query_id
stringlengths
1
4
query
stringlengths
11
185
positive_passages
listlengths
1
9
negative_passages
listlengths
1
30
3016
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆใช่หรือไม่?
[ { "docid": "40830#2", "text": "สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย", "title": "วันเข้าพรรษา" } ]
[ { "docid": "40830#33", "text": "พระศาสดาทรงอนุญาตพร 8 ประการคือโดยนางวิสาขาได้ให้เหตุผลการถวายผ้าอาบน้ำฝนว่า เพื่อให้ใช้ปกปิดความเปลือยกายในเวลาสรงน้ำฝนของพระสงฆ์ที่ดูไม่งามดังกล่าว ดังนั้น นางวิสาขาจึงเป็นอุบาสิกาคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้ถวายผ้าอาบน้ำฝน (วัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์", "title": "วันเข้าพรรษา" }, { "docid": "673#7", "text": "พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ก่อนจะจุติจะทรงพิจารณา 5 อย่าง เรียกว่า มหาวิโลกนะ 5 คืออายุขัยของมนุษย์ขึ้นอยู่กับกระแสสังขารและการทำความดี หากทำดีมากขึ้นอายุก็จะเพิ่มขึ้น หากทำดีน้อยอายุขัยก็จะลดลง อายุขัยของมนุษย์อยู่ระหว่าง 10 ปีถึง 1 อสงไขยปี (1 × 10 ปี) แต่พระโพธิสัตว์ทรงเลือกอายุขัยมนุษย์ระหว่าง 100-100,000 ปี ถ้าหากน้อยกว่า 100 ปีมนุษย์จะมีจิตใจหยาบช้าเกินกว่าจะฟังธรรมให้แตกจนบรรลุพระนิพพานได้ ถ้าเกิน 100,000 ปีมนุษย์จะเริ่มประมาทความแก่ ความเจ็บ ความตายเพราะอายุยืนความตายมาถึงช้า จะไม่เห็นอริยสัจ 4 หรือธรรมใดๆพระโพธิสัตว์เลือกชมพูทวีปเป็นทวีปที่จะจุติทุกครั้ง เพราะมนุษย์ในชมพูทวีปมีทั้งความสุขและความทุกข์ มีความเห็นทุกข์ เห็นสุข ได้ดีกว่ามนุษย์ในทวีปอื่นๆ", "title": "พระพุทธเจ้า" }, { "docid": "934#9", "text": "ภายหลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ได้เกิดความขัดแย้งอันเกิดจากการตีความพระธรรมคำสอนและพระวินัยไม่ตรงกัน จึงมีการแก้ไขโดยมีการจัดทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยที่ถูกต้องไว้เป็นหลักฐานสำหรับยึดถือเป็นแบบแผนต่อไป จึงนำไปสู่การทำสังคายนาพระไตรปิฎก ในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2 นี้เองที่พระพุทธศาสนาแตกออกเป็นหลายนิกายกว่า 20 นิกาย และในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้ทรงแต่งสมณทูต 9 สายออกไปเผยแผ่พุทธศาสนา จนกระทั่งพุทธศาสนาแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง", "title": "ศาสนาพุทธ" }, { "docid": "58273#1", "text": "เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ ปาวาลเจดีย์ มารมาทูลอาราธนาให้ปรินิพพาน เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร ก็เกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหว กลองทิพย์ก็บันลือลั่นในอากาศ พระอานนท์บังเกิดความพิศวงในบุพพนิมิตจึงทูลถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอัศจรรย์นี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ได้ปลงอายุสังขารแล้ว ต่อแต่นี้ไปอีก 3 เดือน จะปรินิพพาน พระอานนท์จึงทูลอาราธนาให้ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ตลอดกัปหนึ่งเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก พระพุทธองค์ตรัสว่าได้ทรงแสดงโอฬาริกนิมิตถึง 16 ครั้ง แต่พระอานนท์มิได้ทูลอาราธนาให้ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ต่อ และบัดนี้พญามารได้ทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ดับขันธปรินิพพานแล้ว พระพุทธองค์ได้สละแล้ว จะนำสิ่งนั้นกลับมาอีกด้วยเหตุใด", "title": "ปางปลงอายุสังขาร" }, { "docid": "109849#8", "text": "ธุดงควัตร หมายถึงกิจวัตรของการธุดงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตมี 13 วิธีจัดเป็นข้อสมาทานละเว้น และข้อสมาทานปฏิบัติ คือ การจาริก ด้วยเท้า ของพระสงฆ์ในประเทศไทย มักเข้าใจปะปนกับคำว่า ธุดงค์ ทั้งนี้เนื่องจากบางข้อของธุดงควัตร เช่น อรัญญิกังคะ หมายถึงการอยู่ในบริเวณป่า ทำให้พระสงฆ์ที่ถือธุดงค์ข้อนี้จะต้องเดินทางไปหาที่วิเวกในบริเวณป่าและไม่อยู่ติดที่เป็นเวลานาน เพื่อให้ห่างไกลจากการรบกวนของผู้คน การทำเช่นนี้ของพระสงฆ์มีมาตั้งแต่พุทธกาล พระสงฆ์ในประเทศไทยคงได้ถือคตินี้และปฏิบัติมาแต่โบราณ ทำให้คนทั่วไปในปัจจุบันมักเรียกกิริยาเช่นนั้น (การจาริกเดินเท้าของพระสงฆ์โดยแบกบริขาร เช่น กรดย่าม และบาตร เพื่อเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ) ว่า พระเดินธุดงค์ หรือ การเดินธุดงค์ ซึ่งเป็นเพียงคำเรียกทั่วไป ที่หากพระสงฆ์ผู้เดินจาริกไม่ได้ถือสมาทานองค์คุณแห่งธุดงค์ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมไม่ใช่ความหมายของคำว่าธุดงค์ตามนัยในพระไตรปิฎก", "title": "ธุดงค์" }, { "docid": "236364#0", "text": "วันมหาปวารณา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนา ตรงกับวันสุดท้ายของการอยู่จำพรรษา 3 เดือน คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทำการปวารณา คือ ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน หมายถึงยอมมอบตนให้สงฆ์กล่าวตักเตือน ในข้อบกพร่องที่ภิกษุทั้งหลายได้เห็นได้ยิน หรือมีข้อสงสัย ด้วยจิตเมตตา เพื่อจักได้สำรวมระวังปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อความเจริญของพระธรรมวินัยและความผาสุกในการอยู่ร่วมกัน", "title": "มหาปวารณา" }, { "docid": "156291#2", "text": "เรวตะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ อโนมนิคม เป็นเวลา ๗ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสาธุเทวี และรับหญ้า ๘ กำจากอาชีวกผู้หนึ่ง ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น พระเรวตะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๑ โกฏิ ที่วิหารวรุณาราม ทำให้พระภิกษุ ๑ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล", "title": "พระเรวตพุทธเจ้า" }, { "docid": "4281#30", "text": "สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีทรงจัดการพระบรมศพเป็นการภายในโดยอัญเชิญพระบรมศพประดิษฐาน ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน โดยรัฐบาลอังกฤษได้อนุญาตเป็นกรณีพิเศษในการประดิษฐานพระบรมศพเป็นเวลา 4 วันซึ่งตามปกติจะอนุญาตเพียงวันเดียว เพื่อให้ประยูรญาติที่อยู่ห่างไกลมาถวายบังคมลาเป็นครั้งสุดท้าย การจัดการพระบรมศพนั้นเป็นไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีการบำเพ็ญพระราชกุศลทางศาสนาพุทธเพราะไม่มีพระภิกษุ รวมทั้งไม่มีการพระราชพิธีอื่น ๆ ตามราชประเพณีด้วย", "title": "พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "881343#2", "text": "ทว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องทรงโทมนัส เมื่อเจ้าชายหนีออกผนวชจนได้ และทรงรู้สึกอัปยศ อดสู เมื่อคิดว่าการบิณฑบาตของพระพุทธเจ้า คือ การขอทาน แต่เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงสดับรับฟังพระธรรมเทศนา ก็ทรงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา บรรลุพระโสดาบัน ประกาศตัวเป็นอุบาสก ก่อนจะบรรลุพระอรหัตผลนิพพาน ในกาลต่อมา ในปลายปี พ.ศ. 2556 ปัญญา นิรันดร์กุล และ สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ เจ้าของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด และ บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เดินทางไปทำบุญที่ ประเทศอินเดีย และได้มีทีมงานนำซีรีส์มาให้ ทั้งสองท่านจึงตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ซีรีส์ทั้งหมด ทั้งเนื้อเรื่อง 54 ตอน และตอนพิเศษ (ตอนที่ 55) แล้วได้นำเอามาให้ทีมพากย์พันธมิตรมาบรรยายเสียงภาษาไทย และนั่นก็ทำให้ชื่อเสียงของทีมพากย์พันธมิตรโด่งดังยิ่งขึ้น", "title": "พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก" } ]
1135
เมืองหลวงของอังกฤษคือ ?
[ { "docid": "154427#1", "text": "ที่ประทับเป็นทางการของประมุขของราชอาณาจักรอังกฤษเดิมอยู่ที่วินเชสเตอร์ในแคว้นแฮมพ์เชอร์ แต่กลอสเตอร์และลอนดอนก็มีฐานะเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะลอนดอนที่กลายมาเป็นเมืองหลวงไปโดยปริยายตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 และเป็นเมืองหลวงมาจนกระทั่งรวมกับราชอาณาจักรสกอตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1707 ตามพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 (Acts of Union 1707) ลอนดอนจึงกลายมาเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1707 ถึง ปี ค.ศ. 1801 และของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1801 ถึง ปี ค.ศ. 1922 ในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ หรือที่รู้จักกันในนาม “สหราชอาณาจักร”", "title": "ราชอาณาจักรอังกฤษ" }, { "docid": "2287#1", "text": "ภูมิประเทศของอังกฤษส่วนมากประกอบด้วยเขาเตี้ยๆ และที่ราบ โดยเฉพาะทางตอนกลางและตอนใต้ของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ทางเหนือและทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่สูง วินเชสเตอร์เป็นเมืองหลวงเก่าของอังกฤษกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นลอนดอนใน พ.ศ. 1609 ปัจจุบัน ลอนดอนเป็นเขตมหานครใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรและพื้นที่เมืองใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรปเมื่อวัดด้วยเกณฑ์ส่วนใหญ่ ประชากรอังกฤษมีอยู่ราว 51 ล้านคน คิดเป็น 84% ของประชากรสหราชอาณาจักร และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน ภาคตะวันออกเฉียงใต้และเขตเมืองขยายในภาคมิดแลนด์ส ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและยอร์กเชอร์ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19", "title": "ประเทศอังกฤษ" } ]
[ { "docid": "2083#1", "text": "รูปแบบการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยมีระบบรัฐสภา เมืองหลวง คือ กรุงลอนดอน ประกอบด้วยสี่ประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ สามประเทศหลังนี้ได้รับการถ่ายโอนการบริหาร โดยมีอำนาจแตกต่างกัน ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศนั้น ๆ คือ เอดินบะระ คาร์ดิฟฟ์ และเบลฟัสต์ตามลำดับ ส่วนเกิร์นซีย์ เจอร์ซีย์ และเกาะแมนเป็นบริติชคราวน์ดีเพนเดนซี และมิใช่ส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักรมีดินแดนโพ้นทะเล 14 แห่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งขณะที่รุ่งเรืองที่สุดในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้น ครอบคลุมพื้นดินของโลกเกือบหนึ่งในสี่ และเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อิทธิพลของอังกฤษยังสามารถพบเห็นได้จากความแพร่หลายของภาษา วัฒนธรรมและระบบกฎหมายในอดีตอาณานิคมหลายแห่ง", "title": "สหราชอาณาจักร" }, { "docid": "4427#0", "text": "เมืองหลวง หรือ ราชธานี คือ เมืองหลักที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาล คำในภาษาอังกฤษ \"capital\" มาจากภาษาละติน \"caput\" หมายถึง \"หัว\" และอาจเกี่ยวข้อง \"เนินเขาแคปิทอไลน์\" เนินเขาที่สูงที่สุดในโรมโบราณ ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์และศาสนา", "title": "เมืองหลวง" }, { "docid": "477450#1", "text": "ในอดีตเป็นเมืองหลวงหนึ่งในสามเมืองของสหพันธรัฐอินเดียตะวันตก สถานที่ตั้งของเมืองก่อตั้งขึ้นโดยผู้ตั้งรกรากชาวอังกฤษในปี ค.ศ. 1628 โดยการนำของเซอร์ วิลเลียม คอร์ตเทน ที่เซนต์เจมส์ทาวน์ ปัจจุบันเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่สำคัญในแคริบเบียน มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ สนเทศศาสตร์ การชุมนุม และท่าเรือสำราญ ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2011 ย่านเมืองเก่าและแกร์ริสัน ได้รับเลือกเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก", "title": "บริดจ์ทาวน์" }, { "docid": "238060#0", "text": "เวลลิงตัน () เป็นเมืองหลวงของประเทศนิวซีแลนด์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ \"เวลลิงตัน เมืองแห่งสายลม\" เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีสายลมพัดผ่านมากที่สุดของนิวซีแลนด์ ตั้งอยู่ปลายสุดของเกาะเหนือ ระหว่างช่องแคบคุกกับ Rimutaka Range ชื่อของเมืองหลวงแห่งนี้มาจากชื่อที่ตั้งเป็นเกียรติแด่ อาร์เธอร์ เวลเลสลีย์ (Arthur Wellesley) มีประชากรทั้งสิ้น 430,000 คน นับเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 รองจากโอ๊คแลนด์ เวลลิงตันเป็นที่ตั้งของรัฐสภา สถานทูต และกงสุลต่างๆ เป็นศูนย์กลางของศิลปวัฒนธรรมและความมีชีวิตชีวา ในเมืองจะเต็มไปด้วยร้านอาหารรสเลิศ ร้านกาแฟ และกิจกรรมยามค่ำคืน นอกจากการเป็นเมืองหลวงแล้ว เวลลิงตันยังมีความสำคัญ คือเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่ใช้สัญจรผ่านไปสู่เกาะใต้ ตามแนวเขาลาดชันชายฝั่ง จะเห็นสิ่งปลูกสร้างไม้สไตล์วิคตอเรียขึ้นอยู่เป็นทิวแถว อุณหภูมิอบอุ่นกำลังดีระหว่าง 9-13 องศาเซลเซียสในหน้าหนาว ส่วนหน้าร้อนประมาณ 17-22 องศาเซลเซียส", "title": "เวลลิงตัน" }, { "docid": "222776#0", "text": "กลอสเตอร์ (ภาษาอังกฤษ: Gloucester) เป็นเมืองที่มีฐานะเป็นนครและเมืองหลวงของมณฑลกลอสเตอร์เชอร์ในภาคการปกครองตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ กลอสเตอร์ตั้งอยู่ทางติดกับชายแดนเวลส์และตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเซเวิร์น ราว 51 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือของบริสตอลและ 72 กิโลเมตรทางใต้ของตะวันตกเฉียงใต้ของเบอร์มิงแฮม", "title": "กลอสเตอร์" }, { "docid": "404543#0", "text": "แบล็กพูล () เป็นเทศบาลและเมืองชายทะเล และเป็นพื้นที่รัฐบาลท้องถิ่นระดับเดียวของแลงคาเชียร์เคาน์ตี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ บนฝั่งทะเลไอริช ห่างจากเมืองลิเวอร์พูลไปทางทิศเหนือ 45 กิโลเมตร เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเล มีประชากร 142,900 คน เป็นเมืองที่มีประชากรเป็นอันดับ 3 ของตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ และมีความหนาแน่นของประชากรเป็นอันดับ 4 ในอังกฤษและเวลส์ นอกเหนือจากนครลอนดอนและปริมณฑล", "title": "แบล็กพูล" }, { "docid": "22399#0", "text": "เคมบริดจ์ (Cambridge) เป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ในอังกฤษ สหราชอาณาจักร และเป็นศูนย์กลางการปกครองของเคมบริดจ์เชียร์ เมืองอยู่ห่างจากลอนดอนไปทางเหนือ-ตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 80 กม. และห้อมล้อมไปด้วยเมืองและหมู่บ้านขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง เมืองนี้ยังเป็นหัวใจของศูนย์เทคโนโลยีชั้นสูง ที่รู้จักกันในชื่อ \"ซิลิคอนเฟน\" (Silicon Fen) และเป็นส่วนสำคัญของเขตอุตสาหกรรมความรู้ \"ออกซฟอร์ด-เคมบริดจ์อาร์ก\" (Oxford-Cambridge Arc)", "title": "เคมบริดจ์" }, { "docid": "21257#3", "text": "ในปี พ.ศ. 2014 เครือข่ายวิจัยโลกาภิวัฒน์และนครโลก () ได้จัดแมนเชสเตอร์เป็นนครโลกระดับบีตา และทำให้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ หากไม่นับลอนดอน แมนเชสเตอร์เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดอันดับสามในสหราชอาณาจักร รองจากลอนดอน และเอดินบะระ และได้การยอมรับจากหลายฝ่ายว่าเป็นเมืองรองของสหราชอาณาจักร แมนเชสเตอร์เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจากการกีฬา ขนส่ง ดนตรี ธุรกิจขนาดใหญ่ ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม วัฒนธรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม สื่อ และอุตสาหกรรม มีสถานีรถไฟแมนเชสเตอร์ลิเวอร์พูลโรดเป็นสถานีรถไฟขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมืองแห่งแรกของโลก และมีนักวิทยาศาสตร์ในเมืองที่แยกอะตอมได้เป็นครั้งแรก และพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเก็บโปรแกรมได้ () เครื่องแรกของโลก", "title": "แมนเชสเตอร์" } ]
2820
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์หายไปจากปราสาทพนมรุ้งเมื่อใด ?
[ { "docid": "56809#0", "text": "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ เป็นทับหลังที่ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นโบราณวัตถุที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของไทย ที่เชื่อว่าถูกโจรกรรมไปเมื่อราวปี พ.ศ. 2503 ในช่วงสงครามเวียดนาม และถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ในที่สุดชาวไทยนำโดยรัฐบาล และ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ก็ได้ทับหลังชิ้นนี้คืนมาทันวันพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งพอดี ในปี พ.ศ. 2531", "title": "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์" } ]
[ { "docid": "56809#2", "text": "สำหรับพระพรหม ซึ่งประทับเหนือดอกบัวนั้น มีสี่พักตร์ สี่กร ถัดจากองค์พระนารายณ์มาทางซ้ายบริเวณเลี้ยวของทับหลัง มีรูปหน้ากาลคายพวงอุบะขนาดใหญ่ เหนือหน้ากาลมีรูปครุฑใช้มือยึดนาคไว้ข้างละตนนอกจากนี้ยังปรากฏรูปสัตว์อื่น ๆ ได้แก่ นกแก้ว ลิง และนกหัสดีลิงก์คาบช้างอยู่ด้วย\nการบรรทมสินธุ์ของพระนารายณ์คือ การบรรทมในช่วงการสร้างโลก การบรรทมแต่ละครั้งนั้นจะเกี่ยวกับยุคเวลาในแต่ละกัลป์ ภาพทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ปราสาทพนมรุ้ง ได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์วราหปุราณะ เป็นคัมภีร์ที่ให้ความสำคัญแก่พระนารายณ์เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในขณะที่พระนารายณ์กำลังบรรทมอยู่นั้นได้ทรงสุบิน มีดอกบัวผุดจากพระนาภีและได้บังเกิดพระพรหมในดอกบัวนั้น พระพรหมทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ โดยมีนัยสื่อถึงการกำเนิดของสรรพสิ่งใหม่หลังการล้างโลก ในความหมายของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน คือ การอำนวยพร", "title": "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์" }, { "docid": "56809#1", "text": "ที่ทับหลังของมณฑปด้านทิศตะวันออกปราสาทประธาน เป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยพระนารายณ์บรรทมตะแคงขวาเหนือพระยาอนันตนาคราช ซึ่งทอดตัวอยุ่เหนือมังกรอีกต่อหนึ่งท่ามกลางเกษียรสมุทร มีก้านดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภีของพระองค์ มีพระพรหมประทับอยู่เหนือดอกบัวนั้น พระนารายณ์ทรงถือ คฑา สังข์ และจักรไว้ในพระหัตถ์หน้าซ้าย พระหัตถ์หลังซ้ายและพระหัตถ์หลังด้านขวาตามลำดับ ส่วนพระหัตถ์หน้าขวารอบพระเศียรของพระองค์ ทรงมงกุฏรูปกรวยกภณฑล กรองศอ และทรงผ้าจีบเป็นริ้ว มีชายผ้ารูปหางปลาซ้อนกันอยู่ 2 ชั้นด้านหน้าคาดด้วยสายรัดพระองค์ มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับ มีพระลักษณมีชายาพระองค์ประทับนั้นอยู่ตรงปลายพระบาท", "title": "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์" }, { "docid": "282689#0", "text": "ทับหลัง เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 9 ของ คาราบาว ภายใต้สังกัดแว่วหวาน กำหนดเดิมออกจำหน่ายวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 แต่เมื่อทางสถาบันศิลปะนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ยินยอมให้นำทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์กลับคืนสู่ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน อัลบั้มก็ได้เลื่อนวันจำหน่ายเป็นวันที่ 9 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันเกิดของหัวหน้าวงคาราบาว เนื่องจากเนื้อหาของบทเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้มเป็นเพียงการเรียกร้องให้กลับคืนมาซึ่งไม่กำหนดวันที่แน่นอน พอเมื่อสถานการณ์พลิกกลับจึงนำเพลง \"แม่สาย\" ขึ้นมาเป็นเพลงนำร่องอีกเพลงหนึ่ง", "title": "ทับหลัง (อัลบั้มเพลง)" }, { "docid": "24378#16", "text": "ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า \"ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน\" ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้", "title": "สงกรานต์" }, { "docid": "194841#16", "text": "พิธีเริ่มโดยเจ้าพนักงานตั้งบาตรนํ้า บาตรทราย จับด้ายมงคลสูตรใส่ลุ้งไว้ในโรงราชพิธีทั้ง 4 ทิศ พระนครและในพระราชนิเวศน์ จากนั้นอัญเชิญ พระพุทธปฏิมากรมาประดิษฐาน อาราธนาพระมหาเถรานุเถร ผลัดเปลี่ยนกันมาจำเริญพระปริตร ในโรงราชพิธีทุกตำบล สิ้นทิวาราตรีสามวาร โดยในระหว่างการเจริญพระปริตรนั้น จะมีพิธีทางพราหมณ์ และทางราชการควบคูกันไปด้วย ที่ภายนอกพระบรมมหาราชวัง และในพื้นที่ต่างๆ ของพระนคร เพื่อเป็นการขจัดปัดเป่าอุปาทว์และภยันตรายทั้งปวง", "title": "การสวดภาณยักษ์" }, { "docid": "99274#4", "text": "รพินทร์ตะโกนบอกให้ดารินดึงกริชสีดำออกจากคัมภีร์หนังมนุษย์ พร้อมกับช่วยเชษฐาและพรานพื้นเมืองยิงปะทะเปิดทางให้แก่ดาริน ที่พุ่งตรงไปยังแท่นหินอ่อนสีดำภายใต้ครอบแก้วของนางพญาพันธุมวดี พร้อมกับกระชากกริชออกอย่างแรง ทันทีที่กริชสีดำหลุดออกจากคัมภีร์หนังมนุษย์ ซากศพตายซากทั้งหมดที่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตและถูกควบคุมบงการจากผู้มีเวทมนตร์คาถา ต่างสิ้นฤทธิ์หยุดนิ่งอยู่กับที่ กลายสภาพเป็นซากศพที่แห้งตายซากลักษณะเหมือนกันท่อนไม้อาบด้วยน้ำยาตามเดิม รพินทร์ ดาริน เชษฐาและพรานบุญคำ ต่างช่วยกันพิจารณาซากศพจำนวนมากภายในห้องโถงใหญ่ พร้อมกับกริชสีดำลงอัขระยันต์โบราณ และคัมภีร์หนังมนุษย์ที่เคยถูกกริชปักตรึงแน่นอยู่ ในขณะที่ทั้งหมดพิจารณาถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ร่างสวยสง่างามราวกับมีชีวิตของพันธุมวดี ที่นอนสงบนิ่งอยู่ภายในครอบแก้ว กลับสลายกลายเป็นฝุ่นผงธุลีแทน", "title": "อาถรรพณ์นิทรานคร" }, { "docid": "40649#0", "text": "ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล (23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 — 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546) เป็นนักประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีชาวไทย ทรงเป็นบุคคลคนแรกที่พบทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ปราสาทพนมรุ้ง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ในสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก สหรัฐอเมริกา จนมีการทวงทับหลังชิ้นกลับคืนสู่ประเทศไทย ทรงเป็นหนึ่งในบุคคลไทยที่ทรงมีคุณูปการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีไทย", "title": "หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล" }, { "docid": "99274#13", "text": "รพินทร์รับหน้าที่ยามเฝ้าดูแลปางพักในช่วงค่ำ และนำลายแทงขุมทรัพย์เพชรพระอุมาของมังมหานรธาออกมาพิจารณา ตกดึกแงซายที่หายจากการบาดเจ็บออกมาพูดคุยด้วยพร้อมกับใช้ดุ้นฟืนที่ติดไฟกลายเป็นถ่าน วาดภาพพระศิวะและปิ่น ทำให้รพินทร์โกรธจัดเนื่องจากคิดว่าดารินเล่าเรื่องแผนที่ลายแทงให้แงซายได้รับรู้ รุ่งขึ้นจึงอารมณ์เสียใส่ดารินก่อนจะปรับความเข้าใจกันภายหลัง เชษฐา ดาริน ไชยยันต์ชวนรพินทร์และแงซายไปตรวจสอบยังซากช้างไดโนเทเรี่ยมที่ถูกยิงเสียชีวิตในการปะทะกับคะหยิ่นและส่างปา แต่พบปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นเนื่องจากซากของไดโนเทเรี่ยมถูกสัตว์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่ามากินซาก และทิ้งรอยเท้าขนาดมโหฬารเอาไว้ทั่วบริเวณ รพินทร์สังหรณ์ใจถึงภัยอันตรายที่จะตามภายหลัง จึงให้แงซายเตรียมธนูติดระเบิดทีเอ็นทีไว้ให้พร้อม", "title": "อาถรรพณ์นิทรานคร" }, { "docid": "56809#3", "text": "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นทับหลังรูปพระนารายณ์ที่มีความงดงามที่สุดในโลก และยังถือว่าเป็นโบราณวัตถุชิ้นเดียวที่ประเทศผู้เป็นเจ้าของสามารถทวงคืนกลับมาจากผู้นำไปครอบครองได้สำเร็จ", "title": "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์" } ]
186
อำเภอกาญจนดิษฐ์ตั้งอยู่ในจังหวัดอะไรของไทย?
[ { "docid": "19251#0", "text": "อำเภอกาญจนดิษฐ์มีความเป็นมาคือ กาญจนดิษฐ์ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี", "title": "อำเภอกาญจนดิษฐ์" } ]
[ { "docid": "61344#0", "text": "ตำบลพลายวาส เป็นตำบลในอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี", "title": "ตำบลพลายวาส" }, { "docid": "61344#1", "text": "องค์การบริหารส่วนตำบลพลายวาส ตั้งอยู่ในตำบลพลายวาส อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฏร์ธานี พื้นที่ส่วนหนึ่งติดต่อกับเทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ และห่างจากเทศบาลนครสุราษฏร์ธานีประมาณ 18 กม. ตามเส้นทางการคมนาคม โดยมีอาณาเขตติดต่อกับตำบลต่าง ๆ ดังนี้", "title": "ตำบลพลายวาส" }, { "docid": "4475#21", "text": "อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลตำบลขุนทะเล อำเภอกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลช้างซ้าย เทศบาลตำบลช้างขวา เทศบาลตำบลกรูด อำเภอดอนสัก เทศบาลเมืองดอนสัก อำเภอเกาะสมุย เทศบาลนครเกาะสมุย อำเภอเกาะพะงัน เทศบาลตำบลเกาะพะงัน เทศบาลตำบลบ้านใต้ เทศบาลตำบลเพชรพะงัน เทศบาลตำบลเกาะเต่า อำเภอไชยา เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลเวียง อำเภอท่าชนะ เทศบาลตำบลท่าชนะ อำเภอคีรีรัฐนิคม เทศบาลตำบลท่าขนอน อำเภอบ้านตาขุน เทศบาลตำบลบ้านเชี่ยวหลาน เทศบาลตำบลบ้านตาขุน อำเภอพนม เทศบาลตำบลพนม เทศบาลตำบลคลองชะอุ่น อำเภอท่าฉาง เทศบาลตำบลท่าฉาง อำเภอบ้านนาสาร เทศบาลเมืองนาสาร เทศบาลตำบลพรุพี เทศบาลตำบลคลองปราบ เทศบาลตำบลท่าชี เทศบาลตำบลควนศรี อำเภอบ้านนาเดิม เทศบาลตำบลบ้านนา อำเภอเคียนซา เทศบาลตำบลเคียนซา เทศบาลตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเวียงสระ เทศบาลตำบลเวียงสระ เทศบาลตำบลบ้านส้อง เทศบาลตำบลเขานิพันธ์ เทศบาลตำบลทุ่งหลวง เทศบาลตำบลเมืองเวียง อำเภอพระแสง เทศบาลตำบลบางสวรรค์ เทศบาลตำบลย่านดินแดง อำเภอพุนพิน เทศบาลเมืองท่าข้าม", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "19251#1", "text": "อำเภอกาญจนดิษฐ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้", "title": "อำเภอกาญจนดิษฐ์" }, { "docid": "19251#3", "text": "อำเภอกาญจนดิษฐ์แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 ตำบล 117 หมู่บ้าน ได้แก่", "title": "อำเภอกาญจนดิษฐ์" }, { "docid": "918592#1", "text": "ขันติพงษ์ เกิดที่อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มแข่งขันมวยไทยเมื่ออายุ 7 ขวบ โดยใช้ชื่อพรทวี เดชนิรันดร์ ต่อมา ได้ย้ายตามครอบครัวของเขาซึ่งมาทำสวนที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยแข่งกว่า 200 ไฟต์ และแพ้เพียง 6 ครั้ง", "title": "ขันติพงษ์ ต.พิทักษ์กลการ" }, { "docid": "4475#12", "text": "ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เมืองเมืองกาญจนดิษฐ์, เมืองคีรีรัฐนิคมและเมืองไชยารวมตัวเป็นจังหวัดไชยา ขึ้นตรงต่อมณฑลชุมพร เมื่อเมืองขยายใหญ่ขึ้น จึงมีการปรับเปลี่ยนการปกครองและขยายเมืองออกไป มีการแยกเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นอำเภอกาญจนดิษฐ์และอำเภอบ้านดอน กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการย้ายอำเภอเมืองมาที่อำเภอบ้านดอนและโอนชื่อมาเป็นชื่ออำเภอไชยา และให้เชื่อเมืองเก่าว่า \"อำเภอพุมเรียง\" ทว่าประชาชนยังติดเรียกชื่อเมืองเก่าว่า \"อำเภอไชยา\" ทั้งตัวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดปรานชื่อบ้านดอน จึงพระราชทานนามอำเภอบ้านดอนว่า \"สุราษฎร์ธานี\" และยังคงชื่ออำเภอพุมเรียงว่าอำเภอไชยาเช่นเดิม รวมถึงเปลี่ยนชื่อจังหวัดเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานี[6] และพระราชทานนามแม่น้ำตาปี ให้ในคราวเดียวกันนั้นเอง ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามแบบเมืองและแม่น้ำในประเทศอินเดียที่มีแม่น้ำทัปตีไหลลงสู่ทะเลออกผ่านปากอ่าวที่เมืองสุรัต[4]", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "18893#0", "text": "ดอนสัก เป็นอำเภอที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แยกการปกครองมาจากอำเภอกาญจนดิษฐ์เมื่อปี พ.ศ. 2512 แบ่งการปกครองเป็น 3 ตำบล คือ ตำบลดอนสัก ตำบลชลคราม ตำบลไชยคราม ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 ได้ตั้งตำบลปากแพรกขึ้นอีกตำบลหนึ่ง รวมเป็น 4 ตำบล (ดอนสัก ชลคราม ไชยคราม และปากแพรก)", "title": "อำเภอดอนสัก" }, { "docid": "141030#3", "text": "อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 48ก วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2542 กำหนดบริเวณที่ดินป่าชัยคราม และป่าวัดประดู่ ในท้องที่ตำบลท่าอุแท ตำบลคลองสระ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และป่ายางโพรงและป่าเขาใหญ่ ในท้องที่ตำบลสี่ขีด ตำบลเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็น อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2542", "title": "อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด" }, { "docid": "420266#43", "text": "ถึง พ.ศ. 2442 โปรดให้รวมเมืองกาญจนดิฐและเมืองไชยาเป็นเมืองเดียวกันให้เรียกว่าเมืองไชยา (คือยุบเมืองกาญจนดิฐเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองไชยา) ตั้งศาลาว่าการเมืองที่พุมเรียง มีหลวงวิเศษภักดี (อวบ) เป็นผู้ว่าราชการเมือง ขุนวิเศษรักษา ปลัดเมืองไชยาเดิม เป็นปลัดเมืองไชยา ส่วนพระศรีสุพรรณดิษฐ์ปลัดเมืองกาญจนดิฐที่ถูกยุบก็ทำหน้าที่เป็นปลัดเมืองอยู่ที่บ้านดอน", "title": "ท่าทอง" }, { "docid": "105007#1", "text": "บัญญัติเกิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2485 (แต่ตามประวัติโดยทั่วไปมักระบุว่าเกิด 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2485) ที่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมชื่อ \"เก้าแซ่ แซ่ลิ้ม\" เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนไหหลำ มีภรรยาคือ นางจิตติมา สังขะทรัพย์", "title": "บัญญัติ บรรทัดฐาน" }, { "docid": "48133#0", "text": "อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นมีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอบ้านนาสาร และ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบชื้น มีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด และมีจุดเด่นตามธรรมชาติที่สวยงาม เช่น หน้าผา ถ้ำ น้ำตก ตลอดจนมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์การสู้รบที่เหลืออยู่ เช่น ค่าย บังเกอร์ อุโมงค์ มีเนื้อที่ประมาณ 265,625 ไร่ หรือ 425 ตารางกิโลเมตร ได้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2534 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 73 ของประเทศไทย", "title": "อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น" }, { "docid": "4475#11", "text": "ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งอู่เรื่อพระที่นั่งและเรือรบเพื่อใช้ในราชการที่อ่าวบ้านดอน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ย้ายที่ตั้งเมืองท่าทองมายังอ่าวบ้านดอน พร้อมทั้งยกฐานะให้เป็นเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร และพระราชทานชื่อว่า \"เมืองกาญจนดิษฐ์\"[4] โดยแต่งตั้งให้พระยากาญจนดิษฐ์บดีเป็นเจ้าเมืองดูแลการปกครอง", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "61340#0", "text": "ตำบลตะเคียนทอง เป็นตำบลในอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี", "title": "ตำบลตะเคียนทอง (อำเภอกาญจนดิษฐ์)" }, { "docid": "4475#27", "text": "หอยนางรมเป็นของขึ้นชื่อในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งจะมีความแตกต่างจากหอยนางรมที่อื่น คือ มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ รสชาติหวาน โดยจะจัดขึ้นประมาณต้นเดือนมีนาคมของทุกปีในตัวอำเภอกาญจนดิษฐ์", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "354116#3", "text": "โบถส์ใหม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2545 ปัจจุบันมีพระครูปุณณสารวิมล เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 \nเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2422 ( ตรงกับวันพุธ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 2 ปีเถาะ) บิดาชื่อ นายมา มารดาชื่อ นางแดง นามสกุล สุราราษฎร์ อาชีพ กสิกรรม== การศึกษา === - ได้รับการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังสือไทยกับเลขตามธรรมดา ในสำนัก พระพัด เจ้าอาวาสวัดหนุน อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี == บรรพชา === ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2438 โดยมีพระครูขำ เจ้าคณะแขวงอำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้เล่าเรียนธรรมวินัย และสวดมนต์ไหว้ เป็นสามเณร อยู่ได้ 2 พรรษาได้ลาสิกขา ไปประกอบการหาเลี้ยงชีพตามภูมิลำเนาเดิม == อุปสมบท === ต่อมาอายุได้ 23 ปี ก็เข้าอุปสมบท ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2445 ที่วัดใหม่ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานสาธารณสุข อ.กาญจนดิษฐ์ ) มี พระครูขำ จ้าคณะแขวงอำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ / พระแก้ว เจ้าคณะหมวด แขวงอำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยภิกษุปาฎิโมกข์ ในสำนักวัดใหม่ จำนวน 5 พรรษาแล้วเดินธุดงค์== จำพรรษาวัดสุบรรณนิมิตร์=== หลังจากได้ธุดงค์แล้วในเขตประเทศพม่า อินเดีย แล้วก็ได้เข้าศึกษาหนังสือไทย ประถม 1 ถึงประถม 4 ในสำนักวัดสุบรรณนิมิตร์ โดยมีพระครูจุฬามุนี( ฤกษ์) เป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดชุมพร อยู่จนพระครูจุฬามุนี ได้มรณภาพลงในปี พ.ศ.2455 ตำแหน่งเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดชุมพร ว่างลง หลังจากนั้นพระครูวาทีธรรมรส เจ้าคณะแขวงประทิว ย้ายมารับตำแหน่ง เจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดชุมพร ท่านก็อยู่ช่วยงานในตำแหน่งรองเจ้าอาวาส ต่อมาพระครูวาทีธรรมรส ได้มรณภาพ ก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา == ตำแหน่งหน้าที่ ===- เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2460 พระครูวาทีธรรมรส เจ้าคณะจังหวัดชุมพร แต่งตั้งให้เป็นพระสมุห์ดำ ฐานาของพระครูวาทีธรรมรส - พ.ศ. 2463 พระครูวาทีธรรมรส เจ้าคณะจังหวัดชุมพร มรณภาพลง พระชุมพรบุรีศรีสมุหเขตร์ ผู้ว่าราชจังหวัดชุมพร ได้มอบหน้าที่ เจ้าคณะแขวงอำเภอท่าตะเภา - พ.ศ.2463 ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูดำ เจ้าคณะแขวงอำเภอท่าตะเภา- พ.ศ.2464 มหาเสวกโท พระยาคงคาธราธิบดีศรีสุราษฎร์โลหนครราธิปตัย อภัยพิริยะพาหะสมุหเทศาภิบาลมณฑลสุราษฎร์ ได้ร้องขอให้รับตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดชุมพร- 25 ธันวาคม พ.ศ.2464 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ - พ.ศ.2467 ได้พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระครูจุฬามุนี สังฆวาหะ - พ.ศ.2474 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดชุมพร== สหมิกที่สำคัญ ===-พระธรรมวิโรจนเถร (พลับ ฐิติโก) วัดธรรมบูชา / อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมบูชา อดีตเจ้าคณะธรรมยุติ จังหวัดสุราษฎร์ธานี== ศิษย์ที่สำคัญ ===- พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร และเจ้าอาวาสวัดขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร===มรณภาพ==- พระครูจุฬามุนีสังฆวาหะ (หลวงพ่อดำ ตาระโก) ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา ในปี พ.ศ.2495 สิริอายุ 73 ปี มีพรรษา 50 ณ วัดสุบรรณนิมิตร์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร", "title": "วัดสุบรรณนิมิตร" }, { "docid": "35038#3", "text": "ร.ศ.107 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเขตการปกครองทั่วราชอาณาจักรออกเป็นมณฑล โปรดให้รวมเมืองไชยา เมืองกาญจนดิษฐ์ และเมืองคีรีรัฐนิคมเข้าเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า \"เมืองไชยา\" ตั้งศาลากลางที่บ้านดอน รวมเมืองไชยา เมืองชุมพร และเมืองหลังสวนขึ้นเป็นมณฑลหนึ่งเรียกว่า \"มณฑลชุมพร\" ตั้งศาลามณฑลอยู่ที่เมืองชุมพร ต่อมาได้ย้ายศาลามณฑลมาตั้งที่บ้านดอน บริเวณเดียวกับศาลากลางเมืองไชยา ยกฐานะเมืองท่าทองเป็นอำเภอ เอาชื่อเมืองกาญจนดิษฐ์ให้เป็นชื่ออำเภอเรียกว่า \"อำเภอกาญจนดิษฐ์\" ลดฐานะเมืองไชยาเดิมเป็นอำเภอเรียกว่า \"อำเภอไชยา\" และลดฐานะเมืองคีรีรัฐนิคมเป็น อำเภอคีรีรัฐนิคม ", "title": "อำเภอคีรีรัฐนิคม" }, { "docid": "75087#1", "text": "บิว กัลยาณี มีชื่อจริงว่า กัลยาณี เจียมสกุล เป็นชาวอำเภอกาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2528 มีพี่น้อง 3 คน เป็นคนสุดท้อง ทางบ้านมีฐานะยากจน พ่อเป็นภารโรง ต่อมาขับรถตู้ของโรงเรียน ส่วนแม่ขายขนมในโรงเรียน ซึ่งเธอก็ช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ ปัจจุบัน มีถิ่นพำนักอยู่ที่บ้านเลขที 67/2 หมู่ที่ 2 ตำบลตะเคียนทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีทั้งที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้านนิเทศศาสตร์บูรณาการและ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ด้านการตลาด ", "title": "บิว กัลยาณี" }, { "docid": "65806#1", "text": "ทางหลวงสายนี้มีจุดเริ่มต้นแยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 บริเวณกิโลเมตรที่ 944+200 ตำบลคลองหิน อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ตัดขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านอำเภอปลายพระยา เข้าสู่เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผ่านอำเภอพระแสง อำเภอเคียนซา อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอพุนพิน อำเภอเมือง สิ้นสุดที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 บริเวณตำบลพลายวาส อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมระยะทาง 133.172 กิโลเมตร ", "title": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 44" }, { "docid": "4475#18", "text": "อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอดอนสัก อำเภอเกาะสมุย อำเภอเกาะพะงัน อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอคีรีรัฐนิคม อำเภอบ้านตาขุน อำเภอพนม อำเภอท่าฉาง อำเภอบ้านนาสาร อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอเคียนซา อำเภอเวียงสระ อำเภอพระแสง อำเภอพุนพิน อำเภอชัยบุรี อำเภอวิภาวดี", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "141030#0", "text": "อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าชัยคราม และป่าวัดประดู่ ในท้องที่ตำบลท่าอุแท ตำบลคลองสระ \nอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และป่ายางโพรงและป่าเขาใหญ่ ในท้องที่ตำบลสี่ขีด ตำบลเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช", "title": "อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด" }, { "docid": "19251#5", "text": "ท้องที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 14 แห่ง ได้แก่", "title": "อำเภอกาญจนดิษฐ์" }, { "docid": "39748#6", "text": "เมื่อวันที่ 26 กันยายน ร.ศ. 115 ( พ.ศ. 2439) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จฯพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงทราบว่าตามที่ได้มีกระแสพระราชดำริให้จัดหัวเมืองปักษ์ใต้ตอนเหนือเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น คือเมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองหลังสวน เมืองกาญจนดิษฐ์ และเมืองกำเนิดนพคุณ ( บางสะพาน) ทั้ง 5 หัวเมืองรวมเข้าเป็นมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า มณฑลชุมพร ดังนั้นเมืองในมณฑลชุมพรจึงคงมีเพียง 5 หัวเมือง ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพดำเนินการไป นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองคีรีรัฐนิคม ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นกับเมืองไชยา เพราะเหตุที่เมืองคีรีรัฐนิคมอยู่ฝ่ายน้ำริมข้างฝั่งทะเลตะวันออก ตั้งอยู่ริมลำน้ำ เมืองไชยา ไปมาถึงกันง่าย พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ยกเกาะสมุย ซึ่งเคยขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช และเกาะพะงันซึ่งเคยขึ้นกับเมืองไชยา รวมเป็นอำเภอเดียวกัน ให้ไปขึ้นแก่เมืองกาญจนดิษฐ์ ซึ่งอยู่ใกล้กว่าเมืองอื่นสามารถเดินทางไปมาติดต่อกันได้สะดวกขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 26 กันยายน ร.ศ. 118 ( พ.ศ. 2442) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระบรมราชานุญาต รวมเมืองกาญจนดิษฐ์กับเมืองไชยาเข้าเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า “ เมืองไชยา ” เนื่องจาก 2 เมืองนี้เป็นเมืองใกล้ชิดติดต่อกันและไม่ใหญ่เท่าใดนัก ขอให้หลวงวิเศษภักดีข้าหลวงว่าราชการเมืองไชยา รักษาราชการต่อไปทั้ง 2 เมือง โดยให้ไปตั้งศาลากลางที่บ้านดอนหรือเมืองกาญจนดิษฐ์ ( ตัวเมืองสุราษฎร์ธานีปัจจุบัน) ส่วนเมืองไชยาเดิมซึ่งย้ายไปตั้งที่ตำบลพุมเรียงนั้นให้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอพุมเรียงตามนามตำบล สาเหตุที่ให้คงชื่อเมืองไชยาไว้เนื่องจากทรงเห็นว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์สำคัญเก่าแก่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่ง \nในปีถัดมา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ทำหนังสือลงวันที่ 3 เมษายน ร.ศ. 119 ( พ.ศ. 2443) กราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่าได้รับไปบอกพระยารัตนภักดี ข้าหลวงว่าราชการเมืองไชยาเสนอว่าในการที่จะรวมเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นเมืองไชยานั้น ควรยกศาลเมืองไชยาไปรวมตั้งอยู่ที่บ้านดอน และยกอำเภอไชยาขึ้นเป็นศาลแขวง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของราษฎรตามพระธรรมนูญศาลหัวเมืองก็พอจะระงับกิจทุกข์สุขของราษฎรเรียบร้อยได้ และยกคลังเมืองไชยาไปรวมอยู่กับคลังอำเภอ บ้านดอน การรับเงินที่เมืองไชยาปีหนึ่งเกินกว่า 50,000 บาท การรักษาพระราชทรัพย์แต่แห่งเดียวเป็นที่มั่นคงขึ้นทั้งเป็นการง่ายในการเบิกจ่ายทำบัญชีทั้งปวง และขอให้ยกที่ว่าการเมืองใชยาไปรวมอยู่ที่บ้านดอนพลางก่อนจนกว่าจะได้จัดการก่อสร้างขึ้นที่ตำบลท่าข้าม ( อำเภอพุนพินในปัจจุบัน) ที่เมืองไชยานั้นให้ปลัดอยู่ประจำรักษาราชการ ส่วนผู้ว่า-ราชการเมืองนั้นจะได้ออกตรวจราชการต่างๆ ทั่วไปทั้งบ้านดอนและ ไชยา พระยารัตนเศรษฐีจึงได้มีหนังสือตอบไปยังหลวงวิเศษภักดีว่าให้รีบจัดการไปตามความเห็นของหลวงวิเศษภักดีไปพลางๆ ก่อน แต่การศาลเมืองไชยานั้นให้ปรึกษากับพระศรีสัตยารักษ์ ข้าหลวงพิเศษให้เป็นที่ตกลงกัน ", "title": "เทศบาลตำบลตลาดไชยา" }, { "docid": "52036#1", "text": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานีกับจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีเส้นทางเริ่มจากใกล้ ๆ อำเภอตะกั่วป่า ในช่วงแรกเป็นถนน 2 ช่องจราจร จากนั้นวิ่งไปทางตะวันออก เข้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยผ่านอำเภอพนมอำเภอบ้านตาขุน อำเภอคีรีรัฐนิคมจากนั้นได้ขยายเป็น 4 ช่องจราจรไปยังอำเภอพุนพิน และต่อไปยังตัวเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอกาญจนดิษฐ์ จากนั้นก็เข้าสู่เขตจังหวัดนครศรีธรรมราชที่อำเภอขนอม แต่ไม่ได้ผ่านตัวอำเภอขนอม จากนั้นก็วิ่งลงใต้ผ่านอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และสิ้นสุดที่บ้านท่าแพ ประมาณ 10 กิโลเมตร ทางเหนือของตัวเมืองนครศรีธรรมราช ระยะทางทั้งหมดประมาณ 290 กิโลเมตร อยู่ในจังหวัดพังงาประมาณ 25 กิโลเมตร อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 175 กิโลเมตร และอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชประมาณ 90 กิโลเมตร", "title": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401" }, { "docid": "57210#9", "text": "พบโดยทั่วไปตามบริเวณน้ำตื้นชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำลำคลอง ที่สุราษฎร์ธานี แหล่งที่เลี้ยง\nหอยนางรมใหญ่ที่สุด คือบริเวณอ่าวที่ตำบลท่าทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ก็มีการเลี้ยงที่บริเวณ\nแหลมซุย อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงหอยนางรมในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 741 ราย เนื้อที่ ประมาณ 4,866 ไร่", "title": "หอยนางรม" }, { "docid": "61340#1", "text": "ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลตะเคียนทอง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 7 บ้านหนองจิก ตำบลตะเคียนทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอ ห่างจากที่ว่าการอำเภอกาญจนดิษฐ์ประมาณ 3 กิโลเมตร และห่างจากศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 12 กิโลเมตรตามเส้นทางคมนาคม ตำบลตะเคียนทองมีเนื้อทั้งหมดโดยประมาณ 27.80 ตารางกิโลเมตร หรือ 17,375 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับตำบลและอำเภออื่นๆ ดังนี้ \nพื้นที่ตำบลตะเคียนทองประมาณ มากกว่าร้อยละ 70 เป็นสภาพพื้นที่ราบชายฝั่งทะเล มีลำคลองกะแดะแจะ ไหลผ่านพื้นที่ตอนกลางค่อนไปทางตะวันตก ส่วนพื้นที่มีสภาพราบเรียบ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของตำบลมีคูคลองหลายสายกระจายอยู่ทั่วไป คูคลองเหล่านี้มีทั้งที่เกิดขึ้นเอง และสร้างขึ้น คลองที่สำคัญ เช่น คลองกะแดะแจะ คลองเฉงอะ เป็นต้น", "title": "ตำบลตะเคียนทอง (อำเภอกาญจนดิษฐ์)" }, { "docid": "824838#8", "text": "พ.ศ. 2465 ทางการคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกำแพง (ปัจจุบันคือวัดกาญจนาราม) อำเภอกาญจนดิษฐ์ ซึ่งเป็นวัดตั้งอยู่ใกล้ที่ว่าการอำเภอกาญจนดิษฐ์ และว่างเจ้าอาวาสมานาน ปรากฏว่าได้รับการต้อนรับจากทางข้าราชการ และทางคณะสงฆ์ โดยมีพระเถระผู้ใหญ่จากกรุงเทพมหานครมาร่วมด้วย และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในคณะธรรมยุตนี้ด้วย เมื่อท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกาญจนารามแล้วได้พัฒนาวัดให้เป็นรมณียสถาน เป็นสำนักออค้า บรมกรรมฐานมีพระภิกษุ สามเณร ข้าราชการ ทายกทายิกา เข้าวัดมากขึ้น ทำให้วัดกาญจนารามเป็นวัดที่มีหลักฐานมั่นคงมาถึงปัจจุบัน [2]", "title": "พระธรรมวิโรจนเถร (พลับ ฐิติกโร)" }, { "docid": "824838#38", "text": "พระธรรมวโรดม (เซ่ง อุตฺตโม) อดีตเจ้าคณะมณฑลสุราษฏร์,ภูเก็ต,นครศรีธรรมราช และอดีตเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร พระรัตนธัชมุนี (แบน คณฺฐาภรโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช พระธรรมปรีชาอุดม (หลวงพ่อพุ่ม) วัดตรณาราม, อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี พระครูจุฬามุนีสังฆวาหะ (หลวงพ่อดำ ตาระโก) วัดสุบรรณนิมิตร จ.ชุมพร, อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร พระเทพวงศาจารย์(พระธรรมจารีย์ จันทร์ โกศโลหรือเจ้าคุณเฒ่า) วัดขันเงิน ,อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร พระครูประกาศิตธรรมคุณ (หลวงพ่อเพชร อินทโชติ) วัดวชิรประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี อดีตเจ้าคณะอำเภอกาญจนดิษฐ์ พระครูปราการศิลประกฤต ( พ่อท่านจูลิ่ม ) วัดบางทีง อ.ควนเนียง จ.สงขลา หลวงพ่อพัฒน์ นารโท อดีตเจ้าอาวาสวัดพัฒนาราม อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พระอุปัฌาย์พุ่ม ฉนฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดปากคู อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี พระครูโยคาธิการวินิต อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมบูชา , อดีตเจ้าคณะธรรมยุติ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าอธิการพระมหายุตต์ ธมฺมวิริโยอดีตเจ้าอาวาสวัดกลาง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พระครูดิตถารามคณาศัย (หลวงพ่อชม คุณาราโม ) วัดท่าไทร อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี.อดีตเจ้าคณะอำเภอกาญจนดิษฐ์ เจ้าพระยาพลเทพ (เฉลิม โกมารกุล ณ นคร) อดีตเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ", "title": "พระธรรมวิโรจนเถร (พลับ ฐิติกโร)" }, { "docid": "19251#2", "text": "ทิศเหนือ ติดต่อกับอ่าวไทย ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอดอนสัก และอำเภอสิชล (จังหวัดนครศรีธรรมราช) ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอนบพิตำ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) และอำเภอบ้านนาสาร ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอบ้านนาสารและอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี", "title": "อำเภอกาญจนดิษฐ์" } ]
2937
นิวเคลียสหมายถึงอะไร?
