ทางอินทรีย์\nสปีชีส์จากสิ่งมีชีวิตเหล่าที่รู้ว่าสามารถสังเคราะห์วิตามินบี ได้คือ \"Acetobacterium\", \"Aerobacter\", \"Agrobacterium\", \"Alcaligenes\", \"Azotobacter\", \"Bacillus\", \"Clostridium\", \"Corynebacterium\", \"Flavobacterium\", \"Lactobacillus\", \"Micromonospora\", \"Mycobacterium\", \"Nocardia\", \"Propionibacterium\", \"Protaminobacter\", \"Proteus\", \"Pseudomonas\", \"Rhizobium\", \"Salmonella\", \"Serratia\", \"Streptomyces\", \"Streptococcus\" และ \"Xanthomonas\"\nการผลิตวิตามินบี ทำโดยหมักจุลินทรีย์ที่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง", "title": "วิตามินบี12" }, { "docid": "97965#24", "text": "ได้มีการเสนอว่า ระดับวิตามินบี ที่สูงขึ้นในเลือดเป็นตัวพยากรณ์ความเสี่ยงตายในห้องไอซียู แต่งานวิจัยปี 2557 แสดงว่า \"ระดับวิตามินบี ที่สูงขึ้นไม่ได้เป็นตัวพยากรณ์อัตราการตายที่สำคัญหลังจากรับเข้าห้องไอซียู เมื่อควบคุมการทำงานของตับแล้ว แต่อาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าตับทำงานได้ไม่ดี\"", "title": "วิตามินบี12" }, { "docid": "97965#35", "text": "\"Streptomyces griseus\" ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เคยคิดว่าเป็นยีสต์ เป็นแหล่งผลิตวิตามินบี หลักเป็นเวลาหลายปี\nแต่ปัจจุบันมักจะใช้ \"Pseudomonas denitrificans\" และ \"Propionibacterium freudenreichii subsp. shermanii\"\nแบคทีเรียเหล่านี้บ่อยครั้งเลี้ยงอย่างพิเศษเพื่อเพิ่มผลผลิต และบริษัทอย่างน้อยหนึ่งแห่ง (เช่น Sanofi-Aventis) ใช้แบคทีเรียที่ผ่านพันธุวิศวกรรม\nแต่เนื่องจากว่า สปีชีส์ต่าง ๆ ของ \"Propionibacterium\" ไม่มีพิษทั้งภายในและภายนอกแบคทีเรีย และพิจารณาว่าปลอดภัยโดยทั่วไป (generally regarded as safe หรือได้สถานะ GRAS) โดยองค์การอาหารและยาสหรัฐ จึงเป็นแบคทีเรียประเภทที่องค์กรให้ความเชื่อใจมากกว่า (preferred) ในการผลิตวิตามินบี", "title": "วิตามินบี12" } ]
3191
ในฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมกอทิกเริ่มขึ้นเมื่อใด?
[ { "docid": "137729#1", "text": "สถาปัตยกรรมกอทิกเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และรุ่งเรืองต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในระยะแรก สถาปัตยกรรมทรงนี้เรียกกันว่า \"แบบฝรั่งเศส\" (\"\") คำว่า \"กอทิก\" มาเริ่มใช้กันในตอนปลายยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในทางที่เป็นการหมิ่นลักษณะสถาปัตยกรรม ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแบบกอทิกที่เป็นที่รู้จักกันดีคือการใช้โค้งแหลม เพดานสัน และ ค้ำยันแบบปีก", "title": "สถาปัตยกรรมกอทิก" }, { "docid": "44628#1", "text": "ศิลปะกอธิคเริ่มต้นจากฝรั่งเศสและแพร่หลายไปยังประเทศอื่น ๆ และมีลักษณะตามภูมิภาคนั้น ๆ ด้วย ลักษณะสำคัญของสถาปัตยกรรมมีผนังเปิดกว้าง มีส่วนสูงเด่นเป็นพิเศษและมีแบบที่ออกมาเป็นลายเส้นอันซับซ้อน ทุกส่วนล้วนประกอบเข้าด้วยกันเป็นสัญลักษณ์นิยม ทางศาสนา โครงสร้างหลังคาเป็นโค้งแหลม ลักษณะต่างๆ เหล่านี้จะหาดูได้จากมหาวิหารในฝรั่งเศส, เยอรมนี และ อังกฤษ เช่น มหาวิหารแซ็ง-เดอนี (ฝรั่งเศส) มหาวิหารนัวยง (ฝรั่งเศส) มหาวิหารล็อง (ฝรั่งเศส) มหาวิหารอามีแย็ง (ฝรั่งเศส) มหาวิหารกลอสเตอร์ (อังกฤษ) และ มหาวิหารเอ็กซีเตอร์ (อังกฤษ) เป็นต้น \nศิลปะกอทิกเป็นศิลปะที่เกิดในยุโรปช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่12-15 มีศูนย์กลางที่ฝรั่งเศส\nคำว่า\"กอธิค\" เริ่มใช้ครั้งแรกโดยนักวิจารณ์ศิลปะสมัยสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนปลายของอิตาลี เรียกรูปแบบของศิลปะ ที่เกิดในยุโรปในช่วงเวลาดังกล่าวข้างต้น ที่เป็นผลงานของพวกกอท แฟรงก์ ลอมบาร์ค สลาฟ และแซกซัน ซึ่งต่างเป็นชนเผ่าป่าเถื่อน ไร้ความเจริญทางศิลปวิทยาการ ประการสำคัญ เป็นชนเผ่าที่ทำลายจักรวรรดิโรมันและถึงพร้อมด้านศิลปวิทยาการ", "title": "ศิลปะกอทิก" }, { "docid": "137729#0", "text": "สถาปัตยกรรมกอทิก () เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่รุ่งเรืองในช่วงกลางสมัยกลางถึงปลายสมัยกลาง โดยวิวัฒนาการมาจากสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์และตามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา สถาปัตยกรรมกอทิกเกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง 16 โดยเริ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศสก่อนที่จะเผยแพร่ไปยังประเทศอังกฤษ และต่อไปยังทวีปยุโรปโดยทั่วไป", "title": "สถาปัตยกรรมกอทิก" } ]
[ { "docid": "271628#8", "text": "ในคริสต์ทศวรรษ 1170 สถาปัตยกรรมกอทิกเริ่มเข้ามาในอังกฤษจากฝรั่งเศสโดยเริ่มที่แคนเตอร์บรีและเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมกันในอังกฤษต่อมาอีก 400 ปีบางครั้งก็จะมีการวิวัฒนาการที่คล้ายคลึงกับลักษณะของยุโรปภาคพื้นทวีป แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นลักษณะที่แตกหน่อออกไป ตามความแตกต่างของท้องถิ่นของสิ่งก่อสร้างและที่มา", "title": "สถาปัตยกรรมมหาวิหารสมัยกลางในอังกฤษ" }, { "docid": "139054#14", "text": "สถาปัตยกรรมนอร์มันตอนปลายในซิซิลี ลักษณะของสถาปัตยกรรมกอทิกเริ่มปรากฏขึ้นเช่นที่มหาวิหารเมสซินาที่สถาปนาในปี ค.ศ. 1197 แต่หอระฆังสร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมกอทิกสูงซึ่งแตกต่างจากกอทิกยุคแรกที่สร้างในสมัยนอร์มัน ที่เป็นโค้งแหลมแทนที่จะเป็นค้ำยันแบบที่กางออกไปและรายยอดแหลมเล็ก (pinnacle) ของลักษณะของสมัยสถาปัตยกรรมกอทิกต่อมา", "title": "สถาปัตยกรรมนอร์มัน" }, { "docid": "301041#2", "text": "สถาปัตยกรรมกอทิกตอนต้นเริ่มต้นขึ้นราว ค.ศ. 1140 ที่มีลักษณะเด่นคือการใช้โค้งแหลม และ การวิวัฒนาการจากสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ตอนปลาย สถาปนิกสร้างผนังให้สูงขึ้นโดยการแบ่งออกเป็นสี่ระดับชั้น: ชั้นซุ้มโค้งและเสา (Arcade), แกลอรี (Gallery), ระเบียงแนบ (Triforium), และช่องรับแสง (Clerestory) ตามลำดับ ส่วนการรับน้ำหนักของผนังและกำแพงก็ใช้การค้ำยันแบบใหม่ที่เรียกว่าครีบยันแบบปีกนกซึ่งมีวิวัฒนาการถึงจุดสูงสุดในสมัยสถาปัตยกรรมกอทิกตอนกลางในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เพดานโค้งที่ใช้เป็นแบบเพดานโค้งแหลมหกแฉก (Sexpartite vault) ที่มีสันแยกออกจากศูนย์กลางหกสัน", "title": "สถาปัตยกรรมกอทิกแบบฝรั่งเศส" }, { "docid": "301046#0", "text": "สถาปัตยกรรมกอธิคอิตาลี () สถาปัตยกรรมกอธิคมาถึงอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ลักษณะสถาปัตยกรรมกอธิคของอิตาลีเป็นลักษณะที่แปลกออกไปจากลักษณะที่วิวัฒนาการในฝรั่งเศสที่เป็นต้นตอของสถาปัตยกรรมกอธิค และ ในประเทศยุโรปอื่นๆ การแก้ปัญหาหรือวิวัฒนาการทางเทคนิคของการก่อสร้างมหาวิหารของฝรั่งเศสมิได้เข้ามาถึงอิตาลี สถาปนิกอิตาลีพอใจที่จะรักษาประเพณีการก่อสร้างที่วางกันไว้ในคริสต์ศตวรรษก่อนหน้านั้น ในด้านความสวยงามการสร้างสิ่งก่อสร้างให้สูงขึ้นไม่ใช่หัวใจสำคัญของการก่อสร้างในอิตาลี", "title": "สถาปัตยกรรมกอทิกแบบอิตาลี" }, { "docid": "139053#30", "text": "ในขณะที่สถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่มีบทบาทอย่างกว้างขวางในฝรั่งเศสระหว่างกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในอังกฤษเกือบจะไม่มีอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะในระหว่างสมัยการปกครองของออลิเวอร์ ครอมเวลล์ และ สมัย “ฟื้นฟูราชวงศ์ สิบปีระหว่างการเสียชีวิตของสถาปนิกภูมิทัศน์อินิโก โจนส์เมื่อปี ค.ศ. 1652 กับเมื่อคริสโตเฟอร์ เร็นไปเยี่ยมปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1665 อังกฤษไม่มีสถาปนิกคนใดที่สำคัญพอที่จะกล่าวถึงได้ ฉะนั้นความสนใจในสถาปัตยกรรมยุโรปที่จะเข้ามาในอังกฤษจึงมีน้อย", "title": "สถาปัตยกรรมบาโรก" }, { "docid": "301041#1", "text": "สมัยของสถาปัตยกรรมกอทิกฝรั่งเศสแบ่งออกเป็น:การแบ่งนี้เป็นการแบ่งที่ได้ผลแต่ก็ยังมีบางกรณีที่ยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างแบบกอทิกมักจะใช้เวลานานที่อาจจะคาบลักษณะสถาปัตยกรรมหลายสมัย และผู้ก่อสร้างก็มักจะมิได้ทำตามความประสงค์ของแผนงานที่วางไว้ในสมัยก่อนหน้านั้น ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมในสิ่งก่อสร้างหนึ่งจึงอาจจะแปรเปลี่ยนไปตามสมัยและอัธยาศัยของผู้สร้าง ฉะนั้นจึงยากที่จะกำหนดสิ่งก่อสร้างว่าเป็นลักษณะแท้ของสถาปัตยกรรมสมัยใดสมัยหนึ่งของสถาปัตยกรรมกอทิก ฉะนั้นการระบุสมัยจึงมีประโยชน์ต่อการระบุส่วนหนึ่งส่วนใดของโครงสร้างมากกว่าที่จะระบุทั้งโครงสร้างโดยรวม", "title": "สถาปัตยกรรมกอทิกแบบฝรั่งเศส" }, { "docid": "137729#3", "text": "ในอังกฤษในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็เริ่มมีการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่เลียนแบบสถาปัตยกรรมกอทิก ที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก ที่เผยแพร่ไปยังยุโรป ที่เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่นิยมใช้ในการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานและมหาวิทยาลัย ความนิยมสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิกดำเนินต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20", "title": "สถาปัตยกรรมกอทิก" } ]
2495
บางครั้งเนบิวลาปูก็ถูกเรียกชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "336885#3", "text": "บางครั้งเนบิวลาปูก็ถูกเรียกชื่อว่า เมสสิเยร์ 1 หรือ M1 คือเป็นวัตถุแรกในรายการวัตถุท้องฟ้าของเมสสิเยร์ในปี พ.ศ. 2301", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#0", "text": "เนบิวลาปู (บัญชีการตั้งชื่อ M1, NGC 1952 หรือ Taurus A) เป็นซากซูเปอร์โนวาและเนบิวลาลมพัลซาร์ในกลุ่มดาววัว เนบิวลานี้ได้รับการสังเกตโดยจอห์น เบวิส ในปี พ.ศ. 2274 ซึ่งสอดคล้องกับการบันทึกเหตุการณ์ซูเปอร์โนวาสว่างโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวอาหรับใน พ.ศ. 1597 ที่ระดับรังสีเอกซ์และรังสีแกมมาสูงกว่า 30 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ เนบิวลาปูเป็นแหล่งพลังงานที่เข้มที่สุดบนท้องฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถวัดฟลักซ์ได้ถึงสูงกว่า 10 อิเล็กตรอนโวลต์ เนบิวลาปูตั้งอยู่ห่างจากโลก 6,500 ปีแสง (2 กิโลพาร์เซก) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 ปีแสง (3.4 พาร์เซก) และขยายตัวในอัตรา 1,500 กิโลเมตรต่อวินาที", "title": "เนบิวลาปู" } ]
[ { "docid": "6636#11", "text": "ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาลส์ เมสสิเยร์ รวบรวมรายชื่อเนบิวลา (วัตถุท้องฟ้าที่สว่างและปรากฏรูปร่างเหมือนกลุ่มแก๊ส) ที่สว่างที่สุด 109 รายการ และต่อมาวิลเลียม เฮอร์เชล รวบรวมรายชื่อเนบิวลาได้ในปริมาณมากกว่าที่ 5,000 รายการ ปี ค.ศ. 1845 ลอร์ดรอสส์ ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ใหม่ทำให้สามารถแยกแยะเนบิวลาทรงกลมกับทรงรีออกจากกันได้ เขายังแยกแยะจุดแสงที่แยกจากกันในเนบิวลาเหล่านี้ได้อีกจำนวนหนึ่ง ทำให้เชื่อว่าการคาดคะเนของคานท์ก่อนหน้านี้น่าจะเป็นจริง", "title": "ดาราจักร" }, { "docid": "336885#4", "text": "การกำเนิดของเนบิวลาปูมีความเกี่ยวพันกับซูเปอร์โนวา SN 1054 ซึ่งได้รับการบันทึกโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวอาหรับใน พ.ศ. 1597 ส่วนตัวเนบิวลาเองถูกสังเกตพบเป็นครั้งแรกโดย จอห์น เบวิส ในปี พ.ศ. 2271 เนบิวลาได้รับการค้นพบอีกครั้งหนึ่งต่างหากในปี พ.ศ. 2301 โดย ชาลส์ เมสสิเยร์ ระหว่างที่เขากำลังสังเกตดูดาวหางสว่าง เมสสิเยร์ได้บันทึกเนบิวลาปูไว้เป็นลำดับแรกในรายการวัตถุท้องฟ้าของเขาว่าเป็นวัตถุคล้ายดาวหาง เอิร์ลแห่งรอสส์ได้สังเกตเนบิวลาที่ปราสาทเบอร์ ในช่วงปี พ.ศ. 2383-2392 และเรียกเนบิวลาดังกล่าวว่า \"เนบิวลาปู\" เนื่องจากเนบิวลาที่เขาวาดนั้นมีรูปร่างคล้ายปู", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "196441#5", "text": "ลอร์ดรอสส์เป็นผู้ตั้งชื่อให้เนบิวลารูปปู ตามภาพที่เขามองเห็นผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาด 36 นิ้วซึ่งดาราจักรมีภาพปรากฏคล้ายปู หลังจากที่กล้องโทรทรรศน์ใหม่ขนาด 72 นิ้วได้นำมาใช้งานแล้ว เขาได้วาดภาพเนบิวลานี้ขึ้นใหม่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ชื่อดั้งเดิมของมันก็เป็นที่รู้จักไปเสียแล้ว", "title": "วิลเลียม พาร์สันส์ เอิร์ลแห่งรอสส์ที่ 3" }, { "docid": "654717#1", "text": "เดิมทีลิงกอริลลาตัวนี้มีชื่อว่า อึนฟูมู อึงกุย ในภาษาฟอง (ซึ่งหมายถึง \"กอริลลาสีขาว\") โดยผู้จับมันมา จากนั้นมันได้รับชื่อใหม่คือ ฟลูแกตดาเนว (ภาษากาตาลา หมายถึง \"เจ้าเกล็ดหิมะน้อย\") โดยผู้เลี้ยงดูมันที่ชื่อ ฌอร์ดี ซาบาเต ปี หลังจากนั้น เมื่อมันเดินทางมาถึงบาร์เซโลนาก็ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจากนายกเทศมนตรีของบาร์เซโลนาชื่อฌูแซป มาริอา ดา ปูร์ซิออลัส ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1966 ซึ่งมันได้รับการเรียกในชื่อ \"บลังกาเนียเบส\" (ซึ่งหมายถึง \"สโนว์ไวต์\") ในหนังสือพิมพ์\"เตเล/อักซเปรส\" แต่มันก็กลายเป็นที่รู้จักจากชื่อที่ตั้งให้แก่มันโดย Sabater เมื่อ\"นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟิก\" ได้แสดงการขึ้นหน้าปกของมันในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1967 โดยมีชื่อว่าเกล็ดหิมะในภาษาอังกฤษ และเป็นชื่อที่ได้รับการแพร่กระจายโดยสื่อมวลชน (ทั้งนิตยสาร\"ชแตร์น\", \"ไลฟ์\", \"ปารี-มัตช์\") ส่วนตัวซาบาเตเองเรียกกอริลลาตัวนี้ว่า \"โกปี\" หรือ \"ฟลูแกต\" และต่อมาเรียกว่า \"เอ็นฟูมู\" นอกจากนี้ มันยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ \"ลิตเติลบัตเตอร์คัป\" และ \"วานิลลากอริลลา\" รวมถึงดาวเคราะห์น้อย 95962 โกปีโต ที่ได้รับการค้นพบโดยโคตา. มันเตกา ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์ชาวสเปน ยังได้ทำการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน", "title": "เกล็ดหิมะ (กอริลลา)" }, { "docid": "14279#15", "text": "เปอแรได้ให้ชื่อไอโซโทปใหม่นี้ว่า \"แอกทิเนียม-เค\" (ในภายหลังได้พิสูจน์ว่าคือ แฟรนเซียม-223) และในปี พ.ศ. 2489 เปอแรได้ให้ชื่อว่า คาเทียม สำหรับธาตุที่ค้นพบใหม่ เนื่องจากเธอเชื่อว่าธาตุนี้จะเป็นไอออนประจุบวกที่มีอิเล็กโตรโพซิติวิตีมากที่สุด แต่อีเรน ฌูลีโอ-กูรี หนึ่งในผู้ดูแลของเปอแร ได้แย้งว่าคำว่า \"cat\" จะหมายถึงแมว มากกว่า \"cation\" (ไอออนประจุบวก) ต่อมาเปอแรเสนอแนะชื่อธาตุใหม่นี้ว่า \"แฟรนเซียม\" ตามประเทศฝรั่งเศส เป็นชื่อทางการที่ได้รับการยืนยันโดยสหภาพเคมีบริสุทธิ์และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2492 กลายเป็นธาตุตัวที่สองที่ตั้งชื่อตามประเทศฝรั่งเศส ถัดจากแกลเลียม มีการเสนอสัญลักษณ์ให้ธาตุนี้ว่า Fa แต่ภายหลังก็ถูกเปลี่ยนเป็น Fr หลังจากนั้นไม่นาน แฟรนเซียมเป็นธาตุสุดท้ายที่พบในธรรมชาติ มิได้สังเคราะห์ขึ้น ถัดจากรีเนียมที่ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2468 ซิลเวน ไลเบอร์แมน และทีมของเขาได้งานวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างของแฟรนเซียมต่อไปอีกที่องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980", "title": "แฟรนเซียม" }, { "docid": "129687#1", "text": "ชื่อ \"อันนะปูรณา\" (अन्नपूर्णा, อนฺนปูรณา) เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง เทวีแห่งการเก็บเกี่ยว ซึ่งในคติทางฮินดู ถือเป็นปางที่ 8 ใน 9 ปางของ พระอุมาเทวี ชายาของพระศิวะ ที่ทรงเป็นผู้ประทาน ความอุดมสมบูรณ์ แก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าปาง \"มหาเคารี\" ซึ่งเป็นปางที่มีผู้สักการบูชามากที่สุด รองจากปาง \"กาลราตรี\" หรือ \"เจ้าแม่กาลี\" และเพื่อแสดงความเคารพ รัฐบาลเนปาล ได้ประกาศสงวน ยอดเขามัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) หรือ ยอดเขาหางปลา (Mt. Fishtail) ใกล้เมืองโปครา (Pokhara) เป็นเขตปลอดนักไต่เขา เพื่อให้เป็นที่สถิตของ องค์เทวีอันนะปุรณะ", "title": "ยอดเขาอันนะปุรณะ" }, { "docid": "349160#1", "text": "ซากที่เหมือนเมฆของ SN 1054 เป็นที่รู้จักกันว่า เนบิวลาปู เนบิวลาปูมีชื่ออื่นว่าเมสสิเยร์ 1 หรือ เอ็ม 1 ซึ่งเป็นวัตถุท้องฟ้าของเมสสิเยร์วัตถุแรกที่ได้รับการบันทึกในปี ค.ศ. 1758", "title": "SN 1054" }, { "docid": "336885#17", "text": "ดาวฤกษ์ที่ระเบิดเป็นซูเปอร์โนวานั้นจะเรียกว่า ดาวฤกษ์ต้นกำเนิดซูเปอร์โนวา (progenitor star) มีดาวฤกษ์สองประเภทที่สามารถระเบิดออกเป็นซูเปอร์โนวาได้ ได้แก่ ดาวแคระขาวและดาวมวลมาก ในซูเปอร์โนวาประเภท Ia แก๊สที่ตกลงสู่ดาวแคระขาวจะทำให้มวลของมันเพิ่มขึ้นจนใกล้ระดับวิกฤตที่เรียกว่า ขีดจำกัดจันทรเศขร ส่งผลให้เกิดการระเบิด ส่วนในซูเปอร์โนวาประเภท Ib และ Ic และซูเปอร์โนวาประเภท II ดาวฤกษ์ต้นกำเนิดซูเปอร์โนวาจะเป็นดาวมวลมากที่หมดสิ้นเชื้อเพลิงที่จะสร้างพลังงานให้กับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นภายในดาว และจึงยุบตัวลง โดยมีอุณหภูมิสูงมากในขณะที่เกิดการระเบิด การมีอยู่ของพัลซาร์ในเนบิวลาปูหมายความว่า ในอดีต ดาวฤกษ์ต้นกำเนิดซูเปอร์โนวาจะต้องก่อให้เกิดซูเปอร์โนวาที่ยุบตัวในแกนกลาง ในขณะที่ซูเปอร์โนวาประเภท Ia ไม่ก่อให้เกิดพัลซาร์", "title": "เนบิวลาปู" } ]
3531
นาค เป็นงูขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ได้แต่ในน้ำหรือไม่ ?
