query_id
stringlengths
1
4
query
stringlengths
11
185
positive_passages
listlengths
1
9
negative_passages
listlengths
1
30
2472
โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นอะไร ?
[ { "docid": "24448#0", "text": "โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (บ้างเรียก วิทยุโทรศัพท์) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของโทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการอื่น โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูกกล่าวถึงในชื่อสมาร์ทโฟน", "title": "โทรศัพท์เคลื่อนที่" } ]
[ { "docid": "392019#1", "text": "ทรูมูฟ เอช ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ 3G บนคลื่นความถี่ 850 MHz และ 2100 MHz และโครงข่าย 4G LTE บนคลื่นความถี่ 2100 MHz ซึ่งความถี่ 850 MHz เป็นคลื่นความถี่ต่ำสามารถส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้างและทั่วถึง ส่วนคลื่น 2100 MHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สูง ใช้ได้ดีในจุดที่มีการใช้งานหนาแน่น นอกจากนี้ยังมีบริการ WiFi ผ่านระบบ Auto Login หรือเชื่อมต่อแบบอัตโนมัติ ด้วยความเร็วสูงสุด 200 Mbps ผ่าน WiFi hotspots มากกว่า 100,000 จุดทั่วประเทศ", "title": "ทรูมูฟ เอช" }, { "docid": "2937#15", "text": "เทคโนโลยีวิทยุและการแพร่กระจายสเปกตรัม - เครือข่ายท้องถิ่นไร้สายจะใช้เทคโนโลยีวิทยุความถี่สูงคล้ายกับโทรศัพท์มือถือดิจิทัลและเทคโนโลยีวิทยุความถี่ต่ำ. LAN ไร้สายใช้เทคโนโลยีการแพร่กระจายคลื่นความถี่เพื่อการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หลายชนิดในพื้นที่จำกัด. IEEE 802.11 กำหนดคุณสมบัติทั่วไปของเทคโนโลยีคลื่นวิทยุไร้สายมาตรฐานเปิดที่รู้จักกันคือ Wifi", "title": "เครือข่ายคอมพิวเตอร์" }, { "docid": "205076#1", "text": "เอ็มเอ็มเอสนั้นรองรับการส่งรูปภาพสี ภาพเคลื่อนไหว หรือเสียงจากโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง โดยที่โทรศัพท์มือถือเครื่องของผู้รับนั้น จะต้องสามารถรับเอ็มเอ็มเอสรองรับการใช้จีพีอาร์เอสและถ้ายิ่งเป็นเอ็ดจ์ก็จะสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น และก่อนที่จะรับ-ส่งเอ็มเอ็มเอสได้นั้น จะต้องตั้งค่าโทรศัพท์และขอเปิดใช้บริการเอ็มเอ็มเอสและจีพีอาร์เอสจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือก่อนด้วย เอ็มเอ็มเอสนั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเอสเอ็มเอส และถ้าขนาดไฟล์ใหญ่เกินไป ก็จะไม่สามารถส่งได้ จำเป็นจะต้องมีการปรับขนาดให้เล็กลง ซึ่งโดยปกติจะมีอัตราค่าบริการที่แพงกว่าเอสเอ็มเอสแล้วแต่ผู้ให้บริการ ดังนั้นเอ็มเอ็มเอสจึงเป็นการส่งข้อมูลอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งคล้าย ๆ กับ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ บลูทูท เพียงแต่ทั้งสองอย่างนี้ จะไม่มีค่าใช้จ่ายเท่านั้นเอง ก็แล้วแต่เรา ว่าจะเลือกแบบไหน", "title": "บริการข้อความสื่อประสม" }, { "docid": "392019#19", "text": "ทรูมูฟ เอช เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ถือครองคลื่นความถี่สูงถึง 110 MHz (2x55 MHz) นับเป็นอันดับ 2 ในอุตสาหกรรม ปัจจุบัน ทรูมูฟ เอช ได้จัดสรรการให้บริการแต่ละคลื่นความถี่ดังต่อไปนี้\nวันที่ 13 เมษายน 2561 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) รายงานอ้างอิงนิอัลล์ เมอร์ริแกน (Niall Merrigan) นักวิจัยด้านความมั่นคงว่า ข้อมูลผู้ใช้บริการทรูมูฟ เอชรั่วไหล เนื่องจากเก็บข้อมูลในแอมะซอน เอส3 บักเก็ต (Amazon S3 bucket) ที่รักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอ โดยเป็นไฟล์สแกนสำเนาบัตรประชาชน ใบขับขี่และหนังสือเดินทางระหว่างปี 2559 ถึง 2561 จำนวนประมาณ 46,000 ไฟล์ ทั้งนี้ หากบุคคลภายนอกทราบยูอาร์แอลก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ทั้งหมด ทางเมอร์ริแกนพยายามติดต่อบริษัทตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม โดยบริษัทยอมรับว่าไม่มีหน่วยงานด้านความปลอดภัยเฉพาะ เพิ่งมาปิดความเป็นสาธารณะไปเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2561", "title": "ทรูมูฟ เอช" }, { "docid": "32147#6", "text": "มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ชิป มีการสร้างอุปกรณ์อิเลคทรอนิคมากมาย เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ จรวด เรือดำน้ำ อุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ มีการใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ และกระจายไปทั่วโลก แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงและเท่ากันทั่วประเทศ โดยเฉพาะ ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา ที่มีนักประดิษฐ์มากกว่าและมีความพร้อม ได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาลทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นการทำงานแบบองค์กร หรือรูปแบบทีมนั่นเอง", "title": "สิ่งประดิษฐ์" }, { "docid": "99657#62", "text": "ผู้คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือ 27 ล้านคน จากผู้ใช้โทรศัพท์ทั้งประเทศ 45 ล้านคน ทางเอไอเอสใช้พรีเซ็นเตอร์นักร้องลูกทุ่ง 4 คน ที่ได้รับความนิยมคือ พี สะเดิด ฝน ธนสุนทร จากแกรมมี่ บ่าววี และ หลิว อาจารียา พรหมพฤกษ์ จากอาร์สยาม ทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งคอนเสิร์ต โหวตศิลปิน และดาวน์โหลดเพลง ด้วยงบประมาณ 30-40 ล้านบาท และทางด้านทรูมูฟ คู่แข่งจะเพิ่มช่องทางขายซิมการ์ดโดยร่วมมือกับคลื่นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งทำรายได้ถึงร้อยละ 9.6 จากรายได้รวมของทรูมูฟ ทั้งหมด 22,300 ล้านบาท", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "24448#3", "text": "1G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ analog โทรศัพท์มือถือในยุคนั้นไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ความสามารถหลักๆ คือการให้บริการเสียงอย่างเดียว รองรับเพียงการโทรเข้าและรับสาย ยังไม่รองรับการส่งหรือรับ Data ใดๆ แม้แต่จะส่ง SMS ก็ยังไม่สามารถทำได้ ซึ่งในยุคนั้นผู้คนก็ยังไม่มีความจำเป็นในการใช้งานอื่นๆ นอกจากการโทรเข้าออกอยู่แล้ว และกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในเวลานั้น เป็นผู้มีฐานะหรือนักธุรกิจที่ใช้ติดต่องาน เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเวลานั้นมีราคาสูงมาก ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น NMT, AMPS, DataTac เริ่มใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ.1980 2G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GSM, cdmaOne, PDC มีการพัฒนารูปแบบการส่งคลื่นเสียงแบบ Analog มาเป็น Digital โดยการเข้ารหัส โดยส่งคลื่นเสียงมาทางคลื่นไมโครเวฟ โดยการเข้ารหัสเป็นแบบดิจิตอลนี้ จะช่วยในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น และช่วยในเรื่องของสัญญาณเสียงที่ใช้ติดต่อสื่อสารให้มีความคมชัดมากขึ้นด้วย โดยมีเทคโนโลยีการเข้าถึงช่องสัญญาณของผู้ใช้เป็นลักษณะเชิงผสมระหว่าง FDMA และ TDMA (Time Division Multiple Access) เป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารทำให้รองรับปริมาณผู้ใช้งานที่มีมากขึ้นได้ ให้บริการทั้งเสียงและข้อมูล มีการทำงานแบบ circuit switching ที่ความเร็ว 9.6-14.4 kbps 2.5G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่เริ่มนำระบบ packet switching มาใช้ ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GPRS ซึ่งพัฒนาในเรื่องของการรับส่งข้อมูลที่มากขึ้น ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps (แต่ถูกจำกัดการใช้งานจริงอยู่ที่ 40 kbps) สิ่งที่เราจะเห็นได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ก็คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เพิ่มฟังก์ชันการรับส่งข้อมูลในส่วนของ MMS (Multimedia Messaging Service) หน้าจอโทรศัพท์เริ่มเข้าสู่ยุคหน้าจอสี และเสียงเรียกเข้าก็ถูกพัฒนาให้เป็นเสียงแบบ Polyphonic จากของเดิมที่เป็น Monotone และเข้ามาสู่ยุคที่เสียงเรียกเข้าเป็นแบบ MP3 2.75G ยุคนี้เป็นยุคของ EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก GPRS นั่นเอง และในปัจจุบันนี้เราก็ยังคงได้ยินและมีการใช้เทคโนโลยีนี้กันอยู่ ซึ่งได้พัฒนาในเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลไร้สาย ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น , EDGE ให้ความเร็วน้อยกว่า 10 KBPS 3G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ยุคนี้จะเน้นการสื่อสารทั้งการพูดคุยแบบเสียงตามปกติและแบบรับส่งข้อมูลซึ่งในส่วนของการรับส่งข้อมูล ที่ทำให้ 3G นั้นต่างจากระบบเก่า 2G ที่มีพื้นฐานในการพูดคุยแบบเสียงตามปกติอยู่มาก เนื่องจากเป็นระบบที่ทำขึ้นมาใหม่เพื่อให้รองรับกับการรับส่งข้อมูลโดยตรง มีช่องความถี่และความจุในการรับส่งสัญญาณที่มากกว่า ส่งผลให้การรับส่งข้อมูลหรือการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือนั้นเร็วมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ประสิทธิภาพในการใช้งานด้านมัลติมีเดียดีขึ้น และยังมีความเสถียรกว่า 2G ที่มีความสามารถครบทั้งการสื่อสารด้วยเสียงและข้อมูลรวมถึงวิดีโอ ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น W-CDMA, TD-SCDMA, CDMA2000 ความเร็ว มากกว่า 144 kbps 3.5G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้นกว่า 3G เช่น HSDPA ใน W-CDMA 4G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ LTE หรือ", "title": "โทรศัพท์เคลื่อนที่" }, { "docid": "563278#47", "text": "บรอดแบนด์เคลื่อนที่เป็นศัพท์ทางการตลาดสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านเสาโทรศัพท์มือถือไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์, ไปโทรศัพท์มือถือ (เรียกว่า \"เซลล์โฟน\" ในอเมริกาเหนือและแอฟริกาใต้) และไปอุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ ที่ใช้โมเด็มแบบพกพา. บริการบางอย่างของโทรศัพท์มือถือช่วยให้อุปกรณ์มากกว่าหนึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยใช้การเชื่อมต่อแบบเซลลูลาร์เซลล์เดียวโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า tethering โมเด็มอาจจะถูกสร้างไว้ในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป, ในแท็บเล็ต, ในโทรศัพท์มือถือและในอุปกรณ์อื่น ๆ หรืออาจเพิ่มเข้าไปในอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้คาร์ดในเครื่องพีซี, โมเด็ม USB และที่ USB sticks หรือ dongles หรือโมเด็มไร้สายแยกส่วน", "title": "การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "416330#13", "text": "ต่อมา ทีโอทีจับมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือใหม่ 5 ราย (MVNO) ได้แก่\nเปิดให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระยะที่ 3 บนคลื่นความถี่ 2100 เมกกะเฮิร์ต โดยความร่วมมือระหว่างเอไอเอสและทีโอที แต่แท้จริงแล้ว บริการดังกล่าวคือการนำเอาคลื่นความถี่ 1900 เมกะเฮิร์ตที่ทีโอทีมีอยู่จากกิจการไทยโมบาย มาพัฒนาแล้วให้รันเสมือนบนคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิร์ตแทน ซึ่งผู้ให้บริการทั้งหมด 5 รายนี้ จะเข้ามาใช้คลื่นความถี่ของทีโอทีร่วมกันในลักษณะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง หรือ MVNO", "title": "3 จีในประเทศไทย" }, { "docid": "561449#10", "text": "อีกรูปแบบหนึ่งคือ direct sequence spread spectrum (DS-CDMA) ตัวอย่างการใช้เช่นในระบบโทรศัพท์มือถือ 3G. แต่ละบิตข้อมูล (หรือแต่ละสัญลักษณ์) ถูกทำให้มีความหมายเป็นลำดับของรหัสยาวๆของคลื่นพัลส์ต่างๆที่เรียกว่าชิป ลำดับดังกล่าวคือรหัสการแพร่กระจายและสัญญาณแต่ละข้อความ (เช่นโทรศัพท์แต่ละครั้ง) ใช้รหัสการแพร่กระจายที่แตกต่างกัน\nอีกรูปแบบหนึ่งคือ frequency-hopping (FH-CDMA) ซึ่งความถี่ช่องทางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามลำดับที่เป็นรหัสการแพร่กระจาย ตัวอย่างเช่นระบบการสื่อสารบลูทูธ จะมีพื้นฐานบนการรวมกันของความถี่กระโดดกับการสื่อสารโหมดแพ็คเก็ต CSMA/CA (สำหรับข้อมูลที่ใช้งานการสื่อสาร) หรือ TDMA (สำหรับส่งสัญญาณเสียง). โหนดทั้งหมดที่เป็นของผู้ใช้เดียวกัน (ที่เครือข่ายส่วนตัวเสมือนเดียวกันหรือ piconet) ใช้ลำดับความถี่กระโดดเดียวกันพร้อมๆกัน หมายความว่าพวกเขาส่งในช่องความถี่เดียวกัน แต่ CDMA / CA หรือ TDMA ถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันภายใน VPAN . ความถี่กระโดดถูกนำมาใช้เพื่อลด cross-talk และความน่าจะเป็นของความขัดแย้งระหว่างโหนดใน VPAN ที่แตกต่างกัน", "title": "วิธีการเข้าถึงหลายช่องทาง" }, { "docid": "417595#2", "text": "การทำงานทั่วไปของจีพีเอส จะใช้เวลาประมาณ 60-90 วินาทีในการเริ่มต้นระบุตำแหน่ง ซึ่งใช้ข้อมูลการโคจรของดาวเทียมในการคำนวณตำแหน่งปัจจุบัน โดยมีอัตราการส่งสัญญาณอยู่ที่ 50 บิต/วินาที ซึ่งการดาวน์โหลดข้อมูลโคจรโดยตรงหลายครั้งจะกินเวลานานมากกว่านั้น ในระบบเอจีพีเอสจึงถูกนำมาใช้ โดยการทำงานผ่านทางเซิร์ฟเวอร์ของระบบ โดยข้อมูลที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์เอจีพีเอสเป็นข้อมูลจากวงโคจรที่ถูกนำมาเก็บไว้ล่วงหน้าในฐานข้อมูล และเมื่อเครื่องมือเช่นโทรศัพท์มือถือที่ต้องการเชื่อมต่อ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลเหล่านี้จากเซิร์ฟเวอร์โดยตรงผ่านทางคลื่นสัญญาโทรศัพท์มือถือ เช่น GSM, CDMA, WCDMA, LTE หรือแม้แต่สัญญาณวิทยุอย่าง Wi-Fi ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ปกติจะมีการดาวน์โหลดด้วยความเร็วที่สูงกว่า", "title": "เอจีพีเอส" }, { "docid": "348815#4", "text": "ในระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่, SDMA จะมีคุณสมบัติในการระบุตำแหน่งที่ตั้งในพื้นที่ของโทรศัพท์ปลายทาง, เครื่องมือและอุปกรณ์สื่อสารที่มีอยู่ในพื้นที่นั้น โดยจะมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน Network bandwidth\nซึ่งจะแตกต่างจากระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเดิมที่จะมีสถานีศูนย์กลางเป็นตัวเชื่อมโยง แผ่กระจายสัญญาณไปในทุกทิศทางในพื้นที่ โดยที่ไม่รู้ว่าในสถานที่นั้นจะมีอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่หรือไม่ ซึ่งสถาปัตยกรรม SDMA จะเป็นการใช้ช่องทาง (channel) ของคลื่นสัญญาณวิทยุบนพื้นฐานของตำแหน่งอุปกรณ์มือถือ ด้วยวิธีนี้สถาปัตยกรรม SDMA ไม่เพียงแต่จะป้องกันเรื่องคุณภาพของสัญญาณแล้ว ยังป้องกันคลื่นเสียงที่ก่อให้เกิดการรบกวนและการเสื่อมสภาพของสัญญาณที่มาจากบริเวณพื้นที่ ที่อยู่ติดกัน แต่อย่างไรก็ตาม SDMA ยังช่วยป้องกันการซ้ำซ้อนของสัญญาณในพื้นที่ที่ไม่มีอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้งานอยู่หรือไม่มีอยู่ในบริเวณนั้น", "title": "Space Division Multiple Access" }, { "docid": "24448#11", "text": "โทรศัพท์เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ช่วยร่นระยะเวลา ระยะทางในการสื่อสารของคนยุคปัจจุบัน เป็นเทคโนโลยีที่สร้างประโยชน์ได้มากต่อการพัฒนาความก้าวหน้าในด้านต่างๆของโลก ซึ่งปัจจุบันโทรศัพท์มือถือมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก ด้วยความบันเทิงหลากหลายที่เป็นจุดขายดึงดูดวัยรุ่นยุคปัจจุบันที่ดำเนินชีวิตอยู่กับเทคโนโลยี ทำให้เครื่องมือสื่อสารชนิดนี้มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต วัยรุ่นมักนำความสามารถทุกอย่างที่โทรศัพท์มือถือทำได้มาประยุกต์ในทางที่เสื่อมมากกว่าทางสร้างสรรค์ โทรศัพท์มือถือมีอิทธิพลต่ออารมณ์ให้เป็นคนขาดความอดทน ใจร้อน ขาดความรอบคอบ อารมณ์รุนแรง มีอิทธิพลในการใช้เงินของวัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นมีความต้องการที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ให้อินเทรนด์ อยู่เสมอ มีอิทธิพลต่อการศึกษาและการพัฒนาความรู้ นอกจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำลายเซลล์สมองให้ด้อยพัฒนาแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพและลดสมาธิในการเรียน ด้านการแก้ไขพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของวัยรุ่น คือวัยรุ่นควรตระหนักถึงข้อดีข้อเสียให้มาก ปรับเปลี่ยนการใช้โทรศัพท์ให้เหมาะสม เพราะกลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มประเมินสำคัญที่บ่งบอกถึงความก้าวหน้าของประเทศได้..... อ่านต่อได้ที่:", "title": "โทรศัพท์เคลื่อนที่" }, { "docid": "736350#0", "text": "โนเกีย 2760 เป็นโทรศัพท์มือถือแบบฝาพับ ออกแบบโดยโนเกีย ในปี2550 และผลิตในฮังการี ใช้คลื่นความถี่แบบ Dual GSM 900/1800 หรือ 850/1900 (รองรับEDGE) โนเกีย 2760 ใช้มากที่สุดในประเทศฟินแลนด์", "title": "โนเกีย 2760" }, { "docid": "178424#6", "text": "ความตั้งใจของกูเกิล ที่จะเข้าสู่ตลาดเครื่องมือสื่อสาร อย่างโทรศัพท์มือถือได้มาถึงช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ตามรายงานของบีบีซี และ วอลล์สตรีตเจอร์นัล ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กูเกิลพยายามที่จะผลิตโทรศัพท์มือถือที่ใช้สำหรับค้นหา และ ใช้โปรแกรมประยุกต์ หรือ แอปพลิเคชันได้ และกูเกิลได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้ และมีข่าวลือว่า กูเกิลจะพัฒนาโทรศัพท์มือถือภายใต้ชื่อสินค้าของตนเอง บางคนก็สันนิษฐานว่ากูเกิลจะกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือ และส่งให้กับผู้ผลิต และ ผู้ให้บริการเครือข่าย ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 อินฟอร์เมชันวีก (InformationWeek) ร่วมมือกับ เอแวลูเซิร์ฟ (Evalueserve) เพื่อที่จะศึกษารายงานของกูเกิลในการยื่นสิทธิบัตรเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ", "title": "แอนดรอยด์ (ระบบปฏิบัติการ)" }, { "docid": "232224#0", "text": "การสื่อสารสนามใกล้ ( ; NFC) เป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้นระยะประมาณ 4 ซม. ที่ใช้ได้ดีกับโครงสร้างพื้นฐานแบบไร้สัมผัส ช่วยสนับสนุนรองรับการสื่อสารระหว่างเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในระยะใกล้ ๆ การสื่อสารสนามใกล้ถูกพัฒนาขึ้นโดยโซนี่และ NXP โดยใช้คลื่นความถี่ 13.56 MHz. บนพื้นฐานมาตรฐาน ISO 14443 (Philips MIFARE and Sony’s FeliCa) ปัจจุบันบริษัททั้งสองได้ร่วมมือกับบริษัทผู้ลิตและพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ จัดตั้งเป็น NFC Forum เพื่อให้เกิดการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น ในระยะเริ่มแรกมีบริษัทโทรศัพท์มือถือชั้นนำของโลกประกาศนำเทคโนโลยีนี้มา ใช้กับโทรศัพท์มือถือแล้ว เช่น โนเกีย, ซัมซุง, โมโตโรลา เป็นต้น", "title": "การสื่อสารสนามใกล้" }, { "docid": "26787#30", "text": "เพื่อเข้าถึงความต้องการสำหรับการใช้งานเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi จึงมีการใช้พลังงานค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานอื่น ๆ เทคโนโลยีเช่นบลูทูธ (ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน PAN แบบไร้สาย) ให้พิสัยการกระจายคลื่นที่สั้นมาก ระหว่าง 1 ถึง 100 เมตร และโดยทั่วไปก็มีการใช้พลังงานที่ต่ำกว่า เทคโนโลยีพลังงานต่ำอื่น ๆ เช่น ZigBee มีพิสัยค่อนข้างไกล แต่อัตรารับส่งข้อมูลต่ำกว่ามาก การใช้พลังงานที่สูงของ Wi-Fi ทำให้แบตเตอรี่ใน โทรศัพท์มือถือน่าเป็นห่วง", "title": "ไวไฟ" }, { "docid": "42279#5", "text": "CamShin เป็นผู้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรคมนาคมในประเทศกัมพูชาเป็นเวลา 35 ปี มีกำหนดสิ้นสุดในปี 2571 โดยให้บริการโทรศัพท์มือถือ ภายใต้ระบบ Digital GSM 1800 MHz ทั้งแบบ Postpaid และแบบ Prepaid และบริการโทรศัพท์พื้นฐานภายใต้ระบบ Wireless Local Loop System (WLL) ภายใต้ 2 คลื่นความถี่ คือ 450 MHz และ 1800 MHz ในประเทศกัมพูชา และภายหลัง ได้คลื่นเพิ่มบริการความถี่ 900 รวมถึงบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ผ่าน VoIP (Voice over IP) ", "title": "ไทยคม (บริษัท)" }, { "docid": "416330#1", "text": "ใน พ.ศ. 2550 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเริ่มเห็นความสำคัญของระบบโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระยะที่ 3 (3 จี) และได้เรียกประชุมผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะนั้น คือ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท โทเทิล แอคเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ฮัจจิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด มาร่วมกันหารือเรื่องการพัฒนาโครงข่าย 3 จีบนคลื่นความถี่เดิมที่ตัวเองถืออยู่ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น โดยบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เห็นว่าสามารถให้บริการได้แน่นอนภายในกรอบระยะเวลา 6 เดือน แต่ติดปัญหาที่ตนถือคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ต ส่วนทางบริษัท โทเทิล แอคเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นั้นถือคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิร์ตจากกสท. โทรคมนาคมอยู่ ส่วนทางบริษัท ทรูมูฟ จำกัด หวังแบ่งสัมปทานคลื่นความถี่ 850 เมกกะเฮิร์ต ของเครือข่ายฮัทซ์ จากทางกสท. โทรคมนาคมมาทำการพัฒนาเพิ่มเติมเท่านั้น", "title": "3 จีในประเทศไทย" }, { "docid": "938028#0", "text": "อาการหลอนคิดว่ามือถือสั่น () เป็นอาการที่คิดว่าโทรศัพท์มือถือมีการสั่นหรือเสียงเรียกเข้าเมื่อจริง ๆแล้วไม่มีใครโทรเข้า บางครั้งเรียกว่า ริงโทนวิตกกังวล (ringxiety) หรือ ฟอซอะลาม (fauxcellarm มาจากคำว่า\"faux\" /fō/ แปลว่า ปลอม หรือ ผิด และ มือถือ (cellphone) และเสียงร้อง (alarm)) หรือ โฟนทอม (phonetom) (เป็นการรวมกันระหว่าง \"phone\" และ \"phantom\") ดอกเตอร์ไมเคิล โรธเบิร์กกล่าวว่า อาการหลอนคิดว่ามือถือสั่นไม่ใช่กลุ่มของอาการโรคแต่เป็นการหลอนของประสาทสัมผัสที่สมองรับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่มีอยู่จริง บางครั้งอาจเกิดระหว่างอาบน้ำ ดูโทรทัศน์ หรือใช้เครื่องมือที่มีเสียงดัง มนุษย์มักจะเซนซิทีฟกับโทนเสียงในช่วง 1,000 ถึง 6,000 เฮิรตซ์ และเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือมักอยู่ในช่วงนี้ อาการหลอนคิดว่ามือถือสั่นจะเกิดขึ้นหลังผู้ใช้พบมือถือที่ตั้งระบบสั่นไว้ นักวิจัยมิเชล ดรูอินพบว่าเกือบ 9 ใน 10 นักศึกษาปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของเธอมีอาการนี้ ", "title": "อาการหลอนคิดว่ามือถือสั่น" }, { "docid": "10098#17", "text": "ตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นควบคุมการรั่วไหลของคลื่นไมโครเวฟให้มีได้ไม่เกิน 1 mW/cm ที่ 5 cm จากเตาอบใหม่ (เตาอบเก่านั้นให้มีได้ 5 เท่า) โดยปกติแล้วโอกาสที่เตาอบไมโครเวฟจะมีคลื่นรั่วออกมาเกินจากปริมาณที่กำหนดนี้จะมีน้อยมาก เพราะตัวเครื่องจะทำด้วยโลหะแล้วต่อลงกราวด์น ลองเปรียบเทียบกับ โทรศัพท์มือถือ () GSM ซึ่งแผ่คลื่นถึง 1 W ที่ 1800 MHz ซึ่งเท่ากับ 2 mW/cm ที่ 5 cm ซึ่งอันตรายจากคลื่นจากโทรศัพท์มือถือนี้ ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด และยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่", "title": "เตาอบไมโครเวฟ" }, { "docid": "563278#48", "text": "ทุก ๆ สิบปีเทคโนโลยีใหม่ของโทรศัพท์มือถือและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติของพื้นฐานของการบริการ, เทคโนโลยีการส่งผ่านที่ไม่ย้อนกลับที่เข้ากันได้, จุดสูงสุดของอัตราความเร็วที่สูงขึ้น, คลื่นความถี่ใหม่, ช่องแบนด์วิดท์ที่กว้างขึ้นมีความพรอมใช้งานได้ การเปลี่ยนเหล่านี้จะเรียกว่า generation ครั้งแรกที่ให้บริการข้อมูลบนมือถือได้อยู่ในช่วงยุคที่สอง (2G)", "title": "การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "41403#2", "text": "เอไอเอสเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด หลังจากนั้นบริษัทขยายกิจการโดยการเข้าซื้อกิจการในเครือชินวัตร เช่น \"ชินวัตร ดาต้าคอม\" (ปัจจุบันคือ บริษัท แอดวานซ์ ดาต้าเน็ตเวิร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด) , \"ชินวัตร เพจจิ้ง\" เป็นต้น บริษัทเปิดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบจีเอสเอ็ม ในชื่อ Digital GSM ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2537 และได้ขยายเวลาร่วมสัญญาเป็น 25 ปี (หมดสัญญาปี พ.ศ. 2558) เมื่อ พ.ศ. 2539เอไอเอส เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ถือครองคลื่นความถี่สูงถึง 120 MHz (2x60 MHz) นับเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม และเป็นครั้งแรกที่เอไอเอสมีคลื่นความถี่ในมือมากที่สุด ปัจจุบัน เอไอเอส ได้จัดสรรการให้บริการแต่ละคลื่นความถี่ดังต่อไปนี้", "title": "แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส" }, { "docid": "618657#251", "text": "โทรศัพท์มือถือหรือเซลล์โฟน เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระยะไกลที่ใช้สำหรับการสื่อสารเคลื่อนที่ของเสียงหรือข้อมูลผ่านเครือข่ายของสถานีฐานเชี่ยวชาญเฉพาะ ที่รู้จักกันเป็นเซลล์ไซต์. โทรศัพท์มือถือช่วงต้นได้ใช้คลื่นวิทยุ FM ในการใช้งานอยู่นานหลายปี, แต่เนื่องจาก จำนวนความถี่วิทยุที่มีจำกัดมากในหลายพื้นที่, จำนวนการใช้โทรศัพท์จึงมีจำกัดไปด้วย. เพื่อแก้ปัญหานี้, อาจจะมีพื้นที่ขนาดเล็กจำนวนมากที่เรียกว่าเซลล์ ที่แชร์ความถี่เดียวกัน. เมื่อผู้ใช้ เคลื่อนที่จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งในขณะที่กำลังโทร, การโทรจะต้องถูกสวิตช์ไปโดยอัตโนมัติโดยสายไม่หลุด. ในระบบนี้ ความถี่วิทยุจำนวนน้อยสามารถรองรับการโทรจำนวนมากได้. การโทรด้วยมือถือครั้งแรกทำจากโทรศัพท์ในรถในเซนต์หลุยส์, มิสซูรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1946 แต่ระบบก็ทำไม่ได้จากสิ่งที่ถือว่าเป็นโทรศัพท์มือถือแบบพกพาในปัจจุบัน. อุปกรณ์หนัก 80 ปอนด์, และใช้บริการของ AT&T, ที่โดยทั่วไปเป็นสายที่มีการใช้หนาแน่น, มีค่าใช้จ่าย $30 ต่อเดือน บวก 30 ถึง 40 เซ็นต์ต่อการโทรท้องถิ่นหนึ่งครั้ง.[226] เครือข่ายและโครงสร้างสนับสนุนพื้นฐานของ เซลล์หกเหลี่ยมที่ใช้ในการสนับสนุนระบบโทรศัพท์มือถือในขณะที่ยังคงใช้ช่องสัญญาณเดียวกันได้ถูกดัดแปลงโดย Douglas H. Ring และ W. Rae Young ที่ AT&T Bell Labs ในปี 1947. ในที่สุดในปี 1973 มาร์ติน คูเปอร์ ได้คิดค้นมือถือเซลลูลาร์/โทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรก. การโทรด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาครั้งแรกถูกเรียกไปที่ โจเอล เอส Engel ในเดือน เมษายน 1973.[11][227]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "24448#4", "text": "Long Term Evolution ได้มีการพัฒนาในเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูล ที่ทำได้เร็วขึ้นถึง 100 MBPS สำหรับความเร็วขนาดนี้นั้น ทำให้สามารถใช้งานโทรศัพท์มือถือ ของคุณได้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การดูไฟล์วีดิโอออนไลน์ด้วยความคมชัด และไม่มีการกระตุก, การสื่อสารข้ามประเทศ อย่างโทรศัพท์แบบเห็นหน้ากันแบบโต้ตอบทันที (Video Call)หรือจะเป็นการประชุมผ่านโทรศัพท์ (Mobile) ก็เป็นเรื่องง่ายขึ้น แถมยังมีค่าใช้จ่ายน้อยลงอีกด้วย สามารถเชื่อมต่อข้อมูล 3 แบบ ภาคพื้นดิน CDMA PAP และการเชื่อมต่อ Wi-Fi เพื่อการเชื่อมภาพและเสียงเป็นข้อมูลเดียวกัน และมีการพัฒนาต่อยอด เป็น 4.5G หรือเรียกว่า LTE-Aหรือ LTE Advance โดยมีความสามารถสูงกว่า LTE เดิม มีความสามารถรวมคลื่นความถี่หลากหลายๆคลื่นความถี่ ทำให้มีความเร็วสูงขึ้นสูงสุดได้ถึง 300Mbps ทำให้รองรับการใช้งานหนาแน่นและเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานในพื้นที่นั้นๆได้อีกด้วย เป็นการเตรียมตัวสู่ยุค 5G ในอนาคตอีกด้วย", "title": "โทรศัพท์เคลื่อนที่" }, { "docid": "561449#3", "text": "พื้นฐานของรูปแบบการเข้าถึงหลายช่องทางมีสี่ประเภท ได้แก่:\nFrequency Division Multiple Access (FDMA) เป็นรูปแบบการเข้าถึงที่ขึ้นอยู่กับ frequency-division multiplexing (FDM) ซึ่งจัดให้มีคลื่นความถี่ที่แตกต่างกันกับกระแสข้อมูลที่แตกต่างกัน กระแสข้อมูลจะถูกจัดสรรไปยังโหนดหรืออุปกรณ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของระบบ FDMA คือ ระบบโทรศัพท์มือถือที่โทรศัพท์ 1G, ที่ซึ่งการใช้ของแต่ละเครื่องได้รับมอบหมายให้มีช่องความถี่อัปลิงค์และช่องความถี่ดาวน์ลิงค์เฉพาะ ดังนั้นสัญญาณแต่ละข้อความจึงใช้ความถี่ของคลื่นพาหะที่เฉพาะเจาะจง", "title": "วิธีการเข้าถึงหลายช่องทาง" }, { "docid": "116024#2", "text": "AirCard คือ โมเด็มอย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย โดยใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีการเชื่อมสัญญาณเข้ากับ Cellsite ของเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทำให้เล่นเน็ตที่ไหนก็ได้ที่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ", "title": "แอร์คาร์ด" }, { "docid": "785234#4", "text": "การใช้แอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือและการเติบโตของสมาร์ตโฟนก่อให้เกิดรูปแบบที่ง่ายต่อการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ คาดว่าการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือมีขอบเขตที่กว้างขึ้น นอกจากนี้การใช้กล้องถ่ายรูปและอินเทอร์เน็ต ผ่านเทคโนโลยีของสมาร์ตโฟน ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการกลั่นแกล้งกัน และดูเหมือนว่าการกลั่นแกล้งผ่านโทรศัพท์มือถือจะมากกว่าการกลั่นแกล้งวิธีอื่น ", "title": "การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์" }, { "docid": "40391#5", "text": "การควบคุมระบบโทรมาตรและระบบการควบคุมการจราจร อุปกรณ์ควบคุมระยะไกลด้วยอินฟราเรดและอัลตราโซนิก วิทยุเคลื่อนที่ภาคพื้นมืออาชีพ LMR (Land Mobile Radio) และ วิทยุมือถือเฉพาะกิจ SMR (Specialized Mobile Radio) ที่ใช้โดยทั่วไปในธุรกิจ, อุตสาหกรรมและหน่วยงานความปลอดภัยสาธารณะ วิทยุสองทางผู้บริโภครวมทั้ง FRS (Family Radio Service) GMRS (General Mobile Radio Service) และวิทยุ Citizens band (\"CB\") วิทยุสมัครเล่น (แฮมวิทยุ) วิทยุ VHF สำหรับผู้บริโภคและมืออาชีพทางทะเล อุปกรณ์ Airband และวิทยุนำทางที่ใช้โดยนักบินและการควบคุมการจราจรทางอากาศ โทรศัพท์มือถือและวิทยุติดตามตัว: ให้การเชื่อมต่อสำหรับการใช้งานแบบพกพาและโทรศัพท์มือถือทั้งในส่วนบุคคลและธุรกิจ ระบบ Global Positioning System (GPS): ช่วยให้คนขับรถยนต์และรถบรรทุก, กัปตันของเรือและเรือและนักบินของเครื่องบินเพื่อยืนยันสถานที่ของพวกเขาที่ใดก็ได้บนโลก. อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ไร้สาย: เมาส์ไร้สายเป็นตัวอย่างที่พบโดยทั่วไป, แป้นพิมพ์และเครื่องพิมพ์ยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านเทคโนโลยีไร้สายเช่น Wireless USB หรือ Bluetooth โทรศัพท์บ้านแบบ cordless: เป็นอุปกรณ์ที่จำกัดระยะการใช้ อย่าสับสนกับโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ดาวเทียม: มีการออกอากาศจากดาวเทียมในวงโคจร บริการโดยทั่วไปจะใช้ดาวเทียมออกอากาศทางตรงที่จะให้สถานีโทรทัศน์หลายสถานีกับผู้ชม", "title": "การสื่อสารไร้สาย" } ]
1907
ทาทา ยังเกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "120787#0", "text": "อมิตา มารี ยัง (; เกิด 14 ธันวาคม พ.ศ. 2523) หรือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[836,850,3,3]}'>ทาทา ยัง หรือ อมิตา ทาทา ยัง หรือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[881,909,3,3]}'>อมิตา ยัง สีณพงศ์ภิภิธ เป็นนักร้องหญิง Diva แนวหน้าของประเทศไทย นักแสดง และนางแบบลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ทาทาเข้าสู่วงการดนตรีภายหลังชนะเลิศการประกวดร้องเพลงระดับชาติเมื่ออายุ 11 ปี และได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องอาชีพเมื่ออายุ 14 ปี กับสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีผลงานอัลบั้มอัลบั้มแรกคือ อมิตาทาทายัง เมื่อปี พ.ศ. 2538[1] อัลบั้มดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 1.3 ล้านชุด ภายในเวลา 5 เดือน [2] อัลบั้ม ทาทาวันมิลเลียนกอปปีส์เซเลอเบรชัน เป็นอัลบั้มซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จดังกล่าว ซึ่งอัลบั้มนี้ก็มียอดขายเกิน 1 ล้านชุดอีกเช่นกัน ส่งผลให้เป็นนักร้องที่มีอายุน้อยที่สุดที่มีอัลบั้มทะลุล้านตลับถึง 2 อัลบั้มติดต่อกัน [3]", "title": "ทาทา ยัง" } ]
[ { "docid": "300471#23", "text": "การถ่ายภาพในครั้งนี้สาวๆจะได้เป็นแวมไพร์สาว โดยจะต้อง โพสท์ท่าในอ่างที่เต็มไปด้วยเลือด กับแวมไพร์หนุ่มโดยการในการถ่ายภาพครั้งนี้ อเลเชีย, เรน่า และ ทาเทียน่าทำออกมาได้ดี แต่ ซีโมน, แอนสลีย์ และคริสต้ากลับมีปัญหา ในห้องตัดสินกรรมการรักภาพของอเลเชียที่สุด และตัดสินใจให้เธอถูกเรียกชื่อคนแรกเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ส่วนภาพของ แอนสลีย์ และ ซีโมนออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งสองคนจึงต้องตกเป็นสองคนสุดท้าย แอนสลีย์ ถ่ายภาพออกมาแย่ และมีข้อแก้ตัวตลอดเวลา ส่วนซีโมน ถ่ายภาพออกมา ดูเป็นการประดิษฐ์ท่า มากเกินไป และขาดแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพ สุดท้ายเธอจึงต้องเป็นผู้ที่ถูกส่งกลับบ้าน", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 14" }, { "docid": "99501#0", "text": "คิวบอกทาฮีดรอนปลายตัด () เป็นทรงหลายหน้า (polyhedron) ที่ประกอบด้วยหน้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 12 หน้า หน้ารูปหกเหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่า 8 หน้า และหน้ารูปแปดเหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่า 6 หน้า รวม 26 หน้า แต่หน้าเรียงตัวโดยไม่มีหน้าชนิดเดียวกันอยู่ติดกัน ทรงนี้มี 48 จุดยอด 72 ขอบ และเป็นทรงตันอาร์คิมิดีส (Archimedean solid)", "title": "คิวบอกทาฮีดรอนปลายตัด" }, { "docid": "290482#26", "text": "·       เอล (ญี่ปุ่น: エル \"Eru\") เอรุเป็นคาแรกเตอร์ตัวที่สองของอุตาอุ เป็นคาแรกเตอร์ที่เกิดมาพร้อมความคิดด้านสว่างของเธอ หล่อนชอบอุตาอุมาก ทั้งๆ ที่อุทาอุก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ เอรุเคยหนีออกมา และบังเอิญเกิดอุบัติเหตุกับอามุ ทำให้หล่อนต้องอยู่กับอามุเป็นการชั่วคราว แต่ก็ยังบ่นพร่ำเพ้อว่า \"หล่อนยังไงก็รักอุตาอุ แต่ต้องมาอยู่กับศัตรู\" หล่อนเคยแปลงเป็นคาแรกเตอร์กับอามุ ชื่อ \"อามุเล็ต แองเจิ้ล\" แต่การแปลงเป็นคาแรกเตอร์กับคนอื่นทำให้ใช้พลังงานมากเกินกว่าที่จะเป็น ตอนแรกๆเอรุทำให้อามุต้องอายอยู่หลายครั้งตอนเปลื่ยนกับเธอ แต่ในที่สุดที่อุทาอุนั้นยอมรับเธอ เมื่อใช้ร่างจำแรงกับอุทาอุ ชื่อ \"Seraphic Charm\" โดยมีปีกที่สวยงามอยู่กลางหลัง และท่าที่สำคัญคือการร้องเพลงกล่อมเด็ก ซึ่งทำให้ทุกอย่างสงบนิ่ง และเคยนำไปใช้เปลี่ยนแปลงบัทสึทามะให้กลับเป็นไข่แห่งจิตใจดังเดิม", "title": "รายชื่อตัวละครในคาแรคเตอร์ผู้พิทักษ์" }, { "docid": "44962#13", "text": "ไททานิก ได้รับรางวัลระดับแนวหน้าของโลกจำนวนมาก แต่ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุด คือ การที่สามารถชนะเลิศรางวัลออสการ์ ได้ถึง 11 สาขา ซึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดที่ได้รางวัลออสการ์มากกว่า 11 สาขาเลย ส่วนภาพยนตร์ที่ได้รางวัล 11 สาขาเท่ากัน มีเพียง 3 เรื่องในประวัติศาสตร์ คือ เบนเฮอร์, ไททานิก และ รางวัลที่มีชื่อเสียงที่ภาพยนตร์เรื่องไททานิกได้รับ ได้แก่", "title": "ไททานิก (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "26648#27", "text": "ในเช้าวันเดินทาง ตามกฎการเดินเรือ เจ้าหน้าที่ประจำเรือต้องฝึกซ้อมการใช้เรือชูชีพเผื่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน การฝึกซ้อมในเช้านั้นแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ดังนั้นจึงมีลูกเรือมาฝึกซ้อมเพียงไม่กี่นาย แต่เดิม\"ไททานิก\"ถูกออกแบบมาให้มีเรือชูชีพ 32 ลำ แต่ต่อมาถูกตัดออกเหลือ 20 ลำซึ่งจุผู้โดยสารรวมกันได้ 1,178 คนเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าเกะกะ อีกทั้งเห็นว่าจำนวนเพียงเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้วตามกฎหมายการเดินเรือในยุคนั้นที่กำหนดจำนวนเรือชูชีพตามน้ำหนักเรือเป็นเกณฑ์โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้โดยสาร ซึ่งในกรณีของ\"ไททานิก\" เรือชูชีพเพียงแค่ 962 ที่ก็เป็นการเพียงพอแล้ ตามกฎหมาย", "title": "อาร์เอ็มเอส ไททานิก" }, { "docid": "773164#12", "text": "5% ของประชากรโลกมีโปรตีน globin ที่ต่างไปจากปกติ แต่เพียงแค่ 1.7% มีทาลัสซีเมียแบบแอลฟาหรือบีตา ทั้งชายหญิงมีโรคเท่า ๆ กัน โดยมีอัตราที่ 4.4 ต่อเด็กที่เกิดโดยรอดชีวิต 10,000 คน แบบอัลฟาเกิดบ่อยที่สุดในคนแอฟริกาและคนเอเชียอาคเนย์ แบบเบตาเกิดบ่อยที่สุดในคนเขตเมดิเตอร์เรนียน คนแอฟริกา และคนเอเชียอาคเนย์ โดยมีความชุกของโรคในหมู่คนเหล่านี้ประมาณ 5-30%", "title": "ทาลัสซีเมียแบบแอลฟา" }, { "docid": "26648#62", "text": "ยังมีปริศนาอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับความกระจ่าง เป็นต้นว่า เรือลึกลับที่มีผู้รอดชีวิตเห็นขณะ \"ไททานิก\" กำลังอับปางนั้นคือเรือลำใดแน่ บ้างเชื่อว่าเป็นเรือ\"แคลิฟอร์เนียน\" แต่บ้างคิดว่าอาจไม่ใช่เพราะหลักฐานเท่าที่สอบสวนได้ยังไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดลงไปเช่นนั้น รวมทั้งเรื่องที่ว่า\"ไททานิก\"อับปางในลักษณะใดกันแน่ จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตที่ว่า\"ไททานิก\"หักเป็น 2 ท่อนนั้น ผู้เชี่ยวชาญสมัยนั้นรวมทั้งคนทั่วไปไม่ค่อยให้ความเชื่อถือนัก คิดว่าผู้เล่าเห็นเหตุการณ์ไม่ชัดและเล่าผิดพลาดมากกว่า ส่วนใหญ่คงเชื่อว่าเรือ\"ไททานิก\"จมลงไปทั้งลำ ", "title": "อาร์เอ็มเอส ไททานิก" }, { "docid": "357935#5", "text": "ในห้องตัดสิน มอลลี่,บริททานี่และอเล็กซานเดรีย ถ่ายภาพออกมาได้ดีที่สุด ในขณะที่คาเชีย ถูกติว่า ไม่สามารถแสดงความเซ็กซี่ ที่มีอยู่ในรูปร่างของเธอ ให้ออกมาทางภาพถ่ายได้ แจคลิน ได้รับคำชมว่า ถ่ายภาพออกมาเปล่งประกายเหมือนดารา แต่ถูกเตือนว่า การถ่ายโดยรวมยังไม่ดีเท่าไหร่ โดมินิคกับแอนเจเลีย ต้องตกเป็นสองคนสุดท้าย เนื่องจาก ถ่ายภาพออกมาได้แย่ที่สุด แต่เนื่องจาก โดมินิค มีบุคลิกภาพที่ดีกว่า นั่นทำให้แอนเจเลีย ต้องเป็นผู้ที่ถูกส่งกลับบ้านเป็นคนแรก", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 16" }, { "docid": "260729#19", "text": "ต่อมาคือการถ่ายภาพที่ครั้งนี้มีช่างภาพเป็นนางแบบชื่อดังอย่าง ไทร่า แบงค์ ที่มาถ่ายภาพให้สาวๆด้วยตนเอง หัวข้อของการถ่ายแบบคือ การถ่ายบิวตี้ ช็อท กับ ผ้าทอ โดยรวมแล้วการถ่ายภาพครั้งนี้ บริททานี่ และ เอริน เป็นที่น่าพอใจ ส่วน บีอังก้า, แอชลีย์ และ ซันเด ออกมาไม่น่าพอใจเท่าไหร่ หลังจากการถ่ายภาพเสร็จสิ้นลงไทร่าได้ออกมาประกาศว่า บริททานี่ เป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายภาพครั้งนี้มากที่สุด และ เธอสมควรที่จะได้สิทธิ์คุ้มกันการถูกคัดออกไป มาถึงห้องตัดสิน แอชลีย์ และ ลอร่า ถูกติเรื่องการแต่งกาย รวมไปถึงภาพที่ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่อย่าง แอชลีย์, บีอังก้า และคาร่า การเรียกชื่อเริ่มต้นขึ้นจนกระทั่งเหลือเพียง 2 คนสุดท้ายนั้นคือ บีอังก้า และ แอชลีย์ ผลที่ออกมาคือ บีอังก้าต้องเป็นคนที่ถูกส่งกลับบ้าน เนื่องจากการสื่อที่ออกมาทางหน้าตา ยังไม่หนักแน่นเพียงพอ ", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 13" }, { "docid": "205819#1", "text": "สิ่งเดียวที่เป็นงานหลักที่สามีฝากไว้ให้เธอจำใจต้องทำให้ ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไหร่ นั่นคือการเลี้ยงเต่าชื่อ คาเมะทาโร่ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของสามี", "title": "Kame Wa Igai To Hayaku Oyogu" }, { "docid": "13734#22", "text": "กับผู้ชายคนอื่น เธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่และมักใช้คนเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะเรียวกะ กับ คุโน่ ทาเทวากิ ใครขวางเธอกับรันม่าเธอก็จะอัดโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่กับรันม่าจัมปูขี้อ้อน เอาอกเอาใจเก่ง ซึ่งแม้ว่าจัมปูจะพยายามเท่าไหร่ รันม่าก็ไม่ชอบนิสัยขี้ตื้อของจัมปูเท่าไหร่นัก ส่วนมากจะใช้จัมปูเป็นเครื่องมือทำให้อากาเนะหึง เมื่อหมดความอดทนเธอก็จะใช้กำลังหรืออุบายกับรันม่าแทน", "title": "รันม่า ½" }, { "docid": "153786#5", "text": "หัวหน้าพ่อบ้านที่ไม่ค่อยจะอยู่คฤหาสน์สักเท่าไหร่ เพราะติดงานที่คาดไม่ถึงเป็นประจำ ต้องการให้ฮายาเตะออกจากงาน ด้วยวิธีต่างๆ เช่น\nให้สู้กับทามะ , สู้กับหุ่นยนผู้พิทักษ์ ฯลฯ สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ การถูกไล่ออกจากงาน หรือการที่ไม่ได้รับความสนใจจากคุณหนู", "title": "รายชื่อตัวละครในฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "209721#14", "text": "ความสำคัญของรูปลักษณ์ภายนอกและการปกปิดกายภาพยังทำให้สามารถเกิดการ—ปลอมตัว—หนึ่งปัจจัยจู่โจมวัฒนธรรมของทัสเคน ถึงแม้ว่ามนุษย์ทรายถูกมองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่โหดร้ายโดยอาณานิคมมนุษย์บนทาทูอีน และไม่มีใครรู้ว่ามีพวกเขาทั้งหมดเท่าไหร่ อย่างน้อยในทศวรรษสุดท้ายของสาธารณรัฐกาแลกติก พวกเขาก็มีจำนวนพอๆ กับมนุษย์ที่มาตั้งรกราก", "title": "ทัสเคนเรดเดอร์" }, { "docid": "44545#37", "text": "\"คาตาโอกะ ทามาโอะ\" น้องชายของทามาโกะ มีศักดิ์เป็นน้าของโนบิตะ นิสัยดี และมีจิตใจอ่อนโยนแต่เป็นคนพูดไม่เก่งและขี้อายมาก ทำให้ความสัมพันธ์ในด้านความรักไม่คืบหน้าเท่าที่ควร (ปรากฏในตอน ทาโร่เถรตรง)", "title": "รายชื่อตัวละครในโดราเอมอน" }, { "docid": "175516#5", "text": "ทามามะไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับรุ่นพี่ เช่น สิบเอกคุรูรุ สิบจัตวาโดโรโระ เพราะทามามะนับถือรุ่นพี่เป็นหัวหน้าจึงไม่ค่อยมีความสัมพันธ์เท่าไหร่แต่กับสิบโทมีมากซะยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แต่ถ้าเป็นความสนิทกับรุ่นพี่โดยยกเว้นเคโรโระแล้วจะไปสนิทกับกีโรโระมากกว่า แต่ทามามะก็คอยช่วยรุ่นพี่เฉพาะเวลาที่ต่อสู้กับศัตรูที่เก่ง ๆ ด้วยเหตุนี้ทามามะจึงไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับรุ่นพี่แต่จะคิดว่ารุ่นพี่เป็นหัวหน้าเป็นคนที่ใหญ่กว่าเราเพราะในทีมเคโรโระทามามะเป็นพลทหารซึ่งถือว่าระดับชั้นเล็กที่สุด", "title": "ทามามะ" }, { "docid": "480363#0", "text": "ไฮโดรเจนแอสทาไทด์ () หรือ แอสทาเทน () มีสูตรทางเคมีว่า HAt เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่เกิดจากอะตอมของธาตุแอสทาทีนเชื่อมกับอะตอมไฮโดรเจนด้วยพันธะโคเวเลนต์ สารประกอบชนิดนี้จัดอยู่ในประเภทไฮโดรเจนแฮไลด์ (hydrogen halide) ซึ่งประกอบด้วยสาร 5 ชนิดที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน โดยไฮโดรเจนแอสทาไทด์มีสภาพเป็นกรดสูงสุดในกลุ่มดังกล่าว แต่สารชนิดนี้ยังใช้ประโยชน์ได้ในวงจำกัด เนื่องจากสามารถสลายตัวออกเป็นไฮโดรเจนกับแอสทาทีนได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับไอโซโทปของแอสทาทีนที่มีครึ่งชีวิตสั้น สาเหตุที่สลายตัวเร็วเนื่องจากทั้งไฮโดรเจนและแอสทาทีนมีค่าอิเล็กโตรเนกาทิวิตีเกือบเท่ากัน ปฏิกิริยาการสลายตัวของไฮโดรเจนแอสทาไทด์อาจเกิดได้ตามสมการดังต่อไปนี้", "title": "ไฮโดรเจนแอสทาไทด์" }, { "docid": "85934#7", "text": "เมื่อมิอากะยอมเป็นธิดาหงส์แดงแล้ว โฮโตโฮริจึงนำตำนานชิจินเทนฉิมาเปิดดูแล้วบอกกับมิอากะว่า ดาวบริวารอีกดวงก็อยู่ในวังนี้ ในตำนานมีคำใบ้บอกไว้ว่า \"พลัง\"กับ\"วัง\" โฮโตโฮริจึงออกคำสั่งให้ทหารทุกคนมาทำการทดสอบเพื่อหาตัวดาวบริวาร ทามาโฮเมะอาสาเป็นคนทดสอบให้ แต่ไม่ทันไรทหารก็หมอบไปหมด มิอากะจึงขออาสาเองบ้าง แต่เหล่าทหารไม่กล้าทำร้ายองค์ธิดา มิอากะเลยพูดจายั่วยุทำให้ทหารทนไม่ได้เลยบุกเข้ามาทำใมอากะไปหลบใต้ศาลา แล้วศาลาก็ได้ถล่มลงมา แต่ทามาโฮเมะก็ได้เข้าไปเอาตัวบังเสาไว้ไม่ให้ทับมิอากะ และเสาได้ทับขามิอากะจนได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นเองมิอากะเลยถามว่าทำไมถึงต้องเข้ามาช่วยด้วย ทามาโฮเมะบอกกลับไปว่า ทำเพราะสิ่งที่อยากทำเท่านั้น ด้วยน้ำหนักของเสาทำให้ทามาโฮเมะเริ่มจะทานไม่ไหว ทันใดนั้นเอง มีนางสนมคนนึงเดินเข้ามาและบอกว่า ข้าจะช่วยเอง นางเดินไปที่ศาลาที่พังยับเยิน แล้วยกหิน เสา สิ่งที่พังออกมาอย่างง่ายดาย จนเห็นมิอากะที่มีทามาโอเมะคร่อมร่างเอาไว้ นางสนมคนนั้นชื่อโคริน หรืออีกชื่อคือ นุริโกะ เป็น 1 ใน 7 ดาวบริวาร\nมิอากะดีใจที่พบดาวบริวารคนที่ 3 แล้ว จึงจะเข้าไปขอบคุณที่ช่วย แต่นุริโกะบอกว่าไม่ได้มาช่วยเจ้าแต่มาช่วยชายคนนั้นต่างหาก พร้อมกับเข้าไปจูบกับทามาโฮเมะ ทำให้มิอากะตกใจมาก\nนุริโกะไม่ค่อยจะชอบมิอากะเท่าไหร่ จึงโดนนุริโกะแกล้งต่าง ๆ นานา แถมยังตามประกบทามาโฮเมะตลอดเวลาอีกด้วยและมิอากะเองก็พยายามทำความสนิทสนมกับนุริโกะให้ได้ จึงได้เข้าไปคุยกับนุริโกะในห้องเพื่อปรับความเข้าใจ จึงโดนอุบายของนุริโกะว่าทำต่างหูเรื่องแสงตกลงไปในบ่อน้ำ อยากให้มิอากะช่วยเอากลับมาให้ที มิอากะรับคำและไปหาต่างหูเรืองแสงอันนั้น แต่มิอาได้ถูกสาหร่ายรอบ ๆ บ่อน้ำพันขาทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ (ขณะที่มิอากะจมน้ำ ก็ได้มีน้ำซึมออกมาจากชุดนักเรียนของยุยที่อยู่อีกโลกนึง) แต่มิอากะก็เอาตัวรอดจากการเกือบจมน้ำ แล้วน้ำหินสีสวยมาแทนและบอกกับนุริโกะว่าหาไม่เจอแต่หินนี้คงจะทดแทนได้ นุริโกะตบหน้ามิอากะเพราะรู้ว่าเป็นอุบายก็ยังจะไปเชื่ออีกเพราะตนเป็นนางสนมออกนอกเขตวังไม่ได้ แต่มิอากะบอกกลับไปว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นเพื่อนกับนุริโกะ ซึ่งที่นุริโกะทำทุกอย่างไปนั้นเพียงเพราะอยากให้โฮโตโฮริมาสนใจตนบ้าง", "title": "พลิกตำนานมาพบรัก" }, { "docid": "711060#5", "text": "มิคุโมะ โอซามุ (Mikumo Osamu) เป็นตัวดำเนินเรื่อง\nนักเรียนชั้นมัธยม ที่มีลักษณะดูเงียบๆ และไม่ค่อยจะสุงสิงกับนักเรียนคนอื่นสักเท่าไหร่ เป็นคนรักความยุติธรรม และเป็นห่วงผู้อื่นก่อนตนเองเสมอ โอซามุเป็นสมาชิกบอร์ดเดอร์ระดับC หรือเป็นบอร์ดเดอร์ฝึกหัด แต่หลังจากที่โอซามุได้พบกับ 'คูงะ ยูมะ' เนเบอร์คล้ายมนุษย์ซึ่งเดินทางมายังโลกเพื่อตามหาคนรู้จักของพ่อในองค์กรบอร์เดอร์ โอซามุจึงได้เลื่อนขั้นเป็นระดับ B ด้วยความช่วยเหลือของคูงะ หลังจากนั้นโอซามุ คูงะ และชิกะจึงได้รวมทีมกันเป็นทีมทามาโกม่า-2 ทีมระดับ B ของสาขาทามาโกม่าเพื่อไต่เต้าเป็นทีมสำรวจ และเดินทางไปช่วยพี่ชายของชิกะและเรพลิก้าที่โลกเนเบอร์ให้ได้", "title": "เวิลด์ ทริกเกอร์" }, { "docid": "306647#0", "text": "ภพธร สุนทรญาณกิจ เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นนักร้องชาวไทย เติบโตที่สหรัฐอเมริกา สนใจด้านดนตรีและศิลปะตั้งแต่ยังเล็ก เมื่ออายุ 5 ขวบ เริ่มเรียนพื้นฐานดนตรีและเรียนคีย์บอร์ดที่โรงเรียนดนตรียามาฮ่า ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุ 14 ปี และเรียนมัธยมที่ออเรนจ์เคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ Sonora High school จบการศึกษาจาก Academy of Entertainment สาขาคอมพิวเตอร์แอนิเมชัน จากเมืองแซนทาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย เริ่มร้องเพลงโดยใช้ชื่อวง “Sunday school” ที่ร้านอาหารไทยที่ชื่อ “เครื่องเทศ” เป็นเวลา 3 ปี จึงได้รู้จักกับต้อย สินประยูร ซึ่งเป็นเพื่อนกับบอย โกสิยพงษ์ จากนั้นเขาได้เป็นนักร้องแบ็กอัปให้กับบอย โกสิยพงษ์ และยังได้รับการชักชวนให้มาร้องเพลงในอัลบั้ม \"Rhythm & Boyd E1EVEN1H\" ในเพลง “จะทำยังไง” (What will I do) จากนั้นได้ร่วมร้องในอัลบั้ม \"The Strangers\" กับเพลง “สักเท่าไหร่” ", "title": "ภพธร สุนทรญาณกิจ" }, { "docid": "1743#21", "text": "อิเล็กตรอนในวงย่อย 4f ซึ่งจะถูกเติมเต็มตั้งแต่ซีเรียม (ธาตุที่ 58) ถึงอิตเตอร์เบียม (ธาตุที่ 70) เนื่องด้วยอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นแค่ในวงเดียว จึงทำให้ขนาดอะตอมของธาตุในแลนทาไนด์มีขนาดที่ไม่แตกต่างกัน และอาจจะเหมือนกับธาตุตัวถัด ๆ ไป ด้วยเหตุนี้ทำให้แฮฟเนียมมีรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีอื่น ๆ) เหมือนกับเซอร์โคเนียม และแทนทาลัม มีรัศมีอะตอมใกล้เคียงกับไนโอเบียม ลักษณะแบบนี้รู้จักกันในชื่อการหดตัวของแลนทาไนด์ และผลจากการหดตัวของแลนทาไนด์นี้ ยังเห็นได้ชัดไปจนถึงแพลตทินัม (ธาตุที่ 78) และการหดตัวที่คล้าย ๆ กัน คือการหดตัวของบล็อก-d ซึ่งมีผลกับธาตุที่อยู่ระหว่างบล็อก-d และบล็อก-p มันเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าการหดตัวของแลนทาไนด์ แต่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน[27]", "title": "ตารางธาตุ" }, { "docid": "4893#15", "text": "กำหนดสามเหลี่ยม ABC มีด้านสามด้านที่มีความยาว a,b และ c และ formula_6 เราจะต้องพิสูจน์ว่ามุมระหว่าง a และ b เป็นมุมฉาก ดังนั้น เราจะสร้างสามเหลื่ยมมุมฉากที่มีความยาวของด้านประกอบมุมฉาก เป็น a และ b แต่จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส เราจะได้ว่าด้านตรงข้ามมุมฉาก ของสามเหลื่ยมรูปที่สองก็จะมีค่าเท่ากับ c เนื่องจากสามเหลี่ยมทั้งสองรูปมีความยาวด้านเท่ากันทุกด้าน สามเหลี่ยมทั้งสองรูปจึงเท่ากันทุกประการแบบ \"ด้าน-ด้าน-ด้าน\" และต้องมีมุมขนาดเท่ากันทุกมุม ดังนั้นมุมที่ด้าน a และ b มาประกอบกัน จึงต้องเป็นมุมฉากด้วย", "title": "ทฤษฎีบทพีทาโกรัส" }, { "docid": "13734#34", "text": "คุโน่ ทาเทวากิ (九能 帯刀) : รุ่นพี่คุโน่คือรุ่นพี่ของพวกรันม่ากับอากาเนะ เขามีฝีมือในการใช้ดาบไม้ นอกจากรูปจะงามและบ้านยังรวยอีกด้วย คุโน่นั้นหวังครอบครองใจอากาเนะ แต่ก็มักจะได้รับการปฏิเสธอย่างรุนแรงจากอากาเนะทุกครั้ง เนื่องจากความเพี้ยนของเขา เช่นการคิดว่าอากาเนะรักเขาแต่ไม่กล้าพูด หรือเรียกตัวเองว่าสายฟ้าสีน้ำเงินแห่งโรงเรียนฟุรินคัง ภายหลังคุโน่ได้พบรันม่าหญิง เขาจึงได้ตกหลุมรักรันม่าหญิงอีกคน (โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกับรันม่าชาย) พร้อมกับเรียกรันม่าหญิงว่า \"แม่สาวผมเปีย\" เพราะเขาไม่รู้ว่ารันม่าหญิงมีชื่อว่ารันม่าเหมือนกัน คุโน่ เป็นตัวละครที่ติงต๊องแบบน่ารักๆของเรื่อง เขามักหลงตัวเองและคิดว่าตัวเองถูกอากาเนะ และรันม่าแย่งกันรักเขา บ่อยครั้งที่รันม่ายอมไปเดทกับเขา เพราะหวังผลตอบแทน ซึ่งทำให้เขาทึกทักจินตนาการแบบอุบาทว์ขึ้นมาๆ คุโน่ไม่ชอบขี้หน้ารันม่าชายเท่าไหร่ เจอกันทีไรเป็นมีเรื่องทุกครั้ง สาเหตุก็มาจากคุ่โน่คิดว่ารันมาชายจะรวบทั้งรันม่าหญิงและอากาเนะเป็นคนรัก เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ คุโน่เป็นตัวละครที่ไม่เคยโผล่ในตอนใหญ่เท่าไหร่ แต่ถือเป็นตัวประกอบชั้นยอด เพราะสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกๆคนเสมอ คุโน่ ใช้ดาบไม้ในการต่อสู้ มีท่าไม้ตายคือ เพลงดาบฟันแตงโม เพลงดาบสายฟ้าฟาด เพลงดาบนกฟินิกซ์ และยังมีดาบในตำนานมังกันมารุ ที่สามารถครองโลกได้อีกด้วย!\nโคโลญ (可崘 ) : โคโลญเป็นย่าทวดของจัมปู แม้จะดูชราแล้ว แต่ก็มีวรยุทธ์ที่ลุ่มลึกและร้ายกาจ มักจะไปไหนมาไหนพร้อมไม้เท้าคู่ใจและมักจะเรียกรันม่าว่า \"พ่อเหลนเขย\" อยู่เสมอ ปัจจุบันโคโลญเปิดร้านราเม็งที่ญี่ปุ่นและเป็นคนสอนท่า \"หมัดเกาลัดในกองเพลิง\" (คัตชู เทนชิน อามากุริเคน) \"มังกรบินไต่สวรรค์\" (ฮิริว โชเท็นฮา) ให้กับรันม่า โคโลญพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่รันม่าจะได้รักกับจัมปู โดยท่านมักมีอุปกรณ์แปลกประหลาดให้จัมปูเอาไปใช้กับรันม่าเสมอ เปรียบดั่งโดราเอมอนกับโนบิตะ แต่เมื่อไม่สำเร็จ โคโลญก็แอบเปิดโอกาสให้มูสึได้สนิทกับจัมปูเหมือนกัน แม้มูสึมักเรียกโคโลญว่า ลิงแก่ ซอมบี้ตากแห้ง ตุ๊กตาผี มัมมี่ลิงเหี่ยว ฯลฯ โคโลญเป็นนักต่อสู้กังฟู ผู้แข็งแกร่งจนทำให้ฮัปโปซายเลิกตอแยสมัยสาวๆมาแล้ว มีท่าประจำตัวมากมาย เช่น มังกรบินใต่สวรรค์ หมัดฉลาม แต่มักใช้ไม้เท้าจี้จุดสำคัญจนทำให้ศัตรูสลบแทนการใช้ท่ารุนแรง\nถุงน่องทาโร่ (パンスト太郎) : หนุ่มผู้อัปโชคตกไปในบ่อน้ำที่มี เยติขี่วัวถือนกกระเรียนและปลาไหลตกลงไป เมื่อโดนน้ำจะกลายเป็นสัตว์ประหลาด และแข็งแกร่งมาก แต่พอโดนน้ำร้อนเป็นคนจะไม่เก่งเลย นิสัยก็เสียมาก ถึงขนาดยอมตกลงไปในบ่อต้องคำสาปเพื่อที่จะครอบครองโลก ถุงน่องทาโร่ไม่ยอมให้ใครมาเรียกชื่อเขาเสียๆหายๆ สาเหตุชื่อเพี้ยนๆของเขานั้นมาจากตาแก่ฮัปโปซานนี่เอง ถุงน่องถาโร่ไม่เคยร่วมมือหนำซ้ำยังเป็นศัตรูของ รันม่า และฮัปโปซาย อย่างเต็มตัว ภายหลังได้ลงไปในบ่อปลาหมึกเพื่อให้ตัวเองมีหนวดแปดหนวด ความฝันของถุงน่องทาโร่คือ ครองโลก\nคุโน่ โคดาจิ (九能 小太刀) : น้องสาวของ คุโน่ ทาเทวากิ เธอคือสาวน้อยนักยิมนาสติกลีลาใหม่ แห่งโรงเรียนเซนต์เฮเบเลเก้ ผู้มีฉายาว่า \"กุหลาบดำโคดาจิ\" (ปรากฏกายพร้อมพายุกลีบกุหลาบดำทุกครั้ง) เธอคือผู้ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ!! เธอเป็นหนึ่งในสาวที่หลงรักรันม่า เธอทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รันม่ามาครอง แต่รันม่าไม่ได้รักเธอและไม่ไว้ใจเธอแม้แต่น้อย เธอก็ไม่แคร์สื่อ จับจุดอ่อนรันม่า วางยา ถ่ายรูปแบล๊คเมลรันม่ากระจายข่าวเสียหายไปทั่ว(โคดาจิมีความสามารถในการตัดต่อภาพถ่าย) โคดาจิหลงรักรันม่าชาย เป็นศัตรูหัวใจของอากาเนะอีกคน แต่กลับเกลียดรันม่าหญิง เรียกว่าแม่นางเปีย คิดว่าเป็นคนละคนกันเหมือนกับพี่ของเธอ ความสัมพันธ์กับทาเทวากิ โคดาจิไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะทาเทวากิชอบรันม่าหญิงแต่เกลียดรันม่าชาย แต่บางครั้งทาเทวากิก็แสดงความปกป้องต่อน้องตัวเองอยู่บ่อยครั้ง โคดาจิรับได้ว่าครูใหญ่เป็นพ่อของตัวเอง\nอุนริว อาการิ : สาวน้อยเจ้าสำนักซูโม่หมู ชอบเรียวกะ เพราะเรียวกะสามารถเอาชนะโคโตนิชิกิ ยอดซูโม่หมูของสำนักของเธอได้ ตามที่ตระกูลเธอต้องการผู้มีความสามารถมาเป็นทายาทเท่านั้น แตเรียวกะกลับคิดว่าเธอเอาปมของเขามาล้อเลียน เล่นเอารันม่าต้องมาช่วยผูกความสัมพันธ์ให้ทั้งสองคนในเวลาต่อมา แม้จะอยู่ห่างไกลกันและเรียวกะหลงทางเป็นประจำก็ตาม\nคุเรไน ทซึบาสะ : สาวน้อยที่แอบหลงรักอุเคียวมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น โดยตอนนั้นอุเคียวแต่งตัวเป็นผู้ชาย รันม่า อุเคียว อากาเนะพยายามทำให้เธอเลิกมาตอแย เพราะเธอตื้อตามอุเคียวไม่หยุด ตอนหลังเธอเปิดเผยว่าเป็นพวกชอบผู้หญิง เปลี่ยนใจมาหลงรักรันม่าหญิง และเกือบจะรักอากาเนะอีกคน ชอบแปลงกลายเป็นสิ่งต่างๆ แล้วชาร์จไล่ตามอุเคียว\nโคนัตสึ : นินจาสาวแห่งร้านคุโนอิจิ เป็นสถานที่เที่ยวสำหรับผู้ชาย โดยโคนัทสึเป็นผู้ชายในหมู่พี่และแม่เลี้ยง โดนใช้งานและรังแกเหมือนซินเดอเรลล่า สุดท้ายอุเคียวสงสารนำมาเป็นเด็กเสริฟที่ร้านโอโคโนมิยากิ จนภายหลังมีปัญหากับครอบครัวบุญธรรมอย่างรุนแรง เธอเชี่ยวชาญการต่อสู้แบบนินจามาก มีวิชานินจาลมพัด วิชาพรางตัว วิชาแยกร่าง ฯลฯ โดยเอาชนะได้ทั้งรันม่า ฮัปโปซาย และเก็นม่า ถือว่าเป็นสุดยอดคุโนอิจิผู้ไม่มีใครเทียบได้ในเรื่อง แต่บางทีความซื่อกับความเหนียวของเธอก็ทำให้เรื่องวุ่นอยู่ไม่ร้อย\nครูใหญ่ : เป็นครูใหญ่จอมเพี้ยนจากฮาวายแห่งโรงเรียนฟุรินคัง ก่อปัญหาพอๆกับฮัปโปซาย แท้จริงเป็นพ่อของทาเทวิกิกับโดดาจิ แต่ทาเทวากิรับไม่ได้ เจอกันที่ไรสู้กันทุกที เชี่ยวชาญการกร้อนผมนักเรียน มีนโยบายแปลกๆในโรงเรียน เช่นการบังคับตัดผมของนักเรียนหญิงชาย การบังคับนักเรียนกราบรูปปั้นของเขา การขโมยขอสอบนักเรียน\nครูฮินาโกะ : คุณครูรูปร่าง+จิตใจเหมือนเด็ก ผู้ถูกครูใหญ่จ้างมาเพื่อที่จะจัดการกับเด็กดื้อ โดยเฉพาะรันม่า ครูฮินาโกะมีความสามารถในการดูดพลังทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง ซึ่งฮัปโปซายสอนให้ เรียกว่าวิชา ฮัปโปพิฆาตเหรียญ 50 เยน แต่พอดูดพลังเสร็จ จะมีรูปร่างเป็นสาวเซ็กซี่อกโต ถ้าปล่อยพลังกลับไปโจมตี ก็จะกลายเป็นเด็กเหมือนเดิม นิสัยเด็กและสมาธิสั้นยิ่งกว่าพวกรันม่า แอบชอบเทนโด โซอุน\nไกด์บ่อน้ำจูเซนเคียว : เขาเป็นไกด์ที่ทำหน้าที่แนะนำการเที่ยวบ่อน้ำให้เหล่านักสู้ที่ไปฝึกวิชาฟัง แต่แทบทุกครั้งต้องมีอุบัติเหตุคนตกลงไปในบ่อน้ำซะจนได้ เมื่อพวกรันม่ามีปัญหา ก็จะโทรหาไกด์เพื่อคำปรึกษา เสียงพากษ์ค่อนข้างตลกเอามากๆ\nฮิคารุ โกซึนคุงิ : เพื่อนร่วมห้องกับรันม่า อ่อนแอ ขี้อาย ไม่นิยมการต่อสู้ด้วยกำลัง แอบรักอากาเนะมาก ไม่ชอบรันม่าเพราะรันม่าชอบพูดออกมาว่าโกซึนคุงิอ่อนแอ(โดยไม่ตั้งใจ) โกซุนคุงิเชื่อในมนต์ดำมีวิชาวูดูในการสาปแช่งคน เล่นของ คาแรกเตอร์เหมือน L ในเดทโน้ต แต่น่าเกลียดกว่าและไม่เคยประสบความสำเร็จ มักเป็นเครื่องมือของพี่น้องทาเทวากิ โคดาจิ\nซาสึเกะ ซารุกาคุเระ : นินจาประจำบ้านคุโน่ เป็นผู้รองรับอารมณ์ของพี่น้องคุ่โน่อย่างแท้จริง ซุ่มซ่ามมากขนาดวางกับดักนินจาทำร้ายตัวเองมาแล้ว เป็นตัวละครที่ปรากฏแต่ในอินเมะ บางตอนใช้เล่นบทบาทแทนโกซึนคุงิ\nคุณหมอโตฟุ : เป็นตัวละครที่โผล่มาแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น และก็ถูกอากาเนะหลงรักมากในตอนแรก มีฝีมือในการรักษาคนไข้เป็นอย่างมาก เหมือนเป็นหมอประจำชุมชน ช่วยรันม่าอยู่หลายต่อหลายครั้ง ปัญหาคือเจ้าตัวดันไปชอบพี่คาสึมิ ยามใดได้เจอกับคาสึมิ ก็มักทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นคนละคน จากรักษาก็เป็นช่วยหักกระดูกแทน\nอาซึซะ ชิทาโทริ กับ มิคาโด ซันเซงอิง : เป็นคู่นักสเก็ตผสมแชมป์เปี้ยนผู้ไม่เคยแพ้ใครในการต่อสู้บนลานสเก็ต อาซึซะบ้าตุ๊กตาและของน่ารักๆ แล้วตั้งชื่อให้ ถึงขนาดจับพีจัง(เรียวกะ) ไปเลี้ยง ส่วนมิคาโดก็หน้าม่อสุดๆเป็นคนแรกที่จูบรันม่าหญิงในเรื่อง\nราชานักพนัน คิง : เป็นชายหนุ่มหน้าตาเหมือนไพ่คิง เป็นนักต้มตุ๋นผู้ชอบหลอกเอาเงินเด็กๆ ตอนเด็กรันม่ากับอุเคียวท้าคิงสู้เพื่อนำเงินคืนให้เด็กคนอื่น แต่แพ้เรียบ ทั้งคู่เลยจัดการจับคิงถ่วงน้ำซะเลย ภายหลังคิงได้กลับมาทวงสัญญาที่รันม่าเอาโรงฝึกเทนโดไปพนัน ทำเอาโซอุนสติแตก ทั้งๆที่ความจริงคิงเล่นไพ่ไม่เก่งเลย แต่โกงเก่งมาก\nเมาโมหลิน : เป็นปีศาจแมวกระพรวน มาตามหาคู่รัก โดยได้พยายามทำให้รันม่าหญิงมาหลงรักตน แต่ถูกหมัดแมวอัดกลับไปจนสู้ไม่ได้ ตอนหลังเปลี่ยนเป้าหมายเป็นจัมปูและพยายามควบคุมร่างเรียวกะแทน\nราคุเคียวซาย : เป็นคู่หูฝึกวิชาของฮัปโซซายในสมัยหนุ่ม เชี่ยวชาญการต่อสู้โดยน้ำหมึกกับพู่กันอัสนี มีวิชาโคตรอันตรายชื่อว่าผีเสื้อไหมทอง แต่ถูกฮัปโปซานหักหลังเอาคัมภีร์ไปครอง ตามมาล้างแค้นโดยการลงไปในบ่อน้ำเด็กหนุ่ม เพื่อที่ทำให้ตนเองเยาว์วัยอีกครั้ง มีท่าไม้ตายมากมาย เช่น พู่กันอัคนี พู่กันอัศนีบาต น้ำหมึกยึดดิด ฯลฯ\nคอนโจ มาริโกะ : เชียร์ลีดเดอร์ผู้ตกหลุมรักคุโน่เข้าให้ เธอแค้นรันม่าที่ทำให้เธอเสียหน้าและต้องการที่จะแก้มือกันในการแข่งขันฟันดาบ ซึ่งทั้งสองได้แข่งกันเชียร์คุโนให้มีแรงต่อสู้", "title": "รันม่า ½" }, { "docid": "515155#6", "text": "รศ. พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มาบอกกล่าวเกี่ยวกับโทษของยาทาเล็บเกี่ยวกับการแพ้ของยาทาเล็บ ซึ่งเกิดจากสีที่ผสมในยาทาเล็บจะต้องใช้ชนิดไม่ละลายเข้าในเนื้อเล็บ ในยาทาเล็บส่วนมากมีสารฟอร์มาลินเจืออยู่ เพื่อเพิ่มความแข็งของเล็บ สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้ สำหรับยาทาเล็บแบบสีมุก จะผสมด้วยผงกวานีน ซึ่งได้จากเกล็ดปลา อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ในบางราย แต่ส่วนใหญ่การแพ้ยาทาเล็บจะไม่มีผื่นบริเวณรอบเล็บ เพราะในขณะทาเล็บผู้ทาต้องระมัดระวังไม่ให้ยาทาเล็บโดนผิวหนัง ดังนั้นรอยผื่นแพ้ยาทาเล็บมีลักษณะรอยแดงเป็นทางยาวพบในบริเวณใบหน้า หนังตา แก้ม รอบ ๆ ปาก ด้านข้างคอ หรือบริเวณหน้าอก เพราะในขณะรอให้ยาทาเล็บแห้งผู้ทาเล็บอาจขยับทำกิจกรรมต่าง ๆ ยาทาเล็บที่ยังไม่แห้งสนิทจึงสัมผัสผิวหนังในบริเวณดังกล่าว ส่วนยาทาเล็บเมื่อแห้งสนิทจะไม่ทำให้เกิดการแพ้", "title": "ยาทาเล็บ" }, { "docid": "192335#16", "text": "สาวๆ บางคนเกิดอาการคิดถึงบ้าน อิลิน่าได้เล่าว่าเธอไม่ค่อยจะลงรอยกับแม่เธอนัก ทำให้สาวๆ ในบ้านโดยเฉพาะบริททานี่รู้สึกไม่ดีกับอิลิน่าเท่าไหร่ ในสัปดาห์นี้ สาวๆ จะต้องถ่ายรูปชุดว่ายน้ำให้กับ ซูซาน โฮล์ม โดยที่ครั้งนี้พวกเธอจะต้องโพสท่าเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากมิสเตอร์เจย์เลย", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 11" }, { "docid": "885964#0", "text": "ริโกะ ทาชิบานะ เกิดใน โตเกียว เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1984. ทาชิบานะเป็นนักแสดงหญิงที่มีความความสูงถึง 172 เซนติเมตร (ประมาณ 5' 8\") ซึ่งความสูงที่แท้จริงของเธออยู่ที่ 168 เซนติเมตร (5' 6\"). ส่วนตัวแล้วเธอไม่ค่อยชอบรูปสูงโปร่งของเธอเท่าไหร่ เธอบอกว่าเธอคิดเสมอว่าผู้ชายมักจะสนใจสาวตัวเล็กๆน่ารักๆมากกว่า.\" เช่น ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับมนุษย์เงินเดือน อายุประมาณ 30 ปี, เขาถ่ามเธอว่า ต้องการให้ช่วยอะไรไหม, และเธอบอกกับเขาว่า \"Good boy, good boy.\"", "title": "ริโกะ ทาชิบานะ" }, { "docid": "4735#0", "text": "พื้นที่ คือ ปริมาณของพื้นผิวหรือรูปร่างสองมิติ ที่แสดงถึงขอบเขตเนื้อที่ในแนวแผ่นระนาบ พื้นที่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นจำนวนวัสดุที่หนาขนาดหนึ่งเท่าที่จำเป็นที่จะประกอบขึ้นเป็นรูปร่าง หรือปริมาณสีทาเท่าที่จำเป็นที่จะทาผิวหน้าในครั้งเดียว พื้นที่เป็นมโนทัศน์ในสองมิติที่คล้ายคลึงกับความยาวของเส้นโค้งในหนึ่งมิติ หรือปริมาตรของทรงตันในสามมิติ", "title": "พื้นที่" }, { "docid": "199220#5", "text": "30 สิงหาคม ค.ศ. 1859 เกรตอีสเทิร์นออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ โดยไม่มีบรูเนล เพราะบรูเนลเกิดปัญหา ในขณะเดินทาง เครื่องยนต์ไม่สามารถรับแรงดันสูงที่เกิดจากการสร้างแรงขับเคลื่อนผลักเรือที่ใหญ่มหาศาลได้ เครื่องยนต์เครื่องหนึ่งได้ระเบิดขึ้น มีคนงานเสียชีวิต เกิดรอยรั่วขนาดใหญ่มากใกล้เคียงกับขนาดรอยรั่วของเรือไททานิก เมื่อชนภูเขาน้ำแข็ง(ในหลังจากนั้น 53 ปี) แต่ทั้ง ๆ ที่ไททานิกใหญ่กว่าเกรตอีสเทิร์นถึง 2.4 เท่า และรอยรั่วขนาดดังกล่าวล่มไททานิกได้ แต่ไม่สามารถล่มเกรตอีสเทิร์นได้", "title": "เอสเอสเกรตอีสเทิร์น" }, { "docid": "761829#25", "text": "5% ของประชากรโลกมีโปรตีน globin ที่ต่างไปจากปกติ แต่เพียงแค่ 1.7% มีทาลัสซีเมียแบบแอลฟาหรือบีตา ทั้งชายหญิงมีโรคเท่า ๆ กัน โดยมีอัตราที่ 4.4 ต่อเด็กที่เกิดโดยรอดชีวิต 10,000 คน แบบอัลฟาเกิดบ่อยที่สุดในคนแอฟริกาและคนเอเชียอาคเนย์ แบบเบตาเกิดบ่อยที่สุดในคนเขตเมดิเตอร์เรนียน คนแอฟริกา และคนเอเชียอาคเนย์ โดยมีความชุกของโรคในหมู่คนเหล่านี้ประมาณ 5-30%[3]", "title": "ทาลัสซีเมียแบบบีตา" }, { "docid": "103187#0", "text": "ซิทามิ หรือ ชิทามิ () เป็นซอฟต์แวร์เสรีโอเพนซอร์สประเภทเว็บเซิร์ฟเวอร์และเอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์ พัฒนาโดยบริษัทอิมาทิกซ์ (iMatix Corporation) ประสิทธิภาพในการทำงานถึงจะไม่เร็วเท่าเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุด แต่ตัวซอฟต์แวร์นั้นมีขนาดเล็กมาก (ไม่เกิน 2 เมกะไบต์) และใช้ทรัพยากรระบบน้อย ซิทามิรองรับการทำงานบนเว็บแอปพลิเคชันที่เขียนด้วยภาษาซีจีไอ อาทิ ภาษาพีเอชพี และยังมีส่วนต่อประสานกับผู้ใช้บนเว็บเพจที่ช่วยสามารถจัดการตั้งค่าซอฟต์แวร์ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้อีกทางหนึ่ง ซิทามิสามารถทำงานได้บนวินโดวส์ ลินุกซ์ และระบบปฏิบัติการอื่นที่คล้ายยูนิกซ์ เช่น โอเพนวีเอ็มเอส โอเอส/2 เป็นต้น สำหรับรุ่นเชิงพาณิชย์ของซิทามิรองรับการใช้งานเอสเอสแอลได้ด้วย", "title": "ซิทามิ" }, { "docid": "192553#8", "text": "การแข่งขันครั้งแรก สาวๆ ต้องไปหาเบนนี่ นินจา ที่ร้านโอลด์นาวี โดยพวกเธอมีเวลา 10 นาที เพื่อหาเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปห้องตัดสิน และซาลิช่าเป็นผู้ชนะซึ่งรางวัลของเธอก็คือ ได้ช็อปปิ้งเป็นเงิน 1,000 ดอลล่าห์ และเป็นนางแบบให้กับโอลด์นาวี ในห้องตัดสิน ไทร่าในบอกให้สาวๆ ทำตัวเป็นแบบอย่างกับสาวๆ คนอื่นๆ และสั่งห้ามให้พวกเธอเลิกสูบบุหรี่เด็ดขาด ภาพของเฮทเธอร์, ลิซ่า และชานทาลได้รับคำชมจากคณะกรรมการเป็นอย่างมาก ในขณะที่บิอังก้า เอโบนี และมีล่ากลับออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เอโบนีและมีล่ากลายเป็นสองคนสุดท้าย เอโบนียังดูติดขัดและขาดความมั่นใจในขณะที่มีล่าไม่จริงจังในการถ่ายรูป และนั่นทำให้เธอเป็นคนแรกที่ต้องกลับบ้าน", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 9" } ]
3618
การประสูติของพระเยซู มีใครเป็นผู้ให้กำเนิด ?
[ { "docid": "1010#5", "text": "ขณะที่มารีย์กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จักรพรรดิออกัสตัสได้มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน คนทั้งปวงต่างต้องเดินทางกลับไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน โยเซฟกับมารีย์จึงต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิดเมืองหนึ่งชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟเป็นเชื้อสายของดาวิด เมื่อเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์ประสูติ “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม” [17]", "title": "พระเยซู" } ]
[ { "docid": "149671#0", "text": "นักบุญยูดาส อิสคาริโอท (; Yəhûḏāh ʾΚ-qəriyyôṯ) เป็นหนึ่งในอัครทูตของพระเยซูผู้กล่าวว่ามีหน้าที่ถือ “ถุงเงิน” (ภาษากรีก: γλωσσόκομον) และเป็นผู้ที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ทรยศต่อพระเยซูโดยการบอกทหารประจำพระวิหารว่าใครคือพระเยซูซึ่งเป็นผลให้พระเยซูถูกจับ", "title": "ยูดาส อิสคาริโอท" }, { "docid": "681295#7", "text": "พระเยซูเป็นชาวยิว คริสต์ศาสนาถือโดยสมมติว่าวันประสูติของพระองค์คือวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1 (ซึ่งถือเอาวันประสูติเป็นปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช ซึ่งตรงกับพุทธศักราช 543) ณ หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดาห์ ในดินแดนปาเลสไตน์ (ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน) มารดาชื่อมารีย์ ชาวคริสต์เชื่อว่านางตั้งครรภ์โดยเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งที่เป็นหญิงพรหมจารี มีบิดาเลี้ยงชื่อโยเซฟ สมัยนั้นกษัตริย์ผู้ครองเมืองคือพระเจ้าเฮโรดมหาราช เมื่อได้ยินคำพยากรณ์ว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิดจึงคิดกำจัด โยเซฟและมารีย์จึงหนีไปอยู่อียิปต์เป็นการชั่วคราว เมื่อเรื่องราวสงบแล้วก็อพยพกลับถิ่นฐานเดิม พระเยซูเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี เมื่อวัยเยาว์พระเยซูเป็นผู้สนใจในเรื่องศาสนธรรมและเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีอายุครบ 30 ปี ได้ท่องเทียวไปในดินแดนปาเลสไตน์ ณ ริมแม่น้ำจอร์แดน ทรงพบกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา หลังที่ได้รับบัพติศมาแล้ว ได้เสด็จไปถิ่นกันดารเพียงพระองค์เดียว ทรงถือศีลอดโดยงดเว้นพระกระยาหารเป็นเวลา 40 วัน จากนั้นพระองค์ก็เริ่มสอนประชาชนให้ทราบถึงความรอดของมนุษย์ ซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า พระองค์มีอัครสาวกที่สำคัญ 12 คน (เนื่องจากวงศ์วานอิสราเอลมี 12 เผ่า) เรียกว่าอัครทูต สาวกคนแรกที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคือซีโมนเปโตร นักบุญอีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์คือเปาโลอัครทูต ซึ่งกลับใจจากผู้เบียดเบียนคริสตชน มาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์มาตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์", "title": "ประวัติศาสนาคริสต์" }, { "docid": "161530#0", "text": "การนมัสการของโหราจารย์ () เป็นชื่อที่ใช้ในหัวข้อการวาดภาพหนึ่งในชุดการประสูติของพระเยซู ซึ่งเป็นภาพของโหราจารย์สามคนเดินทางตามดาวแห่งเบธเลเฮม (star of Bethlehem) จนกระทั่งพบพระกุมารเยซู เมื่อพบแล้วก็มอบของขวัญที่เป็นทองคำ กำยาน และมดยอบ (myrrh) และถวายการสักการะ ในปฏิทินศาสนาเหตุการณ์นี้ฉลองกันทางตะวันตกในวันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ ซึ่งเป็นวันฉลองการที่พระวจนะทรงรับเป็นมนุษย์คือพระเยซู ทุกวันที่ 6 มกราคม ทางนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ฉลองวันเดียวกับวันประสูติของพระเยซูในวันที่ 25 ธันวาคม การขยายความจากคำบรรยายเพียงสั้นๆ เกี่ยวกับแมไจในพระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 2 ข้อที่ 1-11 เป็นการแสดงว่าการประสูติของพระเยซูเป็นที่ยอมรับตั้งแต่ประสูติในฐานะกษัตริย์แห่งโลก", "title": "การนมัสการของโหราจารย์" }, { "docid": "17044#2", "text": "ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์บางครั้งถือกันว่ากาเบรียลเป็นทูตสวรรค์หรือเป็นผู้สื่อสารองค์หนึ่งจากพระเจ้า และเป็นหนึ่งในอัครทูตสวรรค์สำคัญเจ็ดองค์ เชื่อว่าท่านเป็นทูตสวรรค์ที่แจ้งการกำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมาแก่นักบุญเศคาริยาห์ผู้เป็นพ่อ และการประสูติของพระเยซูแก่นางมารีย์ (มารดาพระเยซู)", "title": "กาเบรียล" }, { "docid": "147261#1", "text": "การกำเนิดของพระเยซูเป็นฉากที่ใช้ในการสร้างศิลปะหลายแบบทั้งทางจักษุศิลป์และประติมากรรม และศิลปะแบบอื่นๆ ในรูปของจักษุศิลป์ก็อาจจะเป็น ไอคอน, จิตรกรรมฝาผนัง, บานพับภาพ, ภาพเขียนสีน้ำมัน, หนังสือวิจิตร และ หน้าต่างประดับกระจกสี บางครั้งการแสดงภาพก็อาจจะผสมระหว่างจักษุศิลป์และประติมากรรม ที่ตั้งของภาพหรืองานศิลปะก็อาจจะเป็น ฉากประดับแท่นบูชา (Altarpiece) ศิลปะแบบอื่นๆ ก็อาจจะเป็นจุลจิตรกรรม งานแกะงาช้าง การแกะภาพบนโลงหิน การสลักบนหน้าบันเหนือประตูทางเข้าโบสถ์ หรือคานเหนือประตู หรืออาจจะเป็นรูปปั้นแบบลอยตัว", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "147261#19", "text": "ฉาก “การประสูติของพระเยซู” เริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นในการเขียนบนแผ่นไม้ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แต่บางครั้งฉากประดับแท่นบูชาก็อาจจะถูกเบียดด้วยรูปของผู้อุทิศทรัพย์ให้วาด (เช่นภาพพระแม่มารีย์เลี้ยงพระกุมารทึ่เขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่มีผู้อุทิศอยู่สองข้าง ) ในภาพวาดของเนเธอร์แลนด์สมัยต้นจะใช้เพิงง่ายๆ ไม่ต่างไปจากที่ทำกันมาเท่าใดนัก จนกระทั่งค่อยกลายมาเป็นซากปรักหักพังของโบสถ์ เริ่มกันมาตั้งแต่สมัยโรมาเนสก์ ซึ่งเป็นภาพพันธสัญญาเดิม (Old Covenant) ของชาวยิว การใช้ฉากสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ในการบ่งความเป็นยิวจะใช้บ่อยในงานเขียนของยาน ฟาน เอค และผู้สืบทอดงานต่อมา\nในงานเขียนแบบอิตาลี สถาปัตยกรรมของโบสถ์เช่นที่ว่าจะเป็นโบสถ์แบบคลาสสิก (กรีกหรือโรมัน) ซึ่งแสดงถึงการกลับไปสนใจในสถาปัตยกรรมคลาสสิก หลักฐานอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการใช้โบสถ์เป็นฉาก มาจากตำนานทองที่กล่าวว่า คืนที่พระเยซูประสูติ บาซิลิกา ของ แม็กเซนติอุส (Basilica of Maxentius) ที่โรม อันเป็นสถานที่ตั้งรูปเคารพโรมิวลุสล้มครืนลงมา และทิ้งซากไว้ให้เราเห็นจนทุกวันนี้", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "64751#46", "text": "พระเยซูทรงเลือกสาวก 12 คนเป็นอัครทูต เท่ากับจำนวนตระกูลอิสราเอล 12 ตระกูล จึงเท่ากับว่าสาวกทั้ง 12 คนนี้เป็นต้นกำเนิดของ ประชากรใหม่ของพระเจ้าเพื่อช่วยพระเยซูคริสต์ในการประกาศอาณาจักร แต่ก่อนมาในสมัยของพระเยซูคริสต์ยังไม่มีการบวช ถ้าจะเลือกใครเป็นสาวกก็กระทำขึ้นมาโดยไม่มีพิธีรีตองแต่การบวชที่ปรากฏในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่เริ่มกันขึ้นมาเองในภายหลังเพื่อความเป็นระบบและเพื่อเป็นเครื่องเตือนย้ำผู้บวชให้ตระหนักในหน้าที่ที่จะต้องนำพาชีวิตจำนวนมากให้ถึงซึ่งความรอด ", "title": "ศีลศักดิ์สิทธิ์" }, { "docid": "147261#6", "text": "ตามปฏิทินศาสนาห้าวันหลังจากการกำเนิดของพระเยซูในวันที่ 1 มกราคมพระองค์ก็ได้เข้าทำพิธีสุหนัต ซึ่งมิได้กล่าวถึงโดยตรงในพระวรสารแต่ก็สรุปได้ว่าคงจะเกิดขึ้นตามกฎและประเพณีของชาวยิว และการถวายพระกุมารในพระวิหาร หรือ “Candlemas” ซึ่งฉลองกันในวันที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ตามคำบรรยายของพระวรสารนักบุญลูกา", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "147261#13", "text": "การแสดงรูปแบบใหม่ที่ต่างจากเดิมเริ่มราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 ในปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ใช้ในนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ฉากจะเป็น ถ้ำหรือเป็นถ้ำที่เฉพาะเจาะจงคือถ้ำที่พระเยซูประสูติที่เบธเลเฮ็มซึ่งเป็นที่ยอมรับในนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ว่าเป็นที่ประสูติของพระเยซู เหนือฉากก็จะเป็นภูเขาสูงขึ้นไป มารีย์นอนพักฟื้นอยู่บนเบาะหรือเก้าอี้ใกล้ ๆ พระเยซูผู้ตั้งอยู่สูงกว่า ขณะที่โยเซฟเอามือท้าวคาง นอกจากนั้นโยเซฟก็อาจจะปรากฏในฉากที่หมอตำแยและผู้ที่มาช่วยสรงน้ำให้พระเยซู ฉะนั้นพระเยซูก็จะปรากฏสองครั้งในฉากเดียว หมอตำแยมาจากเอกสารหลายฉบับ ๆ หลักคือซาโลเม ซึ่งกล่าวถึงปาฏิหาริย์ เอกสารหลายฉบับกล่าวถึงแสงสว่างส่องลงมา ซึ่งบางทีก็ตีความหมายว่าเป็นดาวของโหราจารย์ ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นจานกลมอยู่เหนือฉากและมีรัศมีส่องออกมา แต่ทั้งจานกลมและรัศมีจะเป็นสีหนัก", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "147214#1", "text": "นักบุญบริจิตได้เห็นนิมิตการประสูติของพระเยซู ซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างงานศิลปะเกี่ยวกับการกำเนิดของพระเยซูเป็นอันมาก", "title": "บริจิตแห่งสวีเดน" }, { "docid": "298623#31", "text": "ชีวิตของพระเยซู\nหัวข้อที่นิยมกันที่สุดในการสร้าง “พระคัมภีร์คนยาก” คือ งานเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซู ที่รวมทั้งการประสูติของพระเยซู, การชื่นชมของแมไจ, การชื่นชมของคนเลี้ยงแกะ, พระเยซูผจญมาร, ทุกขกิริยาของพระเยซู, การตรึงกางเขนของพระเยซู และ พระเยซูคืนชีพ การทำก็อาจจะเป็นภาพต่อเนื่องกันเป็นชุดที่อาจจะเป็นงานจิตรกรรม, งานโมเสก, งานประติมากรรมไม้ หรือ หน้าต่างประดับกระจกสี ที่อาจจะตั้งบนผนังของคริสต์ศาสนสถาน โดยเฉพาะภายในมหาวิหารในฝรั่งเศส หรือ ในเยอรมนี ภาพก็อาจจะตั้งอยู่ในช่องบนฉากกางเขนเพื่อที่จะให้ผู้เดินผ่านรอบจรมุขจะได้มองเห็นได้ง่าย", "title": "พระคัมภีร์คนยาก" }, { "docid": "147261#2", "text": "รูปปั้นแบบลอยตัวของ “การประสูติของพระเยซู” มักจะทำเป็น “Creche” หรือ “Presepe” ซึ่งเรียกว่า “ฉากพระเยซูประสูติ” (Nativity scene) ซึ่งอาจจะใช้ตั้งตรงมุมใดมุมหนึ่งของโบสถ์ หน้าหรือในสถานที่สาธารณะ, บ้าน หรือกลางแจ้งเป็นการชั่วคราว ขนาดของกลุ่มรูปปั้นก็มีตั้งแต่ขนาดเล็กๆ ไปจนขนาดเท่าคนจริง ที่มาของการสร้าง “ฉากพระเยซูประสูติ” อาจจะมาจากการแสดงกลุ่มรูปปั้น ที่เรียกว่า “Tableau vivant” ที่กรุงโรม ซึ่งนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีมีบทบาททำให้เป็นที่นิยมกันมากขึ้น การสร้าง “ฉากพระเยซูประสูติ” ก็ยังเป็นที่นิยมกันถึงปัจจุบันนี้ โดยบางครั้งฉากเล็กอาจจะทำจากกระเบื้องพอร์ซิเลน (Porcelain), พลาสเตอร์, พลาสติก หรือ กระดาษ เพื่อใช้ตั้งภายในที่อยู่อาศัย", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "749714#1", "text": "ในคัมภีร์ไบเบิลระบุไว้หลายตอนว่าพระเยซูเป็นพระมหากษัตริย์ เช่น ในพระวรสารนักบุญมัทธิวระบุว่าหลังการประสูติของพระเยซู บรรดาโหราจารย์ได้สังเกตเห็นดาวประจำพระองค์กษัตริย์ของชนชาติยิวปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก จึงเดินทางมาเข้าเฝ้าพระเจ้าเฮโรดมหาราชเพื่อสอบถามถึงกษัตริย์พระองค์นั้น พระวรสารนักบุญยอห์นระบุว่า หลังจากพระเยซูทรงทวีขนมปังเลี้ยงคนจำนวนมากแล้ว ประชาชนต่างต้องการตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์ จนพระองค์ต้องหนีไปอยู่บนเขา ในพระวรสารนักบุญลูการะบุว่าเมื่อพระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเลมอย่างผู้พิชิตนั้น ประชาชนต่างร้องถวายพระพรว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้เสด็จมา ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ ขอให้มีสันติในสวรรค์ และพระเกียรติในที่สูงสุด” ", "title": "พระคริสตราชา" }, { "docid": "211799#4", "text": "ในปี ค.ศ. 1296 ปิซาโนย้ายกลับไปปิซาและเริ่มงานที่วัดซานจิโอวานนี ในปี [[ค.ศ. [[ค.ศ. 1301]] ปิซาโนก็แกะสลัก[[แท่นเทศน์แห่งเซนต์แอนดรูว์]]สำหรับ[[วัดซานอันเดรียที่พิสโตเอีย]]ที่เริ่มไว้ในปี [[ค.ศ. 1297]] ต่อ ภาพแกะนูนห้าแผงบน[[แท่นเทศน์]]เป็นฉาก [[การประกาศของเทพ]]และ[[การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)|การกำเนิดของพระเยซู]]; การชื่นชม, แมไจฝัน และ เทวดาเตือนโจเซฟ; [[การสังหารเด็กบริสุทธิ์]]; พระเยซูตรึงกางเขน; [[พระกระยาหารมื้อสุดท้าย]]", "title": "โจวันนี ปีซาโน" }, { "docid": "143610#3", "text": "ในด้านเทววิทยา ประการแรก มัทธิวตระหนักถึงความสำคัญของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งสำเร็จในชีวิตของพระเยซู แท้จริงแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตพระเยซู ผู้เผยพระวจนะได้บันทึกไว้ล่วงหน้ามาแล้วในพระคัมภีร์เดิม ก่อนพระเยซูจะประสูติหลายร้อยปี", "title": "พระวรสารนักบุญมัทธิว" }, { "docid": "148916#4", "text": "ผลก็คือลูกชายชื่อฟิลลิปินโน ลิปปีผู้กลายมาเป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงไม่น้อยไปกว่าพ่อ คำบรรยายนี้มาจากบทเขียนของวาซารีซึ่งพิมพ์ไม่ถึงร้อยปีหลังจากเหตุการณ์ที่กล่าวแต่ก็ไม่มีใครค้านจนสามร้อยปีให้หลังเมื่อกล่าวกันว่าฟิลลิปโปอาจจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับลูเครเซียอย่างที่กล่าว หรือฟิลลิปินโนอาจจะเป็นเพียงลูกบุญธรรม หรืออาจจะเป็นเพียงญาติเท่านั้นก็ได้ ภาพเขียนสองภาพที่ถกเถียงกันว่าเป็นภาพเหมือนของลูเครเซียหรือไม่คือภาพพระแม่มารีที่ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พิติ, ฟลอเรนซื, ประเทศอิตาลี และอีกภาพหนึ่งเป็นภาพของพระแม่มารีเช่นกันในภาพ “การประสูติของพระเยซู” พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส แต่ภาพที่ว่าน่าจะเป็นภาพของลูเครเซียมากกว่าคือรูปนักบุญมาร์การเร็ตที่ปัจจุบันอยู่ที่แกลเลอรีที่พราโต", "title": "ฟีลิปโป ลิปปี" }, { "docid": "47456#1", "text": "พระวรสารนักบุญมัทธิวและพระวรสารนักบุญลูการะบุว่ามารีย์เป็นหญิงพรหมจรรย์ (\"παρθένος, parthénos\" ในภาษากรีก) ชาวคริสต์เชื่อสืบกันมาแต่อดีตว่านางได้ตั้งครรภ์บุตรด้วยอำนาจพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะที่ยังเป็นหญิงพรหมจรรย์ ส่วนชาวมุสลิมก็เชื่อว่านางตั้งครรภ์ด้วยโองการของพระเจ้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อนางได้หมั้นหมายกับนักบุญโยเซฟแล้วและอยู่ระหว่างรอพิธีแต่งงาน เมื่อนางได้แต่งงานกับโยเซฟแล้วก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองเบธเลเฮมซึ่งได้เป็นที่ประสูติพระเยซู ตามธรรมเนียมยิวการหมั้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อนางอายุราว 12 ปีแล้วให้กำเนิดพระเยซูในหนึ่งปีหลังจากนั้น", "title": "มารีย์ (มารดาพระเยซู)" }, { "docid": "21913#15", "text": "คนเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้าใกล้กับเบธเลเฮมได้รับการบอกเล่าถึงการประสูติโดยทูตสวรรค์ และเป็นคนกลุ่มแรกที่มาพบพระกุมารเยซู ตามความเชื่อที่ได้รับความนิยมยังมีว่า กษัตริย์สามพระองค์หรือนักปราชญ์สามคน คือ เมลชอร์ แคสปาร์ และบัลธาซาร์ ได้เดินทางมาเยี่ยมพระกุมารเยซูในรางหญ้า แม้ความเชื่อนี้จะไม่ตรงตามคัมภีร์ไบเบิลอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ในพระวรสารนักบุญมัทธิวเล่าว่า มีผู้วิเศษหรือโหราจารย์มาพบโดยไม่ระบุจำนวน หลังจากที่พระเยซูประสูติแล้ว ขณะที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในเรือน (มัทธิว 2:11) และได้ถวายของขวัญเป็นทองคำ, กำยานและมดยอบแก่พระกุมารเยซู แขกผู้มาเยือนนั้นได้รับทราบจากดาวประหลาด ซึ่งมักรู้จักกันในชื่อ ดาวแห่งเบธเลเฮม เชื่อกันว่าดาวนี้ประกาศการประสูติของกษัตริย์แห่งยิว พิธีฉลองการมาเยือนนี้ งานสมโภชการเสด็จมาของพระเยซู เฉลิมฉลองในวันที่ 6 มกราคม และเป็นวันสิ้นสุดเทศกาลคริสต์มาสในบางคริสตจักร", "title": "คริสต์มาส" }, { "docid": "147261#8", "text": "ฉาก “คนเลี้ยงแกะรับสาร” (Annunciation to the Shepherds) จากทูตสวรรค์ หรือ “การนมัสการของคนเลี้ยงแกะ” (Adoration of the Shepherds) ซึ่งเป็นภาพคนเลี้ยงแกะนมัสการพระกุมาร มักจะรวมกับฉาก “การประสูติของพระเยซู” และ “การนมัสการของโหราจารย์” ตั้งแต่เริ่มทำกันมา ฉากแรกเป็นสัญลักษณ์ของการเผยแพร่พระเยซูต่อชาวยิว และฉากหลังในการรวมกับ “การนมัสการของโหราจารย์” เป็นสัญลักษณ์ของการเผยแพร่พระเยซูต่อชนชาติอื่น\nเรื่องดำเนินต่อไปว่าพระเจ้าแฮร็อดทรงปรึกษาที่ปรึกษาถึงคำทำนายโบราณซึ่งบรรยายของการเกิดเด็กเช่นที่ว่า ที่ปรึกษาก็แนะนำว่าควรจะฆ่าเด็กเกิดใหม่ในเวลานั้นให้หมด พระเจ้าเฮโรดก็ทรงทำตามคำแนะนำโดยสั่งให้ฆ่าเด็กผู้ชายอายุต่ำกว่าสองขวบทุกคนในเมืองเบธเลเฮม แต่โยเซฟมีคนมาเตือนในฝันจึงพามารีย์และพระเยซูหนีไปอียิปต์ ฉากการสังหารเด็กอย่างทารุณกลายมาเป็นหัวเรื่องที่นิยมเขียนกันในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้น และสมัยบาโรกที่เรียกกันว่า “การประหารทารกผู้วิมล” (Massacre of the Innocents) อีกหัวข้อหนึ่งที่นิยมคือ “พระเยซูหนีไปอียิปต์” แสดงเป็นภาพมารีย์อุ้มพระเยซูนั่งบนลาจูงโดยโยเซฟ ซึ่งคล้ายกับไอคอนไบเซนไทน์ฉากที่โยเซฟกับมารีย์เดินทางไปเบธเลเฮ็ม", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "21913#13", "text": "คริสต์ศาสนิกชนเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูผ่านทางนางมารีย์สาวพรหมจารีว่าเป็นการบรรลุคำทำนายพระเมสสิยาห์ของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม โดยคัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกเรื่องราวซึ่งอธิบายเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู แตกต่างกันเป็นสองเวอร์ชันตามมุมมองของผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน โดยพบในพระวรสารนักบุญมัทธิว คือ มัทธิว 1:18 และพระวรสารนักบุญลูกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกา 1:26 และ 2:40 ตามบันทึกเหล่านี้ พระเยซูประสูติแต่นางมารีย์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโยเซฟ สามีของเธอ ในเมืองเบธเลเฮม", "title": "คริสต์มาส" }, { "docid": "147261#10", "text": "อีกเรี่องหนึ่งคือตอนที่พระเยซูพบยอห์นผู้ให้บัพติศมา ลูกพี่ลูกน้องหลังจากที่ยอห์นได้รับการช่วยเหลือจากยูเรียลไม่ให้ถูกฆ่า และเด็กสองคนมาพบกับที่อียิปต์ รูปพระเยซูพบยอห์นผู้ให้บัพติศมาวาดกันมากในสมัยเรอเนซองส์โดยมีเลโอนาร์โด ดา วินชีและต่อมาราฟาเอลเป็นผู้ริเริ่มทำให้แพร่หลาย", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "212719#2", "text": "นอกจากนั้นนักบุญโธมัสยังพูดในโอกาส พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย ยอห์น เมื่อพระเยซูทรงย้ำว่าทรงทราบว่าจะเสด็จไปไหนแต่นักบุญโธมัสประท้วงว่าไม่มีใครทราบจุดหมาย พระเยซูทรงตอบนักบุญโธมัสและนักบุญฟีลิปอัครทูตที่ถามถึงความสัมพันธ์ของพระเยซูและพระเจ้าผู้เป็นพระบิดา\nแต่ฉากที่สำคัญที่สุดของนักบุญโธมัสเป็นฉากในพันธสัญญาใหม่ ยอห์น ที่นักบุญโธมัสมีความสงสัยในการคืนพระชนม์ของพระเยซูและขอพิสูจน์โดยการสัมผัสรอยแผลของพระองค์ก่อนที่จะยอมเชื่อที่เห็นได้จากภาพวาด “ความสงสัยของนักบุญโธมัส” โดย คาราวัจโจ เรื่องนี้เป็นที่มาของวลี “ทอมัสขี้สงสัย” (Doubting Thomas) หลังจากที่เห็นว่าพระเยซูฟื้นขึ้นมาจริง (พระคัมภีร์ไบเบิลมิได้ระบุว่านักบุญทอมัสแตะแผลพระเยซู) นักบุญโธมัสก็อุทานว่า “My Lord and my God” และถูกเรียกว่า “โธมัสผู้มีความเชื่อ”", "title": "โธมัสอัครทูต" }, { "docid": "215852#4", "text": "เหรียญที่ระลึกของโคสิโมสร้างระหว่างปี ค.ศ. 1465 ถึงปี ค.ศ. 1470 ซึ่งทำให้เกิดการสันนิษฐานกันไปต่างๆ ว่าผู้นั่งเป็นแบบเป็นใครแต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าจะเป็นญาติสนิทหรือผู้สนับสนุนตระกูลเมดิชิ (ภาพเป็นของงานสะสมชิ้นหนึ่งของคาร์ดินัลคาร์โล เดอ เมดิชิ) หรืออาจจะเป็นน้องชายของบอตติเชลลีผู้เป็นช่างทองและช่างทำเหรียญของตระกูลเมดิชิก็ได้ นักวิชาการบางคนเสนอว่าอาจจะเป็นบอตติเชลลีเองเพราะใบหน้าแบบคล้ายคลึงกับภาพเหมือนตนเองในภาพ “การประสูติของพระเยซู” ที่บาซิลิกาซานตามาเรียโนเวลลาที่ฟลอเรนซ์", "title": "ภาพเหมือนของชายกับเหรียญโคสิโมผู้อาวุโส (บอตติเชลลี)" }, { "docid": "147261#20", "text": "จากคริสต์ศตวรรษที่ 15 การนมัสการของโหราจารย์ กลายเป็นฉากที่วาดร่วมกับฉาก “การประสูติของพระเยซู” และเป็นที่นิยมกันมากขึ้นและภาพเขียนก็มีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหัวข้อที่วาดเหมาะกับการขยายรายละเอียดและการใช้สีสัน และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพเขียนมีขนาดใหญ่ขึ้นเพราะต้องรับรายละเอียดต่างๆ เพื่อมิให้องค์ประกอบแน่นเกินไป และรวมฉาก “การนมัสการของคนเลี้ยงแกะ” เป็นฉากเดียวกับ “การประสูติของพระเยซู” ตั้งแต่ปลายสมัยกลางเป็นต้นมา ฉากนี้ก็รวมกันมากก่อนแต่ไม่มาก ทางตะวันตกโหราจารย์จะแต่งตัวอย่างแปลกและน่าสนใจจนบางครั้งเป็นตัวดึงจุดสนใจของผู้ชมแทนที่จะเป็นการประสูติของพระเยซู การเขียนภาพในสมัยเรอเนซองส์ก็เริ่มลดความหมายทางศาสนาลงโดยเฉพาะที่ฟลอเรนซ์ ซึ่งการวาดภาพสำหรับฆราวาสยังเป็นสิ่งใหม่อยู่ ตัวอย่างเช่นจิตรกรรมฝาผนังใหญ่ชื่อ “ขบวนโหราจารย์” (Procession of the Magi) เป็นจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงภายในโบสถ์น้อยโหราจารย์ในวังเมดิชิ เขียนโดย เบนอซโซ กอซโซลี (Benozzo Gozzoli) ในปี ค.ศ. 1459-1461 ซึ่งรวมภาพเหมือนของครอบครัวเมดิชิภายในภาพเดึยวกัย จะทราบว่าเป็นภาพศาสนาเกี่ยวกับโหราจารย์ก็เพราะตำแหน่งที่ตั้งของภาพและเมื่อดูชื่อภาพ ถ้าดูภาพแล้วเกือบจะไม่เห็นว่าเป็นภาพศาสนา", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "149428#0", "text": "การประสูติของพระเยซู () หรือพระคริสตสมภพ ถูกกล่าวถึงในพระวรสารนักบุญมัทธิวและพระวรสารนักบุญลูกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ ส่วนพระวรสารนักบุญมาระโกและพระวรสารนักบุญยอห์นมิได้กล่าวถึงการประสูติของพระเยซูไว้ แหล่งข้อมูลอื่นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ก็มีแต่มิได้รวมอยู่ในสารบบคัมภีร์ไบเบิล", "title": "การประสูติของพระเยซู" }, { "docid": "147261#3", "text": "ตัวเรื่องของการกำเนิดของพระเยซูเกี่ยวเนื่องมาจากประวัติการสืบเชื้อสายบรรพบุรุษของพระเยซูซึ่งกล่าวไว้ในพระวรสารนักบุญมัทธิวและพระวรสารนักบุญลูกา เชื้อสาย หรือ “ต้นไม้ครอบครัว” (Family tree) มักจะวาดในรูปที่เรียกว่า “ต้นเจสสี” หรือ “เถาเจสสี” (Tree of Jesse) ซึ่งงอกออกมาจากร่างของเจสสี บิดาของพระเจ้าดาวิดผู้เป็นกษัตริย์องค์ที่สองของอาณาจักรอิสราเอลเมื่อประมาณพันปีก่อนคริสตกาล", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "251251#4", "text": "นอกจากจะมีงานจิตรกรรมของจอตโตแล้วชาเปลก็ไม่มีสิ่งตกแต่งอื่นใด มีเพดานเป็นแบบเพดานโค้งประทุน ภาพ “การตัดสินครั้งสุดท้าย” เขียนบนผนังด้านในเหนือประตูทางเข้าทั้งผนัง แต่ละผนังจัดเป็นสามระดับของกลุ่มจิตรกรรม แต่ละระดับมีที่กว้างพอสำหรับภาพสี่ภาพที่แต่ละภาพกว้างสองตารางเมตร ด้านที่หันไปทางแท่นบูชาเริ่มเรื่องจากตอนบนขวาของผนังที่เป็นฉากชีวิตของพระแม่มารีที่รวมทั้งการประกาศของเทพแก่พระมารดาถึงการกำเนิดของพระองค์ และการนำพระองค์เข้าวัดเป็นครั้งแรก เรื่องดำเนินต่อไปจนถึงการประสูติของพระเยซู, ความทุกข์ทรมานของพระเยซู และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทรงถูกตรึงกางเขน สิ่งที่มีลักษณะเด่นของจิตรกรรมชุดนี้คือการแสดงอารมณ์อันรุนแรงของภาพ, ลักษณะตัวแบบ และ ความเป็นธรรมชาติ จอตโตแยกภาพจากกันโดยการวาดสิ่งตกแต่งทางสถาปัตยกรรมเป็นภาพหินอ่อนและคูหา", "title": "โบสถ์น้อยสโกรเวญญี" }, { "docid": "149428#1", "text": "คำบรรยายของพระวรสารนักบุญมัทธิวและพระวรสารนักบุญลูกากล่าวว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเป็นบุตรของนางมารีย์ ขณะมีตั้งครรภ์ได้หมั้นอยู่กับโยเซฟจากตระกูลเดวิด เรื่องนี้คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูประสูติจากหญิงพรหมจารีเพราะเป็นการกำเนิดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยมารดามิได้ร่วมประเวณีกับโยเซฟเลย คริสตชนจึงถือว่าโยเซฟเป็นเพียงบิดาบุญธรรม ทูตสวรรค์ได้ประกาศถึงการประสูติพระเยซูต่อคนเลี้ยงแกะ โหราจารย์สามคนก็ทราบเพราะได้เห็นดวงดาว พระวรสารกล่าวว่าการกำเนิดของพระเยซูเป็นไปตามคำพยากรณ์ของเหล่าผู้เผยพระวจนะชาวอิสราเอล", "title": "การประสูติของพระเยซู" }, { "docid": "147261#0", "text": "การประสูติของพระเยซู () เป็นหัวเรื่องที่วาดกันบ่อยที่สุดหัวข้อหนึ่งในศิลปะศาสนาคริสต์ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 องค์ประกอบของศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองวันคริสต์มาสตามข้อมูลในพระวรสารนักบุญมัทธิวและพระวรสารนักบุญลูกา และต่อมาก็มีการเพิ่มเรื่องราวจากข้อเขียนอื่น ๆ หรือเรื่องเล่าต่างๆ ศิลปะคริสต์ศาสนามักจะมีรูปเคารพของพระนางมารีย์พรหมจารีและพระกุมารเยซู งานศิลปะแบบนี้จะเรียกว่า “แม่พระและพระกุมาร” หรือ “พระนางพรหมจารีและพระกุมาร” แต่รูปนี้จะไม่รวมอยู่ในชุด “การประสูติของพระเยซู” ฉากการประสูติของพระเยซูจะมีคำบรรยายอย่างชัดเจนจากหลักฐานหลายแห่ง", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "149428#2", "text": "การระลึกถึง การแสดง หรือการสร้างสัญลักษณ์เกี่ยวกับการกำเนิดของพระเยซูถือเป็นหัวใจของการฉลองเทศกาลคริสต์มาส เพื่อแสดงความเชื่อว่าพระเยซูชาวนาซาเรธเป็น “พระคริสต์” หรือ “พระเมสสิยาห์” ตามที่ทำนายไว้คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม ในบางคริสตจักร เช่น โรมันคาทอลิก ถือว่าจุดยอดของการฉลองอยู่ที่พิธีมิสซาเที่ยงคืน หรือเช้าวันคริสต์มาสซึ่งจะเป็นวันที่ 25 ธันวาคมเสมอ ทางอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์จะอดอาหารก่อนวันคริสต์มาส 40 วัน และวันอาทิตย์สี่วันก่อนคริสต์มาสคริสต์ศาสนิกชนทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและแองกลิคันก็จะฉลองเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระเยซู เพื่อเป็นการเตรียมตัวทางใจเพื่อความพร้อมที่จะฉลองวันประสูติของพระเยซู", "title": "การประสูติของพระเยซู" } ]
2694
ลิโอเนล อันเดรส เมสซิ กูซิตินิ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน?
[ { "docid": "217858#0", "text": "ลิโอเนล อันเดรส เมสซิ กูซิตินิ (Spanish: Lionel Andrés Messi Cuccittini,[3] pronounced[ljoˈnel anˈdɾes ˈmesi]; เกิด 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987) เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้กับบาร์เซโลนา และทีมชาติอาร์เจนตินา เขายังถือสัญชาติสเปนอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาถือว่าเป็นนักฟุตบอลยุโรป เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในรุ่นของเขา[4][5][6] และมักถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นร่วมสมัยที่ดีที่สุดในโลก[7]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" } ]
[ { "docid": "217858#127", "text": "วันที่ 27 พฤศจิกายน 2016 ในเกมลีกนัดเยือน เรอัล โซเซียดัด เมสซิยิงได้ 1 ประตู ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกในลาลิกาสเปนที่ทำประตูได้ครบ 200 นัดในลีก วันที่ 6 ธันวาคม 2016 เมสซิลงแข่งขันเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ โบรุสเซียเมินเชนกลัดบัค ซึ่งเป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดที่ 549 ของเขาในสีเสื้ออาซุลกรานา ทำให้เขาขึ้นมาครองอันดับ 4 นักเตะที่ลงสนามในเกมเป็นทางการให้บาร์เซโลนามากที่สุด ร่วมกับ มิเกลลี โดยใน 10 อันดับแรก มีเพียงเขา และอันเดรส อินิเอสตา (603 นัด อยู่ในอันดับ 2)เท่านั้น ที่ยังคงค้าแข้งให้บาร์เซโลนาอยู่[192]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "80366#18", "text": "ลุฟต์ฮันซา (แฟรงก์เฟิร์ต, มิวนิก) ลุฟต์ฮันซา ที่ให้บริการโดย ไพรแวตแอร์ (ดัสเซลดอร์ฟ) ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ภายในประเทศ: (กรีนส์โบโร, แกรนแรปิดส์, คลีฟแลนด์, โคลัมบัส, แจ๊คสันวิลล์ (เฉพาะฤดูกาล), แจ็คสันโฮล, ชาร์ลอตต์, ซอลต์เลกซิตี, ซาคราเมนโต, ซานโจเซ (CA), ซานดิเอโก, ซานฟรานซิสโก, ซานแอนโตนิโอ, ซานฮวน, ซินซิเนติ/นอร์ทเทิร์น เคนตักกี, ซีแอตทัล/มาโคมา, เซนต์โธมัส, เซนต์หลุยส์, ดัลลาส/ฟอร์ทเวิร์ธ, ดีทรอยส์, เดนเวอร์, เดย์ตัน, เดส มอนส์, นิวยอร์ก-ลากวาเดีย), นูอาร์ก, บอยส์, บอสตัน, บับฟาโล, บัลติมอร์/วอชิงตัน, เบอร์ลังตัน, โบซแมน (เฉพาะฤดูกาล), ปาล์มสปริง (เฉพาะฤดูกาล), โปรวิเดนซ์, พอร์ทแลนด์ (OR), พิตส์เบิร์ก, ฟิลาเดเฟีย, ริชมอนด์, โรเชสเตอร์ (NY), วอชิงตัน-ดัลเลส, วอชิงตัน-เรแกน, เวสต์ปาล์มบีช, สโปเคน, ออลบานี, ออเรนจ์เคาน์ตี, อังกาเรจ (เฉพาะฤดูกาล), อินเดียนาโปลิส, แอตแลนตา, โอกลาโฮมาซิตี, โอ๊คแลนด์, โอมาฮา, ฮอนโนลูลู, ฮาร์ทฟอร์ด/สปริงฟิลด์, ฮุสตัน-อินเตอร์คอนติเนนตัล, แฮริสเบิร์ก) ระหว่างประเทศ: (แกรนเคย์แมน, คาลแกรี, โคซูเมล, ซานโจเซเดลคาโบ, ซานเปาโล-กัวรูลอส, เซี่ยงไฮ้-ผู่ตง, โซล-อินชอน, โตเกียว-นาริตะ, โทรอนโต-เพยีร์สัน, ไทเป-เถาหยวน, นาโงยา-เซนแทรย์, เบอร์มิวดา, ปักกิ่ง, ปารีส-ชาร์ลเดอโกล, เปอร์โตวัลลาร์ตา, แฟรงก์เฟิร์ต, มอนเตโกเบย์, เม็กซิโกซิตี, ลอนดอน-ฮีทโธรว์, ลิเบอเรีย, วินนิเป็ก, แวนคูเวอร์, สิงคโปร์, อัมสเตอร์ดัม, อารูบา, ฮ่องกง) เท็ด ให้บริการโดย ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (แคนคูน, ซานโจเซเอลคาโบ, ซานอวน, แทมป้า, เปอร์โตวัลลาร์ตา, ฟอร์ตโลเดอเดล, ฟินิกซ์, ไมอามี, ลาสเวกัส, ออร์แลนโด) ยูไนเต็ดเอ็กซ์เพรส ให้บริการโดย โกเจ็ตแอร์ไลน์ (แจ็คสันวิลล์ (เฉพาะฤดูกาล), ซานแอนโตนิโอ, ซินซิเนติ/นอร์ทเทิร์นเคนตักกี, ซีราคูส, เซนต์หลุยส์, ตูลซา, แมนเชสเตอร์ (NH), โมลีน/ควอดซิตี (จนถึงวันที่ 23เมษายน 2550), โอมาฮา) ยูไนเต็ดเอ็กซ์เพรส ให้บริการโดย ชัตเติลอเมริกา (แกรนแรปิดส์, แคนซัสซิตี, โคลัมบัส, ซีดาร์แรปิดส์/ไอโอวาซิตี, ดัลลาส/ฟอร์ทเวิร์ธ, เดสมอนส์, นิวออร์ลีน, บับฟาโล, ฟอร์ทไมเยอส์, มอนทรีอัล, มินนีอาโปลิส/เซนต์ปอล, เมียร์เทิลบีช, ราเลน/เดอร์แฮม, ไวท์เพลนส์, ออตตาวา, ออลบานี, ออลบูเควิก, อินเดียนาโปลิส, แอตแลนตา, ฮาร์ทฟอร์ด/สปริงฟิลด์, ฮาลิแฟก (เริ่ม 7 มิถนายน 2550), ฮุสตัน-อินเตอร์คอนติเนนตัล) ยูไนเต็ดเอ็กซ์เพรส ให้บริการโดย โชโตโกวแอร์ไลน์ (ซีราคูซ, เซาท์เบนด์, บับฟาโล, โรเชสเตอร์ (NY), หลุยส์วิลล์, อินเดียนาโปลิส) ยูไนเต็ดเอ็กซ์เพรส ให้บริการโดย ทรานสเตทแอร์ไลน์ (ซีราคูซ, เซนต์หลุยส์, เซาท์เบนด์, บลูมิงตัน, เบอร์ลิงตัน, พอร์ทแลนด์ (ME), มอนทรีอัล, มิลโวกี, แมดิสัน, แมนเชสเตอร์ (NH), โมลีน/ควอดซิตี, ราเลน/เดอร์แฮม, ริชมอนด์, ไวท์เพลนส์, ออลบานี, โอมาฮา, แฮริสเบิร์ก) ยูไนเต็ดเอ็กซ์เพรส ให้บริการโดย เมซาแอร์ไลน์ (กรีนวิลล์ (SC), แกรนแรปิดส์, คลีฟแลนด์, คาลแกรี, แคนซัสซิตี, โคลัมบัส, โคลัมเบีย, โคโลลาโดสปริงส์, ชาร์ล๊อตต์, ชาร์เลสตัน (SC), ซาวันนาห์, ซีดาร์แรปิดส์/ไอโอวาซิตี, ซีราคูส, เซาท์เบนด์, เดย์โทนาบีช, เดสมอนส์, ตูลซา, ทราเวิร์สซิตี, แนชวิลล์, บอยส์, เบอร์มิงแฮม (AL), มิลโวกี, เมมฟิส, แมนเชสเตอร์ (NH), โมลีน/ควอดซิตี, ราเลน/เดอร์แฮม, โรเชสเตอร์ (NY), วิชิตา, ไวล์ค-แบร์/สครานตัน, สปริงฟิลด์ (IL) (เริ่ม 24 เมษายน 2550), ออสติน, อัลเลนทาวน์/เบธเลแฮม, แอตแลนตา, แอ็ปเปิลตัน) ยูไนเต็ดเอ็กซ์เพรส ให้บริการโดย สกายเวสต์ (กาลามาซู, แกรนแรปิดส์, คลีฟแลนด์, แคนซัสซิตี, โคลัมบัส, โคโลราโดสปริงส์, แจ็คสันวิลล์ (เฉพาะฤดูกาล), ชาร์เลสตัน (WV), ซอลท์เลกซิตี, ซากีนอ, ซานแอนโตนิโอ, ซาวันนาห์, ซินซิเนติ/นอร์ทเทิร์นเคนตักกี, ซีดาร์แรปิดส์/ไอโอวาซิตี, ซีราคูส, เซาท์เบนด์, โซกซ์ฟอลส์, เดย์ตัน, เดสมอนส์, ตูลซา, ทราเวิร์สซิตี, น็อกซ์วิลล์, นอร์ฟอร์ก, แนชวิลล์, เบอร์มิงแฮม (AL), เบอร์ลิงตัน, โปรวิเดนซ์, พิตส์เบิร์ก, พิโอเรีย, ฟอร์ทเวย์น, ฟาเย็ตวิลล์ (AR), ฟาร์โก, มิลโวกี, เมมฟิส, โมลีน/ควอดซิตี, รัวโนก, แรปิดซิตี, ลินคอล์น, เล็กซิงตัน, แลนซิง, วัวซัว/สตีเวนพอยส์, วิชิตา, ไวค์แบร์/สแครนตัน, สปริงฟิลด์ (IL), สปริงฟิลด์/เบรนสัน, หลุยส์วิลล์, ออสติน, อัลเลนทาวน์/เบธเลแฮม, อากรอน/แคนตัน, อินเดียนาโปลิส, เอ็ดมอนตัน, เอสเปน (เฉพาะฤดูกาล), แอ็ปเปิลตัน, โอมาฮา, ฮุสตัน-อินเตอร์คอนติเนนตัน) ออลนิปปอนแอร์เวย์ (โตเกียว-นาริตะ)", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "217858#5", "text": "เมสซิเกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 ที่โรงพยาบาลอิตาเลียโนการิบัลดิ ในเมืองโรซาริโอ รัฐซานตาเฟ เป็นบุตรของฆอร์เฆ เมสซิ (เกิดปี ค.ศ. 1958) เป็นคนงานโรงงาน และเซเลีย มาริอา กูซิตินิ คนทำความสะอาดนอกเวลา[18][19][20][21] ครอบครัวทางฝั่งพ่อมาจากเมืองในประเทศอิตาลี คือเมืองอังโกนา โดยบรรพบุรุษของเขา อันเจโล เมสซิ อพยพมาอยู่อาร์เจนตินา ในปี ค.ศ. 1883[22][23] เขามีพี่ชาย 2 คนชื่อโรดรีโกและมาเตียส และมีน้องสาวชื่อ มารีอา ซอล[24]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#39", "text": "เมสซิมีส่วนต่อการเสริมกำลังในระหว่างที่อันเดรส อินิเอสตา บาดเจ็บ และในการแข่งขันกับสโมสรฟุตบอลเชลซี ในแชมเปียนส์ลีกในรอบรองชนะเลิศ เขาเลี้ยงบอลและแอสซิสต์ให้อันเดรส อินิเอสตา ยิงประตูชัยให้บาร์เซโลน่า ทำให้บาร์เซโลนาผ่านเข้ารอบไปเจอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ เขายังได้รับถ้วยรางวัลโกปาเดลเรย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ยิง 1 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก ในชัยชนะ 4–1 เหนือแอทเลติกบิลบาโอ[85] เขาช่วยทีมเป็นผู้ชนะในครั้งที่ 2 ในลาลิกา", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#165", "text": "แต่เมสซิยืนยันเรื่องความรักครั้งแรกและครั้งเดียวต่อสาธารณะ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เขาบอกทางรายการ \"แฮตทริกบาร์ซา\" ช่องกานัล 33 ว่า \"ผมมีแฟนสาวและเธออยู่ที่อาร์เจนตินา ผมรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข\"[248] โดยหญิงสาวคนนั้นคือ อันโตเนลา โรกูโซ[249] โดยโรกูโซเป็นชาวโรซาริโอเช่นเดียวกันกับเมสซิ โดยทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก โรกูโซเป็นญาติของเพื่อนสนิทวัยเด็กของเขา แต่เริ่มคบหากันฉันคนรักในปี ค.ศ. 2008[250]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#175", "text": "หลังจบพิธีการ เมสซิและโรกูโซได้ออกมาทักทายสื่อบริเวณพรมแดงด้วยสีหน้ามีความสุข แสดงทะเบียนสมรส และได้ตอบคำถามสื่อสั้น ๆ ว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ เพิ่มเติม", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#119", "text": "วันที่ 17 สิงหาคม 2016 เมสซิพาบาร์เซโลนา คว้าแชมป์แรกของฤดูกาล คือ ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา โดยเอาชนะเซบิยาไปได้ทั้ง 2 เลกเหย้าเยือน ซึ่งรวม 2 เลก เมสซิทำได้ 1 ประตู 2 แอสซิสต์ เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของทั้ง 2 นัด แชมป์นี้เป็นแชมป์ที่ 29 ของเมสซิกับบาร์เซโลนา แต่เป็นแชมป์ถ้วยแรกที่เมสซิได้รับในฐานะกัปตันทีมของบาร์เซโลนา เนื่องจากอันเดรส อินิเอสตา กัปตันทีมที่ 1 นั้นไม่ได้ลงเล่นในนัดนี้", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#187", "text": "เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2010 เมสซิได้รับเป็นทูตสันถวไมตรีจากยูนิเซฟ[275] โดยจุดประสงค์การทำงานของเขาเพื่อสนับสนุนสิทธิของเด็ก [276] เมสซิทำภารกิจแรกในฐานะทูตยูนิเซฟใน 4 เดือนถัดมา เขาเดินทางไปยังเฮติ เพื่อสร้างความตระหนักในชะตากรรมของเด็กในประเทศที่เพิ่งเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เมสซิยังมีส่วนร่วมในแคมเปญที่ยูนิเซฟจัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อการป้องกันการเกิดเอชไอวี, เพื่อการศึกษา และเพื่อโอกาสทางสังคมของเด็กพิการ[277]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "57399#40", "text": "และผู้ทำประตูสูงสุดในลีก (ลาลิกา) ของบาร์เซโลนา ก็คือ ลิโอเนล เมสซิ (2004 - ปัจจุบัน) จำนวนประตูในลีกนับถึงฤดูกาล 2015-2016 คือ 312 ประตู เมสซิทำลายสถิติเดิมของ เซซาร์ โรดรีเกซ จำนวน 195 ประตูในลาลิการระหว่างปี ค.ศ. 1942 ถึง 1955 โดยการทำ 2 ประตู ในนัดพบกับ เรอัลเบติส วันที่ 9 ธันวาคม 2012 มีนักฟุตบอลเพียง 4 คนที่ทำประตูได้มากกว่า 100 ประตูในลีกให้กับบาร์เซโลนา คือ ลิโอเนล เมสซิ (312), เซซาร์ โรดรีเกซ (195), ลัสโซล คูบาลา (131), และ ซามูแอล เอโต (108)", "title": "สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา" }, { "docid": "217858#138", "text": "วันที่ 27 พฤษภาคม 2017 สนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอนของอัตเลติโกมาดริด ได้ถูกยืมมาใช้ในการแข่งขันในนัดชิงชนะเลิศถ้วยโกปาเดลเรย์ ระหว่างบาร์เซโลนา และเดปอร์ตีโบอาลาเบส โดยเมสซิทำประตูแรกให้บาร์เซโลนาขึ้นนำ และแอสซิสต์สุดสวยโดยลากหลบ 4 กองหลัง แล้วส่งให้ปาโก้ อัลกาแซร์ ยิงประตูตอกฝาโลง ทำให้บาร์เซโลนาเอาชนะเดปอร์ตีโบอาลาเบส ไปได้ 3-1 คว้ารางวัลชนะเลิศรายการนี้ไปครองอย่างสวยงาม โดยแชมป์รายการนี้ เป็นแชมป์ที่ 30 ของเมสซิกับบาร์เซโลนา ถือเป็นนักฟุตบอลที่ได้แชมป์กับบาร์เซโลนามากที่สุด ซึ่งสถิตินี้เมสซิถือครองร่วมกับอันเดรส อินิเอสตา", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "22432#33", "text": "No.PositionPlayer1GKดาบิด เด เฆอา2DFวิกตอร์ ลินเดเลิฟ3DFเอริก บายี4DFฟิล โจนส์6MFปอล ปอกบา7FWอาเลกซิส ซันเชซ8MFฆวน มาตา9FWโรเมลู ลูกากู10FWมาร์คัส แรชฟอร์ด11FWอ็องตอนี มาร์ซียาล12DFคริส สมอลลิง13GKลี แกรนต์14MFเจสซี ลินการ์ด No.PositionPlayer15MFอังเดรอัส เปเรย์รา16DFมาร์โกส โรโฆ17MFแฟรจี18MFแอชลีย์ ยัง20DFดีโยกู ดาโล21MFอันเดร์ เอร์เรรา22GKเซร์ฆิโอ โรเมโร23DFลู้ก ชอว์25MFอันโตนิโอ บาเลนเซีย (กัปตัน)27MFมารวน แฟลายนี31MFเนมันยา มาติช36DFมัตเตโอ ดาร์มีอัน39MFสกอตต์ แม็คโทมิเนย์", "title": "สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" }, { "docid": "217858#46", "text": "หลังจากนั้น 2 วันเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA World Player of the Year) ปี 2009 โดยได้รับคะแนนโหวตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือ 1,073 คะแนน เอาชนะอันดับ 2 คริสเตียโน โรนัลโด (352 คะแนน) และลำดับถัด ๆ มาอย่าง , ชาบี (196 คะแนน), กาก้า (190 คะแนน) และอันเดรส อินิเอสตา(134 คะแนน) ไปได้อย่างมโหฬาร โดยเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรางวัลนี้ และเป็นชาวอาร์เจนตินาคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้[102]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#167", "text": "ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ปี 2012 แมตช์ที่อาร์เจนตินาคว้าชัยเหนือเอกวาดอร์ 4 ประตูต่อ 0 เมสซิได้ยืนยันข่าวลือการตั้งท้องของแฟนสาว โดยการฉลองประตูของเขาด้วยการยัดลูกบอลใส่เสื้อบริเวณหน้าท้อง และในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 โรกูโซได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกของพวกเขา คือ เตียโก เมสซิ โดยในวันนั้นเมสซิได้รับอนญาตให้งดซ้อม และอยู่เฝ้าแฟนสาวจนกระทั่งคลอดลูกชาย โดยเมสซิได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า วันนั้นเขาร้องไห้เพราะ เตียโกเป็นเด็กคลอดยาก เขารู้สึกว่ามันใช้เวลานานมาก กลัวและกังวลไปหมดจนกระทั่งลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัย เขาได้ให้สัมภาษณ์อีกว่า \"วันนี้ฉันเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก ลูกชายของฉันถือกำเนิดแล้ว ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญชิ้นนี้ ขอบคุณครอบครัวของฉันสำหรับกำลังใจและการสนับสนุนของพวกเขา รักพวกคุณทุกคน\"[251]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#155", "text": "อาการบาดเจ็บของเมสซิทำให้เขาไม่ได้ลงใน 2 เดือนท้ายสุดของฤดูกาล 2005–06 ซึ่งทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2006 นัก แต่อย่างไรก็ตามเมสซิก็ยังได้รับเลือกให้ลงเล่นในชุดทีมชาติอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 เขายังลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศให้กับอาร์เจนตินาชุดอายุไม่เกิน 20 ปี อยู่ 15 นาทีและนัดกระชับมิตรที่เจอกับแองโกลา ตั้งแต่นาทีที่ 64[222][223] เขานั่งอยู่บนม้านั่งสำรองในนัดที่อาร์เจนตินาชนะต่อโกตดิวัวร์[224] ในนัดถัดมาที่เจอกับเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เมสซิถือเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่ลงแข่งในฟุตบอลโลกเมื่อเขาออกมาแทนมักซี โรดรีเกซในนาทีที่ 74 เขาช่วงส่งประตูยิงให้กับเอร์นัน เกรสโปในไม่กี่นาทีหลังจากที่เขาลงสนามและยังช่วยยิงประตูในชัยชนะ 6–0 ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลก 2006 ที่ยิงประตูได้และเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดอันดับ 6 ที่ยิงประตูได้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก[225]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#57", "text": "ในนัดเอลกลาซิโกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เมสซิยิงประตูช่วยให้บาร์เซโลนาชนะ 5–0 และเมสซิยังช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับบิยา 2 ครั้ง[132] ในนัดถัดมาเขาทั้งยิงและช่วยจ่ายลูกยิงให้นัดเจอกับโอซาซูนา[133] เขาตอกย้ำรอยเดิมโดยการยิงประตูในนัดแข่งกับเรอัลโซเซียดัด[134]ในนัดดาร์บีที่แข่งกับแอร์ราเซเด อัสปัญญอล บาร์เซโลนาชนะ 1-5 เขาช่วยส่งจ่ายลูกยิงให้กับเปโดรและบิยา คนละหนึ่งประตู[135] ประตูแรกในปี ค.ศ. 2011 ของเขา แข่งกับเดปอร์ตีโบเดลาโกรูญา ยิงจากลูกฟรีคิก ในนัดที่ชนะ 4–0 โดยการไปเยือน ซึ่งเขาก็ยังช่วยยิงลูกจ่ายประตูให้กับทั้งเปโดรและบิยาอีกครั้ง[136] เมสซิได้รับรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ 2010 ชนะเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง ชาบีและอินิเอสตา[137] โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน[138] 2 วันถัดหลังได้รับรางวัล เขายิงแฮตทริกแรกของปี และเป็นแฮตทริกที่ 3 ในฤดูกาล ในนัดแข่งกับเรอัลเบติส[139] กลับมาสู่ในลีก เขายิงประตูในครึ่งหลัง โดยยิงประตูที่ 2 ของทีม จากจุดโทษในนัดแข่งกับราซิงเดซานตันเดร์[140] หลังจากยิงประตูเขาแสดงข้อความบนเสื้อในเขียนว่า \"สุขสันต์วันเกิด คุณแม่\"[141] เขายิงประตูด้วยความมั่นใจในนัดแข่งกับอัลเมรีอา ในโกปาเดลเรย์รอบรองชนะเลิศ[142] จากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ก็ยิงอีกครั้งในนัดแข่งกับเอร์กูเลส[143] ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ บาร์เซโลนาสร้างสถิติใหม่ โดยการชนะติดต่อกันมากที่สุดในลีก โดยชนะติดต่อกัน 16 ครั้ง หลังจากที่ทีมชนะอัตเลติโกมาดริด 3–0 ที่สนามกัมนอว์[144] เมสซิยิงแฮตทริกเพื่อแสดงความมั่นใจว่าชัยชนะจะอยู่ที่ทีมเขา หลังจบการแข่งขันเขาพูดว่า \"เป็นเกียรติที่สามารถทำลายสถิติที่ยิ่งใหญ่ที่ทำขึ้นเหมือนอย่างอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน\" และ \"ถ้าสถิตินี้ยังคงมีไปอีกนานเพราะว่ามันซับซ้อนที่จะชนะและเราก็สามารถทำถึงมันโดยชนะในทีมที่ยาก กับสถานการณ์อันเลวร้าย ซึ่งก็ทำให้มันยิ่งยากขึ้น\"[145]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#174", "text": "ในส่วนของพิธีการ เริ่มต้นเวลา 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น เมสซิเดินเข้าพิธีแต่งงานพร้อมบิดาและมารดา ตามด้วยลูกชายคนโตของพวกเขาเตียโก เมสซิ ซึ่งรับหน้าที่ถือแหวนแต่งงาน และบิดาของเจ้าสาวเป็นผู้นำเจ้าสาวเข้าสู่พิธี ทะเบียนสมรสได้รับการประกาศรับรองโดย กอนซาโล การิโย (Gonzalo Carrillo) ผู้อำนวยการสำนักทะเบียนราษฎร ซึ่งเดินทางมาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐในพิธีการจดทะเบียนสมรสระหว่าง เมสซิและโรกูโซ ด้วยตนเอง[261]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#189", "text": "เมสซิยังบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนฟุตบอลเยาวชนในอาร์เจนตินา ในปี ค.ศ. 2012 เขาสร้างยิมเนเซียมใหม่ และสร้างหอพักนักเตะเยาวชนภายในสโมสร ให้ทีมสมัยเด็กของเขา นิวเวลส์โอลด์บอยส์ โดยผู้ฝึกสมัยเด็กของเขา เอร์เนสโต เวกิโอ (Ernesto Vecchio) ได้รับการสนันบสนุนทางการเงินจากมูลนิธิเลโอ เมสซิ เพื่อเป็นแมวมองหาเด็กที่มีพรสวรรค์มาพัฒนาด้านฟุตบอล", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#183", "text": "ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา เมสซิได้เข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่างและบริจาคเงินให้กับองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ซึ่งมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสโมสรบาร์เซโลนา", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#193", "text": "วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2017 มูลนิธิเลโอ เมสซิ ได้บริจาคเงินจำนวน 6,276,000 เปโซอาร์เจนตินา ในโครงการแสงสว่างสำหรับเด็ก ๆ (Un Sol Para Los Chicos 2017) ซึ่งสนับสนุนโดยองค์กรยูนิเซฟ และองค์กรอื่น ๆ ของอาร์เจนตินา ในการจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินจากอาการขาดน้ำและอาการบาดเจ็บจากการคลอดธรรมชาติ จำนวน 300 ชุด [282]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#181", "text": "หลังจากแต่งงาน 2 วัน เมสซิและโรกูโซก็ได้เดินทางไปฮันนีมูนที่ประเทศแอนติกาและบาร์บูดา ประเทศหมู่เกาะในแถบทะเลแคริบเบียนตะวันออก พร้อมกับลูกชายทั้ง 2 คน เตียโกและมาเตโอ[268]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "79726#15", "text": "ไซปรัส เตอร์กิส แอร์ไลน์ (ดาลาแมน, แอนทัลยา) ดาอัลโล แอร์ไลน์ (ดจิโบติ) เดลต้า แอร์ไลน์ (ซินซิเนติ/นอร์ทเทิร์น เคนตัคกี, นิวยอร์ก-เจเอฟเค, แอตแลนตา) เนชั่นไวด์ แอร์ไลน์ (โจฮันเนสเบิร์ก) บรัสเซลส์ แอร์ไลน์ (บรัสเซลล์) บริติช แอร์เวย์ (กราโกว, กลาสโกว, เกรเนดา, เกรเรเบิล, คาเกลียรี, คาตาเนีย, คิงส์ตัน, เจนีวา, เจอร์ซีย์, ซาราเจโว, ซาลซ์เบิร์ก, ซูริค, เซนต์ลูเซีย, โซเฟีย, ดับลิน, ดัลลาส/ฟอร์ทเวิร์ธ, ดูโบรฟนิก, เดรสเดน, ติรานา, ตูริน, ตูลูส, เทเนไรฟ, แทมป้า, โทบาโก, เธสซาโลนิกิ, นิซ, นิวคาสเซิล, นิวเควย์, เนเปิลส์, บอร์ดิว, บาร์เซโลนา, บาร์เบโดส, บารี, เบอร์มิวด้า, โบลอกนา, ปราก, ปิซา, พริสตินา, พอร์ท ออฟ สเปน, มาดริด, มาร์เซล์, แมนเชสเตอร์, เรกยาวิก-เกฟลาวิก, โรม-ฟิอูมีชิโน, ลักเซมเบิร์ก, วาร์นา, เวนิซ, เวโรนา, สปลิต, อดินเบิร์ก, อเบอร์ดีน, ออร์แลนโด, อัมสเตอร์ดัม, อิชเมีย, แอนติกา, แอลเจียร์, ฮุสตัน, แฮสซี เมสเซาด์) บริติช แอร์เวย์ ที่ดำเนินการโดย จีบีแอร์เวย์ (ชาร์ท เอล ชีค, เซวิลล์, ดาลาแมน, ตูนิส, เตเนไรฟ เซาท์, เตเนไรฟ นอร์ท, นานท์, บาสเชีย, ปาฟอส, พาลมา เดอ มัลลอร์คา, ฟังคัล, ฟาโร, มอนท์เพลเลอร์, มัลตา, มาร์ราเคค, มะละกา, มาหน, ยิบรอลตา, โรดส์, ลาส พาลมาส, ลียง, อกาเดีย, อลิคานติ, อัจจาชิโอ, อารีไคฟ, อินสบรัค, อิบีซา, เฮรากลิออน, เฮอร์กาดา) ฟลายเจ็ต (เคอร์ฟู, ชาร์ม เอล ชีค, เตเนไรฟ, ปาฟอส, มาหน, ลักซอร์, ลาร์นาคา, แอมรีตซาร์, เฮรากลิออน) ฟลายลาล (วิลเนียส) เฟิร์ทชอยส์ แอร์เวย์ (กราโกว, กา ,กาลามาตา, กิตตาลา, เกฟาลลิเนีย, เกรโนเบิล, โกส, เคอร์ฟู, แคนคูน, เจนีวา, ชาร์ม เอล ชีค, แชนย่า, ซากินธอส, ซาดาร์, ซาลเบิร์ก, เซนต์โทมัส, ดาลาแมน, ดูโบรฟนิก, ตูริน, ตูลูส, เตเรไรฟ, ทาบา, เทลอาวีฟ, เนเปิลส์, บันจูล, บาร์เซโลนา, เบอร์กาส, โบดรัม, ปอร์ลามาร์, ปาฟอส, ปุนตา คานา, เปอร์โต ปลาสตา, พรีเวซา, พาลมา เดอ มอลลอร์คา, ฟังคัล, ฟาโร, เฟอร์เตเวนทูรา, มอมบาซา, มอลตา, มะละกา, มาเล, มาหน, มิติลินี, โมนาสเทียร์, ยับยานา, เรอุซ, โรดส์, ลาร์นาคา, ลาส พาลมาส ,ลิเบอเรีย, วาร์นา, วาราเดโร, เวโรนา, สเกียธอส, อกาเดีย, อลิคานติ, ออร์แลนโด-แซนฟอร์ด, อะรูบา, อัลเมเรีย, อาร์เรไคฟ, อินน์สบรัค, อิบิซา, แอนติกา, แอนเทย์ลา, ฮอลกูอิน, แฮรากลิออน) มาเลฟฮังกาเรียนแอร์ไลน์ (บูดาเปรตส์) รอยัลแอร์โมรอค (มาร์ราเคค) อเมริกัน แอร์ไลน์ (ดัลลาส/ฟอร์ทเวิร์ธ, ราไลจ์/ดูแรม) อาร์เกีย อิสราเอล แอร์ไลน์ (เทลอาวีฟ) อิสแรร์แอร์ไลน์ (เทลอาวีฟ) เอเดรียแอร์เวย์ (ยับยานา) เอมิเรตส์ (ดูไบ) แอร์เซาท์เวส (นิวเควย์, พลายเมาธ์) แอร์นามิเบีย (วินโฮก) แอร์พลัสโคเม็ต (มาดริด) แอร์ฟรานซ์ แอร์ฟรานซ์ ที่ดำเนินการโดย บริทแอร์ (สตาร์สเบิร์ก) แอสแทรอัส (เอล อลาเมน, กาลามาตา, กูซาโม, เกฟาลลิเนีย, เคอร์ฟู, คาลวี, เจนีวา, ชัมเบรี, ชาร์ม เอล ชีค, ซากินธอส, ซาดาร์, ซาล์ซเบิร์ก, เซนต์จอห์น, ดูโบรฟมิก, เดียร์เลก, ทาบา, เทเนไรฟ, ธีรา, บันจูล, บาสเทีย, เบอร์เจน, โบดรัม, ปาฟอส, พรีเวซา, ฟรีทาวน์, ฟาเจอเนส, มอนโรเวีย, มะละกา, มาลาโบ, มิโคนอส, เมอร์เซีย, เมอร์มานส์, ยูราล์ก, ลาส พาลมอส, สปริต, อคาบา, อักกรา, อัลเจโร, อัสวาน, โอลเบีย, เฮรากลิออน, แฮสซี เมสเซาด์)", "title": "ท่าอากาศยานลอนดอนแกตวิก" }, { "docid": "217858#157", "text": "เมสซิลงเล่นเกมแรกของโคปาอเมริกา 2007 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2007 เมื่ออาร์เจนตินาชนะสหรัฐอเมริกา 4–1 ในเกมแรก โดยเขาได้แสดงความสามารถในฐานะเพลย์เมกเกอร์ เขาตั้งลูกทำประตูให้กับเพื่อนร่วมทีม เอร์นัน เกรสโปรและยิงเข้ากรอบหลายลูก เตเบซลงมาแทนเมสซิในนาทีที่ 79 และยิงประตูในอีกไม่กี่นาทีต่อมา[230]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#95", "text": "แต่ในระหว่างมรสุมข่าวลือเหล่านั้น ในวันที่ 11 มกราคม 2015 เกมลีก นัดเปิดบ้านรับ อัตเลติโกมาดริด เมสซิก็ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของเมสซิ ช่วยบาร์เซโลนาเอาชนะอัตเลติโกมาดริดไปอย่างสวยงาม กลับมาลุ้นแชมป์เต็มตัว โดยกองหน้าของทีมทั้ง 3 คน เมสซิ เนย์มาร์ และ หลุยซ์ ซัวเรซ ทำประตูได้ทั้ง 3 คน โดยเมสซิเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของนัดนี้ โดยก่อนเริ่มเกมนี้มีการมอบรางวัลดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลาลิกาให้แก่เมสซิด้วย หลังจากนั้นเมสซิออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งแรกเกี่ยวกับข่าวลือที่ออกมา โดยเขาปฏิเสธความคิดเรื่องจะย้ายทีม และปฏิเสธเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของนักเตะและผู้ฝึก", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#158", "text": "นัดที่ 2 ของเขาแข่งกับโคลอมเบีย ที่เขาได้รับจุดโทษ ทำให้เกรสโปยิงตีเสมอ 1–1 เขายังเป็นส่วนหนึ่งของประตูที่ 2 ของอาร์เจนตินา โดยเขาได้ถูกทำฟาวล์นอกเขตโทษ ทำให้ควน โรมัน รีเกลเม ทำประตูได้จากลูกฟรีคิก และทำให้อาร์เจนตินานำเป็น 3–1 และจบประตูสุดท้ายของเกมที่ 4–2 ทำให้มั่นใจได้ว่าอาร์เจนตินาเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศแน่นอน[231]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#153", "text": "เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2009 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่เจอกับเวเนซุเอลา เมสซิสวมเสื้อเบอร์ 10 เป็นครั้งแรกให้กับอาร์เจนตินา ในนัดนี้เป็นนัดแรกอย่างเป็นทางการของผู้จัดการทีม ดิเอโก มาราโดนา อาร์เจนตินาชนะ 4–0 โดยเมสซิเป็นผู้ทำประตูแรก[220]", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "217858#166", "text": "ในปี ค.ศ. 2010 ทั้งคู่เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์เริ่มต้นชีวิตคู่ โรกูโซ ย้ายจากโรซาริโอมาอยู่กับเมสซิที่บาร์เซโลนา", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" }, { "docid": "57399#46", "text": "นักฟุตบอลที่สามารถคว้าแชมป์กับทีมบาร์เซโลนาได้มากที่สุด คือ ลิโอเนล เมสซิ และ อันเดรส อีเนียสตา ครองสถิติร่วมกันที่ 29 แชมป์", "title": "สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา" }, { "docid": "951666#1", "text": "ประตูที่ทำได้จากการดวลลูกโทษจะไม่นำมานับ แต่ละนัดที่ตัดสินด้วยการยิงลูกโทษคือนับในฐานะเสมอการแข่งขันทั้งหมดมี 169 ประตูที่ทำได้ใน 64 นัด สำหรับค่าเฉลี่ย 169/64 round 2 ประตูต่อนัด ผู้เล่นที่อยู่ใน ตัวหนา คือยังอยู่ในระบบการแข่งขัน\nผู้เล่นที่อยู่ใน ตัวหนา คือยังอยู่ในระบบการแข่งขัน.\nเอดินซอน กาบานิ, เดนิส เชรืยเชฟ, เดียโก โกสตา, เอแดน อาซาร์, แฮร์รี เคน, โรเมลู ลูกากู (2), กีลียาน อึมบาเป, อาห์เมด มูซา, จอห์น สโตนส์\nแฮร์รี เคน, คริสเตียโน โรนัลโด\nซัลมาน อัลฟะร็อจญ์, แครีม แอนซอรีแฟร์ด, อาร์ตอม ดซูย์บา, อันเดรียอัส กรอนกวิสต์ (2), อ็องตวน กรีแยซมาน (3), เอแดน อาซาร์, มีเล เยดีนัก (2), ชินจิ คางาวะ, แฮร์รี เคน (3), ลูคา มอดริช, วิกเตอร์ โมซิส, คริสเตียโน โรนัลโด, มุฮัมมัด เศาะลาห์, ฟิรญานี ซาสซี, กิลวี ซีกืร์ดซอน, การ์โลส เบลา\nฟะฮัด อัลมุวัลลัด, กริสเตียน กูเอบา, ลิโอเนล เมสซิ, ลูคา มอดริช, คริสเตียโน โรนัลโด, บรายัน รุยซ์, กิลวี ซีกืร์ดซอน\nเอดซอน อัลบาเรซ, แอซิซ เบอิช, อะซีซ บูฮัดดูซ, เดนิส เชรืยเชฟ, เตียกอ ชอแนก, โอเกเนกาโร เอเตโบ, อะห์มัด ฟัตฮี, เฟร์นังจิญญู, เซียร์เกย์ อิกนาเชวิช, มารีออ มันจูคิช, ยาซีน มัรยาห์, ยัน ซ็อมเมอร์", "title": "สถิติในฟุตบอลโลก 2018" }, { "docid": "217858#177", "text": "ในจำนวนแขก 260 คนนั้น นอกจากเครือญาติ เพื่อนบ้าน และเพื่อนสมัยเด็กแล้ว ยังประกอบไปด้วยเหล่าเพื่อนร่วมทีมทั้งอดีตและปัจจุบันของเมสซิ ทีมงาน ทีมแพทย์ ฯลฯ ทั้งจากสโมสรบาร์เซโลนา และทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ผู้จัดการทีมและบอร์ดบริหารทั้งชุดเก่าชุดใหม่ จากทั้ง 2 ทีมต่างไม่ได้รับเชิญเพื่อเป็นการตัดปัญหาความเชื่อมโยงกับการเมืองในสโมสรและควบคุมขนาดของงานแต่งงาน โดยผู้มาร่วมงานที่ได้รับความสนใจจากสื่อ อาทิ เนย์มาร์, ลุยส์ ซัวเรซ, กุน เซร์ฆิโอ อาเกวโร, ชาบี, การ์เลส ปูยอล, เซสก์ ฟาเบรกัส และฌาราร์ ปิเก ซึ่งควงแฟนสาวนักร้องชื่อดังอย่างชากีรา มาร่วมงานด้วย ฯลฯ โดยแขกต่างชาติที่ได้รับเชิญ ต่างทยอยเดินทางมางานแต่งงานโดยเครื่องบินส่วนตัวกว่า 12 ลำ เนื่องจากโรซาริโอเป็นเมืองเล็ก เที่ยวบินตรงจากสายการบินพาณิชย์มีน้อย[264] ผู้ที่ได้รับเชิญแต่ไม่สามารถมาร่วมงานได้มีเพียงรอนัลดีนโย ซึ่งติดภารกิจต้องเข้าร่วมการแข่งขันกระชับมิตรการกุศลตำนานบาร์ซ่า-ตำนานแมนฯยูไนเต็ดในวันนั้น, อันเดรส อินิเอสตา ซึ่งภรรยาเพิ่งคลอดลูกคนเล็กได้ไม่นาน ไม่สามารถเดินทางไกลได้ และนักเตะบาร์เซโลนาบางรายซึ่งติดภารกิจกับทีมชาติ", "title": "ลิโอเนล เมสซิ" } ]
3167
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีเกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "84473#2", "text": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า \"บุญรอด\" เสด็จพระราชสมภพในเวลาเช้าของวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2310 ณ ตำบลอัมพวา เมืองราชบุรี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับบิดาคือเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน เศรษฐีเชื้อสายจีนย่านถนนตาล ในกรุงศรีอยุธยา เมื่อแรกเริ่มเจ้าคุณชีโพ กนิษฐาในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีได้ให้การอุปถัมภ์อำรุง คุณบุญรอดจึงนับถือเจ้าคุณชีโพเป็นพระมารดาเลี้ยงเสมอมา", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" }, { "docid": "84473#0", "text": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (พระยศเดิม:\"สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด\"; พระราชสมภพ: 21 กันยายน พ.ศ. 2310 — สวรรคต: 18 ตุลาคม พ.ศ. 2379) หรือประชาชนเรียกว่า \"สมเด็จพระพันวษา\" เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (พระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน ต่อมาได้รับราชการฝ่ายในเป็นพระชายาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" } ]
[ { "docid": "84473#20", "text": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ประสูติพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จำนวน 5 พระองค์ คือพลับพลาสมเด็จพระศรีสุริเยนทราฯ ตั้งอยู่ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เดิมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ปลูกอยู่ในสวนพระราชวังเดิม กล่าวกันว่า เป็นพลับพลาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะทรงผนวชอยู่) ประทับเฝ้าเยี่ยมพระราชมารดา หลังจากสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีสวรรคตแล้วโปรดให้รื้อมาปลูกที่ริมคูด้านหน้าออกถนนพระสุเมรุ หน้าพระตำหนัก วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อเป็นอาสนศาลา ต่อมาจึงย้ายมาปลูกใหม่ในบริเวณตำหนักจันทร์", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" }, { "docid": "4249#2", "text": "พระราชโอรสองค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ฉศก จ.ศ. 1166 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ณ พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โดยพระนามก่อนการมีพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามว่า \"ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่\"", "title": "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "177753#3", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พร้อมกับพระราชโอรส คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ได้เสด็จออกไปประทับ ณ พระราชวังเดิม ซึ่งในระยะเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรื้อหมู่ตำหนักภายในเขตพระราชฐานชั้นในเพื่อสร้างเปลี่ยนตำหนักไม้เป็นตำหนักตึก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อตำหนักแดงที่ประทับของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีไปปลูกที่พระราชวังเดิมด้วย เมื่อสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีสวรรคต ตำหนักแดงในส่วนที่ประทับของพระองค์ได้รื้อไปถวายเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม", "title": "พระตำหนักแดง" }, { "docid": "46830#1", "text": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2377 เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ต้น (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาทรัพย์) พระชนนีคือหม่อมน้อย สตรีชาวบางเขนที่มีเชื้อสายอำมาตย์รามัญกับไทย เป็นธิดาคนหนึ่งของนายบุศย์ ชาวบางเขน ซึ่งไม่ปรากฏวงศ์ตระกูล กับคุณแจ่ม หลานสาวของอำมาตย์มอญ คือพระยารัตนจักร (หงส์ทอง สุรคุปต์) (สมิงสอดเบา หัวเมืองหน้าครัวมอญ) คุณม่วงมารดาของคุณแจ่มเป็นน้องสาวต่างมารดาของเจ้าจอมมารดาป้อม ในรัชกาลที่ 1, เจ้าจอมเพ็ง ในรัชกาลที่ 2 และเจ้าจอมมารดาเอม ในรัชกาลที่ 2 บางแหล่งข้อมูลก็ว่า คุณแจ่มเป็นธิดาของพระยารัตนจักร", "title": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี" }, { "docid": "84473#13", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามาภิไธยพระบรมอัฐิเป็น \"สมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์\" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า \"สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี\" ตามที่ทรงเป็นพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเป็นพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" }, { "docid": "84473#21", "text": "สะพานสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ ตั้งอยู่ ณ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองเชื่อมระหว่าง หมู่ที่ 2 ตำบลสวนหลวง อำเภออัมพวา กับเขตเทศบาลตำบลอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม กรมศิลปากรได้พิจารณาเสนอชื่อสะพานตามพระนามสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เนื่องจากพระองค์เสด็จพระราชสมภพ ณ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม และเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อ สะพานสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าและสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ ซึ่งได้ตั้งชื่อเป็นพระนามย่อเช่นเดียวกัน", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" }, { "docid": "12226#2", "text": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังเป็นพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) ประสูติแต่หม่อมหลวงบัว กิติยากร (ราชสกุลเดิม: สนิทวงศ์) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ณ บ้านของพลเอก เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) บ้านเลขที่ 1808 ถนนพระรามที่ 6 ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร อันเป็นบ้านของพระอัยกาฝ่ายพระมารดา มีพระเชษฐาสองคนคือหม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์และหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ และมีพระกนิษฐาคนหนึ่งคือท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงศ์", "title": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" }, { "docid": "103456#3", "text": "เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เกิดวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2428 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดที่บ้านพระยาสุนทรานุรักษ์ (เนตร ณ สงขลา) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา ณ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นบุตรชายคนโตของพระอนันตสมบัติ (เอม ณ สงขลา) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา กับนางอนันตสมบัติ (เชื้อ วัชราภัย ณ สงขลา) ธิดาของหลวงอุปการโกษากร (เวท วัชราภัย) กับท่านปั้น ณ สงขลา เป็นหลานของเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ลำดับที่ 6 นับจากทั้งฝ่ายบิดาและมารดา เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 9 คน ได้แก่\nเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2519 สิริอายุได้ 90 ปี 11 เดือน 8 วัน หลังจากรับราชการทั้งด้านตุลาการ บริหาร นิติบัญญัติ และองคมนตรี รวมทั้งสิ้นถึง 72 ปี", "title": "เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา)" } ]
1250
มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "12100#0", "text": "มหาวิทยาลัยบูรพา () สถาบันอุดมศึกษาของรัฐแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐตั้งอยู่ที่ ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 โดยอดีตเป็นวิทยาเขตหนึ่งของวิทยาลัยวิชาการศึกษา (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปัจจุบัน)ก่อตั้งโดย พลเอกมังกร พรหมโยธี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงครามตั้งอยู่ ณ เลขที่ 169 ถนนลงหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 647 ไร่ 35 ตารางวา โดยมีชื่อว่า วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน หรือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน ในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้วันที่ 8 กรกฎาคม หรือที่เรียกว่า \"แปดกรกฎ\" ของทุกปีจึงนับเป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "218053#0", "text": "คณะศึกษาศาสตร์ เป็นคณะแรกของมหาวิทยาลัยบูรพา คณะศึกษาศาสตร์ ก่อตั้งมาพร้อมกับวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2498 เมื่อวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปี พ.ศ. 2517 วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน จึงได้รับการเลื่อนวิทยะฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒด้วย แต่วิทยาเขตบางแสน จนกระทั่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน ได้รับการยกฐานเป็นมหาวิทยาลัยบูรพา ในปี พ.ศ. 2533 เมื่อมหาวิทยาลัยบูรพามีฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ คณะศึกษาศาสตร์จึงมีฐานะเป็นคณะวิชาที่เป็นรูปแบบ จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งในปัจจุบันคณะได้จัดการศึกษาในระดับปริญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก", "title": "คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" } ]
[ { "docid": "488763#1", "text": "คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับการจัดการการเรียนการสอนทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ ขึ้นสู่ระดับคณะเป็นแห่งแรกของประเทศไทย โดยแยกออกมาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในปัจจุบันความรู้ทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีความสำคัญโดดเด่นเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากความรู้ทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ สามารถนำไปปรับใช้กับการจัดการบริหารประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านภัยพิบัติ ด้านการบริหารพื้นที่ในท้องถิ่น เป็นต้น", "title": "คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "178970#0", "text": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2545 เป็นคณะแพทยศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้นแห่งแรกในภาคตะวันออก เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคณะทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งประกอบด้วยคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ รวมถึงคณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ที่จะดำเนินการเปิดสอนในอนาคต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาผ่านการรับรองหลักสูตรจากแพทยสภาแล้ว โดยมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการแก่สังคมและชุมชน", "title": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "126830#0", "text": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งปี พ.ศ 2533 และในปี 2534 สภามหาวิทยาลัยให้จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยมีภารกิจหลักคือการผลิตบัณฑิตด้านวิศวกรรมศาสตร์เป็นศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เผยแพร่ความรู้ข้อสนเทศทางวิศวกรรมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และต่อมาได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ (หน้า 62 เล่มที่ 110 ตอนที่ 288) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ 2536 โดยมีการแบ่งส่วนราชการออกเป็น สำนักงานเลขานุการภาควิชาวิศวกรรมเคมี และภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ตามประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2537 และได้เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2534", "title": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "12100#15", "text": "นิยมเรียกกันว่า โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยบูรพา สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย มี 3 อาคาร ประกอบด้วย อาคารคณะแพทยศาสตร์ อาคารศรีนครินทร์ และอาคารท่านผู้หญิงประภาศรี กำลังเอก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2527 เดิมใช้ชื่อว่า “โครงการศูนย์บริการทางการแพทย์” โดยได้รับความอนุเคราะห์จากพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก บริจาคอาคาร 2 ชั้น\n \nมหาวิทยาลัยบูรพา แบ่งพื้นที่การศึกษาออกเป็น 3 วิทยาเขต", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "234574#1", "text": "คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งจากทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2525 โดยเป็นคณะวิชาหนึ่งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยบูรพา ตามพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยบูรพา ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงได้โอนเข้ามาอยู่ในสังกัดมหาวิทยาลัยบูรพา และเป็นคณะวิชาแรกของ มหาวิทยาลัยบูรพา", "title": "คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "850234#1", "text": "โรงเรียนสาธิต \"พิบูลบำเพ็ญ\" มหาวิทยาลัยบูรพา (อังกฤษ; Piboonbumpen Demonstration School, Burapha University) เดิมคือ โรงเรียนประชาบาลตำบลแสนสุข 3 (บ้านแสนสุข) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2482 เป็นหน่วยงานภายในสังกัดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มีการบริหารงานนอกระบบราชการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ", "title": "โรงเรียนสาธิต &quot;พิบูลบำเพ็ญ&quot; มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "234576#0", "text": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 เริ่มแรกใช้ชื่อคณะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มี 5 แผนกวิชา ได้แก่ แผนกวิชาคณิตศาสตร์ แผนกวิชาเคมี แผนกวิชาชีววิทยา แผนกวิชาฟิสิกส์ และแผนกวิชาวิทยาศาสตร์ ดำเนินการสอนวิทยาศาสตร์พื้นฐานให้กับหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) ร่วมกับคณะวิชาการศึกษา (ปัจจุบัน คือ คณะศึกษาศาสตร์) ผลิตระดับปริญญาตรีทางการศึกษา เพื่อไปเป็นครูวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา", "title": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "12100#17", "text": "มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว เป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการ ให้มหาวิทยาลัยบูรพาขยายโอกาสอุดมศึกษาไปสู่จังหวัดสระแก้วได้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 มีพื้นที่ในการดำเนินการเป็นที่ดินสารธารณประโยชน์ แปลงโคกป่าเพ็ก บริเวณ หมู่ที่ 4 ตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว พื้นที่ 1,369ไร่ ที่ดินดังกล่าว กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติในหลักการให้มหาวิทยาลัยบูรพาใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ โดยมีเงื่อนไขการดำเนินงานใน 2 ปี ต้องได้รับงบประมาณการก่อสร้างอาคาร ถ้าไม่ได้รับจะขอยกเลิกสิทธิ์การใช้ที่ดิน \nเปิดสอนใน 2 คณะ คือ", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" } ]
242
ศาสนาคริสต์ มีกี่นิกาย ?
[ { "docid": "3831#1", "text": "คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ด้วยเหตุนี้ คริสตชนจึงมักเรียกพระเยซูว่า \"พระคริสต์\" หรือ \"พระเมสสิยาห์\" ศาสนาคริสต์ปัจจุบันแบ่งเป็นสามนิกายใหญ่ คือ โรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และโปรเตสแตนต์ ซึ่งยังแบ่งนิกายย่อยได้อีกหลายนิกาย เขตอัครบิดรโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์แยกออกจากกันในช่วงศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก (East–West Schism) ใน ค.ศ. 1054 และนิกายโปรเตสแตนต์เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก", "title": "ศาสนาคริสต์" } ]
[ { "docid": "143314#0", "text": "นิกายในศาสนาคริสต์ () คือการแบ่งสาขาของศาสนาคริสต์ตามแนวปรัชญาและหลักการปฏิบัติ ในแต่ละนิกาย (denomination) ก็แบ่งย่อยเป็นคริสตจักร (church) รายการข้างล่างนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น\nคริสตจักรโรมันคาทอลิกนับถือทั้งพระเยซูและพระนางมารีย์พรหมจารี โดยเชื่อว่าพระแม่มารีย์พระมารดาพระเยซูเป็นพรหมจารีเสมอ และให้เกียรติพระนางมารีย์เป็นพิเศษ โดยเรียกว่า \"แม่พระ\" หมายถึงพระมารดาพระเจ้า นอกจากนี้ยังมีการยกย่องนักบุญ คือวีรบุรุษและวีรสตรีทางศาสนา หรือบุคคลที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูอย่างดีมากจนเชื่อว่าได้ไปสวรรค์และเป็นผู้คุ้มครองผู้คน อาจเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายว่า พระเยซูเสมือนพระมหากษัตริย์ แม่พระเสมือนพระราชชนนี และเหล่านักบุญเสมือนขุนนางองครักษ์", "title": "นิกายในศาสนาคริสต์" }, { "docid": "3831#2", "text": "ศาสนาคริสต์ในช่วงแรกถือเป็นนิกายหนึ่งของศาสนายูดาห์เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 โดยถือกำเนิดขึ้นในชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออกของตะวันออกกลาง (ปัจจุบัน คือ อิสราเอลและปาเลสไตน์) ไม่นานก็แผ่ขยายไปยังซีเรีย เมโสโปเตเมีย เอเชียไมเนอร์ และอียิปต์ ศาสนาคริสต์มีขนาดและอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษ และจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 ได้กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติจักรวรรดิโรมัน ระหว่างสมัยกลาง ดินแดนยุโรปที่เหลือส่วนมากรับศาสนาคริสต์แล้ว แต่บางภูมิภาค เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ เอธิโอเปีย และบางส่วนของอินเดีย คริสตชนยังถือเป็นศาสนิกชนกลุ่มน้อย หลังยุคสำรวจ ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปยังทวีปอเมริกา ออสตราเลเซีย แอฟริกาใต้สะฮารา และส่วนที่เหลือของโลกผ่านงานมิชชันนารีและการล่าอาณานิคม", "title": "ศาสนาคริสต์" }, { "docid": "2083#87", "text": "กลุ่มคริสต์ศาสนาอื่น ๆ ในสหราชอาณาจักรประกอบไปด้วย กลุ่มนิกายเมทอดิสต์ ก่อตั้งโดยจอห์น เวสลีย์ และกลุ่มแบปติสต์ นอกจากนี้ ยังมีโบสถ์นิกายอิวานจิลิคัลหรือเพนโทคอทัลมากขึ้นเรื่อย โดยส่วนมากมาจากการอพยพของประชากรจากประเทศในเครือจักรภพ สหราชอาณาจักรในปัจจุบันมีความหลากหลายทางด้านศาสนาค่อนข้างสูง คริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดูมีศาสนิกชนจำนวนมาก ในขณะที่ศาสนาซิกข์และศาสนายูดาห์มีศาสนิกชนจำนวนรองลงมา ร้อยละ 14.6 ของประชากรประกาศตัวว่าไม่นับถือศาสนาใดๆ", "title": "สหราชอาณาจักร" }, { "docid": "521485#6", "text": "ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเข้ามาสู่กัมพูชาเมื่อราว พ.ศ. 2203 การเผยแพร่เป็นไปอย่างช้าๆ ใน พ.ศ. 2515 คาดว่ามีผู้นับถือศาสนาคริสต์ในกัมพูชาราว 20,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนิกายโรมันคาทอลิก ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2513 ก่อนจะมีการขับไล่ชาวเวียดนาม มีขาวคริสต์ในกัมพูชาที่เป็นชาวเวียดนามประมาณ 50,000 คน แต่หลังจากนั้น ชาวคริสต์ที่เหลืออยู่ในเวียดนามมักมีเชื้อสายยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส ในขณะที่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ของมิชชันนารีจากสหรัฐเพิ่มมากขึ้นหลังจากจัดตั้งสาธารณรัฐเขมร โดยเฉพาะการเผยแพร่ในหมู่ชาวเขมรบนและชาวจาม", "title": "วัฒนธรรมกัมพูชา" }, { "docid": "165799#1", "text": "โบสถ์นิกายแบบติสต์ในตรีปุระเริ่มก่อตั้งโดยมิชชันนารีชาวนิวซีแลนด์เมื่อราว พ.ศ. 2483 จนกระทั่ง พ.ศ. 2523 มีชาวตรีปุระไม่กี่พันคนที่เปลี่ยนศาสนา จนหลังการจลาจลทางเชื้อชาติระหว่าง พ.ศ. 2523 – 2532 จำนวนผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์มีมากขึ้น แนวร่วมกู้ชาติแห่งตรีปุระก่อตั้งใน พ.ศ. 2532 โดยความช่วยเหลือของนิกายแบบติสต์ และต่อมาขบวนการนี้ได้พัฒนามาเป็นกองกำลังกบฏติดอาวุธ", "title": "แนวร่วมกู้ชาติแห่งตรีปุระ" }, { "docid": "47963#4", "text": "เดิมทีศาสนาคริสต์ยังไม่แบ่งแยกเป็นนิกาย ต่อเมื่อเกิดการแยกตัวของนิกายใหม่ ผู้ปฏิบัติในแนวทางเดิม (ที่ผ่านการเติบโตและดัดแปลงจากสมัยนักบุญเปโตร) จึงได้รับการแยกแยะว่าเป็นนิกายดั้งเดิม แตกต่างจากนิกายใหม่ เหตุการณ์แบ่งแยกครั้งแรกเกิดในรัชสมัยจักรพรรดิคอนสตันไทน์มหาราช เมื่อพระองค์ได้ตั้งราชธานีใหม่ในภาคตะวันออก แถบประเทศตุรกีในปัจจุบัน พระราชทานนามว่า \"คอนสแตนติโนเปิล\" หรือโรมันตะวันออกซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิไบแซนไทน์ อาณาจักรนี้มีความอิสระแยกออกจากโรมันตะวันตกซึ่งมีกรุงโรมเป็นศูนย์กลาง แต่เมื่อนานวันอาณาจักรโรมันตะวันออกมีความเข้มแข็งและเป็นอิสระในทุกด้าน จึงตีตนออกห่าง แยกการปกครองเป็นเอกเทศ รวมถึงการปกครองทางศาสนามีความเป็นอิสระจากกรุงโรม ไม่ยอมรับในพระราชอำนาจของพระสันตะปาปา จึงทำให้เกิดการแตกแยกออกเป็นนิกาย \nกล่าวคืออาณาจักรโรมันตะวันตกได้รับอิทธิพลจากสำนักวาติกัน ซึ่งการศาสนามีบทบาทกลมกลืนกับสังคมและการเมืองนับถือนิกายโรมันคาทอลิก ส่วนอาณาจักรโรมันตะวันออกได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของเอเชียนับถือนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์", "title": "โรมันคาทอลิก" }, { "docid": "823#78", "text": "จากการสำรวจปี ค.ศ. 2014 ผู้ใหญ่ 70.6% ระบุตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน ลดลงจาก 73% ในปี 2012 โปรเตสแตนต์นิกายต่าง ๆ คิดเป็น 46.5% ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด ศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์ที่รายงานทั้งหมดในปี 2014 มี 5.9% ศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ ศาสนายูดาห์ (1.9%), ศาสนาอิสลาม (0.9%), ศาสนาฮินดู, (0.7%) ศาสนาพุทธ (0.7%) การสำรวจยังรายงานว่าชาวอเมริกัน 22.8% ระบุตัวเองว่าอไญยนิยม, อเทวนิยมหรือไม่มีศาสนา เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 1990 นอกจากนี้ยังมีชุมชน ยูนิทาเรียนยูนิเวอร์แซลิสต์, ศาสนาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, ศาสนาเชน, ลัทธิชินโต, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ดรูอิด, พื้นเมืองอเมริกัน, วิคะ, มนุษยนิยม, และเทวัสนิยม", "title": "สหรัฐ" }, { "docid": "4165#57", "text": "ในสหภาพโซเวียต ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมีจำนวนศาสนิกชนมากที่สุด คริสต์ศาสนิกชนส่วนใหญ่นับถือนิกายออร์ทอดอกซ์ โดยคริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ชาวมุสลิมในประเทศร้อยละ 90 ถือนิกายซุนนี ส่วนชาวชีอะฮ์พบมากในอาเซอร์ไบจาน นอกจากนี้ยังมีศาสนิกชนกลุ่มน้อย ได้แก่ ชาวโรมันคาทอลิก ชาวยิว ชาวพุทธ และชาวโปรเตสแตนต์หลายนิกาย (โดยเฉพาะแบปทิสต์และลูเทอแรน)", "title": "สหภาพโซเวียต" }, { "docid": "1937#53", "text": "ศาสนาอิสลาม เป็นที่ยอมรับนับถือในชุมชนที่มีเชื้อสายจามและมลายู มีศาสนิกชนราว 300,000 คน ในจังหวัดกำปงจามมีโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามจำนวนหลายแห่ง ส่วนศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก ตามด้วยนิกายโปรเตสแตนต์ มีชาวคาทอลิกราว 20,000 คนหรือร้อยละ 0.15 นอกจากนี้ยังมีนิกายอื่น ๆ เช่น แบปทิสต์ เมทอดิสต์ พยานพระยะโฮวา และมอรมอน", "title": "ประเทศกัมพูชา" } ]
381
กำแพงเมืองจีนเป็นมรดกโลกตั้งแต่เมื่อใด ?
[ { "docid": "11237#5", "text": "Template:CJKV \"ว่านหลี่ฉางเฉิง\") สำนักงานมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติจีน ประกาศเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ว่านักโบราณคดีได้ตรวจวัดความยาวของสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือ \"กำแพงเมืองจีน\" อย่างเป็นทางการนานร่วม 5 ปี ตั้งแต่ 2008-2012 และพบว่ายาวกว่าที่บันทึกไว้เดิมกว่า 2 เท่า หรือ 21,1ึ6.18 กิโลเมตร จากเดิม 8,840 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ", "title": "กำแพงเมืองจีน" } ]
[ { "docid": "770435#0", "text": "สถานที่นี้มีทั้งหลุมฝังศพที่เป็นกลุ่ม ๆ และเป็นหลุมเดี่ยวที่มีรวมทั้งหมดประมาณ ๓๐ หลุม จากปลายสมัยอาณาจักรโคกูรยอ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจีน และปกครองครึ่งหนึ่งคาบสมุทรเกาหลี ระหว่างศตวรรษที่ ๓ ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๗ (พุทธศตวรรษที่ ๑๒) สุสานประกอบด้วยจิตรกรรมฝาผนังซึ่งเป็นเพียงซากที่คงเหลือของวัฒนธรรมแถบนี้ สุสานโคกูรยอประมาณ ๙๐ แห่ง จากจำนวนทั้งหมดมากกว่า ๑๐,๐๐๐ แห่งที่ถูกค้นพบในประเทศจีนและเกาหลีมีภาพเขียนบนกำแพง ประมาณครึ่งหนึ่งของสุสานตั้งอยู่ในบริเวณนี้ และเชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นสำหรับกษัตริย์ สมาชิกราชวงศ์ และบรรดาขุนนาง ภาพเขียนเหล่านี้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นชีวิตประจำวันของคนในยุคนั้น\nกลุ่มหลุมฝังศพแห่งโคกูรยอได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก ดังนี้", "title": "กลุ่มหลุมฝังศพแห่งโคกูรยอ" }, { "docid": "6152#7", "text": "ในเวลาต่อมาได้มีการสถาปนาราชวงศ์จิน และได้ย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่แย่นจิงในปี 2239 (ค.ศ. 1696) โดยเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น จงตู ต่อมาราชวงศ์จินถูกรุกรานโดยชาวมองโกล จึงได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เปี้ยนจิง (เมืองไคฟง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) หลังจากนั้น ราชวงศ์หยวนก็ได้สถาปนาขึ้นภายใต้การปกครองของชาวมองโกล และตั้งให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงในปี 2353 (ค.ศ. 1810) จากนั้นปักกิ่งก็ถูกตั้งให้เป็นเมืองหลวงเรื่อยมาในสมัยราชวงศ์หมิง และชิง จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2492 เมื่อจีนเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้กำหนดให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจนถึงปัจจุบัน โบราณสถานในปักกิ่งที่ตกทอดสืบต่อมาและมีปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้มีมาก มาย เช่น พระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน หอบูชาฟ้า พระราชวังฤดูร้อน สุสานสิบสามกษัตริย์ เป็นต้น สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นมรดกทางประศาสตร์อันสำคัญทั้งของจีน และของโลก", "title": "ปักกิ่ง" }, { "docid": "299279#0", "text": "การ์กาซอน ( ฟังเสียง; ) เป็นเมืองที่มีกำแพงป้องกันเมืองล้อมรอบที่ตั้งอยู่จังหวัดโอดในอดีตแคว้นล็องก์ด็อกในประเทศฝรั่งเศส เมืองการ์กาซอนแยกออกเป็นสองส่วน “Cité de Carcassonne” () ซึ่งเป็นบริเวณเมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง และ “ville basse” () ซึ่งเป็นบริเวณปริมณฑลรอบตัวเมืองเก่า ที่มาของการ์กาซอนมาจากตำนานพื้นบ้านที่กล่าวว่าหลังจากประมุขของปราสาทชื่อ “การ์กัส” สามารถยุติการล้อมเมืองได้ก็ทำการสั่นระฆังเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง “Carcas sona” แต่การสร้างเป็นประติมากรรมฟื้นฟูกอธิคบนคอลัมน์บนประตูนาร์บอนเป็นของใหม่ ป้อมปราการที่บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่หมดในปี ค.ศ. 1853 โดยสถาปนิกเออแฌน วียอเล-เลอ-ดุ๊กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1997", "title": "การ์กาซอน" }, { "docid": "615722#0", "text": "สวนหลิว (; ) เป็นหนึ่งในสวนจีนโบราณที่มีชื่อเสียง อยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองซูโจว ตั้งอยู่เลขที่ 338 ถนนหลิวหยวน (留园路338号) เมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลก โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1997 สวนหลิวยังมีมรดกโลกทางด้านศิลปะ (UNESCO Intangible World Heritage Arts) อีก 2 ชิ้นคือ ผิงถาน (อังกฤษ: Pingtan; จีนตัวย่อ:评弹) และกู่ฉิน (อังกฤษ: Guqin; จีนตัวย่อ: 古琴) ด้วย", "title": "สวนหลิว" }, { "docid": "769099#0", "text": "แหล่งตู่ซี ตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เต็มไปด้วยมรดกที่ยังคงหลงเหลือของชนเผ่าต่าง ๆ ซึ่งบรรดาหัวหน้าเผ่าจะได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลและใช้ชื่อว่า 'ถูซือ' ชนเผ่านี้ปกครองดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง ช่วงต้นศตวรรษที่ 20\nระบบถูซือเป็นผลต่อยอดมาจากระบบปกครองชนกลุ่มน้อยของราชวงศ์จีนใน 3 ศตวรรษก่อนคริสตกาล เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียว ในขณะเดียวกันก็ยังทำให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ สามารถรักษาจารีตประเพณีและวิถีชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ ป้อมปราการที่หลงเหลือในดินแดนแห่งนี้ ยังเป็นหลักฐานอย่างดีของลักษณะการปกครองดังกล่าว\nแหล่งตู่ซีได้รับการลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 39 เมื่อปี 2558 ที่เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนีด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้", "title": "แหล่งตู่ซี" }, { "docid": "745533#0", "text": "องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกของประเทศจีนทั้งสิ้น 53 แหล่ง ประกอบด้วยมรดกโลกทางวัฒนธรรม 36 แหล่ง มรดกโลกทางธรรมชาติ 13 แห่ง และมรดกโลกแบบผสมอีก 4 แหล่ง", "title": "รายการแหล่งมรดกโลกในประเทศจีน" }, { "docid": "486496#10", "text": "ครั้งหนึ่งกำแพงของป้อมปราการเคยล้อมเมืองซูว็อนทั้งเมืองไว้ แต่เมืองซูว็อนในยุคปัจจุบันได้ขยายไปไกลกว่าตัวกำแพงป้อมมาก ในปัจจุบันกำแพงป้อมฮวาซ็องได้ถูกกำหนดให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก และป้อมฮวาซ็องได้ถูกนำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์เมืองเสมอ", "title": "ซูว็อน" }, { "docid": "226865#2", "text": "ภูมิประเทศแบบคาสต์ในจีนตอนใต้ได้จดทะเบียนร่วมกันเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 31 เมื่อปี พ.ศ. 2550 ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้", "title": "คาสต์ในจีนตอนใต้" }, { "docid": "11237#9", "text": "กำแพงเมืองจีนสร้างเมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยฮ่องเต้องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่เคยมีมาเลย", "title": "กำแพงเมืองจีน" }, { "docid": "11237#13", "text": "หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างในประเทศจีน หมวดหมู่:เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก หมวดหมู่:มรดกโลกในประเทศจีน หมวดหมู่:มรดกโลกทางวัฒนธรรม หมวดหมู่:กำแพงป้องกัน หมวดหมู่:ป้อมปราการ หมวดหมู่:ผนัง หมวดหมู่:สัญลักษณ์ของประเทศจีน", "title": "กำแพงเมืองจีน" }, { "docid": "714070#3", "text": "สิ่งก่อสร้างที่เป็นสัญลักษณ์ของอาบิลาคือกำแพงเมืองยุคกลางซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ สิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่มีความโดดเด่น เช่น อาสนวิหารอาบิลา (ซึ่งมีมุขโค้งด้านสกัดรวมเป็นส่วนหนึ่งของแนวกำแพงเมือง), มหาวิหารนักบุญบิเซนเต, สำนักชีนักบุญยอแซฟ เป็นต้น ย่านเมืองเก่ายุคกลางรวมทั้งโบสถ์บางแห่งนอกกำแพงเมืองซึ่งอยู่ในสภาพการอนุรักษ์ที่ดีเยี่ยมได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกร่วมกันในปี ค.ศ. 1985", "title": "อาบิลา" }, { "docid": "226878#1", "text": "สิ่งก่อสร้างสำคัญทางประวัติศาสตร์ในมาเก๊าได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 31 ของประเทศจีน ภายใต้ชื่อว่า \"ศูนย์ประวัติศาสตร์มาเก๊า\" ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 29 เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่เมืองเดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้", "title": "ศูนย์ประวัติศาสตร์มาเก๊า" }, { "docid": "769434#1", "text": "ภูมิทัศน์วัฒนธรรมหุบเขาออร์คอนได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก ดังนี้", "title": "ภูมิทัศน์วัฒนธรรมหุบเขาออร์คอน" }, { "docid": "546366#1", "text": "ป้อมแดงตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมุนา ซึ่งเป็นที่มาของน้ำภายในคูเมืองโดยรอบกำแพงเมืองของป้อม บริเวณกำแพงเมืองทางมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้นติดกับป้อมที่เก่ากว่า มีชื่อว่า \"ป้อมซาลิมการห์\" สร้างในรัชสมัยของสุลต่านอิสลามชาห์สุรี ในปีค.ศ. 1546 โดยการก่อสร้างป้อมแดงนั้นใช้เวลาตั้งแต่ค.ศ. 1638 จนถึงเสร็จสิ้นเมื่อค.ศ. 1648 ต่อมาได้มีการปรับปรุงต่อเติมครั้งใหญ่ๆในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซพ และประปรายในรัชสมัยถัดๆมา ในปัจจุบันป้อมแดงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก ในปีค.ศ. 2007", "title": "ป้อมแดง" }, { "docid": "234188#1", "text": "อุทยานแห่งชาติทั้ง 3 แห่งได้ร่วมกันขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ \"มรดกของป่าฝนเขตร้อนบนเกาะสุมาตรา\" ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้", "title": "มรดกของป่าฝนเขตร้อนบนเกาะสุมาตรา" }, { "docid": "345582#2", "text": "กองทัพญี่ปุ่นกรีฑาทัพมาถึงชานเมืองนานกิงในช่วงต้นเดือนธันวาคม พลเอกอาวุโสถังเฉิงจื้อทราบดีว่าทหารในแนวตั้งรับไม่ได้รับการฝึกฝนและเสียขวัญกำลังใจซึ่งอาจนำไปสู่การทิ้งฐานที่มั่นโดยไม่มีโอกาสชนะ จอมพลเจียงออกคำสั่งยืนยันกับนายพลถังว่าขณะนี้เขาทราบดีว่าไม่สามารถเอาชนะได้ก็ให้ดำเนินการตั้งรับให้สุดความสามารถ ในวันที่ 7 ธันวาคมกองทัพญี่ปุ่นประกาศต่อทหารว่าหากทหารนายใดกระทำการผิดต่อกฎหมายและเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของกองทัพองค์จักรพรรดิในระหว่างการเข้าตีนานกิงจะได้รับโทษหนัก ทหารญี่ปุ่นประชิดกำแพงเมืองนานกิงในเช้าวันที่ 9 ธันวาคมและประกาศให้ทหารจีนหลังกำแพงยอมแพ้ภายใน 24 ชัวโมง แต่ไม่มีผู้แทนของฝั่งจีนปรากฏตัวเจรจา เวลา 13.00 น. พลเอกมัตสึอิ อิวาเนะและพลโทเจ้าฟ้าอากาสะ ยาสุฮิโกะสรุปว่าจีนไม่ให้ความสนใจต่อการเจรจาจึงออกคำสั่งบุกโจมตี", "title": "ยุทธการที่นานกิง" }, { "docid": "740647#1", "text": "แอวูราเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกแห่งหนึ่ง เนื่องจากตัวเมืองเก่าได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี มีกำแพงเมืองยุคกลางโอบล้อมไว้บางส่วน และมีสิ่งก่อสร้างจำนวนมากซึ่งมีอายุย้อนไปได้ถึงยุคทางประวัติศาสตร์หลายยุค เช่น เทวสถานโรมัน นอกจากนี้ แอวูรายังเป็นเมืองเดียวของโปรตุเกสที่เป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป", "title": "แอวูรา" }, { "docid": "11237#6", "text": "[1] และนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคกลาง ด้วย มีความเชื่อกันว่า หากมองเมืองจีนจากอวกาศจะสามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้ ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถมองเห็นจากอวกาศได้ [2]", "title": "กำแพงเมืองจีน" }, { "docid": "245629#24", "text": "กำแพงฮาดริอานุสได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปีค.ศ. 1987 และในปี ค.ศ. 2005 ก็กลายเป็นส่วนหนี่งของมรดกโลก “เขตแดนของจักรวรรดิโรมัน” ที่รวมทั้งสถานที่อื่นๆ ในเยอรมนี", "title": "กำแพงฮาดริอานุส" }, { "docid": "820658#4", "text": "มีการคัดค้านจากประชาชนบางส่วนในการก่อสร้างรถไฟฟ้ายกระดับ (elevated railway) หรือรถไฟลอยฟ้า ด้วยเหตุผลว่า อาจจะบทบังและทำลายทัศนียภาพของเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองเก่าและพื้นที่ใกล้ดอยสุเทพ และคัดค้านการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตที่จะเสนอให้เป็นมรดกโลก อันได้แก่ พื้นที่ในเขตกำแพงเมืองเก่า พื้นที่เมืองเก่าในเขตแนวกำแพงดิน และพื้นที่ในเขตเวียงสวนดอก", "title": "รถไฟฟ้าในเทศบาลนครเชียงใหม่และพื้นที่ต่อเนื่อง" }, { "docid": "219392#1", "text": "หมู่สุสานโคกูรยอได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก ดังนี้", "title": "หมู่สุสานโคกูรยอ" }, { "docid": "468879#0", "text": "บีกัน (อีโลกาโน: Bigan; ) เป็นเมืองมรดกโลกในประเทศฟิลิปปินส์ เมืองโบราณบีกันจัดเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุด ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะลูซอน ในจังหวัดอีโลโกสซูร์ (Ilocos Sur) ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เป็นเมืองที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยอาณานิคมของสเปนไว้ได้อย่างดี ผังเมืองเป็นรูปแบบเมืองการค้าของยุโรปในเอเชีย ที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมยุโรปได้อย่างกลมกลืน ตัวเมืองตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำอาบรา (Abra) ติดกับทะเลจีนใต้ บริเวณที่เป็นเขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำโกวันเตส (Govantes) และแม่น้ำเมสตีโซ (Mestizo) มีโบราณสถานที่เป็นโบสถ์เก่าแก่สมัยอาณานิคม เช่น มหาวิหารบีกัน (Cathedral of Vigan) เมืองบีกันมีประชากร 47,246 คน", "title": "บีกัน" }, { "docid": "11237#10", "text": "กำแพงเมืองจีนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2530 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 11 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา[3] ดังนี้", "title": "กำแพงเมืองจีน" }, { "docid": "77216#0", "text": "เมืองเก่าผิงเหยา () เป็นเมืองหนึ่งในมณฑลชานซี อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประมาณ 715 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเมืองไท่หยวน เมืองเอกของมณฑล 80 กิโลเมตร ในสมัยราชวงศ์ชิง ผิงเหยาเป็นศูนย์กลางทางการเงินของจีน มีชื่อเสียงมาจากกำแพงเมืองโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี และได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก", "title": "ผิงเหยา" }, { "docid": "227202#2", "text": "เมืองหลวงและสุสานของอาณาจักรโคกูรยอโบราณได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้", "title": "เมืองหลวงและสุสานของอาณาจักรโคกูรยอโบราณ" }, { "docid": "77216#4", "text": "เมื่อ พ.ศ. 2547 กำแพงเมืองด้านทิศใต้ส่วนหนึ่งพังลง แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนเรียบร้อย ขณะที่กำแพงส่วนอื่นๆยังคงทนแข็งแรงอยู่ ถือได้ว่าเป็นกำแพงเมืองโบราณที่ยังสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง ทำให้กำแพงเมืองนี้เป็นจุดเด่นที่สำคัญในเมืองมรดกโลกแห่งนี้", "title": "ผิงเหยา" }, { "docid": "77954#7", "text": "เมืองหลวงและสุสานของโคกูรยอโบราณได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน", "title": "อาณาจักรโคกูรยอ" }, { "docid": "245629#2", "text": "กำแพงบางส่วนยังคงเหลือให้เห็นกันในปัจจุบันโดยเฉพาะส่วนกลาง และตัวกำแพงสามารถเดินตามได้ตลอดแนวซึ่งทำให้เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่นิยมกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของทางตอนเหนือของอังกฤษ กำแพงนี้บางครั้งก็เรียกกันง่ายๆ ว่า “กำแพงโรมัน” กำแพงฮาดริอานุสได้รับฐานะเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 1987 องค์การอนุรักษ์มรดกอังกฤษ (English Heritage) ซึ่งเป็นองค์การราชการในการบริหารสิ่งแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ของอังกฤษบรรยายกำแพงฮาดริอานุสว่าเป็น “อนุสาวรีย์ที่สำคัญที่สุดที่สร้างโดยโรมันในบริเตน”", "title": "กำแพงฮาดริอานุส" }, { "docid": "35599#1", "text": "เยรูซาเลมถือเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยได้รับการกล่าวถึงในชื่อ \"อูรูซาลิมา\" ในแผ่นศิลาจารึกของเมโสโปเตเมีย ซึ่งมีความหมายว่า \"นครแห่งชาลิม\" อันเป็นนามของพระเจ้าในแผ่นดินคานาอันเมื่อราว 2,400 ปีก่อนคริสตกาล และเมื่อมาถึงยุคของวงศ์วานอิสราเอล การก่อร่างสร้างเมืองเยรูซาเลมอย่างจริงจังก็ได้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตกาล (ยุคเหล็กช่วงปลาย) และในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล เยรูซาเลมก็ได้เป็นศูนย์กลางการปกครองและทางศาสนาของอาณาจักรยูดาห์[6] ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของเยรูซาเลม นครแห่งนี้ได้ถูกทำลายไปอย่างน้อย 2 ครั้ง, ถูกปิดล้อม 23 ครั้ง, ถูกโจมตี 52 ครั้ง, ถูกยึดและเอาคืน 44 ครั้ง[7] มีส่วนหนึ่งของเยรูซาเลมที่เรียกว่า \"เมืองดาวิด\" ปรากฏการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สี่พันปีก่อนคริสตกาล กำแพงเมืองเยรูซาเลมซึ่งยังคงตั้งตะหง่านจนถึงปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 1538 ในรัชกาลสุลัยมานผู้เกรียงไกร พื้นที่ภายในกำแพงเรียกว่าย่านเมืองเก่า ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่เขตด้วยกันได้แก่ เขตอาร์มีเนีย, เขตยิว, เขตคริสเตียน และเขตมุสลิม[8] ย่านเมืองเก่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปีค.ศ. 1981 และยังเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย[9]", "title": "เยรูซาเลม" } ]
2964
วิดีโอเกมสตาร์คราฟต์ วางขายครั้งแรกปีอะไร ?
[ { "docid": "15294#0", "text": "สตาร์คราฟต์ เป็นวิดีโอเกมประเภทวางแผนเรียลไทม์และบันเทิงคดีวิทยาศาสตร์การทหาร พัฒนาและจัดจำหน่ายโดยบลิซซาร์ด เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ออกบนระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541 ต่อมา เกมขยายเป็นแฟรนไชส์ และเป็นเกมแรกของซีรีส์\"สตาร์คราฟต์\" รุ่นแมคโอเอสออกในเดือนมีนาคม 2542 และรุ่นดัดแปลงนินเทนโด 64 ซึ่งพัฒนาร่วมกับแมสมีเดีย ออกในวันที่ 13 มิถุนายน 2543 การพัฒนาเกมนี้เริ่มขึ้นไม่นานหลัง\"\" ออกในปี 2538 \"สตาร์คราฟต์\"เปิดตัวในงานอี3 ปี 2539 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบน้อยกว่า\"วอร์คราฟต์ 2\" ฉะนั้น โครงการจึงถูกพลิกโฉมทั้งหมดแล้วแสดงต่อสาธารณะในต้นปี 2540 ซึ่งได้รับการตอบรับดีกว่ามาก", "title": "สตาร์คราฟต์" }, { "docid": "15294#24", "text": "\"สตาร์คราฟต์\" ออกทั่วโลกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541 และเป็นเกมพีซีขายดีที่สุดในปีนั้น ขายได้กว่า 1.5 ล้านชุดทั่วโลก ในทศวรรษถัดมา \"สตาร์คราฟต์\" ขายได้กว่า 9.5 ล้านชุดทั่วโลก ในจำนวนนี้ 4.5 ล้านชุดขายได้ในประเทศเกาหลีใต้ ตั้งแต่ออก\"สตาร์คราฟต์\" ทีแรก บลิซซาร์ดเอนเตอร์เทนเมนต์รายงานว่า บริการหลายผู้เล่นออนไลน์ แบตเทิลดอตเน็ต ของบริษัทฯ เติบโตกว่าร้อยละ 800 \"สตาร์คราฟต์\" ยังเป็นเกมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลกเกมหนึ่ง", "title": "สตาร์คราฟต์" } ]
[ { "docid": "15294#15", "text": "บลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์เริ่มการพัฒนา\"สตาร์คราฟต์\"ในปี 2538 ไม่นานหลังออก\"\"ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สตาร์คราฟต์เปิดตัวในงานอี3 ปี 2539 โดยใช้เกมเอนจินของ\"ไทด์สออฟดาร์คเนส\"เป็นฐาน รุ่นดังกล่าวของเกมที่ประกอบโดยบ็อบ ฟิทช์ หัวหน้าโปรแกรมเมอร์ ซึ่งถูกจัดแสดง ได้รับการตอบรับค่อนข้างอ่อนจากงาน และถูกหลายคนวิจารณ์ว่าเป็น \"\"วอร์คราฟต์\"ในอวกาศ\" ผลคือ มีการยกเครื่องใหม่ทั้งโครงการ โดยนำความสนใจมายังการสร้างสามสปีชีส์แยกกัน บิล โรเปอร์ (Bill Roper) ผู้ผลิตเกมคนหนึ่ง แถลงว่า นี่จะเป็นการเบี่ยงเบนครั้งสำคัญจากแนวการเข้าสู่\"วอร์คราฟต์\" โดยเทียบสองฝั่งเท่ากันกับหมากรุก และแถลงว่า \"สตาร์คราฟต์\"จะให้ผู้เล่น \"พัฒนายุทธศาสตร์เอกลักษณ์ขึ้นอยู่กับว่ากำลังเล่นสปีชีส์อะไร และจะกำหนดให้ผู้เล่นต้องคิดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับอีกสองสปีชีส์\" ต้นปี 2540 มีการเปิดตัว\"สตาร์คราฟต์\"รุ่นใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับดีกว่ารุ่นแรกมาก", "title": "สตาร์คราฟต์" }, { "docid": "15294#22", "text": "ในปี 2543 \"สตาร์คราฟต์ 64\" ออกสำหรับนินเทนโด 64 ซึ่งพัฒนาโดยบลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์และบริษัทแมสมีเดียร่วมกัน และจัดจำหน่ายโดยนินเทนโด เกมมีทุกภารกิจจากทั้ง\"สตาร์คราฟต์\" และภาคเสริม \"บรูดวอร์\" เช่นเดียวกับภารกิจเฉพาะที่เพิ่มมาบ้าง เช่น แผนที่สอนเล่น (tutorial) สองแผนที่และภารกิจลับใหม่ เรซะเร็กชัน 4 (Resurrection IV) เรซะเร็กชัน 4 มีฉากท้องเรื่องหลังบทสรุปของบรูดวอร์ และติตดามจิม เรย์เนอร์กำลังมุ่งหน้าไปภารกิจกู้ตัวละครบรูดวอร์ อะเล็กเซย์ ซตูคอฟ (Alexei Stukov) พลเรือจัตวาจากโลกที่ถูกเซิร์กจับไป ภารกิจบรูดวอร์ต้องใช้เอกซ์แพนชันแพก (Expansion Pak) นินเทนโด 64 ในการเล่น นอกจากนี้ \"สตาร์คราฟต์ 64\" ยังมีภาวะร่วมมือแบ่งจอภาพ ทำให้ผู้เล่นสองคนควบคุมกำลังหนึ่งในเกมได้ ซึ่งต้องการเอกซ์แพนชันแพกเช่นกัน \"สตาร์คราฟต์ 64\" ไม่เป็นที่นิยมเท่ารุ่นพีซี และขาดสมรรถภาพออนไลน์และคำพูดในคำสั่งละเอียดภารกิจ ยิ่งไปกว่านั้น ยังย่นคัตซีนด้วย บลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์เคยพิจารณาพอร์ตเพลย์สเตชันของเกม แต่ตัดสินใจว่าเกมควรออกบนนินเทนโด 64 แทน", "title": "สตาร์คราฟต์" }, { "docid": "15294#20", "text": "ภาคเสริมแรกของ\"สตาร์คราฟต์\" อินเซอร์เร็กชัน (Insurrection) ออกบนวินโดวส์เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 แอซเท็กนิวมีเดียพัฒนาภาคเสริมดังกล่าว และบลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์อนุญาต เรื่องมุ่งไปยังอาณานิคมสมาพันธ์แยกแห่งหนึ่งซึ่งมีพาดพิงในคู่มือสตาร์คราฟต์ ติดตามกลุ่มผู้อยู่ในนิคมเทอร์แรนหนึ่งและกองยานโปรตอสในการต่อสู้กับเซิร์กและการก่อการกำเริบท้องถิ่นที่กำลังมีขึ้น กระแสตอบรับของอินเซอร์เร็กชันไม่ค่อยดี โดยผู้ทบทวนวิจารณ์ว่าขาดคุณภาพของเกมต้นฉบับ อีกหลายเดือนให้หลังมีภาคเสริมที่สองตามมา คือ เรทริบิวชัน (Retribution) พัฒนาโดย สตาร์ด็อค จัดจำหน่ายโดย วิซาร์ดเวิคส์ซอฟต์แวร์ และบลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์อนุญาต เรทริบิวชันติดตามทั้งสามเผ่าพันธุ์ซึ่งพยายามควบคุมคริสตัลทรงพลังหนึ่งในอาณานิคมอาณาจักรเทอร์แรน ภาคเสริมนี้ไม่ได้รับการต้อนรับด้วยการสนับสนุนสำคัญ แต่ถูกมองว่าปานกลางแต่อย่างน้อยยังน่าท้าทายอยู่ หลังการออกเรทริบิวชัน บลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ออกชุดภาคเสริมอย่างเป็นทางการใหม่ซึ่งจะต่อเรื่องของสตาร์คราฟต์ จึงมีการสร้าง\"\" พัฒนาร่วมกันโดยบลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์และซาฟไฟร์ บรูดวอร์ต่อเรื่องสตาร์คราฟต์ตั้งแต่หลายวันหลังบทสรุป และออกสำหรับทั้งวินโดวส์และแม็กโอเอสและได้คำสรรเสริญอย่างสำคัญเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 ในสหรัฐอเมริกา และในเดือนมีนาคม 2542 ในทวีปยุโรป", "title": "สตาร์คราฟต์" }, { "docid": "550477#0", "text": "ก็อด ออฟ วอร์ เป็นเกมส์แอ็คชั่นผจญภัยมุมมองบุคคลที่สามที่พัฒนาโดยซานตาโมนิกาสตูดิโอจัดจำหน่ายโดยโซนี่คอมพิวเตอร์เอ็นเตอร์เท็นเมนต์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 22 มีนาคม 2005 พอร์ตลงเครื่อง PlayStation 2 เป็นภาคแรกในซีรีส์นี้ พื้นฐานจะอยู่บนตำนานเทพเจ้ากรีกในสมัยกรีกโบราณที่มีการล้างแค้นเกิดขึ้น ผู้เล่นควบคุมตัวเอกเครโทส นักรบสปาร์ตันที่ทำหน้าที่รับใช้เทพโอลิมปัส เทพีอธีนา ต้องการให้เครโทสฆ่าเทพเจ้าแห่งสงครามอาเรส ซึ่งเป็นตัวการที่ให้ เครโทส ต้องฆ่าครอบครัวของเขาเองเขาต้องไปที่เอเธนส์ตามคำบอกของอธีนา ในการสืบเสาะเพื่อหาวัตถุหนึ่งที่มีความสามารถในการหยุดยั้งเทพ: กล่องแพนดอร่าในตำนาน หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจ เครโทส ได้แทนที่แอรีสเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามคนใหม่", "title": "ก็อดออฟวอร์" }, { "docid": "94622#8", "text": "แผ่นดีวีดีชุดพิเศษชุดแรกนั้นวางจำหน่ายในวันที่ [[22 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2550|2550]] ที่ข้างในบรรจุอนิเมะไว้ 2 ตอน ซึ่งดีวีดีแผ่นแรกนั้นหลังจากที่วางจำหน่ายก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างมากจนทำให้สินค้านั้นหมดลงไปอย่างรวดเร็วในประเทศญี่ปุ่น รายงานจาก [[แอมะซอน.คอม|แอมะซอนประเทศญี่ปุ่น]] ยิ่งไปกว่านั้น \"แหล่งจำหน่ายสินค้าใหญ่ [ใน[[อากิฮาบาระ]]] ที่มีการวางจำหน่ายชุดพิเศษนั้นก็ยังหมดลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย\"\"Lucky☆Star\" เป็นอนิเมะที่ผิดแผกไปจากเรื่องอื่นๆในเรื่องของเพลงปิด ที่ส่วนจะมีเพลงปิดเพียงไม่กี่เพลง แต่เรื่องนี้จะใช้เพลงปิดไม่ซ้ำกันในแต่ละตอน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่นำมาจากอนิเมะเรื่องอื่นๆ และ[[โทคุซัทสึ|ภาพยนตร์คนแสดง]] ซะมาก และหลังจากตอนที่ 13 เป็นต้นไป จะใช้นักพากย์หลักคือคุณ [[ชิราอิชิ มิโนรุ]] มา [[แสดงสด]] เพื่อใช้เป็นเพลงปิดในแต่ละตอนด้วย", "title": "ลักกีสตาร์ (มังงะ)" }, { "docid": "350429#9", "text": "ได้ประกาศเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 โดยธีมของเกมนี้คือ เหล่ากลุ่มนกต้องมาเป็นผู้พิทักษ์ไข่ในอวกาศ ซึ่งพวกหมูศัตรูเจ้าเก่าจะมีระดับไฮเทคขึ้น เจ้าเล่ห์มากขึ้น จะมียานอวกาศและวิธีการวางปราการแบบใหม่ขึ้นมากมาย ในเวอชั่นนี้เปลี่ยนวิธีการเล่นที่แปลกใหม่อย่างสิ้นเชิงนั่นคือการยิงตัวนกในพื้นที่ไร้น้ำหนักควบคู่กันกับเขตแรงโน้มถ่วงของดาวในแต่ละด่าน และบอสสุดท้ายในแต่ละด่านจะมีวิธีการเอาชนะที่ไม่ใช่แค่การยิงตัวนกพุ่งชนใส่อย่างเดียวอีกต่อไป \nโดยได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555 ใน iOS, Android, PC และ Mac และจะมีเกมสำหรับ Windows mobile ในเร็วๆนี้", "title": "แอ็งกรีเบิดส์ (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "77400#6", "text": "วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1995 บนเครื่องซูเปอร์แฟมิคอม และออกจำหน่ายอีกครั้งบนเครื่องเพลย์สเตชันในปี 1997 ภายใต้ชื่อ Clock Tower ~the First Fear~ โดยบริษัท HUMAN Entertainment เป็นเกมชุดแรกสุดในซีรีส์นี้ เนื้อเรื่องจับความไปที่ตัวละครหลักคือเจนิเฟอร์ ซิมป์สัน (Jennifer Simpson) เด็กสาวอายุ 14 และเพื่อนๆเด็กกำพร้าของเธอซึ่งได้รับการอุปการะจากตระกูลแบโร่วส์ (Barrows) ให้ไปอยู่ที่คฤหาสน์ในประเทศนอร์เวย์ที่มีหอนาฬิกาขนาดใหญ่เป็นจุดเด่น (Clock Tower) แต่แล้วเมื่อเข้าสู่คฤหาสน์แบโรวส์ได้เพียงคืนเดียวเพื่อนๆของเจนิเฟอร์ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ และเธอก็ถูกไล่ล่าจากชายสวมหน้ากากปิศาจถือกรรไกรขนาดใหญ่เป็นอาวุธ ซึ่งเรียกขานกันว่ามนุษย์กรรไกร (Scissors Man) เจนิเฟอร์จึงต้องไขปริศนาของหอนาฬิกาแห่งนี้และเอาตัวรอดออกไปให้ได้", "title": "คล็อกทาวเวอร์" }, { "docid": "15294#19", "text": "ไม่นานก่อน\"สตาร์คราฟต์\"ออกวางจำหน่าย บลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนนต์พัฒนาการทัพเกมเดโมแชร์แวร์ออกมาตัวหนึ่ง ชื่อว่า \"ลูมิงส์\" (\"Loomings\") ซึ่งประกอบด้วยสามภารกิจและสอนเล่น (tutorial) เนื้อเรื่องเป็นเรื่องก่อนหน้าเกตุการณ์ในสตาร์คราฟต์ โดยเกิดขึ้นในอาณานิคมของสมาพันธ์แห่งหนึ่งระหว่างที่ถูกเซิร์กบุก ในเดือนตุลาคม 2542 บลิซซาร์ดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ได้สร้างเป็นการทัพแผนที่ตามสั่ง (custom map) ในเกมตัวเต็ม โดยเพิ่มอีกสองภารกิจและตั้งไว้บนแบตเทิล.เน็ต นอกเหนือจากนี้ การวางจำหน่ายสตาร์คราฟต์ตัวเต็มยังรวมการทัพอันดับรอง ชื่อ \"เอ็นสเลฟเวอร์ส\" (\"Enslavers\") ประกอบด้วยห้าภารกิจที่เล่นเป็นทั้งเทอร์แรนและโปรทอส \"เอ็นสเลฟเวอร์ส\"มีฉากท้องเรื่องในการทัพที่สองใน\"สตาร์คราฟต์\" และติดตามเรื่องของผู้ลักลอบเทอร์แรนที่สามารถควบคุมเซเรเบรทของเซิร์กได้ และถูกตามล่าจากทั้งโปรตอสและเทอร์แรนโดมินเนียน \"เอ็นสเลฟเวอร์ส\"ใช้เป็นการทัพผู้เล่นคนเดียวตวอย่างสำหรับตัวออกแบบด่านของเกม โดยเน้นวิธีใช้คุณลักษณะของโปรแกรม", "title": "สตาร์คราฟต์" } ]
3275
เดอะบอร์นดิสเวย์บอลอยู่อันดับที่ 5 รายได้ $161.4 million หรือประมาณ 5 พันล้านบาท ในการขายตั๋วทั้งหมดตั้งแต่โชว์แรกจนถึงโชว์ที่ทางกรรมการรวบรวมสถิติ รวมทั้งหมด 80 โชว์ทั่วโลก ใช่หรือไม่?
[ { "docid": "429116#1", "text": "ปี พ.ศ. 2555 นิตยสาร บิลบอร์ด จัดอันดับรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินที่มีทัวร์ในปี 2012 ซึ่ง เลดี้ กาก้า เดอะบอร์ดิสเวย์บอล อยู่อันดับที่ 5 รายได้ $161.4 million หรือประมาณ 5 พันล้านบาท ในการขายตั๋วทั้งหมดตั้งแต่โชว์แรกจนถึงโชว์ที่ทางกรรมการรวบรวมสถิติ รวมทั้งหมด 80 โชว์ทั่วโลก [2]", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" } ]
[ { "docid": "261462#3", "text": "เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา ออคารินาออฟไทม์ เป็นเกมภาคหนึ่งที่ได้กระแสตอบรับจากผู้เล่นเป็นอย่างดี ตั้งแต่เกมวางจำหน่ายเมื่อ พ.ศ. 2541 เกมนี้ขายได้ 2.5 ล้านตลับภายใน 39 วันจนกระทั่งสิ้นปี เฉพาะญี่ปุ่นขายได้กว่า 820,000 ตลับในช่วงดังกล่าว และเป็นเกมที่ขายดีอันดับที่ 10 แห่งปี พ.ศ. 2541 จากสถิติยอดขายทั้งหมดของเกมนี้ รวมทั่วโลกขายได้ 7.6 ล้านตลับ ส่วนเฉพาะในญี่ปุ่นขายได้ 1.14 ล้านตลับ และเป็นเกมที่ขายดีอันดับที่ 128 ตลอดกาล", "title": "เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา ออคารินาออฟไทม์" }, { "docid": "934171#6", "text": "เป็นการแข่งขันครั้งสุดท้าย ซึ่งใช้ในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560 โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกจะให้ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 7 คน ออกมาแสดงความสามารถของตัวเองเป็นโชว์เปิดตัว และโชว์ที่ประทับใจกรรมการมากที่สุด เจ้าของโชว์จะเป็นฮีโร่ในดวงใจ รับเงินรางวัล 5,000 บาท และรับนมถั่วเหลือง ดีน่าแบล็ก ไปดื่มฟรีตลอดปี ช่วงที่ 2 จะให้ผู้เข้าแข่งขันทดสอบพละกำลังในเกม The Hero ซึ่งเป็นการรวบรวมเกมที่เคยแข่งมาก่อนแล้วมาเรียบเรียงใหม่และให้ผู้เข้าแข่งขันแข่งแบบตัวต่อตัว คนที่ทำเวลาได้น้อยที่สุดจะได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท เมื่อจบช่วงนี้แล้วพิธีกรจะทำการปิดโหวต ช่วงสุดท้าย ทีมงานจะรวบรวมคะแนนโหวตจากทั่วประเทศ และประกาศผลผู้ที่ได้เป็น The Hero", "title": "เกมพันหน้า เดอะฮีโร่" }, { "docid": "202534#2", "text": "อัลบั้มของพวกเขาในปี 2000 ที่ชื่อ \"No Strings Attached\" ขายได้ 1.1 ล้านชุดภายในวันเดียวและ 2.4 ล้านชุดใน 1 สัปดาห์ ทำให้พวกเขาสร้างสถิติเปิดตัวยอดขายในสัปดาห์แรกที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นอันดับ 5 ของโลก และอัลบั้มต่อมาในปี 2001 ที่ชื่อ \"Celebrity\" ก็ทำสถิติเป็นอัลบั้มที่มียอดขายในสัปดาห์เดียวสูงสุดเป็นอันดับ 2 นอกจากนี้พวกเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ และยังโชว์การแสดงในเวทีรางวัลออสการ์ ,เวิลด์ซีรีส์ ,ซูเปอร์โบว์ล และโอลิมปิก และยังเคยร่วมร้องหรืออัดเสียงกับศิลปินดังอย่าง แอโรสมิธ, แมรี เจ. ไบลจ์, บริตนีย์ สเปียรส์, เนลลี, ไมเคิล แจ็กสัน, เดอะแจ็กสันไฟฟ์, สตีวี วันเดอร์,เซลีน ดิออน และกลอเรีย เอสเตฟาน พวกเขายังเคยปรากฏตัวในซีรีส์การ์ตูนยอดนิยมเรื่อง\" เดอะซิมป์สันส์\" ในตอน \"New Kids on the Blecch\" ที่ออกอากาศเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 อีกด้วย", "title": "เอ็นซิงก์" }, { "docid": "795686#0", "text": "อัลบั้ม \"Red Beat รหัสร้อน\" คืออัลบั้มมาสเตอร์พีซของ คริสติน่า อากีล่าร์ วางแผงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 ด้วยยอดขายถึง 3.5 ล้านชุด นับเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของศิลปินหญิงแกรมมี่ เริ่มความร้อนแรงด้วยการเปิดตัวอัลบั้มใหม่บนเวที คอนเสิร์ต10ปีแกรมมี่ ด้วยการโชว์ลีลาท่าทางสุดเซ็กซี่ในเพลง ไม่ยากหรอก ที่นำมาเปิดตัวบนเวทีครั้งแรกโดยสร้างกระแสฮือฮาอย่างมาก ด้วยภาพลักษณ์สุดเซ็กซี่เปรี้ยวและได้เปิดตัวมิวสิกวีดิโอเพลง ไม่ยากหรอกและอัลบั้มredbeat รหัสร้อนอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 มกราคม 2537 สร้างความฮือฮาและกระแสต่างๆนาๆจนทำให้อัลบั้มนี้มียอดขายทะลุล้านตลับภายในเวลา1เดือนอีกครั้ง\nทำให้ต้องมีการผลิตใหม่และเปลี่ยนปกใหม่สไตล์ป๊อปอาร์ตในเดือนเมษายน พ.ศ. 2537 โดยยอดขายทั้งหมดทะลุ3ล้านกว่าตลับจึงทำให้คริสติน่า\nเป็นนักร้องหญิงคนแรกและคนเดียวที่มียอดขายถล่มทลายที่สุดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา\nและอัลบั้มนี้นอกจากมียอดขายที่ถล่มทลายที่สุดแล้ว ยังมีการเรียกร้องจากแฟนคลับให้จัดคอนเสิร์ตถึง2ครั้งด้วยกันภายในเวลาติดๆกัน และยังมีการประกวดแข่งขันการเต้นและคัดเลือกให้เป็น \"Young Christina Dancer\" โดยจะมีส่วนร่วมทั้งการร่วมขึ้นคอนเสิร์ต\"Non-Stop\" หรือการไปออกรายการต่างๆเช่น โลกดนตรี \"นันทิดาโชว์ \"เป็นต้น และการทั่วคอนเสิร์ตต่างจังหวัดทั่วประเทศที่เธอบอกว่า เหนื่อยมากๆ และเหล่านี้ทำให้คริสติน่า เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทยไปเลยทันที", "title": "Red Beat รหัสร้อน" }, { "docid": "61545#11", "text": "อัลบั้มที่ 6 ของบริตนีย์ \"Circus เซอร์คัส\" ออกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 ได้รับเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์เป็นอย่างดี เซอร์คัสเปิดตัวอันดับ 1 ที่แคนาดา สาธารณรัฐเชค สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในยุโรป ได้มีการลงบันทึกใน \"Guinness Book of World Records\" ด้วย ว่าบริตนีย์เป็นศิลปินหญิงอายุน้อยที่สุดที่มีอัลบั้มเปิดตัวอันดับ 1 ได้ทั้ง 5 อัลบั้ม และอัลบั้มเซอร์คัสเป็นอัลบั้มที่มียอดขายรวดเร็วที่สุดอัลบั้มหนึ่งแห่งปี โดยมียอดขาย 4 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ซิงเกิลแรก \"Womanizer วูแมไนเซอร์\" ติดชาร์ตอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ตท๊อป 100 จากซิงเกิลแรกสุด ...เบบีวันมอร์ไทม์ จนถึงซิงเกิลล่าสุด วูแมนไนเซอร์ ทุก ๆ ซิงเกิลแรกในแต่ละอัลบั้ม สามารถขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในหลายประเทศได้สำเร็จ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขาเพลงเร็วยอดเยี่ยม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 บริตนีย์และบิดาได้รับคำสั่งศาลห้ามเข้าใกล้ ผู้จัดการ Sam Lufti แซมลุฟท์, Adnan Ghalib แอดนัน กาลิบ และทนาย Jon Eardley โจน เอิร์ดเลย์ ซึ่งบุคคลที่ศาลกล่าวอ้างมานี้พยายามจะเข้ามาควบคุมทรัพย์สินของครอบครัวสเปียส์ โดยศาลสั่งห้ามแซมลุฟท์ และ แอดนัน กาลิบ มิให้ติดต่อกับครอบครัวสเปียส์หรือเข้าใกล้ทรัพย์สินของครอบครัวสเปียส์เกินกว่าระยะ 250 ยาร์ด บริตนีย์เริ่มแสดงทัวร์ \"The Circus Starring Britney Spears เดอะเซอร์คัสสตาร์ริ่งบริตนีย์ สเปียส์\" ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 รายได้รวมจากการแสดงทัวร์ในสหรัฐอเมริกา รวม 131.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นรายได้ทัวร์ที่สูงสุดอันดับที่ 5 ของการแสดงทัวร์แห่งปี บริตนีย์ได้ออกอัลบั้มรวมฮิต \"The Singles Collection เดอะซิงเกิลคอลเลคชัน\" ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 เพลง \"3\" เป็นเพลงที่ 3 ที่ได้อันดับ 1 ในชาร์ตสหรัฐอเมริกา ในเดือนถัดมาบริตนีย์ได้ออก Application แอปพลิเคชันสำหรับ iPhone ไอโฟนและ iPod Touch ไอพอดทัช ที่มีชื่อว่า \"It’s Britney!\" ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 บริตนีย์ได้ประกาศว่าเธอกำลังคบกับ \"Jason Trawick เจสัน ทราวิค\" บริตนีย์ได้ออกแบบเสื้อผ้าชุดพิเศษให้กับ \"Candie’s\" ซึ่งออกวางขายในเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 2010 วันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 2010 บริตนีย์ได้ร่วมแสดงในทีวีโชว์เรื่อง \"Glee กลี\" ชื่อตอน \"Britney/Brittany\" ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอย่างมาก", "title": "บริตนีย์ สเปียส์" }, { "docid": "760263#1", "text": "นักมายากลและนักแฉเรื่องหลอกลวง นายเจมส์ แรนดี้ ได้เกิดไอเดียนี้ขึ้น เมื่อเขาร่วมอยู่ในการสนทนาทางวิทยุที่นักปรจิตวิทยา (ผู้ศึกษาปรากฏการณ์ทางจิตที่อธิบายไม่ได้) ท้าให้เขาเดิมพันสิ่งที่เขาพูด\nดังนั้นในปี พ.ศ. 2507 เขาจึงได้เริ่มเงินรางวัลหนึ่งพันดอลลาร์สหรัฐ (เท่ากับเงินประมาณ 274,136 บาทในปัจจุบัน) และต่อจากนั้นจึงเพิ่มเป็นหมื่นดอลลาร์\nต่อมา บริษัทกระจายเสียงเล็กซิงตันต้องการให้เขาทำรายการโชว์ชื่อว่า \"$100,000 Psychic Prize (รางวัลผู้มีอำนาจทางจิตวิญญาณหนึ่งแสนเหรียญสหรัฐ)\" ดังนั้น บริษัทจึงเพิ่มให้อีกเก้าหมื่นเหรียญเพิ่มเงินทุนเริ่มต้นที่ได้\nในที่สุดในปี 2539 เพื่อนของเขาคือนายริก อะดัมส์ ผู้เป็นนักบุกเบิกอินเทอร์เน็ต ได้บริจาคเงินหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐเพื่อใช้เป็นรางวัล", "title": "One Million Dollar Paranormal Challenge" }, { "docid": "429116#2", "text": "ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 หลังจากมีการประกาศเลื่อนการแสดงที่ ชิคาโก,ดีทรอย และแฮมิลตัน เมื่อก่อนหน้านี้เนื่องจากการเจ็บป่วยกะทันหันของกาก้า [3] [4] หลังจากนั้นผู้จัดคอนเสิร์ตไลฟ์เนชั่น ได้มีการประกาศยกเลิกการแสดงที่เหลือในแถบอเมริกา แคนาดาอย่างเป็นทางการของคอนเสิร์ต เดอะบอร์นดิสเวย์บอล ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป สาเหตุเนื่องมาจากอาการป่วยของกาก้าด้วยอาการสะโพกขวาอักเสบขั้นรุนแรงไม่สามารถเดินได้ [5] จนไม่สามารถดำเนินการแสดงต่อได้จนจบ ซึ่งแพทย์จำเป็นที่จะต้องให้กาก้าพักรักษาตัวระยะหนึ่ง ซึ่งสถานที่สุดท้ายที่มีการแสดงคือที่ มอนทรีออล โดยจะมีการคืนบัตรชมคอนเสิร์ตให้แก่ผู้ชมทั้งหมดเต็มราคา และกาก้าได้ทำการประกาศขอโทษผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นที่เรียบร้อยแล้ว", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "669185#7", "text": "โดยรวมแล้วในปีนี้มีพายุดีเปรสชันเขตร้อนทั้งหมด 39 ลูก ในจำนวนนี้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนและพายุโซนร้อนกำลังแรง 27 ลูก และในจำนวนนี้ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น 18 ลูก ซึ่งมีพายุที่มาจากแอ่งแปซิฟิกกลาง จำนวน 3 ลูก คือ ฮาโลลา, กิโล และ แปด-ซีในขณะที่ฮีโกสมีกำลังแรงที่สุด มันถูกบันทึกว่าเป็นพายุไต้ฝุ่นที่แข็งแกร่งที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ นับตั้งแต่การบันทึกปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970)ในขณะที่บาหวี่เริ่มพัฒนาแรก ๆ ได้เกิดคลื่นขนาดใหญ่และสูงทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างในมาจูโร ในหมู่เกาะมาร์แชลล์ เรือยอชท์ได้ขึ้นมากระแทกแนวปะการังเนื่องจากน้ำทะเล แต่ไม่มีผลกระทบใด ๆ และยังมีฝนตกหนักและลมแรงเป็นบริเวณกว้างของหมู่เกาะมาร์แชลล์ คลื่นที่เกิดจากบาหวี่ทำให้เกิดผลกระทบในส่วนหนึ่งของประเทศคิริบาส ซึ่งกำลังฟื้นตัวจากไซโคลนแพม วันที่ 15 มีนาคม บาหวี่ ได้นำพาลมแรงกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (65 ไมล์ต่อชั่วโมง) ไปยังหมู่เกาะมาเรียนา พร้อมกับไซปัน และทีเนียน ทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรง ต้นไม้จำนวนมากและเสาไฟฟ้าถูกล้มข้ามเกาะ ทำให้ไซปันสูญเสียไฟฟ้าและบริการทั้งหมด คนทั้งหมด 166 คนต้องหาที่หลบภัยบนเกาะ บ้าน 5 หลังบนเกาะมาเรียนา ถูกทำลาย ขณะที่อีก 52 หลังได้รับความเสียหาย ส่วนกาชาดได้ให้เงินช่วยเหลือ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 850,162 บาท) เป็นทุนให้กับ 252 คนพายุไต้ฝุ่นไมสักผ่านเข้ารัฐชุก ใน สหพันธรัฐไมโครนีเซีย โดยตรงในวันที่ 29 มีนาคม ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง ลมแรงกว่า 114 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (71 ไมล์ต่อชั่วโมง) โดยการวัดที่สำนักงานสภาพอากาศท้องถิ่น โค้นต้นไม้นานาชนิด เสาไฟฟ้า และทำลายหลังคา ประมาณร้อยละ 80 - 90 ของบ้านเรือนในเกาะชุกได้รับความเสียหาย พลังงานส่วนใหญ่ของเกาะถูกตัดขาดและการสื่อสารเป็นเรื่องยากลำบาก รายงานฉบับแรก ๆ ระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 5 คน และไม่กี่วันก่อนที่ ไมสัก จะพัดเข้าถล่มแผ้นดิน PAGASA ระบุว่าฤดูแล้งอย่างเป็นทางการได้เริ่มต้นขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์สำหรับประเทศฟิลิปปินส์ PAGASA กล่าวว่าภาวะเอลนีโญทีให้เกิดภาวะแห้งแล้ง และเริ่มต้นฤดูฝนล่าช้า อย่างไรก็ตาม คูจิระก็มีผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น และเพิ่มปริมาณน้ำฝนในฟิลิปปินส์ ดังนั้น PAGASA จึงประกาศการเริ่มต้นฤดูฝนอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มิถุนายน 2558 คูจิระขึ้นฝั่งเกาะไหหลำในวันที่ 20 มิถุนายน ทำให้เกิดฝนตกหนัก มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 102 มิลลิเมตร (4.0 นิ้ว) และมีประมาณฝนสะสมสูงสุดที่ 732 มิลลิเมตร (28.8 นิ้ว) ผลที่ตามมาทำให้เกิดน้ำท่วมกว่า 7,400 เฮคเตอร์ (18,300 เอเคอร์ หรือ 74 ตารางกิโลเมตร) ของพื้นที่เกษตรกรรมและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 88 ล้านหยวน (14.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 480.5 ล้านบาท) ส่วนน้ำท่วมในเวียดนามตอนเหนือคร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 9 ราย ซึ่งกว่า 8 รายเกิดขึ้นในจังหวัดเซินลา และมีผู้สูญหายอีกอย่างน้อย 6 คน ทั่วประเทศ บ้านเรือน 70 หลังถูกทำลายและอีก 382 หลังได้รับความเสียหายก่อนที่พายุไต้ฝุ่นจะขึ้นฝั่งในภาคตะวันออกของจีน ทางการจีนได้สั่งอพยพผู้คนกว่า 1.1 ล้านคนออกจากพื้นที่ การประมาณการเบื้องต้นจากมณฑลเจ้อเจียง แสดงให้เห็นว่ามีความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างน้อย 1.9 พันล้านหยวน (305.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.04 หมื่นล้านบาท) แม้ว่าจันหอม จะไม่ส่งผลกระทบกับฟิลิปปินส์ แต่พายุไต้ฝุ่นมีผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีความรุนแรงขึ้น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน และมีความเสียหายประมาณ 90 ร้อยดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 3.05 แสนบาท)ตามการประมาณการเบื้องต้นทางภาคใต้ของประเทศจีน มีความเสียหายทางเศรษฐกิจจากพายุถึง 1.2 พันล้านหยวน (213 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.55 พันล้านบาท) บ้าน 288 หลังทรุดตัวและผู้คน 56,000 คนถูกอพยพ และวัดลมกระโชกได้ 171 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (106 ไมล์/ชม.) โดยการสังเกตที่เจียหยางในมาจูโร ในหมู่เกาะมาร์แชลล์ ลมแรงจากนังกาสร้างความเสียหายแก่หลังคาบ้านและทำให้ต้นไม้และเสาไฟฟ้าโค้นล้ม ใกล้กับครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงต้องอยู่อย่างไร้ไฟฟ้า นายโทนี ดีบรัม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของหมู่เกาะมาร์แชลล์ กล่าวว่า \"มาจูโรนั้นคล้ายกับเขตสงคราม\" เรืออย่างน้อย 25 ลำ ถูกลากออกไป ชายฝั่งบางส่วนมีน้ำท่วมในวันที่ 2 สิงหาคม เซาเดโลร์ได้พัดเข้าถล่มแผ่นดินในไซปัน ที่ความรุนแรงพายุไต้ฝุ่นระดับ 2 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง โดยการประมาณการความเสียหายในเบื้องต้นอยู่ที่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าเงิน ค.ศ. 2015) หรือประมาณ 7.03 ร้อยล้านบาทในจังหวัดโทะชิงิ มีผู้เสียชีวิตอายุ 20 ปีคนหนึ่ง เสียชีวิตจากแผ่นดินถล่มภายในเหมือง ในขณะที่เขาทำงานกับเครื่องจักรหนักอยู่หว่ามก๋อได้พัดขึ้นบนแผ่นดินที่ทางใต้ของดานัง, เวียดนาม พร้อมทำให้เกิดน้ำท่วมในบริเวณที่พายุพัดผ่าน ซึ่งจากน้ำท่วมในเวียดนามทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน และสร้างความเสียหายให้กับชาวประมงในอำเภอลี้เซิญ เกิน 1 พันล้านด่ง (44,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านบาท) และยังสร้างความเสียหายให้กับระบบกริดไฟฟ้าในเวียดนามกว่า 4.9 พันล้านด่ง (218,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.8 ล้านบาท) ในจังหวัดกว๋างนาม หว่ามก๋อก่อให้เกิดความเสียหายในระดับปานกลาง ในอำเภอดุ๋ยเซวียน มีความสูญเสียทางการเกษตรกว่า 2 พันล้านด่ง (89,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.2 ล้านบาท) และในอำเภอนองเซิญ ความเสียหายทั้งหมด 1 พันล้านด่ง (44,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านบาท) การประมาณการความเสียหายทั้งหมดอย่างเป็นทางการในจังหวัดทัญฮว้า จากเหตุน้ำท่วมจากพายุมากถึง 287 พันล้านด่ง (12.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.6 ร้อยล้านบาท) น้ำท่วมในกัมพูชา สร้างผลกระทบให้กับประชาชนหลายพันคนและมีการแจ้งอพยพเป็นจำนวนมาก และเศษที่หลงเหลือของหว่ามก๋อ ยังก่อให้เกิดน้ำท่วมใน 15 จังหวัดทั่วประเทศไทย และทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน มีบ้านเรือนอย่างน้อย 480 หลังได้รับความเสียหาย และสร้างความเสียหายเกิน 20 ล้านบาท (561,000 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยผู้เสียชีวิต 2 คนเป็นชาวประมง ซึ่งเสียชีวิตจากการที่เรือของพวกเขาล่ม ขณะออกเรือตอนพายุเข้าที่อำเภอบ้านแหลม ขณะที่ยังมีผู้สูญหายอีก 3 รายในฟิลิปปินส์ ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม มีการรายงานมูลค่าความเสียหายที่ 1.12 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ (24.05 พันดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.73 แสนบาท) และเมื่อ มูจีแก เข้าฝั่งในประเทศจีนตอนใต้ พายุได้ทำให้เกิดพายุทอร์นาโด ในเมืองฝอซาน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 3 คน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 ตุลาคม มีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งหมดจำนวน 20 รายเนื่องจากผลกระทบมหาศาลจากพายุไต้ฝุ่นในจังหวัดของเซาท์เทิร์นลูซอน และ วิซายาส ประธานาธิบดีเบนิกโน อากีโนที่ 3แห่งฟิลิปปินส์ จึงได้ออกประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติแห่งชาติในประเทศ", "title": "ฤดูพายุไต้ฝุ่นแปซิฟิก พ.ศ. 2558" }, { "docid": "61545#7", "text": "เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 บริตนีย์ได้เซนต์สัญญากับเป๊ปซี่ ราว ๆ 7-8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นพรีเซนเตอร์โปรโมตให้เป๊บซี่และออกหนังสือ \"A Mother's Gift\" ที่ร่วมเขียนกับคุณแม่ลีนน์ด้วย อัลบั้มที่ 3 ออกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตเธอได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินเพลงฮิปฮอป เช่น Jay-Z เจซี The Neptunes เดอะเนปจูน และต้องการทำงานเพลงให้มีซาวด์ที่ฟังกีมากขึ้น (\"Funky of Pop music\" หมายถึงเพลงที่มีจังหวะที่หนักแน่นขึ้นทำให้จับจังหวะในการเต้นได้ง่ายขึ้น) อัลบั้มนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ตท๊อป 200 และขึ้นสู่ท๊อป 5 ในออสเตรเลีย อังกฤษและหลายประเทศในยุโรป ทำยอดขายได้มากกว่า 12 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลก Stephen Thomas Erlewine of Allmusic สตีเฟน โทมัส เออร์ลีไวน์ แห่ง ออลมิวสิก กล่าวว่า ในอัลบั้มบริตนีย์ เธอพยายามใส่ความเป็นตัวตนในด้านที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและลึกซึ้งขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ฟังก็ยังคงมองเห็นด้านที่เป็นเด็กวัยรุ่นของเธอ อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีใน 2 สาขา คือ รางวัลอัลบั้มเพลงป็อบยอดเยี่ยม และรางวัลศิลปินเพลงป็อบหญิงยอดเยี่ยม ในเพลง Overprotected โอเวอร์โพรเทคเทด และได้รับการจัดอันดับในปี ค.ศ. 2008 จาก Entertainment Weekly ให้เป็นหนึ่งในร้อยของอัลบั้มที่ดีที่สุดใน 25 ปีที่ผ่านมา ซิงเกิลแรกในอัลบั้ม I’m a slave 4 U แอมอะสเลฟฟอร์ยู ติดชาร์ตท๊อปเทนทั่วโลก\nในงาน \"MTV Video Music Awards เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์\" ปี ค.ศ. 2001 บริตนีย์ได้แสดงโชว์ร่วมกับเสือและนำงูเหลือมเผือกตัวใหญ่ยักษ์คล้องที่คอของเธอ เรื่องนี้ถึงหูของกลุ่มพิทักษ์สัตว์อย่างพีต้า PETA ที่อ้างว่าการนำสัตว์มาขึ้นแสดงโชว์นี้เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตามบริตนีย์ได้เริ่มออกแสดงทัวร์ \"Dream Within a Dream Tour\" ในทัวร์นี้ได้รับเสียงชื่นชมในด้านนวัตกรรมที่นำเทคนิคใหม่ล่าสุดมาใช้ประกอบการแสดงโชว์ โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดฉีดน้ำ 2 ตัน ให้ไหลลงมาเป็นฉากม่านน้ำมหึมาบนเวที รายได้จากการแสดงคอนเสิร์ตนี้รวมประมาณ 43.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นรายได้ที่ได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของศิลปินหญิงในปี ค.ศ. 2002 รองจาก Cher's Farewell Tour เชอร์สแฟร์เวลทัวร์ จากความสำเร็จในอาชีพของบริตนีย์ นิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับให้เธอเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกในปี ค.ศ. 2002 นอกจากนั้นบริตนีย์ได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีชื่อว่า \"Crossroads ครอสโรดส์\" ซึ่งมีกำหนดฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 ถึงแม้ว่ากระแสของหนังเรื่องนี้จะถูกวิจารณ์ว่าร่อแร่ แต่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ต่างก็ชื่นชมในความสามารถทางการแสดงของเธอ ภาพยนตร์เรื่องครอสโรดส์ ซึ่งมีต้นทุนในการทำหนังเพียง 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับทำรายได้มากกว่า 57 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากทั่วโลก\nในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2002 บริตนีย์ได้เปิดร้านอาหารร้านแรกของเธอ โดยใช้ชื่อว่า \"Nyla ไนลา\" ในนิวยอร์ก แต่ก็ยกเลิกกิจการไปในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากการบริหารจัดการภายในร้านไม่ดีพอ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002 บริตนีย์ประกาศว่าเธอจะพักการทำงานนาน 6 เดือน แต่อย่างไรก็ตามเธอกลับเข้าไปทำงานในสตูดิโอในเดือนพฤศจิกายน เพื่ออัดเพลงในอัลบั้มใหม่ของเธอ ความสัมพันธ์รักระหว่างบริตนีย์กับจัสติน ทิมเบอร์เลคจบลง หลังจากทั้งสองคบกันนาน 3 ปี เดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 จัสตินได้ออกซิงเกิลที่สองในอัลบั้มเดี่ยวของเขา Cry Me a River ครายมีอะริเวอร์ ในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้บอกเรื่องราวการจบลงของคู่รักและใช้หญิงสาวที่มีลักษณะคล้ายกับบริตนีย์มาแสดงจนทำให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์ว่าบริตนีย์อาจเป็นฝ่ายที่นอกใจจัสติน หลังจากนั้นไม่นาน บริตนีย์ได้เขียนเพลง \"Everytime เอฟเวอร์รีไทม์\" ขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการตอบโต้มิวสิกวิดีโอเพลงครายมีอะริเวอร์ของจัสติน ในปีเดียวกันนี้เอง Fred Durst เฟรดเดิร์ต นักร้องนำวง Limp Bizkit ลิมพ์บิซกิต กล่าวว่าเขามีความสัมพันธ์กับบริตนีย์ อย่างไรก็ตามบริตนีย์ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของ เฟรดเดิร์ต ในบทสัมภาษณ์ปี ค.ศ. 2009 เฟรดเดิร์ตได้กล่าวว่า “ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องต้องห้ามที่ผู้ชายอย่างผมจะไปข้องเกี่ยวกับผู้หญิงอย่างเธอ” บริตนีย์และคริสตินา อากีเลรา เปิดงาน MTV Video Music Awards เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ ปี ค.ศ. 2003 โดยแสดงในเพลง Like a Vergin ไลค์อะเวอร์จิน ร่วมกับมาดอนนาซึ่งมาดอนนาได้จูบบริตนีย์และคริสตินาในโชว์นี้ ทำให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง\nบริตนีย์ได้ออกอัลบั้มที่ 4 \"In the Zone อินเดอะโซน\" ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2003 เธอได้มีส่วนร่วมในการเขียนเพลงและโปรดิวเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม วิทยุกระจายเสียงแห่งชาติได้จัดอันดับให้อัลบั้มนี้เป็นหนึ่งใน 50 ผลงานบันทึกเสียงที่สำคัญที่สุดแห่งทศวรรษ อัลบั้มอินเดอะโซนทำยอดขายได้มากกว่า 609,000 ก๊อบปี้ในสหรัฐอเมริกาและเปิดตัวติดชาร์ตอันดับ 1 ทำให้บริตนีย์เป็นศิลปินหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การบันทึกเสียงที่มีซิงเกิลแรกในอัลบั้มติดชาร์ตอันดับ 1 ทุกซิงเกิล รวมทั้งหหมด 4 ซิงเกิล และอัลบั้มนี้ยังเปิดตัวอันดับ 1 ในฝรั่งเศสและติดท๊อปเทนในเบลเยี่ยม เดนมาร์ค สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ อัลบั้มอินเดอะโซน ทำยอดขายได้มากกว่า 10 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลก มีเพลงฮิตอย่างเพลง \"Me Against the Music มีอะเกนต์เดอะมิวสิก\" ซึ่งมีมาดอนนาร่วมร้องในเพลงนี้ด้วย \"Toxic ท๊อกซิค\" ซึ่งเป็นซิลเกิลเดียวที่เธอได้รับรางวัลจากแกรมมีในสาขาเพลงเร็วยอดเยี่ยม เพลง \"Everytime เอฟเวอร์รีไทม์\" และเพลง \"Outrageous เอาต์เรเจียส\"", "title": "บริตนีย์ สเปียส์" }, { "docid": "429116#25", "text": "สถิติการเข้าชม คอนเสิร์ตเดอะบอร์นดิสเวย์บอล ถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จมากของเลดี้ กาก้า โดยมีการเพิ่มรอบโชว์ในหลายประเทศ แล้วขายบัตรคอนเสิร์ตหมดทุกโชว์ และรายได้ในแต่ล่ะประเทศก็ทำได้ตามเป้าหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มีประเทศโคลัมเบียเพียงประเทศเดียวที่กาก้าทำได้ไม่ถึงเป้าได้เพียง 84 เปอร์เซ็นต์", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "772262#1", "text": "เรสเซิลเมเนียถือว่าเป็นรายการเรือธงของ WWE[5] และได้รับการอธิบายว่าซูเปอร์โบว์ลของความบันเทิงกีฬา[6] ตั๋วไปเริ่มขายตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2016 กับตั๋วแต่ละต้นทุน $38 ถึง $2,130[7] วันที่ 31 ตุลาคม 2016 ได้เริ่มขายแพ็กเกจท่องเที่ยวกับที่พักตั้งแต่ $950 $5,900[7][8] สมาชิกใหม่สำหรับ WWE Network สามารถชมงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม[9] จะมีการออกอากาศพรีโชว์ชั่วโมงที่สองพร้อมๆกับทางช่อง USA Network[10] วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2017 ได้มีการคอนเฟิร์มว่า เดอะนิวเดย์ (บิ๊กอี, โคฟี คิงส์ตัน และเซเวียร์ วูดส์) จะเป็นโฮสต์ของเรสเซิลเมเนีย 33[11][12]", "title": "เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 33" }, { "docid": "311869#2", "text": "เอสเอ็มเอ็นเตอร์เทนเมนต์ได้ประกาศออกมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ว่าเกิลส์เจเนอเรชันจะกลับมาพร้อมกับสตูดิโออัลบั้ม ในเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ดี วันวางจำหน่ายของอัลบั้มชุดที่สองนี้ได้ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นวันที่ 28 มกราคม โดยอัลบั้มที่สองนี้มีผู้ให้ความสนใจสูงมากในช่วงแรก ๆ เนื่องจากมียอดการสั่งจองอัลบั้มทั้งแบบออนไลน์และแบบซีดีรวมกันมากถึง 150,000 ชุด และในวันแรกของการจำหน่าย อัลบั้มนี้ก็ทำยอดขายได้ถึง 30,000 ชุด ในการจำหน่ายใน 80 ประเทศทั่วโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน และไอร์แลนด์\nอัลบั้ม Repackage ของโอ! นั้นได้ออกวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม โดยเน้นแนวคิดของเกิลส์เจเนอเรชันสีดำ หรือที่เรียกกันว่า \"แบล็คโซชิ\" (Black Soshi) โดยก่อนหน้าการรีแพ็กเกจนั้นได้มีการเปิดตัวซิงเกิลใหม่ชื่อ รันเดวิลรัน () ในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 ทั้งนี้เพลงดังกล่าวเป็นเพลงที่แคชชา เคยบันทึกเสียงมาก่อนเมื่อ พ.ศ. 2551 ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 18 มีนาคม มิวสิกวีดิโอของเพลงดังกล่าวก็ได้ออกมา พร้อมกับการกลับมาแสดงสดของเกิลส์เจเนอเรชันในรายการมิวสิกแบงก์ทางช่อง KBS ต่อมาเอสเอ็มเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ได้ออกมาแถลงว่ายุนอาคือสมาชิกวงที่อยู่บนหน้าปกของซิงเกิลดังกล่าว\nเกิลส์เจเนอเรชันเริ่มประชาสัมพันธ์อัลบั้มนี้ทางรายการมิวสิกคอร์ช่อง MBC ในวันที่ 30 มกราคม นอกจากนี้ทางกลุ่มได้ร้องเพลง โชว์! โชว์! โชว์! (Show! Show! Show!) เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงการกลับมาร้องเพลงในรายการมิวสิกคอร์ทาง MBC และรายการอินกิกาโย (เดอะมิวสิกเทรนด์) ทางช่อง SBS และเมื่ออัลบั้มดังกล่าวได้วางจำหน่ายอย่างเต็มรูปแบบ อัลบั้มก็ได้ติด 10 อันดับแรกในหลายชาร์ตเพลง", "title": "โอ! (อัลบั้ม)" }, { "docid": "429116#16", "text": "มีชาวมุสลิมจำนวนไม่มาก ไม่เห็นด้วยกับคอนเสิร์ตของเธอด้วยความเห็นที่คล้ายกับเกาหลีว่าโชว์และการแต่งกายของเธอไปขัดกับศาสนาอิสลาม ที่เคร่งเรื่องเพศและการแต่งกายที่ล่อแหลมทำให้ผู้นำศาสนาสูงสุดของอินโดฯ ประกาศให้ยกเลิกคอนเสิร์ตของเธอในอินโด บัตรคอนเสิร์ตของกาก้าในอินโดขายหมดภายในไม่ถึงชั่งโมง ซึ่งสร้าสถิติที่ดีในหลายประเทศแน่ รวมถึงไทยที่ขายหมดใน 3 ชั่วโมงแรกที่เปิดขาย ล่าสุดได้ประกาศออกมาเป็นทางการแล้วว่าคอนเสิร์ตเลดี้ กาก้า ที่ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งหมดนี้ทางสำนักงานตรวจแห่งชาติที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้ยกเลิกใบอนุญาตให้จัดคอนเสิร์ตนั้นเอง เหตุผลง่ายๆคือ มีหลายๆศาสนาที่ออกมาต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้เนื่องจาก ชุด, การแสดง, และท่าเต้นที่ไม่เหมาะสมและเกรงว่าจะเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับเยาวชนนั้นเอง! โดยกลุ่มศาสนาเหล่านี้ได้ออกมาประกาศว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อันตรายและหากเธอตัดสินใจที่จะยังโชว์อยู่ทางกลุ่มศาสนาเหล่านี้ก็พร้อมทีจะไปบุกถึงสนามบินเพื่อไม่ให้เธอเดินออกจากเครื่องบิน บัตรคอนเสิร์ตเลดี้ กาก้า จำนวน 50,000 ใบถูกขายจนหมดในเวลาไม่กี่นาที ทางกาก้าเองก็ทำการยกเลิกคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโชว์ก่อนที่เธอจะมาอิโดนีเซียคือสิงคโปร์ ซึ่งเธอจบคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์เสร็จ เธอจะบินต่อไปประเทศนิวซีแลนด์ทันที", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "448837#5", "text": "คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ 10 ครั้งที่ผ่านมา มีจำนวนรอบการแสดง 153 รอบ มีผู้ชม 484,400 คน อีกทั้งมีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบอื่นๆ ที่จัดเป็นประจำทุกปี โดยในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา มีผู้ซื้อบัตรเข้าชมแล้วประมาณ 2 ล้านคน โดยคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จสูงสุด คือคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 5 ปี 2534 สร้างสถิติสูงสุดของ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ชม 58,000 คน จาก 29 รอบการแสดง และคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 9 ปี 2551 เมื่อรวมรอบอังกอร์พลัสแล้ว สร้างสถิติสูงสุดของอิมแพ็ค เมืองทองธานี ด้วยจำนวนผู้ชม 120,000 คน จาก 12 รอบการแสดง ขณะที่ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 10 ปี 2555 สร้างปรากฏการณ์ยอดผู้ชมสูงสุดในเมืองไทย จากการจำหน่ายบัตรต่อเนื่องในคราวเดียว กว่า 100,000 คน จาก 10 รอบการแสดง", "title": "รายชื่อผลงานของธงไชย แมคอินไตย์" }, { "docid": "54668#1", "text": "จอช โกรแบน ออกรายการโทรทัศน์ และโชว์ในพิธีการดังๆ นับครั้งไม่ถ้วน อาทิ รายการ แอลลี แมคบีล, โอปราห์ วินฟรีย์, เจย์ ลีโน, แลร์รี คิง ไลฟ์, กู๊ดมอร์นิงอเมริกา, เดอะทูเดย์โชว์, การแข่งขันซูเปอร์โบว์ล, พิธีประกาศรางวัลออสการ์, อเมริกัน มิวสิก อวอร์ดส และพิธีปิด ซอลท์ เลก ซิตี้ โอลิมปิก ปี 2002 ที่มีผู้ชมกว่า 20 ล้านคนทั่วโลก นอกจากนี้ ดีวีดีของเขายังขายดีเป็นอันดับ 1 ในปี 2002 และล่าสุด ตั๋วทัวร์คอนเสิร์ตของเขายังสร้างสถิติขายหมดภายใน 20 นาทีที่เปิดจำหน่าย", "title": "จอช โกรแบน" }, { "docid": "11458#24", "text": "เวอร์ชันยุโรป–ญี่ปุ่น ได้เปิดตัวที่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ในปี พ.ศ. 2551 และมีตัวถัง 2 แบบ คื \nอ แบบซีดาน 4 ประตู และแบบวากอน 5 ประตู ในชื่อฮอนด้า แอคคอร์ด ทัวเรอร์ () และมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร, 2.2 ลิตร (ดีเซล) และขนาด 2.4 ลิตร เป็นบล็อกเดิมทั้งหมด โดยเครื่องยนต์เหล่านี้ได้ใช้เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ​ 5 จังหวะ ตัวถังนี้เริ่มผลิตในปี พ.ศ. 2551 และเลิกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2558\nส่วนเวอร์ชันทั่วโลกนั้นได้เริ่มขายกันในเดือนกันยายนในปีเดียวกัน โดยมี 2 แบบ คือ รุ่นคูเป้ 2 ประตู และรุ่นซีดาน 4 ประตู \nสำหรับประเทศไทยนั้นเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ", "title": "ฮอนด้า แอคคอร์ด" }, { "docid": "243376#1", "text": "รูปแบบรายการเป็นการแข่งขันร้องเพลงและแสดงโชว์ แข่งขันเป็นทีม ทีมละ 5 คน โดยผู้เข้าแข่งขันมาจากตำแหน่งผู้ชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดับหนึ่งของ รายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 1-5 ซึ่งได้แก่จากนั้นได้มีการเปิดโอกาสโหวตคัดเลือกผู้แข่งขันเพิ่มเติม ซึ่งเป็นนักล่าฝันรุ่น 1-5 ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดผ่านระบบ SMS 5 อันดับแรก และนักล่าฝันที่ได้รับโอกาสเข้าสู่รายการ เดอะ มาสเตอร์ ได้แก่รูปแบบรายการจะนำเสนอในรูปเบบของการทำงานเบื้องหลังของศิลปิน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้ประสบการณ์ในการทำงาน คิดและวางแผนโชว์ที่จะเกิดขึ้นในทุกคืนวันเสาร์ โดยโจทย์เพลงที่ได้รับแต่ละสัปดาห์ จะเป็นบทเพลงยอดนิยมของศิลปินระดับมืออาชีพของวงการเพลงไทย และจะมีการทำอัลบั้มเพลงจำลองในรูปแบบของตนเองร่วมกับทีมงานเบื้องหลัง อีกทั้งจะมีการวัดผลความนิยมของปกอัลบั้มเพลงที่ได้ร่วมกันออกแบบในทุกสัปดาห์ ผ่านการลงคะแนนเสียงของผู้ชมผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนหน้าบริเวณคอนเสิร์ต ซึ่งคะแนนในส่วนนี้จะประกอบการตัดสินควบคู่กับคะแนนโหวตผ่านระบบ SMS ของผู้ชมรายการทั้งหมดด้วย ", "title": "เดอะมาสเตอร์" }, { "docid": "440439#13", "text": "ก่อนเริ่มฤดูกาล 2015–16 สเตอร์ลิงได้ย้ายเข้าสังกัดแมนเชสเตอร์ซิตี ด้วยค่าตัวสูงถึง 49 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.45 พันล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญานาน 5 ปี ซึ่งมูลค่าที่สูงถึงขนาดนี้ บรรดาผู้สนับสนุนลิเวอร์พูลต่างมองว่าเป็นการขายที่สโมสรคุ้มค่ามากที่สุด โดยสเตอร์ลิงยังได้ทำสถิติเป็นผู้เล่นอายุไม่เกิน 21 ปีที่แพงที่สุด และเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ซิตีที่มีค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร และเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นสถิติอันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีก", "title": "ราฮีม สเตอร์ลิง" }, { "docid": "213416#2", "text": "รายการ เกมทศกัณฐ์ ออกอากาศทาง โมเดิร์นไนน์ ทีวี เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์รายการแรกที่รางวัลแจ๊คพอตที่มีเงินรางวัลสูงสุดถึง 10 ล้านบาทนับถือว่าเป็นรางวัลแจ๊คพอตสูงที่สุดในวงการของรายการเกมโชว์โทรทัศน์ไทยและในเอเชีย (โดยเฉพาะ \"เกมทศกัณฐ์ยกทัพ\" ที่มีรางวัลแจ๊คพอตสูงถึง 30 ล้านบาท) เพียงตอบคำถามใบหน้าของบุคคลที่มีชื่อเสียงสำคัญ ๆ ของคนทั่วทั้งโลก ตอบถูกครบ 10 หน้า รับไปเลยรางวัลแจ๊คพอตสูงที่สุด 10 ล้านบาทและนับตั้งแต่ออกอากาศเกมทศกัณฐ์จนไปถึงยกสยาม เป็นเวลาเกือบ 8 ปีทางรายการได้แจกรางวัลไปทั้งหมดเกือบ 70 ล้านบาท", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "94072#10", "text": "พฤศจิกายน 2000 สไปซ์เกิลส์ ได้ออกอัลบั้มสุดท้าย \"Forever\" ที่มีสไตล์อาร์แอนด์บีเพิ่มมากขึ้น ในอเมริกาขึ้นชาร์ทสูงสุดอันดับ 39 ส่วนในอังกฤษได้ออกวางขายพร้อมกับอัลบัม Coast To Coast ของเวสท์ไลฟ์ทำให้หยุดอยู่ที่อันดับ 2 ส่วนซิงเกิลแรก \"Holler\" / \"Let Love Lead The Way\" ประสบความสำเร็จขึ้นอันดับ 1 เป็นเพลงที่ 9 ของพวกเธอ\nมิถุนายน 2007 สไปซ์เกิลส์ออกมาประกาศการรวมหัวของ 5 สาวอีกครั้ง เพื่อการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกจำนวน 11 รอบเพื่อสนับสนุนอัลบัมรวมฮิตชุดแรกของวงที่จะออกมาในช่วงปลายปี โดยคอนเสิร์ตที่จะถึงนี้จะเป็นการโชว์ครั้งแรกของ สไปซ์เกิลส์ หลังจากที่ประกาศยุบวงไปเมื่อปี 2000 และเป็นครั้งแรกที่กลับมาโชว์กับแบบครบวง หลังจากที่ เจอรี \"จินเจอร์ สไปร์ซ\" ฮัลลิเวลล์ ขอออกจากวงไปเป็นศิลปินเดี่ยวเมื่อปี 1998 โดยออกอัลบั้มรวมฮิตที่มีเพลงซิงเกิลใหม่Headlines (Friendship Never Ends) ที่มอบให้เป็นเพลงประจำงาน 2007 Children In Need ซึ่งเป็นงานการกุศลของสถานีบีบีซีที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือมูลนิธิเด็กในสหราชอาณาจักร พวกเธอจะบริจาคกำไรทั้งหมดจากเพลง Headlines (Friendship Never Ends) ให้แก่งานการกุศลครั้งนี้", "title": "สไปซ์เกิลส์" }, { "docid": "274668#5", "text": "ทีวี ธันเดอร์ ได้ผลิตรายการต่างๆ เป็นจำนวนกว่า 200 รายการ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์ เกมโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ ละครซิทคอม ละครยาว และเรียลลิตี้โชว์ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ทรูโฟร์ยู, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี และสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี โดยปัจจุบันมีรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวนทั้งหมด 5 รายการ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ ควิซโชว์ วาไรตี้โชว์ และเรียลลิตี้โชว์ ทางช่อง 3 HD ช่อง 5 ช่องทรูโฟร์ยู ช่องไทยรัฐทีวี HD และช่อง PPTV HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา รายการที่ขายลิขสิทธิ์ลงแอปพลิเคชัน LINE TV เน้น \"ตัวเอน\")", "title": "ทีวี ธันเดอร์" }, { "docid": "55592#29", "text": "ทัวร์คอนเสิร์ตแบดเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1987 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1989[96] ในญี่ปุ่นเพียงที่เดียว บัตรขายหมดทุกรอบ ทั้ง 14 รอบ กับจำนวนคนถึง 570,000 คน ถือเป็นเกือบ 3 เท่าของสถิติเดิม 200,000 คนในทัวร์เดียวที่มีศิลปินออกทัวร์คอนเสิร์ตในญี่ปุ่น[97] แจ็กสันยังสร้างสถิติในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ เมื่อคน 504,000 คนเข้าดูโชว์ที่ขายหมดในสนามกีฬาเวมบลีย์ 7 รอบ เขาแสดงคอนเสิร์ตรวมทั้งหมด 123 คอนเสิร์ตกับผู้ชมร่วม 4.4 ล้านคน ถือเป็นซีรีส์ทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมี ซึ่งต่อมาได้ทำลายสถิติโดยฮิสทรีเวิลด์ทัวร์ของเขาเอง[98] และยังทำลายสถิติเดิมในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์เมื่อทัวร์ทำรายได้ 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างทัวร์เขายังได้เชิญเด็กด้อยโอกาสมาเข้าชมฟรีและยังบริจาคเงินให้โรงพยาบาล สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า และองค์กรการกุศลอื่น ๆ[96]", "title": "ไมเคิล แจ็กสัน" }, { "docid": "61545#9", "text": "แบล็คเอาต์ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีจากงาน MTV Europe Music Awards เอ็มทีวียุโรปอะวอดส์ ปี ค.ศ. 2008 และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นอัลบั้มป็อบที่ดีที่สุดอันดับที่ 5 ในทศวรรษ บริตนีย์ได้แสดงในเพลง \"Gimme More กิมมีมอร์\" ซึ่งเป็นเพลงโปรโมตอัลบั้ม ที่งาน MTV Video Music Awards เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ ปี ค.ศ. 2007 การแสดงนี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความร่อแร่ในอาชีพการแสดงโชว์ของเธอ David Willis เดวิด วิลลิส แห่ง BBCสำนักข่าวบีบีซี กล่าวว่า โชว์นี้ของบริตนีย์จะบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในโชว์ที่แย่ที่สุดในงานเอ็มทีวีอะวอร์ด สวนกระแสกับความย่ำแย่ของโชว์ ซิงเกิลกิมมีมอร์ประสบความสำเร็จทั่วโลก ติดชาร์ตอันดับ 1 ในแคนาดา และติดชาร์ตท๊อปเทนเกือบทุกประเทศ ซิงเกิลที่ 2 \"Piece of Me พีซออฟมี\" ติดชาร์ตอันดับ 1 ในไอร์แลนด์ และติดชาร์ตท๊อปไฟว์ในออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ค นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ซิงเกิลที่ 3 \"Break the Ice เบรกดิไอซ์\" ออกในปีถัดไปและประสบความสำเร็จในระดับปานกลางเพราะบริตนีย์ไม่สามารถมาทำงานโปรโมตซิงเกิลนี้ได้มากเท่าที่ควร ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 บริตนีย์เริ่มมีความสัมพันธ์กับปาปารัซซีที่ชื่อว่า Adnan Ghalib แอดนัน กาลิบ", "title": "บริตนีย์ สเปียส์" }, { "docid": "166390#29", "text": "ได้แชมป์โลกทั้งหมด 16 สมัย (แชมป์ WWE 13 สมัย และแชมป์โลกเฮฟวี่เวท 3 สมัย) เทียบเท่าสถิติแชมป์โลกของริก แฟลร์ เป็นนักมวยปล้ำคนแรกที่คว้าแชมป์ WWE ได้มากกว่า 10 สมัย ได้แชมป์ยูเอสครั้งแรกในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 20 ชนะ บิ๊กโชว์ ได้แชมป์ WWE ครั้งแรกในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 21 ชนะ เจบีแอล ได้แชมป์โลกเฮฟวี่เวท ครั้งแรกในเซอร์ไวเวอร์ ซีรีส์ (2008) ชนะ คริส เจริโค เคยได้แชมป์แท็กทีมร่วมกับ ชอว์น ไมเคิลส์, บาทิสตา และเดอะมิซ ทั้งที่เป็นคู่กรณีกัน เป็นผู้ชนะรอยัลรัมเบิลถึง 2 ครั้งในปี 2008 และ 2013 เป็นคนแรกที่ใช้กระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์และไม่ได้แชมป์ ดัดแปลงเข็มขัดแชมป์ WWE แบบหมุนได้ ทำให้เป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในรอบ 5 ปี เปิดตัวในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 23 ใช้งบประมาณสูงสุดในประวัติศาสตร์ถึง 100,000 ดอลลาร์ ซีนา และ เรย์ มิสเตริโอ คือสองคนที่แฟนๆ ต้องการลายเซ็นมากที่สุด เป็นนักมวยปล้ำคนเดียวที่เพลงเปิดตัวมีผู้โหลดในไอทูนส์สูงสุดอันดับที่ 1 โดยครองถึง 2 สัปดาห์ เป็นนักมวยปล้ำคนแรกที่ชนะ อูมากา, รูเซฟ, เควิน โอเวนส์ สามารถยกนักมวยปล้ำที่ตัวใหญ่กว่าเขาได้ทุกคน เช่น บิ๊กโชว์, มาร์ก เฮนรี เป็นต้น ปล้ำเรสเซิลเมเนียมาแล้ว 14 ครั้ง โดยชนะ 10 แพ้ 4 ครั้งที่ 20 ชนะ บิ๊กโชว์ ชิงแชมป์ยูเอส ครั้งที่ 21 ชนะ เจบีแอล ชิงแชมป์ WWE ครั้งที่ 22 ชนะ ทริปเปิลเอช ชิงแชมป์ WWE ครั้งที่ 23 ชนะ ชอว์น ไมเคิลส์ ชิงแชมป์ WWE ครั้งที่ 24 แพ้ แรนดี ออร์ตัน โดยมีทริปเปิลเอชร่วมปล้ำด้วย ชิงแชมป์ WWE ครั้งที่ 25 ชนะ เอดจ์ และ บิ๊กโชว์ ชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวท ครั้งที่ 26 ชนะ บาทิสตา ชิงแชมป์ WWE ครั้งที่ 27 แพ้ เดอะมิซ ชิงแชมป์ WWE ครั้งที่ 28 แพ้ เดอะร็อก ครั้งที่ 29 ชนะ เดอะร็อก ชิงแชมป์ WWE ครั้งที่ 30 ชนะ เบรย์ ไวแอ็ตต์ ครั้งที่ 31 ชนะ รูเซฟ ชิงแชมป์ยูเอส ครั้งที่ 33 จับคู่กับ นิกกี เบลลา ชนะ เดอะมิซ และมารีส ครั้งที่ 34 แพ้ ดิอันเดอร์เทเกอร์ ปล้ำเป็นคู่เอกปิดเรสเซิลเมเนียมาแล้ว 5 ครั้ง (ครั้งที่ 22, 23, 27, 28, 29) เคยชนะผู้ที่เคยก่อตั้งทีมเดียวกันในนามดี-เจเนอเรชันเอ็กซ์ ทั้งทริปเปิลเอช และชอว์น ไมเคิลส์มาแล้วในเรสเซิลเมเนีย เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 28 เป็นครั้งแรกที่ปล้ำโดยที่ไม่มีเข็มขัดเส้นใดเป็นเดิมพัน เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 32 เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ร่วมปล้ำเพราะบาดเจ็บ เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 33 เป็นครั้งแรกที่ปล้ำแบบแท็กทีม ปล้ำไอควิต แมทช์มาแล้ว 5 ครั้ง และยังไม่เคยแพ้ใคร จัดจ์เมนท์เดย์ (2005) ชนะ เจบีแอล ชิงแชมป์ WWE เบรกกิ้งพอยท์ (2009) ชนะ แรนดี ออร์ตัน ชิงแชมป์ WWE โอเวอร์เดอะลิมิต (2010) ชนะ บาทิสตา ชิงแชมป์ WWE โอเวอร์เดอะลิมิต (2011) ชนะ เดอะมิซ ชิงแชมป์ WWE เพย์แบ็ก (2015) ชนะ รูเซฟ ชิงแชมป์ยูเอส ปล้ำไอเอิร์น แมน แมทช์ครั้งแรก ชนะ แรนดี ออร์ตัน 6-5 ในแบรกกิ้ง ไรท์ส (2009) ปล้ำมันนีอินเดอะแบงก์แลดเดอร์แมตช์ครั้งแรกในปี 2012", "title": "จอห์น ซีนา" }, { "docid": "429116#11", "text": "นิตยสาร บิลบอร์ด จัดอันดับรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตของกาก้า เดอะบอร์ดิสเวย์บอล อยู่ที่อันดับที่ 6 รายได้ $124 million หรือประมาณ 3,000 ล้าน บาท ในการขายตั๋ว", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "448837#3", "text": "ด้านการแสดงคอนเสิร์ต เบิร์ดมีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบที่สำคัญ คือ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ 10 ครั้งที่ผ่านมา มีจำนวนรอบการแสดง 153 รอบ มีผู้ชม 484,400 คน อีกทั้งมีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบอื่นๆ ที่จัดเป็นประจำทุกปี โดยในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา มีผู้ซื้อบัตรเข้าชมแล้วประมาณ 2 ล้านคน โดยคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จสูงสุด คือ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 5 ปี 2534 สร้างสถิติสูงสุดของ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ชม 58,000 คน จาก 29 รอบการแสดง และคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 9 ปี 2551 เมื่อรวมรอบอังกอร์พลัสแล้ว สร้างสถิติสูงสุดของอิมแพ็ค เมืองทองธานี ด้วยจำนวนผู้ชม 120,000 คน จาก 12 รอบการแสดง ขณะที่ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 10 ปี 2555 สร้างปรากฏการณ์ยอดผู้ชมสูงสุดในเมืองไทย จากการจำหน่ายบัตรต่อเนื่องในคราวเดียว กว่า 100,000 คน จาก 10 รอบการแสดง ", "title": "รายชื่อผลงานของธงไชย แมคอินไตย์" }, { "docid": "20659#14", "text": "17 ตุลาคม 2015 สเตฟานีแสดงในคอนเสิร์ตที่เป็นส่วนหนึ่งของทัวร์มาสเตอร์การ์ดไพรซ์เลสส์เซอร์ไพรส์ทัวร์ ที่แฮมเมอร์สไตน์บอลรูม ในนครนิวยอร์ก เธอแสดงเพลงใหม่ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการอกหักต่ออดีตสามี เกวิน รอสส์เดล เพลงชื่อ \"ยูสด์ทูเลิฟยู\"[73] เพลงปล่อยให้ดาวน์โหลดเมื่อ 20 ตุลาคม 2015 วิดีโอค่อยปล่อยมาทีหลังในวันเดียวกัน เพลงออกในสถานีวิทยุเพลงร่วมสมัยในสหรัฐเมื่อ 27 ตุลาคม 2015[74] เพลงนี้ยังเป็นซฺงเกิลแรกอย่างเป็นทางการจากอัลบัมเดียวชุดที่ 3 ของเธอ ที่ชื่อชุด ดิสอีสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์ ที่เธอเริ่มทำงานในช่วงฤดูร้อน 2015 สเตฟานีบอกว่า มีหลายเพลงก่อนหน้านี้ที่เธอทำในช่วงปี 2014 เธอรู้สึกถูกบังคับและดูเป็นของเทียม ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เธอต้องการแต่แรก[75][76][77] ซิงเกิลที่ 2 ของอัลบัมชื่อ \"เมกมีไลก์ยู\" ออกเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2016[78] อัลบัม ดิสอิสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์ ออกเมื่อ 18 มีนาคม 2016 และเปิดตัวที่อันดับ 1 บน บิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขาย 84,000 ชุด ในสัปดาห์แรก เป็นอัลบัมแรกของเธอที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะศิลปินเดี่ยว[79] เพื่อประชาสัมพันธ์อัลบัม สเตฟานีมีทัวร์ที่ชื่อ ดิสอีสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์ทัวร์ ร่วมกับแร็ปเปอร์ อีฟ ในสหรัฐ[80] เธอยังพากย์เสียงเป็นดีเจซูคิ ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง โทรลล์ส ซึ่งออกฉาย 4 พฤศจิกายน 2016[81] เธอมีเพลง 5 เพลงในอัลบัมเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้[82] เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2016 สเตฟานีประกาศว่าเธอจะแสดงโชว์ 2 ครั้งสุดท้ายที่ เออร์วินมีโดส์แอมฟิเทียเตอร์ ระหว่าง 29-30 ตุลาคม ที่เป็นส่วนหนึ่งของโชว์ที่ชื่อ เออร์วินมีโดส์แอมฟิเทียเตอร์ไฟนอลโชส์[83] โดยมีวงร็อกอเมริกา ยังเดอะไจแอนต์ เป็นวงเปิดให้ 2 โชว์นี้ด้วย[84]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "429116#13", "text": "ประเทศเกาหลีเป็นประเทศแรกที่เลดี้ กาก้าจะเปิดแดงคอนเสิร์ตเดอะบอร์นดิสเวย์บอลเป็นที่แรกในวันที่ 27 เมษายน แต่เมื่อคอนเสิร์ตของเธอได้ถูกประกาศว่าจะจัดในประเทศเกาหลีใต้ ทางรัฐบาลเกาหลีได้มีการกำหนดอายุผู้เข้าชมการแสดงจะต้องมีอายุ 12 ปีขึ้นไป[7] โดยมีกลุ่มชาวคริสเตียนและกลุ่มนักศึกษาหัวอนุรักษ์ออกมาต่อต้านมาโชว์ของเธอโดยอ้างว่านักร้องสาวเลดี้ กาก้าผิดมนุษย์มนา โชว์ของเธอล่อแหลม และยั่วยุทางเพศ ส่อถึงในทางลามกอนาจาร ที่ทำให้วัฒนธรรมเกาหลีเสื่อม โดยดูจากการแต่งกายของเธอที่มีเสื้อผ้าน้อยชิ้นและเปิดเนื้อหนังมังสา โดยกลุ่มผู้ประท้องเหล่านี้ได้ติดไปประท้องไปทั่วกรุงโซลและสถานที่จัดคอนเสิร์ต รัฐบาลจึงมีการกำหนดผู้ชมให้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เข้าชมคอนเสิร์ตของเธอได้ แต่คอนเสิร์ตของเธอก็ดำเนินการต่องท่ามกลางเสียงประท้วง และดำเนินจนจบโดยไร้ปัญหา", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "211529#44", "text": "เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2017 กาก้าได้ขึ้นโชว์การแสดงพักครึ่งศึกในศึกอเมริกันซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 51 ที่สนาม NRG Stadium และได้เรตติ้งไปทั้งหมด 117.5 ล้านในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเรตติ้งที่สูงที่สุดอันดับที่ 2 แต่เมื่อรวมเรตติ้งผู้ชมทุกช่องทางการรับชมแล้ว การแสดงของเธอคว้าเรตติ้งไปทั้งหมด 172 ล้าน สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การแสดงพักครึ่ง และประวัติศาสตร์การแสดงทางดนตรีสูงที่สุดในสหรัฐ และจากนั้นเธอก็ได้ประกาศทัวร์คอนเสิร์ตใหม่ทันที คือคอนเสิร์ต Joanne World Tour 2017 ทำให้เพลง มิลเลี่ยนรีซันส์กระโดดขึ้นอันดับที่ 4 ใน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ, กาก้าได้ปล่อยมิวสิควิดิโอตัวใหม่ในเพลง จอห์น เวย์น (John Wayne)", "title": "เลดีกากา" } ]
3250
ประเทศสเปน มีกี่รัฐ ?