[ { "docid": "19853#0", "text": "นิวเคลียส (English: nucleus, พหูพจน์: nucleuses หรือ nuclei (นิวคลีไอ) มีความหมายว่า ใจกลาง หรือส่วนที่อยู่ตรงกลาง โดยอาจมีความหมายถึงสิ่งต่อไปนี้ โดยคำว่า นิวเคลียส (Nucleus) เป็นคำศัพท์ภาษาละตินใหม่ (New Latin) มาจากคำศัพท์เดิม nux หมายถึง ผลเปลือกแข็งเมล็ดเดียว (English: nut)", "title": "นิวเคลียส" } ]
[ { "docid": "6388#1", "text": "พลังงานนิวเคลียร์ หมายถึง พลังงานไม่ว่าลักษณะใดๆก็ตาม ซึ่งเกิดจากนิวเคลียสอะตอมโดย", "title": "พลังงานนิวเคลียร์" }, { "docid": "296136#4", "text": "ในระดับนิวเคลียส พลังงานยึดเหนี่ยวก็เท่ากับพลังงานที่ถูกใช้ปลดปล่อยให้เป็นอืสระเมื่อนิวเคลียสหนึ่งถูกสร้างขึ้นจากนิวคลีออนหรือนิวเคลียสอื่น ๆ พลังงานยึดเหนี่ยวนิวเคลียส () นี้(หมายถึงพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวคลีออนทั้งหลายให้เป็นหนึ่งนิวไคลด์) ได้มาจาก'แรงนิวเคลียส' (ปฏิสัมพันธ์ที่เหลือค้างอย่างแรง)และเป็นพลังงานที่ต้องใช้เพื่อแยกนิวเคลียสหนึ่งให้แตกออกเป็นนิวตรอนและโปรตอนอิสระในจำนวนที่เท่ากันกับที่พวกมันถูกยึดเหนี่ยวกันไว้ โดยที่นิวคลีออนเหล่านั้นจะต้องมีระยะห่างจากกันเพียงพอที่จะไม่ทำให้แรงนิวเคลียร์สามารถทำให้อนุภาคเหล่านั้นมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอีกต่อไป 'มวลส่วนเกิน' เป็นแนวคิดที่สัมพันธ์กันที่เปรียบเทียบเลขมวลของนิวเคลียสหนึ่งกับมวลที่วัดได้อย่างแท้จริงของมัน", "title": "พลังงานยึดเหนี่ยว" }, { "docid": "19858#15", "text": "รัศมีของนิวเคลียส (\"R\") ถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในปริมาณพื้นฐานที่ทุกแบบจำลองจะต้องคาดการณ์เอา สำหรับนิวเคลียสที่เสถียร (ไม่ใช่นิวเคลียสที่มีรัศมีหรือนิวเคลียสบิดเบี้ยวอื่น ๆ ที่ไม่เสถียร) รัศมีของนิวเคลียสจะมีค่าโดยประมาณเป็นสัดส่วนกับรากที่สามของเลขมวล (\"A\") ของนิวเคลียสและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิวเคลียสที่มีนิวคลีออนจำนวนมาก เมื่อพวกมันจัดเรียงตัวแบบทรงกลมมากขึ้น:", "title": "นิวเคลียสของอะตอม" }, { "docid": "137324#4", "text": "หมายถึง แร่ที่มีการแตกตัวของนิวเคลียสของธาตุซึ่งไม่เสถียร เนื่องจากมีพลังงานส่วนเกินอยู่ภายในนิวเคลียสมากจึงต้องถ่ายเทพลังงานส่วนเกินนี้\nออกมาเพื่อให้กลายเป็นอะตอมของธาตุที่เสถียร แร่นิวเคลียร์มี 2 ชนิดคือแร่กัมมันตภาพรังสี เป็นแร่ที่มีสมบัติในการปล่อยรังสีออกจากตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากกัมมันตภาพรังสีที่ปล่อยออกมาเป๋นคลื่นสั้น ได้แก่ \nยูเรเนียม ทอเรียม ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นแร่ที่ไม่ส่งกัมมันตภาพรังสีออกมาใช้ประโยชน์\nในการควบคุมการแตกตัวของนิวเคลียสของแร่กัมมันตภาพรังสี ได้แก่ เมอริลและโคลัมเนียม", "title": "แร่เชื้อเพลิง" }, { "docid": "179021#9", "text": "หมายถึง แร่ที่มีการแตกตัวของนิวเคลียสของธาตุซึ่งไม่เสถียร เนื่องจากมีพลังงานส่วนเกินอยู่ภายในนิวเคลียสมากจึงต้องถ่ายเทพลังงานส่วนเกินนี้ ออกมาเพื่อให้กลายเป็นอะตอมของธาตุที่เสถียร แร่นิวเคลียร์มี 2 ชนิดคือแร่กัมมันตภาพรังสี เป็นแร่ที่มีสมบัติในการปล่อยรังสีออกจากตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากกัมมันตภาพรังสีที่ปล่อยออกมาเป๋นคลื่นสั้น ได้แก่ ยูเรเนียม ทอเรียม ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นแร่ที่ไม่ส่งกัมมันตภาพรังสีออกมาใช้ประโยชน์ ในการควบคุมการแตกตัวของนิวเคลียสของแร่กัมมันตภาพรังสี ได้แก่ เมอริลและโคลัมเนียม", "title": "เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์" }, { "docid": "215735#4", "text": "ต้นกำเนิดของพลังงานที่ปล่อยออกมาในการหลอมรวม () ขององค์ประกอบเบาจะเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ของสองแรงที่ตรงข้ามกัน แรงหนึ่งคือแรงนิวเคลียสซึ่งรวมแรงจากโปรตอนและนิวตรอนเข้าด้วยกัน อีกแรงหนึ่งคือแรงคูลอมบ์ซึ่งเป็นสาเหตุให้โปรตอนทั้งหลายผลักกันเอง โปรตอนจะมีประจุบวกและผลักกันเอง แต่พวกมันก็ยังคงอยู่ติดกัน แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของอีกแรงหนึ่งที่เรียกว่าแรงดึงดูดของนิวเคลียส แรงนี้ถูกเรียกว่าแรงนิวเคลียร์ที่แข็งแกร่ง มันเอาชนะแรงผลักไฟฟ้าในระยะที่ใกล้กันมาก ผลของแรงนี้จะไม่สังเกตได้นอกนิวเคลียส นั่นคือความแรงจะขึ้นอยู่กับระยะทาง ทำให้มันเป็นแรงวิสัยใกล้ แรงเดียวกันยังดึงนิวคลีออน (นิวตรอนและโปรตอน) ให้อยู่ด้วยกัน เนื่องจากว่าแรงนิวเคลียสจะแข็งแกร่งกว่าแรงคูลอมบ์สำหรับนิวเคลียสของอะตอมที่มีขนาดเล็กกว่าธาตุเหล็กและนิกเกิล การสร้างนิวเคลียสเหล่านี้ขึ้นจากนิวเคลียสที่เบากว่าโดยการหลอม จะปลดปล่อยพลังงานมากขึ้นจากแรงดึงดูดสุทธิของอนุภาคเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับนิวเคลียสที่มีขนาดใหญ่กว่า จะไม่มีพลังงานถูกปล่อยออกมา เนื่องจากแรงนิวเคลียสเป็นแรงพิสัยใกล้และไม่สามารถกระทำต่อเนื่องกับนิวเคลียสขนาดใหญ่ที่อยู่นิ่งๆได้ ดังนั้นพลังงานจะไม่ถูกปล่อยออกมาอีกต่อไปเมื่อนิวเคลียสดังกล่าวถูกทำขึ้นโดยการหลอม; แต่พลังงานจะถูกดูดซึมในกระบวนการดังกล่าวแทน", "title": "การหลอมนิวเคลียส" }, { "docid": "19858#6", "text": "นิวเคลียสของอะตอมจะประกอบด้วยอนุภาคนิวตรอนและอนุภาตโปรตอน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นชัดถึงอนุภาคมูลฐานอื่น ๆ ที่เรียกว่าควาร์ก ที่จะถูกยึดเข้าด้วยกันโดยแรงนิวเคลียร์ที่แข็งแกร่ง ในการผสมกันของอนุภาคที่เสถียรและแน่นอนชุดหนึ่งของแฮดรอนที่เรียกว่าแบริออน แรงนิวเคลียร์ที่แข็งแกร่งจะขยายออกไปจนไกลพอจากแบริออนแต่ละตัวเพื่อที่จะหลอมรวมนิวตรอนและโปรตอนเข้าด้วยกันต้านกับแรงไฟฟ้​​าที่ผลักออกระหว่างโปรตอนด้วยกันที่มีประจุบวก แรงนิวเคลียร์ที่แข็งแกร่งมีระยะทำการที่สั้นมากและเป็นลดลงเป็นศูนย์อย่างรวดเร็วเพียงแค่เลยขอบของนิวเคลียส การปฏิบัติการร่วมกันของนิวเคลียสประจุบวกก็คือเพื่อที่จะยึดอิเล็กตรอนประจุไฟฟ้าลบให้อยู่ในวงโคจรของพวกมันรอบนิวเคลียส การสะสมของอิเล็กตรอนประจุลบที่โคจรรอบนิวเคลียสจะแสดงความเป็นพี่น้องกันเพื่อการกำหนดรูปแบบการทำงานบางอย่างและจำนวนของอิเล็กตรอนที่จะทำให้วงโคจรของพวกมันมีเสถียรภาพ องค์ประกอบทางเคมีที่อะตอมจะแสดงออกมาแบบไหนจะถูกกำหนดโดยจำนวนของโปรตอนในนิวเคลียสนั้น โดยที่อะตอมที่เป็นกลางจะมีจำนวนของอิเล็กตรอนที่โคจรรอบนิวเคลียสเท่ากันกับจำนวนของโปรตอนในนิวเคลียส องค์ประกอบทางเคมีของแต่ละอะตอมจะสามารถสร้างรูปแบบการทำงานของอิเล็กตรอนที่มีเสถียรมากยิ่งขึ้นโดยการทำงานร่วมกันเพื่อแบ่งปันอิเล็กตรอนของพวกมัน การแบ่งปันของอิเล็กตรอนเพื่อสร้างวงโคจรรอบนิวเคลียสที่เสถียรทำให้เกิดวิชาการด้านเคมีของโลกแมคโครของเรา", "title": "นิวเคลียสของอะตอม" }, { "docid": "6531#2", "text": "นิวไคลด์จะมีความหมายต่อนิวเคลียสมากกว่าจะมีความหมายต่ออะตอม กลุ่มนิวเคลียสที่เหมือนกันเป็นสมาชิกของนิวไคลด์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นแต่ละนิวเคลียสของคาร์บอน-13 นิวไคลด์จะประกอบด้วย 6 โปรตอนและ 7 นิวตรอน แนวคิดของนิวไคลด์ (หมายถึงสายพันธุ์ของนิวเคลียสแต่ละอย่าง) จะเน้นคุณสมบัติของนิวเคลียสมากกว่าคุณสมบัติทางเคมี ในขณะที่แนวคิดของไอโซโทป (การจัดกลุ่มอะตอมทั้งหมดของแต่ละองค์ประกอบ) จะเน้นด้านเคมีมากกว่าด้านนิวเคลียส เลขนิวตรอนจะมีผลกระทบอย่างมากต่อคุณสมบัติของนิวเคลียส แต่ผลกระทบต่อคุณสมบัติทางเคมีจะมีเพียงเล็กน้อยจนไม่ต้องนำมาคิดสำหรับองค์ประกอบส่วนใหญ่ แม้ในกรณีขององค์ประกอบที่มีน้ำหนักเบามากที่สุดที่อัตราส่วนของเลขนิวตรอนต่อเลขอะตอมจะแตกต่างกันอย่างน้อยที่สุดระหว่างไอโซโทปที่มักจะมีเพียงผลขนาดเล็กเท่านั้น แม้ว่ามันจะมีผลอยู่บ้างในบางสถานการณ์ (สำหรับไฮโดรเจนที่มีองค์ประกอบที่หนักที่สุด ผลไอโซโทปจะมากพอที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทางชีววิทยา) เนื่องจากไอโซโทปเป็นคำที่เก่ากว่า มันจึงเป็นที่รู้จักกันดีกว่านิวไคลด์ และบางครั้งมันยังคงถูกใช้ในบริบทที่นิวไคลด์อาจจะเหมาะสมมากกว่าเช่นในเทคโนโลยีนิวเคลียร์และเวชศาสต​​ร์นิวเคลียร์", "title": "ไอโซโทป" }, { "docid": "754794#0", "text": "การแตกเป็นเสี่ยงโดยรังสีคอสมิก () เป็นรูปแบบหนึ่งของนิวเคลียร์ฟิชชันและการสังเคราะห์นิวเคลียสที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ มันหมายถึงการก่อตัวขององค์ประกอบจากการกระทบกันของรังสีคอสมิคบนวัตถุ รังสีคอสมิกเป็นอนุภาคที่มีประจุพลังงานสูงจากนอกโลกมีขนาดตั้งแต่โปรตอน, อนุภาคแอลฟา, และนิวเคลียสของธาตุที่หนักกว่าหลายอย่าง ประมาณ 1% ของรังสีคอสมิกยังประกอบด้วยอิเล็กตรอนอิสระหลายตัวอีกด้วย", "title": "การแตกเป็นเสี่ยงโดยรังสีคอสมิก" }, { "docid": "772647#5", "text": "ทฤษฎีออร์บิทัลเชิงโมเลกุลใช้ผลรวมเชิงเส้นตรงของออร์บิทัลเชิงอะตอม (LCAO) ในการแสดงออร์บิทัลเชิงโมเลกุลเพื่อเกิดเป็นพันธะระหว่างอะตอม ซึ่งออร์บิทัลเชิงโมเลกุลเหล่านี้แบ่งออกเป็น ออร์บิทัลแบบสร้างพันธะ (bonding orbitals) ออร์บิทัลแบบต้านพันธะ (antibonding orbitals) และออร์บิทัลแบบไม่สร้างพันธะ (non-bonding orbitals) โดยออร์บิทัลแบบสร้างพันธะจะเป็นบริเวณที่มีความหนาแน่นของอิเล็กตรอนสูงระหว่างนิวเคลียสซึ่งอิเล็กตรอนในออร์บิทัลเหล่านี้จะยึดเหนี่ยวนิวเคลียสของอะตอมที่เกิดพันธะเข้าด้วยกัน ส่วนออร์บิทัลแบบต้านพันธะจะเป็นอิเล็กตรอนที่อยู่หลังนิวเคลียสและมีแนวโน้มที่จะดึงนิวเคลียสของอะตอมที่สร้างพันธะออกจากกันหรือทำให้ความแข็งแรงของพันธะอ่อนลงนั่นเอง อิเล็กตรอนในออร์บิทัลแบบไม่สร้างพันธะมักจะหมายถึงอิเล็กตรอนที่ยังคงอยู่ในออร์บิทัลเชิงอะตอมของอะตอมคู่ร่วมพันธะ โดยอิเล็กตรอนในออร์บิทัลชนิดนี้จะไม่มีอันตรกิริยากับส่วนอื่นๆของโมเลกุลและไม่มีผลต่อความแข็งแรงของพันธะด้วย", "title": "ทฤษฎีออร์บิทัลเชิงโมเลกุล" }, { "docid": "6388#32", "text": "พลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear energy) หมายถึง พลังงานไม่ว่าในลักษณะใดซึ่งเกิดจากการปลดปล่อยออกมาเมื่อมีการแยก, รวมหรือแปลงนิวเคลียส (หรือแกน) ของปรมาณู คำที่ใช้แทนกันได้คือ พลังงานปรมาณู (Atomic energy) ซึ่งเป็นคำที่เกิดขึ้นก่อนและใช้กันมาจนติดปาก โดยอาจเป็นเพราะมนุษย์เรียนรู้ถึงเรื่องของปรมาณู (Atom) มานานก่อนที่จะเจาะลึกลงไปถึงระดับนิวเคลียส แต่การใช้ศัพท์ที่ถูกต้องควรใช้คำว่า พลังงานนิวเคลียร์ อย่างไรก็ดีคำว่า Atomic energy ยังเป็นคำที่ใช้กันอยู่ในกฎหมายของหลายประเทศ สำหรับประเทศไทยได้กำหนดความหมายของคำว่าพลังงานปรมาณู ไว้ในมาตรา 3 แห่งพ.ร.บ.พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 ในความหมายที่ตรงกับคำว่า พลังงานนิวเคลียร์ และต่อมาได้บัญญัติไว้ในมาตรา3 ให้ครอบคลุมไปถึงพลังงานรังสีเอกซ์ด้วย การที่ยังรักษาคำว่าพลังงานปรมาณูไว้ในกฎหมาย โดยไม่เปลี่ยนไปใช้คำว่าพลังงานนิวเคลียร์แทน จึงน่าจะยังคงมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะในทางวิชาการถือว่า พลังงานเอกซ์ไม่ใช่พลังงานนิวเคลียร์ การกล่าวถึง พลังงานนิวเคลียร์ในเชิงปริมาณ ต้องใช้หน่วยที่เป็นหน่วยของพลังงาน โดยส่วนมากจะนิยมใช้หน่วย eV, KeV (เท่ากับ1,000 eV) และ MeV (เท่ากับ 1,000,000 eV) เมื่อกล่าวถึงพลังงานนิวเคลียร์ปริมาณน้อย และนิยมใช้หน่วยกิโลวัตต์- ชั่วโมง หรือ เมกะวัตต์-วัน เมื่อกล่าวถึงพลังงานปริมาณมากๆ โดย: 1MWd=เมกะวัตต์-วัน = 24,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมง และ 1MeV=1.854x10E-24 MWd", "title": "พลังงานนิวเคลียร์" }, { "docid": "175390#0", "text": "โพรแคริโอต () เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยออร์แกเนลที่ไม่มีเยื่อหุ้ม ไม่มีนิวเคลียส มักเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว คำว่า \"prokaryotes\" มาจาก ภาษากรีกโบราณ \"pro-\" ก่อน + \"karyon\" เมล็ด ซึ่งหมายถึงนิวเคลียส + ปัจจัย \"-otos\", พหูพจน์ \"-otes\" ตัวอย่างของเซลล์กลุ่มนี้ได้แก่", "title": "โพรแคริโอต" }, { "docid": "104741#1", "text": "โครงสร้างหลักของนิวเคลียสคือ เยื่อหุ้มนิวเคลียส (nuclear envelope) ซึ่งเป็นเยื่อสองชั้นที่หุ้มทั้งออร์แกเนลล์และทำหน้าที่แยกองค์ประกอบภายในออกจากไซโทพลาซึม (cytoplasm) อีกโครงสร้างหนึ่งคือ นิวเคลียร์ลามินา (nuclear lamina) ซึ่งเป็นโครงสร้างร่างแหภายในนิวเคลียส ทำหน้าที่เป็นโครงร่างค้ำจุน ให้ความแข็งแรงแก่นิวเคลียส คล้ายไซโทสเกลเลตอน (cytoskeleton) ภายในเซลล์ เนื่องจากเยื่อหุ้มนิวเคลียสมีลักษณะเป็นเยื่อเลือกผ่านที่โมเลกุลส่วนใหญ่ผ่านทะลุเข้าออกไม่ได้ ดังนั้นเยื่อหุ้มนิวเคลียสจึงต้องมีนิวเคลียร์พอร์ (nuclear pore) หรือช่องที่จะให้สารเคลื่อนผ่านเยื่อ ช่องเหล่านี้ทะลุผ่านเยื่อทั้งสองของเยื่อหุ้มนิวเคลียสให้โมเลกุลขนาดเล็กและไอออนเคลื่อนที่เข้าออกนิวเคลียสได้ การเคลื่อนที่เข้าออกของสารโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีน ต้องมีการควบคุมและต้องใช้โปรตีนช่วยขนส่งสาร (carrier proteins", "title": "นิวเคลียสของเซลล์" }, { "docid": "282682#0", "text": "เพปไทด์ส่งสัญญาณ () เป็นเพปไทด์สายสั้นๆ (มีกรดอะมิโน 3-60 ตัว) ที่ควบคุมการขนส่งโปรตีน \nความหมายอย่างแคบหมายถึง สายเพปไทด์สั้นๆที่สังเคราะห์ก่อนซึ่งนำเพปไทด์นั้นๆไปสู่เอนโดพลาสมิก เรติคิวลัม และเข้าสู่วิถีการหลั่งสารต่อไป ซึ่งต่างจากเพปไทด์ขนส่ง ซึ่งเป็นเพปไทด์ที่นำโปรตีนชนิดนั้นๆไปสู่ ไมโทคอนเดรีย คลอโรพลาสต์ หรืออะพิโคพลาสต์ แต่ความหมายอย่างกว้างหมายถึง ลำดับกรดอะมิโนที่นำโปรตีนที่สังเคราะห์ในไซโตซอลไปสู่ออร์แกเนล์ต่างๆทั้งนิวเคลียส ไมโทคอนเดรีย เอนโดพลาสมิก เรติคิวลัม คลอโรพลาสต์ อะโปพลาสต์ และเพอรอกซิโซม เพปไทด์ส่งสัญญาณในโปรตีนบางชนิดถูกตัดออกเมื่อการขนส่งโปรตีนเสร็จสิ้นลง", "title": "เพปไทด์ส่งสัญญาณ" }, { "docid": "69820#8", "text": "พลังงานจลน์อาจถูกปล่อยออกมาในระหว่างการเกิดปฏิกิริยา (หรือปฏิกิริยาคายความร้อน ()) หรือพลังงานจลน์อาจจะต้องมีการใส่เข้าไปเพื่อให้เกิดปฏิกิริยา (หรือปฏิกิริยาดูดความร้อน ()) ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยการอ้างอิงไปยังตารางของ'มวลนิ่งของอนุภาค' () ที่แม่นยำมากต่อไปนี้ ตามตารางที่อ้างอิงถึง นิวเคลียสของ มีมวลอะตอมสัมพันธ์ที่ 6.015 หน่วยมวลอะตอม (ตัวย่อ u), ดิวเทอเรียมมี 2.014 u และนิวเคลียสของฮีเลียม-4 มี 4.0026 u ดังนั้น:ในปฏิกิริยานิวเคลียร์หนึ่ง พลังงานสัมพันธ์ () รวมจะถูกอนุรักษ์ เพราะฉะนั้น มวลนิ่ง \"ที่ขาดหายไป\" จึงต้องเกิดขึ้นอีกครั้งในรูปของพลังงานจลน์ที่ถูกปล่อยออกไปในระหว่างปฏิกิริยา; แหล่งที่มาของมันคือพลังงานยึดเหนี่ยวนิวเคลียส () (พลังงานยึดเหนี่ยว, พลังงานยึดเหนี่ยวของโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียส มีค่าเท่ากับพลังงานที่น้อยที่สุดสำหรับการแยกนิวเคลียสออกเป็นโปรตอนและนิวตรอน นอกจากนี้ยังหมายถึง พลังงานยึดเหนี่ยวของอิเล็กตรอนด้วย ซึ่งมีค่าเท่ากับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อแยกอิเล็กตรอนออกมาจากอะตอมหรือโมเลกุล [นิวเคลียร์]) เมื่อใช้สูตรสมดุลมวล-พลังงาน \"E\" = \"mc\"² ของ Einstein ปริมาณของพลังงานที่ปล่อยออกมาก็จะสามารถกำหนดได้ ก่อนอื่นเราต้องรู้พลังงานเทียบเท่าของหนึ่งหน่วยมวลอะตอม:", "title": "ปฏิกิริยานิวเคลียร์" }, { "docid": "70244#13", "text": "เหตุที่ดาวฤกษ์สามารถมีความหนาแน่นสูงได้ถึงเพียงนี้ เพราะองค์ประกอบของดาวแคระขาวไม่ได้ประกอบด้วยอะตอมที่จับกันไว้ด้วยพันธะเคมี แต่ประกอบด้วยพลาสมาที่มีนิวเคลียสและอิเล็กตรอนซึ่งไม่ได้ดึงดูดต่อกัน จึงไม่มีอุปสรรคอันใดที่นิวเคลียสแต่ละตัวจะอยู่ใกล้กันยิ่งกว่าวงโคจรของอิเล็กตรอน (บริเวณที่อิเล็กตรอนล้อมอะตอมเอาไว้) จึงเป็นสิ่งที่ควรยอมรับเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตามความสงสัยสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพลาสมาที่เย็นและพลังงานที่ถูกเก็บไว้ในไอออไนซ์อะตอมไม่ได้แสดงให้เห็นเป็นระยะเวลาอันยาวนาน คำพูดที่ขัดกับความรู้สึกนี้ถูกแก้โดย R.H. Fowler ในปี 1926 โดยการประยุกต์กลศาสตร์ควอนตัมที่เพิ่งคิดขึ้นใหม่ ตั้งแต่ที่ว่าอิเล็กตรอนได้ประพฤติตามหลักการกีดกันของ Pauli จึงไม่มีอิเล็กตรอนสองตัวที่สามารถอาศัยอยู่ในสภาวะเดียวกันได้และมันจะต้องประพฤติตาม Fermi-Dirac statistics ถูกแนะนำในปี 1926 เพื่อพิจารณาการกระจายทางสถิติของอนุภาคที่ประพฤติตามหลักการกีดกันของ Pauli ที่อุณหภูมิ 0 เคลวิน ดังนั้นอิเล็กตรอนจึงไม่สามารถที่จะอยู่ที่สภาวะพลังงานต่ำสุดหรือ ground stat ได้ทั้งหมด อิเล็กตรอนบางตัวจึงอยู่ในสภาวะที่มีพลังงานสูงกว่าก่อตัวเป็นแถบของพลังงานต่ำสุดที่จะทำได้ (Fermi sea) ในสภาวะนี้เรียกว่าdegenerate หมายถึงดาวแคระขาวสามารถมีอุณหภูมิเย็นจนถึงศูนย์องศาสัมบูรณ์ได้ในขณะที่ยังคงมีพลังงานสูง วิธีอื่นที่จะหาผลลัพธ์คือการใช้หลักความไม่แน่นอน ที่อิเล็กตรอนความหนาแน่นสูงในดาวแคระขาวมีความหมายว่าตำแหน่งของมันถูกจำกัดเมื่อเทียบกับสิ่งอื่น (คือการสร้างความไม่แน่นอนของโมเมนตัมของมันที่สอดคล้องกัน) นี่หมายความว่าอิเล็กตรอนบางตัวต้องมีโมเมนตัมสูงและพลังงานจลน์สูง", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "426171#0", "text": "ในทางประสาทกายวิภาคศาสตร์ นิวเคลียส () หมายถึงกลุ่มของเซลล์ประสาทที่อยู่กันอย่างหนาแน่นภายในสมอง ในภาพตัดกายวิภาคบริเวณนิวเคลียสจะเป็นส่วนเนื้อเทา (gray matter) ที่ถูกรายล้อมด้วยเนื้อขาว (white matter) ซึ่งเป็นส่วนใยประสาท นิวเคลียสมีลักษณะโครงสร้างซับซ้อนประกอบด้วยเซลล์ประสาทหลายชนิดเรียงตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นชั้นๆ เพื่อทำหน้าที่ร่วมกัน ในสมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังประกอบด้วยนิวเคลียสต่างๆ มากนับร้อยนิวเคลียส ", "title": "นิวเคลียส (ระบบประสาท)" }, { "docid": "12515#5", "text": "ดิวเทอเรียมมาจากภาษากรีก deuteros หมายถึง \"ที่สอง\" เพื่อบอกถึงอนุภาค 2 ตัวประกอบขึ้นเป็นนิวเคลียส ดิวเทอเรียมถูกค้นพบและตั้งชื่อในปี ค.ศ. 1931 โดย แฮโรลด์ ซี. อูเรย์ ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1934 อูเรย์ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี การค้นพบนี้ตามด้วยการค้นพบนิวตรอนในปี ค.ศ. 1932 ซึ่งทำให้โครงสร้างนิวเคลียสของดิวเทอเรียมมีความชัดเจนขึ้น ไม่นานหลังจากการค้นพบดิวเทอเรียม อูเรย์และคนอื่นได้ผลิตตัวอย่างของน้ำชนิดหนัก ที่มีดิวเทอเรียมความเข้มข้นสูง น้ำชนิดหนักบริสุทธิ์ถูกสังเคราะห์ได้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1933 โดย กิลเบิร์ต นิวตัน เลวิส", "title": "ดิวเทอเรียม" }, { "docid": "330721#0", "text": "การสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์ () คือคำที่ใช้ในความหมายถึงปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นภายในดาวฤกษ์ ทำให้เกิดนิวเคลียสธาตุต่างๆ ที่หนักกว่าไฮโดรเจน ปฏิกิริยาในทำนองเดียวกันแต่มีขนาดเล็กกว่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ที่พื้นผิวดาวฤกษ์เช่นกัน ภายใต้สภาวะอันหลากหลาย สำหรับการเกิดธาตุจากเหตุการณ์ระเบิดของดาวฤกษ์ จะใช้คำเรียกว่า การสังเคราะห์นิวเคลียสของซูเปอร์โนวา", "title": "การสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์" }, { "docid": "426171#1", "text": "คำว่านิวเคลียสในบางครั้งอาจอนุโลมหมายถึงกลุ่มของเซลล์ประสาทที่กระจายตัวเป็นบริเวณกว้างแต่สามารถระบุแยกได้ อาทิ เรติคิวลาร์นิวเคลียสของทาลามัส (reticular nucleus of the thalamus) ซึ่งเป็นชั้นบางๆ ของเซลล์ประสาทชนิดยับยั้ง (inhibitory neuron) ที่อยู่ล้อมรอบทาลามัส", "title": "นิวเคลียส (ระบบประสาท)" }, { "docid": "6528#0", "text": "เลขอะตอม (atomic number) หมายถึงจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสของธาตุนั้นๆ หรือหมายถึงจำนวนอิเล็กตรอนที่วิ่งวนรอบนิวเคลียสของอะตอมที่เป็นกลาง เช่น ไฮโดรเจน (H) มีเลขอะตอมเท่ากับ 1", "title": "เลขอะตอม" }, { "docid": "371996#0", "text": "การปฏิสนธิ () หมายถึง การหลอมรวมระหว่างนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย การปฏิสนธิในสัตว์และพืชเป็นดังนี้", "title": "การปฏิสนธิ" }, { "docid": "14515#10", "text": "พลูโทเนียมเป็นโลหะแอกทิไนด์กัมมันตภาพรังสีซึ่งไอโซโทปพลูโทเนียม-239 (Pu-239) เป็นหนึ่งในสามไอโซโทปแรกของวัสดุฟิสไซล์ (อีก 2 ชนิดคือยูเรเนียม-233 และ ยูเรเนียม-235) นิวเคลียสอะตอมของไอโซโทปสามารถแตกตัวหรือแบ่งแยกนิวเคลียสเมื่อถูกชนด้วยนิวตรอนที่เคลื่อนที่ช้าและปลดปล่อยนิวตรอนมาเพียงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ทางนิวเคลียร์โดยแบ่งแยกนิวเคลียสเพิ่มมากขึ้น\nPu-239 มีค่าองค์ประกอบทวีคูณ (k) มากกว่าหนึ่งซึ่งหมายถึง ถ้าพลูโทเนียมมีมวลพอเพียงและรูปทรงที่เหมาะสม (เช่น ถูกอัดเป็นทรงกลม) มันจะมีมวลวิกฤต ระหว่างการแบ่งแยกนิวเคลียส ส่วนของพลังงานยึดเหนี่ยวซึ่งยึดนิวเคลียสไว้ด้วยกันจะปลดปล่อยความร้อน, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และพลังงานจลน์ออกมาจำนวนมาก พลูโทเนียมหนึ่งกิโลกรัมสามารถสร้างแรงระเบิดเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 20,000 ตัน มันมีพลังงานมากพอที่ทำให้ Pu-239 สามารถนำไปใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์และใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์", "title": "พลูโทเนียม" }, { "docid": "19858#0", "text": "นิวเคลียส ของอะตอม () เป็นพื้นที่ขนาดเล็กที่หนาแน่นในใจกลางของอะตอม ประกอบด้วยโปรตอน และนิวตรอน (สำหรับอะตอมของไฮโดรเจนธรรมดา นิวเคลียสมีแต่โปรตอนเท่านั้น ไม่มีนิวตรอน) นิวเคลียสถูกค้นพบในปี 1911 โดยเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ที่ได้จาก'การทดลองฟอยล์สีทองของ Geiger-Marsden ในปี 1909'. หลังจากการค้นพบนิวตรอนในปี 1932 แบบจำลองของนิวเคลียสที่ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วโดย Dmitri Ivanenko และเวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก เกือบทั้งหมดของมวลของอะตอมตั้งอยู่ในนิวเคลียสกับอยู่ในขนาดที่เล็กมากของ'เมฆอิเล็กตรอน' โปรตอนและนิวตรอนจะหลอมรวมกันเพื่อก่อตัวขึ้นเป็นนิวเคลียสด้วยแรงนิวเคลียร์", "title": "นิวเคลียสของอะตอม" }, { "docid": "69820#0", "text": "ปฏิกิริยานิวเคลียร์ () ในสาขาฟิสิกส์นิวเคลียร์และเคมีนิวเคลียร์ หมายถึงกระบวนการที่นิวเคลียส 2 ตัวของอะตอมเดียวกัน หรือนิวเคลียสของอะตอมหนึ่งและอนุภาคย่อย ของอีกอะตอมหนึ่งจากภายนอกอะตอมนั้น ชนกัน ทำให้เกิดนิวเคลียสใหม่หนึ่งตัวหรือมากกว่าหนึ่งตัวที่มีจำนวนอนุภาคย่อยแตกต่างจากนิวเคลียสที่เริ่มต้นกระบวนการ ดังนั้นปฏิกิริยานิวเคลียร์จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอย่างน้อยหนึ่งนิวไคลด์ ไปเป็นอย่างอื่น หากนิวเคลียสหนึ่งมีปฏิกิริยากับอีกนิวเคลียสหนึ่งหรืออนุภาคอื่นและพวกมันก็แยกออกจากกันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของนิวไคลด์ใด ๆ กระบวนการนี้เป็นแต่เพียงประเภทหนึ่งของการกระเจิงของนิวเคลียสเท่านั้น ไม่ใช่ปฏิกิริยานิวเคลียร์", "title": "ปฏิกิริยานิวเคลียร์" }, { "docid": "427965#0", "text": "ปฏิกิริยา S1 เป็นปฏิกิริยาการแทนที่ในเคมีอินทรีย์ที่เกิดกับสารพวกอัลคิลเฮไลด์ (R-X) โดยที่ S นั้นหมายถึง nucleophilic substitution หรือ การแทนที่ด้วยสารที่ชอบนิวเคลียส (สารที่มีประจุลบ) ส่วนเลข 1 หมายถึงอันดับของการเกิดปฏิกิริยา ซึ่งอัตราเร็วในการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยู่กับความเข้นข้นของสารตั้งต้น (อัลคิลเฮไลด์) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับการเกิดปฏิกิริยาจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้สำหรับความสเถียรของ carbocation เรียงลำดับได้ดังนี้\n(R) -C > (R) -C-H > R-C-H > (H) -C", "title": "ปฏิกิริยา SN1" }, { "docid": "19858#5", "text": "คำว่านิวเคลียสมาจากคำภาษาละตินว่า\"นิวเคลียส\" คำย่อของ \"nux\" (\"นัท\") หมายถึงเมล็ด (หรือ \"ถั่วเล็ก\") ภายในผลไม้ประเภทน้ำ (เช่นลูกพีช). ในปี 1844, ไมเคิล ฟาราเดย์ ใช้คำนี้ในการอ้างถึง \"จุดกลางของอะตอม\" ความหมายของอะตอมที่ทันสมัย​​ถูกเสนอโดยเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ดในปี 1912 อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการยอมรับคำว่า \"นิวเคลียส\" ในทฤษฎีอะตอมโดยทันที ในปี 1916 กิลเบิร์ท เอ็น ลูอิสได้ระบุไว้ในบทความที่มีชื่อเสียงของเขา \"อะตอมและโมเลกุล\" ว่า \"อะตอมประกอบด้วย \"kernel\" และส่วนนอกอะตอมหรือ\"เปลือกนอก\"\"", "title": "นิวเคลียสของอะตอม" }, { "docid": "368024#3", "text": "1 เบ็กเคอเรล หมายถึง กัมมันตภาพหรือการแผ่รังสีที่เกิดจาก 1 นิวเคลียสสลายตัวใน 1 วินาที เขียนโดยย่อเป็น ", "title": "แบ็กแรล" }, { "docid": "716049#0", "text": "แคริโอไทป์หรือคาริโอไทป์ () หมายถึงจำนวนและลักษณะของโครโมโซมในนิวเคลียสของเซลล์ยูคาริโอต นอกจากนี้ยังใช้เวลากล่าวถึงชุดของโครโมโซมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งๆ หรือสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ อีกด้วย", "title": "แคริโอไทป์" } ]
1596
ฟินแลนด์มีขนาดพื้นที่ของประเทศเท่าไหร่?
[ { "docid": "17186#1", "text": "ฟินแลนด์มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ในพื้นที่ 338,145 ตารางกิโลเมตร นับว่ามีประชากรที่เบาบาง แต่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ตามสถิติของสหประชาชาติ พ.ศ. 2549 อยู่ในลำดับที่ 11 ฟินแลนด์เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนหลายศตวรรษ หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปี พ.ศ. 2460 ปัจจุบันฟินแลนด์เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย", "title": "ประเทศฟินแลนด์" } ]
[ { "docid": "17186#33", "text": "ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีทะเลสาบและเกาะเป็นจำนวนมาก โดยมีทะเลสาบถึง 187,888 แห่ง (ที่มีเนื้อที่มากกว่า 500 ตารางเมตร) และมีเกาะถึง 179,584 เกาะ โดยทะเลสาบไซมา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟินแลนด์ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าของยุโรป ภูมิประเทศทั่วไปของฟินแลนด์มีลักษณะเป็นที่ราบ ไม่มีภูเขามากนัก จุดสูงสุดของประเทศอยู่ที่ภูเขาฮัลติ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขตแลปแลนด์ โดยมีความสูง 1,328 เมตร นอกจากทะเลสาบแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟินแลนด์ปกคลุมด้วยป่าสน และมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มากนัก ฟินแลนด์มีเกาะที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ บริเวณหมู่เกาะโอลันด์ และตลอดแนวชายฝั่งทางใต้ในอ่าวฟินแลนด์ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศของโลกที่ยังคงมีขนาดใหญ่ขึ้น จากการยกตัวของแผ่นดินที่มีผลมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "370256#0", "text": "ฟลานเดอร์ตะวันตก (, ) เป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกที่สุดของเขตฟลามส์และประเทศเบลเยียม โดยทางเหนือและทางตะวันตกมีพื้นที่ติดต่อกับทะเลเหนือ, ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดเซลันด์ของประเทศเนเธอร์แลนด์, ทางตะวันออกติดต่อกับมณฑลฟลานเดอร์ตะวันออก และทางใต้ติดต่อกับมณฑลแอโนของประเทศเบลเยียมและจังหวัดนอร์ของประเทศฝรั่งเศส", "title": "มณฑลฟลานเดอร์ตะวันตก" }, { "docid": "17186#3", "text": "ตั้งแต่ประมาณ 2,700 ปีก่อนพุทธกาล ดินแดนฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทางใต้ของอ่าวฟินแลนด์ โดยเข้ามาทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ มีหลักฐานของเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะเฉพาะ ต่อมาในยุคสำริด พื้นที่ทางชายฝั่งของฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากสแกนดิเนเวียและยุโรปกลาง ในขณะที่พื้นที่ที่อยู่ห่างจากทะเลเข้าไป ได้รับอิทธิพลการใช้สำริดมาจากทางตะวันออกมากกว่า", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "8191#1", "text": "ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีพื้นที่ต่ำ โดย 20% ของพื้นที่อยู่ และ 21% ของประชากรอาศัยอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และ 50% ของพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกินหนึ่งเมตร ซึ่งลักษณะเด่นนี้เป็นที่มาของชื่อประเทศ ในภาษาดัตช์ อังกฤษและภาษาอื่นของยุโรปอีกหลายภาษา ชื่อประเทศหมายถึง \"แผ่นดินต่ำ\" หรือ \"กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ\" พื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการสกัดพีต (peat) อย่างกว้างขวางและมีการควบคุมไม่ดีหลายศตวรรษทำให้พื้นผิวต่ำลงหลายเมตร แม้ในพื้นที่น้ำท่วมถึง การสกัดพีตยังดำเนินต่อไปโดยการขุดลอกพื้นที่ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการฟื้นสภาพที่ดินและปัจจุบันมีการสงวนพื้นที่โพลเดอร์ (polder) ขนาดใหญ่ด้วยระบบการระบายน้ำที่ซับซ้อนซึ่งมีทั้งพนัง คลองและสถานีสูบ พื้นที่เกือบ 17% ของประเทศเป็นพื้นที่ที่เกิดจากการถมทะเล พื้นที่บริเวณกว้างของเนเธอร์แลนด์เกิดจากชะวากทะเลของแม่น้ำสำคัญของทวีปยุโรปสามสายและลำน้ำแตกสาขาเกิดเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไรน์–เมิซ–ซเกลดะ (Rhine–Meuse–Scheldt delta) พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ราบ ยกเว้นเนินเขาทางตะวันออกเฉียงใต้และเทือกเขาเตี้ย ๆ หลายเทือกทางตอนกลาง", "title": "ประเทศเนเธอร์แลนด์" }, { "docid": "17186#0", "text": "ประเทศฟินแลนด์ ( \"ซูโอมี\"; ) มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐฟินแลนด์ \n(; ) เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป เขตแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้จรดทะเลบอลติก ทางด้านใต้จรดอ่าวฟินแลนด์ ทางตะวันตกจรดอ่าวบอทเนีย ประเทศฟินแลนด์มีชายแดนติดกับประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และรัสเซีย สำหรับหมู่เกาะโอลันด์ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นั้น อยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง เคยถูกรัสเซียยึดครองและเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "80088#25", "text": "ฟินแลนด์อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลทางการทหารของสหภาพโซเวียตแต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความเป็นกลาง ฟินแลนด์ไม่ได้มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ไม่ได้เป็นสมาชิกของประเทศที่ร่วมทำสนธิสัญญาวอร์ซอหรือ แต่เป็นสมาชิกของสมาคมการค้าเสรียุโรปหรือเอฟตาและอยู่ทางตะวันตกของม่านเหล็ก ออสเตรียได้รับเอกราชในฐานะสาธารณรัฐในปีค.ศ. 1955 ภายใต้เงื่อนไขไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ออสเตรียอยู่ทางตะวันตกของม่านเหล็กและอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของสหรัฐ สเปนไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มนาโตจนกระทั่งปีค.ศ. 1982 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของสงครามเย็นและเกิดขึ้นภายหลังการตายของจอมพลฟรันซิสโก ฟรังโกถึง 7 ปี", "title": "โลกตะวันตก" }, { "docid": "370116#0", "text": "ฟลานเดอร์ตะวันออก (, ) เป็นมณฑลในเขตฟลามส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเขตของประเทศเบลเยียม โดยทางเหนือมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดเซลันด์ของประเทศเนเธอร์แลนด์, ทางตะวันออกติดต่อกับมณฑลแอนต์เวิร์ปและมณฑลเฟลมิชบราบันต์, ทางใต้ติดต่อกับมณฑลแอโน และทางตะวันตกติดต่อกับมณฑลฟลานเดอร์ตะวันตกของประเทศเบลเยียม", "title": "มณฑลฟลานเดอร์ตะวันออก" }, { "docid": "2614#7", "text": "ประเทศนิวซีแลนด์แบ่งออกเป็น 2 เกาะหลัก และเกาะเล็กๆ อีกหลายเกาะตั้งอยู่กลางกระแสน้ำแบ่งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ทางเหนือและทางใต้ของเกาะถูกแบ่งโดยช่องแคบคุกซึ่งมีความกว้าง 20 กิโลเมตร และเป็นจุดที่แคบที่สุดของเกาะ ปริมาณพื้นที่ของประเทศคือ 268,680 ตารางกิโลเมตร ( 103,738 ตารางไมล์ ) มีขนาดเล็กกว่าประเทศอิตาลีและประเทศญี่ปุ่นเล็กน้อย และเล็กกว่าสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เกาะที่มีขนาดเล็กกว่าที่มีผู้คนอาศัยอยู่และมีความสำคัญประกอบไปด้วยเกาะ Stewart Island/Rakiura; เกาะ Waiheke, เกาะ Great Barrier และเกาะ Chatham ประเทศนิวซีแลนด์มีแหล่งน้ำครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นประเทศอันดับ 7 ของโลกที่มีพื้นที่ทางน้ำซึ่งมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจครอบคลุมถึง 4 ล้านตารางกิโลเมตร ( 1.5 ล้านตารางไมล์ ) มากกว่าขนาดพื้นที่ดินถึง 15 เท่า\nจุดที่สูงที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์คือภูเขา Aoraki/Mount Cook ซึ่งมีความสูง 3754 เมตร ( 12,320 ฟุต ) มีจุดที่สูงที่สุด 18 แห่งที่มีความสูงเกิน 3,000 เมตร ( 10,000 ฟุต ) อยู่ทางใต้ของเกาะ\nทางเหนือของเกาะมีพื้นที่ที่เป็นภูเขาน้อยกว่าทางใต้ แต่เป็นที่รู้กันว่าภูเขาเหล่านั้นเป็นภูเขาไฟ ภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะทางเหนือคือภูเขา Mount Ruapehu ( 2,797 เมตร / 9,177 ฟุต ) และเป็นภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่ มีพื้นที่หลายแห่งที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ", "title": "ประเทศนิวซีแลนด์" }, { "docid": "17186#43", "text": "ฟินแลนด์มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน และมีความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ราว 17 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรของฟินแลนด์กระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ในจังหวัดอูซิมาซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงมีความหนาแน่น 30 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในส่วนของตัวเมืองเฮลซิงกิมีความหนาแน่นถึงสามพันคนต่อตารางกิโลเมตร) ในขณะที่ทางตอนเหนือในเขตแลปแลนด์ มีประชากรเพียงสองคนต่อตารางกิโลเมตรเท่านั้น เมืองใหญ่อื่นๆนอกจากในเขตมหานครเฮลซิงกิ (ซึ่งรวมถึงเมืองวันตาและเอสโป) ได้แก่ตัมเปเร ตุรกุ และโอวลุ", "title": "ประเทศฟินแลนด์" } ]
3214
ใครค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ?
[ { "docid": "2122#0", "text": "เซอร์ไอแซก นิวตัน (English: Isaac Newton) (25 ธันวาคม ค.ศ. 1641 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1725 ตามปฏิทินจูเลียน) นักฟิสิกส์ นัก คณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญา นักเล่นแร่แปรธาตุ และนักเทววิทยาชาวอังกฤษ​", "title": "ไอแซก นิวตัน" } ]
[ { "docid": "3779#6", "text": "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) สามารถที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าแรงโน้มถ่วงนั้นเกิดจากความโค้งของกาล-อวกาศ (space-time)หรืออาจจะแปลว่าปริภูมิก็ได้ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเป็นทฤษฎีเชิงเรขาคณิตที่ถือหลักว่ามวลและพลังงานทำให้เกิดการโค้งงอของกาล-อวกาศ การโค้งนี้ส่งผลต่อเส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคอิสระรวมทั้งแสง และเขาก็สามารถที่จะลบล้างสมมติฐานของนิวตันที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงแพร่กระจายตัวออกไปอย่างทันทีทันใดของแรงโน้มถ่วงลงได้อีกด้วย", "title": "วงโคจร" }, { "docid": "3779#2", "text": "ความเข้าใจในปัจจุบันในกลศาสตร์ของการเคลื่อนที่ในวงโคจรอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งคิดสำหรับแรงโน้มถ่วงอันเนื่องจากความโค้งของอวกาศ-เวลาที่มีวงโคจรตามเส้น จีโอแดสิค (geodesics) เพื่อความสะดวกในการคำนวณ สัมพัทธภาพจะเป็นค่าประมาณโดยทั่วไปของทฤษฎีพื้นฐานแห่งแรงโน้มถ่วงสากลตามกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเคปเลอร์ ", "title": "วงโคจร" }, { "docid": "154005#52", "text": "ขณะที่กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทราบอายุที่แท้จริงของจักรวาล มันยังได้สร้างข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีเกี่ยวกับอนาคตอีกด้วย นักดาราศาสตร์จากกลุ่มค้นหาซูเปอร์โนวาอัตราเร็วสูง (High-z Supernova Search Team) และจากโครงการจักรวาลวิทยาซูเปอร์โนวาใช้กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลสำรวจซูเปอร์โนวาที่อยู่ไกลโพ้น และค้นพบว่าจักรวาลกำลังขยายตัวด้วยความเร่งมากกว่าจะถูกหน่วงไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงของตัวมันเอง การค้นพบนี้สอดคล้องกับการสำรวจด้วยกล้องโทรทรรศน์จากพื้นโลกและอวกาศที่มีความละเอียดสูงกว่าในเวลาต่อมา แต่สาเหตุของความเร่งนั้นยังไม่มีใครเข้าใจ", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "3862#15", "text": "วิวัฒนาการของจักรวาลทั้งหมดหลังจากยุคของการพองตัวสามารถอธิบายได้ด้วยแบบจำลองแลมบ์ดา-ซีดีเอ็มอันเป็นแบบจำลองจักรวาลวิทยา โดยใช้กรอบสังเกตการณ์อิสระของกลศาสตร์ควอนตัมกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ อย่างไรก็ดี ดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า แบบจำลองเท่าที่มีอยู่ยังไม่สามารถใช้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนช่วงเวลา 10-15 วินาทีแรกได้ ทฤษฎีรวมแรงใหม่ๆ อย่างเช่นทฤษฎีโน้มถ่วงเชิงควอนตัมเป็นความพยายามที่จะข้ามพ้นข้อจำกัดนั้น ความเข้าใจในสภาวะแรกเริ่มในประวัติศาสตร์ของเอกภพเป็นหนึ่งในปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทางฟิสิกส์ที่ยังไม่สามารถค้นหาคำตอบได้", "title": "บิกแบง" }, { "docid": "764#4", "text": "ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งนำกลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นไปตามหลักแห่งความสมมูล วางรากฐานของจักรวาลเชิงสัมพัทธ์ และค่าคงที่จักรวาล ขยายแนวความคิดยุคหลังนิวตัน สามารถอธิบายจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของดาวพุธได้อย่างลึกซึ้ง ทำนายการหักเหของแสงอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงและเลนส์ความโน้มถ่วง อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ของแรงยกตัว ริเริ่มทฤษฎีการแกว่งตัวอย่างกระจายซึ่งอธิบายการเคลื่อนที่ของบราวน์ของโมเลกุล ทฤษฎีโฟตอนกับความเกี่ยวพันระหว่างคลื่น-อนุภาค ซึ่งพัฒนาจากคุณสมบัติอุณหพลศาสตร์ของแสง ทฤษฎีควอนตัมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอะตอมในของแข็ง พลังงานที่จุดศูนย์ อธิบายรูปแบบย่อยของสมการของชเรอดิงเงอร์ EPR paradox ริเริ่มโครงการทฤษฎีแรงเอกภาพ", "title": "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" }, { "docid": "170909#17", "text": "แม้ว่าสสารมืดจะถูกค้นพบจากการใช้เลนส์โน้มถ่วงตั้งแต่ปี 2006 และอีกหลาย ๆ แง่มุมทางทฤษฎี การทดลองที่อ้างถึงการเดินทางของสสารมืดผ่านโลก ก็ยังเป็นข้อสงสัยของนักวิทยาศาสตร์อยู่ เนื่องจากผลจากการทดลองยังไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัด จากผลของ DAMA สสารมืด ประกอบด้วย neutralinos และเมื่อใช้เลนส์โน้มถ่วงและการใช้วิธีต่าง ๆ พบว่ามวลในจักรวาล 85-90% ไม่ทำปฏิกิริยากับแรงทางแม่เหล็กไฟฟ้า จึงได้มีการตั้งสมมุติฐานว่า สสารมืด สามารถแบ่งได้ 3 แบบคือ", "title": "สสารมืด" }, { "docid": "68383#13", "text": "ไอแซก นิวตัน คิดว่าเวลาและพื้นที่ (สเปซ) เป็นมิติสำหรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังที่เขากล่าวว่า\nไอน์สไตน์คิดว่า เวลามีความสัมพัทธกับความเร็วแสง กล่าวคือ หากแสงเดินทางช้าลงก็จะไปดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น เพื่อชดเชยกับความเร็วแสงที่สูญเสียไป ทำให้แสงเดินทางด้วยความเร็วคงที่อยู่ตลอดเวลา โดยปัจจัยที่ทำให้แสงเดินทางช้าลงเช่น แรงโน้มถ่วงคือ ในที่ๆไม่มีแรงโน้มถ่วงเวลาจะเดินเร็วกว่าในที่ที่มีแรงโน้มถ่วง ซึ่งจากทฤษฎีของไอน์สไตน์ทำให้พบว่า การส่งดาวเทียมขึ้นไปนอกโลกเพื่อรายงานผลกลับมายังพื้นโลกนั้น ต้องหักค่าความต่างของเวลาออกไป เพื่อให้ข้อมูลที่ส่งมาเป็นข้อมูลที่เป็นจริง ", "title": "เวลา" }, { "docid": "5992#18", "text": "หลุมดำแบบง่ายที่สุดที่เป็นไปได้ คือแบบที่มีเพียงมวล แต่ไม่มีประจุและโมเมนตัมเชิงมุม หลุมดำประเภทนี้เรียกว่า หลุมดำชวาร์สชิลด์ ตามชื่อนักฟิสิกส์ผู้ค้นพบคำตอบดังกล่าวในปี ค.ศ. 1915 คือ คาร์ล ชวาร์สชิลด์ หลุมดำชนิดนี้เป็นผลลัพธ์แท้จริงสำหรับสมการไอน์สไตน์อย่างแรกที่มีการค้นพบ รวมถึงสอดคล้องกับทฤษฎีเบอร์คอฟฟ์ที่อธิบายถึงสุญญากาศเพียงชนิดเดียวที่เป็นสมมาตรทรงกลม ในโลกแห่งความจริงของฟิสิกส์ นี่หมายความว่าการสังเกตการณ์สนามแรงโน้มถ่วงของหลุมดำกับของวัตถุทรงกลมอื่นที่มีมวลพอๆ กันอย่างเช่นดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ทรงกลมซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในอวกาศว่างเปล่าภายนอกวัตถุ จะไม่มีความแตกต่างกันเลย ทำให้แนวคิดยอดนิยมที่ว่าหลุมดำจะ \"ดูดทุกอย่าง\" รอบตัวมันเข้าไปนั้นไม่ถูกต้อง สนามโน้มถ่วงภายนอกที่อยู่พ้นจากขอบฟ้าเหตุการณ์ก็มีสภาพเหมือนกับสนามของวัตถุขนาดใหญ่ธรรมดาทั่วไป", "title": "หลุมดำ" }, { "docid": "764#25", "text": "พ.ศ. 2455 ไอน์ชไตน์กลับมายังสวิตเซอร์แลนด์และรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิมที่เขาเป็นศิษย์เก่า คือ ETH เขาได้พบกับนักคณิตศาสตร์ มาร์เซล กรอสมานน์ ซึ่งช่วยให้เขารู้จักกับเรขาคณิตของรีมานน์และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ และโดยการแนะนำของทุลลิโอ เลวี-ซิวิตา นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ไอน์ชไตน์จึงได้เริ่มใช้ประโยชน์จากความแปรปรวนร่วมเข้ามาประยุกต์ในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขา มีช่วงหนึ่งที่ไอน์ชไตน์รู้สึกว่าแนวทางนี้ไม่น่าจะใช้ได้ แต่เขาก็หันกลับมาใช้อีก และในปลายปี พ.ศ. 2458 ไอน์ชไตน์จึงได้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งยังคงใช้อยู่ตราบถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงว่าเป็นการบิดเบี้ยวของโครงสร้างกาลอวกาศโดยวัตถุที่ส่งผลเป็นแรงเฉื่อยต่อวัตถุอื่น", "title": "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" }, { "docid": "753015#5", "text": "แรงโน้มถ่วงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแบบจำลองมาตรฐาน แต่มันถูกพิจารณาว่าอาจจะมีอนุภาคที่เรียกว่าแกรวิตอน ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของคลื่นแรงโน้มถ่วง สถานะของอนุภาคนี้ยังคงไม่แน่นอน เพราะทฤษฎีที่ยังไม่สมบูรณ์และเพราะว่าปฏิสัมพันธ์ของหลายแกรวิตอน \"ที่อยู่กันตามลำพัง\" อาจจะอ่อนแอเกินไปที่จะถูกตรวจพบ", "title": "พาหะแรง" }, { "docid": "5992#13", "text": "ในปี ค.ศ. 1915 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับความโน้มถ่วงเรียกว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งแสดงให้เห็นดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า แรงโน้มถ่วงมีผลกระทบกับแสง (แม้ว่าแสงจะมีมวลเป็นศูนย์ก็ตาม ทว่าจุดกำเนิดของสภาพโน้มถ่วงมิได้เกิดจากมวล แต่เกิดจากพลังงาน) หลังจากนั้นไม่กี่เดือน คาร์ล ชวาร์สชิลด์ ได้เสนอมาตราชวาร์สชิลด์สำหรับสนามโน้มถ่วงของมวลแบบจุดและมวลทรงกลม ที่แสดงว่าหลุมดำสามารถเกิดขึ้นได้ตามทฤษฎี ปัจจุบันรัศมีชวาร์สชิลด์เป็นที่รู้จักกันในฐานะรัศมีของขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำที่ไม่หมุน แต่ในเวลานั้นผู้คนยังไม่เข้าใจกัน ตัวอย่างเช่นชวาร์สชิลด์เองก็ยังคิดว่ามันไม่อาจเป็นจริงในทางกายภาพ โจฮันเนส โดรสเต นักศึกษาของเฮนดริก ลอว์เรนซ์ ได้เสนอผลลัพธ์แบบเดียวกันสำหรับมวลแบบจุดหลังจากที่ชวาร์สชิลด์เสนอแนวคิดเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งยังได้อธิบายคุณสมบัติบางประการเพิ่มเติมอีกด้วย", "title": "หลุมดำ" }, { "docid": "170909#4", "text": "การพิสูจน์เกี่ยวกับสสารมืดว่ามีอยู่จริงมีมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่มาจากการอธิบายการเคลื่อนที่ของดาราจักร ซึ่งดูเหมือนจะมีรูปแบบที่แน่นอน จาก virial theorem พบว่าพลังงานจลน์รวมจะมีค่าเป็นครึ่งหนึ่งของพลังงานจากแรงโน้มถ่วง แต่จากการคาดการทางทฤษฏีเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจพบว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางของดาราจักรมีความเร็วมากกว่าที่ทำนายไว้ในทฤษฏี ซึ่งจากทฤษฎีคำนวณพลังงานจากแรงโน้มถ่วงซึ่งพิจารณาจากมวลที่มองเห็นเท่านั้น ซึ่ง galactic rotation curve เป็นความสัมพันธ์ของความเร็วเชิงมุมกับระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของดาราจักร วัตถุที่มองเห็นเท่านั้นไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ซึ่งถ้าประมาณคร่าว ๆ ดาราจักรมีลักษณะเป็นทรงกลมที่มีสมมาตรแล้วสสารมืด และวัตถุที่มองเห็นจะมารวมกันอยู่ตรงกลางของดาราจักร ส่วนดาราจักรที่มีดาวแคระขาวอยู่ จะแสดงคุณสมบัติที่แปลกออกไป โดยจะมีอัตราส่วนของมวลวัตถุที่มองเห็นต่อสสารมืดมีค่าน้อย ทำให้การสำรวจวัตถุที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางมาก ๆ มีผลการสำรวจแย่ลง\nการศึกษากระจุกของดาราจักรด้วยเลนส์โน้มถ่วงเป็นการประมาณมวลที่มีอยู่ในกระจุกดาราจักรโดยดูจากผลการรวมแสงที่มาจากดาราจักรพื้นหลัง ดังเช่นในกระจุกดาราจักร Abell 1689 การใช้เลนส์โน้มถ่วงสามารถยืนยันถึงการมีอยู่ของมวลมากกว่าที่มองเห็นได้เพียงลำพังจากแสงของกระจุกดาราจักร ในขณะที่การสังเกตการณ์กระจุกดาราจักรหัวกระสุนก็แสดงให้เห็นว่า มีมวลสารจำนวนมามากที่ให้ผลทางเลนส์โน้มถ่วง ซึ่งแยกส่วนออกมาอย่างเด่นชัดจากผลของมวลที่แผ่รังสีเอ็กซ์ที่เรารู้จักเป็นอย่างดี", "title": "สสารมืด" }, { "docid": "295309#2", "text": "ทฤษฎีการรวมแรงครั้งใหญ่นี้ ยังมิได้รวมไปถึงการควบรวมอันตรกิริยาตามแบบจำลองมาตรฐานเข้ากับแรงโน้มถ่วงควอนตัม มีการคาดการณ์ว่าอาจเป็นไปได้ที่จะรวมเอา แรงโน้มถ่วง เข้ากับอันตรกิริยาทั้งสามอย่างตามทฤษฎีเกจ เพื่อให้กลายเป็น ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of everything)", "title": "ทฤษฎีการรวมแรงครั้งใหญ่" }, { "docid": "194853#0", "text": "ทฤษฎีโน้มถ่วงเชิงควอนตัม () เป็นทฤษฎีที่พยายามรวม กลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งอธิบายแรงพื้นฐาน สามแรงคือ แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม และแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน เข้ากับ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ซึ่งใช้อธิบายแรงโน้มถ่วง เป้าหมายของทฤษฎีนี้ก็คือ การอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในระดับพลังงานสูง และ ทฤษฎีควอนตัมในระดับสเกลใหญ่ภายใต้กฎหนึ่งเดียวเป็นทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of Everything: TOE)", "title": "ความโน้มถ่วงเชิงควอนตัม" }, { "docid": "500057#4", "text": "ทฤษฎีสนามแรงบิด บางครั้งถูกนำเสนอในลักษณะการทดแทนทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป เช่น ทฤษฎี ไอน์สไตน์-คาร์ตาน, gauge theories of gravitation for the Poincaré and the affine groups ซึ่งหาวิธีเพิ่มการบิดของกาลอวกาศเข้าไปกับสภาพความโค้งของแรงโน้มถ่วง และใช้ในการทำนายผลกระทบทางฟิสิกส์ในหลากหลายระดับ อย่างไรก็ตาม ผลของการทำนายของทฤษฎีทดแทนเหล่านี้ มันจะได้ผลในระดับไม่มีนัยสำคัญ หรือขัดแย้งต่อหลักฐานจากการทดลอง[15] มันอาจต้องบ่งชี้ไว้ว่าความโค้งของกาลอวกาศและการบิดเป็นทฤษฎีทางเลือกที่ใช้อธิบายสนามแรงโน้มถ่วงและอาจสามารถใช้ทดแทนกันได้ ในขณะที่ความพยายามที่จะรวมผลของมันมาใช้ด้วยกันกลับส่งผลกลายเป็นความเบี่ยงเบน[16]", "title": "สนามแรงบิด (วิทยาศาสตร์เทียม)" }, { "docid": "533124#2", "text": "การทดลองได้ถูกกล่าวหาจากแง่มุมของทฤษฎีสนามรวม, (unified field theory) นำโดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทฤษฎีสนามรวมมีจุดมุ่งหมายที่จะอธิบายทางคณิตศาสตร์ทั้งทางกายภาพและธรรมชาติความสัมพันธ์ของแรงที่ประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงโน้มถ่วง, ในความหมายอื่น ๆ คือ การรวมกันของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงโน้มถ่วงให้กลายเป็นสนามหนึ่งเดียว ดังนั้นถ้าแสงถูกทำให้โค้งงอแล้ว กาล-อวกาศก็จะโค้งงอได้ ทำให้สามารถสร้างเครื่องไทม์แมชชีนล่องหนได้อย่างมีประสิทธิภาพ", "title": "การทดลองฟิลาเดลเฟีย" }, { "docid": "205457#5", "text": "ถ้าจักรวาลมีความสมมาตร จริง, แรงพื้นฐานทั้ง 4 แรงจะรวมเป็นแรงเดียว — แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน, แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม และ แรงโน้มถ่วง — ยุคนี้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป สามารถทำนายสภาวะเอกฐานได้ถูกต้อง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่มีผลทางควันตัม quantum effectsโดยนักฟิสิกส์หวังว่า ทฤษฎีโน้มถ่วงเชิงควอนตัม เช่น ทฤษฎีสตริง และ loop quantum gravity จะช่วยให้เราเข้าใจยุคนี้มากขึ้น", "title": "เส้นเวลาของบิกแบง" }, { "docid": "550251#1", "text": "ในกฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตัน, แรงโน้มถ่วงเป็นแรงภายนอกที่ส่งผ่านโดยวิธีการที่ไม่มีใครทราบ ในศตวรรษที่ 20, แบบจำลองของนิวตันก็ถูกแทนที่ด้วยสัมพัทธภาพทั่วไปที่แรงโน้มถ่วงไม่ได้เป็นแรง แต่เป็นผลมาจากรูปทรงทางเรขาคณิตของกาล-อวกาศ ภายใต้หลักสัมพัทธภาพทั่วไปนั้น แรงต้านแรงโน้มถ่วงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ยกเว้นเสียแต่ว่าจะเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ได้ถูกสร้างขึ้นมา ฟิสิกส์ควอนตัมได้ตั้งสมมติฐานการดำรงอยู่ของ กราวิตอน (graviton), กลุ่มของอนุภาคมูลฐานที่ปราศจากมวลซึ่งเป็นสื่อส่งผ่านแรง, และความเป็นไปได้ของการสร้างหรือการทำลายเหล่านี้ก็ไม่มีความชัดเจน", "title": "แรงต้านแรงโน้มถ่วง" }, { "docid": "194853#1", "text": "ปัญหาความยากลำบากในความสอดคล้องกันของทฤษฎีเหล่านี้ในทุกสเกลวัดระดับของพลังงานที่มาจากสมมติฐานที่แตกต่างกันว่าทฤษฎีทั้งหลายเหล่านี้นั้นจะทำอย่างไรถึงจะเข้าใจกลไกการทำงานของจักรวาลได้ ทฤษฎีสนามควอนตัมนั้นขึ้นอยู่กับสนามอนุภาคที่ฝังตัวอยู่ในกาล-อวกาศแบบแบนของสัมพัทธภาพพิเศษ ในโมเดลของสัมพัทธภาพทั่วไปแรงโน้มถ่วงจะเป็นส่วนโค้งภายในกาล-อวกาศที่มีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่เกิดการเคลื่อนย้ายของมวลแห่งแรงโน้มถ่วง", "title": "ความโน้มถ่วงเชิงควอนตัม" }, { "docid": "764#27", "text": "ในความพยายามของไอน์ชไตน์ที่จะรวมแรงพื้นฐานทั้งหมดเข้าในกฎเดียวกัน เขาได้ละเลยการพัฒนากระแสหลักในทางฟิสิกส์ไปบางส่วน ที่สำคัญคือแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจมากนักตราบจนอีกหลายปีผ่านไปหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน แนวทางพัฒนาฟิสิกส์กระแสหลักเองก็ละเลยแนวคิดของไอน์ชไตน์เกี่ยวกับการรวมแรงเช่นเดียวกัน ครั้นต่อมาความฝันของไอน์ชไตน์ในการรวมกฎฟิสิกส์ทั้งหลายเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อแนวทางศึกษาฟิสิกส์ยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทฤษฎีแห่งสรรพสิ่งและทฤษฎีสตริง ขณะที่มีความตื่นตัวมากขึ้นในสาขากลศาสตร์ควอนตัมด้วย", "title": "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" }, { "docid": "822531#1", "text": "หากอนุภาคกราวิตอนมีจริง คาดว่าจะไม่มีมวล เนื่องจากแรงโน้มถ่วงที่ปรากฏอยู่ไม่มีขอบเขตจำกัด และเป็นอนุภาคโบซอนที่มีสปินเท่ากับ 2 ค่าสปินนี้ได้จากความจริงที่ว่าแหล่งกำเนิดของแรงโน้มถ่วงเป็นเทนเซอร์ความเค้น–พลังงาน ซึ่งเป็นเทนเซอร์อันดับ 2 (เปรียบเทียบกับโฟตอนของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีสปินเป็น 1 มีแหล่งกำเนิดเป็นความหนาแน่นกระแสสี่มิติ ซึ่งเป็นเทนเซอร์อันดับ 1) นอกจากนี้ยังสามารถแสดงให้เห็นว่าสนามแรงจากอนุภาคไร้มวลที่มีสปิน 2 ยังให้แรงที่ไม่แตกต่างจากแรงโน้มถ่วงอีกด้วย ทำให้อนุมานได้ว่าหากพบอนุภาคไร้มวลที่มีสปิน 2 แล้ว อนุภาคนั้นควรจะเป็นกราวิตอน การค้นพบกราวิตอนจะนำไปสู่การรวมแรงโน้มถ่วงเข้ากับทฤษฎีควอนตัม", "title": "กราวิตอน" }, { "docid": "170909#24", "text": "ทางเลือกในการเสนอสมบัติทางกายภาพของอนุภาคที่เป็นสสารมืด ถูกสมมุติขึ้นแต่ค่าที่ได้จากการสำรวจยังไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สมมุติขึ้นเพราะความเข้าใจเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงยังไม่สมบูรณ์ เพื่อจะอธิบายให้ดียิ่งขึ้น แรงโน้มถ่วงที่ได้จากการสำรวจต้องมีค่ามากกว่า Newtonian มาก ๆ หนึ่งในทฤษฎีที่นำมาใช้คือ Modified Newtonian Dynamics(MOND) ซึ่งเป็นการพิจารณากฎนิวตันพื้นฐานด้วนความเร่งที่มีค่าน้อย ๆอย่างไรก็ตามโครงสร้างความสัมพันธ์ของ MOND นั้นคำนวณยากมากอีกทั้งยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เช่น การเคลื่อนที่ของแสงผ่านเลนส์โน้มถ่วงแล้วหักเหไปรอบ ๆ ดาราจักร แต่ MOND ก็เป็นแนวคิดเริ่มต้นทำให้มีการพัฒนาต่อมา Jacob Bekenstein ได้สร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นคือ Tensor-Vector-Scalar เรียกอีกอย่างว่า TeVeS ซึ่งสามารถแก้ปัญหาที่กล่าวมาแล้วได้ อย่างไรก็ตามก็มีการสำรวจต่อมาในปี 2006 ศึกษาการชนกันของดาราจักรแต่ผลที่ได้ยังไม่สามารถใช้ทฤษฎีนี้อธิบายได้\nและในปี 2007 John W. Moffatt ก็เสนอทฤษฎี MOG(modified gravity) ซึ่งสามารถอธิบายการชนกันของดาราจักรได้", "title": "สสารมืด" }, { "docid": "533124#4", "text": "รายงานอีกเวอร์ชันหนึ่งที่ยังไม่มีข้อสันนิษฐานได้นำเสนอว่านักวิจัยกำลังเตรียมการวัดแม่เหล็กและแรงโน้มถ่วงของก้นทะเลเพื่อการตรวจสอบความผิดปกติ, ตามที่คาดคะเนกันไว้เกี่ยวกับความพยายามของไอน์สไตน์ ในการที่จะทำความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ในการทดลองนี้, ยังได้เกี่ยวข้องกับการทดลองลับของนาซีเยอรมนีในการที่จะค้นหาแรงต่อต้านแรงโน้มถ่วงอีกด้วย, ซึ่งถูกกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้การนำโดยนายทหารนาซีเยอรมันระดับสูงชื่อ ฮานส์ แคมเลอร์ (SS-Obergruppenführer Hans Kammler)", "title": "การทดลองฟิลาเดลเฟีย" }, { "docid": "545#33", "text": "หัวข้อต่าง ๆ ที่นักดาราศาสตร์ทฤษฎีสนใจศึกษาได้แก่ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของดาวฤกษ์ การก่อตัวของดาราจักร โครงสร้างขนาดใหญ่ของวัตถุในเอกภพ กำเนิดของรังสีคอสมิก ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป และฟิสิกส์จักรวาลวิทยา รวมถึงฟิสิกส์อนุภาคในทางดาราศาสตร์ด้วย การศึกษาฟิสิกส์ดาราศาสตร์เป็นเสมือนเครื่องมือสำคัญที่ใช้ตรวจวัดคุณสมบัติของโครงสร้างขนาดใหญ่ในเอกภพ ที่ซึ่งแรงโน้มถ่วงมีบทบาทสำคัญต่อปรากฏการณ์ทางกายภาพต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานของการศึกษาฟิสิกส์หลุมดำ และการศึกษาคลื่นแรงโน้มถ่วง ยังมีทฤษฎีกับแบบจำลองอื่น ๆ อีกซึ่งเป็นที่ยอมรับและร่วมศึกษากันโดยทั่วไป ในจำนวนนี้รวมถึงแบบจำลองแลมบ์ดา-ซีดีเอ็ม ทฤษฎีบิกแบง การพองตัวของจักรวาล สสารมืด และ พลังงานมืด ซึ่งกำลังเป็นหัวข้อสำคัญในการศึกษาดาราศาสตร์ในปัจจุบัน", "title": "ดาราศาสตร์" }, { "docid": "39131#4", "text": "ราวปี 1980 สถานะของอนุภาคมูลฐานที่เป็นมูลฐานอย่างแท้จริง-\"องค์ประกอบสุดชั้ว\" ของสสาร- ได้ถูกละทิ้งเป็นส่วนใหญ่สำหรับแนวโน้มที่จะเป็นการปฏิบัติมากขึ้น ได้ถูกประมวลอยู่ในแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์ของอนุภาค ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ประสบความสำเร็จจากทดลองทางวิทยาศาสตร์มากที่สุด การขยายความและทฤษฎีทั้งหลายที่อธิบายเกินกว่าแบบจำลองมาตรฐาน รวมทั้งทฤษฎี supersymmetry ที่นิยมกันอย่างสุดขั้ว ได้เพิ่มจำนวนอนุภาคมูลฐานเป็นสองเท่าโดยการตั้งสมมติฐานที่แต่ละอนุภาคที่รู้จักกันแล้วควบรวมเข้ากับพันธมิตร\"เงา\" ทำให้มีจำนวนอนุภาคมากกว่าเดิม แม้ว่าสุดยอดพันธมิตรดังกล่าวทั้งหมดยังคงไม่ได้ถูกค้นพบแต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน โบซอนมูลฐานที่เป็นตัวเชื่อมแรงโน้มถ่วงที่เรียกว่า แกรวิตอน (Graviton) ก็ยังคงเป็นสมมุติฐานอยู่", "title": "อนุภาคมูลฐาน" }, { "docid": "5992#90", "text": "พฤติกรรมคล้ายหลุมดำเนื่องจากเอดีเอสและซีเอฟทีระหว่างทฤษฎีของแรงนิวเคลียร์ที่รุนแรงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับทฤษฎีแรงโน้มถ่วงและทฤษฎีแรงโน้มถ่วงควอนตัม ทฤษฎีเหล่านี้คล้ายกันเพราะใช้อธิบายทฤษฎีสตริง ดังนั้นการก่อตัวและความไม่ต่อเนื่องของ ควาร์ก-กลูออน พลาสมานั้นก็เกี่ยวข้องกับการเกิดหลุมดำ ลูกไฟที่ Relativistic Heavy Ion Collider [อาร์เอชไอซี] เป็นปรากฏการณ์ที่อาจเทียบได้กับหลุมดำ และคุณสมบัติส่วนใหญ่จะทำให้ได้อย่างถูกต้องโดยใช้การเปลี่ยนเทียบนี้ อย่างไรก็ดี ลูกไฟนี้ไม่ใช่วัตถุโน้มถ่วง และก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะมีพลังงานมากกว่าที่เครื่องเร่งอนุภาคLarge Hadron Collider [แอลเอชซี] จะสามารถสร้างหลุมดำจิ๋วขึ้นมาตามทฤษฎีหรือไม่", "title": "หลุมดำ" }, { "docid": "291247#3", "text": "แนวคิดในเรื่องสสารเชิงลบได้มีปรากฏในทฤษฎีเรื่องสสารที่ผ่านมาในอดีต เป็นทฤษฎีซึ่งขณะนี้ได้ถูกละทิ้ง โดยใช้ทฤษฎีกระแสวนของแรงโน้มถ่วง (vortex theory of gravity) ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยม, เป็นความน่าจะเป็นของสสารกับแรงโน้มถ่วงที่มีค่าเป็นลบซึ่งได้ถูกอ้างไว้โดยวิลเลียม ฮิกส์ ในคริสต์ทศวรรษ 1880 ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1880 และ 1890, คาร์ล เพียร์สันได้นำเสนอความมีอยู่ของการ \"ปะทุ\" (squirts) (ของแหล่งกำเนิด) และการยุบตัวของกระแสอีเทอร์ แสดงถึงการปะทุตัวของสสารปกติและแสดงถึงการยุบตัวของสสารเชิงลบ ทฤษฎีของเพียร์สันจำเป็นต้องใช้มิติที่สี่สำหรับการไหลเข้าและไหลออกของอีเทอร์ ", "title": "ปฏิสสาร" }, { "docid": "68209#0", "text": "ทฤษฎีสตริง เป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สำหรับฟิสิกส์เชิงทฤษฎี ที่มี บล็อกโครงสร้าง (building blocks) เป็นวัตถุขยายมิติเดียว (สตริง) แทนที่จะเป็นจุดศูนย์มิติ (อนุภาค) ซึ่งเป็นพื้นฐานของแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาค นักทฤษฎีสตริงนั้นพยายามที่จะปรับแบบจำลองมาตรฐาน โดยการยกเลิกสมมุติฐานในกลศาสตร์ควอนตัม ที่ว่าอนุภาคนั้นเป็นเหมือนจุด ในการยกเลิกสมมุติฐานดังกล่าว และแทนที่อนุภาคคล้ายจุดด้วยสตริงหรือสาย ทำให้มีความหวังว่าทฤษฎีสตริงจะพัฒนาไปสู่ทฤษฎีสนามโน้มถ่วงควอนตัมที่เข้าใจได้ง่าย นอกจากนี้ทฤษฎีสตริงยังปรากฏว่าสามารถที่จะ \"รวม\" แรงธรรมชาติที่รู้จักทั้งหมด (แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงอันตรกิริยาแบบอ่อน และแรงอันตรกิริยาแบบเข้ม) โดยการบรรยายด้วยชุดสมการเดียวกัน", "title": "ทฤษฎีสตริง" }, { "docid": "545#11", "text": "เคปเลอร์ได้คิดค้นระบบแบบใหม่ขึ้นโดยปรับปรุงจากแบบจำลองเดิมของโคเปอร์นิคัส ทำให้รายละเอียดการโคจรต่าง ๆ ของดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์ที่ศูนย์กลางสมบูรณ์ถูกต้องมากยิ่งขึ้น แต่เคปเลอร์ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอทฤษฎีนี้เนื่องจากกฎหมายในยุคสมัยนั้น จนกระทั่งต่อมาถึงยุคสมัยของเซอร์ ไอแซค นิวตัน ผู้คิดค้นหลักกลศาสตร์ท้องฟ้าและกฎแรงโน้มถ่วงซึ่งสามารถอธิบายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ได้อย่างสมบูรณ์ นิวตันยังได้คิดค้นกล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสงขึ้นด้วย", "title": "ดาราศาสตร์" }, { "docid": "21991#16", "text": "ทฤษฎีสนามควอนตัมจำลองแรงพื้นฐานสามชนิดแรกได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่ได้จำลองแรงโน้มถ่วงควอนตัมเอาไว้ อย่างไรก็ตาม แรงโน้มถ่วงควอนตัมบริเวณกว้าง\"สามารถ\"อธิบายได้ด้วย ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป", "title": "แรง" } ]
1121
โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย เปิดสอนถึงชั้นสูงสุดคือชั้นอะไร ?