[ { "docid": "16614#3", "text": "ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี เหมือนสีของรุ้ง และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษะ (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม", "title": "นาค" } ]
[ { "docid": "401237#4", "text": "โดยปกติแล้ว จะกินสัตว์จำพวกหนูขนาดใหญ่ เช่น คาปรีบารา รวมถึงสัตว์ขนาดใหญ่อย่างอื่น เช่น สมเสร็จ, กวาง, หมูป่า, ปลา, เต่า, นก, แกะ, สุนัข และสัตว์เลื้อยคลานในน้ำอย่าง จระเข้ไคแมน ส่วนตัวที่ยังไม่โตเต็มที่จะกินหนูขนาดเล็ก, ลูกไก่, กบ และปลา โดยการใช้อวัยวะรับรู้คลื่นความร้อนหรืออินฟราเรดที่เป็นแอ่งบริเวณหน้าผากตรวจจับ โดยสัญชาตญาณแล้ว เมื่องูอนาคอนดาพบมนุษย์จะหนีไป การตายของมนุษย์ที่เกิดจากงูอนาคอนดาจึงเกิดขึ้นได้ยาก แม้จะเป็นงูขนาดใหญ่และอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่กระนั้นงูอนาคอนดาขนาดเล็กหรือตัวที่อ่อนแอหรือบาดเจ็บก็จะตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้ออย่างอื่นได้ง่าย เช่น เสือจากัวร์, จระเข้ไคแมน, งูอนาคอนดาด้วยกัน หรือ ปลาปิรันยา", "title": "งูอนาคอนดา" }, { "docid": "16614#2", "text": "ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่", "title": "นาค" }, { "docid": "349036#0", "text": "งูอนาคอนดายักษ์ () เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่เชื่อกันว่าว่ามีอยู่ในป่าดิบชื้น ทวีปอเมริกาใต้ โดยเป็นงูอนาคอนดาขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่างูอนาคอนดาธรรมดามาก ซึ่งชื่อในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า \"คอบร้าแกรนดี\" แปลว่า \"งูยักษ์\"", "title": "งูอนาคอนดายักษ์" }, { "docid": "471459#5", "text": "สางห่า เป็นสัตว์ที่ชาวไทยที่ภาคอีสานมีความเชื่อว่ามีพิษร้ายแรง อาศัยอยู่ตามแอ่งน้ำหรือแอ่งน้ำในถ้ำ บ้างว่ามีพิษอยู่ที่เขี้ยว บ้างว่ามีพิษอยู่ที่เล็บ หรือมีพิษอยู่ที่หางที่ยาว จนเชื่อกันว่า หากใครถูกหางของสางห่าฟาดเข้าแล้วจะเกิดเป็นรอยแผลไหม้จนถึงแก่ความตายได้ หรือถูกหวาย หวายก็ไหม้ ขณะที่ทางแถบภาคกลางเชื่อว่า สางห่าเป็นงูขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่มีขา อาศัยอยู่ตามยอดหญ้า พอหญ้าเหี่ยวเฉา ก็จะย้ายไปหาหญ้าใหม่ ขณะที่บางท้องที่เชื่อว่า สางห่าเป็นคางคกป่าชนิดหนึ่ง และมีเสียงร้องคล้ายเสียงสุนัขเห่า แต่ความจริงแล้ว สางห่าไม่มีพิษ และไม่มีภัยอะไรต่อมนุษย์เลย ซึ่งจากความเชื่อนี้ ทำให้สางห่าได้ถูกอ้างอิงถึงในวรรณกรรมเรื่อง \"เพชรพระอุมา\" ของพนมเทียน เป็นสัตว์ประหลาดหรือธิดาของพญานาค", "title": "สางห่า" }, { "docid": "401237#0", "text": "งูอนาคอนดา หรือ งูโบอาน้ำ () เป็นชื่อสามัญและสกุลของงูขนาดใหญ่ 4 ชนิดที่อยู่ในวงศ์ย่อย Boinae ในวงศ์ใหญ่ Boidae ใช้ชื่อสกุลว่า \"Eunectes\"", "title": "งูอนาคอนดา" }, { "docid": "8230#33", "text": "ภายในประเทศไทยและอินโด-มลายูมีงูอยู่จำนวนมากกว่า 100 ชนิด เช่นงูหลาม งูเหลือม (Pythonidae) ซึ่งเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ สามารถเจริญเติบโตจนมีความยาวได้ถึง 10 เมตร ซึ่งงูชนิดนี้เป็นงูที่คล้ายคลึงกับ งูอนาคอนดา ซึ่งเป็นงูที่อยู่ในวงศ์ Boidae ซึ่งเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก", "title": "งู" }, { "docid": "327336#7", "text": "มีคำอธิบายอื่นอีก เช่น เชื่อว่า เป็นปลาไหลกลายพันธุ์ หรือ นากแม่น้ำขนาดใหญ่ หรือ แม้แต่จะเป็นบาซิโลซอรัส วาฬขนาดใหญ่ในทะเลยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณรัฐแมริแลนด์ในปัจจุบัน หรือ แม้แต่จะเป็นงูอนาคอนดา จากทวีปอเมริกาใต้ ที่อพยพมาพร้อมกับเรือสำเภาในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 ด้วย", "title": "เชสซี" }, { "docid": "401237#7", "text": "นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องเล่าลือถึงงูอนาคอนดาขนาดยักษ์ ที่มีขนาดใหญ่กว่างูอนาคอนดาตามปกติ ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาสเปนว่า \"cobra grande\" แปลว่า \"งูยักษ์\" โดยในปี ค.ศ. 1906 พันเอกเพอร์ซี ฟาลเคตต์ ซึ่งเป็นนักสำรวจผู้เขียนแผนที่ป่าอเมซอนได้เขียนลงในบันทึกของเขาว่าเขามีหนังงูที่มีความยาว 62 ฟุต และกล่าวว่า เขาได้สังหารงูตัวนี้ด้วยปืนไรเฟิลด้วยกระสุนขนาด .44 ในกระดูกสันหลังของมัน ซึ่งมันโจมตีใส่เรือของคณะเขา เส้นผ่าศูนย์กลางของลำตัวมันเกินกว่า 12 นิ้ว และอาจจะใหญ่ได้มากกว่านี้ถ้าได้กินอาหารเข้าไป", "title": "งูอนาคอนดา" }, { "docid": "350575#3", "text": "อย่างไรก็ตาม นักชีววิทยาและศาสตราจารย์ทางด้านสมุทรศาสตร์ เอ็ดเวิร์ด แอล. บอสฟิลด์ และ พอล เอช. เลบลอนด์ ได้อธิบายว่า แคดโบโรซอรัส เป็นงูทะเลขนาดใหญ่ที่มีผู้พบเห็นอาศัยอยู่ในทะเลแถบแวนคูเวอร์และคาบสมุทรโอลิมปิกในแคนาดา และมีรายงานพบที่บริเวณใกล้เคียงกับออริกอนและอะแลสกา รวมถึงตามแนวชายฝั่งของอ่าวไอซ์แลนด์ โดยมีชื่อเล่นเรียกกันสำหรับคนในท้องที่ว่า \"แคดดี\" (Caddy) มีผู้พบเห็นนับร้อยตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี ลักษณะคล้ายกับสัตว์ประหลาดลอคเนสส์ ในสก็อตแลนด์ ตัวมีความยาวเหมือนงูทะเลขนาดใหญ่ความยาวกว่า 100 ฟุต หัวของมันคล้ายกับสัตว์ประเภทม้า, แกะ หรือ อูฐที่ยืดออกมาเล็กน้อย คอมีความยาวเกือบหนึ่งในสามของความยาวลำตัว มีครีบคู่หน้าหนึ่งคู่ มีความเร็วในการว่ายน้ำและความยืดหยุ่นตัวสูง หางมีลักษณะแผ่ยาว สีของแคดโบโรซอรัส เป็นลักษณะสีเขียวเข้มไปจนถึงสีน้ำตาลหรือสีเทา ตาอยู่บนหัวที่มีขนาดใหญ่ และเชื่อว่าแคดโบโรซอรัสสามารถหายใจใต้น้ำได้โดยอวัยวะพิเศษนับล้านหน่วยที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งไม่เหมือนกับสัตว์อื่นใดในโลก", "title": "แคดโบโรซอรัส" }, { "docid": "442601#1", "text": "มีลักษณะโดยรวมของรูปร่าง คือ ลำตัวเรียวยาวคล้ายงูหรือปลาไหล มีทั้งอาศัยอยู่บนบก ในโพรงดิน และในน้ำ โดยลดรูปโครงสร้างหลายประการซึ่งเป็นลักษณะที่พบกับสัตว์ที่มีลำตัวเรียวยาวหรืออาศัยอยู่ในโพรง กล่าว คือ หางมีขนาดเล็กมากหรือไม่มีเลย ไม่มีรยางค์ขาหรือฐานรยางค์ แต่ในสกุล \"Eocaecilia\" ที่เป็นซากดึกดำบรรพ์มีรยางค์ขา ตามีขนาดเล็กและบางชนิดอยู่ในร่องของกระดูกกะโหลกและถูกชั้นหนังปกคลุมไว้ ปอดข้างซ้ายมีขนาดเล็กหรือไม่มี ขณะที่บางวงศ์ที่อาศัยอยู่ในน้ำจะไม่มีปอด บางชนิดมีเกล็ดฝังตัวอยู่ในร่องที่แบ่งลำตัวเป็นปล้อง การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายใน โดยตัวผู้จะมีอวัยวะถ่ายอสุจิเจริญจากผนังของห้องทวารร่วม บางชนิดวางไข่ในน้ำ และมีระยะเวลาของวัยอ่อนและบางชนิดวางไข่บนบกโดยไม่มีระยะวัยอ่อน ตัวเมียมีพฤติกรรมเฝ้าไข่ แต่เขียดงูส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 75 ออกลูกเป็นตัว วัยอ่อนภายในท่อนำไข่ได้รับสารอาหารจากสิ่งผลิตภายในท่อนำไข่", "title": "เขียดงู" }, { "docid": "8152#8", "text": "เมื่อครุฑได้หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง ครุฑจึงเอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์) ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว (เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้) แต่นั้นครุฑกับนาคจึงเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด และครุฑนั้นก็จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "613246#2", "text": "งูเห่าอินเดีย พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียเช่น อินเดีย, ศรีลังกา, บังกลาเทศ, ปากีสถาน และเนปาล มักอาศัยอยู่ตามพื้นที่ราบ, ป่าโปร่ง หรือท้องทุ่ง, ทุ่งนา กินอาหารจำพวกสัตว์ที่มีขนาดเล็ก ได้แก่ หนู, คางคก, กบ, นก เป็นต้น งูเห่าอินเดียจะออกไข่ในช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคม โดยงูตัวเมียมักจะวางไข่ในรูหนู, จอมปลวก หรือเนินดิน เป็นจำนวน 10 ถึง 30 ฟอง มีระยะเวลาฟักไข่ 48 ถึง 69 วัน ปกติงูเห่าอินเดียมีความยาวประมาณ 1.9 เมตร แต่บางตัวก็ยาวมากถึง 2.4 เมตร แต่ค่อนข้างหายาก นอกจากนี้แล้วยังสามารถพบได้ในพื้นที่ ๆ สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร (ประมาณ 6,600 ฟุต)\nลักษณะพิเศษของงูเห่าอินเดีย คือ บริเวณด้านหลังของแม่เบี้ยมีรูปวงกลมสองวงที่เชื่อมต่อกันด้วยเส้นโค้งคล้ายรูปแว่นตา ชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นรูปรอยเท้าของพระกฤษณะที่ทรงฟ้อนรำอยู่บนหัวของงูตามปกรณัมการปราบนาคกาลิยะ", "title": "งูเห่าอินเดีย" }, { "docid": "13797#4", "text": "คนไทยใหญ่ และคนลาวมีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค หรืองูขนาดใหญ่ที่มีฤทธิ์มาก ว่าอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง ตำนานพญานาคที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขงก็เช่น ตำนานวังนาคินทร์คำชะโนด", "title": "แม่น้ำโขง" }, { "docid": "131215#23", "text": "ในบริบทของบริเวณ แก่งสะพือ ได้ปรากฏว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่เห็นได้ชัดเจนสืบต่อกันมานานหลายชั่วอายุคน มีตำนานเล่าขานของแหล่งงูใหญ่ในเกาะแก่งแห่งแม่น้ำมูล ซึ่งคำว่า \"สะพือ\" สันนิษฐานว่าเป็นภาษาส่วยหรือกวยหรือเขมรป่าดง มาจากคำว่า \"กะไซพรืด\" (\"กะไซ\" แปลว่า \"งู\" , \"พรืด\" แปลว่า \"ใหญ่\") ต่อมาเพี้ยนเป็น \"ซำพรืด\" จนในที่สุดเพี้ยนมาเป็น \"สะพือ\" ดังนั้น \"แก่งสะพือ\" จึงมีความหมายในภาษาไทยว่า \"แก่งงูใหญ่\" ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่เชื่อกันว่ามีงูใหญ่อาศัยอยู่บริเวณนี้เพื่อปกปักรักษาทรัพย์สมบัติอันทรงคุณค่า บ้างก็ว่าเป็นพญานาคเจ้าเมืองโบราณคอยปกปักรักษาบ้านเมือง บ้างก็ว่าเป็นทหารที่มารักษาเทวาลัยในวัดสระแก้วและศาลเจ้าพ่อพละงุม อย่างไรก็ตาม บริเวณแก่งสะพือได้มีวัตถุโบราณล้ำค่าปรากฏให้เห็นดังนี้ ", "title": "อำเภอพิบูลมังสาหาร" }, { "docid": "401330#1", "text": "งูอนาคาคอนดาเขียวนับเป็นงูอนาคอนดา ชนิดที่ใหญ่ที่สุดและรู้จักดีที่สุด เมื่อโตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 30 ฟุต และหนักได้ถึง 550 ปอนด์ มีผิวลำตัวสีเขียว มีลายเป็นวงกลมสีดำ ใต้ท้องเป็นสีขาว ตาเป็นสีดำ ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้มาก อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น ป่าอเมซอน, บราซิล, โบลิเวีย, กายอานา ในหนองน้ำ หรือบึง โดยมักจะอาศัยอยู่ในน้ำหรือหมกตัวในโคลนมากกว่าจะเลื้อยมาอยู่บนบก เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากทำให้งุ่มง่ามเชื่องช้ามากเมื่ออยู่บนบก แต่จะว่องไวกว่าเมื่ออยู่ในน้ำ ว่ายน้ำได้เก่ง บางครั้งอาจใช้วิธีการลอยน้ำอยู่บริเวณผิวน้ำแล้วปล่อยให้กระแสน้ำไหลพัดไป แต่มักจะขึ้นมาอาบแดดเป็นบางครั้งด้วยการเกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้ริมน้ำ ", "title": "งูอนาคอนดาเขียว" }, { "docid": "401330#0", "text": "งูอนาคอนดาเขียว หรือ งูอนาคอนดาธรรมดา () เป็นงูขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า \"Eunectes murinus\" อยู่ในวงศ์ย่อย Boinae ในวงศ์ใหญ่ Boidae สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)", "title": "งูอนาคอนดาเขียว" }, { "docid": "864321#0", "text": "สัตว์ประหลาดทะเล () เป็นสัตว์ประหลาดหรืออสูรกายที่ปรากฏทั้งในตำนานหรือเทววิทยา ที่เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ในทะเลหรือมหาสมุทร และมักคิดว่ามีขนาดมหึมา สัตว์ประหลาดทะเลมีได้หลายรูปแบบ ได้แก่ มังกรทะเล หรืองูทะเลหรือสัตว์หลายชนิด พวกมันมักมีลำตัวลื่นและมีเกล็ดและมักปรากฏภาพว่าคุกคามเรือหรือพ่นน้ำใส่ คำจำกัดความของคำว่า \"สัตว์ประหลาด\" เป็นอัตนัย และสัตว์ทะเลบางชนิดอาจได้รับการยอมรับจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ เช่น วาฬ รวมถึงหมีกที่มีขนาดใหญ่", "title": "สัตว์ประหลาดทะเล" }, { "docid": "401237#2", "text": "โดยที่คำว่า \"Eunectes\" มาจากภาษากรีกคำว่า \"Eυνήκτης\" หมายถึง \"ว่ายน้ำได้ดี\"\nโดยรวมแล้วงูอนาคอนดาที่มีหัวขนาดใหญ่และลำคอหนา ตาและรูจมูกอยู่ที่ส่วนบนของหัว ทำให้สามารถหายใจและมองเห็นเหยื่อในขณะที่อยู่ใต้น้ำได้ ฆ่าเหยื่อโดยใช้ลำตัวบีบรัด เป็นงูที่ไม่มีพิษ แต่ยังมีฟันและขากรรไกรที่แข็งแรงที่ใช้กัดเหยื่อ โดยจะคาบเหยื่อแล้วลากลงไปในน้ำเพื่อให้เหยื่อจมน้ำตาย", "title": "งูอนาคอนดา" }, { "docid": "437977#3", "text": "มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ สมาชิกในครอบครัวประกอบไปด้วย พ่อ, แม่ และลูก รวมกันแล้วประมาณ 12 ตัว ซึ่งแม่นากจะสอนลูกว่ายน้ำและหากิน หากินโดยกินปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น ปูหรือกุ้ง เป็นอาหาร โดยแต่ละฝูงจะมีอาณาบริเวณหากินที่ชัดเจน และมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แต่นากยักษ์ก็ยังตกเป็นเหยื่อของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยเฉพาะนากวัยอ่อน เช่น จระเข้เคย์แมน, เสือจากัวร์ หรืองูอนาคอนดา ซึ่งนากยักษ์ขนาดโตเต็มที่สามารถฆ่าจระเข้เคย์แมน รวมถึงงูอนาคอนดาได้ แต่จะไม่กิน ลูกนากใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีกว่าจะโตเต็มที่", "title": "นากยักษ์" }, { "docid": "864343#0", "text": "ทานิวา หรือ ทานิฟา () เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติตามความเชื่อของชาวเมารี ชนชาติพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ทานิวามีรูปร่างคล้ายงูหรือมังกรขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ ทั้งทะเล, แม่น้ำ, ลำธารน้ำตก หรือในถ้ำ เป็นสัตว์ดุร้ายที่บางครั้งอาจทำร้ายหรือแม้แต่กินมนุษย์เป็นอาหาร หรือลักพาตัวผู้หญิงไปเป็นภรรยา ถึงแม้ว่าทานิวาจะมีสถานะเป็นเสมือนเทพผู้พิทักษ์หรือเทพารักษ์ก็ตาม บ้างก็เชื่อว่ามีรูปร่างเหมือนกิ้งก่าขนาดยักษ์บางครั้งมีปีก หรือบ้างก็ว่ามีลำตัวสีขาวขุ่นหรือมีหงอนบนหัว หรือแม้กระทั่งมีรูปร่างเป็นปลาฉลามหรือวาฬ หรือเป็นขอนไม้หรือท่อนไม้ในน้ำ บางครั้งอาจจะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ", "title": "ทานิวา" }, { "docid": "16614#0", "text": "ตามความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นาค (Sanskrit: नाग Nāga) เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย", "title": "นาค" }, { "docid": "99878#2", "text": "อาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้นตามพื้นโคลนตามชายฝั่งทะเล, ป่าชายเลน หรือปากแม่น้ำ ชอบอาศัยอยู่ตามพื้นโคลนมากกว่าอยู่ในน้ำใส กินปลาเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์กว้างขวางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงทวีปออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เป็นงูชนิดที่เคลื่อนไหวได้ดีในน้ำ แต่จะเชื่องช้าเมื่อขึ้นมาอยู่บนบก มีพฤติกรรมผสมพันธุ์ในเดือนกรกฎาคมไปจนถึงปลายปี ออกลูกเป็นตัว ลูกงูจะเกิดมาในช่วงเดือนมิถุนายนปีถัดมา โดยงูตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าและสามารถกินอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ มีอุปนิสัย ไม่ดุ มักติดอวนของชาวประมงอยู่บ่อย ๆ เมื่อถูกจับได้และขดตัวอยู่นิ่ง ๆ แสร้งทำเป็นตาย", "title": "งูผ้าขี้ริ้ว" }, { "docid": "505744#2", "text": "พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดและพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ของทวีปอเมริกาใต้ ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้มาก งูอนาคอนดาเหลืองเมื่อจะผสมพันธุ์ ตัวเมียจะเป็นฝ่ายเลือกตัวผู้ โดยการปล่อยฟีโรโมนออกมาดึงดูดตัวผู้ การผสมพันธุ์ของงูอนาคอนดาเหลือง จะเริ่มด้วยตัวผู้คลานไต่ตามลำตัวของตัวเมีย และจะปล่อยเดือยแหลมจากเกล็ดใต้ท้องเป็นการสะกิดเตือนตัวเมีย ก่อนที่อวัยวะเพศของตัวผู้ที่มีปลายเป็นแฉกจะยื่นออกมาเพียงเวลาเพียงไม่นานเพื่อปล่้อยสเปิร์ม แต่การผสมพันธุ์อาจใช้เวลานานถึง 9 ชั่วโมง", "title": "งูอนาคอนดาเหลือง" }, { "docid": "505744#0", "text": "งูอนาคอนดาเหลือง (; ) เป็นงูไม่มีพิษขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกงูอนาคอนดา จัดอยู่ในวงศ์งูโบอา (Boidae)", "title": "งูอนาคอนดาเหลือง" }, { "docid": "911942#0", "text": "คำว่า \"สะพือ\" สันนิษฐานว่าเป็นภาษาส่วยหรือกวยหรือเขมรป่าดง มาจากคำว่า \"กะไซพรืด\" (\"กะไซ\" แปลว่า งู , \"พรืด\" แปลว่า ใหญ่) ต่อมาเพี้ยนเป็น \"ซำพรืด\" จนในที่สุดเพี้ยนมาเป็น \"สะพือ\" ดังนั้น \"แก่งสะพือ\" จึงมีความหมายในภาษาไทยว่า \"แก่งงูใหญ่\" ซึ่งสอดคล้องกับตำนานความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่เชื่อกันว่า มีพญานาคหรืองูใหญ่อาศัยอยู่เพื่อปกปักรักษาภูมิสถานแห่งนี้ ", "title": "แก่งสะพือ" }, { "docid": "401237#6", "text": "ด้วยความที่งูอนาคอนดาเป็นงูขนาดใหญ่ ทำให้แลดูน่าสะพรึงกลัว ชาวพื้นเมืองอเมริกาใต้จึงให้ความนับถือดุจเทพเจ้า เช่น ชาวแอซเท็ค ให้ความนับถือเทพที่ชื่อว่า \"เกวตซัลโกอัตล์\" ที่มีรูปลักษณ์เป็นงูขนาดใหญ่ เป็นเทพเจ้าที่สร้างโลกและมนุษย์ให้เกิดขึ้นมาจากเถ้ากระดูก", "title": "งูอนาคอนดา" }, { "docid": "401237#8", "text": "นอกจากนี้แล้วยังมีความเชื่อของชนพื้นเมืองในป่าดิบชื้นของอเมซอนที่เรียกงูอนาคอนดาขนาดยักษ์ว่า \"matatoro\" แปลว่า \"ตัวกินวัว\" โดยมีความยาวกว่า 80 ฟุต", "title": "งูอนาคอนดา" }, { "docid": "349043#2", "text": "นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อว่า ไททันโอโบอา มีรูปร่างลักษณะและมีพฤติกรรมคล้ายงูอนาคอนดาซึ่งปัจจุบันพบในป่าดิบชื้นทวีปอเมริกาใต้ โดยหากินในน้ำ ซึ่งอาหารได้แก่ จระเข้และปลาขนาดใหญ่ แต่ทว่ามีความยาวกกว่ามาก โดยมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 13.5 เมตร และอาจยาวได้ถึง 15 เมตร หนักถึง 2.6 ตัน โดยชื่อของมันเป็นภาษาลาติน แปลได้ว่า \"งูยักษ์จากแซร์อาโฮน\" (Titanic boa from Cerrejon) ซึ่งมาจากชื่อเมืองแซร์อาโฮน ในประเทศโคลอมเบีย ซึ่งเป็นที่ค้นพบซากฟอสซิลของมันเป็นครั้งแรก", "title": "ไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส" }, { "docid": "8230#37", "text": "ในอินเดีย ที่ซึ่งมีความเชื่อและวัฒนธรรมที่หลากหลาย งูมีชื่อเรียกในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนที่เป็นภาษาที่ใช้ภูมิภาคแถบนี้ว่า \"นาคา\"[16] อันเป็นชื่อเรียกอย่างเดียวกับ \"พญานาค\" ซึ่งเป็นงูใหญ่ที่เป็นสัตว์กึ่งเทพในความเชื่อของชนชาวอารยันและเอเชียอาคเนย์ เช่นเดียวกับ \"มังกร\" ในความเชื่อของชาวจีน ซึ่งเชื่อว่ามีที่มาจากงูขนาดใหญ่[17]", "title": "งู" } ]
1948
บรรหาร ศิลปอาชา เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "6131#0", "text": "บรรหาร ศิลปอาชา (19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 – 23 เมษายน พ.ศ. 2559) เป็นนักการเมืองชาวไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 21 ประธานกรรมการมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี 11 สมัย อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา อดีตนายกสภาสถาบันการพลศึกษา อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด และอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ทั้งเป็นพี่ชายของชุมพล ศิลปอาชา อดีตรองนายกรัฐมนตรี", "title": "บรรหาร ศิลปอาชา" } ]
[ { "docid": "207325#1", "text": "นายชุมพล ศิลปอาชา เกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของเซ่งกิม และสายเอ็ง แซ่เบ๊ เป็นน้องชายของบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร สำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท (M.P.A.) มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ สหรัฐอเมริกา ด้านชีวิตครอบครัว ได้สมรสกับดวงมาลย์ ศิลปอาชา (สกุลเดิม เจียรสวัสดิ์วัฒนา) ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลคดีเด็กสมุทรปราการ มีบุตร 2 คน คือ สลิลดา ศิลปอาชา กับรัฐพล ศิลปอาชา", "title": "ชุมพล ศิลปอาชา" }, { "docid": "193882#1", "text": "นายวราวุธ ศิลปอาชา เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 ที่แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นลูกชายคนสุดท้องของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยและอดีตนายกรัฐมนตรี กับคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา ด้านชีวิตครอบครัวสมรสกับนางสุวรรณา ศิลปอาชา (สกุลเดิม ไรวินท์) มีบุตรด้วยกัน 3 คน", "title": "วราวุธ ศิลปอาชา" }, { "docid": "6131#4", "text": "บรรหารจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่จังหวัดสุพรรณบุรี เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัย แต่ต้องหยุดเรียนไป เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง หันไปทำงานกับพี่ชาย และก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเองชื่อ บริษัท สหศรีชัยก่อสร้าง เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2496 พ.ศ. 2505 ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด นทีทอง และ พ.ศ. 2508 ก่อตั้งบริษัทวารทิพย์ จำกัด", "title": "บรรหาร ศิลปอาชา" }, { "docid": "6131#2", "text": "บรรหารเป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมมีชื่อว่า เต็กเซียง แซ่เบ๊ (馬德祥) บิดาของบรรหาร คือ เซ่งกิม แซ่เบ๊ ส่วนมารดาของบรรหาร คือ สายเอ็ง แซ่เบ๊ เป็นเจ้าของร้านสิ่งทอชื่อ ย่งหยูฮง ทั้งคู่มีบุตร 6 คน ดังนี้ตามลำดับ สมบูรณ์ ศิลปอาชา, สายใจ ศิลปอาชา, อุดม ศิลปอาชา, บรรหาร ศิลปอาชา, ดรุณี วายากุล, และชุมพล ศิลปอาชา", "title": "บรรหาร ศิลปอาชา" }, { "docid": "6131#13", "text": "ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกของพรรคได้รับเลือกตั้งมากที่สุด ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้บรรหาร ได้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกตำแหน่งหนึ่งระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538 ถึง พฤศจิกายน พ.ศ. 2539", "title": "บรรหาร ศิลปอาชา" }, { "docid": "6131#1", "text": "ตามทะเบียนราษฎร บรรหารเกิดวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 แต่บางแหล่งว่าเกิดวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2475", "title": "บรรหาร ศิลปอาชา" }, { "docid": "6131#12", "text": "ตลอดเวลาที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บรรหารได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง ใน พ.ศ. 2519 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีสมัยแรก คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออก และได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเดิม อีกสมัยหนึ่ง แต่ดำรงตำแหน่งเพียง 12 วัน และได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพียงวันเดียวก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากการรัฐประหารของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ก่อนเกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ บรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทย เป็นตัวแทนพรรคชาติไทย ในฐานะ พรรคร่วมรัฐบาลให้สัญญาว่าจะแถลงถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อมาบรรหาร และตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล ออกโทรทัศน์ ปฏิเสธ เรื่องดังกล่าว ทำให้เกิดการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลและนำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในที่สุด", "title": "บรรหาร ศิลปอาชา" }, { "docid": "125943#0", "text": "นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา นักการเมืองสตรีชาวไทย หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุพรรณบุรี หลายสมัย เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 เป็นบุตรีของบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา", "title": "กัญจนา ศิลปอาชา" }, { "docid": "6131#10", "text": "บรรหารเข้าสู่วงการเมืองจากการชักชวนของบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรคชาติไทยเมื่อ พ.ศ. 2517 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติใน พ.ศ. 2516 และเป็นสมาชิกวุฒิสภา ใน พ.ศ. 2518 ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ. 2519 และ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาทุกสมัยที่มีการเลือกตั้ง ต่อมาบรรหารขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคชาติไทยใน พ.ศ. 2523 และในปีเดียวกันนั้น เขาถูกพินิจ จันทรสุรินทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง และคณะรวม 42 คน ยื่นคำร้องต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยว่า เขาขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากมีบิดาเป็นคนต่างด้าว และสำเร็จการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีมติให้ยกคำร้องดังกล่าว", "title": "บรรหาร ศิลปอาชา" } ]
699
ขบวนการนักศึกษาทานตะวันเกิดขึ้นปีใด ?