[ { "docid": "952162#0", "text": "ประเทศสเปนและแคว้นปกครองตนเองของประเทศสเปนแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น จังหวัด (สเปนและGalician: provincia; Catalan: província; Basque: probintzia) รวมทั้งหมด 50 จังหวัด ระบบจังหวัดของสเปนได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1978 แต่มีต้นกำเนิดย้อนไปได้ถึง ค.ศ. 1833 เซวตา, เมลียา และปลาซัสเดโซเบรานิอาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดใด", "title": "จังหวัดของประเทศสเปน" } ]
[ { "docid": "224315#1", "text": "ดัชชีที่สำคัญบางแห่งในสมัยก่อนจะมีอธิปไตยปกครองบริเวณหนึ่ง ๆ ต่อมารวมกันเป็นที่มาของรัฐสมัยใหม่ในปัจจุบัน เช่น ประเทศเยอรมนี ประเทศอิตาลี ในทางตรงกันข้ามดัชชีอื่น ๆ ก็อาจจะเป็นเขตปกครองภายในราชอาณาจักรมาตั้งแต่สมัยกลาง เช่น ในประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส และประเทศสเปน ประวัติของแต่ละดัชชีแต่ละอาณาจักรก็จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของแต่ละรัฐ", "title": "ดัชชี" }, { "docid": "917997#1", "text": "แคว้นปกครองตนเองต่าง ๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นผู้ใช้สิทธิ์การปกครองตนเองที่รัฐธรรมนูญรับรองและรับประกันให้แก่ชาติทางประวัติศาสตร์และภูมิภาคต่าง ๆ ของสเปน ซึ่งในขณะเดียวกันก็ประกาศเอกภาพที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ของชาติสเปนด้วย แคว้นปกครองตนเองเหล่านี้ประกอบกันเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดระเบียบดินแดนที่มีการกระจายอำนาจปกครอง (decentralization) ในระดับสูง แต่ก็มีพื้นฐานอยู่บนการคลายอำนาจจากส่วนกลางสู่ส่วนท้องถิ่น (devolution) ดังนั้นสเปนจึงมิใช่สหพันธรัฐ เนื่องจากรัฐสเปนยังอยู่เหนือกว่าแคว้นต่าง ๆ และถือครองอำนาจอธิปไตยไว้โดยสมบูรณ์ ศาลรัฐธรรมนูญสเปนเรียกตัวแบบการจัดระเบียบดินแดนเช่นนี้ว่า \"รัฐแห่งหน่วยการปกครองตนเอง\" ()", "title": "เขตการปกครองของประเทศสเปน" }, { "docid": "256463#7", "text": "หมวดหมู่:ประมุขในประเทศสเปน * หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ก หมวดหมู่:สิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 13", "title": "ราชอาณาจักรกัสติยา" }, { "docid": "15661#16", "text": "โดย 1860 ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 964,201 คนซึ่งเกือบครึ่งหนึ่ง, 435,080, ชาวแอฟริกันอเมริกัน 2,690 คนของเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1861, แอละแบมาประกาศความสับสนของสหภาพหลังจากที่ยังคงเป็นสาธารณรัฐอิสระสองสามวันเข้าร่วมรัฐพลิกเทียนอเมริกาของเมืองหลวงของอเมริกันเมืองหลวงอเมริกานี้แอ็คปามะกามีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองอเมริกันแม้ว่าการต่อสู้ไม่กี่คนต่อสู้ในรัฐแอละแบมามีส่วนเกี่ยวข้องกับทหาร 120,000 คน.", "title": "รัฐแอละแบมา" }, { "docid": "251282#0", "text": "ราชรัฐกาตาลุญญา (; ) หรือ ราชรัฐแคทาโลเนีย () เป็นอดีตอาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย ส่วนใหญ่อยู่ในเขตประเทศสเปน โดยมีบางส่วนที่อยู่ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน", "title": "ราชรัฐกาตาลุญญา" }, { "docid": "158520#8", "text": "หลังการปฏิรูปจักรวรรดิ ดินแดนที่อยู่ภายใต้พระบรมเดชานุภาพของจักรพรรดิแบ่งอย่างกว้างได้เป็นสามกลุ่ม:ดินแดนทั้งหมดมีจำนวนมากถึง 300 รัฐ บางรัฐมีพื้นที่ไม่กี่ตารางไมล์เท่านั้น", "title": "จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์" }, { "docid": "860131#5", "text": "สำหรับการประกวดเฟมิน่า มิสอินเดียนั้น ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 โดยผู้ชนะในครั้งนั้น คือ เมเฮอร์ คาสเตลิโน มิสตรี (Meher Castelino Mistri) จากรัฐมหาราษฏระ และได้เป็นตัวแทนของประเทศอินเดียในการประกวดนางงามจักรวาล 1964 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมิสยูไนเต็ด เนชั่นส์ 1964 ที่ประเทศสเปน", "title": "เฟมินา มิสอินเดีย" }, { "docid": "1947#68", "text": "ในทางกลับกัน ภาษาสเปนที่ใช้กันในรัฐซูเลีย ซึ่งเป็นพื้นที่รอบทะเลสาบมาราไกโบทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวเนซุเอลา มีลักษณะเด่นคือ ในการผันกริยากับประธาน จะยังคงรักษารูปผันที่มีมาแต่เดิมเอาไว้ ซึ่งรูปผันดังกล่าวในปัจจุบันยังคงใช้ผันกับประธาน ในประเทศสเปน", "title": "ภาษาสเปน" }, { "docid": "65562#1", "text": "สเปนมิใช่สหพันธรัฐ แต่เป็นเอกรัฐ ที่มีการกระจายอำนาจสูง ในขณะที่อำนาจอธิปไตยเป็นของรัฐชาติสเปนโดยรวม โดยมีสถาบันส่วนกลางของรัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนนั้น รัฐชาติสเปนก็ได้คลายอำนาจสู่แคว้นต่าง ๆ ในระดับที่ต่างกันตามภูมิหลังของแต่ละแคว้นเช่นกัน แคว้นเหล่านั้นจะใช้สิทธิ์ในการปกครองตนเองภายในขอบเขตที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสเปนและธรรมนูญการปกครองตนเอง ของแคว้นตามลำดับ นักวิชาการบางคนเรียกระบบที่เป็นผลจากการกระจายอำนาจดังกล่าวว่าเป็นระบบสหพันธรัฐในทางปฏิบัติ-เอกรัฐเพียงในนาม หรือ \"สหพันธรัฐที่ปราศจากระบอบสหพันธรัฐ\" ปัจจุบันในสเปนมีแคว้นปกครองตนเอง 17 แคว้น และนครปกครองตนเอง 2 นครซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่า \"หน่วยการปกครองตนเอง\" นครปกครองตนเองมีสิทธิ์ที่จะขอเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นแคว้นปกครองตนเอง แต่นครทั้งสองยังไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้ เค้าโครงการบริหารดินแดนซึ่งเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้มีชื่อเรียกว่า \"รัฐแห่งหน่วยการปกครองตนเอง\"", "title": "แคว้นปกครองตนเองของประเทศสเปน" }, { "docid": "353990#0", "text": "มหาวิทยาลัยกอมปลูเตนเซแห่งมาดริด ( ) เป็นมหาวิทยาลัยรัฐในสังกัดแคว้นมาดริด ประเทศสเปน\nมหาวิทยาลัยกอมปลูเตนเซแห่งมาดริดเป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญของสเปนมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 และมีความสำคัญมากในสมัยสงครามกลางเมืองสเปน รวมทั้งหลังการตายของเผด็จการจมพลฟรังโกจนถึงการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย และในปัจจุบ้นมหาวิทยาลัยมีจำนวนนักศึกษามากเป็นอันดับสองของสเปน รองจาก UNED ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิด", "title": "มหาวิทยาลัยกอมปลูเตนเซแห่งมาดริด" }, { "docid": "204618#1", "text": "พระนางอิซาเบลประสูติที่เมืองมาดริกัลเดลัสอัลตัสตอร์เรส ประเทศสเปน ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 1994 หลังจากนั้น 3 ปี พระอนุชา คือ เจ้าชายอัลฟอนโซแห่งอัสตูเรียสได้ประสูติตามมา เมื่อพระเจ้าฆวนที่ 2 แห่งกัสติยา พระบิดา เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1997 พระเจ้าเอนริเกที่ 4 แห่งกัสติยา พระเชษฐาต่างพระมารดา ได้ขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ได้เนรเทศพระนางและพระอนุชาไปที่เมืองเซโกเบียและเนรเทศพระมารดาของพระนางอิซาเบลคือ สมเด็จพระราชินีอิซาเบลไปที่เมืองอาเรบาโล การสมรสครั้งแรกของพระเจ้าเอนริเก (สมรสกับสมเด็จพระราชินีบรานซ์แห่งนาวาร์) ไม่ค่อยราบรื่น จากนั้นได้สมรสกับสมเด็จพระราชินีฌูอานาแห่งโปรตุเกส พระเจ้าเอนริเกถูกกล่าวหาว่าทรงเป็นผู้รักร่วมเพศ พระนางฌูอานาได้ให้กำเนิดพระธิดาคือเจ้าหญิงฆัวนาแห่งกัสติยา เมื่อพระนางอิซาเบลมีพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระนางและพระอนุชาได้ถูกเรียกตัวมาที่พระราชสำนักเพื่อให้อยู่ใต้การคุมพระองค์เข้มงวดขึ้น เหล่าขุนนางได้เรียกร้องให้พระเจ้าเอนริเกตั้งเจ้าชายอัลฟอนโซเป็นรัชทายาท พระองค์ก็ทรงยินยอมโดยให้เจ้าชายสมรสกับบุตรีของพระองค์ แต่ไม่กี่วันพระองค์ก็เปลี่ยนพระทัย", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา" }, { "docid": "337392#0", "text": "กวาดาลาฮารา () เป็นเมืองหลวงของรัฐฮาลิสโก ตั้งอยู่ตรงกลางรัฐฮาลิสโกบริเวณตะวันตกของประเทศเม็กซิโก มีประชากร 1,579,174 คน (ค.ศ.2008) ทำให้เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศเม็กซิโก รองจากเม็กซิโกซิตี เมืองหลวงของประเทศ กวาดาลาฮาราถูกตั้งชื่อตามเมืองกวาดาลาฮารา ในประเทศสเปน เศรษฐกิจของเมืองกวาดาลาฮาราขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีบริษัทต่างชาติมาลงทุนมากมาย", "title": "กวาดาลาฮารา (ประเทศเม็กซิโก)" }, { "docid": "934286#0", "text": "ทางหลวงสหรัฐหมายเลข 50 () เป็นทางหลวงสหรัฐอเมริกาแนวตะวันออก–ตะวันตกสายหลัก ระยะทาง มีเส้นทางจากเวสต์แซคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย จนถึงโอเชียนซิตี รัฐแมริแลนด์ ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ทางหลวงเส้นนี้ผ่านพื้นที่ชนบท ทะเลทราย และภูเขา เป็นส่วนมากในสหรัฐตะวันตก ส่วนในช่วงที่ผ่านรัฐเนวาดารู้จักกันในฐานะที่เป็น \"ถนนที่เงียบเหงาที่สุดในอเมริกา\" ส่วนในช่วงที่ผ่านสหรัฐตะวันตกกลาง ทางหลวงเส้นนี้ผ่านพื้นที่ชนบท รวมทั้งเมืองใหญ่ไม่กี่แห่ง เช่น แคนซัสซิตีและเซนต์หลุยส์ ในรัฐมิสซูรี และซินซินแนติ ในรัฐโอไฮโอ เส้นทางผ่านเข้าสู่สหรัฐตะวันออก ผ่านพื้นที่เทือกเขาแอปพาเลเชียนในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าสู่วอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากนั้นเข้าสู่รัฐแมริแลนด์ และไปสิ้นสุดที่โอเชียนซิตี", "title": "ทางหลวงสหรัฐหมายเลข 50" }, { "docid": "33934#3", "text": "เป็นรายชื่อประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลของหน่วยการปกครองทางภูมิศาสตร์การเมืองที่ประกาศเอกราช แต่ขาดการรับรองในระดับนานาชาติหรือได้รับการรับรองจากรัฐเอกราชเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น ", "title": "รายนามประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบัน" }, { "docid": "2041#1", "text": "เชอร์รีสเปนสามารถพบในทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา (ตอนใต้ของรัฐฟลอริดา และต่ำกว่า Rio Grande Valley ของรัฐเทกซัส), ประเทศเม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน, และ ทวีปอเมริกาใต้ และทางใต้ไปไกลถึง ประเทศเปรู และ รัฐบาเยีย ในประเทศบราซิล มีการปลูกเลี้ยงในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก รวมถึง หมู่เกาะคะเนรี ของประเทศสเปน, ประเทศกานา, ประเทศเอธิโอเปีย, ประเทศมาดากัสการ์, แซนซิบาร์ ของประเทศแทนซาเนีย, ประเทศศรีลังกา, ประเทศไต้หวัน, ประเทศอินเดีย, เกาะชวา ของประเทศอินโดนีเซีย, รัฐฮาวาย ของประเทศสหรัฐอเมริกา, และ ประเทศออสเตรเลีย", "title": "เชอร์รีสเปน" }, { "docid": "17294#3", "text": "ชื่อของเมืองเมชิโกได้รับการถอดเสียงในภาษาสเปนเป็น [México]error: {{lang}}: text has italic markup (help) พร้อมกับเสียงของตัว x ในภาษาสเปนยุคกลางซึ่งในขณะนั้นแทนเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ไม่ก้อง /ʃ/ แต่ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เสียงนี้รวมทั้งเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ก้อง /ʒ/ ซึ่งแทนด้วยตัว j ได้เกิดการวิวัฒนาการกลายเป็นเสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ไม่ก้อง /x/[7] การเปลี่ยนแปลงเสียงตัวอักษรดังกล่าวนี้ได้ทำให้มีการสะกดชื่อประเทศนี้เป็น Méjico ในสิ่งพิมพ์ภาษาสเปนจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศสเปน แต่ในประเทศเม็กซิโกและประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาสเปนยังคงใช้การสะกดแบบเดิมคือ México จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ ราชบัณฑิตยสถานสเปน ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมการใช้ภาษาสเปนในประเทศสเปนได้ตัดสินว่า การสะกดทั้งสองแบบเป็นที่ยอมรับได้ในภาษาสเปน แต่การสะกดที่เป็นแบบแผนกว่าก็คือ México[8] ปัจจุบันสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ในประเทศที่ใช้ภาษาสเปนทั้งหมดก็ถือตามกฎใหม่นี้ แม้ว่าจะยังมีการใช้รูป Méjico อยู่บ้างก็ตาม[9] สำหรับในภาษาอังกฤษ ตัว x ในคำว่า Mexico ไม่ได้แทนทั้งเสียงดั้งเดิมหรือเสียงปัจจุบันตามที่ปรากฏในภาษาสเปน แต่จะแทนเสียงควบกล้ำ /ks/", "title": "ประเทศเม็กซิโก" }, { "docid": "644857#0", "text": "ผู้ปกครองร่วมแห่งอันดอร์รา (; ; ) ถือเป็นตำแหน่งของผู้ปกครองราชรัฐอันดอร์รา ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาพิเรนีสโดยมีพรมแดนติดกับประเทศฝรั่งเศสและประเทศสเปน ตำแหน่งผู้ปกครองร่วมนั้นถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1278 จากสนธิสัญญาระหว่างบิชอปแห่งอูร์เฌ็ลย์กับเคานต์แห่งฟัวซึ่งมีอำนาจทางภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบันในสมัยยุคกลาง โดยตำแหน่งผู้ปกครองร่วมนี้ได้ใช้สืบต่อมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยนั้นจนถึงปัจจุบัน ", "title": "ผู้ปกครองร่วมแห่งอันดอร์รา" }, { "docid": "744148#0", "text": "ลาโดส () เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะแห่งประเทศสเปน เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ 2 ของรัฐสำหรับบริการแพร่ภาพสาธารณะ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2509", "title": "ลาโดส" }, { "docid": "236265#18", "text": "หมวดหมู่:รัฐสิ้นสภาพในประเทศสเปน หมวดหมู่:รัฐสิ้นสภาพในประเทศฝรั่งเศส หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 9 หมวดหมู่:สิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 17 น", "title": "ราชอาณาจักรนาวาร์" }, { "docid": "44920#1", "text": "ประวัติกีฬาหมากฮอส เชื่อกันว่า หมากฮอส ก็คือกีฬาที่ดัดแปลงมาจาก หมากรุก นั่นเอง โดยดัดแปลงนำเอามาแต่เบี้ย และกำหนดกฎกติกาให้มีความง่ายขึ้น เล่นง่ายขึ้น แม้แต่เด็กยังเรียนรู้การเล่นหมากฮอสได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเดินของหมากฮอส จะคล้ายกับการเดินของควีน ในหมากรุก แต่ไม่สามารถเดินถอยหลังได้ จนกว่าจะเดินไปยังสุดกระดาน ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการเดินตามกติกาที่ตั้งไว้\nหมากรุกมีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดียทางตอนเหนือ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1113 ส่วนหมากฮอสเริ่มเล่นกันที่ประเทศสเปน เมื่อ พ.ศ. 2090 ก่อนที่จะเริ่มแพร่หลายและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ในระยะแรก หมากฮอสยังไม่ได้รับการยอมรับ และได้รับการขนานนามว่าเป็นหมากสำหรับผู้หญิง และกติกาของหมากฮอสแต่ละท้องถิ่นก็ไม่เหมือนกัน เช่น บางประเทศ หมากจะกินฮอสไม่ได้ บางประเทศใช้ตาราง 10 x 10 ช่อง มีหมากข้างละ 20 เป็นต้น\nหมากฮอสสากล มีการแข่งขันในระดับประเทศและต่างประเทศ ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก ผู้เล่นจะมีหมากข้างละ 12 ตัว ฝ่ายสีดำจะเป็นผู้เริ่มเล่นก่อน เมื่อฝ่ายใดเข้าฮอส ก็จะนำหมากสีเดียวกัน วางซ้อนกันอีก 1 ตัว ฮอสจะเดินหน้าหรือถอยหลังกี่ช่องก็ได้ แต่ได้แค่แนวทแยงแนวเดียวเท่านั้น และการเล่นหมากฮอสในปัจจุบันได้ถูกค้นคว้าทดลองการเดินในแง่มุมต่าง ๆ มาแล้วหมดสิ้น นักเล่นหมากฮอสที่เก่ง ๆ สามารถเดินเพื่อให้เสมอกันได้กี่กระดานก็ได้ ยกเว้นต้องการเดินเสี่ยงเพื่อเอาชนะ ในการแข่งขันหมากฮอส จึงเต็มไปด้วยการเล่นที่เสมอกัน เช่นการแข่งขันชิงแชมป์ระหว่างแอนดรูว์ แอนเดอสัน แชมป์โลกหมากฮอสคนแรก กับเจมส์ วิลลีย์ นักหมากฮอสที่มีชื่อเสียงที่สุดในอดีต มีการเสมอกันถึง 54 กระดาน กีฬาหมากฮอสจึงได้ฉายาว่า เป็นกีฬาแห่งการเสมอกัน ภายหลังได้เปลี่ยนกติกามาใช้กติกา 2 ก้าวบังคับ 47 วิธี และ 3 ก้าวบังคับ 137 วิธี สำหรับการเปิดหมาก ซึ่งเราได้ดัดแปลงนำมาใช้\nเมื่อปี พ.ศ. 2427 ได้มีการจัดการแข่งขันประเภททีมระหว่างประเทศขึ้นครั้งแรก ระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ปี พ.ศ. 2448 อังกฤษแข่งกับสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันยังจัดการแข่งขันกันอยู่", "title": "หมากฮอส" }, { "docid": "75071#0", "text": "ราชวงศ์บูร์บง (ฝรั่งเศส: \"Maison de Bourbon\"; สเปน: \"Casa de Borbón\"; อังกฤษ: House of Bourbon) เป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่สำคัญที่สุดในทวีปยุโรป ซึ่งได้ปกครองประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา และเมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 สมาชิกในราชวงศ์บูร์บงก็ได้ปกครองประเทศสเปน เมืองเนเปิลส์ เกาะซิซิลี และเมืองปาร์มาในประเทศอิตาลีด้วย ในปัจจุบันประเทศที่ยังคงมีสมาชิกในราชวงศ์บูร์บงปกครองอยู่คือราชอาณาจักรสเปนและราชรัฐลักเซมเบิร์ก ", "title": "ราชวงศ์บูร์บง" }, { "docid": "713602#7", "text": "หนึ่งในบรรดาข้อถกเถียงที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในวงการศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ ข้อถกเถียงเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองระหว่างทฤษฎีพหุนิยม กับ ทฤษฎีชนชั้นนำทางการเมือง (elitism) เพราะในขณะที่แนวคิดพหุนิยมนั้นมองว่าอำนาจทางการเมืองนั้น “กระจาย” ตัวไปตามกลุ่มผลประโยชน์ – กลุ่มผลักดันที่แข่งขันกันในการเข้ามามีอิทธิพลต่อการออกนโยบายสาธารณะของรัฐ (Dahl, 1971) ตรงกันข้าม แนวคิดชนชั้นนำทางการเมืองนั้นกลับมองอำนาจทางการเมืองว่า “กระจุก” ตัวอยู่ที่ชนชั้นนำเพียงไม่กี่คน หรือ ไม่กี่รูปแบบ เช่น ทหาร นายทุน และนักการเมือง ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลในการกดปุ่มบังคับบัญชาทุกสิ่งทุกอย่างในการออกนโยบายสาธารณะของรัฐ (Mills, 1960: 276) โดยแนวคิดสองแนวนี้ยังคงเป็นแนวคิดหลัก ที่ต่อสู้ และขับเคี่ยวกันในเชิงความคิดเพื่อช่วงชิงความสามารถในการอธิบายการเมือง และสังคม ของทั้งอเมริกัน และนานาประเทศทั่วโลก (รวมทั้งประเทศไทย) มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน", "title": "พหุนิยม" }, { "docid": "906798#1", "text": "เหงียน กาว กี่ เกิดเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม เคยเข้าร่วมกองทัพเวียดนามแห่งชาติ ของฝรั่งเศส-รัฐเวียดนาม และเริ่มจากการเป็นทหารราบ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะส่งเขาฝึกฝนเป็นนักบิน ภายหลังที่ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากประเทศเวียดนามและชาติอื่นๆ เหงียน กาว กี่ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นทหารอากาศแห่งสาธารณรัฐเวียดนาม และกลายเป็นผู้นำจากการมีส่วนร่วมในการรัฐประหารยึดอำนาจโง ดิ่ญ เสี่ยม ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1963", "title": "เหงียน กาว กี่" }, { "docid": "337765#2", "text": "กัวดาลาฆารา () เป็นเมืองหลักของจังหวัดกัวดาลาฆาราในแคว้นกัสติยา-ลามันชา ประเทศสเปน ตั้งอยู่ห่างจากกรุงมาดริดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร มีประชากร 83,609 คน (ค.ศ.2008) ได้ถูกนำชื่อไปตั้งเป็นเมืองกัวดาลาฮารา รัฐฮาลิสโกในประเทศเม็กซิโก โดยนุญโญ เด กุซมัน ชาวเมืองกัวดาลาฆารา", "title": "กัวดาลาฆารา (ประเทศสเปน)" }, { "docid": "938089#1", "text": "ภูเขายอดราบเป็นธรณีสัณฐานลักษณะเฉพาะของสิ่งแวดล้อมแห้งแล้งจัด โโยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐในภูมิประเทศแบดแลนด์และเขตภูเขาตั้งแต่รัฐวอชิงตันและรัฐแคลิฟอร์เนียจนถึงรัฐนอร์ทและเซาท์ดาโคตา ไวโอมิง ยูทาห์ โอกลาโฮมาและเท็กซัส นอกจากนี้ยังพบตัวอย่างในประเทศอื่นรวมทั้งประเทศสเปน ซาร์ดีเนีย แอฟริกาเหนือและใต้ อาราเบีย อินเดียและออสเตรเลีย", "title": "ภูเขายอดราบ" }, { "docid": "671400#0", "text": "รายนามประธานาธิบดีโซมาลีแลนด์ สาธารณรัฐปกครองตนเอง ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่าเป็นเขตปกครองตนเองของประเทศโซมาเลีย รัฐบาลโซมาลีแลนด์ถือว่าตนเป็นรัฐสือต่อจากบริติชโซมาลีแลนด์ ซึ่งเป็นเอกราชเพียงไม่กี่วันในปีพ.ศ. 2503 เป็นรัฐโซมาลีแลนด์ ประธานาธิบดีโซมาลีแลนด์จะอยู่ในสถานะประมุขแห่งรัฐ และยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่มีนายกรัฐมนตรี", "title": "รายนามประธานาธิบดีโซมาลีแลนด์" }, { "docid": "12962#0", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม () มหาวิทยาลัยราชภัฏอันดับ 1 ของประเทศไทย จากการจัดอันดับของสภาวิจัยจากประเทศสเปน เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เริ่มเปิดทำการเรียนการสอนเมื่อปี พ.ศ. 2479", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม" }, { "docid": "982937#1", "text": "พายุที่ได้รับชื่อเป็นลูกที่สองของฤดูกาลคือ พายุเฮอร์ริเคนบัด ซึ่งพัดเข้าโจมตีในรัฐบาฮากาลิฟอร์เนียซูร์ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน สร้างความเสียหายเล็กน้อย ต่อมาพายุโซนร้อนคาร์ลอตตา ซึ่งก่อตัวและพัดไปตามแนวชายฝั่งของประเทศเม็กซิโก ซึ่งก็สร้างความเสียหายอย่างเล็กน้อยเช่นกัน ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม พายุเฮอร์ริเคนเฮกเตอร์ ได้กลายเป็นหนึ่งในพายุหมุนเขตร้อนไม่กี่ลูกที่เคลื่อนตัวข้ามไปที่แอ่งแปซิฟิกตะวันตก และยังส่งผลกระทบกับรัฐฮาวายด้วย ต่อมาอีกไม่กี่สัปดาห์ พายุเฮอร์ริเคนเลน ทวีกำลังแรงขึ้นได้ถึงระดับ 5 และยังกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนเยอะที่สุดเท่าที่บันทึกมาในรัฐฮาวาย และเป็นอันดับที่สองในประวัติศาสตร์สหรัฐ เป็นรองจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์เมื่อปีก่อน ต่อมาพายุเฮอร์ริเคนโอลิเวียได้ส่งผลกระทบกับรัฐฮาวายอีก สร้างผลกระทบเล็กน้อย ในช่วงปลายเดือนกันยายน พายุเฮอร์ริเคนโรซา และ พายุเฮอร์ริเคนเซร์ฆิโอ ก่อตัวขึ้น ทั้งสองลูกทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองและน้ำท่วมฉับพลันขึ้น ในคาบสมุทรบาฮากาลีฟอร์เนียและภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ ในขณะเดียวกันนั้น พายุเฮอร์ริเคนวากาลา ได้บรรลุความรุนแรงที่ระดับ 5 ก่อนที่จะอ่อนกำลังลงในหมู่เกาะฮาวายตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อมาในช่วงปลายเดือนตุลาคม พายุเฮอร์ริเคนวิลลา กลายเป็นพายุลูกที่สามของฤดูกาลที่เป็นพายุระดับ 5 ก่อนพัดโจมตีในรัฐซีนาโลอาในฐานะพายุเฮอร์ริเคนขนาดใหญ่", "title": "ฤดูพายุเฮอร์ริเคนแปซิฟิก พ.ศ. 2561" }, { "docid": "256471#10", "text": "หมวดหมู่:ประมุขในประเทศสเปน * หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 13 หมวดหมู่:สิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18", "title": "ราชบัลลังก์กัสติยา" }, { "docid": "354107#0", "text": "มหาวิทยาลัยอิสระแห่งมาดริด (; ) เป็นมหาวิทยาลัยรัฐในสังกัดแคว้นมาดริด ประเทศสเปน", "title": "มหาวิทยาลัยอิสระแห่งมาดริด" } ]
2269
สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เป็นสถานีโทรทัศน์กองทับบกของไทยใช่หรือไม่ ?
[ { "docid": "34424#0", "text": "สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (English: Royal Thai Army Radio and Television; ชื่อย่อ: ททบ.) เป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestrial Television) ของกองทัพบกไทย และเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งที่สองของประเทศไทย เริ่มแพร่ภาพเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2501 ในระบบวีเอชเอฟ เดิมออกอากาศเป็นภาพขาวดำ ทางช่องสัญญาณที่ 7 จึงเรียกว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 (ททบ.7) หรือ ช่อง 7 (ขาว-ดำ) ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 จึงย้ายมาออกอากาศด้วยภาพสี ทางช่องสัญญาณที่ 5 จึงเรียกว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) จนถึงปัจจุบัน มี พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานกรรมการบริหารกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์กองทัพบก และ พลเอก กิตติเชษฐ์ ศรดิษฐพันธ์ เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก" } ]
[ { "docid": "274668#1", "text": "ทีวี ธันเดอร์ ถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่สมพงษ์ วรรณภิญโญ อดีตเป็นหนึ่งในผู้บริหาร คีตา เรคคอร์ดส ได้ขายกิจการต่อให้คุณแสงชัย อภิชาติวรพงษ์ ไปทำต่อในชื่อ คีตา เอนเตอร์เทนเมนท์ เมื่อคุณสมพงษ์ได้เงินจากการขายคีตาก็นำเงินจำนวนนี้มาเปิดบริษัทใหม่ โดยมีความมุ่งหวังที่จะสร้างสรรค์ความสุขทุกรูปแบบให้กับคนไทยผ่านสื่อโทรทัศน์ นับจากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2536 เพียง 4 รายการ ปัจจุบันมีสตูดิโอเป็นของตนเอง และผลิตรายการหลากหลายรูปแบบมากกว่า 200 รายการ ทั้งละคร, ซิทคอม, เกมโชว์, ควิซโชว์, สารคดี, วาไรตี้โชว์, และทอล์คโชว์ โดยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยหลายแห่งคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี,สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี, สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เป็นต้น", "title": "ทีวี ธันเดอร์" }, { "docid": "42149#31", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส่วนภูมิภาค กรมประชาสัมพันธ์ เอ็นบีทีเวิลด์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย" }, { "docid": "492231#7", "text": "อนึ่ง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งแรกที่แสดงตราสัญลักษณ์ฯ ที่มุมบนซ้ายของหน้าจอ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม เวลา 13.45 น. ต่อมาคือสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เริ่มแสดงเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม เวลา 15.45 น. และ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ในเวลา 17.00 น. ส่วนสถานีโทรทัศน์แห่งอื่นๆ แสดงตราสัญลักษณ์ฯ เป็นครั้งแรก ในวันที่ 8 พฤษภาคม โดยสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มเวลา 00.00 น. สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ในเวลา 00.53 น. และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อเวลา 17.00 น.", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554" }, { "docid": "108249#0", "text": "ไทยทีวีโกลบอลเน็ทเวิร์ค () เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยได้แพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ เพื่อคนไทยที่อาศัยอยู่ทั่วโลก 170 ประเทศ และต่างชาติที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประเทศไทย ก่อนมีพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 จึงเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งเดียวที่ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระความรู้ ความบันเทิงออกไปสู่สายตาของผู้ชมทั่วโลกโดย ออกอากาศ 24 ชั่วโมงต่อวัน ส่งสัญญาณ รายการผ่านดาวเทียมถึง 5 ดวง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 177 ประเทศทั่วโลก ผังรายการ TGN เป็นผังรายการที่จัดขึ้นใหม่ แยกจากผังรายการของ ททบ.5 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เป็นรายการที่ TGN เป็นผู้ผลิตเอง, ผู้จัดรายการผลิตรายการขึ้นใหม่เพื่อเช่าเวลา ส่วนที่เหลือเป็นรายการที่เช่าเวลากับ ททบ.5 นำมาเช่าเวลาเพื่อออกอีกรอบทาง TGN รวมถึงรายการถ่ายทอดสดที่รับสัญญาณจากททบ.5 ลและจากสถานีอื่นที่ไม่ใช่ ททบ.5 (เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย,เอ็นบีทีเวิลด์ ฯลฯ)ดังนั้น ผังรายการ TGN จึงมีรายการที่มีความหลากหลายน่าสนใจ\nสามารถรับชม TGN ได้ 170 ประเทศ ทั่วโลก ได้แก่สถานีโทรทัศน์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดำเนินการโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย\nสถานีโทรทัศน์เพื่อเศรษฐกิจและการลงทุน ดำเนินการโดย บริษัท แฟมมิลี่โนฮาว จำกัด\nช้อป แชนแนล ทีวีช้อปปิ้งอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ดำเนินการโดย บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด", "title": "ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก" }, { "docid": "43460#47", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 บีอีซี เวิลด์ มิสไทยแลนด์เวิลด์ บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ครอบครัวข่าว 3 เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ครอบครัวข่าวเช้า เรื่องเด่นเย็นนี้ ข่าววันใหม่ ช่อง 3 แฟมิลี ช่อง 3 เอสดี วิทยุครอบครัวข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "4801#71", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์เอ็มคอตเอชดี บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) สถานีวิทยุ อสมท สำนักข่าวไทย เครือข่ายโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มคอท เอ็มคอตแฟมิลี สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส", "title": "เอ็มคอตเอชดี" }, { "docid": "220594#6", "text": "เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย ผลิตรายการต่างๆ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์ เกมโชว์สำหรับเด็ก ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ วาไรตี้คอเมดี้โชว์ เรียลลิตี้โชว์ การประกวด ละครเวที สารคดี และรายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ เป็นจำนวนกว่า 100 รายการ เพื่อนำเสนอออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส, สถานีโทรทัศน์ช่องวัน, สถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์, สถานีโทรทัศน์นาว 26, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ,สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี และ สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ปัจจุบัน เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย มีรายการโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 10 รายการ เป็นรายการประเภททอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ วาไรตี้เกมโชว์ สารคดี เรียลลิตี้โชว์ และรายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ ออกอากาศทางช่อง 5 HD ช่อง 7 HD ช่อง 9 MCOT HD และช่องไทยพีบีเอส HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา รายการที่ขายลิขสิทธิ์และออกอากาศในแอปพลิเคชัน LINE TV และ AIS PLAY เน้น \"ตัวเอน\")", "title": "เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย" }, { "docid": "213584#6", "text": "สาระแน แปซิฟิค ได้ผลิตรายการต่างๆ เป็นจำนวนกว่า 20 รายการ ทั้งเกมโชว์ วาไรตี้โชว์ รายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี, สถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ ทีวี, สถานีโทรทัศน์จีเอ็มเอ็มแชนเนล, สถานีโทรทัศน์ช่องวัน และสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, ไลน์ทีวี ปัจจุบันสาระแน แปซิฟิคมีรายการโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 4 รายการ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ วาไรตี้โชว์ และวาไรตี้คอเมดี้โชว์ ออกอากาศทางช่อง 9MCOT HD ช่องไทยรัฐทีวี HD ช่อง 8 และช่อง7 HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา)", "title": "ลักษ์ 666" }, { "docid": "170942#2", "text": "ในสมัยนั้นในช่วงที่มีการแข่งขันในด้านละครจักรๆ วงศ์ๆ มีคู่แข่งทั้ง 7 ช่องรายการ เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี, และ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มักจะแข่งขันกันที่เวลา ฐานการรับชม และการออกอากาศเป็นส่วนใหญ่ ในปัจจุบันนี้ ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 9 ช่อง 11 ช่อง NBT ไอทีวี ทีไอทีวี และ ไทยพีบีเอส ยุติการออกอากาศละคร จักร์ๆ วงศ์ๆ แล้วสาเหตุมาจากฐานการรับชมมีน้อย", "title": "ละครจักร ๆ วงศ์ ๆ" }, { "docid": "34424#3", "text": "นอกจากนี้ ททบ.5 ยังเปิดให้บริการเว็บไซต์ของสถานีฯ เป็นแห่งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2538 โดยใช้โดเมนเนม พร้อมทั้งจัดทำระบบโทรทัศน์ทางอินเทอร์เน็ต เป็นแห่งแรกในทวีปเอเชีย ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2539 ททบ.เป็นผู้ริเริ่มใช้เฮลิคอปเตอร์ที่ติดตั้งกล้องวิดีโอ และรถถ่ายทอดเคลื่อนที่ผ่านระบบดาวเทียม (Digital Satellite News Gathering ชื่อย่อ: D-SNG) มาใช้กับการถ่ายทอดสดและรายงานข่าว เป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเป็นสถานีแรกของประเทศไทย ที่ดำเนินการผลิตและควบคุมการออกอากาศ ด้วยระบบดิจิตอล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 และยังเริ่มต้นออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมงเป็นสถานีแรกของไทย ต่อมา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 ททบ.5 ดำเนินการออกอากาศโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ในระบบดิจิตอลไปยังทุกภูมิภาคทั่วโลก ตามโครงการ โดยปัจจุบันสามารถรับชมในกว่า 170 ประเทศ และในวาระครบรอบ 40 ปี ททบ. ปีเดียวกันนั้นเอง การก่อสร้างอาคารที่ทำการ และอาคารหลักของสถานีโทรทัศน์ ซึ่งรวมส่วนบริหาร ส่วนปฏิบัติการ และส่วนสนับสนุนไว้ในอาคารเดียวกัน รวมทั้งมีห้องส่งโทรทัศน์อันทันสมัย จำนวน 4 ห้อง ก็แล้วเสร็จสมบูรณ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ททบ.เริ่มดำเนินงานก่อสร้าง อาคารสำนักงานเพิ่มเติม และอาคารจอดรถ กำหนดแล้วเสร็จในวาระครบรอบ 50 ปีของ ททบ.5 คือ พ.ศ. 2551 โดยในปีดังกล่าว ททบ.จัดซื้อระบบออกอากาศภายในห้องส่งใหม่ ประกอบด้วยโรงถ่ายเสมือนจริง (Virtual Studio) และกำแพงวิดีทัศน์ (Video Wall) พร้อมทั้งใช้สีแดง ประกอบการนำเสนอข่าวของสถานีฯ ในปีต่อมา (พ.ศ. 2552) ททบ.5 เปลี่ยนไปใช้สีเขียว เป็นหลักในการนำเสนอข่าว โดยให้มีนัยสื่อถึงกองทัพบก ล่าสุด ททบ.ดำเนินงานก่อสร้าง อาคารชุดอเนกประสงค์แห่งใหม่ เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 โดยมีกำหนดแล้วเสร็จวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ อนุญาตให้กรมประชาสัมพันธ์, บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ร่วมกันทดลองออกอากาศโทรทัศน์ระบบดิจิทัล โดยมอบหมายให้ ททบ.5 เป็นผู้ดำเนินการ ตั้งแต่เวลา 13:00 น. ของวันศุกร์ที่ 25 มกราคม จนถึงเวลา 12:59 น. ของวันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เป็นระยะเวลา 6 เดือน ในย่านความถี่ยูเอชเอฟ ช่องสัญญาณที่ 36 ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 ช่องรายการคือ 6 ช่องทวนสัญญาณจากช่องโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestrial) ด้วยความละเอียดมาตรฐานตามปกติ ซึ่งประกอบด้วย สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 , สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สำหรับอีก 2 ช่องรายการ จะทดลองออกอากาศโทรทัศน์ความละเอียดสูง กล่าวคือ ช่องหนึ่งจะกระจายเสียงและแพร่ภาพ รายการโทรทัศน์ความละเอียดสูงซึ่งผลิตโดย ททบ. ส่วนอีกช่องหนึ่งจะทวนสัญญาณ จากช่องรายการของไทยพีบีเอส ซึ่งออกอากาศในระบบความละเอียดสูงผ่านดาวเทียมอยู่แต่เดิม โดยมีรัศมีรอบเสาส่งสัญญาณบนยอดอาคารใบหยก 2 เป็นระยะทาง 80 กิโลเมตร ครอบคลุมเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล[1] ต่อมา กสทช.อนุมัติใบอนุญาตประกอบกิจการ โทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล ประเภทบริการสาธารณะเพื่อความมั่นคงแก่ ททบ.5 โดยเริ่มนำสัญญาณภาพและเสียง ออกอากาศคู่ขนานไปจาก โทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบแอนะล็อกทางช่อง 5 เดิม พร้อมกับผู้ประกอบการส่วนมาก ในประเภทบริการทางธุรกิจ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 ต่อมา ททบ.5 ตั้งชื่อช่องรายการที่ออกอากาศในระบบดิจิทัลว่า ทีวี 5 เอชดี1 (TV5 HD1) (วิธีอ่าน อ่านว่า ทีวีไฟว์ เอชดีวัน) พร้อมกับการปรับเปลี่ยนการปรากฏตราสัญลักษณ์ของสถานีแต่เพียงเล็กน้อย ด้วยการเพิ่มตัวอักษรคำว่า HD1 สีเทาเงิน ประดับติดกับสัญลักษณ์ไว้ทางด้านขวาตรงกลาง โดยเพื่อใช้สำหรับการปรากฏตราสถานีฯไว้อยู่ที่มุมขวาของหน้าจอโทรทัศน์ เมื่อขณะที่กำลังออกอากาศรายการต่างๆอยู่ ทั้งระบบแอนะล็อกและดิจิทัล ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งใช้มาจนกระทั่งพฤษภาคม พ.ศ. 2561 จึงได้ปรับอัตลักษณ์บนหน้าจอใหม่ให้ใหญ่และโดดเด่นขึ้น", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก" }, { "docid": "34424#27", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก กองทัพบกไทย ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก" }, { "docid": "82514#1", "text": "ชิงร้อยชิงล้าน เป็นรายการโทรทัศน์ลำดับที่ 2 ที่ผลิตโดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2533 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 หลังจากนั้นได้ย้ายไปออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นได้ย้ายไปออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ตั้งแต่วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2541 และกลับมาออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 อีกครั้ง เมื่อวันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2549 โดยมี บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมผลิตด้วยจนถึง พ.ศ. 2552 และกลับมาออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อีกครั้ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 จนปัจจุบันได้ย้ายมาออกอากาศทาง ช่องเวิร์คพอยท์ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา", "title": "ชิงร้อยชิงล้าน" }, { "docid": "771740#3", "text": "10 มกราคม – ล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการ คมช. พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เชิญผู้บริหารสื่อซึ่งมีทั้งสื่อโทรทัศน์และวิทยุ จำนวนประมาณ 50 คน จากสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง และผู้บริหารสถานีวิทยุของรัฐรวมทั้งสถานีวิทยุชุมชน มาร่วมหารือที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยสั่งให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง วิทยุทุกสถานี ไม่แพร่ภาพกระจายเสียงข้อความหรือแถลงการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำของพรรคไทยรักไทย", "title": "ประเทศไทยใน พ.ศ. 2550" }, { "docid": "941208#1", "text": "จีเอ็มเอ็มทีวี (เดิมชื่อ แกรมมี่ เทเลวิชั่น) จดทะเบียนบริษัทเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ด้วยทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์การก่อตั้งบริษัทจากการที่ผู้บริหารของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เล็งเห็นศักยภาพที่จะพัฒนาให้ธุรกิจโทรทัศน์เติบโต แข็งแรง มั่นคง จึงได้แยกฝ่ายการตลาดของบริษัทออกมาเป็นบริษัทเพื่อบริหารงานทางด้านธุรกิจโทรทัศน์โดยเฉพาะ และเริ่มผลิตรายการเกมโชว์และรายการเพลงต่าง ๆ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, โมเดิร์นไนน์ทีวี และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี (ปัจจุบันเป็นสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส) โดยมี ดวงใจ หล่อเลิศวิทย์ และ สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทในช่วงเวลานั้นตามลำดับ", "title": "จีเอ็มเอ็มทีวี" }, { "docid": "230186#7", "text": "เอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ ได้ผลิตรายการโทรทัศน์และละครโทรทัศน์ต่างๆ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์ เกมโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ วาไรตี้โชว์ซิตคอม ละครโทรทัศน์ ละครซิทคอม ละครซีรีส์ และเรียลลิตี้โชว์เป็นจำนวนกว่า 250 รายการ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี และสถานีโทรทัศน์วัน ปัจจุบันเอ็กแซ็กท์และซีเนริโอมีรายการโทรทัศน์และละครโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 12 รายการ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ วาไรตี้โชว์ ละครโทรทัศน์และละครซิตคอม ออกอากาศทางช่องวัน 31", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "213584#2", "text": "บริษัทฯ เริ่มผลิตรายการโทรทัศน์ประเภทวาไรตี้โชว์ คือรายการสาระแนโชว์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นรายการแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 ต่อมาได้ขยายการผลิตรายการในหลากหลายรูปแบบ และหลายสถานี เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ ทีวี, สถานีโทรทัศน์จีเอ็มเอ็มแชนเนล, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี , สถานีโทรทัศน์ช่องวันและ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 มาโดยตลอดเป็นระยะเวลา 17 ปี เช่นเกมโชว์, ทอล์คโชว์, วาไรตี้โชว์ และรายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยบางรายการจะมีผู้ผลิตรายการรายอื่น เช่น กันตนา กรุ๊ป จันทร์ 25 ,ดี.ด็อกคิวเมนทารี่ และมีเดีย สตูดิโอ และมีบริษัทด้านสื่อต่างๆ ทั้ง สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ค่ายเพลง ภาพยนตร์ เป็นต้น", "title": "ลักษ์ 666" }, { "docid": "34424#1", "text": "ราวปี พ.ศ. 2495 กระทรวงกลาโหมออกข้อบังคับ ว่าด้วยการมอบหมายงานแก่เจ้าหน้าที่กองทัพบก โดยกำหนดให้กรมการทหารสื่อสาร (สส.) จัดตั้งแผนกกิจการวิทยุโทรทัศน์ ขึ้นตรงต่อกองการกระจายเสียงและโทรทัศน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 มีการกำหนดอัตรากำลังพลประจำแผนกโทรทัศน์ ในอัตราเฉพาะกิจ สังกัดกรมการทหารสื่อสาร จำนวน 52 นาย เพื่อปฏิบัติงาน ออกอากาศโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ผลิตและถ่ายทอดรายการโทรทัศน์ จากนั้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการดำเนินการวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ประกอบด้วย พลเอกไสว ไสวแสนยากร เป็นประธานกรรมการ และพันเอก (พิเศษ) การุณ เก่งระดมยิง เป็นเลขานุการ มีหน้าที่จัดทำ<i data-parsoid='{\"dsr\":[3870,3914,2,2]}'>โครงการจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก พร้อมทั้งวางแผนการอำนวยการ และควบคุมการดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์ รวมถึงมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อปฏิบัติงานให้ได้ผลตามที่ราชการทหารมุ่งหมาย ต่อมาในวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน มีพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารที่ทำการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ในบริเวณกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร โดยทำสัญญายืมเงินกับกองทัพบก เพื่อเป็นทุนในการก่อสร้าง และจัดหาอุปกรณ์ จำนวน 10,101,212 บาท สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 (ชื่อสากล: ATV รหัส: HSATV ชื่อย่อ: ททบ.7) เริ่มต้นออกอากาศเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2501 จากอาคารสวนอัมพร เป็นภาพขาวดำ ใช้ระบบเอฟซีซี (Federal Communication Committee) 525 เส้น ทางช่องสัญญาณที่ 7 ด้วยเครื่องส่งออกอากาศ กำลังส่ง 5 กิโลวัตต์ และทวีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 12 เท่า บนสายอากาศสูง 300 ฟุต รวมกำลังส่งออกอากาศทั้งสิ้น 60 กิโลวัตต์ จึงเป็นสถานีโทรทัศน์ไทยแห่งที่สอง ต่อจากสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 ของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด (สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) ต่อมา เมื่อก่อสร้างของอาคารสถานีเสร็จสมบูรณ์ จึงเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการในทุกวันพุธ แล้วจึงเพิ่มวันจันทร์และวันศุกร์ในระยะถัดมา โดยรายการส่วนมากเป็นสารคดีและภาพยนตร์ต่างประเทศ จากนั้นในปี พ.ศ. 2506 ททบ.ตั้งสถานีทวนสัญญาณเป็นแห่งแรก บนยอดเขาวงพระจันทร์ อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี โดยใช้เครื่องทรานสเลเตอร์ถ่ายทอดสัญญาณ เริ่มจากถ่ายทอดการฝึกทหารในยามปกติ ซึ่งมีชื่อรายการว่า การฝึกธนะรัชต์ ทั้งนี้ เริ่มจัดรายการภาคกลางวัน ในปีเดียวกันนี้ด้วย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทอดพระเนตรกิจการ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2508 นอกจากนี้ ททบ.5 ยังเริ่มจัดตั้ง สถานีวิทยุกระจายเสียงระบบเอฟเอ็ม ความถี่ 94.0 เมกะเฮิร์ตซ์ ในปีเดียวกันนี้ โดยในระยะแรกเป็นการถ่ายทอดเสียงภาษาอังกฤษ จากฟิล์มภาพยนตร์ที่ออกอากาศทาง ททบ. และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2511 ททบ.ร่วมกับสถานีโทรทัศน์อีก 3 แห่งในขณะนั้น ก่อตั้ง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ชื่อย่อ: ทรท., ทีวีพูล) เพื่ออำนวยการปฏิบัติงาน ระหว่างสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ททบ.ตั้งสถานีทวนสัญญาณเพิ่มเติม ที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดนครราชสีมา โดยเปลี่ยนมาใช้ระบบไมโครเวฟแทน จากนั้น ททบ.5 ปรับปรุงระบบเครื่องส่งโทรทัศน์ จากเดิมที่ใช้ระบบ 525 เส้น ภาพขาวดำ ช่องสัญญาณที่ 7 เป็นระบบ 625 เส้น ในย่านความถี่วีเอชเอฟ ทางช่องสัญญาณที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2517 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2517 ททบ.เริ่มออกอากาศด้วยภาพสีในระบบพาล (Phase Alternation Line - PAL) เป็นครั้งแรกด้วยการถ่ายทอดสด พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ณ ลานพระราชวังดุสิต และต่อมา ททบ.5 จึงเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ของสถานีฯ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารงานของสถานี และยังมีการเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งด้วย เมื่อปี พ.ศ. 2521 ททบ.ร่วมกับสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เช่าสัญญาณดาวเทียมปาลาปาของอินโดนีเซีย พร้อมตั้งสถานีถ่ายทอดสัญญาณผ่านดาวเทียมเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ และเริ่มจัดทำห้องส่งส่วนภูมิภาค ในภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่, ภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดอุบลราชธานี อนึ่ง ในช่วงทศวรรษนี้ ททบ.ดำเนินการขยายสถานีเครือข่ายในจังหวัดต่างๆ เพิ่มเติมดังต่อไปนี้", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก" }, { "docid": "492231#10", "text": "อย่างไรก็ตาม เมื่อสุดระยะเวลาเฉลิมพระเกียรติ ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554 แล้ว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก นำตราสัญลักษณ์ฯ ออกจากหน้าจอ ตั้งแต่เวลา 00.05 น. ของวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 ทว่าสถานีอื่นยังคงแสดงตราสัญลักษณ์ฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป ก่อนที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก จะกลับมาแสดงตราสัญลักษณ์ฯ ตามเดิม ในวันที่ 7 มกราคม เวลา 10.18 น. โดยสถานีโทรทัศน์ทุกแห่ง ทยอยนำตราสัญลักษณ์ฯ ออกจากหน้าจอ เริ่มจากวันที่ 13 มกราคม สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก นำออกจากหน้าจออีกครั้ง ในเวลา 10.33 น. สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เริ่มเวลา 18.45 น. ต่อมาในวันที่ 14 มกราคม สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นำตราสัญลักษณ์ฯ ออกจากหน้าจอ ในเวลา 01.15 น. สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ก่อนเวลา 05.00 น. สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อเวลา 06.46 น. และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในเวลา 16.42 น.", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554" }, { "docid": "141190#95", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายนามผู้ประกาศข่าวและผู้รายงานข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย สถานีวิทยุไทยพีบีเอสออนไลน์ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย", "title": "สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส" }, { "docid": "37714#2", "text": "เกมวัดดวง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2545 - 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553) อี-เม้าท์ ทางช่อง 7 สี (พ.ศ. 2546 - 2553) ไฟว์ ไลฟ์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2546 - 2549) เปรี้ยวปาก ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (พ.ศ. 2547 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2555) กิ๊กกะไบท์ ทางไอทีวี (พ.ศ. 2547 - 2549) เดอะ โหวต ทางไอทีวี (พ.ศ. 2547 - 2549) คิทเช่น สเน็ค ทางไอทีวี (พ.ศ. 2548 - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2549) ทีเด็ดจัง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2549) รู้จริงปะ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (พ.ศ. 2549 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2555) ฆ่าโง่ ทางไอทีวี (พ.ศ. 2549 - 2550) ตาสว่าง ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (31 มกราคม พ.ศ. 2551 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552) โคลนนิ่งซิงกิ้งคอนเทสต์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 The Hunt (พ.ศ. 2553) สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ สะบัดช่อ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2553 - 2555) เกมเผาขน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (2 มกราคม พ.ศ. 2554 - 29 มกราคม พ.ศ. 2555) เดอะ จ๊อบ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (3 มกราคม - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) เฮ สเตชัน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (4 มกราคม - กันยายน พ.ศ. 2554) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 1 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (6 มีนาคม พ.ศ. 2554 - 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554) เทค มี เอาท์ไทยแลนด์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 - ปัจจุบัน) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 2 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (3 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 2 กันยายน พ.ศ. 2555) The Naked Show โทรทัศน์ ทางจีเอ็มเอ็มวัน ก๊วนคึกระทึกล้าน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (5 มกราคม พ.ศ. 2556 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556) The Snake เกมงูซ่า ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 27 มีนาคม 2557) ใครคือใคร Identity Thailand ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และ เวิร์คพอยท์ทีวี (7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 3 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 25 สิงหาคม 2556) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 4 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (15 มิถุนายน พ.ศ. 2557 - 31 สิงหาคม 2557) Social Nake's World ยอดมนุษย์ออนไลน์ ทางเวิร์คพอยท์ทีวี แบไต๋ไฮเทค Daily 5 Live ทางคมชัดลึก ทีวี, Dude TV, ทรูวิชันส์ 72 ซูเปอร์บันเทิง, เนชั่น แชนแนล (27 มิถุนายน พ.ศ. 2556) 3 แยก TV ทาง GMM ONE (7 กันยายน พ.ศ. 2556 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557) SME ตีแตก ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 - 26 กันยายน พ.ศ. 2558) เกมวัดดวง2015 ทาง จีเอ็มเอ็มแชนเนล (2558) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 5 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 - 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558) The Price is Right Thailand ราคาพารวย ทางช่อง ทรูโฟร์ยู (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน) Tonight's The Night คืนสำคัญ ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (5 มีนาคม พ.ศ. 2559 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560) รายการโจ๊ะ ทางช่องวัน ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-15.00น. (3 เมษายน พ.ศ. 2559 - 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559) เรื่องเล่าเช้านี้ ช่วง ครอบครัวบันเทิง วันจันทร์ - วันอังคาร ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (25 เมษายน พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 6 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (12 มิถุนายน พ.ศ. 2559 - 4 กันยายน พ.ศ. 2559) Singer Auction เสียงนี้มีราคา ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (2 เมษายน พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน) บัลลังก์เสียงทอง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560) The Unicorn สตาร์ทอัพ พันล้าน ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (2 มิถุนายน - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560) พิธีกรบนเวทีการประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ประจำปี 2561 (รอบตัดสิน) จากห้องอัลทรา ARENA ศูนย์การค้า SHOW DC เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ถ่ายทอดสดทางช่อง 9 เวลา 22.07-00.00 น. คู่กับ สาวิตรี โรจนพฤกษ์ (จูน) Bao Young Blood ดนตรีสร้างคุณค่าชีวิต ซีซั่นที่ 4 ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน) Show me the money Thailand ทาง True4u (24 เมษายน พ.ศ. 2561) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 7 ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (6 สิงหาคม พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน) THE ROOM ห้องวัดใจ ทางจีเอ็มเอ็ม 25 (เร็วๆ นี้)", "title": "เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา" }, { "docid": "274668#5", "text": "ทีวี ธันเดอร์ ได้ผลิตรายการต่างๆ เป็นจำนวนกว่า 200 รายการ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์ เกมโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ ละครซิทคอม ละครยาว และเรียลลิตี้โชว์ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ทรูโฟร์ยู, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี และสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี โดยปัจจุบันมีรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวนทั้งหมด 5 รายการ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ ควิซโชว์ วาไรตี้โชว์ และเรียลลิตี้โชว์ ทางช่อง 3 HD ช่อง 5 ช่องทรูโฟร์ยู ช่องไทยรัฐทีวี HD และช่อง PPTV HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา รายการที่ขายลิขสิทธิ์ลงแอปพลิเคชัน LINE TV เน้น \"ตัวเอน\")", "title": "ทีวี ธันเดอร์" }, { "docid": "492231#8", "text": "แต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นำตราสัญลักษณ์ฯ ออกจากหน้าจอ เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ต่อมาในวันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ก็นำตราสัญลักษณ์ฯ ออกเมื่อเวลา 06.00 น. (แต่กลับมาแสดงอีกครั้งในเวลา 13.00 น.) และสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในช่วงสาย คาดว่าเพื่อถวายความอาลัย เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีสิ้นพระชนม์ เมื่อเย็นวันพุธที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ขณะที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ยังคงแสดงตราสัญลักษณ์ฯ อยู่ตามปกติ ทว่าต่อมาก็ทยอยกลับมาแสดงตราสัญลักษณ์ฯ ในทุกสถานีฯ ตามเดิม", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554" }, { "docid": "59413#36", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี ข่าวช่อง 7 เอชดี 7 สีคอนเสิร์ต บิ๊กซินีม่า มวยไทย 7 สี มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ไทยซุปเปอร์โมเดลคอนเทสต์ มิสทีนไทยแลนด์ แชมป์กีฬา 7 สี สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส", "title": "ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "218073#15", "text": "กันตนา ได้ผลิตรายการโทรทัศน์หลายประเภทเช่น เกมโชว์ ควิซโชว์ ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ เรียลลิตี้โชว์ สารคดี วาไรตี้คอเมดี้โชว์ รายการเพลง รายการเด็ก และละคร เป็นจำนวนกว่า 200 รายการ เพื่อนำเสนอออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี(ภายหลังใช้ชื่อว่า สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี และปัจจุบันคือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส) และสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ปัจจุบันกันตนา กรุ๊ปมีรายการโทรทัศน์และละครที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 14 รายการ ออกอากาศทางช่อง 5 HD ช่อง 7 HD ช่อง 3 HD ช่อง 9 MCOT HD ช่อง 3 SD และช่องไทยรัฐทีวี HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา รายการที่ออกอากาศหรือขายลิขสิทธิ์ในแอปพลิเคชัน LINE TV หรือ iflix เน้น \"ตัวเอียง\")", "title": "กันตนา" }, { "docid": "939148#2", "text": "บริษัทเริ่มทำการผลิตรายการโทรทัศน์ประเภทเกมโชว์ นั่นคือรายการ \"\"ศึกน้ำผึ้งพระจันทร์\"\" ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เป็นรายการแรกภายในปี พ.ศ. 2553 ต่อมาได้ขยายรูปแบบการผลิตรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ประเภทต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบและหลากหลายสถานี เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, ช่องไทยรัฐทีวี, ช่องทรูโฟร์ยู, ช่องวัน และช่องพีพีทีวี มาโดยตลอดเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี โดยมีเนื้อหาและรูปแบบรายการที่หลากหลาย เช่น เกมโชว์, ควิซโชว์, เรียลลิตี้โชว์, เกมโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน, ทอล์คโชว์, วาไรตี้โชว์, ละครโทรทัศน์ และละครซิทคอม ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมทุกเพศทุกวัย และยังได้รับรางวัลในหลากหลายสาขาในประเทศ รวมทั้งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลและได้รับรางวัลต่าง ๆ จากสถาบันต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เช่น รางวัลเมขลา, รางวัลโทรทัศน์ทองคำ และรางวัลโทรทัศน์แห่งเอเชีย (เอเชียนเทเลวิชั่นอวอร์ดส์) อีกด้วย", "title": "เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "63610#1", "text": "เมื่อปี พ.ศ. 2511 ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ในขณะนั้น ได้แก่ไทยทีวีช่อง 4 ของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด (ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) และ ททบ.7 (ปัจจุบันคือ ททบ.5) กับช่อง 7 สี ของกองทัพบก ได้ประชุมร่วมกันและมีมติว่า แต่ละสถานีฯ ควรจะได้รวมตัวกันขึ้น เพื่อปรึกษาหารือ และดำเนินการจัดการในเรื่องต่าง ๆ อันจะเกิดประโยชน์ร่วมกันกับทุกสถานีฯ จึงก่อตั้งองค์กรชื่อว่า \"โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย\" เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปีดังกล่าว โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบด้วยผู้อำนวยการของช่องโทรทัศน์ทั้ง 4 เป็นกรรมการ และมอบให้ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่ก่อตั้ง ซึ่งต่อมาสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวร นับแต่ก่อตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2513 ต่อมามีช่องโทรทัศน์ เข้าเป็นสมาชิกสมทบคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และไทยพีบีเอส (เดิมคือสถานีโทรทัศน์ไอทีวี และสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี)", "title": "โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย" }, { "docid": "101982#8", "text": "เนื่องจากเกิดปัญหาเรื่องสิทธิประโยชน์ในชื่อ \"นางสาวไทย\" ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์คือสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ กับเจ้าของสิทธิ์ในการจัดการประกวดคัดเลือกตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามจักรวาล คือ สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ทั้งสองฝ่ายจึงได้แยกกันจัด โดยทางสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ยังจัดการประกวดนางสาวไทยต่อไป แต่นางสาวไทยไม่ได้สิทธิ์ไปประกวดนางงามจักรวาล และสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ได้ให้สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เป็นผู้ดำเนินการจัดการประกวด ต่อมาก็ย้ายไปจัดร่วมกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 - 2558 มีการพัฒนารูปแบบการจัดประกวดให้เหมาะสมกับความเป็นกุลสตรี สภาพเศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมากยิ่งขึ้น อาทิ การยกเลิกการใส่ชุดว่ายน้ำบนเวที เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของสตรีไทย, การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลคะแนน, การวัดระดับ IQ และ EQ รวมทั้งการนำความสามารถพิเศษของผู้เข้าประกวด มาใช้ประกอบในการพิจารณาการตัดสิน เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดในทุกๆด้าน ไม่ใช่แต่เพียงความสวยอย่างเดียว นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีการประกวดรอบคัดเลือกในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้หญิงไทยทั่วประเทศ ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประกวดอย่างทั่วถึง ในยุคนี้ ผู้ที่ได้รับตำแหน่ง นางสาวไทยจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง \"ทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว\" ทำหน้าที่เผยแพร่วัฒนธรรม ประเพณีของไทย ให้ชาวต่างชาติได้รู้จัก ซึ่งต้องเดินทางไป ยังสำนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่มีสำนักงานสาขาถึง 17 แห่งทั่วโลก รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตามจังหวัดต่างๆ ภายในประเทศตลอดทั้งปี จุดมุ่งหมายของการประกวดในยุคนี้ ตรงกับแนวคิดของคำว่า \"นางสาวไทย\" ที่คนไทยเข้าใจความหมาย จึงได้รับการสนับสนุนจากองค์กรและส่วนราชการต่าง ๆ มากมาย อาทิ สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และในปี พ.ศ. 2559 กองประกวดนางสาวไทย จะย้ายมาจัดที่ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 อีกครั้ง เนื่องจากหมดสัญญากับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ และจะมีการแถลงข่าวในเร็วๆนี้", "title": "นางสาวไทย" }, { "docid": "622642#8", "text": "วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เวลา 03:30 น. กำลังทหารพร้อมอาวุธ เข้าควบคุมสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั้งภาคพื้นดินและผ่านดาวเทียมหลายช่อง ตามคำสั่งประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ขอให้เชื่อมสัญญาณออกอากาศจากสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5[20] ต่อมา เวลา 06:30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ออกประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ กอ.รส. และออกคำสั่ง 12 ฉบับ (ยกเลิก 1 ฉบับ) [20][21]", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557" }, { "docid": "49829#52", "text": "เย็นวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 สถานีโทรทัศน์ไทยทุกช่องได้ยุติรายการปกติและ เปิดเพลงที่มีเนื้อหาสรรเสริญพระบารมี และวิดีโอเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงแทน วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากการประชุมสั้น ๆ ของพลเอกสนธิ โทรทัศน์ไทยทุกช่องได้ถูกควบคุมโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 คปค. ได้เรียกประชุมผู้บริหารสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ที่กองบัญชาการทหารบก และสั่งให้หยุดเผยแพร่ข้อคิดเห็นของสาธารณชน รวมถึงการแสดงความคิดเห็นผ่านบริการส่งข้อความที่ด้านล่างของจอโทรทัศน์ด้วย คปค. ไม่ได้กล่าวว่าการห้ามนี้มีผลถึงหนังสือพิมพ์และเว็บบอร์ดบนอินเทอร์เน็ต[71] ไม่มีสถานีโทรทัศน์ไทยช่องใดรายงานการประท้วงต่อต้านรัฐประหาร เช่น การประท้วงครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่หน้าสยามสแควร์[37] เคเบิลทีวีช่อง CNN, BBC, CNBC, NHK และช่องข่าวต่างประเทศอีกหลายช่องถูกเซ็นเซอร์ ข่าวที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกตัดออก[72] วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 หนังสือพิมพ์ The Guardian เปิดเผยว่า มีทหารติดอาวุธนั่งอยู่ในห้องข่าวและห้องควบคุมของสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง[73] วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2549 มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ และบอร์ดคณะกรรมการบริหารช่อง 9 อสมท แสดงความรับผิดชอบลาออกจากช่อง 9 อสมท เพราะออกอากาศประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร[74] วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2550 พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการ คมช. พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.ได้เชิญผู้บริหารสื่อซึ่งมีทั้งสื่อโทรทัศน์และวิทยุ จำนวนประมาณ 50 คน จากสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง และผู้บริหารสถาวิทยุของรัฐรวมทั้งสถานีวิทยุชุมชน มาร่วมหารือที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยสั่งให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง วิทยุทุกสถานี ไม่แพร่ภาพกระจายเสียงข้อความหรือแถลงการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำของพรรคไทยรักไทย[75] สั่งบล็อกเว็บ CNN และรายการ CNN ทางโทรทัศน์ ที่มีการถ่ายทอดการสัมภาษณ์ของทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 15 มกราคม 2550 เพื่อไม่ให้ประชาชนไทยได้รับรู้ข่าวสารของทักษิณ สนองนโยบายล่าสุดของทหารที่ไม่ให้เสนอข่าวและความคิดเห็นของทักษิณ ชินวัตร[76]", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549" } ]
3827
พระสงฆ์องค์แรกคือใคร?
[ { "docid": "32647#25", "text": "ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะจึงนับเป็น \"พระสงฆ์อริยสาวกองค์แรก\" ในพระพุทธศาสนา ซึ่งวันนั้นเป็นวันเพ็ญ กลางเดือนอาสาฬหะ หรือเดือน 8 เป็น วันที่พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ บังเกิดขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก คือมี \"พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์\" ครบบริบูรณ์[21]", "title": "วันอาสาฬหบูชา" } ]
[ { "docid": "469449#0", "text": "วัดสันกู่ ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งสลี เลขที่ 40 หมู่ที่ 1 ตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด \nจังหวัดเชียงราย เดิมเป็นวัดร้าง ชาวบ้านเรียกว่า(ลอมกู่หรือวัดสันกู่) สร้างมาในสมัยใดและใครเป็นผู้สร้าง ไม่มีใครทราบมีหลักฐานที่ปรากฏเหลือไว้คือ เสาหิน อิฐแบบโบราณ และพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก แกะสลักด้วยหินทรายแดง 1 องค์ ประดิษฐานตั้งอยู่บนเนินซากฐานเจดีย์เก่าก่อด้วยอิฐแบบโบราณ จึงสันนิษฐานว่าวัดนี้อาจจะสร้างในสมัยที่พม่าปกครองล้านนาประมาณปี พ.ศ.2101 เพราะได้นำอิฐให้กรมศิลปกรได้ ตรวจสอบและได้สันนิษฐานว่าประมาณ 400-500ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 บ้านโป่งได้แยกหมู่บ้านใหม่ และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่นี้ว่าบ้านโป่งสลี พอแยกหมู่บ้านแล้ว นายสุคำ โกษา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้น ก็ได้พาชาวบ้านโป่งสลี ได้ร่วมกันบูรณะวัดสันกู่ร้างซึ่งเป็นวัดร้างที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ของหมู่บ้านให้เป็นที่พักสงฆ์มีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษา และได้ตั้งชื่อที่พักสงฆ์ว่าวัดโป่งสลี ", "title": "วัดโป่งสลี" }, { "docid": "9687#4", "text": "ที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร มีเรื่องเล่าขานกันถึงเปรต สัตว์ที่เกิดในอบายภูมิตามความเชื่อของพุทธศาสนาและชาวไทย ว่ามีเปรตเคยปรากฏอยู่ที่นี่ โดยเรื่องนี้อาจมีที่มาจากภายในพระวิหารมีภาพวาดบนเสาด้านข้างขององค์พระศรีศากยมุนี เป็นภาพจิตรกรรมที่วาดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรูปหนึ่งเป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่และมีพระสงฆ์กำลังยืนพิจารณาสังขาร ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่ร่ำลือกันว่าหากใครได้มีโอกาสไปกราบไหว้พระศรีศากยมุนีในพระวิหารหลวง ต้องไปดูรูปจิตรกรรม \"เปรตวัดสุทัศน์\" ที่ขึ้นชื่อนี้ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า \"\"แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์\"\" \nนอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องเล่ากันจากปากต่อปากว่า ในอดีตที่บริเวณหน้าพระวิหารหลวงนี้ มีผู้พบเห็นเปรตในเวลาค่ำคืนบ่อย ๆ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ขณะที่ยังทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ ในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ยังเคยเปรยกับเปรต ความว่า \"\"อยู่ด้วยกันนะ อย่าให้ชาวบ้านได้เดือดร้อน\"\" จากนั้นเปรตก็ไม่มาปรากฏอีก ", "title": "วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "153131#1", "text": "ภีษมะนั้น ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพราะเป็นผู้เห็นเรื่องราวทุกอย่าง ความพินาศของราชวงศ์กุรุ การรบพุ่งกันบนสงครามกุรุเกษตร และผลพวงของสงคราม ที่เป็นเช่นนี้เพราะชาติก่อนท้าวภีษมะเคยเกิดเป็น หนึ่งในคณะเทพวสุ ก็คือคณะเทพที่มี 8 องค์ด้วยกัน และมีภรรยาครบทุกองค์ เมื่อจะไปที่ใดก็ต้องเสด็จไปทั้ง 16 องค์ มีอยู่วันหนึ่ง ภรรยาของเทพทยุ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะเทพวสุ อยากได้แม่โคนันทินีของฤๅษีวสิษฐ์ซึ่งเป็นฤๅษีคนสำคัญ เทพทยุรู้ว่าผิดแต่ก็ช่วยกันกับเทพอีก 7 องค์ในการโขมยวัวในระหว่างที่ฤๅษีวสิษฐ์ออกไปเก็บผลไม้ในป่า แต่ฤๅษีวสิษฐ์ก็จับได้เข้า จึงสาปให้เทพทั้ง 8 องค์ไปเกิดรับความทรมานบนโลกมนุษย์ แต่เทพ 7 องค์นั้นเป็นเพียงตัวประกอบในการช่วยกันโขมยวัวเท่านั้น ตัวตั้งตัวตีนั้นคือเทพทยุ จึงถูกสาปให้ไปเกิดบนโลกมนุษย์รับความทรมานแสนสาหัสหนักกว่าใครเพื่อน ด้วยเหตุนี้พระแม่คงคาจึงรับหน้าที่เป็นพระมารดาของเทพ 8 องค์ นี้ และโยนเทพทั้ง 7 องค์ที่มาเกิดบนโลกมนุษย์นี้ลงแม่น้ำทันทีจะได้ไม่ต้องมารับกรรมมาก ส่วนเทพทยุที่ทำผิดหนักกว่าใครเพื่อนก็ได้มาเกิดนานกว่าคนอื่นก็คือ ท้าวภีษมะ นั่นเอง โดยพระแม่คงคาได้นำตัวท้าวภีษมะไปร่ำเรียนวิชาพระเวทและคัมภีร์เวทานตะโดยฤๅษีวสิษฐ์ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่สาปให้ภีษมะมาเกิดบนโลกนานกว่าใคร ,วิชารัฐศาสตร์โดยพระพฤหัสบดี และวิชายิงธนูโดยภควาจารย์หรือฤๅษีปรศุราม(ที่เกลียดพวกวรรณะกษัตริย์แต่คราวนี้ยอมสอนให้)", "title": "ภีษมะ" }, { "docid": "80018#45", "text": "ในที่สุด ท่านโกณฑัญญะ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบัน พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า พระอัญญาโกณฑัญญเถระ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบองค์ 3 เป็นครั้งแรกในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน", "title": "พระโคตมพุทธเจ้า" }, { "docid": "20836#7", "text": "ในสมัยพุทธกาลนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมเหล่าภิกษุสงฆ์สาวกเพื่อทรงแสดงพระปาฏิโมกข์ ในช่วงเข้าพรรษา การประชุมสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธองค์นั้นก็ได้นัดหมายกันไปในที่ประชุม ต้องมีพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งเป็นองค์สวดพระปาฏิโมกข์ พระภิกษุสงฆ์สาวกที่ร่วมเข้าฟังพระปาฏิโมกข์ ก็จะพร้อมเพียงกันสำรวมกาย วาจา และตั้งใจฟังจนกระทั่งสวดจบ เป็นอันเสร็จพิธี", "title": "วันพระ" }, { "docid": "176444#4", "text": "\"จำเลยที่ 80 ได้บวชเป็นพระภิกษุในฝ่ายธรรมยุตนิกาย...และ...ได้สวดญัตติเข้าเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย แสดงว่า จำเลยที่ 80 ได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกฎมหาเถรสมาคมมาก่อน และในช่วงเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 80 ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ ไม่ปรากฏว่า จำเลยทุกคนถูกกลั่นแกล้งจากใครอย่างไรและถึงขนาดไม่อาจปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า...ไม่ปรากฏบทบัญญัติมาตราใดให้สิทธิพระภิกษุสงฆ์ไทยประกาศแยกตนให้มีผลประดุจสังฆเภทไม่ยอมอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้ การประกาศของจำเลยที่ 80 กับพวกดังกล่าวจึงไม่ทำให้จำเลยที่ 80 กับพวกพ้นจากการปกครองของมหาเถรสมาคมและไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 การที่ภิกษุสงฆ์นักบวชไม่อนุวัตปฏิบัติตามกฎหมายกลับมีผลเป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นดังเช่นที่ปรากฏในคดีนี้\"", "title": "สันติอโศก" }, { "docid": "109849#16", "text": "การจาริก ด้วยเท้า ของพระสงฆ์ในประเทศไทย มักเข้าใจปะปนกับคำว่า ธุดงค์ ทั้งนี้เนื่องจากบางข้อของธุดงควัตร เช่น อรัญญิกังคะ หมายถึงการอยู่ในบริเวณป่า ทำให้พระสงฆ์ที่ถือธุดงค์ข้อนี้จะต้องเดินทางไปหาที่วิเวกในบริเวณป่าและไม่อยู่ติดที่เป็นเวลานาน เพื่อให้ห่างไกลจากการรบกวนของผู้คน การทำเช่นนี้ของพระสงฆ์มีมาตั้งแต่พุทธกาล[5] พระสงฆ์ในประเทศไทยคงได้ถือคตินี้และปฏิบัติมาแต่โบราณ ทำให้คนทั่วไปในปัจจุบันมักเรียกกิริยาเช่นนั้น (การจาริกเดินเท้าของพระสงฆ์โดยแบกบริขาร เช่น กรดย่าม และบาตร เพื่อเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ) ว่า พระเดินธุดงค์ หรือ การเดินธุดงค์ ซึ่งเป็นเพียงคำเรียกทั่วไป ที่หากพระสงฆ์ผู้เดินจาริกไม่ได้ถือสมาทานองค์คุณแห่งธุดงค์ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมไม่ใช่ความหมายของคำว่าธุดงค์ตามนัยในพระไตรปิฎก[7]", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "265883#10", "text": "วัตถุประสงค์ของการสร้างพระพุทธรูปประจำโรงเรียน เดิมจะสร้างพระพุทธชินราช ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว แต่ ท่าน ผ.อ.เจียมศักดิ์ คงสงค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสมัยนั้น มีความเห็นว่าควรสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นพระประธานประจำโรงเรียน เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาจะดีกว่า จากนั้นจึงมอบหมายให้ อาจารย์สิริชัย เอี่ยมสอาด ไปดำเนินการเลือกแบบในการจัดสร้าง จึงเห็นว่าพระพุทธรูปปางเรือนแก้ว ตามแบบอย่างวัดบวรนิเวศวิหาร มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจาก ยังไม่มีใครเคยสร้าง จึงได้ให้โรงหล่อ จ.นครปฐมเป็นผู้หล่อให้ มีพิธีเททองในวันมาฆบูชา ปี 2547 จนเป็นพระเสร็จสมบูรณืเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2547 จากนั้นได้มีพิธีสมโภชพระพุทธรูปเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2547 โดยพระพุทธวรญาณเจ้าอาวาสวัดประยูรวงศาวาส เป็นประธานในการสมโภช ณ ห้องจริยธรรม เจียมศักดิ์ คงสงค์ สุริยาคาร ชั้น 4 ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 ได้มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยได้รับประทาน จามสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก จำนวน 12 องค์ ดดยมีพระพรหมวชิรญาณเจ้าอาวาสวัดยานนาวาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์", "title": "โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา" }, { "docid": "92403#3", "text": "การศึกษาภาษาบาลีตั้งแต่สมัยสุโขทัยสืบมานั้น มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปภัมภ์ให้การสนับสนุนตลอดมา มีการอุทิศพระราชมณเฑียรเป็นที่เล่าเรียนศึกษาของพระสงฆ์ มีการยกย่องและถวายนิตยภัตรแก่พระสงฆ์ผู้มีความรู้ภาษาบาลี จนถึงแม้พระมหากษัตริย์ไทยบางพระองค์ ที่ทรงเป็นปราชญ์เชี่ยวชาญในภาษาบาลี สามารถลงบอกบาลี (สอน) แก่พระสงฆ์สามเณรด้วยพระองค์เองก็มีตลอดมาจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์", "title": "การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย" }, { "docid": "97799#10", "text": "สมัยกรุงธนบุรี ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง พระยาพิชัยราชาถือพล 5,000 พระยายมราชถือพล 5,000 สมเด็จพระเจ้าตากสิน 12,000 เมือวันพุธ แรม 4 ค่ำ เดือน 8 จุลศักราช 1132 พ.ศ. 2313 ทรงพระกรุณาให้เย็บจีวรให้ได้ 1,000 ไตร บวชพระสงฆ์ฝ่ายเหนือคือบวชพระที่วัดพระฝาง 200 องค์ บวชพระที่วัดมหาธาตุ 200 องค์ บวชพระที่สวรรค์โลก 200 องค์ แล้วให้ลงมาอาราธนารับพระสงฆ์ราชาคณะและอันดับ 50 รูป ณ กรุงธนบุรีขึ้นไปบวชพระสงฆ์ไว้ทุกหัวเมืองแล้วพระราชทานพระราชาคณะไว้ให้อยู่สั่งสอนพระสงฆ์ฝ่ายเหนือ วันศุกร์แรม 10 ค่ำ เดือน 11 เสด็จพระราชดำเนินไปเมืองสวางคบุรี สมโภชพระธาตุ 3 วัน แล้วให้บูรณปฏิสังขรณ์พระอารามและพระธาตุให้บริบูรณ์ดังเก่า แล้วพระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินไปสมโภชพระ ณ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง 3 วัน แล้วเสด็จไปสมโภชพระธาตุเมืองสวรรคโลก ", "title": "วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง" }, { "docid": "657124#1", "text": "วัดโขลงสุวรรณคีรี ตั้งเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวงพ่อธรรม สิริจนฺโท ได้ไปสร้างที่พักสงฆ์ มูลดินลักษณะคล้ายภูเขาขนาดย่อม (ปัจจุบันคือโบราณสถานสมัยทวาราวดี หมายเลข ๑๘) สภาพเดิมมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม รกทึบ มีพระพุทธรูปหินแดง ๓ องค์ ประดิษฐานอยู่บนแท่นปูน มีเสาไม้แก่นเก่าๆ ไม่มีหลังคา ชาวบ้านเรียกสถานนี้ว่า “วัดโขลง” มาแต่เดิม พระพุทธรูป ๓ องค์ นี้สัณฐานตามพุทธลักษณะแล้วอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น จึงสันนิษฐานว่า “วัดโขลง” น่าจะเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นด้วยเช่นกัน แต่ตอนที่หลวงพ่อธรรมไปสร้างที่พักสงฆ์นั้น มีพระพุทธรูปเหลือเพียงองค์เดียว ชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “หลวงพ่อแดง” หลังจากหลวงพ่อธรรม สิริจนฺโท ได้สร้างที่พักสงฆ์ และจำพรรษาอยู่ที่วัดโขลงสุวรรณคีรีแล้วจึงได้มีพระสงฆ์มาจำพรรษาเพิ่มขึ้น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๔ กรมศิลปากร ได้ค้นพบโบราณสถานบ้านคูบัว จึงได้ดำเนินการขุดแต่ง และบูรณะโบราณสถานบ้านคูบัวทั้งหมด หลวงพ่อธรรม พร้อมด้วยชาวบ้านจึงได้เคลื่อนย้ายสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งตั้งอยู่บนมูลดินซาก โบราณสถานลงมาปลูกบนพื้นราบรอบๆ โบราณสถาน พร้อมได้เคลื่อนย้าย “หลวงพ่อแดง” ลงมาประดิษฐานไว้ในวิหาร วัดได้เจริญขึ้นตามลำดับมีสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้น หลวงพ่อธรรม สิริจนฺโท ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระครูเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท ที่ “พระครูสิริธรรมาภิรักษ์” จนถึง พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านได้มรณภาพ ต่อจากนั้นเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีได้แต่งตั้ง “พระครูสิทธิวชิราธร” เป็นเจ้าอาวาสวัดโขลงสุวรรณคีรี ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดร้างมาก่อน โดยมาเริ่มฟื้นฟูเป็นที่พักสงฆ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งอายุของวัดนับได้เพียง ๕๙ ปีเท่านั้น กอปรกับสถานที่ตั้งวัดอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ทำให้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัดไม่อยู่ในสภาพที่ถาวรและสวยงามเท่าที่ควร แต่ชาวบ้านต่างก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยอนุรักษ์ ดูแลโบราณสถานสำคัญ คือ โบราณสถานสมัยทวาราวดี ทางวัดได้มอบที่ดินของวัดส่วนหนึ่งใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน โดยประชาชนชาวคูบัวร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีร่วมกันก่อสร้าง", "title": "วัดโขลงสุวรรณคีรี" }, { "docid": "156300#7", "text": "ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐๐,๐๐๐ โกฏิ โดยมีพระเจ้าอิสิทัตตะ ซึ่งออกบวชเป็นประธาน\nครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๗๐๐,๐๐๐ โกฏิ โดยมีพระเจ้าสุนทรินธระ กรุงราธวดี ซึ่งออกบวชเป็นประธาน\nครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๖๐๐,๐๐๐ โกฏิ โดยมีพระเจ้าโสเรยยะ กรุงโสเรยยะ ซึ่งออกบวชแล้วเป็นประธาน\nพระอโนมทัสสีพุทธเจ้ามีพระสาวกองค์สำคัญ คือ", "title": "พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า" }, { "docid": "228994#28", "text": "ต่อมาในช่วงหน้าพรรษาปี พ.ศ. 2500 ได้มีลมพายุพัดรุนแรงมากจนทำให้กิ่งไม้หักถูกศาลาการเปรียญต้ององค์พระปูนปั้นหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ชำรุดจนเห็นเนื้อภายใน ทำให้พระสงฆ์วัดคุ้งตะเภาได้ทราบว่าพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาแต่วัดราชบุรณะนั้นเป็นพระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์โบราณ จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานในอุโบสถของวัดคู่กับหลวงพ่อสุวรรณเภตรา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สำคัญประจำวัดคุ้งตะเภา ปะปนกับพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ โดยไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นพระเนื้อสัมฤทธิ์โบราณ และมีพระสงฆ์วัดคุ้งตะเภาเข้าจำพรรษาเฝ้าระวังหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ทุกพรรษาในอุโบสถ ทำให้ในช่วงหลังนามหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ได้ลืมเลือนไปจากชาวบ้านรุ่นที่ทันเห็นในคราวที่ยังเป็นพระพุทธรูปปูน จนถึงกลางปี พ.ศ. 2537 มีการบูรณะอุโบสถวัดคุ้งตะเภา พระสงฆ์จึงได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์เข้าประดิษฐานยังห้องลับของวัดจนถึงปี พ.ศ. 2552 จึงได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อออกประดิษฐานให้ประชาชนสักการะเป็นการชั่วคราวในเทศกาลสงกรานต์ และในปี พ.ศ. 2553 วัดคุ้งตะเภาได้สร้างตู้กระจกนิรภัยพร้อมกับติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอิเล็กทรอนิกส์บนอาคารศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา และได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นประดิษฐานในหอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีประสิทธิมงคล เปิดโอกาสให้ประชาชนสักการะเป็นการถาวรจนถึงปัจจุบัน", "title": "พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี" }, { "docid": "599141#1", "text": "ตามหลักฐานเอกสารในทำเนียบการตั้งวัดของจังหวัดเชียงรายระบุว่าได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2263 แต่ยังไม่พบหลักฐานอื่นอีก นอกจากหลักฐานทางโบราณวัตถุ เช่น เจดีย์ พระพุทธรูป กองหินกองอิฐที่สันนิษฐานได้ว่า ตรงนี้เคยเป็นโบสถ์มาก่อน จากคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนกล่าวว่า ที่วัดม่อนจอมผ่อนี้ เดิมมีพระพุทธรูปทองเหลืองทองแดงองค์เล็กองค์ใหญ่จำนวนมาก พิงอยู่ตามต้นไม้บ้าง วางอยู่บนกองอิฐกองดินบ้างไม่มีใครสนใจ เมื่อทางการได้เข้าไปสำรวจโบราณวัตถุ ประกอบกับทางวัดไม่มีผู้ดูแล จึงได้เก็บเอาพระพุทธรูปที่เป็นโลหะชนิดต่างๆ ไปรวบรวมไว้จนหมดไม่เหลือแม้แต่องค์เดียว ในระหว่างการรื้อเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ. 2520 ยังพบวัตถุมงคลอีกมากมายพร้อมแผ่นเงินจารึกประวัติศาสตร์การสร้างเจดีย์ที่จานด้วยเหล็กจานเป็นภาษาล้านนา จึงได้มีการบูรณะเรื่อยมา จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 และได้จัดให้มีประเพณีสงฆ์น้ำพระธาตุจอมผ่อขึ้น ทุกๆวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ", "title": "พระธาตุจอมผ่อ" }, { "docid": "9097#12", "text": "เดิมทีรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญโกลนพระศรีสรรเพชดาญาณจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยทรงประสงค์จะหล่อพระศรีสรรเพชญองค์นี้ขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากทรงปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว คณะสงฆ์ได้ทูลถวายว่า การนำโกลนพระศรีสรรเพชดาญาณมาหลอมใหม่นั้น ถือเป็นขีด เป็นกาลกิณี ไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ แบบย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญนี้ไว้ และพระราชทานพระนามเจดีย์ว่า \"พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ\" องค์พระเจดีย์ประด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว ตั้งอยู่ตรงกลางของหมู่พระมหาเจดีย์ ล้อมรอบด้วยพระมหาเจดีย์อีก 3 องค์ นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "186077#12", "text": "\"จำเลยที่ 80 ได้บวชเป็นพระภิกษุในฝ่ายธรรมยุตนิกาย...และ...ได้สวดญัตติเข้าเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย แสดงว่า จำเลยที่ 80 ได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกฎมหาเถรสมาคมมาก่อน และในช่วงเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 80 ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ ไม่ปรากฏว่า จำเลยทุกคนถูกกลั่นแกล้งจากใครอย่างไรและถึงขนาดไม่อาจปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า...ไม่ปรากฏบทบัญญัติมาตราใดให้สิทธิพระภิกษุสงฆ์ไทยประกาศแยกตนให้มีผลประดุจสังฆเภทไม่ยอมอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้ การประกาศของจำเลยที่ 80 กับพวกดังกล่าวจึงไม่ทำให้จำเลยที่ 80 กับพวกพ้นจากการปกครองของมหาเถรสมาคมและไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 การที่ภิกษุสงฆ์นักบวชไม่อนุวัตปฏิบัติตามกฎหมายกลับมีผลเป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นดังเช่นที่ปรากฏในคดีนี้\"", "title": "สมณะโพธิรักษ์" }, { "docid": "84186#9", "text": "พระสงฆ์ลังกาวงศ์นั้น เป็นพระมหาเถระ สำรวมสังวรวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ผิดกับพระสงฆ์ในพื้นเมืองสมัยนั้น ทำให้เมื่อพระมหาเถระทั้ง 5 องค์ ได้ศึกษาภาษาพม่าจนสามารถสั่งสอนชาวเมืองได้ ก็ทำให้มีคนเลื่อมใสมาก จนกระทั่ง พระเจ้านรปติสิทธุ ก็ทรงเลื่อมใสทำนุบำรุงคณะพระสงฆ์ลังกาวงศ์ และสนับสนุนให้ชาวพม่าบวชในนิกายลังกาวงศ์มากขึ้นเป็นลำดับมา", "title": "มหานิกาย" }, { "docid": "207406#4", "text": "สำหรับในประเทศไทย ที่วัดหัวเวียง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ได้มีองค์พระจำลองของพระมหามัยมุนีนี้เป็นพระประธานของวัด และอีกองค์หนึ่งคือพระมหามัยมุนีสายสัมพันธ์ 2 แผ่นดิน ที่ ประดิษฐานพลับพลาชั่วคราว ณ วัดพระธาตุดอยแต ตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน ซึ่งมีขนาดเท่าองค์จริง และได้ทำพิธีในวัดพระมหามัยมุนีองค์จริงโดยพระสังฆนายกแห่งประเทศพม่า และได้มอบให้พระสงฆ์เมืองมัณฑะเลย์ จำนวน 108 รูป ทำพิธีตลอด 3 วัน (14-16 มีนาคม 2557) และได้อัญเชิญมาประเทศไทยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่าง 2 ประเทศ และทุกเช้าวันพระจะมีพิธีสรงพระพักตรโดยพระสงฆ์ผู้ได้รับมอบหมายจากประเทศพม่า", "title": "พระมหามัยมุนี" }, { "docid": "679689#18", "text": "พระเณรห้ามขอของแต่คนใช่ญาติใช่ปวารณา และห้ามติดต่อกับคฤหัสถ์ และนักบวชอันเป็นวิสภาคกับพุทธศาสนา ห้ามบอกและเรียนติรัจฉานวิชา บอกเลข ทำน้ำมนต์ หมอยา หมอดู ทำและแจกจ่ายวัตถุมงคลต่าง ๆฯ พระผู้มีพรรษาหย่อน 5 ห้ามไม่ให้เที่ยวไปแต่ลำพังตัวเอง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นหรือมีอาจารย์ผู้สมควรติดตามไปด้วย เมื่อจะทำอะไรให้ปรึกษาสงฆ์ หรือ ผู้เป็นประธานในสงฆ์เสียก่อน เมื่อเห็นว่าเป็นธรรม เป็นวินัย และจึงทำอย่าทำตามอำนาจตัวเองฯ ให้ยินดีในเสนาสนะที่สงฆ์จัดให้ และให้ทำความสะอาดเก็บกวาดกุฏิ ถนนเข้าออกให้สะอาด เมื่อกิจของสงฆ์เกิดขึ้นให้พร้อมกันทำ เมื่อเลิกให้พร้อมกันเลิก อย่าทำตนให้เป็นที่รังเกียจของหมู่คณะ คือ เป็นผู้มายาสาไถย หลีกเลี่ยง แก้ตัว เมื่อฉันบิณฑบาต เก็บบาตร ล้างบาตร กวาดวัด ตักน้ำ สรงน้ำ จัดโรงฉัน ย้อมผ้า ฟังเทศน์เหล่านี้ ห้ามมิให้คุยกันพึงตั้งใจทำกิจนั้นจริงๆ เมื่อฉันเสร็จแล้ว ให้พร้อมกันเก็บกวาดโรงฉันให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงกราบพระพร้อมกัน และ นำบริขารของตนกลับกุฏิโดยสงบฯ ให้ทำตนเป็นผู้มักน้อยในการพูด กิน นอน ร่าเริง จงเป็นผู้ตื่นอยู่ด้วยความเพียร และจงช่วยกันพยาบาล ภิกษุ สามเณร อาพาธด้วยความเมตตาฯ ห้ามรับเงินและทอง และห้ามผู้อื่นเก็บไว้เพื่อตน ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนฯ เมื่อเอกลาภเกิดขึ้นในสงฆ์หมู่นี้ ให้เก็บไว้เป็นกองกลาง เมื่อท่านองค์ใดต้องการ ให้สงฆ์อนุมัติแก่ท่าน องค์นั้น โดยสมควร ห้ามคุยกันเป็นกลุ่มก้อนทั้งกลางวันและกลางคืนในที่ทั่วไป หรือในกุฏิ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นถึงกระนั้นก็อย่าเป็นผู้คลุกคลีและเอิกเกริกเฮฮา ห้ามสูบบุหรี่ กินหมากฯ การรับและส่งจดหมาย เอกสาร หรือวัตถุต่างๆ ภายนอกห้องแจ้งต่อสงฆ์ หรือผู้เป็นประธานสงฆ์รับทราบทุกคราวไป เมื่อสงฆ์หรือผู้เป็นประธานสงฆ์เห็นสมควรแล้ว จึงรับส่งได้ฯ พระเณรที่มุ่งเข้ามาปฏิบัติในสำนักนี้ เบื้องต้นต้องได้รับใบฝากจากอุปัชฌาย์อาจารย์ของตน และย้ายสุทธิมาให้ถูกต้องเสียก่อนจึงจะใช้ได้ฯ พระเณรที่เป็นอาคันตุกะมาพักอาศัย ต้องนำสุทธิแจ้งสงฆ์ หรือผู้เป็นประธานสงฆ์ในคืนแรก และมีกำหนดให้พักได้ไม่เกิน 3 คืน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นฯ", "title": "วัดหนองป่าพง" }, { "docid": "40830#29", "text": "ในอดีต การเข้าพรรษามีประโยชน์แก่พระสงฆ์ในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย โดยการที่พระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มาอยู่จำพรรษารวมกันในที่ใดที่หนึ่ง พระสงฆ์เหล่านั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และถ่ายองค์ความรู้ตามพระธรรมวินัยให้แก่กัน", "title": "วันเข้าพรรษา" }, { "docid": "32647#2", "text": "การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและภิกษุองค์แรกในโลก และทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า \"วันพระธรรม\" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ \"วันพระสงฆ์\" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดว่าเป็น\"วันพระรัตนตรัย\" อีกด้วย", "title": "วันอาสาฬหบูชา" }, { "docid": "84186#8", "text": "พระเถระ 5 องค์ที่บวชมาจากลังกา เมื่อเห็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในเมืองพม่าผิดกับพระสงฆ์ลังกามากนัก จึงไม่ยอมร่วมลงสังฆกรรมกับพระสงฆ์ในคณะพื้นเมือง ทำให้พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทในเมืองพุกามเกิดเป็น 2 นิกายขึ้น (แยกกันลงสังฆกรรม)", "title": "มหานิกาย" }, { "docid": "168924#11", "text": "งานด้านสาธารณูปการ วัดศรีชมภูองค์ตื้อ ได้บูรณะ ซ่อมแซม ก่อสร้าง เสนาสนะ ถาวัตถุต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น วิหารประดิษฐานหลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ ศาลาการเปรียญพระครูสังวรกัลยาณวัตร หอพระไตรปิฎก ศาลาเอนกประสงค์ ศาลากองอำนวยการ ห้องน้ำพระภิกษุสงฆ์ กุฏิสงฆ์ ศาลาเอนกประสงค์ริมแม่น้ำโมง เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเป็นศูนย์อุทยานแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่น และเป็นแหล่งสร้างบุญกุศลในทางพระพุทธศาสนา", "title": "วัดศรีชมภูองค์ตื้อ" }, { "docid": "92429#19", "text": "ในทิเบตไม่เคยมีการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ในประวัติศาสตร์ มีแต่พระภิกษุสงฆ์ หรือลามะ และสามเณรีเท่านั้น ดังที่ ปีเตอร์ สกีลลิง ผู้เชี่ยวชาญทิเบต และบาลีสันสกฤต ชี้แจงว่า \"\"ในหิมาวันตประเทศ ได้มีภิกษุนิกายมูลสรวาทสติวาทินเข้ามาเผยแผ่หลักธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 (ประมาณ พ.ศ. 1300) แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าได้จัดพิธีอุปสมบทภิกษุณีสงฆ์เลย\"\" ทั้งนี้เพราะเหตุผลทางภูมิศาสตร์ การเดินทางไปทิเบตนั้นยากลำบากมากตามที่องค์ทะไลลามะกล่าวไว้ทำให้การบรรพชาอุปสมบทภิกษุณีที่ต้องมีปวัตตินี และกรรมวาจาจารย์ รวมทั้งภิกษุณีสงฆ์ และภิกษุสงฆ์อีกฝ่ายละ 10 รูป ในการบวชภิกษุณีอย่างน้อยต้องมี 22 รูปขึ้นไป จึงจะทำพิธีอุปสมบทกรรมได้ แต่สามเณรีในทิเบตมีมานานแล้ว ทั้งมีระบบการศึกษาพุทธธรรมที่เข้มข้นอีกด้วย แม้องค์ดาไลลามะที่ 14 แห่งทิเบต ที่ลี้ภัยในอินเดียในปัจจุบัน ยังได้กล่าวไว้ในคราวประชุมศากยธิดา สมาคมสตรีของชาวพุทธนานาชาติครั้งแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย \"\"เนื่องจากการเดินทางในอดีตลำบากมากภิกษุณีจึงไม่สามารถเดิมทางไปทิเบตได้ และเพราะไม่มีภิกษุณีวงศ์ในทิเบต พระสงฆ์ทิเบตจึงไม่ต้องอาบัติข้อที่เกี่ยวกับภิกษุณีตลอดไป นี้ถือว่าเป็นอานิสงส์ที่เราได้จากการไม่มีภิกษุณีในทิเบต\"\" แต่นอกเขตทิเบตอย่างประเทศเนปาล, ภูฏาน และบางส่วนของอินเดีย มีการบวชเป็นภิกษุณีสงฆ์ในศาสนาพุทธแบบทิเบตด้วย", "title": "ศาสนาพุทธแบบทิเบต" }, { "docid": "569823#0", "text": "วัดสวนแก้วอุทยาน เป็นวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาท สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ตำบลลาดใหญ่ หมู่ที่ ๓ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม \nวัดสวนแก้วอุทยาน เป็นวัดโบราณ เดิมชื่อ “วัดแก้ว” ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้างไว้ ต่อมาพระวินัย (บัว) ในสมัย ร.๔ ได้มาปฏิสังขรณ์ วัตถุโบราณที่พอจะเป็นหลักฐานได้ไม่มีเลย ทราบแต่ว่ามีเจ้าอาวาสองค์แรกชื่อหลวงพ่อเขมรอาคมขลัง ที่เรียกว่า \"วัดสวนแก้วอุทยาน\" เพราะบริเวณวัด และสถานที่ติดต่อกับวัดในสมัยโบราณเป็นสวนร่มรื่นมากเปรียบดั่งอุทยาน\n๑. พระประธานในอุโบสถปางมารวิชัย ", "title": "วัดสวนแก้วอุทยาน" }, { "docid": "146537#4", "text": "การวิจัยและค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนการสอน เน้นการพัฒนาองค์ความรู้ในพระไตรปิฎก โดยวิธีสหวิทยาการแล้วนำองค์ความรู้ที่ค้นพบมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหา ศีลธรรม และจริยธรรมของสังคม รวมทั้งพัฒนา คุณภาพงานวิชาการด้านพระพุทธศาสนา\nส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการวิชาการแก่สังคม ตามปณิธาน ด้วยการปรับปรุงกิจกรรมต่างๆ ให้ประสานสอดคล้อง เอื้อต่อการส่งเสริม สนับสนุนกิจการคณะสงฆ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สร้างจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรมแก่ประชาชน จัดประชุม สัมมนา และฝึกอบรม เพื่อพัฒนาพระสงฆ์และบุคลากรทางศาสนา ให้มีศักยภาพในการธำรุงรักษา เผยแผ่หลักคำสอน และเป็นแกนหลักในการพัฒนาจิตใจในวงกว้าง \nเสริมสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ให้เอื่อต่อการศึกษา เพื่อสร้างจิตสำนึกและความภาคภูมิใจในความเป็นไทยสนับสนุนให้มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น มาเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างมีดุลภาพ ", "title": "วัดห้วยบง" }, { "docid": "12091#0", "text": "โอวาทปาติโมกข์ เป็นหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็น \"ปาติโมกข์\" ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงตลอดปฐมโพธิกาล คือ 20 พรรษาแรก เฉพาะครั้งแรกในวันเพ็ญเดือนมาฆะ (เดือน 3) หลังจากตรัสรู้แล้ว 9 เดือน เป็นการแสดงปาติโมกข์ที่ประกอบด้วยองค์ 4 เรียกว่า \"จาตุรงคสันนิบาต\" ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งๆ หรือจะเรียกว่าเป็นการประกาศตั้งศาสนาก็ได้ (อรรถกถาแสดงไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดง \"โอวาทปาติโมกข์\" นี้ ด้วยพระองค์เอง ท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ตลอด 20 พรรษาแรก หลังจากนั้นทรงบัญญัติให้พระสงฆ์แสดง \"อาณาปาติโมกข์\" แทน) ", "title": "โอวาทปาติโมกข์" }, { "docid": "141393#8", "text": "หลวงปู่บุดดาท่านจาริกธุดงค์บำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด จนถึงพรรษาที่ 4 ท่านได้ออกธุดงค์อยู่ในป่าแถบเทือกเขาภูพานนั้น ท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่งคือ พระสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งมีอายุแก่กว่าท่าน 10 ปี พรรษามากกว่า 1 ปี ทันทีที่ได้พบหน้าท่านระลึกชาติได้ว่าพระสงฆ์ พรหมสโร เคยเป็นบิดาในอดีตชาติ ท่านจึงเรียกพระสงฆ์ พรหมสโร ว่าคุณพ่อสงฆ์ หลวงปู่บุดดากับพระสงฆ์ พรหมสโร มีอัชฌาศัยตรงกัน", "title": "หลวงปู่บุดดา ถาวโร" }, { "docid": "6107#11", "text": "ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตนเอง และประเทศชาติ จึงเกิด พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ขึ้น ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทย สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้จัดคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุติกา มีสมเด็จพระราชาคณะเป็นเจ้าคณะ และมีพระราชาคณะรอง คณะละหนึ่งรูป รวมเป็น 8 รูป ทั้ง 8 รูปนี้ยกขึ้นเป็น มหาเถรสมาคม เป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ และเป็นที่ปรึกษาในการพระศาสนา และการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ มีเจ้าคณะปกครองลดหลั่นไปตามลำดับคือ เจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง และเจ้าอาวาส มีเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ มหาเถรสมาคมเป็นเพียง ที่ทรงปรึกษา ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้นกระทรวงธรรมการ จึงต้องทำหน้าที่สังฆราชโดยปริยาย", "title": "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส" } ]
951
จังหวัดศรีสะเกษมีคำขวัญว่าอะไร ?
[ { "docid": "7821#34", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด: หลวงพ่อโตคู่บ้าน ถิ่นฐานปราสาทขอม ข้าว หอม กระเทียมดี มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี ตราประจำจังหวัด: รูปปรางค์กู่มีดอกลำดวน 6 กลีบอยู่เบื้องล่าง (เดิมใช้ภาพปราสาทหินเขาพระวิหารเป็นตราประจำจังหวัด มาเปลี่ยนเป็นตราปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2512[28] ต้นไม้ประจำจังหวัด: ต้นลำดวน ([Melodorum fruticosum]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกลำดวน สัตว์น้ำประจำจังหวัด: กบนา ([Hoplobatrachus rugulosus]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) เหรียญที่ระลึกประจำจังหวัด: ด้านหน้าภาพปราสาทสระกำแพงใหญ่, ด้านหลังภาพ ปรางค์กู่และดอกลำดวน", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" } ]
[ { "docid": "281357#0", "text": "มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา () เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตั้งอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ และถือเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกในจังหวัดศรีสะเกษ ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการสอนระดับอุดมศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2547 และได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนประเภทเป็นมหาวิทยาลัย ในชื่อว่า \"มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา\" เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557 ปัจจุบัน นอกจากการเรียนการสอนในจังหวัดศรีสะเกษ แล้ว ยังมีการจัดการเรียนการสอนในลักษณะเป็นวิทยาเขตหรือศูนย์ในจังหวัดตามภูมิภาคต่างๆ ด้วย ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดเพชรบูรณ์", "title": "มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา" }, { "docid": "6470#23", "text": "คำขวัญประจำจังหวัดอุตรดิตถ์แต่งขึ้นในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ในสมัยนั้นได้นำนโยบายนี้เข้าสู่ที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและมีการคิดประกอบคำขวัญจังหวัดอุตรดิตถ์ขึ้นเป็นตัวอย่าง เพื่อมอบให้วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์กำหนดกรอบแนวคิดการประกวดคำขวัญประจำจังหวัดต่อไป อย่างไรก็ดี คำขวัญที่คิดในที่ประชุมส่วนราชการได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางและเป็นที่รู้จักทั่วไป จึงไม่ได้มีการคิดประกวดคำขวัญใหม่ ทำให้คำขวัญดังกล่าวยังคงใช้เป็นคำขวัญประจำจังหวัดมาจนปัจจุบัน[20]", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "273205#1", "text": "ต่อมาเกิดโรคระบาดจึงได้ได้แบ่งออกเป็นหลาย 4 กลุ่ม ย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ กลุ่มแรก เดินทางไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองปราสาทเยอ ซึ่งในปัจจุบัน คือบ้านปราสาทเยอ ตั้งอยู่ใน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มที่ 2 ได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใน อำเภออุทุมพรพิสัย และอำเภอห้วยทับทัน ส่วนกลุ่มที่ 3 และกลุ่มที่ 4 อาศัยอยู่ใน อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน ชื่อหมู่บ้านว่า บ้านขมิ้น อยู่ใน ตำบลทุ่ม อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านโพนค้อ ตำบลโพนค้อ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ", "title": "เยอ" }, { "docid": "412713#4", "text": "พ.ศ. 2481 ได้มีการเปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์เป็นจังหวัดศรีสะเกษ \"สาธารณสุขจังหวัดขุขันธ์\" จึงเปลี่ยนชื่อเป็น \"สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ\" และ \"สุขศาลาจังหวัดขุขันธ์\" ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"สุขศาลาจังหวัดศรีสะเกษ\" หลังจากนั้นระหว่าง พ.ศ. 2484 - พ.ศ. 2485 เกิดสงครามอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น จังหวัดศรีสะเกษได้รับการกำหนดให้เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่ง จึงได้มีการก่อสร้างฐานบินและสนามบินทหารขึ้น (บริเวณที่ตั้งโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย ในปัจจุบันและพื้นที่โดยรอบ) บริเวณสุขศาลาจังหวัดศรีสะเกษได้เป็นสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงของกองทัพอากาศและที่พักของหน่วยทหาร สุขศาลาจังหวัดศรีสะเกษจึงมีบทบาทมากขึ้นเป็นลำดับในการรักษาผู้เจ็บป่วยทั้งทางทหารและพลเรือนตลอดช่วงภาวะสงคราม ", "title": "โรงพยาบาลศรีสะเกษ" }, { "docid": "7821#82", "text": "จังหวัดศรีสะเกษได้ร่วมกับมูลนิธิสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และส่วนราชการทุกหน่วยงานภายในจังหวัดศรีสะเกษ กำหนดจัดงาน เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่าไทศรีสะเกษ ขึ้น ณ บริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ ในช่วงเดือนมีนาคม ของทุกปี", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" }, { "docid": "610315#0", "text": "กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 30 () หรือ ศรีสะเกษเกมส์ เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 30 โดยจังหวัดศรีสะเกษเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขัน มีจังหวัดเข้าร่วมการแข่งขัน 77 จังหวัด จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-23 มีนาคม พ.ศ. 2557\nตราสัญลักษณ์การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 30 เป็นรูปปรางค์กู่ ตราประจำจังหวัดศรีสะเกษ ที่อยู่บนนาคราช เป็นรูปลายกนก สื่อถึงการปกป้อง ความอุดมสมบูรณ์ พร้อมกับมีรูปเด็กชูมืออยู่ทั้ง 2 ข้าง ตรงกลางเป็นเครื่อง หมายของ การกีฬาแห่งประเทศไทย ล้อมรอบด้วยดอกลำดวน ดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ", "title": "กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 30" }, { "docid": "412713#0", "text": "โรงพยาบาลศรีสะเกษ เป็นโรงพยาบาลศูนย์ ระดับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ อยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2451 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการริเริ่มของ ขุนเวชการบริรักษ์ ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขจังหวัดขุขันธ์ ตั้งแต่เมื่อครั้งจังหวัดศรีสะเกษ ยังใช้ชื่อเดิมว่า \"จังหวัดขุขันธ์\" ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น \"จังหวัดศรีสะเกษ\" ใน พ.ศ. 2481 หลังจากนั้นโรงพยาบาลประจำจังหวัดศรีสะเกษจึงใช้ชื่อว่า \"โรงพยาบาลศรีสะเกษ\" ตามชื่อจังหวัดที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ", "title": "โรงพยาบาลศรีสะเกษ" }, { "docid": "412142#0", "text": "เทศบาลตำบลกำแพง เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเทศบาลตำบล ขนาดกลาง อยู่ในเขตพื้นที่อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 111 ถนนสุขาภิบาล 1 หมู่ที่ 7 ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เป็น 1 ในจำนวนเทศบาลตำบล 23 แห่งของจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน ถือเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษและในประเทศไทย เขตเทศบาลตั้งอยู่ในบริเวณตอนบนของจังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันตกโดยทางรถยนต์ประมาณ 24 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอและหน่วยงานการบริหารราชการระดับภูมิภาคอื่นๆ ของอำเภออุทุมพรพิสัย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่ง และการสื่อสารของอำเภอ ", "title": "เทศบาลตำบลกำแพง" }, { "docid": "850469#2", "text": "จนกระทั่งรองอำมาตย์โทพระศรีวิชัยบริบาล จึงได้เรียกประชุมนายอำเภอต่างๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ จึงได้พิจารณาจัดตั้งโรงเรียนด้านเกษตรกรรมขึ้นใช้ชื่อว่า  “โรงเรียนประถมวิสามัญกสิกรรม จังหวัดศรีสะเกษ” โดยให้พระศรีพิชัยบริบาล (ข้าหลวงประจำจังหวัด) หลวงศักดิ์รัตนเขต  (นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ) และขุนอักษรๆ (ธรรมการจังหวัด) พร้อมด้วยข้าราชการและประชาชนหลายคนได้ออกตรวจเลือกสถานที่เพื่อจัดตั้งโรงเรียนดังกล่าวขึ้นและได้เสนอสถานที่ที่จะตั้งไปยังสมุหเทศาภิบาล  ", "title": "วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" }, { "docid": "412347#0", "text": "เทศบาลตำบลห้วยทับทัน เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเทศบาลตำบล ขนาดเล็ก อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 306 หมู่ 1 ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เป็น 1 ในจำนวนเทศบาลตำบล 23 แห่งในปัจจุบันของจังหวัดศรีสะเกษ เขตเทศบาลตั้งอยู่ในบริเวณตอนบนของจังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันตกโดยทางรถยนต์ประมาณ 37 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอและหน่วยงานการบริหารราชการระดับภูมิภาคอื่นๆ ของอำเภอห้วยทับทัน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่ง และการสื่อสารของอำเภอ ", "title": "เทศบาลตำบลห้วยทับทัน" }, { "docid": "7821#53", "text": "ลักษณะป่าไม้ของจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนใหญ่เป็นป่าโปร่ง ประกอบด้วยป่ายาง ไม้เต็ง ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้กระบาก และไม้เบญจพรรณ จังหวัดศรีสะเกษมีพื้นที่ป่าไม้แยกเป็นป่าอนุรักษ์ (3 แห่ง 472,075 ไร่) ป่าสงวน (4 ป่า 92,042 ไร่) ป่าชุมชน (อยู่ในเขตป่าสงวน 25,621 ไร่, ป่าไม้ 1,845 ไร่, ป่าสาธารณประโยชน์ 7,094 ไร่) ป่าเศรษฐกิจ (Zone E: 825,246 ไร่) พื้นที่ป่าไม้ที่สมบูรณ์ร้อยละ 11.67 ของพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" }, { "docid": "11847#0", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด เป็นคำขวัญที่แต่ละจังหวัดในประเทศไทยแต่งขึ้น เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ ความภาคภูมิใจ และความโดดเด่นที่มีอยู่ในจังหวัดนั้น ๆ มักเป็นคำคล้องจองสั้น ๆ เพื่อให้จดจำง่าย นอกจากคำขวัญประจำจังหวัดแล้ว ปัจจุบันยังมีการแต่งคำขวัญประจำท้องถิ่นในส่วนย่อยลงไปอีก เช่น คำขวัญประจำอำเภอ คำขวัญประจำเขต (ในกรุงเทพมหานคร) เป็นต้น", "title": "รายชื่อคำขวัญประจำจังหวัด" }, { "docid": "58537#1", "text": "การจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษเริ่มดำเนินการตั้งแต่ใน พ.ศ. 2537 ตามข้อเสนอของจังหวัดศรีสะเกษและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีประชากรจำนวนมาก ในแต่ละปีจึงมีนักเรียนนักศึกษา ที่สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าเป็นจำนวนมากแต่ยังไม่มีสถาบันอุดมศึกษาภายในจังหวัดเพื่อการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ประกอบกับเป็นจังหวัดทีมีศักยภาพสูงสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม โดยมีความพร้อมทั้งที่ดินและงบประมาณสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา ดังนั้น วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2540 นายสุขวิช รังสิตพลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จัดตั้ง \"สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ\" ขึ้น และในปี พ.ศ. 2542 \"โครงการจัดตั้งสถาบันราชภัฏศรีสะเกษ\" ได้เริ่มรับนักศึกษาเป็นปีแรก โดยได้รับความร่วมมือสนับสนุนในระยะแรกจาก สถาบันราชภัฏสุรินทร์", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ" }, { "docid": "7821#35", "text": "ตราปราสาทพระวิหาร ตราประจำจังหวัดศรีสะเกษระหว่าง พ.ศ. 2483 - 2512 ตราประจำจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน ต้นลำดวน ต้นไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ ดอกลำดวน ดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" }, { "docid": "412713#5", "text": "พ.ศ. 2491 นายแพทย์ขุนวิชิตภัยพยาธิ (นายแพทย์วิชิต โพธิปักษ์) ได้ย้ายมารับราชการที่จังหวัดศรีสะเกษ และได้แบ่งส่วนงานสาธารณสุขออกเป็นกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ส่วนขุนสุขวิชวรการ ได้ไปดำรงตำแหน่งอนามัยจังหวัดศรีสะเกษ สังกัดกรมอนามัย \"สุขศาลาจังหวัดศรีสะเกษ\" ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น \"โรงพยาบาลศรีสะเกษ\" เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2491 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนาโรงพยาบาลศรีสะเกษขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีนายแพทย์วิชิต โพธิปักษ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ผู้อำนวยการคนแรกของโรงพยาบาลแห่งนี้ ", "title": "โรงพยาบาลศรีสะเกษ" }, { "docid": "7821#55", "text": "แม่น้ำมูล ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาดงพญาเย็นในท้องที่[[อำเภอปักธงชัย [[จังหวัดนครราชสีมาไหลเข้าสู่จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณอำเภอราษีไศล ไหลผ่านอำเภอยางชุมน้อย อำเภอเมืองศรีสะเกษ และอำเภอกันทรารมย์ แล้วไหลไปบรรจบ[[แม่น้ำชีที่จังหวัดอุบลราชธานีพื้นที่ทางทิศเหนือของแม่น้ำมูลลักษณะเป็นที่ราบลุ่มมีสภาวะน้ำท่วมขังในฤดูฝน ห้วยทับทัน ไหลมาจากอำเภอบัวเชด [[จังหวัดสุรินทร์ เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษในเขตอำเภออุทุมพรพิสัย ไหลลงไปบรรจบแม่น้ำมูลบริเวณ[[อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ห้วยสำราญ ไหลมาจากเขตอำเภอปรางค์กู่ ผ่านอำเภอเมืองศรีสะเกษ แล้วไหลลงแม่น้ำมูล ที่เขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ ห้วยศาลา เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ดัดแปลงทำเป็นเขื่อนเก็บน้ำที่ไหลมาจากห้วยสำราญและมีต้นน้ำจากห้วยพนมดงรัก สามารถบรรจุน้ำได้สูงสุด 52.5 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ทำการชลประทาน จำนวน 20,400 ไร่ มีน้ำตลอดปี เขื่อนราษีไศล เป็นเขื่อนคอนกรีต มีบานประตูระบายน้ำ 7 บาน กั้นแม่น้ำมูลที่บ้านห้วย-บ้านดอน ตั้งอยู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เขื่อนเริ่มเก็บกักน้ำในปี พ.ศ. 2536", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" }, { "docid": "131686#0", "text": "อุทุมพรพิสัย (ในอดีตเขียน \"อุทุมพรพิไสย\") เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ เป็นอำเภอเก่าแก่ของจังหวัดศรีสะเกษ (แรกเริ่มการก่อตั้งจังหวัดศรีสะเกษมี 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอกันทรารมย์ อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอขุขันธ์ อำเภอราษีไศล และอำเภออุทุมพรพิสัย) เป็นอำเภอที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเคยเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟเยี่ยมพสกนิกรเมื่อครั้งอดีต เป็นอำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงที่สุดของจังหวัดศรีสะเกษ มีอำเภอที่แยกจากอำเภออุทุมพรพิสัยไปแล้ว 4 อำเภอ คือ อำเภอห้วยทับทัน อำเภอบึงบูรพ์ อำเภอเมืองจันทร์ และอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ ", "title": "อำเภออุทุมพรพิสัย" }, { "docid": "7821#67", "text": "จากกรุงเทพมหานครสามารถเดินทางไปยังจังหวัดศรีสะเกษได้ดังนี้ แผนที่เส้นทางคมนาคมทางบกในจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียง", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" }, { "docid": "7821#73", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดศรีสะเกษ ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก ศรีสะเกษ สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย [37] มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา มหาวิทยาลัยปทุมธานี ศูนย์ขุขันธ์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ศูนย์กันทรลักษ์ สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน ศรีสะเกษ", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" }, { "docid": "306664#0", "text": "เทศบาลเมืองศรีสะเกษ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประเภทเทศบาลเมือง ระดับเทศบาลขนาดใหญ่ มีพื้นที่ครอบคลุม 7 ตำบล ในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ภายในเขตเทศบาลเป็นที่ตั้งหน่วยงานการบริหารของอำเภอเมืองศรีสะเกษ รวมทั้งเป็นที่ตั้งศูนย์กลางการบริหาร สถาบันการศึกษา สถานพยาบาลและสาธารณสุข เศรษฐกิจ ตลอดจนการคมนาคมขนส่งของจังหวัดศรีสะเกษ", "title": "เทศบาลเมืองศรีสะเกษ" }, { "docid": "52857#0", "text": "สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ หรือ ศรีสะเกษ เอฟซี เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย ซึ่งเป็นทีมเดิมจากจังหวัดศรีสะเกษแล้วเปลี่ยนชื่อพร้อมกับย้ายสนามเหย้าไปอยู่จังหวัดอุบลราชธานี และในปี 2556 ได้ย้ายกลับคืนสู่จังหวัดศรีสะเกษ", "title": "สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ" }, { "docid": "412415#0", "text": "เทศบาลตำบลปรางค์กู่ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเทศบาลตำบล ขนาดเล็ก อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานตั้งอยู่ถนนวัชรพล 3 หมู่ที่ 4 ตำบลพิมาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เป็น 1 ในจำนวนเทศบาลตำบล 23 แห่งในปัจจุบันของจังหวัดศรีสะเกษ เขตเทศบาลตั้งอยู่ในบริเวณตอนกลาง ด้านตะวันตกของจังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยทางรถยนต์ประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอและหน่วยงานการบริหารราชการระดับภูมิภาคอื่นๆ ของอำเภอปรางค์กู่ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่ง และการสื่อสารของอำเภอ ", "title": "เทศบาลตำบลปรางค์กู่" }, { "docid": "412265#0", "text": "เทศบาลตำบลพยุห์ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเทศบาลตำบล ขนาดเล็ก อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 48/5-6 หมู่ที่ 8 ถนนศรีสะเกษ-กันทรลักษ์ ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยเป็น 1 ในจำนวนเทศบาลตำบล 23 แห่ง ในปัจจุบันของจังหวัดศรีสะเกษ เขตเทศบาลตั้งอยู่ในบริเวณตอนกลางของจังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยทางรถยนต์ประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่ง และการสื่อสารของอำเภอพยุห์ ", "title": "เทศบาลตำบลพยุห์" }, { "docid": "7821#68", "text": "โดยรถยนต์ กรุงเทพมหานคร-ศรีสะเกษ ใช้เส้นทาง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1(ถนนพหลโยธิน) ถึงทางแยกเข้า ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2(ถนนมิตรภาพ) ที่กิโลเมตรที่ 107 แล้วไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ถึงจังหวัดนครราชสีมา แยกทางขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 226 ผ่านจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ จึงถึงจังหวัดศรีสะเกษ รวมระยะทาง 571 กิโลเมตร โดยรถไฟ รายชื่อสถานีรถไฟ สายตะวันออกเฉียงเหนือ|สายตะวันออกเฉียงเหนือ มาลงที่สถานีรถไฟศรีสะเกษ|สถานีศรีสะเกษระยะทาง 515.09 กิโลเมตร โดยรถโดยสารประจำทาง สามารถเดินทางจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ สายตะวันออกเฉียงเหนือ มาลงที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดศรีสะเกษได้โดยตรง โดยเครื่องบิน สามารถเดินทางโดยสายการบินภายในประเทศมายังท่าอากาศยานอุบลราชธานีและเดินทางต่อมายังจังหวัดศรีสะเกษ ด้วยระยะทางอีกประมาณ 70 กิโลเมตร", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" }, { "docid": "426985#2", "text": "ธเนศ เครือรัตน์ ประกอบอาชีพธุรกิจสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัดศรีสะเกษ เคยทำงานการเมืองท้องถิ่น โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ (เขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ) เป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมาได้เข้าสู่งานการเมืองระดับชาติโดยเข้ามารับหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากนั้นได้ลงสู่สนามเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งซ่อมแทน นายบุญชง วีสมหมาย เมื่อปี พ.ศ. 2546 โดยสามารถเอาชนะ นายมานะ มหาสุวีระชัย อดีต ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ได้ ต่อมาได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในสังกัดพรรคพลังประชาชน", "title": "ธเนศ เครือรัตน์" }, { "docid": "365248#1", "text": "นายพิชัย มุขสมบัติ ผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัดศรีสะเกษในขณะนั้น ได้จัดตั้งและหาสถานที่ โดยมอบหมายให้นายสุธี ชินชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัดศรีสะเกษขณะนั้น เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับคณะกรรมการสภาตำบลโพธิ์ นำโดย นายสมบูรณ์ วรรณทวี กำนันตำบลโพธิ์ นายอนันต์ เหล่าแค ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๖ ชาวบ้านโนนกอง บ้านโนนจานและทุกหมู่บ้านในตำบลโพธิ์ ตลอดจนนายสุรพล ชาลีกุลศึกษาธิการอำเภอเมืองศรีสะเกษ นายจรัญ วิมาลา นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ นายชนก ศรีวงษ์รัตน์ ป่าไม้อำเภอเมืองศรีสะเกษและนายจิโรจน์ โชติพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษในขณะนั้น จนได้รับอนุมัติและประกาศจัดตั้ง เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙", "title": "โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ" }, { "docid": "412713#1", "text": "ปัจจุบัน โรงพยาบาลตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ท้องที่ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ บนเนื้อที่ 41 ไร่ บริเวณริมฝั่งลำน้ำห้วยสำราญ อันเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ด้านสุขภาพของประชาชน เพื่อให้บริการในการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ฟื้นฟู และรักษาโรค แก่ชาวจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียงในภูมิภาคอีสานใต้ ตลอดจนผุ้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนั้น ยังเป็นสถาบันการผลิตแพทย์ หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ในฐานะศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง", "title": "โรงพยาบาลศรีสะเกษ" }, { "docid": "525925#5", "text": "พิธีมอบธงในพีธีปิด ดร.ยิ่งยศ อุดรพิมพ์ นายกสมาคมกีฬาจังหวัดมหาสารคาม ได้มอบธงประจำการแข่งขันให้กับ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 30 โดยมอบให้กับ นายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ก่อนมอบต่อไปให้กับ นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานอำนวยการจัดการแข่งขัน ก่อนที่จะส่งต่อไปยัง นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ นายกสมาคมกีฬาจังหวัดศรีสะเกษ นายสนิท ขาวสะอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และส่งให้กับ นายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษเป็นคนสุดท้าย", "title": "กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 29" }, { "docid": "7821#92", "text": "จังหวัดขุขันธ์ โรงพยาบาลศรีสะเกษ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลศรีสะเกษ รายชื่อวัดในจังหวัดศรีสะเกษ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดศรีสะเกษ สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ รายชื่อสาขาของธนาคารในจังหวัดศรีสะเกษ รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดศรีสะเกษ", "title": "จังหวัดศรีสะเกษ" } ]
352
ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกโอแฮร์ สร้างเสร็จเมื่อไหร่?
[ { "docid": "80366#4", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2485-2486 เป็นโรงงานผลิตเครื่องดักลาส ซี-54 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุที่เลือกที่ดินบริเวณนี้ก็เพราะว่าอยู่ใกล้กับตัวเมืองและการคมนาคมขนส่ง ด้วยพื้นที่ขนาด 180,000 ตารางเมตร (ประมาณ 2 ล้านตารางฟุต) ต้องการคมนาคมเข้าออกสะดวกสำหรับแรงงานจากเมืองที่กลายมาเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ และมีทางรถไฟรองรับ ชุมชนออร์คาร์ด เพลส (Orchard Place) เป็นชุมชนเล็กๆที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นมาก่อน จึงเรียกชื่อบริเวณนี้ว่าท่าอากาศยานออร์คาร์ด เพลส/ดักลาส ฟิลด์ (Orchard Place Airport/Douglas Field) ในช่วงระหว่างสงคราม (และเป็นที่มาของรหัส IATA - ORD) และยังเป็นคลังสรรพาวุธของการบิน 803 ซึ่งเก็บเครื่องบินหายาก หรือเครื่องบินรุ่นทดลองไว้ รวมทั้งเครื่องบินของฝ่ายข้าศึกที่ยึดมาได้ โดยเครื่องบินประวัติศาสตตร์เหล่านั้นได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อากาศยานแห่งชาติ (National Air Museum) ในภายหลัง", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" } ]
[ { "docid": "84687#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ () ตั้งอยู่ในพื้นที่ถมทะเล ชานเมืองนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นท่าอากาศยานแห่งใหม่ที่ตั้งขึ้นมาแทนท่าอากาศยานนานาชาติชูบุ (Chubu International Airport) โดยสร้างขึ้นเพื่อรองรับงานเอ็กซ์โป 2005 ที่จังหวัดไอชิ เนื่องจากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่กึ่งกลางประเทศญี่ปุ่น จึงสามารถเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศของประเทศที่สำคัญ มีลักษณะพิเศษคือมีพื้นที่พาณิชยกรรมแยกอยู่บนชั้นหนึ่งของอาคารผู้โดยสาร เรียกว่า แอร์ซิตี (Aircity) ประกอบด้วยพื้นที่ขายของแบบตะวันตก แบบญี่ปุ่น และพื้นที่พักผ่อน เช่น โรงอาบน้ำแร่ ทำให้นอกจากเป็นท่าอากาศยานแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวของประชาชนในจังหวัดไอชิและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเดินทางระหว่างตัวเมืองนาโงยะได้รถไฟฟ้าความเร็วสูง ภายในเวลา 20 นาที", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์" }, { "docid": "80366#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกโอแฮร์ (Chicago O'Hare International Airport) ตั้งอยู่ที่ ชิคาโก, รัฐอิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา ห่างจากตัวเมืองชิคาโกไปทางตัวะนตกเฉียงเหนือ 27 กิโลเมตร (17 ไมล์) เป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ และเป็นท่าอากาศยานรองของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ บริหารงานโดยกรมขนส่งทางอากาศเมืองชิคาโก (City of Chicago Department of Aviation)", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "243809#1", "text": "การก่อสร้างของสนามบินจะเริ่มต้นในปี 2015 ด้วยงบประมาณ 6,740,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ระยะแรกมีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2020 มีความจุผู้โดยสาร 25 ล้านต่อปีและ สินค้า 1.2 ล้านตันต่อปี และจะสร้างทางวิ่งทั้งหมด 2 ทางวิ่งเมื่อระยะที่ 1 เสร็จสมบูรณ์ท่าอากาศยานนานาชาติล็องถั่ญแห่งใหม่นี้จะให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด ในขณะที่ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ตแห่งเดิมจะให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศทั้งหมด โดยแบ่งเป็นสามระยะย่อยตามดังนี้", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติล็องถั่ญ" }, { "docid": "648940#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์ (; ), อยู่ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ ไปทางตอนใต้ 35 กิโลเมตร เป็น 1 ใน 3 ท่าอากาศยานนานาชาติของ ประเทศพม่า สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2542 อีกทั้งยังเป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในประเทศ มีทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ยาวถึง 14,000 ฟุต หรือ 4,268 เมตร ซึ่งถือว่ามีความยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบิน โกลเดนเมียนมาร์แอร์ไลน์", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์" }, { "docid": "80366#3", "text": "ถึงแม้ว่าโอแฮร์จะเป็นท่าอากาศยานหลัก แต่ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานอันดับสอง อยู่ใกล้กับย่านเศรษฐกิจของชิคาโก (Chicago Loop) มากกว่า", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "759791#5", "text": "รถไฟในเมืองชิคาโกมีการเชื่อมต่อเข้ากับท่าอากาศยานทั้งสองแห่ง โดยจากในเมืองชิคาโกสามารถเดินทางไปยังท่าอากศยานนานาชาติโอแฮร์ทางสายสีน้ำเงินโดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที และจากเมืองชิคาโกไปท่าอากาศยานมิดเวย์ใช้สายสีส้มใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที นับจากเขตชิคาโกลูปเขตธุรกิจกลางเมืองชิคาโก", "title": "การขนส่งในชิคาโก" }, { "docid": "911593#5", "text": "ส่วนทางอากาศยาน มีท่าอากาศยานนานาชาติมักตันเซบู ตั้งอยู่ที่เมืองลาปูลาปู เป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารหนาแน่นอันดับที่ 2 ของประเทศ (รองจากท่าอากาศยานนานาชาตินินอย อากีโน) และเป็นเพียง 1 ใน 3 แห่งบนหมู่เกาะวิซายัส ที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ (อีกสองแห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติคาลีโบ และท่าอากาศยานนานาชาติอีโลอีโล) ท่าอากาศยานมักตันเซบูยังเป็นฐานการบินหลักของเซบูแปซิฟิกและฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ ที่มีจุดหมายปลายทางทั้งในและนอกประเทศ", "title": "เขตกิตนางคาบีซายาอัน" }, { "docid": "720453#10", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นทุก ๆ ปี โดยอาคารผู้โดยสารหลังล่าสุด ก่อสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2006 และการขยายทางวิ่ง ก่อสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2008 อาคารที่ได้รับการปรับปรุง มีรูปแบบคล้ายกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1998", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง" }, { "docid": "20671#13", "text": "ในช่วงก่อนที่รันเวย์ที่สองของสนามบินนานาชาติโตเกียวแห่งใหม่จะสร้างเสร็จ หรือชื่อในปัจจุบันคือ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ สายการบินจากไต้หวันจะต้องบินไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว (รู้จักกันในชื่อ \"สนามบินฮะเนะดะ\") เพื่อหลีกให้กับสายการบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่บินไปลงที่นะริตะ และเช่นเดียวกับสายการบินอื่น ๆ เจแปนแอร์ไลน์ก็ได้จัดตั้งสายการบินลูกชื่อ เจแปนเอเชียแอร์ไลน์ เพื่อบินในเส้นทางไต้หวันแทน", "title": "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสาธารณรัฐจีน" }, { "docid": "53318#9", "text": "จากการสำมะโนประชากรในปี พ.ศ. 2548 จังหวัดโอซากะมีประชากร 8,817,166 คน เพิ่มขึ้นจากการสำมะโนประชากรในปี พ.ศ. 2543 จำนวน 12,085 คน หรือร้อยละ 0.14จังหวัดโอซากะ มีการคมนาคมที่ทันสมัย มีท่าอากาศยานนานาชาติอยู่สองแห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ และ ท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ และยังมีรถไฟความเร็วสูงชิงกันเซ็งวิ่งผ่าน โดยจะจอดที่สถานีชินโอซากะ ไม่ไกลจากตัวเมือง ส่วนการคมนาคมทางเรือก็สะดวกสบาย สามารถโดยสารเรือไปได้ทั้งในและต่างประเทศสัญลักษณ์ของจังหวัดโอซากะ คือ sennari byōtan หรือ พันน้ำเต้า ซึ่งเคยเป็นตราของไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้ปกครองผู้สร้างปราสาทโอซากะ", "title": "จังหวัดโอซากะ" }, { "docid": "82312#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ (Chicago Midway International Airport) หรือเรียกโดยทั่วไปว่า สนามบินมิดเวย์ ตั้งอยู่ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 13 กิโลเมตร เป็นท่าอากาศยานรองของสายการบินเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ และแอร์ทรานแอร์เวย์", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์" }, { "docid": "63591#17", "text": "ภายหลังเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง รัฐบาลได้เห็นความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา–พัทยา ให้มากขึ้น จึงได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ โดยใช้รูปแบบใกล้เคียงกับท่าอากาศยานพิษณุโลก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังจังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด อาคารเหล่านี้จะเริ่มก่อสร้างปี พ.ศ. 2558 แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2563", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (ระยอง–พัทยา)" }, { "docid": "440737#6", "text": "ประเทศมาเลเซีย กัวลาลัมเปอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ฐานการบินหลัก ปีนัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง ฐานการบินหลัก ยะโฮร์บาห์รู - ท่าอากาศยานนานาชาติเซนัยฐานการบินหลัก โกตากีนาบาลู - ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู ฐานการบินหลัก อลอร์สตาร์ - ท่าอากาศยานอลอร์สตาร์ บินตูลู - ท่าอากาศยานบินตูลู โกตาบารู - ท่าอากาศยานสุลตานอิสมาอีล เปตรา กัวลาเตอเริงกานู - ท่าอากาศยานกัวลาเตอเริงกานู ลาบวน - ท่าอากาศยานลาบวน มีรี - ท่าอากาศยานมีรี กูชิง - ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง ซันดากัน - ท่าอากาศยานซันดากัน ซิบู - ท่าอากาศยานซิบู ตาเวา - ท่าอากาศยานตาเวา เกาะลังกาวี - ท่าอากาศยานนานาชาติลังกาวี ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร - ท่าอากาศยานดอนเมือง ภูเก็ต - ท่าอากาศยานภูเก็ต หาดใหญ่ - ท่าอากาศยานหาดใหญ่ กระบี่ - ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ เชียงใหม่ - ท่าอากาศยานเชียงใหม่ พัทยา - ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อุดรธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ประจวบคีรีขันธ์ - ท่าอากาศยานหัวหิน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย บันดาอาเจะฮ์ - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่านอีสกันดาร์มูด้า เมดาน - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลานามู เปกันบารู - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่าน Syarif Qasim ปาดัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาดัง ปาเล็มบัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาเล็มบัง จาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา บันดุง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮุสเซอิน ซัสตราเนการ่า ยอกยาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติอดิสุจิบโต เซมารัง - ท่าอากาศยานนานาชาติ Achmad Yani สุราบายา - ท่าอากาศยานนานาชาติจวนดา บาหลี - ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร เดนปาซาร์ ลอมบอก - ท่าอากาศยานนานาชาติลอมบอก บาลิก์ปาปัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบาลิก์ปาปัน มากัซซาร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติมากัซซาร์ อูจุง ปาดัง โซโล (สุราการ์ตา) - ท่าอากาศยานนานาชาติโซโล(Adisumarmo) สาธารณรัฐสิงคโปร์ สิงคโปร์ - ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี ประเทศบรูไน บันดาร์เซอรีเบอกาวัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบันดาร์เซอรีเบอกาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ กรุงมะนิลา - สนามบินนานาชาติคลาร์ค ประเทศพม่า ย่างกุ้ง - ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง ประเทศลาว เวียงจันทน์ - ท่าอากาศยานนานาชาติวัตไต สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ฮานอย - ท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบ โฮจิมินห์ซิตี - ท่าอากาศยานนานาชาติเติ่นเซินเญิ้ต ประเทศกัมพูชา พนมเปญ - ท่าอากาศยานนานาชาติโปเชนตง เสียมราฐ - ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ สาธารณรัฐประชาชนจีน กวางโจว - ท่าอากาศยานนานาชาติกวางโจวไป๋หยุน กุ้ยหลิน - ท่าอากาศยานนานาชาติกุ้ยหลิน เซินเจิ้น - ท่าอากาศยานนานาชาติเซินเจินบาวอัน หนานหนิง - ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง คุนหมิง - ท่าอากาศยานนานาชาติคุนหมิงอูเจียป้า เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ฮ่องกง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง เขตบริหารพิเศษมาเก๊า มาเก๊า - ท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า สาธารณรัฐจีน ไทเป - ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถาหยวน ประเทศอินเดีย โกลกาตา - ท่าอากาศยานนานาชาติเนตาจิสุภาสจันทรโภส เจนไน - ท่าอากาศยานนานาชาติเชนไน บังคาลอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติบังคาลอร์ โคชิ - ท่าอากาศยานนานาชาติโกชิ ติรุจิรัปปัลลิ - ท่าอากาศยานนานาชาติติรุจิรัปปัลลิ", "title": "แอร์เอเชีย" }, { "docid": "267833#6", "text": "มหานครโตเกียวได้ตั้งกองทุนสำรองจำนวน 400 พันล้านเยน (มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกครั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาความจุของท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว และท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะ เพื่อที่จะขยายให้รองรับการแข่งขันครั้งนี้ รวมถึงโครการสร้างรางรถไฟสายใหม่ ซึ่งมีการวางแผนที่จะเชื่อมโยงสนามบินทั้งสองจะสิ้นสุดที่สถานีรถไฟโตเกียว เพื่อลดระยะเวลาการเดินทางจากสถานีรถไฟโตเกียวไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียวจาก 30 นาที เหลือ 18 นาที และจากสถานีรถไฟโตเกียวไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะจาก 55 นาที เหลือ 36 นาที โดยโครงการนี้ต้องใช้งบประมาณ 400 พันล้านเยน นอกจากภาครัฐแล้ว ภาคเอกชนยังสนับสนุนการลงทุนอีกด้วย แต่บริษัทรถไฟอีสต์ เจอาร์ ก็ยังมีการวางแผนเส้นทางรถไฟใหม่จากสถานีรถไฟทามาชิไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียวด้วยเช่นกัน กองทุนนี้ยังมีการวางแผนที่จะเร่งโครงการทางพิเศษชุโตะ ทางพิเศษโตเกียวไงคัน ทางพิเศษเคนโอะ และปรับปรุงทางด่วนอื่นๆในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายระบบคมนาคมไร้คนขับ (สายยุริกะโมะเมะ) จากสถานีที่มีอยู่คือ สถานีโทะโยะซุ ไปยังอาคารใหม่ของสถานีคาจิโดกิ ซึ่งผ่านหมู่บ้านนักกีฬา แม้ว่ายุริกะโมะเมะยังไม่สามารถที่จะให้บริการ ซึ่งเพียงพอต่อการใช้บริการเป็นจำนวนมากในเขตโอะไดบะ ที่เป็นหนึ่งในพื้นที่บริการของยุริกะโมะเมะ", "title": "โอลิมปิกฤดูร้อน 2020" }, { "docid": "77097#0", "text": "ออลนิปปอนแอร์เวย์ (All Nippon Airways) หรือ บริษัท เดินอากาศเซ็งนิปปง มหาชนจำกัด () หรือย่อว่า ANA เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และมีท่าอากาศยานหลักนานาชาติคือ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ และ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (โอซาก้าใต้) และมีท่าอากาศยานหลักภายในประเทศคือ ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว ท่าอากาศยานนานาชาติโอซะกะ ท่าอากาศยานชูบุเซ็นแทรร์ (นาโกย่า) และ ท่าอากาศยานชินชิโตเสะ (ซัปโปโร)", "title": "ออล นิปปอน แอร์เวย์" }, { "docid": "80366#13", "text": "นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโก/ร็อคฟอร์ด ในเมืองร็อคฟอร์ด ที่มีความพยายามเสนอตัวเป็นทางเลือกเพื่อลดความแออัดของโอแฮร์ ปัญหาที่สำคัญของท่าอากาศยานแห่งนี้ก็คือ การจราจรระหว่างท่าอากาศยานกับโอแฮร์กับตัวเมืองชิคาโก ที่ยังไม่พร้อมที่ระรองรับการขยายตัว แต่นายกเทศมนตรีคนปัจจุบันของเมืองร็อคฟอร์ด แลร์รี่ มอร์ริสซีย์ ก็ได้เร่งสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงระหว่างชิคาโก/ร็อคฟอร์ดและโอแฮร์ เพื่อสร้างโอกาสของท่าอากาศยานในอนาคต", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "80366#14", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติเจเนรัลมิตเชลล์ ในมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน เป็นท่าอากาศยานอีกแห่งหนึ่งที่เสนอตัวเป็นทางเลือกของเมืองชิคาโก และเมืองทางตอนเหนือของอิลลินอยส์ และยังมีระบบรถไฟแอมแทร็ก เชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานมิตเชลล์และเมืองชิคาโกอยู่แล้ว", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "581030#0", "text": "ชิคาโก แอล สายสีส้ม เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนหนึ่งของชิคาโก แอล มหานครชิคาโก มีระยะทาง (เวลาในการเดิน 35 นาที) เส้นทางระดับดินและยกระดับ เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 63,037 คน", "title": "ชิคาโก แอล สายสีส้ม" }, { "docid": "86147#2", "text": "บรันเดินบวร์คมีโรงเรียน 977 โรง (ไม่รวมสถาบันอุดมศึกษา) ในปีการศึกษา 2006/2007 มีนักเรียน 313,000 คน ครู 19,000 คนบรันเดินบวร์คใช้สนามบินสามแห่งร่วมกันกับเบอร์ลิน ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินเทเกิล, ท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินเท็มเพิลโฮฟ และท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินเชอเนอเฟ็ลท์ โดยท่าอากาศยานเชอเนอเฟ็ลท์กำลังอยู่ในการก่อสร้างเพิ่มเติม เมื่อแล้วเสร็จจะกลายเป็นท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินบรันเดินบวร์ค โดยท่าอากาศยานเทเกิลและเท็มเพิลโฮฟจะปิดตัวลงหลังจากการเปิดใช้ท่าอากาศยานเบอร์ลินบรันเดินบวร์ค", "title": "รัฐบรันเดินบวร์ค" }, { "docid": "759791#1", "text": "ชิคาโกมีสนามบินขนาดใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ และ ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ และท่าอากาศยานพาณิชย์ขนาดเล็กอีกหลายแห่งโดยรอบ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติแกรี/ชิคาโก และ ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกร็อกฟอร์ด และลานเฮลิคอปเตอร์สาธารณะ ชิคาโกเวอร์ทีพอร์ต", "title": "การขนส่งในชิคาโก" }, { "docid": "80366#12", "text": "ในปีพ.ศ. 2538 เมืองชิคาโก และเมืองแกรี่ ในรัฐอินดีแอนา ได้จับมือกันตั้งกรรมการบริหารท่าอากาศยานนานาชาติแกรี่/ชิคาโกขึ้นมาปรับปรุงท่าอากาศยานแห่งนี้ขึ้นมาเป็นท่าอากาศยานอันดับ 3 ที่รองรับเมืองชิคาโก แต่แผนปฏิบัตินี้มีขนาดเล็กกว่าข้อเสนอปรับปรุงท่าอากาศยานอับบราฮัม ลินคอล์น แต่แกรี่/ชิคาโกก็มีความพร้อมตรงที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าชิคาโกมิดเวย์ รวมทั้งมีทางวิ่งให้บริการที่ยาวกว่าทางวิ่งที่ยาวที่สุดของชิคาโกมิดเวย์ อย่างไรก็ตามรัฐบาลรัฐอิลลินอยส์ก็ไม่ได้เห็นพ้องกับเมืองชิคาโกเท่าใดนัก มีเพียงผู้ว่าการรัฐอินเดียนา มิตช์ แดเนียลส์ ที่ให้การสนับสนุนเงินทุนพัฒนาท่าอากาศยาน ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างขยายขนาดทางวิ่งอยู่ และองค์กรการบินสหรัฐอเมริกา (FAA) ก็เห็นชอบกับโครงการนี้ และเห็นความจำเป็นในการขยายขีดความสามารถทั้งของโอแฮร์ และแกรี่/ชิคาโก เพื่อรองรับเมืองชิคาโก", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "63118#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี หรือ สนามบินอุดรธานี () ตั้งอยู่ในตัวเมืองของ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ตัวสนามบินตั้งอยู่ในเขตทหารกองทัพอากาศ (กองบิน 23) ท่าอากาศยานอุดรธานีเป็นท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ท่าอากาศยานอุดรธานีได้รับการปรับปรุงและสร้างอาคารผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีกและเชื่อมต่อกับตัวอาคารเดิมโดยได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในการปรับปรุง สร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2549 ตัวจังหวัดอยู่ห่างจาก กรุงเทพมหานคร 564 กิโลเมตร ", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี" }, { "docid": "80366#9", "text": "เมืองชิคาโกได้อนุมัติวงเงินทุน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของท่าอากาศยานอีกร้อยละ 60 และลดความล่าช้าลงประมาณร้อยละ 79[6] โดยแผนงานนี้ได้รับอนุมัติจากการท่าอากาศยานสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเกี่ยงข้องกับการขยายพื้นที่ของท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร โดยจะมีทางวิ่ง 4 เส้น ที่สร้างเพิ่ม และรื้อถอนออกไป 3 เส้น ซึ่งจะทำให้มีทางวิ่งขนานกันทั้งหมด 8 เส้น คล้ายกับกรณีของดัลลาส โดยจะทำให้โอแฮร์ขยายขีดความสามารถที่จำกัดเพื่อที่โอแฮร์จะไม่เพลี้ยงพล้ำให้กับท่าอากาศยานใดๆ ในกรณีของจำนวนผู้โดยสารในอนาคต แผนการปรับปรุงนี้ได้เริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว หลังจากที่เกิดความล่าช้ามานาน และทางวิ่งใหม่เส้นแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2551-2552 และจะขยายอาคารผู้โดยสาร 3 และ 5 ส่วนอาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะตั้งอยู่สุดทางฝั่งตะวันตกของพื้นที่ พร้อมกับทางเข้าออกใหม่ อย่าไรก็ตามจะต้องมีการเวนคืนที่ดินบางส่วน ประมาณ 2,800 ครัวเรือน โครงการนี้จะทำให้ท่าอากาศยานแห่งนี้สามารถรองรับการจราจรได้มากกว่า 3,800 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 2,700 เที่ยวบินต่อวัน และจะทำให้ความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "93408#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถา-ยฺเหวียน (จีนตัวเต็ม: 台灣桃園國際機場 หรือ 臺灣桃園國際機場, ไต้หวันพินอิน: Táiwan Táoyuán Gúojì Jicháng, พินอิน: Táiwān Táoyuán Gúojì Jīcháng) เดิมคือท่าอากาศยานนานาชาติเจียงไคเช็ก (จีนตัวเต็ม: 中正國際機場, ไต้หวันพินอิน: Jhongjhèng Gúojì Jicháng, พินอิน: Zhōngzhèng Gúojì Jīcháng) ตั้งอยู่ที่เมืองเถา-ยฺเหวียน ในเขตไต้หวัน ประเทศสาธารณรัฐจีน เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐจีน และเป็นท่าอากาศยานหลักของไชน่าแอร์ไลน์ และอีวีเอแอร์ โดยอาคาร 1 รองรับผู้โดยสารได้ 15ล้านคน อาคาร 2 รองรับผู้โดยสารได้ 17ล้านคน รวมกันได้ 32ล้านคนต่อปี\nปัจจุบันอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานไต้หวันเถาหยวนรองรับรวมได้ 32 ล้านคน โดยในอนาคตจะ มีแผนจะสร้างอาคาร 4 เป็นแบบอาคารขนาดเล็กที่สามารถรองรับได้ 5ล้านคน ก่อนที่จะ มีการก่อสร้างอาคารผุ้โดยสารอาคาร 3 โดยสามารถรองรับเพิ่มเติมได้ อีก 8ล้านคน เมื่อโครงการเสร็จสิ้นจะสามารถรองรับได้มากถึง 45 ล้านคนในอนาคต และในปี พศ 2576(คศ 2042) จะสามารถพัฒนาได้มากถึง 86ล้านคนพร้อมกับการสร้างรันเวย์ที่ 3", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถา-ยฺเหวียน" }, { "docid": "5484#23", "text": "ภายในโตเกียวมีท่าอากาศยานนานาชาติฮาเนดะ (โตเกียว) ซึ่งให้บริการเที่ยวบินในประเทศเป็นส่วนใหญ่และเป็นสนามบินที่มีจำนวนผู้ใช้บริการมากที่สุดในเอเชีย[30] ท่าอากาศยานนานาชาติหลักคือท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะซึ่งอยู่ในจังหวัดชิบะ เกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอิซุก็มีสนามบินของตนเอง เช่น ท่าอากาศยานฮาจิโจจิมะ ท่าอากาศยานมิยาเกจิมะ ท่าอากาศยานโอชิมะ และมีเที่ยวบินมายังสนามบินฮาเนดะ แต่หมู่เกาะโองาซาวาระยังไม่มีสนามบิน เพราะมีข้อโต้แย้งว่าไม่ควรสร้างสนามบินเพราะจะเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติของเกาะ[31]", "title": "โตเกียว" }, { "docid": "80366#5", "text": "สัญญาของบริษัทดักลาส แอร์คราฟต์ สิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2488 และแม้ว่าตามแผนการจะสร้างที่ผลิตเครื่องบินพาณิชย์ แต่บริษัทก็เลือกที่ผลิตจากทางภาคตะวันตกมากกว่า และถึงแม้บริษัทดักลาสจะออกจากพื้นที่ไป แต่ชื่อของท่าอากาศยานยังคงใช้ท่าอากาศยานออร์คาร์ด เพลส และในปีพ.ศ. 2488 นั้นเอง เมืองชิคาโกได้เข้ามาใช้พื้นที่แห่งนี้สำหรับรองรับความต้องการการบินในอนาคต และถึงแม้ว่ารหัสสนามบิน IATA จะยังคงใช้ ORD ที่มีที่มาจากชื่อเดิม แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานใหม่ในปีพ.ศ. 2492 ตามชื่อของ เอ็ดเวิร์ด บุตช์ โอแฮร์ (Edward \"Butch\" O'Hare) นักบินเครื่องบินรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ซึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal of Honor", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "818552#0", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติอัสมาตี (, , \"Mezhdunarodnyy Aeroport Almaty\") เป็นท่าอากาศยานนานาชาติของคาซัคสถาน ห่างจากกรุงอัลมาตีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ท่าอากาศยานนานาชาติมีการขนส่งผู้โดยสารถึงร้อยละ 68 ในคาซัคสถาน ในปี 2012 ท่าอากาศยานนานาชาติได้รองรับผู้โดยสารเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,003,004 คน", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติอัลมาตี" }, { "docid": "80366#6", "text": "จนกระทั่งช่วงต้นทศวรรษ 1950 (พ.ศ. 2493) ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ซึ่งเป็นท่าอากาศยายหลักของชิคาโกมาตั้งแต่พ.ศ. 2474 นั้นคับแคบและหนาแน่น แม้ว่าจะได้มีการขยายแล้วก็ตาม และยังไม่สามารถรองรับเครื่องบินเจ็ตรุ่นใหม่ได้ เมืองชิคาโกและการท่าอากาศยานสหรัฐอเมริกา (FAA) หันมาพัฒนาโอแฮร์ให้เป็นท่าอากาศยานหลักของชิคาโกแทน เที่ยวบินพาณาชย์เที่ยวแรกเริ่มให้บริการในปีพ.ศ. 2498 หลังจากนั้นได้สร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขึ้นในปีพ.ศ. 2501 แต่เที่ยวภายภายในประเทศเส้นทางหลักยังคงใช้ที่มิดเวย์จนกระทั่งการขยายของโอแอร์แล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2505 การย้ายที่บินภายในประเทศจากมิดเวย์มายังโอแฮร์ ทำให้โอแฮร์กลายเป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดของโลก รองรับผู้โดยสาร 10 ล้านคนต่อปี และในระยะเวลาเพียง 2 ปี จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในปีพ.ศ. 2540 จำนวนผู้โดยสารถึงระดับ 70 ล้านคน และขณะนี้เพิ่มเป็น 80 ล้านคนต่อปี", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์" }, { "docid": "82312#1", "text": "ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์รองรับผู้โดยสาร 18,868,388 คน ในปีพ.ศ. 2549 ทำให้เป็นท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของชิคาโก เป็นรองจากท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ และอยู่เหนือกว่าท่าอากาศยานนานาชาติแกรี/ชิคาโก และท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโก/ร็อคฟอร์ด", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์" }, { "docid": "705115#3", "text": "ท่าอากาศนานาชาติฮาหมัด ออกแบบเพื่อรองรับการขยายตัวของปริมาณการจราจรทางอากาศในอนาคต ในชั้นแรกสามารถรองรับผู้โดยสารเริ่มต้นที่ 29 ล้านคนต่อปี เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์รองรับปริมาณผู้โดยสารเป็น 50 ล้านคนต่อปี แม้จะมีบางคำแนะนำให้ให้สร้างสนามบินที่รองรับปริมาณคนถึง 93 ล้านคนต่อปีก็ตาม ทำให้ที่นี่กลายเป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่อันดับสองของภูมิภาคตะวันออกกลางรองจาก ดูไบ นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าท่าอากาศยานแห่งนี้จะรองรับเที่ยวบินได้ 320,000 เที่ยว และสินค้า 2 ล้านตันต่อปี มีพื้นที่ตรวจบัตรโดยสารและจำหน่ายสินค้ามาเป็นอันดับที่ 12 ของสนามบินในปัจจุบัน ท่าอากาศยานมีขนาดเป็น 2 ใน 3 ของกรุงโดฮา ", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาหมัด" } ]
279
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สิ้นพระชนม์เมื่อไหร่?
[ { "docid": "814997#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต</b>เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 นาฬิกา ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช รัฐบาลประกาศไว้ทุกข์ถวายความอาลัยเป็นเวลา 1 ปี สำนักพระราชวังมีหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึง 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง คณะรัฐมนตรีมีมติประกาศให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตและวันหยุดราชการเพื่อให้ประชาชนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ[1] [2] และได้กำหนดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้นในวันที่ 25 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560[3] รวมถึงได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[4]", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" } ]
[ { "docid": "854114#22", "text": "พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตรวจความพร้อมและซักซ้อมการยกนพปฎลมหาเศวตฉัตรประดับยอดพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อให้พระราชพิธีเป็นไปด้วยควาเรียบร้อย สมพระเกียรติ ตามที่กรมศิลปากร และกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จฯ ไปทรงยกนพปฎลมหาเศวตฉัตรประดับยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง", "title": "การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#38", "text": "พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดเพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยรัฐบาลกำหนดวันพระราชพิธีระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 และได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[90]", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "384639#10", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระศพบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยราชสักการะพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับขวดน้ำพระสุคนธ์จากคุณเพ็ญศรี เขียวมีส่วน ถวายสรงที่พระศพ แล้วทรงคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์และโถน้ำขมิ้นจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือนถวายสรงที่ตรงพระอุระพระศพ ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหวีพระเกศาพระศพขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วทรงหวีลงอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วทรงหักพระสางนั้นวางไว้ในพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่ จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระราชอาสน์ที่นอกพระฉาก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บรรดาราชนิกูล ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คณะองคมนตรี ได้ขึ้นไปยังพระที่นั่งพิมานรัตยา จากนั้นเจ้า​พนักงาน​เชิญ​ผ้าไตร 86 ไตร ถวาย​ทรง​จบ นาย​แก้ว​ขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการ​พระราชวัง กราบบังคมทูลพระกรุณาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไป​ทรง​พระราชทานซองพระศรีบรรจุดอกบัวและธูปเทียนที่ปากพระโกศ แล้วทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ ทรงรับพระชฎาทองคำวางข้างพระเศียรพระศพ แล้วเสด็จออกไปประทับพระราชอาสน์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่พระโกศ ตำรวจหลวงเชิญพระโกศพระศพไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินตาม ตำรวจหลวงเชิญพระโกศพระศพขึ้นประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระลองทองใหญ่ ภายใต้เศวตฉัตร 5 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องสูงทองแผ่ลวด บังแทรก ชุมสาย ต้นไม้ทองเงิน ณ มุขตะวันตก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "544827#4", "text": "วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เวลา 17.09 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง ถึงยังพระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ในการถวายสรงน้ำพระศพ โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ เฝ้าฯรับเสด็จ เมื่อรถยนต์พระที่นั่งเทียบที่ประตูพระที่นั่งทรงธรรมแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯขึ้นสู่พระที่นั่งทรงธรรม และเสด็จฯเข้าภายในพระฉาก พระศพบรรทมอยู่บนพระแท่น โดยทรงชุดไทยจิตรลดาสีฟ้าอ่อน", "title": "การสิ้นพระชนม์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" }, { "docid": "267041#13", "text": "ลำดับรูปรายพระนาม/รายนามเริ่มวาระสิ้นสุดวาระหมายเหตุพระสุธรรมวินิจฉัย (ชม วณิกเกียรติ)9 มิถุนายน พ.ศ. 248916 มิถุนายน พ.ศ. 2489เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเป็นการชั่วคราว[8]พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์)9 มิถุนายน พ.ศ. 248916 มิถุนายน พ.ศ. 2489เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเป็นการชั่วคราว[8]สงวน จูฑะเตมีย์9 มิถุนายน พ.ศ. 248916 มิถุนายน พ.ศ. 2489เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเป็นการชั่วคราว[8]พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร16 มิถุนายน พ.ศ. 2489[9]7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)คณะอภิรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490[10]23 มกราคม หรือ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ได้ให้อำนาจในการจัดตั้งคณะอภิรัฐมนตรี คณะฯ ประกอบด้วย 1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระชัยนาทนเรนทร 2. พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร 3. พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ 4. พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) 5. หลวงอดุลเดชจรัส (อดุล อดุลเดชจรัส) (บัตร พึ่งพระคุณ) คณะฯ ยุบเลิกไปเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มีผลบังคับใช้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร23 มิถุนายน พ.ศ. 2492[11]พ.ศ. 24924 มิถุนายน พ.ศ. 2493[12]7 มีนาคม พ.ศ. 2494ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สิ้นพระชนม์ขณะดำรงตำแหน่งพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร12 มีนาคม พ.ศ. 2494[13]19 ธันวาคม พ.ศ. 2495สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี22 ตุลาคม พ.ศ. 2499[14]5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระผนวช ซึ่งภายหลังได้มีการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี18 ธันวาคม พ.ศ. 2502[15]21 ธันวาคม พ.ศ. 2502ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐเวียดนาม8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503[16]16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย2 มีนาคม พ.ศ. 2503[17]5 มีนาคม พ.ศ. 2503ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหภาพพม่า14 มิถุนายน พ.ศ. 2503[18]พ.ศ. 2503ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในทวีปยุโรป11 มีนาคม พ.ศ. 2505[19]22 มีนาคม พ.ศ. 2505ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน20 มิถุนายน พ.ศ. 2505[20]27 มิถุนายน พ.ศ. 2505ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหพันธรัฐมาลายา17 สิงหาคม พ.ศ. 2505[21]13 กันยายน พ.ศ. 2505ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนนิวซีแลนด์และเครือรัฐออสเตรเลียพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (ประธานองคมนตรี)27 พฤษภาคม พ.ศ. 2506[22]8 มิถุนายน พ.ศ. 2506ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐจีน9 กรกฎาคม พ.ศ. 2506[23]14 กรกฎาคม พ.ศ. 2506ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี12 กันยายน พ.ศ. 2507[24]6 ตุลาคม พ.ศ. 2507ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนราชอาณาจักรกรีซ และสาธารณรัฐออสเตรีย15 กรกฎาคม พ.ศ. 2509 [25]กันยายน พ.ศ. 2509ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหราชอาณาจักร23 เมษายน พ.ศ. 2510[26]30 เมษายน พ.ศ. 2510ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนจักรวรรดิอิหร่าน6 มิถุนายน พ.ศ. 2510[27]พ.ศ. 2510ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดา", "title": "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "814997#59", "text": "สปริงกรุ๊ป ได้จัดทำสมุดภาพเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ชุดสรรเสริญพระบารมี จำนวน 2 เล่ม เล่มแรกมีตอนเดียวคือ \"นพพระภูมิบาล\" ส่วนเล่มที่ 2 มี 4 ตอน คือ \"เอกบรมจักริน\" \"พระสยามินทร์\" \"พระยศยิ่งยง\" ซึ่งในสมุดภาพทั้งสองเล่มรวมสี่ตอนนี้จะเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และตอนพิเศษ \"ยงยศยงศักดา มหาวชิราลงกรณ\" ซึ่งเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รวมถึงยังได้รวบรวมเพลงสรรเสริญพระบารมีจำนวน 9 รูปแบบ มาไว้ในสมุดภาพเล่มที่ 2 ด้วย โดยผ่านการคัดสรรจากหน่วยงาน องค์กร และบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชแล้ว[106][107]", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "12935#18", "text": "ในทุกๆ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา แม้พระราชกรณียกิจนี้จะเป็นภาระแก่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์มาก แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็มีพระราชกระแสรับสั่งให้คงพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยเอกชนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชทานแทนพระองค์", "title": "พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "1901#24", "text": "เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพล แปลกได้ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อขอให้ทรงสนับสนุนรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเตือนจอมพล แปลกว่าขอให้ลาออกจากตำแหน่งเสียเพื่อมิให้เกิดรัฐประหาร แต่จอมพล แปลกปฏิเสธ เย็นวันดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทันที และสองชั่วโมงหลังจากการประกาศยึดอำนาจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และได้มีโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระบรมราชโองการฉบับหลังมีความว่า", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "853762#33", "text": "ด้านหน้า พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศจอมทัพ ฉลองพระองค์บรมราชภูษิตาภรณ์ ทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และสายสร้อยจุลจอมเกล้า ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่าง มีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช", "title": "พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "12935#13", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีความห่วงใยประชาชนชาวไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าปัญหาในด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนนั้น เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังพระราชดำรัสที่ว่า \"ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือพลเมืองนั่นเอง\" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นห่วง และเอื้ออาทรต่อทุกข์สุขของพสกนิกรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะความทุกข์ของไพร่ฟ้าจากพยาธิภัย ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ทุกครั้ง พระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ ทั้งแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่างๆ และแพทย์อาสาสมัคร โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้รักษาผู้ป่วยไข้ได้ทันที นอกเหนือจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังได้ริเริ่มหลายโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้\nพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราโชวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ตอนหนึ่งว่า \nนับเป็นพระราชดำรัสที่แสดงถึงความตั้งพระทัยในการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของราษฎรอย่างแท้จริง ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยึดมั่นที่จะสืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนก \"พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย\" และสมเด็จพระบรมราชชนนี \"พระมารดาของการแพทย์ชนบท\" ในการที่จะให้ประชาชนชาวไทยได้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติสืบไป", "title": "พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "1901#92", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นผู้ที่ได้รับมอบถวายปริญญากิตติมศักดิ์มากเป็นสถิติโลกถึง 176 ฉบับ ใน พ.ศ. 2555 โดยทรงได้รับมอบถวายจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ชื่อพรรณไม้ ภูมิพลินทร์ หมายถึง \"พรรณไม้ที่เป็นศรีสง่าแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช\"", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "12935#21", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญา ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ มากมาย โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของพสกนิกรเป็นหลัก ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์ทรงให้ทุกอย่างกับพสกนิกรและชาติบ้านเมือง ทรงงานอย่างหนักเสียสละประโยชน์สุขส่วนพระองค์ ตรากตรำพระวรกายอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เพียงเพื่อมุ่งหวังให้พสกนิกรทั่วราชอาณาจักรมีความสงบร่มเย็นและมีความกินดีอยู่ดี พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยนั้น...ใหญ่หลวงนัก สมดังที่ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า \"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม\"", "title": "พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "196315#15", "text": "วันเดียวกัน เวลา 21.42 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ยังมณฑลพระราชพิธีฯ เมื่อรถพระที่นั่งเทียบที่หน้าพระที่นั่งทรงธรรม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่เตาพระราชทานเพลิงทางทิศตะวันออกของพระจิตกาธาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเปลื้องผ้าคลุมหีบพระศพ และทรงสรงน้ำมะพร้าวแก้วที่หีบพระศพ เจ้าพนักงานเชิญหีบพระศพเข้าสู่เตา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงจุดดอกไม้จันทน์พระราชทานเพลิงพระศพ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดา และร้อยเอกจิทัศ ศรสงคราม พระนัดดา ถวายดอกไม้จันทน์ เสร็จแล้วสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานดอกไม้จันทน์ และถวายดอกไม้จันทน์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินลงจากพระเมรุขึ้นสู่พระที่นั่งทรงธรรม เจ้าพนักงานปิดฉากบังเตา พระวิสูตร และฉากบังเพลิง เพื่อถวายการพระราชทานเพลิงพระศพ จากนั้น คณะนักแสดงที่จะแสดงหน้าพระเมรุ เข้าถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และถวายบังคมพระศพตามลำดับ", "title": "พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์" }, { "docid": "544827#5", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะพระศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดข ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์และโถน้ำขมิ้นจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือนพระราชทานสรงที่ตรงพระอุระพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับโถน้ำพระสุคนธ์ ถวายสรงที่พระบาทพระศพ แล้วทรงคมต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงหวีพระเกศาพระศพขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วทรงหวีลงอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วทรงหักพระสางนั้นวางไว้บนพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่ จากนั้นเสด็จประทับราบกับพระบรมวงศานุวงศ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และพระประยูรญาติกราบถวายบังคมพระศพ ​พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯไป​​พระราชทานซองพระศรีบรรจุดอกบัวและธูปเทียนที่ปากพระโกศ แล้วทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ ทรงรับพระชฎาทองคำสวมพระเศียรพระศพ แล้วเสด็จฯออกไปประทับพระราชอาสน์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่พระโกศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯตามพระโกศ ตำรวจหลวงเชิญพระโกศพระศพขึ้นประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้าทอง 3 ชั้น ประกอบพระลองทองน้อย ภายใต้ฉัตรตาดทอง 5 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องสูง บังแทรก ชุมสาย ต้นไม้ทองเงิน", "title": "การสิ้นพระชนม์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" }, { "docid": "854114#43", "text": "ส่วนทางฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลัง เปิดกองอำนวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (กอร.พระราชพิธี) ว่า เพื่อให้การบริหารจัดการด้านการรักษาความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกประชาชนในเรื่องเส้นทางการเดินทางเข้าพื้นที่เพื่อถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การถวายดอกไม้จันทน์ในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ฯลฯ ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว และมีความปลอดภัยขั้นสูงสุด ทางคณะอนุกรรมการฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการจราจร จึงได้จัดตั้งกองอำนวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขึ้น ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นหน่วยงานประสานงานให้กับหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน อาทิ กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม กรมประชาสัมพันธ์ การไฟฟ้าทั้ง 3 ฝ่าย การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าอากาศยาน กรมทางหลวง ในการดำเนินดังกล่าว โดยกองอำนวยการร่วมนี้จะปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 1 – 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560", "title": "การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "12226#11", "text": "วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยมีหม่อมหลวงบัวและหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการเป็นประจำ และในช่วงระยะเวลาที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่เฝ้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่สวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระยศในเวลานั้น) ได้ทรงรับเป็นธุระจัดการให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาในโรงเรียน Pensionnat Riante Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งของโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงหายจากอาการประชวรแล้ว ก็ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นการภายในเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492", "title": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" }, { "docid": "853762#54", "text": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร", "title": "พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "6117#17", "text": "การนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานเลื่อนชั้นยศพระโกศจากพระโกศกุดั่นน้อยเป็นพระโกศกุดั่นใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่สิ้นพระชนม์ ครั้นถึงวาระพระราชทานเพลิงพระศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดถวายพระโกศทองน้อยทรงพระศพและให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้นกางกั้นพระโกศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งถือเป็นกรณีพิเศษเพราะยังไม่เคยปรากฏการพระราชทานเลื่อนพระโกศถึงสองครั้งมาก่อน", "title": "สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)" }, { "docid": "12226#13", "text": "เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จึงจัดขึ้น ณ วังสระปทุม โดยมีสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จฯ เป็นองค์ประธาน ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยในทะเบียนสมรสและโปรดให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรพร้อมทั้งสักขีพยานลงนามในทะเบียนนั้น หลังจากนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเสด็จออกในพระราชพิธีถวายน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทรงรดน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรขึ้นเป็น \"สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์\" พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ในการนี้ด้วย", "title": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" }, { "docid": "825262#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 นาฬิกา ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช หลังการสวรรคต มีประเทศต่างๆและองค์การระดับนานาชาติส่งสาส์นแสดงความเสียใจเป็นจำนวนมาก“ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นการสูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งและศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ที่ทรงทุ่มเทพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติ\nในสถานการณ์ที่เจ็บปวดและเศร้าโศกนี้ ข้าพเจ้าขอร่วมถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งขอแสดงความเสียใจไปยังสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถด้วย รวมทั้งพระราชวงศ์ไทยทั้งมวล – พระนามาภิไธย มุนีนาถ สีหนุ.”รวมทั้งสมเด็จพระอนุชนโรดม อรุณรัศมีแห่งกัมพูชา พระขนิษฐา (น้องสาว) ในพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี เสด็จไปทรงถวายสักการะและทรงลงพระนามถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา.", "title": "ปฏิกิริยาต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "12935#34", "text": "ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวม 28 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ โดยรายชื่อประเทศต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยือน มีตามลำดับดังนี้จากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็มิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก เพราะทรงเห็นว่าพระราชภารกิจภายในประเทศนั้นมีมากมาย อย่างไรก็ตาม หากประมุขหรือรัฐบาลของประเทศใดกราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยือน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชโอรส หรือพระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี รวมทั้งเพื่อทอดพระเนตรวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ", "title": "พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "172364#2", "text": "ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉิดโฉม ทรงประชวร พระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดให้พระองค์เจ้าเฉิดโฉมเสด็จออกจากพระบรมมหาราชวัง ไปเข้ารับการรักษาพยาบาลอยู่ที่ตึกปัญจมราชินี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเพียงสองวัน สิริพระชนมายุได้ 90 ปี และถือเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สิ้นพระชนม์เป็นลำดับหลังสุด", "title": "พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉิดโฉม" }, { "docid": "91746#0", "text": "พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ระหว่างวันที่ 4 - 8 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493 ปรากฏบันทึกรายละเอียดไว้ ดังนี้", "title": "พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "1901#60", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายน้อยครั้ง พอล แฮนด์ลีย์เขียนใน \"เดอะคิงเนเวอร์สไมล์\" ว่าในปี พ.ศ. 2519 เมื่อรัฐสภาลงคะแนนเสียงเห็นชอบเพื่อขยายการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยสู่ระดับอำเภอ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธลงพระปรมาภิไธยกฎหมาย รัฐสภาไม่ยอมออกเสียงยกเลิกการยับยั้งของพระองค์ ในปี พ.ศ. 2497 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่รัฐสภาเห็นชอบสองครั้งก่อนทรงยินยอมลงพระปรมาภิไธย บางทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้ยับยั้งการตรากฎหมาย เช่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มาตรา 107 วรรค 2 ซึ่งบัญญัติว่า ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย แต่ก็ไม่ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งโดยตรง เพียงแต่มีพระราชกระแสท้ายร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ไม่ทรงเห็นด้วยกับมาตรา 107 วรรค 2 แห่งร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งขัดกับหลักที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งจะทำให้ประธานองคมนตรีอยู่ในสภาพเสมือนเป็นองค์กรทางการเมือง", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "40585#8", "text": "เวลา 10.19 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคมจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พลับพลาพิธี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชา พระพุทธปฏิมาปางประจำรัชกาล สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประเคนพัดรองที่ระลึก พระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช แด่สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ 10 รูป แล้วประทับ พระราชอาสน์ ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปยัง พระที่นั่งชุมสาย ที่ตั้งเครื่องบวงสรวง บริเวณด้านหน้าพลับพลาพิธี ทรงแปรพระพักตร์สู่ปราสาทพระเทพบิดร และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจุดธูปเทียน เครื่องราชสักการะ บวงสรวง สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมแตร ดุริยางค์\nพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถประทับพระราชอาสน์ ที่มุขหน้าพลับพลาพิธี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ อ่านประกาศบวงสรวง ในขณะนั้น ผู้ที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททุกหมู่เหล่า ยืนประนมมือ แสดงคารวะบูชา ผินหน้าไปทาง พระที่นั่งชุมสาย เมื่อพระราชครูวามเทพมุนี อ่านประกาศบวงสรวง จบ โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมแตร ดุริยางค์ จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงประเคน จตุปัจจัยไทยธรรม แด่ สมเด็จพระราชาคณะ และ พระราชาคณะ เสร็จแล้ว ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายพระพรชัยมงคลคาถาพิเศษ ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เสร็จแล้ว พระสงฆ์ออกไปรับพระราชทานฉัน ที่ ตำหนักสวนบัวเปลว ภายใน พระที่นั่งวิมานเมฆ", "title": "พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี" }, { "docid": "853762#0", "text": "พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จัดขึ้น ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 โดยวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นวันถวายพระเพลิง คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[1]", "title": "พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "544827#7", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯไปทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระโกศพระศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะพระศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ทรงกราบ แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 40 รูป สดับปกรณ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงคมไปที่หน้าพระโกศพระศพ ทรงคมไปยังพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชากระบะมุกที่หน้าพระแท่นเตียงพระสวดพระอภิธรรม ทรงคม เสด็จฯกลับ", "title": "การสิ้นพระชนม์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" }, { "docid": "814997#53", "text": "หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[54907,55024,2,2]}'>งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[55044,55110,2,2]}'>งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฉบับประชาชน หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[55130,55214,2,2]}'>งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากหนังสือพิมพ์ ฉบับสื่อมวลชน หนังสือจดหมายเหตุและซีดี<i data-parsoid='{\"dsr\":[55241,55307,2,2]}'>บทเพลงแสดงความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[55327,55421,2,2]}'>กานท์กวีคีตการปวงประชา น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "854114#25", "text": "1 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1/2560 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยทรงรับเป็นที่ปรึกษาการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงรับเชิญเสด็จพระราชดำเนินในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการนี้ ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้รัฐบาลจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เช่น หน่วยแพทย์ อาหาร น้ำดื่ม รถสุขา และถังขยะให้มีความพร้อมพอเพียงสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกตลอดเวลา", "title": "การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "1901#19", "text": "ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขามีนโยบาย \"เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย\" โดยพยายามชูบทบาทของตนเองให้โดดเด่นกว่าพระมหากษัตริย์ และไม่สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ และควบคุมการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" } ]
1641
เทียรี่ เมฆวัฒนา เข้าร่วมวงคาราบาวเมื่อไหร่ ?
[ { "docid": "56155#7", "text": "จนกระทั่งปี พ.ศ. 2526 เทียรี่ เมฆวัฒนา ได้มีโอกาสร่วมงานกับวงคาราบาวเป็นครั้งแรก โดยเป็นการออกทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมทอัลบั้ม วณิพก โดยรับหน้าที่เล่นกีตาร์ไฟฟ้าบนเวทีคอนเสิร์ตแทนที่เล็ก - ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์โซโล่ตัวจริงของทางวง ที่ติดภารกิจต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตกับวงเพรสซิเดนท์ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเทียรี่เคยไปศึกษาที่นั่น", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" } ]
[ { "docid": "56155#9", "text": "ปลายปี พ.ศ. 2526 คาราบาว กลับมาบันทึกเสียงที่ห้องอัดของอโซน่าอีกครั้งเพื่อบันทึกเสียงเพลงทั้งหมดในอัลบั้มชุด ท.ทหารอดทน เทียรี่จึงได้เป็นนักดนตรีแบ็คอัพบันทึกเสียงให้คาราบาวในอัลบั้มชุด ท.ทหารอดทน ก่อนที่จะได้รับการเชิญชวนให้ร่วมออกทัวร์คอนเสิร์ตกับทางวงอีกครั้งหนึ่ง", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "429466#1", "text": "อัลบั้มชุดนี้ทำขึ้นในช่วงพักวงคาราบาว ที่สมาชิกในวงแต่ละคนได้แยกย้ายกันไปทำอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง โดย ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, เทียรี่ เมฆวัฒนา และ เป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ได้รวมตัวกันเพื่อทำอัลบั้มชุด ขอเดี่ยวด้วยคนนะ ส่วน แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวในชุดทำมือ", "title": "ดนตรีที่มีวิญญาณ" }, { "docid": "55532#9", "text": "ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด): หัวหน้าวง , ร้องนำ , กีตาร์ , แต่งคำร้องและทำนอง ปรีชา ชนะภัย (เล็ก): ร้องนำ , แต่งคำร้องและทำนองบางเพลง เทียรี่ เมฆวัฒนา (รี่): ร้องนำ , กีตาร์ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว): ร้องนำบางส่วน , ประสานเสียง , กีตาร์ , ควบคุมการผลิต , เพอร์คัสชั่น อนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด): เบส อาจารย์ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี (เล็ก , ธนิสร์): ขลุ่ย , ประสานเสียง , แซ็กโซโฟน , คีย์บอร์ด อำนาจ ลูกจันทร์ (เป้า): กลอง , เพอร์คัสชั่น", "title": "คาราบาว" }, { "docid": "56155#8", "text": "หลังการออกทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมตอัลบั้มวณิพกร่วมกับวงคาราบาวเสร็จสิ้น เทียรี่ได้ออกอัลบั้มของตนเองออกมาอีก 1 ชุด ในชื่ออัลบั้ม เรือรัก โดยอัลบั้มชุดนี้เป็นแนวเพลงโฟล์ก และมีเพลงฮิตอย่าง วานนี้ช้ำ วันนี้จำ", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#11", "text": "หลังจากทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกับวงคาราบาวมาอย่างยาวนาน เทียรี่ก็ได้เป็นสมาชิกของวงคาราบาวอย่างเต็มตัวในปี พ.ศ. 2527 ในอัลบั้ม เมด อิน ไทยแลนด์ โดยเป็นสมาชิกใหม่ในตำแหน่งมือกีตาร์และนักร้องนำ โดยได้ร้องเพลงให้คาราบาวเพลงแรกคือเพลง นางงามตู้กระจก ซึ่งผลจากความสำเร็จอย่างถล่มทลายของอัลบั้มชุดนี้ที่มียอดจำหน่ายในปีเดียวมากกว่า 5,000,000 ตลับ/ก๊อปปี้ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประเทศไทย ทำให้เทียรี่ เมฆวัฒนาในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของวงโด่งดังเป็นอย่างมาก และเทียรี่ก็ได้ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตทำโดยคนไทย ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของประเทศไทยและวงคาราบาวที่สนามจักรยานเวโลโดรม ในสนามกีฬาหัวหมาก ในปี พ.ศ. 2528 ซึ่งคอนเสิร์ตดังกล่าวมีผู้ชมมากกว่า 60,000 คน อีกทั้งยังได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยเทียรี่ เมฆวัฒนาได้เป็นผู้ร้องเพลง เมด อิน ไทยแลนด์ ในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ โดยในเวอร์ชันนี้ทางวงตั้งชื่อเพลงว่า Made in Thailand in USA", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "362549#1", "text": "อัลบั้ม \"หนุ่มบาว-สาวปาน\" มีที่มาจากมิตรภาพที่ เทียรี่ เมฆวัฒนา สมาชิกของวงคาราบาว เคยร่วมงานและทำอัลบั้มส่วนตัวกับอาร์เอสมาก่อน ประกอบกับ ปาน ธนพร เคยมีโอกาสไปร้องคอรัสให้กับวงคาราบาวเมื่อสมัยเรียนมัธยม ถึงกับปลื้มและอยากร่วมร้องเพลงกับวงคาราบาวอีกสักครั้ง ทำให้เกิดโปรเจ็กท์นี้ขึ้นมา โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกวงคาราบาว และทีมอะบอริจินส์ ซึ่งเป็นทีมโปรดิวซ์ของปาน", "title": "หนุ่มบาว-สาวปาน" }, { "docid": "344121#2", "text": "ปรีชา เข้าร่วมวงเพรสซิเดนท์จนมีอัลบั้มกับอโซน่าสองชุด คือ \"เด็กฮาร์ดฉันไม่สน\" (พ.ศ. 2525) และ \"สายลมลวง\" (พ.ศ. 2526) และยังได้นำนักดนตรีของวงเข้าร่วมเป็นแบ็คอัพบันทึกเสียงให้กับวงคาราบาวในอัลบั้ม \"แป๊ะขายขวด\" และ \"วณิพก\" จากนั้นคาราบาวได้ให้ เทียรี่ เมฆวัฒนา รับหน้าที่แทน เนื่องจากวงเพรสซิเดนท์มีภารกิจทัวร์แสดงที่สหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมาได้เปลี่ยนตัวมือกีตาร์เป็น จารึก อยู่เอม โดยออกอัลบั้ม \"รักที่แสนหวาน\" และ \"เข็ดรัก\" (พ.ศ. 2527) ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เล็กจึงเข้าร่วมวงคาราบาวอย่างเป็นทางการในอัลบั้ม เมด อิน ไทยแลนด์ โดยมีอ๊อดตามมาทัวร์คอนเสิร์ตในช่วงต้นปี พ.ศ. 2528 ด้วย วงเพรสซิเดนท์จึงประกาศยุบวง", "title": "เพรสซิเดนท์" }, { "docid": "367907#0", "text": "รักคุณเท่าฟ้า เป็นคำขวัญของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และเป็นชื่อเพลง เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ ตามคำขวัญดังกล่าว ที่แต่งคำร้องโดย ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) และขับร้องโดย เทียรี่ เมฆวัฒนา ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2528 ", "title": "รักคุณเท่าฟ้า" }, { "docid": "100391#2", "text": "ด้วยความที่เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาดนตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและวิทยาลัยครูจันทรเกษม จึงถูกเรียกติดปากว่า อาจารย์ธนิสร์ ได้เข้าร่วมวงคาราบาว ในปี พ.ศ. 2526 พร้อมกับ เทียรี่ เมฆวัฒนา และเป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ในการเป็นนักดนตรีแบ๊คอัพในห้องอัดของอโซน่า เมื่อคาราบาว โดยแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้มาอัดเสียงที่นี่ และชักชวนเข้าร่วมวง", "title": "ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี" }, { "docid": "134615#2", "text": "หนู มิเตอร์ ยังได้ร่วมทำงานเพลงกับศิลปินอีกหลายคน หลายวง เช่น ธนพล อินทฤทธิ์ ในปี พ.ศ. 2537 ในชุด \"ทีของเสือ\", คาราบาว ในปี พ.ศ. 2538 ในชุด \"15 ปี คาราบาว หากหัวใจยังรักควาย\" ด้วยการเป่าขลุ่ย และเล่นกีตาร์ รวมทั้งเล่นกีตาร์ให้อิทธิ พลางกูร ในปี พ.ศ. 2539 อัลบั้ม \"อิทธิ 6 ปกขาว\", เทียรี่ เมฆวัฒนา ในปี พ.ศ. 2546 ในชุด \"จักรวาล\" ในฐานะมือกีตาร์ ", "title": "หนู มิเตอร์" }, { "docid": "56155#0", "text": "เทียรี่ เมฆวัฒนา นักร้องและนักดนตรีชาวไทย สมาชิกวงคาราบาว มีชื่อจริงว่า เทียรี่ สุทธิยงค์ เมฆวัฒนา เกิดวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2501 ที่ประเทศลาว โดยมีพ่อเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนชื่อ เอนก เมฆวัฒนา แม่เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "288605#1", "text": "ไพรัช มีชื่อเล่นว่า \"หนุ่ม\" (แต่นิยมเรียกกันในวงว่า \"รัช\") เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ที่จังหวัดเชียงราย เป็นนักดนตรีแบ๊คอัพในห้องอัดของอโซน่า เข้าร่วมวงคาราบาวจากการชักชวนของ อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี โดยเข้าร่วมวงในตำแหน่งมือเบส และกีตาร์ พร้อมกับตัวอ.ธนิสร์เอง, เทียรี่ เมฆวัฒนา และ อำนาจ ลูกจันทร์ (เป้า) ทั้งนี้เนื่องจาก อนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด) มือเบสอีกคนจากวงเพรสซิเดนท์ที่ได้มีการชักชวนมาก่อนหน้านั้นติดการเล่นอยู่กับวงเพรสซิเดนท์ที่สหรัฐอเมริกา ไพรัชจึงเข้ามาในวงเสมือนตัวแทนของอ๊อด จึงมีผลงานเพียง 2 ชุดเท่านั้นกับวงแต่กลับเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศจากอัลบั้มเมด อิน ไทยแลนด์ ที่สามารถทำยอดขายได้ถึง 5,000,000 ตลับ นอกจากนั้นไพรัชยังได้มีส่วนร่วมกับอัลบั้มชุด \"กัมพูชา\" ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ซึ่งเป็นหัวหน้าวงอีกด้วย", "title": "ไพรัช เพิ่มฉลาด" }, { "docid": "281255#0", "text": "ขอเดี่ยวด้วยคนนะ เป็นอัลบั้มชุดแรกและชุดเดียวหลังการแยกตัวจากวงดนตรีคาราบาว ของ อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, เทียรี่ เมฆวัฒนา และเป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ที่เป็นการผลิตผลงานร่วมกัน ออกวางแผงครั้งแรกในปลายปี พ.ศ. 2532 กับบริษัท กาแล็กซี่ เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ซึ่งเคยรับผลิตผลงานของเล็ก - ปรีชา ชนะภัย ในชุด \"ดนตรีที่มีวิญญาณ\" ออกมาก่อนหน้า", "title": "ขอเดี่ยวด้วยคนนะ" }, { "docid": "56155#10", "text": "ความโด่งดังของอัลบั้ม ท.ทหารอดทน ทำให้วงคาราบาวทั้งวงได้เล่นเป็นดารารับเชิญในภาพยนตร์เรื่อง ปล.ผมรักคุณ และเทียรี่ในฐานะนักดนตรีแบ็กอัพก็ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้พร้อมกับคาราบาวด้วย โดยในปีดังกล่าว เทียรี่ เมฆวัฒนา ได้แต่งงานเป็นครั้งแรกกับแฟนสาวที่คบหากันมานานถึง 6 ปี แต่กลับใช้ชีวิตคู่อยู่เพียงแค่ 6 เดือนก็ได้หย่าขาดจากกันในปีเดียวกัน", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#24", "text": "ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปรากฏข่าวลือที่ทำให้ช็อกแฟนคลับวงคาราบาวทั่วประเทศว่าเทียรี่ได้ฆ่าตัวตายด้วยการใช้ปืนยิงตัวเองหลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสายไหม[2] แต่เมื่อได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเทียรี่มีอาการกระเพาะทะลุจากการดื่มสุราอย่างหนักจากคำยืนยันของมณเฑียร สาระโภค ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลสายไหม, หาญชัย ยุทธ์ธนพิพิพัฒน์ ผู้จัดการส่วนตัวของเทียรี่ และแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล หัวหน้าวงคาราบาว ซึ่งทั้ง 3 คนได้แถลงข่าวร่วมกัน[3] โดยเทียรี่ได้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีสยาม", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "759007#3", "text": "หลังจากนั้นเข้าสู่ไฮไลท์สำคัญของคอนเสิร์ตนี้ คือการแสดงของวงคาราบาว นำโดย แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล, เล็ก - ปรีชา ชนะภัย และ เทียรี่ เมฆวัฒนา โดยขนเพลงมาแสดงเป็นจำนวนมาก เช่น \"มนต์เพลงคาราบาว\", \"เจ้าตาก\", \"วันพ่อ\", \"ซานตาน่าคาราบาว\" เป็นต้น และมาถึงช่วงเซอร์ไพรส์ของงานที่ได้นักร้องชื่อดังอย่าง เสก โลโซ มาร่วมร้องเพลง \"เพื่อชีวิตติดล้อ\", \"วณิพก\" และ \"หำเทียม\" แถมในช่วงท้าย ๆ ยังมี โก๊ะตี๋ อารามบอย มาร่วมร้องด้วย ต่อด้วยบทเพลงอีก 1 ชุดใหญ่ อาทิ \"คนเก็บฟืน\", \"คนล่าฝัน\", \"วิชาแพะ\" และ 2 บทเพลงใหม่ \"ใครว่ะแก๊แก่\" และ \"สวัสดีประเทศไทย\" ต่อด้วยบทเพลงเมดเล่ย์ หลังจากนั้น วงคาราบาวและเหล่าตำนานวงดนตรีร็อกขึ้นเวทีร่วมแจมพร้อมกันในบทเพลงหลักของคอนเสิร์ตนี้ คือเพลง \"กินลม ชมบาว\" ปิดท้ายด้วยเพลง \"บัวลอย\" ก่อนที่คอนเสิร์ตจะปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์", "title": "กินลม ชมบาว" }, { "docid": "56155#12", "text": "ในปีเดียวกัน เทียรี่ เมฆวัฒนาได้แสดงภาพยนตร์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องเสียงเพลงแห่งเสรีภาพ คู่กับนางเอกสาว จุ๋ม - อุทุมพร ศิลาพันธ์ ซึ่งสมาชิกวงคาราบาวได้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยกันทั้งวง ตลอดจนมีดาราอื่น ๆ เช่น ษา - สุพรรษา เนื่องภิรมย์, หมู - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ, สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน มาร่วมแสดงด้วย และในปีดังกล่าว บริษัทการบินไทย ครบรอบ 25 ปี จึงได้มอบหมายให้วงคาราบาวแต่งเพลงให้ ซึ่งแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้แต่งเพลง รักคุณเท่าฟ้า โดยมอบให้เทียรี่เป็นผู้ขับร้อง และกลายเป็นเพลงฮิตที่ติดหูผู้ฟังอย่างมากจนถึงปัจจุบันและมีการนำกลับมาร้องซ้ำโดยศิลปินอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ฟอร์ด - สบชัย ไกรยูรเสน เป็นต้น", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#21", "text": "หลังจากนั้นเทียรี่ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวออกตามมาอีกหลายชุดเช่น ยาชูกำลัง, จักรวาล และตั้งแต่ พ.ศ. 2541 จึงได้กลับมาเป็นสมาชิกของวงคาราบาวตั้งแต่อัลบั้ม อเมริกันอันธพาล จนถึงปัจจุบัน", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "56155#17", "text": "ในปี พ.ศ. 2531 หลังจากที่วงคาราบาวทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมทอัลบั้ม ทับหลัง เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เทียรี่ก็ได้ขอลาออกจากวงและแยกตัวไปพร้อมกับสมาชิกในวงอีก 2 คน คือ อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และ เป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ โดยทั้ง 3 คนได้ร่วมกันออกอัลบั้มในชื่อชุด ขอเดี่ยวด้วยคนนะ ในปี พ.ศ. 2532 มีเพลงที่เป็นที่รู้จัก เช่น สาวดอย สอยดาว, วันเกิด, เงินปากผี เป็นต้น", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "55532#6", "text": "ความโด่งดังของอัลบั้ม ท.ทหารอดทน ทำให้วงคาราบาวทั้งวงได้เป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์เรื่อง ปล.ผมรักคุณ รวมทั้งสมาชิกแบ็คอัพ คือ เทียรี่ เมฆวัฒนา และ อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ด้วย พร้อมกับวงเพรสซิเดนท์ อดีตวงดนตรีที่เล็กและอ๊อดเคยอยู่ และด้วยความโด่งดังของวงคาราบาวนั้น ได้ทำให้เล็กได้รับบทเป็นพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง หยุดหัวใจไว้ที่รัก ในปี พ.ศ. 2527 [2]", "title": "คาราบาว" }, { "docid": "134538#6", "text": "อำนาจ ลูกจันทร์ ได้เข้าร่วมวงคาราบาวในฐานะมือกลองและเพอร์คัสชั่นในปี พ.ศ. 2526 ในชุด \"ท.ทหารอดทน\" อันเป็นอัลบั้มชุดที่ 4 ของคาราบาว พร้อมกับ เทียรี่ เมฆวัฒนา, อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และ ไพรัช เพิ่มฉลาด ซึ่งเป็นเพื่อนนักดนตรีร่วมห้องอัดเดียวกัน จากนั้นได้ออกจากราชการทหารเรืออย่างเต็มตัว นับได้ว่าเป้าประสบความสำเร็จ และมีชื่อเสียงให้กับวงคาราบาวอย่างมากในฐานะมือกลองจากความสำเร็จของอัลบั้ม เมด อิน ไทยแลนด์ ที่สามารถทำยอดขายได้ถึง 5,000,000 ตลับ ซึ่งเป็นยอดขายอัลบั้มที่สูงที่สุดในประเทศไทย และได้เล่นคอนเสิร์ตใหญ่ของวงหลายครั้งเช่น คอนเสิร์ตทำโดยคนไทย ที่สนามกีฬาเวโลโดรม หัวหมาก ในต้นปี พ.ศ. 2528 ที่มีผู้ชมมากกว่า 60,000 คน โดยเป้าได้โซโล่กลองเพลง ท.ทหารอดทน เพื่อเปิดคอนเสิร์ต, คอนเสิร์ตรับใช้ชาติ ที่สวนสยาม ซึ่งเป็นภาคต่อของคอนเสิร์ตทำโดยคนไทย และยังได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย", "title": "อำนาจ ลูกจันทร์" }, { "docid": "341529#1", "text": "หลังวงคาราบาวประสบความสำเร็จกับอัลบั้มวณิพก เมื่อช่วงต้นปี ทางวงก็เริ่มมีปัญหากับอโซน่าต้นสังกัด เรื่องห้องอัด ที่อโซน่าไม่ยอมให้คาราบาวไปบันทึกเสียงที่ห้องบันทึกเสียงศรีสยาม อัลบั้มชุดนี้จึงเป็นชุดสุดท้ายที่ออกกับค่ายอโซน่า โดยทางวงได้พบกับนักดนตรีฝีมือดีหลายคนในห้องบันทึกเสียงอโซน่า อัลบั้มนี้จึงมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 2 คน คือ อำนาจ ลูกจันทร์ - มือกลอง และ ไพรัช เพิ่มฉลาด - มือเบส นอกจากนี้ยังได้ เทียรี่ เมฆวัฒนา ดารานายแบบซึ่งมีผลงานเพลงร่วมกับ ไพจิตร อักษรณรงค์ มาร่วมร้องประสานเสียง , ร่วมเล่นกีตาร์ และ อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี มาเล่นแซ็กโซโฟนและคลาริเน็ตเป็นแบ็คอัพ และ ร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับทางวงด้วย โดยเฉพาะเทียรี่ที่ต้องเป็นมือกีตาร์แทน เล็ก - ปรีชา ชนะภัย ที่ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตกับวงเพรสซิเดนท์ ที่ สหรัฐอเมริกา ก่อนที่ทั้งสองคนจะกลายเป็นสมาชิกของคาราบาวในอัลบั้มชุดต่อมา", "title": "ท.ทหารอดทน" }, { "docid": "55532#13", "text": "ในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีแยกตัวของสมาชิกวงคาราบาวยุคคลาสสิก โดยสมาชิกแต่ละคนได้แยกย้ายกันไปทำอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง มีดังนี้ แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้แยกออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวในชื่อชุด ทำมือ + ก้นบึ้ง และ โนพลอมแพลม โดยมีอ๊อด - อนุพงษ์ ประถมปัทมะ สมาชิกวงคาราบาวตามมาร่วมเล่นแบ็คอัพ, เล็ก - ปรีชา ชนะภัย ได้แยกออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวในชื่อชุด ดนตรีที่มีวิญญาณ และ ยังมีสมาชิกในวง 4 คนที่ได้แยกตัวเป็นอิสระออกไป คือ เขียว - กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ซึ่งได้ออกอัลบั้มเดี่ยวคือชุด ก่อกวน รวมทั้ง เทียรี่ เมฆวัฒนา, อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และเป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ก็ได้แยกตัวออกจากวง และ ออกอัลบั้มร่วมกันในชื่อชุด ขอเดี่ยวด้วยคนนะ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำอัลบั้มเดี่ยวจริง ๆ ของแต่ละคน ส่วนทางวงคาราบาวก็ได้รับสมาชิกเพิ่มเข้ามา มาแทนที่ตำแหน่งที่ออกไปคือ ดุก - ลือชัย งามสม มือคีย์บอร์ด และ โก้ - ชูชาติ หนูด้วง มือกลอง ในอัลบั้มชุดที่ 11 วิชาแพะ เมื่อปี พ.ศ. 2534 และ ยังคงออกอัลบั้มต่อมาเรื่อยๆ แต่ในปี พ.ศ. 2536 หมี - ขจรศักดิ์ หุตะวัฒนะ เข้ามาร่วมวงในตำแหน่งกีตาร์โซโล่ เล็กจึงจำต้องแยกตัวออกไป ต่อมาทางวงได้สมาชิกใหม่อีก 1 คน คือ น้อง - ศยาพร สิงห์ทอง ในอัลบั้มชุดที่ 15 แจกกล้วย เมื่อปี พ.ศ. 2538 และในปีเดียวกันนั้น วงคาราบาวมีอายุครบรอบ 15 ปี คาราบาวจึงได้ออกอัลบั้มชุดพิเศษ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันอีกครั้งของสมาชิกในยุคคาสสิกทั้ง 7 คน ในชื่อชุด หากหัวใจยังรักควาย โดยออกมาถึง 2 ชุดด้วยกัน และ มีการจัดคอนเสิร์ตปิดอัลบั้มคือ คอนเสิร์ตปิดทองหลังพระ ในปี พ.ศ. 2539 แต่หลังจากคอนเสิร์ตนี้ชื่อเสียงและความนิยมของวงคาราบาวเริ่มซาลง เนื่องจากกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไป แต่ทางวงก็ยังคงผลิตผลงานออกมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดย เล็ก - ปรีชา ชนะภัย, เทียรี่ เมฆวัฒนา ที่แยกตัวออกไปได้กลับมาร่วมวงอีกครั้งตั้งแต่อัลบั้ม อเมริกันอันธพาล ในปี พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน มีเพลงดังในช่วงตกอับนี้คือเพลง บางระจันวันเพ็ญ ในอัลบั้มชุด เซียมหล่อตือ หมูสยาม และทางวงก็ได้รับสมาชิกใหม่คืออ้วน - ธนะสิทธิ์ พันธุ์พงษ์ไทย ในตำแหน่งมือกลอง , ขลุ่ย และ แซกโซโฟนตั้งแต่อัลบั้มชุด สาวเบียร์ช้าง ในปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน", "title": "คาราบาว" }, { "docid": "56155#14", "text": "จากนั้น ในปลายปีเดียวกัน คาราบาวได้ออกอัลบั้มชุด อเมริโกย โดยในอัลบั้มนี้เทียรี่ได้ร้องนำ 1 เพลงคือเพลง มาลัย โดยวงคาราบาวได้กลายเป็นผู้นำแฟชั่นของวัยรุ่นในสมัยนั้นด้วยการแต่งตัวด้วยชุดลายพรางทหารและใส่แว่นดำ ต่อมาได้ร่วมงานกับทางวงในชุด ประชาธิปไตย ซึ่งวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2529 โดยเทียรี่ได้ร้องนำคู่กับแอ๊ดในเพลง มหาจำลอง รุ่น 7", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "23996#74", "text": "ศิษย์เก่าที่เป็นนักแสดง นายแบบ นักร้อง วงการบันเทิง นักข่าว และสื่อมวลชน เช่น เรืออากาศตรี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ นักดนตรี วงลายคราม ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีสากล, จิตต์ จงมั่นคง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่ายศิลปะ), บัณฑิต อึ้งรังษี อดีตนักวาทยากรอันดับหนึ่งของโลก, กษิติ กมลนาวิน ผู้ประกาศข่าว, ผู้ดำเนินรายการ สายเลือดบอลไทย, นักแสดงและนายแบบ พีรพล เอื้ออารียกูล ผู้ประกาศข่าวกีฬา รายการทันโลกกีฬา, เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ นักแสดงและนายแบบ, อาเล็ก ธีรเดช เมธาวรายุทธ นักแสดงและนายแบบ, บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ นักแสดงและนายแบบ, เทียรี่ เมฆวัฒนา นักร้องและนักกีตาร์ วงคาราบาว, นิรุตต์ ศิริจรรยา นักแสดง, ดอม เหตระกูล นักแสดง, ณวัชร์ พุ่มโพธิงาม นักแสดง เป็นต้น", "title": "โรงเรียนอัสสัมชัญ" }, { "docid": "56155#34", "text": "คาราบาว ฐานข้อมูลภาพยนตร์ไทย", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "461283#0", "text": "เวิลด์ โฟล์คเซน เป็นสตูดิโออัลบั้มเดี่ยวลำดับที่ 5 ของแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล หัวหน้าวงดนตรีเพื่อชีวิต คาราบาว โดยชุดนี้ออกมาในแนวดนตรีโฟล์ก มีนักดนตรีบรรเลงหลักในการบันทึกเสียงเพียง 1 - 2 คน อีกทั้งยังได้นักดนตรีรับเชิญ อาทิ เทียรี่ เมฆวัฒนา มาร้องร่วมในเพลง เพื่อเมืองไทย และ ทอดด์ ทองดี ที่มาช่วยแต่งและร้องท่อนภาษาอังกฤษในชุดนี้ถึง 3 เพลง คือ \"ยืนยงอย่างเนลยัง\", \"World\" และ \"แสงดาว\"", "title": "เวิลด์ โฟล์คเซน" }, { "docid": "56155#31", "text": "โปรดิวเซอร์ วงประจัญบาน ชุด จะเฮ็ดอีหยัง โปรดิวเซอร์ วงสิบล้อ ชุด มนต์รักสิบล้อ และ เสียงเพลงสิบล้อ แต่งเพลงประกอบละครเรื่อง สุดแต่ใจจะไขว่คว้า, ไผ่แดง, ด้วยสองมือแม่นี้ที่สร้างโลก, ดวงยิหวา, แม้เลือกเกิดได้ แต่งและร้องเพลงนำรายการ เปิดอก, ผู้หญิง 2000, บัลลังก์คนดี ร้องเพลงโฆษณา เนสกาแฟ (อบอุ่นทุกอารมณ์), ไทยแอร์เอเชีย (ใคร ๆ ก็บินได้) ฟีเจอริ่งในอัลบั้มของ อิทธิ พลางกูร, วงอินโดจีน, โดม มาร์ติน, หงา คาราวาน+ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, แอ๊ด คาราบาว, เล็ก คาราบาว ร้องเพลง เก็บตะวัน และ ทรมาน ในอัลบั้มรวมศิลปิน เก็บตะวัน อะทริบิว ทู อิทธิ พลางกูร ร้องเพลง สอดคล้องและสมดุล ในอัลบั้มรวมศิลปิน ชุด ผูกพัน ฟีเจอริ่งเพลงการเดินทาง (OST. Hipster in a Square World) ร่วมกับเจสซี่ เมฆวัฒนา (ลูกชาย)", "title": "เทียรี่ เมฆวัฒนา" }, { "docid": "38037#4", "text": "งานชุดที่สามของ สิบล้อ จึงใช้เวลาในการทำงานที่สั้นกว่าอัลบั้มที่ผ่านๆ มา “เสียงเพลงสิบล้อ” ออกวางตลาดในปีถัดมา โดยมี เทียรี่ เมฆวัฒนา ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์เช่นเคย และมีเพลงที่ ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) แต่งให้กับพวกเขาด้วยอีกหนึ่งเพลง ", "title": "สิบล้อ (วงดนตรี)" } ]
1239
พระพุทธเจ้ากำเนิดที่อินเดียใช่หรือไม่ ?
[ { "docid": "48077#0", "text": "ลุมพินีวัน () เป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญแห่งที่ 1 ใน 4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธ เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอไภรวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล เป็นพุทธสังเวชนียสถาน 4 ตำบลเพียงแห่งเดียวที่อยู่นอกประเทศอินเดีย ลุมพินีวัน เดิมเป็นสวนป่าสาธารณะหรือวโนทยานที่ร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน ในสมัยพุทธกาลลุมพินีวันตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ในแคว้นสักกะ บนฝั่งแม่น้ำโรหิณี หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างเสาหินขนาดใหญ่มาปักไว้ตรงบริเวณที่ประสูติ เรียกว่า เสาอโศก ที่จารึกข้อความเป็นอักษรพราหมีว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่ตรงนี้[1]", "title": "ลุมพินีวัน" } ]
[ { "docid": "490520#0", "text": "พุทธเกษตร (อาณาจักรแห่งพระพุทธเจ้า) หรือ วิสุทธิภูมิ (ดินแดนบริสุทธิ์) ตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายมหายาน คือดินแดนที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างขึ้นด้วยปณิธานของแต่ละพระองค์ แดนพุทธเกษตรไม่ใช่นิพพาน แต่มีลักษณะคล้ายสวรรค์ เป็นภูมิที่สาวกของพระพุทธเจ้าใช้ปฏิบัติธรรมต่อหลังจากสิ้นชีวิตบนโลกเพื่อบรรลุนิพพานต่อไป ", "title": "พุทธเกษตร" }, { "docid": "32560#11", "text": "การเผยแผ่ในทิเบตอีกทางหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากอาณาจักรชางชุง (Zhang zhung หรือ Shang shung) ซึ่งเชื่อว่าคือบริเวณภูเขาไกรลาศทางตะวันตกของทิเบตในปัจจุบัน อันมีอาณาเขตไปจนถึงเปอร์เซีย โดยที่พุทธศาสนาดั้งเดิมนี้ หรือที่ Professor Christopher Beckwith เรียกว่า พุทธโบราณของเอเซียกลาง (ancient Buddhism of Central Asia) มีชื่อเรียกว่า เพิน (Bon) หรือชื่อที่ถูกต้องคือ ยุงตรุงเพิน (Yungdrung Bon) หมายถึง ธรรมะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คำว่า เพิน แปลว่า ธรรมะ หรือสภาวธรรม คำนี้จึงเป็นคำเดียวกับคำว่า เชอ (Chos) ซึ่งใช้เรียกธรรมะในพุทธศาสนาที่เผยแผ่มาจากอินเดีย หมายถึง คำสอนในนิกายต่างๆข้างต้น (คำว่า เพิน หรือนักแปลบางคนออกเสียงตามภาษาอังกฤษว่า บอน ยังเป็นชื่อเรียกลัทธิความเชื่อแต่ดั้งเดิมที่มีการนับถือธรรมชาติและเคยมีการบูชายัญ แต่ลัทธินี้ซึ่งชื่อเต็มคือ \"เตอเม เพิน\" ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลของพระพุทธเจ้าเติมปา เชนรับ มิโวเช องค์พระศาสดาก่อนสมัยพุทธกาลของพระพุทธเจ้าศรีศายมุนี เมื่อกว่า 10,000 ปีมาแล้ว หลังจากนั้น ชาวชางชุงได้กลายเป็นชาวพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้าเติมปา เชนรับเสด็จทิเบต ทรงนำคำสอนนี้ไปเผยแผ่ในทิเบต ทำให้คำสอนนี้รุ่งเรืองในทิเบต จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ที่มีการรับคำสอนมาจากอินเดีย ด้วยปัญหาทางการเมืองและศาสนา ในสมัยของกษัติรย์ตรีซง เตเซ็น (ศตวรรษที่ 8) อาณาจักรชางชุงถูกยึดครอง ผู้ปฏิบัติเพินจำนวนมากถูกสังหาร และกษัติรย์องค์สุดท้ายของชางชุงคือ กษัตริย์ลิกมินชาถูกปลงพระชนม์ หลังจากนั้น วิถีปฏิบัติพุทธเพินก็ได้ตกอยู่ในความขัดแย้งของการแบ่งแยกทางศาสนา)", "title": "วัชรยาน" }, { "docid": "1983#2", "text": "ลูกปืนใหญ่ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาใต้ในประเทศเปรู, โคลัมเบีย, บราซิล และประเทศใกล้เคียง ในปี พ.ศ. 2424 สวนพฤกษศาสตร์ศรีลังกาได้นำเข้าลูกปืนใหญ่จากตรินิแดดและโตเบโก ต่อมาได้ขยายพันธุ์ไปทั่วศรีลังกา แต่ชาวศรีลังกากลับเรียกต้นลูกปืนใหญ่นี้ว่า ซาล (Sal) โดยไม่ปรากฏเหตุผลและไม่ทราบความเป็นมาของลูกปืนใหญ่ ส่วนมากอ้างว่านำมาจากอินเดีย และที่เรียกเพราะซาลเพราะเชื่อว่าก้านชูอับเรณูที่เชื่อมกันเป็นรูปผืนผ้าตัวงอเป็นตัว U นอน ปุ่มตรงกลางเปรียบเสมือนพระแท่นที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน มีเกสรสีเหลืองรายล้อมเปรียบเสมือนพระสงฆ์สาวกห้อมล้อมอยู่ ส่วนด้านบนเป็นที่บังแดดและน้ำค้างประดับด้วยดอกไม้ เนื่องจากมีดอกตลอดปีประกอบกับกลิ่นหอมที่ทนนาน ชาวศรีลังกาจึงนิยมใช้บูชาพระเช่นดอกไม้อื่นๆ", "title": "ลูกปืนใหญ่ (พืช)" }, { "docid": "352472#8", "text": "และสุดท้าย แรงงานที่ต้องคอบสนับสนุนเพื่อนให้ทั้ง 3 วรรณะข้างตนทำงานได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้ทำหน้าที่ใช้แรงงานหรือด้านกรรมกรนั้นคือวรรณะศูทร\nคัมภีร์อรรถศาสตร์ คัมภีร์ที่เป็นเสมือนคู่มือนักปกครองในยุคสมัยของอินเดียโบราณ เข้าใจว่าถูกเรียบเรียงโดย เกาติลยะ หรือผู้ที่สามารถยันกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชย์ที่พยายามขยายอำนาจมาสู่อินเดียเอาไว้ได้ คัมภีร์นี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องสนับสนุนคุณสมบัติของศาสนาพราหมณ์ 3 ประการคือ อำนาจ ธรรมมะ และกามะ ในยุคสมัยอินเดียโบราณจะให้ความสำคัญกับวรรณะพราหมณ์มากกว่าวรรณะกษัตริย์ แต่อรรถศาสตร์จะยึดการให้ความสำคัญกับประมุขของรัฐมากกว่าวรรณะพราหมณ์ แต่ก็ยังคงยอมรับว่าวรรณะพราหมณ์มีชนชั้นสูงกว่า โดยหน้าที่ของวรรณะพราหมณ์นั้นจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องศาสนาและพิธีกรรมมากกว่าการมีบทบาททางราชการของรัฐ\nพระพุทธเจ้า\nเจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ จากแคว้นแห่งหนึ่งในชมพูทวีปผู้ค้นพบ(ตรัสรู้)และเผยแพร่ศาสนาพุทธที่เจริญรุ่งเรืองในอินเดียในยุคต่อมาระยะหนึ่ง โดยแก่นสำคัญของปรัชญาชาวพุทธคือการมองชีวิตและสรรพสิ่งในโลกว่าไม่เที่ยงแท้ มีความทุกข์ ไม่ใช่ของตนและมีแต่จะเสื่อมสลายไป ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นทุกสิ่งย่อมมีสาเหตุ เน้นความเป็นเหตุเป็นผล ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนอย่าพึงเชื่ออะไรโดยง่าย ศาสนาพุทธเน้นเดินทางสายกลางและการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายอีกทั้งเน้นในเรื่องของหนทางแห่งการดับทุกข์โดยเห็นว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีหลักคิดสำคัญคือ อริยสัจ 4 \nในทางปรัชญาตวามคิดทางสังคมของศาสนาพุทธ มีความคิดในการยอมรับความเท่าเทียมกัน ความเสมอภาคกันของมนุษย์ มีความตรงกันข้ามกับระบบวรรณะของฮินดู โดยมีความคิดที่ว่ามนุษย์จะปฏิบัติอะไรจะเป็นแบบไหนขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเองไม่ได้ขึนอยู่กับชาติกำเนิด ศาสนาพุทธไม่เน้นถึงรูปแบบการปกครองแต่จะกล่าวถึงธรรมในการปกครองมากกว่า", "title": "ประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง" }, { "docid": "179640#1", "text": "มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรสำคัญในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่ชาวกุรุชนบท ชื่อว่ากัมมาสทัมมะ [1][2][3] โดยปัจจุบันเมืองกัมมาสทัมมะอยู่ในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดีย. สติปัฏฐานสูตรหรือมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นแนวทางปฏิบัตินี้มีเป้าหมายเดียว คือ การบรรลุนิพพาน.", "title": "มหาสติปัฏฐานสูตร" }, { "docid": "48108#45", "text": "ธรรมเมกขสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาและประกาศส่งพระสาวกไปเผยแพร่พระศาสนา ยสสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าทรงพบท่านยสะ ซึ่งต่อมาได้บรรลุเป็นพระอรหันตสาวกองค์ที่ 6 ในโลก[31] รากฐานธรรมราชิกสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักขณะสูตร และสถานที่เคยประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระมูลคันธกุฏี พระคันธกุฏีที่ประทับจำพรรษาของพระพุทธองค์ในพรรษาแรก[32] ซากเสาพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งหักเป็น 5 ท่อน ในอดีตเสานี้เคยมีความสูงถึง 70 ฟุต และบนยอดเสามีรูปสิงห์ 4 หัวอีกด้วย ปัจจุบันสิงห์ 4 หัว ได้เหลือรอดจากการทำลายและรัฐบาลอินเดียได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สารนาถ โดยสิงห์ 4 หัวนี้ ได้ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอินเดีย และข้อความจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชที่จารึกไว้ใต้รูปสิงห์ดังกล่าวคือ \"สตฺยเมว ชยเต\" (เทวนาครี: सत्यमेव जयते) หมายถึง \"ความจริงชนะทุกสิ่ง\"[33]) และได้ถูกนำมาเป็นคำขวัญประจำชาติของประเทศอินเดียอีกด้วย", "title": "สังเวชนียสถาน" }, { "docid": "711923#2", "text": "ในขุททกนิกาย อปทาน ระบุว่า พระวักกลิกำเนิดในวรรณะพราหมณ์ที่กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล มารดาของท่านถูกปีศาจรังควาญ จึงนำท่านมาถวายแทบพระบาทพระพุทธเจ้าตั้งแต่ยังท่านเป็นทารก พระองค์ก็ทรงรับมาเลี้ยงดู ท่านติดตามพระพุทธเจ้าตลอด ถ้าไม่เห็นพระองค์แม้เพียงครู่เดียวก็จะกระวนกระวายใจ เมื่ออายุได้ 7 ปี จึงได้บวช พระพุทธเจ้าเห็นว่าพระวักกลิยังยึดติดรูปจึงตรัสกับพระวักกลิว่า ", "title": "พระวักกลิ" }, { "docid": "32647#41", "text": "ธรรมเมกขสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาและประกาศส่งพระสาวกไปเผยแพร่พระศาสนา ยสสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าทรงพบท่านยสะ ซึ่งต่อมาได้บรรลุเป็นพระอรหันตสาวกองค์ที่ 6 ในโลก[39] รากฐานธรรมราชิกสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักขณะสูตร และสถานที่เคยประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระมูลคันธกุฏี พระคันธกุฏีที่ประทับจำพรรษาของพระพุทธองค์ในพรรษาแรก[40] ซากเสาพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งหักเป็น 5 ท่อน ในอดีตเสานี้เคยมีความสูงถึง 70 ฟุต และบนยอดเสามีรูปสิงห์ 4 หัวอีกด้วย ปัจจุบันสิงห์ 4 หัว ได้เหลือรอดจากการทำลายและรัฐบาลอินเดียได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สารนาถ โดยสิงห์ 4 หัวนี้ ได้ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอินเดีย และข้อความจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชที่จารึกไว้ใต้รูปสิงห์ดังกล่าวคือ \"สตฺยเมว ชยเต\" (เทวนาครี: सत्यमेव जयते) หมายถึง \"ความจริงชนะทุกสิ่ง\"[41]) และได้ถูกนำมาเป็นคำขวัญประจำชาติของประเทศอินเดียอีกด้วย", "title": "วันอาสาฬหบูชา" }, { "docid": "135760#0", "text": "พระประภูตรัตนะ เป็นพระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายมหายาน นิยมนับถือในประเทศจีน แต่ไม่พบในอินเดีย ในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑรีกสูตรกล่าวว่าเป็นพระพุทธเจ้าในอดีตที่จะปรากฏพระองค์ทุกครั้งที่มีการแสดงพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร ซึ่งรวมทั้งในการแสดงพระสูตรนี้ของพระศากยมุนีพุทธเจ้าด้วย เป็นหนึ่งในคำสอนที่ยืนยันความเชื่อของฝ่ายมหายานว่าความเป็นพระพุทธเจ้ามิได้สิ้นสุดลงที่การปรินิพพานแต่จะคงอยู่ในโลกต่อไปในอนาคตอันยาวนานด้วย", "title": "พระประภูตรัตนะ" }, { "docid": "32409#42", "text": "มหายานมีมติว่า พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีจำนวนมากมายดุจเมล็ดทรายในคงคานที และในจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ ก็มีโลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่ทั่วไปนับประมาณมิได้ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แม้ในโลกธาตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่ในขณะนี้ ณ โลกธาตุอื่นก็มีพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และกำลังสั่งสอนสรรพสัตว์ โลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัตินั้น บางทีเรียกว่า “พุทธเกษตร” บางพุทธเกษตรบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยทิพยภาวะน่ารื่นรมย์ พุทธเกษตรนั้นไม่ใช่นิพพาน เกิดขึ้นด้วยอำนาจปณิธานของพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่สรรพสัตว์ในโลกธาตุอื่น ๆ ควรมุ่งไป\"เกิด\" พุทธเกษตรสำคัญที่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในหมู่พุทธศาสนิกชนคือ สุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภพุทธะ อยู่ทางทิศตะวันตกแห่งโลกธาตุนี้ พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นพุทธเกษตรซึ่งมีรัศมีไพโรจน์แล้วด้วยมณีไพฑูรย์ พุทธเกษตรของพระอักโษภยะแห่งหนึ่ง และมณฑลเกษตรของพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในดุสิตสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง เกษตรทั้ง 4 นี้ ปรากฏว่าสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภะ เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานมากที่สุด ถึงกับสามารถตั้งเป็นนิกายโดยเอกเทศต่างหาก", "title": "มหายาน" }, { "docid": "158602#0", "text": "นิกายนิจิเร็นโชชู () คือหนึ่งในนิกายฝ่ายมหายานของพระพุทธศาสนานิกายนิจิเร็ง โดยยึดตามคำสอนของพระนิจิเร็นไดโชนิง ซึ้งเชื่อในหมู่ผู้นับถือว่าคือพระพุทธเจ้าแท้จริง มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น การปฏิบัติที่รู้จักกันดีคือการสวด\"ไดโมกุ\" หรือ ธรรมสารัตถที่ว่า\"นัมเมียวโฮเร็งเงเกียว\" นิกายนี้จัดเป็นนิกายที่มีคำสอนตรงกันข้ามและหักล้างนิกายอื่นๆอย่างชัดเจน อาทิเช่น นิกายเซ็น นิกายชิงงง นิกายสุขาวดี และวัชรยาน เป็นต้น ซึ่งนิจิเร็งได้เห็นความเบี่ยนเบนทางคำสอนของพระพุทธศาสนา และได้หักล้างความเบี่ยนเบนต่าง ๆ เหล่านั้น สาวกคนสำคัญของพระนิจิเร็นไดโชนิง พระนิกโค โชนิง เป็นผู้ก่อตั้งวัดใหญ่ไทเซกิจิ ปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนแพร่กระจายอยู่ทั่วโลก มีวัดสาขาและศูนย์กลางเผยแผ่ประจำในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินโดนีเซีย ศรีลังกา สิงคโปร์ กานา บราซิล อาร์เจนตินา ฮ่องกง มาเลเซีย สเปน และอินเดีย เป็นต้น", "title": "นิจิเร็นโชชู" }, { "docid": "560843#1", "text": "ในสมัยพุทธกาล พระโมะกุเร็ง หรือพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นพระผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครในโลก เป็นผู้กำพร้ามารดา ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุ และฝึกสมาธิตนเองจนสามารถเห็นนรกเห็นสวรรค์ ครั้นได้ท่องไปในเมืองนรกได้พบกับมารดาของตนเอง กำลังตกระกำลำบากต้องอดๆอยากๆน่าเวทนา เมื่อพระโมะกุเร็งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้เล่าเรื่องราวที่ได้พบมารดาของตนให้แก่พระพุทธเจ้าเพื่อให้พระพุทธเจ้าได้ชี้ทางช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของมารดา เมื่อได้ฟังเรื่องราวพระพุทธเจ้าได้กล่าวแก่พระโมะกุเร็งว่า \"ดูกรโมะกุเร็ง ไม่ใช่ว่าจะคิด ช่วยแต่เฉพาะคนคนเดียว ไม่ใช่ว่าจะคิดช่วยแต่แค่มารดาของตนแต่เพียงอย่างเดียว จงคิดช่วย ไปถึงบุคคลอื่นๆ ทุกคนที่ได้ตายไปครั้งก่อนๆ ที่ไม่ใช่ญาติของเราก็ตาม ท่านจงอุทิศส่วน กุศลและแผ่เมตตาให้กับเขาเหล่านั้นทุกคนเสียด้วย\"", "title": "เทศกาลบง" }, { "docid": "156282#5", "text": "(หมายเหตุ พระโคดมพุทธเจ้าในอดีตได้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกเมื่อ 20 อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัปที่แล้วโดยในครั้งนั้นพระองค์เห็นพระธุดงค์อยู่ในป่าแล้วศรัทธาถวายผ้าเก่า ดังที่พระองค์ตรัสเล่าไว้เองใน พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติ (พระไตรปิฎกเล่มที่ 32)[2] ไม่ใช่ปรารถนาครั้งแรกตอนแบกมารดาว่ายข้ามแม่น้ำอย่างที่เข้าใจกันตามข้อมูลในหนังสือมุนีนาถทีปนี [3] และหลังจากที่ได้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกแล้วก็บำเพ็ญบารมีอย่างต่อเนื่องจนได้มาพบกับพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้วได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน)", "title": "รายพระนามพระพุทธเจ้า" }, { "docid": "24217#20", "text": "ความเชื่อในพระพุทธเจ้าของฝ่ายมหายานและฝ่ายเถรวาทมีเนื้อหาสรุปย่อๆ ได้ดังนี้ ฝ่ายมหายานเชื่อว่า อาทิพุทธ (ชื่อพระพุทธเจ้า) เป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นพร้อมกับโลก หรือเรียกว่า ธรรมกาย เป็นต้นกำเนิดแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งจักรวาลที่เรียกว่า พระธยานิพุทธะ ", "title": "ธรรมกาย" }, { "docid": "188001#13", "text": "และตามนโยบายการขยายงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ดำริที่จะสร้างตั้งแต่ พ.ศ.2530 ในสมัยพระสุเมธาธิบดี เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตในขณะนั้น และได้สืบสานให้ต่อเนื่องใน พ.ศ.2545-ถึงปัจจุบัน มีพระเทพโพธิวิเทศ (วีรยุทฺโธ) เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ได้ดำริให้พระครูปริยัติโพธิวิเทศ (คมสรณ์) ปฎิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดไทยเชตวันมหาวิหาร โดยสร้างขึ้นในวันที่ 9 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ซึ่งวัดตั้งอยู่ในปริมณฑลโบราณสถานวัดพระเชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมหาอุบาสกสร้างถวายพระพุทธเจ้า ทรงจำพรรษา 19 พรรษา กับมหาสถูปยมกปาฏิหาริย์ สารีปุตตสถูป และโมคคัลลานะสถูป มีพื้นที่เริ่มแรก จำนวน 38 ไร่ (เท่ากับมงคล 38 ที่พระพุทธเจ้าแสดง) โดยสังกัดมหานิกาย", "title": "สาวัตถี" }, { "docid": "108273#7", "text": "\"\"...พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลัทธิที่สวนทางกับหลักพระพุทธศาสนามีอยู่สามลัทธิ คือ 1. ลัทธิแล้วแต่กรรมเก่า, 2. ลัทธิแล้วแต่พระเจ้าบันดาล, 3. ลัทธิแล้วแต่โชคชะตาจะพาให้เป็นไป...ลัทธิทั้งสามนี้พึงทราบว่าเป็นลัทธินอกพระพุทธศาสนา ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ใครสมาทานเข้าก็มีแต่เสื่อมลง มองไม่เห็นทางว่าจะสร้างสรรค์พัฒนาชีวิตให้เจริญก้าวหน้าไปได้อย่างไร เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ลัทธิทั้งสามจะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่คนไทยก็เชื่อมั่นในลัทธิกรรมเก่ากันอย่างแน่นแฟ้น จนทุกวันนี้ ใครมีปัญหาชีวิตอะไร ก็พานยกให้เป็นเรื่องที่เนื่องมาแต่กรรมเก่าไปเสียทั้งหมด\"\"", "title": "ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม" }, { "docid": "48066#5", "text": "ประมาณ 300 กว่าปีต่อมาหลังพุทธกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กลุ่มสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมธรรมเทศนาและพระธรรมเทศนาอื่น ๆ แก่เบญจวัคคีย์ และหมู่คันธกุฎีของพระพุทธเจ้า ในบริเวณป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้รับการบูรณะและก่อสร้างศาสนสถานเพิ่มเติมครั้งใหญ่เพื่อถวายเป็นอนุสรณียสถานแก่พระพุทธเจ้า และกลุ่มพุทธสถานเหล่านี้ได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยราชวงศ์คุปตะ (บันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ​ซึ่งได้จาริกมาราว พ.ศ. 1300 ได้บันทึกไว้ว่า \"\"มีพระอยู่ประจำ 1,500 รูป มีพระสถูปสูงประมาณ 100 เมตร มีเสาศิลาจารึกรูปหัวสิงห์ และสิ่งอัศจรรย์มากมาย ฯลฯ\"\") และได้ถูกทิ้งร้างไปเมื่อกษัตริย์โมกุลเข้าปกครองอินเดีย จนท่านอนาคาริก ธรรมปาละ ชาวศรีลังกา ได้มาบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง และได้รับการบูรณะจากรัฐบาลอินเดียเรื่อยมา ทำให้สารนาถกลายเป็นจุดหมายปลายทางในการแสวงบุญที่สำคัญแห่งหนึ่งของชาวพุทธทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "สารนาถ" }, { "docid": "810506#0", "text": "ฮีมานซู โซนิ () เป็นนักแสดงชายชาวอินเดียที่มีชื่อเสียงจากการแสดงเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ,พระพุทธเจ้า ในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก", "title": "ฮีมานซู โซนิ" }, { "docid": "193587#64", "text": "พระพุทธศาสนานิกายต่างๆ ในอินเดีย ได้ร่วมกันใช้นิทานเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของลัทธิของตนมาแต่โบราณ ส่วนพุทธศาสนนิทานที่พบที่จุลประโทนนั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะเรียกว่า “ชาดก” โดยที่ทุกเรื่องเป็นเรื่องพระอดีตชาติขององค์พระพุทธเจ้าศรีศากยมุนี มิใช่เรื่องราวของผู้อื่นนอกเหนือไปจากของพระองค์ ถึงแม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะมีแพร่หลายอยู่ในวรรณคดีที่เรียกตัวเองว่า “อวทาน”", "title": "เจดีย์จุลประโทน" }, { "docid": "166429#3", "text": "ครั้งก่อนพุทธกาลของพระโคดม มีดาบสกลุ่มหนึ่งไปในเมืองแล้วชาวบ้านเลี้ยงอาหารอย่างดี ต่อมาพระโคดมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ชาวบ้านก็เลี้ยงอาหารดาบสเหล่านี้น้อยลง กลุ่มดาบสถามว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านก็ตอบว่า ตอนนี้มีพระพุทธเจ้าและสาวกเกิดขึ้นในโลกแล้ว ดาบสยินดีแล้วก็ถามต่อว่าแล้ว พระพุทธเจ้ากับเหล่าสาวกฉันกลิ่นดิบคือเนื้อและปลาไหม ชาวบ้านตอบว่าฉัน ดาบสเหล่านี้ก็ร้อนใจเลยรีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า พระองค์ฉันเนื้อและปลาที่เป็นกลิ่นดิบหรือ พระโคดมพุทธเจ้าตอบโดยสรุปว่าฉันเพราะได้มาโดยสุจริต ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ ว่าเขาฆ่ามาให้เรา จึงถือว่าเนื้อและปลาเป็นของที่บริสุทธิไม่ใช่ของดิบ และก็เล่าต่ออีกว่าในอดีตสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน คือ กัสสปพุทธเจ้าก็มีดาบสชื่อติสสะไปถามเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ดังรายละเอียดใน อามคันธสูตรที่ ๒ ซึ่งเนื้อหาในพระสูตรดังกล่าวสรุปได้ว่า\nเนื้อและโภชนะไม่ใช่กลิ่นดิบ (ของดิบ) เลย ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย ยินดีใน รสทั้งหลาย เจือปนไปด้วยของไม่สะอาด มีความเห็น ว่าทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล มีการงานไม่เสมอ บุคคลที่ว่ายากไม่ฟังคำแนะนำที่ดีของผู้อื่น ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น ", "title": "พระกัสสปพุทธเจ้า" }, { "docid": "55670#1", "text": "ตู่พุทธพจน์ ใช้เรียกการที่พูดหรือเขียนข้อความหรือข้อธรรมไปตามความคิดเห็นของตนเองแล้วอ้างว่านี่เป็นพระพุทธพจน์ เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ จะอ้างด้วยไม่รู้ ด้วยเข้าใจผิด หรือด้วยจงใจก็ตาม หากข้อที่อ้างถึงนั้นมิใช่พระพุทธพจน์ มิใช่พระดำรัสของพระพุทธเจ้า หรือใช่บ้างไม่ใช่บ้าง หรือนำมาอ้างผิด ๆ ถูก ๆ ชื่อว่าตู่พุทธพจน์ได้ทั้งสิ้น เรียกการตู่พุทธพจน์แบบนี้อีกอย่างหนึ่งว่า จับใส่พระโอษฐ์", "title": "ตู่พุทธพจน์" }, { "docid": "881343#0", "text": "พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก () หรือ พระพุทธเจ้า (ชื่อละครที่ออกอากาศช่องซีหนัง) เป็นละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศในประเทศอินเดียช่วงปี ค.ศ. 2015 กล่าวถึงพระพุทธประวัติ (ประวัติของพระพุทธเจ้า) ออกอากาศในประเทศไทยทางช่องเวิร์คพอยท์ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558 ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 10:00 น. - 11:00 น. และออกอากาศซ้ำในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 18:20 น. นำแสดงโดย ฮีมานซู โซนิ, คาจาล เจน, ซาเมียร์ ธรรมาธิการี, กุนกุน ยุปการี กำกับการแสดงโดย ดร. ภูเมนทรา กุมาร โมที", "title": "พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก" }, { "docid": "679689#20", "text": "หลวงปู่ชาเคยกล่าวเกี่ยวกับข้อวัตรปฏิบัติไว้ในการบรรยายธรรมอบรมภิกษุสามเณรที่วัดหนองป่าพงความว่า \"ข้อวัตรปฏิบัติ กฎกติกาที่ตั้งไว้ คือทางแห่งมรรคผลนิพพาน ถ้าใครไปฝ่าฝืนข้อกติกานั้นแล้ว ก็ไม่ใช่พระ ไม่ใช่คนที่ตั้งใจมาปฏิบัติ เขาจะไม่ได้พบเห็นอะไรเลย ถึงแม้จะอยู่กับผมทุกคืนทุกวันก็ไม่เห็นผม จะอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า\"[1][9]", "title": "วัดหนองป่าพง" }, { "docid": "491250#2", "text": "นกเอี้ยงสาลิกากินแมลงและเมล็ดพืชต่าง ๆ รวมทั้งผลไม้เป็นอาหาร อาศัยอยู่ตามชายทุ่ง พื้นที่ทำการเกษตรใกล้หมู่บ้าน อาจอยู่เป็นคู่หรือรวมฝูง ชอบลงมาหากินอยู่ตามพื้นดิน ขณะหาอาหารมักส่งเสียงร้องไปด้วย มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ทำรังตามชายคาบ้านเรือนหรือตามต้นไม้ด้วยกิ่งไม้ หรือใบหญ้าแห้ง วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ผลัดกันกกไข่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ประมาณ 14 วัน ไข่จึงฟักเป็นตัว พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปเอเชีย ตั้งแต่ อินเดีย, อัฟกานิสถาน, พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค และปัจจุบันได้ถูกนำเข้าไปในบางพื้นที่ที่ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมด้วย", "title": "นกเอี้ยงสาลิกา" }, { "docid": "578913#7", "text": "ศาสนาแบบอินเดียแต่ละศาสนามีความแตกต่างกัน และภายในแต่ละศาสนาก็มีความแตกต่างกันระหว่างนิกาย[10][11] เช่น ธรรม ในศาสนาฮินดูหมายถึง หน้าที่ ในศาสนาเชน หมายถึง การทำความดี ส่วนศาสนาพุทธเรียกว่า พระธรรม หมายถึง คำสอนของพระพุทธเจ้า", "title": "ศาสนาแบบอินเดีย" }, { "docid": "264768#2", "text": "\"ซูการ์โนปูตรี\" หมายความว่า \"บุตรีของซูการ์โน\" และมิใช่ชื่อสกุล เพราะชาวชวาไม่ใช้ชื่อสกุล และโดยปรกติแล้ว เธอมักเป็นที่เรียกขานว่า \"เมกาวาตี\" เฉย ๆ คำ \"เมกาวาตี\" นี้ มาจากคำในภาษาสันสกฤต \"เมฆวดี\" (meghavatī) แปลว่า \"(นางผู้) มีเมฆ\" เพราะเธอกำเนิดเมื่อฝนตก และชื่อนี้ พิชยนันทะ ปัตเนก (Bijayananda Patnaik) ผู้นำอินเดีย ตั้งให้ตามคำร้องขอของบิดาเธอ", "title": "เมกาวาตี ซูการ์โนปูตรี" }, { "docid": "1983#3", "text": "ลูกปืนใหญ่มิใช่พืชพื้นเมืองของศรีลังกาและอินเดีย และต่างจากสาละอย่างสิ้นเชิงทั้งถิ่นกำเนิดและพฤกษศาสตร์ จึงได้มีการจำแนกชื่อที่พ้องกันเพื่อเรียกให้ถูกต้องว่าสาละ (Sal Tree) หรือสาละอินเดีย (Sal of India) และลูกปืนใหญ่ (Cannonball Tree) ", "title": "ลูกปืนใหญ่ (พืช)" }, { "docid": "80018#54", "text": "ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนมาฆะ (วันมาฆบูชา) ในตอนบ่ายพระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวาเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศกว่าภิกษุรูปอื่นในฐานะมีฤทธิ์ล้ำเลิศ เมื่อล่วงค่ำพระสงฆ์ 1,250 รูปจึงมาถึงวัดพระเวฬุวัน พระพุทธเจ้าจึงทรงประทานโอวาทปาติโมกข์แก่ทั้งหมด รวมทั้งอัครสาวกทั้ง 2 พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุรูปอื่นในทางปัญญา เป็นผู้สามารถจะแสดงพระธรรมจักรและพระจตุราริยสัจให้กว้างขวางพิสดารเสมอพระองค์ เมื่อมีภิกษุมาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อจะเที่ยวจาริกไป พระพุทธเจ้ามักจะตรัสให้ภิกษุที่มาทูลลา ไปลาพระสารีบุตรก่อน เพื่อให้พระสารีบุตรได้สั่งสอน เช่นครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะ ภิกษุเป็นจำนวนมากได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลลาไปชนบท พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งให้ไปลาพระสารีบุตร แล้วทรงยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญา อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตทั้งหลาย เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระสารีบุตรได้รับการยกย่องมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า \"พระธรรมเสนาบดี\" พระสงฆ์ผู้ประกาศพระศาสนา ได้ชื่อว่าธรรมเสนา เป็นกองทัพธรรมที่ประกาศเผยแผ่ธรรม เมื่อไปถึงที่ไหน ก็ทำให้เกิดประโยชน์และความสุขที่นั่น พระพุทธเจ้าเป็นจอมธรรมเสนา เรียกว่า \"พระธรรมราชา\" โดยมีพระสารีบุตรเป็นพระธรรมเสนาบดี หรือแม่ทัพฝ่ายธรรม", "title": "พระโคตมพุทธเจ้า" }, { "docid": "48073#3", "text": "ราชอาณาจักรมคธถือเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุดในชมพูทวีป ปกครองด้วยระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์ ถือกำเนิดขึ้นไล่เลี่ยกับการกำเนิดของมหาชนบท 16 แคว้น มีเมืองหลวงครั้งแรกชื่อราชคฤห์ ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูจึงย้ายเมืองหลวงไปยังปาฏลีบุตร (ปัฏนะ) ริมฝั่งแม่น้ำคงคา มคธได้ผ่านการรัฐประหารเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะมาจากอำมาตย์สุสุนาค มหาโจรนันทะ จันทรคุปต์ พราหมณ์ปุษยมิตร ฯลฯ แคว้นมคธได้สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 516 กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสาตวหนะ ต่อมาประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 9 ราชอาณาจักรมคธก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในนามของราชวงศ์คุปตะ อันเป็นยุคคลาสสิกของอินเดีย ราชอาณาจักรมคธในยุคนี้ก็อยู่สืบต่อมา แต่มิใช่ศูนย์อำนาจอีกหลังคุปตะล่มสลาย จนกองทัพมุสลิมเติร์กเข้ายึดอินเดียเหนือได้ทั้งหมด จึงเป็นจุดสิ้นสุดที่แท้จริงของราชอาณาจักรมคธ", "title": "แคว้นมคธ" }, { "docid": "101761#0", "text": "พระอาทิพุทธะเป็นพระพุทธเจ้าที่พบในคติความเชื่อของพุทธศาสนามหายานบางกลุ่ม ไม่พบในฝ่ายเถรวาท โดยเชื่อว่าอาทิพุทธะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก กำเนิดขึ้นพร้อมกับโลก อยู่ในโลกชั่วนิรันดร์ เป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งในโลก และเป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ประทับบนพรหมโลกชั้นอกนิฏฐ์ มีสถานะเสมอปรมาตมันในศาสนาฮินดู ", "title": "อาทิพุทธะ" } ]
3417
ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์ เผยแพร่เมื่อไหร่เป็นครั้งแรก?
[ { "docid": "205316#0", "text": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์ หรือ ซามูไร เซนไท ชินเคนเจอร์ () เป็นภาพยนตร์แนวขบวนการนักสู้ลำดับที่ 33 ของประเทศญี่ปุ่น เริ่มออกอากาศที่ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ทางสถานีทีวีอาซาฮี ทุกเช้าวันอาทิตย์ เวลา 7.30-8.00 น. ในช่วงซูเปอร์ฮีโร่ ไทม์ โดยออกอากาศทั้งหมด 49 ตอน , ตอนพิเศษทางโรงภาพยนตร์อีก 3 ตอน คือ ซามูไร เซนไท ชินเคนเจอร์ ฉบับจอเงิน , ซามูไร เซนไท ชินเคนเจอร์ VS โกออนเจอร์ ฉบับจอเงิน BANG! ฉายวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2010 และ เทนโซ เซนไท โกเซย์เจอร์ VS ชินเคนเจอร์ เอพพิค ON จอเงิน ตอนพิเศษทางโอวีเอ อีก1ตอน คือ คาเอรุเทคิตะ ซามูไร เซนไท ชินเคนเจอร์ โทคุเบทสึบาคุ (การกลับมาของซามูไร เซนไท ชินเคนเจอร์ ฉบับพิเศษ)ในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2010 และ รับเชิญในมาสค์ไรเดอร์ดีเคด ในตอนที่24 และ 25", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" } ]
[ { "docid": "205316#1", "text": "ในประเทศไทย ลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย ชินเคนเจอร(ฉบับทีวีซีรีส์) คือ โรส มีเดียแอนด์เอนเตอร์เทนเมนต์ โดยใช้ชื่อว่า ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์ และออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในรายการแก๊งการ์ตูนทุกวันอาทิตย์เวลา7:10-7:40 น. เริ่มวันอาทิตย์ที่18 กันยายน 2554 - 26 สิงหาคม 2555 ปัจจุบันเปลี่ยนเวลาออกอากาศ เป็นทุกวันอาทิตย์ เวลา 6:15-6:45 น.\nในอดีตกาลได้มีปิศาจคอยทำร้ายมวลมนุษย์เพื่อต้องการครองโลกนาม เงโดวชูว พวกเขาปรากฏตัวจากอีกภพหนึ่งเพื่อแสวงหาพลังงงานและคอยกัดกินมนุษย์ จึงเป็นเหตุให้เกิดกลุ่มผู้พิทักษ์ขึ้นมา โดยรวบรวมนักดาบฝีมือดีจากตระกูลต่างๆของเหล่าซามูไรขึ้นมา นาม ชินเคนเจอร์ เพื่อต่อกรและขับไล่ปิศาจให้พ้นจากโลก", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#23", "text": "เกิดจากการรวมร่างของไดไค ชินเคนโอ , อิกะเทนคูบัสเตอร์ และ โมกิว ไดโอ จนเกิดหุ่นยนต์ร่างสุดยอดขึ้นมา โดย\nซามูไรฮาโอ ขับเคลื่อนด้วยล้อเกวียนที่ส่วนหลังของซามูไร ฮาโอ ซึ่งส่วนล้อเกวียนจะทำหน้าที่เป็นตัวห้ามล้อเมื่อถูกโจมตีและกระเด็นถอยหลัง ทำให้ลดอัตารความเสียหายของสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เกิดจากการถูกโจมตี", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#9", "text": "\"เหล่าซามูไร ที่ได้รับมอบหมายทั่วใต้หล้า ชินเคนเจอร์ มาแล้ว!\"ฮิเดน ดิสค์ (秘伝ディスク) คือ อุปกรณ์รูปแบบแผ่นดิสค์ มีขนาดเท่ากับแผ่นซีดี ใช้ในการเดินพลังให้กับอาวุธและเทพพยนต์ของชินเคนเจอร์ ตัวแผ่นจะมีรูปสัตว์อยู่ในท่าทางเคลื่อนไหวทั้งหมด 8 ภาพคล้ายกับการทำอะนิเมะ โดยภาพจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อทำการหมุนและมีโลหะสะท้อนแสง เช่น ชินเคนมารุ เป็นต้น โดยปกติ ฮิเดน ดิสค์จะถูกเก็บไว้ในหัวเข็มขัดของชินเคนเจอร์ และเมื่อใช้งานจะสามารถขยายรูปร่างของดิสค์ ตามขนาดของอาวุธที่ใช้ในขณะนั้น , ฮิเดน ดิสค์ มีหลายรูปแบบโดยแตกต่างกันออกไปตามวัตถุประสงค์ที่ใช้ เช่นชินเคนโอเกิดจากการรวมตัวของเทพพยนต์ทั้งห้าโดย ชิชิ โอริงามิ เป็นส่วนหัวและลำตัว ,ริว โอริงามิ เป็นขาซ้ายและหมวก,คาเมะ โอริงามิ เป็นแขนขวา ,คุมะ โอริงามิ เป็นขาขวาและ ซารุ โอริงามิ เป็นแขนซ้าย โดยทั้งหมดเทพพยนต์ทั้ง 5 มีความสามารถในการต่อสู้โดยใช้ดาบเป็นหลัก นอกจากนี้ยังสามารถถอดส่วนแขนทั้ง 2 ข้างเพื่อเป็นอาวุธในการโจมตี ส่วนขาทั้ง2ข้างจะเน้นการโจมตีด้วยการเตะและกระโดดเป็นหลัก (ขาขวาเน้นโจมตีด้วยการเตะ ขาซ้ายเน้นในการกระโดด)", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#21", "text": "เกิดจากการรวมร่างของชินเคนโอ และ ไดไคโอ โดย ชิชิ โอริงามิ เป็นส่วนลำตัวช่วงล่างตั้งแต่สะโพกช่วงล่างถึงต้นขา ,ริว โอริงามิ เป็นขาซ้าย ,คุมะ โอริงามิ เป็นขาขวา ,ซารุ โอริงามิ เป็นฝักดาบด้านซ้าย (เชื่อมต่อกับส่วนเอวและเกราะหลังด้านซ้าย),คาเมะ โอริงามิ เป็นฝักดาบด้านขวา (เชื่อมต่อกับส่วนเอวและเกราะหลังด้านขวา) และ ไดไคโอ เป็นส่วนหัวจนถึงสะโพกช่วงบน กระโปรง เกราะหลังช่วงบน แขนทั้ง 2 ข้าง หัวเข่า และ เกราะขาทั้ง 2 ข้าง", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#67", "text": "เทพพยนต์เสริมของชินเคนเจอร์ มีลักษณะคล้ายกับไดโนเสาร์พันธุ์ Diplodocus ลำตัวสีแดงเข้ม (แดงเลือดหมู) โจมตีด้วยการกัดจากส่วนหัว เป็นเทพพยนต์รุ่นแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ต่อกรกับเงโดวชูว มีอายุประมาณ 300 ปี", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#49", "text": "เทพพยนต์เสริมของชินเคนเจอร์ มีรูปร่างคล้ายกับปลาดาบ ลำตัวสีฟ้า-เงิน เดินทางด้วยการลอยตัวบนอากาศ สามารถโจมตีด้วยดาบที่ติดตั้งไว้ส่วนหน้าสุดของคาจิคิ โอริงามิและมิซไซล์ขนาดกลาง 2 ลูกที่บริเวณส่วนหน้าของคาจิคิ โอริงามิ บริเวณลำตัวจะติดตั้งฮิเดน ดิสค์ เอาไว้", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#2", "text": "การต่อสู้ระหว่างเงโดวชูวและชินเคนเจอร์ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนล่วงเลยมาถึงรุ่นที่ 18", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#77", "text": "ขุนพลคนที่ 4 ของเงโดวชูวเป็นคู่ปรับของชินเคนเรดตั้งแต่อดีตกาล โดยในยุคเอโดะนั้นเป็นซามูไรที่มีฝีมือดีแต่ด้วยชื่นชอบการต่อสู้จึงทำให้กลายเป็นจูโซแต่ว่าตัวตนเขาเสียชีวิตไป 300 ปี", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" }, { "docid": "205316#4", "text": "บทขานชื่อของชินเคนเจอร์นั้น มีลักษณะคล้ายกับการประกาศตนของซามูไร โดยคนแรกที่พูดจะเอ่ยนามของตนเอง (ยศ และชื่อ-นามสกุล) และเมื่อคนถัดมาเอ่ยนามอย่างย่อตามลำดับตำแหน่ง เช่น", "title": "ขบวนการซามูไร ชินเคนเจอร์" } ]
3264
สตีฟ จ็อป เกิดที่ไหน ?
[ { "docid": "14288#3", "text": "สตีฟ จอบส์ เกิดที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย มีชื่อจริงว่า สตีเวน พอล จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของพอล แรนโฮลด์ จอบส์ กับคลารา จอบส์ (สกุลเดิม ฮาโกเพียน) ครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย ต่อมาพ่อแม่บุญธรรมก็รับผู้หญิงมาเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน ชื่อ แพทรีเชีย \"แพตตี\" แอน จอบส์", "title": "สตีฟ จอบส์" } ]
[ { "docid": "102438#0", "text": "สตีเฟน แกรี่ วอซเนียก หรือ สตีฟ วอซเนียก () บ้างก็เรียก สตีฟ โวสนิแอก ชื่อเล่นว่า \"Woz\"(วอซ)\nวันเกิด วันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ.1950 ในแซนโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ เป็นบุคคลสำคัญในบริษัทแอปเปิล บริษัทคอมพิวเตอร์ เขาเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ ผู้ก่อตั้งร่วมกันของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และเป็นผู้สร้างคอมพิวเตอร์ Apple I และ Apple II", "title": "สตีฟ วอซเนียก" }, { "docid": "308495#0", "text": "สตีเฟน เกลน \"สตีฟ\" มาร์ติน () เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เป็นนักแสดง ดาราตลก นักเขียน ผู้เขียนบท โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ นักดนตรี และนักแต่งเพลง ชาวอเมริกัน เขาเติบโตในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อ การ์เดนโกล์ฟ ในเซาท์แคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้รับอิทธิพลในการทำงานที่ดิสนีย์แลนด์และน็อตส์เบอร์รีฟาร์ม และทำงานมายากล และแสดงตลก ที่งานเล็ก ๆ ในแถบนั้น งานในอดีตของเขาที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาคืองานเป็นนักเขียนให้กับ \"Smothers Brothers Comedy Hour\" และต่อมาได้รับเชิญใน \"Tonight Show\" อยู่บ่อยครั้ง", "title": "สตีฟ มาร์ติน" }, { "docid": "890962#0", "text": "สตีฟเวน ชีน \"สตีฟ\" เชน (; เกิด 18 สิงหาคม ค.ศ. 1978) เป็นผู้ประกอบการด้านอินเทอร์เน็ตชาวอเมริกัน เขาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของเว็บไซต์ยอดนิยม YouTube เขาเป็นคนเชื้อสายไต้หวัน หลังจากที่ได้ร่วมก่อตั้ง บริษัท AVOS Systems, Inc. และได้สร้างแอปพลิเคชันแชร์วิดีโอ MixBit เขาเข้าร่วมงานกับ Google Ventures ในปีค.ศ. 2014", "title": "สตีฟ เชน" }, { "docid": "335484#4", "text": "สตีฟ โรเจอร์ส ถือกำเนิดในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 ที่โลเวอร์อีสท์ไซด์ของแมนฮัตตัน ในนิวยอร์ก โดยมีพ่อแม่เป็นชาวไอร์แลนด์ที่อพยพเข้าเมือง ซึ่งมีชื่อว่าซาร่าห์ กับโจเซฟ โรเจอร์ส โจเซฟ โรเจอร์สเสียชีวิตลง โดยที่เหลือเพียงสตีฟซึ่งเป็นบุตรเพียงคนเดียวของซาร่าห์ผู้เป็นมารดา จากนั้นในภายหลัง ซาร่าห์ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคปอดบวมในช่วงที่สตีฟอยู่ในวัยหนุ่ม ในช่วงต้นยุค 1940 ก่อนที่อเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง โรเจอร์สเป็นผู้มีร่างกายสูงแต่ผอมบาง เขาเป็นนักเรียนด้านวิจิตรศิลป์ผู้เชี่ยวชาญภาพประกอบ จากเหตุการณ์ที่คุกคามโดยจักรวรรดิไรช์ที่สามนี้ โรเจอร์สได้พยายามที่จะเข้าร่วมเกณฑ์ เพียงเพื่อต้องการที่จะปฏิเสธความยากจน เนื่องด้วยพลเอกเชสเตอร์ ฟีลิปส์แห่งกองทัพสหรัฐกำลังมองหาการทดสอบอยู่พอดี โรเจอส์จึงมีโอกาสที่จะรับใช้ประเทศชาติด้วยการมีส่วนร่วมในโครงการป้องกันความลับสุดยอด โอเปอร์เรชั่น: รีเบิร์ธ หรือโครงการการเกิดใหม่จึงได้เกิดขึ้น ซึ่งได้มีความพยายามในการพัฒนาด้านการสร้างซูเปอร์โซลเยอร์ที่มีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายอย่างแท้จริง โรเจอร์สอาสาเข้ารับการทดสอบ และภายหลังจากการคัดเลือกอย่างเข้มงวด เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับเซรุ่มเพื่อเป็นซูเปอร์โซลเยอร์จากนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อว่า ดร.โจเซฟ ไรน์สไตน์ ซึ่งในภายหลังเขาได้เปลี่ยนชื่อรหัสของนักวิทยาศาสตร์มาเป็น อับราฮัม เออร์สไคน์", "title": "กัปตันอเมริกา" }, { "docid": "437501#0", "text": "สตีฟ เดวิส () เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1957 เป็นอดีตนักสนุกเกอร์อาชีพชาวอังกฤษจากย่านพลัมสเตด ลอนดอน เป็นที่รู้จักกันดีในช่วงยุค 1980 เมื่อเขาได้คว้าแชมป์ในเวิลด์แชมเปียนชิปถึง 6 สมัย และติดอันดับ 1 ของโลกใน 7 ฤดูกาล เขาเป็นที่จดจำในการแข่งขันเวิลด์แชมเปียน 1985 ในรอบชิงโดยเจอกับเดนนิส เทย์เลอร์ มีการบันทึกว่าได้ดึงดูดผู้ชมชาวอังกฤษกว่า 18.5 ล้านคนในระหว่างที่ชิงลูกดำกัน เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในขวัญใจที่สุดและถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ปัจจุบัน เดวิส ยังเล่นสายอาชีพอย่างต่อเนื่องพร้อมกับบทบาทของเขาในฐานะนักวิเคราะห์และผู้บรรยายสนุกเกอร์ของบีบีซี", "title": "สตีฟ เดวิส" }, { "docid": "35246#0", "text": "สตีเฟน จอห์น แนช (Stephen John Nash) หรือ สตีฟ แนช (Steve Nash) (เกิด 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ในเมืองโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้) เป็นนักบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงชาวแคนาดา", "title": "สตีฟ แนช" }, { "docid": "14288#6", "text": "ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 1974 จอบส์ได้กลับมายังรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม\"เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน\" กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่านกหวีดของเล่นที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อแคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทางไกลของเอทีแอนด์ทีได้ โดยไม่รอช้า ในปีค.ศ. 1974จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง\"บลูบ็อกซ์\" จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด", "title": "สตีฟ จอบส์" }, { "docid": "815538#0", "text": "สตีเฟน ดักลัส \"สตีฟ\" แม็กไมเคิล (เกิด 17 ตุลาคม 1957) เป็นวิทยาลัยอเมริกันและอดีตนักฟุตบอลอาชีพเป็นการป้องกันแก้ไขปัญหาในฟุตบอลลีกแห่งชาติ (NFL), ผู้ประกาศข่าวอดีตและจากนั้นนักมวยปล้ำมืออาชีพสำหรับการแข่งขันชิงแชมป์โลกดับเบิลยู (WCW) ที่ และอดีตหัวหน้าโค้ชของชิคาโกสังหารของคอนติเนนฟุตบอลลีกในร่ม (CIFL) McMichael เล่นวิทยาลัยฟุตบอลสำหรับมหาวิทยาลัยเท็กซัสและเป็น All-American เขาเล่นให้นิวอิงแลนด์รักชาติชิคาโกหมีและกรีนเบย์ชนะซูเปอร์โบว์ล XX กับหมี ในช่วงมวยปล้ำอาชีพโปร McMichael กลายเป็นสมาชิกของรุ่นของตำนานสี่ขี่ม้าที่มีเสถียรภาพและจัด WCW สหรัฐอเมริกาชื่อเรื่อง เขาทำให้การทำงานที่ล้มเหลวสำหรับนายกเทศมนตรีของ Romeoville อิลลินอยส์ในปี 2013", "title": "สตีฟ แม็กไมเคิล" }, { "docid": "148764#1", "text": "เกิดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1957 ที่บรูกลิน นิวยอร์ก โดยที่พ่อเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน แม่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายไอร์ริช บูเซมีมีชื่อเสียงมาจากการภาพยนตร์อิสระที่เจ้าตัวกำกับและแสดงเอง เรื่อง \"Trees Lounge\" ในปี ค.ศ. 1996 (ชื่อภาษาไทย \"สุราแปลว่าเหล้า\" เคยได้ฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในโครงการภาพยนตร์อิสระของสหมงคลฟิล์ม และได้ออกจำหน่ายเป็นวิดีโอในปีเดียวกัน)", "title": "สตีฟ บูเซมี" } ]
150
ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีลูกกี่คน ?
[ { "docid": "263349#8", "text": "ทักษิณ สมรสกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หลังลาออกจากราชการตำรวจ ในปี พ.ศ. 2523[33] และมีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่", "title": "ทักษิณ ชินวัตร" } ]
[ { "docid": "268699#0", "text": "สกุลชินวัตร เป็นสกุลที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและธุรกิจมากมายในปัจจุบัน โดยมีเส็ง แซ่คูเป็นต้นตระกูล ซึ่งอพยพย้ายถิ่นฐานมาจากสาธารณรัฐจีน (ในขณะนั้น)​มายังจังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย ต่อมาได้ย้ายไปตั้งรกรากที่จังหวัดเชียงใหม่ ในพ.ศ. 2454 เชียง แซ่คู บุตรชายคนโตของครอบครัวได้เริ่มต้นธุรกิจทอผ้าไหมในจังหวัดเชียงใหม่ จนในปัจจุบันเป็นกิจการผ้าไหมที่มีมายาวนานที่สุดของประเทศไทย สกุลชินวัตรเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเมื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร สมาชิกรุ่นที่ 3 ได้ดำเนินธุรกิจต่างๆ อาทิเช่น เครือค่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เอไอเอส จนประสบความสำเร็จ และได้เข้าสู่การเมืองในเวลาต่อมา พร้อมทั้งมีสมาชิกคนอื่นๆ ตามมา ซึ่งทำให้สกุลชินวัตรเป็นที่รู้จักมากในด้านของการเมืองในปัจจุบัน", "title": "สกุลชินวัตร" }, { "docid": "263349#18", "text": "หลังจากความสำเร็จในการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้ตัดสินใจนำบริษัทในกลุ่มชินวัตรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในระหว่างปี 2533 – 2537 อาทิ", "title": "ทักษิณ ชินวัตร" }, { "docid": "263413#1", "text": "ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นญาติของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากสุมาลี โตวิจักษณ์ชัยกุล น้าของสุรพงษ์ แต่งงานกับเสถียร ชินวัตร อาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เคยสมรสกับอัญชลี โตวิจักษณ์ชัยกุล มีบุตร 2 คน คือ ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล และศุภิสรา โตวิจักษณ์ชัยกุล ", "title": "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" }, { "docid": "230224#0", "text": "รู้ทันทักษิณ เป็นหนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเสนอในรูปแบบของมุมมอง ความคิดเห็นของนักวิชาการชั้นนำหรือคนที่รู้จักทักษิณผ่านบทวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ เพี่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยมีบรรณาธิการคือ รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตเป็นสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และมีสำนักพิมพ์คือฃอคิดด้วยฅน หนังสือรู้ทันทักษิณมีทั้งหมด 5 เล่ม โดยได้แถลงเปิดตัวอย่างเป็นทางการเล่มแรก เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2547 ", "title": "รู้ทันทักษิณ" }, { "docid": "202656#2", "text": "ต่อมา ชัยสิทธิ์ได้สมรสกับคุณวีณา ชินวัตร (สุขสภา) มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นางสาวลัฆวี ชินวัตร และนายวีรสิทธิ์ ชินวัตร นอกจากนี้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ยังเป็นญาติผู้พี่ของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 28พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เคยมีกระแสข่าวว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ในปี พ.ศ. 2554 ในปี พ.ศ. 2561 พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคพลังปวงชนไทย ส่วนนายนิคม บุญวิเศษเป็นหัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นนอมินีของพรรคเพื่อไทย", "title": "ชัยสิทธิ์ ชินวัตร" }, { "docid": "63544#0", "text": "นายพายัพ ชินวัตร (เกิด 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) เป็นผู้ดูแลภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ น้องชายคนเดียวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร", "title": "พายัพ ชินวัตร" }, { "docid": "323470#2", "text": "สุรพันธ์ ชินวัตร เป็นน้องชายของนายบุญเลิศ ชินวัตร บิดาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย", "title": "สุรพันธ์ ชินวัตร" }, { "docid": "577436#1", "text": "ชยาภาเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 เป็นธิดาคนสุดท้อง ของสมชาย (บิดา) นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 26 กับเยาวภา (มารดา; นามสกุลเดิม: ชินวัตร) จึงเป็นหลานสาวของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 23 ด้วย ชยาภามีพี่ชาย 1 คนคือ ยศชนัน (เชน) และพี่สาว 1 คนคือ ชินณิชา (เชียร์)", "title": "ชยาภา วงศ์สวัสดิ์" }, { "docid": "216124#3", "text": "ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายโภคิน พลกุล ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 377 คะแนน ไม่เห็นชอบ 1 คะแนน (คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์) และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 116 คะแนน จึงถือได้ว่าพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี", "title": "การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย มีนาคม พ.ศ. 2548" }, { "docid": "65854#0", "text": "แพทองธาร ชินวัตร (ชื่อเล่น: อุ๊งอิ๊งค์; เกิด: 21 สิงหาคม พ.ศ. 2529) บุตรสาวคนสุดท้อง ของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ", "title": "แพทองธาร ชินวัตร" }, { "docid": "192027#7", "text": "นายแพทย์พรหมินทร์และบริษัทแมทช์บอกซ์อยู่เบื้องหลังแคมเปญการรณรงค์ทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นภาพโปสเตอร์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ยืนชี้นิ้วมองไกลไปข้างหน้าพร้อมกับคำขวัญ \"พลิกเมืองไทยให้แข่งกับโลก\" ที่ได้รับว่าพึงพอใจจากคนชั้นกลางเป็นจำนวนมาก", "title": "พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช" }, { "docid": "306281#0", "text": "เลิศ ชินวัตร (พ.ศ. 2462-23 ตุลาคม พ.ศ. 2540) อดีตนักการเมืองชาวเชียงใหม่ เป็นบิดาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ", "title": "เลิศ ชินวัตร" }, { "docid": "61561#5", "text": "ร.ต.อ.ปุระชัย คัดค้านที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีมติเห็นชอบ \"ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ….\" ที่พยายามช่วยเหลือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นความผิด โดยยืนยันว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ควรที่ต้องรับโทษตามกฎหมายคดีทุจริตคอรัปชันก่อน ถึงจะมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับการอภัยโทษความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อรัฐ", "title": "ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์" }, { "docid": "530858#1", "text": "เยาวลักษณ์ ชินวัตร เกิดวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นบุตรคนโตของนายเลิศ ชินวัตร กับนางยินดี ชินวัตร มีน้อง 9 คน ได้แก่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร), นางเยาวเรศ ชินวัตร (สมรสกับนายวีระชัย วงศ์นภาจันทร์), นางปิยนุช (สมรสกับนายสง่า ลิ้มพัฒนาชาติ), นายอุดร ชินวัตร, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (สมรสกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์), นายพายัพ ชินวัตร (สมรสกับนางพอฤทัย จันทรพันธ์), นางมณฑาทิพย์ (สมรสกับนายแพทย์สมชัย โกวิทเจริญกุล), นางทัศนีย์ ชินวัตร และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร) ", "title": "เยาวลักษณ์ ชินวัตร" }, { "docid": "245886#1", "text": "โว๊กว๊าก นำแสดงโดย สายัณห์ ดอกสะเดา รับบทเป็น \"โอ๊กอ๊าก\" ลูกชายของ \"เจ้าสัวรักสิน\" โดยนำนักแสดงหน้าเหมือนนักการเมืองจากรายการสภาโจ๊ก มาร่วมแสดงด้วย จึงเกิดเสียงวิจารณ์ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงล้อเลียน พานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค) บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จนมีข่าวว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ แสดงความไม่พอใจ และทำให้ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล อ้างเป็นเหตุในการเข้าตรวจสอบภาพยนตร์เรื่องนี้ เด๋อจึงเซ็นเซอร์บางฉากออกไป เพื่อแก้ปัญหายุ่งยาก และเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ดังกล่าว", "title": "โว๊กว๊าก" }, { "docid": "263349#15", "text": "หลังจากการประกอบธุรกิจมาหลายประเภท ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจด้านข้อมูลข่าวสารด้วยการก่อตั้งบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด(เดิมชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซีเอสไอ (ICSI) ) ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2526 เพื่อประกอบธุรกิจให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมจาก IBM และต่อมาได้เริ่มธุรกิจวิทยุติดตามตัวยี่ห้อ Phonelink ที่ได้กลายเป็นแท่นกระโดดสู่ธุรกิจโทรคมนาคมเต็มตัว", "title": "ทักษิณ ชินวัตร" }, { "docid": "153727#10", "text": "นายกษิต ภิรมย์ เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่ได้รับความเชื่อถือจาก นายชวน หลีกภัย อย่างต่อเนื่อง\nปี 2537 นายกษิต ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตาได้ต้อนรับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ติดต่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการเมืองกับ\nนายกษิต จนกระทั่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน เมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2544 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงได้ให้นายกษิต ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงเพื่อไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี\nต่อมาเมื่อพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการบริหารราชการที่แตกต่างจากที่ได้เคยหารือกันไว้ ได้สัมผัสกับวิธีคิดและวิธีทำงานของพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ อย่างใกล้ชิด นายกษิต ภิรมย์ จึงเริ่มออกห่างจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และในเดือน พฤศจิกายน 2544 ได้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น", "title": "กษิต ภิรมย์" }, { "docid": "12642#1", "text": "ในปี พ.ศ. 2539 มหาวิทยาลัยชินวัตรมีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดริเริ่มของ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ ศาสตราจารย์ ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่จะก่อตั้งมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อช่วยสนับสนุนการพัฒนาภายในประเทศและภูมิภาคใกล้เคียงบวกกับความคิดที่จะพัฒนารูปแบบของ มหาวิทยาลัยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ ดร.สุนทร บุญญาธิการ จวบจนกระทั่งปี พ.ศ. 2542 ทบวงมหาวิทยาลัยจึงอนุญาตให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยชินวัตรขึ้น มหาวิทยาลัยชินวัตรเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มุ่งเน้นการศึกษาค้นคว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยม การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ความเป็นผู้นำ การจัดการ ความเป็นนักลงทุน ไปพร้อมๆ กับมาตรฐานจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับสูง โดยบริษัท โอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ได้รับอนุญาตจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2542เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีในระดับภูมิภาคและระดับโลก มหาวิทยาลัยชินวัตรจึงมุ่งมั่นที่จะผลิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอกให้สอดคล้องและมีประสิทธิภาพต่อตลาดแรงงานและคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง", "title": "มหาวิทยาลัยชินวัตร" }, { "docid": "7592#3", "text": "คุณหญิง ดร.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เข้าสู่แวดวงการเมืองครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ได้เป็น ส.ส. ในเขตกรุงเทพมหานคร ในเขต 12 (มีนบุรี, บางเขน, หนองจอก, ดอนเมือง ยกเว้นแขวงทุ่งสองห้อง) ของพรรคพลังธรรม แต่หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้วางมือทางการเมืองแล้ว พรรคพลังธรรมก็ได้ผลัดเปลี่ยนหัวหน้าพรรคหลายคน มาจนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ก็ได้สนิทสนมกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับสมาชิกพรรคอีกหลายคนซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส. ในกรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2539 พรรคพลังธรรมมี ส.ส. เหลือเพียงคนเดียว คือ คุณหญิงสุดารัตน์นี่เอง และในปี พ.ศ. 2541 เมื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาก่อตั้งพรรคไทยรักไทย คุณหญิงสุดารัตน์ก็เป็นหนึ่งใน 23 บุคคลที่ร่วมก่อตั้งพรรคด้วย และก็ได้ร่วมงานกับทางพรรคมาจนบัดนั้น", "title": "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" }, { "docid": "190640#1", "text": "ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ มีชื่อเล่นว่า \"เชียร์\" เกิดเมื่อวันที่ เป็นบุตรสาวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย กับนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน และยังเป็นหลานสาวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย", "title": "ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์" }, { "docid": "192027#6", "text": "ภายหลังจบการศึกษาและทำงานราชการ ต่อมาพรรคพวกเครือข่ายคนเดือนตุลาที่ไปช่วยงาน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แนะนำให้ดึงตัวนายแพทย์พรหมินทร์เข้ามาช่วยงานด้านกลยุทธ์ และได้เข้าร่วมทำงานกับกลุ่มบริษัทชินวัตร จนตำแหน่งสุดท้ายคือซีอีโอ ของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ คอมมิวนิเคชั่นส์", "title": "พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช" }, { "docid": "102405#1", "text": "สมภารเซ้งโบสถ์ เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเสียดสี เปรียบเทียบ สถานการณ์การเมืองในขณะนั้น โดย ยืนยง ผู้แต่งได้แรงบันดาลใจในการเขียนเนื้อเพลงจากโคลงชื่อ \" สมภารเซ้งโบสถ์ \" ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ โดยเปรียบเทียบ ดร .ทักษิณ ชินวัตร เหมือนสมภารเลี่ยม การเซ้งโบสถ์ให้กับเถ้าแก่เสก เจ้าสัวเมืองสิงค์ เหมือนกับกรณีตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปแก่บริษัท เทมาเสก โฮลดิ้ง แห่งสิงคโปร์ ซึ่งนำมาสู่วิกฤตศรัทธาในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ", "title": "สมภารเซ้งโบสถ์" }, { "docid": "50151#3", "text": "นับตั้งแต่การเคลื่อนไหวต่อต้าน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พานทองแท้ก็ถูกโจมตีและเผยแพร่ข่าวลือด้านลบมาโดยตลอดโดยกลุ่มผู้ต่อต้านทักษิณ พานทองแท้เริ่มมีบทบาททางการเมืองเด่นชัดนับจากปี 2555 จากกรณีการกล่าวหาว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนีทหาร และจากนั้นพานทองแท้ก็ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยการจ้างคอลัมนิสต์เขียนผ่านทางเฟสบุ๊คของตัวเอง และเป็นประเด็นในสื่อกระแสหลักเรื่อยมา หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เขาถูกทหารควบคุมตัว ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่\nและปรากฏข้อมูลในเอกสารคำร้องฝากขังกลุ่มแอดมินเพจ “เรารักพล.อ.ประยุทธ์” ระบุว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เงินสนับสนุน", "title": "พานทองแท้ ชินวัตร" }, { "docid": "331754#3", "text": "ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล เริ่มเข้าสู่งานการเมือง โดยการชักชวนของทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคพลังธรรมและได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 สังกัดพรรคพลังธรรม ต่อมา ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล จึงเข้าร่วมกับทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และได้รับตำแหน่งเป็นโฆษกพรรคคนแรก (คณะกรรมการชุดที่ขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง) กระทั่งในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ผู้แทนการค้าไทย และต่อมาจึงได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ", "title": "กันตธีร์ ศุภมงคล" }, { "docid": "362887#0", "text": "ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 23 ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2544–2549 ระหว่างดำรงตำแหน่ง ทักษิณริเริ่มหลายนโยบายซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา พลังงาน ยาเสพติดและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขาชนะการเลือกตั้งถล่มทลายถึงสองสมัย[1] นโยบายของทักษิณลดความยากจนในชนบทได้อย่างเด่นชัด[2] และจัดบริการสาธารณสุขในราคาที่สามารถจ่ายได้ ด้วยเหตุนี้ ฐานเสียงสนับสนุนของเขาส่วนใหญ่จึงมาจากคนยากจนในชนบท[1]", "title": "การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของทักษิณ ชินวัตร" }, { "docid": "7673#2", "text": "มีบุตร 3 คน ได้แก่ นายณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ สมรส กับ อาจารย์ วณิศรา บุญยะลีพรรณ นายณพล จาตุศรีพิทักษ์ และเด็กชายณฉัตร จาตุศรีพิทักษ์ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อภิรดี ตันตราภรณ์ อีกด้วย\nดร.สมคิด ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลเศรษฐกิจคนสำคัญของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยที่นโยบายประชานิยมหรือนโยบายเศรษฐกิจหลายอย่างก็มาจากแนวความคิดของ ดร.สมคิดเอง ในระหว่างการทำงานการเมืองได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีภาพลักษณ์ดี เพราะเก่งกาจ มีความเชี่ยวชาญสามารถคนหนึ่ง และได้ชื่อว่าบางครั้งก็ไม่ทำตามนโยบายหรือแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำหนดไว้เสมอไป", "title": "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" }, { "docid": "530858#0", "text": "นางเยาวลักษณ์ ชินวัตร หรือ นางเยาวลักษณ์ คล่องคำนวณการ พี่สาวคนโตของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2529", "title": "เยาวลักษณ์ ชินวัตร" }, { "docid": "263349#41", "text": "วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ของทักษิณ ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นของ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ที่ครอบครองอยู่ทั้งหมด ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จำกัด (พีทีอี) ซึ่งทักษิณชี้แจงว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่กลับมีบุคคลบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายที่ว่าด้วยการขายหุ้นในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกรณีดังกล่าว รวมทั้งการไม่ต้องเสียภาษีรายได้จากผลกำไรในการขายหุ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นจุดสำคัญที่ทำให้กระแสการขับทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขยายตัวออกไปในวงกว้าง", "title": "ทักษิณ ชินวัตร" }, { "docid": "50151#0", "text": "พานทองแท้ ชินวัตร ชื่อเล่น: โอ๊ค (2 ธันวาคม พ.ศ. 2522) นักธุรกิจชาวไทย สมาชิกพรรคเพื่อไทย บุตรชายของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย กับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา มีน้องสาวสองคน คือพินทองทา และแพทองธาร", "title": "พานทองแท้ ชินวัตร" }, { "docid": "198644#4", "text": "โดยช่วงสำคัญของงานครั้งนี้ อยู่ที่การปราศรัยทางโทรศัพท์ ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีนายวีระ เป็นผู้สัมภาษณ์บนเวที โดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้กล่าวถึง การสร้างความสามัคคี ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติ", "title": "การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน" } ]
2580
สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ อยู่ในความดูแลของกระทรวงใด?
[ { "docid": "238820#1", "text": "สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) เรียกโดยย่อว่า \"สทศ\" ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า \"National Institute of Educational Testing Service (Public Organization)\" เรียกโดยย่อว่า \"NIETS\" จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2548 ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2548 ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" } ]
[ { "docid": "35930#7", "text": "การสอบเอ็นทรานซ์ (Entrance Examination) เป็นส่วนหนึ่งของระบบคัดเลือกเข้าอุดมศึกษากลาง CUAS การสอบเอ็นทรานซ์เป็นการวัดความรู้เป็นหลัก โดยสำนักทดสอบกลาง ทบวงมหาวิทยาลัย ต่อมาคือ สำนักทดสอบกลาง สกอ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ในปัจจุบัน) ", "title": "การรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย" }, { "docid": "155123#6", "text": "ปี พ.ศ. 2548 วันอังคารที่ 9 สิงหาคม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน (One Doctor One District; ODOD) โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) พิจารณาทบทวนในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหน่วยงานหรือสถาบันของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้บุคลากรทางการแพทย์ โดยให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) ด้วย เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างรอบคอบเหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการและความสามารถในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ในภาพรวมของประเทศทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (ฝ่ายสาธารณสุข การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ในการประชุมครั้งที่ 4/2548 วันที่ 18 กรกฎาคม 2548 ที่เห็นว่า การกำหนดเงื่อนไขการชดใช้ทุนสำหรับแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาจากโครงการนี้ ควรปรับเงื่อนไขการใช้ชดใช้ทุนให้เหมาะสมและเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้ต้องปฏิบัติงานชดใช้ทุนเป็นระยะเวลา 12 ปี หรือ 2 เท่าของระยะเวลาการศึกษาตลอดหลักสูตร และกรณีผิดสัญญาต้องชดใช้เป็นเงิน 2 เท่า ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อคนที่รัฐสนับสนุนตลอดโครงการฯ และความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มเติม ควรเปิดให้สถาบันการศึกษาเอกชนที่มีความพร้อมสามารถผลิตบุคลากรได้โดยตรง โดยภาครัฐควรพิจารณากำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ ตลอดจนมาตรฐานขั้นต่ำ และการรับรองคุณภาพของการดำเนินการ หรือของบุคลากรที่จบการศึกษา ให้สถาบันการศึกษาเอกชนได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และในการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการผลิตแพทย์เพื่อให้ปฏิบัติงานในภูมิลำเนา ควรมีการทดสอบทัศนคติและความตั้งใจของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในการที่จะต้องกลับไปปฏิบัติงานในภูมิลำเนาด้วยความเสียสละและอุทิศทุ่มเท เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ควรจะพิจารณาจ้างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง และมีความพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็นแพทย์อาวุโสหรือที่ปรึกษาอาวุโสให้แก่แพทย์ในโรงพยาบาล หรือสถาบันทางการแพทย์อื่นๆ หรือไม่ประการใด ไปประกอบการพิจารณาด้วย", "title": "ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลขอนแก่น" }, { "docid": "994050#0", "text": "กระทรวงการศึกษาสูงสุดและทางหลวง (; ) เป็นกระทรวงระดับรัฐมนตรี ของรัฐบาลประเทศศรีลังกา มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนด และใช้นโยบายระดับชาติในด้านการศึกษาระดับสูงกับทางหลวง และหัวข้ออื่นอยู่ภายใต้ขอบเขตของกระทรวง โดยทั่วไปจะครอบคลุมถึงการบำรุงรักษา, การขยายมาตรฐาน และการกำกับดูแลทั่วไปของระเบียบข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศ ตลอดจนการพัฒนาการบำรุงรักษา และการบริหารจัดการเครือข่ายทางหลวงแห่งชาติ\nปัจจุบันมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาสูงสุดและทางหลวง, รัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาสูงสุดประจำรัฐ และรัฐมนตรีกระทรวงทางหลวงประจำรัฐ คือ Kabir Hashim, Mohan Lal Grero และ Dilan Perera ตามลำดับ เลขานุการประจำกระทรวง คือ D. C. Dissanayake", "title": "กระทรวงอุดมศึกษาและทางหลวง" }, { "docid": "238820#11", "text": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) รายนามประธานคณะกรรมการบริหารวาระการดำรงตำแหน่ง1. ดร.สงบ ลักษณะพ.ศ. 2548 - พ.ศ. 25532. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 25583. ดร.ชาคร วิภูษณวนิชพ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "238820#2", "text": "สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) จัดตั้งขึ้นเป็นองค์การมหาชนเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรและบุคลากรได้สูงสุด มีความเป็นอิสระและหน้าด้าที่ขึ้นอยู่กับสายการบริหารของหน่วยงานที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบการจัดการศึกษาจึงมีความเป็นกลาง เป็นสถาบันที่มีการกำหนดหลักการ นโยบาย มาตรการและเป้าหมาย โครงสร้างการบริหาร และการดำเนินกิจการ ความสัมพันธ์กับรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บุคลากร การเงิน การตรวจสอบ และการประเมินผลที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งสถาบันเพื่อบริหารจัดการและดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษา วิจัย และให้บริการ ทางด้านการประเมินผลทางการศึกษาและทดสอบทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาในระดับชาติและนานาชาติ", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "238820#0", "text": "สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. เป็นหน่วยงานของรัฐ ประเภทองค์การมหาชน จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) พ.ศ. 2548 ปัจจุบัน สทศ. มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 128 อาคารพญาไทพลาซ่า ชั้น 35-36 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "35930#9", "text": "การสอบวิชาหลักและวิชาเฉพาะ (เรียกรวมว่า \"การสอบวัดความรู้\" ) มีรายวิชาที่กำหนดไว้ตามความต้องการของแต่ละคณะหรือสาขาวิชาต่างๆ ในระบบอุดมศึกษาของประเทศไทยระบบการตัดเลือกเข้าอุดมศึกษาระบบกลาง (Admissions) เป็นระบบที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) รับผิดชอบในการจัดการทดสอบวัดความรู้พื้นฐาน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2549", "title": "การรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย" }, { "docid": "238820#8", "text": "9 วิชาสามัญ หรือเดิม 7 วิชาสามัญ เป็นข้อสอบสำหรับเข้าคณะแพทยศาสตร์ ในระบบ กสพท. และการสอบรับตรงร่วมกันสำหรับคณะทั่วไปในสถาบันส่วนใหญ่[4] ข้อสอบประกอบด้วยรายวิชาทั้ง 9 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ 1, คณิตศาสตร์ 2, วิทยาศาสตร์พื้นฐาน, ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา, ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทยและ สังคมศึกษา O-NET: Ordinary National Educational Test (การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน) เป็นการสอบความรู้รวบยอดปลายช่วงชั้นที่ 1 - 3 ของชั้น ป.6 ม. 3 และ ม. 6 ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร โดยเดิมมี 8 วิชา แต่ต่อมาในปีการศึกษา 2558 ได้ลดลงเหลือ 5 วิชาได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ[5] V-NET: Vocational National Educational Test (การทดสอบการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา) ซึ่งจัดสอบให้กับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 I-NET: Islamic National Educational Test (การทดสอบมาตรฐานอิสลามศึกษา) ระดับตอนต้น ตอนกลาง และ ตอนปลาย ซึ่งจัดสอบให้กับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในปีสุดท้ายของหลักสูตรอิสลามศึกษาตอนต้น ตอนกลาง และ ตอนปลาย ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควบคู่วิชาสามัญ N-NET: Non-Formal National Education Test การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน[6] B-NET: Buddhism National Educational Test การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านพระพุทธศาสนา[7] การทดสอบสมรรถนะครู สำหรับครู", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "238820#5", "text": "จัดการบริหารทดสอบทางการศึกษาระดับชาติให้ได้มาตรฐาน พัฒนาข้อสอบให้สามารถวัดได้ทุกมาตรฐานการศึกษาอย่างมีมาตรฐาน ดำเนินการให้มีการนำผลการทดสอบไปใช้ให้เกิดประโยชน์ วิจัยและพัฒนาให้มีระบบการทดสอบทางการศึกษาให้ครบทุกมาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียนในทุกระดับและทุกประเภทการศึกษา ศึกษาวิจัยเรื่องรูปแบบข้อสอบและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับโปรแกรม และเทคนิคการสร้างข้อสอบและมาตรฐานการวัดรูปแบบต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลและข้อความรู้ เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณชน ทบทวนกฎหมาย ข้อบังคับและมติต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริง ทันสมัย และเอื้อต่อการปฏิบัติงาน สนับสนุนและส่งเสริมให้สถานศึกษาและทุกระดับสถานศึกษาและต้นสังกัดมีโปรแกรมการทดสอบและประเมินผลผู้เรียนตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้บริการการทดสอบแก่บุคลากรและหน่วยงานต่าง ๆ เป็นศูนย์กลางข้อมูลการทดสอบทางการศึกษา สนับสนุน และให้บริการผลการทดสอบแก่หน่วยงานต่างๆ ตลอดจนความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้อย่างมีมาตรฐานระดับสากล", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "134545#4", "text": "\"การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสูง\" (Advanced National Educational Test; A-NET) เป็นการสอบความรู้ขั้นสูง 6 ภาคเรียน ทดสอบเฉพาะนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ประสงค์จะเข้าศึกษาสถาบันอุดมศึกษาในระบบแอดมิชชั่น จำนวนวิชาสอบ 11 วิชา ตามแต่ละคณะที่กำหนด มีช่วงเวลาสอบในเดือนตุลาคมและเดือนมีนาคมของทุกปี ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2553 ได้ยกเลิกการสอบเอเน็ตแล้วเปลี่ยนไปใช้การทดสอบความถนัดทั่วไป วิชาชีพและวิชาการ (GAT-PAT) แทน รวมมีการจัดสอบเอเน็ตทั้งหมด 4 ครั้ง", "title": "การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ" }, { "docid": "386369#138", "text": "วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554 วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า สถานศึกษาทั่วประเทศถูกน้ำท่วมกว่า 2,000 แห่ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,400 ล้านบาท[179] นอกจากนี้ จนถึงวันที่ 19 กันยายน มีโรงเรียน 1,053 แห่งถูกบังคับให้ต้องปิดภาคเรียนก่อนกำหนด[180] โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติได้เลื่อนสอบแบบทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และแบบทดสอบความถนัดทางวิชาชีพ (PAT) จากเดิมที่สอบเดือนตุลาคม ไปสอบเดือนธันวาคม เพราะนักเรียนในพื้นที่น้ำท่วมอาจไม่สามารถมาสอบได้ และโรงเรียนสนามสอบกว่าสองร้อยแห่งถูกน้ำท่วม[181]", "title": "อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554" }, { "docid": "134545#0", "text": "การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ () เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์รวบยอดของผู้เรียนที่ต้องการวัดผ่านการจัดการทดสอบในระดับชาติ โดยมีสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นผู้ดำเนินการออกข้อสอบและจัดสอบทั่วประเทศ โดยที่ในอดีตมีการจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสูงอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้แบบทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และแบบทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) มาใช้แทน ", "title": "การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ" }, { "docid": "357661#3", "text": "ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 กระทั่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553 จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)", "title": "สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์" }, { "docid": "268309#45", "text": "กระทรวงศึกษาธิการ โดย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ(สวทน.) (ในระยะแรกสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.)ได้รับมอบหมายจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ดูแลและสนับสนุนโครงการโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ต่อมาทางกระทรวงได้เปลี่ยนให้ สวทน. เป็นผู้ให้การดูแลและสนับสนุนแทน) กระทรวงอุตสาหกรรม โดย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก" }, { "docid": "13431#4", "text": "องค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) องค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติเฉพาะ คุรุสภา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)", "title": "กระทรวงศึกษาธิการ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "333497#1", "text": "ปัจจุบัน มาตรวิทยามีการรับรองโดย \"คณะกรรมการมาตรวิทยาสากล (CIPM)\" คอยดูแลมาตรวิทยาในระบบสากล ส่วนประเทศไทยมี \"สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี\" เป็นผู้ดูแลการศึกษามาตรวิทยาในประเทศไทย", "title": "มาตรวิทยา" }, { "docid": "134545#1", "text": "การทดสอบทางการศึกษาได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสามัญ ซึ่งมีการกล่าวถึงปัญหาข้อสอบที่มีความกำกวม บางข้อเกินกว่าหลักสูตรกำหนด รวมไปถึงปัญหาข้อสอบผิดและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นปัญหาที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กำลังเร่งแก้ปัญหาอยู่ในปัจจุบัน", "title": "การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ" }, { "docid": "238820#10", "text": "ดร.ชาคร วิภูษณวนิช ประธานกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ[8] รศ.ดร.จอมพงศ์ มงคลวนิช ดร.ศิริพรรณ ชุมนุม รศ.ดร.อารยา จาติเสถียร ดร.วราภรณ์ สีหนาท ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรรมการและเลขานุการ", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "12207#0", "text": "มหาวิทยาลัยสวนดุสิต () จาก โรงเรียนการเรือนแห่งแรกของประเทศไทย สู่การเป็น มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัยในกลุ่มมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงทางด้าน การศึกษาปฐมวัย คหกรรมศาสตร์ ธุรกิจบริการ ธุรกิจการโรงแรม ธุรกิจการบิน และ \" โรงเรียนกฎหมายและการเมือง \"โรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของรัฐ เปิดทำการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2483 โดยมีนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา (คุณหญิงจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา) เป็นครูใหญ่คนแรก โดยการบริจาคทุนทรัพย์จำนวน 80,000 บาทจาก คุณยายละออ หลิมเซ่งไถ่ จุดมุ่งหมายในการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาละอออุทิศขึ้นมาเพื่อทดลองและทดสอบว่าประชาชนมีความสนใจ และเข้าใจเรื่องการอนุบาลศึกษาอันเป็นรากฐานการเรียนรู้ของเด็กมากน้อยเพียงใด โดยปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ระดับก่อนอนุบาล ถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันโรงเรียนสาธิตละอออุทิศมีสาขาดังนี้หลังการการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 หรือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการศึกษาเข้าสู่ยุคการศึกษาสมัยปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ ในช่วงนั้นรัฐบาลมีการจัดตั้งโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเฉพาะทางขึ้นมามากมายให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงตามสิทธิของตนในระบอบรัฐธรรมนูญ นำความรู้นั้นพัฒนาชาติต่อไป โดยมีการนำวัง พระราชวัง ที่พัก และพื้นที่ที่รัฐบาลยึดจากเชื้อพระวงศ์และบุคคลสำคัญบางแห่งใช้มาเป็นสถานที่ราชการและสถานศึกษาจำนวนมาก เช่น วังหน้า ใช้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บ้านนรสิงห์ ใช้เป็นทำเนียบรัฐบาลไทย เป็นต้น ภายหลังทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 และนี่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของโรงเรียนการเรือน-มหาวิทยาลัยสวนดุสิต", "title": "มหาวิทยาลัยสวนดุสิต" }, { "docid": "787703#0", "text": "สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.; ) เป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทย มีสถานะเป็นนิติบุคคลซึ่งไม่สังกัดหน่วยงานอื่นใด แต่อยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางด้านวัคซีนของประเทศ ภายใต้การบริหารงานโดยคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติที่กำหนดโดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ (กวช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีไทยเป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธาน โดยมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 และกฎหมายอื่น", "title": "สถาบันวัคซีนแห่งชาติ" }, { "docid": "238820#3", "text": "เพื่อบริหารจัดการและดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษา วิจัย พัฒนา และให้บริการทางการประเมินผลทางการศึกษาและทดสอบทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาในระดับชาติและระดับนานาชาติ", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "238820#4", "text": "ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำระบบ วิธีการทดสอบ และพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลตามมาตรฐานการศึกษา ดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการจัดการศึกษา และการทำลายการศึกษาระดับชาติ ตลอดจนให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทดสอบทั้งระดับเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ดำเนินการเกี่ยวกับการทำลายการศึกษา บริการสอบวัดความรู้ความสามารถและการสอบวัดมาตรฐานวิชาการและวิชาชีพ เพื่อนำผลไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเทียบระดับ และการเทียบโอนผลการเรียนที่มาจากการศึกษาในระบบเดียกับ หรือการศึกษาผ่านระบบ ดำเนินการเกี่ยวกับศึกษาวิจัย และเผยแพร่นวัตกรรมเกี่ยวกับการทำลายการศึกษา ตลอดจนเผยแพร่เทคนิคการวัดและประเมินผลการศึกษา เป็นศูนย์กลางข้อมูลการทดสอบทางการศึกษา ตลอดจนสนับสนุน และให้บริการผลการทดสอบแก่หน่วยงานต่างๆ ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาและส่งเสริมวิชาการด้านการทดสอบและประเมินผลทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านการทดสอบและประเมินผล ด้านการติดตามและประเมินผลคุณภาพบัณฑิต รวมทั้งการให้การรับรองมาตรฐานของระบบ วิธีการ เครื่องมือวัดของหน่วยงานการประเมินผลและทดสอบทางการศึกษา เป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "238820#12", "text": "ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) มีดังนี้", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "238820#16", "text": "หมวดหมู่:กระทรวงศึกษาธิการ หมวดหมู่:องค์การมหาชน หมวดหมู่:องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2548", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "13272#2", "text": "ในปี พ.ศ. 2547 มีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏขึ้นมาใช้แทนพระราชบัญญัติสถาบันราชภัฎ มหาวิทยาลัยบุรีรัมย์จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลทำให้การดำเนินการตามภารกิจมีความคล่องตัวมากขึ้น มีสภามหาวิทยาลัย สภาวิชาการ สภาส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยและสภาคณาจารย์และข้าราชการพลเรือน เกิดขึ้น การแบ่งส่วนราชการของมหาวิทยาลัยประกอบด้วยสำนักงานอธิการบดีคณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาการจัดการ สถาบันวิจัย สำนักศิลปะและวัฒนธรรม สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ และสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มีโครงการจัดตั้งคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานภายใน มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ได้ดำเนินการขอใช้พื้นที่ราชพัสดุบริเวณตำบลปะคำและตำบลหูทำนบซึ่งเดิมอยู่ในความดูแลของสถานีวิจัยและทดสอบพันธุ์สัตว์บุรีรัมย์ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 1,834 ไร่ 1งาน 32 ตารางวา และกระทรวงการคลังได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ดังกล่าวเมื่อเดือน กรกฎาคม 2548 ซึ่งมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อจัดสร้างเป็นวิทยาเขต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ท้องถิ่นตามปรัชญาของมหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์" }, { "docid": "183092#109", "text": "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา มีผลคะแนนเฉลี่ยการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ซึ่งจัดการสอบและให้การรับรองมาตรฐานโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ ซึ่งผลปรากฏว่า โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา มีผลคะแนนเฉลี่ยการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ทั้งในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6", "title": "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา" }, { "docid": "238820#9", "text": "สทศ. มีการบริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ รายชื่อต่อไปนี้มีผลตั้งแต่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ประกอบด้วย", "title": "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "238822#0", "text": "ศาสตราจารย์ อุทุมพร จามรมาน ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน อดีตผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และเป็นกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)", "title": "อุทุมพร จามรมาน" }, { "docid": "13431#6", "text": "กรมธรรมการ (หน่วยงานในสมัยที่เป็นกระทรวงธรรมการ) กรมศึกษาธิการ (หน่วยงานในสมัยที่เป็นกระทรวงธรรมการ) กรมมหาวิทยาลัย ต่อมายกฐานะเป็นทบวงมหาวิทยาลัย ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรมวิชาการ ปัจจุบันลดฐานะเป็น สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมอาชีวศึกษา ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ปัจจุบันถูกยุบรวมเข้ากับกรมสามัญศึกษา เป็น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมสามัญศึกษา ปัจจุบันถูกยุบรวมเข้ากับสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) เป็นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมวิสามัญศึกษา มีหน้าที่จัดการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1-5 ภายหลังยุบรวมกับกรมสามัญศึกษา กรมการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ภายหลังถูกยุบรวมเป็นสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรมการฝึกหัดครู กรมพลศึกษา ปัจจุบันย้ายไปสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ภายหลังเปลี่ยนเป็นสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.) ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 39 แห่ง กรมการศาสนา เดิม ออกเป็น 2 ส่วน คือ กรมการศาสนาสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมศิลปากร ปัจจุบันย้ายไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เดิมคือกองวัฒนธรรมสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันกรมส่งเสริมวัฒนธรรมสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ปัจจุบันคือ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ปัจจุบันย้ายไปสังกัดกระทรวงพาณิชย์", "title": "กระทรวงศึกษาธิการ (ประเทศไทย)" } ]
2510
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกเขียนขึ้นเมื่อใด ?