[ { "docid": "49919#0", "text": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย(อักษรย่อ: ร.ส., R.S.)เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทโรงเรียนชายล้วน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งอยู่เลขที่ 1753 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" } ]
[ { "docid": "1847#2", "text": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ถือกำเนิดขึ้นจากการเรียกร้องของนักเรียนอาชีวศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2518 ซึ่งถูกสังคมมองว่าเป็นนักเรียนชั้นสองของสังคม จัดการศึกษาได้เพียงแค่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และการก้าวสู่ระดับปริญญาตรี จะต้องผ่านการสอบแข่งขันกับนักเรียนสายสามัญ ประกอบทั้ง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าทั้งสามแห่ง (ลาดกระบัง พระนครเหนือ และ บางมด) ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เน้นการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ย้ายสังกัดจาก กระทรวงศึกษาธิการไปอยู่ทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งมุ่งเน้นรับเฉพาะนักเรียนสายสามัญ และการจัดการสอบแข่งขันที่ยากยิ่งขึ้น ทำให้นักเรียนอาชีวศึกษา อาทิ โรงเรียนเพาะช่าง ตั้งอยู่ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร โรงเรียนเพาะช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ตั้งอยู่ที่ ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ วิทยาลัยพณิชยการพระนคร วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ วิทยาลัยช่างกลพระนครเหนือ ฯลฯ รวมตัวกันเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการจัดการศึกษาให้ถึงระดับปริญญา", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล" }, { "docid": "67578#2", "text": "ต่อมาปี พ.ศ. 2459 ได้ขยายการสอนถึงชั้นมัธยมปีที่ 3 และในปี พ.ศ. 2460 ได้สร้างอาคารเรียนเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวเพิ่มขึ้นอีก 1 หลัง พ.ศ. 2462 นายแก้ว สุวรรณดิษ ได้บริจาค เงินสร้างอาคารเรียนเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยา ใต้ถุนสูง อีก 1 หลัง และโรงเรียนได้เปิดสอนถึงชั้นมัธยมปีที่ 5 พ.ศ. 2469 ได้แยกนักเรียนหญิงทุกชั้นออกไปเรียนที่โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด และยุบเลิกการสอนชั้นมูลและชั้นประถมศึกษา เป็นการสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึงมัธยมปีที่ 6 ", "title": "โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี" }, { "docid": "51199#3", "text": "ในปี พ.ศ. 2511 โรงเรียนช่างกลปทุมวัน ได้อยู่ในการพัฒนาอาชีวศึกษา ตามแผนโครงการเงินกู้เพื่อปรับปรุงโรงงาน เครื่องมือ เครื่องจักร และส่งครูอาจารย์ฝึกงานและดูงานต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยช่างกลปทุมวัน เปิดสอนหลักสูตร ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในปี พ.ศ. 2533 เริ่มเปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) และ พ.ศ. 2537 เปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิศวกรรมศาสตร์ (ป.วศ.) สาขาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ ในปี พ.ศ. 2540 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อวิทยาลัยช่างกลปทุมวัน ว่า \"ปทุมวัน\" (ที่ รล. 0003/12644 สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง กทม. 10200 24 กรกฎาคม 2540. เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อวิทยาลัยช่างกลปทุมวัน ว่า \"ปทุมวัน\")", "title": "สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน" }, { "docid": "41079#6", "text": "ต่อมาได้จัดตั้งเป็น “มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม” DLF เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2539\nโดยมีนายขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นประธานกรรมการบริหาร สำนักงานตั้งอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ใช้เครื่องหมายกาญจนาภิเษกเป็นเครื่องหมายของมูลนิธิ\nปัจจุบันนี้โรงเรียนวังไกลกังวลเป็นต้นแบบที่ทรงประสิทธิภาพ และเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียมที่ก้าวหน้า เป็นสถานศึกษาแห่งแรกที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยถ่ายทอดกระบวนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดทั้งการสร้างองค์ความรู้ควบคู่คุณธรรมไปยังผู้เรียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนองพระบรมราโชบายที่ทรงเน้นให้นักเรียนได้รู้จักช่วยเหลือตนเองและยึดเป็นแนวปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง\nยิ่งไปกว่านั้น นายขวัญแก้ว วัชโรทัย ยังได้สนองพระบรมราโชบายให้นักเรียนได้เรียนทั้งด้านกีฬา ศิลปะ นาฏศิลป์และดนตรี มีทั้งดนตรีสากลและดนตรีไทย นักเรียนคนใดมีความสามารถสูงก็จะสนับสนุนและส่งเสริมยิ่งขึ้น\nนางสาวภัทรรินทร์ ศิริรัตน์ นักเรียนรุ่นแรกที่เรียนด้วยระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นผู้ที่มีความสามารถด้านดนตรีไทยเป็นพิเศษ ขณะเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนตอนเย็นไปบรรเลงดนตรีไทยที่โรงแรมเมเลีย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นับเป็นการหารายได้พิเศษระหว่างเรียน ด้วยการใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือตนเองในทางที่ถูกต้อง สอดคล้องกับพระบรมราโชบาย ที่ทรงเน้นให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของดนตรีไทย อีกทั้งยังเป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ปี พ.ศ. 2541-2544 ได้รับทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาดุริยางคศาสตร์ไทย ปี พ.ศ. 2545-2548 ศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาการอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเดียวกัน ปี พ.ศ. 2549 ถึงปัจจุบัน ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ในระหว่างปี พ.ศ. 2541-2543 ขณะยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ได้รับพระราชทานพระราชวโรกาสจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้เข้าร่วมวงเพื่อบรรเลงดนตรีไทยในฐานะนิสิตนักศึกษา ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติและเป็นสิริมงคงสูงสุดแก่ชีวิตและวงศ์ตระกูล ทั้งยังแสดงถึงผลจากการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียมที่มีคุณภาพต่อผู้เรียนในระบบและนอกระบบ\nสถานีวิทยุโทรทัศน์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม DLTV ถ่ายทอดการเรียนการสอนออกอากาศต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน 15 ช่องสัญญาณ เริ่มตั้งแต่ DLTV 81-95 โดย DLTV 81-92โรงเรียนวังไกลกังวลเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบการเรียนการสอน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ของกระทรวงศึกษาธิการ DLTV 81-86 ถ่ายทอดการเรียนการสอนช่วงชั้นที่ 1-2 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6) DLTV 87-89 ถ่ายทอดการเรียนการสอนช่วงชั้นที่ 3 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที 1-3) DLTV 90-92 ถ่ายทอดการเรียนการสอนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดยมุ่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูของโรงเรียนในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเฉพาะในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทุกแห่ง ทั้งจำนวนครูและครูผู้สอนแต่ละสาขาวิชา รวมถึงปัญหามาตรฐานไม่เท่าเทียมกันของสถานศึกษา ทั้งในเขตเมืองและในเขตชนบทถิ่นทุรกันดาร ให้มีมาตรฐานเดียวกัน จากครูคนเดียวกันและในเวลาเดียวกัน\nสำหรับ DLTV 93 ถ่ายทอดการเรียนการสอนสายวิชาชีพ (ปวช.ปวส.) รวมทั้งวิชาชีพหลักสูตรระยะสั้นและการศึกษาชุมชน วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวลเป็นแม่ข่ายต้นทาง DLTV 94 ถ่ายทอดการเรียนการสอนนานาชาติซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศ มีด้วยกัน 5 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่น DLTV 95 ถ่ายทอดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวลเป็นแม่ข่ายรับผิดชอบ", "title": "โรงเรียนวังไกลกังวล" }, { "docid": "58388#5", "text": "เมื่อ โรงเรียนฝึกหัดครูนครศรีธรรมราช เปิดสอนมาครบ 12 ปี กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศยกระดับฐานะเป็น วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 และเปิดสอนถึงระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.ชั้นสูง) โดยช่วงเวลาดังกล่าวกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายเร่งรัดการผลิตครู จึงได้เปิดสอนภาคนอกเวลาแก่บุคคลภายนอกในหลักสูตร ป.กศ. และป.กศ.ชั้นสูงด้วยโครงการดังกล่าวดำเนินการเรื่อยมาและสิ้นสุดโครงการเมื่อ พ.ศ. 2519 ", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช" }, { "docid": "679331#1", "text": "ในชั้นแรกเริ่ม ได้มีการตั้งสถาบันอาชีวศึกษาชื่อโรงเรียนการออกแบบเชฟฟีลด์ขึ้น เพื่อรองรับความเป็นเมืองอุตสาหกรรม เมื่อ พ.ศ. 2386 โดยมีเบนจามิน เฮย์ดอน (Benjamin Haydon) เป็นหัวหน้าการในการวิ่งเต้น กิจการของโรงเรียนดำเนินการได้ด้วยดี ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนช่างฝีมือเชฟฟีลด์ (City of Sheffield Training College) เมื่อ พ.ศ. 2448 มีการสร้างอาคารโอเวน (Owen Building) เพื่อเป็นอาคารหลักของวิทยาเขตในปี พ.ศ. 2510 สองปีให้หลังโรงเรียนฝึกหัดครูแปรสภาพเป็นวิทยาลัยเทคนิคนครเชฟฟีลด์ ซึ่งได้รับโรงเรียนฝึกหัดครูสองแห่งที่เปิดดำเนินการมาแล้ว ในที่สุดเมื่อมีพระราชบัญญัติการอุดมศึกษาและการศึกษาชั้นสูง (Higher and Further Education Act 1992) มาตรา 63 ทำใหวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยเทคโนโลยีชั้นสูงหลายแห่งต้องแปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัย โดยวิทยาลัยฯ ได้แปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ฮัลลัม (เพื่อมิให้สับสนกับมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ที่มีมาก่อนหน้า) ปัจจุบันมหาวิทยาลัยทำการสอนในที่ตั้งเดียวใจกลางเมืองเชฟฟีลด์ มีอาคารสถาบันศิลปะมูลค่า 26 ล้านปอนด์ ที่ทางเข้ามหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์แฮลลัม" }, { "docid": "49919#9", "text": "พ.ศ. 2542 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย จัดงานฉลองครบรอบ 100 ปี แห่งการสถาปนา พ.ศ. 2544 นายอุดม พรมพันธ์ใจ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน พ.ศ. 2545 จัดตั้งหอสมุด IT, หลังคาคลุมทางเดินเท้า ถมดิน และปรับสนามกีฬาให้เป็นขนาดมาตรฐาน พ.ศ. 2546 พัฒนาการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และพัฒนาห้องเรียนพิเศษ รวมทั้งห้องประชุมอาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา พ.ศ. 2547 โรงเรียนพัฒนาระบบบริหารให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษา เพื่อมุ่งเน้นสู้ความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน พ.ศ. 2548 จัดให้มีกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ จำนวน 1 ห้องเรียน พร้อมทั้งจัดตั้งห้องปฏิบัติการพิเศษทางด้านคณิตศาสตร์ พ.ศ. 2549 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน School in school เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน , ปิดรับนักเรียนหญิง พร้อมเข้าสู่โรงเรียนชายล้วน (อีกครั้ง) ในปีการศึกษา 2551 ปรับพื้นที่ศูนย์กีฬาให้เป็นสนามตะกร้อ สนามเทนนิส สนามบาสเก็ตบอล ในระดับมาตรฐาน มูลนิธิสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี โดย คุณสรพงศ์ ชาตรี (กรีพงศ์ เทียมเศวต) จัดสร้างสวนหน้าโรงเรียน มอบพระประธาน ปางสุโขทัย 29 นิ้ว 1 องค์ รูปหล่อเหมือนสมเด็จโต 1 องค์ จัดสร้างห้องพุทธศาสน์ เปิดใช้ต้นปี พ.ศ. 2550", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" }, { "docid": "59653#1", "text": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา เดิมคือ \"โรงเรียนเสาวภา\" จัดตั้งขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง (พระนามเดิม พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี) ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ตั้งโรงเรียนสำหรับสตรี และพระราชทานพระนามาภิไธยของพระองค์เป็นชื่อโรงเรียน ต่อมา เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2523 กระทรวงศึกษาธิการ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา” แต่เดิมเปิดสอนวิชาชีพด้านคหกรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2519 เปิดสอนหลักสูครศิลปหัตถกรรมเป็นปีแรก ปัจจุบัน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภาเป็นวิทยาเขตในส่วนสถาบันการอาชีวศึกษามหานคร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เปิดสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส)", "title": "วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "39950#1", "text": "โรงเรียนวัดราชบพิธได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากโรงเรียนสอนภาษาไทยในยุคต้นของการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนของไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งนั้น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ได้ทรงทำความตกลงกับกรมศึกษาธิการ แต่ครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดี จัดตั้งโรงเรียนวัดราชบพิธขึ้นเมื่อ ปีระกา สัปตศก จุลศักราช 1247 ตรงกับ รัตนโกสิทร์ศก 104 หรือปี พุทธศักราช 2428 ดังปรากฏหลักฐานรายชื่อโรงเรียนวัดราชบพิธ อยู่ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม 1 หน้า 139\nเมื่อครั้งแรกตั้งโรงเรียนนั้น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ได้ทรงอนุญาตใช้ชั้นบนของตึกศาลาการเปรียญ ข้างสระน้ำด้านถนนเฟื่องนครซึ่งใช้เป็น \"ภัณฑาคาร\" สำหรับเก็บรักษาถาวรวัตถุของสงฆ์ เป็นสถานที่เล่าเรียนโดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในครั้งนั้นโรงเรียนวัดราชบพิธมีนักเรียนทั้งสิ้น 53 คน มีครู 2 คน (ความปรากฏในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม 1 หน้า 323) มีนายกวีซึ่งต่อมาได้ลาออกไปรับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนสุทรลิขิต เป็นครูใหญ่คนแรก มีชั้นเรียนเพียงชั้นเดียว คือ ชั้นประโยคหนึ่ง โดยนักเรียนที่สอบได้ประโยคหนึ่งคนแรกของโรงเรียนคือ พระสวัสดิ์นคเรศ (มงคล อมาตยกุล) สอบไล่ได้เมื่อ พ.ศ. 2430", "title": "โรงเรียนวัดราชบพิธ" }, { "docid": "49919#17", "text": "ราชสีมาวิทยาลัย ราชสีมาวิทยาลัย ราชสีมาวิทยาลัย ราชสีมาวิทยาลัย ราชสีมาวิทยาลัย", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" }, { "docid": "854958#2", "text": "ต่อมากรมอาชีวศึกษาเล็งเห็นความจำเป็น ที่จะต้องเปิดสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และเห็นว่าโรงเรียนพณิชยการธนบุรีเป็นสถาบันที่มีความพร้อม ประกอบด้วยนักเรียนที่มีระเบียบวินัยเป็นที่เชื่อถือแก่บุคคลภายนอก จึงมีคำสั่งให้เปิดสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และยกฐานะขึ้นเป็น \"\"วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี\"\" ในปี พ.ศ. 2514 ", "title": "วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "437583#1", "text": "คณะวิชาคหกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครใต้ ก่อตั้งครั้งแรกเป็นโรงเรียนสตรีบ้านทวายเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 โดยมีสัญญลักษณ์ คือใบclover 4 \nกลีบ ซึ่งปัจจุบันนี้ตราสัญญลักษณ์ ยังคงมีหลักฐานให้เห็นที่ อาคาร2 คณะเทคโนโลยีคหกกรมศาสตร์ พื้นที่พระนครใต้ เปิดสอนวิชาสามัญตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 และประกาศนียบัตรประโยควิสามัญการช่าง ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2482 ได้แยกส่วนวิชาสามัญไปสังกัดกรมสามัญศึกษา เรียกว่าโรงเรียนสตรีบ้านทวาย (ปัจจุบันคือโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย) ส่วนวิชาการช่างมาสังกัดกรมอาชีวศึกษาพร้อมทั้งเปลี่ยนพ้าชื่อเป็นโรงเรียนการช่างสตรีพระนครใต้เพื่อทำการสอนวิชาด้านคหกรรมศาสตร์ในระดับปวช. และปวส. และได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครใต้เมื่อ พ.ศ. 2515 เปิดสอนระดับปวช. ปวส. และปม. ในปี พ.ศ. 2518 ได้โอนจากกรมอาชีวศึกษามาสังกัดวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาโดยใช้ชื่อว่า “วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตพระนครใต้”", "title": "คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ" }, { "docid": "850500#0", "text": "สถาบันการอาชีวศีกษา  (อังกฤษ: Vocational Education Institution) เป็นกลุ่มสถาบันรัฐในประเทศไทย สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2555 เพื่อเปิดการสอนหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปว.ช.) ตาม ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปว.ส.) ตาม และปริญญาตรี (ทล.บ.) โดยใช้ในปี พ.ศ. 2495 กรมอาชีวศึกษาได้เริ่มจัดตั้ง วิทยาลัยเทคนิค 5 แห่งที่กรุงเทพ ต่อมาก็มีวิทยาลัยเทคนิคที่สงขลา นครราชสีมา เชียงใหม่ และธนบุรี ในช่วงปี พ.ศ. 2502 - 2512 โดยความช่วยเหลือจากประเทศเยอรมนี จึงมีการจัดตั้งโรงเรียนเทคนิคพระนครเหนือ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในปัจจุบัน) ความช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่น ในการจัดตั้งศูนย์ฝึกโทรคมนาคมนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในปัจจุบัน), ความช่วยเหลือจากประเทศเยอรมนี ในการจัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ในปัจจุบัน) และความช่วยเหลือจากประเทศออสเตรีย ในการจัดตั้ง โรงเรียนเทคนิคสัตหีบ จังหวัดชลบุรี สถานศึกษาหลายแห่งได้รับการพัฒนาและเปิดสอนจนถึงระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และในปี พ.ศ. 2512 วิทยาลัยพณิชยการพระนคร ได้รับการยกฐานะเป็น วิทยาลัย แห่งแรก จนถึงปี พ.ศ. 2522 กรมอาชีวศึกษามีวิทยาลัยอยู่ในสังกัด 159 แห่ง เมื่อมีพระราชบัญญัติ ปี พ.ศ. 2514 จึงมีการจัดตั้ง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า โดยรวมวิทยาลัยเทคนิคธนบุรี, วิทยาลัยเทคนิคพระนครเหนือ และวิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี ในสังกัดกรมอาชีวศึกษาไปรวมเป็นสถาบัน และเปิดการสอนถึงระดับปริญญาตรี และในช่วงปี พ.ศ. 2515 - 2522 ก็มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของโรงเรียนอาชีวศึกษา โรงเรียนการช่าง และโรงเรียนเกษตรกรรมค่าง ๆ เป็นวิทยาลัย มีประกาศใช้หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค (ปวท.) และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องปริญญาตรี 2 ปี", "title": "สถาบันการอาชีวศึกษา" }, { "docid": "49919#8", "text": "พ.ศ. 2532 วงโยธวาทิตของโรงเรียนเข้าร่วมประกวดดนตรีโลก ณ เมืองเกอร์กาเด ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับรางวัลเหรียญทองประเภทดิสเพลย์และมาร์ชชิ่ง นายสุชาติ สุประกอบ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน พ.ศ. 2533 โรงเรียนได้รับเชิญจากกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมประเทศญี่ปุ่น ให้ไปร่วมแสดงวงโยธวาทิต และศิลปะการแสดง พ.ศ. 2534 วงโยธวาทิตของโรงเรียนเข้าร่วมประกวดดนตรีโลก ณ เมืองเกอร์กาเด ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับรางวัลเหรียญทองประเภทดิสเพลย์และมาร์ชชิ่ง นายชวลิต ตัณฑเศรณีวัฒน์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน พ.ศ. 2535 เปิดโรงเรียนสาขารับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นสหศึกษา พ.ศ. 2536 โรงเรียนแบ่งพื้นที่จำนวน 14 ไร่ ให้กองการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา จัดตั้งเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[11555,11620,3,3]}'>โรงเรียนศึกษาพิเศษนครราชสีมา (โรงเรียนนครราชสีมาปัญญานุกูล) เปิดสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และบกพร่องทางการได้ยิน ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 3 พ.ศ. 2537 โรงเรียนสาขาได้จัดตั้งเป็นโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย 2 และย้ายไปทำการสอน ณ ที่แห่งใหม่ ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2540 พ.ศ. 2538 นายสุจินต์ แซ่ตั้ง ได้รับรางวัลเหรียญเงินจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิค ณ ประเทศแคนาดา (ซึ่งนับว่าเป็นเหรียญเงินเหรียญแรกของประเทศไทยในสาขาวิชาคณิตศาสตร์) พ.ศ. 2540 โรงเรียนได้งบประมาณสร้างอาคารเรียน 7 ชั้น ชื่อว่า \"อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา\"", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" }, { "docid": "190306#4", "text": "\"(ลงชื่อ) พลเอก ม. พรหมโยธีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ\"\nโรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิต ได้เริ่มเปิดทำการสอนตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม ปีการศึกษา 2498 โดยเปิดรับนักเรียน 2 แผนก คือ โรงเรียนก่อสร้างดุสิต ในปีแรกที่เปิดการศึกษารับนักเรียน รุ่นแรกดังนี้ : ในปีต่อมาโรงเรียนได้ขยายหลักสูตรของช่างไม้ปลูกสร้างออกเป็น 3 ปี และปีเดียวกัน ได้เริ่มเปิดสอนรอบบ่าย ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยนั้นเพื่อช่วยเหลือ นักเรียนที่ไม่มีสถานที่เรียน ซึ่งในที่สุดการเปิดสอนรอบบ่ายนี้ ได้เลิกไปในปีการศึกษา 2504\nแผนการศึกษาชาติในปี 2503 กรมอาชีวศึกษาได้ปรับปรุงหลักสูตรของโรงเรียนต่างๆ เช่นเดียวกันกับ โรงเรียนช่างก่อสร้าง ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนชั้นประโยคอาชีวศึกษาชั้นสูง ก็กลายเป็นโรงเรียนในระดับประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายสายอาชีพในปีการศึกษา 2504\nคือ โรงเรียนประเภทนี้เปิดสอนช่างก่อสร้างแผนกต่างๆ ได้ 5 แผนก ดังนี้ :ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2519 โรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิตได้รับการยกวิทยาฐานะขึ้นเป็น \"วิทยาลัยอาชีวศึกษากรุงเทพฯ วิทยาเขต 1 ดุสิต\" และเปลี่ยนเป็น \"วิทยาลัยช่างอุตสาหกรรมนครหลวง\" แล้วได้เปลี่ยนมาเป็น \"วิทยาลัยเทคนิคดุสิต\" เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2522", "title": "โรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิต" }, { "docid": "281878#1", "text": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี เดิมเป็นโรงเรียนเกษตรกรรมจันทบุรี ที่จัดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2507 เปิดสอนวิชาชีพเกษตรกรรมในระดับประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายสายอาชีพ ต่อมาในปีการศึกษา 2517 ขยายระดับการศึกษาเปิดสอนในระดับวิชาชีพชั้นสูง และยกฐานะเป็นวิทยาลัยเกษตรกรรมจันทบุรี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จากนั้นได้โอนกิจกรรมบริหารบางส่วนของกรมอาชีวศึกษา ไปสังกัดวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ได้เปลี่ยนชื่อจากวิทยาลัยเกษตรกรรมจันทบุรี เป็นวิทยาเขตจันทบุรี ", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี" }, { "docid": "78995#4", "text": "โรงเรียนศิลปศึกษา เปิดทำการสอนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2495 มีนักเรียนรุ่นแรกจำนวน 36 คน โดยใช้สถานที่ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสถานที่เรียนชั่วคราว\nจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมศิลปากรใหม่ มีการตั้งกองศิลปศึกษาขึ้น โรงเรียนศิลปศึกษาจึงมีฐานะเป็นแผนกหนึ่งในกองศิลปศึกษา มีงบประมาณตำแหน่งครู อาจารย์ เจ้าหน้าที่เป็นของตนเอง และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น \"โรงเรียนช่างศิลป\" ในโอกาสนี้ด้วยในปีการศึกษา 2518 โรงเรียนช่างศิลปก็ได้ให้การศึกษาแก่นักเรียน ทั้งในระดับประกาศนียบัตรศิลปศึกษาชั้นกลางและระดับประกาศนียบัตรศิลปศึกษาชั้นสูง และผลิตผู้สำเร็จการศึกษาการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรศิลปศึกษาชั้นสูงเป็นรุ่นแรก ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้ยกฐานะโรงเรียนช่างศิลป เป็น วิทยาลัยช่างศิลป เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 และเริ่มขยายกิจการการเรียนการสอนไปที่ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โดยได้เริ่มพัฒนาก่อสร้างอาคารเรียนในที่ดินวิทยาลัยเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เนื้อที่ประมาณ 63 ไร่ ในปี พ.ศ. 2519 และเริ่มใช้เป็นสถานศึกษาของวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 เป็นต้นมาวิทยาลัยจัดการศึกษา 3 ระดับ คือ", "title": "วิทยาลัยช่างศิลป" }, { "docid": "584789#1", "text": "เจินเจินมีชื่อเดิมว่า ประเชิญ บุญสูงเนิน เกิดและเติบโตที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของ ร.ต.อุดม บุญสูงเนิน (ปัจจุบันอุปสมบทเป็น พระอุตตะโม จำพรรษา ณ วัดศิริพงษาวาส อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ) และกำพร้ามารดาตั้งแต่เล็ก โดยฐานะของครอบครัวยากจนมาก ไม่มีกระทั่งรองเท้าสวมไปโรงเรียน จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย และศึกษาต่อที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระหว่างศึกษาที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำงานเป็นนักร้องตามร้านอาหาร โดยแต่งกายเป็นหญิง ใช้ชื่อว่า เจิ๋นเจิ๋น แต่ต่อมาได้ผันเสียงเป็น เจินเจิน เพราะแขกต่างประเทศสามารถออกเสียงได้ง่ายกว่า เริ่มมีชื่อเสียงจากการเข้าประกวดร้องเพลงเคพีเอ็น อวอร์ด ของสยามกลการ ประจำปี พ.ศ. 2527 (รุ่นเดียวกับธงไชย แมคอินไตย์) ได้รับรางวัลนักร้องดีเด่นร่วมกับผู้เข้าประกวดคนอื่นอีก 3 คน รวมทั้งธงไชยด้วย", "title": "เจินเจิน บุญสูงเนิน" }, { "docid": "49919#7", "text": "พ.ศ. 2456 ได้สร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ ณ บริเวณศาลารัฐบาลมณฑลนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนศิริวิทยากร (โรงเรียนรวมมิตรวิทยาในปัจจุบัน) และได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนตัวอย่าง กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2456 พ.ศ. 2457 โรงเรียนขยายการศึกษาจากระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาเป็นระดับฝึกหัดครู (ป.) เพิ่มขึ้น นับว่าเป็นการฝึกหัดครูแห่งแรกในส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2458 มีพระราชบัญญัติการใช้นามสกุลครูและนักเรียนโรงเรียนตัวอย่างและครูทุกคนจึงมีนามสกุลตั้งแต่นั้นมา ครูใหญ่ชื่อ นายศุข อาสนนันทน์ พ.ศ. 2461 ในสมัย<i data-parsoid='{\"dsr\":[6584,6601,2,2]}'>ขุนอักษรเสรฐ เป็นครูใหญ่ โรงเรียนได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำมณฑลนครราชสีมา</b>เปิดสอนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พ.ศ. 2470 โรงเรียนได้จัดให้มีแตรวงลูกเสือขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดดุริยางค์ลูกเสือ และวงโยธวาทิตของโรงเรียนในปัจจุบัน พ.ศ. 2471 โอนนักเรียนหญิงทั้งหมดจากโรงเรียนประจำมณฑลนครราชสีมาไปอยู่รวมกับโรงเรียนประจำจังหวัด ซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่วัดสุทธจินดา (ปัจจุบันคือโรงเรียนสุรนารีวิทยา) จึง<b data-parsoid='{\"dsr\":[7047,7076,3,3]}'>เปิดสอนเฉพาะนักเรียนชาย พ.ศ. 2476 เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ ได้มาตรวจโรงเรียนมีนักเรียนกว่า 1,000 คน เห็นควรให้เปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 และ 8 ขึ้น พ.ศ. 2477 ได้ขยายโรงเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย โดยมี หลวงทรงวิทยาศาสตร์ เป็นครูใหญ่ พ.ศ. 2478 ได้ขยายนักเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 และได้เปิดสอนแผนกพาณิชยการเพิ่มขึ้น พ.ศ. 2481 ได้ยุบชั้นประถมศึกษาทั้งหมด จึงกลายเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่มีแต่นักเรียนชายล้วน เปิดถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ยุบแผนกพาณิชยการ และยุบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 และ 8 ไปเปิดสอนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท เพียงแห่งเดียว พ.ศ. 2483 ได้ย้ายโรงเรียนจากสถานที่เดิมไปอยูที่บ้านแสนสุข ติดกับค่ายสุรนารี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2483 นาย สำเนียง ตีระวนิช ป.ม.,อ.บ. เป็นอาจารย์ใหญ่ เกิดคำขวัญ 'มานะ-วินัย พ.ศ. 2484 ก่อตั้งสมาคมนักเรียนเก่าราชสีมาวิทยาลัย (ส.น.ร.) พ.ศ. 2489 เริ่มจัดการศึกษาชั้นเตรียมอุดมศึกษาแผนกวิทยาศาสตร์ และปี พ.ศ. 2490 เปิดสอนชั้นเตรียมอุดมศึกษาแผนกอักษรศาสตร์ นับเป็นโรงเรียนต่างจังหวัดแห่งแรกที่เปิดสอนทั้งสองแผนก นายดำรง มัธยนันท์ เป็นอาจารย์ใหญ่ พ.ศ. 2490 โรงเรียนได้รับคัดเลือกจากกรมวิสามัญศึกษาเป็นโรงเรียนประเคราะห์ (Project School) ของโครงการพัฒนาการศึกษา เรียกย่อ ๆ ว่า ค.พ.ศ. (General Education Development Project G.E.D.) พ.ศ. 2506 กรมวิสามัญศึกษาได้สั่งให้เปิดสอนเป็นโรงเรียนมัธยมแบบประสม (Comprehensive School) โดยเริ่มรับนักเรียนชั้น ม.ศ. 1 จำนวน 8 ห้อง พ.ศ. 2510 โรงเรียนได้ย้ายจากสถานที่เดิม ณ บ้านแสนสุข มาอยู่ ณ ที่ตั้งในปัจจุบัน เลขที่ 1753 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง (เดิมคือ ตำบลบ้านใหม่) อำเภอ เมือง จังหวัดนครราชสีมา มีเนื้อที่ 176 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา นายคณิต พุทธิรัตน์ เป็นอาจารย์ใหญ่ พ.ศ. 2511 โรงเรียนได้รับการคัดเลือกให้เข้าโครงการมัธยมแบบประสม แบบที่ 1 (คมส.1 ) (Comprehensive School) โดยจัดหลักสูตรให้กว้างขวางเพื่อให้นักเรียนที่มีความสามารถและความสนใจแตกต่างกันได้เลือกเรียนตามสาขาวิชาต่างๆ ที่สนใจและถนัดในหลักสูตร มีทั้งวิชาสามัญที่นักเรียนจำเป็นต้องเรียน และมีวิชาที่นักเรียนเลือกเรียนได้ตามความถนัดและความสนใจของแต่ละคนทั้งด้านวิชาสามัญและวิชาชีพ พ.ศ. 2517 นายคณิต พุทธิรัตน์ อาจารย์ใหญ่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนชั้นพิเศษ เปิดสอนนักศึกษาผู้ใหญ่ ระดับ 5 เรียกว่า โรงเรียนผู้ใหญ่ราชสีมาวิทยาลัย ระหว่าง พ.ศ. 2471 ถึง พ.ศ. 2525 โรงเรียนเปิดรับเฉพาะนักเรียนชาย จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[9723,9752,3,3]}'>โรงเรียนประจำจังหวัดชาย พ.ศ. 2526 เปิดรับนักเรียนหญิงในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นต้นมา จึงเป็นโรงเรียนสหศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นยังคงเปิดรับเฉพาะนักเรียนชาย นายมาโนช ปานโต เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน พ.ศ. 2531 วงโยธวาทิตโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ได้รับรางวัลชนะเลิศแห่งประเทศไทยรับถ้วยพระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนับเป็นปีสุดท้ายของการประกวดที่กำหนดให้มีถ้วยรางวัลพระราชทานประเภทเดียว ได้รับรางวัลโรงเรียนดีเด่น รางวัลพระราชทานโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ของเขตการศึกษา 11 นายสุชาติ สุประกอบ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" }, { "docid": "46380#2", "text": "ต่อมาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศยกฐานะ โรงเรียนฝึกหัดครู เป็น \"วิทยาลัยครู\"  พร้อมกับเปิดสอนในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ. สูง) และหลักสูตรปริญญาตรีของสภาการฝึกหัดครู โดยกำหนดในพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ 2518 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา\nโดยมีวิทยาลัยครู จำนวน 17 แห่ง ได้แก่ในเวลาต่อมา วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ “สถาบันราชภัฏ” ให้กับวิทยาลัยครูทั่วประเทศ จึงมีผลทำให้วิทยาลัยครู เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สถาบันราชภัฏตั้งบัดนัน ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวราชภัฏเป็นล้นพ้นด้วยทรงพระเมตตา ทรงรพระกรุณาโปรดกล้าฯ พระราชทานพระราชลัญจกรประจำพระองค์ให้เป็น “สัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ” นับเป็นมหาสิริมงคลอันควรที่ชาวราชภัฏทั้งมวลจักได้ภาคภูมิใจ และพร้อมใจกันปฏิบัติหน้าที่สนองพระมหากรุณาธิคุณให้เต็มความสามารถในอันที่จะพัฒนาสถาบันราชภัฏให้เป็น สถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนา ท้องถิ่น มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ปรับปรุง ถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี ทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ผลิตครูและส่งเสริมวิทยฐานะครู และทำให้สถาบันราชภัฏ เปิดทำการสอนในาขาวิชาอื่นๆ นอกจากสาขาการศึกษาตั้งแต่นั้นมา", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏ" }, { "docid": "19655#9", "text": "โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สังกัดสำนักงานพันธกิจการศึกษามูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย บนเนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน 31 ตารางวา ประกอบไปด้วยหอธรรม อาคารอารีย์ เสมประสาท อาคาร เอ็ม .บี. ปาล์มเมอร์ อาคารสิรินาถ อาคารบีซีซี 150 ปี สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล เปิดการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และอาคารจอห์น เอ เอกิ้น ซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 16 ชั้นและชั้นใต้ดิน 4 ชั้น ชั้น 12 เป็นหอประวัติศาสตร์โรงเรียน[3]", "title": "โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย" }, { "docid": "11994#1", "text": "มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตั้งขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2483 สำนักงานหอการค้าไทยตึกพาณิชย์ภัณฑ์ ถนนศรีอยุธยา สนามเสือป่า โดยในครั้งนั้นใช้ชื่อ \"วิทยาลัยการค้า\" เปิดรับผู้สำเร็จการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และมีหลักสูตรการศึกษา 6 เดือน และ 2 ปี มีนักศึกษาประมาณ 300 คน หลักสูตรการสอนของวิทยาลัยการค้า นับว่าทันสมัยอย่างยิ่ง เพราะดำเนินตามหลักสูตร ของหอการค้าแห่งกรุงลอนดอน แต่วิทยาลัยการค้าเปิดสอนได้เพียง 1 ปี ก็เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา เป็นเหตุให้วิทยาลัย ต้องปิดตัวเอง เนื่องจากการสงคราม และรัฐบาลต้องการใช้สถานที่เป็น\nที่ตั้ง สำนักงานประสานงานระหว่างไทยกับญี่ปุ่น วิทยาลัยการค้าปิดไปร่วม 22 ปี กรรมการหอการค้าไทยทุกสมัยได้พยายามเป็นลำดับที่จะรื้อฟื้นวิทยาลัยขึ้นใหม่จนกระทั่ง พ.ศ. 2506 คณะกรรมการหอการค้าไทยก็ประสบผลสำเร็จในการเปิดวิทยาลัยอีกครั้งในชื่อ \"วิทยาลัยการค้า\" เช่นเดิม แต่ได้ย้ายอาคารที่ตั้งมาอยู่ที่ ณ ที่ทำการของหอการค้าไทย เลขที่ 150 ถนนราชบพิธ เปิดรับผู้สำเร็จการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีหลักสูตรการศึกษา 3 ปี ซึ่งผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรการค้าชั้นสูง การเปิดสอนของวิทยาลัยการค้าครั้งนี้ อยู่ภายใต้การ\nควบคุมของ พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์", "title": "มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" }, { "docid": "211598#0", "text": "วิทยาลัยเทคโนโลยีไทยวิจิตรศิลป์ ก่อตั้งโดย ร.ท. โภคัย ว่องกสิกร (ยศในขณะนั้น) ปัจจุบันเป็นสถาบันเอกชนที่เปิดสอนในระดับอาชีวศึกษาในหลักสูตร ปวช. (ประกาศนียบัตรวิชาชีพ) และหลักสูตร ปวส. (ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง) โดยใช้หลักสูตรการสอนชั้น ปวช. เป็นหลักสูตรเดียวกับสถาบันในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล", "title": "โรงเรียนไทยวิจิตรศิลป" }, { "docid": "353766#4", "text": "\"(ลงชื่อ) พลเอก ม. พรหมโยธีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ\"\nโรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิต ได้เริ่มเปิดทำการสอนตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม ปีการศึกษา 2498 โดยเปิดรับนักเรียน 2 แผนก คือ โรงเรียนก่อสร้างดุสิต ในปีแรกที่เปิดการศึกษารับนักเรียน รุ่นแรกดังนี้ : ในปีต่อมาโรงเรียนได้ขยายหลักสูตรของช่างไม้ปลูกสร้างออกเป็น 3 ปี และปีเดียวกัน ได้เริ่มเปิดสอนรอบบ่าย ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยนั้นเพื่อช่วยเหลือ นักเรียนที่ไม่มีสถานที่เรียน ซึ่งในที่สุดการเปิดสอนรอบบ่ายนี้ ได้เลิกไปในปีการศึกษา 2504\nแผนการศึกษาชาติในปี 2503 กรมอาชีวศึกษาได้ปรับปรุงหลักสูตรของโรงเรียนต่างๆ เช่นเดียวกันกับ โรงเรียนช่างก่อสร้าง ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนชั้นประโยคอาชีวศึกษาชั้นสูง ก็กลายเป็นโรงเรียนในระดับประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายสายอาชีพในปีการศึกษา 2504\nคือ โรงเรียนประเภทนี้เปิดสอนช่างก่อสร้างแผนกต่างๆ ได้ 5 แผนก ดังนี้ :ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2519 โรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิตได้รับการยกวิทยาฐานะขึ้นเป็น \"วิทยาลัยอาชีวศึกษากรุงเทพฯ วิทยาเขต 1 ดุสิต\" และเปลี่ยนเป็น \"วิทยาลัยช่างอุตสาหกรรมนครหลวง\" แล้วได้เปลี่ยนมาเป็น \"วิทยาลัยเทคนิคดุสิต\" เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2522", "title": "วิทยาลัยเทคนิคดุสิต สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "148127#5", "text": "ในปี พ.ศ. 2481 ทางราชการให้งดสอนนักเรียนระดับชั้นมัธยมปีที่ 8 ในโรงเรียนทั่วไป (ให้มีสอนเฉพาะที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งเดียว) ทางโรงเรียนจึงจัดการสอนแผนกฝึกหัดครูประถมขึ้นกำหนดหลักสูตร 3 ปี รับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมปีที่ 6 การจัดการศึกษาของโรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย จึงมี 3 แผนก คือสำหรับแผนกมัธยม เมื่อยุบชั้นมัธยมปีที่ 8 ในปี พ.ศ. 2481 จึงมีนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 7 เป็นชั้นสูงสุด และในปี พ.ศ. 2482 นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 7 นี้ก็จบชั้นมัธยมปีที่ 8 ดังนั้นนักเรียนในแผนกมัธยมจึงมีตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึงมัธยมปีที่ 6 แบ่งเป็น นักเรียน 9 ห้องเรียนคือมัธยมปีที่ 1 ถึง มัธยมปีที่ 3 ชั้นละ 1 ห้องเรียน รวม 3 ห้องเรียนมัธยมปีที่ 4 ถึง มัธยมปีที่ 6 ชั้นละ 2 ห้องเรียน รวม 6 ห้องเรียน นักเรียนมัธยมแต่งเครื่องแบบเช่นเดียวกับนักเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา แต่ปักอักษรว่า ส.ส.ว. ที่อกเบื้องซ้าย ในปี พ.ศ. 2501 โรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการให้เปลี่ยนชื่อเป็น \"วิทยาลัยครูสวนสุนันทา\" การจัดการศึกษาในแผนกมัธยมก็เปลี่ยนเป็น \"ฝ่ายมัธยมสาธิต\" มีอาจารย์หัวหน้าฝ่าย ครู - อาจารย์ในโรงเรียนมัธยมสาธิตเป็นตัวจักรกลในการดำเนินงาน และรับนักเรียนหญิงที่จบชั้นประถมปีที่ 7 เข้าศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และเปลี่ยนอักษรย่อจาก ส.ส.ว. เป็น ส.ว.ส. (สาธิตวิทยาลัยครูสวนสุนันทา)\nพ.ศ. 2508 เปลี่ยนแปลงการรับนักเรียนจากนักเรียนหญิงล้วน มาเป็นสหศึกษา ทางวิทยาลัยกำหนดเครื่องแบบของนักเรียนโรงเรียนสาธิตขึ้นใหม่ และใช้กันมาจนปัจจุบัน", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ในพระอุปถัมภ์ฯ" }, { "docid": "49919#10", "text": "พ.ศ. 2550 โรงเรียนเข้าร่วมโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (โครงการ วมว.) โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จำนวน 1 ห้องเรียน (ทั่วประเทศมี 4 โรงเรียน โดยโรงเรียนเป็นโรงเรียนสังกัดสพฐ. ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน English-Technology (ET) เป็นห้องเรียนภาษาอังกฤษ ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียน และเปิดห้องเรียน คู่ขนานของโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งมีนักเรียน 35 คน เป็นนักเรียนชายล้วนทั้งหมด", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" }, { "docid": "190373#1", "text": "สุนารี มีชื่อจริงว่า ทิม สอนนา (ชื่อเล่น: แหลม) เป็นชาวอำเภอโนนไทย (ปัจจุบันได้ถูกแบ่งออกเป็น อำเภอพระทองคำ) จังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านทำนบพัฒนา เป็นบุตรของนายเทียม และ นางยม สอนนา เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2511 เริ่มเข้าสู่การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งเมื่ออายุ 13 ปี เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ขณะมีอาชีพคนงานโรงงานเย็บผ้า จนได้เข้าประกวดร้องเพลงในรายการ \"ชุมทางคนเด่น\" โดยใช้ชื่อ \"\"สุนารี ราชสีมา\"\" ซึ่งเป็นชื่อของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ได้รับตำแหน่งสูงสุดเป็นรองชนะเลิศประจำปีฝ่ายหญิง พ่ายแพ้ให้กับ น้ำอ้อย พุ่มสุข แต่ สุขสันต์ หรรษา นักจัดรายการวิทยุ มีความชื่นชอบในน้ำเสียงของสุนารี แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่เด่น จึงชักชวนให้เข้ามาเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียงในที่สุด ", "title": "สุนารี ราชสีมา" }, { "docid": "49919#13", "text": "อาคาร 1 เป็นอาคาร 3 ชั้น แบบ 324 ชั้นล่างจัดเป็นห้องทำงาน สำนักงานต่างๆ ได้แก่ ห้องกลุ่มบริหารงานงบประมาณ ห้องทะเบียน ห้องกลุ่มบริหารงานทั่วไปและงานสารบรรณ ห้องประชาสัมพันธ์ ห้องแนะแนว สำนักงานฝ่ายกิจการนักเรียน อาคาร 2 หรืออาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา เป็นอาคาร 7 ชั้น ประกอบด้วย ศูนย์ถ่ายเอกสาร , ห้องดนตรีไทย , ศูนย์คอมพิวเตอร์ , ห้องกลุ่มงานบริหารบุลคล , ห้องกลุ่มงานบริหารวิชาการ , ห้องเรียนวิทยาศาสตร์แบบพิเศษ , ห้องประชุมอเนกประสงค์ , ห้องพิพิธภัณฑ์พืช , ห้องผู้อำนวยการ ,จัดเป็นห้องเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ อาคาร 3 เป็นอาคาร 3 ชั้น จัดเป็นห้องเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อาคาร 4 เป็นอาคาร 3 ชั้น จัดเป็นห้องเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย อาคาร 5 เป็นอาคาร 2 ชั้น จัดเป็นห้องเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาธุรกิจ อาคาร 6 เป็นอาคาร 3 ชั้น จัดเป็นห้องเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ อาคาร 7 เป็นอาคาร 4 ชั้น จัดเป็นห้องเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ อาคารศิลปศึกษา จัดเป็นห้องเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปศึกษา มีรูปปั้นพระวิษณุอยู่ด้านหน้า อาคารศูนย์เกษตรกรรม มี 2 ห้องเรียน และมีอาคารศูนย์เกษตรเพื่อประสานงานดูแลรับผิดชอบเนื้อที่ 80 ไร่ ซึ่งเป็นแปลงไม้ดอก ไม้ประดับ และสวนพฤกษศาสตร์ราชสีมาวิทยาลัยรวมทั้งสัตว์เลี้ยงต่างๆ อาคารศูนย์กีฬาราชสีมาวิทยาลัย ชั้นบน เป็นสนามบาสเกตบอลมีอัฒจันทร์รอบด้านทั้ง 4 ด้าน บรรจุคนได้ประมาณ 800 คน ชั้นล่าง เป็นห้องพักอาจารย์ ห้องเก็บตัวนักกีฬา ห้องเรียน และยังใช้เป็นศูนย์ทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย อาคารกิจกรรมลูกเสือ อยู่ทางทิศตะวันออกของอาคารศิลปศึกษา อาคารหอประชุม 90 ปี ชั้นบนเป็นหอประชุมใช้ในการจัดงาน-พิธีต่างๆ และชั้นล่างเป็นห้องสมุดของโรงเรียน อาคาร 80 ปี ราชสีมาศิษยานุสรณ์ เป็นอาคารจากการจัดงานครบรอบ 80 ปี ของโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย จัดสำหรับเป็นที่ประดิษฐานท่านท้าวสุรนารี (องค์ต้นแบบองค์ที่อนุเสาวรีย์ท้าวสุรนารีปั้นโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และปัจจุบันได้ทำการย้ายสถานที่ประดิษฐานท่านท้าวสุรนารีไปอยู่ ณ ศาลาใหม่หน้าบริเวณทางเข้าโรงเรียน) และที่ทำการกองบังคับการกรมนักศึกษาวิชาทหารโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยมณฑลทหารบกที่ 21 อาคารธรรมสถาน ใช้เป็นที่ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเรียนวิชาพระพุทธศาสนา เป็นที่ประดิษฐาน<b data-parsoid='{\"dsr\":[20557,20584,3,3]}'>พระพุทธราชสีมามงคลชัย</b>พระพุทธรูปประจำโรงเรียน รวมทั้งใช้เป็นอาคารประชุมเอนกประสงค์ เรือนพยาบาล เป็นอาคารที่ ม.ศ.5 รุ่นสุดท้ายหาทุนสร้างให้เป็นอนุสรณ์สำหรับใช้บริการตรวจสุขภาพและปฐมพยาบาลเบื้องต้น มีห้องผ่าตัดขนาดเล็ก โรงอาหาร ใช้เป็นที่รับประทานอาหารกลางวันของนักเรียน (พ.ศ. 2509-2554) โรงอาหารใหม่ ใช้เป็นที่รับประทานอาหารกลางวันของนักเรียน (พ.ศ. 2535-2554) ศาลากฤษณ์ จันทนโรจน์ ตั้งอยู่หน้าอาคาร 80 ปี ราชสีมาศิษยานุสรณ์ อาจารย์จินตนา จันทนโรจน์ สร้างให้เป็นอนุสรณ์ให้<b data-parsoid='{\"dsr\":[21072,21097,3,3]}'>นายกฤษณ์ จันทนโรจน์ สำนักงานพัสดุ ตั้งอยู้ด้านทิศตะวันออกของอาคาร 1 อาคารอุตสาหกรรม ใช้เป็นสถานที่เรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี แบ่งสายงานดังนี้ อาคารโรงงาน 1 แผนกช่างเขียนแบบ อาคารโรงงาน 2 แผนกช่างยนต์และแผนกช่างโลหะ อาคารโรงงาน 3 แผนกช่างไฟฟ้าและแผนกช่างไม้ก่อสร้าง อาคารโรงงาน 4 แผนกคหกรรม ศาลาพระอาจารย์ศุภชัย อัคฺคธมฺโม</b>เป็นที่ตั้งสำนักงานสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือและกลุ่มงานกิจการนักเรียน สวนป่า ใช้เป็นที่เรียนกิจกรรมลูกเสือ อาคารสำนักงานโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด To be Number Oneตั้งอยู่บริเวณหน้าอาคาร 5 อาคารสำนักงานคณะกรรมการนักเรียน เป็นห้องปฏิบัติงานของคณะกรรมการนักเรียน ศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น (Friend Corner) ชั้นหนึ่ง อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ห้องพุทธศาสน์</b>ชั้นหนึ่ง อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ประดิษฐาน พระพุทธรังสีราชสีมามงคลและรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อาคาร 111 ปีราชสีมาวิทยาลัย เป็นลานเอนกประสงค์ มีหลังคาครอบขนาดใหญ่ เป็นอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนซึ่งครอบคลุมบริเวณสนามเทนนิส , สนามฟุตบอล , สนามบาสเก็ตบอล , สนามเซปักตระกร้อ และสนามวอลเล่ย์บอลเดิมของโรงเรียน อาคารโรงอาหาร 113 ปีราชสีมาวิทยาลัย เป็นโรงอาหารที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในasean ขนาด 2 ชั้น ชั้นบน</b>ใช้เป็นที่รับประทานอาหารกลางวันของนักเรียน ชั้นล่าง</b>ใช้เป็นห้องเรียน ห้องประชุม ธนาคารโรงเรียน ห้องสมาคมนักเรียนเก่า สำนักงานพัสดุ สำนักงานสภานักเรียน มินิมาร์ทซันดิว", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" }, { "docid": "49919#11", "text": "พ.ศ. 2551 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จทรงเปิดศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น To Be Number One Friend Corner ในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2552 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จทรงเปิดป้ายอาคารวิทยาศาสตร์ ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552 และเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยได้ทำการตั้งเสาธงใหม่สูง 37 เมตร โดยใช้ฤกษ์ในการตั้งเวลา 09.19 น. นับได้ว่าเป็นเสาธงของสถานศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด พ.ศ. 2553 ครบรอบ 111 ปี แห่งการสถาปนาโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย และ นายอุทัย หวังอ้อมกลาง เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นคนที่ 24 พัฒนาอาคารสถานที่ สร้างบ้านคุณย่าโม สนามมวยผวนกาญจนกาศ และอาคารโดม 111 ปี โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย พ.ศ. 2554 จัดการเรียนการสอนใช้หลักสูตรมาตรฐานสากล (World Class Standard School) ดำเนินการก่อสร้าง อาคารหอประชุม-โรงอาหารเอนกประสงค์ พ.ศ. 2555 ดำเนินการก่อสร้าง อาคารหอประชุม-โรงอาหารเอนกประสงค์ พ.ศ. 2556 ดำเนินการก่อสร้าง อาคารหอประชุม-โรงอาหารเอนกประสงค์ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยและสพม.31 ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.เกมส์ 2555 ครั้งที่ 2 รอบชิงชนะเลิศ นักเรียนราชสีมาวิทยาลัยที่คว้าแชมป์ประเทศไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญทอง การแข่งขันหุ่นยนต์ว่ายน้ำอัตโนมัติควบคุมด้วยอุปกรณ์สื่อสารไร้สายสมัยใหม่ ในรายการ 2012 Thailand Swimming Robot ในงาน ZEER Robotic Open 2013 พิธี<b data-parsoid='{\"dsr\":[15866,15932,3,3]}'>เปิดธนาคารโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ธนาคารโรงเรียนลำดับที่ 776 ของประเทศ (โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารออมสิน)", "title": "โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย" }, { "docid": "135703#1", "text": "นายสกุล ศรีพรหม เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2475 ณ บ้านเลขที่ 245 ตรอกกงสุลฝรั่งเศส ตรงข้างวัดแจ้งใน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จบชั้นมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาชั้นประโยคเตรียมอุดมศึกษา ในปี พ.ศ. 2492 จากนั้นได้รับประกาศนียบัตรครูพิเศษมัธยม, ประกาศนียบัตรวิชาสถิติ จาก สมาคมคณิตศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาตรีทางกฎหมาย นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์", "title": "สกุล ศรีพรหม" } ]
3124
มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?
[ { "docid": "12100#0", "text": "มหาวิทยาลัยบูรพา () สถาบันอุดมศึกษาของรัฐแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐตั้งอยู่ที่ ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 โดยอดีตเป็นวิทยาเขตหนึ่งของวิทยาลัยวิชาการศึกษา (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปัจจุบัน)ก่อตั้งโดย พลเอกมังกร พรหมโยธี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงครามตั้งอยู่ ณ เลขที่ 169 ถนนลงหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 647 ไร่ 35 ตารางวา โดยมีชื่อว่า วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน หรือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน ในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้วันที่ 8 กรกฎาคม หรือที่เรียกว่า \"แปดกรกฎ\" ของทุกปีจึงนับเป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "218053#0", "text": "คณะศึกษาศาสตร์ เป็นคณะแรกของมหาวิทยาลัยบูรพา คณะศึกษาศาสตร์ ก่อตั้งมาพร้อมกับวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2498 เมื่อวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปี พ.ศ. 2517 วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน จึงได้รับการเลื่อนวิทยะฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒด้วย แต่วิทยาเขตบางแสน จนกระทั่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน ได้รับการยกฐานเป็นมหาวิทยาลัยบูรพา ในปี พ.ศ. 2533 เมื่อมหาวิทยาลัยบูรพามีฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ คณะศึกษาศาสตร์จึงมีฐานะเป็นคณะวิชาที่เป็นรูปแบบ จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งในปัจจุบันคณะได้จัดการศึกษาในระดับปริญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก", "title": "คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" } ]
[ { "docid": "488763#1", "text": "คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับการจัดการการเรียนการสอนทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ ขึ้นสู่ระดับคณะเป็นแห่งแรกของประเทศไทย โดยแยกออกมาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในปัจจุบันความรู้ทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีความสำคัญโดดเด่นเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากความรู้ทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ สามารถนำไปปรับใช้กับการจัดการบริหารประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านภัยพิบัติ ด้านการบริหารพื้นที่ในท้องถิ่น เป็นต้น", "title": "คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "178970#0", "text": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2545 เป็นคณะแพทยศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้นแห่งแรกในภาคตะวันออก เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคณะทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งประกอบด้วยคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ รวมถึงคณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ที่จะดำเนินการเปิดสอนในอนาคต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาผ่านการรับรองหลักสูตรจากแพทยสภาแล้ว โดยมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการแก่สังคมและชุมชน", "title": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "126830#0", "text": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งปี พ.ศ 2533 และในปี 2534 สภามหาวิทยาลัยให้จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยมีภารกิจหลักคือการผลิตบัณฑิตด้านวิศวกรรมศาสตร์เป็นศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เผยแพร่ความรู้ข้อสนเทศทางวิศวกรรมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และต่อมาได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ (หน้า 62 เล่มที่ 110 ตอนที่ 288) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ 2536 โดยมีการแบ่งส่วนราชการออกเป็น สำนักงานเลขานุการภาควิชาวิศวกรรมเคมี และภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ตามประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2537 และได้เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2534", "title": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "850234#1", "text": "โรงเรียนสาธิต \"พิบูลบำเพ็ญ\" มหาวิทยาลัยบูรพา (อังกฤษ; Piboonbumpen Demonstration School, Burapha University) เดิมคือ โรงเรียนประชาบาลตำบลแสนสุข 3 (บ้านแสนสุข) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2482 เป็นหน่วยงานภายในสังกัดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มีการบริหารงานนอกระบบราชการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ", "title": "โรงเรียนสาธิต &quot;พิบูลบำเพ็ญ&quot; มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "234574#1", "text": "คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งจากทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2525 โดยเป็นคณะวิชาหนึ่งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยบูรพา ตามพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยบูรพา ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงได้โอนเข้ามาอยู่ในสังกัดมหาวิทยาลัยบูรพา และเป็นคณะวิชาแรกของ มหาวิทยาลัยบูรพา", "title": "คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "234576#0", "text": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 เริ่มแรกใช้ชื่อคณะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มี 5 แผนกวิชา ได้แก่ แผนกวิชาคณิตศาสตร์ แผนกวิชาเคมี แผนกวิชาชีววิทยา แผนกวิชาฟิสิกส์ และแผนกวิชาวิทยาศาสตร์ ดำเนินการสอนวิทยาศาสตร์พื้นฐานให้กับหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) ร่วมกับคณะวิชาการศึกษา (ปัจจุบัน คือ คณะศึกษาศาสตร์) ผลิตระดับปริญญาตรีทางการศึกษา เพื่อไปเป็นครูวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา", "title": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "12100#15", "text": "นิยมเรียกกันว่า โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยบูรพา สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย มี 3 อาคาร ประกอบด้วย อาคารคณะแพทยศาสตร์ อาคารศรีนครินทร์ และอาคารท่านผู้หญิงประภาศรี กำลังเอก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2527 เดิมใช้ชื่อว่า “โครงการศูนย์บริการทางการแพทย์” โดยได้รับความอนุเคราะห์จากพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก บริจาคอาคาร 2 ชั้น\n \nมหาวิทยาลัยบูรพา แบ่งพื้นที่การศึกษาออกเป็น 3 วิทยาเขต", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "12100#17", "text": "มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว เป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการ ให้มหาวิทยาลัยบูรพาขยายโอกาสอุดมศึกษาไปสู่จังหวัดสระแก้วได้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 มีพื้นที่ในการดำเนินการเป็นที่ดินสารธารณประโยชน์ แปลงโคกป่าเพ็ก บริเวณ หมู่ที่ 4 ตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว พื้นที่ 1,369ไร่ ที่ดินดังกล่าว กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติในหลักการให้มหาวิทยาลัยบูรพาใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ โดยมีเงื่อนไขการดำเนินงานใน 2 ปี ต้องได้รับงบประมาณการก่อสร้างอาคาร ถ้าไม่ได้รับจะขอยกเลิกสิทธิ์การใช้ที่ดิน \nเปิดสอนใน 2 คณะ คือ", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" } ]
3471
สนุกเกอร์ เป็นกีฬาระดับโลกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "209100#4", "text": "สนุกเกอร์เติบโตในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 และในปี 1927 ได้มีเวิลด์สนุกเกอร์แชมเปียนชิปครั้งแรก[8] ได้จัดตั้งโดยโจ เดวิส ผู้ซึ่งเป็นนักกีฬาอิงลิชบิลเลียดและนักสนุกเกอร์อาชีพ ได้กระตุ้นเกมจากงานอดิเรกให้เป็นกีฬาอาชีพมากขึ้น[13] โจ เดวิส ได้คว้าเวิลด์แชมเปียนชิปทุกครั้งจนถึงปี 1946 ที่เขาได้แขวนคิว สนุกเกอร์ได้เสื่อมถอยจนถึงทศวรรษ 1950 และ 1960 ได้สร้างความสนใจเล็กน้อยจากผู้เล่นวงนอกนั้นที่กำลังเล่น ในปี 1959 เดวิส แนะนำความแตกต่างของสนุกเกอร์อีกแบบที่รู้จักกันคือ สนุกเกอร์พลัส (Snooker-plus) โดยพยายามที่จะปรับปรุงความนิยมของสนุกเกอร์โดยการเพิ่มสองสีพิเศษ", "title": "สนุกเกอร์" } ]
[ { "docid": "665077#0", "text": "สมาคมบิลเลียดและสนุกเกอร์อาชีพโลก () ก่อตั้งในปี ศ.ค. 1968 ในบริสตอล สหราชอาณาจักร เป็นองค์กรที่ดำเนินการในกีฬาสนุกเกอร์และอิงลิชบิลเลียดอาชีพ ที่มีการกำหนดกฎระเบียบในการจัดการแข่งขันอาชีพสมัครเล่นและอาชีพเดินสายและการมีส่วนร่วมในฐานะตัวแทนที่ส่งเสริมในกีฬานี้", "title": "สมาคมบิลเลียดและสนุกเกอร์อาชีพโลก" }, { "docid": "668766#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 28 เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 16 – 23 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เรียกชื่อเกมส์แข่งขันว่า “ปากน้ำโพเกมส์” มีการแข่งขัน 21 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น จักรยาน มวยไทยสมัครเล่น ฟุตบอล ยูโด เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ยิมนาสติก เปตอง รักบี้ฟุตบอล ลอนเทนนิส สนุกเกอร์ โบว์ลิ่ง และเรือยาว และมีการสาธิตการแข่งขัน เรือแคนู มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 3,944 คน บอล", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 28" }, { "docid": "668759#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 23 เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 4 – 10 มีนาคม พ.ศ. 2536 เรียกชื่อเกมส์แข่งขันว่า “นครพิงค์เกมส์” มีการแข่งขัน 19 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น จักรยาน ฟุตบอล ยูโด ลอนเทนนิส เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก โบว์ลิ่ง ยิมนาสติก เปตอง และเพิ่มการแข่งขันยกน้ำหนักหญิง รักบี้ฟุตบอล และสนุกเกอร์ มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 3,179 คน", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 23" }, { "docid": "882217#0", "text": "การแข่งขัน บิลเลียดและสนุกเกอร์ ในมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ 2017 ในกรุง กัวลาลัมเปอร์ จะจัดขึ้นที่ กัวลาลัมเปอร์ คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ใน กัวลาลัมเปอร์ ซิตี เซ็นเตอร์.", "title": "กีฬาบิลเลียดและสนุกเกอร์ในซีเกมส์ 2017" }, { "docid": "668763#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ 12 – 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 เรียกชื่อเกมส์แข่งขันว่า “ดอกคูนเกมส์” มีการแข่งขัน 21 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น มวยไทยสมัครเล่น จักรยาน ฟุตบอล ยูโด เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก โบว์ลิ่ง ยิมนาสติก เปตอง รักบี้ฟุตบอล ลอนเทนนิส สนุกเกอร์ และเรือยาว มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 3,365 คน", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 25" }, { "docid": "668530#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 33 หรือ “นครเชียงใหม่เกมส์” เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 13 – 24 ธันวาคม พ.ศ. 2545 มีการแข่งขัน 34 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา กอล์ฟ กาบัดดี้ กีฬาไทย (ฟันดาบ) ขี่ม้า คาราเต้โด จักรยาน ตะกร้อ (เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง) เทควันโด เทนนิส เทเบิลเทนนิส บิลเลียด – สนุกเกอร์ บาสเกตบอล แบดมินตัน โบว์ลิ่ง เปตอง เพาะกาย ฟันดาบสากล ฟุตบอล มวยไทยสมัครเล่น มวยสากลสมัครเล่น มวยปล้ำ ยกน้ำหนัก ยิงปืน ยิงเป้าบิน ยิมนาติก ยูโด รักบี้ฟุตบอล เรือพาย ลีลาศ วอลเลย์บอล (ในร่ม – ชายหาด) ว่ายน้ำ วูซู แฮนด์บอล มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 8,940 คน ", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 33" }, { "docid": "668764#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 26 เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 24 – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เรียกชื่อเกมส์แข่งขันว่า “สุราษฎร์ธานีเกมส์” มีการแข่งขัน 20 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น มวยไทยสมัครเล่น จักรยาน ฟุตบอล ยูโด เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ยิมนาสติก เปตอง รักบี้ฟุตบอล ลอนเทนนิส สนุกเกอร์ และเรือยาว มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 3,065 คน", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 26" }, { "docid": "209100#11", "text": "ในปี 1982 (พ.ศ. 2525) ได้ก่อตั้ง สมาคมสนุกเกอร์แห่งประเทศไทย โดยมอริส เคอร์ ชาวอังกฤษที่เป็นผู้บุกเบิกกีฬาสนุกเกอร์เข้ามาในประเทศไทย โดยเริ่มมีการแข่งขันชิงแชมป์อาเซียน ปี 1983 (พ.ศ. 2526) ในปรเทศสิงคโปร์[27] การกีฬาแห่งประเทศไทยได้บรรจุสนุกเกอร์ให้อยู่ในพระราชบัญญัติกีฬาตั้งแต่ปี 1984 (พ.ศ. 2527)[28] ในปี 1985 (พ.ศ. 2528) ได้มีการแข่งขันสนุกเกอร์มืออาชีพในประเทศไทยในชื่อว่า ไทยแลนด์ มาสเตอร์ (ชื่ออื่น เอเชียนโอเพน และ ไทยแลนด์โอเพน) โดยมีการเริ่มจัดอันดับโลกตั้งแต่ในฤดูกาล 1989/90 (2532/33) จนถึง 2001/02 (2544/45)[29]", "title": "สนุกเกอร์" }, { "docid": "125772#1", "text": "โรงละครครูซิเบิลมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ เนื่องจากใช้จัดการแข่งขันกีฬาสนุกเกอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก ซึ่งจัดที่โรงละครครูซิเบิลมาตั้งแค่ พ.ศ. 2520", "title": "โรงละครครูซิเบิล" }, { "docid": "949314#0", "text": "กีฬาสนุกเกอร์ในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 จัดแข่งขันที่สมาคมแต้จิ๋ว หาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 23 ถึง 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560 มีการชิงชัยทั้งหมด 5 เหรียญทอง", "title": "กีฬาสนุกเกอร์ในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45" }, { "docid": "664670#1", "text": "การแข่งขันได้จัดขึ้นในฤดูกาลที่ 2008/2009 เป็นที่รู้จักในชื่อ ซิกส์เรดสนุกเกอร์อินเตอร์เนชันแนล (Six-red Snooker International) ซึ่งจัดตั้งโดยสมาพันธ์กีฬาบิลเลียดแห่งเอเชีย (Asian Confederation of Billiards Sports) ผู้เล่นสี่สิบแปดคนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆถึงแปดกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็จะผ่านเข้าถึงรอบน็อกเอาต์ (คัดออก) ในปี 2009 การแข่งขันได้เปลี่ยนชื่อเป็น ซิกส์เรดเวิลด์กรังด์ปรีซ์ (Six-red World Grand Prix) และปี 2010 ได้เปลี่ยนอย่างเป็นทางการเป็น สนุกเกอร์ 6 แดง ชิงแชมป์โลก (six red snooker world championship) หลังการแข่งขันก่อนหน้าได้จัดขึ้นครั้งหนึ่งในปี 2009 ตอนนี้ได้ยกเลิกแล้ว ไม่ได้จัดขึ้นในฤดูกาลที่ 2011/2012 แต่กลับมาอีกครั้งในในฤดูกาลที่ 2012/2013 พร้อมกับการสนับสนุนของสมาคมบิลเลียดอาชีพและสนุกเกอร์โลก การแข่งขันได้จัดขึ้นในโรงแรมมณเฑียรริเวอร์ไซด์ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2008", "title": "สนุกเกอร์ 6 แดง ชิงแชมป์โลก" }, { "docid": "537458#1", "text": "6-แดงจะเป็นความหวังที่จะฟื้นความนิยมในสนุกเกอร์เป็นกีฬาที่มีผู้ชม แบบเดียวทางกับ Twenty20ที่ได้ทำไว้ในคริกเกต จิมมี ไวต์ ได้กล่าวว่าสนุกเกอร์หกแดงมีอีกทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความนิยมของเกม อาลี คาร์เตอร์ ยังได้กล่าวว่าเขามีความสนใจในการเล่นหกแดง", "title": "สนุกเกอร์ 6-แดง" }, { "docid": "668526#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 31 หรือ \"ระยองเกมส์\" เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดระยอง ระหว่างวันที่ 24 – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 มีการแข่งขัน 26 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น มวยไทยสมัครเล่น จักรยาน ฟุตบอล ยูโด เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล วอลเลย์บอลชายหาด ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ยิมนาสติก เปตอง รักบี้ฟุตบอล ลอนเทนนิส สนุกเกอร์ เรือพาย โบว์ลิ่ง ฮอกกี้ชาย ซอฟท์บอลหญิง เทควันโด มีการสาธิต 2 ชนิดกีฬา คือ ยิงธนู และแฮนด์บอล มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 4,180 คน กีฬาสาธิต 2 ชนิดกีฬา", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 31" }, { "docid": "936#121", "text": "มวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติไทย นักมวยไทยมักเป็นแชมเปียนระดับไลต์เวทของสมาคมมวยโลกเสมอ[197]:107 ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศไทยรับกีฬาตะวันตกเข้ามาหลายชนิด โดยเริ่มมีการแข่งขันในโรงเรียนในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตามมาด้วยในระบบการศึกษาสมัยใหม่[200]:38 ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมในประเทศไทย[201] โดยทีมชาติไทยได้แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 4 สมัย แต่ยังไม่เคยผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ส่วนสนุกเกอร์ แบดมินตัน เทนนิส รักบี้ กีฬาขี่ม้าและกีฬาทางน้ำได้รับความนิยมรองลงมา สำหรับกีฬาไทยเดิมที่ได้รับความนิยมนั้น ได้แก่ ว่าวพนัน (kite fighting) แข่งเรือและตะกร้อ[202]", "title": "ประเทศไทย" }, { "docid": "123738#4", "text": "ต๋อง ศิษย์ฉ่อย เป็นผู้ปลุกกระแสให้คนไทยหันมาสนใจในกีฬาสนุกเกอร์ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการแข่งขันสนุกเกอร์ระดับอาชีพและระดับเยาวชนแล้ว", "title": "รัชพล ภู่โอบอ้อม" }, { "docid": "668531#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 34 หรือ “ราชบุรีเกมส์” เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดราชบุรี ระหว่างวันที่ 18 – 28 ธันวาคม พ.ศ. 2547 มีการแข่งขัน 34 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา กอล์ฟ กาบัดดี้ กีฬาไทย (ฟันดาบ) ขี่ม้า คาราเต้โด จักรยาน ตะกร้อ (เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง) เทควันโด เทนนิส เทเบิลเทนนิส บิลเลียด – สนุกเกอร์ บริดจ์ บาสเกตบอล แบดมินตัน โบว์ลิ่ง เปตอง เพาะกาย ฟันดาบสากล ฟุตบอล มวยไทยสมัครเล่น มวยสากลสมัครเล่น มวยปล้ำ ยกน้ำหนัก ยิงปืน ยิงเป้าบิน ยิมนาสติก ยูโด รักบี้ฟุตบอล เรือพาย ลีลาศ วอลเลย์บอล (ในร่ม – ชายหาด) ว่ายน้ำ วูซู แฮนด์บอล มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่าง ๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 8,212 คน ", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 34" }, { "docid": "668765#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 27 เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างวันที่ 19 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 เรียกชื่อเกมส์แข่งขันว่า “ดอนเจดีย์เกมส์” มีการแข่งขัน 22 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น ฟุตบอล มวยไทยสมัครเล่น จักรยาน ยูโด เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ยิมนาสติก เปตอง รักบี้ฟุตบอล ลอนเทนนิส สนุกเกอร์ โบว์ลิ่ง และเรือยาว มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 3,774 คน", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 27" }, { "docid": "593159#0", "text": "กีฬาบิลเลียดและสนุกเกอร์ในซีเกมส์ 2013 จัดแข่งขันขึ้นที่สนามอาคารอินดอร์วันนาเต้ย์ดิ ในกรุงเนปยีดอ ประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 13–20 ธันวาคม 2556", "title": "กีฬาบิลเลียดและสนุกเกอร์ในซีเกมส์ 2013" }, { "docid": "715911#1", "text": "จากนักกีฬาทั้งหมด 82 คนจาก 9 ชาติสมาชิกที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาบิลเลียดและสนุกเกอร์ในซีเกมส์ 2015:", "title": "กีฬาบิลเลียดและสนุกเกอร์ในซีเกมส์ 2015" }, { "docid": "428814#0", "text": "แคร์ริต ไบ เดอ ไล () เกิดวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1980 ที่หมู่บ้านอัปเปิลสคา จังหวัดฟรีสลันด์ เป็นผู้เล่นกีฬาสนุกเกอร์ระดับสมัครเล่นนานาชาติที่มีชื่อเสียงและฝีมือเก่งกาจชาวดัตช์", "title": "แคร์ริต ไบ เดอ ไล" }, { "docid": "595594#0", "text": "\"สนุกเกอร์ - บิลเลียด\"ในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 42 สุพรรณบุรีเกมส์", "title": "กีฬาสนุกเกอร์-บิลเลียดในกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 42" }, { "docid": "715911#0", "text": "กีฬาบิลเลียดและสนุกเกอร์ในซีเกมส์ 2015 จัดขึ้นที่โอซีบีซี อารีนา ฮอลล์ 4, ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 6–10 มิถุนายน พ.ศ. 2558", "title": "กีฬาบิลเลียดและสนุกเกอร์ในซีเกมส์ 2015" }, { "docid": "123738#0", "text": "รัชพล ภู่โอบอ้อม หรือชื่อเดิมว่า วัฒนา ภู่โอบอ้อม (ฉายา ต๋อง ศิษย์ฉ่อย หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ เจมส์ วัฒนา, James Wattana) เป็นนักสนุกเกอร์อาชีพชาวไทย \nรูปแบบการเล่น ต๋องถือเป็นนักสนุ้กเกอร์คนหนึ่งที่มีการเล่นที่รวดเร็วและแม่นยำมาก ช่วงที่ต๋องสามารถทำผลงานได้ดีนั้นอยู่ในช่วงกลางทศวรรษของปี 90 โดยได้แชมป์รายการแข่งขันรายการอาชีพสะสมคะแนนทั้งสิ้น 3 รายการ อันดับโลกที่สูงที่สุดคืออันดับที่ 3 ของโลกในช่วงฤดูกาลปี 1994/95 โดยเป็นรองเพียงสตีเฟน เฮนดรี้และสตีพ เดวิสเท่านั้น นอกจากนี้ต๋องยังเป็นนักสนุกเกอร์คนที่ 8 ของโลกที่สามารถทำเงินรางวัลได้มากกว่า 1 ล้านปอนด์ ปัจจุบันทำรายได้ทั้งหมดจากการแข่งขันอาชีพ 1.75 ล้านปอนด์ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย เป็นผู้ปลุกกระแสให้คนไทยหันมาสนใจในกีฬาสนุกเกอร์ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการแข่งขันสนุกเกอร์ระดับอาชีพและระดับเยาวชนแล้ว", "title": "รัชพล ภู่โอบอ้อม" }, { "docid": "209100#2", "text": "สนุกเกอร์เริ่มเกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19[8] ในยุค 1870 กีฬาบิลเลียดเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในหมู่ทหารอังกฤษที่ประจำการทั่วอินเดีย โดยต้นกำเนิดสนุกเกอร์เริ่มต้นในกรมทหารเดวอนเชอร์ในเมืองจาบาลปุร์ ในช่วงปี 1875[9] มีรากฐานมาจากพ็อกเก็ตบิลเลียด แล้วรวมเกมปิรามิด (ลูกแดง 15 ลูก) และไลฟ์พูล (ลูกสีต่าง ๆ) เข้าด้วยกัน รูปแบบของเกมในช่วงแรกมี ลูกสีแดง 15 ลูกตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยม คู่กับ ลูกดำ 1 ลูก ที่จุดด้านหลังลูกแดงสามเหลี่ยม พร้อมทั้งมีการนำลูกสีต่างๆ ได้แก่ เหลือง เขียว น้ำตาล น้ำเงิน และชมพูเพิ่มเข้ามาอีกในเวลาต่อมา[10] จึงได้พัฒนามาเรี่อยๆ จนกระทั่งปี 1884 กติกาสนุกเกอร์เริ่มใช้ครั้งแรกโดย เซอร์ เนวิลล์ ฟรานซิส ฟิตซ์เจอรัลด์ แชมเบอร์เลน ที่เล่นกันในสโตนเฮาส์ในเมืองอูตี ใช้โต๊ะที่ทำขึ้นโดย เบอร์โรส์แอนด์วัตต์ (Burroughes & Watts) นำมาจากเรือ[11] ที่มาของชื่อ สนุกเกอร์ (snooker) ในภาษาอังกฤษ เป็นสแลงของนักเรียนนายทหารปีแรกหรือบุคลากรที่ไม่มีประสบการณ์[8] แชมเบอร์เลนได้เอ่ยคำว่าสนุกเกอร์ขึ้นมา เมื่อผู้เล่นแทงไม่ถูกลูกเป้าหลายครั้งจนกลายเป็นที่มาของชื่อสนุกเกอร์[8][10][12] ในปี 1887 สนุกเกอร์ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ สปอร์ติงไลฟ์ (Sporting Life) จนทำให้เป็นที่รู้จัก[9] แชมเบอร์เลนก็เลยกลายเป็นผู้คิดค้นเกมสนุกเกอร์โดยปริยายจากคำบอกเล่าของนิตยสาร เดอะฟิลด์ (The Field) ที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1938[9]", "title": "สนุกเกอร์" }, { "docid": "209100#5", "text": "ความก้าวหน้าที่สำคัญกำลังปรากฏขึ้น ในปี 1969 เมื่อ เดวิด แอทเทนเบอเรอห์ ได้รับหน้าที่จัดการแข่งขันสนุกเกอร์ พอตแบล็ก (Pot Black) เพื่อแสดงศักยภาพของโทรทัศน์สีกับโต๊ะสีเขียวและลูกหลายสีที่ให้ประโยชน์อย่างดีสำหรับการแพร่ภาพสี[14][7] ขึ้นเรตติงจากความสำเร็จด้วยความยอดนิยมจากการชมมากที่สุดบนช่องบีบีซีทู[15] จนทำให้สนุกเกอร์เป็นที่สนใจมากขึ้น และปี 1978 เวิลด์แชมเปียนชิป ได้ถ่ายทอดสดการแข่งขันอย่างเต็มที่[4][16] สนุกเกอร์ได้อยู่ในกระแสหลักอย่างเร็วในกีฬาหลัก[17] ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ และประเทศในเครือจักรภพจำนวนมากได้ประสบความสำเร็จมากในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีการแข่งขันผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์มากที่สุด ในปี 1985 ได้รวมผู้ชมทั้งหมด 18.5 ล้านจากการแข่งขันเฟรมสุดท้ายระหว่าง เดนนิส เทย์เลอร์ และ สตีฟ เดวิส[18] ในปีที่ผ่านมาได้สูญเสียจากการโฆษณายาสูบ ที่ได้นำไปสู่​​การลดลงจำนวนการแข่งขันระดับอาชีพ แม้จะได้รับแหล่งที่มาจากบางสปอนเซอร์ใหม่[19] และมีความนิยมในตะวันออกไกลและจีน ที่มีความสามารถใหม่ๆ เช่น เหลียง เหวินปั๋ว ผู้เล่นเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเช่น ติง จวิ้นฮุย และ มาร์โก ฟู ที่ได้เป็นลางบอกเหตุที่ดีสำหรับอนาคตของการเล่นกีฬาในส่วนหนึ่งของโลก[20]", "title": "สนุกเกอร์" }, { "docid": "668794#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 30 เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 8 – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เรียกชื่อเกมส์แข่งขันว่า “ศรีสะเกษเกมส์” มีการแข่งขัน 26 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น มวยไทยสมัครเล่น จักรยาน ฟุตบอล ยูโด เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล วอลเลย์บอลชายหาด ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ยิมนาสติก เปตอง รักบี้ฟุตบอล ลอนเทนนิส สนุกเกอร์ โบว์ลิ่ง ฮอกกี้ ซอฟท์บอลหญิง เทควันโด มีการสาธิต 2 ชนิดกีฬา คือ ยิงธนู และแฮนด์บอล มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 4,172 คน การสาธิต 2 ชนิดกีฬา", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 30" }, { "docid": "668793#0", "text": "การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 29 เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระดับประเทศของประเทศไทย การแข่งขันครั้งนี้จัดที่จังหวัดตรัง ระหว่างวันที่ 19 – 26 ธันวาคม พ.ศ. 2539 เรียกชื่อเกมส์แข่งขันว่า “พะยูนเกมส์” มีการแข่งขัน 22 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล มวยสากลสมัครเล่น มวยไทยสมัครเล่น จักรยาน ฟุตบอล ยูโด เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ยิมนาสติก เปตอง รักบี้ฟุตบอล ลอนเทนนิส สนุกเกอร์ โบว์ลิ่ง และเรือยาว และมีการสาธิตการแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาด มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากเขตต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน 3,902 คน", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 29" }, { "docid": "123738#2", "text": "โกวิน ภู่โอบอ้อม บิดาของวัฒนา เป็นนักสนุกเกอร์อาชีพ ฉายา \"ฉ่อย ซู่ซ่าส์\" วัฒนาซึ่งติดตามดูบิดาเล่นสนุกเกอร์มาตั้งแต่เด็ก จึงได้ฝึกฝนฝีมือมาตั้งแต่ยังเล็ก เริ่มแข่งขันสนุกเกอร์ในระดับเยาวชน ได้รองชนะเลิศการแข่งขันประเภทดาวรุ่ง ของนิตยสารคิวทอง เมื่อ พ.ศ. 2527 ขณะอายุเพียง 14 ปี โดยได้ฉายา \"ต๋อง ศิษย์ฉ่อย\" เพราะบิดา (ฉ่อย ซู่ซ่าส์) เป็นครูผู้สอน\nต๋องชนะเลิศการแข่งขันชิงแชมป์รายการสนุกเกอร์สมัครเล่นโลกเมื่อปี พ.ศ. 2531 ที่ประเทศออสเตรเลีย เริ่มเล่นอาชีพเมื่อปี พ.ศ. 2532 มีฉายาในเมืองไทยว่า \"ไทย ทอร์นาโด\" ส่วนในต่างประเทศมีฉายาว่า \"Thai Phoon\" (อ่านออกเสียงเหมือนคำว่า Typhoon - ไต้ฝุ่น) เนื่องจากไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มีความแม่นยำและเล่นด้วยความรวดเร็ว เป็นนักกีฬาสนุกเกอร์จากภูมิภาคเอเชียคนแรกที่ประสบความสำเร็จในการเล่นสายอาชีพ (ซึ่งต่อมาก็มีนักสนุกเกอร์จากฮ่องกงคือ มาร์โก ฟู เกาจุน และดิง จุง ฮุยจากประเทศจีน ที่สามารถเข้ามามีอันดับโลกอยู่ภายใน 16 คนแรกของโลก) ได้แชมป์รายการแข่งขันรายการอาชีพสะสมคะแนนทั้งสิ้น 3 รายการ อันดับโลกที่สูงที่สุดคืออันดับที่ 3 ของโลกในช่วงฤดูกาลปี 1994/95 โดยเป็นรองเพียงสตีเฟน เฮนดรี้ และสตีพ เดวิสเท่านั้น นอกจากนี้ต๋องยังเป็นนักสนุกเกอร์คนที่ 8 ของโลกที่สามารถทำเงินรางวัลได้มากกว่า 1 ล้านปอนด์ ปัจจุบันทำรายได้ทั้งหมดจากการแข่งขันอาชีพ 1.75 ล้านปอนด์ ", "title": "รัชพล ภู่โอบอ้อม" }, { "docid": "537458#0", "text": "สนุกเกอร์ หกแดง หรือ 6-แดง () เป็นกีฬาสนุกเกอร์ชนิดหนึ่งที่มีลูกหกแดงบนโต้ที่จะเล่น ตรงกันข้ามกับสนุกเกอร์ตามมาตรฐานจะเล่นกันสิบห้าลูก โดยกฎกติกาอื่นๆยังไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายความว่า อาจจะมีการฟาวล์มากขึ้นและมีผลในการรวมคะแนนด้วย โดยโต๊สนุกเกอร์จะใช้ขนาดเดียวกับในโต๊ 15 แดงแบบเดิม และรูปแบบที่ถูกออกแบบมาก็เพื่อมีเฟรมน้อยลงด้วย เนื่องจากลูกแดงน้อยลง และรูปแบบอื่นๆกำลังได้รับการพิจารณาเช่นกัน", "title": "สนุกเกอร์ 6-แดง" } ]
2282
พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เป็นทหารตั้งแต่เมื่อใด ?