[ { "docid": "613299#0", "text": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน (Chinese:太陽花學運; pinyin:Tàiyánghuā Xué Yùn; English: Sunflower Student Movement) เป็นชื่อเรียกกลุ่มผู้ประท้วงในประเทศไต้หวัน ประกอบด้วยนักเรียน นักศึกษา และประชาชนซึ่งรวมกำลังกันยึดสถานที่ราชการตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2014 โดยเริ่มเข้าควบคุมที่ทำการสภานิติบัญญัติ และต่อมาจึงลุกลามไปยังสำนักงานสภาบริหาร (คณะรัฐมนตรี)[2][3][4] ทั้งนี้ เพื่อต่อต้านการที่สภานิติบัญญัติ ซึ่งพรรคชาตินิยม (; Kuomintang) ครองเสียงข้างมาก จะให้สัตยาบันแก่ความตกลงการค้าบริการข้ามช่องแคบ (; Cross-Strait Service Trade Agreement) ที่สภาบริหารได้ทำไว้กับประเทศจีน โดยไม่พิจารณาเป็นรายข้อ", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" } ]
[ { "docid": "34482#2", "text": "สมัครข้ามจากการเป็นสื่ออย่างเดียว มาเริ่มต้นชีวิตการเมืองโดยเข้าเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี 2511 ลงสมัครตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนขึ้นถึงระดับชาติ จนมามีบทบาทโดดเด่นช่วงปี 2519 จากการจัดรายการสถานีวิทยุยานเกราะ ที่มีเนื้อหาโจมตีบทบาทของ ขบวนการนักศึกษาในสมัยนั้น พร้อมทั้งปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังขบวนการนักศึกษา และ เป็นศูนย์กลางประสานงาน ถ่ายทอดกำหนดการ และคำสั่งเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านนักศึกษาใน เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519", "title": "สมัคร สุนทรเวช" }, { "docid": "613299#13", "text": "กระนั้น ในวันที่ 26 มีนาคม 2014 เหล่าผู้แทนนักศึกษาประกาศว่า จะไม่ไปพบประธานาธิบดี เพราะเห็นว่า ประธานาธิบดีซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคชาตินิยมสามารถใช้กฎระเบียบของพรรคควบคุมสมาชิกพรรคที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติได้ อันจะเป็นผลให้การเจรจาระหว่างพรรคการเมืองทั้งหลายล้มเหลวอีกจนไม่อาจตอบสนองข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมได้[36][37] ผู้ชุมนุมจึงเปลี่ยนไปเรียกให้สภานิติบัญญัติตรากฎหมายเพื่อควบคุมการทำความตกลงระหว่างช่องแคบในภายภาคหน้า โดยส่งร่างกฎหมายไปให้สภานิติบัญญัติและขอให้สมาชิกสภานิติบัญญัติลงชื่อรับรอง[38]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#7", "text": "วันที่ 18 มีนาคม 2014 ราว 21:00 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น ผู้ชุมนุมปีนรั้วที่ทำการสภานิติบัญญัติขึ้นเพื่อเข้าไปภายใน การรบรันพันตูระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าพนักงานตำรวจเป็นเหตุให้ที่ทำการเสียหายเล็กน้อย แต่เจ้าพนักงานตำรวจหลายรายได้รับบาดเจ็บสาหัส สภานิติบัญญัติส่งสมาชิกผู้ 1 มาเจรจากับผู้ชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมซึ่งเข้าไปในที่ทำการได้ประมาณ 300 คนแล้วเข้าควบคุมสถานที่ไว้เป็นผลสำเร็จ ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจยังไม่สามารถขับพวกเขาออกไปได้ ขณะที่ผู้ชุมนุมที่เหลือซึ่งมีหลายร้อยคนยังตั้งมั่นอยู่นอกที่ทำการ บรรดาผู้ชุมนุมเรียกให้สภานิติบัญญัติพิจารณาความตกลงเป็นรายข้ออีกครั้ง มิฉะนั้น จะยึดที่ทำการไปจนถึงวันที่ 21 มีนาคม อันเป็นวันที่สภานิติบัญญัติกำหนดให้ลงมติเกี่ยวกับความตกลง เจ้าหน้าที่จึงตัดน้ำตัดไฟในที่ทำการ ณ คืนวันที่ 18 นั้นเพื่อบีบให้ผู้ชุมนุมออกไป ส่วนเจียง อีฮว่า (; Jiang Yi-huah) นายกรัฐมนตรี สั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้าขับไล่ผู้ชุมนุม แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง[8][23]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "47852#16", "text": "คือต้นอ่อนของทานตะวันที่มีอายุ 7 - 11 วัน ในต้นอ่อนทานตะวันมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย เช่น ไฟเบอร์ โปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม สังกะสีโพแทสเซียม ไขมัน\nต้นอ่อนทานตะวันจัดเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมีสารชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า GABA (gamma aminobotyric acid)กรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันโรคมากมายหลายชน­­­ิด อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก บำรุงเซลล์สมอง ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ช่วยบำรุงผิวพรรณ สายตา ชะลอความแก่ชรา\nนอกจากนี้ก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี 6 วิตามินอี วิตามินซี และเซเลเนียม กรดไขมันโอเมก้า 3, 6, 9 มีโฟเลทสูง เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และขจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ในปอด โดยในศาสตร์ของแพทย์แผนอายุรเวทโบราณนั้น ต้นอ่อนทานตะวันสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใ­จได้อีกด้วย\nและข้อมูลการวิจัยของ Medical Center, University of Maryland สหรัฐ เมื่อปี 2553 ระบุว่า ต้นอ่อนทานตะวัน (Sunflower Sprouts) มีกรด Linoleic ในปริมาณมาก ช่วยในการบำรุงสมองและกระดูกให้แข็งแรง ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี วิตามินอี และโฟเลต ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลการวิจัยของ International Sprout Growers Association เมื่อปี 2554 ระบุว่ามีธาตุเหล็กสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ อีกด้วย", "title": "ทานตะวัน" }, { "docid": "613299#12", "text": "ประธานาธิบดียืนยันตลอดมาว่า จะไม่พูดคุยกับผู้ชุมนุมเป็นการส่วนตัว แต่วันที่ 25 มีนาคม 2014 เขาเรียกผู้แทนนักศึกษามาที่จวนเพื่อสนทนาเรื่องความตกลงการค้าบริการข้ามช่องแคบกับประเทศจีน[35] หลิน เฟย์ฟัน (; Lin Fei-fan) ผู้นำนักศึกษา ตกลงจะไป และกล่าวว่า นักเรียนนักศึกษาประสงค์จะสนทนาเรื่องไต้หวันควรมีสมาชิกสภานิติบัญญัติชุดใหม่เพื่อกำกับดูแลการทำความตกลงระหว่างช่องแคบทั้งหลายหรือไม่ และความตกลงฉบับที่เป็นปัญหานั้นควรค้างไว้จนกว่าจะมีสภานิติบัญญัติชุดใหม่หรือไม่มากกว่า[22]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#5", "text": "ขบวนการครั้งนี้มีชื่ออื่นอีก คือ \"ขบวนการนักศึกษา 18 มีนาฯ\" (; March 18 Student Movement) และ \"ปฏิบัติการยึดสภาฯ\" (; Occupy Taiwan Legislature)", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#4", "text": "ชื่อ \"ทานตะวัน\" ยังเป็นการอ้างถึงขบวนการนักศึกษาลิลลีป่า (; Wild Lily Student Movement) เมื่อปี 1990 ซึ่งเป็นหมุดหมายแห่งการเปลี่ยนไต้หวันให้เป็นประชาธิปไตย[21]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#16", "text": "วันที่ 6 เมษายน 2014 ประธานสภานิติบัญญัติไปเยี่ยมผู้ชุมนุมซึ่งยึดที่ทำการสภานิติบัญญัติ และตกปากว่า จะเลื่อนการพิจารณาความตกลงนั้นออกไปก่อนจนกว่าจะตรากฎหมายควบคุมการทำความตกลงระหว่างช่องแคบสำเร็จตามที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง[44] แต่เฟ่ย์ หงไท่ (; Fai Hrong-tai) รองเลขาธิการพรรคชาตินิยม บอกปัดเรื่องนั้น และติเตียนประธานสภานิติบัญญัติว่า ออกปากสิ่งใดไปไม่ปรึกษาพรรคชาตินิยมก่อน[45]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#6", "text": "วันที่ 18 มีนาคม 2014 พรรคชาตินิยมยื่นญัตติฝ่ายเดียวให้สภานิติบัญญัติเห็นชอบกับความตกลงการค้าบริการข้ามช่องแคบโดยไม่พิจารณาเป็นรายข้อ แม้เคยรับปากกับพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 2013 แล้วว่า จะพิจารณาเป็นรายข้อ อนึ่ง พรรคการเมืองทั้ง 2 ยังเคยตกลงกันเมื่อเดือนกันยายน 2013 ว่า จะจัดประชาพิจารณ์ 16 ครั้ง โดยจะเป็นเจ้าภาพกันคนละ 8 ครั้ง และเชิญนักวิชาการ องค์การเอกชน กับผู้แทนวงการค้าที่จะได้รับผลกระทบ มาร่วมเสวนา พรรคชาตินิยมจัดไป 8 ครั้ง แต่ไม่ได้เชิญบุคคลดังกล่าวมาเลย หรือเชิญมาก็ด้วยความรีบร้อน นอกจากนี้ เมื่อมีการเสนอความเห็นระหว่างประชาพิจารณ์ จาง ชิ่งจง (; Chang Ching-chung) สมาชิกพรรคชาตินิยมซึ่งเป็นประธานกรรมาธิการบริหารราชการภายใน (Internal Administrative Committee) ของสภานิติบัญญัติ ก็กล่าวว่า ร่างความตกลงไม่อาจแก้ไขเพิ่มเติมได้แล้ว ต้องรับทั้งฉบับเท่านั้น[22] พฤติการณ์เหล่านี้นำไปสู่ความวุ่นวายในสภานิติบัญญัติ เป็นเหตุให้พรรคประชาธิปไตยไม่อาจจัดประชาพิจารณ์อีก 8 ครั้งได้ กับทั้งจาง ชิ่งจง ยังสั่งเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2014 ว่า กระบวนพิจารณาชั้นกรรมาธิการดำเนินมามากกว่า 90 วันแล้ว ให้ส่งความตกลงไปให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณาเพื่อลงมติในชั้นสุดท้ายได้ ความตกลงส่งไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2014[8]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "739633#1", "text": "พล.ต.สุตสาย เคยรับราชการทหาร และเคยเป็นแกนนำก่อตั้งขบวนการกระทิงแดง ในช่วงปี พ.ศ. 2517 ในขณะดำรงตำแหน่งนายทหารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งในช่วงกลางปี พ.ศ. 2518 พล.ต.สุตสาย ได้รวบรวมสมาชิกกว่า 25,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาอาชีวะ เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการเดินขบวนประท้วงจอมพลถนอม กิตติขจร แต่แตกกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เพราะเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวรับแนวคิดคอมมิวนิสต์มาอย่างชัดเจน ขบวนการกระทิงแดง นำโดย พล.ต.สุตสาย เป็นกองเยาวชนของขบวนการนวพล", "title": "สุตสาย หัสดิน" }, { "docid": "353799#13", "text": "แต่สิ่งที่ไทยปรารถนาอย่างแท้จริงคือ การรักษาความเป็นเอกราชของไทยไว้ ในการที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น ไทยต้องผ่านความยากลำบากมามากมาย ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ในการประชุมมหาเอเซียบูรพา ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้เสนอให้ประชุมที่โตเกียว ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1943 (พ.ศ. 2486 ปีโชวะที่18) มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น ที่ส่งบุคคลที่มิใช่นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม คือพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร แต่เดิมทรงเป็นที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ และเพิ่งได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี หลังจากสงครามเกิดได้ไม่นาน ก็มีการจัดตั้งขบวนการ \"เสรีไทย\" โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการ และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เป็นผู้นำ ขบวนการนี้ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทางการทูตและนักศึกษา ที่ประจำและศึกษาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไทยดำเนินการทูตแบบสองด้านอันชาญฉลาด ในทางหนึ่งแสดงท่าทีให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างสายสัมพันธ์กับฝ่ายสัมพันธมิตรไว้ด้วย และสนับสนุนขบวนการใต้ดินที่ต่อต้านญี่ปุ่น ", "title": "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย" }, { "docid": "33634#23", "text": "ขบวนการกระทิงแดงก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2517 โดย พันเอกพิเศษ สุตสาย หัสดิน นายทหารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กลางปี 2518 กลุ่มนี้มีสมาชิก 25,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาอาชีวะ ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการเดินขบวนประท้วงจอมพลถนอม แต่บัดนี้แตกกับนักศึกษาฝ่ายซ้ายเพราะรับแนวคิดคอมมิวนิสต์มาอย่างชัดเจน ขบวนการกระทิงแดงเป็นกองเยาวชนของขบวนการนวพล สีแดงเป็นสีของธงชาติไทยเดิม และถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรักชาติในธงชาติปัจจุบัน กลุ่มประกาศว่าคำขวัญคือ \"แนวร่วมต่อต้านจักรวรรดินิยมคอมมิวนิสต์\" คล้ายกับเอสเอในประเทศเยอรมนีช่วงทศวรรษ 1930 สมาชิกขบวนการกระทิงแดงปลุกปั่นการต่อสู้ระหว่างนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายกับสหภาพแรงงาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 ขบวนการกระทิงแดงโยนระเบิดใส่การประท้วงฝ่ายซ้าย เป็นเหตุให้มีนักศึกษาเสียชีวิต 4 คน พระมหากษัตริย์ทรงเคยทดสอบยิงอาวุธของขบวนการกระทิงแดงครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีเผยแพร่กว้างขวาง", "title": "เหตุการณ์ 6 ตุลา" }, { "docid": "613299#14", "text": "วันที่ 30 มีนาคม 2014 ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากจวนประธานาธิบดีไปยังที่ทำการสภานิติบัญญัติจนเต็มถนนไข่ต๋าเก๋อหลัน (Ketagalan Boulevard) เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีฟังคำพวกตน[39][40] ผู้จัดการเดินขบวนว่า มีผู้คนมากกว่า 500,000 คนมาร่วม ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจที่มาประจำการนั้นมีราว 116,000 คน[41]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "203581#2", "text": "คัมภีร์ทานตะวันเล่มนี้ แต่งโดยขันทีในวังหลวงเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน และสามร้อยกว่าปีมานี้ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกวิชาฝีมือในคัมภีร์สำเร็จ แล้วคัมภีร์ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คัมภีร์เล่มนี้ปรากฏว่าตกเป็นของวัดเส้าหลินในมณฑลฟุโจว เจ้าอาวาสวัดตอนนั้นคือ อั้งเฮียะไต้ซือ", "title": "คัมภีร์ทานตะวัน" }, { "docid": "613299#1", "text": "ผู้ประท้วงเชื่อว่า ความตกลงนี้จะกระทบเศรษฐกิจไต้หวัน เพราะจะเปิดให้จีนใช้อำนาจทางการเมืองบีบคั้นเศรษฐกิจไต้หวันจนเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ ส่วนผู้สนับสนุนความตกลงเห็นว่า ความตกลงจะช่วยให้ทั้งจีนและไต้หวันลงทุนในตลาดของแต่ละฝ่ายได้อย่างเสรีมากขึ้น[5][6][7] เดิมที ผู้ประท้วงเรียกให้พิจารณาความตกลงอีกครั้งโดยทำเป็นรายข้อ[8] แต่ภายหลังเปลี่ยนไปเรียกให้เลิกทำความตกลงนั้นเสีย แล้วตรากฎหมายควบคุมการทำความตกลงกับจีน[9] พรรคชาตินิยมยินดีให้พิจารณาความตกลงเป็นรายข้อในวาระที่ 2[10][11] แต่ไม่เห็นด้วยที่จะส่งความตกลงกลับไปให้คณะกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติพิจารณาอีกครั้ง[12] ต่อมา พรรคชาตินิยมยินยอมตามข้อเสนอที่ให้พิจารณาซ้ำเป็นรายข้อ แต่กล่าวว่า ต้องให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (; Democratic Progressive Party) เลิกคว่ำบาตรกระบวนพิจารณา พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าไม่ตกลงด้วย และแถลงว่า ควรตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกับจีนมาพิจารณาความตกลง เพราะเป็น \"มติมหาชนกระแสหลัก\"[13] อย่างไรก็ดี พรรคชาตินิยมบอกปัดข้อเสนอดังกล่าว[14][15]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "33621#8", "text": "การคุกคามฝ่ายนักศึกษาเกิดขึ้นอย่างหนักใน พ.ศ. 2519 ตั้งแต่ต้นปี การปฏิบัติการดังกล่าวกระทำจนกระทั่งแน่ใจได้ว่า ขบวนการอ่อนกำลังลงมากแล้ว จึงได้มีการนำเอาตัวจอมพลประภาส จารุเสถียร เข้ามาสู่ประเทศเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2519 ในข้ออ้างของจอมพลประภาสว่า จะเข้ามารักษาตา ฝ่ายนักศึกษาได้เรียกชุมนุมประชาชน เพื่อเรียกร้องให้นำตัวจอมพลประภาสมาลงโทษ ในการประท้วงครั้งนี้ กลุ่มอันธพาลการเมืองก็ก่อกวนเช่นเดิม ด้วยการขว้างระเบิดใส่ที่ชุมนุมของฝ่ายนักศึกษา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 38 คน ", "title": "รัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี" }, { "docid": "613299#15", "text": "ฝ่ายผู้ต่อต้านการชุมนุมก็รวมตัวกันในท้องที่เดียวกัน แต่แยกย้ายกันไปก่อนขบวนนักศึกษาสลายตัว[42] ครั้นวันที่ 1 เมษายน 2014 จาง อันเล่อ (; Chang An-lo) นักเลงโต นำผู้สนับสนุนการทำความตกลงกับประเทศจีนเคลื่อนขบวนต่อต้านการยึดสภานิติบัญญัติบ้าง[43]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "343131#0", "text": "วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า อาจารย์วิโรจน์ เป็นคนไทยเชื้อสายจีนแซ่ตั้ง จบการมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดราชาธิวาสจบการศึกษามหาวิทยาลัยจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เอกประวัติศาสตร์) ระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้นเคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ 6 ตุลา เมื่อปี พ.ศ. 2519 เป็นนักศึกษา 1 ใน 2 คนที่แสดงละครล้อการเมืองที่ต่อมาถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (อีก 1 คนนั้นคือ อภินันท์ บัวหภักดี) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ต่อมา ", "title": "วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์" }, { "docid": "613299#8", "text": "หลังสภานิติบัญญัติถูกยึดไม่นาน มีการระดมเจ้าพนักงานตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลายพันคนจากทั่วประเทศเพื่อเข้าล้อมผู้ชุมนุมเอาไว้[24][25] ครั้นวันที่ 20 มีนาคม 2014 หวัง จินผิง (; Wang Jin-pyng) ประธานสภานิติบัญญัติ แถลงว่า จะไม่ใช้กำลังต่อผู้ชุมนุม[26] นอกจากนี้ เขากล่าวในวันรุ่งขึ้นว่า จะไม่ไปพบหม่า อิงจิ่ว (; Ma Ying-jeou) ประธานาธิบดี หรือเจียง อีฮว่า นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องจะทำอย่างไรต่อไป เขากล่าวด้วยว่า เป็นหน้าที่ของประธานาธิบดีที่จะต้องฟังเสียงประชาชน และสมาชิกสภานิติบัญญัติเองก็ต้องรอมชอมกันเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ด้วย[27]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#10", "text": "การแถลงข่าวข้างต้นเป็นผลให้ผู้ชุมนุมแห่ไปยึดสำนักงานสภาบริหารในเวลาประมาณ 19:30 นาฬิกาของวันที่ 23 มีนาคม 2014 นั้นเอง[30] เจ้าพนักงานตำรวจใช้ปืนแรงดันน้ำขับผู้ชุมนุมไปเสียจากสำนักงานได้อย่างราบคาบในเวลา 05:00 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น แต่ไม่ช้าผู้ชุมนุมก็จับกลุ่มกันอีกครั้งตรงถนนจงเซี่ยวฝั่งตะวันออก (; Zhongxiao East Road)[31] เจ้าพนักงานตำรวจราว 100 คนจึงใช้เวลา 10 ชั่วโมงพยายามสลายผู้ชุมนุมโดยใช้แรงดันน้ำฉีดไล่และใช้ไม้พลองฟาดศีรษะ จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใช้กำลังเกินเหตุ[32] มีผู้ชุมนุมบาดเจ็บ 150 คนและถูกจับอีก 61 คน[33]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "203581#1", "text": "ในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร \"คัมภีร์ทานตะวัน\" วิชาที่ชาวยุทธ์ร่ำลือกันว่าเป็นยอดเหนือวิทยายุทธ์อื่นใด และต่างแย่งชิงกันครอบครองเพื่อความเป็นใหญ่ คือ", "title": "คัมภีร์ทานตะวัน" }, { "docid": "32316#0", "text": "ขบวนการไซออนิสต์ () เป็นชื่อเรียกขบวนการคืนสู่มาตุภูมิประวัติศาสตร์ในดินแดนปาเลสไตน์ดั้งเดิม (The Eretz Israel) ของชนชาติยิว หลังถูกชาวอียิปต์ขับกระจัดกระจายนานนับศควรรษ ชาวยิวเชื่อว่า เมื่อใดที่ชาวยิวย้ายกลับมาครอบครองถิ่นเดิม จะเกิดความเจริญรุ่งเรืองดังที่เกิดแล้วสมัยกษัตริย์เดวิด ความเชื่อนี้ทำให้เกิดการรณรงค์เผยแพร่ความคิดที่เรียก \"ไซออนิสต์\" ขบวนการไซออนิสต์ยุคใหม่เริ่มเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (Theodore Herzl) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแผนการทางการเมืองเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นรัฐอิสระเหนืออาณาเขตที่ชาวปาเลสไตน์ครอบครอง ความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง วัตถุประสงค์และเป้าหมายนี้ได้รับการสนับสนุนโดยปฏิญญาบอลโฟร์ (Balfour Declaration) ในปี พ.