[ { "docid": "69653#5", "text": "สำหรับประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนั้นนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2 ลักษณะคือ รัฐธรรมนูญ มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรโดยที่มีการยกร่างกันอย่างเป็นระบบ กับรัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการชั่วคราวซึ่งมักเรียก ธรรมนูญการปกครอง", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" } ]
[ { "docid": "69653#3", "text": "ในวิชากฎหมาย แนวคิดประชาธิปไตยตะวันตกได้ถ่ายทอดอยู่ในรูปแบบของทฤษฎีกฎหมายที่เรียก รัฐธรรมนูญนิยม (constitutionalism) ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการสามประการ คือ การรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการเสริมสร้างเสถียรภาพและประสิทธิภาพให้กับรัฐบาล รัฐธรรมนูญของไทยหลายฉบับได้ยอมรับแนวคิดดังกล่าวและนำมาเป็นเจตนารมณ์แห่งรัฐ ธรรมนูญในการกำหนดกรอบในการตราบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหลายฉบับ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นต้น โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติอย่างชัดแจ้งถึงหลักการดังกล่าวในคำปรารภของรัฐธรรมนูญ [1]", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "98829#7", "text": "เนื่องจากรัฐประหารครั้งนี้ กระทำเป็นการภายในใช้นายทหารเพียงไม่กี่คน โดยไม่มีการเคลื่ยนย้ายกำลังพลใด ๆ ทำให้ได้ชื่อว่า \"รัฐประหารเงียบ\" ซึ่งสื่อมวลชนในขณะนั้นเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็น \"การจี้นายกรัฐมนตรี\"\nสภาร่างรัฐธรรนูญ พ.ศ. 2491 เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญคณะแรกของประเทศไทย โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ สมาชิกที่มาจากสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทน และสมาชิกที่มาจากผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทน รวมจำนวน 40 คน", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2491" }, { "docid": "69653#8", "text": "อย่างไรก็ดี มิใช่ว่ารัฐธรรมนูญที่ดีจะไม่อาจแก้ไขได้เลย เพราะในความเป็นจริงย่อมไม่มีกฎหมายฉบับใดที่เหมาะสมกับทุกเวลาสถานการณ์ได้ ดังนั้น รัฐธรรมนูญก็อาจแก้ไขได้ ตามเวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ต้องเป็นไปตามความจำเป็นเท่านั้น อาทิเช่น กรณีของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวมาข้างต้น ปัจจุบันยังไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ยังคงใช้ฉบับเดิมมาแต่แรก มีเพียงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น การจะทำให้กลไกหรือมาตรการต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญยั่งยืนถาวรได้นั้น จึงอยู่ที่ทุกคนในสังคมที่จะกำหนดวัฒนธรรมทางการเมืองของสังคมว่าจะมีส่วนเข้าใจและเข้าถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยได้เพียงใด", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "761106#3", "text": "สำหรับประเทศไทยนั้นเริ่มกล่าวถึงเสรีภาพต่าง ๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญไทยฉบับแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาไว้ในมาตรา 13 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 หมวด 2 ว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของ ชนชาวสยามความว่า \n“บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการ ถือศาสนาหรือลัทธิใด ๆ และย่อมมีเสรีภาพ ในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความนับถือของตน เมื่อไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมของประชาชน” แนวความคิดการให้ความคุ้มครองเสรีภาพในการ นับถือศาสนานี้เกิดจากคณะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ เห็นว่าการให้เสรีภาพในประเทศไทยไม่มีความชัดเจนแน่นอน ซึ่งไม่อาจเป็นการให้หลักประกันของประชาชนได้ จึงจำเป็นต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนว่าผู้ปกครองจะละเมิดมิได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐธรรมนูญไทยฉบับ หลัง ๆ ทุกฉบับก็ได้วางหลักประกันสิทธิเสรีภาพ ในศาสนาตลอดมา ", "title": "เสรีภาพทางศาสนา" }, { "docid": "634923#9", "text": "มาตรา 5 ว่า เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตราบที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557" }, { "docid": "137773#1", "text": "ในกรณีที่เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบให้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภาร่างรัฐธรรมนูญจะสิ้นสุดลง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันออกเสียงประชามติ และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป", "title": "การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550" }, { "docid": "673134#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 หรือ รัฐธรรมนูญฉบับ รสช. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 15 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 เพื่อใช้แทน ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 ซึ่งได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ปีเดียวกันโดยมีนาย อุกฤษ มงคลนาวิน ประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534" }, { "docid": "741532#1", "text": "สืบเนื่องจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 และการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่านมา ทำให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดแรก จำนวน 36 คน ซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด มีบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน[1] แต่ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ มีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการฯ[2] ทำให้มีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ จำนวน 21 คน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558 และมีมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน[3] โดยนับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ผ่านการออกเสียงประชามติ ต่อจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยได้รับเสียงเห็นชอบท่วมท้นถึง 16.8 ล้านเสียง ต่อเสียงคัดค้าน 10.5 ล้านเสียง[4]", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560" }, { "docid": "193582#0", "text": "ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย</b>อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า \"ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี\" ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ คนไทยหรือคนต่างด้าวไม่ว่ากระทำในหรือนอกราชอาณาจักรก็ต้องรับโทษ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับเรื่อยมามีข้อที่กล่าวว่า \"องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้\"", "title": "ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย" }, { "docid": "69653#12", "text": "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 [5] รัฐธรรมนูญตุ่มแดง หรือ รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "98888#14", "text": "ในกรณีที่เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบให้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภาร่างรัฐธรรมนูญจะสิ้นสุดลง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันออกเสียงประชามติ และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550" }, { "docid": "495992#2", "text": "มีการริเริ่มสิทธิใหม่ ๆ ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งรวมถึงสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาแบบให้เปล่า สิทธิในชุมชนท้องถิ่น และสิทธิในการต่อต้านโดยสันติซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ สิทธิเด็ก คนชรา ผู้พิการ และความเสมอภาคทางเพศ เสรีภาพของสารสนเทศ สิทธิในสาธารณสุข การศึกษาและสิทธิผู้บริโภคก็ได้รับการรับรองเช่นกัน รวมแล้ว มีสิทธิที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 รับรอง 40 สิทธิ เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ที่รับรองเพียง 9 สิทธิ", "title": "สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย" }, { "docid": "98888#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18 ซึ่งจัดร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ในระหว่าง พ.ศ. 2549–2550 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อคณะเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกัน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน กรุงเทพมหานคร มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 124 ตอนที่ 47 ก หน้า 1 ในวันเดียวกันนั้น และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายทันที แทนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550" }, { "docid": "235995#22", "text": "ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 - ให้แก้ไขเนื้อความในบทบัญญัติว่าด้วยรายได้ของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้สอดคล้องกับการยกเลิกภาษีการค้า และนำระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม กับภาษีธุรกิจเฉพาะมาใช้แทน ตาม ซึ่งพระราชบัญญัติทั้งสองจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535[27] ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2539 - ให้แก้ไขเนื้อความในบทบัญญัติว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กับลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร และยกเลิกบุคคลหูหนวกและเป็นใบ้ ซึ่งไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ จากการเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 พ.ศ. 2538 และให้เหมาะสมยิ่งขึ้น[28] ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542 - ให้แก้ไขเนื้อความในบทบัญญัติว่าด้วยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร และผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ที่เกี่ยวกับการมีสัญชาติไทย และการถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตลอดจนเพิ่มสิทธิแก่ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถลงคะแนนเสียงให้สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร พ้นจากตำแหน่งตามที่กฎหมายบัญญัติ และสามารถเข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติต่อประธานสภา เพื่อให้สภากรุงเทพมหานครพิจารณาออกเป็นข้อบัญญัติได้ รวมทั้งกำหนดหน้าที่ให้บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงาม เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย[29] ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 - ให้ยกเลิกเนื้อความในบทบัญญัติว่าด้วยการเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ให้ผู้เป็นบุคคลหูหนวกและเป็นใบ้ พ้นจากการเป็นบุคคลต้องห้ามดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มิให้เลือกปฏิบัติต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกาย[30]", "title": "กรุงเทพมหานคร (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)" }, { "docid": "634923#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 19 จัดร่างโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองหลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานพระบรมราชานุญาตและลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 131 ตอนที่ 55 ก และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายทันที แทนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557" }, { "docid": "112910#1", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ที่ร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490", "title": "สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "965695#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 ของไทย โดยหากเทียบรัฐธรรมนูญสี่ฉบับก่อนหน้าถือได้ว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุด จัดร่างโดยสภาผู้แทนราษฎร และประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารตนเอง รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี เศษ\nรัฐธรรมนูญฉบับนี้ อำนาจนิติบัญญัติ ให้มีรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนวุฒิสภาโดยกำหนดให้มีสมาชิกในสภานี้ทั้งสิ้น 100 คน", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492" }, { "docid": "236023#1", "text": "สำหรับที่มานั้น วลีที่ว่า \"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข\" เพิ่งจะมีขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 2 ความว่า \"ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข\" ทั้งนี้ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ ได้ให้ความเห็นไว้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวร่างขึ้นภายใต้อิทธิพลของพลังอนุรักษนิยม ซึ่งขณะนั้นมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนทางการเมืองที่สำคัญ แต่การปรากฏขึ้นครั้งแรกนี้ ยังไม่ได้ยืนยันความเป็นชื่อเฉพาะของระบอบการปกครองแต่อย่างใด หากแต่การปรากฏขึ้นซ้ำในภายหลัง คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 และ พ.ศ. 2519 เป็นสองฉบับแรกที่ยืนยันความชอบธรรมของ \"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข\"สมศักดิ์ได้ให้ความเห็นไว้อีกว่า หน้าที่ (function) ของการยืนยันในสองฉบับมีความต่างกัน โดยฉบับ พ.ศ. 2511 เพื่อต่อต้านการเมืองและพรรคการเมืองสมัยใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น และฉบับ พ.ศ. 2519 เพื่อต่อต้านฝ่ายซ้าย", "title": "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" }, { "docid": "4229#0", "text": "พระมหากษัตริย์ไทย เป็นประมุขของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะลดลงหลังจากการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กับทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับว่า พระมหากษัตริย์ \"ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้\" นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ยังทรงได้รับความคุ้มครองด้วยกฎหมายอาญา ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พระองค์เป็นความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์", "title": "พระมหากษัตริย์ไทย" }, { "docid": "673043#2", "text": "รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ถูกยกเลิกเมื่อปี 2492 ภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490" }, { "docid": "69653#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย</b>เป็นกฎหมายลำดับศักดิ์สูงสุดแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองของประเทศ ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแล้วทั้งสิ้น 20 ฉบับ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "172376#14", "text": "มาตรา 309 ระบุว่า \"บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้\"", "title": "การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550" }, { "docid": "28664#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นกฎหมายสูงสุดว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองประเทศไทยที่เป็นลายลักษณ์อักษร ฉบับที่ 16 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ออกประกาศ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549 ทั้งนี้คณะปฏิรูปฯได้ออกประกาศคงบทบัญญัติบางหมวดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2549 ไว้ภายหลัง", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" }, { "docid": "634923#1", "text": "รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดทางให้สถาปนาสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อใช้อำนาจนิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อรับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (และต่อมาสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างกว้างขวางและอนุมัติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่แน่นอนสำหรับงานเหล่านี้\nปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับนี้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อมีการประกาศใข้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557" }, { "docid": "202189#16", "text": "ก่อนที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จะใช้บังคับ รัฐธรรมนูญทุกฉบับก่อนหน้านั้นได้มีมาตรการในการตรวจสอบควบคุมสมาชิกรัฐสภา ให้สมาชิกสภาใดสภาหนึ่งสามารถร้องขอต่อประธานของสภาที่ตนเป็นสมาชิกในการวินิจฉัยให้สมาชิกผู้ทำความผิดพ้นจากตำแหน่งได้ รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมากขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้", "title": "การถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง" }, { "docid": "741532#21", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มอบ \"ข้อสังเกตพระราชทาน\" และให้รัฐบาลแก้ให้เป็นไปตามข้อสังเกตดังกล่าว[20]จำนวน 3 มาตรา ได้แก่มาตรา 5 มาตรา 17 และมาตรา 182[21]ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนที่กษัตริย์มอบข้อสังเกตพระราชทานและมีพระราชกระแสรับสั่งให้แก้ไขตามพระราชประสงค์ อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขภายหลังการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559 ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังได้อ้างถึงอำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557[22]", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560" }, { "docid": "634923#12", "text": "ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2559 และให้ถือว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป ให้นำความในมาตรา 263 วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วยโดยอนุโลม", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557" }, { "docid": "673043#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 หรือ รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 4 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 หรือหนึ่งวันหลังการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน มีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย หรือ ผู้บัญชาการทหารบก ในปัจจุบันเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490" }, { "docid": "671#3", "text": "ตั้งแต่โบราณกาล ราชอาณาจักรไทยอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ตาม หลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ(ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมห่กษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข) รัฐธรรมนูญเขียนฉบับแรกถูกร่างขึ้น อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยยังมีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มการเมืองระหว่างอภิชนหัวสมัยเก่าและหัวสมัยใหม่ ข้าราชการ และนายพล ประเทศไทยเกิดรัฐประหารหลายครั้ง ซึ่งมักเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้อำนาจของคณะรัฐประหารชุดแล้วชุดเล่า จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญและกฎบัตรรวมแล้ว 20 ฉบับ (นับรวมฉบับปัจจุบัน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างสูง หลังรัฐประหารแต่ละครั้ง รัฐบาลทหารมักยกเลิกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่เดิมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "69653#14", "text": "สภาที่มาจากการเลือกตั้ง: สภานิติบัญญัติในกลุ่มนี้จะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (ซึ่งสภาผู้แทนมีการเลือกตั้งโดยตรง ส่วนสภาสูงซึ่งเรียกว่าพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม) และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 (ที่ทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรง) สภาที่มาจากการสรรหา: สภานิติบัญญัติที่เกิดมาจากการสรรหาทั้งหมดหรือบางส่วน โดยที่สมาชิกผู้มาจากการสรรหานั้นมีอำนาจมากพอในการจำกัดอำนาจสมาชิกที่มีมาจาการเลือกตั้งได้ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สภาที่มาจากการแต่งตั้ง: ฝ่ายบริหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือเกือบจะเป็นเช่นนั้น ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม, ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502, ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519, ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" } ]
1760
ใครเป็นผู้ตั้งชื่อให้ เนบิวลาปู?
[ { "docid": "196441#5", "text": "ลอร์ดรอสส์เป็นผู้ตั้งชื่อให้เนบิวลารูปปู ตามภาพที่เขามองเห็นผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาด 36 นิ้วซึ่งดาราจักรมีภาพปรากฏคล้ายปู หลังจากที่กล้องโทรทรรศน์ใหม่ขนาด 72 นิ้วได้นำมาใช้งานแล้ว เขาได้วาดภาพเนบิวลานี้ขึ้นใหม่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ชื่อดั้งเดิมของมันก็เป็นที่รู้จักไปเสียแล้ว", "title": "วิลเลียม พาร์สันส์ เอิร์ลแห่งรอสส์ที่ 3" } ]
[ { "docid": "336885#4", "text": "การกำเนิดของเนบิวลาปูมีความเกี่ยวพันกับซูเปอร์โนวา SN 1054 ซึ่งได้รับการบันทึกโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวอาหรับใน พ.ศ. 1597 ส่วนตัวเนบิวลาเองถูกสังเกตพบเป็นครั้งแรกโดย จอห์น เบวิส ในปี พ.ศ. 2271 เนบิวลาได้รับการค้นพบอีกครั้งหนึ่งต่างหากในปี พ.ศ. 2301 โดย ชาลส์ เมสสิเยร์ ระหว่างที่เขากำลังสังเกตดูดาวหางสว่าง เมสสิเยร์ได้บันทึกเนบิวลาปูไว้เป็นลำดับแรกในรายการวัตถุท้องฟ้าของเขาว่าเป็นวัตถุคล้ายดาวหาง เอิร์ลแห่งรอสส์ได้สังเกตเนบิวลาที่ปราสาทเบอร์ ในช่วงปี พ.ศ. 2383-2392 และเรียกเนบิวลาดังกล่าวว่า \"เนบิวลาปู\" เนื่องจากเนบิวลาที่เขาวาดนั้นมีรูปร่างคล้ายปู", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#0", "text": "เนบิวลาปู (บัญชีการตั้งชื่อ M1, NGC 1952 หรือ Taurus A) เป็นซากซูเปอร์โนวาและเนบิวลาลมพัลซาร์ในกลุ่มดาววัว เนบิวลานี้ได้รับการสังเกตโดยจอห์น เบวิส ในปี พ.ศ. 2274 ซึ่งสอดคล้องกับการบันทึกเหตุการณ์ซูเปอร์โนวาสว่างโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวอาหรับใน พ.ศ. 1597 ที่ระดับรังสีเอกซ์และรังสีแกมมาสูงกว่า 30 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ เนบิวลาปูเป็นแหล่งพลังงานที่เข้มที่สุดบนท้องฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถวัดฟลักซ์ได้ถึงสูงกว่า 10 อิเล็กตรอนโวลต์ เนบิวลาปูตั้งอยู่ห่างจากโลก 6,500 ปีแสง (2 กิโลพาร์เซก) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 ปีแสง (3.4 พาร์เซก) และขยายตัวในอัตรา 1,500 กิโลเมตรต่อวินาที", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "6636#11", "text": "ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาลส์ เมสสิเยร์ รวบรวมรายชื่อเนบิวลา (วัตถุท้องฟ้าที่สว่างและปรากฏรูปร่างเหมือนกลุ่มแก๊ส) ที่สว่างที่สุด 109 รายการ และต่อมาวิลเลียม เฮอร์เชล รวบรวมรายชื่อเนบิวลาได้ในปริมาณมากกว่าที่ 5,000 รายการ ปี ค.ศ. 1845 ลอร์ดรอสส์ ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ใหม่ทำให้สามารถแยกแยะเนบิวลาทรงกลมกับทรงรีออกจากกันได้ เขายังแยกแยะจุดแสงที่แยกจากกันในเนบิวลาเหล่านี้ได้อีกจำนวนหนึ่ง ทำให้เชื่อว่าการคาดคะเนของคานท์ก่อนหน้านี้น่าจะเป็นจริง", "title": "ดาราจักร" }, { "docid": "336885#13", "text": "ณ ใจกลางเนบิวลาปูมีดาวฤกษ์ที่ไม่สว่างนักสองดวง ซึ่งดาวฤกษ์หนึ่งในนั้นทำให้เนบิวลาปูสามารถถือกำเนิดขึ้นได้ การระบุข้อเท็จจริงนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เมื่อรูดอล์ฟ มินคอฟสกีค้นพบว่าคลื่นที่ตามองเห็นในบริเวณดังกล่าวมีความผิดปกติสูง ปี ค.ศ. 1949 มีการค้นพบแหล่งคลื่นวิทยุอย่างเข้มในบริเวณโดยรอบดาวฤกษ์นี้ และพบแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ในปี พ.ศ. 2506 นอกจากนี้ยังจัดดาวฤกษ์นี้ว่าเป็นหนึ่งในวัตถุที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้าที่มองเห็นในช่วงรังสีแกมมา ในปี ค.ศ. 1967 ต่อมาในปี ค.ศ. 1968 มีการค้นพบว่าดาวฤกษ์ปลดปล่อยรังสีออกมาเป็นจังหวะถี่ ๆ ซึ่งทำให้มันเป็นหนึ่งในพัลซาร์แห่งแรก ๆ ที่มีการค้นพบ", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#9", "text": "ถึงแม้ว่าเนบิวลาปูจะเป็นที่สนใจของบรรดานักดาราศาสตร์อย่างมาก แต่ระยะห่างจากโลกของมันยังคงเป็นปริศนาเนื่องจากวิธีการที่ใช้ในการประมาณระยะห่างยังไม่ชัดเจน จนถึงปี พ.ศ. 2551 จึงได้ข้อสรุปที่เห็นตรงกันว่ามันอยู่ห่างจากโลก 2.0 ± 0.5 กิโลพาร์เซก (6.5 ± 1.6 ปีแสง) เนบิวลาปูกำลังขยายตัวออกไปด้วยอัตราเร็ว 1,500 กิโลเมตรต่อวินาที ภาพถ่ายเมื่อหลายปีก่อนแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างช้า ๆ ของเนบิวลา และเมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวเชิงมุมกับสเปกโทรสโคปีซึ่งวัดจากอัตราเร็วในการขยายตัวของมัน ทำให้สามารถประมาณระยะห่างจากโลกของเนบิวลาปูได้ ในปี พ.ศ. 2516 การวิเคราะห์จากหลายวิธีที่แตกต่างกันซึ่งใช้เพื่อคำนวณระยะห่างไปยังเนบิวลาได้ข้อสรุปว่าอยู่ที่ราว 6,300 ปีแสง ขนาดของเนบิวลาด้านที่ยาวที่สุดซึ่งมองเห็นได้ วัดได้ราว 13 ± 3 ปีแสง", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#16", "text": "การปลดปล่อยพลังงานสูงได้ทำให้เกิดย่านความเปลี่ยนแปลงสูงอย่างผิดปกติที่ใจกลางของเนบิวลาปู ในขณะที่วัตถุทางดาราศาสตร์ส่วนใหญ่วิวัฒนาการตัวเองอย่างช้า ๆ จนต้องใช้เวลาหลายปีในการสังเกตหาความแตกต่าง แต่ส่วนในของเนบิวลาปูแสดงความเปลี่ยนแปลงจนสังเกตเห็นได้ในเวลาไม่กี่วัน ลักษณะความเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดในส่วนในของเนบิวลาปู คือ จุดที่ลมเส้นศูนย์สูตรของพัลซาร์ปะทะกับส่วนกั้นเนบิวลา ซึ่งทำให้เกิดคลื่นชะงัก รูปร่างและตำแหน่งของปรากฏการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะลมเส้นศูนย์สูตรปรากฏขึ้นมาเป็นวงๆ จำนวนมากที่ทั้งสูงชั้นและสว่าง แล้วจึงจางหายไปเมื่อมันเคลื่อนออกจากพัลซาร์ไปยังส่วนหลักของเนบิวลา", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#2", "text": "เนบิวลานี้ทำตัวเสมือนหนึ่งแหล่งกำเนิดรังสีสำหรับการศึกษาเทห์ฟากฟ้าที่เคลื่อนผ่านตัวมัน ในช่วงปีพ.ศ. 2493 และ 2512 มีการทำแผนภูมิโคโรนาของดวงอาทิตย์ขึ้นจากการเฝ้าสังเกตคลื่นวิทยุจากเนบิวลาปูที่ผ่านชั้นโคโรนาไป และในปี พ.ศ. 2546 เราสามารถวัดความหนาของชั้นบรรยากาศของดวงจันทร์ไททัน ดาวบริวารของดาวเสาร์ได้จากการที่ชั้นบรรยากาศนี้กีดขวางรังสีเอกซ์จากเนบิวลา", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#6", "text": "การวิเคราะห์บันทึกประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ค้นพบว่าซูเปอร์โนวาซึ่งให้กำเนิดเนบิวลาปูนั้นปรากฏขึ้นในช่วงเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม และมีความสว่างเพิ่มขึ้นสูงสุดระหว่างความส่องสว่างปรากฏ -7 และ -4.5 (สว่างกว่าวัตถุใด ๆ บนท้องฟ้ากลางคืนยกเว้นดวงจันทร์) ในเดือนกรกฎาคม ซูเปอร์โนวาสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นเวลากว่าสองปีนับจากการสังเกตครั้งแรก และเนื่องจากการบันทึกการสังเกตของนักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวอาหรับ เนบิวลาปูจึงเป็นวัตถุทางดาราศาสตร์วัตถุแรกที่ได้รับรองว่าเชื่อมโยงกับซูเปอร์โนวา", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#3", "text": "บางครั้งเนบิวลาปูก็ถูกเรียกชื่อว่า เมสสิเยร์ 1 หรือ M1 คือเป็นวัตถุแรกในรายการวัตถุท้องฟ้าของเมสสิเยร์ในปี พ.ศ. 2301", "title": "เนบิวลาปู" } ]
3801
อาการล้าเรื้อรังจากการศึกษารายงานทางการแพทย์ย้อนหลัง พบว่ามีรายงานโรคที่น่าจะเข้าได้กับกลุ่มอาการที่ปัจจุบันเรียกว่าอะไร?
[ { "docid": "230430#1", "text": "จากการศึกษารายงานทางการแพทย์ย้อนหลัง พบว่ามีรายงานโรคที่น่าจะเข้าได้กับกลุ่มอาการที่ปัจจุบันเรียกว่า chronic fatigue syndrome มานานกว่า 3 ศตวรรษแล้ว โดยถูกวินิจฉัยเป็นโรคต่างๆ เช่น", "title": "อาการล้าเรื้อรัง" } ]
[ { "docid": "230430#17", "text": "อาการที่แตกต่างกันเหล่านี้เป็นเหตุให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เฉพาะทางตามอาการเด่นและความเชื่อของตนเอง เช่น แพทย์เฉพาะทาง โรคภูมิแพ้ โรคข้อ โรคติดเชื้อ จิตแพทย์ หรือแพทย์ทางเลือกอื่น เช่น ทางสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร homeopaths ฯลฯ ผลสุดท้ายการรักษาวิธีต่างๆล้วนไม่ช่วยให้หายเป็นปกติ และอาจเกิดผลเสียตามมา", "title": "อาการล้าเรื้อรัง" }, { "docid": "601935#1", "text": "กรณีแรกสุดที่รับการกล่าวถึงในเอกสารทางการแพทย์ปรากฏในรายงานที่ละเอียดละออพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันในปี ค.ศ. 1908 โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันที่โด่งดังคือ ดร.เคิรต์ โกลด์สตีน[6] ในรายงานนั้น ดร.โกลด์สตีนได้พรรณนาถึงหญิงถนัดมือขวาคนหนึ่งที่ประสบกับโรคหลอดเลือดสมองที่มีผลเสียหายต่อกายด้านซ้ายของเธอ ที่เธอได้ฟื้นตัวเป็นบางส่วนแล้วเมื่อเขาได้พบกับเธอ ถึงแม้กระนั้น แขนซ้ายของเธอดูเหมือนว่าจะเป็นของ ๆ อีกบุคคลหนึ่งและมักจะทำกิริยาต่าง ๆ ที่เป็นอิสระจากเจตนาของเธอ", "title": "กลุ่มอาการมือแปลกปลอม" }, { "docid": "926387#16", "text": "ในสหราชอาณาจักร มีรายงานการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยามากกว่า 7,600 รายงานจากระบบการรายงานพิเศษสำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากยาที่เรียกว่า Yellow Card Scheme ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ว่าอาจมีความสัมพันธ์กับการใช้บูโพรพิออน โดยรายงานเหล่านั้นล้วนเป็นรายงานที่เกิดขึ้นใน 2 ปีหลังจากที่บูโพรพิออนได้รับการรับรองจากองค์กรควบคุมยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ (Medicines and Healthcare Products Regulatory Agency, MHRA) ในช่วงเวลานั้นมีผู้ได้รับบูโพรพิออนสำหรับช่วยเลิกบุหรี่มากถึง 540,000 คน นอกจากนี้ MHRA ยังได้รับรายงานการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จนอันตรายถึงแก่ชีวิตจำนวน 60 รายงานที่คาดว่าอาจเกิดจากการใช้ Zyban (ชื่อการค้าของบูโพรพิออนในสหราชอาณาจักร) โดย MHRA ได้ออกมาให้ข้อสรุปในประเด็นดังกล่าวว่า \"กรณีศึกษาตามรายงานดังกล่าวนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วภาวะโรคร่วมของแต่ละรายอาจให้คำอธิบายเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้\"[54] ซึ่งข้อสรุปดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาขนาดใหญ่ที่ทำการศึกษาความปลอดภัยของบูโพรพิออนในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 9,300 คน และให้ผลการทดลองที่บ่งชี้ว่า อัตราการตายของผู้สูบบุหรี่ที่ได้รับบูโพรพิออนเพื่อช่วยเลิกบุหรี่นั้นไม่ได้สูงไปกว่าอัตราการตายโดยธรรมชาติของผู้สูบบุหรี่ที่มีอายุในช่วงวัยเดียวกันแต่อย่างใด[55]", "title": "บูโพรพิออน" }, { "docid": "706443#2", "text": "รายงานเค้สปกติจะพิจารณาว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของหลักฐานโดยเรื่องเล่า (anecdotal evidence) \nเพราะมีความจำกัดโดยธรรมชาติของระเบียบวิธีที่ใช้ รวมทั้งการขาดการสุ่มตัวอย่างทางสถิติ รายงานเค้สจัดเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้น้อยที่สุดในลำดับชั้นหลักฐานทางคลินิก เช่นเดียวกับ case series \nแต่ก็ยังมีประโยชน์ในงานวิจัยทางการแพทย์และเวชปฏิบัติอิงหลักฐาน \nโดยเฉพาะก็คือ ช่วยให้รู้จักโรคใหม่ ๆ และผลที่ไม่พึงประสงค์ของการรักษาพยาบาล \nรายงานเค้สมีบทบาทในการศึกษาเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์จากยา (pharmacovigilance) \nช่วยให้เข้าใจขอบเขตทางคลินิกของโรคหายากและอาการปรากฏที่ไม่ทั่วไปของโรคสามัญ \nช่วยสร้างสมมุติฐานเพื่อการศึกษารวมทั้งกลไกของโรค \nและอาจช่วยแนะนำแนวทางในการปรับการรักษาพยาบาลให้เข้ากันกับคนไข้แต่ละคน \nผู้สนับสนุนแบบงานศึกษาได้ร่างข้อดีอย่างย่อ ๆ ของรายงานเค้ส คือ\nทั้ง case report (รายงานเค้ส) และ case series มีความไวสูงในการตรวจจับความแปลกใหม่ และดังนั้นจะดำรงเป็นหลักสำคัญในความก้าวหน้าทางการแพทย์\nและสามารถให้ไอเดียใหม่ ๆ มากมายทางการแพทย์ \nเปรียบเทียบกับการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมซึ่งสามารถตรวจสอบตัวแปรอย่างหนึ่งหรือไม่กี่อย่าง ที่ไม่สามารถสะท้อนสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์ทางการแพทย์ที่ซับซ้อน รายงานเค้สสามารถให้รายละเอียดด้านต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกันสถานการณ์ของคนไข้ (เช่น ประวัติผู้ป่วย การตรวจร่างกาย ข้อวินิจฉัย สภาพจิตและสังคม และการดูแลติดตาม)", "title": "รายงานผู้ป่วย" }, { "docid": "142207#3", "text": "และต่อมาก็ประชวรพระโรคซิฟิลิส ซึ่งโบราณเรียก “โรคสำหรับบุรุษ” เกิดจากการสัมผัสหรือร่วมประเวณีกับผู้ป่วยโรคนี้ พระพันปีหลวงฉือสีจึงมีพระราชเสาวนีย์ให้คณะแพทย์หลวงเข้าตรวจพระอาการ พบว่าสมเด็จพระจักรพรรดิประชวรพระโรคซิฟิลิสจริงเมื่อทรงทราบแล้วพระพันปีหลวงฉือสีทรงเตือนให้คณะแพทย์เก็บงำความข้อนี้เอาไว้ เพราะเรื่องดังกล่าวย่อมเป็นความอื้อฉาวน่าอดสูขนานใหญ่ คณะแพทย์จึงจัดทำรายงานเท็จเกี่ยวกับพระอาการแทน โดยรายงานว่าสมเด็จพระจักรพรรดิประชวรไข้ทรพิษ และถวายการรักษาตามพระอาการไข้ทรพิษ อันไข้ทรพิษนั้นมีลักษณะและอาการแต่ผิวเผินคล้ายคลึงกับโรคซิฟิลิส และชาวจีนยังนิยมว่าผู้ป่วยเป็นเป็นไข้ทรพิษถือว่ามีโชค\nอย่างไรก็ดี เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิประชวรนั้น พระพันปีหลวงฉือสีได้ทรงประกาศในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระจักรพรรดิว่า สมเด็จพระจักรพรรดิประชวรไข้ทรพิษ ถือเป็นมงคลแก่บ้านเมืองและในระหว่างการรักษาพระองค์นี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระพันปีหลวงฉือสีและพระพันปีหลวงฉีอันเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปพลางก่อน ซึ่งนับได้ว่าพระพันปีหลวงฉือสีกลับเข้าดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกครั้งโดยที่คณะแพทย์ถวายการรักษาพระอาการไข้ทรพิษเพื่อตบตาผู้คน แต่ความจริงแล้วทรงเป็นซิฟิลิส สมเด็จพระจักรพรรดิถงจื้อจึงเสด็จสวรรคตในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1875", "title": "จักรพรรดิถงจื้อ" }, { "docid": "59294#53", "text": "นักปรัชญาและแพทย์ในยุคกรีกโบราณและโรมันเชื่อว่าภาวะสมองเสื่อมจะเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) จิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ อาลอยซ์ อัลซไฮเมอร์ (Alois Alzheimer) ได้ระบุโรคใหม่ขึ้นมาเป็นรายแรกในผู้ป่วยหญิงอายุ 55 ปีชื่อ ออกุสต์ เด. ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อโรคอัลไซเมอร์ นายแพทย์อัลซไฮเมอร์ได้ติดตามผู้ป่วยรายนี้จนกระทั่งเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) และได้รายงานต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในปีนั้น ต่อจากนั้นเป็นเวลา 5 ปี พบผู้ป่วยที่มีอาการเดียวกันถึง 11 รายที่ถูกรายงานในเอกสารทางการแพทย์ รายงานบางส่วนได้ใช้คำว่า \"โรคอัลไซเมอร์\" โรคนี้ได้ถูกอธิบายให้เป็นโรคหนึ่งแยกต่างหากเป็นครั้งแรกโดย เอมิล เครเพลิน (Emil Kraepelin) โดยได้รวม \"โรคอัลไซเมอร์\" หรือที่เครเพลินเรียกว่า \"ภาวะสมองเสื่อมก่อนวัย\" (presenile dementia) เข้าเป็นชนิดย่อยของ \"ภาวะสมองเสื่อมในวัยชรา\" ในตำรา \"Textbook of Psychiatry\" ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8 ตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910)", "title": "โรคอัลไซเมอร์" }, { "docid": "995079#0", "text": "โรคโครห์น () เป็นโรคในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบที่ส่งผลต่อทางเดินอาหาร ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้อง, ท้องร่วง (ในรายที่รุนแรงอาจมีเลือดปน), มีไข้และน้ำหนักลด และมีอาการแทรกซ้อนได้แก่ โลหิตจาง, ผื่น, ผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบและอ่อนล้า ในรายที่เรื้อรังอาจมีอาการลำไส้อุดตันและมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่", "title": "โรคโครห์น" }, { "docid": "960971#52", "text": "โรคนี้ไม่ได้กล่าวแยกจากโรคกรดไหลย้อนจนกระทั่งคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980[17] แต่ในช่วงที่ยอมรับโรคกรดไหลย้อนว่าเป็นโรคอีกชนิดหนึ่งในกลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ก็มีการเสนอความสัมพันธ์ระหว่างอาการที่ท้องกับโรคทางเดินลมหายใจ ต่อมาในปี 1968 จึงมีรายงานเรื่องแผลเปื่อยและแกรนูโลมาที่กล่องเสียงเนื่องกับกรด[71] งานศึกษาต่อ ๆ มาจึงได้เสนอว่า กรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งของสภาพของกล่องเสียงและทางเดินลมหายใจอื่น ๆ ในปี 1979 จึงมีการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอาการทางเดินลมหายใจกับกรดไหลย้อน ในงานเดียวกัน การรักษาโรคกรดไหลย้อนก็แสดงว่า ได้กำจัดอาการทางเดินลมหายใจเหล่านั้น[72]", "title": "โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง" }, { "docid": "362883#30", "text": "รายงานแรกๆ ของภาวะไตวายที่เกิดในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังนั้นมีบันทึกไว้ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 โดย Frerichs และ Flint อย่างไรก็ดีกลุ่มอาการโรคไตเนื่องจากโรคตับนั้นได้รับการอธิบายครั้งแรกในฐานะภาวะไตวายเฉียบพลันที่เกิดระหว่างการทำผ่าตัดทางเดินน้ำดี ไม่นานนักกลุ่มอาการนี้ก็ถูกจัดว่ามีความสัมพันธ์กับโรคตับระยะลุกลาม และในปี ค.ศ. 1950 ก็ถูกนิยามทางคลินิกโดย Sherlock, Hecker, Papper และ Vessin ว่ามีความสัมพันธ์กับความผิดปกติทั้งระบบของโลหิตพลศาสตร์และมีอัตราตายสูง ซึ่ง Hecker และ Sherlock ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้ป่วย HRS จะมีปัสสาวะน้อย ระดับโซเดียมในปัสสาวะต่ำมาก และไม่มีโปรตีนในปัสสาวะ Murray Epstein เป็นคนแรกที่พบว่าการขยายของหลอดเลือดในการไหลเวียนอวัยวะภายในและการหดตัวของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นกับโลหิตพลศาสตร์ของผู้ป่วยโรคนี้ ลักษณะเฉพาะของโรคซึ่งมีความผิดปกติเชิงหน้าที่ (functional) ของอวัยวะมากกว่าจะเป็นจากความผิดปกติเชิงโครงสร้างอวัยวะและการเสื่อมของการทำงานของไตในโรคนี้นั้นได้รับการยืนยันหนักแน่นขึ้นโดยงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าไตของผู้ป่วย HRS ที่ได้รับการปลูกถ่ายไปยังผู้ป่วยคนอื่นนั้นยังคงทำงานได้เป็นปกติ นำไปสู่สมมติฐานที่ว่าโรคนี้เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติต่อร่างกายทั้งระบบมากกว่าจะเป็นโรคไต ความพยายามอย่างเป็นระบบครั้งแรกเพื่อนิยาม HRS ให้ชัดเจนนั้นเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1994 โดยสมาคมโรคท้องมานนานาชาติ (The International Ascites Club) ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ ในระยะหลังนี้การพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ HRS จะเน้นไปที่การหาสารที่ทำให้เกิดการขยายหลอดเลือดซึ่งทำให้เกิดโรคนี้", "title": "กลุ่มอาการโรคไตเนื่องจากโรคตับ" }, { "docid": "25394#67", "text": "หลังจากนั้นเป็นที่ร่ำลือทั่วกันว่า พระเจ้าแผ่นดินประชวรพระโรคซิฟิลิส ซึ่งโบราณเรียก “โรคสำหรับบุรุษ” เกิดจากการสัมผัสหรือร่วมประเวณีกับผู้ป่วยโรคนี้ พระพันปีฉือสี่จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้คณะแพทย์หลวงเข้าตรวจพระอาการ พบว่าพระเจ้าแผ่นดินประชวรพระโรคซิฟิลิสจริง เมื่อทรงทราบแล้วพระพันปีฉือสี่ทรงเตือนให้คณะแพทย์เก็บงำความข้อนี้เอาไว้ เพราะเรื่องดังกล่าวย่อมเป็นความอื้อฉาวน่าอดสูขนานใหญ่ คณะแพทย์จึงจัดทำรายงานเท็จเกี่ยวกับพระอาการแทน โดยรายงานว่าพระเจ้าแผ่นดินประชวรไข้ทรพิษ และถวายการรักษาตามพระอาการไข้ทรพิษ อันไข้ทรพิษนั้นมีลักษณะและอาการแต่ผิวเผินคล้ายคลึงกับโรคซิฟิลิส และชาวจีนยังนิยมว่าผู้ป่วยเป็นเป็นไข้ทรพิษถือว่ามีโชค", "title": "ซูสีไทเฮา" }, { "docid": "718488#74", "text": "ผู้ที่เป็นโรคลมชักมีความเสี่ยงประมาณสองเท่าของบุคคลทั่วไปที่จะมีส่วนร่วมในการชนกันของยานยนต์บนท้องถนน ดังนั้นในหลายพื้นที่ของโลกจึงไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยขับรถ หรือ ให้ขับได้ในกรณีผู้ป่วยมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขบางอย่าง ในพื้นที่บางแห่งแพทย์จะถูกกฎหมายบังคับให้รายงานต่อสถาบันที่ออกใบอนุญาตขับขี่หากพบว่าบุคคลใด ๆ ก็ตามเกิดการชัก ในขณะที่บางแห่งจะกำหนดเพียงให้แพทย์สนับสนุนให้บุคคลนั้น ๆ ไปรายงานด้วยตัวเอง ประเทศที่กำหนดให้แพทย์ต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้แก่ สวีเดน ออสเตรีย เดนมาร์ก และ สเปน ประเทศที่ให้ผู้ป่วยรายงานตัวเองรวมถึง สหราชอาณาจักร และ นิวซีแลนด์ แต่แพทย์สามารถรายงานได้หากเชื่อว่าบุคคลนั้น ๆ ไม่รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ข้อกำหนดเกี่ยวกับการรายงานตัวแตกต่างกันไปในขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละจังหวัด หรือ รัฐ หากอาการชักได้รับการควบคุมอย่างดีคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการอนุญาตให้ขับขี่ได้มีเหตุผล ระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะต้องปราศจากอาการชักก่อนที่จะสามารถกลับไปขับรถได้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ หลายประเทศกำหนดเวลาที่ปราศจากอาการชักอย่างน้อย 1-3 ปี ในสหรัฐอเมริกาเวลาที่ปราศจากอาการชักจะถูกกำหนดโดยแต่ละรัฐ และ อยู่ระหว่างสามเดือนและหนึ่งปี", "title": "โรคลมชัก" }, { "docid": "230430#2", "text": "ภาวะเลือดมีกลูโคสน้อย (hypoglycemia) โรคคิดว่าตนป่วย (vapors หรือ hypochondriasis) - เป็นโรคอุปาทานที่มีความหวาดระแวงกลัวว่าจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ วิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ภาวะประสาทเปลี้ย (neurasthenia) - โรคทางประสาทที่มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เหนื่อย อ่อนแรง อ่อนใจ จิตซึม เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ อาการประสาทและระบบไหลเวียนอ่อนเปลี้ย (effort syndrome หรือ neurocirculatory asthenia) ภาวะระบายลมหายใจเกิน (hyperventilation) - อาการทางจิตประสาทที่ทำให้หายใจหอบ โรคบรูเซลโลซิสเรื้อรัง (chronic brucellosis) - เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อบรูเซลลาเรื้อรัง (เชื้อโรคชนิดนี้โดยปกติแล้วก่อโรคในหมู่สัตว์ทำให้สัตว์แท้งลูก สามารถติดต่อมาสู่คนได้ ทำให้คนไข้มีอาการอ่อนล้าเรื้อรัง ต่างจากการเกิดโรคในสัตว์ที่ทำให้แท้งเป็นอาจิณ การเกิดโรคในคน จะไม่สามารถแพร่ไปสู่คนด้วยกัน โรคกล้ามเนื้อประสาทอ่อนเปลี้ย (epidemic neuromyasthenia) มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่เกิดจากอารมณ์หรือจิตใจ อาการปวดกล้ามเนื้อเหตุสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis) อาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (fibromyalgia) กลุ่มอาการตอบสนองต่อสารเคมีไวเกิน (multiple chemical hypersensitivity syndrome) โรคราแคนดิดาเรื้อรัง (chronic candidiasis) โรคโมโนนิวคลีโอซิสเรื้อรัง (chronic mononucleosis หรือ chronic Ebstein-Barr virus infection) - เป็นโรคที่เกิดจาการติดเชื้อไวรัสเอบสไตน์บาร์เรื้อรัง อาการล้าหลังติดเชื้อไวรัส (post viral fatigue syndrome)", "title": "อาการล้าเรื้อรัง" }, { "docid": "375868#0", "text": "กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตก-ยูรีเมีย () เป็นโรคซึ่งทำให้มีการแตกของเม็ดเลือดแดง ไตวายเฉียบพลัน (ทำให้มีของเสียคั่งในเลือด หรือ ยูรีเมีย) และเกล็ดเลือดต่ำ ส่วนใหญ่พบในเด็ก แต่ก็สามารถพบในผู้ใหญ่ได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการท้องเสียที่เกิดจาก นำมาก่อน ซึ่งมักติดจากการกินอาหาร ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ มีอัตราตาย 5-10% ผู้ป่วยที่รอดชีวิตส่วนใหญ่จะหายจากโรคโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนติดตัว แต่ส่วนหนึ่งอาจเกิดมีไตวายเรื้อรังจนจำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องได้ โรคนี้ได้รับการอธิบายครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1955", "title": "กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตก-ยูรีเมีย" }, { "docid": "242400#7", "text": "ผู้ซึมเศร้าอาจรายงานอาการทางกายหลายอย่างรวมทั้งล้า ปวดศีรษะ และปัญหาการย่อยอาหาร ซึ่งเกณฑ์โรคซึมเศร้าขององค์การอนามัยโลก อาการทางกายเป็นปัญหานำมาที่พบมากที่สุดในประเทศที่กำลังพัฒนา[18] มักมีความอยากอาหารตามด้วยน้ำหนักลด แม้จะมีที่ความอยากอาหารและน้ำหนักเพิ่มขึ้นบ้าง[12] ครอบครัวและเพื่อนอาจสังเกตว่า ผู้ป่วยมีกายใจไม่สงบหรือง่วงงุนผิดปกติ[16] ส่วนผู้สูงอายุอาจมีอาการของการรู้อื่นที่เริ่มต้นไม่นานนี้ เช่น ขี้ลืม[14] และการเคลื่อนไหวช้าลงที่เห็นชัดขึ้น[19] โรคซึมเศร้าบ่อยครั้งเกิดร่วมกับโรคทางกายที่สามัญกับผู้สูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคระบบหัวใจหลอดเลือด โรคพาร์คินสัน และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[20]", "title": "โรคซึมเศร้า" }, { "docid": "230430#9", "text": "จากรายงานทางการแพทย์ในอดีตพบอุบัติการณ์ประมาณ 2-8 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ต่อมาเมื่อมีการศึกษาเพิ่มขึ้น บางรายงานพบอุบัติการณ์มากถึงกว่า 200 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน โดยพบในเพศหญิงมากกว่าชายประมาณ 2 เท่า และพบบ่อยช่วงอายุ 25-45 ปี แต่พบน้อยในเด็กและวัยกลางคน", "title": "อาการล้าเรื้อรัง" }, { "docid": "230430#3", "text": "พยาธิกำเนิดของอาการนี้ยังไม่เป็นที่ทราบกันแน่ชัด จากการศึกษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงตามระบบต่างๆหลายระบบ แต่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เฉพาะเจาะจงและไม่ได้เป็นแบบเดียวกันในผู้ป่วยทุกราย ทำให้ไม่สามารถสรุปสมุฏฐานของโรคได้ ดูจากหลักฐานและรายงานต่างๆ พบความเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆดังนี้", "title": "อาการล้าเรื้อรัง" }, { "docid": "823854#9", "text": "Post-concussion syndrome (กลุ่มอาการหลังสมองถูกกระแทก ตัวย่อ PCS), เป็นอาการที่อาจมีเป็นอาทิตย์ ๆ เดือน ๆ หรือปี ๆ หลังจากการกระแทกกระเทือน (concussion) โดยมีอัตราความชุกที่ 38-80% ในการบาดเจ็บทางสมองขั้นอ่อน แต่ก็อาจเกิดขึ้นด้วยในขั้นปานกลางและรุนแรง\nถ้ามีอาการจากการถูกระแทกเกินกว่า 3-6 เดือน (ขึ้นอยู่กับเกณฑ์วินิจฉัย) หลังจากการบาดเจ็บ ก็จะผ่านเกณฑ์วินิจฉัยที่เรียกว่าเป็น persistent postconcussive syndrome (PPCS)\nในงานศึกษาความชุกของกลุ่มอาการหลังสมองถูกกระแทกในคนไข้ที่เป็นโรคซึมเศร้าโดยใช้แบบวัด British Columbia Postconcussion Symptom Inventory พบว่า\n\"คนไข้ประมาณ 9 ใน 10 คนที่เป็นโรคซึมเศร้าผ่านเกณฑ์วินิจฉัยที่รายงานเองแบบหลวม ๆ ว่ามีกลุ่มอาการหลังสมองถูกกระแทก และมากกว่า 5 ใน 10 คน ผ่านเกณฑ์แบบเข้ม\"\nแต่ว่าอัตราที่รายงานเองเช่นนี้สูงกว่าที่ได้จากการสอบสวนทางคลินิกตามแผนอย่างสำคัญ\nกลุ่มควบคุมที่ปกติก็รายงานอาการของ PCS เช่นกัน เทียบกับกลุ่มที่สืบหาบริการทางจิต\nมีข้อขัดแย้งอย่างพอสมควรในการวินิจฉัย PCS โดยส่วนหนึ่งก็เพราะผลทางการแพทย์-ทางกฎหมาย และผลทางการเงินที่มาจากการได้วินิจฉัยเช่นนี้", "title": "โรคซึมเศร้า (การวินิจฉัยแยกโรค)" }, { "docid": "22630#12", "text": "การประเมินของ JECFA (พ.ศ. 2530): ในการทดลองที่วางแผนอย่างดีและการใช้เทคนิด controlled double-blind crossover พบว่าไม่มีความสัมพันธุ์ระหว่างกลุ่มอาการภัตตาคารจีนและการบริโภคผงชูรสแม้ในผู้ที่เข้าร่วมการทดลองซึ่งอ้างว่าตนเคยมีอาการดังกล่าว ส่วนรายการจากการสำรวจ ที่พบว่ามีอาการเหล่านั้น เกิดจากการออกแบบการทดลองและใช้แบบสอบถามที่ไม่เหมาะสม[26] รายงาน FASEB (พ.ศ. 2538): รายงานของ FASEB ต่อสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ยืนยันว่าการบริโภคผงชูรส ในปริมาณที่เหมาะสม</b>นั้นทำได้โดยปลอดภัยและยังไม่พบอาการระยะยาวที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามรายงานนี้กล่าวว่า อาการระยะสั้น ที่เรียกกันว่า MSG Symptom Complex นั้นอาจเกิดในคนสองกลุ่ม กลุ่มที่ 1 เกิดกับกลุ่มคนที่มีปฏิกิริยาหลังจากทานผงชูรสในปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทานอาหารที่มีผงชูรสในขณะที่ท้องว่าง โดยปริมาณมากนี้ กำหนดไว้ที่ 3 กรัมขึ้นไปต่อมื้อ และอีกกลุ่มที่มีอาการที่เกิดจากผงชูรสคือคนที่มีโรคหอบหืดประจำตัวรุนแรง อาการ MSG Symptom Complex ที่ชี้แจงโดยการศึกษานี้รวมไปถึงอาการ ชา แสบร้อน ผิวตึง ปวดแน่นหน้าอก ปวดหัว คลื่นใส้ หัวใจเต้นเร็ว ง่วงซึม และอ่อนแรง ในกรณีคนเป็นโรคหอบหืดอาจจะมีอาการหายใจลำบากด้วย แต่การศึกษาเรื่องเฉพาะเจาะจงในกลุ่มนี้ยังไม่ปรากฏผลที่แน่นอนเชื่อถือได้ [27] อย่างไรก็ตาม มีผู้นิยมผงชูรสวิจารณ์ว่า การทดลองของ FASEB นี้ให้ผู้ทดสอบรับประทานผงชูรสที่อยู่ในรูปแค๊ปซูลหรือสารละลาย ซึ่งไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการบริโภคผงชูกับพร้อมอาหารได้[28] รายงาน ANSFA: รายงานเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 พบว่ามีประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของประชาการมีอาการผิดปกติหลังรับประทานอาหาร แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าความผิดปกติดังกล่าวนั้น มีสาเหตุมาจากผงชูรส เพราะว่าในการทดลองไม่ได้บอกถึงปริมาณของผงชูรสที่ใช้อย่างไรก็ตามรายงานนี้ยืนยันได้กว่าคนที่มีอาการแพ้ผงชูรสนั้นมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์[29] งานวิจัยของไทย: สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (พ.ศ. 2526) (ภก.ศ.(พิเศษ)ดร.ภักดี โพธิศิริ, ยุพิน ลาวัณย์ประเสริฐ, ศ.นพ.วิชัย ตันไพจิตร และ ผศ.ดร.ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต)[30][31][32] รายงานในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดการตอบรับต่อกลุ่มอาการ “ภัตตาคารจีน” กับการบริโภคโมโซเดียมกลูตาเมต พบว่าในกลุ่มตัวอย่างคนไทยมีไม่ถึง 1% มีเกิดอาการดังกล่าว หลังจากรับประทานอาหารที่มีผงชูรส", "title": "โมโนโซเดียมกลูตาเมต" }, { "docid": "230430#0", "text": "อาการล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome, CFS) คือกลุ่มอาการอิดโรยเรื้อรังที่ยังไม่ทราบสาเหตุ มีความผิดปกติหลากหลายระบบทั่วร่างกาย ทั้งทางกายภาพ (physical) ทางจิตและจิตประสาท (neuropsychological) มีอาการอิดโรย เหนื่อยล้า อ่อนแรง เป็นหลัก อีกทั้งมีอาการไม่เฉพาะเจาะจงอีกมากมายหลายอย่าง", "title": "อาการล้าเรื้อรัง" }, { "docid": "253607#56", "text": "สำหรับคนไข้ที่ทานยา PPI อย่างเดียวไม่หาย และมีอาการตอนกลางคืน แพทย์อาจเพิ่มยาต้านตัวรับเอช2ให้ทานเวลากลางคืน แต่ผลของยาอาจมีแค่ชั่วคราวคือเดือนเดียว \nส่วนยาทำการต่อหน่วยรับกาบาบี (GABA agonist) คือ baclofen ซึ่งลดอาการหลังอาหารและหลดกรดไหลย้อนทั้งในบุคคลปกติและคนไข้โรคนี้ (โดยมีผลข้างเคียงหลายอย่างเช่นง่วงนอน คลื่นไส้ อ่อนเปลี้ยและล้า) งานทดลองปี 2012 ได้พบว่า เมื่อทานเวลากลางคืน จะช่วยลดกรดไหลย้อนและช่วยทำให้คนไข้นอนหลับได้ดีขึ้นไม่ว่าจะวัดโดยค่าที่เป็นอัตวิสัยหรือปรวิสัย ดังนั้น ยานี้อาจมีอนาคตสำหรับคนไข้ที่ยังมีอาการเมื่อใช้ PPI เต็มที่แล้วแต่ยังมีอาการตอนกลางคืน", "title": "โรคกรดไหลย้อน" }, { "docid": "476968#0", "text": "กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อมที่เริ่มต้นในวัยผู้ใหญ่ () เป็นชื่อเบื้องต้นของโรคภูมิคุ้มกันเสื่อมที่เพิ่งได้รับการค้นพบใหม่โรคหนึ่ง ชื่อนี้ถูกเสนอในบทรายงานการวิจัยชิ้นแรกที่ค้นพบโรคนี้แล้วเผยแพร่ต่อสาธารณะ เชื่อว่าเป็นโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ มีผู้ป่วยเป็นคนเอเชียอายุประมาณ 50 ปี เริ่มวินิจฉัยได้ตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ส่วนมากพบในประเทศไทยและประเทศไต้หวัน", "title": "กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อมที่เริ่มต้นในวัยผู้ใหญ่" }, { "docid": "823854#3", "text": "มีรายงานข่าวบทความหนึ่งในนิตยสารรายสัปดาห์ \"Newsweek\" ที่ผู้เขียนได้การรักษาโรคซึมเศร้าเป็นปี ๆ\nและใน 10 ปีสุดท้าย อาการของเธอก็แย่ลง มีผลเป็นการพยายามฆ่าตัวตายและเข้าโรงพยาบาลเหตุจิตเวชหลายครั้ง\nในที่สุดเมื่อมีการสร้างภาพทางสมองด้วย MRI ก็พบว่ามีเนื้องอกในสมองก้อนหนึ่ง\nแต่ประสาทแพทย์บอกเธอว่าไม่ใช่เนื้อร้าย\nแต่หลังจากที่อาการแย่ลง และหลังจากพบประสาทแพทย์อีกคนหนึ่ง เธอก็ผ่าตัดเอาเนื้องอกออก\nและหลังจากการผ่าตัดนั้น เธอก็ไม่มีอาการ \"โรคซึมเศร้า\" อีกต่อไป\nชาวอเมริกันระหว่าง 1-4 ล้านคนเชื่อว่ามี กลุ่มอาการล้าเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome ตัวย่อ CFS) แต่ว่ามีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ปรึกษาแพทย์เพราะอาการ\nนอกจากนั้นแล้ว บุคคลที่มีอาการ CFS บ่อยครั้งมีความผิดปกติทางการแพทย์หรือทางจิตเวชอื่น ๆ ที่ไม่ได้วินิจฉัย เช่น โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ หรือการเสพสารเสพติด (substance abuse)\nในอดีต CFS เคยพิจารณาว่าเป็นโรคที่ออกอาการทางกายเหตุจิตใจ (psychosomatic) แต่ปัจจุบันพิจารณาว่าเป็นโรคทางกายจริง ๆ ซึ่งถ้าได้วินิจฉัยและการรักษาที่ทันการสามารถช่วยบรรเทาหรือแก้อาการทั้งหมด\nแต่บ่อยครั้งวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคซึมเศร้า\nแต่ปรากฏความแตกต่างที่อัตราการเดินโลหิตในสมอง (cerebral blood flow)", "title": "โรคซึมเศร้า (การวินิจฉัยแยกโรค)" }, { "docid": "230430#13", "text": "1. อิดโรย อ่อนเพลีย เหนื่อยล้ามากผิดปกติที่เป็นตลอดเวลาหรือทุเลาสลับกับทรุดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการอิดโรยอย่างมากนี้ไม่ได้เกิดตามหลังการออกกำลังกายหนักอย่างต่อเนื่อง และไม่บรรเทาหลังพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะพักนานเพียงไรก็ไม่ทุเลา อีกทั้งได้แยกโรคต่างๆที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกันออกไปแล้ว อาการอ่อนเพลียนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการงาน การศึกษา สังคม กิจกรรมส่วนตัว", "title": "อาการล้าเรื้อรัง" }, { "docid": "813111#8", "text": "รายงานแรกเกี่ยวกับอาการหยุดยาเกิดกับยา imipramine ซึ่งเป็นยาแก้ซึมเศร้าแบบ tricyclic ชนิดแรก เริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1950\nและประเภทของยาแก้ซึมเศร้าใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นก็มีรายงานคล้าย ๆ กัน รวมทั้ง monoamine oxidase inhibitor, SSRIs, และ SNRIs\nโดยปี 2544 มียาอย่างน้อย 21 ชนิดซึ่งรวมยาแก้ซึมเศร้าจากกลุ่มสำคัญทุกกลุ่ม ล้วนเป็นเหตุให้เกิดอาการ\nแต่ว่าเป็นปัญหาที่มีการศึกษาน้อย และวรรณกรรมโดยมากเป็นรายงานผู้ป่วยหรืองานศึกษาทางคลินิกขนาดเล็ก ความชุกของอาการยากที่จะกำหนดและมักก่อความขัดแย้ง\nพร้อมกับการระเบิดใช้และสนใจยาประเภท SSRIs ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 โดยเฉพาะในยาโปรแซ็ก (ฟลูอ๊อกซิติน) ทั้งความสนใจในปัญหาและตัวปัญหาเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ\nอาการบางอย่างปรากฏจากกลุ่มอภิปรายทางอินเทอร์เน็ต ที่คนไข้กล่าวถึงประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับโรคและยาที่ใช้ การเหมือนถูกไฟช็อตในสมอง (ที่เรียกว่า \"brain zaps\" หรือ \"brain shivers\") เป็นอาการหนึ่งที่ปรากฏทางเว็บไซต์", "title": "กลุ่มอาการหยุดยาแก้ซึมเศร้า" }, { "docid": "974660#0", "text": "กลุ่มอาการสำรอก\nเป็นความผิดปกติทางการหดเกร็ง/การเคลื่อนไหวเอง (motility) ของกล้ามเนื้อแบบเรื้อรังที่แพทย์ยังวินิจฉัยไม่ค่อยถูก \nมีอาการสำรอกอาหารออกโดยไม่ต้องพยายามเนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบ ๆ ท้องอย่างไม่ได้ตั้งใจ\nและจะไม่มีอาการเหมือนกับเมื่ออาเจียนรวมทั้งขย้อนแบบจะอาเจียน คลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก มีกลิ่นโดยเฉพาะของอาเจียน และปวดท้อง \nโรคนี้ในอดีตได้บันทึกไว้ว่าเกิดเพียงแค่กับทารก เด็กเล็ก ๆ และคนที่มีปัญหาทางสติปัญญา/ประชาน (อาการมีความชุกสูงถึง 10% ในคนไข้โรคจิตที่อยู่ประจำในโรงพยาบาล)\nแต่ปัจจุบัน ก็เป็นอาการที่วินิจฉัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่นอกจากอาการนี้ก็ปกติดี \nถึงกระนั้น ทั้งแพทย์ คนไข้ และสาธารณชนโดยทั่วไปก็ยังไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยเข้าใจว่ามีอาการเช่นนี้", "title": "กลุ่มอาการสำรอก" }, { "docid": "638161#15", "text": "การขาดความตระหนักถึงอาการนี้อาจนำไปสู่การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ผิดว่า คนไข้ตาบอด มีโรคจิต หรือมีภาวะสมองเสื่อม \nคนที่จะสังเกตเห็นว่าคนไข้มีอาการนี้ก่อนอื่นทั้งหมดมักจะเป็นผู้บำบัดโรคที่ให้การพยาบาลฟื้นสภาพหลังจากคนไข้เกิดรอยโรคในสมอง\nแต่ว่า เพราะว่ามีผู้บำบัดโรคเป็นจำนวนน้อยที่คุ้นเคยกับอาการนี้\nอาการต่าง ๆ ที่ได้สังเกตเห็นก็จะรับคำอธิบายผิดอื่น ๆ โดยที่ไม่ได้พิจารณาถึงอาการนี้\nหรือตรวจสอบยืนยันด้วยวิธีทางการแพทย์หรือประสาทรังสีวิทยา \nดังนั้น ความปรากฏของความผิดปกติทางพื้นที่ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันสืบต่อจากความเสียหายที่สมองกลีบข้างในซีกสมองทั้งสองข้าง เป็นเครื่องชี้บ่งที่มีกำลังของ Bálint's syndrome และควรที่จะตรวจสอบต่อไปว่าใช่อาการนี้หรือไม่ \nงานวิจัยหนึ่งรายงานว่า ความเสียหายที่เขตต่าง ๆ ของส่วนเชื่อมระหว่างสมองกลีบท้ายทอยและสมองกลีบข้างในซีกสมองทั้งสองข้างดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับ Bálint's syndrome", "title": "Bálint's syndrome" }, { "docid": "974660#28", "text": "มีรายงานคนไข้หลายรายงานก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่โดยมากจะวิเคราะห์ตามวิธีการที่ใช้และแนวคิดที่นิยมในเวลานั้น\nิเริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า กลุ่มอาการนี้ปรากฏในรูปแบบต่าง ๆ โดยเป็นการตอบสนองต่อภาวะต่าง ๆ\nแม้จะยังพิจารณาว่าเป็นความผิดปกติในเด็กทารกและผู้มีปัญหาทางสติปัญญาในเวลานั้น แต่ความแตกต่างของรูปแบบการแสดงออกระหว่างทารกกับผู้ใหญ่ก็ชัดเจนแล้ว\nเริ่มตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1900 งานศึกษาในผู้ใหญ่ที่สุขภาพปกติเว้นอาการนี้ก็มีน้อยลงเรื่อย ๆ คือรายงานวิเคราะห์อาการในผู้ใหญ่ที่ไม่พิการทางจิตจะปรากฏหลังจากช่วงนี้\nในตอนแรก รายงานกล่าวถึงอาการนี้ในผู้ใหญ่ว่าไม่ทำให้เสียหาย\nแต่ปัจจุบันก็กล่าวเป็นอีกอย่างหนึ่ง", "title": "กลุ่มอาการสำรอก" }, { "docid": "960971#4", "text": "โรครายงานว่า มีผลต่อประชากรสหรัฐและยุโรประหว่าง 7-30%[1] แพทย์หูคอจมูกตรวจคนไข้โรคนี้เพิ่มขึ้นถึง 500% ระหว่างปี 1990-2001 และเกิดกับบุคคลที่ออกเสียงลำบากถึง 50%[5][12] โรคที่ไม่ได้รักษาอาจเกิดอาการเรื้อรัง เกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจแย่ลง ทำให้ต้องไปหาแพทย์บ่อย ๆ ทำให้สังคมโดยรวมมีภาระค่าใช้จ่ายสูง และมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและบุคลิกภาพของคนไข้อย่างสำคัญ[1]", "title": "โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง" }, { "docid": "371909#16", "text": "การตรวจร่างกายและการตรวจสภาพจิตสามารถช่วยบอกได้ว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการของโรคแล้วหรือยังไม่มี[1] อาการที่มักนำผู้ป่วยมาพบแพทย์มากที่สุดคือการเคลื่อนไหวผิดปกติของส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากอาการเหล่านี้เป็นขึ้นทันทีทันใด เริ่มเป็นแบบไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์หรืออาการอื่นๆ จะเป็นการชี้ให้ควรสงสัยว่าต้องให้การวินิจฉัยผู้ป่วยเป็นโรคฮันติงตัน อาการทางการรับรู้หรือทางสภาพจิตมักไม่เป็นอาการแรกๆ ที่ทำให้นึกถึงโรคฮันติงตัน ส่วนใหญ่จะเป็นจะนึกถึงอาการเหล่านี้ว่าเป็นจากโรคฮันติงตันก็ต่อเมื่อเป็นการได้ประวัติย้อนหลังของผู้ป่วยโรคฮันติงตันที่วินิจฉัยได้จากสาเหตุอื่น หรืออาการเหล่านี้ปรากฏขึ้นหลังจากได้รับการวินิจฉัยเรียบร้อยแล้ว แพทย์สามารถวัดการดำเนินโรคออกมาเป็นตัวเลขได้โดยใช้ unified Huntington's disease rating scale (เกณฑ์การให้คะแนนโรคฮันติงตันแบบสากล) โดยคะแนนนี้คิดจากการประเมินผู้ป่วยทั่งด้านการสั่งการ พฤติกรรม การรับรู้ และความสามารถในการดำเนินชีวิต[24][25] การถ่ายภาพรังสีทางการแพทย์เช่นซีทีสแกนหรือเอ็มอาร์ไออาจแสดงให้เห็นได้เพียงภาวะสมองใหญ่ฝ่อที่จะพบก็ต่อเมื่อโรคดำเนินไปมากแล้วเท่านั้น การถ่ายภาพรังสีของการทำงานของระบบประสาท เช่น fMRI หรือ PET scan อาจแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของสมองก่อนที่จะปรากฏอาการได้ แต่วิธีนี้ยังมีที่ใช้เฉพาะในการศึกษาวิจัย ยังไม่มีการนำมาใช้ทางคลินิก[13]", "title": "โรคฮันติงตัน" } ]
3089
พระนิคเคนโชนิน เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "312652#0", "text": "พระนิคเคนโชนิน (阿部日顕, Abe Nikken หรือ 日顕上人, Nikken Shonin ; 19 ธันวาคม ค.ศ. 1922 - ปัจจุบัน) เป็นพระสังฆราชของพุทธศาสนานิกาย นิชิเรนโชชู องค์ที่ 67 ซึ่งเป็นหนึ่งในนิกายสำคัญของศาสนาพุทธนิกายนิชิเรน และยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสแห่งวัดใหญ่ไทเซขิจิ ณ ชิซุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น สานุศิษย์นิชิเรนโชชูจะขนานนามท่านว่า พระนิคเคนโชนิน, นิคเคนโชนิน เกอิคะ, โกะอิซน โชนิน, โกอินซนซะมะ หรือ โกอิรเคียวซะมะ แต่มักจะเรียกอย่างเป็นทางการว่า \"พระสังฆราชองค์ที่ 67 พระนิคเคนโชนิน\"(67th High Priest Nikken Shōnin.)", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" }, { "docid": "312652#2", "text": "พระนิคเคนโชนิน ประสูติวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1922 ในโตเกียว มีนามในวัยเด็กว่า ชิโบุ อาเบะ เป็นบุตรชายของ โฮอุน อาเบะ \nซึ่งได้เป็นเจ้าอาวาสของวัดโจเซ็นจิ ในซุมิดะ, โตเกียว และในภายหลังได้ดำรงตำแหน่งป็น สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 50 พระนิชิไค โชนิน ชิโนบุ ได้บวชเป็นพระสงฆ์ในปี ค.ศ. 1928 และเปลี่ยนชื่อเป็น พระชินโน (信雄) พระชินโนสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยริชโช ในปี ค.ศ. 1943 ภายหลังจากการร่วมรบในฐานะทหารเรือญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดสำคัญๆ ถึงสามวัดด้วยกันคือ วัดฮนเกียวจิ (โตเกียว ค.ศ. 1947) เฮอันจิ (เกียวโต ค.ศ. 1963) และภายหลังวัดโจเซ็นจิ (โตเกียว) และได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานของ เคียวกะบุคุ (แผนกที่รับผิดชอบการศึกษาธรรมและรักษาความดั้งเดิมของหลักธรรม) ในปี ค.ศ. 1961 ในตำแหน่งนี้ ท่านจึงเป็นหนึงใน พระสงฆ์สองท่านแรกที่ได้เดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อทำพิธีรับศีล (Gukujai โกคุไจ) กับสมาชิกผู้นับถือใหม่ต่างประเทศ ขณะเดียวันสมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้นได้ตั้งนามใหม่ให้ท่านว่า เอ็ตสุโยะ (越洋: \"บุรุษที่ข้ามทะเล\") ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็น นิชิเรนโชชู โซคัน หรือตำแหน่งสูงสุดอันดับที่สองของพระสงฆ์นิกายนิชิเรนโชชูในปี ค.ศ. 1979 และในที่สุดท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระสังฆราช ภายหลังจากการดับขันธ์ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 66 พระนิททัตสุโชนิน ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 ในช่วงเวลานั้นท่านได้เปลี่ยนชื่อนิชิโกะ (ชื่อซึ่งเริ่มต้นด้วย นิชิ ซึ่งเป็นชื่อที่พระสงฆ์ทุกๆรูปจะต้องมี แต่จะใช้เฉพาะในโอกาสเป็นทางการหรือใช้กับพระสงฆ์อาวุโสเท่านั้น) ของท่านจาก นิชิจิ (日慈) เป็น นิคเคน (日顕)ในรัชสมัยของพระนิคเคนโชนิน นั้นเป็นสมัยที่เต็มไปด้วยความสำเร็จและการขัดแย้ง\nพระนิคเคนได้จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบการจากไปของพระนิชิเรนครบ 700 ปี ในปี ค.ศ. 1981, 650 ปี ครบรอบการจากไปของผู้ก่อตั้งวัดใหญ่ไทเซขิจิพระนิกโค โชนิน และ พระนิชิโมขุ โชนิน (ค.ศ. 1982), ครบรอบ 700 ปีการก่อตั้งวัดใหญ่ไทเซขิจิ (ค.ศ. 1990) และ 750 ปีของการก่อตั้งนิกายนิชิเรนโชชู (ค.ศ. 2004)", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" } ]
[ { "docid": "312652#5", "text": "พระนิคเคนโชนิน เป็นพระสังฆราชองค์แรกและองค์เดียวของนิกายนิชิเรนโชชู ที่อยู่ในตำแหน่งสังฆราชจนถึงอายุ 80 พรรษา และได้ทำการสละตำแหน่งสังฆราชหลังจากดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลานานถึง 27 ปี พระองค์เป็นผู้ฟื้นฟูวัดใหญ่ไทเซขิจิ ในด้านพิธีกรรมและประเพณีแบบดั้งเดิมทั้งหมดซึ่งมีหลายสิ่งที่ได้ถูกยกเลิกไปในสมัยของโซกางัคไค ในแง่มุมของผู้นับถือนิกายนิชิเรนโชชู พระนิคเคนโชนินได้ยึดมั่นว่า หลักธรรมของนิชิเรนโชชูน้นไม่อาจสามารถตีความเองโดยผู้นับถือได้ตามอำเภอใจ แต่ต้องยึดแบบดั้งเดิมตามแบบฉบับของพระนิชิเรนไดชนิน พระนิคเคนโชนิน ยังมีพระชนม์ชีพยืนยาวและได้คว่ำบาตรกลุ่มผู้นับถือที่ได้ตัดสินใจเลือกตีความหลักธรรมของนิชิเรนโชชูตามความคิดของตนถึง 3 กลุ่ม", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" }, { "docid": "328132#0", "text": "พระนิชิคัน (ค.ศ. 1665 - ค.ศ. 1726) หรือ พระนิชิคัน โชนิน เป็นประมุขสงฆ์ของพุทธศาสนานิกายนิชิเรนโชชู เป็นผู้ที่ทำให้พุทธธรรมของพระนิชิเรนไดโชนิน มีความเจริญรุ่งเรือง นอกเหนือจากพระนิกโคโชนินและพระนิชิโมขุโชนินแล้ว พระนิชิคันโชนินนับว่าเป็นประมุขสงฆ์อันดับ 1 ของการศรัทธาที่ขึ้นตรงต่อพระนิชิเรนไดโชนิน พระนิชิคันโชนินเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในฐานะเป็น บรรพบุรุษแห่งการฟื้นฟูพุทธธรรม กล่าวคือ หลังจากที่พระนิชิเรนไดโชนินดับขันธ์แล้วประมาณ 400 ปี ท่านก็ได้เป็นผู้ทำลายคำสอนต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นที่บิดเบือนไปจากพุทธธรรมของพระนิชิเรนไดโชนิน ท่านได้ชี้ชัดให้เห็นถึงความถูกต้องของพุทธธรรมของพระนิชิเรนไดโชนินทั้งภายในและภายนอกนิกาย แล้วยังได้จัดให้มีการศึกษาที่ถูกต้องโดยกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของพระนิชิเรนไดโชนิน ดังนั้น ท่านได้สมญานามว่า ท่านคันที่เคารพยิ่ง มาตั้งแต่สมัยนั้น ท่านได้รับการยกย่องว่ามีความศรัทธาและผลงานที่ยิ่งใหญ่", "title": "พระนิชิกัง" }, { "docid": "312652#7", "text": "แม้พระนิคเคนโชนิน จะดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งนิชิเรนโชชู ก็ตามแต่ผู้นับถือจากโซกางัคไค ได้ออกมาแสดงตนและกล่าวหาว่าพระนิคเคนโชนินนั้น มีพฤติกรรมที่เบี่ยนเบน และไม่เหมาะสมกับตำแหน่งพระสังฆราช ทำให้ศาสนจักรเสื่อมเสีย สมาชิกจากโซกางัคไคจะเรียกนิกายนิชิเร็นโชชู ในปัจจุบันว่า นิกายนิคเคน และกล่าวหาพระนิคเคน โชนิน ว่าเป็นสงฆ์ที่ชั่วร้าย ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทำให้พระนิคเคน โชนิน เสียหายและถูกประณามจากผู้นับถือจากโซกา งัคไคด้วย", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" }, { "docid": "312624#0", "text": "พระนิชิเนียว โชนิน (早瀬 日如 Hayase Nichinyo? หรือ 日如上人 Nichinyo Shonin, ประสูติ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1935) เป็นพระสังฆราชของพุทธศาสนานิกาย นิชิเรนโชชู องค์ที่ 67 ซึ่งเป็นหนึ่งในนิกายสำคัญของศาสนาพุทธนิกายนิชิเรน ซึ่งมีผู้นับถือกระจายอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ศรีลังกา เกาหลีใต้ กานา สหรัฐอเมริกา บราซิล รวมไปถึงประเทศไทย และยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสแห่งวัดใหญ่ไทเซขิจิ ณ ชิซุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น", "title": "พระนิชิเนียว โชนิง" }, { "docid": "312652#9", "text": "นิชิเรนโชชูกล่าวว่า : โซกางัคไค ได้เข้าใจผิดมหันต์เกี่ยวกับหลุมฝังศพดังกล่าว สุสานของบิดามารดาของพระนิคเคนโชนินนั้นอยู่ที่ วัดใหญ่ไทเซขิจิ ไม่ใช่วัดฮะคุซันจิ หลุมศพของครอบครัวอะเบะที่อยู่ในวัดฮะคุซันจินั้นเป็นหลุมศพของญาติของพระนิคเคนโชนิน มิใช่ของบิดามารดาของพระสังฆราชแต่อย่างใด แต่ในจังหวัดฟุคุชิวะนั้นเป็นบ้านเกิดของท่าน ครอบครัวอะเบะที่ได้อาศัยอยู่ในขณะนี้คือ นายเค็นโซ อะเบะ เป็นสมาชิกนิชิเรนโชชู ซึ่งเป็นญาติของท่าน และได้ยกคำกล่าวของนายโจเซอิ โทดะ ประธานคนที่สองของโซกางัคไค ว่าด้วยเรื่องการตั้งหลุมฝังศพในวัดนิกายอื่นว่า", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" }, { "docid": "312652#11", "text": "โซกางัคไค กล่าวว่า : พระนิคเคนโชนิน นั้นได้กระทำผิดอย่างมหันต์ด้วยการคบชู้สู่สาวกับหญิงเกอิชา ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรงสำหรับพระสงฆ์ และเป็นความผิดอย่างร้ายแรงสำหรับพระสังฆราช โดยได้อ้างรูปภาพที่พระนิคเคนโชนินถ่ายรูปร่วมกับเหล่าหญิงเกอิชา", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" }, { "docid": "312652#4", "text": "หลังจากการคว่ำบาตรสมาคมสร้างคุณค่า พระนิคเคนโชนิน ได้ทำการเปิดวัดนิกายนิชิเรนโชชูในต่างประเทศจำนวนมาก (วัดล่าสุดคือที่สิงคโปร ในธันวาคม 2005 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ดำรงตำแหน่งสังฆราช) และเปิดศูนย์เผยแผ่ธรรมใน แอฟริกา, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอเมริกาใต้ รวมไปถึง ยุโรป และ อเมริกาเหนือ และแต่งตั้งพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิรุ่นใหม่เป็นผู้ดูแล อีกทั้งยังมีหลายครั้งที่พระนิคเคน โชนิน ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้นับถือในต่างประเทศด้วยพระองค์เอง ด้วยพระชนมายุที่มากขึ้น", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" }, { "docid": "312652#8", "text": "โซกางัคไค กล่าวว่า : พระนิคเคนโชนินได้กระทำการดู่หมิ่นธรรมขั้นร้ายแรงโดยการสร้างและทำพิธีเปิดหลุมศพของบิดามารดาของท่าน ในวัดนิกายเซน ณ วัดฮะคุซันจิ ใน ฟุคุชิมะ ซึ่งถือเป็นนิกายนอกรีตสำหรับนิชิเรนโชชู พลังของปิศาจมารจากนิกายนอกรีตจะทำลายความศรัทธาของผู้นับถือนิชิเรนโชชู จึงทำให้พระนิคเคนนั้น สูญเสียความศรัทธาที่ถูกต้องแท้จริงไป", "title": "พระนิกเก็ง โชนิง" } ]
256
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงหรือไม่ ?
[ { "docid": "9097#0", "text": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[1] (/พระ-เชด-ตุ-พน-วิ-มน-มัง-คะ-ลา-ราม/[2]) หรือ วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด<b data-parsoid='{\"dsr\":[1544,1563,3,3]}'>ราชวรมหาวิหาร[3] และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทั้งยังเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง และทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551[4] และวันที่ 16 มิถุนายน 2554 ทางยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น เป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" } ]
[ { "docid": "45667#19", "text": "ด้านพระศาสนา พระองค์มีศรัทธาในบวรพุทธศาสนา โดยจะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวาระสำคัญ อาทิ เมื่อครั้งมีพระชนมพรรษา 25 ปี ได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์เท่ากับพระชนมพรรษาคือ 25 ชั่ง ถวายแก่พระอารามที่บูรพมหากษัตริย์ทรงสถาปนาไว้ คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัดอรุณราชวราราม, วัดราชโอรส, วัดเสนาศน์ และวัดนิเวศธรรมประวัติ พระอารามละ 5 ชั่ง[29]", "title": "สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร" }, { "docid": "9097#4", "text": "นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร\" และภายในพระอารามยังได้เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร โดยนิตินัย ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกอีกครั้งที่กรุงพนมเปญ โดยพฤตินัย", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "4284#24", "text": "ในการเสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกนั้น พระองค์ได้ประกอบพิธีทรงปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปในพระอารามที่สำคัญ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยเฉพาะที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารนั้น พระองค์เคยมีพระราชดำรัสกล่าวว่า \"ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง\" ดังนั้น เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต จึงได้นำพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์มาประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้[16]", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร" }, { "docid": "70366#3", "text": "กรมหลวงนรินทรเทวี มีพระสวามีชื่อหม่อมมุก ซึ่งต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ\nและเจ้านายที่สืบเชื้อสายจากพระองค์ ถือว่าอยู่ใน วังของพระองค์อยู่ติดกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) อีกทั้งขณะยังคงพระชนม์ชีพพระองค์ยังมิได้ทรงกรม ชาววังจึงเอ่ยพระนามว่า \"เจ้าครอกวัดโพธิ์\" (เจ้าครอก เป็นคำที่ใช้เรียกเจ้านายที่ยังไม่ได้ทรงกรม) ", "title": "พระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี" }, { "docid": "237082#1", "text": "บริเวณทางแยกนี้มีสถานที่สำคัญตั้งอยู่ทั้ง 4 มุมถนน ได้แก่ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (สวนเจ้าเชตุ) ซึ่งในอดีตใช้ชื่อกรมการรักษาดินแดน มีชื่อย่อว่า รด. เป็นที่มาของชื่อทางแยก เยื้องกันเป็นพระบรมมหาราชวัง ด้านท้ายวัง (พระตำหนักสวนกุหลาบ) และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ซึ่งมีถนนท้ายวังแบ่งเขตวัดกับวัง และมีสวนสราญรมย์อยู่อีกด้านหนึ่งของทางแยก", "title": "แยกวงเวียน รด. และแยกท้ายวัง" }, { "docid": "639670#3", "text": "ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2479 ณ วัดตราชู ตำบลบ้านหม้อ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพระธรรมปิฎก (เผื่อน ติสฺสทตฺโต ป.ธ.9) ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอุปัชฌาจารย์ พระครูพรหมจริยคุณ (ดี ธมฺมปญฺโญ) ภายหลังเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระพรหมนคราจารย์ วัดแจ้งพรหมนคร อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูปลัดปิฎกวัฑฒน์ (ฟุ้ง ปุณฺณโก ป.ธ.3) ภายหลังเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมเสนานี วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า \"ติสฺสานุกโร\"\nพระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร) ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา ณ กุฏิคณะ ต.34 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 06.00 น.", "title": "พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร)" }, { "docid": "9097#1", "text": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์[5] พระเจดีย์ที่สำคัญ คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "4236#14", "text": "ทรงทำนุบำรุงและสนับสนุนการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านวม กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แต่งตำราเรียนภาษาไทยขึ้นเล่มหนึ่งคือ หนังสือจินดามณี โปรดเกล้าฯ ให้ผู้รู้นำตำราต่างๆ มาจารึกลงในศิลาตามศาลารอบพุทธาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ปั้นตั้งไว้ตามเขามอและเขียนไว้ตามฝาผนังต่างๆ มีทั้งอักษรศาสตร์ แพทยศาสตร์ พุทธศาสนศึกษา โบราณคดี ฯลฯ เพื่อเป็นการเผยแพร่วิชาการสาขาต่าง ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุงสยาม", "title": "พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "69340#0", "text": "วังท้ายวัดพระเชตุพน เป็นกลุ่มวังที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ใกล้กับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ใกล้ปากคลองตลาด ต่อมาจากวังท้ายหับเผย", "title": "วังท้ายวัดพระเชตุพน" }, { "docid": "59887#0", "text": "พระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดศาลาสี่หน้า (ปัจจุบันคือ วัดคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กทม.) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้สถาปนาวัดโพธาราม(วัดโพธิ์)ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส\"  ให้อัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดศาลาสี่หน้ามาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร พร้อมทั้งถวายพระนามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร”", "title": "พระพุทธเทวปฏิมากร" }, { "docid": "6115#4", "text": "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) บริหารการคณะสงฆ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดโสธรวราราม และในตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ตามประกาสสถาปนาสมณศักดิ์นั้นแล้ว นอกจากนี้ยังวิตกถึงวัดที่เป็นพระอารามหลวง ซึ่งชำรุดทรุดโทรมเป็นจำนวนมาก ปรารภในที่ประชุมพระสังฆาธิการของกรุงเทพมหานคร มีพระประสงค์จะให้วัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น สร้างกำแพงหรือรั้วกั้นเขตวัด เมื่อทุเลาจากการประชวรคราวแรก ได้เสด็จไปตรวจเยี่ยมวัดราชโอรสาราม และวัดชัยพฤกษมาลา ที่ได้ตั้งพระเถระไปเป็นเจ้าอาวาส ในขณะประชวรก็ยังมีพระบัญชาให้พระเถระผู้ใหญ่ออกตรวจเยี่ยมวัดแทนพระองค์", "title": "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ)" }, { "docid": "79566#1", "text": "วิทยาลัยพณิชยการเชตุพน เป็นสถานศึกษาด้านพาณิชยกรรมและบริหารธุรกิจ ได้ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2500 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาน สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 และชื่อเดิมคือ โรงเรียนวัดพระเชตุพนตั้งตรงจิตรวิทยาลัย ปัจจุบันคือ \"วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพาณิชยการ\" สังกัดกองโรงเรียนพาณิชย์และอุตสาหกรรม กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่บริเวณสังฆาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ท่าเตียน ในการจัดตั้งนั้นเพื่อรับนักเรียนไม่มีที่เรียน โดยขอเช่าอาคารโรงเรียนตั้งตรงจิตรวิทยาลัย ในปีแรก โรงเรียนได้เปิดสอนเพียง 3 สาขาวิชา คือ แผนกพณิชยการ แผนกเลขานุการ และแผนกภาษาต่างประเทศ", "title": "วิทยาลัยพณิชยการเชตุพน สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "203383#2", "text": "ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ราว พ.ศ. 2375 ทรงให้วัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในปัจจุบัน) เป็นมหาวิทยาลัยของปวงชน ทรงให้เลือกสรรและปรับปรุง ตำรายาสมุนไพรรอบพระอาราม และทรงโปรดให้ปั้นรูปฤๅษีดัดตนซึ่งเป็นรูปหล่อด้วยสังกะสีผสมดีบุกเพิ่มเติม จนครบ 80 ท่า พร้อมโปรดให้เขียนโคลงอธิบายท่าเหล่านั้น แก้โรคนั้น จนครบ ๘๐ ท่า และจารึกสรรพวิชาการนวดไทยลงบนแผ่นหินอ่อน 60 ภาพ แสดงถึงจุดนวดอย่างละเอียดประดับบนผนังศาลาราย และบนเสาภายในวัดโพธิ์ ถือได้ว่าเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการนวดไทยไว้อย่างเป็นระบบ", "title": "การนวดแผนไทย" }, { "docid": "9097#7", "text": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นวัดที่มีสิ่งก่อสร้างค่อนข้างแน่น เนื่องจากการบูรณะแบบใส่คะแนน (แข่งกันบูรณะ) ส่งผลให้มีอาคารและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพระพุทธรูปมากมายภายในวัดแห่งนี้ โดยสามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "18245#2", "text": "ถือเป็นราชประเพณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะถวายพุ่มเทียนแด่พระพุทธรูป และพระสงฆ์ ในพระราชกุศลเข้าพรรษา เป็นประจำทุกปี ตามพระอารามสำคัญต่างๆ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาจึงยังพอมีพุ่มเทียนตั้งถวายเป็นพุทธบูชาที่หน้าพระประธาน ให้พอได้เห็นได้ศึกษากันอยู่บ้างในปัจจุบัน", "title": "พุ่มเทียน" }, { "docid": "106095#3", "text": "ทางเจ้าคณะปกครองได้ส่งพระสมุห์สด จนฺทสโร จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้กวดขันพระภิกษุสามเณรให้ปฏิบัติในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญได้มีการสอนสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมตั้งสำนักเรียนทั้งนักธรรมและบาลี สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น ทำให้พระภิกษุสามเณร และสาธุชนเข้ามาขอศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก วัดจึงเจริญขึ้นมาโดยลำดับ กลายเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม และเป็นศูนย์กลางการศึกษาบาลี ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ และได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์มาโดยลำดับ สมณศักดิ์สุดท้ายในพระราชทินนามที่ พระมงคลเทพมุนี แต่ผู้คนทั่วไปรู้จักและเรียกขานนามท่านว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ ในสมัยสมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส (ในกาลต่อมาท่านได้รับพระราชทานสถาปนาพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) วัดปากน้ำได้รับการปรับปรุงทัศนียภาพและบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งสำคัญ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ช่างได้เปลี่ยนสถาปัตยกรรมเครื่องบนเป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์เกือบทั้งอาราม แต่ตัวรากฐานและอาคารยังคงเป็นของโบราณแต่เดิมมา", "title": "วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ" }, { "docid": "9097#31", "text": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย โดยเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาแขนงต่าง ๆ จารึกลงบนศิลาจารึกหรือแผ่นศิลา รวมทั้งได้ปั้นฤๅษีดัดตน ประดับไว้ภายในบริเวณวัด ซึ่งอาจจะแบ่งความรู้ต่าง ๆ ออกได้เป็น 8 หมวด ได้แก่ หมวดประวัติการสร้างวัดพระเชตุพนฯ หมวดตำรายาแพทย์แผนโบราณ หมวดอนามัย หมวดประเพณี หมวดวรรณคดีไทย หมวดสุภาษิต หมวดทำเนียบ (จารึกหัวเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) และหมวดพระพุทธศาสนา[12] โดยเมื่อเทียบในปัจจุบันอาจจะแบ่งออกเป็นคณะต่าง ๆ ดังนี้ คณะประวัติศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ (ไม่เป็นทางการ)[22]", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "9097#6", "text": "นามวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนี้ ปรากฏในประกาศรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2411 ว่า \"วัดนี้แม้จะมีนามพระราชทานมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แต่ชื่อพระราชทานมีผู้เรียกแต่อยู่ในพระราชวัง คนยังเรียกว่าวัดโพธิ์กันทั้งแผ่นดิน\" และมีพระราชดำริว่า \"ชื่อพระราชทานเป็นชื่อตั้งไม่ปิดไม่แน่นจะคิดแปลงใหม่เห็นจะไม่ชนะ\"[7]", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "9097#3", "text": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า \"วัดโพธาราม\" หรือ \"วัดโพธิ์\" ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส\" เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "9097#27", "text": "นอกจาก อาคาร พระวิหาร พระเจดีย์ต่าง ๆ แล้ววัดโพธิ์ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง อาทิเช่น", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "11275#0", "text": "กลบทบัวบานกลีบขยาย เป็นบทกลอนพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จารึกไว้ในวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) ดังที่รู้จักกันว่าจารึกวัดโพธิ์ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นบทกลอนสั้นๆ ตามขนบของกลอนกลบท เรียกว่า กลบทบัวบานกลีบขยาย เพื่อเป็นแบบสำหรับกุลบุตรกุลธิดาในชั้นหลังได้ศึกษาวรรณคดีไทยอย่างสะดวกและกว้างขวาง", "title": "กลบทบัวบานกลีบขยาย" }, { "docid": "9097#2", "text": "ในแง่ของการท่องเที่ยวแล้ว วัดโพธิ์ได้รับความนิยมเที่ยวเป็นลำดับที่ 24 ของโลก ในปี พ.ศ. 2549 โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปีนั้นถึง 8,155,000 คน[6]", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "9097#22", "text": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย[5] ซึ่งสามารถแบ่งพระเจดีย์ต่าง ๆ ได้ 4 ประเภท ได้แก่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล 4 องค์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเขตวัดโพธารามเดิม ส่วนที่ประดิษฐานในเขตพระอุโบสถนั้น ได้แก่ พระเจดีย์ราย 71 องค์ พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียวรวม 20 องค์ และพระเจดีย์ทรงปรางค์หรือพระมหาสถูป 4 องค์ รวมทั้งสิ้น 99 องค์ โดยพระเจดีย์ที่ประดิษฐานในเขตพระอุโบสถ มีรายละเอียดดังนี้", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "283611#1", "text": "ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการจัดตั้งตลาดกลาง เพื่อเป็นสถานที่รองรับพ่อค้าแม่ค้าจากบริเวณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมือง ไม่ให้เกิดทัศนียภาพที่เสื่อมโทรมไปมากกว่านี้ รัฐบาลจึงจัดตั้งตลาดกลาง โดยตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาด พ.ศ. 2496 ขึ้น จึงทำให้มีการจัดตั้งองค์การตลาด เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ภายใต้การควบคุมดูแลของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 จึงได้มีการกำหนดให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ควบคุมดูแลแต่เพียงผู้เดียวปัจจุบันองค์การตลาด มีสาขาจำนวน 5 สาขา", "title": "องค์การตลาด" }, { "docid": "9097#5", "text": "พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงถือว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมาก และทรงถือเป็นพระราชประเพณี ที่จะทรงบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ทุกรัชกาล นอกจากนี้ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และการแพทย์", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "414995#1", "text": "หลวงปู่มุม ยังเป็นหนึ่งในพระเถระผู้ร่วมประกอบพิธีพุทธาภิเษก พระกริ่งมหาราช ระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม - 4 ธันวาคม พ.ศ. 2512 ซึ่งวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่ทรงได้รับการเทิดทูนอย่างสูงสุดจากปวงชนชาวไทย โดยการถวายพระบรมราชสมัญญานาม มหาราช ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ", "title": "พระครูประสาธน์ขันธคุณ (มุม อินทปญโญ)" }, { "docid": "9097#29", "text": "ยักษ์วัดโพธิ์นั้นตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป โดยมีสีกายเป็นสีแดงและสีเขียว ลักษณะคล้ายยักษ์ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ ลั่นถัน นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์[10]นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน นั่นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง 2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตน เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้ จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา[20]", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "9097#34", "text": "1 หมวดหมู่:พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร หมวดหมู่:วัดไทยในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย หมวดหมู่:วัดในเขตพระนคร หมวดหมู่:ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา หมวดหมู่:มรดกโลกในประเทศไทย", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" }, { "docid": "9097#23", "text": "พระเจดีย์ราย ประดิษฐานอยู่บริเวณโดยรอบของพระระเบียงชั้นนอกมีจำนวนทั้งสิ้น 71 องค์[15] สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเดิมมีพระราชประสงค์ให้เป็นให้เป็นที่บรรจุพระอัฐิของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยเคลือบสีและศิลาเขียว นับเป็นพระเจดีย์ที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพระเจดีย์อื่น ๆ พระเจดีย์รายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารนั้น ได้รับยกย่องว่าเป็นพระเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองที่งามที่สุดของยุครัตนโกสินทร์[16]", "title": "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" } ]
4118
เริ่มต้นออกแบบ JET เมื่อปีใด?
[ { "docid": "622772#4", "text": "\"(Source)\"ในปี 1970 สภาประชาคมยุโรปได้ตัดสินใจในโปรแกรมฟิวชั่นที่แข็งแกร่งและจัดหากรอบทางกฎหมายที่จำเป็นสำหรับอุปกรณ์ฟิวชั่นสำหรับยุโรปเพื่อให้มีการพัฒนาขึ้น สามปีต่อมา งานออกแบบก็เริ่มต้นขึ้นสำหรับเครื่อง JET ในปี 1977 งานก่อสร้างเริ่มต้นและในตอนท้ายของปีเดียวกันอดีตสนามบินที่ Culham ในสหราชอาณาจักร ได้รับเลือกเป็นสถานที่สำหรับโครงการ JET ในปี 1978 \"การดำเนินการร่วมกับ JET\" ได้รับการยอมรับในฐานะเป็นนิติบุคคล เพียงห้าปีต่อมาการก่อสร้างแล้วเสร็จในเวลาและงบประมาณที่กำหนด 25 มิถุนายน 1983 พลาสม่าเครื่องแรกของ JET ก็ประสบความสำเร็จ และในวันที่ 9 เมษายน 1984 สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ ที่สอง ได้ทรงเปิดการทดลองฟิวชั่นนี้ในยุโรปอย่างเป็นทางการ", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" } ]
[ { "docid": "622772#15", "text": "ในระหว่างการรณรงค์ทดลองแบบเต็มที่ของเชื้อเพลิง D-T ในปี 1997 JET ประสบความสำเร็จทำสถิติโลกในการผลิตพลังงานฟิวชั่นสูงสุดที่ 16 เมกะวัตต์ ซึ่งเท่ากับกำไรที่วัดเป็นค่า Q ประมาณ 0.7 ค่า Q เป็นอัตราส่วนของพลังงานฟิวชั่นที่ผลิตได้เมื่อเทียบกับพลังงานความร้อนที่ใส่เข้าไป เพื่อให้บรรลุจุดเท่าทุน () ค่า Q จะต้องสูงกว่า 1 พลาสม่าที่เผาไหม้อย่างยั่งยืนด้วยตนเองต้องมีค่า Q เท่ากับ 5 เป็นด้วยตนเอง (เนื่องจากอนุภาคแอลฟามีพลังงานหนึ่งในห้าของพลังงานฟิวชั่น) และโรงไฟฟ้าจะต้องมีค่า Q อย่างน้อยเท่ากับ 10 ในปี 1998 เครื่อง รุ่น อ้างว่าสามารถทำค่า Q ได้สูงถึง 1.25 อย่างไรก็ตาม ค่านี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จภายใต้เงื่อนไขที่ใช้เชื้อเพลืง D-T จริง แต่เป็นการประเมินจากการทดลองที่ทำกับพลาสม่าของดิวเทอเรียม (D-D plasma) ที่บริสุทธิ์ การประเมินที่คล้ายกันยังไม่ได้ถูกกระทำสำหรับ JET แต่มันก็เป็นไปได้ว่าการเพิ่มขึ้นของ Q ในการวัดปี 1997 อาจสามารถประสบความสำเร็จถ้าได้รับอนุญาตให้ทำงานเต็มรูปแบบของเชื้อเพลิง D-T ในโครงการรณรงค์อื่น ในขณะนี้ได้มีงานที่เริ่มทำบน ITER ในการพัฒนาพลังงานฟิวชั่นให้ก้าวหน้าต่อไปอีกนักวิทยาศาสตร์ที่อ๊อกฟอร์ดชายร์กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับชุดทดสอบฟิวชั่นที่จะเริ่มต้น ในปี 2015 พวกเขาหวังที่จะทำลายสถิติของตัวเองจาก 16 เมกะวัตต์ของพลังงานฟิวชั่น", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#8", "text": "ความทนทานและความยืดหยุ่นของการออกแบบเดิมของ JET ได้ทำให้มันเป็นไปได้สำหรับอุปกรณ์ที่จะพัฒนาที่มีความสนใจของชุมชนฟิวชั่นและตอบสนองความต้องการของ ITER JET ถูกดัดแปลงให้อยู่ในรูปแบบของ Divertor ในปี 1993 และเริ่มดำเนินการด้วยรูปแบบของแม่เหล็กเหมือนกับ ITER ในปี 2006 จาก ตุลาคม 2009 ถึงพฤษภาคม 2011 ผนังที่เหมือน ITER ถูกนำมาติดตั้ง", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#11", "text": "JET ดำเนินการตลอดปี 2003 กับปีสูงสุดในการทดลองโดยใช้จำนวนเล็กน้อยของ สำหรับส่วนใหญ่ของปี 2004 JET ปิดการทำงานสำหรับการอัพเกรดที่สำคัญ เพื่อเพิ่มพลังงานความร้อนทั้งหมดให้มีมากกว่า 40 เมกะวัตต์ เพื่อการศึกษาเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของ ITER ที่จะเข้าดำเนินการ ในปลายเดือนกันยายนปี 2006 การรณรงค์เพื่อการทดลอง C16 ได้เริ่มต้นขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดำเนินงานเหมือน ITER", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#7", "text": "ในปี 1999 ข้อตกลงเพื่อการพัฒนาฟิวชั่นของยุโรป (EFDA) ได้ก่อตั้งขึ้นด้วยความรับผิดชอบ สำหรับการใช้งานร่วมกันในอนาคตของ JET เมื่อเปลี่ยนสหัสวรรษ \"การดำเนินการร่วม\" ได้สิ้นสุดลงและสิ่งอำนวยความสะดวกของ JET ได้เริ่มดำเนินการภายใต้สัญญากับ Culham Centre for Fusion Energy (CCFE) (ขณะนั้นเป็น UKAEA) จากนั้น โปรแกรมทางวิทยาศาสตร์ของ JET ได้ถูกกำหนดโดย EFDA", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#5", "text": "ในประวัติศาสตร์ของการวิจัยฟิวชั่น ปี 1991 มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง: วันที่ 9 พฤศจิกายน การทดลองเบื้องต้นของทริเทียม () ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวครั้งแรกของโลกของการควบคุมการใช้พลังงานฟิวชั่น หกปีต่อมาในปี 1997 สถิติโลกอีกอันหนึ่งก็ประสบความสำเร็จที่ JET นั่นคือ 16 เมกะวัตต์ของกำลังงานฟิวชั่นได้รับการผลิตจากการใช้กำลังงานที่นำเข้ารวม 24 เมกะวัตต์ - คิดเป็น 65% ของอินพุท หรือเทียบเท่ากับการผลิต 22 เมกะจูลของพลังงาน กำลังงาน 16 เมกะวัตต์ที่วัดได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาน้อยกว่าหนึ่งวินาที และ 5 เมกะวัตตต์ได้เกิดขึ้นเป็นเวลา 5 วินาที", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#10", "text": "ในเดือนธันวาคมปี 1999 สัญญา\"ระหว่างประเทศ\"ของ JET สิ้นสุดลงและ จากนั้น สำนักงานพลังงานปรมาณูแห่งสหราชอาณาจักร () เข้าดำเนินการต่อในการจัดการด้านความปลอดภัยและการทำงานของ สิ่งอำนวยความสะดวกของ JET ในนามของคู่ค้ายุโรป จากเวลานั้น (ปี 2000) โปรแกรมการทดลองของ JET ถูกร่วมประสานโดยหน่วยสนับสนุนอย่างใกล้ชิดของ EFDA", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#14", "text": "JET มีการติดตั้งด้วยอุปกรณ์ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการระยะไกล เพื่อรับมือกับกัมมันตภาพรังสีที่ผลิตขึ้นโดยเชื้อเพลิง deuterium-tritium (D-T) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ถูกนำเสนอสำหรับรุ่นแรกของโรงไฟฟ้าพลังงานฟิวชั่น ในระหว่างที่การก่อสร้าง ITER ยังไม่เสร็จ JET ยังคงเป็นเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่มีขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่อุทิศตนเพื่อการจัดการกับกัมมันตภาพรังสีที่ปล่อยออกมาจาก D-T ฟิวชั่น การผลิตพลังงานมีการทำลายสถิติโดยวิ่งจาก JET และ เตาปฏิกรณ์เพื่อการทดสอบปฏิกิริยาฟิวชั่น Tokamak () เมื่อใช้ส่วนผสมเชื้อเพลิง D-T ที่อัตราส่วน 50-50", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#6", "text": "ระบบ\"การจัดการระยะไกล\"โดยทั่วไปเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานฟิวชั่นตัวต่อมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ทดลองในอนาคต นั่นคือ ITER ในปี 1998 วิศวกร JET พัฒนาระบบการจัดการระยะไกล ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มันเป็นไปได้ที่จะแลกเปลี่ยนอุปกรณ์บางส่วนโดยการใช้เพียงมือเทียม", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" }, { "docid": "622772#1", "text": "สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของ JET ตั้งอยู่บนอดีตสนามบินกองทัพเรือใกล้ Culham ออกซฟอร์ดเชียร์ที่ชื่อว่า RNAS Culham (HMS Hornbill) ในประเทศสหราชอาณาจักร อาคารที่ทำการของโครงการได้รับการก่อสร้างโดย Tarmac Construction เริ่มต้นในปี 1978 ที่มีห้องโถงรูปห่วงยางหรือโดนัท () ที่เสร็จสมบูรณ์ในเดือนมกราคม 1982 การก่อสร้างของตัวเครื่อง JET เองเริ่มทันทีหลังจากการก่อสร้าง Torus Hall เสร็จสิ้น การทดลองพลาสม่าครั้งแรกทำในปี 1983", "title": "JET (พลังงานฟิวชั่น)" } ]
1971
ปราสาทพระวิหารเป็นของประเทศอะไร ?
[ { "docid": "129623#26", "text": "ในช่วงพระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรียาวนานจนถึงประมุขแห่งรัฐช่วงแรก เพื่อนโยบายชาตินิยมและคะแนนเสียงของพระองค์ จึงได้มียกประเด็นกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก รอยต่อของจังหวัดพระวิหาร และจังหวัดศรีสะเกษของไทย กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (หรือ ศาลโลก) อ้างกรรมสิทธิเหนือเขาพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 และศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา\nระหว่างนั้น กัมพูชาได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตของไทย ในปลายปี พ.ศ. 2501 แต่เมื่อต้นปี พ.ศ. 2502 ก็กลับมามีความสัมพันธ์กันใหม่ ก่อนที่จะตัดความสัมพันธ์อีกครั้งในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2504", "title": "พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ" }, { "docid": "34197#1", "text": "ปราสาทพระวิหารมีสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างตามแนวเหนือใต้ซึ่งผิดแปลกไปจากปราสาทขอมส่วนใหญ่ ไทยและกัมพูชามีประวัติพิพาทเหนือตัวปราสาทเป็นเวลานานแล้ว ใน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท \" (ดู คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505)\" และวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในประเทศกัมพูชา", "title": "ปราสาทพระวิหาร" }, { "docid": "176891#12", "text": "ผู้พิพากษามีทั้งหมด 14 ท่าน คะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และ คะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ตัดสินว่า ไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณและปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชาวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว 20 กว่าวัน รัฐบาลไทยโดย ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลกโดยอ้างว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม นอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคตด้วย", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "176891#11", "text": "ดังนั้นในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จึงได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 นอกจากนั้นยังตัดสินด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ให้ประเทศไทยส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกมาจากปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยได้เข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าว", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "371734#0", "text": "การร้องขอให้ตีความคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ในคดีปราสาทพระวิหาร (ระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศไทย) () เป็นคดีที่ประเทศกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (ระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศไทย) (Case concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand)) ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ซึ่งในคำพิพากษานั้น ศาลวินิจฉัยว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาและพิพากษาให้ไทยต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกจากตัวปราสาทและบริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ได้ระบุว่า อาณาบริเวณมากน้อยเพียงไรที่จะเป็นของกัมพูชาด้วย", "title": "กรณีการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร" }, { "docid": "34192#2", "text": "อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารมีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง เช่น จุดชมทิวทัศน์ผามออีแดง จุดชมทิวทัศน์หน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอบสระตราว ถ้ำฤๅษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญคือ ปราสาทเขาพระวิหาร อันเป็นโบราณสถานสำคัญเก่าแก่ ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชา เมื่อพ.ศ. 2505 และในที่สุดศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินให้ตัวปราสาทอยู่ในอธิปไตยของประเทศกัมพูชา แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ทางฝั่งไทย และพื้นที่ทางขึ้นบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษเป็นทางขึ้นที่สะดวกที่สุด", "title": "อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร" } ]
[ { "docid": "34197#24", "text": "ตามจารึกศิวะสักติ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงกำหนดหลายพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภวาลัยแห่งเขาพระวิหาร เป็นเขตของเจ้าพื้นเมืองของตระกูลพระนางกัมพูชาลักษมี พระมเหสีของพระองค์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างศาสนสถานบนเขาพระวิหาร ต่อมา พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 โปรดให้สถาปนาพระภัทเรศวรแห่งลิงคปุระไว้ ณ ยอดเขาพระวิหารด้วย อันเป็นการให้ความสำคัญแก่เขาพระวิหารในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตของบรรพบุรุษของชนชาติจามและขอม นอกจากนี้ ยังทรงทำให้ปราสาทเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อ พิธีกรรมเกี่ยวกับบรรพบุรุษ และประเพณีสักการบูชาอันพ้องกับเทศกาลของเกษตรกร ความนิยมในการประกอบพิธีกรรมที่ปราสาทพระวิหารนำไปสู่การขยายตัวของชุมชนใกล้เคียง ตามจารึกกล่าวไว้ว่าพระองค์ส่ง \"ทิวากรบัณฑิต\" มาบวงสรวงพระศิวะทุกปี นอกจากนี้ยังมีชุมชนโดยรอบที่พระมหากษัตริย์ทรงอุทิศไว้ให้รับใช้เทวสถาน ชุมชนที่มีชื่อในจารึกอย่างเช่น กุรุเกษตร, พะนุรทะนง เป็นต้น ต่อมาปราสาทพระวิหารได้กลายเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญสำคัญในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ตาม\"เอกสารประวัติกัมพุพงศ์ และองค์กรแห่งพระราชการ พร้อมทั้งพระประวัติของพระเจ้าแผ่นดินองค์อื่น\"", "title": "ปราสาทพระวิหาร" }, { "docid": "34197#26", "text": "ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหารในสมัยปัจจุบันคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพบเมื่อปี พ.ศ. 2442 ขณะทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงต่างพระองค์ เสด็จไปรับราชการที่มณฑลลาวกาว (อิสาน) ในสมัยรัชกาลที่ 5 และได้ทรงจารึกปี ร.ศ. ที่พบเป็นเลขไทย ตามด้วยพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดี เป็นข้อความว่า \"๑๑๘ สรรพสิทธิ\" ต่อมาเมื่อประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีนได้ทำสนธิสัญญา พ.ศ. 2447 ในการปักปันเขตแดนกับราชอาณาจักรสยาม โดยมีความตามมาตรา 1 ของสนธิสัญญา ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมอบให้สยาม 50 ชุด แต่ละชุดมี 11 แผ่นและมีแผ่นหนึ่งคือ \"แผ่นดงรัก\" ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลสยามในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าว", "title": "ปราสาทพระวิหาร" }, { "docid": "34197#9", "text": "ปราสาทพระวิหารมีลักษณะเป็นแบบศิลปะบันทายศรี ลักษณะบางส่วนคล้ายคลึงกับพระวิหารของปราสาทนครวัด รูปรอยแกะสลักบนปราสาทสันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานของศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย มีพระศิวะเป็นเทพสูงสุดของศาสนา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายพระศิวะที่ทรงประทับบนยอดเขาไกรลาส ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดของเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางจักรวาลปราสาทพระวิหารจึงสร้างบนหน้าผาเป้ยตาดี ทำให้ปราสาทแห่งนี้เปรียบเหมือนการค่อย ๆ ก้าวไปสู่ที่ประทับของพระศิวะ ซึ่งแทนด้วย \"ยอดเป้ยตาดี\" หากมองจากข้างล่างผาจะเห็นตัวปราสาทเหมือนวิมานสวรรค์ลอยอยู่บนฟากฟ้า โดยมีแผ่นดินเขมรต่ำ (ขแมร์กรอม) ประหนึ่งมหาสมุทรรองรับอยู่เบื้องล่าง ตัวปราสาทประกอบด้วยสถาปัตยกรรมต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ ปราสาทประธาน ระเบียงคด โคปุระ อาคารรูปกากบาท วิหาร บรรณาลัย และบันไดนาคพร้อมทางเดิน", "title": "ปราสาทพระวิหาร" }, { "docid": "176891#16", "text": "ข้าพเจ้าใคร่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรารถนาที่จะตั้งข้อสงวนอันชัดแจ้งเกี่ยวกับสิทธิใด ๆ ที่ประเทศไทยมีหรืออาจมีในอนาคต เพื่อเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง และตั้งข้อประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา”", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "34197#8", "text": "ในอดีตการเยี่ยมชมปราสาทพระวิหารจะใช้ทางขึ้นจากฝั่งไทย โดยทางการไทยและทางการกัมพูชามีรายได้จากการท่องเที่ยวร่วมกัน แต่ปัจจุบันมีความตรึงเครียดระหว่างแนวชายแดนประชาชนทั่วไปจึงไม่สามารถขึ้นไปชมประสาทจากทางประเทศไทยได้อีก กัมพูชาได้สร้างถนนคอนกรีตยาว 3 กิโลเมตรไต่เขาขึ้นไปยังปราสาทพระวิหารสำเร็จแล้ว และเป็นทางที่ประชาชนทั่วไปใช้ขึ้นไปชมปราสาทได้ในปัจจุบันผ่านทางประเทศกัมพูชา", "title": "ปราสาทพระวิหาร" } ]
1168
เจ. เค. โรว์ลิงเริ่มวางจำหน่ายหนังสือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่มแรกเมื่อใด?
[ { "docid": "38960#15", "text": "ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1997 บลูมบิวส์รีตีพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ โดยตีพิมพ์ครั้งแรกทั้งหมด 1,000 เล่ม หนังสือ 500 เล่มจากทั้งหมดได้ถูกแจกจ่ายให้กับห้องสมุดต่างๆ ในปัจจุบันหนังสือเหล่านี้มีมูลค่าอยู่ระหว่าง 16,000 ปอนด์ไปจนถึง 25,000 ปอนด์ ห้าเดือนให้หลัง ศิลาอาถรรพ์ก็ได้รับรางวัลหนังสือเนสเล่สมาร์ตตีส์ จากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ก็ได้รับรางวัลบริติชบุ๊คอวอร์ด สาขาหนังสือเด็กแห่งปีและตามด้วยรางวัลชิลเดรนส์บุ๊คอวอร์ด ต่อมาในช่วงต้นปี 1998 มีการจัดการประมูลขึ้นที่สหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นซื้อลิขสิทธิ์ในการตีพิมพ์นิยายและสำนักพิมพ์สกอแลสติกชนะการประมูลด้วยค่าลิขสิทธิ์ 105,000 ดอลล่าร์ โรว์ลิงกล่าวว่าเธอ “แทบคลั่ง” เมื่อทราบข่าวนี้ ในเดือนตุลาคม ปี 1998 สำนักพิมพ์สกอแลสติกได้ตีพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์และเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษจากคำว่า \"Philosopher's Stone\" เป็น \"Harry Potter and the Sorcerer's Stone\" การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้โรว์ลิงได้บอกว่าเธอรู้สึกเสียดายและคงจะคัดค้านถ้าเธออยู่ในสถานะที่ดีกว่าที่เธอเป็น ณ ตอนนั้น ภายหลังโรว์ลิงย้ายออกจากแฟลตของเธอมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 19 ถนนฮาร์เซลแบงก์ เทอร์เรซ ในเอดินบะระ ด้วยเงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ให้สกอแลสติก", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" } ]
[ { "docid": "4336#53", "text": "ในปี พ.ศ. 2542 เจ. เค. โรว์ลิง ขายสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์จากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ในราคาหนึ่งล้านปอนด์สเตอร์ลิง โรว์ลิงยืนยันให้นักแสดงหลักเป็นชาวสหราชอาณาจักร รวมถึงต้องใช้ภาษาอังกฤษบริเตนในบทสนทนา ภาพยนตร์สองภาคแรกกำกับโดยคริส โคลัมบัส ภาคที่สามโดยอัลฟอนโซ กวารอน ภาคที่สี่โดยไมค์ นิวเวลล์ และภาคที่ห้าถึงภาคสุดท้ายโดยเดวิด เยตส์ บทภาพยนตร์ของสี่ภาคแรกเขียนโดยสตีฟ โคลฟ โดยร่วมงานกับโรว์ลิง บทภาพยนตร์มีความเปลี่ยนแปลงจากหนังสือบ้างตามรูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์และเงื่อนไขเวลา อย่างไรก็ตาม โรว์ลิงได้กล่าวว่าบทภาพยนตร์ของโคลฟนั้นมีความซื่อตรงต่อหนังสือ ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาค มีนักแสดงหลักคือแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เอ็มม่า วัตสันและรูเพิร์ท กรินท์ แสดงเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และรอน วีสลีย์ตามลำดับ โดยสามคนนี้ได้รับเลือกในปี พ.ศ. 2543 จากเด็กหลายพันคน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "38960#20", "text": "ชื่อของหนังสือเล่มที่เจ็ดซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของหนังสือชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\"ได้รับการประกาศในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2006 โดยใช้ชื่อว่า\"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต (The Deathly Hallows) \" และในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 มีการประกาศว่าโรว์ลิงได้เขียนข้อความลงบนรูปปั้นครึ่งตัวในห้องพักของเธอที่โรงแรมบัลโมรัล เมืองเอดินบะระ ว่าเธอได้เขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่เจ็ดเสร็จในห้องนี้เมื่อวันที่ 11 มกราคม ปี 2007 \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต\"วางจำหน่ายในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 (เวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาที) และทำลายสถิติหนังสือที่ขายได้ไวที่สุดตลอดกาลที่ภาคก่อนเคยทำได้สำเร็จ สามารถขายได้ถึง 11 ล้านเล่มในการวางขายวันแรกที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา และบทสุดท้ายของหนังสือก็เป็นหนึ่งในบทที่เธอเขียนไว้ตั้งแต่ช่วงปี 1990 แล้ว", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "38960#1", "text": "โรว์ลิงเกิดที่เมืองเยตส์ มณฑลกลอสเตอร์เชอร์ เคยทำงานเป็นนักวิจัยและเลขานุการสองภาษาให้กับองค์การนิรโทษกรรมสากล ก่อนได้ความคิดสำหรับชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\"บนขบวนรถไฟที่ล่าช้าจากแมนเชสเตอร์ไปลอนดอนเมื่อปี 1990 อีกเจ็ดปีถัดมา เธอเสียมารดา หย่าร้างกับสามีคนแรกและค่อนข้างยากจน จนโรว์ลิงเขียน \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" เสร็จในปี 1997 มีภาคต่อหกเล่ม เล่มสุดท้ายคือ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต\" ในปี 2007 จากนั้นโรว์ลิงเขียนหนังสือสำหรับผู้อ่านผู้ใหญ่สามเรื่อง ได้แก่ \"เก้าอี้ว่าง\" (2012) และนวนิยายสืบสวนสอบสวน เรื่อง \"เสียงเพรียกจากคักคู\" (2013) และ \"หนอนไหม\" (2014) โดยใช้ชื่อปลอมในการเขียนว่า โรเบิร์ต กัลเบรธ", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "38960#17", "text": "หนังสือเล่มที่สี่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี\" วางจำหน่ายพร้อมกันทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 2000 และทำลายสถิติยอดขายของทั้งสองประเทศ โดยสามารถขายได้ 372,775 เล่มในวันแรกที่อังกฤษ ซึ่งเกือบจะเท่ากับจำนวนยอดขายตลอดปีของ\"นักโทษแห่งอัซคาบัน\" ส่วนที่อเมริกาก็สามารถขายได้กว่าสามล้านเล่มภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรกและทำลายทุกสถิติ โรว์ลิงกล่าวว่าเธอต้องเจอกับปัญหาใหญ่ระหว่างที่เขียนหนังสือเล่มนี้ และต้องเขียนบทนึงในหนังสือใหม่หลายครั้งเพื่อแก้ปัญหาของโครงเรื่อง ในปีนั้นเองโรว์ลิงได้รับการระบุให้เป็นนักเขียนแห่งปี 2000 จากรางวัลบริติชบุ๊คอวอร์ด", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "38960#45", "text": "ในเดือนกันยายน ปี 2012 โรว์ลิงกล่าวว่าเธอกำลังเขียนหนังสือสองเล่มสำหรับผู้อ่านที่อายุน้อยกว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในการให้สัมภาษณ์กับเดอะการ์เดียนเธอยังคงพูดเหมือนครั้งก่อนว่าหนึ่งในนิยายสองเรื่องยังเป็นหนังสือ“เทพนิยายการเมือง” ถึงแม้เธอคาดหมายว่าจะนำหนังสือเล่มอื่นของเธอออกวางขายก่อนก็ตาม ที่งานเทศกาลหนังสือนิยายเชลต์นัมเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 2012 เธอได้บอกว่าเธอมีนิยายอยู่สองเรื่องในแล็ปท็อปของเธอ ซึ่งเธอตั้งใจเขียนให้กลุ่มผู้อ่านที่อายุต่ำกว่าผู้อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์เล็กน้อยและใกล้ที่จะเขียนเสร็จแล้ว", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "38960#16", "text": "จากนั้นหนังสือภาคต่อ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\"ก็ได้รับการตีพิมพ์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998และเป็นอีกครั้งที่โรว์ลิงได้รับรางวัลหนังสือเนสเล่สมาร์ตตีส์ ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1999 \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน\"ก็ได้รับรางวัลดังกล่าวอีกครั้งและทำให้โรว์ลิงเป็นนักเขียนคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้สามครั้งติดต่อกัน ภายหลังเธอถอนชื่อหนังสือเล่มที่สี่ของเธอออกจากการแข่งขันเพื่อเปิดโอกาสและให้ความยุติธรรมแก่นักเขียนคนอื่น แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันยังได้รับรางวัลหนังสือวิตเบรดสาขาหนังสือเด็กแห่งปี แม้ว่าจะพลาดรางวัลสาขาหนังสือแห่งปีให้กับเบวูล์ฟฉบับแปลของเชมัส ฮีนีย์ก็ตาม", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "4336#24", "text": "โรว์ลิงขยายจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วยหนังสือเรื่องสั้นหลายเล่มซึ่งผลิตออกมาให้การกุศลหลายอย่าง ใน พ.ศ. 2544 เธอวางจำหน่ายสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (หนังสือที่สมมติขึ้นว่าเป็นหนังสือเรียนในฮอกวอตส์) และควิดดิชในยุคต่าง ๆ (หนังสือที่แฮร์รี่อ่านเอาสนุก) รายได้จากการขายหนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้มอบให้แก่มูลนิธิคอมมิครีลิฟ ใน พ.ศ. 2550 โรว์ลิงประพันธ์นิทานของบีเดิลยอดกวีฉบับเขียนด้วยมือเจ็ดเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมเทพนิยายซึ่งปรากฏในเล่มสุดท้าย หนึ่งในนั้นถูกประมูลขายเพื่อระดมทุนแก่ชิลเดรนส์ไฮเลเวลกรุ๊ป กองทุนเพื่อเด็กพิการในประเทศยากจน หนังสือนี้ได้รับตีพิมพ์ระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โรว์ลิงได้เขียนพลีเควล 800 คำ ใน พ.ศ. 2551 เป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนซึ่งจัดโดยร้านขายหนังสือวอเทอร์สโตนส์ ใน พ.ศ. 2554 โรว์ลิงออกเว็บไซต์ใหม่ในชื่อ พอตเตอร์มอร์ ซึ่งเป็นการรวบรวมเนื้อหาต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับการเปิดเผยในหนังสือ", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "38960#43", "text": "เมื่อปี 2006 โรว์ลิงประกาศว่าเธอกำลังเขียนเรื่องสั้นจำนวนหนึ่งและหนังสือเด็กอีกหนึ่งเล่ม (เทพนิยายการเมือง) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจ โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้อ่านที่อายุน้อยกว่าผู้อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 โรว์ลิงบอกว่าเธอต้องการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวของเธอให้มากขึ้นแต่เป็นเพราะเธอกำลังเขียนหนังสืออยู่สองเล่ม เป็นหนังสือเด็กหนึ่งเล่มและหนังสือผู้ใหญ่อีกหนึ่งเล่ม เธอไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับนิยายทั้งสองเรื่อง เพียงแค่กล่าวว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นเนื่องจากการเขียนหนังสือสองเรื่องทำให้เธอนึกถึงตอนที่เธอเขียนศิลาอาถรรพ์ เธออธิบายว่ารู้สึกยังไงในตอนนั้นที่เธอเขียนหนังสือสองเรื่องไปพร้อมๆกัน จนกระทั่งแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้เข้ามาแทนที่ในที่สุด", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "38960#47", "text": "ในปี 2007 โรว์ลิงกล่าวว่า เธอมีแผนที่จะเขียนหนังสือสารานุกรมเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งรวบรวมเนื้อหาสาระและข้อความสำคัญต่างๆที่ยังไม่เคยได้ตีพิมพ์ โดยกำไรจากการขายทั้งหมดจะมอบให้แก่การกุศล ในระหว่างงานแถลงข่าวที่โรงละครโกดักเธียเตอร์เมื่อปี 2007 โรว์ลิงได้ถูกถามถึงสารานุกรมของเธอว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เธอได้ตอบกลับไปว่า “มันยังไม่ได้พัฒนาไปถึงไหน และฉันก็ยังไม่เริ่มเขียน ฉันไม่เคยบอกว่ามันจะเป็นสิ่งต่อไปที่ฉันจะทำ” ปลายปี 2007 โรว์ลิงได้บอกว่า สารานุกรมเล่มนี้อาจต้องใช้เวลากว่า 10 ปีจึงจะเขียนเสร็จ", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "38960#14", "text": "ในปี 1995 โรว์ลิงเขียนต้นฉบับของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์เสร็จด้วยเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นเก่า เธอส่งต้นฉบับไปให้บริษัทตัวแทนคริสโตเฟอร์ ลิตเติ้ลในฟูแล่ม ภายหลังจากที่ได้อ่านสามบทแรกของต้นฉบับ ไบรโอนี่ อีแวนผู้พิจารณาต้นฉบับก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก ทางบริษัทจึงตกลงที่จะเป็นตัวแทนของโรว์ลิงในการหาผู้ตีพิมพ์ โดยส่งต้นฉบับไปให้สำนักพิมพ์ 12 แห่งพิจารณา แต่ก็ได้รับการปฏิเสธทั้งหมด ในที่สุดหนึ่งปีให้หลังเธอก็ได้รับการอนุมัติ (พร้อมเงินจ่ายล่วงหน้า 1,500 ปอนด์) จากแบร์รี คันนิงแฮม บรรณาธิการสำนักพิมพ์บลูมบิวส์รีในลอนดอน การตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือของโรว์ลิงถือเป็นหนี้บุญคุณของอลิซ นิวตัน ลูกสาววัยแปดขวบของประธานบริหารสำนักพิมพ์บลูมบิวส์รี ซึ่งได้ลองให้ลูกสาวอ่านบทแรกของหนังสือดูและปรากฏว่าเธอขออ่านบทต่อไปในทันทีที่อ่านบทแรกจบ และแม้ว่าบลูมบิวส์รีจะตกลงที่จะตีพิมพ์หนังสือ แต่คันนิ่งแฮมแนะนำให้โรว์ลิงหางานช่วงกลางวันทำเนื่องจากเธอมีโอกาสน้อยมากที่จะทำเงินจากหนังสือเด็ก ไม่นานหลังจากนั้น ในปี 1997 โรว์ลิงได้รับเงินจากสภาศิลปะสก็อตเป็นเงินจำนวน 8,000 ปอนด์เพื่อสนับสนุนเธอในงานเขียนครั้งต่อๆไป", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" } ]
688
ภาพยนตร์เเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ มีกี่ภาค?
[ { "docid": "4336#3", "text": "หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์สจำนวนแปดภาค โดยเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มที่เจ็ด ผู้สร้างได้แบ่งออกเป็นสองตอน ภาพยนตร์ชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[5767,5787,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตสินค้าควบคู่กันอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้ชื่อยี่ห้อแฮร์รี่ พอตเตอร์มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เนื้อหาที่ไม่ได้เปิดเผยในหนังสือได้เริ่มเผยแพร่ในรูปแบบอีบุ๊กผ่าน \"พอตเตอร์มอร์\"[11] ได้มีการต่อยอดความสำเร็จของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปในหลายรูปแบบ อาทิเช่น สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์, สตูดิโอทัวร์ในลอนดอน, ภาพยนตร์ภาคแยกซึ่งดัดแปลงมาจากเนื้อหาของหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ และภายหลังได้มีการดัดแปลงแฮร์รี่ พอตเตอร์สู่รูปแบบละครเวที ใช้ชื่อว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป เปิดการแสดงในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ เมืองลอนดอน โดยบทละครเวทียังได้ถูกพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบราวน์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกันที่ตีพิมพ์นิยายผู้ใหญ่ของโรว์ลิ่งภายใต้ชื่อ โรเบิร์ต กัลเบรธอีกด้วย[12]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" } ]
[ { "docid": "10882#29", "text": "ในภาคที่ 7 แฮร์รี่ได้สัญญากับรอนว่าจะเลิกพบจินนี่เพื่อไม่ให้ความหวังแก่เธอ ซึ่งตลอดทั้งเล่ม แฮร์รี่ทำได้แค่เฝ้ามองดูเธอ แต่ในท้ายที่สุดหลังจากโค่นโวลเดอมอร์ลงได้ แฮร์รี่ก็ได้แต่งงานกับเธอ และ 19 ปีต่อมาทั้งสองก็มีลูกด้วยกันสามคนคือ เจมส์ ซีเรียส พอตเตอร์ อัลบัส เซเวอร์รัส พอตเตอร์ และ ลิลี่ ลูน่า พอตเตอร์ ดังนั้นกล่าวได้ในท้ายที่สุดว่าจินนี่เป็นนางเอกเรื่องนี้ (ในทางที่จริงแล้ว..แฮร์รี่ไม่ควรที่จะยุติความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจินนี่ เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนคิดว่าแฮร์รี่นั้นโหดร้ายและไม่ยอมสละเวลาเพื่อความรัก)", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "197263#3", "text": "ภาพยนตร์ออกฉายในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ได้รับการตอบรับอย่างดีมาก ทำรายได้ได้มากกว่า 970 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก และได้เข้าชิงรางวัลมากมาย เช่น รางวัลออสการ์ สาขา ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และ ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม นับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 ภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดอันดับที่ 21 ตลอดกาล และทำรายได้เป็นอันดับสองในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นรองจากภาพยนตร์เรื่อง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2\"", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "222054#3", "text": "ส่วนในด้านของผู้กำกับการแสดงทางค่ายวอร์เนอร์ บราเดอร์สได้เลือกให้เดวิด เยตส์ ผู้กำกับจากภาค5และภาค6มารับหน้าที่การกำกับในตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งสองตอน ทำให้เยตส์เป็นผู้กำกับที่รับหน้าที่กำกับการแสดงในภาพยนตร์ชุดนี้กว่า 4ภาค มากที่สุดในบรรดาผู้กำกับของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งในการเตรียมงานถ่ายทำทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น ทางผู้สร้างต้องสร้างป่าโบราณจำลองในสตูดิโอเพื่อถ่ายทำฉากกวางสาวสีเงิน ซึ่งกการเซ็ตฉากและสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็คที่ใช้มีรายจ่ายที่สูงมาก ทำให้ภาพยนตร์ตอนแรกมีทุนสร้างถึง 250ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว ในส่วนของการเตรียมงานทั้งหมดใช้เวลาไป 250 วัน ในขณะที่การถ่ายทำใช้เวลาไป 478 วัน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1" }, { "docid": "197283#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ () เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2002 กำกับโดย Chris Columbus และจัดจำหน่ายโย Warner Bros. Pictures ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ J. K. Rowling ซึ่งเคยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1998 เป็นภาคต่อของ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในชุดภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เป็นผลงานการเขียนบทของ Steve Kloves และอำนวยการสร้างโดย David Heyman เล่าเรื่องการผจญภัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในปีที่สองของการศึกษาในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ซึ่งทายาทของซัลลาซาร์ สลิธีริน ได้เปิดห้องแห่งความลับ และปลดปล่อยสัตว์ร้ายภายในออกมาทำให้ผู้คนในโรงเรียนกลายเป็นหิน นำแสดงโดย Daniel Radcliffe รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ Rupert Grint รับบทรอน วีสลีย์ และ Emma Watson รับบทเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ Richard Harris มารับบทเป็นศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ก่อนที่จะเสียชีวิตในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "4336#43", "text": "ความสำเร็จของนวนิยายชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ เจ. เค. โรว์ลิง ผู้ประพันธ์ ตลอดไปจนถึงสำนักพิมพ์และผู้ถือสิทธิ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งหมด โรว์ลิงได้รับผลตอบแทนมากจนกระทั่งนับได้ว่าเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่ติดอันดับ \"มหาเศรษฐี\" ของโลก[80] มีการจำหน่ายหนังสือไปแล้วกว่า 400 ล้านเล่มทั่วโลก และช่วยนำกระแสนิยมให้แก่ภาพยนตร์ชุดดัดแปลงโดย วอร์เนอร์บราเธอร์ส ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงในแต่ละตอนต่างประสบความสำเร็จไปตามกัน สามารถติดอันดับเป็นภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลในทุกภาคที่เข้าฉาย[81][82] ชุดภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นได้รับการต่อยอดไปสู่รูปแบบวิดีโอเกมและสินค้าจดลิขสิทธิ์กว่า 400 รายการ ซึ่งมูลค่าโดยประมาณของแบรนด์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีมูลค่าสูงกว่ากว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] ทำให้โรว์ลิงกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน[83] ในรายงานเปรียบเทียบบางแห่งยังกล่าวว่าเธอร่ำรวยกว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเสียอีก[84][85] ทว่าโรว์ลิงชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง[86]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "209544#0", "text": "เดวิด เยตส์ เกิดปี ค.ศ. 1963 เป็นผู้กำกับภาพยนตร์จากประเทศอังกฤษ มีผลงานแรกในการกำกับภาพยนตร์คือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาได้มากำกับภาพยนตร์ในภาคที่5,6และ7ทั้งสองตอน ถึงแม้ว่าเยตส์จะเป็นผู้กำกับมือใหม่และประสบการณ์น้อยแต่เขาก็สามารถแสดงฝีมือการกำกับได้อย่างยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่กำกับภาพยนตร์ได้ยอดเยี่ยมไปในไม่ช้า และเขายังได้กำกับภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาคที่เหลืออีกด้วย", "title": "เดวิด เยตส์" }, { "docid": "381610#2", "text": "ภาพยนตร์เปิดตัวด้วยการยกย่องสนับสนุนทันที และปัจจุบันกำลังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงตอบรับดีที่สุดในปี พ.ศ. 2554 ในบ็อกซ์ออฟฟิศ ภาค 2 กำลังทำลายสถิติในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา รวมทั้งภาพยนตร์ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดตลอดกาลที่ 43.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันเปิดตัวที่ 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในสัปดาห์เปิดตัวที่ 169.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังได้ทำลายสถิติสัปดาห์เปิดตัวทั่วโลก เช่นเดียวกับสถิติวันเปิดตัวในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลียและอีกหลายประเทศ อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ชุดเดียวในชุดแฮรี่ พอตเตอร์ที่ทำรายได้เกิน 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นลำดับที่ 3 จึงนับได้ว่า ภาพยนตร์ตอนดังกล่าวประสบความสำเร็จในด้านรายได้และการเปิดตัวที่สุดในบรรดาภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2" }, { "docid": "107269#7", "text": "ในภาคนี้ บรรดานักเรียนฮอกวอตส์ ปี 5 ต้อง สอบ ว.พ.ร.ส. (วิชาพ่อมดระดับสามัญ)นักเรียนทั้งหลายต่างกดดันเป็นที่สุดโดยเฉพาะแฮร์รี่ เมื่อกระทรวงเวทมนตร์เริ่มครอบงำโรงเรียนฮอกวอตส์ ไม่มีใครเชื่อว่า ลอร์ดโวลเดอมอร์ กำลังเข็มแข็งขึ้นเรื่อยมาหลังจากการประลองเวทไตรภาคี สิ้นสุดลง จนสุดท้ายแฮร์รี่ก็ต้องเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ(อีกครั้ง) ทางกระทรวงจะทราบความจริง หรือไม่ และความกดดันของโรงเรียนจะเป็นเช่นไร ต้องติดตาม...เดวิด เยตส์ ได้รับเลือกให้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากที่ Mike Newell (ผู้กำกับภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี\"), Jean-Pierre Jeunet, Matthew Vaughn, และ Mira Nair ปฏิเสธที่จะกำกับ เยตส์เชื่อว่าที่เขามีความเหมาะสมจะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพราะทางสตูดิโอเห็นว่าเขาสามารถกำกับภาพยนตร์ที่ \"มีความสุดขั้วและเต็มไปด้วยอารมณ์\" ซึ่งมี \"เบื้องหลังทางการเมือง\" ได้ดี จากผลงานเก่าของเขาคือละครโทรทัศน์เรื่อง \"Sex Traffic\" นอกจากนี้แล้ว Steve Kloves ผู้เขียนบทที่เคยเขียนบทภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" 4 ภาคก่อนหน้านี้ ติดภารกิจ จึงมีการจัดให้ Michael Goldenberg มาเขียนบทแทน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "898311#0", "text": "โลกเวทมนตร์ () (หรือชื่อเดิม โลกเวทมนตร์ของเจ. เค. โรว์ลิง ()) เป็น และ จักรวาลสมมติ ที่เป็นฉากหลังของภาพยนตร์มาจากนวนิยายแฟนตาซี ชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ของนักเขียน เจ. เค. โรว์ลิง จัดจำหน่ายโดยบริษัท วอร์เนอร์บราเธอส์ และผลิตโดยบริษัท เฮย์เดย์ฟิล์มส์ ซึ่งตั้งแต่ ค.ศ. 2000 ได้ผลิตภาพยนตร์ออกมาแล้ว 10 เรื่อง แบ่งเป็นภาพยนตร์ชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" แปดภาคและภาพยนตร์ \"สัตว์มหัศจรรย์\" สองภาค และยังมีอีกสามเรื่องอยู่ในขั้นตอนการผลิต ภาพยนตร์ชุดนี้ทำรายได้มาแล้วกว่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก เป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลอันดับที่สาม รองจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล และ สตาร์ วอร์ส", "title": "โลกเวทมนตร์" }, { "docid": "381610#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี-ผจญภัยภาคต่อในปี พ.ศ. 2554 ที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ชื่อเดียวกันของเจ. เค. โรว์ลิ่ง อันเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2" }, { "docid": "898311#1", "text": "เดวิด เฮย์แมน และ บริษัทของเขา เฮย์เดย์ฟิล์มส์ อำนวยสร้างให้กับภาพยนตร์ทุกเรื่องใน โลกเวทมนตร์ ขณะที่ คริส โคลัมบัส และ มาร์ค แรดคลิฟฟ์ ทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน\", เดวิด บาร์รอน ทำหน้าที่อำนวยการสร้าง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์\" จนถึง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2\" และ โรว์ลิง อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์สองเรื่องสุดท้ายของ ภาพยนตร์ชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ภาพยนตร์ชุด \"สัตว์มหัศจรรย์\" ทั้งสองเรื่องนั้นอำนวยการสร้างโดย เฮย์แมน, โรว์ลิง, สตีฟ โคลฟส์ และ ไลโอเนล วิแกรม ภาพยนตร์ถูกเขียนและกำกับโดยหลายคน มีนักแสดงในภาพยนตร์จำนวนมาก โดยมีนักแสดงนำ ได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ต กรินต์, เอ็มมา วอตสัน และ เอดดี เรดเมน นอกจากนี้ยังมีอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์วางจำหน่ายด้วย แฟรนไชส์นี้ยังประกอบไปด้วย ละครเวที, สิ่งพิมพ์ดิจิทัล, ค่ายเกมส์ และ สวนสนุก ", "title": "โลกเวทมนตร์" }, { "docid": "21799#0", "text": "แดเนียล จาคอบ แรดคลิฟฟ์ (English: Daniel Jacob Radcliffe เกิดวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2532)[1] มีชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงในบท แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในภาพยนตร์ชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[798,818,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาเคยแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 10 ขวบในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ออกอากาศทางช่องบีบีซีวัน เมื่อปี พ.ศ. 2542 ตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่องพยัคฆ์สายลับซ่อนลาย เมื่อปี พ.ศ. 2544 เมื่ออายุ 11 ขวบ เขาได้รับเลือกเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์</i>เรื่องแรก และแสดงบทดังกล่าวเป็นเวลา 10 ปี จนภาพยนตร์เรื่องที่แปดออกฉายในปี พ.ศ. 2554", "title": "แดเนียล แรดคลิฟฟ์" }, { "docid": "4336#58", "text": "และเมื่อภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เข้าฉายก็ได้สร้างสถิติต่าง ๆ มากมาย อาทิ ภาพยนตร์ที่เปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดการ ทำรายได้วันแรกสูงถึง 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำลายสถิติเดิมของแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นิวมูน[124] ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สุดสัปดาห์ที่สูงสุดทำลายสถิติของแบทแมน อัศวินรัตติกาล โดยทำรายได้สัปดาห์แรกที่ 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[125]ซึ่งต่อมาถูกทำลายสถิติโดยดิ อเวนเจอร์สและไอรอนแมน 3 และทำลายสถิติภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดทั่วโลกสัปดาห์แรกของที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคหกเคยทำไว้ โดยทำเงินรวมทั่วโลกในสัปดาห์แรกสูงถึง 483 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์เปิดตัว[126] และทำรายได้ปิดที่ 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง ณ ตอนนั้นสามารถรั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลเป็นรองเพียงแค่ภาพยนตร์เรื่องอวตารและไททานิกเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกอย่างล้นหลาม โดยเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้สูงถึง 96%[127]ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงที่สุดในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ จึงถือว่าภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ก็ว่าได้", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "144418#0", "text": "รูเพิร์ต อเล็กซานเดอร์ ลอยด์ กรินต์ ( เกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2531) เป็นนักแสดงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงจากบทรอน วีสลีย์ หนึ่งในตัวละครหลักจากภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" กรินต์ได้รับเลือกให้เล่นบทรอน วีสลีย์เมื่ออายุ 11 ขวบ โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยแสดงละครเวทีในโรงเรียนและในชมรมละครเวทีท้องถิ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2554 เขาแสดงในภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\"ทั้งแปดภาคร่วมกับแดเนียล แรดคลิฟฟ์ รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ และเอ็มมา วอตสัน รับบท เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์", "title": "รูเพิร์ต กรินต์" }, { "docid": "4336#55", "text": "ภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ถูกแบ่งเป็นสองตอน[116] กำกับโดยเดวิด เยตส์และสตีฟ โคลฟ ทำหน้าที่เขียนบทเช่นเดิม และทาง เจ. เค. โรว์ลิงยังได้มีส่วนร่วมในการควบคุมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของภาพยนตร์ภาคสุดท้ายในฐานะผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย[117] รวมแล้วตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้ายใช้ในการถ่ายทำเวลานานกว่า 10 ปี", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "685605#0", "text": "เซอร์ ไมเคิล จอห์น แกมบอน () เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1940 เป็นนักแสดงชาวอังกฤษ เขามีเสียงจากการรับบทเป็น ศาสตราจารย์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ หนึ่งในตัวละครของภาพยนตร์ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" หลังจากการเสียชีวิตของนักแสดง ริชาร์ด แฮร์ริส เขาจึงมารับบทแทนตั้งแต่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน\" จนถึง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2\"", "title": "ไมเคิล แกมบอน" }, { "docid": "898311#2", "text": "ภาพยนตร์เรื่องแรกของโลกเวทมนตร์นั้นคือ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) ซึ่งตามด้วยภาคต่ออีกเจ็ดภาค เริ่มจาก \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\" ในปี ค.ศ. 2002 และจบที่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2\" ในปี ค.ศ. 2011 ต่อมา ภาพยนตร์ชุด \"สัตว์มหัศจรรย์\" เริ่มจาก \"สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่\" (2016) เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เป็นภาคแยกและภาคก่อนของภาพยนตร์ชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" และภาคต่อ \"\" ฉายเมื่อ ค.ศ. 2018 ขณะที่ยังมีภาพยนตร์อีกสามเรื่องอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยภาพยนตร์เรื่องถัดไปมีกำหนดฉายปี ค.ศ. 2020", "title": "โลกเวทมนตร์" }, { "docid": "4336#64", "text": "หลังจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต วางแผงได้ไม่นานนัก ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการวางแผนและทำแบบแปลนการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยจำลองสถานที่ต่าง ๆ ในวรรณกรรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เกี่ยวกับสถานที่ในโลกเวทมนตร์เช่น ฮอกวอตส์และหมู่บ้านฮอกส์มี้ด เป็นต้น สวนสนุกแห่งนี้วางแผนการสร้างโดย จิม ฮิล มีแบบจำลองปราสาทฮอกวอตส์ รวมไปถึงหมู่บ้านฮอกส์มีดส์อีกด้วย ผู้สร้างสวนสนุกยังได้เชิญ เจ. เค. โรว์ลิง ให้มาร่วมทำการเนรมิตสวนสนุกแห่งนี้ เพื่อทำให้เหมือนกับสถานที่ในหนังสือของเธอให้มากที่สุด ซึ่งโรว์ลิงก็ตอบตกลง สวนสนุกตั้งอยู่ในไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ซึ่งเป็นเกาะรวมเครื่องเล่นแนวผจญภัยของยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ท โดยได้ใช้ชื่อว่าอย่างเป็นทางการว่าโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์และเปิดให้เข้าชมในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553[135] โดยมีทั้งนักแสดงจากภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พอตเตอร์), ไมเคิล แกมบอน (ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์), รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) แมทธิว ลิวอิส (เนวิลล์ ลองบัตท่อม) และทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย) รวมถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง และผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ 3 ภาคแรกอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "4336#54", "text": "ในปี พ.ศ. 2542 เจ. เค. โรว์ลิง ขายสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์จากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ในราคาหนึ่งล้านปอนด์สเตอร์ลิง[112] โรว์ลิงยืนยันให้นักแสดงหลักเป็นชาวสหราชอาณาจักร รวมถึงต้องใช้ภาษาอังกฤษบริเตนในบทสนทนา ภาพยนตร์สองภาคแรกกำกับโดยคริส โคลัมบัส ภาคที่สามโดยอัลฟอนโซ กวารอน ภาคที่สี่โดยไมค์ นิวเวลล์ และภาคที่ห้าถึงภาคสุดท้ายโดยเดวิด เยตส์[113] บทภาพยนตร์ของสี่ภาคแรกเขียนโดยสตีฟ โคลฟ โดยร่วมงานกับโรว์ลิง บทภาพยนตร์มีความเปลี่ยนแปลงจากหนังสือบ้างตามรูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์และเงื่อนไขเวลา อย่างไรก็ตาม โรว์ลิงได้กล่าวว่าบทภาพยนตร์ของโคลฟนั้นมีความซื่อตรงต่อหนังสือ[114] ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาค มีนักแสดงหลักคือแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เอ็มม่า วัตสันและรูเพิร์ท กรินท์ แสดงเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และรอน วีสลีย์ตามลำดับ โดยสามคนนี้ได้รับเลือกในปี พ.ศ. 2543 จากเด็กหลายพันคน[115]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "222054#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1 () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี-ผจญภัยภาคต่อที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของเจ. เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนที่ 7 ในชื่อ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่เนื่องจากในภาคสุดท้ายนั้นมีรายละเอียดมากและทางผู้สร้างต้องการให้หนังจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ จึงแบ่งออกเป็น 2 ตอนคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตตอนที่ 1 และตอนที่ 2 สำหรับตอนที่ 1 เริ่มถ่ายทำเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และจะเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ตอนที่ 2 จะเข้าฉายในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ภาพยนตร์มีนักแสดงนำได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ รูเพิร์ท กรินท์ และเอ็มม่า วัตสัน กำกับการแสดงโดย เดวิด เยตส์ เขียนบทโดยสตีฟ โคลฟ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน และเดวิด แบร์รอน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1" }, { "docid": "231183#35", "text": "วิลเลี่ยมส์ได้กลับมาร่วมงานกับโคลัมบัสอีกครั้ง ในปี ค.ศ.2001 ในผลงานภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Sorcerer's Stone) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายอังกฤษชื่อดังที่ประพันธ์โดย เจ.เค. โรว์ลิง (J.K. Rowling) วิลเลี่ยมส์ทำดนตรีในภาคต่ออีกสองภาค คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ (Harry Potter and the Chamber of Secrets) ใน ค.ศ.2002 กับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (Harry Potter and the Prisoner of Azkaban) ใน ค.ศ.2004 ในปี ค.ศ.2005 วิลเลี่ยมส์จำเป็นต้องปฏิเสธที่จะทำดนตรีประกอบให้กับภาคต่อของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เนื่องจากวิลเลี่ยมส์ กำลังทำดนตรีประกอบให้กับหนังเรื่องอื่นอยู่ ซึ่งในปีนั้นเอง วิลเลี่ยมส์มีงานทำดนตรีให้กับภาพยนตร์ถึง 4 เรื่อง (ขณะนั้นวิลเลี่ยมส์อายุ 73 ปี) ตั้งแต่ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคที่ 4 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี (Harry Potter and the Goblet of Fire) เป็นต้นมา จนถึงภาคสุดท้ายในปี ค.ศ.2011 วิลเลี่ยมส์ก็ไม่ได้กลับมาทำดนตรีประกอบให้อีกเลย แต่เพลง Hedwig's theme ที่วิลเลี่ยมส์ประพันธ์ขึ้น ก็ได้ถูกใช้เป็นเพลงธีมหลักในทุกภาคของแฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "จอห์น วิลเลียมส์" }, { "docid": "209021#3", "text": "Warner Bros. ผู้ผลิตภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ และเป็นผู้ถือเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อแฮร์รี่ พอตเตอร์ รูปแบบดีวีดีของภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ในตอน \"ห้องแห่งความลับ\" \"นักโทษแห่งอัซคาบัน\" และ \"ถ้วยอัคนี\" ก็ปรากฏลำดับเวลาด้วยเช่นกัน Warner Bros. ซึ่งเดิมพัฒนาลำดับเวลาดังกล่าวโดยเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\" ในปี ค.ศ. 2002 โรวลิ่งได้ทบทวนและปรับปรุงแก้ไขหลายครั้งจนกระทั่งเธอเห็นควรให้ใช้เป็นลำดับเวลา \"อย่างเป็นทางการ\"", "title": "ลำดับเวลาในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "197263#1", "text": "ภาพยนตร์นำแสดงโดยแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ รูเพิร์ต กรินต์ เป็นรอน วีสลีย์ และเอ็มมา วัตสัน เป็นเฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ภาพยนตร์มีภาคต่ออีก 7 ภาค เริ่มจาก \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\"", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "315583#6", "text": "เมื่อค่ำคืนของวันที่ 16 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่นของรัฐฟลอริดา สวนสนุกมีการเปิดตัวสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างเป็นทางการ แม้ก่อนหน้านั้นสวนสนุกจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแล้วก็ตาม โดยมีนักแสดงจากภาพยนตร์ ได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พอตเตอร์), บอนนี่ ไรท์, เจมส์และโอลิเวอร์ เฟลส์ป, ไมเคิล แกมบอน (ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์), รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) แมทธิว ลิวอิส (เนวิลล์ ลองบัตท่อม) วอร์วิก เดวิส (ศาสตราจารย์ฟลิตวิก) และทอม เฟลตัน รวมถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง และผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ 3 ภาคแรกอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย", "title": "โลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ (ยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต)" }, { "docid": "197263#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2001 กำกับโดย คริส โคลัมบัส และจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอส์ เนื้อเรื่องยึดจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเจ. เค. โรว์ลิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคแรกในภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เขียนเรื่องโดยสตีฟ โคลฟส์ และผลิตโดยเดวิด เฮย์แมน เนื้อเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเรียนปีแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ฮอกวอตส์ ที่เขาพบว่าเขาเป็นพ่อมดที่มีชื่อเสียงและเริ่มศึกษาวิชาเวทมนตร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "4336#56", "text": "ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องรายได้ของภาพยนตร์ทั้ง 8 ภาค ทำรายได้รวมมากกว่า 7,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐและภาพยนตร์ชุดที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่สองรองจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล[118] โดยภาคที่ทำรายได้ไปมากที่สุดคือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[119]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "338365#5", "text": "ภายในฤดูใบไม้ร่วงปี 2001 ทอมก็เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกใน บทบาท เดรโก มัลฟอย เด็กชายอันธพาลที่เป็นคู่อริกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ใน ภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับ ศิลาอาถรรพ์ หลังจากนั้นทอมก็ได้ร่วมแสดงในทุกภาคของแฮร์รี่ พอตเตอร์ จนถึงปี 2009", "title": "ทอม เฟลตัน" }, { "docid": "10882#1", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ แสดงโดยแดเนียล แรดคลิฟฟ์ ในภาพยนตร์<i data-parsoid='{\"dsr\":[1081,1101,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์</i>ทุกภาคที่สร้างมา", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "197313#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน () ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ และ คริส โคลัมบัส ผู้กำกับภาคที่ 1 และ 2 กับเดวิด เฮย์แมนเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์, เอ็มม่า วัตสัน,ไมเคิล แกรมบอลล์ ที่มารับตำแหน่งดัมเบิลดอร์แทนคนก่อนเนื่องจาก คนรับตำแหน่งดัมเบิลดอร์คนก่อนเสียชีวิต ", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (ภาพยนตร์)" } ]
3662
ประเทศเยอรมนีเมืองหลวงคือเมืองอะไร?
[ { "docid": "665#0", "text": "เยอรมนี (English: Germany; German: Deutschland ดอยฺชลันฺท) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (English: Federal Republic of Germany; German: Bundesrepublik Deutschland) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบรัฐสภาในยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีภูมิอากาศตามฤดูกาลแบบอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ มีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป ประเทศเยอรมนีเป็นจุดหมายการเข้าเมืองยอดนิยมอันดับสองในโลกรองจากสหรัฐ เมืองหลวงและมหานครใหญ่สุดของประเทศคือ กรุงเบอร์ลิน ขณะที่เขตเมืองขยายใหญ่สุด คือ รัวร์ โดยมีศูนย์กลางหลักดอร์ทมุนท์และเอ็สเซิน นครหลักอื่นของประเทศ ได้แก่ ฮัมบวร์ค มิวนิก โคโลญ แฟรงก์เฟิร์ต ชตุทท์การ์ท ดึสเซิลดอร์ฟ ไลพ์ซิช เบรเมิน เดรสเดิน ฮันโนเฟอร์ และเนือร์นแบร์ก", "title": "ประเทศเยอรมนี" } ]
[ { "docid": "876766#2", "text": "เยอรมนีเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยป่าไม้, แร่โพแทช, เกลือ, ยูเรเนียม, นิกเกิล, ทองแดง และแก๊สธรรมชาติ พลังงานที่ใช้ในเยอรมนีนั้นมาจากถ่านหินเป็นหลัก (ราว 50%) ตามด้วยพลังงานนิวเคลียร์, แก๊สธรรมชาติ, พลังงานลม, พลังงานชีวมวล, พลังน้ำ และโซลาร์ เยอรมนียังเป็นผู้ผลิตกังหันลมผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก ปัจจุบันพลังงงานหมุนเวียนสามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 27% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งประเทศ", "title": "เศรษฐกิจเยอรมนี" }, { "docid": "11774#10", "text": "การปกครองของพรรคคอมมิวสต์ เป็นที่รู้จักกันคือ พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ถูกก่อตั้งในเดือนเมษายน ค.ศ. 1946 จากการรวมตัวกันระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมนี (KPD) และพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี (SPD) โดยอาณัติของโจเซฟ สตาลิน อดีตทั้งสองฝ่ายเป็นคู่แข่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อพวกเขาได้เคลื่อนไหวก่อนที่นาซีได้รวมรวมอำนาจไว้ทั้งหมดและได้ถูกประกาศว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายได้สร้างความวุ่นวายต่อพวกเขา การรวมตัวกันของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ใหม่ของนักสังคมนิยมเยอรมันในการเอาชนะศัตรูทั่วไปของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ถือเสียงส่วนใหญ่ที่มีอำนาจควบคุมนโยบายทั้งหมด SED เป็นพรรคที่ปกครองจากตลอดระยะเวลาของรัฐเยอรมนีตะวันออก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียต ซึ่งกองกำลังทหารยังคงรักษาการณ์ในเยอรมนีตะวันออกจนกระทั่งได้ถูกยุบลงในปี ค.ศ. 1991 (สหพันธรัฐรัสเซียยังคงให้กองกำลังทหารยังคงรักษาการณ์ในสิ่งที่เคยเป็นเยอรมนีตะวันออกจนถึง ค.ศ. 1994) ด้วยวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้ว่าเพื่อตอบโต้ฐานที่มั่นของนาโต้ในเยอรมนีตะวันตก นักประวัติศาสตร์ได้ถกเถียงกันว่า การตัดสินใจในการจัดตั้งประเทศที่แยกจากกันได้ถูกริเริ่มโดยสหภาพโซเวียตหรือ SED ", "title": "ประเทศเยอรมนีตะวันออก" }, { "docid": "12129#6", "text": "นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด ลอยด์ จอร์จ ได้สนับสนุนการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเช่นเดียวกัน แต่ในขอบเขตที่น้อยกว่าการเรียกร้องของฝรั่งเศส อังกฤษเพียงแต่วางแผนที่จะฟื้นฟูสถานะของเยอรมนีให้เป็นประเทศคู่ค้าของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น เขายังกังวลกับข้อเสนอของวิลสันเกี่ยวกับการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง และต้องการปกปักรักษาผลประโยชน์ของประเทศของตน ซึ่งเหมือนกับฝรั่งเศส โดยสภาพดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันระหว่างประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกสองแห่ง ซึงได้มีส่วนในการรบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เดวิด ลอยด์ จอร์จก็เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งซึ่งสนับสนุนการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนีและสนธิสัญญาลับ", "title": "สนธิสัญญาแวร์ซาย" }, { "docid": "4502#13", "text": "เบลเยียมได้รับคองโกเป็นอาณานิคมในปีพ.ศ. 2451 จากที่เคยเป็นดินแดนส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 เยอรมนีเข้ารุกรานเบลเยียมในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เบลเยียมเข้าครอบครองรวันดา-อุรุนดี (ปัจจุบันคือประเทศรวันดาและบุรุนดี) ซึ่งเป็นอาณานิคมของเยอรมนีในช่วงสงคราม เบลเยียมถูกรุกรานจากเยอรนีอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งถูกปลดปล่อยโดยกองทัพสัมพันธมิตร คองโกได้รับเอกราชในปีพ.ศ. 2503 ในขณะที่รวันดา-อุรุนดีได้รับในอีกสองปีถัดมา", "title": "ประเทศเบลเยียม" }, { "docid": "110167#52", "text": "ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 เยอรมนีทำสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตอีกครั้ง รัฐมนตรีต่างประเทศบอกแก่เม็กซิโก ผ่านโทรเลขซิมแมร์มันน์ ว่า สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มเข้าสู่สงครามหลังสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตเริ่มขึ้น และเชิญเม็กซิโกเข้าสู่สงครามเป็นพันธมิตรของเยอรมนีต่อสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เยอรมนีจะส่งเงินให้เม็กซิโกและช่วยให้เม็กซิโกได้รับดินแดนเท็กซัส นิวเม็กซิโกและแอริโซนาที่เม็กซิโกเสียไประหว่างสงครามเม็กซิโก-อเมริกาเมื่อ 70 ปีก่อน วิลสันเปิดเผยโทรเลขดังกล่าวให้แก่สาธารณชน และชาวอเมริกันมองว่าเป็นเหตุแห่งสงคราม\nอย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโดยอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายพันธมิตร แต่ไม่เคยเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของฝ่ายพันธมิตรเลย โดยเรียกตัวเองว่าเป็น \"ประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ\" (Associated Power) สหรัฐอเมริกามีกองทัพขนาดเล็ก แต่หลังรัฐบัญญัติคัดเลือกทหาร (Selective Service Act) สหรัฐก็มีทหารเกณฑ์มากถึง 2.8 ล้านนาย และภายในฤดูร้อน ค.ศ. 1918 ก็มีการส่งทหารใหม่กว่า 10,000 นายไปยังฝรั่งเศสทุกวัน ใน ค.ศ. 1917 รัฐสภาสหรัฐให้สถานะพลเมืองแก่ชาวเปอร์โตริโก เมื่อพวกเขาถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จากรัฐบัญญัติโจนส์ เยอรมนีคำนวณผิด โดยเชื่อว่าจะใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าสหรัฐอเมริกาจะมาถึง และการขนส่งทหารข้ามมหาสมุทรสามารถถูกหยุดยั้งได้โดยเรืออู\nกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองเรือรบไปยังสกาปาโฟลว์ (Scapa Flow) เพื่อเข้าร่วมกับกองเรือหลวง (Grand Fleet) อังกฤษ, เรือพิฆาตไปยังควีนส์ทาวน์, ไอร์แลนด์ และเรือดำน้ำไปช่วยคุ้มกันขบวนเรือ นาวิกโยธินหลายกรมของสหรัฐอเมริกาถูกส่งไปยังฝรั่งเศส ด้านอังกฤษและฝรั่งเศสต่างต้องการให้หน่วยทหารอเมริกันเข้าเสริมกำลังบนแนวรบที่มีทหารของตนอยู่ก่อนแล้ว และไม่สิ้นเปลืองจำนวนเรือที่มีอยู่น้อยเพื่อขนย้ายเสบียง และไม่ต้องการใช้เรือเพื่อเป็นการขนส่งเสบียง ซึ่งสหรัฐปฏิเสธความต้องการแรก แต่ยอมตามความต้องการข้อหลัง พลเอกจอห์น เจ. เพอร์ชิง ผู้บัญชาการกองกำลังรบนอกประเทศอเมริกา (AEF) ปฏิเสธที่จะแบ่งหน่วยทหารออกเพื่อใช้เป็นกำลังหนุนแก่หน่วยทหารอังกฤษและฝรั่งเศส โดยยกเว้นให้กรมรบแอฟริกัน-อเมริกันถูกใช้ในกองพลฝรั่งเศสได้ หลักนิยมของ AEF กำหนดให้ใช้การโจมตีทางด้านหน้า ซึ่งผู้บัญชาการอังกฤษและฝรั่งเศสเลิกใช้ไปนานแล้ว เพราะสูญเสียกำลังพลมหาศาล", "title": "สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "4284#3", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นพระโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ณ เมืองไฮเดลแบร์ก สาธารณรัฐไวมาร์ (ปัจจุบันคือประเทศเยอรมนี) ขณะที่สมเด็จพระราชชนกทรงศึกษาการแพทย์ที่ประเทศเยอรมนี โดยได้รับพระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า หม่อมเจ้าอานันทมหิดล มหิดล หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล [3][4] โดยสมเด็จพระราชชนนีทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า นันท [5] พระองค์ทรงมีสมเด็จพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระอนุชา 1 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร" }, { "docid": "897470#0", "text": "หอคอยฟลัค()เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งหมด 8 แห่ง,สูงเหนือพื้นดิน,หอคอยป้อมปืนต่อต้านอากาศยานที่ถูกสร้างขึ้นโดยนาซีเยอรมนีในเมืองเบอร์ลิน(3),ฮัมบวร์ค(2),และเวียนนา(3) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 เป็นต้นมา เมืองอื่นๆได้ใช้หอคอยฟลัครวมทั้งชตุทท์การ์ทและแฟรงก์เฟิร์ต ด้วยขนาดเล็กเดียวที่มีวัตถุประสงค์ในการเป็นหอคอยฟลัคถูกสร้างขึ้นในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเยอรมัน เช่น อองเชร์ในฝรั่งเศส, เฮลโกลันด์ในเยอรมนีและทรอนด์เฮมในนอร์เวย์", "title": "หอคอยฟลัค" }, { "docid": "11774#11", "text": "ในขณะที่เยอรมนีตะวันตกได้ถูกก่อตั้งและได้รับเอกราชจากผู้ยึดคีอง สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันได้ถูกก่อตั้งในเยอรมนีตะวันออกในปี ค.ศ. 1949 การสร้างทั้งสองรัฐขึ้นในปี ค.ศ. 1945 ส่วนหนึ่งของเยอรมนี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1952 (ในสิ่งที่กลายเป็นที่รู้จักกันคือ โน้ตสตาลิน) สตาลินได้ยื่นข้อเสนอให้รวมประเทศเยอรมนีด้วยนโยบายความเป็นกลาง, ด้วยปราศจากเงื่อนไขใดๆเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจและด้วยการรับประกันสำหรับ\"สิทธิมนุษย์และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเสรีภาพในการพูด กดดัน การชักชวนทางศาสนา, ความเชื่อมั่นทางการเมือง และการชุมนุม\" และเคลื่อนไหวอย่างเสรีของพรรคประชาธิปไตยและองค์กร ตอนนี้ได้ถูกปิดลง การรวมประเทศไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นผู้นำของเยอรมนีตะวันตก และอำนาจของนาโต้ได้ปฏิเสธข้อเสนอโดยอ้างว่าเยอรมนีควรที่จะเข้าร่วมนาโต้และการเจรจาต่อรองกับสหภาพโซเวียตจะถูกมองว่าเป็นการยอมจำนน มีการอภิปรายหลายครั้งเกี่ยวกับมีโอกาสที่จะรวมตัวอีกครั้งหรือไม่ซึ่งพลาดในปี ค.ศ. 1952 ", "title": "ประเทศเยอรมนีตะวันออก" }, { "docid": "31637#1", "text": "ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์คแต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 จากนั้น พรรคนาซีเริ่มกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและรวบอำนาจ ฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1934 และฮิตเลอร์เป็นผู้เผด็จการแห่งเยอรมนีโดยการรวมอำนาจและตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดี มีการจัดการลงประชามติทั่วประเทศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1934 ทำให้ฮิตเลอร์เป็นฟือเรอร์ (ผู้นำ) เยอรมนีเพียงผู้เดียว อำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดรวมอยู่ในมือของฮิตเลอร์ และคำของเขาอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง รัฐบาลมิได้เป็นหน่วยที่ร่วมมือประสานกัน หากแต่เป็นหมู่กลุ่มแยกต่าง ๆ ที่แก่งแย่งอำนาจและความนิยมจากฮิตเลอร์ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นาซีฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและยุติการว่างงานขนานใหญ่โดยใช้รายจ่ายทางทหารอย่างหนักและเศรษฐกิจแบบผสม[1] มีการดำเนินการโยธาสาธารณะอย่างกว้างขวาง รวมการก่อสร้างเอาโทบาน การคืนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจส่งเสริมความนิยมของรัฐบาลให้เพิ่มพูนขึ้น", "title": "นาซีเยอรมนี" }, { "docid": "5333#5", "text": "สงครามโลกครั้งที่หนึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงดินแดนอย่างใหญ่หลวงในยุโรป ด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง รวมทั้งการล่มสลายของรัฐจักรวรรดิที่สำคัญ ได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ตลอดจนจักรวรรดิรัสเซีย ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อิตาลี เซอร์เบียและโรมาเนีย รวมไปถึงการก่อตั้งรัฐใหม่หลังจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี รัสเซียและออตโตมันล่มสลาย หลังสงคราม ชาตินิยมอุดมการณ์เรียกร้องดินแดน (irredentism) และลัทธิแก้แค้น (revanchism) กลายมามีความสำคัญในหลายประเทศยุโรป อุดมการณ์เรียกร้องดินแดนและลัทธิแก้แค้นแรงกล้ามากในเยอรมนี เพราะเยอรมนีบังคับตามสนธิสัญญาแวร์ซาย[6] เป็นผลให้เยอรมนีเสียดินแดนของประเทศไปร้อยละ 13 รวมทั้งอาณานิคมโพ้นทะเลทั้งหมด การรวมเยอรมนีเข้ากับประเทศอื่นถูกห้าม ซ้ำต้องแบกภาระชำระค่าปฏิกรรมสงครามมหาศาล และถูกจำกัดขนาดและขีดความสามารถของกองทัพอย่างมาก[7] ขณะเดียวกัน สงครามกลางเมืองรัสเซียได้นำไปสู่การก่อตั้งสหภาพโซเวียต นำโดยพรรคบอลเชวิค ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์[8]", "title": "สงครามโลกครั้งที่สอง" }, { "docid": "665#21", "text": "เยอรมนีตะวันตกเป็นรัฐในกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและทางทหารของสหภาพโซเวียต และยังเป็นรัฐร่วมภาคีในกติกาสัญญาวอร์ซอ และแม้ว่าเยอรมนีตะวันออกจะอ้างว่าตนเองปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของโปลิตบูโรแห่งพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งมีหัวแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ พรรคฯยังมีการหนุนหลังจาก \"กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ \"หรือที่เรียกว่า \"สตาซี\" (Stasi) อันเป็นหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ที่ควบคุมเกือบทุกแง่มุมของสังคม[16] เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรัฐ", "title": "ประเทศเยอรมนี" }, { "docid": "158667#40", "text": "รัสเซียในช่วง พ.ศ. 2424 จนถึง พ.ศ. 2437 เป็นสมัยที่ชาวต่างชาติมักจะมองกันว่ารัสเซียสงบราบรื่น ถึงขนาดที่มีผู้ให้สมญาซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ว่าทรงเป็น \"ซาร์แห่งสันติภาพ\" ซึ่งผู้ที่ให้สมญาดังกล่าวอาจจะมองรัสเซียอย่างผิวเผินเฉพาะเหตุการณ์ทางด้านการต่างประเทศ และความสงบจากการที่รัสเซียสามารถแก้ปัญหาจากการปฏิวัติทุกรูปแบบภายในประเทศได้สำเร็จ ทางด้านการต่างประเทศนั้น รัสเซียได้ดำเนินนโยบายเป็นมิตรสนิทกับจักรวรรดิเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จนกระทั่งเกิดปัญหาเรื่องดินแดนในคาบสมุทรบอลข่านในช่วงปลายปี พ.ศ. 2413 ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับออสเตรียและเยอรมนีก็เริ่มเสื่อมคลายลง รัสเซียจึงเปลี่ยนนโยบายไปเป็นมิตรสนิทสนมกับฝรั่งเศสและอังกฤษ ในรัชสมัยของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 กลุ่มต่อต้านระบอบกษัตริย์เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้พยายามวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระจักรพรรดิในงานครบรอบหกปีการเสด็จสวรรคตของพระชนกนาถ ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่จัดขึ้น ณ ป้อมปีเตอร์และปอล มหาวิหารสุสานหลวงแห่งราชวงศ์โรมานอฟในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เหล่านักวางแผนก่อการร้ายได้ยัดระเบิดลงไว้ในไส้ข้างในของหนังสือเรียนที่พวกเขาตั้งใจจะขว้างใส่จักรพรรดิขณะเสด็จกลับจากมหาวิหาร อย่างไรก็ตาม ตำรวจลับรัสเซียได้เปิดโปงแผนการร้ายก่อนที่ถูกทำให้สำเร็จลุล่วง นักศึกษาจำนวนห้าคนถูกจับแขวนคอ รวมทั้งอเล็กซานเดอร์ อูลยานอฟ เขามีน้องชายที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ซึ่งมีความคิดทางการเมืองในเชิงปฏิบัติดังเช่นพี่ชาย เด็กชายคนนั้นคือ วลาดีมีร์ เลนิน ซึ่งอีกหลายปีต่อมาได้ใช้เวลาส่วนมากกับขบวนการปฏิวัติใต้ดินอยู่ในทวีปยุโรปในการหล่อหลอมแนวคิดและทฤษฎีทางการเมืองที่เขาจะนำมาใช้ในประเทศรัสเซียหลังจากการกลับมาในปี พ.ศ. 2460 เพื่อล้างแค้นให้กับการตายของพี่ชาย ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนพ.ศ. 2437 ณ พระราชวังลิวาเดีย ที่ประทับตากอากาศบนแหลมไครเมีย ขณะมีพระชนมพรรษาได้ 49 พรรษา", "title": "ประวัติศาสตร์รัสเซีย" }, { "docid": "83132#5", "text": "จักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงเริ่มสร้างความมั่นคงและทำให้อาณาจักรแฟรงก์กลายเป็นอาณาจักรที่เป็นเอกภาพมากขึ้นกว่ายุคก่อน ทรงตั้งราชสำนักที่เมืองแอกซ์ลาชาแปล เริ่มการสร้างพระราชวังและอาสนวิหารอาเคิน ที่เมืองอาเคิน ในประเทศเยอรมนีปัจจุบัน เป็นสัญลักษณ์ของการอุปถัมภ์ของอาณาจักรและศาสนจักรนับแต่นั้น โบสถ์วิหารได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากกรุงโรม เรียกกันว่าสถาปัตยกรรมแบบโรมาแนสก์ (Romanesque) \nชาร์เลอมาญทรงส่งเสริมการศึกษาด้วยการสร้างโรงเรียนหลวง นำพระจากวาติกันมาสอนวิทยาการต่าง ๆ ทำให้ฝรั่งเศสเริ่มก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาและอารยธรรมของยุโรปในเวลาต่อมา\nชาร์เลอมาญทรงพยายามขยายพระราชอำนาจของราชสำนักไปยังส่วนต่าง ๆ ของอาณาจักรผ่านการส่งข้าหลวง และการเก็บภาษี แต่เมื่อทรงสวรรคต ราชสำนักก็ไม่อาจควบคุมพื้นที่ส่วนต่าง ๆได้อย่างเต็มที่นัก กลายเป็นปัญหาสำคัญต่อการสร้างอาณาจักรที่เป็นเอกภาพในสมัยกลางหลังสวรรคต อาณาจักรของพระองค์แบ่งแยกให้แก่พระโอรส 3 พระองค์ บางส่วนอยู่ในดินแดนเยอรมนีปัจจุบัน", "title": "ชาร์เลอมาญ" }, { "docid": "23775#5", "text": "ผลจากการย้ายออกของชาวเยอรมันตะวันออก ที่มีมากเกินการควบคุม รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกในขณะนั้น จึงได้สร้างกำแพงกั้นระหว่างประเทศเยอรมนีตะวันออกกับเยอรมนีตะวันตก ว่ากันว่า แนวกำแพงที่กั้นระหว่างสองประเทศนี้ยาวเป็นอันดับสองรองจากกำแพงเมืองจีนทีเดียว", "title": "กำแพงเบอร์ลิน" }, { "docid": "84380#0", "text": "ค่ายกักกันบูเคินวัลท์ () เป็นค่ายกักกันเชลยศึกของนาซีเยอรมนี จัดตั้งที่เอทเทอร์สแบร์ก (ภูเขาเอตเทอร์) ใกล้กับเมืองไวมาร์ รัฐทือริงเงิน ประเทศเยอรมนีเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2480 มีการใช้แรงงานนักโทษส่วนใหญ่เยี่ยงทาสตามโรงงานผลิตอาวุธต่าง ๆ หลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง", "title": "ค่ายกักกันบูเคินวัลท์" }, { "docid": "86959#1", "text": "เยอรมนีได้กลายเป็นสาธารณรัฐโดยพฤตินัย เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เมื่อไคเซอร์(จักรพรรดิ) วิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนีได้สละบังลังก์แห่งเยอรมันและปรัสเซียโดยไม่ได้มีการตกลงที่จะสืบราชบังลังก์โดยพระราชโอรสของพระองค์คือ เจ้าชายวิลเฮล์ม มกุฎราชกุมาร และได้กลายเป็นสาธารณรัฐโดยพฤตินัยในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งเยอรมนีได้ถูกก่อตั้งขึ้น สภาแห่งชาติได้มีการประชุมกันในเมืองไวมาร์ ที่รัฐธรรมนูญใหม่สำหรับเยอรมนีได้เขียนและประกาศใช้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1919 ในช่วงเวลาสิบสี่ปี สาธารณรัฐไวมาร์ต้องประสบปัญหามากมาย,รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง การเมืองที่มีความรุนแรง(ด้วยกองกำลังกึ่งทหาร-ทั้งฝ่ายซ้ายและขวา) เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่โต้แย้งกับผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยความไม่พอในเยอรมนีที่มีต่อสนธิสัญญาแวร์ซายที่รุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิ์ทางการเมืองที่พวกเขาโกรธแค้นต่อผู้ที่ลงนามในสนธิสัญญาและส่งเพื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข สาธารณรัฐไวมาร์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขส่วนใหญ่ของสนธิสัญญาแวร์ซาย แม้ว่าจะไม่เคยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการลดอาวุธทั้งหมดและท้ายที่สุดก็ได้จ่ายเพียงเล็กน้อยของการชดเชยค่าปฏิกรรมสงคราม(โดยการปรับโครงสร้างหนี้สองครั้งผ่านด้วยแผนการดอวส์และแผนการยัง) ภายใต้สนธิสัญญาโลคาร์โน เยอรมนีจะต้องยอมรับเขตชายแดนตะวันตกของประเทศโดยยกเลิกการอ้างสิทธิ์บนดินแดนฝรั่งเศสและเบลเยียม แต่ยังคงมีการโต้เถียงกันในเรื่องเขตชายแดนตะวันออกและได้พยายามที่จะโน้มน้าวให้ออสเตรียที่มีคนพูดภาษาเยอรมันเพื่อเข้าร่วมกับเยอรมนีในฐานะหนึ่งในรัฐเยอรมนี ", "title": "สาธารณรัฐไวมาร์" }, { "docid": "321404#0", "text": "เลนา เมเยอร์-ลันดรุท () เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1991, หรือใช้ชื่อว่า เลนา เป็นนักร้องชาวเยอรมัน เธอเป็นตัวแทนเยอรมนีในการประกวดเพลงยูโรวิชัน ในปี 2010 ณ เทเลนอร์ อารีนา เขตฟอเนบุ เมืองแบรุม ประเทศนอร์เวย์ โดยเธอสามารถนำเพลง \"Satellite\" ชนะในการแข่งขัน ด้วยคะแนน 246 คะแนนในรอบตัดสินเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ทางด้านอันดับเพลง เธอสร้างสถิติมีเพลงเปิดตัวติดชาร์ต 3 เพลงในท็อป 5 บนเยอรมันซิงเกิลส์ชาร์ต ซิงเกิล \"Satellite\" เปิดตัวที่อันดับ 1 ในเยอรมนีและได้รับแผ่นเสียงทองคำ 3 แผ่น ในเดือนพฤษภาคม 2010 เธออกผลงานอัลบั้มแรกชุด \"My Cassette Player\" ที่เปิดตัวที่อันดับ 1 บนเยอรมันอัลบั้มส์ชาร์ต", "title": "เลนา เมเยอร์-ลันดรุท" }, { "docid": "6357#11", "text": "หน้าตาของนครเบอร์ลินในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากบทบาทนำของมันในประวัติศาสตร์เยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 20\nรัฐบาลแห่งชาติแต่ละชุดล้วนตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ — จักรวรรดิเยอรมัน ค.ศ. 1871, สาธารณรัฐไวมาร์, นาซีเยอรมนี, เยอรมนีตะวันออก และเยอรมนีในปัจจุบันที่รวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง — ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างอันทะเยอทะยานมากมาย แต่ละโครงการล้วนมีคุณลักษณะโดดเด่นในตัวเอง เบอร์ลินถูกทำลายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิดหลายครั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง อาคารเก่าหลายหลังที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดดังกล่าวได้ถูกรื้อถอนในคริสต์ทศวรรษที่ 1950 และ 1960 ทั้งในฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก การรื้อถอนดังกล่าวจำนวนมากริเริ่มโดยโครงการสถาปัตยกรรมระดับเทศบาล เพื่อสร้างย่านที่พักอาศัยหรือย่านธุรกิจและถนนสายหลัก ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเหมือนของเบอร์ลินได้ก่อร่างสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์อันน่าตื่นตาของเมืองแห่งนี้", "title": "เบอร์ลิน" }, { "docid": "310385#2", "text": "ฮาร์กรีฟส์เกิดที่ประเทศแคนาดา โดยมีบิดาเป็นชาวเมืองโบลตัน ประเทศอังกฤษและมารดาเป็นชาวเวลส์ ทำให้เขาสามารถเลือกเล่นในระดับทีมชาติให้กับแคนาดา อังกฤษ หรือ เวลส์ ก็ได้ นอกจากนี้ฮาร์กรีฟส์ยังสามารถเลือกเล่นให้ทีมชาติเยอรมนีได้อีกด้วย เนื่องจากอยู่อาศัยในเยอรมนีเกินกว่าห้าปีในขณะที่เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลบาเยิร์น มิวนิค ทำให้เขามีสิทธิที่จะขอสัญชาติเยอรมนีและเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนีเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุดฮาร์กรีฟส์ได้ตัดสินใจที่จะเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ ซึ่งทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษคนแรกที่ไม่เคยเล่นในฟุตบอลลีกของประเทศอังกฤษมาก่อนเลยในขณะนั้น ฮาร์กรีฟส์นับเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) ที่ประเทศเยอรมนี ฮาร์กรีฟส์เป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษเพียงคนเดียวที่ยิงลูกโทษเข้าในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน ในรอบก่อนรองชนะเลิศกับทีมชาติโปรตุเกส", "title": "โอเวน ฮาร์กรีฟส์" }, { "docid": "849484#1", "text": "แบร์ชเทิสกาเดินเป็นที่ตั้งของภูเขาวัทซ์มันน์ (Watzmann) ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ในเยอรมนีด้วยความสูง 2,713 เมตร ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ปีนยอดนิยม นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของทะเลสาบเคอนิง ซึ่งเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งซึ่งมีความลึก แบร์ชเทิสกาเดินเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพงดงาม ผู้นำนาซีเยอรมนีอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีบ้านพักตากอากาศที่ชื่อ \"แบร์กฮอฟ\" อยู่ในเมืองนี้และยังมี \"รังอินทรี\" อยู่บนยอดเขาเคลชไตน์ ส่วนผู้นำระดับสูงคนอื่นๆอย่าง แฮร์มันน์ เกอริง, โยเซฟ เกิบเบลส์ และอัลแบร์ท ชเปียร์ ก็มักเดินทางมาพักตากอากาศที่เมืองนี้อยู่บ่อยครั้ง", "title": "แบร์ชเทิสกาเดิน" }, { "docid": "828796#41", "text": "\"...ว่ามาเยอขวัญเอย แป้นแอ้มใหม่คือไม้แดง ตงขางแข็งคือไม้แต้ เอามาแต่เมืองสาละวัน ไม้จันทันและหน้าต่าง วิสุกรรมเป็นซ่างป่อนมาหา ไม้สะยัวหลังคาพระอินทราตกแต่ง เผิ่นจัดแจ่งตงขาง เอามาวางพิงพาด ดูสะอาด<b data-parsoid='{\"dsr\":[9682,9695,3,3]}'>โฮงหลวง คนทั้ง ปวงมาโฮมแห่ พวกเฒ่าแก่มาออนวอน มาเฮือนนอนเย็นซุ่ม ใต้เมืองหลุ่มงามหลาย ปานเดือน หงายใสส่อง บ่มีป่องฮูฮอย...\" [7]", "title": "โฮง" }, { "docid": "159582#6", "text": "ภายใต้การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตร ดินแดนเยอรมนีได้ถูกแบ่งแยก, ออสเตรียได้เป็นประเทศที่แยกตัวออกมาอีกครั้ง โครงการการขจัดนาซีได้เกิดขึ้น และสงครามเย็นได้ส่งผลทำให้ส่วนหนึ่งของประเทศได้แตกแยกออกเป็นสองฝ่ายได้แก่ เยอรมนีตะวันตกอันมีระบอบประชาธิปไตยและเยอรมนีตะวันออกอันมีระบอบคอมมิวนิสต์ ชนเชื้อชาติเยอรมันนับล้านคนได้ถูกขับไล่หรือหนีออกจากพื้นที่คอมมิวนิสต์ไปยังเยอรมนีตะวันตก ซึ่งจากประสบการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว, และกลายเป็นเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญในยุโรปตะวันตก เยอรมนีได้รับการติดตั้งอาวุธใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1950 ภายใต้การดูแลขององค์นาโต้ แต่ไม่สามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ได้ ความสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างฝรั่งเศส-เยอรมนีได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการรวมตัวกันทางการเมืองของยุโรปตะวันตกในสหภาพยุโรป ในปี ค.ศ. 1989 กำแพงเบอร์ลินได้ถูกทำลายลง, สหภาพโซเวียตล่มสลายลงและเยอรมนีตะวันออกก็ได้รวมเข้ากับเยอรมนีตะวันตกในปีค.ศ. 1990 ในปีค.ศ. 1998-1999 เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่ก่อตั้งยูโรโซน เยอรมนียังคงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของทวีปยุโรป ได้มีส่วนร่วมประมาณหนึ่งในสี่ปของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศทุกประจำปีของยูโรโซน ในช่วงต้นปีค.ศ. 2010 เยอรมนีได้มีบทบาทสำคัญในการพยายามที่จะแก้ไขวิกฤตการณ์ของยูโรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะกรีซและประเทศอื่นๆในยุโรปตอนใต้ ในช่วงกลางทศวรรษ, ประเทศได้เผชิญวิกฤตการณ์ผู้ย้ายถิ่นยุโรป ที่เป็นผู้รับที่สำคัญของผู้ลี้ภัยจากซีเรียและภูมิภาคอื่นๆที่ตกทุกข์ได้ยาก", "title": "ประวัติศาสตร์เยอรมนี" }, { "docid": "28595#0", "text": "การเดินขบวนวันจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2532/2533 (ค.ศ. 1989/1990) ในเมืองไลพ์ซิจ ประเทศเยอรมนีตะวันออก เป็นชุดของการประท้วงทางการเมืองอย่างสงบจำนวนหลายครั้ง เพื่อประท้วงรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก", "title": "การเดินขบวนวันจันทร์ในเยอรมนีตะวันออก" }, { "docid": "249026#0", "text": "บัมแบร์ค () เป็นเมืองในแคว้นบาวาเรียในประเทศเยอรมนีที่ตั้งอยู่ในอัปเปอร์ฟรังโกเนียบนฝั่งแม่น้ำเรกนิทซ์ไม่ไกลจากจุดที่บรรจบกับแม่น้ำไมน์ บัมแบร์คเป็นเมืองเพียงไม่กี่เมืองในประเทศเยอรมนีที่มิได้ถูกทำลายโดยลูกระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 บัมแบร์คเป็นที่พำนักของชาวต่างประเทศเกือบ 7,000 คนรวมทั้งกว่า 4,100 คนที่เป็นทหารจากสหรัฐอเมริกา ชื่อเมือง “บัมแบร์ค” เชื่อว่ามีที่มาจากตระกูลบาเบนแบร์ก ", "title": "บัมแบร์ค" }, { "docid": "141216#0", "text": "อาลซัส () หรือ แอลซ็อส (อัลเซเชียน: Elsàss) เป็นอดีตแคว้นในประเทศฝรั่งเศส (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นกร็องแต็สต์) ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนทางทิศตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส และทางทิศตะวันตกของแม่น้ำไรน์ ติดกับประเทศเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ มีเมืองหลักและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือเมืองสทราซบูร์ เดิมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และต่อมาประเทศฝรั่งเศสกับเยอรมนีผลัดกันครอบครองแคว้นอาลซัสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 20", "title": "แคว้นอาลซัส" }, { "docid": "11774#4", "text": "ด้านภูมิศาสตร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีติดกับทะเลบอลติกไปทางทิศเหนือ สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ไปทางทิศตะวันออก, เชโกสโลวาเกียไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และเยอรมนีตะวันตกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันตก ภายในเยอรมนีตะวันออกยังมีล้อมนอกรอบเขตโซเวียตของเบอร์ลินภายใต้การยึดครองของสัมพันธมิตร เรียกว่า เบอร์ลินตะวันออก ซึ่งได้กลายเป็นเมืองหลวงในทางพฤตินัย นอกจากนี้ยังมีล้อมรอบสามเขตที่ยึดครองโดยสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสถูกเรียกว่า เบอร์ลินตะวันตก ทั้งสามเขตถูกครอบครองโดยประเทศตะวันตกถูกปิดผนึกออกจากส่วนที่เหลือของเยอรมนีตะวันออกโดยกำแพงเบอร์ลินจากการก่อสร้างในปี 1961 จนกระทั่งถูกทุบลงในปี 1989", "title": "ประเทศเยอรมนีตะวันออก" }, { "docid": "791712#0", "text": "การต่อต้านระบอบนาซีของชาวเยอรมัน () เป็นการต่อต้านระบอบเผด็จการลัทธิฟาสซิสต์ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีในเยอรมนี มีวัตถุประสงค์คือ การกำจัดฮิตเลอร์และสมาชิกบุคคลสำคัญในพรรคนาซีเช่น แฮร์มันน์ เกอริง และไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ เป็นต้น และยึดการควบคุมประเทศเยอรมนีและกองทัพเยอรมันทางการเมืองจากพรรคนาซี (รวมถึงเอสเอส) เพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตรให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพราะเห็นว่าเยอรมนีกำลังจะตกเป็นพ่ายเพลี่ยงพล้ำและกำลังจะแพ้สงคราม นอกจากนั้นความปรารถนาเบื้องหลังของนายทหารระดับสูงของเวร์มัคท์หลายนายและชาวเยอรมันหลายคน คือ เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าชาวเยอรมันทุกคนไม่ได้เป็นอย่างฮิตเลอร์และพรรคนาซี ", "title": "การต่อต้านระบอบนาซีของชาวเยอรมัน" }, { "docid": "681545#1", "text": "\"ล่าสุด : โอลิมปิกฤดูหนาว 2018\"\n^ประเทศเยอรมนีได้เข้าร่วมในนามประเทศเยอรมนีในปี 1952, ทีมรวมเยอรมนีในปี 1956–1964 ซึ่งเป็นทีมที่รวมนักกีฬานักกีฬาประเทศเยอรมนีตะวันตก และประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้แยกในนามประเทศเยอรมนีตะวันตก และประเทศเยอรมนีตะวันออกในปี 1968–1988 และสุดท้ายก็ได้รวมกันเป็นประเทศเยอรมนีในปี 1992 หลังจากการรวมประเทศเยอรมนี ถ้านับประเทศเยอรมนี, ทีมรวมเยอรมนี, ประเทศเยอรมนีตะวันตก และประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าด้วยกันจะทำให้มีเหรียญทองทั้งหมด 17 เหรียญทอง, 13 เหรียญเงิน, 10 เหรียญทองแดง", "title": "กีฬาสกีลงเขาในโอลิมปิกฤดูหนาว" }, { "docid": "5333#19", "text": "เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีและรัฐบริวารสโลวาเกียบุกครองโปแลนด์ วันที่ 3 กันยายน ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับเยอรมนี ตามมาด้วยบรรดาประเทศในเครือจักรภพแห่งชาติ แต่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่โปแลนด์เพียงเล็กน้อยเฉพาะการโจมตีขนาดเล็กของฝรั่งเศสเข้าไปในซาร์ลันด์เท่านั้น[60] แม้ว่าอีกทางหนึ่ง อังกฤษกับฝรั่งเศสจะเริ่มต้นการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กันยายน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำลายเศรษฐกิจและความพยายามสงครามของเยอรมนี[61][62] วันที่ 17 กันยายน หลังจากสงบศึกชั่วคราวกับญี่ปุ่นแล้ว สหภาพโซเวียตก็ได้เริ่มการบุกครองโปแลนด์ของตน[63] ท้ายสุด โปแลนด์ได้ถูกแบ่งออกระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียต ส่วนลิทัวเนียกับสโลวาเกียได้รับส่วนแบ่งบ้าง[64] ชาวโปแลนด์มิได้ยอมจำนนและสถาปนารัฐใต้ดินโปแลนด์ กองทัพป้องกันประเทศ (Home Army) ใต้ดิน และยังสู้อิงฝ่ายสัมพันธมิตรในทุกแนวรบนอกประเทศ[65] และในเวลาเดียวกับการรบในโปแลนด์ กองทัพญี่ปุ่นก็เปิดฉากโจมตีเมืองฉางซาเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ของจีน แต่ก็ถูกขับไล่กลับมาเมื่อปลายเดือนกันยายน[66]", "title": "สงครามโลกครั้งที่สอง" }, { "docid": "633887#3", "text": "ในปี ค.ศ. 1973 เยอรมนีตะวันออกและเยอรมนีตะวันตกได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติพร้อมกัน หลังจากมีการเจรจาหลายครั้งระหว่างทั้งสองรัฐบาลเพื่อหารือข้อตกในการได้รับการรับรองสถานภาพร่วมกัน ต่อมาจึงมีการยกคำว่า \"เยอรมนี\" ออกจากรัฐธรรมนูญของเยอรมนีตะวันออก และมีการใช้เพียงทำนองเพลงชาติบรรเลงสำหรับโอกาสที่เป็นทางการเท่านั้น ไม่มีการประพันธ์บทร้องใหม่ขึ้นมาแทนที่บทร้องของเบเชอร์ ซึ่งยังคงมีการใช้อยู่ในลักษณะไม่เป็นทางการ โดยเฉพาะหลังจากจุดเปลี่ยนทางการเมือง (\") ในช่วงปลาย ค.ศ. 1989 ทันทีที่เกิดความชัดเจนว่าประเทศได้เคลื่อนไหวไปสู่การรวมชาติ สถานีโทรทัศน์ของเยอรมนีตะวันออกได้กลับมาดำเนินการและใช้เพลงนี้เป็นสัญญาณการปิดสถานี (sign-off) ทุกคืน โดยใช้เพลงฉบับขับร้องประกอบการบรรเลงเพลงด้วยวงซิมโฟนีพร้อมภาพประกอบเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเยอรมนีตะวันออก", "title": "เอาแฟร์ชตันเดินเอาส์รูอีเนิน" } ]
3966
แชฟเฟอร์ ชิเมียร์ เกิดที่เมืองอะไร?
[ { "docid": "224858#1", "text": "นี-โย เกิดในรัฐอาร์คันซอ เมืองแคมเดน มีชื่อทางศาสนาว่า แชฟเฟอร์ ชิเมียร์ สมิธ[3] บิดาของเขาเป็น ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ส่วนมารดาของเขามีเชื้อสายผสมระหว่างชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันกับอเมริกันเชื้อสายจีน[4] ทั้งคู่เป็นนักดนตรี ตั้งแต่ยังเด็กเขาอยู่กับแม่เพียงคนเดียวเพราะพ่อแยกทางกันไป[5] และเพื่อหวังว่าจะได้โอกาสที่ดีขึ้น แม่ของเขาย้ายพร้อมครอบครัวไปอยู่ในลาสเวกัส รัฐเนวาดา", "title": "นี-โย" } ]
[ { "docid": "333255#2", "text": "มีเรื่องเล่าที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในปัจจุบัน ว่าชายลึกลับในชุดสีเทาที่เป็นผู้ว่าจ้างโมทซาร์ทให้แต่งเรควีเอ็มบทนี้ คือ อันโตนีโอ ซาลีเอรี สืบเนื่องมาจากความนิยมในบทละครเรื่อง \"Mozart and Salieri\" (1830) ของอะเล็กซานเดอร์ ปุชกิน ซึ่งดัดแปลงเป็นอุปรากรโดยริมสกี-คอร์ซาคอฟในปี ค.ศ. 1897 ซึ่งกลายมาเป็นโครงเรื่องหลักในละครเวที และภาพยนตร์ \"อะมาเดอุส\" โดยปีเตอร์ แชฟเฟอร์ ซึ่งไม่ตรงกับความจริงในประวัติศาสตร์ \nเรควีเอ็ม แมส ในบันไดเสียง ดี ไมเนอร์ แบ่งออกเป็นน 14 มูฟเมนต์ โดยแยกเป็น 7 ท่อนหลัก ดังนี้", "title": "เรควีเอ็ม (โมทซาร์ท)" }, { "docid": "452612#0", "text": "เหตุรถไฟชนกันชเซโคซินี เป็นอุบัติเหตุรถไฟชนประสานงากันในประเทศโปแลนด์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:07 น. ตามเวลายุโรป ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 16 รายบาดเจ็บ 60 คน นับเป็นอุบัติเหตุรุถไฟครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโปแลนด์ รายงานระบุว่า รถไฟสองขบวนแล่นมาบนรางเดียวกัน ขบวนหนึ่งแล่นมาจากเมืองทางตะวันออก มุ่งหน้ายังกรุงวอร์ซอ ขณะที่อีกขบวนแล่นมาผิดรางขณะเดินทางจากกรุงวอร์ซอไปยังเมืองกรากุฟทางตอนใต้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุใด ขบวนที่มุ่งหน้าลงใต้จึงวิ่งมาผิดราง จากอุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยต่อความปลอดภัยของระบบรางรถไฟของโปแลนด์ ซึ่งเพิ่งมีการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ระบบส่วนใหญ่ยังมีการใช้มาตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์ ด้านนายสลาโวเมียร์ โนวัค รัฐมนตรีคมนาคมโปแลนด์กล่าวยืนยันว่า การเดินทางด้วยรถไฟยังคงมีความปลอดภัย และการปรับปรุงระบบการเดินรถทุกครั้ง รัฐบาลยังคงคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นลำดับแรก และอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นบนเส้นทางที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว", "title": "เหตุรถไฟชนกันที่ชเซโคซินี พ.ศ. 2555" }, { "docid": "6977#17", "text": "การทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 643 ที่เมืองชาลันธร แต่บางหลักฐานก็กล่าวว่าทำที่กัศมีร์หรือแคชเมียร์ การสังคายนาครั้งนี้มีลักษณะของศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามาผสม ทำให้ฝ่ายเถรวาทไม่นับว่าเป็นหนึ่งในการสังคายนา", "title": "พระไตรปิฎกภาษาบาลี" }, { "docid": "111404#1", "text": "วงคอร์น (Korn) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2536 ที่ฮันทิงตัน บีช ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยมือกีตาร์อย่าง เจมส์ \"มันกี้\" แชฟเฟอร์ (James \"Munky\" Shaffer)และ ไบรอัน \"เฮด\" เวลช์ (Brian \"Head\" Welch) มือกีตาร์และร้องนำเดินทางกลับมายังบ้านเกิด ณ เมือง เบเคอร์สฟิลด์ (Bakersfield) เพื่อเยี่ยมเยือนนักร้อง นำแห่งวงดนตรีท้องถิ่นที่มีชื่อว่า วงเซ็กอาร์ท (Sexart) นั่นก็คือ โจนาธาน เดวิส (Jonathan Davis) โดยขณะนั้น เดวิส ทำงานประจำ เป็นผู้ช่วยพนักงานสืบสวนอาชญากรรม ทั้ง แชฟเฟอร์ และ เวลช์ ชักชวน เดวิส มาเป็นนักร้องนำ และยังได้ชักชวน เดวิด ซิลเวอเรีย (David Silveria) มาเป็นมือกลอง และ เรจินัลด์ \"ฟิลดี้\" อาร์วิซู (Reginald \"Fieldy\" Arvizu) มาเป็นมือเบส", "title": "คอร์น" }, { "docid": "668488#1", "text": "เพลงทั้งหมดแต่งโดยเชสเตอร์ เบนนิงตัน, อาเมียร์ เดแรก, ไรอัน ชัก และ แอนโทนี แวลคิก", "title": "เอาต์ออฟแอชิส" }, { "docid": "604117#0", "text": "อมาเดอุส () เป็นภาพยนตร์ใน ค.ศ. 1984 แนวชีวิตและย้อนยุคทางประวัติศาสตร์ กำกับโดยมิโลช โฟร์มัน เขียนโดยปีเตอร์ แชฟเฟอร์ ดัดแปลงมาจากบทละครเวทีเรื่อง \"อมาเดอุส\" (ค.ศ. 1979) ของปีเตอร์ แชฟเฟอร์ รูปแบบของอเล็กซานเดอร์ พุชกิน เรื่อง \"Mozart i Salieri\" (Моцарт и Сальери, 1830) ซึ่งการแต่งเพลงของอันโตนีโอ ซาลีเอรี ได้รับรู้ความเป็นอัจฉริยะของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท แต่ก็อัดอั้นมาจากความภูมิใจและริษยา เรื่องนี้ตั้งอยู่ในเวียนนา ออสเตรีย ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18", "title": "อมาเดอุส" }, { "docid": "845857#0", "text": "มุฮัมมัด แอดเมียร์ เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1998 เป็นนักคริกเกตชายชาวปากีสถาน ซึ่งเริ่มเล่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 ในตำแหน่งแบทส์แมน ของทีมลาฮอร์", "title": "มุฮัมมัด แอดเมียร์ (นักคริกเกต)" }, { "docid": "224858#26", "text": "นี-โย มีบุตรชายกับแฟนสาวในปี 2005 โดยตั้งชื่อว่า ชิเมียร์ ตามชื่อกลางของนี-โย[3] ถึงแม้ว่านี-โย จะชื่อว่าเขาเป็นพ่อของเด็ก แต่ภายหลังก็ได้พบว่าไม่ใช่ลูกของเขาเอง ซึ่งต่อมาก็ได้ทำการดำเนินคดีกับแม่ของเด็ก[50]", "title": "นี-โย" }, { "docid": "122502#6", "text": "ภาษาโดกรี ภาษาแคชเมียร์ ภาษาปัญจาบ ภาษาอูรดู และภาษาฮินดี ต่างเป็นภาษาที่ใช้พูดในบริเวณที่มีความขัดแย้งสูง ทำให้เกิดปัญหาว่าภาษาเหล่านี้เป็นภาษาเอกเทศหรือสำเนียง ในบางครั้งถือว่าภาษาปาหารีตะวันตกเป็นสำเนียงของภาษาปัญจาบ ภาษาปาหารีตะวันตกบางสำเนียงเช่นรัมบานี เคยถูกจัดเป็นสำเนียงของภาษาแคชเมียร์ ในบางครั้งภาษาปัญจาบก็เคยถูกจัดเป็นสำเนียงของภาษาฮินดี นักภาษาศาสตร์สมัยใหม่จัดให้ภาษาโดกรี ภาษาแคชเมียร์ ภาษาปัญจาบ ภาษาอูรดู และภาษาฮินดีเป็นภาษาเอกเทศในภาษากลุ่มอินโด-อิหร่าน ภาษาเหล่านี้จะมีภาษามาตรฐานที่ใช้ในการเขียนและมีสำเนียงย่อยๆอีกมาก", "title": "ภาษาโดกรี" }, { "docid": "54331#1", "text": "เจนเซน แอคเคิลส์ เกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) ที่เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเขา อลัน แอคเคิลส์และแม่ของเขา ดอนน่า แชฟเฟอร์ เขามีเชื้อสายนักแสดงจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ยังเล็ก โดยได้เป็นนายแบบตั้งแต่ยังเด็ก ๆ", "title": "เจนเซน แอคเคิลส์" }, { "docid": "275500#0", "text": "แผ่นดินไหวที่แคชเมียร์ พ.ศ. 2548 เกิดเมื่อเวลา 08:52:37 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับ 03:52:37 น. UTC) ของวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ที่เขตอาซาด แคชเมียร์ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปากีสถาน ใกล้ชายแดนอินเดีย มีจุดศูนย์กลางอยู่ใกล้กับเมืองมูซัฟฟาราบัด เมืองหลวงของแคว้น ด้วยความรุนแรง 7.6", "title": "แผ่นดินไหวในแคชเมียร์ พ.ศ. 2548" }, { "docid": "580742#0", "text": "แนซ อายเดเมียร์ อัคยอล () เกิดวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1990 ที่อิสตันบูล เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลชาวตุรกี ซึ่งมีส่วนสูงถึง 186 ซม. และทำหน้าที่ในตำแหน่งมือเซตให้แก่วาคีฟบังค์สปอร์กูลือบือซึ่งเป็นทีมแชมป์ยุโรปในปัจจุบันตลอดจนเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติตุรกี เธอเคยชนะการแข่งขันลีกหนึ่งรายการร่วมกับทีมเฟแนร์บาห์เช กับอีกสามรายการแข่งขันร่วมกับทีมเอซาชีบาแชแซนทีวา เธอเป็นมือเซตที่มีอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ในฐานะผู้เริ่มต้น นอกจากนี้ เธอยังชนะการแข่งขันซีอีวีแชมเปียนส์ลีกสองสมัยในปี ค.ศ. 2012 และ 2013", "title": "แนซ อายเดเมียร์" }, { "docid": "745933#3", "text": "ในภูมิภาคแห่งนี้ เมื่อเดือนเมษายนปีเดียวกันก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 M มีจุดเหนือศูนย์กลางอยู่ในประเทศเนปาล ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 9,000 คน เป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปีของประเทศ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ครั้งหนึ่งในพื้นที่ใกล้เคียงกันกับครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 แผ่นดินไหวขนาดใกล้เคียงกัน (7.6 M) จุดศูนย์กลางอยู่ในแคชเมียร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 87,351 คน ประชากร 2,800,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย ข้อสังเกตคือแผ่นดินไหวครั้งนั้นมีจุดศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปเพียง 15 กิโลเมตร เทียบกับแผ่นดินไหวครั้งนี้ที่มีจุดศูนย์กลางลึกลงไปกว่า 212.5 กิโลเมตร\nแผ่นดินไหวหลักในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 13:39 น. ตามเวลาในประเทศอัฟกานิสถาน (09:09 UTC) ที่ความลึกจากผิวดิน 212.5 กิโลเมตร จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองฟายซาบัด (ประชากร 44,000 คน) เมืองหลักของจังหวัดบาดัคชาน ประเทศอัฟกานิสถาน ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 82 กิโลเมตร สำนักธรณีวิทยาสหรัฐอเมริกา (USGS) วัดความรุนแรงครั้งแรกได้ 7.7 ตามมาตราขนาดโมเมนต์ ต่อมาปรับลดขนาดลงเหลือ 7.6 และปรับลดครั้งล่าสุดเหลือ 7.5 M", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศอัฟกานิสถาน พ.ศ. 2558" }, { "docid": "28087#0", "text": "โบโรเมียร์ เป็นตัวละครตัวหนึ่งในนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ งานประพันธ์ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในหนังสือภาคแรกและช่วงต้นของภาคที่สอง \nโบโรเมียร์เป็นมนุษย์ชาวกอนดอร์ บุตรชายคนโตของเดเนธอร์ สจ๊วตแห่งกอนดอร์คนสุดท้าย และเป็นพี่ชายของฟาราเมียร์ เขาเกิดในปีที่ 2978 ของยุคที่สาม มีร่างกายสูงใหญ่ ผมสีดำ นัยน์ตาสีเทา เป็นผู้ทระนงองอาจ เก่งกล้าในการรบ และมีความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของอาณาจักรแห่งชาวดูเนไดน์มาก โบโรเมียร์ได้เป็นผู้นำกองกำลังชาวกอนดอร์เข้าต่อกรกับทัพของเซารอนหลายครั้ง ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังริเวนเดลล์ เนื่องจากนิมิตฝันที่มองเห็น \"ยมทูตแห่งอิซิลดูร์\"", "title": "โบโรเมียร์" }, { "docid": "956418#4", "text": "หลังเสร็จสิ้นสงครามอิมจิน โทะโยะโทะมิแพ้ราบคาบ ฮิเดะโยะชิก็เสียชีวิตในปีค.ศ.1598 ก็เกิดศึกเซกิงาฮาระขึ้นในปีค.ศ.1600 แต่ก่อนที่จะเกิดศึกนั้น ตัวของชิมะสุ โยชิฮิโระอยู่ที่โอซาก้าซึ่งมีทหารแค่น้อยนิดทำให้โยชิฮิโระในตอนแรกนั้นคิดทำเซ็ปปุกุปลิดชีวิตตนเอง แต่เมื่อชิมะสุ โทโยฮิสะผู้หลานเข้ามาช่วย โยชิฮิโระจึงเปลี่ยนใจและเดินทัพไปที่ปราสาทฟุชิมิซึ่งอยู่ในเขตของตระกูลโทกุงาวะเพื่อขอสวามิภักดิ์ แต่เนื่องจากโมริอิ โมโตทาดะ ทหารของโทกุงาวะ อิเอยาสุซึ่งเป็นเจ้าเมืองนั้นยังไม่ทราบเรื่องจึงไม่ให้เข้าเมือง ทำให้ชิมะสุ โยชิฮิโระต้องจำใจเข้าตีปราสาทฟุชิมิและเข้าร่วมกับอิชิดะ มิตสึนาริในที่สุด", "title": "ชิมะสุ โยชิฮิโระ" }, { "docid": "351659#0", "text": "อาเมียร์ ข่าน () นักมวยสากลชาวอังกฤษเชื้อสายปากีสถาน มีชื่อเต็มว่า อาเมียร์ อิคบอล ข่าน (อูรดู: امیر اقبال خان, Amir Iqbal Khan) เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1986 ที่เมืองโบลตัน ในเกรท แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ โดยครอบครัวนั้นเป็นชาวปากีสถานที่มาตั้งรกรากอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีต้นตระกูลมาจากเมืองราวัลปินดี", "title": "อาเมียร์ ข่าน" }, { "docid": "449286#0", "text": "โบลตัน () เป็นเมืองในเกรตเตอร์แมนเชสเตอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ ทางตะวันตกของเมืองแมนเชสเตอร์ เมืองโบลตันมีประชากร 139,403 คน โบลตัน มีความโดดเด่นด้านการกีฬา มีสโมสรฟุตบอลโบลตันวันเดอเรอส์ และมีนักมวยแชมป์โลกจากสมาคมมวยโลก รุ่นไลต์เวลเตอร์เวท อาเมียร์ ข่าน เกิดที่เมืองแห่งนี้", "title": "โบลตัน" }, { "docid": "355296#9", "text": "เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ทำประตูแรกในแชมเปียนส์ลีก โดยชิปข้าม อันดรีย์ ปีอาตอฟ (Andriy Pyatov) ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ในรอบแบ่งกลุ่มที่เจอกับสโมสรฟุตบอลชาคห์ตาร์โดเนตสค์ ชนะไป 5-1[33] เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ได้เซ็นสัญญาระยะยาวฉบับใหม่[34] เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 วิลเชียร์ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดอาร์เซนอลพบสโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา ชนะไป 4–2 วิลเชียร์ได้รับคำชมในผลงานที่แข่งกับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา โดยทีมชนะไป 2-1 ในนัดนี้เขาส่งผ่าน 93.5% โดย 91% เกิดขึ้นใน 1 ใน 3 ส่วนของสนาม ในแดนคู่แข่ง[35][36][37] ผู้จัดการทีมอาร์เซนอลอาร์แซน แวงแกร์ พูดถึงผลงานครั้งนี้ของเขาว่า \"โดดเด่น\"[38] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 วิลเชียร์ได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งแห่งปีจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ และยังอยู่ในรายชื่อทีมแห่งปีของฤดูกาล 2011 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอื่นของอาร์เซนอล ซาเมียร์ นาสรีและบาการี ซาญา[39]", "title": "แจ็ก วิลเชียร์" }, { "docid": "275500#2", "text": "แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก บริเวณอาซาด แคชเมียร์ เป็นบริเวณที่บรรจบกันของแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียนกับแผ่นเปลือกโลกอินเดียน ที่ก่อให้เกิดเทือกเขาหิมาลัย", "title": "แผ่นดินไหวในแคชเมียร์ พ.ศ. 2548" }, { "docid": "95816#3", "text": "ใน ค.ศ. 1868 เกิดการปฏิรูปเมจิ ระบอบโชกุนล่มสลาย และอำนาจสูงสุดหวนกลับคืนสู่องค์จักรพรรดิ ชิบะกลายเป็นเมืองศูนย์กลางของการเมือง การคมนาคม และวัฒนธรรมของพื้นที่ในแถบนี้ ทั้งที่เริ่มแรกชิบะเป็นเพียงตำบลที่เกิดจากหลายหมู่บ้านมารวมกัน การเจริญเติบโตของชิบะดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 1944 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ชิบะกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านการผลิตยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัย ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุให้ชิบะตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายในการทิ้งระเบิดของสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามสิ้นสุด ชิบะทั้งเมืองถูกทำลายเกือบหมด อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามมีการการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนานใหญ่และนำไปสู่การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมเคโย ซึ่งส่งผลทำให้เมืองชิบะไดรับสถานะเป็นเมืองโดยข้อบังคับในปี ค.ศ. 1992", "title": "ชิบะ (เมือง)" }, { "docid": "191715#8", "text": "รีดเริ่มต้นงานผู้จัดการทีมแบบเต็มตัวในฤดูกาล 1995-1996 เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์ในดิวิชั่น1(ปัจจุบันคือ ลีกแชมเปี้ยน ชิพ)ซึ่งเป็นทีมที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นแต่ปีเตอร์ รีดกลับพาทีมได้แชมป์และคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นพรีเมียร์ ลีกแบบพลิกความคาดหมายทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลซันเดอร์แลนด์อย่างมาก แม้จะเลื่อนชั้นขึ้นมาปีเดียวแล้วสโมสรตกชั้นก็ตาม ", "title": "ปีเตอร์ รีด" }, { "docid": "3101#11", "text": "แต่ละโครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมาทิด ที่เหมือนกัน ซึ่งเกิดจากการที่โครโมโซมจำลองตัวเองในระยะอินเตอร์เฟส (Interphase) เพื่อจะแยกออกจากกันในระยะแอนาเฟส anaphase ของการแบ่งเซลล์ โครมาทิดทั้งสองจะติดกันอยู่ตรงส่วนที่เรียกว่า เซนโทรเมียร์ (Centromere) รวมเรียกเซนโทรเมียร์แบ่งเป็น 2 ส่วน แต่ละโครมาทินก็เรียกว่าโครโมโซม นั่นคือ 1 โครโมโซม มี 1 เซนโทรเมียร์ โครโมโซม ของเซลล์ร่างกายจะอยู่กันเป็นคู่ ๆ แต่ละคู่เรียกว่า โฮโมโลกัสโครโมโซม (Homologous Chromosome)", "title": "โครโมโซม" }, { "docid": "13813#1", "text": "ด้วยความเจริญเติบโตของเมืองในยุคอุตสาหกรรมเฟื่องฟู อาคารที่เกิดขึ้นในเมืองชิคาโกส่วนมากเป็นอาคารระฟ้า (Skyscrapers) เพื่อความต้องการของเมือง อาคารระฟ้าของกลุ่มชิคาโกสคูลจึงเกิดขึ้นมากมาย รูปแบบของงานสถาปัตยกรรมสามารถตอบสนองการใช้งานของอาคารได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบโครงสร้าง แบบถ่ายน้ำหนัก (Post and Lintel) ", "title": "สถาปัตยกรรมตระกูลชิคาโก" }, { "docid": "224858#0", "text": "แชฟเฟอร์ ชิเมียร์ สมิธ (English: Shaffer Chimere Smith) หรือเป็นที่รู้จักในนาม นี-โย (English: Ne-Yo) เกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1979 เป็นนักร้องเพลงแนวอาร์แอนด์บี นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง และนักแสดงชาวอเมริกัน นี-โยมีชื่อเสียงด้านการแต่งเพลงเมื่อเขาแต่งเพลง \"เล็ตมีเลิฟยู\" ให้กับมาริโอ ความสำเร็จดังกล่าวทำให้นี-โยได้พบกับหัวหน้าค่ายเดฟแจม และเซ็นสัญญาด้วย", "title": "นี-โย" }, { "docid": "776707#0", "text": "การแข่งขันออลอิงแลนด์ โอเพ่น ซูเปอร์ซีรีส์ พรีเมียร์ 2016 เป็นการแข่งขันแบดมินตันรายการแรกของระดับซูเปอร์ซีรีส์ ประจำปี พ.ศ. 2559 การแข่งขันออลอิงแลนด์ โอเพ่น ครั้งนี้จัดขึ้นที่ เมืองเบอร์มิงแฮม ,ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 8 ถึง 13 มีนาคม พ.ศ. 2559 ผู้ชนะเลิศของการแข่งขันในรายการนี้จะได้รับเงินรางวัล 550,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 19,250,000 บาท", "title": "ออลอิงแลนด์ โอเพ่น ซูเปอร์ซีรี่ส์ พรีเมียร์ 2016" }, { "docid": "388562#0", "text": "ศรีนคร (แคชเมียร์: سری نگر; อูร์ดู: شرینگر; โดกรี: श्रीनगर; ) เป็นเมืองหลวงของรัฐทางเหนือสุดของอินเดีย รัฐชัมมูและกัศมีร์ ตั้งอยู่ในหุบเขาแคชเมียร์ บนฝั่งแม่น้ำเฌลัม สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,600 เมตร เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สุดของอินเดียที่ไม่ได้นับถือศาสนาฮินดู โดยมีมุสลิม 97% เมืองมีประชากร 894,940 คน (ค.ศ. 2001) เมืองผลิตพรม ไหม เงิน เครื่องหนัง ภาชนะทองแดง มีการแกะสลักไม้ การท่องเที่ยว", "title": "ศรีนคร" }, { "docid": "32286#0", "text": "นครฮิโรชิมะ () คือเมืองเอกของจังหวัดฮิโรชิมะ และยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชูโงกุทางตะวันตกของเกาะฮนชู และยังเป็นเมืองแรกของโลกที่ถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ โดยเครื่องบิน บี-29 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้นครฮิโรชิมะเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ และอนุสาวรีย์ของเด็กหญิงซาดาโกะผู้ทำให้เกิดประเพณีการพับนกกระเรียนกระดาษพันตัว เพื่อภาวนาให้หายป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บ นามของเมืองว่า \"ฮิโรชิมะ\" (広島) นั้น มีความหมายว่า \"เกาะที่กว้างใหญ่ไพศาล\"", "title": "ฮิโรชิมะ" }, { "docid": "781217#0", "text": "นอร์มาน คาสเมียร์ (เกิด 16 ตุลาคม ค.ศ. 1930) เป็นนักกีฬาฟันดาบชาวเยอรมัน นอร์มานได้เข้าร่วมการแข่งขันประเภทเดี่ยว และ ประเภททีม ประเภทดาบเล็กเรียว ในการแข่งขัน โอลิมปิกฤดูร้อน 1952", "title": "นอร์มาน คาสเมียร์" }, { "docid": "294727#3", "text": "อาเมียร์เป็นเด็กชายชาวพาชทุนผู้มีฐานะดี และ ฮะซันเด็กชายชาวฮาซาราเป็นลูกของผู้รับใช้ของบิดาของอาเมียร์ใช้เวลาวัยเด็กเติบโตขึ้นในคาบูลด้วยกันในช่วงเวลาที่บ้านเมืองยังสงบสุข -- วิ่งเล่นกันตามถนนซอกซอย บิดาของอาเมียร์ (ในเรื่องกล่าวถึงในเรื่องว่า “บาบา” ตลอดเรื่อง) รักเด็กชายทั้งสองคนแต่ดูเหมือนมักจะติเตียนอาเมียร์ว่าเป็นเด็กที่ไม่มีความแข็งแกร่งหรือความเป็นชายพอ อาเมียร์หวั่นกลัวในใจว่าบิดาอาจจะโทษตนเองว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของมารดาขณะที่ให้กำเนิดอาเมียร์ แต่อาเมียร์ก็มีบุคคลที่เป็นเสมือนบิดาชื่อราฮีม ข่าน (เพื่อนของบาบา) ผู้ที่มีความเข้าใจในตัวของอาเมียร์มากกว่าบิดา และเป็นผู้สนับสนุนความชอบเขียนหนังสือของอาเมียร์ อาเมียร์เล่าให้ผู้อ่านฟังว่าคำแรกของตนคือ 'บาบา' และคำแรกของฮะซันคือ 'อาเมียร์' ที่เป็นนัยยะว่าอาเมียร์มีความนิยมและชื่นชมในตัว 'บาบา' เป็นที่สุด ขณะที่ฮะซันชื่นชมในตัว 'อาเมียร์' ", "title": "เด็กเก็บว่าว" } ]
372
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซียคืออะไร?
[ { "docid": "19452#0", "text": "กัวลาลัมเปอร์ (Malay: Kuala Lumpur, อักษรยาวี: كوالا لومڤور, ออกเสียงตามภาษามลายูว่า กัวลาลุมปูร์) เป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซียและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศด้วย ภายในมาเลเซียเอง กัวลาลัมเปอร์มักจะเรียกย่อ ๆ ว่า KL", "title": "กัวลาลัมเปอร์" } ]
[ { "docid": "440737#0", "text": "สายการบินแอร์เอเชีย เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซีย และเป็นสายการบินที่ให้บริการด้วยค่าโดยสารที่ถูกที่สุดในเอเชีย[4] กลุ่มแอร์เอเชีย ดำเนินการให้บริการเที่ยวบินทั่งในประเทศ และ ระหว่างประเทศ โดยมีจุดหมายปลายทางมากกว่า 400 เมืองใน 25 ประเทศ และมีท่าอากาศยานหลักคือ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ โดยให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร อาคาร KLIA2 และยังมีสายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินอินโดนีเซียแอร์เอเชีย เข้ามาใช้บริการร่วมด้วย แอร์เอเชียมาเลเซีย มีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่เปอตาลิงจายา รัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซีย และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์[5][6] แอร์เอเชียมีแผนจะเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียนในจาการ์ตา ในปี พ.ศ. 2554[7]ขณะเดียวกันยังคงรักษาสำนักงานใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์เอาไว้ด้วย[8]", "title": "แอร์เอเชีย" }, { "docid": "723621#2", "text": "ทางด่วนมาเลเซียมีทั้งในมาเลเซียตะวันตกและมาเลเซียตะวันออก ทางด่วนสายหลักของมาเลเซียตะวันตก คือ ทางด่วนเหนือ–ใต้มีเส้นทางผ่านเมืองใหญ่ต่าง ๆ และเขตเมืองในมาเลเซียตะวันตก เช่น รัฐปีนัง อีโปะฮ์ กลังแวลลีย์ และยะโฮร์บาห์รู ส่วนของมาเลเซียตะวันออก คือ ทางหลวงสายแพน-บอร์เนียว เชื่อมต่อรัฐซาบะฮ์และรัฐซาราวะก์ของมาเลเซียกับประเทศบรูไน", "title": "ทางด่วนในประเทศมาเลเซีย" }, { "docid": "14017#0", "text": "เกอดะฮ์ (Malay: Kedah, قدح) หรือ ไทรบุรี[3][4] มีชื่อเฉลิมเมืองเป็นภาษาอาหรับว่า ดารุลอามัน (\"ถิ่นที่อยู่แห่งสันติภาพ\") เป็นรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซียตะวันตก ครอบคลุมขนาดเนื้อที่ 9,425 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบใช้สำหรับปลูกข้าว รวมทั้งเกาะลังกาวี", "title": "รัฐเกอดะฮ์" }, { "docid": "16419#12", "text": "อำเภอเบตงตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาสันกาลาคีรี มีลักษณะคล้ายหัวหอกพุ่งไปอยู่ในดินแดนประเทศมาเลเซีย มีพื้นที่เป็นที่ราบสูงเนินเขา ลุ่มน้ำ สภาพของเมืองเบตงตั้งอยู่ในหุบเขา มีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะที่โอบล้อมด้วยหุบเขาน้อยใหญ่ พื้นที่ทั่วไปสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 ฟุต ตัวเมืองเบตงอยู่ห่างจากด่านชายแดนเบตงเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีความสำคัญด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้า เป็นเมืองหน้าด่านที่จะนำสินค้าเข้าออกไปยังท่าเรือน้ำลึกปีนังของมาเลเซีย", "title": "อำเภอเบตง" }, { "docid": "50090#0", "text": "อำเภอหาดใหญ่ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสงขลา เป็นที่ตั้งของเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของไทย และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของภาคใต้ หาดใหญ่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในหลายด้าน เป็นเมืองท่องเที่ยวและจุดสินค้าหลักในภาคใต้/หลากหลายราคาถูกและครบครัน..ที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะแถบประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีน และอินเดีย บรูไน", "title": "อำเภอหาดใหญ่" }, { "docid": "765397#2", "text": "ส่วนใหญ่แล้ว ทางหลวงสหพันธ์มาเลเซียเป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร มีการจราจรเป็นระบบซ้ายมือ คือขับทางด้านซ้ายของถนน อย่างไรก็ตาม ในบางสายก็ได้มีการเพิ่มช่องจราจร ในเขตเมือง ทางหลวงสหพันธ์อาจเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการจราจร ถ้าอยู่ในเขตเนินเขา จะมีการเพิ่มช่องจราจรสำหรับยานพาหนะความเร็วต่ำ เช่น รถโดยสาร รถบรรทุก", "title": "ระบบทางหลวงสหพันธ์มาเลเซีย" }, { "docid": "220518#14", "text": "ในระหว่างเกมกระชับมิตรทัวร์เอเชียที่เชลซี พบกับ ทีมชาติมาเลเซีย ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2011-12 เบนายูนถูกเสียงโห่น้องเหยียดเชื้อชาติอิสราเอล ทุกครั้งที่สัมผัสบอล ในช่วงการลงสนามในครึ่งแรก จากที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมาเลเซีย เป็นนับถือศาสนาอิสลาม และเป็นชาวมุสลิม โดยให้การสนับสนุน ปาเลสไตน์ ซึ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเวลานานกับอิสราเอล โดยผู้ชมส่วนน้อยใน สนามกีฬาแห่งชาติบูกิตจาลิล", "title": "ยอสซี เบนายูน" }, { "docid": "343281#0", "text": "เซอลาโงร์ (, อักษรยาวี: ) เป็นหนึ่งในสิบสามรัฐที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธ์มาเลเซีย ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของคาบสมุทรมลายู และล้อมรอบกัวลาลัมเปอร์ไว้ทั้งหมด อาณาเขตของรัฐเซอลาโงร์ ทิศเหนือติดรัฐเปรัก ทิศตะวันออกติดรัฐปะหัง ทิศตะวันตกติดช่องแคบมะละกา ทิศใต้ติดรัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน เมืองหลวงของเซอลาโงร์ชื่อ ชะฮ์อาลัม เมืองเจ้าผู้ครองชื่อ กลัง เป็นรัฐทีใหญ่อันดับ 9 ของมาเลเซีย อีกเมืองหนึ่งที่สำคัญของเซอลาโงร์คือเปอตาลิงจายา ซึ่งได้รับเป็นสถานะเป็นเมืองดีเด่นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2006", "title": "รัฐเซอลาโงร์" }, { "docid": "4529#27", "text": "เมืองสายบุรี ใช้ตราหนู เมืองสายบุรีเป็นเมืองเก่าบนฝั่งแม่น้ำสายบุรี ประกอบด้วยชุมชนเกษตรกรรมบนพื้นราบริมทะเลหลายแห่ง จัดเป็นหัวเมืองที่ 1 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราหนู (ชวด) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นอำเภอในจังหวัดปัตตานี เมืองปัตตานี ใช้ตราวัว เมืองตานีเคยเป็นเมืองท่าสำคัญในภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งรู้จักในหมู่พ่อค้าต่างชาติช่วงพุทธศตวรรษที่ 10-18 ในชื่อ \"ลังกาสุกะ\" จัดเป็นหัวเมืองที่ 2 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราวัว (ฉลู) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดปัตตานี เมืองกลันตัน ใช้ตราเสือ เมืองกลันตันเป็นชุมชนเก่าแก่ทางตะวันออกของคาบสมุทรมลายู แต่เดิมประชาชนนับถือศาสนาพุทธและฮินดู ในราวพุทธศตวรรษที่ 21 จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม จัดเป็นหัวเมืองที่ 3 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราเสือ (ขาล) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย เมืองปะหัง ใช้ตรากระต่าย เมืองปะหังเป็นชุมชนทางตอนล่างของแหลมมลายู ติดกับไทรบุรีหรือเกดะห์ จัดเป็นหัวเมืองที่ 4 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตรากระต่าย (เถาะ) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย เมืองไทรบุรี ใช้ตรางูใหญ่ เมืองไทรบุรีเป็นชุมชนเก่าทางฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและบึงตม เดิมประชาชนนับถือพุทธศาสนา ล่วงถึงพุทธศตวรรษที่ 20 จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม จัดเป็นหัวเมืองที่ 5 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตรางูใหญ่ (มะโรง) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ชื่อว่า \"เกดะห์\" เมืองพัทลุง ใช้ตรางูเล็ก เมืองพัทลุงเป็นชุมชนเก่าแก่แต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ 11-13 ได้รับอิทธพลทางพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชอย่างต่อเนื่องทุกยุคสมัย จัดเป็นหัวเมืองที่ 6 ในทำเนียบสิบสองนักษัตร ถือตรางูเล็ก (มะเส็ง) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดพัทลุง เมืองตรัง ใช้ตราม้า เมืองตรังเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันตก ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ที่ควนธานี ต่อมาได้ย้ายไปที่กันตังและทับเที่ยงตามลำดับ จัดเป็นหัวเมืองที่ 7 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราม้า (มะเมีย) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดตรัง เมืองชุมพร ใช้ตราแพะ เมืองชุมพรเป็นชุมชนเกษตรและท่าเรือบนคาบสมุทรขนาดเล็ก มีประชากรไม่มากนักเนื่องจากดินฟ้าอากาศไม่อำนวยให้ทำมาหากิน จัดเป็นหัวเมืองที่ 8 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราแพะ (มะแม) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดชุมพร เมืองบันทายสมอ ใช้ตราลิง เมืองบันทายสมอสันนิษฐานว่าเป็นเมืองไชยา ซึ่งเป็นชุมชนใหญ่มาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๐ เป็นอย่างน้อย มีร่องรอยความเจริญทางเศรษฐกิจและศาสนาพุทธนิกายหินยานและมหายาน รวมทั้งศาสนาฮินดูนิกายไวษณพและนิกายไศวะ จำนวนมาก จัดเป็นหัวเมืองที่ 9 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราลิง (วอก) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองสะอุเลา ใช้ตราไก่ เมืองสะอุเลาสันนิษฐานว่าเป็นเมืองท่าทองอุแทหรือกาญจนดิษฐ์ ซึ่งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าทอง และลุ่มคลองกะแดะ เคยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงชั้นเอกและเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญของนครศรีธรรมราช จัดเป็นหัวเมืองที่ 10 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราไก่ (ระกา) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคืออำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองตะกั่วป่า ใช้ตราสุนัข เมืองตะกั่วป่าเคยเป็นเมืองท่าสำคัญทางฝั่งทะเลตะวันตก เป็นแหล่งผลิตดีบุกและเครื่องเทศมาแต่โบราณ จัดเป็นหัวเมืองที่ 11 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราสุนัข (จอ) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคืออำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เมืองกระบุรี ใช้ตราหมู เมืองกระบุรีเป็นชุมชนเล็ก ๆ บนฝั่งแม่น้ำกระบุรี ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่า และภูเขาสลับซับซ้อน จัดเป็นหัวเมืองที่ 12 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราสุกร (กุน) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นอำเภอในจังหวัดระนอง", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "78613#3", "text": "ต่อมาเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ล่องใต้มาตรวจราชการที่ ตำบลสุไหงโก-ลก นายวงศ์ ไชยสุวรรณ ร้องขอให้ตั้งเป็นเทศบาล ฯ พณ ฯ นายกรัฐมนตรีเห็นด้วย ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะตำบลสุไหงโก-ลก เป็นเทศบาลตำบลสุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 มีนายวงศ์ ไชยสุวรรณ เป็นนายกเทศมนตรีคนแรก เหตุการณ์นี้พระครูสุนทรธรรมภาณีได้เขียนคำกลอนบันทึกไว้ว่า\nใน พ.ศ. สองสี่แปดสิบสาม นายกนามจอมพล ป. พิบูลย์ศรี \nออกเที่ยวตรวจราชการงานที่มี มาถึงแดนโก-ลก โชคดีแรง \nกำนันวงศ์ร้องขอต่อ พณ,ท่าน ขอเปิดการเทศบาลขึ้นในแขวง \nจอมพล ป. เห็นตามความชี้แจง คุณวงศ์แต่งเปิดเขตเทศบาล \nฯลฯ \nในเจ็ดปีที่คุณวงศ์เป็นนายก สร้างโก-ลกให้สง่าหรูหราแสน \nทำประโยชน์มากมายเมืองชายแดน ตามแบบแปลนที่จะเล่ากล่าวต่อไป \nหนึ่งขอตั้งไปรษณีย์โทรเลข งานชิ้นเอกสร้างสรรค์ทันสมัย \nเรื่องที่สองร้องขอตั้งต่อไป โรงเรียนใหม่ถึงขั้นชั้นมัธยม \nทางกระทรวงศึกษาอนุญาต ความมุ่งมาตรมั่นหมายก็ได้ผล \nฯลฯ \nประการสี่มีข้อขอเสนอ ตั้งเป็นอำเภอปรารถนา \nเพราะโก-ลกคนมากหากเป็นป่า กิจธุระต้องไปสุไหงปาดี \nรัฐบาลเห็นพ้องอนุญาต แจ้งประกาศบอกกระบวนมาถ้วนถี่ \nให้ตั้งก่อนเป็นกิ่งจึงจะดี แต่บัดนี้เป็นอำเภอเสมอกัน \nหลังจากตั้งเทศบาลแล้ว 8 ปี ตำบลสุไหงโก-ลกจึงได้ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นกับอำเภอสุไหงปาดี โดยมีเขตปกครอง 4 ตำบล คือ ตำบลสุไหงโก-ลก ตำบลปูโยะ ตำบลปาเสมัส และตำบลมูโนะ (โอนมาจากอำเภอตากใบ) กระทั่งวันที่ 1 มกราคม 2496 จึงได้ยกฐานะเป็นอำเภอสุไหงโก-ลก มีนายนอบ นพสงศ์ เป็นนายอำเภอคนแรก เขตการปกครอง 4 ตำบลเท่าเดิม ส่วนตำบลสุไหงโก-ลกเป็นเทศบาล ความน่าภูมิใจของเทศบาลนี้คือ เป็นเทศบาลเดียวในประเทศไทยที่จัดตั้งก่อนอำเภอถึง 13 ปีและเกิดจากความต้องการของประชาชน ปัจจุบันเทศบาลตำบลสุไหงโก-ลกได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลกเมื่อ ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา\nประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณใจกลางสวนภูมินทร์ ( สวนรถไฟ ) เป็นพระบรมรูปหล่อสำฤทธิ์สีดำขนาดเท่าพระองค์จริง จัดสร้างโดยกรมศิลปากร เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก และประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาส เมื่อ ประมาณ ปี พ.ศ. 2510 โดยจัดสร้างหันหน้าพระพักต์ไปทางประเทศมาเลเซียแสดงถึงพระบารมีเมตตาเหนือประชาชนชาวสยามที่จะทรงปกป้องแผ่นดินไทยตลอดไปถึงแม้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จสวรรคตไปกว่าร้อยปีแล้วแต่พระบารมีเมตตายังทรงคุ้มครอบประชาชนชาวไทยอยู่ ปัจจุบันเป็นที่เคารพรักและสักการะของชาวเมืองและนักท่องเที่ยวทั่วไป\nเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่สุดปลายริมแม่น้ำโก-ลก มีทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ยามพักผ่อน ออกกำลังกายของประชาชนทั่วไป มีน้ำพุกลางสระน้ำขนาดใหญ่ สวนสุขภาพ เวทีเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ลานออกกำลังแอโรบิก และสวนพันธ์ไม้หายากต่างๆ\nด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ถือเป็นด่านการค้าชายแดน ระหว่างประเทศ ( ประเทศไทย และ ประเทศมาเลเซีย ) ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก สุดปลายถนนเอเชีย 18 โดยมีสะพานมิตรภาพเชื่อมไปยังเมืองลันตูปันจัง ประเทศมาเลเซีย ก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2530 ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ถือเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าสไคญของจังหวัดนราธิวาส และมีขนาดใหญ่รองจากด่านสะเดา ที่จังหวัดสงขลา เป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการสำคัญเช่น ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ที่ 1 ด่านตรวจพืช ด่านตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์บริการท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคใต้เขต 3 และถือเป็นจุดผ่านแดนแห่งที่2 ที่มีสะพานข้ามทางรถไฟเชื่อมไปยังประเทศมาเลเซียอีกด้วย โดยมีเขตสถานีรถไฟอยู่ในประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย ( ปัจจุบันหยุดเดินรถไปแล้ว เนื่องจากปัญหาการเดินรถ )ภายในเขตเทศบาลฯ มีบริการรถจักรยานยนต์รับจ้างสำหรับโดยสารภายในเมือง ส่วนระหว่างอำเภอมีบริการรถสองแถว รถตู้ รถโดยสารประจำทาง", "title": "เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก" }, { "docid": "487281#0", "text": "กวนตัน (Kuantan) เป็นเมืองหลวงของรัฐปะหัง รัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของมาเลเซีย เมืองตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำกวนตัน อยู่ทางทิศตะวันออกของรัฐปะหัง\nเป็นเมืองใหญ่อันดับ9ของมาเลเซีย", "title": "กวนตัน" }, { "docid": "942614#0", "text": "แนวร่วมแห่งความหวัง (, ) พันธมิตรทางการเมืองที่ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 2015 เกิดจากการจับมือกันของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและสายกลางนับเป็นพันธมิตรทางการเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของมาเลเซียและได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรหลังจากมีชัยชนะเหนือ แนวร่วมแห่งชาติ และประธานของพรรค ดร. มาฮาดีร์ บิน โมฮามัด ได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตั้งแต่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2018", "title": "แนวร่วมแห่งความหวัง" }, { "docid": "531148#0", "text": "พรรคเสรีประชาธิปไตย (; ; ) เป็นพรรคการเมืองของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ก่อตั้งที่เมืองตาเวา รัฐซาบะฮ์ โดยเฮียว มินกง ใน พ.ศ. 2532 พรรคนี้เป็นพรรคการเมืองขนาดเล็ก ฐานที่มั่นส่วนใหญ่อยู่ในซาบะฮ์\nพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยมก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2532 ในยุคที่พรรคสหซาบะฮ์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในระดับสหพันธรัฐได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลในซาบะฮ์ พรรคใหม่นี้เข้าร่วมการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2533 แต่ไม่มีผู้ได้รับเลือก ต่อมา ใน พ.ศ. 2534 พรรคประชาธิปไตยเสรีนิยมเข้าร่วมในแนวร่วมแห่งชาติในฐานะพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนในซาบะฮ์ ชง กะห์เกียตได้เป็นประธานพรรค เมื่ออุมโนขยายตัวเข้ามาในซาบะฮ์เพื่อแข่งขันกับพรรคสหซาบะฮ์ พรรคการเมืองอื่นๆในแนวร่วมแห่งชาติที่เคยเข้าร่วมในการเลือกตั้งระดับรัฐ พ.ศ. 2533 เช่น พรรคเบอร์จายาและอุสโนถูกบีบให้สลายตัวและรวมเข้ากับอุมโน", "title": "พรรคเสรีประชาธิปไตย (มาเลเซีย)" }, { "docid": "131346#74", "text": "เขตแดนทางการเมืองที่บริเตนลากไม่สะท้อนชาติพันธุ์หรือศาสนาเดียวกันเสมอไป ส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่อดีตอาณานิคมหลายแห่ง จักรวรรดิบริติชยังทำให้มีการย้ายถิ่นประชากรขนานใหญ่ หลายล้านคนออกจากหมู่เกาะบริเตน โดยประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานของสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่มาจากบริเตนและไอร์แลนด์ ยังมีความตึงเครียดระหว่างประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวของประเทศเหล่านี้กับชนกลุ่มน้อยพื้นเมือง และระหว่างชนกลุ่มน้อยผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวและฝ่ายข้างมากพื้นเมืองในแอฟริกาใต้และซิมบับเว ผู้ตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์จากบริเตนใหญ่ทิ้งร่องรอยในรูปชุมชนชาตินิยมและสหภาพนิยมที่แตกแยกในไอร์แลนด์เหนือ หลายล้านคนย้ายเข้าและออกจากอาณานิคมบริติช โดยมีชาวอินเดียจำนวนมากย้ายถิ่นไปส่วนอื่นของจักรวรรดิ เช่น มาเลเซียและฟิจิ และชาวจีนไปมาเลเซีย สิงคโปร์และแคริบเบียน ประชากรศาสตร์ของบริเตนเองก็เปลี่ยนหลังสงครามโลกครั้งที่สองเนื่องจากมีการเข้าเมืองบริเตนจากอดีตอาณานิคม", "title": "จักรวรรดิบริติช" }, { "docid": "77183#14", "text": "ซึ่งชาวไทยในมาเลเซียนั้นมีความเคารพศรัทธาและความผูกพันกับพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราชมาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว ซึ่งในอดีตอันยาวนานนับตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 เมืองนครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงก์ เป็นแคว้นใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นเป็นเมืองศูนย์กลางในแหลมมลายูมีเมืองบริวารถึง 12 เมืองเรียกว่าเมือง 12 นักษัตร และไทรบุรีหรือเกอดะฮ์แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งใน 12 เมืองบริวาร โดยถือตรงมะโรงหรืองูใหญ่เป็นตราสัญลักษณ์ ประกอบกับทั้งเมืองนครศรีธรรมราชที่ตั้งอยู่ริมฝั่งอ่าวไทย ในขณะที่รัฐไทรบุรีเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรอินเดีย จึงเป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญต่อกัน ผู้คนพลเมืองเดินทางไปมาหาสู่กันเหมือนบ้านพี่เมืองน้องจนมีคำกล่าวที่ติดปากกันสืบมาว่า \"กินเมืองคอน นอนเมืองไทร\" อันเป็นคำกล่าวที่แสดงถึงความผูกพันระหว่างสองเมืองได้เป็นอย่างดียิ่ง และความผูกพันเช่นนี้ก็ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศของความเคารพความศรัทธาของชาวไทยในมาเลเซียที่มีต่อพระบรมธาตุ คนไทยในไทรบุรีมีคติความเชื่อสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณว่า หากใครได้มีโอกาสเดินทางมานมัสการพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราชแล้ว ก็จะได้บุญกุศลมากมายยิ่ง เพราะได้มาถึงศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่ยาวไกลและสมบุกสมบันทุรกันดารยิ่งนัก คนที่เดินทางมาถึงได้ต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในจิตใจ ใครได้มาถึงแล้วกลับไปก็จะกลายเป็นคนที่เป็นยอดคนเลยทีเดียว ยิ่งได้มาบวชหรือพาลูกพาหลานมาบวชด้วยแล้ว ก็จะยิ่งได้กุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก แม้ปัจจุบันการเดินทางจะสะดวกสบาย ด้วยการเดินทางทางรถยนต์ราว 3-4 ชั่วโมง แต่ศรัทธาของพวกเขาก็ยังคงอยู่และสืบทอดมายังคนรุ่นหลัง", "title": "มาเลเซียเชื้อสายไทย" }, { "docid": "933301#0", "text": "สะพานปีนัง (; ; ) หรือทางด่วนหมายเลข 36 เป็นสะพานทางด่วนระยะทาง 13.5 กิโลเมตร ในรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เชื่อมต่อเมืองไปรบนฝั่งแผ่นดินใหญ่ของรัฐ ข้ามช่องแคบปีนัง เชื่อมต่อกับเกลูโกร์บนฝั่งเกาะปีนัง เป็นหนึ่งในสองสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างมาเลเซียตะวันตกกับเกาะ และยังเป็นสะพานที่ยาวที่สุดอันดับสองในประเทศมาเลเซียและอันดับห้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความยาวเหนือน้ำถึง 8.4 กิโลเมตร มีพิธีเปิดสะพานนี้เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1985 ปัจจุบัน ผู้รับสัมปทานและผู้บำรุงรักษา คือ พลัสเอกซ์เพรสเวย์", "title": "สะพานปีนัง" }, { "docid": "1924#18", "text": "ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซียเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 และมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ เอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ คนปัจจุบันคือ นายกฤต ไกรจิตติ ซึ่งเดินทางไปรับหน้าที่เมื่อวันที่ 2 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 นอกจากนี้ ไทยยังมีสถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย 2 แห่ง ได้แก่ (1) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง และ (2) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ซึ่งตั้งสำนักงานในมาเลเซียได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารทั้งสามเหล่าทัพ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สำนักงานแรงงาน และสำนักงานประสานงานตำรวจ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มาเลเซีย", "title": "ประเทศมาเลเซีย" }, { "docid": "122029#0", "text": "ไซเบอร์จายา () เป็นเมืองในประเทศมาเลเซีย อยู่ทางใต้ของกัวลาลัมเปอร์ ทางทิศตะวันตกของปูตราจายา เหตุผลที่ตั้งชื่อเมืองเช่นนี้ เพราะไซเบอร์จายาเป็นเสมือนเมืองแห่งโลกของไซเบอร์ (Cybercity) เนื่องจากเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมด้านสื่อผสม (หรือมัลติมีเดีย) ศูนย์การค้นคว้าและวิจัย (R&D Centers) มหาวิทยาลัยมัลติมีเดีย และสำนักงานใหญ่ด้านปฏิบัติงานของบริษัทนานาชาติที่ต้องการเข้ามาสร้างฐานผลิตหรือทำการค้าในมาเลเซียจากทั่วโลก", "title": "ไซเบอร์จายา" }, { "docid": "182436#0", "text": "ถนนเพชรเกษม () ซึ่งมีระยะทางส่วนใหญ่เป็น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 สายกรุงเทพมหานคร–จุดผ่านแดนถาวรสะเดา (เขตแดนไทย/มาเลเซีย) เป็นทางหลวงแผ่นดินสายประธานของประเทศไทย ที่มีเส้นทางมุ่งสู่ภาคใต้ของประเทศไทย มีระยะทาง 1310.554 กิโลเมตร นับเป็นทางหลวงหรือถนนสายที่ยาวที่สุดในประเทศไทย[1][2] ถนนเพชรเกษมมีเส้นทางเริ่มต้นที่สะพานเนาวจำเนียร (ข้ามคลองบางกอกใหญ่) ตั้งอยู่บนเส้นแบ่งการปกครองระหว่างเขตบางกอกใหญ่กับเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร สิ้นสุดที่จุดผ่านแดนถาวรสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา บริเวณเขตแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย เชื่อมต่อกับทางด่วนเหนือ–ใต้ สายเหนือ ที่เมืองบูกิตกายูฮีตัม รัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย บางช่วงของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงเอเชียสาย 2 และทางหลวงเอเชียสาย 123", "title": "ถนนเพชรเกษม" }, { "docid": "557125#0", "text": "สนามกีฬาชาห์อาลัม () เป็นสนามกีฬามาตรฐานตั้งอยู่ที่เมืองชาห์อาลัม ประเทศมาเลเซีย เป็นสนามที่ใช้ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลเป็นส่วนใหญ่ โดยปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของสมาคมฟุตบอลเซอลาโงร์ (Selangor FA) สโมสรฟุตบอลในมาเลเซียซูเปอร์ลีก มีความจุทั้งหมด 80,000 ที่นั่ง", "title": "สนามกีฬาชาห์อาลัม" }, { "docid": "1924#37", "text": "อย่างไรก็ตาม พลเมืองของประเทศมาเลเซียทั้งเชื้อชาติมลายู อินเดียและจีน ส่วนหนึ่งเห็นว่าควรยกเลิก NEP ไป เพราะเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ ส่วนนักลงทุนต่างชาติตะวันตกเห็นว่า NEP มีผลเสีย เนื่องจากทำให้พวกภูมิบุตรเอาแต่รอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล บ้างก็วิจารณ์กันว่าแท้จริงแล้ว NEP อาจมีเพื่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพรรคอัมโน เนื่องจากเป็นนโยบายที่อำนวยผลประโยชน์ต่อพลเมืองเชื้อสายมลายู ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรค", "title": "ประเทศมาเลเซีย" }, { "docid": "181196#11", "text": "ปี ค.ศ. 1949 ในช่วงแรกของอาชีพนักการเมือง เขาได้เข้ารับงานราชการเป็นที่แรกที่สำนักงานกฎหมายของเมืองอาโลร์เซอตาร์ ต่อมาเมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอัยการก็มีคำสั่งให้ย้ายไปประจำที่ กัวลาลัมเปอร์ และหลังจากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานศาล ในช่วงเวลานั้นได้มีกลุ่มลัทธิชาตินิยมในมลายู ในการต่อต้านสหภาพมาลายาของอังกฤษ (Britain's Malayan Union) นำโดย ดาโต๊ะอันจาฟาร์ (Datuk Onn Jaafar) นักการเมืองของมาเลเซียที่เป็นผู้นำขององค์การประชาชาติมาเลเซียหรือพรรคแนวร่วมแห่งสหพันธ์มลายา (UMNO ที่เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในมาเลเซีย) และท่านตุนกู อับดุล ระฮ์มัน ได้สมัครเข้าร่วมกับพรรคอัมโน (UMNO) ท่านเป็นนักการเมืองเชื้อสายชาวมลายูที่ได้รับความนิยมและยอมรับจนได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสาขาของพรรคอัมโนในรัฐเกอดะฮ์", "title": "ตุนกู อับดุล ระฮ์มัน" }, { "docid": "536459#0", "text": "ลิงกา (; ) เป็นเมืองประมงขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตซรีอามัน รัฐซาราวะก์ ประเทศมาเลเซีย ใกล้กับแม่น้ำลูปาร์ที่ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ ที่นี่การค้าพาณิชย์ส่วนใหญ่มักเป็นกิจการของกลุ่มชนเชื้อสายจีน และมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองแห่งจระเข้ซึ่งมีจำนวนมากและสามารถพบได้ตามลำน้ำทั่วไป", "title": "ลิงกา (มาเลเซีย)" }, { "docid": "3897#21", "text": "โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เป็นแบบเกษตรกรรม ยกเว้นสิงคโปร์และบรูไนซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมาก ในขณะเดียวกันทุกประเทศก็พัฒนาอุตสาหกรรมจนมีความก้าวหน้าไปมาก เช่น ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเมืองใหญ่ที่สำคัญหลายเมือง เช่น จาการ์ตา (เมืองใหญ่ที่สุดในภูมิภาค) กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา โฮจิมินห์ซิตี ฮานอย ปูตราจายา กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ บันดาร์เซอรีเบอกาวัน ภูเก็ต เป็นต้น", "title": "ทวีปเอเชีย" }, { "docid": "282763#1", "text": "จัดเป็นปลาปักเป้าอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ โดยขนาดใหญ่ที่สุดพบยาวถึง 19.4 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบได้เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีรายงานจากทะเลสาบสงขลา เป็นปลาที่พบชุกชุมในบางฤดูกาลบริเวณลำคลองรอบ ๆ ป่าพรุโต๊ะแดง ที่จังหวัดนราธิวาส และพบเรื่อยไปจนถึงมาเลเซียจนถึงอินโดนีเซีย โดยมีการตั้งชื่อสายพันธุ์ตามชื่อเมืองที่ค้นพบครั้งแรก คือ เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตราใต้", "title": "ปลาปักเป้าท้องตาข่าย" }, { "docid": "908177#0", "text": "อำเภอบินตูลู () เป็นหนึ่งใน 2 อำเภอของเขตบินตูลู, รัฐซาราวะก์, ประเทศมาเลเซีย มีพื้นที่รวมประมาณ 7,220.40 ตารางกิโลเมตร มีเมืองขนาดใหญ่ที่สุด 2 เมือง คือ เมืองบินตูลู และเมืองเซอบาอูห์ มีหน่วยปกครองย่อยที่ขึ้นตรงต่ออำเภอบินตูลู 1 แห่ง คือ ตำบลเซอบาอูห์ ", "title": "อำเภอบินตูลู" }, { "docid": "519037#0", "text": "ซันดากัน (; ) มีชื่อเดิมว่า เอโลปูรา () เป็นเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งของรัฐซาบะฮ์ ประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว อดีตที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของนอร์ทบอร์เนียวก่อนหน้าโกตากีนาบาลู", "title": "ซันดากัน" }, { "docid": "519500#0", "text": "ซูไงเปอตานี หรือ สุไหงปัตตานี () หรืออาจรู้จักในชื่อย่อว่า เอสจีเปอตานี หรือ เอสพี เป็นเมืองหนึ่งในรัฐเกอดะฮ์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนบนของคาบสมุทรมลายู เมืองนี้มีประชากร 456,605 คน ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐเกอดะฮ์ และมีประชากรมากกว่าเมืองอาโลร์เซอตาร์ เมืองเอกของรัฐ", "title": "ซูไงเปอตานี" }, { "docid": "730969#19", "text": "แม้พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียจะสนับสนุนซูการ์โนแต่ก็ไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์ทางการเมืองของตนเอง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2503 พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียได้ประกาศถึงการจัดงบประมาณที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของซูการ์โน เมื่อมีการจัดตั้งมาเลเซีย พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียได้ออกมาต่อต้านเช่นเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์มลายา การเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียในช่วงนี้ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากสหภาพโซเวียตและจีน มีองค์กรที่เป็นแนวร่วมมากมาย ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2505 พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียเข้าร่วมรัฐบาล ไอดิตและโยโตได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ใน พ.ศ. 2506 รัฐบาลมาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้ประชุมกันเพื่อจัดตั้งมาฟิลินโด พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียปฏิเสธแนวคิดนี้เช่นกัน ทหารของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียข้ามพรมแดนไปยังมาเลเซียและรบกับกองทหารอังกฤษและออสเตรเลียที่ประจำการอยู่ที่นั่น บางกลุ่มเดินทางไปยังมลายาเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่ถูกจับตัวได้ กองทหารของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียจะมีกิจกรรมในเกาะบอร์เนียว", "title": "พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย" } ]
865
จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ภาคใด ?
[ { "docid": "4529#0", "text": "นครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดในประเทศไทย มีประชากรมากที่สุดในภาคใต้และมีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภาคใต้ (รองจากสุราษฎร์ธานี) ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 780 กิโลเมตร มีจังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่ สงขลา พัทลุง ตรัง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" } ]
[ { "docid": "849454#3", "text": "โดยให้จัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรออกเป็น 4 แห่ง ประกอบด้วย ดังต่อไปนี้\nจึงมีผลทำให้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช ยกฐานะขึ้นเป็น สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ เพื่อจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการ และได้รวมเอาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในกลุ่มภาคใต้ จำนวน 9 แห่ง และวิทยาลัยประมง จำนวน 2 แห่ง ควบรวมเข้าเพื่อจัดตั้งเป็น สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ โดยมีศูนย์กลางบริหารอยู่ที่ 244 หมู่ที่ 7 ตำบลช้างกลาง อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช รหัสไปรษณีย์ 80250 หมายเลขโทรศัพท์ 075-445734 หมายเลขโทรสาร 075-445735 ระยะทางห่างจากจังหวัด 52 กิโลเมตร ระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 764 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 783 ไร่ 300 ตารางวา", "title": "สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้" }, { "docid": "71160#0", "text": "กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4) ของกองทัพบกไทย รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายวชิราวุธ ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีศูนย์บัญชาการส่วนหน้าอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เพื่อดูแลความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยโดยเฉพาะ", "title": "รายนามแม่ทัพภาคที่ 4" }, { "docid": "248106#1", "text": "แนวทิวเขานครศรีธรรมราชเป็นทิวเขาที่ใหญ่ที่สุดและยาวที่สุดในภาคใต้ โดยมียอดเขาหลวงซึ่งมีความสูงประมาณ 1,835 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของแนวทิวเขาและสูงที่สุดในเขตภาคใต้ ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช เปรียบเสมือนเป็นหลังคาสีเขียวของภาคใต้ เพราะมีสภาพเป็นป่าดงดิบชื้นและป่าดิบเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยและของโลก", "title": "ทิวเขานครศรีธรรมราช" }, { "docid": "858067#0", "text": "วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช (อังกฤษ : Nakhon Si Thammarat College of Agriculture and Technology  ) เป็นศูนย์กลางบริหารของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ตั้งอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยศูนย์กลางฯ นี้เปิดสอน 2 หลักสูตร คือ ประกาศนียบีตรวิชาชีพ (ปวช.), ประกาศนียบีตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ", "title": "วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้" }, { "docid": "248106#0", "text": "ทิวเขานครศรีธรรมราช มีลักษณะตั้งเป็นแกนกลางของคาบสมุทรไทย (ภาคใต้ตอนกลาง) ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเริ่มจากเกาะต่าง ๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี คือ เกาะเต่า เกาะนางยวน เกาะพงัน เกาะสมุย เกาะกะเต็น และมีบางส่วน ที่จมลงไปในทะเล เรียกส่วนนี้ว่า ช่องแคบสมุย โดยมาโผล่ขึ้นที่อำเภอดอนสัก เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีและอำเภอขนอม เขตจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดตรัง โดยทิวเขาที่ผ่านเขตจังหวัดพัทลุงและตรัง ถือเป็นที่กั้นเขตแดนระหว่าง 2 จังหวัดนี้ มักเรียกอีกชื่อว่า \"ทิวเขาบรรทัด\" จากนั้น แนวทิวเขาทอดยาวลงไปยังเขตแดนระหว่างจังหวัดสตูลกับประเทศมาเลเซีย โดยบรรจบกับทิวเขาสันกาลาคีรีที่ภูเขาซีนา จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับมาเลเซีย", "title": "ทิวเขานครศรีธรรมราช" }, { "docid": "5240#0", "text": "สงขลา เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของไทย มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของภาคใต้ (รองจากนครศรีธรรมราช) และมีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาคใต้ (รองจากสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช) มีจังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี ยะลา สตูล และยังมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐเคดาห์ และรัฐเปอร์ลิสของประเทศมาเลเซีย", "title": "จังหวัดสงขลา" }, { "docid": "70278#21", "text": "6 เมษายน 2554 เปิดสนามบินนครศรีธรรมราชโดยเที่ยวบินแรก ออก 15.30น. 10 เมษายน 2554 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จเยี่ยมราษฎรผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชโดยมี พันเอกสมชาย ภุมรินทร์ รองเสนนาธิการกองทัพภาคที่ 4ถวายรายงานรับเสด็จฯ ณ ท่าอากาศยานจังหวัดนครศรีธรรมราช และ หน.ส่วนราชการ เฝ้ารับ – ส่งเสด็จ [22] 24 พฤษภาคม 2554 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จไปทรงติดตามการดำเนินงานโครงการตำบลนมแม่ที่ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 10.45 นาฬิกา เสด็จถึงท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช และประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เสด็จออกจากท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ไปยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว โรงเรียนชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และเสด็จกลับในวันเดียวกัน โดยใช้ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช [23] 13 สิงหาคม 2555 เวลา 19.40 น.[24]นายนิสิต สมบัติ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งปิดการใช้ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ไปจนถึงเวลา 24.00 น.ของคืนนี้ หลังจากที่มีการลักลอบจุดเผาป่าพรุใกล้กับรันเวย์จนไฟได้ลุกลามเป็นวงกว้าง โดยแนวไฟได้ประชิดรันเวย์ฝั่งทิศใต้เป็นระยะทางกว่า 1,000 เมตร จนมาถึงแนวแท็กซี่เวย์ ส่งผลให้หมอกควันลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายร้อยเมตร ขณะเดียวกันเถ้าจากใบไม้และใบหญ้าได้ฟุ้งสูงขึ้นกระจายเป็นวงกว้างจนอาจเกิดอันตรายกับอากาศยานในขณะทำการบิน[25] 14 กันยายน 2555 เวลา 10.50 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จประทับเครื่องบินที่นั่งจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ มายังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ทรงติดตามโครงการเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารกฯ [26] 11 กุมภาพันธ์ 2556 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากวังสระปทุม ไปยังท่าอากาศยานกองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง เพื่อประทับเครื่องบินพระที่นั่งไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเขาวัง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ทรงติดตามการดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ ทอดพระเนตรโครงการฝึกอาชีพ การทำเครื่องเงินของกลุ่มพัฒนาอาชีพบ้านเขาวัง ซึ่งวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราชมาช่วยทำการสอน ต่อจากนั้น ทอดพระเนตรการเรียนการสอน มีการจัดทำโครงการหนูน้อยยิ้มสวย ฟันใส ตามแนวพระราชดำริด้านการส่งเสริมโภชนาการ สุขภาพอนามัย ได้รับรางวัลชมเชยประเภทชมรมเด็กไทยฟันดี การจัดทำโครงการธูปเทียนหอมสมุนไพรพิชิตยุง ทำด้วยสมุนไพรจากสวนพฤกษศาสตร์ของโรงเรียน จากนั้น ทอดพระเนตรโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน จัดอบรมครู นักเรียน กลุ่มแม่บ้าน ในการนำวัตถุดิบด้านการเกษตรมาแปรรูป และการถนอมอาหารให้อยู่ได้นาน การทำเกษตรกรรม ในโอกาสนี้ ทรงเยี่ยมหน่วยแพทย์พระราชทานที่มาให้บริการตรวจรักษาแก่ราษฏร จำนวน 78 ราย และด้านทันตกรรม จำนวน 50 ราย ส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคหู ตา คอ จมูก และโรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูก พร้อมทั้งทรงรับผู้ป่วยข้อเข่าผิดรูปทั้ง 2 ข้าง และผู้ป่วยโรคผิวหนังไว้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ [27] 8 มิถุนายน 2556 เวลา 16.30 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เสด็จโดยเครื่องบินที่นั่งถึงท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช โดยมีนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพสกนิกรจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมรับเสด็จ โดยมีนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช ภริยารองแม่ทัพภาคที่ 4 และภริยาผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ถวายพวงมาลัย [28] 23 มิถุนายน 2556 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ประจำปี 2555 23 มิถุนายน 2556 เวลา 17.00 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จโดยเครื่องบินพระที่นั่งจากกองบัญชาการกองทัพอากาศ ถึงท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช โดยมีนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย รองผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช พลตรีชาญประดิษฐ์ แสงนิล รองแม่ทัพภาคที่ 4 พลตำรวจตรีรณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้าราชการและพลังมวลชนเฝ้ารับเสด็จ [29] 6 มกราคม 2560 กรมท่าอากาศยาน แจ้งปิดท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับผลกระทบของจากกรณีฝนตกหนักทำให้น้ำท่วม Runway จนต้องยกเลิกเที่ยวบิน 100% กำหนดการปิดแรกคือวันที่ 6-7 มกราคม 2560 แต่เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายเลยต้องทำการปิดจนถึงวันที่ 11 มกราคม 2560 และขยายวันปิดเพิ่มเติมอีก 2 วัน โดยปิดจนถึง 13 มกราคม 2560 แทน เพราะว่าวิศวกรท่าอากาศยานไม่สามารถตรวจสอบความแข็งแรงของพื้น Runway ได้ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผู้โดยสารตกค้างและต้องทำการเปลี่ยนเที่ยวบินหรือเดินทางไปใช้บริการท่าอาศยานใกล้เคียงได้แก่ ท่าอาศยานสุราษฏร์ธานี และท่าอากาศยานตรัง [30] 7 ธันวาคม 2560 กรมท่าอากาศยาน แจ้งปิดท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีน้ำท่วมบริเวณลานกลับเครื่องบินที่หัวรันเวย์ [31] และได้เปิดบริการอีกครั้งในวันที่ 10 ธันวาคม 2560 [32]", "title": "ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "505246#1", "text": "ทีมนครศรี เฮอริเทจ มีประธานสโมรคือ นายพิชัย บุญยเกียรติ เป็นสโมสรฟุตบอลจากจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นจังหวัดที่ใหญ่และมีประชากรมากที่สุดของภาคใต้ ซึ่งในอดีตจังหวัดนครศรีธรรมราชคือมหาอำนาจลูกหนังทีมหนึ่งของภาคใต้ สร้างนักเตะชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บุญนำ สุขสวัสดิ์ นันทปรีชา คำแหงศิริพงษ์ ศิริรัตน์ นันทวัฒน์ จิตตรง อมฤต เอกวงศ์ สมศักดิ์ น้อยหีด อุดมศักดิ์ ยี่ระเหม เป็นต้น ส่วนทีมจังหวัดก็ไม่น้อยหน้าเพราะเคยได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยามาฮ่าไทยแลนด์คัพมาแล้ว ถึงแม้จะได้เพียงรองแชมป์ แต่ตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมก็ตกเป็นของ อนิรุจน์ กลับดี ซึ่งก็สร้างความภูมิใจให้กับชาวนครศรีธรรมราชเป็นอย่างมาก \nสโมสรฟุตบอลนครศรีธรรมราช เริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในปี พ.ศ. 2541 ที่สโมสรแห่งนี้ได้รองแชมป์ฟุตบอลยามาฮ่าไทยแลนด์คัพ ครั้งที่ 14 โดยเข้าไปชิงชนะเลิศฟุตบอลยามาฮ่าไทยแลนด์คัพ ครั้งที่ 14 ในวันที่ 2 เมษายน 2541 ที่สนามกีฬา ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ซึ่งแพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลกรุงเทพมหานคร(สโมสรทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์)ไป 0-1 โดยในการแข่งขันครั้งนี้สโมสรฟุตบอลนครศรีธรรมราชได้สร้างปรากฏการณ์ในนัดชิงชนะเลิศคือกองเชียร์ที่เป็นคนนครศรีธรรมราชและคนใต้แห่เข้าไปชมเกมนี้กันอย่างล้นหลาม \nตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาเป็นระยะหลายปีวงการฟุตบอลนครศรีธรรมราช เหมือนว่าจะหายไปจากสารบบของวงการฟุตบอลไทย นักเตะของจังหวัดนครศรีธรรมราชกระจัดกระจายไปเล่นให้กับทีมต่างๆ ทั้งในสโมสรที่กรุงเทพหรือจังหวัดอื่นๆอย่างมากมาย ในขณะที่ทีมฟุตบอลเองแทบจะไม่ประสบความสำเร็จถึงแม้จะเป็น การแข่งขันฟุตบอลในรายการต่างๆของภาคใต้ก็ตามที จนกระทั่งปี 2552 ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกภูมิภาคขึ้นมาแทนการแข่งขันฟุตบอลโปรลีก ซึ่งมีทีมโดยนายชัยชนะ เดชเดโช ทำหน้าที่ประธานสโมสรนครศรีธรรมราชเอฟซี แต่ด้วยสิ้นฤดูกาลปี 2555 ทีมสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ขอพักทีม ไม่ส่งทีมเข้าแข็งขันฤดูกาลปี 2556\nเพื่อความต่อเนื่องของฟุตบอลแห่งนครศรีธรรมราช จึงได้กำเนิดทีมสโมสรฟุตบอลทีมใหม่ชื่อว่า นครศรี เฮอริเทจ ในปีพ.ศ. 2556 ภายใต้การบริหารงานของสมาคมกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยได้รับการยืนยันจาก วิมล นับทอง รองประธานจัดการแข่งขันฟุตบอลเอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 โซนภาคใต้ ว่าเกมการแข่งขันฤดูกาลปี 2556 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ สโมสรนครศรีธรรมราช เอฟซี จะเปลี่ยนชื่อเป็น นครศรี เฮอริเทจ โดยทีมงานชุดใหม่ได้ส่งเรื่องมายังสมาคมฟุตบอลและได้รับการตอบรับเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว", "title": "สโมสรฟุตบอลนครศรี เฮอริเทจ" }, { "docid": "235996#0", "text": "สโมสรฟุตบอลจังหวัดนครศรีธรรมราช หรือ ร่อนพิบูลย์ เอฟซี เป็นสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย เป็นทีมจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เข้ามาร่วมเล่นในลีกภูมิภาค ภาคใต้ 2552", "title": "สโมสรฟุตบอลจังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "235996#2", "text": "ทว่าในระยะหลายปีที่ผ่านมาวงการฟุตบอลนครศรีธรรมราช เหมือนว่าจะหายไปจากสาระบบของวงการฟุตบอลไทย นักเตะของจังหวัดนครศรีธรรมราชกระจัดกระจายไปเล่นให้กับทีมต่างๆ ทั้งในสโมสรที่กรุงเทพหรือจังหวัดอื่นๆอย่างมากมาย ในขณะที่ทีมฟุตบอลเองแทบจะไม่ประสบความสำเร็จถึงแม้จะเป็น การแข่งขันฟุตบอลในรายการต่างๆของภาคใต้ก็ตามที จนกระทั่งปี2552 ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกภูมิภาคขึ้นมาแทนการแข่งขันฟุตบอลโปรลีก ที่ต้องแข่งรอบคัดเลือกภายในภาคขึ้นมาก่อนที่จะไปแข่งรอบสุดท้ายกับตัวแทนจากทั่วประเทศอีกครั้งซึ่งก็เป็นโอกาสดี ที่ทีมนครศรีธรรมราชจะได้กลับเข้าสู่วงการลูกหนังระดับประเทศอีกครั้ง ", "title": "สโมสรฟุตบอลจังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "316550#4", "text": "เนื่องจากจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ มีพื้นที่ติดต่อกับหลายจังหวัด ทั้งยังมีที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภาคใต้ เป็นศูนย์กลางการเดินทางและขนส่งของภาคใต้ จึงมีเส้นทางรถโดยสารประจำทางเปิดให้บริการ ครอบคลุมหลายเส้นทาง ดังนี้", "title": "สถานีขนส่งผู้โดยสาร จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "316550#1", "text": "สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครศรีธรรมราช จัดตั้งโดยประกาศกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2525 เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดใกล้เคียง จัดเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 ของภาคใต้ ต่อจากสถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยได้รับมอบที่ดินจากห้างหุ้นส่วนจำกัด สันทัดกันตัง โดย นายสันทัด โอวรารินทร์ ได้มอบที่ดินและสิ่งก่อสร้างให้กรมการขนส่งทางบก และได้ทำสัญญาให้ที่ดินและสิ่งก่อสร้างสถานีขนส่ง เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2521 ", "title": "สถานีขนส่งผู้โดยสาร จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "85746#0", "text": "ทุ่งสง เป็นอำเภอที่มีความเจริญเป็นอันดับสองของจังหวัดนครศรีธรรมราช รองจากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของภาคใต้และเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมทางบกทั้งรถยนต์และรถไฟ อำเภอทุ่งสงมีประวัติความเป็นมายาวนาน ปรากฏตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่าเคยเป็นแขวงขึ้นอยู่ในปกครองของเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากมณฑล เป็นจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2440 ได้จัดตั้งเป็นอำเภอทุ่งสงขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช", "title": "อำเภอทุ่งสง" }, { "docid": "4529#23", "text": "องค์การสวนยาง (สำนักงานใหญ่) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคใต้เขต 2 สำนักงานนครศรีธรรมราช กองทัพภาคที่ 4 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 ศูนย์วัณโรคเขต 11 ศูนย์กามโรคเขต 11 ศูนย์โรคเรื้อนเขต 11 สำนักทางหลวงที่ 16 ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 4 (ทุ่งสง) นครศรีธรรมราช สำนักงานโบราณคดี ภาค 14 ศูนย์เทคโนโลยีการสื่อสารเขต 11 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 14 ศาลปกครองนครศรีธรรมราช สำนักงานคดีปกครองนครศรีธรรมราช ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 8 สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์เขต 8 สำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 4 สำนักงานอนามัยเขต 11 เขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์เขต 19 ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพเขต 11 โรงพยาบาลแม่และเด็กเขต 11 สำนักงานพัฒนาชุมชนเขต 8 กองพลทหารราบที่ 5 กองพลพัฒนาที่ 4 กองบัญชาการช่วยรบที่ 4 มณฑลทหารบกที่ 41 มณฑลทหารบกที่ 43 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 15 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 กรมทหารราบที่ 15 กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 15 ศูนย์ต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบกที่ 4 กองกำลังทหารพราน กองทัพภาคที่ 4 สำนักชลประทานที่ 15 นครศรีธรรมราช สำนักงานสภาคริสตจักรภาคที่ 9 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 ศูนย์สำรวจอุทกวิทยา ที่ 7 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เขต 12 สำนักงานเทคนิคและการสื่อสารเขต 8 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ที่ 12 ศูนย์ข่าวทหารและพลเรือน เขต 8 ฝายส่งน้ำและศูนย์บำรุงที่ 4 กรมชลประทาน ศูนย์ประชาชนชนบทเขต 8 ศูนย์กลางการสื่อสารเขต 7 ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อโดยแมลงที่ 1 กองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ 10 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 42 หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ที่ 44 กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 427 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 12 สำนักงานศึกษาธิการภาค 6 นครศรีธรรมราช การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ภาคใต้ เขต 2 (จังหวัดนครศรีธรรมราช) ศูนย์พัฒนาสังคม หน่วยที่ 21 จังหวัดนครศรีธรรมราช ศูนย์บริการวิทยาการที่ 9 จังหวัดนครศรีธรรมราช (กระทรวงพลังงาน)", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "858067#4", "text": "โดยให้จัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรออกเป็น 4 แห่ง ประกอบด้วย ดังต่อไปนี้\nจึงมีผลทำให้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช ยกฐานะขึ้นเป็น สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ เพื่อจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการ และได้รวมเอาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในกลุ่มภาคใต้ จำนวน 9 แห่ง และวิทยาลัยประมง จำนวน 2 แห่ง ควบรวมเข้าเพื่อจัดตั้งเป็น สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ โดยมีศูนย์กลางบริหารอยู่ที่ 244 หมู่ที่ 7 ตำบลช้างกลาง อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช รหัสไปรษณีย์ 80250 หมายเลขโทรศัพท์ 075-445734 หมายเลขโทรสาร 075-445735 ระยะทางห่างจากจังหวัด 52 กิโลเมตร ระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 764 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 783 ไร่ 300 ตารางวา", "title": "วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้" }, { "docid": "70278#18", "text": "5 กุมภาพันธ์ 2546 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากวังสระปทุม ไปยังท่าอากาศยานกองบัญชาการกองทัพอากาศ เพื่อประทับเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดกระบี่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ 2546 โดยประทับแรม ณ เรือนรับรองค่ายวชิราวุธ กองทัพภาคที่ 4 ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยถึงท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เวลา 08.39 นาฬิกา [9] 30 มีนาคม 2550 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประทับเครื่องบินพระที่นั่ง จากท่าอากาศยานทหาร กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ทรงประกอบพิธีพุทธาภิเษก รูปหล่อและเหรียญพระโพธิสัตว์จตุคามรามเทพ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จ้งหวัดนครศรีธรรมราช[10] 7 สิงหาคม 2550 สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD3201 ได้เปิดเส้นทางการบินระหว่าง กรุงเทพมหานคร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สู่ ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช วันละ 1 เที่ยวบินทุกวัน โดยเครื่องบิน โบอิ้ง 737-300 ขนาด 148 ที่นั่ง โดยมีคณะผู้บริหารสารการบินไทยแอร์เอเชีย นำโดยนายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2007 เดินทางมาด้วย[11] 4 กันยายน 2550 นายอับดุลเลาะห์ หะกีสะบูดิง ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เปิดเผยผู้โดยสารต้องการเดนทางมายังนครศรีธรรมราชเพิ่มขึ้น โดย สายการบินนกแอร์ ไทยแอร์เชียน และวันทูโก รวม 8 เที่ยวบินต่อวัน เฉลี่ย 2 ชั่วโมงต่อ 1 เที่ยวบิน ไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้โดยสาร เนื่องจากกระแส จตุคามรามเทพ และความต้อกงารใช้สนามบินของจังหวัดใกล้เคียง เช่น พัทลุง ตรัง และเมื่อนำท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชไปเทียบกับท่าอากาศยาน 26 แห่งในภูมิภาคได้ทำลายสถิติอย่างต่อเนื่อง[12] 15 กันยายน 2550 มีการเพิ่มเที่ยวบินจาก 8 เที่ยวบินต่อวันเป็น 10 เที่ยวบินต่อวัน[13]", "title": "ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "4529#47", "text": "วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้ (SCT) อำเภอทุ่งสง สถาบันซิว-เสงี่ยม เพื่อภาษาและวัฒนธรรมข้ามชาติ อำเภอทุ่งสง วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้ ศูนย์ประสานงานนครศรีธรรมราช อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา นครศรีธรรมราช อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ห้องเรียนภาคใต้ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช สถาบันรัชต์ภาคย์ ศูนย์นครศรีธรรมราช อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "235996#1", "text": "จังหวัดนครศรีธรรมราชจัดว่าเป็นจังหวัดที่ใหญ่และมีประชากรมากที่สุดของภาคใต้ ซึ่งในอดีตจังหวัดนครศรีธรรมราชคือมหาอำนาจลูกหนังทีมหนึ่งของภาคใต้ สร้างนักเตะชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บุญนำ สุขสวัสดิ์ นันทปรีชา คำแหงศิริพงษ์ ศิริรัตน์ นันทวัฒน์ จิตตรง อมฤต เอกวงศ์ สมศักดิ์ น้อยหีด อุดมศักดิ์ ยี่ระเหม เป็นต้น ส่วนทีมจังหวัดก็ไม่น้อยหน้าเพราะเคยได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยามาฮ่าไทยแลนด์คัพมาแล้ว ถึงแม้จะได้เพียงรองแชมป์ แต่ตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมก็ตกเป็นของ อนิรุจน์ กลับดี ซึ่งก็สร้างความภูมิใจให้กับชาวนครฯเป็นอย่างมาก ", "title": "สโมสรฟุตบอลจังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "17498#5", "text": "ภูมิประเทศของภาคใต้เต็มไปขุนเขาน้อยใหญ่ โดยเฉพาะบริเวณตอนกลางของภูมิภาค เช่น จังหวัดระนอง จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดพังงา จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดกระบี่ โดยมีจุดสูงสุดของภาคใต้อยู่ที่ ยอดเขาหลวง 1,835 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาหลวง (จังหวัดนครศรีธรรมราช)", "title": "ภาคใต้ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "316550#0", "text": "สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารที่จัดตั้งตามประกาศของกระทรวงคมนาคม เมื่อปี พ.ศ. 2525 เป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่สองของภาคใต้ ตั้งอยู่เลขที่ 27/95-97 ถนนกะโรม ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช", "title": "สถานีขนส่งผู้โดยสาร จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "14195#0", "text": "อุทยานแห่งชาติเขานัน มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอสิชล อำเภอนบพิตำ และอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช มีลักษณะภูมิประเทศเป็นทิวเขาสูงทอดยาวตามแนวเหนือ-ใต้ สลับซับซ้อน โดยเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขานครศรีธรรมราช สภาพป่าเป็นป่าดงดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช และประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้ที่สำคัญ และมีค่า มีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตกสุนันทา (น้ำตกเขานัน) น้ำตกกรุงนาง น้ำตกคลองเผียน ถ้ำกรุงนาง น้ำตกเขาใด เป็นต้น มีเนื้อที่ประมาณ 272,500 ไร่ หรือ 436 ตารางกิโลเมตร", "title": "อุทยานแห่งชาติเขานัน" }, { "docid": "4529#10", "text": "เหนือสิ่งอื่นใดราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช ได้สถาปนาพระพุทธศาสนา ลัทธิลังกาวงศ์ ขึ้นอย่างมั่นคงในนครศรีธรรมราช มีการบูรณะพระเจดีย์เดิม ให้เป็นทรงระฆังคว่ำ อันเป็น ศิลปะลังกา จนนครศรีธรรมราชกลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม เป็นเมืองแม่แห่งวัฒนธรรม ที่ได้ถ่ายทอด ศิลปวัฒนธรรมไปยัง หัวเมืองอื่น ๆ รวมทั้งสุโขทัยซึ่งในเวลานั้นเพิ่งเริ่ม ก่อตัวขึ้นเป็นราช ธานีทาง ภาคเหนือตอนล่างใหม่ ๆ", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "7924#2", "text": "เดิมมีชื่อว่า \"แม่น้ำหลวง\" เพราะมีต้นกำเนิดอยู่ที่ภูเขาหลวงซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขานครศรีธรรมราช อยู่ในเขตพื้นที่ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลผ่านอำเภอฉวาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่าน อำเภอพระแสง อำเภอเวียงสระ อำเภอเคียนซา อำเภอพุนพิน และไหลออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของภาคใต้", "title": "แม่น้ำตาปี" }, { "docid": "58388#3", "text": "เมื่อปี พ.ศ. 2498 น้อม อุปรมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลให้จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูในภาค 8 (นครศรีธรรมราช) กระทั่ง โรงเรียนฝึกหัดครูนครศรีธรรมราช ได้ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2500 โดยอิทธิพลทางการเมืองเพราะได้ยุบโรงเรียนฝึกหัดครูตรัง ซึ่งย้ายครู อาจารย์ และทรัพย์สินมาสังกัดโรงเรียนฝึกหัดครูนครศรีธรรมราช และได้เปิดสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) โดยเปิดทำการสอนชั่วคราวที่ห้องสมุดประชาชนจัหวัดนครศรีธรรมราช (สนามหน้าเมือง) จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่ออาคารเรียน และหอนอนก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2502 จึงเปิดสอนเป็นการถาวรบริเวณเชิงเขามหาชัย", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "167166#0", "text": "นครศรีธรรมราช เป็นเทศบาลนครที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเมืองที่เจริญเติบโตมายาวนาน และได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลนครแห่งแรกของภาคใต้ เทศบาลนครนครศรีธรรมราชได้รับการยกฐานะเมื่อปี พ.ศ. 2537 มีประชากรในปี พ.ศ. 2560 ประมาณ 104,354 คน บนเนื้อที่ 22.56 ตารางกิโลเมตร เป็นเมืองที่ตั้งศาลากลางของจังหวัด และจัดเป็นเมืองขนาดใหญ่ลำดับต้น ๆ ของภาคใต้ที่มีความสำคัญตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันของประเทศไทย", "title": "เทศบาลนครนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "70278#20", "text": "19 พฤศจิกายน 2553 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จไปทรงเป็นประธานถวายผ้าพระกฐินและทรงประกอบพิธีเบิกพระเนตร พระพุทธรูปพระประธาน ในศาลาปฏิบัติธรรม ณ วัดเกาะนางแก้วพัฒนาราม ตำบลขุนทะเล อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเสด็จถึงท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายวันชัย อินทร์แก้ว ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช, พลโท อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4, พลตำรวจตรี กระจ่าง สุวรรณรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยข้าราชการและประชาชน เข้ารับเสด็จ [21] 27 มีนาคม 2554 เกิดเหตุอุทกภัยขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชมีน้ำท่วมทั้ง รันเวย์ เท็กซี่เวย์ สูงประมาณ 1-2 ฟุต ทำให้ท่าอากาศยานต้องหยุดให้บริการชั่วคราว สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย และสายการบินโอเรียนท์ไทย ต้องยกเลิกเส้นทางบินจากกรุงเทพมหานคร มายัง นครศรีธรรมราช และนครศรีธรรมราช สู่ กรุงเทพมาหนคร ทุกเที่ยวบิน และเป็นครั้งแรกที่ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชต้องหยุดการให้บริการเนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ", "title": "ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "4529#95", "text": "มหาวิทยาลัย ที่มีบริเวณกว้างใหญ่ที่สุดของประเทศไทย คือ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ภายในวิทยาเขตเดียว มากกว่า 10,000 ไร่ ปัจจุบันมีนักศึกษากำลังศึกษาอยู่มากกว่า 8,500 คน เป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุด ในภาคใต้ คือ 1,552,530 คน (ข้อมูล: ที่ทำการปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2558) ทิวเขานครศรีธรรมราช เป็นทิวเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของไทย มีภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนและเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง มียอดเขาสูงที่สุดในภาคใต้ คือ ยอดเขาหลวง มีความสูง 1,835 เมตร จากระดับน้ำทะเล และเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขานครศรีธรรมราช ปัจจุบันอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาหลวง", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "17498#14", "text": "อุทยานแห่งชาติเขาหลวง มีเทือกเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาค ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา จังหวัดกระบี่ อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า จังหวัดพัทลุง อุทยานแห่งชาติศรีพังงา จังหวัดพังงา อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง จังหวัดนครศรีธรรมราช อุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง จังหวัดสงขลา อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติบางลาง จังหวัดยะลา อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว จังหวัดระนอง อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด จังหวัดนครศรีธรรมราช อุทยานแห่งชาติคลองพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล อุทยานแห่งชาติทะเลบัน จังหวัดสตูล อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติพังงา จังหวัดพังงา อุทยานแห่งชาติเกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง อุทยานแห่งชาติสิมิลัน จังหวัดพังงา อุทยานแห่งชาติแหลมสน จังหวัดระนอง อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ อุทยานแห่งชาติหาดเภตรา จังหวัดสตูล อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง จังหวัดพังงา อุทยานแห่งชาติเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ อุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ จังหวัดพังงา อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จังหวัดกระบี่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร จังหวัดชุมพร อุทยานแห่งชาติกระบุรี จังหวัดระนอง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะทะเลใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช อุทยานแห่งชาติเขานัน จังหวัดนครศรีธรรมราช", "title": "ภาคใต้ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "52036#0", "text": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 สายแยกโคกเคียน–นครศรีธรรมราช เป็นทางหลวงที่อยู่ในเขตควบคุมของสำนักงานทางหลวงสุราษฎร์ธานี (สำนักงานบำรุงทางพังงา) สำนักทางหลวงที่ 14 นครศรีธรรมราช มีระยะทางเริ่มต้นจากชายฝั่งตะวันตกของภาคใต้ โดยแยกจากถนนเพชรเกษมบริเวณกิโลเมตรที่ 762+481 ที่สามแยกโคกเคียน ใกล้ตัวเมืองอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จากนั้นตัดไปทางทิศตะวันออกผ่านจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปยังชายฝั่งตะวันออก และลงใต้ไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสิ้นสุดที่ถนนพัฒนาการคูขวาง", "title": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401" } ]
2427
ประเทศจีนมีประชากรมากที่สุดในโลกหรือไม่ ?