[ { "docid": "37927#3", "text": "พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรเสด็จกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2447 ทรงรับราชการทหาร เหล่าทหารช่าง กรมยุทธนาธิการทหารบก ทรงดำรงตำแหน่งจเรทหารช่างพระองค์แรกในปี พ.ศ. 2451 และทรงดำรงตำแหน่งนี้เป็นระยะเวลา 17 ปี ทรงนำความรู้ในวิชาการทหารแผนใหม่ตามแบบอย่างประเทศตะวันตกมาปรับปรุงกิจการทหารช่าง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้วางรากฐานกิจการทหารช่างแผนใหม่ และกองทัพ", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" } ]
[ { "docid": "37927#0", "text": "นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระนามเดิม พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร (23 มกราคม พ.ศ. 2424 - 14 กันยายน พ.ศ. 2479) อดีตจเรทหารช่าง อดีตผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง อดีตเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม และ ผู้ริเริ่มการค้นหาปิโตรเลียมในประเทศสยามเป็นครั้งแรก", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" }, { "docid": "74178#0", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร (7 มีนาคม พ.ศ. 2448 — 11 สิงหาคม พ.ศ. 2513) เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมลประสูติเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2448 เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร" }, { "docid": "608485#4", "text": "พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เสนาบดี กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ในรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มใ ห้มีการทดลองส่งวิทยุกระจายเสียง ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยปี พ.ศ. 2470 พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ได้ทรงซื้อเครื่องส่งวิทยุเข้ามาเพื่อศึกษายังที่ประทับของพระองค์เองคือวังบ้านดอกไม้ ทั้งศึกษาและทดลองเอาโทรศัพท์และเสียงเพลงมาส่งเสียงพูด พร้อมเสียงดนตรีกระจายออกไป", "title": "วิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย" }, { "docid": "74181#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร (12 สิงหาคม พ.ศ. 2458 - 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2524) พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล ประสูติเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2458", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร" }, { "docid": "37927#8", "text": "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมกรมทางไปขึ้นกับกรมรถไฟหลวง โดยให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ทรงรับผิดชอบงานสร้างถนนและสะพานทั่วประเทศ เช่น สะพานกษัตริย์ศึก เป็นสะพานลอยข้ามทางรถไฟแห่งแรก และสะพานรัษฎาภิเศก จังหวัดลำปาง สะพานพุทธ สะพานพระราม 6", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" }, { "docid": "37927#1", "text": "พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 35 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาวาด ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2424 ขณะทรงพระเยาว์เริ่มศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" }, { "docid": "46303#1", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร มีพระนามเล่นว่า ตุ๊ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2464 พระองค์มีพระเชษฐภคินีและพระเชษฐา คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร, พระองค์เจ้าหญิง และพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร" }, { "docid": "46303#0", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร (27 มิถุนายน พ.ศ. 2464 — 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552) เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร" }, { "docid": "145693#3", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล เป็นพระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน มีพระโอรส 1 องค์ และ พระธิดา 3 องค์ ซึ่งพระโอรสธิดาที่ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล จะมีฐานันดรศักดิ์เป็น\"พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า\"ทั้งหมด", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล" } ]
3492
โรงเรียนมาเรียลัย ก่อตั้งขึ้นโดยใคร ?
[ { "docid": "38040#1", "text": "โรงเรียนมาเรียลัย ได้เปิดทำการสอนตาม พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฏร์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2480 โดยมีพระคุณเจ้าเรอเน แปร์โร ประมุขมิสซังสยามในขณะนั้นเป็นเจ้าของและผู้จัดการคนแรก และนางสาวอำไพ เลาหบุตร เป็นครูใหญ่ ในปี พ.ศ. 2489 ได้ขอทุนโรงเรียนดีจากกระทรวงศึกษาธิการ และได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงฯ ช่วยเมื่อ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2499 ต่อมา โรงเรียนได้รับรองวิทยฐานะ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2505 และเปิดทำการสอนแบบสหศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" } ]
[ { "docid": "38040#3", "text": "วันที่ 5 กรกฎาคม 2522 บาทหลวงชวลิต กิจเจริญ ได้รับคำสั่งย้ายไปประจำที่อื่น จึงทำให้ตำแหน่งผู้จัดการว่าง ซิสเตอร์ ระเบียบ ยิ่งยืน จึงได้รับตำแหน่งผู้จัดการแทน และในปีนี้ จำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้นเป็น 630 คน ทางโรงเรียนจึงได้ขอต่อเติมอาคารเรียนเพิ่มขึ้นอีก 1 ห้อง โดยต่อจากห้องประชุมและได้ดัดแปลงใช้เป็นห้องเรียนอีก 2 ห้อง รวมมีห้องเรียนทั้งหมด 17 ห้อง ในเนื้อที่ 2,040 ตารางวา สามารถรับนักเรียนได้ไม่เกิน 729 คน ในปีนี้มีซิสเตอร์สุพรรณี แย้มกรรณ รับตำแหน่งเจ้าของโรงเรียนแทนบาทหลวงชวลิต กิจเจริญ ซึ่งย้ายไป", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#16", "text": "ปี 2535 ซิบเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืน ได้รับคำสั่งย้ายไปประจำที่อื่น บาทหลวงธีรวัฒน์ เสานางค์นารถ จึงได้ดำรงตำแหน่งครูใหญ่แทน ปีนี้มีนักเรียน 1,280 คน ครู 58 คน", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#34", "text": "- ชั้นที่ 5 มีห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 - 6 ( ปรับอากาศ ) รวมถึง ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ( Lab )2 ห้อง / ห้องคอมพิวเตอร์ใหญ่ 2 ห้อง / ห้องนาฏศิลป์ 2 ห้อง", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#24", "text": "ปี 2546 บาทหลวงไพฑูรย์ หอมจินดา ดำรงตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต ซิสเตอร์พัชรา นันทจินดา เป็นครูใหญ่ จำนวนนักเรียน 3,228 คน ครู 122 คน ครูพี่เลี้ยง 21 คน โรงเรียนได้พัฒนาการสอนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2544 จนเป็นที่ยอมรับของชุมชน และโรงเรียนในเขต 4 จึงมีโอกาสขยายการศึกษาออกไปเป็น 12 ปี เพื่อสนองต่อการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เริ่มมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นปีแรก ถึงแม้ว่าโรงเรียนได้รับการตรวจประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ.แล้ว โรงเรียนก็ยังมุ่นมั่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการประเมินคุณภาพในระยะต่อไป", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#26", "text": "ปี 2548 ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับในอนุญาตคือ บาทหลวงไพฑูรย์ หอมจินดา บาทหลวงสุขุม กิจสงวน ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ มีนักเรียน 3,270 คน ครู 130 คน พี่เลี้ยง 20 คน โรงเรียนได้มีการพัฒนาการศึกษาขึ้นทั้งระบบ และในปีนี้ ได้จัดทำธรรมนูญโรงเรียนเพื่อเป็นแผนงานในการปฏิบัติงานปีการศึกษา 2548 – 2550", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#11", "text": "ปี 2530 ก่อสร้างอาคารเรียน 5 ชั้น แทนอาคารเรียน 2 ชั้น หลังเก่าโดยมีซิสเตอร์กฤษฎีชื่นชมน้อย มารับหน้าที่ครูใหญ่แทน ปีนี้มีนักเรียน 830 ครู 35 คน", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#4", "text": "ปี 2523 ทางโรงเรียนได้ขออนุญาตทางราชการใช้ห้องเรียนชั่วคราวเพิ่มขึ้นอีก 2 ห้องเรียน ในอาคารเรียนที่ 2 เพื่อใช้เป็นห้องเรียนอนุบาล ในปีนี้มีนักเรียนทั้งหมด 653 คน มีครู 31 คน ปีนี้ทางโรงเรียนได้ขอปิดกองยุวกาชาดและได้เปิดกองเนตรนารีแทน", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#19", "text": "ปี 2539 การดำเนินงานของโรงเรียน มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้มีการปรับปรุงในด้านต่างๆดังนี้", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#33", "text": "- ชั้นที่ 4 มีห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 - 4 ( เครื่องปรับอากาศ )", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#30", "text": "- ชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 / ห้องคริสต์ศาสนา / ห้องพยาบาล ( มีห้องน้ำในตัว )( เครื่องปรับอากาศ )", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#29", "text": "เป็นอาคารเรียนและอาคารปฏิบัติการ 6 ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2543 หรือ ค.ศ. 2000 มีรายละเอียดดังนั้", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#32", "text": "- ชั้นที่ 3 มีห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 2 ( เครื่องปรับอากาศ )", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#23", "text": "ปี 2543 คุณพ่อเกรียงศักดิ์ โกวิทวานิช ได้รับมองหมายให้ดำรงตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต และผู้จัดการ", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#38", "text": "มาเรียลัย มาเรียลัย", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#20", "text": "ก่อสร้างห้องสหกรณ์เพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับครูและนักเรียน ปรับปรุงห้องนาฏศิลป์ ปรับปรุงและตกแต่งสนามหน้าโรงเรียนให้สวยงามยิ่งขึ้น ปรับปรุงและตกแต่งบริเวณอาคารสถานที่ของนักเรียนระดับอนุบาลให้ดูสวยงามและปลอดภัยสำหรับนักเรียนอนุบาลมากยิ่งขึ้น จัดทำห้องคอมพิวเตอร์ เพิ่มอีก 1 ห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้นได้มีโอกาสรู้ถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#27", "text": "และในปัจจุบัน โรงเรียนมาเรียลัยยังเป็น ศูนย์กลางของนักเรียนทุกศาสนา ซึ่งทางโรงเรียนได้เปิดการเรียนการสอน ถึง 5 ระดับชัน ซึ่งแบ่งเป็น อนุบาล ประถมต้น-ปลาย มัธยมต้น-ปลาย", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "791129#1", "text": "ยัวร์บอยทีเจสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้น-มัธยมปลาย โรงเรียนมาเรียลัย และระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ", "title": "ยัวร์บอยทีเจ" }, { "docid": "38040#10", "text": "ปี 2529 ซิสเตอร์กิตฟ้า ว่องประชานุกูล รับหน้าที่แทนซิสเตอร์มารศรี จันทร์ชะลอ ซึ่งลาออก", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#0", "text": "โรงเรียนมาเรียลัย เป็นโรงเรียนโรมันคาทอลิกในเขตมิสซังกรุงเทพฯ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ตั้งอยู่เลขที่ 389 ถนนประชาพัฒนา แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่จำนวน 15 ไร่ 40 ตารางวา เดิมเป็นอาคารเรียนเรือนไม้ 2 ชั้น 3 หลัง ชุมชนมีการพัฒนาความเจริญมากขึ้น ตามลำดับ ในพื้นที่ของวัดแม่พระประจักษ์เมืองลูร์ด", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#7", "text": "ปี 2526 ทางโรงเรียนได้ก่อสร้างโรงเรียนอนุบาล โรงอาหาร และหอประชุมหลังใหม่ บาทหลวงสุรชัย ชุ่มศรีพันธ์ ได้ย้ายไปประจำที่อื่น โดยมีบาทหลวง ธนันชัย กิจสมัคร มารับตำแหน่งดูแลแทน มีบาทหลวงวุฒิเลิศ แห่ล้อม เป็นผู้ลงนาทแทนผู้รับใบอนุญาต ซิสเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืน เป็นครูใหญ่และผู้จัดการ การก่อสร้างโรงเรียนอนุบาลแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน เปิดทำการให้ภาคเรียนที่ 2 ได้เสกและเปิดอาคารเรียนเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2527", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#18", "text": "ปรับปรุงสนามฟุตบอล จัดถมดินให้สูงขึ้นป้องกันน้ำท่วม รวมทั้งถนนเข้าสู่โรงเรียน เทคอนกรีต ให้สูงขึ้น โดยรอบ รวมทั้งตึกอนุบาลด้วย ซ่อมแซมอาคารเรียน 5 ชั้นเพื่อปรับปรุงให้เป็นห้องปฏิบัติการต่างๆตามความเหมาะสม จัดห้องคอมพิวเตอร์เพื่อเสริมการเรียนการสอนให้ก้าวไกลไปกับยุคปฏิรูปเพื่อให้เด็กมีคุณภาพและประสิทธิภาพดีขึ้น ปรับปรุงหน้าอาคารเรียน โดยเฉพาะบริเวณเสาธงอย่างสวยงาม", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#37", "text": "พ.ศ. 2561 ทั้งนี้โรงเรียนมาเรียลัยได้มีการสร้างตึกอนุบาล และ Nursery ใหม่อีกด้วย ซึ่งมีช่วงชั้นอนุบาล 1 - อนุบาล 3 รวมถึง Nursery ทั้งยังมีสนามเด็กเล่นอีกด้วย และยังสร้างโดมไว้ในสถานที่เข้าแถวรวมตัวนักเรียนช่วงเช้า ของทุกตึกครอบคลุมเกือบทั้งโรงเรียน", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#28", "text": "สีประจำโรงเรียน ฟ้า - ขาว สีฟ้า หมายถึง ความหวังที่ทุกคนมุ่งใฝ่ศึกษาเพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า, สีขาว หมายถึง ความศรัทธาในคุณธรรม จริยธรรม ความบริสุทธิ์สะอาด", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#31", "text": "- ชั้นที่ 2 มีห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 - 3 ( เครื่องปรับอากาศ )", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#6", "text": "ปี 2525 บาทหลวงวรยุทธ กิจบำรุงได้รับตำแหน่งเป็นอธิการโบสถ์นักบุญอันนา ท่าจีน ที่โรงเรียนอันนาลัย บาทหลวงสุรชัย ชุ่มศรีพันธ์ ได้รับการแต่งตั้งให้มาปกครองดูและโบสถ์และโรงเรียน ต่อมาได้มองหมายให้ซิสเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืนเป็นผู้จัดการแทน และบาทหลวงวุฒิเลิศ ดำรงตำแหน่งผู้ลงนาทแทนผู้รับใบอนุญาต", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#17", "text": "ปี 2538 การดำเนินงานของโรงเรียนมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น ได้ปรับปรุงหลายด้าน ได้แก่", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#8", "text": "ปี 2527 บาทหลวงธนันชัย กิจสมัคร ได้รับคำสั่งย้ายไปที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยา และซิสเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืน ย้ายไปที่โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ บาทหลวงประเวศ พันธุมจินดา ได้มารับตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการและซิสเตอร์อัญชลี สมแสงสรวง รับตำแหน่งครูใหญ่", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#35", "text": "- ชั้นที่ 6 มีห้องประชุมมารีอา ( ห้องประชุมใหญ่ที่สุดในโรงเรียน ) ( ปรับอากาศ ) / ห้องงานช่าง 1 ห้อง", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" }, { "docid": "38040#9", "text": "ปี 2528 บาทหลวงพงษ์เกษม สังวาลเพชร ได้มารับตำแหน่งในหน้าที่ผู้จัดการ และเจ้าของโดยมีซิสเตอร์ มารศรี จันทร์ชลอ เป็นครูใหญ่ ปีนี้มีนักเรียน 783 คน ครู 33 คน", "title": "โรงเรียนมาเรียลัย" } ]
1659
ปัจจุบันเมืองไทยมีรถไฟความเร็วสูงหรือไม่ ?
[ { "docid": "413835#0", "text": "โครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย (English: Thailand High-speed Rail Project) เป็นโครงการเมกะโปรเจกต์ของประเทศไทยในการก่อสร้างระบบรถไฟความเร็วสูง มีเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงตลาดการค้า ระหว่างกลุ่มประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของอินโดจีน มีเป้าหมายในการก่อสร้าง 4 สาย ได้แก่ สายเหนือ, สายตะวันออก, สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้", "title": "รถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย" } ]
[ { "docid": "400072#4", "text": "รถไฟที่ใช้ความเร็วสูง (High Speed)\nความเร็วที่ใช้อยู่ในช่วง 200 กม./ชั่วโมง ถึง 400 กม./ชั่วโมง\nปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานโลกในการแบ่งรถไฟความเร็วสูงออกจากรถไฟทั่วไป แต่มีการยอมรับตัวแปรความเร็วกันอย่างกว้างขว้างในอุตสาหกรรมรถไฟ ซึ่งโดยปกติแล้วรถไฟความเร็วสูง(High Speed Rail-HSR) จะเป็นชื่อที่ใช้เรียกรถไฟที่มีย่านความเร็วในการเดินรถ ปกติสูงกว่า 200 กม./ชั่วโมง รถไฟความเร็วสูงรูปแบบต่างๆมักขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากไฟฟ้าผ่านสายไฟเหนือตัวตู้รถไฟ แต่ไม่จำเป็นเสมอไปในระบบขับเคลื่อนอาจจะมีการใช้เครื่องยนต์ดีเซล เป็นระบบในการขับเคลื่อนได้เช่นกัน ลักษณะที่เด่นชัดของรถไฟความเร็วสูง คือตัวรางที่มีการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อทำให้ลดแรงสั่นสะเทือนในตัวรางรวมทั้งลดค่าความแตกต่างของระดับในช่วงขบวนรถไฟ เพื่อให้รถไฟเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่สูงกว่า 200 กม./ชั่วโมง", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "68816#6", "text": "รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มีรูปแบบการให้บริการเมื่อแล้วเสร็จทั้งหมดสองรูปแบบ ทั้งแบบรถไฟความเร็วสูง และรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสาย City Line โดยแบ่งรูปแบบการให้บริการตามพื้นที่ตั้งของสถานีดังต่อไปนี้\nรถไฟฟ้าในเมือง หรือรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สาย City Line จะใช้ศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่ซอยศูนย์วิจัย (ที่ตั้ง สำนักบริหารโครงการรถไฟฟ้า การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ในปัจจุบัน) รถไฟฟ้าความเร็วสูง จะใช้ศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่ฉะเชิงเทรา (บางเตย-แปดริ้ว) ระบบเดินรถทั้งระบบมีศูนย์ควบคุมการเดินรถกลางอยู่ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่ซอยศูนย์วิจัย", "title": "รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน" }, { "docid": "68816#2", "text": "ต่อมาในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลจีนและรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอขอพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงสำหรับไปยังภาคตะวันออกของประเทศไทย แต่ในขณะนั้นรัฐบาลเองก็ต้องการลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเช่นกัน การรถไฟแห่งประเทศไทยจึงเสนอให้รัฐบาลดำเนินการก่อสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงโดยใช้โครงสร้างเดิมของรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องมาจากโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยาน ใช้รางรูปแบบเดียวกันกับระบบรถไฟความเร็วสูง คือรางขนาดมาตรฐานความกว้าง 1.435 เมตร หรือ Standard Gauge ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการดำเนินโครงการ เพียงแค่ก่อสร้างเส้นทางเพิ่ม และดำเนินการเปลี่ยนระบบอาณัติสัญญาณในระบบเดิมให้เป็นระบบกลางของรถไฟความเร็วสูง สั่งซื้อขบวนรถใหม่ ก็สามารถเปิดใช้งานต่อได้ทันที เพราะโครงสร้างโดยรวมนั้นถูกออกแบบให้รองรับต่อการปรับแบบเป็นรถไฟความเร็วสูงไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว", "title": "รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน" }, { "docid": "577577#0", "text": "รถไฟใต้ดินและรถไฟความเร็วสูงโทรอนโต () เป็นระบบการขนส่งความเร็วสูงในเมืองโทรอนโต รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา มีทั้งเส้นทางยกระดับและใต้ดิน ดำเนินการโดยคณะกรรมการการขนส่งโทรอนโต (Toronto Transit Commission, TTC) เป็นรถไฟฟ้าสายแรกของแคนาดา เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1954 พร้อมกับ 12 สถานีเริ่มแรก มีผู้โดยสาร 1,058,100 คนต่อวัน ปัจจุบันมีจำนวน 4 เส้นทาง 69 สถานี ระยะทาง", "title": "รถไฟใต้ดินและรถไฟความเร็วสูงโทรอนโต" }, { "docid": "435734#1", "text": "ตารางแสดงผลของขนาดเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงทั้งหมด (ความเร็วเฉลี่ย 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือมากกว่า) ของประเทศที่ใช้งานได้ในปัจจุบัน และส่วนที่กำลังก่อสร้าง จากข้อมูลของ สหภาพการรถไฟนานาชาติ ทั้งนี้ไม่รวมแผนงานในอนาคต", "title": "รถไฟความเร็วสูงแบ่งตามประเทศ" }, { "docid": "400072#67", "text": "เครือข่ายทางรถไฟความเร็วสูงโดยเฉพาะที่แท้จริงได้รับการพัฒนาในช่วงยุค 80s, 90s และในปี 2010 1,000 กิโลเมตร (621 ไมล์) ของรถไฟความเร็วสูงมีการดำเนินงานอย่างเต็มที่. บริการ Frecciarossa จะดำเนินการด้วย ETR 500 รถไฟที่ไม่เอียงที่ 25kVAC 50 Hz. ความเร็วในการให้บริการเป็น 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง (186 ไมล์ต่อชั่วโมง). ระบบ ETR1000 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มที่เกิดจากการรมตัวของ AnsaldoBreda และ Bombardier. ขึ้นอยู่กับระบบ Bombardier Zefiro, ETR1000 จะทำงานได้ถึง 360 กิโลเมตร/ชั่วโมง (224 ไมล์ต่อชั่วโมง) บนระบบรางความเร็วสูงที่มีอยู่แล้ว.", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "413835#1", "text": "ประเทศสยามถือเป็นประเทศแรก ๆ ของทวีปเอเชียที่มีรถไฟ เพราะว่าในปี พ.ศ. 2398 เมื่อสยามได้ลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คณะทูตอังกฤษจึงได้ถวายเครื่องราชบรรณาการที่พระราชทานโดยสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหนึ่งในนั้นคือรถไฟจำลองในรูปแบบหัวรถจักรไอน้ำที่สามารถขับเคลื่อนได้ จำนวน 1 ชุด ทำให้พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยและเป็นแรงบันดาลพระราชหฤทัยสำคัญที่ต้องการให้ประเทศสยามควรจะมีการจัดตั้งกิจการรถไฟเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งขึ้นมาได้ในรัชสมัยของพระองค์ เนื่องจากงบประมาณและประชากรของประเทศสยามในขณะนั้นยังมีอยู่จำนวนน้อย[5]ทั้งนี้ ในเวลาหลายปีต่อมา เมื่อเข้าสู่รัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว จึงได้มีการตั้งกรมรถไฟ ในปี พ.ศ. 2433 หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาระบบรถไฟไทยอย่างเรื่อยมา แต่การพัฒนาถือว่าเป็นไปอย่างช้ามาก และเริ่มที่จะล้าหลัง อีกทั้งอะไหล่หัวรถจักรนั้นหาซื้อได้ยาก จึงได้มีแนวคิด ที่จะพัฒนาระบบรถไฟในประเทศ เป็นระบบรถไฟความเร็วสูง โดยเริ่มมีการศึกษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535[6] ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นต้นมา ในปี พ.ศ. 2537 มีการศึกษาโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพ - สนามบินหนองงูเห่า - ระยอง และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2537[6] ธันวาคม พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ก็ได้สานต่อโครงการฯ มีการเปิดทางให้ต่างประเทศได้ศึกษาแนวเส้นทาง โดยสองประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุน คือ ประเทศจีน และ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นสนใจที่จะลงทุนในเส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ส่วนจีน มีความสนใจในเส้นทาง กรุงเทพฯ-หนองคาย ซึ่งขณะนั้น จีนก็ได้กำลังเจรจากับรัฐบาลลาว เพื่อสร้างทางรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งในอนาคตนั้นสามารถเชื่อมต่อเข้ากับเส้นทางกรุงเทพ-หนองคายได้เลย เนื่องจากจีนมีแผนวางเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ไปถึงสิงคโปร์ แต่ภายหลังการเจรจาระหว่างรัฐบาลจีนและลาวมีปัญหา เนื่องจากรัฐบาลลาวเห็นว่า เงื่อนไงที่รัฐบาลจีนได้เสนอมานั้นเกินกว่าที่ลาวจะสามารถยอมรับได้ และเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ ส่งผลให้โครงการรถไฟความเร็วสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยต้องสะดุดลง", "title": "รถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย" }, { "docid": "960134#2", "text": "ต่อมาใน พ.ศ. 2556 สมัยที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการทบทวนการศึกษาของโครงการดังกล่าวอีกครั้งร่วมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก และได้ผลักดันให้สายอีสานกับสายตะวันออกเป็นหนึ่งในสองเส้นทางนำร่องเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งต่อมารัฐบาลจีนได้ยื่นข้อเสนอว่าจะลงทุนเอง 100% โดยแลกกับสัมปทานการบริหารโครงการจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นระยะเวลา 50 ปี อย่างไรก็ตามใน พ.ศ. 2557 เกิดเหตุรัฐประหารขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำให้โครงการศึกษาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงและโครงการระบบรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักลงเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง", "title": "รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (สายอีสาน)" }, { "docid": "400072#10", "text": "ส่วนในเอเชียนั้น ปัจจุบัน นอกจากมีญี่ปุ่นเป็นผู้บุกเบิกรถไฟความเร็วสูงแล้ว ยังมีเกาหลี ไต้หวัน และล่าสุดคือ จีน ที่ได้เปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงอีกด้วย", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "400072#66", "text": "ในช่วงปี 1920s และ 30s, อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆที่พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถไฟความเร็วสูง. ประเทศได้สร้างทางรถไฟ 'Direttissime' เชื่อมต่อเมืองใหญ่ด้วยรางไฟฟ้าความเร็วสูงที่สร้างให้โดยเฉพาะ (ถึงแม้จะไม่ได้เป็นความเร็วสูงแบบที่ควรจะเป็นในปัจจุบัน) และได้พัฒนาระบบรถไฟ ETR 200 อย่างรวดเร็ว. หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองและการล่มสลายของระบอบการปกครองเผด็จการ, ความสนใจในรถไฟความเร็วสูงลดลง, กับรัฐบาลที่คิดว่ามันแพงเกินไปและเริ่มพัฒนาระบบ Pendolino ที่เอียงได้, เพื่อให้วิ่งได้ที่ความเร็วกลางถึงสูง (สูงถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง (160 ไมล์ต่อชั่วโมง)) บนเส้นทางธรรมดา,แทน. ยกเว้นอย่างเดียวคือ Direttissima ที่วิ่งระหว่างฟลอเรนซ์และโรม, แต่มันก็ไม่ได้คิดต่อยอดที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสายความเร็วสูงในสเกลที่ใหญ่. ", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "413835#7", "text": "ญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจที่จะก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในสายเหนือ โดยยืนยันที่จะไม่ใช้ทางร่วมกับโครงการของจีน ทำให้เกิดปัญหาเขตทางไม่พอในช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ทำให้ภาพรวมของโครงการล่าช้า แม้ว่ารัฐบาลไทยเจรจากับญี่ปุ่นหลายรอบ แต่ท้ายที่สุดการเจรจาก็ล้มเหลว ทำให้รัฐบาลตัดสินใจยุบโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเข้ากับรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยาน", "title": "รถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย" }, { "docid": "68816#5", "text": "แนวเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นทางรถไฟความเร็วสูงที่มุ่งตรงไปยังเขตพรมแดนไทย-กัมพูชา แล้วไปต่อยัง กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเปลี่ยนเส้นทางมุ่งตรงไปยัง นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม จากนั้นแนวเส้นทางจะมุ่งขึ้นทางเหนือ ไปยังฮานอย ประเทศเวียดนาม ก่อนจะแยกสายไปยังคุนหมิง และหนานหนิง ประเทศจีน ปัจจุบันในฝั่งเวียดนามกำลังวางแผนก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ฮานอย-โฮจิมินห์ ระยะทาง 1,570 กิโลเมตร ที่เคยยกเลิกไปใน พ.ศ. 2553 ส่วนฝั่งกัมพูชากำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาเส้นทางช่วง พนมเปญ-โฮจิมินห์ รวมถึงเส้นทางข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชาด้วยเช่นกัน", "title": "รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน" }, { "docid": "400072#5", "text": "รถไฟความเร็วสูงมาก (Very High Speed)\nความเร็วที่ใช้อยู่ในช่วง 310 กม./ชั่วโมง ถึง 500 กม./ชั่วโมง\nรถไฟความเร็วสูงมากเป็นศัพท์ทางเทคนิคที่ใช้ในการเรียกรถไฟที่ความเร็วสูงที่สุด ในปี พ.ศ. 2543 ที่ทำความเร็วได้สูงกว่า 300 กม./ชั่วโมง มีการวางแผนว่ารถไฟโดยทั่วไปจะสามารถทำความเร็วสูงถึง 350 กม./ชั่วโมง โดยรถไฟตระกูล Velaro ของ Siemens สามารถวิ่งที่ความเร็วดังกล่าวได้แล้ว\nรถไฟความเร็วสูงพิเศษ (Ultra High Speed)\nความเร็วที่ใช้อยู่ในช่วง 500 กม./ชั่วโมง ถึง 1000 กม./ชั่วโมง\nจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการดำเนินการที่รถไฟสามารถทำได้ในปัจจุบัน เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างรถไฟที่สามารถทำความเร็วในช่วง 500-600 กม./ชั่วโมง จากสถิติที่ได้มีการบันทึกไว้สำหรับรถไฟที่ออกแบบเพื่อใช้งานจริงที่ทำความเร็วได้สูงสุดคือ TGV POS หมายเลข 4402 (V150) เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2007 ที่ความเร็ว 574.8 กม./ชั่วโมง อย่างไรก็ตามจากการทดลองพบว่าความเร็วที่มากกว่า 500 กม./ชั่วโมง ขึ้นไปเป็นความเร็วที่ไม่สามารถนำมาใช้ในการให้บริการได้จริง เนื่องจากจะทำให้วัสดุประกอบตัวรถเกิดความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว แต่ในอนาคตอันใกล้นี้มีความเป็นไปได้อย่างสูงในการนำเอารถไฟที่มีความเร็วระดับสูงมากมาใช้งานจริง โดยระบบที่เรียกว่า Maglevรถไฟระบบ Maglev ที่ได้รับการยอมรับในการใช้งานปัจจุบันมีสองระบบ คือ Transrapid ที่ทำความเร็วได้ 550 กม./ชั่วโมง และ JR-Maglev MLX 01 ที่ทำความเร็วบนบกด้วยระบบรางที่ความเร็ว 581 กม./ชั่วโมง", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "592717#0", "text": "ทีจีวี () เป็นบริการรถไฟความเร็วสูงและรถไฟทางไกลระหว่างเมืองของแอ็สแอนเซแอ็ฟ ผู้ให้บริการเดินรถไฟแห่งชาติฝรั่งเศส ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 โดยฌีเออเซ-อัลสตอม (บริษัทอัลสตอมในปัจจุบัน) และแอ็สแอนเซแอ็ฟ เดิมถูกออกแบบให้ใช้พลังงานจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันแก๊ส ต่อมารุ่นต้นแบบถูกพัฒนาให้เป็นรถไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากวิกฤตการณ์น้ำมันในปี ค.ศ. 1973 ตามมาด้วยการเดินรถเที่ยวปฐมฤกษ์ระหว่างกรุงปารีสและเมืองลียงในปี ค.ศ. 1981 ในสาย \"แอลฌีเวซุด-เอสต์\" (; \"รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเฉียงใต้\") ซึ่งมีศูนย์กลางของโครงข่ายทางรถไฟดังกล่าวอยู่ที่กรุงปารีส ต่อมามีการขยายโครงข่ายเส้นทางให้บริการสู่เมืองต่างๆ ทั่วฝรั่งเศส และสู่ประเทศใกล้เคียงทั้งในรูปแบบรถไฟความเร็วสูงและรถไฟธรรมดา", "title": "เตเฌเว" }, { "docid": "433081#4", "text": "จากข้อมูลที่เผยแพร่โดย Sinolink Securities; 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.27 น. รถไฟความเร็วสูงขบวน D301 (ปักกิ่ง-ฝูเจี้ยน) ได้พุ่งชนท้ายรถไฟความเร็วสูงขบวน D3115 (หางโจว-ฝูเจี้ยน) ขณะที่กำลังจอดนิ่งอยู่เนื่องจากเสียการควบคุมหลังจากที่ถูกฟ้าผ่า ที่เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง ทำให้ตู้รถไฟ 4 ตู้ของขบวนรถไฟ D301 ตกจากสะพานสูง 20-30 เมตร และอีกตู้ห้อยอยู่บนสะพาน มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 คน และบาดเจ็บมากกว่า 200 คน", "title": "รถไฟความเร็วสูงจีน" }, { "docid": "592717#3", "text": "จากความสำเร็จจากการเดินรถไฟแอลฌีเวเชิงพาณิชย์สายแรก เส้นทางสายแอลฌีเวซุด-เอสต์จึงถูกขยายโครงข่ายไปทางใต้ในสายแอลฌีเวโรน-แอลป์ และสายแอลฌีเวเมดิเตอร์เรเนียน รวมไปถึงสายทางทิศตะวันตกอย่างแอลฌีเวอาตล็องติค (ฝั่งทะเลแอตแลนติก) สายเหนือแอลฌีเวนอร์ด และสายตะวันออกแอลฌีเวเอสต์ จากความสำเร็จนี้เองที่ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอิตาลี, สเปน และเยอรมนี ลอกเลียนและพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงของตัวเองขึ้นมา ซึ่งบริการของเตเฌเวก็ขยายเส้นทางไปสู่ประเทศข้างเคียงทั้งในรูปแบบให้บริการโดยตรง (สวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี) และผ่านโครงข่ายการให้บริการรถไฟความเร็วสูงอื่นที่เชื่อมโยงจากฝรั่งเศสสู่เบลเยียม, เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ (รถไฟตาลิส) เช่นเดียวกับบริการรถไฟความเร็วสูงระหว่างสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และเบลเยียมของรถไฟยูโรสตาร์ ปัจจุบันมีการวางแผนขยายเส้นทางและสร้างเส้นทางใหม่หลายเส้นทางทั้งที่เป็นเส้นทางในฝรั่งเศสและเส้นทางเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้เตเฌเวยังให้บริการเดินรถไฟชานเมือง \"ทีจีวีคอมมิวเตอ\" (TGV commuter) ที่ให้บริการในเขตชานเมืองรอบกรุงปารีส", "title": "เตเฌเว" }, { "docid": "544743#7", "text": "ปี ค.ศ. 2009 หลังจากปรับปรุงระบบรับสัญญานและทดสอบระบบให้เข้ากับ ETCS แล้ว ขบวนรถไฟตาลิสก็วิ่งอย่างสมบูรณ์แบบบนรางรถไฟความเร็วสูง สาย 3 ทำให้ขบวนรถระหว่างบรัสเซลส์กับโคโลญย่นระยะเวลาเดินทางอีก 19 นาที และในปีเดียวกันนี้รถไฟตาลิส ก็ได้เริ่มให้บริการบนรางรถไฟความเร็วสูง สาย 4 หรือรถไฟความเร็วสูง สายใต้ ซึ่งเป็นรางระหว่างเมืองแอนต์เวิร์ปกับอัมสเตอร์ดัม\nตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2011 เป็นต้นมาขบวนรถเดิมที่วิ่งระหว่างบรัสเซลส์กับโคโลญ ได้วิ่งไปถึงเมืองดุยส์บูร์กและเอสเซินในเยอรมนีและวิ่งถึงท่าอากาศยานนานาชาติบรัสเซลส์ในเบลเยียม\nปี ค.ศ. 2013 เริ่มให้บริการที่สถานีท่าอากาศยานดึสเซลดอร์ฟ", "title": "ตาลิส" }, { "docid": "960134#4", "text": "รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สายอีสานเป็นระบบรถไฟฟ้าที่มีทั้งโครงสร้างระดับดินและยกระดับตลอดโครงการ มีแนวเส้นทางที่รองรับการเดินทางจากชานเมืองทางทิศเหนือกรุงเทพมหานครฝั่งเหนือและจังหวัดใกล้เคียงด้านเหนือและภาคอีสาน เข้าสู่เขตใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว แนวเส้นทางเริ่มต้นจากสถานีกลางบางซื่อ วิ่งตรงไปทางทิศเหนือในเส้นทางเดียวกับรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกผ่านท่าอากาศยานดอนเมือง เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นวิ่งตรงไปตามแนวทางรถไฟสายเหนือไปจนถึงชุมทางบ้านภาชี แนวเส้นทางจะเบี่ยงไปใช้แนวเส้นทางรถไฟสายอีสานไปตลอดทางจนถึงสถานีแก่งคอย ซึ่งจะเป็นสถานีชุมทางที่แยกสายไปเชื่อมต่อเข้ากับสายตะวันออกที่สถานีฉะเชิงเทรา จากนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและสิ้นสุดเส้นทางในระยะแยกที่สถานีนครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟนครราชสีมาเดิม รวมระยะทางในช่วงแรก 253 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 30 นาทีจากกรุงเทพมหานคร จากนั้นเส้นทางจะมุ่งขึ้นทางเหนือเพื่อไปยังประเทศลาวโดยผ่าน สถานีชุมทางบัวใหญ่ ขอนแก่น อุดรธานี สิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย รวมระยะทาง 617 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 15 นาที จากนครราชสีมา และ 3 ชั่วโมง 45 นาที จากกรุงเทพมหานคร", "title": "รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (สายอีสาน)" }, { "docid": "400072#6", "text": "รถไฟที่ความเร็วสูงกว่า 1000 กม./ชั่วโมง\nในการออกแบบยานพาหนะจะขึ้นอยู่กับหลักอากาศพลศาสตร์ และสภาพแวดล้อมภายนอก เทคโนโลยีรถไฟเริ่มที่จะแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ของสภาพการไหลของอากาศที่เร็วกว่า ความเร็วเสียง ในระดับความเร็วที่ 0.8 มัค หรือเท่ากับ 988 กม./ชั่วโมง และมีความเป็นไปได้ที่จะมีความเร็วมากกว่ากว่าที่เป็นอยู่ เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพของรถไฟรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่ส่งผลสำคัญต่อความเร็วสูงสุดจริงของรถไฟ แต่เนื่องจากปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า Prandtl-Glauert SingularityหรือVapor Coneหรือ Shock Collar จะสร้างผลเสียหายอย่างมากกับยานพาหนะเมื่อคลื่นเสียงสะท้อนกับพื้นรองรางรถไฟ กลับคืนสู่ตัวรถไฟทำให้มีโอกาสเกิดการระเบิดออกได้ในอากาศ ดังนั้นรถไฟที่จะเดินทางด้วยความเร็วขนาดนี้หรือสูงกว่านี้ต้องเป็นระบบรถไฟที่เดินทางในระบบสุญญากาศ", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "433081#3", "text": "การออกแบบระบบรถไฟความเร็วสูงทั้งหมดได้ถูกออกแบบมาจากต่างประเทศ โดยได้กำหนดให้รุ่น CRH-1 ถึง CRH-5 สำหรับการเดินทางที่รวดเร็วระหว่างเมือง ซึ่งจีนก้ได้ศึกษาและวิจัยระบบเหล่านั้น และพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเป็นของตนเอง ในปัจจุบัน จีนได้ถือครองสิทธิบัตรใหม่ ๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบภายในของรถไฟความเร็วสูง และจีนยังได้ออกแบบส่วนประกอบใหม่เพื่อให้รถไฟสามารถวิ่งที่ความเร็วมากขึ้นกว่าการออกแบบแบบเดิมๆของรถไฟต่างประเทศ จนในปัจจุบัน จีนมีแบบรถไฟความเร็วสูงต่างๆมากมาย ใช้งานไปตามแต่ละสภาพภูมิประเทศ และเศรษฐกิจ ดังนี้", "title": "รถไฟความเร็วสูงจีน" }, { "docid": "400072#28", "text": "ในปี พ.ศ. 2534 จากการศึกษาต้นแบบรถไฟความเร็วสูง ICE-V ประเทศเยอรมันได้เปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูง Intercity-Express(ICE) ซึ่งมีความเร็วในการเดินทาง 280 กม./ชั่วโมง โดยมีระบบที่คล้ายคลึงกับรถไฟความเร็วสูง TGV แต่มีรูปแบบที่ทันสมัยกว่า\nในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1992(ครั้งที่25) ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ได้มีการเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง คือAVE high speed rail เชื่อมระหว่างเมืองMadridกับเมืองSeville ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการพัฒนารถไฟความเร็วสูงอย่างมากในประเทศสเปน จนรัฐบาลประเทศสเปนได้ประกาศแผน PEIT 2005-2020 โดยคาดหวังว่าจะเกิดการพัฒนาเมืองขึ้นในรัศมี 50 กิโลเมตรรอบสถานีบริการของ AVE ในปี พ.ศ. 2554 ประเทศสเปนได้ทำการเชื่อมต่อทางรถไฟความเร็วสูงเข้ากับประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป ทำให้สเปนมีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงมากที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศจีนเท่านั้น\nแม้ว่าในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ยังไม่มีรางที่ไว้ให้สำหรับรถไฟความเร็วสูงโดยเฉพาะ แต่เนื่องจากในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี หรือแม้กระทั่งอิตาลีซึ่งต้องการขยายเครือข่ายในการให้บริการรถไฟความเร็วสูงไปยังจุดหมายในสวิตเซอร์แลนด์ก็ยังสามารถใช้รางปกติววิ่งได้ เพราะรางรถไฟในสวิตเซอร์แลนด์มีความกว้าง 1.435 เมตร ซึ่งตรงกับขนาดที่ใช้รางรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ในทั่วไป แต่ความเร็วที่ใช้จะลดลงจากรางรถไฟความเร็วสูงปกติ เนื่องจากในสวิตเซอร์แลนด์มีรถไฟหลายประเภทที่ใช้รางร่วมกัน เช่น S-Bahn , InterCity(IC) , ICN เป็นต้น รางบางช่วงมีความคดเคี้ยว และระบบอาณัติสัญญาณไม่รองรับรถไฟความเร็วสูง โดยรถไฟความเร็วสูงที่ให้บริการในสวิตเซอร์แลนด์มีอยู่ 3 ผู้ให้บริการหลักๆคือ TGV Lyria(ฝรั่งเศส - สวิตเซอร์แลนด์) , ICE(เยอรมนี - สวิตเซอร์แลนด์) และ ICE International(เนเทอร์แลนด์ - สวิตเซอร์แลนด์)", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "960134#0", "text": "โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพมหานคร - หนองคาย - เวียงจันทร์) () เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนแบบพิเศษที่เป็นหนึ่งในเส้นทางของโครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย ดำเนินการก่อสร้างโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นส่วนหนึ่งของ สาย Central Route ซึ่งเป็นโครงข่ายที่จะเชื่อมต่อประเทศกลุ่ม CMLV เข้าเป็นผืนแผ่นเดียวกัน", "title": "รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (สายอีสาน)" }, { "docid": "400062#1", "text": "รางรถไฟในประเทศไทยเกือบทั้งหมดยกเว้นรางรถไฟลอยฟ้า และรถไฟใต้ดิน ใช้ขนาดมีเตอร์เกจ โดยในปัจจุบันได้มีการพิจารณาจะปรับปรุงรางรถไฟเดิมให้มีขนาดเป็นสแตนดาร์ดเกจ เพื่อรองรับกับรถไฟความเร็วสูง", "title": "มีเตอร์เกจ" }, { "docid": "400072#55", "text": "บทความหลัก: รถไฟความเร็วสูงในไต้หวัน\nรถไฟความเร็วสูงของไต้หวันวิ่งที่ระยะทางประมาณ 345 กิโลเมตร (214 ไมล์) ไปตามชายฝั่งทางตะวันตกของไต้หวันจากเมืองหลวงแห่งชาติไทเปไปยังเมืองทางตอนใต้ของเกาสง. การก่อสร้างได้รับการจัดการโดยบริษัทเอกชนไต้หวันชื่อรถไฟความเร็วสูงคอร์ปอเรชั่นที่ต้นทุนรวมของโครงการอยู่ที่ US$ 18 พันล้าน และบริษัทนี้เป็นผู้ดำเนินการเดินรถ. ระบบจะมีพื้นฐานหลักจากเทคโนโลยีชิงกันเซ็งของญี่ปุ่น. ", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "413835#3", "text": "ธันวาคม พ.ศ. 2554 รัฐบาลไทยโดยการนำของพรรคเพื่อไทย ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ กับรัฐบาลจีน หนึ่งในนั้นคือโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลจีนมีความประสงค์ที่จะร่วมทุนกับรัฐบาลไทยในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางนี้ ต่อมาในพ.ศ. 2555 ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งที่ 1 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 14-15 มกราคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณส่วนหนึ่งให้สร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งที่ 2 ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 ได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย", "title": "รถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย" }, { "docid": "400072#7", "text": "รถไฟความเร็วสูง ตามนิยามของ International Union of Railways หรือ UIC หมายถึง ระบบรถไฟซึ่งมีขบวนรถไฟและโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถทำให้การเดินรถในสภาวะปกติมีความเร็วสูงกว่า 250 กม./ชม. บนเส้นทางที่ก่อสร้างใหม่ หรือความเร็วที่มากกว่า 200 กม./ชม. เมื่อรถวิ่งบนเส้นทางที่มีอยู่ในปัจจุบัน ", "title": "รถไฟความเร็วสูง" }, { "docid": "609249#45", "text": "ซูโจวอยู่บนเส้นทางรถไฟสายเซี่ยงไฮ้-นานกิง สถานีรถไฟซูโจว (Suzhou Railway Station) ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางเมืองเป็นสถานีที่คับคั่งและมีผู้โดยสารใช้บริการมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน ให้บริการโดยรถไฟสายปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ (Beijing–Shanghai Railway) และรถไฟระหว่างเมืองสายเซี่ยงไฮ้-นานกิง (Shanghai-Nanjing Intercity Railway) ซึ่งมีทั้งรถไฟความเร็วสูงแบบดี และแบบจี (high-speed D- and G-series trains) การเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงแบบจีจากเมืองซูโจวถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ใช้เวลาเพียง 25 นาที และถึงเมืองนานกิงจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น", "title": "ซูโจว" }, { "docid": "960134#1", "text": "โครงการรถไฟความเร็วสูงสายอีสาน เป็นหนึ่งในสี่เส้นทางระบบรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย มีจุดหมายเพื่อทดแทนระบบรถไฟชานเมืองและรถไฟสายต่าง ๆ ในประเทศไทย เชื่อมต่อภาคธุรกิจเข้ากับตัวเมืองอย่างรวดเร็ว โครงการเริ่มศึกษาตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ในสมัยที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี​ โดยคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงาน (MoU) กับรัฐบาลจีน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการร่วมกัน ซึ่งทางรัฐบาลจีนเองก็มุ่งหวังที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการระบบรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทยให้เชื่อมต่อเข้ากับเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จีน - ลาว (คุนหมิง - เวียงจันทร์) อันจะก่อให้เกิดเป็นเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ () ที่จะเชื่อมต่อประเทศกลุ่ม CMLV อันได้แก่ จีน ลาว มาเลเซีย และเวียดนาม เข้ากับประเทศไทยให้เป็นผืนแผ่นเดียวกัน โดยมีกรอบวงเงินลงทุนที่ 180,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลไทยจะลงทุนในสัดส่วน 51% และรัฐบาลจีนจะร่วมลงทุนในสัดส่วน 49% แต่สัญญากลับไม่คืบหน้าเนื่องจากรัฐบาลประกาศยุบสภาเสียก่อน", "title": "รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (สายอีสาน)" }, { "docid": "145468#7", "text": "รถไฟชิงกันเซ็งขบวนแรกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นก็เพิ่มเป็น 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถไฟบางขบวนที่มีรูปร่างเป็นหัวกระสุนนั้นยังมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และหัวรถจักรคันหนึ่งในจำนวนนี้ปัจจุบันได้นำไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งชาติ ที่เมืองยอร์ค สหราชอาณาจักร", "title": "ชิงกันเซ็ง" } ]
3008
เกลาดีโอ แคสแทกนอลีเริ่มเซ็นสัญญากับWWEเมื่อไหร่?
[ { "docid": "362871#1", "text": "ปี 2008 เขาได้เซ็นสัญญากับ WWE เข้าร่วมฝึกค่ายพัฒนาทักษะ ฟลอริดาแชมเปียนชิปเรสต์ลิง(FCW) และได้แชมป์ฟลอริดาเฮฟวี่เวท FCW ปี 2010 ได้ร่วมแข่งขันNXTซีซั่น2 ใช้ชื่อไมเคิล แมคกิลลิคัตตี โดยผู้ชนะคือคาวาล ในเฮลอินเอเซล (2010)เขาและฮัสกี แฮร์ริสได้เข้าไปรบกวนการปล้ำของจอห์น ซีนากับหัวหน้ากลุ่มเดอะเน็กซัส เวด บาร์เร็ตต์ โดยลอบทำร้ายซีนาจนแพ้และต้องกลายเป็นสมาชิกขอเน็กซัส นับจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเน็กซัส ต่อมาเดอะเน็กซัสได้มีการเปลี่ยนหัวหน้าทีมคนใหม่คือซีเอ็ม พังก์ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นเดอะนิวเน็กซัส ต่อมาเขาสามารถคว้าแชมป์แท็กทีม WWEร่วมกับเดวิด โอทังกาได้จากเคนและบิ๊กโชว์ ก่อนเสียให้อีแวน บอร์นและโคฟี คิงส์ตัน", "title": "เคอร์ติส แอ็กเซล" } ]
[ { "docid": "615070#0", "text": "เกลาดีโอ แคสแทกนอลี (Claudio Castagnoli; เกิด 27 ธันวาคม ค.ศ. 1980) นักมวยปล้ำอาชีพชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWEในนาม ซีซาโร (Cesaro) เคยปล้ำที่ Chikara, Combat Zone Wrestling (CZW), Ring of Honor (ROH), Pro Wrestling Guerrilla (PWG) และ Pro Wrestling Noah เขายังได้รับการเสนอชื่อจาก Wrestling Observer Newsletter ว่าเป็นนักมวยปล้ำที่ตกอับที่สุด (Most Underrated Wrestler) สี่ปีติดตั้งแต่ 2013 ถึง 2016", "title": "ซีซาโร" }, { "docid": "619739#3", "text": "กันยายน 2010 บาร์นยาเชพได้เซ็นสัญญากับสมาคมมวยปล้ำอาชีพWWE เขาถูกส่งไปฝึกที่ศูนย์ฝึกทักษะฟลอริดาแชมเปียนชิปเรสต์ลิง(FCW) ของWWE โดยเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ รูเซฟ แมตช์ที่ออกอากาศครั้งแรกของเขาคือ FCW ตอนของวันที่ 17 กรกฎาคม 2011 โดยเอาชนะไมค์ ดาลตัน โดยมีราเควล ดิแอชเป็นผู้จัดการให้ หลังจากนั้นไม่นานเขาได้รับบาดเจ็บที่ที่หมอนรองกระดูก และเอ็กไขว้หน้าตรงขาดฉีก ทำให้ต้องรักษาตัว6เดือน", "title": "รูเซฟ" }, { "docid": "291269#10", "text": "ในเดือนมกราคม 2015 เจริโคได้เผยในทวิตเตอร์ว่าสัญญาของเขาที่ทำไว้กับ WWE คือขึ้นปล้ำเฮาส์โชว์ 16 โชว์ในวันที่ 10 มกราคม ถึง 1 มีนาคม โดยไม่ปรากฏตัวออกจอทีวี ก่อนที่จะเซ็นสัญญาขึ้นปล้ำอีก 19 โชว์ที่ไม่ได้ออกทีวีระหว่างเดือนมิถุนายนและสิงหาคม ในเดือนพฤษภาคม ได้เป็นผู้ดำเนินรายการทัฟ อีนัฟซีซั่นที่6 วันที่ 4 กรกฎาคม ในโชว์พิเศษทาง WWE Network เจริโคได้กลับมาขึ้นปล้ำถ่ายทอดสดอีกครั้งโดยเอาชนะเนวิลล์ไปได้ ในไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2015) เจริโคได้เซอร์ไพรส์มาร่วมปล้ำแทกทีม 6 คนกับดีน แอมโบรสและโรแมน เรนส์ แพ้ให้กับไวแอ็ตต์แฟมิลี ในWWE Live from Madison Square Gardenได้แพ้ในการชิงแชมป์อินเตอร์สมัยที่10กับเควิน โอเวนส์", "title": "คริส เจริโค" }, { "docid": "806223#1", "text": "ในปี 2013 เธอได้เซ็นสัญญากับ WWE และได้รับมอบหมายให้ไปฝึกมวยปล้ำที่เพอร์ฟอร์มเมนซ์ เซ็นเตอร์ ที่ออร์แลนโด, รัฐฟลอริดา ในเดือนตุลาคม 2014 เธอได้เปิดตัวใน NXT เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับทีมเอ็นโซและแคส ปี 2016 ได้ถูกดราฟท์ขึ้นค่ายหลักเปิดตัวในสแมคดาวน์ ปี 2017 ได้เป็นผู้ชนะคว้ากระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์ผู้หญิงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และใช้สิทธิ์คว้าแชมป์หญิงสแมคดาวน์ WWEได้จากชาร์ลอตต์ แฟลร์", "title": "คาร์เมลลา" }, { "docid": "369430#5", "text": "เขาได้เซ็นสัญญากับWWEร่วมปล้ำในฟลอริดาแชมเปียนชิปเรสต์ลิง(FCW) เป็นอดีตแชมป์ฟลอริดาเฮฟวี่เวท FCW 1สมัย แชมป์ฟลอริดาแท็กทีม FCWร่วมกับจอห์นนี เคอร์ติส 1สมัย และกับโจ เฮนนิก 1สมัย เขาเปิดตัวในECW 30 มิถุนายน 2009 ชนะแซค ไรเดอร์ไปได้ ในECW 15 กันยายน ได้เข้าร่วมแบทเทิลรอยัล 10 คน หาผู้ท้าชิงแชมป์โลก ECWกับคริสเตียน โดยผู้ชนะคือแซค ไรเดอร์ หลังจากที่ ECW ได้ถูกเปลี่ยนเป็นNXT เร็กส์ได้ย้ายไปอยู่สแมคดาวน์ และได้มาในบทฝ่ายอธรรมโดยเอาชนะคาวาลได้สิทธิ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกคนที่6ของทีมฝั่งสแมคดาวน์เจอกับทีมฝั่งรอว์ในแบรกกิ้ง ไรท์ส (2010) และทีมฝั่งสแมคดาวน์ชนะ ในเซอร์ไวเวอร์ ซีรีส์ (2010)ได้เข้าร่วมทีมของอัลเบร์โต เดล รีโอแพ้ทีมของเรย์ มิสเตริโอ", "title": "ไทเลอร์ เร็กส์" }, { "docid": "402323#2", "text": "ในศึกรอว์ (5 ธันวาคม ค.ศ.2011) จอห์น โลรีนายติส ผู้จัดการทั่วไปชั่วคราวของรอว์ ได้ให้ทั้ง 3 คน เซ็นสัญญาปล้ำในแมทช์การปล้ำ โต็ะ บันได และ เก้าอี้ ซึ่งก่อนเริ่มรายการ มี เดอะ มิซ อัลเบร์โต เดล รีโอ จอห์น ซีนา และ ดอลฟ์ ซิกก์เลอร์ ออกมาเถียงกัน ทำให้ จอห์น โลรีนายติส ต้องออกมาแล้วบอกว่าถ้าหาก ทั้งสี่คนเอาชนะ นักมวยปล้ำจากสแมคดาวน์ได้ ก็จะได้รับสิทธิ์ไปชิงแชมป์ WWE ใน TLC 2011 โดย เดอะ มิซ สามารถเอาชนะเคาท์เอาท์ แรนดี ออร์ตัน โดย เวด บาร์เร็ตต์ มาก่อกวน อัลเบอรฺ์โต เดล ริโอ ก็สามารถชนะ แดเนียล ไบรอัน ด้วยซับมิชชั่น ดอลฟ์ ซิกก์เลอร์ เจอ เชมัส แต่ก็แพ้ไม่ได้สิทธิ์ชิงแชมป์ WWE", "title": "ทีแอลซี: เทเบิล แลดเดอร์ แอนด์ แชร์ (2011)" }, { "docid": "290999#1", "text": "ปี 2003 การ์ลิโตได้เซ็นสัญญากับWWE เข้าปล้ำกับค่ายพัฒนาทักษะมวยปล้ำ OVW เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี ในการจับคู่กับ ไมค์ มอนโด และผู้จัดการทีม เคนนี โบลิน หลังจากที่เขาฝึกทักษะมวยปล้ำจาก OVW แล้ว เขาก็ได้ปรากฏตัวในสแมคดาวน์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2004 ซึ่งวันนั้นเองเขาก็สามารถคว้าแชมป์ยูเอสจากจอห์น ซีนาไปได้ ในปี 2005 เขาปรากฏตัวครั้งแรกในรอว์ จากผลดราฟท์ตัวนักมวยปล้ำ เขาก็สามารถคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลจากเชลตัน เบนจามินได้เช่นกัน ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวใน WWE ครั้งแรกแล้วก็สามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 2 ครั้ง และเป็นนักมวยปล้ำชาวปวยร์โตรีโกคนที่ 2 ที่สามารถคว้าแชมป์อินเตอร์ได้ต่อจากเปโดร มอราเลส และในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 25 การ์ลิโตและน้องชายของเขา ปริโม ก็สามารถรวบรวมเข็มขัดแชมป์โลกแท็กทีม และแชมป์แท็กทีม WWE ให้กลายเป็นแชมป์แท็กทีมยูนิฟายด์ ก่อนเสียให้กับเอดจ์และคริส เจริโค จากนั้นการ์ลิโตได้หักหลังปริโม ในปี 2010 การ์ลิโตได้ถูกไล่ออกจาก WWE", "title": "การ์ลิโต" }, { "docid": "213857#25", "text": "\"เรพิวเทชัน\"เป็นอัลบัมสุดท้ายที่ออกโดยสังกัดบิกแมชีนเรเคิดส์ เนื่องจากสัญญาอายุ 12 ปี หมดลง ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2018 เธอเซ็นสัญญากับค่ายยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุป ในสหรัฐ ผลงานลำดับถัดไปจะถูกส่งเสริมโดยประทับตราสังกัดรีพับลิกเรเคิดส์ สวิฟต์กล่าวว่าสัญญาของเธอจะรวมการเป็นเจ้าของต้นฉบับเสียง นอกจากนี้ เมื่อครั้งที่มีการแบ่งผลประโยชน์ให้กับสปอทิฟาย ยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุปเห็นพ้องที่จะจ่ายรายได้ให้ศิลปินของตน และไม่รับรายได้นั้นคืนจากศิลปิน", "title": "เทย์เลอร์ สวิฟต์" }, { "docid": "119613#5", "text": "เริ่มจาก แซ็ค โซลเยอร์ระดับเซคันด์คลาส ที่พยายามจะขึ้นไปสู่ระดับเฟิร์สคลาส โดยมี แองจีล 1 ใน 3 สุดยอดโซลเยอร์ระดับเฟิร์สคลาสดูแล ระหว่างนั้น แซ็คได้พบกับ แอริธ หญิงสาวในสลัมของเมืองมิดการ์ และทั้งสองก็พบรักกัน แซ็คก็มุ่งมานะเรื่อยมาจนได้ขึ้นสู่ระดับเฟิร์สคลาส และเขาก็เข้ามาอยู่ในวังวนมิตรภาพที่ไม่ลงรอยของเหล่าเฟิร์สคลาสที่มีเซฟิรอธ ผู้เก่งกาจ แองจีล ผู้เข้มแข็ง และเจเนซิส ผู้หายสาบสูญ", "title": "ไครซิสคอร์: ไฟนอลแฟนตาซี VII" }, { "docid": "662047#4", "text": "12 สิงหาคม 2014 มีประกาศว่าเขาได้เซ็นสัญญากับ WWE และเข้าร่วมสังกัดค่ายพัฒนาทักษะ NXT ในวันที่ 25 สิงหาคม เขาได้รับชื่อใหม่ว่า เควิน โอเวนส์ และ NXT ได้ออกวิดีโอโปรโมตตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนการเปิดตัวครั้งแรกของเขาที่จะเกิดขึ้น; โอเวนส์รายละเอียดว่าเขาได้ปล้ำเป็นเวลา 14 ปีก่อนที่จะทำให้มันเป็นไป WWE หลังจากที่ต้องเผชิญกับ (และกลายเป็นเพื่อนกับ) อีกหลายปัจจุบัน WWE มวยปล้ำหรือ NXT วงจรอิสระปีที่ผ่านมา แต่ WWE ลงนามพวกเขาครั้งแรก ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่, โอเวนส์ประกาศว่าเขาจะต่อสู้กับทุกคนและทุกคนเพราะการต่อสู้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาจะให้ครอบครัวของเขา", "title": "เควิน โอเวนส์" } ]
3844
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังสูงตัวแรกคืออะไร?
[ { "docid": "63545#1", "text": "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังสูงตัวแรกคือ วาล์วปรอทประกายไฟโค้ง (English: mercury-arc valve) ในระบบสมัยใหม่ ​​การแปลงระบบไฟฟ้าจะดำเนินการโดยอุปกรณ์ สวิตช์ ที่ทำด้วย สารกึ่งตัวนำ เช่น ไดโอด, ทายริสเตอร์ (thyristors), และ ทรานซิสเตอร์ ซึ่งบุกเบิกโดย R.D. Middlebrook และคนอื่น ๆ เริ่มต้นในทศวรรษที่ 1950 อิเล็กทรอนิกส์กำลังจะทำงานตรงกันข้ามกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับการส่งและการประมวลผลของสัญญาณและข้อมูล ในสาขาอิเล็กทรอนิกส์กำลัง พลังงานไฟฟ้าจำนวนมากจะถูกนำไปผ่านกระบวนการแปลงจาก AC ให้เป็น DC (English: AC/DC converter). วงจรเรียงกระแส (English: rectifier)​​ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังที่พบมากที่สุดในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคหลายชนิดเช่น เครื่องรับโทรทัศน์, เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ ฯลฯ ขนาดกำลังไฟฟ้าโดยทั่วไปจะมีตั้งแต่หลายสิบวัตต์จนถึงหลายร้อยวัตต์ ในภาคอุตสาหกรรม การประยุกต์ใช้ทั่วไปคือตัวขับความเร็วแปรได้ (English: Variable Speed Drive (VSD)) ที่ถูกใช้ในการควบคุมมอเตอร์เหนี่ยวนำ กำลังไฟฟ้าของ VSDs เริ่มต้นจากไม่กี่ร้อยวัตต์จนไปจบที่หลายสิบเมกะวัตต์", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" } ]
[ { "docid": "63545#62", "text": "พลังงานไฟฟ้าก็สามารถสร้างขึ้นจาก เซลล์แสงอาทิตย์ โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลัง จากนั้นพลังงาน DC ที่ผลิตได้มักจะถูกแปลงโดย โซลาร์อินเวอร์เตอร์ อินเวอร์เตอร์จะถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทที่แตกต่างกันคือ: ตัวแปลงแบบส่วนกลาง (English: central converter), แบบโมดูลย์รวม (English: module-integrated converter), และแบบแถว (English: string converter) ตัวแปลงแบบส่วนกลางสามารถเชื่อมต่อได้ทั้งในแบบขนานหรือแบบอนุกรมทางฝั่ง DC ของระบบ สำหรับฟาร์มแสงอาทิตย์, ตัวแปลงส่วนกลางเพียงตัวเดียวสามารถใช้ได้ทั้งระบบ ตัวแปลงแบบโมดูลย์รวมมีการเชื่อมต่อแบบอนุกรมทั้งบนฝั่ง DC หรือฝั่ง AC. ปกติจะใช้หลายโมดูลภายในระบบไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ เนื่องจากระบบต้องการตัวแปลงเหล่านี้ในทั้งขั้ว DC และขั้ว AC. ตัวแปลงแบบแถวจะใช้ในระบบที่ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ที่หันหน้าไปในทิศทางที่แตกต่างกัน มันถูกใช้ในการแปลงพลังงานที่สร้างขึ้นจากแต่ละแถวหรือสาย ในที่ซึ่งในเซลล์แสงอาทิตย์กำลังมีปฏิสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์[33]", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "55520#0", "text": "ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสาขาย่อยของอิเล็กทรอนิกส์ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีความสัมพันธ์กับการศึกษาและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีขนาดเล็กมาก อุปกรณ์เหล่านี้วัสดุจากสารกึ่งตัวนำ โดยการใช้กระบวนการที่เรียกว่า โฟโตไลโทกราฟี (photolithography) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบปกตินั้น ยังอาจมีลักษณะร่วมในเชิงไมโครอิเล็กทรอนิกส์ด้วย เช่น ทรานซิสเตอร์, ตัวเก็บประจุ, ตัวเหนี่ยวนำ, ตัวต้านทาน, ไดโอด และยังรวมถึงฉนวน และตัวนำ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถพบได้ในอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ด้วย", "title": "ไมโครอิเล็กทรอนิกส์" }, { "docid": "63545#56", "text": "การประยุกต์ใช้อิเล็กทรอนิกส์กำลังมีขนาดในช่วงตั้งแต่ แหล่งจ่ายไฟแบบสลับโหมด ใน เอซีอะแดปเตอร์, ตัวชาร์จแบตเตอรี่, เครื่องขยายเสียง, บัลลาสต์หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ไปจนถึง ตัวขับความถี่แปรได้ และตัวขับดีซีมอเตอร์ที่ใช้ในการหมุนปั๊ม, พัดลมและเครื่องจักรการผลิต จนถึงระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงกระแสตรงขนาดกิกะวัตต์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเข้ากับกริด ระบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังจะพบได้ในเกือบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเช่น:", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "36822#15", "text": "วิชาปฏิบัติการ วิชาเลือกเน้นสาขา: การแปลงพลังงานไฟฟ้า – เครื่องกล, ฟิสิกส์ของวัสดุและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ปฏิบัติการอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, สัญญาณสุ่มและกระบวนการสโทแคสติก, การออกแบบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์, อิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรม, อิเล็กทรอนิกส์กำลัง, วิศวกรรมเสียง, อิเล็กทรอนิกส์การบิน, การออกแบบวงจรความถี่วิทยุ, วิศวกรรมโทรคมนาคม, เครือข่ายสื่อสาร, การสื่อสารข้อมูล, การสื่อสารด้วยแสง, การสื่อสารเคลื่อนที่, ระบบซีดีเอ็มเอสาหรับการสื่อสารไร้สาย, หลักการระบบเรดาร์เบื้องต้น, การสื่อสารดาวเทียม, วิศวกรรมไมโครเวฟ, ทฤษฎีสายอากาศ, การออกแบบระบบโดยใช้ไมโครโพรเซสเซอร์เป็นฐาน, การออกแบบระบบดิจิทัลคอมพิวเตอร์, การวิเคราะห์ฟังก์ชันดิจิทัล, เทคโนโลยี วีแอลเอสไอ, การออกแบบและสร้างระบบดิจิทัล, กระบวนการควบคุมและเครื่องมือวัด, ระบบคอมพิวเตอร์ในอุตสาหกรรม, วิศวกรรมหุ่นยนต์, ระบบควบคุมชั้นสูง, ระบบควบคุมดิจิทัลเบื้องต้น, ระบบสื่อสารประยุกต์และสายส่งสัญญาณ, วิศวกรรมทางแสง, การแพร่ของคลื่นวิทยุ, การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล, การประมวลผลสัญญาณภาพแบบดิจิทัลเบื้องต้น, ทฤษฎีสารสนเทศ, วิศวกรรมซอฟต์แวร์, ระบบสื่อประสม, หลักการถ่ายภาพทางการแพทย์เบื้องต้น, หลักการถ่ายภาพเรโซแนนซ์แม่เหล็กเบื้องต้น", "title": "วิศวกรรมโทรคมนาคม" }, { "docid": "63545#12", "text": "การจัดการพลังงานและการกระจายความร้อนของอุปกรณ์ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญในการออกแบบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังอาจจะต้องกระจายความร้อนทิ้งไปหลายสิบหรือหลายร้อยวัตต์ แม้การสวิตช์จะมีประสิทธิภาพเท่าที่เป็นไปได้ระหว่างสภาวะการนำกระแสและไม่นำกระแส ในโหมดสวิทชิ่ง พลังงานที่เอ้าท์พุทมีขนาดใหญ่กว่าพลังงานความร้อนที่กระจายไปในสวิตช์ เซมิคอนดักเตอร์พลังงานสูงจำเป็นต้องมี heat sink หรือระบบระบายความร้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิของ junction ไม่ให้สูงเกินไป เซมิคอนดักเตอร์ที่แปลกใหม่เช่นซิลิกอนคาร์ไบด์มีข้อได้เปรียบเหนือซิลิคอนธรรมดาในแง่นี้และเหนือเจอร์เมเนียม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ solid-state ในปัจจุบันอาจถูกใช้น้อยลงเนื่องจากคุณสมบัติที่ไม่เอื้ออำนวยที่อุณหภูมิสูง", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "63545#63", "text": "อิเล็กทรอนิกส์กำลังสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยบริษัทสาธารณูปโภคในการปรับตัวเข้ากับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ที่กระจายไปให้ผู้ใช้แบบที่อยู่อาศัย/การพาณิชย์ เยอรมนีและหลายส่วนของฮาวาย, แคลิฟอร์เนียและรัฐนิวเจอร์ซีย์ต้องการให้มีการศึกษาก่อนที่จะอนุมัติให้มีการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ อุปกรณ์ขนาดค่อนข้างเล็กแบบติดตั้งบนพื้นดินหรือบนเสาจะสร้างศักยภาพสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่มีการควบคุมแบบกระจายในการตรวจสอบและจัดการการไหลของพลังงาน ระบบไฟฟ้าเครื่องกลแบบดั้งเดิมเช่น ตัวเก็บประจุ หรือ ตัวควบคุมแรงดันไฟฟ้า ที่ สถานีไฟฟ้าย่อย สามารถใช้เวลาไม่กี่นาทีในการปรับแรงดันไฟฟ้าและสามารถอยู่ห่างไกลจากจุดติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ถ้าแรงดันไฟฟ้าในวงจรเพื่อนบ้านมีค่าสูงเกินไป มันก็สามารถเป็นอันตรายต่อทีมงานสาธารณูปโภคและก่อให้เกิดความเสียหายให้กับอุปกรณ์ของทั้งลูกค้าและของสาธารณูปโภค ยิ่งไปกว่านั้นความผิดพลาเของกริดอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ปิดตัวลงทันที ส่งผลให้ความต้องการพลังงานของกริดพุ่งสูงขึ้น ตัวปรับแรงดันที่มีพื้นฐานจากสมาร์ทกริดสามารถควบคุมได้ดีกว่าอุปกรณ์ของผู้บริโภคทั้งหลายเป็นอย่างมาก[34]", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "553378#4", "text": "การแปลงสลับไปมาระหว่าง AC และ DC ที่มีแรงดันไฟฟ้าและกำลังงานไฟฟ้าที่สูง สามารถทำได้ในทางปฏิบัติหลังจากการพัฒนาอุปกรณ์เช่น วาล์วปรอทอาร์คและเริ่มต้นในปี 1970 ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ใช้อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์เช่น thyristors และ Integrated gate-commutated thyristors (IGCTs ), MOS-controlled (MCTs) และ Insulated-gate bipolar transistor (IGBT) เป็นตัวเรียงกระแส", "title": "ระบบสายส่งกระแสตรงความดันสูง" }, { "docid": "117114#11", "text": "เพราะว่า ตัวเหนี่ยวนำมีผลข้างเคียงที่มีความซับซ้อน (รายละเอียดด้านล่าง) ซึ่งทำให้มันมีพฤฒิกรรมที่ออกจากพฤติกรรมอุดมคติ เพราะมันสามารถแผ่การรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) และที่มากที่สุด เพราะว่าความเป็นกลุ่มของพวกมันที่ป้องกันพวกมันไม่ให้ถูกบรรจุลงบนชิปเซมิคอนดักเตอร์ การใช้ตัวเหนี่ยวนำกำลังลดลงในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันสมัย ​​โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก ตัวเหนี่ยวนำจริงกำลังถูกแทนที่เพิ่มมากขึ้นด้วยวงจรแอคทีฟ เช่น gyrator ที่สามารถสังเคราะห์การเหนี่ยวนำโดยใช้ตัวเก็บประจุ", "title": "ตัวเหนี่ยวนำ" }, { "docid": "761286#9", "text": "ถ่านของยูพีเอสแบบออนไลน์/เปลี่ยนแปลงสองครั้งนั้นจะต่อกับอินเวอร์เตอร์อยู่ตลอด จึงไม่จำเป็นต้องทำการสลับพลังงาน เมื่อการสูญเสียพลังงานเกิดขึ้น ตัวทำกระแสตรงนั้นจะออกจาวงจรไป และถ่านจะช่วยให้พลังงานที่คงที่ เมื่อพลังงานกลับมา ตัวทำกระแสตรงกลับมาช่วยรับพลังงานส่วนใหญ่และเริ่มชาร์จถ่าน แม้กระแสไฟฟ้าที่ถูกใช้การชาร์จนั้นอาจถูกจำกัดเพื่อป้องกันตัวทำกระแสตรงกำลังสูงไม่ให้ทำให้ถ่านร้อนเกินไปจนทำให้อิเล็กโทรไลต์เดือด ประโยชน์หลักของออนไลน์ยูพีเอสคือความสามารถในการสร้าง \"ไฟร์วอลล์ไฟฟ้า\" ระหว่างพลังงานที่เข้ามากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันบอบบาง", "title": "เครื่องสำรองไฟฟ้าและปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ" }, { "docid": "624165#1", "text": "klystrons จำนวนมากจะใช้ท่อนำคลื่น()เพื่อเชื่อมต่อพลังงานไมโครเวฟเข้ากับและออกจากอุปกรณ์, แม้ว่ามันจะยังเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการใช้ klystrons กำลังและความถี่ที่ต่ำกว่า ที่จะใช้การเชื่อมต่อด้วยสายโคแอคเชียลแทน. ในบางกรณี ตัวเชื่อมต่อแบบหัว probe จะถูกใช้ในการเชื่อมต่อพลังงานไมโครเวฟจาก klystron ไปยังท่อนำคลื่นภายนอกที่แยกอยู่ต่างหาก. ท่อนำคลื่นส่งออกของ klystron สามารถเชื่อมกลับเข้ามาที่อินพุทเพื่อจะทำให้มันเป็น อิเล็กทรอนิกส์ ออสซิลเลเตอร์\nklystron แบบสะท้อนเป็นประเภทล้าสมัยในที่ซึ่งลำแสงอิเล็กตรอนจะถูกสะท้อนกลับไปตาม เส้นทางของมันโดยอิเล็กโทรดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง. มันถูกใช้เป็น oscillator เหมือนกัน", "title": "Klystron" }, { "docid": "63545#9", "text": "เนื่องจากประสิทธิภาพเป็นที่ต้องการอย่างสูงในการแปลงอิเล็กทรอนิกส์กำลัง, การสูญเสียที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องทำให้ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "154005#77", "text": "ภารกิจซ่อมบำรุงทุกครั้งที่ผ่านมาล้วนเป็นการติดตั้งอุปกรณ์ตัวใหม่เพื่อทดแทนอุปกรณ์ที่เสียและเพื่อทำการสำรวจสิ่งใหม่ ๆ หากไม่มีภารกิจซ่อมบำรุงเหล่านี้แล้ว อุปกรณ์ทุกตัวบนกล้องจะเสียในท้ายที่สุด วันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2004 ระบบจ่ายพลังงานของสเปกโตรกราฟกล้องโทรทรรศน์อวกาศขัดข้องทำให้มันใช้งานไม่ได้ แม้ว่ามันจะมีวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำรอง แต่ระบบอิเล็กทรอนิกส์หลักก็เสียตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2001[68] นอกจากนี้ วงจรอิเล็กทรอนิกส์หลักของกล้องสำรวจขั้นสูงก็เสียเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2006 และระบบจ่ายพลังงานของวงจรสำรองก็เสียเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2007[69] ทำให้กล้องสำรวจขั้นสูงสามารถถ่ายภาพผ่านช่อง Solar Blind เท่านั้น แต่ไม่สามารถถ่ายภาพคลื่นที่ตามองเห็นหรือคลื่นอัลตราไวโอเลตได้[70] ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อุปกรณ์วิทยาศาสตร์จะทำงานได้ตลอดโดยไม่ต้องรับการซ่อมแซม", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "63545#13", "text": "อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ที่มีอยู่จะทำงานที่ไม่กี่กิโลโวลต์ในตัวเดี่ยว ๆ ในกรณีที่จะต้องทำงานกับแรงดันไฟฟ้าที่สูง ๆ ต้องใช้อุปกรณ์หลาย ๆ ตัวต่อกันแบบอนุกรม อีกครั้งที่ความเร็วในการสวิทช์เป็นปัจจัยสำคัญเนื่องจากอุปกรณ์ตัวที่สวิตช์ช้าที่สุดจะต้องทนต่อแรงดันไฟฟ้ารวม วาล์วปรอทในอดีตทำงานได้ถึง 100 กิโลโวลต์ในเครื่องเดียว ทำให้เป็นการง่ายในการนำไปประยุกต์ใช้ใน ระบบสายส่งกระแสตรงความดันสูง หรือ HVDC", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "10769#3", "text": "ตัวต้านทานเป็นชิ้นส่วนธรรมดาของเครือข่ายไฟฟ้าและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และเป็นที่แพร่หลาย ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตัวต้านทานในทางปฏิบัติจะประกอบด้วยสารประกอบและฟิล์มต่างๆ เช่นเดียวกับ สายไฟต้านทาน (สายไฟที่ทำจากโลหะผสมความต้านทานสูง เช่น นิกเกิล-โครเมี่ยม) Resistors ยังถูกนำไปใช้ในวงจรรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุปกรณ์แอนะล็อก และยังสามารถรวมเข้ากับวงจรไฮบริดและวงจรพิมพ์\nฟังก์ชันทางไฟฟ้าของตัวต้านทานจะถูกกำหนดโดยค่าความต้านทานของมัน ตัวต้านทานเชิงพาณิชย์ทั่วไปถูกผลิตในลำดับที่มากกว่าเก้าขั้นของขนาด เมื่อทำการระบุว่าตัวต้านทานจะถูกใช้ในการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ ความแม่นยำที่จำเป็นของความต้านทานอาจต้องให้ความสนใจในการสร้างความอดทนของตัวต้านทานตามการใช้งานเฉพาะของมัน นอกจากนี้ค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิของความต้านทานยังอาจจะมีความกังวลในการใช้งานบางอย่างที่ต้องการความแม่นยำ ตัวต้านทานในทางปฏิบัติยังถูกระบุถึงว่ามีระดับพลังงานสูงสุดซึ่งจะต้องเกินกว่าการกระจายความร้อนของตัวต้านทานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวงจรเฉพาะ สิ่งนี้เป็นความกังวลหลักในการใช้งานกับอิเล็กทรอนิกส์กำลัง ตัวต้านทานที่มีอัตรากำลังที่สูงกว่าก็จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าและอาจต้องใช้ heat sink ในวงจรไฟฟ้าแรงดันสูง บางครั้งก็ต้องให้ความสนใจกับอัตราแรงดันการทำงานสูงสุดของตัวต้านทาน ถ้าไม่ได้พิจารณาถึงแรงดันไฟฟ้าในการทำงานขั้นต่ำสุดสำหรับตัวต้านทาน ความล้มเหลวอาจก่อให้เกิดการเผาใหม้ของตัวต้านทาน เมื่อกระแสไหลผ่านตัวมัน", "title": "ตัวต้านทาน" }, { "docid": "618657#15", "text": "ในสาขาอิเล็กทรอนิกส์, ทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่ใช้กันทั่วไปในการขยายหรือสลับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์, เพราะกำลังสัญญาณด้านขาออกที่ควบคุมได้สามารถมีขนาดใหญ่กว่ากำลังสัญญาณขาเข้าที่ควบคุมได้. ทรานซิสเตอร์สามารถขยายสัญญาณให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้. ทรานซิสเตอร์เป็นโครงสร้างพื้นฐานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยทั้งหมด โดยมีการ ใช้ในวิทยุ, โทรศัพท์, คอมพิวเตอร์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ. จากวันที่ 17 พฤศจิกายน 1947 ถึง 23 ธันวาคม 1947 จอห์น Bardeen และวอลเตอร์ Brattain ที่ AT&T Bell Labs, ได้ทำการทดลองและในที่สุดก็สังเกตได้ว่าเมื่อสองจุดสัมผ้สทองถูกนำไปใช้กับคริสตัลเจอร์เมเนียม, สัญญาณถูกผลิตให้ออกมามีขนาดออกมีขนาดใหญ่กว่าสัญญาณที่ใส่เข้าไป.[26] ผู้จัดการของเบลล์แล็บกลุ่มวิจัยเซมิคอนดักเตอร์, วิลเลียม Shockley, เห็นศักยภาพในการทำงานในช่วงไม่กี่เดือนต่อมา ในการเพิ่มพูนความรู้ของเซมิคอนดักเตอร์อย่างมากเพื่อสร้างทรานซิสเตอร์จุดสัมผ้ส(English: point-contact transistor)ตัวแรก. Shockley ได้รับการพิจารณาโดยคนจำนวนมากว่าเป็น \"บิดา\" ของทรานซิสเตอร์.[8] ดังนั้น, ในการรับรู้ผลงานของเขา, ทรานซิสเตอร์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง, แม้จะไม่กว้างขวางระดับโลก, แต่ก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20 ทั้งหมด เนื่องจากเป็นรูปแบบโครงสร้างในปัจจุบันของโปรเซสเซอร์และถูกใช้ในเกือบทุก คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย.[27] ในการรับรู้ของการประดิษฐ์ของทรานซิสเตอร์, Shockley, Bardeen และ Brattain ได้ร่วมกันรับรางวัลรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ประจำปี [[ค.ศ. 1956].[28]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "63545#45", "text": "Matrix converters and cycloconverters: Cycloconverters ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสำหรับการแปลง AC ไปเป็น AC สำหรับการประยุกต์ใช้ในงานที่ใช้พลังงานสูง การแปลงจะแปลงความถี่โดยตรงซึ่งจะถูก synchronise โดยซัพพลายลายน์ รูปคลื่นของแรงดันที่เอาต์พุตของ cycloconverters จะเป็นฮาร์โมนิคที่ซับซ้อนโดยที่ฮาร์โมนิคในลำดับสูงๆจะถูกกรองออกโดยอินดักแตนท์ของเครื่อง ฮาร์โมนิคส่วนที่เหลือจะทำให้เกิดความสูญเสียและพั้ลส์แรงบิดสร้างกำลังงาน พึงสังเกตว่าใน cycloconverter, ซึ่งแตกต่างจากตัวแปลงอื่น ๆ, ไม่มีตัวเหนี่ยวนำหรือตัวเก็บประจุหรืออุปกรณ์จัดเก็บพลังงานแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้กระแสไฟฟ้าอินพุทและเอาต์พุตมีค่าเท่ากันในทุกชั่วขณะ[21]", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "55288#24", "text": "ตะกั่ว: ลวดบัดกรี จอมอนิเตอร์ CRT (ตะกั่วในแก้ว) แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด ดีบุก: ลวดบัดกรี ทองแดง: สายทองแดง ลายทองแดงบนแผ่นวงจรพิมพ์ อะลูมิเนียม: สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดจะใช้กำลังไฟฟ้ามากกว่าสองสามวัตต์ จึงต้องใช้แผ่นครีบระบายความร้อน (heatsink) เหล็ก: โครงเหล็กกล้า, ตัวถัง ชิ้นส่วนภายนอก ซิลิกอน: แก้ว ทรานซิสเตอร์ ไอซี แผ่นวงจรพิมพ์ นิกเกิล แคดเมียม: แบตเตอรี่นิกเกิล-แคดเมียมแบบชาร์จได้ ลิเทียม: แบตเตอรีลิเทียม-ไอออน สังกะสี: ชุบส่วนเหล็กกล้า ทองคำ: ชุบขั้วต่อ, เดิมใช้ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อะเมริเซียม: เตือนควัน (แหล่งกัมมันตรังสี) เจอร์เมเนียม: ในทศวรรษ 1950 – 1960 มีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์มาก ปรอท: หลอดฟลูออเรสเซนต์ (มีการใช้งานที่หลากหลาย) สวิตช์เอียง (tilt switches), เกมพินบอลล์, ที่กดกริ่งประตูแบบเชิงกล กำมะถัน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด คาร์บอน: เหล็กกล้า พลาสติก รีซิสเตอร์ ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชิ้น", "title": "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" }, { "docid": "63545#10", "text": "อุปกรณ์ทั้งหลายมีความแตกต่างกันที่ความเร็วในการเปิดปิด บางไดโอดและบาง thyristors จะเหมาะสำหรับความเร็วค่อนข้างช้าและมีประโยชน์สำหรับการสวิทช์และการควบคุมความถี่, thyristors บางตัวเป็นประโยชน์ที่ไม่กี่กิโลเฮิรตซ์ อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น MOSFETS และ BJTs สามารถสวิทช์ที่หมื่นกิโลเฮิร์ตซ์จนถึงไม่กี่เมกะเฮิรตซ์ แต่ระดับพลังงานลดน้อยลง พลังงานที่สูงมาก (ร้อยๆกิโลวัตต์) ที่ความถี่สูงมากๆ (ร้อยหรือหลายพันเมกะเฮิรตซ์) ยังคงเป็นพื้นที่ที่อุปกรณ์หลอดสูญญากาศครอบครองอยู่ การใช้อุปกรณ์สวิตชิ่งที่เร็วขึ้นช่วยลดการสูญเสียพลังงานในการปิดเปิดกลับไปกลับมา แต่อาจสร้างปัญหากับการรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมา วงจรไดรฟ์ที่เกท (หรือเทียบเท่า) ต้องถูกออกแบบให้จ่ายกระแสไดรฟ์ที่พอเพียงเพื่อให้อุปกรณ์ทำหน้าที่สวิตช์ได้อย่างเต็มที่ อุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการไดรฟ์เพียงพอที่จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วอาจจะถูกทำลายด้วยความร้อนส่วนเกิน", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "63545#64", "text": "ในอีกวิธีหนึ่ง กลุ่ม 16 สาธารณูปโภคฝั่งตะวันตกที่เรียกว่าผู้นำอุตสาหกรรมไฟฟ้าตะวันตกเรียกร้องให้มีการบังคับใช้ \"สมาร์ทอินเวอร์เตอร์\" อุปกรณ์ตัวนี้จะแปลงกระแสตรงให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้ในครัวเรือนและยังสามารถช่วยให้มีไฟฟ้าคุณภาพ อุปกรณ์ดังกล่าวอาจตัดทิ้งความจำเป็นต้องมีการอัพเกรดอุปกรณ์ยูทิลิตี้ที่มีราคาแพงให้มีค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลงอย่างมาก[34]", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "19575#0", "text": "ตัวเก็บประจุ หรือ คาปาซิเตอร์ ( หรือ ) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่ง ทำหน้าที่เก็บพลังงานในรูปสนามไฟฟ้า ที่สร้างขึ้นระหว่างคู่ฉนวน โดยมีค่าประจุไฟฟ้าเท่ากัน แต่มีชนิดของประจุตรงข้ามกัน บ้างเรียกตัวเก็บประจุนี้ว่า คอนเดนเซอร์ (condenser) แต่ส่วนใหญ่เรียกสั้น ๆ ว่า แคป (Cap) เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำคัญในงานอิเล็กทรอนิกส์ และพบได้แทบทุกวงจร มีคุณสมบัติตรงข้ามกับตัวเหนี่ยวนำ จึงมักใช้หักร้างกันหรือทำงานร่วมกันในวงจรต่าง ๆ เป็นหนึ่งในสามชิ้นส่วนวงจรเชิงเส้นแบบพาสซีฟที่ประกอบขึ้นเป็นวงจรไฟฟ้า ในระบบจ่ายไฟฟ้าใช้ตัวเก็บประจุเป็นชุดหลายตัวเพิ่มค่าตัวประกอบกำลัง (Power factor) ให้กับระบบไฟฟ้าที่เรียกว่า แคปแบงค์ (Cap Bank) ตัวเก็บประจุบางชนิดในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกนำมาใช้แทนแบตเตอรี่ เช่น ตัวเก็บประจุยิ่งยวด (Supercapacitor)", "title": "ตัวเก็บประจุ" }, { "docid": "5895#2", "text": "อิเล็กทรอนิกส์ เดิมทีเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และ ทดสอบวงจรไฟฟ้า ซึ่งสร้างจากอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะทางแม่เหล็กไฟฟ้า ตั้งแต่อุปกรณ์ที่เป็น active เช่นหลอดสูญญากาศ, แบตเตอรี, เซลล์เชื้อเพลิง, จอแสดงผล จนถึง อุปกรณ์จากสารกึ่งตัวนำเช่น ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และ อื่น ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่เป็น พาสซีฟ เช่นตัวต้านทาน, ตัวเก็บประจุและขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานตามจุดประสงค์ที่ต้องการ เช่น เป็นวงจรวิทยุสื่อสาร วงจรคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ปัจจุบันขอบเขตของวิศวกรรมอิเล็กโทรนิคส์ถูกขยายออกไปเป็น subfield ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์แอนะลอก, อิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล, อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภค, ระบบการฝังตัว และอิเล็กทรอนิกส์กำลัง\nวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังเข้าไปทำงานร่วมกับงาน implement ของ application, งานด้าน หลักการและ algorithm เกี่ยวกับฟิสิกส์ของ solid state, โทรคมนาคม, ระบบควบคุม, การประมวลผลสัญญาณ, วิศวกรรมระบบคอมพิวเตอร์, วิศวกรรมเครื่องมือ, วิศวกรรมควบคุมพลังงานไฟฟ้า, หุ่นยนต์, และอื่น ๆ อีกมากมาย.", "title": "วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์" }, { "docid": "63545#61", "text": "พลังงานไฟฟ้าสามารถผลิตขึ้นจากการหมุนของ กังหันลม และกังหัน ไฟฟ้าพลังน้ำ ป้อนเข้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเหนี่ยวนำ แต่น่าเสียดายที่อุปกรณ์เหล่านี้สามารถก่อให้เกิดความแปรปรวนในความถี่ ณ จุดการผลิต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังจะถูกนำมาใช้ในระบบเหล่านี้เพื่อแปลงแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับที่สร้างขึ้นให้เป็นกระแสตรงแรงดันสูง (HVDC) กระแสไฟฟ้า HVDC สามารถแปลงได้ง่ายกว่าให้เป็นกำลังไฟสามเฟสที่สอดคล้องกับกระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายอื่นบนกริดที่มีอยู่ ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังดังกล่าว พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทนที่ถูกจัดส่งไปโดยระบบกริดจึงสะอาดและมี power factor ที่สูงขึ้น ในระบบพลังงานลม แรงบิดที่เหมาะสมที่สุดในเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะได้รับผ่านกล่องเกียร์หรือเทคโนโลยีการขับแบบโดยตรงอย่างใดอย่างหนึ่งที่สามารถลดขนาดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังได้[33]", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "63545#0", "text": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง (English: Power Electronics) เป็นการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ โซลิดสเตต ไปใช้ในการควบคุมและการแปลงพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ยังหมายถึงหัวข้อของการวิจัยในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ, การควบคุม, การใช้คอมพิวเตอร์, และการบูรณาการของระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการประมวลพลังงานตามเวลาที่เปลี่ยนแบบ ไม่เชิงเส้น ด้วยไดนามิกของความเร็ว", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "412858#32", "text": "วิธีการที่มีอยู่สำหรับแนวคิดบังเหียนอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเนื่องจากอัตราการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่ประหยัดขึ้นในโพรโทคอลแบบใช้พลังงานต่ำของบลูทูธรุ่น v4.0 ซัพพลายเออร์หลายรายยังคงนำเสนอวิธีการสำหรับบังเหียนอิเล็กทรอนิกส์โดยขึ้นอยู่กับโพรโทคอลมาตรฐาน ของบลูทูธรุ่น v2.1 ซึ่งใช้เพื่อการเชื่อมโยงอุปกรณ์มือถือเข้าด้วยกันแบบไร้สาย RSSI เป็นมาตรวัดกำลังสัญญาณรอบอุปกรณ์แต่ไม่มีการรสอบเทียบมาตรวัดที่มีการรับรองใดๆ การตั้งค่าการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการสูญเสียการเชื่อมต่อที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นบริการสำคัญที่เสนอให้มาพร้อมกับแนวคิดนี้ อีกแง่มุมหนึ่งที่เป็นคุณสมบัติขั้นสูงได้รับการเปิดตัวสำหรับเทคโนโลยีบลูทูธพลังงานต่ำเพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่การตัดบางส่วนออกเป็นพิเศษเพื่อให้อุปกรณ์สามารถทำงานได้ยาวนานถึงสองปีโดยใช้เพียงถ่านกระดุมแค่เม็ดเดียว", "title": "บลูทูธพลังงานต่ำ" }, { "docid": "63545#8", "text": "คุณลักษณะหลายประการเป็นตัวกำหนดวิธีการนำอุปกรณ์ที่ใช้ อุปกรณ์ เช่นไดโอด จะทำงานเมื่อมีแรงดันระหว่างขั้วทั้งสอง และไม่สามารถควบคุมจุดเริ่มต้นของการไหลของกระแสในแต่ละไซเคิลได้ อุปกรณ์ไฟฟ้าเช่น SCR และ thyristors (เช่นเดียวกับวาล์วปรอทและอดีต thyratron) สามารถควบคุมจุดเริ่มต้นของการไหลของกระแสได้ แต่ขึ้นอยู่กับการกลับขั้วของขาควบคุมเพื่อหยุดการทำงาน อุปกรณ์อื่น เช่นประตูปิด thyristors , bipolar junction ทรานซิสเตอร์ (BJT) และ MOSFET ควบคุมการเปิดปิดได้ดีกว่าโดยไม่คำนึงถึงทิศทางกระแสควบคุม อุปกรณ์ทรานซิสเตอร์ยังช่วยในการขยายสัญญาณ แต่ไม่ค่อยถูกนำมาใช้กับระบบที่ใชัพลังงานไม่กี่ร้อยวัตต์ ลักษณะการควบคุมของอินพุทของอุปกรณ์ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการออกแบบ, บางครั้งอินพุทควบคุมมีแรงดันไฟฟ้าที่สูงมากเมื่อเทียบกับดินและต้องหามาจากแหล่งต่างหาก", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "18227#4", "text": "หลอดสูญญากาศเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เก่าแก่ที่สุด ใช้เป็นชิ้นส่วนหลักในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จนถึงกลางทศวรรษที่ 1980. หลังจากนั้นอุปกรณ์โซลิดสเตตได้เข้ามาแทนที่อย่างสิ้นเชิง หลอดสูญญากาศยังคงถูกใช้ในบางงานที่ต้องการความสามารถพิเศษ เช่นเครื่องขยายสัญญาณวิทยุกำลังสูง, จอภาพ, อุปกรณ์ภาพและเสียงสำหรับมืออาชีพบางชนิด,และอุปกรณ์ไมโครเวฟต่างๆ", "title": "อิเล็กทรอนิกส์" }, { "docid": "741097#15", "text": "ในช่วงแรกๆตัวนำยวดยิ่งที่มาทำสคิด คือ ตัวนำยวดยิ่งแบบดั้งเดิมที่มีอุณหภูมิวิกฤติต่ำ เช่น ไนโอเบียม ตะกั่วอัลลอย อินเดียม ใช้ฮีเลียมเหลวเป็นสารหล่อเย็น ทำให้ไม่สะดวกในการใช้งาน ต่อมาได้มีการพัฒนามาใช้ตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิสูงกลุ่ม Y-Ba-Cu-O มาทำสคิดทำให้สามารถใช้ไนโตรเจนเหลวในการรักษาความเย็นได้ แม้ว่าจะมีความไวที่น้อยกว่า สคิดที่ทำจากตัวนำยวดยิ่งแบบดั้งเดิม แต่ก็มีข้อดีในการใช้งานและค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า ทำให้สามารถนำไปใช้ประยุกต์ใช้งานได้สะดวกและแพร่หลายมากขึ้น มีการนำสคิด ไปใช้งานที่หลากหลาย เช่น ใช้ในการทหาร เป็นเครื่องตรวจจับเรือดำน้ำ หรือ เครื่องตรวจจับกับระตัวอักษรหัวเรื่องบิด เครื่องตรวจจับการทำงานของร่างกาย เครื่องตรวจจับการบกพร่องของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์\nมอร์เตอร์ใช้หลักการทางแม่เหล็กไฟฟ้าตามหลักการของฟาราเดย์ ดังนั้นมอเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงก็มีกำลังสูงด้วย แต่อยางไรก็ดีการใช้ทองแดงเป็นตัวนำไฟฟ้าไม่สามารถให้ประสิทธิภาพที่สูงมากได้ ต้องใช้สายทองแดงมากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลงเนื่องจากสูญเสียพลังงานจากความต้านทานของสายไฟ การใช้มอเตอร์ที่ทำจากตัวนำยวดยิ่งก็จะมีการประหยัดพลังงานได้มากขึ้นและคาดว่าจะมีการผลิตมอเตอร์ที่ทำจากตัวนำยวดยิ่งที่มีกำลังถึง 1000 แรงม้าในไม่ช้า", "title": "Technological applications of superconductivity" }, { "docid": "63545#7", "text": "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังอาจถูกใช้เป็น สวิตช์ หรือเป็น ตัวขยายสัญญาณ[3] สวิตช์ในอุดมคติจะทำงานเปิดหรือปิดวงจรและไม่กระจายความร้อน มันทนทานต่อแรงดันไฟฟ้าที่ใช้และส่งผ่านกระแสทั้งหมดโดยไม่มีแรงดันตกคร่อม นั่นคือต้องไม่มีการสูญเสียพลังงานในสวิทช์เลย ในทางตรงกันข้าม ในกรณีของตัวขยายสัญญาณ กระแสที่ไหลผ่านต้วมันแปรผันอย่างต่อเนื่องตามอินพุทที่ควบคุมมันอยู่ แรงดันและกระแสที่ขั้วอุปกรณ์เป็นไปตามโหลดและพลังงานที่กระจายในตัวอุปกรณ์มีมากกว่าพลังงานที่ส่งไปยังโหลด", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "63545#59", "text": "ในยานพาหนะไฟฟ้าแบบไฮบริด (HEVs) อิเล็กทรอนิกส์กำลังถูกใช้ในสองรูปแบบ: ไฮบริดอนุกรมและไฮบริดคู่ขนาน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองแบบเป็นความสัมพันธ์ของมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) อุปกรณ์ที่ใช้ในยานพาหนะไฟฟ้าจะประกอบด้วยตัวแปลง DC/DC เป็นส่วนใหญ่สำหรับชาร์จแบตเตอรี่และตัวแปลง DC/AC เพื่อจ่ายไฟให้มอเตอร์ขับเคลื่อน รถไฟไฟฟ้าใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังเพื่อให้ได้กำลังไฟฟ้าเช่นเดียวกับสำหรับการควบคุมด้วยเวกเตอร์โดยใช้วงจรเรียงกระแสแบบ pulse-width modulation (PWM) รถไฟไฟฟ้าได้รับกำลังไฟฟ้าจากสายไฟฟ้า การใช้งานใหม่อีกทางหนึ่งสำหรับอิเล็กทรอนิกส์กำลังอยู่ในระบบลิฟท์ ระบบเหล่านี้อาจใช้ thyristors, อินเวอร์เตอร์, มอเตอร์แม่เหล็กถาวร หรือระบบไฮบริดต่าง ๆ ที่รวมระบบ PWM ระบบและมอเตอร์มาตรฐานเข้าด้วยกัน[30]", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" } ]
2877
ลักษณะเพลงลูกทุ่งในระยะเริ่มแรก มาจากการร้องรำทำเพลงของไทยดั้งเดิมใช่หรือไม่?
[ { "docid": "99657#5", "text": "ขุนวิจิตรมาตราบันทึกไว้ในหนังสือเรื่องของละครและเพลง ว่าเพลงลูกทุ่งเป็นวงดนตรีแบบสากลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปีหรือสองปี ลักษณะเพลงลูกทุ่งในระยะเริ่มแรก มาจากการร้องรำทำเพลงของไทยดั้งเดิม อาทิ แหล่เทศน์ สวดคฤหัสถ์ จำอวด ลิเก (ทรงเครื่อง) ลิเกลูกหมด (ไม่แต่งเครื่อง) ลิเกบันตน ลำตัด เพลงขอทาน เพลงพื้นเมืองบางเพลง ฯลฯ โดยเพลงลูกทุ่งนำมาดัดแปลงแล้วใส่ดนตรีแบบสากล เป็นลักษณะเพลงแบบใหม่", "title": "เพลงลูกทุ่ง" } ]
[ { "docid": "929252#2", "text": "อัลบั้มพิเศษ รวมใจทุกคู่ แด่...ครูสลา ชุด ขอบคุณฟ้าที่ให้เจอ ขอบคุณเธอที่ให้ใจ เป็นอัลบั้มที่นำบทเพลงจากปลายปากกาของ ครูสลา คุณวุฒิ มาขับร้องใหม่โดย 23 ศิลปิน มาร่วมถ่ายทอด 11 บทเพลงเพลงที่คนบอกว่าใช่ ซึ่งเป็นบทเพลงที่เคยโด่งดังในแบบฉบับศิลปินเดี่ยว กลับมาสร้างใหม่ ให้ร้องตามกันได้เป็นคู่ พร้อม 1 บทเพลงขึ้นมาใหม่ อีกหนึ่งบทเพลงคือ เพลง ขอบคุณเธอที่ให้ใจ\nอัลบั้มพิเศษ น้องๆ ร้องเพลงพี่ไมค์ เป็นอัลบั้มที่นำเพลงเก่าของ ไมค์ ภิรมย์พร มาขับร้องใหม่โดยศิลปินลูกทุ่งชายรุ่นน้อง ของค่าย แกรมมี่ โกลด์ นำโดย ไผ่ พงศธร,พี สะเดิด,มนต์แคน แก่นคูน,ไหมไทย ใจตะวัน และ เสถียร ทำมือ ซึ่งอัลบั้มนี้มี 2 ชุด", "title": "เสถียร ทำมือ" }, { "docid": "79824#5", "text": "ในปี พ.ศ. 2556 ปอ ปริชาต ได้รวมกลุ่มศิลปินสาวส่า อาร์ สยาม เพื่อทำซิงเกิลพิเศษรวมไว้ในอัลบั้ม อีสานตลาดแตก 2 \"ส่า\" ในภาษาอีสาน หมายถึง ร่ำลือ พูดถึง กล่าวถึง เมื่อรวมมาเป็นคำว่า \"สาวส่า\" จึงหมายถึง สาวๆที่ถูกร่ำลือ พูดถึง ถูกกล่าวขวัญว่าเป็นตาฮัก หรือสาวที่งามที่สุดของหมู่บ้านเป็นที่หมา­ยปองของหนุ่มๆ กลุ่มศิลปินสาวส่า อาร์สยาม จึงเป็นการรวมตัวของกลุ่มเด็กสาวอีสานล้วน­ๆ เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในการร้อง รำ ฟ้อน รักการแสดงในรูปแบบของวัฒนธรรมอีสาน มีหัวใจรักบ้านเกิด รักวัฒนธรรมท้องถิ่นอีสาน กลุ่มศิลปินสาวส่า อาร์สยาม นำทีมโดย ปอ ปริชาต อาร์สยาม สาวที่เก่งการฟ้อนรำ ร้องเพลงลูกทุ่งอีสานได้หลายแนว,นุช วิลาวัลย์ อาร์สยาม สาวเจ้าของเสียงแหบแบบมีเสน่ห์ ฟ้อนเก่ง รำเก่งเพราะเป็นสาวนาฏศิลป์ขนานแท้,เบญจา อาร์สยาม นักร้องน้องใหม่วัยทีน หน้าตาดี สวย น่ารัก สดใส ฟ้อนรำสวย สมัยเรียนมัธยมเป็นนางรำของโรงเรียน เป็นพิธีกรของมหาวิทยาลัย เล่นละครเวที และเคยเล่นเป็นนางเอก MV หนังอินดี้ และ ฝ้าย อาร์สยาม นักร้องน้องใหม่อีกคน ที่มีเสียงทรงพลัง ร้องเพลงดี และได้เปิดตัวซิงเกิลของสาวส่า เป็นเพลงเร็วจังหวะสนุกสนาน ดนตรีร่วมสมัย โชว์การร้อง การเต้นให้แฟนๆได้เห็นความสดใส น่ารัก ในเพลง พอจนตรอกอ้ายก็บอกขอโทษ (เซ็งเป็ด) และในอัลบั้มเดียวกันนี้ ปอ ปริชาต ก็ได้มีโอกาสร้องเพลงเดี่ยวในทำนองลำคอนสวรรค์อีก 1 เพลง คือเพลง เสียดายอ้ายตอแหล", "title": "ปอ ปาริชาต" }, { "docid": "72832#45", "text": "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ \"เที่ยวเมืองพม่า\" ทรงอธิบาย \"เพลงโยเดีย\" และ \"รำอย่างโยเดีย\" ไว้ว่า \"\"...เล่าถึงวิธีรำอย่างโยเดีย ซึ่งเขาจะเล่นให้ฉันดูในวันนั้น แล้วกลับเข้าไปนั่งเตียง พวกนางกำนัลก็ลุกขึ้นรำเข้ากับร้องเพลง \"โยเดีย\" การที่รำฟ้อนเข้ากับร้องเพลงโยเดีย เห็นจะซักซ้อมกันในตอนกลางวันวันนั้นหลายเที่ยว ตัวนางระบำสัก ๑๐ คน ต้องมีนางผู้ใหญ่ที่เป็นครูออกมายืนกำกับและร้องนำอยู่ในวงด้วย เพลงที่ร้องก็สังเกตได้ว่าเป็นทำนองเพลงไทยจริง เพราะเพลงพะม่ามักมีทำนองกระโชกไม่ร้องเรื่อยเหมือนเพลงไทย [...] มองโปซินรำท่าพระรามถือศรมีกระบวนเสนาตาม มองโปซินรำคนเดียวเป็นท่าเดินนาดกรายเข้ากับจังหวะปี่พาทย์ ดูก็พอสังเกตได้ว่าเป็นท่าละครไทย เพราะช้ากว่าและไม่กะดุ้งกะดิ้งเหมือนละครพะม่า...\"\"", "title": "ไทยโยเดีย" }, { "docid": "99657#6", "text": "วิวัฒนาการเพลงลูกทุ่งกล่าวได้ว่ามาจาก เพลงที่มีเนื้อร้องแบบกลอนแปด จะร้องสลับกับการเอื้อนทำนอง แต่ละเพลงจะมีความต่อเนื่องเป็นเพลงเถา ตับ ชั้น เช่น 2 ชั้น 3 ชั้น ฯ และมีความยาวพอสมควร เพลงมักจะเริ่มจากช้าไปหาเร็ว ต่อมาเพลงได้ถูกพัฒนา เป็นเพลงประกอบรำจนถึงเข้าเรื่องละคร และเนื่องจากมีความยาวเกินไปจึงพัฒนาให้กระชับลง โดยใส่คำร้องในทำนองเอื้อน เรียกว่า เนื้อเต็ม นาฏกรรมจากวรรณคดี เช่น โขน ละครร้องของเจ้านายในราชสำนัก ได้รับความนิยมในหมู่เจ้านายวังหน้า วังหลัง หรือนอกวัง การแสดงแบบคลาสสิก ก็ถูกปรับให้เข้ากับชาวบ้านจากโขน ละคร มาเป็นหนังสด ลิเก[4]", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "99657#29", "text": "ในช่วงปี 2531-2535 เป็นช่วงที่ซบเซาสำหรับวงการเพลงลูกทุ่ง เพราะช่วงนี้เพลงสตริงสมัยใหม่ และวัฒนธรรมทางดนตรีจากต่างชาติ เข้าหลั่งไหลทะลักมา ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ สำหรับวงการเพลงสตริง แต่เพลงลูกทุ่ง กลับไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ๆ จนกระทั่ง มีบทเพลง ๆ หนึ่ง ที่ทำให้ลูกทุ่งฟื้นคืนชีพใหม่ และสง่างามมาได้คือ \"สมศรี 1992\" ของ \"ยิ่งยง ยอดบัวงาม\" เลยเกิดกระแสเพลงลูกทุ่งลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง ในปี 2535 และช่วงเวลาเดียวกัน ก็เกิดเพลงผสมผสาน ลูกทุ่ง+สตริง มาในสมัยนี้ แต่เรียกเพลงสไตล์นี้ว่า \"เพลงร่วมสมัย\" เพราะยังติดคำร้องลูกทุ่ง แต่ทำนอง และดนตรี จะออกเหมือนเพลงจีน ๆ คำร้อง สไตล์เมียน้อย เมียเก็บ เช่นเพลง \"ทางใหม่\" ของ \"นิตยา บุญสูงเนิน\" แต่ดูโดยรวมลักษณะ ก็ไม่ใช่เพลงลูกทุ่ง และไม่ใช่เพลงสตริงวัยรุ่น และปี 2538-2542 เพลงลูกทุ่ง เริ่มมีการผสมผสานหลากหลายมากขึ้น จนสไตล์ แท้ ๆ แบบลูกทุ่งชาวบ้าน แทบเลือนหายไป", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "99657#0", "text": "เพลงลูกทุ่ง คือเพลงที่สะท้อนวิถีชีวิต สภาพสังคมอุดมคติและวัฒนธรรมไทย โดยมีท่วงทำนอง คำร้อง สำเนียง และลีลาการร้องการบรรเลงที่เป็นแบบแผน มีลักษณะเฉพาะซึ่งให้บรรยากาศ ความเป็นลูกทุ่ง", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "99657#65", "text": "ในปี 2532 สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้จัดงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทย ครั้งแรก ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นช่วงที่วงการเพลงลูกทุ่งเริ่มซบเซา ซึ่งปรากฏว่ามีบรรดานักฟังเพลงลูกทุ่งมาชมกันมากเป็นประวัติการณ์จนต้องจัดให้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และในปีถัด ๆ ไปสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ก็ได้สนับสนุนเพลงลูกทุ่งไทยมาโดยตลอด และได้จัด งานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2 ในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งในปีนี้ เพลง ส้มตำ ถือเป็นเพลงเกียรติยศ ที่นักร้องลูกทุ่งนำมาขับขานในโอกาสการจัดงาน กึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2 เพลงลูกทุ่งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ และได้อัญเชิญมาขับร้องด้วยการบันทึกเสียงโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์ และถูกอัญเชิญขับร้องใหม่โดย สุนารี ราชสีมา ในงานนี้ด้วย[35] และในปี พ.ศ. 2534 ได้จัดโครงการจัดทำโครงการส่งเสริมเพลงลูกทุ่งไทยด้วยการประกวดขับร้องเพลงลูกทุ่งไทย สืบสานคุณค่าวัฒนธรรมไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 จัดให้มีการประกาศผลงานเพลงลูกทุ่งดีเด่นส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และ ในวันที 15 กันยายน พ.ศ. 2542 นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ในขณะนั้น ได้จัดงาน 60 ปีเล่าขานตำนานลูกทุ่งไทยขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย[36]", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "99304#52", "text": "ปี พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ \"ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์\" ที่นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่สมบูรณ์ และโด่งดังมากในสมัยนั้น ร่วมเพลงลูกทุ่งถึง 14 เพลง เช่น เพลง มนต์รักลูกทุ่ง, รักร้าวน้องช้ำ, แม่ร้อยใจ, สิบหมื่น โดยมีนักร้องลูกทุ่งร่วมแสดงหลายคนด้วยกัน อาทิ ไพรวัลย์ ลูกเพชร, บรรจบ เจริญพร, ศรีไพร ใจพระ และบุปผา สายชล และพรไพร เพชรดำเนิน[50] ภาพยนตร์ทำรายได้ 6 ล้านกว่าบาทในสมัยนั้น และยังยืนโรงฉายได้นานกว่า 6 เดือน[51]", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "48318#8", "text": "ท่ารำเป็นแบบผสม ละครแบบนี้มักจะแสดงเป็นเรื่องของต่างภาษา เช่น พม่า ลาว แขก จีน ท่ารำก็เป็นท่ารำของชาตินั้น ๆ ผสมกับท่ารำของไทย เพลงร้อง เพลงดนตรีก็ผสมตามภาษานั้นๆอาจเป็นเพลงภาษานั้นแท้ๆ หรือที่ไทยแต่งให้เป็นสำเนียงภาษานั้น ๆ และอาจมีเพลงไทยแท้ ๆ ผสมด้วยก็ได้ เครื่องแต่งตัว เป็นไปตามภาของเรื่องที่แสดงนั้น เช่น พม่าก็แต่งเป็นพม่า ลาวก็แต่งเป็นลาว และจีนก็แต่งเป็นจีนดนตรี ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม", "title": "ละคร" }, { "docid": "190373#6", "text": "ที่นี่ สุนารี ที่ใช้ชื่อว่า ทับทิม นิยมทอง ได้บันทึกแผ่นเสียงเพลงแรกชื่อ ลาโคราชแก้กับเพลง \" น้ำตาหล่นที่โคราช \" จากนั้นก็มีผลงานชุดที่ 2 ตามมาอีกชื่อ กลับโคราชแต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองชุด ทำให้เธอรู้สึกท้อถอยอย่างมาก แต่ก็ได้กำลังใจจากหลายคน จากนั้นเธอก็มาอยู่ในสังกัดของชัวร์ออดิโอ โดยกลับมาใช้ชื่อ สุนารี ราชสีมา เหมือนตอนประกวด และก็มีผลงานตามมาอีกหลายชุด แต่ก็ไม่ดัง เพราะบริษัทมุ่งโปรโมท แต่เพลงเร็วๆ เพลงสำหรับเต้นสไตล์พุ่มพวง ทำให้เสียงตอบรับไม่ดีนัก แต่พอมาถึง\nชุดน้ำตาลเปรี้ยวชุดหวาน เสียงตอบรับในเพลง กลับไปถามเมียดูก่อนซึ่งเป็นเพลงช้าๆกลับดีมาก บริษัทจึงเริ่มหันมาโปรโมทเพลงช้า และทำให้เพลงช้าที่ร้องไว้ในยุคก่อนๆ กลับมาดังด้วย อย่างเช่นเพลง กราบเท้าย่าโม นั้นก็บันทึกเสียงไปในชุดก่อน ก็กลับมาดังที่หลัง\nและนับตั้งแต่นั้นมา สุนารี ราชสีมา ก็เป็นชื่อที่คนไทยคุ้นหูและเมื่อถึงเวลานั้น สุนารี ราชสีมา ก็โด่งดังระเบิดระเบ้อทั่วฟ้าเมืองไทยไปเสียแล้ว และปัจจุบัน ก็ขึ้นมาเป็นราชินีลูกทุ่งคนที่ 3 ของเมืองไทยอีกคนต่อจาก ผ่องศรี วรนุช และพุ่มพวง ดวงจันทร์ ถ้าเราจะจัดตำแหน่งราชินีลูกทุ่งขึ้นอีกสักตำแหน่ง สุนารี ราชสีมา เข้าสู่วงการในยุคคาบเกี่ยวของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ของลูกทุ่ง และการที่ธุรกิจลูกทุ่งก้าวเข้าสู่วงการโทรทัศน์ เรื่องนี้จึงมีผลเสียต่อเธอเป็นอย่างมาก เพราะการที่สุนารีมีเสียงแบบทันสมัย ไม่ใช่เสียงแบบนักร้องรุ่นเก่าพิมพ์นิยมอย่างผ่องศรี วรนุช ทำให้เธอพ่ายแพ้ในการประกวดร้องเพลงครั้งสำคัญในชีวิต และไม่ได้รับการผลักดันเข้าสู่วงการตามที่คาดหวังไว้ และการที่เธอไม่สวย รูปร่างไม่ดี ก็ทำให้นายทุนเกือบไม่กล้าลงทุนในยุคที่นักร้องลูกทุ่งต้องออกสื่อโทรทัศน์จึงจะเร่งยอดขายเทปได้", "title": "สุนารี ราชสีมา" }, { "docid": "473299#1", "text": "รำวงมาตรฐาน ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด ๑๐ เพลง กรมศิลปากรแต่งเนื้อร้องจำนวน ๔ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม แต่งเนื้อร้องเพิ่มอีก ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงบูชานักรบ เพลงยอดชายใจหาญ ส่วนทำนองเพลงทั้ง ๑๐ เพลง กรมศิลปากร และกรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้แต่ง\nจากการสัมภาษณ์นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ สาชาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ อธิบายว่า ท่ารำเพลงรำวงมาตรฐานประดิษฐ์ท่ารำโดย นางลมุล ยมะคุปต์ นางมัลลี คงประภัศร์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป์ ส่วนผู้คิดประดิษฐ์จังหวะเท้าของเพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ คือนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสังคีตศิลป ปัจจุบันคือ วิทยาลัยนาฏศิลป ปีพ.ศ. ๒๔๘๕ – ๒๔๘๖ เมื่อปรับปรุงแบบแผนการเล่นรำโทนให้มีมาตรฐาน และมีความเหมาะสม จึงมีการเปลี่ยนแปลงชื่อจากรำโทนเป็น “รำวงมาตรฐาน” อันมีลักษณะการแสดงที่เป็นการรำร่วมกันระหว่างหญิง-ชายเป็นคู่ ๆ เคลื่อนย้ายเวียนไปเป็นวงกลม มีเพลงร้องที่แต่งทำนองขึ้นใหม่ มีการใช้ทั้งวงปี่พาทย์บรรเลงเพลงประกอบ และบางเพลงก็ใช้วงดนตรีสากลบรรเลงเพลงประกอบ ซึ่งเพลงร้องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้ง ๑๐ เพลง", "title": "รำวงมาตรฐาน" }, { "docid": "421122#1", "text": "ตุ้ม จ่านกร้อง มีชื่อจริงคือ พิชิตชัย ศรีเครือ เขาเป็นผู้ที่ชื่นชอบการร้องเพลงตั้งแต่เยาว์วัย โดยมีเพลงของ ยอดรัก สลักใจ เป็นแนวทางในการฝึกขับร้อง ต่อมา เขาได้มีโอกาสร่วมเข้าประกวดในรายการชิงช้าสวรรค์ โดยการนำทีมโรงเรียนจ่านกร้องรับชัยชนะถึงสองปีซ้อน จากนั้น เขาจึงได้รับการทาบทามจากค่ายชัวร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์ในเวลาต่อมา โดยได้ออกอัลบั้มชุด พระเอกหน้าใหม่ในใจเธอ ซึ่งเขายังได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดนิยมรางวัลสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์อะวอร์ด 2009 อีกด้วย และในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2552 เขายังได้รับรางวัลเพชรในเพลง จากเพลง รอเป็นคนใช่ของเธอ โดยได้รับรางวัลชมเชย ปัจจุบัน ตุ้ม จ่านกร้อง ได้ปรับรูปแบบการร้องโดยให้อยู่ในแนวดนตรีที่มีจังหวะเร็วขึ้นระดับหนึ่ง รวมถึงทำการปรับระดับการเอื้อนเพื่อให้ผู้ฟังสามารถรับฟังได้ง่ายขึ้น ตุ้ม จ่านกร้อง ยังเป็นผู้สร้างแรงดลบันดาลใจให้กับเยาวชนในการประกวดดนตรีหลายราย ตลอดจนเป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งที่ได้รับการตอบรับในเกณฑ์ที่ดีมาก", "title": "ตุ้ม จ่านกร้อง" }, { "docid": "227195#8", "text": "การพิชิตของแองโกล-นอร์มันในคริสต์ศตวรรษที่ 12 นำมาซึ่งประเพณีและวัฒนธรรมที่เผยแพร่ไปยังไอร์แลนด์ คาโรลซึ่งเป็นการร้องรำทำเพลงของนอร์มันโดยมีผู้ร้องนำล้อมรอบด้วยผู้เต้นรำที่ร้องโต้ด้วยเพลงเดียวกัน การการร้องรำทำเพลงของนอร์มันนี้ก็ทำไปทุกเมืองที่นอร์มันได้รับชัยชนะในไอร์แลนด์", "title": "อังกฤษสมัยแองโกล-นอร์มัน" }, { "docid": "101407#2", "text": "สุริยัน ส่องแสง มีนิสัยชอบการร้องรำทำเพลงผิดพี่ผิดน้อง ชอบที่จะแสดงความสามารถในการร้องเพลงลูกทุ่งตามเวทีประกวดร้องเพลงต่างๆในเขตใกล้เคียง หลังจากที่เจนจัดกับการประกวดตามเวทีประกวดจนหมดเวทีให้ประกวด เขาก็หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักร้องตามห้องอาหาร โดยใช้ชื่อว่าชิน ชัยนาท เริ่มจากห้องอาหาร สภารส ที่ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ก่อนที่จะย้ายไปเรื่อย ตามที่เขาเห็นว่าให้ความก้าวหน้าในอาชีพได้มากกว่า จากนครสวรรค์ เขาย้ายไปร้องที่ จ.นครราชสีมา ,จ.อุดรธานี ,จ.นครพนม ,จ.สุรินทร์ ก่อนที่จะมาจบลงที่ จ.จันทบุรี ", "title": "สุริยัน ส่องแสง" }, { "docid": "884146#1", "text": "วลีรัตน์ สีนวลจันทร์ หรือ ครีม อาร์สยาม เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นนักร้องแนวเพลงลูกทุ่ง สังกัดค่าย อาร์ สยามสาวน้อยร่างเล็กแต่พลังเสียงสุดยอด เธอก้าวมาจากโครงการประกวดดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ ผ่านเวทีประกวดร้องเพลงมาหลากหลายเวทีและแต่ละเวทีก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาแล้วทั้งนั้น นอกจากเป็นนักร้องประกวดแล้วเธอยังเป็นนางเอกลิเกประจำคณะของคุณพ่อเธอด้วย ทำให้เธอมีประสบการณ์ได้ฝึกฝนการร้องเพลงหน้าเวทีอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดความพยายาม ความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอก็ทำให้เธอได้เป็นนักร้องอย่างที่ใฝ่ฝันได้มีโอกาสทำงานเพลงร่วมกับเพื่อนๆในอัลบั้ม “หัวใจไต่ฝัน” เธอนั้นมีแก้วเสียงที่ดี สามารถร้องเพลงแนวลูกทุ่งแท้ๆ ใครที่ได้ฟังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียงเธอหวานไพเราะสุดๆ ผลงานเพลงที่ผ่านมาจะเป็นเพลงช้า ฟังซึ้งๆ อย่างเพลง “สองรุมหนึ่ง” ซึ่งเพลงนี้เองทำให้เธอได้รับรางวัล นักร้องลูกทุ่งหญิงยอดเยี่ยม จาก คมชัดลึกอะวอร์ดส ครั้งที่ 9 ปี 2555 กลับมาครั้งนี้เธอขอแบบสนุกๆ มันส์ ๆ ให้แฟนๆ ได้ขยับแข้งขยับขากันบ้างกับเพลง “ปล่อยเลยตามเลย” เพลงใหม่ในสไตล์ของเธอลูกทุ่งแท้ๆ", "title": "วลีรัตน์ สีนวลจันทร์" }, { "docid": "149190#3", "text": "ชินกรเป็นนักร้องลูกทุ่งที่ประยุกต์เพลงพื้นบ้านมาผสมผสานกับการแสดงดนตรีลูกทุ่งพื้นบ้าน ในหลายลักษณะ ทั้งลำตัด เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเรือ เพลงอีแซว และต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้องเพลงลูกทุ่ง) ประจำปีพุทธศักราช 2541ชินกร ไกรลาศ ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 และได้รักษาอาการอย่างต่อเนื่อง โดยการตัดลำไส้ออก และทำการรักษาด้วยคีโม จนเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ชินกรได้มีอาการอาเจียน คลื่นไส้ เดินไม่ได้ ครอบครัวนำตัวส่งโรงพยาบาลศิริราช ต่อมา เวลา 10.40 น ของวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ชินกรก็เสียชีวิตลงด้วยอาการติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง ซึ่งสันนิษฐานว่า มาจากเชื้อมะเร็งที่ได้รักษาไปจนหายแล้ว", "title": "ชินกร ไกรลาศ" }, { "docid": "255743#25", "text": "เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการเพลงลูกทุ่งด้วย เพราะเริ่มผสมดนตรีแบบไทยสากลในเพลงลูกทุ่งเล็กน้อย โดยก่อนหน้านั้นลูกทุ่งมีแบบแผนรูปแบบเครื่องดนตรีชัดเจน \nผู้นิยมเพลงสตริง รับได้เป็นปกติ ส่วนผู้นิยมเพลงลูกทุ่งเอง ช่วงแรกยังมีความเห็นขัดแย้ง แต่เมื่อเผยแพร่สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มเป็นที่นิยม และยอมรับในที่สุด \nและในภายหลัง แนวเพลงลูกทุ่งประยุกต์นี้ กลายเป็นกระแสความนิยมที่พบได้มาก ในผลงานของศิลปินรุ่นต่อมา ทั้งค่ายเพลงนี้และค่ายเพลงอื่น ในลักษณะที่ค่อย ๆ ผสมความเป็นไทยสากลมากขึ้นไปอีก ", "title": "จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ" }, { "docid": "577534#2", "text": "นิ้วก้อย กรรณิการ์ มีชื่อและนามสกุลจริงว่า กรรณิการ์ แสนทวีสุข เกิดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ที่บ้านนาราชควาย อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม กรรณิการ์มีนิสัยรักการร้องเพลง การร่ายรำมาตั้งแต่เด็ก ผ่านเวทีการประกวดร้องเพลงแถบหัวเมืองลุ่มน้ำโขง จนเป็นที่รู้จัก อ.อ้วน อวบอั๋น (ตฤน ศุภโชคอุดมชัย) เห็นแววนำมาฟูมฟักและตั้งให้เป็น นิ้วก้อย กรรณิการ์ อ.เสน สิบแสน เขียนเพลง มื้อใด๋สิมา ให้ลองบันทึกเสียง ครูสลา คุณวุฒิประทับใจเมื่อได้ฟัง จึงถูกวางให้เป็นน้องใหม่ไต่ดาวอีกคน\nอัลบั้มพิเศษ รวมใจทุกคู่ แด่...ครูสลา ชุด ขอบคุณฟ้าที่ให้เจอ ขอบคุณเธอที่ให้ใจ เป็นอัลบั้มที่นำบทเพลงจากปลายปากกาของ ครูสลา คุณวุฒิ มาขับร้องใหม่โดย 23 ศิลปิน มาร่วมถ่ายทอด 11 บทเพลงเพลงที่คนบอกว่าใช่ ซึ่งเป็นบทเพลงที่เคยโด่งดังในแบบฉบับศิลปินเดี่ยว กลับมาสร้างใหม่ ให้ร้องตามกันได้เป็นคู่ พร้อม 1 บทเพลงขึ้นมาใหม่ อีกหนึ่งบทเพลงคือ เพลง ขอบคุณเธอที่ให้ใจอัลบั้มพิเศษ เส้นทางสายคิดฮอด เป็นการรวม 10 ศิลปินจากแผ่นดินอีสาน และอัลบั้มนี้เป็นละครเพลงครั้งแรกของวงการลูกทุ่ง ได้ ครูสลา คุณวุฒิ เป็นผู้กำกับและดูแล นำโดย ต่าย อรทัย,ไผ่ พงศธร,มนต์แคน แก่นคูน,ข้าวทิพย์ ธิดาดิน,เอิ้นขวัญ วรัญญา,ศร สินชัย,เสถียร ทำมือ,มด อุบลมณี,ก้านตอง ทุ่งเงิน และ นิ้วก้อย กรรณิการ์", "title": "นิ้วก้อย กรรณิการ์" }, { "docid": "99657#40", "text": "การร้องเพลงลูกทุ่งบางเพลงยังใช้คำร้องและศัพท์สำนวนที่เป็นของท้องถิ่น เช่น สำเนียงสุพรรณบุรี และสำเนียงถิ่นภาคต่าง ๆ อย่าง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสานอีกด้วย การขับร้องด้วยสำเนียงถิ่นต่าง ๆ นี้เป็นลักษณะเฉพาะของเพลงลูกทุ่ง เมื่อเทียบกับเพลงลูกกรุง กล่าวคือนักร้องเพลงลูกกรุงจะออกเสียงให้ตรงตามวรรณยุกต์ของภาษามาตรฐาน ส่วนนักร้องเพลงลูกทุ่งมักออกเสียงเพี้ยนไปจากเสียงวรรณยุกต์ของภาษามาตรฐาน และนักร้องบางคนยังมีสำเนียงที่ติดมากับตัว มีทั้งเจตนาที่จะเพี้ยนเสียงเพื่อสร้างความรู้สึกให้เป็นชนบทถิ่นนั้น ๆ ตามที่ต้องการ นักร้องเพลงลูกทุ่งที่มีการร้องแบบเพี้ยนสำเนียง เช่น ชาย เมืองสิงห์ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ ศรคีรี ศรีประจวบ ศรเพชร ศรสุพรรณ สายัณห์ สัญญา จีระพันธ์ วีระพงษ์ ฯลฯ เป็นต้น", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "99657#59", "text": "ส่วนภาพยนตร์ไทย ก็มีการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อกับเพลงลูกทุ่งอย่างภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ ในปี 2544 กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง[28] และในปี 2545 สหมงคลฟิล์มมีภาพยนตร์ที่รวมนักร้องลูกทุ่งชั้นนำของเมืองไทยร่วม 168 ชีวิต ในภาพยนตร์เรื่อง มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม.[29] และด้วยกระแสความโด่งดังของวงโปงลางสะออน กลุ่มศิลปินแนวลูกทุ่งดนตรีอีสาน มีผลงานภาพยนตร์อย่าง โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า ในปี 2550 ทำรายได้รวม 75 ล้านบาท[30]", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "76159#2", "text": "ระหว่างที่ทำงานร้องเพลงอยู่ที่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีแมวมองมาพบเขา จึงชักชวนมาเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียง โดยหนึ่งในแมวมองที่ว่านั้นก็คือไพฑูรย์ ขันทอง หรือ ดาร์กี้ ขี้เมา ตลก และครูเพลงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเจ้าของผลงานประพันธ์เพลง \" รักน้องเมีย \" , \"ชวนน้องแต่งงาน\"ของ ยอดรัก สลักใจ และ\" มีเมียเด็ก\" ของพรศักดิ์ ส่องแสง ผลงานชุดแรกในชีวิตการเป็นนักร้องอาชีพของสมมาส ราชสีมา คือ \" จดหมายจากลูก \" และ ผลงานสร้างชื่อ ที่จุดประกายความดังของเขาก็คือเพลง \"จดหมายจากลูก\" และ \" จำใจชั่ว\" ซึ่งเป็นเพลงแรกที่เขาบันทึกเสียง\nสมมาส ราชสีมา เป็นนักร้องลูกทุ่งชายที่มีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ เขาอยู่ในวงการเพลงมาหลายปี และผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาโด่งดังมาจากเพลง \" จำใจชั่ว \" สมมาส ราชสีมา ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับ สุนารี ราชสีมานักร้องลูกทุ่งหญิงชื่อดังแห่งวงการลูกทุ่งไทยแต่อย่างใด", "title": "สมมาส ราชสีมา" }, { "docid": "99657#1", "text": "ขุนวิจิตรมาตราบันทึกไว้ในหนังสือเรื่องของละครและเพลง ว่าเพลงลูกทุ่งเป็นวงดนตรีแบบสากลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปีหรือสองปี ลักษณะเพลงลูกทุ่งในระยะเริ่มแรก มาจากการร้องรำทำเพลงของไทยดั้งเดิม อาทิ แหล่เทศน์ สวดคฤหัสถ์ จำอวด ลิเก (ทรงเครื่อง) ลิเกลูกบท (ไม่แต่งเครื่อง) ลิเกบันตน ลำตัด เพลงขอทาน เพลงพื้นเมืองบางเพลง ฯลฯ โดยเพลงลูกทุ่งนำมาดัดแปลงแล้วใส่ดนตรีแบบสากล เป็นลักษณะเพลงแบบใหม่[1]", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "99657#35", "text": "การโห่ เป็นลักษณะอีกประการหนึ่งที่พบได้บ่อยครั้ง มีสองลักษณะคือ การโห่แบบไทยและการโห่แบบตะวันตก การโห่แบบไทยปรากฏในเพลงที่มีเนื้อหากล่าวถึงการบวชนาค การแห่ขันหมาก คือเป็นการโห่ประกอบขบวน จะร้องว่า “โห่……. (ฮิ้ว) ” และอาจพบในเพลงที่เอ่ยถึงการแห่วงดนตรีด้วย เช่น รุ่งเพชร แหลมสิงห์ ร้องโห่ในเพลง \"ยกพลรุ่งเพชร\"", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "331944#0", "text": "มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2545 ผลงานร่วมสร้างของ สหมงคลฟิล์ม และ ลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. และเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของบัณฑิต ทองดี โดยเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์ของวงการเพลงลูกทุ่ง และภาพยนตร์ไทย ที่รวบรวมไว้มากที่สุด ตั้งแต่นักร้อง นักแต่งเพลง นักจัดรายการลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม. รวมถึงบุคคลที่อยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งไทย กว่า 200 ชีวิต มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน และบทเพลงทั้งที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้นและที่เคยได้รับความนิยมก่อนหน้านั้น กว่า 30 เพลง มาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมทั้งบทเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นโดยเฉพาะอีก 1 เพลง ", "title": "มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม." }, { "docid": "37191#0", "text": "โจนัส แอนเดอร์สัน () เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2515 ที่ประเทศสวีเดน แต่มาเติบโตในเมืองไทย เรียนรู้ภาษาไทย และซาบซึ้งความเป็นไทย โดยเฉพาะหลงรักในเพลงไทย โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง จนกลายเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เข้าวงการเพลงลูกทุ่งเมื่อปี พ.ศ. 2543 อัลบั้มแรก \"ผมชื่อโจนัส แอนเดอร์สัน\" \nและมีผลงานเพลงลูกทุ่งอีกมากมาย ได้รับชื่อเสียงและรางวัล ในฐานะฝรั่งใจลูกทุ่ง ที่ร้องภาษาไทยได้อย่างชัดเจน จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ", "title": "โจนัส แอนเดอร์สัน" }, { "docid": "327650#3", "text": "หลังจากหมดสัญญากับต้นสังกัดเดิม ได้รับการสนับสนุนจากครูสลา คุณวุฒิ ย้ายมาเป็นนักร้องสังกัดแกรมมี่โกลด์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จนกระทั่งได้รับรางวัลเพลงลูกทุ่งยอดนิยมจากเวทีมาลัยทอง, รางวัลนักร้องลูกทุ่งชายยอดนิยม รางวัลเพลงลูกทุ่งยอดนิยมจากเวที Star Entertainment Awards 2006 และรางวัลนักร้องลูกทุ่งชายยอดนิยมกับรางวัลเพลงลูกทุ่งยอดนิยมจากเวที รางวัลมหานครอวอร์ดส ครั้งที่ 3เป็นการนำบทเพลงที่โด่งดังและสร้างชื่อเสียงให้กับ พี สะเดิด มาทำดนตรีใหม่ ร้องใหม่ แบบสบาย สบาย และถ่ายทำมิวสิกวิดีโอใหม่เป็นการนำบทเพลงจังหวะสนุกที่โด่งดังในอดีต มาขับขานใหม่ในแบบฉบับ พี สะเดิดเป็นการนำเพลงลูกทุ่งอมตะจังหวะสนุกที่โด่งดังในอดีต มาขับขานใหม่ในรูปแบบเมดเลย์นอนสต็อป ในแบบฉบับ พี สะเดิด", "title": "พี สะเดิด" }, { "docid": "326615#0", "text": "วาเลนไทน์ หรือ วาเลนไทน์ มิวสิก เป็นวงดนตรีสตริงลูกทุ่งระดับภูธรของไทย ก่อตั้งโดย สวัสดิ์ สังข์ทอง อดีตนักดนตรีไทยเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยระยะแรกตั้งเป็นวงดนตรีชาโดว์เล่นเพลงสากลกับเพลงไทยสากล รับงานทั่วไปตามว่าจ้างโดยเฉพาะตามงานวัดต่างๆ ต่อมาจึงเล่นเพลงทุกแนวตามกระแสนิยม จนเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่คนจัดงานภูธรและคนทั่วไป โดยบริษัทชื่อดัง อีวีเอส และ ท็อปไลน์ ไดมอนด์ ได้มีการผลิตเทปบันทึกการแสดงสดออกจำหน่าย ลักษณะการแสดงของวงใช้การเล่นดนตรีแบบ \"ทับไลน์\" มีแดนเซอร์ โคโยตี้ และนักร้องบนเวทีซึ่งสามารถร้องเพลง เต้นรำ และเล่นตลกได้อย่างครบเครื่อง ", "title": "วาเลนไทน์ (วงดนตรีไทย)" }, { "docid": "99657#13", "text": "เมื่อปลายปี พ.ศ. 2507 เพลงลูกทุ่งเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นนับตั้งแต่ ประกอบ ไชยพิพัฒน์ นักจัดรายการเพลงทางสถานีไทยโทรทัศน์ได้ตั้งชื่อรายการว่า “เพลงลูกทุ่ง” และต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 มีการจัดงานแผ่นเสียงทองคำพระราชทานในครั้งที่สอง ได้มีการพิจารณาการมอบรางวัลเพลงลูกทุ่งเพิ่ม โดยได้กำหนดความหมายของเพลงประกวดประเภท ค. (ลูกทุ่งหรือพื้นเมือง) ไว้ว่า คือ \"เพลงที่มีลีลาการบรรเลงตลอดจนเนื้อร้อง ทำนองเพลงและการขับร้องไปในแนวเพลงพื้น จะเป็นทำนองเพลงผสมหรือดัดแปลงมาจากทำนองเพลงไทยภาคต่าง ๆ ซึ่งเรียกเพลงประเภทนี้ว่า “ลูกทุ่ง” \"[8] ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการมอบรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานในฐานะนักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม โดย สมยศ ทัศนพันธ์ ได้รับรางวัลจากเพลง “ช่อทิพย์รวงทอง”[9]", "title": "เพลงลูกทุ่ง" }, { "docid": "473299#0", "text": "รำวงมาตรฐาน เป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก รำโทน เป็นการรำและร้องของชาวบ้าน ซึ่งจะมีผู้รำทั้งชาย และหญิง รำกันเป็นคู่ ๆ รอบ ครกตำข้าวที่วางคว่ำไว้ หรือไม่ก็รำกันเป็นวงกลม โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ ลักษณะการรำ และร้องเป็นไปตามความถนัด ไม่มีแบบแผนกำหนดไว้ คงเป็นการรำ และร้องง่าย ๆ มุ่งเน้นที่ความสนุกสนานรื่นเริงเป็นสำคัญ เช่น เพลงช่อมาลี เพลงยวนยาเหล เพลงหล่อจริงนะดารา เพลงตามองตา เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ฯลฯ ด้วยเหตุที่การรำชนิดนี้มีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ จึงเรียกการแสดงชุดนี้ว่า รำโทน \nต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการละเล่นรื่นเริงประจำชาติ และเห็นว่าคนไทยนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ถ้าปรับปรุงการเล่นรำโทนให้เป็นระเบียบทั้งเพลงร้องลีลาท่ารำ และการแต่งกาย จะทำให้การเล่นรำโทนเป็นที่น่านิยมมากยิ่งขึ้น จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรุงรำโทนเสียใหม่ให้เป็นมาตรฐาน มีการแต่งเนื้อร้อง ทำนองเพลงและนำท่ารำจากแม่บทมากำหนดเป็นท่ารำเฉพาะแต่ละเพลงอย่างเป็นแบบแผน", "title": "รำวงมาตรฐาน" } ]
316
วันเดอร์เกิลส์ เป็นวงหญิงล้วนใช่ไหม ?