ศ. 2460 โดยเงื่อนไขว่าต้องไม่ทำให้ประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในอาณาบริเวณนั้นเสียสิทธิ", "title": "ขบวนการไซออนิสต์" }, { "docid": "292198#6", "text": "ภายในสองสามปีวลีที่เดิมไม่ไคร่เป็นที่รู้จักกันเท่าใดนักก็เริ่มนำมาใช้กันอย่างสม่ำเสมอในความหมายในการท้าทายความอนุรักษนิยมทางการเมืองและสังคมในการต่อต้านการขยายตัวของวิธีการสอนแบบก้าวหน้า (progressive teaching method) ในโรงเรียนมัธยมในสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ. 1991 ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุชกล่าวปาฐกถาต่อนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนต่อต้าน “ . . . ขบวนการ[ที่จะ]ประกาศว่าหัวเรื่องบางเรื่องเป็นหัวเรื่องที่อยู่ ‘นอกข่าย’ (off-limits), หรือคำพูดบางคำว่าอยู่ ‘นอกข่าย’, หรือแม้แต่ท่าทางบางอย่างว่าเป็นสิ่ง ‘นอกข่าย’” ที่เป็นนัยยะถึงผู้ปฏิบัติตามความถูกต้องทางการเมืองผู้เป็นเสรีนิยม การใช้วลีที่ทำกันเสมอที่สุดคือการใช้ในเชิงเหยียดว่าเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงความกระทบกระเทือนต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดกันอย่างพร่ำเพรื่อ เหนือวิจารณญาณอื่นใด", "title": "ความถูกต้องทางการเมือง" }, { "docid": "613299#9", "text": "วันที่ 22 มีนาคม 2014 เจียง อีฮว่า ไปพบผู้ชุมนุมนอกที่ทำการสภานิติบัญญัติ และแถลงว่า สภาบริหารไม่ประสงค์จะล้มเลิกความตกลงฉบับนั้น[2] ฝ่ายประธานาธิบดีก็แถลงข่าวในวันถัดมาว่า เขาปรารถนาจะให้ความตกลงได้รับการอนุมัติ แต่ยืนยันว่า เขาไม่ได้กำลังรับสนองคำสั่งจากกรุงปักกิ่ง[28][29]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#17", "text": "ที่เฟซบุ๊ก", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#18", "text": "หมวดหมู่:การประท้วงในไต้หวัน", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#3", "text": "ผู้ประท้วงเรียกตนเองว่า \"ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน\" เพราะเห็นว่า ดอกทานตะวันเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง[19] โดยเริ่มนิยมใช้คำนี้ตั้งแต่ร้านดอกไม้ร้าน 1 ส่งดอกทานตะวัน 100 ต้นมาเป็นกำลังใจให้เหล่านักศึกษา ณ ที่ทำการสภานิติบัญญัติ[20]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#2", "text": "ความเคลื่อนไหวนี้นับเป็นคราวแรกในประวัติศาสตร์ชาติไต้หวันที่สภานิติบัญญัติถูกประชาชนบุกยึด[16][17] และสำนักข่าวบีบีซีเห็นว่า เป็นการชี้ชะตาไต้หวัน เพราะจะช่วยให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทั้งจะทวีการพิทักษ์ประโยชน์ประชาชน มิใช่ประโยชน์ของพรรคการเมือง[18]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" }, { "docid": "613299#11", "text": "นอกจากนี้ นักข่าวและแพทย์พยาบาลยังถูกสั่งให้ไปเสียให้พ้นจากพื้นที่[32] สมาคมนักข่าวไต้หวันเปิดเผยว่า เจ้าพนักงานตำรวจใช้กำลังต่อนักข่าว เพราะปรากฏว่า โจมตีนักข่าวมากกว่า 10 ครั้ง ทั้งวิจารณ์ว่า คำสั่งไล่นักข่าวเป็นการริดรอนเสรีภาพสื่อมวลชน[34]", "title": "ขบวนการนักศึกษาทานตะวัน" } ]
3818
นวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา สิ้นสุดการประพันธ์เมื่อไหร่?
[ { "docid": "28360#0", "text": "เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก[1] บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของนายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี[2] โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน[3]", "title": "เพชรพระอุมา" } ]
[ { "docid": "28360#5", "text": "เพชรพระอุมาใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี[8] ซึ่งระยะเวลาที่ยาวนานนั้นมาจากการที่พนมเทียนเป็นนักเขียนอาชีพ และยึดถือเอาสิ่งสำคัญที่สุดของงานเขียนก็คือผู้อ่าน[9] โดยตราบใดที่งานเขียนของตนเองยังคงได้รับความนิยมและมีผู้สนใจติดตามอ่าน ตราบนั้นความสุขใจในการเขียนก็เป็นสิ่งที่มีความสุขมากที่สุดของพนมเทียน[9] ทำให้เนื้อเรื่องของเพชรพระอุมาถูกสร้างสรรค์และเขียนแต่งขึ้นตามจินตนาการ ร่วมกับประสบการณ์ในการเดินป่าอย่างละเอียดลออ จนกระทั่งมีความยาวมากทั้งภาคแรกและภาคสมบูรณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ สามารถจินตนาการตามตัวอักษรและสร้างอารมณ์ร่วมในการติดตามเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องของตัวละครต่าง ๆ ได้[9]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "98425#6", "text": "แงซาย เป็นตัวละครในเพชรพระอุมาที่ไม่มีต้นแบบมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริง เกิดจากจินตนาการสร้างสรรค์ของพนมเทียนทั้งหมด ไม่มีต้นแบบจำลองมาจากลักษณะเฉพาะตัวของผู้ใด ที่สามารถจำลองเอามาใส่ในตัวของแงซายได้ โดยที่พนมเทียนนั้นเลือกเอาลักษณะต้นแบบของแงซาย มาจากภาพปั้นของเทพบุตรของกรีกที่ชื่อนาซิสซัส แล้วสร้างสรรค์เสริมแต่งให้แงซายมีชีวิตโลดแล่นในเพชรพระอุมา ที่ถือว่าเป็นพระเอกอีกคนหนึ่งของนวนิยายเรื่องนี้ มีสติปัญญาไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ เจ้าเล่ห์ ขี้เล่น อีกทั้งยังเป็นคู่อริและคู่ปรับ คู่รักคู่แค้นของรพินทร์ ไพรวัลย์", "title": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#28", "text": "ตลอดระยะเวลาที่เพชรพระอุมาได้รับการตีพิมพ์ฉบับรวมโดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ได้มีคำนิยมของ \"เพชรพระอุมา\" จากผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้ให้คำนิยมส่วนตัวแก่นวนิยายที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของนวนิยาย และเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของเมืองไทย ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนักอ่านหลาย ๆ รุ่น[14] ซึ่งได้รับความบันเทิง ความสนุกสนานจากการอ่านเพชรพระอุมา แม้เนื้อเรื่องจะมีความยาวเป็นอย่างมากก็ตาม", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "142694#1", "text": "ในเพชรพระอุมา พนมเทียนได้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการ ทักษะรวมทั้งศิลปะในการล่าสัตว์ของพรานจัน พรานบุญคำ รวมทั้งรพินทร์ ไพรวัลย์ ที่เต็มไปด้วยการหลอกล่อและชั้นเชิงระหว่างมนุษย์และสัตว์ วิธีการล่าสัตว์ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการล่าสัตว์ ที่ประกอบไปด้วยวิธีการปฏิบัติ ขนบประเพณีต่าง ๆ ในการเข้าป่า วิธีการล่าสัตว์ในนวนิยายเพชรพระอุมา มีดังนี้", "title": "การล่าสัตว์ในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "98425#0", "text": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา เป็นการรวบรวมตัวละครในเพชรพระอุมา ซึ่งเป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่พนมเทียนใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี มีตัวละครในการดำเนินเนื้อเรื่องในแต่ละภาคเป็นจำนวนมาก พนมเทียนได้กำหนดลักษณะนิสัยของตัวละครให้โลดแล่นมีชีวิตชีวา สร้างความสนุกสนานให้แก่นักอ่านจำนวนมาก ที่ต่างมีความผูกพันกับตัวละครต่าง ๆ ในเพชรพระอุมา", "title": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#13", "text": "ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 ดังกล่าวข้างต้น เมื่อนำมาเขียนเพชรพระอุมา พนมเทียนก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ อารมณ์และจินตนาการของตัวละครในนวนิยายได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งต้นแบบของโครงเรื่อง ก็มาจากประสบการณ์จริงบวกกับจินตนาการของพนมเทียนนั่นเอง", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "103366#5", "text": "ในเพชรพระอุมา พนมเทียนได้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการ ทักษะรวมทั้งศิลปะในการล่าสัตว์ของพรานพื้นเมือง ได้แก่พรานจัน พรานบุญคำ พรานเกิด พรานเส่ย รวมทั้งรพินทร์ ไพรวัลย์ ที่เต็มไปด้วยการหลอกล่อและชั้นเชิงระหว่างมนุษย์และสัตว์ วิธีการล่าสัตว์ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการล่าสัตว์ ที่ประกอบไปด้วยวิธีการปฏิบัติ ขนบประเพณีต่าง ๆ ในการเข้าป่า วิธีการล่าสัตว์ในนวนิยายเพชรพระอุมา", "title": "การเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอยในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "185150#0", "text": "สาวทรงเสน่ห์ () เป็นนวนิยายเชิงเรียลลิสติกเรื่องแรกๆ ของโลก ประพันธ์โดย เจน ออสเตน สุภาพสตรีชาวอังกฤษ ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1813 เป็นผลงานที่ตีพิมพ์เป็นเรื่องที่สองของเธอ แต่มีข้อมูลระบุว่างานเขียนชิ้นนี้เป็นงานประพันธ์ชิ้นแรกของเธอ โดยประพันธ์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1796-1797 ทว่าในยุคนั้นยังเป็นยุคของนิยายเชิงเพ้อฝัน (เรื่องของพระราชา ราชวงศ์ การสู้รบ และเกียรติยศของอัศวิน) ดังนั้นนวนิยายของเธอเรื่องนี้จึงถือว่าแหวกประเพณีการประพันธ์ในยุคเดียวกันอย่างมาก", "title": "สาวทรงเสน่ห์" }, { "docid": "98662#0", "text": "คำนิยมเพชรพระอุมา เป็นการแสดงความคิดเห็นของผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิหลายท่าน ที่มีต่อนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมาจากสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ซึ่งการแสดงความนิยมต่อเพชรพระอุมานี้ เป็นการการันตีถึงผลงานการประพันธ์ของพนมเทียนและความเป็นสุดยอดของวรรณกรรมชิ้นเอกของเมืองไทย ซึ่งผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิที่ได้ให้เกียรติมาให้คำนิยมต่อเพชรพระอุมา มาจากหลายอาชีพและหน้าที่การงาน เช่น ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย ฯพณฯ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายเสนาะ เทียนทอง ดร.พิจิตต รัตตกุล", "title": "คำนิยมเพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#3", "text": "พนมเทียนเริ่มต้นการเขียนเพชรพระอุมาในปี พ.ศ. 2507 โดยตกลงทำข้อสัญญากับสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา (ซึ่งปัจจุบันสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ได้ยุติกิจการไปแล้ว) ในการเขียนนวนิยายแนวผจญภัยในป่าจำนวนหนึ่งเรื่อง โดยมีข้อกำหนดความยาวของนวนิยายเพียงแค่ 8 เล่มจบเท่านั้น แต่กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทำให้ต้องเขียนเพชรพระอุมาเพิ่มเติมต่อจนครบ 10 เล่ม และขอยุติการเขียนตามข้อสัญญา[6] แต่ทางสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยายังไม่อนุญาตให้พนมเทียนยุติการเขียน และได้ขอร้องให้เขียนเพิ่มเติมต่ออีก 5 เล่ม พร้อมกับบอกกล่าวถึงความนิยมของนักอ่านที่มีต่อเพชรพระอุมา ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนต้องมีการตีพิมพ์ซ้ำหลาย ๆ ครั้งด้วยกันในระยะปลาย ๆ ของเล่มที่ 10[6] จนสถิติการตีพิมพ์และการจัดจำหน่ายของนวนิยายเรื่องนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และได้รับการตอบรับจากนักอ่านหลาย ๆ รุ่นเป็นอย่างดีในการช่วยขัดเกลาเนื้อเรื่องของเพชรพระอุมา และแจ้งเตือนแก่พนมเทียนถึงชื่อตัวละครหรือสถานที่ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาที่มีการผิดพลาด[7]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#52", "text": "\"เพชรพระอุมา ใช้เวลาเขียนทั้งหมด 25 ปี 7 เดือนกับ 2 วัน ภาคแรกเขียนจบลงในหนังสือจักรวาลรายสัปดาห์ แล้วมาเริ่มเขียนภาคสองตอนจอมพราน ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันจันทร์ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรก ที่ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์รายวันของนวนิยายเรื่องนี้\"[33] โดยที่คำถามว่า", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#32", "text": "แม้จะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า เพชรพระอุมา ลอกเค้าโครงเรื่องมาจาก King Solomon's Mine หรือ สมบัติพระศุลี เนื่องจากความคล้ายคลึงกันของตัวละคร วัตถุประสงค์ในการเดินป่า รวมถึงแผนที่ลายแทงของทั้งสองเรื่อง ที่มีเนื้อความใกล้เคียงกันมาก วิทยานิพนธ์ของ สุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา ได้รายงานการศึกษาเชิงเปรียบเทียบสำหรับวรรณกรรมทั้งสองเรื่องนี้ ในบทคัดย่อปรากฏความตอนหนึ่งว่า \"นวนิยายผจญภัยเรื่อง เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายที่มีลักษณะเป็นแบบฉบับของพนมเทียนเอง เนื่องจากการได้รับอิทธิพลนั้น เป็นการได้รับอิทธิพลแล้วนำอิทธิพลที่ได้รับนั้นมาสร้างสรรค์และขยายเรื่องราวการผจญภัยใน เพชรพระอุมา ให้สนุกสนานและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสบการณ์ในการเดินป่า และความรู้ในด้านต่างๆ ของตนเองเข้าไปได้อย่างเหมาะสม\" [18] ว.วินิจฉัยกุล ให้ความเห็นว่า \"...'เพชรพระอุมา' ภาค 1 เป็นงานที่สร้างยากกว่า King Solomon's Mines และมีลักษณะเฉพาะของตัวเองชัดมาก ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่า การที่สถาปนิกไทยใช้กระเบื้องมุงหลังคาและเสาปูนของฝรั่ง ตลอดจนหน้าต่างกระจกติดเครื่องปรับอากาศ มาสร้างบ้านไทย ก็หาได้ทำให้บ้านไทยนั้นกลายเป็นบ้านฝรั่งไปไม่ และยิ่งเมื่อใช้พื้นไม้สัก ฝาปะกน ฝาเฟี้ยมแบบไทย มีประตูที่มีธรณีประตูสูง มีหย่อง หรือแผ่นไม้สลักใต้หน้าต่าง มีคันทวยสลักค้ำชายคา นอกชานตั้งเขามอ และไม้ดัดตลอดจนอ่างปลาเงินปลาทอง มันก็กลายเป็นบ้านไทยประยุกต์ที่คนไทยคุ้นตากันนั่นเอง...\"[19]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#2", "text": "โดยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้นำเค้าโครงเรื่องมาจาก คิง โซโลมอน'ส มายน์ส (King Solomon's Mines) หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์เฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกา[5]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#29", "text": "คำนิยมของ \"เพชรพระอุมา\" ในแต่ละเล่มและแต่ละตอน จึงเป็นการรับรองถึงความเป็นนวนิยายที่มีความบันเทิง ตื่นเต้นเร้าใจและการผจญภัยตามแต่จินตนาการของพนมเทียน ที่นอกจากสามารถทำให้นักอ่านได้สนุกสนานไปกับเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามและลุ้นระทึกแล้ว ยังได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการเดินป่า การล่าสัตว์ รวมทั้งอาวุธปืนอีกด้วย[14]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#47", "text": "บทประพันธ์จากประสบการณ์ในการเดินป่าของผู้ประพันธ์มาเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่อง รวมทั้งความรู้ความสามารถในการเดินป่าและอาวุธปืนในการแกะรอยล่าสัตว์[30] ได้รับความสนใจจากนักศึกษาในการทำวิทยานิพนธ์คือ นางสาวสุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา และ นางสาวสริญญา คงวัฒน์ เพื่อนำเสนอถึงคุณค่าและสิ่งที่ได้รับจากนวนิยายเรื่องนี้เสนอต่อ มหาวิทยาลัยทักษิณ", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#31", "text": "ความสำเร็จดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการประพันธ์ของพนมเทียน ซึ่ง ว.วินิจฉัยกุล ได้เอ่ยถึงว่า \"...พนมเทียนเป็นผู้พิถีพิถันทั้งในด้านรูปทรง สีสัน แสงและเงา ตลอดจนความเคลื่อนไหวที่แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง มีแม้กระทั่งเสียง ด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำอย่างวิจิตรบรรจง มีกลิ่นอายของวรรณคดีอยู่ในภาษาที่ใช้ เหมือนกับการแกะสลักลายซ้อนลงไปทีละชั้นจนเป็นหลายชั้นลึกละเอียด ไม่ใช่เพียงแต่ร่างคร่าว ๆ พอให้เป็นรูปขึ้นมาเท่านั้น...\" [16] หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียง ตรัสถึงนวนิยายชุดนี้ว่า \"เพชรพระอุมาคือมหากาพย์แห่งวรรณกรรมที่ไม่มีหนังสือเรื่องไหนที่จะเทียบได้\" [17]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "99267#0", "text": "เนื้อเรื่องเพชรพระอุมา เป็นเนื้อเรื่องทั้งหมดของนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมาจำนวน 48 เล่ม แบ่งเนื้อเรื่องเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 6 ตอน 24 เล่ม และภาคสมบูรณ์ จำนวน 6 ตอน 24 เล่ม", "title": "เนื้อเรื่องเพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#30", "text": "เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายที่ได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดียิ่ง กระทั่งสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าไม่ยอมให้พนมเทียนยุติการเขียน ถึงขนาดที่ว่า \"...ในช่วงที่พนมเทียนกำลังเขียนเรื่องนี้ตีพิมพ์ขายเป็นเล่มพ็อกเก็ตบุ๊คติดต่อกันนั้น ถึงกับมีผู้อ่านมาเข้าคิวรอซื้อกันหน้าโรงพิมพ์เลยทีเดียว...