[ { "docid": "2032#2", "text": "Template:CJKV; English: People's Republic of China (PRC)) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1400 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน) 5 เขตปกครองตนเอง 4 เทศบาลนคร (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ ฮ่องกงและมาเก๊า", "title": "ประเทศจีน" } ]
[ { "docid": "85789#5", "text": "สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติลงมติรับข้อมติไม่ผูกพันในปี 2550, 2551 และ 2553 เรียกร้องให้มีการผ่อนเวลาการประหารชีวิตทั่วโลก ซึ่งมุ่งให้ยกเลิกในที่สุด แม้หลายชาติยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว แต่ประชากรโลกกว่า 60% อาศัยอยู่ในประเทศซึ่งเกิดการประหารชีวิต เช่น สี่ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก คือ จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซีย ซึ่งยังใช้บังคับโทษประหารชีวิต ทั้งสี่ประเทศออกเสียงคัดค้านข้อมติสมัชชาใหญ่ดังกล่าว", "title": "โทษประหารชีวิต" }, { "docid": "1937#1", "text": "ด้วยประชากรกว่า 14.8 ล้านคน กัมพูชาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 66 ของโลก ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งประชากรกัมพูชานับถือประมาณ 95% ชนกลุ่มน้อยในประเทศมีชาวเวียดนาม ชาวจีน ชาวจาม และชาวเขากว่า 30 เผ่า[11] เมืองหลวงและเมืองใหญ่สุด คือ พนมเปญ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกัมพูชา", "title": "ประเทศกัมพูชา" }, { "docid": "23110#53", "text": "ในช่วงยุครุ่งโรจน์ จักรพรรดิ 3 รัชกาลถือเป็นยุคทองอันรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์เกือบ 300 ปีของราชวงศ์ชิง และถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของจีน ไม่ว่าจะเป็นด้านพื้นที่การทำไร่ทำนา จำนวนผลผลิตการเกษตร จำนวนประชากร ที่มีอย่างยากที่จะหายุคใดเปรียบเทียบได้ จากสถิติที่มีการบันทึก ในรัชกาลคังซีปีที่ 24 ทั่วประเทศมีพื้นที่สำหรับทำการเพาะปลูกถึง 600 ล้านไร่จีน เมื่อมาถึงช่วงปลายรัชกาลของเฉียนหลง ทั่วประเทศมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มเป็น 1,050 ล้านไร่จีน ผลผลิตทางการเกษตรทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 204,000 ล้านชั่ง จนเป็นประเทศที่มีผลผลิตสูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น ในขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจากปีค.ศ. 1700 ที่มีราว 150 ล้านคนมาเป็น 313 ล้านคนในปีค.ศ. 1794 หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของทั่วโลกในเวลานั้น", "title": "ราชวงศ์ชิง" }, { "docid": "1989#61", "text": "สิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาค และเป็นประเทศเล็กที่สุดในภูมิภาค เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของโลก มีจำนวนประชากรประมาณ 5,543,494 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2013) ประกอบด้วยชาวมาเลย์เชื้อสายจีน-ดัตซ์-โปรตุเกส-ญี่ปุ่นหรือชาวมาเลย์เชื้อสายจีน-ดันชา-โปรตุเกส (76.5%) ชาวมลายู (13.8%) ชาวอินเดีย (8.1%) และอื่น ๆ (1.6%)", "title": "ประเทศสิงคโปร์" }, { "docid": "521249#0", "text": "ที่มาของประชากรลาว (Peopling of Laos) หมายถึงการที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในลาวเกิดขึ้นเป็นชุมชนในประเทศลาวปัจจุบัน โดยเชื่อว่าประชากรลาวในปัจจุบันมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มประชากรที่มีดีเอ็นเอในโครโมโซมวายแบบฮาโลกรุป O ซึ่งมีความใกล้เคียงกับชนกลุ่มน้อยในจีนเมื่อ 35,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่อมากลุ่มชนดังกล่าวได้แพร่กระจาย จนบางส่วนเข้ามาอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศลาวในปัจจุบัน", "title": "ที่มาของประชากรลาว" }, { "docid": "136685#1", "text": "แรดชวาเป็นแรดเอเชียที่มีการกระจายพันธุ์กว้างที่สุดตั้งแต่เกาะในอินโดนีเซีย ตลอดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และจีน ปัจจุบันแรดชวาถูกคุกคามจนอยู่ในขั้นวิกฤติ มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่ยังมีประชากรหลงเหลืออยู่ในป่า ไม่มีแรดชวาจัดแสดงในสวนสัตว์ แรดชวาอาจเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่พบได้ยากที่สุดในโลก มีประชากรแรดน้อยกว่า 40-50 ตัวในอุทยานแห่งชาติอูจุงกูลนบนเกาะชวาในประเทศอินโดนีเซีย และประชากรจำนวนเล็กน้อย (ประเมินเมื่อปี พ.ศ. 2550) ไม่เกิน 8 ตัวในอุทยานแห่งชาติก๊าตเตียนในประเทศเวียดนาม แต่ในปัจจุบันมีการยืนยันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว การลดลงของแรดชวาเกิดจากการล่าเอานอซึ่งเป็นสิ่งมีค่าในการแพทย์แผนจีนซึ่งมีราคาถึง $30,000 ต่อกก.ในตลาดมืด การสูญเสียถิ่นอาศัยโดยเฉพาะผลของสงครามอย่างสงครามเวียดนาม มีส่วนในการลดลงและขัดขวางการฟื้นฟูของจำนวนประชากร แม้พื้นที่ถิ่นอาศัยที่เหลือจะได้รับการปกป้องแต่แรดชวายังคงเสี่ยงต่อการถูกล่า โรคภัยไข้เจ็บ และการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรมซึ่งจะนำไปสู่การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน", "title": "แรดชวา" }, { "docid": "292193#0", "text": "เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เป็นเขตการค้าเสรีที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นการตกลงในลักษณะพหุพาคี ซึ่งแตกต่างจากเขตการค้าเสรีไทย-จีน ที่เป็นการตกลงแบบทวิภาคี โดยทั้งนี้เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ได้มีข้อตกลงการขอยกเลิกภาษีนำเข้าและข้อจำกัดทางการค้าระหว่างสมาชิกในอาเชียนกับประเทศจีน", "title": "เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน" }, { "docid": "362982#1", "text": "ปัจจุบันศาสนาอิสลามแพร่ไปทั่วโลกจากเมืองมักกะฮ์ ไปถึง ประเทศจีน และ ประเทศอินโดนีเซีย (ซึ่งมีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก) ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 มีประชากรมุสลิมด้วยกัน 1.571 พันล้านคนทั่วโลก[1] ทำให้เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากศาสนาคริสต์[2]", "title": "ประวัติศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "351889#5", "text": "คาดกันว่าชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพมาประเทศไทยเป็นจีนกลุ่มแรก ๆ จีนฮกเกี้ยนเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนจีนกลุ่มอื่นและเป็นชนเผ่าจีนอาสาช่วย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกอบกู้เอกราช แม้แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ท่านถือกำเนิดในชุมชนจีนฮกเกี้ยนบริเวณวัดสุวรรณดาราราม ฝั่งตะวันออกของคลองนายก่าย กรุงศรีอยุธยา มารดาของท่านชื่อดาวเรืองหรือหยก เป็นธิดาที่เกิดในสกุลคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนถึง แม้ในประเทศไทยโดยรวมจะมีจำนวนน้อยแต่กลุ่มวัฒนธรรมฮกเกี้ยนเป็น 1 ใน 2 กลุ่มวัฒนธรรมจีนที่ได้รับความความนิยมมากพร้อมกับแต้จิ๋ว และมีจำนวนประชากรมากในภาคใต้ของประเทศไทยมากกว่าชาวจีนกลุ่มอื่น มีมากที่สุดในจังหวัดภูเก็ตจนเกือบเป็นประชากรส่วนใหญ่ โดยส่วนมากเป็นชาวฮกเกี้ยน หรือ ชาวฮกโล่ ที่อพยพมากจากสิงคโปร์ และ มาเลเซีย อีกที ส่วนหนึ่งมาจากแผ่นดินใหญ่ ชาวฮกเกี้ยนอาศัยทางตอนใต้ในประเทศไทยมากกว่าภาคอื่นๆ ชาวจีนแต่ละก๊กจะรวมตัวกันสร้างสมาคมของตัวเองเพื่อช่วยเหลือกันเองและช่วยเหลือสังคมในท้องถิ่น อาทิเช่นสมาคมฮกเกี้ยน สมาคมแต้จิ๋ว สมาคมฮากกา สมาคมไหหลำ เมื่อเทศกาลสำคัญมาถึงชาวจีนแต่ละเชื้อสายจะมาช่วยเหลือกันโดยจะใช้ภาษาจีนกลางเป็นหลักในการสื่อสาร ในภาคกลางของประเทศไทย ชาวจีนฮกเกี้ยนจะอาศัยอยู่บริเวณตลาดน้อย เยาวราช และฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร และกระจ่ายไปทั่วชุมชนที่มีชาวจีนอยู่ทั่วประเทศ", "title": "ชาวฮกเกี้ยน" }, { "docid": "38579#11", "text": "ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกมังคุดมากเป็นอันดับต้นๆของโลก ไปสู่ในหลายๆประเทศทั่วโลกเช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเนเธอแลนด์ โดยมีมูลค่าการส่งออกปีละมากกว่า 1,500 ล้านบาท มังคุดที่ถูกส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศมีทั้งในรูปของผลสดและมังคุดแปรรูป ภาคใต้จัดเป็นแหล่งปลูกมังคุดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สามารถผลิตมังคุดที่มีคุณภาพดีและมีรสชาติดีเมื่อเทียบกับมังคุดในภูมิภาคอื่นของประเทศ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จากการที่มังคุดมีเอกลักษณ์ทั้งในรูปร่างของผลที่สวยงาม และมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว เป็นที่ชื่นชอบของทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจนได้รับฉายาว่า “Queen of Fruits” ในปัจจุบันมังคุดจึงจัดเป็นผลไม้ที่มีศักยภาพสูงในการส่งออกของประเทศไทย และในอนาคตมีแนวโน้มว่ามังคุดจะมีความสำคัญมากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากว่าประเทศไทยได้ทำการขยายตลาดการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนซึ่งมีประชากรสูง ก็ให้ความสนใจกับไม้ผลชนิดนี้ด้วย", "title": "มังคุด" }, { "docid": "6032#2", "text": "Template:CJKV) เป็นเขตปกครองตนเองริมฝั่งทางใต้ของประเทศจีน ในทางภูมิศาสตร์มีสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและทะเลจีนใต้โอบรอบ ฮ่องกงเป็นที่รู้จักในสกายไลน์ (skyline) ขยายและท่าเรือธรรมชาติลึก มีเนื้อที่ 1,104 กม.2 และประชากรกว่าเจ็ดล้านคน เป็นเขตที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นที่สุดเขตหนึ่งในโลก ประชากรฮ่องกง 93.6% มีเชื้อชาติจีน และ 6.4% มาจากกลุ่มอื่น ประชากรส่วนใหญ่ที่พูดภาษากวางตุ้งของฮ่องกงกำเนิดจากมณฑลกวางตุ้งที่อยู่ติด ซึ่งประชากรจำนวนมากหนีสงครามและการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1930", "title": "ฮ่องกง" }, { "docid": "3897#18", "text": "เอเชียตะวันออก หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ประมาณ11,640,000 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 15 และ 20 ของพื้นที่ทั้งหมดของทวีปเอเชีย นับเป็นภูมิภาคย่อยซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ประเทศจีน มีพื้นที่ประมาณ 9,584,492 ตารางกิโลเมตร เอเชียตะวันออกมีประชากรมากกว่า 1,500 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 40 ของของชาวเอเชียทั้งหมด หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นภูมิภาคที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อัตราความหนาแน่นของประชากรในเอเชียตะวันออกอยู่ที่ 230 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของประชากรโลกถึง 5 เท่า ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด คือ ประเทศจีน มีประชากรประมาณ 1,322,044,605 หรือร้อยละ 85 ของประชากรในภูมิภาค ส่วนประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ ไต้หวัน ความหนาแน่นเฉลี่ย 626.7 คนต่อตารางกิโลเมตร ", "title": "ทวีปเอเชีย" }, { "docid": "318951#33", "text": "ประเทศจีนถือได้ว่าเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในโลก แต่ประชากรจำนวนมหาศาลเฉลี่ยค่าสถิติต่อหัวลงจนกระทั่งน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด[33]", "title": "โลกที่หนึ่ง" }, { "docid": "2394#0", "text": "ประเทศเนปาล (Nepali: नेपाल) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (English: Federal Democratic Republic of Nepal; Nepali: सङ्घीय लोकतान्त्रिक गणतन्त्र नेपाल \"สงฺฆีย โลกตานฺตฺริก คณตนฺตฺร เนปาล\") เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียใต้ มีพื้นที่ 147,181 ตารางกิโลเมตร และประชากรประมาณ 27 ล้านคน ประเทศเนปาลเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 93 ของโลก และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 41 ของโลก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนทิศเหนือติดสาธารณรัฐประชาชนจีน ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกติดสาธารณรัฐอินเดีย ประเทศเนปาลแยกจากประเทศบังกลาเทศด้วยฉนวนศิลิกูริ (Siliguri Corridor) แคบ ๆ ในประเทศอินเดีย และแยกจากประเทศภูฏานด้วยรัฐสิกขิมของอินเดีย กรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ", "title": "ประเทศเนปาล" }, { "docid": "1990#1", "text": "ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนไฟและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะประสบภัยจากแผ่นดินไหวและไต้ฝุ่น แต่ก็ทำให้มีทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่งเช่นกัน ฟิลิปปินส์มีเนื้อที่ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์)[3] และมีประชากรประมาณ 100 ล้านคน[4][5] นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในเอเชีย และเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก นอกจากนี้ ณ ปี พ.ศ. 2556 ยังมีชาวฟิลิปปินส์อีกประมาณ 10 ล้านคนอาศัยอยู่ในต่างประเทศ[6] รวมแล้วถือเป็นกลุ่มคนพลัดถิ่นที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมปรากฏให้เห็นตลอดทั้งหมู่เกาะ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะแห่งนี้คือกลุ่มชนนิกรีโต ตามมาด้วยกลุ่มชนออสโตรนีเซียนที่อพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง[7] มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับชาวจีน มลายู อินเดีย และอาหรับ จากนั้นก็เกิดนครรัฐทางทะเลขึ้นมาหลายแห่งภายใต้การปกครองของดาตู, ลากัน, ราชา หรือสุลต่าน", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "646101#4", "text": "งานของหมอเท้าเปล่าลดราคาสาธารณสุขในประเทศจีนอย่างชะงัด และให้การรักษาการบริบาลปฐมภูมิแก่ประชากรกสิกรรมชนบท องค์การอนามัยโลกถือว่า RCMS เป็น \"ตัวอย่างที่สัมฤทธิ์ผลของการแก้ไขความขาดแคลนหรือบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ชนบท\" เพราะหมอเท้าเปล่าจัดหาการสาธารณสุขมูลฐานเพื่อให้สาธารณสุขพื้นฐานมีราคาพอจ่ายและทำให้จีนเข้าสู่สหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก ยิ่งไปกว่านั้น โครงการนี้ยังเป็นตัวแทนว่า บางโรคในประเทศยากจนสามารถแก้ไขได้เพียงขาดเทคโนโลยีที่เพียงพอ", "title": "หมอเท้าเปล่า" }, { "docid": "184505#4", "text": "นักวิชาการบางส่วนประมาณการประชากรที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกที่ราว 100,000 ถึง 115,000 ล้านคน\nมนุษย์อาศัยอยู่อย่างถาวรในหกในเจ็ดทวีปของโลกเป็นจำนวนมาก ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีประชากรมากที่สุด โดยผู้อยู่อาศัย 4,200 ล้านคน คิดเป็นกว่า 60% ของประชากรโลก เพียงสองประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก คือ จีนและอินเดีย รวมกันก็มีประชากรราว 37% ของประชากรโลกแล้ว ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสอง โดยมีประชากรราว 1 พันล้านคน หรือ 15% ของประชากรโลก ทวีปยุโรปมีประชากร 733 ล้านคน คิดเป็น 11% ของประชากรโลก ขณะที่ภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียนเป็นที่อยู่ของประชากรโลกราว 600 ล้านคน (9%) อเมริกาเหนือ (Northern America) ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีประชากรราว 352 ล้านคน (5%) และโอเชียเนีย ภูมิภาคที่มีประชากรน้อยที่สุด มีผู้อยู่อาศัยราว 35 ล้านคน (0.5%) ส่วนทวีปแอนตาร์กติกา แม้จะไม่มีประชากรอยู่อาศัยแน่นอนเป็นการถาวร แต่ก็มีประชากรนานาประเทศจำนวนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่ในสถานีวิทยาศาสตร์ขั้วโลก ประชากรนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในฤดูร้อนและลดลงอย่างมีนัยสำคัญในฤดูหนาว เพราะนักวิจัยผู้มาเยือนกลับประเทศแม่", "title": "ประชากรโลก" }, { "docid": "1989#2", "text": "ประเทศสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางพาณิชย์สำคัญของโลกแห่งหนึ่ง โดยเป็นศูนย์กลางการเงินใหญ่สุดเป็นอันดับสี่และเป็นหนึ่งในห้าท่าที่วุ่นวายที่สุด เศรษฐกิจซึ่งเป็นโลกาภิวัฒน์และมีความหลากหลายอาศัยการค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิต ซึ่งคิดเป็นประมาณ 30% ของจีดีพีของสิงคโปร์ในปี พ.ศ. 2556 ในแง่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ ประเทศสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับสามของโลกแต่มีความเหลื่อมล้ำของรายได้รุนแรงที่สุดในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับสูงในแง่การศึกษา สาธารณสุขและความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 มีประชากรอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์เกือบ 5.5 ล้านคน ซึ่งกว่า 2 ล้านคนมีสัญชาติต่างชาติ แม้สิงคโปร์จะมีความหลากหลาย แต่เชื้อชาติเอเชียมีมากที่สุด 75% ของประชากรเป็นชาวจีน โดยมีชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ เช่น ชาวมลายู ชาวอินเดียและชาวยูเรเชีย มีภาษาราชการสี่ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษามลายู ภาษาจีนกลาง และภาษาทมิฬ และประเทศสนับสนุนพหุวัฒนธรรมนิยมผ่านนโยบายทางการต่าง ๆอีกด้วย", "title": "ประเทศสิงคโปร์" }, { "docid": "6332#16", "text": "จากจำนวนชาวฮั่นนอกประเทศจีนประมาณ 40 ล้านคนทั่วโลก เกือบ 30 ล้านคนอาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิงคโปร์มีจำนวนประชากรชาวฮั่นเป็นประชากรส่วนใหญ่ที่มากสุดที่ 74% เกาะคริสต์มาสก็มีประชากรชาวฮั่นเป็นส่วนใหญ่ที่ 70% ประชากรชาวฮั่นจำนวนมากยังอาศัยอยู่ใน มาเลเซีย (25%),ใน ประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชาวแต้จิ๋วซึ่งไม่ได้พูดภาษาฮั่น, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนที่อื่นในโลกคนเชื้อสายฮั่น 3 ล้านคนอาศัยในสหรัฐอเมริกาซึ่งคิดเป็น 1% ของจำนวนประชากร, มากกว่า 1 ล้านคนในแคนาดา (3.7%), มากกว่า 1.3 ล้านคนในเปรู (4.3%), มากกว่า 6 แสนคนในออสเตรเลีย (3.5%), เกือบ 150,000 คนในนิวซีแลนด์ (3.7%) และ 750,000 คนในแอฟริกา", "title": "ชาวฮั่น" }, { "docid": "713139#2", "text": "ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศจีนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน กับการแบกรับความกดดันจากจำนวนประชากรมนุษย์ที่มีมากที่สุดในโลก มีสัตว์อย่างน้อย 840 สายพันธุ์ที่ถูกคุกคาม, เสี่ยงอันตรายต่อการสูญพันธุ์ในประเทศจีน โดยมีสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การทำลายสิ่งแวดล้อม, มลพิษ และการแย่งอาหาร, การใช้ขนสัตว์ และส่วนผสมสำหรับการแพทย์แผนจีน สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และในขณะที่ปี ค.ศ. 2005 ประเทศนี้มีพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติถึงกว่า 2,349 แห่ง โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 149.95 ล้านเฮกตาร์ (578,960 ตารางไมล์) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศจีนทั้งหมดที่มีอยู่", "title": "ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศจีน" }, { "docid": "320000#17", "text": "นักธรณีวิทยา เดล แอลเลน ไฟเฟอร์ อ้างว่า ในทศวรรษที่กำลังจะถึงนี้อาจเห็นราคาอาหารผันแปรโดยปราศจากการบรรเทาและการขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่ในระดับโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน[30] การขาดดุลน้ำ ซึ่งได้กระตุ้นการนำเข้าธัญพืชอย่างหนักในหลายประเทศขนาดเล็ก อาจเกิดขึ้นอย่างเดียวกันกับประเทศขนาดใหญ่ขึ้น อย่างเช่น จีนหรืออินเดีย[31] ระดับพื้นผิวของน้ำบาดาลกำลังลดลงในหลายประเทศ รวมทั้งทางเหนือของจีน สหรัฐอเมริกา และอินเดีย เนื่องจากการสูบน้ำขึ้นมาใช้อย่างแพร่หลายโดยใช้เครื่องสูบน้ำดีเซลและไฟฟ้า ประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบรวมไปถึงปากีสถาน อิหร่านและเม็กซิโก ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การขาดแคลนน้ำและการลดปริมาณเก็บเกี่ยวธัญพืช แม้จะมีการสูบน้ำในชั้นหินอุ้มน้ำขึ้นมาใช้อย่างมาก จีนยังได้ปรากฏว่าขาดดุลธัญพืช ซึ่งส่งผลให้แรงกดดันราคาธัญพืชเพิ่มขึ้น คาดกันว่าประชากรโลกสามพันล้านคนที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อถึงกลางศตวรรษนี้นั้น ส่วนใหญ่จะเกิดนั้นประเทศที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอยู่ก่อนแล้ว", "title": "ทุพภิกขภัย" }, { "docid": "2043#0", "text": "อินเดีย (English: India; Hindi: भारत, ออกเสียง [ˈbʱaːrət̪]) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (English: Republic of India; Hindi: भारत गणराज्य) ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย มีประชากรมากเป็นอันดับที่สองของโลก และเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยมีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน มีภาษาพูดร้อยแปดสิบแปดภาษาโดยประมาณ ด้านเศรษฐกิจ อินเดียมีอำนาจการซื้อมากเป็นอันดับที่สี่ของโลก ทั้งนี้ อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทางตะวันออกติดพม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดศรีลังกา ล้อมรอบบังกลาเทศทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก นอกนั้นยังมีเขตแดนทางทะเลต่อเนื่องกับน่านน้ำไทย พม่า และอินโดนีเซีย และด้วยพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร อินเดียจึงเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 7 ของโลก", "title": "ประเทศอินเดีย" }, { "docid": "1961#0", "text": "เวียดนาม (Vietnamese: Việt Nam [viət˨ nam˧] เหฺวียดนาม) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Vietnamese: Cộng hòa xã hội chủ nghĩa Việt Nam, ก่ง ฮหว่า สา โห่ย จู๋ เหงีย เหวียต นาม) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทรอินโดจีน มีประชากรประมาณ 94.6 ล้านคนใน พ.ศ. 2559 ทำให้มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลกและมากเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย มีพรมแดนติดกับประเทศจีน ทางทิศเหนือ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ อ่าวไทย ทางทิศตะวันออกและใต้ [lower-alpha 1] มีเมืองหลวงชื่อฮานอยตั้งแต่เวียดนามเหนือและใต้รวมกันใน พ.ศ. 2519 เมืองใหญ่สุดในประเทศคือนครโฮจิมินห์", "title": "ประเทศเวียดนาม" }, { "docid": "21913#6", "text": "วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลหลักและวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสต์ศาสนิกชน ในบางประเทศที่มิใช่คริสต์ ประเทศเหล่านี้รับคริสต์มาสเข้ามาระหว่างถูกปกครองเป็นอาณานิคม (เช่น ฮ่องกง) ส่วนในประเทศอื่น ประชากรค่อย ๆ รับเอาการเฉลิมฉลองของคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มน้อยหรืออิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างประเทศ ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งคริสต์มาสเป็นที่นิยมแม้มีคริสตศาสนิกชนน้อย ก็ได้รับเอาคริสต์มาสส่วนที่เป็นฆราวาสหลายอย่าง เช่น การให้ของขวัญ การประดับตกแต่ง และต้นคริสต์มาส ประเทศที่คริสต์มาสไม่ใช่วันหยุดราชการ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน (ยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊า) ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย อัลจีเรีย ไทย เนปาล อิหร่าน ตุรกี และเกาหลีเหนือ การเฉลิมฉลองคริสต์มาสรอบโลกอาจมีรูปแบบแตกต่างกันชัดเจนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติ", "title": "คริสต์มาส" }, { "docid": "6332#0", "text": "ชาวฮั่น (Chinese:漢族) เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศจีน ผลสำรวจจำนวนประชากรในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 พบว่า มีชาวฮั่นราว 1,200 ล้านคนอาศัยในประเทศจีน และนับเป็นกลุ่มชนชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย", "title": "ชาวฮั่น" }, { "docid": "4274#10", "text": "ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 2.095 พันล้านคน หรือ 30.2 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน มีนาคม 2554) โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่าง ๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 44.0 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 384 ล้านคน", "title": "อินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "555780#1", "text": "เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2012 ประชากรสิงคโปร์อยู่ที่ 5.31 ล้านคน เป็นรัฐเอกราชที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากโมนาโก สิงคโปร์เป็นประเทศหลายเชื้อชาติและหลายวัฒนธรรม ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวลูกครึ่งจีน-มลายู (ร้อยละ 74.2) บางส่วนเป็นชาวมลายู (ร้อยละ 13.2) และชนกลุ่มน้อยชาวอินเดีย (ร้อยละ 9.2) ชาวมลายูถือเป็นชนพื้นเมือง แม้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สืบเชื้อสายของผู้อพยพหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงปี 1945 จากประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ศาสนาพุทธนิกายมหายานเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุด แต่ไม่เกินกึ่งหนึ่งของประชากร โดยมีผู้นับถือศาสนาอิสลาม คริสต์ ฮินดู ซิกข์และไม่นับถือศาสนาเป็นจำนวนมาก อัตราการเติบโตของประชากรต่อปีของปี 2012 อยู่ที่ราว 2.5% ภาษาราชการสี่ภาษาของสิงคโปร์ ได้แก่ ภาษาจีนกลาง ภาษามลายู ภาษาทมิฬและภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทำงานหลักและเป็นภาษาแรกที่บังคับในโรงเรียนทุกแห่งของประเทศ อัตราภาวะเจริญพันธุ์รวมของพลเมืองสิงคโปร์อยู่ที่ 1.2 ในปี 2011 อัตราภาวะเจริญพันธุ์ของชาวจีน มลายูและอินเดียอยู่ที่ 1.08, 1.64 และ 1.09 ตามลำดับ ในปี 2010 อัตราภาวะเจริญพันธุ์ของชาวมลายูสูงกว่าอัตราภาวะเจริญพันธุ์ของชาวจีนและอินเดียราว 70% สิงคโปร์พยายามเพิ่มอัตราภาวะเจริญพันธุ์มานานแล้ว โดยตั้งเป้าหมายที่การเกิด 2.1 คนต่อหญิง 1 คน", "title": "ประชากรศาสตร์สิงคโปร์" }, { "docid": "2032#27", "text": "ระดับการให้การสนับสนุนรัฐบาลและการบริหารจัดการในประเทศจีนนับว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยมีประชากรถึง 86% แสดงความพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในประเทศ และเศรษฐกิจของชาติตามการสำรวจของสำนักวิจัยพิวเมื่อปี พ.ศ. 2551[47]", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "2074#24", "text": "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่ประมาณ 4,000,000ตารางกิโลเมตร (1.6ล้านตารางไมล์) มีประชากรมากกว่า 628 ล้านคนในปี พ.ศ. 2558 โดยกว่าหนึ่งในห้า (125ล้านคน) อยู่บนเกาะชวาของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีความหนาแน่นที่สุดในโลก ด้วยความที่ประเทศอินโดนีเซียมีประชากรถึง 230 ล้านคน ทำให้เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมากเป็นอันดับ 4 ของโลก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนาที่จะแตกต่างไปในแต่ละประเทศ มีชาวจีนโพ้นทะเล 30ล้านคน อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ โดยที่เด่นชัดที่สุดคือที่เกาะคริสต์มาส, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และไทย รวมถึงชาวฮั้วในเวียดนาม", "title": "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" } ]
749
พระเจ้าอลองพญา เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "51126#2", "text": "พระเจ้าอลองพญากำเนิดเป็นสามัญชนธรรมดา นามว่า \"อองไชยะ\" หรือ \"อองไจยะ\" (Aung Zeya, အောင်ဇေယျ) ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ \"มุกโชโบ\" หรือ \"ชเวโบ\" หมู่บ้านไม่กี่ร้อยหลังคาเรือนในเขตแม่น้ำมู ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 60 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังวะ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1714 โดยถือกำเนิดในครอบครัวผู้ดีซึ่งเคยปกครองหุบเขามูมาหลายชั่วอายุคนบิดาเป็นผู้นำหมู่บ้านมุกโชโบสืบต่อจากบรรพบุรุษและลุง สิธาเมงยี (စည်သာမင်းကြီး) เป็นขุนนางในเขตหุบเขามูด้วยพระองค์อ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากผู้บังคับบัญชาทหารม้าสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 พระอนุชาของพระเจ้าโม่ญี่นตะโด (Mohnyin Thado) ซึ่งหมายถึงว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พุกามด้วยพระองค์มาจากครอบครัวใหญ่ และมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดและการแต่งงานกับครอบครัวผู้ดีอื่น ๆ อีกมากในพื้นที่หุบเขานั้น ในปี ค.ศ. 1730 แต่งงานกับยุงซาน (Yun San, ယွန်းစံ ) ลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งสองมีลูกชายหกคน และลูกสาวสามคน โดยลูกสาวคนที่สี่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเล็ก", "title": "พระเจ้าอลองพญา" } ]
[ { "docid": "51126#8", "text": "ราชวงศ์อลองพญา โดย ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์วีระ ธีรภัทร (เมษายนพ.ศ. 2544)", "title": "พระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#32", "text": "พระเจ้าอลองพญาสวรรคตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2303 ใกล้กับกรุงศรีอยุธยา หลังจากถูกเร่งรุดนำพระองค์มาอย่างรวดเร็วโดยทัพหน้า และจากการสวรรคตนี้เองสงครามครั้งนี้จึงสิ้นสุดลง", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "903486#4", "text": "การบุกขึ้นเหนือที่ล้มเหลวของพระองค์ทำให้จากที่เป็นฝ่ายรุก ต้องตกเป็นฝ่ายป้องกันการรุกรานจากกองทัพโกนบอง กระทั่งต่อมาพระเจ้าอลองพญาสามารถเข้ายึดดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีได้สำเร็จ เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1755 และยึดท่าเรือของฝรั่งเศส ที่เมืองตานลยีน ได้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1756 และสุดท้ายยึดหงสาวดีได้ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1757 พญาทะละและเชื้อพระวงศ์ถูกจับคุมขังที่มุกโชโบ พระองค์ถูกคุมขังนานถึง 17 ปี จนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1774 พระเจ้ามังระพระราชโอรสพระองค์ที่สองของพระเจ้าอลองพญา รับสั่งประหารชีวิตพญาทะละต่อหน้าสาธารณชนหลังเกิดเหตุการณ์กบฏมอญในปี ค.ศ. 1773 เนื่องจากเข้าใจว่าพระองค์สนับสนุนให้มีการเกิดกบฏ", "title": "พญาทะละ" }, { "docid": "372893#23", "text": "ตามพงศาวดารพม่า การปะทะกันครั้งแรกในสงครามเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูมรสุมในพรมแดนทวาย ราวเดือนกันยายนหรือตุลาคม พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงได้รับแจ้งว่ามีการโจมตีการขนส่งทางเรือของพม่าโดยอยุธยารอบ ๆ ทวาย และการรุกล้ำเข้าไปยังพรมแดนทวายของอยุธยายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง[29] เพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด ซึ่งอาจเป็นข้ออ้างโดยชอบธรรมในการทำสงครามของฝ่ายพม่าได้เป็นอย่างดี แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่ากองทัพอยุธยาได้เตรียมแนวป้องกันด่านหน้าไปแล้วในตอนนั้น", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "907029#0", "text": "พระนางยุนซาน ( ; 1713–1771) พระอัครมเหสีใน พระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์โกนบอง และเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญาถึง 3 พระองค์คือ พระเจ้ามังลอก กษัตริย์องค์ที่ 2 , พระเจ้ามังระ กษัตริย์องค์ที่ 3 และ พระเจ้าปดุง กษัตริย์องค์ที่ 6 พระนางเป็นที่รู้จักจากการเข้ามายุติความขัดแย้งของพระราชโอรสองค์ใหญ่ 2 พระองค์คือ มังลอก และ มังระ ภายหลังจากพระเจ้าอลองพญาสวรรคตใน ค.ศ. 1760 ทำให้มังลอกได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าอลองพญา พระนางยุนซานสวรรคตในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1771 ในรัชสมัยพระเจ้ามังระ", "title": "พระนางยูนซาน" }, { "docid": "373494#0", "text": "มังฆ้องนรธา ( ; ประมาณ ค.ศ. 1714 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 1760) เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพพม่าแห่งราชวงศ์คองบองสมัยพระเจ้าอลองพญา เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้คุมทหารกองหลังในสงครามพระเจ้าอลองพญา ขณะที่กองทัพพม่าเร่งรุดเดินทางเพื่อนำพระบรมศพพระเจ้าอลองพญากลับประเทศ แม่ทัพคนดังกล่าว ซึ่งได้รับความเคารพนับถือจากทหารใต้บังคับบัญชา ได้ก่อกบฏต่อพระเจ้ามังลอก พระมหากษัตริย์พระองค์ถัดจากพระเจ้าอลองพญา เชื่อกันว่าถูกประหารชีวิตโดยพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ผู้ซึ่งมีประวัติปฏิปักษ์ต่อกันมานาน แม่ทัพกบฏผู้นี้ได้ยึดอังวะได้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1760 และสามารถต้านทานการล้อมได้นานกว่าห้าเดือน ถูกสังหารโดยกระสุนปืนคาบศิลาขณะกำลังหลบหนีออกจากเมืองในเดือนธันวาคม พระเจ้ามังลอกซึ่งทรงสำนึกผิดมีบันทึกไว้ว่าได้ทรงเศร้าโศกกับข่าวการเสียชีวิตของศัตรูและเพื่อนผู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระราชบิดา", "title": "มังฆ้องนรธา" }, { "docid": "42753#9", "text": "ในปี พ.ศ. 2297 พระเจ้าอลองพญาสามารถปราบปรามเมืองพม่าและเมืองมอญได้สำเร็จ พระองค์จึงให้เตรียมกองทัพเพื่อยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2302 จนเมื่อพม่ายกทัพเข้ามาใกล้พระนคร บรรดาขุนนางราษฎรทั้งหลายจึงพากันไปกราบทูลวิงวอนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรให้ลาพระผนวชออกมาเพื่อช่วยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศป้องกันพระนครศรีอยุธยา โดยสัญญาว่าหากรบพม่าชนะจะให้พระเจ้าอุทุมพรกลับมาเป็นกษัตริย์[21] โดยการปรับปรุงการตั้งรับข้าศึกจนพม่าไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ ต้องยอมเลิกทัพกลับไป เพราะพระเจ้าอลองพญาทรงประชวรแล้วสวรรคตระหว่างทาง[22] ในตอนแรกไทยไม่รู้ว่าพระเจ้าอลองพญาทรงประชวร และคิดว่าอาจเป็นกลอุบายเลิกทัพ ครั้นรู้ว่าเลิกทัพกลับไปแน่ พระเจ้าอุทุมพรจึงมีรับสั่งให้พระยายมราชกับพระยาสีหราชเดโชยกทัพไปติดตามพม่า ตามไปถึงเมืองตากก็ไม่ทันข้าศึก จึงเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์อันใดก็เลิกตาม[23]", "title": "สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร" }, { "docid": "51126#5", "text": "พระเจ้าอลองพญาเสด็จสวรรคตระหว่างทางกลับจากการทำสงครามกับอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งก่อนจะมาสงคราม พระองค์ส่งพระราชสาสน์ถึงสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ แจ้งเหตุสงครามครั้งนี้ โดยอ้างสิทธิของพม่าเหนืออยุธยาแต่ครั้งพระเจ้าบุเรงนอง และอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้าช้างเผือก หรือพระเจ้าจักรพรรดิ ตามพงศาวดารไทยระบุว่าสวรรคตเพราะปืนใหญ่แตกที่วัดหน้าพระเมรุ แต่ทางพงศาวดารพม่าระบุว่าสวรรคตเพราะประชวร", "title": "พระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#20", "text": "ฝ่ายพม่าเองก็ได้เตรียมระดมพลกองทัพรุกราน โดยเริ่มจากการเฉลิมฉลองปีใหม่เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2302 โดยรวบรวมทหารจากพม่าตอนบนทั้งหมด รวมทั้งจากรัฐฉานและมณีปุระที่อยู่ทางเหนือซึ่งเพิ่งจะถูกยึดครองไปเมื่อไม่นานมานี้ด้วย จนถึงปลายปี พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงสามารถระดมพลได้มากถึง 40 กรมทหาร (ทหารราบ 40,000 นาย และทหารม้า 3,000 นาย) ที่ย่างกุ้ง ซึ่งจากทหารม้าทั้งหมด 3,000 นายนี้ เป็นทหารม้ามณีปุระเสีย 2,000 นาย ซึ่งเพิ่งจะถูกจัดเข้าสู่ราชการของพระเจ้าอลองพญาหลังจากมณีปุระถูกพม่ายึดครองเมื่อปี พ.ศ. 2301[6][27]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#15", "text": "แต่นักประวัติศาสตร์พม่า หม่อง ทินอ่อง กล่าวว่าวิเคราะห์ของพวกเขานั้นบรรยายไม่หมดถึงความกังวลที่แท้จริงของพระเจ้าอลองพญาที่ว่าอำนาจของพระองค์นั้นเพิ่งจะเริ่มสถาปนาขึ้น และพระราชอำนาจในพม่าตอนล่างนั้นยังไม่มั่นคง และพระเจ้าอลองพญาไม่ทรงเคยรุกรานรัฐยะไข่ เนื่องจากชาวยะไข่ไม่เคยแสดงความเป็นปรปักษ์ และเมืองตานด่วยในรัฐยะไข่ตอนใต้ได้เคยถวายเครื่องราชบรรณาการในปี พ.ศ. 2298[10] ถั่น มินอู ยังได้ชี้ให้เห็นว่านโยบายที่มีมาอย่างยาวนานของอยุธยาในการรักษารัฐกันชนกับพม่าศัตรูเก่า ได้กินเวลามาจนถึงสมัยใหม่ซึ่งครอบครัวของชาวพม่าผู้ต่อต้านรัฐบาลได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกองทัพต่อต้านรัฐบาลยังสามารถซื้ออาวุธ เครื่องกระสุน และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย[25]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "856497#1", "text": "ราชวงศ์ใหม่ที่เรียก ราชวงศ์คองบอง นำโดย พระเจ้าอลองพญา เรืองอำนาจในพม่าตอนบน และท้าทายต่อกองทัพทางใต้ หลังจากการรุกรานภาคเหนือของหงสาวดีพ่ายแพ้ใน พ.ศ. 2297 หงสาวดีได้ประหารเชื้อพระวงศ์อังวะทั้งหมด และแสดงความเป็นชนทางใต้ต่อต้านอลองพญา ใน พ.ศ. 2298 อลองพญารุกรานพม่าตอนล่าง เข้ายึดที่ราบลุ่มแม่น้ำอิระวดี ท่าเรือของฝรั่งเศสที่สิเรียม และยึดพะโคได้ในที่สุดเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2300 ", "title": "อาณาจักรหงสาวดีใหม่" }, { "docid": "372893#13", "text": "พระเจ้าอลองพญาทรงกังวลกับกบฏมอญที่หลั่งไหลเข้าไปสู่ดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอยุธยาอย่างไม่ขาดสาย โดยทรงเชื่อว่าพวกมอญมักจะเตรียมวางแผนก่อกบฏและพยายามชิงเอาพม่าตอนล่างกลับคืนไปเป็นของตน[19] ความกังวลของพระองค์นั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าสมเหตุสมผล มอญได้ก่อกบฏขึ้นหลายครั้งในปี พ.ศ. 2301, 2305, 2317, 2326, 2335 และ 2367-69 ซึ่งการกบฏแต่ละครั้งที่ล้มเหลวนั้นจะตามมาด้วยการหลบหนีของมอญเข้าไปยังอาณาจักรของไทย[21] พระเจ้าอลองพญาทรงเรียกร้องให้อยุธยาหยุดให้การสนับสนุนต่อกบฏมอญ ยอมส่งตัวผู้นำมอญ และยุติการส่งกำลังรุกล้ำเข้าไปทางตอนเหนือของตะนาวศรี ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นดินแดนของพม่า พระมหากษัตริย์อยุธยา พระเจ้าเอกทัศ ปฏิเสธข้อเรียกร้องของพม่า และเตรียมพร้อมทำสงคราม[10]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#0", "text": "สงครามพระเจ้าอลองพญา เป็นชื่อเรียกความขัดแย้งทางทหารครั้งแรกระหว่างอาณาจักรโกนบองแห่งพม่า กับอาณาจักรอยุธยาสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง สงครามครั้งนี้เป็นการจุดชนวนการสงครามนานหลายศตวรรษระหว่างทั้งสองรัฐขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะกินเวลานานไปอีกหนึ่งศตวรรษข้างหน้า ฝ่ายพม่านั้นอยู่ที่ \"ขอบแห่งชัยชนะ\" แล้วเมื่อจำต้องถอนกำลังจากการล้อมอยุธยา เนื่องจากพระเจ้าอลองพญาถูกระเบิดปืนใหญ่สิ้นพระชนม์[6] พระองค์สวรรคตและทำให้สงครามครั้งนี้ยุติลง", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "963441#1", "text": "เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองย่างกุ้งโดยพระเจ้าอลองพญาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1757 ซึ่งพระเจ้าอลองพญาโปรดเกล้าให้ยกฐานะอดีตหมู่บ้านของ ตะโกง ที่พระองค์ได้เข้ายึดครองเมื่อสองปีก่อนหน้าขึ้นเป็นเมืองท่าหลักของอาณาจักรพระองค์", "title": "เนเมียวนรธา" }, { "docid": "372893#16", "text": "นักประวัติศาสตร์ตะวันตกในสมัยหลังได้ให้มุมมองที่ค่อนข้างเป็นกลางกว่า ดี.จี.อี. ฮอลล์ เขียนว่า การปล้นสะดมเป็นนิจโดยอยุธยาและกบฏมอญนั้นเพียงอย่างเดียวก็พอที่จะเป็นชนวนเหตุของสงครามได้ ถึงแม้เขาจะเสริมว่าสำหรับพระมหากษัตริย์ผู้ทรงไม่สามารถที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้[20] สไตน์แบร์กและคณะสรุปว่าชนวนเหตุของสงครามเป็นผลมาจากการกบฏท้องถิ่นในทวาย ซึ่งอยุธยาถูกคาดว่าเข้าไปมีส่วนพัวพัน[9] และล่าสุด เฮเลนส์ เจมส์ เขียนว่า พระเจ้าอลองพญาทรงต้องการที่จะยึดครองการค้าระหว่างคาบสมุทรของอยุธยา ขณะที่ยอมรับว่าเหตุจูงใจรองนั้นเป็นเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของอยุธยา และการให้การสนับสนุนพวกมอญของอยุธยา[6]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "43492#3", "text": "พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เคยติดตามพระบิดาคือ พระเจ้าอลองพญา มาทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยาโดยพงศาวดารพม่าได้กล่าวถึงพระเจ้ามังระว่าเป็นผู้เตือนพระบิดาถึงความยากลำบากในการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาที่มีปราการธรรมชาติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากจะอาศัยแต่กำลังพลแลเสบียงอาหารเท่าที่มีอยู่นั้น เห็นจะไม่สามารถปิดล้อมสายส่งกำลังบำรุงทั้งทางเหนือและใต้ของกรุงศรีอยุธยาได้หมด และหากยุทธปัจจัยของกรุงศรียังบริบูรณ์เราจะไม่มีทางทำอะไรกรุงศรีอยุธยาได้เลย ควรยกทัพกลับไปวางแผนใหม่จะดีกว่า แต่พระเจ้าอลองพญาเชื่อมั่นในความสามารถของพระองค์จึงได้ทำการรบพุ่งต่อสุดท้ายการณ์ก็เป็นอย่างที่พระเจ้ามังระตรัสไว้ แม้พระเจ้าอลองพญาจะพยายามอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถหาทางข้ามแม่น้ำเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ ด้วยครั้งนั้นอยุธยายังเพรียบพร้อมไปด้วยอาวุธและกำลังพล อีกทั้งสายส่งกำลังบำรุงจากทางเหนือและใต้ก็ยังสามารถส่งอาหารและกระสุนดินดำเข้าสู่พระนครได้อยู่ แลครั้งนั้นกรุงศรียังได้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เองสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทั้งทหารและประชาชนในพระนครเป็นอันมาก จนพระเจ้าอลองพญาต้องมาสิ้นพระชนด้วยกระสุนปืนใหญ่แตกใส่(พงศาวดารฝ่ายไทย) หรือหากอิงตามพงศาวดารพม่าก็จะระบุว่าสวรรคตเพราะประชวร", "title": "พระเจ้ามังระ" }, { "docid": "43492#0", "text": "พระเจ้ามังระ หรือ พระเจ้าซินพะยูชิน (;‌ ) เป็นพระโอรสองค์ที่ 2 ในจำนวน 6 พระองค์ของพระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์อลองพญาหรือราชวงศ์คองบอง ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์อลองพญา ในปี พ.ศ. 2306 พระองค์ได้ตามเสด็จพระเจ้าอลองพญาออกรบตั้งแต่อายุ15ปี เมื่ออายุ17ปี ก็สามารถเป็นผู้นำทัพเข้ายึดกรุงอังวะจากทหารมอญทั้งที่มีกำลังพลน้อยกว่ามากได้อย่างน่าประหลาดใจ ครั้นอายุ20 ก็ช่วยพระเจ้าอลองพญารวมแผ่นดินสถาปนาราชวงค์คองบองได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้เป็นผู้ติดตามพระราชบิดามาทำสงครามกับอยุธยาในการบุกครั้งแรกด้วย โดยในพงศาวดารของฝั่งพม่าได้กล่าวถึงราชบุตรมังระว่า เป็นผู้เตือนพระบิดาคือพระเจ้าอลองพญาว่า การบุกคราวนี้ยังไม่พร้อมพอที่จะเอาชัยชนะต่อกรุงศรีอยุธยาที่มีปราการธรรมชาติระดับนี้ได้ ซึ่งการณ์ก็เป็นไปดังนั้น และพระองค์ยังต้องเสียพระราชบิดาไปในศึกคราวนี้ด้วย \nต่อมาในปี พ.ศ. 2306 หลังจากขึ้นครองราชย์ พระองค์ปรารภในที่ประชุมขุนนางว่า \"\"อยุธยาไม่เคยแพ้อย่างราบคาบมาก่อน\"\" พระองค์สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดา ด้วยการส่งเนเมียวสีหบดีเข้ามากวาดต้อนผู้คนและกำลังพลจากหัวเมืองทางเหนือก่อนในปี พ.ศ. 2307 และได้ส่งทัพจากทางใต้คือมังมหานรธาเข้ามาเสริมช่วยอีกทัพหนึ่ง ทั้ง 2 ทัพได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานานถึง 1 ปีกับสองเดือน แม้ถึงฤดูน้ำหลากก็ไม่ยกทัพกลับ สามารถเข้าตีพระนครได้เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ตรงกับวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนห้า ปีกุน ", "title": "พระเจ้ามังระ" }, { "docid": "372893#33", "text": "หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าอลองพญา พระมหากษัตริย์พม่าพระองค์ใหม่ พระเจ้ามังลอก ทรงต้องเผชิญกับการกบฏหลายครั้ง รวมทั้งการกบฏของแม่ทัพมังฆ้องนรธาด้วย และสงครามไม่สามารถดำเนินตอ่ไปได้", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#30", "text": "ตามข้อมูลฝ่ายสยามพระเจ้าอลองพญาทรงเคืองพระทัยที่กองทัพพม่ายึดอยุธยาช้ากว่าที่กำหนดพระองค์จึงทรงนำขบวนไปสังเกตการรบที่แนวหน้าและได้สิ้นพระชนม์จากแรงระเบิดจากปืนใหญ่ซึ่งทรงขึ้นบัญชาการยิงเข้าพระนครด้วยพระองค์เอง[10] หรือจากวัณโรคต่อมน้ำเหลือง[6] แต่พงศาวดารพม่าระบุอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคบิด ไม่มีเหตุอันใดที่พงศาวดารพม่าจะปกปิดความจริง เนื่องจากจะเป็นการสมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์มากกว่าที่จะสวรรคตจากบาดแผลในการรบมากกว่าสวรรคตด้วยอาการเจ็บป่วยธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น หากพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บต่อหน้าทหารทั้งกองทัพ ข้อเท็จจริงนี้ก็จะเป็นที่ที่ทราบไปทั้งกองทัพ และก่อให้เกิดความสับสน[10]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "34007#6", "text": "อีกครั้งหนึ่งคือ ราวปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญา (ภายหลังนับเป็นมหาราชองค์ที่ 3 ของพม่า) ได้ยกทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา และตั้งทัพหลวงไว้ตรงทุ่งพระเมรุ พระเจ้าอลองพญาได้ทรงบัญชาการศึกและทรงสั่งการให้นำปืนใหญ่เข้ามาตั้งในเขตวัดหน้าพระเมรุ และให้จุดไฟยิงปืนใหญ่ข้ามไปยังพระราชวังหลวงฝั่งตรงข้าม ปรากฏว่าเกิดเหตุลูกปืนอุดทำให้ปืนใหญ่ระเบิดแตกออก ต้องพระวรกายของพระเจ้าอลองพญาจนสาหัส จนต้องถอยทัพและสิ้นพระชนม์เมื่อถอยยังไม่พ้นเมืองตาก เป็นอันยุติการรุกรานกรุงศรีอยุธยาไปอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์พระเจ้าอลองพญาบาดเจ็บจนต้องถอยทัพและสิ้นพระชนม์นี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์กรุงศรีอยุธยาฯ เสียเอกราชครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นในภายหลัง (ในปี พ.ศ. 2310)[10]", "title": "วัดหน้าพระเมรุ" }, { "docid": "372893#22", "text": "พระเจ้าอลองพญาทรงเป็นผู้นำทัพด้วยพระองค์เอง โดยมีพระราชบุตรองค์ที่สอง เจ้าชายมังระ เป็นรองแม่ทัพใหญ่ ส่วนเจ้าชายมังลอก พระราชบุตรองค์โต พระองค์ทรงให้บริหารประเทศต่อไป ส่วนพระราชโอรสที่เหลือนั้นนำทหารราวหนึ่งกองพันทั้งสองพระองค์[28] นอกจากนี้ที่ติดตามกองทัพไปด้วยนั้นยังมีแม่ทัพยอดฝีมือ ซึ่งรวมไปถึงมังฆ้องนรธา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางทหารอย่างมาก บางคนในราชสำนักสนับสนุนให้เขาผู้นี้อยู่ข้างหลังและมังระนำปฏิบัติการแทน แต่พระเจ้าอลองพญาทรงปฏิเสธ[29]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "51126#0", "text": "พระเจ้าอลองพญา หรือ พระเจ้าอลองพญารี (English: Alaungpaya, Burmese: အလောင်းမင်းတရား พระนามของพระองค์ออกสำเนียงเป็นภาษาพม่าว่า \"อลองเมงตะยาจี\" หรือ \"อลองพะ\" มีความหมายว่า \"พระโพธิสัตว์\"; สิงหาคม ค.ศ. 1714 — 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1760) เป็นพระมหากษัตริย์พม่าระหว่างวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1752 ถึง 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1760 รวมได้ 8 ปี 51 วัน เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์คองบอง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของพม่าพระองค์กำเนิดเป็นสามัญชน โดยเป็นผู้นำหมู่บ้านแถบพม่าตอนบน สามารถรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นปราบปราม มณีปุระ กอบกู้ ล้านนา คืนจากอยุธยาและขับชาวอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งให้การสนับสนุนราชอาณาจักรหงสาวดีฟื้นฟูของชาวมอญพระองค์ก่อตั้งเมืองย่างกุ้งในปี ค.ศ. 1755 สวรรคตจากพระอาการประชวรระหว่างการบุกอาณาจักรอยุธยา", "title": "พระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "55044#0", "text": "พระเจ้าปดุง () เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์อลองพญา (หรือเป็นองค์ที่ 6 หากนับรวมพระเจ้าหม่องหม่องด้วย) ราชวงศ์สุดท้ายของพม่า เป็นพระโอรสลำดับที่ 5 ใน 6 พระองค์ของพระเจ้าอลองพญา ขึ้นครองราชย์โดยการปราบดาภิเษกในปี พ.ศ. 2325 ปีเดียวกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้าปดุง เมื่อทรงครองราชย์มีพระนามว่า \"ปโดงเมง\" หมายถึง \"พระราชาจากเมืองปโดง\" แต่มีพระนามที่เป็นที่เรียกขานในพม่าภายหลังว่า \"โบดอพญา\" () แปลว่า \"เสด็จปู่ \" ", "title": "พระเจ้าปดุง" }, { "docid": "927459#1", "text": "พระเจ้าโม่ญี่นตะโดสวรรคตเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1439 ที่ อังวะ ขณะพระชนมายุได้ 59 พรรษาโดย พระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์อลองพญา ได้อ้างว่าพระองค์สืบเชื้อสายจากพระเจ้าโม่ญี่นตะโด", "title": "พระเจ้าโมญีนตะโด" }, { "docid": "372893#14", "text": "ขณะที่นักประวัติศาสตร์มีความเห็นโดยทั่วไปว่าการสนับสนุนของอยุธยาต่อกบฏมอญ และการปล้นสะดมข้ามพรมแดนของมอญนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุของสงคราม แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงแรงจูงใจที่ลึกลับกว่านั้น นักประวัติศาสตร์พม่าสมัยอาณานิคมอังกฤษบางคนลงความเห็นว่าสาเหตุที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น และได้เสนอว่าสาเหตุหลักของสงคราม คือ ความปรารถนาของพระเจ้าอลองพญาที่จะฟื้นฟูจักรวรรดิของพระเจ้าบุเรงนองขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมถึงอาณาจักรอยุธยาด้วย[22][23] เดวิด ไวอัท นักประวัติศาสตร์ไทย ยอมรับว่าพระเจ้าอลองพญาอาจทรงกลัวการสนับสนุนการฟื้นฟูอาณาจักรหงสาวดีของอยุธยา แต่ได้เสริมว่าพระเจ้าอลองพญานั้นชัดเจนว่าออกจะเป็นชาวชนบทดิบซึ่งมีประสบการณ์ทางการทูตน้อยมาก จึงได้เพียงสานต่อสิ่งต่อพระองค์ได้ทรงแสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าพระองค์ทำได้ดีที่สุด ซึ่งก็คือการนำกองทัพไปสู่สงคราม[24]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "71690#0", "text": "พระเจ้ามังลอก () เป็นพระโอรสพระองค์โตของพระเจ้าอลองพญา ในบรรดาพระโอรส 6 พระองค์ ขึ้นครองราชย์เนื่องจากทรงเป็น \"เองเชเมง\" หรือ อุปราชวังหน้า ซึ่งเมื่อการสวรรคตของพระเจ้าอลองพญา ในสมัยของพระองค์ได้เกิดการกบฏครั้งสำคัญคือมังฆ้องนรธาขุนพลคู่บารมีของพระเจ้าอลองพญา รวมไปถึงการแก่งแย่งอำนาจจากเจ้านายฝ่ายพม่าด้วยกันเอง ทำให้ตลอดรัชสมัยของพระองค์ต้องทำการปราบกบฎอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยอุปนิสัยที่มีเมตตาของพระองค์ จึงทำเพียงขับไล่ หรือคุมขังผู้ทำผิดเสียเป็นส่วนมาก แต่ไม่ประหารชีวิตบางครั้งก็ถึงกับอภัยโทษให้ผู้ทำผิดอยู่บ่อยๆ", "title": "พระเจ้ามังลอก" }, { "docid": "141158#10", "text": "ปัจจุบัน ทางพม่ายกย่องพระเจ้าอโนรธามังช่อ เป็น 1 ใน 3 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพม่า ซึ่งประกอบด้วย พระองค์, พระเจ้าบุเรงนอง แห่งราชวงศ์ตองอู และ พระเจ้าอลองพญา แห่งราชวงศ์อลองพญา และมีการอ้างอิงถึงพระองค์ในภาพยนตร์สัญชาติพม่า ในปี พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับวีรกรรมของพระเจ้าจานสิตา ในชื่อเรื่อง \"Kyansit Min\"", "title": "พระเจ้าอโนรธามังช่อ" }, { "docid": "2358#16", "text": "พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาทรงยกทัพรุกรานอาณาจักรอยุธยา หลังจากอยุธยาว่างเว้นศึกภายนอกมานานกว่า 150 ปี จะมีก็เพียงการนำไพร่พลเข้าต่อตีกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจเท่านั้น[17] ซึ่งในขณะนั้น อยุธยาเกิดการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างเจ้าฟ้าเอกทัศกับเจ้าฟ้าอุทุมพร อย่างไรก็ดี พระเจ้าอลองพญาไม่อาจหักเอากรุงศรีอยุธยาได้ในการทัพครั้งนั้น", "title": "อาณาจักรอยุธยา" }, { "docid": "492541#0", "text": "พระเจ้าบาจีดอ หรือ พระเจ้าจักกายแมง (; )เป็นกษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งราชวงศ์อลองพญา มีนโยบายขยายอำนาจเข้าไปในแคว้นอัสสัมและมณีปุระ ทำให้มีปัญหากับอังกฤษ และนำไปสู่การเกิดสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง", "title": "พระเจ้าจักกายแมง" }, { "docid": "51126#6", "text": "พระเจ้าอลองพญาทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1752 ถึง ค.ศ. 1760[1]", "title": "พระเจ้าอลองพญา" } ]
165
ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมืองเกิดวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "52669#1", "text": "ซิโก้เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2516 ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรคนสุดท้องจากทั้งหมดสามคน ของสุริยา (บิดา) และริสม (มารดา) มีพี่สาวสองคน แต่ภายหลังราวปี พ.ศ. 2525 เขาตามบิดามารดาย้ายกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น", "title": "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" } ]
[ { "docid": "52669#0", "text": "ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ในตำแหน่งกองหน้า อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย มีชื่อเล่นที่สื่อมวลชนสายกีฬาตั้งให้ว่า \"ซิโก้\" ตามชื่อของนักฟุตบอลชาวบราซิลที่มีชื่อเสียง อันมีที่มาจากชื่อเล่นของเขาเอง", "title": "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" }, { "docid": "62665#0", "text": "นายชลอ เกิดเทศ หรืออดีต พลตำรวจโท ชลอ เกิดเทศ (เกิด 28 สิงหาคม พ.ศ. 2481) อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจ ติดตามเพชรของราชวงศ์ไฟซาล ซาอุดิอาระเบีย ในคดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย และตกเป็นผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ ในอดีตเคยดำรงยศ \"พลตำรวจโท\" แต่ต่อมาถูกถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตราเนื่องมาจากคดีดังกล่าว", "title": "ชลอ เกิดเทศ" }, { "docid": "710970#1", "text": "ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์นที รักษ์พลเมือง เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 ณ ตำบลบ้านเหนือ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรของพันเอกหลวงศัลยกรรมโกวิท (นาค รักษ์พลเมือง) และ นางจวง รักษ์พลเมือง ด้านชีวิตครอบครัวได้สมรสกับ สุภาพ รักษ์พลเมือง (สกุลเดิม ถิ่นพนม) มีบุตร-ธิดา ด้วยกัน 3 คน คือ ดร.สุทรรศน์ รักษ์พลเมือง, จันทร์สุดา รักษ์พลเมือง อดีตรองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม , นิศานาถ มีชำนะ", "title": "นที รักษ์พลเมือง" }, { "docid": "992206#0", "text": "พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ชื่อเล่น โจ๊ก (เกิด 29 ตุลาคม พ.ศ. 2513) ณ จังหวัดสงขลา เป็นผู้บัญชาการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดยเป็นบุตรชายคนโตของ ดาบตำรวจไสว หักพาล และนางสุมิตรา หักพาล และได้สมรสกับ ดร.ศิรินัดดา พานิชพงศ์", "title": "สุรเชษฐ์ หักพาล" }, { "docid": "204072#0", "text": "พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2494 จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จบปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2538 และนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ปี พ.ศ. 2543 ผ่านการอบรมหลักสูตรโรงเรียนผู้บัญชาการรุ่นที่ 18 (ร.ร.ผบก) และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 48 (วปอ 48)", "title": "สุชาติ เหมือนแก้ว" }, { "docid": "459130#1", "text": "นายเจริญ หรือที่ชาวเชียงใหม่เรียกว่า “อาจารย์เจริญ” เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2477 เป็นบุตรของร้อยตำรวจโท จันทร์ เชาวน์ประยูร กับนางบุญศรี เชาวน์ประยูร อาศัยอยู่บ้านย่านวัดพญาเม็งราย อำเภอเมืองเชียงใหม่ เข้ารับการศึกษาชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนประชาบาลอำเภอขุนยวม ระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนแม่สะเรียง \"บริพัตรศึกษา\" จังหวัดแม่ฮ่องสอนเนื่องจากขณะนั้นบิดารับราชการตำรวจที่อำเภอแม่สะเรียง ต่อมาเมื่อบิดาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2489 จึงย้ายกลับมาเรียนต่อ ระดับเตรียมอุดมศึกษาแผนกอักษรศาสตร์ที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย", "title": "เจริญ เชาวน์ประยูร" }, { "docid": "399329#1", "text": "พ่อท่านเขียว ท่านเกิดเมื่อเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เป็นบุตรของนายทอง เพชรภักดี และ นางกิ๊ม นวลศรี ครอบครัวชาวนาในจังหวัดยะลา เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 7 คน ช่วงชีวิตในวัยเด็ก ท่านเรียนจบแค่เพียงชั้นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะบิดาถึงแก่กรรม จึงต้องออกมาช่วยมารดาทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว จนกระทั่งเมื่อมีอายุได้ 20 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดนางโอ (หรือวัดบุพนิมิต) ในปัจจุบัน ตำบลแม่ลาน (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น อำเภอแม่ลาน) จังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2492 โดยมีพระครูมนูญสมณการ วัดพลานุภาพ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแดง ธมฺมโชโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการคำ ติสสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสานความรู้วิชาให้แก่พ่อท่านเขียวก่อนอุปสมบท หลังจากนั้นท่านจึงได้ฝึกฝนสวดมนต์บทต่าง ๆ ในเจ็ดตำนานและการสวดภาณยักษ์", "title": "พระครูอนุศาสน์กิจจาทร (เขียว กิตฺติคุโณ)" }, { "docid": "750695#1", "text": "พระเทพสิทธาจารย์ มีนามเดิมว่า น้อย อุทัยสา เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 ที่ ตำบลวังแสง อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม โยมบิดาชื่อนายอุ้ย อุทัยสา โยมมารดาชื่อนางอ่อนสา อุทัยดา อุปสมบท เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ณ พัทธสีมาวัดบ้านหัวหนอง ตำบลดอนหว่าน อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม โดยมีพระครูนิมมานกิตติวัฒน์ (เจ้าอธิการกอง ฉายากิตฺติปญฺโญ) วัดเจริญผล บ้านหนองโน ตำบลหนองโน อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิสุทธิสังฆคุณ (เจ้าอธิการคาร ฉายา วิสุทฺโธ) วัดหนองหล่ม ตำบลดอนหว่าน อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทองสุข ฉายา โชติธมฺโม วัดบ้านโคก ตำบลดอนหว่าน อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังอุปสมบท ได้มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก", "title": "พระเทพสิทธาจารย์ (น้อย ญาณวุฑฺโฒ)" }, { "docid": "84943#0", "text": "ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ประเสริฐ โศภน (8 ธันวาคม 2486 - ) เกิดที่จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวน 10 คน ของ นายสุนทร และนางสว่างจิต โศภน เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวไทย ที่มีผลงานดีเด่นในสาขากายวิภาคศาสตร์และเซลล์ชีววิทยา เจ้าของรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น สาขาเซลล์ชีววิทยา ของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. 2538 สมรสกับนางกรรณิการ์ (กุลพงษ์) โศภน มีบุตร 2 คน คือ น.ส. ขวัญหล้า โศภน และ นายสินธุ โศภน\n สาขาวิทยาศาสตร์", "title": "ประเสริฐ โศภน" }, { "docid": "28430#1", "text": "หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2468 ตรงกับวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีฉลู เวลาเที่ยงวัน ณ หมู่บ้านเหล่างิ้ว ตำบลจังหาร อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด ในตระกูลที่เป็น ชาวฮินดู หลวงปู่สมชาย เป็นบุตรคนที่ 2 ของโยมบิดาชื่อ \"สอน มติยาภักดิ์\" โยมมารดา \"บุญ มติยาภักดิ์\" โยมมารดาของท่านเป็นบุตรตรีคนเล็กของ คุณหลวง เสนา ศาสนาพราหมณ์ในท้องถิ่นนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเพียง 2 คน คือ 1. นายหนู มติยาภักดิ์ 2. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย", "title": "พระวิสุทธิญาณเถร (สมชาย ฐิตวิริโย)" } ]
1591
สงครามพระเจ้าอลองพญา สู้กันเพื่ออะไร ?
[ { "docid": "372893#1", "text": "ความต้องการครอบครองชายฝั่งตะนาวศรีและการค้าขายในแถบนี้เป็นชนวนเหตุของสงคราม[7][8] และการให้การสนับสนุนของอยุธยาต่อกบฏมอญแห่งอดีตราชอาณาจักรหงสาวดีฟื้นฟู[6][9] ราชวงศ์โกนบองที่เพิ่งจะสถาปนาขึ้นใหม่นั้นต้องการจะแผ่ขยายอำนาจเข้าควบคุมชายฝั่งตะนาวศรีตอนบนอีกครั้ง (ปัจจุบันคือ รัฐมอญ) ซึ่งอยุธยาได้ให้การสนับสนุนแก่กบฏชาวมอญและจัดวางกำลังพลไว้ ฝ่ายอยุธยาปฏิเสธข้อเรียกร้องของพม่าที่จะส่งตัวผู้นำกบฏมอญหรือระงับการบุกรุกดินแดนซึ่งพม่ามองว่าเป็นดินแดนของตน[10]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" } ]
[ { "docid": "44328#16", "text": "แผนการรบฝ่ายพม่าส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ในสงครามพระเจ้าอลองพญา ประการแรก ในคราวนี้มีการวางแผนจะโจมตีหลายทางเพื่อกระจายการป้องกันที่มีกำลังพลมากกว่าของอยุธยา[29] พม่าจะหลีกเลี่ยงเส้นทางโจมตีเพียงด้านเดียวตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยแคบ ๆ ซึ่งหากถูกฝ่ายอยุธยาพบแล้วจะถูกสกัดอย่างง่ายดายโดยฝ่ายอยุธยาที่มีกำลังพลมากกว่า ในสงครามคราวก่อน ฝ่ายพม่าถูกชะลอให้ต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนเพื่อสู้รบออกจากแนวชายฝั่ง[39]", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "372893#32", "text": "พระเจ้าอลองพญาสวรรคตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2303 ใกล้กับกรุงศรีอยุธยา หลังจากถูกเร่งรุดนำพระองค์มาอย่างรวดเร็วโดยทัพหน้า และจากการสวรรคตนี้เองสงครามครั้งนี้จึงสิ้นสุดลง", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#25", "text": "แม้ว่าพระเจ้าอลองพญาจะทรงทราบว่ากองทัพหลักของอยุธยาจะเคลื่อนลงมาทางใต้เพื่อเผชิญกับทัพหลวงพม่า แต่พระองค์ก็รุกต่อไปมิได้หยุดพัก กองทัพพม่าเคลื่อนไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ข้ามเทือกเขาตะนาวศรี และมาถึงบริเวณที่เป็นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน ริ่มฝั่งอ่าวไทย[18] ปีกด้านใต้ได้รับการป้องกันโดยกองทัพอยุธยา ซึ่งประกอบด้วยทหาร 20,000 นาย ทหารม้า 1,000 นาย และช้าง 200 เชือก นอกเหนือไปจากกองทัพอยุธยาอีก 7,000 นายที่ล่าถอยมาจากตะนาวศรี[30] ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากฝ่ายอยุธยาต้านทานบริเวณชายฝั่งเพียงเล็กน้อย กองทัพพม่าที่มีกำลังพล 40,000 นาย ส่วนใหญ่จึงยังสมบูรณ์อยู่ ถึงแม้ว่ากองทัพฝ่ายรุกรานนั้นจะถูกปิดล้อมอยู่ในแนวชายฝั่งแคบ ๆ ริมอ่าว", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#23", "text": "ตามพงศาวดารพม่า การปะทะกันครั้งแรกในสงครามเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูมรสุมในพรมแดนทวาย ราวเดือนกันยายนหรือตุลาคม พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงได้รับแจ้งว่ามีการโจมตีการขนส่งทางเรือของพม่าโดยอยุธยารอบ ๆ ทวาย และการรุกล้ำเข้าไปยังพรมแดนทวายของอยุธยายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง[29] เพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด ซึ่งอาจเป็นข้ออ้างโดยชอบธรรมในการทำสงครามของฝ่ายพม่าได้เป็นอย่างดี แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่ากองทัพอยุธยาได้เตรียมแนวป้องกันด่านหน้าไปแล้วในตอนนั้น", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#17", "text": "ในปี พ.ศ. 2301 ด้วยการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กรุงศรีอยุธยาเป็นนครที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ หลังจากมีการแย่งชิงราชสมบัติกันระยะหนึ่ง พระราชโอรสองค์โตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าฟ้าเอกทัศ ได้สืบราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์หลังจากพระอนุชา เจ้าฟ้าอุทุมพร สละราชสมบัติและทรงลาผนวช พระองค์ทรงเผชิญกับสถานการณ์ที่ก่อตัวขึ้นทางตะวันตก ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องของพระเจ้าอลองพญา และเตรียมการทำสงคราม", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "907029#0", "text": "พระนางยุนซาน ( ; 1713–1771) พระอัครมเหสีใน พระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์โกนบอง และเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญาถึง 3 พระองค์คือ พระเจ้ามังลอก กษัตริย์องค์ที่ 2 , พระเจ้ามังระ กษัตริย์องค์ที่ 3 และ พระเจ้าปดุง กษัตริย์องค์ที่ 6 พระนางเป็นที่รู้จักจากการเข้ามายุติความขัดแย้งของพระราชโอรสองค์ใหญ่ 2 พระองค์คือ มังลอก และ มังระ ภายหลังจากพระเจ้าอลองพญาสวรรคตใน ค.ศ. 1760 ทำให้มังลอกได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าอลองพญา พระนางยุนซานสวรรคตในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1771 ในรัชสมัยพระเจ้ามังระ", "title": "พระนางยูนซาน" }, { "docid": "373494#0", "text": "มังฆ้องนรธา ( ; ประมาณ ค.ศ. 1714 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 1760) เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพพม่าแห่งราชวงศ์คองบองสมัยพระเจ้าอลองพญา เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้คุมทหารกองหลังในสงครามพระเจ้าอลองพญา ขณะที่กองทัพพม่าเร่งรุดเดินทางเพื่อนำพระบรมศพพระเจ้าอลองพญากลับประเทศ แม่ทัพคนดังกล่าว ซึ่งได้รับความเคารพนับถือจากทหารใต้บังคับบัญชา ได้ก่อกบฏต่อพระเจ้ามังลอก พระมหากษัตริย์พระองค์ถัดจากพระเจ้าอลองพญา เชื่อกันว่าถูกประหารชีวิตโดยพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ผู้ซึ่งมีประวัติปฏิปักษ์ต่อกันมานาน แม่ทัพกบฏผู้นี้ได้ยึดอังวะได้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1760 และสามารถต้านทานการล้อมได้นานกว่าห้าเดือน ถูกสังหารโดยกระสุนปืนคาบศิลาขณะกำลังหลบหนีออกจากเมืองในเดือนธันวาคม พระเจ้ามังลอกซึ่งทรงสำนึกผิดมีบันทึกไว้ว่าได้ทรงเศร้าโศกกับข่าวการเสียชีวิตของศัตรูและเพื่อนผู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระราชบิดา", "title": "มังฆ้องนรธา" }, { "docid": "388144#3", "text": "ในเวลาเดียวกัน ทางอังวะ พระเจ้าอลองพญาสถาปนาตนเองขึ้นครองราชย์ หลังจากปราบปรามมอญได้สิ้น โดยมีพระราชบุตรมังระ (จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม) และมังฆ้องนรธา เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ที่ตะนาวศรีทางฝ่ายอยุธยาได้ริบเรือสินค้าของอังวะไป พระเจ้าอลองพญาเห็นเป็นจังหวะเหมาะ ประกอบกับได้สดับรู้ความของพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ของอยุธยาว่า โฉดเขลา ไม่เป็นที่ยอมรับของราษฎร โดยที่พระองค์ต้องการจะทำสงครามเพื่อให้อาณาประชาราษฎร์และสมณชีพราหมณ์ได้เป็นอยู่อย่างเป็นสุข", "title": "ขุนรองปลัดชู (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "51126#5", "text": "พระเจ้าอลองพญาเสด็จสวรรคตระหว่างทางกลับจากการทำสงครามกับอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งก่อนจะมาสงคราม พระองค์ส่งพระราชสาสน์ถึงสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ แจ้งเหตุสงครามครั้งนี้ โดยอ้างสิทธิของพม่าเหนืออยุธยาแต่ครั้งพระเจ้าบุเรงนอง และอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้าช้างเผือก หรือพระเจ้าจักรพรรดิ ตามพงศาวดารไทยระบุว่าสวรรคตเพราะปืนใหญ่แตกที่วัดหน้าพระเมรุ แต่ทางพงศาวดารพม่าระบุว่าสวรรคตเพราะประชวร", "title": "พระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#20", "text": "ฝ่ายพม่าเองก็ได้เตรียมระดมพลกองทัพรุกราน โดยเริ่มจากการเฉลิมฉลองปีใหม่เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2302 โดยรวบรวมทหารจากพม่าตอนบนทั้งหมด รวมทั้งจากรัฐฉานและมณีปุระที่อยู่ทางเหนือซึ่งเพิ่งจะถูกยึดครองไปเมื่อไม่นานมานี้ด้วย จนถึงปลายปี พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงสามารถระดมพลได้มากถึง 40 กรมทหาร (ทหารราบ 40,000 นาย และทหารม้า 3,000 นาย) ที่ย่างกุ้ง ซึ่งจากทหารม้าทั้งหมด 3,000 นายนี้ เป็นทหารม้ามณีปุระเสีย 2,000 นาย ซึ่งเพิ่งจะถูกจัดเข้าสู่ราชการของพระเจ้าอลองพญาหลังจากมณีปุระถูกพม่ายึดครองเมื่อปี พ.ศ. 2301[6][27]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#29", "text": "อย่างไรก็ตาม กองทัพพม่าได้มาถึงชานกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2303 ฝ่ายอยุธยาได้ส่งกองทัพใหม่ที่มีกำลังพล 15,000 นาย ออกมากเผชิญหน้ากับฝ่ายผู้รุกราน แต่กองทัพดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าประกอบด้วยทหารเกณฑ์ที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบเลย พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วต่อกองทัพพม่าที่กรำศึก ถึงแม้ว่าจะมีกำลังพลถดถอยลงแล้วก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการล้อมระยะยาว พระมหากษัตริย์พม่าได้ส่งทูตเข้าไปเจรจาให้พระมหากษัตริย์อยุธยายอมจำนน โดยให้สัญญาว่าพระองค์จะไม่ทรงถูกปลดออกจากบัลลังก์ พระเจ้าเอกทัศทรงส่งทูตของพระองค์เองเพื่อไปเจรจา แต่พบว่าข้อเรียกร้องของพระเจ้าอลองพญานั้นไม่สามารถยอมรับได้ และการเจรจานั้นยุติลงอย่างสมบูรณ์[10] เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ระหว่างเทศกาลปีใหม่ของพม่าและอยุธยา พม่าเริ่มระดมยิงปืนใหญ่ใส่พระนครซึ่งจะกินเวลานานสามวัน[6]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#15", "text": "แต่นักประวัติศาสตร์พม่า หม่อง ทินอ่อง กล่าวว่าวิเคราะห์ของพวกเขานั้นบรรยายไม่หมดถึงความกังวลที่แท้จริงของพระเจ้าอลองพญาที่ว่าอำนาจของพระองค์นั้นเพิ่งจะเริ่มสถาปนาขึ้น และพระราชอำนาจในพม่าตอนล่างนั้นยังไม่มั่นคง และพระเจ้าอลองพญาไม่ทรงเคยรุกรานรัฐยะไข่ เนื่องจากชาวยะไข่ไม่เคยแสดงความเป็นปรปักษ์ และเมืองตานด่วยในรัฐยะไข่ตอนใต้ได้เคยถวายเครื่องราชบรรณาการในปี พ.ศ. 2298[10] ถั่น มินอู ยังได้ชี้ให้เห็นว่านโยบายที่มีมาอย่างยาวนานของอยุธยาในการรักษารัฐกันชนกับพม่าศัตรูเก่า ได้กินเวลามาจนถึงสมัยใหม่ซึ่งครอบครัวของชาวพม่าผู้ต่อต้านรัฐบาลได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกองทัพต่อต้านรัฐบาลยังสามารถซื้ออาวุธ เครื่องกระสุน และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย[25]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#13", "text": "พระเจ้าอลองพญาทรงกังวลกับกบฏมอญที่หลั่งไหลเข้าไปสู่ดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอยุธยาอย่างไม่ขาดสาย โดยทรงเชื่อว่าพวกมอญมักจะเตรียมวางแผนก่อกบฏและพยายามชิงเอาพม่าตอนล่างกลับคืนไปเป็นของตน[19] ความกังวลของพระองค์นั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าสมเหตุสมผล มอญได้ก่อกบฏขึ้นหลายครั้งในปี พ.ศ. 2301, 2305, 2317, 2326, 2335 และ 2367-69 ซึ่งการกบฏแต่ละครั้งที่ล้มเหลวนั้นจะตามมาด้วยการหลบหนีของมอญเข้าไปยังอาณาจักรของไทย[21] พระเจ้าอลองพญาทรงเรียกร้องให้อยุธยาหยุดให้การสนับสนุนต่อกบฏมอญ ยอมส่งตัวผู้นำมอญ และยุติการส่งกำลังรุกล้ำเข้าไปทางตอนเหนือของตะนาวศรี ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นดินแดนของพม่า พระมหากษัตริย์อยุธยา พระเจ้าเอกทัศ ปฏิเสธข้อเรียกร้องของพม่า และเตรียมพร้อมทำสงคราม[10]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#0", "text": "สงครามพระเจ้าอลองพญา เป็นชื่อเรียกความขัดแย้งทางทหารครั้งแรกระหว่างอาณาจักรโกนบองแห่งพม่า กับอาณาจักรอยุธยาสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง สงครามครั้งนี้เป็นการจุดชนวนการสงครามนานหลายศตวรรษระหว่างทั้งสองรัฐขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะกินเวลานานไปอีกหนึ่งศตวรรษข้างหน้า ฝ่ายพม่านั้นอยู่ที่ \"ขอบแห่งชัยชนะ\" แล้วเมื่อจำต้องถอนกำลังจากการล้อมอยุธยา เนื่องจากพระเจ้าอลองพญาถูกระเบิดปืนใหญ่สิ้นพระชนม์[6] พระองค์สวรรคตและทำให้สงครามครั้งนี้ยุติลง", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#16", "text": "นักประวัติศาสตร์ตะวันตกในสมัยหลังได้ให้มุมมองที่ค่อนข้างเป็นกลางกว่า ดี.จี.อี. ฮอลล์ เขียนว่า การปล้นสะดมเป็นนิจโดยอยุธยาและกบฏมอญนั้นเพียงอย่างเดียวก็พอที่จะเป็นชนวนเหตุของสงครามได้ ถึงแม้เขาจะเสริมว่าสำหรับพระมหากษัตริย์ผู้ทรงไม่สามารถที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้[20] สไตน์แบร์กและคณะสรุปว่าชนวนเหตุของสงครามเป็นผลมาจากการกบฏท้องถิ่นในทวาย ซึ่งอยุธยาถูกคาดว่าเข้าไปมีส่วนพัวพัน[9] และล่าสุด เฮเลนส์ เจมส์ เขียนว่า พระเจ้าอลองพญาทรงต้องการที่จะยึดครองการค้าระหว่างคาบสมุทรของอยุธยา ขณะที่ยอมรับว่าเหตุจูงใจรองนั้นเป็นเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของอยุธยา และการให้การสนับสนุนพวกมอญของอยุธยา[6]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "43492#3", "text": "พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เคยติดตามพระบิดาคือ พระเจ้าอลองพญา มาทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยาโดยพงศาวดารพม่าได้กล่าวถึงพระเจ้ามังระว่าเป็นผู้เตือนพระบิดาถึงความยากลำบากในการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาที่มีปราการธรรมชาติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากจะอาศัยแต่กำลังพลแลเสบียงอาหารเท่าที่มีอยู่นั้น เห็นจะไม่สามารถปิดล้อมสายส่งกำลังบำรุงทั้งทางเหนือและใต้ของกรุงศรีอยุธยาได้หมด และหากยุทธปัจจัยของกรุงศรียังบริบูรณ์เราจะไม่มีทางทำอะไรกรุงศรีอยุธยาได้เลย ควรยกทัพกลับไปวางแผนใหม่จะดีกว่า แต่พระเจ้าอลองพญาเชื่อมั่นในความสามารถของพระองค์จึงได้ทำการรบพุ่งต่อสุดท้ายการณ์ก็เป็นอย่างที่พระเจ้ามังระตรัสไว้ แม้พระเจ้าอลองพญาจะพยายามอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถหาทางข้ามแม่น้ำเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ ด้วยครั้งนั้นอยุธยายังเพรียบพร้อมไปด้วยอาวุธและกำลังพล อีกทั้งสายส่งกำลังบำรุงจากทางเหนือและใต้ก็ยังสามารถส่งอาหารและกระสุนดินดำเข้าสู่พระนครได้อยู่ แลครั้งนั้นกรุงศรียังได้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เองสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทั้งทหารและประชาชนในพระนครเป็นอันมาก จนพระเจ้าอลองพญาต้องมาสิ้นพระชนด้วยกระสุนปืนใหญ่แตกใส่(พงศาวดารฝ่ายไทย) หรือหากอิงตามพงศาวดารพม่าก็จะระบุว่าสวรรคตเพราะประชวร", "title": "พระเจ้ามังระ" }, { "docid": "372893#37", "text": "หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์พม่า หมวดหมู่:เหตุการณ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับพม่า หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับไทย", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "43492#0", "text": "พระเจ้ามังระ หรือ พระเจ้าซินพะยูชิน (;‌ ) เป็นพระโอรสองค์ที่ 2 ในจำนวน 6 พระองค์ของพระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์อลองพญาหรือราชวงศ์คองบอง ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์อลองพญา ในปี พ.ศ. 2306 พระองค์ได้ตามเสด็จพระเจ้าอลองพญาออกรบตั้งแต่อายุ15ปี เมื่ออายุ17ปี ก็สามารถเป็นผู้นำทัพเข้ายึดกรุงอังวะจากทหารมอญทั้งที่มีกำลังพลน้อยกว่ามากได้อย่างน่าประหลาดใจ ครั้นอายุ20 ก็ช่วยพระเจ้าอลองพญารวมแผ่นดินสถาปนาราชวงค์คองบองได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้เป็นผู้ติดตามพระราชบิดามาทำสงครามกับอยุธยาในการบุกครั้งแรกด้วย โดยในพงศาวดารของฝั่งพม่าได้กล่าวถึงราชบุตรมังระว่า เป็นผู้เตือนพระบิดาคือพระเจ้าอลองพญาว่า การบุกคราวนี้ยังไม่พร้อมพอที่จะเอาชัยชนะต่อกรุงศรีอยุธยาที่มีปราการธรรมชาติระดับนี้ได้ ซึ่งการณ์ก็เป็นไปดังนั้น และพระองค์ยังต้องเสียพระราชบิดาไปในศึกคราวนี้ด้วย \nต่อมาในปี พ.ศ. 2306 หลังจากขึ้นครองราชย์ พระองค์ปรารภในที่ประชุมขุนนางว่า \"\"อยุธยาไม่เคยแพ้อย่างราบคาบมาก่อน\"\" พระองค์สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดา ด้วยการส่งเนเมียวสีหบดีเข้ามากวาดต้อนผู้คนและกำลังพลจากหัวเมืองทางเหนือก่อนในปี พ.ศ. 2307 และได้ส่งทัพจากทางใต้คือมังมหานรธาเข้ามาเสริมช่วยอีกทัพหนึ่ง ทั้ง 2 ทัพได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานานถึง 1 ปีกับสองเดือน แม้ถึงฤดูน้ำหลากก็ไม่ยกทัพกลับ สามารถเข้าตีพระนครได้เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ตรงกับวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนห้า ปีกุน ", "title": "พระเจ้ามังระ" }, { "docid": "372893#34", "text": "สงครามครั้งนี้ไม่มีบทสรุปชัดเจน พม่าบรรลุวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยุธยายังคงเป็นขวากหนามต่อเสถียรภาพต่อภูมิภาคที่อยู่รอบข้างของพม่า อีกหลายปีให้หลังอยุธยายังคงให้การสนับสนุนต่อกบฏมอญทางตอนใต้ ซึ่งก่อการกบฏครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2305 เช่นเดียวกับกบฏในล้านนาทางตอนเหนือ (พ.ศ. 2304-06) ดินแดนที่เหลือซึ่งพม่าได้รับมาจากสงครามนั้นคือชายฝั่งตะนาวศรีตอนบน ซึ่งที่ผ่านมาเคยเพียงแต่อ้างสิทธิ์แต่ในนามเท่านั้น (อยุธยายึดชายฝั่งตอนล่างขึ้นไปถึงมะริดในปี พ.ศ. 2304)[1] ถึงแม้ว่ากองทัพอยุธยาจะไม่ได้บุกรุกพรมแดนอย่างเปิดเผยอีกต่อไป แต่กบฏมอญยังคงปฏิบัติการจากดินแดนของอยุธยา ในปี พ.ศ. 2307 เจ้าเมืองทวายชาวมอญ ผู้ซึ่งได้รับการทรงแต่งตั้งจากพระเจ้าอลองพญาเพียงสี่ปีก่อนหน้านี้เท่านั้น ได้ก่อการกบฏจนกระทั่งถูกปราบปรามในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน ความไม่มีเสถียรภาพในล้านนาเกิดขึ้นอีกครั้งไม่นานหลังจากกองทัพพม่าออกจากพื้นที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2307 บีบให้กองทัพต้องกลับมาประจำอีกครั้งหนึ่งในเดียวกัน[32] ด้วยบทสรุปที่ไม่แน่ชัดของสงครามจะนำไปสู่สงครามครั้งถัดไปในปี พ.ศ. 2308", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#33", "text": "หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าอลองพญา พระมหากษัตริย์พม่าพระองค์ใหม่ พระเจ้ามังลอก ทรงต้องเผชิญกับการกบฏหลายครั้ง รวมทั้งการกบฏของแม่ทัพมังฆ้องนรธาด้วย และสงครามไม่สามารถดำเนินตอ่ไปได้", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#30", "text": "ตามข้อมูลฝ่ายสยามพระเจ้าอลองพญาทรงเคืองพระทัยที่กองทัพพม่ายึดอยุธยาช้ากว่าที่กำหนดพระองค์จึงทรงนำขบวนไปสังเกตการรบที่แนวหน้าและได้สิ้นพระชนม์จากแรงระเบิดจากปืนใหญ่ซึ่งทรงขึ้นบัญชาการยิงเข้าพระนครด้วยพระองค์เอง[10] หรือจากวัณโรคต่อมน้ำเหลือง[6] แต่พงศาวดารพม่าระบุอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคบิด ไม่มีเหตุอันใดที่พงศาวดารพม่าจะปกปิดความจริง เนื่องจากจะเป็นการสมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์มากกว่าที่จะสวรรคตจากบาดแผลในการรบมากกว่าสวรรคตด้วยอาการเจ็บป่วยธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น หากพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บต่อหน้าทหารทั้งกองทัพ ข้อเท็จจริงนี้ก็จะเป็นที่ที่ทราบไปทั้งกองทัพ และก่อให้เกิดความสับสน[10]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#22", "text": "พระเจ้าอลองพญาทรงเป็นผู้นำทัพด้วยพระองค์เอง โดยมีพระราชบุตรองค์ที่สอง เจ้าชายมังระ เป็นรองแม่ทัพใหญ่ ส่วนเจ้าชายมังลอก พระราชบุตรองค์โต พระองค์ทรงให้บริหารประเทศต่อไป ส่วนพระราชโอรสที่เหลือนั้นนำทหารราวหนึ่งกองพันทั้งสองพระองค์[28] นอกจากนี้ที่ติดตามกองทัพไปด้วยนั้นยังมีแม่ทัพยอดฝีมือ ซึ่งรวมไปถึงมังฆ้องนรธา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางทหารอย่างมาก บางคนในราชสำนักสนับสนุนให้เขาผู้นี้อยู่ข้างหลังและมังระนำปฏิบัติการแทน แต่พระเจ้าอลองพญาทรงปฏิเสธ[29]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "34007#6", "text": "อีกครั้งหนึ่งคือ ราวปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญา (ภายหลังนับเป็นมหาราชองค์ที่ 3 ของพม่า) ได้ยกทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา และตั้งทัพหลวงไว้ตรงทุ่งพระเมรุ พระเจ้าอลองพญาได้ทรงบัญชาการศึกและทรงสั่งการให้นำปืนใหญ่เข้ามาตั้งในเขตวัดหน้าพระเมรุ และให้จุดไฟยิงปืนใหญ่ข้ามไปยังพระราชวังหลวงฝั่งตรงข้าม ปรากฏว่าเกิดเหตุลูกปืนอุดทำให้ปืนใหญ่ระเบิดแตกออก ต้องพระวรกายของพระเจ้าอลองพญาจนสาหัส จนต้องถอยทัพและสิ้นพระชนม์เมื่อถอยยังไม่พ้นเมืองตาก เป็นอันยุติการรุกรานกรุงศรีอยุธยาไปอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์พระเจ้าอลองพญาบาดเจ็บจนต้องถอยทัพและสิ้นพระชนม์นี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์กรุงศรีอยุธยาฯ เสียเอกราชครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นในภายหลัง (ในปี พ.ศ. 2310)[10]", "title": "วัดหน้าพระเมรุ" }, { "docid": "372893#14", "text": "ขณะที่นักประวัติศาสตร์มีความเห็นโดยทั่วไปว่าการสนับสนุนของอยุธยาต่อกบฏมอญ และการปล้นสะดมข้ามพรมแดนของมอญนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุของสงคราม แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงแรงจูงใจที่ลึกลับกว่านั้น นักประวัติศาสตร์พม่าสมัยอาณานิคมอังกฤษบางคนลงความเห็นว่าสาเหตุที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น และได้เสนอว่าสาเหตุหลักของสงคราม คือ ความปรารถนาของพระเจ้าอลองพญาที่จะฟื้นฟูจักรวรรดิของพระเจ้าบุเรงนองขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมถึงอาณาจักรอยุธยาด้วย[22][23] เดวิด ไวอัท นักประวัติศาสตร์ไทย ยอมรับว่าพระเจ้าอลองพญาอาจทรงกลัวการสนับสนุนการฟื้นฟูอาณาจักรหงสาวดีของอยุธยา แต่ได้เสริมว่าพระเจ้าอลองพญานั้นชัดเจนว่าออกจะเป็นชาวชนบทดิบซึ่งมีประสบการณ์ทางการทูตน้อยมาก จึงได้เพียงสานต่อสิ่งต่อพระองค์ได้ทรงแสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าพระองค์ทำได้ดีที่สุด ซึ่งก็คือการนำกองทัพไปสู่สงคราม[24]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#28", "text": "ถึงแม้ว่าจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักที่สุพรรณบุรี กองทัพพม่ายังคงมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ทหารเหล่านี้ไม่สามารถพักผ่อนได้เนื่องจากฤดูมรสุมอยู่ห่างออกไปเพียงเดือนเศษเท่านั้น เนื่องจากอยุธยาล้อมรอบด้วยแม่น้ำหลายสาย การล้อมในฤดูฝนจึงเป็นงานที่น่าหวาดหวั่น ภูมิประเทศโดยรอบจะถูกน้ำท่วมสูงหลายฟุต ทหารพม่าที่ยังเหลือรอดกว่าครึ่งป่วยเป็นโรคบิด และพระเจ้าอลองพญาเองก็เริ่มมีพระพลานามัยไม่ค่อยดีแล้ว[11]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#31", "text": "แม่ทัพระดับสูงของพม่าเก็บความลับที่ว่าพระเจ้าอลองพญาทรงสิ้นพระชนม์เป็นความลับและสั่งให้มีการถอยทัพทั้งหมด พม่าได้ปกปิดข้อเท็จจริงตรงนี้ไว้โดยอ้างเหตุผลว่าพระมหากษัตริย์นั้นทรงพระประชวรสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอลองพญาทรงเลือกพระสหายขณะยังทรงพระเยาว์ มังฆ้องนรธา รับเกียรติบังคับบัญชาทหารกองหลัง ทหารเหล่านี้เป็น \"ทหารชั้นเลิศของกองทัพ\" ประกอบด้วยทหารราบ 6,000 นาย และทหารม้า 500 นาย โดยทุกนายมีปืนคาบศิลาเป็นอาวุธ มังฆ้องนรธาขยายทหารกองหลังออกเป็นแถวยาวแล้วเฝ้าคอย เป็นเวลาสองวันก่อนที่ฝ่ายอยุธยาจะรู้ว่าทัพหลวงพม่าได้ยกกลับไปแล้ว จากนั้นทัพหลวงของอยุธยาได้ยกออกมาจากกรุง ทหารของเขาเฝ้ามองขณะที่ข้าศึกเข้ามาใกล้พวกเขา และกลัวว่าจะถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของกองทัพ พวกเขาร้องขอแม่ทัพให้ถอยกลับไปเล็กน้อย แต่มังฆ้องนรธากล่าว่า \"สหาย ความปลอดภัยของพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในการรักษาของพวกเรา ขอพวกเราอย่าถอย ด้วยเสียงของปืนจะไปรบกวนการบรรทมของพระองค์ท่าน\" ภายใต้การนำของเขา กองทัพพม่าจึงล่าถอยได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี และสามารถรวบรวมผู้พลัดหลงกับกองทัพได้ตลอดทาง[10][11]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "2358#17", "text": "แต่ใน พ.ศ. 2308 พระเจ้ามังระ พระราชโอรสแห่งพระเจ้าอลองพญา ทรงแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน และเตรียมการกว่าสามปี มุ่งเข้าตีอาณาจักรอยุธยาพร้อมกันทั้งสองด้าน ฝ่ายอยุธยาต้านทานการล้อมของทัพพม่าไว้ได้ 14 เดือน แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการกองทัพรัฐอังวะได้ เนื่องจากมีกำลังมาก และต้องการทำลายศูนย์อำนาจอย่างอยุธยาลงเพื่อป้องกันการกลับมามีอำนาจ อีกทั้งกองทัพอังวะยังติดศึกกับจีนราชวงศ์ชิงอยู่เนือง ๆ หากปล่อยให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อต่อไปอีก ก็จะเป็นภัยแก่อังวะ และมีสงครามไม่จบสิ้น ในที่สุดกองทัพอังวะสามารถเข้าพระนครได้ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310", "title": "อาณาจักรอยุธยา" }, { "docid": "372893#10", "text": "สำหรับอยุธยา สถานการณ์ที่เคยเกรงกลัวกันว่าจะเกิดอำนาจใหม่อันแข็งกล้าในพม่ากลายเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นราชวงศ์โกนบองที่มีฐานอยู่ทางพม่าตอนเหนือก็ตาม ไม่ใช่หงสาวดีที่เคยเกรงกัน อยุธยาเองก็มีส่วนรับผิดชอบต่อความสำเร็จในช่วงแรกของราชวงศ์โกนบอง เนื่องจากการยึดครองตอนเหนือของตะนาวศรีของอยุธยา ช่วยทำให้กองทัพหลักของหงสาวดีถูกแบ่งลงมาทางใต้ อยุธยาได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อกลุ่มต่อต้านของมอญที่ยังคงสู้รบอยู่ทางตอนเหนือของตะนาวศรีที่ซึ่งการควบคุมของพม่ายังคงมีเพียงแต่ในนามเท่านั้น", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "372893#11", "text": "หลังจากราชวงศ์โกนบองยึดหงสาวดีได้ในปี พ.ศ. 2300 เจ้าเมืองเมาะตะมะและทวายได้ถวายเครื่องราชบรรณาการแด่พระเจ้าอลองพญาเพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมเดียวกัน[18] เจ้าเมืองทวายถูกจับได้ว่าถวายเครื่องราชบรรณาการสองฝ่าย และถูกประหารชีวิตในภายหลัง ขณะที่พม่าอ้างสิทธิ์เหนือตะนาวศรีตอนบนลงไปจนถึงทวาย การปกครองพม่าตอนล่างยังคงไม่แข็งแรงนักและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชายฝั่งตะนาวศรีตอนใต้สุดนั้นส่วนใหญ่คงเป็นเพียงในนามเท่านั้น และอันที่จริงแล้ว เมื่อกองทัพโกนบองยกกลับขึ้นไปทางเหนือในปี พ.ศ. 2301 ในสงครามกับมณีปุระและรัฐฉานทางตอนเหนือ ชาวมอญในพม่าตอนล่างก็ได้ก่อกบฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง[19]", "title": "สงครามพระเจ้าอลองพญา" }, { "docid": "1953#15", "text": "ราชวงศ์โกนบอง หรือ ราชวงศ์อลองพญา ได้รับการสถาปนาขึ้นและสร้างความเข้มแข็งจนถึงขีดสุดได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว พระเจ้าอลองพญาซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมจากชาวพม่า ได้ขับไล่ชาวมอญที่เข้ามาครอบครองดินแดนของชาวพม่าได้ในปี พ.ศ. 2296 จากนั้นก็สามารถเข้ายึดครองอาณาจักรมอญทางใต้ได้ในปี พ.ศ. 2302 ทั้งยังสามารถกลับเข้ายึดครองกรุงมณีปุระได้ในช่วงเวลาเดียวกัน หลังจากเข้ายึดครองตะนาวศรีพระองค์ได้ยาตราทัพเข้ารุกรานอยุธยา แต่ต้องประสบความล้มเหลวเมื่อพระองค์สวรรคตระหว่างการสู้รบ พระเจ้ามังระ (ครองราชย์ พ.ศ. 2306 – 2319) พระราชโอรส ได้โปรดให้ส่งทัพเข้ารุกรานอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2309 ซึ่งประสบความสำเร็จในปีถัดมา ในรัชสมัยนี้แม้จีนจะพยายามขยายอำนาจเข้าสู่ดินแดนพม่า แต่พระองค์ก็สามารถยับยั้งการรุกรานจากจีนได้ทั้งสี่ครั้ง (ช่วงปี พ.ศ. 2309–2312) ทำให้ความพยายามในการขยายพรมแดนของจีนทางด้านนี้ต้องยุติลง ในรัชสมัยของพระเจ้าปดุง (ครองราชย์ พ.ศ. 2324–2362) พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งของพระเจ้าอลองพญา พม่าต้องสูญเสียอำนาจที่มีเหนืออยุธยาไป แต่ก็สามารถผนวกดินแดนยะไข่ และตะนาวศรีเข้ามาไว้ได้ในปี พ.ศ. 2327 และ 2336 ตามลำดับ ในช่วงเดือนมกราคมของปี พ.ศ. 2366 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของพระเจ้าจักกายแมง (ครองราชย์ พ.ศ. 2362–2383) ขุนนางชื่อมหาพันธุละ นำทัพเข้ารุกรานแคว้นมณีปุระและอัสสัมได้สำเร็จ ทำให้พม่าต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับอังกฤษที่ครอบครองอินเดียอยู่ในขณะนั้น", "title": "ประเทศพม่า" } ]
2150
ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "42096#3", "text": "ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า \"พราหมณ์\" ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล -จนถึงนิกายมหายาน - วัชรญาณ เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้", "title": "ศาสนาฮินดู" } ]
[ { "docid": "3875#24", "text": "เมื่อแผ่นธรณีภาคมีการเคลื่อนตัว เปลือกโลกส่วนมหาสมุทรจะมุดตัวลงใต้ขอบปะทะของแผ่นเปลือกตามแนวขอบเขตแบบเข้าหากัน ในเวลาเดียวกัน การไหลเลื่อนขึ้นของเนื้อชั้นเนื้อโลกที่ขอบเขตแบบแยกจากกันจะก่อให้เกิดสันกลางมหาสมุทร กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้รวมกันทำให้เกิดการรีไซเคิลแผ่นเปลือกมหาสมุทรกลับสู่เนื้อโลก ด้วยการรีไซเคิลนี้เองพื้นมหาสมุทรส่วนใหญ่จึงมีอายุไม่เกิน 100 ล้านปี เปลือกโลกส่วนมหาสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในบริเวณแปซิฟิกตะวันตกโดยมีอายุประมาณกว่า 200ล้านปี[95][96] เมื่อเทียบกันแล้ว เปลือกโลกส่วนทวีปที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุถึง 4030ล้านปี[97]", "title": "โลก (ดาวเคราะห์)" }, { "docid": "318594#0", "text": "ศาลเจ้า ชาวคาทอลิกเรียกว่าสักการสถาน ตรงภาษาอังกฤษว่า “Shrine” มาจากภาษาละติน “Scrinium” ที่แปลว่า “หีบสำหรับหนังสือหรือเอกสาร” และภาษาฝรั่งเศสเก่า “escrin” ที่แปลว่า “กล่องหรือหีบ” คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศให้แก่บุคคลสำคัญทางศาสนา บรรพบุรุษ วีรบุรุษ มรณสักขี นักบุญ หรือบุคคลที่มีความสำคัญหรือเป็นที่นับถือผู้เป็นที่สักการะ ในศาลมักจะประกอบด้วยรูปเคารพ วัตถุมงคล หรือสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เป็นที่สักการะ ศาลที่สร้างขึ้นเพื่อรับสิ่งสักการะเรียกว่า “แท่นบูชา” ศาลเจ้าเป็นสิ่งที่พบในศาสนาแทบทุกศาสนาในโลกที่รวมทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู ศาสนาพื้นบ้านจีน และศาสนาชินโต และการใช้ในทางที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาเช่นรำลึกสถานเกี่ยวกับสงคราม ศาลเจ้ามีลักษณะต่างกันไปหลายอย่าง ปูชนียสถานบางแห่งก็ตั้งอยู่ภายในโบสถ์ วัด สุสาน หรือแม้แต่ในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย หรือบางครั้งก็จะเป็นแบบที่เคลื่อนย้ายได้ เช่นในลักษณะของ “หีบวัตถุมงคล”", "title": "ศาลเจ้า" }, { "docid": "188001#10", "text": "กำแพงเมืองสาวัตถีโบราณยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ภายในกำแพงเมืองมีโบราณสถานคงเหลืออยู่มากมาย เช่น ซากบ้านของบิดาพระองคุลีมาล, ซากคฤหาสถ์ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี, และวัดเก่าแก่ที่สร้างอุทิศแก่ พระติรธังกร (ศาสดาองค์แรกของศาสนาเชน) บริเวณนอกเขตเมืองสาวัตถียังมีสถานที่สำคัญเช่น ซากยมกปาฏิหาริย์สถูป (สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์) และวัดเชตวันมหาวิหาร (พระอารามที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษามากที่สุดในพุทธกาล) ซึ่งเป็นสถานที่แสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีวัดที่ประเทศต่างๆ ที่นับถือศาสนาพุทธมาสร้างไว้ ได้แก่ ประเทศไทย เกาหลีใต้ ศรีลังกา พม่า ธิเบตและจีน", "title": "สาวัตถี" }, { "docid": "763900#59", "text": "คำวิพากษ์วิจารณ์ต่อลัทธิเนรมิตนิยมที่โลกเกิดขึ้นยังไม่นาน (young-earth creationism) อาศัยหลักฐานตามธรรมชาติว่าโลกนี้เก่าแก่กว่าที่คนลัทธินี้เชื่อ แต่เมื่อเผชิญกับหลักฐานเช่นนี้ สาวกลัทธินี้กลับสร้างสมมติฐานเฉพาะกิจที่เรียกว่า Omphalos hypothesis ว่า โลกนิรมิตขึ้นพร้อมกับความเก่าแก่เช่น การปรากฏอย่างฉับพลันของไก่ที่โตแล้วและสามารถวางไข่ได้ สมมติฐานเช่นนี้ ไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นเท็จได้ เพราะว่า อายุของโลกหรือแม้แต่ของวัตถุท้องฟ้าทุกอย่าง ไม่สามารถจะแสดงได้ว่า ไม่ได้ทำขึ้นเมื่อเกิดการเนรมิต", "title": "การพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ" }, { "docid": "54624#4", "text": "พระจักรพรรดิอุดะ (宇多, Uda) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์เดียวที่พระมารดาไม่ได้มาจากตระกูลฟุจิวะระ พระจักรพรรดิอุดะทรงสละราชสมบัติในค.ศ. 897 มอบราชสมบัติแก่พระโอรสคือพระจักรพรรดิไดโงะ (醍醐, Daigo) โดยให้ฟุจิวะระ โทะกิฮิระ (藤原 時平, Fujiwara Tokihira) และสุงะวะระ มิฉิซะเนะ (菅原 道真, Sugawara Michizane) คอยช่วยเหลือพระจักรพรรดิที่ทรงพระเยาว์ แต่ฟุจิวะระ โทะกิฮิระ เมื่อได้เป็น\"เซ็สโช\"แล้วก็ได้ใส่ร้ายป้ายสีซุงะวะระ มิฉิซะเนะคู่แข่งทางการเมืองของตน จนซุงะวะระถูกเนรเทศและเสียชีวิตในค.ศ. 903 ทันใดนั้นที่เมืองเฮอังก็เกิดภัยภิบัติต่างๆ พระโอรสของพระจักรพรรดิไดโงะรวมทั้งโทะกิฮิระต่างเสียชีวิตจากโรตระบาด จนพระจักรพรรดิไดโงะทรงต้องขอขมาต่อวิญญาณของสุงะวะระ ทำลายเอกสารบันทึกเกี่ยวกับความผิดของสุงะวะระ และยกย่องให้สุงะวะระเป็นเทพแห่งนักปราชญ์ตามศาสนาชินโต\nวัฒนธรรมที่เป็นรูปแบบของญี่ปุ่นโดดเด่นมากในสมัยเฮอัง ในศตวรรษที่ 9 ญี่ปุ่นยังคงรับวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังอยู่ พุทธศาสนานิกายมิเคียว (密教 Mikkyou) กับการเขียนรูปประโยคแบบจีนแพร่หลายมาก พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 10 หลังจากที่ญี่ปุ่นไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับภาคพื้นทวีปแล้ว ได้เกิดวัฒนธรรมชนชั้นสูงที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของญี่ปุ่นเอง วรรณกรรมที่เด่นในเวลานี้ อาทิ “โคะคินวะกะชู” (古今和歌集 Kokinwakashuu) เป็นหนังสือรวมกวีนิพนธ์ญี่ปุ่นเล่มแรกตามพระราชโองการของจักรพรรดิ (ในต้นศตวรรษที่ 10) “ตำนานเก็นจิ” (源氏物語 Genji Monogatari) นวนิยายเรื่องยาวที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งโลก (ประมาณต้นศตวรรษที่ 11) และ “มะคุระโนะโซชิ” (枕草子 Makura-no-sōshi) หนังสือข้างหมอน (ประมาณ ค.ศ. 1000) วรรณกรรมเหล่านี้เขียนด้วยตัวอักษร \"คะนะ\" อีกด้วย ตั้งแต่ช่วงหลังศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา พุทธศาสนานิกายโจโดะ (浄土教 Joudo-kyo) ซึ่งมุ่งหวังความสุขในชาติหน้าเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับนิกายมิคเคียว ที่หวังผลประโยชน์เฉพาะในชาตินี้ และเราจะเห็นถึงความมีเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นปรากฏอยู่ในวรรณกรรมกับงานศิลปะ เช่น สถาปัตยกรรม การเขียนภาพ การแกะสลัก เป็นต้น", "title": "ยุคเฮอัง" }, { "docid": "74423#0", "text": "วัดโฮรีว () เป็นวัดพุทธในเมืองอิการูงะ จังหวัดนาระ ประเทศญี่ปุ่น มีชื่อเต็มว่า \"วัดปราชญ์เปรื่องธรรม\" (法隆学問寺; Learning Temple of the Flourishing Law) มีที่มาจากการที่วัดนี้ได้เปิดให้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาเช่นเดียวกับที่เป็นอารามสงฆ์ เป็นที่ยอมรับกันว่าวัดนี้มีอาคารไม้หลายหลังที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ในโลก แม้ว่าจะยังมีวัดอื่นที่เก่าแก่กว่าและมีความสำคัญมากกว่า แต่วัดโฮรีวก็ยังคงเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2536 วัดโฮรีวได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในนามว่า \"\"พุทธสถานในเขตโฮรีว\"\" และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น", "title": "วัดโฮรีว" }, { "docid": "310650#4", "text": "รัชสมัยของพระราชินีซอนด๊อกเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรชิลลา โดยเฉพาะทางด้านศาสนาพุทธนิกายมหายาน ในรัชสมัยของพระนางพระพุทธศาสนาได้เข้ามาประดิษฐานในอาณาจักรชิลลาอย่างแท้จริง โดยพระภิกษุชาจัง (Jajang; ) ผู้เดินทางไปยังเมืองฉางอันของราชวงศ์ถังเพื่อเก็บเกี่ยวศึกษาพระพุทธศาสนาและนำกลับมาเผยแพร่ เป็นผู้ให้กำเนิดคณะสงฆ์กลุ่มแรกของอาณาจักรชิลลาและผลักดันให้มีการสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระนางยังมีการสร้างหอดูดาวชอมซองแด () อันเป็นหอดูดาวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่หลงเหลืออยู่", "title": "พระนางช็อนด็อกแห่งชิลลา" }, { "docid": "110663#5", "text": "ปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัดกว่า หมีน้ำเกิดขึ้นครั้งแรกบนโลกตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทว่าซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุในอยู่ช่วงกลางของยุคแคมเบรียน นับว่ามีความเก่าแก่กว่าไดโนเสาร์เสียอีก โดยจากงานวิจัยพบว่า ซากฟอสซิลของหมีนํ้าที่ค้นพบนั้น มีอายุนานถึง500 ล้านปีเลยทีเดียว", "title": "หมีน้ำ" }, { "docid": "567511#0", "text": "วัดปากง่าม เป็นวัดในพระพุทธศาสนาเถรวาท สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย (ภาค 15) ตั้งอยู่ที่ 8/1 หมู่11 ตำบลกระดังงา อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม 75120 มีความสำคัญในฐานะเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางชุมชนกระดังงา ในการทำกิจกรรมทางศาสนา \nวัดปากง่ามเป็นวัดเก่าแก่ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้าง คาดว่ามีอายุกว่า 200 ปี มีหลักฐานว่าขอตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2305 การคมนาคมสมัยโบราณอาศัยคลองบางน้อย และคลองบางใหญ่ เป็นหลักสำคัญ วัดตั้งอยู่ตรงคลองสามแพร่งของคลองทั้งสอง จึงชื่อ \"วัดปากง่าม\"จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งอายเกือบ 100 ปีแล้ว เล่าว่า เกิดมาจำความได้ก็เห็นวัดนี้เป็นวัดเก่าๆ ไม่ค่อยเจริญเพราะตั้งอยู่ในสวน บ้านเรือนมีน้อย อุโบสถสร้างมา 3 หลังแล้ว ตั้งอยู่ต่างสถานที่กัน หลัง พ.ศ. 2479 วัดจึงได้เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ทั้งนี้ ด้วยความสามารถของเจ้าอาวาสที่สืบทอดต่อๆ กันมา ประกอบกับชุมชนขยายใหญ่ขึ้น บ้านเรือนหนาแน่นขึ้น ประชาชนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา วัดจึงมีศาสนสถาน และศาสนวัตถุครบถ้วน มีอุโบสถ และศาลาการเปรียญสวยงาม กุฏิสงฆ์ หอฉัน หอสวดมนต์ทรงไทย ศาลาท่าน้ำ สร้างสะพานข้ามคลองบางน้อย ตลอดจนการศึกษาก็บริบูรณ์ มีดรงเรียนปริยัติธรรม และโรงเรียนประถมศึกษา", "title": "วัดปากง่าม" }, { "docid": "40864#1", "text": "ศาสนายูดาห์มีพระเจ้าสูงสุด คือ พระยาห์เวห์ โดยชาวยิวมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์คู่แรกเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล และถือว่าโมเสสคือศาสดา ให้กำเนิดศาสนายูดาห์เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และยังมีบุคคลสำคัญ เช่น อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ ยูดาห์ ผู้เผยพระวจนะท่านอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ฯลฯ เป็นต้น ศาสนายูดาห์มีความเป็นมายาวนานกว่าสี่พันปี (นับจากสมัยอับราฮัม) จึงถือเป็นศาสนาเอกเทวนิยมที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน[4] ในคัมภีร์ทานัคที่เขียนขึ้นในยุคหลัง เช่น หนังสือเอสเธอร์ เรียกชาวฮีบรูหรือวงศ์วานอิสราเอลว่าชาวยิว คัมภีร์ของศาสนายูดาห์ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อกลุ่มศาสนาอับราฮัมยุคหลังด้วย คือ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาบาไฮ[5] รวมทั้งมีอิทธิพลต่อจริยธรรมและระบบซีวิลลอว์ตะวันตกทั้งทางตรงและทางอ้อม", "title": "ศาสนายูดาห์" }, { "docid": "68494#1", "text": "ในอดีตพื้นที่จังหวัดบามียานถูกปกครองโดยจักรวรรดิมีดซ์ (Medes) ก่อนตกอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิอะคีเมนิด (Achaemenid) ต่อมาในปี 330 ปีก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้ายึดบริเวณนี้แต่ได้ละทิ้งไป ภายหลังจักรวรรดิเซลูซิดจึงเข้ามาปกครองต่อ ขณะนั้นพื้นที่ทางตอนใต้ของเทือกเขาฮินดูกูช ได้มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธจากราชวงศ์เมารยะเข้ามา จึงมีการตั้งอารามพุทธศาสนาที่บามียาน ว่ากันว่าชื่อ \"บามียาน\" มาจากคำว่า \"วรรมยาน\" (varmayana) ที่แปลว่าสีในภาษาสันสกฤต ด้วยเหตุนี้จึงมีการก่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่นี่จำนวนมาก และได้มีการแกะสลักขึ้นบนหน้าผาโดนเด่นสององค์ ขนานนามว่า \"พระพุทธรูปแห่งบามียาน\" ที่อายุเก่าแก่กว่า 1,500 ปี ตั้งอยู่ในบริเวณโบราณสถาน ที่ต่อมารัฐบาลกลุ่มฏอลิบานได้ระเบิดทำลายเสียหายทั้งองค์ด้วยเหตุผลทางศาสนา เมื่อปี พ.ศ. 2544 สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ให้แก่วงการอนุรักษ์โบราณสถานไปทั่วโลก", "title": "จังหวัดบามียาน" }, { "docid": "67112#0", "text": "ดามัสกัส () เป็นเมืองหลวงของประเทศซีเรีย เป็นเมืองเก่าแก่ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ 2,457 ปีก่อนพุทธศักราช มีมัสยิดเก่าที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 1251 ถือว่าเป็นเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดามัสกัสเป็นเมืองสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนาของภูมิภาคลิแวนต์ จากข้อมูลประชากรปี ค.ศ. 2009 เมืองมีประชากรราว 1,711,000 คน", "title": "ดามัสกัส" }, { "docid": "322871#5", "text": "เครื่องดนตรียุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดก็คือเสียงของมนุษย์ การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในยุคมืด (Dark Ages) และในช่วงต้นยุคกลาง (Middle Ages) ก่อให้เกิดบทสวด Hymns และบทเพลงทางโลกขึ้น โดยออร์แกนที่เล่นในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดย้อนกลับไปได้ถึงศตวรรษที่ 8(ค.ศ. 700-709) และเครื่องดนตรีในยุคกลางหลายชนิดก็เป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีสมัยใหม่", "title": "ศิลปะสมัยกลาง" }, { "docid": "178580#1", "text": "เนื่องจากการให้ปริญญาสำหรับการศึกษาขั้นสูงในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นในยุโรปและตะวันออกกลางเป็นส่วนใหญ่ และนิยามมหาวิทยาลัยสมัยใหม่หมายถึงสถานศึกษาที่มีความสามารถในการให้ปริญญา มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีคุณสมบัติตรงนิยามสมัยใหม่ดังกล่าวจึงอยู่ในยุโรปหรือ ตะวันออกใกล้ แต่หากขยายนิยามให้กว้างขึ้นรวมไปถึงมหาวิทยาลัยโบราณที่เดิมไม่ได้มีการให้ปริญญาในขณะนั้นแต่ให้ในปัจจุบันด้วยแล้ว รายชื่อนี้อาจมีมากขึ้นโดยรวมไปถึงสถาบันอื่นๆ ทั้งในยุโรปและส่วนอื่นของโลกอีกหลายมหาวิทยาลัย", "title": "รายชื่อมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดที่ยังเปิดสอน" }, { "docid": "266700#1", "text": "กางเขนเป็นสัญลักษณ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้โดยมนุษย์ และใช้เป็นสัญลักษณ์ศาสนาหลายศาสนาที่รวมทั้งคริสต์ศาสนา กางเขนบ่อยครั้งจะเป็นสัญลักษณ์ของธาตุหลักทั้ง 4 ของโลก (เชวาลิเย, ค.ศ. 1997) หรืออีกความหมายหนึ่งคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเทพที่เป็นแกนตั้งและโลกที่คือแกนนอน (คอค, ค.ศ. 1955)", "title": "กางเขน" }, { "docid": "733706#0", "text": "วัดป่าแดงมหาวิหาร \nหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดป่าแดง” ที่ได้ชื่อว่าวัดป่าแดงเนื่องจากในอดีตบริเวณวัดมีต้นไม้แดงอยู่มาก วัดป่าแดงมหาวิหารตั้งอยู่เลขที่ 71 หมู่ 14 ซอย 4 ถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ปัจจุบันพระครูโฆสิตปริยัตยาภรณ์เป็นเจ้าอาวาส \nวัดป่าแดงสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1974 โดยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายเพื่อเป็นที่พำนักของพระญาณคัมภีร์และคณะสงฆ์ที่เดินทางกลับมาจากลังกาเพื่อเผยแผ่ลัทธินิกายลังกาวงค์ใหม่หรือนิกายสิงหลในขณะนั้นพระญาณคัมภีร์ได้อัญเชิญพระไตรปิฏก พระพุทธรูป และต้นโพธิ์มาไว้ในวัดแห่งนี้ ในสมัยพระเจ้าติโลกราชพระองค์ทรงเลื่อมใสและทำนุบำรุงพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ใหม่อีกทั้งทรงผนวชที่วัดป่าแดงมหาวิหาร การสนับสนุนคณะสงฆ์นิกายสีหลทำให้พุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ใหม่เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากเป็นที่เลื่อมใสของผู้คน วัดป่าแดงจึงเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาสายลังกาวงศ์ใหม่ พระเจ้าติโลกราชได้ถวายพระเพลิงพระศพพระราชบิดาและพระราชมารดาที่วัดแห่งนี้ทั้งยังได้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิพระราชบิดาและพระรามารดาซึ่งยังคงมีหลักฐานหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน \nพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ใหม่หรือนิกายสีหล เป็นพุทธศาสนานิกายใหม่ที่เข้ามาเผยแผ่ในล้านนาโดยมีพระญาณคัมภีร์เป็นผู้นำในการเผยแผ่ นำเข้ามาในเชียงใหม่ในสมัยพญาสามฝั่งแกน(พ.ศ. 1973) สาเหตุที่ทำให้พระญาณคัมภีร์ตั้งนิกายลังกาวงศ์ใหม่ขึ้นเนื่องจาก การเผยแผ่ลัทธิลังกาวงศ์เก่าของพระสุมนเถระซึ่งทำให้เกิดการตื่นตัวทางพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางนำไปสู่แนวความคิดที่ต้องการพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย พระญาณคัมภีร์และคณะจึงเดินทางไปศึกษาและอุปสมบทที่ลังกาโดยตรง จึงเดินทางกลับมาเผยแผ่หลักการและแนวปฏิบัติใหม่ออกไปอย่างกว้างขวางจนเกิดความขัดแย้งและแตกแยกกับนิกายลังกาวงศ์เก่าหรือนิกายรามัญ (วัดสวนดอก) คณะสงฆ์ฝ่ายป่าแดงกล่าวหาสงฆ์ฝ่ายสวนดอกว่าไม่เป็นภิกษุเพราะไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดในสมัยพญาสามฝั่งแกน(พ.ศ. 1945-1984) จึงโปรดให้จัดเวทีโต้แย้งกันจนในที่สุดสงฆ์ฝ่ายป่าแดงชนะ หลังจากนั้นพระสงฆ์ทั้งสองนิกายยังเกิดการทะเลาะวิวาทกันอยู่บ่อยครั้งพญาสามฝั่งแกนจึงโปรดให้สงฆ์ฝ่ายป่าแดงออกจากเชียงใหม่ใน พ.ศ. 1977 ทำให้นิกายปาแดงไปเจริญรุ่งเรืองที่ เชียงราย เชียงแสน พะเยา ลำปาง เชียงตุงจนกระทั่งสมัยพระเจ้าติโลกราช(พ.ศ. 1984-2030) ทรงเลื่อมใสในนิกายวัดป่าแดงจึงทรงอุปถัมภ์จนนิกายวัดป่าแดงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง", "title": "วัดป่าแดงมหาวิหาร" }, { "docid": "943675#1", "text": "ลัทธิวิญญาณนิยมเชื่อว่าสรรพวัตถุและสรรพสัตว์ (ซึ่งรวมถึง ต้นไม้ ก้อนหิน ลำธาร สภาพอากาศ งานหัตถกรรมของมนุษย์ และแม้แต่คำพูด) ล้วนแต่มีวิญญาณ มีชีวิต และ/หรือมีเจตจำนง (agency) เป็นของตัวเอง ลัทธิวิญญาณนิยมเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยมีอยู่ก่อนศาสนาจัดตั้งทุกรูปแบบ และถือกันว่าเป็นมุมมอง/ทัศนคติทางจิตวิญาณ หรือของความเชื่อเหนือธรรมมชาติอย่างแรกที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งพบหลักฐานเกี่ยวกับความเชื่อนี้ย้อนหลังไปถึงยุคหินเก่า ซึ่งเป็นสมัยมนุษย์ยังท่องเที่ยวไปตามพื้นที่ต่างๆเพื่อล่าสัตว์ หรือเก็บรวมรวบของป่า และสื่อสารกับจิตวิญญาณของธรรมชาติ ในแง่นี้ความเชื่อแบบศาสนาเชมัน (shaman) หรือลัทธิที่นับถือพ่อมดหมอผีว่าเป็นผู้ที่สื่อสารกับธรรมชาติได้ จึงมีความเกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของระบบความเชื่อแบบวิญญาณนิยม ในวิชามานุษยวิทยาว่าด้วยศาสนา\"วิญญาณนิยม\" เป็นคำที่ถูกใช้เพื่อสื่อถึงระบบความเชื่อดั้งเดิมของชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะเวลาที่นำไปเปรียบเทียบกับระบบความเชื่อทางจิตวิญญาณ หรือศาสนาจัดตั้งที่เกิดขึ้นภายหลัง เนื่องจากแต่ละวัฒนธรรมจะมีตำนานความเชื่อ นิทานเทพปกรณัม และพิธีกรรมที่แตกต่างกันไป แนวคิด \"วิญญาณนิยม\" จึงใช้สื่อถึงสายใยความต่อเนื่องในระดับรากฐานของทัศนคติทางจิตวิญญาณ หรือในเรื่องเหนือธรรมชาติของชนพื้นเมือง ที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากความคิดความเชื่อ หรือคำสอนของลัทธิที่มาจากภายนอก จนถึงขนาดว่าบางครั้งทัศนคติทางวิญญาณดังกล่าวอาจจะฝังรากลึกลงไปในระบบความเชื่อของชนพื้นเมืองนั้นมาแต่ปฐมกาล จนทำให้ชนพื้นเมืองดังกล่าวไม่มีคำที่ใช้เรียกระบบความเชื่อนั้นในภาษาของตน", "title": "วิญญาณนิยม" }, { "docid": "32367#2", "text": "ฤคเวท (สันสกฤต: ऋग्वेद, ฤคฺเวท, Rigveda) เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ อำนาจแห่งเทวะ และประวัติการสร้างโลก รวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งจะใช้ในพิธีการบรวงสรวงเทพเจ้าต่าง ๆ ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส (ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหมณ์ การจัดรวบรวมบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา มีบทสวดทั้งหมด 1,028 บท เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งสี่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเรียกรวมกันว่า \"พระเวท\" และนับเป็นบทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ เนื้อหาด้านชาติพันธุวิทยาและภูมิศาสตร์ที่ปรากฏในฤคเวทนั้น เป็นหลักฐานแสดงว่าฤคเวทนั้นมีมานานกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล", "title": "พระเวท" }, { "docid": "617485#22", "text": "นิวตันใช้เวลาเป็นอย่างมากในความพยายามที่จะค้นคว้า[]. หลังปี 1690, นิวตันได้เขียน[]ที่เกี่ยวข้องกับการตีความตัวอักษรใน[]. ในบทความที่นิวตันเขียนในปี 1704 เขาได้อธิบายความพยายามที่จะดึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ออกมาจากไบเบิ้ล. เขาประมาณการว่าโลกจะไม่พบกับจุดจบภายในปี 2060. ในการทำนายนี้เขากล่าว \"นี่ผมไม่ได้กล่าวว่าเวลาที่สิ้นสุดจะเป็นเมื่อไหร่ แต่เพื่อจะหยุดการคาดเดาไปต่างๆ นานาของพวกที่จินตนาการไปเรื่อยถึงวันที่สิ้นสุดของโลก เพราะการกระทำดังกล่าวได้ลดทอนความน่าเชื่อถือของคำพยากรณ์อันศักดิ์สิทธิ์และบ่อยครั้งคำทำนายของพวกเขาก็ล้มเหลว\" [38]", "title": "ความคิดเห็นทางศาสนาของไอแซค นิวตัน" }, { "docid": "283336#1", "text": "แพตสเตเดียมเริ่มก่อสร้างพร้อมกับการก่อตั้งทีมเมื่อปี 2510 โดยหน้าตาสนามนั้นเดิมเป็นสนามฟุตบอล(ไม่มีลู่วิ่ง) ซึ่งเหมือนสนามทีโอที, ลีโอสเตเดียม และธันเดอร์โดมที่เป็นสนามบอลเก่าแก่ โดยอัฒจันทร์ด้านแรกที่เรียกว่าโซน A สร้างสูงจึงทำให้ไม่ค่อยน่าชมการแข่งขันสักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าการก่อสร้างต้องการให้ชั้นล่างเป็นฟิตเนส และห้องนักข่าว", "title": "แพตสเตเดียม" }, { "docid": "50638#0", "text": "ฤคเวท () เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ อำนาจแห่งเทวะ และประวัติการสร้างโลก รวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งจะใช้ในพิธีการบรวงสรวงเทพเจ้าต่างๆ ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส ( ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหมณ์ การจัดรวบรวมบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา มีบทสวดทั้งหมด 1,028 บท เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งสี่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเรียกรวมกันว่า \"พระเวท\" และนับเป็นบทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ เนื้อหาด้านชาติพันธุวิทยาและภูมิศาสตร์ที่ปรากฏในฤคเวทนั้น เป็นหลักฐานแสดงว่าฤคเวทนั้นมีมานานกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล", "title": "ฤคเวท" }, { "docid": "54623#0", "text": "ยุคนาระ () (ค.ศ. 710 – 794)\nเมื่อปี ค.ศ. 710 ขณะที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยหลักกฎหมายและจริยธรรมก็ได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เฮโจเกียวหรือเมืองนาระและบริเวณใกล้เคียงในปัจจุบัน แต่ในเวลาต่อมาก็เริ่มเกิดความวุ่นวายเมื่อระบบโคจิโกมิง (公地公民制 \"Kōchi-kōmin-sei\": ระบบที่รัฐบาลกลางครอบครองที่ดินทั้งหมดและปันส่วนให้กับขุนนางและชาวนา โดยที่ชาวนาต้องเสียภาษีที่ดิน) เสื่อมลงเนื่องจากมีที่ดินที่ได้รับยกเว้นภาษี อยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงความยากจนไร้ที่อยู่อาศัยของชาวนา ในสมัยนี้ศาสนาพุทธได้รับการทำนุบำรุงอย่างดี ทำให้วัฒนธรรมหรือศิลปะทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก เริ่มจากวัฒนธรรมอาซูกะ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาอันดับแรกของญี่ปุ่นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 หรือวัฒนธรรมฮากูโฮ ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 7 ที่แสดงให้เห็นความทุกข์ยากของมนุษย์ จนถึงวัฒนธรรมเท็มเปียว ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 8 ที่แสดงถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามที่เป็นจริง ซึ่งรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์ถัง \"มังโยชู\" (万葉集 Man’youshuu) คือ งานชิ้นเอกแห่งยุค ซึ่งเป็นการรวบรวมบทกวีของคนทุกระดับชั้นตั้งแต่สามัญชนจนถึงจักรพรรดิไว้ประมาณ 4,500 บท โดยใช้เวลารวบรวมจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 8 รวมเป็นเวลาถึง 400 ปี ใน \"มังโยชู\" ได้รับบรรยายความรู้สึกของการใช้ชีวิตอย่างสมถะของคนญี่ปุ่นในสมัยโบราณได้อย่างตรงไปตรงมา และยังคงเป็นที่ประทับใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมากในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ ยังมี \"โคจิกิ\" (古事記 Kojiki) ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ (ค.ศ. 712) \"นิฮนโชกิ\" (日本書紀 Nihonshoki) ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามลำดับเวลาฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ. 720) และหนังสือรวมบทกวี \"ไคฟูโซ\" (懐風藻 kaifuusou) ฉบับเก่าแก่ที่สุด (ค.ศ. 751) ซึ่งเป็นครั้งแรกของการรวมนเวลาต่อมาก็เริ่มเกิดความวุ่นวายเมือชาวนายากจนลง คนไร้ที่อยู่อาศัยมีมากขึ้น และจากการที่มีโชเอน ซึ่งเป็นที่ดินที่ได้รับการยกเว้นภาษีเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ระบบโคจิโกมิง (ระบบที่รัฐบาลกลางเป็นผู้ครอบครองที่ดินทั้งหมด และบันส่วนให้ขุนนางกับชาวนา โดยที่ชาวนาต้องเสียภาษีที่ดิน) เสื่อมลง", "title": "ยุคนาระ" }, { "docid": "32147#4", "text": "มนุษย์เรียนรู้การใช้ไฟและในการหลอมโลหะ ตีอุปกรณ์ ทำแก้ว ยุคนี้เป็นยุคเฟื่องฟูของศาสนาและการทำมาค้าขาย ในยุคที่มีการแบ่งชนชั้นมากเช่นนี้ ผู้คนจำเป็นต้องมี การนำของไปถวายหรือบูชา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมทางศาสนาหรือว่าการบูชาทำนาย ทำให้มีการทำเหมืองแบบเก่าเป็นจำนวนมาก เพื่อขุดทอง เงินและทองแดง ในการทำเครื่องประดับต่าง ๆ นอกจากนี้เรื่องของเครื่องแต่งกายยังเป็นยุคที่เฟื่องฟูอีกด้วย เชื่อกันว่าผู้คนรู้จักการย้อมผ้าและ แล้วทักยอแบบหยาบ ๆ แล้ว โดยอาศัยตัวไหมและยางจากต้นไม้ ในทางเขตยุโรปผู้คนนิยมทำเครื่องเกราะ ดาบ เครื่องเงิน มงกุฎและอุตสาหกรรมต่อเรือยังเป็นอะไรที่เฟื่องฟูอีกด้วย ผู้คนนิยมเดินทาง โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสและ อังกฤษที่ชอบล่าเมืองขึ้น และบ้านยังเป็นแบบไม้ชั้นเดียวที่ต้องแน่นหนา การประดิษฐ์เป็นแบบพื้น ๆ แล้วศิลปะมากกว่าทางเอเชียหรือแอฟฟริกา ทางเอเชีย การประดิษฐ์ไม่ค่อยเป็นที่ใส่ใจเท่าไหร่ บ้านยังเป็นแบบเก่าที่ทำจากไม้ ผู้คนจะนิยมค้าขายอาหารกิจกรรมทางศาสนามากกว่า เช่นเดียวกับแอฟริกาที่การประดิษฐ์ไม่ค่อยเจริญเทียบเท่ายุโรป", "title": "สิ่งประดิษฐ์" }, { "docid": "48069#0", "text": "พาราณสี ( \"พาราณสี\"; , Vārāṇasī \"วาราณสี\", ) เป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสี (Kingdom of Kashi) ในสมัยพุทธกาล ปัจจุบันตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ห่างจากลัคเนาซึ่งเป็นเมืองหลวงของอุตตรประเทศเป็นระยะทาง 320 กิโลเมตร พาราณสีมีแม่น้ำคงคาไหลผ่าน เป็นเมืองที่ศักดิสิทธิ์ที่สุดหนึ่งในเจ็ดเมืองศักดิสิทธิ์ (สัปดาปุริ, Sapta Puri) ในความเชื่อของศาสนาฮินดูและศาสนาเชน พาราณสีมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 4,000 ปี เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศอินเดียและยังจัดเป็นเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลกด้วย ถือว่าเป็นสุทธาวาสที่สถิตแห่งศิวเทพ ถือว่าเป็นเมืองอมตะของอินเดียและเป็นที่แสวงบุญทั้งของชาวฮินดูและชาวพุทธทั่วโลก ครั้งสมัยอาณานิคม เมืองนี้มีชื่อว่า เบนาเรส (Benares)", "title": "พาราณสี" }, { "docid": "147908#29", "text": "แต่วันเวลาซึ่งสร้างสรรค์บทกวีมุขปาฐะเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อใดไม่แน่ชัด บทกวีช่วงที่เก่าแก่ที่สุด คือส่วนที่กล่าวถึงการสร้างโลก น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ขณะที่เนื้อหาในช่วงหลังที่กล่าวถึงการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ น่าจะเกิดขึ้นในช่วงยุคเหล็ก", "title": "กาเลวาลา" }, { "docid": "6087#2", "text": "ตำแหน่งพระสันตะปาปาถือเป็นตำแหน่งที่เก่าแก่ที่สุดในโลกตำแหน่งหนึ่ง และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์โลก[3] ในสมัยโบราณพระสันตะปาปามีหน้าที่หลักในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และตัดสินข้อขัดแย้งด้านความเชื่อภายในคริสตจักร[4] ในสมัยกลางพระสันตะปาปามีบทบาทสำคัญมากในทางโลกในยุโรปตะวันตกด้วย เช่น เป็นผู้ตัดสินความขัดแย้งระหว่างประมุขของรัฐ รวมถึงสงครามหลายครั้ง ปัจจุบันนี้นอกจากจะทำหน้าที่ด้านเผยแผ่ศาสนาคริสต์แล้ว พระสันตะปาปายังปฏิบัติพระกรณียกิจด้านคริสต์ศาสนสัมพันธ์และศาสนสัมพันธ์ งานการกุศล และการปกป้องสิทธิมนุษยชนด้วย[5][6]", "title": "พระสันตะปาปา" }, { "docid": "707482#5", "text": "มีรายงานการเสียชีวิตที่บริเวณยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งรวมผู้บริหารระดับสูงแห่งบริษัทกูเกิล และผู้ช่วยแพทย์หญิงสัญชาติไทย-อเมริกัน นอกจากนี้ยังทำให้โบราณหลายแห่งซึ่งบางส่วนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกถูกทำลายเสียหายยับเยิน อาทิเช่น ธาราฮารา หอคอยเก่าแก่ที่สูงที่สุดในเนปาล สถูปปูธานารถ เทวสถานสำคัญทางพุทธศาสนาในเนปาล สถูปเจดีย์เก่าแก่ ภายในจัตุรัสกาฐมาณฑุดูร์บาร์ เป็นต้น", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศเนปาล เมษายน พ.ศ. 2558" }, { "docid": "39991#0", "text": "ภาษาอเวสตะ () เป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุดของชาวอิหร่านโบราณ มีอายุไล่เลี่ยกับ ภาษาพระเวท หรือ ภาษาไวทิกะ ซึ่งเป็นภาษาบันทึกคัมภีร์พระเวทของฝ่ายอินเดีย ภาษาอเวสตะเป็นภาษาที่บันทึกความเชื่อทางศาสนาของคนอิหร่านโบราณที่เก่าแก่ที่สุดของชาตินี้ ใช้ในบทสวดมนต์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ", "title": "ภาษาอเวสตะ" }, { "docid": "35599#1", "text": "เยรูซาเลมถือเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยได้รับการกล่าวถึงในชื่อ \"อูรูซาลิมา\" ในแผ่นศิลาจารึกของเมโสโปเตเมีย ซึ่งมีความหมายว่า \"นครแห่งชาลิม\" อันเป็นนามของพระเจ้าในแผ่นดินคานาอันเมื่อราว 2,400 ปีก่อนคริสตกาล และเมื่อมาถึงยุคของวงศ์วานอิสราเอล การก่อร่างสร้างเมืองเยรูซาเลมอย่างจริงจังก็ได้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตกาล (ยุคเหล็กช่วงปลาย) และในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล เยรูซาเลมก็ได้เป็นศูนย์กลางการปกครองและทางศาสนาของอาณาจักรยูดาห์[6] ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของเยรูซาเลม นครแห่งนี้ได้ถูกทำลายไปอย่างน้อย 2 ครั้ง, ถูกปิดล้อม 23 ครั้ง, ถูกโจมตี 52 ครั้ง, ถูกยึดและเอาคืน 44 ครั้ง[7] มีส่วนหนึ่งของเยรูซาเลมที่เรียกว่า \"เมืองดาวิด\" ปรากฏการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สี่พันปีก่อนคริสตกาล กำแพงเมืองเยรูซาเลมซึ่งยังคงตั้งตะหง่านจนถึงปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 1538 ในรัชกาลสุลัยมานผู้เกรียงไกร พื้นที่ภายในกำแพงเรียกว่าย่านเมืองเก่า ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่เขตด้วยกันได้แก่ เขตอาร์มีเนีย, เขตยิว, เขตคริสเตียน และเขตมุสลิม[8] ย่านเมืองเก่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปีค.ศ. 1981 และยังเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย[9]", "title": "เยรูซาเลม" }, { "docid": "47905#9", "text": "ด้านอักษรศาสตร์ทรงพระปรีชาสามารถนิพนธ์หนังสือไตรภูมิพระร่วงที่นับเป็นงานนิพนธ์ที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย ด้วยทรงเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกจึงทรงนิพนธ์ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ประเพณีในพระพุทธศาสนา โลกมนุษย์ สวรรค์ และนรก", "title": "พระมหาธรรมราชาที่ 1" } ]
1719
เมยท์ มิเชลล์ ราดรีเกซ เกิดที่รัฐใด?
[ { "docid": "642144#4", "text": "ราดรีเกซ เกิดที่เมืองแซนแอนโทนีโอ (San Antonio) รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา แม่ของเธอ คาเมน มิลาดี้ ราดรีเกซ เป็นคนพื้นเมืองของโดมินิกัน และพ่อของเธอ ราฟาเอล ราดรีเกซ เป็นชาวเปอร์โตริโก ทำงานในกองทัพสหรัฐ[8][9][10] ราดรีเกซได้ย้ายตามแม่ของเธอไปอยู่สาธารณรัฐโดมินิกันเมื่อเธออายุได้ 8 ขวบและอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งอายุ 11 ปี หลังจากนั้นเธอย้ายไปอยู่ที่เปอร์โตริโกจนอายุได้ 17 ปี และสุดท้ายเธอตั้งรกรากที่เมืองเจอร์ซีย์ (Jersey City) รัฐนิวเจอร์ซีย์ เธอหยุดเรียนไปตอนมัธยมปลายแต่ก็มาเรียนGED ต่อ[11] เธอถูกไล่ออกมา 5 โรงเรียน[12] เธอเข้าเรียนหลักสูตรเร่งรัดที่โรงเรียนทางธุรกิจก่อนที่จะออกจากอาชีพนักแสดง โดยเธอนั้นมีความฝันสูงสุดที่จะเป็นนักเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง[13]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" } ]
[ { "docid": "826530#0", "text": "เร็ว..แรงทะลุนรก 8 () หรือ Fast & Furious 8 หรือ Fast 8 (บางครั้งใช้ F8) เป็นภาพยนตร์โลดโผน กำกับโดยเอฟ. แกรี เกรย์ เขียนบทโดยคริส มอร์แกน เป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 8 ในชุด \"เดอะฟาสต์แอนด์เดอะฟิวเรียส\" นำแสดงโดยวิน ดีเซล, มิเชลล์ ราดรีเกซ, ดเวย์น จอห์นสัน, ไทรีส กิบสัน, ลูดาคริส, ชาร์ลิส โตรน, เจสัน สเตธัม, เคิร์ต รัสเซลล์และสกอตต์ อีสต์วุด ภาพยนตร์เข้าฉายในสหรัฐ วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2017", "title": "เร็ว..แรงทะลุนรก 8" }, { "docid": "642144#7", "text": "ราดรีเกซมีบทบาทที่โดดเด่นในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงบทบาทของเธอที่เป็นแล็ตตี้ โอติซ ในภาพยนตร์เรื่อง เร็ว แรง ทะลุนรก (The Fast and the Furious) ในปี 2001 และในบทของเรน โอคัมโป ในหนังเรื่องผีชีวะ(Resident Evil) ในปี 2002. เธอปรากฏตัวในหนังเรื่องคลื่นยักษ์รักร้อน(Blue Crush) และสวาทหน่วยจู่โจมระห่ำโลก(S.W.A.T.)[20] ในปี 2004, ราดรีเกซได้พากษ์เสียงของเธอในวิดีโอเกมชื่อว่า Halo 2, เล่นในตัวชื่อว่ามารีน(Marine)[21] เธอยังมีการให้เสียงของอลิซ ริคาร์โรว์(Liz Ricarro) ในการ์ตูนเน็ตเวิร์คซีรีส์(การ์ตูนเน็ตเวิร์ค series) ของ IGPX.[6] จากปี 2005 ถึง 2006 เธอได้รับบทเล่นเป็นตำรวจ แอนนา โลนิการ์ คอร์เทซ(Ana Lucia Cortez)[22] ในซีรีส์โทรทัศน์ชื่อ Lost เธอปรากฏตัวในซีชั่นที่ 2 (ตัวละครที่ปรากฏตัวในครั้งแรกเป็นเรื่องย้อนหลังในช่วงจบซีชั่นแรกชื่อว่า \"Exodus: Part 1\") และมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะนักแสดงรับเชิญในซีชั่นที่ 5 \"The Lie\" ในปี 2009 เธอกลับมาอีกครั้งในตอนสุดท้ายของซีรีส์ที่ชื่อตอนว่า \"What They Died For\", ในปี 2010 เมื่อปี 2006 ราดรีเกซที่ตอนสำคัญที่เป็นเอพพิโซดของตัวเธอเองใน G4's แสดงเป็น Icons.[23]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#20", "text": "ในวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2005 ราดรีเกซถูกจับกุมจากการขับรถ[54] โรดิเกซได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเธอไม่ยอมรับความผิดเมื่อถูกฟ้องร้อง[55] แต่ในวันของการพิจารณาคดีของเธอในเดือนเมษายน ปี 2006, เธอกลับรับสารภาพและยินดีที่จะจ่ายค่าปรับ เธอเลือกที่จะเป็นจ่ายเงิน 500 ดอลลาร์สหรัฐและถูกคุมขังเป็นเวลา 5 วันแทนที่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชุมชน 240 ชั่วโมง.[51] เธอได้อ้างว่าปริมาณสารสเตียรอยด์ที่เธอได้รับในปริมาณที่สูงจากการเบาเทาอาการแพ้มีผลกับพฤติกรรมของเธอ[56] เพราะอุบัติเหตุที่ไกลลัว(Kailua) มันอยู่ในช่วงการคุมความประพฤติของเธอที่ลอสแอนเจลิส เธอถูกตัดสินจำคุกถึง 60 วันในคุก และถูกคุมความประพฤติโปรแกรมการฟื้นฟูเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอร์และอีก 30 ในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อชุมชน, รวมถึงงานรณรงค์ต่อต้านแม่เมาแล้วขับ(Mothers Against Drunk Driving) โดยผู้พิพากษาลอสแอนเจลิสในวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 2006.[57] เพราะความอึดอัด เธอได้รับการปล่อยตัวจากคุกเพียงหลังจากที่เธอเดินเขาไปในคุกในวันเดียวกัน เธอนำประสบการณ์เข้าไปเขียนในบล็อกของเธอ[58]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#5", "text": "ในช่วงเวลาหนึ่งเธอถูกเลี้ยงโดยคุณยายและถูกนำขึ้นเป็นพยานพระยะโฮวา ตามศาสนาแม่ของเธอ แม้ว่าเธอจะเริ่มละทิ้งศรัทธา[14][15] การทดสอบดีเอ็นเอของโรดิเกซจัดทำขึ้นตามโปรแกรมของรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อว่า Finding Your Roots ว่าบรรพบุรุษของเป็น 72.4% ยุโรป, 21.3% แอฟริกัน, and 6.3%เป็นชนพื้นเมืองอเมริกัน[16] ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีบางส่วนขัดแย้งกันระหว่างเชื้อชาติกับครอบครัวของเธอ ตั้งแต่พ่อของเธอเป็นเปอร์โตริโกผิวขาวและแม่ของเธอซึ่งเป็นโดมินิกันซึ่งเป็นผิวสี", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#19", "text": "ในปี 2005 ขณะที่หนังเรื่อง Lost ใน รัฐฮาวาย ราดรีเกซถูกจับกุมจากตำรวจโฮโนลูลู(โฮโนลูลู) หลายครั้ง เธอถูกกล่าวหาเรื่องการขับรถในเขตเกาะเกาะโอวาฮู(เกาะโอวาฮู) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนและถูกปรับเป็นเงิน 357 ดอลลาร์สหรัฐ. เธอต้องจ่าย 300 ดอลลาร์สหรัฐในเรื่องการขับในวันที่ 20 ตุลาคมและถูกปรับ 197 เหรียญในวันที่ 24 เดือนสิงหาคม[53]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#13", "text": "ราดรีเกซได้ผันตัวเข้ามาทำงานเป็นนักจัดรายการ(ดีเจ) ปี 2009 – เป็นไนท์คลับที่เป็นนานาชาติและเป็นดีเจในรอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์ที่ช่วงท้ายมีงานปาร์ตี้[35] โรดิเกซระบุว่ามีการมิกเพลงที่เป็นแนวเฮาส์มิวสิค(เฮาส์ (แนวดนตรี)) และมีการบันทึก เธอพูดไว้ว่า \"ส่วนใหญ่ฉันชอบเล่นในที่ที่มีคนมากที่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่เพื่อฉันจะย้อนกลับไปในยุค 1930s ไปถึงปี 1960s, 1970 และ1980s – เอามาไว้ในบ้าน มีแนวฮิปฮอปแล้วก็อาร์แอนด์บี ฉันชอบที่จะผสมผสานเสียงดนตรีอีเล็กทรอนิค\"", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#15", "text": "ในช่วงต้นปี 2000 ราดรีเกซได้ยุติการหมั้นกับแฟนหนุ่มที่เป็นชาวมุสลิม โดยเหตุผลหรือข้ออ้างมาจากความแตกต่างทางศาสนาของฝ่ายชายที่เขาขอร้องจากเธอ[36] หลังจากนั้นได้มีข่าวว่าเธออาจมีความสัมพันธ์กับวิน ดีเซล ที่เป็นพระเอกคู่กับเธอในหนังเรื่อง เร็ว แรง ทะลุนรก (Fast and the Furious)[37] และโอลิเวียร์ มาร์ติเนซ (Olivier Martinez) ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับเธอในหนังเรื่อง ส.ว.า.ท. หน่วยจู่โจมระห่ำโลก (S.W.A.T.) [38][39]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#0", "text": "เมยท์ มิเชลล์ ราดรีเกซ (English: Mayte Michelle Rodriguez[1]; /rɑːˈdriːɡɛz/) เกิดเมื่อ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1978[2] รู้จักกันดีในชื่อ มิเชลล์ ราดรีเกซ, เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ และเป็นดีเจ[3] เธอเริ่มมีชื่อเสียงจากบทบาทในภาพยนตร์เป็นนักมวยเจ้าปัญหาในภาพยนตร์อิสระเรื่อง Girlfight ในปี 2000 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและทำให้เธอสามารถคว้ารางวัลมาได้หลายรางวัล รวมไปถึงรางวัล Independent Spirit Award ซึ่งจะประกาศก่อนรางวัลออสการ์ 1 วันซึ่งถือเป็นรางวัลสำคัญสำหรับหนังอิสระต้นทุนต่ำ[4] และรางวัล Gotham Award ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับแนวหนังอินดี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือว่าเปิดตัวครั้งแรกได้ดี[5] และในปีต่อมา เธอเริ่มได้รับบทนำที่ชื่อว่า เล็ตตี้ โอติซ (รายชื่อตัวละครในเดอะฟาสต์แอนด์เดอะฟิวเรียส) ในภาพยนตร์ดังเรื่อง เร็ว แรง ทะลุนรก (The Fast and the Furious) ในปี 2001, บทบาทของเธอในเวลาต่อมาที่เธอแสดงเรื่อง Fast & Furious ในปี 2009 และ เร็ว..แรงทะลุนรก 6 ในปี 2013", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#1", "text": "เส้นทางสายอาชีพของเธอ, โรดิเกซเล่นในบทบาทที่ยากลำบาก, เป็นนักแสดงหญิงอิสระคนที่ประสบความสำเร็จในวงการแสดงภาพยนตร์, รวมไปถึงหนังที่เธอแสดงในเรื่อง คลื่นยักษ์รักร้อน(Blue Crush),สวาทหน่วยจู่โจมระห่ำโลก(S.W.A.T.),วันยึดโลก(Battle: Los Angeles), และ อวตาร(Avatar) และเธอยังเป็นที่รู้จักดีในบทบาทนักแสดงภาพยนตร์แนวแอ๊กชั่นตลกสนุกสนาน(action comedy) ในเรื่อง ระห่ำกระฉูด(Machete) และคนระห่ำ ดุกระฉูด(Machete Kills) และ เรน โอแคมโบ(Rain Ocampo) ยังมีในหนังแนวนิยายวิทยาศาสตร์(บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ films) ในเรื่อง ผีชีวะ(Resident Evil) และผีชีวะ 5( Resident Evil: Retribution)", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#21", "text": "ในเดือนกันยายน ปี 2007 ราดรีเกซได้ถูกกล่าวหาว่าละเมิดการถูกคุมความประพฤติโดยการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณชนไม่เสร็จสิ้นและไม่ปฏิบัติตามโปรแกรมบำบัดแฮกอลฮอร์ มีรายงานว่าเธอส่งเอกสารเดิมที่ระบุว่าเธอทำงานบำเพ็ญประโยชน์ในวันที่ 5 เดือนกันยายนในปี 2006, แต่ก็ได้รับการยืนยันว่าเธอทำจริงที่เมืองนิวยอร์กในวันนั้น. ทนายความของเธออ้างว่าเป็นข้อผิดพลาดของฝ่ายธุรการ.[59] ในวันที่ 10 เดือนตุลาคม ปี 2007 เธอถูกตัดสินให้จำคุก 180 วันหลังจากที่เธอละเมิดการคุมความประพฤติของเธอ เธอคาดว่าเวลาในคุก 180 วันเต็มในคุกนั้นไม่เหมาะสมเนื่องจากเธอต้องพักงานเธอและถูกกักบริเวณในบ้าน.[60] อย่างไรก็ตามหลังจากที่เข้าไปในคุกที่เป็นสถานกักกันที่ตั้งอยู่ในเขตลินวูดส์(Lynwood) แคลิฟอเนียร์ ในวันที่ 23 ธันวาคม ปี 2007[61] เธอได้รับการปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังได้ 18 วัน ในวันที่ 9 เดือนมกราคม ปี 2008 เนื่องจากความแออัดในคุก[62]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#9", "text": "ในปี 2010, ราดรีเกซได้ปรากฏตัวในของโรเบิร์ท ราดรีเกซ (Robert Rodriguez) หนังเรื่อง Machete ซึ่งหนังได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกและทำเงินไป 44 ล้านเหรียญในบ๊อกออฟฟิต[31] ในปี 2011 ประกบคู่คับ อารอน เอคฮาร์ท (อารอน เอคฮาร์ท) ในหนังแนวแนวนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่อง Battle: Los Angeles หนังทำรายได้มากว่า 200ล้านเหรียญในบ๊อกออฟฟิต ในปี 2012 เธอกลับไปเล่นหนังในบทของร่างโคลนที่เป็นทั้งตัวดีและตัวร้ายในบทของ เรน โอแคมโบ ในหนังเรื่อง ผีชีวะ 5 ตอนสงครามไวรัสล้างนรก (Resident Evil: Retribution) ในปี 2013 เธอรับบทบาทเป็น เล็ตตี้ โอติซ ในเรื่อง เร็ว..แรงทะลุนรก 6 ในปีเดียวกันราดรีเกซมาเล่นหนังในของโรเบิร์ท ราดรีเกซในเรื่อง Machete Kills.", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#11", "text": "\"โอ้ไม่นะ, ฉันรู้สึกว่าเพิ่งได้รับบทบาทในหนังเรื่อง Girlfight เมื่อปีที่ผ่านมา. คุณจะยอมให้ตัวเองได้รับบท ถ้าฉันตัดสินใจฉันไม่ต้องการที่จะได้รับบทในวันพรุ่งนี้ ฉันจะต้องเล่นหนังอินดี้ที่ได้รับบทสาวยากจนที่ต้องมีประสบการณ์ที่ทนทุกข์ทรมารและต้องการที่จะเอาชนะผ่านมันมาให้ได้จากการร้องไห้หรือถูกข่มขืน แต่ช่วงท้ายๆ ของวันฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แสดง ฉันเพียงต้องการใครบางคนฉันเชื่อในสิ่งนั้นฉันอยากให้ทุกคนสนใจหรือสนุกไปกับมัน ฉันอยู่ตรงนี้เพื่อให้ความบันเทิงกับผู้ชมและช่วยให้ผู้หญิงนั้นแข็งแกร่งขึ้น และนั่นคือสิ่งที่ฉันทำในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ฉันบอกกับตัวเองและฉันก็มีกล่องของตัวเองและจะพูดว่าเมื่อมีสิ่งต่างๆที่จะใส่ในจานของฉัน ฉันก็จะพูดว่าไม่ และในที่สุดฉันก็จะเหมือนลูกไก่ที่แข็งแรงที่จะถูกฆ่าและมันก็ไม่ผิดปกติอะไร\"", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#2", "text": "ราดรีเกซยังมีงานทางซีรีส์ทางรายการโทรทัศน์ที่เล่นเป็นแอนนา โลนิการ์ คอร์เทซ(Ana Lucia Cortez) ในซีชั่น 2 ของหนังซีรีส์เรื่องอสุรกายดงดิบ(Lost) เธอเป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงซึ่งมีการแยกเป็นหลายชุดก่อนที่ซีรีส์จะจบลง เธอยังมีการทำงานเกี่ยวกับเสียงมากมาย(voice work) ในวิดีโอเกม เช่น เกม Call of Duty และเกม Halo, และหนัง 3 มิติแอนนิเมชั่น( 3D แอนิเมชัน) เรื่องหอยทากจอมซิ่งสายฟ้า(Turbo) และซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง IGPX.[6]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#17", "text": "ในเดือนตุลาคม 2013, หนังสือเอนเตอร์เทนเมนท์รายสัปดาห์(เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี) ได้ยกคำพูดของเธอที่ว่า \"ฉันได้ทั้งสองอย่าง ฉันทำในสิ่งที่ฉันชอบ ฉันแปลกมากที่มานั่งอยู่ตรงนี้และฉันไม่พยายามทนในเมื่อฉันสามารถทำได้ ผู้ชายก็มีอะไรที่น่าทึ่ง เหมือนดังลูกไก่\"[7] แล้วเธอก็ได้อธิบายคำพูดของเธอกับนิตยสารที่มีชื่อว่าLatina ว่า \"ฉันว่ามันเก่าแล้ว. ในที่สุดมันก็จะทำเกิดความยุ่งยากจนฉันไม่อยากจะกลับไปทำอีก. ฉันอยากจะซื่อสัตย์และมองดูสิ่งที่กำลังจะเกิด.\"[45] ในเดือนพฤษภาคม ปี 2014, เธอกล่าวว่าการที่เธอให้สัมภาษณ์เธอหวังว่าการกระทำของเธอจะสามารถช่วยคนอื่นๆ ที่เจอในสถานการณ์ที่คล้ายกัน \"โดยอาจจะเปิดปากใหญ่โตที่เต็มได้ด้วยไขมันของฉัน เหมือนกับจะทำให้ก้าวผ่านขึ้นไปอีกขั้นโดยที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครบางคนที่เป็นคล้ายๆกัน\"[46] เธอได้ให้คำอธิบายหลังจากการให้สัมภาษณ์อีกครั้งนั้นหลังจากนั้นว่าตัวเธอเองเป็นไบเซ็กชวล: \"ไบ , ใช่ ฉันตกอยู่ในแบบ B-ของ กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ(กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ)\" ราดรีเกซขาดความแปลกใหม่ในบทนักแสดงหญิงที่มีอยู่ในบทภาพยนตร์ เธอกล่าวว่า \"มีอะไรที่ผิดปกติกับการเป็นไบเซ็กชวลเหรอ? ฉันหมายถึง,พวกเราต่อต้านสิ่งที่จะมารบกวนในที่ที่เราจะไป\"[47]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#6", "text": "มีการเปิดทดสอบหน้ากล้องหรือเรียกว่าแคสติ้งดาราหน้าใหม่ซึ่งเป็นการออดิชั่นครั้งแรกของเธอ ราดรีเกซชนะผู้ที่เข้าสมัคร 350 คนในหนังอิสระทุนต่ำ ที่ชื่อว่า Girlfight.ด้วยการรับบทเป็นไดน่า ก๊อทแมน(Diana Guzman),ซึ่งเป็นบทวัยรุ่นที่ก้าวร้าวแล้วได้รับการฝึกฝนเพื่อจะเป็นนักมวย,[17] ราดรีเกซได้รับรางวัลต่อหลายรางวัลและถูกเสนอชื่อในฐานะนักแสดงอิสระ, รวมทั้งได้รับรางวัลนักแสดงหลักจากงาน National Board of Review และ Deauville Film Festival,[18] และก็ยังมีอีกหลายรางวัล เช่น Independent Spirit Awards,[4] Gotham Awards,[5] Las Vegas Film Critics Sierra Awards, และอีกหลายที่ได้รับ ตัวภาพยนตร์เองก็ได้รับรางวัลสูงสุดจาก Sundance[19] และชนะเลิศรางวัลเยาวชนที่เทศกาลประกวดภาพยนตร์ที่เมืองคานส์(เทศกาลภาพยนตร์เมืองกาน) ในปี 1999, เธอได้รับคัดเลือกในบทบาทที่เป็น Sisqó's ในมิวสิควิดีโอ ชื่อว่า \"Thong Song\". ในปี 2002, เธอปรากฏตัวในมิวสิควิดีโอเพลงที่มีชื่อว่า \"Always On Time\".", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "754169#0", "text": "บาร์โตโลเม อัลแบร์โต มอตต์ (; ชื่อในการแสดง: ทอม ราดรีเกซ; ; 1 ตุลาคม ค.ศ. 1987 —) เป็นนักแสดงชาวฟิลิปปินส์เชื้อสายอเมริกัน เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เข้าแข่งขันในทีวีเรียลลิตี้โชว์ \"พินอยบิกบราเธอร์ : ดับเบิลอัพ\" และเขาได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ในเรื่อง \"Be Careful With My Heart\", \"Temptation Island\", \"My Husband's Lover\" รับบทเป็น วินเซนต์ โซรีอาโน และ \"My Destiny\" รับบทเป็น ลูคัส แมทธิว อันดราดา", "title": "ทอม ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#10", "text": "หลังจากภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ ที่ชื่อว่า Girlfight ราดรีเกซได้รับบทอย่างต่อเนื่องและมีคาแรคเตอร์แนวทอมบอยที่ทำงานในสถานีตำรวจหรือทำงานในหน่วยงานของกองทัพ ราดรีเกซกล่าวว่าไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับบทบาทอย่างไร แต่เธอจะรับผิดชอบกับบทบาทที่ได้รับอย่างดีที่สุด[32]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#16", "text": "ในเดือนกรกฎาคม 2006, ราดรีเกซได้บอกกับนิตยสาร Cosmopolitan ว่าเธอไม่ใช่เลสเบี้ยน, แต่ว่า\"เธอได้เคยมีประสบการณ์กับทั้งสองเพศ\" [40] ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2006, เธอได้ถูกเปิดเผยว่าเธอเป็นไบเซ็กชวล กับตอนที่เธอเล่นหนังเรื่องผ่าภิภพแวมไพร์(Bloodrayne)ที่ได้ร่วมงานกับดาราที่ชื่อว่า คริสแตนน่า โลเค่น(Kristanna Loken) ได้สร้างความคิดเห็นหลายความเห็นผู้ที่ให้การสนับสนุน มีการตีความกันอย่างกว้างขวางจากสื่อถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากคนทั้งคู่[41] ในเดือนมิถุนายน ปี 2007 นิตยสารเลสเบี้ยนที่ชื่อว่าCurve ได้นำเสนอเรื่องราวอ้างว่าราดรีเกซนั้นเป็นไบเซ็กชวล[42] ราดรีเกซได้วิพากษ์วิจารณ์นิตยสารเล่มนี้ว่า\"เอาคำพูดยัดใส่ปากของเธอ\".[43] เธอก็ได้บอกอีกครั้งว่าเธอไม่ใช่เลสเบี้ยนในเดือนพฤศจิกายน ปี 2008 จากการที่เธอให้สัมภาษณ์กับหนังสือนิตยสารสำหรับผู้หญิงที่ชื่อว่า Cayena ซึ่งเป็นนิตยสารของสาธารณรัฐโดมินิกัน.[44]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#22", "text": "on IMDb on Instagram on Facebook", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#14", "text": "หลายต่อหลายครั้งในช่วงอาชีพของเธอ เธอได้รับการจัดอันดับในนิตยสาร Stuff ว่าเป็น \"เป็น 1 ในผู้หญิง 102 คนที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก\", หนังสือ Maxim\" เป็นผู้หญิงที่ติดหนึ่งใน 100 ของผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุด\" และติดอันดับที่ 74 ของนิตยสาร เอฟเอชเอ็ม \"ผู้หญิง 100 อันดับแรกที่เซ็กซี่ที่สุดในปี 2009\"", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#3", "text": "หนังของเธอทำรายมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2013 ความบันเทิงรายสัปดาห์ ได้มีบทความเกี่ยวกับราดรีเกซ ว่าเป็น \"นักแสดงหญิงที่โดดเด่นที่สุดในฐานะนักแสดงหญิงประเภทแนวแอ็กชั่นที่เป็นชาวละตินที่เห็นได้ชัดเจนในฮอลลิวูด\".[7]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "930604#0", "text": "ส.ว.า.ท. หน่วยจู่โจมระห่ำโลก (อังกฤษ: S.W.A.T.) เป็นภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกา สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2003 กำกับโดย คลาร์ก จอห์นสัน นำแสดงโดย ซามูเอล แอล. แจ็กสัน, โคลิน ฟาร์เรล, มิเชลล์ ราดรีเกซ, แอลแอล คูล เจ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาพยนตร์ภาคต่อคือ ส.ว.า.ท. หน่วยจู่โจมระห่ำโลก 2", "title": "ส.ว.า.ท. หน่วยจู่โจมระห่ำโลก" }, { "docid": "642144#18", "text": "ในเดือนมีนาคม ปี 2002, ราดรีเกซได้ถูกจับกุมในข้อหาทำร้ายร่างกายหลังจากที่ต่อสู้ตบตีกับเพื่อนร่วมห้องของเธอ[48] ค่าปรับได้ถูกหยุดไว้เนื่องจากเพื่อนร่วมห้องของเธอปฏิเสธข้อกล่าวหาในชั้นศาล.[49] ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2003, ราดรีเกซขึ้นศาลเพื่อเผชิญหากับข้อกล่าวหาทางอาญา(misdemeanor) 8 ข้อ และถูกจ่ายค่าปรับกับ 2 เหตุการณ์ซึ่งรวมไปถึงกรณีขับรถชนแล้วหนีและชกต่อย.[50] ในเดือนมิถุนายน ปี 2004 , โรดิเกซสารภาพไม่ขอสู้คดี(no contest) ในลอสแอนเจลิสที่ถูกจับกุมใน 3 ข้อหาชนแล้วหนี,เมาแล้วขับ และขับรถโดยที่ใบอนุญาตในการขับขี่ถูกระงับ.[51] เธอถูกจำคุก 48 ชั่วโมง, ต้องบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม(งานบริการชุมชน)ที่ห้องเก็บศพในโรงพยาบาลนิวยอร์ก, เข้าโปรแกรมบำบัดแอลกอฮอล์ 3 เดือน, และได้รับการรอลงอาญา(probation) เป็นเวลา 3 ปี [52]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "826530#8", "text": "วิน ดีเซล, เคิร์ต รัสเซล, มิเชลล์ ราดรีเกซ, ไทรีส กิบสันและลูดาคริสยืนยันจะกลับมาในภาคต่อนี้ รวมถึงลูคัส แบล็คที่เคยแสดงใน \"เร็ว..แรงทะลุนรก ซิ่งแหกพิกัดโตเกียว\" ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 ดเวย์น จอห์นสันและเจสัน สเตธัมให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับมาร่วมแสดงเช่นกัน", "title": "เร็ว..แรงทะลุนรก 8" }, { "docid": "642144#12", "text": "ในระหว่าที่กำลังมีทัวร์เพื่อโปรโมทหนังเรื่อง เร็ว..แรงทะลุนรก 6 ราดรีเกซเริ่มได้รับร่วมธุรกิจกับฮอลลีวูดที่จะผันตัวเป็นคนเขียนบาท เธอมีงานเขียนบทอยู่สองเรื่องที่กำลังพัฒนาอยู่และมีแผนที่จะหยุดพักงานแสดงเพื่อจะติดตามผลงานเขียนของเธอ หนึ่งในแนวความคิดอยู่บนพื้นฐานเป็นหนังครอบครัวเธอได้ให้คำอธิบายว่า \"เรื่องราว 2012 ที่เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ เกี่ยวกับสัตว์และเกี่ยวกับเด็ก\",[33] และมีจุดอื่นๆ ที่กับลังปรับปรุงแก้ไขในการที่เอามาทำใหม่เป็นหนังโจรเยอรมันปี 1997 ที่เธอให้คำอธิบายเกี่ยวกับหนังไว้ว่า \"เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ 4 สาวที่หนีออกมาจากคุกและกำลังถูกตามล่าตัวทั่วประเทศโดยเอฟบีไอ\"[34]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "270322#0", "text": "มาร์กาเรต เกรซ ดีนิก () หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ แมกกี เกรซ () เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1983 เป็นนักแสดงชาวอเมริกันจากเวอร์ธิงตัน รัฐโอไฮโอ เธอหยุดเรียนระดับไฮสคูลและย้ายมาลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียกับแม่ของเธอหลังจากที่พ่อแม่เธอหย่าร้างกัน ขณะที่มีปัญหาด้านการเงิน เธอมีบทบาทในซีรีส์ \"Rachel's Room\" ในปี 2001 เธอได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลยังอาร์ติส ในปี 2002 กับบทสาวน้อยอายุ 15 ปีที่เป็นเหยื่อฆาตกรรมในซีรีส์เรื่อง \"Murder in Greenwich\"", "title": "แมกกี เกรซ" }, { "docid": "341610#0", "text": "ระห่ำ กระฉูด () เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูด นำแสดงโดย แดนนี เทรโฮ, โรเบิร์ต เดอ นีโร, สตีเว่น ซีกัล, มิเชลล์ ร็อดริเกซ, เจสสิกา อัลบา, ลินด์ซีย์ โลแฮน กำกับการแสดงและบทภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต ร็อดริเกซ", "title": "ระห่ำ กระฉูด" }, { "docid": "642144#23", "text": "หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2521 หมวดหมู่:บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ หมวดหมู่:20th-century American actresses หมวดหมู่:21st-century American actresses หมวดหมู่:Actresses from New Jersey หมวดหมู่:Actresses from San Antonio, Texas หมวดหมู่:American people of Dominican Republic descent หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรป หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกัน หมวดหมู่:American people of African descent หมวดหมู่:American actresses of Puerto Rican descent หมวดหมู่:Hispanic and Latino American actresses หมวดหมู่:Military brats หมวดหมู่:บุคคลจากแซนแอนโทนีโอ หมวดหมู่:People from Jersey City, New Jersey หมวดหมู่:American television actresses หมวดหมู่:นักเขียนบทชาวอเมริกัน หมวดหมู่:American writers of Dominican Republic descent หมวดหมู่:นักแสดงภาพยนตร์หญิงชาวอเมริกัน หมวดหมู่:นักพากย์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:Former Jehovah's Witnesses หมวดหมู่:ดีเจอเมริกัน‎ หมวดหมู่:Bisexual actors", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" }, { "docid": "642144#8", "text": "ในปี 2008,โรดิเกซปรากฏตัวในหนังเรื่อง ซึแอตเติล ปิดเมืองเดือดระอุ(Battle in Seattle)[24] ใน 2009, เธอแสดงในหนังเรื่อง เร็วแรงทะลุนรก 4(เดอะฟาสต์แอนด์เดอะฟิวเรียส), ซึ่งเป็นภาคที่ 4 ของหนังเรื่อง The Fast and the Furious film series.[25][26] หลังจากนั้นอีกปี, ราดรีเกซได้เริ่มในหนังของเจมส์ แคเมลอน ในหนังทุนสร้างสูงแนวไซไฟผจญภัยในเรื่องอวตาร, ซึ่งกลายเป็นหนังที่รายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์(highest-grossing film in history) และก็เป็นหนังที่ราดรีเกซก็ประสบความสำเร็จ เธอให้ความสนใจกับการกับมาในภาพยนตร์เรื่องที่ 2[27][28] ในปี 2009 โรดิเกซได้ร่วมแสดงในหนังของโดมิดิกันที่ชื่อว่า Trópico de Sangre, ซึ่งเป็นหนังอิสระที่สร้างโดยมิราเบลน้องสาวของเธอ(Mirabal sisters)[29][30]", "title": "มิเชลล์ ราดรีเกซ" } ]
2801
ไอซ์แลนด์มีเมืองหลวงชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "56896#0", "text": "เรคยาวิก (, IPA: ˈreiːcaˌviːk) เป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก ทำเลที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ด้านมุมล่างของอ่าว Faxaflói ซึ่ง Ingolfur Arnarson ชาวนอร์ดิค เป็นผู้อพยพคนแรกที่มาตั้งรกรากที่เรคยาวิกในปี พ.ศ. 1413 เมื่อเรคยาวิกกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจการประมง จึงได้มีการก่อตั้งให้เป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2329 ปัจจุบันเขตเมืองมีประชากรประมาณ 120,000 คน ประกอบด้วย 7 เทศบาลนครซึ่งรวมเทศบาลนครเรคยาวิกด้วย", "title": "เรคยาวิก" }, { "docid": "17218#0", "text": "ไอซ์แลนด์ (; \"อิสตลันต์\") เป็นประเทศนอร์ดิกในยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร มีเมืองหลวงคือเรคยาวิก", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" } ]
[ { "docid": "17218#14", "text": "ในทางธรณีวิทยา ไอซ์แลนด์เป็นผืนดินที่ยังใหม่ โดยไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนจุดร้อนไอซ์แลนด์และเทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นแนวแผ่นเปลือกแยกตัวระหว่างแผ่นทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นทวีปยูเรเชีย ไอซ์แลนด์มีภูเขาไฟมากกว่าร้อยแห่ง หลายแห่งยังคงคุกรุ่นอยู่ เช่น ภูเขาไฟเฮกลา (Hekla) ซึ่งปะทุครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2543 ปัจจัยเดียวกับที่ทำให้เกิดภูเขาไฟนี้ ยังทำให้ไอซ์แลนด์มีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพสูง ไอซ์แลนด์มีแหล่งน้ำพุร้อนจำนวนมาก และยังได้ไฟฟ้าพลังน้ำด้วย ไอซ์แลนด์ครอบครองเกาะซึร์ทเซย์ ซึ่งขึ้นมาจากเหนือน้ำทะเลหลังการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเลในปี พ.ศ. 2506", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" }, { "docid": "17218#19", "text": "ในปี 2551 ไอซ์แลนด์มีถนนยาวทั้งหมด 13,058 กิโลเมตร ไม่มีทางรถไฟหรือแม่น้ำที่เดินเรือได้ ถนนวงแหวน หรือทางหลวงหมายเลข 1 (Hringvegur หรือ Þjóðvegur 1) เป็นถนนสายหลักของประเทศ วนรอบเกาะไอซ์แลนด์ เชื่อมต่อพื้นที่ที่อยู่อาศัยของประเทศ มีความยาว 1339 กิโลเมตร จากสถิติปี 2550 ไอซ์แลนด์มีรถยนต์ 227,321 คัน โดยเป็นรถยนต์นั่ง 197,305 คัน คิดเป็นประชากร 1.6 คนต่อรถหนึ่งคันไอซ์แลนด์มีสนามบิน 99 แห่ง โดยห้าแห่งเป็นสนามบินที่มีทางวิ่งลาดยาง สนามบินที่ใหญ่ที่สุดคือท่าอากาศยานนานาชาติเคฟลาวิก ใกล้กับเมืองเคฟลาวิก ห่างจากเรคยาวิก 50 กิโลเมตร ในขณะที่ท่าอากาศยานเรคยาวิกเป็นท่าอากาศยานในประเทศ สายการบินแห่งชาติของไอซ์แลนด์คือไอซ์แลนด์แอร์ (Icelandair)", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" }, { "docid": "431818#0", "text": "ฮาราเร (ก่อน พ.ศ. 2525 ชื่อ ซอลส์บรี) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศซิมบับเว ใน พ.ศ. 2552 มีการประเมินประชากรไว้ที่ 1,606,000 คน โดยมี 2,800,000 คนในเขตปริมณฑล (พ.ศ. 2549) ในทางการปกครอง ฮาราเรเป็นนครอิสระมีฐานะเทียบเท่าจังหวัด เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางการปกครอง พาณิชย์และการสื่อสารของประเทศซิมบับเว นครนี้เป็นศูนย์กลางการค้ายาสูบ ข้าวโพด ฝ้ายและผลไม้สกุลส้ม การผลิตมีทั้งสิ่งท่อ เหล็กกล้าและเคมีภัณฑ์ ตลอดจนมีการขุดทองในพื้นที่ ฮาราเรตั้งอยู่ที่ความสูง 1,483 เมตรจกระดับน้ำทะเล และภูมิอากาศจัดอยู่ในประเภทอุณหภูมิอบอุ่น", "title": "ฮาราเร" }, { "docid": "17218#20", "text": "ไอซ์แลนด์มีประชากร 313,376 คน (ประมาณการ 1 มกราคม 2551) เมืองที่ใหญ่ที่สุดคือเรคยาวิก มีประชากรประมาณ 1.2 แสนคน ประมาณร้อยละ 6 ของประชากรในไอซ์แลนด์เป็นพลเมืองต่างประเทศ โดยมีพลเมืองนอร์ดิกอื่นๆ 1.7 พันคน ชาวยุโรปอื่นๆ 1.2 หมื่นคน ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้เป็นชาวโปแลนด์ ชาวเอเชีย 2.9 พันคน ส่วนใหญ่มาจากฟิลิปปินส์ (778) จีน (755) และไทย (546)", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" }, { "docid": "531652#0", "text": "อีร์คุตสค์ () เป็นเมืองหลวงของอีร์คุตสค์โอบลาสต์ ประเทศรัสเซีย เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในไซบีเรีย มีประชากร 587,891 คน (ค.ศ. 2010) เป็นเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรม มีอุตสาหกรรมการแต่งแร่ไมกา การแปรรูปไม้ผลิตรถยนต์ มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมืองนี้ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1652 เพื่อเป็นสถานีการค้าของรัฐ ต่อมาได้ขยายตัวขึ้นเนื่องจากมีการค้ากับจีนและลุ่มแม่น้ำอามูร์ รวมถึงมีการติดต่อกับแหล่งทองคำในลุ่มแม่น้ำลีนาและการค้าขนสัตว์", "title": "อีร์คุตสค์" }, { "docid": "17218#25", "text": "วัฒนธรรมไอซ์แลนด์มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมแบบสแกนดิเนเวียโบราณ (นอร์ส) ไอซ์แลนด์มีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับวรรณกรรมในยุคของการตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะเอดดาและซากา ชาวไอซ์แลนด์ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระอย่างมาก โดยในการสำรวจยูโรบารอมิเตอร์ของคณะกรรมการยุโรป 85 เปอร์เซนต์ของชาวไอซ์แลนด์เห็นว่าความเป็นอิสระ \"สำคัญมาก\" เทียบกับเฉลี่ยของ 25 ชาติอียู (2547) 53 เปอร์เซนต์ เดนมาร์กและนอร์เวย์ 49 และ 47 เปอร์เซนต์ตามลำดับ", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" }, { "docid": "342086#0", "text": "พรอวิเดนซ์ () เป็นเมืองหลวงของเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในรัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา และเป็นเมืองแรกๆ ที่ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในพรอวิเดนซ์เคาน์ตีบนปากแม่น้ำพรอวิเดนซ์ ตอนเหนือของอ่าวนาราแกนเซตส์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในเขตนิวอิงแลนด์ ใน ค.ศ. 2010 มีประชากรประมาณ 178,042 คน ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 37 ของประเทศ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยบราวน์ มหาวิทยาลัยชื่อดังในไอวีลีก", "title": "พรอวิเดนซ์" }, { "docid": "529722#0", "text": "มารีเอฮัมน์ (; ) เป็นเมืองหลวงของหมู่เกาะโอลันด์ ซึ่งเป็นเขตการปกครองตนเองของประเทศฟินแลนด์ ประชากรของหมู่เกาะโอลันด์ร้อยละ 40 อาศัยอยู่ที่เมืองนี้ เมืองก่อตั้งในปี ค.ศ. 1861 ตั้งอยู่บนคาบสมุทรและมีท่าเรือที่สำคัญ 2 แห่ง ด้านหนึ่งอยู่ทางชายฝั่งทิศตะวันตก อีกด้านหนึ่งอยู่ชายฝั่งทิศตะวันออก", "title": "มารีเอฮัมน์" }, { "docid": "900928#0", "text": "ไฮเดินไฮม์ () หรือชื่อเต็มคือ ไฮเดินไฮม์อันแดร์เบร็นซ์ () เป็นเมืองชนบทในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองอาเลินราว 17 กิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่อันดับสามในภาคตะวันออกของรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ปรากฎหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในบริเวณไฮเดินไฮม์ตั้งแต่ 1,300 ปีก่อนคริสตกาล อุตสาหกรรมที่สำคัญของเมืองนี้คือการผลิตกังหันอุตสาหกรรม ตลอดจนอุตสาหกรรมกระดาษ", "title": "ไฮเดินไฮม์" } ]
2526
อิเล็กตรอน คืออะไร ?
[ { "docid": "13987#0", "text": "อิเล็กตรอน () (สัญลักษณ์ e) เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ ไม่มีใครรู้จักส่วนประกอบหรือโครงสร้างพื้นฐานของมัน; ในคำกล่าวอื่น ๆ เช่น คาดกันโดยทั่วไปว่ามันจะเป็นอนุภาคที่เป็นมูลฐาน อิเล็กตรอนมีมวลที่เป็นประมาณ 1/18636 เท่าของโปรตอน โมเมนตัมเชิงมุมภายใน (สปิน) ของอิเล็กตรอนเป็นค่าครึ่งจำนวนเต็มในหน่วยของ ħ ซึ่งหมายความว่ามันเป็น เฟอร์เมียน (fermion) ปฏิยานุภาคของอิเล็กตรอนเรียกว่าโพซิตรอน มันเป็นเหมือนกันกับอิเล็กตรอนยกเว้นแต่ว่าจะมีค่าประจุไฟฟ้าและอื่น ๆ ที่มีลักษณะตรงกันข้าม เมื่ออิเล็กตรอนชนกันกับโพซิตรอน อนุภาคทั้งสองอาจกระจัดกระจายออกจากกันและกัน หรือถูกประลัย (annihilate)โดยสิ้นเชิง การผลิตคู่ (หรือมากกว่านั้น) เกิดขึ้นจากโฟตอนรังสีแกมมา อิเล็กตรอน ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของตระกูลอนุภาคเลปตอน (lepton) มีส่วนร่วมในแรงโน้มถ่วง มีปฏิสัมพันธ์กับแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงแบบอ่อน อิเล็กตรอนเช่นเดียวกับสสารทั้งหมด มีคุณสมบัติทางกลศาสตร์ควอนตัมของทั้งคู่อนุภาคและคลื่น วิ่งอยู่รอบๆ นิวเคลียสตามระดับพลังงานของอะตอมนั้นๆ โดยส่วนมากของอะตอม จำนวน อิเล็กตรอน ในอะตอมที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีเท่ากับจำนวน โปรตอน เช่น ไฮโดรเจนมีโปรตอน 1 ตัว และอิเล็กตรอน 1 ตัว ฮีเลียมมีโปรตอน 2 ตัว และอิเล็กตรอน 2 ตัว", "title": "อิเล็กตรอน" } ]
[ { "docid": "6730#0", "text": "อนุมูลอิสระ () คือ อะตอม โมเลกุลหรือไอออนซึ่งมีอิเล็กตรอนเดี่ยวในวงนอกสุด (unpaired valence electron) หรือการมีจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นแบบเชลล์เปิด (open-shell electronic configuration) อนุมูลอิสระอาจมีประจุเป็นบวก ลบหรือเป็นศูนย์ก็ได้ ด้วยข้อยกเว้นบางประการ อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหล่านี้ทำให้อนุมูลอิสระว่องไวต่อปฏิกิริยาสูง\nอนุมูลอิสระมีบทบาทสำคัญในการสันดาป เคมีบรรยากาศ พอลิเมอไรเซชัน เคมีพลาสมา ชีวเคมี และกระบวนการทางเคมีอีกหลายอย่าง ในสิ่งมีชีวิต ซูเปอร์ออกไซด์ ไนตริกออกไซด์และผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาของมันควบคุมหลายกระบวนการ เช่น ควบคุมการบีบตัวของหลอดเลือด ซึ่งควบคุมความดันโลหิตอีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้ อนุมูลอิสระยังมีบทบาทสำคัญในเมแทบอลิซึมตัวกลางของสารประกอบทางชีวภาพหลายชนิด \nอนุมูลอิสระเกิดขึ้นเป็นปกติจากปฏิกิริยาในร่างกายอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีธาตุเหล็ก ทองแดง แมงกานีส โคบอลต์ โครเมียม นิเกิลน้อย มักเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยร่างกายจะมีระบบกำจัดอนุมูลอิสระ แต่หากร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระจากภายนอก เช่น ได้รับจากอาหารบางชนิด จากขบวนการประกอบอาหาร เช่น การย่างเนื้อสัตว์ที่มีไขมันประกอบสูง การนำน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารที่อุณหภูมิสูง ๆ มาใช้อีก หรือจากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงอาทิตย์ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต การแผ่รังสี รังสีเอกซ์ หรือจากมลพิษ เช่น ควันบุหรี่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากไอเสียรถยนต์ มากเกินไป หรือในภาวะที่ร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ลดลง ก็จะทำให้มีอนุมูลอิสระมากเกินไป เป็นสาเหตุของโรคภัยได้", "title": "อนุมูลอิสระ" }, { "docid": "18413#0", "text": "พลังงานไอออไนเซชัน (, IE) คือค่าพลังงาน ที่ใช้ในการดึงให้อิเล็กตรอนวงนอกสุด (เวเลนซ์อิเล็กตรอน) หลุดออกจากอะตอมหรือโมเลกุลที่อยู่ในสถานะก๊าซปริมาณพลังงานที่น้อยที่สุดที่สามารถทำให้อะตอมหรือโมเลกุลปลดปล่อยอิเล็กตรอน ค่าพลังงานไอออไนเซชันจะบ่งบอกว่าอะตอมหรือไอออนนั้นสามารถเสียอิเล็กตรอนได้ง่ายหรือยาก หรือในอีกมุมหนึ่งเป็นการบ่งบอกระดับพลังงานของอิเล็กตรอนวงนอกสุดของอะตอมหรือไอออนนั้นว่ามีความเสถียรมากเพียงใด โดยทั่วไปค่าพลังงานไอออไนเซชันจะมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อพยายามที่จะทำให้อิเล็กตรอนตัวต่อไปถูกปลดปล่อยออกมา เนื่องจากการผลักกันของประจุอิเล็กตรอนมีค่าลดลงและการกำบังของอิเล็กตรอนชั้นวงในมีค่าลดลง ซึ่งทำให้แรงดึงดูดระหว่างนิวเคลียสและอิเล็กตรอนมีค่ามาขึ้น อย่างไรก็ตามค่าที่เพิ่มขึ้นอาจไม่เพิ่มเท่าที่ควรจะเป็นในกรณีที่เมื่อปลดปล่อยอิเล็กตรอนตัวนั้นแล้วส่งผลให้เกิดการบรรจุเต็มหรือการบรรจุครึ่งในระดับชั้นพลังงาน เนื่องจากทั้งสองกรณีมีเสถียรภาพเป็นพิเศษ", "title": "พลังงานไอออไนเซชัน" }, { "docid": "1743#24", "text": "สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนเป็นพลังงานที่คายออกมาหรือดูดกลืน เมื่อเพิ่มอิเล็กตรอนให้แก่อะตอมไปเป็นไอออนประจุลบ ธาตุส่วนใหญ่คายพลังงานความร้อนเมื่อรับอิเล็กตรอน โดยทั่วไป อโลหะจะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าโลหะ คลอรีน มีแนวโน้มในการเกิดไอออนประจุลบสูงที่สุด สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของแก๊สมีตระกูลยังไม่สามารถหาค่าได้ ดังนั้น พวกมันอาจจะไม่มีประจุลบ", "title": "ตารางธาตุ" }, { "docid": "21802#0", "text": "เวเลนซ์อิเล็กตรอน () คือ อิเล็กตรอนในอะตอมที่สามารถมีส่วนร่วมในการสร้างพันธะเคมี สำหรับธาตุหมู่หลัก เวเลนซ์อิเล็กตรอนจะเป็นอิเล็กตรอนในวงนอกสุด (outermost shall) เท่านั้น ส่วนโลหะแทรนซิชัน เวเลนซ์อิเล็กตรอนสามารถเป็นอิเล็กตรอนในวงใน (inner shell) ได้", "title": "เวเลนซ์อิเล็กตรอน" }, { "docid": "712590#0", "text": "ในเคมีและฟิสิกส์อะตอม สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน () ของอะตอมหรือโมเลกุลคือค่าที่แสดงถึงปริมาณพลังงานที่ \"ถูกปล่อยออกมา\" เมื่ออิเล็กตรอนถูกเพิ่มเข้าไปในอะตอมหรือโมเลกุลที่เป็นกลางทางไฟฟ้า ในสถานะแก๊สเพื่อทำให้เกิดไอออนประจุลบ\nในฟิสิกส์ของแข็ง คำนิยามของ \"สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน\" จะแตกต่างออกไป โดยสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนในความหมายของฟิสิกส์ของแข็ง คือ พลังงาน \"ที่ได้รับ\" จากอิเล็กตรอนที่กำลังเคลื่อนที่ออกจากสุญญากาศ", "title": "สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน" }, { "docid": "189772#7", "text": "สารประกอบแฮไลด์ของโลหะแอลคาไลเอิร์ทที่เป็นธาตุหนัก (ได้แก่ แคลเซียม สตรอนเชียม แบเรียม และเรเดียม) นั้นไม่ได้มีโครงสร้างเป็นรูปเส้นตรงตามที่ทฤษฎีนี้ได้อธิบายไว้ แต่กลับมีรูปร่างเป็นมุมงอ ดังนี้\nกิลเลสพายเสนอว่าน่าจะเกิดจากแรงกระทำระหว่างอิเล็กตรอนภายในอะตอม ก่อให้เกิดการโพลาไรเซชันจนทำให้รูปร่างของออร์บิทัลของอิเล็กตรอนชั้นในไม่ได้สมมาตรเป็นทรงกลม ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างโมเลกุล", "title": "ทฤษฎีการผลักกันของคู่อิเล็กตรอนวงเวเลนซ์" }, { "docid": "266305#1", "text": "แม้จะมีการเปรียบเทียบอย่างเห็นได้ชัดในดาวเคราะห์ซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งอิเล็กตรอนไม่สามารถอธิบายอนุภาคของแข็งและ orbitals ปรมาณูเพื่อไม่ค่อยหากเคยคล้ายรูปไข่เส้นทางของดาวเคราะห์. การเปรียบเทียบความแม่นยำมากขึ้นอาจจะมีของขนาดใหญ่และมักจะผิดปกติ บรรยากาศรูป (อิเล็กตรอน) กระจายทั่วดาวเคราะห์ค่อนข้างเล็ก (นิวเคลียสอะตอม). Orbitals อะตอมตรงอธิบายรูปบรรยากาศเฉพาะเมื่อมีอิเล็กตรอนเดียวอยู่ในอะตอมนี้. เมื่ออิเล็กตรอนมากขึ้นจะเพิ่มอะตอมเดียวอิเล็กตรอนเพิ่มเติมมักจะเท่าเทียม กันกรอกปริมาณพื้นที่รอบนิวเคลียสเพื่อให้เก็บผล (บางครั้ง termed เมฆอิเล็กตรอนของอะตอม \"\") มีแนวโน้มไปโซนทรงกลมทั่วไปของความน่าจะอธิบายที่อิเล็กตรอนของอะตอมจะพบ", "title": "ออร์บิทัลเชิงอะตอม" }, { "docid": "835276#0", "text": "การจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถจัดธาตุในตารางธาตุได้ เพราะจากซ้ายไปขวาตามคาบ อิเล็กตรอนจะเพิ่มขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอน (วงที่ 1 วงที่ 2 และอื่น ๆ) แต่ละวงก็ประกอบไปด้วยวงย่อยหนึ่งวงหรือมากกว่านั้น (มีชื่อว่า s p d f และ g) เมื่อเลขอะตอมของธาตุมากขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงย่อยตามกฎของแมนเดลัง เช่นการจัดเรียงอิเล็กตรอนของนีออน คือ 1s 2s 2p ด้วยเลขอะตอมเท่ากับ 10 นีออนมีอิเล็กตรอน 2 ตัวในวงอิเล็กตรอนแรก และมีอิเล็กตรอนอีก 8 ตัวในวงอิเล็กตรอนที่สอง โดยแบ่งเป็นในวงย่อย s 2 ตัวและในวงย่อย p 6 ตัว ในส่วนของตารางธาตุ เมื่ออิเล็กตรอนตัวหนึ่งไม่สามารถไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนที่สองได้แล้ว มันก็จะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนใหม่ และธาตุนั้นก็จะถูกจัดให้อยู่ในคาบถัดไป ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้เป็นธาตุไฮโดรเจน และธาตุในหมู่โลหะแอลคาไล\nรัศมีอะตอมของธาตุแต่ละตัวมีความแตกต่างในการทำนายและอธิบายในตารางธาตุ ยกตัวอย่างเช่น รัศมีอะตอมทั่วไปลดลงไปตามหมู่ของตารางธาตุจากโลหะแอลคาไลถึงแก๊สมีตระกูล และจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วจากแก๊สมีตระกูลมายังโลหะแอลคาไลในจุดเริ่มต้นของคาบ ถัดไป แนวโน้มเหล่านี้ของรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีและทางกายภาพของธาตุอื่น ๆ) สามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีวงอิเล็กตรอนของอะตอม พวกมันมีหลักฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม\nอิเล็กตรอนในวงย่อย 4f ซึ่งจะถูกเติมเต็มตั้งแต่ซีเรียม (ธาตุที่ 58) ถึงอิตเตอร์เบียม (ธาตุที่ 70) เนื่องด้วยอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นแค่ในวงเดียว จึงทำให้ขนาดอะตอมของธาตุในแลนทาไนด์มีขนาดที่ไม่แตกต่างกัน และอาจจะเหมือนกับธาตุตัวถัด ๆ ไป ด้วยเหตุนี้ทำให้แฮฟเนียมมีรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีอื่น ๆ) เหมือนกับเซอร์โคเนียม และแทนทาลัม มีรัศมีอะตอมใกล้เคียงกับไนโอเบียม ลักษณะแบบนี้รู้จักกันในชื่อการหดตัวของแลนทาไนด์ และผลจากการหดตัวของแลนทาไนด์นี้ ยังเห็นได้ชัดไปจนถึงแพลตทินัม (ธาตุที่ 78) และการหดตัวที่คล้าย ๆ กัน คือการหดตัวของบล็อก-d ซึ่งมีผลกับธาตุที่อยู่ระหว่างบล็อก-d และบล็อก-p มันเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าการหดตัวของแลนทาไนด์ แต่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน\nพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 เป็นพลังงานที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนตัวแรกออกจากอะตอม พลังงานไอออไนเซชันลำดับที่สอง เป็นพลังงานที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนตัวที่สองออกจากอะตอม ซึ่งจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เช่น แมงกานีส มีพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 คือ 738 กิโลจูล/โมล และลำดับที่สอง คือ 1450 กิโลจูล/โมล อิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้อะตอมจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานมากในการดึงมันออกจาก อะตอม พลังงานไอออไนเซชันจะมีการเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาของตารางธาตุ\nพลังงานไอออไนเซชันจะมีมากที่สุดเมื่อต้องการดึงอิเล็กตรอนออกจากธาตุใน หมู่แก๊สมีตระกูล (ซึ่งมีอิเล็กตรอนครบตามจำนวนที่มีได้สูงสุด) ยกตัวอย่างแมกนีเซียมอีกครั้ง แมกนีเซียมจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไอออไนเซชันสองลำดับแรก เพื่อดึงอิเล็กตรอนออกให้มันมีโครงสร้างคล้ายแก๊สมีตระกูล และ 2p มันจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไอออไนเซชันลำดับที่สามสูงกว่า 7730 กิโลจูล/โมล ในการดึงอิเล็กตรอนตัวที่สามออกจากวงย่อย 2p ของการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่คล้ายนีออนของ Mg ความแตกต่างนี้ยังมีในอะตอมของแถวที่สามตัวอื่น ๆ อีกด้วย\nอิเล็กโทรเนกาติวิตีเป็นแรงดึงดูดของอะตอมที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนเข้ามา อิเล็กโทรเนกาติวิตีของอะตอมอะตอมหนึ่ง เป็นผลมาจากเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น และระยะห่างจากนิวเคลียสถึงวาเลนซ์อิเล็กตรอน ยิ่งมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากเท่าไร ความสามารถที่จะดึงดูดอิเล็กตรอนก็มากขึ้นเท่านั้น แนวคิดถูกเสนอครั้งแรกโดยไลนัส พอลลิง ใน พ.ศ. 2475 โดยทั่วไป อิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาตามคาบ และลดลงจากบนลงล่างตามหมู่ เพราะเหตุนี้ ฟลูออรีนจึงเป็นธาตุที่มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงที่สุด และซีเซียมมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีน้อยที่สุด อย่างน้อยธาตุเหล่านั้นก็ยังมีข้อมูลที่สามารถใช้ยืนยันได้\nแต่ถึงกระนั้นธาตุบางตัวยังไม่เป็นไปตามกฎนี้ แกลเลียมและเจอร์เมเนียมมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากกว่าอะลูมิเนียมและซิลิกอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการหดตัวของบล็อก-d ธาตุในคาบที่ 4 ในส่วนของโลหะแทรนซิชัน มีรัศมีอะตอมที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะว่าอิเล็กตรอนในวงย่อย 3d ไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนิวเคลียร์ของธาตุ และขนาดอะตอมที่เล็กลงยังทำให้มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงขึ้นอีกด้วย\nสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนเป็นพลังงานที่คายออกมาหรือดูดกลืน เมื่อเพิ่มอิเล็กตรอนให้แก่อะตอมไปเป็นไอออนประจุลบ ธาตุส่วนใหญ่คายพลังงานความร้อนเมื่อรับอิเล็กตรอน โดยทั่วไป อโลหะจะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าโลหะ คลอรีน มีแนวโน้มในการเกิดไอออนประจุลบสูงที่สุด สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของแก๊สมีตระกูลยังไม่สามารถหาค่าได้ ดังนั้น พวกมันอาจจะไม่มีประจุลบ\nสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนทั่วไปจะเพิ่มขึ้นตามคาบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเติมเต็มวงเวเลนซ์ของอะตอม อะตอมของธาตุหมู่ 17จะคายพลังงานออกมามากกว่าอะตอมของธาตุในหมู่ 1 ในการดึงดูดอิเล็กตรอน เนื่องด้วยความง่ายในการเติมเต็มวงวาเลนซ์และความเสถียรในหมู่ของธาตุ สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนคาดว่าจะลดลงจากบนลงล่าง เนื่องด้วยอิเล็กตรอนตัวใหม่จะต้องเข้าไปในออร์บิทัลที่อยู่ห่างจาก นิวเคลียสมากขึ้น ด้วยความที่อิเล็กตรอนเชื่อมของนิวเคลียสน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้มันปล่อยพลังงานไม่มาก ถึงกระนั้น ในหมู่ของธาตุ ธาตุสามตัวแรกจะผิดปกติ ธาตุที่หนักกว่าจะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าธาตุที่เบากว่า และในวงย่อย d และ f สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนจะไม่ได้ลดลงตามหมู่ไปเสียทั้งหมด ดังนั้นการที่สัมพรรคภาพลดลงตามหมู่จากบนลงล่างนี้ จะเกิดขึ้นได้ในอะตอมของธาตุหมู่ 1 เท่านั้น", "title": "แนวโน้มพิริออดิก" }, { "docid": "6621#33", "text": "เช่นเดียวกับอนุภาคอื่น อิเล็กตรอนมีคุณสมบัติแบบทวิภาค คือเป็นทั้งอนุภาคและเป็นทั้งคลื่น เมฆอิเล็กตรอนเป็นบริเวณภายในหลุมพลังงานที่อิเล็กตรอนแต่ละตัวจะสร้างคลื่นนิ่ง 3 มิติประเภทหนึ่งขึ้น อันเป็นรูปคลื่นที่ไม่เคลื่อนที่ตามนิวเคลียส พฤติกรรมนี้ถูกกำหนดจากออร์บิทัลของอะตอม ซึ่งเป็นฟังก์ชันคณิตศาสตร์ที่แสดงคุณสมบัติความเป็นไปได้ที่อิเล็กตรอนจะปรากฏตัวขึ้นที่จุดเฉพาะหนึ่ง ๆ ขณะที่ถูกวัดตำแหน่ง รอบ ๆ นิวเคลียสจะมีออร์บิทัลที่ไม่ต่อเนื่องกันล้อมรอบอยู่ในลักษณะของควอนตา ทั้งนี้เพราะรูปแบบคลื่นอื่นที่เป็นไปได้จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเข้าสู่สถานะที่เสถียรมากกว่า ออร์บิทัลอาจมีลักษณะวงแหวนหนึ่งวง หลายวง หรือเป็นโครงสร้างโหนดก็ได้ ซึ่งมีความแตกต่างจากออร์บิทัลอื่น ๆ ทั้งด้านขนาด รูปร่าง และศูนย์กลาง", "title": "อะตอม" } ]
170
จอห์น วินสตัน โอโนะ เลนนอน เกิดที่เมืองใดในอังกฤษ ?
[ { "docid": "43986#4", "text": "เลนนอนเกิดในช่วงสงครามที่ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1940 ที่โรงพยาบาลลิเวอร์พูลมาเทอร์นิตี ให้กำเนิดโดย จูเลีย เลนนอน (นามสกุลเดิม สแตนลีย์) และอัลเฟรด เลนนอน เชื้อสายไอริช มีอาชีพเป็นพ่อค้าเดินเรือ และไม่ได้อยู่ด้วยกันขณะเขาเกิด พวกเขาชื่อบุตรว่าจอห์นตามชื่อปู่ว่า จอห์น \"แจ็ก\" แลนนอน ส่วนชื่อกลาง วินสตัน มาจากวินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น พ่อของเขามักจากบ้านไปทำงานบ่อย ๆ แต่ก็ยังส่งเช็คเงินสดมาเป็นประจำที่บ้านเลขที่ 9 ถนนนิวคาสเซิล ลิเวอร์พูล ที่จอห์นอาศัยอยู่กับแม่ เช็คหยุดส่งมาหาพวกเขาในกุมภาพันธ์ 1944 เนื่องจากพ่อปลดประจำการโดยไม่ได้รับอนุญาต ในที่สุด หกเดือนต่อมา พ่อของจอห์นกลับมาบ้าน เสนอว่าจะดูแลครอบครัว แต่จูเลีย ตั้งครรภ์กับชายคนอื่นแล้ว จึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว หลังจากพี่สาวของจูเลีย มีมี สมิธ ร้องทุกข์กับบริการสังคมของลิเวอร์พูลถึงสองครั้ง จูเลียจึงส่งเลนนอนให้เธอดูแล ในเดือนกรกฎาคม 1946 พ่อของเลนนอนมาเยี่ยมสมิธ และพาเลนนอนไปเที่ยวในเมืองแบล็กพูล โดยตั้งใจลับ ๆ ว่าจะพาย้ายออกไปอยู่กับเขาที่ประเทศนิวซีแลนด์ แต่จูเลียและสามีคนใหม่ของเธอ บ็อบบี ไดกินส์ ตามไปจนพบ และหลังจากการทะเลาะวิวาทรุนแรง ผู้เป็นพ่อบังคับให้เลนนอนอายุ 5 ขวบเลือกว่าจะอยู่กับใคร เลนนอนเลือกพ่อของเขาถึงสองครั้ง แต่ขณะที่แม่ของเขาเดินจากไป เขาเริ่มร้องไห้และเลือกตามแม่ของเขาไป เขาได้ติดต่อกับพ่อของเขาอีกครั้งหลังผ่านไป 20 ปี", "title": "จอห์น เลนนอน" }, { "docid": "43986#1", "text": "จอห์นเกิดและเติบโตที่เมืองลิเวอร์พูล ในวัยเด็กคลั่งไคล้ดนตรีแนวสกิฟเฟิล จอห์นได้เป็นสมาชิกวง เดอะควอรีเม็น ต่อมาในปี 1960 เปลี่ยนเป็นเดอะบีเทิลส์ ครั้นยุบวงในปี 1970 เลนนอนออกผลงานเดี่ยวของตัวเอง เขาออกอัลบั้ม \"จอห์น เลนนอน/พลาสติกโอโนะแบนด์\" และอัลบั้ม \"อิแมจิน\" ซึ่งได้รับคำยกย่องมากมาย อัลบั้มมีเพลงโดดเด่นอย่าง \"กิฟพีซอะชานซ์\" และ \"เวิร์กกิงคลาสฮีโร\" และ \"อิแมจิน\"หลังจอห์นสมรสกับโยโกะ โอโนะ ในปี 1969 เขาเปลี่ยนชื่อเป็น จอห์น โอโนะ เลนนอน เลนนอนปลีกตัวจากงานเพลงในปี 1975 เพื่อเลี้ยงดูบุตรชาย ฌอน แต่กลับมารวมตัวทำงานเพลงกับโยโกะ โอโนะ ในอัลบั้ม \"ดับเบิลแฟนตาซี\" เขาถูกฆาตกรรมสามสัปดาห์ก่อนออกอัลบั้มดังกล่าว", "title": "จอห์น เลนนอน" } ]
[ { "docid": "43986#0", "text": "จอห์น วินสตัน โอโนะ เลนนอน (, MBE) (9 ตุลาคม 1940 - 8 ธันวาคม 1980) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงทั่วโลก และเป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งวงเดอะบีเทิลส์ วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ในประวัติศาสตร์วงการดนตรี ร่วมกับสมาชิก พอล แม็กคาร์ตนีย์ เขากลายเป็นคู่หูนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง", "title": "จอห์น เลนนอน" }, { "docid": "350963#1", "text": "ฌอน เลนนอน เกิดในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1975 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด 35 ปีของพ่อของเขา , เขาเป็นคนอังกฤษและมีเชื้อสายไอริชจากบิดา เขาได้เชื่อสายญี่ปุ่นมาจากแม่ของเขา จูเลียน เลนนอนเป็นพี่น้องต่างมารดา กับ เคียวโกะ แจน ค็อกซ์ พี่สาวต่างมารดา เอลตัน จอห์น เป็นพ่ออุปถัมภ์หลังวันเกิดของฌอน จอห์น เลนนอนก็ดูแลเป็นอย่างดีจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ฌอน เข้าเรียนอนุบาลที่ โตเกียว และเรียนโรงเรียน \"Institut Le Rosey\" ที่เมือง Rolle , สวิตเซอร์แลนด์", "title": "ฌอน เลนนอน" }, { "docid": "43986#32", "text": "เลนนอนและซินเธีย เพาเอลล์ (1939–2015) พบกันในปี 1957 เป็นนักเรียนที่วิทยาลัยศิลปะลิเวอร์พูล แม้ว่าซินเธียจะเกรงกลัวทัศนคติและรูปกายของเลนนอน แต่เธอได้ยินว่าเขาหลงใหลนักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศส บรีฌิต บาร์โด เธอจึงย้อมผมบลอนด์ เลนนอนชวนเธอเที่ยว แต่เมื่อเธอบอกว่าเธอหมั้นแล้ว เขาตะโกนดัง ๆ ว่า \"ผมไม่ได้ขอคุณแต่งงานนะ\" เธอจึงไปงานแสดงของวงควอรีเม็นกับเขาและเดินทางไปเยี่ยมเขาที่ฮัมบูร์กพร้อมกับคนรักของแม็กคาร์ตนีย์ในเวลานั้น เลนนอนซึ่งมีนิสัยขี้หึง จึงเกิดความหึงวงและมักทำให้เพาเอลล์เกรงกลัวความเกรี้ยวโกรธและความรุนแรงถึงเนื้อถึงตัวของเขา ต่อมาเลนนอนกล่าวว่า เขายังไม่เคยสงสัยในทัศนคติที่ก้าวร้าวต่อผู้หญิงในตัวเขาจนกระทั่งเขาพบกับโอโนะ เขากล่าวว่าเพลง \"เกตทิงเบตเทอร์\" ของเดอะบีเทิลส์ เล่าเรื่องราวของเขาเอง \"ผมเคยโหดร้ายกับผู้หญิง และถึงเนื้อถึงตัวกับผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นคนใด ผมชอบตบตี ผมไม่อาจแสดงตัวตนของผมได้และผมก็ตบตี ผมสู้กับผู้ชายและผมตบตีผู้หญิง จึงเป็นเหตุที่ผมมักจะพูดถึงเรื่องสันติภาพตลอดเวลา\"", "title": "จอห์น เลนนอน" }, { "docid": "869159#0", "text": "จอห์น วินดัม ปากส์ ลูคัส เบย์นอน แฮร์ริส (; 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1903 – 11 มีนาคม ค.ศ. 1969) เป็นนักเขียนชาวอังกฤษ เกิดที่เมืองดอร์ริดจ์ในวอริกเชอร์ (ปัจจุบันอยู่ในเขตเวสต์มิดแลนส์) เป็นบุตรของจอร์จ เบย์นอน แฮร์ริสกับเกอร์ทรูด ปากส์ มีน้องชายที่ต่อมาเป็นนักเขียนเช่นกันคือ วิเวียน เบย์นอน แฮร์ริส วินดัมใช้ชีวิตวัยเด็กในเขตเอดจ์บาสตันในเมืองเบอร์มิงแฮม เมื่อเขาอายุได้ 8 ปี บิดาและมารดาของเขาแยกกันอยู่ วินดัมเรียนในหลายโรงเรียนก่อนจะเรียนที่โรงเรียนบีเดลส์ จากนั้นเขาทำงานหลายอย่างรวมถึงเขียนเรื่องสั้นให้นิตยสารอเมริกันหลายฉบับ โดยใช้นามปากกาส่วนใหญ่ว่า \"จอห์น เบย์นอน\" และ \"จอห์น เบย์นอน แฮร์ริส\"", "title": "จอห์น วินดัม" }, { "docid": "350963#0", "text": "ฌอน ทาโร โอโนะ เลนนอน () หรือชื่อญี่ปุ่นว่า ทาโร โอโนะ (; เกิด: 9 ตุลาคม ค.ศ. 1975) เป็นนักร้อง, นักแต่งเพลง และนักดนตรีชาวอเมริกัน เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของจอห์น เลนนอน กับโยโกะ โอโนะ โดยมีพ่อบุญธรรมคือ เอลตัน จอห์น", "title": "ฌอน เลนนอน" }, { "docid": "967217#0", "text": "จอห์น ชาลส์ จูเลียน เลนนอน () เกิด 8 เมษายน ค.ศ. 1963 เป็นนักดนตรีและช่างภาพชาวอังกฤษ เป็นบุตรชายของจอห์น เลนนอน กับภรรยาคนแรก ซินเทีย เลนนอน", "title": "จูเลียน เลนนอน" }, { "docid": "685191#0", "text": "จอห์น เลนนอน เป็นนักดนตรีชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงทั่วโลกในฐานะหนึ่งในสมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ จากผลงานเดี่ยว และจากการเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองและสันตินิยม เขาถูกมาร์ก เดวิด แชปแมน ยิงเสียชีวิตโดยการเอาปืนมาสังหารที่ทางเข้าอพาร์ตเมนต์ เดอะดาโคตา (The Dakota) ที่เขาพักอยู่ ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1980 เลนนอนเพิ่งกลับจากสตูดิโอเรเคิร์ดแพลนต์ (Record Plant Studio) พร้อมกับภรรยา โยโกะ โอะโนะ", "title": "การเสียชีวิตของจอห์น เลนนอน" }, { "docid": "43986#5", "text": "เลนนอนอาศัยอยู่กับลุงและป้า มีมี และ จอร์จ สมิธ ซึ่งไม่มีบุตรของตนเอง ที่เมนดิปส์ 251 ถนนเมนเลิฟ เมืองวูลตัน ป้าซื้อนวนิยายเรื่องสั้นให้จอห์นหลายเล่ม และลุงเป็นเจ้าของฟาร์มวัวนมเคยซื้อหีบเพลงปากให้จอห์น และร่วมเล่นปริศนาอักษรไขว้กับจอห์นด้วย จูเลียแวะมาที่เมนดิปส์เป็นประจำ และเมื่อจอห์นอายุได้ 11 ขวบ จอห์นมักจะมาเยี่ยมจูเลีย ที่ 1 ถนนบลอมฟิลด์ เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งเธอเคยเล่นแผ่นเสียงของเอลวิส เพรสลีย์ สอนเขาเล่นแบนโจ และแสดงวิธีเล่นเพลงเพลง \"เอนต์แดตอะเชม\" ของแฟตส์โดมิโน ในเดือนกันยายน 1980 เลนนอนให้ความเห็นเกี่ยวกับครอบครัวและนิสัยหัวรั้นของเขาว่า", "title": "จอห์น เลนนอน" } ]
3033
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "46830#1", "text": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2377 เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ต้น (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาทรัพย์) พระชนนีคือหม่อมน้อย สตรีชาวบางเขนที่มีเชื้อสายอำมาตย์รามัญกับไทย เป็นธิดาคนหนึ่งของนายบุศย์ ชาวบางเขน ซึ่งไม่ปรากฏวงศ์ตระกูล กับคุณแจ่ม หลานสาวของอำมาตย์มอญ คือพระยารัตนจักร (หงส์ทอง สุรคุปต์) (สมิงสอดเบา หัวเมืองหน้าครัวมอญ) คุณม่วงมารดาของคุณแจ่มเป็นน้องสาวต่างมารดาของเจ้าจอมมารดาป้อม ในรัชกาลที่ 1, เจ้าจอมเพ็ง ในรัชกาลที่ 2 และเจ้าจอมมารดาเอม ในรัชกาลที่ 2 บางแหล่งข้อมูลก็ว่า คุณแจ่มเป็นธิดาของพระยารัตนจักร", "title": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี" }, { "docid": "46830#0", "text": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (พระนามเดิม: หม่อมเจ้ารำเพย; 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2377 - 9 กันยายน พ.ศ. 2404) เป็นพระมเหสีพระองค์ที่สองในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี" } ]
[ { "docid": "73441#2", "text": "พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย ประสูติเมื่อวันพุธ เดือน 6 แรม 1 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2381 มีพระนามเดิมว่า \"หม่อมเจ้าแฉ่ ศิริวงศ์\" เป็นพระธิดาองค์ที่หกในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ต้น (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาทรัพย์) ประสูติแต่หม่อมกิ่ม ศิริวงศ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม แซ่จิ๋ว) มีพระพี่น้องร่วมพระบิดา รวม 8 พระองค์ หนึ่งในนั้นคือสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้นพระองค์จึงเป็นพระมาตุจฉาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย" }, { "docid": "84473#2", "text": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า \"บุญรอด\" เสด็จพระราชสมภพในเวลาเช้าของวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2310 ณ ตำบลอัมพวา เมืองราชบุรี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับบิดาคือเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน เศรษฐีเชื้อสายจีนย่านถนนตาล ในกรุงศรีอยุธยา เมื่อแรกเริ่มเจ้าคุณชีโพ กนิษฐาในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีได้ให้การอุปถัมภ์อำรุง คุณบุญรอดจึงนับถือเจ้าคุณชีโพเป็นพระมารดาเลี้ยงเสมอมา", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" }, { "docid": "46830#14", "text": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งหมด 4 พระองค์ คือ\nโรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้มีแนวคิดว่าน่าจะมีรูปเคารพของพระองค์ไว้บูชานั้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 และได้สำเร็จเป็นผลใน ปี พ.ศ. 2541 โดยอัญเชิญประดิษฐาน ณ บริเวณมุขด้านหน้า อาคารเทิดพระเกียรติ เพื่อเป็นเครื่องแสดงถึงความจงรักภักดี และความกตัญญู กตเวที ที่ชาวเทพศิรินทร์ทุกคนมีต่อสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี และยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงเกียรติยศอันสูงสุดของชาวเทพศิรินทร์ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นในการนำพระนามาภิไธยของพระองค์มาเป็นชื่อของสถานศึกษา โดยเมื่อวันที่ 9 กันยายน ของทุกๆปี อันเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ ได้เวียนมาบรรจบครบ ทางโรงเรียนเทพศิรินทร์ อันประกอบด้วย คณะผู้บริหาร คณะครู นักเรียนเก่า นักเรียนปัจจุบัน และบุคลากรของโรงเรียน ได้จัดพิธีวางพวกมาลา และถวายราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ โดยเรียกวันนี้ว่า \"วันแม่รำเพย\"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อ พ.ศ. 2419 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 25 พรรษาพอดี พระองค์จึงโปรดฯ ให้สถาปนา วัดเทพศิรินทราวาส ขึ้นเพื่อทรงเฉลิมพระเกียรติ และทรงอุทิศพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์\nโรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้รับการสถาปนาจาก องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2428 ในช่วงแรกของการจัดตั้งโรงเรียนนั้น โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทำการเรียนการสอน\nพ.ศ. 2438 สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงดำริที่จะสร้างตึกเรียนสำหรับวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น เพื่ออุทิศพระราชกุศล สนองพระเดชพระคุณแห่งองค์ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระชนนี และเพื่ออุทิศพระกุศลแก่ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ ตึกเรียนหลังแรกนี้ได้รับการออกแบบให้มีศิลปะเป็นแบบโกธิคซึ่งถือว่าเป็นอาคารศิลปะโกธิคยุคแรกและมีที่เดียวในประเทศไทยโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ออกแบบ และในการนี้ พระยาโชฏึกราชเศรษฐี ได้บริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้างตึกอาคารเรียนขึ้นด้านข้างของตึกเรียนหลังแรกอีกด้วย", "title": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี" }, { "docid": "46830#6", "text": "ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชชนนีขึ้นเป็น\"กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์\" และในรัชกาลที่ 6 ทรงสถาปนาพระบรมอัฐิเป็น สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี", "title": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี" }, { "docid": "151314#0", "text": "สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (9 มีนาคม พ.ศ. 2280 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2369) พระนามเดิม นาค เป็นพระบรมราชินีพระองค์แรกของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ เป็นพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2280 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นพระธิดาของทอง ณ บางช้าง และสมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี (พระนามเดิม สั้น หรือมาก) เป็นคหบดีเชื้อสายมอญ", "title": "สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี" }, { "docid": "84473#0", "text": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (พระยศเดิม:\"สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด\"; พระราชสมภพ: 21 กันยายน พ.ศ. 2310 — สวรรคต: 18 ตุลาคม พ.ศ. 2379) หรือประชาชนเรียกว่า \"สมเด็จพระพันวษา\" เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (พระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน ต่อมาได้รับราชการฝ่ายในเป็นพระชายาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" }, { "docid": "39365#4", "text": "สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ต้นราชสกุลสวัสดิวัตน์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา) ส่วนพระมารดาคือหม่อมเจ้าอาภาพรรณี สวัสดิวัตน์ (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ภายหลังหม่อมเจ้าอาภาพรรณีได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี", "title": "สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี" }, { "docid": "12226#2", "text": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังเป็นพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) ประสูติแต่หม่อมหลวงบัว กิติยากร (ราชสกุลเดิม: สนิทวงศ์) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ณ บ้านของพลเอก เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) บ้านเลขที่ 1808 ถนนพระรามที่ 6 ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร อันเป็นบ้านของพระอัยกาฝ่ายพระมารดา มีพระเชษฐาสองคนคือหม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์และหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ และมีพระกนิษฐาคนหนึ่งคือท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงศ์", "title": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" }, { "docid": "46830#4", "text": "เมื่อสมเด็จพระนางนาฏบรมอรรคราชเทวีในรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคต จึงไม่มีพระราชนัดดาฝ่ายในในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เป็นพระองค์เจ้าเหลืออยู่ ในวันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2395 (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ. 2396) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้สถาปนาหม่อมเจ้ารำเพยเป็น \"พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์\" ซึ่งมีความหมายว่า \"บุปผชาติที่เป็นที่ยินดีและเป็นที่พักพิงของมวลหมู่ภมร\" ต่อมาพระราชวงศ์และเสนาบดีได้ถวายให้เป็นพระมเหสี ซึ่งประกาศในรัชกาลที่ 4 ออกพระนามว่าสมเด็จพระนางนาถราชเทวี", "title": "สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี" } ]
1435
ริวเซย์โนะร็อคแมน มีชื่อภาษาอังกฤษว่าอะไร?
[ { "docid": "139463#0", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมน () หรือ เมกาแมนสตาร์ฟอร์ซ (Mega Man Star Force) เป็นวิดีโอเกมประเภทเกมเล่นตามบทบาทจากประเทศญี่ปุ่น เป็นเกมที่เล่นด้วยนินเทนโดดีเอส ซึ่งอยู่ในเกมชุดร็อคแมนและเป็นเกมแรกสุดในซีรีส์เกมริวเซย์โนะร็อคแมน ผลิตโดยแคปคอม โดยวางจำหน่ายในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2006 ที่ประเทศญี่ปุ่น และ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2007 ที่สหรัฐอเมริกา โดยตัวเกมออกวางจำหน่าย 3 เวอร์ชัน ได้แก่ เลโอ, ดราก้อนและเพกาซัส อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันดราก้อนเป็นรุ่นพิเศษในอเมริกาเหนือผ่านทางเกมสต็อปสโตร์[1] ในขณะที่สหราชอาณาจักร มีเวอร์ชันเพกาซัสผ่านทาง Play.com โดยแต่ละเวอร์ชันจะแตกต่างกันที่ตัวละครที่ชื่อว่า \"ผู้ดูแลดาวเทียม\" ซึ่งผู้เล่นจะได้สู้กับตัวละครที่ต่างกันออกไปในแต่ละเวอร์ชัน รวมถึงระบบเปลี่ยนร่างซึ่งร็อคแมนจะเปลี่ยนร่างได้ต่างกันตามแต่ละเวอร์ชัน อย่างไรก็ตามผู้เล่นสามารถเปลี่ยนเป็นร่างของเวอร์ชันอื่นได้โดยใช้ระบบบราเธอร์แบนด์", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "140758#0", "text": "ริวเซย์ โนะ ร็อคแมน () หรือ เมกาแมน สตาร์ฟอร์ซ (Mega Man Star Force) เป็นซีรีส์จากเกมร็อคแมน ซึ่งตัวเกมหลักของซีรีส์นี้อยู่ในนินเทนโด DS รวมทั้งเป็นภาพยนตร์อนิเมะและหนังสือการ์ตูนอีกด้วย", "title": "ริวเซย์ โนะ ร็อคแมนซีรีส์" } ]
[ { "docid": "139463#5", "text": "หากผู้เล่นสามารถโจมตีได้ 300 HP ขึ้นไปในการโจมตี 1 ตาสำหรับหัวหน้าระดับ SP ผู้เล่นจะได้บันทึก combo รูปแบบการโจมตีนั้นเป็น Best Combo ซึ่งสามารถไปซื้อการ์ดที่มีลักษณะ combo รูปแบบการโจมตีเหมือนกันทุกประการได้ในภายหลัง", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "617485#31", "text": "ผลงานเขียนชิ้นแรกของนิวตันที่เกี่ยวข้องกับศาสนามีชื่อว่า อินโทรดักชิโอ้ คอนติเนนส์ อะโพคาลิปซีโอ้ส์ เรชั่นเน่ม เจเนรัลเอม [ การค้นพบ / คำแนะนำ. การเปิดเผยอย่างต่อเนื่องในเรื่องทั่วไป -[47]] โดยมีใบคั่นระหว่างยก 1 และยก 2 ด้วยหัวข้อย่อย ดิ โพรเพเชีย พริมา,[48] เขียนขึ้นด้วยภาษาละตินในช่วง 1670. ภายหลังเขียนขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ บันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คริสตจักรในยุคต้นและศีลธรรมที่เหนือกว่าของชาวบาร์บาเรี่ยนต่อชาวโรมัน. ผลงานเขียนชิ้นสุดท้ายในปี 1737 มีชื่อว่า บทศึกษาหน่วยคิวบิทของชาวยิวเมื่อเปรียบเทียบกับคิวบิทของชาติอื่นๆ.[4] นิวตันไม่เคยตีพิมพ์งานเขียนที่เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเลยในระหว่างที่เขามีชีวิต[3][49] ผลงานเขียนของนิวตันที่เกี่ยวข้องกับความไม่ซื่อสัตย์ของข้อความในพระคัมภีร์กับคริสตจักรนั้นเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1670 และก่อนช่วง 1690[3]", "title": "ความคิดเห็นทางศาสนาของไอแซค นิวตัน" }, { "docid": "139463#10", "text": "(in Japanese) (in Japanese)", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "139463#9", "text": "ฮาซามิ คิโยคิชิ (狭見 千代吉, Claud Pincer) / แคนเซอร์บับเบิ้ล (キャンサー・バブル, Cancer Bubble) แคนเซอร์ (キャンサー, Cancer) FM ประเภทปู โองามิ จูโระ (尾上 十郎, Damian Wolfe) / วูลฟ์ฟอเรส (ウルフ・フォレスト, Wolf Woods) วูลฟ์ (ウルフ, Wolf) FM ประเภทหมาป่า ฌอน คุรอนเน่ เวลมอนด์ โจโจวอนเน่ ที่ 14 (ジャン・クローヌ・ヴェルモンド・ジョルジョワーヌ14世, Jean Couronne Welmond Jour Jovonne XIV) / คราวน์ธันเดอร์ (クラウン・サンダー, Crown Thunder) คราวน์ (クラウン, Crown) FM ประเภทมงกฎ", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "279901#2", "text": "เนื้อเรื่องทั้งหมด ของร็อคแมนนั้นได้รับการเปิดเผยว่าอยู่บนโลกใบเดียวกัน ยกเว้นภาคร็อคแมนเอ็กเซ่และริวเซย์โนะร็อคแมน ซึ่งแยกออกมาเป็นอีกโลกหนึ่ง", "title": "ร็อคแมน" }, { "docid": "398906#0", "text": "ก็อดดีเฟนด์นิวซีแลนด์ (; \"พระเจ้าทรงปกป้องนิวซีแลนด์\") เป็นเพลงชาติของนิวซีแลนด์ ซึ่งร้องคู่กับ \"ก็อดเซฟเดอะควีน\" ซึ่งใช้เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีของบรรดาประเทศในเครือจักรภพ ซึ่งทั้ง 2 เพลงที่กล่าวมานี้มีสถานะเป็นเพลงชาติ โดย \"ก็อดเซฟเดอะควีน\" ใช้เพลงคำนับสำหรับพิธีการที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรในฐานะพระประมุขแห่งนิวซีแลนด์และพระราชวงศ์อังกฤษ ส่วน \"ก็อดดีเฟนด์นิวซีแลนด์\" ใช้เป็นเพลงชาติ\n\"ก็อดดีเฟนด์นิวซีแลนด์\" มีเนื้อร้องทั้งหมดห้าบท, สองภาษาคือ ภาษาเมารี และ ภาษาอังกฤษ. ซึ่งคำแปลภาษาอังกฤษของเนื้อร้องฉบับภาษาเมารี มีความหมายที่แตกต่างจากเนื้อร้องของภาษาอังกฤษ. เนื้อร้องฉบับภาษาเมารี ประพันธ์ขึ้นโดย โทมัส เอช สมิทท์ แห่งโอกแลนด์ เมื่อปี พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) ศาลสูงสุดแห่งอาณาจักรนิวซีแลนด์, โดยขอให้ผู้สำเร็จราชการแห่งนิวซีแลนด์ จอร์จ เอ็ดเวิร์ด เกรย์ ได้จัดตั้งคณะกรรมการแปลเนื้อเพลงชาติจากภาษาเมารีเป็นภาษาอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) โดยมีศาสตราจารย์ ที่โมที คาเรตู เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว.", "title": "ก็อดดีเฟนด์นิวซีแลนด์" }, { "docid": "210664#0", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมน 2 () หรือ เมกาแมน สตาร์ฟอร์ซ 2 (Mega Man Star Force 2) เป็นวิดีโอเกมลำดับที่ 2 ของซีรีส์ริวเซย์โนะร็อคแมน ออกวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 โดยภาคนี้ถูกแบ่งเป็น 3 แบบออกจำหน่าย 2 แบบคือ เบอร์เซิร์ก x ไดโนซอร์ (ベルセルク x ダイナソー,Zerker × Saurian) ,เบอร์เซิร์ท x ชิโนบิ (ベルセルク x シノビ,Zerker × Ninja)", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน 2" }, { "docid": "140758#4", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมน ริวเซย์โนะร็อคแมน 2 ริวเซย์โนะร็อคแมน 3", "title": "ริวเซย์ โนะ ร็อคแมนซีรีส์" }, { "docid": "139463#4", "text": "แทนที่จะใช้การ์ดโจมตี ผู้เล่นอาจจะใช้ Mega Buster (ปืนธรรมดา) โจมตีได้ตลอดการต่อสู้ และระหว่างเกม ผู้เล่นสามารถเก็บอุปกรณ์อัปเกรดต่างๆ ให้วอร์ร็อคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Mega Buster ทั้งพลัง ความเร็ว และการชาร์จ ผู้เล่นสามารถปล่อย Mega Buster ไว้พักหนึ่ง เพื่อให้ชาร์จอัตโนมัติและยิงกระสุนที่รุนแรงขึ้น แต่ผู้เล่นสามารถกดปุ่มค้างไว้เพื่อยิงแบบรัวๆ แทนก็ได้ เมื่อการต่อสู้จบลง เกมจะแสดงระดับความสามารถในการโจมตีให้ดู โดยวัดจากปัจจัยหลายอย่างเช่นความเร็ว และความรุนแรงในการโจมตี ยิ่งได้ระดับที่ดีมากเท่าไร ก็จะได้ของรางวัลที่ดีมากขึ้นเท่านั้น (เช่น เซนนี (เงิน) จำนวนมากๆ หรือแบทเทิลการ์ดที่หายาก)", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "139463#8", "text": "เพกาซัสเมจิก (ペガサス・マジック) เลโอคิงดอม (レオ・キングダム) ดราก้อนสกาย (ドラゴン・スカイ)", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "245470#1", "text": "ร็อคแมน (ロックマン, Mega Man ในภาษาอังกฤษ) ในเกมต้นฉบับเป็นหุ่นยนต์งานบ้านของดร.โธมัส ไลท์โดยมีหน้าตาและสวมเสื้อผ้าเหมือนมนุษย์ ภายหลังจากที่ดร.อัลเบิร์ต ไวลี่เข้าแทรกแซงหุ่นยนต์ของดร.ไลท์ให้กลายเป็นหุ่นยนต์ชั่วร้าย ดร.ไลท์จึงได้ทำการสร้างบลูส์ แต่ปรากฏว่าบลูส์หายตัวไป ดร.ไลท์จึงได้ทำการดัดแปลงร็อคแมนให้กลายมาเป็นหุ่นยนต์สำหรับต่อสู้แทน โดยเปลี่ยนร่างกายเป็นสีฟ้าและสวมหมวก\nในร็อคแมนภาคแรกสุด ร็อคแมนจะมีความสามารถในการยิงและกระโดดเท่านั้น แต่ความสามารถหลักๆของร็อคแมนคือการดูดกลืนความสามารถของหุ่นยนต์ตัวอื่นให้มาเป็นอาวุธของตนเองได้ และในภาคหลังๆดร.ไลท์ก็ได้เพิ่มความสามารถชาร์จยิง, สไลด์ รวมทั้งหุ่นยนต์ช่วยเหลือทั้งรัชและบีทอีกด้วย\nร็อคแมน X (ロックマンエックス, Mega Man X ในภาษาอังกฤษ) หรือถูกเรียกย่อๆว่า X คือชื่อของร็อคแมนในเกมร็อคแมน X ซึ่งแท้จริงแล้วร็อคแมน X ไม่ใช่ที่ร็อคแมนตื่นจากการหลับใหลนานนับร้อยปี แต่ X เป็นหุ่นตัวใหม่ที่ โทมัส ไรท์ สร้างขึ้นในบั้นปลายชีวิต โดยใส่ข้อมูลความสามารถหลักๆของร็อคแมน เป็นอิเรกูลาร์ฮันเตอร์\nร็อค วอลนัท (Mega Man Volnutt ในภาษาอังกฤษ) ในเกมร็อคแมนแดช เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกบาร์เรล แคสเก็ทค้นพบจากการหลับใหลนับร้อยๆปี\nร็อคแมนเอ็กเซ่ (Mega Man.Exe ในภาษาอังกฤษ) เป็นชื่อของร็อคแมนจากเกมร็อคแมนเอ็กเซ่เน็ตนาวิของ ฮิคาริ เน็ตโตะ (Lan Hikari ในภษาอังกฤษ) ในเกมได้เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเขาคือ ฮิคาริ ไซโตะ (Hub Hikari ในภาษาอังกฤษ) พี่ชายของเน็ตโตะ แต่หลังจากเกิดได้ไม่นานเขาก็เสียชีวิต ฮิคาริ ยูอิจิโร่ พ่อของเขาจึงถ่ายทอดความทรงจำบางอย่างมาสร้างเป็นร็อคแมน.Exe ให้ร็อคแมน.Exe เป็นนาวิแบบพิเศษที่มีหน่วยความจำและความสามารถมากกว่านาวิทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นสไตล์เชนจ์, โซลยูนิชั่น, ครอสฟิวชั่น, บีสต์เอาท์\nร็อคแมน ZX คือการรวมร่างกันระหว่าง โมเดล X และ โมเดล Z โดยที่ตัวเอกทั้งสองของเกมร็อคแมน ZX วานและเอล อีกทั้งในภายหลังทั้งสองจะได้รับโมเดลเพิ่มเติมและสามารถเปลี่ยนร่างเป็น ร็อคแมน HX, ร็อคแมน FX, ร็อคแมน PX, ร็อคแมน LX, ร็อคแมน OX\nร็อคแมน ในเกม ริวเซย์โนะร็อคแมน ชื่อจริงของเขาคือ โฮชิคาวะ ซูบารุ (星河スバル, Geo Stelar ในภาษาอังกฤษ) เด็กผู้ชายอายุ 11 ปี ภายหลังจากได้พบกับ วอร์ร็อค (ウォーロック, Omega-Xis ในภาษาอังกฤษ) ทั้งสองร่วมมือกันให้ซูบารุแปลงร่างเป็นร็อคแมนและเข้าสู่โลกคลื่นไฟฟ้าได้", "title": "ร็อคแมน (ตัวละคร)" }, { "docid": "227799#0", "text": "ร็อคแมน X5 () หรือ เมกาแมน X5 (Mega Man X5) เป็นวิดีโอเกมชุดที่ 5 ของซีรีส์ร็อคแมน X โดยวางจำหน่ายในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ที่ประเทศญี่ปุ่นวางจำหน่ายในเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชันในเวอร์ชันภาษาอังกฤษได้มีชื่อที่ 2 ซิ่งมาจากในเวอร์ชันอังกฤษมาจากหนังสือ Mega Man X Official Complete Works และ MM25 Mega Man & Mega Man X Official Complete Works นอกจากนี้ลงในเกม ร็อคแมน X Anniversary Collection 2 โดยชื่อถูกปรับเปลี่ยนให้เหมือนของต้นฉบับในญี่ปุ่นX-buster (エックスバスター) อาวุธปกติของเอ็กซ์และสามารถชาร์จยิงได้", "title": "ร็อคแมน X5" }, { "docid": "286698#3", "text": "ร็อคแมนเอ็กเซ่ BEAST+ เป็นผลงานภาพยนตร์อนิเมะชุดสุดท้ายของของร็อคแมนเอ็กเซ่โดยภาคนี้มีเนื้อหาที่สั้นเพียง 10 นาทีต่อตอน โดยระยะเวลาการออกอากาศของภาคนี้ทำให้อนิเมะต่อจาก ร็อคแมนเอ็กเซ่ BEAST+ คือ ริวเซย์โนะร็อคแมน มีผลกระทบไปด้วย", "title": "ร็อคแมนเอ็กเซ่ BEAST" }, { "docid": "139463#6", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมนยังคงใช้ระบบธาตุในการโจมตี ในเกมจะมี 4 ธาตุ คือ Heat (ไฟ) Aqua (น้ำ) Elec (ไฟฟ้า) Wood (ไม้) โดยคู่ต่อสู้บางตัว และร็อคแมนบางร่าง จะมีธาตุประจำตัวอยู่ หากถูกโจมตีด้วยธาตุที่เหนือกว่า พลังจะลดลงเป็นสองเท่า ลำดับคือ Heat แพ้ Aqua แพ้ Elec แพ้ Wood แพ้ Heat", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "186229#3", "text": "เซลีนสร้างมิวสิกวิดีโอเพลงภาษาฝรั่งเศสแรกในเพลง \"เฟเซอเกอตูวูดรา\" ภายหลังมิวสิกวิดีโอเพลงภาษาอังกฤษ \"ลิสต์ซึนทูเดอะแนจิกแมน\" ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นมิวสิกวิดีโอทางการค้าแรกของเธอ", "title": "เลช็องซงซองนอร์" }, { "docid": "140758#2", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมน มีเนื้อเรื่องอยู่บนโลกเดียวกับร็อคแมนเอ็กเซ่ โดยเป็นช่วงเวลาต่อจากเอ็กเซ่ถึง 200 ปี อีกทั้งภาพรวมของตัวเกมและการควบคุมก็คล้ายคลึงกับเกมร็อคแมนเอ็กเซ่มาก", "title": "ริวเซย์ โนะ ร็อคแมนซีรีส์" }, { "docid": "279901#3", "text": "ส่วนร็อคแมนเอ็กเซ่ ก็ดำเนินเรื่องในอีกโลกหนึ่ง โดยริวเซย์โนะร็อคแมนดำเนินเรื่องต่อมาในอีก 200 ปี", "title": "ร็อคแมน" }, { "docid": "156975#2", "text": "ชื่อ “โยฮันนัน” เป็นชื่อที่นิยมกันในกลุ่มชาวยิวในแคว้นยูเดียและกาลิลีจนกระทั่งเมื่อบริเวณนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ. 6 ซึ่งใช้เป็นชื่อตัวของ “โยคานัน เบน แซ็คคาริอาห์” (Yochanan ben Zechariah) ซึ่งแปลว่าจอห์นลูกของแซ็คคาไรห์หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า “John the Baptist” ในภาษาอังกฤษ (จอห์นแบ็พทิสต์เมื่อถอดเป็นภาษาไทย) นอกจากนั้นก็ยังเป็นชื่อของ “โยคานัน เบน เซเบดี” (Yochanan ben Zibhdi) ซึ่งแปลว่าจอห์นลูกของเซเบดีหรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า “John the Apostle” ในภาษาอังกฤษ (จอห์นอัครสาวกเมื่อถอดเป็นภาษาไทย) และเป็นชื่อของจอห์นอีแวนเจลลิสผู้ประพันธ์พระวรสารนักบุญจอห์น ซึ่งอาจจะเป็นคนคนเดียวกับจอห์นอัครสาวก เอกสารที่กล่าวถึง “โยคานัน” สองคนนี้ เขียนเป็นภาษากรีกและชื่อมาจากการสะกดแบบกรีกเป็น “Ἰωάννης” หรือ “Iōannēs” (ออกเสียง โย-ฮัน-เนยส์) ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมกันมากในสมัยคริสเตียนยุคแรก ซึ่งรวมทั้ง “โยฮันเนยส์ คริสซอสโตมอส” (Ioannes Chrysostomos) หรือนักบุญจอห์น คริสซอสตอม และ “โยฮันเนยส์” ผู้เขียนหนังสือวิวรณ์ ", "title": "จอห์น (ชื่อ)" }, { "docid": "139463#11", "text": "1 หมวดหมู่:วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท หมวดหมู่:วิดีโอเกมข้ามฝั่ง หมวดหมู่:เกมสำหรับนินเท็นโดดีเอส", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "139463#1", "text": "ตรงกันข้ามกับร็อคแมนเอ็กเซ่ ที่ตัวละครเกือบทุกตัวในเกมจะเป็นเน็ตนาวิซึ่งมีชื่อและรูปร่างมาจากเหล่าบอส (Robot Master) มาจากเกมร็อคแมนคลาสสิก (รวมถึงธรรมเนียมที่ตัวละครจะต้องมีคำว่า man ลงท้าย) ในเกมริวเซย์โนะร็อคแมน ตัวละครส่วนมากจะเป็นมนุษย์โลกที่ทำการรวมร่างกับสิ่งมีชีวิตในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดาว FM (FM-ian) ซึ่งเข้าไปปั่นป่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ผ่านทางโลกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยชื่อของตัวละครจะมาจากหมู่ดาวต่างๆ ในอวกาศ ส่วนเกมภาคต่อที่มีชื่อว่า ริวเซย์โนะร็อคแมน 2 ได้ออกจำหน่ายวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 [2]", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "26348#17", "text": "หนึ่งในขนมขิงลายภาพซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกก็คือ “เจ้ามนุษย์ขนมขิง หรือ จินเจอร์เบรดแมน (Gingerbread Man) ” จากประเทศแถบที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีรูปร่างเป็นคนแบบปั้นง่ายๆ โดยไม่มีรายละเอียดของมือและเท้า เจ้ามนุษย์ขนมขิงมีชื่อเรียกว่า “เพ็พพาร์คาคอร์ (pepparkakor) ” ในภาษาสวีเดน และ “เซแวร์นิเย โคซูลี (северные козули) ” ในภาษารัสเซีย เชื่อกันว่าเจ้ามนุษย์ขนมขิงนี้นำมาซึ่งโชคดีและความร่ำรวย", "title": "ขนมปังขิง" }, { "docid": "285243#0", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมน 3 () หรือ เมกาแมนสตาร์ฟอร์ซ 3 (Mega Man Star Force 3) เป็นวิดีโอเกมประเภทเกมเล่นตามบทบาทจากประเทศญี่ปุ่น เป็นเกมที่เล่นด้วยนินเทนโดดีเอส ซึ่งอยู่ในซีรีส์ร็อคแมนและเป็นเกมลำดับที่ 3 ของซีรีส์เกมริวเซย์โนะร็อคแมน ผลิตโดยแคปคอม โดยวางจำหน่ายในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น และ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2009 ที่สหรัฐอเมริกา โดยตัวเกมออกวางจำหน่าย 2 เวอร์ชันคือ BLACK ACE และ RED JOKER", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน 3" }, { "docid": "139463#3", "text": "ผู้เล่นจะสามารถเก็บแบทเทิลการ์ด (Battle Card) ได้ตลอดทั้งเกม และจะต้องจัดเข้า Folder ให้เหมาะสมสำหรับใช้ในการต่อสู้ เมื่อเริ่มการต่อสู้แต่ละครั้ง หรือเมื่อ Custom Gauge เต็ม ผู้เล่นจะมีโอการเลือกการ์ดที่สุ่มขึ้นมาให้ เพื่อใช้สำหรับโจมตี ป้องกัน ปรับแต่งพื้นที่ต่อสู้ หรือเพิ่มพลังชีวิต การ์ดบางกลุ่มสามารถทำมารวมกันเพื่อให้การโจมตีรุนแรงขึ้นได้ และเช่นเดียวกับร็อคแมนเอ็กเซ่ การ์ดจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ตามคุณสมบัติและความหายาก (Standard Mega และ Giga) ซึ่งการจัดการ์ดเข้า Folder จะจำกัดจำนวนการ์ดในบางระดับเอาไว้ คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของเกมนี้คือ ผู้เล่นสามารถเลือกการ์ดบางการ์ดให้เป็น Favorite ได้ และเพื่อนคนอื่นที่เชื่อมต่อกับเราทางระบบ Wi-Fi จะสามารถนำการ์ดที่เป็น Favorite ของเราไปใช้ได้โดยระบบสุ่ม", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "139463#7", "text": "โฮชิคาว่า ซูบารุ (星河 スバル) / ร็อคแมน (ロックマン) เด็กชายผู้สูญเสียพ่อไปจากการหายสาบสูญของสถานีอวกาศ เขาจึงเก็บตัวไม่ยอมมีเพื่อนและไม่ไปโรงเรียน จนกระทั่งเขาได้พบกับวอร์ร็อค (ウォーロック, Omega-XIS ในภาษาอังกฤษ) สิ่งมีชีวิตจากดาว FM ซึ่งหนีมายังโลกเพราะได้ชิงกุญแจปลดผนึกอาวุธที่ดาว FM จะใช้เพื่อโจมตีโลก วอร์ร็อคได้รวมร่างกับซูบารุเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[5228,5241,3,3]}'>ร็อคแมน (ロックマン, Mega Man) และได้ให้ซูบารุต่อสู้กับเหล่า FM ตนอื่นๆ ที่จะมาเอากุญแจคืนมาจากวอร์ร็อคและเพื่อปกป้องผู้อื่น ทำให้ซูบารุได้เรียนรู้ถึงมิตรภาพและเปลี่ยนจิตใจของเขาในระหว่างที่เกมดำเนินเรื่อง วอร์ร็อก (ウォーロック, Omega-XIS) ชาวดาว AM ที่หลบหนีมากจากดาว AM ที่ถูกทำลายเป็นคู่หูของซูบารุ ชิโรงาเนะ ลูน่า (白金 ルナ, Luna Platz) หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นของซูบารุในตำแหน่งหัวหน้าห้อง เป็นลูกคนรวยและมีนิสัยหยิ่งแต่มีจิตใจที่ดี เธอมักจะไปไหนมาไหนโดยมีกอนตะและคิซามาโระติดตามเสมอ เธอมักจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากบ่อยครั้ง แต่ได้ร็อคแมนมาช่วยไว้ ทำให้เธอประทับใจในตัวร็อคแมน ภายหลังได้รู้ว่าร็อคแมนคือซูบารุ เธอจึงมีความรู้สึกบางอย่างกับเขา ไซโซอิน คิซามาโระ (最小院 キザマロ, Zack Temple) หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นของซูบารุ มักจะเดิมตามลูน่าอยู่บ่อยครั้ง เขามีความรู้มากและกลุ้มใจเรื่องความสูงของตนเอง อุจิชิมะ กอนตะ (牛島 ゴン太, Bud Bison) หนึ่งในผู้ร่วมชั้นของซูบารุ เป็นคนตัวใหญ่และกินจุ ฮิบิกิ มิโซระ (響 ミソラ, Sonia Strumm) / ฮาร์ปโน้ต (ハープ・ノート, Harp Note) เพื่อของซูบารุ เป็นนักดนตรีชื่อดัง พอได้พบกับซูบารุที่เคยสูญเสียเหมือนกันจึงได้เปิดใจให้กับเขา ในช่วงกลางของเกมเธอถูกบีบบังคับจากผู้จัดการ จนได้รับฮาร์พให้เธอร่วมร่างเป็นฮาร์พโน้ต แต่ท้ายที่สุดก็ได้ซูบารุช่วยปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาได้ ในระหว่างเกมเธอมักจะชวนซูบารุไปที่ต่างๆกันสองคน อาจจะว่าได้ว่าเธอชอบซูบารุอยู่ ฮาร์ป (ハープ, Lyra) FM รูปร่างพิณ ที่ตอนรับเสียงของมิโซระและรวมร่างเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[6619,6634,3,3]}'>ฮาร์ปโน้ต (ハープ・ノート, Harp Note) แต่ภายหลังที่ซูบารุช่วยเธอไว้ได้ มิโซระขออย่าทำลายฮาร์ป ทำให้ฮาร์ปมาอยู่กับมิโซระและช่วยเหลือร็อคแมนในเกมภาคต่อๆมา อาคาชิ มาโมรุ (天地 守, Aaron Boreal) เพื่อนของไดโกะ เป็นนักวิจัยของ AMAKEN มีบทบาทมากมายในการช่วยเหลือซูบารุและร็อคในการต่อสู้กับเซเฟอุส โกโยดะ เฮย์จิ (五陽田 ヘイジ, Bob Copper) ตำรวจดาวเทียมที่ตามสืบเรื่องของ FM อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยได้เรื่องเสียที โฮชิคาวะ ไดโกะ (星河 大吾, Kevin Stelar) พ่อของซูบารุ หายตัวไปในอวกาศหลายปีก่อนจากการระเบิดของสถานีอวกาศ แต่ในช่วงท้ายของเกมร็อคเปิดเผยว่าเขาเป็นคนแปลงสภาพคนในสถานีอวกาศให้เป็นคลื่นไฟฟ้าแล้วส่งไปในอวกาศ จึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ในสภาพคลื่นไฟฟ้าในอวกาศ โฮชิคาวะ อากาเนะ (星河 あかね, Hope Stelar) แม่ของซูบารุ เวลาที่ซูบารุกลุ้มใจ อากาเนะมักจะเป็นคนที่ให้คำแนะนำเขาเสมอมา โดยมักจะยกคำพูดที่ไดโกะชอบพูดมาเป็นกำลังใจให้ซูบารุ อ็อกซ์ (オックス, Taurus) FM ประเภทวัว เป็น FM ตัวแรกที่เดินทางมาถึงโลกมนุษย์ และได้รวมร่างกับกอนตะในช่วงที่เขากลัวว่าลูนะจะไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเขา อ็อกซ์ไฟเออร์ (オックス・ファイア, Taurus Fire) อ็อกซ์ที่รวมร่างกับกอนตะมีพละกำลังสูงและใช้พลังไฟเป็นหลัก โดยจับตัวลูนะกับคิซามาโระเข้าไปในคอมพิวเตอร์รถบรรทุก อุทางาอิ ชินสุเกะ (宇田海 深佑, Tom Dubius) เพื่อนร่วมงานของมาโมรุ เป็นนักประดิษฐสิ่งของต่างๆที่ใช้ประโยชน์ อดีตเคยถูกเพื่อนร่วมงานหักหลังจึงไม่ยอมเชื่อใจใคร จนกระทั่งเกิดเรื่องเข้าในผิดกับมาโมรุ ซิกนัส (キグナス, Cygnus) FM ประเภทหงส์ เป็น FM ที่รวมร่างกับชินสุเกะ โดยได้รู้ว่าชินสุเกะเข้าใจผิดกับมาโมรุที่หักหลังจึงรวมร่างกับชินสุเกะ ซิกนัสวิงค์ (キグナス・ウィング, Cygnus Wing) ร่างที่ซิกนัสรวมกับชินสุเกะมีความสามารถบังคับเต้นท่าหงส์และเข้าควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ของอวกาศจำลอง อิคูตะ มิชิโนริ (育田 道徳, Mitch Shepar) อาจารย์ประจำชั้นของพวกซูบารุ เป็นคนที่ใช้วิธีการสอนให้เด็กได้รับความรู้และความบันเทิง แต่ทว่าทางโรงเรียนไม่ชอบ และต้องการให้เขาใช้การเรียนโดยการส่งสัญญาณเข้าคลื่นสมองโดยตรง ไม่งั้นก็จะถูกไล่ออก มิชิโนริกลุ้มใจเพราะถ้าถูกไล่ออกก็จะไม่มีเงินสำหรับลูกๆของเขา ไลบร้า (リブラ, Libra) FM ประเภทคันชั่ง ไลบร้าบาลานซ์ (リブラ・バランス Libra Scales) ไลบร้าที่รวมร่างกับมิชิโนริโดยได้ทำการส่งสัญญาณเข้าคลื่นสมองของนักเรียน โอฟิวคัส (オヒュカス, Ophiuca) FM ที่ตอบรับเสียงของลูนะ หลังจากที่เธอได้ทราบเรื่องว่าพ่อและแม่ของเธอจะย้ายโรงเรียน เธอไม่อยากเสียเพื่อนจึงไม่อยากย้ายโรงเรียนแต่ต้องสูญสลายไปด้วยพลังของเจมินี่สปาร์ค โอฟิวคัสควีน (オヒュカス・クイーン, Queen Ophiuca) ร่างที่ออฟิวคัสรวมร่างกับลูนะ มีความสามารถในการควบคุมงู ฟุทาบะ สึคาสะ (双葉 ツカサ, Patrick Sprigs) เพื่อนร่วมชั้นของซูบารุ มีนิสัยดีและมีน้ำใจ แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่มีสองบุคลิกเพราะเกิดจากพ่อแม่ของเขาถูกทิ้งไว้ในกองขยะที่ดรีมไอสแลนด์และทำให้เกิดบุคลิกที่ 2 เกิดขึ้นมา ฟุทาบะ ฮิคารุ (双葉 ヒカル, Rey Sprigs) บุคลิกที่ 2 และฝาแฝดของสึคาสะมีนิสัยชั่วร้ายโหดเหี้ยมต่างกับบุคลิกของสึคาสะอย่างสิ้นเชิง ทำให้เรื่องนี้ทำร้ายจิตใจซูบารุมาก เพราะเขาเหมือนถูกหักหลัง เจมินี่ (ジェミニ, Gemini) FM รูปร่างคน 2 หน้าเป็นผู้ที่ยุยงให้เซเฟอุสไปยังโลกมนุษย์เพื่อที่จะทำลายโลกและสร้างคลื่นผลักให้ผู้คนเกลียดชังกัน เจมินี่สปาร์ค (ジェミニ・スパーク, Gemini Spark) เจมินี่ที่รวมร่างกับสึคาสะและฮิคารุถนัดต่อสู้ 2 รุม 1 เซเฟอุส (ケフェウス, Chefeus) ราชาแห่งดวงดาว FM มีนิสัยขี้ระแวงแต่ถูกเจมินี่หลอกใช้ให้ทำลายดาว AM โดยใช้อันโดรเมด้าแต่หลังจากพ่ายแพ้ไปเซเฟอุสจึงกลับใจและสร้างดาว AM ใหม่และคอยช่วยเหลือกับเหล่า FM และมนุษย์", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "139463#2", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมนเป็นเกมเล่นตามบทบาท (RPG) ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับร็อคแมนเอ็กเซ่ โดยมีกราฟิกในเกมปกติ เช่น ตัวละคร ฉากหลัง เป็นภาพมุมมองไอโซเมตริก (isometric) แต่ฉากต่อสู้จะเป็นภาพสามมิติ โดยมีมุมมองจากทางด้านหลังของร็อคแมน ร็อคแมนจะเคลื่อนที่ได้เพียงสองทิศทางคือซ้ายและขวา ในขณะที่คู่ต่อสู้กลับมีพื้นที่กว้างขวาง ทำให้การหลบหลีกทำได้ยาก แต่ร็อคแมนก็มีความสามารถใหม่ๆ โดยสามารถบล็อกการโจมตีจากคู่ต่อสู้และล็อกทิศทางสำหรับโจมตีได้ ร็อคแมนจะมีพลังชีวิต (HP) เป็นตัวเลข โดยถ้าถูกโจมตี พลังชีวิตก็จะลดลง และร็อคแมนจะตายเมื่อพลังชีวิตลดลงเป็นศูนย์ ทำให้เกมโอเวอร์ แต่ร็อคแมนก็สามารถฟื้นพลังชีวิตได้โดยวิธีต่างๆ ทั้งระหว่างการต่อสู้และหลังการต่อสู้", "title": "ริวเซย์โนะร็อคแมน (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "279161#0", "text": "ร็อคแมนเอ็กเซ่ โอเพอร์เรท ชู้ตติ้งสตาร์ () เป็นวิดีโอเกมซีรีส์ร็อคแมนผลิตโดยบริษัทแคปคอม โดยภาคนี้ได้นำแบทเทิลเน็ตเวิร์ค ร็อคแมนเอ็กเซ่ จากวิดีโอเกมซีรีส์ร็อคแมนเอ็กเซ่มาทำใหม่ในรูปแบบวิดีโอเกมนินเทนโด ดีเอส และได้เพิ่มเนื่อหาที่เชื่อมโยงกับซีรีส์ริวเซย์โนะร็อคแมนด้วย วางจำหน่ายเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ที่ประเทศญี่ปุ่นในเกมนี้ได้นำแบทเทิลเน็ตเวิร์ค ร็อคแมนเอ็กเซ่มาปรับปรุงรูปแบบใหม่โดยปรับปรุงภาพตัวละครและในช่วงต่อสู้โดยได้เพิ่มส่วนปุ่มการต่อสู้โดยเฉพาะปุ่ม L เป็นปุ่มหนีการโจมตีไวรัส (ในภาคแรกนั้นยังไม่ใช้ปุ่ม L ในการหนีไวรัสแต่จะมีชิป Escape ซึ่งทำหน้าที่ในการหลบหนีไวรัส) และได้เพิ่มแบทเทิลชิปที่ปรากฏในภาคนี้ด้วยและโปรแกรมแอควานซ์เพิ่มใหม่อีกทั้งได้เพิ่มรหัสของชิปตัว \"*\" (แต่เดิมนั้นไม่มี) อีกด้วย นอกจากนี้ในเกมได้เพิ่มจอส่วนล่างเป็นแผนที่ของแอเรียต่างๆอีกด้วย\nสตาร์โคลอสเซียม เป็นเกมพิเศษเฉพาะ โดยผู้เล่นสามารถเล่นได้ 1 หรือ 6 คนก็ได้โดยจากการค้นหาสัญญาณ Wi-Fi ในเกม โดยผู้เล่นจะเลือกตัวละครทั้ง 3 ได้แก่ ร็อคแมนเอ็กเซ่, บลูส์ และ ริวเซย์โนะร็อคแมน และจากนั้นเลือกฉากสนามต่อสู้โดยสู้กับฟอร์เต้โดยมีเวลาจำกับคือ 4 นาทีซึ่งผู้เล่นจะต้องโค่นฟอร์เต้ลงโดยในเกมนี้มีโอกาสในการแพ้เพียง 2 ครั้ง", "title": "ร็อคแมนเอ็กเซ่ ออพพะเรท ชู้ตติ้งสตาร์" }, { "docid": "787954#1", "text": "โคลแมน มีชื่อเต็มว่า คริสโตเฟอร์ แพทริก โคแมน (Christopher Patrick Coleman) เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1970 ที่เมืองสวอนซี ประเทศเวลส์ ขณะเป็นนักฟุตบอลเล่นในตำแหน่งกองหลังให้กับหลายสโมสรในระดับพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้ง แมนเชสเตอร์ซิตี, สวอนซีซิตี, คริสตัลพาเลซ, แบล็กเบิร์นโรเวอส์ และฟูลัม", "title": "คริส โคลแมน" }, { "docid": "140758#5", "text": "ริวเซย์โนะร็อคแมน ริวเซย์โนะร็อคแมน ไทรบ์", "title": "ริวเซย์ โนะ ร็อคแมนซีรีส์" }, { "docid": "140758#1", "text": "ชื่อภาษาอังกฤษของริวเซย์โนร็อคแมนอย่างเป็นทางการคือ ชู้ตติ้งสตาร์ร็อคแมน (Shooting Star Rockman)", "title": "ริวเซย์ โนะ ร็อคแมนซีรีส์" } ]
408
แม่น้ำไนล์ยาวเท่าไหร่ ?
[ { "docid": "32318#0", "text": "แม่น้ำไนล์ (Arabic: النيل‎ อันนีล; English: Nile) เป็นแม่น้ำใน ทวีปแอฟริกา เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก โดยถูกค้นพบแหล่งต้นน้ำใหม่ที่ทำให้มีความยาวกว่าเดิมเมื่อไม่นานมานี้ โดยแม่น้ำไนล์มีความยาวทั้งสิ้น 6,695 กิโลเมตร[1]", "title": "แม่น้ำไนล์" } ]
[ { "docid": "510716#7", "text": "เริ่มแรกขุนพิทักษ์ไม่ได้สนใจชุ่มเท่าไหร่ แต่นานวันเข้าความซื่อ ไร้เดียงสาของชุ่ม ทำให้ขุนพิทักษ์หลงรักอย่างไม่รู้ตัว", "title": "บ่วงบาป" }, { "docid": "870747#1", "text": "ในเนื้อเพลง ความอ่อนแอ (Feeling) ชื่อภาษาอังกฤษ (Feeling) ซึ่งเกี่ยวโยงกับเพลง “ความรู้สึกของวันนี้\" (Felt) ด้วยพวกเราทั้ง 4 คนดูแล้วน่าจะไม่เหมาะกับคำว่า “ความอ่อนแอ” เท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วคนที่ดูแข็งแรงเวลาอ่อนแอจะยิ่งเป็นหนักกว่าคนทั่วไปเสียอีก", "title": "ความอ่อนแอ" }, { "docid": "7998#4", "text": "\"ความอดทนและอดกลั้น ต่ออุปสรรคและการดูถูกเหยียดหยาม เป็นเสมือนเสื้อกันความหนาวให้กับเรา อากาศยึ่งเย็นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อปกป้องตัวเองมากยึ่งขึ้นเท่านั้น...\"", "title": "เลโอนาร์โด ดา วินชี" }, { "docid": "569316#11", "text": "อย่างไรก็ตาม ในสมัยก่อน สโมสรเจลีกไม่ค่อยจะจริงจังกับการแข่งชันเอเชียนแชมเปียนส์ลีกเท่าไหร่นักเนื่องจากต้องเดินทางไกลและคุณภาพของทีมที่ต้องแข่งด้วยนั้นยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ในปี 2008 มีทีมญี่ปุ่นผ่านเข้าไปสู่รอบก่อนรองชนะเลิศถึง 3 ทีมด้วยกัน", "title": "เจลีก ดิวิชัน 1" }, { "docid": "17455#7", "text": "มีผมที่ยาวขึ้น ไม่มีคิ้ว มีนัยน์ตาเป็นสีฟ้า และมีสายฟ้ารอบตัว เป็นร่างที่พัฒนามาจากซุปเปอร์ไซย่า 2 โดยร่างนี้เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนัก โดยจะมีพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นจากเดิม 400 เท่า เป็นร่างที่ใช้พลังงานมากและร่างกายจะได้รับภาระอย่างหนัก จึงไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ โดยจะปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงที่สู้กับจอมมารบู", "title": "ซง โกคู" }, { "docid": "616289#3", "text": "เคเบิลได้พลังจิตมาจากแม่ แต่เขาไม่สามารถใช้งานมันได้อย่างเต็มที่เท่าไหร่ หากเขายังมีทักษะการต่อสู้อันสุดยอดอยู่ และเขาชอบใช้อาวุธล้ำสมัยจากโลกอนาคตเสมอ", "title": "เคเบิล" }, { "docid": "901764#4", "text": "ไม่ว่าระยะจะห่างไปเท่าไหร่ แต่ความสว่างของแสงรวมจะยังคงมีค่าเท่าเดิมตามระยะทาง ซึ่งหมายความว่า แสงแต่ละชั้นจะมีการเพิ่มความสว่างขึ้นมาเรื่อย ๆ และยิ่งมีชั้นเป็นอนันต์ ท้องฟ้ายามค่ำคืนจึงควรที่จะสว่าง", "title": "ปฏิทรรศน์ของออลเบอร์" }, { "docid": "5256#37", "text": "ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่ และกองโจรก็หมดไปในที่สุด", "title": "ประวัติศาสตร์ไทย" }, { "docid": "530146#1", "text": "มาถึงวันนี้สี่หนุ่มมาแรงที่เลือกใช้ชื่อวงเท่ๆ ว่า \"PRINCE\" (พริ้นซ์) ก็เริ่มถูกจับตาตั้งแต่ยังไม่ออกอัลบั้มไปซะแล้ว กับซิงเกิ้ลฮอตติดชาร์ทเพลง \"จับตาดูให้ดีดี\"'กับวลีเด็ดที่ล่าสุดแฟนเพลงร้องตามกันได้กระหึ่มคอนเสิร์ต \"จับตาดูให้ดีดี ให้ดีดี ว่าเขาเป็นยังไง เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเขารักเธอเท่าไหร่ อยากฝากเท่านี้\"'", "title": "พริ้นซ์" }, { "docid": "13734#22", "text": "กับผู้ชายคนอื่น เธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่และมักใช้คนเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะเรียวกะ กับ คุโน่ ทาเทวากิ ใครขวางเธอกับรันม่าเธอก็จะอัดโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่กับรันม่าจัมปูขี้อ้อน เอาอกเอาใจเก่ง ซึ่งแม้ว่าจัมปูจะพยายามเท่าไหร่ รันม่าก็ไม่ชอบนิสัยขี้ตื้อของจัมปูเท่าไหร่นัก ส่วนมากจะใช้จัมปูเป็นเครื่องมือทำให้อากาเนะหึง เมื่อหมดความอดทนเธอก็จะใช้กำลังหรืออุบายกับรันม่าแทน", "title": "รันม่า ½" }, { "docid": "28224#1", "text": "จีดีพีแบบความเสมอภาคของอำนาจซื้อ จะสะท้อนว่าประเทศนั้นๆได้ผลิตสินค้าและบริการรวมกันมากน้อยแค่ไหนหากใช้ราคาสินค้าและบริการในสหรัฐอเมริกาเป็นฐานในการคำนวณ อาทิ ประเทศไทยผลิตน้ำตาลในหนึ่งปีได้หนึ่งแสนตัน การคำนวณแบบ PPP จะไม่สนว่าหนึ่งแสนตันนี้จะจำหน่ายในประเทศและส่งออกได้เงินเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่เราจะสนว่าราคาน้ำตาลในสหรัฐอเมริกาเป็นเท่าไหร่แล้วจึงนำราคานั้นมาคำนวณมูลค่า ก็จะได้เป็น PPP จากภาคอุตสาหกรรมน้ำตาลของไทย", "title": "ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ" }, { "docid": "205819#1", "text": "สิ่งเดียวที่เป็นงานหลักที่สามีฝากไว้ให้เธอจำใจต้องทำให้ ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไหร่ นั่นคือการเลี้ยงเต่าชื่อ คาเมะทาโร่ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของสามี", "title": "Kame Wa Igai To Hayaku Oyogu" }, { "docid": "51672#11", "text": "ปี 2543 อัลบั้มที่สาม \"X-Ray\" (เอกซ์-เรย์) ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มคือ \"จะรักกันนานเท่าไหร่ (I love you)\" เป็นเพลงที่แฟนเพลงให้การต้อนรับมากที่สุดจากอัลบั้มนี้", "title": "โฟร์กอตเทน" }, { "docid": "498758#2", "text": "ในปี ค.ศ. 2012 สมาคมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยทะเลได้ยอมรับให้เป็นชนิดใหม่ต่างหากโดยเริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 อย่างไรก็ตามโลมาชนิดนี้มักไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน ประธานาธิบดีเอโบ โมราเลส แห่งโบลิเวีย ได้ออกกฎหมายคุ้มครองโลมาแม่น้ำโบลิเวียให้เป็นสมบัติของชาติ", "title": "โลมาแม่น้ำโบลิเวีย" }, { "docid": "148545#9", "text": "แผ่นไม้ในปัจจุบันมีประโยชน์ต่อนักประวัติศาสตร์ศิลปะมากกว่าวัสดุชนิดอื่น และราวสองสามทศศตวรรษที่ผ่านมาแผ่นไม้ก็สามารถบอกข้อมูลได้หลายอย่าง ทำให้เราพบว่าบางภาพมิใช่ของแท้ หรืออายุของภาพไม่ตรงกับช่วงปีสันนิษฐานกันมาก่อน นักวิชาการสามารถบอกได้ว่าเป็นพันธุ์ไม้ชนิดใด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าภาพนั้นวาดที่ไหน โดยใช้การวัดอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี ซึ่งผลที่ออกมาจะครอบคลุมช่วงระยะเวลาประมาณ บวกลบ 20 ปีจากอายุจริง หรือใช้การวัดอายุจากวงปีของต้นไม้ (dendrochronology) ภาพเขียนอิตาลีมักจะใช้ไม้ท้องถิ่น หรือบางทีก็ใช้ไม้จากบริเวณโครเอเชีย ส่วนใหญ่จะเป็นไม้พอพพลา แต่บางที่ก็ใช้เกาลัด, วอลนัท, โอ๊ค หรืออื่น ๆ เนเธอร์แลนด์ไม่ค่อยมีไม้ที่เหมาะสมในท้องถิ่นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 งานเขียนสำคัญ ๆ สมัยเนเธอร์แลนด์ตอนต้นจะเป็นไม้โอ๊คบอลติค โดยเฉพาะจากประเทศโปแลนด์เหนือเมืองวอร์ซอ และนำล่องแม่น้ำข้ามทะเลบอลติคมายังเนเธอร์แลนด์ ทางด้านใต้ของประเทศเยอรมนีจิตรกรมักจะใช้ไม้สน และมาฮ็อกกานีนำเข้า \nการวัดอายุจากวงปีของต้นไม้จะบอกได้ว่า ไม้ถูกโค่นเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องบวกเวลาการทิ้งไม้ไว้ให้แห้งได้ที่ ซึ่งก็เป็นเวลาหลายปี หรือแผ่นไม้อาจจะมาจากกลางลำต้นทำให้ขาดวงปีวงนอก ๆ ออกไป ฉะนั้นการวัดอายุวิธีนี้จึงเป็นเพียงการบอกได้แค่ \"เวลาที่เก่าที่สุดเท่าที่จะบอกได้\" (terminus post quem) เป็นการประมาณเวลา ซึ่งอาจจะแตกต่างจากเวลาจริงไปถึงยี่สิบปีหรือมากกว่านั้น", "title": "จิตรกรรมแผง" }, { "docid": "901600#1", "text": "ดร.แบรนแนน ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงกระดูก เพียงแค่เห็นโครงกระดูกก็สามารถระบุได้ว่าเป็นเพศชายหรือว่าหญิง ช่วงอายุ เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ วันหนึ่ง ดร.แบรนแนน ได้เข้าร่วมทีมสอบสวนคดีฆาตกรรมต่างๆกับเจ้าหน้าที่บูธซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ของทาง FBI โดยเจ้าหน้าที่บูธนั้น ต้องการความสามารถของ ดร.แบรนแนน มาช่วยในการวิเคราะห์ เพศ วัย ช่วงเวลาการเสียชีวิต สาเหตุการเสียชีวิต รวมไปถึงระบุข้อมูลคร่าวๆ ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เพื่อให้ทาง FBI นั้นสามารถหาได้ว่ามีใครบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนั้นๆ", "title": "พลิกซากปมมรณะ" }, { "docid": "204546#7", "text": "แต่เมื่อภาพยนตร์เข้าฉาย ปรากฏว่าชยามาลานพยายามที่จะดำเนินเรื่องราวด้วยวิธีการตามแบบ \"The Sixth Sense\" ที่แม้แต่ให้นักแสดงคนเดิม คือ บรูซ วิลลิส รับบทนำและมีตัวละครเด็กผู้ชาย อย่าง โจเซฟ คล้ายกับ โคล เซียร์ ใน \"The Sixth Sense\" แต่ \"Unbreakable\" ทำได้น่าเบื่อและไม่น่าติดตามเท่า อีกทั้งการหักมุมตอนท้ายเรื่องก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเท่าที่ควร ทำให้เสียงวิจารณ์ออกมาในลักษณะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยบรูซ วิลลิส มีบทรับเชิญท้ายเครดิตของหนังเรื่อง split และ glass จะเป็นการมาเจอกันอีกครั้งของ บรูซ วิลลิส และ ซามูเอล แอล แจ็กสัน และ เจมส์ แม็คอวอย มาร่วมกันแสดงด้วยกัน", "title": "เฉียดชะตา...สยอง" }, { "docid": "288679#5", "text": "\"...คงจะไม่ใช่การปลดฟ้าผ่า คงจะเป็นการเอาไปเก็บไว้ชั่วคราวไว้ก่อน จากการที่มีคนเขียนจดหมายเข้ามาว่า จ่าเฉยยืนอยู่ จ่าจริงไม่มา ใหม่ ๆ ก็อาจเป็นไปได้ว่า หุ่นยืนอยู่ คนผ่านไปมาอาจจะตกใจ แต่หลังจากนาน ๆ เข้า คนเริ่มคุ้นว่าจ่าเฉยยืนอยู่ จ่าจริงก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่\"\"", "title": "จ่าเฉย" }, { "docid": "37703#3", "text": "หลังจากที่เข้าร่วมอย่างไม่ค่อยเต็มในเท่าไหร่ เธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปและเต็มใจจะอยู่กับฝ่ายนี้ในท้ายที่สุด เธอประมือกับทีม X-Men เธอเคยลอบสังหาร วุฒิสมาชิกเคลลี่ ด้วยแต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายดีทุกครั้ง แต่ยิ่งเธอใช้พลังมากเท่าไหร่ จิตใจของโร้คก็ยิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่เธอต้องเข้าพบจิตแพทย์ ฟางเส้นสุดท้ายของเธอกับมิสทีคขาดสะบั้นลง เมื่อโร้คตาสว่างพบว่าแท้จริงแล้วนี่คือแผนร้าย ที่อีกฝ่ายตั้งใจหลอกใช้กันมาตลอด เธอจึงหันหน้าเข้าหาศาสตราจารย์ทเอ็กซ์ และพลพรรคเอ็กซ์ทีม ขอร้องให้เธอควบคุมพลังให้ได้เสียที", "title": "โร้ค" }, { "docid": "321339#7", "text": "ปูทะเลเป็นที่นิยมรับประทานอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเวลาที่กำลังลอกคราบเพราะเนื้อปูจะนิ่ม กระดองยังไม่แข็งเท่าไหร่ ซึ่งเรียกว่า \"ปูนิ่ม\"", "title": "ปูทะเล" }, { "docid": "139528#4", "text": "ปี 2525 อัลบั้มชุดแรก \"รักปักใจ\" ในนามวง \"สาว สาว สาว\" กับสังกัดรถไฟดนตรีและจัดจำหน่ายโดยอีเอ็มไอ (ประเทศไทย) ซึ่งมีเพลงแนะนำคือ “แพะยิ้ม” อัลบั้มชุดนี้เป็นการนำเอาเพลงเก่ามาทำใหม่ และไม่เหมาะกับวัยของ 3 สาวเท่าไหร่นัก ชื่อเสียงของ “สาว สาว สาว” เลยไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ระบบในสมัยนั้นตัวเพลงจะทำหน้าที่ขายตัวเองมากที่สุดโดยไม่มีปัจจัยอื่นมาสนับสนุน ประกอบกับภาพลักษณ์ของทางวงไม่ชัดเจน", "title": "เสาวลักษณ์ ลีละบุตร" }, { "docid": "18559#2", "text": "ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีโบราณของอินเดียที่ประเทศไทยรับเข้ามาปฏิบัติ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่ปรากฏกล่าวได้ว่ามีมาตั้งสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนามีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา (แม่น้ำนัมมทา เป็นแม่น้ำที่คู่ขนานกับทิวเขาวินธัย ไหลลงภาคตะวันตกของอินเดียแบ่งเขตอินเดียออกเป็นภาคเหนือและภาคใต้) ", "title": "วันลอยกระทง" }, { "docid": "363264#7", "text": "Storage การจัดเก็บเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต้องคำนึงว่า เก็บที่ไหน นานเท่าไหร่ หรือการเปลี่ยนที่อยู่ของเอกสารไปเก็บอีกที่หนึ่งเกี่ยวข้องกับ (Hierarchical storage management) และ การทำลายเอกสาร", "title": "ระบบการจัดการเอกสาร" }, { "docid": "291061#8", "text": "มิเลแบ่งการเขียนภาพ “โอฟีเลีย” เป็นสองขั้น: ขั้นแรกเขียนภูมิทัศน์และขั้นที่สองเขียนตัวโอฟีเลีย เมื่อพบฉากที่ต้องการแล้วมิเลก็นั่งเขียนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฮอกสมิลล์—ไม่ไกลจากที่พักของเพื่อนร่วมกลุ่มนิยมแบบก่อนราฟาเอล วิลเลียม โฮลแมน ฮันท์ เพียงไม่เท่าไหร่—11 ชั่วโมงต่อวัน, หกวันต่อหนึ่งสัปดาห์ เป็นเวลากว่าห้าเดือนในปี ค.ศ. 1851", "title": "โอฟีเลีย (มิเล)" }, { "docid": "911520#54", "text": "แฮมสเตอร์พี่เลี้ยงของฮักตัน พูดสำเนียงคันไซ เป็นผู้สอนฮานะและทุกคนเกี่ยวกับพริตตี้เคียวแต่ดูจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้", "title": "ฮักโตะ! พรีเคียว" }, { "docid": "824091#0", "text": "รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่ เป็นละครโทรทัศน์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ บทประพันธ์ของ นุกูล บุญเอี่ยม, วัชระ ปานเอี่ยม บทโทรทัศน์โดย พิสุทธิ์ แพร่แสงเอี่ยม กำกับการแสดงโดย นุกูล บุญเอี่ยม ผลิตโดย บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัดออกอากาศทุกวันเสาร์–อาทิตย์ เวลา 11.00–11.45 น. ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย เคลลี่ ธนะพัฒน์, น้ำฝน โกมลฐิติ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย", "title": "รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่" }, { "docid": "33611#2", "text": "อียิปต์ ตามความหมายที่เฮโรดอท นักเดินทางชาวกรีกให้ไว้ หมายถึง ของขวัญจากแม่น้ำไนล์ อียิปต์ ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ (เรียกว่าดินดำ) อยู่ระหว่างที่ราบสูงที่เป็นทะเลทราย ทางเหนือของทวีปแอฟริกา แม่น้ำไนล์ยาวประมาณ1,000 กม. ต้นแม่น้ำมาจากทะเลสาบในประเทศเอธิโอเปียทางตะวันออก และทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์เป็นทะเลทราย (เรียกกันว่าดินแดง) ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินมาจากแม่น้ำไนล์ไหลผ่านภูเขาที่เต็ม ไปด้วยแร่ธาตุจากเอธิโอเปียจนถึงอียิปต์และมาท่วมล้นฝั่ง ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม น้ำนำโคลนตมที่อุดมสมบูรณ์มาให้", "title": "อียิปต์โบราณก่อนยุคราชวงศ์" }, { "docid": "578978#4", "text": "เริ่มมีผลงานเพลงตั้งแต่ปี 2538 โดยวงที-สเกิ๊ตนั้น ประกอบสมาชิก 3 คนด้วยกัน คือ อัสมา กฮาร (มาร์) ดวงพร สนธิขันธ์ (จอย) และ ธิติยา นพพงษากิจ (กิ๊ฟท์) มีผลงาน 2 อัลบั้มเต็ม และ 1 อัลบั้มพิเศษก่อนที่ทางค่ายคีตา เรคคอร์ดส จะปิดตัวลงไปเมื่อปี 2539 ผลงานเด่นคือเพลง ไม่เท่าไหร่, เจ็บแทนได้ไหม, ฟ้องท่านเปา, เรื่องมันเศร้า และเพลง ทักคนผิด เป็นต้น ผลงานอัลบั้มชุดแรกชื่อว่า \"T-Skirt\" ออกวางจำหน่ายกลางปี 2538 โดยรายชื่อเพลงมีดังนี้ 1.ไม่เท่าไหร่ 2.เจ็บแทนได้ไหม 3.เรื่องมันเศร้า 4.อย่าเล่นอย่างนี้ 5.ทักคนผิด 6.ฟ้องท่านเปา 7.วันที่ไม่เหงา 8.ทำให้เสร็จ 9.ซึ้ง ๆ หน่อย 10. เพื่อนกัน", "title": "อัสมา กฮาร" }, { "docid": "135543#0", "text": "ผู้หญิง คือมนุษย์เพศหญิง โดยมากมักใช้ในความหมายของผู้ใหญ่ แต่ก็มีความหมายถึงการระบุแยกแยะว่าเป็น มนุษย์เพศหญิง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ผู้หญิงจะมีโครโมโซม XX ในขณะที่ผู้ชายจะมีโครโมโซม XY", "title": "ผู้หญิง" }, { "docid": "9919#1", "text": "ตัวเลขดรรชนีหักเหนั้นโดยทั่วไปมีค่ามากกว่าหนึ่ง โดยยิ่งวัสดุมีความหนาแน่นมากเท่าไหร่ แสงก็จะเดินทางได้ช้าลงเท่านั้น", "title": "ดรรชนีหักเห" } ]
2329
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยประกาศใช้เมื่อไหร่?