[ { "docid": "519234#0", "text": "อัน โซ-ฮี (; 27 มิถุนายน พ.ศ. 2535 – ) หรือชื่อในการแสดงว่า โซฮี (Sohee) เป็นไอดอล นักร้อง นักแสดง นักเต้น นางแบบ และพิธีกรชาวเกาหลีใต้ มีชื่อจากการเป็นสมาชิกวงดนตรีหญิงล้วนวันเดอร์เกิลส์ของค่ายเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์", "title": "โซฮี" } ]
[ { "docid": "800757#2", "text": "ในปีพ.ศ. 2544 วงพาวเวอร์แพทได้ออกอัลบั้มชุดที่สองติดต่อกันมา คืออัลบั้ม \"POWER POP\" กับสังกัดUp^G ในเครือGMM Grammy เปิดตัวด้วยเพลง \"หลุดปากใช่ไหม\"", "title": "วรยศ บุญทองนุ่ม" }, { "docid": "577759#0", "text": "ต่อไปนี้รายชื่อผลงานเพลงของวง มิสเอ (miss A)วงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกาหลีใต้", "title": "รายชื่อผลงานเพลงของวงมิสเอ" }, { "docid": "228053#0", "text": "เอส.อี.เอส (; ) เป็นวงดนตรีเกาหลีใต้ที่มีสมาชิกวงเป็นหญิงล้วน มีสมาชิกทั้งสิ้น 3 คนคือ บาดา, ยูจีน และ ชู โดยถือว่าวงนี้เป็นวงดนตรีหญิงล้วนวงแรกที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเกาหลีโดยทางวงออกอัลบั้ม ทั้งสิ้น 7 อัลบั้มก่อนที่จะแยกวงไปในปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)", "title": "เอส.อี.เอส." }, { "docid": "207336#3", "text": "ก่อนที่จะเปิดตัวในนามวงทูพีเอ็ม เขาเคยเป็นแดนเซอร์ตัวแทนให้ท็อปแห่งวงบิ๊กแบงซึ่งต้องเต้นคู่กับยูบินแห่งวงวันเดอร์เกิลส์ เพราะท็อปเป็นลมก่อนการโชว์ชุดพิเศษในงาน 2007 MBC Music Awards", "title": "ชัง อู-ย็อง" }, { "docid": "775049#0", "text": "แองจี้ส์ (อังกฤษ: Angies) วงดนตรีเกิร์ลกรุปหญิงล้วนชาวไทย ที่มีผลงานกับค่าย Polygram โด่งดังจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และเป็นที่ฮือฮาเพราะกระแสที่วงแองจี้ส์ก๊อปลุค Spice Girls กลุ่มศิลปินหญิงจากอังกฤษ", "title": "แองจี้ส์ (วงดนตรี)" }, { "docid": "545995#0", "text": "ที-สเกิ๊ต () มาร์, จอย, กิ๊ฟ วงดนตรีหญิงล้วนจากคีตา เรคคอร์ดส หรือ คีตา เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ เริ่มมีผลงานเพลงในปี พ.ศ. 2538 ออกอัลบั้มเพียงสองชุด เป็นที่รู้จักอย่างมากกับเพลง ไม่เท่าไหร่, เจ็บแทนได้ไหม, ฟ้องท่านเปา, เรื่องมันเศร้า, ปวดร้าว เป็นต้น", "title": "ที-สเกิ๊ต" }, { "docid": "186107#0", "text": "โชโจไต () ; () เป็นวงดนตรีป็อบทริโอหญิงล้วน จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียงสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น และประเทศแถบเอเชียในช่วง ค.ศ. 1984 ถึง ค.ศ. 1989 ควบคู่ไปกับวงชายล้วน ชื่อ โชเนนไต (Shonentai) () ที่โด่งดังในช่วงเวลาเดียวกัน", "title": "โชโจไต" }, { "docid": "120992#50", "text": "ด้วยความหลงใหลในดนตรีของราโมนส์ และในโอกาสครบรอบ 30 ปีของวง วงโชเนน ไนฟ์ วงสามหญิงล้วนจากโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1981 ได้ร่วมจัดทำอัลบั้ม \"Osaka Ramones\" ซึ่งเป็นการโคเวอร์เพลงทั้งหมด 13 เพลงโดยวง", "title": "ราโมนส์" }, { "docid": "120858#0", "text": "วีนัส บัตเตอร์ฟลาย (Venus Butterfly) กลุ่มศิลปินหญิงล้วนซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 คน คือ โหน่ง, เหน่ง, เคธี่, ตาล และอ๋อม Venus Butterfly คือชื่อวงดนตรีหญิงล้วนที่เล่นเพลงร็อก มีจุดกำเนิดเมื่อแปดปีก่อน เมื่อ 'โหน่ง – พิมพ์ลักษณ์ กมลเพชร' ได้รับเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงในงานการกุศลที่มหาวิทยาลัยซึ่งเธอศึกษาอยู่จัดขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากขึ้นไปครวญเพลงคลอดนตรีตามลำพัง เธอจึงเอ่ยปากชวน 'เคที่ – คทรีนา กลอส' เพื่อนสนิทให้ขึ้นไปแจมด้วยกัน และความรู้สึกสนุกก็ลากไกลไปถึงระดับที่ต้องการจะฟอร์มวงดนตรีหญิงล้วนขึ้นไปแสดงบนเวทีเลยทีเดียว", "title": "วีนัส บัตเตอร์ฟลาย" }, { "docid": "56175#1", "text": "หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวไว้ใน งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย ว่า \"\"ที่เรียกว่าชาวไทเหนือนั้นไม่มีอะไรที่แตกต่างกับไทพวกอื่นมากนัก แต่พวกนี้ชอบอยู่สูงมากกว่าไทพวกอื่น และเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ หญิงไทเหนือชอบใส่เสื้อเพียงรัดอก และเสื้อสั้น แต่ก็ไม่ใช่ของคุณภาพเลว อาจเป็นไหมหรือแพรก็ได้ ผู้หญิงทำงานเลี้ยงไหมและทอผ้า ย้อมผ้ามาก และรู้จักให้สีกลมกลืนกันดี พวกนี้นับถือพระพุทธศาสนาแต่มีวัดและพระน้อยเต็มที เป็นพวกอ่อนโยนแต่ไม่ชอบการค้า ชอบแต่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ข้อเสียของไทพวกนี้คือติดฝิ่นมาก เพราะได้ตัวอย่างมาจากพวกแม้วและเย้า ซึ่งใกล้ชิดกันเสมอ\"\"", "title": "ไทเหนือ" }, { "docid": "522881#0", "text": "ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผลงานเพลงของวันเดอร์เกิลส์ (Wonder Girls) วงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกาหลีใต้", "title": "รายชื่อผลงานเพลงของวันเดอร์เกิลส์" }, { "docid": "292239#4", "text": "พ.ศ. 2543 ซาซ่าได้มีผลงานเพลงอัลบั้มชุดที่สอง คือ ซาซ่า ซีทู (Zaza Z2) ซึ่งเปิดตัวมาด้วยเพลงสนุกสนานอย่าง โอ๊ย...เข้าทาง ที่ดูโตขึ้นมาจากอัลบั้มแรก ในอัลบั้มนี้ มีเพลงที่ฮิตที่สุดของวงซาซ่านั่นก็คือเพลง เลือกได้ไหม โดยแก้วเป็นผู้ร้องนำ และยังมีพิมแสดงเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโออีกด้วย นอกจากนี้ อัลบั้มนี้ยังมีเพลงฮิตหลายเพลง ทั้งเพลง ข้อสอบ โดยน้ำหวาน, เข้าใจใช่ไหม โดยพิม และอย่าวัดด้วยสายตา โดยแก้ว", "title": "ซาซ่า" }, { "docid": "578043#0", "text": "ต่อไปนี้เป็นผลงานของวง Girl's Day(เกิร์ลเดย์)เป็นวงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกหลีใต้", "title": "รายชื่อผลงานเพลงของวงเกิร์ลเดย์" }, { "docid": "577536#0", "text": "ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผลงานเพลงของ เอพิงก์ (A Pink) วงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกาหลีใต้", "title": "รายชื่อผลงานเพลงของวงเอพิงก์" }, { "docid": "483116#1", "text": "ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 บับเบิ้ล เกิร์ลส์ ได้ร่วมกับเกิร์ลกรุ๊ปวงจากค่ายเดียวกัน คือวง ซาซ่า ออกอัลบั้ม Surprise มีเพลงดังอย่าง Surprise และ อยู่ได้ไหม จนมาถึงอัลบั้มชุดที่สองอัลบั้ม \"Hey Boy!\" ก็มีเพลงดังอย่าง Hey Boy! , ไม่ต้องมาอีกใช่ไหม และเพลง หลีกทาง เป็นต้น", "title": "บับเบิ้ล เกิร์ลส์" }, { "docid": "730302#0", "text": "พ็อปพิวเลดี () เป็นวงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติไต้หวัน มีสมาชิกห้าคน ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 และสังกัดฮิมอินเตอร์เนชันนัลมิวสิก (HIM International Music) ชื่อวงย่อมาจาก \"popular lady\" แสดงถึงความประสงค์ของหญิงสาวกลุ่มนี้ที่จะแสวงหาชื่อเสียงลาภยศโดยใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือ", "title": "พ็อปพิวเลดี" }, { "docid": "176805#2", "text": "ในวงขับร้องประสานเสียงแบบสี่แนว SATB เสียงอัลโต ถือเป็นโทนเสียงสูงเป็นที่สองจากสี่ระดับ (ประกอบด้วย โซปราโน, (คอนทรา)อัลโต, เทเนอร์ และเบส) โดยโทนเสียงต่ำสุดของนักร้องหญิง บางครั้งเรียกว่า คอนทราลโต (contralto) มาจากการประสมคำว่า contra และ alto แต่หากเป็นวงขับร้องประสานเสียงแบบหญิงล้วน ซึ่งมักนิยมร้องแบบสองแนว SA หรือสามแนว SSA เสียงอัลโตจะเป็นเสียงนักร้องหญิงที่โทนเสียงต่ำที่สุดในวง", "title": "อัลโต" }, { "docid": "42308#1", "text": "อัลบั้ม \"3 7 21.5\" อัลบั้มเดียวของวง XL Step เป็นแนวฮิพฮอพ และ R&B มีวงผิวดำจากอเมริกามาร่วมแจมร้องแร็พด้วย ชื่อวง AOC คุณภาพของงานจัดว่าเข้าขั้น \"ดีมาก\" ทั้ง 10 เพลงถือว่าฟังได้หมด ถึงจะเป็นอัลบั้มเดียว แต่ขอบอกว่าโด่งดังไม่น้อยเลย เป็นอัลบั้มที่เพลงเร็วคึกคัก เพลงช้าก็สุดซึ้ง เพลงทั้งหมดแต่งโดยเชษฐา ยารสเอก และเอ ณัฐพงศ์ มงคลธรรม ใช้คอร์ดแปลกๆ นิดนึง แต่ฟังเข้าหูไม่เลว ไม่ว่าจะเป็น ชายในฝัน, แค่หนึ่งคืน, กุลสตรี, Shock, เคยรักฉันบ้างไหม, เหนื่อยใจ, ใช่...Angel, อย่าถามเลย, Honey (Tonights The Night) และ เพราะเธอมีฉัน ", "title": "เอ็กซ์แอลสเต็ป" }, { "docid": "38812#2", "text": "จากความมุ่งหมายที่ต้องการให้โรงเรียนดนตรีศศิลิยะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง วงคีตกวีจึงถือกำเนิด โดยมีเขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ และอัสนี โชติกุลเป็นผู้เขียนคำร้อง ในการนี้ เรวัติ พุทธินันทน์ อดีตสมาชิกของ The Impossible และ Oriental Funk ได้ก้าวเข้ามามีส่วนร่วม ภายใต้การอำนวยการผลิตโดยดนู ฮันตระกูล และได้ใช้ชื่อชุดว่า\"เรามาร้องเพลงกัน\" การรวมตัวกันในครั้งนั้น เป็นการนำเสนอ และแสดงออกทางด้านความนึกคิดต่าง ๆ ผ่านบทเพลง ไปจนถึงอุดมการณ์ของชีวิตทาง สังคม และปรัชญา แรงจูงใจแห่งความสำนึกของชุมชนโลกกว้างที่มุ่งไปทางสันติภาพในช่วงเวลาของสงครามเวียดนาม การเรียกร้อง แสวงหาสันติภาพ รวมไปถึงขบวนการฮิปปี้ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อดนตรีของพวกเค้า บทเพลงที่กลั่นกรองสู่สังคมจึงไม่ใช่แค่ความไพเราะ หรือโก้เก๋เท่านั้น ดนตรีที่ปั้นแต่งพร้อมกับอุดมการณ์จึงทำให้เนื้อหาค่อนข้างจะฟังยากอยู่หลายปี ดนู ฮันตระกูล ได้เริ่มก่อตั้งวงดนตรีไหมไทย เมื่อปี พ.ศ. 2530 ไหมไทยถือเป็นรูปแบบดนตรีเครื่องสาย 12 ชิ้น และพิณฝรั่ง ซึ่งเป็นวงดนตรีทีบรรเลงและขับร้องได้หวานซึ้ง นิ่มนวล ยึดถือธรรมชาติวัฒนธรรมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนของวง และในปีเดียวกัน 2530 ก็มีผลงานเพลงชุดแรก คือ ชีพจรลงเท้า และเขมรไทรโยกออกสู่สังคม ไหมไทยได้ร่วมงานกับ จรัล มโนเพ็ชร ออกเพลงชุด ลำนำแห่งขุนเขา โดยนำ เอาเพลงที่จรัล มโนเพชรแต่งมาร่วมร้องออกลักษณะพื้นเมืองเหนือ จนกระทั่งมาถึงงานเพลงชุด เงาไม้ ใน ปี 2532 ไหมไทย ได้เพิ่มนักร้องหญิงคือ สุภัทรา อินทรภักดี สร้างเพลงร้องและประสานเสียง คือเป็นมิติใหม่เต็มรูปแบบของไหมไทย ปัจจุบันวงไหมไทย ได้กลายเป็นวงแซมเบอร์ ออร์เคสตร้า ขนาดใช้ 32 คนใช้เครื่องดนตรีสากลบรรเลงตามแบบฉบับวงดนตรีชั้นนำทางประเทศตะวันตก วงไหมไทยได้สรรสร้างบทเพลงมากมายให้กับวงการเพลงบ้านเรา แต่อาจจะรับรู้กันไม่กว้างขวางนัก เนื่องจากมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และไม่ได้เขียนเพลงแบบอย่างที่นิยมตามตลาดไทยในขณะนี้", "title": "ดนู ฮันตระกูล" }, { "docid": "292239#1", "text": "โดยซาซ่า มีผลงานอัลบั้มเต็มถึง 5 ชุด ในระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ยังมีอัลบั้มที่ออกคู่กับศิลปินท่านอื่น และโปรเจกต์พิเศษอีกมากมาย โดยซาซ่ามีผลงานเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงมากมาย ได้แก่เพลง รู้ตัวมั๊ย, นอนไม่หลับ, เธอคงไม่รู้, รัก ไม่รัก,โอ๊ย...เข้าทาง, เลือกได้ไหม, เข้าใจใช่ไหม, ข้อสอบ, อย่าวัดด้วยสายตา, ใจละลาย, น่าจะเข้าใจ, เคยไปทำเธอตอนไหน,เอะอะก็ไม่คิด, จบไปได้แล้ว, เหรอ, ความเดิมตอนที่แล้ว, ความผิดติดตัว, หวานใจ, คำขอครั้งสุดท้าย และเพลง เสียงจากคนใกล้ตัว เป็นต้น", "title": "ซาซ่า" }, { "docid": "124153#2", "text": "ตำนานสาวปีกฉีกกลับมาเป็นที่ร่ำลือกันอีกครั้งในต้นพุทธทศวรรษที่ 2500 ว่ากันว่า เด็กบางคนเมื่อเดินอยู่ลำพังในยามวิกาลอาจพบหญิงสาวคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อป้องกันมิให้คนอื่นติดโรคของตัวไปด้วยเป็นต้น ครั้นแล้ว หญิงนั้นจะหยุดเดินและถามเด็กว่า \"ฉันสวยไหม\" ถ้าเด็กบอกปัด หญิงนั้นจะล้วงกรรไกรออกมาตัดปากเด็กจนถึงแก่ความตาย ถ้าเด็กตอบรับ หญิงนั้นจะปลดหน้ากากอนามัยออก และยิ้มให้เด็กชมดู เผยให้เห็นปากที่ถูกแหวะจนถึงใบหูมีโลหิตท่วม ซึ่งเรียก \"รอยยิ้มแบบแกล็สโกว\" (Glasgow smile) แล้วถามเด็กนั้นอีกว่า \"แล้วตอนนี้ฉันสวยไหม\" ถ้าเด็กว่าไม่ หญิงนั้นจะล้วงกรรโกรมาตัดกายเด็กเป็นสองท่อน ถ้าว่าใช่ หญิงนั้นจะมอบความสวยงามให้แก่เด็กนั้นบ้างโดยเอากรรไกรตัดปากเด็กจนถึงใบหูเสีย เด็กไม่อาจวิ่งหนีหญิงคนนั้นพ้นได้ เพราะหญิงสาวจะปรากฏต่อเด็กอีกจนกว่าจะได้ประทุษร้ายเด็กนั้น", "title": "สาวปากฉีก" }, { "docid": "205593#0", "text": "เอส.เอช.อี () เป็นวงหญิงล้วนจากไต้หวัน ประกอบด้วยสมาชิก เอลล่า (Ella), ฮีบี้ (Hebe) และ เซลิน่า (Selina) ชื่อของวงมาจากอักษรตัวแรกของชื่อสมาชิกในวง ตั้งแต่ออกผลงานอัลบั้มชุดแรก \"Dorm\" (2001) เอส.เอช.อี มีผลงานมาแล้ว 12 อัลบั้มกับยอดขายรวมกว่า 15 ล้านชุด และมีทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ไปแล้วสองครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งของการทัวร์คอนเสิร์ตจะใช้เวลาทั้งหมดราวๆ 1 ปี ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณ 8-10 รอบทั่วเอเชีย อาทิไต้หวัน จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฯลฯ [ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่ 3 ชื่อว่า She is the one โดยเริ่มต้นขึ้นแล้วที่ฮ่องกง ]นอกจากนี้ทางวงยังมีซีรีส์ดราม่า 8 เรื่อง เป็นพิธีกรรายการวาไรตี้ 2 รายการ และ มีเพลงประกอบดราม่า6 เรื่อง 10 เพลง เอส.เอช.อี ยังมีผลงานโฆษณาให้บริษัทต่าง ๆ เฉลี่ยปีละประมาณ16-20ตัว รวมถึง โคคา-โคล่า 7-11 และ เวิลด์ออฟวอร์คราฟต์ S.H.E เป็นกลุ่มศิลปินหญิงที่นับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด ได้รับรางวัลมาแล้วมากกว่าสามร้อยรางวัล และจากความสำเร็จของ เอส.เอช.อี นี้เองจึงทำให้ค่ายเพลงอื่นในไต้หวันได้เริ่มก่อตั้งวงหญิงล้วนขึ้นมา", "title": "เอส.เอช.อี" }, { "docid": "350242#0", "text": "ปรียวิศว์ นิลจุลกะ หรือ \"ปาล์ม Instinct\" (12 ตุลาคม พ.ศ. 2520) สำเร็จการศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนไผทอุดมศึกษา และอุดมศึกษาในคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกจิตรกรรม จาก มศว.ประสานมิตร เริ่มต้นทางดนตรี โดยเป็น 1 ในสมาชิกวง \"Girl\" ในตำแหน่งนักร้องนำ มีผลงานร่วมกับวงด้วยกัน 3 อัลบั้ม โดยเพลงที่ได้รับความนิยมคือ เปลือง,สบายดีใช่ไหม,ข้องใจ หลังจากวง Girl ได้แยกย้ายกันไป \"ปาล์ม\" กับ \"ปอ\" ได้ตั้งวงดนตรีขึ้นใหม่ ในชื่อ Instinct ออกผลงานเพลงในอัลบั้มพิเศษรวมศิลปินสังกัดมอร์มิวสิก อัลบั้ม More Cattle โดยวง Instinct มีเพลง \"ขออยู่คนเดียว\" กับ \"โปรดส่งใครมารักฉันที\" ซึ่งกลับมาได้รับความนิยมอย่างสูงอีกครั้ง หลังจากภาพยนตร์เรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ นำไปใช้เป็นเพลงประกอบในภาพยนตร์ ซึ่งเป็นผลงานการแต่งคำร้องของเขาเองด้วย", "title": "ปรียวิศว์ นิลจุลกะ" }, { "docid": "172905#0", "text": "วันเดอร์เกิลส์ (; English: Wonder Girls) เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติเกาหลีใต้ ก่อตั้งวงโดย JYP Entertainment[1][2] ไลน์สมาชิกในกลุ่มครั้งสุดท้ายประกอบด้วย ยูบิน, เยอึน, ซ็อนมี และ ฮเยริม สมาชิกก่อนหน้า ฮย็อนอา ออกจากวงในช่วงปลายปี 2007 โซฮี และ ซ็อนเย ออกจากวงอย่างเป็นทางการในปี 2015[3]", "title": "วันเดอร์เกิลส์" }, { "docid": "711112#0", "text": "แบดซ์ (อังกฤษ: Badz) เป็นวงดนตรีร็อคหญิงล้วน ภายใต้สังกัด จีโนม เร็คคอร์ด (ในเครือ อาร์เอส) เจ้าของเพลงฮิต \"ไม่ขอเป็นคนสุดท้าย\"\nการรวมตัวกันตั้งวงดนตรีหญิงทริโอ ในนามของ BADZ มี ฝาแฝดอย่าง “พลอย ธัญญา จันทร์โอชา” และ “น้องเพลิน นิฏฐา จันทร์โอชา” โดยสาวเพลินรับหน้าที่เล่นเบส พลอยเล่นกีตาร์ และ ได้ นิค นิติญา อ่ำสกุล ร้องนำ แนวดนตรีและแฟชั่นการแต่งตัวที่มีกลิ่นอาย­ของความเป็นพังก์อยู่นิดๆ", "title": "แบดซ์ (วงดนตรี)" }, { "docid": "159636#5", "text": "ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ตอง ภัครมัยได้ร่วมกับกลุ่มนักร้องในสังกัดกับวง \"Seven\" ที่ทำร่วมกับ 6 ศิลปินหญิง ได้แก่ ใหม่ เจริญปุระ, มาช่า วัฒนพานิช, หฤทัย ม่วงบุญศรี, นัท มีเรีย, นิโคล เทริโอ และเสาวลักษณ์ ลีละบุตร เปิดตัวด้วยเพลงรวมศิลปินอย่าง \"ความรักทั้งเจ็ด\" ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงเป็นอย่างมาก และยังสร้างปรากฏการณ์แฟชั่นเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์ ซึ่งเพลงเดี่ยวที่ตองร้องคือ \"อกหักใช่ไหม\"\nในปีเดียวกันหลังจากอัลบั้ม Seven ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ยังได้มีผลงานอัลบั้มชุดที่ 2 ตามมาในปีเดียวกันคือ \"Seven Vol.1 และ Vol.2\" เปิดตัวด้วยเพลง \"อกหักใช่ไหม\" และเพลงเดี่ยวที่ได้ร้องนั้นคือเพลง \"บอกแล้วให้ระวัง\" ", "title": "ภัครมัย โปตระนันท์" }, { "docid": "220359#0", "text": "เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ (; ) เป็นบริษัทตัวแทนศิลปิน ค่ายเพลง มีชื่อตามผู้ก่อตั้ง ปาร์ก จิน-ยอง บริษัทเป็นที่รู้จักในฐานะผลิตศิลปินชื่อดังอย่าง ปาร์ก จิ ยูน, เรน, กลุ่มศิลปิน จี.โอ.ดี. และวงหญิงล้วนวันเดอร์เกิลส์ มีสตูดิโอและสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเปิดทำการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 และกำลังขยายสาขาไปทั่วโลกโดยเปิดทำการในสาขาประเทศจีนในชื่อ JYP Beijing Center จากรายงานของ \"โคเรียนไทม์ส\" และเว็บไซต์การเงิน Chaebul.com ระบุข้อมูลไว้ว่า เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ มีรายได้ 16.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2006 และ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 6 เดือนแรกของปี 2007 และยังคงเป็นอันดับ 1 ในปี 2008 ในสาขาบริษัทบันเทิง จากรายงานระบุว่า เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นบริษัทบันเทิงอิสระที่มีมูลค่ามากที่สุดในเกาหลี", "title": "เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์" }, { "docid": "281487#0", "text": "อีเทอร์นอล () เป็นวงดนตรีอังกฤษหญิงล้วนแนวอาร์แอนด์บี ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1992 เคยได้รับรางวัลโมโบ ประกอบด้วยสมาชิกพี่น้อง อีสเตอร์และเวอร์นี เบนเนตต์ ร่วมด้วยเคลเล ไบรอันและหลุยส์ เนิร์ดดิง และเป็นหึ่งในวงหญิงล้วยที่ประสบความสำเร็จที่สุดวงหนึ่งในสหราชอาณาจักรตลอดกาล และยังประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ วงมีเพลงติดท็อป 20 อยู่ 15 เพลงในระหว่างปี ค.ศ. 1933-99 มีเพลงแรกคือ \"Stay\" ที่ติดท็อป 20 ในสหรัฐอเมริกา ทั่วโลกอีเทอร์นอลมียอดขายมากกว่า 10 ล้านชุด", "title": "อีเทอร์นอล (วงดนตรี)" }, { "docid": "289740#5", "text": "ปี พ.ศ. 2549 ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 5 \"Inside\" มีเพลงดังอย่าง \"ใช่ฉันหรือเปล่า\" และ \"กะลา (ใช่ไหม)\"", "title": "กะลา (วงดนตรี)" }, { "docid": "351846#2", "text": "Yes or No อยากรัก ก็รักเลย ถูกจัดอยู่ในเรต 4 “น 15+” ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป \nพายมีปัญหากับเพื่อนร่วมห้องในหอพักจึงต้องย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับคิม แรกทีเดียวนั้นพายรังเกียจที่คิมมีพฤติกรรมคล้ายทอม ทั้งหน้าตาและอากัปกิริยาคล้ายผู้ชาย จึงลากเทปสีแดงกั้นเขตในห้อง ห้ามมิให้คิมล่วงล้ำข้ามไปถึงตัวพาย คิมปฏิเสธว่าตนเองมิใช่ทอมและถามว่าทอมคืออะไร คิมบอกพายว่ายังไม่เคยชอบใครไม่ว่าหญิงหรือชาย และพูดต่อไปว่าถ้าเราชอบใครสักคน ชอบที่จะอยู่กับเขา ชอบที่จะเล่นกับเขา แต่เขาดันเป็นผู้หญิง เราก็กลายเป็นทอมเลยใช่หรือเปล่า แล้วความเป็นเราจะเปลี่ยนไปไหม เราก็ยังเป็นคนเดิม แต่จะมีใครมองเห็นบ้างไหมนอกจากจะตราหน้าว่าเราเป็นทอม", "title": "Yes or No อยากรัก ก็รักเลย" } ]
771
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "18064#0", "text": "พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) เป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง ก่อนที่สมเด็จพระบรมชนกนาถจะเสด็จสวรรคตในวันต่อมา", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "18064#4", "text": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เวลา 12 นาฬิกา 52 นาที ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประสูติแต่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โดยประสูติก่อนการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงวันเดียว นอกจากนี้ เมื่อนับพระญาติทางฝ่ายพระมารดานั้น พระองค์นับเป็นพระญาติชั้นที่ 3 ของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตพระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชา และเป็นพระญาติชั้นที่ 4 กับพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดมสีหมุนี", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" } ]
[ { "docid": "18064#7", "text": "แต่แล้วเมื่อใกล้มีพระประสูติกาล ความชื่นบานทั้งหลายกลับกลายเป็นความกังวล เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคพระอันตะ มีพระอาการรุนแรงขึ้นอย่างมิคาดฝัน ในยามนั้น พระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประทับ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ซึ่งติดกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพื่อทรงรอฟังข่าวพระประสูติการอย่างใกล้ชิด จนกระทั่ง พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระประสูติการเจ้าฟ้าหญิงในวันที่ 24 พฤศจิกายน จากนั้นในเวลาบ่าย เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติ \"“สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ”\" เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว มีพระราชดำรัสว่า \"“ก็ดีเหมือนกัน”\" จนรุ่งขึ้นในวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน เจ้าพระยารามราฆพ เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์น้อยไปเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งกำลังทรงพระประชวรหนักบนพระแท่น เมื่อทอดพระเนตรแล้ว ทรงพยายามยกพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา แต่ก็ทรงอ่อนพระกำลังมากจนไม่สามารถจะทรงยกพระหัตถ์ได้เนื่องจากขณะนั้นมีพระอาการประชวรอยู่ในขั้นวิกฤต เจ้าพระยารามราฆพจึงเชิญพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา เมื่อจะเชิญเสด็จพระราชกุมารีกลับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโบกพระหัตถ์แสดงพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรพระราชธิดาอีกครั้ง จึงเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอมาเฝ้าฯ เป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งพระชนมชีพจนกลางดึกคืนนั้นเองก็เสด็จสวรรคต", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" } ]
3488
ดาวเทียมดวงแรกของไทยมีชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "74481#3", "text": "ไทยคม 1A ดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทย เป็นดาวเทียมรุ่น HS-376 สร้างโดย Huges Space Aircraft (บริษัทลูกของ โบอิง) โคจรบริเวณพิกัดที่ 120 องศาตะวันออก ส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 มีอายุการใช้งานประมาณ 15 ปี (ถึง พ.ศ. 2551)", "title": "ดาวเทียมไทยคม" } ]
[ { "docid": "788843#0", "text": "ไทยคม 6 () เป็นดาวเทียมสื่อสารสัญชาติไทยของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และถือเป็นดาวเทียมไทยคมดวงที่ 6 โดยถูกยิงขึ้นจากฐาน ณ แหลมคะแนเวอรัล ในรัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2557 โดยบริษัทสเปซเอ็กซ์ ดาวเทียมไทยคม 6 โคจรอยู่ในวงโคจรค้างฟ้า ตำแหน่งเดียวกับดาวเทียมไทยคม 5 ที่ตำแหน่ง 78.5 องศาตะวันออก มีจานรับส่งสัญญาณ ซี-แบนด์ (C-Band) จำนวน 18 ช่องรับส่ง และเคยู-แบนด์ (Ku-Band) จำนวน 6 ช่องรับส่ง ซึ่งครอบคลุมการแพร่สัญญาณในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด", "title": "ไทยคม 6" }, { "docid": "74481#19", "text": "การส่งดาวเทียมไทยคม 7 ขึ้นสู่วงโคจร เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับ ให้ไทยคมมีช่องสัญญาณเพียงพอต่อการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมบรอดคาสต์ของไทย โดยเฉพาะทีวีดิจิตอล โดยเสริมช่องสัญญาณบนดาวเทียมไทยคม 5 และ 6 ที่ให้บริการเต็มในปัจจุบัน การมีดาวเทียมเพิ่มเติมอีกดวงหนึ่งนี้ จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพการให้บริการและช่วยขยายตลาดของไทยคมในต่างประเทศด้วย", "title": "ดาวเทียมไทยคม" }, { "docid": "108503#0", "text": "ดาวเทียมพ้องคาบโลก () หมายถึงดาวเทียมที่โคจรอยู่ในวงโคจรพ้องคาบโลก ซึ่งมีคาบการโคจรเท่ากับคาบการหมุนรอบตัวเองของโลก หรืออีกนัยคือ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวันดาราคติ (23 ชั่วโมง 56 นาที 4 วินาที) ดาวเทียมดวงนั้น จะกลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเมื่อมองจากพื้นโลกจุดเดิม ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นดาวเทียมที่โคจรอยู่ในวงโคจรค้างฟ้า เราจะเรียกดาวเทียมประเภทนี้ว่า ดาวเทียมค้างฟ้า หรือ ดาวเทียมประจำที่ () แทน", "title": "ดาวเทียมพ้องคาบโลก" }, { "docid": "74481#2", "text": "ปัจจุบัน ดาวเทียมสื่อสารภายใต้ชื่อ ดาวเทียมไทยคม มีทั้งสิ้น 8 ดวง ใช้งานได้จริง 5 ดวง ดังนี้", "title": "ดาวเทียมไทยคม" }, { "docid": "618657#139", "text": "ดาวเทียมสภาพอากาศเป็นดาวเทียมประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นหลักในการเฝ้าดูสภาพอากาศและ สภาพภูมิอากาศของโลก. ดาวเทียมสภาพอากาศดวงแรก, Vanguard 2, ถูกยิงขึ้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1959, แม้ว่าดาวเทียมสภาพอากาศดวงแรกที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นความสำเร็จจะเป็น TIROS-1 ซึ่งยิงขึ้นโดยองค์การนาซ่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 1960.[124]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "108249#0", "text": "ไทยทีวีโกลบอลเน็ทเวิร์ค () เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยได้แพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ เพื่อคนไทยที่อาศัยอยู่ทั่วโลก 170 ประเทศ และต่างชาติที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประเทศไทย ก่อนมีพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 จึงเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งเดียวที่ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระความรู้ ความบันเทิงออกไปสู่สายตาของผู้ชมทั่วโลกโดย ออกอากาศ 24 ชั่วโมงต่อวัน ส่งสัญญาณ รายการผ่านดาวเทียมถึง 5 ดวง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 177 ประเทศทั่วโลก ผังรายการ TGN เป็นผังรายการที่จัดขึ้นใหม่ แยกจากผังรายการของ ททบ.5 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เป็นรายการที่ TGN เป็นผู้ผลิตเอง, ผู้จัดรายการผลิตรายการขึ้นใหม่เพื่อเช่าเวลา ส่วนที่เหลือเป็นรายการที่เช่าเวลากับ ททบ.5 นำมาเช่าเวลาเพื่อออกอีกรอบทาง TGN รวมถึงรายการถ่ายทอดสดที่รับสัญญาณจากททบ.5 ลและจากสถานีอื่นที่ไม่ใช่ ททบ.5 (เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย,เอ็นบีทีเวิลด์ ฯลฯ)ดังนั้น ผังรายการ TGN จึงมีรายการที่มีความหลากหลายน่าสนใจ\nสามารถรับชม TGN ได้ 170 ประเทศ ทั่วโลก ได้แก่สถานีโทรทัศน์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดำเนินการโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย\nสถานีโทรทัศน์เพื่อเศรษฐกิจและการลงทุน ดำเนินการโดย บริษัท แฟมมิลี่โนฮาว จำกัด\nช้อป แชนแนล ทีวีช้อปปิ้งอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ดำเนินการโดย บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด", "title": "ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก" }, { "docid": "60933#0", "text": "ดาวเทียม (English: satellite) คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเป็นสิ่ง ที่สามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัยแรงดึงดูดของโลก ส่งผลให้สามารถโคจรรอบโลกได้ในลักษณะเดียวกันกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วัตถุประสงค์ของสิ่งประดิษฐ์นี้เพื่อใช้ ทางการทหาร การสื่อสาร การรายงานสภาพอากาศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เช่นการสำรวจทางธรณีวิทยาสังเกตการณ์สภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวอื่นๆ รวมถึงการสังเกตวัตถุ และดวงดาว ดาราจักร ต่างๆ[1]", "title": "ดาวเทียม" }, { "docid": "263349#17", "text": "ต่อจากนั้นด้วยความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ว่าการสื่อสารโทรคมนาคมจะต้องเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน หรือ “สื่อสารกันได้ใต้ฟ้าเดียวกัน” ที่คาดการณ์ว่าการสื่อสารทั้งภาพและเสียงแบบสองทาง โดยไม่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง จึงได้ลงทุนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งนั่นคือ การเข้าสู่ธุรกิจดาวเทียมสื่อสาร โดยเวลานั้นได้จัดตั้งบริษัท ชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด ขึ้นในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2534 ด้วยการเข้าประมูลสัมปทานเพื่อทำธุรกิจดาวเทียมสื่อสารของประเทศกับทางกระทรวงคมนาคม (ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงคู่สัญญาเป็นกระทรวงไอซีที) ซึ่งสามารถชนะการประมูลในที่สุด สัญญาสัมปทานมีอายุ 30 ปี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติดวงแรกอย่างเป็นทางการว่า ”ไทยคม” (“THAICOM”) มาจากคำว่า Thai Communications หรือ ไทยคมนาคม เพื่อเป็นสัญญลักษณ์การเชื่อมโยงประเทศไทยกับเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่", "title": "ทักษิณ ชินวัตร" }, { "docid": "82735#5", "text": "1. เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของประเทศไทย ที่มีชื่อว่า ดาวเทียมไทยโชต ", "title": "สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)" }, { "docid": "485694#6", "text": "โทรศัพท์ถูกติดตั้งขึ้นมาแทนที่ โดยเชื่อมต่อดาวเทียมหลายดวงเข้าด้วยกัน โดยมีดาวเทียม Intelsat ของสหรัฐฯ 2 ดวง และดาวเทียม Molniya II ของโซเวียตอีก 2 ดวง เชื่อมต่อกัน การปรับปรุงครั้งนี้ใช้เวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 ถึง 1978 ในระหว่างการปรับปรุง มีการเลิกใช้สายส่งสัญญาณวิทยุ Washington-Tangier-Moscow", "title": "สายตรงมอสโก–วอชิงตัน" }, { "docid": "915552#29", "text": "บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ปัจจุบัน บริษัท บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)) ได้ลงนามสัญญากับบริษัท ฮิวจ์สเปซคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในปีพ.ศ. 2534 มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อดำเนินการปล่อยโครงการดาวเทียวมสื่อสารดวงแรกของประเทศไทย ดาวเทียมไทยคมดวงแรกเปิดตัวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2536 มีตัวรับสัญญาณระบบ ซี-แบนด์ 12 ช่องครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่นถึงประเทศสิงคโปร์", "title": "โทรคมนาคมในประเทศไทย" }, { "docid": "74435#0", "text": "ดาวเทียมไทยโชต (Thaichote) หรือ ดาวเทียมธีออส (THEOS: Thailand Earth Observation Satellite) เป็นดาวเทียมสำรวจข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อใช้สำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย \nโดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินงานโดย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ. หรือ GISTDA) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี \nร่วมกับ บริษัท อี เอ ดี เอส แอสเตรียม (EADS Astrium) ประเทศฝรั่งเศส ด้วยงบประมาณ 6,000 ล้านบาท \nนับเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้", "title": "ดาวเทียมไทยโชต" }, { "docid": "118337#0", "text": "ยานอวกาศเซลีนี (; ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ คางุยะ () เป็นยานอวกาศลำที่สองของญี่ปุ่น ที่ส่งขึ้นสู่ดวงจันทร์ ชื่อเซลีนีย่อมาจาก \"Selenological and Engineering Explorer\" หรือ \"ยานสำรวจทางวิศวกรรมและศึกษาดวงจันทร์\" ยานถูกปล่อยขึ้นจากฐานปล่อยจรวดในศูนย์ศึกษาอวกาศทะเนะงะชิมะ (種子島宇宙センター, Tanegashima Space Center) จังหวัดคะโงะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเวลา 01:31:01 น. วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2550 (UTC) แล่นเข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์สำเร็จเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปีเดียวกัน ยานสำรวจลำนี้มีภารกิจสำรวจดวงจันทร์ในเชิงธรณีวิทยา ทั้งการกำเนิด วิวัฒนาการ และสภาพของดวงจันทร์ โดยตัวยานจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ยานโคจรหลัก และดาวเทียมอีกสองดวงที่มีชื่อว่า \"โอกินะ\" และ \"โออุนะ\" ซึ่งมีน้ำหนักเพียงดวงละ 53 กิโลกรัม ยานเซลีนีปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นและถูกปรับวงโคจรให้เข้าชนดวงจันทร์ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 18:25 น. (UTC) บริเวณใกล้หลุมอุกกาบาตกิลล์ (Gill) รวมระยะเวลาปฏิบัติภารกิจทั้งสิ้น 1 ปี 8 เดือน การส่งยานอวกาศครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการส่งยานอวกาศของโครงการสำรวจดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดรองจากโครงการอะพอลโล ", "title": "เซลีนี (ยานอวกาศ)" }, { "docid": "128991#7", "text": "ไทยคม 1A ดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทย เป็นดาวเทียมรุ่น HS-376 สร้างโดย Huges Space Aircraft (บริษัทลูกของ โบอิง) โคจรบริเวณพิกัดที่ 120 องศาตะวันออก ส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 มีอายุการใช้งานประมาณ 15 ปี (ถึง พ.ศ. 2551)", "title": "ดาวเทียมสื่อสาร" }, { "docid": "128991#5", "text": "วันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1965 COMSAT ส่งดาวเทียม “TELSAT 1” หรือในชื่อว่า EARLY BIRD ส่งขึ้นเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก ถือว่าเป็นดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร เพื่อการพานิชย์ดวงแรกของโลก ในระยะหลังมี่่อินโดนีเซีย ดาวเทียมไทยคม เป็นโครงการ ดาวเทียมสื่อสาร เพื่อให้บริการสื่อสารผ่านช่องสัญญาณดาวเทียม ซึ่งกระทรวงคมนาคม (ในขณะนั้น) ต้องการจัดหาดาวเทียมเพื่อรองรับการขยายตัวด้านการสื่อสารของประเทศอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลานั้นประเทศไทยยังไม่มีดาวเทียมเป็นของตนเอง และต้องทำการเช่าวงจรสื่อสารจากดาวเทียมของประเทศต่างๆ ทำให้ให้เกิดความไม่สะดวกและสูญเสียเงินออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากการจัดสร้างดาวเทียมต้องใช้เงินลงทุนสูงมากจึงได้มีการเปิดประมูลเพื่อให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการแทนการใช้งบประมาณจากภาครัฐ และ บริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับสัมปทานเมื่อ พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา เป็นระยะเวลา 30 ปี (ปัจจุบันอำนาจการดูแลสัญญาโอนไปที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ชื่อ \"ไทยคม\" (Thaicom) เป็นชื่อพระราชทาน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน โดยย่อมาจาก Thai Communications ในภาษาอังกฤษ ปัจจุบัน ดาวเทียมสื่อสารภายใต้ชื่อ ดาวเทียมไทยคม มีทั้งสิ้น 7 ดวง ใช้งานได้จริง 4 ดวง ดังนี้", "title": "ดาวเทียมสื่อสาร" }, { "docid": "784747#0", "text": "ไทยคม 8 () เป็นดาวเทียมสื่อสารสัญชาติไทยจากดาวเทียมไทยคมซีรีส์ ประกอบการโดยบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน), บริษัทสาขาของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และถือเป็นดาวเทียมไทยคมดวงที่ 8 ", "title": "ไทยคม 8" }, { "docid": "4817#26", "text": "ดาวเทียมเทลสตาเป็นดาวเทียมดวงแรกที่ใช้งานถ่ายทอดโดยตรงในเชิงพาณิชย์ เป็นของ AT & T ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างชาติ ระหว่าง AT & T, Bell Telephone Laboratories, นาซ่า, การไปรษณีย์อังกฤษ และการไปรษณีย์แห่งชาติฝรั่งเศส เพื่อพัฒนาการสื่อสารดาวเทียม Relay 1 ถูกส่งขึ้นไปเมื่อ 13 ธันวาคม 1962 และกลายเป็นดาวเทียมดวงแรก ที่จะส่งสัญญาณออกอากาศข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อ 22 พฤศจิกายน 1963 .", "title": "โทรคมนาคม" }, { "docid": "52640#22", "text": "Explorer 1 – ดาวเทียมดวงแรกของสหรัฐ Project SCORE – ดาวเทียมสื่อสารดวงแรก Solar and Heliospheric Observatory (SOHO) - โคจรรอบดวงอาทิตย์ใกล้ L1 Sputnik 1 – ดาวเทียมดวงแรกของโลก Sputnik 2 – สัตว์ตัวแรกในวงโคจร (ไลก้า) Sputnik 5 – แคปซูลตัวแรกที่กู้ได้จากวงโคจร (ตัวที่มาก่อน Vostok ) – สัตว์รอดชีวิต Syncom – ดาวเทียมสื่อสารแบบ geosynchronous ดวงแรก Hubble Space Telescope – การสำรวจวงโคจรที่ใหญ่ที่สุด Boeing X-37]] – spaceplane", "title": "ยานอวกาศ" }, { "docid": "618657#146", "text": "การนำวิถีทั่วโลกด้วยระบบดาวเทียม (English: global navigation satellite system (GNSS)) ให้ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ครอบคลุมทั่วโลก. GNSS ยอมให้เครื่องรับอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กสามารถกำหนดตำแหน่งของตัวเอง เช่น ลองจิจูด, ละติจูด และระดับความสูงให้ภายในระยะไม่กี่เมตรโดยใช้สัญญาณเวลาที่ส่งไปตามเส้นสายตา(English: line of sight)โดยสัญญาณวิทยุจากดาวเทียมในอวกาศ. เครื่องรับบนพื้นดินที่มีตำแหน่งคงที่ยังสามารถถูกนำมาใช้ในการคำนวณเวลาที่แม่นยำเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการทดลองทางวิทยาศาสตร์. ระบบแรกดังกล่าวคือ\"Transit\", ถูกพัฒนาโดยห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ประยุกต์ของ Johns Hopkins University ภายใต้การนำของ ริชาร์ด Kershner. การพัฒนาระบบสำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯเริ่มต้นขึ้นในปี 1958 และดาวเทียมต้นแบบ Transit 1A, ถูกยิงขึ้นในเดือน กันยายน 1959. ดาวเทียมดวงนี้ล้มเหลวในการที่จะไปถึงวงโคจร. ดาวเทียมดวงที่สอง, Transit 1B, ถูกยิงขึ้นประสบความสำเร็จในวันที่ 13 เมษายน 1960 โดยจรวด Thor-Ablestar. การส่งดาวเทียมTransitดวงสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือน สิงหาคม 1988.[129]", "title": "ลำดับสิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ (ค.ศ. 1946–91)" }, { "docid": "74481#5", "text": "ไทยคม 2 ดาวเทียมดวงที่สองของประเทศไทย เป็นดาวเทียมรุ่น HS-376 เช่นเดียวกับ ไทยคม 1A โคจรบริเวณพิกัดที่ 78.5 องศาตะวันออก ส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2537 มีอายุการใช้งานประมาณ 15 ปี (ถึง พ.ศ. 2552)", "title": "ดาวเทียมไทยคม" }, { "docid": "11586#0", "text": "ไทยคม 4 (THAICOM 4) หรือ ไอพีสตาร์-วัน (IPStar-1) เป็นดาวเทียมสื่อสารสัญชาติไทยของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และเป็นดาวเทียมไทยคมดวงที่ 4 ดาวเทียมไทยคม 4 เคยเป็นดาวเทียมสื่อสารเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่และมีน้ำหนักมากที่สุดในโลก ณ วันที่ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจร", "title": "ไทยคม 4" }, { "docid": "396744#0", "text": "NOAA เป็นชื่อที่ใช้เรียกดาวเทียมขององค์กร NOAA ของสหรัฐ (ชื่อดาวเทียมคือ Advanced Television Infrared Observation Satellite ย่อเป็น TIROS-N หรือ ATN) ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจอุตุนิยมวิทยา ที่มีวงโคจรในแนวเหนือใต้ ดาวเทียมในชุดนี้จะทำงานพร้อมกัน 2 ดวง เพื่อให้ได้ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาในบริเวณต่างๆ ทุก 6 ชั่วโมง ดวงหนึ่งจะตัดแนวเส้นศูนย์สูตรจากเหนือลงใต้เวลา 7.30 น. (เรียก morining orbit มีระดับวงโคจรที่ 830 กม.) อีกดวงจะตัดแนวเส้นศูนย์สูตรจากเหนือลงใต้เวลา 13.40 น.(เรียก afternoon orbit มีระดับวงโคจรที่ 870 กม.)", "title": "NOAA" }, { "docid": "194871#0", "text": "โอสุมิ (ภาษาญี่ปุ่น おおすみ, \"Ōsumi\" ) \nเป็น ดาวเทียมดวงแรกของญี่ปุ่น \nและเป็นดวงแรกของเอเชีย \nทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ 4 (ถัดจากฝรั่งเศส) ที่ส่งดาวเทียมสู่วงโคจรด้วยตนเอง ", "title": "ดาวเทียมโอซุมิ" }, { "docid": "52271#3", "text": "ดาวเทียมของจีพีเอสเป็นดาวเทียมที่มีวงโคจรระดับกลาง (Medium Earth Orbit: MEO) ที่ระดับความสูงประมาณ 20,000 กิโลเมตร จากพื้นโลก ใช้การยืนยันตำแหน่งโดยอาศัยพิกัดจากดาวเทียมอย่างน้อย 4 ดวง ดาวเทียมจะโคจรรอบโลกเป็นเวลา 4-8 ชั่วโมงต่อหนึ่งรอบ ที่ความเร็ว 4 กิโลเมตร/วินาที การโคจรแต่ละรอบนั้นสามารถได้เป็น 6 ระนาบ ระนาบละ 4 ดวง ทำมุม 55 องศา โดยทั้งระบบจะต้องมีดาวเทียม 24 ดวง หรือมากกว่า เพื่อให้สามารถยืนยันตำแหน่งได้ครอบคลุมทุกจุดบนผิวโลก ปัจจุบัน เป็นดาวเทียม GPS Block-II มีดาวเทียมสำรองประมาณ 4-61 ดวง", "title": "ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก" }, { "docid": "804147#45", "text": "ค.ศ. 1957 ขีปนาวุธอาร์-7 เป็นขีปนาวุธข้ามทวีปลูกแรก[21] ค.ศ. 1957 สปุตนิก 1 เป็นดาวเทียมดวงแรก ค.ศ. 1957 ไลก้า เป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่เดินทางไปอวกาศในสปุตนิก 2 ค.ศ. 1959 ลูนา 1 เป็นดาวเทียมดวงแรกที่ไปถึงดวงจันทร์[22] ค.ศ. 1959 ลูนา 2 เป็นดาวเทียมดวงแรกที่กระแทกลงดวงจันทร์ [23] ค.ศ. 1959 ลูนา 3 เป็นดาวเทียมดวงแรกที่ถ่ายภาพแรกของอีกฟากหนึ่งของดวงจันทร์ [24] ค.ศ. 1960 เบลก้า (Belka) และ สเตรลก้า (Strelka) ในสปุตนิก 5 เป็นสิ่งมีชีวิตเดินทางไปอวกาศและกลับมาอย่างปลอดภัย ค.ศ. 1961 เวเนรา 1 เป็นดาวเทียมดวงแรกที่ไปถึงดาวศุกร์ [25] ค.ศ. 1961 ยูริ กาการินเป็นมนุษย์คนแรกในอวกาศ ใน วอสตอค 1 ค.ศ. 1961 คนแรกที่จะใช้เวลาในอวกาศ 24 ชั่วโมงคือ Gherman Titov ใน วอสตอค 2[17] ค.ศ. 1962 วอสตอค 3และวอสตอค 4 เป็นการปล่อยยานคู่กันเป็นครั้งแรก [26] ค.ศ. 1962 มาร์ส 1 เป็นดาวเทียมดวงแรกที่ไปถึงดาวอังคาร ค.ศ. 1963 วาเลนตีนา เตเรชโควา เป็นผู้หญิงคนแรกในอวกาศใน วอสตอค 6 [27] ค.ศ. 1964 วอสฮอด 1 เป็นยานที่สามารถบรรทุกลูกเรือได้3 คนลำแรก ค.ศ. 1965 อเล็กซี ลีโอนอฟ เป็นมนุษย์คนแรกที่เดินในอวกาศ ใน วอสฮอด 2[28] ค.ศ. 1965 เวเนรา 3 เป็นดาวเทียมดวงแรกที่กระแทกลงดาวศุกร์ ค.ศ. 1966 ลูนา 9 เป็นดาวเทียมดวงแรกลงจอดบนดวงจันทร์ ค.ศ. 1966 ลูนา 10 เป็นยานที่ลงจอดบนดวงจันทร์ลำแรก ค.ศ. 1967 คอสมอส186 กับ คอสมอส188 เป็นการนัดพบและเทียบท่าไร้คนขับครั้งแรก ค.ศ. 1968 สิ่งมีชีวิตตัวแรกที่โครงจรรอบดวงจันทร์และกลับมาอย่างปลอดภัย เต่ารัสเซีย ในซอนด์ 5 ค.ศ. 1969 โซยุซ 4และโซยุซ 5 เป็นการนัดพบและเทียบท่าแบบมีคนขับครั้งแรก ค.ศ. 1970 ลูนา 16 เป็นยานที่มีการเก็บตัวอย่างหินดวงจันทร์โดยใช้ยานระบบอัตโนมัติครั้งแรก[29] ค.ศ. 1970 ลูโนฮอด 1 การนำหุ่นสำรวจอัตโนมัติมาใช้บนดวงจันทร์ครั้งแรก ค.ศ. 1970 เวเนรา 7 เป็นยานอวกาศที่ลงจอดและสำรวจดาวศุกร์ยานแรก [30] ค.ศ. 1971 ซัสยุส 1 เป็นสถานีอวกาศลำแรก ค.ศ. 1971 มาร์ส 2 เป็นดาวเทียมดวงแรกที่กระแทกลงดาวอังคาร ค.ศ. 1971 มาร์ส 3 เป็นยานอวกาศลำแรกที่จะลงจอดบนดาวอังคาร ค.ศ. 1975 เวเนรา 9 ถ่ายภาพพื้นผิวของดาวศุกร์เป็นภาพแรก [31] ค.ศ. 1980 Arnaldo Tamayo Méndez (คิวบา) เป็นชาวลาตินและผิวสีคนแรกในอวกาศ โซยุซ 28[32][33] ค.ศ. 1984 Svetlana Savitskaya เป็นผู้หญิงคนแรกที่เดินในอวกาศ ในสถานีอวกาศซัสยุส 7 ค.ศ. 1986 ลูกเรือใน สถานีอวกาศซัสยุส 7กับสถานีอวกาศเมียร์ เป็นลูกเรือชุดแรกที่เยือนสถานีอวกาศสองที่ ในภารกิจเดี่ยวกัน ค.ศ. 1986 เวกา 1 และ เวกา 2 เป็นยานแรกที่ใช้บอลลูนบังคับในการสำรวจดาวศุกร์ และการถ่ายภาพระยะใกล้ของดาวหางครั้งแรก ค.ศ. 1986 สถานีอวกาศเมียร์ เป็นสถานีอวกาศแบบประกอบลำแรก ค.ศ. 1987 Vladimir Titov และ Musa Manarov เป็นลูกเรือชุดแรกที่จะใช้เวลาในอวกาศ มากกว่า1ปี[34] ในโซยุซทีเอ็ม-4", "title": "โครงการอวกาศโซเวียต" }, { "docid": "128991#2", "text": "ในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1957 ข้อคิดในบทความของอาร์เธอร์ ซี คลาร์ก เริ่มเป็นจริงขึ้นมาเมื่อสหภาพโซเวียตได้ส่งดาวเทียมสปุตนิก ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1958 สหรัฐอเมริกาได้ส่งดาวเทียมเพื่อการสื่อสารดวงแรกที่ชื่อว่า สกอร์ (SCORE) ขึ้นสู่อวกาศ และได้บันทึกเสียงสัญญาณที่เป็นคำกล่าวอวยพรของดไวต์ ดี. โอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เนื่องเทศกาลคริสต์มาสจากสถานีภาคพื้นดินแล้วถ่ายทอดสัญญาณจากดาวเทียมลงมาสู่ชาวโลก นับเป็นการส่งวิทยุกระจายเสียงจากดาวเทียมภาคพื้นโลกได้เป็นครั้งแรก", "title": "ดาวเทียมสื่อสาร" }, { "docid": "3841#19", "text": "วันที่ 9 ตุลาคม 2009 ครบ 100 วันการส่ง LCROSS ไปโคจรรอบดวงจันทร์ ทางนาซ่าก็ยิงจรวดที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียมพร้อมกับปล่อยให้ตัว ดาวเทียมตกกระทบพื้นดวงจันทร์ นาซ่าก็แถลงผลวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์บนดาวเทียมว่า ฝุ่นที่กระจายขึ้นมานั้นมีน้ำประมาณ 90 ลิตร", "title": "ดวงจันทร์" }, { "docid": "43307#0", "text": "นิวส์วัน (ชื่อเดิม เอเอสทีวี) เป็นสถานีข่าว 24 ชั่วโมงแห่งที่สองของประเทศไทย (แห่งแรกของประเทศไทยคือ เนชั่น แชนแนล) เดิมมีชื่อว่า 11NEWS1 ดำเนินการโดย บริษัท ไทยเดย์ดอตคอม จำกัด โดยเดิมออกอากาศทางยูบีซี 9 ปัจจุบันแพร่ภาพออกอากาศทางดาวเทียม เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่มีบริษัท เอเชียไทม์ออนไลน์ จำกัด เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เป็นเจ้าของ บริษัท ผู้จัดการ 360 จำกัด ประเทศไทย", "title": "นิวส์วัน (เอเอสทีวี)" }, { "docid": "204997#0", "text": "โครงการแวนการ์ด () เป็นโครงการของ \"หน่วยวิจัยกองทัพเรืออเมริกา\" () ที่มีแผนจะปล่อยดาวเทียมดวงแรกของประเทศอเมริกาโดยใช้จรวดแวนการ์ด เนื่องจากการล้ำหน้าของสหภาพโซเวียตที่ปล่อยดาวเทียม Sputnik 1 เมื่อ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1957 ทำให้อเมริกาต้องรื้อฟื้นโครงการ Explorer ที่ถูกยกเลิกไป ก่อนที่โครงการทั้ง 2 ของอเมริกาจะเสร็จสิ้น โซเวียตได้ล้ำหน้าไปอีกด้วยการปล่อยดาวเทียมดวงที่ 2 คือ Sputnik 2 เมื่อ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957 และการปล่อยจรวด Vanguard TV3 เมื่อ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1957 ที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ แต่จรวดกลับพุ่งขึ้นจากแท่นยิงได้เพียง 4 ฟุต (1.2 เมตร) หรือเพียง 2 วินาที ก็ตกลงมา และระเบิด โชคดีที่ดาวเทียมที่อยู่ส่วนบนเสียหายไม่มาก ยังคงซ่อมแซมได้ สุดท้ายเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 1958 ดาวเทียม Vanguard 1 ได้กลายเป็นดาวเทียมดวงที่ 2 ของประเทศอเมริกา ส่วนดวงแรกก็คือ Explorer 1 ที่ปล่อยเมื่อ 31 มกราคม ค.ศ. 1958", "title": "โครงการแวนการ์ด" } ]
2794
รัตนชาติมีกี่ประเภท?