\"[15]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#9", "text": "จากโครงเรื่องเดิมของคิง โซโลมอน'ส มายน์ส เพียงแค่ 4 บรรทัดเท่านั้น[10] แต่พนมเทียนสามารถนำมาเขียนเป็นเพชรพระอุมาโดยเล่าเรื่องราวการเดินป่า การดำรงชีวิตและการล่าสัตว์ รวมทั้งภูมิประเทศในป่าดงดิบด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ไปจนจรดชายแดนพม่าและน่าจะล่วงเลยไปถึงแถบเทือกเขาหิมาลัย (เพราะในตอนท้ายเรื่องมีฉากที่ต้องอยู่ในภูมิประเทศที่มีหิมะตก) ในปัจจุบัน โดยดึงประเด็นจุดสำคัญของชีวิตการเดินป่าของตนเองที่เคยผ่านมาก่อนผสมเข้าในไปโครงเรื่องของเพชรพระอุมาด้วย", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "98662#1", "text": "ในแต่ละตอนของเพชรพระอุมา ต่างมีคำนิยมที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประพันธ์ของพนมเทียน ความสนุนสนานของการดำเนินเรื่อง ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของการเดินป่า การใช้ภาษาในการตัดพ้อหรือพร่ำพรรณา ที่พนมเทียนสามารถท่ายถอดให้แก่ตัวละครทุกตัวในเพชรพระอุมา ให้มีชีวิตชีวาโลดแล่นจนเป็นที่รู้จักและผูกพันกับนักอ่านทุกรุ่นทุกสมัย ซึ่งคำนิยมเพชรพระอุมาจากผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้แก่", "title": "คำนิยมเพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#10", "text": "พนมเทียนนำเอาความรู้ความชำนาญในการเดินป่า การดำรงชีวิตและการล่าสัตว์จากประสบการณ์จริงของตนเอง มาเป็นพื้นฐานในการเขียนนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา โดยเค้าโครงเรื่องและส่วนประกอบต่าง ๆ ได้นำมาจากเรื่องเล่าขานและสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากนักท่องไพรรุ่นอาวุโส หรือเรื่องเล่ารอบกองไฟของพรานพื้นเมืองต่าง ๆ ยามพักผ่อนภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการล่าสัตว์และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "247198#136", "text": "บทบาทในนวนิยายของพระนางบูเช็กเทียนปรากฏร่วมกับ ตี๋ เหรินเจี๋ย (Judge Dee) ในหนังสือนวนิยายชื่อ \"ความหลอกลวง: นวนิยายแห่งความลึกลับและบ้าคลั่งของยุคจีนโบราณ (Deception: A Novel of Mystery and Madness in Ancient China)\" ประพันธ์โดย อเลนอร์ คูนี่ย์ (Eleanor Cooney) และ แดเนียล อัลเทอร์รี่ (Daniel Alteri) หนังสือนวนิยายชื่อ \"เด็กชายที่กำลังเดิน (The Walking Boy)\" ประพันธ์โดย ลินดา กวา (Lydia Kwa) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2005 โดยสำนักพิมพ์คีย์พอร์เตอร์บุ๊กส์ (Key Porter Books) ประเทศแคนาดา หนังสือประวัติศาสตร์ชื่อ \"คุณนายอู่ (Lady Wu)\" ประพันธ์โดย หลินอยู่ถัง (อังกฤษ: Lin Yutang; จีน: 林语堂; พินอิน: Lín Yǔtáng); โดยรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ วิจัยอย่างละเอียด รวมทั้งการเล่าเรื่องให้เห็นถึงด้านลบของหญิงผู้มาเป็นจักรพรรดินีของจีน หนังสือนวนิยายอิงชีวประวัติชื่อ \"ออร์เพรราทรีซสึ Impératrice (ภาษาฝรั่งเศส) ประพันธ์โดยซานซา (Shan Sa) (เกิดในเมืองปักกิ่ง) and based on Empress Wu's life. แปลเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อ \"เอ็มเพรส หรือ สมเด็จพระจักรพรรดินี (Empress)\" ; ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อ \"โจเทอิ วากา นะ วะ โซคุเทน บูโก (Jotei: Waga na wa Sokuten Bukō (女帝: わが名は則天武后, แปลว่า \"จักรพรรดิหญืง: ฉันชื่อบูเช็กเทียน\"))\"; และในภาษาเยอรมัน ชื่อ \"ไคเซอร์ริน (Kaiserin)\"' นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ชื่อ \"เอ็มเพรส หรือ สมเด็จพระจักรพรรดินี (Empress)\" ประพันธ์โดยเอเวอร๋ลีน แม็คคูน (Evelyn McCune) เป็นเรื่องราวของอู่เจ้าตั้งแต่ในวัยรุ่นตอนต้น โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังทั้งสองพระองค์ รวมถึงในขณะที่พระนางทรงขึ้นครองราชย์ปกครองบ้านเมืองด้วยพระองค์เองในฐานะจักรพรรดินีด้วย ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1994 โดยสำนักพิมพ์บัลลาทีนบุ๊กส์ (Ballantine Books) หนังสือนวนิยายอิงชีวประวัติชื่อ \"พระสนมอู่เจ้า (Cairen Wu Zhao)\" ประพันธ์โดยนักประพันธ์นวนิยายจีนชื่อ ซูถง ซึ่งบรรยายชีวิตและประสบการณ์ด้านอารมณ์ของพระนางบูเช็กเทียน หนังสือชื่อ \"อาณาจักรของสตรี (Isle of Woman)\" ประพันธ์โดยปิแอร์ แอนโทนี่ (Piers Anthony) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1993 โดยสำนักพิมพ์ทอร์แฟนตาซี (Tor Fantasy) ประกอบด้วยเรื่องราวในช่วงระยะเวลาของการขึ้นสู่อำนาจของพระนางบูเช็กเทียน หนังสือนวนิยโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์ของสมเด็จพระจักพรรดินีชื่อ \"มังกรเขียวและเสือขาว (Green Dragon, White Tiger)\" ประพันธ์โดยนักเขียนชาวไอริชชื่อ แอนเน็ตต์ มอตลี่ (Annette Motley) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1988 โดยสำนักพิมพ์ออนนิกซ์ (Onyx) นวนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ชื่อ \" (Nüdi Qiying Zhuan; 女帝奇英傳)\" ประพันธ์โดย เนี่ย อู้เซ็ง หนังสือนวนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ชื่อ \"พระอาทิตย์และพระจันทร์บนท้องฟ้า หรือ รื่อเยว่ตางคง (อังกฤษ: Ri Yue Dang Kon</i>g หรือ The sun and the moon in the sky; จีน: 日月當空)\" ประพันธ์โดย หวงอื้", "title": "บูเช็กเทียน" }, { "docid": "28360#48", "text": "นางสาวสุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง \"นวนิยายแนวผจญภัย:จาก คิง โซโลมอน'ส มายน์ส ล่องไพร จนถึง เพชรพระอุมา (ภาคแรก)\" ในปี พ.ศ. 2541 นางสาวสริญญา คงวัฒน์ ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง \"วิเคราะห์ภาพสะท้อนเชิงพรานในนวนิยายเพชรพระอุมา ของพนมเทียน\"[31]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "100992#0", "text": "อาวุธปืนในเพชรพระอุมา เป็นการรวบรวมรายละเอียดของปืนที่ใช้ในเรื่องเพชรพระอุมา จากความรู้และทักษะความสามารถทางด้านอาวุธปืนของพนมเทียน ในการนำเอาอาวุธปืนประเภทต่าง ๆ และกระสุนที่ใช้จากประสบการณ์จริง มาผูกเสริมเติมแต่งให้แก่ตัวละครในเพชรพระอุมา รวมทั้งกำหนดลักษณะและผลของการใช้ของปืนแต่ละประเภท ซึ่งปืนที่ใช้ในเพชรพระอุมานั้น มีจำนวนมากมายหลากหลายขนาด รวมทั้งยี่ห้อและรุ่น เช่นปืนไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 โมเดล 70 ปืนลูกซอง ปืนสั้นกึ่งออโตแมติกหรือแม้แต่ปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ในการสงคราม รวมทั้งรายละเอียดและความรู้ทางด้านปืนของแต่ละกระบอก เช่น วิถีกระสุนในการปะทะเป้าหมาย แรงปะทะของปืน ฯลฯ อาวุธปืนที่ใช้ในเพชรพระอุมา มีดังนี้", "title": "อาวุธปืนในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "28404#5", "text": "เจาะลึกเบื้องหลังเพชรพระอุมา ก่อนเทียนจะถึงไฟ อินไซด์ เพชรพระอุมา ภาค 1 อินไซด์ เพชรพระอุมา ภาค 2 เพียงพิมพ์ดีดพูดได้ ลึกจากลิ้นชัก Issues of Gun สารพัดเรื่องของ ปืน", "title": "ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ" }, { "docid": "28360#7", "text": "โครงเรื่องของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้เค้าโครงเรื่องมาจากแนวความคิดของเรื่องคิง โซโลมอน'ส มายน์ส ของ เซอร์ฯ แฮกการ์ด ซึ่งเป็นเค้าโครงของการผจญภัยเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง[10] โดยก่อนหน้าที่พนมเทียนจะเขียนเพชรพระอุมาก็ได้มีการวางโครงเรื่องคร่าว ๆ ไว้เช่นเดียวกับงานเขียนอื่น ๆ ซึ่งโครงเรื่องคร่าว ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนวางเอาไว้เพียงเล็กน้อยโดยกำหนดให้เป็นเรื่องราวการผจญภัยในป่าของนายพรานผู้นำทางคนหนึ่งเท่านั้น[10]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#6", "text": "พนมเทียนนั้นมีวิธีการเขียนเนื้อเรื่องเพชรพระอุมาในรูปแบบการเขียนของตนเอง ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยพยายามเขียนบรรยายถึงลักษณะท่าทาง ตลอดจนอากัปกิริยาต่าง ๆ ของตัวละครทุกตัวที่ปรากฏในเพชรพระอุมา โดยไม่ยอมให้เป็นการเขียนที่เรียกได้ว่าเขียนแบบผ่านเลยไป ทำให้ผู้อ่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดไม่ได้อรรถรสและความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง[9] แต่พนมเทียนจะเขียนโดยแจกแจงอากัปกิริยาทุกขณะและทุกฝีก้าวของตัวละคร เพื่อให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นการกระทำต่างหรือการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่นกระทิงหรือเสือโคร่งถูกรพินทร์ ไพรวัลย์ยิงล้มลง ก็จะเขียนบรรยายเริ่มตั้งแต่รพินทร์และคณะเดินทางพบเจอกับสัตว์ เกิดการต่อสู้หรือติดตามแกะรอยจนถึงประทับปืนและเหนี่ยวไกยิง จนกระทั่งสัตว์นั้นล้มลงเสียชีวิต หรือแม้แต่การพูดจาเล่นลิ้นยั่วยวนกวนประสาทของแงซายและรพินทร์ ไพรวัลย์ จนถึงการพร่ำพรรณนาคำรักหวานซึ้งระหว่างไชยยันต์ อนันตรัยและมาเรีย ฮอฟมัน พนมเทียนก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนสามารถทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าในขณะนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จนทำให้เพชรพระอุมากลายเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก[9]", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "282924#1", "text": "คำว่า “นวนิยายอิงอัตชีวประวัติ” เป็นคำที่ยากต่อการให้คำนิยาม นวนิยายที่เป็นเรื่องของสถานที่และ/หรือเหตุการณ์ที่ผู้ประพันธ์มีความคุ้นเคยไม่จำเป็นที่อยู่ในข่ายของนวนิยายประเภทนี้ หรือนวนิยายที่มีเนื้อหาบางส่วนที่ดึงมาจากชีวิตของผู้ประพันธ์ที่เป็นโครงเรื่องย่อย การจะถือว่าเป็นนวนิยายอิงอัตชีวประวัติได้นวนิยายต้องประกอบด้วยตัวเอกของเรื่อง (protagonist) ที่ถอดมาจากผู้ประพันธ์และโครงเรื่องที่สะท้อนรายละเอียดของชีวิตของผู้ประพันธ์ “นวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติ” (semi-autobiographical novel)", "title": "นวนิยายอิงอัตชีวประวัติ" }, { "docid": "28360#14", "text": "เพชรพระอุมาเป็นนวนิยายที่มีความยาวทั้งสิ้น 48 เล่ม 12 ตอน แบ่งออกเป็นสองภาคคือภาคแรกและภาคสมบูรณ์ ภาคละ 24 เล่ม จำนวน 6 ตอน ซึ่งภาคแรกของเพชรพระอุมาได้แก่ ไพรมหากาฬ, ดงมรณะ, จอมผีดิบมันตรัย, อาถรรพณ์นิทรานคร, ป่าโลกล้านปีและแงซายจอมจักรา สำหรับภาคสมบูรณ์ได้แก่ จอมพราน, ไอ้งาดำ, จิตรางคนางค์, นาคเทวี, แต่ปางบรรพ์และมงกุฎไพร ซึ่งเค้าโครงเรื่องในภาคแรกและภาคสมบูรณ์ของเพชรพระอุมามีดังนี้", "title": "เพชรพระอุมา" } ]
2174
มาเลเซียมีเมืองหลวงชื่ออะไร ?
[ { "docid": "1924#0", "text": "มาเลเซีย (มาเลเซีย: ) เป็นประเทศสหพันธรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐ และดินแดนสหพันธ์ 3 ดินแดน และมีเนื้อที่รวม 330,803 ตารางกิโลเมตร (127,720 ตารางไมล์) โดยมีทะเลจีนใต้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน ได้แก่ มาเลเซียตะวันตกและมาเลเซียตะวันออก มาเลเซียตะวันตกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับไทย และมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับสิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับบรูไนและอินโดนีเซีย และมีพรมแดนทางทะเลกับร่วมฟิลิปปินส์และเวียดนาม เมืองหลวงของประเทศคือกัวลาลัมเปอร์ ในขณะที่ปูตราจายาเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลาง ด้วยประชากรจำนวนกว่า 30 ล้านคน มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 42 ของโลก ตันจุงปีไอ (Tanjung Piai) จุดใต้สุดของแผ่นดินใหญ่ทวีปยูเรเชียอยู่ในมาเลเซีย มาเลเซียเป็นประเทศในเขตร้อน และเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) โดยมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นเป็นจำนวนมาก", "title": "ประเทศมาเลเซีย" }, { "docid": "1924#17", "text": "ดินแดนสหพันธ์เป็นดินแดนที่รัฐบาลกลางปกครองโดยตรง ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวง), ปูตราจายา (เมืองราชการ) และลาบวน (ศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศนอกชายฝั่ง) โดยทั้งกัวลาลัมเปอร์และปูตราจายาอยู่ในพื้นที่รัฐเซอลาโงร์ ส่วนลาบวนอยู่ใกล้รัฐซาบะฮ์", "title": "ประเทศมาเลเซีย" }, { "docid": "19452#0", "text": "กัวลาลัมเปอร์ (, อักษรยาวี: , ออกเสียงตามภาษามลายูว่า กัวลาลุมปูร์) เป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซียและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศด้วย ภายในมาเลเซียเอง กัวลาลัมเปอร์มักจะเรียกย่อ ๆ ว่า KL", "title": "กัวลาลัมเปอร์" }, { "docid": "42418#2", "text": "ปูตราจายาเป็นความตั้งใจของผู้นำมาเลเซียที่ต้องการจะเนรมิตเมืองใหม่ขึ้นมา เมื่อปี 2538 โดยกำหนดแผนการพัฒนา 3 ระยะ คือ ระยะ 1A แล้วเสร็จในปี 2542 ระยะ 1B แล้วเสร็จในปี 2544 และระยะ 2 แล้วเสร็จในปี 2553 เพื่อเป็นศูนย์การบริหารและปกครอง แยกออกจากกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวง เพื่อต้องการควบคุมปัญหาการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและต้องการแก้ไขปัญหาการจราจรใน เมืองหลวงด้วย นอกจากนี้ จะเป็นความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของคนมาเลเซีย", "title": "ปูตราจายา" } ]
[ { "docid": "10998#0", "text": "ยะโฮร์ (, อักษรยาวี: ) เป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 1°20\" เหนือ และ 2°35\" เหนือ เมืองหลวงของรัฐตั้งอยู่ที่เมืองโจโฮร์บะฮ์รู (Johor Bahru) ซึ่งเมื่อก่อนนี้ชื่อเมืองตันจุงปูเตอรี (Tanjung Puteri) เมืองหลวงเก่าคือเมืองยะโฮร์ลามา (Johor Lama) คำเฉลิมเมืองที่เป็นภาษาอาหรับคือ ดารุลตาอาซิม (Darul Ta'azim) ซึ่งแปลว่า ที่สถิตแห่งเกียรติยศ", "title": "รัฐยะโฮร์" }, { "docid": "343278#0", "text": "เนอเกอรีเซิมบีลัน (, อักษรยาวี: ) เป็น 1 ใน 13 รัฐที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธ์มาเลเซีย ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของมาเลเซียตะวันตก มีพื้นที่ประมาณ 6,650 ตารางกิโลเมตร คำว่า \"เนอเกอรีเซิมบีลัน\" แปลว่า 9 รัฐ สืบเนื่องจากในสมัยก่อนแบ่งการปกครองเป็น 9 อำเภอ มีเมืองหลวงชื่อ เซอเริมบัน เป็นเมืองท่าที่มีชายฝั่งทะเลสวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อน", "title": "รัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน" }, { "docid": "957502#0", "text": "มาราวี (มาราเนา: \"Inged san Marawi\"; อาหรับ: مدينة مراوي‎; ) เป็นเมืองศูนย์กลางของจังหวัดตีโมกลาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ในปี ค.ศ. 2015 มีประชากรทั้งหมด 201,785 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวมาราเนา และพูดภาษามาราเนา โดยชื่อนี้มีที่มาจากทะเลสาบลาเนาที่มีชื่อภาษาท้องถิ่นว่า \"เมราเนา\" เมืองนี้ได้รับสมญาว่า \"เมืองฤดูร้อนแห่งภาคใต้\" เนื่องจากตั้งอยู่บนพื้นที่สูงและมีอากาศเย็น ซึ่งคล้ายกับสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองมาไลบาไล", "title": "มาราวี" }, { "docid": "1924#4", "text": "ประเทศมาเลเซียปัจจุบันไม่ค่อยมีหลักฐานแสดงความยิ่งใหญ่ในอดีตเหมือนประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างที่ กัมพูชามีเมืองพระนคร อินโดนีเซียมีโบโรบูดูร์ หลักฐานทางโบราณคดีเก่าแก่ที่สุดที่พบได้แก่ กะโหลกศีรษะมนุษย์ ยุคโฮโมเซเปียน ในถ้ำนียะห์ รัฐซาราวัก โรงเครื่องมือหินที่พบในโกตาตัมปัน รัฐเปรัก หลักฐานดังกล่าวบ่งชี้ว่ามนุษย์ในยุคแรกเริ่มของบริเวณนี้เป็นนักล่าสัตว์ และผู้เพาะปลูกเร่ร่อนของ ยุคหินกลาง อาศัยอยู่ตามเพิงหินและถ้ำในภูเขาหินปูนของคาบสมุทร ใช้เครื่องมือหินตัดบดและล่าสัตว์ป่า ราว 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีกลุ่มคนยุคหินใหม่อพยพมาจากจีนตอนใต้เข้ามาสู่บริเวณนี้ และด้วยความที่มีเครื่องมือทันสมัยกว่า รู้จักวิธีเพาะปลูก ในที่สุดจึงขับไล่พวกที่มาอยู่ก่อนเข้าไปในภูเขาและป่าชั้นในของแหลมมลายู หลังจากนั้นราว 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็มีกลุ่มคนยุคเหล็กและยุคสำริด ใช้โลหะเป็นอาวุธ รู้จักค้าขาย ก็มาขับไล่พวกเดิมให้อยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก พวกที่มาใหม่นี้ต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของชาวมาเลเซียในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของมาเลเซียในยุคโบราณมีไม่มากนัก นักประวัติศาสตร์จึงมักถือเอาช่วงเวลาที่ มะละกา ปรากฏตัวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญทางชายฝั่งคาบสมุทรมลายูเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มาเลเซีย", "title": "ประเทศมาเลเซีย" }, { "docid": "718776#0", "text": "อาหารในเมืองอีโปะฮ์เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงในมาเลเซีย เมืองอีโปะฮ์เป็นเมืองหลวงของรัฐเประก์และมีอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ วัฒนธรรมอาหารของเมืองนี้ส่วนใหญ่เป็นอาหารของชาวจีนที่มีเชื้อสายกวางตุ้งและฮากกา มีอาหารมลายูและอินเดียที่มีชื่อเสียงในอีโปะฮ์ เช่น นาซิกันดาร์ กาแฟขาวอีโปะฮ์เป็นเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียง", "title": "อาหารอีโปะฮ์" }, { "docid": "77183#14", "text": "ซึ่งชาวไทยในมาเลเซียนั้นมีความเคารพศรัทธาและความผูกพันกับพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราชมาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว ซึ่งในอดีตอันยาวนานนับตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 เมืองนครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงก์ เป็นแคว้นใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นเป็นเมืองศูนย์กลางในแหลมมลายูมีเมืองบริวารถึง 12 เมืองเรียกว่าเมือง 12 นักษัตร และไทรบุรีหรือเกอดะฮ์แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งใน 12 เมืองบริวาร โดยถือตรงมะโรงหรืองูใหญ่เป็นตราสัญลักษณ์ ประกอบกับทั้งเมืองนครศรีธรรมราชที่ตั้งอยู่ริมฝั่งอ่าวไทย ในขณะที่รัฐไทรบุรีเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรอินเดีย จึงเป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญต่อกัน ผู้คนพลเมืองเดินทางไปมาหาสู่กันเหมือนบ้านพี่เมืองน้องจนมีคำกล่าวที่ติดปากกันสืบมาว่า \"กินเมืองคอน นอนเมืองไทร\" อันเป็นคำกล่าวที่แสดงถึงความผูกพันระหว่างสองเมืองได้เป็นอย่างดียิ่ง และความผูกพันเช่นนี้ก็ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศของความเคารพความศรัทธาของชาวไทยในมาเลเซียที่มีต่อพระบรมธาตุ คนไทยในไทรบุรีมีคติความเชื่อสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณว่า หากใครได้มีโอกาสเดินทางมานมัสการพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราชแล้ว ก็จะได้บุญกุศลมากมายยิ่ง เพราะได้มาถึงศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่ยาวไกลและสมบุกสมบันทุรกันดารยิ่งนัก คนที่เดินทางมาถึงได้ต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในจิตใจ ใครได้มาถึงแล้วกลับไปก็จะกลายเป็นคนที่เป็นยอดคนเลยทีเดียว ยิ่งได้มาบวชหรือพาลูกพาหลานมาบวชด้วยแล้ว ก็จะยิ่งได้กุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก แม้ปัจจุบันการเดินทางจะสะดวกสบาย ด้วยการเดินทางทางรถยนต์ราว 3-4 ชั่วโมง แต่ศรัทธาของพวกเขาก็ยังคงอยู่และสืบทอดมายังคนรุ่นหลัง", "title": "มาเลเซียเชื้อสายไทย" } ]
1349
โครงเรื่องของซินเดอเรลล่าน่าจะมีกำเนิดมาแต่ยุคใด?