[ { "docid": "671#4", "text": "ก่อนหน้าการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญใช้ในการปกครองประเทศ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์และประมุขฝ่ายบริหาร ในปี พ.ศ. 2475 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์อักษร โดยคาดว่าจะเป็นแนวปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในการปกครองประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นระหว่างกลุ่มมีอิทธิพล จึงได้เกิดรัฐประหารขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2477 รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการฉบับแรกของประเทศถูกยกเลิก และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "142983#3", "text": "จากนั้นคณะบริหารประเทศชั่วคราวได้สั่งยกเลิกรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2492 หันกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกมาใช้แทน ซึ่งการรัฐประหารครั้งนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการกระทำที่ประหลาดที่สุดในโลก และเป็นเหตุให้พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศคว่ำบาตรรัฐบาลทุกประการ เช่น ไม่ร่วมเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2495 เป็นต้น", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2494" }, { "docid": "69653#11", "text": "รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยชื่อว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475” จากนั้น ราชอาณาจักรไทยก็ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาตามลำดับ ดังนี้หากแบ่งกลุ่มรัฐธรรมนูญด้วยการวัดที่ระดับการเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติ จะสามารถแบ่งได้เป็นสามกลุ่มดังนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบางฉบับมีการให้อำนาจฝ่ายบริหารโดยไม่มีการถ่วงดุล ทำให้ฝ่ายบริหารมีความเฉียบขาดในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดความฉับไวในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน แต่ก็นำมาซึ่งการใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิดโดยมีการสั่งลงโทษประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปแล้วเป็นจำนวนมาก\nมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยถึง 4 ฉบับที่มีบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งในฉบับต่อๆ มานั้นหมายเลขมาตราได้เลื่อนไป แต่ผู้คนก็ยังนิยมกล่าวถึงกรณีการใช้อำนาจเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรีว่า \"ใช้อำนาจตามมาตรา 17\"", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" } ]
[ { "docid": "69653#6", "text": "รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบางฉบับใช้บังคับเป็นเวลานาน เช่น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ซึ่งเกิดขึ้นจากรัฐประหารจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ใช้บังคับเป็นเวลา 9 ปีเศษ แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับใช้บังคับในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีหลักการสอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองซึ่งไม่ได้อยู่ในมือของประชาชนอย่างแท้จริง ทว่าตกอยู่ในมือของกลุ่มข้าราชการประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทหารระดับสูง ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรจึงมักถูกยกเลิกโดยรัฐประหาร โดยคณะผู้นำทางทหาร เมื่อคณะรัฐประหาร ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดอำนาจได้สำเร็จก็จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มุ่งใช้บังคับถาวรแล้วก็จะมีการเลือกตั้ง และตามด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศไปได้ระยะหนึ่งก็จะถูกรัฐประหาร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พร้อมทั้งจัดให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใหม่อีก หมุนเวียนเป็นวงจรการเมืองของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนับหลายสิบปี นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "741532#20", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มอบ \"ข้อสังเกตพระราชทาน\" และให้รัฐบาลแก้ให้เป็นไปตามข้อสังเกตดังกล่าวจำนวน 3 มาตรา ได้แก่มาตรา 5 มาตรา 17 และมาตรา 182ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนที่กษัตริย์มอบข้อสังเกตพระราชทานและมีพระราชกระแสรับสั่งให้แก้ไขตามพระราชประสงค์ อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขภายหลังการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559 ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังได้อ้างถึงอำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560" }, { "docid": "346424#11", "text": "หลังจากรัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ใน ร.ศ. 127 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2451 ก็ได้กฎหมายลักษณะอาญาเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของประเทศและประกาศใช้ในปีนั้นเอง ครั้นแล้ว ก็เริ่มร่างและประกาศใช้ประมวลกฎหมายฉบับที่สอง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบริบูรณ์ใน พ.ศ. 2477 อันเป็นช่วงหลังปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 แล้ว กินระยะเวลาตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายลักษณะอาญาจนถึงใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้พร้อมมูล มากกว่าสามสิบปี", "title": "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ประเทศไทย)" }, { "docid": "965695#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 ของไทย โดยหากเทียบรัฐธรรมนูญสี่ฉบับก่อนหน้าถือได้ว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุด จัดร่างโดยสภาผู้แทนราษฎร และประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารตนเอง รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี เศษ\nรัฐธรรมนูญฉบับนี้ อำนาจนิติบัญญัติ ให้มีรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนวุฒิสภาโดยกำหนดให้มีสมาชิกในสภานี้ทั้งสิ้น 100 คน", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492" }, { "docid": "671#6", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หรือที่เรียกกันว่า \"รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน\" ได้มีการประกาศใช้หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535) อย่างไรก็ตาม มีการอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เป็นต้นเหตุของความยุ่งยากทางการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความโดดเด่นในด้านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับความเป็นประชาธิปไตยในตัวกฎหมาย นอกจากนี้ยังบัญญัติให้สมาชิกของทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด มีการรับรองสิทธิมนุษยชนจำนวนมากตามกฎหมาย และมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะที่มีการจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญขึ้นเพื่อตรวจสอบฝ่ายบริหารเป็นครั้งแรก เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "23112#11", "text": "นับจากวันที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้น 20 ฉบับ ฉบับปัจจุบันคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จำนวน 279 มาตรา ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2550 เป็นฉบับแรกใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10)", "title": "รัฐธรรมนูญ" }, { "docid": "121276#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 ของไทย จัดร่างโดยสภาผู้แทนราษฎร และประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 โดยรัฐประหารของคณะรัฐประหารอันมี พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ นายทหารกองหนุน เป็นหัวหน้า รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 5 เดือน 28 วัน\nรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มีพฤฒิสภา (วุฒิสภา) ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยกำหนดให้มีสมาชิกในสภานี้ทั้งสิ้น 80 คน", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489" }, { "docid": "109228#1", "text": "พระราชบัญญัติธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกในประวัติศาสตร์ไทย ร่างขึ้นโดยแกนนำสำคัญภายในคณะราษฎร โดยในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ กลับพระนคร และในวันเดียวกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้คณะราษฎรเข้าเฝ้าฯ และทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาสมาชิกคณะราษฎร นอกจากนี้คณะราษฎรยังถวายร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามด้วย แต่พระองค์ทรงขอตรวจร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวก่อน ซึ่งพระองค์ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยในวันรุ่งขึ้น โดยทรงพระอักษรกำกับต่อท้ายชื่อพระราชบัญญัตินั้นว่า \"ชั่วคราว\" สืบเนื่องมาจากพระองค์ทรงเห็นว่าหลักการประชาธิปไตยของผู้ก่อการฯ ไม่พ้องกันกับพระประสงค์ของพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยเพราะเหตุการณ์ฉุกเฉินในขณะนั้น", "title": "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475" } ]
674
โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน ตัวละครทั้ง 4 นี้ได้ถอดแบบมาจากพิธีกรรายการ อะไร?
[ { "docid": "124482#1", "text": "โฟร์แองจี เป็นชื่อกลุ่มที่ประกอบด้วยเด็กหญิง 4 คน ได้แก่ ปุ้ย ไก่จัง นิน่า และ กาละแมร์ ตัวละครทั้ง 4 นี้ได้ถอดแบบมาจากพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ซึ่งเป็นรายการที่ออกอากาศทางช่อง 3 โดยตัวละครแต่ละตัวจะใช้ชื่อเล่นของพิธีกรแต่ละคน อุปนิสัยของตัวละครก็เช่นกัน ล้วนแต่มีที่มาจากพิธีกรทั้ง 4 คนด้วย[1]", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" } ]
[ { "docid": "124482#12", "text": "ไก่จังเป็นเด็กหญิงชั้นประถม หนึ่งในสมาชิกของ “โฟร์แองจี” เธอมีนิสัยเรียบร้อย อ่อนหวาน ในเทอมแรกเธอกลัวตุ๊กตาหมีเป็นที่สุด เพราะตอนเป็นเด็กเล็กเคยถูกตุ๊กตาหมีตัวใหญ่หล่นทับ เวลาเจอตุ๊กตาหมีมักจะเป็นลม แต่ในเทอม 2 ความกลัวตุ๊กตาหมีได้หายไปเพราะถูกหมีแพนด้าช่วยเอาไว้ ทำให้เธอคิดว่าหมีไม่ได้น่ากลัวอะไร", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#14", "text": "นิน่า เป็นตัวการ์ตูนจากเรื่อง “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์” ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#17", "text": "ในเทอม 2 เธอได้เข้าร่วมขบวนการ “สี่อภินิหาร” ของกัปตันเจ และได้รับการฝึกฝนจากกัปตันเจ ทำให้เธอสามารถควบคุมท่า “พายุนิน่า” ได้สำเร็จ", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#13", "text": "เธอมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งคือ “พลังเนตรสลายใจ”[10] เวลาที่ใครสบตากับเธอจะทำให้เกิดเคลิบเคลิ้ม และทำตามคำพูดของเธอทุกอย่าง ด้วยพลังนี้นี่เองทำให้เธอได้เข้าร่วมขบวนการ “สี่อภินิหาร” ของกัปตันเจ แต่ว่าในเทอม 2 เธอติดละครเรื่อง “เจ้าหญิงโซอิน” ทำให้เธอใช้พลังนี้ไม่ได้ดั่งใจ", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#21", "text": "กัปตันเจ/ครูแจ้ กัปตันเจออกโรงครั้งแรกในตอนท้ายของเทอม 1 แต่มามีบทบาทเอาเทอม 2 เขาเป็นมนุษย์ดาวอังคารคนสุดท้ายที่รอดจากการทำลายล้างของพ่อมดดูฮู หลังจากที่บ้านเกิดของเขาถูกทำลายลงไปแล้ว เขาก็ได้มาแฝงตัวอยู่ในโลกมนุษย์ และได้เป็นครูที่โรงเรียนประถมแองเจิลโดยใช้ชื่อว่า “นายดนุพร แก้วจาน หรือ ครูแจ้” เพื่อเฝ้ารอการมาของพ่อมดดูฮู และดำรงอยู่ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่คอยพิทักษ์โลก ในตอนที่เขาต่อสู้กับพ่อมดดูฮูนั้น เข็มขัดของเขาเกิดเสีย ทำให้เขาใช้พลังไม่ได้ เขาจึงตั้งขบวนการ “สี่อภินิหาร” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกของ “โฟร์แองจี” ทั้ง 4 คน ในยามปกตินอกจากเป็นครูแล้ว เขายังเปิดร้านขายหนังสืออีกด้วย ซึ่งร้านขายหนังสือนี้ใช้เป็นฐานลับของเขากับขบวนการสี่อภินิหาร กัปตันเจเห็นนิน่าเป็นคนดีมีนิสัยอ่อนโยน ก็เลยแต่งตั้งเธอให้เป็นหัวหน้า", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#31", "text": "หมวดหมู่:การ์ตูนไทย หมวดหมู่:แอนิเมชันไทย", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#20", "text": "ในเทอม 2 เธอได้เข้าร่วมขบวนการ “สี่อภินิหาร” ของกัปตันเจ โดยที่กัปตันเจไม่อยากรับเข้าเป็นสมาชิก แต่ด้วยลูกตื้อของกาละแมร์ที่ต้องการเข้ากลุ่มให้ได้ กับทั้งความสามารถที่เพิ่มขึ้น ทำให้กัปตันเจต้องยอมให้เธอเข้าร่วมขบวนการด้วย", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#11", "text": "ไก่จัง[9] (Kai) เป็นตัวการ์ตูนที่อยู่ใน “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “มีสุข แจ้งมีสุข” ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#29", "text": "น้องไอติม น้องไอติมเป็นเด็กเล็ก ชอบกินไอติมเป็นที่สุด บุคลิกของน้องไอติมจะถือแท่งไอติมตลอดเวลา เวลาพูดจะพูดออกเสียงอู้อี้ ด้วยความเป็นเด็กเล็กก็เลยมักถูกพวก X-4 รังแกเป็นประจำ แต่ก็มีพวกโฟร์แองจีมาช่วยประจำเหมือนกัน", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#15", "text": "นิน่าเป็นเด็กหญิงชั้นประถม หนึ่งในสมาชิกของ “โฟร์แองจี” เธอมีนิสัยเรียบร้อย มีความรับผิดชอบสูง ทำให้เธอได้รับความไว้วางใจจากครูและเพื่อนๆให้เป็นหัวหน้าห้อง เธอมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาได้ยินเสียงเพลงประเภทเพลงเต้น เธอจะไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้ และได้เกิดท่า “พายุนิน่า” ซึ่งเป็นท่าที่เธอหมุนตัวด้วยความเร็วสูง ถ้าหากไปถูกใครหรือถูกอะไรเข้า ก็จะทำความเสียหายให้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นเพลงช้าจะไม่เป็นไร", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#16", "text": "บุคลิกที่เด่นของนิน่าอีกอย่างก็คือ เธอใช้ผ้าพันคอที่มีสีหลากสี[11] ซึ่งเป็นตัวละครเพียงตัวเดียวที่พันคอด้วยผ้าแบบนี้", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#0", "text": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน เป็นการ์ตูนทีวีแอนิเมชัน 3 มิติ จากประเทศไทย เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กับ บริษัท โฮมรัน เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ผลิตแอนิเมชันโดย บริษัท อัญญาแอนิเมชัน จำกัด (Anya Animation) ออกฉายครั้งแรกที่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2549", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "51041#4", "text": "นอกจากนี้ พัชรศรียังได้เป็นต้นแบบให้กับการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง \"โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน\" ที่นำบุคลิกของทั้ง 4 สาวจากรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงมาเป็นแบบให้กับตัวการ์ตูน และยังเป็นผู้พากย์บรรยายตอนต้นและตอนจบของการ์ตูนในแต่ละตอนอีกด้วย อีกทั้งยังได้ไปปรากฏตัวในวรรณกรรมไทยเรื่อง The White Road Spirit II วรรณอันดับ 1 Sci-Fi Fantasy เมืองไทย ของ ดร.ป๊อป ในบทตัวละคร\"แมร์\"ปี 2540-2543 ได้เป็นเป็นพิธีกรรายการ\"ดูหนังฟังเพลง\" กับ \"สีสันบันเทิง\" อ่านข่าวช่วง\"เมืองไทยวันนี้\" และ \"เช้านี้ที่ช่อง 3\" เป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุช่วง WOMAN\"S Today ของคลื่นผู้หญิงวันเสาร์-อาทิตย์ ", "title": "พัชรศรี เบญจมาศ" }, { "docid": "124482#10", "text": "ในเทอม 2 เธอได้เข้าร่วมในขบวนการ “สี่อภินิหาร” ของกัปตันเจ", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#30", "text": "ตัวละครในโฟร์แองจี รายการผู้หญิงถึงผู้หญิง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#2", "text": "หลังจากที่ออกอากาศในประเทศไทยมาระยะหนึ่ง โฟร์แองจี ก็ได้ออกอากาศที่ต่างประเทศ โดยทาง \"แชนแนลเจ\" (Canal J) ซึ่งเป็นฟรีทีวีช่องรายการสำหรับเด็กอันดับหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ได้ติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายที่ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศในแถบยุโรปอย่าง ประเทศเบลเยียม และ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[2]", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#3", "text": "สำหรับฝรั่งเศส หลังจากซื้อลิขสิทธิ์ไปออกอากาศ ก็ได้ใช้ชื่อเรื่องว่า \"KaNiKaZo, Super Angies\" โดยทำการเปลี่ยนชื่อตัวละครหลายตัว ชื่อ KaNiKaZo (กานิกาโซ) มาจากชื่อตัวย่อของตัวละครที่ได้รับการเปลี่ยนชื่อแล้ว ได้แก่ Ka</u>mille เปลี่ยนมาจากไก่จัง, Ni</u>non มาจากนิน่า, Ka</u>pucine มาจากกาละแมร์ และ Zo</u>é มาจากปุ้ย[3] เป็นคำที่โฟร์แองจีแสดงอาการดีใจ ซึ่งผิดกับทางของไทยจะใช้คำว่า \"กานิกาปู้\" (KaNiKaPu) มาจากตัวหน้าที่สะกดเป็นอังกฤษของชื่อ ไก่จ้ง (Ka</u>i) ,นิน่า (Ni</u>na) ,กาละแมร์ (Ka</u>lamare) และ ปุ้ย (Pu</u>i)", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#6", "text": "ในเทอมที่ 3 โฟร์แองจีได้ฝันพบกับมนุษย์หิมะ และบอกว่าต้องตามหาโน้ตทั้งเจ็ดที่หายไปจากกล่องดนตรีให้พบเพื่อหยุดความพิโรธของเทพกาย่า", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#18", "text": "กาละแมร์ เป็นตัวการ์ตูนที่อยู่ในเรื่อง “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “พัชรศรี เบญจมาศ” ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#26", "text": "ครูติ๋ม ครูติ๋มเป็นครูสาวใจดี เป็นที่รักของนักเรียน และยังเป็นครูประจำชั้นของโฟร์แองจีอีกด้วย ปกติเธอจะขี้ตกใจ กลัวพวกแมลงต่างๆ แต่ถ้าหากเธอต้องปกป้องลูกศิษย์ล่ะก็ เธอจะกลายเป็นยอดนักสู้ขึ้นมาทันที มีข้อสังเกต ปกติเธอจะใส่แว่นตา แต่พอเธอใส่ชุดพละเธอจะถอดแว่น", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#27", "text": "แพรีส แพรีสเป็นนักเรียนหญิงอยู่ห้องเดียวกับโฟร์แองจี ครอบครัวของเธอร่ำรวย เธอเองก็ชอบอวดความร่ำรวยอยู่เสมอ พูดไทยคำอังกฤษคำ เวลาเธอไปไหนจะมีเพื่อนของเธอสองคน[14]ตามไปด้วยเสมอ แพรีสไม่ค่อยชอบพวกโฟร์แองจีสักเท่าไหร่ แต่ไม่ถึงกับเป็นศัตรู บางครั้งเธอก็เข้าร่วมกับโฟร์แองจี แต่ส่วนใหญ่เธอจะชอบพูดข่มพวกโฟร์แองจี เช่น อวดความร่ำรวยของตัวเอง เป็นต้น", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#22", "text": "X-4 X-4 (อ่านว่า เอ๊ก - โฟ) มาจาก \"X-Tra[12] Ordinary 4\" เป็นกลุ่มแก๊งเด็กนักเรียนชายรุ่นเดียวกับโฟร์แองจี มีสมาชิกทั้งหมด 4 คน ได้แก่ หนึ่ง, สอง, สาม และ สี่ ทั้งหมดหน้าเหมือนกันหมด เวลาดูว่าใครเป็นใครต้องดูที่ทรงผม หากมีแหลมเดียวก็คือ “เจ้าหนึ่ง “ ซึ่งเป็นหัวโจกของกลุ่ม ในกลุ่มนี้มี “เจ้าสี่” เพียงคนเดียวที่ใช้ผ้าปิดปาก ทำให้พูดไม่ถนัด", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#25", "text": "ครูใหญ่ ครูใหญ่ของโรงเรียนประถมแองเจิลไม่ปรากฏชื่อจริงว่าชื่ออะไร เขาเป็นครูที่เข้มงวดมาก รักษากฎอย่างเคร่งครัด ลักษณะภายนอกของเขาเป็นที่เกรงขามของนักเรียน ชอบใส่ชุดลายพราง สวมแว่นตาดำ หากนักเรียนคนไหนถูกเรียกตัวไปที่หอคอยครูใหญ่[13]ละก็ ถือว่าเป็นโชคร้ายของคนนั้น แต่ว่าครูใหญ่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาเป็นคนชอบของเล่นที่สุด และอดใจไม่ได้ที่จะเอามาเล่น แต่นิสัยแบบนี้เขาไม่ต้องการให้ใครรู้เป็นอันขาด ฉะนั้นเขาจึงออกกฎไม่ให้นักเรียนเอาของเล่นมาโรงเรียน เพราะถ้าหากเขาเห็นของเล่นล่ะก็ เขาจะอดใจไม่ไหว และถือโอกาสริบของจากนักเรียนมาเล่นแบบลับๆซะเอง เขาได้ทำห้องลับไว้สำหรับเก็บของเล่นโดยเฉพาะ เมื่อยามว่างเขาก็แอบเข้าไปเล่นอยู่เสมอ แต่โฟร์แองจีก็รู้จนได้", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#8", "text": "ปุ้ย (Pui) เป็นตัวการ์ตูนจากเรื่อง “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “พิมลวรรณ หุ่นทองคำ”[6] ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#23", "text": "X-4 เป็นแก๊งอันธพาลประจำโรงเรียนประถมแองเจิล เป็นคู่ปรับตลอดกาลของพวกโฟร์แองจี มักทำตัวก่อเรื่องวุ่นวายให้เกิดขึ้น แต่ว่าพวกเขาไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรนอกจากหัวคิดที่ขี้โกง ชอบแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า ทั้งยังเป็นนักวางแผนการร้ายตัวยงอีกด้วย", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#19", "text": "กาละแมร์เป็นเด็กหญิงชั้นประถม หนึ่งในสมาชิกของ “โฟร์แองจี” เธอมีนิสัยกระด้าง ไม่เรียบร้อย ชอบใช้กำลัง ชอบพูดเสียงดัง ไม่เกรงกลัวใคร ถือว่าเป็นตัวละครที่เป็นตัวเด่นตัวหนึ่งของโฟร์แองจี เวลาเรียนชอบหลับ ทำให้ได้คะแนนสอบไม่ค่อยดี เธอมีลักษณะอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าเป็นปมด้อย ก็คือ ผิวของเธอนั้นคล้ำ ทำให้ถูกหลายคนล้อ แต่ว่ากาละแมร์มีความสามารถพิเศษ เธอสามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นตัวอักษรที่แข็งได้ และใช้ความสามารถนี้เป็นอาวุธ จนถูกกลุ่ม X-4 ล้อว่า “ยายเสียงแข็ง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#5", "text": "ในเทอม 2 “พ่อมดดูฮู” ต้องการจะทำลายโลก ทำให้ “กัปตันเจ” ซึ่งเป็นมนุษย์จากดาวอังคารคนสุดท้ายที่รอดพ้นจากการทำลายล้างของพ่อมดดูฮู ได้เข้ามาแฝงตัวในโลกมนุษย์ โดยแฝงมาเป็นครูในโรงเรียนประถมแองเจิล ใช้ชื่อว่า “นายดนุพร แก้วจาน” หรือ “ครูแจ้” และคอยขัดขวางพ่อมดดูฮูไม่ให้ทำลายโลก แต่ระหว่างการต่อสู้ เข็มขัดที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังของเขาเกิดชำรุด เขาจึงรวบรวม “โฟร์แองจี” มาช่วยต่อสู้ด้วยและตั้งชื่อขบวนการว่า “สี่อภินิหาร”[5] ฉะนั้นในเทอมนี้ ปุ้ย ไก่จัง นิน่า และกาละแมร์ จึงต้องเข้าร่วมขบวนการสี่อภินิหาร", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#9", "text": "ปุ้ยเป็นเด็กหญิงชั้นประถม หนึ่งในสมาชิกของ “โฟร์แองจี” มีนิสัยตระหนี่ ชอบเก็บของต่างๆ รวมทั้งของที่เขาทิ้งแล้วมาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง เธอมีกระเป๋าใบหนึ่งชื่อว่า “กระเป๋าเก็บตก”[7] สามารถเก็บของได้ทุกอย่าง ไม่ว่าของนั้นจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม ด้วยนิสัยที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูง ทำให้ถูกเพื่อนร่วมกลุ่มล้อว่าเหมือนป้า และชอบเรียกเธอว่า “ป้าปุ้ย”[8]", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#4", "text": "ในเทอมแรก ปุ้ย ไก่จัง นิน่า และกาละแมร์ ได้มาเจอกันระหว่างทางไปโรงเรียนประถมแองเจิล[4] แต่ไม่สามารถเข้าโรงเรียนได้เนื่องจากมาสาย ทำให้ทั้งสี่ต้องหาวิธีที่จะเข้าไปในโรงเรียนโดยไม่ถูกครูใหญ่ลงโทษ ทั้งสี่คนได้อยู่ห้องเดียวกัน และได้เป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา จึงเกิดความคิดที่จะรวมกลุ่มและได้ตั้งชื่อกลุ่มของตัวเองว่า “โฟร์แองจี”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" } ]
952
เจียงฮายเกมส์ มีการแข่งขันกีฬาทั้งหมดกี่ประเภท?
[ { "docid": "988128#1", "text": "ในครั้งนี้มีนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันรวมทั้งสิ้น 12,847 คน จาก 77 จังหวัด มีกีฬาที่แข่งขันทั้งหมด 41 ชนิดกีฬา ประกอบไปด้วย กีฬาบังคับ จำนวน 2 กีฬา, กีฬาสากล จำนวน 38 กีฬา และกีฬาอนุรักษ์ 1 กีฬา ซึ่งครั้งนี้ได้จัดการแข่งขันภายใน 28 สนาม ในจังหวัดเชียงราย และ 2 สนามในจังหวัดพะเยากับจังหวัดเชียงใหม่[3]", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" } ]
[ { "docid": "964705#0", "text": "กีฬาระบำใต้น้ำในเอเชียนเกมส์ 2018 กำหนดจัดขึ้นที่ศูนย์กีฬาทางน้ำ เกเบกา จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม ถึง 29 สิงหาคม ค.ศ. 2018 ซึ่งจัดการแข่งขันเฉพาะนักกีฬาหญิงเท่านั้นโดยมีรายการแข่งขันทั้งหมด 2 ประเภท คือ ประเภทคู่ และประเภททีม", "title": "กีฬาระบำใต้น้ำในเอเชียนเกมส์ 2018" }, { "docid": "833832#0", "text": "กีฬาสกีกระโดดไกลในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬาสกีกระโดดไกลที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 21–25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาสกีกระโดดไกลมิยะโนะโมะริ (ประเภทนอร์มอลฮิลล์) และสนามกีฬาชิระฮะตะยะมะโอเพน (ประเภทลาร์จฮิลล์) \nซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 3 รายการ คือ ประเภทชายทั้งหมด 3 รายการในการแข่งขันกีฬาสกีกระโดดไกลครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 4 ประเทศ", "title": "กีฬาสกีกระโดดไกลในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" }, { "docid": "838479#0", "text": "กีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 ประเภททีมชาย เป็นการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 18–24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาเคอร์ลิงซัปโปะโระ โดยครั้งนี้กีฬาเคอร์ลิงได้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้บรรจุเข้าแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2011 ที่กรุงอัสตานา และกรุงอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน \nซึ่งกีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 ประเภททีมชาย มีประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 6 ประเทศ", "title": "กีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 – ทีมชาย" }, { "docid": "928385#1", "text": "ซึ่งการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงครั้งนี้มีการแข่งขันทั้งหมด 5 รายการ คือ ประเภททีมชาย 1 รายการ, ประเภททีมหญิง 1 รายการ และประเภทผสม 3 รายการ โดยแต่ละรายการจะมีนักกีฬา 153 คน จาก 32 ประเทศ", "title": "กีฬาสเกตลีลาในโอลิมปิกฤดูหนาว 2018" }, { "docid": "988128#4", "text": "มีพิธีการอัญเชิญไฟพระฤกษ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 โดยอัญเชิญมาจากกรุงเทพมหานคร ได้นำไฟพระฤกษ์อัญเชิญไว้บนรถบุษบกเพื่อนำไปยังอำเภอแม่ลาว และอำเภออื่น ๆ ทั่วจังหวัดเชียงราย[4] ในส่วนของอำเภอพญาเม็งรายได้มีการจัดกิจกรรมวิ่งคบเพลิง เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์การแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 เจียงฮายเกมส์ ให้ประชาชนในอำเภอพญาเม็งรายได้รับรู้ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ และได้ส่งมอบคบเพลิงให้กับตำบลหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผู้นำชุมชนเป็นตัวแทนวิ่งในตำบลและหมู่บ้านของตนเอง และส่งมอบไปยังหมู่บ้านต่อไป รวมทั้งสิ้น 5 ตำบล 71 หมู่บ้าน โดยใช้เวลาการวิ่งทั้งสิ้น 10 วัน[5] ก่อนที่จะอัญเชิญเพื่อใช้จุดในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "991561#0", "text": "สนามกีฬาสำนักงานตำรวจแห่งชาติโอมาน () เป็นสนามกีฬาประเภทใช้หลายวัตถุประสงค์ที่เมืองมัสกัต, ประเทศโอมาน สนามกีฬาแห่งนี้เป็นสนามที่ใช้แข่งขันกีฬาฟุตบอลหลายรอบที่สำคัญ และยังเป็นสนามหลักของสโมสรโอมานคลับ สนามกีฬาแห่งนี้สามรถบรรจุคนได้ถึง 15,000 คน แต่ลดลงเหลือ 12,000 คน สนามกีฬาเป็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโอมาน โดยเป็นสนามเจ้าภาพและสำหรับการเดินขบวนที่สำคัญภายในประเทศ สนามแห่งนี้เป็นสนามเพียงไม่กี่แห่งที่ใช้ในการแข่งขันคริกเกตของประเทศโอมาน", "title": "สนามกีฬาสำนักงานตำรวจแห่งชาติโอมาน" }, { "docid": "833864#0", "text": "กีฬาสกีวิบากในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬากีฬาสกีวิบากที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 20–26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาชิระฮะตะยะมะโอเพน \nซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 10 รายการ คือ ประเภทชาย 5 รายการ และประเภทหญิง 5 รายการในการแข่งขันกีฬาสกีวิบากครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 7 ประเทศ โดยที่ประเทศออสเตรเลีย อยู่ในฐานะประเทศรับเชิญ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการรับเหรียญรางวัล", "title": "กีฬาสกีวิบากในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" }, { "docid": "988128#13", "text": "สัญลักษณ์เจียงฮายเกมส์นั้นออกแบบโดย อุทัย จุฬาเพชร แก้ไขให้สมบูรณ์โดย เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ โดยสัญลักษณ์สื่อถึงความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าภาพ โดยเอาสถาปัตยกรรม 3 แห่งที่สำคัญในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ วัดร่องขุ่น, บ้านดำ และไร่เชิญตะวัน ทั้งหมดนี้เป็นสถานที่คนไทยทั้งประเทศรู้จักอย่างดี[12]", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "668259#3", "text": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1 จัดการแข่งขันกีฬา 5 ชนิด\nในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1 มีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 16 ชนิด รวมทั้งหมดคิดเป็น 103 ประเภท ได้แก่", "title": "กีฬาเขตแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1" }, { "docid": "304191#0", "text": "กีฬาสกีลงเขาในโอลิมปิกฤดูหนาว 2010 เป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่แข่งขันในโอลิมปิกฤดูหนาว 2010 ระหว่างวันที่ 13 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ที่สนามวิสท์เลอร์ครีคไซด์ ในเมืองวิสท์เลอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ซึ่งมีประเภทการแข่งขันทั้งหมด 10 ประเภท 10 เหรียญทอง", "title": "กีฬาสกีลงเขาในโอลิมปิกฤดูหนาว 2010" }, { "docid": "763395#12", "text": "ประเทศที่เข้าร่วมกีฬาซีเกมส์ 2017 มีทั้งหมด 11 ประเทศ ซึ่งเป็นชาติสมาชิกของสหพันธ์กีฬาซีเกมส์ \nการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2017 มีการคาดการณ์ที่จะแข่งขันทั้งหมด 39 กีฬา ซึ่งชนิดกีฬาทั้ง 5 ชนิด คือ คอนแทร็ค บริดจ์, คริกเก็ต, ฮอกกี้น้ำแข็ง, สเกตน้ำแข็ง และ ตารุง-เดราจัต เป็นครั้งแรกที่กีฬาเหล่านี้ได้ยอมรับจากสหพันธ์ซีเกมส์ ให้เป็นกีฬาที่จะแข่งขันในกีฬาซีเกมส์อย่างเป็นทางการ โดยกีฬาคริกเก็ต, ฮอกกี้น้ำแข็ง และ สเกตน้ำแข็ง จะเข้าอยู่ในกลุ่มกีฬาที่แข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ และเอเชียนเกมส์ ที่มีจำนวนกีฬาต่างๆทั้งหมด 35 กีฬา และกีฬาคอนแทร็ค บริดจ์ และตารุง-เดราจัต จะเข้าอยู่ในกลุ่มกีฬาประเภทอื่นๆ ที่มีจำนวนกีฬาต่างๆทั้งหมด 16 กีฬา", "title": "ซีเกมส์ 2017" }, { "docid": "789666#0", "text": "บทความนี้เป็นการแข่งขันรอบคัดเลือกของ กีฬากระโดดน้ำในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016. การแข่งขันนี้ประกอบด้วยนักกีฬาทั้งหมด 136 คนจากประเทศต่างๆ; ซึ่งแต่ละประเทศจะถูกจำกัดนักกีฬาเข้าแข่งขันให้มีจำนวนไม่เกิน 16 คน (มากที่สุดคือ ชาย 8 คน และหญิง 8 คน) ซึ่งมีการแข่งขันสองรายการในประเภทซิงโครไนซ์ที่ใช้นักกีฬาถึง 2 คน \nสำหรับกีฬากระโดดน้ำ ประเภทบุคคลจะคัดเลือกจากการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลก 2015 โดยเอานักกีฬาทั้งหมด 12 คน, การแข่งขันชิงแชมป์ทวีป โดยเอานักกีฬาทั้งหมด 5 คน และการแข่งขันกีฬากระโดดน้ำชิงแชมป์โลก 2016 โดยเอานักกีฬาทั้งหมด 18 คนที่เข้าสู่รอบรองชนะเลิศ. ส่วนกีฬากระโดดน้ำ ประเภทคู่จะคัดเลือกจากการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลก 2015 โดยเอานักกีฬาทั้งหมด 3 คน, การแข่งขันกีฬากระโดดน้ำชิงแชมป์โลก 2016 โดยเอานักกีฬาทั้งหมด 4 คน และนักกีฬาจากประเทศเจ้าภาพ", "title": "กีฬากระโดดน้ำในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 – รอบคัดเลือก" }, { "docid": "833843#0", "text": "กีฬาสกีลงเขาในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬากีฬาสกีลงเขาที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 22–25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สกีรีสอร์ทเตเนะ \nซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 4 รายการ คือ ประเภทชาย 2 รายการ และประเภทหญิง 2 รายการในการแข่งขันกีฬาสกีลงเขาครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 19 ประเทศ โดยที่ประเทศออสเตรเลีย อยู่ในฐานะประเทศรับเชิญ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการรับเหรียญรางวัล", "title": "กีฬาสกีลงเขาในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" }, { "docid": "833061#0", "text": "กีฬาทวิกีฬาในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬาทวิกีฬาที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 23–26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามทวิกีฬานิชิโอะกะ \nซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 7 รายการ คือ ประเภทชาย 3 รายการ ประเภทหญิง 3 รายการ และประเภททีมผสม 1 รายการในการแข่งขันกีฬาวิ่งสเกตลู่สั้นครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 9 ประเทศ โดยที่ประเทศออสเตรเลีย อยู่ในฐานะประเทศรับเชิญ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการรับเหรียญรางวัล", "title": "กีฬาทวิกีฬาในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" }, { "docid": "833044#0", "text": "กีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 18–24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาเคอร์ลิงซัปโปะโระ ซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 2 รายการ คือ ประเภททีมชาย และประเภททีมหญิง โดยครั้งนี้กีฬาเคอร์ลิงได้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้บรรจุเข้าแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2011 ที่กรุงอัสตานา และกรุงอัลมาตี ประเทศคาซัคสถานในการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 6 ประเทศ", "title": "กีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" }, { "docid": "830403#1", "text": "ซึ่งการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงครั้งนี้มีการแข่งขันทั้งหมด 3 รายการ คือ ประเภททีมชาย ประเภททีมหญิง และประเภททีมผสม โดยแต่ละรายการจะมีนักกีฬา 116 คน จาก 10 ประเทศ", "title": "กีฬาเคอร์ลิงในโอลิมปิกฤดูหนาว 2018" }, { "docid": "301037#2", "text": "โอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน เป็นแบบของกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความหลากหลายของเยาวชน การแข่งขันในครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการส่งเสริมด้านกีฬาและทำให้เยาวชนเป็นคนรอบรู้ด้วยจิตวิญญาณที่แท้จริงของกีฬา นักกีฬาที่หลายคนรู้จักกันดีและนักวิชาการให้ความเห็นว่า การแข่งขันครั้งนี้น่าจะมีพิธีการในแบบประเพณีของกีฬาโอลิมปิก คือ การวิ่งคบเพลิง เพื่อแสดงให้เห็นจิตวิญญาณของเยาวชนในการแข่งขันโอลิมปิก\nในการแข่งขันโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อนในครั้งนี้ จัดการแข่งขันทั้งหมด 222 ประเภท จาก 28 ชนิดกีฬา (เดิม 26 ชนิดกีฬา) โดยได้บรรจุกอล์ฟ และรักบี้ ในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย ตัวเลขในวงเล็บคือจำนวนของเหรียญทองในกีฬาประเภทนั้นๆ\nในการแข่งขันครั้งนี้ มี 139 ประเทศ ที่มีนักกีฬาเข้าแข่งขันอย่างน้อย 1 คน อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีนักกีฬามากที่สุด คือ จีน 142 คน ตามมาด้วย เกาหลีใต้ 43 คน โดยในการแข่งครั้งนี้ ประเทศไทย มีนักกีฬาที่สามารถเข้าแข่งขันได้แล้ว 12 คน จากรายการคัดเลือกต่าง ๆสนามแข่งขันในการแข่งขันครั้งนี้ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทั้ง 4 โซนของเมืองหนานจิง ยกเว้นจักรยาน เรือใบ และไตรกีฬา ที่สนามแข่งขันตั้งอยู่ในเมืองอื่น", "title": "โอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2014" }, { "docid": "60275#11", "text": "เอเชียนเกมส์ในครั้งนี้ บรรจุชนิดกีฬาทั้งหมด 36 ประเภท เป็นกีฬาที่แข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ทั้งหมด 28 ชนิดกีฬา และไม่ได้แข่งขันในโอลิมปิก 8 ชนิดกีฬา ได้แก่\nพิธีปิดการแข่งขันจะจัดขึ้นในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น วันที่ 4 ตุลาคม 2014 ในอินช็อนเอซีแอดเมนสเตเดียม", "title": "เอเชียนเกมส์ 2014" }, { "docid": "988128#9", "text": "พิธีปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 18:15 น. มีการแสดงทั้งหมด 2 ชุด และอีก 1 ชุดของเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานในพิธีมาถึงมีการแสดงชุดแรก คือ กี่ทอใจ ไหมเจียงฮาย นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่บัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้แสดงการแสดงพื้นบ้านของชาวจังหวัดเชียงราย[10] ต่อมาได้มีการเชิญธงจากตัวแทนนักกีฬาทั้งหมด 77 จังหวัดเข้าสู่สนาม ณัฐวุฒิ เรืองเวส รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ประธานในพิธีกล่าวปิดการแข่งขัน ได้มีการชักธงชาติ, ธงการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และธงประจำจังหวัดเชียงรายลงจากเสา มีการแสดงชุดที่ 2 คือ สี่หู ห้าตา คานิว้าว พร้อมกับการดับไฟในกระถางคบเพลิงลง ณ ที่นี้มีการแสดงจากจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติใครั้งถัดไป[11]", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#0", "text": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 (English: 46th Thailand National Games) หรือเป็นที่รู้จักในนาม เจียงฮายเกมส์ เป็นมหกรรมกีฬาระดับชาติสำหรับประชาชนทั่วไป ควบคุมโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้น ณ จังหวัดเชียงราย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561[1][2]", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "833064#0", "text": "กีฬาวิ่งสเกตในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬาวิ่งสเกตที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 19–23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาสเกตน้ำแข็งโอะบิฮิโระฟอเรสต์ \nซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 14 รายการ คือ ประเภทชาย 7 รายการ และประเภทหญิง 7 รายการในการแข่งขันกีฬาวิ่งสเกตลู่สั้นครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 10 ประเทศ โดยที่ประเทศออสเตรเลีย อยู่ในฐานะประเทศรับเชิญ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการรับเหรียญรางวัล", "title": "กีฬาวิ่งสเกตในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" }, { "docid": "609179#0", "text": "กีฬาสกีลงเขาในโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 เป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่แข่งขันในโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 ระหว่างวันที่ 9 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ที่สนามโรซา คลาวเตอร์ อัลไพน์ รีสอร์ต ในเมืองโซชี, ประเทศรัสเซีย ซึ่งมีประเภทการแข่งขันทั้งหมด 11 ประเภท 11 เหรียญทองมีนักกีฬา 327 คน จาก 74 ประเทศ เข้าร่วมแข่งขัน โดยประเทศไทยส่ง คเณศ สุภจิรกุล และ วาเนสซ่า เมย์ นักไวโอลินระดับโลกเข้าแข่งขัน", "title": "กีฬาสกีลงเขาในโอลิมปิกฤดูหนาว 2014" }, { "docid": "469640#11", "text": "ความสำคัญนอกเหนือไปจากโครงการวัฒนธรรมและการศึกษา คือความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกีฬาโอลิมปิกเยาวชนที่มีการแข่งขันในประเภทเพศผสมและทีมชาติผสม ไตรกีฬาแบบผลัด, ฟันดาบสากล, เทเบิลเทนนิส, ยิงธนู และว่ายน้ำผลัดแบบผสม ต่างเป็นเพียงกีฬาไม่กี่ชนิดที่นักกีฬาจากคนละประเทศและต่างเพศสามารถร่วมทีมกันได้ กีฬาโอลิมปิกเยาวชนยังได้ใช้โซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก, ฟลิคเกอร์ และทวิตเตอร์เป็นฐานสำคัญสำหรับนักกีฬาเยาวชนที่เข้าแข่งขัน ทั้งก่อน, ระหว่าง และหลังการเฉลิมฉลองของแต่ละการแข่งขัน ภาษาที่หลากหลาย, ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความหลากหลายระหว่างวัย ต่างเป็นเป้าหมายของโครงการ ซึ่งมุ่งเน้นในรูปแบบของ \"เรียนรู้เพื่อรู้, เรียนรู้เพื่อเป็น, เรียนรู้เพื่อทำ และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน\"", "title": "กีฬาโอลิมปิกเยาวชน" }, { "docid": "910975#0", "text": "กีฬาจักรยานในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 เป็นการแข่งขันกีฬาจักรยานที่จัดขึ้นในอำเภอหาดใหญ่ และอำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 25 ถึง 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 15 รายการ คือ ประเภทชาย 8 รายการ และประเภทหญิง 7 รายการ โดยสนามที่ใช้ในการแข่งขัน ดังนี้ เจ้าภาพ (สงขลา)", "title": "กีฬาจักรยานในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45" }, { "docid": "988128#5", "text": "พิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 17:30 น. มีการแสดงทั้งหมด 4 ชุด เริ่มต้นด้วยการแสดงชุดที่ 1 ชื่อว่า “จ้องมองล้านนา” ใช้นักแสดงเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กว่า 3,000 คน ที่ถือร่มและแสงไฟ โดยตลอดการแสดงมีการใช้เทคนิคแสงแปรอักษรและรูปภาพได้อย่างงดงาม จากนั้นตามด้วยขบวน “ป๋าเวณีเกียรติยศ” นำประธานในพิธีเปิด เดินเข้าสู่สนาม และการแสดงชุด “ลานล้านนา ชาติพันธุ์” ซึ่งใช้เทคนิคแสง พร้อมเครื่องแต่งกายชุดชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงรายที่ร่ายรำประกอบดนตรี[6]", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "833853#0", "text": "กีฬาสกีลีลาในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬากีฬาสกีลีลาที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 24–26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่ลานสกีซัปโปะโระบังเก \nซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 4 รายการ คือ ประเภทชาย 2 รายการ และประเภทหญิง 2 รายการในการแข่งขันกีฬาสกีลีลาครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 7 ประเทศ โดยที่ประเทศออสเตรเลีย อยู่ในฐานะประเทศรับเชิญ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการรับเหรียญรางวัล", "title": "กีฬาสกีลีลาในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" }, { "docid": "924992#1", "text": "ซึ่งการแข่งขันกีฬาทวิกีฬาฤดูหนาวครั้งนี้มีการแข่งขันทั้งหมด 11 รายการ คือ ชาย 5 รายการ, หญิง 5 รายการ และประเภททีมผสม โดยทั้ง 11 รายการจะมีนักกีฬาทั้งหมด 219 คน จาก 39 ประเทศ", "title": "กีฬาทวิกีฬาฤดูหนาวในโอลิมปิกฤดูหนาว 2018" }, { "docid": "927712#1", "text": "ซึ่งการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงครั้งนี้มีการแข่งขันทั้งหมด 11 รายการ คือ ประเภททีมชาย 5 รายการ, ประเภททีมหญิง 5 รายการ และประเภทผสม 1 รายการ โดยแต่ละรายการจะมีนักกีฬา 322 คน จาก 80 ประเทศ", "title": "กีฬาสกีลงเขาในโอลิมปิกฤดูหนาว 2018" }, { "docid": "838703#0", "text": "กีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 ประเภททีมหญิง เป็นการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 18–24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาเคอร์ลิงซัปโปะโระ โดยครั้งนี้กีฬาเคอร์ลิงได้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้บรรจุเข้าแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2011 ที่กรุงอัสตานา และกรุงอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน \nซึ่งกีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 ประเภททีมหญิง มีประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 5 ประเทศ", "title": "กีฬาเคอร์ลิงในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 – ทีมหญิง" }, { "docid": "832739#0", "text": "กีฬาวิ่งสเกตลู่สั้นในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017 เป็นการแข่งขันกีฬาวิ่งสเกตลู่สั้นที่จัดขึ้นในเมืองซัปโปะโระ, ประเทศญี่ปุ่น กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 20–22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นที่สนามกีฬาสเกตน้ำแข็ง มะโกะมะไน \nซึ่งครั้งนี้จะมีการแข่งขันทั้งหมด 8 รายการ คือ ประเภทชาย 4 รายการ และประเภทหญิง 4 รายการในการแข่งขันกีฬาวิ่งสเกตลู่สั้นครั้งนี้ มีประเทศเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 17 ประเทศ โดยที่ประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์อยู่ในฐานะประเทศรับเชิญ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการรับเหรียญรางวัล", "title": "กีฬาวิ่งสเกตลู่สั้นในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2017" } ]
775
ผู้บริหารระดับกลาง คืออะไร?
[ { "docid": "255025#4", "text": "ผู้บริหารระดับกลาง หมายถึง ผู้อำนวยการ หัวหน้าศูนย์ ผู้จัดการแผนก หรือหัวหน้าสายงาน", "title": "ผู้บริหาร" } ]
[ { "docid": "496524#0", "text": "สตัดเฮาเดอร์ () แปลตรงตัวว่า \"เจ้าผู้ครองสถาน\" [ผู้ครอบครองสถานที่ของผู้ใดผู้หนึ่ง; สันนิษฐานว่าเป็นการยืมคำศัพท์จากภาษาเยอรมัน \"ชตัทท์ฮัลเทอร์\" (), ภาษาฝรั่งเศส \"ลีเยิตน็อง\" () หรือภาษาละตินยุคกลาง \"ลอกูงแตเนงส์\" ()] คือคำที่ใช้อธิบายรูปแบบหนึ่งของศักดินาตำแหน่งอุปราชหรือผู้บริหารมณฑลแทนพระองค์ ในกลุ่มประเทศต่ำ สตัดเฮาเดอร์คือระบบจากยุคกลางและต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้ถูกยกระดับให้มีศักดิ์เทียบเท่าประมุขแห่งรัฐในทางปฏิบัติของระบอบมกุฎสาธารณรัฐ (crowned republic) ในสาธารณรัฐดัตช์ สามารถเปรียบเทียบได้กับศักดินา \"ลีเยิตน็อง\" ของฝรั่งเศส และ \"ผู้บริหารมณฑลแทนพระองค์\" ของอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งประสงค์หลักของของตำแหน่งนี้ก็เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นของสาธารณรัฐดัตช์ตอนต้น", "title": "สตัดเฮาเดอร์" }, { "docid": "994747#3", "text": "สำนักงานทะเบียนมะเร็ง (cancer registry) ไม่ว่าจะในระดับประเทศหรือระดับภูมิภาค เป็นองค์กรที่สรุปข้อมูลมะเร็งจากทะเบียนคนไข้\nเป็นองค์กรที่ให้ข้อมูลแก่รัฐและกลุ่มสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ เพื่อช่วยติตตามแนวโน้ม/ทิศทางของการวินิจฉัยและการรักษามะเร็ง\nองค์กรที่ใหญ่สุดและอาจสำคัญสุดแห่งหนึ่งก็คือ Surveillance Epidemiology and End Results (SEER) ซึ่งรัฐบาลกลางสหรัฐเป็นผู้บริหาร", "title": "วิทยาการระบาดของมะเร็ง" }, { "docid": "317324#2", "text": "ส่วนจักรวรรดิโรมันก็มีคฤหาสน์หลายแบบ แต่คฤหาสน์ทุกหลังมิได้มีการตกแต่งอย่างหรูหราด้วยพื้นโมเสกหรือจิตรกรรมเสมอไป คฤหาสน์บางหลังสร้างขึ้นเพื่อความสำราญเช่นคฤหาสน์เฮเดรียนที่ทิโวลีในประเทศอิตาลี ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่ไกลจากกรุงโรมเท่าใดนัก หรือคฤหาสน์พาพิรีที่เฮอร์คิวเลเนียมที่ตั้งอยู่บนเนินเหนืออ่าวเนเปิลส์ คฤหาสน์บางหลังก็มีลักษณะคล้ายคฤหาสน์ชนบทในอังกฤษหรือโปแลนด์อันเป็นคฤหาสน์เพื่อการบริหารและการแสดงอำนาจของขุนนางระดับท้องถิ่นระดับสูง เช่นซากคฤหาสน์ฟิชบอร์นที่พบซัสเซ็กซ์ คฤหาสน์ปริมณฑลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากนครใหญ่ก็ได้มีการสร้างกันขึ้นเช่นคฤหาสน์ในกลางและปลายสมัยสาธารณรัฐในบริเวณแคมพัสมาร์เชียสที่ในสมัยนั้นเป็นปริมณฑลของกรุงโรม หรือคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองปอมเปอี คฤหาสน์สมัยแรกเหล่านี้เช่นที่ออดิทอเรียมของโรม หรือที่กร็อททารอซซาเป็นเครื่องแสดงที่มาของ \"คฤหาสน์เมือง\" ในตอนกลางของประเทศอิตาลี อาจจะเป็นไปได้ว่าคฤหาสน์สมัยต้นดังกล่าวเป็นสถานที่สำหรับการบริหาร หรือ อาจจะเป็นวังของผู้มีอำนาจในท้องถิ่น หรือ ประมุขของตระกูลสำคัญก็เป็นได้ คฤหาสน์ประเภทที่สามเป็นศูนย์กลางของการบริหารที่เรียกว่าลาทิฟันเดียมที่ทำการผลิตผลผลิตทางการเกษตรกรรม คฤหาสน์ดังกล่าวจะไม่มีการตกแต่งอย่างหรูหรา เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 \"villa\" อาจจะหมายถึงเพียงสถานที่สำหรับการบริหารไร่นา เช่นเมื่อนักบุญเจอโรมแปลพระวรสารนักบุญมาร์ค (xiv, 32) \"chorion\", บรรยายไร่มะกอกใน เกทเสมนี ว่าเป็น \"villa\" โดยมิได้เจาะจงว่ามีที่อยู่อาศัยแต่อย่างใด", "title": "คฤหาสน์โรมัน" }, { "docid": "291058#11", "text": "การแตกสลายของระบบเศรษฐกิจและระบบสังคมโดยทั่วไปที่จักรวรรดิโรมันได้วางรากฐานไว้เป็นผลทำให้การปกครองกลายเป็นระบบที่อำนาจการปกครองกระจายออกไปจากศูนย์กลางเป็นอำนาจของการปกครองระดับท้องถิ่นที่ไม่ขึ้นอยู่กับศูนย์กลางใหญ่เช่นโรม การล่มสลายโดยทั่วไปเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากการขาดความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่งสินค้าเพื่อทำการค้าขาย ซึ่งเป็นผลให้การผลิตสินค้าสำหรับส่งออกและการค้าขายในดินแดนต่างๆ ในจักรวรรดิต้องมาหยุดชะงักลง อุตสาหกรรมสำคัญที่ขึ้นอยู่กับการค้าขายเช่นการทำเครื่องปั้นดินเผาก็หายไปแทบจะทันทีในสถานที่เช่นอังกฤษ แต่ศูนย์กลางเช่นทินทาเจลในคอร์นวอลล์และที่อื่นๆ อีกหลายแห่งก็ยังคงสามารถทำการค้าขายสินค้าฟุ่มเฟือยได้มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 แต่ในที่สุดการติดต่อเหล่านี้ก็สลายตัวไป เช่นเดียวกับระบบการบริหาร การศึกษา และการทหาร การสูญเสีย “cursus honorum” หรือระดับตำแหน่งในการรับหน้าที่ราชการนำไปสู่การยุบระบบการศึกษาซึ่งทำให้มีประชากรที่ขาดการศึกษาเพิ่มขึ้นแม้แต่ในหมู่ผู้นำ", "title": "ต้นสมัยกลาง" }, { "docid": "61536#31", "text": "หน่วยดำเนินกิจกรรม สโมสรนักศึกษาเขตพื้นที่ เป็นศูนย์กลางการประสานงาน และบริหารงานกิจกรรมของนักศึกษาในระดับเขตพื้นที่ มีนายกสโมสรนักศึกษาคณะในเขตพื้นที่ และผู้แทนนักศึกษา เป็นคณะกรรมการบริหาร โดยมีนายกสโมสรนักศึกษาเขตพื้นที่ เป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กร สโมสรนักศึกษาคณะ เป็นศูนย์กลางการประสานงาน และบริหารงานกิจกรรมของนักศึกษาในระดับคณะในแต่ละเขตพื้นที่ มีผู้แทนนักศึกษาในคณะ เป็นคณะกรรมการบริหาร โดยมีนายกสโมสรนักศึกษาคณะ เป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กร ชมรม เป็นหน่วยดำเนินกิจกรรมของนักศึกษา โดยมีประธานชมรม เป็นผู้อำนวยการดำเนินงาน หน่วยตรวจสอบ สภานักศึกษาเขตพื้นที่ เป็นตัวแทนรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของนักศึกษา ควบคุม ตรวจสอบการบริหารงานและการดำเนินงานขององค์กรนักศึกษา (สโมสรนักศึกษา และชมรม) เป็นศูนย์กลางในการรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพเชียงใหม่" }, { "docid": "594872#10", "text": "การบริหารงบประมาณถือเป็นความเฉพาะของประเทศฝรั่งเศสในการจัดการกับงบประมาณที่ได้รับการบริหารงบประมาณ ในนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน เช่น รัฐ อปท. ตัวแทนของมหาชน จำเป็นต้องดำเนินการตามหลักการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ระหว่างผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน และสมุหบัญชี ผู้มีหน้าที่จ่ายเงิน ต้องมีการแบ่งแยกหน้าที่ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความไม่เป็นกลางในการทำหน้าที่ เราเข้าใจกันแล้วว่าผู้มีอำนาจจ่ายเงิน \nคือ ผู้ตัดสินใจสั่งจ่ายเงิน แตกต่างจากผู้จ่ายเงิน คือ สมุห์บัญชีสาธารณะ มีอำนาจเพียงผู้เดียวในการจ่ายเงิน ซึ่งเป็นข้าราชการของกระทรวงงบประมาณ เห็นได้ชัดว่า มีการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ชัดเจนระหว่างผู้มีอำนาจในการสั่งจ่ายเงินและผู้มีอำนาจในการจ่ายเงินในส่วนของผู้มีอำนาจในการสั่งจ่ายเงิน ก็มาดูตามแต่ละประเภทของ อปท.เห็นได้ว่าในระดับรัฐ ก็จะเป็นรัฐมนตรีที่มีอำนาจสั่งจ่าย ในหน่วยงานท้องถิ่น ก็จะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือตัวแทนของรัฐในระดับท้องถิ่น ในส่วนของ อปท. ในระดับเทศบาลก็จะเป็นนายกเทศมนตรี ในเขตสหการ เป็นประธาน ในส่วนของ อบจ. เป็นประธาน ภาคก็เป็นประธานเช่นกัน ในส่วนของตัวแทนบริษัทมหาชนเป็นผู้อำนวยการที่มีอำนาจสั่งจ่าย เงินของ อปท. เป็นเงินที่ได้มาจากเงินช่วยเหลือ และรายได้ที่ อปท.เก็บได้ สมุห์บัญชี เป็นผู้จ่ายเงินจะเป็นข้าราชการ สังกัดกระทรวงงบประมาณ นี่คือ อีกส่วนหนึ่งที่พิจารณาว่า การควบคุมงบประมาณ มีทั้งภายนอกและภายในกรณีประเทศไทยการควบคุมภายในจะควบคุมโดยสำนักงบประมาณ หรือโดยกรมบัญชีกลางส่วนการควบคุมภายนอกจะควบคุมโดยสตง.แต่ที่พูดถึงท้องถิ่น ในส่วนของท้องถิ่นคือ สมุห์บัญชี เป็นผู้มีอำนาจจ่ายเงินแต่ไม่ได้เป็นผู้ควบคุม", "title": "การบริหารคลังสาธารณะประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "255025#9", "text": "ทำตามนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารระดับกลางกำหนดไว้ ทำการตัดสินใจระยะสั้นในการดำเนินงาน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับทีม สร้างแรงจูงใจและสามารถรับผิดชอบแทนผู้ที่อยู่ในแผนกของตนได้", "title": "ผู้บริหาร" }, { "docid": "342483#4", "text": "หลักสูตรผู้บริหารชั้นสูงของตำรวจ (สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ) หลักสูตรผู้บริหารงานระดับกลางของตำรวจ (สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ) หลักสูตรสืบสวนของหน่วยสืบราชการลับ จากวิทยาลัยหน่วยสืบราชการลับสหรัฐอเมริกา หลักสูตรด้านการบริหารตำรวจ จากวิทยาลัยตำรวจแคนาดา", "title": "พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์" }, { "docid": "2703#8", "text": "แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดหน่วยงานระดับจังหวัดและท้องถิ่น คือ คณะบริหารระดับจังหวัด (Provincial Council) และคณะบริหารระดับท้องถิ่น (Local District Council) แล้ว แต่ดังที่กล่าวข้างต้นว่า ระบบการบริหารการปกครองของอัฟกานิสถานยังจัดการได้ไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นระบบที่วางขึ้นใหม่ และอำนาจของรัฐบาลกลางยังอ่อนแอ ความเชื่อมโยงของการบริหารอำนาจระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลางจึงยังขาดความชัดเจน", "title": "ประเทศอัฟกานิสถาน" }, { "docid": "255025#0", "text": "ผู้บริหาร (English: executive) มี 3 แบบด้วยกันคือ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหารระดับล่าง", "title": "ผู้บริหาร" }, { "docid": "901574#2", "text": "ด้วยความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือระดับของการบริหารปกครองที่ปรับปรุงใหม่ที่ได้ดำเนินการในสองประเภท เช่นเดียวกับในดินแดนอื่นๆจำนวนมากที่ถูกยึดครองโดยเยอรมัน ผู้บริหารท้องถิ่นและข้าราชการได้ถูกกดดันเพื่อดำเนินการตามปกติแบบวันต่อวัน (โดยเฉพาะในระดับกลางและล่าง) แม้ว่าจะอยู่ภายใต่การกำกับดูแลของเยอรมันก็ตาม ในช่วงสงคราม ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทในยุโรปตะวันตกและตอนเหนือยังคงรักษาโครงสร้างการบริหารที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ด้านตะวันออกก็ได้มีโครงสร้างขึ้นมาใหม่อย่างเสร็จสมบูรณ์ที่ได้รับการนำเสนอ", "title": "ไรชส์ค็อมมิสซารีอาท" }, { "docid": "64434#8", "text": "สำนักงานบริหารยังมีหน้าที่สนับสนุน กองทัพสหรัฐ ในการให้ข้อมูลที่ได้รวบรวมมาหรือได้มาจากหน่วยงานข่าวกรองทางทหาร และร่วมมือในการปฏิบัติการณ์ภาคสนาม ผู้อำนวยการบริหารมีหน้าที่คุมการปฏิบัติการณ์ของสำนักข่าวกรองกลางวันต่อวัน แต่ละสาขาของหน่วยงานราชการทางทหารมีผู้อำนวยการเป็นของตนเอง ผู้อำนวยการช่วยว่าการกิจการทางทหารหรือเจ้าหน้าที่ทางทหารอาวุโส มีหน้าที่ในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างสำนักข่าวกรองกลางและกองสั่งการการรบร่วม () ซี่งเป็นผู้หาข่าวกรองในระดับภูมิภาค/การปฏิบัติการณ์ และใช้ข่าวกรองในระดับชาติที่สำนักข่าวกรองกลางเป็นผู้หา", "title": "สำนักข่าวกรองกลาง" }, { "docid": "183137#3", "text": "กองบริหารการวิจัยได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานโครงการในการจัดประชุมคณะทำงาน และติดตามดำเนินงานของโครงการในลักษณะความรู้ และวิชาการ ไปภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการมุ่งเน้นการเป็นแหล่งในการสนับสนุนด้านการศึกษาทั้งในระดับมหาวิทยาลัย ชุมชน และภูมิภาค ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งรวมข้อมูลทางด้านวิชาการ นักวิจัยและระบบการบริหารวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นสื่อกลางในการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนต่อไป\nกองบริหารการวิจัย มหาวิทยาลัยนเรศวร ยังเป็นหน่วยงานหลักในการจัด \"การประชุมวิชาการ นเรศวรวิจัย (Naresuan Research Conference)\" ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีในวาระครบรอบการสถาปนามหาวิทยาลัย เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยและผู้ที่สนใจนำเสนอผลงานวิจัยและการสรรสร้างนวัตกรรม", "title": "กองบริหารการวิจัย มหาวิทยาลัยนเรศวร" }, { "docid": "2703#6", "text": "ตามรัฐธรรมนูญของอัฟกานิสถาน กำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นประมุขและผู้นำในการบริหารประเทศ มีการกระจายอำนาจการปกครองออกเป็นจังหวัด แบ่งออกเป็น 34 จังหวัด (Province) อย่างไรก็ตาม ในแง่การบริหารจัดการระบบการปกครองภายในประเทศยังไม่ดีนัก เนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากสงคราม และอำนาจของรัฐบาลกลางยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงพื้นที่ห่างไกลมีรัฐสภา (National Assembly) ซึ่งประกอบด้วย 2 สภา ได้แก่ 1) สภาผู้แทนราษฎร (House of People หรือ Wolesi Jirga) ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 249 คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรง ดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี และ 2) สภาอาวุโส (House of Elders หรือ Meshrano Jirga) มีสมาชิก 102 คน ซึ่งแบ่งการสรรหาออกเป็น 3 วิธี ในจำนวนที่เท่า ๆ กัน โดยสมาชิก 34 คนได้รับเลือกจากคณะบริหารระดับจังหวัด (Provincial Council) ดำรงตำแหน่งวาระ 4 ปี สมาชิกอีก 34 คน ได้รับเลือกจากคณะบริหารระดับท้องถิ่น (Local District Council) ดำรงตำแหน่งวาระ 3 ปี และสมาชิกอีก 34 คน ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี", "title": "ประเทศอัฟกานิสถาน" }, { "docid": "573712#13", "text": "งานรายวันในการบังคับใช้และดำเนินการตามกฎหมายกลางนั้นเป็นของกระทรวงฝ่ายบริหารในส่วนกลางซึ่งรัฐสภาจัดตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบราชการระดับประเทศและระหว่างประเทศโดยเฉพาะ หัวหน้ากระทรวงทั้ง 15 มาจากการคัดเลือกโดยประธานาธิบดีตามคำแนะนำและยินยอมของวุฒิสภา และประกอบกันเป็นคณะที่ปรึกษาซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า คณะรัฐมนตรีในประธานาธิบดี (President's Cabinet) นอกจากกระทรวงต่าง ๆ แล้ว ยังมีองค์การเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งซึ่งรวมกลุ่มเป็นสำนักประธานาธิบดี (Executive Office of the President) ได้แก่ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักบริหารจัดการและงบประมาณ คณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ สภาคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐ สำนักนโยบายควบคุมยาเสพติดแห่งชาติ และสำนักนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการเหล่านี้เรียกว่า ข้าราชการพลเรือนกลาง (federal civil servant) อนึ่ง ยังมีส่วนราชการอิสระ เช่น สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สำนักข่าวกรองกลาง สำนักป้องกันสิ่งแวดล้อม และสำนักพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา กับทั้งยังมีรัฐวิสาหกิจ เช่น บรรษัทประกันเงินฝากกลาง และบรรษัทขนส่งคนโดยสารรถไฟแห่งชาติ", "title": "รัฐบาลกลางสหรัฐ" }, { "docid": "13825#41", "text": "หน่วยดำเนินกิจกรรม องค์การนักศึกษา เป็นศูนย์กลางการประสานงาน และบริหารงานกิจกรรมของนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย (ทั้ง 6 เขตพื้นที่) มีนายกสโมสรนักศึกษาเขตพื้นที่ จำนวน 6 คน เป็นคณะกรรมการบริหาร โดยมีนายกองค์การนักศึกษา เป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กร สโมสรนักศึกษาเขตพื้นที่ เป็นศูนย์กลางการประสานงาน และบริหารงานกิจกรรมของนักศึกษาในระดับเขตพื้นที่ มีนายกสโมสรนักศึกษาคณะในเขตพื้นที่ และผู้แทนนักศึกษา เป็นคณะกรรมการบริหาร โดยมีนายกสโมสรนักศึกษาเขตพื้นที่ เป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กร สโมสรนักศึกษาคณะ เป็นศูนย์กลางการประสานงาน และบริหารงานกิจกรรมของนักศึกษาในระดับคณะในแต่ละเขตพื้นที่ มีผู้แทนนักศึกษาในคณะ เป็นคณะกรรมการบริหาร โดยมีนายกสโมสรนักศึกษาคณะ เป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กร ชมรม เป็นหน่วยดำเนินกิจกรรมของนักศึกษา โดยมีประธานชมรม เป็นผู้อำนวยการดำเนินงาน หน่วยตรวจสอบ สภานักศึกษามหาวิทยาลัย และ<b data-parsoid='{\"dsr\":[24892,24919,3,3]}'>สภานักศึกษาเขตพื้นที่ เป็นตัวแทนรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของนักศึกษา ควบคุม ตรวจสอบการบริหารงานและการดำเนินงานขององค์กรนักศึกษา (องค์การนักศึกษา สโมสรนักศึกษา และชมรม) เป็นศูนย์กลางในการรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา" }, { "docid": "255025#5", "text": "หน้าที่ของผู้บริหารระดับกลาง", "title": "ผู้บริหาร" }, { "docid": "319760#7", "text": "ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา คือ ข้าราชการพลเรือนในสังกัดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แต่ไม่รวมถึงสถานศึกษาของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา แบ่งออกเป็นประเภทย่อย 3 ประเภท คือ ประเภทวิชาการ ประเภทผู้บริหาร และประเภททั่วไป ใช้ระบบมาตรฐานกลาง 11 ระดับ ในการจำแนกและกำหนดระดับตำแหน่ง มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือ ก.พ.อ. (เดิมเรียกว่าคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย หรือ ก.ม.) เป็นคณะกรรมการกลางในการบริหารบุคคลและกำกับดูแลข้าราชการ", "title": "ข้าราชการไทย" }, { "docid": "289459#0", "text": "สนามกีฬาพระราเมศวร เป็นสนามกีฬาประจำจังหวัดลพบุรี\nสนามกีฬาพระราเมศวร เป็นสนามกีฬากลางของจังหวัดลพบุรี เป็นสนามกีฬาระดับมาตรฐานแห่งหนึ่ง ที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาของจังหวัด ระดับภูมิภาค และองค์กรต่างๆยังใช้สนามกีฬาแห่งนี้เป็นสนามแข่งขันอีกด้วย และนอกจากนี้ยังเป็นสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนและออกกำลังกายของชาวลพบุรีซึ่งสนามกีฬาแห่งนี้ตั้งอยู่บน ถนนนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ด้านหลังศาลากลางจังหวัดลพบุรี ซึ่งมีสนามต่างๆที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาครบทุกประเภท ปัจจุบัน องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี เป็นผู้ดูแล", "title": "สนามกีฬาพระราเมศวร" }, { "docid": "139086#22", "text": "ธนาคารกลางส่วนใหญ่จะได้รับมอบหมายให้รักษาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารภายในประเทศในระดับที่ต่ำ ซึ่งโดยปกติจะมีเป้าหมายคงอัตราดอกเบี้ยนี้ไว้ที่ประมาณ 2% ถึง 3% ซึ่งจะอยู่ในช่วงเป้าหมายประจำปีของอัตราเงินเฟ้อซึ่งมีค่าประมาณ 2% ถึง 6% ธนาคารกลางมักกำหนดเป้าหมายอัตราเงินให้เฟ้อต่ำ แต่ไม่เป็นลบเพราะผู้บริหารธนาคารกลางส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเงินฝืดนั้นเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ", "title": "ภาวะเงินเฟ้อ" }, { "docid": "319977#6", "text": "ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่\nการจำแนกประเภทตำแหน่งดังกล่าวนี้ยังคงอิงอยู่กับระบบมาตรฐานกลาง 11 ระดับ (เฉพาะประเภทวิชาการ และประเภททั่วไปฯ ส่วนประเภทผู้บริหาร หน่วยราชการในสถาบันอุดมศึกษาจะคัดเลือกข้าราชการที่เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งโดยข้าราชการผู้นั้นจะต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าระดับ 3) เช่น ศาสตราจารย์ ระดับ 11, รองศาสตราจารย์ ระดับ 9, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 8, นักวิชาการศึกษาชำนาญการ ระดับ 7 เป็นต้น", "title": "ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา" }, { "docid": "154595#16", "text": "ในฐานะหัวหน้าอัยการสูงสุด สปิตเซอร์ได้ยกระดับมาตรฐานของหน่วยงาน โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว อัยการรัฐมักจะทำคดีเกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภค และเน้นด้านคดีฉ้อโกงระดับท้องถิ่น ขณะที่คดีระดับชาติจะถูกโอนให้รัฐบาลกลาง สปิตเซอร์ดำเนินการฟ้องทั้งทางแพ่งและอาญาในคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมของพนักงานหรือผู้บริหารภายในองค์กร, การฉ้อโกงหลักทรัพย์, การฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต, และการปกป้องสิ่งแวดล้อม", "title": "อีเลียต สปิตเซอร์" }, { "docid": "191204#9", "text": "1. โรงเรียนยอดนิยม ที่นักเรียนและผู้ปกครองให้ความสนใจ จึงต้องยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐาน 2. โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลงตามกรอบกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา ดำเนินงานโดยเน้น “ห้องเรียนคุณภาพ” เพื่อผู้เรียนเป็นสำคัญ 3. โรงเรียนแกนนำการใช้หลักสูตร ดังนี้ 3.1 หลักสูตรปกติ ประกอบด้วย 1) หลักสูตรโรงเรียนเลยพิทยาคม พุทธศักราช 2552 ตามแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในชั้น ม.1 - ม.6 3.2 โครงการพิเศษ ประกอบด้วย 1) โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program: EP) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) โครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ (Gifted Education Program) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3) โครงการห้องเรียนพิเศษสำหรับพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (SC) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 4) โครงการห้องเรียนพิเศษสำหรับพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (SM) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 5) โครงการห้องเรียนพิเศษภาษาจีนและภาษาอังกฤษ (Intensive Chinese and English Program: ICE) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 6) โรงเรียนมาตรฐานสากล (World Class Standard School: WCSS) ต้องจัดหลักสูตร จัดการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล (World Class Standard) และบริหารจัดการระบบคุณภาพ (Quality management System) ให้ผู้เรียนมีศักยภาพเป็นพลโลก (World Citizen) 7) โรงเรียนที่ต้องขับเคลื่อนจุดเน้นการพัฒนาผู้เรียนสู่การปฏิบัติ “จุดเน้นคุณภาพผู้เรียน จุดเปลี่ยนการปฏิรูปการศึกษาไทย”", "title": "โรงเรียนเลยพิทยาคม" }, { "docid": "886298#2", "text": "ระบบธนาคารกลางประกอบด้วยหลายชั้น มีคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารหรือคณะกรรมการระบบธนาคารกลางซึ่งมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีเป็นผู้บริหาร ธนาคารระบบธนาคารกลางภูมิภาคสิบสองแห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในนครต่าง ๆ ทั่วประเทศ ควบคุมดูแลธนาคารสมาชิกของสหรัฐที่เอกชนเป็นเจ้าของ กฎหมายกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตระดับชาติถือครองหลักทรัพย์ในธนาคารระบบธนาคารกลางในภูมิภาคของตน ซึ่งทำให้ธนาคารเหล่านั้นมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกคณะกรรมการบางส่วนได้ คณะกรรมการตลาดเสรีกลาง (Federal Open Market Committee) กำหนดนโยบายการเงิน ประกอบด้วยสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการทั้งเจ็ดคน และประธานธนาคารภูมิภาคสิบสองคน แม้ครั้งหนึ่ง ๆ ประธานธนาคารเพียงห้าคนเท่านั้นที่สามารถออกเสียงลงคะแนนได้ ได้แก่ ประธานระบบธนาคารกลางนิวยอร์กหนึ่งคนและประธานธนาคารอื่นอีกสี่คนหมุนเวียนกันโดยมีวาระละ 1 ปี นอกจากนี้ ยังมีสภาที่ปรึกษาต่าง ๆ ฉะนั้น ระบบธนาคารกลางสหรัฐจึงมีทั้งส่วนภาครัฐและเอกชน โครงสร้างดังกล่าวถือว่าเป็นเอกลักษณ์ต่างจากธนาคารกลางประเทศอื่น นอกจากนี้ ยังผิดปกติที่กระทรวงการคลังสหรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยงานนอกธนาคารกลาง พิมพ์เงินตราที่หมุนเวียน", "title": "ระบบธนาคารกลางสหรัฐ" }, { "docid": "852285#1", "text": "จังหวัดอุดรธานี มีแผนแผนการพัฒนาจังหวัดในทางด้านเศรษฐกิจและสังคมระดับภูมิภาคและความต้องการเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน  ประกอบกับแนวความคิดของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี (อบจ.)  ต้องการที่จะพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นเตรียมความพร้อมในนโยบายดังกล่าวและต้องการแก้ปัญหาสังคมอันสืบเนื่องมาจากนักเรียนทั้งจังหวัดอุดรธานีและในจังหวัดข้างเคียงสำเร็จการรศึกษามัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 มีจำนวนมากทุกๆ ปี  แต่จังหวัดมีสถาบันการศึกษาของรัฐบาลเพียง 2 สถาบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตอุดรธานี เท่านั้น  ไม่เพียงพอต่อการรับนักเรียนที่จบการศึกษาได้ทั้งหมดประกอบกับต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่ต้องส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชนทั้งในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี  จึงมีความต้องการที่จะสนับสนุนให้มีสถาบันการศึกษาเข้ามาจัดตั้งในจังหวัดอุดรธานี  โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีจะเป็นผู้รับผิดชอบงบประมาณการก่อสร้าง  ครุภัณฑ์และสถานที่ตั้งทั้งหมดประกอบกับยุทธศาสตร์ประจำจังหวัดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ  สังคม และการเมืองด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดอุดรธานี" }, { "docid": "19383#58", "text": "การรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาไม่ได้ทำอย่างรวมศูนย์กลาง แต่นักศึกษาต้องสมัครไปยังที่คณะการศึกษาหรือคณะผู้บริหารโปรแกรมการศึกษาโดยตรง นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิตเกินกว่า 90% ได้รับความช่วยเหลือด้วยทุนการศึกษา (fellowship), งานเป็นผู้ช่วยงานวิจัย (research assistantship), หรือ งานเป็นผู้ช่วยสอน (teaching assistantship)", "title": "สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์" }, { "docid": "169829#0", "text": "รัฐเดี่ยว () เป็นรัฐซึ่งปกครองเป็นหน่วยเดี่ยว โดยรัฐบาลกลางอยู่ในระดับสูงสุด และเขตการบริหารใด ๆ (ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารระดับย่อยของรัฐ) สามารถใช้อำนาจได้เฉพาะตามที่รัฐบาลกลางเลือกจะมอบหมายให้ทำการแทนเท่านั้น รัฐจำนวนมากในโลกมีรูปแบบรัฐเป็นรัฐเดี่ยว", "title": "รัฐเดี่ยว" }, { "docid": "665357#2", "text": "การบริหารจัดการการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในระยะแรกทั้งด้านการรับเข้า การลงทะเบียนและการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานบัณฑิตวิทยาลัยจะเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการทั้งหมดและเป็นการบริหารแบบรวมศูนย์ไว้ที่บัณฑิตวิทยาลัย เมื่อมีสาขาวิชาเปิดสอนเพิ่มมากขึ้นและมีคณะต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องมากขึ้น ทำให้การบริหารจัดการแบบเดิมล่าช้า มีข้อจำกัดไม่คล่องตัวเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนางานด้านบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัย ดังนั้นในปี พ.ศ. 2540 บัณฑิตวิทยาลัยจึงได้มีการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการบัณฑิตศึกษาใหม่ โดยการโอนภารกิจด้านการจัดการเรียนการสอน การบริหารจัดการหลักสูตรไปให้คณะดำเนินการ โดยกำหนดให้แต่ละคณะมีคณะกรรมการบัณฑิตศึกษาของคณะเป็นผู้รับผิดชอบงานบัณฑิตศึกษา ในขณะที่บัณฑิตวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่รับเข้าศึกษา สนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาบัณฑิตศึกษา เมื่อภารกิจเปลี่ยนไปจึงทำให้โครงสร้างบริหารงานของบัณฑิตวิทยาลัยที่มีอยู่เดิมไม่สอดคล้องกับภารกิจใหม่ที่รับผิดชอบ", "title": "บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น" }, { "docid": "135028#2", "text": "ดร.ทันกวินท์มีประสบการณ์ทางด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ โดยเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตร, หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยโยนก จ.ลำปาง. (2554) ซึ่งต่อมาเป็นมหาวิทยาลัยเนชั่น (2555 - ปัจจุบัน) เป็นผู้เขียนกรณีศึกษาและเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายร่วมกับหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี, หลักสูตรการกำกับดูแลกิจการสำหรับกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน จัดโดยสถาบันพัฒนากรรมการและผู้บริหารระดับสูงภาครัฐ ร่วมกับ สถาบันพระปกเกล้า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. (2552) รวมทั้งเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายในมหาวิทยาลัยและให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2549-2555), หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2555), โครงการต้นกล้าสีขาว ธนาคารกรุงไทย (2549-2550), โครงการ SMART PROJECT สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (2550). และ โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการ รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมกับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ", "title": "ทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร" } ]
2525
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุเกิดวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "18164#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ (8 มิถุนายน 2498 - ) ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ภายใต้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.), กรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 8, กรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ[1], กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ[2],ประธานกรรมการ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี, ไวยาวัจกร วัดโสมนัสวิหาร, อุปนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[3], ประธานอนุกรรมการเครือข่ายสถาบันการศึกษาในรัชกาลที่ 6, ประธานกรรมการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า, นายกสมาคมศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน, อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539 (ส.ส.ร.) ประเภทผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน, อดีตที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, อดีตเลขาธิการสภาการศึกษา, อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม, อดีตรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม, อดีตรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ, อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (CPLO)", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" } ]
[ { "docid": "527417#1", "text": "ประกายดาว ช่างภาพสาวสุดฮอต เกิดความรู้สึกอยากมีลูกแต่ไม่อยากมีสามี ด้วยความรักเด็กและนิสัยสุดบ้าบิ่นของเธอ ปฏิบัติการตามล่าหาสเปิร์มจึงเริ่มขึ้น แต่งานนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับประกายดาว เพราะเป้าหมายอันดับหนึ่งของเธอคือ มรว.จันทรภานุหรือคุณชายจันทร์ ไฮโซแถวหน้าที่เพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง เจ้าของฉายาเดทเดียวดับ และอันดับสองก็คือ พงจันทร เพลย์บอยไฮโซที่ควงสาวแทบไม่ซ้ำหน้า ประกายดาวต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะเข้าถึงตัวคุณชายจันทร์ แต่ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ หัวใจที่ปิดล็อกมานานแสนนานก็ยิ่งหวั่นไหว เป้าหมายทั้งสองของเธอก็ดูท่าว่าจะทนเสน่ห์ของแปลกไม่ไหวซะด้วย แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ก็ย่อมมีอุปสรรคมากมาย แล้วสาวมั่นอย่างประกายดาวจะทำอย่างไรดี", "title": "ดาวเกี้ยวเดือน" }, { "docid": "638401#2", "text": "จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน รุ่นที่ 15 รุ่นเดียวกับ ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จากนั้นเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 14 รุ่นเดียวกับ พลอากาศเอก ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ , นาวาอากาศเอก วีระยุทธ ดิษยะศริน อดีตพระสวามีในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และเข้ารับการศึกษาต่อเนื่องที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 25 รุ่นเดียวกับ พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม , พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม, พลเอกประสูตร รัศมีแพทย์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดพล.อ.ธีรชัย นาควานิช หรือ บิ๊กหมู เตรียมทหารรุ่น 14 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 39 น้องรัก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นนายทหารจากถิ่นบูรพาพยัคฆ์ ที่ขึ้นนั่งเก้าอี้แม่ทัพบกเป็นคนที่ 5", "title": "ธีรชัย นาควานิช" }, { "docid": "18164#18", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง เป็นผู้สนใจชื่นชอบศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวราชสำนัก พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งศาสตราจารย์พิเศษธงทอง ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และมีความรอบรู้จนเชี่ยวชาญในด้านนี้ จนทำให้ในเวลาต่อมา ได้มีรายการโทรทัศน์ สำนักข่าว หนังสือพิมพ์ วารสาร และสื่อสารมวลชนต่าง ๆ เชิญออกรายการและให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับเรื่องราวราชสำนัก พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ มาโดยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน และทำให้ได้เป็นที่รู้จักทั่วไปของประชาชน รวมทั้งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "18164#29", "text": "หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายจีน หมวดหมู่:พุทธศาสนิกชนชาวไทย หมวดหมู่:สกุลจันทรางศุ หมวดหมู่:สกุลสุวรรณทัต หมวดหมู่:นักกฎหมายชาวไทย หมวดหมู่:นักการเมืองไทย หมวดหมู่:ศาสตราจารย์พิเศษ หมวดหมู่:ศาสตราภิชาน หมวดหมู่:อาจารย์คณะนิติศาสตร์ หมวดหมู่:ข้าราชการพลเรือนชาวไทย หมวดหมู่:นาคหลวง หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย หมวดหมู่:นักพากย์ชาวไทย หมวดหมู่:พิธีกรไทย หมวดหมู่:นักประวัติศาสตร์ชาวไทย หมวดหมู่:ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาพุทธ หมวดหมู่:นักวิชาการชาวไทย หมวดหมู่:นักการศึกษาชาวไทย หมวดหมู่:นักแปลชาวไทย หมวดหมู่:คอลัมนิสต์ หมวดหมู่:สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญไทย หมวดหมู่:ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไทย หมวดหมู่:นิสิตเก่าคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมวดหมู่:บุคคลจากสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หมวดหมู่:บุคคลจากสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน หมวดหมู่:สามัญสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา หมวดหมู่:บุคคลจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก หมวดหมู่:ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร หมวดหมู่:กรรมการกฤษฎีกาไทย หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จ.ภ. หมวดหมู่:สมาชิกเหรียญจักรพรรดิมาลา หมวดหมู่:สมาชิกเหรียญรัตนาภรณ์ ภ.ป.ร.5", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "805847#0", "text": "วัดทองจันทริการาม เป็นวัดในพระพุทธศาสนาเถรวาท สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีพระครูสังฆรักษ์สมบัติ ธมฺมทินฺโน เป็นเจ้าอาวาส\nตั้งอยู่ที่เลขที่ ๒๕ หมู่ที่ ๓ ตำบลพะยอม อำเภอวงน้อย จังงหวัดพระนครศรีอยุธยา\nวัดทอจันทริการาม สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๕๕ เดิมมีนามว่า \" วัดคลองสาม \" ได้เปลี่ยนามใหม่ในภายหลัง ได้รับพระราชทานวิงคามสีมา วันที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๖๘ เขตวิสุงคาสีมากว้าง ๘๐ เมตร ยาว ๑๒๐ เมตร\nพระประธานในอุโบสถ ชื่อ หลวงพ่อทองจันทร์ พระหินหยกพม่า อายุราวๆ ๑๒๐ ปี โดยประมาณ\nลำดับเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนาม", "title": "วัดทองจันทริการาม" }, { "docid": "18164#9", "text": "ต่อมาหลังจากเกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558 ในตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559[4]", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "18164#1", "text": "นอกจากนี้แล้ว ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ยังมีความเชี่ยวชาญในด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางราชสำนัก และพระราชพิธีเป็นอย่างมาก จนได้แต่งหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องราวประวัติศาสตร์ทางราชสำนัก และพระราชพิธี เป็นจำนวนมาก ตลอดจนยังได้หนังสือกฎหมายต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องทางด้านประวัติศาสตร์อีกด้วย และยังได้รับเชิญให้มาร่วมบรรยายถ่ายทอดสดในการพระราชพิธีต่างๆ ที่สำคัญมาแล้วหลายวาระ และล่าสุดในปีพ.ศ. 2559 ได้รับเชิญให้มาร่วมบรรยายถ่าดทอดสดในการพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "5992#14", "text": "ในปี ค.ศ. 1930 นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อ สุพราหมัณยัน จันทรสิกขา แย้งว่า ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ วัตถุที่ไม่หมุนและมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 1.44 เท่า (คือค่าขอบเขตจันทรสิกขา) จะยุบตัวลงจนสิ้นสูญเพราะไม่มีอะไรเท่าที่รู้จักจะมาหยุดมันได้ ข้อโต้แย้งของเขาถูกโต้กลับโดยนายอาร์เทอร์ เอ็ดดิงตัน ผู้ซึ่งเชื่อว่ามีบางอย่างสามารถหยุดการยุบตัวได้ ความคิดของเอ็ดดิงตันก็มีส่วนถูก เพราะดาวแคระขาวที่มีมวลมากกว่าขอบเขตจันทรสิกขาจะยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอน แต่ในปี ค.ศ. 1939 โรเบิร์ต ออพเพนไฮม์เมอร์ได้ตีพิมพ์บทความ (โดยมีผู้เขียนร่วมหลายคน) ที่ทำนายว่าดาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 3 เท่าขึ้นไป (คือค่าขอบเขตโทลแมน-ออพเพนไฮม์เมอร์-โวลคอฟฟ์) จะยุบตัวลงกลายเป็นหลุมดำ ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่จันทรสิกขาเคยนำเสนอ", "title": "หลุมดำ" }, { "docid": "18164#4", "text": "ธงทองเริ่มรับราชการเป็นอาจารย์ ระดับ 3 ภาควิชากฎหมายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2523 และได้เลื่อนเป็นอาจารย์ระดับ 4 เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2523 ต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 6 ในวันที่ 8 มิ.ย. พ.ศ. 2526 ต่อมาเป็นรองศาสตราจารย์ ระดับ 7 ในวันที่ 17 ก.ย. พ.ศ. 2527 และรองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเลื่อนเป็นรองศาสตราจารย์ ระดับ 9 และเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2542 ในระหว่างเป็นอาจารย์ ได้มีโอกาสปฏิบัติราชการถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี หลายวาระ", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "145286#13", "text": "ในปี พ.ศ. 2534 บริษัทกันตนาได้จัดทำรายการสารคดีของอิน-จัน ขึ้น ในชื่อ \"แฝดสยาม\" (Siamese twins) จำนวน 26 ตอน ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง 7 สี ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 18.30-19.00 น. โดยมี ประดิษฐ์ กัลย์จาฤก เป็นพิธีกร รศ.ธงทอง จันทรางศุ, นัฏฐา ลอยด์ และ ดวงดาว จารุจินดา เป็นผู้ค้นหาร่องรอย โดยสารคดีชุดนี้เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติของทั้งคู่ ตั้งแต่เด็กจนถึงเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้ที่รับบทอิน-จัน นี้เป็นฝาแฝดที่มีอาชีพมัคคุเทศก์ จึงไม่มีปัญหาในการท่องบทภาษาอังกฤษ ", "title": "อิน-จัน" }, { "docid": "180297#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ นิคม จันทรวิทุร (6 สิงหาคม พ.ศ. 2468 - 31 ตุลาคม พ.ศ. 2544) นักรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของแรงงานและคนยากจนด้อยโอกาส และนักวิชาการด้านแรงงานคนสำคัญคนหนึ่งของไทย เกิดที่บ้านท่าล้อ ตำบลสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ในครอบครัวไทย-จีน บิดาชื่อจันทร์ หรือ “พ่อเลี้ยงจันทร์” อพยพมาจากเมืองจีนตั้งแต่เล็ก ส่วนมารดาเป็นไทยชื่อ บัวจีน ศาสตราจารย์นิคม จันทรวิทุรเป็นบุตรคนที่ 9 จากพี่น้อง 11 คน บิดามีอาชีพทำนาและทำไม้", "title": "นิคม จันทรวิทุร" }, { "docid": "18164#26", "text": "ธงทอง เคยเป็นผู้บรรยายและผู้ดำเนินรายการท้าพิสูจน์ และรายการสารคดีแฝดสยาม (Siamese twins) ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "18164#21", "text": "นอกจากนี้แล้ว ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เคยเขียนบทความลงในนิตยสารพลอยแกมเพชร รวมทั้งบทความสารคดีและบทความเฉลิมพระเกียรติลงในนิตยสารสู่อนาคต ฉบับรายสัปดาห์ และเคยเขียนบทความเรื่องสัพเพเหระวัฒนธรรลงในนิตยสารแพรวด้วย ตลอดจนเป็นผู้แต่งบทกลอนต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นกลอนเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ และสมเด็จพระบรมราชบุพการีและเครือญาติแห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ลงในเว็บไซต์ของหน่วยงานต่าง ๆ หนังสือเฉลิมพระเกียรติ หนังสือที่ระลึก หนังสือทั่วไป นิตยสาร วารสาร เป็นต้น", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "180297#2", "text": "ศ.พิเศษ นิคม จันทรวิทุรเคยเป็นเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยคนแรก เป็นข้าราชการกรมประชาสงเคราะห์ และดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมแรงงาน ในช่วง พ.ศ. 2515-2519 ระหว่างปี พ.ศ. 2519-2522 ได้ปฏิบัติงานในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาบริหารงานด้านแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศประจำกรุงธักกา ประเทศบังคลาเทศ จนถึงปี พ.ศ. 2525 จึงได้กลับมาทำงานที่ประเทศไทยเกี่ยวกับการผลักดันการเคลื่อนไหวปฏิรูปกฎหมายด้านแรงงานและสวัสดิการสังคม อีกทั้งยังเป็นอาจารย์พิเศษ บรรยายวิชากฎหมายแรงงาน คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับการแต่งตั้งเป็น ศาสตราจารย์พิเศษ ในเวลาต่อมา", "title": "นิคม จันทรวิทุร" }, { "docid": "292545#12", "text": "คณะกรรมการกฤษฎีกามีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ดังต่อไปนี้นอกจากนี้คณะกรรมการกฤษฎีกายังมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 กล่าวคือ ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบความเห็นพร้อมด้วยสำนวนการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งกระทำการโดยเที่ยงธรรมหรือไม่\n นางสาวพจนีย์ ธนวรานิช\n นายพชร ยุติธรรมดำรง\n ศาสตราจารย์ ดร.พนัส สิมะเสถียร\n ดร.พรชัย นุชสุวรรณ\nคุณพรทิพย์ จาละ\n ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย\n พลเรือเอก พลเดช เจริญพูล\n นางสาวพวงเพชร สารคุณ\n ศาสตราจารย์พิชัยศักดิ์ หรยางกูร\n พลเอก พิชิต ยูวะนิยม\n นายเพ็ง เพ็งนิติ\n ศาสตราจารย์พิเศษไพโรจน์ วายุภาพ\n ศาสตราจารย์ ดร.ไพศิษฐ์ พิพัฒนกุล\n นายมนัส แจ่มเวหา\n ดร.มนู เลียวไพโรจน์\n นายมีชัย ฤชุพันธุ์\n นายไมตรี ตันเต็มทรัพย์\n ศาสตราจารย์พิเศษเรวัต ฉ่ำเฉลิม\n นายวัฒนา รัตนวิจิตร\n นายวันชัย ศารทูลทัต\n พลตำรวจเอก วันชัย ศรีนวลนัด\n นายวิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์\n ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์\n ดร.วิลาศ สิงหวิสัย\n ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ\n ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม\n นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ\n พลอากาศเอก วิสุรินทร์ มูลละ\n นายวีระพล ตั้งสุวรรณ\n นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์\n ศาสตราจารย์ศิริ เกวลินสฤษดิ์\n นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล\n นายสบโชค สุขารมณ์\n ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์\n นายสมชัย ฤชุพันธุ์\n ศาสตราจารย์พิเศษสมชาย พงษธา\n รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย\n นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ\n ศาสตราจารย์สรรเสริญ ไกรจิตติ\n นายสวัสดิ์ โชติพานิช\n นายสีมา สีมานันท์\n นางสาวสุคนธ์ กาญจนาลัย\n ศาสตราจารย์สุชาติ ไตรประสิทธิ์\n รองศาสตราจารย์ ดร.สุดา วิศรุตพิชญ์\n ศาสตราจารย์สุดาศิริ วศวงศ์\n นายสุเทพ เจตนาการณ์กุล\n ศาสตราจารย์ ดร.สุนทร มณีสวัสดิ์\n นายสุประดิษฐ์ หุตะสิงห์\n พลตำรวจเอก สุพาสน์ จีระพันธุ\n นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ\n ศาสตราจารย์สุรพล นิติไกรพจน์\n นายสุรินทร์ นาควิเชียร\n ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส\n ศาสตราจารย์พิเศษโสภณ รัตนากร\n รองศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ จันทรโอภากร\n ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์\n พลอากาศเอก อมร แนวมาลี\n นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ\n นายอภิชาต สุขัคคานนท์\n ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อรุณ ภาณุพงศ์\n ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อักขราทร จุฬารัตน\n นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์\n นายอัชพร จารุจินดา\n พลเอก อัฏฐพร เจริญพานิช\n นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ\n นายกองเอก อารีย์ วงศ์อารยะ\n ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม\n ดร.อาษา เมฆสวรรค์\n ดร.อำพน กิตติอำพน\n พลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์", "title": "คณะกรรมการกฤษฎีกา (ประเทศไทย)" }, { "docid": "37703#3", "text": "หลังจากที่เข้าร่วมอย่างไม่ค่อยเต็มในเท่าไหร่ เธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปและเต็มใจจะอยู่กับฝ่ายนี้ในท้ายที่สุด เธอประมือกับทีม X-Men เธอเคยลอบสังหาร วุฒิสมาชิกเคลลี่ ด้วยแต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายดีทุกครั้ง แต่ยิ่งเธอใช้พลังมากเท่าไหร่ จิตใจของโร้คก็ยิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่เธอต้องเข้าพบจิตแพทย์ ฟางเส้นสุดท้ายของเธอกับมิสทีคขาดสะบั้นลง เมื่อโร้คตาสว่างพบว่าแท้จริงแล้วนี่คือแผนร้าย ที่อีกฝ่ายตั้งใจหลอกใช้กันมาตลอด เธอจึงหันหน้าเข้าหาศาสตราจารย์ทเอ็กซ์ และพลพรรคเอ็กซ์ทีม ขอร้องให้เธอควบคุมพลังให้ได้เสียที", "title": "โร้ค" }, { "docid": "588515#153", "text": "โดยมีจุดยืนร่วมกันในเบื้องต้นคือ ไม่เห็นด้วยกับการนำสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่เห็นด้วยกับการที่กองทัพไทยแทรกแซงการเมือง รักษาและขยายพื้นที่ สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย พร้อมทั้งเผยแพร่คำขวัญของกลุ่มว่า \"เคารพกติกาประชาธิปไตย เข้าสู่การเลือกตั้ง ไม่มอบอำนาจให้คนกลาง\" และออกเป็น 3 ข้อเสนอหลัก ดังต่อไปนี้โดยในจำนวนผู้ลงชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับที่ 1 มีนักวิชาการที่สำคัญหลายท่าน อาทิเช่น ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์, รองศาสตราจารย์ ชาตรี ประกิตนนทการ , ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร , รองศาสตราจารย์ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข , รองศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ รัชชกูล , รองศาสตราจารย์ ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันทจิรา เอี่ยมมยุรา , รองศาสตราจารย์ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์, รองศาสตราจารย์ สมชาย ปรีชาศิลปกุล , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุสรณ์ อุณโณ , รองศาสตราจารย์ ดร. ประภาส ปิ่นตบแต่ง , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา รักยุติธรรม , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธีระ สุธีวรางกูร , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เวียงรัฐ เนติโพธิ์ , ศาสตราจารย์ ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ , รองศาสตราจารย์ ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี , รองศาสตราจารย์ ดร.นิติ ภวัครพันธุ์ , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุรพศ ทวีศักดิ์ , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จักรกริช สังขมณี เป็นต้น", "title": "วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557" }, { "docid": "231822#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ อินทรี จันทรสถิตย์ หรือ หลวงอิงคศรีกสิการ (14 กันยายน พ.ศ. 2442 - 1 มกราคม พ.ศ. 2532) เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีและนายกสภามหาวิทยาลัย อดีตอธิบดีกรมเกษตร และเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงเกษตราธิการในสมัยรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร", "title": "หลวงอิงคศรีกสิการ (อินทรี จันทรสถิตย์)" }, { "docid": "18164#14", "text": "หนังสือที่ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ได้ทำการแต่ง รวบรวม เรียบเรียง และหนังสือเล่มเก่าที่นำมาจัดพิมพ์ใหม่ รวมทั้งเป็นบรรณาธิการหนังสือ เป็นที่ปรึกษาการจัดทำหนังสือ และเป็นอำนวยการจัดทำหนังสือ", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "18164#10", "text": "ธงทองเคยได้รับแต่งตั้ง ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้านการเมืองหลายครั้ง อาทิ", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "18164#2", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เป็นบุตรของนาวาอากาศเอก ธัชทอง จันทรางศุ (บุตรคนสุดท้องของอำมาตย์เอก พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดคนแรกของประเทศไทย เป็นอดีตผู้ถวายงานแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และเป็นต้นตระกูลจันทรางศุ ซึ่งเป็นนามสกุลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุล จันทรางศุ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2457 และคุณหญิงแม้น สุนทรเทพกิจจารักษ์ (แม้น จันทรางศุ) (เดิมชื่อช้อย สกุลเดิมปัตตะพงศ์)) และและนางสุคนธ์ จันทรางศุ (ธิดาของพระประมวลวินิจฉัย (ขัติ สุวรรณทัต) และนางประมวลวินิจฉัย (สุดใจ ประมวลวินิจฉัย) (นามสกุลเดิมฮุนตระกูล)) มีน้องชาย 1 คน คือ นายธารทอง จันทรางศุ เลขานุการ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "650127#6", "text": "วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 มีพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติจำนวน 250 คน โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ\n ประทวน สุทธิอำนวยเดช\n ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์\n ดร.ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด\n รองศาสตราจารย์ ประภาภัทร นิยม\n ประภาศรี สุฉันทบุตร\n ประมนต์ สุธีวงศ์\n ประสาร มฤคพิทักษ์\n ประสิทธิ์ ปทุมารักษ์\n พลเอก ประสูตร รัศมีแพทย์\n รองศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์\n รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์\n ปราโมทย์ ไม้กลัด\n ศาสตราจารย์ ปรีชา เถาทอง\n ปรีชา บุตรศรี\n พลตำรวจตรี ปรีชา สมุทระเปารยะ\n ศาสตราจารย์ ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง\n รองศาสตราจารย์ ดร. เปรื่อง จันดา\n ผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ\n พงศ์โพยม วาศภูติ\n พจนีย์ ธนวรานิช\n รองศาสตราจารย์ ดร.พนา ทองมีอาคม\n พรชัย มุ่งเจริญพร\n รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์\n พรรณวีรินทร์ รัตนวานิช\n พรรณี จารุสมบัติ\n ศาสตราจารย์ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์\n นายแพทย์ พลเดช ปิ่นประทีป\n พลเอก พอพล มณีรินทร์\n พลเรือเอก พะจุณณ์ ตามประทีป\n รองศาสตราจารย์ ดร.พันธุ์ทิพย์ สายสุนทร\n พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา\n ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม\n เพิ่มศักดิ์ เชื้อชาติ\n ไพฑูรย์ หลิมวัฒนา\n ไพบูลย์ นิติตะวัน\n ไพบูลย์ นลินทรางกูร\n ไพโรจน์ พรหมสาส์น\n นาวาอากาศเอก นายแพทย์ ไพศาล จันทรพิทักษ์\n ดร.ภัทรียา สุมะโน\n พลเอก ภูดิศ ทัตติยโชติ\n พลอากาศเอก มนัส รูปขจร\n มนู เลียวไพโรจน์\n ดร.มนูญ ศิริวรรณ\n มานิจ สุขสมจิตร\n มีชัย วีระไวทยะ\n พันตำรวจตรี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ยงยุทธ สาระสมบัติ\n พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา\n รสนา โตสิตระกูล\n พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช\n ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วรรณชัย บุญบำรุง\n พลเอก วรวิทย์ พรรณสมัย\n วรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา\n วสันต์ ภัยหลีกลี้\n พลเอก วัฒนา สรรพานิช\n อาจารย์ วันชัย สอนศิริ\n นายกองเอกวัลลภ พริ้งพงษ์\n วิชัย ด่านรุ่งโรจน์\n พลเอก วิชิต ยาทิพย์\n รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์\n รองศาสตราจารย์ ดร.วินัย ดะห์ลัน\n วิบูลย์ คูหิรัญ\n ศาสตราจารย์ วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์\n วิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร\n ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร\n วีระศักดิ์ ภูครองหิน\n พลเอก วุฒินันท์ ลีลายุทธ\n รองศาสตราจารย์ ดร. วุฒิสาร ตันไชย\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ไวกูณฑ์ ทองอร่าม\n ศานิตย์ นาคสุขศรี\n รองศาสตราจารย์ ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน\n ศักดา ศรีวิริยะไพบูลย์\n อาจารย์ ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์\n ศิรินา ปวโรฬารวิทยา\n พลเรือเอก ศุภกร บูรณดิลก\n ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ยาวะประภาษ\n สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์\n ดร.สมเกียรติ ชอบผล\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สมเดช นิลพันธุ์\n ดร.สมชัย ฤชุพันธ์\n ศาสตราจารย์ ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์\n สมสุข บุญญะบัญชา\n สมศักดิ์ โล่สถาพรพิพิธ\n สยุมพร ลิ่มไทย\n สรณะ เทพเนาว์\n รองศาสตราจารย์ ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์\n สายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์\n สารี อ๋องสมหวัง\n สิระ เจนจาคะ\n พันเอก สิรวิชญ์ นาคทอง\n ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย\n รองศาสตราจารย์ ดร.สืบพงศ์ ธรรมชาติ\n ศาสตราจารย์กิตติคุณ สุกัญญา สุดบรรทัด\n รองศาสตราจารย์ สุชาติ นวกวงษ์\n รองศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์ เศรษฐ์บุญสร้าง\n สุธรรม ลิ้มสุวรรณเกษม\n สุพร สุวรรณโชติ\n สุภัทรา นาคะผิว\n พลเรือเอก สุรินทร์ เริงอารมณ์\n สุวัช สิงหพันธุ์\n นายแพทย์ สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ\n เภสัชกร ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์\n เสรี สุวรรณภานนท์\n หาญณรงค์ เยาวเลิศ\n อดิศักดิ์ ภาณุพงศ์\n อนนต์ สิริแสงทักษิณ\n อนันตชัย คุณานันทกุล\n ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล\n พลเรือเอก อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ\n ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อมรวิชช์ นาครทรรพ\n ดร. อรพินท์ สพโชคชัย\n อรพินท์ วงศ์ชุมพิศ\n อลงกรณ์ พลบุตร\n อ่อนอุษา ลำเลียงพล\n อัญชลี ชวนิชย์\n พลตำรวจโท อาจิณ โชติวงศ์\n พันตรี อาณันย์ วัชโรทัย\n นายแพทย์ อำพล จินดาวัฒนะ\n อุดม เฟื่องฟุ้ง\n ศาสตราจารย์ ดร.อุดม ทุมโฆสิต\n อุทัย สอนหลักทรัพย์\n อุบล หลิมสกุล\n พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ\n เอกราช ช่างเหลา\n ศาตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์\nวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2558 ทิชา ณ นคร ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีผลในวันที่ 1 มีนาคม 2558 วันที่ 19 สิงหาคม 2558 ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ ยื่นจดหมายลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติเพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์", "title": "สภาปฏิรูปแห่งชาติ" }, { "docid": "18164#7", "text": "และรวมทั้งในฐานะผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านราชสำนัก พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทำให้ได้รับเชิญจากทางรัฐบาลในสมัยต่าง ๆ เข้ามารับหน้ากรรมการในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีต่าง ๆ ตั้งแต่งานพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พุทธศักราช 2525 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน และรวมทั้งยังเป็นกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ และกรรมการพิเศษต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องราชสำนัก พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กร เอกชน มูลนิธิ และหน่วยงานสาธารณกุศลต่าง ๆ หลายแห่ง", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "18164#19", "text": "ในเวลาต่อมา ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จึงได้นำเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับราชสำนัก พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ได้ศึกษาค้นคว้าจากตำรา หนังสือ และเอกสารต่าง ๆ มาแต่ง รวบรวม เรียบเรียง ในการจัดทำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวด้านราชสำนัก พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ให้ผู้สนใจด้านประวัติศาสตร์ ราชสำนัก พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ได้ศึกษาและได้ความรู้ที่หลากหลาย โดยบางภาพและบางข้อมูล ในแต่ละเล่มที่ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง ได้มาทำการแต่ง รวบรวม เรียบเรียง ไม่เคยพบที่ใดมาก่อนอีกด้วย", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "31531#12", "text": "ภควัทคีตา ผลงานแปลของอินทรายุทธ (อัสนี พลจันทร์) ศรีมัทภควัทคีตา ผลงานแปลของศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต (ร่วมกับศาสตราจารย์ ร.ต.ท. แสง มนวิทูร) ภควัทคีตา บทเพลงแห่งองค์ภควัน โดย สมภาร พรมทา", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "18164#25", "text": "ธงทองเป็นผู้มีความรอบรู้ ชอบอ่านหนังสือ จึงสามารถให้ข้อมูลได้เป็นอย่างดี และใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) จึงเชิญให้เป็นผู้บรรยายประกอบ ในการต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องในพระราชสำนัก มาตั้งแต่ พ.ศ. 2528 โดยงานแรกคือ การบรรยายสารคดีพระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ต่อมาระหว่าง พ.ศ. 2530-2539 ทรท.ก็มอบหมายขึ้นเป็นหัวหน้าผู้บรรยายประกอบ ในการถ่ายทอดพระราชพิธีทางโทรทัศน์ ทั้งระดับพระราชพิธีประจำปี เช่น พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และทั้งระดับพระราชพิธีพิเศษเฉพาะกาล เช่น พระราชพิธีกาญจนาภิเษก พระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นต้น และล่าสุดการเป็นการผู้บรรยายพระราชพิธีผ่านทางโทรทัศน์ในการถ่ายทอดพระราชพิธีบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ในช่วงพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร 7 วัน พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "78585#40", "text": "กลุ่มชนที่ไม่เห็นด้วยได้แก่ เมตตานันโท ภิกขุ, พระไพศาล วิสาโล, ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์, ภิกษุณี ธัมมนันทา, น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ, นาย ธงทอง จันทรางศุ", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศไทย" }, { "docid": "18164#24", "text": "ตลอดจนการรับเชิญให้ออกรายการทางโทรทัศน์ เพื่อสัมภาษณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และราชสำนัก มาแล้วหลายรายการ อาทิ รายการจันทร์กระพริบ ทางช่อง 7 พ.ศ. 2536, รายการพิเศษน้อมถวายบังคม ทางช่องไทยรัฐทีวี, รายการพิเศษธ สถิต ณ แดนสรวง ราษฎร์กำสรวล หวนไห้ ทางช่อง 9, รายการพิเศษความรู้เกี่ยวกับพระบรมศพ ทางช่อง 11, รายการเก้าอี้รับแขก ทางช่องไอพีทีวี, รายการพิเศษ 5 ธันวา ปวงประชา ถวายพระพร ทางช่อง 11, รายการทไวไลท์โชว์ ทางช่องทีไอทีวี, รายการทูไนท์โชว์ ทางช่อง 3 และรายการเดินหน้าประเทศไทย ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นต้น", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" }, { "docid": "18164#6", "text": "ในระหว่างที่เป็นอาจารย์ ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง ได้มีโอกาสเข้าถวายงานปฏิบัติราชการถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อาทิการเสด็จพระราชดำเนินตรวจการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระบรมมหาราชวัง ในโอกาสพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พุทธศักราช 2525 เป็นต้น และถวายงานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในหลายวาระ พร้อมกับดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ เป็นต้น", "title": "ธงทอง จันทรางศุ" } ]
2543
ผู้ชนะในรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 3จะได้รับเงินรางวัลสูงสุดเท่าไหร่?
[ { "docid": "184536#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 3 เป็นปีที่สามของรายการดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้ทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขัน 10 ทีม ทีมละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก ทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 100,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา สำหรับความนิยมของรายการนี้ เนื่องจากฉายไปทั่วเอเชียจึงทำให้มีการประมาณกันว่ามีผู้ชมมากถึง 83 ล้านคนทั่วเอเชีย (มาจากจีน 40 ล้านคน) ทำให้มีแผนการที่จะผลิตออกมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับฉบับอเมริกา", "title": "ดิ อะเมซิ่งเรซเอเชีย 3" } ]
[ { "docid": "192288#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 3 () เป็นฤดูกาลที่ 3 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 3" }, { "docid": "192289#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 4 () เป็นฤดูกาลที่ 4 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส โดยฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกที่รางวัลเอ็มมีมีการแจกรางวัลประเภทเรียลลิตี้โชว์การแข่งขันและรายการก็คว้ามาได้แบบผูกขาดอยู่รายการเดียวจนถึงปัจจุบัน", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 4" }, { "docid": "195995#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 7 () เป็นฤดูกาลที่ 7 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 7" }, { "docid": "195155#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 5 () เป็นฤดูกาลที่ 5 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 5" }, { "docid": "195991#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 6 () เป็นฤดูกาลที่ 6 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 6" }, { "docid": "196005#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 9 () เป็นฤดูกาลที่ 9 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีม ๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 9" }, { "docid": "189590#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 1 () เป็นฤดูกาลที่ 1 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส สำหรับฤดูกาลที่ 1 นี้ออกอากาศวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2544", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 1" }, { "docid": "75199#0", "text": "ดิ อะเมซิง เรซ 11 () เป็นฤดูกาลที่ 11 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส การแข่งขันโดยรวมสำหรับฤดูกาลนี้คือจะนำผู้ที่มีบทบาทเด่นๆ จากการแข่งขัน ดิ อะเมซิ่งเรซ 1 - 10 มาทำการแข่งขันอีกครั้งโดยเป็นฤดูกาลรวมดาราโดยใช้ชื่อว่า The Amazing Race : All-Stars", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 11" }, { "docid": "193465#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 13 () เป็นฤดูกาลที่ 13 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 13" }, { "docid": "73009#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ ( หรือในบางครั้งรู้จักกันในตัวย่อ \"TAR\" มีชื่อภาษาไทยตามที่ออกอากาศทางช่องเอเอกซ์เอ็นในประเทศไทยว่า คนแกร่งแข่งอึด) เป็นเรียลลิตี้โชว์ ทางโทรทัศน์ ที่สมาชิกในทีม ทีมละสองคน ที่รู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันกับทีมอื่นโดยการเดินทางรอบโลก โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องพยายามเข้าเป็นทีมแรกที่จุดหยุดพักในแต่ละเลกให้ได้ เพื่อเป็นผู้ชนะในเลกนั้น ๆ และหลีกเลี่ยงการมาถึงเป็นทีมสุดท้าย ที่อาจจะทำให้ทีมถูกคัดออกจากการแข่งขัน หรืออาจทำให้ทีมประสบอุปสรรคตามมาในเลกต่อไป\nผู้เข้าแข่งขันจะเดินทางระหว่างประเทศหลายประเทศ ด้วยวิธีการเดินทางที่แตกต่างกันออกไป เช่น เครื่องบิน แท็กซี่ รถเช่า รถไฟ รถประจำทาง และเรือ คำสั่งในแต่ละช่วงของเลกจะสั่งให้ทีมไปยังจุดหมายต่อไป หรือทำงาน ไม่ว่าจะทำคนเดียวหรือสองคนก็ตาม ซึ่งงานที่ทีมทำนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมารยาท หรือวัฒนธรรม ท้องถิ่นในประเทศที่พวกเขาไปเยือน โดยแต่ละทีมจะทะยอยถูกคัดออก จนกระทั่งเหลืออยู่ 3 ทีมสุดท้าย ณ จุดนั้น ทีมที่มาถึงเป็นทีมแรกในเลกสุดท้ายจะได้รับเงินรางวัลก้อนใหญ่ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีมูลค่า 1 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ" } ]
2764
เหตุผลวิบัติอย่างเป็นทางการ เกิดจากหลักตรรกะที่ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่?
[ { "docid": "263624#1", "text": "เหตุผลวิบัติสามารถจำแนกออกได้ในหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น เหตุผลวิบัติอย่างเป็นทางการ เกิดจากหลักตรรกะที่ไม่ถูกต้อง เหตุผลวิบัติอย่างไม่เป็นทางการ ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาว่าผิดตามหลักตรรกะ และเหตุผลวิบัติเกี่ยวกับถ้อยคำ ซึ่งเกิดจากการใช้ภาษาชักนำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น การพูดกำกวม หรือการพูดมากโดยไม่จำเป็น", "title": "เหตุผลวิบัติ" } ]
[ { "docid": "703156#9", "text": "เหตุผลวิบัติเกิดขึ้นจากความสับสนเกี่ยวกับอัตราความล้มเหลวสองอย่าง\nคือ \"จำนวนการไม่เตือนภัยต่อผู้ก่อการร้าย 100 คน\" (false negative) กับ \"จำนวนผู้ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายต่อการเตือนภัย 100 ครั้ง\" (false positive) เป็นค่าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลย\nค่าแรกไม่จำเป็นต้องเท่ากับค่าที่สอง ไม่จำเป็นที่จะต้องเกือบเท่ากันเลยด้วยซ้ำ\nลองพิจารณาอย่างนี้ว่า สมมุติว่า มีระบบเตือนภัยเช่นเดียวกันที่ติดตั้งในเมืองอีกเมืองหนึ่งที่ไม่มีผู้ก่อการร้ายอยู่เลย\nและเหมือนกับในเมืองแรก มีการเตือนภัยทุก 1 ครั้งจาก 100 ครั้งที่พบผู้ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย\nแต่ไม่เหมือนกับเมืองแรก จะไม่มีการเตือนภัยสำหรับผู้ก่อการร้ายเลย (เพราะไม่มีผู้ก่อการร้าย)\nดังนั้น 100% ของการเตือนภัยจะเป็นเพราะผู้ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย\nซึ่งก็คือ \"จำนวนผู้ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายต่อการเตือนภัย 100 ครั้ง\" สำหรับเมืองนี้จะเท่ากับ 100 ทั้ง ๆ ที่ P (ก่อการร้าย | เตือนภัย) = 0%\nซึ่งก็คือ มีโอกาส 0% ที่มีการตรวจจับเจอผู้ก่อการร้ายเมื่อเกิดการเตือนภัย", "title": "เหตุผลวิบัติโดยอัตราพื้นฐาน" }, { "docid": "703156#8", "text": "สมมุติว่า ถ้ากล้องเจอบุคคลหนึ่งที่ทำให้เกิดการเตือนภัย\nมีโอกาสเท่าไรที่คน ๆ นั้นจะเป็นผู้ก่อการร้าย\nกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ อะไรเป็นค่า P (ก่อการร้าย | เตือนภัย) คือค่าความน่าจะเป็นว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ก่อการร้ายเมื่อมีการเตือนภัย\nผู้ที่เกิดเหตุผลวิบัติโดยอัตราพื้นฐานจะอนุมานว่ามีโอกาส 99% ที่บุคคลนั้นจะเป็นผู้ก่อการร้าย\nแม้ว่า ค่าอนุมานนั้นดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่จริง ๆ แล้วเป็นเหตุผลที่ผิดพลาด และการคำนวณที่จะแสดงต่อไปจะชี้ว่า คน ๆ นั้นมีโอกาสเพียงเกือบ 1% เท่านั้นที่จะเป็นผู้ก่อการร้าย จะไม่ใกล้ 99% เลย", "title": "เหตุผลวิบัติโดยอัตราพื้นฐาน" }, { "docid": "684280#0", "text": "เหตุผลวิบัติในการวางแผน () ที่แดเนียล คาฮ์นะมัน (รูป) และอะมอส ทเวอร์สกี้เป็นผู้เสนอในปี ค.ศ. 1979\nเป็นปรากฏการณ์ที่การพยากรณ์ของเราว่า จะใช้เวลานานเท่าไรในการทำงานหนึ่งให้เสร็จ จะปรากฏว่ามีความเอนเอียงโดยการมองในแง่ดี (optimistic bias) คือจะมีการประเมินเวลาต่ำเกินไป\nเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ว่า งานคล้าย ๆ กันในอดีตความจริงแล้วใช้เวลามากกว่าที่วางแผนและประเมินไว้ \nความเอนเอียงนี้จะเกิดเมื่อประเมินงานของตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าคนอื่นประเมินให้ ก็จะมีความเอนเอียงโดยมองในแง่ร้าย และเวลาที่ประเมินก็จะมากเกินไป \nนิยามของความเอนเอียงกำหนดว่า การพยากรณ์เวลาที่จะใช้ทำงานปัจจุบัน \nในปี ค.ศ. 2003 คาฮ์นะมันและคณะได้เสนอนิยามที่ครอบคลุมมากขึ้นว่า เป็นแนวโน้มที่จะประเมินเวลา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงสำหรับงานที่จะทำในอนาคตต่ำเกินไป และในขณะเดียวกันจะประเมินประโยชน์ที่ได้สูงเกินไป\nตามคำนิยามนี้ เหตุผลวิบัติในการวางแผนมีผลไม่ใช่เป็นการใช้เวลามากเกินไปเท่านั้น แต่จะมีผลเป็นค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ และประโยชน์ที่น้อยกว่าที่วางแผนไว้ด้วย", "title": "เหตุผลวิบัติในการวางแผน" }, { "docid": "687319#22", "text": "เหตุผลวิบัติเกิดขึ้นจากการวางนัยทั่วไปเร็วเกินไป \nซึ่งก็คือความเชื่อที่ผิดพลาดว่า ตัวอย่างที่มีน้อยสามารถเป็นตัวแทนของประชากรกลุ่มที่ใหญ่กว่าได้\nคือ ตามเหตุผลวิบัตินี้ ลำดับการเกิดเหตุการณ์ที่เกิดช้ำต่อ ๆ กันจะต้องเปลี่ยนไปอีกด้าน เพื่อที่จะมีลักษณะเป็นตัวแทนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรวม ๆ ได้ \nในปี ค.ศ. 1971 อะมอส ทเวอร์สกี้ และแดเนียล คาฮ์นะมัน เสนอเป็นครั้งแรกว่า เหตุผลวิบัติของนักการพนันเป็นความเอนเอียงทางประชานที่เกิดขึ้นจากฮิวริสติกที่เรียกว่า representativeness heuristic (ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน)\nซึ่งเป็นทฤษฎีที่เสนอว่า เราประเมินความน่าจะเป็นของเหตุการณ์บางอย่างโดยประเมินว่าเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยประสบมาก่อนแค่ไหน", "title": "เหตุผลวิบัติของนักการพนัน" }, { "docid": "621594#2", "text": "ส่วนเหตุผลโดยอุปนัยซึ่งเป็นวิธีการให้เหตุผลแบบอรูปนัย ไม่ได้ตัดสินตามหลักของตรรกะเช่นนั้น\nคือ ความสมควรของเหตุผลนั้นตัดสินโดยความน่าเชื่อถือทางความคิด\nหรือตามกำลังของหรือตามวิธีการทางอุปนัย (ยกตัวอย่างเช่น การอนุมานโดยใช้สถิติ)\nยกตัวอย่างเช่น เหตุผลวิบัติโดยการวางนัยทั่วไปเร็วเกินไป (hasty generalization) สามารถกล่าวได้ดังนี้", "title": "เหตุผลวิบัติอรูปนัย" }, { "docid": "687319#34", "text": "วิธีแก้ปัญหาที่เป็นการป้องกันล่วงหน้าอย่างหนึ่งมาจากแนวคิดของนักจิตวิทยาเกสทอลต์\nผู้เสนอว่า เหตุผลวิบัติอาจจะกำจัดได้โดยการจัดกลุ่ม\nคือ เมื่อเหตุการณ์หนึ่งในอนาคต (เช่นการโยนเหรียญ) ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งตามลำดับ ไม่ว่าจะมีความสุ่มแค่ไหน เราจะพิจารณาเหตุการณ์นั้นว่ามีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในอดีตโดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดเหตุผลวิบัติของนักการพนัน\nแต่เมื่อเราพิจารณาว่า เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ เป็นอิสระต่อกันและกัน เหตุผลวิบัตินี้จะมีการลดระดับไป\nในงานทดลองแนวเกสทอลต์นี้ มีการบอกผู้ร่วมการทดลองว่า จะให้พนันการโยนเหรียญที่แบ่งออกเป็นสองชุด แต่ละชุดมีการโยน 6 ครั้ง หรือมีการโยน 7 ครั้ง\nการโยนเหรียญครั้งที่ 4 5 และ 6 ล้วนแต่เกิดผลเช่นกัน คือ หัว 3 ครั้ง หรือก้อย 3 ครั้ง\nส่วนการโยนเหรียญครั้งที่ 7 มีการจัดกลุ่มเป็นท้ายสุดร่วมกับการโยนเหรียญชุดแรก (สำหรับกลุ่มที่พนันชุดที่มีการโยน 7 ครั้ง) หรือเป็นต้นสุดร่วมกับการโยนเหรียญชุดที่สอง (สำหรับกลุ่มที่พนันชุดที่มีการโยน 6 ครั้ง)\nผู้ร่วมการทดลองมีเหตุผลวิบัตินี้ในระดับสูงสุดถ้าการโยนเหรียญครั้งที่ 7 จัดให้อยู่ท้ายสุดของชุดแรก\nทันทีหลังจากลำดับของการออกหัวหรือก้อย 3 ครั้งต่อ ๆ กัน\nนอกจากนั้นแล้ว ยังมีการชี้ให้ผู้ร่วมการทดลองเข้าใจว่า เหตุผลวิบัตินี้ฝังลึกได้ขนาดไหน ผู้ร่วมการทดลองที่ไม่แสดงความเอนเอียงนี้ก็จะมีความมั่นใจน้อยลงในการแทง และทำการแทงน้อยครั้งกว่าผู้ร่วมการทดลองที่ปรากฏเหตุผลวิบัตินี้ \nแต่ว่า เมื่อการโยนเหรียญครั้งที่ 7 มีการจัดให้อยู่ร่วมกับชุดที่สอง (และดังนั้นผู้ร่วมการทดลองจึงไม่รู้สึกว่า เป็นส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดต่อซ้ำ ๆ กัน) เหตุผลวิบัตินี้จะไม่เกิดขึ้น", "title": "เหตุผลวิบัติของนักการพนัน" }, { "docid": "680739#15", "text": "งานของคุณหมอโดซ่ายังปรากฏว่ามีเหตุผลวิบัติเชิงตรรกะอีกด้วย\nคือ หลักฐานโดยคำบอกเล่าที่ใช้มักจะมีการดัดแปลงเพื่อให้สะดวกในการอ่าน ในขณะที่ไม่ใส่ใจในหลักฐานที่คัดค้าน \nซึ่งเป็นเหตุผลวิบัติเชิงตรรกะโดยเสนอแต่กรณีที่เข้ากันกับประเด็นที่เป็นสมมุติฐาน (ดูความเอนเอียงเพื่อยืนยัน) \nคุณหมอยังใช้วิธีการอุธรณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ (appeal to authority) คือกล่าวว่า \"ผู้เชี่ยวชาญ\" ได้ถกประเด็นเรื่องนี้แล้วสรุปว่า เป็นความสามารถของออสการ์ \nและโดยสรุปผิด ๆ ว่า \"เกิดหลังจากสิ่งนี้ ดังนั้น จึงเกิดเพราะสิ่งนี้\" (post hoc ergo propter hoc) \nคือ แม้จะเป็นความจริงว่า ออสการ์จะไปนอนอยู่บนเตียงคนไข้ก่อนที่จะเสียชีวิต แต่อาจจะมีตัวแปรอื่นที่สามารถอธิบายพฤติกรรมนี้ได้ดีกว่าหรือได้ดีเท่า ๆ กัน", "title": "ออสการ์ (แมวพยาบาล)" }, { "docid": "263624#3", "text": "เหตุผลวิบัติมักจะดูเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม การยกเหตุผลมักจะมีลักษณะรูปแบบการเล่นสำนวนเพื่อให้เกิดความเคลือบแคลงในการยกเหตุผลในทางตรรกะ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม จะทำให้เหตุผลวิบัติยากที่จะสามารถตรวจจับได้ และส่วนประกอบของเหตุผลวิบัตินั้นก็อาจแพร่ขยายได้อีกเป็นเวลานาน", "title": "เหตุผลวิบัติ" }, { "docid": "706383#2", "text": "เหตุผลวิบัตินี้มักเกิดขึ้นเมื่อเรามีข้อมูลเป็นจำนวนมาก\nแล้วเพ่งความสนใจไปที่เพียงกลุ่มน้อย ๆ ของข้อมูลที่มีนั้น\nกลุ่มที่เพ่งดูนั้นอาจจะมีลักษณะอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไรอย่างอื่น \nซึ่งไม่ตรงกับเหตุที่เราเสนอ\nดังนั้น โดยสาระก็คือ ถ้าเราพยายามที่จะอธิบายเหตุของลักษณะข้อมูลที่เหมือนกันกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของข้อมูลที่มีมาก โดยแสดงเหตุที่ไม่เป็นจริง (เช่นแสดงกลุ่มลูกปืนที่ยิงเข้าใกล้ ๆ กันโดยบังเอิญว่ามีเหตุจากความที่เราเป็นนักแม่นปืน) เราก็อาจจะกำลังสร้างเหตุผลวิบัตินี้อยู่", "title": "เหตุผลวิบัตินักแม่นปืนชาวเทกซัส" } ]
1703
เหล็กกล้าไร้สนิม มีชื่อภาษาอังกฤษว่าอะไร?
[ { "docid": "34256#0", "text": "เหล็กกล้าไร้สนิม () นั้น ในทางโลหกรรมถือว่าเป็นโลหะผสมเหล็ก ที่มีโครเมียมอย่างน้อยที่สุด 10.5% ชื่อในภาษาไทย แปลจากภาษาอังกฤษว่า stainless steel เนื่องจากโลหะผสมดังกล่าวไม่เป็นสนิมที่มีสาเหตุจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง ออกซิเจนในอากาศกับโครเมียมในเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิม เกิดเป็นฟิล์มบางๆเคลือบผิวไว้ ทำหน้าที่ปกป้องการเกิดความเสียหายให้กับตัวเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิมได้เป็นอย่างดี ปกป้องการกัดกร่อน และไม่ชำรุดหรือสึกกร่อนง่ายอย่างโลหะทั่วไป สำหรับในสหรัฐอเมริกาและในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน นิยมเรียกโลหะนี้ว่า corrosion resistant steel เมื่อไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นโลหะผสมชนิดใด และคุณภาพระดับใด แต่ในท้องตลาดเราสามารถพบเห็น เหล็กกล้าไร้สนิมเกรด 18-8 มากที่สุด ซึ่งเป็นการระบุถึง ธาตุที่เจือลงในในเนื้อเหล็กคือ โครเมียมและนิเกิล ตามลำดับ สแตนเลสประเภทนี้จัดเป็น Commercial Grade คือมีใช้ทั่วไปหาซื้อได้ง่าย มักใช้ทำเครื่องใช้ทั่วไป ซึ่งเราสามารถจำแนกประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิมได้จากเลขรหัสที่กำหนดขึ้นตามมาตรฐาน AISI เช่น 304 304L 316 316L เป็นต้น ซึ่งส่วนผสมจะเป็นตัวกำหนดเกรดของเหล็กกล้าไร้สนิม ซึ่งมีความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เหล็กกล้าไร้สนิมกับการเกิดสนิม ปกติ Stainless steel จะไม่เป็นสนิมเพราะที่ผิวของมันจะมีฟิล์มโครเมียมออกไซด์ บางๆเคลือบผิวอยู่อันเนื่องมาจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง Cr ใน Stainless steel กับ ออกซิเจนในอากาศ การทำให้ Stainless steel เป็นสนิมคือการถูกทำลายฟิล์มโครเมียมออกไซด์ ที่เคลือบผิวออกไปในสภาวะที่ Stainless steel สามารถเกิดสนิมได้ ก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเช่น ถ้าเหล็กกล้าไร้สนิมถูกทำให้เกิดรอยขีดข่วน แล้วบริเวณรอยนั้นมีความชื้น ซึ่งสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยากับธาตุเหล็กก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมา ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดสนิมขึ้นได้", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#7", "text": "อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กกล้าทนการกัดกร่อน เพื่อการค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีความรุ่งเรื่องอย่างมากในยุคเริ่มต้นอยู่ระหว่าง ปี 1911-1913 เริ่มที่ปี 1911 เอลวูด เฮย์เนส (Elwood Haynes) ชาวอเมริการได้คิดค้นและผลิตมีดโกนหนวดไร้สนิมเป็นผลสำเร็จ โดยมีส่วนผสมของโครเมียม 14-16 % และ คาร์บอน 0.07-0.15 % ในขณะที่ แฮร์รีย์ เบรียรเลย์ (Harry Brearley) ชาวอังกฤษได้คิดค้นและผลิตลำกล้องปืนที่ทนต่อการกัดกร่อนเป็นผลสำเร็จด้วยส่วนผสมโครเมียม 6-15% คาร์บอน ประมาณ 0.2 % นอกจากนี้ แฮร์รีย์ เบรียรเลย์ ยังได้นำโลหะที่ค้นพบนี้ไปผลิตเป็น มีด กรรไกร และเครื่องครัวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เขาได้ตั้งชื่อเหล็กกล้าที่ทนต่อากรกัดกร่อนนี้ว่า “Rustless steel” ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็น คำว่า “stainless steel” ด้วยคำแนะนำของเออร์เนส์ท สะทูอาร์ท (Ernest Stuart) เจ้าของโรงงานผลิตพวกเครื่องใช้คัดเตอร์รีที่คิดว่ามีความไพเราะกว่าในปี 1912 ต่อมาในปี 1913 ในงานแสดงนิทรรศการที่กรุงเวียนนา แม็คซ์ เมียวร์แมนน์ (Max Mauermann) ชาวโปแลนได้นำเสนอผลงานว่าเขาได้ผลิตเหล็กกล้าไร้สนิมสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 1912", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" } ]
[ { "docid": "34256#18", "text": "เป็นการกัดกร่อนที่เกิดจากโลหะ 2 ชนิดที่มีศักย์ทางไฟฟ้าแตกต่างกันมาอยู่ติดกัน จุ่มอยู่ในสารละลายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเดียวกัน เหล็กกล้าไร้สนิมจะเป็นโลหะที่มีศักย์สูงกว่า ดังนั้นอัตราการกัดกร่อนแบบกัลวานิคมักจะไม่ค่อยเพิ่มขึ้นในเหล็กกล้าไร้สนิม", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#16", "text": "เหล็กกล้าไร้สนิมเป็นวัสดุที่ทนและต้านทานการกัดกร่อน อย่างไรก็ตามมีเหล็กกล้าไร้สนิมหลายตระกูลที่สามารถต้านทานการกัดกร่อนได้ดีเลิศ ในประเด็นการใช้งานที่ต่างกัน ซึ่งต้องเลือกไปใช้ในงานผลิตหรืองานประกอบโครงสร้าง ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างระมัดระวัง", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#13", "text": "BA-ผ่านกระบวนการรีดเย็นโดยความหนาลดลงทีละน้อยๆ ผ่านการอบอ่อนด้วยก๊าซไฮโดรเจน เพื่อป้องกันกันการออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ ผิวมันเงา สะท้อนความเงาได้ดี ผิวผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าไร้สนิมจะกระทำด้วยวิธีนี้ ซึ่งจะมีเครื่องหมาย BA หรือ No.2BA, A ซึ่งผิวอบอ่อนเงา จะมีลักษณะเงากระจก ซึ่งเริ่มต้นจากการรีดเย็น อบอ่อนในเตาควบคุมบรรยากาศ ผิวเงาที่เห็นจะเป็นการขัดผิวด้วยลูกกลิ้งขัดผิว หรือเจียรนัยผิวตามเกรดที่ต้องการ ผิวอบอ่อนเงาส่วนมากจะใช้กับงานสถาปัตยกรรม ที่ต้องการผิวสะท้อน ผิวอบอ่อนสีน้ำนมจะไม่สะท้อนแสงเหมือนกับ No.8 จะใช้กับงานที่เป็นขอบ ชิ้นส่วนทางสถาปัตยกรรม ภาชนะในครัว อุปกรณ์ในกระบวนการผลิตอาหาร", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#26", "text": "เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดที่มีส่วนผสมโครเมียมอย่างเดียวมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวคล้ายกับเหล็กกล้าคาร์บอน แต่เกรดออสเทนนิติกจะมีสัมประสิทธ์การขยายตัวสูงกว่าเหล็กกล้าคาร์บอน 1½ เท่า การที่เหล็กกล้าไร้สนิมมีการขยายตัวสูงแต่มีค่าการนำความร้อนต่ำทำให้ต้องหามาตรการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียหายที่ตามมาเช่น ใช้ปริมาณความร้อนในการเชื่อมต่ำ, กระจายความร้อนออกโดยใช้แท่งทองแดงรองหลัง, การจับยึดป้องกันการบิดงอ ปัจจัยเหล่านี้ต้องพิจารณาการใช้งานร่วมกันของวัสดุ เช่นท่อแลกเปลี่ยนความร้อน (heat exchanger) ระหว่างเปลือกโครงสร้างเหล็กกล้าคาร์บอน และท่อออสเทนนิติคเป็นต้น", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#17", "text": "เป็นการกัดกร่อนที่เกิดขึ้นตลอดทั่วผิวหน้า (Uniform attack) การกัดกร่อนแบบนี้มีอันตรายน้อยเพราะว่าสามารถวัด และทำนายการกัดกร่อนที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้ การกัดกร่อนแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเหล็กกล้าไร้สนิมในสิ่งที่แวดล้อมที่มีผลต่อการกัดกร่อนในอัตราที่ต่ำมาก", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#23", "text": "การกัดกร่อนที่เป็นผลมาจากจุลชีพ เกิดจากแบคทีเรียที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมเกาะติดที่ผิวหน้าของเหล็กกล้าไร้สนิมทำให้บริเวณนั้น ปิดกั้นออกซิเจน ดังนั้นเงื่อนไขในการกัดกร่อนจึงคล้ายกับแบบ Crevice แบคทีเรียจึงทำให้สถานการณ์ การกัดกร่อนเลวร้ายลง", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "118960#0", "text": "ซ่อนกลิ่น มีชื่อตามภาษาท้องถิ่นว่า หอมไกล หรือ หอมไก๋ (ภาคเหนือ) ดอกเข่า (ภาคอีสาน)เป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ประเภทพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีดอกสีขาว กลิ่นหอม มีหัวอยู่ใต้ดิน อยู่ในวงศ์ Amaryllidaceae ส่วนชื่อสามัญคือ Tuberose มาจากภาษาละติน tuberosa มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ มักขึ้นได้ดีในดินที่ระบายน้ำได้สะดวก สารสกัดของพืชชนิดนี้ใช้เป็นเครื่องหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณ", "title": "ซ่อนกลิ่น" }, { "docid": "34256#21", "text": "การกัดแบบเป็นจุดหรือแบบสนิมขุมเป็นการกัดกร่อนเฉพาะที่เป็นอันตรายมาก ซึ่งมีผลทำให้เกิดการกัดกร่อนที่ผิวหน้าเป็นรูเล็กๆ หรือเป็นรูทะลุตลอดเนื้อวัสดุ แต่สามารถวัดการสูญเสียเนื้อวัสดุได้น้อย สิ่งแวดล้อมที่มีการกัดกร่อนแบบสนิมขุม ส่วนมากจะเป็นสารละลายที่มีคลอไรด์ไออน (Chloride ion) จะเป็นตำแหน่งที่ฟิล์มถาวรจะถูกทำลายได้ง่ายที่สุดในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ควรจะเลือกใช้วัสดุด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสารละลายของกรดที่มีอุณหภูมิสูง ถ้าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการกัดกร่อนแบบสนิมขุมไม่สามารถแก้ไขได้ ให้แก้โดยการเลือกใช้โลหะผสมที่ต้านทานการกัดกร่อนสูงกว่า เช่น เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดดูเพล็กซ์ และเกรดอื่นๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" } ]
1683
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เสียชีวิตเมื่อไหร่?
[ { "docid": "17368#0", "text": "ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล (24 ตุลาคม พ.ศ. 2446 - 5 ตุลาคม พ.ศ. 2538) บุคคลสำคัญของโลกและศิลปินแห่งชาติ ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์[1] อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาลัยวิชาการศึกษาและผู้ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" } ]
[ { "docid": "453479#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษด้านการเงินการธนาคาร อดีตอัยการสูงสุด เกิดวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เป็นบุตรของ นายเมืองเริง วสันตสิงห์ (อดีตข้าราชสำนักผู้ใหญ่) และ หม่อมหลวงปานตา มาลากุล หลานลุงของ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล หลานอาของ ท่านผู้หญิง อรอวล อิศรางกูร ณ อยุธยา มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา สมรสกับ นางภัทรา วสันตสิงห์ อดีตผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารทหารไทย มีบุตรชาย 1 คน ชื่อ นายศิวัช วสันตสิงห์ (เอ๊ก) และมีบุตรสาว 1 คน คือ นางสาวณัฏฐา วสันตสิงห์ (ออน)", "title": "จุลสิงห์ วสันตสิงห์" }, { "docid": "11674#61", "text": "เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยดำรงตำแหน่ง 3 วาระเป็นท่านแรก และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ณ พระราชวังสนามจันทร์ โดยตั้งคณะอักษรศาสตร์ขึ้นเป็นคณะวิชาแรก แล้วจึงมีคณะอื่น ๆ ขึ้นมาตามลำดับดังที่ปรากฏในปัจจุบัน ท่านจึงเป็นเป็นผู้มีส่วนพัฒนามหาวิทยาลัยให้ก้าวหน้า ทำให้เกิดการขยายตัวทางการศึกษาหลายสาขาวิชา มหาวิทยาลัยมีความรำลึกถึงพระคุณของ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้ วันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปีเป็น \"วันหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล\" และได้จัดกิจกรรมในวันดังกล่าวเพื่อรำลึกถึงพระคุณท่านที่มีต่อมหาวิทยาลัยศิลปากรมาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 อันเป็นปีที่เปิดอนุสาวรีย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "27824#3", "text": "การออกแบบอนุสาวรีย์ของหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล มีแรงบันดาลใจสี่ประการ คือประติมากรรมทหาร 5 เหล่าหม่อมหลวงปิ่นใช้ดาบปลายปืน ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายทหาร โดยใช้ดาบปลายปืนห้าเล่มรวมกัน จัดตั้งเป็นกลีบแบบลูกมะเฟือง ปลายดาบชี้ขึ้นบน ส่วนคมของดาบหันออก ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กประดับหินอ่อน มีความสูงประมาณ 50 เมตร ดาบปลายปืนส่วนด้ามตั้งเหนือเพดานห้องโถงใหญ่ ซึ่งใช้เก็บกระสุนปืนใหญ่บรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสด้านนอกตอนโคนดาบปลายปืน มีรูปปั้นหล่อทองแดง ขนาดสองเท่าคนธรรมดา ของนักรบ 5 เหล่า คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน ศิลปินผู้ปั้นรูปเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เช่น สิทธิเดช แสงหิรัญ, อนุจิตร แสงเดือน, พิมาน มูลประสุข, แช่ม ขาวมีชื่อ ภายใต้การควบคุมของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีด้านนอกของผนังห้องโถง เป็นแผ่นทองแดงจารึกนามผู้เสียชีวิต รายนามผู้ที่ได้รับการจารึกไว้มีทั้งสิ้น 160 นาย เป็นทหารบก 94 นาย ทหารเรือ 41 นาย ทหารอากาศ 13 นาย และตำรวจสนาม 12 นาย จนถึงปัจจุบันแผ่นทองแดงจารึกรายนามผู้เสียชีวิต และผู้สละชีพเพื่อชาติจากสงครามต่าง ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2483-พ.ศ. 2497 รวมทั้งสิ้น 801 นายความสำคัญอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิยามค่ำคืนาติจากสงครามต่าง ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2483-พ.ศ. 2497 รวมทั้งสิ้น 801 นาย.", "title": "อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" }, { "docid": "17368#28", "text": "เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ท่านได้รับการประกาศเชิดชูเกียรติจากองค์การยูเนสโกยกย่องท่านเป็น \"นักการศึกษาดีเด่นของโลก ในสาขาวรรณกรรมและสื่อสาร\" ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวเตรียมอุดมทุกคน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา อัญเชิญรูปปั้น ฯพณฯ ศ.หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล จากหอวชิราวุธานุสรณ์ มาประดิษฐาน ห้อง 57 ตึก 1 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2545", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "431814#2", "text": "ต่อมาได้สมรสกับหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล บุคคลสำคัญของโลกและศิลปินแห่งชาติ แต่ไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน", "title": "ดุษฎีมาลา มาลากุล ณ อยุธยา" }, { "docid": "17368#12", "text": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2500 ถึง 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตั้งแต่พ.ศ. 2500 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นเวลายาวนานถึง 12 ปีเศษ", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "51896#48", "text": "แต่ด้วย Esprit De Corps ของนักเรียนโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯพณฯ นักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล (บุตรของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล) ซึ่งเมื่อครั้งท่านยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ได้เคยเป็นผู้ตรวจการศึกษาและคอยควบคุมดูแลโรงเรียนราชวิทยาลัย และเป็นผู้กราบบังคมทูลรายงานพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้น ได้ตระหนักถึงปณิธานอันแรงกล้าของชาวราชวิทย์ที่จักจัดตั้งโรงเรียนที่ตนเองรักและเทิดทูนกลับมาให้ได้ ม.ล.ปิ่น ท่านเลือกที่จะให้สมาคมราชวิทยาลัยเข้ามาใช้พื้นแผ่นดินแห่งนี้เพื่อเป็นโรงเรียนราชวิทยาลัย", "title": "โรงเรียนราชวิทยาลัย" }, { "docid": "17368#20", "text": "นอกจากนี้หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ยังมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในการดำเนินการศึกษา ให้แก่นักเรียนเตรียมอุดมศึกษา ด้วยเล็งเห็นว่า โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มุ่งเตรียมเข้าสู่ระดับอุดมศึกษา จึงจัดสหศึกษาของวัยรุ่นด้วยความรอบคอบระมัดระวัง โดยการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ ควบคู่คุณธรรมดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "193642#2", "text": "ในขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ท่านได้พัฒนาโรงเรียนในหลายๆ ด้าน อาทิ ด้านวิชาการ มีการเปิดรายวิชาพื้นฐานวิชาอาชีพ ตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2524 รวมทั้งปรับปรุงการเรียนการสอนให้เป็นไปตามหลักสูตร 3 ปี ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ริเริ่มการเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ จัดห้อง 57 ซึ่งเคยเป็นห้องทำงานของ ฯพณฯ ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ให้เป็นห้อง ฯพณฯ ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นต้น", "title": "พรรณชื่น รื่นศิริ" }, { "docid": "11674#59", "text": "วันหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "17368#2", "text": "หม่อมหลวงปก มาลากุล หม่อมหลวงป้อง มาลากุล หม่อมหลวงเปนศรี มาลากุล หม่อมหลวงปนศักดิ์ มาลากุล หม่อมหลวงปอง เทวกุล (สมรสกับหม่อมเจ้าสุรวุฒิประวัติ เทวกุล) หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล หม่อมหลวงเปี่ยมสิน มาลากุล หม่อมหลวงปานตา วสันตสิงห์ (สมรสกับนายเมืองเริง วสันตสิงห์)", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "274099#10", "text": "เครื่องหมายของมูลนิธิคือ เป็นตราพระพิฆเนศวร อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมรูปธงแนวตั้ง ส่วนล่างเว้าเข้าเป็นลักษณะเส้นโค้งตัวอักษรคำว่า \"มูลนิธิศึกษาศาสตร์\" อยู่บนเส้นโค้งภายในกรอบใต้รูปพระพิฆเนศวร ตัวอักษรคำว่า \"สระน้ำจันทร์\" อยู่ใต้เส้นโค้งนอกกรอบส่วนบนของขอบกรอบสี่เหลี่ยมมีเส้นประดับกรอบ ลักษณะคล้ายไม้แขวนเสื้อ \nในวาระครบรอบ 20 ปีนี้ ทางคณะได้ใช้ \"พระพิฆเนศวรประทับยืน\" เป็นสัญลักษณ์ประจำงาน โดยได้รับความกรุณาจาก วิชัย สิทธิรัตน์ อาจารย์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ เป็นผู้ออกแบบให้อย่างน่าประทับใจ พร้อมกันนั้น คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน 20 ปี ศึกษาศาสตร์ อันประกอบด้วยผู้แทนคณาจารย์ ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ได้เห็นพ้องร่วมกันกำหนดให้ \"ดอกกล้วยไม้\" เป็นดอกไม้ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยเชื่อมโยงกับคำประพันธ์ของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล คณบดีท่านแรกของคณะศึกษาศาสตร์ และสุรพล พยอมแย้ม ได้ดำเนินการขออนุญาตใช้โคลงเปรียบเทียบกล้วยไม้กับการจัดการศึกษาของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล มาประกอบกับสัญลักษณ์ประจำคณะ", "title": "คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "17368#29", "text": "ในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นวาระครบรอบ 100 ปีของ ฯพณฯ ศ. ม.ล. ปิ่น มาลากุลโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจึงดำริที่จะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของท่าน นับแต่นี้ต่อไปก็จะมีเพียงการสานต่อแนวความคิดของ ฯพณฯ ให้ปรากฏเป็นผลสมเจตจำนง อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ของเยาวชน และสังคมไทยตลอดไป", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#13", "text": "ในปี พ.ศ. 2529 ได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์[3]", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#25", "text": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแก่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อราวเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 ดังนี้", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#18", "text": "โดยศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากรระหว่าง พ.ศ. 2508 - พ.ศ. 2514[4][5]", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "64756#8", "text": "นักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล (บุตรของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) ซึ่งเมื่อครั้งท่านยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ได้เคยเป็นผู้ตรวจการศึกษาและคอยควบคุมดูแลโรงเรียนราชวิทยาลัย และเป็นผู้กราบบังคมทูลรายงานพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้น ได้ตระหนักถึงปณิธานอันแรงกล้าของชาวราชวิทย์ที่จักจัดตั้งโรงเรียนที่ตนเองรักและเทิดทูนกลับมาให้ได้ ม.ล.ปิ่น ท่านเลือกที่จะให้สมาคมราชวิทยาลัยเข้ามาใช้พื้นแผ่นดินแห่งนี้เพื่อเป็นโรงเรียนราชวิทยาลัย ในที่สุดความปรารถนาอันแรงกล้าของบรรดาครู และนักเรียนเก่าราชวิทยาลัย ก็บรรลุจุดหมายปลายทาง โดยได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงศึกษาธิการ (ม.ล.ปิ่น มาลากุล) และประธานกรรมการ ราชวิทยาลัยมูลนิธิเพื่อการศึกษาพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้ร่วมกันวางโครงการจัดตั้ง และดำเนินกิจการ โรงเรียนราชวิทยาลัย", "title": "โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์" }, { "docid": "17362#5", "text": "สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้กว่า 8 เดือน พิจารณาว่าควรจะจัดหรือไม่ จึงเสียเวลามากและเป็นเหตุให้เหลือเวลาน้อยสำหรับผู้ที่จะทำงานขั้นเตรียมการ ขณะนั้น พันเอก หลวงพิบูลสงครามเป็นอธิการบดีและยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกด้วย หลวงแมนวิชาประสิทธิ์เป็นเลขาธิการของมหาวิทยาลัย หลวงพรตพิทยพยัตเป็นคณบดีคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลเป็นหัวหน้าแผนกฝึกหัดครูมัธยม คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมัธยมหอวังแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย", "title": "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา" }, { "docid": "17362#7", "text": "สามวันต่อมา อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เรียกหม่อมหลวงปิ่น มาลากุลเข้าไปพบและมอบหมายให้จัดตั้ง \"โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย\" ขึ้น โดยใช้สถานที่โรงเรียนมัธยมหอวังฯ (โรงเรียนหอวัง) แต่ให้ขยายไปจนจดถนนสนามม้า ให้ร่างโครงการเขียนแบบแปลนก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม หาครูอาจารย์เขียนหลักสูตร ร่างระเบียบรวมทั้งระเบียบการรับสมัครนักเรียนด้วย ซึ่งได้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจาก นายสนั่น สุมิตรและหม่อมเจ้าวงษ์มหิป ชยางกูร เป็นต้น เมื่อการจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเป็นไปด้วยความราบรื่น ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการท่านแรกของโรงเรียนในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2480 โดยเปิดสอนโรงเรียนเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2481 และนักเรียนได้เริ่มเรียนตามตารางสอนเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2481 โดยที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[8267,8310,3,3]}'>โรงเรียนสหศึกษาแห่งแรกในประเทศไทย ในช่วงชั้นก่อนระดับอุดมศึกษา", "title": "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา" }, { "docid": "17368#19", "text": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลได้ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาขึ้น เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480 โดยนักเรียนเริ่มเรียนในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2481 โดยมี ฯพณฯ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน ในปีแรกๆ โรงเรียนได้เจริญขึ้นเป็นลำดับ เช่น ทางด้านวิชาการมีผลเป็นที่น่าพอใจ การสร้างตึก 2 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2482 และต่อมาได้สร้างตึก 3 ไปจนจดถนนอังรีดูนังต์ ในเวลานี้นอกจากผลงานทางด้านวิชาการจะเป็นที่น่าพอใจแล้ว นักเรียนยังได้แสดงความสามารถในการเล่นกีฬาต่างๆ ที่หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลได้นำเข้ามาในโรงเรียน เช่น ฮอกกี้ รักบี้ และฟุตบอล เข้าเกณฑ์ที่กล่าวได้ว่า \"เรียนก็เด่น เล่นก็ดี กีฬาเลิศ\"", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#1", "text": "หม่อมหลวงปิ่นเกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2446 ณ บ้านถนนอัษฎางค์ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนที่ 6 ใน 13 คน ของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) และท่านผู้หญิงเสงี่ยม พระเสด็จสุเรนทราธิบดี (เสงี่ยม มาลากุล ณ อยุธยา (นามสกุลเดิม วสันตสิงห์)) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งสิ้น 8 คน ได้แก่", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "11674#44", "text": "อนุสาวรีย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "17362#21", "text": "เป็นปลัดกระทรวง หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลเป็นเลขาธิการมหาวิทยาลัยอีกตำแหน่ง", "title": "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา" }, { "docid": "17368#23", "text": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้วางระเบียบและข้อปฏิบัติงานไว้อย่างเหมาะสม นับเป็นประโยชน์แก่การศึกษา เป็นอย่างดียิ่ง เช่น", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#27", "text": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2538 สิริอายุได้ 91 ปี 11 เดือน 11 วัน โดยได้รับพระทานโกศไม้สิบสองบรรจุศพ ตั้งศพไว้ที่ศาลาบัณรสภาค วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงพระกรุณาเสด็จไปสดับพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมศพ และได้รับพระราชทานเพลิงศพที่เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2539 หลังจากท่านถึงแก่อสัญกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ โดยความร่วมมือกันของคณะผู้บริหาร คณาจารย์ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ร่วมกันจัดสร้างอนุสาวรีย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ประดิษฐานที่บริเวณข้างสำนักงานอธิการบดี ลานหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล โดยกราบบังคมทูลพระกรุณา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เสด็จมาทรงเปิดอนุสาวรีย์และได้ถือเอาวันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล โดยจัดให้มีการตักบาตร และจุดธูปเทียน วางพวงมาลัยสักการะรำลึกที่บริเวณลานอนุสาวรีย์เป็นประจำทุกปี และได้จัดตั้งห้องเกียรติยศหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ที่บริเวณชั้น ๔ อาคารหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล โดยภายในจัดแสดงหนังสือที่ท่านแต่งขึ้น โต๊ะทำงาน ของสะสม เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และครุยวิทยฐานะตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#3", "text": "ปี พ.ศ. 2450 เมื่อหม่อมหลวงปิ่นมีอายุได้ 4 ขวบ ท่านได้เริ่มเรียนหนังสือที่บ้านกับครูแฉล้ม (แฉล้ม คุปตารักษ์) ต่อมาได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และต่อมาในปี พ.ศ. 2457 หม่อมหลวงปิ่นก็เข้าศึกษาที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#26", "text": "ด้านชีวิตครอบครัว หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้สมรสกับ ท่านผู้หญิงดุษฎี มาลากุล ณ อยุธยา (สกุลเดิม:ไกรฤกษ์) ธิดาเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) และท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร (สกุลเดิม:บางยี่ขัน) แต่ไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#11", "text": "ในปี พ.ศ. 2497 ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[2]", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" }, { "docid": "17368#7", "text": "ในปีพ.ศ. 2455 ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กที่พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาได้เป็นอาจารย์ประจำกองแบบเรียนกรมวิชาการ อาจารย์พิเศษคณะอักษรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีพ.ศ. 2474 ในปีพ.ศ. 2475 เป็นอาจารย์โท อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังได้เป็นหัวหน้าแผนกฝึกหัดครูมัธยม คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและรักษาการในตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนมัธยมหอวังในปีพ.ศ. 2477 อีกด้วย หม่อมหลวงปิ่นได้เป็นอาจารย์เอก อันดับ 1", "title": "หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล" } ]
1292
การบริโภควิตามินเอ ช่วยในเรื่องสายตาใช่หรือไม่?
[ { "docid": "58653#4", "text": "ช่วยในการมองเห็นในที่มืดและป้องกันการแพ้แสงต่างๆที่เป็นผลเสียต่อสายตาอีกด้วย", "title": "วิตามินเอ" } ]
[ { "docid": "102194#6", "text": "พฤติกรรมการบริโภคอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกาต์ประมาณ 12% ทั้งนี้รวมถึงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มน้ำหวานที่ผสมฟรักโทส เนื้อสัตว์ และ อาหารทะเล ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การบาดเจ็บทางร่างกาย และ การผ่าตัด การวิจัยล่าสุดพบว่าปัจจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เคยเชื่อว่าเกี่ยวข้องนั้น ในความเป็นจริงไม่ได้เกี่ยวเลย ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคผักที่มีพิวรีนสูง (ตัวอย่างเช่นถั่ว ถั่วลันเตา ถั่วเลนทิล และ ผักโขม) และ โปรตีนทุกชนิด การบริโภคกาแฟ วิตามินซี และ ผลิตภัณฑ์นม ตลอดจนการออกกำลังกายดูเหมือนจะช่วยลดความเสี่ยง ที่เชื่อเช่นนั้นส่วนหนึ่งเนื่องมาจากผลของอาหารเหล่านี้ในการลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน", "title": "โรคเกาต์" }, { "docid": "605059#15", "text": "ผู้เขียนเสนอว่า ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ของเด็กทารก มีสหสัมพันธ์ในระดับสูงกับการบริโภคนมวัว \nโรคที่เกี่ยวกับภูมิต้านตนเอง (autoimmune diseases) เช่นโรคเบาหวานชนิดที่ 1, multiple sclerosis, และโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ มีอาการคล้ายกันและอาจจะมีเหตุอย่างเดียวกัน\nผู้เขียนกล่าวว่า โรคเกี่ยวกับภูมิต้านตนเองเกิดขึ้นมากกว่าในผู้ที่อาศัยอยู่ในระดับละติจูดที่เหนือกว่า\nและในผู้ที่บริโภคอาหารมีโปรตีนสัตว์สูงโดยเฉพาะนมวัว\nผู้เขียนเสนอว่า วิตามินดีอาจเกี่ยวข้องกับสหสัมพันธ์ที่กล่าวไปทั้งสองอย่างนี้\nเพราะว่า วิตามินดีมีความสำคัญในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน\nและสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในระดับละติจูดที่เหนือกว่า\nการขาดการตากแดดอาจจะมีผลเป็นการสร้างวิตามินดีที่ไม่พอ\nนอกจากนั้นแล้ว การบริโภคโปรตีนสัตว์ โดยเฉพาะเคซีนจากนมวัว อาจจะมีผลเป็นระดับแคลเซียมที่สูงขึ้นในเลือด\nซึ่งเข้าไปห้ามกระบวนการที่ร่างกายเปลี่ยนวิตามินดีในไตไปเป็น calcitriol ซึ่งเป็นรูปแบบของไวตามินดีที่ช่วยยับยั้งการการเกิดขึ้นของโรคภูมิต้านตนเอง", "title": "The China Study" }, { "docid": "47852#4", "text": "สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้ เช่น การนำมาผัด หรือนำมาปรุงน้ำสลัด มีบางส่วนที่นำมาใช้บริโภคเป็นน้ำมันและเครื่องสำอาง น้ำมันจากเมล็ดทานตะวันเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพสูง โดยมีน้ำมันไม่อิ่มตัวสูงกว่าร้อยละ 90 ซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ (ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง) และยังประกอบไปด้วยวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเคอีกด้วย เมื่อเก็บไว้เป็นเวลานานก็ไม่เกิดกลิ่นหืน อีกทั้งยังทำให้สีกลิ่นและรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากจะนำมาใช้เป็นน้ำมันพืชแล้ว ยังนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ทำเนยเทียม น้ำมันสลัด ครีม นมที่มีไขมัน และอาหารอีกหลายชนิด นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในอุตสาหกรรมสี ฟอกสี ทำสบู่ น้ำมันชักเงา น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ ทำฟิล์ม ใช้ในการฟอกหนัง เคลือบผิวผลไม้ในลักษณะขี้ผึ้ง เช่น การทำเทียนไข หรือเครื่องสำอาง บ้างใช้เป็นน้ำมันนวด หรือใช้เป็นส่วนผสมของครีมนวดผม หรือผสมในโลชั่นบำรุงผิว (เนื่องจากมีวิตามินอีสูง)", "title": "ทานตะวัน" }, { "docid": "86449#3", "text": "ในผลมะเดื่อมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กในปริมาณสูงมาก โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ไนอาซิน คาร์โบไฮเดรต ผลมะเดื่อ มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น กล้ามเนื้อแข็งแรง สร้างสมดุลสภาวะกรดในร่างกาย ลดรอยเหี่ยวย่น ป้องกันโรคนิ่วในไต ช่วยฟอกตับและม้าม ช่วยสมานแผลในปาก ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันโรคมะเร็ง (สารสกัดจากผลมะเดื่อสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในการทดลองได้) ไม่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอล", "title": "มะเดื่อ" }, { "docid": "47852#17", "text": "ต้นอ่อนทานตะวันมีโปรตีนมากกว่าผักกาดเขียวถึง 2 เท่า วิตามิน A, B2, E, D, K และยังมีวิตามิน A สูงกว่าน้ำมันเมล็ดข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลืองกว่า 3 เท่าเลยทีเดียว แต่เมื่อนำเมล็ดทานตะวันมาเพาะเป็นต้นอ่อนทานตะวัน คุณค่าทางอาหารจะเพิ่มมากขึ้น เช่น มีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลือง มีวิตามินA สูง ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และชะลอความแก่", "title": "ทานตะวัน" }, { "docid": "58653#8", "text": "โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้ ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้ ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย", "title": "วิตามินเอ" }, { "docid": "47852#16", "text": "คือต้นอ่อนของทานตะวันที่มีอายุ 7 - 11 วัน ในต้นอ่อนทานตะวันมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย เช่น ไฟเบอร์ โปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม สังกะสีโพแทสเซียม ไขมัน\nต้นอ่อนทานตะวันจัดเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมีสารชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า GABA (gamma aminobotyric acid)กรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันโรคมากมายหลายชน­­­ิด อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก บำรุงเซลล์สมอง ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ช่วยบำรุงผิวพรรณ สายตา ชะลอความแก่ชรา\nนอกจากนี้ก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี 6 วิตามินอี วิตามินซี และเซเลเนียม กรดไขมันโอเมก้า 3, 6, 9 มีโฟเลทสูง เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และขจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ในปอด โดยในศาสตร์ของแพทย์แผนอายุรเวทโบราณนั้น ต้นอ่อนทานตะวันสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใ­จได้อีกด้วย\nและข้อมูลการวิจัยของ Medical Center, University of Maryland สหรัฐ เมื่อปี 2553 ระบุว่า ต้นอ่อนทานตะวัน (Sunflower Sprouts) มีกรด Linoleic ในปริมาณมาก ช่วยในการบำรุงสมองและกระดูกให้แข็งแรง ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี วิตามินอี และโฟเลต ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลการวิจัยของ International Sprout Growers Association เมื่อปี 2554 ระบุว่ามีธาตุเหล็กสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ อีกด้วย", "title": "ทานตะวัน" }, { "docid": "784030#11", "text": "ตามสมาคมมะเร็งอเมริกัน (American Cancer Society) แม้ว่าจะมีงานวิจัยในแล็บที่แสดงว่าถั่วเหลืองอาจมีความสัมพันธ์กับมะเร็ง แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าถั่วเหลืองมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในมนุษย์\nและก็มีงานในแล็บอีกที่แสดงว่า ขมิ้นอาจมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง\nแม้ว่าจะมีงานทดลองที่ยังเป็นไปอยู่ แต่เพื่อจะให้มีผลก็จะต้องทานเป็นจำนวนมาก โดยปี 2555 ก็ยังไม่รู้ว่า ขมิ้นมีผลบวกอย่างไรกับผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือไม่\nและแม้จะมีการโปรโหมตว่าชาเขียวมีผลต่อต้านมะเร็ง แต่งานศึกษาก็แสดงผลที่ไม่ชัดเจน โดยปี 2555 ก็ยังไม่รู้ว่ามันช่วยป้องกันหรือบำบัดมะเร็งได้หรือไม่\nงานทบทวนปี 2554 ที่ทำโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐสรุปว่า มีโอกาสน้อยที่ชาเขียวจะช่วยป้องกันมะเร็งอะไร ๆ ในมนุษย์ได้\nฟีนอล Resveratrol มีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งในการทดลองในแล็บ แต่โดยปี 2552 ก็ยังไม่มีหลักฐานว่ามีผลต่อมะเร็งในมนุษย์\nมีการโฆษณาขายวิตามินดีอย่างกว้างขวางว่า ต่อต้านมะเร็ง\nแต่ก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะนำให้จ่ายวิตามินดีต่อคนไข้ แม้ว่าจะมีหลักฐานบ้างว่า การขาดวิตามินดีสัมพันธ์กับอาการที่แย่ลงสำหรับโรคมะเร็งบางอย่าง\nการปริทัศน์เป็นระบบปี 2557 ขององค์การความร่วมมือคอเครนพบว่า \"ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการบริโภคอาหารเสริมคือวิตามินดี จะเพิ่มหรือจะลดการเกิดขึ้นของมะเร็งในกลุ่มหญิงชราที่อยู่เป็นชุมชน\"", "title": "อาหารกับโรคมะเร็ง" }, { "docid": "827601#3", "text": "มีงานศึกษาหลายงานที่พบระดับโฟเลตและวิตามินบี ที่ต่ำในคนไข้โรคซึมเศร้า\nนอกจากนั้นแล้ว งานศึกษาบางงานยังแสดงว่า การมีระดับโฟเลตต่ำทำให้รักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้าได้ไม่ดี และมีงานอื่นที่แสดงว่า การมีวิตามินบี สูงสัมพันธ์กับผลการรักษาที่ดีกว่า\nดังนั้น การได้วิตามินทั้งสองอย่างนี้เพียงพอไม่ใช่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังช่วยบำบัดโรคเมื่อรักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้าด้วย", "title": "การขาดโฟเลต" }, { "docid": "97965#0", "text": "วิตามินบี12 (English: vitamin B12, cobalamin) เป็นวิตามินละลายน้ำได้ที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำงานเป็นปกติของสมองกับระบบประสาท และการสร้างเม็ดเลือดแดง เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 8 อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึมในเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์ โดยมีผลเฉพาะต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ เมแทบอลิซึมของกรดไขมันและกรดอะมิโน[1] ไม่มีเห็ดรา พืช หรือสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่สามารถสร้างวิตามินบี12ได้ มีแต่สิ่งมีชีวิตประเภทแบคทีเรียและอาร์เคียที่มีเอนไซม์เพื่อสังเคราะห์มันได้ แหล่งของวิตามินที่ได้พิสูจน์แล้วเป็นผลิตภัณฑ์สัตว์รวมทั้งเนื้อ ปลา ผลิตภัณฑ์นม และอาหารเสริม แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงว่า ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่มาจากสัตว์บางอย่างอาจเป็นแหล่งธรรมชาติของวิตามินได้ เพราะอยู่ร่วมกับแบคทีเรีย (bacterial symbiosis) วิตามินบี12 เป็นวิตามินที่ใหญ่ที่สุด มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุด และสามารถสังเคราะห์โดยหมักแบคทีเรีย (bacterial fermentation-synthesis) แล้วใช้เสริมอาหารและเป็นวิตามินเสริม", "title": "วิตามินบี12" }, { "docid": "360406#2", "text": "แตงไทยมีคาร์โบไฮเดรด แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซี เนื้อมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับกระหาย แก้เลือดกำเดาไหล ดอกอ่อนตากแห้งต้มดื่มช่วยให้อาเจียน แก้โรคดีซ่าน หรือบดเป็นผงพ่นแก้แผลในจมูก เมล็ดแก่ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไอ รากต้มดื่มช่วยระบายท้อง", "title": "แตงไทย" }, { "docid": "292884#8", "text": "ฝักอ่อนเพกา100 กรัม มีวิตามินซีสูงมาก ถึง484 มิลลิกรัม วิตามินเอ 8.3 กรัม มีประโยชน์ช่วยป้องกันมิให้เซลล์ร่างกายแก่เร็วเกินไป ปกป้องอนุมูลอิสระมิให้เกิดขึ้นในร่างกาย อันเป็นผลทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้ หากรับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามินอีสูงๆ เช่น รำข้าวในข้าวกล้อง ช่วยเสริมฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย", "title": "เพกา" }, { "docid": "102194#16", "text": "ทั้งการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการรักษาทางยาสามารถลดระดับของกรดยูริกได้ การเลือกพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการดำเนินชีวิตที่มีประสิทธิภาพรวมถึงการลดการบริโภคอาหารจำพวกเนื้อและอาหารทะเล การบริโภควิตามินซีอย่างเพียงพอ การจำกัดการบริโภคแอลกอฮอล์และฟรักโทสตลอดจนการหลีกเลี่ยงโรคอ้วน พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำในผู้ชายที่เป็นโรคอ้วนสามารถลดระดับกรดยูริกได้ถึง 100 µmol/l (1.7 mg/dl) การบริโภควิตามิน ซีในปริมาณ 1,500 mg ต่อวันลดความเสี่ยงของโรคเกาต์ได้ถึง 45% การบริโภคกาแฟ (แต่ไม่รวมชา) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกาต์ โรคเกาต์อาจเป็นอาการข้างเคียงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากการปล่อยสารพิวรีนของเซลล์ที่ขาดแคลนออกซิเจน การรักษาภาวะหยุดหายใจสามารถช่วยลดการกำเริบของโรคเกาต์ได้", "title": "โรคเกาต์" }, { "docid": "112727#2", "text": "น้ำเลือดหรือพลาสมา เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่มีอยู่ร้อยละ 55 ของเลือดทั้งหมดมีสภาวะเป็นเบส ค่าพีเอช 7.4 ประกอบด้วย น้ำ 91% สารอื่น ๆ เช่น โปรตีน 7% วิตามิน เกลือแร่ เอ็นไซม์ ฮอร์โมน ก๊าซ 2% (ทำหน้าที่ลำเลียงเอมไซม์ ฮอร์โมน แก๊ส แร่ธาตุ วิตามิน และสารอาหารประเภทต่าง ๆ ที่ผ่านการย่อยมาแล้วไปให้เซลล์และรับของเสียจากเซลล์ส่งไปกำจัดออกนอกร่างกาย) เกล็ดเลือดไม่ใช่เซลล์ แต่เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ รูปร่างไม่แน่นอน มีขนาดเล็ก ไม่มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 3-4 วัน ถูกสร้างมาจากไขกระดูก มีปริมาณประมาณ 150,000-300,000 ชิ้น/เลือด 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร นอกจากนี้เกล็ดเลือดจะหลั่งสารเคมี (ไฟบริน) ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล", "title": "เลือด" }, { "docid": "97965#6", "text": "เพื่อความปลอดภัย คณะกรรมการยังตั้งระดับบริโภคทนได้สูงสุด (Tolerable Upper Intake Levels, ULs) สำหรับวิตามินและแร่ธาตุด้วยเมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ในกรณีวิตามินบี12 ไม่มีระดับสูงสุดเพราะยังไม่มีข้อมูลในมนุษย์ว่ามีผลลบเมื่อทานมาก และองค์การความปลอดภัยอาหารยุโรป (European Food Safety Authority) ก็ทบทวนเรื่องเดียวกันแล้วสรุปว่า ไม่มีหลักฐานเพื่อตั้งค่าสูงสุดสำหรับวิตามินบี12[6]", "title": "วิตามินบี12" }, { "docid": "85485#4", "text": "วิตามิน หมายถึง สารจำนวนน้อยที่สำคัญต่อชีวิต ดังนั้นการให้วิตามินมากเกินไปจึงไม่จำเป็นและมีโทษด้วยวิตามินมีอยู่หลายชนิด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ อาหารแต่ละอย่างจะให้วิตามินแต่ละชนิดมากน้อยต่างกัน เช่น\nวิตามินเอ ช่วยในการต้านทานโรค มีในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา ", "title": "อาหารแมว" }, { "docid": "57210#5", "text": "สถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของแคนาดา ระบุว่า หอยนางรมอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร คือเป็นแหล่งของวิตามินเอ บีหนึ่ง (ไทอามิน) บีสอง (ไรโบฟลาวิน) บีสาม (ไนอาซิน) ซี (กรดแอสคอร์บิค) และดี (แคลซิฟีรอล) การบริโภคหอยนางรมตัวที่มีขนาดกลาง 4-5 ตัว ช่วยให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุประเภท แร่เหล็ก ทองแดง ไอโอดีน แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี แมงกานีส และฟอสฟอรัส อย่างไรก็ตาม อาหารดิบ อาจมีแบคทีเรีย ผู้ที่ป่วยด้วยโรคตับ มะเร็ง โรคระบบภูมิคุ้มกัน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานหอยนางรมสด", "title": "หอยนางรม" }, { "docid": "86485#0", "text": "เกาลัด เป็นไม้ยืนต้นที่อยู่ในสกุล \"Castanea\" ที่พบได้ในเขตภูมิอากาศเย็น ซึ่งนิยมเพาะปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อจำหน่ายเมล็ดในการบริโภค เป็นพืชคนละวงศ์กับเกาลัดไทย (\"Sterculia monosperma\") \nเกาลัด มีสรรพคุณบำรุงไต แก้ปวดเมื่อยบริเวณส่วนเอว ขาอ่อนปวกเปียกไม่มีแรง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารและลำไส้ แต่ผู้ที่มีอาการร้อนใน หรือเป็นโรคไขข้ออักเสบห้ามรับประทานเด็ดขาด เพราะจะทำให้หน้าตาบวม\n\"เกาลัด\" หรือเชสนัท (Chestnut) นั้นเป็นพืชประเภทถั่วที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก ให้ไขมันต่ำ และอุดมด้วยวิตามินบี มีแร่ธาตุโพแทสเซียม และกรดโฟลิก อีกทั้งสรรพคุณของลูกเกาลัดนั้นก็คือสามารถช่วยบำรุงอวัยวะในร่างกาย ได้แก่ บำรุงไต เสริมสร้างกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร ช่วยฟอกเลือด ช่วยบรรเทาอาการช้ำใน และช่วยเพิ่มพลัง ทำให้กล้ามเนื้อมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดการปวดปัสสาวะบ่อยๆ จึงถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ\nส่วนในตำราจีนนั้น มีการพูดถึงคุณค่าของเกาลัดมาเป็นพันๆปีแล้วว่า เป็นอาหารธาตุอุ่น ช่วยบำรุงไต บำรุงเลือด และช่วยลดอาการปวดข้อได้ด้วย จึงถือเป็นของกินเล่นที่มีคุณค่ามากอีกอย่างหนึ่ง แม้ในเมืองไทยจะมีราคาสูงไปสักหน่อยก็ตาม\nเกาลัดคั่วในเม็ดทราย\nเกาลัดคั่วที่เห็นกันมาก ๆ มักจะมีเม็ดสีดำเล็ก ๆ คั่วรวมอยู่ด้วย บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเมล็ดกาแฟจริง ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่\nเม็ดสีดำเล็ก ๆ นั้น คือ เม็ดทรายขนาดประมาณ 3-5 มิลลิเมตร เป็นทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือที่เห็นตามตู้ปลาสีออกน้ำตาล พ่อค้าหรือแม่ค้าจะนำเอาทรายแห้งใส่ลงไปในกระบะใบใหญ่ พอทรายร้อนระอุได้ที่จนเป็นสีดำ ก็จะนำเอาลูกเกาลัดใส่ลงไป บางร้านเติมน้ำตาลทรายคั่วรวมกันให้ได้รสหวาน บางร้านเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่เมล็ดกาแฟคั่วรวมไปเหตุผลที่ต้องใช้เม็ดทรายเพราะเม็ดทรายช่วยเก็บความร้อนไว้ได้นาน ซึ่งดีสำหรับการทำให้เกาลัดสุกถึงเนื้อผลด้านใน และหากสังเกตกันดี ๆ เนื้อผลของเกาลัดนั้นจะไม่ติดกับเปลือก\nดังนั้นการใช้ทรายที่ร้อนระอุตลอดเวลาจะช่วยให้เนื้อเกาลัด ค่อย ๆ สุก แต่ต้องหมั่นคนเพื่อไม่ให้เกาลัดไหม้ ซึ่งจะคั่วกันนาน 30-40 นาที เม็ดทรายนั้นใช้ได้นานกว่า 1 เดือน เรียกว่าคั่วเกาลัดได้หลายกระทะ จนทรายที่เป็นเม็ดเริ่มป่นเป็นผง แล้วจึงจะเปลี่ยนไปใช้เม็ดทรายชุดใหม่ต่อไปนี้ก็เข้าใจใหม่ว่า เกาลัดนั้นคั่วในทราย ไม่ใช่เมล็ดกาแฟอย่างที่เข้าใจกัน.\nเกาลัดเป็นพืชสายพันธุ์เดียวกันโอ๊กและบีช ซึ่งจะมีสายพันธุ์หลัก 4 สายพันธุ์ คือ เกาลัดหวาน, เกาลัดจีน, เกาลัดญี่ปุ่น และ เกาลัดอเมริกา", "title": "เกาลัด" }, { "docid": "943096#0", "text": "โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม\nหรือ โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ\n( ตัวย่อ AMD, ARMD) เป็นโรคที่ทำให้มองไม่ชัดหรือมองไม่เห็นที่กลางลานสายตา\nเริ่มแรกสุดบ่อยครั้งจะไม่มีอาการอะไร ๆ\nแต่เมื่อเวลาผ่านไป บางคนจะมองเห็นแย่ลงเรื่อย ๆ ที่ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง\nแม้จะไม่ทำให้ตาบอดโดยสิ้นเชิง การมองไม่เห็นในส่วนกลางก็จะทำให้กิจกรรมในชีวิตต่าง ๆ ทำได้ยากรวมทั้งจำหน้าคน ขับรถ อ่านหนังสือเป็นต้น\nการเห็นภาพหลอนอาจเกิดขึ้นโดยไม่ใช่เป็นส่วนของโรคจิต\nจุดภาพชัดเสื่อมปกติจะเกิดกับคนสูงอายุ\nปัจจัยทางพันธุกรรมและการสูบบุหรี่ก็มีผลด้วย\nเป็นอาการเนื่องกับความเสียหายต่อจุดภาพชัด (macula) ที่จอตา\nการวินิจฉัยทำได้ด้วยการตรวจตา\nความรุนแรงของอาการจะแบ่งออกเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะปลาย\nระยะปลายยังแบ่งออกเป็นแบบแห้ง (dry) และแบบเปียก (wet) โดยคนไข้ 90% จะเป็นแบบแห้ง\nการป้องกันรวมทั้งการออกกำลังกาย ทานอาหารให้ถูกสุขภาพ และไม่สูบบุหรี่\nวิตามินต่อต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุดูเหมือนจะไม่ช่วยป้องกัน\nไม่มีวิธีแก้หรือรักษาการเห็นที่สูญไปแล้ว\nในรูปแบบเปียก การฉีดยาแบบ anti-VEGF (Anti-vascular endothelial growth factor) เข้าที่ตา หรือการรักษาอื่น ๆ ที่สามัญน้อยกว่ารวมทั้งการยิงเลเซอร์ (laser coagulation) หรือ photodynamic therapy อาจช่วยให้ตาเสื่อมช้าลง\nอาหารเสริมรวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุสำหรับคนไข้ที่มีโรคอาจช่วยชะลอความเสื่อมด้วย\nในปี 2015 โรคนี้มีผลต่อคนไข้ 6.2 ล้านคนทั่วโลก\nในปี 2013 มันเป็นเหตุให้ตาบอดเป็นอันดับสี่หลังต้อกระจก การเกิดก่อนกำหนด และต้อหิน\nมันเกิดบ่อยที่สุดในผู้มีอายุเกิน 50 ปีในสหรัฐอเมริกา และเป็นเหตุเสียการเห็นซึ่งสามัญที่สุดในคนกลุ่มอายุนี้\nคนประมาณ 0.4% ระหว่างอายุ 50-60 ปีมีโรคนี้ เทียบกับ 0.7% ของคนอายุ 60-70 ปี, 2.3% ของคนอายุ 70-80 ปี, และ 12% ของคนอายุเกิน 80 ปี\nปัจจุบัน คนราว 285 ล้านคนทั่วโลกมีปัญหาในการมองเห็น โดยร้อยละ 90 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา\nซึ่งไม่มีระบบบริการสนับสนุนที่ดีพอจะให้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตได้โดยสะดวก เหตุการตาบอดในลำดับต้น ๆ คือโรคทางตา ซึ่งป้องกันและรักษาให้หายได้ก่อนจะลุกลามจนตาบอดสนิท เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ภาวะะความผิดปกติของกระจกตา รวมทั้ง โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุแบบมีหลอดเลือดงอกผิดปกติเป็นต้น", "title": "โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม" }, { "docid": "473940#2", "text": "ในรากของบีตรูต มีวิตามินเอ วิตามินบีรวม ซึ่งอุดมไปด้วยโฟเลตเป็นสารประกอบจากกรดโฟลิก เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 มีโพแทสเซียม และวิตามินซีสูง ในยอดใบที่มีสีเขียวเข้ม มีสารบีตา-แคโรทีน ซึ่งมีแคลเซียม เหล็ก และโพแทสเซียมกับวิตามินเอสูง ในบีตรูตสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 27 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย โซเดียม 241 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม เส้นใย 2.9 กรัม น้ำตาล 0.6 กรัม โปรตีน 2.6 กรัม และโพแทสเซียม 909 มิลลิกรัม\nในหัวบีตรูต มีสารสีแดง เรียกว่า บีทานิน (betanin) เป็นพวกกรดอะมิโน ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็ง ลดการเติบโตของเนื้องอก ทำให้เลือดลมและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และสารสีม่วง เรียกว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) ในสภาพเป็นกลาง มีสีม่วง pH 7-8 สภาพเป็นเบส มีสีแดง pH > 11 และสภาพเป็นกรด มีสีน้ำเงิน pH < 3 ซึ่งแอนโทไซยานิน เป็นรงควัตถุที่ให้สีแดง ม่วง และน้ำเงิน มีสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลบล้างสารที่ก่อมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและลดอาการอัมพาต ", "title": "บีตรูต" }, { "docid": "79354#4", "text": "สถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของแคนาดา ระบุว่า หอยเชอรี่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร คือเป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง (ไทอามีน) วิตามินบีสอง (ไรโบเฟลวิน) วิตามินบีสาม (ไนอาซิน) วิตามินซี (กรดแอสคอร์บิค) และวิตามินดี (แคลซิฟีรอล) การบริโภคหอยเชอรี่ช่วยให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุประเภท แร่เหล็ก ทองแดง ไอโอดีน แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี แมงกานีส และฟอสฟอรัส อย่างไรก็ตาม หอยเชอรี่ดิบอาจมีพยาธิและแบคทีเรีย จึงควรหลีกเลี่ยง", "title": "หอยเชอรี่" }, { "docid": "358330#4", "text": "บรอกโคลีมีอยู่หลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยได้ คือบรอกโคลี มีรสชาติหวานกรอบ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย อีกทั้งมีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยบีตา-แคโรทีน (beta-carotene) เส้นใยอาหาร วิตามิน C และสารต่าง ๆ อีกหลายชนิด บรอกโคลีประกอบไปด้วยสารเคมีทางธรรมชาติชื่อ sulforaphane และ indoles ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง เราสามารถรับประทานบรอกโคลีได้ทั้งแบบสด และนำมาประกอบ ในเมนูอาหารต่าง ๆ เช่น น้ำสลัด พิซซา พาสต้า สเต็ก บร็อกโคลีผัดกุ้ง ซุป ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะให้สารอาหาร จำพวกวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม โฟลิก ฟอสฟอรัส เหล็ก และไฟเบอร์ บรอกโคลี ยังมีสรรพคุณป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ดังนี้บรอกโคลีเป็นพืชผักที่ปลูกในสภาพอุณหภูมิต่ำ บรอกโคลีเติบโตได้ดีที่สุดเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิเฉลี่ยต่อวันระหว่าง 18°C และ 23°C (64°F และ 73°F) วิธีปลูก คือ หลังจากต้นกล้ามีอายุ 25 - 30 วัน จึงทำการถอนกล้าไปปลูก วิธีถอนก็โดยการใช้มือดึงตรงส่วนใบขึ้นมาตรง ๆ ไม่ใช่จับที่ลำต้นเพราะอาจทำให้ช้ำได้ เมื่อถอนแล้วใส่เข่งเอาผ้าชุบน้ำคลุมเก็บไว้ในที่ร่ม พอตอนเย็นแดดอ่อน ๆ ประมาณบ่าย 3 - 4 โมง จึงนำมาปลูกในแปลงปลูกที่เตรียมรดน้ำเอาไว้แล้ว ใช้นิ้วชี้เจาะดินเป็นรูปักต้นกล้าลงไปแล้วกดดินพอประมาณไม่ต้องถึงกับแน่น ระยะปลูกระหว่างต้นห่างประมาณ 30 - 60 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวห่างประมาณ 50 - 100 เซนติเมตร ผลของการปลูกห่างก็คือ จะทำให้ลำต้นโตได้เต็มที่ไม่ต้องเบียดกัน จะทำให้ได้ดอกใหญ่ขึ้น น้ำหนักต่อต้นสูง และไม่เกิดโรคเน่าที่เกิดจากต้นพืชเบียดกันแน่นเกินไป หลังจากปลูกแล้วคลุมดินด้วยฟางแห้งหรือหญ้าบาง ๆ เพื่อช่วยให้ต้นกล้าตั้งตัวได้เร็ว ช่วยรักษาความชื้นของดิน และภายหลังเมื่อผุพังแล้วยังกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ให้แก่ดินอีกด้วย เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ", "title": "บรอกโคลี" }, { "docid": "520945#0", "text": "มะเม่า หรือ หมากเม่า () ทางพิษณุโลกเรียกเม่าหลวง ระนองเรียกมัดเซ เป็นไม้ยืนต้นในสกุล \"Antidesma\" ใบเดี่ยว สีเขียวเป็นมัน โคนใบเรียวมน ดอกออกเป็นช่อ ตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกแยกเพศแยกต้น ผลกลม ออกรวมกันเป็นพวง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีแดง สุกเต็มที่เปลี่ยนเป็นสีดำ พบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย\nผลรับประทานได้ มีรสเปรี้ยว โดยรับประทานเป็นผลไม้สดหรือแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์ แยม น้ำส้มสายชู นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยบำรุงสายตา ใบอังไฟแล้วประคบ แก้อาการฟกช้ำ และมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามินซี วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ", "title": "มะเม่า" }, { "docid": "823866#8", "text": "ในที่สุด methionine (จากปฏิกิริยาแรก) จะเปลี่ยนเป็น \"S\"-adenosyl methionine ซึ่งช่วยสนับสนุนการสังเคราะห์ purine และ thymidine (เพื่อสังเคราะห์ดีเอ็นเอ) การผลิตปลอกไมอีลิน การผลิต โปรตีน/สารสื่อประสาท/กรดไขมัน/ฟอสโฟลิพิด และกระบวนการ methylation ของดีเอ็นเอ โดยมี 5-Methyl tetrahydrofolate (สารอนุพันธุ์ของกรดโฟลิก) เป็นตัวให้กลุ่ม methyl กับปฏิกิริยาร่วมกับ homocysteine ซึ่งมีผลเป็น methionine และปฏิกิริยานี้ต้องได้วิตามินบี (cobalamin) เป็น cofactor โดยการสร้าง 5-methyl tetrahydrofolate เป็นปฏิกิริยาที่กลับคืนไม่ได้ และถ้าไม่มีวิตามินบี การเปลี่ยน homocysteine ไปเป็น methionine ก็จะไม่เกิดขึ้น และการเติม tetrahydrofolate ก็จะหยุดลง", "title": "การขาดวิตามินบี12" }, { "docid": "355583#6", "text": "แสงแดดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อเต่าบกมาก เนื่องจากต้องการรังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งยูวีเอจะเป็นตัวกระตุ้นในเรื่องของความอยากอาหารและกิจกรรมต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการสืบพันธุ์อีกด้วย ส่วนยูวีบีจะช่วยในเรื่องของการดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างวิตามินดี 3 ภายในร่างกายของเต่า ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับยูวีบี แล้วจะทำให้กระดองเต่าอ่อนแอ นุ่มนิ่ม ทำให้เต่ามีร่างกายที่อ่อนแอและตายได้ง่าย", "title": "เต่าบก" }, { "docid": "17782#1", "text": "ตามธรรมเนียม คำว่า วิตามิน ไม่รวมสารอาหารสำคัญอื่น เช่น แร่ธาตุ กรดไขมันจำเป็น หรือกรดอะมิโนจำเป็น (ซึ่งร่างกายต้องการสารเหล่านี้ในปริมาณมากกว่าวิตามินมาก) หรือสารอาหารอื่นอีกมากที่ส่งเสริมสุขภาพแต่ต้องการไม่บ่อย ในปัจจุบัน ระดับสากลรับรองวิตามินอย่างสากลสิบสามชนิด วิตามินจำแนกโดยกัมมันตภาพทางชีวภาพและเคมี ไม่ใช่โครงสร้าง ฉะนั้น วิตามินแต่ละชนิดจึงหมายถึงสารประกอบวิตาเมอร์ (vitamer) ซึ่งล้วนแสดงกัมมันตภาพทางชีวภาพที่สัมพันธ์กับวิตามินหนึ่ง ๆ ชุดสารเคมีดังกล่าวจัดกลุ่มตามชื่อวิตามิน \"ระบุทั่วไป\" เรียงตามอันดับอักษร เช่น \"วิตามินเอ\" ซึงรวมสารประกอบเรตินัล เรตินอล และแคโรทีนอยด์ที่ทราบกันอีกสี่ชนิด วิตาเมอร์ตามนิยามสามารถเปลี่ยนเป็นรูปกัมมันต์ของวิตามินในร่างกายได้ และบางครั้งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตาเมอร์อีกชนิดหนึ่งได้เช่นกัน", "title": "วิตามิน" }, { "docid": "53679#1", "text": "เดือยพบตามธรรมชาติในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพืชอาหารที่แพร่หลายในจีนก่อนที่จะปลูกข้าวและข้าวโพดกันอย่างแพร่หลาย เมล็ดเดือยนำมาหุงได้เช่นเดียวกับข้าว และใช้รับประทานแทนข้าวได้ ใช้ทำขนมหรือทำเค้กได้ แป้งจากเดือยเมื่อนำไปอบจะไม่ฟูเพราะไม่มีกลูเต็น เมล็ดเดือยดิบมีรสหวาน ในญี่ปุ่นนำเมล็ดเดือยไปคั่วแล้วชงเป็นชา ในฟิลิปปินส์และชาวเขาในอินเดียนำเมล็ดไปตำละเอียดแล้วหมักเป็นเบียร์ ลำต้นใช้เลี้ยงสัตว์ได้ หรือนำมามุงหลังคา เมล็ดที่มีเปลือกแข็งนำมาร้อยเป็นลูกประคำ หรือใช้ในงานฝีมือต่างๆ เมล็ดเดือยมีไขมันและโปรตีนสูงกว่าข้าวและข้าวสาลี มีสาร coixol มีฤทธิ์เป็นยาบรรเทาปวด อิกบี๋ยิ้งนี้ตำรายาจีนใช้เป็นยาต้านภูมิแพ้ รักษาสิวและฝีหนอง\nลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก มีอยู่ในปริมาณสูง รวมทั้งวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรค เหน็บชาด้วย ลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา มีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติก และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น", "title": "ลูกเดือย" }, { "docid": "605059#14", "text": "ผู้เขียนเสนอว่า พืชป้องกันร่างกายจากโรค\nเพราะพืชจำนวนมากมีสารต้านอนุมูลอิสระทั้งในระดับความเข้มข้นสูงทั้งมีมากมายหลายประเภท\nซึ่งป้องกันร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ \nโรคชาวตะวันตกมีสหสัมพันธ์กับร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น \nซึ่งก็มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการเกิด การส่งเสริม และการทำให้เจริญ ซึ่งโรคต่าง ๆ \nและร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นนั้น ก็มีสหสัมพันธ์กับการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสัตว์สูง\nผู้เขียนเสนอว่า การบริโภคโปรตีนสัตว์จะเพิ่มความเป็นกรดให้กับเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ \nและเพื่อที่จะขจัดความเป็นกรด ร่างกายจะต้องดึงแคลเซียม (ซึ่งเป็นด่างที่ใช้ได้ผลดีมาก) ออกมาจากกระดูก\nผู้เขียนกล่าวว่า ความเข้มข้นที่สูงขึ้นของแคลเซียมในเลือด มีผลไปยับยั้งกระบวนการที่ร่างกายเปลี่ยนวิตามินดีไปเป็น calcitriol ซึ่งเป็นรูปแบบของวิตามินดีที่ช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย", "title": "The China Study" }, { "docid": "389978#6", "text": "พ.ศ. 2546 ช่วงเดือนธันวาคมได้ผลิตกาแฟผสมวิตามิน และเกลือแร่ออกมาจำหน่าย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพ และควบคุมน้ำหนักไปพร้อมกัน เมื่อผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะทานแล้วเห็นผล จึงเกิดกระแสของผู้บริโภคมีการบอกต่อๆกัน จนสินค้าขาดตลาดในบางช่วงเพราะไม่สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค จนต้องสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ในปีพ.ศ. 2550 แต่ก็ยังไม่พอกับความต้องการอยู่ดี จึงต้องสร้างโรงงานใหม่เพิ่มอีกในปีพ.ศ. 2551 รวมเป็น 3 โรงงาน ซึ่งกิจการได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนทำให้สามารถชำระหนี้สินต่างๆหมดลงได้ภายใน 2 ปี ", "title": "กฤษฎา จ่างใจมนต์" } ]
3568
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "37241#0", "text": "พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล หรือ พระองค์ชายใหญ่ (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538) เป็นพระโอรสใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล และเป็นพระอัยกาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเป็นผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับละครและภาพยนตร์ รวมทั้งทรงพระนิพนธ์เรื่องและคำร้องเพลงประกอบหลายเรื่อง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารไทยทนุ เมื่อปี พ.ศ. 2492 อีกทั้งโปรดการสะสมโบราณวัตถุด้วย", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" } ]
[ { "docid": "44212#0", "text": "ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร (24 กันยายน พ.ศ. 2476) พระนามเดิม หม่อมเจ้าพันธุ์สวลี ยุคล เป็นพระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล เป็นภรรยาของหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร (พระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9) และเป็นพระมารดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ", "title": "พันธุ์สวลี กิติยากร" }, { "docid": "106783#0", "text": "หม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา (สกุลเดิม: ถาวร; 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499) เป็นหม่อมในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล", "title": "หม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา" }, { "docid": "218847#0", "text": "ภานุมา พิพิธโภคา พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงภานุมา ยุคล เป็นพระธิดาองค์เล็กในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ประสูติแด่หม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา และมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา(น้า)ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และหม่อมหลวงสราลี กิติยากร", "title": "ภานุมา พิพิธโภคา" }, { "docid": "305884#0", "text": "คุณหญิงรังษีนภดล ยุคล (2 ตุลาคม พ.ศ. 2480 - 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560) (นามเดิม: หม่อมเจ้ารังษีนภดล ยุคล) มีนามลำลองคือ ท่านหญิงอ๋อย เป็นพระธิดาองค์เล็กของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล", "title": "รังษีนภดล ยุคล" }, { "docid": "37241#10", "text": "หม่อมบุญล้อม ยุคล ณ อยุธยาหม่อมบุญล้อม ยุคล ณ อยุธยา (เดิม: บุญล้อม นาตระกูล) มีโอรส คือ", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "37241#38", "text": "วันเพ็ญ (2521) - สร้างใหม่ กำกับการแสดงโดย มจ.ฐิติพันธุ์ ยุคล (พระโอรสของพระองค์เจ้าภาณุพันธ์) นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี, นิภาพร นงนุช, มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช, จักรกฤษณ์ พันธุ์ชัย และ วาสนา รัตนงาม เพลงเอกของเก่า ร้องใหม่ โดย สมบัติ เมทะนี", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "130007#1", "text": "หม่อมเจ้านวพรรษ์ (ท่านชายปีใหม่) พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าปีใหม่ ยุคล ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2521 เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ถาวร) เป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ และเป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ", "title": "หม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคล" }, { "docid": "37241#12", "text": "ปริม บุนนาคหม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา (เดิม: ปริม บุนนาค) ไม่มีโอรส-ธิดา", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "130007#0", "text": "ร้อยเอก หม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคล (1 มกราคม พ.ศ. 2521) เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา และเป็นพระราชวงศ์ลำดับที่ 18 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทย", "title": "หม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคล" }, { "docid": "370884#6", "text": "แม้พระเจ้าเสือจะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำพระทัยปฏิบัติตามพระราชกำหนด จึงตรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตาและนำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้นขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล ต่อมานวลจึงได้บอกเรื่องราวการปลงพระชนม์แก่พระเจ้าเสือให้ทรงทราบหลังจากประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ พันท้ายนรสิงห์ เป็นผลงานนิพนธ์อิงประวัติศาสตร์ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เคยถูกสร้างเป็นละครเวทีของคณะศิวารมณ์ ในปี พ.ศ. 2488 นำแสดงโดย สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ เป็น พันท้ายนรสิงห์, สุพรรณ บูรณะพิมพ์ เป็น นวล, จอก ดอกจันทร์ เป็น พระเจ้าเสือ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงสุด แต่หลังจากในยุคที่ละครเวทีเฟื่องฟู พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลได้ขายกิจการไทยฟิล์มให้กองภาพยนตร์ทหารอากาศ แล้วตั้งคณะละครชื่ออัศวินการละครและเมื่อละครเวทีหมดความนิยม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลก็หันกลับมาสร้างภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่งในนาม อัศวินภาพยนตร์ จึงได้ประกาศสร้างพันท้ายนรสิงห์ฉบับภาพยนตร์แบบอลังการงานสร้างในปี พ.ศ. 2491 ", "title": "พันท้ายนรสิงห์ (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2493)" }, { "docid": "492681#0", "text": "ปริม บุนนาค หรือ หม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา เป็นหม่อมในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล และอดีตนักแสดง", "title": "ปริม บุนนาค" }, { "docid": "37241#13", "text": "หม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยาหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา (เดิม: ไฉไล ถาวร) ได้ลงนามจดทะเบียนสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ภายหลังจากที่หม่อมหลวงสร้อยระย้าถึงแก่อนิจกรรมแล้ว มีพระโอรสธิดา ได้แก่", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "37241#43", "text": "Family of Main Page 16. (=24.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย8. (=12.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว17. (=25.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. (=26.) สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์9. (=13.) สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี19. (=27.) หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์20. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว10. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี21. เจ้าจอมมารดาเอมน้อย5. พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา22. แส้11. เจ้าจอมมารดาจีน23.1. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล24. (=16.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย12. (=8.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว25. (=17.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี6. สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช26. (=18.) สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์13. (=9.) สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี27. (=19.) หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา3. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล28. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)14. เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)29. ท่านผู้หญิงกลิ่น บุนนาค7. หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา30.15. ท่านผู้หญิงอิ่ม สุรวงศ์ไวยวัฒน์31.", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "37241#8", "text": "หม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคลหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล ราชสกุลเดิม สนิทวงศ์ ธิดาหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์ กับนางยี่สุ่น สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (มังกรพันธ์) มีพระโอรสธิดา [2] ได้แก่", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "370884#0", "text": "พันท้ายนรสิงห์ เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2493 ในระบบถ่ายทำฟิล์ม 16 มม. สี สร้างจากบทละครเวทีของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ที่แต่งขึ้นจากเรื่องเกร็ดในพงศาวดารและประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของอัศวินภาพยนตร์ กำกับการแสดงโดย มารุต ถ่ายภาพโดย รัตน์ เปสตันยี อำนวยการสร้างโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล (เสด็จพระองค์ชายใหญ่) นำแสดงโดย ชูชัย พระขรรค์ชัย, สุพรรณ บูรณะพิมพ์, ชั้น แสงเพ็ญ, ถนอม อัครเศรณี และ สมพงษ์ พงษ์มิตร ถ่ายทำในปี พ.ศ. 2491 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2493 ที่ศาลาเฉลิมกรุง ภาพยนตร์ได้รับความนิยมจากประชาชนผู้ชมทั่วประเทศ นับเป็นภาพยนตร์ที่เป็นประวัติการณ์ และมีอิทธิพลต่ออารมณ์และความเชื่อของผู้คนทั่วไปในสังคมไทย ", "title": "พันท้ายนรสิงห์ (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2493)" }, { "docid": "37241#1", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล (พระธิดาใน สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ซึ่งเป็นพระโสทรกนิษฐภาดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีพระอนุชา 2 พระองค์ คือ", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "46470#0", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล (10 มีนาคม พ.ศ. 2435 - 23 มกราคม พ.ศ. 2500) พระชายาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ และพระองค์เป็นพระธิดาในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช อันประสูติแต่หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา แรกประสูติ คือ หม่อมเจ้าเฉลิมเขตรมงคล ภาณุพันธุ์", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล" }, { "docid": "37241#21", "text": "ทรงได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ประจำปี พ.ศ. 2540 บุคคลยอดเยี่ยมแห่งวงการภาพยนตร์ไทย (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และ สักกะ จารุจินดา)", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "35864#1", "text": "เพลงประกอบละครเวทีเรื่องบ้านทรายทองอีกเพลงหนึ่ง คือเพลง \"หากรู้สักนิด\" ประพันธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล, ทำนองโดย หม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ และ ขับร้องโดย สวลี ผกาพันธ์ เช่นกัน\nคำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล\nทำนอง: หม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์", "title": "บ้านทรายทอง (เพลง)" }, { "docid": "202281#0", "text": "หม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล ท.จ.ว.(ราชสกุลเดิม: สนิทวงศ์; 4 ตุลาคม พ.ศ. 2452 — 28 ธันวาคม พ.ศ. 2527) คุณท่านเป็นหม่อมเอกในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล", "title": "หม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล" }, { "docid": "37241#6", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 พระชันษา 85 ปี", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "37241#2", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "544827#10", "text": "ในเวลาค่ำพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาสดับพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ ตลอดเวลา 100 วัน โดยสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เสด็จมาเฝ้ารับเสด็จทุกคืนในฐานะพระทายาท อาทิ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาฯ, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร", "title": "การสิ้นพระชนม์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" }, { "docid": "44663#2", "text": "หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ สมรสกับ หม่อมเจ้าพันธุ์สวลี ยุคล (พระธิดาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล) เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2499 มีธิดา 2 คน คือ ", "title": "หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร" }, { "docid": "37335#0", "text": "พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร หรือ พระองค์ชายกลาง (29 เมษายน พ.ศ. 2456 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2534) เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล มีพระเชษฐา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และ พระอนุชา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร" }, { "docid": "224420#1", "text": "หม่อมเจ้าฐิติพันธุ์ ยุคล ประสูติเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2478 เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับ หม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล มีพระภคินีและพระขนิษฐาร่วมพระอุทร 3 พระองค์ คือ ", "title": "หม่อมเจ้าฐิติพันธุ์ ยุคล" }, { "docid": "37335#1", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล มีพระเชษฐาคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และพระอนุชาคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร" }, { "docid": "37241#7", "text": "ทรงจดทะเบียนสมรสกับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล (สนิทวงศ์) และมีหม่อม คือ หม่อมบุญล้อม ยุคล ณ อยุธยา หม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา และหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา โดยมีโอรสธิดาดังนี้", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "26149#14", "text": "4) ​\"พระองค์เจ้ายก \" คือ​ หม่อมเจ้าหลานหลวง หรือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหลานหลวง พระโอรสธิดาของ เจ้าฟ้า​ กับพระมารดา​ ที่ได้รับการเสกสมรสเป็น<i data-parsoid='{\"dsr\":[9037,9050,2,2]}'>สะใภ้หลวง เป็นการสถาปนายกขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เช่น​ ราชสกุลจักรพันธ์​ุ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าออศคาร์นุทิศ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ เดิม หม่อมเจ้าออศคาร์นุทิศ จักรพันธ์ ​เป็น​ หม่อมเจ้า​ชั้นหลานหลวง(ในสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมีฯ กับ หม่อมราชวงศ์สว่าง จักรพันธุ์) หรือ ราชสกุลภาณุพันธุ์​ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านิพันธ์ภาณุพงศ์ กรมหมื่นภาณุพงศ์พิริยเดช เดิม ​หม่อมเจ้านิพันธ์ภาณุพงศ์​ ภาณุพันธุ์​ เป็น หม่อมเจ้าชั้นหลานหลวง(ในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ฯ กับ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา) หรือ​ ราชสกุลบริพัตร พระเจ้าวรวงศ์เธอ​ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร​ ​กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต​ เดิม​ หม่อมเจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร บริพัตร​ เป็นหม่อมเจ้าชั้นหลานหลวง(ในสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯ​ กับ​ หม่อมเจ้าประสงค์สม​ บริพัตร) หรือ​ ราชสกุลยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ​ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล​ เดิม​ พระวรวงศ์เธอ​ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล (ในสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลฯ​ กับ​ พระเจ้าวรวงศ์เธอ​ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล) และได้ทรงประกาศให้ยกพระโอรสธิดาของ \"พระองค์เจ้ายก\" เหล่านี้เป็นหม่อมเจ้าอีกด้วย", "title": "การเฉลิมพระยศเจ้านาย" } ]
249
แคลเซียมคาร์บอเนต เขียนเป็นสูตรเคมีได้อย่างไร ?
[ { "docid": "17852#0", "text": "แคลเซียมคาร์บอเนต (English: Calcium carbonate) เป็นสารประกอบมีสูตรเคมีคือ CaCO3", "title": "แคลเซียมคาร์บอเนต" } ]
[ { "docid": "22231#0", "text": "แคลเซียมไบคาร์บอเนต หรือ แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต () เป็นสารประกอบที่อยู่ในสารละลายเท่านั้น ถ้าสารละลายระเหยจะเกิดปฏิกิริยาดังนี้", "title": "แคลเซียมไบคาร์บอเนต" }, { "docid": "110356#0", "text": "หินอ่อนเกิดจากแคลเซียมคาร์บอเนต(หินปูน)ที่สะสมอยู่ในท้องทะเลหรือมหาสมุทรมาก่อน กระทั่งเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นในบริเวณดังกล่าว คือที่ๆ เคยเป็นทะเลหรือมหาสมุทรกลับกลายเป็นภูเขาขึ้นมา และที่ๆ เคยเป็นบกเป็นภูเขามากลับ กลายเป็นทะเล รวมถึงผ่านกระบวนการทางธรณี เช่น เกิดมีแมกมาไหลออกมา และพอดีหินที่สะสมไว้ในทะเลไปโดนกับแมกมาเข้า สำคัญคือแมกมานั้นเต็มไปด้วยความร้อน ความดัน และก๊าซ จึงทำให้แคลเซียมคาร์บอเนต(หินปูน)ละลาย แล้วตกผลึก เกิดเป็นหินอ่อนขึ้นมาได้ในที่สุด แต่ในกรณีที่เกิดการหลอมละลาย แล้วตกผลึกไม่หมดทีเดียว ก็จะเกิดหินปูนคล้ายหินอ่อน และจะพบพวกซากเปลือกหอยทะเลต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่รวมกับตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนต", "title": "หินอ่อน" }, { "docid": "17852#6", "text": "อะลูมิเนียมไฮดรองไซด์ (Aluminium hydroxide) (Amphojel®, AlternaGEL®) แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium hydroxide) (Phillips’® Milk of Magnesia) อะลูมิเนียมคาร์บอเนต (Aluminium carbonate) gel (Basajel®) แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium carbonate) (Tums®, Titralac®, Calcium Rich Rolaids®) โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) (Bicarbonate of soda) ไฮโดรทัลไซต์ (Hydrotalcite) (Mg6Al2 (CO3) (OH) 16 · 4 (H2O) ; Talcid®) อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์และ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์(Maalox®, Mylanta®)", "title": "แคลเซียมคาร์บอเนต" }, { "docid": "865886#0", "text": "ลิเทียมโบรไมด์ (Lithium bromide) เป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี LiBr เตรียมได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างลิเทียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรโบรมิก ได้ลิเทียมโบรไมด์, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ตามสมการ: ", "title": "ลิเทียมโบรไมด์" }, { "docid": "732798#7", "text": "กระบวนการ Causticization จะดำเนินการอย่างทั่วไปในอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษพร้อมกับทำการโอน 94% ของคาร์บอเนตไอออนจากโซเดียมไปยังแคลเซียมไอออนบวก ต่อมาตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนตจะถูกกรองจากสารละลายและการย่อยสลายความร้อนเพื่อผลิตแก๊ส CO ปฏิกิริยาการเผาให้แตกตัวเป็นเพียงปฏิกิริยาดูดความร้อนในกระบวนการและแสดงให้เห็นตามสมการต่อไปนี้ :", "title": "เครื่องฟอกคาร์บอนไดออกไซด์" }, { "docid": "17852#7", "text": "หมวดหมู่:สารประกอบแคลเซียม หมวดหมู่:คาร์บอเนต หมวดหมู่:ยาลดกรด หมวดหมู่:เกลือแร่", "title": "แคลเซียมคาร์บอเนต" }, { "docid": "12007#38", "text": "เป็นกระบวนการให้ความร้อนกับสารที่เป็นผง เพื่อให้วัสดุเกิดการแยกส่วน เกิดการเปลี่ยนเฟส หรือเพื่อขับไล่องค์ประกอบของสารตั้งต้นที่ไม่ต้องการออกไป เช่น การทำให้คาร์บอนไดออกไซด์หลุดออกจากโครงสร้าง หรือการทำให้น้ำระเหยอออกไป ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่ใช้ในการแยกแคลเซียมคาร์บอเนต (หินปูน) ให้เป็นแคลเซียมออกไซด์ (ปูนขาว) โดยเป็นกระบวนการหนึ่งในการผลิตปูนซีเมนต์ โดยผลผลิตที่ได้จากการให้ความร้อนแบบนี้จะถูกเรียกว่า แคลไซต์ (Calcite) โดยส่วนใหญ่จะทำการเผาที่อุณหภูมิ 950 องศาเซลเซียส", "title": "เซรามิก" }, { "docid": "837663#0", "text": "น้ำปูนใส เป็นชื่อสามัญของสารละลายเจือจางของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)) น้ำปูนใสบริสุทธิ์จะใสไม่มีสี มีกลิ่นดินเล็กน้อยและมีรสขมแบบด่าง ชื่อภาษาอังกฤษคือ limewater ซึ่งมาจากไลม์ อนินทรีย์วัตถุของแคลเซียมที่มีคาร์บอเนต ออกไซด์และไฮดรอกไซด์เป็นหลัก และไม่เกี่ยวข้องกับ lime ที่หมายถึงมะนาว", "title": "น้ำปูนใส" }, { "docid": "16345#3", "text": "เดิมนั้นการผลิตโซเดียมคาร์บอเนตทำโดยกระบวนเคมีที่เรียกว่า กระบวนการเลอบลังก์ (Leblanc process) ซึ่งค้นพบโดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ นิโคลาส เลอบลังก์ ในปี พ.ศ. 2334 (ค.ศ. 1791) โดยใช้ โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) กรดซัลฟูริก (กรดกำมะถัน) แคลเซียมคาร์บอเนต (หินปูน) และถ่าน แต่กรดไฮโดรคลอริค (กรดเกลือ) ที่เกิดจากกระบวนการนี้ ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ และแคลเซียมซัลไฟด์ ที่เหลือจากกระบวนการทำให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม แต่เนื่องจากโซเดียมคาร์บอเนตเป็นสารเคมีพื้นฐานในอุตสาหกรรมหลายชนิด ทำให้มีการผลิตโซเดียมคาร์บอเนตโดยกรรมวิธีนี้ และเป็นกรรมวิธีหลักมาจนถึงช่วงปี พ.ศ. 2423 - 2433 (ช่วง ค.ศ. 1880 - 1890) หลังการค้นพบกระบวนการโซลเวย์ กว่า 20 ปี โรงงานผลิตแคลเซียมคาร์บอเนตที่ใช้กระบวนการ เลอบรังค์แห่งสุดท้ายปิดลงในช่วงปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920)", "title": "โซเดียมคาร์บอเนต" }, { "docid": "531651#0", "text": "สตรอนเชียมออกไซด์ () หรือ สตรอนเชีย () เกิดขึ้นเมื่อทำปฏิกิริยากับสตรอนเชียม โดยมีสูตรเคมีว่า SrO การเผาไหม้สตรอนเชียมในผลลัพธ์ของอากาศในส่วนผสมของสตรอนเชียมออกไซด์ และสตรอนเทียมไนตริด นอกจากนี้ยังมีรูปแบบจากการสลายตัวของสตรอนเชียมคาร์บอเนต (SrCO) มันเป็นออกไซด์ขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรง", "title": "สตรอนเชียมออกไซด์" }, { "docid": "17852#4", "text": "เมื่ออยู่ในกระเพาะจะเกิดปฏิกิริยาดังนี้", "title": "แคลเซียมคาร์บอเนต" }, { "docid": "97418#0", "text": "ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO, lime) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว และส่วนที่เป็นสารแขวนลอยคือ น้ำปูนไลม์ (Milk of lime)", "title": "ปูนขาว" }, { "docid": "812829#0", "text": "แคลเซียมไฮดรอกไซด์ () เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมีคือ Ca(OH) ลักษณะเป็นผลึกไม่มีสีหรือผงสีขาว ได้จากการเจือจางแคลเซียมออกไซด์กับน้ำ สารละลายอิ่มตัวของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ รู้จักในชื่อน้ำปูนใส", "title": "แคลเซียมไฮดรอกไซด์" }, { "docid": "291060#20", "text": "ผู้ปฏิสังขรณ์ล้างผิวภาพด้วยน้ำยาหลายอย่าง และเมื่อใดที่สามารถใช้น้ำกลั่นในการเอาสิ่งสกปรกหรือละลายยางที่ละลายน้ำได้ก็จะใช้ การเขียนเสริม (Retouching) หรือเขียนใหม่ (Repainting) ที่ทำไว้ระหว่างการบูรณะก่อนหน้าก็ถูกลอกหรือลบออกด้วยน้ำยาเจลาตินต่อเนื่องกันหลายครั้งและล้างด้วยน้ำกลั่น ส่วนที่มีสิ่งสกปรกที่เกิดจากการตกผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนตก็ใช้น้ำยาไดเม็ทธิลฟอร์มาร์ไมด์ (dimethylformamide) ทำความสะอาด ขั้นสุดท้ายก็คือการเคลือบด้วยน้ำยาจากอคริลิคพอลิเมอร์ (acrylic polymer) อ่อน ๆ เพื่อผสานและรักษาผิวภาพจากความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต", "title": "การบูรณะจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์น้อยซิสทีน" }, { "docid": "441664#2", "text": "เปลือกหอยประกอบด้วยสารจำพวกแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือเป็นสารอื่น ๆ เช่น แคลเซียมฟอสเฟต, แมกนีเซียมคาร์บอเนต, แมกนีเซียมฟอสเฟต, แมกนีเซียมซิลิเกต, โปรตีนประเภทคอนไคโอลิน เปลือกหอยแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ\nเปลือกหอยมีรูปร่างของเปลือกไม่เหมือนกัน แตกต่างออกไปตามแต่ละชั้น, อันดับ, วงศ์, สกุล และชนิด เช่น หอยแปดเกล็ด หรือ ลิ่นทะเล มีเปลือกขนาดเล็กจำนวน 8 แผ่น เรียงซ้อนเหลื่อมกันคล้ายกระเบื้องมุงหลังคาจากหัวถึงท้ายตัว ส่วนหอยฝาชีโบราณมีเปลือกรูปคล้ายฝาชี ส่วนที่เป็นยอดแหลมเยื้องไปทางด้านหน้า", "title": "เปลือกหอย" }, { "docid": "17852#5", "text": "CaCO3 + 2HCl →CaCl2 + H2O + CO2 (gas)", "title": "แคลเซียมคาร์บอเนต" }, { "docid": "845850#0", "text": "แคลเซียมฟลูออไรด์ () เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมีคือ CaF ลักษณะเป็นของแข็งผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น ได้จากแร่ฟลูออไรต์ แคลเซียมฟลูออไรด์บริสุทธิ์ได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างแคลเซียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรฟลูออริก ตามสมการ:", "title": "แคลเซียมฟลูออไรด์" }, { "docid": "17852#1", "text": "คาร์บอเนต ไม่ละลายในน้ำ แต่สามารถทำปฏิกิริยากับน้ำและ คาร์บอนไดออกไซด์แล้วกลายเป็นแคลเซียมไบคาร์บอเนต (ซึ่งมีสูตรเคมีคือ Ca (HCO3) 2) แคลเซียมไบคาร์บอเนตละลายในน้ำได้เล็กน้อย", "title": "แคลเซียมคาร์บอเนต" }, { "docid": "22231#2", "text": "ปฏิกิริยานี้มีความสำคัญมากในการเกิดหินงอก หินย้อย คอลัมน์ภายในถ้ำ น้ำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศผ่านลงไปตามหินปูน (limestone) หรือแคลเซียมคาร์บอเนตอื่น แคลเซียมคาร์บอเนตบางส่วนจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไบคาร์บอเนตซึ่งละลายน้ำได้ดีมาก ต่อมาเมื่อน้ำแห้ง แคลเซียมไบคาร์บอเนตจะเปลี่ยนไปเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งละลายน้ำได้น้อยจะแยกตัวออกมาเกาะเป็นหินงอกหินย้อย อุณหภูมิมีความสำคัญต่อปฏิกิริยามาก เพราะเมื่ออุณหภูมิสูง คาร์บอนไดออกไซด์จะแยกตัวออกจากสารละลายแคลเซียมไบคาร์บอเนตเร็วขึ้น", "title": "แคลเซียมไบคาร์บอเนต" }, { "docid": "10267#12", "text": "แคลไซต์ (Calcite) เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) เป็นองค์ประกอบหลักของหินปูนและหินอ่อน โดโลไมต์ (Dolomite) ซึ่งเป็นแร่คาร์บอเนตอีกประเภทหนึ่งที่มีแมงกานีสผสมอยู่ CaMg(CO3) 2 แร่คาร์บอเนตทำปฏิกิริยากับกรดเป็นฟองฟู่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา", "title": "หิน" }, { "docid": "297315#0", "text": "แคลไซต์ () เป็นแร่คาร์บอเนตและเป็นแร่ที่เสถียรที่สุดในกลุ่มแร่ที่มีสูตรโครงสร้างเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ส่วนแร่อื่นที่มีสูตรโครงสร้างเดียวกัน ได้แก่ อราโกไนท์ (Aragonite) และ วาเทอร์ไรต์ (Vaterite) โดยอราโกไนท์จะเปลี่ยนไปเป็นแคลไซต์ที่อุณหภูมิ 470 องศาเซลเซียส ส่วนวาเทอร์ไรต์นั้นไม่เสถียร", "title": "แคลไซต์" }, { "docid": "640207#1", "text": "เปลือกของหอยทะลมีรูปทรงที่หลากหลาย และมีสีสันสวยงาม โดยมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทรายไปจนถึง 1 เมตร ขึ้นอยู่กับหอยทะเลชนิดนั้นๆ เปลือกของหอยทะเลมีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญคือ แคลเซียมคาร์บอเนต และมีสารประกอบอื่นๆเป็นส่วนประกอบ เช่น แคลเซียมฟอสเฟต แมกนีเซียมฟอสเฟต โปรตีนประเภทคอนไคโอลิน เป็นต้น", "title": "หอยทะเล" }, { "docid": "17852#2", "text": "ในธรรมชาติพบในรูปดังนี้:", "title": "แคลเซียมคาร์บอเนต" }, { "docid": "58797#6", "text": "เป็นการหมุนเวียนของคาร์บอนผ่านระบบโครงสร้างของโลกทั้งในแผ่นดิน มหาสมุทรและหินปูน องค์ประกอบสำคัญของหินปูนคือแคลเซียมคาร์บอเนต หินปูนเป็นแหล่งสะสมคาร์บอนที่สำคัญของพื้นโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและการกัดเซาะจะชะแคลเซียม ซิลิกา และคาร์บอนออกจากหินปูนดังสมการ", "title": "วัฏจักรคาร์บอน" }, { "docid": "732798#3", "text": "แร่ธาตุต่าง ๆ และวัสดุคลัายแร่ผูกติดกับ CO แบบผกผัน ที่พบบ่อยส่วนใหญ่ แร่ธาตุเหล่านี้เป็นออกไซด์และ CO มักจะถูกผูกติดกันเป็นคาร์บอเนต คาร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับปูนขาว (แคลเซียมออกไซด์) ประกอบกันอยู่ในรูปของหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) ในกระบวนการที่เรียกว่าการวนลูปคาร์บอเนต แร่ธาตุอื่น ๆ ได้แก่ serpentinite, แมกนีเซียมซิลิเกตไฮดรอกไซ และฟันม้าโอลิวีน Molecular sieves ยังคงทำงานในหน้าที่นี้อีกด้วย", "title": "เครื่องฟอกคาร์บอนไดออกไซด์" }, { "docid": "22231#1", "text": "แคลเซียมไบคาร์บอเนตจะเกิดก็ต่อเมื่อน้ำมีคาร์บอนไดออกไซด์ในสารละลาย (หรือเรียกว่า กรดคาร์บอนิก) ทำปฏิกิริยากับแคลเซียมคาร์บอเนต ", "title": "แคลเซียมไบคาร์บอเนต" }, { "docid": "220409#3", "text": "นอกจากนี้ เปลือกฝาของแบรคิโอพอดถ้าไม่ประกอบด้วยสารแคลเซี่ยมฟอสเฟตก็เป็นสารแคลเซียมคาร์บอเนต ขณะที่เปลือกฝาของหอยกาบคู่ทั่วไปจะประกอบด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต และท้ายสุดที่แบรคิโอพอดไม่เหมือนกับหอยกาบคู่ก็คือ แบรคิโอพอดบางกลุ่มมีเปลือกฝาเป็นปีกคล้ายครีบยื่นออกไปและรวมถึงมีหนามบนพื้นเปลือกฝา", "title": "แบรคิโอพอด" }, { "docid": "22062#0", "text": "คอปเปอร์(II) คาร์บอเนต () เป็น สารประกอบ สีฟ้าเขียว (สูตรเคมีเป็นดังนี้ CuCO) ส่วนใหญ่มักจะเกิดเป็น ปาตินา (patina) บนผิวที่สัมผัสอาการของ ทองเหลือง, ทองสัมฤทธ์, และ ทองแดง สีสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตั้งแตน้ำเงินสดใสไปเป็นสีเขียวเพราะอาจมีส่วนผสมของคอปเปอร์(II)คาร์บอเนตในหลายสถานะของ ไฮเดรชัน มันถูกใช้ประโยชน์ในการทำสี (pigment) ในงานศิลป์ และบางประเภทของเครื่องสำอาง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นพิษต่อมนุษย์", "title": "คอปเปอร์(II) คาร์บอเนต" }, { "docid": "845922#0", "text": "สตรอนเชียมฟลูออไรด์ () เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมีคือ SrF เป็นของแข็งผลึกสีขาว พบในแร่สตรอนชิโอฟลูออไรต์ สามารถเตรียมได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างสตรอนเชียมคลอไรด์กับแก๊สฟลูออรีน หรือสตรอนเชียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรฟลูออริก สตรอนเชียมฟลูออไรด์มีคุณสมบัติเป็นสภาพนำไอออนยวดยิ่งเช่นเดียวกับแคลเซียมฟลูออไรด์และแบเรียมฟลูออไรด์https://web.archive.org/20051214052733/http://www.newmet.co.uk:80/Products/koch/strontium.php", "title": "สตรอนเชียมฟลูออไรด์" } ]
3775
ปลายประสาทเมอร์เกิลไวต่อการแปรรูปของผิวหนังมาก และอาจตอบสนองต่อการแปรรูปที่น้อยกว่า เท่าไหร่?
[ { "docid": "885632#9", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิลไวต่อการแปรรูปของผิวหนังมาก และอาจตอบสนองต่อการแปรรูปที่น้อยกว่า 1ไมโครเมตร เป็นเส้นประสาทนำเข้าแบบ I (SA1) ซึ่งมีลานรับสัญญาณที่เล็กกว่าแบบ II งานศึกษาหลายงานแสดงว่า เส้นประสาทแบบ I อำนวยการจำแนกสัมผัสแบบรายละเอียดสูง และทำให้ปลายนิ้วสามารถรู้สึกลวดลายที่ละเอียดได้ (เช่น เมื่อ \"อ่าน\" อักษรเบรลล์)", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" } ]
[ { "docid": "879409#30", "text": "ปรับตัวอย่างช้า ๆ (Slowly Adapting) รวมทั้ง Merkel nerve ending และ Ruffini ending ใย Slowly Adapting type 1 (SA1) มี Merkel cell เป็นปลาย เป็นมูลฐานความรู้สึกถึงรูปร่างและความหยาบละเอียดของวัตถุที่สัมผัส[52] มีลานรับสัญญาณที่เล็ก (9มม2 ที่ปลายนิ้ว[47]) ตอบสนองแบบต่อเนื่อง (sustained) ต่อสิ่งเร้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ติดใต้หนังกำพร้า (0.5-1.0มม. ใต้ผิวหนัง) ที่มือจะอยู่ล้อมท่อต่อมเหงื่อใต้สันลายมือ/นิ้ว แต่ละใยประสาทจะแยกเป็นสาขา ๆ ส่งไปเชื่อมกับ Merkel cell หลายตัว[34] เป็นใยประสาทที่มีอย่างหนาแน่นเป็นที่สอง ที่ปลายนิ้วของมนุษย์และลิงอาจมีใยประสาท 100ใย/ซม2[47] และในบรรดาใยประสาทรับรู้สัมผัสที่ส่งไปจากมือมนุษย์ มีจำนวนรวมกันประมาณ 25%[53] ใย Slowly Adapting type 2 (SA2) ซึ่งมีปลายเป็น Ruffini ending ตอบสนองต่อการหดยืดของผิวหนัง ช่วยให้รับรู้รูปร่างของวัตถุที่จับในมือ และทำให้สามารถรู้รูปร่างของมือและตำแหน่งของนิ้วโดยอาจมีส่วนในการรับรู้อากัปกิริยา[2] ตอบสนองอย่างต่อเนื่องกับสิ่งเร้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แม้ลานรับสัญญาณจะใหญ่ (60มม2 ที่มือ[47]) อยู่ในหนังแท้ (2-3มม. ใต้ผิวหนัง) และเนื้อเยื่อที่ลึกกว่านั้น แต่ละใยอาจส่งสาขาไปยังปลายหลายอัน[39] เนื่องจากปลายมีขนาดใหญ่และอยู่ลึก จึงมีใยประสาทน้อยกว่า สามารถรับรู้สิ่งเร้าได้ไกลกว่า[36] ที่ปลายนิ้วของมนุษย์และลิงอาจมีใยประสาท 10ใย/ซม2[47] และในบรรดาใยประสาทรับรู้สัมผัสที่ส่งไปจากมือมนุษย์ มีจำนวนรวมกันประมาณ 20%[37] ปรับตัวอย่างรวดเร็ว (Rapidly adapting) รวม Meissner corpuscle และ Pacinian corpuscle ใย Rapidly Adapting type 1 (RA1) ซึ่งมีปลายเป็น Meissner's corpuscle เป็นมูลฐานความรู้สึกการสั่นความถี่ต่ำ (flutter)[54] และการลื่นไถลบนผิวหนัง[55] มีลานรับสัญญาณที่เล็ก (22มม2 ที่ปลายนิ้ว[47]) ตอบสนองแบบชั่วคราว (transient) เมื่อเริ่มมีสิ่งเร้าและเมื่อสิ่งเร้าหายไป อยู่ติดใต้หนังกำพร้า (0.5-1.0ใต้ผิวหนัง) ที่มือจะอยู่ที่ด้านทั้งสองของขอบสันลายมือ/นิ้ว[34] เป็นใยประสาทที่มีอย่างหนาแน่นที่สุด ที่ปลายนิ้วของมนุษย์และลิงอาจมีใยประสาท 150ใย/ซม2[47] แต่ละใยปกติจะมีปลาย 10-20 ปลาย[32] และในบรรดาใยประสาทรับรู้สัมผัสที่ส่งไปจากมือมนุษย์ มีจำนวนรวมกันประมาณ 40%[53] ใย Rapidly Adapting type 2 (RA2) ซึ่งมีปลายเป็น Pacinian corpuscles เป็นมูลฐานของการรู้ความถี่สูง[54] ตอบสนองอย่างชั่วคราวกับสิ่งเร้าเหมือนกัน แต่ลานรับสัญญาณใหญ่ (ที่มือจะมีขนาดเท่ากับทั้งนิ้วหรือทั้งมือ[47]) อยู่ในหนังแท้ (2-3มม. ใต้ผิวหนัง) และเนื้อเยื่อที่ลึกกว่านั้น แต่ละใยมีปลายเพียงอันเดียว[34] เนื่องจากปลายมีขนาดใหญ่และอยู่ลึก จึงมีใยประสาทน้อยกว่าและสามารถรับรู้สิ่งเร้าได้ไกลกว่า[36] ที่ปลายนิ้วของมนุษย์และลิงอาจมีใยประสาท 20ใย/ซม2[47] และในบรรดาใยประสาทรับรู้สัมผัสที่ส่งไปจากมือมนุษย์ มีจำนวนรวมกันประมาณ 10-15%[56]", "title": "ตัวรับแรงกล" }, { "docid": "885609#5", "text": "เม็ดพาชีเนียนเป็นตัวรับความรู้สึกที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว (rapidly adapting) และส่งสัญญาณเป็นพัก ๆ (phasic) ที่ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของแรงดันและความสั่นสะเทือนที่ผิวหนัง\nเม็ดเหล่านี้ไวต่อแรงสั่นมาก และสามารถรู้สึกแรงสั่นไกลเป็นเซนติเมตร ๆ ได้ (เป็นตัวรับแรงกลที่ไวสุดในระบบรับความรู้สึกทางกาย)\nโดยไวที่ความถี่ 250 เฮิรตซ์มากที่สุด ซึ่งเป็นช่วงความถี่ซึ่งเกิดที่ปลายนิ้วสำหรับลายผิววัสดุที่เล็กกว่า 1 ไมโครเมตร\nแม้จะตอบสนองต่อความถี่ระหว่าง 5-1,000 เฮิรตซ์ด้วย\nเม็ดพาชีเนียนจะตอบสนองเมื่อผิวหนังเปลี่ยนรูปอย่างรวดเร็ว \nแต่จะไม่ตอบสนองเมื่อแรงกดอยู่คงที่เพราะเหตุเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่คลุมปลายประสาทอยู่", "title": "เม็ดพาชีเนียน" }, { "docid": "885632#7", "text": "ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การบันทึกกระแสไฟฟ้าด้วยอิเล็กโทรดจากใยประสาทนำเข้าเส้นเดียวแสดงว่า ปลายประสาทเมอร์เกิลจะตอบสนองอย่างกระฉับกระเฉงในช่วงที่ปรากฏสิ่งเร้า (dynamic - พลวัต) แล้วก็ตอบสนองต่อไปในช่วงที่สิ่งเร้าไม่เปลี่ยนแปลงด้วย (static - นิ่ง) การตอบสนองในช่วงนิ่งสามารถคงยืนกว่า 30 นาที ระยะระหว่างอิมพัลส์ (inter-spike) ในช่วงที่ยิงสัญญาณอย่างคงยืนจะสม่ำเสมอ เทียบกับรูปแบบที่ไม่สม่ำเสมอถ้าได้จากตัวรับแรงกลที่ปรับตัวช้า ๆ แบบ II (คือ Ruffini ending)[5]", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885622#10", "text": "ลานรับสัญญาณของตัวรับแรงกล ก็คือบริเวณพื้นที่ที่เซลล์ประสาทตอบสนองต่อสิ่งเร้า\nถ้ามีการสัมผัสผิวหนังสองที่ภายในลานรับสัญญาณเดียวกัน บุคคลนั้นจะไม่สามารถจำแนกจุดสองจุดเช่นนั้นได้\nและถ้ามีการสัมผัสภายในลานสัญญาณที่ต่างกัน บุคคลนั้นก็จะจำแนกได้\nดังนั้น ขนาดลานรับสัญญาณของตัวรับแรงกล จึงเป็นตัวกำหนดการจำแนกสิ่งเร้าที่ละเอียดได้\nยิ่งมีลานสัญญาณเล็กเท่าไรมีกลุ่มลานรับสัญญาณที่อยู่ใกล้ ๆ กันเท่าไร ก็จะสามารถจำแนกละเอียดยิ่งขึ้นเท่านั้น\nเพราะเหตุนี้ เม็ดรู้สัมผัสและ Merkel ending จึงรวมกลุ่มอยู่อย่างหนาแน่นที่ปลายนิ้วมือซึ่งไวความรู้สึก แต่หนาแน่นน้อยกว่าที่ฝ่ามือและหน้าแขนที่ไวสัมผัสน้อยกว่า", "title": "เม็ดรู้สัมผัส" }, { "docid": "885647#10", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิลซึ่งเป็นตัวรับแรงกลที่ผิวหนังหลักอีกอย่างหนึ่ง ปรับตัวช้า มีขีดเริ่มเปลี่ยนต่ำ ส่งสัญญาณในอัตราที่สม่ำเสมอ และปกติจัดเป็นใยประสาท SA1 แต่งานศึกษาทางสัณฐานวิทยาของปลายประสาทซึ่งยุติที่เซลล์เมอร์เกิล ได้พบการเชื่อมต่อกันและการตอบสนองในรูปแบบต่าง ๆ\nที่ทำให้เสนอว่า การตอบสนองในอัตราไม่สม่ำเสมอที่ปกติจัดว่ามาจากใยประสาท SA2 (Ruffini ending) จริง ๆ อาจมาจากใยประสาท SA1 ที่มีปลายเป็นเซลล์เมอร์เกิล", "title": "ปลายรัฟฟินี" }, { "docid": "568261#0", "text": "โนซิเซ็ปเตอร์ ( มาจาก แปลว่า \"ทำให้เจ็บ\") เป็นปลายประสาทอิสระของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่ตอบสนองโดยเฉพาะต่อตัวกระตุ้นที่\"อาจจะ\"ทำความเสียหายต่อร่างกาย/เนื้อเยื่อ โดยส่งสัญญาณประสาทไปยังระบบประสาทกลางผ่านไขสันหลังหรือก้านสมอง กระบวนการเช่นนี้เรียกว่า โนซิเซ็ปชั่น และ\"โดยปกติ\"ก็จะก่อให้เกิดความเจ็บปวด โนซิเซ็ปเตอร์มีอยู่ทั่วร่างกายอย่างไม่เท่ากันโดยเฉพาะส่วนผิว ๆ ที่เสี่ยงเสียหายมากที่สุด และไวต่อตัวกระตุ้นระดับต่าง ๆ กัน บางส่วนไวต่อตัวกระตุ้นที่ทำอันตรายให้แล้ว บางส่วนตอบสนองต่อสิ่งเร้าก่อนที่ความเสียหายจะเกิด ตัวกระตุ้นอันตรายดังที่ว่าอาจเป็นแรงกระทบ/แรงกลที่ผิวหนัง อุณหภูมิที่ร้อนเย็นเกิน สารที่ระคายเคือง สารที่เซลล์ในร่างกายหลั่งตอบสนองต่อการอักเสบ เป็นต้น", "title": "ตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด" }, { "docid": "885647#7", "text": "ปลายประสาทรับแรงกลในระบบรับความรู้สึกทางกาย จะมีลักษณะทางกายวิภาคโดยเฉพาะ ๆ ที่เหมาะกับสิ่งเร้า และโดยทั่วไปอาจเป็นแบบหุ้มปลอก/แคปซูล (เช่นปลายรัฟฟินี) อันเป็นเนื้อเยื่อนอกเซลล์ประสาท หรืออาจเป็นปลายประสาทอิสระ\nเมื่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปลายประสาทแปรรูปเพราะสิ่งเร้าที่เหมาะสม (เช่น แรงสั่นความถี่สูง) โปรตีนที่ผิวของเซลล์ประสาทก็จะแปรรูปด้วย ทำให้ไอออน Na และ Ca ไหลเข้าผ่านช่องไอออนของเซลล์เป็นกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่าศักย์ตัวรับความรู้สึก (receptor potential) ซึ่งถ้าถึงขีดเริ่มเปลี่ยนก็จะทำให้เซลล์สร้างศักยะงานส่งไปยังระบบประสาทกลาง โดยเริ่มต้นส่งไปที่ไขสันหลังหรือก้านสมอง\nตัวรับความรู้สึกแต่ละประเภท ๆ จากตำแหน่งโดยเฉพาะ ๆ จะมีใยประสาทเป็นของตนเองจนถึงไขสันหลังตลอดไปจนถึงสมอง\nความเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ทำให้ระบบประสาทกลางจำแนกได้ว่า เป็นความรู้สึกประเภทไรและมาจากส่วนไหนของร่างกาย", "title": "ปลายรัฟฟินี" }, { "docid": "879409#32", "text": "ปลายรับแรงกลที่ปุ่มรากผมหลายชนิด (ใยประสาท G1, G2, T) ซึ่งไวมากต่อการเคลื่อนไหวของขนแม้เส้นเดียว แต่ไม่ไวแรงกดที่คงยืน ไวต่อการลูบและการสั่นความถี่ต่ำ (flutter) โดยทำงานในรูปแบบเดียวกับ Meissner's corpuscle ใยประสาทเส้นหนึ่งจะส่งแอกซอนไปที่ขน 10-30 เส้น มีลานรับสัญญาณใหญ่ (1-2ซม2) ปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีปลอกไมอีลินหนา (Aβ) Field unit/receptor ซึ่งอยู่ที่ผิวในระหว่างขน (ใยประสาท F) ไวต่อการเคลื่อนไหว/การยืดของผิว มีลานรับสัญญาณใหญ่ที่มีจุดไวความรู้สึกหลายจุด ปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีปลอกไมอีลินหนา (Aβ) รูปร่างสัณฐานของปลายยังไม่ชัดเจน Hair-down receptor (ใยประสาท D) ไวต่อการลูบเบา ๆ มีปลอกไมอีลินบาง (Aδ) ปลายประสาทอิสระที่ไร้ปลอกไมอีลิน (ใยประสาทกลุ่ม C) ตอบสนองต่อการลูบช้า ๆ ที่ผิวหนัง มีขีดเริ่มเปลี่ยนต่ำ ในมนุษย์ดูเหมือนจะอำนวยให้เกิดกามารมณ์ (erotic, emotional aspects) และบางครั้งเรียกว่า caress detector", "title": "ตัวรับแรงกล" }, { "docid": "885609#0", "text": "เม็ดพาชีเนียน (Pacinian corpuscles) หรือ Lamellar corpuscles (เม็ดเป็นชั้น ๆ) เป็นตัวรับแรงกล (mechanoreceptor) หุ้มปลายพิเศษหลักอย่างหนึ่งในสี่อย่างที่ผิวหนังซึ่งไม่มีขน\nเป็นปลายประสาทที่หุ้มด้วยเซลล์ซึ่งไม่ใช่เซลล์ประสาท (schwann cell) มีลักษณะเป็นชั้น ๆ คล้ายหัวหอมที่เต็มไปด้วยน้ำในระหว่างชั้น โดยชั้นนอกสุดจะหนาเป็นพิเศษและชั้นในสุดจะต่างจากชั้นอื่น ๆ ทั้งทางกายวิภาคและทางเคมีภูมิคุ้มกัน\nเม็ดอยู่ในผิวหนังที่ไวต่อแรงสั่นและการเปลี่ยนแรงดัน\nโดยอยู่ในหนังแท้ใต้ผิวหนังประมาณ 2-3 มม. และในเนื้อเยื่อที่ลึกกว่านั้น \nและตอบสนองต่อแรงที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันเท่านั้นโดยไวต่อแรงสั่นความถี่สูงเป็นพิเศษ (30-500 เฮิรตซ์)\nการไวแรงสั่นทำให้สามารถตรวจจับลักษณะลายผิวของวัสดุที่ลูบ (ด้วยมือหรือนิ้วเป็นต้น) เช่น หยาบหรือเกลี้ยง\nเม็ดพาชีเนียนเป็นตัวรับแรงกลที่ปรับตัวเร็ว (rapidly adapting)\nดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้า เช่น การจับและการปล่อยวัตถุ จะทำให้กลุ่มต่าง ๆ ของเม็ดตอบสนองเพียงแค่ชั่วคราว\nนอกจากผิวหนังเกลี้ยงแล้ว ผิวหนังที่มีผม/ขนโดยทั่วไป \nปลอกหุ้มข้อต่อ (joint capsule) เยื่อหุ้มกระดูก (periosteum) ทรวงอก อวัยวะเพศ และอวัยวะภายในบางส่วน\nก็มีเม็ดพาชีเนียนด้วย\nและตับอ่อนก็มีเม็ดพาชีเนียนซี่งตรวจจับแรงสั่นและน่าจะเสียงความถี่ต่ำ", "title": "เม็ดพาชีเนียน" }, { "docid": "749878#1", "text": "โมเมทาโซนฟูโรเอตใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบ เช่น ผิวหนังอักเสบออกผื่น (eczema) และโรคสะเก็ดเงิน (แบบเฉพาะที่), เยื่อจมูกอักเสบเหตุภูมิแพ้ (แบบเฉพาะที่) เช่น ไข้ฟาง, โรคหืด (แบบสูด) สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อคอร์ติโคสเตอรอยด์ที่มีฤทธิ์น้อยกว่า และหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ ในแง่ความแรงของสเตอรอยด์ มันมีฤทธิ์มากกว่าไฮโดรคอร์ติโซน และมีฤทธิ์น้อยกว่าเดกซาเมทาโซน", "title": "โมเมทาโซนฟูโรเอต" }, { "docid": "879409#4", "text": "การแปรรูปจะกดดันให้โปรตีนช่องไอออนที่ปลายประสาทแปรรูป แล้วเปิดปิดช่องไอออนโดยตรง ข้อดีคือ ช่องไอออนจะสามารถเปิดปิดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปลายประสาทไวในการตอบสนอง การแปรรูปจะเชื่อมกับกลไกการเปิดปิดช่องไอออนผ่านโครงสร้างนอกเซลล์ (เช่นใยเชื่อมปลายของเซลล์ขนในหูชั้นใน และมักจะอุปมาเหมือนกับเป็นสปริงที่เชื่อมกับประตูเปิดปิดช่องไอออน) แล้วเปิดปิดช่องไอออนโดยตรง ข้อดีก็คือ ช่องไอออนจะสามารถเปิดปิดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปลายประสาทไวในการตอบสนอง แรงกลที่เปิดปิดช่องไอออนยังสามารถเป็นทั้งในแนวตั้งฉากหรือแนวขนานกับผิวเซลล์ การแปรรูปจะกดดันให้โปรตีนไวแรงกลต่างหากที่ปลายประสาทแปรรูป ซึ่งทำให้มีการปล่อยโมเลกุลส่งสัญญาณภายในเซลล์ผ่าน second messenger system แล้วเปิดปิดช่องไอออนโดยอ้อม ข้อเสียก็คือ เนื่องจากเป็นกลไกโดยอ้อม จึงทำงานได้ช้ากว่ากลไกโดยตรง ข้อดีก็คือ การแปรรูปของโปรตีนที่ไวแรงกลในจุด ๆ เดียว สามารถเปิดปิดช่องไอออนหลายตัวรอบ ๆ ได้ และกระบวนการสามารถปรับขยายสัญญาณที่ได้รับได้", "title": "ตัวรับแรงกล" }, { "docid": "879397#8", "text": "ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวรับอุณหภูมิจะอยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนัง (cutaneous receptor) กระจกตา และกระเพาะปัสสาวะ\nตัวรับอุณหภูมิทั้งแบบอุ่นแบบเย็น มีบทบาทในการรับรู้อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีอันตราย\nอุณหภูมิในระดับที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต จะตรวจจับด้วยโนซิเซ็ปเตอร์แบบต่าง ๆ ที่อาจตอบสนองต่อความเย็นอันตราย ความร้อนอันตราย หรือสิ่งเร้าที่เป็นอันตรายหลายรูปแบบ (คือโนซิเซ็ปเตอร์หนึ่งอาจตอบสนองต่อสิ่งเร้าหลายรูปแบบ เพราะเป็น polymodal)", "title": "ปลายประสาทรับร้อน" }, { "docid": "879409#14", "text": "Meissner's corpuscle (tactile corpuscle) เป็นปลายประสาทมีแคปซูลหุ้ม ซึ่งประกอบด้วยเซลล์สนับสนุนแบน ๆ จัดเป็นชั้นขวาง ๆ อันเกิดมาจากปลอกไมอีลิน (Schwann cell) เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเต็มไปด้วยน้ำ มีรูปร่างทรงกระบอก[28] ยาวระหว่าง 30-140ไมโครเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 40-60ไมโครเมตร ตอบสนองต่อสัมผัสละเอียดและแรงดัน[29] โดยที่มือจะทำให้รู้สึกสัมผัสในเบื้องต้นเมื่อถูกวัสดุหรือเมื่อวัสดุลื่นมือ ทำให้รู้สึกลายผิววัสดุ และแรงสั่นที่ความถี่ระหว่าง 1-300เฮิรตซ์โดยไวสุดที่ 50เฮิรตซ์[30] (2-50เฮิรตซ์[31]) แต่ละตัวจะมีแอกซอนส่งมาถึง 2-5 ใย[32] Merkel nerve ending เป็นปลายประสาทมีมีเซลล์เยื่อบุผิวหุ้มเป็นแคปซูล (encapsulated) ค่อนข้างแข็ง ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10ไมโครเมตร[33] ตรวจจับแรงกดดันที่ต่อเนื่อง ไวเป็นพิเศษต่อขอบ มุม และปลายแหลม[27] และตอบสนองต่อแรงสั่นที่ความถี่ระหว่าง 0-100Hz โดยไวสุดที่ความถี่ 5Hz[34] (0.3-3Hz[31]) แต่ละตัวอาจจะมีแอกซอนส่งมาถึงมากกว่าหนึ่งใย[35] Pacinian corpuscles (lamellar corpuscle) เป็นปลายประสาทซึ่งหุ้มด้วยเซลล์ที่ไม่ใช่เซลล์ประสาทมีลักษณะเป็นชั้น ๆ คล้ายหัวหอมที่เต็มไปด้วยน้ำในระหว่าง[27] มีขนาดใหญ่และโดยคร่าว ๆ เป็นรูปวงรีทรงกระบอกและยาว 1มม. ตรวจจับความสั่นที่ถี่สูงกว่าระหว่าง 5-1,000Hz โดยไวที่สุดที่ความถี่ 200Hz[30] เมื่อจับของที่ใหญ่[31] แต่ละตัวมีแอกซอนส่งมาถึงเพียงแค่ใยเดียว[36] Ruffini ending (bulbous corpuscle) เป็นโครงสร้างยาวรูปกระสวยที่หุ้มใยคอลลาเจนไว้ด้านใน[36] โดยจะทอดไปในแนวขนานกับทิศทางที่ทำให้รู้สึกยืด[37] ใยประสาทจะวิ่งพันกับใยคอลลาเจนในแคปซูล[36] ตรวจจับความตึง นอกจากที่ผิวหนัง ยังมีอยู่ในเอ็นยึดข้อต่อ ปลอกหุ้มข้อต่อ[38] และเอ็นปริทันต์ (periodontal ligament) ด้วย[4] แต่ละตัวมีแอกซอนส่งมาถึงเพียงแค่ใยเดียว[39]", "title": "ตัวรับแรงกล" }, { "docid": "879409#2", "text": "ปลายประสาทรับแรงกลในระบบรับความรู้สึกทางกาย จะมีลักษณะทางกายวิภาคโดยเฉพาะ ๆ ที่เหมาะกับสิ่งเร้า และโดยทั่วไปอาจเป็นแบบหุ้มปลอก/แคปซูล (เช่น Pacinian corpuscle) อันเป็นเนื้อเยื่อนอกเซลล์ประสาท หรืออาจเป็นปลายประสาทอิสระ[6] เมื่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปลายประสาทแปรรูปเพราะสิ่งเร้าที่เหมาะสม (เช่น แรงสั่นความถี่สูง) โปรตีนที่ผิวของเซลล์ประสาทก็จะแปรรูปด้วย ทำให้ไอออน Na+ และ Ca2+ ไหลเข้าผ่านช่องไอออนของเซลล์เป็นกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่าศักย์ตัวรับความรู้สึก (receptor potential) ซึ่งถ้าถึงขีดเริ่มเปลี่ยนก็จะทำให้เซลล์สร้างศักยะงานส่งไปยังระบบประสาทกลาง โดยเริ่มต้นส่งไปที่ไขสันหลังหรือก้านสมอง[7][8] ตัวรับความรู้สึกแต่ละประเภท ๆ จากตำแหน่งโดยเฉพาะ ๆ จะมีใยประสาทเป็นของตนเองจนถึงไขสันหลังตลอดไปจนถึงสมอง[9] ความเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ทำให้ระบบประสาทกลางจำแนกได้ว่า เป็นความรู้สึกประเภทไรและมาจากส่วนไหนของร่างกาย", "title": "ตัวรับแรงกล" }, { "docid": "885632#14", "text": "ปลายประสาทรับแรงกลในระบบรับความรู้สึกทางกาย จะมีลักษณะทางกายวิภาคโดยเฉพาะ ๆ ที่เหมาะกับสิ่งเร้า และโดยทั่วไปอาจเป็นแบบที่หุ้มปลอก/แคปซูล (เช่น Merkel ending) อันเป็นเนื้อเยื่อนอกเซลล์ประสาท หรืออาจเป็นปลายประสาทอิสระ เมื่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปลายประสาทแปรรูปเพราะสิ่งเร้าที่เหมาะสม (เช่นปลายแหลมสำหรับปลายประสาทเมอร์เกิล) โปรตีนที่ผิวของเซลล์ประสาทก็จะแปรรูปด้วย ทำให้ไอออน Na+ และ Ca2+ ไหลเข้าผ่านช่องไอออนของเซลล์เป็นกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่าศักย์ตัวรับความรู้สึก (receptor potential) ซึ่งถ้าถึงขีดเริ่มเปลี่ยนก็จะทำให้เซลล์สร้างศักยะงานส่งไปยังระบบประสาทกลาง โดยเริ่มต้นส่งไปที่ไขสันหลังหรือก้านสมอง[20][21] ตัวรับความรู้สึกแต่ละประเภท ๆ จากตำแหน่งโดยเฉพาะ ๆ จะมีใยประสาทเป็นของตนเองจนถึงไขสันหลังตลอดไปจนถึงสมอง[22] ความเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ทำให้ระบบประสาทกลางจำแนกได้ว่า เป็นความรู้สึกประเภทไรและมาจากส่วนไหนของร่างกาย", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#12", "text": "ลานรับสัญญาณของตัวรับแรงกล ก็คือบริเวณพื้นที่ที่เซลล์ประสาทตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยคร่าว ๆ แล้ว ถ้ามีการสัมผัสผิวหนังสองที่ภายในลานรับสัญญาณเดียวกัน บุคคลนั้นจะไม่สามารถจำแนกจุดสองจุดจากการสัมผัสที่จุดเดียวได้ (เป็นการทดสอบที่เรียกว่า Two-point discrimination) และถ้ามีการสัมผัสภายในลานสัญญาณที่ต่างกัน บุคคลนั้นก็จะจำแนกได้ ดังนั้น ขนาดลานรับสัญญาณของตัวรับแรงกล จึงเป็นตัวกำหนดการจำแนกสิ่งเร้าที่ละเอียดได้ ยิ่งมีลานสัญญาณเล็กเท่าไรมีกลุ่มลานรับสัญญาณที่อยู่ใกล้ ๆ กันเท่าไร ก็จะสามารถจำแนกละเอียดยิ่งขึ้นเท่านั้น[16] เพราะเหตุนี้ ปลายประสาทเมอร์เกิลและ Meissner's corpuscle จึงรวมกลุ่มอยู่อย่างหนาแน่นที่ปลายนิ้วมือซึ่งไวความรู้สึก แต่หนาแน่นน้อยกว่าที่ฝ่ามือและหน้าแขนที่ไวสัมผัสน้อยกว่า", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#6", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิลไวที่สุดในบรรดาตัวรับแรงกล 4 อย่างต่อความถี่ต่ำ ราว ๆ 0.3-5เฮิรตซ์ และตอบสนองอย่างคงยืนต่อสิ่งเร้า เพราะตอบสนองอย่างคงยืน ปลายประสาทเมอร์เกิลจึงจัดว่าปรับตัวช้า ๆ (slowly adapting) เทียบกับ Pacinian corpuscle และ Meissner's corpuscle ซึ่งปรับตัวอย่างรวดเร็ว (rapidly adapting) คือตอบสนองต่อช่วงเกิดและช่วงหมดสิ่งเร้าที่เหมาะสม[10]", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "879397#0", "text": "ปลายประสาทรับร้อน\nหรือ ตัวรับอุณหภูมิ\nเป็นปลายประสาทของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกในผิวหนังและในเยื่อเมือกบางชนิด ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิหรือการแลกเปลี่ยนความร้อนได้ดีที่สุด\nคือ ตัวรับอุณหภูมิ ไม่ว่าจะรับเย็นหรืออุ่น จะตอบสนองต่ออุณหภูมิโดยเฉพาะ ๆ หรือต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ โดยเป็นฟังก์ชันของการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างผิวหนังกับวัตถุที่สัมผัส\nและโดยหลักในพิสัยที่ไม่มีอันตราย เพราะโนซิเซ็ปเตอร์รับอุณหภูมิจะเป็นตัวส่งข้อมูลในพิสัยที่อาจเป็นอันตราย", "title": "ปลายประสาทรับร้อน" }, { "docid": "885647#2", "text": "ที่ผิวหนังมันจะอยู่ในหนังแท้ใต้ผิวหนัง 2-3 มม. โดยอยู่ลึกน้อยกว่า Pacinian corpuscle\nและที่มือมันจะรวมอยู่ที่นิ้ว ข้อมือ และรอยทบที่ฝ่ามือ โดยมักจะไม่ค่อยมีที่ปลายนิ้ว\nนอกจากที่ผิวหนัง มันยังมีอยู่ในเอ็นยึดข้อต่อ ปลอกหุ้มข้อต่อ\nและเอ็นปริทันต์ (periodontal ligament) ด้วย\nลานรับสัญญาณของใยประสาทรับแรงกลหนึ่ง ๆ ที่ผิวหนังก็คือ พื้นที่บนผิวหนังที่มันสามารถรับรู้สิ่งเร้าที่เหมาะสม\nนักวิชาการคู่ที่เริ่มตรวจสอบการตอบสนองของตัวรับแรงกลในมนุษย์ (Vallbo และ Johansson) ได้ใส่อิเล็กโทรดผ่านผิวหนังใส่เส้นประสาท median/ulnar nerve ของมือมนุษย์เพื่อวัดการตอบสนองของใยประสาทใยเดี่ยว ๆ แล้วพบว่า ใยแบบต่าง ๆ แตกต่างกันทั้งโดยการตอบสนองทางสรีรภาพและโดยลักษณะของลานสัญญาณ", "title": "ปลายรัฟฟินี" }, { "docid": "568261#11", "text": "โนซิเซ็ปเตอร์เชิงกลรับรู้แรงกดดันหรือความแปรรูปของเนื้อเยื่อที่เกินพิกัด และการกระทบที่ทะลุผ่านผิวหนัง\nเปลือกสมองจะประมวลผลปฏิริยาต่อตัวกระตุ้นเช่นนั้นและอาจให้ผลเป็นความเจ็บปวด (ซึ่งเหมือนกับสิ่งเร้าเชิงเคมีหรือเชิงอุณหภูมิ)\nโนซิเซ็บเตอร์เดียวกันบ่อยครั้งสามารถตอบสนองต่อตัวกระตุ้นหลายประเภท ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่ช่องไอออนซึ่งต่อสนองต่ออุณหภูมิ จะตอบสนองต่อแรงกลด้วย โดยโนซิเซ็บเตอร์เชิงเคมีก็มีนัยเหมือนกัน เพราะช่อง TRPV4 ดูเหมือนจะตรวจจับความเปลี่ยนแปลงทั้งเชิงกลทั้งเชิงอุณหภูมิ", "title": "ตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด" }, { "docid": "885647#6", "text": "เม็ดรัฟฟินีอยู่ลึกในผิวหนัง ตรวจจับการแปรรูปภายในข้อต่อ โดยเฉพาะก็คือการเปลี่ยนมุมของข้อต่อซึ่งละเอียดถึง 2.75 องศา สามารถตรวจจับแรงกดที่ต่อเนื่อง\nและยังเป็นตัวรับอุณหภูมิที่ตอบสนองเป็นระยะเวลานาน แต่ในกรณีที่ถูกลวกลึก คนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะตัวรับแรงกลนี้จะไหม้หมดไป\nแม้โดยประวัติจะมองว่าเป็นตัวรับอุณหภูมิ เม็ดรัฟฟินีก็ไม่ใช่ตัวรับอุณหภูมิแต่เป็นตัวรับแรงกล", "title": "ปลายรัฟฟินี" }, { "docid": "885609#8", "text": "ปลายประสาทรับแรงกลในระบบรับความรู้สึกทางกาย จะมีลักษณะทางกายวิภาคโดยเฉพาะ ๆ ที่เหมาะกับสิ่งเร้า และโดยทั่วไปอาจเป็นแบบหุ้มปลอก/แคปซูล (เช่น Pacinian corpuscle) อันเป็นเนื้อเยื่อนอกเซลล์ประสาท หรืออาจเป็นปลายประสาทอิสระ\nเมื่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปลายประสาทแปรรูปเพราะสิ่งเร้าที่เหมาะสม (เช่น แรงสั่นความถี่สูง) โปรตีนที่ผิวของเซลล์ประสาทก็จะแปรรูปด้วย ทำให้ไอออน Na และ Ca ไหลเข้าผ่านช่องไอออนของเซลล์เป็นกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่าศักย์ตัวรับความรู้สึก (receptor potential) ซึ่งถ้าถึงขีดเริ่มเปลี่ยนก็จะทำให้เซลล์สร้างศักยะงานส่งไปยังระบบประสาทกลาง โดยเริ่มต้นส่งไปที่ไขสันหลังหรือก้านสมอง\nตัวรับความรู้สึกแต่ละประเภท ๆ จากตำแหน่งโดยเฉพาะ ๆ จะมีใยประสาทเป็นของตนเองจนถึงไขสันหลังตลอดไปจนถึงสมอง\nความเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ทำให้ระบบประสาทกลางจำแนกได้ว่า เป็นความรู้สึกประเภทไรและมาจากส่วนไหนของร่างกาย", "title": "เม็ดพาชีเนียน" }, { "docid": "879409#19", "text": "นักวิชาการคู่ที่เริ่มตรวจสอบการตอบสนองของตัวรับแรงกลในมนุษย์ (Vallbo และ Johansson) ได้ใส่อิเล็กโทรดผ่านผิวหนังใส่เส้นประสาท median/ulnar nerve ของมือมนุษย์เพื่อวัดการตอบสนองของใยประสาทเดี่ยว ๆ แล้วพบว่า ใยแบบต่าง ๆ แตกต่างกันทั้งโดยการตอบสนองทางสรีรภาพและโดยลักษณะของลานสัญญาณ[43]", "title": "ตัวรับแรงกล" }, { "docid": "885622#14", "text": "ปลายประสาทรับแรงกลในระบบรับความรู้สึกทางกาย จะมีลักษณะทางกายวิภาคโดยเฉพาะ ๆ ที่เหมาะกับสิ่งเร้า และโดยทั่วไปอาจเป็นแบบที่หุ้มปลอก/แคปซูล (เช่น Meissner's corpuscle) อันเป็นเนื้อเยื่อนอกเซลล์ประสาท หรืออาจเป็นปลายประสาทอิสระ\nเมื่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปลายประสาทแปรรูปเพราะสิ่งเร้าที่เหมาะสม โปรตีนที่ผิวของเซลล์ประสาทก็จะแปรรูปด้วย ทำให้ไอออน Na และ Ca ไหลเข้าผ่านช่องไอออนของเซลล์เป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งถ้าถึงขีดเริ่มเปลี่ยนก็จะทำให้เซลล์ลดขั้ว และในที่สุดก็จะส่งศักยะงานไปยังระบบประสาทกลาง โดยเริ่มต้นส่งไปที่ไขสันหลังหรือก้านสมอง\nตัวรับความรู้สึกแต่ละประเภท ๆ จากตำแหน่งโดยเฉพาะ ๆ จะมีใยประสาทเป็นของตนเองจนถึงไขสันหลังตลอดไปจนถึงสมอง ความเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ทำให้ระบบประสาทกลางจำแนกได้ว่า เป็นความรู้สึกประเภทไรและมาจากส่วนไหนของร่างกาย", "title": "เม็ดรู้สัมผัส" }, { "docid": "908413#15", "text": "งานศึกษาโดย magnetoencephalography (MEG) แสดงว่า ผู้ร่วมการทดลองที่ได้สิ่งเร้าทางตาซ้ำ ๆ เป็นช่วง ๆ จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าหลัง ๆ ต่างจากต่อสิ่งเร้าแรก ๆ คือการตอบสนองทางตาต่อสิ่งเร้าซ้ำ ๆ เทียบกับสิ่งเร้าใหม่จะลดลงอย่างสำคัญทั้งโดย activation strength (คือกลุ่มเซลล์ประสาทโดยรวมจะตอบสนองที่ระดับสูงสุดน้อยลง) และโดย peak latency (คือการตอบสนองโดยรวมในระดับสูงสุดจะเกิดเร็วกว่า) แต่ก็ใช้เวลาประมวลผลทางประสาทเท่าเดิม (คือกลุ่มเซลล์ประสาทจะตอบสนองโดยรวมเป็นระยะเวลาเท่ากัน)[10]", "title": "การปรับตัวของประสาท" }, { "docid": "579228#4", "text": "ในปี ค.ศ. 1906 ชาลส์ สก็อตต์ เชอร์ริงตัน พิมพ์ผลงานชิ้นสำคัญที่เสนอศัพท์ของกระบวนการรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ รวมทั้งคำว่า \"proprioception\" \"interoception\" และ \"exteroception\" \nexteroceptor เป็น\"อวัยวะ\"มีหน้าที่สร้างข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะภายนอกร่างกายรวมทั้ง ตา หู ปาก และผิวหนัง \nส่วน interoceptor สร้างข้อมูลเกี่ยวกับอวัยวะภายใน ในขณะที่คำว่า proprioception (คือการรับรู้อากัปกิริยา) หมายถึงความสำนึกรู้การเคลื่อนไหวที่ได้มาจากข้อมูลทางกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อ \nเพราะการแบ่งประเภทโดยวิธีนี้ นักสรีรวิทยาและนักกายวิภาคศาสตร์จึงได้สืบต่อการค้นหาปลายประสาทที่มีกิจหน้าที่โดยเฉพาะในการส่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อต่อและความตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ (เช่นปลายประสาทที่เรียกว่า muscle spindle และ Pacinian corpuscles\nเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า muscle spindle มีบทบาทที่สำคัญในการรับรู้อากัปกิริยา เพราะ ปลายประสาทที่สำคัญที่สุดของ muscle spindle ตอบสนองต่อระดับความเปลี่ยนแปลงของความยาวและความเร็วในการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ดังนั้น จึงมีบทบาทในการรับรู้ทั้งตำแหน่งทั้งการเคลื่อนไหวของอวัยวะ \nส่วนปลายประสาทที่สำคัญรองลงมา ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงความยาวของกล้ามเนื้อ และดังนั้น จึงส่งข้อมูลเกี่ยวกับการรับรู้ตำแหน่งของอวัยวะเพียงเท่านั้น \nโดยย่อ ๆ แล้ว muscle spindle ก็คือ ปลายประสาทรับรู้การขยายออกของกล้ามเนื้อ \nนอกจากนั้นแล้ว ก็เป็นที่ยอมรับว่า ปลายประสาทรับความรู้สึกที่ผิวหนังคือ cutaneous receptor ก็มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการรับรู้อากัปกิริยา โดยให้ข้อมูลการรับรู้ที่แม่นยำเกี่ยวกับตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของข้อต่อ รวมเข้าไปกับข้อมูลที่มาจาก muscle spindle", "title": "การรับรู้อากัปกิริยา" }, { "docid": "58892#58", "text": "pacinian corpuscle (ดูรูป) เป็นตัวอย่างโครงสร้างแบบนี้ มันมีชั้นรูปกลม ๆ คล้ายกับหอม ซึ่งเกิดขึ้นรอบ ๆ ปลายแอกซอน (axon terminal) เมื่อมีแรงกดดันซึ่งทำให้ตัว corpuscle แปรรูปไป สิ่งเร้าที่เป็นแรงกลจะส่งผ่านไปยังแอกซอนซึ่งจะยิงสัญญาณไฟฟ้า แต่ถ้าแรงกดสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีการเร้าอีกต่อไป ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว นิวรอนเช่นนี้ตอบสนองด้วยการลดขั้วชั่วคราวในระยะแรกของการแปรรูป และอีกครั้งหนึ่งเมื่อแรงกดดันหายไปซึ่งเป็นเหตุให้เปลี่ยนรูปอีกครั้งหนึ่ง ยังมีการปรับตัวสำคัญแบบอื่น ๆ อีกที่เพิ่มสมรรถภาพของนิวรอนต่าง ๆ[25] [[ไฟล์:Purkinje cell by Cajal.png|thumb|right| รูปวาดเซลล์เพอร์คินจีในสมองน้อยโดย นักกายวิภาคชาวสเปน นพ. ซานเตียโก รามอน อี กาฮาล ซึ่งแสดงสมรรถภาพในการย้อมสีด้วยวิธี Golgi's staining เพื่อแสดงรายละเอียด", "title": "เซลล์ประสาท" }, { "docid": "5920#28", "text": "สีของผิวหนังและขนมนุษย์กำหนดโดยการมีอยู่ของสารสี เรียกว่า เมลานิน สีผิวหนังมนุษย์มีตั้งแต่น้ำตาลเข้มไปถึงชมพูซีด สีขนมนุษย์มีตั้งแต่ขาวถึงน้ำตาลถึงแดงถึงดำที่พบมากที่สุด[54] ความเข้มข้นของเมลานินในผมจางไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ผมกลายเป็นสีเทาหรือกระทั่งขาว นักวิจัยส่วนมากเชื่อว่า การเข้มของผิวหนังเป็นการปรับตัวซึ่งวิวัฒนาการมาเป็นการป้องกันต่อการแผ่รังสีอัลตราไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ดี เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการถกเถียงกันว่า สีผิวหนังเฉพาะเป็นการปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลโฟเลต ซึ่งถูกทำลายโดยการแผ่รังสีอัลตราไวโอเลต และวิตามินดี ซึ่งต้องการแสงอาทิตย์ในการสร้างขึ้น[55] การมีสารสีจับผิวหนังของมนุษย์ร่วมสมัยนั้นจัดช่วงชั้นตามภูมิศาสตร์ และโดยทั่วไปแล้วมีความสัมพันธ์กับระดับของการแผ่รังสีอัลตราไวโอเลต ผิวหนังมนุษย์ยังสามารถมีสีเข้มขึ้นได้ (เช่น การอาบแดด) เพื่อสนองต่อการสัมผัสการแผ่รังสีอัลตราไวโอเล็ต[56][57] มนุษย์มีแนวโน้มอ่อนแอทางกายภาพกว่าไพรเมตอื่นที่มีขนาดเท่า ๆ กัน โดยมนุษย์เพศชายหนุ่มภายใต้เงื่อนไขยังแสดงว่าไม่อาจเทียบได้กับความแข็งแกร่งของอุรังอุตังเพศเมีย ซึ่งแข็งแรงกว่าอย่างน้อยสามเท่า[58]", "title": "มนุษย์" }, { "docid": "879397#9", "text": "ปลายประสาทที่มักตอบสนองต่อความเย็นอยู่ที่ผิวหนังอย่างหนาแน่นระดับกลาง ๆ แต่มีอย่างหนาแน่นที่กระจกตา ลิ้น กระเพาะปัสสาวะ และผิวหนังใบหน้า\nคาดว่า ตัวรับความเย็นที่ลิ้นจะส่งข้อมูลที่ควบคุมการรับรสชาติ คือ อาหารบางอย่างจะอร่อยเมื่อเย็น บางอย่างก็ไม่อร่อย", "title": "ปลายประสาทรับร้อน" } ]
4048
นิวยอร์กซิตี มีขนาดพื้นทีเท่าไหร่?