[ { "docid": "58828#0", "text": "รัตนชาติ</b>หรือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[57,72,3,3]}'>หินอัญมณี (English: gemstone) เป็นกลุ่มประเภทของแร่ประเภทหนึ่ง โดยหมายถึง แร่หรือหินบางชนิด หรืออินทรียวัตถุธรรมชาติที่นำมาเจียระไน ตกแต่ง หรือแกะสลัก เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ มีความงาม ทนทาน และหายาก โดยปกติแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เพชร และพลอย ซึ่งหมายถึง อัญมณีทุกชนิดยกเว้นเพชร หากผ่านการตกแต่งหรือเจียระไนแล้ว เรียกว่า อัญมณี นอกจากนี้ สารประกอบที่ได้จากสิ่งมีชีวิตที่อาจจัดเป็นรัตนชาติได้แก่ ไข่มุก และปะการังและอำพัน", "title": "รัตนชาติ" } ]
[ { "docid": "146937#1", "text": "วังจั่นน้อยเป็นบุตรของนายหยาด และนางบุญ โสภาพ เรียนจบชั้นอนุปริญญาจากโรงเรียนรัตนพณิชยการ เริ่มชกมวยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตระเวนชกมวยแถวบ้านเกิดจนมีชื่อเสียง จากนั้นจึงเดินทางเข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ อยู่ในสังกัดของทรงชัย รัตนสุบรรณ มีโอกาสขึ้นชกมวยหลายครั้ง จนมาเป็นที่รู้จักเมื่อ ชนะคะแนน นำพล หนองกี่พาหุยุทธ ได้ครองแชมป์มวยไทยรุ่นไลท์ฟลายเวท ของสนามมวยเวทีลุมพินี และฟลายเวท ถึง 4 สมัย ของเวทีเดียวกัน", "title": "วังจั่นน้อย ส.พลังชัย" }, { "docid": "265363#1", "text": "ภาพยนตร์เปิดเทศกาลครั้งนี้คือภาพยนตร์เรื่อง \"เกียรติยศคนโฉดถล่มเมือง\"() กำกับโดย เวอร์เนอร์ เฮอร์ซอก นำแสดงโดย นิโคลัส เคจ และเอวา เมนเดส ซึ่งเป็นการทำขึ้นมาใหม่ (รีเมก) จาก Bad Lieutenant ภาพยนตร์ต้นฉบับที่ฉายเมื่อปี พ.ศ. 2535 \nพิธีปิดเทศกาลเริ่มด้วยการฉายภาพยนตร์ปิดเทศกาล ซึ่งได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง สวัสดีบางกอก มีเนื้อหาสะท้อนมุมมองของกรุงเทพมหานคร ผ่านภาพยนตร์สั้นของผู้กำกับที่มีชื่อเสียงของไทย 9 คน ในวันที่ 30 กันยายน เวลา 16.00 น. ณ เอสเอฟ เวิลด์ ซีเนม่า จากนั้นจึงเป็นงานเลี้ยงรับรอง พิธีประกาศผลรางวัลกินรีและพิธีปิดเทศกาล ในวันเดียวกัน เวลา 18.00 น. ณ ห้องชาเทรียมบอลรูม โรงแรมชาเทรียม สวีท กรุงเทพ เขตบางคอแหลม โดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเป็นองค์ประธาน ในงานประกาศผลมีการมอบรางวัลกินรีสำหรับภาพยนตร์ รางวัลอินทนิลสำหรับภาพยนตร์แอนิเมชัน และรางวัลเกียรติยศความสำเร็จในชีวิตแก่เพชรา เชาวราษฎร์ โดยชรินทร์ นันทนาคร เป็นผู้รับรางวัลแทน\nรางวัลกินรีในปีนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทสายประกวดหลัก (Main Competition) และภาพยนตร์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA Competition) นอกจากนี้ยังมีประเภทพิเศษคือ NETPAC (Network for the Promotion of Asian Cinema) \nคณะกรรมการตัดสินรางวัลกินรี เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ ครั้งที่ 7 มีทั้งหมด 9 ท่าน ได้แก่\nเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพยังมีกิจกรรมสำคัญอื่นๆ เช่น เทศกาลภาพยนตร์แอนิเมชันกรุงเทพ ซึ่งจะมีพิธีเปิดที่พารากอนซีนีเพล็กซ์ ในเวลาเดียวกับพิธีเปิดเทศกาลหลัก โดยร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธาน การสัมมนาด้านภาพยนตร์ ณ โรงแรมชาเทรียม สวีท กรุงเทพ งานเลี้ยงรับรองนักแสดง ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ และนิทรรศการเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นต้น", "title": "เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ ครั้งที่ 7" }, { "docid": "299708#1", "text": "แคลเซโดนีเกิดได้หลากหลายประเภท แร่รัตนชาติหลาย ๆ ตัวนั้นจริง ๆ แล้วจัดว่าเป็นแคลเซโดนีประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งมีหลากหลายตัว ดังนี้", "title": "แคลเซโดนี" }, { "docid": "58828#9", "text": "นพรัตน ความหมายตามภาษาสันสกฤตหมายถึง \"๙ รัตนชาติ\"", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "267131#2", "text": "เอฟ(เอกซ์) ประสบความสำเร็จกับซิงเกิล \"นูเอบีโอ\" (Nu ABO) ด้วยการติดอันดับ 1 บนแกออนชาร์ต ตามมาด้วยซิงเกิล \"อิเล็กทริกช็อก\" (Electric Shock) ที่ทำให้วงชนะรางวัลเอ็มเน็ตเอเชียนมิวสิกอะวอดส์ สาขาการแสดงประเภทเต้นกลุ่มหญิงยอดเยี่ยม พวกเธอยังเป็นหนึ่งในศิลปินเคป็อปไม่กี่กลุ่มที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยยังเป็นศิลปินเคป็อปกลุ่มแรกที่เข้าร่วมการแสดงในงานเซาธ์บายเซาธ์เวสต์ (SXSW) อัลบั้มชุดที่สอง \"พิงก์เทป\" (Pink Tape) ยังเป็นอัลบั้มเคป็อปเพียงอัลบั้มเดียวที่อยู่ในรายชื่อ \"41 อัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี 2013\" ที่จัดโดย \"ฟิวส์\" ช่องรายการเพลงจากสหรัฐอเมริกา", "title": "เอฟ(เอกซ์)" }, { "docid": "66350#1", "text": "สุทธิศักดิ์ ก่อนมาชกมวยสากลสมัครเล่นและมวยสากลอาชีพ เคยชกมวยไทยมาก่อนและเป็นนักมวยไทยชื่อดังใช้ชื่อว่า อนันตศักดิ์ พันธ์ยุทธภูมิ เป็นนักมวยในสังกัดของทรงชัย รัตนสุบรรณ มีฉายาว่า ไอ้ศอกขวานบิน เคยถูกไล่ลงในการชกกับเมืองฟ้าเล็ก เกียรติวิเชียร ในรายการวันสถาปนาสนามมวยเวทีราชดำเนินเมื่อปี พ.ศ. 2541 จากนั้นได้หันมาชกมวยสากลสมัครเล่น ด้วยการเข้าร่วมการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 60 ในรุ่น 60 กก.คว้าเหรียญเงินจากการชนะสมชาย นักบาลี หลังจากนั้น ลดรุ่นมาชกในรุ่น 57 กก. ปรากฏว่าชกเพียงไม่กี่ครั้งก็ได้ติดทีมทีมชาติ และได้แชมป์ชีเกมส์ติดต่อกันถึง 2 สมัย และส่วนมากจะเป็นการชนะน็อกเสียด้วย เนื่องจากเป็นมวยหมัดหนัก แต่ไม่อาจจะสามารถขึ้นถึงขั้นเป็นทีมชาติชุด A ได้ เนื่องจากทีมชาติชุด A ในรุ่นเฟเธอร์เวท มีสมรักษ์ คำสิงห์ เป็นตัวยืนอยู่ ซึ่งเมื่อชกพิสูจน์ฝีมือกับสมรักษ์ทีไร สุทธิศักดิ์เป็นฝ่ายแพ้ไปถึง 2 ครั้ง 2 ครา เนื่องจากประสบการณ์การชกมวยสากลสมัครเล่นน้อยกว่าและเสียเปรียบด้านความรวดเร็ว", "title": "สุทธิศักดิ์ สมัครสมาน" }, { "docid": "145609#1", "text": "ในทางการเมือง ดร.โชติ คุ้มพันธ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรประเภทที่ 1 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของไทย และเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปไตย โดยมีสมาชิกคนสำคัญเช่น นายสอ เสถบุตร, ร้อยโทจงกล ไกรฤกษ์ เป็นต้น เคยถูกจับกุมในข้อหากบฏคิดล้มล้างรัฐบาลในกรณีกบฏพระยาทรงสุรเดช ได้ถูกพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็ถูกเนรเทศไปจำที่ทัณฑนิคมเกาะเต่า สุราษฎร์ธานี พร้อมกับหม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน นักโทษการเมืองคดีเดียวกันอีกคนที่หนึ่งด้วย", "title": "โชติ คุ้มพันธ์" }, { "docid": "283627#1", "text": "วรรณา บัวแก้ว เป็นชาวจังหวัดสระแก้ว บิดาชื่อแดง (เสียชีวิตหลังจากที่เธอติดทีมชาติเพียงไม่กี่ปี) และมารดาชื่อสนิท ซึ่งวรรณาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต (อาร์แบค) เริ่มเล่นวอลเลย์บอลตั้งแต่เรียนระดับประถมศึกษา ขณะเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนหนองกะพ้อ จังหวัดสระแก้ว หลังจากจบชั้นประถมศึกษา ก็เดินทางเข้ามาศึกษาที่กรุงเทพฯ โดยศึกษาชั้นมัธยมที่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ พร้อมกับเล่นให้แก่หลายสโมสรจนกระทั่งติดทีมชาติ ใน พ.ศ. 2552 วรรณาได้ทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในฝ่ายสังคมและสิ่งแวดล้อม ตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบาย", "title": "วรรณา บัวแก้ว" }, { "docid": "557329#4", "text": "เทศนา พันธ์วิศวาส เป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ที่ซึ่งเธอได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาแบดมินตันในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2010 ประเภทเยาวชนหญิงเดี่ยว และเทศนายังเป็นผู้ฝึกสอนนักกีฬาแบดมินตันเยาวชนทีมชาติไทย ชุดเข้าแข่งขันเวิลด์จูเนียร์แชมเปียนชิพ 2012 ประเภททีมผสม ที่จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนเป็นผู้จัดการทีมและผู้ฝึกสอนชุดเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปีชิงแชมป์เอเชีย 2013 ที่รัฐซาบะฮ์ ประเทศมาเลเซีย", "title": "เทศนา พันธ์วิศวาส" }, { "docid": "988128#9", "text": "พิธีปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 18:15 น. มีการแสดงทั้งหมด 2 ชุด และอีก 1 ชุดของเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานในพิธีมาถึงมีการแสดงชุดแรก คือ กี่ทอใจ ไหมเจียงฮาย นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่บัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้แสดงการแสดงพื้นบ้านของชาวจังหวัดเชียงราย[10] ต่อมาได้มีการเชิญธงจากตัวแทนนักกีฬาทั้งหมด 77 จังหวัดเข้าสู่สนาม ณัฐวุฒิ เรืองเวส รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ประธานในพิธีกล่าวปิดการแข่งขัน ได้มีการชักธงชาติ, ธงการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และธงประจำจังหวัดเชียงรายลงจากเสา มีการแสดงชุดที่ 2 คือ สี่หู ห้าตา คานิว้าว พร้อมกับการดับไฟในกระถางคบเพลิงลง ณ ที่นี้มีการแสดงจากจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติใครั้งถัดไป[11]", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "548803#3", "text": "วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555 ธุรกิจได้เป็นแชมป์สนามแรกในการแข่งขันจักรยานประเภทถนนชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ประจำปี 2555 จากนั้น ในวันที่ 12 มีนาคม ธุรกิจได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันจักรยานประเภทลู่ เปอร์ซูทชาย 4 กม. ในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 40 รวมถึงในปีเดียวกันนี้ เขาได้รับรางวัลเหรียญเงินจากการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์เอเชีย 2012 และในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555 เขาได้รับรางวัลคะแนนรวม ประเภทบุคคลทั่วไปชาย จากการแข่งขันทัวร์ออฟล้านนาตะวันออก 2012 ครั้งที่ 2 ", "title": "ธุรกิจ บุญรัตนธนากร" }, { "docid": "58828#30", "text": "จากหลักโหราศาสตร์โบราณของเอเชีย ชีวิตบนโลกล้วนขึ้นอยู่กับนพเคราะห์ หรือ ๙ อิทธิพล ซึ่งตำแหน่งที่สถิตของนพเคราะห์ในแผนภูมิดวงชะตาของแต่ละบุคคล ล้วนส่งอิทธิพล ต่อดวงชีวิตของคนๆนั้น กล่าวกันว่าการสวมใส่ ๙ รัตนชาติ จะช่วยให้ดวงดาวตามโหราศาสตร์สมดุล และมีสิริมงคลต่อผู้สวมใส่ ทางโหราศาสตร์เอเชียโบราณยังกล่าวว่าพลังรัตนชาติเหล่านี้ยังผลดีและผลลบต่อชีวิตมนุษย์เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการสวมใส่ดารารัตนชาติ จึงควรจำเป็นต้องปรึกษาโหรโบราณ ระบบพระเวท ควรเป็นผู้ที่ศึกษาและเชี่ยวชาญทางดารารัตนชาติเพื่อให้ต้องโฉลกต่อพื้นฐานดวงชะตาของแต่ละบุคคล แม้ว่าจะเป็นเพียงรัตนเดี่ยวๆหรือการแนะนำให้ประดับรัตนที่สมพงษ์ร่วมในเรือนเดียวกัน [9][10]", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "299708#0", "text": "แคลเซโดนี () เป็นแร่รัตนชาติซึ่งจัดอยู่ในประเภท ควอตซ์ มีลักษณะเป็นผลึกรวมซ่อนรูป (Cryptocrystalline) ของซิลิกา มีความวาวแบบแก้วและแบบยางสน มีหลากหลายสี แต่ที่พบมากที่สุดคือ สีขาว-เทา สีเทาน้ำเงิน หรือสีน้ำตาลจนถึงดำ", "title": "แคลเซโดนี" }, { "docid": "222809#14", "text": "จากหลักโหราศาสตร์โบราณของเอเชีย ชีวิตบนโลกล้วนขึ้นอยู่กับนพเคราะห์ หรือ 9 อิทธิพล ซึ่งตำแหน่งที่สถิตของนพเคราะห์ในแผนภูมิดวงชะตาของแต่ละบุคคล ล้วนส่งอิทธิพล ต่อดวงชีวิตของคนๆนั้น กล่าวกันว่าการสวมใส่ 9 รัตนชาติ จะช่วยให้ดวงดาวตามโหราศาสตร์สมดุล และมีสิริมงคลต่อผู้สวมใส่ ทางโหราศาสตร์เอเชียโบราณยังกล่าวว่าพลังรัตนชาติเหล่านี้ยังผลดีและผลลบต่อชีวิตมนุษย์เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการสวมใส่ดารารัตนชาติ จึงควรจำเป็นต้องปรึกษาโหรโบราณ ระบบพระเวท ควรเป็นผู้ที่ศึกษาและเชี่ยวชาญทางดารารัตนชาติเพื่อให้ต้องโฉลกต่อพื้นฐานดวงชะตาของแต่ละบุคคล แม้ว่าจะเป็นเพียงรัตนเดี่ยวๆหรือการแนะนำให้ประดับรัตนที่สมพงษ์ร่วมในเรือนเดียวกัน", "title": "นพรัตน์" }, { "docid": "316832#15", "text": "รางวัลชมเชย ถ้วยรางวัลเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล ระดับประเทศ การประกวดศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ในหัวข้อ “รักษ์...วัฒนธรรมไทย รักเมืองไทย” ตอน ประชารัฐรวมใจ ลูกทุ่งไทยเพื่อแผ่นดิน โดยทีมลูกทุ่งร่มพะยอม โรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ จังหวัดสงขลา \nรางวัลเหรียญทองแดง การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 32 \"สุพรรณบุรีเกมส์\" ณ จังหวัดสุพรรณบุรี นางสาวรัศมี ศตะรัต การแข่งขันกีฬายูโด รุ่นน้ำหนักเกิน 48 กก.ถึง 52 กก.(หญิง)\nรางวัลเหรียญทอง ระดับชาติ นายเกียรติวงศ์ แก้วประถม นายธีระวัตน์ วิไลพงศ์ ครูผู้สอน การแข่งขันขับร้องเพลงไทยลูกทุ่ง ประเภทชาย ม.4-ม.6 งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ ครั้งที่ 65 ประจำปีการศึกษา 2558 ระหว่าง วันที่ 29-31 เดือน มกราคม พ.ศ. 2559\n1. เด็กชายจิรากร รักขา\n2. นายพนัชกร ไชยถาวร\n3. นางสาวมนตรา ชำนาญกิจ\n4. นางสาววรัญญา รัตนพันธ์\n5. นางสาวสิตานัน สวยงาม\nครูสิริเพ็ญ จันทรัศมีภัทรา\nครูธมนวรรณ เพชรเมือง", "title": "โรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์" }, { "docid": "132584#0", "text": "กะรุน (; AlO) เป็นแร่รัตนชาติประเภทอะลูมิเนียมออกไซด์ ประกอบขึ้นด้วยธาตุอะลูมิเนียมและออกซิเจนมาจากภาษาสันสกฤต (Kuruvinda) หมายถึง ทับทิม", "title": "กะรุน" }, { "docid": "536631#3", "text": "พ.ศ. 2557 สายลับได้เป็นหนึ่งในตัวแทนนักกีฬาทีมชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาขี่ม้าในเอเชียนเกมส์ 2014 ที่จัดขึ้น ณ อินช็อน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเธอทำการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องก่อนเข้าร่วมการแข่งขันนี้มาเป็นเวลากว่า 1 ปี จากการแข่งขันครั้งดังกล่าว เธอได้อันดับที่ 15 ในประเภทโชว์จัมปิง", "title": "สายลับ เลิศรัตนชัย" }, { "docid": "58828#16", "text": "และนพรัตนยังเป็นส่วนหนึ่งของนามกรุงเทพฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชทานนาม โดยทรงเปรียบเทียบเมืองหลวงของไทยนี้ดั่งเมืองในสรวงสวรรค์แห่งเทพ อันเป็นที่มาของรัตนชาติทั้ง ๙ ประการว่า \"กรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์\" [3]", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "58828#31", "text": "ข้อคิดเห็นที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง เช่น การระบุขนาด-น้ำหนักของรัตนชาติ เพื่อการสวมใส่,หรือรัตนต้องสัมผัสผิวผู้สวมใส่,หรือควรสวมใส่รัตนชาติให้กับดวงดาวที่ให้โทษ,หรือดวงดาวที่เป็นมงคล,หรือการยอมรับรัตนที่มีตำหนิ,หรือรัตนที่ผ่านการเผาแล้วไม่มีพลัง,การยอมรับว่าไข่มุกเลี้ยงคือมุกแท้,หรือ การทำบุญอุทิศรัตน เพื่อมงคลในชีวิต,หรือรัตนต้องประดับกับโลหะที่ในทางปฏิบัติทำได้ยาก มิฉะนั้นจะไม่มีพลัง,ฯลฯ เหล่านี้ล้วนยังไม่สามารถเป็นข้อเท็จจริงได้เพราะไม่มีข้ออ้างอิงหรือคัมภีร์บัญญัติไว้เป็นหลักฐานว่า สิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริง แต่อาจกล่าวได้ว่า \"ผู้ให้คำแนะนำทางดารารัตน\"เป็นเจ้าของความคิดเห็นเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่มีหลักคัมภีร์และหลักฐานทางตำรามาสนับสนุนก็ตาม โดยที่นับถือกันว่า \"รัตนชาติ\"สะท้อนพลังงานทางธรรมชาติหรือทางโหราศาสตร์ แต่การพิสูจน์ถึง\"พลัง\"ให้รัตนแสดงค่าบ่งชี้และวัดผลได้นั้น จึงจะถือเป็นก้าวแรกของการยอมรับทางวิทยาศาสตร์", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "58828#15", "text": "มหานพรัตน ด้านหน้าเป็นดอกประจำยามประดับ ๙ รัตน ใช้ห้อยกับแพรแถบ สะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย (สำหรับบุรุษ) ส่วนสำหรับสตรี ใช้ห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย ดารานพรัตน เป็นรูปดาราประดับ ๙ รัตน เหมือนมหานพรัตน แหวนนพรัตน ทำด้วยทองคำเนื้อสูง", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "536631#0", "text": "สายลับ เลิศรัตนชัย (12 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 — ) เป็นนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย เธอเป็นลูกสาวของวินิจ เลิศรัตนชัย กับเพ็ญ พิสุทธิ์ และมีน้องสาวเป็นนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติชื่อ เสียงซอ เลิศรัตนชัย โดยสายลับเป็นผู้มอบม้า \"วิกตอรี่\" ให้แก่น้องสาวของเธอในเวลาต่อมา", "title": "สายลับ เลิศรัตนชัย" }, { "docid": "58828#8", "text": "เพชรดี หมายถึง เพชร แร่รัตนชาติสีขาว (Diamond) มณีแดง หมายถึง ทับทิม แร่รัตนชาติสีแดง (Ruby) เขียวใสแสงมรกต หมายถึง มรกต แร่รัตนชาติสีเขียว (Emerald) เหลืองใสสดบุษราคัม หมายถึง บุษราคัม แร่รัตนชาติสีเหลือง (แซฟไฟร์สีเหลือง) แดงแก่ก่ำโกเมนเอก หมายถึง โกเมน แร่รัตนชาติสีเลือดหมู (Garnet) สีหมอกเมฆนิลกาฬ หมายถึง แซฟไฟร์ แร่รัตนชาติสีน้ำเงิน(ไพลิน) (แซฟไฟร์สีน้ำเงิน) มุกดาหารหมอกมัว หมายถึง มุกดา หรือ จันทรกานต์ แร่รัตนชาติสีขาวขุ่นคล้ายสีหมอก มีลักษณะพิเศษมีเหลือบรุ้งสีออกฟ้าสีนวล (Moonstone) แดงสลัวเพทาย หมายถึง เพทาย แร่รัตนชาติสีแดงเข้ม (Hyacinth) เขียนอีกอย่างหนึ่งว่า (Yellow Zircon) (ซึ่งเป็นรัตนชาตชนิดเดียวกัน) สังวาลสายไพฑูรย์ หมายถึง ไพฑูรย์ เป็นอัญมณีหรือหินสีชนิดหนึ่งหรือแร่รัตนชาติ มีหลายสีเช่น สีเหลืองนวล สีเหลืองทอง สีน้ำผึ้ง สีเขียวแอปเปิล สีน้ำตาล ฯลฯ (Chrysoberyl-cat eye)", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "493000#6", "text": "ครั้งหนึ่ง ได้มีการจัดการแข่งขันแบดมินตันรายการเอสซีจีแบดมินตันสตาร์ชาลเลนจ์ ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างนักแบดมินตันทีมชาติกับดารานักแสดง ที่ซึ่งเธอได้พบกับณัฐฐาวีรนุช ทองมี ในประเภทหญิงเดี่ยว", "title": "ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย" }, { "docid": "493000#0", "text": "ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย เกิดวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2535 เป็นนักกีฬาแบดมินตันหญิงชาวไทย ผู้ซึ่งได้รับเหรียญทองแบดมินตันในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2010 ในประเภทหญิงเดี่ยว และเหรียญเงินจากแบดมินตันในเอเชียนเกมส์ 2010 ในประเภททีมหญิง รวมทั้งเป็นตัวแทนทีมชาติไทยผู้เข้าแข่งขันรายการเจแปนซูเปอร์ซีรีส์ 2012 ", "title": "ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย" }, { "docid": "534066#3", "text": "ในการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2555 เสียงซอชนะในประเภทกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางโดยใช้ม้า \"วิกตอรี่ บีบี\" และได้อันดับ 2 โดยใช้ม้า \"เอลโม่ บีบี\" และในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกันนี้ เธอเข้าแข่งขันรายการเพรซิเดนท์คัพ ชิงถ้วยนายกสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทย ซึ่งเธอชนะในประเภทกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ส่วนในวันที่ 16 ธันวาคม ของการแข่งกีฬาขี่ม้าในกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 41 ที่สนามกองพันสัตว์ต่าง เสียงซอได้รับรางวัลเหรียญเงินจากรายการกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ประเภทบุคคล โดยเธอใช้ม้าชื่อ \"โทรฟี่\" เข้าแข่งขัน", "title": "เสียงซอ เลิศรัตนชัย" }, { "docid": "548803#1", "text": "ธุรกิจ บุญรัตนธนากร ได้อันดับเจ็ดในการแข่งขันทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ พ.ศ. 2551 ปีต่อมาเขาได้อันดับสองในการแข่งขันบินห์เยืองเทเลวิชันคัพที่ประเทศเวียดนาม ในรายการเอเชียคัพเขาได้อันดับเก้าในการแข่งประเภทถนนและเป็นผู้ชนะในรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในฐานะตัวแทนของทวีปเอเชีย เขาได้มามีส่วนร่วมในการแข่งขันชิงแชมป์จักรยานถนนรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่เมนดรีซีโอ โดยเขาได้อันดับที่ 64 และเป็นอันดับที่สองจากท้ายในประเภทไทม์ไทรอัล ส่วนในประเภทถนนไม่ถึงเส้นชัย ต่อมา ธุรกิจเข้าแข่งขันซีเกมส์ 2009 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเวียงจันทน์ โดยได้อันดับที่สิบเอ็ดในการแข่งประเภทถนน", "title": "ธุรกิจ บุญรัตนธนากร" }, { "docid": "534066#0", "text": "เสียงซอ เลิศรัตนชัย (9 มีนาคม พ.ศ. 2539 – ) เป็นนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย เธอได้รับ 2 เหรียญทองจากการแข่งขันขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ชิงแชมป์ยุวชนนานาชาติ ประจำปี 2013 ในประเภททีมความสูง 90 ซม. และอีเวนต์พิเศษระยะความสูง 115-120 ซม. ที่สนามแข่งทหารม้า 29 รักษาพระองค์ นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนขี่ม้าให้กับเยาวชนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปีเข้าแข่งขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวางที่ประเทศกัมพูชา ตลอดจนเป็นผู้ทำคะแนนนำในการคัดเลือกตัวแทนทีมชาติไทยในการแข่งขันซีเกมส์ 2013 ที่ประเทศพม่า", "title": "เสียงซอ เลิศรัตนชัย" }, { "docid": "58828#5", "text": "หากจะแปลตามตัว รัตนชาติ ที่เดิมเขียนกันว่า รัตนชาต ก็จะแปลไว้ว่า สิ่งที่ถือกำเนิดมาเป็นแก้ว (รัตน=แก้ว ชาต=เกิด) ซึ่งในประเทศไทยเอง ก็พบว่ามีรัตนชาต 9 อย่างอันเป็นมิ่งมงคล แต่บางชนิดหายากหรือหาไม่พบในประเทศไทยปัจจุบันแล้ว", "title": "รัตนชาติ" }, { "docid": "438544#0", "text": "ซุปเปอร์บอน บัญชาเมฆ (16 สิงหาคม พ.ศ. 2533 – ) มีชื่อจริงคือ ศุภชัย หมื่นสังข์ เป็นนักมวยไทยชาวไทยประเภทไฟท์เตอร์ เน้นเตะ เข่า และถนัดขวา เขาเป็นทั้งอดีตแชมป์ประเทศไทย รุ่น 135 ปอนด์ รวมถึงเป็นเจ้าของอันดับ 2 มวยรอบอีซูซุ ครั้งที่ 22 ตลอดจนเป็นผู้มีผลงานชนะในระดับนานาชาติ ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต (RBAC)", "title": "ซุปเปอร์บอน บัญชาเมฆ" } ]
1847
ภาพยนตร์ไทยเรื่อง “รักแห่งสยาม” เป็นผลงานการกำกับของใคร ?
[ { "docid": "133112#0", "text": "รักแห่งสยาม เป็นภาพยนตร์ไทย กำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นำแสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, มาริโอ้ เมาเร่อ และ วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก และการค้นหาตัวตน ผ่านมุมมองของเด็กชายสองคน โดยมีสยามสแควร์เป็นสถานที่เชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งการถ่ายทำเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากสยามสแควร์เป็นสถานที่ซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายทำ", "title": "รักแห่งสยาม" } ]
[ { "docid": "99304#58", "text": "ภาพยนตร์ชีวิตเรื่อง รักแห่งสยาม ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2550 กำกับโดยชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง เป็นหนังรักหลายรูปแบบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวที่มีปัญหาหนัก[56] ซึ่งหนังเรื่องนี้หลังออกฉายได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งตามเว็บบอร์ด[57] รวมถึงกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงทั้งแง่บวกและแง่ลบ[56]", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "143470#0", "text": "รางวัลที่ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามได้รับ รางวัลแรกคือ รางวัลหนังแห่งปี พ.ศ. 2550 จากนิตยสารไบโอสโคป ด้วยเหตุผล \"ท้าทายสังคม ทั้งในแง่ประเด็นหนัง การนำเสนอ ที่สะท้อนภาพสังคมไทยในยุคนี้ รวมถึงความกล้าในการทำหนังรักดราม่าความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง ที่หาดูได้ยากในตลาดหนังไทยยุคปัจจุบัน\" และได้รับรางวัลร่วมกับหนังอีก 3 เรื่อง อย่าง \"Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์\", \"มะหมา 4 ขาครับ\" และ\"แสงศตวรรษ\" ซึ่งการมอบรางวัลไบโอสโคปอวอร์ดสนี้มีการมอบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 การมอบรางวัลคมชัดลึกอวอร์ดครั้งที่ 5 \"รักแห่งสยาม\" ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และยังคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) ทางด้านการแจกรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 17 ภาพยนตร์ \"รักแห่งสยาม\" ได้รับ 3 รางวัลคือ รางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์),รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม", "title": "รางวัลที่ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามได้รับ" }, { "docid": "133645#24", "text": "ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ \"รักแห่งสยาม\" พูดถึงมาริโอ้ว่า ที่รับเลือกมาริโอ้มาเล่น \"รักแห่งสยาม\" นอกเหนือจากเรื่องหน้าตาแล้ว \"เขามีดีกว่านั้น ดูจากแววตาแล้ว เขาไม่ใช่คนเลื่อนลอย ทำหน้าหล่อไปวันๆ ... เขารักครอบครัว เขาเป็นคนจริงใจ ใสซื่อ เหมือนแก้วน้ำใบใหญ่ ๆ ใส่อะไรลงไปก็ได้\" ส่วนผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง \"ฝัน-หวาน-อาย-จูบ\" ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล พูดถึงมาริโอ้ว่า \" เขามีความซื่อสัตย์ต่อความคิดของตัวเองมาก ซื่อสัตย์กับคนที่เขาทำงานด้วยมาก ๆ\"", "title": "มาริโอ้ เมาเร่อ" }, { "docid": "20861#1", "text": "ด้วยใจรักงานด้านโทรทัศน์ ภิญโญจึงเป็นสถาปนิกอยู่ได้ไม่นาน และต้องลาออกไปเป็นผู้อำนวยการผลิต ผลิตรายการโทรทัศน์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งด้วยกัน เช่น บริษัท PREMIER MARKETING แกรมมี่ ไนท์สปอต BORN & ASSOCIATES BEC TERO Triple 2 รวมไปถึงงานกรรมการตัดสินรายการ ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต season 1-2-3 เคยดำรงตำแหน่ง Creative Director ให้กับบริษัท ไลฟ์ ทีวี จำกัด\nเคยเปนผจก. ดูแลงานรายการโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ ให้กับ บริษัท UCI media จำกัด และ รับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ ให้กับ WORK POINT ENTERTAINMENT .. อีกทั้งยัง เป็นที่ปรึกษา ให้กับ อีกหลายบริษัท อาทิ MIRACLE MAKER / บ. HIT VER จำกัด / บ.SUPER SAVE ONE. SS1 \nเคยดำรงตำแหน่ง เปนกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี จำกัด ในเครือ ทีวีพูล / ดำรงตำแหน่ง เปนผู้อำนวยการ สถานี โลก้า LOCA สถานีโทรทัศน์ ดิจิทัล สำหรับเยาวชนและครอบครัวฯ ตั้งแต่ มกราคม 2557 \nแล้วดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ สถานีโทรทัศน์ ไทยทีวี โทรทัศน์ดิจิทัล ประเภทข่าวและสาระ ตั้งแต่ ต้นปี 2558 จนได้ลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 30 กันยายน 2558\nปัจจุบัน ทำงานอิสระ เปนผู้ชำนาญ เปิดทำการ training สำหรับงานการแสดง และปรึกษา สำหรับงาน creative และงานการผลิต production TV . และงาน events ทุกงาน ที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ ทุกประเภทฯ\nงานอดิเรก คือ นักแสดงอิสระ พิธีกรรายการ พิธีกรงานevent ทุกประเภท ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับหนังโฆษณา ผู้กำกับหนังสั้น ผู้กำกับ มิวสิกวิดีโอ , รวมทั้ง คิดและสร้างงาน สำหรับ social network ทุกประเภท ฯ\nจากประสบการณ์และความสามารถของภิญโญ ทำให้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย อาทิ รางวัลโทรทัศน์ทองคำมินิซีรีส์ยอดเยี่ยมจากรายการโทรทัศน์ “แดนสนธยา” เรื่อง “หน้ากาก” รางวัลโทรทัศน์ทองคำจากรายการ “e FOR TEENS” ซึ่งเป็นรายการ EDUTAINMENT สำหรับวัยรุ่นรายการแรกในประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2542 ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง รักออกแบบไม่ได้ (โอ-เนกาทีฟ) ที่ได้รับรางวัล กว่า 17 รางวัล จากสถาบันต่างๆ", "title": "ภิญโญ รู้ธรรม" }, { "docid": "191062#0", "text": "ออกัส () เป็นวงดนตรีชาวไทย ก่อตั้งขึ้นเพื่อร่วมแสดงเป็นวงดนตรีชื่อเดียวกัน ในภาพยนตร์ไทยเรื่อง \"รักแห่งสยาม\" (2550) ซึ่งชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นผู้จัดการวง และมีสมาชิกทั้งหมด 13 คน ออกอัลบั้มเพลงมาแล้วสองชุด ในช่วงต้นและปลายปี พ.ศ. 2551", "title": "ออกัส" }, { "docid": "143470#1", "text": "ส่วนรางวัลจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่มอบให้ภาพยนตร์เรื่อง \"รักแห่งสยาม\" เช่น อันดับ 1 หนังกระแสร้อนแห่งปี 2550 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ รางวัลสุดยอดแห่งปี 2007 จากผู้อ่านนิตยสารฟลิกส์ ในสาขาหนังไทย และ ดาราหญิง (สินจัย เปล่งพานิช), รางวัลจากนิตยสารเอนเตอร์เทน ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) , รางวัลจากนิตยสารแฮมเบอร์เกอร์ 3 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช)", "title": "รางวัลที่ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามได้รับ" }, { "docid": "217639#0", "text": "เอก โอรี เป็นนักแสดงลูกครึ่งไทย-อเมริกัน มีผลงานการแสดงภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง \"ยิ่งรักเธอ\", \"กขค โรงเรียนนอก\" (2539), \"แดดร้อน ลมแรง ความรักกำลังจะมา\" (2536),\"หล่อ ซ่า เซอร์กับเธอผู้หวานใจ\" (2536) หลังจากที่โด่งดังก็หายจากวงการไปนานกว่า 4 ปี ไปทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร แต่ขาดทุน และในปี 2551 กลับมาแสดงภาพยนตร์ใหม่อีกครั้ง ในเรื่อง \"ปืนใหญ่จอมสลัด\" ของสหมงคลฟิล์ม ของผู้กำกับ อุ๋ย นนทรีย์ นิมิตรบุตร", "title": "เอก โอรี" }, { "docid": "133112#34", "text": "ในด้านการกำกับภาพ นิตยสารบีเควิจารณ์ไว้ว่า \"ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ทำได้ไม่ดีเรื่องการกำกับภาพ ผู้กำกับเสนอภาพที่น่าเบื่อด้วยมุมกล้องแบบตรงๆ และการให้แสงที่ไม่แน่นอนจากบ้านถึงโรงเรียน จากสตูดิโอถึงสยามสแควร์ ขาดอารมณ์สื่อและทิศทางของภาพ\"[41] แต่ในทางกลับกัน นิตยสารสตาร์พิกส์กลับชมว่า \"หนังสามารถทำให้คนดูได้เห็นถึงอารมณ์อันหลากหลายของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นสุขสดใสหรือทุกข์หม่นเศร้า นอกเหนือจากจะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแล้ว ยังมี “โชว์” เป็นของแถมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากแสดงความหวังที่ผึ้งไต่ขึ้นจากแก้วน้ำ หรือการถ่ายลองเทคในสยามสแควร์โดยตามตัวละครวัยรุ่นแทบทั้งเรื่อง ซึ่งเดินสวนกันไปมาจากทุกทิศ\"[7]", "title": "รักแห่งสยาม" }, { "docid": "68552#0", "text": "นางสาวสุวรรณ (English: Suvarna of Siam) เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) เป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1923 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช[1] และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า \"Kingdom of Heaven\" เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย[2] นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)[3]", "title": "นางสาวสุวรรณ" }, { "docid": "130642#0", "text": "เก่งกาจ จงใจพระ เดิมมีชื่อว่า ศรีไพร ใจพระ เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2481 ที่ตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ในอดีตเคยเป็นดาราภาพยนตร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ นักจัดรายการวิทยุ นักร้องเพลงลูกทุ่ง และผู้จัดการวงดนตรีลูกทุ่ง โดยผลงานการแสดงที่เด่น ๆ ได้แก่ การรับบท \"ไอ้แว่น\" เพื่อนรักของ \"ไอ้คล้าว\" ในภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ในปี พ.ศ. 2513 โดยแสดงคู่กับมิตร ชัยบัญชา และบุปผา สายชล ที่ต่อมากลายเป็นภรรยาของตนเอง", "title": "เก่งกาจ จงใจพระ" }, { "docid": "331574#0", "text": "กวน มึน โฮ () เป็นภาพยนตร์ไทยแนวโรแมนติก-คอมเมดี ผลิตโดยจอกว้างฟิล์ม และจัดจำหน่ายโดยจีทีเอช ออกฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ของบรรจง ปิสัญธนะกูล ได้รับการจัดอันดับ \"น 15+\" (ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) นำแสดงโดย ฉันทวิชช์ ธนะเสวี และหนึ่งธิดา โสภณ ภาพยนตร์เป็นผลงานกำกับในแนวหนังรักเรื่องแรกของบรรจง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ \"สองเงาในเกาหลี\" ของ ทรงกลด บางยี่ขัน", "title": "กวน มึน โฮ" }, { "docid": "133112#45", "text": "ส่วนรางวัลจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่มอบให้ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม เช่น อันดับ 1 หนังกระแสร้อนแห่งปี 2550 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์[68] รางวัลสุดยอดแห่งปี 2007 จากผู้อ่านนิตยสารฟลิกส์ ในสาขาหนังไทย และ ดาราหญิง (สินจัย เปล่งพานิช),[69] รางวัลจากนิตยสารเอนเตอร์เทน ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) [70], รางวัลจากนิตยสารแฮมเบอร์เกอร์ 3 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) [71]", "title": "รักแห่งสยาม" }, { "docid": "197986#3", "text": "ทางด้านผลงานการแสดง มีผลงานภาพยนตร์เรื่อง กุมภาพันธ์ และมีผลงานละครเรื่อง หัวใจห่อใบตอง,ฝันเฟื่อง,รักหลอกๆอย่าบอกใคร,ล่องเรือหารัก และยังเป็นพิธีกรรายการ ฟ้าเมืองไทย [5]", "title": "โสภิตนภา ชุ่มภาณี" }, { "docid": "143470#6", "text": "นอกจากนี้ ในการประกาศผลผู้ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล \"เฉลิมไทย อวอร์ด\" ครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นรางวัลที่สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอตคอม ได้เสนอชื่อและร่วมลงคะแนนเพื่อเลือกภาพยนตร์แห่งปีในสาขาต่างๆ รักแห่งสยามได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 9 รางวัล (13 รายชื่อ) ได้แก่ เพลงจากภาพยนตร์ไทยแห่งปี (กันและกัน) ดนตรีประกอบภาพยนตร์แห่งปี บทภาพยนตร์ไทยแห่งปี นักแสดงสมทบหญิงในภาพยนตร์ไทยแห่งปี (กัญญา รัตนเพชร และพิมพ์พรรณ บูรณพิมพ์) นักแสดงสมทบชายในภาพยนตร์ไทยแห่งปี(ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี)นักแสดงนำหญิงในภาพยนตร์ไทยแห่งปี (สินจัย เปล่งพานิช)นักแสดงนำชายในภาพยนตร์ไทยแห่งปี (มาริโอ้ เมาเร่อ และวิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล) งานกำกับภาพยนตร์ไทยแห่งปี และภาพยนตร์ไทยแห่งปี โดยการลงคะแนนจะเริ่มในวันที่ 28 มกราคม 2550 ", "title": "รางวัลที่ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามได้รับ" }, { "docid": "85096#0", "text": "จิระ มะลิกุล หรือ เก้ง (24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 - ) เป็นผู้กำกับ นักเขียนบท และโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชาวไทย และเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ\nในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ โดยปัจจุบันมีผลงานการกำกับภาพยนตร์สี่เรื่อง คือ 15 ค่ำ เดือน 11 , มหา'ลัยเหมืองแร่ , รัก 7 ปี ดี 7 หน (ตอน 42.195) และ พรจากฟ้า (ตอน พรปีใหม่) รวมทั้งเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง สตรีเหล็ก ซึ่งเป็นผลงานที่เริ่มสร้างชื่อในนาม \"หับ โห้ หิ้น\"", "title": "จิระ มะลิกุล" }, { "docid": "227379#5", "text": "เป็นภาพยนตร์จากการกำกับและเขียนบทโดย ทรนง ศรีเชื้อ ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าผู้กำกับจอมซาดิสต์ ที่มีชื่อเสียงมาจากภาพยนตร์แนวอีโรติค เป็นภาพยนตร์ในแนววิทยาศาสตร์และพิบัติภัยด้วยทุนสร้าง 160 ล้านบาท เป็นเรื่องแรกของไทย ใช้เวลาถ่ายทำนาน 3 ปี โดยเป็นการถ่ายทำในสตูดิโอเป็นหลัก โดยมีการสร้างสตูดิโอสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะขึ้นที่บริเวณเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งทาง ทรนง ศรีเชื้อ ผู้สร้างและผู้กำกับหวังจะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต อีกทั้งเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกด้วยที่กำหนดบทให้นายกรัฐมนตรีเป็นตัวละครเอกและมีบทบาทสำคัญในเรื่อง นอกจากนี้แล้วตัวละครสำคัญอย่าง ดร.สยาม ที่รับบทโดย สุเชาว์ พงษ์วิไล ยังได้แบบอย่างมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริง คือ สมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ที่เคยทำนายล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 แต่ไม่มีใครเชื่อ", "title": "2022 สึนามิ วันโลกสังหาร" }, { "docid": "226582#2", "text": "ท้าฟ้าลิขิต เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของ ออกไซด์ แปง ผู้กำกับชาวไทยสัญชาติฮ่องกง และเป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของ สัญญา คุณากร หลังจากเรื่องแรกคือ \"ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด\" ในปี พ.ศ. 2536 เมื่อภาพยนตร์เข้าฉายแล้วได้รับเสียงวิจารณ์ไปในทางที่ดีและทำให้ได้รับรางวัลถึง 5 รางวัลด้วยกัน เช่น รางวัลตุ๊กตาทองภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, รางวัลดารานำชายโดย สัญญา คุณากร ทั้งรางวัลตุ๊กตาทองและรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง", "title": "ท้าฟ้าลิขิต" }, { "docid": "133112#44", "text": "รางวัลแรกที่ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม ได้รับไปคือรางวัลหนังแห่งปี 2550 จากนิตยสารไบโอสโคป ด้วยเหตุผล \"ท้าทายสังคม ทั้งในแง่ประเด็นหนัง การนำเสนอ ที่สะท้อนภาพสังคมไทยในยุคนี้ รวมถึงความกล้าในการทำหนังรักดราม่าความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง ที่หาดูได้ยากในตลาดหนังไทยยุคปัจจุบัน\"[63] และได้รับรางวัลร่วมกับหนังอีก 3 เรื่อง อย่าง Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์, มะหมา 4 ขาครับ และแสงศตวรรษ ซึ่งการมอบรางวัลไบโอสโคปอวอร์ดสนี้มีการมอบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546[26][64] การมอบรางวัลคมชัดลึกอวอร์ดครั้งที่ 5 รักแห่งสยาม ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และยังคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) [65] ทางด้านการแจกรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 17 ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม ได้รับ 3 รางวัลคือ รางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์),รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม[66] และอีกงานแจกรางวัลคือรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 16 ได้รับรางวัลไปอีก 6 รางวัลคือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล), ผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช),ผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์),บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม[67]", "title": "รักแห่งสยาม" }, { "docid": "291591#12", "text": "เมื่อปี พ.ศ. 2555 มีผลงานแสดงละครเรื่อง \"ธรณีนี่นี้ใครครอง\" แสดงร่วมกับอุรัสยา เสปอร์บันด์อีกหน การแสดงของทั้งคู่กรุงเทพธุรกิจวิจารณ์ไว้ว่า \"ได้เผยถึงความหลากอารมณ์ มีหลายอย่างปน ๆ กันอยู่ แล้วปล่อยออกมาแบบกระตุ้นการรับรู้\" (sensory stimulus) นอกจากงานแสดงแล้ว ณเดชน์ยังได้มีส่วนร่วมกำกับภาพยนตร์กับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเชียงคาน ซึ่งเป็นผลงานการกำกับครั้งแรก และปีเดียวกันนี้ ณเดชน์ได้มีงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตคือ \"คู่กรรม\" รับบทเป็น \"โกโบริ\" ทหารญี่ปุ่น ซึ่งณเดชน์ได้เข้าเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเพื่อการพูดภาษาไทยให้มีสำเนียงเหมือนชาวญี่ปุ่น แสดงร่วมกับอรเณศ ดีคาบาเลส นักแสดงหน้าใหม่ กำกับภาพยนตร์โดยกิตติกร เลียวศิริกุล ผลิตโดยเอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ ทางด้านผู้จัดจันทิมา เลียวศิริกุล กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกณเดชน์ เพราะโกโบริคือณเดชน์ ว่า \"เพราะเขาคือคนที่เหมาะที่สุด เราไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตัวเป็นคนอื่น และถ้าไม่ได้น้องเขาจริง ๆ โปรเจกต์นี้ก็คงต้องเก็บไว้ก่อน\" ", "title": "ณเดชน์ คูกิมิยะ" }, { "docid": "274634#4", "text": "ในปี พ.ศ. 2553 เขามีผลงานการกำกับหนังรักเรื่องแรกคือเรื่อง \"กวน มึน โฮ\" โดยได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ \"สองเงาในเกาหลี\" ของ ทรงกลด บางยี่ขัน ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องต่อมาคือเรื่อง \"พี่มาก..พระโขนง\" ทำรายได้รวมทั่วประเทศกว่า 1,000 ล้านบาท ถือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดของจีทีเอช", "title": "บรรจง ปิสัญธนะกูล" }, { "docid": "225825#3", "text": "เป็นภาพยนตร์ในแนวรักโรแมนติคแฟนตาซี เป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 2 ของ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ซึ่งในปี พ.ศ. 2535 เคยมีผลงานการกำกับเรื่องแรกในชีวิตมาแล้วจาก \"รองต๊ะแล่บแปล๊บ\" ของอาร์.เอส.เช่นกัน และก็เป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ในชีวิตของ ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง และได้ประกบคู่กับนักแสดงหญิงนางเอกของเรื่อง นิ้ง กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา ซึ่งเคยผ่านการแสดงร่วมกันมาแล้วในละครโทรทัศน์เรื่อง ภูตพิศวาส ก่อนหน้านั้นไม่นานทางช่อง 7 ขณะนั้นมีข่าวว่าทั้งคู่ได้คบหาดูใจกันอยู่ด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ นิ้ง กุลสตรี ต้องร้องเพลงประกอบด้วย", "title": "เกิดอีกทีต้องมีเธอ" }, { "docid": "727250#0", "text": "สงครามเพลง เป็นภาพยนตร์ว่าด้วยธุรกิจเพลง กำกับภาพยนตร์โดย ฉลอง ภักดีวิจิตร ออกฉายเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2526 สร้างโดย บางกอกการภาพยนตร์ ของ ฉลอง ภักดีวิจิตร นำแสดงโดย ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ , เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ , ยอดรัก สลักใจ , เศรษฐา ศิระฉายา , พุ่มพวง ดวงจันทร์ , กรุง ศรีวิไล , พิงค์แพนเตอร์ (วงดนตรีไทย) , ฮอตเปปเปอร์ (วงดนตรี) , มานพ อัศวเทพ , ฤทธิ์ ลือชา , รณ ฤทธิชัย , สายัณห์ จันทรวิบูลย์ , ธิติมา สังขพิทักษ์ และ ดาวใต้ เมืองตรัง ภาพยนตร์ดังกล่าวยังเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกของพุ่มพวง ดวงจันทร์ด้วย หลังจากในปี พ.ศ. 2533 สงครามเพลงก็ได้ถูกนำมาสร้างในภาค 2 \"สงครามเพลงแผน 2\" นำแสดงโดย สรพงศ์ ชาตรี, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, ทิพย์ ธรรมศิริ, ตรีรัก รักการดี สร้างโดย บางกอกเอ็นเตอร์ไพรส์ โดย ธนารุ่งโรจน์ กำกับการแสดงโดย สายัณห์ จันทรวิบูลย์ ออกฉายครั้งแรกวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2533 ", "title": "สงครามเพลง (ภาพยนตร์ไทยปี พ.ศ. 2526)" }, { "docid": "846194#0", "text": "สยามสแควร์ () คือ ภาพยนตร์ไทยแนวกึ่งสยองขวัญกึ่งข้ามพ้นวัย ของบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ออกฉายในปี พ.ศ. 2560 กำกับโดย ไพรัช คุ้มวัน เขียนบทโดย เอกราช มอญวัฒ ธีปนันท์ เพ็ชรศรี ชาญชนะ หอมทรัพย์ และไพรัช คุ้มวัน นำแสดงโดย อิษยา ฮอสุวรรณ มรกต หลิว และพลอย ศรนรินทร์ เล่าเรื่องของวัยรุ่น 10 คนที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณเด็กสาว และต้องเผชิญกับเหตุการณ์ลึกลับน่าสะพรึงกลัว ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ไฟดับในคืนหนึ่งที่สยามสแควร์\nภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยกลุ่ม \"ฮิดเดนเอเจนดา\" ซึ่งเป็นกลุ่มครีเอทีฟของสหมงคลฟิล์ม และเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของไพรัช คุ้มวัน", "title": "สยามสแควร์ (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2560)" }, { "docid": "993832#1", "text": "ผลงานชิ้นแรกของเขาคือภาพยนตร์เรื่อง \"\" (2541) ซึ่งเป็นผลงานการกำกับชิ้นแรกของเขาโดยสร้างจากนวนิยายชนะรางวัลของ \"\" จากนั้นเขาไปอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง \"Eviction\" (พ.ศ. 2542), ผีเสื้อร้อนรัก (พ.ศ. 2545), นาค รักแท้ วิญญาณ ความตาย (2548), \"\" (พ.ศ. 2549) และ ซอยคาวบอย (พ.ศ. 2551) ซึ่งได้ถูกคัดเลือกให้ไปฉายในหัวข้อ ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของเขาคือ \"ศพไม่เงียบ\" () ภาพยนตร์ภาษาไทยแนว ปริศนา-ฆาตกรรม ซึ่งสร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันโดย Nick Wilgus และ ภาพยนตร์ \"เพชฌฆาต\" (The Last Executioner) (พ.ศ. 2557)", "title": "ทอม วอลเลอร์" }, { "docid": "135523#3", "text": "พอเรียนจบ แต่ยังไม่ได้รับปริญญา ก็มีนายทุนชวนไปกำกับหนังทุนต่ำ เรื่อง \"คน ผี ปีศาจ\" มีทุนให้ 5 ล้านบาท และทำรายได้กำไร ต่อมาได้ทำภาพยนตร์เรื่อง \"13 เกมสยอง\" เขียนบทร่วมกับเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ การ์ตูนนิสต์แถวหน้าเมืองไทย จากนั้นได้ไปช่วยเขียนบทให้กับ \"บอดี้ ศพ #19\" กำกับโดยปวีณ ภูริจิตปัญญา และตามด้วย \"รักแห่งสยาม\" ชูเกียรติยังช่วยแก้ไขบท และสคริปต์ อย่างภาพยนตร์เรื่อง \"ช็อคโกแลต\" ที่ช่วยแก้ไขตัวละครให้เห็นภาพมากขึ้น\n\"ยังหายใจ\" ในอัลบั้ม RADIODROME ในวง The August Band", "title": "ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล" }, { "docid": "961286#0", "text": "ณัฐพล รัตนิพนธ์ ชื่อเล่น บอล นักแสดงชาวไทย เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2524 จบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสยาม และเรียนต่อปริญญาโทจาก มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี คณะ รัฐศาสตร์ เริ่มเข้าวงการบันเทิงเป็นตัวประกอบ เดินไปเดินมาจนผู้กำกับเห็นว่า เด็กคนนี้น่ารักดี เลยให้โอกาสมาเล่นละคร จนถึงวันนี้ก็เล่นมาเกือบ 10 เรื่อง และมีผลงานพิธีกรต่างๆเช่นรายการ TV Guide ช่อง 5 รายการ Young MEA Dec Mission ช่อง NBT เป็นต้น และมีผลงานด้านละคร ผลงานเด่น บ้านทรายทอง ช่อง 3 และ ผ่าโลกบันเทิง ช่อง 7 จนมีผลงานละครต่อเนื่องและเป็นนักแสดงสตั้นแมนมีฝีมือทำให้ใครๆก็รู้จัก บอล ณัฐพล รัตนิพนธ์ นักแสดงและภาพยนตร์ชาวไทย", "title": "ณัฐพล รัตนิพนธ์" }, { "docid": "226308#2", "text": "เข้าสู่วงการครั้งแรกเมื่ออายุ 12-13 ปี จากการถ่ายโฆษณา จนกระทั่งได้มีบทบาทการแสดงครั้งแรก จากภาพยนตร์เรื่อง ท่านขุนน้อยน้อย แห่งสยาม ในปี พ.ศ. 2536 จากนั้นได้มีชื่อเสียงโดยรับบทนำจากภาพยนตร์เรื่อง เสียดาย จากการกำกับของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ในปี พ.ศ. 2537 จากนั้นก็ได้มีผลงานการแสดงเข้ามาอีกต่อเนื่อง โดยจะรับบทเป็นตัวประกอบทั้งภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ เช่นเรื่อง ไม้ดัด ทางช่อง 7 คู่กับ มาฬิศร์ เชยโสภณ เป็นต้น", "title": "เขมสรณ์ หนูขาว" }, { "docid": "85091#2", "text": "วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์ไทยด้วยการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2540 และ นางนาก ในปี พ.ศ. 2542 มีผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของตนเองเรื่อง ฟ้าทะลายโจร อำนวยการสร้างระหว่าง ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น และ ฟิล์มบางกอก เป็นภาพยนตร์ที่มีความโดดเด่นทางด้านการใช้สีอันฉูดฉาด ซึ่งได้รับการพูดถึงมากด้วยการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งได้รับรางวัล Dragons & Tigers award for young cinema จาก Vancouver Film Festival, Canada ในปี ค.ศ. 2000 และยังเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับการคัดเลือกเข้าชิงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เมืองคานส์ปี ค.ศ. 2009 อย่างเป็นทางการในสายอันเซอร์เทิล รีการ์ต (Un Certain Regards) หรือ ภาพยนตร์ที่น่าจับตามอง", "title": "วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง" }, { "docid": "143470#4", "text": "รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ รักแห่งสยามได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ,ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล), นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล), นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช),สมทบชายยอดเยี่ยม (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี), สมทบหญิงยอดเยี่ยม (กัญญา รัตนเพชร์ และ เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ,กำกับภาพยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม,บันทึกเสียงยอดเยี่ยม,ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (กันและกัน และ คืนเป็นนิรันดร์) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลไป 3 รางว้ลจากเวทีนี้", "title": "รางวัลที่ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามได้รับ" }, { "docid": "287379#4", "text": "\"Chungking Express\" นับเป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 3 ของหว่อง คาไว ผู้กำกับฯชาวฮ่องกงที่ได้ชื่อว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเรื่องราวของ 2 เหตุการณ์ ที่ไม่เหมือนกันแต่มีผู้คนและบางสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน ตัวละครทุกวันในเรื่องแทบจะไม่มีใครมีชื่อที่แท้จริง ยกเว้น อาเฟย นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีความสำคัญมากพอที่จะต้องถูกถามหรือเป็นที่จดจำ เสมือนความสัมพันธ์ของผู้คนในเมืองใหญ่เฉกเช่นฮ่องกง ที่ความสัมพันธ์ของผู้คนเป็นไปอย่างฉาบฉวย ซึ่งตัวละครบางตัวเกี่ยวเนื่องมาจากภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ของเขา คือ \"Ashes of Time\" และจะมีบทบาทต่อไปในภาพยนตร์เรื่องหน้า คือ \"Fallen Angels\" ด้วย", "title": "ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง" } ]
1369
เจมส์ วัตต์ เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "84652#0", "text": "เจมส์ วัตต์ (James Watt) (19 มกราคม ค.ศ. 1736 - 19 สิงหาคม ค.ศ. 1819) วิศวกรและนักประดิษฐ์ ชาวสกอตแลนด์ ผู้ปรับปรุงเครื่องปั่นด้าย Spinning Jenny จนนำสหราชอาณาจักรไปสู่ยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตและการต่อเรือ และทำให้สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าอาณานิคมในเวลาต่อมา เครื่องจักรของวัตต์เป็นต้นแบบของเครื่องจักรที่ใช้น้ำมันในปัจจุบัน เขาเป็นผู้บัญญัติศัพท์ แรงม้า เป็นวิธีคำนวณประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร และชื่อของเขาได้รับไปตั้งเป็น หน่วยกำลังไฟฟ้า ในระบบหน่วยเอสไอ", "title": "เจมส์ วัตต์" } ]
[ { "docid": "84652#2", "text": "มารดาของวัตต์เสียชีวิตเมื่อวัตต์อายุ 17 ปี และบิดาก็เริ่มสุขภาพไม่ดี เขาจึงไปหางานทำที่กลาสโกว์ (Glasgow) ได้งานผู้ช่วยช่างในร้านทำเครื่องใช้แห่งหนึ่ง โดยหลังเลิกงานยังเรียนต่อในช่วงเย็นถึงค่ำ การโหมงานและเรียนทำให้สุขภาพของวัตต์อ่อนแอมาก ทำให้เขาต้องลาออกจากงานและเดินทางไปลอนดอนเพื่อเรียนการผลิตเครื่องชั่งตวงวัด (Measuring instrument making) เมื่อเรียนอยู่ได้ 1 ปี ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามยุโรปขึ้น รัฐบาลเกณฑ์ชายหนุ่มเข้าฝึกทหาร แต่วัตต์ไม่ชอบสงคราม จึงได้กลับกลาสโกว์ สกอตแลนด์ ตั้งใจจะตั้งต้นธุรกิจเครื่องชั่งตวงวัดของตน แต่เนื่องจากขาดคุณสมบัติ เพราะกฎหมายของเมือง ต้องจดทะเบียนกับสมาคมพ่อค้า ซึ่งผู้จดทะเบียนได้ต้องเป็นบุตรของพ่อค้า หรือเคยฝึกงานอย่างน้อย 7 ปี สมาคมช่างกลาสโกว์ (Glasgow Guild of Hammerman) วัตต์จึงถูกระงับใบอนุญาต แม้ว่าไม่มีช่างทำเครื่องชั่งตวงวัดที่มีความแม่นยำในสกอตแลนด์ก็ตาม ทำให้วัตต์ต้องหางานอย่างอื่นทำ", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#32", "text": "วัตต์จดสิทธิบัตรการประยุกต์ เฟืองสุริยะ กับเครื่องจักรไอน้ำเมื่อ พ.ศ. 2324 (1781) และกับรถจักรไอน้ำเมื่อ พ.ศ. 2327 (1784) ทั้งสองชิ้นได้ถูกโต้แย้งอย่างหนักว่า แท้แล้วคิดค้นขึ้นโดยลูกจ้างของเขา วิลเลียม เมอร์ดอช ซึ่งวัตต์บอกไว้เองในจดหมายที่ส่งให้โบลตันเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2325 (1782) กล่าวถึงการทดสอบเฟืองสุริยะว่า:", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#28", "text": "แม้ว่าจะมีการประดิษฐ์เกิดขึ้นมากมายเพราะเขา แต่ก็มีผู้มีบางคนโต้แย้งว่า ที่แท้แล้ววัตต์คิดค้นนวัตกรรมต้นฉบับเพียงอันเดียวจากสิทธิบัตรจำนวนมากที่เขาจด อย่างไรก็ตามไม่มีใครแย้งเรื่องที่นวัตกรรมเดียวนั้นเขาได้ประดิษฐ์จริง ก็คือ เครื่องสันดาปแยก (separate condenser) ซึ่งเป็นการฝึกหัดเพื่อเตรียมแนวความคิดที่สร้างชื่อแก่เขา เพราะเขาตั้งใจให้สิทธิบัตรเชื่อถือได้ในความปลอดภัย และทำให้แน่ใจได้ว่า ไม่มีใครได้ฝึกหัดและคิดค้นสิ่งประดิษฐ์นั้นได้อย่างเขา", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#24", "text": "วัตต์และภรรยาคนที่สองเดินทางท่องเที่ยวฝรั่งเศสและเยอรมนี แล้วซื้อบ้านและที่ดินในเวลส์ ซึ่งต้องบูรณะซ่อมแซมเป็นอย่างมาก", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#1", "text": "เจมส์ วัตต์ เกิดใน กรีนนอค (Greenock) เมืองท่าของ อ่าวไคลด์ (Firth of Clyde) พ่อชื่อ โทมัส วัตต์ เป็นช่างไม้และช่างต่อเรือผู้เป็นเจ้าของเรือและรับเหมางานช่าง มารดาเป็นผู้มีการศึกษาจากตระกูลผู้ดี ทั้งคู่เป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด แต่ฐานะทางครอบครัวค่อนข้างยากจน เขาจึงต้องเรียนแบบโฮมสคูลโดยมีมารดาเป็นผู้สอน เขาถนัดคณิตศาสตร์ และสนใจเทววิทยาของสกอตแลนด์ แต่อ่อนวิชาภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ แต่เขาก็ได้รับพื้นฐานงานช่างจากการช่วยงานของบิดา [1]", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#41", "text": "หอสมุดวัตต์เมมโมเรียล ในกรีนนอค เริ่มจากการบริจาคหนังสือทางวิทยาศาสตร์ของวัตต์ เมื่อ พ.ศ. 2359 (1816)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#12", "text": "ความช่วยเหลือด้านการดำเนินการทางสิทธิบัตรจากโบลตัน ทำให้วัตต์ได้สิทธิบัตรอย่างถูกต้อง ในชื่อเครื่องจักรไอน้ำแบบวัตต์ Watt Steam Engine ซึ่งได้ปรับปรุงให้ทำงานเรียบขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก เครื่องจักรไอน้ำที่เขาสร้าง เป็นประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพการผลิตทางอุตสาหกรรม และเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว นับเป็นจุดเริ่มสู่พัฒนาการของเครื่องจักรต่างๆ และมีผลต่อเนื่องแก่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุกแขนง ในที่สุดวัตต์ก็ได้คนงานรีดที่ยอดเยี่ยม ขณะที่ความยากในการประกอบกระบอกสูบขนาดใหญ่ที่แน่นพอดีกับลูกสูบ ก็ถูกแก้ไขโดย จอห์น วิลคินสัน (John Wilkinson) ผู้พัฒนาเทคนิคคว้านลำกล้องที่เที่ยงตรงสำหรับปืนใหญ่ และเมื่อ พ.ศ. 2319 (1776) เครื่องจักรไอน้ำตัวแรกก็ถูกติดตั้งและเริ่มทำงานในอุตสาหกรรมพาณิชย์ เป็นเครื่องสูบแบบเคลื่อนไหวสวนทางเท่านั้น (only reciprocating motion)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#6", "text": "หลังจากเปิดร้าน 4 ปี วัตต์เริ่มทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรไอน้ำด้วยการแนะนำของเพื่อนของวัตต์เองคือศาสตราจารย์จอห์น โรบินสัน (John Robison) ขณะนั้นเขายังไม่เคยรู้จักกลไกเครื่องจักรไอน้ำเลย แต่ก็มีความสนใจมาก และได้พยายามลองสร้างจากเครื่องจักรต้นแบบ ซึ่งผลไม่น่าพอใช้ แต่ก็ยังมุทำงานต่อไปและเริ่มศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเท่าที่จะทำได้ และก็ได้ค้นพบด้วยตนเองเกี่ยวกับ นัยสัมพันธ์ของ ความร้อนแฝง (latent heat) ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเครื่องจักร โดยไม่รู้ว่าแบล็คได้ค้นพบอย่างโด่งดังไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#7", "text": "ในปีพ.ศ. 2306 วัตต์ได้ทราบว่ามหาวิทยาลัยกลาสโกว์เป็นเจ้าของเครื่องจักรไอน้ำต้นแบบของ นิวโคเมน (Newcomen engine) ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้น แต่เครื่องต้นแบบถูกส่งไปซ่อมพัฒนาที่ลอนดอน ซึ่งทำให้วัตต์ได้แนวทางที่จะปรับปรุงต่อจากเครื่องจักรที่ขนาดใหญ่แต่ทำงานล่าช้านี้ ให้กะทัดรัดขึ้นและให้ทำงานได้แบบต่อเนื่อง(ไม่มีจังหวะนิ่ง) วัตต์จึงร้องขอให้มหาวิทยาลัยนำเครื่องจักรต้นแบบดังกล่าวกลับมาให้เขาซ่อมเองโดยไม่คิดค่าตอบแทน", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "42694#0", "text": "วัตต์ (watt, สัญลักษณ์ W) เป็นหน่วยเอสไอของกำลัง ตั้งชื่อตามเจมส์ วัตต์ ตัวอย่างพลังงานในหน่วยวัตต์ เช่น หลอดไฟที่ใช้ตามบ้านใช้ 100 วัตต์ ขณะที่เขื่อนฮูเวอร์ผลิตไฟฟ้าได้สองพันล้านวัตต์", "title": "วัตต์" }, { "docid": "84652#20", "text": "เนื่องจากอันตรายจากหม้อน้ำระเบิดและรอยรั่วที่จะตามมา วัตต์จึงถูกคัดค้านในครั้งแรกที่จะใช้ไอน้ำความดันสูง ซึ่งจำเป็นสำหรับเครื่องจักรของเขาที่ใช้ไอน้ำใกล้ความดันบรรยากาศ (atmospheric pressure) (14.7 ปอนด์/นิ้ว2) (แต่ความสำเร็จในการใช้ไอน้ำแรงดันสูงเกิดขึ้นในภายหลังโดย โอลิเวอร์ อีวานส์ (Oliver Evans) และ ริชาร์ด เทรวิทิค (Richard Trevithick) ในชื่อ เครื่องจักรไอน้ำแบบชาวคอร์นิช (Cornish engines) ซึ่งใช้ วาล์วนิรภัย ซึ่งทำหน้าที่ปล่อยความดันที่เกินออก)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#43", "text": "วิทยาลัยเจมส์วัตต์ (James Watt College) ในกรีนนอค ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาและเป็นสัญลักษณ์สถานที่เกิดของเขา โดยมีอนุสาวรีย์รูปประติมากรรมของเขาที่หน้าอาคาร วิทยาลัยวัตต์ได้ขยายบริเวณจากเดิม ทั้งลานมหาวิทยาลัย ในกิลวินนิง Kilwinning (นอรธ เอียร์ไชร์), ถนนฟินนาร์ทกับทำนบกั้นน้ำ ในกรีนนอค, และลานกีฬา ในลาร์กส์ (Largs) มหาวิทยาลัยแฮเรียต-วัตต์ (Heriot-Watt University) ใกล้เอดินเบอระ เดิมใช้ชื่อ สถาบันวัตต์และโรงเรียนศิลปะ แล้วรวมเข้ากับ โรงเรียนจอร์จ แฮเรียท ในโรงพยาบาลจอร์จ เฮอร์เรียต โรงพยาบาลเด็กกำพร้ายากไร้ (George Heriot's Hospital for needy orphans) และเปลี่ยนชื่อเป็นวิทยาลัยแฮเรียท-วัตต์ ต่อมาพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัย มีอาคารวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยอีก 12 แห่ง (ที่ตั้งของภาควิชาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ได้ถูกตั้งชื่อตามชื่อของเขา มีบรรดารูปประติมากรรมของเขาทั้งใน จตุรัสจอร์จ (George Square), กลาสโกว์ (Glasgow) และ ถนนพริ้นเซส สตรีท (Princes Street) เอดินเบอระ (Edinburgh) ภาพวาดขนาดใหญ่ชื่อ เจมส์ วัตต์ พินิจเครื่องจักรไอน้ำ (James Watt contemplating the steam engine) โดย เจมส์ เอคฟอร์ด ลาวเดอร์ (James Eckford Lauder) ปัจจุบันเป็นของ หอศิลป์แห่งชาติสกอตแลนด์ (National Gallery of Scotland) วัตต์<b data-parsoid='{\"dsr\":[21419,21439,3,3]}'>ได้อันดับที่ 1 เสมอกับ โทมัส เอดิสัน จากรายชื่อ 229 บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี ในหนังสือ ความสำเร็จของมนุษย์ (human accomplishments) โดย ชาร์ลส เมอร์เรย์ (Charles Murray) และได้อันดับที่ 22 จากรายชื่อในหนังสือ 100 รายชื่อบุคคลผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย ไมเคิล ฮ. ฮาร์ท (Michael H. Hart's The 100, list of the most influential figures in history)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#23", "text": "วัตต์เกษียณตัวเองเมื่อ พ.ศ. 2343 (1800) ปีเดียวกับที่สิทธิบัตรของเขาและทะเบียนห้างหุ้นส่วนที่ร่วมกับโบลตันหมดอายุ เขาโอนหุ้นของห้างหุ้นส่วนให้บุตร แล้วโบลตัน, เจมส์ วัตต์ จูเนียร์ กับ เมอร์ดอช ได้หาหุ้นส่วนเพิ่มและทำให้กิจการมั่นคง วัตต์ยังคงทำงานประดิษฐ์ติดพันต่ออีกหลังเกษียณ เช่น คิดค้นวิธีใหม่ในการวัดระยะทางด้วยกล้องโทรทรรศน์, ประดิษฐ์เครื่องคัดลอกจดหมาย, ปรับปรุงตะเกียงน้ำมันก๊าด, เครื่องจักรไอน้ำรีดผ้า (mangle) และเครื่องจักรแกะลอกงานแกะสลัก", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#27", "text": "วัตต์กับโบลตัน ต่อสู้แข่งขันกับวิศวกร เช่น โจนาทาน ฮอร์นโบลเวอร์ ผู้พยายามพัฒนาเครื่องจักร แต่ไม่มีสิทธิบัตรให้วิจารณ์", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#11", "text": "วัตต์จดสิทธิบัตรเครื่องจักรไอน้ำนี้ในชื่อ เครื่องสันดาปแยก (separate condenser)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "44091#8", "text": "ต่อมา เจมส์ วัตต์ () ได้พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำจากแบบของนิวโคเมน และ ได้จดสิทธิบัตร เครื่องจักรไอน้ำแบบวัตต์ ซึ่งทำงานเรียบกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า ", "title": "เครื่องจักรไอน้ำ" }, { "docid": "84652#14", "text": "แม้ว่า ข้อเหวี่ยง (crank) ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่มีเหตุผลเพื่อแปลงหนี้ของห้างหุ้นส่วนวัตต์แอนด์โบลตันที่ถูกเบียดบังเพราะการจดสิทธิบัตรสิ่งนี้ โดยผู้ถือหุ้น จอห์น สตีด และเพื่อน ก็เสนอแนะให้จดสิทธิบัตรแบบพ่วง (cross-licensing) กับเครื่องสันดาปภายนอก (external condensor) แต่วัตต์คัดค้านเสียงแข็ง (เพราะเป็นการเอาเปรียบผู้ใช้เครื่องจักรไอน้ำ) แล้วพวกเขาก็จดสิทธิบัตรจำกัดเพียง เฟืองสุริยะ (sun and planet gear) [2] เท่านั้น เมื่อ พ.ศ. 2324 (1781)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#40", "text": "ชื่อสกุล ได้ถูกตั้งเป็นชื่อหน่วย วัตต์ หน่วยเทียบกำลังการทำงานของเครื่องไฟฟ้า ในระบบหน่วยเอสไอ ชื่อสกุล ได้ถูกตั้งเป็นชื่อถนน ทั้ง roads และ streets มากกว่า 50 สายในสหราชอาณาจักร ได้ถูกตั้งเป็นชื่อของ 1 ใน 8 พลอยอนุสรณ์ มูนสโตนแห่งสมาคมจันทรา (Lunar Society Moonstones) บนผิวถนนเควสเลตต์ Queslett Road ในเบอร์มิงแฮม สถานที่และถนนหลายแห่งในกรีนนอคตั้งชื่อตามชื่อของเขา โบสถ์เซนต์แมรี (St. Mary's Church) ในเบอร์มิงแฮม ที่ฝังศพเขา ได้ขยายโบสต์เพื่อครอบหลุมศพของเขาไว้ภายใน ในเบอร์มิงแฮม มีรูปประติมากรรมของเขาที่ตั้งโดดๆ 3 แห่ง แห่งแรกเป็นรูปประติมากรรมสามสหาย (โบลตัน วัตต์ และเมอร์ดอช) แห่งที่สองอยู่ใน จตุรัสแชมเบอร์เลน (chamberlain) ใกล้หอสมุดกลางเบอร์มิงแฮม และอีกแห่งอยู่ภายนอก ศาล เอกสารต้นฉบับของเขาจำนวนมากได้รับการเก็บรักษาใน หอสมุดกลางเบอร์มิงแฮม (Birmingham Central Library) บ้านโซโฮ (Soho House) บ้านของมัทธิว โบลตัน ซึ่งขณะนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ระลึกผลงานของทั้งสอง ในกรีนนอค มีรูปประติมากรรมใกล้สถานที่เกิดของเขา", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#3", "text": "ในที่สุด วัตต์พ้นทางตันโดยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ให้โอกาสวัตต์ทำงานในตำแหน่ง พนักงานผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ช่างซ่อมเครื่องมือ) ทำหน้าที่ดูแล ประดิษฐ์และซ่อมบำรุงเครื่องมือ เครื่องจักร สื่อการสอน โดยได้รับค่าจ้างปีละ 35 ปอนด์ วัตต์ได้ตั้งร้านและโรงงานขนาดเล็กภายในมหาวิทยาลัยนั้นเองเมื่อปี พ.ศ. 2300 ซึ่งหนึ่งในศาสตราจารย์เหล่านั้น โจเซฟ แบล็ค (Joseph Black) นักฟิสิกส์เคมีชาวสกอตซึ่งเป็นผู้ค้นพบว่าอากาศประกอบด้วยสารหลายชนิดและค้นพบก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทและที่ปรึกษาของเขา", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#5", "text": "พ.ศ. 2307 (1764) วัตต์แต่งงานกับ มาร์กาเรต มิลเลอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง มีลูกด้วยกัน 5 คน แต่ตายเสียแต่ยังเด็ก 3 คน และภรรยาของวัตต์ก็ตายในการคลอด พ.ศ. 2316 (1773) ในปีพ.ศ. 2319 เขาแต่งงานอีกครั้งกับ แอนน์ แม็คเกรเกอร์ ลูกสาวของช่างย้อมสีในกลาสโกว์ผู้ช่วยชีวิตเขา", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#13", "text": "การสั่งซื้อมากขึ้นเป็นเทน้ำเทท่า ตลอด 5 ปีถัดไป วัตต์ยุ่งอยู่กับการติดตั้งเครื่องจักรมากขึ้นๆ ส่วนใหญ่จากตำบล คอร์นวอลล์ (Cornwall) สั่งซื้อเครื่องสูบน้ำในเหมือง วัตต์ได้ลูกจ้างคนสำคัญคือ วิลเลียม เมอร์ดอช (William Murdoch) ซึ่งเป็นกำลังสำคัญและต่อมาได้ร่วมถือหุ้นกับพวกเขา ขอบข่ายงานประยุกต์สิ่งประดิษฐ์กว้างขวางขึ้นอย่างมาก หลังจากโบลตันแนะนำให้วัตต์แปลง การเคลื่อนไหวแบบสวนทาง ของลูกสูบ ให้ทำงานแบบหมุน เพื่อการโม่, การทอ และการสีข้าว", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#48", "text": "เหรียญเจมส์ วัตต์ อินเตอร์เนชันแนล (James Watt International Medal) เครื่องจักรไอน้ำ เครื่องจักรไอน้ำแบบวัตต์ (Watt steam engine) เฟืองสุริยะ (sun and planet gear)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#46", "text": "มิใช่เพื่อเก็บชื่อไว้นานกาล ซึ่งยืนยาวเพียงชั่วสันติภาพศิลปวิทยายังโบกสะบัด แต่เพื่อแสดงว่า มนุษยชาติได้รับรู้ เพื่อยกเกียรติยศ แด่ผู้ซึ่งสมควรได้รับการยกสำนึกคุณสูงสุด อันกษัตริย์ รัฐมนตรี เหล่าข้าขุนนางในพระองค์ แลปวงชนทั่วหล้า ขอยกอนุสาวรีย์นี้ขึ้นแด่ เจมส์ วัตต์ ผู้ซึ่งชี้นำแรงแห่งอัจฉริยะหามีใครเสมือน ฝึกฝนมาแต่วัยหนุ่ม ค้นคว้าศิลปะวิทยาการเพื่อพัฒนา เครื่องจักรไอน้ำ ขยายทรัพยากรแห่งประเทศของเขา เพิ่มพูนขุมกำลังแห่งมนุษย์ แลอุทัยสู่สรวงอันสูงส่ง ท่ามกลางบรรดาผู้เจริญตามเรืองนามที่สุดแห่งวิทยาศาสตร์ และผู้ทำคุณประโยชน์แท้แห่งโลก ชาตะ กรีนนอค 1736 มรณะ ฮีธฟิล์ด, สตัฟฟอร์ดไชร์ 1819", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#49", "text": "หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2279 จเจมส์ วัตต์ จเจมส์ วัตต์ จเจมส์ วัตต์ หมวดหมู่:นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#38", "text": "งานอุตสาหกรรมพ้นจากอุตสาหกรรมชนบท เป็นผลให้เศรษฐกิจเพิ่มมาตราส่วน เมืองหลวงสามารถทำงานได้ประสิทธิภาพมากขึ้น และกระบวนการผลิตก็ได้รับการพัฒนาขนานใหญ่ ทำให้เกิดการต่อยอดการคัดสรร เครื่องจักรกล(machine tools)ใหม่ๆ ที่ใช้ผลิตได้ดีกว่า รวมถึง เครื่องจักรไอน้ำแบบวัตต์ (Watt steam engine)", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#26", "text": "เจมส์ วัตต์ มีชีวิตอยู่ระหว่างสมัยต้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศในสมัยอยุธยา และ ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ใน สมัยรัตนโกสินทร์", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#35", "text": "วัตต์ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำจากเครื่องจักรนิวโคเมน ซึ่งแทบไม่พัฒนามา 50 ปี ให้เป็นแหล่งพลังที่เปลี่ยนโลกแห่งงานอุตสาหกรรม และเป็นกุญแจนำมาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ถือเป็นมรดกแก่มนุษย์ชาติ", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "84652#25", "text": "เจมส์ วัตต์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2362 ที่บ้านของเขาในย่าน ฮีทฟิลด์ แถบ แฮนด์สวอร์ท (Handsworth) ของ เวสต์มิดแลนด์ส ใน สตัฟฟอร์ดไชร์ ขณะอายุ 83 ปี ภรรยาของเขาตายหลังจากนั้น 13 ปี", "title": "เจมส์ วัตต์" }, { "docid": "46203#4", "text": "ในเวลาเดียวกันนี้ฟุลตันได้มีจดหมายถึงเจมส์ วัตต์เจ้าของบริษัท \"บูลตันและวัตต์\"ในอังกฤษสั่งซื่อเครื่องจักรไอน้ำสำหรับติดตั้งในเรือของเขา และฟุลตันได้กลับไปอังกฤษอีกในปี พ.ศ. 2347 หลังจาก\"ซีมิงตัน\"ได้สร้างเรือจูงที่สามารถลากเรือบรรทุกสินค้าหนัก 70 ตันไปตามคลองเป็นการแสดงถึงความเป็นไปได้ในการใช้งานจริง แม้ฟุลตันจะไม่เคยเห็นเรือจูงลำนี้ แต่เขาก็ได้มีจดหมายโต้ตอบกับ\"เฮนรี เบลล์\"ที่แสดงท่าทีสนใจเรือของเขา ในเวลาเดียวกันที่ฟุลตันกำลังทดลองตอร์ปีโดเขาก็ได้ติดต่อกับ\"วิลเลียม เมอร์ดอช\"เกี่ยวกับรายละเอียดทางเทคนิคของเครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ที่เขาสั่งซื้อ เมื่อเครื่องจักรสร้างเสร็จฟุลตันก็ขนส่งไปนิวยอร์กและตัวฟุลตันเองก็ได้เดินทางกลับถึงนิวยอร์กเมื่อ พ.ศ. 2349 จัดสร้างตัวเรืออย่างเหมาะสม ติดตั้งเครื่องจักรไอน้ำกลายเป็นเรือกลไฟจักรข้างเพื่อการพาณิชย์ลำแรกของโลก", "title": "โรเบิร์ต ฟุลตัน" } ]
40
พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เกิดเมื่อใด ?