[ { "docid": "92846#2", "text": "โครงเรื่องของซินเดอเรลล่าน่าจะมีกำเนิดมาแต่ยุคสมัยคลาสสิก นักประวัติศาสตร์กรีกชื่อ สตราโบ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ \"จีโอกราฟิกา\" เล่ม 17 ตั้งแต่ราวหนึ่งร้อยปีก่อนคริสตกาล ถึงเรื่องราวของเด็กสาวลูกครึ่งกรีก-อียิปต์ผู้หนึ่งชื่อ โรโดพิส (Rhodopis) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเนื้อเรื่องที่เก่าแก่ที่สุดของซินเดอเรลล่า โรโดพิส (ชื่อมีความหมายว่า \"แก้มกุหลาบ\") ต้องอยู่ซักเสื้อผ้ามากมายขณะที่เหล่าเพื่อนหญิงรับใช้พากันไปเที่ยวงานเต้นรำเลือกคู่ของเจ้าชายซึ่งฟาโรห์อามาซิสทรงจัดขึ้น นกอินทรีย์นำรองเท้าของเธอที่ประดับกุหลาบไปทิ้งไว้ที่เบื้องบาทของฟาโรห์ในนครเมมฟิส พระองค์ตรัสให้สตรีในราชอาณาจักรทดลองสวมรองเท้านี้ทุกคนเพื่อหาผู้สวมได้พอเหมาะ โรโดพิสสวมได้พอดี ฟาโรห์ตกหลุมรักเธอและได้อภิเษกสมรสกับเธอ ต่อมาเนื้อเรื่องนี้ปรากฏอีกครั้งในงานเขียนของเคลาดิอุส ไอเลียนุส (Claudius Aelianus) แสดงให้เห็นว่าโครงเรื่องซินเดอเรลล่าเป็นที่นิยมมาตลอดยุคคลาสสิก บางทีจุดกำเนิดของตัวละครอาจสืบย้อนไปได้ถึงช่วง 600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งมีสตรีในราชสำนักเธรซคนหนึ่งใช้ชื่อเดียวกันนี้ และเป็นผู้รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีกับ อีสป นักเล่านิทานยุคโบราณ", "title": "ซินเดอเรลล่า" } ]
[ { "docid": "92846#17", "text": "แม้โครงเรื่องเทพนิยายของซินเดอเรลล่าจะปรากฏในวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกมาแต่เดิมในชื่อต่าง ๆ กัน แต่ฉบับที่โด่งดังที่สุดคือฉบับของ ชาร์ลส์ แปร์โรลต์ ซึ่งเป็นผู้ตั้งชื่อ ซินเดอเรลล่า ขึ้นด้วย ซินเดอเรลล่าได้ตีพิมพ์พร้อมกับเทพนิยายเรื่องอื่น ๆ ของแปร์โรลด์ในปี ค.ศ. 1697 หลังจากนั้นก็ได้แพร่หลายและมีการแปลไปเป็นภาษาอื่น ๆ มาก โดยเฉพาะเรื่อง ซินเดอเรลล่า ถือเป็นเทพนิยายที่มีการนำไปทำซ้ำมากที่สุด นักแปลผู้มีชื่อเสียงผู้หนึ่งคือ แองเจล่า คาร์เตอร์ ผู้ได้รับสมญาว่า \"เจ้าแม่แห่งเทพนิยาย\" ได้แปลผลงานของแปร์โรลด์ไว้มากมายหลายเรื่อง ซินเดอเรลล่านับเป็นผู้บุกเบิก เรื่องราวของสตรีในเทพนิยาย และพลิกแนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของสตรีในวรรณกรรม รวมถึง \"คุณค่า\" ของสตรีซึ่งต้องมีกำเนิดมาจาก \"ความดีงาม\" ของเธอ แม้ว่าในตอนท้าย ความสุขสบายในชีวิตของสตรียังคงต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายชายอยู่ดี (คือการได้แต่งงานกับเจ้าชาย)", "title": "ซินเดอเรลล่า" }, { "docid": "92846#3", "text": "โครงเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องหนึ่งคือ เย่เซี่ยน (Ye Xian) ซึ่งปรากฏใน\"เรื่องเล่าเบ็ดเตล็ดจากโหย่วหยาง\" (Miscellaneous Morsels from Youyang) งานเขียนของ ต้วนเฉิงจื่อ บัณฑิตจีนยุคราชวงศ์ถัง ในราว ค.ศ. 860 ในเรื่องนี้ หญิงสาวผู้น่ารักและกรำงานหนักได้เป็นเพื่อนกับปลา ซึ่งต่อมาถูกแม่เลี้ยงของนางฆ่า เย่เซี่ยนเก็บกระดูกปลาไว้ และเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นเมื่อมันช่วยสร้างชุดที่สวยงามให้นางสวมไปงานเทศกาล ต่อมานางทำรองเท้าหลุดขณะรีบเร่งกลับ พระราชาจึงได้พบนางและตกหลุมรักนาง", "title": "ซินเดอเรลล่า" }, { "docid": "92846#18", "text": "ซินเดอเรลล่าในวัฒนธรรมยุคใหม่โด่งดังที่สุดด้วยฝีมือการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์การ์ตูนของ วอลท์ ดิสนีย์ ในปี ค.ศ. 1950 และได้รับยกย่องว่าเป็นฉบับดัดแปลงจากฉบับของแปร์โรลต์ที่ดีที่สุด ทำให้ภาพของนางฟ้าแม่ทูนหัว รถฟักทอง หนู และรองเท้าแก้ว กลายเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักในหมู่เด็ก ๆ ทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2004 ซินเดอเรลล่า ได้รับการโหวตจากเด็ก ๆ กว่า 1,200 คนจากการสำรวจโดย cinema chain UCI เป็นเทพนิยายยอดนิยมอันดับหนึ่งในดวงใจ ผลสำรวจจาก google trend เมื่อปี ค.ศ. 2008 ก็พบว่า \"ซินเดอเรลล่า\" เป็นเทพนิยายที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงมากที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต", "title": "ซินเดอเรลล่า" }, { "docid": "198143#0", "text": "ซินเดอเรลล่า () เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่สร้างโดยทีมงาน วอลท์ ดิสนีย์ ในปี พ.ศ. 2493 พื้นเรื่องมาจากเทพนิยายเรื่อง \"ซินเดอเรลลา\" ของชาร์ลส แปร์โรลต์\nเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 12 ในซี่รี่ย์การ์ตูนคลาสสิกของวอลต์ ดิสนีย์ การ์ตูนเรื่องนี้ได้ถูกจำกัดการปล่อยในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2493 โดย RKO Radio Pictures \nมีผู้กำกับคือ ไคลด์ เจอโรมินิ,แฮมิลตัน ลัสก์ และ วิลเฟรด แจ็คสัน บทเพลงโดย แม็ค เดวิด,เจอร์รี่ ลิฟวิงสตัน และ อัล ฮอฟแมน\nการ์ตูนเรื่องนี้ได้รับรางวัลอะคาเดมี 3 รางวัล คือ Best Sound, Original Music Score และ Best Song", "title": "ซินเดอเรลล่า (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2493)" }, { "docid": "92846#9", "text": "ซินเดอเรลล่า ของ ชาร์ลส แปร์โรลต์ ในปี ค.ศ. 1697 นับเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด เนื่องมาจากการเพิ่มเติมรายละเอียดปลีกย่อยมากมายในเทพนิยาย เช่น ผลฟักทอง นางฟ้าแม่ทูนหัว และรองเท้าแก้ว เชื่อว่าเขาเปลี่ยนคำจากตำนานเดิมว่า \"vair\" (ขนสัตว์) เป็น \"verre\" (แก้ว) ซึ่งทำให้พี่บุญธรรมของซินเดอเรลล่าไม่อาจสวมรองเท้าแก้วให้พอดีได้", "title": "ซินเดอเรลล่า" }, { "docid": "92846#0", "text": "ซินเดอเรลล่า (; ) เป็นเทพนิยายปรัมปราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทั้งโลก มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ มากมายกว่าพันครั้ง เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าเมืองหรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ตำนานซินเดอเรลล่ามีปรากฏในเทพนิยายหรือนิทานพื้นบ้านประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งโลกโดยมีชื่อของตัวเอกแตกต่างกันออกไป ทว่าฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ล แปโร ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งอิงมาจากวรรณกรรมของ จิอัมบัตติสตา เบซิล เรื่อง \"La Gatta Cenerentola\" ในปี ค.ศ. 1634 ในเรื่องนี้ตัวเอกมีชื่อว่า เอลลา (Ella) แต่แม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายของเธอพากันเรียกเธอว่า ซินเดอเรลล่า (Cinderella) อันหมายถึง \"เอลลาผู้มอมแมม\" ซึ่งกลายเป็นชื่อเรียกเทพนิยายในโครงเรื่องนี้โดยทั่วไป", "title": "ซินเดอเรลล่า" }, { "docid": "701002#0", "text": "ซินเดอเรลล่า () เป็นภาพยนตร์แนวจินตนิมิตโรแมนติกของสหรัฐ กำกับโดย เคนเนธ บรานาห์ เขียนบทโดย คริส ไวท์ซ ภาพยนตร์ผลิดโดย วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ภาพยนตร์ได้เค้าโครงจากนิทานพื้นบ้าน และ ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นชื่อเดียวกันในปี 1950 ภาพยนตร์นำแสดงโดย ลิลี เจมส์, เคต แบลนเชตต์, ริชาร์ด แมดเดน, สเตล สกาส์กอร์ด, ฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์, ดีเร็ค จาโคบี, เบน แชปลิน, โซฟี แมคเชรา, เฮย์ลีย์ แอทเวลล์, เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์", "title": "ซินเดอเรลล่า (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2558)" }, { "docid": "701002#6", "text": "เสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปตามบ้านต่าง ๆ เพื่อให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรได้ลอง จนมาถึงบ้านแม่เลี้ยง เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก พร้อมทำลายรองเท้าแก้วจนแตกละเอียด ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงปริศนาของเจ้าชายพบ แต่สุดท้าย ซินเดอเรลล่าก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างที่เก็บไว้ขึ้นมาและสวมให้กับเหล่าเสนาได้ดู ทำให้ซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับเจ้าชาย และมีความสุขตราบนานเท่านาน", "title": "ซินเดอเรลล่า (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2558)" }, { "docid": "92846#8", "text": "นิทานซินเดอเรลล่าของยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดคือเรื่อง La Gatta Cenerentola หรือ \"The Hearth Cat\" ปรากฏในหนังสือเรื่อง \"อิล เพนตาเมอโรน\" (\"Il Pentamerone\") ของนักสะสมเทพนิยายชาวอิตาลี จิอัมบัตติสตา เบซิล (Giambattista Basile) ในปี ค.ศ. 1634 ซินเดอเรลล่าชุดนี้เป็นโครงเรื่องพื้นฐานของซินเดอเรลล่าในยุคต่อ ๆ มาของ ชาร์ลส แปร์โรลต์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส รวมถึงพี่น้องตระกูลกริมม์ ชาวเยอรมัน", "title": "ซินเดอเรลล่า" } ]
779
นายธนิต อยู่โพธิ์เป็นอธิบดีกรมศิลปากร ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ?
[ { "docid": "448825#0", "text": "นายธนิต อยู่โพธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2450 ที่ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาภายหลังได้เข้ารับราชการในกรมศิลปากร จนกระทั่งเป็นอธิบดีกรมศิลปากร ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้รับยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นแห่งชาติ สาขาพัฒนาการสังคม (ด้านศิลปวัฒนธรรม) เมื่อ พ.ศ. 2535[1] เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2547[2]", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" } ]
[ { "docid": "12339#19", "text": "เมื่อพระมหาบุญเลิศ ทตฺตสุทฺธิ ได้ไปติดต่อกับนายธนิต อยู่โพธิ์ หัวหน้าแผนกวรรณคดี ได้ให้ความอนุเคราะห์ด้วยดี และได้ขอความร่วมมือจากนายยิ้ม ปัณฑยางกูร หัวหน้ากองจดหมายเหตุ กรมศิลปากร ช่วยอำนวยความสะดวกอีกต่อหนึ่ง และได้พบเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เอกสารที่พบนี้ คือ ลายพระหัตถ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีไปถึงหม่อมเจ้าประภากร ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ร.ศ. ๑๑๕ ดังจะขออัญเชิญ สำเนาลายพระราชหัตถ์ มาแสดงดังต่อไปนี้", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "448825#17", "text": "นายธนิต อยู่โพธิ์ เกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2511 รวมอยู่ในชีวิตราชการทั้งสิ้น 34 ปี 5 เดือน", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "448825#8", "text": "1. เมื่อดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร และเป็นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยศิลปากรได้ฟื้นฟูปรับปรุงทั้งสถานที่และอาจารย์กับทั้งหลักสูตรให้ได้มาตรฐานตามระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยอื่นๆ กล่าวคือ ปรับปรุงสถานที่เรียนจากโรงไม้เป็นอาคารก่อตึก ปรับปรุงอาจารย์ซึ่งก่อนหน้านั้นมีฐานะเป็นลูกจ้างต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำโดยเสนอพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากรฉบับใหม่ให้ยกฐานะเป็นข้าราชการสืบมาจนบัดนี้ ส่วนหลักสูตรมหาวิทยาลัยศิลปากรก็ปรับปรุงมาโดยลำดับ", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "609995#5", "text": "นางรัจนา พวงประยงค์ ทำงานในหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็ง และเอาใจใส่ในการทำงาน ทั้งด้านการสอนและการแสดง แต่นางรัจนา พวงประยงค์ ก็ไม่ได้รับความดีความชอบเหมือนคนอื่น ๆ จึงเกิดความท้อใจ จึงได้ลาออกไปประกอบอาชีพส่วนตัว โดยการสอนนาฏศิลป์ตามโรงเรียนต่าง ๆ และจัดรายการแสดงรวมทั้งเพลงไทยร่วมกับมิตรสหายทางสถานีวิทยุกระจายเสียงหลายแห่ง แต่ในที่สุดนางรัจนา พวงประยงค์ ก็เกิดความเบื่อหน่ายในกิจการที่ทำ จึงเลิกราไป ครั้งสุดท้ายนางรัจนา พวงประยงค์ ได้เป็นครูสอนนาฏศิลป์ ที่สวนสามพราน นางรัจนา พวงประยงค์ได้ทำงานอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลานานหลายปี ก่อนที่จะกลับไปรับราชการอีกครั้งหนึ่ง\nการที่นางรัจนา พวงประยงค์ ได้เข้ารับราชการที่กรมศิลปากรอีกครั้งหนึ่งนั้น ก็เพราะว่า พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปเชิญนางรัจนา พวงประยงค์ ไปพบที่กรมศิลปากร พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ ได้ชักชวนให้นางรัจนา พวงประยงค์ กลับเข้ารับราชการที่กรมศิลปากรตามเดิม นางรัจนา พวงประยงค์ ตกลงใจเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง โดยได้รับการบรรจุเข้าเป็นอาจารย์พิเศษเป็นการชั่วคราวในวิทยาลัยนาฏศิลป จนกระทั่งงานนาฏศิลป์ กองการสังคีต มีตำแหน่งว่าง นางรัจนา พวงประยงค์ จึงไปสมัครสอบและได้รับการบรรจุให้เป็นนาฏศิลปิน ระดับ 2 ครั้งนั้น นางรัจนา พวงประยงค์ ได้มีโอกาสแสดงโขนแสดงละครของกรมศิลปากรอย่างเต็มที่ จากการสนับสนุนของ นายเสรี หวังในธรรม ผู้อำนวยการกองการสังคีต และนายทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ อธิบดีกรมศิลปากร ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมศิลปากร โดยมีท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยของกรมศิลปากร เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนท่ารำอย่างเอาใจใส่ นางรัจนา พวงประยงค์ จึงเป็นผู้แสดงโขนละครรุ่นอาวุโสอีกคนหนึ่ง ที่มีฝีมือถึงขั้นเป็นผู้ช่วยกำกับการแสดงและการฝึกซ้อมการแสดงได้ ซึ่งนางรัจนา พวงประยงค์ ก็ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวจนเกษียณอายุราชการ", "title": "รัจนา พวงประยงค์" }, { "docid": "448825#3", "text": "เมื่อมีพระราชบัญญัติปรับปรุงมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงพ้นตำแหน่งหน้าที่ในมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2508 แต่ยังคงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรและรับราชการอยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ประมาณ 12 ปี", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "305161#0", "text": "วัดกลาง เป็นวัดเก่าแก่แต่โบราณ สร้างในสมัย รัชกาลที่ 1 ในปี พ.ศ. 2345 ซึ่งมีอายุกว่า 200 ปี\nตามประวัติที่สืบค้นได้จากคุณธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ยืนยันว่าภาพเขียนฝาผนังอุโบสถหลังแรก(หลังเก่า) ของวัดกลาง เป็นฝีมือช่างเขียนภาพของวังหลัง น่าเสียดายที่ทางวัดไม่ได้ถ่ายภาพเหล่านี้เก็บเอาไว้ก่อนรื้ออุโบสถหลังเก่าเพราะคนในยุคนั้นไม่รู้ความเป็นมา", "title": "วัดกลาง (จังหวัดชลบุรี)" }, { "docid": "66250#3", "text": "ต่อมา มีการออกแบบรางวัลขึ้นใหม่ เป็นรูป พระสุรัสวดี ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรู้ และภาษา ของอินเดีย เป็นผู้อุปถัมภ์ การศิลปะ การดนตรี และการศึกษา ออกแบบโดยนายจิตร บัวบุศย์ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนเพาะช่าง โดยความเห็นชอบของนายธนิต อยู่โพธิ์ อธิบดีกรมศิลปากร จึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น รางวัลพระสุรัสวดี แต่สื่อมวลชนและประชาชนยังคงนิยมเรียกว่ารางวัลตุ๊กตาทอง พิธีมอบรางวัลตุ๊กตาทอง จัดต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2500 จนถึงครั้งที่ 8 พ.ศ. 2509 ก็ได้หยุดการจัดงานเป็นเวลา 9 ปี และได้รื้อฟื้นขึ้นใหม่ ในปี พ.ศ. 2517 โดย สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย ", "title": "รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี" }, { "docid": "854114#16", "text": "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปยังท้องสนามหลวง ทอดพระเนตรความคืบหน้าการจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ และสิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายอารักษ์ สังหิตกุล อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ในฐานะทีมวิศวกรที่ปรึกษาวิศวกรรมด้านโครงสร้างพระเมรุมาศ และหม่อมราชวงศ์บุตรี วีระไวทยะ ประจำสำนักพระราชวังพิเศษ 10 เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ", "title": "การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "193513#3", "text": "หลังจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีศิลปินที่สามารถรำเพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพได้ เหลืออยู่เพียงผู้เดียวคือ นายรงภักดี (เจียร จารุจรณ) แต่ท่านก็มิอาจถ่ายทอดให้แก่ศิษยานุศิษย์ผู้หนึ่งผู้ใดได้ หากมิได้รับพระบรมราชโองการ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสียก่อน เมื่อนายธนิต อยู่โพธิ์ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ศิลปินอาวุโสของกรมศิลปากร ได้รับการถ่ายทอดการรำหน้าพาทย์เพลงองค์พระพิราพ ความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช จึงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ นายรงภักดี ( เจียร จารุจรณ ) ครูผู้ใหญ่ในพระราชสำนัก ประกอบพิธีครอบองค์พระพิราพ ให้แก่ศิลปินอาวุโสของกรมศิลปากร ณ บริเวณโรงละคร พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๐๖ ศิลปินอาวุโสที่ได้รับครอบองค์พระพิราพ จำนวน ๔ ท่าน คือ ", "title": "เจียร จารุจรณ" }, { "docid": "448825#7", "text": "นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้แต่งแปล และเรียบเรียง ตรวจแก้และตรวจสอบชำระหนังสือเรื่องต่างๆ ขึ้นไว้ 200 เรื่อง โดยทั่วไปเป็นเรื่องสารคดีทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ศิลปะทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ เรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศาสนา ส่วนมากพิมพ์เผยแพร่แล้ว เช่น ประวัติเสียดินแดนสยาม 8 ครั้ง เรื่องทางโบราณคดี เช่น สุวรรณภูมิ พระพุทธรูปศิลาขาวสมัยทวารวดี ฯลฯ เรื่องทางวรรณคดี เช่น ประวัติและโคลงกำสรวลศรีปราชญ์ วรรณคดีกับชีวิตและการเมือง ฯลฯ เรื่องทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ เช่น โขน ศิลปะละครรำหรือคู่มือนาฏศิลป์ไทย ฯลฯ เรื่องทางศิลปะ เช่น ศิลปะและศีลธรรม ความหมายและจิตวิทยาเกี่ยวกับสี ฯลฯ เรื่องทางศาสนา เช่น ภาวะเศรษฐกิจสมัยพุทธกาล ตำนานเทศน์มหาชาติ ฯลฯ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมไม่ได้จัดพิมพ์เป็นเล่ม แต่ด้วยความปรารถนาที่จะเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของไทยให้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วโลก ท่านได้ร่วมกับเจ้าคุณพระยาอนุมานราชธนจัดทำหนังสือชุดวัฒนธรรมไทยขึ้นชุดหนึ่ง เรียกว่า \"Thai Culture Series\" ต่อมาได้จัดทำขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่อว่า \"Thai Culture, New Series\" เป็นอนุสารอังกฤษว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี และศิลปวัฒนธรรมของไทย โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการและได้ส่งไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา และต่อมาได้พิจารณาเห็นว่าเป็นประโยชน์ส่วนรวมของชาติ จึงติดต่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก็ได้รับอนุมัติและจัดงบประมาณค่าจัดพิมพ์และเผยแพร่ให้แก่กรมศิลปากรต่อมา", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "854114#24", "text": "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชพิธียกนพปฎลมหาเศวตฉัตรประดับยอดพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฤกษ์ระหว่างเวลา 17.19 น. – 21.30 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และการบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ในการนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการอำนวยการ กราบบังคมทูลรายงาน และเบิกกรรมการจัดสร้างพระเมรุมาศ จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ประดิษฐานนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม จากนั้น นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ถวายสายสูตรยกนพปฎลมหาเศวตฉัตร เมื่อนพปฎลมหาเศวตฉัตรขึ้นสู่ยอดพระเมรุมาศแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานสายสูตรคืนอธิบดีกรมศิลปากรรับไปผูกไว้ที่เสาบัว เป็นอันเสร็จสิ้นการก่อสร้างพระเมรุมาศอย่างสมบูรณ์และเป็นทางการ", "title": "การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "448825#13", "text": "ภาระอันหนักจึงตกอยู่กับนายธนิต อยู่โพธิ์ หัวหน้ากองการสังคีต ที่ต้องฟื้นฟูปรับปรุงศิลปะด้านนาฏศิลป์ด้วยความลำบากยากเย็นตลอดมา และต้องประสบอุปสรรคนานาประการ แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นในการปรับปรุงฟื้นฟูศิลปะแขนงนี้ให้จงได้ ท่านจึงได้ทุ่มเททำงานนี้อย่างจริงจัง โดยเริ่มปรับปรุงโขนละคร ในตอนแรกท่านยึดโรงเรียนนาฏศิลป์ (ปัจจุบันเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์) เป็นหลัก ท่านเน้นหนักไปในการเรียนวิชาศิลปะโขน ละคร ดนตรีไทย ดนตรีสากล และขับร้อง ได้เชิญศิลปินที่มีฝีมือทางด้านนาฏศิลป์และดนตรีจากบุคคลภายนอกมาร่วมเป็นครูฝึกสอนและถ่ายทอดศิลปะให้กับนักเรียนโรงเรียนนาฏศิลป์ ในระยะแรกๆ มีนักเรียนเพียงไม่กี่คน ต่อมาค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อนักเรียนเรียนจบแล้ว ท่านหาทางให้มีโอกาสได้แสดงนาฏศิลป์และดนตรีให้ประชาชนชม ในการนี้ท่านได้จัดการซ่อมแซมโรงละครศิลปากร ซึ่งตั้งอยู่ติดกับพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ในบริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กำหนดจัดแสดงโขน ละคร ปีละ 2 เรื่อง จนเป็นที่นิยมของผู้ชมเพิ่มขึ้นตามลำดับ", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "140207#18", "text": "พ.ศ. 2509 - 2518 เข้ารับราชการในกองทัพอากาศ ในตำแหน่ง สถาปนิก ได้รับพระราชทานยศเป็นลำดับมาจนถึง \"เรืออากาศเอก\" พ.ศ. 2518 โอนมารับราชการ ที่กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ในตำแหน่ง นายช่างศิลปกรรม พ.ศ. 2521 ย้ายมาดำรงตำแหน่งสถาปนิก ในกองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร มีหน้าที่ออกแบบสถาปัตยกรรมไทย และบูรณปฏิสังขรณ์ พ.ศ. 2539 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น สถาปนิก 10 วช. (ด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยและบูรณปฏิสังขรณ์) พ.