[ { "docid": "8009#12", "text": "นิวยอร์กมีพื้นที่กว่า 113 กม² (28,000 เอเคอร์) ที่มีบริเวณเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มีต้นไม้ขึ้นเป็นกลุ่มๆ และชายหาดความยาวถึง 22 กิโลเมตร (14 ไมล์) พื้นที่หลายหมื่นเอเคอร์ดังกล่าวเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวนิวยอร์ก และยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบอุทยานแห่งชาติด้วย สำหรับสวนสาธารณะนั้น นิวยอร์กมีสวนสาธารณะกว่า 1,700 แห่ง ทั้งเล็กใหญ่กระจายไปในตัวเมือง ซึ่งที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็ คือ เซ็นทรัลพาร์ก ในแมนแฮตตัน สวนแห่งนี้ถูกออกแบบโดย Frederick Law Olmsted และ Calvert Vaux มีผู้เข้าเยี่ยมชมกว่า 30 ล้านคนต่อปี ถือเป็นสวนสาธารณะที่มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา (อันดับที่ 2 คือ ลินคอล์นพาร์ก ในชิคาโก) นอกจากนั้น Olmsted และ Vaux ยังเป็นผู้ออกแบบ โพรสเปคพาร์ก ในบรูคลินอีกด้วย ขณะที่ฟลัชชิ่ง เมลโด โคโรน่าพาร์ก ที่ควีนส์ ก็เคยถูกใช้ในการจัดงานเวิลด์แฟร์ ใน ค.ศ. 1939 และ ค.ศ. 1964 มาแล้ว", "title": "นครนิวยอร์ก" } ]
[ { "docid": "229600#0", "text": "การาจเฮาส์ () หรือ ดนตรีการาจ (garage music) เป็นแนวดนตรีแดนซ์ที่ได้รับการพัฒนาคู่กับดนตรีเฮาส์ ซึ่งเพื่มดนตรีอาร์แอนด์บีเข้ามาที่ถูกพัฒนาขึ้นในพาราไดซ์การาจ (Paradise Garage) ไนต์คลับในนิวยอร์กซิตีและคลับแซนซิบาร์ในนิวเจอร์ซีย์ ในช่วงต้นถึงกลางยุค 1980 โดยมักจะเกี่ยวข้องกับดนตรีเฮาส์ยุคแรก ถึงแม้ว่าสองแนวดนตรีจะแตกต่างกันอย่างมาก แต่ชิคาโกเฮาส์ได้ถูกการพัฒนาหน้านี้และตามที่ AllMusic ได้อธิบายว่า ค่อนข้างทีความใกล้ชิดกับดิสโก้มากกว่าแนวเพลงแดนช์อื่นๆ ในขณะที่ชิคาโกเฮาส์ได้รับความนิยมทั่วโลก ดนตรีการาจดิสโก้ได้ถูกจำแนกกับดนตรีเฮาส์", "title": "การาจเฮาส์" }, { "docid": "299697#0", "text": "ซิตี้กรุปเซ็นเตอร์ () เป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตึกนี้ตั้งอยู่บนถนนสตรีท 53 ระหว่างเล็กซิงตันอเวนู และอเวนู 3 กลางเขตแมนฮัตตัน มีความสูงทั้งหมด 279 เมตร (915 ฟุต) มีจำนวนชั้น 59 ชั้น ตึกแห่งนี้ยังมีลักษณะภูมิทัศน์ที่โดดเด่นและสวยงามสำหรับเมืองนิวยอร์ก ซึ่งมียอดตึกที่มีความชันถึง 45 องศา และยังมีฐานตึกที่มีลักษณะเป็นเสาขนาดใหญ่ค้ำไว้ พื้นที่ภายในตัวตึกส่วนที่เป็นสำนักงานมีทั้งหมด 120,000 ตารางเมตร (1,300,000 ตารางฟุต) สาเหตุที่ก่อสร้างให้ดาดฟ้าตึกเอียงถึง 45 องศานั้น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์\nซิตี้กรุปเซ็นเตอร์ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันชื่อ ฮิวจ์ สทับบินส์ เริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) และเปิดทำการเมื่อ ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) ปัจจุบันเจ้าของตึกแห่งนี้คือบริษัทบอสตันพรอเพอร์ทีส์ และตึกนี้ยังเป็นตึกที่สูงที่สุดในบรรดาตึกที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับซิตี้กรุปอีกด้วย", "title": "ซิตี้กรุปเซ็นเตอร์" }, { "docid": "8009#16", "text": "นิวยอร์กยังติดอันดับเมืองที่มีการขนส่งทางอากาศมากที่สุด ผู้มาเยือนส่วนใหญ่จะใช้นิวยอร์กเป็นประตูเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ในพื้นที่ของเมืองมีท่าอากาศยานที่สำคัญอยู่ถึง 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ท่าอากาศยานนานาชาตินูอาร์ก ลิเบอร์ตี (EWR) และท่าอากาศยานลากวาเดีย (LGA) นอกนั้นยังมีแผนที่จะสร้างท่าอากาศยานแห่งที่ 4 คือ ท่าอากาศยานนานาชาติสจ๊วต (SWF) ใกล้กับเมืองนิวเบิร์ก รัฐนิวยอร์ก ภายใต้ความรับผิดชอบของการท่าแห่งนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ (Port Authority of New York and New Jersey) เพื่อที่จะรองรับกับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ใน ค.ศ. 2005 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 100 ล้านคน ที่ใช้ท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่งในการเดินทาง การจราจรทางอากาศในนิวยอร์กถือว่ามีความหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา", "title": "นครนิวยอร์ก" }, { "docid": "684883#0", "text": "สโมสรฟุตบอลนิวยอร์กซิตี () เป็นสโมสรฟุตบอลจากเมืองนิวยอร์กซิตีในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเล่นอยู่ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ภูมิภาคตะวันออก ซึ่งสโมสรฟุตบอลนิวยอร์กซิตีเพิ่งได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของเมเจอร์ลีกซอกเกอร์เมื่อปี 2013", "title": "สโมสรฟุตบอลนิวยอร์กซิตี" }, { "docid": "28558#19", "text": "มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 3,400 คน แบ่งเป็น เสียชีวิตบนเครื่องบิน 246 คน ในอาคารและพื้นดินของนครนิวยอร์ก 2,602 คน และในอาคารเพนตากอน 125 คน รวมถึงนักผจญเพลิงนครนิวยอร์ก 343 คน ตำรวจนครนิวยอร์ก 23 คน ตำรวจการท่าเรือของนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี 37 คน และผู้สูญหายอีก 24 คน", "title": "วินาศกรรม 11 กันยายน" }, { "docid": "653312#0", "text": "ตึกนิวยอร์กไทมส์ () คือตึกระฟ้าแห่งหนึ่งในด้านตะวันตกของมิดทาวน์ แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ ค.ศ. 2007 ผู้เช่าหลักของตึกแห่งนี้คือ บริษัทนิวยอร์กไทมส์ ผู้ตีพิมพ์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ และอินเตอร์เนชั่นแนลนิวยอร์กไทมส์ และหนังสือพิมพ์อื่นๆ การก่อสร้างคือโครงการร่วมกันของบริษัทนิวยอร์กไทมส์ ฟอเรสซิตี้เอ็นเตอร์ไพรส์ (Forest City Enterprises) และไอเอ็นจี (ING Real Estate) ", "title": "ตึกนิวยอร์กไทมส์" }, { "docid": "81078#2", "text": "ท่าอากาศยานแห่งนี้บริหารงานโดยการท่าเรือนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี (Port Authority of New York and New Jersey) ซึ่งเป็นผู้ดูแลท่าอากาศยานแห่ง 3 แห่ง ในเขตเมืองนิวยอร์กซิตีและปริมณฑล ได้แก่ นูอาร์ก ลิเบอร์ตี, ลากวาเดีย และเทเตอร์โบโร โดยทั้งหมดนี้เจเอฟเคเป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นฐานการให้บริการของเจ็ตบลู แอร์เวย์ รวมทั้งเป็นท่าอากาศยานหลักของเดลต้า แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี" }, { "docid": "42941#0", "text": "สถาบันเอเชียโซไซตี (Asia Society) เป็นสถาบันความร่วมมือระหว่างชาติที่มีจุดหมายในการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปเอเชียรวมถึงหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2499 โดย จอห์น ร็อกกะเฟลเลอร์ ที่ 3 โดยมีสำนักงานใหญ่ที่ นิวยอร์กซิตี ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานสาขาทั่วโลกที่ ฮิวสตัน ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก วอชิงตัน ดี.ซี. ฮ่องกง มะนิลา เมลเบิร์น เซี่ยงไฮ้ และล่าสุดที่ก่อตั้งในปี 2549 ที่มุมไบ", "title": "สถาบันเอเชียโซไซตี" }, { "docid": "42833#18", "text": "เอเธนส์ อาเรกีปา ปักกิ่ง เบรุต เบอร์ลิน โบโกตา บัวโนสไอเรส ไคโร ชิคาโก ซัวดัดคัวเรซ, รัฐชีวาวา กุสโก โดโลเรสอีดัลโก, รัฐกวานาวาโต กัวเตมาลาซิตี ฮิวสตัน อิสตันบูล คาลินินกราด ลาปาซ ลิมา ลิสบอน ลอนดอน ลอสแอนเจลิส มาดริด Malmö มะนิลา มิวนิก นะโงะยะ นิวยอร์กซิตี นิโคเซีย ปานามาซิตี", "title": "เม็กซิโกซิตี" }, { "docid": "8009#27", "text": "เบสบอล - เมเจอร์ลีกเบสบอล: นิวยอร์กเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองของสหรัฐอเมริกาที่กีฬาเบสบอลดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากกว่าอเมริกันฟุตบอล ทีมเบสบอลของนิวยอร์กมีอยู่ 2 ทีม ที่เล่นอยู่ในเมเจอร์ลีกเบสบอล (Major League Baseball หรือ MLB) คือ นิวยอร์ก แยงกีส์ และนิวยอร์ก เม็ตส์ (นิวยอร์กเป็นหนึ่งใน 5 เมืองใหญ่นอกเหนือจาก ชิคาโก วอชิงตัน บอลทิมอร์ ลอสแอนเจลิส และซานฟรานซิสโกเบย์ที่มีทีมเบสบอลอาชีพถึง 2 ทีมที่เล่นอยู่ในลีกสูงสุด) โดยที่แยงกีส์และเม็ตส์จะได้พบกัน 6 ครั้งในแต่ละฤดูกาล นิวยอร์ก แยงกีส์ เคยได้แชมป์เวิลด์ซีรีส์ มาแล้วถึง 26 ครั้ง และเป็นทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุดอีกด้วย ขณะที่นิวยอร์ก เม็ตส์ เคยได้แชมป์ในรายการนี้ 2 ครั้ง นิวยอร์กยังเคยเป็นถิ่นของทีมนิวยอร์ก ไจแอนส์ (ปัจจุบันคือ ซานฟรานซิสโก ไจแอนส์) และบรูคลิน ดอร์จเจอร์ (ปัจจุบันคือ ลอสแอนเจลิส ดอร์จเจอร์) ก่อนที่ทั้ง 2 ทีมจะย้ายไปยังแคลิฟอร์เนีย ใน ค.ศ. 1958 นอกจากนั้นแล้วเมืองนี้ยังมีทีมเบสบอลอีก 2 ทีมที่เล่นอยู่ในไมเนอร์ลีกเบสบอล (Minor League Baseball) ด้วย คือ สแตตัน ไอส์แลนด์ แยงกีส์ และบรูคลิน ไซโคลน อเมริกันฟุตบอล - เอ็นเอฟแอล: อเมริกันฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตัวแทนเข้าไปแข่งขันในลีกอเมริกันฟุตบอล (National Football League หรือ NFL) ของนิวยอร์กมีอยู่ด้วยกัน 2 ทีม คือ นิวยอร์ก เจ็ตส์ และนิวยอร์ก ไจแอนส์ (ชื่อเป็นทางการคือ นิวยอร์ก ฟุตบอล ไจแอนส์ ) โดยใช้สนามไจแอนส์ สเตเดียม ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นสนามเหย้าของทั้ง 2 ทีม ฮอกกี้ - เอ็นเฮชแอล: อีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันอย่างฮอกกี้ ทีมนิวยอร์ก เรนเจอร์ เป็นตัวแทนของเมืองที่เข้าร่วมแข่งขันในลีกฮอกกี้อาชีพ (National Hockey League หรือ NHL) กับอีก 2 ทีมคือ นิวเจอร์ซีย์ เดวิล และนิวยอร์ก ไอแลนเดอร์ ที่เล่นอยู่ในลองไอแลนด์ ฟุตบอล - เมเจอร์ลีกซอกเกอร์: ทางด้านกีฬาฟุตบอล มีทีมเรด บูลล์ นิวยอร์ก เข้าร่วมในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (Major League Soccer หรือ MLS) และใช้สนามไจแอนส์ สเตเดียม ในนิวเจอร์ซีย์เป็นสนามเหย้า บาสเกตบอล - เอ็นบีเอ: บาสเกตบอลมี ทีมนิวยอร์ นิกส์ ที่เล่นอยู่ในลีกบาสเกตบอลอาชีพ (National Basketball Association หรือ NBA) และทีมบาสเกตบอลหญิง นิวยอร์ก ลิเบอร์ตี ที่เล่นอยู่ในลีกบาสเกตบอลหญิงอาชีพ (WNBA) นิวยอร์กกับบาสเกตบอลมีจุดที่น่าสนใจอยู่ที่สนาม แต่สนามบาสเกตบอลที่สำคัญที่สุดในเมืองนี้ไม่ใช่สนามที่ทันสมัย หรือสนามที่ใหญ่โต แต่เป็นลานบาสเกตบอลที่มีชื่อว่า รัคเคอร์ พาร์ก (Rucker Park) ในเขตชุมชนฮาเล็ม โบโรห์แมนแฮตตัน นักกีฬาที่ได้ก้าวไปสู่การเล่นในระดับอาชีพหลายคน เคยใช้ลานแห่งนี้ในการฝึกฝนทักษะมาแล้ว ซึ่งก็รวมทั้งนักกีฬาบาสเกตบอลที่ได้ก้าวไปสู่การเล่นในเอ็นบีเอด้วย และรัคเคอร์ พาร์ก ยังเป็นสนามให้ผู้เล่นได้เลือกใช้เป็นลานประลองกันในเกม NBA Ballers, NBA Street, NBA Street Vol.2, NBA Street V3, NBA 2K7 และ NBA 2K8", "title": "นครนิวยอร์ก" }, { "docid": "33274#0", "text": "มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University in the City of New York) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวีลีก ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลกแห่งหนึ่ง เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของนครนิวยอร์กและเก่าแก่ที่สุดอันดับที่ห้าของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่นิวยอร์กซิตี ในรัฐนิวยอร์กในส่วนของชุมชนมอร์นิงไซด์บริเวณส่วนเหนือของเกาะแมนแฮตตัน ก่อตั้งก่อนการประกาศอิสรภาพของประเทศในปี พ.ศ. 2297 (ค.ศ. 1754) ในชื่อของ วิทยาลัยคิงส์ (King's College) โดยได้รับเงินสนับสนุนจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งอังกฤษ ภายหลังสหรัฐอเมริกาปฏิวัติ โคลัมเบียได้รับการสนับสนุนในฐานะเอกลักษณ์ทางปรัชญาของรัฐตั้งแต่ปี 2327 - 2330", "title": "มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย" }, { "docid": "679198#0", "text": "นางงามจักรวาล 1981 () เป็นการจัดการประกวดนางงามจักรวาลครั้งที่ 30 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 ณ Minskoff Theatre, นิวยอร์กซิตี, รัฐนิวยอร์ก, ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปีนี้มีผู้เข้าประกวด 76 คน จากทั่วโลก โดยมี ชอว์น เวทเธอร์ลี่ นางงามจักรวาลปี 1980 เป็นผู้มอบมงกุฏให้กับ อีเรเน ซาเอซ สาวงามวัย 19 ปีจากประเทศเวเนซุเอลา เป็นผู้ครองตำแหน่งนางงามจักรวาลประจำปีนี้รายชื่อคณะกรรมการในวันตัดสิน ประกอบไปด้วย:", "title": "นางงามจักรวาล 1981" }, { "docid": "28567#0", "text": "รัฐนิวเจอร์ซีย์ (, ) เป็นรัฐในสหรัฐอเมริกาที่มีความหนาแน่นประชากรมากที่สุด ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ โดยอยู่ติดกับรัฐนิวยอร์ก ชื่อนิวเจอร์ซีย์มาจากชื่อของเกาะเจอร์ซีย์ บริเวณช่องแคบอังกฤษในยุโรป ชื่อเล่นของรัฐมีชื่อว่า \"การ์เดนสเตต\" (Garden State) ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่ตั้งรกรากในนิวเจอร์ซีย์คือ ชาวสวีเดน และชาวเยอรมัน เมืองสำคัญในรัฐนิวเจอร์ซีย์ได้แก่ นูอาร์ก (น้วก) เจอร์ซีซิตี และ แอตแลนติกซิตี ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียงได้แก่ นิวยอร์ก ไจแอนต์, นิวยอร์ก เจ็ต, นิวเจอร์ซีย์ เน็ต, นิวเจอร์ซีย์ เดวิลส์ และ เมโทรสตารส์ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้แก่ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน", "title": "รัฐนิวเจอร์ซีย์" }, { "docid": "930997#5", "text": "วันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2015 เขาเซ็นสัญญากับนิวยอร์กซิตีในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ แต่ในช่วงต้นฤดูกาล เขาแทบไม่ได้ลงเล่นเพราะมีผลงานที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะใน 9 นัดแรกที่เขาเล่นได้อย่างน่าผิดหวัง ตลอด 594 นาที เขาไม่สามารถทำประตูหรือจ่ายบอลได้เลย และในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2015 เญเม็ตส์กับสโมสรนิวยอร์กก็ตกลงแยกทางกัน และเขาก็ย้ายไปสโมสร Willem II ในเอเรอดีวีซีของประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่ตลาดซื้อ-ขายจะปิดเพียง 15 นาที", "title": "อาดัม เญเม็ตส์" }, { "docid": "129820#2", "text": "นิวยอร์กไทมส์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1851 โดยนักหนังสือพิมพ์และนักการเมืองชื่อ เฮนรี จาร์วิส เรย์มอนด์ และอดีตนายธนาคารชื่อ จอร์จ โจนส์ โดยตอนนั้นมีชื่อว่า \"นิว-ยอร์ก เดลี่ ไทมส์\" ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น \"เดอะนิวยอร์กไทมส์\"ใน ค.ศ. 1857 ในตอนแรก ๆ หนังสือพิมพ์นี้ตีพิมพ์ทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ จนกระทั่งช่วงเกิดสงครามกลางเมืองอเมริกา จึงเริ่มตีพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์ตั้งแต่นั้นมา", "title": "เดอะนิวยอร์กไทมส์" }, { "docid": "429446#0", "text": "เกาะสแตเทน () เป็นโบโรฮ์ในนิวยอร์กซิตี รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ในอ่าวนิวยอร์ก แยกออกจากเกาะลองไอแลนด์โดยช่องแคบแนร์โรส์ และทางด้านตะวันตกแยกออกจากรัฐนิวเจอร์ซีย์โดยช่องแคบอาร์เทอร์คิลล์ ซึ่งเชื่อมต่ออ่าวนวร์กทางด้านเหนือกับอ่าวแรริตันทางทิศใต้ มีประชากร 468,730 คน เกาะสแตเทนมีประชากรน้อยที่สุดใน 5 โบโรฮ์ แต่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 คือมีพื้นที่ 59 ตร.ไมล์ (153 ตร.กม.) ชาวฮอลันดาตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรบนเกาะนี้เมื่อ ค.ศ. 1661 ต่อมาตกเป็นของอังกฤษในปี ค.ศ. 1664", "title": "เกาะสแตเทน" }, { "docid": "307269#0", "text": "มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก () (โดยทั่วไปเรียกว่า NYU หรือ เอ็นวายยู) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่เมือง นิวยอร์ก ในรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2374 (ค.ศ. 1831) มหาวิทยาลัยนิวยอร์กเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีจำนวนนักศึกษากว่า 50,000 คน มหาวิทยาลัยนิวยอร์กประกอบไปด้วย 16 คณะและวิทยาลัย โดยมีวิทยาเขตอยู่ทั้งในใจกลางเกาะแมนฮัตตันและบรู๊กลิน นอกจากนี้ยังมีสำนักงานและสถาบันวิจัยอยู่ทั่วโลก อาทิเช่น ลอนดอน ปารีส มาดริด เบอร์ลิน เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ และวิทยาเขตต่างประเทศที่กรุงอาบูดาบี มหาวิทยาลัยนิวยอร์กมีคณาจารย์และศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลโนเบล 31 คน รางวัลอาเบล 3 คน รางวัลพูลิตเซอร์ 16 คน รวมถึงรางวัลออสการ์ รางวัลเอมมี่ รางวัลแกรมมีและรางวัลโทนีรวม 19 คน มหาวิทยาลัยนิวยอร์กมีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษในด้าน กฎหมาย ธุรกิจ พาณิชยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ การแสดงและการภาพยนตร์ \nมหาวิทยาลัยนิวยอร์กมีคณะและวิทยาลัยทั้งสิ้น 16 คณะ ประกอบไปด้วย", "title": "มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก" }, { "docid": "554297#1", "text": "ฮิวเบอร์ครั้งแรกที่ได้เข้ามวยปล้ำอาชีพเป็นนักมวยปล้ำสนามหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพภายใต้ชื่อวง Huberboy # 2 กับชอบของโคลิน Delaney และพี่ชายในชีวิตจริงของเขาที่ทำงานเป็น Huberboy #1 ฮิวในที่สุดก็ผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการโดยเคอร์บี้มาร์กอส และริกเมทริกซ์ในโรเชสเตอร์, นิวยอร์ก, และTony Mamaluke ในเนคเลดี้นิวยอร์กและได้เปิดตัวมวยปล้ำร็อคซิตีในช่วงปลายปี 2002 ภายใต้หน้ากากทำงานเป็น Huberboy # 2 เขาเผยในที่สุดขณะที่ยังคงใช้ชื่อ Huberboy #2 ในช่วงปี 2003 ฮิวเริ่มทำงานเป็นโบรดี้ลีโรเชสเตอร์โปรมวยปล้ำ (RPW) เขามากับชื่อโบรดี้ลีจากภาพยนตร์แรตส์โดยการรวมรายชื่อนักแสดงเจสันลีและตัวละครของเขา Brodie บรูซ ฮิวอ้างอิงริกหยาบคายเจคโรเบิร์ตและบิ๊กโชว์ขณะที่อิทธิพลของเขา ตลอดเวลาที่เขาอยู่ ใน RPW ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อ NWA ตอนเหนือของมลรัฐและจากนั้นอีกครั้งเพื่อ NWA นิวยอร์กลีชนะไปชิงแชมป์หลายอย่างรวมทั้งการแข่งขันชิงแชมป์เฮฟวี่เวทสามครั้งแยกแท็กทีมแชมป์ครั้งเดียวและทีวีแชมป์ครั้งที่เขายังดำเนินการต่อไป รวมกับแชมป์เฟรบ Dojo ฮิวได้อธิบายเดิมของเขา \"สิ่งที่เหมาะสม\" เคล็ดลับเป็นเขาว่า \"เพียงแค่มีความสนุกสนาน\" และ \"เป็นครุยเซอร์เวท\"", "title": "ฮาร์เปอร์" }, { "docid": "48982#1", "text": "นอกจากงานเหล่านี้แล้วแอนดียังเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสารและเขียนหนังสืออีกหลายเล่ม อาทิ เช่น The Philosophy of Andy Warhol และ Popism: The Warhol Sixties แม้ในช่วงระยะหลังของชีวิตแอนดีจะไม่ค่อยทำงานศิลปะออกมามากเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงมีงานในด้านอื่นๆ ออกมาให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น งานโฆษณา หรือ งานแสดงที่เขาได้รับเชิญจากภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง เรือรักเรือสำราญ (Love Boat) และนั้นยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จของเขา หลังจากการแสดงงานครั้งสุดท้ายในยุโรป เมื่อกลับมานิวยอร์กได้ระยะหนึ่ง แอนดีก็เสียชีวิตลงในปี 1987", "title": "แอนดี วอร์ฮอล" }, { "docid": "339153#0", "text": "ควีนส์ () เป็นโบโรฮ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของนิวยอร์กซิตี เป็นโบโรฮ์ที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 5 โบโรฮ์ของนิวยอร์กซิตี ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีประชากรประมาณ 2,306,712 คน", "title": "ควีนส์" }, { "docid": "248220#0", "text": "บรุกลิน ( ตั้งชื่อตามเมืองในเนเธอร์แลนด์ว่า Breukelen) เป็นหนึ่งใน 5 เบอโรในนครนิวยอร์ก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของควีนส์ ทางปลายสุดของลองไอแลนด์ เป็นเมืองอิสระจนกระทั่งรวมกับนิวยอร์กในปี 1898 บรุกลินถือเป็นเบอโรที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของนิวยอร์กซิตี ด้วยจำนวนผู้อยู่อาศัย 2.5 ล้านคน และหากแยกเป็นเมืองแล้ว ถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของสหรัฐอเมริกา", "title": "บรุกลิน" }, { "docid": "348442#0", "text": "เรสเซิลมาเนีย ครั้งที่ 1 จัดในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1985 ณ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน เมืองนิวยอร์กซิตี รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีจำนวนผู้เข้าชมในสนามทั้งสิ้น 19,121 คน เป็นการจัดขึ้นครั้งแรกของ เรสเซิลมาเนีย และ เป็นรายการจัดขึ้นครั้งแรกของรายการเพย์-เพอร์-วิว", "title": "เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 1" }, { "docid": "295760#2", "text": "เฟลิซิตี ฮัฟฟ์แมน เกิดที่เบดฟอร์ดใน นิวยอร์ก เป็นลูกสาวของ Grace Valle (นักแสดง) กับ Moore Peters Huffman (พนักงานธนาคาร) ทั้งคู่ได้หย่าร้างกันหลังจากคลอดเธอได้ประมาณปีกว่า ซึ่งเธอได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตมากับมารดาเป็นส่วนใหญ่ เธอมีพี่น้องรวมทั้งสิ้น 7 คนด้วยกัน โดยแบ่งเป็นหญิง 6 คน และชาย 1 คน ด้านการศึกษา เธอเข้าเรียนที่ The Putney School โรงเรียนขนาดกลางใน Putney, Vermont และจบการศึกษาจาก Interlochen Arts Academy ที่ รัฐมิชิแกน หลังจากนั้นเธอได้มุ่งหน้าเข้าสู่ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก แล้วสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีคณะศิลปะการแสดงในปี พ.ศ. 2527", "title": "เฟลิซิตี ฮัฟฟ์แมน" }, { "docid": "923404#3", "text": "การขายพิซซ่าเป็นชิ้นพบเห็นได้มากในสหรัฐอเมริกาและมีความต้องการของลูกค้าอยู่มากในสหรัฐ ร้านขายพิซซ่าในนครนิวยอร์กโดยมากขายพิซซ่าสไตลย์นิวยอร์กเป็นชึ้นและบางแห่งก็มีสิซิเลี่ยนพิซซ่าเป็นชิ้นขายด้วยมีร้านขายเป็นพิซซ่ามากกว่าพันร้านในนครนิวยอร์กและหลายร้านขายทั้งถาดและเป็นชิ้นในนครนิวยอร์ก พิซซ่าเป็นชิ้นสไตล์นิวยอร์กเป็นพิซซ่าที่ลูกค้าสั่งมากที่สุด พิซซ่าเป็นอาหารข้างถนนที่พบเห็นได้ง่ายในนครนิวยอร์กหลายร้านแข่งขัน ประชันกันว่าร้านตัวเองขายพิซซ่าชิ้นที่ดีที่สุดในเมือง ", "title": "พิซซาเป็นชิ้น" }, { "docid": "43986#24", "text": "อัลบั้มซัมไทม์อินนิวยอร์กซิตี วางจำหน่ายในปี 1972 อัลบั้มอัดเสียงโดยเลนนอนและโอโนะร่วมมือกับวงดนตรีเบื้องหลังจากนิวยอร์กชื่อ แอลเลอเฟินส์เมมโมรี เนื่องจากอัลบั้มมีเพลงหลายเพลงเกี่ยวกับสิทธิสตรี ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ บทบาทของบริเตนในไอร์แลนด์เหนือ และปัญหาเกี่ยวกับการครอบครองบัตรสีเขียวของเลนนอน[104] อัลบั้มมีการตอบรับที่ไม่ดีนัก นักวิจารณ์คนหนึ่งกล่าวว่า ทนฟังไม่ได้[105] เพลง \"วูแมนอิสเดอะนิกเกอร์ออฟเดอะเวิลด์\" จำหน่ายเป็นซิงเกิลในสหรัฐอเมริกาจากอัลบั้มดังกล่าวในปีเดียวกัน ออกอากาศทางโทรทัศน์ในวันที่ 11 พฤษภาคม ทางรายการเดอะดิกแควิตต์โชว์ สถานีวิทยุหลายแห่งไม่ยอมออกอากาศเพลงดังกล่าวเพราะมีคำว่า \"nigger\"[106] เลนนอนและโอโนะจัดคอนเสิร์ตสองครั้งร่วมกับวงแอลเลอเฟินส์เมมโมรี และแขกรับเชิญในนิวยอร์กเพื่อหารายได้ช่วยผู้ป่วยในศูนย์สุขภาพจิตของโรงเรียนวิลโลว์บรุกสเตตสกูล[107] คอนเสิร์ตจัดขึ้นที่สวนเมดิสันสแควร์การ์เดนในวันที 30 สิงหาคม 1972 เป็นคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งสุดท้ายของเขา[108]", "title": "จอห์น เลนนอน" }, { "docid": "357157#0", "text": "อัปเปอร์อีสต์ไซด์ () เป็นชื่อย่านในแมนฮัตตัน หนึ่งในโบโรฮ์ในนิวยอร์กซิตี ตั้งอยู่ระหว่างเซ็นทรัลพาร์กและแม่น้ำอีสต์ รหัสไปรษณีย์ที่ใช้ในแถบอัปเปอร์อีสต์ไซด์คือ 10021, 10022, 10028, 10075, 10065, 10128, 10029.\nตั้งอยู่ระหว่างถนนสาย59 ถีงถนนสาย96 ทางฝั่งตะวันออกของเซนทรัลพาร์ค เป็นย่านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้สูง โดยเฉพาะตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของเลกซ์ซิงตันอเวนิวถึงฟิฟท์อเวนิว ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยต่อตารางวาแพงที่สุดในนิวยอร์ก ", "title": "อัปเปอร์อีสต์ไซด์" }, { "docid": "80694#18", "text": "เดลต้า แอร์ไลน์ (ดูที่คองคอส ที) เดลต้า คอนเนคชั่น ให้บริการโดย ชัทเทิลอเมริกา (กัลฟ์พอร์ท/บิล็อกซี, คลีฟแลนด์, โคลัมบัส, ชาร์ล๊อตต์, ชิคาโก-มิดเวย์, ชิคาโก-โอแฮร์ (เริ่ม 1 พฤษภาคม 2550), ซานแอนโตนีโอ, ซาราโวตา/บราเดนตัน, ดัลลาส/ฟอร์มเวิร์ธ, น็อกซ์วิลล์, นิวพอร์ทนิวส์, นิวยอร์ก-เจเอฟเค, แนชวิลล์, โมลีน/ควอดซิตี, ออสติน, อินเดียนาโปลิส/เซนต์ปอล, ฮุสตัน-อินเตอร์คอนติเนนตัล, ฮุสตัน-ฮ๊อบบี)", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา" }, { "docid": "81078#5", "text": "ท่าอากาศยานแห่งนี้บริหารงานโดยการท่าเรือนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี เช่าพื้นที่จากเมืองนิวยอร์กซิตี มาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2490 การก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใช้เงินจำนวนถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปัจจุบัน ได้มีการประเมินแล้วว่าทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจถึง 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการว่าจ้างงานถึง 207,000 ตำแหน่ง", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี" }, { "docid": "81078#4", "text": "และแม้ว่าเจเอฟเคจะเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นท่าอากาศยานหลักทั้งของนิวยอร์กซิตีและสหรัฐอเมริกา แต่เจเอฟเคก็ยังให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเส้นทางไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศ ในปีพ.ศ. 2548 ท่าอากาศยานแห่งนี้รองรับการใช้บริการผู้โดยสารจำนวน 41 ล้านคน ส่วนท่าอากาศยานนูอาร์ก ลิเบอร์ตี ให้บริการ 33 ล้านคน และท่าอากาศยานลากวาเดียให้บริการ 26 ล้านคน รวมแล้วมีผู้มาใช้บริการท่าอากาศยานในเขตเมืองนิวยอร์กกว่า 100 ล้านคน ทำให้น่านฟ้านครนิวยอร์กมีการจราจรทางอากาศหนาแนที่สุดในประเทศ ทะลุผ่านสถิติของน่านฟ้าเมืองชิคาโก", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี" }, { "docid": "434504#2", "text": "เธอได้มีโอกาสศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์และสำเร็จการศึกษาในปี 2448 โดยเธอได้เป็นบัณฑิตคนแรกที่ได้รับปริญญาในด้านวิศวกรโยธา ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วม สมาคมวิศวกรโยธาอเมริกัน (ASCE) และเป็นสมาชิกหญิงคนแรกของสมาคม เธอเริ่มทำงานในนิวยอร์กซิตีในงานด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในช่วงที่เธอได้ทำงานในนิวยอร์กนั้น เธอเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เรียกร้องสิทธิสตรีในสหรัฐอเมริกา", "title": "โนรา สแตนตัน แบลตช์ บาร์นีย์" } ]
1848
สปีชีส์ คืออะไร ?
[ { "docid": "4308#0", "text": "ในวิชาชีววิทยา ชนิด หรือทับศัพท์ว่า สปีชีส์ (, ย่อ: sp., รูปพหูพจน์ย่อ: spp.) เป็นหน่วยการจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานและอันดับอนุกรมวิธานหนึ่ง มักนิยามว่า สปีชีส์เป็นกลุ่มอินทรีย์ใหญ่สุดที่สามารถสืบพันธุ์แล้วออกลูกที่สืบพันธุ์ได้ การมีลักษณะปรับตัวเฉพาะบางท้องถิ่นอาจแบ่งสปีชีส์ต่ออีกได้เป็น \"ชื่อต่ำกว่าระดับชนิด\" (infraspecific taxa) เช่น ชนิดย่อย (ในทางพฤกษศาสตร์ มีใช้คำอื่น เช่น พันธุ์ (variety) พันธุ์ย่อยและแบบ (forma))", "title": "สปีชีส์" } ]
[ { "docid": "659646#3", "text": "การสํารวจทางชีวภาพ มักจะใช้ตัวชี้วัด เช่น องค์ประกอบของสปีชีส์และความอุดมสมบูรณ์ (ยกตัวอย่างเช่น จำนวนของสปีชีส์, มลภาวะที่ก่อให้เกิดการเสื่อมของสปีชีส์) และปัจจัยทางนิเวศวิทยา (จำนวนของบุคคล, สัดส่วนของสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร, การปรากฏตัวของโรคภัยไข้เจ็บ) การสํารวจทางชีวภาพอาจระบุปัญหามลพิษที่ค่อนข้างยากหรือมีราคาแพงในการตรวจสอบ โดยใช้วิธีการทดสอบทางเคมี", "title": "การสํารวจทางชีวภาพ" }, { "docid": "265921#0", "text": "รักคืออะไร เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวงดิ อินโนเซ็นท์ออกวางแผงครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527ซึ่งในอัลบั้มนี้ได้ต้อนรับ 2 สมาชิกใหม่ของวงคือไก่ เกียรติศักดิ์ ยันตะระประกรณ์ ในตำแหน่งมือกลองที่เข้ามาแทนโหนก เกรียงศักดิ์ที่ได้ลาออกไปและไชยรัตน์ ปฏิมาปกรณ์ จากวงฟอร์เอฟเวอร์ ในตำแหน่งมือคีย์บอร์ดและมือกีตาร์ซึ่งก่อนหน้านั้นไชยรัตน์ได้เข้ามาเป็นนักดนตรีรับเชิญระหว่างออกทัวร์คอนเสิร์ตและแสดงทางโทรทัศน์ในอัลบั้ม เพียงกระซิบ และอัลบั้ม อยู่หอ ก่อนจะเข้ามาเป็นสมาชิกหลักของวงในอัลบั้มชุดนี้", "title": "รักคืออะไร" }, { "docid": "578631#0", "text": "อุ่นไอรัก เป็นละครโทรทัศน์แนว ดราม่า แนวน้ำดี สะท้อนปัญหาสังคม บทประพันธ์โดย ช่างปั้นเรื่อง ออกอากาศ วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 - 8 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นำแสดงโดย ตะวัน จารุจินดา ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ ชมพูนุช ปิยธรรมชัย ทรงวุฒิ ศรีเชิดชูธรรม อีกทั้งละครเรื่องนี้ได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก ได้รับรางวัลทั้งยังเสนอชื่อเข้าชิงในรางวัลของบันเทิงไทยสาขาต่างๆ และยังถือเป็นการแจ้งเกิดนักแสดงให้โด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการหลายคน อาทิ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ตะวัน จารุจินดา ชมพูนุช ปิยธรรมชัย ฯลฯ", "title": "อุ่นไอรัก" }, { "docid": "76722#0", "text": "พัชราภา ไชยเชื้อ (เกิด 5 ธันวาคม พ.ศ. 2521) ชื่อเล่น อั้ม เป็นนักแสดง นางแบบ หญิง ชาวไทย เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยการประกวด Miss Hack ได้รับรางวัลชนะเลิศ มีผลงานชิ้นแรกคือ แสดงมิวสิกวิดีโอ \"ไม่ใช่คนในฝัน\" ของ \"ต้น อาภากร\" และละคร \"มณีเนื้อแท้\" คู่กับ คงกระพัน แสงสุริยะ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7", "title": "พัชราภา ไชยเชื้อ" }, { "docid": "207660#0", "text": "ดิ อะเมซิง เรซ (The Amazing Race) หรือชื่อย่อว่า TAR เป็นรายการเรียลลิตี้เกมส์โชว์ทางโทรทัศน์ ผลิตโดยสหรัฐอเมริกา โดยแบ่งเป็นทีมละสองคน (มียกเว้น 1 ครั้ง คือครั้งที่ 8) ออกเดินทางรอบโลกเพื่อแข่งขันกับทีมอื่นๆ โดยพยายามเดินทางให้ถึงจุดหมายในแต่ละรอบให้ได้เร็วที่สุดและระหว่างเดินทางจะต้องทำภารกิจแต่ละรอบที่มอบหมายให้สำเร็จ การแข่งขันเดินทางไปในหลายประเทศ ใช้พาหนะในการเดินทางหลากหลาย เช่น เครื่องบิน, แท็กซี่ , รถเช่า, รถไฟ, รถประจำทาง, เรือ ได้รางวัล แอมมี่อวอร์ด เรียลลิตี้เกมส์โชว์ประเภทพรามไทม์มาตลอดนั้นตั้งแต่เริ่มมีการประกวดรางวัลนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 แบบผูกขาด ซึ่งทำให้รายการนี้โด่งดังเป็นอย่างมาก จุดเด่นของรายการจะถ่ายทำยากมากและใช้งบประมาณสูงเนื่องจากค่าเดินทางและจ้างคนท้องถิ่นทำงานเพื่อถ่ายทำในแต่ละฤดูกาล โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวฉายทางซีบีเอสและเริ่มออกอากาศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 โดยมีชาวนิวซีแลนด์ ฟิล คีโอแกน ซึ่งเป็นทั้งพิธีกรและผู้ร่วมผลิตรายการด้วย", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ (ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์อเมริกัน)" }, { "docid": "667933#0", "text": "สกุลโนรา หรือ Hiptage เป็นสกุลของพืชมีดอกในวงศ์ Malpighiaceae ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นไม้เถาหรือไม้พุ่มมีเนื้อไม้ 30 สปีชีส์ พบในป่าเขตร้อนในเอเชียตั้งแต่ปากีสถานและอินเดีย ไปจนถึงไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สกุลนี้ผลเป็นแบบมีปีก และมีสามปีก สปีชีส์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ โนรา (\"Hiptage benghalensis\") ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นในอินเดียและศรีลังกา จนถึงฟิลิปปินส์ ดอกมีกลิ่นหอม", "title": "สกุลโนรา" }, { "docid": "530469#0", "text": "วงศ์ยางนา หรือ วงศ์ไม้ยาง หรือDipterocarpaceae เป็นวงศ์ของไม้ยืนต้นมีสมาชิก 17 สกุลและประมาณ 500 สปีชีส์ ส่วนใหญ่เป็นพืชเขตร้อน ในป่าฝนเขตร้อนระดับล่าง ชื่อของวงศ์นี้มาจากสกุล \"Dipterocarpus\" ซึ่งมาจากภาษากรีก (\"di\" = สอง, \"pteron\" = ปีก \"karpos\" =ผล) หมายถึงผลที่มีสองปีก สกุลขนาดใหญ่ในวงศ์นี้ ได้แก่ \"Shorea\" (196 สปีชีส์), \"Hopea\" (104 สปีชีส์), \"Dipterocarpus\" (70 สปีชีส์), และ \"Vatica\" (65 สปีชีส์) ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 40–70 m บางชนิดมากกว่า 80 m (ในสกุล \"Dryobalanops\", \"Hopea\" และ \"Shorea\"), ซึ่งพบตัวอย่าง (\"Shorea faguetiana\")ที่สูงที่สุดถึง 88.3 m มีการแพร่กระจายตั้งแต่ทางเหนือของอเมริกาใต้ไปจนถึงแอฟริกา อินเดีย อินโดจีน และมาเลเซีย ไปจนถึงเกาะบอร์เนียว บางสปีชีส์ในวงศ์นี้เป็นพืชใกล้สูญพันธุ์เพราะถูกโค่นมากเกินไป", "title": "วงศ์ยางนา" }, { "docid": "609053#0", "text": "Aedes หรือยุงลาย เป็นสกุลของยุงที่เดิมพบในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แต่ปัจจุบันพบได้ทุกทวีปยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุทำให้ยุงลายบางสปีชีส์แพร่กระจาย Meigen อธิบายและตั้งชื่อเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1818 ยุงในสกุลนี้มีกว่า 700 สปีชีส์ ยุงลายบางสปีชีส์ส่งผ่านโรคร้ายแรง รวมถึงไข้เด็งกีและไข้เหลือง แถมตอนนี้ ยุงลายยังเป็นพาหะของ ไข้ซิกา อีกด้วย", "title": "ยุงลาย" }, { "docid": "118179#0", "text": "เมเปิล หรือ ก่วม (\"Acer\" มาจากภาษาละตินแปลว่า: แหลม,คม หมายถึงปลายแหลมของใบ) คือสกุลของต้นไม้หรือพุ่มไม้ ซึ่งแบ่งได้หลายประเภทในวงศ์เดียวกัน มีประมาณ 125 สปีชีส์ ส่วนมากเป็นพืชในแถบเอเชีย แต่ก็มีบ้างในแถบยุโรป,ตอนเหนือของทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกาเหนือ", "title": "เมเปิล" } ]
3057
กาลิเลโอ กาลิเลอี เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "15703#3", "text": "เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นบุตรคนโตในจำนวนบุตร 6 คนของวินเชนโซ กาลิเลอี นักดนตรีลูทผู้มีชื่อเสียง มารดาชื่อ จูเลีย อัมมันนาตี เมื่อกาลิเลโออายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองฟลอเรนซ์ แต่กาลิเลโอต้องพำนักอยู่กับจาโกโป บอร์กีนิ เป็นเวลาสองปี เขาเรียนหนังสือที่อารามคามัลโดเลเซ เมืองวัลลอมโบรซา ซึ่งอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 34 กิโลเมตร กาลิเลโอมีความคิดจะบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปิซาตามความต้องการของพ่อ กาลิเลโอเรียนแพทย์ไม่จบ กลับไปได้ปริญญาสาขาคณิตศาสตร์มาแทน ปี ค.ศ. 1589 เขาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปิซา เมื่อถึงปี ค.ศ. 1591 บิดาของเขาเสียชีวิต กาลิเลโอรับหน้าที่อภิบาลน้องชายคนหนึ่งคือ มีเกลัญโญโล เขาย้ายไปสอนที่มหาวิทยาลัยแพดัวในปี ค.ศ. 1592 โดยสอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์ และดาราศาสตร์ จนถึงปี ค.ศ. 1610 ในระหว่างช่วงเวลานี้ กาลิเลโอได้ทำการค้นพบที่สำคัญมากมาย ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (เช่น จลนศาสตร์การเคลื่อนที่ และดาราศาสตร์) หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (เช่น ความแข็งของวัตถุ และการพัฒนากล้องโทรทรรศน์) ความสนใจของเขายังครอบคลุมถึงความรู้ด้านโหราศาสตร์ ซึ่งในยุคสมัยนั้นมีความสำคัญไม่แพ้คณิตศาสตร์หรือดาราศาสตร์ทีเดียว", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#0", "text": "กาลิเลโอ กาลิเลอี (; 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 - 8 มกราคม ค.ศ. 1642) เป็นชาวทัสกันหรือชาวอิตาลี ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย งานที่โดดเด่นเช่นการพัฒนาเทคนิคของกล้องโทรทรรศน์และผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญจากกล้องโทรทรรศน์ที่พัฒนามากขึ้น งานของเขาช่วยสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสอย่างชัดเจนที่สุด กาลิเลโอได้รับขนานนามว่าเป็น \"บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่\" \"บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่\" \"บิดาแห่งวิทยาศาสตร์\" และ \"บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่\"", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" } ]
[ { "docid": "15703#6", "text": "ปี ค.ศ. 1612 เกิดการต่อต้านแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปี ค.ศ. 1614 คุณพ่อโทมาโซ คัคชินิ ประกาศขณะขึ้นเทศน์ในโบสถ์ซานตามาเรียโนเวลลา กล่าวประณามแนวคิดของกาลิเลโอที่หาว่าโลกเคลื่อนที่ ว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต กาลิเลโอเดินทางไปยังโรมเพื่อต่อสู้ข้อกล่าวหา แต่ในปี ค.ศ. 1616 พระคาร์ดินัลโรแบร์โต เบลลาร์มีโน ได้มอบเอกสารสั่งห้ามกับกาลิเลโอเป็นการส่วนตัว มิให้เขาไปเกี่ยวข้องหรือสอนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัสอีก ระหว่างปี 1621 ถึง 1622 กาลิเลโอเขียนหนังสือเล่มแรกของเขา คือ \"อิลซัจจาโตเร\" (; หมายถึง \"นักวิเคราะห์\") ต่อมาได้รับอนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่ได้ในปี ค.ศ. 1623 กาลิเลโอเดินทางกลับไปโรมอีกครั้งในปี ค.ศ. 1630 เพื่อขออนุญาตตีพิมพ์หนังสือ \"Dialogue Concerning the Two Chief World Systems\" (\"บทสนทนาว่าด้วยโลกสองระบบ\") ต่อมาได้พิมพ์เผยแพร่ในฟลอเรนซ์ในปี 1632 อย่างไรก็ดี ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น เขาได้รับคำสั่งให้ไปให้การต่อหน้าศาลศาสนาที่กรุงโรม", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#21", "text": "ปี ค.ศ. 1619 กาลิเลโอมีเรื่องยุ่งยากในการโต้เถียงกับคุณพ่อออราซิโอ กราสซี ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์แห่งวิทยาลัยเกรกอเรียนในลัทธิเยซูอิด เหตุเนื่องมาจากความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับธรรมชาติของดาวหาง เมื่อกาลิเลโอตีพิมพ์เผยแพร่ \"อิลซัจจาโตเร\" () ในปี ค.ศ. 1623 เป็นการวางหมากสุดท้ายในการโต้แย้ง เรื่องก็ลุกลามเป็นข้อวิวาทใหญ่โตเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติโดยทั่วไป เพราะใน \"อิลซัจจาโตเร\" บรรจุแนวคิดมากมายของกาลิเลโอว่าวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องของวิทยาศาสตร์ควรดำเนินการอย่างไร หนังสือนี้ต่อมาเป็นที่อ้างอิงถึงในฐานะคำประกาศแนวคิดวิทยาศาสตร์ของกาลิเลโอ", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#4", "text": "แม้กาลิเลโอจะเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด แต่เขากลับมีลูกนอกสมรส 3 คนกับมารินา แกมบา เป็นลูกสาว 2 คนคือ เวอร์จิเนีย (เกิด ค.ศ. 1600) กับลิเวีย (เกิด ค.ศ. 1601) และลูกชาย 1 คนคือ วินเชนโซ (เกิด ค.ศ. 1606) เนื่องจากลูกสาวทั้งสองเป็นลูกนอกสมรส จึงไม่สามารถแต่งงานกับใครได้ ทางเลือกเดียวที่ดีสำหรับพวกเธอคือหนทางแห่งศาสนา เด็กหญิงทั้งสองถูกส่งตัวไปยังคอนแวนต์ที่ซานมัตตีโอ ในเมืองอาร์เชตรี และพำนักอยู่ที่นั่นจวบจนตลอดชีวิต เวอร์จิเนียใช้ชื่อทางศาสนาว่า มาเรีย เชเลสเต เธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1634 ร่างของเธอฝังไว้กับกาลิเลโอที่สุสานบาซิลิกาซานตาโครเช ลิเวียใช้ชื่อทางศาสนาว่า ซิสเตอร์อาร์แคนเจลา มีสุขภาพไม่ค่อยดีและป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ ส่วนวินเชนโซได้ขึ้นทะเบียนเป็นบุตรตามกฎหมายในภายหลัง และได้แต่งงานกับเซสตีเลีย บอกกีเนรี", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#8", "text": "กาลิเลโอเป็นผู้ริเริ่มการทดลองทางวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณซึ่งสามารถนำผลไปใช้ในการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ต่อได้โดยละเอียด การทดลองวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นยังเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพอยู่มาก เช่นงานของวิลเลียม กิลเบิร์ตเกี่ยวกับแม่เหล็กและไฟฟ้า พ่อของกาลิเลโอ คือวินเชนโซ กาลิเลอี เป็นนักดนตรีลูทและนักดนตรีทฤษฎี อาจเป็นคนแรกเท่าที่เรารู้จักที่สร้างการทดลองแบบไม่เป็นเชิงเส้นในวิชาฟิสิกส์ขึ้น เนื่องจากการปรับตั้งสายเครื่องดนตรี ตัวโน้ตจะเปลี่ยนไปตามรากที่สองของแรงตึงของสาย ข้อสังเกตเช่นนี้อยู่ในกรอบการศึกษาด้านดนตรีของพวกพีทาโกเรียนและเป็นที่รู้จักทั่วไปในหมู่นักผลิตเครื่องดนตรี แสดงให้เห็นว่าคณิตศาสตร์กับดนตรีและฟิสิกส์มีความเกี่ยวพันกันมานานแล้ว กาลิเลโอผู้เยาว์อาจได้เห็นวิธีการเช่นนี้ของบิดาและนำมาขยายผลต่อสำหรับงานของตนก็ได้", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#56", "text": "ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผลงานเขียนของกาลิเลโอ แสดงชื่อในภาษาอิตาลีเป็นหลักการค้นพบทางดาราศาสตร์ของกาลิเลโอและงานวิเคราะห์ที่สนับสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส เป็นผลงานเกียรติยศที่โด่งดังตลอดกาล รวมถึงการค้นพบดวงจันทร์ใหญ่ที่สุด 4 ดวงของดาวพฤหัสบดี (ไอโอ, ยูโรปา, แกนิมีด และ คัลลิสโต) ซึ่งได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาว่า ดวงจันทร์กาลิเลียน หลักการและสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์อื่น ๆ อีกมากมายก็ตั้งชื่อตามเขา เช่น ยานอวกาศกาลิเลโอ ซึ่งเป็นยานสำรวจอวกาศลำแรกที่เข้าสู่วงโคจรของดาวพฤหัสบดี ระบบดาวเทียมสำรวจโลกกาลิเลโอ วิธีการแปลงค่าจากระบบ inertial ไปเป็นกลศาสตร์ดั้งเดิมก็ได้ชื่อว่า \"การแปลงกาลิเลียน\" และหน่วยวัด กัล (Gal) ซึ่งเป็นหน่วยวัดความเร่งที่ไม่ได้อยู่ในระบบเอสไอ", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#54", "text": "วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 พระคาร์ดินัลโยเซฟ รัทซิงเงอร์ (ต่อมาเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) กล่าวปาฐกถาที่ซาปีเอนซา มหาวิทยาลัยแห่งโรม โดยทรงให้ความเห็นบางประการต่อคดีกาลิเลโอว่าเป็นกำเนิดของสิ่งที่พระองค์เรียกว่า \"กรณีอันน่าเศร้าที่ทำให้เราเห็นถึงความขลาดเขลาในสมัยกลาง ซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แสดงในปัจจุบัน\" ทรงอ้างถึงมุมมองของผู้อื่นด้วย เช่นของ พอล เฟเยอร์ราเบนด์ นักปรัชญา ซึ่งกล่าวว่า \"ศาสนจักรในยุคของกาลิเลโอถือว่าตนอยู่ใกล้ชิดกับเหตุผลมากกว่ากาลิเลโอ จึงเป็นผู้ทำการพิจารณาด้านศีลธรรมและผลสืบเนื่องทางสังคมที่เกิดจากการสอนของกาลิเลโอด้วย คำตัดสินโทษที่มีต่อกาลิเลโอนั้นมีเหตุผลพอ ยุติธรรม การเปลี่ยนแปลงคำตัดสินจะพิจารณาได้ก็แต่เพียงบนพื้นฐานของการเห็นต่างทางการเมืองเท่านั้น\" แต่พระคาร์ดินัลมิได้ให้ความเห็นว่าตนเห็นด้วยหรือไม่กับคำกล่าวนี้ ท่านเพียงแต่กล่าวว่า \"การเอ่ยคำขอโทษอย่างหุนหันพลันแล่นต่อมุมมองเช่นนี้คงเป็นความเขลาอย่างมาก\"", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#53", "text": "ปี ค.ศ. 1939 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ \"Pontifical Academy of Sciences\" หลังจากทรงขึ้นรับตำแหน่งไม่กี่เดือน โดยเอ่ยถึงกาลิเลโอว่าเป็น \"วีรบุรุษแห่งงานค้นคว้าวิจัยผู้กล้าหาญที่สุด ... ไม่หวั่นเกรงกับการต่อต้านและการเสี่ยงภัยในการทำงาน ไม่กลัวเกรงต่อความตาย\" ที่ปรึกษาคนสนิทของพระองค์ ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เลย์เบอร์ เขียนไว้ว่า \"สมเด็จปิอุสที่ 12 ทรงระมัดระวังมากที่จะไม่ปิดประตูสำหรับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ พระองค์กระตือรือร้นในเรื่องนี้มาก และทรงเสียพระทัยอย่างยิ่งกับกรณีที่เกิดขึ้นกับกาลิเลโอ\"", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "15703#58", "text": "กาลิเลโอ ได้รับเลือกให้เป็นสัญลักษณ์สำคัญบนเหรียญที่ระลึกขนาด 25 ยูโร ในชุดเหรียญที่ระลึกปีดาราศาสตร์สากล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2009 เพื่อเป็นการระลึกถึงโอกาสที่กาลิเลโอสร้างกล้องโทรทรรศน์ของเขาครบรอบ 400 ปี ด้านหน้าของเหรียญเป็นภาพครึ่งตัวของกาลิเลโอกับกล้องโทรทรรศน์ ด้านหลังเป็นภาพวาดภาพหนึ่งของกาลิเลโอที่วาดผลการสังเกตการณ์ดวงจันทร์ ขอบเงินรอบ ๆ เหรียญนี้เป็นภาพกล้องโทรทรรศน์อื่น ๆ ได้แก่ กล้องโทรทรรศน์ของไอแซก นิวตัน, กล้องของหอดูดาว Kremsmünster Abbey, กล้องโทรทรรศน์วิทยุ, และกล้องโทรทรรศน์อวกาศ", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" } ]
497
เลโก้ ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "67533#1", "text": "ในราวปี ค.ศ. 1932 โอเล เคิร์ก คริสเตียนเสน ชาวเดนมาร์ก เริ่มผลิตและจำหน่ายของเล่นซึ่งทำจากไม้[3] ต่อมาในปี ค.ศ. 1949 ก็เปลี่ยนรูปแบบสินค้า เป็นของเล่นประเภทตัวต่อ พร้อมทั้งเปลี่ยนวัสดุการผลิตเป็นพลาสติก เรียกว่า ออโตเมติก ไบน์ดิง บริกส์ (Automatic Binding Bricks)[4] และเมื่อปี ค.ศ. 1954 เปลี่ยนชื่อสินค้ามาเป็นเลโก้ ดังเช่นทุกวันนี้ ต่อมา เลโก้เปลี่ยนมาใช้วัสดุพลาสติกแบบ Acrylonitrile Butadiene Styrene (ABS) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 จนถึงปัจจุบัน[5][6]", "title": "เลโก้" } ]
[ { "docid": "219542#22", "text": "มังงะเริ่มตีพิมพ์ในนิตยสาร มังงะ ไทม์ คิราระ ในสำนักพิมพ์ โฮบุนชะ ในฉบับเดือนพฤษภาคม 2007 จำหน่ายเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2007[15]และมังงะยังได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสารรายปักษ์ชื่อ มังงะ ไทม์ คิราระ คารัท ด้วย ในฉบับเดือนตุลาคม 2008 จำหน่ายเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2008 [16] และฉบับรวมเล่ม เล่มแรกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2008 เล่มสองวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2009 เล่มสามวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2010 และเล่มสี่ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2010 มีลิขสิทธิ์จำหน่ายต่างประเทศได้แก่ ทวีปอเมริกาเหนือ ลิขสิทธิ์โดย Yen Press[17] ประเทศไทย ลิขสิทธิ์โดย สยามอินเตอร์คอมิกส์ ประเทศอินโดนีเซีย ลิขสิทธิ์โดย Elex Media Komputindo สำหรับ Anthology ของ เค-อง! ได้แก่, มินนะ เดะ อุนตัน! เป็นการนำศิลปินหลายคนมาวาดเรื่องเค-อง!, K-On! Anthology Comic () วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2009 เล่มที่สองวางจำหน่ายวันที่ 27 เมษายน 2010 โดย โฮบุนฉะ, อัลบั้มรวมภาพจากทั้งออฟฟิเชล อาร์ตและแฟนอาร์ตจากนักวาดโดจิน วางจำหน่ายวันที่ 27 มกราคม 2010", "title": "เค-อง! ก๊วนดนตรีแป๋วแหวว" }, { "docid": "756189#3", "text": "เลโก้ สตาร์ วอร์ส 2 ดิ ออริจินัล ไตรโลจี้ ( เป็นวิดีโอเกมชุดที่สองของเลโก้ สตาร์ วอร์ส เป็นวิดีโอเกมสำหรับเด็กวางจำหน่ายในรูปแบบพีซี,เอ็กซ์บอกซ์เป็นต้น. เนื้อเรื่องในเกมจะดำเนินตามภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สไตรภาคเดิม", "title": "เลโก้ สตาร์ วอร์ส (วีดีโอเกม)" }, { "docid": "312495#17", "text": "วางจำหน่าย มกราคม พ.ศ. 2544 (2001) \nคู่กับ โจนัส แอนเดอร์สัน บางเพลง \nคู่กับ โจนัส แอนเดอร์สัน, วางจำหน่าย พ.ศ. 2548 (2005) \nคู่กับ โจนัส แอนเดอร์สัน, วางจำหน่าย 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 (2006) \nร่วมกับ โจนัส แอนเดอร์สัน, ย้ายค่าย GMM Grammy, วางจำหน่าย พ.ศ. 2552 (2009) \nวางจำหน่าย พ.ศ. 2554 (2011) \nเผยแพร่ พ.ศ. 2558 (2015) \nเผยแพร่ พ.ศ. 2559 (2016)", "title": "คริสตี กิบสัน" }, { "docid": "219542#27", "text": "สำหรับในซีซันสองเพลงเปิดเพลงแรกคือ \"Go! Go! Maniac\" และเพลงปิดเพลงแรกคือ \"Listen!!\" ทั้งสองเพลงนั้นขับร้องโดย อากิ โทโยซากิ, โยโกะ ฮิกาซะ, ซาโตมิ ซาโต, มินาโกะ โคโตบูกิ และอายานะ ทาเกตัตสึ โดยทั้งสองซิงเกิลได้วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2010 สำหรับเพลงเปิดเพลงที่สองคือเพลง \"Utauyo!! Miracle\" และเพลงปิดเพลงที่สองคือ \"No, Thank You!\" โดยทั้งสองซิงเกิลจะวางจำหน่ายวันที่ 4 สิงหาคม 2010[24] ส่วนซิงเกิลเพลงประกอบในตอนที่ 6 มีชื่อว่า \"Pure Pure Heart\" วางจำหน่ายในวันที่ 2 มิถุนายน 2010 ซิงเกิล \"Love\" โดยวง Death Devil วางจำหน่ายในวันที่ 23 มิถุนายน 2010 ซิงเกิลเพลง \"Gohan wa Okazu/U&I\" ขับร้องโดย โฮคาโกะ ที ไทม์ วางจำหน่ายวันที่ 8 กันยายน 2010[25] นักแต่งเพลงชื่อ Bice ซึ่งผู้แต่งเพลง \"Gohan wa Okazu\" ได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2010[26] ซิงเกิลในตอนที่ 24 มีชื่อว่า \"Tenshi ni Fureta yo!\" สำหรับซิงเกิลตัวละครชุดที่สอง โดยซิงเกิลของ ยุยและมิโอะ วางจำหน่ายวันที่ 21 กันยายน 2010 อัลบั้ม Ho-kago Tea Time II ออกจำหน่ายในรูปแบบปกติและลิมิตเต็ด เอดิชัน พร้อมกับ ตลับเทป วางจำหน่ายวันที่ 27 ตุลาคม 2010[27] ซิงเกิลตัวละครชุดที่สอง โดยซิงเกิลของ ริทสึ สึมุกิและอาซึสะ วางจำหน่ายวันที่ 17 พฤศจิกายน 2010 ซิงเกิลและอัลบั้มทั้งหมดผลิตและวางจำหน่ายโดย Pony Canyon", "title": "เค-อง! ก๊วนดนตรีแป๋วแหวว" }, { "docid": "447269#0", "text": "เลโก้ \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" () เป็นของเล่นชุดเลโก้ ที่กำลังจะทำการเปิดตัวซึ่งอิงจากภาพยนตร์ \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" และ \"เดอะฮอบบิท\" โดยภาพเบื้องต้นชุดแรกของการเปิดตัวได้แสดงขึ้นในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2011", "title": "เลโก้ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" }, { "docid": "67533#0", "text": "เลโก้ (English: Lego)[1][2] เป็นของเล่นในรูปแบบตัวต่อพลาสติก ซึ่งเริ่มผลิตครั้งแรกที่เมืองบิลลุนด์ (Billund) ประเทศเดนมาร์ก โดยช่วงแรกผลิตจากไม้ เลโก้มีลักษณะเป็นชิ้นพลาสติก หลายสีและลักษณะเหมือนก้อนอิฐมีขนาดต่าง ๆ กันที่มีปุ่มและร่องเพื่อการประกอบ โดยไม่ต้องใช้กาว เพื่อให้ผู้เล่นนำไปสร้างสรรค์ต่อเป็นรูปร่างต่าง ๆ ปัจจุบันมีมากกว่า 6,000 ชุด", "title": "เลโก้" }, { "docid": "37191#4", "text": "วางจำหน่าย พ.ศ. 2543 \n.\n.\n.\n.\n.\nคู่กับ คริสตี้ กิ๊บสัน วางจำหน่าย พ.ศ. 2548 (2005) \nคู่กับ คริสตี้ กิ๊บสัน วางจำหน่าย พ.ศ. 2549 (2006) \nคู่กับ คริสตี้ กิ๊บสัน วางจำหน่าย พ.ศ. 2550 (2007) \nวางจำหน่าย พ.ศ. 2557 (2014)", "title": "โจนัส แอนเดอร์สัน" }, { "docid": "241610#0", "text": "เดอะซีเคร็ตโคด () เป็นอัลบัมที่ 4 ของ ทงบังชินกี ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่นออกวางจำหน่ายในวันที่ 25 มีนาคม 2552 กับการวางจำหน่ายผลงานอัลบั้มชุดที่ 4 The Secret Code ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 สัปดาห์พวกเขาสามารถจำหน่ายผลงานได้ทะลุเกิน 2 แสนชุดเรียบร้อย Oricon Style เปิดเผยว่ายอดจำหน่ายอัลบั้มชุดที่ 4 ของทงบังชินกี จนถึงวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา สามารถขายได้แล้วกว่า 190,432 ชุด ในขณะที่สัปดาห์ที่ 3 ประจำเดือนนี้ขายไปได้อีก 15,003 ชุด รวมแล้วก็จะได้ทั้งสิ้น 205,435 ชุด ย้อนกลับไปในวันที่วางจำหน่ายวันแรกเพียงวันเดียวสามารถจำหน่ายไปได้กว่า 82,000 ชุด นับได้ว่าร้อนแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยอดจำหน่ายในวันนั้นยังเป็นสถิติใหม่ของทงบังชินกีที่มียอดขายมากที่สุด ท่ามกลางสตูดิโออัลบั้มที่เคยวางจำหน่ายทั้งหมดของพวกเขา", "title": "เดอะซีเคร็ตโคด (อัลบัมเพลง)" }, { "docid": "248710#0", "text": "เกมภาค Fire Emblem นี้ วางจำหน่ายในญี่ปุ่นในนาม Fire Emblem Rekka no Ken \"(ファイアーエムブレム 烈火の剣, Faiā Emuburemu Rekka no Ken, แปล \"ไฟร์เอมเบลม:ดาบเพลิง\")\" ในภาษาญี่ปุ่น ในรูปแบบของเกมแนววางแผน สวมบทบาท สำหรับเครื่องเกมบอยแอดวานซ์ พัฒนาโดย Intelligent Systems และจัดจำหน่ายโดย นินเทนโด เกมออกวางจำหน่ายในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2546 ในญี่ปุ่น, วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 และวางจำหน่ายในยุโรปในวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 ", "title": "ไฟร์เอมเบลม (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "38355#6", "text": "ในชุด เรดิโอดรามา นั้นวางจำหน่ายทั้งหมด 3 ชุดโดยในชุดแรกใช้ชื่อว่า \"SOS Dan Radio Shibu Bangai Hen CD Vol.1\" วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 โดย แลนติส ชุดที่สอง วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 และชุดที่สาม วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ส่วนดรามาซีดีใช้ชื่อว่า \"Sound Around\" วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2550 โดย แลนติส", "title": "สึซึมิยะ ฮารุฮิ" }, { "docid": "362990#2", "text": "คนเลี้ยงผึ้งนั้นจะไม่ฝึกให้ผึ้งนั้นเชื่องแต่พวกเขาจะควบคุมเพียงรังผึ้งหรือกล่องที่ใช้เลี้ยงและอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และพวกผึ้งนั้นสามารถหาอาหารหรืออพยพไปที่อื่นได้อย่างอิสระตามที่พวกมันต้องการ พวกผึ้งทั้งหลายจะกลับสู่รังของคนเลี้ยงผึ้งก็ต่อเมื่อมันสะอาด ทืบแสง และเป็นที่กำบังหลบภัยได้ผู้เลี้ยงผึ้งส่วนใหญ่ จะนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากฟาร์ม ออกจำหน่าย น้ำผึ้งถือเป็นผลผลิตที่มีค่ามากที่สุดที่พวกเขานำมาจำหน่าย ผู้เลี้ยงผึ้งจะดูแลฝูงผึ้งของพวกเขาให้สมบูรณ์ที่สุด โดยอาศัยน้ำหวาน จากเกสรดอกไม้จำนวนมาก พวกเขาผลิตและจำหน่ายของเหลวที่ถูกสกัด และในบางครั้งอาจรวมถึงรวงผึ้งด้วย ผู้เลี้ยงผึ้งอาจขายผลผลิตของพวกเขาแบบปลีก ด้วยตัวเองหรือ อาจขายส่งให้พ่อค้าคนกลาง และตัวแทนต่างๆ ขี้ผึ้ง เกสรดอกไม้ น้ำที่ผึ้งใช้เลี้ยงตัวอ่อน และการผสมพันธุ์พืชนั้น ถือเป็นการสร้างรายได้เสริม อีกทางหนึ่ง เช่นผู้เลี้ยงผึ้งชาวไต้หวันนั้นส่งออกน้ำที่ผึ้ง ใช้เลี้ยงตัวอ่อนจำนวน หลายตัน ที่เป็นอาหารชั้นเลิศของนางพญาของเหล่าผึ้งที่ให้น้ำผึ้ง ผู้เลี้ยงผึ้งในปัจจุบันไม่นิยมเลี้ยงผึ้งงานเพื่อผลิต ขี้ผึ้งสักเท่าไหร่ ขี้ผึ้งนั้นจะถูกเก็บพร้อมน้ำผึ้งและนำไปแยกเพื่อจำหน่าย", "title": "คนเลี้ยงผึ้ง" }, { "docid": "756189#2", "text": "เลโก้ สตาร์วอร์ส ดิ วีดิโอเกม ( เป็นวิดีโอเกมชุดแรกของเลโก้ สตาร์ วอร์ส เป็นวิดีโอเกมสำหรับเด็กวางจำหน่ายในรูปแบบพีซี,เอ็กซ์บอกซ์เป็นต้น. เนื้อเรื่องในเกมจะดำเนินตามภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สไตรภาคต้น", "title": "เลโก้ สตาร์ วอร์ส (วีดีโอเกม)" }, { "docid": "94622#2", "text": "เนื้อหาของลักกีสตาร์จะหยิบเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวปัจจุบันและโอตาคุ ที่เป็นประจำวันของกลุ่มนักเรียนหญิงในโรงเรียนระดับชั้นมัธยมปลายของญี่ปุ่น ในเมืองคะซุกะเบะ จังหวัดไซตามะ ที่เสียดสีกลุ่มคนการ์ตูนเล็กน้อย ตัวเอกของเรื่องคือ อิซึมิ โคนาตะ นักเรียนหญิงผู้เป็นเลิศทั้งในด้านกีฬาและการเรียน แต่กลับไม่เข้าชมรมสังกัดไหนเลย นั่นก็เป็นเพราะว่าการเข้าชมรมหรือกลุ่มกิจกรรมเหล่านั้น จะทำให้เธออดดูการ์ตูน และเสียเวลาเล่นเกมของเธอไป แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่เกียจคร้านซักแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องอนิเมะ หรือวิดีโอเกมที่เธอชอบแล้ว เธอจะทุ่มเวลาและให้ความสนใจกับมันเป็นพิเศษมากว่าสิ่งใด ๆ เสียอีก เนื้อหาที่ตีพิมพ์นั้นจะเริ่มต้นจากการพบกันของตัวละครทั้ง 3 ในปีแรกของการเข้าศีกษาในระดับชั้นมัธยมปลาย คือ อิซึมิ โคนาตะ, ฮิอิรากิ คางามิ, ฮิอิรากิ สึคาสะ และ ทาคาระ มิยูกิ และเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินต่อไป พวกเธอก็จะเปลี่ยนระดับชั้นไปด้วย\"Lucky☆Star\" ในรูปแบบ[[มังงะ]] นั้นได้เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกลงในนิตยสาร \"[[คอมทิค]]\" ของประเทศญี่ปุ่นในเดือนมกราคม ปี 2004 มาจนถึงปัจจุบัน และมีฉบับรวมเล่มตีพิมพ์ออกมาแล้ว 10 เล่ม ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ [[คาโดคาว่า โชเท็น]] เล่มแรกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ [[8 มกราคม]] [[พ.ศ. 2547]] เล่มสองวางจำหน่าย [[10 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2547]] เล่มสามวางจำหน่าย [[10 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2548]] เล่มสี่ วางจำหน่ายเมื่อวันที่ [[10 เมษายน]] [[พ.ศ. 2550]] และเล่มห้า วางจำหน่ายเมื่อวันที่ [[10 กันยายน]] [[พ.ศ. 2550]] ส่วนในประเทศไทยทาง[[สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์]]ได้ลิขสิทธิ์เรื่องนี้ โดยเล่มหนึ่งได้มีกำหนดการวางจำหน่ายแล้วในวันที่ [[13 กันยายน]] [[พ.ศ. 2550]] เล่มสองได้วางจำหน่ายในวันที่ [[2 พฤศจิกายน]] [[พ.ศ. 2550]] เล่มสามวางจำหน่ายในวันที่ [[15 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2551]] เล่มสี่วางจำหน่ายในวันที่ [[25 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2551]] และเล่มห้าวางจำหน่ายในวันที่ [[26 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2551]]", "title": "ลักกีสตาร์ (มังงะ)" }, { "docid": "219542#26", "text": "เพลงเปิดของอนิเมะนี้คือเพลง \"Cagayake! Girls\" และเพลงปิดคือเพลง \"Don't say 'lazy'\" ทั้งสองเพลงนั้นขับร้องโดย อากิ โทโยซากิ, โยโกะ ฮิกาซะ, ซาโตมิ ซาโต และมินาโกะ โคโตบูกิ โดยทั้งสองซิงเกิลได้วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2009 โดย Pony Canyon ซิงเกิลเพลงประกอบ เพลง \"Fuwa Fuwa Time\" () ซึ่งใช้ขึ้นแสดงในตอนที่ 6 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2009 เพลงประจำตัวละคร 7 ซิงเกิล ได้แก่ ยุย (โดยโทโยซากิ) และ มิโอะ (โดยฮิกาซะ) วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2009 ซิงเกิลของ ริทสึ (โดยซาโต), สึมุกิ (โดยโคโตบูกิ) และอาซึสะ (โดยทาเกตัตสึ) วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2009 และซิงเกิลของ อุย (โดยโยเนซาวะ) และ โนโดกะ (โดยฟูจิโต) จะวางจำหน่ายวันที่ 21 ตุลาคม 2009 ซาวด์แทร็คอนิเมะ โดย ฮาจิเมะ เฮียกโกคุ วางจำหน่ายในวันที่ 3 มิถุนายน 2009 และสี่เพลงที่ใช้ขึ้นแสดงในตอนที่ 8 ของอนิเมะนั้นจะวางจำหน่ายในรูปแบบมินิอัลบั้มชื่อ Hōkago Tea Time () ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2009 Maddy Candy ซิงเกิลของวง Death Devil วางจำหน่ายในวันที่ 12 สิงหาคม 2009[23] และอัลบั้มพิเศษ K-ON! Sakura Kou Keionbu Official Band Yarouyo!! Band Score Duke วางจำหน่ายวันที่ 2 กันยายน 2009", "title": "เค-อง! ก๊วนดนตรีแป๋วแหวว" }, { "docid": "756189#0", "text": "เลโก้ สตาร์วอร์ส ( เป็นชื่อวิดีโอเกมชุดหนึ่งของสตาร์ วอร์ส ปัจจุบันมีทั้งหมด3ภาคที่ออกมาวางจำหน่าย", "title": "เลโก้ สตาร์ วอร์ส (วีดีโอเกม)" }, { "docid": "553891#0", "text": "เดอะ เลโก้ มูฟวี () เป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชันแนวตลกผจญภัยอเมริกัน กำกับโดย ฟิล ลอร์ด และคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ และเป็นภาพยนตร์ของค่ายวอร์เนอร์ บรอเธอร์ พิกเจอร์ส โดยสร้างจากเลโก้ โดยมีทีมให้เสียง ได้แก่ คริส แพร็ตต์, วิลล์ เฟอร์เรล, อลิซาเบธ แบงก์ส, วิลล์ อาร์เน็ตต์, นิก ออฟเฟอร์แมน, อลิสัน บรี, ชาร์ลี เดย์, เลียม นีสัน และมอร์แกน ฟรีแมน โดยออกฉายในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ซึ่งประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์และได้เสียงตอบรับที่ดีในหลายด้านทั้งความสมจริง, ความตลกขบขัน, การทำเสียง และการแสดงหน้าตา โดยภาพยนตร์เรื่องนี้รับรายได้มากกว่า 257 ล้านดอลลาร์ ในอเมริกาเหนือ และ 210 ล้านดอลลาร์ ในการเข้าฉายต่างประเทศ รวมแล้วกว่า 467 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นทางทีมผู้สร้างยังได้วางแผนฉาย เดอะ เลโก้ มูฟวี 2 ในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 และยังให้คริส แมคเคย์ มารับหน้าที่กำกับ รวมไปถึงฟิล ลอร์ด และคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์มารับหน้าที่ผลิต", "title": "เดอะ เลโก้ มูฟวี่" }, { "docid": "100687#6", "text": "Please Please Me - วันวางจำหน่าย: 1963-03-22 With the Beatles - วันวางจำหน่าย: 1963-11-22 A Hard Day's Night - วันวางจำหน่าย: 1964-07-10 Beatles for Sale - วันวางจำหน่าย: 1964-12-04 Help! - วันวางจำหน่าย: 1965-08-06 Rubber Soul - วันวางจำหน่าย: 1965-12-03 Revolver - วันวางจำหน่าย: 1966-08-05 Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band - วันวางจำหน่าย: 1967-06-01 The Beatles (หรือ \"The White Album\") - วันวางจำหน่าย: 1968-11-22 Yellow Submarine - วันวางจำหน่าย: 1969-01-17 Abbey Road - วันวางจำหน่าย: 1969-09-26 Let It Be - วันวางจำหน่าย: 1970-05-08 (Box Set) 1970-11-06 (Regular LP)", "title": "เดอะบีเทิลส์" }, { "docid": "35684#3", "text": "อูตาดะย้ายกลับมาอยู่ในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นในปลายปี ค.ศ. 1998 โดยทำสัญญากับโตชิบา-อีเอ็มไอในการออกผลงานซิงเกิลและอัลบั้มทั้งหมด โดยการเข้ามาในวงการเพลงของเธอเพื่อเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงต่างจากนักร้องคนอื่นที่ต้องการเข้ามาในวงการเพื่อได้รับความนิยมและมีชื่อเสียง ซิงเกิลภาษาญี่ปุ่นแรกคือ ออโตแมติก/ไทม์วิลเทล ซึ่งมียอดวางจำหน่ายมากกว่า 2 ล้านแผ่น และ มูวฟ์วิน' อินวิทเอาท์ยู ก็มียอดวางจำหน่ายกว่า 1 ล้านแผ่น และอัลบั้ม \"เฟิสต์เลิฟ\" ซึ่งเป็นอัลบั้มภาษาญี่ปุ่นแรกของเธอมียอดวางจำหน่ายสูงกว่า 7 ล้านแผ่นในญี่ปุ่นและ 3 ล้านแผ่นในต่างประเทศ ซิงเกิลเฟิสต์เลิฟที่วางจำหน่ายถัดมาจากตัวอัลบั้มเปิดตัว ทำให้เธอถูกบันทึกว่าเป็นสุดยอดศิลปินอันดับ 5 ของการจัดอันดับศิลปินที่ดีที่สุดในคริสตวรรษที่ 20 หลังจากนั้นอีก 2 ปีที่เธอหยุดการทำงานเบื้องหน้าเพื่อทำอัลบั้มใหม่ \"ดิสแทนส์\" อัลบั้มเพลงภาษาญี่ปุ่นลำดับที่ 2 วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2001มียอดวางจำหน่ายสูงถึง 3 ล้านแผ่นในสัปดาห์แรก ในอัลบั้มประกอบไปด้วยซิงเกิลที่ได้รับความนิยมอย่าง แอดดิกเทตทูยู ฟอร์ยู / ไทม์ลิมิตและแคนยูคีปอะซีเครต? \"ดิสแทนส์\" จึงกลายเป็นอัลบั้มที่ยอดวางจำหน่ายสูงที่สุดในปี ค.ศ. 2001 รวม 4.43 ล้านแผ่น แอดดิกเทตทูยู เป็นซิงเกิลที่ทำสถิติเป็นซิงเกิลจากศิลปินผู้หญิงที่มียอดวางจำหน่ายเกิน 1 ล้านแผ่นในสัปดาห์แรก และแคนยูคีปอะซีเครต? ถูกจัดอันดับจากโอริกอนให้เป็นซิงเกิลที่มียอดวางจำหน่ายสูงสุดอันดับ 6 และ 10 ตามการจัดลำดับซิงเกิลที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 - 24 เมษายน ค.ศ. 2006", "title": "ฮิการุ อูตาดะ" }, { "docid": "546385#6", "text": "อย่างไรก็ตาม เมื่อวางจำหน่ายไปซักระยะกลับมีการอัปเดตเพิ่มเติมเนื้อหาเข้ามาจำนวนมาก เนื้อเรื่องบางส่วนถูกนำวางจำหน่ายเป็นส่วนเสริม ทำให้มีการวิจารณ์ในเชิงไม่พอใจอย่างกว้างขวางว่าบริษัทวางจำหน่ายเกมนี้ทั้งที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ 100% นอกจากนี้ มีการวางจำหน่าย FFXV: Royal Edition ซึ่งฉบับที่รวมเนื้อเรื่องและเนื้อหาส่วนเสริมทั้งหมดวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2018 ด้วยราคาต่ำกว่าตอนวางจำหน่ายครั้งแรกเสียอีก ผู้ซื้อเกมในช่วงแรกๆต้องจ่ายแพงกว่าแต่กลับไม่ได้รับเกมที่มีเนื้อหาที่สมบูรณ์ และต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกยิบย่อยเพื่อให้ได้เนื้อหาสมบูรณ์", "title": "ไฟนอลแฟนตาซี XV" }, { "docid": "100687#7", "text": "Introducing... The Beatles - วันวางจำหน่าย: 1964-01-06 Meet the Beatles! - วันวางจำหน่าย: 1964-01-20 The Beatles' Second Album - วันวางจำหน่าย: 1964-04-10 A Hard Day's Night {เพลงประกอบภาพยนตร์} - วันวางจำหน่าย: 1964-06-26 Something New - วันวางจำหน่าย: 1964-07-20 Beatles '65 - วันวางจำหน่าย: 1964-12-15 The Early Beatles - วันวางจำหน่าย: 1965-03-22 Beatles VI - วันวางจำหน่าย: 1965-06-14 Help! {เพลงประกอบภาพยนตร์} - วันวางจำหน่าย: 1965-08-13 Rubber Soul - วันวางจำหน่าย: 1965-12-06 Yesterday… and Today {อัลบั้มรวมฮิต} - วันวางจำหน่าย: 1966-06-20 Revolver - วันวางจำหน่าย: 1966-08-08 Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band - วันวางจำหน่าย: 1967-06-02 Magical Mystery Tour {เพลงประกอบภาพยนตร์} - วันวางจำหน่าย: 1967-11-27 The Beatles - วันวางจำหน่าย: 1968-11-25 Yellow Submarine - วันวางจำหน่าย: 1969-01-13 Abbey Road - วันวางจำหน่าย: 1969-10-01 \"Hey Jude\" - วันวางจำหน่าย: 1970-02-26 Let It Be - วันวางจำหน่าย: 1970-05-18", "title": "เดอะบีเทิลส์" }, { "docid": "490902#0", "text": "ฮีโร่แฟคทอรี่ () เป็นไลน์หนึ่งในของเล่นจาก เลโก้ เริ่มวางจำหน่ายในปั 2010 และถูกสร้างเป็นแอนิเมชันโดย Threshold Animation Studios ในปีเดียวกัน ออกอากาศในช่อง Nicktoons", "title": "เลโก้ ฮีโร่แฟคทอรี่" }, { "docid": "444845#1", "text": "ต่อมาได้วางจำหน่ายในรูปแบบของแอนดรอยด์ ในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 2010 ต่อมาได้วางจำหน่ายในรูปแบบของวินโดวส์โฟน 7 ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2010 ต่อมาได้วางจำหน่ายในรูปแบบของซิมเบียน โอเอส ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 ต่อมาได้วางจำหน่ายในรูปแบบของบาด้า โอเอส ในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2011 และล่าสุดได้วางจำหน่ายในรูปแบบของเอกซ์บอกซ์ 360 ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2011 โดยเป็นเกมที่มีผู้เล่นคนเดียว และหลายผู้เล่น สำหรับบนไอแพด และ ไคเน็คของเอกซ์บอกซ์ 360", "title": "ฟรุตนินจา" }, { "docid": "67533#4", "text": "หมวดหมู่:เลโก้ หมวดหมู่:ของเล่น หมวดหมู่:สิ่งประดิษฐ์ของเดนมาร์ก หมวดหมู่:ตราสินค้าของเดนมาร์ก หมวดหมู่:ผลิตภัณฑ์ที่ออกในปี พ.ศ. 2492", "title": "เลโก้" }, { "docid": "524890#0", "text": "เลเจนด์ ออฟ ชิม่า () เป็นไลน์หนึ่งในของเล่นจาก เลโก้ ซึ่งได้เริ่มออกวางขายในปี 2013 จนถึงปี 2015\nเลเจนด์ ออฟ ชิม่า เป็นเรื่องราวของอาณาจักรชิม่าที่ประกอบไปด้วยเผ่าต่างๆที่ที่มีตัวคล้ายคนแต่เป็นสัตว์ \"ชิ\" เป็นธาตุขุมทรัพย์พลังที่ทุกๆเผ่าต้องการมาเป็นของตนโดยถูกเก็บไว้ใน The Lion CHI Temple ของเผ่าสิงโตที่มีน้ำตกชิไหลลงมากลางปราสาท โดยที่เผ่าสิงโตจะต้องทำการแจกจ่ายชิให้ทุกๆเผ่าอย่างเท่าเทียม หากมีใครฝ่าฝืนกฎการแจกจ่ายชิ อาทิการปล้น ในอาณาจักรก็จะเกิดภัยพิบัติขึ้น พลังชิสร้างความสงบสุขมาเป็นเวลานาน แต่ด้วยความละโมภในการครอบครอง \"ชิ\" จึงได้เกิดสงครามแย่งชิงและต่อสู้ระหว่างเผ่าต่างๆเพื่อครอบครองขุมพลังชิให้ได้มาซึ่งอำนาจและเกียรติยศของเผ่าของมัน ถึงเวลาแล้วที่ทุกเผ่าต้องมาต่อสู่เพื่อ \"ชิ\" และความสงบสุข และนี่คือเรื่องของ เลเจนด์ ออฟ ชิม่า", "title": "เลโก้ เลเจนส์ออฟชิม่า" }, { "docid": "756189#4", "text": "เลโก้ สตาร์ วอร์ส 2 ดิ ออริจินัล ไตรโลจี้ ( เป็นวิดีโอเกมชุดของเลโก้สตาร์ วอร์ส โดยตัวเกมจะเหมือนกับเลโก้ สตาร์ วอร์ส 2 ดิ ออริจินัล ไตรโลจี้ สามารถเล่นได้ในโทรศัพท์เป็นเกมรูปแบบบิท", "title": "เลโก้ สตาร์ วอร์ส (วีดีโอเกม)" }, { "docid": "578978#4", "text": "เริ่มมีผลงานเพลงตั้งแต่ปี 2538 โดยวงที-สเกิ๊ตนั้น ประกอบสมาชิก 3 คนด้วยกัน คือ อัสมา กฮาร (มาร์) ดวงพร สนธิขันธ์ (จอย) และ ธิติยา นพพงษากิจ (กิ๊ฟท์) มีผลงาน 2 อัลบั้มเต็ม และ 1 อัลบั้มพิเศษก่อนที่ทางค่ายคีตา เรคคอร์ดส จะปิดตัวลงไปเมื่อปี 2539 ผลงานเด่นคือเพลง ไม่เท่าไหร่, เจ็บแทนได้ไหม, ฟ้องท่านเปา, เรื่องมันเศร้า และเพลง ทักคนผิด เป็นต้น ผลงานอัลบั้มชุดแรกชื่อว่า \"T-Skirt\" ออกวางจำหน่ายกลางปี 2538 โดยรายชื่อเพลงมีดังนี้ 1.ไม่เท่าไหร่ 2.เจ็บแทนได้ไหม 3.เรื่องมันเศร้า 4.อย่าเล่นอย่างนี้ 5.ทักคนผิด 6.ฟ้องท่านเปา 7.วันที่ไม่เหงา 8.ทำให้เสร็จ 9.ซึ้ง ๆ หน่อย 10. เพื่อนกัน", "title": "อัสมา กฮาร" }, { "docid": "638512#1", "text": "เซคิยะ นารุ สาวน้อยธรรมดาอายุ 14 ปี ผู้ชื่นชอบเรื่องเทพนิยาย เธอบังเอิญได้พบกับภูติตอนกลางคืน แล้วก็ได้ชักชวนนารุให้เข้าสู่โลกของการเต้นโยซาโค่ยเริ่มตีพิมพ์ลงในนิตยสารแนวเซเน็ง มังงะไทม์คิระระฟอร์เวิร์ด ของสำนักพิมพ์โฮบุนชะ ตั้งแต่มิถุนายน พ.ศ. 2554 ฉบับรวมเล่มเล่มที่ 1 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เล่มที่ 2 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เล่มที่ 3 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556 เล่มที่ 4 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557 เล่มที่ 5 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 และเล่นที่ 6 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557", "title": "บุษบาภาษาศิลป์" }, { "docid": "67533#2", "text": "ตัวต่อเลโก้ มีธีมหลักที่มากมายและมีหลากหลายขนาด โดยแบ่งเป็นหมวดตามอายุของผู้เล่น และในแต่ละหมวด ยังมีธีมย่อยแตกต่างมากน้อยไม่เท่ากัน ตามรูปแบบที่นำเสนอในแต่ละปี ตัวอย่างหมวดเช่น เลโก้ ซิสเต็ม, เลโก้ ดูโป, เลโก้ เทคนิค, เลโก้ ดักตา (DACTA), เลโก้ เบบี (ตั้งแต่แรกเกิด-6 เดือน) เป็นต้น", "title": "เลโก้" }, { "docid": "776070#3", "text": "พ.ศ. 2543 อาร์ม มีผลงานเพลงชุดที่สอง ในชื่อ อาร์ม โต้รุ่ง เปิดตัวด้วยเพลงจังหวะโจ๊ะๆ นั่นก็คือเพลง \"โต้รุ่ง\" ซึ่งเพลงนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีมากๆ ต่อมากับเพลง รักเธอแล้วแย่ รักแม่ดีกว่า, ขอเปลี่ยนใจ และเพลง ซะเมื่อไหร่ ออกวางจำหน่าย 6 ตุลาคม พ.ศ. 2543", "title": "ศิริโรจน์ ศิริเจริญ" } ]
2960
เกมทศกัณฐ์ ตอนแรกออกอากาศเมื่อไหร่?
[ { "docid": "213416#0", "text": "เกมทศกัณฐ์ เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์ที่ผลิตโดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 ทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี สร้างสรรค์และควบคุมการผลิตโดย รุ่งธรรม พุ่มสีนิล", "title": "เกมทศกัณฐ์" } ]
[ { "docid": "232207#0", "text": "แฟมิลีฟิวด์ () เป็นรายการเกมโชว์ที่เกี่ยวกับ แบบสำรวจ 100 คน โดยกำเนิดที่สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันผลิตโดย Fremantlemedia และ Georgia Entertainment Industries จัดจำหน่ายสื่อโดย 20th Television และ Debmar Mercury โดยเริ่มออกอากาศตอนแรกในปี พ.ศ. 2519 จนถึงปัจจุบัน ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ Syndicated (ออกอากาศสถานีท้องถิ่น) ของสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันดำเนินรายการโดยสตีฟ ฮาร์วีย์ ออกแบบรายการโดยมาร์ก กูดสัน และบิลล์ ท็อตแมน และในปี พ.ศ. 2556 รายการได้ถูกจัดให้เป็นเกมโชว์ที่มียอดผู้ชมที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในสหรัฐอเมริกา และได้มีการผลิตของเล่นจำลอง รวมไปถึงวิดีโอเกมในแพลตฟอร์มเครื่องเล่นวิดีโอเกมแบบต่างๆ อีกด้วย", "title": "แฟมิลีฟิวด์" }, { "docid": "213416#5", "text": "วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 19.30 - 20.00 น. วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 19.00 - 19.30 น. วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 18.30 - 19.00 น. วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 18.00 - 18.30 น. ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 19.00 - 20.00 น. มิถุนายน 2555 ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 19.00 - 19.30 น. สิงหาคม - ตุลาคม 2555 ออกอากาศรีรันทางช่องเวิร์คพอยท์ทีวี ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 13.00 - 13.30 น.", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "866082#0", "text": "ทศกัณฐ์ () เป็นละครโทรทัศน์อินเดียที่กล่าวถึงประวัติของพญาทศกัณฐ์ ออกอากาศทางช่อง Zee TV ในอินเดีย ต่อมาสหมงคลฟิล์มได้ซื้อลิขสิทธิ์ แล้วก็นำมาออกอากาศทางช่อง มงคลแชนแนล ในประเทศไทย โดยมีทีมพากย์พันธมิตรใให้เสียงพากย์ภาษาไทย นำแสดงโดย นาเรนดร้า จา, ปาราส ออโรรา รับบทเป็น พญาทศกัณฐ์ ซึ่งละครเรื่องนี้ออกอากาศต่อจากละครโทรทัศน์เรื่อง พระศิวะ ที่อวสานลงไป", "title": "ทศกัณฐ์ (ละครโทรทัศน์)" }, { "docid": "311134#6", "text": "วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เฮลิโคเนีย เอ็นเตอร์เทนเม้นท์และช่องทีบีเอส และบริษัท เดนท์สุ มีเดีย ซื้อลิขสิทธิ์รายการ โหด มัน ฮา มาทำในรูปแบบของไทยซึ่งออกอากาศเทปแรกวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ทางช่อง 7 และช่อง 7 HD โดยมีเงินรางวัลเริ่มต้น 1,000,000 บาท และหากไม่มีผู้เข้าแข่งขันที่สามารถพิชิตปราสาททาเคชิได้ เงินรางวัลจะถูกสะสมอีกสัปดาห์ละ 1,000,000 บาท สูงสุดที่ 35,000,000 บาท สนับสนุนโดยโออิชิ กรีนที แต่หากมีผู้เข้าแข่งขันสามารถพิชิตปราสาททาเคชิได้ เงินรางวัลในสัปดาห์ต่อไปจะกลับมาอยู่ที่ 1,000,000 บาทอีกครั้ง ซึ่งเป็นวิธีการเพิ่มเงินรางวัลแบบเดียวกับรายการพลิกล็อก เกมทศกัณฐ์ และเกาะแก้วพิสดาร ปัจจุบันหมดแคมเปญไปแล้ว ทางรายการแจ้งว่าจะไม่นับสัปดาห์ละ 1,000,000 บาทอีกต่อไป โดยรายการจะตั้งไว้เลยที่ 1,000,000 บาทเสมอตลอดการแข่งขัน และมีการจับแจกเงินรางวัลที่เหลือเป็นเงิน 8,790,000 บาท ซึ่งผู้โชคดีคือ จิรวัฒน์ โพธิ์สวรรค์ คุณครูโรงเรียนวัดคลองตันราษฎร์บำรุง", "title": "โหด มัน ฮา" }, { "docid": "213416#27", "text": "หมวดหมู่:เกมโชว์ไทย หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ไทย หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ในอดีต หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่อง 9-โมเดิร์นไนน์ทีวี หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2546 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่ยุติการออกอากาศในปี พ.ศ. 2551 หมวดหมู่:เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "747187#0", "text": "The Money Drop Thailand เป็นรายการเกมโชว์แนวควิซโชว์ที่ทดสอบความรู้รอบตัวของผู้เข้าแข่งขัน ผ่านคำถามทั้งหมด 7 ข้อ เพื่อรักษาเงินสดที่มีอยู่กลับไปให้ได้มากที่สุด เกมโชว์นี้มีต้นแบบมาจากรายการ \"The Money Drop\" (เดิมใช้ชื่อว่า \"The Million Pound Drop\") ซึ่งผลิตโดยบริษัท Endemol ในประเทศอังกฤษ (ในนาม Endemol Shine Group) และบริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ได้ทำการซื้อลิขสิทธิ์รายการนี้มาผลิตในรูปแบบของประเทศไทย ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ปัจจุบันออกอากาศทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา 17.30 - 18.00 น. (จากเดิม เคยออกอากาศครั้งแรกทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา 18.00 - 18.30 น.) โดยมี วราวุธ เจนธนากุล เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยออกอากาศตอนแรกเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557 และออกอากาศตอนสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ปัจจุบันยุติการออกอากาศแล้ว", "title": "The Money Drop Thailand" }, { "docid": "341850#0", "text": "ลุ้นแล้วรวย เป็นรายการโทรทัศน์ ประเภทเกมโชว์ ออกอากาศระหว่างปี พ.ศ. 2541-2543 ผลิตรายการโดย บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 17.00-18.00 น. ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เป็นรายการเกมโชว์ซึ่งสร้างความฮือฮาในยุคนั้น ด้วยการมีเงินรางวัลแจ็กพอตสูงสุดในประเทศไทยในขณะนั้น คือ 5,000,000 บาท สูงกว่ารายการชิงร้อยชิงล้านที่แจกเงินรางวัลเพียง 1,000,000 บาท แต่รายการลุ้นแล้วรวย ในระยะเวลาที่ออกอากาศมาทั้งหมดไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนใดที่สามารถทำแจ็คพอตเงินรางวัล 5,000,000 บาทเลย และการปรับผังรายการใหม่ของมีเดีย ออฟ มีเดียส์ที่ออกอากาศทางช่อง 9 ในขณะนั้นทำให้รายการนี้ต้องยกเลิกไป หลังจากนั้นก็มีผู้ที่แจกเงินรางวัลมากกว่านี้ คือรายการเกมทศกัณฐ์ ที่ออกอากาศในช่อง 9 เช่นเดียวกันรายการ ลุ้นแล้วรวย มีรูปแบบเป็นการแข่งขันตอบคำถาม โดยจะมีผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านกับดาราแบ่งเป็น 2 ทีม ทีมละ 2 คน ทั้งนี้ ในการแข่งขัน จะมีดาราปรัศนีย์ ซึ่งเปลี่ยนไปทุกสัปดาห์ มาเป็นแขกรับเชิญ ให้ผู้เข้าแข่งขันได้ตอบคำถาม โดยภายหลังจากการเปิดตัวดาราปรัศนีย์ ซึ่งออกมาร้องเพลงแล้ว ก็จะเริ่มเล่นเกมตอบคำถาม โดยจะนำสิ่งของที่ (อาจ) เป็นของรักของหวง หรือของสะสม หรือของที่อยู่ใกล้ตัวดาราปรัศนีย์คนนั้น และจะถามว่าสิ่งของดังกล่าวเป็นของดาราปรัศนีย์คนนั้นหรือไม่ โดยการตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ นั้น ทางรายการจะใช้คำว่า จริงใจ และคำว่า ไก่กา ตามลำดับ คำถามจะมี 3 ข้อ ข้อแรก 1 คะแนน ข้อที่ 2 ได้ 2 คะแนน และข้อที่ 3 ได้ 4 คะแนน หากทีมใดมีคะแนนมากที่สุดจะเข้าไปสู่รอบที่สองในรอบที่สองจะมีพี่โม่งมาเป็นปริศนาแล้วให้ผลัดกันเลือกคำใบ้แล้วให้ตอบว่าพี่โม่งคือใคร ใครตอบถูกจะได้เข้าไปชิงเงินรางวัล 5,000,000 บาททันที", "title": "ลุ้นแล้วรวย" }, { "docid": "865880#1", "text": "ช่องนี้จะออกอากาศรายการทั้งหมดที่ผลิตในเครือสหมงคลฟิล์ม รวมทั้งออกอากาศภาพยนตร์ในเครือบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, มงคลภาพยนตร์, มงคลเมเจอร์ รวมถึงซีรีส์จากประเทศอินเดีย ที่ออกอากาศทางช่อง Zee TV ช่องยักษ์ใหญ่ในอินเดีย ก็ถูกสหมงคลฟิล์มซื้อลิขสิทธิ์นำมาออกอากาศในไทยทั้งสิ้น เช่น พระศิวะ, ทศกัณฐ์, นาคิน เป็นต้น ยกเว้นเพียงเรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก เท่านั้นที่ไม่ได้ออกอากาศช่องนี้ แต่ย้ายไปออกอากาศใน ช่องเวิร์คพอยท์ แทน", "title": "มงคลแชนแนล" }, { "docid": "873980#0", "text": "หนุมาน สงครามมหาเทพ () เป็นละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงสงครามครั้งสำคัญในวรรณกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ รามายณะ ที่กล่าวการยกทัพของพระรามกับพญาทศกัณฐ์ เพื่อชิงเอานางสีดาคืนมา โดยเรื่องนี้จะเน้นตัวละคร หนุมาน เป็นตัวละครหลัก นำแสดงโดย นิรภัย วัทวา, [ กากัน มาลิค]] ออกอากาศทาง ช่ना - कीอง 8 ना - कीออกอากาศ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 น. เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560", "title": "หนุมาน สงครามมหาเทพ" }, { "docid": "865856#0", "text": "นาคิน () เป็นละครโทรทัศน์อินเดียที่ออกอากาศทางช่อง Zee TV ในอินเดีย ต่อมาสหมงคลฟิล์มได้ซื้อลิขสิทธิ์ แล้วก็นำมาออกอากาศทางช่อง มงคลแชนแนล ในประเทศไทย โดยมีทีมพากย์พันธมิตรให้เสียงพากย์ภาษาไทย นำแสดงโดย ซาชิน ชอร์ฟฟ, ซายันตานี โกช ซึ่งละครเรื่องนี้ออกอากาศต่อจากละครโทรทัศน์เรื่อง ทศกัณฐ์ ที่อวสานลงไป", "title": "นาคิน (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2550)" }, { "docid": "146940#0", "text": "เกมทศกัณฐ์ ยกสยาม (เดิมชื่อ เกมทศกัณฐ์ ยกสยาม) เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์ ที่เน้นส่งเสริมให้คนในแต่ละจังหวัดรักบ้านเกิด ส่งเสริมให้เกิดการใช้ความรู้ความสามารถ ที่เกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ในแต่ละจังหวัด ถ่ายทอดผ่านเกมได้อย่างสนุกสนาน เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 18.30 น. ทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี ผลิตโดย บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย ปัญญา นิรันดร์กุล", "title": "ยกสยาม" }, { "docid": "44422#2", "text": "หลังจากที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีช่องรายการฟรีทีวีทางช่องทางดิจิทัลทีวี บริษัท เนค แอนด์ เดอะ ซิตี้ จำกัด จึงเสนอให้ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล​ จำกัด จัดทำรายการเกมวัดดวงขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยปรับพิธีกรใหม่ คือ เกตุเสพสวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา และ พัฒนศักดิ์ เรืองจำเนียร โดยช่วงแรกก่อนกลับมาออกอากาศ รายการได้เปิดการเฟ้นหาคนดวงดีทั่วประเทศในรูปแบบของการแข่งขันแบบซีซัน จากนั้นจึงกลับมาออกอากาศเป็นรายตอนตามปกติ โดยที่รายการเกมวัดดวง เริ่มกลับมาออกอากาศอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 ทางช่อง จีเอ็มเอ็ม 25 และออกอากาศตอนสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558", "title": "เกมวัดดวง" }, { "docid": "213416#23", "text": "ดูบทความเพิ่มที่ ทศกัณฐ์ยกสยาม", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "213416#11", "text": "สำหรับเกมทศกัณฐ์ปางใหม่นั้น กติกาจะเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ใบหน้าที่นำมาทายนั้น จะเป็นภาพวัยเด็กของบุคคลต่าง ๆ ทั้งหมด และเงินรางวัลแจ๊คพอตจะคงอยู่ที่ 10,000,000 บาทตลอดการแข่งขัน", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "41395#9", "text": "มีการวิเคราะห์กันว่า ตัวละครอย่าง ทศกัณฐ์ หรือบรรดายักษ์ในเรื่อง เป็นตัวแทนของชาวทราวิฑหรือทัสยุ ซึ่งเป็นชนชาวผิวดำที่อยู่ทางตอนใต้ของอินเดียในสมัยโบราณ และพระรามและพลพรรคลิงเป็นตัวแทนของชาวอารยัน หรือชาวผิวขาวที่อยู่ทางตอนเหนือ และชาวอารยันก็ได้ทำสงครามชนะชาวทัสยุ ซึ่งต่อมาก็ได้มีการแต่งวรรณกรรมเรื่อง รามายณะขึ้นมาเพื่อยกย่องพวกตนเอง", "title": "ทศกัณฐ์" }, { "docid": "213416#3", "text": "เกมทศกัณฐ์ (1 เมษายน 2546 - 31 มีนาคม 2548) รวม 1 ปี 11 เดือน 30 วัน ทศกัณฐ์ยกทัพ (31 ตุลาคม 2548 - 29 ธันวาคม 2549) รวม 1 ปี 1 เดือน 28 วัน ทศกัณฐ์จำแลง (1 มกราคม 2550 - 15 มิถุนายน 2550) รวม 6 เดือน 14 วัน ทศกัณฐ์ยกสยาม (18 กุมภาพันธ์ 2551 - 25 กุมภาพันธ์ 2553) รวม 2 ปี 7 วัน ยกสยาม ๑๐๐ ข้อ (1 มีนาคม 2553 - 2 มิถุนายน 2553) รวม 3 เดือน 1 วัน ยกสยาม ๑๐ ข้อ (3 มิถุนายน 2553 - 28 กุมภาพันธ์ 2554) รวม 8 เดือน 25 วัน", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "213416#9", "text": "ผู้ที่ชนะจะเป็นแชมป์ และอยู่เล่นเกมต่อในรายการ โดยในแต่ละรอบการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองจะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท ไม่ว่าแพ้หรือชนะ โดยแชมป์จะมีเงินรางวัลพิเศษเพิ่มเติมในทุก ๆ 10 สมัย จะได้รับเงินรางวัลอีก 100,000 บาท (ยกเว้นในสมัยที่ 5 ที่จะได้รับเงินรางวัลพิเศษไปก่อนต่างหาก 50,000 บาท)", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "498681#10", "text": "เกมพยาบาท โดยตามผังของช่องกำหนดออกอากาศวันจันทร์ - อังคาร เริ่ม 10 ตุลาคม ซึ่งเมื่อออกอากาศไปได้ 2 ตอน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงสวรรคต ทำให้ต้องเลื่อนออกอากาศไปอย่างไม่มีกำหนดตามความเหมาะสมของเนื้อหาละคร และจะกลับมาออกอากาศอีกครั้งตั้งแต่ตอนแรกปี พ.ศ. 2560 ทำให้ทางช่องนำ กระถินริมรั้ว มาออกอากาศใหม่อีกครั้งตั้งแต่วันจันทร์ - วันพฤหัสบดี เริ่ม 14 พฤศจิกายน - 10 มกราคม 2560", "title": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8" }, { "docid": "997667#0", "text": "ฮิพสเตอร์ ออร์ ลูเซอร์ (Hipster or Loser) เป็นละครโทรทัศน์แนวComedy-Drama ผลิตโดย บริษัท Bearcave Studio จำกัด, บริษัท ทศกัณฐ์ ฟิล์ม จำกัด กำกับภาพยนตร์ซีรีส์โดย อัศนี กิจเฮงพานิช (เอ็น) ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 - 21.00 น. ทาง LINE TV นำแสดงโดย ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์, เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี, กรวิชญ์ สูงกิจบูลย์, มนสภรณ์ ชาญเฉลิม, พงษ์นิรันดร์ กันตจินดา และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มตอนแรกวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561 - 31 มกราคม พ.ศ. 2562 ต่อจากละครชุด The Deadline", "title": "ฮิพสเตอร์ ออร์ ลูเซอร์" }, { "docid": "213416#7", "text": "หากตอบได้ถูกต้อง ผู้เข้าแข่งขันจะมีคะแนนสะสม หน้าละ 1 คะแนน และเงินรางวัลแจ็คพ๊อตสะสมเพิ่มขึ้น 5,000 บาท หากตอบผิด เกมของผู้เข้าแข่งขันผู้นั้นจะหยุดลง หากผู้เข้าแข่งขันไม่มั่นใจ จะมีสิทธิ์โยนให้ฝ่ายตรงข้าม 1 ครั้ง ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามตอบถูก เกมของผู้ที่โยนจะหยุดลง แต่หากตอบผิด ผู้ที่โยนจะได้เล่นในใบหน้าถัดไป ทั้งนี้ ใบหน้าที่โยนนั้น จะไม่มีผลต่อคะแนนและเงินรางวัลสะสม", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "213416#2", "text": "รายการ เกมทศกัณฐ์ ออกอากาศทาง โมเดิร์นไนน์ ทีวี เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์รายการแรกที่รางวัลแจ๊คพอตที่มีเงินรางวัลสูงสุดถึง 10 ล้านบาทนับถือว่าเป็นรางวัลแจ๊คพอตสูงที่สุดในวงการของรายการเกมโชว์โทรทัศน์ไทยและในเอเชีย (โดยเฉพาะ \"เกมทศกัณฐ์ยกทัพ\" ที่มีรางวัลแจ๊คพอตสูงถึง 30 ล้านบาท) เพียงตอบคำถามใบหน้าของบุคคลที่มีชื่อเสียงสำคัญ ๆ ของคนทั่วทั้งโลก ตอบถูกครบ 10 หน้า รับไปเลยรางวัลแจ๊คพอตสูงที่สุด 10 ล้านบาทและนับตั้งแต่ออกอากาศเกมทศกัณฐ์จนไปถึงยกสยาม เป็นเวลาเกือบ 8 ปีทางรายการได้แจกรางวัลไปทั้งหมดเกือบ 70 ล้านบาท", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "319931#0", "text": "เคาน์ดาวน์ () เป็นรายการเกมโชว์อังกฤษ ผลิตขึ้นโดยไอทีวีสตูดิโอส์ ออกอากาศทางช่องแชนเนลโฟร์ ตั้งแต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1982 รายการมีผู้ดำเนินรายการคือนิค ฮิวเวอร์ มีผู้ช่วยคือราเชล ไรลีย์ และผู้ตรวจสอบคำศัพท์ในพจนานุกรม คือซูซี เดนต์ รายการออกฉายครั้งแรกทางแชนเนลโฟร์ มีรูปแบบซีรีส์ 50 แบบ ตั้งแต่ออกอากาศในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1982 มีทั้งหมดมากกว่า 5,000 ตอน เป็นรายการที่มีการผลิตจำนวนตอนมากที่สุดในสหราชอาณาจักร", "title": "เคาน์ดาวน์ (เกมโชว์)" }, { "docid": "213416#4", "text": "ทศกัณฐ์ ศึกทศกัณฐ์หน้าทอง (1 เมษายน 2548 - 28 ตุลาคม 2548) รวม 9 เดือน 27 วัน ทศกัณฐ์ช่วยครูใต้ (18 มิถุนายน 2550 - 15 กุมภาพันธ์ 2551) รวม 8 เดือน 27 วัน", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "28423#36", "text": "มหากาพย์รามเกียรติ์ ภาค 1 ตอน ทศกัณฐ์ลักนางสีดา, มหากาพย์รามเกียรติ์ ภาค 2 ตอน พระรามครองเมือง ภาพยนตร์ขนาดยาวที่กล่าวถึงรามายณะอย่างละเอียด มหากาพย์ภาพยนตร์ รามเกียรติ์ ภาพยนตร์แอนิเมชันของอินเดียที่กล่าวถึงรามายณะโดยสรุป ทศกัณฐ์ ละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงประวัติของ ทศกัณฐ์ โดยมีเรื่องราวเบื้องหลังอิงมาจากรามายณะเช่นกัน สีดา ราม ศึกรักมหาลงกา ละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงรามายณะเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันกำลังออกอากาศที่ช่อง 8", "title": "รามายณะ" }, { "docid": "134806#45", "text": "นอกจากรายการระเบิดเถิดเทิงแล้ว รายการอื่นๆ ในเครือก็นำรูปแบบของรายการไปทำในรูปแบบต่างๆ เช่น ชิงร้อยชิงล้าน ชะชะช่า 2542 (ใช้ชื่อตอนว่า ระเบิดเถิดเทิง ออกอากาศเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2542),2543 (ใช้ชื่อตอนว่า ระเบิดเถิดเทิง เตลิดเปิดเปิง ออกอากาศเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2543),2544(ใช้ชื่อตอนว่า สามช่า ฮาระเบิดเถิดเทิง ออกอากาศเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2544) ,2546 (ครั้งที่ 1 ในตอน รอยไถ...ใคร ได้นำโดมระเบิดและฉากเจ๊หม่ำมาอยู่ในละครเรื่องนี้ ออกอากาศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2546,ครั้งที่ 2 ใช้ชื่อละครว่า ระเบิดเถิดเทิง ออกอากาศเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2546),2553(ใช้ชื่อตอนว่า นักเลงหัวไม้ กับบ้านไร่เถิดเทิง ออกอากาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553), ว้าว ว้าว ว้าว (ใช้ชื่อตอนว่า ระเบิดเถิดเทิง ฉบับสามช่า ออกอากาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2560) ในช่วงละคร และ 20 ปี แก๊ง 3 ช่า (ใช้ชื่อตอนว่า ฮาระเบิดเถิดเทิง ออกอากาศเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2556 โดยในเทปนี้ได้นำมาทั้งละคร ช่วงลุ้นระเบิด และเกมถอดสลักระเบิด)", "title": "ระเบิดเถิดเทิง" }, { "docid": "877072#0", "text": "รามเกียรติ์ () เป็นละครโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2013 กล่าวถึงสงครามครั้งสำคัญในวรรณกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ รามายณะ ที่กล่าวการยกทัพของพระรามกับพญาทศกัณฐ์ เพื่อชิงเอานางสีดาคืนมา นำแสดงโดย กากัน มาลิค, เนหา ซากัม ออกอากาศทางช่องซีหนัง ออกอากาศทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 19.00 น. เริ่มออกอากาศตอนแรกในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 ปัจจุบันเปลี่ยนเวลาออกอากาศเป็นเวลา 17: 00 น. เริ่มตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป", "title": "รามเกียรติ์ (ละครโทรทัศน์)" }, { "docid": "867241#0", "text": "สีดา ราม ศึกรักมหาลงกา หรือ สีดาราม ศึกรักมหาลงกา () เป็นละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงสงครามครั้งสำคัญในวรรณกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ รามายณะ ที่กล่าวการยกทัพของพระรามกับพญาทศกัณฐ์ เพื่อชิงเอานางสีดาคืนมา นำแสดงโดย อาร์ชิส ชาร์มา, มาดิรักศรี มันเดิล ออกอากาศทาง ช่อง 8 ออกอากาศ ทุกวันเสาร์- อาทิตย์ เวลา 10.00 น. เริ่มออกอากาศตอนแรกในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560", "title": "สีดา ราม ศึกรักมหาลงกา" }, { "docid": "213416#12", "text": "ศึกทศกัณฐ์หน้าทอง คือการแข่งขันของ 10 แชมป์ของเกมทศกัณฐ์ โดยจะแข่งขันแบบพบกันหมด ผู้ที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท และ รางวัลทศกัณฐ์หน้าทองคำ และใครตอบใบหน้าสะสมได้มากที่สุดรับเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท", "title": "เกมทศกัณฐ์" }, { "docid": "41395#5", "text": "ทศกัณฐ์ เป็นยักษ์รูปงาม มีสิบหน้า ยี่สิบกร ทรงมงกุฏชัย ลักษณะปากแสยะ ตาโพลง กายปกติสีเขียว แต่มีนิสัยเจ้าชู้ ตอนที่เกี้ยวพาราสีนางมณโฑได้เนรมิตร่างตนเองให้เป็นสีทอง ", "title": "ทศกัณฐ์" } ]
2489
ตู่สมรสของ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย มีชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "64083#8", "text": "พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ตคือ เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี (วิกตอเรีย อเดเลด แมรี่ หลุยซา) ซึ่งมีพระนามลำลองว่า \"วิกกี้\" ประสูติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2383 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2444 ห้าเดือนหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชชนนี ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระราชกุมารี เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2384 และอภิเษกสมรสในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2401 กับ เจ้าชายฟรีดริช มกุฎราชกุมารแห่งปรัสเซีย (ฟรีดริช วิลเฮล์ม นิโคเลาส์ คาร์ล; 18 ตุลาคม พ.ศ. 2374 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2431 พระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 ซึ่งต่อมาได้สืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งเยอรมนี และครองราชย์ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน พ.ศ. 2431) และมีพระโอรสธิดาจำนวนแปดพระองค์และพระราชนัดดายี่สิบสามพระองค์", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "64083#4", "text": "ในบรรดาพระราชนัดดาทั้งหมดของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ต มีพระราชนัดดาจำนวนสองคู่ที่อภิเษกสมรสกันเองคือ การอภิเษกสมรสในปี พ.ศ. 2431 ระหว่างเจ้าชายไฮน์ริชแห่งปรัสเซีย พระโอรสในเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารีและพระจักรพรรดินีแห่งเยอรมนี กับ เจ้าหญิงไอรีนแห่งเฮสส์และไรน์ พระธิดาในเจ้าหญิงอลิซ และอีกครั้งเป็นการอภิเษกสมรสในปี ในปี พ.ศ. 2437 ระหว่างเจ้าชายแอร์นส์ ลุดวิก แกรนด์ดยุกแห่งเฮสส์และไรน์ พระโอรสในเจ้าหญิงอลิซ กับ เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตาแห่งเอดินบะระ พระธิดาในเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระ (และดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา) พระอนุชาในเจ้าหญิงอลิซ แต่สิ้นสุดด้วยหย่าร้างกันในปี พ.ศ. 2444", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "64083#18", "text": "เจ้าชายเลโอโพลด์มีพระโอรสที่ประสูติหลังจากการสิ้นพระชนม์อีกพระองค์หนึ่งคือ เจ้าชายชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ด ซึ่งได้ทรงสืบทอดพระอิสริยยศเป็นดยุกแห่งอัลบานีเมื่อแรกประสูติในปี พ.ศ. 2427 พระองค์ได้เสวยราชสมบัติเป็นดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายอัลเฟรด พระปิตุลาในปี พ.ศ. 2443 และต้องสละราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2461 รวมทั้งพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ของอังกฤษทั้งหมดในปี พ.ศ. 2462 เนื่องจากทรงอยู่ในฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับประเทศอังกฤษระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เจ้าชายชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ดเป็นพระอัยกาของสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน ผ่านทางพระธิดาคือ เจ้าหญิงซิบิลลาแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา\nเจ้าหญิงเบียทริซ (เบียทริซ แมรี่ วิกตอเรีย ฟีโอดอรา) พระราชธิดาพระองค์ที่ห้าและองค์เล็กในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี ประสูติเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2400 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 ณ โบสถ์เซนต์มิลเดร็ด เมืองวิปปิงแฮม ใกล้ตำหนักออสบอร์น เกาะไว้ท์ กับ เจ้าชายเฮนรีแห่งบัทเทนแบร์ก (เฮนรี มอริส; 5 ตุลาคม พ.ศ. 2401 - 20 มกราคม พ.ศ. 2439 พระโอรสในเจ้าชายอเล็กซานเดอร์แห่งเฮสส์และไรน์) มีพระโอรส 3 พระองค์ พระธิดา 1 พระองค์ (สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียแห่งสเปน) พระภาคิไนย 5 พระองค์ (พระองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์ในพระครรภ์) และพระภาติกา 3 พระองค์ ในฐานะพระราชนัดดาผ่านทางเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก สมเด็จพระราชาธิบดีควน การ์โลสแห่งสเปน จึงเป็นพระราชปนัดดาในเจ้าหญิงเบียทริซ และลื่อในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียอีกด้วยเนื่องจากกระแสต่อต้านเยอรมันในประเทศอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สมาชิกในราชวงศ์บัทเทนแบร์กซึ่งเป็นพลเมืองชาวอังกฤษได้สละพระอิสริยยศ \"เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งบัทเทนแบร์ก\" และเปลี่ยนมาใช้ชื่อราชสกุลที่เป็นรูปแบบภาษาอังกฤษว่า \"เมานต์แบ็ทแตน\"", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "32264#13", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840 ณ โบสถ์หลวงในพระราชวังเซนต์เจมส์ เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะ เจ้าชายพระราชสวามี (Prince Consort) แม้ว่าจะไม่ได้ทรงรับการสถาปนาเป็นทางการจนกระทั่งปีค.ศ. 1857 เจ้าชายมิเคยทรงได้รับบรรดาศักดิขุนนางเลย พระองค์มิทรงเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลสมเด็จพระราชินีนาถอย่างใกล้ชิด แต่ยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเมืองคนสำคัญแทนลอร์ดเมลเบิร์นในฐานะบุคคลสำคัญที่เป็นผู้นำในชีวิตของพระองค์อีกด้วย", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร" } ]
[ { "docid": "64083#6", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ไม่เพียงเป็นพระชนนีในพระราชนัดดาพระองค์แรกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียคือ สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี เท่านั้น แต่ยังเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ในพระราชปนัดดาพระองค์แรกด้วยคือ \"เจ้าหญิงฟีโอดอราแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน\" (19 พฤษภาคม พ.ศ. 2422 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2488) พระธิดาองค์เดียวในเจ้าหญิงชาร์ล็อตแห่งปรัสเซีย (พระราชนัดดา (หญิง) พระองค์แรกในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) และในพระราชปนัดดาหญิงพระองค์สุดท้ายที่สิ้นพระชนม์คือ เลดี้ แคทเธอรีน แบรนด์แรม (พระอิสริยยศเดิมคือ \"เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งกรีซและเดนมาร์ก\"; 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2456 - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550) พระธิดาพระองค์สุดท้ายในเจ้าหญิงโซฟีแห่งปรัสเซีย (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ) พระขนิษฐาในเจ้าหญิงชาร์ล็อต หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ในปี พ.ศ. 2550 ขณะมีพระชันษา 94 ปี พระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งยังทรงพระชนม์เป็นพระองค์สุดท้ายคือ เคานต์ คาร์ล โยฮัน เบอร์นาด็อตแห่งวิสบอร์ก (พระอิสริยยศเดิมคือ \"เจ้าชายคาร์ล โยฮันแห่งสวีเดน ดยุกแห่งดาลาร์นา\"; 31 ตุลาคม พ.ศ. 2459 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555) ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์สุดท้ายในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งคอนน็อต พระธิดาในเจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อต พระราชโอรสพระองค์ที่สามในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทั้งนี้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษา 95 ปี สายพระโลหิตรุ่นพระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2422 (ปีประสูติของเจ้าหญิงฟีโอดอราแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน) จึงได้สิ้นสุดลงตามไปด้วย", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "63808#6", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมีพระประสงค์จะให้พระราชนัดดาทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสกัน พระชนนีของเจ้าหญิงทรงกระตือรือร้นกับการอภิเษกอันเหมาะสมนี้อยู่ไม่น้อย เนื่องจากพระชนนีในพระองค์เองทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งเฮ็สเซินเช่นกัน แต่กระนั้นทั้งเจ้าหญิงวิกตอเรียและเจ้าชายแอร์นส์ไม่ได้ทรงเต็มใจจะอภิเษกสมรสกัน เจ้าหญิงได้ทรงพบกับแกรนด์ดยุกคิริลอีกครั้งที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและทรงหมั้นหมายกันอย่างลับๆ", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา แห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา" }, { "docid": "32264#42", "text": "เจ้าชายแห่งเวลส์ พระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงสืบราชสมบัติเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 การเสด็จสวรรคตของพระองค์ทำให้การปกครองของราชวงศ์ฮันโนเฟอร์สิ้นสุดลงในสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ส่วนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ทรงอยู่ในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ซึ่งสืบทอดมาจากพระชนกคือ เจ้าชายอัลเบิร์ต\"ดูเพิ่มเติมที่ พระราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย\"", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "45565#0", "text": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน (; ; \"พระนามเต็ม\" วิกตอเรีย อิงกริด อลิซ เดซิเร; 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 — ) เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งในราชบัลลังก์สวีเดน หากเมื่อเสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์ พระองค์จะทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถลำดับที่สี่ของประเทศ (ต่อจาก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 1 สมเด็จพระราชินีนาถคริสตินา และสมเด็จพระราชินีนาถอุลริคา เอเลโอนอรา) ทั้งนี้พระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นพระญาติใน เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก กับ เจ้าชายเปาโลส มกุฎราชกุมารแห่งกรีซ", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน" }, { "docid": "63808#5", "text": "หลังจากที่เจ้าหญิงมารี พระภคินีได้อภิเษกสมรสไปกับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์แห่งโรมาเนีย การเสาะหาพระสวามีที่เหมาะสมให้กับเจ้าหญิงวิกตอเรียก็ได้เริ่มขึ้น สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงสังเกตเห็นว่าเจ้าหญิงทรงเข้าได้ดีกับเจ้าชายแอร์นส์ ลุดวิกแห่งเฮ็สเซินและไรน์ พระญาติทางฝ่ายพระชนก รัชทายาทในบัลลังก์รัฐแกรนด์ดยุกแห่งเฮ็สเซิน พระโอรสในเจ้าฟ้าหญิงอลิซ แกรนด์ดัชเชสพระชายาแห่งเฮ็สเซิน พระราชธิดาพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย", "title": "เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา แห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา" }, { "docid": "86294#12", "text": "หลังจากการเริ่มต้นที่ไม่เป็นมงคลของการดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสเปน พระองค์ทรงโดดเดี่ยวจากพสกนิกรชาวสเปนและไม่เป็นที่นิยมชมชอบในประเทศใหม่ของพระองค์ แต่ชีวิตการสมรสของพระองค์ก็พัฒนาขึ้นเมื่อทรงมีประสูติกาลพระโอรสและรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์คือ เจ้าชายอัลฟอนโซ อย่างไรก็ตาม ขณะที่เจ้าชายน้อยกำลังทรงรับการขลิบอวัยวะเพศนั้น เหล่าแพทย์ได้สังเกตว่าพระโลหิตไม่หยุดไหล อันเป็นสัญญาณแรกที่เจ้าชายรัชทายาททรงเป็นโรคฮีโมฟีเลีย พระราชินีทรงเป็นต้นตอของสาเหตุอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทรงถ่ายทอดไปยังพระโอรสองค์ใหญ่และองค์เล็ก ทั้งนี้แตกต่างจากการตอบสนองของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซีย ซึ่งพระราชโอรสและรัชทายาทในราชบัลลังก์อันประสูติแต่พระราชนัดดาอีกพระองค์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงได้รับความทุกข์ทรมานที่คล้ายคลึงกัน สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟอนโซมิเคยพระราชทานอภัยโทษแก่พระราชินีเอนาหรือทรงตระหนักถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแม้แต่น้อยเลย แม้กระนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟอนโซที่ 13 และสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียมีพระราชโอรสและธิดาเจ็ดพระองค์ พระราชโอรสห้าพระองค์และพระราชธิดาสองพระองค์ พระธิดาทั้งสองพระองค์มิได้ทรงเป็นพาหะของโรคเฮโมฟีเลีย", "title": "วิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน" }, { "docid": "64083#17", "text": "เจ้าหญิงอลิซแห่งอัลบานี พระธิดาในเจ้าชายเลโอโพลด์ (และเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) อภิเษกสมรสในปี พ.ศ. 2447 กับ เจ้าชายอเล็กซานเดอร์แห่งเท็ค พระอนุชาในสมเด็จพระราชินีแมรี่ และดำรงพระอิสริยยศเป็น เคานเตสแห่งแอธโลน เมื่อพระสวามีทรงได้รับการสถาปนาเป็นเอิร์ลแห่งแอธโลนในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2460 พระองค์เป็นพระราชนัดดาที่ดำรงพระชนม์ชีพเป็นพระองค์สุดท้ายในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (97 พรรษา) นอกจากนี้เจ้าหญิงยังทรงเป็นพาหะของโรคฮีโมฟิเลีย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากพระบิดาและส่งผ่านไปยังพระโอรสสองพระองค์", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" } ]
4009
เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด ?
[ { "docid": "230186#0", "text": "บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (เดิม: บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด) เป็นบริษัทที่ดำเนินการผลิต ละคร เกมโชว์ วาไรตี้ ให้กับช่องวัน และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท วัน สามสิบเอ็ด จำกัด ผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการดิจิทัลทีวีช่องวันในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จาก กสทช. ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ในชื่อ บริษัท จีเอ็มเอ็มวัน ทีวี เทรดดิง จำกัด โดยจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และ กลุ่มของนายถกลเกียรติ วีรวรรณ ประกอบไปด้วย ถกลเกียรติ วีรวรรณ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด และบริษัท วัน ทำ ดี จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 51% ต่อ 49% ด้วยทุนจดทะเบียน 900,000,000 บาท ภายหลังได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,275,000,000 บาท และได้บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด บริษัทในกลุ่มปราสาททองโอสถ ของ ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ มาร่วมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 3,810,000,000 บาท", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" } ]
[ { "docid": "530029#3", "text": "และครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2562 ทางช่องวัน เตรียมนำกลับมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์อีกครั้ง สร้างโดยบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด อยู่ในระหว่างการเตรียมงาน", "title": "บ้านสอยดาว" }, { "docid": "5152#20", "text": "หมวดหมู่:เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ หมวดหมู่:ละครโทรทัศน์ไทย หมวดหมู่:ซิตคอมไทย หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่องวัน หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2559", "title": "1" }, { "docid": "280834#5", "text": "หลังการประมูล จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ก่อตั้ง บริษัท จีเอ็มเอ็มวัน ทีวี เทรดดิ้ง จำกัด โดยบริษัทถือหุ้นจดทะเบียน 100% หลังก่อตั้ง บริษัทฯ ได้แยก เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ และมีมิติ ออกจากจีเอ็มเอ็ม มีเดีย และรวมเข้ากับ จีเอ็มเอ็มวัน ทีวี เทรดดิ้ง ภายหลังบริษัทนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ใน พ.ศ. 2559", "title": "รายชื่อกลุ่มบริษัทและธุรกิจในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "823616#0", "text": "ทาสรักทระนง เป็นละครโทรทัศน์ประเภทละครชุด ผลิตโดย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด อำนวยการผลิตโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ นิพนธ์ ผิวเณร เป็นรีบูตของละครเรื่อง คนละขอบฟ้า เมื่อปี พ.ศ. 2559 มีตอนย่อยซึ่งเป็นภาคต่อเนื่องของละคร คนละขอบฟ้า เมื่อ พ.ศ. 2530 ", "title": "ทาสรักทระนง" }, { "docid": "837744#0", "text": "นั่งติดผี The Shock on TV เป็นรายการที่นำเสนอในเรื่องราวของสิ่งเหนือธรรมชาติ ผี วิญญาณ และเรื่องราวชีวิตก่อนและหลังความตาย ผลิตรายการโดย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด", "title": "นั่งติดผี The Shock on TV" }, { "docid": "230186#8", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ของเอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่องวัน เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ถกลเกียรติ วีรวรรณ เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "906752#0", "text": "บ้านสราญแลนด์ เป็นละครโทรทัศน์ประเภทซิตคอม (Situation Comedy) สร้างโดย เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ เป็นเรื่องราวความอลวนของ 4 ครอบครัวพร้อมก๊วนเพื่อนบ้านตัวจี๊ดที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ชื่อว่า \"บ้านสราญแลนด์\" ออกอากาศทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี หลัง ยุทธจักรนักร้อง ทางช่องวัน เวลา 19.00 - 19.55 น. เริ่มออกอากาศตอนแรกในวันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561 ", "title": "บ้านสราญแลนด์" }, { "docid": "247245#0", "text": "สิรีภรณ์ ยุกตะทัต (ชื่อเล่น: แอริน; เกิด: 22 มิถุนายน พ.ศ. 2532) เป็นนักแสดงหญิงชาวไทย และเป็นนักแสดงของค่าย เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ", "title": "สิรีภรณ์ ยุกตะทัต" }, { "docid": "280834#7", "text": "บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โดย ซีเนริโอ เป็นหนึ่งในผู้ผลิตละครเวทีชั้นนำของประเทศไทย โดยบริษัทฯ เป็นผู้บริหารโรงละครบอรดเวย์ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ร่วมกับเมืองไทยประกันชีวิต และธนาคารไทยพาณิชย์ และยังเป็นผู้พัฒนาละครเวทีหลากหลายเรื่องดังนี้บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โดย บริษัท แอ็กซ์ สตูดิโอ จำกัด เป็นผู้บริหารสตูดิโอถ่ายทำรายการโทรทัศน์ขนาดใหญ่ในตำบลบางคูวัด อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ภายใต้ชื่อ แอ็กซ์ สตูดิโอ ปัจจุบันสตูดิโอดังกล่าวเป็นสตูดิโอถ่ายทำรายการหลักของทั้งช่องวัน 31 และ จีเอ็มเอ็ม 25", "title": "รายชื่อกลุ่มบริษัทและธุรกิจในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "834169#0", "text": "รายการ ศึกวันดวลเพลง เสาร์ ๕ ฤดูกาลที่ 1 เป็นรายการเกมโชว์การแข่งขันเพลงลูกทุ่ง โดยออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 18.20 - 20.20 น.ทาง ช่องวัน เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2560 ผลิตโดย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด และ บริษัท มีมิติ จำกัด ผู้ดำเนินรายการ ภคชนก์ โวอ่อนศรี (แฟรงค์)", "title": "ศึกวันดวลเพลง เสาร์ ๕ ฤดูกาลที่ 1" }, { "docid": "624877#0", "text": "เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ (2 เมษายน พ.ศ. 2535) ชื่อเล่น เจษ เป็นนักแสดงชาวไทยจากค่าย เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ (เดิม: เอ็กแซ็กท์) ในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีชื่อเสียงจากรับบท พ่อเทพจากละคร \"เรือนเสน่หา\", สุธาวีจากละคร \"จ้าวพายุ\", คิวจากละคร \"สงครามนางงาม\", ศตายุจาก ละคร \"เล่ห์รตี\", ปานเทพจาก ละคร \"บัลลังก์เมฆ\", เชษฐาจาก ละคร \"พิษสวาท\"", "title": "เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์" }, { "docid": "894934#0", "text": "รายการ ศึกวันดวลเพลง เสาร์ ๕ โดยออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 18.20 - 20.20 น.ทาง ช่องวัน เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2560 ผลิตโดย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด และ บริษัท มีมิติ จำกัด ผู้ดำเนินรายการ ภคชนก์ โวอ่อนศรี (แฟรงค์)", "title": "ศึกวันดวลเพลง เสาร์ ๕" }, { "docid": "964721#0", "text": "วิมานจอเงิน เป็นละครโทรทัศน์แนวเมโลดราม่า ผลิตโดย เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ และ อันดา อดัมส์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (Anda Adams Enterprise) กำกับการแสดงโดย อรรถพร ธีมากร นำแสดงโดย ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง, คัทลียา แมคอินทอช, สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์, เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์, นัตยา ทองเสน, ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์, ชลวิทย์ มีทองคำ, ชิตณรงค์ วิเศษสมภาคย์ ออกอากาศทุก วันจันทร์ - วันอังคาร เวลา 20.10 - 21.30 น. และวันพุธ - วันพฤหัสบดี เวลา 20.10 - 21.20 น. ทางช่องวัน และออกอากาศย้อนหลังเวลา 22.00 น. ทางแอปพลิเคชันไลน์ทีวี เริ่มตอนแรกวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561 – 18 กันยายน พ.ศ. 2561 ต่อจากเรื่องบางกอกนฤมิต", "title": "วิมานจอเงิน" }, { "docid": "969192#23", "text": "หมวดหมู่:เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ หมวดหมู่:จีดีเอช ห้าห้าเก้า หมวดหมู่:ละครโทรทัศน์ไทย หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่องวัน หมวดหมู่:ละครที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2561 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2561 หมวดหมู่:ละครโทรทัศน์ไทยที่ออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2561 หมวดหมู่:ละครแนวครอบครัว", "title": "เลือดข้นคนจาง" }, { "docid": "848564#0", "text": "ท็อป เชฟ ไทยแลนด์ หรือ Top Chef Thailand เป็นรายการโทรทัศน์ประเภทเรียลลิตีเกมโชว์แข่งขันทำอาหาร ที่ผลิตโดยบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด และ บริษัท มีมิติ จำกัด เริ่มออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560 โดยออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 20.20 น. - 21.50 น. ทางช่องวัน (ช่องโทรทัศน์ระบบดิจิตอลหมายเลข 31) ดำเนินรายการโดย แบม-ปิติภัทร คูตระกูล", "title": "ท็อปเชฟไทยแลนด์" }, { "docid": "230186#1", "text": "ในยุคเริ่มแรก ถกลเกียรติ วีรวรรณ หนึ่งในกรรมการบริษัทของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ก่อตั้ง บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และควบตำแหน่งทั้งเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ ผู้กำกับ และผู้จัดการทั่วไป โดยรับจ้างผลิตละคร เกมโชว์ ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ เพื่อป้อนลงสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ซึ่งเริ่มจัดตั้งบริษัทในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 และเริ่มออกอากาศละครซิตคอม เรื่อง \"3 หนุ่ม 3 มุม\" เป็นรายการแรกของบริษัท ต่อมา ในปี พ.ศ. 2535 ได้สร้างละครดราม่าเรื่องแรกของบริษัทเรื่อง รักในรอยแค้น และในปี พ.ศ. 2546 ถกลเกียรติ ได้ก่อตั้ง บริษัท ซีเนริโอ จำกัด โดยถือหุ้นเอง 75% และให้จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ถือหุ้น 25% โดยมีจุดประสงค์เดียวกับเอ็กแซ็กท์ คือเป็นบริษัทที่ดำเนินการผลิต ละคร เกมโชว์ วาไรตี้ และละครเวที เพื่อป้อนลงช่องต่าง ๆ ตลอดมา", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "821433#0", "text": "เราเกิดในรัชกาลที่ ๙ เดอะซีรีส์ เป็นละครพิเศษเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งในปี พ.ศ. 2559 ละครซีรีส์ชุด \"เราเกิดในรัชกาลที่ ๙\" นั้นสร้างเป็นละครเพื่อเป็นการแสดงความความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรของสถานีโทรทัศน์ช่องวัน ผลิตโดย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด", "title": "เราเกิดในรัชกาลที่ ๙ เดอะซีรีส์" }, { "docid": "230186#3", "text": "ข้อมูล ณ วันที่ 17 เมษายน 2560 [1]", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "851262#0", "text": "หาคู่ DUET เป็นการประกวดร้องเพลงในแนวเรียลลิตี้สร้างฝันครั้งแรกในประเทศไทย ที่คนธรรมดาได้ Duet กับศิลปินขั้นเทพ ซึ่งผู้ชนะจะได้ออก Single ใหม่ร่วมกับ 4 นักร้อง จัดทำครั้งแรกโดยเดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ออกฉายครั้งแรกทางช่องวัน ", "title": "หาคู่ DUET" }, { "docid": "289604#7", "text": "ปี พ.ศ. 2554 รุ่งธรรมได้ร่วมทุนกับบริษัท จีเอ็มเอ็ม วัน ทีวี จำกัด ก่อตั้ง บริษัท มีมิติ จำกัด ขึ้น มีจุดประสงค์ที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับวงการโทรทัศน์ไทย โดยเฉพาะรายการประเภทเกมโชว์ ควิซโชว์ และเรียลลิตี้ ปัจจุบัน มีมิติ เป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด", "title": "รุ่งธรรม พุ่มสีนิล" }, { "docid": "990408#0", "text": "หน้ากากแก้ว เป็นละครโทรทัศน์แนว โมเดิร์นดราม่า-ทริลเลอร์ ผลิตโดยบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ร่วมกับ วอนจิน สถาบันเสริมความงามจากประเทศเกาหลี สร้างจากเค้าโครงเรื่องโดย นิพนธ์ ผิวเณร, ศกุนกานต์ เวชชาชีวะ, วรรณพัทธ ตระกูลทอง ออกอากาศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2561 ทางช่องวัน หน้ากากแก้วออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20.45 น. และวันเสาร์ เวลา 20.10 น.", "title": "หน้ากากแก้ว (ละครโทรทัศน์)" }, { "docid": "929861#0", "text": "นรภัทร วิไลพันธุ์ ชื่อเล่น ไบร์ท เป็น นักแสดงชาวไทย สังกัด เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ผลงานเด่นที่ทำให้เป็นที่รู้จักก็คือ ชิตตะวัน จากละครเรื่อง ดอกแก้วกาหลง ไบร์ทยังจัดว่าเป็นน้องใหม่ของวงการบันเทิง เนื่องจากเพิ่งเริ่มมีผลงานละครได้ไม่นาน", "title": "นรภัทร วิไลพันธุ์" }, { "docid": "821057#0", "text": "นางสาวไม่จำกัดนามสกุล เป็นละครโทรทัศน์แนวโรแมนติก คอเมดี้ ดราม่า โดย เอ็กแซ็กท์ (เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ในปัจจุบัน) ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์แล้ว 2 ครั้ง ", "title": "นางสาวไม่จำกัดนามสกุล" }, { "docid": "280834#3", "text": "บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด เป็นบริษัทบริหารสถานีโทรทัศน์ ผลิตสื่อ และบริหารนักแสดง บริหารงานโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ และมี บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท", "title": "รายชื่อกลุ่มบริษัทและธุรกิจในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "966393#0", "text": "บาปรัก เป็นละครโทรทัศน์แนวดราม่า โดย เอ็กแซ็กท์ (เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ในปัจจุบัน) เค้าโครงเรื่องโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ, กษิดินทร์ แสงวงศ์ เป็นเรื่องราวความรักบนความไม่ถูกต้องของคนสามคน โดยมีแกนกลางเป็นหญิงสาววัยกลางคนที่เป็นทั้งผู้ถูกกระทำและผู้กระทำ ถูกนำมาสร้างเป็นละครครั้งแรกทางช่อง 5 และครั้งที่สองทางช่องวัน ", "title": "บาปรัก" }, { "docid": "230186#9", "text": "หมวดหมู่:เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ หมวดหมู่:บริษัทของไทย หมวดหมู่:จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ หมวดหมู่:ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ หมวดหมู่:บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2534", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "15249#39", "text": "ดูเพิ่มเติมที่ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์", "title": "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "45027#0", "text": "เป็นต่อ เป็นละครโทรทัศน์ประเภทซิตคอม ผลิตโดย เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ และ ซีเนริโอ อำนวยการผลิตโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ", "title": "เป็นต่อ" }, { "docid": "230186#2", "text": "หลังจากก่อตั้ง เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ นายถกลเกียรติ ได้รวม เอ็กแซ็กท์ และ ซีเนริโอ เข้ามาเป็นบริษัทเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการบริหาร และภายหลังจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ได้รวมเอา บริษัท มีมิติ จำกัด เข้า เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ เพื่อร่วมผลิตเกมโชว์ลงช่องวันและจีเอ็มเอ็ม 25 และเพื่อเพิ่มความสะดวกในการบริหารให้เป็นหนึ่งเดียว", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" } ]
1669
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?
[ { "docid": "95689#1", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1909 โดยกลุ่มคนหนุ่มที่ไม่พอใจในสโมสรฟุตบอล Trinity Youth ของโบสถ์ประจำเมือง ชื่อ \"โบรุสเซีย\" (Borussia) นั้นมาจากภาษาละตินที่หมายถึงปรัสเซีย ช่วงแรกทีมใช้ชุดสีฟ้าขาว ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้สีเหลืองดำใน ค.ศ. 1913", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" } ]
[ { "docid": "95689#16", "text": "ชนะเลิศ (4): 1964–65, 1988–89, 2011–12, 2016–17", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#29", "text": "รองชนะเลิศ (2): 1992–93, 2001–02", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "461935#0", "text": "เซบัสทีอัน วัลเทอร์ เคล () เกิดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1980 เป็นนักฟุตบอลชาวเยอรมัน ปัจจุบันเล่นให้กับโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ในบุนเดิสลีกา ลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศเยอรมนี โดยเล่นในตำแหน่งกองกลางแบบแนวรับ และเคลยังเป็นกัปตันทีมของโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์คนปัจจุบัน", "title": "เซบัสทีอัน เคล" }, { "docid": "95689#5", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์เป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกและแห่งเดียวของเยอรมนีที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่หลังจากแพ้ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ ปี 2002 สโมสรก็ประสบปัญหาทางการเงิน จนต้องขายสนามเว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน โดยทีมใช้วิธีเช่าสนามจากเจ้าของใหม่ ซึ่งเปลี่ยนชื่อสนามเป็น ซิกนาลอีดูนาพาร์ค สโมสรเริ่มตกต่ำในบุนเดสลีกาฤดูกาล 2005-06 ก่อนจบด้วยอันดับ 7 ในฤดูกาลถัดมาคือ 2006-2007 สโมสรต้องเผชิญสถานกาณ์หนีตกชั้นครั้งแรกในรอบหลายปี ได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมถึงสามครั้งก่อนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 10", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#23", "text": "โอเบอร์ลีกาเวสต์", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#18", "text": "เดเอฟอัลซูเปอร์คัพ", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#0", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ (German: Borussia Dortmund; ชื่อจัดตั้ง Ballspielverein Borussia 09 e.V. Dortmund) ย่อว่า เบเฟาเบ (BVB) หรือ ดอร์ทมุนท์ (Dortmund) เป็นสโมสรฟุตบอลจากเมืองดอร์ทมุนท์ รัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน ประเทศเยอรมนี ปัจจุบันเล่นอยู่ในบุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของประเทศ", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#21", "text": "เดเอฟเบลีกาโพคาล", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#27", "text": "ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "486440#0", "text": "โรมัน ไวเดินเฟ็ลเลอร์ (; เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1980) เป็นนักฟุตบอลชาวเยอรมัน ปัจจุบันเล่นให้กับโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ในบุนเดสลีกา ตำแหน่งผู้รักษาประตู และได้รับตำแหน่งรองกัปตันทีมคนปัจจุบันของโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์อีกด้วย", "title": "โรมัน ไวเดินเฟ็ลเลอร์" }, { "docid": "95689#12", "text": "บุนเดสลีกา", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "486446#0", "text": "เว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน () หรือชื่ออย่างเป็นทางการในปัจจุบัน (ตามชื่อผู้สนับสนุน) คือ ซิกนาลอีดูนาพาร์ค () เป็นสนามฟุตบอลในเมืองดอร์ทมุนท์ รัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน ประเทศเยอรมนี เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ซึ่งเล่นในลีกบุนเดสลีกาของเยอรมนี สนามมีขนาด 105 × 68 เมตร ปัจจุบันมีความจุ 81,360 ที่นั่ง", "title": "เว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน" }, { "docid": "95689#15", "text": "เดเอฟเบโพคาล", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#34", "text": "หมวดหมู่:สโมสรฟุตบอลในประเทศเยอรมนี หมวดหมู่:สโมสรกีฬาที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2452 หมวดหมู่:รัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลิน", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#22", "text": "รองชนะเลิศ (1): 2003", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#3", "text": "เมื่อสมาพันธ์ฟุตบอลเยอรมนี ก่อตั้งบุนเดสลีกาเป็นลีกสูงสุด สโมสรได้รับการเสนอชื่อให้ร่วมแข่งขัน และนักเตะของสโมสรคือ Timo Konietzka ได้เป็นนักฟุตบอลที่ยิงประตูในบุนเดสลีกาเป็นคนแรก ในเกมที่แพ้ 2:3 ต่อแวร์เดอร์ เบรเมน", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#20", "text": "รองชนะเลิศ (3): 2011, 2012, 2016", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#26", "text": "ชนะเลิศ (1): 1996–97 'รองชนะเลิศ (1): 2012–13", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#9", "text": "As of 31 สิงหาคม ค.ศ. 2018[2][3][4]", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#30", "text": "ยูฟ่าซูเปอร์คัพ", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#31", "text": "รองชนะเลิศ (1): 1997", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#33", "text": "ชนะเลิศ (1): 1997", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#28", "text": "ชนะเลิศ (1): 1965–66", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#25", "text": "ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "39227#1", "text": "ดอร์ทมุนท์เป็นบ้านของสโมสรฟุตบอลโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ (BVB 09) ซึ่งเตะในสนาม Signal Iduna Park (ชื่อเดิมคือ Westfalenstadion) ซึ่งเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1974 ปัจจุบันเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี จุผู้ชมได้ 82,932 คน เคยใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1974 และ ฟุตบอลโลก 2006", "title": "ดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#32", "text": "ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#19", "text": "ชนะเลิศ (6): 1989, 1995, 1996, 2008, 2013, 2014", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#8", "text": "1974–1976: เมืองดอร์ทมุนท์ 1976–1978: Samson (ยาสูบ) 1978–1980: Prestolith (สีและกำจัดสารเคลือบเงา) 1980–1983: UHU (กาว) 1983–1986: Artic (ไอศกรีม) 1986–1997: Die Continentale (การประกันสุขภาพ) 1997–1999: s.Oliver (เครื่องแต่งกาย) 1999–2005: E.ON (พลังงาน) 2006–ปัจจุบัน: Evonik (สารเคมีพลังงานและอสังหาริมทรัพย์)", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#6", "text": "ในปี 2011 โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาภายใต้การนำของเยือร์เกิน คล็อพ ซึ่งทำให้สาวกแฟนเสือเหลือง โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ จำนวนกว่า 500,000 คน ออกมาร่วมเฉลิมฉลองตำแหน่งแชมป์บุนเดสลีกา หรือแชมป์ลีกฟุตบอลเยอรมัน ฤดูกาล 2010 - 2011 กับบรรดานักเตะและ เยือร์เกิน ค็ลอพ เฮดโคชที่นำความสำเร็จมาสู่ทีมหลังต้องรอคอยมาอย่างยาวนานกว่า 9 ปี ในปี 2011-2012 โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถป้องกันแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จพร้อมทั่งทุบสถิติเป็นทีมที่เก็บแต้มสูงสุดในฤดูกาลเดียวของลีกเมืองเบียร์ 81 คะแนน ทำลายสถิติเดิม 79 แต้มที่ บาเยิร์น มิวนิค ทำไว้ในฤดูกาล 1971-1972 (คิดเทียบแบบผู้ชนะได้ 3 แต้มเช่นเดียวกับปัจจุบัน) และเท่านั่นยังไม่พอโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถคว้าแชมป์เดเอฟเบโพคาล หลังจากที่สามารถเอาชนะบาเยิร์น มิวนิค ไปด้วยสกอร์ 5-2 คว้าดับเบิ้ลแชมป์ไปในที่สุด หลังจากนั่นโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ต้องใช้เวลากว่า 5 ปีในการที่จะกลับมาคว้าแชมป์อีก โดยเป้นการคว้าแชมป์ เดเอฟเบโพคาล ปี 2017 โดยการเอาชนะ ไอน์ทรัคท์ แฟรงค์เฟิร์ต 2–1 นับเป็นแชมป์ครั้งแรกในรอบ 5 ปี และเป็นการชนะในนัดชิงได้ หลังจากที่เคยเข้าชิงมาสามครั้งติดต่อกันก่อนหน้านั่นในปี 2013–14, 2014–15, 2015–16", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" } ]
3436
ไลท์นิง เป็นตัวเกมส์ชายหรือหญิง ?
[ { "docid": "909718#8", "text": "ตรงกันข้ามกับเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี อื่น ๆ ที่จะมีการสร้างตัวละครหลังจากที่บทเกมเขียนเสร็จ โทริยามะได้คิดบุคลิกภาพและอุปนิสัยของไลท์นิงเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว[3] ไลท์นิงเป็นคนที่เย็นชาและชอบทะเลาะกับสโนว์อยู่บ่อยครั้งเนื่องจากเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน[30] โนมูระกล่าวว่าไลท์นิงมี \"องค์ประกอบที่ลึกลับเกี่ยวกับตัวเธอ\"[32] เดิมทีนั้นเธอมีบุคลิกดั่งผู้หญิงเจ้าชู้ที่ชอบเกี้ยวพาราสีผู้ชาย แต่ภายหลังบุคลิกแบบนี้ได้ย้ายไปยัง โอร์บายูน ฟังก์ แทนเมื่อฟังก์ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากเพศชายเป็นเพศหญิง[33] สำหรับภาค ไลท์นิงรีเทิร์น ผู้ผลิตเกมมีความเห็นว่าอยากจะนำเสนอด้านดีของไลท์นิงบ้างเพื่อให้มีความแปลกใหม่และตรงข้ามกับบุคลิกของเธอในภาคก่อน หนึ่งในจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ ไลท์นิงนั้นเป็นตัวละครที่สูญเสียหลายสิ่งในชีวิต จึงทำให้จิตใจของเธอเปราะบาง[34] ผู้ออกแบบ ยุจิ อะเบะ กล่าวเสริมว่า เนื่องจากความสูญเสียและจิตใจอันเปราะบางของเธอ ทำให้ไลท์นิงค้นพบด้านมืด จึงเมินเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ รอบกายเธอโดยปริยาย และทำให้เธอ \"เหมือนกับหุ่นเชิดที่ไม่มีตัวตนของตัวเองอยู่ภายใน\" นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่าบุคลิกแบบนี้แสดงถึง \"ความอ่อนแอที่เธอมีและเป็นจุดสำคัญที่เธอต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง\"[35] ซึ่ง โยะชิโนะริ คิตะเซะ เป็นผู้ริเริ่มความคิดให้ไลท์นิงพัฒนาตนเองจากข้อเสียเหล่านี้เนื่องจากเขากังวลว่าความเย็นชาของเธอที่สุดโด่งนั้นจะทำให้ผู้เล่นไม่สามารถรู้สึกเป็นมิตรกับเธอ[36]", "title": "ไลท์นิง" } ]
[ { "docid": "909718#16", "text": "ไลท์นิงปรากฏตัวอีกครั้งในเกม ไฟนอลแฟนตาซี XIV อะเรียลม์รีบอร์น ในขณะที่เธอกำลังอยู่ในร่างคริสตัลจากภาค XIII-2 และ ไลท์นิงรีเทิร์น ไลท์นิงและเหล่ามอนสเตอร์จากโลกของเธอปรากฏตัวในดินแดนที่เรียกว่าเออร์เซอา (Eorzea)[72] มีคำใบ้ว่าเธอถูกส่งไปยังที่นั่นโดยบูนนิเวลซ์เพราะเขาอยากขัดเกลาความสามารถในการต่อสู้ของเธอในภายภาคหน้า[73] หลังจากที่เหตุการณ์สิ้นสุดลง ไลท์นิงกล่าวกับผู้เล่นเป็นครั้งสุดท้ายว่าเธอรู้สึกขอบคุณมากสำหรับเวลาที่พวกเขาใช้ไปกับเธอในดินแดนเออร์เซอา ในขณะที่เธอกำลังจะกลับโลกที่เธอจากมา เธอยังได้ขอให้ผู้เล่นจดจำเรื่องราวในโลกของเธอด้วย[74] ผู้เล่นที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้จะได้รับอุปกรณ์และชุดจากภาค XIII[75] นอกจากนี้ ไลท์นิงยังปรากฏตัวเป็นพันธมิตรใน เวิลด์ออฟไฟนอลแฟนตาซี เช่นกันโดยใส่ชุดจากภาค ไลท์นิงรีเทิร์น[76] และได้มีส่วนร่วมในเกมโทรศัพท์มือถือ โมบิอัส ไฟนอลแฟนตาซี ทั้งในฉบับภาษาญี่ปุ่นและภาษาต่างประเทศ ในตอนพิเศษที่ชื่อว่า ไลท์นิง รีซูเรกชัน[77][78]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#0", "text": "ไลท์นิง () เป็นตัวละครในเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี สร้างโดยสแควร์เอนิกซ์ ปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะตัวละครหลักของวิดีโอเกมเล่นตามบทบาทชื่อ ไฟนอลแฟนตาซี XIII โดยรับบทเป็นประชาชนในคูคูน (Cocoon) ซึ่งเป็นโลกจำลองที่ลอยอยู่เหนือดาวเคราะห์ชื่อแกรนพัลซ์ (Gran Pulse) หลังจากที่เซราห์น้องสาวของเธอถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรูกับคูคูนแล้ว ไลท์นิงพยายามที่จะช่วยเหลือเธอ โดยภายหลังเธอได้รับภารกิจจากฟาลซี (fal'Cie) หรือชนเผ่าครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพที่ปกครองทั้งโลกคูคูนและแกรนพัลซ์ ให้ทำลายคูคูนทิ้ง ไลท์นิงปรากฏตัวอีกครั้งกับบทตัวละครรองใน ไฟนอลแฟนตาซี XIII-2 ด้วยภารกิจปกป้องเทพธิดาเอโทร (Etro) ต่อมาเธอรับบทตัวละครหลักอีกครั้งกับ ไลท์นิงรีเทิร์น ที่เธอได้รับมอบหมายให้กอบกู้โลกที่กำลังจะถึงกาลอวสานในอีก 13 วัน นอกจากเกม<i data-parsoid='{\"dsr\":[1473,1494,2,2]}'>ไฟนอลแฟนตาซี XIII แล้ว เธอยังปรากฏตัวในเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี ภาคอื่น รวมถึงวีดีโอเกมนอกเกมชุดนี้เช่นกัน", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#14", "text": "ในภาค ไลท์นิงรีเทิร์น หลังจากที่เหตุการณ์ในภาค XIII-2 ผ่านมา 500 ปี ไลท์นิงได้รับการชุบชีวิตจากเทพบูนนิเวลซ์ โลกได้ถูกกำหนดว่าจะถึงกาลอวสานภายในเวลา 13 วันเนื่องจากอิทธิพลจากเคออสที่รบกวนโลก และไลท์นิงได้รับเลือกให้เป็นผู้กอบกู้โลกใบนี้ บูนนิเวลซ์สัญญาว่าจะชุบชีวิตเซราห์ขึ้นมาให้หากเธอทำภารกิจสำเร็จ[59] และด้วยความช่วยเหลือจากโฮป ไลท์นิงได้ปลดปล่อยเพื่อนพ้องของเธอจากการทับถมทางอารมณ์ ได้พบกับโอดินที่อยู่ในรูปของโจโคโบะสีขาว และได้พบกับลูมิน่า หรือการสำแดงความอ่อนแอของตัวเธอในร่างมนุษย์[60] ภายหลังปรากฏว่าไลท์นิงเริ่มสงสัยในสัญญาของบูนนิเวลซ์หลังจากที่เธอค้นพบว่าเขาขโมยวิญญาณของเซราห์และเปลี่ยนแปลงความทรงจำของเธอ ไลท์นิงจึงทรยศเขาหลังจากที่เขาสร้างโลกใบใหม่เสร็จ[61][62] และเมื่อโลกเดินทางมาถึงกาลอวสาน ไลท์นิงได้เข้าต่อสู้กับบูนนิเวลซ์ เทพผู้ซึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงมนุษย์ให้เหมือนตนเองและได้มองว่าไลท์นิงเป็นตัวแทนของเอโทรเสมอมา[63] ถึงแม้ว่าเธอจะเตรียมตัวที่จะเติมเต็มบทบาทใหม่และละทิ้งชีวิตความเป็นมนุษย์ของเธอ ไลท์นิงก็ได้เลือกที่จะขอความช่วยเหลือและยอมรับให้ลูมิน่าเป็นหนึ่งในตัวตนของเธอ[64] ทุก ๆ คนที่เธอเคยช่วยเหลือรวมทั้งเซราห์ได้พบกับเธออีกครั้งและสังหารบูนนิเวลซ์ลงได้ ไลท์นิงจึงได้เห็นถึงการสร้างจักรวาลใหม่ ซึ่งเธอกับพวกพ้องและวิญญาณของมนุษยชาติทั้งหมดก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จักรวาลนั้น ในตอนอวสาน เธอนั่งอยู่บนรถไฟเพื่อเดินทางไปหาเพื่อน ๆ ของเธออีกครั้ง[14][lower-alpha 2]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "168608#44", "text": "ชั้น 2 หอผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ชาย", "title": "โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช" }, { "docid": "910134#2", "text": "เซราห์ ฟาร์รอน (Serah Farron) () เป็นเด็กหญิงอายุ 18 ปีจากโคคูน หลังจากที่พ่อแม่ของเธอตาย ไลท์นิงก็ได้เลี้ยงดูและคอยปกป้องเซราห์ไว้ตลอด แต่พวกเธอทั้งสองก็ทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง เหตุผลหนึ่งมาจากการที่เซราห์ได้หมั้นกับสโนว์ ทำให้ไลท์นิงรู้สึกเกลียดชังความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง ต่อมาเซราห์บอกกับสโนว์และไลท์นิงว่า เธอถูกตราหน้าให้เป็นลาซีในขณะที่เธอกำลังออกสำรวจพัลซ์เวสเตจ (Pulse Vestage) ซึ่งเป็นสถานที่กบดานของฟาลซีอานิมา แต่กว่าที่ไลท์นิงจะช่วยเธอนั้นก็สายเกินไปแล้วเนื่องจากเซราห์ได้ถูกอนิมาลักพาตัวไป เซราห์ภายหลังได้เปลี่ยนภารกิจ จากที่เธอได้รับมอบหมายให้ปกป้องโคคูน ตอนนี้เธอกลับสนใจกับไลท์นิงและสโนว์มากกว่าก่อนที่ร่างของเธอจะแปลงเป็นคริสตัลเมื่อพวกเขาทั้งสองได้พบเธอ การเปลี่ยนแปลงภารกิจของเธอนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับลาซีอื่น ๆ ให้ทำตามเช่นกัน หลังจากที่เพื่อนของเธอทำลายออฟานลงในตอนท้ายเกม เซราห์ได้ชีวิตปกติกลับคืนมา และไลท์นิงก็ได้ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสโนว์", "title": "ตัวละครในไฟนอลแฟนตาซี XIII" }, { "docid": "909718#23", "text": "ในรายชื่อการจัด 10 อันดับตัวละคร ไฟนอลแฟนตาซี ของวีดีโอเกมเมอร์ดอตคอม ไลท์นิงได้รับอันดับ 6 ซึ่งนักเขียนยูนพูลล์พบว่าเธอมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยถึงแม้ว่าจะมีจุดคล้ายคลึงกับคลาวด์อยู่มากก็ตาม[122] ในปี 2011 ไอจีเอ็นจัดอันดับให้ไลท์นิงอยู่ในกลุ่มตัวละครดีเด่นของเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี โดยกล่าวว่าเธอได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความสมดุลระหว่างพละกำลังและความอ่อนโยน และเธอยังมีความสำเร็จอยู่มากมาย[123] ไลท์นิงได้รับอันดับ 8 ในการจัดอันดับที่คล้ายคลึงกันจาก ฮาร์ต ฮุกเกอร์ แห่งเกมโซน ซึ่งเขาได้กล่าวถึงภาพลักษณ์และความมุ่งมั่นของเธอที่ทำให้เธอได้เป็นหนึ่งในตัวละครหญิงที่มีความเป็นผู้นำมากที่สุดใน ไฟนอลแฟนตาซี[124] ชีตโค้ดเซ็นทรัลจัดให้เธอเป็น 1 ใน 10 ของตัวละครหญิงที่ \"สารเลวแต่ก็เป็นที่ชื่นชอบ\" ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าไม่มีตัวละครแบบนี้เลยในเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี ภาคก่อน[125] ไลท์นิงได้รับอันดับ 2 ใน การจัดอันดับตัวละครเกมที่เร่าร้อนมากที่สุดของอาฟเตอร์เอลเลน[126] ส่วนในการจัด 10 อันดับตัวละครที่มีความเป็นผู้นำสูงที่สุดของเกมอินฟอร์มเมอร์ ไลท์นิงได้รับอันดับ 8 และได้รับคำชื่นชมว่าเป็นเพียงตัวละครหลักตัวเดียวใน ไฟนอลแฟนตาซี XIII ที่มีความรับผิดชอบในการต่อต้านรัฐบาลที่กำลังล่มสลายในคูคูน อีกความเห็นหนึ่งมีใจความว่า ทุกภารกิจของเธอนั้นสำคัญและมีจุดหมาย จึงทำให้เธอเป็นตัวเอกของเกมโดยปริยาย[127] เธอได้รับอันดับที่ 19 ในการจัดอันดับตัวละครใน ไฟนอลแฟนตาซี ที่โดดเด่นที่สุดจากนิตยสารคอมเพล็กซ์[128] และได้รับอันดับที่ 39 จากตัวละครเอกหญิงที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์วงการวีดีโอเกม[129]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#11", "text": "ใน ไฟนอลแฟนตาซี XIII ไลท์นิงพบอานิมาโดยมีโฮป, ซัส คัตส์รอย, และโอร์บาไดอา วานีล เป็นผู้ร่วมเดินทาง ซึ่งพวกเขาทั้งสามล้วนเป็นผู้ลี้ภัยจากคูคูน เมื่อพวกเขาเจอเซราห์ ก็พบว่าเธอได้เปลี่ยนร่างเป็นคริสตัลไปเสียแล้ว ไลท์นิงกับพวกพ้องจึงเข้าสู้อานิมาแต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นลาซีเมื่อไซคอม (PSICOM) กองทัพของคูคูน ทำลายอานิมาลง แต่เนื่องจากไลท์นิงไม่เชื่อว่าสโนว์จะปกป้องน้องสาวของเธอ เธอจึงเมินเฉยทั้งคู่ ซึ่งต่อมาพวกเขาทั้งสองได้รับการช่วยเหลือจาก โอร์บายูน ฟังก์ และกลุ่มทหารรับจ้างของคูคูนชื่อคาวัลรี (Cavalry) ในที่สุดไลท์นิงก็ออกเดินทางกับโฮปแค่สองคน เธอช่วยเหลือโฮปโดยการปกป้องและฝึกฝนเขาด้วยความไม่รู้ว่าเขามีแผนแอบลอบสังหารสโนว์อยู่[47] หลังจากนั้นไลท์นิงก็เริ่มเกลียดชังตนเองที่ถูกตราหน้าให้เป็นลาซีและรู้สึกผิดที่เธอไม่เชื่อในเรื่องราวของเซราห์[48][49] หลังจากที่เธอก้าวพ้นปัญหาเหล่านี้แล้ว เธอจึงยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างสโนว์กับเซราห์และเชื่อมั่นว่าสโนว์จะเป็นคนปกป้องเธอ[50] เมื่อพวกเขาสังหารออร์ฟาน (ฟาลซีในสำนักแซงก์ทัม) เพื่อช่วยเหลือคูคูน ไลท์นิงและพวกพ้องจึงได้กลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง ยกเว้นฟังก์กับวานีลที่พวกเธอทั้งสองยอมสละชีวิตตนเองเพื่อหยุดยั้งไม่ให้คูคูนถล่มลงมาชนกับแกรนพัลซ์", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#22", "text": "ในภาค ไลท์นิงรีเทิร์น จูบาวิจารณ์ไลท์นิงว่าขาดการพัฒนาในด้านการพากย์[114] และ มาร์ตี ซิลวา จากไอจีเอ็น รู้สึกว่าการที่เธอดูเย็นชาขึ้นกว่าภาคก่อนทำให้เธอไม่เป็นที่ชื่นชอบ[115] วานออร์ตก็วิจารณ์เช่นเดียวกันว่าไลท์นิง \"ไม่เป็นที่น่าสนใจในทุก ๆ ด้าน\" และดูเหมือนเธอจะ \"ถูกใช้เป็นตัวเสียบเพื่อไม่ให้บทมีช่องโหว่มากกว่า\" ซึ่งตามหลักปรัชญาของสโตอิกแล้ว การที่ไลท์นิงเป็นแบบนี้จะทำให้ผู้เล่นกับตัวละครไม่สามารถเชื่อมถึงกันได้[116] พาร์ริช จากยูโรเกมเมอร์ (เขียนให้กับยูเอสเกมเมอร์) ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า \"น่าสมเพชโดยสิ้นเชิง\" และ \"ไม่มีบุคลิกเป็นของตัวเองไม่ว่าประการใด\" เนื่องจากว่าเกมภาคนี้ไม่สามารถเปล่ยนชุดของไลท์นิงได้[117] ในทางกลับกัน ปาร์กินกล่าวว่า ภารกิจเสริมบางจุด อาทิเช่น การไล่แกะหรือการค้นหาตุ๊กตาของเด็กหญิง สามารถช่วยให้ไลท์นิงดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นและอาจทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบได้[118] เดล นอร์ธ จากเดสตรักทอยด์ ได้กล่าวเช่นเดียวกันว่าชุดและบทสนทนานั้นเชิดชูตัวละครหลักได้เป็นอย่างดี ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้เธอดูมีความไร้ชีวิตชีวาน้อยลง ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดี[119] เดฟ ไรลีย์ จากอนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์ก รู้สึกว่าบุคลิกของไลท์นิงในภาคนี้ ถึงแม้ว่าจะดูไม่เข้ากันกับภาค XIII และ XIII-2 แต่ก็กลับดูเหมาะสมดีในฐานะผู้ช่วยเทพใน ไลท์นิงรีเทิร์น อย่างน่าประหลาด[120] นอกจากนี้ เทครีวิวเวอร์ก็ประทับใจในความตื้นลึกหนาบางของไลท์นิงเช่นกัน[121]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#7", "text": "โทริยามะต้องการให้ไลท์นิงเป็นตัวละครหญิงที่ไม่เคยปรากฏใน ไฟนอลแฟนตาซี มาก่อน ดังเช่นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและมีรูปร่างกำยำราวกับผู้ชาย[1][29] ข้อแนะนำที่เขาส่งไปหาโนมูระนั้นมีใจความว่า อยากให้เธอดูแข็งแรงและสวยสง่าเหมือนกับ คลาวด์ สไตรฟ์ ตัวละครจาก ไฟนอลแฟนตาซี VII ในฉบับผู้หญิง[1][2] ซึ่งโทริยามะได้พูดถึงความคล้ายคลึงของตัวละครทั้งสองว่ามีจุดเหมือนกันอยู่สองอย่าง นั่นคือบุคลิกที่เย็นชาและประวัติทางการทหาร สิ่งที่นอกเหนือจากนั้น \"ไลท์นิงก็จะเป็นตัวของเธอเอง\"[30] โนมูระวิเคราะห์ตัวละครทั้งสองก่อนถึงกำหนดการปล่อย ไลท์นิงรีเทิร์น ในฉบับญี่ปุ่นว่าเขา \"ต้องการที่จะให้เธอค่อย ๆ มีการพัฒนาและเป็นที่รักของใครหลาย ๆ คนเหมือนคลาวด์\" [23] โทริยามะได้กล่าวเสริมว่า จากตัวละครเกมทั้งหมดที่เขามีส่วนร่วมในการผลิตและออกแบบ ไลท์นิงเป็นตัวละครหญิงที่เขาชื่นชอบมากที่สุดจากเกมทั้งหมด ซึ่งตัวละครที่เขาชอบรองลงมาคือยูนะจาก ไฟนอลแฟนตาซี X และโยโย่จากบาฮามุทลากูน[3]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#4", "text": "ชื่อจริงของไลท์นิงคือ แคลร์ ฟาร์รอน (Claire Farron) ในภาษาอังกฤษ และ เอแคลร์ ฟาร์รอน (Éclair Farron; ) ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงแรก ๆ ของการผลิต ชื่อจริงของไลท์นิงคืออาเวเรีย ส่วน \"เอแคลร์\" จะใช้เป็นชื่อลับเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีการใช้ชื่อนี้เป็นชื่อทางการแทน[8] ชื่อภาษาอังกฤษของเธอ \"แคลร์\" นั้นใช้แทน \"เอแคลร์\" เนื่องจากชื่ออย่างหลังมีความคล้ายคลึงกับขนมชนิดหนึ่ง[9] ส่วนชื่อ \"ไลท์นิง\" นั้นไม่ได้เลือกโดยโนมูระ แต่เลือกจากสมาชิกในทีมพัฒนาคนอื่นเพราะเขาต้องการละทิ้งธรรมเนียมที่ต้องเป็นผู้ตั้งชื่อตัวละครหลักใน ไฟนอลแฟนตาซี มาโดยตลอด[2] นอกจากนี้ทางทีมยังมีแผนสร้างบ้านพักส่วนตัวของไลท์นิงในภาค XIII แต่ความคิดนี้ถูกละทิ้งในภายหลังเนื่องจากพื้นที่ในเกมไม่เพียงพอ[10] อาวุธของเธอในภาคนี้มีชื่อว่า เบลซ์ไฟร์ เซเบอร์ (Blazefire Saber) ในฉบับอังกฤษ (หรือเบลซ์เอดจ์ (Blaze Edge) ในฉบับญี่ปุ่น) ที่ออกแบบมาโดยสะท้อนถึงระบบการเล่นของเกมที่มีการอัญเชิญเอโดลอน หรือเหล่ามอนสเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นสัตว์ มนุษย์ หรือยานพาหนะได้[11] ส่วนโอดินที่เป็นเอโดลอนของไลท์นิงและเป็นมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวบ่อยครั้งใน<i data-parsoid='{\"dsr\":[6104,6120,2,2]}'>ไฟนอลแฟนตาซี ภาคอื่นนั้น ได้ออกแบบมาเพื่อให้ไลท์นิงดูคล้ายกับอัศวินบนหลังม้า และมีการออกแบบโอดินให้ดูราวกับว่าเหมือนเป็นพ่อพระของไลท์นิง[12] ในภาคต่อของภาค XIII นั้น โอดินได้รับการพัฒนาให้เป็นเพื่อนที่ไลท์นิงสามารถอธิบายความรู้สึกแก่นแท้ของเธอได้[13] ไดซุเกะ วะตะนะเบะ นักเขียนบทของสแควร์เอนิกซ์ กล่าวว่าในระหว่างที่เขากำลังเขียนบทสำหรับภาค XIII นั้น เขามีความสนใจในการสร้างความสัมพันธ์แบบไม่โรแมนติกระหว่างไลท์นิงกับสโนว์ (ตัวละครหลักอีกตัวของภาค XIII) และเขาต้องการแสดงพัฒนาการของไลท์นิงให้ดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นระหว่างที่เธอกำลังปกป้องโฮป[14]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "910134#3", "text": "ในช่วงการพัฒนาของภาค \"XIII\" เซราห์เคยได้รับการเสนอให้เป็นตัวละครที่สามารถควบคุมได้ แต่ภายหลังมีข้อตกลงให้เธอเป็นตัวละครสนับสนุนแทนเนื่องจากปัญหาด้านเทคนิคต่าง ๆ เทะซึยะ โนะมุระ ในบทสัมภาษณ์ กล่าวว่าเขาออกแบบผมของเซราห์ให้แลดูเหมือนร่างเสมือนของไลท์นิง ต่อมา ยุโกะ โอะชิมะ จากวง AKB48 ได้รับข้อเสนอให้ออกแบบชุดพิเศษ 2 ชุดให้กับเซราห์ ซึ่งชุดแรกเป็นชุดสีดำใช้สำหรับการต่อสู้ในชื่อ \"เอ็กซ์โปเชอร์แอนด์ดีเฟนส์\" (ภายหลังเปลี่ยนเป็น \"สไตล์แอนด์สตีล) และชุดที่สองเป็นชุดสีแดงสลับขาวในชื่อ \"ลิตเทิลเรตไรด์ดิงฮูด\" ซึ่งมีความหมายเป็นนัยว่าเหมือนเซราห์ในร่างผู้ใหญ่ หลังจากการโหวตเพื่อหาความนิยม ชุดที่ 2 ได้รับคะแนนสูงกว่า จึงทำให้ทางผู้ผลิตเลือกชุดที่สองให้อยู่ในเกมภาคเสริมโดยปริยาย โดยปล่อยออกมาในเดือนเมษายน 2012", "title": "ตัวละครในไฟนอลแฟนตาซี XIII" }, { "docid": "909718#6", "text": "ชุดของเธอในภาค ไลท์นิงรีเทิร์น นั้นออกแบบโดยโนมูระ ซึ่งโทริยามะเคยกล่าวกับเขาไว้ว่าอยากสร้างบางอย่างที่ดูเหมาะสมกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายโดยมี \"พละกำลัง\" เป็นจุดสำคัญ ชุดของเธอนั้นทำมาจากหนังสัตว์โดยมีความยาวตั้งแต่คอเสื้อจนถึงส่วนล่าง มีลายสีแดงและขาวสลับไปมาตามปกเสื้อ[22][23] ชุดที่โนมูระออกแบบนั้นเป็นที่ชื่นชอบของคะมิโกะกุเรียวมากกว่าจากชุดอื่น ๆ ที่ออกแบบโดย โทะชิยุกิ อิตะฮะนะ, โทะชิทะกะ มะสึดะ, หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง[24][22][25] ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการนำแรงบันดาลใจมาจากตัวละครใน ไฟนอลแฟนตาซี รุ่นเก่า และ โยะชิทะกะ อะมะโนะ นักออกแบบคนก่อนแทบทั้งสิ้น[26] และเพื่อเป็นการเสริมรายละเอียดให้กับชุดใหม่ โมเดลของไลท์นิงจึงได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด[27] มีการขยายหน้าอกของเธอให้ใหญ่ขึ้นและชุดหลาย ๆ ชุดของเธอก็ปรับเปลี่ยนใหม่ให้ดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น[21] สำหรับฉากจบของเกม โทริยามะคาดหวังให้ไลท์นิงไปปรากฏในฉากที่เหมือนกับชีวิตประจำวันในชุดลำลองปกติ บุคลากรในทีมเสนอให้จบเกมด้วยฉากไลท์นิงคุยกับเพื่อนพ้อง แต่โทริยามะอยากให้เรื่องเริ่มต้นและจบลงด้วยเธอเพียงคนเดียว[13] เขากล่าวว่าไลท์นิงเป็นตัวละครหลักเพียงคนเดียวใน ไลท์นิงรีเทิร์น และเป็นตัวละครหลักเพศหญิงตัวแรกที่ได้มาอยู่ในแฟรนไชส์ ไฟนอลแฟนตาซี[28][lower-alpha 1]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "12911#82", "text": "มีนาคม พ.ศ. 2540 เสด็จฯ เยือนประเทศแอฟริกาใต้ และทรงเข้าพบประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา[137][138] 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 นายแมนเดลามีถ้อยแถลงว่า กองทุนเนลสัน แมนเดลา เพื่อเด็กและเยาวชนจะร่วมงานภารกิจกับกองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์อย่างรุนแรงในประเทศแอฟริกาใต้ โดยจะให้การช่วยเหลือผู้ป่วยและเยาวชนในที่ได้รับผลกระทบจากโรคร้ายนี้[139] และเขายังระบุว่า ไม่กี่เดือนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงทรงมีแผนที่จะผนวกสององค์กรเพื่อทำงานการกุศลด้านโรคเอดส์ร่วมกัน แมนเดลายังกล่าวถึงเจ้าหญิงผู้ล่วงลับว่า “เมื่อพระองค์ทรงสัมผัสร่างกายผู้ป่วยโรคเรื้อหรือทรงประทับบนเตียงร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ชายรายหนึ่งพร้อมทรงกุมมือให้กำลังใจเขา พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงความคิดสาธารณชนและเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อ” แมนเดลายังกล่าวว่าเจ้าหญิงทรงใช้สถานะและชื่อเสียงของพระองค์เพื่อขจัดอคติที่มีต่อผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์[139][140]", "title": "ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์" }, { "docid": "909718#1", "text": "ไลท์นิงเป็นตัวละครที่สร้างโดย โมโทมุ โทริยามะ ผู้ผลิตเกมและนักเขียนบทของ ไฟนอลแฟนตาซี XIII และเขียนแบบโดย เท็ตสึยะ โนมูระ นักออกแบบตัวละครประจำให้กับเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี เดิมทีความคิดแรกในการพัฒนาไลท์นิงนั้นคือจะให้เธอเป็นผู้หญิงที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้และมีนิสัยเด็ดขาดดั่งผู้ชายเมื่อเปรียบเทียบกับตัวละครหญิงจาก ไฟนอลแฟนตาซี ภาคก่อน ๆ แต่ภายหลังมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและบุคลิกของเธอให้เข้ากับเรื่องราวมากขึ้น เช่น ในภาคเสริมของภาค XIII นั้น โดยเฉพาะในภาค ไลท์นิงรีเทิร์น ไลท์นิงได้รับการพัฒนาเพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเธอก็มีบุคลิกราวกับคนธรรมดาที่สามารถเติบโตไปตามวัยได้เช่นกัน ชื่อเต็มของเธอในภาษาญี่ปุ่นคือ เอแคลร์ ฟาร์รอน (Éclair Farron; ) แต่ภายหลังในฉบับภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนแปลงชื่อเป็น แคลร์ ฟาร์รอน (Claire Farron) เนื่องจากชื่อเดิมมีความหมายคล้ายคลึงกับขนมประเภทหนึ่ง", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#5", "text": "เนื่องจากความต้องการของทีมพัฒนาที่อยากปรับปรุงบุคลิกของไลท์นิงให้ดีขึ้น จึงมีการสร้างภาคต่อของภาค XIII ขึ้นมา โดยในเกมนี้จะกล่าวถึงคำถามที่ว่าไลท์นิงจะมีความสุขหรือไม่หลังจากเหตุการณ์ในภาค XIII สิ้นสุดลง[15] ซึ่งโทริยามะกล่าวว่าต้องการสร้างตอนจบตามความปรารถนาของไลท์นิง[16] ชุดของไลท์นิงใน ภาค XIII-2 นั้นออกแบบโดย อิซามุ คามิโกกูเรียว เขาทำงานจากภาพร่างของโนมูระที่เคยบอกกับเขาว่าลักษณะของเธอควรเป็นอย่างไร[17] ชุดของเธอนั้นออกแบบมาแล้วหลายครั้งโดยคะมิโกะกุเรียว ไม่ว่าจะเป็นชุดกี่เพ้าหรือชุดตามนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ก็ถูกลบออกไปในภายหลังเนื่องจากไม่เข้ากับบรรยากาศของเกม ซึ่งชุดแบบสุดท้ายที่จะใช้ในเกมนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากวาลคิรีในเทพปกรณัมนอร์ส[18] โดยแนวคิดของชุดนี้คือจะต้องสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวของไลท์นิงได้[19] สังเกตได้จากขนนกรอบชุดที่บ่งบอกถึงความเบาบาง ความละเอียดอ่อน และพลังของเธอ[18][20] ทำให้เธอได้รับการเชิดชูว่าอยู่เหนือขีดศักยภาพมนุษย์และทำให้เธอดูแตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไป[21]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#2", "text": "ไลท์นิงได้รับการวิจารณ์และการชื่นชมอยู่เป็นระยะ ๆ แต่โดยส่วนมากแล้วจะมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันคือเกี่ยวกับบุคลิกที่เย็นชาของเธอซึ่งดูคล้ายกับ คลาวด์ สไตรฟ์ ตัวละครจาก ไฟนอลแฟนตาซี VII เธอถูกวิจารณ์ว่าไม่มีบทบาทมากพอในภาค XIII-2 ส่วนบทบาทของเธอในภาค ไลท์นิงรีเทิร์น ก็ได้เสียงตอบรับที่ค่อนข้างเป็นกลาง นักวิจารณ์บางคนมองว่าเธอมีบุคลิกที่เย็นชาเกินไป ซึ่งอาจเป็นเหตุทำให้ผู้เล่นรู้สึกเกลียดชังและไม่เป็นมิตรกับเธอ แต่ในขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางคนก็แย้งว่าเมื่อเรื่องราวได้ดำเนินผ่านไป เธอถึงจะค่อย ๆ นำเสนอพัฒนาการของเธอออกมา ภายหลังไลท์นิงปรากฏตัวบนการจัดอันดับตัวละครเกมโดยบริษัทผลิตวีดีโอเกมต่าง ๆ ที่คัดเลือกว่าตัวละครไหนโดดเด่นและเป็นที่นิยมมากที่สุดในซีรีส์ ไฟนอลแฟนตาซี ซึ่งเสียงตอบรับของเธอจัดว่าอยู่ในเชิงบวก", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#18", "text": "ไลท์นิงยังปรากฏในเกมชุดที่ไม่ใช่ ไฟนอลแฟนตาซี เช่นกัน อาทิเช่น คิงดอมฮาร์ตส์ รีโคตเดต[88] และ พัตเซิลแอนด์ดรากอน ร่วมกับตัวละครอื่นจาก ไฟนอลแฟนตาซี ภาคอื่น[89] นอกจากนี้ชุดของเธอจากภาค XIII นั้นก็มีการนำไปใส่ให้กับตัวละครชื่ออายะเบรียใน เดอะเติร์ตเบิร์ธเดย์ และเธอยังเป็นตัวละครในเกมยิงปืนอาร์เคด กันสลิงเกอร์ สตราโตส 2[90][91] มายะ ซากาโมโตะ เป็นนักพากย์เสียงของทั้งอายะเบรียและไลท์นิง เมื่ออายะเบรียสวมชุดของไลท์นิง เธอจะพากย์เสียงอายะเบรียให้เหมือนกับตัวละครนี้[90]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#19", "text": "ไลท์นิงได้รับเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์ของเกม ไฟนอลแฟนตาซี XIII โดยสแควร์เอนิกซ์ มีสร้อยคอ 2 เส้น[92][93] และน้ำหอมชื่อว่าไลท์นิงอูเดอโทเรต (Lightning eau de toilette) ที่ผลิตขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจากเธอ[94] กระบวนท่าในการต่อสู้ของเธอจากภาค XIII นั้นได้รับการพัฒนาโดยเพลย์อาร์ตไค ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับจ้างให้ผลิตโมเดลของตัวละครในเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี[31] เธอยังปรากฏอยู่บนไพ่ในเกมไพ่ต่าง ๆ ของ ไฟนอลแฟนตาซี[95] และในภาพยนตร์โฆษณาชื่อไมเคิล ร่วมกับตัวละครอื่น ๆ เช่น นาธาน เดรก, คราโตส, และโคลแม็กเกรธ[96] นอกจากนี้ยังมีดาราและนักแสดงบางคนนำเธอไปคอสเพลย์ใน ไฟนอลแฟนตาซี ทะเวนตีฟิฟธ์แอนนิเวอซารีอีเว้นต์ ซึ่งจัดในงานเอเชียเกมโชว์ 2013[97] เธอปรากฏตัวอีกครั้งในภาพยนตร์แอนิเมชันชื่อ ไลท์นิงรีเทิร์น[98] ต่อมาในเดือนเมษายน 2012 ไลท์นิงและเพื่อนของเธอจากภาค XIII-2 ปรากฏตัวเป็นแบบดีไซน์ให้กับพราดาในนิตยสาร 12 หน้าสำหรับผู้ชายชื่อ อารีนา โฮมพลัส เพื่อที่จะประชาสัมพันธ์ ไลท์นิงรีเทิร์น[99][100] หลังจากนั้นไลท์นิงได้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับขนมที่ผลิตโดย เอะซะกิ กลิโกะ[101] ในปี 2015 เธอปรากฏตัวในโฆษณาของบริษัทแฟชันฝรั่งเศส หลุยส์ วิตตอง ที่ออกแบบโครงเรื่องโดยโนมูระและกำกับโดย นิโคลัส เกคแควร์[102]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "910134#6", "text": "เมื่อปี 2009 ในงานโตเกียวเกมโชว์ (TGS) มีการเปิดเผยว่าสีผมสีเงินของโฮปนั้นเดิมทีจะใช้เป็นสีผมของไลท์นิง แต่เมื่อได้ข้อตกลงว่าผมของไลท์นิงจะเป็นสีชมพู โฮปเลยได้สีผมนี้แทน ชุดของโฮปสำหรับภาค \"XIII-2\" นั้นออกแบบโดย ฮิเดะโอะ มินะบะ และถึงแม้ว่าโฮปจะมีรูปลักษณ์อ่อนแอและเปราะบางในภาค \"XIII\" แต่เขาก็ได้รับการพัฒนาให้ดูเติบโตขึ้นในภาคถัดมาตามความปรารถนาของผู้ผลิตเกม โมะโทะมุ โทะริยะมะ กล่าวว่าตามมุมมองของไลท์นิงแล้ว พัฒนาการของโฮปเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนบทในภาค \"ไลท์นิงรีเทิร์น\" นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบโมเดลโฮปในวัยผู้ใหญ่ แต่ทีมผู้ผลิตตัดสินใจคงภาพลักษณ์วัยรุ่นของเขาเอาไว้ ในบทสัมภาษณ์ในเวลาต่อมา โทะริยะมะบอกว่าถึงแม้ว่าโฮปจะเป็นที่ชื่นชอบของทีมงาน แต่โฮปนั้นขาดภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำ จึงทำให้เขาเป็นเพียงแค่ตัวละครรองเท่านั้น วะตะนะเบะกล่าวในภายหลังว่าเขารู้สึกเหมือนโฮปเป็นตัวละครที่คอยเติมเต็มตัวละครไลท์นิงและเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เธอเติบโตเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ", "title": "ตัวละครในไฟนอลแฟนตาซี XIII" }, { "docid": "909718#20", "text": "ระหว่างที่ ไฟนอลแฟนตาซี XIII กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา โทต ซิโอเลก จากอนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์ก ไม่ประทับใจกับไลท์นิงดังที่เขากล่าวว่าเธอดูไม่มีความกระตือรือร้น[103] หลังจากที่เกมสิ้นสุดการพัฒนาแล้ว ซิโอเลกมีความเห็นตอนแรกว่าเธอดู \"เย็นชาและห่างเหินเกินไป ถึงแม้ว่านักเขียนจะพยายามทำให้เธอดูเหมือนกับฮีโร่หญิงที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่พวกเขาก็ลืมที่จะทำให้เธอดูมีความน่าสนใจ\" แต่ภายหลังเขากลับยอมรับว่าไลท์นิงเป็นตัวละครที่มีการพัฒนามากขึ้นในตอนท้ายเกม[104] เวสเลย์ ยินพูลล์ จากวีดีโอเกมเมอร์ดอตคอม กล่าวอย่างเรียบง่ายว่าเธอเป็นเพียงแค่คลาวด์ที่เป็นเพศหญิง[105] เจเรมี พาร์ริช จากวันอัพดอตคอม มีความเห็นประมาณว่าผู้เล่นในตอนแรกจะคิดว่าเธอเป็นเพียงแค่ตัวหลักของเรื่องที่นิสัยเสีย แต่ความคิดนั้นอาจเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาพบฉากที่บรรยายด้านดีเกี่ยวกับเธอ[106] แต่ในทางกลับกัน เควิน แวนออร์ต จากเกมสปอต ชื่นชมเธอว่าเธอดูเป็นที่ชื่นชอบและมีความสวยสง่า[107] มาร์ติน โรบินสัน จากไอจีเอ็น กล่าวด้วยว่าไลท์นิงจะเป็นที่หลงรักเมื่อเปรียบเทียบกับโฮปหรือสโนว์ แต่ภายหลังเขากลับพบว่าเรื่องราวในอดีตของไลท์นิงนั้น \"ซ้ำซากและจำเจเหมือนกับตัวละครอื่นทั่วไป\" และคิดว่าซัสนั้นเป็นตัวละครที่น่าชื่นชมมากกว่า[108] ส่วน คาโรไลน์ กุดมุนซัน จากเกมส์เรดาร์ ไม่ค่อยประทับใจเนื่องจากเธอเห็นว่า ถึงแม้ว่าการพากย์เสียงของไลท์นิงจะดูมีราคา แต่มันก็ \"ไม่ได้เกินไปกว่าที่เราคาดไว้\" เธอกล่าวอีกว่าการที่ตัวละครดูซ้ำซากทำให้ไลท์นิง \"ไม่มีมิติและน่าเบื่อ\"[109] คริสเตียน นัต จากกามาสุตรา เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างไลท์นิงกับนักพาย์จะช่วยเพิ่มคุณค่าและสามารถเป็นบทเรียนให้กับนักพากย์คนอื่นได้[110]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#10", "text": "ไลท์นิงและเซราห์น้องสาวของเธอเป็นประชาชนในคูคูน (Cocoon) ซึ่งเป็นโลกจำลองที่ลอยอยู่เหนือดาวเคราะห์ชื่อแกรนพัลซ์ (Gran Pulse) ภูมิภาคต่าง ๆ ของทั้งสองโลกนั้นควบคุมโดยฟาลซี (fal'Cie) เชื้อชาติครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพที่แบ่งเป็นสองสำนัก \"แซงก์ทัม\" (Sanctum) แห่งคูคูน และ \"พัลซ์\" (Pulse) แห่งแกรนพัลซ์ ซึ่งเป็นศัตรูกัน[41][42] ใน ไฟนอลแฟนตาซี XIII เอพิโซดเซโร่ โพรมิส ชุดนิยายเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้าเหตุการณ์ในภาค XIII เปิดเผยว่าครอบครัวของไลท์นิงและเซราห์ตายเมื่อพวกเธอยังเด็ก จึงทำให้ปณิธานของไลท์นิงเป็นการปกป้องน้องสาวของเธอ แต่ภายหลังเธอกลับเพิกเฉยเซราห์[43] เธอเติมโตมาด้วยจิตอคติต่อสโนว์เพราะเขามีความสัมพันธ์แบบโรแมนติกกับเซราห์และเขาอยู่กับฝ่ายกบฎรัฐบาลที่ชื่อโนรา (NORA)[44] ไลท์นิงค้นพบในภายหลังว่าเซราห์ถูกสาปให้กลายเป็นลาซี (l'Cie) หรือมนุษย์ที่ถูกจองจำด้วยพลังเวทมนตร์โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวคือการบรรลุภารกิจที่ได้รับจากอานิมา ซึ่งเป็นฟาลซีของแกรนพัลซ์ ลาซีผู้ใดที่ทำภารกิจสำเร็จ ร่างกายของผู้นั้นจะเปลี่ยนเป็นคริสตัล เดิมทีแล้วไลท์นิงคิดว่าเซราห์จะใช้เหตุผลนี้ในการเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะแต่งงานกับสโนว์[45] ภายหลังเธอตัดสินใจถอดตัวออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มการ์เดียนคอปส์ (Guardian Corps) และสมัครใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อช่วยเหลือเพิร์จ (Purge) หรือกลุ่มประชาชนที่ถูกขับไล่ออกจากเมืองด้วยคำสั่งของอานิมา[46] เพื่อที่จะช่วยน้องสาวของเธอ", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#21", "text": "สำหรับภาค XIII-2 แล้ว โจ จุบา จากเกมอินฟอร์มเมอร์ ผิดหวังที่ไลท์นิงถูกลดบทบาทลงแล้วให้เซราห์กับโฮปมีบทมากขึ้น เนื่องจากเขาเห็นว่าโฮปกับเซราห์เป็นตัวละครที่มีบทอ่อนกว่าไลท์นิง[111] ไซมอน ปาร์กกิน จากยูโรเกมเมอร์ พบว่าเรื่องราวของไลท์นิงขาดจุดมุ่งหมาย[112] วานออร์ตก็ผิดหวังเช่นกันที่ไลท์นิงและไกอุสมีบทน้อยในภาคนี้เพราะว่าทั้งคู่มีตัวละครที่เด่นชัดกว่าเซราห์และโฮป[113]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#24", "text": "ในปี 2010 ไลท์นิงได้รับอันดับที่ 34 จากการโหวตของ ฟะมิสึ ที่จัดอันดับตัวละครเกมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น[130] ในปี 2013 เธอได้รับเลือกให้เป็นตัวละครหญิงที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดใน ไฟนอลแฟนตาซี จากผลโหวตของสแควร์เอนิกซ์[131] และในปีเดียวกัน ในงานรับรางวัลของ เด็งเงะกิ เพลย์สเตชัน เธอได้รับเลือกให้เป็นตัวละครดีเด่นแห่งปีจากการปรากฏตัวของเธอใน ไลท์นิงรีเทิร์น[132] และได้รับอันดับ 1 ของตัวละครยอดนิยมใน ไฟนอลแฟนตาซี จากผลโหวตของไมโครซอฟท์[133] ในปี 2014 ผู้อ่านของไอจีเอ็นโหวตให้เธอเป็นตัวละครที่ดีที่สุดในภาค XIII[134] ในงานเพนนีอาร์เคตเอ็กซ์โปไพร์ม 2013 เธอได้รับอันดับ 3 ของตัวละครเกมยอดนิยมในฝั่งตะวันตกและฝั่งญี่ปุ่น ซึ่งเรียบเรียงโดยนักข่าวและนักพัฒนาเกมหลายสำนัก[135] ในผลโหวตของ ฟะมิสึ ในปี 2017 ไลท์นิงได้รับอันดับ 2 ของตัวละครที่แฟนคลับอยากพบมากที่สุดใน คิงดอมฮาตส์ เกมชุดถัดไปของสแควร์เอนิกซ์ ซึ่งอันดับ 1 คือ น็อคทิส ลูซิส เคลัม จาก ไฟนอลแฟนตาซี XV[136]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#15", "text": "นอกจากภาค XIII แล้ว ไลท์นิงยังปรากฏตัวในเกมอื่น ซึ่งส่วนใหญ๋จะเป็นภาคแยกของเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี ในเกมต่อสู้ ดิสซิเดีย 012 ไฟนอลแฟนตาซี เธอเป็นหนึ่งในนักรบที่ได้รับการอัญเชิญจากเทพธิดาคอสมอส[65] เดิมทีแล้วมีกำหนดการเปิดตัวไลท์นิงในเกม ดิสซิเดีย ไฟนอลแฟนตาซี ซึ่งเป็นภาคก่อนหน้า แต่ความคิดนั้นก็ถูกลบออกเพราะ ไฟนอลแฟนตาซี XIII ยังไม่ได้รับการกำหนดวันวางแผงและทางสแควร์เอนิกซ์ก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวละครก่อนเวลาอันสมควร[66] ในส่วนเรื่องราวของ ดิสซิเดีย 012 นั้น ไลท์นิงและผองเพื่อนได้ประชัญหน้ากับสิ่งเทียมชีวิตเรียกว่ามานิคินส์ ซึ่งถ้าหากพวกเหล่ามานิคินส์สามารถสังหารผู้ใด ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เกิดอีกตลอดกาล ทำให้หลักการชุบชีวิตของโลกแปรปรวน[67] ไลท์นิงเป็นผู้นำเหล่านักผจญภัยไปยังประตูมิติที่ส่งมานิคินส์ออกมา และคนภายในกลุ่มก็สละชีพตนเองเพื่อที่จะปิดมัน[68] เธอมีชุด 3 แบบภายในเกม[69] และเธอได้ปรากฏตัวอีกครั้งกับเกมอาร์เคดในปี 2015[70] และเกมคอนโซลชื่อ ดิสซิเดีย ไฟนอลแฟนตาซี เอ็นที[71]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#9", "text": "ไลท์นิงได้รับการพากย์เสียงโดย อาลี ฮิลลิส ในฉบับภาษาอังกฤษ และ มายะ ซากาโมโตะ ในฉบับภาษาญี่ปุ่น[37] ซะกะโมะโตะนั้นประทับใจที่ไลท์นิงดูมีพลังและเย็นชา แต่ก็พบว่าเป็นเรื่องที่ลำบากมากเช่นกันที่จะพากย์เสียงไลท์นิงเนื่องจากเธอล้วนมีแต่ประสบการณ์กับตัวละครที่มีนิสัยอ่อนช้อยดังเช่น แอริธ เกนส์เบอรู ตัวละครหลักใน ไฟนอลแฟนตาซี VII ซึ่งเธอได้รับมอบหมายให้พากย์เสียงไลท์นิงโดยไม่ให้เปิดเผยถึงความเปราะบางของไลท์นิงที่ซ่อนอยู่ภายในและให้ใช้พละกำลังและรูปร่างอันดุดันของไลท์นิงเป็นตัวปิดบัง[38] คิตะเซะกล่าวว่าการที่ให้ซะกะโมะโตะมาพากย์เสียงนั้นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าเธอจะสามารถดึงศักยภาพของความเป็นเพศหญิงของไลท์นิงให้ออกมาได้ และเพื่อให้ความเป็นผู้หญิงกับความเป็นนักรบนั้นสมดุลกัน[39] ฮิลลิสได้รับมอบหมายหลังจากที่เธอพูดบทสนทนาของตัวละครบางประโยคในรอบการคัดเลือก และได้รับหนังสือที่เล่าถึงจักรวาลของ ไฟนอลแฟนตาซี XIII ที่เธอกล่าวว่าข้อมูลภายในนั้นดู \"ละเอียดมากเกินไป\" หนึ่งในความท้าทายที่ฮิลลิสได้พบคือการนำเสนออารมณ์และพลังของซะกะโมะโตะในฉบับญี่ปุ่น[40] เธอพยายามช่วยทีมผู้ผลิตของภาค XIII โดยการนำเสนอความเป็นมนุษย์ของไลท์นิงให้ได้มากที่สุด ตามบทสัมภาษณ์ที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า \"ฉันคิดว่านี่เป็นหน้าที่หลักของฉันที่จะให้ไลท์นิงเป็นคนที่มีอารมณ์จริง ๆ ไม่ใช่แค่เป็นเพียงตัวละครภายในเกมเท่านั้น เธอควรมีความสัมพันธ์กับตัวละครทุกตัวในเกม... รวมทั้งโจโคโบะด้วย!\" และในการพัฒนาภาค XIII นั้นเธอได้กล่าวอีกว่ารู้สึกเหมือนไลท์นิง \"มีบุคลิกที่ถูกถาโถมใส่เข้ามาเยอะเกินไป ทำให้ทุก ๆ อย่างเกี่ยวกับเธอดูแข็งทื่อไปหมด และถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจะกลายเป็นนักรบจริง ๆ และจะหมดความเป็นมนุษย์ในเร็ววัน\"[31]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#13", "text": "ใน ไฟนอลแฟนตาซี XIII-2 ไลท์นิงหายตัวไป และทุกคนยกเว้นเซราห์เชื่อว่าเธอนั้นตายไปแล้วพร้อมกับวานีลและฟังก์เพื่อที่จะช่วยคูคูน[52] ในความจริงแล้ว ไลท์นิงถูกนำพาตัวไปยังวาลฮัลลา เมืองหลวงของเทพธิดานามว่าเอโทร (Etro) ที่มีบัญชาให้ไลท์นิง วานีล และฟังก์หลุดพ้นจากคำสาปลาซี ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เวลาบิดเบือนและส่งผลให้ความทรงจำของไลท์นิงถูกลบหลังจากการล่มสลายของคูคูน[53] แต่ด้วยความหวังที่อยากจะชดเชยให้กับผู้ตายในขณะที่เธอเป็นลาซี ไลท์นิงจึงเลือกที่จะอยู่ในวาลฮัลลาเพื่อปกป้องเอโทรที่กำลังตายจากไกอุสบัลลาด ชายอมตะที่มีจิตเคียดแค้นเอโทร[54][55] ไลท์นิงได้ขอความช่วยเหลือจากโนเอลไครส์ (ตัวละครหลักในภาค XIII-2) และเซราห์เพื่อหยุดยั้งไกอุสจากการหยุดเวลา ไกอุสมีแผนทำเช่นนั้นโดยการปลดปล่อย \"เคออส\" พลังงานเหนือธรรมชาติที่ควบคุมโดยเอโทร ไปยังโลกมนุษย์[56] เซราห์และโนเอลเดินทางไปในอนาคตเพื่อแก้ไขการบิดเบือนประวัติศาสตร์นี้ แต่เซราห์กลับตายลงหลังจากที่ประวัติศาสตร์ย้อนกลับคืนมา ในภาคเสริมตอนเรเควียมออฟเดอะกอดเดส ไลท์นิงแพ้ในการต่อสู้กับไกอุสและสูญสิ้นความหวังหลังจากที่ค้นพบว่าน้องสาวของเธอได้ตายลง แต่ไลท์นิงก็ได้รับการปลอบประโลมจากวิญญาณของเซราห์ที่กล่าวไว้ว่าอย่าลืมตัวตนของเธอ[57] ไลท์นิงสาบานว่าจะปกป้องความทรงจำของเซราห์ตลอดไปโดยการแปลงร่างตนเองให้เป็นคริสตัล ซึ่งจะปกป้องเธอไม่ให้ได้รับผลกระทบหลังจากที่การตายของเอโทรนั้นปลดปล่อยเคออสออกมา[58]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "97879#20", "text": "ตั้งแต่เกมแรก มาริโอมีบทบาทในการช่วยเหลือสาวเอ๊าะเดือดร้อน[46] เดิมทีนั้น เขาจะต้องช่วยชีวิตแฟนสาวชื่อ พอลีน ในเกมดองกีคองก์ จากตัวดองกีคองก์[53] ต่อมาพอลีนถูกแทนที่เป็นสาวเอ๊าะเดือดร้อนคนใหม่ในนาม เจ้าหญิงพีช ในเกมซูเปอร์มาริโอบราเธอร์ส[2] แต่พอลีนกลับมาในเกมดองกีคองก์เวอร์ชันรีเมกบนเครื่องเกมบอย ในปี ค.ศ. 1994 และในเกมมาริโอ vs. ดองกีคองก์ 2: มาร์ชออฟเดอะมินิส ในปี ค.ศ. 2006 ซึ่งเกมบรรยายว่าเป็น \"เพื่อนของมาริโอ\"[54] มาริโอได้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงพีชหลายครั้งนับตั้งแต่เกม \"ซูเปอร์มาริโอบราเธอร์ส\"[46] ในเกม ซูเปอร์ปริ้นเซสพีช มีการสลับบทบาทกันให้เจ้าหญิงพีชเป็นคนช่วยชีวิตมาริโอแทน[55] มาริโอได้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงเดซีแห่งดินแดนซาราซาราแลนด์ในเกมซูเปอร์มาริโอแลนด์[56] แต่ดูเหมือนว่าลุยจิจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอมากกว่า ในเกมซูเปอร์สแมชบราเธอร์ส เมเล มีข้อความอธิบายเกี่ยวกับของที่ระลึกของเดซีกล่าวว่า \"หลังจากที่เธอปรากฏตัวในเกมมาริโอกอล์ฟ มีการซุบซิบว่าเธอคือคำตอบของลุยจิถึงเจ้าหญิงพีชของมาริโอ\"[57]", "title": "มาริโอ (ตัวละคร)" }, { "docid": "909718#3", "text": "ไลท์นิงเป็นตัวละครที่สร้างโดย โมโทมุ โทริยามะ ผู้ออกแบบตัวละครเกม ไฟนอลแฟนตาซี XIII และ ไฟนอลแฟนตาซี X[1][2] และเขียนแบบโดย เท็ตสึยะ โนมูระ นักวาดภาพตัวละครประจำเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี พร้อมกับนักออกแบบอีกหลายคน[2] โทริยามะเคยกล่าวไว้ว่า การร่างภาพของโนมูระครั้งแรกนั้น \"ดูดีและมีพลังมากถึงขนาดที่ไม่ต้องแก้ไขอีก\"[3] และเนื่องจากคุณภาพกราฟิกของ ไฟนอลแฟนตาซี XIII ที่ก้าวหน้ากว่าเกมรุ่นเก่า ทำให้โนมูระสามารถเพิ่มรายละเอียดของไลท์นิงได้มากกว่าตัวละครอื่นที่เขาเคยออกแบบมา อาทิเช่น การออกแบบผ้าคลุมและรายละเอียดต่าง ๆ บนใบหน้า[4] ทำให้เขาต้องใช้เวลากับการพัฒนามากขึ้น[5] ซึ่งในช่วงแรกของการออกแบบ โนมูระเคยอธิบายว่าเธอเป็นตัวละครที่ดูเหมาะสมดีในเชิงที่ว่าเธอนั้นดูจริงจังและดุดัน แต่ทว่าเขาไม่สามารถทำให้ไลท์นิงมีความเป็นชายมากไปเนื่องจากกลัวว่าผู้เล่นจะเสียความรู้สึก[2] จุดเด่นของไลท์นิงจากการออกแบบรุ่นแรก ๆ คือสีผมบลอนด์ปนเทาและใบหน้าที่คล้ายกับคนเอเชีย ต่อมาในการร่างภาพรุ่นหลัง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงใบหน้าของเธอให้ดูมีความเป็นตะวันตกมากขึ้นและมีการเปลี่ยนสีผมของเธอให้เป็นสีชมพู โดยสีเดิมของเธอนั้นได้นำไปใช้กับตัวละครตัวอื่นแทน[2][6] ส่วนเหตุผลในการเปลี่ยนสีผมและใบหน้าของไลท์นิงนั้นมาจากความต้องการที่จะให้เธอแลดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นและให้ดูเหมาะสมกับรูปร่างของตน[2] การเรนเดอร์ตัวละครของเธอโดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกนั้นเป็นไปอย่างง่ายดายเนื่องจากแบบร่างของเธอมีรายละเอียดอยู่มาก[7]", "title": "ไลท์นิง" }, { "docid": "909718#17", "text": "ในเกมกดตามจังหวะ ทีตรึทึม ไฟนอลแฟน่ตาซี และภาคเสริมของเกมนี้ เคอร์เทนคอล ไลท์นิงเป็นตัวละครในฐานะตัวแทนของภาค XIII[79][80] และปรากฏตัวในชุดจากภาค XIII-2 ใน ไฟนอลแฟนตาซี แอร์บอร์นบริเกต[81] นอกจากนี้เธอยังเป็นตัวละครในเกมโทรศัพท์มือถือ ไฟนอลแฟนตาซี ออลเดอะเบรฟเวสต์ และ ไฟนอลแฟนตาซี เรกคอร์ดคิปเปอร์ [82][83] ตัวละครเสริมพลังใน ไฟน อลแฟนตาซี เอ็กซ์พลอเรอร์[84] ตัวจิบิใน ไฟนอลแฟนตาซี อินอิทะดะกิสตรีตโมบาย[85] และปรากฏอยู่บนไพ่ใน ไฟนอลแฟนตาซี อาร์ตนิกส์[86] และหลังจากที่มีการสันนิษฐานว่าเธอจะปรากฏตัวอีกครั้งในเกม ไฟนอลแฟนตาซี ชุดหลักหลังจากภาค ไลท์นิงรีเทิร์น คิตะเซะได้ออกมาชี้แจงในปี 2013 ว่าเธอจะปรากฏตัวในภาคเสริมต่าง ๆ แต่บทบาทในซีรีส์ชุดหลักได้จบลงแล้ว[87]", "title": "ไลท์นิง" } ]
1644
ราชวงศ์ตองอู คืออะไร?
[ { "docid": "70298#0", "text": "ราชวงศ์ตองอู (English: Toungoo Dynasty; Burmese: တောင်ငူခေတ်, [tàuɴŋù kʰɪʔ]) ราชวงศ์ที่ 2 ในประวัติศาสตร์พม่า ภายหลังจากราชวงศ์พุกาม ราชวงศ์แรกล่มสลายลงจากการรุกรานของชาวมองโกลโดยกุบไลข่าน", "title": "ราชวงศ์ตองอู" } ]
[ { "docid": "41270#0", "text": "ราชวงศ์ตูโปอูซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลูปกครองประเทศตองงาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2388 เป็นต้นมา โดยใช้ระบบราชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มาบริหารประเทศ และนายกรัฐมนตรีแต่ละสมัยของตองงามักเป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่ก็เป็นเหล่าขุนนางซึ่งมาจากการเลือกของขุนนางทั้งหมด 33 คน แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรกของตองงาคือ ดร. เฟเลติ เซเวเลเป็นรักษาการณ์นายกรัฐมนตรีของตองงาคนปัจจุบันจากการแต่งตั้งของสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จ ตูโปอูที่ 5เมื้อยังเป็นมกุฎราชกุมาร หลังจากการลาออกของเจ้าชายอูลูกาลาลา ลาวากา อาตาพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีเตาฟาอาเฮา ตูโปอูที่ 4 กับสมเด็จพระราชชนนีฮาแลวาลูมาตา อาโฮซึ่งในตอนแรกพระองค์ไม่ต้องการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ที่แรกแล้ว", "title": "รายพระนามพระมหากษัตริย์ตองงา" }, { "docid": "927266#0", "text": "พระเจ้าตราพระยาแห่งตองอู (, ) อุปราชแห่งเมือง ตองอู ระหว่าง ค.ศ. 1440 ถึง 1446 เป็นพระอนุชาของพระนาง ซอมินลา พระอัครมเหสีใน พระเจ้าฝรั่งมังศรี กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่ง อาณาจักรอังวะ และเป็นบรรพบุรุษของ พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ตองอู ", "title": "พระเจ้าตราพระยาแห่งตองอู" }, { "docid": "23110#32", "text": "ลุถึงปี ค.ศ.1661 อู๋ซานกุ้ยนำกำลังผสมฮั่น-แมนจู 2หมื่นคนบุกประชิดเมืองตองอู เรียกร้องให้พระเจ้าพินดาเลส่งตัวฮ่องเต้หย่งลี่ให้แก่ราชวงศ์ชิง เพื่อแลกกับสันติภาพระหว่างต้าชิงกับตองอู หาไม่แล้วแมนจูกับพม่าคงต้องตายกันไปข้าง การมาของอู๋ซานกุ้ยในครั้งนี้ทำให้ภายในราชสำนักตองอูเกิดความขัดแย้งอย่างหนักว่า จะจัดการกับฮ่องเต้หย่งลี่อย่างไร จะรับมือกับอู๋ซานกุ้ยและพวกแมนจูอย่างไร ในขณะที่พระเจ้าพินดาเลเองก็ทรงยืนกรานไม่ยอมมอบฮ่องเต้หย่งลี่ให้แก่ต้าชิง สถานการณ์ระหว่างต้าชิงกับตองอูตึงเครียดหนัก", "title": "ราชวงศ์ชิง" }, { "docid": "969585#0", "text": "พระนางมีนทเว (, ) พระมเหสีของ พระเจ้านันทบุเรง แห่ง ราชวงศ์ตองอู ของ เมียนมา (พม่า) จาก ค.ศ. 1583 ถึง 1599 พระธิดาองค์ที่ 2 ของอุปราช มังฆ้องที่ 2 แห่งตองอู ร่วมกับพระพี่นางและพระขนิษฐา 2 พระองค์ มีนพยูแห่งตองอู และ พระนางสิริราชเทวี อภิเษกกับพระญาติชั้นที่ 1 พระเจ้านันทบุเรง ใน ค.ศ. 1583 การอภิเษกระหว่างรัฐกับรัฐเป็นการผนึกความสัมพันธ์ระหว่าง มังฆ้องที่ 2 แห่งตองอู กับ พระเจ้านันทบุเรง ที่ พะโค พระนางกลายเป็น พระมเหสีวังกลาง", "title": "มีนทเวแห่งตองอู" }, { "docid": "622823#3", "text": "ทางประวัติศาสตร์ได้เรียกยุคของพระองค์ว่าเป็น \"ยุคญองยาน\" หรือ \"ราชวงศ์ตองอูยุคหลัง\" เพราะเป็นยุคสมัยที่ราชวงศ์ตองอูได้รื้อฟื้นและสถาปนาความเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองในแถบนี้ขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังล่มสลายไปจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าบุเรงนองและพระเจ้านันทบุเรงก่อนหน้านั้น", "title": "พระเจ้าญองยาน" }, { "docid": "53245#0", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองกา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ตูโปอู และทรงเป็น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งตองกา เพียงพระองค์เดียว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2443 เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2และสมเด็จพระราชินีลาวิเนีย เวอิออนโก ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา ทรงพัฒนาธุรกิจและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถือเป็นกษัตริย์นักพัฒนาอีกพระองค์หนึ่งนอกจากพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 จึงทำให้ยุคของพระนางเป็นยุคทองของประเทศตองงา นอกจากรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับ วิเลียมี ตังกิ ไมเลฟีฮี พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2461 และสวรรคตในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2508", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองงา" }, { "docid": "47015#3", "text": "ในปี พ.ศ. 2388 เตาฟาอาเฮา ตูโปอู ซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลู ได้รวบรวมหมู่เกาะตองงาที่แตกแยกกันให้เป็นอาณาจักรเดียวกันภายใต้ชื่ออาณาจักรโพลีนีเซีย แล้วสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 พร้อมสถาปนาราชวงศ์ตูโปอูขึ้น พระองค์พระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อ พ.ศ. 2418 ในระยะเวลาต่อมาพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 ทรงทำสนธิสัญญาให้ตองงาเป็นรัฐภายใต้ การคุ้มครองของสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2443 จนกระทั่งวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระราชาธิบดีเตาฟาอาเฮา ตูโปอูที่ 4 ตองงาได้อำนาจการปกครองตนเองคืนทั้งหมด และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในเครือจักรภพ และเมื่อกันยายน พ.ศ. 2543 ตองงาได้เข้าร่วมเป็นประเทศในสหประชาชาติ", "title": "ประวัติศาสตร์ตองงา" }, { "docid": "41276#0", "text": "สมเด็จพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 แห่งตองกา แห่งราชวงศ์ตูโปอู (18 มิถุนายน พ.ศ. 2417 — 5 เมษายน พ.ศ. 2461) ทรงเป็นพระราชโอรสในเจ้าชายเซียโอซิ ฟาตาเฟหิ ตัวไตโตโกตาฮา (ตูอิเปเลหะกาลำดับที่ 4 และนายกรัฐมนตรีของตองงา) และพระราชมารดาซึ่งเป็นหลานของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 พระองค์มีพระนามภาษาตองงาว่าเจียโอจิ ตูบู หรือเตาฟาอาเฮา ตูโปอูที่ 2 ต่อมาพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 ในปี พ.ศ. 2436 พระองค์โปรดในด้านศิลปะและเป็นกวีที่เปรื่องปราด อีกทั้งพระองค์ยังทรงไม่ชื่นชอบการบริหารประเทศ จึงทรงมอบหมายให้ เชอเลย์ ดับเบิลยู บาเกอร์ มิชชันนารีชาวคริสต์นิกายเวสเลยันมาบริหารประเทศ แต่นายเชอเลย์ คดโกงและโกงกินจึงถูกเนรเทศออกนอกประเทศ และเมื่อพระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2461 เมื่อพระชนมพรรษาได้ 43 พรรษา สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองงา ก็ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติแทน", "title": "พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 แห่งตองงา" }, { "docid": "2358#11", "text": "เริ่มตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ราชอาณาจักรอยุธยาถูกราชวงศ์ตองอูโจมตีหลายครั้ง สงครามครั้งแรกคือ สงครามพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ เมื่อ พ.ศ. 2091-92 แต่ล้มเหลว การรุกรานครั้งที่สองของราชวงศ์ตองอู หรือเรียกว่า \"สงครามช้างเผือก\"สมัยพระมหาจักรพรรดิ เมื่อ พ.ศ. 2106 พระเจ้าบุเรงนองทรงให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยอมจำนน พระบรมวงศานุวงศ์บางส่วนถูกพาไปยังกรุงหงสาวดี และสมเด็จพระมหินทราธิราช พระราชโอรสองค์โต ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าประเทศราช[12][13] เมื่อ พ.ศ. 2112 ราชวงศ์ตองอูรุกรานอีกเป็นครั้งที่สาม และสามารถยึดกรุงศรีอยุธยาได้ในปีต่อมา หนนี้พระเจ้าบุเรงนองทรงแต่งตั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเป็นเจ้าประเทศราช[13]", "title": "อาณาจักรอยุธยา" }, { "docid": "115376#3", "text": "มองตาเติบโตขึ้นในช่วงที่อำนาจของพระเจ้าพระเจ้ามหาธรรมราชาธิบดี ถดถอยลงอย่างมาก ในขณะนั้นชาวมณีปุระซึ่งซ่องสุมกำลังกันแถบลุ่มน้ำชีนดวีนกับแม่น้ำอิรวดี ก่อจลาจลไปทั่วทำให้บ้านเกิดของเขาซึ่งอยู่แถวนั้นได้รับผลกระทบไปด้วย ส่วนราชสำนักตองอูก็ไม่สามารถปราบมณีปุระลงได้ ทำให้เหล่ากบฏรุกคืบเข้ากวาดล้างชุมชน จับผู้คนเป็นเชลย และปล้นศาสนสถาน ครั้น พ.ศ. 2278 ชาวมอญในพม่าตอนล่างก็ประกาศไม่ขึ้นกับตองอู และรื้อฟื้นราชอาณาจักรหงสาวดีขึ้นใหม่[4] เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้อำนาจราชวงศ์ตองอูเสื่อมถอยลง กระทั่งทัพมอญหงสาวดีเข้ายึดเมืองอังวะ และล้มล้างราชวงศ์ตองอูได้เป็นผลสำเร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2295", "title": "อะแซหวุ่นกี้" }, { "docid": "370989#1", "text": "ในประวัติศาสตร์ ตองอูถือเป็นเมืองที่เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์พม่าในอาณาจักรที่ 2 คือ อาณาจักรตองอู ด้วยเป็นเมืองแรกที่พระเจ้าเมงจีโย ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ตองอูได้สถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ตรงกับคืนเดือนเพ็ญ ค.ศ. 1510 (ข้อมูลอย่างเป็นทางการบันทึกไว้ว่าตรงกับวันที่ 21 พฤศจิกายน) ก่อนที่ในรัชกาลถัดมาคือพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ซึ่งเป็นราชบุตร และพระเจ้าบุเรงนอง จะได้ขยายอาณาจักรลงใต้สู่หงสาวดี อันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของชาวมอญมาก่อน", "title": "ตองอู" }, { "docid": "41253#0", "text": "สมเด็จพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 แห่งตองกา เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าทูโพทัว แห่งราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลู ทรงพระราชสมภพที่ตองโกเลเลกา ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2340 และสวรรคตในวันที่18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 ณ กรุงนูกูอะโลฟา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ตูโปอู ทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2388 อีกทั้งยังเป็นผู้รวบรวมตองงา ภายใต้ชื่อว่าอาณาจักรโพลีนิเซียให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ตราบเท่าทุกวันนี้ อีกทั้งพระองค์ยังทรงเลิกทาสและประกาศตั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรตองงาที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อพระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2436 สิริพระชนมพรรษได้ 96 พรรษา พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 ก็ขึ้นครองราชย์สืบต่อราชวงศ์ตูโปอู", "title": "พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 แห่งตองงา" }, { "docid": "40818#0", "text": "สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จ ตูโปอูที่ 5 แห่งตองกา () หรือพระนามเดิม เจ้าชายเซียโอซี เตาฟาอาเฮา มานูมาตาโอโก ตูกูอาโฮ ตูโปอู มกุฎราชกุมารแห่งตองกา () ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรตองงา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 ขณะมีพระชนมพรรษา 18 พรรษา เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยมีการประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ทรงเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์ตูโปอูและลำดับที่ 23 แห่งราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลู อีกทั้งพระองค์ยังมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอันดีกับนายกรัฐมนตรีเฟเลติ เซเวเล", "title": "สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จ ตูโปอูที่ 5" }, { "docid": "51123#0", "text": "พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ หรือ ตะเบ็งเฉวฺ่ที (, ; สำเนียงพม่าออกว่า \"ตะเบ็งเฉวฺ่ที\") เป็นพระมหากษัตริย์พม่ารัชกาลที่ 2 ในราชวงศ์ตองอู เป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวในพระเจ้าเมงจีโย ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ตองอู", "title": "พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้" }, { "docid": "967552#0", "text": "มหาเทวีแห่งตองอู (, ) พระมเหสีของ พระเจ้าเมงจีโย ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ตองอู พระนางเป็นที่รู้จักในพระนาม วดีมิบะยา () ในวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1511 พระเจ้าเมงจีโยได้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์ได้พระราชทานพระอิสริยยศมหาเทวีแก่พระนาง พระนางไม่มีพระโอรส-ธิดา", "title": "มหาเทวีแห่งตองอู" }, { "docid": "967839#0", "text": "มังฆ้องที่ 1 แห่งตองอู ( ) อุปราชแห่งเมืองตองอูจาก ค.ศ. 1446 ถึง 1451 พระองค์ขึ้นสืบบัลลังก์ตองอูหลังการสวรรคตอย่างกะทันหันของพระราชบิดา พระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยขุนนางของพระญาติชั้นที่ 1 มังรายจอทิน ซึ่งพงศาวดารพม่าทุกฉบับเริ่มตั้งแต่ มหาราชวงศ์ กล่าวถึงตัวตนของมังฆ้องที่ 1 ว่าเป็นบรรพบุรุษของ พระเจ้าบุเรงนอง แห่ง ราชวงศ์ตองอู", "title": "มังฆ้องที่ 1 แห่งตองอู" }, { "docid": "929467#0", "text": "ฉิ่นโยเมี๊ยะ (, ; ประมาณคริสต์ทศวรรษ 1490 – ประมาณคริสต์ทศวรรษ 1520) พระนมของ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ แห่ง ราชวงศ์ตองอู และเป็นพระราชมารดาของ พระเจ้าบุเรงนอง ใน ค.ศ. 1516 พระนางและพระสวามีคือ เมงเยสีหตู ได้เข้ามาเป็นข้าราชสำนักตองอูตั้งแต่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ยังเป็นทารก ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่าพระนางเป็นทายาทรุ่นที่ 5 ของ พระเจ้าสีหตู ปฐมกษัตริย์แห่ง อาณาจักรปีนยะ (ครองราชย์; 1310–1325) กับพระอัครมเหสี จากราชวงศ์พุกาม แต่จากประวัติที่เล่าต่อกันมากล่าวว่าพระนางและพระสวามีเป็นคนธรรมดาสามัญจากพุกาม หรือ ตองอู", "title": "ฉิ่นโยเมี๊ยะ" }, { "docid": "898119#0", "text": "พระนางธรรมเทวีแห่งตองอู (, ) หนึ่งในสามอัครมเหสีของ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์พม่าแห่ง ราชวงศ์ตองอู เป็นธิดาของ เมงเยสีหตู พระอาจารย์ของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้รวมถึงเป็นพระเชษฐภคินี (พี่สาว) ของ พระเจ้าบุเรงนอง ", "title": "พระนางธัมมเทวีแห่งตองอู" }, { "docid": "285293#0", "text": "พระเจ้าสเน่ห์มิน (, ; ประมาณ 1 เมษายน 1673 – ) เป็นพระมหากษัตริย์พม่าองค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์ตองอูครองราชย์ต่อจากพระเจ้ามังกะยอดินพระบิดาของพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2241 ในรัชสมัยของพระองค์ประเทศพม่าได้มีขนาดเล็กลงมากบ้านเมืองอ่อนแอลงซึ่งมีผลทำให้ราชวงศ์ตองอูล่มสลายลง", "title": "พระเจ้าสเน่ห์มิน" }, { "docid": "898305#0", "text": "พระนางอตุลสิริมหาราชเทวี ( ; ประมาณ 1518 – 15 มิถุนายน 1568) พระอัครมเหสีองค์แรกใน พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ตองอูจาก ค.ศ. 1550 ถึง 1568 โดยพระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ตองอูเพราะเป็นพระราชธิดาของ พระเจ้าเมงจีโย ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ตองอู และเป็นพระขนิษฐาใน พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ตองอู", "title": "พระนางอตุลสิริมหาราชเทวี" }, { "docid": "23110#33", "text": "กระทั่งถึงปี ค.ศ.1662 องค์ชายพเยมิน อนุชาของพระเจ้าพินดาเล ซึ่งมีตำแหน่งผู้บัญชาการทหารแห่งตองอู ก็ตัดสินใจกระทำรัฐประหาร ชิงอำนาจจากพระเชษฐา ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่แห่งราชวงศ์ตองอู และเปิดการเจรจากับอู๋ซานกุ้ยอีกครั้ง ในที่สุดพระเจ้าพเยมินก็ยอมขับฮ่องเต้หย่งลี่และหลี่ติ้งกั๋วออกนอกแดนพม่า เปิดทางให้อู๋ซานกุ้ยจัดการกับฮ่องเต้หย่งลี่ได้โดยสะดวก เป็นการปิดฉากราชวงศ์หมิงใต้โดยสมบูรณ์", "title": "ราชวงศ์ชิง" }, { "docid": "856480#4", "text": "แม้ว่ากษัตริย์ในราชวงศ์ตองอูจะปกครองพม่าตอนล่างจนถึงพุทธศตวรรษที่ 23 แต่ยุคทองของอาณาจักรหงสาวดียังเป็นที่จดจำของชาวมอญในพม่าตอนล่าง ปี พ.ศ. 2283 ได้มีการก่อกบฎต่อต้านราชวงศ์ตองอูที่อ่อนแอและก่อตั้งอาณาจักรหงสาวดีใหม่", "title": "อาณาจักรหงสาวดี" }, { "docid": "207845#8", "text": "ส่วนพระเจ้าตองอูนัดจินหน่อง พระเจ้าอโนเพตลุนเห็นว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์ตองอูเหมือนกัน จึงสั่งให้กลับมานับถือศาสนาพุทธ และสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ พระเจ้าตองอูไม่ยอมจึงถูกประหารฐานกบฏ", "title": "พระเจ้าอะเนาะเพะลูน" }, { "docid": "969236#0", "text": "พระนางมีนพยู (, ; ประมาณคริสต์ทศวรรษ 1550–1596) พระมเหสีของ พระเจ้านันทบุเรง แห่ง ราชวงศ์ตองอู ของพม่าจาก ค.ศ. 1583 ถึง 1596 เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของอุปราช มังฆ้องที่ 2 แห่งตองอู พระนางพร้อมกับพระขนิษฐา 2 พระองค์ มีนทเวแห่งตองอู และ พระนางสิริราชเทวี อภิเษกกับพระญาติชั้นที่ 1 พระเจ้านันทบุเรงใน ค.ศ. 1583 การเสกสมรสแบบรัฐกับรัฐเป็นการผนึกความสัมพันธ์ระหว่าง มังฆ้องที่ 2 และ พระเจ้านันทบุเรง", "title": "มีนพยูแห่งตองอู" }, { "docid": "970538#0", "text": "สีตูจอทินแห่งตองอู (, ; สวรรคต 1481) นายพลแห่ง อาณาจักรอังวะ และอุปราชแห่งตองอูจาก ค.ศ. 1470 ถึง 1481 พระองค์เป็นพระอัยกา (ตา) ของ พระเจ้าเมงจีโย ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ตองอู และพระองค์ยังเป็นพระราชบุตรเขยขององค์รัชทายาท มังรายกะยอชวา ที่มีชื่อเสียงใน สงครามสี่สิบปี", "title": "สีตูจอทินแห่งตองอู" }, { "docid": "908058#0", "text": "พระนางรัตนาเทวีแห่งตองอู (, ) หนึ่งในห้าพระมเหสีของ พระเจ้าเมงจีโย ปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ตองอู และเป็นพระมารดาของ พระนางอตุลสิริมหาราชเทวี พระอัครมเหสีใน พระเจ้าบุเรงนอง มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า ขิ่นเว", "title": "พระนางรัตนาเทวีแห่งตองอู" }, { "docid": "70298#1", "text": "พระเจ้าเมงจีโย ได้รวบรวมชาวพม่าที่หลงเหลืออยู่อย่างกระจัดกระจาย โดยสถาปนาเมืองตองอูขึ้นเป็นราชธานี เพราะเป็นเมืองที่อยู่ในขุนเขาซึ่งเป็นปราการที่เข้มแข็ง ตองอูเข้มแข็งขึ้นมารัชสมัยของ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ พระโอรสของพระองค์ที่ขึ้นครองราชย์ต่อมา โดยได้แผ่อาณาเขตของอาณาจักรขยายไปรอบด้าน เช่น แปร, พะสิม อังวะ, ยะไข่ และที่สำคัญที่สุดคือ หงสาวดี อันเป็นอาณาจักรเดิมของมอญ ซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญของพม่า", "title": "ราชวงศ์ตองอู" }, { "docid": "928880#0", "text": "พระนางสิริราชเทวี (, ) พระมเหสีตำหนักเหนือของ พระเจ้านันทบุเรง แห่ง ราชวงศ์ตองอู ของพม่าจาก ค.ศ. 1583 ถึง 1599 พระนางเป็นพระธิดาองค์เล็กของ มังฆ้องที่ 2 แห่งตองอู อุปราชแห่งเมืองตองอูโดยพระนางพร้อมกับพระพี่นางอีก 2 พระองค์คือ เมงพยู และ เมงทเว เข้าพิธีอภิเษกกับพระญาติชั้นที่ 1 นันทบุเรง เมื่อ ค.ศ. 1583 ทำให้พระนางได้เป็นพระมเหสีตำหนักเหนือ", "title": "พระนางสิริราชเทวี" }, { "docid": "70298#7", "text": "ในทางวิชาการ นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งราชวงศ์ตองอูไว้เป็น 2 ยุค คือ ราชวงศ์ตองอูตอนต้น กินระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2029 - พ.ศ. 2142 คือตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าเมงจีโยจนถึงพระเจ้านันทบุเรง และราชวงศ์ตองอูตอนปลายหรือยุคหลัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2140 - พ.ศ. 2295 ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้านยองยานจนถึงการสถาปนาอำนาจขึ้นมาของพระเจ้าอลองพญา", "title": "ราชวงศ์ตองอู" } ]
1075
จักรวรรดิแอซเท็ก เริ่มต้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "269514#0", "text": "แอซเท็ก (English: Aztec Empire) เป็นคำที่หมายถึงกลุ่มชาติพันธ์ในทางตอนกลางของเม็กซิโกโดยเฉพาะกลุ่มที่พูดภาษานาวาตล์ (Nahuatl) ผู้มีอำนาจทางการเมืองและทางการทหารในบริเวณเมโสอเมริกา ในคริสต์ศตวรรษที่ 14, 15 และ 16 ในสมัยที่เรียกว่าปลายยุคคลาสสิกตอนหลังในลำดับเหตุการณ์ในเมโสอเมริกา (Mesoamerican chronology)", "title": "จักรวรรดิแอซเท็ก" } ]
[ { "docid": "582215#22", "text": "กอร์เตสได้ชักชวนให้หัวหน้าเผ่าโตโตนัก(Totonac) นามว่า ชิโกเมโกอัตล์(Chicomecoatl) ให้กบฏต่อจักรวรรดิแอซเท็ก อย่างรวดเร็ว", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "17294#1", "text": "หลังจากได้รับเอกราชจากประเทศสเปน ก็มีการตกลงว่าจะตั้งชื่อประเทศใหม่แห่งนี้ตามชื่อเมืองหลวงคือ กรุงเม็กซิโกซิตี ซึ่งมีชื่อดั้งเดิมในสมัยก่อตั้งว่า \"เม็กซิโก-เตนอชตีตลัน\" (Mexico-Tenochtitlan) มีที่มาจากชื่อของชนเผ่าเม็กซิกา (Mexica) ซึ่งเป็นชนกลุ่มหลักในอารยธรรมแอซเท็กอีกทอดหนึ่ง ส่วนต้นกำเนิดของชื่อเม็กซิกานั้นยังไม่ทราบชัดเจน มีการตีความไปหลาย ๆ ทาง มีข้อสันนิษฐานว่า มาจากคำในภาษานาอวตล์ว่า \"เมชตลี\" (Mextli) หรือ \"เมชิตลี\" (Mēxihtli) ซึ่งเป็นชื่อลับของเทพเจ้าวิตซีโลโปชตลี (Huitzilopochtli) เทพเจ้าแห่งสงครามและผู้คุ้มครองชาวแอซเท็ก (หรือชาวเม็กซิกา) ในกรณีนี้ Mēxihco [เมชิโก] จึงอาจจะแปลว่า \"สถานที่ซึ่งเมชตลีทรงสถิตอยู่\"[5]", "title": "ประเทศเม็กซิโก" }, { "docid": "582215#19", "text": "ไม่ว่าชาติกำเนิดของเธอจะเป็นเช่นไร กอร์เตสก็ได้พบกุญแจสำคัญที่จะทำให้ความทะเยอทะยานของเขาเป็นจริง เมื่อเขาต้องการติดต่อสื่อสารกับชาวแอซเท็ก เขาจะต้องพูดภาษาสเปนกับเจโรนีโม เด อากีลาร์ จากนั้นอากีลาร์จะแปลเป็นภาษามายาและพูดกับลามาลินเช จากนั้นลามาลินเชจะแปลเป็นภาษานาวาตล์(Nahuatl) (อันเป็นภาษาของชาวแอซเท็ก) ด้วยกระบวนการดังกล่าวนี้ กอร์เตสจึงสามารถสื่อสารกับชาวแอซเท็กได้", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "267070#0", "text": "จักรวรรดิซองไฮ หรือ จักรวรรดิซองเฮย์ () เป็นจักรวรรดิที่ตั้งอยู่ในบริเวณแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 จักรวรรดิซองไฮก็เป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาจักรวรรดิของแอฟริกาโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่กาว ชื่อจักรวรรดิเป็นชื่อเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ชาวซองไฮ ที่เดิมเป็นรัฐเล็กๆ มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 บริเวณที่มีอำนาจอยู่ตรงโค้งแม่น้ำไนเจอร์ที่ปัจจุบันคือประเทศไนเจอร์และบูร์กินาฟาโซ", "title": "จักรวรรดิซองไฮ" }, { "docid": "582215#24", "text": "ในเวลาใกล้เคียงกัน กอร์เตสได้รับการต้อนรับโดยตัวแทนจากจักรพรรดิแห่งแอซเท็ก มอกเตซูมาที่ 2 และมีการแลกเปลี่ยนของกำนัล แต่กอร์เตสพยายามจะเขย่าขวัญคณะผู้แทนจากแอซเท็กโดยการแสดงอำนาจการยิง และท้าทายให้เกิดการสู้รบกันขึ้น แต่ว่าคณะผู้แทนดังกล่าวได้ออกไปจากพื้นที่อย่างรวดเร็วและอาจรายงานต่อมอกเตซูมาก็เป็นได้ หลังจากการพบกันครั้งแรกระหว่างแอซเท็กกับสเปน คณะทูตจากจักรวรรดิแอซเท็กได้ถูกส่งมาพร้อมกับของกำนัลที่มากกว่าเดิม รวมถึงทองคำ(ซึ่งชาวแอซเท็กเห็นว่ามีค่าไม่มากนัก) ถึงแม้ว่าพวกแอซเท็กจะพยายามขัดขวางมิให้คณะของกอร์เตสเดินทางไปยังเตโนชตีตลัน แต่ด้วยของกำนัลอันฟุ่มเฟือย ความอ่อนโยน และการต้อนรับเป็นอย่างดีของคณะทูตแอซเท็ก ได้ผลักดันให้กอร์เตสเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงของแอซเท็ก ตลอดการเดินทางส่วนใหญ่ของพวกเขา คณะทูตจากแอซเท็กได้เข้าร่วมกับทัพสเปน และรายงานต่อมอกเตซูมาอย่างไม่ปิดบัง", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "269514#4", "text": "ประวัติศาสตร์สเปน จักรวรรดิอินคา การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กโดยสเปน", "title": "จักรวรรดิแอซเท็ก" }, { "docid": "269514#6", "text": "หมวดหมู่:รัฐสิ้นสภาพในประเทศเม็กซิโก หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 14 หมวดหมู่:สิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 16 หมวดหมู่:จักรวรรดิ หมวดหมู่:แอซเท็ก หมวดหมู่:วัฒนธรรมสมัยก่อนโคลัมบัสของเม็กซิโก หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์แอซเท็ก หมวดหมู่:ราชาธิปไตยในอดีต หมวดหมู่:เมโสอเมริกา", "title": "จักรวรรดิแอซเท็ก" }, { "docid": "582215#34", "text": "ในขณะเดียวกัน คณะทูตจากมอกเตซูมาที่สอง ได้กดดันให้กอร์เตสออกจากตลัซกาลา \"อันเป็นเมืองทื่ยากจนและมีแต่โจร\" ไปยังเมืองโชลูลา(Cholula) เมืองใกล้เคียงซึ่งอยู่ใต้อาณัติของแอซเท็ก มากกว่าที่จะอยู่ใต้อาณัติของเวโชตซิงโก(Huexotzingo)", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "269514#3", "text": "กลุ่มกองกิสตาดอร์ หรือนักสำรวจดินแดนชาวสเปนนำโดย เอร์นัน กอร์เตส เข้ารุกรานและยึดครองจักรวรรดิแอซเท็ก จนกระทั่งล่มสลายในปี ค.ศ. 1521", "title": "จักรวรรดิแอซเท็ก" }, { "docid": "17294#9", "text": "กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของแอซเท็กได้แก่ พระเจ้ามอกเตซูมาที่ 2 เมื่อถึงปี ค.ศ. 1519 เตนอชตีตลัน เมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็ก (เม็กซิกา) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรถึงประมาณ 350,000 คน ซึ่งกรุงลอนดอนในขณะนั้นมีประชากรเพียง 80,000 คนเท่านั้น เตนอชตีตลันเป็นที่ตั้งของกรุงเม็กซิโกซิตีในปัจจุบัน", "title": "ประเทศเม็กซิโก" }, { "docid": "582215#45", "text": "ในวันที่ 8 พฤษจิกายน ค.ศ. 1519 หลังจากการล่มสลายของเมืองโชลูลา กอร์เตสและกองทัพของเขาได้เดินทางเข้าสู่กรุงเตโนชตีตลัน อันเป็นเมืองหลวงบนเกาะของชนชาวแอซเท็ก(ซึ่งเรียกตัวเองว่า \"เม็กซิกา(Mexica)\") ว่ากันว่าในเวลานั้น เตโนชตีตลันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ใหญ่กว่าทุกเมืองในยุโรป เป็นรองก็แต่เพียงกรุงคอนสแตนติโนเปิลเท่านั้น ประมาณการว่าเมืองนี้มีประชาชนประมาณ 60,000 ถึง 300,000 คนเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสเปนคือเมืองเซบียา ก็มีประชากรเพียงแค่ 30,000 คนเท่านั้น\nตามจดหมายเหตุของแอซเท็กซึ่งบันทึกโดย กษัตริย์แอซเท็กนามว่าทรงต้อนรับเอร์นัน กอร์เตส อย่างใหญ่โตโออ่า ซาอากูนบันทึกว่ามอกเตซูมาทรงต้อนรับกอร์เตสบนทางยกระดับใหญ่(The Great Causeway) และมีผู้นำอีกสีคนอยู่เคียงข้างมอกเตซูมาอันได้แก่ กษัตริย์แห่งพระนามว่า, กษัตริย์แห่งตลาโกปานพระนามว่า, อิซกวาวซิน(Itzcuauhtzin) ขุนนางแห่ง และสุดท้าย โตปานเตมอก(Topantemoc) ผู้รักษาทรัพย์สมบัติของมอกเตซูมาในตลาเตลอลโก", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "269514#1", "text": "ส่วนใหญ่แล้ว “แอซเท็ก” มักจะหมายถึงเฉพาะชาวเตนอชตีตลัน (en:Tenochtitlan) ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะในทะเลสาบเท็กซ์โคโคที่เรียกตนเองว่า “เม็กซิกาเทน็อคคา” หรือ “โคลฮูอาเม็กซิกาเทน็อคคา”", "title": "จักรวรรดิแอซเท็ก" }, { "docid": "582215#29", "text": "ชาวตลัซกาลาเริ่มต้นเผชิญหน้ากับชาวสเปนอย่างไม่เป็นมิตร ชาวสเปนถูกผลักดันให้ขึ้นไปบนภูเขาและถูกปิดล้อม เล่าว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อ ชาวสเปนอาจไม่มีชีวิตรอดถ้าชีโกเตนกัตล์ผู้พ่อ(Xicotencatl the Elder) ไม่ยุยงให้ ชีโกเตนกัตล์ผู้ลูก(Xicotencatl the Younger) ลูกของเขาซึ่งเป็นผู้นำด้านการทหารของตลัซกาลาให้เป็นพันธมิตรกับชาวสเปน ในขณะนั้นตลัซกาลาและเมืองรอบข้างเช่นเตโนชตีตลัน กำลังอยู่ในสงครามดอกไม้(Flower Wars) ซึ่งดำเนินมาเกือบศตวรรษ ก่อให้เกิดความเกลียดชังและความขมขื่นระหว่างตลัซกาลาและแอซเท็กมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวตลัซกาลาเชื่อว่าชาวแอซเท็กอาจเข้าพิชิตอาณาจักรของตนเป็นลำดับถัดไป ขณะนั้นแอซเท็กได้เข้ายึดเมืองรอบๆ ตลัซกาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นไปได้ว่าที่แอซเท็กปล่อยให้ตลัซกาลาเป็นอิสระนั้นเพราะว่าแอซเท็กต้องการเชลยจากตลัซกาลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปบูชายัญแก่เทพเจ้า ตามความเชื่อของชาวแอซเท็ก การบูชายัญนักรบที่กล้าหาญเป็นของขวัญที่ดียิ่งกว่าการบูชายัญอื่นๆ", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "582215#23", "text": "การกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นการท้าทายอำนาจของข้าหลวงเวลาสเกซ อาจทำให้เขาถูกคุมขังหรือถูกประหาร ทางเลือกของเขาคือต้องดำเนินการต่อเพื่อที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของเขาและราชบัลลังก์สเปน ในการกระทำการเช่นนั้น เขาได้สั่งให้ลูกน้องของเขาสร้างถิ่นฐานนามว่า ลาบียารีกาเดลาเบรากรูซ(La Villa Rica de la Vera Cruz)ชาวโตโตนักก็ได้ช่วยเหลือชาวสเปนก่อสร้างถิ่นฐานนี้ด้วยเช่นกัน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะพิชิตจักรวรรดิแอซเท็ก ถิ่นฐานเล็กๆ ดังกล่าวนี้ได้เจริญขึ้นมาตามลำดับจนกลายเป็นเมืองใหญ่นามเวรากรูซ", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "582215#0", "text": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กโดยสเปน เป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งใน แผนการนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1519 และได้รับชัยชนะเหนือจักรวรรดิแอซเท็กในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ.1521 เมื่อกองกำลังผสมระหว่างสเปนและ นำโดยเอร์นัน กอร์เตส (Hernán Cortés) และ (Xicotencatl the Younger) ยึดกรุงซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็กได้สำเร็จ ทรงเชื่อว่ากอร์เตสเป็นพระเจ้า จากการที่ชาวสเปนได้นำปืนและม้า ซึ่งชาวแอซเท็กไม่เคยเห็นก่อนหน้านี้มาด้วย", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "269514#2", "text": "บางครั้งคำนี้ก็รวมทั้งผู้ที่พำนักอาศัยของเตนอชตีตลันในนครรัฐพันธมิตรอีกสองเมือง Acolhua แห่ง เตซโกโก และ เทพาเน็คแห่งทลาโคพานที่รวมกันเป็นสามพันธมิตรแอซเท็ก (Aztec Triple Alliance) หรือที่เรียกกันว่า “จักรวรรดิแอซเท็ก”", "title": "จักรวรรดิแอซเท็ก" }, { "docid": "357548#24", "text": "อารยธรรมอเมริกาเริ่มต้นเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาลในแถบเมโสอเมริกา\nเกิดสังคมก่อนยุคโคลัมเบียนอย่างแหล่งอารยธรรมมายาและจักรวรรดิแอซเท็ก หลังจากการล่มสลายของวัฒนธรรมเริ่มต้นอย่าง\nวัฒนธรรมโอเมก\nอารยธรรมมายาเริ่มขยายตัวในแถบยูกาตัง และจักรวรรดิแอซเท็ก ก็ได้รับเอาวัฒนธรรมข้างเคียง และกวาดต้อนเอาชนเผ่าต่างๆ เช่น ชนเผ่าทอลเต็ก", "title": "ประวัติศาสตร์โลก" }, { "docid": "37665#41", "text": "จักรวรรดิสเปนเป็นหนึ่งในบรรดาจักรวรรดิสากล (Global Empire) สมัยใหม่และเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สเปนและโปรตุเกสเป็นผู้นำของยุโรปในการสำรวจโลก การขยายอาณานิคม รวมทั้งการเปิดเส้นทางการค้าข้ามมหาสมุทร การค้าได้เจริญเฟื่องฟูขึ้นข้ามน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสเปนกับอเมริกา และข้ามน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างเอเชียตะวันออกกับเม็กซิโก (ผ่านทางฟิลิปปินส์) เหล่ากองกิสตาดอร์ (\"conquistador\" - ผู้พิชิต) ได้เข้าไปล้มล้างอารยธรรมแอซเท็ก อินคา และมายา และอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองดินแดนในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้อันกว้างขวาง ในช่วงหนึ่งจักรวรรดิสเปนมีอำนาจเหนือมหาสมุทรต่าง ๆ ด้วยกองทัพเรือที่มีประสบการณ์และมีชัยชนะในสนามรบในทวีปยุโรปด้วยกองทัพที่มีชื่อว่าเตร์เซียว (\"tercio\") ซึ่งเป็นทหารราบที่น่าเกรงขามและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี นอกจากนี้ สเปนยังเข้าสู่ยุคทองทางวัฒนธรรมของตนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 อีกด้วย\nที่จริงในช่วงแรก ๆ นั้น ชาวสเปนค่อนข้างผิดหวังกับดินแดนในทวีปอเมริกาที่ตนได้ยึดครองไว้ เนื่องจากชนพื้นเมืองไม่มีอะไรที่จะทำการค้าด้วยมากนัก แม้ว่าผู้ที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานที่นั่นจะพยายามผลักดันการค้าขายก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นโรคภัยที่ติดตัวนักล่าอาณานิคมไปก็ได้คร่าชีวิตชนพื้นเมืองเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นของเขตอารยธรรมอัซเตก มายา และอินคา นี่เองที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของดินแดนอาณานิคมสเปนลดลง", "title": "ประวัติศาสตร์สเปน" }, { "docid": "582215#30", "text": "ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ.1519 กอร์เตสเดินทางมาถึงตลัซกาลาและทักทายอย่างเป็นมิตรกับบรรดาผู้นำทั้งหลายของตลัซกาลา ชาวตลัซกาลามองว่าชาวสเปนเป็นพันธมิตรที่จะช่วยต่อต้านแอซเท็ก เนื่องจากการถูกปิดล้อมไม่ให้ทำการค้า ตลัซกาลากำลังอยู่ในสภาพยากจน ขาดแคลนเกลือ, ผ้าไหม, รวมถึงสิ่งอื่นๆ ดังนั้นจึงช่วยสนับสนุนกอร์เตสได้เพียงคนรับใช้และอาหาร กอร์เตสอาศัยในตลัซกาลาเป็นเวลา 12 วัน ให้เวลาลูกน้องของเขาในการพักฟื้นจากบาดเจ็บ ดูเหมือนว่ากอร์เตสจะได้มิตรภาพที่แท้จริงและความภักดีจากผู้นำใหญ่ของตลัซกาลา ได้แก่มาชิชกัตซิน(Maxixcatzin) และ ชีโกเตนกัตล์ผู้พ่อ(Xicotencatl the Elder) อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถชนะใจชีโกเตนกัตล์ผู้ลูก(Xicotencatl the Younger) ได้ ชาวสเปนตกลงที่จะเคารพสิ่งก่อสร้างในเมืองนี้ โดยเฉพาะศาสนสถาน และใช้งานสิ่งที่ได้รับมอบอย่างอิสระ", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "582215#5", "text": "สังเกตว่า แหล่งที่มาทั้งหมดมักจะบรรยายถึงลางบอกเหตุดังกล่าวและการกลับมาของเทพเจ้าของชาวแอซเท็ก ในจำนวนนี้ยังมีแหล่งที่มาซึ่งริเริ่มโดยพระชาวสเปน และเขียนขึ้นหลังจากการล่มสลายของเตโนชตีตลันในปี 1521 นักชาติพันธุ์ประวัติศาสตร์กล่าวว่า ในเวลาที่ชาวสเปนเดินทางมาถึงนั้น ชนพื้นเมืองและผู้นำของเขาไม่ได้เห็นว่าชาวสเปนเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด หากแต่เห็นว่าเป็นเพียงกลุ่มชนภายนอกที่แลดูมีอำนาจสูงเท่านั้น ตามคำบรรยายของชาวสเปนจำนวนมาก ได้ใช้ลางสังหรณ์เป็นหลักฐานสนับสนุนให้เห็นว่า การพิชิตของชาวสเปนนั้นถูกกำหนดมาก่อนหน้านี้แล้ว และเป็นโชคชะตาของชาวสเปน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าการที่ชนพื้นเมืองผู้บอกเล่าเหตุการณ์ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับลางสังหรณ์ดังกล่าว และความสับสนไม่ทันได้เตรียมตัวต่อการพิชิตที่เกิดขึ้นนั้น \"เป็นเพราะการตีความของผู้บอกเล่าเหตุการณ์ที่หวังจะเอาอกเอาใจชาวสเปน หรือไม่ก็เป็นเพราะไม่พอใจในความล้มเหลวของมอกเตซูมาที่ 2 และนักรบแอซเท็กซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำ\" ฮิวจ์ โทมัส(Hugh Thomas) ได้สรุปว่า มอกเตซูมาที่ 2 ทรงลังเลว่าเอร์นัน กอร์เตส เป็นเทพเจ้าจริงๆ หรือเป็นทูตของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ต่างแดนกันแน่ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนับสนุนทฤษฎีที่ว่า มอกเตซูมาที่ 2 ทรงเชื่ออย่างเต็มที่ว่าเอร์นัน กอร์เตส เป็นการกลับชาติมาเกิดของเทพเจ้าเกตซัลโกอัตล์(Quetzalcoatl) ดังที่เชื่อกันในวงกว้าง", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "17294#11", "text": "ด้วยความเชื่อว่ากอร์เตสเป็นเกตซัลโกอัตล์ (กษัตริย์เทพเจ้าในตำนานแอซเท็ก ซึ่งมีคำทำนายไว้ว่าพระองค์จะทรงกลับมาในปีเดียวกับที่กอร์เตสมาถึงพอดี) ชาวแอซเท็กจึงไม่ได้ต่อต้านเขาและยังต้อนรับเป็นอย่างดี แต่อีกสองปีต่อมา (ค.ศ. 1521) กรุงเตนอชตีตลันก็ถูกพิชิตโดยกองทัพผสมระหว่างสเปนกับตลัชกัลเตกซึ่ง เป็นศัตรูสำคัญของแอซเท็ก การที่สเปนยึดเมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็กได้นั้นเป็นจุดเริ่มต้นยุค อาณานิคมที่นานเกือบ 300 ปีของเม็กซิโกในฐานะเขตอุปราชแห่งนิวสเปน อย่างไรก็ตาม กว่าสเปนจะยึดดินแดนเม็กซิโกได้ทั้งหมดนั้นก็ยังต้องใช้เวลาอีก 2 ศตวรรษหลังจากการตีกรุงเตนอชตีตลันได้ เนื่องจากต้องสู้รบกับชนพื้นเมืองกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังคงก่อการจลาจลและโจมตีดินแดนของสเปนอยู่", "title": "ประเทศเม็กซิโก" }, { "docid": "887078#5", "text": "เนื่องจากความคิดบางอย่างเป็นสากลวัฒนธรรมที่แตกต่างกันจำนวนมากได้พัฒนารูปแบบที่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่นตาที่มีน้ำตาหมายถึง 'ความเศร้า' ในอุดมการณ์ไอดิโอแกรมของกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกาในแคลิฟอร์เนีย เช่นเดียวกับชาวแอซเท็ก ,ในช่วงต้นของจีนและชาวอียิปต์", "title": "ประวัติศาสตร์การสื่อสาร" }, { "docid": "582215#36", "text": "ในขณะนี้กอร์เตซยังมิได้คิดริเริ่มจะทำสงครามกับจักรวรรดิแอซเท็ก กอร์เตซตัดสินใจว่าจะประนีประนอม เขารับของกำนัลจากคณะทูตแอซเท็ก และยังรับข้อเสนอจากตลัซกาลา ที่จะเสนอทหาร 1000 นายคอยคุ้มกันในการเดินทางสู่โชลูลา นอกจากนี้เขายังได้ส่ง และ มุ่งตรงไปยัง ในฐานะทูต เพื่อสำรวจเส้นทางไปยังเตโนชตีตลันอีกด้วย", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "582215#42", "text": "เหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนี้ทำให้เมืองอื่นๆ และกลุ่มชนที่มีความสัมพันธ์กับแอซเท็ก รวมทั้งตัวจักรวรรดิแอซเท็กก็ดี รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาบ้าง กิตติศัพท์ของเหตุการณ์ครั้งนี้ชักนำเมืองอื่นๆ ใต้อาณัติของแอซเท็กตอบรับข้อเสนอของกอร์เตซอย่างแข็งขัน แทนที่จะไปเสี่ยงกับชะตากรรมเช่นโชลูลา", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "436531#0", "text": "พระมหากษัตริย์แห่งแอซแท็กหรืออีกตำแหน่งหนึ่งว่าทลาโทอานิแห่งเตนอชตีชลัน", "title": "รายพระนามพระมหากษัตริย์แอซเท็ก" }, { "docid": "492967#0", "text": "แบล็ก แอนนิส () เป็นผีที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ มีลักษณะดวงตากลมโตและขุ่นมัว เหยื่อของแบล็ก แอนนิส คือเด็ก มีความเชื่อว่าถ้ามันเห็นเด็กเมื่อไหร่ มันจะขึ้นไปอยู่บนหน้าอก พร้อมกับดูดเอาลมหายใจ ออกมาจากร่างของเด็กคนนั้น เมื่อลมหายใจหมดแล้ว มันก็จะถลกหนังแล้วกินเนื้อของเด็กผู้เคราะห์ร้ายนั้น", "title": "แบล็ก แอนนิส" }, { "docid": "582215#1", "text": "ในแผนการนี้ กอร์เตสได้ขอการสนับสนุนจากเมืองขึ้นและศัตรูของจักรวรรดิแอซเท็กเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วย และ ในขณะที่แผนการดำเนินไป พันธมิตรของพวกเขาได้ถูกซุ่มโจมตีหลายครั้งจากกองกำลังที่พวกเขาเข้าปะทะ หลังจากแปดเดือนของการเจรจาและการสู้รบ มีผลทำให้กอร์เตสสามารถเอาชนะการต่อต้านทางการทูตของ กอร์เตสไปถึงในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1519 เมื่อกอร์เตสได้ข่าวว่าทหารของเขาและชาวโตโตนักในเวราครูซตายไปเป็นจำนวนมาจากการโจมตีของแอซเท็ก เขาได้คุมขังมอกเตซูมาไว้ในพระราชวังของพระองค์และปกครองเมืองเตโนชตีตลันด้วยตนเองเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการสังหารหมู่ที่วิหารใหญ่(Templo Mayor) พร้อมกับการลุกฮือของประชาชนในเมือง กอร์เตสและทหารของเขาถูกผลักดันให้รบในถนนนอกเมืองในเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ชาวสเปนและก็ได้กลับมาอีกครั้งด้วยกำลังเสริมจำนวนมาก และทำการปิดล้อมจนนำไปสู่ในปีต่อมา", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "582215#7", "text": "ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแอซเท็ก การพิชิตและปราบปรามนครรัฐของอารยธรรมมายาในยุคหลังยุคคลาสสิกตอนปลายเกิดขึ้นในหลายปีหลังจากการพิชิตจักรวรรดิแอซเท็ก ด้วยความช่วยเหลือของนักรบซิวมายา(Xiu Maya) หลายหมื่นคน สเปนใช้เวลามากกว่า 170 ปีในการสร้างอำนาจควบคุมในดินแดนของชาวมายาอย่างเบ็ดเสร็จ มันขยายพื้นที่ตั้งแต่ยูกาตันตอนเหนือไปจนถึงบริเวณที่ราบลุ่มของเอล เปเตน(El Petén) และที่ราบสูงกัวเตมาลาทางเหนือ แผนการนี้ได้จบลงโดยการล่มสลายของนครรัฐของชาวมายาที่ตั้งอยู่ในตายาซัล(Tayasal) บริเวณเปเตน(Petén) ในปีค.ศ.1697", "title": "การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กของสเปน" }, { "docid": "269514#5", "text": "Berdan, Frances F. (2004) The Aztecs of Central Mexico: An Imperial Society. 2nd ed. Thomson-Wadsworth, Belmont, CA. ISBN 0-534-62728-5. Berdan, Frances F., Richard E. Blanton, Elizabeth H. Boone, Mary G. Hodge, Michael E. Smith and Emily Umberger (1996). Aztec Imperial Strategies. Dumbarton Oaks, Washington, DC. ISBN 0-88402-211-0.", "title": "จักรวรรดิแอซเท็ก" } ]
1750
การรวมราชบัลลังก์ทำให้เกิดการรวมราชวงศ์และรัฐร่วมประมุขขึ้นใหม่ใช่หรือไม่?
[ { "docid": "709810#1", "text": "การรวมราชบัลลังก์ทำให้เกิดการรวมราชวงศ์และรัฐร่วมประมุขขึ้นใหม่ โดยราชบัลลังก์แห่งสกอตแลนด์ยังคงแยกต่างหากออกมาจากราชบัลลังก์แห่งอังกฤษ แม้ว่าพระเจ้าเจมส์จะทรงพยายามอย่างมากในการสถาปนา \"ราชบัลลังก์แห่งบริเตนใหญ่\" ขึ้นมาใหม่ก็ตาม ทำให้อังกฤษและสกอตแลนด์ยังคงดำรงสถานะเป็นรัฐอธิปไตยต่อไป รวมทั้งมีพระประมุขร่วมกับราชอาณาจักรไอร์แลนด์ (ทั้งสามอาณาจักรมีสมัยไร้กษัตริย์ร่วมกันระหว่างปี พ.ศ. 2192 - 2203 หรือในสมัยเครือจักรภพแห่งอังกฤษและสมัยรัฐในอารักขา) ไปจนกระทั่งการผ่านร่างพระราชบัญญัติสหภาพ พ.ศ. 2250 โดยรัฐสภาอังกฤษและรัฐสภาสกอตแลนด์ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระราชินีนาถแอนน์ พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์สจวต", "title": "การรวมราชบัลลังก์" } ]
[ { "docid": "709810#0", "text": "การรวมราชบัลลังก์ (; ; ) คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2146 เมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ เสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์แห่งอังกฤษและไอร์แลนด์ และรวมการปกครองแผ่นดินของทั้งสามราชอาณาจักรไว้ภายใต้พระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ภายหลังจากที่พระญาติของพระเจ้าเจมส์ พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ (พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ทิวดอร์) เสด็จสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท", "title": "การรวมราชบัลลังก์" }, { "docid": "180874#3", "text": "การสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา ส่งผลให้การเมืองภายในประเทศของเนปาลเกิดความปั่นป่วนขึ้นเกือบจะในทันที ประชาชนจำนวนมากได้รวมตัวกันเป็นขบวนประท้วงไปตามถนนในกรุงกาฐมาณฑุ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสืบหาความจริงของโศกนาฏกรรมโดยด่วน ประชาชนที่กำลังโกรธแค้นได้ทำลายสาธารณสมบัติ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย ทำให้ทางการต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน ในขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับถูกสั่งปิดข้อหาลงข่าวที่ไม่เหมาะสม ขณะที่ผู้นำกลุ่มลัทธิเหมา (Maoist) นายประจันดา (Prachanda เป็นชื่อย่อจาก Pushpa Kamal Dahal) ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ฝ่ายซ้าย (leftist) ฝ่ายชาตินิยม (nationalist) และฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (republican) ร่วมกันตั้งรัฐบาลเฉพาะการณ์ขึ้นในระหว่างที่ประเทศกำลังระส่ำระสาย นอกจากนี้ นายมาดาว์ กุมาร เนปาล (Madhav Kumar Nepal) หัวหน้าพรรคแนวร่วมคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (Nepal Communist Party-United Marxist and Leninist : NCP-UML) ซึ่งเป็นฝ่ายค้านของเนปาลได้ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 14 มิถุนายน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อการสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา", "title": "การสังหารหมู่ราชวงศ์เนปาล" }, { "docid": "203845#4", "text": "ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้เกิดการล้มล้างอำนาจของพระราชวงศ์ทั่วโลกครั้งใหญ่ เช่น ในจักรวรรดิรัสเซียภาวะความอดอยากและยากจนของประเทศจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติยึดอำนาจพระราชวงศ์รัสเซีย และได้ก่อให้เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่เน้นการต้อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งภายหลังได้ทำการสังหารหมู่พระราชวงศ์รัสเซีย ส่วนประเทศที่ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง ได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน, จักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการี, และจักรวรรดิออตโตมาน ในระหว่างสงครามพระราชวงศ์บางแห่งก็มีแผนที่จะประกาศเอกราชและก่อตั้งราชวงศ์เช่น แกรนด์ดัชชีฟินแลนด์ และที่ ลิทัวเนีย รวมทั้งรัฐในอารักขา และอาณานิคมบางแห่งของจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งทั้งพระมหากษัตริย์แห่งฟินแลนด์และลิทัวเนีย ก็ได้สละราชบัลลังก์ภายหลังการพ้ายแพ้ของเยอรมัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918", "title": "การเลิกล้มราชาธิปไตย" }, { "docid": "594296#19", "text": "การเพิ่มภาษีและการทำหน้าที่ของรัฐบาลที่รวมอำนาจที่เพิ่มขึ้นรวมกันทำให้เกิดการก่อการกำเริบทั่วยุโรป เช่น สงครามกลางเมืองอังกฤษ ในหลายประเทศ ผลของความขัดแย้งนี้คือความรุ่งเรืองของราชาธิปไตยแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ มีเพียงในอังกฤษและเนเธอร์แลนด์เท่านั้นที่การปกครองแบบมีผู้แทนวิวัฒนาขึ้น ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 รัฐเรียนรู้ที่จะจัดหาเงินทุนสงครามผ่านการกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำระยะยาวผ่านสถาบันธนาคารชาติ เช่น ธนาคารอังกฤษ รัฐแรกที่ดำเนินกระบวนการนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ คือ สาธารณรัฐดัตช์", "title": "การสงครามสมัยใหม่ตอนต้น" }, { "docid": "48356#6", "text": "ราชาธิปไตยอาจถึงจุดจบได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น อาจจะมีการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์เกิดขึ้น หรืออย่างในอิตาลีหรือกรีซ ประชาชนลงประชามติตั้งสาธารณรัฐทำให้ราชาธิปไตยถึงจุดสิ้นสุด ในบางกรณี เช่นในอังกฤษและสเปน ราชาธิปไตยถูกโค่นล้มลงหรือได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ในภายหลัง หลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ประกาศสละราชสมบัติ ชาวฝรั่งเศสได้ฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงขึ้นมาใหม่หลังจากถูกสาธารณรัฐของนโปเลียนยกเลิกไป", "title": "ราชาธิปไตย" }, { "docid": "272370#1", "text": "การรวมตัวกันเป็น “สหราช” อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุผลหลายประการตั้งแต่การเกิดขึ้นโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันเช่นการเสกสมรสระหว่าง “สมเด็จพระราชินีนาถ” (queen regnant) ของราชอาณาจักรหนึ่ง กับ พระมหากษัตริย์ของอีกราชอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งทำให้พระราชโอรสของทั้งสองพระองค์ก็จะได้รับราชบังลังก์ของทั้งสองราชอาณาจักร ไปจนถึงการผนวกดินแดน การรวมตัวกันอาจจะเป็นตามบทบัญญัติทางกฎหมาย เช่นการผ่านพระราชบัญญัติในรัฐสภาระบุการรวมตัวกัน หรืออาจจะโดยพฤตินัยซึ่งง่ายต่อการแยกตัวกลับไปเป็นอาณาจักรเดิม เช่นในกรณีที่เกิดขึ้นหลังจากการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์ของบรรดาอาณาจักรร่วมที่มีระบบการสืบสันตติวงศ์ที่ต่างกัน", "title": "รัฐร่วมประมุข" }, { "docid": "6636#53", "text": "ในภาพกว้าง เอกภพยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้แต่ละดาราจักรมีระยะทางเฉลี่ยห่างออกจากกันมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ (ดู กฎของฮับเบิล) แรงโน้มถ่วงดึงดูดซึ่งกันและกัน ทำให้การรวมตัวกันของดาราจักรในระดับท้องถิ่น สามารถเอาชนะการขยายตัวของเอกภพได้ การรวมกลุ่มกันของดาราจักรเกิดขึ้นนานแล้วนับแต่ยุคต้นของเอกภพ เมื่อกลุ่มของสสารมืดดึงดูดดาราจักรเข้าหากัน กลุ่มที่อยู่ข้างเคียงก็รวมตัวกันเป็นกระจุกซึ่งมีโครงสร้างใหญ่ขึ้น การรวมตัวกันเช่นนี้ทำให้แก๊สระหว่างดาราจักรที่อยู่ในกระจุกเดียวกันมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อาจสูงถึง 30-100 ล้านเคลวิน ประมาณ 70-80% ของมวลในแต่ละกระจุกอยู่ในรูปของสสารมืด อีก 10-30% เป็นแก๊สร้อน สสารอีกเล็กน้อยไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ อยู่ในรูปของดาราจักร", "title": "ดาราจักร" }, { "docid": "382752#10", "text": "ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมีข่าวลือแพร่กระจายในเยคาเทรินบุร์กเกี่ยวกับจุดที่นำศพไปทิ้ง ทำให้ยูรอฟสกีเคลื่อนย้ายศพแล้วไปซ่อนไว้ที่อื่น () เมื่อพาหนะซึ่งบรรทุกศพมาเกิดเสียกลางทางที่จะไปถึงจุดที่เลือกใหม่ ยูรอฟสกีก็ได้จัดการใหม่อีก โดยฝังร่างส่วนใหญ่ในหลุมที่ผนึกและอำพรางไว้ () บนถนนคอพท์ยาคี ถนนลูกรังซึ่งปัจจุบันไม่ใช้แล้วห่างออกไป 19 กิโลเมตรทางเหนือของเยคาเทรินบุร์ก ร่างที่เหลืออยู่ของราชวงศ์และผู้ติดตาม ยกเว้นเด็กสองคน ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1991 และถูกฝังใหม่โดยรัฐบาลรัสเซียหลังจากมีการจัดรัฐพิธีศพ ส่วนร่างของเด็กสองคนนั้นถูกระบุเอกลักษณ์ในปี ค.ศ. 2008 มีการจัดพิธีการฝังแบบคริสต์ในปี ค.ศ. 1998 ศพถูกฝังอย่างสมเกียรติในวิหารเซนต์แคเธอรีนในมหาวิหารปีเตอร์และพอลในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อันเป็นที่ฝังพระศพของอดีตพระมหากษัตริย์รัสเซียตั้งแต่ซาร์ปีเตอร์มหาราช ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน และภริยาเข้าร่วมงานศพพร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์โรมานอฟ รวมทั้งเจ้าชายไมเคิลแห่งเคนท์ ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ประกาศให้ราชวงศ์โรมานอฟเป็นนักบุญด้วยเช่นกัน", "title": "การประหารชีวิตราชวงศ์โรมานอฟ" }, { "docid": "709810#12", "text": "คณะกรรมการว่าด้วยการรวมเป็นสหภาพดังกล่าวปฏิบัติงานตามพันธกิจของตนได้เพียงน้อยนิด โดยเฉพาะในประเด็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างสองชาติ อาทิเช่น ความบาดหมางในประเด็นเส้นเขตแดน การค้า และสถานภาพของพลเมือง มีการถกเถียงถึงแนวคิดการเปิดการค้าเสรีกันอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับประเด็นสิทธิอันเท่าเทียมตามกฎหมาย ความหวาดกลัวและวิตกกังวลว่าชาวสกอตแลนด์ผู้ยากจนจะแย่งงานไปจากชาวอังกฤษจนหมดถูกแสดงออกกันอย่างเปิดเผยในรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ พวกเขากังวลว่าชาวสกอตแลนด์จำนวนมากจากอาณาจักรยากจนทางตอนเหนือ \"จะล้นทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจจะนำความอดอยากและความตายตามมาด้วย\" ส่วนประเด็นสถานภาพพลเมืองของบุคคลที่เกิดหลังการรวมราชบัลลังก์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2146 นั้นยังไม่ได้รับการชี้ชัดโดยรัฐสภา แต่ถูกชี้ชัดจากฝ่ายตุลาการด้วยคำพิพากษาใน \"คดีแคลวิน\" พ.ศ. 2151 ที่ตัดสินให้พสกนิกรใต้อาณัติของพระมหากษัตริย์ (ที่เกิดหลังการรวมราชบัลลังก์) ทุกคนอยู่ภายใต้ระบอบกฎหมายจารีต (คอมมอนลอว์) ของอังกฤษ ไม้เว้นแม้กระทั่งบุคคลซึ่งเกิดในสกอตแลนด์", "title": "การรวมราชบัลลังก์" } ]
2930
นโปเลียน โบนาปาร์ต เกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "12125#1", "text": "นโปเลียนเกิดที่เมืองอาฌักซีโยหรืออายัชโช ในภาษาอิตาลี บนเกาะคอร์ซิกา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 1 ปี ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ซื้อเกาะนี้ไปจาก สาธารณรัฐเจนัว ค.ศ. 1768 [2] ครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ดีจำนวนน้อยนิดบนเกาะคอร์ซิก้า บิดาของเขาชื่อชาร์ลส์ มาเรีย โบนาปาร์ตหรือ คาร์โล มาเรีย บัวนาปาร์เต (สำเนียงอิตาลี) ได้จัดการให้เขาได้เข้ารับการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ที่เขาได้เข้าไปตั้งรกรากตั้งแต่อายุ 9 ขวบ[3][4]", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" } ]
[ { "docid": "793422#0", "text": "พระเจ้าหลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต () หรือชื่อเมื่อแรกพระราชสมภพคือ เจ้าชายลุยจี บูโอนาปาร์เต () ทรงเป็นขุนนางชั้นสูงแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสและยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1806–1810 พระเชษฐาของพระองค์คือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จักรพรรดิฝรั่งเศสพระองค์แรก และพระราชโอรสของพระองค์คือจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งเป็นจักรพรรดิฝรั่งเศสพระองค์สุดท้ายของฝรั่งเศส\nพระองค์ทรงได้รับพระบรมราชโองการจากสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ให้เสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ซึ่งเป็นรัฐบริวารของจักรวรรดิฝรั่งเศสในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1806 แต่พระองค์ก็สละราชสมบัติในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1810 แต่พระองค์ก็ยังมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสและต้องแสวงหาที่เสด็จลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรียก็เสนอที่ลี้ภัยให้พระองค์ พระองค์จึงไปลี้ภัยอยู่ในกราซอย่างเงียบ ๆ ระหว่างปี ค.ศ. 1811–1813 จนกระทั่งเมื่อมีการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง พระองค์ก็ถูกริบฐานันดรราชวงศ์ และดำรงยศเป็น เคานต์แห่งแซ็ง-เลอ", "title": "หลุยส์ โบนาปาร์ต" }, { "docid": "85407#1", "text": "พระนามที่สี่ \"โจเซฟีน\" ของพระองค์มาจากบรรพสตรีนามว่า โยเซฟีนแห่งลอยช์เต็นแบร์ก (ภายหลังเป็นสมเด็จพระราชินีโยเซฟินาแห่งสวีเดนและนอร์เวย์) ธิดาของเออแชน เดอ โบนาปาร์ต พระโอรสในจักรพรรดินีโยเซฟีน พระชายาองค์แรกของนโปเลียน โบนาปาร์ต", "title": "เจ้าหญิงมาเดอลีน ดัชเชสแห่งเฮลซิงลันด์และเยสตริคลันด์" }, { "docid": "801585#1", "text": "หลังนโปเลียนขึ้นเป็นกงสุลเอกแห่งสาธารณรัฐ ในปี ค.ศ. 1802 เขาก็ทะเลาะกับนโปเลียนเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับความคิดที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นระบอบจักรพรรดิ โดยเฉพาะความคิดที่นโปเลียนจะสมรสกับเจ้าหญิงสเปนจากราชวงศ์บูร์บง ลูว์เซียงจึงเนรเทศตัวเองออกจากฝรั่งเศสและไปอาศัยอยู่ที่โรม จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1809 นโปเลียนกดดันให้เขาหย่ากับภรรยาและกลับฝรั่งเศส แม้กระทั่งมารดาเองก็เขียนจดหมายมากดดันให้แยกทางกับเธอและกลับฝรั่งเศส ลูว์เซียงไม่ยอมจึงถูกกุมตัวอยู่ในอิตาลี (ซึ่งถูกปกครองโดยฝรั่งเศส) เขาและครอบครัวพยายามหลบหนีทางเรือไปยังสหรัฐอเมริกาแต่ก็ถูกจับกุมโดยราชนาวีอังกฤษ เขาถูกพาไปขึ้นฝั่งยังแผ่นดินอังกฤษ ซึ่งได้รับการต้อนรับและสดุดีเป็นอย่างดีจากการที่เขาต่อต้านนโปเลียน", "title": "ลูว์เซียง โบนาปาร์ต" }, { "docid": "247912#0", "text": "ราชวงศ์โบนาปาร์ต (, ) เป็นราชวงศ์สุดท้าย ที่ปกครองฝรั่งเศส สถาปนาขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1804 โดย จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และราชวงศ์นี้ในรัชสมัยจักรพรรดินโปเลียนได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง แต่หลังจากที่พ่ายแพ้ในยุทธการที่วอเตอร์ลูในปี ค.ศ. 1815 จักรพรรดินโปเลียนก็ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติ โดยก่อนหน้านั้นประเทศใกล้เคียงก็ได้มีสมาชิกราชสกุลโบนาปาร์ตไปปกครอง แต่หลังจากนโปเลียนลงจากราชบัลลังก์ กษัตริย์ในประเทศที่มีเชื้อพระวงศ์โบนาปาร์ตปกครองก็สละราชสมบัติและถูกเนรเทศไปจนหมดสิ้น", "title": "ราชวงศ์โบนาปาร์ต" }, { "docid": "12125#39", "text": "เนื่องด้วยแนวคิดของอังกฤษที่จะกีดกันเรือสินค้าฝรั่งเศส จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เลยพยายามจะบังคับให้เกิดการกีดกันภาคพื้นทวีป โดยมีวัตถุประสงค์จะหยุดยั้งกิจกรรมทางการพาณิชย์ของอุตสาหกรรมอังกฤษ โปรตุเกส อันเป็นประเทศพันธมิตรของอังกฤษมาเป็นเวลาช้านาน ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญานี้ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จึงทรงขอความช่วยเหลือจากสเปนในการบุกโปรตุเกส ในที่สุดพระองค์ก็ได้รุกรานประเทศสเปน และตั้งโฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต พี่ชายขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองที่นั่น และโปรตุเกสก็ถูกจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 รุกรานเช่นกันในปี ค.ศ. 1807 ประชากรส่วนหนึ่งของสเปนที่คลั่งใคล้ในกลุ่มนักบวชได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านชาวฝรั่งเศส ในไม่ช้า กองพลทหารราบฝีมือเยี่ยมของอังกฤษ บัญชาการโดยว่าที่ดยุกแห่งเวลลิงตัน (อาร์เธอร์ เวลสลีย์) ก็ได้เคลื่อนทัพสู่สเปน โดยผ่านโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1808 และด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มผู้รักชาติชาวสเปน ก็ได้ผลักดันกองทัพฝรั่งเศสออกจากคาบสมุทรไอบีเรีย ในขณะที่กองทหารที่ฝีมือดีที่สุดของฝรั่งเศสกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในสเปน ออสเตรียก็ได้บุกฝรั่งเศสอีกครั้งจากแถบเยอรมนี และถูกปราบลงอย่างราบคาบในยุทธการวากร็อง จอมพลลานส์ เพื่อนและผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของจักรพรรดิจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้ถึงแก่กรรมที่เมืองเอสลิง", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" }, { "docid": "180426#1", "text": "ปารีสที่เดอลาครัวโตขึ้นมาเป็นสถานที่แห่งการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องและมีผลกระทบอย่างมาก ตอนที่เขาเกิดในพ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) ความสับสนอลหม่านของการปฏิวัติฝรั่งเศสผ่านไปไม่นาน เกิดรัฐประหารโดยนโปเลียน บิดาของเดอลาครัวมีอาชีพที่ประสบความสำเร็จในฐานะเจ้าหน้าที่ในสังกัดของนโปเลียน โบนาปาร์ต แต่ไม่กี่ปีหลังจากบิดาของเขาเสียชีวิต สถานการณ์ทางการเงินของเดอลาครัวแย่ลง ตั้งแต่นั้นเขาต้องอยู่จากภาพวาดของเขา", "title": "เออแฌน เดอลาครัว" }, { "docid": "687022#2", "text": "เดซีเรได้รับการศึกษาจากคอนแวนต์ซึ่งมักจะเป็นสถานศึกษาสำหรับบุตรสาวของตระกูลชนชั้นสูงในฝรั่งเศสยุคก่อนการปฏิวัติ แต่ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 คอนแวนต์ได้ถูกปิด และเดซีเรเดินทางกลับไปอยู่กับบิดามารดา การศึกษาของเดซีเรได้ถูกบรรยายว่าตื้นเขิน เธออุทิศให้กับครอบครัวของเธอตลอดทั้งชีวิต ในปีค.ศ. 1794 บิดาของเธอเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นานมีการค้นพบว่าเขาได้ขอร้องให้สถานะของครอบครัวสูงขึ้นก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติ (คำขอถูกปฏิเสธ) ด้วยเหตุนี้ เอเตียง พี่ชายของเธอ ซึ่งเป็นหัวหน้าของครอบครัวและเป็นผู้ปกครองของเธอ ได้ถูกจับกุมที่บ้านของบิดาโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิวัติ ตามเรื่องราวเดิม เธอพร้อมกับซูซาน พี่สะใภ้ได้เดินทางไปพบหัวหน้ากรมตำรวจ อัลบิตเต เพื่อร้องขอให้ปล่อยตัวพี่ชายของเธอ ในห้องรับรอง เธอได้เผลอหลับไปและได้ถูกลืมโดยผู้คนได้ยกย่องซูซานที่ทำความตั้งใจได้สำเร็จ เธอพบกับโจเซฟ โบนาปาร์ตซึ่งเดินทางมายังบ้านของเธอ โจเซฟได้แนะนำตัวกับครอบครัวของเธอ และปนะนำให้มีการหมั้นระหว่างโจเซฟและเดซีเร และนโปเลียน โบนาปาร์ตก็ได้แนะนำตัวกับครอบครัว มีรายงานว่านโปเลียนได้แนะนำโจเซฟว่า โจเซฟควรหมั้นกับพี่สาวของเธอคือ จูลี คลารี ในขณะที่เขาจะหมั้นกับเดซีเร ข้อเสนอนี้ได้รับการตกลงจากคนสี่คนที่เกี่ยวข้อง โจเซฟสมรสกับจูลี และเดซีเรหมั้นกับนโปเลียน โบนาปาร์ต ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1795 ในระหว่างปีค.ศ. 1795 - 1797 เดซีเรอยู่อาศัยกับมารดาที่เจนัว อิตาลี ที่ซึ่งโจเซฟ พี่เขยของเธอได้มาปฏิบัติภารกิจทางการทูต พวกเขาจึงมาร่วมกับตระกูลโบนาปาร์ต ในปีค.ศ. 1795 นโปเลียนได้มีความสัมพันธ์กับโฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน เขาได้ถอนหมั้นเดซีเรในวันที่ 6 กันยายน ซึ่งทำให้เธอเป็นอิสระจากคำสัญญาในการแต่งงานและเขาสมรสกับโฌเซฟีนในปีค.ศ. 1796 ", "title": "สมเด็จพระราชินีเดซีเดอเรียแห่งสวีเดน" }, { "docid": "3852#13", "text": "ปีนั้นเอง ในยุโรปได้เกิดการลุกฮือครั้งยิ่งใหญ่ กลุ่มคนงานได้เข้ายึดอำนาจจากพระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส และได้เชิญมากซ์กลับปารีส ต่อมาหลังจากที่รัฐบาลคนงานล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1849 (พ.ศ. 2392) มากซ์ได้ย้ายกลับไปยังโคโลญ และได้เริ่มพิมพ์หนังสือพิมพ์ \"Rheinische Zeitung\" ขึ้นมาใหม่ก่อนจะถูกสั่งปิดลงอีกครั้ง สุดท้ายมากซ์จึงย้ายไปอยู่ที่ลอนดอน ขณะที่อยู่ที่ลอนดอนนั้น มากซ์ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวฝั่งยุโรปให้กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กทรีบูน () ระหว่างปี ค.ศ. 1852 (พ.ศ. 2395) ถึง 1861 (พ.ศ. 2404) ในปี ค.ศ. 1852 นั้นเอง มากซ์ได้เขียนแผ่นพับ \"การปฏิวัติของหลุยส์ โบนาปาร์ต\" (\"\") เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ที่หลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต (หลานของนโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส) เข้ายึดอำนาจรัฐในฝรั่งเศสและสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 3", "title": "คาร์ล มากซ์" }, { "docid": "247912#1", "text": "หลังจากนโปเลียนถูกเนรเทศไปเกาะเอลบาได้ไม่นานก็ทรงรวบรวมกำลังทหารขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับหนีออกจากเกาะเอลบาและกลับมาปกครองฝรั่งเศสอีกครั้ง แต่ปกครองได้เพียง 100 วันก็ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติอีกครั้งและถูกส่งตัวไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา และสวรรคตที่เกาะนี้เมื่อปี ค.ศ. 1821 หลังจากนั้นราชสกุลโบนาปาร์ตก็เงียบหายไปจนถึงปี ค.ศ. 1848 หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต พระราชนัดดาในพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ก็ได้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนแรก ต่อมาหลังจากดำรงตำแหน่ง ครบ 4 ปี ก็ประกาศสถาปนาตนเองขึ้นเป็น จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ในปี ค.ศ. 1852และครองราชย์อยู่ 18 ปีก็สละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1870 เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์โบนาปาร์ตและสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ที่ปกครองฝรั่งเศสมายาวนาน", "title": "ราชวงศ์โบนาปาร์ต" }, { "docid": "12125#69", "text": "นโปเลียนที่ 3 (ชาร์ล หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต) หลานชาย ได้ใช้โอกาสจากความมีชื่อเสียงของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทำให้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส ในช่วงสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2 จากนั้นก็ได้ยึดอำนาจและก่อตั้งจักรวรรดิที่ 2 ขึ้น และเป็นจักรพรรดิปกครองฝรั่งเศสภายใต้พระนามว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[41778,41810,3,3]}'>นโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ตลอดการครองราชย์ของพระองค์ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายทางสังคมและกฎหมายสมัยใหม่จำนวนมาก พระองค์พ่ายแพ้สงครามและยอมมอบตัวให้กับปรัสเซียในปี ค.ศ. 1870 จากการรบที่สมรภูมิเซดาน ปีแยร์-นโปเลียน โบนาปาร์ต ชาร์ล ลูว์เซียง โบนาปาร์ต นักสัตววิทยา", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" }, { "docid": "801585#0", "text": "ลูว์เซียง โบนาปาร์ต () หรือชื่อเกิดคือ ลูเซียโน บูโอนาปาร์ต () เป็นรัฐบุรุษแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1 เป็นบุตรชายคนที่สามที่มีชีวิตของคาร์โล บูโอนาปาร์ต จึงมีศักดิ์เป็นน้องชายของนโปเลียน โบนาปาร์ต (ซึ่งภายหลังขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส) แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกกับนโปเลียนมากนัก แต่เขาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้รัฐประหารเดือนบรูว์แมร์ของนโปเลียนประสบผลสำเร็จและนโปเลียนได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฝรั่งเศส", "title": "ลูว์เซียง โบนาปาร์ต" }, { "docid": "79585#17", "text": "ช่วงที่ประชาธิปไตยเสรีนิยมกำลังเกิด พวกเสรีนิยมได้ถูกมองว่า เป็นผู้มีแนวคิดสุดโต่งและเป็นคนอันตราย เป็นภัยต่อทั้งสันติภาพและเสถียรภาพในระดับสากล\nส่วนพวกราชาธิปไตยนิยมแบบอนุรักษนิยมผู้ต่อต้านทั้งเสรีนิยมและประชาธิปไตย ก็มองตัวเองว่าเป็นผู้ปกป้องประเพณีค่านิยมและกฎธรรมชาติ\nและข้อวิจารณ์ประชาธิปไตยของพวกเขาก็ได้ข้อพิสูจน์เมื่อนโปเลียน โบนาปาร์ต ขึ้นยึดอำนาจในสาธารณรัฐฝรั่งเศส เปลี่ยนรัฐเป็นจักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง แล้วออกพิชิตยุโรปโดยมาก\nเมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ในที่สุด จึงเกิดตั้งพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ในยุโรปเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเสรีนิยมและประชาธิปไตย\nอย่างไรก็ดีโดยไม่นานนัก อุดมคติประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมก็กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในสาธารณชน และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบบราชาธิปไตยทั่วไปก็ตกเป็นฝ่ายตั้งรับและถอยทัพ", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "12125#17", "text": "เขาได้นำกำลังทหารกลุ่มเล็กๆเข้าไปในห้องประชุมสภาห้าร้อยที่กำลังถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน และได้พยายามพูดโน้มน้าวให้สภาดังกล่าวยอมรับการโค่นล้มคณะดีแร็กตัวร์แต่ไม่มีผู้แทนคนใดยอมรับฟัง จากการกระทำอุกอาจของนโปเลียนดังกล่าวทำให้มีผู้เสนอญัตติให้ประกาศนโปเลียนเป็นบุคคลนอกกฎหมาย ซึ่งจะทำให้นโปเลียนหลุดจากตำแหน่งทั้งหมด แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรเมื่อมีผู้พยายามลอบแทงนโปเลียนในห้องประชุมสภา ฝ่ายได้เปรียบกลายเป็นฝ่ายนโปเลียนและลูว์เซียง โบนาปาร์ต น้องชายของนโปเลียนผู้ซึ่งเป็นผู้กุมบังเหียนของสภาห้าร้อยเอาไว้ ลูว์เซียงต้องการช่วยนโปเลียนจากสถานการณ์คับขัน จึงจัดการให้มีผู้ลอบแทงนโปเลียนเพื่อหาความชอบธรรมให้กองทัพเข้าแทรกแซง ภาพของผู้แทนที่โผล่มาจากทางหน้าต่างเพื่อลอบแทงนโปเลียนแพร่กระจายไปทั่ว นโปเลียนเป็นผู้ได้เปรียบในสถานการณ์นี้อย่างมาก เขาอ้างว่าถูกสมาชิกรัฐสภาใส่ร้ายว่าจะก่อรัฐประหารและเกือบจะถูกลอบสังหาร ทำให้นายพลฌออากีม มูว์รามีข้ออ้างนำกองทัพเข้าล้อมรัฐสภาที่พระราชวังแซ็ง-กลู และก่อรัฐประหารได้สำเร็จในที่สุด", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" }, { "docid": "794948#1", "text": "เขาเกิดในปารีสและเป็นบุญบุญธรรมของนโปเลียน โบนาปาร์ต (แต่ไม่เป็นอยู่ในสายสืบราชสันตติวงศ์) บิดาแท้ๆของเขาเป็นนายพลและถูกประหารชีวิตไปในการปฏิวัติฝรั่งเศสช่วงสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว ในช่วงที่นโปเลียนเรืองอำนาจ เขาเป็นผู้บัญชาการกองทหารของอิตาลี และเป็นอุปราชแห่งอิตาลี", "title": "เออแฌน เดอ โบอาร์แน" }, { "docid": "248403#2", "text": "แม้ หลุยส์-นโปเลียน พระราชกุมาร จะทรงรับราชการทหารอยู่ในกองทัพอังกฤษแต่พระนางเจ้าวิกตอเรียไม่ทรงอนุญาตให้เข้าร่วมปฏิบัติการสู้รบใดๆ ถึงกระนั้น เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1879 ขณะพระองค์เข้าเวรอยู่ในค่ายทหาร ณ ราชอาณาจักรซูลู (แอฟริกาใต้ในปัจจุบัน) ทันใดนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับหน่วยสอดแนมของซูลูโดยบังเอิญ หลุยส์-นโปเลียนหนีไม่ทันจึงเข้าต่อสู้และเสด็จสวรรคตในวัยเพียง 23 พรรษา เนื่องจากพระองค์ยังไม่ได้อภิเษกสมรสและไม่มีรัชทายาท ทำให้ราชวงศ์โบนาบาร์ตสายหลุยส์ โบนาปาร์ต ต้องสิ้นสุดที่พระองค์ และสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสตกไปอยู่กับสายเจโรม โบนาปาร์ต พระอนุชาองค์สุดท้องของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ขึ้นอ้างสิทธิ์แทน", "title": "เจ้าชายนโปเลียน พระราชกุมารแห่งฝรั่งเศส" }, { "docid": "4806#3", "text": "ค.ศ. 1712 พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชได้ย้ายเมืองหลวงไปยังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มอสโกได้เผชิญกับการปิดล้อมโดยกองทัพของนโปเลียน โบนาปาร์ต ในปี ค.ศ. 1812 แต่นโปเลียนต้องถอยทัพกลับไปเนื่องจากทนความหนาวเย็นไม่ได้", "title": "มอสโก" }, { "docid": "12125#68", "text": "กาโรลีน โบนาปาร์ต เอลิซ่า โบนาปาร์ต เฌโรม โบนาปาร์ต โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต หลุยส์ โบนาปาร์ต ลูว์เซียง โบนาปาร์ต เปาลีน โบนาปาร์ต", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" }, { "docid": "498021#0", "text": "นโปเลียน ฟร็องซัว ชาร์ล โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต (; 20 มีนาคม พ.ศ. 235422 กรกฎาคม พ.ศ. 2365) ดำรงพระอิสริยยศเป็นพระราชกุมาร (Prince Imperial) กษัตริย์แห่งโรม และเจ้าชายแห่งปาร์มา ปลาเซนตีอา และกัสตัลลา นอกจากนี้ยังทรงเป็นที่รู้จักในราชสำนักออสเตรียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2357 ว่า เจ้าชายฟรันซ์ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2361 ว่า ดยุกแห่งไรช์สตัดท์ เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ที่เกิดกับอาร์ชดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย", "title": "นโปเลียนที่ 2" }, { "docid": "499711#0", "text": "โฌแซ็ฟ-นโปเลียน โบนาปาร์ต () หรือหลังครองราชย์คือ พระเจ้าโฮเซที่ 1 แห่งสเปน () เป็นนักการทูตและขุนนางชาวฝรั่งเศส เป็นพระเชษฐาในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1แห่งฝรั่งเศส ภายหลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส พระองค์ในฐานะพระเชษฐาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งเนเปิลส์และซิซิลีในปีค.ศ. 1806 และต่อมาทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งสเปนในปี ค.ศ. 1808", "title": "โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต" }, { "docid": "959146#0", "text": "มารี-กลอตีลด์ โบนาปาร์ต () หรือ เจ้าหญิงมารี-กลอตีลด์ โบนาปาร์ต ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2455 ณ บรัสเซลส์ เบลเยียม เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ใน วิกตอร์ เจ้าชายนโปเลียน และ เจ้าหญิงคลิเมนไทน์แห่งเบลเยียม ทรงเป็นพระราชนัดดาใน สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม และ มารี เฮนรีทเทอแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียม และเป็นพระภคินีใน หลุยส์ เจ้าชายนโปเลียน พระองค์ทรงเสกสมรสกับ เคานต์เซอร์กี เดอ วิตต์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2481 โดยหลังจากสมรส พระองค์ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เคาน์เตสเซอร์กี เดอ วิตต์ โดยทั้ง 2 มีพระบุตรดังนี้", "title": "มารี-กลอตีลด์ โบนาปาร์ต" }, { "docid": "247900#55", "text": "พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูราชบัลลังก์เนเปิลส์แก่ราชวงศ์บูร์บงในทันที ปาร์มาถูกมอบให้กับจักรพรรดินีมารี หลุยส์ตลอดพระชนม์ชีพ และราชวงศ์บูร์บงสายปาร์มาจะได้รับดัชชีลุกกาจนกระทั่งการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดินีมารี หลุยส์\nในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1815 นโปเลียน โบนาปาร์ตหลบหนีออกจากที่คุมขังที่เกาะเอลบาและขึ้นชายฝั่งฝรั่งเศส นโปเลียนมาถึงพร้อมกับทหารจำนวน 1,000 นายใกล้เมืองกานในวันที่ 1 มีนาคม พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ไม่ทรงกังวลในการมาถึงของนโปเลียน เนื่องจากกำลังทหารเหล่านั้นมีน้อยเกินกว่าจะเอาชนะพระองค์ได้ง่าย ๆ แต่มีปัญหาสำคัญสำหรับราชวงศ์บูร์บง พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงล้มเหลวในการล้างแนวคิดโบนาปาร์ตนิยมในหมู่ทหาร สิ่งนี้นำไปสู่การเอาใจออกห่างของกองทัพบูร์บงไปเข้ากับกองทัพฝ่ายโบนาปาร์ต นอกจากนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ไม่ทรงเข้าร่วมกองทัพในการต่อสู้กับนโปเลียนจากทางภาคใต้ของฝรั่งเศสเนื่องจากทรงพระประชวรด้วยโรคเกาต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม นายพลซูลต์ ได้ส่งหลุยส์ ฟีลิป ดยุกแห่งออร์เลอ็อง (ต่อมาคือ พระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปที่ 1), เคานทฺ์แห่งอาตัวส์และนายพลแม็กโดนัลด์ไปจับกุมนโปเลียน", "title": "พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แห่งฝรั่งเศส" }, { "docid": "12971#0", "text": "หลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต ( \"ลูย-นาปอเลอง บอนาปาร์ต\") ชื่อเกิดว่า ชาร์ล-หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต () เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สอง เป็นบุคคลแรกที่ประชาชนเลือกตั้งโดยตรงให้ดำรงตำแหน่งนี้ อยู่ในตำแหน่งระหว่าง ค.ศ. 1848–52 แต่รัฐธรรมนูญมิให้ดำรงตำแหน่งซ้ำ จึงยึดอำนาจรัฐบาลตนเองแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดินามว่า นโปเลียนที่ 3 () แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง อยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิช่วง ค.ศ. 1852–70", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 3" }, { "docid": "983574#1", "text": "อารีกีเกิดที่เมืองกอร์เตบนเกาะคอร์ซิกา เข้าเรียนในโรงเรียนทหารที่เมืองเรอแบใน ค.ศ. 1787 และเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เมืองปีซาก่อนจะกลับสู่คอร์ซิกาใน ค.ศ. 1796 อารีกีเป็นสามีของลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของนโปเลียน โบนาปาร์ต เขาได้รับตำแหน่งร้อยโทในกองทัพอิตาลีของฝรั่งเศสและได้ติดตามนโปเลียนโดยตรง ต่อมาเขาได้เป็นเลขานุการสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสในโรมในขณะที่โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ตดำรงตำแหน่งอัครราชทูตที่นั่น จากนั้นเขาได้กลับสู่ชีวิตทหารโดยร่วมรบกับนโปเลียนในการรบที่อิยิปต์ ได้รับบาดเจ็บในยุทธการที่อัศศอลฮียะฮ์ มีส่วนร่วมในการโอบล้อมเมืองจัฟฟาและเอเคอร์ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นร้อยเอก ระหว่างการล้อมเมืองเอเคอร์ กระสุนปืนลูกหนึ่งเฉี่ยวหมวกนโปเลียนไปถูกอารีกีเข้าที่ลำคอและตัดหลอดเลือดแดง ศัลยแพทย์ดอมีนิก ฌ็อง ลาแร เชื่อว่าบาดแผลนั้นร้ายแรงถึงตาย ถึงกระนั้นก็ดูแลรักษาอารีกีและช่วยชีวิตเขาไว้ได้ อารีกีกลับสู่ฝรั่งเศสและร่วมรบในยุทธการที่มาเรงโก", "title": "ฌ็อง-ตอมา อารีกี เดอ กาซานอวา" }, { "docid": "794872#2", "text": "ในวันที่ 19 เดือนบรูว์แมร์ ที่พระราชวังแซ็ง-กลู การประชุมยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด นายพลนโปเลียนซึ่งอดทนรออยู่นอกห้องประชุมนั้นทนไม่ไหว จึงนำทหารแกรนาเดียร์กองเล็ก ๆ เข้าไปยังห้องประชุมสภาในเวลากับที่บารัสกำลังทำเรื่องลาออก เมื่อนโปเลียนเข้าไปก็ผู้แทนตรงดิ่งเข้ามาใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ลูว์เซียง โบนาปาร์ต ประธานที่ประชุมจึงบอกให้ทหารคอยยืนคุ้มกันนโปเลียน หลังจากนั้น ผู้แทนบางส่วนได้มีการเสนอญัตติให้ประกาศว่านโปเลียนเป็นพวกนอกกฎหมายซึ่งจะทำให้นโปเลียนพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด ในเวลาคับขันนั้นเอง ลูว์เซียงได้แอบหลบไปบอกทหารประจำสภาว่าสภากำลังถูกคุกคามจากผู้แทนบางส่วนที่มุ่งร้าย นั้นจากนั้นก็มีผู้แทนคนหนึ่งยึดดาบไปและพยายามแทงนโปเลียน ลูว์เซียงสั่งให้จับกุมผู้แทนคนนั้นออกไปจากห้องประชุม", "title": "รัฐประหาร 18 บรูว์แมร์" }, { "docid": "12125#73", "text": "(ภาษาฝรั่งเศส) โบนาปาร์ต (นโปเลียนที่ 1) จากเว็บไซต์ (ภาษาฝรั่งเศส) (ภาษาฝรั่งเศส) ความรุ่งเรืองและโศกนาฏกรรมของนโปเลียนจาก (ภาษาฝรั่งเศส) (ภาษาฝรั่งเศส) (ภาษาฝรั่งเศส)", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" }, { "docid": "22034#1", "text": "ฌออากีม มูว์รา ขึ้นเป็นนายพลในช่วงนโปเลียนเรืองอำนาจ เขาเป็นส่วนสำคัญในชัยชนะของนโปเลียนที่โบสถ์แซ็งร็อก โดยการยิงปืนใหญ่เข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุม เขาได้แต่งงานกับการอลีน โบนาปาร์ต ในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1800 ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากลายเป็นน้องเขยของนโปเลียน", "title": "ฌออากีม มูว์รา" }, { "docid": "801585#3", "text": "ในสมัยร้อยวันที่นโปเลียนหนีจากเกาะเอลบามาได้ นโปเลียนประกาศกลับคืนสู่ตำแหน่งจักรพรรดิพร้อมกับประกาศสถาปนาลูว์เซียงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อีกครั้ง โดยสถาปนาลูว์เซียงและทายาทของเขาเป็นเจ้าฝรั่งเศส แต่ราชวงศ์บูร์บงซึ่งปกครองฝรั่งเศสภายหลังนโปเลียนสิ้นอำนาจไม่ยอมรับคำประกาศนี้ ลูว์เซียงเสียชีวิตที่เมืองวีเตอร์โบในเขตแดนของรัฐสันตะปาปา เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1840 จากโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุการตายเดียวกับของบิดา, เปาลีนผู้เป็นน้องสาว และนโปเลียนผู้เป็นพี่ชาย", "title": "ลูว์เซียง โบนาปาร์ต" }, { "docid": "498021#2", "text": "เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สละราชสมบัติในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2357 ทรงเสนอพระนามพระราชโอรสของพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามนโปเลียนไม่ยอมรับการสืบราชบัลลังก์ดังกล่าว จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จึงถูกบังคับให้สละราชสมบัติโดยปราศจากเงื่อนไขในอีกหลายวันต่อมา ซึ่งแม้ว่าจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 ไม่ได้ทรงปกครองฝรั่งเศสในทางปฏิบัติแต่อย่างใด แต่ก็ถือว่าทรงเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสในนามในปี พ.ศ. 2358 หลังจากการล่มสลายในระบอบการปกครองของพระราชบิดา ต่อมาในปี พ.ศ. 2395 เมื่อพระญาติของพระองค์ หลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต ได้ราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิและสถาปนาจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง ทรงเลือกใช้พระนามาภิไธยว่าจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เพื่อเป็นการยอมรับพระราชสถานะของจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 และการครองราชย์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ของพระองค์", "title": "นโปเลียนที่ 2" }, { "docid": "801585#2", "text": "รัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้เขาพำนักอยู่ในอังกฤษโดยสะดวกในเวิร์สเตอร์เชอร์ เขาทำงานเป็นนักกวีนิพนธ์เกี่ยวกับชาร์เลอมาญ ฝั่งนโปเลียนก็เชื่อว่าลูว์เซียงได้ไตร่ตรองอย่างดีแล้วที่ไปอังกฤษ และถือว่าลูว์เซียงเป็นผู้ทรยศฝรั่งเศส ลูว์เซียงถูกถอดจากฐานันดรศักดิ์ทั้งหมดในราชวงศ์โบนาปาร์ต เมื่อนโปเลียนสิ้นอำนาจในเดือนเมษายน ค.ศ. 1814 และถูกเนรเทศไปอยู่เกาะ ลูว์เซียงก็เดินทางกลับฝรั่งเศสทันทีและเดินทางต่อไปยังกรุงโรม ซึ่งพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 ทรงมอบยศให้เขาเป็น \"เจ้าชายแห่งคาร์นิโน, เคานต์แห่งอะปอลลิโน\" และ \"ลอร์ดแห่งเนโรมี\" และต่อมาพระสันตะปาปาลีโอที่ 12ก็มอบยศให้เขาเป็น \"เจ้าชายแห่งมูซิกนาโน\" ", "title": "ลูว์เซียง โบนาปาร์ต" }, { "docid": "248656#0", "text": "นโปเลียนที่ 5 หรือ วิคเตอร์ เจโรม เฟรเดริค โบนาปาร์ต ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสองค์ที่ 2 ทรงขึ้นเป็นผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสสืบต่อจาก นโปเลียนที่ 4 ที่สิ้นพระชนม์ไปในปี ค.ศ. 1879 โดยทรงได้รับการสนับสนุน จากพวกโบนาปาร์ตนิยม ทรงดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1879 ขณะพระชนม์เพียง 17 พรรษาเท่านั้นก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ที่ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในปี ค.ศ. 1926 ขณะพระชนม์ได้ 64 พรรษา", "title": "วิกตอร์ เจ้าชายนโปเลียน" } ]
3519
กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 จัดการแข่งขันกีฬาทั้งหมดที่ชนิด?