ศ. 2543 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น อธิบดีกรมศิลปากร พ.ศ. 2545 เกษียณอายุราชการ และได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านบูรณปฏิสังขรณ์ และสถาปัตยกรรมไทย ของกรมศิลปากร", "title": "อาวุธ เงินชูกลิ่น" }, { "docid": "133200#4", "text": "ด้วยความที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย นายธนิต อยู่โพธิ์ หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร ได้เรียนเชิญให้ท่านผู้หญิงช่วยปรับปรุงฟื้นฟู และวางรากฐานด้านการละคร การรำ ให้กับกรมศิลปากร ท่านเป็นผู้ออกแบบท่ารำ เป็นผู้ฝึกสอน และอำนวยการฝึกซ้อมการแสดงโขน ละคร ฟ้อนรำ ต่างๆ เป็นจำนวนมาก", "title": "แผ้ว สนิทวงศ์เสนี" }, { "docid": "50180#10", "text": "พ.ศ. 2508 นายแจ้ง ให้เข้ามารับราชการ ที่กรมศิลปากร และเมื่อเวลานาย ธนิต อยู่โพธิ์ไปราชการที่ใด ท่านก็จะเอาทั้งอาจารย์ เสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2531 สาขาศิลปการแสดง [ ศิลปการละคร ]และนายแจ้งไปไหนมาไหนด้วยตลอดกันตลอดไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย หรือจะเป็นต่างประเทศ", "title": "แจ้ง คล้ายสีทอง" }, { "docid": "448825#2", "text": "22 เมษายน 2483 สอบชั้นตรี ประจำกองวรรณคดี กรมศิลปากร 1 พฤษภาคม 2486 สอบเลื่อนขั้นเป็นข้าราชการชั้นโท หัวหน้าแผนกค้นคว้า กองวรรณคดี กรมศิลปากร 1 พฤษภาคม 2488 สอบเลื่อนขั้นเป็นข้าราชการชั้นเอก หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร 17 พฤษภาคม 2499 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นข้าราชการชั้นพิเศษ ตำแหน่งผู้อำนวยการกองการสังคีต กรมศิลปากร 15 ตุลาคม 2499 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร และในขณะเดียวกัน ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยศิลปากร (อธิบดี) ด้วย", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "341653#24", "text": "ลักษณะที่โดดเด่นของผู้ช่วยศาสตราจารย์สงบศึก คือ เป็นบุคคลที่มีฝีมือเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่วัยเด็กสมัยเรียนอยู่ในโรงเรียนนาฏศิลป(วิทยาลัยนาฏศิลปกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน) สามารถแสดงฝีมือเดี่ยวฆ้องวงใหญ่ต่อหน้าสาธารณชน โดยเฉพาะเวทีสังคีตศาลา กรมศิลปากร และได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์มนตรี ตราโมท (ศิลปินแห่งชาติ) ซึ่งครูผู้ใหญ่ของกรมศิลปากรในสมัยนั้นเสนอแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการทำหน้าที่สอนในโรงเรียนนาฏศิลปขณะที่ยังเป็นนักเรียน โดยเสนอต่ออาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ อธิบดีกรมศิลปากรขณะนั้น และได้รับอนุมัติตามเสนอ นับเป็นความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติประวัติอย่างมาก กล่าวคือ ผู้ที่รับการเสนอชื่อรวมทั้งสิ้น 4 คน ได้แก่ ทัศนีย์ ขุนทอง, วัฒนา แดงสวัสดิ์, รัศมี คงลายทอง, และสงบศึก ธรรมวิหาร นับเป็นการแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำแหน่งต่ำอัตรารุ่นแรกและรุ่นเดียวได้รับเงินเดือนขั้นแรกเกือบเทียบเท่ากับข้าราชการทั่วไปคือ 425 บาท", "title": "สงบศึก ธรรมวิหาร" }, { "docid": "4054#45", "text": "ในอดีตเคยมีความเข้าใจกันว่า สุนทรภู่เป็นผู้แต่ง นิราศพระแท่นดงรัง[11] แต่ต่อมา ธนิต อยู่โพธิ์ ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีไทยและอดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้แสดงหลักฐานวิเคราะห์ว่าสำนวนการแต่งนิราศพระแท่นดงรัง ไม่น่าจะใช่ของสุนทรภู่ เมื่อพิจารณาประกอบกับเนื้อความ เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในชีวิตของสุนทรภู่ และกระบวนสำนวนกลอนแล้ว จึงสรุปได้ว่า ผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง คือ นายมี หรือ เสมียนมี หมื่นพรหมสมพักสร ผู้แต่งนิราศถลาง[39]", "title": "พระสุนทรโวหาร (ภู่)" }, { "docid": "176685#17", "text": "พระพุทธรูปห้อยพระบาทองค์ที่ 2 องค์ที่ 3 และองค์ที่ 4 ประกอบจากชิ้นส่วนของพระพุทธรูปซึ่งพบกระจัดกระจายตามที่ต่างๆ โดยพบส่วนของพระองค์ พระเพลา พระบาท และบัวรองพระบาท ที่พบพร้อมกับพระพุทธรูปประทับห้อยพระบาทองค์ที่ 1 และนำมาเก็บรักษาไว้ที่ระเบียงคดวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2501 ธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้รับแจ้งว่าพบเศียรพระพุทธศิลา 2 องค์ในร้านขายของเก่าย่านเวิ้งนครเกษม ซึ่งลักลอบนำมาจากวัดพระยากง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ ยังพบพระพุทธรูปศิลาขาวอีกองค์หนึ่งประดิษฐานที่วัดขุนพรหม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาใกล้กับวัดพระยากง ชาวบ้านเล่าว่าได้ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนของพระพุทธรูปศิลาขาวซึ่งพบที่วัดพระยากง เมื่อธนิต อยู่โพธิ์ไปดูที่วัดพระยากงก็พบชิ้นส่วนอื่นๆ ของพระพุทธรูปศิลาอีก จึงลองประกอบกับเศียรพระพุทธรูปที่มาจากร้านขายของเก่าแต่ไม่สามารถประกอบกันได้สนิท และยังพบว่าพระพุทธรูปศิลาขาวที่วัดขุนพรหมซึ่งปฏิสังขรณ์ด้วยการโบกปูนทับให้เรียบเสมอกันก็ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนของพระพุทธรูปคนละองค์กัน จึงได้แยกส่วนต่างๆออกมาประกอบใหม่ แล้วนำชิ้นส่วนของพระพุทธรูปศิลาขาวที่เก็บรักษาไว้ ณ ระเบียงคด วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหารมาลองประกอบด้วยก็พบว่าสามารถต่อกันได้อย่างสนิท จึงนำพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ซึ่งประกอบกันได้อย่างสมบูรณ์มาปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมและอัญเชิญไปประดิษฐานตามสถานที่ต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว ", "title": "วัดพระเมรุ (จังหวัดนครปฐม)" }, { "docid": "79676#4", "text": "ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีเหตุต้องออกจากราชการในปี พ.ศ. 2476 ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิบดี แต่สองปีถัดมา หลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ) ซึ่งเป็นอธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้น ได้ชวนให้กลับมารับราชการที่กรมศิลปากร และด้วยความรู้ความสามารถของท่านจึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นตามลำดับ ตำแหน่งสุดท้ายได้เป็นอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งภายหลังการเกษียณอายุราชการและการต่ออายุราชการหลายครั้ง จึงออกจากราชการมารับบำนาญ", "title": "พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ)" }, { "docid": "448825#4", "text": "เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรนั้น นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้พยายามนำเอาหลักการดำเนินงานของราชบัณฑิตยสภา สมัยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นนายกราชบัณฑิตยสภา และนำหลักการดำเนินงานของกรมศิลปากร สมัยพลตรี หลวงวิจิตรวาทการและสมัยพระยาอนุมานราชธนเป็นอธิบดีกรมศิลปากร มาศึกษาและดำเนินตามโดยแก้ไขปรับปรุงตามสภาพแวดล้อมสมัยนั้น ผลงานบางส่วนของท่านได้แก่", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "448825#16", "text": "ตลอดเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ศิลปินทั้งหลายได้รับการเชิดชูสนับสนุนเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการ เป็นถึงข้าราชการชั้นเอก ชั้นพิเศษมากมายหลายคน ส่วนทางด้านศิลปะก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งในยุคนั้น", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "448825#10", "text": "3. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้นำคณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากร ไปแสดงเป็นการเจริญสันถวไมตรีในประเทศต่างๆ", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "448825#1", "text": "เริ่มรับราชการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2477 สอบเข้ารับราชการในตำแหน่งเสมียนพนักงานชั้นจัตวา แผนกโบราณคดี กองศิลปากร กรมศิลปากร", "title": "ธนิต อยู่โพธิ์" }, { "docid": "238925#2", "text": "เจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินของกรมศิลปากร ตั้งแต่ครั้งที่นายธนิต อยู่โพธิ์ เป็นอธิการบดีกรมศิลปากร และได้รับการคัดเลือกให้เป็นบุคคลกรผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2533 ซึ่งกรมศิลปากรได้เชิญมาเป็นครูพิเศษขับร้องเพลงไทยและเพลงพื้นเมืองภาคเหนือที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ให้แก่ครูและนักศึกษาได้ขับร้องประกอบการแสดงจำนวนมาก อาทิ ระบำซอ (ซอยิ้น ซอจ๊อยเจียงแสน ซอโยนก) ซอล่องน่าน ฟ้อนม่านมุ้ยเซียงตา ฟ้อนโยคีถวายไฟ ฯลฯ นอกจากนี้ยังถ่ายทอดเพลงพื้นเมือง ได้แก่ ซออื่อก่อมหละอ่อน ซอสิกจุ้งจา ซออื่อ (เฒ่าสอนหลาน) ซอจั๊กปุ (สิกเก๊าแก) นับเป็นศิลปินครูที่สืบสานศิลปะการขับร้องเพลงพื้นเมืองดั้งเดิมของเชียงใหม่ให้ดำรงอยู่ในยุคปัจจุบัน เป็นการผดุงรักษาศิลปะดั้งเดิมของล้านนาไทยมิให้สูญหายไปกับกระแสความเจริญในปัจจุบัน", "title": "เจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่" }, { "docid": "50180#9", "text": "หลังจากต่อเพลงได้มา 4-5 เพลง ในปี 2506 ครูแจ้งก็เล่าว่าก็มีคนส่งเข้าประกวดร้องเพลงของสถานีวิทยุ ว.ป.ถ.กรมการทหารสื่อสาร ใช้ชื่อว่า \"อภัย\" เข้าไปอัดเสียงอยู่ 2 หน 4 เพลง ให้กรรมการฟังเสียง เคาะเป๊งต้องร้องให้ตรงเสียง ผิดเสียงไม่ได้ โดนตัดคะแนน ครั้งนั้นครูแจ้งได้ที่ 1 พอประกวดได้ที่ 1 ก็มีชื่อเสียงเป็นที่โด่งดัง ทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ มาติดต่อครุแจ้งให้ไปเข้าวงดนตรี ครุแจ้งจะไปแล้วแต่พอครูโชติรู้เข้าก็บอกว่าอย่าไป และไปฝากไว้กับ นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ครูโชติบอกว่าไม่ต้องการให้ไปอยู่วงเพลงไทยสากล โดยอธิบายว่าถ้าไปก็ร้องได้แต่เพลงเถา ร้องส่งปี่พาทย์ไม่ได้อะไร ถ้าอยู่กรมศิลปากรจะได้หมดทั้ง โขน ละคร ฟ้อน รำ เห่ ขับ กล่อม", "title": "แจ้ง คล้ายสีทอง" }, { "docid": "672807#1", "text": "ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 เป็นบุตรของหลวงเสนาณรงค์ สมรสกับท่านหญิงปัทมนรังษี เสนาณรงค์ (พระนามเดิม:หม่อมเจ้าปัทมนรังษี ยุคล) พระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการกับหม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 3 คน คือ ปัทมศักดิ์ เสนาณรงค์ ปัทมนิฐิ เสนาณรงค์ และปัทมวดี เสนาณรงค์ทวีศักดิ์ เข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งนายช่างตรี กรมศิลปากร รับราชการจนได้เป็นผู้อำนวยการกองสังคีต รองอธิบดีกรมศิลปากร อธิบดีกรมศิลปากร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน และตำแหน่งสุดท้ายคือปลัดกระทรวงศึกษาธิการ", "title": "ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์" }, { "docid": "66620#2", "text": "การประกวดครั้งนี้ มีภาพยนตร์เข้าประกวดจำนวน 21 เรื่อง คณะผู้จัดงานได้เริ่มฉายภาพยนตร์ที่ส่งเข้าประกวดให้คณะกรรมการตัดสินชม ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 และปิดรับภาพยนตร์เข้าประกวดในวันที่ 15 เดือนเดียวกัน คณะกรรมการตัดสินภาพยนตร์ประกอบด้วย พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร เป็นประธานกรรมการ, ธนิต อยู่โพธิ์ (อธิบดีกรมศิลปากร), สนั่น ปัทมะทิน, จิตร บัวบุศย์, บุญยง นิโครธานนท์, เขียน ยิ้มศิริ, เกสรี บูลสุข, ลัดดา ถนัดหัตถกรรม และ ระบิล บุนนาค เป็นคณะกรรมการ โดยมี สงบ สวนสิริ เป็นเลขานุการ", "title": "รางวัลตุ๊กตาทอง ครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2501" }, { "docid": "47759#6", "text": "ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้มีกลุ่มปัญญาชนไทย ที่มองเห็นการณ์ไกลได้พยายามสนับสนุน ให้มีการสืบทอดศิลปะการแดสงมหรสพของไทย ได้แก่ ละครนอก หนังใหญ่ หุ่นกระบอก และหุ่นละครเล็กให้อยู่คู่สังคมไทยมาจนปัจจุบันนี้ บุคคลที่ควรแก่การยกย่องอย่างยิ่ง คือ ศาสตาจารย์พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และอาจารย์มนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ สาขาดนตรีไทย", "title": "หุ่นไทย" } ]
30
ใครคือผู้ก่อตั้ง แอนเธมเรสต์ลิงเอ็กซ์ไฮบิชั่น?
[ { "docid": "201836#0", "text": "แอนเธมเรสต์ลิงเอ็กซ์ไฮบิชั่น (d.b.a. อิมแพ็ค เรสต์ลิง (Impact Wrestling)) มีชื่อเดิมว่า โกเบิล ฟอร์ซ เรสต์ลิง (Global Force Wrestling หรือ GFW) และ โทเทิลนอนสต็อปแอคเชินเรสต์ลิง หรือ ทีเอ็นเอ (Total Nonstop Action Wrestling or TNA) เป็นสมาคมมวยปล้ำอาชีพของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งโดยเจฟ จาร์เรตและเจร์รี จาร์เรตเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 ในปัจจุบันบริษัท ในเครือขององค์กรสื่อแบบบูรณาการในนิวยอร์กและโตรอนโต Anthem Sports & Entertainment เป็นผู้ถือหุ้นหลัก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี และสำนักงานที่ออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ต่อมาได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ Toronto, Canada ในปี ค.ศ. 2017", "title": "อิมแพ็ก เรสต์ลิง" } ]
[ { "docid": "18805#2", "text": "แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1969, โดยกลุ่มผู้บริหารเดิมจาก Fairchild Semiconductor, ประกอบด้วย เจอรี่ แซนเดอร์ เอ็ดวิน เทอร์นี่, จอห์น คาเรย, สเวน ซิมอนเซน, แจ๊ค กิฟฟอร์ด และ สมาชิก 3 คนในกลุ่มของแจ๊ค, แฟรงค์ บ๊อทเต้, จิม ไจลส์, และ แลรี่ สเตรนเจอร์.โดยที่บริษัทเริ่มผลิต ลอจิกชิป , ต่อมาจึงเข้าสู่ธุรกิจการผลิตแรมในปี 1975. และในปีเดียวกันนี้เอง พวกเขาก็เริ่มจำหน่ายสิ่งที่ได้จากการทำสถาปัตยกรรมย้อนกลับซึ่งเป็นสิ่งที่เลียนแบบมาจาก หน่วยประมวลผล Intel 8080. ในช่วงเวลานั้น,เอเอ็มดีก็ได้ออกแบบและสร้างหน่วยประมวลผลในซีรีส์ (Am2900, Am29116, Am293xx) ซึ่งถูกนำมาใช้แพร่หลายในการออกแบบวงจรของมินิคอมพิวเตอร์เวลาต่อมา, เอเอ็มดีก็พยายามที่จะทำให้โปรเซสเซอร์เล็กลง โดยการรวม AMD 29K processor, ให้เข้ากับ อุปกรณ์กราฟิกและเสียง เช่นเดียวกับหน่วยความจำแบบ EPROM. โดยมันเสร็จในช่วงกลางปี 1980 เรียกกันว่า AMD7910 and AMD7911 \"World Chip\" โดยเป็นอุปกรณ์แรกๆที่ ครอบคลุมทั้ง Bell และCCITT. โดย AMD 29K ยังเป็น embedded processor อีกด้วย และ เอเอ็มดี ยังแยกให้ Spansion ออกไปเพื่อสร้าง หน่วยความจำแฟลช. เอเอ็มดี ยังตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแนวทางสู้กับหน่วยประมวลผลจาก อินเทล โดยวางให้เป็นธุรกิจหลัก และให้ตลาดหน่วยความจำแฟลชเป็นตลาดรอง", "title": "เอเอ็มดี" }, { "docid": "351341#4", "text": "หลังจากที่ได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเอง นั้นก็คือ ไททัน สปอร์ท จำกัด ขึ้นในปี ค.ศ. 1980 และในปี ค.ศ. 1982 วินเซนต์ เคนเนดี แม็กแมเฮิน ได้ซื้อกิจการของบิดานั่นก็ คือ แคปิเทิลเรสต์ลิงคอร์ปอเรชั่น (ซีดับเบิลยูซี) และได้รวมเข้าไปในบริษัท ไททัน สปอร์ท จำกัด หลังจากนั้นก็ได้เปลี่ยนชื่อมีเป็น เวิลด์เรสต์ลิงเฟดดิเรชั่น (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ) และได้กลายเป็นสมาคมชั้นนำในอเมริกาเหนือ และในฝั่งของ จีซีดับเบิลยู ก็ได้คิดค้นชื่อ เวิลด์แชมเปี้ยนชิพเรสต์ลิง ในความพยายามที่จะแข่งขันกัน ในปี ค.ศ. 1982 จีซีดับเบิลยู ก็ได้เปลี่ยนชื่อของรายการโทรทัศน์ของมัน (และทำให้เผชิญในที่สาธารณะ) เพื่อ เวิลด์แชมเปี้ยนชิพเรสต์ลิง นับตั้งแต่ได้เริ่มต้นแสดงให้เห็นถึงการทำงานในพื้นที่ \"เป็นกลาง\" อาทิ เช่น รัฐโอไฮโอ และรัฐมิชิแกน ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้ จีซีดับเบิลยู แข่งขันกับ ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ที่เป็นสมาคมทั้งคู่ได้ข้อเสนอการรักษาความปลอดภัยทางโทรทัศน์และพยายามที่จะกลายเป็นระดับประเทศในตรงข้ามกับหน่วยงานกับระดับภูมิภาค การเปลี่ยนชื่อนี้ช่วยทำให้ จีซีดับเบิลยู สมาคมชั้นนำอีกครั้งจน ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ก็สามารถออกจาก เอ็นดับเบิลยูเอ อย่างเป็นทางการและสร้างการแสดง นั่นก็คือ ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ออลล์อเมริกันเรสต์ลิง เอ็นดับเบิลยูเอ นำโดยประธานสมาคมของ ไมด์-แอตแลนติกแชมเปี้ยนชิพเรสต์ลิง จิม ครอคเคทท์ ที่ตอบโต้ด้วยการสร้าง สตาร์เคด ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1983 ที่ทำให้แรงขับเคลื่อนกลับไปยังชั้นนำแต่ วินซ์ แม็กแมเฮิน เป็นอีกครั้งในการคืนนำไปสู่​​ชัยชนะอย่าง ฮัลค์ โฮแกน ของโลกในที่ เมดิสันสแควร์การ์เดน ในเดือนมกราคมปี ค.ศ. 1984 เช่นเดียวกับการสร้างรายการโทรทัศน์ นั่นก็คือ ทิวส์เดย์ไนท์ไททันส", "title": "เวิลด์แชมเปี้ยนชิพเรสต์ลิง" }, { "docid": "230186#1", "text": "ในยุคเริ่มแรก ถกลเกียรติ วีรวรรณ หนึ่งในกรรมการบริษัทของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ก่อตั้ง บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และควบตำแหน่งทั้งเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ ผู้กำกับ และผู้จัดการทั่วไป โดยรับจ้างผลิตละคร เกมโชว์ ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ เพื่อป้อนลงสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ซึ่งเริ่มจัดตั้งบริษัทในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 และเริ่มออกอากาศละครซิตคอม เรื่อง \"3 หนุ่ม 3 มุม\" เป็นรายการแรกของบริษัท ต่อมา ในปี พ.ศ. 2535 ได้สร้างละครดราม่าเรื่องแรกของบริษัทเรื่อง รักในรอยแค้น และในปี พ.ศ. 2546 ถกลเกียรติ ได้ก่อตั้ง บริษัท ซีเนริโอ จำกัด โดยถือหุ้นเอง 75% และให้จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ถือหุ้น 25% โดยมีจุดประสงค์เดียวกับเอ็กแซ็กท์ คือเป็นบริษัทที่ดำเนินการผลิต ละคร เกมโชว์ วาไรตี้ และละครเวที เพื่อป้อนลงช่องต่าง ๆ ตลอดมา", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "319334#0", "text": "เดวิด ลอว์เรนซ์ เกฟเฟน () เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 เป็นผู้อำนวยการสร้างเพลง โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์ละครเวที นักการกุศลสังคม เกฟเฟนเป็นผู้ก่อตั้งแอสไซลัมเรเคิดส์ ในปี ค.ศ. 1970 (ที่ต่อมาขายให้กับวอร์เนอร์มิวสิกกรุป ซึ่งรวมเข้ากับอีเลกทราเรเคิดส์ ในปี 1972 เป็นค่าย อีเลกทรา/แอสไซลัมเรเคิดส์) และเกฟเฟนเรเคิดส์ ในปี 1980 และบทบาทของเขาต่อมาคือ เป็น 1 ใน 3 ผู้ก่อตั้งดรีมเวิร์กเอสเคจี หรือดรีมเวิร์กส ในปี 1994", "title": "เดวิด เกฟเฟน" }, { "docid": "42150#3", "text": "แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น ก่อตั้งใน พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) จากผู้ก่อตั้งสองคน คือ เจย์ แวน แอนเดล และ ริช เดอโวส โดยเริ่มต้นธุรกิจจากห้องใต้ดินที่บ้านของทั้งสองที่เมืองเอด้า รัฐมิชิแกน ปัจจุบันได้ขยายสำนักงานใหญ่ที่เมืองเอด้า มีอาคารมากกว่า 80 หลัง พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 4 ล้านตารางฟุต มีความยาวมากกว่า 1 ไมล์ (1.6 กม.) และมีเนื้อที่มากกว่า 255 เอเคอร์ (104 เฮคตาร์) รวมเนื้อที่ถึง 200,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนา โรงงานผลิต และคลังสินค้าที่ทันสมัย", "title": "แอมเวย์" }, { "docid": "372070#0", "text": "เนชันนัลเรสต์ลิงอัลไลแอนซ์ เป็นบริษัทมวยปล้ำอาชีพที่ก่อตั้งเมื่อ ปี ค.ศ. 1948 โดยผู้ก่อตั้งได้แก่ Paul \"Pinkie\" George , Al Haft ,Anton \"Tony\" Stecher ,Harry Light ,Orville Brown ,Sam Muchnick ,Don Owen เป็นกลุ่มสมาคมมวยปล้ำที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ในปี 1953 เป็นสมาคมมวยปล้ำทั่วไปที่ยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน", "title": "เนชันนัลเรสต์ลิงอัลไลแอนซ์" }, { "docid": "138128#1", "text": "ราวเดือนกันยายน พ.ศ. 2538 ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม หนึ่งในผู้ก่อตั้ง มีแนวคิดทำเพลงป็อปเป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านั้น ทางจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ผลิตเพลงสากลเป็นส่วนใหญ่ โดยแยกส่วนออกจากสตริงอย่างสิ้นเชิงเพื่อความสะดวกในการทำธุรกิจ จึงได้จัดตั้ง บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไลฟ์ จำกัด ขึ้นโดยมีกริช ทอมมัสเป็นผู้ดูแลจนถึงปัจจุบัน โดยนักร้องคนแรกของค่ายจีเอ็มเอ็ม ไลฟ์นี้ เป็นผู้จัดการแสดงคอนเสิร์ต ในจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ทุกสถานที่ในทุกที่", "title": "จีเอ็มเอ็ม ไลฟ์" }, { "docid": "867822#1", "text": "หลังจากที่ เจฟ จาเรต ออกเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยของ โทเทิลนอนสต็อปแอคเชินเรสต์ลิง เขาได้ออกมาสร้างตราสินค้าของ โกเบิลฟอร์ซเรสต์ลิง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2014 และเริ่มโปรโมตแบรนด์และสร้างความเป็นพันธมิตรระหว่างประเทศด้วยสมาคมมวยปล้ำทั่วโลก สมาคมได้มีความร่วมมือในการถือหุ้นกับ 25/7 Productions และ David Broome (นักครีเอทีฟของ NBC's The Biggest Loser) Broome กล่าวว่าสมาคมได้วางแผนที่จะสร้างเนื้อหาใหม่ของการออกอากาศ 52 สัปดาห์ต่อปี", "title": "โกลเบิลฟอร์ซเรสต์ลิง" }, { "docid": "133183#1", "text": "นายอุเทน เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สุรามหาคุณ ที่ได้สัมปทานในการผลิตและจำหน่ายสุราของโรงงานสุราบางยี่ขัน ในชื่อ “แม่โขง” และ “กวางทอง” เมื่อ พ.ศ. 2502 ก่อนจะสูญเสียธุรกิจนี้ไปจากการพ่ายแพ้การประมูลให้แก่นายเจริญ สิริวัฒนภักดี นอกจากนี้นายอุเทนยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท วังเพชรบูรณ์ ผู้ก่อสร้างโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (ปัจจุบัน คือ เซ็นทรัลเวิลด์)", "title": "อุเทน เตชะไพบูลย์" } ]
2774
โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ตั้งอยู่ที่ใด?
[ { "docid": "69013#0", "text": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน (English: Rattanakosinsompoch Bangkhunthian School) เป็นโรงเรียนรัฐบาลประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 (กรุงเทพมหานคร) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนพระรามที่ 2 ซอย 69 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีเนื้อที่ 12 ไร่ เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายแบบสหศึกษา และเป็นโรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภช 4 มุมเมือง", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" } ]
[ { "docid": "69013#1", "text": "โรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประเภทสหศึกษาที่ได้เริ่มก่อตั้งโดย นายสมยศ เจริญโสภา อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนคนแรก ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์โรงเรียนสตรีวัดระฆัง เห็นว่าบริเวณโรงเรียนสตรีวัดระฆังคับแคบมาก เพราะมีเนื้อที่เพียง 2 ไร่ 2 งาน 79 ตารางวา จึงได้ติดต่อกับ อาจารย์พรพรรณ ยรรยงสถิตย์ โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย ภรรยาของ พ.ท.ยิ่งยุทธ ยรรยงสถิตย์ ผู้ตรวจการเคหะแห่งชาติเพื่อขอที่ดินในบริเวณการเคหะชุมชนธนบุรี ถนนธนบุรี-ปากท่อ กิโลเมตรที่ 8.5 ซึ่งพอจะยกให้แก่ โรงเรียนสตรีวัดระฆังได้ จึงได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันระหว่างโรงเรียนสตรีวัดระฆังและเจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาติซึ่งมีมติที่ประชุมให้ยกที่ดินการเคหะแห่งชาติ จำนวน 12 ไร่ ให้แก่โรงเรียนสตรีวัดระฆังเพื่อก่อสร้างเป็นโรงเรียนสตรีวัดระฆังแห่งที่ 2 และให้รับทั้งชายหญิง โรงเรียนสตรีวัดระฆังจึงได้แจ้งให้กรมสามัญศึกษา ได้ขอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาประเภทสหศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนบางขุนเทียนวิทยา", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#11", "text": "สีเขียว หมายถึง พื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#14", "text": "คุณธรรม นำยุค สุขภาพดี มีความรู้ มุ่งสู่อาชีพ", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "142100#13", "text": "ในช่วงนี้มีการสร้างอาคาร\"รัตนโกสินทร์สมโภช 2525\" ขึ้น และได้มีการจัดสร้างสนามหญ้าและสวนหย่อมขนาดใหญ่หน้าอาคารรัตนโกสินทร์สมโภชฯ ในบริเวณอาคารไม้รูปตัว อี ที่ถูกรื้อถอนย้ายไปปลูกสร้างใหม่ (อาคาร 3 ในปัจจุบัน) และได้จัดสร้างอาคารอเนกประสงค์เพื่อใช้ เป็นอาคารห้องสมุดและหอประชุม แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2531", "title": "โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล" }, { "docid": "195103#0", "text": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางเขน ได้ก่อตั้งขึ้น ในงานมหามงคล สมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์บางเขนครบ 200 ปี พ.ศ. 2525 เป็นโรงเรียนรัฐบาล ระดับมัธยมศึกษา จัดการศึกษาในระบบสหศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 8 / 1 หมู่ที่ 6 ซอยวัชรพล ถนนรามอินทรา แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางเขน" }, { "docid": "276879#11", "text": "ตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ภาพมีลักษณะเป็นศิลปไทยทั้งสีและลายเส้น ประกอบด้วย ภาพเทวดาสององค์พนมมือไว้ หันหน้าเข้าหากัน อันมีความหมายว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองแห่งชาวเทวดา และได้ร่วมกันเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ในวาระสำคัญครบ 200 ปี เหนือภาพเทวดาเป็นภาพซุ้มวิมาน หมายถึง สิ่งก่อสร้างของกรุงเทพมหานคร (แบบซุ้มนี้ได้แบบมาจากซุ้มประดิษฐานพระสยามเทวาธิราช ในพระบรมมหาราชวัง ตามคำแนะนำของท่านรองราชเลขาธิการ) เบื้องล่างเป็นอักษรข้อความว่า สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี อยู่ด้านบน พ.ศ. 2525 อยู่ด้านล่าง", "title": "พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี" }, { "docid": "739454#2", "text": "ต่อมาวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2524 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น\"โรงเรียนบวรนิเวศศาลายา\" นับตั้งแต่ประกาศจัดตั้งโรงเรียนมาจนถึง ปี พ.ศ. 2525 โรงเรียนยังไม่ได้เปิดรับนักเรียนเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินที่จะก่อสร้างโรงเรียน ", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นครปฐม" }, { "docid": "69013#16", "text": "เทสโก้ โลตัส สาขา พระราม 2", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#7", "text": "ในวันที่ 5 มกราคม 2542 นายสวัสดิ์ เกิดศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนวินิตบางแคปานขำ ระดับ 9 ได้ย้ายมารับตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนแทน นายจงอาง กล้องเจริญ ที่ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม ในปี 2542 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียนได้รับโล่จากกระทรวงศึกษาธิการในฐานะเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนได้รับการยกย่องว่าประพฤติดี มีคุณธรรม และบำเพ็ญประโยชน์นอกจากนี้ท่านได้เร่งรัดการพัฒนาการเรียนการสอน นำโรงเรียนเข้าเชื่อมโยงกับเครือข่าย Internet ตามโครงการ Resouce Center เป็นผู้นำปฏิรูปการเรียนรู้ เป็นผู้นำระบบการช่วยเหลือดูแลนักเรียนที่มีโรงเรียนต่าง ๆ มาขอดูงานและเชิญเป็นวิทยากรขยายผลมากมาย นำโรงเรียนเข้าโครงการประเมินตนเองเพื่อประกันคุณภาพการศึกษา รุ่นที่ 2 เป็นประธนสหวิทยาเขตกรุงธนบุรี 3 และได้ดูแลการดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 7 ชั้น ซึ่งได้รับงบประมาณจากการเสนอขอแปรญัตติโดยท่านอดีต ส.ส. ประเสริฐ ม่วงศิริ จำนวน 35,000,000 บาท จนกระทั่งแล้วเสร็จท่ามกลางวิกฤตทางเศรษฐกิจในช่วงยุค IMF และท่านได้เกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที 30 กันยายน 2545", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#6", "text": "ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 นายจงอาง กล้องเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนศึกษานารีวิทยา ได้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ท่านที่ 5 ท่านมีนโยบายว่า จะพัฒนาสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนเสริมสร้างนักเรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดี และให้ครู-อาจารย์ มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยขณะนี้ท่านได้พัฒนาบรรยากาศในการบริหารงาน ปรับปรุงห้องโสตทัศนศึกษา และนำโรงเรียนเข้าสู่การปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และได้รับมอบหมายให้เป็นประธานกลุ่มโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาส่วนกลาง กลุ่มที่ 7 และประธานสหวิทยาเขตกรุงธนบุรี 3", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "400975#10", "text": "พ.ศ. 2525 บริษัทเฟลฟ์ดอด์จไทยแลนด์ จำกัด ได้ปรับปรุงห้องสมุดโรงเรียนด่านสำโรง เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ โดยใช้อาคารแบบ พ 424 (ปัจจุบันคืออาคาร 1) ชั้น 2 เป็นห้องสมุด มีขนาดเท่ากับ 4 ห้องเรียน พร้อมวัสดุครุภัณฑ์ และหนังสือต่าง ๆ เป็นมูลค่า 282,029 บาท ใฃ้ชื่อว่า \"ห้องสมุดเฟลฟ์ดอด์จอนุสรณ์สมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์\"และในปีนี้ได้มีการต่อเติมอาคารเรียนแบบพิเศษ5ชั้นขึ้นเต็มรูปซึ่งเป็นอาคารแบบพ531", "title": "โรงเรียนมัธยมด่านสำโรง" }, { "docid": "69013#8", "text": "วันที่ 16 ธันวาคม 2545 ดร. สาธิต สันนะกิจ ผู้อำนวยการโรงเรียนระดับ 9 อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ได้มาเป็นผู้บริหารโรงเรียนลำดับที่ 7 หลังจากใช้เวลาศึกษาข้อมูล สภาพปัจจุบัน และปัญหาของโรงเรียน ท่านได้ระดมความคิดจากทุกฝ่าย เพื่อขับเคลื่อนโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียนให้เข้าสู่ปีที่ 25 แห่งการก่อตั้ง โดยได้ปรับสายการบริหารงาน สำนักงานฝ่ายบริหาร การบริหการอาคารสถานที่ การปรับปรุงห้องเรียน อาคารเรียน-อาคารประกอบ ปรับปรุงลานอเนกประสงค์หน้าโรงอาหารและได้ร่วมกับได้ร่วมกับสมาคมผู้ปกครองและครูฯ กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กรรมการเครือข่ายผู้ปกครองจัด งานวันสถาปนาโรงเรียนครบรอบ 24 ปี ในวันที่ 22 มีนาคม 2546 ซึ่งได้จัด พิธีเปิดป้ายอาคารเรียนแบบพิเศษ 7 ชั้น โดย ฯพณฯ ดร.สิริกร มณีรินทร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เกียรติเป็นประธานในพิธี เปิดงานนิทรรศการทางวิชาการ และทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษาเพื่อระดมทรัพยากรมาปรับปรุงห้องสมุด-ห้องประชุม-สำนักงานฝ่ายบริหาร ได้เงินจำนวน 1,300,000 บาท สำหรับแผนการดำเนินงานขั้นต่อไปนอกจากนำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานมาใช้จัดการศึกษา โดยเน้นคุณภาพแล้ว โรงเรียนจะดำเนินการระดมทรัพยากรเพื่อขอรื้อกถอนห้องน้ำนักเรียนและขยายโรงอาหาร ปรับปรุงสนามฟุตบอล สร้างห้องส้วมของนักเรียนใหม่ ปรับปรุงสวนหย่อมข้างอาคารประชาสัมพันธ์ ปรับปรุงบริเวณสนามบาสเกตบอลและจัดการศึกษาตามวิสัยทัศน์ของโรงเรียนที่กำหนดไว้ว่า นักเรียนมีคุณธรรม นำความรู้ คู่สุขภาพดี เทคโนโลยีเป็นสำคัญ สัมพันธ์ชุมชนรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีและนำศักยภาพสร้างตนมาเป็นปัจจัยดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข โดยชุมชนมีส่วนร่วมทั้งมีความมุ่งมั่นให้ “รัตนโกสินทร์ สมโภชบางขุนเทียน ก้าว..ต่อไป อย่างไม่หยุดยั้งตามมาตรฐานการศึกษาของกรมสามัญศึกษาตามปรัชญาการศึกษาของโรงเรียน คุณธรรม นำยุค สุขภาพดี มีความรู้ มุ่งสู่อาชีพ”", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#3", "text": "เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2524 ในปีงบประมาณ 2525 โรงเรียนได้ยกฐานะเป็น โรงเรียนสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี 4 มุมเมืองจากรัฐบาล ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงเทพมหานคร กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 เป็นโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน โดยให้ใช้อักษรย่อเป็น ร.ส.ท. และกรมสามัญศึกษา ได้จัดงบประมาณให้อีก 5 ล้านบาท เพื่อต่อเติมอาคารเรียนให้เต็มหลังจำนวน 15 ห้องเรียน กรมสามัญศึกษาได้จัดทำพิธีเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2525 โดย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ในปีงบประมาณ 2526 โรงเรียนได้รับงบประมาณก่อสร้างจากกรมสามัญศึกษาเพื่อก่อสร้างอาคารฝึกงาน จำนวน 3,100,100 บาท และต่อเติมอาคารเรียนแบบพิเศษ 1 หลัง จำนวน 7,500,000 บาท อีกทั้งยังได้รับการจัดสรรงบพัฒนาจังหวัดจาก ส.ส. ปลิว ม่วงศิริ สร้างรั้ว 1 ด้าน เป็นเงิน 160,000 บาท ปีงบประมาณ 2527 ได้รับงบประมาณจากกรมสามัญศึกษาเพื่อก่อสร้างรั้ว เขื่อน และสะพาน จำนวน 453,009 อนึ่งทางชมรมผู้ปกครองและครูโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ได้บริจาคสร้างรั้ว ด้านทิศตะวันออก เรือนพักฝ่ายปกครองและครูเวร จำนวน 225,700 บาท ปีงบประมาณ 2528 โรงเรียนได้รับงบประมาณจากกรมสามัญศึกษา เพื่อก่อสร้างรั้วและเขื่อนด้านตะวันตก จำนวน 250,000 บาท โดยสมทบกับเงินบำรุงการศึกษา 490,000 บาท รวมเป็นเงิน 740,000 บาท ชมรมผู้ปกครองและครูฯ และผู้มีจิตศรัทธาร่วมก่อสร้างหอประดิษฐานพระพุทธรูป ขนาดหน้าตักกว้าง 39 นิ้ว มอบให้โรงเรียน และได้ทำพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูป เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2528 โดยมีนายขุนทอง ภูผิวเดือน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธี ในปีงบประมาณ 2531 โรงเรียนได้งบประมาณจากกรมสามัญศึกษา เพื่อต่อเติมอาคารเรียนแบบพิเศษ 6 ชั้น อีก 12 ห้องเรียน เป็นเงิน 3,170,000 บาท และในปีเดียวกันยังได้รับบริจาคอาคารสำนักงานบริหาร 2 ชั้น ขนาด 13 x 21 เมตร 1 หลัง จากนายมนูญ สุ่มนาย ร่วมกับผู้มีจิตรศรัทธาและชมรมผู้ปกครองและครูฯ เป็นจำนวนเงินรวม 1,111,000 บาท อาคารนี้ใช้เป็นที่ทำงานผู้บริหาร ห้องประชุมและสำนักงานธุรการ โดยผู้บริจาคขอให้ชื่อาคารว่า “อาคารสมยศอนุสรณ์” เป็นอนุสรณ์คุณงามความดีแก่ นายสมยศ เจริญโสภา ผู้ก่อตั้งและเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน ในปี 2531 ซึ่งครบวาระ 9 ปี แห่งการก่อตั้งโรงเรียนและชมรมผู้ปกครองฯ ร่วมกันจัดงาน “9 พ.ศ. ร.ส.ท. รำลึก” ในวันที่ 2 กันยายน 2532 โดยจัดให้มีนิทรรศการทางวิชาการ พิธีรับมอบอาคาร พิธีรับบริจาค และจัดงานฉลองอธิบดีกรมสามัญศึกษา นายพะนอม แก้วกำเนิด เป็นประธาน", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#12", "text": "สีเหลือง หมายถึง แสงสว่างจากเปลวเทียน ซึ่งเปรียบประดุจดั่งปัญญา", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "739454#0", "text": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นครปฐม (อังกฤษ: Rattanakosinsomphotbowonniwetsalaya School) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาแบบสหศึกษาและเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีเนื้อที่ 80 ไร่ 64 ตารางวา  ตั้งอยู่ที่ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นครปฐม" }, { "docid": "160318#4", "text": "ต่อมาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสได้ทรงประทานที่ดินประมาณ ๐-๐-๘๐ ไร่ ที่ตั้ง ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อจัดสร้างโรงเรียน โดยได้ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2522 โดยใช้ชื่อว่า \"โรงเรียนบวรนิเวศพิทยา\" ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๔ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น \"โรงเรียนบวรนิเวศศาลายา\" นับตั้งแต่ประกาศตั้งโรงเรียนจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ยังมิได้เปิดรับนักเรียนเนื่องจากมีปัญหาในเรื่องที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จนกระทั่งวันที่ ๑๖เมษายน ๒๕๒๕ คณะรัฐบาลกำหนดให้เป็นปีเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี และได้กำหนดให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นอนุสรณ์การสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ด้วยโรงเรียนหนึ่ง จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นครั้งที่ ๓ ว่า \"โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์\" และให้เปิดรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษาได้แต่งตั้งให้ นายอนันต์ คงถาวร ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบวรนิเวศมารักษาการในตำแหน่งครูใหญ่ ", "title": "โรงเรียนวัดบวรนิเวศ" }, { "docid": "739454#1", "text": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา   ในพระสังฆราชูปถัมภ์  แต่เดิมชื่อ\"โรงเรียนบวรนิเวศพิทยา\" ประกาศจัดตั้งโรงเรียนขึ้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2523 ", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นครปฐม" }, { "docid": "594610#0", "text": "วรรธนะ กัมทรทิพย์ หรือ กิ๊ฟต์ วรรธนะ (ชื่อเล่น กิ๊ฟต์)การศึกษาขั้นต้นเริ่มที่โรงเรียนวรรธนะวิทย์,โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน,พณิชยการสีลม จบการศึกษาที่คณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณามหาวิทยาลัยกรุงเทพ เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงโดยการชักนำของพจน์ อานนท์เมื่อปีพ.ศ2536 โดยงานชิ้นแรกคือการถ่ายแบบและตามมาด้วยงานถ่ายโฆษณา ผลงานโฆษณาที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในยุคนั้นคือโฆษณาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยมีประโยคติดหูว่า\"ทายซิเงิน600บาทซื้ออะไรได้บ้าง\" ปัจจุบันทำงานเป็นนักแสดงอิสระและพิธีกรอยู่ที่บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ชีวิตส่วนตัว เคยคบหาดูใจกับ ออย - สิริพรรณ หลิมวิจิตร มายาวนานถึง 5 ปี จนเลิกรากันไปในที่สุด หลังจากนั้น เข้าพิธีสมรสกับ ตาล - ผกาพันธุ์ เสถียร์กาล พนักงานบริษัทเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2556", "title": "วรรธนะ กัมทรทิพย์" }, { "docid": "69013#15", "text": "รักเรียน มีวินัย ใส่ใจคุณธรรม เลิศล้ำปัญญา สมคุณค่า ร.ส.ท.", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#2", "text": "เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2522 และกรมสามัญศึกษาได้อนุมัติให้เปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 145 คน ครู-อาจารย์ 9 คน นักการภารโรง 1 คน โดยอาศัยเรียนที่โรงเรียนวัดนางร่ม (วัดยายร่ม) สังกัดกรุงเทพมหานคร ในปีงบประมาณ 2522 กรมสามัญศึกษาได้จัดสรรงบประมาณ 343,500 บาท ให้แก่โรงเรียนเพื่อก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราว 1 หลัง จำนวน 5 ห้องเรียน และบ้านพักอาจารย์ใหญ่ 1 หลัง และส้วม 1 หลัง 5 ที่นั่ง ก่อสร้างเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2522 ในปีงบประมาณ 2523 กรมสามัญศึกษาได้จัดสรรงบประมาณให้แก่โรงเรียน จำนวน 7 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 5 ชั้น จำนวน 25 ห้อง วางศิลาฤกษ์ เมื่อวันพุธที่ 7 พฤษภาคม 2523 เวลา 09.19 น. และได้ย้ายจากโรงเรียนวัดนางร่มมาเรียนที่อาคารถาวรแห่งนี้", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#4", "text": "ปีการศึกษา 2531 กรมสามัญศึกษาได้มอบหมายให้ นายบำเพ็ญ สุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนบางปะกอบวิทยาคม มาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ท่านได้บริหารงานโรงเรียนอย่างมีหลักการ เหตุผล ด้วยความตั้งใจจริงและความทุ่มเท เสียสละ อดกลั้น ในปีการศึกษา 2533 กรมสามัญศึกษา 2534 ซึ่งเป็นวาระครบ 12 ปีแห่งการก่อตั้ง โรงเรียนและชมรมผู้ปกครองฯ ได้ร่วมจัดงาน “12 พ.ศ. ร.ส.ท. รำลึก” เมื่อวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2535 โดยจัดเป็นงานนิทรรศการทางวิชาการ การทำบุญฉลองโรงเรียน และการหารายได้เพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับจัดการเรียนการสอน จำนวน 20 เครื่อง โดยได้เงินมาจำนวนประมาณ 80,000 บาท มอบให้คณะกรรมการคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนดำเนินการเปิดสอนคอมพิวเตอร์แก่นักเรียนและบุคคลทั่วไปเพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นทุนจัดซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ รุ่น 80286-20 มูลค่า 400,000 บาท และผู้อำนวยการบำเพ็ญ สุวรรณ ได้เกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนระดับ 9 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2535 จึงนับได้ว่า ท่านเป็นผู้บุกเบิกโรงเรียน สู่ยุคคอมพิวเตอร์ โดยแท้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2535 นายถวิล บุญภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนบางใหญ่ จ.นนทบุรี ได้รับคำสั่งย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2535 จึงได้มีการก่อตั้งสมาคมผู้ปกครองและครูฯ เพื่อมาเป็นองค์กรหลังคอยสนับสนุนการจัดการบริหารการศึกษาของโรงเรียน และยังได้รับคัดเลือกจากกลุ่มโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาส่วนกลาง กลุ่มที่ 7 อนึ่งท่านได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนระดับ 9 จากการทำผลงานทางวิชาการที่โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#10", "text": "สีเขียว-สีเหลือง", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#17", "text": "หมวดหมู่:โรงเรียนในกรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง หมวดหมู่:โรงเรียนมาตรฐานสากล หมวดหมู่:โรงเรียนในเขตบางขุนเทียน", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "739454#5", "text": "ในปี พ.ศ. 2527 อาคารเรียนแห่งใหม่ได้สร้างสิ้น โรงเรียนจึงได้ย้ายมาเรียน ณ โรงเรียนปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นที่ดินของวัดบวรนิเวศวิหาร ชื่อปัจจุบันที่เป็นทางการคือ โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายาในพระสังฆราชูปถัมภ์ เนื่องด้วยโรงเรียนได้ทูลเชิญ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์อุปถัมภ์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2534", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นครปฐม" }, { "docid": "739454#4", "text": "ในระยะแรก ได้อาศัยโรงเรียนวัดสาลวัน เป็นสถานที่เรียนชั่วคราว ต่อมาได้รับงบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษเป็นแบบรัตนโกสินทร์สมโภช 4 ชั้น 20 ห้องเรียน จำนวน 1 หลัง ", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นครปฐม" }, { "docid": "739454#3", "text": "ต่อมาในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลไทยได้กำหนดให้พ.ศ. 2525 เป็นปีเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ 2 ศตวรรษ และกำหนดให้โรงเรียน บวรนิเวศศาลายาแห่งนี้ เป็นอนุสรณ์ในการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น \"โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา\" และได้เปิดรับนักเรียนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาแบบสหศึกษา ซึ่งกรมสามัญศึกษา ได้แต่งตั้งให้ นายอนันต์   คงถาวร ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบวรนิเวศ มารักษาการในตำแหน่งครูใหญ่ ", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นครปฐม" }, { "docid": "69013#9", "text": "ตราสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#5", "text": "เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 นายประสาร อุตมางคบวร ผู้อำนวยการโรงเรียนวิมุตยารามพิทยากรระดับ ได้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน แทนนายถวิล บุญภักดี ที่ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา ซึ่งโรงเรียนกำลังจะพัฒนาไปสู่ศูนย์บริการทางวิชาการแก่ชุมชนในย่านบางขุนเทียนที่มีคุณภาพมีมาตรฐานทางวิชาการ และได้รับการยอมรับจากชุมชนและกลุ่มโรงเรียนฯ ท่านได้วางรากฐานระบบคอมพิวเตอร์โรงเรียนฯ ท่านได้วางรากฐานระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายในโรงเรียน (LAN) ระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายสำหรับจัดข้อมูลการรับนักเรียนชั้น ม.1 ของกลุ่มโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา ส่วนกลาง กลุ่มที่ 7 และพัฒนาศูนย์วิชาโดยใช้ระบบดาวเทียมสื่อสาร จนกระทั่งวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2539 ได้ได้รับคำสั่งให้ไปเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนทวีธาภิเศก นับว่า ท่านนำโรงเรียนไปสู่ความเป็นสากล", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" }, { "docid": "69013#13", "text": "นตฺถิ ปญฺญา สมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี", "title": "โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน" } ]