[ { "docid": "988128#1", "text": "ในครั้งนี้มีนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันรวมทั้งสิ้น 12,847 คน จาก 77 จังหวัด มีกีฬาที่แข่งขันทั้งหมด 41 ชนิดกีฬา ประกอบไปด้วย กีฬาบังคับ จำนวน 2 กีฬา, กีฬาสากล จำนวน 38 กีฬา และกีฬาอนุรักษ์ 1 กีฬา ซึ่งครั้งนี้ได้จัดการแข่งขันภายใน 28 สนาม ในจังหวัดเชียงราย และ 2 สนามในจังหวัดพะเยากับจังหวัดเชียงใหม่", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" } ]
[ { "docid": "988128#7", "text": "พิธีปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 18:15 น. มีการแสดงทั้งหมด 2 ชุด และอีก 1 ชุดของเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานในพิธีมาถึงมีการแสดงชุดแรก คือ กี่ทอใจ ไหมเจียงฮาย นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่บัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้แสดงการแสดงพื้นบ้านของชาวจังหวัดเชียงราย ต่อมาได้มีการเชิญธงจากตัวแทนนักกีฬาทั้งหมด 77 จังหวัดเข้าสู่สนาม ณัฐวุฒิ เรืองเวส รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ประธานในพิธีกล่าวปิดการแข่งขัน ได้มีการชักธงชาติ, ธงการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และธงประจำจังหวัดเชียงรายลงจากเสา มีการแสดงชุดที่ 2 คือ สี่หู ห้าตา คานิว้าว พร้อมกับการดับไฟในกระถางคบเพลิงลง ณ ที่นี้มีการแสดงจากจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติใครั้งถัดไป", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" } ]
3474
ช่อง 7 เอชดี เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "59413#0", "text": "ช่อง 7 เอชดี (Channel 7 HD) (ชื่อเดิม: สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 English: Bangkok Broadcasting Television Channel 7) เป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินซึ่งออกอากาศด้วยระบบภาพสีแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งที่ 3 ของประเทศไทย ดำเนินกิจการภายใต้สัญญาสัมปทานกับกองทัพบก เริ่มแพร่ภาพเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ในระบบวีเอชเอฟ เดิมออกอากาศเป็นภาพขาวดำ ทางช่องสัญญาณที่ 9[1] ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นระบบภาพสี และย้ายการออกอากาศ ไปทางช่องสัญญาณที่ 7 จนถึงปัจจุบัน มีกฤตย์ รัตนรักษ์ เป็นประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด และสมเกียรติ เจริญภิญโญยิ่ง เป็นกรรมการผู้จัดการ", "title": "ช่อง 7 เอชดี" } ]
[ { "docid": "18260#4", "text": "ประเทศไทยเป็นชาติที่สามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เริ่มออกอากาศโทรทัศน์ความละเอียดสูงผ่านดาวเทียม โดยทรู วิชันส์ ทำการทดลองออกอากาศเป็นแห่งแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 และเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553 ด้วยระบบโทรทัศน์ดิจิทัล ดีวีบี-เอส 2 (เอ็มเพ็ก 2/เอชดี) ผ่านดาวเทียมไทยคม 5 ในระบบเคยู-แบนด์ และผ่านโทรทัศน์เคเบิลระบบดิจิทัล ดีวีบี-ซี 2 ในสามช่องรายการ คือทรู สปอร์ต เอชดี, เอชบีโอ เอชดี และทรู เรียลิตี เอชดี", "title": "โทรทัศน์ความละเอียดสูง" }, { "docid": "979696#2", "text": "ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางช่อง 7 เอชดี", "title": "ธัญญวีร์ ชุณหสวัสดิกุล" }, { "docid": "321758#2", "text": "ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น ในปี พ.ศ. 2529 ทางช่อง 7 เคยนำเสนอกรอบล่ามผู่บรรยายภาษามือในรายการ พุทธประทีป ซึ่งออกอากาศร่วมกับสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก", "title": "ข่าวช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "321758#3", "text": "ฝ่ายข่าว ช่อง 7 เอชดี ก่อตั้งศูนย์ข่าวภูมิภาคขึ้น เป็นแห่งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2516 เพื่อรายงานข่าวเหตุการณ์ปัจจุบันในแต่ละท้องถิ่น ให้ผู้ชมทั่วประเทศรับทราบพร้อมกัน ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 9 ศูนย์ แบ่งเป็นศูนย์ข่าวหลัก ซึ่งมีห้องออกอากาศข่าว พร้อมระบบส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม กลับมายังฝ่ายข่าวส่วนกลางที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 4 ศูนย์คือ ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดนครราชสีมา, ภาคตะวันออกที่จังหวัดระยอง และภาคใต้ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กับศูนย์ข่าวย่อย ซึ่งมีเพียงสำนักงานกองบรรณาธิการเท่านั้น อีกจำนวน 5 ศูนย์คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุบลราชธานี, ภาคกลางที่จังหวัดนครสวรรค์, ภาคใต้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต", "title": "ข่าวช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "755900#3", "text": "หลังการก่อตั้งบริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ได้เสนอซีรีส์จำนวน 4 เรื่องทันที ได้แก่ ซีรีส์ ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ ออกอากาศทางช่องจีเอ็มเอ็ม 25 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2559 ซีรีส์ ไอซียู พยาบาลพิเศษ..เคสพิศวง ออกอากาศทางช่องจีเอ็มเอ็ม 25 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2559 ซีรีส์แก๊สโซฮัก รักเต็มถึง ออกอากาศทางไลน์ทีวีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2559 และซีรีส์ มาลี เพื่อนรัก...พลังพิสดาร 2 ที่ยังไม่มีกำหนดออกอากาศ และยังได้ผลิตภาพยนตร์ต่อเนื่องอีกสองเรื่อง เรื่องแรกเป็นแนวรัก-ชีวิต เรื่อง \"แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว\" กำกับโดยบรรจง ปิสัญธนะกูล บริษัทได้จัดแถลงข่าวภาพยนตร์เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 ณ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ และจัดฉายรอบสื่อมวลชนในวันที่ 29 สิงหาคม 2559 ณ พารากอนซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภาพยนตร์ได้รับการตอบรับอย่างดี ฉายวันแรกสามารถทำรายได้ 8.28 ล้านบาท ติดอันดับ 1 ของบอกซ์ออฟฟิสประเทศไทย 3 สัปดาห์ ทำรายได้รวม 110.91 ล้านบาท ส่วนด้านรางวัล \"แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว\" ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากหลายสถาบัน รวมถึงยังได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดนิยมจากสตาร์พิกส์อวอร์ด และอีกเรื่องหนึ่งเป็นแนวทริลเลอร์วัยรุ่นกำกับโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ", "title": "จีดีเอช" }, { "docid": "59413#12", "text": "สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้เริ่มออกอากาศได้ตลอด 24 ชั่วโมง อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553 - ตามผังรายการวางแผนเป็นวันที่ 1 มีนาคม แต่ด้วยความที่ยังไม่พร้อม ทำให้เริ่มออกอากาศได้ในวันที่ 11 มีนาคม ปีเดียวกัน", "title": "ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "168009#0", "text": "ช่อง 7 เอชดี (ชื่อเดิม:สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7) เป็นช่องโทรทัศน์ที่มีรายการต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงละครที่มีมากมายหลายเรื่องและหลายช่วงเวลา เมื่อมีละครเรื่องหนึ่งจบหรืออวสานไปก็จะมีละครเรื่องใหม่มาออกอากาศแทน โดยละครแต่ละเรื่องจะมีนักแสดงนำและบทละครที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ละครทางช่อง 7 สีที่อวสานไปเมื่อประมาณ 1 ปีครึ่ง ถึง 3 ปีที่แล้ว จะถูกนำมาออกอากาศอีกครั้งในช่วงเวลาตอนบ่ายในวันจันทร์ถึงศุกร์ด้วย", "title": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "116910#1", "text": "ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1997 ช่อง National Geographic Channel ช่องแรกของโลกได้ออกอากาศในทวีปยุโรป และ ออสเตรเลีย ในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1998 National Geographic Channel ของเอเชีย ได้เริ่มออกอากาศโดยเป็นหุ้นส่วนกันกับ STAR TV โดยปัจจุบัน ช่องรายการนี้สามารถรับชมได้ผ่าน 143 ประเทศ กว่า 160 ล้านครัวเรือน และ 25 ภาษา โดยประเทศไทย สามารถรับชมได้ผ่าน ทรูวิชั่นส์ ช่อง 167 และ 558 ในระบบเอชดีทั้งระบบเคเบิลใยแก้ว และจานดาวเทียม เฉพาะสมาชิกแพ็กเกจแพลทินัม เอชดี และโกลด์ เอชดี เท่านั้น (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560)", "title": "เนชั่นแนลจีโอกราฟิกแชนแนล" }, { "docid": "168009#4", "text": "ละครออกอากาศซ้ำ (rerun) คือละครที่เคยออกอากาศตอนกลางคืนหลังข่าวภาคค่ำ (ปัจจุบันจะนำเอาละครที่เคยออกอากาศตอนเย็นมาออกอากาศด้วย) โดยจะออกอากาศในวันธรรมดา กลุ่มเป้าหมายที่รับชมคือ คนที่อยู่บ้านตอนกลางวัน โดยส่วนมากจะเป็นละครที่เก่าประมาณ 1 ปี - 4 ปีขึ้นไป", "title": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "59413#19", "text": "ภาคเหนือ ***จังหวัดเชียงใหม่ - วีเอชเอฟ ช่อง 7 ***จังหวัดเชียงราย - วีเอชเอฟ ช่อง 6 **จังหวัดลำปาง - วีเอชเอฟ ช่อง 12 **จังหวัดแม่ฮ่องสอน - วีเอชเอฟ ช่อง 8 **อำเภอปาย - วีเอชเอฟ ช่อง 8 **อำเภอแม่สะเรียง - วีเอชเอฟ ช่อง 8 **จังหวัดแพร่ - วีเอชเอฟ ช่อง 2", "title": "ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "59413#24", "text": "ภาคใต้ **จังหวัดระนอง - วีเอชเอฟ ช่อง 7 ***จังหวัดภูเก็ต - วีเอชเอฟ ช่อง 7 *จังหวัดสงขลา - วีเอชเอฟ ช่อง 6 **จังหวัดยะลา - วีเอชเอฟ ช่อง 7 ***จังหวัดสุราษฎร์ธานี - วีเอชเอฟ ช่อง 8 **จังหวัดนครศรีธรรมราช - วีเอชเอฟ ช่อง 7 *จังหวัดพังงา - วีเอชเอฟ ช่อง 4 *จังหวัดชุมพร - วีเอชเอฟ ช่อง 3 **จังหวัดสตูล - ยูเอชเอฟ ช่อง 51 ***จังหวัดตรัง - ยูเอชเอฟ ช่อง 50", "title": "ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "484737#4", "text": "ขณะเดียวกัน ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรง ธีมะก็ได้รับการชักชวนจากรุ่นพี่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มาทำรายการบันเทิง GANG'MENT ทางช่องจีทีเอชออนแอร์ควบคู่ไปด้วย เพราะการทำรายการการเมืองอย่างเดียวรายได้ไม่เพียงพอ หลังจากนั้นได้รับโอกาสให้ทำรายการ 7 วันทันข่าว จนกระทั่งช่องจีทีเอชออนแอร์ปิดตัวลง แล้วได้ถ่ายโอนรายการบางส่วนไปออกอากาศทางช่อง จีเอ็มเอ็ม 25 ธีมะก็ยังคงทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการ 7 วันทันข่าว เรื่อยมา จนในที่สุดรายการก็ได้ยุติการออกอากาศในช่วงปลายปี พ.ศ. 2559", "title": "ธีมะ กาญจนไพริน" }, { "docid": "59413#5", "text": "สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้เตรียมที่จะกำหนดยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อก ก่อนสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลง (สัมปทาน 25 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ไปจนถึงปี พ.ศ. 2566) ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560 โดยทางบริษัทฯ เห็นความจำเป็นในการยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อกเพื่อลดต้นทุนการส่งสัญญาณ ประกอบกับโครงข่ายโทรทัศน์ระบบดิจิทัลที่ช่อง 7 เช่าใช้ร่วมกับ ททบ. ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว [9] โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย ชุมพร พังงา พัทลุง และสงขลา และวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ตราด บุรีรัมย์ นครสวรรค์ แพร่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน ระนอง นครศรีธรรมราช สตูล และยะลา และจะยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อกโดยสมบูรณ์จากสถานีกรุงเทพมหานครในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561 พร้อมกับสถานีอื่นๆ อีก 18 สถานี[10]ทั้งนี้ พันธะผูกพันต่างๆกับกองทัพบกในฐานะคู่สัญญาสัมปทานยังคงมีอยู่จนกระทั่งหมดสัญญาสัมปทาน [9]", "title": "ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "321758#0", "text": "ฝ่ายข่าว ช่อง 7 เอชดี ()เป็นหน่วยงานย่อยของบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด หรือ ช่อง 7 เอชดี ทำหน้าที่ผลิตข้อมูลข่าวสารทุกประเภท ในรูปของเนื้อหาข่าวสำหรับโทรทัศน์ และภาพวิดีโอข่าวสำหรับโทรทัศน์ หรือภาพนิ่งในบางกรณี เพื่อสนับสนุนกับรายการโทรทัศน์ ประเภทข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน ที่สถานีฯ ผลิตขึ้นเอง รวมถึงสื่อประเภทอื่นของช่อง 7 เอชดี เช่น เว็บไซต์ หรือ สื่อสังคมออนไลน์ของสถานีฯ ก่อตั้งขึ้นในช่วงระยะแรกของการก่อตั้งสถานีฯ", "title": "ข่าวช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "59413#26", "text": "โดยการออกอากาศระบบแอนะล็อกเฟสที่ 3 ของช่อง 7 ยุติลงในเวลา 00:01 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน 2561 โดยตัดเข้าสู่หน้าจอแจ้งผู้ชมซึ่งมี 2 รูปแบบ คือแบบแรกเป็นแถบสี หรือ คัลเลอร์บาร์ และข้อความแสดงการยุติออกอากาศในระบบแอนะล็อก และพื้นหลังสีฟ้า พร้อมข้อความแจ้งช่องทางการรับชมหลังจากการยุติการออกอากาศ", "title": "ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "378469#0", "text": "จีทีเอช ออน แอร์ ( เริ่มใช้ชื่อปัจจุบันตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556) ชื่อเดิม: เพลย์ แชนแนล (Play Channel) และ เพลย์-จีทีเอช ออน แอร์ (Play-GTH On Air) เป็นช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ซึ่งนำเสนอรายการบันเทิงต่างๆ รวมถึงภาพยนตร์ หรือละครชุดจากจีทีเอช และสกู๊ปเบื้องหลังการถ่ายทำผลงานดังกล่าว ซึ่งบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ผลิตร่วมกับ บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด (จีทีเอช) และนิตยสารอิมเมจ ในนาม \"บริษัท จีทีเอช ออนแอร์ จำกัด\" ซึ่งเริ่มทดลองออกอากาศ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 และออกอากาศจริงเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ซึ่งพร้อมกับช่องเจเคเอ็น แชนแนล (JKN Channel) และเจเอสแอล แชนแนล (JSL Channel) และมีคำขวัญว่า \"จีทีเอช ออนแอร์ ช่องบันเทิงคุณภาพ จากค่ายหนังอารมณ์ดี จีทีเอช\"\nช่องจีทีเอชออนแอร์ ออกอากาศผ่านระบบดาวเทียม ไทยคม 5 ระบบซี-แบนด์ ความถี่ 3760 ระดับสัญญาณ (Symbol Rate) 30000 แนวการรับ แนวนอน และระบบเคยู-แบนด์ ความถี่ 12272 ระดับสัญลักษณ์ (Symbol Rate) 30000 แนวการรับ แนวตั้ง โดยสำหรับกล่องรับสัญญาณดาวเทียม ของจีเอ็มเอ็มแซต จะเป็นช่องหมายเลข 11 และ 316 ต่อมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ทดลองออกอากาศในระบบโทรทัศน์ความละเอียดสูง (เอชดี) ผ่านกล่องรับสัญญาณดาวเทียม จีเอ็มเอ็มแซต-เอชดี ทางช่องหมายเลข 409 พร้อมทั้งเข้ารหัสสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้กล่องรับสัญญาณดาวเทียมอื่นๆ สามารถรับชมได้ ซึ่งต้องถอดรหัสสัญญาณก่อน จึงรับชมได้ตามปกติ แต่ยุติการออกอากาศระบบเอชดี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เนื่องจากหมดสัญญาเช่าคลื่นความถี่", "title": "จีทีเอชออนแอร์" }, { "docid": "674776#0", "text": "ฮอลลีวูดเกมไนท์ไทยแลนด์ (Hollywood Game Night Thailand) หรือชื่อเดิม ซุป'ตาร์ปาร์ตี้ (CELEBRITY GAME NIGHT) เป็นรายการวาไรตี้เกมโชว์ที่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาจากรายการ \"Hollywood Game Night\" โดยมีวิลลี่ แมคอินทอช เป็นผู้ดำเนินรายการ ผลิตรายการโดย บริษัท มีมิติ จำกัด (ในซุป'ตาร์ปาร์ตี้ บริษัท เดอะวัน เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด ฝ่ายบริหารรายการโทรทัศน์ของสถานีโทรทัศน์ช่องวัน ในสังกัด เอ็กแซ็กท์ เป็นผู้ผลิตรายการร่วม) ออกอากาศครั้งแรกทาง สถานีโทรทัศน์ช่องวัน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2557 จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559 โดยย้ายเวลาออกอากาศทั้งหมด 4 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม รายการนี้ได้กลับมาออกอากาศอีกครั้งแต่ได้เปลี่ยนแปลงชื่อรายการไปเป็นชื่อเดียวกันกับรายการจากสหรัฐอเมริกา ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 18:20 - 19:50 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และ ช่อง 3 เอชดี โดยออกอากาศในรูปแบบซีซั่นฤดูกาล โดยในฤดูกาลที่ 1 ออกอากาศเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 จนถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และฤดูกาลที่ 2 ออกอากาศเมื่อ 25 สิงหาคม พ.ศ.2561 จนถึงปัจจุบัน", "title": "ฮอลลีวูดเกมไนท์ไทยแลนด์" }, { "docid": "745877#0", "text": "The Love Machine วงล้อ..ลุ้นรัก เป็นรายการเดทติ้งเกมโชว์ที่ได้รับความนิยมจากประเทศอังกฤษ และบริษัท เซิร์ช เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ทำการซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตในรูปแบบภาษาไทย ดำเนินรายการโดย พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร และ ต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ โดยเริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558 ทุกวันจันทร์ เวลา 23:30 – 00:30 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, ช่อง 3 เอชดี ปัจจุบันยุติการออกอากาศแล้ว ทั้งนี้ในปัจจุบัน รายการนี้ยังได้ออกอากาศซ้ำอีกครั้งทุกวันศุกร์ เวลา 22:30 – 23:30 น. ทางช่อง 3 เอสดี", "title": "The Love Machine วงล้อ ลุ้นรัก" }, { "docid": "96843#5", "text": "ต่อมาเอ็มทีวีไทยแลนด์ประกาศย้ายการออกอากาศในไทยวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 จากเคเบิลทีวี ช่องทรูวิชั่นส์ เนื่องจากหมดสัญญา 5 ปี[7] ไปแพร่ภาพทางทีวีดาวเทียม ดีทีเอช และ กับลูกค้าเคเบิลท้องถิ่น 2 ล้านครัวเรือน โดยออกอากาศพร้อมช่องเครือข่ายอย่าง วีเอชวัน และนิกเคลโลเดียน[8] ออกอากาศต่อเนื่องถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551 หลังจากนั้นอยู่ในช่วงไม่ได้ออกอากาศที่ใด (ออฟแอร์)[9]", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "830461#0", "text": "War of High School the Series สงครามไฮสคูล เป็นรายการโทรทัศน์ประเภทละครชุด เค้าโครงเรื่อง บทประพันธ์ และบทโทรทัศน์ นำแสดงโดย ภวัต จิตต์สว่างดี, ณวัชร์ พุ่มโพธิงาม ออกอากาศทางช่องโทรทัศน์ผ่านระบบทีวีแอนะล็อก ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ และออกอากาศคู่ขนานผ่านระบบทีวีดิจิตอล ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 21.00 - 21.45 น. เริ่มออกฉายครั้งแรก ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปีนั้น จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559", "title": "War of High School the Series สงครามไฮสคูล" }, { "docid": "116994#0", "text": "บลูมเบิร์ก เทเลวิชัน () เป็นช่องรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศในหลายประเทศทั่วโลก โดยช่องรายการนี้ออกอากาศรายการเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน โดยช่องข่าวนี้เป็นที่รู้จักกันในรูปแบบของการจัดข้อมูลทางหน้าจอโทรทัศน์ ที่ข้อมูลด้านการตลาดมีสัดส่วนมากกว่าวิดีโอ ช่องรายการนี้ยังเป็นช่องรายการแรกที่ออกอากาศผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรับชม โดยผู้ที่เป็นเจ้าของช่องรายการนี้ คือ Bloomberg L.P. มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ นิวยอร์ก ซิตี้ โดยในประเทศไทย สามารถรับชมได้ผ่านทาง ทรูวิชั่นส์ ช่อง 783 เฉพาะแพ็กเกจแพลทินัม เอชดี โกลด์ เอชดี ซูเปอร์แฟมิลี่ เอชดี และสมาร์ท แฟมิลี่ เอชดีเท่านั้น", "title": "บลูมเบิร์กเทเลวิชัน" }, { "docid": "4801#63", "text": "NINE THEATER - พักการออกอากาศตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2560 ก่อนกลับมาอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาประเภทกอล์ฟ ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ - เริ่มออกอากาศครั้งแรกในฤดูกาล 2018 เมื่อวันที่ 22-25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ต่อมาในถัดไปปี พ.ศ. 2562 ช่วงฤดูกาล 2019 เมื่อเร็วๆ นี้ (ถ่ายทอดสดที่ออกอากาศแทนมาจากช่อง 7 สี) ถ่ายทอดสด การตรวจรางวัลสลากออมสินพิเศษ (ผลงวดประจำวันที่ 1 และ 16 ของทุกปี โดย ธนาคารออมสิน) - พักการออกอากาศชั่วคราวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ปัจจุบันยังเป็นออกอากาศทางสทท.11 (เอ็นบีที)", "title": "เอ็มคอตเอชดี" }, { "docid": "168009#1", "text": "ต่อไปนี้เป็นรายชื่อละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ตั้งแต่ พ.ศ. 2510 ถึงปัจจุบัน", "title": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "188985#3", "text": "ส่วนการออกอากาศในประเทศไทย เริ่มออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกเป็นสถานีแรก เมื่อช่วงปี พ.ศ. 2542 หลังจากนั้นได้ถูกนำมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2545 - 2548 หลังจากนั้นก็ได้นำมาออกอากาศทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ในช่วงปี พ.ศ. 2557 - 2558 และล่าสุดได้นำมาออกอากาศทางช่อง 3 แฟมิลี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน แล้วกลับมาอีกครั้ง ออกอากาศ ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2015 - ปัจจุบัน", "title": "เทเลทับบีส์" }, { "docid": "59413#36", "text": "รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี ข่าวช่อง 7 เอชดี 7 สีคอนเสิร์ต บิ๊กซินีม่า มวยไทย 7 สี มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ไทยซุปเปอร์โมเดลคอนเทสต์ มิสทีนไทยแลนด์ แชมป์กีฬา 7 สี สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส", "title": "ช่อง 7 เอชดี" }, { "docid": "218073#15", "text": "กันตนา ได้ผลิตรายการโทรทัศน์หลายประเภทเช่น เกมโชว์ ควิซโชว์ ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ เรียลลิตี้โชว์ สารคดี วาไรตี้คอเมดี้โชว์ รายการเพลง รายการเด็ก และละคร เป็นจำนวนกว่า 200 รายการ เพื่อนำเสนอออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี(ภายหลังใช้ชื่อว่า สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี และปัจจุบันคือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส) และสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ปัจจุบันกันตนา กรุ๊ปมีรายการโทรทัศน์และละครที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 14 รายการ ออกอากาศทางช่อง 5 HD ช่อง 7 HD ช่อง 3 HD ช่อง 9 MCOT HD ช่อง 3 SD และช่องไทยรัฐทีวี HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา รายการที่ออกอากาศหรือขายลิขสิทธิ์ในแอปพลิเคชัน LINE TV หรือ iflix เน้น \"ตัวเอียง\")", "title": "กันตนา" }, { "docid": "12813#1", "text": "ตึกใบหยก 2 เป็นอาคารในเครือใบหยก ซึ่งมี พันธ์เลิศ ใบหยก เป็นประธานและกรรมการผู้จัดการ ก่อสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2540 โรงแรมเริ่มเปิดให้บริการใน เดือนมกราคม พ.ศ. 2541 และในปีเดียวกันมีการติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่อง ไอทีวี ออกอากาศระบบยูเอชเอฟ ช่อง 29 ความสูง 54 เมตร (150 ฟุต) บนยอดตึก และหลังจากนั้น สทท. กรมประชาสัมพันธ์ ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 11 / เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 โมเดิร์นไนน์ทีวี (ชื่อในขณะนั้นของ ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 9 / เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 ช่อง 3 ได้เปลี่ยนระบบการส่งเป็นระบบยูเอชเอฟ ช่อง 32 ออกอากาศรวมกันโดยใช้เสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่องไอทีวีออกอากาศ (ต่อมาใช้ชื่อว่า ทีไอทีวี และปัจจุบันใช้ชื่อว่า ไทยพีบีเอส) ซึ่งตึกใบหยก 2 นับว่าเป็น ตึกระฟ้า หลังแรกของ ประเทศไทย ที่มีความสูงเกิน 300 เมตร", "title": "อาคารใบหยก 2" }, { "docid": "251257#6", "text": "การส่งกระจายเสียงวิทยุในระบบเอฟเอ็มครั้งแรก ดำเนินการโดยสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยสังกัดกรมประชาสัมพันธ์เมื่อปี พ.ศ. 2494 ส่วนการแพร่ภาพวิทยุโทรทัศน์ในระบบวีเอชเอฟครั้งแรก ดำเนินการโดย\"สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4\" ของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยออกอากาศทางช่อง 4 ระบบขาวดำ และการแพร่ภาพวิทยุโทรทัศน์สี ในระบบวีเอชเอฟครั้งแรก ดำเนินการโดย\"สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7\" ซึ่งบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ได้รับสัมปทานจากกองทัพบกไทย เมื่อปี พ.ศ. 2510 โดยออกอากาศทางช่อง 7 ในย่านความถี่ที่ 3", "title": "วีเอชเอฟ" }, { "docid": "268880#1", "text": "ทรูสปอร์ตประกอบด้วยช่องรายการทรูสปอร์ต 2-7, เอชดี 1-4 และทรูเทนนิสเอชดี ออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2538 ภายใต้ชื่อ ซูเปอร์สปอร์ต (สมัยนั้นอยู่ที่ยังเป็น ไอบีซี และ ได้ร่วมกับ ยูทีวี จนกลายเป็น ยูบีซี) ในปี พ.ศ. 2543 ได้เปิดตัวช่อง \"ซูเปอร์สปอร์ต โกลด์\" ซึ่งเป็นช่องกีฬาช่องที่ 2 นำเสนอกีฬาต่างๆจากทุกมุมโลก หลังจากนั้น 4 ปีต่อมา ยูบีซียกเลิกช่องซูเปอร์สปอร์ต โกลด์ และเปลี่ยนชื่อเป็น \"ซูเปอร์สปอร์ต แอ็กชัน\" ซึ่งนำเสนอกีฬาประเภทศิลปะป้องกันตัว เอ็กซ์เกม การแข่งขันกีฬาทางน้ำ ฯลฯ หลังจากนั้น เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 เปิดตัวช่องรายการใหม่คือ \"ยูบีซี ซ็อกเกอร์\" นำเสนอรายการประเภทกีฬาฟุตบอลจากสโมสรฟุตบอลชั้นนำในอังกฤษ และ \"ยูบีซี สปอร์ตพลัส\" ซึ่งถ่ายทอดสดฟุตบอลนัดที่มีเวลาชนกัน และนำเสนอรายการกีฬาจากต่างประเทศ อาทิ บาสเกตบอล อเมริกันฟุตบอล มอเตอร์สปอร์ต ฯลฯ พ.ศ. 2550 เปลี่ยนชื่อทั้งหมดเป็น \"ทรู สปอร์ต\" มาจนถึงปัจจุบัน และเปลี่ยนผังช่องรายการกีฬาเดิม ที่มีแค่ 4 ช่อง โดยวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา, และ เพิ่ม 4 ช่องรายการกีฬาเป็น 24 ชั่วโมง\nทรู สปอร์ต มีสัญลักษณ์เด่นที่สำคัญคือรูป เปลวไฟ (พบในโลโก้ช่องทรูสปอร์ต 2-7 และพบในไอเดนท์ทรูสปอร์ตทุกช่องอีกด้วย (แต่ยกเว้นช่อง TrueSport 7 ที่พบได้แค่ในช่วงแจ้งรายการเท่านั้น) โดยเปลวไฟในไอเดนท์ทรูสปอร์ตแต่ละช่องจะอยู่เหนือตัวเลขทุกช่อง (ยกเว้นทรูสปอร์ต 6 ที่เปลวไฟนั้นเอียงไปเป็นแนวตั้งซ้ายอยู่หลังตัวเลข) แต่สำหรับแบบเอชดี ก็จะมีอยู่ 2 รูปด้านบน-ล่าง อย่างละรูป อยู่หลังคำว่า HD ยกเว้นช่อง TrueSport HD2 ที่เปลวไฟจะลุกไปทางซ้าย และมีรูปเดียว ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2556 เป็นต้นมา", "title": "ทรูสปอร์ต" } ]
618
วิศวกรรมชีวเวช แบ่งออกเป็นกี่สาขาย่อย?
[ { "docid": "4926#12", "text": "วิศวกรรมชีวเวช แบ่งออกเป็น 9 สาขาย่อย ดังนี้", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" } ]
[ { "docid": "4926#16", "text": "สำหรับประเทศไทย มีมหาวิทยาลัยที่สามารถเปิดสอนหลักสูตรวิศวกรรมชีวการแพทย์อยู่ทั้งสิ้น 9 สถาบันดังตารางข้างล่าง ทั้งนี้ มี 6 สถาบันที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเปิดหลักสูตรระดับปริญญาตรี (วิศวกรรมศาสตรบัณฑิตและวิทยาศาสตรบัณฑิต) โดยเน้นการพัฒนากำลังคนเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกที่เปิดสอนตั้งแต่ พ.ศ. 2545-2554 ในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาอุปกรณ์ชีวการแพทย์ และ เมื่อ พ.ศ. 2555 - ปัจจุบัน ได้ปรับปรุงหลักสูตรและเปิดสอนหลักสูตร วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ โดยความร่วมมือระหว่างคณะวิทยาศาสตร์กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดหลักสูตรในระดับปริญญาตรี เมื่อ พ.ศ. 2550", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "66721#2", "text": "ในแง่ของการนำมาใช้ประโยชน์ มีการนำวิชาชีวกลศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในวงการแพทย์ วงการวิศวกรรม วงการกีฬา และอื่นๆ โดยเฉพาะในวงการแพทย์ แพทย์เฉพาะทางที่ต้องเข้าใจชีวกลศาสตร์อย่างมากคือ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์ เนื่องจากต้องเข้าใจถึงการรูปแบบเคลื่อนไหวทั้งปรกติและผิดปรกติ และนำมาซึ่งการรักษาต่างๆเช่น การทำขาเทียม การทำแขนเทียม การรักษาฟื้นฟูนักกีฬา การเพิ่มสมรรถภาพนักกีฬา การรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยกลุ่มมีปัญหาทางการเคลื่อนไหว เป็นต้นในทางการแพทย์ การศึกษาชีวกลศาสตร์ของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเดินและการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อย่อยๆตามแง่มุมที่ต้องการศึกษา เช่น เนื้อหาทางชีวกลศาสตร์ซึ่งนำมาประยุกต์เพื่อศึกษาการเดินและการเคลื่อนไหวร่างกายมนุษย์ เช่น", "title": "ชีวกลศาสตร์" }, { "docid": "357161#1", "text": "การจัดอันดับนี้ใช้ชื่อว่า \"โครงการฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทย\" ได้แบ่งหัวข้อการจัดอันดับออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ ด้านการวิจัย และ ด้านการเรียนการสอน ได้จัดทำออกเป็น 2 ส่วนย่อยคือ อันดับในภาพรวมแบ่งแยกตามมหาวิทยาลัยแบ่งออกเป็นกลุ่ม และอันดับแบ่งแยกย่อยในแต่ละสาขาวิชา โดยแบ่งออกเป็น 7 สาขาวิชาย่อย ได้แก่ (1) สาขาวิทยาศาสตร์ (2) สาขาเทคโนโลยี (3) สาขาชีวการแพทย์ (4) สาขามานุษยวิทยาและศิลปกรรมศาสตร์ (5) สาขาสังคมศาสตร์ (6) สาขาเกษตร (7) สาขาศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์", "title": "อันดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา" }, { "docid": "188997#5", "text": "ในศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสิ่งมีชีวิตเช่น วิศวกรรมชีวเวชใช้แนวความคิดหลายอย่างของทฤษฎีวงจรไฟฟ้า อณูชีววิทยา เภสัชวิทยา และไฟฟ้าชีวภาพ แม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพนั้นยังเกี่ยวข้องกับจังหวะชีวภาพ (biorhythm) และกลไกเวลาทางชีวภาพ (chronobiology) ด้วย การฝึกประสาทการรับรู้ (biofeedback) ถูกใช้ในสรีรวิทยาและจิตวิทยาเพื่อชี้วัดรอบจังหวะของสมบัติเฉพาะทางกายภาพ ทางจิตใจ หรือทางอารมณ์ และเพื่อเป็นเทคนิคของการสอนการควบคุมการทำงานของไฟฟ้าชีวภาพ", "title": "แม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพ" }, { "docid": "3103#0", "text": "เทคโนโลยีชีวภาพ () คือ การใช้ระบบและสิ่งที่มีชีวิตเพื่อพัฒนาหรือสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์, หรือ \"การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใดๆ ที่ใช้ระบบชีวภาพ, สิ่งที่มีชีวิตหรืออนุพันธ์ของสิ่งที่มีชีวิตนั้น, เพื่อสร้างหรือปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการสำหรับการใช้งานเฉพาะอย่าง\" (อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ, ศิลปะ. 2) . ขึ้นอยู่กับเครื่องมือและการประยุกต์ใช้งาน, มันมักจะคาบเกี่ยวกับสาขา (ที่เกี่ยวข้องกับ) วิศวกรรมชีวภาพและวิศวกรรมชีวการแพทย์.", "title": "เทคโนโลยีชีวภาพ" }, { "docid": "16208#21", "text": "ปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอก หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต ใช้ระยะเวลาศึกษา 6 ปี สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม สาขาวิชาเภสัชอุตสาหการ หลักสูตรเภสัชศาสตรมหาบัณฑิต ใช้ระยะเวลาศึกษา 2 ปี สาขาวิชาเภสัชกรรม สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิก สาขาวิชาเภสัชอุตสาหกรรม สาขาวิชาเภสัชเคมี สาขาวิชาอาหารเคมีและโภชนศาสตร์การแพทย์ สาขาวิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ สาขาวิชาเภสัชเวท สาขาวิชาจุลชีววิทยา สาขาวิชาสรีรวิทยา สาขาวิชาเภสัชวิทยาและพิษวิทยา สาขาชีวเวชเคมี สาขาวิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม (นานาชาติ) สาขาวิชาเภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร (นานาชาติ) หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง หลักสูตรเภสัชศาสตรดุษฎีบัณฑิต ใช้ระยะเวลาศึกษา 2 ปี สาขาวิชาเภสัชกรรม สาขาวิชาการบริบาล หลักสูตรวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชเคมีและ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ชีวภาพ สาขาวิชาชีวเวชเคมี สาขาวิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม (นานาชาติ) สาขาวิชาเภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร (นานาชาติ) สาขาวิชาเภสัชเวททางเภสัชกรรม (นานาชาติ)", "title": "คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "4926#14", "text": "สำหรับในประเทศไทย สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ริเริ่มจัดให้มีการประชุมประจำปีวิศวกรรมชีวการแพทย์แห่งชาติ (National Meeting on Biomedical Engineering) เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้แบบบูรณาการ โดยการสนับสนุนของ NECTEC ต่อมาได้มีการเพิ่มการประชุมนานาชาติ International Symposium in Biomedical Engineering (ISBME) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "3644#19", "text": "วิศวกรรมศาสตร์นั้นคล้ายคลึงกับวิทยาศาสตร์ที่มีขอบข่ายกว้างขวางจนสามารถแตกแยกย่อยลงมาได้หลายสาขาย่อย และในแต่ละสาขาย่อยต่างก็มองตัวเองในสายงานต่างๆทางวิศวกรรม ถึงแม้ว่าในช่วงแรก วิศวกรจะถูกฝึกศึกษามาในสาขาใดสาขาหนึ่ง แต่หลังจากผ่านประสบการณ์งานในสายวิศวกรรมมาแล้ว วิศวกรผู้นั้นอาจจะมีความสามารถในการทำงานได้หลากหลายสาขา โดยประวัติศาสตร์แล้ว วิศวกรรมสาขาหลักๆแบ่งได้ดังนี้[11][13]", "title": "วิศวกรรมศาสตร์" }, { "docid": "3103#3", "text": "ในทางตรงกันข้าม, ชีววิศวกรรมทั่วไปถูกมองว่าเป็นสาขาที่เน้นมากขึ้นสำหรับวิธีการระบบที่สูงขึ้น (ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการใช้วัสดุชีวภาพ\"โดยตรง\") สำหรับการเชื่อมต่อกับสิ่งมีชีวิตและการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตนั้น. วิศวกรรมชีวภาพคือการประยุกต์ใช้หลักการของวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติกับเนื้อเยื่อ, เซลล์และโมเลกุล. แบบนี้ถือได้ว่าเป็นการใช้ความรู้จากการทำงานกับชีววิทยาที่มีการจัดการเพื่อให้บรรลุผลที่สามารถปรับปรุงฟังก์ชันในพืชและสัตว์. เกี่ยวเนื่องกัน, วิศวกรรมชีวการแพทย์เป็นสาขาที่ทับซ้อนกันสาขาหนึ่งที่มักจะดึงออกมาและประยุกต์ใช้\"เทคโนโลยีชีวภาพ\" (ตามคำนิยามที่หลากหลาย), โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาย่อยของชีวการแพทย์และ/หรือวิศวกรรมเคมีเช่นวิศวกรรมเนื้อเยื่อ, วิศวกรรมชีวเวชภัณฑ์, และพันธุวิศวกรรม.", "title": "เทคโนโลยีชีวภาพ" }, { "docid": "28864#8", "text": "นิตยสารไทมส์ไฮเออร์เอดูเคชันซัปพลีเมนต์ (THES) ได้จัดทำอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก โดยแบ่งเป็นโดยภาพรวม และจัดแยกสาขาออกเป็น 5 สาขา ได้แก่ สาขาเทคโนโลยี (วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ) สาขาเวชชีวศาสตร์ สาขาศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ และสาขาสังคมศาสตร์ โดยมีชื่อมหาวิทยาลัยไทยอยู่ในอันดับ ตามปี และสาขาต่อไปนี้ ", "title": "อันดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย" }, { "docid": "791622#73", "text": "วิศวกรรมชีวเวช", "title": "มหาวิทยาลัยโทไก" }, { "docid": "921416#18", "text": "หมวดหมู่:เทคโนโลยีชีวภาพ หมวดหมู่:วิศวกรรมชีวเวช หมวดหมู่:อณูชีววิทยา หมวดหมู่:พันธุวิศวกรรม", "title": "คริสเปอร์" }, { "docid": "4926#0", "text": "วิศวกรรมชีวการแพทย์ หรือ วิศวกรรมชีวเวช (English: Biomedical Engineering) หรือ วิศวกรรมการแพทย์ (English: Medical Engineering) เป็นสาขาวิชที่นำเอาความรู้ทางด้าน วิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อออกแบบ สร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน สามารถใช้งานได้จริง รวมถึงการศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อน และต้องการขั้นตอนการผลิตที่มีมาตรฐาน และ ประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายของงานด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ ได้แก่", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "4926#13", "text": "Bioinstrumentation เป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ความรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ คุณสมบัติทางไฟฟ้า ที่บอกจำนวนหรือปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตในระดับอะตอมเซลล์ เนื้อเยื่อ หรือระดับอวัยวะ โดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือคอมพิวเตอร์ มาเป็นตัวกลางในการติดต่อกับเครื่องจักรกล ไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก หรือสัญญาณเสียง ซึ่งสร้างมาจากสิ่งมีชีวิต กระบวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายสิ่งมีชีวิต หรือมนุษย์ Biomaterials เป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุที่มนุษย์ทำขึ้นมา ที่ประกอบด้วยทั้งหมดหรือบางส่วนของโครงสร้างสิ่งมีชีวิต หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งแทนที่การทำงานของอวัยวะเดิมได้ อาทิ ลิ้นหัวใจเทียม Biomechanics เป็นการประยุกต์หลักทางกลศาสตร์เพื่อระบบของสิ่งมีชีวิต ซึ่งรวมถึงการวิจัยและการวิเคราะห์ทางกลศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ ใช้หลักทางวิศวกรรมในสิ่งมีชีวิต Cellular, Tissue and Genetic Engineering วิศวกรรมเนื้อเยื่อเป็นส่วนหลักในส่วนของเทคโนโลยีชีวภาพ หนึ่งในเป้าหมายหลักของวิศวกรรมเนื้อเยื่อคือ การผลิตอวัยวะเทียมจากวัสดุชีวภาพสำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้อวัยวะปลูก ถ่าย โดยวิศวกรในสาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์มีหน้าที่ในการวิจัยเพื่อหาวิธีมาผลิต อาทิ กระเพาะปัสสาวะซึ่งมีการพัฒนากันอย่างแพร่หลายในห้องปฏิบัติการและประสบความ สำเร็จแล้วในการปลูกถ่ายเข้าไปในผู้ป่วย อวัยวะเทียมที่นำมาใช้ได้ทั้งจากการสังเคราะห์และวัสดุชีวภาพ อาทิ ตับเทียม Clinical Engineering เป็นสาขาหนึ่งของวิศวกรรมชีวการแพทย์ในการในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์และ เทคโนโลยีต่าง ๆ ในสถานพยาบาล บทบาทหลักของ Clinical Engineering คือการให้ความรู้และควบคุมดูแลอุปกรณ์ทางการแพทย์ การเลือกเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ การควบคุมการผลิต Clinical Engineer ยังสามารถให้ข้อมูลและความร่วมมือกับผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ Medical Imaging เป็นสาขาที่ศึกษาเทคนิคหรือกระบวนการที่ใช้ในการสร้างภาพของร่างกายมนุษย์ หรือบางส่วนของร่างกาย และหน้าที่การทำงานร่างกาย เพื่อจุดประสงค์ทางคลินิก หรือทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ Orthopedic Engineering เป็นสาขาที่เน้นการทำให้โรคหรือการได้รับบาดเจ็บของระบบกล้ามเนื้อ และกระดูกทุเลาลง โดยการพัฒนาฟังก์ชันการทำงานทางกลศาสตร์ของวัสดุชีวภาพร่วมกับวิศวกรรม เนื้อเยื่อ Rehabilitation Engineering เป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิศวกรรมมาออกแบบ พัฒนา ดัดแปลง ทดสอบ ประยุกต์ใช้ และเผยแพร่เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาการสูญเสียความสามารถต่าง ๆ ของร่างกาย (พิการ) งานวิจัยด้านนี้ครอบคลุมการเคลื่อนไหว การติดต่อสื่อสาร การได้ยิน การมองเห็น การจดจำ และการช่วยให้ผู้พิการสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น Systems Physiology เป็นสาขาที่รวมศาสตร์ทางการแพทย์ด้านต่าง ๆ เพื่อศึกษาโครงสร้าง ฟังก์ชันการทำงานของเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะที่อธิบายถึงพฤติกรรมของระบบสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปการคำนวณทางสรีรวิทยาได้จากการรวมเทคโนโลยีและฟังก์ชันการทำงาน ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายสิ่งมีชีวิต อาทิ การหมุนเวียนเลือด การหายใจ เมตาบอลิซึม กลศาสตร์ชีวภาพ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบต่อมไร้ท่อ และอื่น ๆ", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "297525#2", "text": "คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ได้เปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีรุ่นแรก จำนวน 65 คน เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 โดยแยกเข้าศึกษาใน 3 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาปิโตรเคมีและวัสดุพอลิเมอร์ สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร และสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สาขาวิชาละประมาณ 20 คน ปัจจุบันคณะฯ ได้เปิดสอนในระดับปริญญาตรี สาขาวิชาปิโตรเคมีและวัสดุพอลิเมอร์ สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี สาขาวิชาวิศวกรรมการจัดการและโลจิสติกส์ สาขาวิชาวัสดุขั้นสูงและนาโนเทคโนโลยี สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และระบบคอมพิวเตอร์ สาขาวิชาวิศวกรรมกระบวนการชีวภาพ สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ และสาขาวิชาธุรกิจวิศวกรรม ในระดับปริญญาโท สาขาวิชาวิทยาการและวิศวกรรมพอลิเมอร์ สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี สาขาวิชาการจัดการงานวิศวกรรม สาขาวิชาวิศวกรรมพลังงาน สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร และสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ ในระดับปริญญาเอก สาขาวิชาวิทยาการและวิศวกรรมพอลิเมอร์ (หลักสูตรนานาชาติ) สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สาขาวิชาวิศวกรรมพลังงาน และสาขาวิชาวิศวกรรมเคมี", "title": "คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "7290#1", "text": "แพทยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่มีความสำคัญ ผู้ประกอบอาชีพทางการแพทย์มักได้รับความนับถือในสังคม แพทยศาสตร์มีศาสตร์เฉพาะทางต่าง ๆ อีกมากมายเช่น กุมารเวชศาสตร์, อายุรศาสตร์, ศัลยศาสตร์, ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยศาสตร์กระดูก), สูติศาสตร์, นรีเวชวิทยา, โสตศอนาสิกวิทยา, นิติเวชศาสตร์, จักษุวิทยา, จิตเวชศาสตร์,รังสีวิทยา,ตจวิทยา, พยาธิวิทยา, เวชศาสตร์ชุมชน, อาชีวเวชศาสตร์, เวชศาสตร์ฟื้นฟู, เวชระเบียน, เวชสถิติ และอื่น ๆ อีกมากมาย และในแต่ละสาขายังแบ่งย่อยเป็นสาขาย่อยลงไปอีกตามอวัยวะหรือกลุ่มของโรค เช่น ศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก อายุรศาสตร์โรคไต เป็นต้น", "title": "แพทยศาสตร์" }, { "docid": "670#16", "text": "วิศวกรรมซอฟต์แวร์สามารถแบ่งออกไปได้อีก 10 สาขาวิชาย่อย คือ", "title": "วิศวกรรมซอฟต์แวร์" }, { "docid": "4926#11", "text": "สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์เป็นสาขาวิชาที่บูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ แพทย์ศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เภสัชศาสตร์ รังสีวิทยา เทคนิคการแพทย์ วัสดุศาสตร์ โทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการนำความรู้เฉพาะทางมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อ ออกแบบ สร้าง หรือพัฒนา เครื่องมือแพทย์ที่ได้มาตรฐาน สามารถใช้งานได้จริง รวมถึงการศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อจุดมุ่งหมายในการ วินิจฉัย ป้องกัน ติดตาม บำบัด บรรเทา รักษาโรค รวมถึงการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้ มาใช้พัฒนาหรือสร้างเครื่องมือ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ และที่สำคัญก็คือ ต้องสามารถใช้ได้โดยมีความปลอดภัยกับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ผู้ใช้เครื่องมือ", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "4926#15", "text": "พ.ศ. 2544 การประชุมประจำปีวิศวกรรมชีวการแพทย์แห่งชาติ ครั้งที่ 1 (1st National Meeting on Biomedical Engineering) ที่โรงแรมเซ็นทรัล โซฟิเทล สนับสนุนโดย NECTEC จัดโดย สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. 2545 การประชุมประจำปีวิศวกรรมชีวการแพทย์แห่งชาติ ครั้งที่ 2 (2nd National Meeting on Biomedical Engineering) ที่โรงแรมอมารี ประตูน้ำ สนับสนุนโดย NECTEC จัดโดย สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. 2546 การประชุมประจำปีวิศวกรรมชีวการแพทย์แห่งชาติ ครั้งที่ 3 (3rd National Meeting on Biomedical Engineering) ที่โรงแรมรามากาเด็น สนับสนุนโดย NECTEC จัดโดย สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. 2547 ที่โรงแรมรามากาเด็น สนับสนุนโดย NECTEC จัดโดย สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2548 การประชุมประจำปีวิศวกรรมชีวการแพทย์แห่งชาติ ครั้งที่ 4 (4nd National Meeting on Biomedical Engineering) ที่โรงแรมรามากาเด็น สนับสนุนโดย NECTEC จัดโดย สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. 2549 ที่โรงแรมเซ็นทรัลโซฟิเทล สนับสนุนโดย MTEC จัดโดย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2550 ครั้งที่ 5 (5nd National Conference on Biomedical Engineering) ณ โรงแรมทวินทาวเวอร์ กรุงเทพฯ สนับสนุนโดย NECTEC จัดโดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2550 ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดโดย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยรังสิต ภายใต้ความร่วมมือของ สนับสนุนโดย NECTEC พ.ศ. 2551 จัดโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภายใต้การสนับสนุนของ พ.ศ. 2551 โดย พ.ศ. 2552 จัดโดย", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "4926#23", "text": "หมวดหมู่:วิศวกรรมชีวภาพ ชีวเวช หมวดหมู่:วิทยาศาสตร์สุขภาพ", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "612133#1", "text": "แบ่งย่อยเป็น 3 สาขา\n-สาขานาโนอิเล็กทรอนิกส์\n-สาขานาโนเทคโนโลยีชีวภาพ \n-สาขาวัสดุนาโน", "title": "วิศวกรรมนาโน" }, { "docid": "810265#3", "text": "SCImago Institutions Ranking (SIR) เป็น การจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งจะไม่ได้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล เป็นต้น\nนิตยสารไทมส์ไฮเออร์เอดูเคชันซัปพลีเมนต์ (THES) ได้จัดทำอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก โดยแบ่งเป็นโดยภาพรวม และจัดแยกสาขาออกเป็น 5 สาขา ได้แก่ สาขาเทคโนโลยี (วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ) สาขาเวชชีวศาสตร์ สาขาศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ และสาขาสังคมศาสตร์", "title": "อันดับมหาวิทยาลัยไทย" }, { "docid": "232857#2", "text": "การตัดสินจะแบ่งออกเป็นประเภทบุคคล 17 สาขา เรียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษได้แก่ สัตววิทยา พฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์\nชีวเคมี ชีววิทยาระดับเซลล์และโมเลกุล เคมี วิทยาการคอมพิวเตอร์ ดาราศาสตร์ วิศวกรรมไฟฟ้าและเครื่องกล พลังงานและการขนส่ง วิศวกรรมวัสดุและชีววิศวกรรม การจัดการสิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณิตศาสตร์ การแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ จุลชีววิทยา ฟิสิกส์และดาราศาสตร์ พฤกษศาสตร์ และแยกประเภททีมไว้ต่างหากเปรียบเสมือนเป็นอีก 1 สาขา รวมทั้งสิ้นเป็น 18 สาขา", "title": "การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ" }, { "docid": "11735#16", "text": "ประเภทวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีเคมี สาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวเคมี สาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีปิโตรเคมี สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา สาขาวิชาวิศวกรรมชลประทาน สาขาวิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาวิศวกรรมโทรคมนาคม สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล สาขาวิชาวิศวกรรมระบบการผลิต สาขาวิชาวิศวกรรมการเกษตร สาขาวิชาวิศวกรรมชีวภาพ สาขาวิชาวิศวกรรมอากาศยาน สาขาวิชาวิศวกรรมทางเรือ สาขาวิชาวิศวกรรมระบบ สาขาวิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ สาขาวิชาสถาปัตยกรรมทางเรือ ประเภทวิชาเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สาขาวิชาเทคโนโลยีพลังงาน สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม สาขาวิชาเทคโนโลยีการสื่อสาร สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิชาเทคโนโลยีวัสดุ สาขาวิชาเทคโนโลยีพอลิเมอร์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการ สาขาวิชานาโนเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีอุณหภาพ สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สาขาวิชาพฤกษศาสตร์ สาขาวิชาสัตววิทยาและสัตวศาสตร์ สาขาวิชาพันธุศาสตร์ สาขาวิชาเคมี สาขาวิชาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สาขาวิชาระบบโลกและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (ธรณีวิทยา/สมุทรศาสตร์) สาขาวิชาชีวเคมี สาขาวิชาจุลชีววิทยา สาขาวิชาชีววิทยาระดับโมเลกุล ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร และสัตวแพทยศาสตร์ สาขาวิชาปฐพีวิทยา สาขาวิชาพืชศาสตร์ สาขาวิชาทรัพยากรธรรมชาติ สาขาวิชากีฏวิทยา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร สาขาวิชาสัตวบาล สาขาวิชาการประมง สาขาวิชาวนศาสตร์ สาขาวิชาสัตวแพทยศาสตร์", "title": "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "669#37", "text": "สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าในการการประเมินครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2553) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล, ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีโยธา, ภาควิชาวิศวกรรมระบบการผลิต, และภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร และในการประเมินครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในสาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา, สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลและระบบการผลิต, สาขาวิชาเทคโนโลยีการสื่อสาร, สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ และโครงการบัณฑิตศึกษา สาขาชีวเวชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[37][38]", "title": "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "3644#24", "text": "[[]] วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ วิศวกรรมขนถ่ายวัสดุ [[]] [[]] วิศวกรรมอัตโนมัติ วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมระบบสิ่งก่อสร้าง วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมโทรคมนาคม วิศวกรรมชีวเวช (หรือ วิศวกรรมชีวการแพทย์) วิศวกรรมนาโน วิศวกรรมการผลิต วิศวกรรมเกษตร วิศวกรรมทรัพยากรน้ำ วิศวกรรมดินและน้ำ วิศวกรรมขนส่ง วิศวกรรมความปลอดภัย วิศวกรรมปิโตรเลียม วิศวกรรมปิโตรเคมี วิศวกรรมซอฟต์แวร์ วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ วิศวกรรมโลจิสติกส์ วิศวกรรมการเชื่อม", "title": "วิศวกรรมศาสตร์" }, { "docid": "4926#21", "text": "มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในการสอนหลักสูตรวิศวกรรมชีวการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา จัดอันดับโดยยูเอสนิวส์แอนเวิร์ลรีพอด ปี 2012 (US News and World Report) [1]ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับมหาวิทยาลัย ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสหรัฐอเมริกา", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" }, { "docid": "897852#2", "text": "การวิจัยของสถาบันครอบคลุมสาขาชีวการแพทย์ที่หลากหลาย ประกอบด้วย ชีวเคมี, ชีววิทยาของเซลล์, พยาธิวิทยา, กลไกการเกิดมะเร็ง, จีโนมิกส์, ชีววิทยาระบบ และวิศวกรรมชีวเวช สำหรับความสำเร็จ ได้แก่โรงพยาบาลสถาบันมะเร็ง ของมูลนิธิเพื่อการวิจัยโรคมะเร็งแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้รับการก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1934 ในฐานะโรงพยาบาลมะเร็งเฉพาะทางในประเทศญี่ปุ่น โดยมีเพียง 29 เตียง และมีผู้อำนวยการคนแรกคือริวกิชิ อินะดะ ส่วนปัจจุบัน โรงพยาบาลมีประมาณ 700 เตียง และในปีงบประมาณ 2011 มีผู้ป่วยนอก 61,324 คน และผู้ป่วยใน 9,690 ราย", "title": "มูลนิธิเพื่อการวิจัยโรคมะเร็งแห่งประเทศญี่ปุ่น" }, { "docid": "4926#20", "text": "มหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีระดับปริญญาโทระดับปริญญาเอกคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สหสาขาวิศวกรรมชีวเวช หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สหสาขาวิศวกรรมชีวเวช หลักสูตรวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี - หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต/วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต -คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ \"หลักสูตรบัณฑิตศึกษา เปิดสอนในคณะแพทยศาสตร์\" หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ (เดิมชื่อสาขาอิเล็กทรอนิกส์ชีวการแพทย์)-คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต -คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์--", "title": "วิศวกรรมชีวเวช" } ]
1400
ชัย ชิดชอบ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด?
[ { "docid": "169334#1", "text": "นายชัย ชิดชอบ เกิดที่บ้านเพี้ยราม ตำบลเพี้ยราม อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนสุรวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์ [2]", "title": "ชัย ชิดชอบ" } ]
[ { "docid": "169334#8", "text": "พ.ศ. 2544 นายกองตรี ชัย ชิดชอบ ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายกองโท ชัย ชิดชอบ[12] พ.ศ. 2552 นายกองโท ชัย ชิดชอบ ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายกองเอก ชัย ชิดชอบ[13]", "title": "ชัย ชิดชอบ" }, { "docid": "186221#13", "text": "ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ ได้แก่ ภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรม กล่าวคือ ได้แก่ภูมิลำเนาของผู้ใช้อำนาจปกครอง คือ บิดา และ/หรือมารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือภูมิลำเนาของผู้ปกครองของผู้เยาว์นั้น ทั้งนี้ จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ในกรณีที่บิดาและมารดามีภูมิลำเนาต่างหากจากกัน ภูมิลำเนาของผู้เยาว์จะได้แก่ภูมิลำเนาของบิดาหรือมารดาที่ผู้เยาว์นั้นพำนักอยู่ด้วย (มาตรา 44 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "186221#17", "text": "ภูมิลำเนาของบุคคลประเภทดังกล่าวนี้ ได้แก่ ถิ่นอันเป็นที่ปฏิบัติราชการตามตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งต้องไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่ชั่วคราว ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่นั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) เช่น\nผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ภูมิลำเนาของบุคคลดังกล่าวได้แก่สถานที่ตนถูกจำคุกอยู่ เช่น เรือนจำ ทัณฑสถาน ฯลฯ กรณีนี้ไม่รวมถึงการถูกคุมขังเป็นเวลาชั่วคราว ณ สถานีตำรวจ หรือถูกคุมขังในระหว่างรอการพิจารณาอุทธรณ์ เป็นต้น (มาตรา 47 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "310799#1", "text": "นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เกิดเมื่อวันที่ ที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นบุตรของนายชัย ชิดชอบ กับนางละออง ชิดชอบ (น้องชายของนายเนวิน ชิดชอบ) สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2527 และปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2531", "title": "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" }, { "docid": "372115#21", "text": "พรรคภูมิใจไทยได้ฟ้องร้องพรรคเพื่อไทย ในกรณีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ใส่ร้ายผู้สมัครของพรรคคือ เนวิน ชิดชอบ และ ชัย ชิดชอบ ด้าน แทนคุณ จิตต์อิสระได้ฟ้องร้องเรื่องนี้กับ การุณ โหสกุล เป็นการส่วนตัวเช่นตัวกัน นอกจากนี้ยังมีการยื่นฟ้องยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโดยนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษคอรัปชั่นทักษิณ ซึ่งยื่นฟ้องต่อดีเอสไอ ในกรณีที่ยิ่งลักษณ์ให้การเท็จต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ในการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 302 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์", "title": "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554" }, { "docid": "186221#15", "text": "ตัวอย่างเช่น เด็กชาย ก เป็นบุตรของนาย ข และนาง ค ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีและภรรยา ณ จังหวัดเชียงราย โดยไม่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ต่อมา นาย ข ย้ายไปรับราชการ ณ จังหวัดเชียงใหม่ สามีภรรยาทั้งสองจึงตกลงใจให้เด็กชาย ก ย้ายไปพำนักอยู่ด้วยกับนาย ข ยังจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนนาง ค คงอยู่จังหวัดเชียงรายตามเดิม ในกรณีเช่นว่านี้ ภูมิลำเนาของเด็กชาย ก ได้แก่จังหวัดเชียงรายตามภูมิลำเนาของมารดา เนื่องจากนาย ข นั้นไม่ได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชาย ก จึงไม่ถือว่าเป็นผู้แทนโดยชอบหรือผู้ใช้อำนาจปกครองของเด็กชาย ก ได้ เป็นต้น", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "40647#4", "text": "ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชานุญาตให้ใช้นามสกุลจากราชทินนาม ตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พุทธศักราช 2484 ว่า \"ผู้ใดประสงค์จะขอใช้ราชทินนามของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นชื่อสกุล ให้ยื่นเรื่องราวต่อรัฐมนตรีเพื่อถวายต่อพระมหากษัตริย์ ถ้าได้รับพระบรมราชานุญาตและได้นำหลักฐานไปจดทะเบียนต่อกรมการอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ซึ่งผู้ยื่นเรื่องราวมีภูมิลำเนาแล้ว จึงให้ถือว่าเป็นชื่อสกุลอันชอบด้วยกฎหมาย\" ", "title": "นามสกุลพระราชทาน" }, { "docid": "186221#12", "text": "บุคคลที่เป็นสามีและภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ มีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ภูมิลำเนาของบุคคลทั้งสองนี้ได้แก่ถิ่นที่อยู่ซึ่งทั้งสองอยู่กินกันฉันสามีและภรรยา เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแสดงเจตนาให้ชัดแจ้งว่าประสงค์จะมีภูมิลำเนาต่างหากจากกัน (มาตรา 43 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "209562#5", "text": "ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 298 คะแนน ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความเห็นชอบ 163 คะแนน และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 5 คะแนน (คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายชัย ชิดชอบ, นายสามารถ แก้วมีชัย และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่งและคนที่สอง) จึงถือได้ว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่านายสมชายได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี", "title": "การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "24308#3", "text": "นายเนวิน ชิดชอบ เกิดวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็นบุตรของชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ และนางละออง ชิดชอบ เป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องชาย 5 หญิง 1 (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชาย เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย) กำนันชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน ตั้งตัวมาจากธุรกิจโรงโม่หิน มีกิจการที่สำคัญคือ โรงโม่หินศิลาชัย", "title": "เนวิน ชิดชอบ" }, { "docid": "193802#49", "text": "16.42 น. นาย ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้ปีนรั้วสภาออกไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากมีอายุมากแล้ว โดยเจ้าหน้าที่พยายามประคองอุ้มนายชัยออกไปอย่างทุลักทุเล", "title": "การชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภาไทย 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551" }, { "docid": "169334#0", "text": "ชัย ชิดชอบ (5 เมษายน พ.ศ. 2471 — ) เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร​แบบสัดส่วน พรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคพลังประชาชน ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรแทนนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่โดนใบแดง [1] ก่อนหน้านี้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)หลายสมัย และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)จังหวัดบุรีรัมย์", "title": "ชัย ชิดชอบ" }, { "docid": "207152#3", "text": "ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 235 คะแนน ส่วนพลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินได้รับความเห็นชอบ 198 คะแนน และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 3 คะแนน (คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายชัย ชิดชอบ และ นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ส.ส. นครราชสีมา พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา) จึงถือได้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่านายอภิสิทธิ์ได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี", "title": "การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย ธันวาคม พ.ศ. 2551" }, { "docid": "232366#5", "text": "ชายที่มีสัญชาติไทย เมื่ออายุย่างเข้า 18 ปี บริบูรณ์ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชี<b data-parsoid='{\"dsr\":[2394,2411,3,3]}'>ทหารกองเกิน</b>ภายในพุทธศักราชนั้น [2] ที่อำเภอท้องที่ที่มีภูมิลำเนาอยู่โดยจะได้รับใบสำคัญ สด. ๙ เมื่อลงบัญชี ณ อำเภอใดแล้ว อำเภอนั้นจะเป็น<i data-parsoid='{\"dsr\":[2588,2605,2,2]}'>ภูมิลำเนาทหาร</i>ของทหารกองเกินผู้นั้น ภูมิลำเนาทหารเป็นภูมิลำเนาเฉพาะไม่เกี่ยวข้องกับทะเบียนบ้านหรือสำมะโนครัว การจะย้ายภูมิลำเนาทหารต้องกระทำที่อำเภอแยกต่างหากจากการย้ายภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร ทหารกองเกินที่ย้ายทะเบียนราษฎร์จะย้ายภูมิลำเนาทหารด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่มีหน้าที่แจ้งต่อนายอำเภอทุกครั้งที่ไปอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลาเกินกว่า 30 วัน[3] หากไม่แจ้งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ", "title": "การเกณฑ์ทหารในประเทศไทย" }, { "docid": "186221#8", "text": "นอกจากนี้ บุคคลยังสามารถกำหนดให้ถิ่นใดเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการ () ของตนก็ได้ เพื่อไว้ใช้ทำการใด ๆ ตามแต่ประสงค์ การดังกล่าวกระทำได้โดยแสดงเจตนาให้ปรากฏชัดแจ้งว่าต้องการให้ถิ่นนั้นเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการ", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "169334#3", "text": "ชีวิตส่วนตัว นายชัย ชิดชอบ สมรสกับนางละออง ชิดชอบ มีบุตรชาย 5 คน หญิง 1 คน บุตรคือนายเนวิน ชิดชอบ เป็นประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายชัยชื่นชอบนักการเมืองชาวอิสราเอลคนหนึ่ง ที่ชื่อ โมเช่ ดายัน ถึงขนาดตั้งฉายาให้ตัวเองว่า \"ชัย โมเช่\"", "title": "ชัย ชิดชอบ" }, { "docid": "186221#9", "text": "ในกรณีที่ภูมิลำเนาของบุคคลไม่ปรากฏ กล่าวคือ บุคคลนั้นไม่เปิดเผยให้ผู้ใดทราบก็ดี หรือไม่มีความแน่ชัดว่าบุคคลนั้นต้องการให้ถิ่นใดเป็นภูมิลำเนาของตนก็ดี หรือประการอื่นก็ดี ให้เอาถิ่นที่บุคคลนั้นพำนักอยู่เป็นหลักแหล่งเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น ซึ่งหากว่าบุคคลนั้นพำนักอยู่เป็นหลักแหล่งในหลายถิ่น จะถือเอาถิ่นใดเป็นภูมิลำเนาก็ได้ (มาตรา 39 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "169334#4", "text": "นายชัย ชิดชอบ เริ่มงานการเมืองจากการเมืองท้องถิ่น เป็นกำนันตำบลอิสาน อำเภอเมืองบุรีรัมย์ และทำธุรกิจโรงโม่หิน ชื่อโรงโม่หินศิลาชัย ที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มงานการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2500 โดยสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ [3] และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดบุรีรัมย์หลายสมัยติดต่อกัน ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2512 (อิสระ) , 2522 (พรรคประชาราษฎร์), 2526 (พรรคกิจสังคม), 2529 (พรรคสหประชาธิปไตย) , 2535/2 2538 (พรรคชาติไทย) , 2539 (พรรคเอกภาพ) ​ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร​แบบบัญชีรายชื่อ พ.ศ. 2548 (พรรคไทยรักไทย) และสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดบุรีรัมย์ พ.ศ. 2549 [4]และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 2[5]", "title": "ชัย ชิดชอบ" }, { "docid": "186221#4", "text": "ถิ่นใดจะเป็นภูมิลำเนาของบุคคลใดนั้น ต้องมีองค์ประกอบสองประการดังต่อไปนี้", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "24308#4", "text": "ชื่อ \"เนวิน\" ตั้งตามชื่อของเนวี่น ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศพม่าในขณะนั้น ซึ่งกำนันชัยประทับใจมาก", "title": "เนวิน ชิดชอบ" }, { "docid": "169334#2", "text": "นายชัย ชิดชอบ ใช้วุฒิการศึกษา ม.6 ถึง พ.ศ. 2539 ต่อมาเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กำหนดให้ ส.ส. ต้องจบปริญญาตรี นายชัย จึงสมัครเรียนต่อ ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาตรี สาขาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง", "title": "ชัย ชิดชอบ" }, { "docid": "296424#32", "text": "\"ตราบใดการชำระหนี้นั้นยังมิได้กระทำลงเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้นลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่\"ป.พ.พ. ม.205\"เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชำระหนี้ ณ สถานที่ใดไซร้ หากจะต้องส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ท่านว่าต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้นั้น ส่วนการชำระหนี้โดยประการอื่น ท่านว่าต้องชำระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้\"ป.พ.พ. ม.324\"ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย\"ป.พ.พ. ม.1336", "title": "ยืมใช้คงรูป" }, { "docid": "209562#4", "text": "ระหว่างการขานชื่อลงคะแนนเมื่อถึงชื่อ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ของดออกเสียงให้เห็นผลว่าต้องวางตัวเป็นกลาง ส่วนนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยก็ลงคะแนนให้นายสมชาย เช่นเดียวกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็งดออกเสียงให้กับตัวเอง สำหรับการประชุมครั้งนี้นายสมัคร สุนทรเวช ไม่ได้เดินทางมาลงคะแนนแต่อย่างใด ซึ่งมี ส.ส.คนหนึ่งแจ้งว่าอยู่ในระหว่างการเดินทางมาสภา", "title": "การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "186221#10", "text": "ในกรณีที่บุคคลมีถิ่นที่อยู่หรือถิ่นอันเป็นหลักแหล่งในการประกอบอาชีพหลายแห่ง และทุกแห่งก็ล้วนสำคัญ ไม่อาจกำหนดได้ว่าถิ่นใดสำคัญกว่าเพื่อน ในกรณีเช่นว่านี้กฎหมายยอมรับให้บุคคลอาจมีภูมิลำเนาหลายแห่งได้ โดยจะถือเอาแห่งใดเป็นภูมิลำเนาของตนก็ได้ (มาตรา 38 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "169334#7", "text": "นายชัย ชิดชอบ ได้กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งเมื่อมีอายุมากแล้ว จึงได้รับการเรียกขานเล่น ๆ จากสื่อมวลชน ว่า \"ปู่ชัย\" หรือ \"ลุงชัย\" และในปลายปี พ.ศ. 2552 ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาว่า \"ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์\" อันเนื่องจากการทำหน้าที่ประธานสภาฯที่มีลูกล่อลูกชนและมีมุกตลกแพรวพราวสร้างความสนุกสนานลดความตึงเครียดในที่ประชุมเสมอ[11]", "title": "ชัย ชิดชอบ" }, { "docid": "349697#8", "text": "วันที่ 18 ตุลาคม 2553 บรรดาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏในสิ่งบันทึกวีดิทัศน์ได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ ศาล ว่า ชัช ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งปลดพสิษฐ์พ้นจากตำแหน่ง และตั้งคณะกรรมการให้สอบสวนผู้เกี่ยวข้องภายในสิบห้าวันแล้ว ในโอกาสนี้ ยังได้ชี้แจงว่า สิ่งบันทึกวีดิทัศน์ตอนที่เกี่ยวกับ พลเอกเปรม ประธานองคมนตรี และชัช ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นั้น ความจริงแล้ว เป็นภาพการที่ พลเอกเปรม มอบรางวัลนักกฎหมายดีเด่นของมูลนิธิสัญญาธรรมศักดิ์ แก่ชัช ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[9] วันเดียวกันนั้น ชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แสดงความคิดเห็นว่า \"เรื่องนี้เป็นการใส่ไคล้กันมากไป เรื่องเหล่านี้วิญญูชนควรพิจารณาให้รอบคอบ นับหนึ่งถึงร้อยก่อนจะเชื่อ...เสียงที่ออกมาก็ไม่เห็นจะมีอะไร เราต้องฟังหูไว้หู...ผมเชื่อมั่นจริยธรรมของตุลาการทั้งเจ็ดคน การจะทำอะไรสองแง่สองมุมคงไม่มี\"[10] ขณะที่พรรคเพื่อไทยปฏิเสธว่า สิ่งบันทึกวีดิทัศน์อันเป็นปัญหานี้ มิใช่ผลงานของพรรคแต่อย่างใด[11]", "title": "กรณีสิ่งบันทึกวีดิทัศน์ศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2553" }, { "docid": "7043#92", "text": "ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาคนที่28 โดยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร​ เนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร​จังหวัดบุรีรัมย์หลายสมัย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย สุรศักดิ์ นาคดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร​จังหวัดบุรีรัมย์ การุณ ใสงาม อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดบุรีรัมย์ โสภณ ซารัมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โสภณ เพชรสว่าง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร​จังหวัดหลายสมัย, อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร​ ทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม อธิวัฒน์ บุญชาติโฆษกพรรคความหวังใหม่ อดีตหัวหน้าพรรคประชาชาติไทย", "title": "จังหวัดบุรีรัมย์" }, { "docid": "169334#6", "text": "ขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส. หนองบัวลำภู พรรคพลังประชาชน ได้เสนอ นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส. สกลนคร พรรคพลังประชาชน เป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แต่นายจุมพฏไม่เห็นชอบด้วย นายพิษณุจึงมีทีท่าจะเสนอคนอื่นแทน นายชัย ชิดชอบ จึงกล่าวขึ้นกลางที่ประชุมว่า \"จะเสนอใครถามเจ้าตัวก่อนดีกว่าว่าเขารับหรือไม่ เจ้าตัวไม่เอายังเสือกเสนออยู่อีก จะเสนอใครก็รีบเสนอ เสียเวล่ำเวลา\" ท่ามกลางความตกตะลึงของ ส.ส. ในที่ประชุม อย่างไรก็ดี ความหงุดหงิดของนายชัยเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มประชุมแล้ว เนื่องจากความไม่พร้อมเพรียงและความวุ่นวายของ ส.ส. ที่เข้าประชุม จนนายชัยต้องกดสัญญาณเรียกถึงหกครั้ง และสั่งให้นับองค์ประชุมอีกหลายครั้ง ทั้งนี้ ในวันต่อมา นายชัยก็ได้กล่าวขอโทษ ส.ส. สำหรับกรณีดังกล่าวอย่างสุภาพด้วยความรู้สึกผิด[7] [8] [9] [10]", "title": "ชัย ชิดชอบ" }, { "docid": "169334#5", "text": "นายชัย ชิดชอบ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 นายชัยได้ทำหน้าที่ประธานโดยได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ ขณะที่นายชัยจะคุกเข่าสดับพระบรมราชโองการฯ ก็เกิดล้มหัวคะมำ และเมื่อคุกเข่ารับฟังเสร็จแล้ว เมื่อจะลุกขึ้นก็ลุกไม่ขึ้น แต่นายชัยก็พยายามจะลุกให้ได้ จึงทำให้ล้มไปข้างหน้า จนนายนิสิต สินธุไพร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ที่มาร่วมในพิธีด้วย รีบเข้าไปพยุงนายชัยให้ยืนขึ้นเป็นปกติ และเดินกลับไปห้องประชุมได้และเรื่องนี้ก็ได้เป็นที่เล่าขานถึงความศักดิ์สิทธ์ของรัฐสภาในการคัดสรรผู้เหมาะสมที่จะบังลังก์[6]", "title": "ชัย ชิดชอบ" } ]
3003
สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "120475#1", "text": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1879 ภายใต้ชื่อเดิม Sunderland & District Teachers Association ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Sunderland Association Football Club และเข้าร่วมฟุตบอลลีกอาชีพในปี 1890 โดยในช่วงแรกระหว่างปี 1886-1898 ซันเดอร์แลนด์ได้ใช้สนาม Newcastle Road ร่วมกับ สโมสรนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญ ต่อมาในปี 1898 ซันเดอร์แลนด์จึงได้ย้ายมาใช้สนามโรเกอร์พาร์ก เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่แทน ผลงานในอดีตที่ผ่านมาซันเดอร์แลนด์เคยเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ 6 ครั้ง ในปี 1892, 1893, 1895, 1902, 1913 และ 1936 และเป็นแชมป์เอฟเอคัพ 2 ครั้ง ในปี 1937 และ 1973 ตามลำดับซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ย่ำแย่ทำให้ตกชั้นลงไปแข่งขันในระดับดิวิชัน 3 ของอังกฤษเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ต่อมาภายใต้การทำทีมของ Dennis Smith ทำให้ซันเดอร์แลนด์มีผลงานที่ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยสามารถคว้าแชมป์ดิวิชัน 3 ได้สำเร็จในฤดูกาลดังกล่าว ซันเดอร์แลนด์ภายใต้การนำของผู้จัดการทีมคนใหม่ \"ปีเตอร์ รีด\" เพียงแค่ฤดูกาลแรกก็สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพาทีมขึ้นสู่ระดับพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของอังกฤษ หลังจากต้องใช้ความพยายามมาอย่างยาวนาน แต่ในฤดูกาล 1996-1997 ซันเดอร์แลนด์กลับทำผลงานได้ไม่ดีนักทำให้จบฤดูกาลที่อันดับ 18 ต้องตกชั้นกลับไปเล่นในระดับดิวิชัน 1 ตามเดิม และในปีเดียวกันนั้น ซันเดอร์แลนด์ได้ย้ายสนามเหย้าจากสนาม Roker Park ที่เคยใช้งานมากว่า 99 ปี มายังสนามแห่งใหม่คือ สนาม Stadium of Light ที่มีความจุมากที่สุดแห่งหนึ่งในรอบ 70 ปีของสนามกีฬาในอังกฤษ ด้วยจำนวนที่นั่งผู้เข้าชม 42,000 คน (โดยต่อมาได้ขยายความจุเป็น 49,000 คน)หลังจากใช้ความพยายามร่วม 2 ปี ซันเดอร์แลนด์ก็กลับมาแข่งขันในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง โดยในฤดูกาล 1998-1999 ซันเดอร์แลนด์สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 105 คะแนน ซึ่งกลายเป็นสถิติคะแนนสูงสุดในขณะนั้นอีกด้วย สำหรับผลงานในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1999-2000 และ 2000-2001 ซันเดอร์แลนด์สามารถทำผลงานได้ดีจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ทั้งสองฤดูกาล แต่ทว่ายังพลาดโอกาสที่จะไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป โดยในฤดูกาล 2001-2002 ซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ไม่ดีนักแต่ก็สามารถหนีรอดการตกชั้นมาได้อย่างเฉียดฉิวด้วยอันดับ 17 แต่ในฤดูกาล 2002-2003 ซันเดอร์แลนด์ก็ยังทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ต่อเนื่อง เมื่อชนะเพียง 4 เกม ยิงได้ 21 ประตู เก็บได้เพียง 19 คะแนน จบด้วยอันดับสุดท้ายของตารางจึงต้องตกชั้นไปในที่สุด โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ซันเดอร์แลนด์ตกอยู่ในภาวะหนี้สินท่วมสโมสรมากกว่า 20 ล้านปอนด์ ทำให้จำเป็นต้องขายนักเตะที่ดีที่สุดไปเพื่อชำระหนี้และพยุงสถานการณ์ของสโมสรให้ดีขึ้น ซันเดอร์แลนด์โดยการทำทีมของ \"มิค แมคคาร์ธธี\" ใช้ความพยายาม 2 ปีจนได้แชมป์ลีก Coca-Cola Championship และได้กับมาเล่นในระดับพรีเมียร์ชิพอีกครั้ง (ครั้งที่ 3 ในรอบ 10 ปี) อย่างไรก็ตาม หลังจากจบฤดูกาล 2005-2006 ซันเดอร์แลนด์สามารถชนะได้เพียง 3 เกม และเก็บได้เพียง 15 คะแนนเท่านั้น จบด้วยอันดับสุดท้ายของตารางตกชั้นไปตามคาด โดยในครั้งนั้นซันเดอร์แลนด์ได้คะแนนน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ของสโมสร ส่งผลให้ มิค แมคคาร์ธธี ต้องออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในช่วงกลางฤดูกาลในที่สุด ความหวังของซันเดอร์แลนด์กลับมาเจิดจ้าอีกครั้ง เมื่อ \"ไนออล ควินน์\" อดีตนักเตะของซันเดอร์แลนด์ ร่วมกับกลุ่ม Irish Drumaville Consortium ได้เข้าซื้อกิจการของซันเดอร์แลนด์โดยทำการซื้อหุ้นจากประธานสโมสรคนก่อน Bob Murray พร้อมกับแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่คือ \"รอย คีน\" อดีตกัปตันทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งเป็นอดีตนักเตะทีมชาติไอร์แลนด์ เช่นเดียวกันกับ ไนออล ควินน์ ซึ่งรับตำแหน่งประธานสโมสรในเวลาต่อมา ซึ่งหลังจากการเข้ามาของประธานสโมสรและผู้จัดการทีมคนใหม่ ซันเดอร์แลนด์สร้างสถิติไม่แพ้ใคร 17 นัดติดต่อกัน ในช่วงต้นปี 2007 เก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ ขยับจากตำแหน่งบ๊วยของตารางขึ้นมาเป็นจ่าฝูง และทำให้ซันเดอร์แลนด์เลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงปีเดียวในฐานะทีมชนะเลิศ พร้อมกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (อันดับ 2) และดาร์บี เคาน์ตี้ (เพลย์ออฟ)ฤดูกาล 2007-2008 และ 2009-2010 ซันเดอร์แลนด์ ทำผลงานได้ไม่ดีนักภายใต้การคุมทีมของ รอย คีน และ ริคกี้ สบราเกีย จนต้องหนีการตกชั้นเกือบทั้งฤดูกาล และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 15 และ 16 ตามลำดับ ทั้งที่มีนักเตะอย่าง ฌิบริล ซิสเซ่ อดีตหัวหอกลิเวอร์พูล, เคนวิน โจนส์ หัวหอกดาวซัลโวสโมสรฤดูกาล 2007-2008 รวมถึง คีแรน ริชาร์ดสัน อดีตนักเตะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วย หลังจาก ริคกี้ สบราเกีย ลาออกจากตำแหน่ง \"สตีฟ บรูซ\" อดีตผู้จัดการทีมวีแกนก็เข้ามารับตำแหน่งแทน และได้ดึงนักเตะอย่าง ดาร์เรน เบนท์ กองหน้าจากสเปอร์ส, เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ หัวหอกดาวรุ่งจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด รวมถึง เปาโล ดาซิลวา ปราการหลังทีมชาติปารากวัย เข้ามาร่วมทีม การเสริมทัพครั้งนั้นนับว่าน่าสนใจและทำให้ซันเดอร์แลนด์ดูมีอนาคตที่ดีขึ้น โดยในช่วงต้นฤดูกาล 2009-2010 นี้เองในเกมส์ที่พบกับลิเวอร์พูลเกิดเหตุการ์ณที่สร้างความฮือฮาไปทั่ววงการเมื่อดาร์เรน เบนท์ กองหน้าซันเดอร์แลนด์ยิงไปโดนลูกบอลชายหาดที่แฟนบอลลิเวอร์พูลขว้างลงมาในสนาม ทำให้บอลเปลี่ยนทางเข้าประตูไปส่งผลให้ซันเดอร์แลนด์ชนะไป 1-0 และยังสามารถเอาชนะอาร์เซนอลด้วยสกอร์ 1-0 ก่อนที่ช่วงท้ายฤดูกาลซันเดอร์แลนด์จะฟอร์มตกจนหมดโอกาสที่จะลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปทั้งที่กองหน้าอย่างดาร์เรน เบนท์ โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมด้วยการยิงไปถึง 24 ประตูซันเดอร์แลนด์มีการเปลี่ยนแปลงทีมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสโมสรได้ตัดสินใจขายลอริค ซานา และเคนวิน โจนส์ และได้ซื้อ อซาโมอาห์ ฌิยาน กองหน้าชาวกาน่าที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจากศึกฟุตบอลโลก 2010 เข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติใหม่ของสโมสรในราคาราว 13 ล้านปอนด์ ครึ่งแรกของฤดูกาลซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ดี โดยอยู่ตำแหน่งที่สามารถลุ้นไปแข่งขันรายการสโมสรยุโรปได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะช่วงเดือนมกราคม ดาร์เรน เบนท์ ได้ยื่นขอขึ้นบัญชีย้ายทีม และได้ย้ายไปร่วมทีมแอสตัน วิลลา ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ โดยทางซันเดอร์แลนด์ได้ซื้อ สเตฟาน เซสเซยง เพลย์เมคเกอร์ ทีมชาติเบนินมาจาก ปารีส แซงแชร์กแมง มาทดแทน และ ยืมตัวซุลลี มุนตารี่ มาจากอินเตอร์มิลาน มาเสริมทีม โดยในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล แม้จะมีปัญหาการขาดหายไปของผู้เล่นชุดใหญ่หลายคนจากอาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะกองหน้า แต่สโมสรก็ยังสามารถจบฤดูกาลในครึ่งบนของตารางพรีเมียร์ลีกได้โดยอยู่ในอันดับที่ 10 ตามเป้าที่วางไว้ฤดูกาล 2011-2012 ซันเดอร์แลนด์มีการปรับทัพนักเตะครั้งใหญ่ โดย สตีฟ บรูซ ได้เสริมทัพนักเตะเพิ่มอีก 10 คน โดยมี GK คีแรน เวสท์วูด, DF เวส บราวน์, จอห์น โอ’เชีย, MF เซบาสเตียน ลาร์สสัน, เจมส์ แมคคลีน, เดวิด วอห์น, เคร็ก การ์ดเนอร์, FW คอนเนอร์ วิคแฮม, จี ดง วอน, นิคลาส เบนท์เนอร์ (ยืมตัวมาจากอาร์เซนอล) แต่ก็ทำผลงานไม่ดีนัก ลงเตะ 13 นัด มีเพียง 11 คะแนน (จากการชนะ 2 นัด และเสมอ 5 นัด) พร้อมกับมีเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากแฟนบอล โดยหลังจากที่สตีฟ บรูซ ทำทีมแพ้ วีแกน (ทีมอันดับ 20 ขณะนั้น) ในบ้านตัวเองด้วยสกอร์ 1-2 ความอดทนก็สิ้นสุดลง สตีฟ บรูซจึงถูกปลดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2011 โดย เอลลิส ชอร์ท ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานสโมสรต่อจาก ไนออล ควินน์ และเจ้าของสโมสร", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" } ]
[ { "docid": "120475#5", "text": "ในช่วงแรกของการก่อตั้งสโมสร (ระหว่างปี 1886-1898) ซันเดอร์แลนด์ได้ใช้สนาม Newcastle Road ร่วมกับ Newcastle Unted ทีมคู่ปรับร่วมเมืองทำให้ทั้งสองสโมสรกลายเป็นทีมคู่แข่งกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากนั้นในปี 1898 ซันเดอร์แลนด์จึงได้ย้ายมาใช้สนาม Roker Park เป็นสนามเหย้าแทน และได้ใช้สนามแห่งนี้เป็นสนามเหย้ามาเป็นเวลาถึง 99 ปี ก่อนที่จะสร้างสนามแห่งใหม่คือสนาม Stadium of Light เพื่อใช้แข่งขันแทนสนามเดิมในปี 1997 และหลังจากนั้นซันเดอร์แลนด์ก็ใช้สนามดังกล่าวเป็นสนามเหย้ามาจนถึงปัจจุบันปี 1996 สโมสรได้ว่าจ้างให้ บริษัท Ballast Wiltsher จำกัด (มหาชน) (บริษัทผู้สร้างสนาม Amsterdam Arena) เป็นผู้สร้างสนามแห่งใหม่ของสโมสรด้วยงบประมาณ 15 ล้านปอนด์ โดยสามารถรองรับผู้เข้าชมได้ถึง 42,000 คน และยังออกแบบให้สามารถเพิ่มขนาดของอัฒจันทร์ให้มีความจุได้สูงถึง 66,000 คนในอนาคต ในระหว่างการก่อสร้างสนามแห่งใหม่นี้สโมสรยังไม่ได้มีการกำหนดชื่อไว้ก่อน แต่ได้มีการเรียกกันในหมู่แฟนบอลว่า Wearmouth หรือ Monkwearmounth Stadium จนในที่สุดประธานสโมสรก็ได้ตัดสินใจเลือกใช้ชื่อ Stadium of Light อันเป็นชื่อที่เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากสนามของ Benfica ในเมือง Lisbon ที่ชื่อ Estadio da Lus (แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Stadium of Light) โดยชื่อนี้มีที่มาจากตะเกียงส่องไฟของคนทำเหมือง ซึ่งสอดคล้องกับที่ตั้งของสนามแห่งนี้ที่ตั้งอยู่บนเหมืองถ่านหินเก่า และแฟนบอลของซันเดอร์แลนด์หลายพันคนก็มีอาชีพทำเหมืองด้วยเช่นกัน จึงเป็นชื่อที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสนาม Stadium of Light ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1997 โดยมีเจ้าชาย Andrew, Duke of York เป็นประธานในพิธี ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการแข่งขันนัดพิเศษระหว่างซันเดอร์แลนด์กับ Ajax Amsterdam (ทีมจากลีกเนอเธอร์แลนด์) เป็นนัดเปิดสนามอีกด้วย หลังจากนั้นสโมสรก็ใช้สนามแห่งนี้เป็นสนามเหย้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "120475#0", "text": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ () ตั้งอยู่ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเป็นทีมฟุตบอลที่แข่งขันในลีกวัน", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "120475#6", "text": "ในฤดูกาลแรกที่เปิดใช้สนาม ขณะนั้นซันเดอร์แลนด์แข่งขันอยู่ในลีกระดับดิวิชัน 1 (ใหม่) มีผู้เข้าชมเกมการแข่งขันในสนามเฉลี่ยนัดละประมาณ 30,000 คน และในเกมสำคัญบางเกมสูงสุดถึง 40,000 คน แต่ในฤดูกาลถัดมา (1998-1999) ซันเดอร์แลนด์สามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมจนสามารถเลื่อนชั้นมาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกได้ จึงทำให้มีผู้เข้าชมเกมการแข่งขันเฉลี่ยสูงถึง 40,000 คน โดยในฤดูกาล 1999-2000 สนามเหย้าของซันเดอร์แลนด์จัดเป็นสนามแข่งขันที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของสโมสรอังกฤษรองจาก Manchester United และ Newcastle Unted เท่านั้น ต่อมาในปี 2000 สโมสรได้ทุ่มงบประมาณอีก 7 ล้านปอนด์เพื่อขยายอัฒจันทร์ด้านทิศเหนือ ทำให้ปัจจุบันสนาม Stadium of Light สามารถจุผู้เข้าชมได้สูงถึง 49,000 คนเลยทีเดียว", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "120475#2", "text": "หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 3 ตุลาคม 2011 ซันเดอร์แลนด์ประกาศแต่งตั้ง \"มาร์ติน โอนีล\" เป็นผู้จัดการทีม และได้เข้าคุมทีมอย่างเป็นทางการนัดแรกในวันที่ 11 ธันวาคม 2554 โดยซันเดอร์แลนด์สามารถคว้าชัยชนะเหนือ แบล็คเบินร์โรเวอร์ ได้ด้วยสกอร์ 2-1 หลังจากนั้นภายใต้การคุมทีมของ มาร์ติน โอนีล ก็ทำให้ซันเดอร์แลนด์มีผลงานที่ดีขึ้นเป็นลำดับและสามารถเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง จนได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม 2012 และเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ หลังจากทำแต้มในลีกห่างจากโซนตกชั้นได้แล้ว ยังทำผลงานได้ดี ในรายการฟุตบอลถ้วยเอฟเอคัพ ซึ่งสามารถผ่านเข้ารอบได้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่จะพ่ายให้กับสโมสรเอฟเวอร์ตัน และผลงานในลีกช่วงปลายฤดูกาลเริ่มแผ่วลง ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 13", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "120475#4", "text": "ฤดูกาล 2016-2017 ซันเดอร์แลนด์ภายใต้การควบคุมสโมสรโดย เดวิด มอยส์ กลายเป็นสโมสรแรกที่ตกชั้นในเล่นในระดับเดอะแชมเปียนชิป ด้วยการอยู่อันดับที่ 20 อันดับสุดท้ายในตารางคะแนน ทั้งที่ยังไม่สิ้นสุดฤดูกาล โดยในนัดที่ 34 แพ้ต่อเบิร์นลีย์ ที่สนามสเตเดียมออฟไลฟ์ของตนเองไป 0-1 มีเพียง 21 คะแนน เท่ากับว่าในนัดที่เหลือไม่สามารถทำคะแนนไล่ตามสโมสรอื่นได้ทันแล้ว", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "120475#9", "text": "ในอดีตที่ผ่านมาซันเดอร์แลนด์เคยมีชื่อเล่นที่เรียกกันหลายชื่อ เช่น Rokerites และ Rokermen เป็นต้น แต่หลังจากที่ซันเดอร์แลนด์ย้ายสนามเหย้าจาก Roker Park มาเป็น Stadium of Light ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา ชื่อเล่นดังกล่าวจึงไม่มีความสัมพันธ์กับสโมสรอีกต่อไป ดังนั้น ซันเดอร์แลนด์จึงเปิดโอกาสให้แฟนบอลของสโมสรมีส่วนร่วมในการตั้งชื่อเล่นใหม่ให้กับสโมสร โดยในครั้งนั้นมีแฟนบอลเข้ามาร่วมตั้งชื่อเล่นให้กับสโมสรอย่างมากมาย ซึ่งสโมสรได้คัดเลือกชื่อที่มีความเหมาะสมและเป็นที่นิยมออกมาจำนวน 5 ชื่อ อันได้แก่ the Black Cats, the Light Brigade, the Miners, the Sols and the Mackems เพื่อให้แฟนบอลได้โหวตลงคะแนนเพื่อเลือกชื่อเล่นให้กับซันเดอร์แลนด์ในรอบสุดท้ายผ่านทางเว็บไซด์ของสโมสร ผลปรากฏว่าชื่อ the Black Cats หรือ แมวดำ ได้รับคะแนนโหวตอย่างท่วมท้นจากแฟนบอล (ราว 11,000 คะแนน) หรือคิดเป็นคะแนนโหวตถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดเลยทีเดียว ดังนั้น The Black Cats หรือ แมวดำ จึงกลายเป็นชื่อเล่นอย่างเป็นทางการของซันเดอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "120475#7", "text": "ปัจจุบันสนาม Stadium of Light ยังเป็นสนามฟุตบอลอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยซันเดอร์แลนด์ (University of Sunderland) ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา นอกจากนี้ สนามแห่งนี้ยังเคยถูกใช้เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลระดับชาติครั้งแรกเมื่อปี 1999 ซึ่งเป็นการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติเบลเยียม และในการแข่งขันฟุตบอล Euro 2004 รอบคัดเลือกระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติตุรกี", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "120475#8", "text": "ในอดีตซันเดอร์แลนด์ใช้ชุดแข่งขันทีมเหย้าเป็นสีน้ำเงินล้วนโดยมีสีแดงเพียงเล็กน้อยบนบ่าเท่านั้น ต่อมาซันเดอร์แลนด์จึงได้เปลี่ยนชุดแข่งขันทีมเหย้ามาเป็นสีแดงสลับขาวตั้งแต่ปี 1887 เป็นต้นมา ทำให้สีแดงสลับขาวกลายเป็นสีประจำสโมสรตั้งแต่นั้นมาจนถึงฤดูกาลปัจจุบัน (ฤดูกาล 2011-2012)", "title": "สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์" }, { "docid": "736631#2", "text": "วัตมอร์ เซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทีมซันเดอร์แลนด์ สโมสรในระดับพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2013 โดยไม่มีการเปิดเผยค่าตัว เขาได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เป็นนัดแรกในเดือนมกราคม 2014 โดยลงมาเป็นตัวสำรองในนัดที่ ซันเดอร์แลนด์ ชนะ คาร์ไลล์ยูไนเต็ด 3–1 ในรายการฟุตบอลถ้วยเอฟเอคัพ รอบที่ 3", "title": "ดังคัน วัตมอร์" } ]
3342
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจออกอากาศทางช่องสถานีใด?
[ { "docid": "407100#2", "text": "นิยายเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ นั้น สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นละครโครงการที่สองต่อจากเรื่อง บ้านไร่ปลายฝัน ในวาระครบรอบ 40 ปีของสถานี นอกจากนั้นยังได้เปิดรับสมัครคัดนางเอกใหม่สำหรับโครงการ The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ โดยเฉพาะด้วย", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" } ]
[ { "docid": "407100#3", "text": "นิยายชุด \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" นั้นเป็นโครงการที่สองต่อจากนวนิยายชุด บ้านไร่ปลายฝัน ของสำนักพิมพ์พิมพ์คำ โดยโครงเรื่องนั้นจะเกี่ยวกับหญิงสาวทั้งห้าคนที่มีความสามารถพิเศษที่สามารถติดต่อกับภูตผีวิญญาณได้หรือที่เรียกว่า \"สัมผัสที่หก\" โดยนิยายนิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ได้ใช้นักเขียนชุดเดียวกับ นักเขียนชุดที่เขียนเรื่อง บ้านไร่ปลายฝัน เพียงแต่เพิ่มคุณ เก้าแต้ม มาในเรื่อง มายาร้อยใจ เท่านั้น", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "539404#2", "text": "นิยายชุด \"สุภาพบุรุษจุฑาเทพ\" นั้นเป็นโครงการของสำนักพิมพ์พิมพ์คำที่ต่อจากนวนิยายชุดบ้านไร่ปลายฝัน และ The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ โดยใช้นักเขียนชุดเดียวกับนวนิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ โดยพล็อตเรื่องจะเกี่ยวกับพี่น้อง 5 คนของตระกูล \"จุฑาเทพ\" ซึ่งอยู่ในความดูแลของผู้เป็นย่า และต้องฝ่าฟันอุปสรรคจนได้พบรักที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นสุภาพบุรุษจุฑาเทพ จึงเป็นนิยายภาคต่อเช่นเดียวกับนิยายทั้งสองเรื่องที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่จะแตกต่างกันที่ว่านิยายชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพนั้นเป็นนิยายพีเรียด แต่บ้านไร่ปลายฝัน และ The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เป็นนิยายที่อยู่ในยุคปัจจุบัน", "title": "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ (นิยาย)" }, { "docid": "407100#7", "text": "กรรณา ผู้สามารถได้ยินเสียงวิญญาณ ได้รับการว่าจ้างจากด็อกเตอร์แผนยุทธจอมเจ้าชู้ซึ่งถูกผีขี้หึงหลอกหลอน เสียงกรีดร้องด่าทอที่ได้ยินนั้น หญิงสาวเชื่อว่าเป็นของพิมอร ภรรยาที่ตายไปของผู้จ้าง ระหว่างนี้หญิงสาวได้เจอกับพงอินทร์ น้องชายของพิมอรที่สงสัยว่าเธอเป็นผู้หญิงคนใหม่ของพี่เขยและแม่บ้านซึ่งมีพฤติกรรมน่าสงสัย ทว่ายิ่งเข้าใกล้ความจริงมากเท่าไร ปมปริศนาก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นทุกที", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "481544#0", "text": "กับดักรักลวง เป็นหนังสือนิยายเล่มที่สองในซีรีส์ชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ประพันธ์โดย ร่มแก้ว พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 โดยสำนักพิมพ์พิมพ์คำ ต่อมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 พ.ศ. 2555 ในชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ", "title": "กับดักรักลวง" }, { "docid": "407100#14", "text": "นิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์โดยบริษัทชลลัมพี ออกอากาศทาง ช่อง 3 โดยรวมเป็นเรื่องเดียวแต่แบ่งเป็น 2 ซีซั่น (ซีซั่นแรก - ญาณสื่อรัก / เล่ห์บ่วงมนตรา / เปลวไฟในสายลม และซีซั่นสอง - กับดักรักลวง / มายาร้อยใจ) ออกอากาศทุกคืนวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 20:15 นาฬิกา เริ่มตอนแรกของภาคแรกวันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2555 - วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2555 และเริ่มตอนแรกของซีซั่น 2 วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2556 - วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556 และ ซีซั่น 1 เริ่มรีรันวันพุธที่ 21 พฤษภาคม 2557 - วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม 2557 ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14:10 นาฬิกา", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "407100#1", "text": "นิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เป็นนิยายที่กล่าวถึงผู้หญิง 5 คนที่มีความสามารถพิเศษที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งก็คือสัมผัสที่หก โดยทั้ง 5 คนนั้นจะมีความสามารถต่างกันไปแล้วร่วมกันเปิดบริษัทที่ชื่อ \"The Sixth Sense\" ขึ้นมา โดยจุดประสงค์หลักของพวกเธอก็คือปลดปล่อยเหล่าวิญญาณที่มีห่วงให้ไปสู่สุขติ [1]", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "407100#5", "text": "นิยายเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ นั้นมีผู้ประพันธ์ทั้งหมดห้าคนคือ ณารา เขียนเรื่อง ญาณสื่อรัก ร่มแก้ว เขียนเรื่อง กับดักรักลวง ซ่อนกลิ่น เขียนเรื่อง เล่ห์บ่วงมนตรา เก้าแต้ม เขียนเรื่อง มายาร้อยใจ และแพรณัฐเขียนเรื่อง เปลวไฟในสายลม", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "482026#0", "text": "แคทเธอรีน ณิชารัตน์ มอร์สัน หรือ ตฤณญา มอร์สัน ชื่อเล่น แคท (เกิด 30 มีนาคม พ.ศ. 2545) เป็นนักแสดงลูกครึ่งไทย-อังกฤษ มีชื่อเสียงจากละครเรื่อง \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" ", "title": "ตฤณญา มอร์สัน" }, { "docid": "224528#5", "text": "เข้าชิงรางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 10 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เข้าชิงรางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 12 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง รอยฝันตะวันเดือด รางวัลนาฏราช ครั้งที่ 7 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง ตามรักคืนใจ เข้าชิงรางวัลไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ด 2017 สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง ตามรักคืนใจ รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 14 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง ตามรักคืนใจ รางวัลนาฏราช ครั้งที่ 8 สาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง นาคี", "title": "ธนากร โปษยานนท์" }, { "docid": "407100#4", "text": "ในตอนแรกนั้นทางสำนักพิมพ์พิมพ์คำได้เสนอในการประชุมว่าการเขียนนิยายในชุดต่อไปจะใช้วรรณคดีเป็นหัวข้อหลักในการแต่ง แต่เนื่องจากขาดองค์ประกอบข้อมูล และองค์ประกอบหลายๆอย่างจึงทำให้หัวข้อนี้ตกไป จากนั้นคุณณาราได้เสนอให้นำเรื่องที่เกี่ยวกับสัมผัสพิเศษมาเป็นหัวข้อในการแต่งนิยายในชุดนี้ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย จึงทำให้เกิดโปรเจกต์นิยายชุด \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" ขึ้นมา [2] โดยในแต่ละเรื่องนั้นทางกองบรรณาธิการนั้นได้มีการพานักเขียนลงไปชมสถานที่จริงเพื่อความสมบูรณ์ของเนื่อหา และความสมจริงของเนื่อเรื่อง", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "592738#0", "text": "ฐกฤต เหมอรรณพจิต หรือ ฐกฤต ตวันพงค์ เป็นนักแสดงชาวไทย เมื่อเรียนจบ ปวช. จึงเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ หลังเลิกเรียนทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านราเม็ง เข้าสู่วงการบันเทิงโดยจากการชักชวนของ อุ๊บ วิริยะ มีผลงานครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง \"รักสุดท้ายป้ายหน้า\" และมีผลงานสร้างชื่อเสียงจากละครเรื่อง \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" และได้เซ็นสัญญาเป็นดาราในสังกัดสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3", "title": "ฐกฤต ตวันพงค์" }, { "docid": "481536#3", "text": "[[หมวดหมู่:วรรณกรรมในปี พ.ศ. 2553]]\n[[หมวดหมู่:นวนิยายไทย]]\n[[หมวดหมู่:The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ]]\n[[หมวดหมู่:นวนิยายไทยที่ประพันธ์โดย ณารา]]", "title": "ญาณสื่อรัก" }, { "docid": "407100#0", "text": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เป็นชุดนวนิยายแนว วีรคติ-ตลก-จินตนิมิต ซึ่งประพันธ์โดย ณารา ร่มแก้ว ซ่อนกลิ่น เก้าแต้ม และ แพรณัฐ ซึ่งเป็นเป็นผู้ประพันธ์ชุดเดียวกับที่ประพันธ์นิยายชุด บ้านไร่ปลายฝัน เพียงแต่เพิ่ม เก้าแต้ม มาซึ่งประพันธ์ในเรื่อง มายาร้อยใจ และนอกจากนั้นยังเป็นนักเขียนชุดเดียวกับที่ประพันธ์นิยายชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพ อีกด้วย โดยนิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ประกอบด้วยหนังสือทั้งหมด 5 เล่มคือ ญาณสื่อรัก กับดักรักลวง เล่ห์บ่วงมนตรา มายาร้อยใจ และ เปลวไฟในสายลม ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2553 โดยสำนักพิมพ์พิมพ์คำ", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "106557#1", "text": "รัชพล แย้มแสง เกิดวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ที่กรุงเทพจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และจบศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขา ซอฟต์แวร์ และ ความรู้ ได้รับรางวัล รองชนะเลิศอันดับ 3 ของรายการทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ฤดูกาลที่ 4 ได้ร้องเพลง \"เนื้อคู่\" จากอัลบั้ม \"X-treme Army\" และออกผลงานในฐานะคู่ดูโอกับวิวิศน์ บวรกีรติขจร ในนาม มังกี้ร็อก ออกอัลบั้มชื่อชุด \"มังกี้ร็อก\" เมื่อปี 2552 มีผลงานแสดงละครเรื่อง \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" และ \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ภาค 2\" รับบทเป็นก้องฟ้า (ก๊อง) มีผลงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง \"รักจัดหนัก\" ตอน เป็นแม่เป็นเมีย กำกับโดยอนุชิต มวลพรม แสดงร่วมกับวรรณิศร เลาหมนตรี หลังจากนั้นจึงได้หันมาทำงานธนาคารและธุรกิจส่วนตัว\nหลักจากเข้าแข่งขันรายการแล้วมีผลงานดังต่อไปนี้", "title": "รัชพล แย้มแสง" }, { "docid": "486345#0", "text": "เล่ห์บ่วงมนตรา เป็นนวนิยายเล่มที่สามในชุดThe Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ต่อจาก ญาณสื่อรัก และ กับดักรักลวง ประพันธ์โดย ซ่อนกลิ่น โดยนวนิยายเรื่องเล่ห์บ่วงมนตรานั้นถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 และในปี พ.ศ. 2555 นั้นทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยบริษัท ชลลัมพี โปรดักชั่น ได้นำนวนิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ไปทำเป็นละครโทรทัศน์ และได้ออกอากาศฉายไปเมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา", "title": "เล่ห์บ่วงมนตรา" }, { "docid": "486379#0", "text": "เปลวไฟในสายลม เป็นนวนิยายเล่มสุดท้ายในจำนวนทั้งหมดห้าเล่มของนวนิยายชุดThe Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ โดยเนื่อเรื่องจะเกี่ยวข้องกับคนที่สามารถมองเห็นดวงวิญญาณได้ โดยเปลวไฟในสายลมนั้นถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2553 โดยสำนักพิมพ์พิมพ์คำ และได้ถูกทำเป็นละครโทรทัศน์ในปีพ.ศ. 2555 โดยบริษัท ชลลัมพี โปรดักชั่น ซึ่งเป็นบริษัทที่รับจัดทำละครของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และเริ่มออกอากาศตอนแรกในต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2555", "title": "เปลวไฟในสายลม" }, { "docid": "407100#16", "text": "พลังที่ซ่อนอยู่ - กมลเนตร เรืองศรี , ตฤณญา มอร์สัน, กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์ , วรินทร ปัญหกาญจน์ ฉันรู้ว่ายังมีเธอ - จิตตาภา แจ่มปฐม, ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด, กมลเนตร เรืองศรี, ตฤณญา มอร์สัน, กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์ ฝันนำทาง - จิตตาภา แจ่มปฐม, ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด, กมลเนตร เรืองศรี, ตฤณญา มอร์สัน, กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์ หวั่นไหว - จิตตาภา แจ่มปฐม รักแท้ไม่มีจริง - รฐา โพธิ์งาม", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "407713#3", "text": "นิยายชุด \"สุภาพบุรุษจุฑาเทพ\" นั้นเป็นโครงการของสำนักพิมพ์พิมพ์คำที่ต่อจากนวนิยายชุดบ้านไร่ปลายฝัน และ The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ โดยใช้นักเขียนชุดเดียวกับนวนิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ โดยพล็อตเรื่องจะเกี่ยวกับพี่น้อง 5 คนของตระกูล \"จุฑาเทพ\" ซึ่งอยู่ในความดูแลของผู้เป็นย่า และต้องฝ่าฟันอุปสรรคจนได้พบรักที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นสุภาพบุรุษจุฑาเทพ จึงเป็นนิยายภาคต่อเช่นเดียวกับนิยายทั้งสองเรื่องที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่จะแตกต่างกันที่ว่านิยายชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพนั้นเป็นนิยายพีเรียด แต่บ้านไร่ปลายฝัน และ The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เป็นนิยายที่อยู่ในยุคปัจจุบัน", "title": "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ" }, { "docid": "407100#8", "text": "สุคนธรส ผู้สามารถได้กลิ่นวิญญาณและสืบทอดวิชาไสยขาวมาจากหลวงปู่ของเธอ ตัดสินใจที่จะช่วยเสี่ยใหญ่เจ้าของตลาดสดหญิง-จำเริญที่กำลังถูกวิญญาณมุ่งร้าย ทว่ากลับเจอปัญหาเข้าเสียเองเมื่อคุณหญิงจะจับเธอแต่งงานกับบุตรชายเพราะเข้าใจผิดคิดว่าไตรรัตน์ทำมิดีมิร้ายจนเธอพลาดท่าเสียที หญิงสาวจะทำอย่างไรเมื่อต้องงัดวิชาคุณไสยที่เล่าเรียนออกมาใช้เพื่อช่วยเหลือชายหนุ่มที่มองว่าเธอมีพฤติกรรมไม่ต่างจากพวกสิบแปดมงกุฎและเธอต้องเจอกับผีเด็กอีกตัวที่บ้านไตรรัตน์ ซึ่งเป็นน้องสาวของไตรรัตน์ที่ชื่อว่า โบตั๋น", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "449550#0", "text": "แพทย์หญิง คัคณางค์ มิ่งมิตรพัฒนะกุล เป็นสูตินรีแพทย์ และ นักเขียนนวนิยาย เจ้าของนามปากกา เก้าแต้ม ผลงานการที่สร้างชื่อเสียงคือนวนิยายชุด \"THE SIXTH SENSE สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" และ \"คุณชายพุฒิภัทร\" จากนวนิยายชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ", "title": "คัคณางค์ มิ่งมิตรพัฒนะกุล" }, { "docid": "407100#9", "text": "กรรัมภา ผู้สามารถใช้มือสัมผัสเพื่ออ่านความทรงจำจากวัตถุ ได้รับหน้าที่ช่วยเหลือปาร์คจุนจี ดาราลูกครึ่งไทย-เกาหลีที่เธอคลั่งไคล้ เขาถูกวิญญาณรังควานหลังจากพิมพ์พิลาศผู้เป็นย่าเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ จากความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาแต่เกิดทำให้หญิงสาวสืบจนเข้าใกล้ความจริงและพบว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ในสายตาของปาร์คจุนจี กรรัมภาเป็นแค่แฟนคลับโรคจิตและคุณหนูแบรนด์เนมแต่งตัวเว่อร์ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกัน เจ้าชายแห่งโลกมายากลับมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "407100#10", "text": "เนตรสิตางศุ์ ผู้สามารถมองเห็นวิญญาณ ต้องรับหน้าที่ดูแลเคสใบหม่อน นักแสดงสาวที่ถูกฆาตกรรม ที่น่าหนักใจยิ่งกว่าคือข้อร้องขอของวิญญาณที่ต้องการหาตัวฆาตกรมาลงโทษ ยายน้องหนูผู้นุ่มนิ่มที่สุดในกลุ่มจึงต้องข้องเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แถมยังไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่บังเอิญมีคุณหมอวรวรรธ คุณหมอนิติเวชหัวใจร็อกผู้มีวิญญาณตามเป็นพรวนมาคอยป้วนเปี้ยนให้หัวใจกระตุก สงสัยเคสนี้จะบานปลายเสียแล้วเพราะจำนวนผู้เข้าข่ายต้องสงสัยเพิ่มขึ้นทุกที่ ่", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "481536#0", "text": "ญาณสื่อรัก เป็นหนังสือนิยายเล่มแรกในซีรีส์ชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ประพันธ์โดย ณารา พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 โดยสำนักพิมพ์พิมพ์คำ ต่อมาได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 พ.ศ. 2555 ในชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ", "title": "ญาณสื่อรัก" }, { "docid": "449756#3", "text": "เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงจากการถ่ายแบบ โฆษณา และ มิวสิควีดีโอ ต่อมาเธอก็ได้รับการสนับสนุนจากโมเดลลิ่งให้เป็นนักแสดง จากนั้นทางโมเดลลิ่งให้มาแคสติ้งกับทางช่อง 3 ณิชารีย์มีผลงานละครเรื่องแรกจากค่ายเวฟทีวี ของปิยวดี มาลีนนท์ เป็นนักแสดงตัวประกอบในละครเรื่อง \"แววมยุรา\" จากนั้นเธอมีผลงานสร้างชื่อเสียงจากละครเรื่อง \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" ในปี 2558 เธอรับบทเป็น แฟง ในละครเรื่อง \"บางระจัน\" คู่กับ พงศกร เมตตาริกานนท์\nธุรกิจส่วนตัวของณิชารีย์ มีดังนี้", "title": "ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด" }, { "docid": "486371#0", "text": "มายาร้อยใจ เป็นนวนิยายเล่มที่สี่ของนวนิยายชุดThe Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ประพันธ์โดย เก้าแต้ม นวนิยายเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 และในปี พ.ศ. 2555 ทางบริษัท ชลลัมพี โปรดักชั่น ซึ่งเป็นผู้จัดละครของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ทำการนำนวนิยายชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ มาจัดทำเป็นละคร และได้ออกอากาศเมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา", "title": "มายาร้อยใจ" }, { "docid": "449756#0", "text": "ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด ชื่อเล่น วาววา เป็นนักแสดงและนางแบบชาวไทยเชื้อสายจีน มีผลงานที่เป็นที่รู้จักจากละครเรื่อง \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" และ \"บางระจัน\"", "title": "ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด" }, { "docid": "482064#0", "text": "กฤษณ์สิรี ศุขสวัสดิ์ (ชื่อเล่น: คริสซี่; เกิด: 3 กันยายน พ.ศ. 2539) เป็นนักแสดงและนางแบบชาวไทย ที่มีชื่อเสียงจากผลงานการแสดงละครเรื่องแรกคือ \"The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ\" โดยรับบทเป็นเนตรสิตางศุ์", "title": "กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์" }, { "docid": "407100#18", "text": "หมวดหมู่:นวนิยายไทย หมวดหมู่:วรรณกรรมในปี พ.ศ. 2553", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" }, { "docid": "407100#6", "text": "ญาณิน ผู้มีญาณวิเศษสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ขณะอยู่ในสมาธิ จำต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือติณห์ หนุ่มฝรั่งที่ไม่เชื่อเรื่องผีเลยสักนิด เพราะเห็นวิญญาณผีตายโหงมากมายอยู่ในที่ดินที่เขาจะสร้างรีสอร์ทริมแม่น้ำ ที่สำคัญวิญญาณคุณหลวงพิชัยภักดีตาของชายหนุ่มปรากฏกายให้เธอเห็นและจ้างเธอด้วยทองคำจำนวนสิบแท่งเพื่ออยู่ช่วยหลานชายสร้างรีสอร์ทจนแล้วเสร็จ ทว่าที่ดินผืนงามนี้ไม่เข้าใครออกใคร มีคนวางแผนชั่วเพื่อฮุบที่ดินชายหนุ่ม งานนี้เขาและเธอจึงต้องฝ่าด่านสารพัดทั้งผีและคน", "title": "The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ" } ]
2229
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งเมื่อไหร่?
[ { "docid": "5519#22", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเริ่มมีการให้บริการทางวิชาการขึ้นในมหาวิทยาลัยแก่บุคลากร นิสิตและประชาชนทั่วไปตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นใน พ.ศ. 2453 และมีพัฒนาการด้านการบริการไปพร้อมกับการวิวัฒน์ขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน\nเพื่อเป็นการรองรับกิจการที่กว้างขวางขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ใน พ.ศ. 2458 ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดกลางและขยายการบริการทางวิชาการให้กว้างขวางขึ้น โดยตั้งอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จนกระทั่ง วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมา มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยการรวมหน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน คือ หอสมุดกลาง ศูนย์เอกสารประเทศไทย และศูนย์โสตทัศนศึกษากลาง เมื่อสถาบันวิทยบริการมีการขยายงานบริการที่หลากหลายขึ้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานวิทยทรัพยากรพร้อมทั้งปรับการบริหารภายในองค์กร สำนักงานวิทยทรัพยากรตั้งอยู่ที่อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ บนพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32975#0", "text": "คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย () ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2460 โดยเป็นหนึ่งในสี่คณะที่กำเนิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อแรกเริ่มมีชื่อว่า \"คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์\" ทำหน้าที่สอนวิชาพื้นฐานด้านมนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ให้แก่คณะอื่น ๆ ต่อมาได้รับภาระผลิตครูมัธยมสายอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในหลักสูตรประโยคครูมัธยม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2477 คณะอักษรศาสตร์จึงเริ่มเปิดหลักสูตรอักษรศาสตรบัณฑิต ในปัจจุบันคณะอักษรศาสตร์เปิดสอนหลักสูตรทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก", "title": "คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#0", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก \"โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน\" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ \"พระเกี้ยว\" มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน การดำเนินงานของโรงเรียนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 (นับแบบเก่า) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประดิษฐานขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า \"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 ถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดีมาแล้ว 17 คน อธิการบดีคนปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#9", "text": "ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่ผู้ใดที่มีความประสงค์จะศึกษาขั้นสูงก็สามารถเข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้สังกัดอยู่ในกระทรวงธรรมการ ซึ่งเป็นไปตามพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่ผู้มาร่วมงานพระราชพิธีวางศิลาพระฤกษ์ตึกบัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบัน) เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2458 เวลา 16 นาฬิกา 7 นาที ดังนี้", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" } ]
[ { "docid": "5519#85", "text": "สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นองค์การนักศึกษาที่อยู่ภายใต้สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สจม.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 โดยมีหน้าที่ควบคุมดูแลองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และส่งเสริม คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#81", "text": "หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นพร้อมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2459 แต่เดิมหอพักตั้งอยู่ในบริเวณวังวินด์เซอร์ ปัจจุบันพื้นที่นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่ตั้งของกรีฑาสถานแห่งชาติ หอพักนิสิตฯ มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับจนกระทั่งย้ายมาอยู่ในที่ตั้งปัจจุบัน ถือเป็นหอพักภายในมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีหอพักพวงชมพู หรือเรียกว่า หอ U-center ตั้งอยู่บริเวณหลังตลาดสามย่านแห่งเดิมซึ่งตั้งอยู่บริเวณมุมแยกสามย่าน ด้านข้างคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2546", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "48198#3", "text": "โรงเรียนมัธยมหอวังแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 ภายหลังการก่อตั้ง \"แผนกฝึกหัดครูของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\" (ปัจจุบัน คือ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2472 เพื่อให้นิสิตแผนกฝึกหัดครู ใช้ฝึกความชำนาญในการสอน และได้ใช้อาคารวังวินด์เซอร์ เป็นอาคารเรียน เรียกว่า ตึกหอวัง", "title": "โรงเรียนหอวัง" }, { "docid": "32953#17", "text": "ห้องสมุดรูฟุส ดี.สมิธ. เดิมชื่อห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2491 ตั้งอยู่ที่อาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์ (ตึก 1) ในระยะเริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2494 ศาสตราจารย์รูฟุส แดเนียล สมิธ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับทุนฟูลไบรท์ให้มาสอนวิชาการปกครองเปรียบเทียบที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ช่วยเหลือกิจการห้องสมุดโดยติดต่อขอบริจาคหนังสือ และวารสารทางด้านสังคมศาสตร์จากองค์การมูลนิธิและมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา นับเป็นการวางรากฐานกิจการห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ ทำให้เป็นห้องสมุดแห่งแรกในประเทศไทยที่เป็นแหล่งค้นคว้าสำคัญทางด้านสังคมศาสตร์ ต่อมาห้องสมุดได้ย้ายไปตั้งที่อาคารเกษมอุทยานิน (ตึก 3) และในปีพ.ศ. 2518 ได้ย้ายมาตั้งที่อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ ชั้น 1 จนถึงปัจจุบัน", "title": "คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "32969#5", "text": "คณะสัตวแพทยศาสตร์ได้เริ่มก่อตั้งในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2478 พัฒนาการของห้องสมุดและศูนย์เอกสารการสัตว์จึงค่อยๆ เริ่มขึ้นตามความจำเป็นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน พร้อมการจัดตั้งคณะ\nห้องสมุดและศูนย์เอกสารการสัตว์ ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารคณะทุกสมัย จึงพัฒนาและขยายพื้นที่กว้างขวางขึ้นตามลำดับเพื่อให้เหมาะสมกับทรัพยากรต่างๆ ของห้องสมุดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นทุกปี\nห้องสมุดและศูนย์เอกสารการสัตว์ เป็นห้องสมุดอ้างอิงเฉพาะทางการสัตว์ ที่ได้เก็บรวบรวมหนังสือวารสารและเอกสารสิ่งพิมพ์ตลอดจนฐานข้อมูล ทั้งของไทย และต่างประเทศด้านการสัตว์ไว้มากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะ Collection พิเศษที่ห้องสมุดพยายามเก็บรวบรวม เช่นเอกสารรายงานการประชุมวิชาการด้านการสัตว์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ งานวิจัยด้านปศุสัตว์ในประเทศไทย เป็นต้น", "title": "คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#25", "text": "ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 สถาบันวิทยบริการ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทย ที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและองค์ความรู้ทุก ๆ แขนงแก่บุคลากร นิสิต และประชาชนทั่วไปที่สนใจอีกทั้งเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญของการศึกษาวิจัยในองค์กร ด้วยการเข้าถึงของอินเทอร์เน็ต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงสามารถขยายบริหารทางวิชาออกไปได้อย่างกว้างขวาง อาทิ", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#75", "text": "ศาลาพระเกี้ยว เริ่มการก่อสร้างใน พ.ศ. 2508 แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2509 ในสมัย จอมพล ประภาส จารุเสถียร ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ออกแบบให้มีโครงสร้างคล้ายพระเกี้ยวเพื่อควบคุมคุณภาพเสียงอีกทั้งยังสื่อถึงสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมของนิสิตเช่น การลงทะเบียนแรกเข้าของนิสิตชั้นปีที่ 1 งานจุฬาฯ วิชาการ แต่ในระหว่างการก่อสร้างได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในส่วนชั้นใต้ดินให้เป็นที่ทำการต่าง ๆ เช่น ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาศาลาพระเกี้ยว, ร้านสหกรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในระยะแรกนั้นมีแผนที่จะทำเป็นสถานที่จอดรถ ใน พ.ศ. 2559 ศาลาพระเกี้ยวได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสถาบันและอาคารสาธารณะ", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "5519#7", "text": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือกำเนิดจาก “โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 (นับวันขึ้นปีใหม่แบบไทยคือ พ.ศ. 2441) ณ ตึกยาว ข้างประตูพิมานชัยศรี ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยมีพระราชปรารภที่จะทรงจัดการปกครองพระราชอาณาจักรให้ทันกาลสมัย จึงจัดตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกหัดนักเรียนสำหรับรับราชการปกครองขึ้นในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้ จะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการใกล้ชิดพระองค์ และด้วยประเพณีโบราณที่ข้าราชการจะถวายตัวเข้าศึกษางานในกรมมหาดเล็ก ก่อนที่จะออกไปรับตำแหน่งในกรมอื่น ๆ ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามโรงเรียนเป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก” เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 เพื่อเป็นรากฐานของสถาบันการศึกษาขั้นสูงต่อไปในอนาคต ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานแก่พระราชวงศ์ และข้าราชการซึ่งเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานของโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง ความตอนหนึ่งดังนี้", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" } ]
972
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป เมษายน พ.ศ. 2549 โดยมีสาเหตุเนื่องมาจากอะไร?
[ { "docid": "27972#0", "text": "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จัดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 โดยมีสาเหตุเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549", "title": "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป เมษายน พ.ศ. 2549" }, { "docid": "27972#9", "text": "จากกรณีที่นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กกต.ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ได้นำมาซึ่งคำพิพากษาให้ กกต.ต้องโทษจำคุก และออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม จนมีการสรรหา กกต.ใหม่ และกำหนดการเลือกตั้งใหม่ ตามพระราชกฤษฎีกาฯ ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549\nแต่ก่อนจะถึงการเลือกตั้งใหม่ ก็เกิดการก่อรัฐประหาร ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลภายใต้การรักษาการนายกรัฐมนตรี ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และภายหลังการรัฐประหารนั้น คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้มีคำสั่งแถลงการณ์ฉบับที่ 3 จึงทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ถูกยกเลิก", "title": "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป เมษายน พ.ศ. 2549" } ]
[ { "docid": "27972#6", "text": "การเลือกตั้งในครั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัย ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 198 กรณีการดำเนินการของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เกี่ยวกับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ เพิกถอนการเลือกตั้ง เพื่อจะได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดย ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดการพิจารณาวินิจฉัย ในวันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549", "title": "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป เมษายน พ.ศ. 2549" } ]
1226
ใครคือผู้กำกับ ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ?
[ { "docid": "589153#1", "text": "ภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านช่วงการเรียบเรียงร่างบทภาพยนตร์มาหลายปีก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้เดินหน้าต่อใน พ.ศ. 2554 โดยมีเจนนิเฟอร์ ลี เป็นผู้เขียนบท และลีกับคริส บัก เป็นผู้กำกับ นอกจากนี้ยังได้ คริสเตน เบลล์, ไอดินา แมนเซล, โจนาธาน กรอฟฟ์, จอร์ช แกด และซานติโน่ ฟอนทาน่า มาเป็นผู้พากย์เสียงตัวละคร คริสโตฟ เบค ผู้ร่วมงานกับดิสนีย์ในภาพยนตร์สั้น Paperman เป็นผู้เรียบเรียงทำนองออร์เคสตรา และโรเบิร์ต โลเปซ กับคริสเตน แอนเดอร์สัน-โลเปซ คู่สามีภรรยานักแต่งเพลงเป็นผู้แต่งเพลงประกอบเรื่อง", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" } ]
[ { "docid": "248270#23", "text": "\"ฉันรักเธอมากเท่าไหน เปเรส สวรรค์วัยเด็กของฉันที่จะหายไป!คุณจะรู้ไหมเกี่ยวกับแสงและเงา,เสียงและกลิ่นไอ เป็นที่แห่งความเหงา! เมื่อเราหายใจในปัจจุบันจะทำให้เราคิดกลับสู่อดีต ที่ซึ่งเป็นที่พักในความฝันและมายา สงสัยดังเช่นบทกวี <หิมะอยู่ที่ไหนในปีกลาย?>\"- ที่มาจากไดอารี่ของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ระหว่างทรงลี้ภัยในฝรั่งเศส \"พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วยการตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เองและไม่แสวงหาผลประโยชน์ พระราชินีมารีได้ขึ้นเป็นพระราชินีด้วยความรัก ความทุ่มเทในโรมาเนีย และทรงมีความเฉลียวฉลาด แต่ก็ไม่มีใครสามารถเป็นครูที่ดีแก่ลูกๆได้ ... เกี่ยวกับคาโรล ทายาทที่ไม่มีใครอยากพูดถึง! ลูกคนที่สอง เอลิซาเบธ ไม่สามารถทำหน้าที่พระราชินีแห่งกรีซรวมทั้งเจ้าหญิงแห่งโรมาเนียได้เต็มที่ เธอมักจบวันนั้นในโรงแรมซึ่งทรงเป็นนักผจญภัยที่เดินทางไปทุกที่ มิกนอล ลูกสาวอีกคนกลับได้รับการยอมรับในฐานะพระราชินีแห่งเซอร์เบีย เพราะมือเหล็กของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แห่งเซอร์เบียและสิ่งแวดล้อมที่เคร่งครัดในเซอร์เบีย แต่มิกนอลได้ลืมเลือนว่าตนเป็นชาวโรมาเนีย มีเพียง 2 คนก่อนเมอร์เชียเท่านั้นคือ นิโคลัสและอีเลียนานับเป็นชาวโรมาเนียที่แท้จริง..\"-ที่มาจากเลขาส่วนตัวของเจ้าชายนิโคลัส", "title": "เอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ" }, { "docid": "589153#10", "text": "ฮานส์ขังอันนาทิ้งไว้ในห้องให้เธอทนกับความหนาวเย็นจนกว่าจะตาย และหลอกให้เหล่าขุนนางเชื่อว่าเขาได้ให้ปฏิญาณแต่งงานกับอันนาก่อนเธอตาย ทำให้เขาเป็นผู้มีอำนาจอย่างสมบูรณ์ และประกาศให้เอลซ่าเป็นกบฏและสั่งประหารชีวิต แต่เอลซ่านั้นใช้พลังของเธอช่วยหนีออกไปจากที่คุมขังได้เสียก่อน ทว่าความหวาดกลัวของเธอทำให้เกิดพายุหิมะอย่างรุนแรงรอบเอเรนเดลล์ คริสตอฟฟ์และสเวนมุ่งหน้าฝ่าพายุหิมะเพื่อพยายามกลับเข้าไปในวัง ในขณะที่โอลาฟเข้ามาช่วยอันนาเอาไว้ได้และพาเธอหนีออกจากวังเพื่อไปหาคริสตอฟฟ์ ฮานส์ตามหาเอลซ่าในพายุหิมะจนเจอ และหลอกเธอว่าอันนาตายแล้ว เธอล้มลง ด้วยความเสียใจพายุหิมะหยุดนิ่ง อันนาซึ่งกำลังเดินไปหาคริสตอฟฟ์ เห็นฮานส์ที่กำลังคว้าดาบขึ้นมาเพื่อเตรียมสังหารเอลซ่าอยู่ใกล้ๆ จึงได้วิ่งเอาตัวของเธอเข้าไปขวาง ก่อนที่ร่างของเธอจะกลายเป็นน้ำแข็งในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ดาบของฮานส์ระเบิดออกและกระแทกเขาจนหมดสติ เอลซ่าหันมาเห็นร่างของอันนาและกอดเธอไว้อย่างเสียใจ ทว่าการกระทำของเอลซ่านั้นเป็นการกระทำแห่งรักแท้ ร่างน้ำแข็งของเธอค่อยๆละลายและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เอลซ่าจึงเข้าใจแล้วว่า ความรักนี่เองที่ทำให้เธอควบคุมพลังของเธอได้ ก่อนที่เธอจะใช้พลังของเธอค่อยๆละลายหิมะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาจักร", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "641410#2", "text": "ในปี 2008 Chris Buck ได้เสนอเรื่องราวของราชินีหิมะในรูปแบบของเขาเองกับดิสนีย์ ชื่อ \"Anna and the Snow Queen\" ซึ่งได้มีการวางแผนให้สร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวทั่วไป แต่เรื่องราวนี้แตกต่างจาก \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" อย่างสิ้นเชิง โดยที่บทประพันธ์นี้มีความใกล้เคียงกับเรื่องราชินีหิมะมากกว่า และมีตัวละครโอลาฟที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง\nอย่างไรก็ตามในต้นปี 2010 โครงการนี้ก็ได้หยุดไปอีกครั้ง ในวันที่ 22 ธันวาคม 2011 ดิสนีย์ได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า\"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" ซึ่งในเวลาต่อมาจะได้ออกฉายในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2013 และยังได้เปลี่ยนทีมสร้างภาพยนตร์ใหม่อีกด้วย บทอันใหม่นั้นมีแนวคิดเหมือนเดิม แต่มีการเขียนใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานของบทประพันธ์ของ Andersen โดยถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละคร แอนนา และ เอลซ่า ในฐานะพี่น้อง", "title": "โอลาฟ (ดิสนีย์)" }, { "docid": "734515#0", "text": "นี่คือ รายชื่อภาพยนตร์จาก วอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอ เป็นแอนิเมชันสตูดิโอต้นสังกัดอยู่ที่ เบอร์แบงก์, แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และในอดีตรู้จักกันในชื่อ วอลต์ดีสนีย์ฟีเจอร์แอนิเมชัน, วอลต์ดีสนีย์โปรดักชันและดีสนีย์บราเธอร์สการ์ตูนสตูดิโอ ซึ่งผลิตภาพยนตร์ให้กับบริษัท เดอะวอลต์ดิสนีย์ โดยผลิตภาพยนตร์แล้ว 54 เรื่อง เริ่มต้นที่ \"สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด\" (1937) และล่าสุด \"บิ๊กฮีโร่ 6\" (2014). สำหรับภาพยนตร์เรื่องที่ 55, \"นครสัตว์มหาสนุก\" กำลังอยู่ในการผลิต โดยกำหนดฉาย 4 มีนาคม ค.ศ. 2016 นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์อีก 3 เรื่องที่กำลังผลิตอยู่ ได้แก่ \"Moana\" กำหนดฉาย 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016, \"Gigantic\", ภาพยนตร์ที่ยังไม่มีชื่อ กำหนดฉาย ค.ศ. 2018, และภาคต่อของ \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" และ \"ราล์ฟ วายร้ายหัวใจฮีโร่\"", "title": "รายชื่อภาพยนตร์ของวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอ" }, { "docid": "589153#4", "text": "เมื่อกลับสู่พระราชวัง เพื่อซ่อนเรื่องนี้เป็นความลับ พระราชาทรงสั่งให้มีการปิดประตูวัง ไม่ให้บุคคลทั้งภายนอกและภายในเข้าออก สองพี่น้องต้องถูกเลี้ยงดูแยกจากกัน การควบคุมพลังของเอลซ่านับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ พระราชาต้องมอบถุงมือพิเศษให้เอลซ่า เพื่อให้เธอควบคุมพลังของเธอได้ง่ายขึ้น ในขณะที่อันนาแม้จะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดา แต่ก็ต้องอยู่กับโดดเดี่ยวตลอดหลายปี จากการที่เอลซ่าไม่ยอมพูดคุยกับเธอ แม้เธอจะยังจดจำความสนุกสนานที่เคยมีด้วยกันตอนเด็กๆได้ จนกระทั่งจุดพลิกผันมาถึงชีวิตของทั้งสองเมื่อพระราชาและพระราชินีทรงสิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันขณะเดินทางออกทะเล", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "299289#1", "text": "ในช่วงที่แสดงใน \"Veronica Mars\" เธอยังรับบทเป็นแมรี เลนในภาพยนตร์ \"\" ซึ่งในละครเวทีเธอก็ได้ร่วมแสดงเช่นกัน เธอยังรับบทนำในเรื่อง \"Pulse\" ภาพยนตร์สยองขวัญทำใหม่ของญี่ปุ่น ต่อมาในปี 2007 เธอร่วมแสดงในซีรีส์ \"Heroes\" รับบทเป็นเอล บิชอป และให้เสียงบรรยายใน \"Gossip Girl\" นอกจากนี้เธอยังแสดงภาพยนตร์ตลกใน \"Forgetting Sarah Marshall\" เบลล์ได้รับรางวัลแซตเทลไลต์และรางวัลแซตเทิร์น เธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสมาคมวิจารณ์โทรทัศน์และรางวัลทีนชอยซ์อยู่หลายครั้ง ในปี 2009 เธอแสดงใน \"Couples Retreat\" และยังพากย์เสียงตัวละครโครา ใน \"Astro Boy\" และในปี 2013 เธอได้พากย์เสียงเป็นเจ้าหญิงอันนาในภาพยนตร์เรื่อง \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\"", "title": "คริสเตน เบลล์" }, { "docid": "589153#0", "text": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ หรือ โฟรเซน (English: Frozen) เป็นภาพยนตร์เพลงแนวแฟนตาซี-คอเมดีประเภทคอมพิวเตอร์แอนิเมชันสามมิติในปี พ.ศ. 2556 อำนวยการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์และจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส.[1] ภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าเรื่องราชินีหิมะของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ห้าสิบสามของภาพยนตร์ในชุดแอนิเมชันคลาสสิกของวอลท์ดิสนีย์ โดยเล่าเรื่องเจ้าหญิงผู้กล้าที่ผจญภัยไปกับคนขายน้ำแข็ง กวางเรนเดียร์ และมนุษย์หิมะผู้อับโชค เพื่อค้นหาพี่สาวที่ห่างเหินซึ่งมีพลังน้ำแข็งที่ทำให้อาณาจักรตกอยู่ภายใต้ฤดูหนาวชั่วนิรันดร์โดยไม่ได้ตั้งใจ", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#15", "text": "หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556 หมวดหมู่:ภาพยนตร์แอนิเมชันของดิสนีย์ หมวดหมู่:ภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม รางวัลออสการ์", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#5", "text": "สามปีหลังจากกการสิ้นพระชนม์ของพระราชาและพระราชินี เอลซ่าก็มีมีอายุครบกำหนดที่จะเข้าพิธีราชาภิเษก ในวันพิธีนั้น ประตูวังจึงได้เปิดออกหลังจากปิดมานานหลายปี อันนาซึ่งใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานานจึงออกจากวังเพื่อไปสำรวจบ้านเมือง ก่อนจะได้เจอกับเจ้าชายฮานส์ บุตรชายคนที่สิบสามของพระราชาแห่งหมู่เกาะทะเลใต้ และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ทำให้อันนาตกหลุมรักฮานส์อย่างรวดเร็ว ส่วนเอลซ่าเธอเกรงว่าเธอจะปล่อยพลังของเธอออกมาในงานราชาภิเษก และเธอพยายามควบคุมมันไว้จนได้", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#14", "text": "สำหรับในประเทศไทย เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2556 ในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ นำกลับมาฉายซ้ำ[11]ในเดือนมกราคม 2557 ในบางสาขาพร้อมกับเรื่อง Gravity", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#8", "text": "เมื่อทั้งพวกเขามาเจอกับเอลซ่าที่พระราชวังน้ำแข็ง อันนาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เอลซ่ากลับไปช่วยอาณาจักรให้คืนสู่ฤดูร้อน แต่เอลซ่ากลับยิ่งกลัวที่พลังของเธอรุนแรงขนาดนี้ ทั้งยังเผลอระเบิดพลังความหวาดกลัวของเธอเข้าใส่เข้าหัวใจของอันนา และปฏิเสธที่จะกลับไปยังเอเรนเดลล์ เอลซ่าเสกมนุษย์หิมะขนาดยักษ์ขึ้นมาเพื่อนำพวกเขาออกไปจากวัง ผมของอันนาเริ่มกลายเป็นสีขาว ทำให้อันนาเริ่มกังวล คริสตอฟฟ์อาสาพาอันนาไปหาพวกโทรลล์ ที่ซึ่งเขานับถือเป็นครอบครัว และเพราะเขาเองก็เคยเห็นพ่อแม่ของอันนามาขอความช่วยเหลือจึงรีบออกเดินทางกลับไปยังเอเรนเดลล์ เพื่อให้อันนาได้พบกับฮานส์ที่คิดว่าคือรักแท้ของอันนา", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#9", "text": "ขณะเดียวกัน ด้วยความกังวล ฮานส์ได้ออกไปตามหาอันนา โดยมีทหารสองนายของดยุคแห่งวีเซิลตันซึ่งไดรับการกำชับให้สังหารเอลซ่า อาสาร่วมเดินทางไปกับฮานส์ด้วย เมื่อไปถึงพระราชวังน้ำแข็ง ขณะที่ฮานส์ต่อสูกับมนุษย์หิมะยักษ์ที่เอลซ่าสร้าง ทหารของดยุคได้มุ่งหน้าเข้าภายไปในวังเพื่อเตรียมสังหารเอลซ่า เอลซ่าพยายามใช้พลังของเธอต่อสู้กลับพวดเขาและเกือบฆ่าทหารทั้งสอง แต่ฮานส์เข้ามาถึงในเหตุการณ์และขอร้องเอลซ่าให้หยุด ขณะที่ เอลซ่าตั้งสติได้ ทหารของดยุคได้ยกหน้าไม้ขึ้นเตรียมฆ่าเธอ ฮานส์เข้าไปปัดหน้าไม้ขึ้นยิงใส่โคมน้ำแข็งเหนือเอลซ่า เอลซ่าวิ่งหลบแต่ล้มและหมดสติไป ก่อนจะฟื้นในห้องขังที่เอเรนเดลล์ ฮานส์ขอร้องให้เอลซ่าหยุดหิมะนี้ แต่เธอบอกว่าเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพียงไม่นาน คริสตอฟฟ์พาอันนากลับมาถึงเอเรนเดลล์ อันนาเล่าเรื่องการกระทำแห่งรักแท้ให้ฮานส์ แต่ก่อนที่ฮานส์จะจุมพิตอันนา ฮานส์ก็ได้เปิดเผยตัวตนออกมาว่าเรื่องที่เขารักอันนาเป็นเรื่องที่เขาสร้างขึ้น การที่เขามีพี่ชายถึงสิบสองคน ทำให้เขาไม่มีทางจะมีอำนาจได้เลย เขาจึงคิดจะแต่งงานกับอันนา ก็เพื่อเตรียมจะยึดตำแหน่งราชาแห่งเอเรนเดลล์ได้หากเขาวางแผนฆ่าเอลซ่าอย่างลับๆได้สำเร็จ", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "114673#16", "text": "ก่อนปี ค.ศ. 2000 นั้นมีภาพยนตร์ชุด 7 ชุดเท่านั้นที่ทำเงินได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในบ็อกซ์ออฟฟิศ ได้แก่ \"เจมส์ บอนด์\", \"สตาร์ วอร์ส\", \"อินเดียน่า โจนส์\", \"ร็อคกี้\", \"แบทแมน\", \"จูราสสิค พาร์ค\" และ \"สตาร์ เทรค\" ตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนศตวรรษเป็นต้นมา จำนวนของภาพยนตร์ชุดก็เพิ่มขึ้นมากขึ้น โดยมีมากกว่าห้าสิบภาพยนตร์ชุด (ไม่รวมภาพยนตร์เดี่ยวที่ได้รับความนิยมสูง เช่น \"อวตาร\", \"ไททานิก\" และ \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\") ส่วนหนึ่งมาจากอัตราเงินเฟ้อและการขยายของตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่ยังรวมถึงการที่ฮอลลีวู้ดสร้างรูปแบบของภาพยนตร์ชุดใหม่ เช่น การสร้างภาพยนตร์ที่มาจากนวนิยายชื่อดัง (\"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\") หรือ การสร้างตัวละครให้เป็นที่จดจำ (อินเดียน่า โจนส์) ซึ่งวิธีการนี้มีแนวคิดที่ว่า ภาพยนตร์ที่สร้างจากสิ่งผู้ชมมีความคุ้นเคยอยู่แล้ว ทำให้สามารถขายให้กับผู้ชมเหล่านั้นได้ เรียกว่าเป็นการ \"pre-sold\" ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์", "title": "รายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด" }, { "docid": "114673#1", "text": "ในอดีต ภาพยนตร์แนวสงคราม, เพลงและอิงประวัติศาสตร์ เป็นแนวภาพยนตร์ที่นิยมมากที่สุด แต่ในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นมา ภาพยนตร์จากภาพยนตร์ชุด กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินได้ดีที่สุด มีภาพยนตร์ห้าเรื่องจากภาพยนตร์ชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" และ \"มิดเดิลเอิร์ธ\" ของ ปีเตอร์ แจ็กสัน ติดอันดับ ขณะที่ภาพยนตร์จากภาพยนตร์ชุด \"สตาร์ วอร์ส\", \"จูราสสิค พาร์ค\" และ \"ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน\" ก็ติดอันดับเช่นกัน ภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโรก็ได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะ จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ที่ติดอันดับถึงหกเรื่อง ยังมี \"สไปเดอร์-แมน\" และ \"เอ็กซ์เมน\" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของ มาร์เวลคอมิกส์ ก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน ขณะที่ \"แบทแมน\" และ \"ซูเปอร์แมน\" ของ ดีซีคอมิกส์ ก็ทำเงินได้ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะเป็นการดัดแปลงจากต้นฉบับเดิมหรือภาคต่อ แต่ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด \"อวตาร\" และ \"ไททานิก\" (ทั้งคู่กำกับโดย เจมส์ แคเมรอน) นั้นเป็นงานต้นฉบับ ภาพยนตร์แอนิเมชันก็ทำเงินได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะภาพยนตร์จากดิสนีย์ ได้แก่ \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" (เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำเงินสูงสุด), \"นครสัตว์มหาสนุก\" และ \"เดอะไลอ้อนคิง\" เช่นเดียวกับภาพยนตร์จากพิกซาร์ ได้แก่ \"รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก 2\", \"ทอย สตอรี่ 3\" และ \"ฟายดิงนีโม\" นอกเหนือจากนั้นก็มีภาพยนตร์แอนิเมชันจากภาพยนตร์ชุด \"มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด\", \"เชร็ค\" และ \"ไอซ์ เอจ\" ด้วย", "title": "รายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด" }, { "docid": "589153#6", "text": "ที่งานเลี้ยงหลังพิธี อันนาและเอลซ่าได้พูดคุยต่อหน้ากันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น ทว่าเพียงครู่ต่อมาเมื่ออันนาได้พาฮานส์มาพบเอลซ่า เพื่อขออนุญาตจากเอลซ่าให้ทั้งสองแต่งงานกัน เอลซ่าไม่อนุญาต และให้เหตุผลว่าอันนาจะแต่งงานกับชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวไม่ได้ และสองพี่น้องเริ่มทะเลาะกัน อันนาดึงถุงมือของเอลซ่าออก ด้วยความกดดัน เอลซ่าไม่สามารถควบคุมพลังวิเศษของเธอได้ และเสกน้ำแข็งออกมาต่อหน้าผู้คนทั้งอาณาจักร ดยุคแห่งวีเซิลตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแขกต่างเมืองที่มาร่วมงาน ตะโกนใส่เอลซ่าว่าเธอคือปีศาจ เธอจึงหวาดกลัวและวิ่งหนีออกไปจากเมือง และซ่อนตัวบนภูเขาอันห่างไกลจากอาณาจักร ณ ที่นั้น เธอรู้สึกปลดปล่อยจากความกดดันที่เธอพบมาเนิ่นนาน และได้ใช้พลังของเธอสร้างพระราชวังน้ำแข็งอันสวยงามขึ้นมา โดยที่ตลอดเวลานี้เธอไม่รู้เลยว่าพลังความกลัวของเธอทำให้ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในสภาพฤดูหนาวชั่วนิรันดร์ที่โหดร้าย", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#2", "text": "โฟรเซนเปิดรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์เอลแคปิตันเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556[2] และออกฉายเป็นการทั่วไปในวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกอย่างล้นหลามทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าโฟรเซนเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันและภาพยนตร์เพลงที่ดีที่สุดตั้งแต่ยุคฟื้นฟูของดิสนีย์[3][4] ภาพยนตร์ยังทำรายได้อย่างล้นหลาม ได้รับรายได้กว่า $1.2 พันล้านทั่วโลก โดยเป็นรายได้จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา $400 ล้าน และอีก $247 ล้านในญี่ปุ่น ได้รับการขนานนามว่าเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล, ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับห้า, ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในปี 2556 และภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับสามในญี่ปุ่น โฟรเซนได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก)[5], รางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม[6] รางวัลบาฟต้าสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม[7]รางวัลแอนนีห้ารางวัล (รวมทั้งภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม) และรางวัลนักวิจารณ์คัดสรรในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก)[8]", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "36332#1", "text": "แชโดว ออฟ เดอะ โคลอสซัส เป็นเกมผจญภัยที่มีลักษณะพิเศษ คือจะไม่มีการติดต่อสื่อสารกับตัวละครอื่นใด ไม่มีศัตรูให้ต่อสู้ระหว่างทางนอกจากเหล่ามหายักษ์ทั้ง 16 ตนตามเนื้อเรื่อง อาณาเขตของดินแดนมีความกว้างขวางและเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนไร้ชีวิตก็ว่าได้ ซึ่งส่วนใหญ่การเดินทางข้ามไปที่ต่างๆ เพื่อตามหาและสังหารยักษ์ต้องอาศัยม้าเท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ในการสังหารเหล่ายักษ์ก็เพียงเพื่อที่ช่วยเหลือหญิงคนรักที่ไร้ลมหายใจเท่านั้น เนื้อเรื่องของเกมถูกกล่าวถึงตั้งแต่ตอนต้นและปรากฏอีกครั้งเมื่อถึงตอนจบ เรื่องราวปูมหลังของตัวละครกลับไม่ถูกเปิดเผยออกมา รวมถึงคำสาปที่ใช้กับหญิงผู้นั้นก็ไม่มีการกล่าวถึงตามเนื้อเรื่อง แนวเกมของ แชโดว์ออฟเดอะโคลอสซัส ถูกผลิตขึ้นมาในแนว แอคชั่น-ผจญภัย แก้ปริศนา", "title": "แชโดว์ออฟเดอะโคลอสซัส" }, { "docid": "64260#3", "text": "ในเวลานั้นนาร์เนียถูกปกครองด้วยแม่มดขาว นางตั้งตนเป็นราชินีแห่งนาร์เนียและสาปให้นาร์เนียมีแต่ฤดูหนาวตลอดกาล ไม่มีใครในนาร์เนียที่สามารถโค่นอำนาจนางได้ ยกเว้นอัสลาน ผู้ปกครองนาร์เนียที่แท้จริง สี่พี่น้องพีเวนซี่ร่วมมือกับกู้อาณาจักรนาร์เนียคืน โดยได้รับความร่วมมือจากสิงโตอัสลาน และเหล่าเซนทอร์ สุดท้านดินแดนนาร์เนียก็ได้รับความสันติสุขกลับคืนมา ทั้งสี่พี่น้องได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชาและราชินีแห่งนาร์เนีย จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเขาทั้งสี่ได้ออกไปล่ากวางขาวทางป่าตะวันตก และพวกเขาก็บังเอิญเดินเข้าไปในตู้เสื้อผ้า เข้าสู่ดินแดนที่พวกเขาเคยจากมา และกลับกลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง\nตู้พิศวงได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และละครหลายครั้ง โดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สได้นำไปสร้างภาพยนตร์ฉายใน พ.ศ. 2548 ในชื่อว่า อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย ตอน ราชสีห์, แม่มด กับตู้พิศวง (The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe) กำกับโดยแอนดรูว์ อดัมสัน ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์", "title": "ตู้พิศวง" }, { "docid": "641410#0", "text": "โอลาฟ () เป็นตุ๊กตาหิมะจากภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 53 ของวอล์ท ดิสนีย์ แอนิเมชัน สตูดิโอ เรื่อง \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" (\"Frozen\") ซึ่งฉายในปี 2013", "title": "โอลาฟ (ดิสนีย์)" }, { "docid": "702007#0", "text": "\"เลตอิตโก\" () เป็นเพลงจากดิสนีย์ในปี ค.ศ. 2013 ประกอบภาพยนตร์ \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" หรือ \"โฟรเซน\" คำร้องและทำนองประพันธ์โดย ทีมนักแต่งเพลงสองสามีภรรยา Kristen Anderson-Lopez และ Robert Lopez เพลงนี้ได้เคยนำไปใช้ขับร้องในภาพยนตร์ โดย ไอดินา แมนเซล (Idina Menzel) นักแสดงหญิงและนักร้องชาวอเมริกัน ซึ่งได้พากย์เสียงเป็นเจ้าหญิงเอลซ่า โดยนักแต่งเพลงสองสามีภรรยานั้นได้ประพันธ์เพลงในเวอร์ชันป็อป (ด้วยคำร้องที่สั้นลงและมีเสียงคอรัส) ซึ่งขับร้องโดยนักแสดงและนักร้องอเมริกัน Demi Lovato ในตอนเริ่มของเครดิตปิดภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนมิวสิกวิดีโอทำได้แยกออกไปต่างหากสำหรับเวอร์ชันป็อป", "title": "เลตอิตโก (เพลงดิสนีย์)" }, { "docid": "609090#0", "text": "รักดังฟังชัด (อังกฤษ: Her) เป็นภาพยนตร์แนวไซไฟ,โรแมนติก และ คอมเมดี้ ที่เข้าฉายในปี ค.ศ. 2013 เขียนเนื้อเรื่อง,กำกับและร่วมผลิตโดย สไปค์ จอนซ์ นำแสดงโดย วาคีน ฟินิกซ์,เอมี่ อดัมส์,รูนีย์ มารา,โอลิเวีย ไวลด์ และ สกาเล็ต โยแฮนสัน พากย์เสียงของ ซาแมนธา ภาพยนตร์นี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอนาคต และเครื่องมือระบบปฏิบัติการต่างๆที่ล้ำสมัย\nเรื่องราวในอนาคตอันใกล้ที่เกิดขึ้นในมหานครลอส แองเจิลลิส เล่าเรื่องราวของธีโอดอร์(วาคีน ฟินิกซ์) ชายหนุ่มผู้เขียนจดหมายเป็นอาชีพ ซึ่งทำให้เขาเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนไหวและเต็มไปด้วยความซับซ้อน หลังจากหย่าร้างกับภรรยาและต้องทุกข์ทนกับอาการใจสลาย ธีโอดอร์ก็ได้พบกับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเขาและซาแมนธา (สกาเล็ต โยแฮนสัน) ด้วยความสดใสในน้ำเสียงและอารมณ์ขันของเธอ มิตรภาพที่เติบโตเป็นความรักรูปแบบใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 86 ทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่\nและได้มา 1 สาขา คือ บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม โดยสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เรื่องที่ได้ไปคือ ปลดแอก คนย่ำคน สาขา ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เรื่องที่ได้ไปคือ กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง สาขา เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เรื่องที่ได้ไปคือ ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ (เลท อิท โก) และสาขา ออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม เรื่องที่ได้ไปคือ เดอะ เกรท แกตสบี้ รักเธอสุดที่รัก", "title": "รักดังฟังชัด" }, { "docid": "589153#12", "text": "เอลซ่า (Elsa) ราชินีผู้มีพลังน้ำแข็งมาตั้งแต่กำเนิด ยิ่งเอลซ่าโตขึ้นพลังวิเศษของเธอก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวัน จนทำให้เธอต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกมาพบปะกับผู้คน จนกระทั่งเธอได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพ่อของเธอ ทำให้เอลซ่าต้องออกมาเผชิญกับผู้คนภายนอก แล้วเธอก็เริ่มหวาดกลัวกับพลังวิเศษที่ไม่สามารถควบคุมได้ เธอจึงต้องหนีออกจากอาณาจักร และพลังของเธอทำให้ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในฤดูหนาวตลอดกาลโดยไม่ได้ตั้งใจ อันนา (Anna) เจ้าหญิงน้อยผู้เป็นน้องสาวของเอลซ่า เธอเป็นเด็กที่ร่าเริง ช่างเพ้อฝันว่าสักวันจะได้พบกับรักแท้ เมื่อเอลซ่าหนีออกจากอาณาจักร เธอก็ต้องออกเดินทางไปตามหาเอลซ่าเพื่อกล่อมให้กลับอาณาจักร แต่เธอกลับโดนคำสาปน้ำแข็งของเอลซ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้อันนาต้องคำสาป และต้องหาทางแก้ คริสตอฟฟ์ (Kristoff) หนุ่มภูเขาทำงานรับส่งก้อนน้ำแข็ง มีสเวน กวางเรนเดียร์คู่ใจที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก และร่วมผจญภัยไปกับอันนาเพื่อลบล้างคำสาปของเอลซ่า โอลาฟ (Olaf) ตุ๊กตาหิมะที่เอลซ่ากับอันนาเคยปั้นด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากที่เอลซ่าได้สาปให้ทั้งเมืองตกอยู่ในฤดูหิมะแล้วหนีออกจากอาณาจักร พลังวิเศษของเธอก็ทำให้โอลาฟมีชีวิตขึ้นมา โอลาฟก็ได้พบกับอันนา คริสตอฟฟ์ และสเวนระหว่างทางจึงร่วมเดินทางผจญภัยด้วย เจ้าชายฮานส์ (Hans) เชื้อพระวงศ์รูปงามจากอาณาจักรข้างเคียงที่เดินทางมายังเอเรนเดลล์เพื่อพิธีขึ้นครองราชย์ของเอลซ่า ด้วยความที่ฮานส์มีพี่ชายมากถึง 12 คน ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมองข้าม ซึ่งเป็นสิ่งที่อันนารู้สึกเช่นเดียวกัน ฮานส์เป็นคนฉลาด ช่างสังเกต และให้เกียรติผู้หญิง ฮานส์สัญญาว่าจะไม่ทิ้งอันนาไป ซึ่งเขาอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่เธอรอคอยมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เหมือนเอลซ่า แต่สุดท้ายก็หักหลังอันนาโดยทิ้งไว้ในห้องให้เธอทรมานจนกว่าจะตาย และคิดจะกำจัดเอลซ่าเพื่อที่จะได้ครอบครองอาณาจักรเอเรนเดลล์มาเป็นของตน สเวน (Sven) กวางเรนเดียร์ที่มาพร้อมกับหัวใจแบบสุนัข เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของคริสตอฟฟ์ ผู้คอยทำหน้าที่ลากเลื่อนและเตือนสติคริสตอฟฟ์ สเวนจะคอยดูแลเสมอว่าเจ้านายชาวภูเขาของเขาจะเป็นชายหนุ่มที่ยืนหยัดต่อสถานการณ์ได้อย่างที่เขารู้จักและรัก โดยไม่ต้องคอยพูดออกมาแม้แต่คำเดียว แต่เสียงพ่นลมของสเวนก็มักจะสื่อความหมายที่ต้องการบอกได้อย่างดี", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "239916#9", "text": "เป็นการจำลองอาณาจักรเอเรนเดลล์ ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" จะเปิดให้บริการปี พ.ศ. 2564", "title": "ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์" }, { "docid": "589153#3", "text": "ในอาณาจักรแห่งเอเรนเดลล์ พระราชาและพระราชินีมีพระธิดาสองคน เจ้าหญิงเอลซ่า พระธิดาองค์โต และเจ้าหญิงแอนนา พระธิดาองค์เล็ก จากเจ้าหญิงทั้งสองคน เอลซ่าเกิดมาพร้อมความวิเศษในการเสกน้ำแข็งออกมาได้ดังใจสั่ง คืนหนึ่ง อันนาปลุกเอลซ่าให้มาเล่นด้วยกัน ขณะที่เอลซ่าและอันนากำลังเล่นกำลังเล่นสนุกสนานกับพลังวิเศษนี้ พลังหิมะของเอลซ่าถูกเสกเข้าที่หัวของอันนาด้วยความไม่ตั้งใจ อันนาหมดสติ และเส้นผมส่วนหนึ่งของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาว พระราชาและพระราชินีรีบพาเจ้าหญิงทั้งสองไปยังหุบเขาอันเป็นที่อยู่ของเผ่าโทรลล์ผู้วิเศษเพื่อขอความช่วยเหลือ ในขณะที่อันนายังหมดสติอยู่นั้น ปู่แพ็บบี้ โทรลล์เฒ่าผู้นำเผ่า กล่าวว่าโชคดีที่เธอถูกพลังแค่ที่หัว แต่หากเป็นหัวใจแล้วจะต้องแย่แน่ๆ แพบบี้ได้ลบความทรงจำของอันนาเกี่ยวกับพลังของเอลซ่าออก เหลือทิ้งไว้แต่ความสนุกสนานของทั้งสองพี่น้อง และเตือนเอลซ่าว่าพลังของเธอจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องหัดที่จะควบคุมพลังนี้ให้ได้", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#11", "text": "ฮานส์ถูกส่งตัวกลับไปยังอาณาจักรของเขาเพื่อรับโทษ เอลซ่าประกาศตัดขาดทางการค้ากับเมืองวีเซิลตันท่ามกลางคำคัดค้านที่ไร้ผลของดยุค อันนาซื้อรถเลื่อนคันใหม่ให้คริสตอฟฟ์ชดใช้คันที่เสียไป ก่อนที่คริสตอฟฟ์จะจูบเธอด้วยความดีใจ เอลซ่าใช้พลังของเธอเปลี่ยนพื้นที่ในวังเป็นให้เป็นลานน้ำแข็งให้ชาวเมืองได้เพลิดเพลินกันอย่างมีความสุข และบอกอันนาว่าพวกเธอจะไม่มีวันปิดประตูวังอีกต่อไป", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "589153#7", "text": "ทางด้านของอันนา ซึ่งรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ของตนหนีไป จึงรีบออกตามหาเอลซ่าด้วยตนเอง และมอบหมายให้เจ้าชายฮานส์เป็นผู้ดูแลอาณาจักรชั่วคราวแทน ในระหว่างทาง อันนาได้พบกับคริสตอฟฟ์ และสเวน กวางเรนเดียร์คู่ใจของเขา เพื่อให้เขาช่วยนำทางในการตามหาเอลซ่า ทว่าเพียงไม่นานหลังจากทั้งกลุ่มออกเดินทางด้วยกัน ก็ถูกฝูงหมาป่าออกมาไล่ล่า ระหว่างที่ทุกคนหนีเอาตัวรอด คริสตอฟฟ์ต้องเสียเลื่อนหิมะราคาแพงของเขา ด้วยความรู้สึกผิด อันนาจึงขอออกเดินทางต่อด้วยตัวเอง และจะชดใช้ค่าเสียหายให้เขาเมื่อเธอตามหาเอลซ่าพบ คริสตอฟฟ์ แม้จะไม่อยากจะช่วยอันนาในการเดินทางต่อ แต่สเวนก็โน้มน้าวให้คริสตอฟฟ์เปลี่ยนใจและช่วยอันนาตามหาพี่สาวของเธอต่อ ทั้งกลุ่มเดินทางมาพบกับโอลาฟ ตุ๊กตาหิมะที่เอลซ่าสร้างขึ้นระหว่างที่เธอกำลังหัดใช้พลังของเธอในการสร้างพระราชวังน้ำแข็ง โดยที่เอลซ่าเองไม่รู้ว่าโอลาฟนั้นได้มีชีวิตขึ้นมา โอลาฟอาสานำกลุ่มไปพบกับเอลซ่า", "title": "ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ" }, { "docid": "570803#2", "text": "\"เกมล่าเกม 2 แคชชิ่งไฟร์เออร์\" สร้างสถิติเปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาด้วยรายได้กว่า 161.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์อเมริกา พร้อมติดอันดับ 1 ใน 5 ภาพยนตร์ที่เปิดตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์บ๊อกซ์ออฟฟิศ และขึ้นอันดับ 1 ในกว่า 60 ประเทศที่เปิดตัว อาทิ สหราชอาณาจักร (19.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เยอรมนี (12.8 ล้านเดอลลาร์สหรัฐ) ออสเตรเลีย (11.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ) รัสเซีย (10.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเม็กซิโก (10.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งล้วนทำรายได้สูงขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว โดยทำรายได้ทั่วโลกรวมไปแล้วถึง 307.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาเพียง 3 วัน และยังสามารถทำรายได้ 110.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันหยุดของวันขอบคุณพระเจ้า จนขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาลในวันขอบคุณพระเจ้าทั้งห้าวัน ซึ่งสามารถขึ้นนำ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" ที่เคยขึ้นอยู่อันดับหนึ่งมาก่อน ร่วมกับ \"ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ\" ซึ่งนำแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคนี้เป็นอันดับสอง นอกจากนี้ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น เว็บไซต์รอทเทนโตเมโต้ จากความคิดเห็นของนักวิจารณ์อ้างอิง 229 ความคิดเห็น โดยจัดระดับที่ 95% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ \"รับรองความสด\"", "title": "เกมล่าเกม 2 แคชชิ่งไฟเออร์" }, { "docid": "167310#8", "text": "แก้มได้รับงานใหญ่หลายงานในปี 2556 อาทิ พากย์ภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมของดิสนีย์ เรื่อง ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ (Frozen) รับบทนำเป็น \"ราชินีเอลซ่า\" (Elsa) และร้องเพลง \"ปล่อยมันไป\" ซึ่งเป็นเวอร์ชันภาษาไทยของเพลง \"Let It Go\" ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย ปลายปี 2556 แก้มได้รับเลือกให้ร้องเพลงในงานสโมสรสันนิบาต เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นแก้มได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ครั้งแรก เพลง \"ขวัญของเรียม\" ประกอบภาพยนตร์เรื่อง แผลเก่า ในปี 2557", "title": "วิชญาณี เปียกลิ่น" }, { "docid": "797932#0", "text": "เดอะมัมมี่ คืนชีพคำสาปนรกล้างโลก () เป็นภาพยนตร์โลดโผน/สยองขวัญ/ผจญภัยลำดับที่ 1 ในไตรภาคชุด \"เดอะ มัมมี่\" กำกับและเขียนบทโดยสตีเฟน ซอมเมอส์ นำแสดงโดยเบรนแดน เฟรเซอร์, เรเชล ไวสซ์, จอห์น ฮันนาห์, อาร์โนลด์ วอสลูและเควิน เจ. โอคอนเนอร์", "title": "เดอะมัมมี่ คืนชีพคำสาปนรกล้างโลก" } ]
3083
เฮนรี จอร์จ เกิดวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "78374#0", "text": "เฮนรี จอร์จ (; 2 กันยายน ค.ศ. 1839 — 29 ตุลาคม ค.ศ. 1897) เป็นนักเศรษฐศาสตร์การเมืองชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ เรื่อง \"Progress and Poverty\" และได้เขียนบทความต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินไว้มากมาย หนังสืออื่น ๆ ของเฮนรี จอร์จที่ควรกล่าวถึงคือ \"Social Problems,\" \"Protection or Free Trade\" ซึ่งได้มีการอ่านทั้งเล่มและบันทึกไว้ในบันทึกของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา, \"The Condition of Labor\" ซึ่งเป็นจดหมายเปิดผนึกถึงสันตะปาปาเพื่ออธิบายตอบสาส์นเวียนของพระองค์ และ \"The Science of Political Economy\" ซึ่งพิมพ์หลังมรณะ", "title": "เฮนรี จอร์จ" } ]
[ { "docid": "78374#1", "text": "เฮนรี จอร์จเกิดที่ฟิลาเดลเฟีย เขาเรียนจบเพียงประถม 6 เพราะความยากจน ต้องหยุดการเรียนขณะอยู่ชั้นมัธยม 1 แล้วก็ออกทำงานเป็นเด็กรับใช้ (cabin boy) ในเรือสินค้า ซึ่งเดินทางรอบโลก แต่ในการเดินทางไปกับเรือสินค้าครั้งที่ 2 ในฐานะกะลาสีชั้นสามารถ (able seaman) จอร์จก็ลาออกมาเป็นช่างเรียงพิมพ์ แล้วก็ได้เป็นผู้รายงานข่าว ผู้เขียนบทบรรณาธิการของ นสพ.ซานฟรานซิสโกไทมส์ บรรณาธิการจัดการ และยังเขียนเรื่องให้นิตยสารต่าง ๆ อีกด้วย ความรู้ความสามารถของจอร์จเกิดจากความช่างสังเกตและการพากเพียรศึกษาด้วยตนเอง", "title": "เฮนรี จอร์จ" }, { "docid": "78374#24", "text": "1. ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องมีที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและทำกิน เพราะถ้าไม่มี เขาตาย แต่เขาเกิดมาแล้ว เขาก็มีสิทธิ์มีชีวิตต่อไป", "title": "เฮนรี จอร์จ" }, { "docid": "299253#0", "text": "เซอร์ จอร์จ เฮนรี มาร์ติน ซีบีอี (; 3 มกราคม พ.ศ. 2469 – 8 มีนาคม พ.ศ. 2559) เป็นโปรดิวเซอร์เพลง นักเรียบเรียงเพลง นักประพันธ์และนักดนตรีชาวอังกฤษ ในบางครั้งถูกเอ่ยว่าเป็น \"เดอะบีตเทิลส์คนที่ 5\" ซึ่งเขาได้ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์แทบทุกชุดของเดอะบีตเทิลส์ และยังเล่นเปียโนให้กับบางเพลงของเดอะบีตเทิลส์ และยังถือว่าเป็น 1 ในโปรดิวเซอร์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล", "title": "จอร์จ มาร์ติน" }, { "docid": "957411#0", "text": "จอร์จ แลสเซิลส์ เอิร์ลที่ 7 แห่งฮาร์วุด ()\nจอร์จ แลสเซิลส์ เอิร์ลที่ 7 แห่งฮาร์วุด เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2466 ณ เชอร์เตนเฟรด เฮาส์ เป็นพระโอรสคนใหญ่ใน เจ้าหญิงแมรี พระราชกุมารีและเคาน์เตสแห่งแฮร์วูด และ เฮนรี แลสเซิลส์ เอิร์ลที่ 6 แห่งฮาร์วุด เป็นพระราชนัดดาคนแรกใน พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาได้เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ พระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ผู้เป็นพระมาตุลา โดยเมื่อเจริญวัย เขาได้กลายเป็น หทารบังคับบัญชาแห่งอังกฤษใน สงครามโลกครั้งที่สอง", "title": "จอร์จ แลสเซิลส์ เอิร์ลที่ 7 แห่งฮาร์วุด" }, { "docid": "266019#0", "text": "เจอรัลดีน่า เอสเทล 'เจรี่' ฮอร์เนอร์ () หรือ เจรี่ ฮัลลิเวลล์ เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1972 เป็นนักร้องเพลงป็อปชาวอังกฤษ ฮัลลิเวลล์มีชื่อเสียงครั้งแรกในปี 1996 ในฐานะ หนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลกรุป ที่ชื่อสไปซ์เกิลส์ จากนั้นเธอออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวมีซิงเกิลอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรอยู่ 4 ซิงเกิลด้านชีวิตส่วนตัวเจรี่ได้แต่งงานกับ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ นักแข่งมอร์เตอร์ไซค์ชื่อดัง และ ประธานผู้บริหาร Red Bull Racing และ เปลี่ยนนามสกุลรวมทั้งชื่อในวงการเป็น \"Geri Horner\" เมื่อปี2015", "title": "เจรี ฮัลลิเวลล์" }, { "docid": "114216#0", "text": "จอร์จ ทิโมธี คลูนีย์ () เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 เป็นนักแสดงเชื้อสายไอริช-อเมริกัน เกิดในรัฐเคนตั๊กกี้ เป็นบุตรของ ผู้ดำเนินรายการ ทอล์คโชว์ พ่อของจอร์จ ได้นำเขา ไปออกรายการทีวี ตอนที่เขาอายุ 5 ขวบเป็นครั้งแรก จนจอร์จได้ย้ายไปอยู่ ทางแถบตะวันตก และได้เซ็น สัญญากับ วอร์เนอร์ บราเดอร์ส", "title": "จอร์จ คลูนีย์" }, { "docid": "832736#1", "text": "เฮนรี สเปนเซอร์ เป็นนายที่ดินเวิร์มเลกตันในมณฑลวาร์วิกเชอร์ และเป็นนายค่าเช่าของบ้านอัลทอร์ปในมณฑลนอร์แทมป์ตันเชอร์ ต่อมา จอร์จ สเปนเซอร์ ผู้เป็นหลาน ได้ค้าขายปศุศัตว์และสินค้าอื่นๆจนร่ำรวย เขาซื้อที่ดินเวิร์มเลกตันในปี 1506 และซื้อบ้านอัลทอร์ปในปี 1508 ที่ในอัลทอร์ปนี้กว้างนับพันไร่และทำให้การเลี้ยงแกะได้ผลดีมาก อย่างไรก็ตามเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านที่เวิร์มเลกตันซึ่งตอนนั้นใหญ่กว่าอัลทอร์ปถึงสี่เท่า จอร์จร่ำรวยจนสามารถไปซื้อหมู่บ้านลิตเติลบริกตันและหมู่บ้านเกรทบริกตันจากทอมัส เกรย์ มาร์ควิสแห่งดอร์เซต และตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้านอัลทอร์ป ต่อมาในปี ค.ศ. 1519 จอร์จ สเปนเซอร์ ก็ได้รับตำแหน่งอัศวินจากพระเจ้าเฮนรีที่ 8", "title": "ตระกูลสเปนเซอร์" }, { "docid": "174017#0", "text": "เจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งกลอสเตอร์ (\"เฮนรี วิลเลียม เฟรเดอริค อัลเบิร์ต\" \"ประสูติ\" 31 มีนาคม พ.ศ. 2443 \"สิ้นพระชนม์\" 10 มิถุนายน พ.ศ. 2517) พระราชโอรสพระองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีมารี เป็นพระราชอนุชาในพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์คือสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6", "title": "เจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งกลอสเตอร์" }, { "docid": "78374#4", "text": "เฮนรี จอร์จตาย 4 วันก่อนการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ซึ่งเขาเข้าสมัครรับเลือกตั้งด้วยเป็นครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 11 ปี (ครั้งแรกเขาแพ้ Abram S. Hewitt แต่ชนะ Theodore Roosevelt ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ) การสมัครรับเลือกตั้งทั้งสองครั้งเพราะสหภาพแรงงานขอร้อง งานศพของจอร์จมีผู้คนกว่าแสนคนมาเคารพศพและร่วมขบวนศพไปยังสุสานใน Brooklyn", "title": "เฮนรี จอร์จ" } ]
4016
ธุดงค์ คือวัตร หรือแนวทางการปฏิบัติจำนวน กี่ข้อ?
[ { "docid": "109849#2", "text": "ธุดงค์นั้น เป็นศัพท์เฉพาะที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท โดยพระพุทธเจ้าตรัสแสดงธุดงค์ลักษณะต่าง ๆ ไว้หลายพระสูตร เมื่อรวมแล้วจึงได้ทั้งหมด 13 ข้อ[1][4][5]", "title": "ธุดงค์" } ]
[ { "docid": "907646#7", "text": "ปี พ.ศ. 2465 พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ได้ออกธุดงค์เที่ยวหาเรียนวิชาอาคม หาของขลังและหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เดินทางขึ้นไปทางสกลนคร นครพนม จึงได้พบกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เมื่อได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แล้ว จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเชื่อว่าหลวงปู่มั่นเป็นผู้มีญาณวิเศษสำเร็จแล้ว เพราะทักท้วงได้อย่างถูกต้องเหมือนตาเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงได้กราบขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ให้ช่วยชี้แนะแนวทางประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และได้จำพรรษาในเขตจังหวัดนครพนมและจังหวัดสกลนคร ", "title": "พระอาจารย์ดี ฉนฺโน" }, { "docid": "109849#12", "text": "ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร คือจะพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้น งดเว้นจากการอยู่ในที่มีหลังคาที่สร้างขึ้นมามุงบัง ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร คือจะอยู่แต่ในที่กลางแจ้งเท่านั้น จะไม่เข้าสู่ที่มุงบังใดๆ เลย แม้แต่โคนต้นไม้ เพื่อไม่ให้ติดในที่อยู่อาศัย ถือการอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร คือจะงดเว้นจากที่พักอันสุขสบายทั้งหลาย แล้วไปอาศัยอยู่ในป่าช้า เพื่อจะได้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ไม่ประมาท ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดไว้ให้เป็นวัตร คือเมื่อใครชี้ให้ไปพักที่ไหน หรือจัดที่พักอย่างใดไว้ให้ ก็พักอาศัยในที่นั้นๆ โดยไม่เลือกว่าสะดวกสบาย หรือถูกใจหรือไม่ และเมื่อมีใครขอให้สละที่พักที่กำลังพักอาศัยอยู่นั้น ก็พร้อมจะสละได้ทันที ถือการนั่งเป็นวัตร คือจะงดเว้นอิริยาบถนอน จะอยู่ใน 3 อิริยาบถเท่านั้น คือ ยืน เดิน นั่ง จะไม่เอนตัวลงให้หลังสัมผัสพื้นเลย ถ้าง่วงมากก็จะใช้การนั่งหลับเท่านั้น เพื่อไม่ให้เพลิดเพลินในการนอน", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "266486#5", "text": "หลังจากที่ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ บรรลุพระอรหัตแล้ว ท่านก็ได้สมาทานธุดงค์ เป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัดไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร ผู้มีวาทะกำจัด หมั่นประกอบในอธิจิต พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่านพระปิณโฑลภารัทวาชะ ได้ถือปฏิบัติเช่นนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า", "title": "พระปิณโฑลภารทวาชเถระ" }, { "docid": "680962#23", "text": "สาขาทั้งสองของ EBM ได้มีการแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1980 สมาคมมะเร็งอเมริกัน (American Cancer Society) ได้เริ่มยืนยันให้ทำงานเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติและนโยบาย โดยมีหลักฐานเพื่อยืนยันอิทธิผล[31] ในปี ค.ศ. 1984 USPSTF (คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการบริการป้องกัน [ทางสุขภาพ] ประเทศสหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา เริ่มการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อการแทรงแซงป้องกันเพื่อสุขภาพโดยใช้หลักอาศัยหลักฐาน[32] ในปี ค.ศ. 1985 กลุ่มประกันสุขภาพ Blue Cross Blue Shield Association เริ่มบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอาศัยหลักฐาน ในการจ่ายค่าคุ้มครองสุขภาพสำหรับเทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ ๆ[33] เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 สมาคมแพทย์เฉพาะทางต่าง ๆ เช่น วิทยาลัยแพทย์อเมริกัน (American College of Medicine) และองค์กรสุขภาพอื่น ๆ เช่น สมาคมหัวใจอเมริกัน (American Heart Association) ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติที่อาศัยหลักฐานเป็นจำนวนมาก ในปี ค.ศ. 1991 Kaiser Permanente ซึ่งเป็น managed care organization ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เริ่มใช้แนวทางปฏิบัติอาศัยหลักฐาน[34] ในปี ค.ศ. 1991 ริชาร์ด สมิธ เขียนบทบรรณาธิการใน BMJ เริ่มไอเดียของการใช้นโยบายอาศัยหลักฐานในสหราชอาณาจักร[35] ในปี ค.ศ. 1993 Cochrane Collaboration เริ่มสร้างเครือข่ายบุคคลากรใน 13 ประเทศเพื่อทำงานปริทัศน์แบบเป็นระบบ (systematic review) และตั้งแนวทางการปฏิบัติแบบเป็นระบบ (systematic guideline)[36] ในปี ค.ศ. 1997 สำนักงานวิจัยและคุณภาพการรักษาสุขภาพ (Agency for Healthcare Research and Quality ตัวย่อ AHRQ) ของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา ได้ก่อตั้งศูนย์การปฏิบัติอาศัยหลักฐาน (Evidence-based Practice Centers) เพื่อทำรายงานเกี่ยวกับหลักฐาน และทำการประเมินเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ[37] ในปีเดียวกัน AHRQ ได้ร่วมกับสมาคมแพทย์อเมริกัน (AMA) และสมาคมผู้ขายประกันสุขภาพ America's Health Insurance Plans ได้จัดตั้งฐานข้อมูล National Guideline Clearinghouse ที่เก็บเอกสารเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติทางคลินิกและนโยบายอาศัยหลักฐาน[38] ใน ปี ค.ศ. 1999 องค์กร National Institute for Clinical Excellence (NICE) ที่กำหนดแนวทางการปฏิบัติทางการแพทย์เป็น 4 ประเด็น ก็ได้จัดตั้งขึ้นในสหราชอาณาจักร[39]", "title": "เวชปฏิบัติอิงหลักฐาน" }, { "docid": "706443#2", "text": "รายงานเค้สปกติจะพิจารณาว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของหลักฐานโดยเรื่องเล่า (anecdotal evidence) \nเพราะมีความจำกัดโดยธรรมชาติของระเบียบวิธีที่ใช้ รวมทั้งการขาดการสุ่มตัวอย่างทางสถิติ รายงานเค้สจัดเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้น้อยที่สุดในลำดับชั้นหลักฐานทางคลินิก เช่นเดียวกับ case series \nแต่ก็ยังมีประโยชน์ในงานวิจัยทางการแพทย์และเวชปฏิบัติอิงหลักฐาน \nโดยเฉพาะก็คือ ช่วยให้รู้จักโรคใหม่ ๆ และผลที่ไม่พึงประสงค์ของการรักษาพยาบาล \nรายงานเค้สมีบทบาทในการศึกษาเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์จากยา (pharmacovigilance) \nช่วยให้เข้าใจขอบเขตทางคลินิกของโรคหายากและอาการปรากฏที่ไม่ทั่วไปของโรคสามัญ \nช่วยสร้างสมมุติฐานเพื่อการศึกษารวมทั้งกลไกของโรค \nและอาจช่วยแนะนำแนวทางในการปรับการรักษาพยาบาลให้เข้ากันกับคนไข้แต่ละคน \nผู้สนับสนุนแบบงานศึกษาได้ร่างข้อดีอย่างย่อ ๆ ของรายงานเค้ส คือ\nทั้ง case report (รายงานเค้ส) และ case series มีความไวสูงในการตรวจจับความแปลกใหม่ และดังนั้นจะดำรงเป็นหลักสำคัญในความก้าวหน้าทางการแพทย์\nและสามารถให้ไอเดียใหม่ ๆ มากมายทางการแพทย์ \nเปรียบเทียบกับการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมซึ่งสามารถตรวจสอบตัวแปรอย่างหนึ่งหรือไม่กี่อย่าง ที่ไม่สามารถสะท้อนสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์ทางการแพทย์ที่ซับซ้อน รายงานเค้สสามารถให้รายละเอียดด้านต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกันสถานการณ์ของคนไข้ (เช่น ประวัติผู้ป่วย การตรวจร่างกาย ข้อวินิจฉัย สภาพจิตและสังคม และการดูแลติดตาม)", "title": "รายงานผู้ป่วย" }, { "docid": "85555#18", "text": "ปังสุกุลิกังคธุดงค์ - ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล ปิณฑปาติกังคธุดงค์ - ถือภิกขาจารวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ เอกปัตติกังคธุดงค์ - ถือฉันในบาตร ใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ เอกาสนิกังคธุดงค์ - ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ - ถือลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิ่ม เตจีวริตังคธุดงค์ - ถือใช้ผ้าไตรจีวร 3 ผืน อารัญญิกังคะ - ถือละเว้นการอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน", "title": "พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต" }, { "docid": "177703#0", "text": "ห่มดอง คือการห่มผ้าของพระสงฆ์แบบหนึ่งโดยห่มเฉวียงบ่าคือเปิดบ่าขวา ปิดบ่าซ้าย พาดสังฆาฏิ แล้วคาดอกด้วยผ้ารัดอก การห่มดองถือว่าเป็นการนุ่งห่มของพระธรรมยุตินิกาย แต่ปัจจุบันเป็นการห่มครองที่นิยมในกลุ่มพระฝ่ายมหานิกายมากกว่า ฝ่ายธรรมยุติไม่ใคร่นิยมแล้ว นิยมห่มในภาคเหนือของประเทศ (อาจจะเพราะครูบาศรีวิชัยซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวล้านนาห่มดอง)และวัดที่เป็นสำนักเรียนส่วนใหญ่จะกำหนดให้พระและสามเณรนุ่มห่มเพื่อให้ไปในแนวทางเดียวกัน อาจเพราะเนื่องจากมีสามเณรเป็นจำนวนมาก ซึ่งการห่มดองไม่หลุดง่าย บางท้องที่ถือว่าเป็นการห่มของของสามเณร ไม่ใช่การห่มของพระก็มี ปัจจุบันมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งจะกำหนดให้พระนิสิตนุ่มห่มเมื่อมามหาวิทยาลัย แม้แต่กลุ่มวัดพระธรรมกาย ก็ยึดถือเป็นการห่มที่กลุ่มสาขาต้องห่มเหมือนกัน และยังส่งเสริมให้พระสงฆ์ในประเทศห่มอีกด้วย รูปปั้นพระสีวลีปางเดินธุดงค์ส่วนมากจะนุ่มห่มดองเช่นกัน และมีพระธุดงค์บางกลุ่มนิยมห่ม เมื่อออกเดินธุดงค์โดยจะถือเป็นสัญญลักษณ์หรือธรรมเนียมของกลุ่ม เช่น วัดศีรีล้อม ถ้ำนิรภัย (สำนักท่องปาฏิโมกข์ อำเภอตากฟ้า นครสวรรค์)", "title": "ห่มดอง" }, { "docid": "109849#16", "text": "การจาริก ด้วยเท้า ของพระสงฆ์ในประเทศไทย มักเข้าใจปะปนกับคำว่า ธุดงค์ ทั้งนี้เนื่องจากบางข้อของธุดงควัตร เช่น อรัญญิกังคะ หมายถึงการอยู่ในบริเวณป่า ทำให้พระสงฆ์ที่ถือธุดงค์ข้อนี้จะต้องเดินทางไปหาที่วิเวกในบริเวณป่าและไม่อยู่ติดที่เป็นเวลานาน เพื่อให้ห่างไกลจากการรบกวนของผู้คน การทำเช่นนี้ของพระสงฆ์มีมาตั้งแต่พุทธกาล[5] พระสงฆ์ในประเทศไทยคงได้ถือคตินี้และปฏิบัติมาแต่โบราณ ทำให้คนทั่วไปในปัจจุบันมักเรียกกิริยาเช่นนั้น (การจาริกเดินเท้าของพระสงฆ์โดยแบกบริขาร เช่น กรดย่าม และบาตร เพื่อเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ) ว่า พระเดินธุดงค์ หรือ การเดินธุดงค์ ซึ่งเป็นเพียงคำเรียกทั่วไป ที่หากพระสงฆ์ผู้เดินจาริกไม่ได้ถือสมาทานองค์คุณแห่งธุดงค์ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมไม่ใช่ความหมายของคำว่าธุดงค์ตามนัยในพระไตรปิฎก[7]", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "109849#8", "text": "ธุดงควัตร หมายถึงกิจวัตรของการธุดงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตมี 13 วิธีจัดเป็นข้อสมาทานละเว้น และข้อสมาทานปฏิบัติ คือ", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "123382#2", "text": "ภายนับได้กึ่งพุทธกาล บูรพาจารย์พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรฯ (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) ท่านได้ธุดงค์วัตรไปอุปสมบท และศึกษาพระธรรมวินัย 2 ปี สำนักสังฆปรินายกนิกายวินัย ของนิกายหลุกจง นิกายวินัย วัดล่งเชียงยี่ บนภูเขาป๋อฮั้วซัว มณฑลกังโซว ประเทศจีน เมื่อสำเร็จธรรมท่านเดินทางกลับมาพร้อมพระคัมภีร์มหายานนิกายวินัย และมีการแปลพระวินัยฉบับมหายานสู่ภาคไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาท่านได้ธุดงค์วัตรไปไกลถึงทิเบต ตะวันออกและได้เข้าศึกษานิกายมิกจง หรือนิกายมนตรายาน ณ อารามรินโวเช่ แคว้นคามทิเบตตะวันออก เป็นเวลา 6 ปี หลังจากนั้นท่านได้ธุดงค์กลับ เพราะคำสั่งของพระอาจารย์มหาชีวินพุทธนอร่ารินโปเช่ พร้อมทั้งท่านได้มอบตราประจำตำแหน่งพระสังฆนายก นิกายมนตรยาน และมอบพระคัมภีร์ฝ่ายวัชรยาน กลับสู่เมืองไทย ก่อนที่ทิเบตจะแตก 2 ปี", "title": "วัดเทพพุทธาราม" }, { "docid": "109849#3", "text": "ธุดงค์ในปัจจุบันยังคงเป็นแนวการปฏิบัติที่เป็นที่นิยมของชาวพุทธเถรวาททั่วไปในหลายประเทศ โดยไม่จำกัดเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น คฤหัสถ์ทั่วไปก็ถือปฏิบัติได้บางข้อเช่นกัน[6]", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "28341#8", "text": "1. ธรรมเทศนา \nสำหรับบรรพชิต สำหรับคฤหัสถ์ เสียสละเพื่อธรรม การเข้าสู่หลักธรรม ธรรมะที่หยั่งรู้ยาก ธรรมะธรรมชาติ \nปฏิบัติกันเถิด ธรรมปฏิสันถาร สองหน้าของสัจธรรม ปัจฉิมกถา การฝึกใจ มรรคสามัคคี \nดวงตาเห็นธรรม อยู่เพื่ออะไร เรื่องจิตนี้ น้ำไหลนิ่ง ธรรมในวินัย บ้านที่แท้จริง สัมมาสมาธิ ขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้า ความสงบบ่อเกิดปัญญา พระองค์เดียว นอกเหตุเหนือผล สมมตติและวิมุตติ \nการทำจิตให้สงบ ตุจโฉโปฎฐิละ ดวงตาเห็นธรรม ทำใจให้เป็นบุญ ทรงไว้ซึ่งข้อวัตร เหนือเวทนา เพียรละกามฉันทะ ทางพ้นทุกข์ ไม่แน่คืออนิจจัง โอวาทบางตอน อ่านใจธรรมชาติ อยู่กับงูเห่า \nสัมมาทิฐิที่เยือกเย็น มรรคผลไม้พ้นสมัย นักบวชนักรบ ธุดงค์ทุกข์ดง สัมมาปฏิปทา พึงต่อสู้ความกลัว \nกว่าจะเป็นสมณะ เครื่องอยู่ของบรรพชิต กุญแจภาวนา วิมุตติ ", "title": "พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)" }, { "docid": "28341#6", "text": "เสร็จภารกิจการศึกษา ประกอบกับเกิดธรรมสังเวชคราวโยมบิดาเสียชีวิต จึงหันมาสู่การปฏิบัติธรรม โดยออกธุดงค์และศึกษาหาแนวทางปฏิบัติในสำนักต่างๆ ผ่านอาจารย์ก็มากมาย เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดได้รับอาราธนาจากโยมมารดาและพี่ชาย เพื่อกลับไปโปรดสัตว์ที่บ้านเกิด เมื่อ พ.ศ. 2497 ก็ได้ดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศ", "title": "พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)" }, { "docid": "109849#6", "text": "ธุดงค์ ในภาษาไทย ใช้เรียกพระภิกษุแบกกลดเดินไปตามทางหรือเข้าป่าไปว่า เดินธุดงค์ หรือ ออกธุดงค์ เรียกภิกษุที่ปฏิบัติเช่นนั้นว่า พระธุดงค์", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "63859#23", "text": "ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การรักษาทางกายภาพบำบัด เป็นหัวข้อที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่าขาดหลักฐานทางด้านการวิจัย[25] ช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 การสำรวจของนักกายภาพบำบัดชาวอังกฤษ และ ออสเตรเลีย พบว่าน้อยกว่า 5% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า ได้อ่านงานวิจัยสม่ำเสมอและนำไปใช้เป็นแนวทางในการรักษา[26][27] แม้จะมีทรรศนะคติที่ดีมากต่อเรื่อง “เวชปฏิบัติอิงหลักฐาน'' (evidence based practice) แต่นักกายภาพบำบัดส่วนใหญ่ ก็ยังใช้หลักการรักษา ที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนเพียงเล็กน้อย และแม้จะมีการเรียกร้องเป็นจำนวนมากให้มีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ หลักฐานทางการวิจัยและหลักทางวิทยาศาสตร์ เป็นแนวทางในการต้ดสินใจรักษา แต่นักกายภาพบำบัดส่วนใหญ ก็ยังคงปฏิบัติตามหลักการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเพื่อจะลบล้างข้อจำกัดนั้น สหพันธ์กายภาพบำบัดโลก (World confederation for physical therapy) (WCPT) สมาคมกายภาพบำบัดสหรัฐอเมริกา (APTA) และศาสตราจารย์จำนวนหนึ่ง ได้ใช้และรวบรวมแนว “เวชปฏิบัติตามแนวทางหลักฐานอ้างอิง” (evidence based practice) ไว้เป็นแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ [28]", "title": "กายภาพบำบัด" }, { "docid": "109849#7", "text": "ธุดงค์ ในภาษาไทย ใช้เรียกพระภิกษุแบกกลดเดินไปตามทางหรือเข้าป่าไปว่า เดินธุดงค์ หรือ ออกธุดงค์โดยการปฏิบัติที่ว่าด้วยการออกเดินทางนั้น เป็นข้อวัตรปฏิบัติพิเศษที่ชื่อว่า โมเนยยปฏิบัติ คือการอย่าเที่ยวภิกขาจารในที่เดิมซ้ำ อย่านอนในที่เดิมซ้ำ เพื่อไม่ตัดสินว่าใครดีชั่ว เพื่อไม่พิจารณาว่าสิ่งใดที่ไหนหยาบปราณีต เรียกภิกษุที่ปฏิบัติเช่นนั้นว่า พระธุดงค์ ธุดงค์ในภาษาไทยนี้จึงมีความหมายเฉพาะตัวตามประเพณีของพระวัดป่าของประเทศไทย[7]", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "66896#2", "text": "คองสิบสี่ เป็นคำและข้อปฏิบัติคู่กับฮีตสิบสอง คอง หมายถึง แนวทาง หรือ \"ครรลอง\" ซึ่งหมายถึง ธรรมเนียมประเพณี หรือแนวทาง และ สิบสี่ หมายถึง ข้อวัตรหรือแนวทางปฏิบัติสิบสี่ข้อ ดังนั้นคองสิบสี่จึงหมายถึง ข้อวัตรหรือแนวทางที่ประชาชนทุกระดับ นับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ผู้มีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง พระสงฆ์ และคนธรรมดาสามัญพึงปฏิบัติสิบสี่ข้อ อาจสรุปได้หลายมุมมองดังนี้", "title": "ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่" }, { "docid": "841089#4", "text": "ท่านเคยเล่าเหตุการณ์ของพระธุดงค์สมัยก่อนนั้นว่า “สมัยโน้นพระธุดงค์ก็ลำบาก ชาวบ้านก็ลำบาก เพราะไม่เจริญอย่างปัจจุบันนี้นะ แต่มีความเพียรแรงกล้า มุ่งอรรถมุ่งธรรมกันจริงๆ มาสมัยนี้หละหลวมไม่เอาดีเลย สอนแล้วก็ลืม…ลืมปฏิบัติกัน !”\nต่อมา พระอาจารย์ลี ธัมมธโร แจ้งให้ทราบว่า หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่จังหวัดสกลนคร จึงพากันเดินทางไปขอคำปรึกษาข้อปฏิบัติธรรมที่ติดขัด หลวงปู่มั่นแนะให้ไปฝึกกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย\nเมื่อทราบว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ถึงแก่มรณภาพลงที่จังหวัดสกลนคร หลวงปู่เทสก์, หลวงปู่ดูลย์, หลวงปู่แหวน, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่สาม, พระอาจารย์ลี, พระอาจารย์อ่อน, พระอาจารย์วัน และพระอาจารย์จวน ไปร่วมจัดงานบุญให้หลวงปู่มั่น\n“ปฏิปทาของหลวงปู่สาม อกิญฺจโน นั้น สาธุชนที่เคยเดินทางไปกราบนมัสการคงจะตระหนักดีว่า มีความคล้ายคลึงกับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มากทีเดียว ท่านมากไปด้วยขันติ โสรัจจะ อดทน สงบเงียบ เยือกเย็น ชีวิตเพศแห่งสมณะหลวงปู่ไม่เคยว่างเว้นในการเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาและใน จังหวัดต่างๆ จิตของท่านเต็มไปด้วยเมตตา ไม่เคยขัดศรัทธาคณะศรัทธาญาติโยมใครๆ เลย”\nหลวงปู่สาม อกิญฺจโน ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย บ่อยครั้งเกิดอาการอาพาธ ต้องเข้า-ออกรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จนกระทั่งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 หลวงปู่สามได้มรณภาพลงอย่างสงบ สิริอายุรวม 91 พรรษา 71 ท่ามกลางความเศร้าสลดของคณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นยิ่งนัก", "title": "หลวงปู่สาม อกิญฺจโน" }, { "docid": "908995#13", "text": "ปี พ.ศ. 2470 ในวันเพ็ญ เดือน 3 ก่อนเข้าพรรษา คณะพระธุดงค์กรรมฐานของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ปักหลักอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี และได้จัดประชุมคณะสงฆ์ขึ้นในช่วงวันมาฆบูชา ซึ่งในการนี้ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ปรารภถึงการออกธุดงค์วิเวกเพียงลำพังเพื่อพิจารณาค้นคว้าในปฏิปทาสัมมาปฏิบัติอันเป็นธรรมอันสูงสุด และได้มอบภารธุระทุกอย่างให้แก่ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ศิษย์อาวุโสเป็นผู้บริหารปกครองหมู่คณะสงฆ์ แนะนำพร่ำสอน ตามแนวทางที่ท่านได้ให้ไว้แล้วต่อไป", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "679689#19", "text": "นอกจากการกำหนดกติกาสงฆ์ข้างต้นแล้ว หลวงปู่ยังได้กำหนดให้ วัตร 14 เป็นระเบียบวิธีการปฏิบัติต่างๆภายในวัดหนองป่าพงและสำนักสาขา[3] ซึ่ง วัตร 14 (ขันธวัตร 14) นั้นก็คือ วัตตขันธกะ ขันธกะที่ ๘ แห่งคัมภีร์จุลวรรค วินัยปิฎก[6][7] รวมทั้งยังได้กำหนด ธุดงควัตร 13 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติอันบุคคลทำได้ยาก ให้ภิกษุสงฆ์วัดหนองป่าพงและสำนักสาขาได้ปฏิบัติตามความสมัครใจอีกด้วย[1] โดยที่ขันธวัตร 14 และ ธุดงควัตร 13 นั้นถือเป็นปฏิปทาที่พระธุดงค์กรรมฐานหรือพระป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ยึดถือปฏิบัติ[8] ตามแนวปฏิปทาของหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่สายกรรมฐานและเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญของหลวงปู่ชา สุภทฺโท", "title": "วัดหนองป่าพง" }, { "docid": "399866#3", "text": "หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ปรนนิบัติพระอุปัชฌาย์ รับฟังโอวาทจากพระอุปัชฌายะชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นท่านก็กราบลาพระอุปัชฌาย์ ไปศึกษาเล่าเรียนต่อกับพระอาจารย์เอียด วัดบน พระอาจารย์เอียดเก่งทั้งทางโลกและทางธรรม อบรมสั่งสอนให้รู้จักตัดกิเลสออกไปจากจิตใจได้ จนท่านตั้งใจว่า ขอถือบวชอยู่ในพุทธศาสนาตลอดไป หาทางพ้นทุกข์ตัดอาสวะกิเลสให้สิ้น หลวงปู่เขียวท่านตัดสินใจเดินธุดงค์เป็นวัตร คือ ถือผ้านุ่งห่มบังสกุล 3ชิ้น มีผ้าสบง อังสะ จีวร บิณฑบาตร และฉันอาหารมื้อเดียว(เอกา)เป็นวัตร จึงกราบลาอาจารย์เดินธุดงค์สู่ป่าเขาลำเนาไพร และธุดงค์ไปบำเพ็ญสมาธิ ฝึกจิตให้แก่กล้าขึ้น ผู้ที่ร่วมเดินทางไปกับท่านก็คือ พระครูนนทจรรยาวัตรหรือพระครูนนท์ ยอดพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งของภาคใต้ ด้วยวัตถุมงคลของท่าน ประชาชนชาวสยาม (ชาวไทย) ในปัจจุบัน ได้นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชา ท่านได้สร้างลูกอมและผ้ายันต์รอยมือรอยเท้ามีหลายแบบ ผ้ายุคแรกๆ จะประทับด้วยผงขมิ้นละลายน้ำ รุ่นหลังจากนั้นจะประทับด้วยคราม หมึกน้ำเงิน และหมึกดำ ผ้าบางผืนก็มีแต่รอยเท้าอย่างเดียว เป็นที่นิยมกันมาก ผืนที่มีสภาพสมบูรณ์เช่าหากันหมื่นกว่าบาทและมีประสบการณ์ไม่แพ้ไปกว่าลูกอม ส่วนเหรียญรุ่นแรกและรุ่นเดียวของท่านก็อ เหรียญปี 2513", "title": "หลวงปู่เขียว อินฺทมุนี" }, { "docid": "112394#62", "text": "ตามธรรมเนียอีสานล้านช้างโบราณ ผู้เป็นนักปกครอง เจ้านายราชวงศ์ หรือเจ้าบ้านผ่านเมืองและคณะอาญาสี่พร้อมทั้งกรมการเมือง จะต้องปฏิบัติตามครรลองครองธรรม ๑๔ ประการ เพื่อความเป็นปกติสุขของอาณาประชาราษฎร ในทำนองเดียวกับหลักทศพิธราชธรรม ๑๐ หรือหลักจักรวรรดิวัตร ๑๒ ของไทยสยาม ครรลองล้านช้างนี้เรียกว่า คองสิบสี่ ซึ่งเป็นหลักธรรมที่คู่กันกับหลัก ฮีตสิบสอง รวมเรียกว่า ฮีตสิบสองคองสิบสี่ คำว่า คอง แปลว่า แนวทาง หรือ ครรลอง ซึ่งหมายถึง ธรรมเนียมประเพณี หรือแนวทาง และ สิบสี่ หมายถึง ข้อวัตรหรือแนวทางปฏิบัติสิบสี่ข้อ ดังนั้นคองสิบสี่จึงหมายถึง ข้อวัตรหรือแนวทางที่ประชาชนทุกระดับ นับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ผู้มีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง พระสงฆ์ และคนธรรมดาสามัญพึงปฏิบัติสิบสี่ข้อ อาจสรุปได้หลายความเห็นว่าเป็นหลักปฏิบัติกล่าวถึงครอบครัวในสังคม ตลอดจนผู้ปกครองบ้านเมือง เป็นหลักปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ในการปกครองบ้านเมือง และหลักปฏิบัติของประชาชนต่อพระมหากษัตริย์ เป็นหลักปฏิบัติที่พระราชายึดถือปฏิบัติ เน้นให้ประชาชนปฏิบัติตามจารีตประเพณี และคนในครอบครัวที่ปฏิบัติต่อกัน และเป็นหลักปฏิบัติในการปกครองบ้านเมืองให้อยู่เป็นสุขตามจารีตประเพณี หลักแต่ละข้อนี้มีคำว่า ฮีต นำหน้าด้วย (อาจทำให้เกิดความสับสนกับฮีตสิบสอง) แต่ละคองจะมีสิบสี่ฮีต สี่ฮีตแรกจะเป็นฮีตที่เกี่ยวกับเจ้านายราชวงศ์ในระบบอาญาสี่ และเจ้านายกรมการท้าวเพีย คือ", "title": "อาญาสี่" }, { "docid": "395160#0", "text": "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) เป็นสมเด็จพระราชาคณะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร และอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม เคยดำรงตำแหน่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย งดงาม น่าเลื่อมใส ดุจเดียวกับพระกัมมัฏฐาน ที่ครั้งหนึ่งเคยเดินธุดงค์ไปบนเส้นทางเดียวกับพระกัมมัฏฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เน้นการปฏิบัติภาวนาพร้อมกับการปฏิบัติเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย ก่อนจะหันเหชีวิตมุ่งหน้าสู่การเรียนพระปริยัติธรรมตามแนวทาง “คันถธุระ” จนประสบผลส่าเร็จสูงสุด ได้เปรียญธรรม 9 ประโยค และได้น้อมนำหลักธรรมค่าสอนของพระพุทธองค์มาสู่การปฏิบัติ อบรมสั่งสอนพุทธบริษัท บริหารการคณะสงฆ์ นำความเจริญรุ่งเรืองให้กับพระพุทธศาสนาโดยรวม", "title": "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร)" }, { "docid": "76963#3", "text": "เมื่อครูบาพรหมาอายุได้ 24 ปี บวชได้ 4 พรรษา ท่านได้ออกธุดงค์ โดยครั้งแรกไปจำพรรษา ณ ดอยน้อย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้นท่านได้ธุดงค์ไปในสถานที่ด่างๆ ทั่วภาคเหนือ และประเทศพม่า และได้จำพรรษาในเขตพม่าเป็นเวาถึง 5 ปี ท่านได้จาริกธุดงค์ถึง 20 พรรษา โดยถือธุดงควัตร อยู่ป่าเป็นวัตร ออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ฉันภัตตาหารมื้อเดียว นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ท่านเพียรพยายามอดทนด้วยวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่สุด", "title": "พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พฺรหฺมจกฺโก)" }, { "docid": "240873#0", "text": "หีนยาน (บาลี; \"Hīnayāna\") แปลว่า ยานชั้นเลวหรือยานชั้นต่ำ เป็นคำที่คณาจารย์ฝ่ายมหายานใช้เรียกแนวการปฏิบัติใด ๆ ในศาสนาพุทธที่ไม่ได้ยึดแนวทางแบบพระโพธิสัตว์ แต่เน้นการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเฉพาะตนแบบพระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเรียกอีกอย่างว่าสาวกยานและปัจเจกยาน ต่างจากมหายานซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นให้ผู้ปฏิบัติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีมุ่งบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์จำนวนมากได้พ้นทุกข์ตามไปด้วย แนวทางอย่างหลังนี้จึงเรียกว่า มหายาน แปลว่ายานใหญ่", "title": "หีนยาน" }, { "docid": "334514#4", "text": "หลังจากบรรพชาอุปสมบท หลวงพ่อสมชาย ได้ศึกษาปริยัติธรรมจนจบนักธรรมชั้นเอกในปี พ.ศ. 2533 ท่านได้ปฏิเสธการรับตำแหน่งพระสังฆาธิการเจ้าอาวาส และได้มีศรัทธาออกธุดงค์ในช่วงหลังออกพรรษาของทุกปีไปยังพื้นที่ป่าเขาชนบททั้งในและนอกประเทศ เพื่อโปรดสาธุชนและฝึกปฏิบัติธรรม ตั้งแต่สิบสองปันนา (ประเทศจีน) เชียงตุง (ประเทศพม่า) รัฐกะเหรี่ยง (ประเทศพม่า) กัมพูชา รวมถึงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2534 หลวงพ่อสมชายได้ธุดงค์ไปจังหวัดภาคใต้ และได้เข้าพักที่สวนโมกขพลาราม และอยู่ฝากตัวเพื่อปฏิบัติศึกษาธรรมกับหลวงพ่อพุทธทาสก่อนที่ท่านพุทธทาสจะมรณภาพ และเป็นหนึ่งในพระลูกศิษย์ไม่กี่รูปที่อยู่ในวันฌาปนกิจสรีระของหลวงพ่อพุทธทาสในปี พ.ศ. 2536", "title": "พระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ" }, { "docid": "109849#5", "text": "ธุดงค์ คือวัตร หรือแนวทางการปฏิบัติจำนวน 13 ข้อ ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ให้แก่พระสงฆ์สำหรับเลือกนำไปปฏิบัติ เพื่อมุ่งให้เป็นแนวปฏิบัติเพิ่มเติมของพระสงฆ์ที่ตั้งใจสมาทานความเพียรเพื่อมุ่งขัดเกลาทางจิตเพื่อกำจัดกิเลส โดยธุดงค์นี้เป็นเพียงวัตร หรือแนวทางการประพฤติ ที่ไม่ใช่ศีลของพระสงฆ์ พระสงฆ์จึงเลือกปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ[1] และการปฏิบัติธุดงค์", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "908995#6", "text": "ปี พ.ศ. 2458 หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้กลับจากเขาสาริกา จังหวัดนครนายก ไปพักจำพรรษา ณ วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี มีกิตติศัพท์ขจรไปว่า ท่านได้สำเร็จธรรมจากเขาสาริกา ดังนั้น พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม[1] จึงได้ไปศึกษากรรมฐานกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านให้กรรมฐาน กายคตาสติ ข้อ ปัปผาสะ ปัญจกะ (คือ หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปิหกํ ปปฺผาสํ) ให้เป็นบทบริกรรม ในช่วงปีนี้ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมกับเพื่อนสหธรรมิกคือ พระอาจารย์ดูลย์ อตุโล เมื่อได้ถวายตัวเป็นศิษย์และได้ฝึกทำสมาธิกับครูบาอาจารย์ จิตใจสงบดี มีความสังเวชสลดใจเกิดความเบื่อหน่ายในการประกอบคันถธุระ เชื่อแน่ว่ายังไม่หมดเขตสมัยมรรคผลนิพพาน เพราะหนทางการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่ จึงตกลงบำเพ็ญด้านวิปัสสนาธุระสืบไป และได้ออกธุดงค์ติดตาม หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นับแต่นั้นมาไป ซึ่งท่านได้ธุดงค์วิเวกตามป่าเขาสถานที่ต่างๆในเขตจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดนครพนม จังหวัดหนองคาย", "title": "พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)" }, { "docid": "907939#3", "text": "ปี พ.ศ. 2465 พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ได้ออกธุดงค์เที่ยวหาเรียนวิชาอาคม หาของขลังและหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เดินทางขึ้นไปทางสกลนคร นครพนม จึงได้พบกับ พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต ที่บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เมื่อได้ฟังธรรมกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเชื่อว่าเป็นผู้มีญาณวิเศษสำเร็จแล้ว เพราะได้ทักท้วงท่านเหมือนตาเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงกราบขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ใช้ช่วยชี้แนะแนวทางประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และได้จำพรรษาในเขตจังหวัดนครพนมและจังหวัดสกลนคร ", "title": "วัดป่าสุนทราราม" }, { "docid": "242865#25", "text": "“พระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้นิยมกันในทางวิปัสสนาและธุดงค์วัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย แรกลงไปประชุมที่วัดบางเหี้ยมีสัปบุรุษที่ศรัทธาเลื่อมใสช่วยกันเลี้ยงกินน้ำจืดที่มีไว้เกือบจะหมดแล้วก็ออกเดิน ทางที่เดินนั้นลงไปบางปลาสร้อย แล้วจึงเวียนกลับขึ้นไปปราจิณ นครนายก ไปพระบาท แล้วเดินลงมาทางสระบุรี ถ้ามาตามทางรถไฟแต่ไม่ขึ้นรถไฟเว้นแต่พระที่เมื่อยล้าเจ็บไข้ ผ่านกรุงเทพฯ กลับลงไปบางเหี้ย ออกเดินทางอยู่ในแรมเดือนยี่กลับไปวัดอยู่ในราวเดือนห้าเดือนหก ประพฤติเป็นอาจิณวัตรเช่นนี้มา 40 ปีแล้ว", "title": "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ (ปาน อคฺคปญฺโญ)" } ]
4019
มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือมหาสมุทรใด ?
[ { "docid": "3785#0", "text": "มหาสมุทรแปซิฟิก (English: Pacific Ocean) ตั้งชื่อโดย เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ว่า Mare Pacificum เป็นภาษาละติน แปลว่า peaceful sea ภาษาฝรั่งเศส pacifique (ปาซีฟีก) หมายถึง \"สงบสุข\" เป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นน้ำประมาณ 165,000,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 1 ใน 3 ของพื้นที่ผิวทั้งหมดของโลก ความยาวในแนวลองจิจูดมีระยะทางประมาณ 15,500 กิโลเมตร จากทะเลเบริงในเขตอาร์กติกที่อยู่ทางเหนือจรดริมฝั่งทะเลรอสส์ในแอนตาร์กติกาที่อยู่ทางใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกมีด้านที่กว้างที่สุดตามแนวตะวันออก-ตะวันตก อยู่ ณ บริเวณละติจูด 5 องศาเหนือ ด้วยความยาวประมาณ 19,800 กิโลเมตร จากอินโดนีเซียถึงชายฝั่งโคลอมเบีย สุดเขตด้านตะวันตก คือ ช่องแคบมะละกา จุดที่ลึกที่สุดในโลก คือ ร่องลึกมาเรียนา (Mariana Trench) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก จุดที่ลึกที่สุดวัดได้ 10,911 เมตร", "title": "มหาสมุทรแปซิฟิก" } ]
[ { "docid": "3753#19", "text": "นักวิจัยบางส่วนเชื่อว่าส่วนใหญ่ของพิ้นที่ราบต่ำทางตอนเหนือของดาวเคยถูกมหาสมุทรปกคลุมด้วยความลึกหลายร้อยเมตร ทั้งนี้ยังอยู่ในระหว่างการโต้แย้ง ในเดือนมีนาคม 2015 นักวิทยาศาสตร์ระบุว่ามหาสมุทรดังกล่าวอาจมีขนาดราวมหาสมุทรอาร์กติกของโลก การวินิจฉัยนี้ได้มาจากการประเมินอัตราส่วนระหว่างน้ำและดิวเทอเรียมในบรรยากาศปัจจุบันของดาวอังคารเทียบกันกับอัตราส่วนที่พบบนโลก ปริมาณดิวเทอเรียมที่พบบนดาวอังคารมีมากกว่าที่ดำรงอยู่บนโลกถึงแปดเท่า บ่งชี้ว่าดาวอังคารครั้งโบราณกาลมีน้ำเป็นปริมาณมากอย่างมีนัยสำคัญ ผลสำรวจจากยาน\"คิวริออซิตี\" มาพบในภายหลังว่ามีดิวเทอเรียมในอัตราส่วนสูงในหลุมอุกกาบาตเกล อย่างไรก็ตามค่าที่ได้ยังไม่สูงพอที่จะสนับสนุนว่าเคยมีมหาสมุทรอยู่ นักวิทยาศาสตร์รายอื่น ๆ เตือนว่าการศึกษาใหม่นี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน และชี้ประเด็นว่าแบบจำลองภูมิอากาศดาวอังคารยังไม่ได้แสดงว่าดาวเคราะห์มีความอบอุ่นเพียงพอในอดีตที่ผ่านมาที่จะเอื้อให้น้ำคงอยู่ในรูปของเหลวได้", "title": "ดาวอังคาร" }, { "docid": "3875#24", "text": "เมื่อแผ่นธรณีภาคมีการเคลื่อนตัว เปลือกโลกส่วนมหาสมุทรจะมุดตัวลงใต้ขอบปะทะของแผ่นเปลือกตามแนวขอบเขตแบบเข้าหากัน ในเวลาเดียวกัน การไหลเลื่อนขึ้นของเนื้อชั้นเนื้อโลกที่ขอบเขตแบบแยกจากกันจะก่อให้เกิดสันกลางมหาสมุทร กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้รวมกันทำให้เกิดการรีไซเคิลแผ่นเปลือกมหาสมุทรกลับสู่เนื้อโลก ด้วยการรีไซเคิลนี้เองพื้นมหาสมุทรส่วนใหญ่จึงมีอายุไม่เกิน 100 ล้านปี เปลือกโลกส่วนมหาสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในบริเวณแปซิฟิกตะวันตกโดยมีอายุประมาณกว่า 200ล้านปี[95][96] เมื่อเทียบกันแล้ว เปลือกโลกส่วนทวีปที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุถึง 4030ล้านปี[97]", "title": "โลก (ดาวเคราะห์)" }, { "docid": "852359#2", "text": "ในขณะที่ Electrona risso สามารถพบได้ทั่วโลกแพร่หลายในมหาสมุทรอินเดีย,มหาสมุทรแปซิฟิก,มหาสมุทรแอตแลนติกและเมดิเตอร์เรเนียนอีกสี่สายพันธุ์ถูก จำกัด ไว้ที่ซีกโลกใต้ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่ใต้มหาสมุทร การกระจายตัวของพวกมันขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างการกระจายตัวของตัวอ่อนที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันและพฤติกรรมการกลับถิ่นนอกจาก E. rissoi E. paucirastra เป็นสายพันธุ์เดียวที่พบได้ทางตอนเหนือของมหาสมุทรใต้ แอนตาร์กติกาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใต้แอนตาร์กติกลึกและน้ำอุ่นดังนั้น E. carlsbergii อาศัยอยู่ทางใต้ของทวีปแอนตาร์กติกาลู่ไปยังชายฝั่งแอนตาร์กติกและระหว่างทวีปแอนตาร์กติกและแอนตาร์กติก convergences [5] รูปแบบของน้ำลึกหลายชนิดพบอยู่ในน่านน้ำในน่านน้ำ รูปแบบการย้ายถิ่นจะแตกต่างกันไประหว่างชนิดพันธุ์กลุ่มอายุช่วงอายุของชีวิตเพศละติจูดเวลาและฤดูกาล Migration patterns vary between different species, size groups, life history stages, sex, latitude, time and season.\nปลาเหล่านี้แสดงรูปแบบการย้ายถิ่นประจำวัน ในระหว่างวันพวกมันขึ้นในความลึกระหว่าง 400-1000 เมตร ในช่วงกลางคืนพวกมันจะอพยพเข้ามาใกล้พื้นผิวระหว่าง 5-100 เมตร การย้ายถิ่นตามแนวตั้ง การกระทำนี้ดำเนินการโดยหลักๆแล้วเพื่อการล่าแพลงก์ตอนสัตว์ซึ่งเป็นอาหารหลักของพวกมันและพวกมันยังมีการกระจุกตัวอยู่ในชั้นผิวน้ำและเดินทางลงน้ำลึกในระหว่างวันเพื่อหลีกเลี่ยงนักล่า", "title": "Electrona" }, { "docid": "3785#5", "text": "มหาสมุทรแปซิฟิกทอดตัวยาวลงมาตั้งแต่ทะเลแบริ่งในแถบอาร์กติกไปจนถึงเส้นขนานที่ 60 องศาใต้ซึ่งเป็นตอนเหนือของมหาสมุทรใต้ (ในอดีตมีพื้นที่ถึงทะเลรอสส์ในแอนตาร์กติกา) จุดที่มหาสมุทรแปซิฟิกมีขนาดแผ่นดินใหญ่ห่างกันที่สุดอยู่ที่เส้นขนานที่ 5 องศาเหนือโดยทอดยาวเป็นระยะทางครึ่งโลกหรือประมาณ 19,800 กิโลเมตรจากอินโดนีเซียไปยังชายฝั่งของโคลอมเบีย ซึ่งความยาวนี้ยาวกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ถึง 5 เท่า[3] จุดที่ลึกที่สุดคือร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาวัดได้ 10,911 เมตรใต้ระดับน้ำ ความลึกเฉลี่ยของแปซิฟิกคือ 4,280 เมตร มีปริมาณน้ำทั้งหมด 710,000,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร[1]", "title": "มหาสมุทรแปซิฟิก" }, { "docid": "3942#0", "text": "มหาสมุทรอาร์กติก () ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือ และส่วนใหญ่อยู่ในเขตขั้วโลกเหนืออาร์กติก เป็นมหาสมุทรขนาดเล็กที่สุดและตื้นเขินที่สุดในห้ามหาสมุทรตามการแบ่งมหาสมุทรหลักของโลก องค์กรอุทกศาสตร์โลก (IHO) ยอมรับว่ามหาสมุทรอาร์กติกเป็นมหาสมุทร แม้นักอุทกศาสตร์บางคนจะเรียกบริเวณนี้ว่า ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอาร์กติก หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ทะเลอาร์กติก โดยจัดว่าบริเวณนี้เป็นหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของมหาสมุทรแอตแลนติก หรืออาจมองว่า เป็นส่วนเหนือสุดของมหาสมุทรโลกที่ล้อมรอบทั้งหมด", "title": "มหาสมุทรอาร์กติก" }, { "docid": "202178#0", "text": "มหาสมุทรพายุ (; ) คือแอ่งกว้างใหญ่บนดวงจันทร์ของโลก อยู่ทางขอบด้านตะวันตกของด้านใกล้ของดวงจันทร์ ที่จริงแล้ว ไม่ได้เป็น มหาสมุทร เพราะไม่ได้มีน้ำแต่อย่างใด แต่เป็นที่ราบขนาดพื้นที่ราว 4,000,000 ตาราง กม. ความยาวจาก เหนือ - ใต้ ราว 2500 กม. เกิดจากการที่ภูเขาไฟระเบิด ทำให้พื้นเป็นหินบะซอลต์", "title": "มหาสมุทรพายุ" }, { "docid": "3901#1", "text": "ตอนเหนือสุดของมหาสมุทรอินเดียอยู่ในอ่าวเปอร์เซีย ที่บริเวณละติจูด 30° เหนือ มหาสมุทรมีความกว้างมากที่สุดอยู่ระหว่างจุดใต้สุดของแอฟริกาและออสเตรเลีย ด้วยระยะทางเกือบ 10,000 กิโลเมตร มีพื้นน้ำ 70,560,000 ตารางกิโลเมตร รวมทะเลแดงและอ่าวเปอร์เซีย แต่ไม่รวมมหาสมุทรใต้หรือ 19.5% ของมหาสมุทรโลก มหาสมุทรอินเดียมีปริมาตรประมาณ 264,000,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร หรือ 19.8% ของปริมาณมหาสมุทรโลก มีความลึกเฉลี่ย 3,741 เมตร และมีความลึกสูงสุด 7,906 เมตร", "title": "มหาสมุทรอินเดีย" }, { "docid": "357229#0", "text": "แชลเลนเจอร์ดีป () เป็นจุดที่ลึกที่สุดในมหาสมุทรของโลกเท่าที่รู้จัก โดยมีระดับความลึก 10,911 เมตร ตั้งอยู่ทางปลายด้านใต้สุดของร่องลึกมาเรียนา ใกล้กับกลุ่มหมู่เกาะมาเรียนา แชลเลนเจอร์ดีปมีลักษณะเป็นแอ่งขนาดเล็กที่ก้นของร่องลึกใต้มหาสมุทรรูปดวงจันทร์เสี้ยวขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งร่องเหล่านี้ก็เป็นลักษณะภูมิประเทศที่ลึกผิดปกติใต้ท้องมหาสมุทรอยู่แล้ว แผ่นดินที่อยู่ใกล้กับแชลเลนเจอร์ดีปที่สุด คือ เกาะไฟส์ (ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะแย็พ) ห่างออกไป 289 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และกวม ห่างออกไป 306 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แอ่งดังกล่าวได้ชื่อตามเรือสำรวจราชนาวี เอชเอ็มเอส แชลเลนเจอร์ ซึ่งจัดการสำรวจใน ค.ศ. 1872-76 เป็นการบันทึกความลึกของมหาสมุทรเป็นครั้งแรก", "title": "แชลเลนเจอร์ดีป" }, { "docid": "849842#5", "text": "ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ที่มนุษย์รู้จักมีทั้งดาวเคราะห์ยักษ์ที่เป็นแก๊สและดาวเคราะห์คล้ายโลกที่เป็นของแข็ง ดาวเคราะห์คล้ายโลกประกอบด้วยดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร โดยพื้นผิวของดาวเคราะห์ชั้นในเหล่านี้มีมีองค์ประกอบของหินและแกนกลางเป็นโลหะ ขณะที่ดาวเคราะห์ยักษ์ประกอบด้วยดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มีพื้นผิวดินเป็นแกนหินขนาดเล็กเพียงอย่างเดียวล้อมรอบด้วยชั้นบรรยากาศที่หนาแน่น ดาวแก๊สยักษ์คือดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์มีชั้นพื้นผิวที่ประกอบด้วยไฮโดรเจนเหลวแทนที่จะเป็นพื้นดินแข็งซึ่งในทางธรณีวิทยาดาวเคราะห์ยังไม่เป็นที่เข้าใจมากนัก ความเป็นไปได้ของดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน (ดาวน้ำแข็งยักษ์) มีความร้อนแรงอัดสูงและน้ำยิ่งยวดภายใต้ชั้นบรรยากาศหนาทึบได้รับการตั้งสมมุติฐานขณะที่องค์ประกอบของดาวเคราะห์ยังไม่เป็นที่เข้าใจมากนัก การศึกษาของวิคโทโรวิคซ์และคนอื่น ๆ ในปี 2006 ได้ตัดความเป็นไปได้ของการมีน้ำใน \"มหาสมุทร\" ที่มีอยู่ในดาวเนปจูน แม้ว่าบางการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่ามหาสมุทรซึ่งมีองค์ประกอบของเพชรเหลวสามารถเป็นไปได้ พื้นผิวทั้งหมดของดาวเคราห์หินหรือดวงจันทร์ถือว่าเป็นพื้นดินแม้ว่าจะไม่มีทะเลหรือมหาสมุทรก็ตาม ส่วนประกอบของดาวเคราะห์ที่มีชั้นบรรยากาศบาง ๆ มักมีพื้นดินที่เด่นชัดจากการตกของอุกกาบาตเนื่องจากสภาพของชั้นบรรยากาศมักจะเผาไหม้วัตถุที่ตกลงมาและกระทบพื้นผิวอย่างรุนแรง พื้นดินของดาวเคราะห์นอกเหนือจากโลกยังสามารถซื้อและขายได้แม้ว่ากรรมสิทธิ์ของอสังหาริมทรัพย์นอกโลกจะไม่เป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานใด ๆ", "title": "พื้นดิน" }, { "docid": "356375#3", "text": "พบกระจายพันธุ์ในน่านน้ำเขตอบอุ่นทั้ง มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นปลากระเบนขนาดใหญ่ มีขนาดความกว้างโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร ซึ่ง ปลากระเบนแมนตา (\"Manta\" spp.) ซึ่งเป็นปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็อยู่ในวงศ์นี้ด้วย ", "title": "วงศ์ปลากระเบนนก" }, { "docid": "663682#1", "text": "ปลาแฮลิบัตเป็นปลาซีกเดียวที่มีขนาดใหญ่ นับเป็นปลาซีกเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวเต็มที่ที่พบคือเกือบ 3 เมตร น้ำหนักกว่า 50 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกทางเหนือที่มีอุณหภูมิหนาวเย็น ทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก ", "title": "ปลาแฮลิบัต" }, { "docid": "343228#2", "text": "มหาสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดในโลก - มหาสมุทรแปซิฟิก พื้นที่ประมาณ 165,246,000 ตารางกิโลเมตร มหาสมุทรขนาดเล็กที่สุดในโลก - มหาสมุทรอาร์กติก พื้นที่ประมาณ 14,438,000 ตารางกิโลเมตร ทะเลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลจีนใต้ พื้นที่ประมาณ 3,500,000 ตารางกิโลเมตร ทะเลที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก - ทะเลเหลือง พื้นที่ประมาณ 466,200 ตารางกิโลเมตร ทะเลซึ่งมีความลึกที่สุดในโลก - ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ในมหาสมุทรแปซิฟิก ความลึก 11,034 เมตร ทะเลสาบปิดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลแคสเปียน พื้นที่ประมาณ 371,000 ตารางกิโลเมตร ล้อมรอบด้วย 5 ประเทศ ทะเลสาบซึ่งมีความลึกที่สุดในโลก - ทะเลสาบไบคาล สหพันธรัฐรัสเซีย จุดที่ลึกที่สุด มีความลึกประมาณ 1,640 เมตร ทะเลสาบซึ่งมีความเค็มที่สุดในโลก - ทะเลสาบดอนฮวน ทวีปแอนตาร์กติกามีเกลือเจือปนอยู่ร้อยละ 42[1][2] แม่น้ำสายกว้างที่สุดในโลก - แม่น้ำแอมะซอน ในทวีปอเมริกาใต้ ความกว้าง 335 กิโลเมตร แม่น้ำสายยาวที่สุดในโลก - แม่น้ำไนล์ ในทวีปแอฟริกา ความยาว 6,695 กิโลเมตร แม่น้ำสายสั้นที่สุดในโลก - แม่น้ำดี สหรัฐอเมริกา ความยาว 130 เมตร น้ำตกสายกว้างที่สุดในโลก - น้ำตกไนแอการา ประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ความกว้าง 148 กิโลเมตร น้ำตกสายสูงที่สุดในโลก - น้ำตกเอนเจล สาธารณรัฐโบลีวาร์แห่งเวเนซุเอลา ความสูง 979 เมตร", "title": "ที่สุดในโลก" }, { "docid": "728704#1", "text": "หากดาวเคราะห์มหาสมุทรโคจรอยู่ใกล้ดาวฤกษ์แม่จนทำให้อุณหภูมิสูงถึงจุดเดือดของน้ำแล้ว น้ำจะอยู่ในสถานะวิกฤตยิ่งยวดและทำให้ไม่สามารถกำหนดอาณาเขตของพื้นผิวดาวเคราะห์ได้อีกต่อไป สำหรับดาวเคราะห์มหาสมุทรที่เย็นกว่า ก็อาจยังคงมีชั้นบรรยากาศที่หนากว่าโลกมากเนื่องจากประกอบด้วยไอน้ำปริมาณมหาศาล สามารถนำไปสู่ภาวะเรือนกระจกขั้นรุนแรงได้ ดาวเคราะห์น้ำขนาดเล็กควรมีชั้นบรรยากาศเบาบางกว่าเนื่องจากมีแรงโน้มถ่วงต่ำ ซึ่งน้ำสามารถระเหยได้ง่ายกว่าดาวเคราะห์ที่มีมวลมาก และในทางทฤษฎี ดาวเคราะห์น้ำขนาดเล็กอาจมีคลื่นสูงกว่าดาวเคราะห์ขนาดใหญ่เพราะมีแรงโน้มถ่วงต่ำกว่าเช่นกัน ดาวเคราะห์มหาสมุทรอาจเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำได้", "title": "ดาวเคราะห์มหาสมุทร" }, { "docid": "3875#22", "text": "ค่าเฉลี่ยของการสูญเสียความร้อนจากโลกอยู่ที่ 87 มิลลิวัตต์ต่อตารางเมตร คิดรวมทั้งโลกจะสูญเสียความร้อนที่ 4.42 × 1013 วัตต์[89] พลังงานความร้อนบางส่วนจากแก่นถูกแมนเทิลพลูมส่งผ่านขึ้นมายังเปลือกโลก ซึ่งเป็นการพาความร้อนแบบหนึ่งที่เกิดจากการไหลขึ้นของหินอุณหภูมิสูง พลูมนี้สามารถทำให้เกิดจุดร้อนและทุ่งบะซอลท์[90] ความร้อนจากภายในโลกส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค โดยการไหลขึ้นของเนื้อโลกที่สัมพันธ์กับสันกลางมหาสมุทร หนทางการสูญเสียความร้อนสำคัญสุดท้ายคือการนำความร้อนผ่านธรณีภาคซึ่งปรากฏใต้มหาสมุทรเป็นส่วนใหญ่เพราะเปลือกโลกบริเวณนั้นบางมากกว่าแผ่นเปลือกทวีปมาก[91]", "title": "โลก (ดาวเคราะห์)" }, { "docid": "498813#1", "text": "ถึงแม้ว่า โครงการต่าง ๆ ที่เขาตั้งใจไว้จะไม่สำเร็จเสมอไปเพราะพวกเขามักจะมีปัญหาด้านวิศวกรรมอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ดี เขาก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็น \"คนแรก\" ในหลาย ๆ ด้านทางวิศวกรรม โดยเฉพาะหลักการของเขาที่สามารถช่วยสร้างอุโมงค์ข้ามแม่น้ำ ซึ่งยากต่อการสร้างได้ และเขายังเป็นผู้พัฒนาออกแบบเรือเอสเอสเกรตบริเตน (SS Great Britain) ซึ่งเป็นเรือที่ทำด้วยเหล็กกล้าและใช้ใบจักรแบบสกรูครั้งแรกของโลก และได้ถูกนำไปใช้ในการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นลำแรกของโลก และนอกจากนี้ยังเป็นเรือที่ใหญ่สุดในโลกเท่าที่มีการสร้างมาในขณะนั้น ในปี ค.ศ. 1843 และเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือ เรือเอสเอสเกรตอีสเทิร์นซึ่งครองตำแหน่งเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกยาวนานถึง 34 ปี เป็นเรือที่มีขนาดก้าวกระโดดกว่าลำใด ๆ ในยุคนั้น ", "title": "อิซัมบาร์ด คิงดอม บรูเนล" }, { "docid": "495372#2", "text": "ในมหาสมุทรอินเดียเหนือ จะใช้มาตราของกรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย ซึ่งแบ่งการจัดความรุนแรงออกเป็น 7 ขั้น โดยอ้างอิงความเร็วลมที่ความเร็วลมสูงสุดโดยประมาณที่พัดต่อเนื่องใน 3 นาที ส่วนพายุหมุนเขตร้อนที่พัฒนาในซีกโลกใต้จะถูกจัดความรุนแรงโดยศูนย์เตือนภัย ตามมาตราใดมาตราหนึ่งจากเพียงสองมาตราที่ใช้ในซีกโลกใต้ ซึ่งทั้งสองมาตราต่างอ้างอิงความเร็วลมโดยประมาณใน 10 นาทีเช่นเดียวกัน โดยมาตราพายุหมุนเขตร้อนของออสเตรเลีย จะใช้จัดความรุนแรงของพายุหมุนเขตร้อนในทวีปออสเตรเลีย (รวมมหาสมุทรอินเดียใต้ฝั่งตะวันออก) และในแอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ส่วนในมหาสมุทรอินเดียใต้ฝั่งตะวันตกจะใช้มาตราของเมเตโอฟร็องส์ ซึ่งถูกใช้อย่างหลากหลายในดินแดนของฝรั่งเศส รวมถึงนิวแคลิโดเนียและเฟรนช์พอลินีเชียด้วย", "title": "มาตราพายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "3958#0", "text": "มหาสมุทร (English: ocean) เป็นผืนน้ำทะเลขนาดใหญ่เชื่อมต่อกัน และครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3 ใน 4 (71%) ของพื้นผิวโลก มหาสมุทรเรียงตามลำดับขนาดจากมากไปน้อยได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรใต้ และมหาสมุทรอาร์กติก[1][2] คำว่า sea หรือทะเล บางครั้งใช้แทนคำว่า \"ocean\" หรือ \"มหาสมุทร\" ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันได้ แต่หากเจาะจงการพูดแล้ว sea คือแหล่งน้ำเค็ม (ส่วนหนึ่งของมหาสมุทร) ส่วนที่มีพื้นที่ติดพื้นดิน[3]", "title": "มหาสมุทร" }, { "docid": "3937#0", "text": "มหาสมุทรแอตแลนติก () เป็นมหาสมุทรที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1 ใน 5 ของพื้นผิวโลก ชื่อของมหาสมุทรมาจากนิยายปรัมปรากรีก หมายถึง \"ทะเลของแอตลาส\" มหาสมุทรแอตแลนติกเป็นแอ่งที่มีรูปร่างเหมือนตัวเอส (S) ติดกับทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ทางตะวันตก ส่วนทางตะวันออกติดกับ ทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา ปัจจุบันมีการแบ่งมหาสมุทรแอตแลนติกเป็น 2 ส่วน คือ แอตแลนติกเหนือและแอตแลนติกใต้ โดยใช้บริเวณที่เกิดการเปลี่ยนทิศของกระแสน้ำที่ละติจูด 8° เหนือเป็นแนวแบ่ง", "title": "มหาสมุทรแอตแลนติก" }, { "docid": "495372#1", "text": "พายุหมุนเขตร้อนที่พัฒนาขึ้นในซีกโลกเหนือจะถูกจัดความรุนแรงโดยศูนย์เตือนภัย ตามมาตราใดมาตราหนึ่งจากสามมาตราที่ใช้ในซีกโลกเหนือ โดยพายุหมุนเขตร้อนหรือพายุหมุนกึ่งเขตร้อนที่ปรากฏอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเมื่อแรกพายุจะถูกจัดความรุนแรงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนและพายุโซนร้อนตามลำดับ จนเมื่อพายุโซนร้อนทวีกำลังแรงขึ้น จะถูกจัดเป็นพายุเฮอร์ริเคน และหลังจากนั้นจึงจะถูกจัดความรุนแรงด้วยมาตราเฮอร์ริเคนแซฟเฟอร์–ซิมป์สัน โดยอ้างอิงความเร็วลมที่ความเร็วลมสูงสุดโดยประมาณที่พัดต่อเนื่องใน 1 นาที ส่วนในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก พายุหมุนเขตร้อนจะถูกจัดความรุนแรงตามมาตราของคณะกรรมการไต้ฝุ่นของ ESCAP/WMO ซึ่งเป็นมาตราที่แบ่งความรุนแรงของพายุออกเป็นสี่ขั้น โดยอ้างอิงความเร็วลมที่ความเร็วลมสูงสุดโดยประมาณที่พัดต่อเนื่องใน 10 นาที", "title": "มาตราพายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "735380#1", "text": "ซีกโลกเหนือประกอบด้วยพื้นน้ำมากกว่าแผ่นดินอย่างชัดเจน แต่ก็ยังปกคลุมด้วยแผ่นดินมากกว่าซีกโลกใต้ ซีกโลกเหนือประกอบด้วยแผ่นดิน 39 % และพื้นน้ำ 61 % ประชากรราว 90 % ของโลกอาศัยอยู่ในซีกโลกเหนือ แผ่นดินส่วนใหญ่เป็นทวีปยุโรป ทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทวีปอเมริกาเหนือ และส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ยังมีบางส่วนของทวีปอเมริกาใต้ กรีนแลนด์ เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มหาสมุทรที่มีพื้นที่อยู่ในซีกโลกเหนือได้แก่มหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติกราวครึ่งหนึ่ง และมหาสมุทรอินเดียบางส่วน", "title": "ซีกโลกเหนือ" }, { "docid": "728704#0", "text": "ดาวเคราะห์มหาสมุทร หรือ ดาวเคราะห์น้ำ () คือดาวเคราะห์ตามสมมติฐานประเภทหนึ่งที่ประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วพื้นผิวทั้งหมดของดาวเคราะห์ประเภทนี้จะจมอยู่ใต้ปริมาณน้ำมหาศาล ซึ่งอาจลึกได้หลายร้อยกิโลเมตร ลึกมากกว่าตำแหน่งใด ๆ ของมหาสมุทรบนโลก ความดันเนื่องจากแรงกดทับอันมหาศาลของน้ำด้านบนอาจก่อให้เกิดชั้นน้ำแข็งขึ้นภายใต้มหาสมุทร ชั้นน้ำแข็งที่เกิดขึ้นจากความกดดันนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเย็นเหมือนก้อนน้ำแข็งธรรมดาเสมอไป", "title": "ดาวเคราะห์มหาสมุทร" }, { "docid": "67671#0", "text": "ทะเล เป็นแหล่งน้ำเค็มขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยพื้นดินทั้งหมดหรือบางส่วน. เมื่อกล่าวถึงกว้าง ๆ ทะเล คือระบบที่เชื่อมกันระหว่างผืนน้ำมหาสมุทรน้ำเค็มบนโลก ถือเป็นมหาสมุทรโลก หรือแยกเป็นมหาสมุทรหลาย ๆ แห่ง ทะเลบรรเทาภูมิอากาศของโลก และมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำ และวัฏจักรคาร์บอน แม้ว่ามีการเดินทางและสำรวจทะเลตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เกี่ยวกับทะเลที่เรียกว่า สมุทรศาสตร์ สืบย้อนไปได้ถึงคณะเดินทาง\"แชลเลนเจอร์\"ของชาวอังกฤษในคริสต์ทศวรรษ 1870 ทะเลถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ได้ 5 ส่วน รวมถึงมหาสมุทร 4 แห่ง ที่ตั้งชื่อโดยองค์การอุทกศาสตร์สากล (มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรอาร์กติก) และมหาสมุทรใต้ ทะเลที่มีขนาดเล็กกว่า และอยู่ในระดับรองลงมา เช่น ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน", "title": "ทะเล" }, { "docid": "3785#4", "text": "มหาสมุทรแปซิฟิกแยกทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลียและทวีปอเมริกาออกจากกัน เส้นศูนย์สูตรเป็นเส้นที่แบ่งมหาสมุทรแปซิฟิกออกเป็นแปซิฟิกเหนือและแปซิฟิกใต้ ทางเหนือติดภูมิภาคอาร์กติกส่วนทางใต้ติดแอนตาร์กติกา[1] มหาสมุทรแปซิฟิกครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 3 ของพื้นผิวโลกและมีพื้นที่ 165,200,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งใหญ่กว่าแผ่นดินทั้งหมดของโลก[2]", "title": "มหาสมุทรแปซิฟิก" }, { "docid": "3785#12", "text": "แปซิฟิกเป็นมหาสมุทรที่มีเกาะมากที่สุดในโลก มีการประมาณว่ามีเกาะทั้งหมด 25,000 เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก[13][14][15] เกาะในแปซิฟิกจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือไมโครนีเซีย เมลานีเซียและโปลินีเซีย", "title": "มหาสมุทรแปซิฟิก" }, { "docid": "3989#4", "text": "โลกของ\"วันพีซ\"มีมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นจำนวนมากอาศัยอยู่ เช่น \"มนุษย์เงือก\" คนแคระ เผ่ามิงค์ (เผ่าพันธุ์สัตว์คล้ายมนุษย์) ชาวเกาะท้องฟ้า และยักษ์ กินอาณาเขตสองมหาสมุทร ซึ่งคั่นด้วยเทือกเขาขนาดยักษ์เรียก เรดไลน์ ( Reddo Rain) ซึ่งเป็นทวีปเดียวในโลก แกรนด์ไลน์ () ทะเลซึ่งทอดตั้งฉากกับแกรนด์ไลน์ แบ่งมหาสมุทรออกเป็นสี่ทะเล ได้แก่ นอร์ทบลู () อีสบลู () เวสต์บลู () และเซาท์บลู () มีทะเลสองสายล้อมรอบแกรนด์ไลน์ เรียก คามเบลท์ () คล้ายกับละติจูดม้า ซึ่งแทบไม่มีลมหรือกระแสน้ำมหาสมุทร และเป็นที่เพาะพันธุ์สัตว์ทะเลขนาดใหญ่มาก เรียก ด้วยเหตุนี้ คามเบลท์จึงเป็นปราการอย่างดีแก่ผู้ที่พยายามเข้าแกรนด์ไลน์ ทว่า เรือกองทัพเรือ สมาชิกองค์การระหว่างรัฐบาลที่เรียก รัฐบาลโลก สามารถใช้ เพื่ออำพรางตนจากเจ้าทะเลและสามารถผ่านคามเบลท์ได้ เรืออื่นถูกบีบให้ใช้เส้นทางอันตรายกว่า ผ่านภูเขาที่แยกแรกของแกรนด์ไลน์กับเรดไลน์ เป็นระบบคลองที่เรียก น้ำทะเลจากมหาสมุทรทั้งสี่ไหลขึ้นภูเขานั้นและรวมกันบนยอดไหลลงมาเป็นคลองที่ห้าเข้าสู่ครึ่งแรกของแกรนด์ไลน์ ครึ่งหลังของแกรนด์ไลน์ซึ่งอยู่เลยแยกท่สองกับเรดไลน์ เรียกว่า ", "title": "วันพีซ" }, { "docid": "3901#2", "text": "ริมขอบของมหาสมุทรมีเกาะเล็กๆจำนวนมาก ประเทศที่เป็นเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ได้แก่ มาดากัสการ์ (เดิมเป็นสาธารณรัฐมาลากาซี) ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รวมทั้งคอโมโรส, เซเชลส์, มัลดีฟส์, มอริเชียส และศรีลังกา รวมทั้งหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซีย และประเทศติมอร์-เลสเตทางฝั่งตะวันออกของเกาะติมอร์ มหาสมุทรอินเดียมีความสำคัญในฐานะเส้นทางผ่านระหว่างเอเชียและแอฟริกา ในอดีตจึงมีข้อพิพาทบ่อยครั้ง แต่เนืองจากมหาสมุทรมีขนาดใหญ่ ไม่มีประเทศใดที่สามารถครอบครองได้จนกระทั่งต้นทศวรรษ 1800 เมื่อสหราชอาณาจักรเข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ", "title": "มหาสมุทรอินเดีย" }, { "docid": "3941#0", "text": "มหาสมุทรใต้ () หรือที่รู้จักกันในชื่อ มหาสมุทรแอนตาร์กติก () เป็นมหาสมุทรที่อยู่ล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกา มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นที่สุดท้ายที่องค์การอุทกศาสตร์สากล (International Hydrographic Organization) นิยามให้เป็นมหาสมุทรเมื่อปี พ.ศ. 2543 แม้ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันมาก่อนหน้านั้นในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการสมุทรศาสตร์นานแล้ว โดยในอดีต มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย มีขอบเขตไกลลงไปถึงทวีปแอนตาร์กติกา", "title": "มหาสมุทรใต้" }, { "docid": "615969#1", "text": "ปลาหมอทะเลกระจายพันธุ์ในทะเลและมหาสมุทรเขตอบอุ่นทั่วโลก ทั้ง มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรอินเดีย มีจำนวนสมาชิกในสกุลนี้ราว 99 ชนิด นับว่ามากที่สุดในวงศ์นี้ โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลาหมอทะเล (\"E. lanceolatus\") ที่ใหญ่ที่สุดได้เกือบ 3 เมตร และหนักได้ราว 200 กิโลกรัม", "title": "ปลาหมอทะเล (สกุล)" }, { "docid": "3875#33", "text": "ค่าเฉลี่ยความเค็มของมหาสมุทรโลกอยู่ที่ประมาณ 35 กรัมเกลือต่อกิโลกรัมน้ำทะเล (มีเกลือร้อยละ 3.5)[116] เกลือส่วนมากถูกขับออกจากกัมมันตภาพภูเขาไฟหรือชะออกมาจากหินอัคนีเย็น[117] มหาสมุทรยังเป็นแหล่งสะสมของก๊าซในบรรยากาศที่ละลายได้ซึ่งมีความจำเป็นต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำจำนวนมาก[118] น้ำทะเลถือว่ามีอิทธิพลสำคัญต่อภูมิอากาศโลกโดยมหาสมุทรเป็นแหล่งสะสมความร้อนขนาดใหญ่[119] การเปลี่ยนแปลงการกระจายของอุณหภูมิมหาสมุทรสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศอย่างสำคัญได้ เช่น เอลนีโญ–ความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้[120]", "title": "โลก (ดาวเคราะห์)" }, { "docid": "240735#10", "text": "โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือวิจัยเวม่าซึ่งเป็นเรือสำรวจโลกลามอนต์-โดเฮอร์ทีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้ทำการสำรวจแนวขวางมหาสมุทรแอตแลนติกได้ทำการบันทึกข้อมูลพื้นผิวมหาสมุทร คณะสำรวจนำโดยแมรี ธาร์พ และบรูซ ฮีเซนได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปว่ามีแนวเทือกเขาใหญ่อยู่ตรงกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก แนวเทือกเขาดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่าเทือกเขากลางสมุทรแอตแลนติกซึ่งยังถือว่าเป็นส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเทือกเขากลางสมุทร ถือเป็นเหตุผลของการใช้คำว่า “กลางสมุทร” ในหัวข้อบทความนี้เนื่องด้วยมีเพียงที่แอตแลนติกเท่านั้นที่ระบบเทือกเขาอยู่ตรงกลางของมหาสมุทร", "title": "เทือกเขากลางสมุทร" } ]
3465
เมืองซาราโกซา ตั้งอยู่ที่ประเทศอะไร?
[ { "docid": "145751#0", "text": "ซาราโกซา (Spanish: Zaragoza) เป็นเมืองหลักของจังหวัดซาราโกซาและแคว้นอารากอน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอโบรและแควสาขาอูเอร์บาและกาเยโก ในหุบเขาตอนกลางของแคว้นซึ่งมีภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ทะเลทราย (\"โลสโมเนโกรส\") ป่าหนาทึบ ทุ่งหญ้า ไปจนถึงทิวเขา", "title": "ซาราโกซา" } ]
[ { "docid": "568243#3", "text": "ก่อนจะถึง ค.ศ. 1876 เขาซื้อกล้องจุลทรรศน์ตัวแรก ค.ศ. 1876 ได้เป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลแม่พระแห่งพระหรรษทาน ที่เมืองซาราโกซา ค.ศ. 1878 เขาป่วยเป็นวัณโรค ค.ศ. 1879 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์แห่งซาราโกซา 19 กรกฎาคมของปีเดียวกันแต่งงานกับ ซิลเบรีอา ฟาญานญาส การ์ซีอา มีบุตรธิดา 7 คน ค.ศ. 1883 เป็นอาจารย์สาขาการอธิบายกายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบาเลนเซีย ซึ่งเขามีโอกาสศึกษาอหิวาตกโรคที่นี่ ค.ศ. 1887 ย้ายไปสอนสาขามิญชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา", "title": "ซานเตียโก รามอน อี กาฮาล" }, { "docid": "205781#20", "text": "b. ปรับปรุงกรอบมาตรฐานน้ำระดับสากล ทั้งในส่วนของเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและการยอมรับจากทุกประเทศ", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "205781#14", "text": "A7 ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดที่ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย ทั้งในเมืองและชนบท โดยถือเป็นคำสัญญาของโลก ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายที่สามารถดำเนินการได้จริง", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "204317#0", "text": "เปโดร เฟร์นันเดซ กัสติเยโฆส () หรือ เปริโก เฟร์นันเดซ () หรือ นักมวยสากลชาวสเปน เกิดเมื่อ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ที่เมืองซาราโกซา ประเทศสเปน สถิติการชก 128 ครั้ง ชนะ 83 (น็อก 48) เสมอ 15 แพ้ 28 \nเปริโก เฟร์นันเดซ เริ่มชกมวยสากลอาชีพเมื่อ พ.ศ. 2515 และได้ครองแชมป์โลกรุ่นไลท์ฟลายเวต สภามวยโลก เมื่อ พ.ศ. 2517 ชนะไลออน ฟูรุยาม่า ในปีต่อมา เฟร์นันเดซเสียแชมป์โลกให้แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ เฟอร์นันเดซขึ้นชกแก้มือกับแสนศักดิ์อีกครั้งใน พ.ศ. 2520 แต่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีก ก่อนที่จะแขวนนวมไปเมื่อ พ.ศ. 2530", "title": "เปริโก เฟร์นันเดซ" }, { "docid": "145751#4", "text": "โป France บียาริตซ์ France โมสโตเลส Spain เบทลิเฮม ดินแดนปาเลสไตน์ เลออน Nicaragua ลาปลาตา Argentina ซาราโกซา Guatemala ตีฮัวนา Mexico ปอนเซ Puerto Rico กูอิงบรา Portugal ซัมโบวังกา Philippines", "title": "ซาราโกซา" }, { "docid": "134469#0", "text": "เอโบร () หรือ เอบรา () เป็นแม่น้ำขนาดใหญ่สายหนึ่งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปนและมีความยาวที่สุดในประเทศ เริ่มต้นที่เมืองฟอนติเบร (ในจังหวัดกันตาเบรีย) ไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านเมืองมิรันดาเดเอโบร, โลกรอญโญ, ซาราโกซา, ฟลิช, ตูร์โตซา และอัมโปสตา ก่อนออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำในจังหวัดตาร์ราโกนา แคว้นกาตาลุญญา", "title": "แม่น้ำเอโบร" }, { "docid": "205812#1", "text": "เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 องค์การนิทรรศการนานาชาติ คัดเลือกให้เมืองซาราโกซา ราชอาณาจักรสเปนเป็นผู้จัดการแสดงนิทรรศการนานาชาติ ณ เมืองซาราโกซา ()เพื่อระลึกถึงการจัดนิทรรศการร่วมกันของราชอาณาจักรสเปนและประเทศฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2451 () จัดเป็นนิทรรศการที่ได้รับการรับรองจากองค์การนิทรรศการนานาชาติ ภายใต้แนวคิดหลัก “น้ำกับการพัฒนาที่ยั่งยืน” () โดยรัฐบาลสเปนได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐบาลสเปน รัฐอรากอนและเมืองซาราโกซาเพื่อลงทุนสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ เป็นการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว เช่น ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง(; AVE) ระหว่างกรุงมาดริดและบาร์เซโลน่า ปรับปรุงสนามบิน ก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการและที่พักอาศัย โดยมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมจัดนิทรรศการ 102 ประเทศ และหน่วยงานเอกชนประมาณ 200 องค์กร", "title": "เอ็กซ์โป 2008" }, { "docid": "205781#0", "text": "กฎบัตรซาราโกซา 2551 (English: THE 2008 ZARAGOZA CHARTER) การจัดแสดงนิทรรศการนานาชาติ ณ เมืองซาราโกซา เป็นการจัดแสดงนิทรรศการครั้งแรกที่กำหนดแนวคิดหลัก คือ น้ำและการพัฒนาที่ยั่งยืน (English: Water and Sustainable Development) และจัดแสดงที่ริมฝั่งแม่น้ำเอโบร เมืองซาราโกซา ราชอาณาจักรสเปน โดยมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมงานถึง 104 ประเทศ องค์กรระดับนานาชาติ 3 แห่ง ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเมืองต่างๆในราชอาณาจักรสเปน องค์การนิทรรศการนานาชาติ หรือ BIE หรือ (French: The Bureau International des Expositions; English: International Exhibitions Bureau) ได้ให้คำแนะนำแนวคิดการจัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้ให้สอดคล้องกับงานขององค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ BIE ตั้งเป้าหมายการจัดนิทรรศการระดับนานาชาติที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยตรง และเป็นการให้ความรู้แก่สาธารณชน การจัดงานที่ซาราโกซาครั้งนี้ตั้ง เป้าหมาย ให้ผู้เข้าชมหลายล้านคนได้รับความรู้เกี่ยวกับน้ำและปัญหาในการพัฒนาที่ยั่งยืน", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "205781#42", "text": "ซาราโกซา 2551: การจัดนิทรรศการซึ่งไม่มีวันจบ (English: ZARAGOZA 2008: AN EXPO WITHOUT AN EXPIRY DATE)", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "145751#2", "text": "บริเวณเมืองนี้เคยเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อว่า ซัลดูบา (Salduba) เป็นชื่อในภาษาพิวนิกของกองทัพคาร์เทจซึ่งตั้งอยู่บนซากหมู่บ้านชาวเคลติเบเรียนเดิม จนกระทั่งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 เมื่อกองทัพโรมันได้เข้ารุกรานคาบสมุทรไอบีเรีย บริเวณนี้จึงตกอยู่ในการดูแลของกองรักษาด่านซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยจักรพรรดิออกุสตุส และกลายเป็นเมืองที่มีชื่อว่า ไกซาเรากุสตา (Caesaraugusta) มีฐานะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฮิสปาเนียซีเตรีออร์", "title": "ซาราโกซา" }, { "docid": "992492#4", "text": "ค.ศ.1808 เมื่อเกิดสงครามคาบสมุทร ซูว์แชได้รับอาญาสิทธิ์บัญชาการกองทัพทหารราบและได้รับยศเคานต์ จากนั้นจึงทำการรบกับทหารสเปนที่เมืองซาราโกซา และได้เผชิญกับนายพลโจเซ เดอ พาลาฟ็อก และ เบลค โจเยส", "title": "หลุยส์-กาบรีแยล ซูว์แช" }, { "docid": "205781#35", "text": "B9 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ประเทศต่างๆ ต้องพิจารณาทำการเกษตรโดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจและทิศทางความต้องการ", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "205781#47", "text": "ประเทศไทยเข้าร่วมการจัดแสดงนิทรรศการนานาชาติ ณ เมืองซาราโกซา ราชอาณาจักรสเปน ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน ถึงวันที่ 14 กันยายน 2551 โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลัก กรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยดำเนินงานหลัก", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "205781#44", "text": "ข้อความทั้งหมดในกฎบัตรซาราโกซามาจาก - คำกล่าว คำอธิบาย การวิเคราะห์และการสรุป - โดยจะเก็บรักษา เพื่อเป็นมรดกให้แบ่งปันต่อกันและผนวกไว้ในมรดก (Spanish: Legodo;English: Legacy) และกล่องสีน้ำเงิน(Spanish: Caja Azul; English: Blue Box) ซึ่งเก็บไว้ในการดูแลของราชอาณาจักรสเปน ผู้เป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดงานนิทรรศการนานาชาติ ประจำปี ค.ศ.2008 (พ.ศ. 2551)", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "205781#2", "text": "การประชุมสัมมนาทรัพยากรน้ำนี้ เสร็จสิ้นก่อนวันปิดงานแสดงนิทรรศการเป็นเวลา 2 วัน โดยการนำเสนอบทสรุปและการวิเคราะห์ในรูปของกฎบัตรซาราโกซา 2008 (English: The 2008 Zaragoza Charter)", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "75901#8", "text": "แคว้นอารากอนมีความหนาแน่นของประชากรต่ำ ดังนั้นจึงมีพื้นที่ที่เกือบจะว่างเปล่าเป็นบริเวณกว้าง ประชากรมากกว่าครึ่งของแคว้นอาศัยอยู่ในเมืองซาราโกซา", "title": "แคว้นอารากอน" }, { "docid": "205781#45", "text": "ซาราโกซา: 14 กันยายน 2551", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "59735#3", "text": "ต่อมาแก้มือชิงแชมป์เฉพาะกาลรุ่นแบนตัมเวต WBC กับบิกตอร์ นาบานาเรส อีก ก่อนชนะคะแนนไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์ แต่ทางสมาคมมวยอาชีพญี่ปุ่น (JBC) ไม่รับรองผลการชก เพราะอาการบาดเจ็บที่เรตินา ทัตสึโยชิต้องเดินทางไปชกนอกรอบที่อเมริกา ในปี พ.ศ. 2537 ก่อนจะเดินเรื่องกลับมาชกที่ญี่ปุ่นได้ เพื่อมาหาแชมป์จริงกับนักมวยเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งเป็นแชมป์ตัวจริง ยัตสึเอะ ยากูชิจิ แม้มือซ้ายของทัตสึโยชิหักตั้งแต่ยก 1 แต่ก็กัดฟันสู้พลางถอยพลาง จนครบ 12 ยก เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างไม่เอกฉันท์ ก่อนที่จะเลื่อนรุ่นไปชิงแชมป์ซูเปอร์แบนตัมเวตกับนักมวยผู้มากประสบการณ์ ดาเนียล ซาราโกซา ชาวเม็กซิกัน ในต้นปี พ.ศ. 2539 แม้จะได้นับซาราโกซ่าในยกแรก แต่เมื่อซาราโกซ่าตั้งตัวได้ติด ก็ได้ชกจนทัตสึโยชิเป็นแผลแตกที่เปลือกตาและตาแทบปิด กรรมการยุติการยกที่ 11 ต่อมาแม้จะขอแก้มือกับ ดาเนียล ซาราโกซา อีก แต่ก็แพ้คะแนนเอกฉันท์ ในต้นปี พ.ศ. 2540", "title": "โจอิจิโร ทัตสึโยชิ" }, { "docid": "183547#14", "text": "ในการจัดงานแสดงนิทรรศการแต่ละครั้ง จะมีที่ระลึกของความสำเร็จในการจัดงานแต่ละครั้ง เช่น งานแสดงนิทรรศการนานาชาติที่เมืองซาราโกซา มีการก่อสร้างและพัฒนาเมืองซาราโกซาเป็นศูนย์กลางการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์การสหประชาชาติ และมีการสรุปข้อเสนอเป็น กฎบัตรซาราโกซา", "title": "องค์การนิทรรศการนานาชาติ" }, { "docid": "205781#13", "text": "A6 หน่วยในการจัดการทรัพยากรน้ำขั้นพื้นฐานควรใช้พื้นที่ลุ่มน้ำและแหล่งน้ำใต้ดิน โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศ(English: Supranational Nature)", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "205781#23", "text": "e. ให้ความช่วยเหลือประเทศต่างๆ ที่ร้องขอการสนับสนุน การจัดการทรัพยากรน้ำแบบผสมผสาน", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "437166#1", "text": "เปเรซเกิดในกรุงมาดริด ประเทศสเปน พ่อของเขาเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์แถบเมืองซาราโกซา แม่เป็นพนักงานในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงมาดริด เปเรซเรียนจบสารพัดช่างยนต์เหมือนพ่อที่มหาวิทยาลัยเทคนิคมาดริด และได้สมัครเข้าร่วมเป็น ส.ส. ของพรรคสหภาพศูนย์ประชาธิปไตยสเปนตั้งแต่ ค.ศ. 1979", "title": "โฟลเรนติโน เปเรซ" }, { "docid": "145751#3", "text": "ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 ชาวอาหรับได้เข้ายึดเมืองนี้และตั้งชื่อใหม่ว่า ซารากุสตา (Saraqusta; سرقسطة) ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกาหลิบแห่งกอร์โดบา (ราชวงศ์อุไมยัด) และเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นเมืองอาหรับที่ใหญ่ที่สุดทางภาคเหนือของคาบสมุทร จากนั้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ซาราโกซาเป็นหนึ่งในกลุ่มราชอาณาจักรไตฟา (รัฐมุสลิมหลายสิบรัฐที่แตกออกมาหลังการล่มสลายของอาณาจักรกอร์โดบา) และถูกชาวอาหรับอีกกลุ่มจากจักรวรรดิอัลโมราวิดเข้าครอบครอง ในที่สุดเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ชาวอารากอน (นับถือศาสนาคริสต์) ก็สามารถยึดเมืองนี้ได้จากพวกอัลโมราวิดและได้ตั้งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอารากอน ซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนต่าง ๆ บนคาบสมุทรไอบีเรียที่จะพัฒนาเป็นราชอาณาจักรสเปนในเวลาต่อมา", "title": "ซาราโกซา" }, { "docid": "889821#0", "text": "แยย์ดา (), แยย์ดอ (อารัน: ) หรือ เลริดา () เป็นหนึ่งในสี่จังหวัดของแคว้นปกครองตนเองกาตาลุญญา ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดฌิโรนา จังหวัดบาร์เซโลนา จังหวัดซาราโกซา จังหวัดอูเอสกา ประเทศฝรั่งเศส และประเทศอันดอร์รา บ่อยครั้งมีผู้เรียกจังหวัดนี้ว่า ปูเน็น (, \"ตะวันตก\") เนื่องจากตั้งอยู่ในส่วนตะวันตกของแคว้นกาตาลุญญา แยย์ดาเป็นจังหวัดเดียวของแคว้นที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล", "title": "จังหวัดแยย์ดา" }, { "docid": "205781#37", "text": "B11 โครงการต่างๆ ที่มีการจัดการร่วมกันระหว่างประเทศและองค์กรใด ๆ นั้น ต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดหาเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจัดหาน้ำสะอาดและการสุขาภิบาลจากตลาดเงิน ขณะเดียวกัน ต้องให้ความสำคัญแก่ทรัพยากรบุคคลด้วย", "title": "กฎบัตรซาราโกซา" }, { "docid": "145751#5", "text": "หมวดหมู่:เมืองในประเทศสเปน หมวดหมู่:แคว้นอารากอน", "title": "ซาราโกซา" }, { "docid": "354398#0", "text": "มหาวิทยาลัยซาราโกซา () มหาวิทยาล้ยของแคว้นอารากอน วิทยาเขตหลักตั้งอยู่ที่เมืองซาราโกรา", "title": "มหาวิทยาลัยซาราโกซา" }, { "docid": "205812#0", "text": "เอ็กซ์โป ซาราโงซา 2008 (Expo Zaragoza 2008) งานแสดงนิทรรศการนานาชาติที่เมืองซาราโกซา ราชอาณาจักรสเปน ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กันยายน 2551 ณ เมืองซาราโกซา ราชอาณาจักรสเปน มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญเรื่องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและให้ความสำคัญของทรัพยากรน้ำต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตตลอดจนการป้องกันปัญหาความขัดแย้งของภูมิภาค เรื่องการขาดแคลนทรัพยากรน้ำในอนาคต ทั้งนี้ ซาราโกซาได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองศูนย์กลางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งทศวรรษ (ค.ศ.2005 – 2015) ขององค์การสหประชาชาติด้วย", "title": "เอ็กซ์โป 2008" }, { "docid": "145751#1", "text": "ข้อมูลในปี ค.ศ. 2007 จากสภาเมืองซาราโกซา เมืองนี้มีประชากร 667,034 คนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งแคว้น ซาราโกซาตั้งอยู่ที่ความสูง 199 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นจุดตัดระหว่างเส้นทางที่จะไปยังมาดริด บาร์เซโลนา บาเลนเซีย บิลบาโอ และตูลูซ (ประเทศฝรั่งเศส) โดยเมืองทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ห่างจากซาราโกซาประมาณ 300 กิโลเมตร", "title": "ซาราโกซา" } ]
2071
ราชบัณฑิตยสถาน ตั้งอยู่ที่ไหน ?
[ { "docid": "11735#4", "text": "ราชบัณฑิตยสถานมีที่ทำการอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร มาเป็นเวลานาน ปัจจุบันได้ย้ายที่ทำการไปสถานที่ใหม่ในบริเวณสนามเสือป่า เนื่องจากที่ทำการเดิมคับแคบ โดยย้ายไปตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2549", "title": "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา" } ]
[ { "docid": "2254#2", "text": "ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ราชบัณฑิตยสถานได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงหลักเกณฑ์การทับศัพท์ขึ้น เพื่อพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การทับศัพท์เป็นเอกเทศสำหรับภาษาแต่ละภาษา เนื่องจากเห็นว่าภาษาหนึ่ง ๆ มีลักษณะทางเสียงและโครงสร้างแตกต่างกับภาษาอื่น โดยเริ่มต้นจัดทำหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นลำดับแรก ส่วนหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอื่น ๆ ให้จัดทำเฉพาะภาษาที่มีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยของไทยก่อน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็ประกาศใช้หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ (ตามที่ราชบัณฑิตยสถานเสนอ) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2532 และประกาศใช้หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สเปน รัสเซีย ญี่ปุ่น อาหรับ และมลายู (รวมอินโดนีเซีย) ในคราวเดียวกันเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2535", "title": "หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "272474#28", "text": "ภัทรศักดิ์ วรรณแสง. (2552). หลักกฎหมายหนี้. (พิมพ์ครั้งที่ 10, แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ: วิญญูชน. ISBN 9789742887483. ราชบัณฑิตยสถาน. (2543). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123529. (2544). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123758. (2551, 7 กุมภาพันธ์). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). (ม.ป.ป.). ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). ศาลฎีกา. (2550, 26 มกราคม). ระบบสืบค้นคำพิพากษาและคำสั่งคำร้องศาลฎีกา. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2551, 10 มีนาคม). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552).", "title": "ลูกหนี้ร่วม" }, { "docid": "2254#0", "text": "หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เป็นระบบการทับศัพท์ที่นิยมใช้มากที่สุดระบบหนึ่งในประเทศไทย โดยคณะกรรมการจัดทำหลักเกณฑ์การทับศัพท์และคณะกรรมการปรับปรุงหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาต่าง ๆ ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา (เดิมคือราชบัณฑิตยสถาน) เป็นผู้กำหนดและเสนอหลักเกณฑ์ต่อสำนักงานราชบัณฑิตยสภาเพื่อออกประกาศสำนักงานราชบัณฑิตยสภาให้ใช้หลักเกณฑ์ จากนั้น สำนักงานราชบัณฑิตยสภาจะเป็นผู้เสนอหลักเกณฑ์ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน แล้วลงประกาศเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป", "title": "หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "2254#4", "text": "ในขณะเดียวกัน ราชบัณฑิตยสถาน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานราชบัณฑิตยสภา) ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอื่น ๆ เพิ่มอีกเพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้งานในปัจจุบัน ได้แก่ หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาจีนและฮินดี ซึ่งมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ใช้เป็นมาตรฐานเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2548; หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเกาหลีและเวียดนาม ซึ่งมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ใช้เป็นมาตรฐานเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555; หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาพม่าและหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ใช้เป็นมาตรฐานเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561ปัจจุบันราชบัณฑิตยสถาน/สำนักงานราชบัณฑิตยสภาได้จัดทำและประกาศใช้หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาต่าง ๆ แล้ว 15 ภาษา ได้แก่", "title": "หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "9973#1", "text": "การทับศัพท์ภาษาญี่ปุ่น ที่ใช้ในวิกิพีเดียภาษาไทยปัจจุบันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ 2 หลักเกณฑ์ ได้แก่ หลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ใช้เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2535 และ หลักเกณฑ์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา ซึ่งมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ใช้เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561 แทนหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน", "title": "การทับศัพท์ภาษาญี่ปุ่น" }, { "docid": "11279#1", "text": "หนังสือปทานุกรมจัดจำหน่ายในปี พ.ศ. 2470 จัดทำโดยกระทรวงธรรมการ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นหนังสือรวบรวมคำในภาษาไทยพร้อมอธิบายความหมาย แต่ยังมีข้อบกพร่องอยู่ กระทรวงธรรมการจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการชำระปทานุกรมขึ้นเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2475 เพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมปทานุกรมดังกล่าว ภายหลังได้มีการสถาปนาราชบัณฑิตยสถานเมื่อ พ.ศ. 2477 จึงได้โอนงานจากคณะกรรมการชำระไปอยู่ในราชบัณฑิตยสถาน และเปลี่ยนชื่อจาก ปทานุกรม เป็น พจนานุกรม เนื่องจากเห็นว่าชื่อเดิมมีความหมายไม่ตรงกับลักษณะของหนังสือ", "title": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน" }, { "docid": "198873#3", "text": "คำว่า \"มลรัฐ\" ปัจจุบันมีประกาศราชบัณฑิตยสถานให้เลิกใช้แล้ว ดังที่ราชบัณฑิตยสถานให้เหตุผลว่า", "title": "มลรัฐ (คำศัพท์)" }, { "docid": "268744#27", "text": "ไพจิตร ปุญญพันธุ์. (2539, 4 ธันวาคม). \"ควรยกเลิกบทบัญญัติลักษณะสังกมะทรัพย์ อสังกมะทรัพย์ และโภคยทรัพย์หรือไม่\". วารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (ปีที่ 26). บัญญัติ สุชีวะ. (2551). คำอธิบายกฎหมายลักษณะทรัพย์. (พิมพ์ครั้งที่ 11, แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ: เนติบัณฑิตยสภา. ISBN 9789741611089. ประมูล สุวรรณศร. (2525). คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1-4 ว่าด้วยทรัพย์. กรุงเทพฯ: นิติบรรณการ. พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี (บุญช่วย วณิกกุล). (2502). คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1-2. กรุงเทพฯ: เนติบัณฑิตยสภา. ราชบัณฑิตยสถาน. (2543). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123529. (2544). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123758. (2551, 7 กุมภาพันธ์). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). (ม.ป.ป.). ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). มานิตย์ จุมปา. (2551). คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งว่าด้วยทรัพย์สิน. (พิมพ์ครั้งที่ 6, แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ISBN 9789740323006. ศาลฎีกา. (2550, 26 มกราคม). ระบบสืบค้นคำพิพากษาและคำสั่งคำร้องศาลฎีกา. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2551, 10 มีนาคม). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). เสนีย์ ปราโมช. (2521). กฎหมายลักษณะทรัพย์. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณิช.", "title": "ทรัพย์สิน" }, { "docid": "458327#0", "text": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เป็นพจนานุกรมภาษาไทยที่ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการเขียนหนังสือไทยของทางราชการและสถาบันการศึกษามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ถึงปัจจุบัน ผู้จัดทำคือ คณะกรรมการชำระพจนานุกรม แห่งราชบัณฑิตยสถาน (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นราชบัณฑิตยสภา) โดยแก้ไขปรับปรุงเนื้อหาจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542", "title": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554" }, { "docid": "781196#10", "text": "ราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน, 2539.", "title": "เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก)" }, { "docid": "54694#57", "text": "ราชบัณฑิตยสถาน. (2540). ศัพท์คณิตศาสตร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน.", "title": "ยุคลิด" }, { "docid": "15219#45", "text": "สถิตย์ เล็งไธสง. (2521-2522). \"นครโสเภณี\". สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (เล่ม 15: ธรรมจักร-นิลเอก). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พระจันทร์. หน้า 9325-9337. ราชบัณฑิตยสถาน. (2551, 9 กุมภาพันธ์). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: < >. (เข้าถึงเมื่อ: 7 พฤศจิกายน 2551). ราชบัณฑิตยสถาน. (ม.ป.ป.). \"โสเภณี\". คลังความรู้. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: < >. (เข้าถึงเมื่อ: 7 พฤศจิกายน 2551).", "title": "การค้าประเวณี" }, { "docid": "58882#0", "text": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 เป็นพจนานุกรมภาษาไทยที่ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการเขียนหนังสือไทยของทางราชการระหว่างปี พ.ศ. 2545-2556 ดำเนินการจัดทำโดยคณะกรรมการชำระพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน โดยมีการแก้ไขปรับปรุงจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ทั้งนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา 6 รอบ", "title": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542" }, { "docid": "11735#3", "text": "ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2544 ได้มีการปรับเปลี่ยนอีกครั้ง โดยตั้ง สภาราชบัณฑิต ขึ้นเพื่อกำหนดและวางนโยบายด้านวิชาการขึ้น และมี คณะกรรมการส่งเสริมกิจการของราชบัณฑิตยสถาน เป็นผู้ให้คำแนะนำ ปรึกษา ประสานงานและสนับสนุนการดำเนินงานของราชบัณฑิตยสถาน", "title": "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "2254#3", "text": "หลังจากที่หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาต่าง ๆ ได้รับการเผยแพร่และนำไปใช้ได้ระยะหนึ่ง ก็พบว่ายังมีปัญหาอยู่อีกหลายประการ ทั้งยังมีผู้ท้วงติงและเสนอข้อคิดเห็นไปยังราชบัณฑิตยสถานอยู่เนือง ๆ ราชบัณฑิตยสถานจึงแต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงหลักเกณฑ์การทับศัพท์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เพื่อพิจารณาทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การทับศัพท์เสียใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางภาษาที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางขึ้น จากนั้นจึงทยอยเสนอคณะรัฐมนตรีให้ประกาศใช้หลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้วแทนหลักเกณฑ์เดิม ได้แก่ หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศส ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553; หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอาหรับ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554; หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และมลายู ประกาศใช้เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561", "title": "หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "78225#10", "text": "นอกจากนี้ยังทรงได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นราชบัณฑิต สาขาศิลปกรรมศาสตร์รุ่นแรกของราชบัณฑิตยสถาน ตั้งแต่ พ.ศ. 2485 เป็นอุปนายกราชบัณฑิตยสถาน เมื่อ พ.ศ. 2518-2519 แต่ได้ขอลาออกในปีต่อมาเนื่องประชวรด้วยโรคต้อ", "title": "หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ" }, { "docid": "458327#4", "text": "ในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ยกเลิกระเบียบการใช้ตัวสะกดตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 และให้ใช้ตัวสะกดตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เป็นมาตรฐานการเขียนหนังสือไทยในวงราชการและวงการศึกษาแทน โดยลงเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556", "title": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554" }, { "docid": "852111#0", "text": "ด้านล่างนี้คือรายพระนามและรายนามนายกราชบัณฑิตยสถานและราชบัณฑิตยสภา", "title": "รายพระนามและรายนามนายกราชบัณฑิตยสถานและราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "19924#2", "text": "การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถาน มีจุดประสงค์เขียนไว้ในประกาศว่า เพื่อให้อ่านคำไทยในตัวอักษรโรมันได้ใกล้เคียงกับคำเดิม แต่ก็ได้รับการวิพากษ์ว่ายังไม่ดีเพียงพอสำหรับชาวต่างชาติในการอ่านภาษาไทย เนื่องจากนอกจากนี้ ถึงแม้ระบบของราชบัณฑิตยสถานจะที่ใช้ในเอกสารราชการเกือบทั้งหมด แต่ก็มีการเขียนคำทับศัพท์ในรูปแบบอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงที่เพี้ยนไปจากเสียงภาษาไทย และเลี่ยงความหมายที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษและภาษาอื่น เช่นคำว่า \"ธง\" หรือ \"ทอง\" เมื่อทับศัพท์ตามระบบราชบัณฑิตทั้งสองคำจะสะกดได้คำว่า \"thong\" ซึ่งในภาษาอังกฤษหมายถึง ธอง (กางเกงชั้นในประเภทหนึ่ง) จึงเลี่ยงไปใช้คำว่า \"tong\" แทน", "title": "การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถาน" }, { "docid": "2254#1", "text": "ราชบัณฑิตยสถานได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการทับศัพท์ภาษาต่างประเทศและเสนอให้คณะรัฐมนตรีประกาศใช้เป็นครั้งแรกใน \"ไบแนบที่ ๑ วิธีทับสัพท\" ของ \"ประกาสสำนักนายกรัถมนตรี เรื่องบัญญัติสัพทฉบับที่ ๑\" เมื่อปี พ.ศ. 2485 ในครั้งนั้นได้กำหนดวิธีเทียบเสียงและถ่ายอักษรพยัญชนะและสระของภาษาตะวันตก 5 ภาษา ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน อังกฤษ และอิตาลี รวมอยู่ในตารางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม วิธีทับศัพท์ตามประกาศฉบับนี้เน้นการถอดตัวอักษรมากกว่าการถ่ายเสียง คำทับศัพท์จึงอ่านแล้วไม่ใกล้เคียงการออกเสียงในภาษาต้นฉบับ ในระยะหลัง คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานจึงไม่ได้ยึดถือวิธีทับศัพท์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดนัก แต่พยายามทับศัพท์โดยการถ่ายเสียงมากขึ้น", "title": "หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "458327#2", "text": "ในปี พ.ศ. 2555 กนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน ได้แถลงข่าวว่า ราชบัณฑิตยสถานได้ชำระพจนานุกรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว และรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สนับสนุนงบประมาณจัดพิมพ์ครั้งแรกจำนวน 100,000 เล่ม เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนแจกจ่ายสถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา หน่วยงานราชการ คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา สื่อมวลชน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง และจะคัดเลือกให้เอกชนเข้ามาใช้สิทธิ์ในการจัดพิมพ์และจำหน่ายฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ต่อไป", "title": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554" }, { "docid": "94097#5", "text": "ราชบัณฑิต สาขาวรรณกรรมพื้นเมือง ประเภทวรรณศิลป์ สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสภา นับตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554 กรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย ราชบัณฑิตยสถาน กรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมท้องถิ่นไทย ภาคอีสาน ราชบัณฑิตยสถาน กรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมท้องถิ่นไทย ภาคเหนือ ราชบัณฑิตยสถาน กรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการอำนวยการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ประธานคณะกรรมการบริหารโครงการสารานุกรมไทย ภาคกลาง โดยความร่วมมือระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2536-2543)", "title": "ประคอง นิมมานเหมินท์" }, { "docid": "11279#0", "text": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เป็นพจนานุกรมอธิบายศัพท์ภาษาไทยที่ราชบัณฑิตยสภา (หรือราชบัณฑิตยสถานเดิม) จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการเขียนหนังสือไทยให้เป็นระเบียบเดียวกัน ไม่ลักลั่น โดยมีการปรับปรุงแก้ไขตามลำดับเรื่อยมา เมื่อราชบัณฑิตยสภาจัดพิมพ์พจนานุกรมรุ่นหนึ่ง ๆ แล้วเสร็จ จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ออก \"ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ระเบียบการใช้ตัวสะกด\" ให้หนังสือราชการและการศึกษาเล่าเรียนใช้ตัวสะกดตามพจนานุกรมรุ่นนั้น ๆ เสมอไป", "title": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน" }, { "docid": "39665#6", "text": "นอกจากงานประจำที่สอนนิสิตในจุฬาลงกรณ์ และเป็นภาคีสมาชิกของราชบัณฑิตยสถานแล้ว ท่านยังมีงานบริการวิชาการอื่น ๆ อีกเช่น กรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์พระไตรปิฎก ราชบัณฑิตยสถาน, กรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ราชบัณฑิตยสถาน ฯลฯ", "title": "บรรจบ บรรณรุจิ" }, { "docid": "11735#1", "text": "ราชบัณฑิตยสภา ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2476 และถือเป็นวันสถาปนาราชบัณฑิตยสถานด้วย ทั้งนี้ได้ยกเลิกราชบัณฑิตยสภาที่มีแต่เดิมเสีย โดยให้ราชบัณฑิตยสถาน มีหน้าที่ทำงานด้านวิชาการ เป็นแหล่งรวมนักวิชาการระดับสูง เพื่อค้นคว้าหาความรู้มาเผยแพร่แก่ประชาชน และเพื่อสร้างตำราอีกด้วย ทั้งนี้ราชบัณฑิตยสถานมีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในอุปการะของรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการ", "title": "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "11735#2", "text": "เมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงให้ราชบัณฑิตยสถานอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีก 10 ปี จึงได้มีการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรมขึ้นใหม่ กำหนดให้ราชบัณฑิตยสถานอยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม (เดิม) จนเมื่อยุบกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ในปี พ.ศ. 2501 ราชบัณฑิตยสถานจึงขึ้นอยู่กับการบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ", "title": "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา" }, { "docid": "283925#91", "text": "นิตยา กาญจนะวรรณ. (2553). ภาษาไทยในปัจจุบัน: ปัญหาและแนวทางแก้ไข (2). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). ราชบัณฑิตยสถาน. (2551, 7 กุมภาพันธ์). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). (ม.ป.ป.). ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552). สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2551, 10 มีนาคม). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552).", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "458327#5", "text": "ต่อมาราชบัณฑิตยสถานได้เปิดให้ทดสอบระบบพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 แบบออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557 และเปิดให้ดาวน์โหลดโปรแกรมประยุกต์พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 สู่โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ตโฟนตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558", "title": "พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554" }, { "docid": "58828#33", "text": "พจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2544. หน้า 160", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "19231#7", "text": "\"...เป็นตราบาปที่ราชบัณฑิตยสถานต้องรับมาอย่างไม่รู้เรื่อง เป็นความเสียหายที่แก้ไม่ได้เสียที แล้วยิ่งคำศัพท์ว่า 'joystick' ที่ไปกล่าวกันว่าราชบัณฑิตยสถานบัญญัติว่า 'แท่งหรรษา' นี่ยิ่งไปกันใหญ่ และเป็นเรื่องที่น่าเกลียดมาก ๆ ราชบัณฑิตยสถานเป็นหน่วยงานที่เต็มไปด้วยผู้ทรงความรู้ การบัญญัติศัพท์ย่อมต้องมีหลักวิชาการ และใช้การพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน...\"", "title": "กระด้างภัณฑ์และละมุนภัณฑ์" } ]
3599
ไต้หวันมีภาษาเป็นของตัวเองหรือไม่ ?
[ { "docid": "2283#1", "text": "Template:CJKV ไถวาน; ภาษาไต้หวัน: Tâi-oân) เป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้จีนแผ่นดินใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันปกครองโดยสาธารณรัฐจีน แยกเป็นเอกเทศจากสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ในทางการเมืองระหว่างประเทศ ถือว่าสาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวันไม่ได้มีสถานะเป็นประเทศเอกราช แม้เรามักจะเรียกกันติดปากว่าประเทศไต้หวันก็ตาม", "title": "ภูมิศาสตร์ไต้หวัน" } ]
[ { "docid": "22458#24", "text": "โดยทั่วไปประชาชนจะใช้ภาษาจีนกลางในสถานะที่เป็นทางการ และใช้ภาษาไต้หวันในสถานะที่ไม่เป็นทางการ ภาษาไต้หวันจะใช้มากในเขตชนบท และใช้ภาษาจีนกลางมากในเขตเมือง คนอายุมากมีแนวโน้มใช้ภาษาไต้หวัน ในขณะที่วัยรุ่นมีแนวโน้มใช้ภาษาจีนกลาง สื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุ ละครใช้ภาษาไต้หวัน ส่วนงานที่เป็นเอกสารใช้ภาษาจีนกลาง การสื่อสารทางการเมืองใช้ภาษาไต้หวันและภาษาจีนกลาง", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#11", "text": "ผู้พูดภาษาไต้หวันทั้งหมดเกือบจะถือว่าเป็นผู้พูดภาษาอมอยด้วย ความผันแปรทางด้านพื้นที่ภายในภาษาไต้หวัน อาจจะติดตามย้อนกลับไปสู่ความแตกต่างของภาษาอมอยในมณฑลฝูเจี้ยนตอนใต้ ภาษาไต้หวันมีคำยืมจากภาษาญี่ปุ่นและกลุ่มภาษาเกาะฟอร์โมซา ในปัจจุบันได้มีการทำงานวิจัยเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของคำศัพท์พื้นฐานในภาษาไต้หวันกับตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนและตระกูลภาษาไท-กะได", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "2283#15", "text": "ภาษาที่ใช้เป็นภาษาราชการคือ ภาษาจีนกลาง (Mandarin Chinese) ภาษาจีนฮกเกี้ยนแบบไต้หวัน (Minnanese or Taiwanese) ส่วนภาษาที่ใช้ในธุรกิจคือ ภาษาจีนกลาง ภาษาจีนไต้หวัน และ ภาษาอังกฤษ", "title": "ภูมิศาสตร์ไต้หวัน" }, { "docid": "22458#10", "text": "ภาษาไต้หวันเป็นรูปแบบหนึ่งของภาษาอมอยที่เป็นสำเนียงหนึ่งของภาษาจีนฮกเกี้ยน และเป็นส่วนหนึ่งของภาษาจีนหมิ่นและภาษาจีน การเป็นภาษาหรือสำเนียงของภาษาไต้หวันขึ้นกับมุมมองทางการเมือง ภาษาจีนหมิ่นเป็นภาษาเดียวของภาษาจีนที่ไม่ได้มาจากภาษาจีนยุคกลางโดยตรง บางครั้งจึงยากที่จะหาอักษรจีนที่เหมาะสมสำหรับคำศัพท์ในภาษาจีนฮกเกี้ยน และเป็นเหตุผลหนึ่งทำให้ผู้พูดภาษานี้เข้าใจกับผู้พูดภาษาจีนกลางหรือผู้พูดภาษาจีนสำเนียงอื่นๆได้ยาก", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#13", "text": "งานศึกษาทางด้านภาษาศาสตร์สมัยใหม่ประมาณว่าคำศัพท์ 75 – 90% ของคำศัพท์ในภาษาไต้หวันมีความคล้ายคลึงกับภาษาจีนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น cháu หมายถึงวิ่ง ในภาษาไต้หวัน ส่วนในภาษาจีนกลาง zou หมายถึงเดิน นอกจากนั้น phin หมายถึงจมูก (ภาษาจีนกลาง bi) แต่หมายถึงได้กลิ่นได้ด้วย แต่ก็มีบางคำที่มีความหมายแตกต่างไปจากภาษาจีนอื่นๆทั้งหมด", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "561758#2", "text": "ภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวันใช้ตัวอักษรจีนเต็มซึ่งตรงข้ามกับภาษาจีนมาตรฐานที่ใช้ตัวย่อ อักษรเบรลล์ของภาษาจีนสำเนียงนี้ก็มีความแตกต่างจากภาษาจีนมาตรฐานมาก โดยเฉพาะการเขียนตัวอักษรละตินก็มีความแตกต่างอย่างมากโดยตัวอักษรละตินเป็นมาตรฐานสำหรับการเขียนพินอินของภาษาจีนมาตรฐานอยู่แล้ว ในขณะที่ตัวอักษรละตินในภาษาจีนสำเนียงนี้จะถูกเขียนตามเวด-ไจลส์", "title": "ภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#6", "text": "Template:CJKV; ไต้หวัน: Tâi-gí) เป็นภาษาจีนสำเนียงฮกเกี้ยนซึ่งใช้โดยราว ๆ ร้อยละเจ็ดสิบของประชากรในสาธารณรัฐจีน (ประเทศไต้หวัน) จัดเป็นสำเนียงย่อยของภาษาจีนฮกเกี้ยนที่เรียก ฮกโล (Hoklo) และเป็นภาษาประจำชาติไต้หวัน อย่างไรก็ดี ภาษาราชการของสาธารณรัฐจีน คือ ภาษาจีนสำเนียงกลางซึ่งใช้รูปแบบการเขียนแตกต่างจากสำเนียงกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) เพราะชาวไต้หวันยังใช้ตัวอักษรจีนดั้งเดิมซึ่งเรียก อักษรจีนตัวเต็ม (Traditional Chinese) ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่ปรับปรุงระบบตัวอักษรให้เขียนง่ายขึ้นเรียก อักษรจีนตัวย่อ (Simplified Chinese)", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#26", "text": "เช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ การแปลไบเบิลเป็นภาษาไต้หวันมีลำดับขั้นของการจัดมาตรฐานภาษาและการออกเสียง การแปลไบเบิลเป็นภาษาอมอยหรือภาษาไต้หวันด้วยการออกเสียงแบบ pe̍h-ōe-jī โดยมิชชันนารีที่เข้ามาอยู่ในไต้หวัน James Laidlaw Maxwell ส่วนที่เป็นพันธสัญญาใหม่เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2416 ส่วนพันธสัญญาเก่าเผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2427", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#23", "text": "ประชาชนส่วนใหญ่ในไต้หวันพูดทั้งภาษาจีนกลางและภาษาไต้หวันทำให้มีอิทธิพลระหว่างกัน มีประชากรในไต้หวันประมาณ 20 - 30% ไม่สามารถพูดภาษาไต้หวันได้เลย ในขณะเดียวกันมีชาวไต้หวันประมาณ 10 - 20% ส่วนใหญ่เกิดก่อน พ.ศ. 2493 ไม่สามารถพูดภาษาจีนกลางได้เลย ชาวฮากกาในไต้หวันประมาณ 1/2 หนึ่งพูดภาษาไต้หวันได้ มีหลายครอบคัวที่เป็นเลือดผสมระหว่างฮากกา ฮกโล และชาวพื้นเมือง มีชาวไต้หวันจำนวนมากที่สามารถเข้าใจภาษาไต้หวันได้ดีกว่าการพูดภาษาไต้หวัน", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#16", "text": "ภาษาไต้หวันไม่มีการเขียนเป็นของตนเองก่อนพุทธศตวรรษที่ 14 ผู้พูดภาษาไต้หวันใช้อักษรจีน ระบบการเขียนที่ใช้อักษรละตินที่เรียกเป๊ะห์โอยจี (POJ) ได้พัฒนาขึ้นขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 24 ปัจจุบันนี้ ผู้พูดภาษาไต้หวันนิยมเขียนด้วยอักษรจีน โดยใช้คำศัพท์และไวยากรณ์ของภาษาจีนกลาง", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "13241#30", "text": "ปัจจุบัน กระแสความนิยมภาษาจีนในระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นภาษาที่สำคัญในการติดต่อธุรกิจระหว่างไทย-จีน และสำหรับลูกหลานจีนที่เป็นวัยรุ่นก็ได้รับสื่อต่างๆ จากไต้หวัน มาก ทั้งละคร และเพลง ทำให้ในปัจจุบันมีโรงเรียนสอนภาษาจีนเปิดสอนอยู่มากขึ้นตามเพื่อสนองความต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภาษาจีนแบบไต้หวันหรือกว๋อยวี่ (國語) ก็ยังเป็นวงแคบ เพราะภาษาจีนถิ่นนี้ใช้ระบบจู้อินแทนพินอินและใช้อักษรตัวเต็ม ดังนั้นการเรียนภาษาจีนกลางหรือผู่ทงฮว่า (普通话) จึงเป็นที่นิยมกว่า ปัจจุบันประชากรชาวไทยประมาณร้อยละสองรู้ภาษาจีนในระดับกลาง", "title": "ไทยเชื้อสายจีน" }, { "docid": "22458#14", "text": "ความใกล้ชิดกับภาษาญี่ปุ่นทำให้มีคำยืมจากภาษาญี่ปุ่น แม้ว่าจะมีจำนวนน้อย แต่ใช้บ่อยเพราะเป็นศัพท์ในสังคมสมัยใหม่เช่นคำว่า oo-to-bái มาจากภาษาญี่ปุ่น ootobai ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษอีกต่อหนึ่ง และ pháng มาจากภาษาญี่ปุ่น pan (ขนมปัง) ที่มาจากภาษาโปรตุเกสอีกต่อหนึ่ง มีการยืมหน่วยทางไวยากรณ์จากภาษาญี่ปุ่นเช่น te_k (จาก teki) และ ka ซึ่งพบในภาษาไต้หวันที่พูดโดยผู้สูงอายุ ภาษาไต้หวันไม่มีรูปพหูพจน์ที่แท้จริง เช่นเดียวกับภาษาจีนอื่นๆ", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "2818#1", "text": "ภาษาจีนกลาง เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกภาษาหลักของจีน ในประเทศไต้หวันกับสิงคโปร์เรียกภาษานี้ว่า ฮวา-ยวี่ (อักษรจีน: 華語) แปลว่าภาษาฮวา ซึ่งคำว่า ฮวา หรือ ฮวาเยริน (อักษรจีน: 華人) เป็นคำที่ชาวจีนใช้เรียกตัวเองในปัจจุบัน สำหรับประเทศจีนจะเรียกภาษานี้ว่า ฮั่นยวี่ (อักษรจีน: 漢語) แปลว่า ภาษาฮั่น อันป็นภาษาของชาวฮั่น", "title": "ภาษาจีนกลาง" }, { "docid": "22458#27", "text": "การแปลไบเบิลรุ่นต่อมาดำเนินการโดย Thomas Barclay ทั้งในมณฑลฝูเจี้ยนและไต้หวัน[1][2] ภาคพันธสัญญาใหม่แปลเป็นภาษาไต้หวันโดยสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2459 การแปลทั้งสองภาคเป็นภาษาไต้หวันโดยใช้การออกเสียงแบบ pe̍h-ōe-jī สำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2473 และตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2476 และได้ปริวรรตเป็นรูปที่ใช้อักษรจีนใน พ.ศ. 2539 [3]", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#29", "text": "ตั้งแต่ พ.ศ. 2523 การใช้ภาษาไต้หวันร่วมกับสำเนียงอื่น ๆ ของภาษาจีนที่ไม่ใช่ภาษาจีนกลางถูกควบคุมโดยรัฐบาลก๊กมินตั๋งทั้งการใช้ในโรงเรียนและสื่อออกอากาศ การจำกัดถูกยกเลิกเมื่อ พ.ศ. 2533 เนื่องมีกระแสการสร้างความสำคัญของท้องถิ่น ภาษาจีนกลางยังคงเป็นภาษาสำคัญในโรงเรียน แต่ภาษาไต้หวันจะถูกสอนในโรงเรียนในฐานะภาษาแม่ ซึ่งเลือกได้ระหว่างภาษาไต้หวัน ภาษาฮากกา และภาษาของชาวพื้นเมือง การรณรงค์ให้ใช้ภาษาไต้หวันมากกว่าภาษาจีนกลางเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการไต้หวันเอกราชในอดีต แต่ความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองกับภาษาในปัจจุบันลดน้อยลง ผลทางการเมืองของการใช้ภาษาไต้หวันมีทั้งเพื่อการเรียกร้องเอกราช และความเป็นหนึ่งเดียวกันของไต้หวัน การใช้ภาษาไต้หวันเพื่อการเรียกร้องเอกราชได้ลดลงเพราะต้องการควมร่วมมือจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่และชาวฮากกา", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#19", "text": "ในการเขียนแบบเป๊ะห์โอยจีมีตัวอักษร 24 ตัวรวมทั้ง ts ซึ่งใช้แสดงเสียง /ch/ มีเครื่องหมายแสดงเสียงนาสิกและวรรณยุกต์ ใน พ.ศ. 2549 คณะกรรมการภาษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการของสาธารณรัฐจีนได้เสนอการเขียนแบบการออกเสียงแบบโรมันสำหรับภาษาไต้หวัน โดยรวมแบบเป๊ะห์โอยจีกับ TLPA การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือเปลี่ยนจาก ts เป็น ch และ tsh เป็น chh", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "561758#0", "text": "ภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวัน หรือ ภาษาจีนไถวาน เป็นภาษาจีนที่กลายร่างมาจากภาษาจีนมาตรฐานแต่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเป็นภาษาทางการในเกาะไต้หวัน ภาษานี้เป็นที่รู้จักในคนท้องถิ่นว่า 國語 (กว๋อ-ยฺหวี่) ซึ่งภาษาจีนมาตรฐานก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาจากภาษาจีนกลางสำเนียงปักกิ่งอีกที", "title": "ภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "191569#0", "text": "จู้อิน หรือ จู้อินฝูเฮ่า (; แปลว่า \"เครื่องหมายกำกับเสียง\") เป็นระบบสัทอักษรสำหรับการถอดเสียงในภาษาจีน โดยเฉพาะภาษาจีนกลาง เป็นระบบกึ่งพยางค์ที่มีใช้อย่างกว้างขวางในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ประกอบด้วยอักษร 37 ตัวและวรรณยุกต์ 4 ตัว ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ถอดเสียงที่เป็นไปได้ในภาษาจีนกลาง", "title": "จู้อิน" }, { "docid": "290425#6", "text": "หลังจากที่หลิน จื้ออิ่งกลับจากการถูกเรียกไปฝึกทหารของไต้หวัน เมื่อวันที่ 15 พ.ย. พ.ศ. 2539 ก็เริ่มกลับมาทำงานเพลงอย่างเต็มตัวอีกครั้ง นอกจากนั้นยังสร้างร้านเวิร์กช็อบของตัวเองชื่อ Jimmy Creative และสตูวิดีโอถ่ายรูปในไทเป ไต้หวัน ชื่อ Always ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับหนังที่หลิน จื้ออิ่ง ชื่นชอบ ไม่เพียงเท่านี้ หลิน จื้ออิ่งยังได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของเขาช่วงเป็นทหารเกณฑ์ด้วย ชื่อภาษาจีนว่า “ต้าปิงยื้อจี้” แปลเป็นไทยว่า บันทึกทหาร เป็นงานเขียนเล่มแรกในชีวิตของดาราหนุ่มที่เขียนเล่าจากประสบการณ์ตอนเป็น ทหารเกณฑ์ในช่วงปี 2537-2539 ออกวางแผงในปี 2540 ที่ไต้หวันบ้านเกิด", "title": "หลิน จื้ออิ่ง" }, { "docid": "886923#0", "text": "ไต้หวันเขียว เป็นบทกวีที่ถูกเขียนโดยศิษยภิบาลและกวีชาวไต้หวันจากชื่อบทกวี บทกวีนี้เขียนเป็นภาษาไต้หวันและถูกร่างในช่วงต้นปี1992และเสร็จเมื่อตุลาคม1993 ในปีเดียวกันซึ่งพำนักอยู่ที่แอลเอได้ประพันธ์เพลงโดยนำบทกวีนี้มาใส่ไว้ในบทเพลงชื่อ ภายหลังได้มีการแปลบทกวีนี้เป็นภาษาจีน ภาษาแคะ และภาษาญี่ปุ่น。", "title": "ไต้หวันเขียว" }, { "docid": "561758#1", "text": "กว๋อยวี่ แทบจะมีระบบการพูดและการเขียนเหมือนกับภาษาจีนมาตรฐานแทบทั้งสิ้น ซึ่งภาษาจีนมาตรฐานเรียกว่า 普通话 (ผู่ทงฮว่า) แต่อย่างไรก็ตามภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวันก็ได้รับคำศัพท์ ไวยากรณ์ และการออกเสียง ที่ผิดเพี้ยนไปจากภาษาจีนมาตรฐานเล็กน้อย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาษาไต้หวัน (臺灣閩南語) และภาษาฮักกา (客家話) ซึ่งเป็นภาษาแม่ของพลเมืองเกาะนี้จำนวน 70% และ 14% ตามลำดับ", "title": "ภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "561758#3", "text": "วิธีการออกเสียงภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวันหลักๆได้รับอิทธิพลมาจากภาษาจีนมาตรฐานและภาษาไต้หวัน โดยวรรณยุกต์ทั้งสี่มีการใช้แทบจะเหมือนจากภาษาจีนมาตรฐานส่วนคำศัพท์หลายๆคำนำมาจากภาษาไต้หวันแต่รักษาวรรณยุกต์ทั้งสี่ตามภาษาจีนมาตรฐานเอาใว้", "title": "ภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "22458#18", "text": "ในบางครั้งภาษาไต้หวันเขียนด้วยอักษรละติน ตามการออกเสียงเรียกอักษรเป๊ะห์โอยจี พัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยมิชชันนารีนิกายเพรสไบทีเรียนและปรับปรุงโดยมิชชันนารีนิกายนี้ที่เป็นชาวไต้หวัน ระบบอื่นๆที่ใช้ภาษาละตินได้แก่ อักษรสัทศาสตร์ภาษาไต้หวัน (TLPA) ภาษาไต้หวันสมัยใหม่ (MTL) และโฟซิสไดบูอัน (PSDB)", "title": "ภาษาจีนฮกเกี้ยนสำเนียงไต้หวัน" }, { "docid": "349519#1", "text": "ประชากรส่วนมากที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมบนเกาะจินเหมินเป็นชาวฮกเกี้ยน และใช้ภาษาหมิ่นหนาน (ฮกเกี้ยน) แต่เนื่องจากการแยกตัวออกมาจากการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) พวกเขาจึงเรียกภาษาของพวกเขาว่า ภาษาจินเหมิน เพื่อให้เกิดความแตกต่างกับภาษาไต้หวันซึ่งใช้บนเกาะไต้หวัน ทั้งนี้ทั้งสองภาษาทั้งจินเหมินและไต้หวัน ก็สามารถใช้สื่อสารด้วยกันเข้าใจกันได้อย่างดี แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศของจินเหมินที่ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ไม่มากนัก ทำให้มีผู้คนในเมืองอูชิวใช้ภาษาปู้เซียน ซึ่งมีความแตกต่างกับภาษาหมิ่นหนาน ที่ใช้กันโดยทั่วของประชากรในแถบหมู่เกาะจินเหมิน", "title": "หมู่เกาะจินเหมิน" }, { "docid": "351889#2", "text": "ชาวฮกโล่ นอกจากจะเป็นคำเรียกของชนเผ่าจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาจากตอนใต้ของมณฑลฮกเกี้ยนแล้ว ยังเป็นคำเรียกชาวไต้หวันด้วย ชาวไต้หวันส่วนใหญ่เรียกแทนตัวเองว่า ฮกโล่ หรือถ้าตรงกับภาษาอังกฤษ คือ Taiwanese", "title": "ชาวฮกเกี้ยน" }, { "docid": "186187#1", "text": "ภาษาพื้นเมืองของไต้หวันมีความสำคัญมากในทางภาษาศาสตร์ เพราะไต้หวันคล้ายจะเป็นจุดกำเนิดของตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนทั้งหมด จากการจัดของ Blust 1999 กลุ่มภาษาเกาะฟอร์โมซามี 9 สาขาจากทั้งหมด 10 สาขาของตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน โดยอีกสาขาหนึ่งคือกลุ่มภาษามาลาโย-โพลีเนเซีย ราว 1,200 ภาษา ที่พบนอกเกาะไต้หวัน แม้ว่านักภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ได้ยอมรับรายละเอียดของ Blust ทั้งหมด แต่ก็ยอมรับร่วมกันว่าตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนมีจุดกำเนิดในไต้หวัน . และมีการศึกษาทางด้านพันธุศาสตร์มนุษย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมมติฐานนี้ ", "title": "กลุ่มภาษาเกาะฟอร์โมซา" }, { "docid": "766457#1", "text": "เมื่อประเทศไทยถูกดึงเข้าสู่สงครามมหาเอเชียบูรพา วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้ามายังประเทศไทย และขณะเดียวกันนั้นก็ได้แจ้งแก่รัฐบาลไทยว่า ภาษาไทยนี้ยากมาก ทั้งการอ่าน เขียน พูด จึงขอให้เปิดโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น และบังคับให้คนไทยเรียนภาษาญี่ปุ่น เหมือนคนจีนในเกาะไต้หวัน ทั้งๆที่ภาษาญี่ปุ่นมีความยุ่งยากทั้งในส่วนไวยกรณ์ การเขียน (มีตัวอักษรถึงสามประเภท) และการออกเสียง (ซึ่งตัวจีนตัวหนึ่งออกเสียงได้หลายแบบ) มากกว่าภาษาไทยหลายเท่า", "title": "ภาษาไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม" }, { "docid": "261600#1", "text": "หยางจี้หยวนเกิดที่ มหานครไทเป มณฑลไต้หวัน เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1968 พ่อของเขาเป็นคนจีนอพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนแม่เป็นคนไต้หวัน เขาเป็นลูกชายคนโตในบรรดาลูกชาย 2 คนของพ่อกับแม่ น้องชายของเขามีอายุห่างจากเขาเพียงปีเดียว หลังจากนั้นเมื่อเขาอายุได้เพียง 2 ปี พ่อก็เสียชีวิตลง แม่ต้องรับบทหนักเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 คน ตามลำพัง ปี ค.ศ. 1978 แม่ของเขาพาลูกชายทั้ง 2 คน อพยพไปอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของเธอและลูกๆ หยางจี้หยวนมีอายุได้เพียง 10 ปี แม่พาเขาและน้องไปตั้งรกรากใหม่อยู่ที่เมืองแซนโฮเซ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ใน แคลิฟอร์เนีย แม้ว่าแม่ของเจอร์รี หยาง จะมีอาชีพเป็นครูสอน ภาษาอังกฤษ ตั้งแต่อยู่ที่ ไต้หวัน แต่เมื่อเจอร์รี หยาง ย้ายมาอยู่ใน สหรัฐอเมริกา ใหม่ๆ นั้น เขาพูดภาษาอังกฤษได้เพียงคำเดียวคือคำว่า \"Shoe\" ที่แปลว่ารองเท้า เขาต้องปรับตัวเรื่องภาษาอย่างหนัก เป็ยนสิ่งที่ยากลำบากสำหรับคนที่ต้องไปอยู่ในถิ่นฐานใหม่และไม่รู้ภาษาของที่นั่นเลย เจอร์รี และเคน หยาง ต้องเข้าชั้นเรียนเพื่อเรียนภาษาอังกฤษอย่างเข้มช้นอยู่นานถึง 3 ปี กว่าจะใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา เจอร์รี หยาง เริ่มเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ โรงเรียนเซียร์รามอนต์ (Sierramont Middle School) เป็นเวลา 3 ปี วิชาที่เขาสามารถทำคะแนนได้ดี คือ คณิตศาสตร์ หลังจากนั้นจึงเรียนมัธยมศึกษาปลายที่ โรงเรียนพีตมอนด์ ฮิลส์ (Piedmont Hills High School)\nเจอร์รี หยาง ทำกิจกรรมหลายอย่าง และได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์อำลาในวันที่จบการศึกษาของโรงเรียน ต่อมาเข้าศึกษาต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเรียนจบ\nวิทยาศาสตรบัณฑิต กับ วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขา วิศวกรรมไฟฟ้า โดยใช้เวลาเรียนเพียง 4 ปีเท่านั้น", "title": "เจอร์รี หยาง (วิสาหกร)" }, { "docid": "510363#1", "text": "เป็นเรื่องราวของสองพนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งได้แก่ เจ ผู้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ไทเป ซึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับนักท่องเที่ยวจากปักกิ่ง กับ โอเชี่ยน ผู้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งได้รับรางวัลแรฟเฟิล และได้เดินทางมาที่ไต้หวัน ซึ่งเขาเป็นพยานเพียงคนเดียวที่พบเห็นการโจรกรรมภาพวาด เจได้บังคับให้โอเชี่ยนร่วมมือกับเขาเพื่อชิงภาพวาดกลับคืนมา ที่ซึ่งทั้งคู่เกิดความขัดแย้งกัน แต่แล้วในที่สุดทั้งสองก็ยอมรับในความต่าง และได้ร่วมมือกันในเวลาต่อมาเดวิด จาง ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชุดนี้ เคยรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่ไต้หวันเป็นระยะเวลา 7 ปี ได้ทำการนำเสนอเรื่องราวโดยอาศัยความตลกที่เกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมจีนและไต้หวัน ที่แม้จะใช้ภาษาจีนกลางเหมือนกัน หากแต่ได้แยกห่างกันมานับสิบปี ภาษาที่ใช้จึงต่างกันไป และโดยแท้จริงแล้ว ทางผู้กำกับต้องการเน้นถึงมิตรภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะมีความต่างกัน ซึ่งภาพยนตร์ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ \"คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด\" ที่ได้นำเสนอเรื่องราวของสองตัวละครที่มีความแตกต่างกัน", "title": "พ่อสั่งมาฟัด" }, { "docid": "340782#0", "text": "เริ่น เสียนฉี (หรือที่นิยมเรียกว่า เยิ่น เสียนฉี) (อักษรจีนตัวเต็ม: 任賢齊, อักษรจีนตัวย่อ: 任贤齐, พินอิน: rèn xián qí) นักร้องและนักแสดงชาวไต้หวัน เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1966 ที่จางฮั่ว ประเทศไต้หวัน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ริชชี เริ่น (Richie Ren) หรือ ริชชี่ เจิ่น (Richie Jen) มีชื่อเล่นที่เพื่อน ๆ นิยมเรียกว่า เสี่ยวฉี", "title": "เริ่น เสียนฉี" } ]
2411
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีมีพระบิดาชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "18064#0", "text": "พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) เป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง ก่อนที่สมเด็จพระบรมชนกนาถจะเสด็จสวรรคตในวันต่อมา", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" } ]
[ { "docid": "384639#37", "text": "ดูบทความหลักที่ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รัฐบาลไทยขึ้นจัดเพื่อแสดงความจงรักภักดีและความอาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โดยกำหนดวันพระราชพิธีระหว่างวันที่ 8-12 เมษายน พ.ศ. 2555 โดยกำหนดการพระราชพิธีสำคัญ ได้แก่ การบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ในวันที่ 8 เมษายน พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพในวันที่ 9 เมษายน พระราชพิธีเก็บพระอัฐิ ในวันที่ 10 เมษายน การบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระอัฐิ ในวันที่ 11 เมษายน การเชิญพระอัฐิขึ้นประดิษฐานที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และการเชิญพระผอบพระสรีรางคารไปบรรจุยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในวันที่ 12 เมษายน", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#4", "text": "สำนักพระราชวัง มีประกาศเรื่อง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ความว่า", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "574091#37", "text": "ขบวนเชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ไปประดิษฐาน ณ พระวิมานวังรื่นฤดี ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์นำขบวน จากกองสันดิบาล ตำรวจนครบาล รถยนต์พระที่นั่งเชิญพระโกศพระอัฐิ เป็นรถยนต์คาร์ดิลแลคสีขาว ซึ่งเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ขององค์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ปักธงราชวงศ์ใหญ่ฝ่ายใน และรถยนต์ข้าราชบริพารจากกองราชพาหนะ สำนักพระราชวัง ขบวนเคลื่นออกจากท้องสนามหลวงไปตามถนนราชดำเนินเลี้ยวเข้าสู่ถนนนครสวรรค์ขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ไปลงถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิท 38 ถึงยังวังรื่นฤดี มีข้าหลวงฝ่ายในของวังรื่นฤดีเฝ้ารับพระอัฐิ จากนั้นนางสุรัสวดี กุวานนท์ แม็คซี่ เชิญพระโกศพระอัฐิไปยังท้องพระโรงวังรื่นฤดี เชิญขึ้นบนพระตำหนัก เข้าสู่ห้องนมัสการประดิษฐานบนพระวิมาน นางสุรัสวดี กุวานนท์ แม็คซี่ จุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป และจุดธูปเทียนบูชาพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอัฐิพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นอันเสร็จพิธี", "title": "พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#10", "text": "ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้เสด็จผ่านพิภพขึ้นสืบสนองพระองค์ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีประกาศเปลี่ยนคำนำพระนามสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ผู้เป็นพระขนิษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ[12]", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#53", "text": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชูปโภคสำหรับสมเด็จเจ้าฟ้า ซึ่งสร้างขึ้นมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีรายการดังต่อไปนี้[53]", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "574091#38", "text": "วันที่ 11 เมษายน 2555 เวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยรวรางกูร เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เสด็จถึง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมอัฐิสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบรมอัฐิสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระอัฐิพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระบรมอัฐิสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมราชบุพการีที่เชิญออกประดิษฐานบนแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร และทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ พระแท่นสุวรรณเบญจดล จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยรวรางกูร เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปถวายพัดรองที่ระลึกงานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี แด่สมเด็จพระราชาคณะ จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร สมเด็จพระบรมราชบุพการี และพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ที่พระแท่นมณฑลมุก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยรวรางกูร เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารทรงจุดธูปเทียนทรงจุดธูปเทียนสำหรับพระบรมอัฐิพระบรมราชบุพการีทรงธรรม และสำหรับสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีทรงธรรม พระสงฆ์ถวายพระธรรมเทศนาจบแล้ว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ ทรงทอดผ้าไตรสดับปกรณ์พระอัฐิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระสงฆ์ 86 รูป สดับปกรณ์พระอัฐิ จากนั้นทรงทอดผ้าไตรสดับปกรณ์พระบรมอัฐิและพระอัฐิพระบรมราชบุพการี ทรงหลั่งทักษิโณทก ทรงกราบที่หน้าพระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบรมอัฐิ และพระอัฐิ ที่พระแท่นมณฑลมุก เสด็จฯ ไปทรงกราบพระบรมอัฐิและพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่หน้าพระแท่นนพปฎลเศวตฉัตร แล้วเสด็จฯ ไปทรงกราบพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินกลับ", "title": "พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#66", "text": "เป็นหนังสือเฉลิมพระเกียรติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีเรียบเรียงโดยคุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร สำนักนายกรัฐมนตรีให้จัดพิมพ์เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา จำนวน 711 หน้า โดยผู้เรียบเรียงได้มอบลิขสิทธิ์ให้แก่มูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "574091#58", "text": "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชดำริให้ไปจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นการถาวรขึ้นที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม แทนการจัดนิทรรศการชั่วคราวที่พระเมรุอย่างในอดีต ซึ่งจำเป็นต้องรื้อถอนไป ถ้านำงบประมาณส่วนนี้ไปจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเป็นการถาวรภายในพระราชวังสนามจันทร์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงร่วมกันบูรณะก็จะเป็นประโยชน์ยั่งยืนกว่า ทั้งนี้จะได้เป็นการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทั้งสามพระองค์ด้วย โดยจัดแสดงภายในพระที่นั่งพิมานปฐม พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี และพระที่นั่งวัชรีรมยา โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน กล่าวคือ", "title": "พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#69", "text": "เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 มีลักษณะดังนี้[70] ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี\" ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามย่อ \"พ.ร.\" ภายใต้มงกุฎขัตติยราชนารี และมีพระวชิระ ดอกบัว และดารารัศมีประดับอยู่โดยรอบ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘\" เบื้องล่างมีข้อความบอกราคาและ \"ประเทศไทย\" ตามลำดับ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีลักษณะดังนี้[71] ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี\" ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามย่อ \"พ.ร.\" ภายใต้มงกุฎขัตติยราชนารี ล้อมด้วยลายไทยประดิษฐ์ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"พระชนมายุ ๘๔ พรรษา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒\" เบื้องล่างมีข้อความว่า \"ประเทศไทย\" โดยมีจุดกลมคั่นระหว่างข้อความเบื้องบนกับเบื้องล่าง เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555 มีลักษณะดังนี้ ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า \"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี\" ด้านหลัง กลางเหรียญเป็นรูปพระเมรุมาจัดวาง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ หลังรูปพระเมรุมีรูปแสงพระอาทิตย์แผ่รัศมีผ่าน ปุยเมฆ สื่อความหมายว่าแสงสุดท้ายและเป็นการน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#9", "text": "พระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นั้นได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2468[9] และมีคำนำพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ (ภาติกา หมายถึง หลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย) โดยก่อนหน้านี้มีการสมโภชได้มีการคิดพระนามไว้ 3 พระนาม ได้แก่ 1. สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชอรสา สิริโสภาพัณณวดี 2. สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนจุฬิน สิริโสภิณพัณณวดี 3. สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี[10] ท้ายที่สุด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลือกพระนามสุดท้ายพระราชทาน[8] โดยพระนาม แปลว่า เจ้าฟ้าพระราชธิดาผู้มีพระชาติกำเนิดเป็นศรีดั่งดวงแก้ว เป็นพัชรแห่งมหาวชิราวุธ มีพระฉวีพรรณสิริโฉมงามพร้อม[11]", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#19", "text": "ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันที่ 16 กันยายน 2554 เวลา 13.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลโท หม่อมเจ้าเฉลิมศึก ยุคล เสด็จแทนพระองค์ ในการคณะสงฆ์จีนนิกายบำเพ็ญกุศล (พิธีกงเต็ก) ถวายพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#70", "text": "บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัดออกตราไปรษณียากรที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ดังต่อไปนี้", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#83", "text": "อาริยา สินธุ, สกุลไทย ชัชพล ไชยพร, พระผู้ทรงเป็น “เพชรรัตน” แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระราชสุดาได้ จากฟ้ามาแทน โดย ชัชพล ไชยพร พระประวัติ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ข่าวการสิ้นพระชนม์, INN News.", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#28", "text": "ในการประโคมงานพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมศิลปากรได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในการประโคมย่ำยามด้วย ดังนั้น จึงมี 2 หน่วยงานเข้าร่วมประโคม คือ", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#80", "text": "ทุนจุฬาเพชรรัตน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุนเพชรรัตน มหาวิทยาลัยศิลปากร ทุนเพชรรัตน สำนักงานบรรเทาทุกข์ สภากาชาดไทย ทุนเพชรรัตนการุญ ศิริราชมูลนิธิ ทุนเพชรรัตนการุณ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 15 ทุนเพชรรัตนอุปถัมภ์ โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ทุนสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทุนสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ สำนักงานอาสากาชาด สภากาชาดไทย ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ นิธิวัดราชบพิธ ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ กองทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โรงเรียนราชินี ทุนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โสสะมูลนิธิแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#2", "text": "ในเวลาต่อมาสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เริ่มมีพระอาการเส้นพระโลหิตอุดตัน มีรับสั่งน้อยลง แต่ทรงทราบกิจทุกเรื่อง[1] แต่พระอาการดังกล่าวทำให้พระวรกายด้านซ้ายขยับยาก คณะแพทย์ศิริราชจึงได้ถวายพระโอสถ มีนางพยาบาลมาดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และมีนักกายภาพบำบัดมาถวายการออกกำลัง[1]", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#68", "text": "กรมธนารักษ์ออกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ดังต่อไปนี้", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#47", "text": "หมายกำหนดการ พระราชพิธีพระราชทานเพลงิ พระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พุทธศักราช ๒๕๕๕", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "7052#6", "text": "ในรัชกาลปัจจุบันเมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2502 ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะสนองพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นพระบรมชนกนาถ และ พระราชสวามี จึงทรงต้องพระประสงค์จะอุปถัมภ์กิจการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้ ดังนั้นพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี จึงทรงรับวชิราวุธวิทยาลัยไว้ในพระอุปถัมภ์ โดยจะทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อบำรุงวชิราวุธวิทยาลัย และทรงเสด็จพระดำเนินมาบำเพ็ญพระกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี จะเสด็จสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ก็ยังทรงพระราชทานเงินเพื่อบำรุงไว้เช่นเดิมจนถึงปัจจุบัน", "title": "วชิราวุธวิทยาลัย" }, { "docid": "18064#3", "text": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16.37 นาฬิกา ณ ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชนมายุ 85 พรรษา 8 เดือน 3 วัน[1][2]", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#51", "text": "สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี (30 ธันวาคม พ.ศ. 2468 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478) สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#49", "text": "หมวดหมู่:สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี หมวดหมู่:การสิ้นพระชนม์ในพระบรมวงศานุวงศ์ไทย", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#52", "text": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงมีสกุลยศชั้นเจ้าฟ้า ดังนั้น จึงได้รับพระราชทานเบญจปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 5 ชั้น) กางกั้นพระโกศ เพื่อเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ต่อมา ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2555 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศว่า โดยที่ทรงพระอนุสรณ์ถึงสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พุทธศักราช 2554 ว่าเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้เป็นสมเด็จพระปิตุลาธิราช และเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ผู้เป็นที่เคารพนับถือในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อเสด็จสิ้นพระชนม์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานเป็นลำดับมา บัดนี้ ถึงวาระที่จะได้พระราชทานเพลิงพระศพเป็นอวสานแห่งการพระราชกุศล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีขึ้น ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอพระองค์นั้น ทรงพระเกียรติคุณเป็นที่เชิดชูแห่งพระราชวงศ์ อีกทั้งทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนนานัปการ ควรได้รับพระเกียรติยศใหญ่ขึ้น โดยอนุโลมตามโบราณราชประเพณี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดสัปตปฎลเศวตฉัตรกางกั้นพระโกศ พระราชทานเป็นเครื่องเพิ่มเติมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป[52]", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "574091#52", "text": "สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จัดทำเข็มที่ระลึก สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เพื่อให้ประชาชนร่วมกับรัฐบาลน้อมเกล้าฯ แสดงความจงรักภักดี และนำรายได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมทบมูลนิธิเพชรรัตน - สุวัทนา ซึ่งมี อักษรพระนาม พ.ร. ภายใต้พระชฎามหากฐินรัชกาลที่ 6 และอุณาโลมเลียนลักษณะเลข 6 ทำด้วยโลหะชุบทอง หมายถึง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในรัชกาลที่ 6 มีพระขัตติยชาติอันประเสริฐดั่งทองนพคุณ", "title": "พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#45", "text": "วันที่ 4 เมษายน 2555 มีการพระราชทานเพลิงพระบุพโพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งเป็นพระราชพิธีโบราณที่จัดขึ้นสืบต่อกันมาในการพระราชทานเพลิงพระศพเจ้านาย ในช่วงเช้าของวันเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเรือเอกหม่อมเจ้าปุสาน สวัสดิวัตน์ เสด็จแทนพระองค์ ไปในการพระราชทานเพลิงพระบุพโพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#65", "text": "จัดงานพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี จัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 285 รูป ถวายเป็นพระกุศล โดยในกรุงเทพมหานครจัด ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สำหรับจังหวัดอื่นๆ นั้น ขอเชิญชวนประชาชนร่วมทำบุญตักบาตรตามความเหมาะสมต่อไป กิจกรรมการบริจาคโลหิตถวายเป็นพระกุศล จัดทำสารคดีพระประวัติ พระกรณียกิจ และพระเกียรติคุณ เผยแพร่ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย จัดทำหนังสือเรื่อง \"ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า\" ฉบับพ็อคเก็ตบุ๊ค จัดทำหนังสือจดหมายเหตุการจัดงานฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้า ภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมธนารักษ์จัดทำเหรียญที่ระลึก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จัดทำดวงตราไปรษณียากรที่ระลึก พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ออกแบบภาพวัว เพื่อจัดทำเสื้อจำหน่ายให้แก่มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ จัดทำนาฬิกาที่ระลึกจำหน่าย", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "384639#13", "text": "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระราชทานพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ดังนี้", "title": "การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "393672#3", "text": "ท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ เป็นทั้งคุณข้าหลวงในพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระอาจารย์ในพระองค์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งทรงไว้วางพระทัยมาก ท่านผู้หญิงเคยตามเสด็จ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประพาสสหรัฐอเมริกา", "title": "ศรีนาถ สุริยะ" }, { "docid": "18064#56", "text": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเรียงลำดับตามปีที่ได้รับพระราชทาน ดังนี้", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#11", "text": "จากนั้นในปี พ.ศ. 2489 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทน ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงคำนำพระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ที่ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ ดังเดิม เนื่องจากคำว่า \"ภคินี\" หมายถึง ลูกพี่ลูกน้องหญิง[13] เนื่องจากสังคมไทยจะพิจารณาจากความเป็น \"ลูกผู้พี่\" และ \"ลูกผู้น้อง\"[14] จึงทรงพระนามตามพระฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ดังปรากฏในปัจจุบันว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ส่วนพระนามในภาษาอังกฤษตามทางราชการใช้ว่า \"Her Royal Highness Princess Bejaratana\"[15]", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" } ]
1708
โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ตั้งอยู่ที่ไหน ?
[ { "docid": "225514#0", "text": "โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ () เป็นโรงเรียนรัฐบาลสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 35ก หมู่3 ถนนเอกชัย แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์เป็นโรงเรียนสหศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ มีเนื้อที่ 37 ไร่ ถือเป็นโรงเรียนรัฐบาลที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งธนบุรีซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2496", "title": "โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์" }, { "docid": "225514#1", "text": "โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ( ม.ว.ส.) แต่เดิมชื่อ โรงเรียนวัดสิงห์ (ว.ส.) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนสิงหราชพิทยาคม (ส.พ.) เมื่อปี พ.ศ. 2514 และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ (ม.ว.ส.) เมื่อ ปี พ.ศ. 2538\nโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์เป็นโรงเรียนประเภทสหศึกษา ขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 35 ก. หมู่ 3 ถนนเอกชัย แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 37 ไร่ 100 ตารางวา โดยเช่าที่ดินของวัดสิงห์ส่วนหนึ่ง และเป็นที่ดิน ราชพัสดุ อีกส่วนหนึ่ง", "title": "โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์" } ]
[ { "docid": "225514#2", "text": "โรงเรียนเปิดทำการสอนครั้งแรก เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 (ซึ่งถือเป็นวันสถาปนาโรงเรียน) เริ่มต้นเปิดสอนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1ห้องเรียน มีนักเรียน 47 คน ครู 4 คน โดยมีครูหงิม เกบไว้ เป็นครูใหญ่คนแรก ในระยะแรกโรงเรียน มีอาคารเรียนเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวหลังคามุงจาก จำนวน 1 หลัง การทำกิจกรรมต่างๆ จึงต้องอาศัยศาลาโรงทึมที่วัดสิงห์อยู่เสมอ ซึ่งท่านพระครูฉ่อง (พระครูอุดมสิกขกิจ) เจ้าอาวาสวัดสิงห์ในสมัยนั้น ท่านได้ให้ความกรุณาอุปถัมภ์โรงเรียนตลอดมา โรงเรียนได้พัฒนาก้าวหน้ามาโดยลำดับ มีการก่อสร้าง อาคารเรียนเพิ่มเติมหลายหลัง", "title": "โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์" }, { "docid": "142299#3", "text": "โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๒ ตั้งอยู่เลขที่ 333 ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประเภทสหศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่บนที่ดินจำนวน 22 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวา ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดบางเตย ที่ดินแปลงนี้อุบาสิกาแม้น อ่ำทรงงาม ได้บริจาคให้วัดบางเตย ตั้งแต่ พ.ศ. 2504", "title": "โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๒" }, { "docid": "318904#0", "text": "โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม (ชื่อภาษาอังกฤษ: Matthayom Wat Nongkhaem School) เป็นโรงเรียนรางวัลพระราชทานขนาดใหญ่พิเศษและโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทสหศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 443 ถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งใต้ แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม ได้รับอนุมัติให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2490 โดยใช้ชื่อว่า ”โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม”", "title": "โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม" }, { "docid": "391816#2", "text": "โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ตั้งอยู่ที่ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 บนที่ดินของวัดสองวัดคือ วัดนายโรงและวัดบางบำหรุ โดยได้รับการมอบที่ดินจากพระอธิการแนบ ได้มอบที่ดิน จำนวน 5 ไร่ 2 ตารางวา เจ้าอาวาสวัดนายโรง และพระครูรัตนโสภณ เจ้าอาวาสวัดบางบำหรุได้มอบที่ดินอีก 119 ตารางวา รวมเนื้อที่ทั้งหมด 5 ไร่ 1 งาน 22 ตารางวา และเปิดทำการสอนครั้งแรกในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 อาศัยศาลาการเปรียญของวัดนายโรง ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้องเรียน มีนักเรียน 77 คน ครู 3 คน มีนายธำรง โกมลบุตร เป็นครูใหญ่คนแรก และเปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 โรงเรียนวัดนายโรงได้ขออนุมัติเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2539", "title": "โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง" }, { "docid": "956219#0", "text": "วัดสิงห์ เป็นวัดโบราณ ตั้งอยู่ริมคลองสนามชัย (คลองด่าน) ด้านหลังสถานีรถไฟวัดสิงห์ เขตจอมทอง ทางวัดเปิดสอน พระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา สำหรับการศึกษาทางโลก มีโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ซึ่งทางวัดให้การสนับสนุนตั้งอยู่ในที่ธรณีสงฆ์ของวัดด้วย", "title": "วัดสิงห์ (จอมทอง)" }, { "docid": "891459#0", "text": "โรงเรียนมัธยมยางสีสุราช เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำอำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 26 กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เดิมเป็นโรงเรียนสาขาของโรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์ ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 2 ถนนยางสีสุราช – นาดูน ตำบลบ้านกู่ อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันเปิดสอนในช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ภายใต้สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 กระทรวงศึกษาธิการ สหวิทยาเขต สารคามใต้", "title": "โรงเรียนมัธยมยางสีสุราช" }, { "docid": "171780#2", "text": "โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) นนทบุรี เดิมชื่อโรงเรียนบางกรวย เป็นโรงเรียนสหศึกษาประจำอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 (นนทบุรี-พระนครศรีอยุธยา) กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ในธรณีสงฆ์วัดกล้วย เลขที่ 79 หมู่ที่ 3 ซอยบางกรวย-ไทรน้อย 22 (วัดกล้วย) ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลวัดชลอ บนเนื้อที่ 12 ไร่ และที่ดินบริจาคของนางสง่า สิลา, นายอเนก ศิลา, นางสาวละมุล ศิลา และนายสงัด ปุกเกตุ จำนวน 1 งาน 49 วา", "title": "โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) นนทบุรี" }, { "docid": "225514#4", "text": "โรงเรียนมีสนามกีฬามากมาย เช่น สนามฟุตบอล สนามฟุตซอล สนามวอลเล่ย์บอล สนามเทนนิส สนามเปตอง เป็นต้น มีสระบัวขนาดใหญ่ 2 สระ ที่บริเวณอาคารเรียนวิทยาศาสตร์ และบริเวณระหว่างสวนธรรมมะ และอาคาร 2 สวนวิทย์ฯ สวนธรรมมะ ลานประดู่ คือบริเวณที่นักเรียน มักจะมาไปพักผ่อน แปลงเกษตร อยู่บริเวณข้างอาคาร 4", "title": "โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์" } ]
2541
ธาตุกึ่งโลหะมีลักษณะเหมือนโลหะ แต่เปราะและนำไฟฟ้าได้ไม่ดีใช่หรือไม่?
[ { "docid": "14673#20", "text": "กึ่งโลหะโดยทั่วไปจะมีลักษณะเหมือนโลหะ แต่ก็มีลักษณะที่เหมือนอโลหะด้วยเช่นกัน เช่นซิลิคอน มีลักษณะคล้ายของแข็งมีสีเงินวาว แต่เปราะง่ายคล้ายธาตุอโลหะ และนำไฟฟ้าได้เล็กน้อย ธาตุกึ่งโลหะส่วนใหญ่จะเป็นสารกึ่งตัวนำ ( semiconductors ) และส่วนใหญ่มีโครงสร้างแบบโครงผลึกร่างตาข่าย ในภาวะปกติ ธาตุบางชนิดดำรงอยู่สถานะของแข็ง บางชนิดเป็นของเหลว และบางชนิดเป็นแก๊ส", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14673#2", "text": "ธาตุกึ่งโลหะมีลักษณะเหมือนโลหะ แต่เปราะและนำไฟฟ้าได้ไม่ดี ในทางเคมีนั้นธาตุกึ่งโลหะมีสมบัติคล้ายกับธาตุอโลหะ และยังสามารถผสมกับโลหะได้เป็นอัลลอยหรือโลหะผสม คุณสมบัติทางฟิสิกส์และทางเคมีส่วนใหญ่เป็นกลางในธรรมชาติ สารประกอบและธาตุกึ่งโลหะใช้ในการผลิตโลหะผสม, สารชีวภาพ, ตัวเร่งปฏิกิริยา, สารทนไฟ, แก้วและใยแก้วนำแสง", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" } ]
[ { "docid": "14673#5", "text": "ธาตุกึ่งโลหะเป็นธาตุที่มีองค์ประกอบก้ำกึ่งระหว่างพวกโลหะและอโลหะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะจำแนกว่าเป็นโลหะหรืออโลหะ นี่คือความหมายทั่วไปที่กล่าวถึงลักษณะของธาตุกึ่งโลหะที่ถูกอ้างถึงอย่างต่อเนื่องในงานวิจัย\nความยากของการจัดหมวดหมู่เป็นคุณลักษณะสำคัญของธาตุกึ่งโลหะ ธาตุส่วนใหญ่มีคุณสมบัติของทั้งโลหะและอโลหะ และสามารถแบ่งได้ตามคุณสมบัติเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะธาตุที่อยู่ใกล้เส้นขอบ ที่ไม่มีลักษณะชัดเจนว่าเป็นโลหะหรืออโลหะ จะถูกจัดเป็นกึ่งโลหะ", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14673#7", "text": "ยังมีธาตุอื่นๆที่ถูกจัดว่าเป็นธาตุกึ่งโลหะ ซึ่งธาตุเหล่านั้นคือ ไฮโดรเจน, เบริลเลียม, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, กำมะถัน, สังกะสี, แกลเลียม, ดีบุก, ไอโอดีน, ตะกั่ว, บิสมัทและเรดอน ธาตุกึ่งโลหะที่มีองค์ประกอบที่แสดงถึงความมันวาวของโลหะและการนำไฟฟ้า เรียกว่า แอมโฟเทริก เช่น สารหนู พลวง วานาเดียม โครเมียม โมลิบดีนัม ทังสเตนดีบุก ตะกั่วและอะลูมิเนียม โลหะบล็อก-p และอโลหะ (เช่น คาร์บอน หรือ ไนโตรเจน) สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติหรือรวมกันได้เป็นโลหะผสม จึงได้รับการพิจารณาเป็นกึ่งโลหะ", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14673#9", "text": "ธาตุกึ่งโลหะจะอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของเส้นแบ่งระหว่างโลหะและอโลหะสามารถพบในการกำหนดค่าที่แตกต่างกัน ในบางตารางธาตุ องค์ประกอบทางด้านซ้ายล่างของบรรทัดโดยทั่วไปแสดงเพิ่มพฤติกรรมโลหะ องค์ประกอบทางด้านขวาบนแสดงพฤติกรรมเพิ่มขึ้น นอลเมทาลิก เมื่อเรียงเป็นขั้นปกติ องค์ประกอบกับอุณหภูมิสำคัญสูงสุดสำหรับกลุ่มธาตุ (ลิเทียม เบริลเลียม อะลูมิเนียม เจอร์เมเนียม พลวง พอโลเนียม) จะนอนอยู่ด้านล่างบรรทัด", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14667#6", "text": "ธาตุมีความเป็นโลหะลดลงจากซ้ายไปขวาตามตารางธาตุแบบมาตรฐาน ฉะนั้น อโลหะจึงมีโครงสร้สางที่แสดงการลดของจำนวนอะตอมเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุด สามหรือสองอะตอมสำหรับอโลหะหลายอะตอม เหลือหนึ่งสำหรับอโลหะสองอะตอม และศูนย์สำหรับแก๊สมีตระกูลอะตอมเดียว เกิดรูปแบบคล้ายกันมากกว่า ในระดับทั้งตารางธาตุ โดยเปรียบเทียบระหว่างโลหะและอโลหะ มีการเปลี่ยนแปลงจากพันธะโลหะในหมู่โลหะที่อยู่ฝั่งซ้ายของตาราง ไปเป็นพันธะโคเวเลนต์หรือพันธะวันเดอร์วาลส์ (ไฟฟ้าสถิต) ในหมู่อโลหะที่อยู่ฝั่งขวามือของตาราง พันธะโลหะมักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างสมมาตรศูนย์กลางอัดแน่น (close-packed centrosymmetric) โดยมีอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุดจำนวนมาก โลหะหลังทรานซิชันและกึ่งโลหะที่อยู่ระหว่างโลหะแท้และอโลหะ มักมีโครงสร้างซับซ้อนกว่าโดยมีจำนวนอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุดปานกลาง พันธะอโลหะที่อยู่ฝั่งขวามือของตาราง มีโครงสร้างมีทิศทางไม่อัดแน่นหรือไม่เป็นระเบียบโดยมีอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุดน้อยกว่าโลหะหรือไม่มีเลย ดังที่กล่าวมาข้างต้น การลดจำนวนอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุดอย่างคงที่นี้ ดังที่ความเป็นโลหะลดและความเป็นอโลหะเพิ่ม สะท้อนอยู่ในหมู่อโลหะ เป็นโครงสร้างที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากหลายอะตอม เป็นสองอะตอม เป็นอะตอมเดียว", "title": "อโลหะ" }, { "docid": "14673#1", "text": "โดยปกติทั่วไปแล้วธาตุกึ่งโลหะ ประกอบด้วย 6 ธาตุ คือ โบรอน, ซิลิคอน, เจอร์เมเนียม, สารหนู, พลวงและเทลลูเรียม แต่บางครั้งการจำแนกธาตุกึ่งโลหะได้รวม คาร์บอน, อะลูมิเนียม, ซีลีเนียม, พอโลเนียมและแอสทาทีนไว้ด้วย ในตารางธาตุทั่วไปนั้นสามารถพบธาตุกึ่งโลหะได้ที่บริเวณเส้นทแยงมุมของ บล็อก-p โดยเริ่มจากโบรอนไปจนถึงแอสทาทีน ในบางตารางธาตุที่ประกอบด้วยเส้นแบ่งระหว่างโลหะกับอโลหะและธาตุกึ่งโลหะนั้นจะอยู่ติดกับเส้นแบ่งนี้", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "1743#15", "text": "ตามสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของมัน เรายังสามารถแบ่งธาตุออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ โลหะ กึ่งโลหะ และอโลหะ ธาตุโลหะส่วนใหญ่จะสะท้อนแสง อยู่ในรูปอัลลอย และยังสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอโลหะ (ยกเว้น แก๊สมีตระกูล) ได้สารประกอบไอออนิกในรูปของเกลือ ส่วนธาตุอโลหะส่วนใหญ่จะเป็นแก๊สซึ่งไม่มีสีหรือมีสี อโลหะที่ทำปฏิกิริยากับอโลหะด้วยกันจะทำให้เกิดสารประกอบที่มีพันธะโควาเลนต์ ระหว่างธาตุโลหะกับธาตุอโลหะ คือธาตุกึ่งโลหะ ซึ่งจะมีสมบัติของธาตุโลหะและอโลหะผสมกัน", "title": "ตารางธาตุ" }, { "docid": "14667#1", "text": "ธาตุอโลหะมีโครงสร้างซึ่งมีเลขโคออร์ดิเนชัน (อะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุด) น้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อเลื่อนไปทางขวามือของตารางธาตุแบบมาตรฐาน อโลหะหลายอะตอมมีโครงสร้างที่มีอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุดสามอะตอม เช่นในกรณีของคาร์บอน (ในสถานะมาตรฐานกราฟีน) หรือสองอะตอม เช่นในกรณีของกำมะถัน อโลหะสองอะตอม เช่น ไฮโดรเจน มีอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุดหนึ่งอะตอม และแก๊สมีตระกูลอะตอมเดียว เช่น ฮีเลียม ไม่มีอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุด ยิ่งมีจำนวนอะตอมเพื่อนบ้านใกล้ที่สุดน้อยลงเท่าใดยิ่งสัมพันธ์กับการลดลงของความเป็นโลหะและเพิ่มความเป็นอโลหะมากขึ้นเท่านั้น แต่ข้อแตกต่างระหว่างอโลหะสามหมวดในแง่ของความเป็นโลหะที่ลดนั้นไม่สัมบูรณ์ มีขอบเขตทับซ้อนกันเมื่อธาตุรอบนอกในแต่ละหมวดแสดง (หรือเริ่มแสดง) คุณสมบัติที่ต่างกันน้อย คล้ายลูกผสมหรือไม่ตรงแบบ", "title": "อโลหะ" }, { "docid": "14673#24", "text": "ต้นกำเนิดของธาตุกึ่งโลหะยังคงเป็นที่ถกเถียงและยังหาข้อสรุปไม่ได้ ธาตุถูกนำมาใช้ครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยใช้โลหะที่สามารถลอยน้ำได้ (โซเดียมและโพแทสเซียม) และหลังจากนั้นก็มีการใช้อโลหะกันอย่างแพร่หลาย ก่อนหน้านั้นธาตุกึ่งโลหะใช้ในการศึกษาแร่วิทยา เพื่ออธิบายแร่ธาตุที่มีลักษณะภายนอกเหมือนโลหะ ซึ่งถึงว่าอยู่ระหว่างกลางหรือเป็นเส้นแบ่งเขตของธาตุทางเคมี ก่อนหน้านี้สหภาพเคมีบริสุทธิ์และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศ (IUPAC) ได้เสนอให้ตัด metalloid (ธาตุกึ่งโลหะ) ออกและเสนอให้ใช้ semimetal แทน แต่ต่อมาไม่ได้รับการสนันสนุนจึงถูกยกเลิกไป เพราะมันมีความหมายที่แตกต่างในทางฟิสิกส์ อีกด้านคือมีความเฉพาะเจาะจง ว่าหมายถึงมีโครงสร้างอิเล็กทรอนิกส์ของสาร มากกว่าจะกล่าวถึงองค์ประกอบของธาตุโดยรวม ล่าสุด IUPACได้ประกาศลงในศัพท์เฉพาะโดยไม่บอกถึงคำแนะนำการใช้ว่าจะใช้คำว่า metalloid หรือ semimetal", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" } ]
1557
เปลือกสมองส่วนการเห็นอยู่ตำแหน่งไหน?
[ { "docid": "552390#10", "text": "เปลือกสมองส่วนการเห็นปฐมภูมิ (, ชื่อย่อ V1) เป็นเขตสายตาที่มีการวิจัยมากที่สุดในสมอง ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดที่ได้รับการวิจัย V1 อยู่ทางด้านหลังของคอร์เทกซ์ท้ายทอย (occipital cortex) ซึ่งมีหน้าที่ประมวลข้อมูลทางสายตา V1 เป็นเขตเปลือกสมองส่วนการเห็นที่เรียบง่ายที่สุด และเป็นเขตขั้นแรกสุด มีกิจเฉพาะในการประมวลข้อมูลของทั้งตัวกระตุ้นที่นิ่ง และทั้งตัวกระตุ้นที่เคลื่อนไหว และมีสมรรถภาพในการรู้จำแบบ (pattern recognition)", "title": "เปลือกสมองส่วนการเห็น" }, { "docid": "552390#0", "text": "เปลือกสมองส่วนการเห็น (, ) ในสมองเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกสมอง ทำหน้าที่ประมวลข้อมูลสายตา อยู่ในสมองกลีบท้ายทอยด้านหลังของสมอง", "title": "เปลือกสมองส่วนการเห็น" } ]
[ { "docid": "552390#8", "text": "เซลล์ประสาทในเปลือกสมองส่วนการเห็นยิงศักยะงาน เมื่อตัวกระตุ้นสายตาปรากฏในลานรับสัญญาณ (receptive field) ของตน คำจำกัดความของ\"ลานรับสัญญาณ\"ก็คือ เขตภายในลานสายตา (visual field) ทั้งหมดที่ก่อให้เกิดศักยะงานในเซลล์นั้น ๆ เมื่อปรากฏตัวกระตุ้น แต่สำหรับเซลล์ประสาทหนี่ง ๆ เซลล์นั้นอาจจะมีการตอบสนองดีที่สุดต่อตัวกระตุ้นเฉพาะอย่าง ที่ปรากฏในลานรับสัญญาณของเซลล์ คุณสมบัตินี้เรียกว่า การเลือกตัวกระตุ้นของนิวรอน (neuronal tuning) ในเขตสายตาขั้นแรก ๆ เซลล์ประสาทจะมีการเลือกตัวกระตุ้นที่ง่าย ๆ เช่น เซลล์ประสาทใน V1 อาจจะยิงสัญญาณเมื่อมีตัวกระตุ้นแนวตั้งในลานรับสัญญาณของเซลล์ แต่ในเขตสายตาหลัง ๆ เซลล์ประสาทจะมีการเลือกตัวกระตุ้นที่ซับซ้อน เช่น ในคอร์เทกซ์กลีบขมับด้านล่าง (inferior temporal cortex) เซลล์ประสาทอาจจะยิงสัญญาณเมื่อรูปใบหน้าของคนหนึ่งปรากฏที่ลานรับสัญญาณของเซลล์ \nในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับเปลือกสมองส่วนการเห็นปฐมภูมิ นักวิจัยอาจจะบันทึกศักยะงานของเซลล์ประสาทด้วยอิเล็คโทรดที่อยู่ในสมองของสัตว์ทดลอง เช่น แมว เฟอเรท (สัตว์คล้ายพังพอน) หนู หรือลิง หรืออาจจะบันทึกสัญญาณสายตา (optical signals) โดยตรงจากสัตว์ทดลอง หรือว่า อาจจะบันทึกสัญญาณ EEG, MEG, หรือ fMRI จาก V1 ของมนุษย์และลิง", "title": "เปลือกสมองส่วนการเห็น" }, { "docid": "605030#31", "text": "งานวิจัยทางสรีรวิทยาไฟฟ้าพบว่า เซลล์ประสาทในเขตเหล่านี้ตอบสนองต่อทั้งสิ่งเร้าทางอากัปกิริยา สิ่งเร้าทางตา และสิ่งเร้าจากระบบการทรงตัว เช่น รูปที่กำลังเคลื่อนที่ และการหมุนตัวแม้ปิดตา นี่แสดงว่า เปลือกสมองเขตเหล่านี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ตำแหน่งทิศทางของร่างกายกับปริภูมิรอบ ๆ ตัว จริงอย่างนั้น คนไข้ที่มีสมองกลีบข้างด้านขวาเสียหาย มีปัญหาในการรับรู้เยี่ยงนี้", "title": "ระบบการทรงตัว" }, { "docid": "178207#14", "text": "สำหรับผู้เห็นว่า เปลือกสมอง (cortex cerebri) เป็นเพียงส่วนเดียวในร่างกายที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการรับรู้ต่าง ๆ ของมนุษย์ มักเห็นว่าการสิ้นสุดลงของกิจกรรมทางศักย์ดังกล่าวควรใช้เป็นที่ตัดสินว่าบุคคลตายแล้วเพียงประการเดียว อย่างไรก็ดี มีหลายกรณีที่เลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงสมองเพราะความกดดันในกะโหลกศีรษะ อันเป็นผลให้สมองทั้งส่วนไม่ทำงาน และร่างกายขาดการรับรู้ในที่สุด ซึ่งหมายความว่าไม่ได้มีแค่เปลือกสมองเท่านั้นที่อาจส่งผลต่อการรับรู้ของร่างกาย", "title": "ภาวะสมองตาย" }, { "docid": "552390#25", "text": "V4 เป็นเขตสายตาแรกในทางสัญญาณด้านล่างของระบบสายตา ที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างชัดเจนเนื่องจากความใส่ใจ (attentional modulation) งานวิจัยโดยมากแสดงว่า ความใส่ใจแบบเลือกสรร (selective attention) สามารถเปลี่ยนความถี่การยิงสัญญาณของ V4 ได้โดยประมาณ 20% งานวิจัยสำคัญของมอแรนและเดสิโมน ซึ่งแสดงการปรับเปลี่ยนเนื่องจากการใส่ใจนี้ เป็นงานแรกที่ค้นพบผลเนื่องจากความใส่ใจ ในเปลือกสมองส่วนการเห็นทั้งระบบ", "title": "เปลือกสมองส่วนการเห็น" }, { "docid": "552390#6", "text": "V1 แต่ละข้างส่งข้อมูลผ่านทางสัญญาณหลัก 2 ทางที่เรียกว่า ทางสัญญาณด้านหลัง (dorsal stream) และทางสัญญาณด้านล่าง (ventral stream) โดยรายละเอียดคือ\nเลสลี อังเกอร์เลเดอร์ และมอร์ติเมอร์ มิชกิน เป็นบุคคลแรกที่ระบุทางสัญญาณด้านล่างว่า เป็นทางสัญญาณบอกว่าอะไร และทางสัญญาณด้านหลังว่า เป็นทางสัญญาณบอกว่าที่ไหน \nหลังจากนั้น เมลวิน กูดเดวล์ และมิลเนอร์ \nขยายแนวคิดนี้โดยเสนอว่า", "title": "เปลือกสมองส่วนการเห็น" }, { "docid": "844992#19", "text": "คอร์เทกซ์การได้ยินปฐมภูมิ (primary auditory cortex, PAC) เป็นเขตแรกในเปลือกสมองที่รับข้อมูลเสียง\nการได้ยินเสียงสัมพันธ์กับรอยนูนสมองกลีบขมับส่วนบน (STG) ด้านหลังกลีบซ้าย\nคือ STG มีโครงสร้างสำคัญหลายอย่างรวมทั้งบริเวณบรอดมันน์ 41 และ 42 ซึ่งเป็นตำแหน่งของ PAC ที่มีหน้าที่รับรู้ลักษณะพื้นฐานของเสียงเช่น เสียงสูงต่ำและจังหวะ\nนักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้จากงานในไพรเมตที่ไม่ใช่มนุษย์ว่า PAC อาจแบ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะ ๆ\nนิวรอนของ PAC สามารถมองได้ว่า มีลานรับสัญญาณ (receptive field) คลุมความถี่เสียงช่วงหนึ่ง หรือตอบสนองต่อเสียงสูงเสียงต่ำในระดับหนึ่งโดยเฉพาะ\nส่วนนิวรอนที่รวมข้อมูลจากหูทั้งสองจะมีลานสัญญาณเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของปริภูมิเสียง", "title": "ระบบการได้ยิน" }, { "docid": "939719#6", "text": "เซลล์ประสาทรับรู้สารเคมี (chemosensory neurons) ก็คือเซลล์ที่แยกแยะระหว่างรสต่าง ๆ \"และ\"ระหว่างการมีหรือไม่มีรสหนึ่ง ๆ \nในเซลล์เหล่านี้ของหนู การตอบสนองต่อการเลียที่ได้รส จะมากกว่าการตอบสนองต่อการเลียที่ไร้รส\nนักวิจัยได้พบว่า 34.2% ของนิวรอนในเปลือกสมองส่วนรู้รสมีการตอบสนองแบบรับรู้สารเคมี\nโดยนิวรอนที่เหลือจะแยกแยะระหว่างการเลียที่มีรสหรือไม่มีรส หรือประมวลข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่กำลังทำ", "title": "เปลือกสมองส่วนรู้รส" }, { "docid": "568199#7", "text": "การย้อมสีโดยหน้าตัด (คือโดยภาคตัดขวาง) ของคอร์เทกซ์เปิดเผยตำแหน่งของตัวเซลล์ประสาท และแถบแอกซอนที่เชื่อมส่วนต่าง ๆ ในคอร์เทกซ์ เปิดโอกาสให้นักประสาทกายวิภาค ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำการพรรณนาอย่างละเอียดถึงโครงสร้างเป็นชั้น ๆ ของคอร์เทกซ์ในสปีชีส์ต่าง ๆ หลังจากงานวิจัยของคอร์บิเนียน บร็อดแมนน์ ในปี ค.ศ. 1909 เซลล์ประสาทในเปลือกสมองก็มีการแบ่งออกเป็น 6 ชั้นหลัก ๆ เริ่มจากส่วนนอกที่เป็นเนื้อเทา ไปสุดยังส่วนในที่เป็นเนื้อขาว ซึ่งได้แก่ให้รู้ว่า ชั้นในคอร์เทกซ์นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ชั้นที่ทำงานเป็นอิสระจากกันที่อยู่ซ้อน ๆ กันขึ้นไปเพียงเท่านั้น แต่ว่า มีการเชื่อมต่อระหว่างชั้นและระหว่างประเภทของนิวรอนที่เฉพาะเจาะจง และเป็นไปตลอดความหนาของคอร์เทกซ์ วงจรประสาทเล็ก ๆ เหล่านี้ แบ่งกลุ่มออกเป็นคอลัมน์ในคอร์เทกซ์ (cortical columns)และมินิคอลัมน์ในคอร์เทกซ์ มินิคอลัมน์ในคอร์เทกซ์ได้รับการเสนอว่าเป็นหน่วยพื้นฐานโดยกิจ (คือเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดที่มีกิจเดียวกัน) ของคอร์เทกซ์", "title": "เปลือกสมอง" }, { "docid": "568199#22", "text": "เขตสัมพันธ์ หรือ เขตประสาทสัมพันธ์ หรือ คอร์เทกซ์สัมพันธ์ (, ) ทำหน้าที่เป็นที่กำเนิดของประสบการณ์การรับรู้ ที่ทำความหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมให้ปรากฏ (คือทำให้เราเข้าใจสิ่งแวดล้อม) ที่ทำให้เราสามารถตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนให้เกิดความคิดทางนามธรรม และการใช้ภาษา ส่วนของเขตสัมพันธ์ คือ สมองกลีบข้าง สมองกลีบขมับ และสมองกลีบท้ายทอย ซึ่งล้วนแต่อยู่ด้านหลังของคอร์เทกซ์ ทำหน้าที่จัดระเบียบข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึก เช่นการเห็นเป็นต้น ให้เป็นแบบจำลองเพื่อการรับรู้สิ่งแวดล้อมที่เข้ากัน (คล้องจองกัน ปะติดปะต่อกัน) โดยมีตัวเราเองเป็นศูนย์กลาง", "title": "เปลือกสมอง" } ]
3154
พระสันตะปาปามีองค์เดียวทั่วโลกหรือไม่ ?
[ { "docid": "6087#4", "text": "คำว่า Papa ในภาษาละติน หรือ Pappas ในภาษากรีก แปลว่า บิดา ศาสนาคริสต์ตะวันออกได้ใช้คำนี้เพื่อหมายถึงมุขนายกและบาทหลวงระดับสูงในคริสตจักร ต่อมาคำนี้ถูกใช้เป็นคำนำหน้านามของอัครบิดรแห่งอะเล็กซานเดรียมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 และต่อมาจึงใช้กับบรรดามุขนายกในศาสนาคริสต์ตะวันตกด้วย มาร์เซลลินุสเป็นมุขนายกองค์แรกของคริสตจักรกรุงโรมที่ใช้คำนำหน้านามว่าพระสันตะปาปา แต่ก็เป็นการใช้อย่างไม่เป็นทางการ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา คริสตจักรโรมันคาทอลิกจึงใช้คำว่าพระสันตะปาปากับมุขนายกแห่งกรุงโรมโดยเฉพาะ และในคริสต์ศตวรรษที่ 11 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ได้ประกาศให้คำว่า \"พระสันตะปาปา\" สงวนไว้ใช้กับมุขนายกแห่งกรุงโรมเท่านั้น[7]", "title": "พระสันตะปาปา" } ]
[ { "docid": "515571#0", "text": "มุขมณฑลโรม () เป็นมุขมณฑลโรมันคาทอลิกในประเทศอิตาลี มุขนายกประจำมุขมณฑลนี้มีตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นประมุขพระองค์ปัจจุบัน ", "title": "มุขมณฑลโรม" }, { "docid": "310307#5", "text": "อย่างไรก็ตามการที่ทรงกระทำเช่นนี้ทำให้เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วยุโรป สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 13แห่งโรมันคาทอลิกทรงบัพพาชนียกรรมพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 แห่งออสเตรียทรงร้องขอให้เจ้าหญิงมารี หลุยส์ทูลเตือนการกระทำของพระสวามี ทำให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงลังเลพระทัยเล็กน้อยแต่ในที่สุดฝ่ายรัฐชนะ ทำให้พระองค์ทรงยืนยันความคิดเดิม ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 ทรงเข้ารีตนับถือออร์ทอด็อกซ์ และสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย(พระโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ซึ่งพระเจ้านิโคลัสทรงอภิเษกสมรสกับพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร)ได้กลายเป็นพระบิดาอุปถัมภ์ของเจ้าชายบอริส พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และเจ้าหญิงมารี หลุยส์ พระมเหสีหลังจากทรงถูกบัพพาชนียกรรม ทรงตัดสินใจให้พระโอรสองค์ที่ 2 คือ เจ้าชายคีริลแห่งบัลแกเรียเข้ารีตโรมันคาทอลิก เพื่อขอโทษพระสันตะปาปา", "title": "พระเจ้าซาร์บอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย" }, { "docid": "5217#23", "text": "คณะนักบวชแห่งสำนักวาติกันเริ่มเคลื่อนพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ออกจากมหาวิหารนักบุญเปโตร เมื่อเวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (หรือเวลา 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ท่ามกลางแขกคนสำคัญและผู้ศรัทธาจากทั่วโลกมาร่วมพิธี ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น หีบไม้ภายในบรรจุพระศพถูกเคลื่อนออกมาจากโบสถ์บาซิลิกา โดยเจ้าหน้าที่ของวาติกัน 12 คนซึ่งได้ตั้งหีบศพลงบนพรมหน้าแท่นบูชาที่คลุมด้วยผ้าสีดำและทอง จากนั้นพระคาร์ดินัลโยเซฟ รัตซิงเงอร์ (สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) ก็เริ่มทำพิธีมิสซา ขณะที่ฝูงชนเริ่มคร่ำครวญด้วยความสลด บ้างก็เริ่มสวดมนต์ ท่ามกลางบรรยากาศที่โศกเศร้า ตามขนบธรรมเนียมของวาติกัน ภายหลังพิธีมิสซาสิ้นสุดลง หีบพระศพของพระสันตะปาปาจะถูกนำไปใส่หีบเคลือบสังกะสี ก่อนจะบรรจุลงในหีบไม้โอ๊คและนำไปฝังลงภายใต้แท่นหินอ่อนภายในสุสานใต้ดินในมหาวิหารนักบุญเปโตร", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "5771#0", "text": "พระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ในหีบพระศพจากต้นสนไซเปรสอันเรียบง่ายถูกเคลื่อนออกจากมหาวิหารนักบุญเปโตรในนครรัฐวาติกัน เพื่อประกอบพิธีฝัง โดยมีบรรดาผู้นำโลกและผู้นำศาสนากว่า 200 คน มาร่วมไว้อาลัย เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548 ขณะที่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลกร่วมรำลึกถึงประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกเป็นครั้งสุดท้ายผ่านจอโทรทัศน์ \nคณะบาทหลวงแห่งวาติกันเริ่มเคลื่อนพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ออกจากมหาวิหารบุญเปโตร เมื่อเวลา 10:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 15:00 น. ตามเวลาประเทศไทย เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ท่ามกลางแขกคนสำคัญและผู้ศรัทธาจากทั่วโลกมาร่วมพิธี ณ จัตุรัสนักบุญเปโตร\nเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น หีบไม้ภายในบรรจุพระศพถูกเคลื่อนออกมาจากมหาวิหารนักบุญเปโตร โดยเจ้าหน้าที่ของวาติกัน 12 คนซึ่งได้ตั้งหีบศพลงบนพรมหน้าแท่นบูชาที่คลุมด้วยผ้าสีดำและทอง จากนั้นพระคาร์ดินัลโยเซฟ รัทซิงเงอร์ก็เริ่มทำพิธีมิสซา ขณะที่ฝูงชนเริ่มคร่ำครวญด้วยความสลด บ้างก็เริ่มการอธิษฐาน ท่ามกลางเสียงดนตรีคลอเคล้า \nบุคคลสำคัญจากทั่วโลกกว่า 200 คน ทั้งพระมหากษัตริย์ ผู้นำทางการเมืองและทางศาสนา อาทิ สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียม และ สมเด็จพระราชินีเปาลาแห่งเบลเยียม สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และ เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก พระราชสวามี เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ สมเด็จพระราชาธิบดีควน การ์โลส และสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน นายซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร นายฌัก ชีรัก ประธานาธิบดีฝรั่งเศส รวมทั้งโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ และเหล่าผู้นำชาติอาหรับเดินทางมาร่วมพิธีกันอย่างคับคั่ง โดยรวมกันอยู่ในที่นั่งด้านซ้ายของปะรำพิธี ตรงข้ามกับที่นั่งของบรรดาพระคาร์ดินัลแห่งวาติกัน ขณะที่ผู้แสวงบุญคาดว่ามีนับ 2 ล้านคนเบียดเสียดกันอยู่ในลานของจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์\nทั้งนี้ คาดว่ามีผู้ศรัทธาอีกหลายล้านในทั่วโลกกำลังเฝ้าชมพิธีดังกล่าวผ่านการถ่ายทอดสดจากจอโทรทัศน์\nตามขนบธรรมเนียมของวาติกัน ภายหลังพิธีมิสซาสิ้นสุดลง หีบพระศพของพระสันตะปาปาจะถูกนำไปใส่หีบเคลือบสังกะสี ก่อนจะบรรจุลงในหีบไม้โอ๊คและนำไปฝังลงภายใต้แท่นหินอ่อนภายในสุสานใต้ดินในมหาวิหารนักบุญเปโตร", "title": "พิธีปลงพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "5792#8", "text": "พระสันตะปาปาหลายองค์ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ได้ทำการแต่งตั้งบุคลากรหลาย ๆ ท่านให้มาช่วยในการปฏิบัติภารกิจของพระองค์ที่กรุงโรม โดยทรงแต่งตั้งให้ท่านเหล่านั้นปกครองวิหารต่าง ๆ ในกรุงโรม โดยไม่ต้องไปประกอบพิธีกรรมเป็นประจำทุกวันตามวิหารเหล่านั้น บุคลากรที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าวจึงดำรงตำแหน่ง \"คาร์ดินัล\" ไปด้วยและมีบทบาทสำคัญในการอภิบาลสัตบุรุษในกรุงโรม และในการฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของบรรดาคริสตชนในพระศาสนจักรทั่วโลก\nยุคทองของสถาบันคาร์ดินัลมีจุดเริ่มต้นจากพระบัญชาของสมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 2 เกี่ยวกับการเลือกตั้งพระสันตะปาปา ซึ่งประกาศใช้ใน ค.ศ. 1059 ซึ่งกำหนดให้คาร์ดินัลมุขนายก คาร์ดินัลบาทหลวง และคาร์ดินัลพันธบริกร มีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งพระสันตะปาปาแทนตำแหน่งที่ว่างลง โดยที่เคลอจีอื่น ๆ และบรรดาสัตบุรุษมีบทบาทเพียงการให้สัตยาบันต่อผลของการเลือกตั้งเท่านั้น", "title": "พระคาร์ดินัล" }, { "docid": "5217#3", "text": "พระองค์เป็นพระสันตะปาปาที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน พระองค์ทรงเดินทางรอบโลกเพื่อเยี่ยมเยียนคริสตชนมากกว่าพระสันตะปาปาองค์ใด ๆ ในอดีตที่ผ่านมา ทรงต่อต้านกระแสทุนนิยมที่ไร้ขอบเขต การกดขี่ทางการเมือง ยืนกรานในการต่อต้านการทำแท้ง และปกป้องวิถีทางของศาสนจักรในเรื่องเพศของมนุษย์", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "5217#18", "text": "เดือนตุลาคม ค.ศ. 2003 จตุรัสนักบุญเปโตร เนืองแน่นด้วยด้วยผู้แสวงบุญจากทั่วโลก ซึ่งพากันมาร่วมฉลองการขึ้นเป็นพระสันตะปาปาครบรอบ 25 ปี ของพระองค์ ซึ่งในอีก 5 เดือนต่อมาพระองค์ก็กลายเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 3 ที่ครองตำแหน่งนานที่สุด และในเดือนพฤษภาคมปีถัดมา ก็มีการเฉลิมฉลองวันประสูติครบ 84 พรรษา", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "146712#8", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 8 จากบันทึกของอังกฤษ ผู้ซึ่งเกิดที่ไมนส์ (Mainz) และกล่าวว่าได้เข้าสู่ภราดรภาพของพระสันตะปาปาโดยวิทยาการของปีศาจในการแปลงร่างเธอเป็นผู้ชายทั้งที้เธอเป็นหญิง เธอจากบ้านมาแต่เด็กกับ พารามัวร์(paramour)ของเธอมาที่เอเธนส์ (Athens) และก้าวหน้าในศิลปการของการเรียน เมื่อมาถึงโรมเธอพบกับผู้มีเท่าเทียมกันทั้งองค์ความรู้ในสลักวิทยา และจากการศึกษาเล่าเรียนของเธอ เธอได้รับความนับถือและได้รับอำนาจเป็นอย่างมาก ในมรณกรรมของสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 4เธอถูกเลือกให้เป็นสมเด็จพระสันตะปาปาในห้องนั้น ในขณะที่เธอเดินทางไป โบสถ์เลเตอรันระหว่าง โคเลสเซียน(Colossean Theatre)(หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโคลอสซัสของเนโร)และ เซนต์คลีเมน (St. Clement's) เธอตายระหว่างทาง โดยดำรงตำแหน่งสองปี หนึ่งเดือน และ 4 วันและถูกฝังโดยปราศจาก ปอมป์ (pomp)(เป็นพิธีทางศาสนาเมื่อพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์)ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการกล่าวขานทั่วไปแต่โดยจากผู้เล่าที่ไม่น่าเชื่อถือ และที่ข้าพเจ้าได้เชื่อมโยงสรุปความไว้ว่ามันดูน่าดันทุรัง(obstinate)และดื้อรั้นที่สุด(pertinacious)ถ้าข้าพเจ้าจะยอมรับว่าเป็นพูดถึงโดยทั่วไป ข้าพเจ้านั้นสร้างข้อผิดพลาดแก่ประชาคมโลก ถึงแม้ว่าจะดูน่าเชื่อถือที่ข้าพเจ้าได้เชื่อมโยงสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือเข้าไว้ด้วยกัน (จาก (), Vitæ Pontificum Platinæ historici liber de vita Christi ac omnium pontificum qui hactenus ducenti fuere et XX )", "title": "พระสันตะปาปาหญิงโจน" }, { "docid": "521632#4", "text": "ในประวัติศาสตร์คริสตจักรโรมันคาทอลิกมีอัครบิดรแห่งเวนิส 3 องค์ได้รับการประกาศเป็นนักบุญ ได้แก่ นักบุญโลเรนโซ จุสตีนีอานี และนักบุญจูเซปเป เมลคีออร์เร และนักบุญอันเจโล จูเซปเป รอนกัลลี และมี 3 องค์ได้เป็นพระสันตะปาปา คือ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 10 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 และสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1 ", "title": "เขตอัครบิดรเวนิส" }, { "docid": "966547#1", "text": "เมื่อพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ลง จะมีการประกอบพิธีเพื่อทำลายแหวน กาแมร์เลนโก (เลขาธิการพระราชวังพระสันตะปาปา) จะใช้ฆ้อนตอกลงบนลิ่มลงสู่กลางหัวแหวน และใช้ฆ้อนทุบแหวนให้ยุบเป็นประจักษ์ต่อหน้าเหล่าพระคาร์ดินัล ปัจจุบัน การทำลายแหวนถือเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดสมณสมัยของพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน การสละตำแหน่งของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็มีการประกอบพิธีนี้เช่นกัน และในระหว่างพิธีพิธีเข้ารับตำแหน่งของพระสันตะปาปาองค์ใหม่ กาแมร์เลนโกก็จะสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางขวาของพระสันตะปาปาองค์ใหม่", "title": "แหวนชาวประมง" }, { "docid": "5217#2", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เป็นประมุขของคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก เป็นพระสันตะปาปาที่ไม่ใช่ชาวอิตาเลียนองค์แรกในรอบ 455 ปี และเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่เป็นชาวโปแลนด์ รวมทั้งยังเป็นพระสันตะปาปาที่ได้รับเลือกขณะที่มีอายุน้อยที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 อีกด้วย", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "5217#22", "text": "พิธีปลงพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 จัดขึ้นอย่างสง่า พระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ในหีบศพจากต้นสนไซเปรสอันเรียบง่ายถูกเคลื่อนออกจากโบสถ์บาซิลิกา ในนครรัฐวาติกัน เพื่อประกอบพิธีฝัง โดยมีบรรดาผู้นำโลกและผู้นำศาสนากว่า 200 คน มาร่วมไว้อาลัย เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548 ขณะที่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลกร่วมรำลึกถึงประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิกเป็นครั้งสุดท้ายผ่านจอโทรทัศน์", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "141948#11", "text": "ตระกูลเมดีชีมีอำนาจมากที่สุดในอิตาลีในสมัยนั้นจากการที่มีสมาชิกในตระกูลได้เป็นพระสันตะปาปาสององค์ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 -- สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 และ สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 -- ซึ่งทำให้เมดีชีกลายเป็นผู้ปกครองโรม และ ฟลอเรนซ์โดยปริยาย พระสันตะปาปาทั้งสององค์เป็นผู้มีบทบาทในการอุปถัมภ์ศิลปะ ตระกูลเมดีชีอีกคนหนึ่งที่ได้เป็นพระสันตะปาคืออเลสซานโดร อ็อตาวิอาโน (Alessandro Ottaviano de' Medici) ผู้ต่อมาเป็น สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 11", "title": "เมดีชี" }, { "docid": "5792#0", "text": "คาร์ดินัล () เป็นสมณศักดิ์ชั้นสูง รองจากพระสันตะปาปา ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระสันตะปาปา ในการปกครองคริสตจักรโรมันคาทอลิก ตำแหน่งนี้อาจเทียบเท่ากับสมเด็จพระราชาคณะในศาสนาพุทธ หรือสมาชิกวุฒิสภาในทางโลก ในสมัยก่อนตำแหน่งคาร์ดินัลมักเป็นฆราวาส แต่นับตั้งแต่ตราประมวลกฎหมายพระศาสนจักรฉบับล่าสุด (ค.ศ. 1917–83) เฉพาะบาทหลวงและมุขนายกเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นพระคาร์ดินัลได้ หน้าที่พิเศษอย่างหนึ่งของพระคาร์ดินัลคือ เข้าร่วมการประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่างลง และตนเองก็มีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาด้วย", "title": "พระคาร์ดินัล" }, { "docid": "5217#31", "text": "หลังจากการรอคอยอันยาวนาน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาธอลิก ทรงเปิดเผยว่าจะมีการประกาศแต่งตั้งให้สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 และสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 เป็นนักบุญองค์ใหม่แห่งศาสนจักรในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 การประกาศแต่งตั้งนักบุญครั้งนี้ เป็นไปตามขั้นตอน หลังจากเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงประกาศรับรองปาฏิหารย์ที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาทรงมีคุณสมบัติครบตามกฎของศาสนจักรในการรับรองนักบุญองค์ใหม่", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "5217#26", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงลงพระนามแต่งตั้งสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เป็นบุญราศี ซึ่งได้มีการจัดการให้เร็วขึ้นเป็นพิเศษ โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงอนุมัติให้เริ่มกระบวนการพิจารณาสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เป็นนักบุญได้ทันที เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลา 5 ปีหลังมรณกรรม (ซึ่งเป็นข้อกำหนดทั่วไปของศาสนจักร) ในที่สุดโดยสรุปแล้วกระบวนการพิจารณาสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 เป็นบุญราศี ใช้เวลาเพียง 6 ปี เท่านั้น (ค.ศ. 2005 - ค.ศ. 2011) ด้วยระยะเวลาอันสั้นดังกล่าว ทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 เป็นบุญราศีที่พระศาสนจักรคาทอลิกใช้เวลาพิจารณาแต่งตั้งสั้นที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกในรอบ 1,000 ปีที่พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน ได้ถวายมิสซาสถาปนาพระสันตะปาปาองค์ก่อนหน้า เป็นบุญราศีในสมณสมัยของตน[7]", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "95224#0", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 (อังกฤษ: Leo X) ทรงดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาตั้งแต่ ค.ศ. 1513 ถึง ค.ศ. 1521 เป็นลูกของ ลอเรนโซ เดอ เมดิชิ พระองค์เป็นพระสันตะปาปาที่ทำให้คริสต์ศาสนจักรเกิดความเสื่อมเสีย เนื่องจากพระองค์สนใจทางโลกมากกว่าศาสนา จึงได้เข้าไปมีส่วนร่วมการเมือง และใช้ชีวิตอย่างหรูหราจนเกือบไม่มีกษัตริย์องค์ใดสู้ได้ซึ่งนักบวชไม่ควรดำเนินชีวิตอย่างนั้น นอกจากนั้นพระองค์ได้หาเงินด้วยการค้าใบบุญไถ่บาปเป็นเพราะพระองค์มีความประสงค์ที่จะบูรณะโบสถ์ให้ดูสวยงามที่เต็มไปด้วยศิลปกรรมวิจิตรงดงามซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากในการบูรณะ แต่การค้าใบบุญไถ่บาปของพระองค์นั้นกลับทำให้นักบวชมาร์ติน ลูเทอร์ไม่พอใจและได้ตั้ง \"ญัตติ 95 ข้อ\" (The 95 Theses) ไปปิดไว้ที่ประตู้หน้าโบสถ์เมืองวิตเทนบูร์ก ซึ่งมีเนื้อหาประณามการขายใบยกโทษบาปของสันตะปาปา ทำให้พระองค์ไม่พอใจมากและได้ขับไล่มาร์ติน ลูเทอร์ออกจากศาสนจักร แต่การขับไล่นั้นกลับทำให้นำไปสู่การปฏิรูปการศาสนา เพราะมาร์ติน ลูเทอร์ได้ก่อตั้งนิกายลูเทอแรนซึ่งได้ถือว่าเป็นการก่อตั้งนิกายโปรเตสแตนต์เพื่อต่อต้านศาสจักรโรมันคาทอลิก แต่พระองค์ไม่ได้สนพระทัยในเรื่องนี้นักและไม่คิดจะปฏิรูปการศาสนาใดๆ จนกระทั่งพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ.1521", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10" }, { "docid": "143314#13", "text": "คริสตจักรโรมันคาทอลิกมีพระสันตะปาปาเป็นพระประมุขสูงสุด มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่สันตะสำนักในนครรัฐวาติกัน กรุงโรม ตำแหน่งพระสันตปาปาสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอัครทูต โดยถือว่านักบุญเปโตรเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกและสืบทอดเรื่อยมาถึงปัจจุบัน โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน ถือเป็นองค์ที่ 266", "title": "นิกายในศาสนาคริสต์" }, { "docid": "10865#4", "text": "พระสันตะปาปาทรงอำนาจสูงสุดทั้งด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ พระสันตะปาปาองค์ล่าสุดคือสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ชาวอาร์เจนตินาเชื้อสายอิตาลี ทรงได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556 โดยคณะพระคาร์ดินัล ซึ่งเป็นสภาที่ปรึกษาของสมเด็จพระสันตะปาปา โดยพระคาร์ดินัลที่มีอายุต่ำกว่า 80 ปีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง พระสันตะปาปาที่ทรงได้รับเลือกตั้งแล้วตามปกติจะอยู่ในตำแหน่งไปจนตลอดพระชนม์ชีพ เว้นแต่จะมีการสละตำแหน่งพระสันตะปาปา ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ก่อนหน้านี้คือสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้สละตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556", "title": "นครรัฐวาติกัน" }, { "docid": "242258#2", "text": "อาวีญงกลายมาเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1309 เมื่อแบร์ทร็อง เดอ ก็อต ในฐานะสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 5 ไม่มีพระประสงค์ที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายต่างในกรุงโรมหลังจากที่ทรงได้รับเลือกในปี ค.ศ. 1305 พระองค์จึงทรงย้ายสภาปกครองของพระสันตะปาปา (Papal Curia) ไปตั้งที่อาวีญงในสมัยที่ต่อมาเรียกกันว่า \"สมณสมัยปาปาซี\" พระสันตะปาปาเคลเมนต์ประทับเป็นแขกของอารามคณะดอมินิกันในอาวีญง สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 22 พระสันตะปาปาองค์ต่อมา ทรงก่อตั้งราชสำนักอันหรูหราขึ้นที่นั่น แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 12 พระสันตะปาปาองค์ต่อมาทรงเป็นผู้ริเริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์วังบิชอปเก่าอย่างจริงจัง และกระทำต่อมาในสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6 ", "title": "ปาแลเดปัป" }, { "docid": "146684#7", "text": "หลังแลงดอนฟื้น เขาได้กลับไปที่นครรัฐวาติกัน เพื่อนำวิดีโอของโคห์เลอร์มาให้ทุกคนดู พบว่าแท้จริงแล้ว \"เจนัส\" คือ คาเมอร์เลนโญ และพระสันตะปาปาองค์ก่อนเป็นบิดาของท่าน โดยก่อนหน้านี้ โคห์เลอร์ต้อนรับพระสันตะปาปาองค์ก่อนที่มาเยี่ยมชม CERN และมีการพูดคุยถึงความร่วมมือระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ คาเมอร์เลนโญ ผู้ซึ่งกลัวว่าศาสนาคริสต์อาจสูญเสียความศรัทธา จึงลอบวางยาพิษปลงพระชนม์พระสันตะปาปา และปลอมเป็น \"เจนัส\" เพื่อสร้างสถานการณ์เรียกศรัทธากลับมา เมื่อพบว่าแผนการของตนถูกเปิดโปง คาเมอร์เลนโญได้หลบหนีและเผาตัวเองตาย หลังเรื่องทุกอย่างยุติ พระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้มอบตราประทับ \"เพชรอิลลูมินาติ\" ให้แก่แลงดอนแทนคำขอบคุณ", "title": "เทวากับซาตาน" }, { "docid": "5217#1", "text": "หลังจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1 คณะพระคาร์ดินัลทั่วโลกก็มีมติเลือกให้พระคาร์ดินัลการอล วอยตือวา ประมุขแห่งอัครมุขมณฑลกรากุฟ ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 58 พรรษา ขึ้นเป็นประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1978 นับเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 264 ที่สืบตำแหน่งต่อจากนักบุญซีโมนเปโตรอัครทูต", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "5217#14", "text": "เสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ เป็นระยะทางรวมกันกว่า 1,247,613 กิโลเมตร หรือคิดเป็นระยะทางจากโลกไปยังดวงจันทร์ 3.24 เท่า เสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ นอกอิตาลี 104 ครั้ง เสด็จไปเยือนประเทศและอาณานิคมดินแดนต่างๆ 129 ครั้ง เสด็จเยี่ยมมุขมณฑลต่าง ๆ ในกรุงโรม และกัสแตล กันดอลโฟ 748 ครั้ง (ในจำนวนนี้รวมถึงโบสถ์ต่าง ๆ ในโรม 301 แห่ง จาก 333 แห่ง) ทรงใช้เวลา 822 วัน หรือกว่า 2 ปี 3 เดือน ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ นอกกรุงโรม ทรงกล่าวสุนทรพจน์กว่า 20,000 ครั้ง หรือกว่า 100,000 หน้า ทรงสถาปนาบุญราศี 1,338 องค์ (147 ครั้ง) ทรงประกาศแต่งตั้งนักบุญ 482 องค์ (51 ครั้ง) ซึ่งมากกว่าที่พระสันตะปาปาก่อนหน้าพระองค์ในรอบ 400 ปี ทั้งหมดรวมกันได้เคยปฏิบัติ ทรงเรียกประชุมคณะพระคาร์ดินัล (Consistory) เพื่อแต่งตั้งพระคาร์ดินัล 9 ครั้ง และสถาปนาพระคาร์ดินัล 231 องค์ กับอีก 1 องค์ที่ทรงสงวนชื่อเป็นความลับ เป็นพระสันตะปาปาที่มีผู้แสวงบุญมาเฝ้ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้แสวงบุญมาเฝ้า ณ จตุรัสนักบุญเปโตร ในทุกวันพุธ เป็นจำนวนมากกว่า 17.8 ล้านคน โดยนับเป็นจำนวนครั้งได้ 1,161 ครั้ง ทรงเข้าประชุมร่วมกับผู้นำทางการเมืองกว่า 1,600 ครั้ง รวมไปถึงการเข้าพบกับประมุขของรัฐ 776 คน และนายกรัฐมนตรีอีก 246 คน", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "69457#0", "text": "คริสตจักรคอปติกออร์ทอดอกซ์แห่งอะเล็กซานเดรีย (คอปติก: Ϯⲉⲕ̀ⲕⲗⲏⲥⲓⲁ ̀ⲛⲣⲉⲙ̀ⲛⲭⲏⲙⲓ ̀ⲛⲟⲣⲑⲟⲇⲟⲝⲟⲥ \"ti.eklyseya en.remenkimi en.orthodoxos ente alexandhrias\"; ) เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอียิปต์และภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นส่วนหนึ่งของนิกายออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ซึ่งแยกออกมาจากนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์หลังการสังคายนาแห่งแคลซีดันในปี ค.ศ. 451 เพราะความขัดแย้งกันเรื่องคริสตวิทยา ประเด็นที่ทำให้เกิดศาสนเภทนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามาจากประเด็นใดแน่ แต่โดยทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของพระคริสต์ แม้คริสตจักรนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอียิปต์ แต่ก็มีศาสนิกชนอยู่ทั่วโลก เชื่อกันว่านักบุญมาระโกผู้นิพนธ์พระวรสารและอัครทูตเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรนี้ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 (ประมาณ ค.ศ. 45) ประมุของค์ปัจจุบันของคริสตจักรมีสมณศักดิ์เป็น \"พระสันตะปาปาแห่งอะเล็กซานเดรียและอัครบิดรแห่งแอฟริกาทั้งปวง ณ สันตะสำนักแห่งนักบุญมาระโก\"", "title": "คอปติกออร์ทอดอกซ์" }, { "docid": "5217#12", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ได้ประกาศจุดยืนของพระองค์ ทันทีหลังจากที่ได้รับตำแหน่งแล้วว่า \"จะทรงรับใช้พระศาสนจักรสากล กล่าวคือ รับใช้โลกทั้งมวล พระองค์จะทรงรับใช้ความจริง ยุติธรรม สันติ และความสมานสามัคคี\" ด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้เองที่ทำให้พระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 กลายเป็นพระสันตะปาปาที่เดินทางไปแพร่ธรรมและอภิบาลสัตบุรุษมากกว่าพระสันตะปาปาองค์ใดในอดีต การเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ในหลายแง่มุม แต่ละที่ที่พระองค์เสด็จไปนั้น ประชาชนจะพากันมาร่วมพิธีมิสซา และต้อนรับพระองค์กันเนืองแน่น เช่น ที่มานิลา ผู้คนประมาณ 5 ล้านคนมาร่วมพิธีมิสซา หรือที่ฝรั่งเศส เมื่อมีการชุมนุมเยาวชนโลก ก็มีหนุ่มสาวจากทั่วโลกได้เดินทางไปร่วมพิธี", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "3831#6", "text": "โรมันคาทอลิก แปลว่าสากล เป็นนิกายดั้งเดิมที่ยึดมั่นในหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์เคารพพระนางมารีย์และนักบุญต่าง ๆ ภายในโบสถ์ของนิกายนี้จะมีรูปเคารพพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์ และนักบุญต่าง ๆ มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่สันตะสำนัก มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอัครทูตกลุ่มแรก โดยถือว่านักบุญซีโมนเปโตรคือพระสันตะปาปาพระองค์แรก ซึ่งได้รับการยินยอมจากพระเจ้าให้ปกครองศาสนจักรทั้งมวลและสืบทอดมาถึงสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 266 คาทอลิกมีนักบวชเรียกว่าบาทหลวง และสมาชิกคณะนักบวชคาทอลิก ถ้าเป็นชายเรียกว่าภราดา (brother) หญิงเรียกว่าภคินี (sister) ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า \"คริสตัง\" ตามเสียงอ่านภาษาโปรตุเกส มีผู้นับถือนิกายนี้ประมาณ 1200 ล้านคน[17] นิกายนี้ถือว่าบาทหลวงเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ (ตัวแทนพระเจ้าในโลกนี้)", "title": "ศาสนาคริสต์" }, { "docid": "6087#0", "text": "พระสันตะปาปา (Portuguese: Santo Papa; English: Pope) หมายถึง มุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรม[ก] (Bishop of the Church of Rome) และผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก[1] คริสตจักรนี้ถือว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้สืบตำแหน่งจากนักบุญซีโมนเปโตรอัครทูตของพระเยซู สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นพระสันตะปาปาพระองค์ปัจจุบันตามการประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2013", "title": "พระสันตะปาปา" }, { "docid": "244250#0", "text": "การประชุมเลือกสันตะปาปา () คือการประชุมโดยคณะพระคาร์ดินัล (College of Cardinals) เพื่อเลือกตั้งมุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรม (Bishop of the Church of Rome) ซึ่งเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่หลังจากที่ตำแหน่งว่างลง พระสันตะปาปาถือกันว่าเป็นผู้สืบตำแหน่งมาจากนักบุญเปโตร ซึ่งชาวคาทอลิกเชื่อว่าเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก และเป็นตำแหน่งที่ถือกันว่าเป็นประมุขของคริสตจักรโรมันคาทอลิกบนโลกมนุษย์ การเลือกตั้งนี้ถือว่าเก่าแก่ที่สุดที่ดำเนินการต่อเนื่องกันมาในการเลือกตั้งประมุขของคริสตจักร", "title": "การประชุมเลือกสันตะปาปา" }, { "docid": "146684#3", "text": "ต่อมา แลงดอนและวิตตอเรียได้เดินทางไปที่นครรัฐวาติกัน ซึ่งกำลังมีการคัดเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ และพบว่า \"เปรเฟอริติ\" (พระคาร์ดินัลที่มีโอกาสได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่มากที่สุด) 4 รูปหายตัวไป พร้อมคำขู่จากฮัสซาซิน คนร้ายที่รับใช้ \"เจนัส\" ประมุขแห่งอิลลูมินาตี ว่าจะฆ่าพระคาร์ดินัลชั่วโมงละ 1 รูป เริ่มเวลา 20.00 น. แลงดอนจึงต้องพยายามค้นหา \"วิถีแห่งความรู้แจ้ง\" ซึ่งเป็นเส้นทางที่เหล่าสมาชิกอิลลูมินาติใช้นัดพบกัน โดยต้องสืบหาจากสถานที่ 4 แห่งที่เกี่ยวข้องกับธาตุทั้ง 4 ทั่วกรุงโรม ", "title": "เทวากับซาตาน" }, { "docid": "636908#2", "text": "มหาวิหารได้รับความเสียหายและถูกทำลายหลายครั้งตั้งแต่โครงสร้างดั้งเดิมถูกสร้างใน ค.ศ. 1581 ตัวอย่างของมหาวิหารในปัจจุบันคือ อาคารรุ่นที่ 8 ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1958 มหาวิหารได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระสันตะปาปา 3 องค์ และเอกอัครสมณทูต 2 องค์ จากสมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรีที่ 13 สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 และสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ผู้ซึ่งมีสารตราพระสันตะปาปาประกาศให้มหาวิหารมีฐานะเป็นมหาวิหารรอง เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1981", "title": "มหาวิหารมะนิลา" } ]
3350
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี คือ เกาหลีเหนือใช่หรือไม่ ?
[ { "docid": "2519#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี(; ) หรือชื่อโดยทั่วไปว่า เกาหลีเหนือ (; ) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก กินพื้นที่ครึ่งเหนือของคาบสมุทรเกาหลี เมืองหลวงและนครใหญ่สุดคือ เปียงยาง เขตปลอดทหารเกาหลีเป็นเขตกันชนระหว่างประเทศเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ แม่น้ำอัมนกหรือยาลู่ และตูเมนเป็นพรมแดนระหว่างประเทศจีนกับเกาหลีเหนือ แม่น้ำตูเมนส่วนที่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพรมแดนกับประเทศรัสเซีย", "title": "ประเทศเกาหลีเหนือ" }, { "docid": "940631#0", "text": "การรวมชาติเกาหลี () หมายถึง ความพยายามรวมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) กับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และเขตปลอดทหารเกาหลีภายใต้รัฐบาลเดียวซึ่งจุดเริ่มต้นของความพยายามในการรวมประเทศเกิดขึ้นหลังจากการลงนามใน ปฏิญญาร่วมเหนือ–ใต้ 15 มิถุนายน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2000 โดย คิม จอง อิล ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในขณะนั้นและ คิม แด-จุง ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ในขณะนั้น", "title": "การรวมชาติเกาหลี" } ]
[ { "docid": "891191#0", "text": "คณะกรรมาธิการประชาชนชั่วคราวเกาหลีเหนือ เป็นชื่อทางการของรัฐบาลชั่วคราวที่ควบคุมตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1945กองกำลังโซเวียตได้ยึดครองพื้นที่ตอนเหนือของเกาหลีจากญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองขณะที่สหรัฐยึดภาคใต้ของเกาหลีจากญี่ปุ่น ทางตอนเหนือของ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ และประสบความสำเร็จเป็นกึ่งรัฐบาลประกอบด้วยห้าจังหวัดในปี ค.ศ. 1946 และในปี ค.ศ. 1948 ได้มีการก่อตั้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี อย่างเป็นทางการ", "title": "คณะกรรมาธิการประชาชนชั่วคราวเกาหลีเหนือ" }, { "docid": "2568#22", "text": "สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประมุขของประเทศคือประธานาธิบดี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐสภาเป็นองค์กรนิติบัญญัติ และศาลทำหน้าที่ทางตุลาการ ทั้งนี้ เกาหลีใต้มีการแบ่งเขตการปกครองเป็น 9 จังหวัด และ 6 เขตการปกครอง (โซล ปูซาน อินชอน แตกู ควังจู แตชอน)", "title": "ประเทศเกาหลีใต้" }, { "docid": "132152#2", "text": "หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีเหนือคงยังรวมกับเกาหลีใต้เป็นประเทศเกาหลี เกาหลีเหนือจึงใช้ธงแทกึกกีเป็นธงชาติเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ต่อมาเมื่อเกาหลีเหนือประกาศแยกตัวเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. 2491 จึงได้เปลี่ยนธงชาติใหม่ให้ใกล้เคียงกับธงชาติสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ที่ให้การสนับสนุน โดยเอาสีหลักในธงชาติเกาหลีเดิม คือ สีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน มาออกแบบเป็นธงชาติใหม่ เน้นให้สีแดงโดดเด่นกว่าสีอื่น และเพิ่มรูปดาวแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของลัทธิคอมมิวนิสต์ ลงบนวงกลมพื้นสีขาว ซึ่งก็คือธงชาติของเกาหลีเหนือที่ปรากฏในปัจจุบัน", "title": "ธงชาติเกาหลีเหนือ" }, { "docid": "903050#1", "text": "พรรคแรงงานประชาธิปไตยได้รับ 10 ที่นั่ง ในการ เลือกตั้งสภานิติบัญญัติในเกาหลีใต้ ค.ศ. 2004 ก่อนหน้าและระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ค.ศ. 2007 ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มในพรรค คือฝ่ายเสมอภาค ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มประชาธิปไตยประชาชน ซึ่งมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องสวัสดิการสังคมและสังคมเสรีนิยม และ กลุ่มเสรีชาตินิยม", "title": "พรรคแรงงานประชาธิปไตย (เกาหลีใต้)" }, { "docid": "667598#0", "text": "พรรคแรงงานแห่งเกาหลี เป็นพรรคผู้ก่อตั้งและพรรคการเมืองที่ปกครองสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พรรคแรงงานเป็นพรรครัฐบาลพรรคเดียวของเกาหลีเหนือ แม้มีอีกสองพรรคซึ่งประกอบเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยเพื่อการกลับรวมปิตุภูมิ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2492 โดยการรวมพรรคแรงงานเกาหลีเหนือและพรรคแรงงานเกาหลีใต้ ความหมายของสัญลักษณ์นั้นแปลงมาจากสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์แบบดั้งเดิม โดยมาเป็นในแบบของพรรคแรงงาน คือ ค้อน หมายถึง แรงงาน , พู่กัน หมายถึง ปัญญาชน และ เคียว หมายถึง ชาวนา", "title": "พรรคแรงงานเกาหลี" }, { "docid": "79585#25", "text": "ประชาธิปไตยเสรีนิยมโดยมากจำกัดอยู่กับประเทศตะวันตก ยกเว้น ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ โรมาเนีย ไต้หวัน บัลแกเรีย\n\"ฟรีดอมเฮาส์\" พิจารณาว่า รัฐบาลที่โดยทางการเรียกว่า \"ประชาธิปไตย\" ในแอฟริกาและสหภาพโซเวียตเดิม มีการปฏิบัติที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ปกติเพราะว่ารัฐบาลที่อยู่ในอำนาจมีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งสูง\nประเทศเช่นนี้หลายประเทศไม่เสถียร\nส่วนรัฐบาลที่โดยทางการไม่ใช่ประชาธิปไตย เช่น รัฐที่มีพรรคการเมืองเดียวและระบบเผด็จการ จะสามัญมากกว่าในเอเชียตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "445077#0", "text": "การคมนาคมต่างๆ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี", "title": "การขนส่งในประเทศเกาหลีเหนือ" }, { "docid": "259202#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 29 ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม – 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551", "title": "ประเทศเกาหลีเหนือในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008" } ]
2466
แผ่นดินไหวเกิดจากอะไร ?
[ { "docid": "3540#1", "text": "แผ่นดินไหวเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกใต้มหาสมุทรอินเดีย กระตุ้นให้เกิดคลื่นสึนามิสูงราว 30 เมตร[1] เข้าท่วมทำลายบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งโดยรอบมหาสมุทรอินเดีย ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ใน 14 ประเทศมากกว่า 230,000 - 280,000คนหรือมากกว่า 280,000 คน นับเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเทศที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย รองลงมาคือประเทศศรีลังกา ประเทศอินเดีย และประเทศไทย ตามลำดับ", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547" } ]
[ { "docid": "3540#6", "text": "แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นในเขตมุดตัวของเปลือกโลก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวขนาดเมกะทรัสต์อยู่เสมอ มีค่าโมเมนต์แผ่นดินไหวสูงในระดับศตวรรษ โดยหากรวมค่าโมเมนต์แผ่นดินไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบ 100 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1906 จนถึง 2005 แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซียครั้งนี้จะมีขนาดโมเมนต์แผ่นดินไหวถึง 1 ใน 8 ของแผ่นดินไหวทั้งหมดดังกล่าว นอกจากนี้ หากรวมกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อะแลสกา ค.ศ. 1964 และที่ชิลี ค.ศ. 1960 จะมีขนาดโมเมนต์สูงถึงครึ่งหนึ่งของแผ่นดินไหวทั้งหมดดังกล่าว หากเทียบกับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในซานฟรานซิสโกปี ค.ศ. 1906 กับแผ่นดินไหวครั้งนี้ ถือว่าครั้งนั้นมีขนาดเล็กมาก (หากแต่ครั้งนั้นเกิดความเสียหายไม่แพ้กัน)", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547" }, { "docid": "366899#16", "text": "โดยปกติแล้ว นักวิทยาศาสตร์เลือกที่จะอ้างอิงจากข้อมูลของหลายสิบสถานีเพื่อความแม่นยำในการระบุจุดเหนือศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว เราเรียกความต่างระหว่างระยะเวลาที่ใช้หากแผ่นดินไหวเกิดที่จุดเหนือศูนย์กลางแผ่นดินไหว (บนผิวโลก) กับระยะเวลาที่ใช้จริงว่าเรสิดวล (residual) โดยปกติแล้วเรสิดวลจะมีค่าประมาณ 0.5 วินาทีหรือน้อยกว่านั้น โดยจะมีค่าเพียง 0.1-0.2 สำหรับแผ่นดินไหวในวงแคบ นั่นคือความแตกต่างของคลื่นแผ่นดินไหวไม่ว่าจะเกิด ณ ศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว หรือเกิด ณ จุดเหนือศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวมีค่าไม่ต่างกันมากนัก โดยทั่วไปแล้วโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะถูกสร้างให้คำนวณโดยตั้งสมมุติฐานเริ่มต้นว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ระดับลึกที่ 33 กิโลเมตร แล้วจึงลดค่าเรสิดวล (เพิ่มความแม่นยำ) โดยการเปลี่ยนระดับความลึก แผ่นดินไหวส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ระดับความลึกไม่เกิน 40 กิโลเมตร และมีบางกรณีที่เกิดที่ระดับความลึกที่ 700 กิโลเมตร", "title": "คลื่นไหวสะเทือน" }, { "docid": "362345#5", "text": "แผนดินไหวครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวครั้งที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากที่สุดในรอบปีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไครสต์เชิร์ช แผ่นดินไหวนี้ได้เกิดแผ่นดินไหวตามใหญ่เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน (ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมอีก) และแผ่นดินไหวตามชุดใหญ่ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554", "title": "แผ่นดินไหวในไครสต์เชิร์ช กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "365934#0", "text": "วิศวกรรมแผ่นดินไหว คือ การศึกษาพฤติกรรมของอาคารและโครงสร้างที่เปลี่ยนไปเนื่องจากเกิดขึ้นจากแรงแผ่นดินไหว โดยวิศวกรรมแผ่นดินไหวเป็นส่วนหนึ่งของวิศวกรรมโยธาและวิศวกรรมโครงสร้าง โดยหัวข้อศึกษาจะแบ่งเป็นหัวข้อหลักได้แก่ การเข้าใจปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างโครงสร้างกับพื้นฐาน การคาดเดาผลที่เกิดขึ้นกับอาคารและโครงสร้างพื้นฐานภายหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และ การออกแบบก่อสร้างรวมถึงการดูแลโครงสร้างที่ได้มาตรฐานอาคารในการต้านทานแรงแผ่นดินไหว", "title": "วิศวกรรมแผ่นดินไหว" }, { "docid": "363968#6", "text": "แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นโดยแผ่นแปซิฟิกมุดตัวลงใต้แผ่นเปลือกโลกใต้ฮนชูเหนือ ซึ่งแผ่นเปลือกโลกแผ่นใดที่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้นนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ แผ่นแปซิฟิก ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยอัตรา 8 ถึง 9 เซนติเมตรต่อปี ลาดลงไปใต้แผ่นเปลือกโลกซึ่งรองรับฮนชู และปลดปล่อยพลังงานออกมามหาศาล การเคลื่อนไหวนี้ดึงแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ข้างบนลงจนกระทั่งเกิดความเครียดมากพอที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้น การแตกทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นหลายเมตร แผ่นดินไหวความรุนแรงระดับนี้โดยปกติแล้วจะมีความยาวรอยเลื่อนอย่างน้อย 480 กิโลเมตร และมักเกิดขึ้นโดยมีพื้นผิวรอยแยกค่อนข้างตรงและยาว เพราะรอยต่อแผ่นเปลือกโลกและเขตมุดตัวในพื้นที่ของรอยเลื่อนไม่ตรง ความรุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งนี้ที่เกิน 8.5 แมกนิจูดจึงผิดปกติ และสร้างความประหลาดใจแก่นักแผ่นดินไหววิทยาบางคน พื้นที่ศูนย์กลางแผ่นดินไหวขยายจากนอกชายฝั่งจังหวัดอิวะเตะไปจนถึงนอกชายฝั่งจังหวัดอิบาระกิ สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ว่า แผ่นดินไหวอาจทำให้เขตรอยเลื่อนแตกออกจากอิวะเตะถึงอิบะระกิ โดยมีความยาว 500 กิโลเมตร และกว้าง 200 กิโลเมตร การวิเคราะห์แสดงว่า แผ่นดินไหวนี้ประกอบด้วยชุดเหตุการณ์สามอย่างประกอบกัน แผ่นดินไหวอาจมีกลไกลคล้ายคลึงกับแผ่นดินไหวใหญ่ใน พ.ศ. 1412 โดยมีขนาดคลื่นพื้นผิวที่ 8.6 ซึ่งได้ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่เช่นกัน แผ่นดินไหวใหญ่ที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิอื่น ถล่มพื้นที่ชายฝั่งซานริกุใน พ.ศ. 2439 และ 2486", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "4100#0", "text": "แผ่นดินไหว เป็นปรากฏการณ์สั่นสะเทือนหรือเขย่าของพื้นผิวโลก เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล ซึ่งแผ่นดินไหวสามารถก่อให้เกิดความเสียหายและภัยพิบัติต่อบ้านเมือง ที่อยู่อาศัย สิ่งมีชีวิต ส่วนสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวนั้นส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติ โดยแผ่นดินไหวบางลักษณะสามารถเกิดจากการกระทำของมนุษย์ได้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ นักธรณีวิทยาประมาณกันว่าในวันหนึ่ง ๆ จะเกิดแผ่นดินไหวประมาณ 1,000 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นดินไหวที่มีการสั่นสะเทือนเพียงเบา ๆ เท่านั้น คนทั่วไปจะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน", "title": "แผ่นดินไหว" }, { "docid": "365447#0", "text": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554 (Burmese: ၂၀၁၁ မြန်မာငလျင်) เป็นแผ่นดินไหวความรุนแรง 6.8 แมกนิจูด ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ทางตะวันออกของรัฐฉาน โดยมีจุดเกิดแผ่นดินไหวลึกลงไป 10 กิโลเมตร[1] มีแผ่นดินไหวตามเกิดขึ้นแล้ว 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งความรุนแรง 4.8 แมกนิจูด อีกครั้งหนึ่งมีความรุนแรง 5.4 แมกนิจูด[2] และแผ่นดินไหวตามที่เกิดขึ้นอีก มีความรุนแรง 5 แมกนิจูด ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากจังหวัดเชียงรายไปทางทิศเหนือ 70 กิโลเมตร และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเชียงตุง[3]ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 มีแผ่นดินไหวตามเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งความรุนแรง 4.6 แมกนิจูด โดยในหลายจังหวัดทางภาคเหนือในประเทศไทยได้เกิดแผ่นดินไหวด้วย[4]", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2554" }, { "docid": "853511#11", "text": "เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.8 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ในรัฐอะแลสกา, สหรัฐห่างจากเมืองออทู สเตชัน, รัฐอะแลสกา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไป 200 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด IV (เบา)[118] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.6 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน[119] ในเอกวาดอร์ห่างจากเมืองพาพา เยา, ประเทศเปรู ทางทิศตะวันออก ไป 41 กิโลเมตร บริเวณศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีบ้านหลายหลังในประเทศเอกวาดอร์และเปรูได้รับความเสียหาย มีผู้บาดเจ็บ 2 คนในจังหวัดปรวยรา เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด IV (เบา)[120] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน[121] ในประเทศกรีซห่างจากเมืองปอมมารี ทางทิศใต้ ไป 5 กิโลเมตร บ้านในเมืองปอมมารีได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด บางแห่งพังทลาย มีผู้พบศพหญิง 1 คนในหมู่บ้านวลีซา ซึ่งเสียชีวิตอยู่ภายใต้บ้านเรือนปรักหักพัง เหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้มีผู้บาดเจ็บ 15 คน และไร้ที่อยู่ 800 คนโดยประมาณ[122] แผ่นดินไหวมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นทั่วประเทศกรีซ, ตุรกี และบัลแกเรีย เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด IX (ร้ายแรง)[123][124] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.9 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน[125] ในประเทศกัวเตมาลาห่างจากเมืองมาลากันเทน ทางทิศหรดีเฉียงตะวันตก ไป 3 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิต 5 ราย (3 ใน 5 เสียชีวิตเพราะหัวใจวาย และบาดเจ็บอีก 19 คน) บ้านเรือนได้รับความเสียหายอย่างหนัก เกิดดินถล่มในบางพื้นที่[126][127] ในประเทศเม็กซิโกมีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 11 คน เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VI (แรง)[128] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ในประเทศนิวซีแลนด์ห่างจากเกาะคามาเด็ก ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไป 129 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด III (อ่อน)[129] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.1 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ในประเทศตองงาห่างจากพืดหินใต้น้ำเมดควรา ทางทิศตะวันตกเฉียงตะวันตกเฉียงใต้ ไป 110 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด II (อ่อนมาก)[130] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.8 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน [131] ในประเทศกัวเตมาลาห่างจากเมืองปูเตรซานโจว ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไป 28 กิโลเมตร มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายหลายแห่ง[132][133] มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 4 คนจากเหตุการณ์[134] เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก) เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.8 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน[135] ในประเทศเปรูห่างจากเมืองโคเลโคเล ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไป 60 กิโลเมตร มีบ้านบางแห่งพังทลายลงมาในจังหวัดซาราเวริ[136] เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด IV (เบา) เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน[137] ในประเทศญี่ปุ่นห่างจากเมืองอินะ ทางทิศตะวันตก ไป 35 กิโลเมตร มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน โดยเกิดดินถล่ม บ้านเรือนที่พักอาศัยได้รับความเสียหายเล็กน้อยเป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด V (ปานกลาง)[138] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ในประเทศตองงาห่างจากเปยกายร์ ทางทิศตะวันตก ไป 198 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด IV (เบา)[139]", "title": "แผ่นดินไหวใน พ.ศ. 2560" }, { "docid": "777133#1", "text": "กรณีของแผ่นดินไหวนำที่ได้รับการตรวจประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์มาจากการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ และประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์สำหรับความรุนแรงที่มากกว่า 7 แมกนิจูด โดยอาจเกิดขึ้นก่อนเพียงไม่กี่นาทีหรืออาจเป็นวันก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวหลัก ตัวอย่างเช่น แผ่นดินไหวในเกาะสุมาตรา พ.ศ. 2545 ที่ได้รับการจัดให้เป็นแผ่นดินไหวนำของแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 ที่เกิดขึ้นในภายหลัง นานกว่าสองปี", "title": "แผ่นดินไหวนำ" }, { "docid": "4100#2", "text": "ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวมักเกิดตามรอยเลื่อน อยู่ในระดับความลึกต่าง ๆ ของผิวโลก เท่าที่เคยวัดได้ลึกสุดอยู่ในชั้นแมนเทิล ส่วนจุดที่อยู่ในระดับสูงกว่า ณ ตำแหน่งผิวโลก เรียกว่า จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว โดยการศึกษาเรื่องแผ่นดินไหวและคลื่นสั่นสะเทือนที่ถูกส่งออกมา เรียกว่า วิทยาแผ่นดินไหว เมื่อจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่อยู่นอกชายฝั่ง อาจเกิดคลื่นสึนามิตามมาได้ นอกจากนี้ แผ่นดินไหวยังอาจก่อให้เกิดดินถล่ม และบางครั้งกิจกรรมภูเขาไฟตามมาได้", "title": "แผ่นดินไหว" }, { "docid": "853511#10", "text": "เกิดเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ในรัฐบริติชโคลัมเบีย, ประเทศแคนาดา ห่างจากเมืองสแคกเวย์, สหรัฐ ทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือไป 88 กิโลเมตร แผ่นดินไหวในครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ครั้งแรก: เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.2 แมกนิจูด เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[100] ครั้งสอง: เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VIII (อย่างรุนแรง)[101] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.1 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม[102] ในประเทศอิหร่านห่างจากเมืองโทร์บอต-เอยอม ทางตอนเหนือไป 65 กิโลเมตร มีผู้บาดเจ็บ 2 คน มีแผ่นดินไหวตามขนาด 6.1 แมกนิจูดเหมือนกับแผ่นดินไหวในเดือนเมษายน เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด V (ปานกลาง)[103] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม[104] ในประเทศทาจิกิสถานห่างจากคาราเคนจาทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือไป 29 กิโลเมตร มีบ้านสองแห่งได้รับความเสียหายในประเทศทาจิกิสถาน[105] ในประเทศคีร์กีซสถานมีแกะตาย 110 ตัวเนื่องจากหินถล่ม และสิ่งก่อสร้างอีก 100 แห่งได้รับความเสียหาย[106] และมีชายคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากกำแพงถล่ม เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[107] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ในรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐห่างจากภูเขาไฟทานากาทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ไป 34 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VI (แรง)[108] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ในประเทศญี่ปุ่นห่างจากเมืองฮิราระ จังหวัดโอกินาวะทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ไป 111 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด IV (เบา)[109] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.8 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ในประเทศวานูอาตูห่างจากเมืองพอร์ตออลรี ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือไป 62 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด V (ปานกลาง) เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.4 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ในประเทศจีนห่างจากเมืองมูร์กับประเทศทาจิกิสถานทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ไป 131 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 8 คน และบาดเจ็บ 29 คนมีผู้ถูกทับอยู่ในบ้านหลายคน ที่หมู่บ้านครูกันมีบ้านพังถล่มเสียหาย 1,520 หลังคา มีผู้อพยพ 9,000 กว่าคน เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VI (แรง) เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.5 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม นอกชายฝั่งของเกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช ห่างจากเกาะวีโซคอย ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 95km (59mi) ที่ความลึก 15.0km (9.3mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ IV (เบา)[110] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.1 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ในประเทศอาเซอร์ไบจานห่างจากเมืองเตลมันเกด ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 16km (9.9mi) ที่ความลึก 62.8km (39.0mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ V (ปานกลาง)[111] มีผู้บาดเจ็บ 20 คนในปอร์ซาบอด, อิหร่าน[112] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.1 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ในประเทศตุรกีห่างจากเมืองอัชกาแล ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 13km (8.1mi) ที่ความลึก 13.4km (8.3mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VII (แรงมาก)[113] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ในประเทศเอลซัลวาดอร์ห่างจากเมืองอากาฮุตลา ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 78km (48mi) ที่ความลึก 16km (9.9mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ IV (เบา)[114] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.6 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ในประเทศอิหร่านห่างจากเมืองบอจแนร์ด ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 34km (21mi) ที่ความลึก 8km (5.0mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VII (แรงมาก)[115] มีผู้เสียชีวิต 3 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บ 400 คน ใกล้กับหมู่บ้านพอซอนดอร์เรฮ์ [116] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ในประเทศปาปัวนิวกินีห่างจากเมืองนามาทาไม ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 39km (24mi) ที่ความลึก 8km (5.0mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VII (แรงมาก)[117]", "title": "แผ่นดินไหวใน พ.ศ. 2560" }, { "docid": "228844#2", "text": "อิตาลีประสบเหตุแผ่นดินไหวบ่อยครั้งแต่ตามปกติไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2545 ที่แคว้นโมลีเซ มีขนาด 5.9 ตามมาตราริกเตอร์ และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 25 ราย และถือเป็นเหตุแผ่นดินไหวที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 20 ปีในขณะนั้น แผ่นดินไหวเกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของเมืองลากวีลาซึ่งสร้างขึ้นบนชั้นหินของทะเลสาบโบราณ ทำให้เกิดโครงสร้างพื้นดินที่ดูเหมือนจะขยายแรงสั่นสะเทือนให้มากขึ้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวแต่ละครั้ง เมืองนี้ถูกทำลายจากแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. 1858, พ.ศ. 1892, พ.ศ. 1995, พ.ศ. 2044, พ.ศ. 2189, พ.ศ. 2246, และ พ.ศ. 2249", "title": "แผ่นดินไหวในแคว้นอาบรุซโซ พ.ศ. 2552" }, { "docid": "372812#1", "text": "แผ่นดินไหวครั้งดังกล่าวเกิดขึ้นจากความเครียดในพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้นจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่นอกชายฝั่งแคว้นเมาเล แรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ทั่งตอนกลางของประเทศชิลี แผ่นดินไหวครั้งนี้ในตอนแรกนั้นคาดว่าเป็นแผ่นดินไหวตามจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ แต่นักวิทยาแผ่นดินไหวจากมหาวิทยาลัยชิลี ได้ชี้ว่ามันเป็น \"แผ่นดินไหวอีกครั้งหนึ่ง\" เกิดแผ่นดินไหวตามทันทีอย่างน้อย 11 ครั้ง ทำให้เกิดความตื่นตระหนกตลอดเมืองชายฝั่งระหว่างแคว้นโกกิมโบและโลสลาโกส", "title": "แผ่นดินไหวในปิชิเลมู พ.ศ. 2553" }, { "docid": "365544#1", "text": "ความลึกจุดเกิดแผ่นดินไหวสามารถคำนวณได้จากการวัดซึ่งขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์คลื่นแผ่นดินไหว ด้วยปรากฏการณ์คลื่นทั้งหมดในทางฟิสิกส์ มีความไม่แน่นอนอยู่ในการวัดปริมาณดังกล่าวเพิ่มยิ่งขึ้นตามความยาวคลื่น ดังนั้นความลึกจุดเกิดแผ่นดินไหวของแหล่งที่มาของคลื่นที่มีความยาวนี้ (ความถี่ต่ำ) จึงเป็นการยากที่จะตรวจสอบให้แน่ชัด แผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงมากจะส่งพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาส่วนใหญ่ในรูปของคลื่นแผ่นดินไหวที่มีความยาวคลื่นมาก และดังนั้น แผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงมากขึ้นเท่าใดก็เป็นการปลดปล่อยพลังงานจากหินที่มีมวลมากยิ่งขึ้นเท่านั้น", "title": "ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว" }, { "docid": "368501#1", "text": "ตามที่ได้นิยามไปข้างต้น จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวเป็นจุดบนผิวโลกที่อยู่ในแนวดิ่งเหนือจุดที่รอยเลื่อนเกิดจากแตกหัก โดยทั่วไปจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวนี้จะเป็นจุดที่เกิดความเสียหายสูงสุดเนื่องจากแผ่นดินไหว อย่างไรก็ดีสำหรับในแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ๆ ความยาวของการแตกหักของรอยเลื่อนสามารถกินระยะทางที่ยาวกว่าและก่อให้เกิดความเสียหายตลอดรอยเลื่อน ตัวอย่างเช่นแผ่นดินไหวขนาด 7.9 ในปี 2545 ที่เดนาลี อะแลสกา ซึ่งมีจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวในบริเวณตะวันตกของรอยแตก แต่ความเสียหายสูงสุดกลับพบที่ระยะห่างออกไป 330 กิโลเมตรที่จุดสิ้นสุดของบริเวณรอยแตก", "title": "จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว" }, { "docid": "853511#9", "text": "เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.3 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 2 เมษายน[71] ในประเทศปานามาห่างจากเมืองเซโร พูตาทางตอนเหนือไป 18 กิโลเมตร อาคารสองแห่งได้รับความเสียหาย ของในห้างสรรพสินค้าตกหล่น เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[72] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 3 เมษายน[73] ในประเทศแอฟริกาใต้ห่างจากเมืองสโตฟาทีน ทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ไป 7 กิโลเมตร ปูนปลาสเตอร์หล่นลงมาจากผนัง บ้านได้รับความเสียหายเล็กน้อย เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[74] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.5 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 3 เมษายน[75] ในประเทศบอตสวานาห่างจากเมืองมอยยามานา ทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ไป 132 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในประเทศบอตสวานานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495[76][77] นักเรียนในโรงเรียน 36 คน ได้รับบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวนี้มีขนาด VII (แรงมาก)[78] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.1 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 4 เมษายน[79] ในประเทศฟิลิปปินส์ห่างจากเมืองมาเทนเก็ต ซิตี้ทางตะวันตกไป 5 กิโลเมตร เมืองมาเทนเก็ต ซิตี้ และเมืองทาบาเซนกาได้รับผลกระทบ มีไฟดับในบางส่วน เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VI (แรง)[80] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.1 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 5 เมษายน[81] ในประเทศอิหร่านห่างจากเมืองโทร์บัส-อี แจม ทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือไป 61 กิโลเมตร ร้อยละ 40 อาคารได้รับความเสียหายจาก 4 หมู่บ้าน บ้านอาคารบางแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนักในเมืองมาชาด สายโทรศัพท์ระโยงระยาง[82] มีผู้เสียชีวิต 2 คนและอีก 34 คนได้รับบาดเจ็บ เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[83] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 4.8 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 5 เมษายน[84] ในประเทศกรีซห่างจากเมืองนาฟเพ็ทโทสทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ไป 1 กิโลเมตร สิ่งก่อสร้างโบราณได้รับความเสียหายเล็กน้อย อิฐตกลงมาบนถนนน เกิดไฟดับที่เมืองริโอ เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[85] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.9 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 8 เมษายน[86] ในประเทศฟิลิปปินส์ห่างจากเมืองทารากาทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือไป 1 กิโลเมตร บ้านและอาคารได้รับผลกระทบ เกิดดินถล่มที่ภูเขามาโคลอด มีรายงานว่าเกิดเหตุไฟดับ[87] มีผู้บาดเจ็บ 6 คน มีประมาณ 14,000 คนได้อพยพไปสู่ศูนย์อพยพชั่วคราว เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VI (แรง)[88] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 4.8 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 10 เมษายน[89] ในประเทศเอลซัลวาดอร์ห่างจากเมืองโซยาพันโกทางตอนเหนือไป 3 กิโลเมตร บ้านในแอนติโก คันเคนตัสได้รับผลกระทบ และเกิดดินถล่มในบางพื้นที่ มีผู้เสียชีวิต 1 คน มีผู้บาดเจ็บ 3 คน ซึ่งเกิดจากก้อนหินที่ตกลงมาทางทางหลวง เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VI (แรง)[90] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.8 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 11 เมษายน[91] ในประเทศฟิลิปปินส์ห่างจากเมืองโอไซทางตอนเหนือไป 8 กิโลเมตร บ้านประมาณ 500 หลัง และมัสยิด 2 หลังได้รับความเสียหายในเมืองลาเดอ นา เซอ ถนนหลักแห่งชาติเกิดรอยแตก มี 1 คนได้รับบาดเจ็บ เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[92] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 15 เมษายน ในประเทศชิลีห่างจากเมืองแซน เพโด เดอะ ออเทอคัมมาทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ไป 63 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด IV (เบา)[93] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 18 เมษายน ในประเทศฟีจีห่างจากเกาะดินอยทางตอนเหนือไป 285 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด II (อ่อน)[94] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 23 เมษายน ในประเทศชิลีห่างจากเมืองบัลปาราอีโซทางตะวันตกไป 37 กิโลเมตร แผ่นดินไหวนำวัดได้ขนาด 6.9 เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VI (แรง)[95] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.9 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 24 เมษายน[96] ในประเทศชิลีห่างจากเมืองบัลปาราอีโซทางตะวันตกไป 40 กิโลเมตร ท่าอากาศยานนานาชาติซันติอาโกได้รับความเสียหายเล็กน้อย รถบางครั้งได้รับความเสียหายจากก้อนหินที่ตกลงมา เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[97] เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.9 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 28 เมษายน[98] ในประเทศฟิลิปปินส์ห่างจากเมืองขุเรียนทางตอนตะวันตกดฉียงใต้ไป 31 กิโลเมตร อาคารและบ้านบางแห่งพังทลายลงมา มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาด VII (แรงมาก)[99]", "title": "แผ่นดินไหวใน พ.ศ. 2560" }, { "docid": "738557#3", "text": "ประเทศชิลีตั้งอยู่บนเขตรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกที่มีพลังมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก ซึ่งทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีประวัติการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มาตั้งแต่อดีต เช่น แผ่นดินไหวขนาด 8.8 เมื่อ พ.ศ. 2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน และก่อให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ตอนกลางของประเทศ โดยจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีขนาดยาว 400 กิโลเมตรทอดตัวไปตามรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก ตั้งอยู่ทางใต้ของแผ่นดินไหวครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีแผ่นดินไหวเมื่อ พ.ศ. 2557 ขนาด 8.2 ใกล้กับเมืองอิกิเก และแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์เมื่อ พ.ศ. 2503 ขนาด 9.5 M ทางภาคใต้ของประเทศ ในรอบร้อยปีที่ผ่านมา พื้นที่รัศมี 400 กิโลเมตรรอบจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวในครั้งนี้ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดมากกว่า 7 M มาแล้ว 15 ครั้ง", "title": "แผ่นดินไหวในอิยาเปล พ.ศ. 2558" }, { "docid": "763316#4", "text": "ประเทศไต้หวันเป็นพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อย ศตวรรษที่ผ่านมาเกิดแผ่นดินไหวขนาดมากกว่า 6.4 แล้ว 90 ครั้งในรัศมี 250 กิโลเมตรรอบศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ แผ่นดินไหวหลายครั้งมีความรุนแรงและเป็นที่สังเกตว่ามีศูนย์กลางภายในเกาะไต้หวัน บ่อยครั้งกว่าที่จะเกิดทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะซึ่งเป็นเขตมุดตัวของเปลือกโลก แผ่นดินไหวขนาด 7.0 ห่างออกไปทางทิศใต้ 120 กิโลเมตรเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย แผ่นดินไหวจี๋จี๋ (หรือ<i data-parsoid='{\"dsr\":[4602,4620,2,2]}'>แผ่นดินไหว 921) เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2542 ขนาด 7.6 ห่างจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 100 กิโลเมตร ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างและมีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คน ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับสองของประวัติศาสตร์ไต้หวัน รองจากแผ่นดินไหวใน พ.ศ. 2478 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3,200 คน[2]", "title": "แผ่นดินไหวในไต้หวัน พ.ศ. 2559" }, { "docid": "368501#0", "text": "จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว ( จาก หรือ ) คือจุดบนผิวโลกที่อยู่เหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว หรือจุดโฟกัส (ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางที่เกิดการถ่ายเทพลังงานเมื่อเกิดแผ่นดินไหว)", "title": "จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว" }, { "docid": "365544#2", "text": "ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติคำว่า \"จุดเกิดแผ่นดินไหว\"เพื่อใช้แทนคำว่า \"focus\" ของการเกิดแผ่นดินไหว และอาจพบคำว่าศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว, ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว ฯลฯ ในเอกสารบางเล่ม", "title": "ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว" }, { "docid": "4100#18", "text": "ลักษณะทางกายภาพของเปลือกโลก เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากสภาพปกติก่อนการเกิดแผ่นดินไหว เช่น แรงเครียดในเปลือกโลกเพิ่มขึ้น โดยใต้ผิวโลกจะมีความร้อนสูงกว่าบนผิวโลก จึงทำให้เปลือกโลกเกิดการขยายตัว หดตัวไม่สม่ำเสมอ โดยที่เปลือกโลกส่วนล่างจะมีการขยายตัวมากกว่า การเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก และแรงโน้มถ่วงของโลก การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก น้ำใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวและการขยายตัวของเปลือกโลกใต้ชั้นหินรองรับน้ำ ปริมาณแก๊สเรดอนเพิ่มขึ้น การสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ สัตว์หลายชนิดมีการรับรู้และมักแสดงท่าทางออกมาก่อนเกิดแผ่นดินไหว อาจจะรู้ล่วงหน้าเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันก็ได้ เช่น สัตว์เลี้ยง สัตว์บ้านทั่วไปตื่นตกใจ เช่น สุนัข เป็ด ไก่ หมู หมี แมลงสาบจำนวนมากวิ่งเพ่นพ่าน หนู งู วิ่งออกมาจากที่อาศัย ถึงแม้ในบางครั้งจะเป็นช่วงฤดูจำศีลของพวกมัน ปลากระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำ บริเวณที่เกิดแผ่นดินไหว ถ้าบริเวณใดเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง โอกาสเกิดแผ่นดินไหวก็มีตามมาอีก และถ้าสถานที่นั้นเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรง ก็มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวซ้ำขึ้นอีกเช่นกัน นอกจากนี้บริเวณที่มีภูเขาไฟระเบิดมักจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นก่อนหรือหลังภูเขาไฟระเบิดได้", "title": "แผ่นดินไหว" }, { "docid": "712051#0", "text": "แผ่นดินไหวในประเทศเนปาล พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 12:35 น. ตามเวลามาตรฐานเนปาล ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 มีขนาด 7.3 แมกนิจูด จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ใกล้กับชายแดนประเทศจีน ระหว่างกาฐมาณฑุกับยอดเขาเอเวอเรสต์ แผ่นดินไหวนี้เกิดในลักษณะเดียวกันกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่าที่เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน แต่อยู่ห่างออกมาทางทิศตะวันออกมากกว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวเป็นแผ่นดินไหวตามของแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 25 เมษายน ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ที่ระดับความลึก 18.5 กิโลเมตร แผ่นดินไหวนี้ยังรับรู้ได้ในตอนเหนือของประเทศอินเดีย รวมถึงรัฐพิหาร อุตตรประเทศ เบงกอลตะวันตกและรัฐอื่นๆทางตอนเหนือของอินเดีย แผ่นดินไหวนี้สามารถรับรู้ได้ถึงเจนไน ซึ่งไกลออกไปกว่า 2,400 กิโลเมตรจากจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว", "title": "แผ่นดินไหวในประเทศเนปาล พฤษภาคม พ.ศ. 2558" }, { "docid": "887084#1", "text": "แผ่นดินไหวในรัฐปวยบลาเกิดขึ้นหลังจากเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่นอกชายฝั่งรัฐเชียปัสเมื่อ 11 วันก่อน นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นในวันครบรอบปีที่ 32 ของเหตุแผ่นดินไหวในเม็กซิโกซิตี พ.ศ. 2528 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 10,000 คน ก่อนที่จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวประมาณสองชั่วโมง ทั่วประเทศได้เริ่มจัดการซ้อมหลบภัยแผ่นดินไหวเนื่องในโอกาสครบรอบการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 2528 พอดี", "title": "แผ่นดินไหวในรัฐปวยบลา พ.ศ. 2560" }, { "docid": "738803#5", "text": "หลังแผ่นดินไหวหลักขนาด 8.2 M ได้เกิดแผ่นดินไหวตามครั้งแรกเมื่อเวลา 20:49 น. ตามเวลาท้องถิ่นชิลี (เกิดหลังแผ่นดินไหวหลัก 3 นาที) มีขนาด 7.5 M ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 26.8 กิโลเมตร ห่างจากเมืองอิกิเกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 29 กิโลเมตร แผ่นดินไหวตามขนาดใหญ่อีกครั้งเกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน เวลา 23:43 น. (หลังแผ่นดินไหวหลักหนึ่งวัน) ขนาด 7.7 จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองอิกิเกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 50 กิโลเมตร ซึ่งทำให้ทางการท้องถิ่นต้องประกาศอพยพประชาชนหนีภัยสึนามิอีกครั้งหนึ่ง โดยคลื่นหลักที่กระทบชายฝั่งเมืองอิกิเกมีความสูง 74 เซนติเมตร ส่วนพื้นที่อื่นไม่มีการประกาศสึนามิถึงระดับเตือนภัย แผ่นดินไหวตามทั้งหมดที่บันทึกได้จนถึงวันที่ 17 เมษายน เวลา 19:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีทั้งสิ้น 717 ครั้ง ในจำนวนนี้ 52 ครั้ง ประชาชนสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ชัดเจน", "title": "แผ่นดินไหวในจังหวัดอิกิเก พ.ศ. 2557" }, { "docid": "372656#0", "text": "แผ่นดินไหวในจังหวัดฟูกูชิมะ เมษายน พ.ศ. 2554 เป็นแผ่นดินไหวตามภายในแผ่นเปลือกโลกความรุนแรง 6.6 โมเมนต์แมกนิจูด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.16 น. ตามเวลามาตรฐานญี่ปุ่น (08:16 UTC) ของวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554 จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ในแผ่นดินห่างจากเมืองอิวากิไปทางตะวันตก 36 กิโลเมตร และอยู่ลึกลงไปใต้ดินเพียง 10 กิโลเมตร ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนซึ่งสร้างความเสียหายปานกลางเป็นวงกว้าง แผ่นดินไหวครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในแผ่นดินไหวตามจำนวนมากที่เกิดขึ้นหลังแผ่นดินไหวในโทโฮกุเมื่อวันที่ 11 มีนาคม และเป็นครั้งรุนแรงที่สุดที่มีจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ในแผ่นดิน", "title": "แผ่นดินไหวในจังหวัดฟูกูชิมะ เมษายน พ.ศ. 2554" }, { "docid": "853511#6", "text": "เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ในชายฝั่งของประเทศฟีจี ห่างจากแนวปะการังมิเนอร์วา ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 180km (110mi) เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ความลึก 551.6km (342.7mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ II (อ่อน)[2] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.7 แมกนิจูด ในรัฐตริปุระ ประเทศอินเดีย ห่างจากเมืองอัมบาซา ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 20.0km (12.4mi) เมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ความลึก 32.0km (19.9mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ V (ปานกลาง)[3] มีผู้เสียชีวิต 3 ราย (1 คนในอินเดีย และ 2 คนในบังคลาเทศ) มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 8 คน (5 คนในอินเดีย และ 3 คนในบังคลาเทศ)[4][5] และบ้านเรือน 50 หลังได้รับความเสียหายจากดินถล่ม[6] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.9 แมกนิจูด ในชายฝั่งของประเทศฟีจี ห่างจากนาดี ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 226km (140mi) เมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ความลึก 12.0km (7.5mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ IV (เบา)[7] และมีการประกาศเตือนภัยสึนามิความสูง 0.1 เมตร ที่เมืองซูวา[8] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด ในชายฝั่งของประเทศฟีจี ห่างจากนาดี ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 195km (121mi) เมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ความลึก 10.0km (6.2mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ IV (เบา) [9] แผ่นดินไหวครั้งนี้ถือเป็นแผ่นดินไหวตามจากแผ่นดินไหวขนาด 6.9 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าในวันเดียวกัน เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.0 แมกนิจูด ในประเทศอิหร่าน ห่างจากเมืองจาห์ราม ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 54km (34mi) เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ความลึก 10.0km (6.2mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VI (แรง)[10] มีผู้เสียชีวิต 2 คน ในหมู่บ้านเซย์ฟาบัด ในเทศมณฑลคอนจ์ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บในหมู่บ้านชาร์ตาลา 3 คน[11] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แมกนิจูด ในประเทศแคนาดา ห่างจากเมืองเรโซลุต ดินแดนนูนาวุต ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 79km (49mi) เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ความลึก 31.0km (19.3mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VII (แรงมาก)[12] แผ่นดินไหวครั้งนี้มีแผ่นดินไหวตามขนาด 5.2 แมกนิจูด หลังจากนั้น 18 ชั่วโมง[13] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.3 แมกนิจูด ในชายฝั่งของประเทศฟิลิปปินส์ ห่างจากหมู่บ้านตาเบียลัง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ตอนใต้ 189km (117mi) เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่ความลึก 627.2km (389.7mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ III (อ่อน)[14] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ในหมู่เกาะโซโลมอน ห่างจากกิรากิรา ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 104km (65mi) เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่ความลึก 26.0km (16.2mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VI (แรง)[15] แผ่นดินไหวครั้งนี้มีแผ่นดินไหวนำขนาด 6.5 แมกนิจูด เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.5 แมกนิจูด ในมาดากัสการ์ ห่างจากเบตาโฟ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ตอนใต้ 41km (25mi) เมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ความลึก 7.3km (4.5mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VI (แรง)[16] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.6 แมกนิจูด ในอินโดนีเซีย ห่างจากเมืองกาบันจาเฮ จังหวัดสุมาตราเหนือ ไปทางเหนือ 22km (14mi) เมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ความลึก 6.0km (3.7mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VII (แรงมาก)[17] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.7 แมกนิจูด ในอิตาลี ห่างจากเมืองอามาตรีเซ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 6km (3.7mi) เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ความลึก 7.0km (4.3mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VIII (อย่างรุนแรง)[18] มีผู้เสียชีวิต 5 ราย (2 ราย ในกัมโปตอสโต และ 3 ราย ในเตราโม)[19] แผ่นดินไหวครั้งนี้ให้เกิดหิมะถล่มทลายที่โรงแรมในฟารินโดลา จึงทำให้มีผู้เสียชีวิต 29 รายและบาดเจ็บ 11 ราย[20][21] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.6 แมกนิจูด ในอิตาลี ห่างจากเมืองมอนเตเรอาเล ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 8km (5.0mi) เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ความลึก 10.0km (6.2mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VIII (อย่างรุนแรง)[22] โดยครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวตามของแผ่นดินไหว 5.7 ครั้งก่อน เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.5 แมกนิจูด ในหมู่เกาะโซโลมอน ห่างจากกิรากิรา ไปทางตะวันตก 65km (40mi) เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ความลึก 36.0km (22.4mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VII (แรงมาก)[23] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.9 แมกนิจูด ในปาปัวนิวกินี ห่างจากเมืองแพนกูนา ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 35km (22mi) เมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่ความลึก 135.0km (83.9mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VIII (อย่างรุนแรง)[24] มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย[25] มีรายงานไฟฟ้าดับในเมืองบูกา[26] เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.5 แมกนิจูด ในเอกวาดอร์ ห่างจากเมืองเอสเมรัลดัส ไปทางใต้ 25km (16mi) เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ความลึก 10.0km (6.2mi) คลื่นกระแทกมีความรุนแรงสูงสุดที่ระดับ VI (แรง)[27] มีรายงานบ้านเรือนหลายหลังได้รับความเสียหาย[28]", "title": "แผ่นดินไหวใน พ.ศ. 2560" }, { "docid": "363968#3", "text": "แผ่นดินไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกที่ระดับความลึกค่อนข้างน้อยเพียง 32 กิโลเมตร โดยศูนย์กลางแผ่นดินใหญ่อยู่ห่างจากคาบสมุทรโอชิกะ ภาคโทโฮกุ ประมาณ 72 กิโลเมตร เป็นเวลาอย่างน้อยหกนาที นครใหญ่ที่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่สุดคือเซ็นไดบนเกาะฮนชู เกาะหลักของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 130 กิโลเมตร กรุงโตเกียวอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 373 กิโลเมตร แผ่นดินไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังแผ่นดินไหวนำอย่างรุนแรง และมีรายงานแผ่นดินไหวตามอีกหลายร้อยครั้งตามมา ฟอร์ช็อก (แผ่นดินไหวนำ) ใหญ่ครั้งแรกเป็นเหตุแผ่นดินไหวนำความรุนแรง 7.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ห่างจากจุดที่เกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 11 มีนาคมไปอย่างน้อย 40 กิโลเมตร ตามด้วยฟอร์ช็อกอีกสามครั้งที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ซึ่งล้วนแต่ความรุนแรงมากกว่า 6 แมกนิจูด หลังเกิดแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อกความรุนแรง 7.0 แมกนิจูด ได้รับรายงานเมื่อเวลา 15.06 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ตามด้วย 7.4 เมื่อเวลา 15.15 น. และ 7.2 เมื่อเวลา 15.26 น. อาฟเตอร์ช็อกมากกว่าแปดร้อยครั้งมีความรุนแรงมากกว่า 4.5 แมกนิจูดตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวหลัก อาฟเตอร์ช็อกเป็นไปตามกฎโอโมริ ซึ่งกล่าวว่า อัตราอาฟเตอร์ช็อกลดลงแปรผันตรงกับเวลาตั้งแต่แผ่นดินไหวหลัก ดังนั้น อาฟเตอร์ช็อกจึงเกิดขึ้นน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่อาจเกิดขึ้นเรื่อย ๆ อีกหลายปี", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "426641#0", "text": "แผ่นดินไหวที่วิซายาส พ.ศ. 2555 เป็นแผ่นดินไหวขนาด 6.9 แมกนิจูด เกิดใต้ทะเลนอกชายฝั่งจังหวัดซีลางังเนโกรส ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเวลา 11.49 น. ตามเวลาท้องถิ่น (03:49 UTC) ของวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 มีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวห่างจากเมืองดูมาเกเตไปทางเหนือประมาณ 72 กิโลเมตร แผ่นดินไหวก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก แผ่นดินไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี", "title": "แผ่นดินไหวในวิซายัส พ.ศ. 2555" }, { "docid": "777133#0", "text": "แผ่นดินไหวนำ หรือทับศัพท์ว่า ฟอร์ช็อก () เป็นแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ (แผ่นดินไหวหลัก) ที่มีความเกี่ยวข้องกันทั้งในช่วงเวลาและพื้นที่ โดยชื่อเรียกของการเกิดแผ่นดินไหว ทั้ง\"แผ่นดินไหวนำ\", \"แผ่นดินไหวหลัก\" หรือแผ่นดินไหวตาม จะเกิดขึ้นตามลำดับของเหตุการณ์", "title": "แผ่นดินไหวนำ" }, { "docid": "228844#5", "text": "นายจัมปาโอโล จูลีอานี นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี ได้พยากรณ์การเกิดแผ่นดินไหวทางสื่อโทรทัศน์ในอิตาลีก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน โดยใช้วิธีวัดปริมาณแก๊สเรดอนที่แพร่ออกมาจากพื้นดิน เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกกระต่ายตื่นตูม และถูกบังคับให้นำผลการค้นพบออกจากอินเทอร์เน็ต เขายังถูกแจ้งความเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าเนื่องจากทำให้ผู้คนในพื้นที่เกิดความตื่นกลัว หลังจากทำนายว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองซุลโมนา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองลากวีลาไปทางทิศใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร (31 ไมล์) ในวันที่ 30 มีนาคม แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (และที่จริงบริเวณเมืองนี้ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 6 เมษายน) นายเอนโซ บอสกี ผู้อำนวยการสถาบันธรณีฟิสิกส์แห่งชาติกล่าวว่า \"ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวจะต้องมีคนที่อ้างว่าทำนายมันได้ก่อนหน้า แต่เท่าที่ผมทราบ ไม่มีใครสามารถทำนายแผ่นดินไหวครั้งนี้ได้อย่างแม่นยำ และปกติเราก็ทำนายการเกิดแผ่นดินไหวไม่ได้อยู่แล้ว\"", "title": "แผ่นดินไหวในแคว้นอาบรุซโซ พ.ศ. 2552" } ]
2199
อาร์เทอร์ ฮอลลี คอมป์ตันมีบิดาชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "668751#1", "text": "อาร์เทอร์ คอมป์ตัน เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2435 เป็นบุตรคนที่ของเอเลียส คอมป์ตัน (Elias Compton) และโอเทลเลีย แคเทอรีน คอมป์ตัน (Otelia Catherine Compton) (สกุลเดิม ออกซเพอร์เกอร์ (Augspurger)) โดยเอเลียสผู้เป็นบิดา ได้เคยเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยวูสเตอร์ ส่วนคาร์ล คอมป์ตัน (Karl Compton) พี่ชายของอาร์เทอร์ ได้ปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2455 และเป็นอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ระหว่างปี พ.ศ. 2473 - 2491 พี่ชายคนรอง วิลสัน คอมป์ตัน (Wilson Compton) ได้รับปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2456 และได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตต ยิ่งไปกว่านั้น มารดาตระกูลคอมป์ตันเป็นแม่ดีเด่นประจำปี 2475 ของสหรัฐอเมริกาด้วย ในส่วนน้องสาว แมรี คอมป์ตัน (Mary Compton) สมรสกับศาสนาจารย์ซี เฮอร์เบิร์ต ไรซ์ (C Herbert Rice) ครูใหญ่โรงเรียนคริสเตียนลาฮอร์", "title": "อาร์เทอร์ คอมป์ตัน" } ]
[ { "docid": "668751#0", "text": "อาร์เทอร์ ฮอลลี คอมป์ตัน (Arthur Holly Compton) (10 กันยายน พ.ศ. 2435  – 15 มีนาคม พ.ศ. 2505) เป็นนักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2470 ในฐานะที่เขาค้นพบการกระเจิงของโฟตอนจากอิเล็กตรอน อันเป็นการพิสูจน์สมบัติความเป็นอนุภาคของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาร์เทอร์ คอมป์ตัน รู้จักกันดีในฐานะหัวหน้าห้องปฏิบัติการโลหวิทยาของโครงการแมนฮัตตัน และนายกสภามหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์ระหว่าง พ.ศ. 2488 - 2496", "title": "อาร์เทอร์ คอมป์ตัน" }, { "docid": "668751#3", "text": "ในปี พ.ศ. 2462 อาร์เทอร์ได้รับทุนการศึกษาจากสภาวิจัยแห่งชาติสหรัฐให้เดินทางไปศึกษาที่ห้องปฏิบัติการคาเวนดิช มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยทำงานวิจัยกับจอร์จ แพเจต ทอมสัน บุตรของโจเซฟ จอห์น ทอมสัน ในหัวข้อการกระเจิงและการดูดกลืนรังสีแกมมา ในการศึกษาเขาสังเกตว่ารังสีที่กระเจิงสามารถดูดกลืนได้ง่ายกว่ารังสีจากแหล่งกำเนิด ณ ที่นั้น เขาได้พบกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน อาทิ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ชาลส์ แกลตัน ดาร์วิน และอาร์เทอร์ เอดดิงตัน ซึ่งสองชื่อได้กลายเป็นชื่อบุตรของอาร์เทอร์เองในเวลาต่อมา\nทางด้านชีวิตครอบครัว อาร์เทอร์สมรสกับเบตตี แชริตี แมคคลอสกีย์ (Betty Charity McCloskey) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นในคราวที่เรียนปริญญาตรี มีบุตรด้วยกันสองคน คือ อาร์เทอร์ อลัน คอมป์ตัน และจอห์น โจเซฟ คอมป์ตัน", "title": "อาร์เทอร์ คอมป์ตัน" }, { "docid": "775024#1", "text": "เอ็ดเวิร์ดเกิดในหมู่บ้านในชนบทที่ชื่อรีเซ็มบูล เขาอาศัยอยู่กับน้องชายพร้อมกับมารดา \"ทริชา\" และบิดา \"โฮเฮ็นไฮม์\" ต่อมาหลังจากเมื่อบิดาของเขาทอดทิ้งครอบครัวและออกจากบ้านไปตั้งแต่สองพี่น้องยังเล็กและมารดาก็เสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรัง ทั้งสองก็มุ่งมั่นศึกษาวิชาเล่นแร่แปรธาตุเพื่อหวังจะชุบชีวิตมารดาขึ้นมา โดยการไปฝึกฝนกับอาจารย์ที่ชื่อ \"อิซูมิ เคอร์ทิส\" ภายหลังจากการชุบชีวิตมารดาล้มเหลวและน้องชายกลายเป็นชุดเกราะ เอ็ดได้รับออโต้เมลล์จากครอบครัวร็อกเบล ซึ่งเป็นครอบครัวที่สนิทที่สุด และสองพี่น้องก็กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับการคัดเลือกจากทางการให้บรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และได้รับฉายา \"นักเล่นแร่แปรธาตุเหล็กไหล\" จาก\"คิง แบร็ดลี\" ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ และจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทำให้เอ็ดเป็นคนที่เชื่อในกฎ \"การแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเที่ยม\" อย่างหนักแน่น", "title": "เอ็ดเวิร์ด เอลริค" }, { "docid": "10334#4", "text": "อาล็อยส์ ฮิตเลอร์ บิดาของฮิตเลอร์ เป็นบุตรนอกกฎหมายของมารีอา อันนา ชิคเคิลกรูเบอร์ (Maria Anna Schicklgruber) ดังนั้นชื่อบิดาจึงไม่ปรากฏในสูติบัตรของอาล็อยส์ เขาใช้นามสกุลของมารดา ใน ค.ศ. 1842 โยฮัน เกออร์ค ฮีดเลอร์ (Johann Georg Hiedler) สมรสกับมารีอา อันนา หลังมารีอา อันนา เสียชีวิตใน ค.ศ. 1847 และโยฮันเสียชีวิตใน ค.ศ. 1856 อาล็อยส์ได้รับการเลี้ยงดูโดยครอบครัวของโยฮัน เนโพมุค ฮีดเลอร์ พี่ชายของฮีดเลอร์ กระทั่ง ค.ศ. 1876 อาล็อยส์จึงได้มาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และทะเบียนพิธีศีลจุ่มถูกนักบวชเปลี่ยนต่อหน้าพยานสามคน", "title": "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" }, { "docid": "986471#4", "text": "ส่วนเฮนีย์ได้เขียนให้เขามีชื่อว่า ออร์ม เคอร์รี เป็นลูกชายของ ทอม เคอร์รี กับ แมร์รี่ โอ ซัลลิแวน ซี่งเป็นหญิงสาวชาวมนุษย์ ทำให้ออร์มไม่มีพลังและความสามารถของชาวแอตแลนติสเหมือนกับอาเธอร์\nเมื่อเติบโตขึ้นเขาได้ก้าวสู่เส้นทางอาชญากร เขาตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ออร์ม มาริอุส และได้สร้างชุดพิเศษที่ทำให้เขาสามารถอยู่ใต้น้ำได้ ออร์มเป็นโจรสลัดและผู้ก่อการร้ายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงโจมตีเรือหลายลำและสร้างภัยพิบัติทางธรรมชาติเพื่อเรียกค่าไถ่ ในภายหลังเขามักจะท้าทายอะควาแมนกับอะควาแลดและพยายามแย่งชิงตำแหน่งกษัตริย์แห่งแอตแลนติส", "title": "โอเชียนมาสเตอร์" }, { "docid": "186201#2", "text": "แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน เกิดในแซนตาบาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรของศิษยาภิบาลลัทธิเพนเทคอสต์ชื่อแมรี คริสตีน (ชื่อเกิดคือ เพร์รี) และเมารีซ คีธ ฮัดสัน พ่อแม่ของเธอล้วนแต่เป็นคริสต์ศาสนิกชนเกิดใหม่ (born again Christians) แต่ละคนได้หันไปนับถือศาสนาหลังจากเคยมี \"วัยหนุ่มสาวเป็นคนเถื่อน\" (wild youth) เพร์รีมีบรรพบุรุษเป็นชาวอังกฤษ เยอรมัน ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส เธอเป็นหลานฝั่งแม่ของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชื่อ แฟรงก์ เพร์รี (1930–1995) เธอยังมีน้องชายที่เป็นนักร้องเช่นกันชื่อ เดวิด ฮัดสัน (เกิด ค.ศ. 1988) เป็นนักร้อง และพี่สาวชื่อแองเจลา (เกิด ค.ศ. 1982) อายุ 3-11 ขวบ ครอบครัวของเพร์รีย้ายที่อยู่บ่อยครั้งเพื่อสร้างโบสถ์คริสต์ทั่วประเทศ ก่อนที่จะย้ายกลับมาที่แซนตาบาร์บาราอีกครั้ง เมื่อเติบโตขึ้น ในช่วงชั้นประถมศึกษา เธอเข้าโรงเรียนและค่ายสอนศาสนา รวมถึงโรงเรียนคริสต์พาราไดส์แวลลี ในรัฐแอริโซนา และโรงเรียนคริสต์แซนตาบาร์บารา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ครอบครัวของเธอขัดสนเงิน บางครั้งต้องใช้แสตมป์อาหาร และกินอาหารจากจากธนาคารอาหารที่มีไว้สำหรับกลุ่มคนในโบสถ์ของพ่อแม่ของเธอ", "title": "เคที เพร์รี" }, { "docid": "227322#1", "text": "อาร์เทอร์ เคเพลล์เกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1608 เป็นบุตรคนเดียวของเซอร์เฮนรี เคเพลล์ และทีโอโดเซีย เคเพลล์บุตรีของเซอร์เอดเวิร์ด มอนทากิวแห่งโบรห์ตันในนอร์แทมป์ตันเชอร์ เคเพลล์ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของรัฐสภาสั้นและรัฐสภายาว ในปี ค.ศ. 1640 สำหรับฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ เมื่อเริ่มแรกเคเพลล์สนับสนุนฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลของพระเจ้าชาลส์ แต่ต่อมาก็หันไปเป็นฝ่ายสนับสนุนพระองค์ เคเพลล์ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น \"บารอนเคเพลล์แห่งแฮดัม\" ในมณฑลฮาร์ตฟอร์ดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1641", "title": "อาร์เทอร์ เคเพลล์ บารอนเคเพลล์ที่ 1 แห่งแฮดัม" }, { "docid": "97926#1", "text": "เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด เป็นบุตรชายของ เจมส์ รัทเทอร์ฟอร์ด วิศวกรผู้ซึ่งอพยพมาจากเมืองเพิร์ธ ประเทศสก็อตแลนด์ กับ มาร์ธา (นามสกุลเดิม ธอมป์สัน) ซึ่งดั้งเดิมอาศัยอยู่ที่เมือง ฮอร์นเชิช เมืองเล็กๆ ในแถบตะวันออกของประเทศอังกฤษ บิดามารดาของเขาย้ายมายังประเทศนิวซีแลนด์ เออร์เนสต์ เกิดในเมืองสปริงโกรฟ (ปัจจุบันคือ เมืองไบรท์วอเตอร์) ใกล้กับเมืองเนลสัน ประเทศนิวซีแลนด์ เขาศึกษาในเนลสันคอลเลจ และได้รับทุนการศึกษาเพื่อเรียนในแคนเตอร์บิวรีคอลเลจ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยแห่งแคนเทอเบอรี่ ) ในปี 1895 หลังจากจบการศึกษาด้าน BA, MA และ BSc และใช้เวลา 2 ปีในการทำวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีไฟฟ้า รัทเทอร์ฟอร์ดเดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาต่อที่ ศูนย์วิจัยคาเวนดิช มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ (1895 - 1898) เขาได้รับการบันทึกไว้ในฐานะผู้ค้นพบระยะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในระหว่างการทดลองด้านกัมมันตภาพรังสี เขาเป็นผู้สร้างนิยามของรังสีแอลฟา และบีตา ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกรังสี 2 ชนิดที่ปล่อยออกมาจากทอเรียมและยูเรเนียม เขาค้นพบมันระหว่างการตรวจสอบอะตอม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ยอมรับว่าเป็นผู้ค้นพบรังสีแกมมา ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส P.V. Villard ไม่นานหลังรัทเทอร์ฟอร์ดรายงานการค้นพบของเขาเกี่ยวกับการแพร่กระจายของก๊าซกัมมันตภาพรังสี", "title": "เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด" }, { "docid": "344629#1", "text": "คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นบุตรสาวของ ดร.ฮันส์ โยอาคิม ฟลีดาริช โวลเทมัส โดยบิดาเป็นลูกครึ่งเยอรมัน-สเปน และเกิดที่ประเทศเยอรมนี ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาตรีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจาก Harvard University ทำงานเป็นทนายความ ส่วนมารดาชื่อ ลินดา โวลเทมัส โดยบิดาและมารดาของเธอพบรักและแต่งงานกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา คิมเบอร์ลี่เป็นบุตรคนที่สี่ของครอบครัว โดยมีพี่ชาย 2 คน ชื่อทอมและแดน พี่สาว 1 คน ชื่อเจน พี่ชายทั้งสองเกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนคิมเบอร์ลี่และพี่สาวเกิดที่ประเทศเยอรมนี ในวัยเด็กเธอจึงเติบโตอยู่ที่ประเทศเยอรมนี จนอายุได้ 7–8 ขวบ จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย พร้อมกับครอบครัวในปี 2542", "title": "คิมเบอร์ลี แอน เทียมศิริ" } ]
1247
สาธารณรัฐปาเลา เป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ใช่หรือไม่?
[ { "docid": "2814#0", "text": "ปาเลา (; ปาเลา: ) มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐปาเลา (; ปาเลา: ) เป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ไปประมาณ 500 กิโลเมตร ได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2537 เป็นหนึ่งในชาติที่ใหม่ที่สุดและมีประชากรน้อยที่สุดในโลก", "title": "ประเทศปาเลา" }, { "docid": "2814#5", "text": "ประกอบด้วยหมู่เกาะ 26 เกาะ และมีเกาะเล็กๆ อีกประมาณ 300 เกาะ\nฝนตกชุก และอากาศร้อนตลอดปี\nปาเลาเป็นประเทศหมู่เกาะที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและมาตรฐานชีวิตที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศหมู่เกาะในแปซิฟิกด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีการกระจุกตัวของรายได้ ทั้งนี้ รายได้หลักมาจากการ ท่องเที่ยว เกษตรกรรม การประมง โดยรัฐบาลเป็นผู้สร้างและจ้างงานหลัก ปาเลายังคงพึ่งพาเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาจากสหรัฐฯ และการประกอบธุรกิจจากนักลงทุนสหรัฐฯ ซึ่งทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัว อยู่ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับสหพันธรัฐไมโครนีเซีย", "title": "ประเทศปาเลา" } ]
[ { "docid": "1990#0", "text": "ฟิลิปปินส์ (; ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (; ) เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ ซึ่งจัดอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ใหญ่ 3 เขตจากเหนือจรดใต้ ได้แก่ ลูซอน, วิซายัส และมินดาเนา เมืองหลวงของประเทศคือมะนิลา ส่วนเมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือนครเกซอน ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเมโทรมะนิลา ฟิลิปปินส์มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก ทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก และทะเลเซเลบีสทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับไต้หวันทางทิศเหนือ ปาเลาทางทิศตะวันออก มาเลเซียและอินโดนีเซียทางทิศใต้ และเวียดนามทางทิศตะวันตก", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "830397#0", "text": "แปซิฟิกใต้ในอาณัติ () เป็นดินแดนภายใต้การดูแลของสันนิบาตชาติ ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ครอบคลุม 3 ประเทศ 1 ดินแดน คือ สาธารณรัฐปาเลา สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ สหพันธรัฐไมโครนีเซียและดินแดนหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน แปซิฟิกใต้ในอาณัติเป็นชื่อทางการของอาณานิคมหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางเหนือเส้นศูนย์สูตร ซึ่งสันนิบาตชาติมอบหมู่เกาะในภูมิภาคไมโครนีเซียอันเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมเยอรมันนิวกินีให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่นหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุด", "title": "แปซิฟิกใต้ในอาณัติ" }, { "docid": "2768#0", "text": "วานูอาตู (บิสลามา, อังกฤษ และ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐวานูอาตู (บิสลามา: ; ; ) เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย 1,750 กม. และตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนิวแคลิโดเนีย ทางทิศตะวันตกของประเทศฟีจี และทางทิศใต้ของหมู่เกาะโซโลมอน 500 กม. ชื่อของประเทศนี้ในยุคอาณานิคม คือ นิวเฮบริดีส์ (New Hebrides)", "title": "ประเทศวานูอาตู" }, { "docid": "2805#0", "text": "หมู่เกาะมาร์แชลล์ (; มาร์แชลล์: ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ (; มาร์แชลล์: ) เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศนาอูรูและประเทศคิริบาส ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศไมโครนีเซียและอยู่ทางใต้ของเกาะเวกของสหรัฐอเมริกา", "title": "สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์" }, { "docid": "2896#0", "text": "นาอูรู (, ; ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการ สาธารณรัฐนาอูรู (; ) เป็นประเทศเกาะตั้งอยู่ในภูมิภาคไมโครนีเซีย ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศนาอูรูตั้งอยู่ใกล้กับเกาะบานาบาของประเทศคิริบาสมากที่สุด โดยอยู่ห่างกัน 300 กิโลเมตร ไปทางตะวันออก ประเทศนาอูรูเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิกและเล็กเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากประเทศโมนาโกและนครรัฐวาติกัน โดยมีพื้นที่ และมีประชากรอาศัยอยู่ทั้งสิ้น 9,488 คนcvv", "title": "ประเทศนาอูรู" }, { "docid": "35148#0", "text": "เอกวาดอร์ () หรือ สาธารณรัฐเอกวาดอร์ () เป็นประเทศในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ มีอาณาเขตติดต่อกับโคลอมเบียทางทิศเหนือ ติดต่อกับเปรูทางทิศตะวันออกและทางทิศใต้ และจรดมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตก ประเทศนี้มีอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะกาลาปาโกส (หมู่เกาะโกลอน) ในแปซิฟิก ตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไปทางทิศตะวันตก 965 กิโลเมตร (ประมาณ 600 ไมล์)", "title": "ประเทศเอกวาดอร์" }, { "docid": "78784#0", "text": "เมเลเกอ็อก () เป็นเมืองและ 1 ใน 16 รัฐของประเทศปาเลา ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะบาเบลดาอ็อบ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศปาเลา เมเลเกอ็อกมีพื้นที่ทั้งหมด 11 ตารางไมล์ และอยู่ระหว่างงเอซาร์ทางตอนใต้และงีวัลทางตอนเหนือ ในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เมเลเกอ็อกได้กลายเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐปาเลา แทนที่คอรอร์ที่เป็นเมืองหลวงเก่า รัฐเมเลเกอ็อกมีประชากรทั้งสิ้น 391 คน ประกอบไปด้วย 7 หมู่บ้าน คือ", "title": "เมเลเกอ็อก" }, { "docid": "2394#0", "text": "ประเทศเนปาล () หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (; \"\"สงฺฆีย โลกตานฺตฺริก คณตนฺตฺร เนปาล\"\") เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียใต้ มีพื้นที่ 147,181 ตารางกิโลเมตร และประชากรประมาณ 27 ล้านคน ประเทศเนปาลเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 93 ของโลก และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 41 ของโลก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนทิศเหนือติดสาธารณรัฐประชาชนจีน ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกติดสาธารณรัฐอินเดีย ประเทศเนปาลแยกจากประเทศบังกลาเทศด้วยฉนวนศิลิกูริ (Siliguri Corridor) แคบ ๆ ในประเทศอินเดีย และแยกจากประเทศภูฏานด้วยรัฐสิกขิมของอินเดีย กรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ", "title": "ประเทศเนปาล" } ]
2415
ประชาธิปไตย หมายความว่าอย่างไร ?
[ { "docid": "7892#0", "text": "ประชาธิปไตย (English: democracy) เป็นระบอบการปกครองแบบหนึ่งซึ่งการบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนด้วยตนเองหรือผ่านผู้แทนที่เลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้ ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่าพลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฎหมายและการปฏิบัติของรัฐ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนมีโอกาสแสดงความยินยอมและเจตนาของตนเท่าเทียมกัน", "title": "ประชาธิปไตย" } ]
[ { "docid": "2069#9", "text": "หลังจากปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่สอง (English: Bali Concord II) ในปี พ.ศ. 2546 กลุ่มประเทศอาเซียนได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยทฤษฎีสันติภาพประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่า ประเทศสมาชิกทุกประเทศมีความเชื่อว่ากระบวนการตามหลักการประชาธิปไตยจะทำให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค นอกจากนั้น ประเทศอื่นที่มิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันต่างก็เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ควรใฝ่หา[20]", "title": "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" }, { "docid": "622642#81", "text": "วันที่ 8 สิงหาคม มีการจัดเสวนา \"ห้องเรียนประชาธิปไตย: บทที่ 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557\" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยก่อนจัดงานมีทหารประสานไปยังมหาวิทยาลัยให้ยกเลิกเสวนาดังกล่าว[150] ปิยบุตร แสงกนกกุล วิทยากรคนหนึ่งแสดงความเห็นบนเฟซบุ๊กว่า \"ทำไมหน่วยงานอื่นๆสามารถจัดอภิปรายพูดถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราว ๒๕๕๗ ได้ เช่น สถาบันพระปกเกล้า จัดงานเกี่ยวกับการปฏิรูปที่กระทรวงกลาโหม โดยเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าอภิปรายเรื่องรัฐธรรมนูญชั่วคราว ๒๕๕๗ มีข่าวลงรายละเอียดมากมาย แล้วทำไมนักศึกษาถึงจัดงานในลักษณะเดียวกันไม่ได้? เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ได้อย่างไรว่าในงาน วิทยากรแต่ละท่านจะอภิปรายอย่างไร? หรือท่านดูแค่ชื่อผู้จัด ดูแค่ชื่อวิทยากร?\"[151]", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557" }, { "docid": "5992#55", "text": "ความแรงของแรงไทดัลของหลุมดำขึ้นกับค่าความโน้มถ่วงนั้นเปลี่ยนแปลงระยะอย่างไรมากกว่าที่จะคิดถึงแรงสัมบูรณ์ที่ตกลงไป นั่นหมายความว่าหลุมดำขนาดเล็กจะเกิดปรากฏการณ์สปาเกตตี้เมื่อวัตถุที่ตกลงไปนั้นยังอยู่ภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ขณะที่วัตถุที่ตกลงไปในหลุมดำขนาดใหญ่นั้นอาจไม่ผิดแผกแตกต่างไป หรืออาจจะไปสัมผัสแรงขนาดใหญ่ที่ผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไป", "title": "หลุมดำ" }, { "docid": "8836#17", "text": "ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแม้จะให้ถือเอามติฝ่ายเสียงข้างมากเป็น เกณฑ์ก็ตาม แต่หากละเลยหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจกดขี่ข่มเหงฝ่ายเสียงข้างน้อยโดยไม่ฟังเหตุผลและขาดหลักประกันจนทำให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืนตามสมควรแล้วไซร้ จะถือว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร หากแต่ก็จะกลับกลายเป็นระบอบเผด็จการฝ่ายข้างมาก ขัดแย้งต่อระบอบการปกครองของประเทศไปอย่างชัดแจ้ง", "title": "ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "79585#87", "text": "มีข้อโต้แย้งหลายอย่างต่อทฤษฎีนี้ รวมทั้งการมีหลักฐานปฏิเสธอย่างน้อยก็เท่า ๆ กับหลักฐานที่ยืนยันทฤษฎี, มีกรณีที่ต่างจากปกติถึง 200 กรณี, ไม่ปฏิบัติต่อ \"ประชาธิปไตย\" โดยเป็นแนวคิดหลายมิติ, และสหสัมพันธ์ไม่ได้หมายความว่าเป็นเหตุ", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "79585#60", "text": "ส่วนผู้สนับสนุนแสดงว่า มีมาตรการความปลอดภัยหลายอย่างในรัฐประชาธิปไตยเพื่อป้องกัน \"เผด็จการโดยเสียงข้างมาก\"\nเช่น การมีกฎรัฐธรรมนูญที่ป้องกันสิทธิของประชาชนทั้งหมด\nโดยทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญจะต้องได้การตกลงจากเกินกว่าครึ่งของผู้แทน ได้การตกลงจากตุลาการและลูกขุนที่เห็นด้วยว่ามาตรฐานทางหลักฐานและกระบวนการได้ทำอย่างสมบูรณ์ ได้การลงคะแนนเสียงเห็นด้วยสองครั้งโดยผู้แทนจากการเลือกตั้งสองครั้ง หรือบางครั้งได้การออกเสียงประชามติ\nและบ่อยครั้ง ข้อแม้เหล่านี้ต้องทำอย่างผสม\nการแยกใช้อำนาจเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ก็จะทำให้คนส่วนน้อยทำตามอำเภอใจได้ยากขึ้น\nซึ่งหมายความว่า แม้คนส่วนมากจะยังสามารถบังคับคนส่วนน้อยอย่างถูกกฎหมาย (โดยอาจจะไม่ถูกต้องตามจริยธรรม) แต่คนส่วนน้อยนี้จะเป็นคนกลุ่มเล็กมากโดยทางปฏิบัติ เพราะการเร้าให้คนส่วนใหญ่ตกลงร่วมใจปฏิบัติการเยี่ยงนั้นเป็นเรื่องยาก", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "7892#55", "text": "เหล่าบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้การยกย่องประชาธิปไตยน้อยครั้ง แต่วิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยบ่อยครั้ง เนื่องจากแนวคิดประชาธิปไตยในสมัยนั้น หมายความถึง ประชาธิปไตยทางตรง เจมส์ เมดิสัน ได้โต้แย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สหพันธรัฐนิยมหมายเลข 10 ว่าสิ่งใดที่เป็นความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยแตกต่างจากสาธารณรัฐ นั่นคือ ประชาธิปไตยจะค่อย ๆ อ่อนแอลงเมื่อมีพลเมืองมากขึ้น และจะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นจากการแบ่งฝักฝ่าย ตรงกันข้ามกับสาธารณรัฐ ซึ่งจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีพลเมืองมากขึ้นและต่อกรกับฝักฝ่ายอื่น ๆ โดยใช้โครงสร้างสาธารณรัฐ", "title": "ประชาธิปไตย" }, { "docid": "79585#70", "text": "นักวิชาการทางรัฐศาสตร์คู่หนึ่งให้ข้อสังเกตว่า การเน้นความเป็นตัวของตัวเองในสังคมประชาธิปไตยหมายความว่า ทหารจะต่อสู้โดยมีความริเริ่มและความเป็นผู้นำดีกว่า\nเพราะว่า นายทหารในระบอบเผด็จการมักจะแต่งตั้งตามความจงรักภักดีทางการเมือง ไม่ใช่สมรรถภาพทางการทหาร\nและอาจมาจากชนชั้นที่เล็กมาก หรือจากกลุ่มศาสนา/ชาติพันธุ์ที่สนับสนุนการปกครอง", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "4944#21", "text": "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีท่าทีผสมกัน แม้เขาโพสต์ลงเฟซบุ๊กขออภัยที่ไม่สามารถผลักดันแผนปฏิรูปประเทศและปกป้องประชาธิปไตยได้[10] และพร้อมร่วมคัดค้านรัฐประหาร หาก คสช. ไม่มีคำตอบชัดเจนว่าจะปฏิรูปอะไรและประชาชนจะมีส่วนร่วมอย่างไร และมีผู้รักประชาธิปไตยที่แท้จริงเสนอประชาธิปไตยที่ดีกว่า[11] แต่เขาก็โพสต์สนับสนุนให้ คสช. ใช้มาตรการเข้มข้นขึ้นเพื่อรับมือกับการต่อต้านรัฐประหาร[12]", "title": "พรรคประชาธิปัตย์" }, { "docid": "79585#68", "text": "โดยนิยาม ประชาธิปไตยเสรีนิยมหมายความว่าอำนาจไม่ได้รวมศูนย์\nดังนั้น นี่อาจเป็นข้อเสียเปรียบในช่วงสงคราม เมื่อจำเป็นต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วและเป็นใจเดียวกัน\nฝ่ายนิติบัญญัติปกติจะต้องยินยอมก่อนจะเริ่มยุทธการรุกรานทางทหาร แม้ว่าบางที ฝ่ายบริหารก็สามารถทำได้แต่ต้องแจ้งฝ่ายนิติบัญญัติ\nแต่ถ้าถูกโจมตี ปกติไม่จำเป็นต้องได้ความยินยอมเพื่อเริ่มยุทธการป้องกันตัว\nอนึ่ง ประชาชนอาจจะลงคะแนนเสียงไม่ให้มีการเกณฑ์ทหาร", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "560869#14", "text": "หลังจากนั้นสมเด็จพระเจ้าคาโรลที่ 2ได้ขึ้นครองราชย์สืบเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรโรมาเนียต่อ หลังไดัฟังคำของฮิตเลอร์ที่วิลล่าแบร์กโฮฟ พระพักตร์ของกษัตริย์คาโรลเริ่มซีดเผือก พระองค์รู้ดีว่าผู้นำเยอรมันหมายความว่าอย่างไร การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก (Iron Guard) ของคอร์เดรียนู เซลา คอร์ดรานูซึ่งนิยมฟาสซิสต์นั้นเริ่มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ จดกัดกินราชบัลลังค์ของพระองค์อย่างรวดเร็ว", "title": "ราชอาณาจักรโรมาเนีย" }, { "docid": "10668#42", "text": "ปัญหาของจระเข้ แม่ลูกอ่อนคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยไปเดินเล่นในสวนสัตว์ ด้วยความเผอเรอปล่อยให้จระเข้ตัวหนึ่งคาบลูกน้อยไปได้ ด้วยความรักลูก แม่จึงไหว้วอนขอให้จระเข้ส่งลูกของตนคืนมา จระเข้ตั้งเงื่อนไขว่าถ้าแม่เดาใจมันถูกสักเรื่องหนึ่งมันจะคืนให้ มิฉะนั้นมันจะกินเสียต่อหน้าต่อตา แม่จึงกล่าวว่า “ ถึงเราเดาถูกท่านเอ็ง ก็จะไม่คืนลูกให้ เพราะความอยากรู้ ของท่านเอง “ จระเข้จึงมาคิดดูว่า ถ้ามันกินเด็กน้อยเสียก็จะตรงกับคำเดาของแม่ มันจะเอาลูกที่ไหนมาคืนให้แม่ แต่ถ้ามันคืนเด็กน้อยให้แม่ไปเสีย ก็หมายความว่า แม่เดาใจมันถูก ก็ไม่มีสิทธิ ที่จะกินเด็กเพื่อมิให้เสียสัตย์ต่อวาจาที่ลั่นออกไปจระเข้จะทำอย่างไรดี ช่วยแนะนำให้หน่อยเถิดมันคาบเด็กรอคำตอบ จนเมื่อยปากแล้ว [รู้ว่าเมื่อยป่กแล้วทำไมไม่ว่างลงละ] ปัญหาของคนป่า คนป่าเผ่าหนึ่งเป็นมนุษย์กินคน ครั้งหนึ่งจับเชลยมาได้คนหนึ่ง จึงชุมนุมกันทำพิธีสังเวยแล้วก็จะฉลองด้วยอาหารอันโอชะ หัวหน้าเผ่านึกสนุกขึ้นมาจึงลั่นวาจากับเชลยว่า “ไหนเจ้าเชลยตัวดี จงพูดอะไรมาให้ข้าเสี่ยงทายหน่อยซิ ถ้าเจ้าพูดความจริงข้าจะจัดการต้มเจ้า ถ้าเจ้าพูดความเท็จข้าก็จะจัดการย่างเจ้า ถ้าข้าไม่ทำตามคำพูดขอให้เจ้าหักคอข้าเสีย” เชลยคนนั้นดีใจพูดไปว่า “ข้าจะถูกย่าง” หัวหน้าเผ่าจึงสั่งให้ย่าง แต่แม่มดที่อยู่ ณ ที่นั้นค้านว่า ถ้าย่างเขาเจ้าพ่อจะหักคอหัวหน้าเผ่าเพราะเขาพูดความจริงต้องต้ม พ่อมดจึงค้านว่า “ช้าก่อนต้มไม่ได้เพราะถ้าเอาเขาไปต้มก็หมายความว่าเชลยพูดเท็จ ตามคำสาบานของหัวหน้าเผ่าต้องจัดการย่าง มิฉะนั้น ตัวเองก็จะถูกหักคอเสียเอง” คนป่าเผ่านั้นยังปรึกษากันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ว่าจะกินเชลยคนนั้นได้อย่างไร โดยไม่ให้เจ้าหักคอหัวหน้าเผ่า [ในเผ่านั้นไม่มีพระราชา ไม่มีเจ้า มีแต่ ข้า จะต้มหรือจะย่าง ก็ใด้] ปัญหาของนักสืบ นักสืบคนหนึ่งไปถามนายดำว่านายขาวเป็นคนอย่างไร นายดำบอกว่า “นายขาวโกหกเสมอ” ครั้นมาถามนายขาวว่านายดำเป็นคนอย่างไร นายขาวบอกว่า “นายดำพูดจริงเสมอ” นักสืบจะสรุปอย่างไรเกี่ยวกับคนทั้งสอง[สรุปว่าอยากรู้ไปทำไม] ปัญหาของช่างตัดผม ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นโรคเหากันจนปราบไม่ไหว เจ้าหน้าที่เห็นทางออกทางเดียวคือ สั่งให้ทุกคนในหมู่บ้านโกนผมให้หมด เพื่อให้แน่ใจ เจ้าหน้าที่คนนั้นเรียกช่างตัดผมซึ่งมีอยู่คนเดียวในหมู่บ้านนั้นกำชับว่า “ให้แกออกสำรวจคนในหมู่บ้านทุกคน ถ้าพบผู้ใดไม่โกนผมของตนเองแกต้องโกนให้ แต่ถ้าคนไหนโกนผมของตนเองก็อย่าไปโกนให้คนอื่นเป็นอันขาด ถ้าแกขัดคำสั่งนี้แม้แต่ครั้งเดียวแกจะถูกลงโทษ” ช่างตัดผมขณะนั้นยังไม่ได้โกนผม ถ้าเขาจะไม่โกนก็จะถูกลงโทษ ถ้าเขาลงมือโกนเมื่อใดเขาก็จะต้องระงับตามคำสั่ง เพราะจะโกนให้ผู้ที่โกนผมของตนเองไม่ได้ เขาจะทำอย่างไรดีกับผมของตนเองจึงจะไม่ขัดคำสั่งของเจ้าหน้าที่[ ปัญหาของคนโกหก นักศึกษาคนหนึ่งพูดขึ้นเปรย ๆ ว่า “นักศึกษาย่อมพูดโกหกเสมอ” คำพูดของเขาเช่นนี้เชื่อได้หรือไม่ ปัญหาของพระราชา พระราชาองค์หนึ่งทรงนึกสนุกขึ้นมาจึงประกาศว่า ถ้าใครสามารถเล่าเรื่องโกหกให้พระองค์เห็นว่าโกหกจริง ๆ ได้ พระองค์จะประทานทองคำให้เป็นรางวัล 1 ไห ได้มีคนมาเล่าเรื่องต่าง ๆ มากมาย พระองค์ก็ตัดสินว่าอาจจะจริงได้ทั้งสิ้น ยังไม่มีใครได้รางวัลไปเลย จนอยู่มาวันหนึ่ง มีชายชราคนหนึ่งมาเล่าว่า “ขอเดชะฯ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ พระองค์จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะทรงวินิจฉัย แต่ความเป็นจริงมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งพระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงยืมทองคำไปจากข้าพระพุทธเจ้า 1 ไห โดยตรัสให้มาขอคืนจากพระองค์ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้ามาขอคืนตามพระดำรัส ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด พระราชาจึงหาวิธีหลีกเลี่ยงอย่างไรจึงจะไม่เสียทองคำ 1 ไห [พระราชาก็ตอบกลับไปว่าบิดาของทานตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ได้มายืมทองคำจากเรา ไป ๓ ไหเช่นเดียวกัน ท่านมาก็ดีแล้ว นั้นก็หักไปหนึ่งไห แล้วท่านก็ยังค่าเราอยู่ ๒ ไหนะ]", "title": "เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์" }, { "docid": "57347#25", "text": "ท่านพุทธทาส สรุปสาระในช่วงนี้ว่า เมื่อเข้าใจ คำว่า โรคทางวิญญาณ หรือแพทย์ผู้รักษาโรค ว่าหมายความอย่างไร และใครเป็นผู้ได้รับผลดี เมื่อใดที่เห็นว่าพวกเราเป็นผู้ได้รับผลดี เมื่อนั้นเราก็จะกระตือรือร้นกันอย่างยิ่ง และ จะรักษาโรคของเราอย่างถูกต้อง ต่อจากนั้น ท่านได้อธิบายรายละเอียด ของ ความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นทั้ง ตัวโรคและเชื้อโรคได้อย่างไร ท่านให้ข้อสังเกต หากสังเกตสักนิด ก็จะเห็นได้ด้วยกันทุกคน ว่า ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น ในตัวกู ของกูนี่แหล่ะ คือ แม่บทของกิเลส", "title": "แก่นพุทธศาสน์" }, { "docid": "140962#1", "text": "ดังนั้น วรรณกรรมร่วมสมัย จึงน่าจะหมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้นโดยปัจจุบันตั้งแต่ ค.ศ. 1789 เป็นต้นมาด้วย\nส่วน นภาลัย สุวรรณธาดา (2532 : 539 -541) ได้ชี้ประเด็นของการที่มีผู้เข้าใจผิดระหว่างคำว่า ร่วมสมัย กับปัจจุบัน อยู่เสมอบางครั้งก็เข้าใจว่า ร่วมสมัยหมายถึงปัจจุบัน ถ้าเช่นนั้นคำว่า \"ร่วมสมัย\" กับ \"ปัจจุบัน\" แตกต่างกันอย่างไร พร้อมกับอธิบายว่า คำว่า ร่วมสมัย ไม่ปรากฏในพจนานุกรมฉบับปัจจุบัน หากพิจารณาตามรูปศัพท์ก็ หมายความถึง สมัยเดียวกัน วรรณคดีร่วมสมัย ก็หมายถึง วรรณคดีในสมัยเดียวกัน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า contemporary ซึ่งพจนานุกรม Webster's ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง \"เกิดขึ้น มีชีวิตอยู่ หรือเข้ามาในเวลาเดียวกัน ในปีเดียวกัน ในทศวรรษ ศตวรรษ หรือสมัยเดียวกัน\"", "title": "วรรณกรรมร่วมสมัย" }, { "docid": "7892#56", "text": "นับตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติอเมริกาแล้ว คำถามต่อมา คือ ประชาธิปไตยจะมีวิธีการอย่างไรในการควบคุมเสียงส่วนใหญ่ให้อยู่ในขอบเขต อันได้นำไปสู่แนวคิดของสภาสูง โดยสมาชิกอาจเลือกสมาชิกสภาสูงเข้ามาผู้มีความรู้ความสามารถ หรือเป็นขุนนางมาตลอดชีวิต หรือควรจะมีการจำกัดอำนาจของกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ", "title": "ประชาธิปไตย" }, { "docid": "622642#118", "text": "ศ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตนไม่เคยสนับสนุนหรือส่งเสริมรัฐประหาร แต่ควรมองต่อไปว่าเมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นแล้วจะทำอย่างไรให้ประเทศก้าวต่อไปข้างหน้า ดีกว่ามาคิดว่ารัฐประหารนี้ควรหรือไม่ \"โจทย์ใหญ่วันนี้คือเราจะทำอย่างไรให้รัฐประหารซึ่งมีทั้งคนชอบและไม่ชอบจะไม่สูญเปล่า\" และกล่าวว่า ไม่มีทางที่รัฐประหารจะอยู่ค้ำฟ้า อีกไม่นานก็จะกลับสู่วิถีประชาธิปไตย เขายังเชื่อว่า หากรัฐบาลยอมลาออกจากตำแหน่งจะไม่เกิดรัฐประหาร[203]", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557" }, { "docid": "6419#3", "text": "คนแพร่มักถูกทักทายเชิงล้อเลียนอยู่เสมอว่า เมืองแพร่แห่ระเบิด และมักมีการกล่าวอ้างเลื่อนลอยอีกด้วยว่าคนแพร่ในอดีตไม่รู้จักระเบิดจึงนำระเบิดไปแห่จนเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งไม่น่าจะเป็นความจริง จึงมีผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร หมายความว่าอย่างใด โดยศึกษาอ้างอิงกับเรื่องราวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากคุณสุรินทร์ โสภารัตนานันท์ อดีตเสรีไทย รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกหลายคนได้ความว่า", "title": "จังหวัดแพร่" }, { "docid": "622642#114", "text": "ด้าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีท่าทีผสมกัน แม้เขาโพสต์ลงเฟซบุ๊กขออภัยที่ไม่สามารถผลักดันแผนปฏิรูปประเทศและปกป้องประชาธิปไตยได้[197] และพร้อมร่วมคัดค้านรัฐประหาร หาก คสช. ไม่มีคำตอบชัดเจนว่าจะปฏิรูปอะไรและประชาชนจะมีส่วนร่วมอย่างไร และมีผู้รักประชาธิปไตยที่แท้จริงเสนอประชาธิปไตยที่ดีกว่า[198] แต่เขาก็โพสต์สนับสนุนให้ คสช. ใช้มาตรการเข้มข้นขึ้นเพื่อรับมือกับการต่อต้านรัฐประหาร[199]", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557" }, { "docid": "334423#12", "text": "หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 สมคิดให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่เคยสนับสนุนหรือส่งเสริมรัฐประหาร แต่ควรมองต่อไปว่าเมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นแล้วจะทำอย่างไรให้ประเทศก้าวต่อไปข้างหน้า ดีกว่ามาคิดว่ารัฐประหารนี้ควรหรือไม่ \"โจทย์ใหญ่วันนี้คือเราจะทำอย่างไรให้รัฐประหารซึ่งมีทั้งคนชอบและไม่ชอบจะไม่สูญเปล่า\" และกล่าวว่า ไม่มีทางที่รัฐประหารจะอยู่ค้ำฟ้า อีกไม่นานก็จะกลับสู่วิถีประชาธิปไตย เขายังเชื่อว่า หากรัฐบาลยอมลาออกจากตำแหน่งจะไม่เกิดรัฐประหาร", "title": "สมคิด เลิศไพฑูรย์" }, { "docid": "854912#0", "text": "สถานะคงที่ () คือ ระบบที่ยังคงมีสถานะเป็นเช่นเดิมเมื่อเวลาผ่านไปไม่ว่าผู้สังเกตจะสังเกตอย่างไร เมื่อพิจารณาในกรณีที่อนุภาคเป็นอนุภาคเพียงตัวเดียว หมายความว่าเราสามารถจะอธิบายสถานะของอนุภาคได้โดยอาศัยความน่าจะเป็นในการกระจายตัวของอนุภาคนั้น นั่นก็คืออนุภาคจะมีการกระจายตัวอย่างคงที่โดยขึ้นกับตำแหน่ง ความเร็ว สปิน และปัจจัยอื่น ๆ ", "title": "สถานะคงที่" }, { "docid": "219747#3", "text": "ภาพชีวิตประจำวันเป็นหัวเรื่องการเขียนที่สเตนเชี่ยวชาญ งานเขียนของสเตนเป็นงานเขียนที่เต็มไปด้วยชีวิตจิตใจจนบางครั้งออกไปทางยุ่งเหยิง จนกลายมาเป็นคำกล่าวว่า \"อย่างกับบ้านของยัน สเตน\" () ซึ่งหมายความว่าเป็นสภาพที่รกรุงรังหรือสถานะการณ์ที่ยุ่งเหยิง ซึ่งสเตนอาจจะสื่อแก่ผู้ดูเป็นนัยเตือนว่าอย่าเอาอย่าง สเตนมักจะใช้บุคคลในครอบครัวเป็นแบบ และเขียนภาพเหมือนของตัวเองหลายภาพที่แสดงถึงความไม่คำนึงว่าใครจะคิดอย่างไรกับลักษณะของตนเอง", "title": "ยัน สเตน" }, { "docid": "530663#0", "text": "ควอเลีย (, เอกพจน์ quale) เป็นคำในปรัชญาศาสตร์ที่ใช้เรียกประสบการณ์แห่งการรับรู้ซึ่งเป็นอัตวิสัยจิตวิสัย คำนี้มาจากคำละตินซึ่งหมายความว่า “ลักษณะอย่างไร” หรือ “ชนิดไหน” ตัวอย่างของควอเลียคือความรู้สึกปวดหัว รสชาติของไวน์ และสีแดงของท้องฟ้าในยามเย็นที่บุคคลรู้สึกรับรู้", "title": "ควอเลีย" }, { "docid": "307962#18", "text": "เมื่อเราเริ่ม ฝูงชนรอบประตูโรงเตี๊ยมซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่พอควร และต่างคนก็ทำสัญญาณกางเขน และชี้นิ้วมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามเพื่อนผู้โดยสารให้ช่วยอธิบายอย่างขลุกขลักว่าหมายความว่าอย่างไร ซึ่งก็ไม่ได้ตอบทันที แต่เมื่อทราบว่าข้าพเจ้าเป็นคนอังกฤษ จึงได้อธิบายว่าเป็นการแสดงสัญญาณเพื่อกันจากนัยน์ตาปีศาจ[8]", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "224248#0", "text": "ในคณิตศาสตร์ สมบัติการเปลี่ยนหมู่ () เป็นสมบัติหนึ่งที่สามารถมีได้ของการดำเนินการทวิภาค ซึ่งนิพจน์ที่มีตัวดำเนินการเดียวกันตั้งแต่สองตัวขึ้นไป การดำเนินการสามารถกระทำได้โดยไม่สำคัญว่าลำดับของตัวถูกดำเนินการจะเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่า การใส่วงเล็บเพื่อบังคับลำดับการคำนวณในนิพจน์ จะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์สุดท้าย ตัวอย่างเช่น\nนิพจน์ข้างซ้ายจะบวก 5 กับ 2 ก่อนแล้วค่อยบวก 1 ส่วนนิพจน์ข้างขวาจะบวก 2 กับ 1 ก่อนแล้วค่อยบวก 5 ไม่ว่าลำดับของวงเล็บจะเป็นอย่างไร ผลบวกของนิพจน์ก็เท่ากับ 8 ไม่เปลี่ยนแปลง และเนื่องจากสมบัตินี้เป็นจริงในการบวกของจำนวนจริงใดๆ เรากล่าวว่า การบวกของจำนวนจริงเป็นการดำเนินการที่ \"เปลี่ยนหมู่ได้\" (associative)", "title": "สมบัติการเปลี่ยนหมู่" }, { "docid": "1901#54", "text": "ตามรัฐธรรมนูญไทย พระองค์ทรง \"ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้\" ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า \"ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี\" แต่พระองค์เคยมีพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2548 ว่า \"...แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น ...ฉะนั้น ที่บอกว่าการวิจารณ์ เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบ้อม คือ ขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี แต่เมื่อบอกไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะ รัฐธรรมนูญว่ายังงั้น ลงท้าย พระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก\"", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "512168#3", "text": "อย่างไรก็ตาม การปรากฏที่แปลกไปในบางโอกาสจะเข้ามาแทนที่ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับกล่องดำ สมมติว่าเมื่อใส่ส้มผลหนึ่งเข้าไป คราวนี้ได้ฝรั่งผลหนึ่งออกมาแทน นั่นหมายความว่าทฤษฎี \"ผลส้มบรรจุอยู่เต็ม\" และ \"สายพานเลื่อน\" ใช้ไม่ได้อีกต่อไป และเราอาจต้องเปลี่ยนแปลงการคาดเดาอย่างมีหลักการหรือการสร้างสมมติฐานว่ากล่องดำทำงานอย่างไรเสียใหม่", "title": "ทฤษฎีกล่องดำ" }, { "docid": "352208#4", "text": "ในสังคมการเมืองที่เลือกเอาประชาธิปไตยมาเป็นรูปแบบในการปกครองสังคมการเมืองนั้น ซามูเอล ฮันทิงตันมองว่าสิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยนั้นซึมลึกไปสู่สมาชิกในสังคมการเมือง การศึกษาวิชาการพัฒนาการเมืองหากกล่าวในอีกภาษาหนึ่งจึงเป็นเรื่องของการศึกษาเพื่อการพัฒนาวัฒนธรรมประชาธิปไตยในจิตสำนึกของสมาชิกของสังคมการเมือง และในขณะเดียวกันหากการพัฒนาการเมืองคือการสร้างสถาบันเพื่อสร้างการกล่อมเกลาทางสังคมและการเมืองให้สมาชิกในสังคมมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว ซึ่งในภาวะความทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization) จะสัมพันธ์กับการตื่นตัวและมีส่วนร่วมทางการเมือง ในกรณีดังกล่าวหากความต้องการที่จะแสดงออกถึงวัฒนธรรมการเมืองของสมาชิกในสังคมการเมืองมีสูง สังคมการเมืองก็ต้องเตรียมพร้อมยอมรับ เพราะหากมิเช่นนั้นสังคมการเมืองจะกลายเป็นผู้บีบเค้นสมาชิกในสังคมการเมืองเสียเอง และสุดท้ายจะนำไปสู่ลักษณะทางการเมืองที่ ฮันทิงตันเรียกว่า “ความผุผังทางการเมือง (political decay)” ในท้ายที่สุด ", "title": "วัฒนธรรมทางการเมือง" }, { "docid": "352082#7", "text": "โครงการดังกล่าวมาจากความคิดของศิลปิน มันเฟรด ลาเบอร์ (Manfred Laber) โครงการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2536 แนวคิดคือต้องการให้ผู้คนมีความเข้าใจว่าระยะเวลา 1,200 ปีแท้จริงแล้วหมายความว่าอย่างไร", "title": "พีระมิดเวลา" }, { "docid": "79585#51", "text": "ในหนังสือ \"โลกติดไฟ - การส่งออกประชาธิปไตยแบบตลาดเสรีได้ให้กำเนิดการเกลียดชังทางชาติพันธุ์และการไร้เสถียรภาพของโลกได้อย่างไร (World on Fire: How Exporting Free Market Democracy Breeds Ethnic Hatred and Global Instability)\" \nศ. นิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเยลได้ยกประเด็นคือ\nข้อวิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยที่คงยืนจากพวกอิสรนิยมและกษัตริย์นิยมก็คือ ระบบสนับสนุนให้ผู้แทนที่ได้รับเลือกเปลี่ยน/ออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะที่ทำอย่างน้ำท่วมป่า\nซึ่งมองว่า เป็นอันตรายหลายอย่าง", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "706417#19", "text": "ปรากฏการณ์การวางกรอบที่เพิ่มขึ้นในผู้สูงวัยมีผลที่สำคัญ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล[11][12][13] คือผู้สูงวัยจะมีความอ่อนไหวในระดับสูงต่อข้อมูลรายละเอียดที่ให้หรือไม่ได้ให้ ซึ่งหมายความว่า อาจจะตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่สำคัญ ขึ้นอยู่กับว่า คุณหมอจะวางกรอบทางเลือกที่ให้อย่างไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างเชิงปริมาณของทางเลือก ซึ่งอาจจะมีผลเป็นการตัดสินใจที่ไม่สมควร[10]", "title": "ปรากฏการณ์การวางกรอบ" } ]
1123
มิสแกรนด์จีน คนแรกที่นี้ได้ตำแหน่งนี้คือใคร?
[ { "docid": "906751#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์จีนคนแรก คือ เจีย พาน (Jie Pan) จากกรุงปักกิ่ง และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งแรก เธอสามารถผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายและคว้ารางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยมในการประกวดดังกล่าวได้[3] ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์จีนคนปัจจุบัน คือ ว่านซิน ชิง (Wanxin Xing) จากกรุงปักกิ่ง ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์จีน 2018 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2017 และได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2018 ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018[4]", "title": "มิสแกรนด์ไชน่า" } ]
[ { "docid": "864431#0", "text": "มิสแกรนด์ภูเก็ต () เป็นการประกวดนางงามของจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 ดำเนินการจัดประกวดโดย ธีระศักดิ์ ผลงาม ผู้อำนวยการกองประกวดมิสแกรนด์ภูเก็ต การประกวดมิสแกรนด์ภูเก็ตมีจุดประสงค์เพื่อคัดเลือกตัวแทนสาวงาม เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ โดยผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ภูเก็ตคนปัจจุบัน คือ น้ำอ้อย ชนะพาล ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดที่ถูกจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561\nฟีนิกซ์แห่งอันดามัน ฟินิกซ์ วิหคในตำนาน เป็นเทพที่มีนิสัยอ่อนโยน และมีชีวิตอย่างเป็นอมตะ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงสุภาพสตรีที่มีความงามอันเป็นนิรันดร์ สยายปีกขึ้นฟ้าเพื่อให้ผู้ที่ได้พบเห็นได้ชื่นชมความสง่างามแรงบันดาลใจสร้างสรรค์จาก \"อมร ภูเก็ตเพิร์ลกรุ๊ป\" โดยหยิบลักษณะเด่นของลวดลายหงษ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงฟินิกซ์บนเครื่องประดับบาบ๋าที่เรียกว่า ฮั่วก๋วน ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่โดดเด่น บ่งบอกถึงความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรมและอารยะธรรมอันเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดภูเก็ต ประดับด้วยไข่มุกที่น่าค้นหา มีสีดึงดูดอันเป็นเอกลักษณ์ ไข่มุกบลูโอเชี่ยนจากฟาร์ม ล้อมรอบด้วยบลูโทพาสและเพชร สะท้อนแสงดั่งท้องทะเลที่โอบล้อมเกาะภูเก็ต บ่งบอกถึงความงดงามและอุดมสมบูรณ์ด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล ที่ทำให้ภูเก็ตสามารถเลี้ยงไข่มุกที่สวยงามได้ และผสมผสานอย่างโดดเด่นไม่เหมือนใครบนมงกุฎไข่มุก มงกุฎนี้ใช้เป็นมงกุฎประจำตำแหน่งมิสแกรนด์ภูเก็ต ในปัจจุบัน", "title": "มิสแกรนด์ภูเก็ต" }, { "docid": "906751#0", "text": "มิสแกรนด์จีน (English: Miss Grand China) เป็นตำแหน่งในการประกวดนางงามระดับประเทศของจีน เพื่อคัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล เริ่มจัดประกวดเพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2013 โดยผู้ที่ได้ตำแหน่งชนะเลิศในการประกวด มิสไชน่า (The Miss China) จะได้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์จีนในปีนั้นๆ[1] ทั้งนี้ ในบางปี ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์จีนอาจมาจากผู้ที่ได้รับตำแหร่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จากการประกวดดังข้างต้น โดยผู้อำนวยการกองประกวดมิสแกรนด์จีนในปัจจุบัน คือ อดัม ลี (Adam Lee) ซึ่งได้รับสิทธิ์การจัดส่งตัวแทนจากประเทศจีนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแลตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา[2]", "title": "มิสแกรนด์ไชน่า" }, { "docid": "874941#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์มาเลเซียคนแรก คือ Michelle Madeleine Moey จากรัฐปีนัง และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งแรก ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์มาเลเซียคนปัจจุบัน คือ  Ranmeet Jassal จากรัฐเซอลาโงร์ ซึ่งได้รับตำแหน่งการแต่งตั้งจากผู้อำนวยการกองประกวดฯ ให้ดำรงมิสแกรนด์มาเลเซีย 2016 เพื่อให้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2016 ณ เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา", "title": "มิสแกรนด์มาเลเซีย" }, { "docid": "908928#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์เวียดนามคนแรก คือ คานห์ บิช เหงียน (Khanh Bich Nguyen) จากโฮจิมินห์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง \"มิสแกรนด์เวียดนาม 2013\" และเธอได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2014 ที่ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลครั้งแรก แต่ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์เวียดนามคนปัจจุบัน คือ เหงียน เจิน เฮวียน มี (Nguyễn Trần Huyền My) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเช่นกัน", "title": "มิสแกรนด์เวียดนาม" }, { "docid": "912662#1", "text": "เจสสิก้า สมปอง เอสพินเนอร์ (ชื่อเล่น : เจส) เป็นคนกรุงเทพมหานคร เจสเป็นลูกคนครึ่งไทย-อังกฤษ เจ้าของตำแหน่งมิสแกรนด์กรุงเทพมหานคร ปี 2017 และได้รับตำแหน่งมิสแกรนด์ไรส์ซิงสตาร์ในปี 2017 จากการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 จึงได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7เจสเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์กรุงเทพมหานคร ปี 2017 และได้รับตำแหน่งชนะเลิศในปีนั้น เจสเป็นตัวแทนกรุงเทพมหานครในการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปี 2017 และเมื่อในรอบตัดสินวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เธอก็สามารถผ่านเข้ารอบ 12 คนสุดท้ายในการประกวด และได้รับตำแหน่งนางงามยิ้มสวยและมิสแกรนด์ไรส์ซิงสตาร์ในปีนั้น พร้อมกับเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7", "title": "เจสสิก้า เอสพินเนอร์" }, { "docid": "909165#0", "text": "มิสแกรนด์มาเก๊า () เป็นตำแหน่งในการประกวดนางงามระดับประเทศของมาเก๊า ผู้ที่ได้รับตำแหน่งจะได้เป็นตัวแทนชาวมาเก๊าในการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งจะถูกจัดประกวดขึ้นทุกปีในช่วงปลายปี โดยผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์มาเก๊าทุกคนที่ผ่านมาล้วนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง โดยในบางทีอาจมีการจัดการคัดเลือกเฉพาะกิจขึ้น ทั้งนี้ สิทธิ์การส่งตัวแทนจากมาเก๊าเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นมานั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีชื่อว่า \"มาเก๊าเพเจ้นท์อัลลิอานซ์\" (Macau Pageant Alliance/澳門選美連盟 ) ซึ่งดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดส่งนางงามมาเก๊าเข้าร่วมการประกวดในเวทีนานาชาติ รวมไปถึงงานในวงการบันเทิงอีกมากมาย ปัจจุบันองค์กรดังกล่าวอยู่ภายใต้ดูแลและบริหารงานโดย \"ลอร่า ลี่\"‎ (Laura Li) ในการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 5 ครั้งที่ผ่านมา ผู้เข้าประกวดจากมาเก๊าสามารถผ่านเข้าสุดท้ายได้เพียงคนเดียว คือ \"ฮิว แมน ชาน\" (Hio Man Chan) – มิสแกรนด์มาเก๊า 2016 นอกจากนี้เธอถูกโกลบอลบิวตี้จัดอันดับให้เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายมิสแกรนด์สแลมแห่งปี 2016 อีกด้วย", "title": "มิสแกรนด์มาเก๊า" }, { "docid": "908999#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สิงคโปร์คนแรก คือ อลิซาเบธ โฮตัน (Elizabeth Houghton) – รองชนะเลิศอันดับที่ 1 มิสเวิลด์สิงคโปร์ ซึ่งได้รับตำแหน่งมิสแกรนด์สิงคโปร์ 2013 จากการแต่งตั้งขององค์กรมิสเวิลด์สิงคโปร์ และเธอได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2014 ที่ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลครั้งแรก แต่ต้องถอนตัวออกจากการประกวดและถูกส่งตัวกลับประเทศ ด้วยเหตุผลที่ขัดแย้งกันระหว่างข้อมูลที่เธอและกองประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลให้แก่สื่อมวลชน ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สิงคโปร์ปัจจุบัน คือ คริสตัล ลิม (Crystal Lim) ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวด \"มิสสิงคโปร์ 2017\" แต่เธอไม่ได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 โดยไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัด", "title": "มิสแกรนด์สิงคโปร์" }, { "docid": "878611#2", "text": "การจัดประกวดเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ออสเตรเลียนั้นนั้น ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2014 โดยในปี ค.ศ. 2013 และ 2015 ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ออสเตรเลียจะมาจากการแต่งตั้งโดย Peter Sereno ผู้อำนวยการประกวดมิสแกรนด์ออสเตรเลียและผู้ก่อตั้ง HRH Dear Pageant Girl อย่างไรก็ตาม การจัดประกวดเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2014 นั้นถูกจัดขึ้นพร้อมกันกับการประกวดมิสซูปราเนเชันแนลออสเตรเลีย ต่อมาในปี ค.ศ. 2016 ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ได้รับสิทธิ์ในการจัดหาตัวแทนจากออสเตรเลียเพื่อเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล โดย Renera Thompson – มิสแกรนด์ออสเตรเลีย 2014 เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว แต่การจัดประกวดหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ออสเตรเลียในปีนั้นยังคงจัดขึ้นพร้อมกันกับมิสซูปราเนเชันแนลออสเตรเลียเช่นเดิม ต่อมาในปี ค.ศ. 2017 ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ได้รับสิทธิ์ในการจัดประกวดมิสแกรนด์ออสเตรเลียอีกครั้ง ผู้ผู้ถือสิทธิ์ในปีนั้น คือ Dani Fitch – มิสแกรนด์ออสเตรเลีย 2016 และได้มีการจัดประกวดแยกจากมิสซูปราเนเชันแนลออสเตรเลียขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งผู้ชนะการประกวดในปีนั้น คือ Kassandra Kashian บิวตี้ บล็อกเกอร์ เชื้อสายออสเตรเลีย - ละติน จากรัฐนิวเซาท์เวลส์มิสแกรนด์ออสเตรเลีย 2017 () เป็นการจัดประกวดนางงามระดับประเทศของออสเตรเลีย เพื่อหาตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 โดยการประกวดในครั้งนี้เป็นการประกวดเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ออสเตรเลียครั้งที่ 3 โดยการประกวดในครั้งนี้ผู้ที่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศ คือ Kassandra Kashian ซึ่งจะได้เป็นตัวแทนชาวออสเตรเลียในการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ที่ประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ การประกวดมิสแกรนด์ออสเตรเลีย 2017 รอบสุดท้ายถูกจัดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2017 ณ Doltone House - Hyde Park เลขที่ 3/181 ถนน Elizabeth, นครซิดนีย์, ประเทศออสเตรเลีย\nผู้ที่ผ่านรอบคัดเลือกเข้าสู่การประกวดมิสแกรนด์ออสเตรเลีย 2017 รอบสุดท้าย มีทั้งสิ้น 16 คน ดังรายชื่อต่อไปนี้:", "title": "มิสแกรนด์ออสเตรเลีย" }, { "docid": "878611#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ออสเตรเลียคนแรก คือ Kelly Louise Maguire จากรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโดยผู้อำนวยการการประกวดในขณะนั้น และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ที่ประเทศไทย ผลการประกวดปรากฏว่าเธอสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 5 คนสุดท้ายได้สำเร็จ และได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 4 ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ยูเครนคนปัจจุบัน คือ Kassandra Kashian จากรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์ออสเตรเลีย 2017 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2017 ณ Doltone House - Hyde Park, เลขที่ 3/181 ถนน Elizabeth, ซิดนีย์, ประเทศออสเตรเลีย และจะต้องเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ณ ประเทศเวียดนาม ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017", "title": "มิสแกรนด์ออสเตรเลีย" }, { "docid": "908853#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ฮ่องกงคนแรก คือ โจแอน โม (Joane Mo) ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มิสแกรนด์ฮ่องกง 2014 และเธอได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2014 ที่ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลครั้งที่ 2 แต่ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ฮ่องกงคนปัจจุบัน คือ ฮอย แลม ลาว (Hoi Lam Law) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเช่นกัน", "title": "มิสแกรนด์ฮ่องกง" }, { "docid": "874809#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สหรัฐอเมริกาคนแรก คือ (Blair Griffith) จากเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งแรก ส่วนมิสแกรนด์สหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน คือ  เทเลอร์ เคสเลอร์ (Taylor Kessler) จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์สหรัฐอเมริกา 2016 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 ณ โรงภาพยนตร์ลีโอนาร์ด นิมอย ธาเลีย ซิมโฟนีสเปซ (Leonard Nimoy Thalia, Symphony Space) เมืองนิวยอร์ก, ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2013-2015 ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สเปนจะมาจากการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้อำนวยการกองประกวดในปี ค.ศ. 2016 เป็นต้นมา จึงได้มีการจัดประกวดเพื่อค้นหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สหรัฐอเมริกา\nการประกวดมิสแกรนด์สหรัฐอเมริกา 2017 รอบสุดท้ายถูกจัดขึ้นในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 ณ โรงภาพยนตร์ลีโอนาร์ด นิมอย ธาเลีย ซิมโฟนีสเปซ (Leonard Nimoy Thalia, Symphony Space) เมืองนิวยอร์ก, ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้เข้าประกวดจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมการเก็บตัวกับกองประกวดฯ ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 จนถึงวันประกวดรอบสุดท้าย กำหนดการโดยสรุปสำหรับการประกวดมิสแกรนด์สเปน มีดังต่อไปนี้", "title": "มิสแกรนด์สหรัฐอเมริกา" }, { "docid": "906751#26", "text": "เหอ ซื่อหรู (何思儒) – รองชนะเลิศอันดับที่ 1 มิสไชน่า 2016 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มิสเอเชียแปซิฟิคอินเตอร์เนชันแนลจีน 2016 และ มิสซูปราเนชันแนลจีน 2016 เพื่อเข้าร่วมการประกวดมิสเอเชียแปซิฟิคอินเตอร์เนชันแนล 2016 และมิสซูปราเนชันแนล 2016 ที่ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศโปแลนด์ ตามลำดับ แต่เนื่องจาก จาง เหวินฉี ซึ่งดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์จีน 2016 ในขณะนั้น ไม่สามารถเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2016 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2016 ได้ ทำให้ เหอ ซื่อหรู ต้องขึ้นดำรงตำแหน่ง มิสแกรนด์จีน 2016 และเข้าร่วมการประกวดดังกล่าวแทน จาง ฉื่อจุน (张子君) – รองชนะเลิศอันดับที่ 3 มิสไชน่า 2016 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ซูปเปอร์โมเดลจีน 2017 และได้เข้าร่วมการประกวดซูปเปอร์โมเดลอินเตอร์เนชันแนล 2017 ที่ประเทศอินเดียในช่วงเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 เหอ จิงหยือ (贺静怡) – ผู้เข้ารอบ 7 คนสุดท้าย มิสไชน่า 2016 จากมณฑลเจียงซีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มิสยูไนเต็ดคอนติเนนท์ 2016 และได้เข้าร่วมการประกวดมิสยูไนเต็ดคอนติเนนท์ 2016 ที่ประเทศเอกวาดอร์ในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 และได้รับร่งวัล นางงามมิตรภาพ จากการประกวดดังกล่าว", "title": "มิสแกรนด์ไชน่า" }, { "docid": "878226#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ยูเครนคนแรก คือ Nadiya Karplyuk จากจังหวัดโวลิน และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2014 และสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จ ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ยูเครนคนปัจจุบัน คือ Snizhana Tanchuk จากจังหวัดลวีฟ ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดควีนออฟยูเครน 2017 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ณ ห้องประชุม Freedom Event , ถนน Kyrylivska เลขที่ 134, เคียฟ, ยูเครน และจะต้องเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ณ ประเทศเวียดนาม ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017", "title": "มิสแกรนด์ยูเครน" }, { "docid": "879714#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สหราชอาณาจักรในปีแรก คือ Julie Montague จากเมืองลิเวอร์พูล และ Sophie Hall จากเมืองคาร์ดิฟฟ์ ซึ่งดำรงตำแหน่ง มิสแกรนด์อังกฤษ 2013 และ มิสแกรนด์เวลส์ 2013 ตามลำดับ โดยเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้อำนวยการการประกวดในขณะนั้น และทั้ง 2 คนได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ที่ประเทศไทย ในช่วงเดือนพฤษจิกายน ค.ศ. 2013 ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สหราชอาณาจักรคนปัจจุบัน คือ Noky Simbani, Amy Meisak และ Nadia Suliman ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์อังกฤษ, มิสแกรนด์สก็อตแลนด์ และมิสแกรนด์เวลส์ ตามลำดับ ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์สหราชอาณาจักร 2017 ที่ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2017 ณ Park Hall Hotel, ถนน Park Hall Rd, , , แลงคาเชอร์ PR7 5LP, สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2017 และ Chloe Louise Davies – มิสแกรนด์ไอร์แลนด์เหนือ 2017 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง โดยตัวแทนทั้ง 4 คนนี้จะต้องเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ณ ประเทศเวียดนาม ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017", "title": "มิสแกรนด์สหราชอาณาจักร" }, { "docid": "910721#0", "text": "มิสแกรนด์ไต้หวัน () เป็นตำแหน่งในการประกวดนางงามระดับประเทศของไต้หวัน ผู้ที่ได้รับตำแหน่งจะได้เป็นตัวแทนชาวไต้หวันในการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งจะถูกจัดประกวดขึ้นทุกปีในช่วงปลายปี โดยผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ไต้หวันทุกคนที่ผ่านมาล้วนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ไต้หวันคนแรก คือ \"เฉิน ซู่ หยู่\"\n(Chen Szu Yu/陳思妤) ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มิสแกรนด์ไต้หวัน 2014 และเธอได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2014 ที่ประเทศไทย แต่ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ไต้หวันคนปัจจุบัน คือ รี-ซิง จู (Ri-Xing Zhu/陳采風) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเช่นกัน", "title": "มิสแกรนด์ไต้หวัน" }, { "docid": "871973#0", "text": "มิสแกรนด์ลำปาง () เป็นการประกวดนางงามของจังหวัดลำปาง จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 ปัจจุบันดำเนินการจัดประกวดโดยกองประกวดมิสแกรนด์ลำปาง ทั้งนี้การประกวดมิสแกรนด์ลำปางมีจุดประสงค์เพื่อคัดเลือกตัวแทนสาวงาม เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ โดยผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ลำปางคนปัจจุบัน คือ จุฑามาศ โพธิ์ทอง ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดที่ถูกจัดขึ้น ณ เซ็นทรัลพลาซา ลำปาง จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 25612018: ชุดรถม้าลำปาง ลำปางเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย เราสามารถเที่ยวชมมหานครแห่งความสุขโดยรถม้า จึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับชุดรถม้าลำปาง โดยใช้โมเดลรถม้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครในประเทศไทย ส่วนชุดนั้นได้แรงบันดาลใจจากนักกีฬาขี่ม้าหญิงทีมชาติไทยซึ่งมีความหมายว่าผู้หญิงเก่งและมีความพยายามฝึกฝนอดทนก็จะสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้\n2017: ชุดกุกกุฎเทวี ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ที่นี่ พระอินทร์ทรงเกรงว่าชาวบ้านจะตื่นใส่บาตรไม่ทัน จึงได้เนรมิตไก่ขาวให้ขันให้ชาวบ้านตื่นขึ้นมาใส่บาตร ทำให้ในอดีตนครลำปางจึงมีชื่อเรียกขานกันว่า “กุกกุฏนคร” แปลว่าเมืองไก่ ด้วยเหตุนี้จึงมีสัญลักษณ์ประจำจังหวัดลำปางเป็นรูปไก่ขาวอยู่ในมณฑปวัดพระธาตุลำปางหลวง จากเรื่องราวอันเป็นตำนานนี้ทางกองประกวดฯ จึงได้ถ่ายทอดออกมาเป็นชุดอัตลักษณ์ประจำจังหวัดลำปาง ชื่อชุด “กุกกุฎเทวี”\n2016 แรงบัลดาลใจจากประเพณีสลุงหลวงจังหวัดลำปาง สลุงหลวงหมายถึงภาชนะลักษณะเป็นขันเงินใบใหญ่ใช้ใส่น้ำอบน้ำปรุง เพื่อในการสรงน้ำพระแก้วมรกตและพระเจ้าแก่นจันทร์ในช่วงปีใหม่ไทยหรือวันสงกรานต์ จึงได้นำเครื่องเงินมาประยุกต์สำหรับเครื่องแต่งกาย", "title": "มิสแกรนด์ลำปาง" }, { "docid": "875173#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ญี่ปุ่นคนแรก คือ จากจังหวัดอะกิตะ และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งแรก ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ญี่ปุ่นคนปัจจุบัน คือ อายากะ ซาโตะ (Ayaka Sato) จากจังหวัดไอชิ ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์ญี่ปุ่น 2016 เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2016 และได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2016 ณ เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา", "title": "มิสแกรนด์ญี่ปุ่น" }, { "docid": "908636#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์บราซิลคนแรก คือ นาตาลี คาร์เรียร์ จากรัฐออนแทรีโอ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มิสแกรนด์บราซิล 2013 โดยเธอเป็นผู้เข้าประกวดมิสเอิร์ธแคนาดา 2013 และได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 4 จากการประกวดดังกล่าว จากนั้นเธอได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ที่ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลครั้งแรก แต่ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์แคนาดาคนปัจจุบัน คือ นาตาลี อัลลิน จากรัฐบริติชโคลัมเบีย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเช่นกัน", "title": "มิสแกรนด์แคนาดา" }, { "docid": "877748#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์เกาหลีใต้คนแรก คือ Yuri Kim และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งแรก ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์เกาหลีใต้คนปัจจุบัน คือ Ha-young Park ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์เกาหลีใต้ 2016 ที่ถูกจัดขึ้น ณ ชั้น 7 อาคารเอล ทาวเวอร์ (El Tower) , กรุงโซล, ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 และจะได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ณ ประเทศเวียดนาม", "title": "มิสแกรนด์เกาหลีใต้" }, { "docid": "879714#0", "text": "มิสแกรนด์สหราชอาณาจักร () เป็นการประกวดนางงามระดับประเทศของสหราชอาณาจักร ซึ่งผู้ชนะการประกวดจะต้องเป็นตัวแทนของประเทศเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล โดยในปี ค.ศ. 2013 มีตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลเพียง 2 คน ในตำแหน่งมิสแกรนด์อังกฤษ และมิสแกรนด์เวลส์ และในปี ค.ศ. 2014 มีเพียง 1 ตำแหน่ง คือ มิสแกรนด์สหราชอาณาจักร แต่หลังจากปี ค.ศ. 2016 เป็นต้นมา Holly Louise เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการจัดประกวดหาตัวแทนจากสหราชอาณาจักรเพื่อเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล จึงได้มีการจัดประกวดเพื่อหาตัวแทนในตำแหน่งดังกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งทั้งสิ้น 3 คน คือ มิสแกรนด์อังกฤษ, มิสแกรนด์สก็อตแลนด์ และมิสแกรนด์เวลส์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2017 ได้มีตำแหน่ง มิสแกรนด์ไอร์แลนด์เหนือ เพิ่มมาจากเดิม เนื่องจาก Chloe Louise Davies ได้รับสิทธิ์ในการจัดส่งตัวแทนจากไอร์แลนด์เหนือ เพื่อเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ที่ประเทศเวียดนาม", "title": "มิสแกรนด์สหราชอาณาจักร" }, { "docid": "906751#38", "text": "รายนามผู้อำนวยการกองประกวดมิสแกรนด์จีนรายนามปีที่ถือลิขสิทธิ์หน่วยงานหมายเหตุ1. อดัม ลีค.ศ. 2013 – ปัจจุบันCharm Press Intercontinental Marketing", "title": "มิสแกรนด์ไชน่า" }, { "docid": "873468#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ลาวคนแรก คือ จินนาลี นอละสิง (Chinnaly Nolasing) จากแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งที่ 5 เธอสามารถผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายในการประกวดดังกล่าวได้ ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ลาวคนปัจจุบัน คือ นบพะลัด สีไกพัก (Nobphalat Sykaiyphack) จากแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์ลาว 2018 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2018 และได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2018 ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018", "title": "มิสแกรนด์ลาว" }, { "docid": "908809#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์คิวบาคนแรก คือ จามิลเลตต์ กาซีโอบา (Jamillette Gaxiola Kremets) ชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบา – เม็กซิโก จากเมืองลาสเวกัส ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มิสแกรนด์คิวบา 2013 และเธอได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ที่ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลครั้งแรก และสามารถผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายได้สำเร็จ ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์แคนาดาคนปัจจุบัน คือ ลิซานดรา เดลกาโด (Lisandra Delgado Nápoles) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเช่นกัน", "title": "มิสแกรนด์คิวบา" }, { "docid": "875862#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ซูรินามคนแรก คือ Tashana Losche จากกรุงปารามารีโบ และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2014 ที่ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลครั้งที่ 2 ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ซูรินามคนปัจจุบัน คือ Daryola Brandon จากซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์ซูรินาม 2016 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 ณ ห้องรอยัลบอลรูม โรงแรมโทรารีกาโฮเทลแอนด์คะซีโน (Torarica Hotel & Casino) กรุงปารามารีโบ ประเทศซูรินาม และได้เป็นตัวแทนชาวซูรินามเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2016 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2016 ณ เวสต์เกตอินเตอร์เนชันแนลเธียเตอร์ เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา", "title": "มิสแกรนด์ซูรินาม" }, { "docid": "875414#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์เนเธอร์แลนด์คนแรก คือ ทาลิซา วอลเทอร์ (Talisa Wolters) จากจังหวัดโอเฟอไรส์เซิล และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งแรก ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์เนเธอร์แลนด์คนปัจจุบัน คือ Kelly van den Dungen จากจังหวัดนอร์ทบราแบนต์ ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการประกวดมิสแกรนด์เนเธอร์แลนด์ 2017 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2017 และได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 ณ ประเทศเวียดนาม", "title": "มิสแกรนด์เนเธอร์แลนด์" }, { "docid": "865622#0", "text": "มิสแกรนด์สตูล () เป็นการประกวดนางงามของจังหวัดสตูล จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 ดำเนินการจัดประกวดโดยกองประกวดมิสแกรนด์สตูล การประกวดมิสแกรนด์สตูลมีจุดประสงค์เพื่อคัดเลือกตัวแทนสาวงาม เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ โดยผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สตูลคนปัจจุบัน คือ อรอนงค์ อินทร์ทุ่ม โดยได้รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ วิทยาลัยชุมชน สตูล2018: ชุด มนตราอันดามัน ด้วยความภาคภูมิใจในความสวยงาม ติดอันดับโลกของท้องทะเลจังหวัดสตูลโดยเฉพาะหมู่เกาะหลีเป๊ะ ที่มีมนตร์เสน่ห์จนได้รับฉายาว่า “มัลดีฟส์เมืองไทย” กลายมาเป็นแรงบันดาลใจ เสื้อคลุมใช้เทคนิคการวาดและระบายสีจากฝีมือของศิลปินรุ่นใหม่ สื่อถึงความสวยของฟ้าคราม ความงามของน้ำใส ที่ชวนให้ใครต่อใครดำดิ่งลึกลงไปดุจต้องมนตร์", "title": "มิสแกรนด์สตูล" }, { "docid": "906751#29", "text": "มิสไชน่า 2015 (English: The Miss China 2015; Chinese:2015 年度中国版图小姐竞选) เป็นการประกวดนางงามระดับประเทศของประเทศจีน ผู้ที่ได้ตำแหน่งชนะเลิศจำนวน 2 คนในการประกวดนี้จะได้เป็นตัวแทนจากประเทศจีนในการประกวดมิสซูปราเนชันแนล 2015 และมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2015[7][8] การประกวดมิสไชน่า 2015 รอบสุดท้ายถูกจัดขึ้นที่ ณ โรงแรมรอยัลทิวลิป กว่างโจว (Royal Tulip Luxury Hotel Carat - Guangzhou) เลขที่ 388 ถนนกวนหยวนกลาง (Guangyuan Middle Rd.), อำเภอไบยุน, เมืองกว่างโจว, มณฑลกวางตุ้ง, ประเทศจีน เมื่อวันที่ 558554 ค.ศ. 2015 ผู้ชนะการประกวดในครั้งนี้ คือ ซ่ง เจี่ยซ่าง (宋佳畅) จากเขตแยงซี ซึ่งได้รับการมอบสายสะพายและมงกุฎจาก อาชา บัต (Asha Bhat) – มิสซูปราเนชันแนล 2014 และ มิสไชน่า 2014 ตามลำดับ ซึ่งได้เป็นตัวแทนจากประเทศจีนบนเวทีการประกวดมิสซูปราเนชันแนล 2015 และ เซี่ย ฮุ่ยลี่ (谢慧莉) จากมณฑลเหอหนาน ได้รับตำแหน่งมิสแกรนด์จีน 2015[8][45] และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2015 ที่ประเทศไทยในช่วงเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน[7][8]", "title": "มิสแกรนด์ไชน่า" }, { "docid": "874889#1", "text": "ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ปารากวัยคนแรก คือ Sendy Marisol Cáceres จากเมืองเองการ์นาซีออง และได้เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันลแนลครั้งแรก ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ปารากวัยคนปัจจุบัน คือ  Lía Duarte Ashmore จาก  ซึ่งได้รับตำแหน่งการแต่งตั้งจากการประกวดที่ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 และจะต้องเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ที่ ประเทศเวียดนาม ในช่วงเดือนตุลาคมนี้", "title": "มิสแกรนด์ปารากวัย" }, { "docid": "879714#2", "text": "การจัดประกวดเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สหราชอาณาจักรนั้น ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2015 โดยในปี ค.ศ. 2013 – 2014 ผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สหราชอาณาจักรจะมาจากการแต่งตั้งโดยผู้ได้รับสิทธิ์ในการจัดหาตัวแทนในปีนั้น ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 2014 มีผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์จากสหราชอาณาจักร 2 คน คือ มิสแกรนด์อังกฤษ และมิสแกรนด์เวลส์ ส่วนปี ค.ศ. 2014 มีเพียง 1 คนในนามมิสแกรนด์สหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ได้รับสิทธิ์ฯ ในปี ค.ศ. 2015 โดย Holly Louise ผู้ก่อตั้ง Pageant Girl - UK Pageant Organisers เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ได้มีการจัดประกวดเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์สหราชอาณาจักรขึ้น โดยถูกกำหนดให้มีผู้ดำรงตำแหน่ง 3 คน คือ มิสแกรนด์อังกฤษ, มิสแกรนด์สก็อตแลนด์ และมิสแกรนด์เวลส์ โดยในปี ค.ศ. 2015 มีการจัดประกวดเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์โดยเฉพาะโดยใช้ชื่อการประกวดว่า Miss Grand UK 2015 แต่หลังจากปี ค.ศ. 2016 เป็นต้นมา การจัดประกวดดังกล่าวนั้นถูกจัดขึ้นพร้อมกันกับการประกวดเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งมิสอินเตอร์เนชันแนลสหราชอาณาจักร, มิสอินเตอร์คอนติเนนทัลอังกฤษ, มิสอินเตอร์คอนติเนนทัลสก็อตแลนด์ และมิสอินเตอร์คอนติเนนทัลเวลส์ ภายใต้ชื่อการประกวด UK Power Pageant ต่อมาในปี ค.ศ. 2017 ได้มีตำแหน่ง มิสแกรนด์ไอร์แลนด์เหนือ เพิ่มมาจากเดิม เนื่องจาก Chloe Louise Davies ได้รับสิทธิ์ในการจัดส่งตัวแทนจากไอร์แลนด์เหนือ เพื่อเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ที่ประเทศเวียดนาม", "title": "มิสแกรนด์สหราชอาณาจักร" } ]
3209
ประเทศอังกฤษอยู่ในยุโรปหรือไม่?
[ { "docid": "2287#0", "text": "อังกฤษ (English: England, [ˈɪŋ(g)lənd], อิง(ก)ลันด์) หรือในอดีตเรียกว่า แคว้นอังกฤษ เป็นประเทศอันเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร[1][2][3] มีพรมแดนทางบกติดต่อกับสกอตแลนด์ทางเหนือ และเวลส์ทางตะวันตก ทะเลไอร์แลนด์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทะเลเคลติกทางตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลเหนือทางตะวันออก และช่องแคบอังกฤษซึ่งคั่นระหว่างอังกฤษกับยุโรปแผ่นดินใหญ่ พื้นที่ประเทศอังกฤษส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางตอนกลางและตอนใต้ของเกาะบริเตนใหญ่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ประเทศอังกฤษยังรวมถึงเกาะที่เล็กกว่าอีกกว่า 100 เกาะ เช่น หมู่เกาะซิลลีและเกาะไวต์", "title": "ประเทศอังกฤษ" } ]
[ { "docid": "270862#0", "text": "ชาวอังกฤษอเมริกัน หรือ ชาวแองโกลอเมริกัน () คือประชาชนชาวอเมริกันที่มาจากอังกฤษหรือสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่เป็นชาวอังกฤษ จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2000 ประชากรอเมริกันที่ระบุว่ามีบรรพบุรุษที่เป็นชาวอังกฤษมีจำนวนประมาณ 9.4% ของประชากรทั้งหมดของสหรัฐ และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนของกลุ่มชาติพันธุ์แล้วก็มีมากเป็นที่สามในบรรดาผู้สืบเชื้อสายจากชาวยุโรปรองจากชาวเยอรมันอเมริกัน และ ชาวไอริชอเมริกัน แต่จำนวนดังกล่าวเชื่อกันว่าเป็นจำนวนที่น้อยกว่าความเป็นจริงเพราะชาวอังกฤษในสหรัฐมักจะเรียกตนเองง่ายๆ ว่า \"อเมริกัน\" หรือถ้าสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่มาจากหลายประเทศในยุโรปก็มักจะระบุกลุ่มชาติพันธุ์ล่าสุด ซึ่งจากการสำรวจสัมโนประชากรในปี ค.ศ. 1980 ชาวอเมริกันกว่า 49 คนอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นจำนวนราว 22% ของประชากรทั้งหมดในขณะนั้น ซึ่งทำให้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในสหรัฐ\nชาวอังกฤษที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เวอร์จิเนียที่ก่อตั้งโดยทิวดอร์ และต่อมาที่พลิมัธในแมสซาชูเซตส์ จังหวัดโรมันคาทอลิกแมริแลนด์ก่อตั้งโดยสจวต", "title": "ชาวอังกฤษอเมริกัน" }, { "docid": "2801#2", "text": "ชาวอามิช รวมถึงชาวเมนโนไนต์บางคนก็เป็นภาษาเยอรมันอย่างหนึ่ง ประมาณ 120 ล้านคน คือ 1/4 ของชาวยุโรปทั้งหมด พูดภาษาเยอรมัน ภาษาเยอรมันเป็นภาษาต่างประเทศที่สอนทั่วโลกมาเป็นอันดับ 3 และเป็นภาษาต่างประเทศที่สอนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในยุโรป (เป็นรองภาษาอังกฤษ) สหรัฐอเมริกา และเอเชียตะวันออก (ประเทศญี่ปุ่น) เป็นหนึ่งในภาษาราชการของสหภาพยุโรป", "title": "ภาษาเยอรมัน" }, { "docid": "79585#30", "text": "ส่วนราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (โดยรัฐสภาที่ผ่านการเลือกตั้งมีอำนาจกว่า) จะนิยมในยุโรปเหนือและในอดีตอาณานิคมที่ได้อิสรภาพโดยไม่เสียเลือดเนื้อ เช่น ออสเตรเลียและแคนาดา\nโดยอาณานิคมเดิมของอังกฤษบางแห่งรวมทั้งแอฟริกาใต้ อินเดีย ไอร์แลนด์ และสหรัฐ ได้ถือเอารูปแบบอื่นของรัฐบาลเมื่อได้อิสรภาพ\nและมีประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบนี้ด้วยรวมทั้งสเปน เอเชียตะวันออก ประเทศไทยเป็นครั้งคราว และประเทศเล็ก ๆ หลากหลาย\nส่วนระบบรัฐสภาแบบอื่นจะนิยมในสหภาพยุโรปและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ", "title": "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" }, { "docid": "139041#15", "text": "เมื่อมีการเผยแพร่ลัทธิศาสนาเช่นลัทธิออกัสติเนียนหรือลัทธิเบ็นนาดิคตินไปทั่วยุโรปก็มีการสร้างวัดแบบโรมาเนสก์ตามไปเช่นที่ อังกฤษ ประเทศโปแลนด์ ประเทศฮังการี สกอตแลนด์ สแกนดิเนเวีย ประเทศเซอร์เบีย และ ซิซิลี และอีกหลายแห่งที่สร้างในอาณาจักรครูเสด \nเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 6 นักบุญเบ็นเนดิคก่อตั้งสำนักสงฆ์ลัทธิเบ็นนาดิคตินขึ้น ซึ่งเป็นระบบสำนักสงฆ์ที่นักบวชมาอยู่ด้วยกันอย่างชุมชนอิสระและปฏิบัติตามกฎของนักบุญเบ็นเนดิคที่เขียนไว้ สำนักสงฆ์ของลัทธิเบ็นนาดิคตินเผยแพร่ไปตั้งแต่อิตาลีจนไปทั่วยุโรป และไปนิยมกันมากที่สุดในอังกฤษ จากลัทธิเบ็นนาดิคตินก็ตามด้วยลัทธิคลูนี ลัทธิซิสเตอร์เชียน ลัทธิคาร์ทูเซียน ลัทธิออกัสติเนียน ลัทธิที่เกี่ยวกับสงครามครูเสดเช่น ลัทธิเซนต์จอห์น และลัทธิอัศวินเทมพลาร์", "title": "สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์" }, { "docid": "141425#61", "text": "ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึง 19 เป็นช่วงเวลาของการขยายอาณานิคมไปทั่วโลกโดยประเทศในทวีปยุโรปตะวันตกขณะเดียวกับเกิดการฟื้นฟูความสนใจทางคริสต์ศาสนาโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษที่หันกลับให้ความสนใจกับนิกายโรมันคาทอลิกมากขึ้น นอกจากนั้นความเจริญเติบโตทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชน ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดมีความต้องการในสิ่งก่อสร้างทางศาสนาเพิ่มมากขึ้น ลักษณะสถาปัตยกรรมกอธิคเป็นลักษณะที่สถาปนิกสมัยฟื้นฟูเชื่อกันว่าเป็นลักษณะที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาทั้งในทวีปยุโรปเองและในประเทศที่อยู่ในเครืออาณานิคมที่ปกครอง", "title": "สถาปัตยกรรมอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก" }, { "docid": "176269#0", "text": "สนธิสัญญาโลคาร์โน คือ ข้อตกลงเจ็ดประการซึ่งได้เจรจากันที่เมืองโลคาร์โน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม - 16 ตุลาคม 1925 และได้รับการลงนามอย่างเป็นทางการที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะให้ประเทศฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในยุโรปตอนกลางและตะวันออกธำรงรักษาเขตแดนของประเทศเหล่านั้น รวมไปถึงการคืนความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมนี สนธิสัญญาดังกล่าวได้แบ่งทวีปยุโรปออกเป็นสองหมวด ก็คือ ยุโรปตะวันตก ซึ่งได้รับการรับรองจากสนธิสัญญาโลคาร์โน และยุโรปตะวันออกได้รับการพิจารณาใหม่อีกครั้ง", "title": "สนธิสัญญาโลคาร์โน" }, { "docid": "40227#0", "text": "ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ทีมฟุตบอลตัวแทนจาก ชาติอังกฤษ สำหรับในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างชาติ ในการแข่งขันฟุตบอลโลก และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป โดยทีมชาติอังกฤษเป็นไม่กี่ทีมที่ไม่มีสิทธิในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองที่ประเทศอังกฤษไม่ถือว่าเป็นประเทศ", "title": "ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ" }, { "docid": "868569#0", "text": "อาหารยุโรปหรือ อาหารตะวันตก เป็นคำที่ใช้อ้างถึงอาหารในทวีปยุโรป และประเทศตะวันตกอื่นๆ รวมทั้ง (ขึ้นกับคำจำกัดความ) รัสเซีย, เช่นเดียวกับอาหารที่ไม่ใช่อาหารพื้นเมืองในออสเตรเลีย ทวีปอเมริกา แอฟริกาใต้และโอเชียเนีย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุโรป นิยามนี้ใช้โดยชาวเอเชียตะวันออกเพื่อให้ต่างจากอาหารแบบเอเชีย (นี่เป็นแบบเดียวกับที่ชาวตะวันตกให้นิยามอาหารของประเทศในเอเชียตะวันออก่ว่าเป็นอาหารเอเชีย) ในขณะที่ชาวตะวันตก คำนี้ในบางครั้งจะหมายถึงเฉพาะอาหารบนพื้นแผ่นดินของทวีปยุโรป และมีความหมายเช่นเดียวกับยุโรปภาคพื้นแผ่นดินโดยเฉพาะในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ", "title": "อาหารยุโรป" }, { "docid": "110167#5", "text": "หลัง ค.ศ. 1870 ความขัดแย้งในยุโรปเบี่ยงเบนไปส่วนใหญ่ผ่านเครือข่ายสนธิสัญญาที่มีการวางแผนไว้อย่างระมัดระวังระหว่างจักรวรรดิเยอรมันกับประเทศที่เหลือในยุโรปด้วยฝีมือของนายกรัฐมนตรีบิสมาร์ค เขาเน้นการทำงานเพื่อยึดรัสเซียให้อยู่ฝ่ายเดียวกับเยอรมนีเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามสองแนวรบกับฝรั่งเศสและรัสเซีย เมื่อจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเยอรมนี (ไกเซอร์) พันธมิตรของบิสมาร์คค่อย ๆ ถูกลดความสำคัญลง เช่น จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงปฏิเสธจะต่อสนธิสัญญาประกันพันธไมตรีกับรัสเซียใน ค.ศ. 1890 อีกสองปีต่อมา มีการลงนามจัดตั้งพันธมิตรฝรั่งเศส-รัสเซียเพื่อตอบโต้อำนาจของไตรพันธมิตร ใน ค.ศ. 1904 สหราชอาณาจักรประทับตราเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส ซึ่งเรียกว่า ความตกลงฉันทไมตรี และใน ค.ศ. 1907 สหราชอาณาจักรและรัสเซียลงนามในอนุสัญญาอังกฤษ-รัสเซีย ระบบนี้ประสานความตกลงทวิภาคีและก่อตั้งไตรภาคี\nอำนาจทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของเยอรมนีเติบโตขึ้นอย่างมากหลังการรวมชาติและการสถาปนาจักรวรรดิใน ค.ศ. 1870 นับตั้งแต่กลางคริสต์ทศวรรษ 1890 เป็นต้นมา รัฐบาลของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ได้ใช้ฐานนี้ในการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันขนานใหญ่ จัดตั้งขึ้นโดยพลเรือเอกอัลเฟรด ฟอน ทีร์พิทซ์ แข่งขันกับกองทัพเรืออังกฤษเพื่อชิงความเป็นเจ้านาวิกโลก ผลที่ตามมาคือ ทั้งสองชาติต่างพยายามแข่งขันผลิตเรือรบขนาดใหญ่ระหว่างกัน ด้วยการปล่อยเอชเอ็มเอส ดรีดนอท ใน ค.ศ. 1906 จักรวรรดิอังกฤษได้ขยายความได้เปรียบเหนือเยอรมนีคู่แข่งอย่างสำคัญ การแข่งขันอาวุธระหว่างอังกฤษและเยอรมนีได้ลุกลามไปยังส่วนที่เหลือของยุโรปในที่สุด โดยประเทศมหาอำนาจทั้งหมดทุ่มเทฐานอุตสาหกรรมของตนในการผลิตยุทโธปกรณ์และอาวุธที่จำเป็นสำหรับความขัดแย้งทั่วทวีปยุโรป ระหว่าง ค.ศ. 1908 และ 1913 ค่าใช้จ่ายด้านการทหารของประเทศในยุโรปเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซนต์\nออสเตรีย-ฮังการีจุดชนวนเร่งให้เกิดวิกฤตการณ์บอสเนีย ค.ศ. 1908-1909 โดยการผนวกบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งเป็นอดีตดินแดนของจักรวรรดิออตโตมัน อย่างเป็นทางการ หลังได้ยึดครองมาตั้งแต่ ค.ศ. 1878 สร้างความโกรธแค้นแก่ราชอาณาจักรเซอร์เบียและประเทศผู้ให้การสนับสนุน คือ จักรวรรดิรัสเซียซึ่งมีแนวคิดรวมชาติสลาฟ การดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองของรัสเซียในภูมิภาคบั่นทอนเสถียรภาพของสันติภาพควบคู่ไปกับความแตกร้าวที่เกิดขึ้นแล้วในสิ่งที่เป็นที่รู้จักกันว่า \"ถังดินปืนแห่งยุโรป\"\nใน ค.ศ. 1912 และ 1913 สงครามบอลข่านครั้งที่หนึ่งสู้รบกันระหว่างสันนิบาตบอลข่านและจักรวรรดิออตโตมันที่เสื่อมอำนาจลง สนธิสัญญาลอนดอนอันเป็นผลของสงครามได้ลดขนาดของจักรวรรดิออตโตมันไปอีก สถาปนาอัลเบเนียเป็นรัฐเอกราช ขณะที่เพิ่มดินแดนให้แก่บัลแกเรีย เซอร์เบีย มอนเตเนโกรและกรีซ เมื่อบัลแกเรียโจมตีเซอร์เบียและกรีซเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1913 บัลแกเรียก็เสียมาซิโดเนียส่วนใหญ่ให้แก่เซอร์เบียและกรีซ และเสียเซาเทิร์นดอบรูจาให้แก่โรมาเนียในสงครามบอลข่านครั้งที่สองนาน 33 วัน ซึ่งยิ่งบั่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาคขึ้นไปอีก", "title": "สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "232231#0", "text": "ยุโรปภาคพื้นทวีป () หรือยุโรปแผ่นดินใหญ่ () หรือทวีป () คือแผ่นดินทวีปยุโรปที่ยกเว้นเกาะต่างๆ และบางครั้งก็ยกเว้นคาบสมุทร ในการใช้ในอังกฤษคำนี้นี้หมายถึงทวีปยุโรปที่ยกเว้นสหราชอาณาจักร, เกาะแมน, ไอร์แลนด์ และไอซ์แลนด์ ความหมายโดยทั่วไปของ “ยุโรปภาคพื้นทวีป” หมายถึง “ยุโรปแผ่นดินใหญ่ที่ไม่รวมสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ และไอซ์แลนด์” ประเทศเกาะอื่นที่ไม่รวมคือไซปรัสและมอลตา แต่ในบริเวณอื่นของยุโรปความหมายของคำนี้อาจจะแตกต่างออกไป เช่นในบางคำจำกัดความก็ขยายไปถึงประเทศภายในเทือกเขายูราลและเทือกเขาคอเคซัสWA", "title": "ยุโรปภาคพื้นทวีป" }, { "docid": "17648#1", "text": "ความคิดและความเคลื่อนไหวเพื่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย มีมาจากประชาชนในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 23 การปกครองของอังกฤษซึ่งค่อย ๆ ดำเนินไปสู่ระบบรัฐสภาแห่งเสรีประชาธิปไตย โดยไม่ต้องมีการปฏิวัติเสียเลือดเนื้อ การเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองของสหรัฐอเมริกาจากอังกฤษใน พ.ศ. 2319 (ค.ศ. 1776) และการปฏิวัติฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) หลังจากนั้นความคิดแบบประชาธิปไตยก็แพร่ขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ประเทศไทยก็ได้รับแนวความคิดเรื่องการปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตย ด้วยการติดต่อกับประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา", "title": "ความเคลื่อนไหวสู่การปฏิวัติสยาม" }, { "docid": "23843#0", "text": "องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ โออีซีดี () เป็นองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และยอมรับระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจการค้าเสรีในการร่วมกันและพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปและโลก แต่เดิมองค์กรนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในนามองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรปหรือโออีอีซี (Organization for European Economic Co-operation : OEEC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ.1948 (พ.ศ. 2491) ในช่วงสมัยสงครามเย็น วัตถุประสงค์คือเพื่อร่วมมือกันฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจของประเทศยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กลับคืนมาและคงไว้อย่างมั่นคงตามแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมโดยแผนการมาร์แชลล์ สัญญาในการก่อตั้งองค์การนี้ได้มีการลงนามกัน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ.1948 โดยมีสมาชิกประเทศยุโรปตะวันตกจำนวน 19 ประเทศ เป็นผู้ลงนาม ได้แก่ ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, กรีซ, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์ ,โปรตุเกส, อังกฤษ, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี, สหรัฐอเมริกา,เยอรมนีตะวันตกและแคว้นอิสระของตรีเอสเต ", "title": "องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ" }, { "docid": "138447#23", "text": "ประวัติของอาสนวิหารในประเทศอังกฤษแตกต่างกันเป็นบางอย่างจากประวัติของอาสนวิหารในประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป อังกฤษมีอาสนวิหารน้อยกว่าประเทศอื่นๆในยุโรปเช่นฝรั่งเศสหรืออิตาลี แต่ตัววิหารจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เมื่อสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส ฝรั่งเศสมีอาสนวิหาร 136 อาสนวิหารในขณะที่อังกฤษมีเพียง 27", "title": "อาสนวิหาร" }, { "docid": "2083#27", "text": "แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะเป็นประเทศที่สามในการพัฒนาคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ (ที่มีการทดสอบระเบิดอะตอมลูกแรกในปี 1952), ขีดจำกัดของบทบาทระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักรหลังสงครามถูกแสดงออกโดยวิกฤติการณ์สุเอซปี 1956. การแพร่กระจายระหว่างประเทศของภาษาอังกฤษให้ความมั่นใจในอิทธิพลระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องด้วยวรรณคดีและวัฒนธรรมอังกฤษ. จากปี 1960 เป็นต้นมา ความนิยมวัฒนธรรมอังกฤษยังมีอิทธิพลในต่างประเทศ. อันเป็นผลมาจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานในปี 1950s, รัฐบาลสหราชอาณาจักรให้การสนับสนุนการอพยพจากประเทศเครือจักรภพ. ในหลายทศวรรษต่อมา สหราชอาณาจักร ได้กลายเป็นสังคมหลายเชื้อชาติ.[70] แม้จะมีมาตรฐานการครองชีพที่เพิ่มขึ้นในปี 1950s และ 1960s ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนกับหลายประเทศคู่แข่ง เช่นเยอรมนีตะวันตกและประเทศญี่ปุ่น. ในปี 1973 สหราชอาณาจักรเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) และเมื่อประชาคมเศรษฐกิจยุโรปกลายเป็นสหภาพยุโรป (EU) ในปี 1992 สหราชอาณาจักรก็เป็นหนึ่งใน 12 สมาชิกก่อตั้ง", "title": "สหราชอาณาจักร" }, { "docid": "131346#15", "text": "สันติภาพระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1688 หมายความว่าทั้งสองประเทศเข้าสู่สงครามเก้าปีโดยเป็นพันธมิตรกัน แต่ความขัดแย้งซึ่งปะทุในทวีปยุโรปและดินแดนโพ้นทะเลระหว่างฝรั่งเศส สเปน และพันธมิตรอังกฤษ-ดัตช์ ทำให้อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมที่แข็งแกร่งกว่าดัตช์ ซึ่งถูกบีบให้ทุ่มงบประมาณทางทหารในสงครามทางบกราคาแพงในทวีปยุโรป ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษก้าวเป็นอำนาจอาณานิคมของโลกอย่างเด็ดขาด และฝรั่งเศสกำลังจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในเวทีจักรวรรดิ", "title": "จักรวรรดิบริติช" }, { "docid": "2008#17", "text": "ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีการศึกษาเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุดในสหภาพยุโรป ถึง 89% ในเด็กวัยเรียน นำหน้าภาษาฝรั่งเศสที่ 32% ขณะที่การรับรู้ประโยชน์ของภาษาต่างประเทศในบรรดาชาวยุโรป คือ 68% สนับสนุนภาษาอังกฤษ มากกว่าภาษาฝรั่งเศสที่ 25%[39] ในบรรดาบางประเทศสหภาพยุโรปที่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ประชากรผู้ใหญ่จำนวนมากอ้างว่าสามารถสนทนาภาษาอังกฤษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สวีเดน 85%, เดนมาร์ก 83%, เนเธอร์แลนด์ 79%, ลักเซมเบิร์ก 66% และในฟินแลนด์ สโลวีเนีย ออสเตรเลีย เบลเยียมและเยอรมนี กว่า 50%[40] ในปี 2555 หากไม่นับผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ชาวยุโรป 38% มองว่าตนสามารถพูดภาษาอังกฤษ[41] แต่ชาวญี่ปุ่นเพียง 3% ที่มองเช่นนั้น[42]", "title": "ภาษาอังกฤษ" }, { "docid": "325622#2", "text": "พระราชบัญญัติดังกล่าวได้สั่งห้ามเรือต่างด้าวจากการขนส่งสินค้าจากทวีปยุโรปเข้ามายังอังกฤษหรืออาณานิคมของอังกฤษ และสั่งห้ามเรือประเทศที่สามในการขนส่งสินค้าจากที่ใดก็ตามในทวีปยุโรปเข้ามาในอังกฤษ กฎดังกล่าวได้มุ่งเป้าหลักไปยังดัตช์ผู้ซึ่งครอบครองสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศของยุโรปและการขนส่งชายฝั่งของอังกฤษจำนวนมาก กฎหมายดังกล่าวทำให้ดัตช์ไม่อาจทำการค้าใด ๆ กับอังกฤษได้ และเนื่องจากเศรษฐกิจของดัตช์เป็นแบบแข่งขัน ไมพึ่งพากับอังกฤษ ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงมีการแลกเปลี่ยนวัตถุซื้อขายกันน้อยมาก อย่างไรก็ตาม การค้าอังกฤษ-ดัตช์เป็นเพียงส่วนน้อยของการค้าของดัตช์ทั้งหมด พระราชบัญญัติดังกล่าวได้รับการกล่าวถึงบ่อยครั้งว่าเป็นสาเหตุหลักของสงครามอังกฤษ-ดัตช์ครั้งที่หนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในนโยบายอันยิ่งใหญ่กว่าของอังกฤษที่จะเข้าร่วมในสงครามหลังจากการเจรจาประสบความล้มเหลว ชัยชนะทางทะเลของอังกฤษในปี ค.ศ. 1653 ได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือเครือจักรภพในน่านน้ำประเทศตน อย่างไรก็ตาม ในการรบที่อยู่นอกเหนือจากนั้น ฝ่ายดัตช์กลับมีอำนาจเหนือกว่า และสามารถที่จะปิดการค้าของอังกฤษในทะเลบอลติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งสองประเทศต่างก็กดดันอีกฝ่ายหนึ่ง", "title": "พระราชบัญญัติการเดินเรือ" }, { "docid": "63206#1", "text": "ต้นกำเนิดสายการบินราคาประหยัดนั้นมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยสายการบิน SouthWest Airlines ในช่วงปี 2513 จากนั้นรูปแบบการดำเนินธุรกิจก็ได้รับการถ่ายทอดไปยังยุโรปโดยในปี 2534 โดยครั้งนั้นได้เปลี่ยนลักษณะการบริการแบบ Traditional Carrier ของสายการบินสัญชาติไอริชอย่าง Ryanair ให้เป็นสายการบินราคาประหยัด จากนั้นแนวคิดได้ถูกนำไปปรับใช้อย่างแพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบัน ยุโรปมีสายการบินราคาประหยัดแพร่รายใหญ่หลายสาย เช่น EasyJet (อังกฤษ), Norwegian Air Shuttle (นอร์เวย์), WizzAir (ฮังการี) สายการบินราคาประหยัดในสหภาพยุโรปจะมีลักษณะพิเศษเพราะอยู่ในระบบตลาดเดียวของสหภาพ กล่าวคือสามารถไปตั้งศูนย์กลางการบินในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้เลยโดยไม่ต้องร่วมหุ้นตั้งสายการบินกับประเทศที่ไปตั้งศูนย์กลางการบิน", "title": "สายการบินราคาประหยัด" }, { "docid": "11134#35", "text": "นอกจากนี้ ซูจี ยังได้เดินทางเพื่อไปตระเวนเยือนยุโรปตลอดเดือนมิถุนายน 2555 โดยนางซูจีเดินทางไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์เป็นชาติแรกในยุโรป จากนั้นเดินทางต่อไปยังนอร์เวย์ เพื่อไปรับรางวัลโนเบลสันติภาพด้วยตัวเอง หลังจากได้รับการประกาศชื่อให้เป็นผู้คว้ารางวัลเมื่อหลายสิบปีก่อน จากนั้นจึงตระเวนเดินทางต่อไปยัง ไอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส โดยระหว่างเยือนยุโรป นางซูจี กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และกล่าวแถลงในรัฐสภาอังกฤษ รวมทั้ง เข้ารับรางวัลด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรนิรโทษกรรมสากล ในกรุงดับลิน ของไอร์แลนด์ จาก โบโน ร็อกสตาร์ชื่อดัง\nคนสนิทของเธอไม่เปิดเผยรายละเอียดการเยือนต่างประเทศของเธอมากนัก โดยกล่าวเพียงว่า เธอต้องพกยากล่อมประสาทไปด้วยจำนวนมาก เพราะเธอเมาเรือและเมาเครื่องบินง่ายมาก\nการเยือนยุโรปของ นางซูจี มีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งอย่างรุนแรงในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ซึ่งเกิดการจลาจล และการเผาบ้านเรือนหลายร้อยหลัง โดยเธอปฏิเสธไม่ขอออกความเห็นในเรื่องดังกล่าว", "title": "อองซาน ซูจี" }, { "docid": "683454#0", "text": "การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 เป็นการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งที่ 10 จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 8 – 30 มิถุนายน พ.ศ. 2539", "title": "ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996" }, { "docid": "2008#0", "text": "ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาอังกฤษใหม่ เป็นภาษาในกลุ่มภาษาเจอร์แมนิกตะวันตกที่ใช้ครั้งแรกในอังกฤษสมัยต้นยุคกลาง และปัจจุบันเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก[1] ประชากรส่วนใหญ่ในหลายประเทศ รวมทั้ง สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และประเทศในแคริบเบียน พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ที่มีผู้พูดมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน[2] มักมีผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองอย่างกว้างขวาง และภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหภาพยุโรป หลายประเทศเครือจักรภพแห่งชาติ และสหประชาชาติ ตลอดจนองค์การระดับโลกหลายองค์การ", "title": "ภาษาอังกฤษ" }, { "docid": "2814#1", "text": "สันนิษฐานว่าชนพื้นเมืองของปาเลาเป็นพวกที่อพยพมาจากหมู่เกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อกว่า 3,000 ปีมาแล้ว ส่วนชาวยุโรปพวกแรกที่เดินทางมาถึงปาเลาเป็นชาวสเปน แต่ไม่มีการตั้งถิ่นฐานจริงจังจนกระทั่งเรือของอังกฤษอัปปางนอกฝั่งปาเลา จึงทำให้ชาวอังกฤษเริ่มรู้จักเกาะนี้ และกลายเป็นคู่ค้าหลัก ในขณะเดียวกันโรคติดต่อที่มาจากชาวยุโรปก็คร่าชีวิตชาวเกาะเป็นจำนวนมาก", "title": "ประเทศปาเลา" }, { "docid": "255765#0", "text": "พันธมิตรทางการทหารอังกฤษ-โปแลนด์ หมายถึง ข้อตกลงระหว่างสหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง ในความร่วมมือระหว่างกันในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีโดยประเทศในทวีปยุโรป ตามข้อตกลงลับในข้อตกลง \"ประเทศในทวีปยุโรป\" นี้เป็นที่เข้าใจว่าคือ เยอรมนี", "title": "พันธมิตรทางการทหารอังกฤษ-โปแลนด์" }, { "docid": "36059#1", "text": "คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินเรือจากทวีปยุโรป ไปทางทิศตะวันตกเพื่อหาเส้นทางเดินเรือใหม่ เขาไปเจอกับทวีปๆนึง เขาคิดว่าทวีปนั้นคืออินเดีย จนกระทั่งต่อมา ประเทศสเปนกับประเทศโปรตุเกสได้เดินทางลงใต้ ทำให้พบทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งพบทองคำเป็นจำนวนมาก ทำให้สหราชอาณาจักร และประเทศฝรั่งเศสซึ่งเดินทางไปทีหลัง จำใจต้องขึ้นไปทางทิศเหนือ อังกฤษได้ขึ้นฝั่งที่บริเวณตะวันออก แถบนิวอิงแลนด์ นิวยอร์ก ฝรั่งเศสขึ้นฝั่งที่ตอนกลาง บริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทั้งสองได้ต่างกันขยายอาณานิคม ทำให้ทั้งสองได้มาปะทะกันในที่สุด ทำให้เกิด สงครามเจ็ดปี ในทวีปยุโรป ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้อังกฤษ ทำให้อังกฤษเข้ายึดดินแดนเดิมของฝรั่งเศส", "title": "การปฏิวัติอเมริกา" }, { "docid": "116945#2", "text": "นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปพร้อมด้วยนายทหารอีก 5 นาย คณะข้าหลวงพิเศษตรวจการซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปชุดนี้โดยได้คัดเลือกเรือพิฆาต \"เอชเอ็มเอส เรเดียนท์\" (\"HMS Radiant\") ของบริษัทธอร์นิครอฟท์ (Thornycroft Co.,) สร้างที่ เมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเห็นว่าเหมาะสมแก่ความต้องการของกองทัพเรือและเป็นเรือที่ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้นสงครามยุติลงเมื่อ พ.ศ. 2461 อังกฤษจึงยินดีขาย คณะข้าหลวงพิเศษได้ตกลงซื้อเรือลำนี้เป็นเงิน 200,000 ปอนด์ ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้เรือนั้นได้พระราชทานให้แก่กองทัพเรือไว้สำหรับใช้สอย เรือลำนี้เดินทางจากประเทศอังกฤษเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2463", "title": "เรือหลวงพระร่วง" }, { "docid": "615597#1", "text": "ในศตวรรษที่ 19 \"อธิกภาพ\" หรือ การครอบงำเชิงอำนาจ เริ่มถูกใช้เพื่อสื่อความถึง \"การก้าวขึ้นสู่อำนาจ หรือเข้ามาเป็นผู้นำในทางสังคมหรือวัฒนธรรม; สถานะที่โดดเด่นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคม หรือสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม\" ต่อมาคำดังกล่าวได้ถูกใช้เพื่อสื่อความถึงอำนาจในทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือวัฒนธรรม ที่ประเทศหนึ่งมีเหนือประเทศอื่น โดยแนวคิดเรื่อง \"อธิกภาพ\" ในยุคนี้เน้นไปที่การใช้อำนาจของประเทศมหาอำนาจยุโรป เหนือทวีปเอเชีย และแอฟริกา โดยอาจไม่ใช่การเข้ายึดครองโดยตรง เช่นกรณีที่ประเทศฝรั่งเศสใช้อำนาจเชิงอธิกภาพ กดดันสยามให้สละอำนาจอธิปไตยในดินแดนบางส่วนของตน เพื่อที่ฝรั่งเศสจะได้เข้ามาปกครอง รวมถึงการปฏิเสธอำนาจทางวัฒนธรรมของสยามเหนือดินแดนลาวและกัมพูชา หรือกรณีที่เซอร์ จอห์น เบาว์ริง (ผู้ว่าราชการเกาะฮ่องกงในสมัยนั้น) กดดันให้สยาม และญี่ปุ่นเปิดการค้าเสรีกับจักรวรรดิอังกฤษ เพื่อให้อังกฤษสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ขาดแคลนในยุโรปได้ ", "title": "การใช้อำนาจครอบงำ" }, { "docid": "159247#16", "text": "โคลัมบัส เดินเรือจากยุโรปไปทางทิศตะวันตกเพื่อหาเส้นทางเดินเรือใหม่ เขาไปเจอกับทวีปๆนึง เขาคิดว่าทวีปนั้นคืออินเดีย จนกระทั่งต่อมา ประเทศสเปนกับประเทศโปรตุเกสได้เดินทางลงใต้ ทำให้พบทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งพบทองคำเป็นจำนวนมาก ทำให้สหราชอาณาจักรและประเทศฝรั่งเศสซึ่งเดินทางไปที่หลัง จำใจต้องขึ้นไปทางทิศเหนือ อังกฤษได้ขึ้นฝั่งที่บริเวณตะวันออก แถบนิวอิงแลนด์ นิวยอร์ก ฝรั่งเศสขึ้นฝั่งที่ตอนกลาง บริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทั้งสองได้ต่างกันขยายอาณานิคม ทำให้ทั้งสองได้มาปะทะกันในที่สุด ทำให้เกิด สงคราม 7 ปี ในทวีปยุโรป ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้อังกฤษ ทำให้อังกฤษเข้ายึดดินแดนเดิมของฝรั่งเศส", "title": "ประวัติศาสตร์สหรัฐ" }, { "docid": "400072#49", "text": "ในยุโรป การขนส่งสินค้าทางอากาศมีข้อจำกัดเนื่องจากในยุโรปมีกำหนดเรื่องการเปิดปิดสนามบินและมาตรการในการลดมลพิษจากการคมนาคม จึงเกิดความคิดที่นำรถไฟความเร็วสูงมาใช้ในการขนส่งสินค้าโดยความร่วมมือของประเทศในยุโรปจึงเกิดโครงการ Euro Carex โดยในโครงการนี้อยู่ในระยะทดลองเพื่อที่จะทดสอบระบบของ Euro Carex โดยวิ่งไปตามประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนเทอร์แลนด์ เยอรมนี อังกฤษ เป็นต้น ซึ่ง Euro Carex จะใช้เครือข่ายรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อกับสนามบิน โดยใช้รถไฟกระจายสินค้าจากสนามบินไปที่ต่างๆ เพื่อลดระยะเวลาในการขนส่งภายและระหว่างประเทศติดกัน", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "597841#1", "text": "เรื่องราวนี้มีที่มาจากประเทศในยุโรป ที่จะนำฟันน้ำนมเด็กไปฝังดิน โดยเฉพาะฟันซี่ที่ 6 เป็นธรรมเนียมที่พ่อแม่จะวางเงิน หรือของขวัญไว้ใต้หมอนเพื่อเป็นของแลกเปลี่ยน ในประเทศยุโรปเหนือ มีประเพณีของชาวไวกิง ว่าจะต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อฟันน้ำนมซี่แรกหลุด และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สแกนดิเนเวีย", "title": "ทูธแฟรี" } ]