[ { "docid": "37927#1", "text": "พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 35 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาวาด ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2424 ขณะทรงพระเยาว์เริ่มศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" } ]
[ { "docid": "79395#0", "text": "อุโมงค์ขุนตาน เป็นอุโมงค์ทางรถไฟลอดผ่านที่ยาวที่สุดในประเทศไทย จากจำนวนทั้งสิ้น 7 อุโมงค์มีความยาวถึง 1,352.10 เมตร (1 กิโลเมตร 352 เมตร 10 เซนติเมตร) ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล ระหว่างอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง กับอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2450 แล้วเสร็จ พ.ศ. 2461 โดยการรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม ที่มีพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยาการ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินเป็นผู้บัญชาการ และมีนายช่างชาวเยอรมันชื่อ เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 11 ปี ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 1,362,050 บาท ", "title": "อุโมงค์ขุนตาน" }, { "docid": "179409#1", "text": "หม่อมเจ้าโสภณภราไดย เสกสมรสกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2473 มีโอรสคือ หม่อมราชวงศ์พรรธนภณ สวัสดิวัฒน์ (นามเดิม หม่อมราชวงศ์ฉัตรโสภณ สวัสดิวัตน์) ", "title": "หม่อมเจ้าโสภณภราไดย สวัสดิวัตน์" }, { "docid": "50380#0", "text": "สถานีกำแพงเพชร (, รหัส BL12) เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในเส้นทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ที่ถนนกำแพงเพชร กรุงเทพมหานคร ใช้ชื่อตามถนนกำแพงเพชร ซึ่งตั้งตามพระนามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ตั้งอยู่ใจกลางแหล่งค้าขายที่สำคัญคือตลาดนัดจตุจักร ตลาดกลางองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และตลาดสัตว์เลี้ยง องค์การส่งเสริมกิจการโคมนมแห่งประเทศไทย", "title": "สถานีกำแพงเพชร" }, { "docid": "74178#1", "text": "ครั้นวันรุ่งขึ้น วันที่ 8 มีนาคม 2448 ร.5 ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ตั้งหม่อมเจ้า บุตรีในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล เป็นพระองค์เจ้าตามพระมารดา ตามกฎมณเฑียรบาลราชประเพณีที่มีมา โดยทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเป็น พระหลานเธอ พระองค์เจ้า ทั้งสายที่จะร่วมพระครรภ์สืบไป ", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร" }, { "docid": "45090#2", "text": "เจ้าลดาคำ เสกสมรสครั้งแรกกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระธิดาสององค์ได้แก่", "title": "เจ้าลดาคำ ณ เชียงใหม่" }, { "docid": "307814#0", "text": "ตราบุรฉัตร เป็นตราวงกลมทำจากเหล็กหล่อสีแดงน้ำหมาก สร้างขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ในการที่พระองค์ทรงนำรถจักรดีเซลคันแรกมาใช้งานเมื่อปี พ.ศ. 2471 โดยตราบุรฉัตรจะติดข้างรถจักรดีเซลไฟฟ้าทุกคัน", "title": "ตราบุรฉัตร" }, { "docid": "46303#0", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร (27 มิถุนายน พ.ศ. 2464 — 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552) เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร" }, { "docid": "37927#8", "text": "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมกรมทางไปขึ้นกับกรมรถไฟหลวง โดยให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ทรงรับผิดชอบงานสร้างถนนและสะพานทั่วประเทศ เช่น สะพานกษัตริย์ศึก เป็นสะพานลอยข้ามทางรถไฟแห่งแรก และสะพานรัษฎาภิเศก จังหวัดลำปาง สะพานพุทธ สะพานพระราม 6", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" }, { "docid": "224450#0", "text": "หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร ณ อยุธยา (สกุลเดิม: สารสาส; 7 มิถุนายน พ.ศ. 2458 – 18 ตุลาคม พ.ศ. 2526) เป็นหม่อมในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล", "title": "หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร ณ อยุธยา" }, { "docid": "74181#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร (12 สิงหาคม พ.ศ. 2458 - 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2524) พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล ประสูติเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2458 ", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร" }, { "docid": "161510#5", "text": "ประยอม ซองทอง สมรสกับ หม่อมราชวงศ์อรฉัตร สุขสวัสดิ์ ธิดาหม่อมเจ้าประสมสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ โอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช กับ หม่อมเขียน และหม่อมเจ้าหญิงกาญจนฉัตร ฉัตรไชย ธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน กับ หม่อมเพี้ยน สุรคุปต์ มีบุตรธิดา 3 คน คือ", "title": "ประยอม ซองทอง" }, { "docid": "145693#0", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล (11 มิถุนายน พ.ศ. 2428 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506) เป็นพระธิดาพระองค์สุดท้องในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ กับหม่อมราชวงศ์สว่าง จักรพันธุ์ และเป็นพระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล" }, { "docid": "145693#3", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล เป็นพระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน มีพระโอรส 1 องค์ และ พระธิดา 3 องค์ ซึ่งพระโอรสธิดาที่ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล จะมีฐานันดรศักดิ์เป็น\"พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า\"ทั้งหมด", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล" }, { "docid": "573323#1", "text": "หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย ประสูติเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2472 เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธินกับหม่อมเผือด พึ่งรักวงศ์ พระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย" }, { "docid": "46303#1", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร มีพระนามเล่นว่า ตุ๊ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2464 พระองค์มีพระเชษฐภคินีและพระเชษฐา คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร, พระองค์เจ้าหญิง และพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร" }, { "docid": "184771#27", "text": "เป็นทรงแปดเหลี่ยมซ้อนกัน ก่ออิฐถือปูนทำผิวหินล้าง มีลายปั้นเป็นแบบรักร้อยห้องทั้ง 4 ด้าน บนสุดเป็นฉัตรโลหะ 5 ชั้นตามพระนาม ภายในบรรจุพระสรีรางคารของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน (ในเจ้าจอมมารดาวาด กัลยาณมิตร) พระชายา พระโอรสและพระธิดา ในสายราชสกุลฉัตรไชย", "title": "สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "237529#1", "text": "หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย เสกสมรสกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล มีบุตรและธิดา คือหม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย สิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2501 สิริพระชันษา 44 ปี", "title": "หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย" }, { "docid": "37927#7", "text": "การดำเนินกิจการรถไฟในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงให้ชาวต่างประเทศเป็นผู้ควบคุมการบริหารกิจการทั้งหมด กระทั่งปี พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร รักษาการตำแหน่งเจ้ากรมรถไฟสายเหนือ ในปี พ.ศ. 2460 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกรมรถไฟสายเหนือกับสายใต้เข้าเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า \"กรมรถไฟหลวง\" และให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง และทรงบุกเบิกพัฒนากิจการต่างๆ ของกรมรถไฟหลวง ขยายเส้นทางเดินรถไฟสายเหนือและสายใต้เข้าด้วยกัน สายตะวันออกเฉียงเหนือทรงสร้างทางรถไฟจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี สายตะวันออกจากฉะเชิงเทราถึงอรัญประเทศ และในปี พ.ศ. 2471 พระองค์ยังได้ทรงสั่งซื้อรถจักรดีเซล จำนวน 2 คัน (หมายเลข 21 และ 22) จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีกำลัง 180 แรงม้า เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่า รถจักรไอน้ำลากจูงขบวนรถไม่สะดวก และไม่ประหยัด อีกทั้งลูกไฟที่กระจายออกมาเป็นอันตรายต่อผู้โดยสาร และอาจทำให้เกิดไฟไหม้ไม้หมอนอีกด้วย ซึ่งรถจักรดีเซลทั้งสองคันดังกล่าว เป็นรถจักรดีเซลคันแรกในทวีปเอเชีย และถือว่าประเทศไทยนำรถจักรดีเซลเข้ามาใช้งานเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียด้วย [6]", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" }, { "docid": "748853#1", "text": "หม่อมราชวงศ์อรฉัตร เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2485 เป็นธิดาในหม่อมเจ้าประสมสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ กับหม่อมเจ้ากาญจนฉัตร ฉัตรชัย พระนัดดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ต้นราชสกุลฉัตรชัย และเป็นพระนัดดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช ต้นราชสกุลสุขสวัสดิ สำเร็จการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมรสกับประยอม ซองทอง บุตรของฮด กับมี ซองทอง มีบุตรธิดา 3 คน คือ", "title": "หม่อมราชวงศ์อรฉัตร ซองทอง" }, { "docid": "718212#3", "text": "ภายหลังการถึงแก่พิราลัยของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ในปี พ.ศ. 2465 เจ้าบุญสารเสวตร์ จึงได้รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจการอุตสาหกรรมป่าไม้ของเจ้าบิดาต่อเนื่องมา จนกระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกรมทางหลวง ภายใต้การบังคับบัญชาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน โดยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สร้างทางหลวงสายแพร่-น่าน", "title": "เจ้าบุญสารเสวตร์ ณ ลำปาง" }, { "docid": "37927#3", "text": "พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรเสด็จกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2447 ทรงรับราชการทหาร เหล่าทหารช่าง กรมยุทธนาธิการทหารบก ทรงดำรงตำแหน่งจเรทหารช่างพระองค์แรกในปี พ.ศ. 2451 และทรงดำรงตำแหน่งนี้เป็นระยะเวลา 17 ปี ทรงนำความรู้ในวิชาการทหารแผนใหม่ตามแบบอย่างประเทศตะวันตกมาปรับปรุงกิจการทหารช่าง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้วางรากฐานกิจการทหารช่างแผนใหม่ และกองทัพ", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" }, { "docid": "201004#14", "text": "ถนนเลียบโครงการโฮปเวลล์ หรือ โลคอลโรด เป็นถนนที่ก่อสร้างในเขตทางรถไฟ เส้นทางเลียบไปกับโครงสร้างของโครงการโฮปเวลล์ ก่อสร้างโดยงบประมาณของกรมทางหลวง เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2542 ส่วนเลียบทางรถไฟสายเหนือ-อีสาน มีชื่อเป็นทางการว่า ถนนกำแพงเพชร 5 และถนนกำแพงเพชร 6 และส่วนเลียบทางรถไฟสายตะวันออก มีชื่อเป็นทางการว่า ถนนกำแพงเพชร 7 ตั้งชื่อตามพระนามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน", "title": "โครงการโฮปเวลล์" }, { "docid": "608485#0", "text": "วิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย ถือกำเนิดขึ้นระยะแรก ราวปี พ.ศ. 2470-2472 โดยพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งทรงริเริ่มทดลองส่งวิทยุกระจายเสียง เป็นครั้งแรกในประเทศสยาม โดยทรงตั้งชื่อว่า “สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท” เนื่องจากส่งกระจายเสียงจากพระราชวังพญาไท และยังทรงมอบหมายให้กรมไปรษณีย์โทรเลข โดยกองช่างวิทยุ ดำเนินการทดลองส่งวิทยุกระจายเสียง เป็นการคู่ขนานกับสถานีส่วนพระองค์ โดยผู้ฟังนิยมเรียกว่า “สถานีวิทยุศาลาแดง” เนื่องจากสถานีส่งกระจายเสียง ตั้งอยู่ในบริเวณย่านที่เรียกว่าศาลาแดง และต่อมาสถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท เปิดกระจายเสียงอย่างเป็นทางการ เริ่มด้วยการถ่ายทอดเสียงสด กระแสพระราชดำรัส เนื่องในการพระราชพิธีฉัตรมงคล ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมื่อวันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร", "title": "วิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย" }, { "docid": "258035#3", "text": "จนกระทั่งปี พ.ศ. 2465 พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ผู้บัญาชาการการรถไฟในสมัยนั้น ได้สร้างขึ้นมีชื่อว่า \"โรงแรมรถไฟหัวหิน\" เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นใกล้กับสถานีรถไฟหัวหิน เป็นโรงแรมแรกที่สร้างขึ้นโดยคนไทย มีคนไทยเป็นผู้บริหารงานและเป็นโรงแรมที่เป็นโรงแรมริมชายหาด เปิดบริการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2466 ปัจจุบันเป็นโรงแรมในเครือเซ็นทารา", "title": "โรงแรมในประเทศไทย" }, { "docid": "573323#0", "text": "หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย (15 มิถุนายน พ.ศ. 2472 - 27 สิงหาคม พ.ศ. 2536) เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย" }, { "docid": "37927#0", "text": "นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระนามเดิม พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร (23 มกราคม พ.ศ. 2424 - 14 กันยายน พ.ศ. 2479) อดีตจเรทหารช่าง อดีตผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง อดีตเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม และ ผู้ริเริ่มการค้นหาปิโตรเลียมในประเทศสยามเป็นครั้งแรก", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" }, { "docid": "257786#0", "text": "ท่านผู้หญิงฉัตรสุดา วงศ์ทองศรี (นามเดิม: หม่อมเจ้าฉัตรสุดา ฉัตรไชย; เกิด: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2463 — ถึงแก่อนิจกรรม 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2539) เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน กับเจ้าลดาคำ ณ เชียงใหม่ ", "title": "ฉัตรสุดา วงศ์ทองศรี" }, { "docid": "608485#4", "text": "พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เสนาบดี กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ในรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มใ ห้มีการทดลองส่งวิทยุกระจายเสียง ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยปี พ.ศ. 2470 พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ได้ทรงซื้อเครื่องส่งวิทยุเข้ามาเพื่อศึกษายังที่ประทับของพระองค์เองคือวังบ้านดอกไม้ ทั้งศึกษาและทดลองเอาโทรศัพท์และเสียงเพลงมาส่งเสียงพูด พร้อมเสียงดนตรีกระจายออกไป", "title": "วิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย" }, { "docid": "74178#0", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร (7 มีนาคม พ.ศ. 2448 — 11 สิงหาคม พ.ศ. 2513) เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมลประสูติเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2448 เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล ", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร" } ]
1957
ศาสนาพุทธ มีที่มาจากประเทศไหน?
[ { "docid": "77973#0", "text": "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากศาสนาหนึ่งของโลก รองจากศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนาพุทธคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันสถานที่นี้ เรียกว่า พุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือเถรวาทและมหายาน", "title": "ประวัติศาสนาพุทธ" } ]
[ { "docid": "134657#0", "text": "ลัทธิอนุตตรธรรม ( \"อีก้วนเต้า\") ในประเทศไทยเรียกว่า วิถีอนุตตรธรรม เป็นศาสนาที่หวัง เจฺว๋อี ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีนสมัยราชวงศ์ชิงเมื่อปี ค.ศ. 1877 คำสอนเป็นการผสานความเชื่อระหว่างลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธแบบจีน ทั้งยังยอมรับขนบที่มาจากต่างประเทศ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามด้วย", "title": "ลัทธิอนุตตรธรรม" }, { "docid": "79071#4", "text": "ด้วยความที่ฟิลิปปินส์เคยเป็นอาณานิคมและเป็นเกาะ จึงมีผู้อพยพและเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ดังนั้นลักษณะพระพุทธศาสนาในประเทศฟิลิปปินส์ จึงจำแนกได้เป็น วัดและคณะสงฆ์ภายในฟิลิปปินส์ มีความเป็นเอกภาพเชิงกลุ่ม ที่ไม่ได้มีส่วนเกาะเกี่ยวกัน แต่อย่างใด เป็นความสัมพันธ์กับแบบหลวม ๆ ในกลุ่มสายมหายานที่มาจากประเทศจีน ส่วนในกลุ่มอื่น ๆ เช่น จากไต้หวัน กลุ่มฉือจี้ ก็มีเป้าหมายในการบริการสาธารณะ ด้านสาธารสุข และสวัสดิภาพชุมชน ผ่านกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ โดยไม่เน้นชาติ และภาษา และศาสนา ในปัจจุบันมีศูนย์ของฉือจี้ อยู่หลายแห่ง เช่น เมือง Zomboanga เป็นต้นEMail: [email protected] Director: Ven. Samten Phuntsok Rinpoche Teacher: His Holiness Kyabje Pema Norbu", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "85555#23", "text": "ท่านพระอาจารย์มั่น มีความละเอียดมากในการสอนลูกศิษย์ เวลาพระองค์ไหนป่วยแล้วขอยา ท่านจะว่า นี่จะเอาอะไรเป็นสรณะที่พึ่ง เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง หรือเอายาเป็นที่พึ่ง ถือเอาศาสนาพุทธหรือศาสนายากันแน่ แต่ถ้าองค์ไหนป่วย แล้วไม่ยอมฉันยา ท่านก็ติเตียนอีกว่า ยามี ทำไมไม่ยอมฉัน ทำไมทำตัวเป็นคนเลี้ยงยาก ฟังดูแล้วดูเหมือนลูกศิษย์ต้องโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่ความหมายของท่านคือ ขอปราบทิฏฐิของลูกศิษย์ในเรื่องนี้ เพราะความดีไม่ได้อยู่กับการฉันยาหรือไม่ฉันยา แต่อยู่กับการใช้ปัญญาพิจารณาทุก นั้นต่างหาก", "title": "พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต" }, { "docid": "140636#0", "text": "พระวิหารบาลโพธิสัตว์ หรือ พระสังฆารามโพธิสัตว์ เป็นกลุ่มของพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการยกย่องจากชาวพุทธมหายานในจีนว่าเป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนา ที่มาของพระโพธิสัตว์กลุ่มนี้มาจากเทพเจ้าดั้งเดิมก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้าไปถึง รวมทั้งบุคคลที่เมื่อมีชีวิตอยู่ได้อุปถัมภืพระศาสนาไว้มาก เมื่อตายไปจึงได้รับการยกย่องให้เป็นพระวิหารบาลโพธิสัตว์ รูปลักษณ์ของท่านมีหลากหลายตามแต่ความเชื่อของผู้สร้าง แต่นิยมสร้างเป็นรูปของเทพเจ้ากวนอูซะมากกว่า ในวัดพุทธมหายานแบบจีนจะตั้งรูปของท่านไว้คู่กับพระเวทโพธิสัตว์", "title": "พระวิหารบาลโพธิสัตว์" }, { "docid": "8184#72", "text": "คำว่า \"อรหันต์\" อ่าน \"อะ-ระ-หัน\" เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต ในทางพระพุทธศาสนา การบำเพ็ญตนเพื่อสำเร็จมรรคผลนั้นไม่เหมือนกัน จึงมีการแบ่งความสำเร็จในการเข้าถึงมรรคผลที่แตกต่างกัน การสำเร็จขั้นอรหันต์นั้นถือเป็นการสำเร็จขั้นสูงสุดของการบำเพ็ญตนเองในพระพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน สำหรับพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน การสำเร็จขั้นอรหันต์แบ่งออกเป็นขั้นพุทธโพธิสัตว์และขั้นอรหันต์ ซึ่งการสำเร็จมรรคผลในขั้นอรหันต์คือ จะต้องสามารถละกิเลสต่าง ๆ และสิ่งเศร้าหมองทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงด้วยคุณธรรมและพระพุทธศาสนา หลุดพ้นจากวงจรชีวิตการเวียนว่ายตายเกิด จึงเรียกว่าสำเร็จขั้นอรหันต์", "title": "วัดเส้าหลิน" }, { "docid": "8184#16", "text": "Template:CJKV) ในภาษาจีนกลาง จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ วัดเส้าหลิน ในยุคสมัยบุกเบิกยังไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ภายหลังจากสร้างขึ้นมาได้ประมาณ 32 ปี ในปี พ.ศ. 1070 พระโพธิธรรมเถระหรือตั๊กม้อ (สำเนียงแต้จิ๋ว หรือ ต๋าหมอในสำเนียงจีนกลาง คำเรียกในภาษาจีนทั้งสองสำเนียงมาจากคำว่า (โพธิ)\"ธรรมะ\" ในภาษาสันสกฤต )พระภิกษุจากประเทศอินเดีย ได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนานิกายเซนที่วัดเส้าหลินเป็นครั้งแรก[14] อีกทั้งแลเห็นว่าวัดเส้าหลินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีความสงบร่มรื่น เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมตามนัยของพุทธศาสนานิกายเซน (เซน เป็นสำเนียงญี่ปุ่น ตรงกับคำว่า ฉาน ในสำเนียงจีนกลาง หรือ เซี้ยง ในสำเนียงแต้จิ๋ว รากศัพท์มาจากคำว่า ธยานะ ในภาษาสันสกฤต หรือ ฌาน ในภาษาบาลีนั่นเอง) ปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงเข้าพำนักและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์แรก ทำให้ชื่อเสียงของวัดเส้าหลิน อยู่ในฐานะเป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธนิกายเซนในประเทศจีน กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น[15]", "title": "วัดเส้าหลิน" }, { "docid": "38809#23", "text": "Edicts of Ashoka - พระบรมราชโองการของพระเจ้าอโศกเป็นจารึกมี 33 ชุด collection บนเสาศิลาของพระเจ้าอโศก Pillars of Ashoka เช่นเดียวกับบนแผ่นหินและบนผนังถ้ำ ซึ่งจารึกขึ้นในช่วงยุคของรัชกาลของพระองค์ จารึกเหล่านี้ถูกพบแพร่กระจายอยู่ทั่วประเทศปากีสถานและประเทศอินเดียในทุกวันนี้ แสดงหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่ามีอยู่จริงครั้งแรกของพระพุทธศาสนา พระบรมราชโองการยังอธิบายรายละเอียดการออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางครั้งแรกผ่านการสนับสนุนจากหนึ่งในพระมหากษัตริย์ทรงอำนาจสูงสุดในประวัติศาสตร์ของชาวอินเดีย และแสดงข้อมูลที่มากมายของเจ้าหน้าที่ข้าราชการของพระเจ้าอโศกรวมไปถึงศีลธรรมคุณธรรมศีลธรรมทางศาสนาและพระราชดำริของพระองค์เกี่ยวกับสังคมและสวัสดิภาพความปลอดภัยของสัตว์", "title": "พระเจ้าอโศกมหาราช" }, { "docid": "840064#1", "text": "จากที่มาที่ปรากฎในพระไตรปิฎกของคติพุทธศาสนาเถรวาทนี้ พุทธศาสนิกชนของศาสนาพุทธเถรวาทได้ใช้เป็นคำอาธนาธรรมในพิธีการของคติพุทธศาสนาเถรวาทสืบมา ฯ .", "title": "ท้าวสหัมบดีพรหม" }, { "docid": "188033#0", "text": "นิกายสุขาวดี (; , \"Jōdokyō\"; , \"jeongtojong\"; ) เป็นนิกายในศาสนาพุทธที่ตั้งขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน แม้จะมีกำเนิดมาจากพระสูตรที่มาจากประเทศอินเดีย แต่ในอินเดียไม่ได้เป็นนิกายเอกเทศ นิกายนี้พระฮุ่นเจียงตั้งขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 9 สมัยราชวงศ์ตั้งจิ้น คำสอนของท่านเน้นการเจริญพุทธสติถึงพระอมิตาภพุทธะและปรารถนาไปเกิดในแดนสุขาวดี ในจีนเรียกนิกายนี้ว่า นิกายวิสุทธิภูมิ (จิ้งถู่จง)", "title": "สุขาวดี (นิกาย)" }, { "docid": "36010#12", "text": "แม้ว่าจะเป็นจักรวรรดิอิสลาม แต่ราชอาณาจักรมะตะรัมก็ยังรักษาหน่วยเดิมที่มาจากวัฒนธรรมเก่าไว้และพยายามรวมเข้ากับศาสนาใหม่ จึงเป็นเหตุผลที่ยังคงมีการใช้อักษรชวาอยู่ ในขณะที่อักษรดั้งเดิมของภาษามลายูเลิกใช้ไปตั้งแต่เหลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม โดยหันไปใช้อักษรที่มาจากอักษรอาหรับแทน ในยุคที่ศาสนาอิสลามกำลังรุ่งเรืองราวพุทธศตวรรษที่ 21 ได้เกิดภาษาชวาใหม่ขึ้น มีเอกสารทางศาสนาอิสลามฉบับแรกๆ ที่เขียนด้วยภาษาชวาใหม่ ซึ่งมีคำศัพท์และสำนวนที่ยืมมาจากภาษาอาหรับมาก ต่อมาเมื่อได้รับอิทธิพลจากภาษาดัตช์และภาษาอินโดนีเซีย ทำให้ภาษาชวาพยายามปรับรูปแบบให้ง่ายขึ้น และมีคำยืมจากต่างชาติมากขึ้น\nนักวิชาการบางคนแยกภาษาชวาที่ใช้พูด ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 25 ว่าเป็นภาษาชวาสมัยใหม่ แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นภาษาเดียวกับภาษาชวาใหม่", "title": "ภาษาชวา" }, { "docid": "762111#0", "text": "ศาสนาพุทธแบบเนวาร () คือพุทธศาสนานิกายวัชรยานรูปแบบหนึ่งที่ปฏิบัติในหมู่ชาวเนวาร ชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณหุบเขากาฐมาณฑุในประเทศเนปาล ซึ่งพัฒนากลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งในวิถีของชาวเนวาร มีเอกลักษณ์พิเศษคือไม่มีสังคมสงฆ์ มีการจัดชั้นวรรณะและมีลำดับการสืบสายบิดาตามแบบชาวเนวาร แม้ศาสนาพุทธแบบเนวารจะไม่มีพระสงฆ์แต่จะมีปุโรหิตที่เรียกว่าคุรุชุเป็นสื่อกลางในการประกอบพิธีกรรม บุคคลที่มาจากตระกูลวัชราจารยะหรือพัชราจารยะ () จะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแก่ผู้อื่น และตระกูลศากยะ () จะประกอบพิธีกรรมที่ส่วนใหญ่มักทำภายในครอบครัว โดยศาสนาจะได้รับการอุปถัมภ์จากคนวรรณะอุราย () และคนในวรรณะดังกล่าวยังอุปถัมภ์ศาสนาพุทธแบบทิเบต นิกายเถรวาท หรือแม้แต่นักบวชญี่ปุ่นด้วย", "title": "ศาสนาพุทธแบบเนวาร" }, { "docid": "27880#48", "text": "นายธรรมทาสเขามีนิสัยอยากส่งเสริมพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ตั้งแต่ตอนที่เขาไปเรียนเตรียมแพทย์ที่จุฬาฯ (พ.ศ. 2469) เขาไปพบบทความเกี่ยวกับการเผยแผ่พุทธศาสนาทางสมาคมมหาโพธิ ของธรรมปาละ และหนังสือยังอิสต์ ของญี่ปุ่น ได้เร้าใจให้เขาเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา และหาหนังสือทางพุทธศาสนามาจากหอสมุดนั้นมาอ่านเสมอ พอกลับมาบ้าน (พ.ศ. 2470) ก็มาตั้งหีบหนังสือให้คนอื่นอ่านกันในเวลาต่อมา (พ.ศ. 2472) รวบรวมหนังสือธรรมะที่หาได้ในสมัยนั้น รวมทั้ง เทศนาเสือป่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ไทยเขษม วิสาขะ เป็นต้น ก็ก่อหวอดให้เกิดความสนใจในหมู่คนแถวนั้น ไม่กี่คนหรอก จับกลุ่มสนทนากันเรื่องจะทำพุทธศาสนาให้มันบริสุทธิ์ ให้มันถูกต้องอย่างไร ต่อมาคนเหล่านี้ก็เป็นกำลังตั้งสวนโมกข์และคณะธรรมทาน มีนายเที่ยง จันทเวช นายดาว ใจสะอาด นายฉัว วรรณกลัด นายเนิน วงศ์วานิช นายกวย กิ่วไม้แดง เป็นตัวตั้งตัวตี นายธรรมทาสเขาได้รู้จักกับชาวลังกาชื่อสิริเสนา ที่มาพักอยู่ที่บ้านท่าโพธิ์ จึงได้รู้เรื่องกิจการของสมาคมมหาโพธิ และอนาคาริกะธรรมปาละ ซึ่งพยายามฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกาและอินเดีย นายธรรมทาสเขาก็มีจดหมายติดต่อรับหนังสือมหาโพธิ ต่อมาก็รับ บริติชบุดดิสต์ ของสมาคมมหาโพธิ ลอนดอน บุดดิสต์ อิน อิงแลนด์ และ บุดดิสต์ แอนนวล ออฟซีลอน ทำให้เขารู้ว่าข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพุทธศาสนาในต่างประเทศ[3]", "title": "พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ)" }, { "docid": "38809#1", "text": "ประมาณ พ.ศ. 283 หรือ 260 ปีก่อนคริสตกาลพระเจ้าอโศกทำสงครามทำลายล้างอย่างยืดเยื้อกับแคว้นกาลิงคะ(รัฐโอริศาในปัจจุบัน)พระองค์เอาชนะแคว้นกาลิงคะได้ซึ่งไม่เคยมีบรรพบุรุษของพระองค์ทำได้มาก่อนนักวิชาการบางคนบรรยายว่าพระองค์นับถือศาสนาเชนเหมือนบรรพบุรุษแต่ก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าพระองค์ยอมรับศาสนาพุทธตำนานบอกว่าพระองค์เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธหลังจากประสบพบเห็นกับคนตายที่มากมายในสงครามแคว้นกาลิงคะ พระองค์เองไม่รู้สึกยินดีกับความต้องการแห่งชัยชนะ พระเจ้าอโศกคำนึงคิดถึงสงครามแคว้นกาลิงคะ ซึ่งผลของสงครามมีคนตายมากกว่า 100,000 คน และ 150,000 คนถูกจับเป็นเชลยศึก สุดท้ายตายประมาณ 200,000 คน พระเจ้าอโศกเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธประมาณ 263 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ให้บันทึกพระบรมราชโองการไว้บนเสาศิลาเรียกว่าเสาอโศก และส่งสมณทูตเพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศศรีลังกาและเอเชียกลาง ให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานสำคัญในช่วงชีวิตของพระพุทธเจ้าขึ้นมากมายซึ่งเรียกว่าสังเวชนียสถาน", "title": "พระเจ้าอโศกมหาราช" }, { "docid": "437136#4", "text": " ความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ 5000 ปี แล้วจักเสื่อมสลาย มีที่มาจากคัมภีร์จตุตถสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย จุลลวรรค ว่าด้วยภิกขุนิกขันธกวรรณนา ซึ่งคัมภีร์นี้แต่งโดยพระเถระชาวชมพูทวีปในสมัยหลังพุทธกาล เพื่ออธิบายความในพระวินัยปิฎก ซึ่งเป็นอัตตโนมติสำหรับการศึกษาเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎกเท่านั้น อย่างไรก็ดี ในพระบาลีพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ว่าศาสนาพุทธจะมีอายุ 5000 ปี หรือกำหนดปีแห่งการสิ้นสุดของศาสนาพุทธหรือพระธรรมวินัยไว้ แม้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2 ตอนว่าด้วยครุธรรม 8 ประการของภิกษุณี ที่ผู้แต่งคัมภีร์จตุตถสมันตปาสาทิกานำมาอธิบายความ ก็ไม่ได้มีเนื้อความที่ทรงกำหนดปีสิ้นสุดของพระพุทธศาสนาไว้แต่ประการใด ดังนั้นคำว่ากึ่งพุทธกาล หรือความเชื่อว่าศาสนาพุทธจักสิ้นใน 5000 ปีหลังพุทธปรินิพพาน จึงเป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่ยึดเอามติของผู้เขียนคัมภีร์สมัยหลังพระบาลีที่เป็นคัมภีร์อื่นนอกเหนือจากพระไตรปิฎกเป็นสำคัญ ซึ่งในทางวิชาการพุทธศาสนาเถรวาทถือว่าโต้แย้งได้", "title": "งานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ" }, { "docid": "310316#1", "text": "ในประเทศไทยนั้น ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายถือว่าเป็นประเพณีหนึ่งที่มีที่มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยตรง โดยคนไทยผูกโยงประเพณีนี้เข้ากับคติความเชื่อเรื่องเวรกรรมในพระพุทธศาสนา มีการก่อพระเจดีย์ทรายถวายวัดเพื่อนำเศษดินทรายที่ติดเท้าออกจากวัดไปมาคืนวัดในรูปพระเจดีย์ทราย และเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้เป็นกุศลอานิสงส์ และนอกจากประเพณีเพื่อเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังเป็นกุศโลบายของคนในอดีตให้มีการรวมตัวของคนในชุมชนเพื่อร่วมกันจัดประเพณีรื่นเริงเป็นการสังสรรค์สร้างความสามัคคีของคนในชุมชนด้วย", "title": "ประเพณีก่อเจดีย์ทราย" }, { "docid": "769430#0", "text": "สมเด็จพระมหาสุเมธาธิบดี (ชวน ณาต โชตญาโณ) (; ; ค.ศ. 1883–1969) อดีตสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคณะสงฆ์มหานิกาย อดีตเจ้าอาวาสวัดอุณาโลมในกรุงพนมเปญ เป็นพระสงฆ์นักปราชญ์ที่บทบาทในการนิพนธ์หนังสือและองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาจำนวนมาก เช่น พจนานุกรมเขมร แต่งเพลงชาติกัมพูชา มีบทบาทด้านการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนา บาลี โดยเฉพาะตัวท่านเองมีความรู้หลายภาษา เช่น บาลี สันสกฤต อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย เป็นต้น เป็นพระผู้มีบทบาทในการก่อตั้งสถาบันพุทธศาสนาบัณฑิต () ซึ่งก่อตั้งโดยฝรั่งเศสและมีเป้าหมายเพื่อการปกป้องอิทธิพลสยามที่มาพร้อมกับพุทธศาสนานิกายธรรมยุติกนิกายในประเทศกัมพูชา ", "title": "สมเด็จพระมหาสุเมธาธิบดี (ชวน ณาต โชตญาโณ)" }, { "docid": "108110#0", "text": "อักษรธรรมลาว หรือ อักษรธรรมล้านช้าง เป็นอักษรที่มีวิวัฒนาการมาจากอักษรมอญ และอักษรธรรมล้านนา ใช้ในการเขียนคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในสมัยโบราณ สามารถเขียนคำที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต ได้ครบถ้วน และใช้ในการเขียนภาษาลาวได้ด้วย แต่ไม่นิยมใช้ อักษรชนิดนี้ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เขียน และกำลังเสื่อมสูญไป จะพบตามคัมภีร์ใบลานเก่าๆ ที่เรียกว่าหนังสือผูก และยังมีใช้อยู่บ้างในองค์กรทางพุทธศาสนาของลาว ในประเทศไทยสามารถพบอักษรชนิดนี้ได้เช่นกัน หากแต่เรียกกันว่า \"อักษรธรรมอีสาน\" ตามชื่อท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน", "title": "อักษรธรรมลาว" }, { "docid": "77973#22", "text": "บันทึกของหลวงจีนอี้จิงที่มาถึงอินเดียในพุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวว่า พุทธศาสนารุ่งเรืองในอันธระ ธันยกตกะ และ ฑราวิฑ ปัจจุบัน คือรัฐอันธรประเทศและทมิฬนาดู[13] ยังมีชาวพุทธในเนปาล และสสันภะ ในอาณาจักรคังทา (รัฐเบงกอลตะวันตกในปัจจุบัน) และ หรรษวรรธนะ เมื่อสิ้นสุดยุคอาณาจักรหรรษวรรธนะ เกิดอาณาจักรเล็ก ๆ ขึ้นมากมาย โดยมีแคว้นราชปุตให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนา", "title": "ประวัติศาสนาพุทธ" }, { "docid": "79301#0", "text": "ศาสนาพุทธในประเทศมัลดีฟส์ เคยเป็นศาสนาที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 และไม่ปรากฏที่มาว่าเหตุใดศาสนาพุทธจึงประดิษฐานในดินแดนแห่งนี้", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศมัลดีฟส์" }, { "docid": "629882#2", "text": "ตามประวัติศาสตร์มนุษยชาติในยุคนั้น การที่จะจัดตั้งเป็นประกาศมีสัดส่วนที่มั่นคงไม่มี ส่วนใหญ่จะเป็นเมือง โดยมีเจ้าเมืองปกครองดูแล เมืองที่กล้าเก่งกว่ายกทัพมาโจมตี เมืองที่พ่ายแพ้ก็ตกเป็นเมืองขึ้น หรือถูกกวาดต้อนไปรวมเป็นกำลังเสริมที่จะรุกรานขยายอาณาเขต เมื่อรวมได้หลายๆ เมืองก็จัดตั้งเป็นประเทศมีเมืองหลวงเป็นศูนย์การปกครอง เช่น กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา ต่างชาติต่างเผ่าพันธ์ไม่สามารถเข้าไปร่วมกันได้ต่างก็อพยพหนีไปหาที่อยู่ใหม่ พวกที่ไม่สามารถจะไปไหนได้ก็แทรกตัวอยู่เป็นชนกลุ่มน้อยอยู่ในเมืองหรือประเทศนั้น ประเทศไทยจึงมีชนหลายเผ่าพันธ์ เมื่อไปอยู่ชุมชนใด เป็นกลุ่มมากพอต่างก็นำเข้าประเพณีและวัฒนธรรมขึ้นมากำหนดตั้งเพื่อให้เป็นที่ปฏิบัติร่วมชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนา ก็พากันจัดตั้งสำนักสงฆ์ เพื่อให้พระสงฆ์มาอยู่ช่วยการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเมื่อมีพระสงฆ์และชาวพุทธมากขึ้น มีกำลังพอที่จะจัดตั้งสำนักสงฆ์เป็นวัดมีวิสุงคามสีมาได้ก็รวมกันจัดทำ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนำมาข้างต้น ก็พอที่จะมีหลักฐานกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการตั้งวัดไผ่ล้อมได้พอสมควร ", "title": "วัดไผ่ล้อม (จังหวัดสระบุรี)" }, { "docid": "78585#11", "text": "หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลง คนไทยจึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระ ได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นเอง 2 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่และอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกา จึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่อยู่ที่นครศรีธรรมราช มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศไทย" }, { "docid": "78608#4", "text": "พระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีเหนือนั้นไม่สามารถที่จะรู้สถานการณ์ได้ เพราะประเทศเกาหลีเหนือปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนา ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองในประเทศเกาหลีใต้มากกว่า แต่ในประเทศเกาหลีใต้มีการขัดแย้งระหว่างนิกายโชเก (นิกายถือพรหมจรรย์) และนิกายแทโก (นิกายไม่ถือพรหมจรรย์) แก่งแย่งวัดกัน ในช่วงนั้นกลุ่มมิชชันนารีจำนวนมากได้มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในช่วงแรกมีแต่กลุ่มวัยรุ่น แต่ภายหลัง ไม่ว่าวัยรุ่นหรือวัยไหน ๆ ก็หันมานับถือศาสนาคริสต์กันขนานใหญ่ ศาสนาพุทธจึงตกต่ำลง จน นิกายโชกายต้องหาวิธีให้ชาวเกาหลีมองเห็นว่าพระพุทธศาสนามีความสำคัญก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ชาวเกาหลี มีทัศนคติที่ดี แก่พระพุทธศาสนา เนื่องจากพระสงฆ์มีการติดต่อกับชาวบ้านน้อยมาก ในการตีพิมพ์คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ก็ต้องยืมคำของศาสนาคริสต์ คือ ไบเบิลของพระพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาบ้างแล้ว\nในปัจจุบันคณะสงฆ์ในประเทศเกาหลี ถือว่าเป็นคณะสงฆ์ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนานั่นเอง กิจการที่พระสงฆ์เกาหลีใต้สนใจ และทำกันอย่างเข้มแข็งจริงจังที่สุดคือ การศึกษา ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในด้านการศึกษานอกจากจะมีโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำหรับสอนพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร และสามเณรี (สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณี) แล้ว คณะสงฆ์เกาหลีใต้ยังมีสถานศึกษาฝ่ายสามัญระดับต่าง ๆ ที่เปิดรับนักเรียนชายหญิงโดยทั่วไปด้วย ซึ่งสถาบันเหล่านี้มีคฤหัสถ์ (บุคคลทั่วไป) เป็นผู้บริหาร แต่อยู่ในความควบคุมดูแลของคณะกรรมาธิการฝ่ายการศึกษาของคณะสงฆ์ สถานศึกษาเหล่านี้แยกประเภทได้ดังนี้", "title": "ศาสนาพุทธในเกาหลี" }, { "docid": "52847#2", "text": "ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารบุพพารามในนครสาวัตถี ได้ประทานอุปสมบท (บวช) พระบิณโฑละฯ ให้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แล้วได้มอบให้พระโมคคัลลานะ พาไปปฏิบัติสมณธรรมจนกว่าจะได้สำเร็จมรรคผล พระโมคคัลลานะได้นำพาไปปฏิบัติสมณธรรมในชมพูทวีป (อินเดีย) หลายแห่งก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผล จึงได้มาปฏิบัติสมณธรรมในปัจจันตชนบทโดยกำหนดเอาประเทศสุวรรณภูมิ (ประเทศไทย) ณ ภูเขาฆาฏกะอันเป็นที่อาศัยของนายพรานฆาฏกะกับบริวาร จึงได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ในระหว่างที่มาปฏิบัติสมณธรรมอยู่ ณ สถานที่พระโมคคัลลานะ ได้ทราบพฤติกรรมของนายพรานฆาฏกะกับบริวารว่าเป็นผู้มีสันดาน หยาบช้า โหดร้าย ทารุณ มีอาชีพทางล่าสัตว์", "title": "พระพุทธฉาย" }, { "docid": "11114#14", "text": "ก่อตั้งคณะสงฆ์อินเดีย (ALL India Bhikkhu Sangha) ให้เป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการบรรพชาอุปสมบทอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย โดยการจัดซื้อที่ดินให้สร้างสำนักงานคณะสงฆ์อินเดีย อบรมสั่งสอนกุลบุตรชาวอินเดียที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา สร้างวัดไทยเพื่อขยายและสร้างโครงงานพระธรรมทูตออกไปยังสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยมีวัดไทยในอินเดีย ดังต่อไปนี้ วัดไทยนาลันทา พ.ศ. 2516 วัดไทยสารนาถ พ.ศ. 2514 วัดไทยลุมพินี พ.ศ. 2538 รัฐบาลไทยสร้าง แต่มอบหมายให้อยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ พ.ศ. 2537 และสาขาของวัดไทยกุสินาราอีกสองแห่ง คือ วัดไทยสาวัตถี พ.ศ. 2548 และพุทธวิหารสาลวโนทยาน 960โสเนาลี ชายแดนอินเดีย-เนปาล พ.ศ. 2548 วัดไทยสิริราชคฤห์ พ.ศ. 2546 วัดไทยไพสาลี พ.ศ. 2547 สนับสนุนชาวพุทธอินเดียสร้างพุทธวิหาร พร้อมมอบพระพุทธรูปและเครื่องอัฐบริขารในการบรรพชาอุปสมบท เช่น มอบแด่ชาวพุทธที่เมืองนาคปุร์ เมืองออรังคบาด รัฐมหารัชตะ จัดตั้งคลินิกเพื่อดูแลชาวพุทธไทย และชาวพุทธทั่วโลก รวมทั้งชาวอินเดีย เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแด่ชาวพุทธที่มาไหว้พระแสวงบุญ รวมทั้งเพื่อสร้างมวลชนสัมพันธ์กับชาวบ้านท้องถิ่น จัดสร้างโรงเรียนเพื่อเยาวชนชาวอินเดีย ให้ได้รับการศึกษา มีจำนวน4 แห่งคือ วัดไทยพุทธคยา สนับสนุนโรงเรียนปัญจศีล ที่พุทธคยา และโรงเรียนชาวพุทธใหม่ที่นาลันทา วัดไทยสารนาถ จัดสร้างโรงเรียนพระครูปกาศสมาธิคุณ และวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ สร้างโรงเรียนต้นกล้าพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ จัดอบรมพระธรรรมวิทยากร เพื่อพัฒนาบุคลากรทางพระพุทธศาสนา คือ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่มาปฏิบัติหน้าที่พระธรรมทูต ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติธรรมในอินเดีย ให้รักงานเผยแพร่ วัตถุประสงค์เพื่อสามารถนำพาพุทธบริษัทที่มาไหว้พระแสวงบุญที่อินเดียให้ได้เข้าใจซาบซึ้งในคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ นำสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนา อธิบายธรรม พุทธประวัติ ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ให้แก่ชาวพุทธไทยและต่างชาติได้ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี ได้รับคำยกย่องและชื่นชมจากชาวพุทธไทยเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีการอบรม สามแห่งคือ วัดไทยพุทธคยา วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ และมหาวิทยาลัยเมืองพาราณสี ดูแลนักศึกษาไทยที่มาเรียนที่อินเดีย มหาเถรสมาคมได้มอบหมายให้เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยาเป็นหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย และเป็นผู้ดูแลพระนักศึกษาไทยที่มาศึกษาที่ประเทศอินเดีย ทางวัดไทยพุทธคยาได้จัดมอบทุนการศึกษาแด่นักศึกษาไทย และให้การสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น โครงการไหว้พระนมัสการพุทธสังเวชนียสถาน ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยพาราณสี มหาวิทยาลัยมคธ มหาวิทยาลัยเดลลี มหาวิทยาลัยปูเณ่ ฯลฯ มอบทุนการศึกษาแด่พระภิกษุ-สามเณร แม่ชีและนักเรียนไทย ที่มาศึกษาในประเทศอินเดีย", "title": "วัดไทยพุทธคยา" }, { "docid": "193587#27", "text": "ความเห็น นันทนา ชุติวงศ์ เป็นการแสดงความคิดเห็นในเรื่องของลัทธิ หรือนิกายทางศาสนา ที่เห็นว่าทุกลัทธิหรือนิกายทางพุทธศาสนานั้นสามารถหยิบยืมเรื่องราวที่มีการเขียนขึ้นในพุทธศาสนากันได้ อาจจะเป็นเรื่องที่มีความนิยม หรือมีการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของประชาชน ณ ที่นั้นๆ มาใช้สั่งสอนแก่ประชาชนร่วมกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการจำกัดที่มาถึงมูลเหตุว่างานประพันธ์ในพุทธศาสนานั้นมีจุดประสงค์เพียงเพื่อต้องการที่จะสั่งสอนประชาชนให้เป็นคนดี โดยไม่ให้ความสำคัญกับลัทธิหรือนิกายใดนิกายหนึ่ง[5]", "title": "เจดีย์จุลประโทน" }, { "docid": "39143#5", "text": "อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่สุภาพอ่อนโยน ในด้านความรู้ทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านได้รับการยกย่องจาก ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรีและประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ว่าเป็น พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ หมายเลข 1 ของประเทศเพราะท่านสามารถอธิบายและตอบคำถามทาง พระพุทธศาสนา หรือหลัก พุทธธรรม ได้ทุกอย่างอย่างละเอียด พร้อมอ้างที่มาในพระไตรปิฎกให้เพื่อการค้นคว้าต่อไปอย่างแม่นยำอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองชาวพุทธจำนวนมากจึงได้กล่าวขานถึงท่านด้วยฉายา 'พระไตรปิฎกเคลื่อนที่' ตาม ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์", "title": "สุชีพ ปุญญานุภาพ" }, { "docid": "18092#36", "text": "พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงมีศรัทธาในบวรพุทธศาสนา ทรงศรัทธาร่วมการก่อสร้าง บูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ เสนาสนะ และพระพุทธรูป ดังเช่น ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างม้าหมู่ชุดใหญ่ 3 ชุด พระราชทานแก่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เพื่อใช้ประดิษฐานเป็นประธานในห้องประชุม อีกทั้งยังโปรดเสด็จไปทรงทอดผ้าพระกฐินส่วนพระองค์ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั้งใกล้และไกลทั่วทุกภาค พร้อมทั้งทรงเยี่ยมประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จและพระราชทานเครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรคแก่ผู้ยากไร้ตามหัวเมืองทั้งใกล้ไกลที่เสด็จไปทรงทอดกฐินเป็นประจำทุกปี เล่ากันว่าในเทศกาลทอดกฐิน นอกจากจะทรงเป็นผู้แทนพระองค์เชิญพระกฐินหลวงไปถวายตามพระอารามหลวงแล้วปีละ 2 วัด (เสด็จบ่อยที่วัดพระปฐมเจดีย์) ในส่วนพระองค์ทรงเลือกวัดราษฎร์ที่ยากจนและอยู่หัวเมืองไกลๆ อีก 3 วัด เพื่อเสด็จไปทอดกฐิน เล่ากันถึงวิธีการเลือกวัดดังกล่ าวไว้ว่า จะโปรดให้คนในวังไปสำรวจหาวัดที่มีคุณสมบัติดังที่ทรงประสงค์ และเก็บข้อมูลมาเล่าถวายว่าสมควรจะได้รับพระอุปการะอย่างไร ด้านไหน ก็จะทรงช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการและยังประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ดังที่มหาดเล็กในวังเล่าไว้ว่า “...โปรดที่จะเสด็จไปทำบุญกับวัดที่ยากจน หรือไม่ก็ไม่มีใครเหลียวแลจริงๆ...” ซึ่งประเพณีเฉพาะพระองค์นี้ตกทอดมาสู่พระราชธิดาพระองค์เดียวอย่างแนบแน่น", "title": "พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" }, { "docid": "82773#12", "text": "จากนโยบายเดิมที่มีใช้กันในประเทศโดยรวมทั้งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดจนคุ้นชินผู้คนส่วนหนึ่งไม่เห็นแปลกอย่างไร ต่อ ๆ มา นักบวชในศาสนาพุทธในญี่ปุ่นนิกายต่าง ๆ ส่วนใหญ่จึงมีครอบครัวภรรยาและบุตรสืบกันมา อีกเช่นเคยไม่ว่าที่ไหนหมู่คณะใดก็ย่อมมีที่ยกเว้นและต่างไปจากชนเหล่านั้น นักบวชที่เป็นพระระดับเจ้าอาวาสบางรูปและพระสงฆ์นักบวชที่ตั้งใจเคร่งเอาจริงเอาจังเอาพ้นทุกข์ก็ได้ยึดเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักที่ตั้งประเภทที่ ยอมตายดีกว่าล้มเลิก จึงได้ทางหลุดรอดจากค่านิยมคำบีบบังคับตนที่ว่าที่เป็นความจำเป็นไปได้และปลีกวิเวกไปปฏิบัติอยู่อย่างสงบ ตำแหน่งพระนักบวชในศาสนาพุทธของทางญี่ปุ่นยังสืบทอดเป็นมรดกแก่บุตรคนโตที่ส่งต่อตำแหน่งกันในครอบครัวได้ด้วย นักบวชในศาสนาพุทธในญี่ปุ่นจัดเป็นอาชีพหนึ่ง เรียกว่า อาชีพพระ", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น" }, { "docid": "18064#38", "text": "พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงกำหนดธรรมเนียมเป็นแบบแผนไว้สำหรับพระองค์และพระธิดา เป็นพระกรณียกิจแบบฉบับเฉพาะพระองค์ที่ทรงปฏิบัติตลอดพระชนมชีพ เล่ากันว่าในเทศกาลทอดกฐิน นอกจากจะทรงเป็นผู้แทนพระองค์เชิญพระกฐินหลวงไปถวายตามพระอารามหลวงแล้วปีละ 2 วัด โดยส่วนมากจะเสด็จวัดพระปฐมเจดีย์ ในส่วนพระองค์ทรงเลือกวัดราษฎร์ที่ยากจนและอยู่หัวเมืองไกลๆ อีก 3 วัด เพื่อเสด็จไปทอดกฐิน เล่ากันถึงวิธีการเลือกวัดดังกล่าวไว้ว่า จะโปรดให้คนในวังไปสำรวจหาวัดที่มีคุณสมบัติดังที่ทรงประสงค์ และเก็บข้อมูลมาเล่าถวายว่าสมควรจะได้รับพระอุปการะอย่างไร ด้านไหน ก็จะทรงช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการและยังประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ดังที่มหาดเล็กในวังเล่าไว้ว่า “...โปรดที่จะเสด็จไปทำบุญกับวัดที่ยากจน หรือไม่ก็ไม่มีใครเหลียวแลจริงๆ...”[36] ส่วนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ก็โปรดที่จะเสด็จไปบำเพ็ญพระกุศลอยู่เสมอ อาทิ วันมาฆบูชา ก็โปรดจะเสด็จไปบำเพ็ญพระกุศลและทรงเวียนเทียนที่วัดพระปฐมเจดีย์ นอกจากนี้ยังทรงเคยเสด็จไปสักการะปูชนียสถานสำคัญๆ มาแล้วทั่วประเทศ อาทิ พระพุทธบาทสระบุรี พระแท่นดงรัง พระธาตุลำปางหลวง พระธาตุดอยตุง พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช พระธาตุหริภุญชัย ฯลฯ และในบางแห่งยังทรงมีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องราชสักการะถวายเป็นพุทธบูชา เช่น ทรงสร้างต้นไม้เงินต้นไม้ทอง จากทองคำและเงิน สูงกว่า 1 ฟุต ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธชินราช[37]", "title": "สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" }, { "docid": "48101#37", "text": "คำขยายดังกล่าวล้วนบ่งบอกถึงลักษณะสำคัญของเจดีย์ ที่มาของคำแสดงลักษณะของเจดีย์ดังกล่าว มีต้นเค้าคือพูนดินเหนือหลุมฝังศพ[43] พัฒนามาโดยก่อให้ถาวร เช่น พระมหาสถูปสาญจี ประเทศอินเดีย ครั้นพระพุทธศาสนาแพร่หลายออกมา รูปแบบของเจดีย์นั้นก็ติดมาเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศที่รับนับถือพระพุทธศาสนาด้วย เจดีย์ทรงระฆังมีคำแทนโดยใช้ เจดีย์ทรงลังกา หรือ เจดีย์แบบลังกา เพราะมีทรงระฆังที่เด่นชัดเหมือนกัน และสอดคล้องกับที่ทราบกันว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทย นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาว่าแพร่หลายมาจากลังกา[44] แต่หากเรียกเจดีย์ทรงระฆังก็จะไม่เป็นการเจาะจงว่าเกี่ยวข้องกับอิทธิพลศิลปะจากลังกา เพราะมีตัวอย่างอยู่มากมายที่แสดงให้เห็นว่า เจดีย์ทรงระฆังแบบสุโขทัย ล้านนา และกรุงศรีอยุธยา เป็นรูปแบบของท้องถิ่น โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับอิทธิพลศิลปะจากแหล่งอื่น นอกเหนือจากศิลปะลังกา เช่น ศิลปะพุกาม[45]", "title": "เจดีย์" } ]
1585
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสียชีวิตเมื่อไหร่?
[ { "docid": "4249#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - สวรรคต 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า \"เจ้าฟ้ามงกุฎ\" เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช[1] เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 43 และเป็นลำดับที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี", "title": "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" } ]
[ { "docid": "84473#14", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามาภิไธยพระบรมอัฐิเป็น สมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ตามที่ทรงเป็นพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเป็นพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี" }, { "docid": "183498#4", "text": "เจ้าจอมมารดาน้อยถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเพลิงศพที่สวนท้ายวังของกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร หลังพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธรทรงสร้างวัดขึ้นในบริเวณนั้น แต่สิ้นพระชนม์เสียก่อนในปีจอ พ.ศ. 2405 ก่อนที่วัดจะสร้างเสร็จ จึงโปรดให้กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาสทรงสร้างวัดต่อ แต่ก็สิ้นพระชนม์อีกในปีเถาะ พ.ศ. 2410 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงรับเป็นผู้สร้างวัดต่อมาจนสำเร็จ พระราชทานนามวัดว่า วัดตรีทศเทพวรวิหาร มีความหมายว่า \"เทวดาสามองค์เป็นผู้สร้าง\"", "title": "เจ้าจอมมารดาน้อย ในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "120826#1", "text": "หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ เสด็จประทับที่พระที่นั่งบวรบริวัติ แล้วพระองค์ไม่โปรดเนื่องจากพระที่นั่งหันหน้ารับแดดทำให้ร้อนมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่ต่อไปข้างเหนือชิดกับบริเวณกำแพงพระราชวัง โดยให้พระที่นั่งหันหน้ามาทางใต้ พระราชทานนามว่า \"พระที่นั่งสาโรชรัตนประพาส\" แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียก่อนที่พระที่นั่งจะสร้างเสร็จ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญจึงทรงสร้างต่อจนแล้วเสร็จ และเสด็จมาประทับที่พระที่นั่งองค์นี้", "title": "พระที่นั่งสาโรชรัตนประพาส" }, { "docid": "153987#15", "text": "อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีพระกรุณาด้วยทรงเห็นว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน ประกอบกับก่อนหน้านี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยมีพระราชกระแสเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ความว่า \"\"...ถ้าเจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในกระบวนพี่น้องทั้งหมด จะมีพระองค์หญิงหนึ่งองค์ และพระองค์ชายอีกหนึ่งองค์ ทรงกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ ขอให้ไว้ชีวิตพระองค์เจ้าพี่น้องทั้งสองพระองค์ด้วย...\"\" ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชทานอภัยโทษเฆี่ยน 90 ที (3 ยก) กับโทษประหารเสียด้วย แต่โปรดเกล้าให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์, อวิญญาณกทรัพย์ เข้าเป็นของหลวงสำหรับซ่อมแซมพระอารามและสิ่งก่อสร้างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้ ทั้งถอดยศพระองค์เจ้าให้เป็นหม่อมเรียกอย่างสามัญชน และให้จำสนม (คุกฝ่ายใน) นอกจากนั้นให้ทำตามลูกขุนผู้พิจารณาปรับโทษ ดังปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 มีข้อความตอนหนึ่งว่า", "title": "หม่อมยิ่ง" }, { "docid": "410159#0", "text": "พระแจ้ง (ພຣະແຈ້ງ) หรือ พระอรุณ (ພຣະອາລຸນ) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะลาว เป็นพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2401 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญพระอรุณ หรือพระแจ้งมาจากเมืองเวียงจันทน์ โดยมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญมาประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง แต่ภายหลังพระองค์ได้มีพระราชดำริที่จะย้ายพระอรุณมาประดิษฐาน ณ วัดอรุณราชวรารามแทนด้วยเหตุที่นามพระพุทธรูปพ้องกับชื้อวัด ดังปรากฏหลักฐานจากพระราชหัตถเลขา ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีมะเมีย จ.ศ. 1220 (พ.ศ. 2401) ความตอนหนึ่งว่า “...ยังมีพระที่มีชื่อเอามาแต่เมืองเวียงจันทน์อีกสองพระองค์ พระอินแปลงน่าตัก 2 ศอกเศษ พระอรุณน่าตักศอกเศษ พระอรุณนั้น ฉันคิดว่าจะเชิญลงมาไว้ในพระวิหารวัดอรุณ เพราะชื่อวัดกับชื่อพระต้องกันสมควรแต่จะให้จัดแจงที่ฐานเสียให้เสร็จก่อน แล้วจึงจะเชิญลงมาต่อน่าน้ำ...” จากพระราชดำริดังกล่าว ในเวลาต่อมา จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระอรุณประดิษฐานในพระวิหารวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร โดยโปรดให้ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีด้านหน้าพระพุทธชัมพูนุท ซึ่งเป็นพระประธานนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงวันสงกรานต์ของทุกปี ในวันที่ 12 เมษายน จะอัญเชิญพระอรุณองค์จำลองแห่เวียน ตั้งแต่ถนนอรุณอมรินทร์ไปจนถึงถนนอิสรภาพ และในวันที่ 13 เมษายน จะอัญเชิญพระอรุณองค์จำลองออกมาให้ประชาชนสรงน้ำพระเป็นประจำทุกปี", "title": "พระแจ้ง" }, { "docid": "9091#10", "text": "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถมาก ทรงรอบรู้งานใน ด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น งานด้านกองทัพบก กองทัพเรือ ด้านต่างประเทศ วิชาช่างจักรกล และวิชาการปืนใหญ่ ทรงรอบรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีจนสามารถที่จะทรงเขียนโต้ตอบจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ กับ เซอร์ จอห์น เบาริง ราชทูตอังกฤษ ที่เดินทางมาเจริญพระราชไมตรีกับประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) ซึ่งข้อความในสนธิสัญญานั้น ถ้าเอ่ยถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีคำกำกับว่า The First King ส่วนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีคำกำกับว่า The Second King สำหรับในภาษาไทยนั้น ตามสนธิสัญญา ทางไมตรีกับประเทศอังกฤษ ในบทภาค ภาษาไทยจะแปลคำว่า The First King ว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์เอก ส่วนคำว่า The Second King นั้นจะแปลว่า พระเจ้าประเทศสยามพระองค์ที่ 2 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระนามปรากฏอยู่ในประกาศในอารัมภบทให้ดำเนินการเจรจาทำสนธิสัญญาฉบับนี้ด้วย ในฐานะพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 คู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีสายพระเนตรที่กว้างไกล ในด้านการ ต่างประเทศ ทรงรอบรู้ข่าวสารในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นอย่างดี ทรงทราบพระราชหฤทัยดีว่า ถ้าหากทรง ดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวแล้วไซร้ ไทยเราจะเสียประโยชน์ ส่วนบรรดาฝรั่งที่รู้จักมักคุ้นกับวังหน้ามักจะยกย่องชมเชยว่า ทรงเป็นสุภาพบุรุษเพราะพระองค์มีพระนิสัยสุภาพ โดยเฉพาะกับพระราชชนนี กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ด้วยแล้ว ทรงแสดงความเคารพเกรงกลัวเป็นอันมาก", "title": "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "74620#25", "text": "ภายหลังมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกุณาโปรดตั้งองค์ใหญ่พระราชโอรสเจ้าฟ้ากุณฑลเป็นเจ้าฟ้า พระราชทานนามว่า \"อาภรณ์\" แต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงรู้เรียกกันว่า \"เจ้าฟ้าอาภรณ์\" แต่องค์กลาง องค์ปิ๋วนั้นก็ได้ยินเรียกกันอยู่ว่า องค์กลาง องค์ปิ๋ว ดังเช่นเรียกกันมาแต่เดิม ครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระนามพระองค์กลางว่า \"มหามาลา\" แต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงรู้เรียกกันว่า เจ้าฟ้ามหามาลา องค์ปิ๋วนั้นสิ้นพระชนม์เสียแต่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี" }, { "docid": "56714#22", "text": "ในช่วงปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติต่างถึงแก่พิราลัย และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคตลง ตามลำดับ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้โปรดแต่งตั้งผู้ใดที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลขึ้นแทน ในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมพรรษา 60 พรรษา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ก็ยังทรงพระเยาว์ แต่พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งขึ้นเป็น \"สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ\" เมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า[21] จากการที่บ้านเมืองสูญเสียบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลานี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงมีอำนาจยิ่งใหญ่ในราชการแผ่นดิน เพราะราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่านคนเดียว[22]", "title": "สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)" }, { "docid": "751974#1", "text": "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีนามเดิม ยัง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2394 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน บิดาเป็นชาวจีนชื่อยี่ มารดาเป็นชาวไทยชื่อขำเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคลอดท่านแน่นิ่งไปจนมารดาบิดาเข้าใจว่าเสียชีวิต เกือบจะนำลงหม้ออยู่แล้ว ป้าของท่านมาดูเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่จึงร้องขึ้นว่า \"\"ยังไม่ตาย\"\" ท่านจึงได้ชื่อว่ายัง ", "title": "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ยัง เขมาภิรโต)" }, { "docid": "4249#51", "text": "จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, , ๒๕๐๕, ๑๖๐ หน้า แน่งน้อย ศักดิ์ศรี,หม่อมราชวงศ์, พระอภิเนาว์นิเวศน์ พระราชนิเวศน์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สำนักพิมพ์มติชน, 2549 ISBN 974-323-641-4 เหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากบันทึกหลักฐานและเหตุการณ์สมัยกรุงเทพ, มานวสาร, ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ ๒๕๓๔ ถึง ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๓ มีนาคม พ.ศ ๒๕๓๕", "title": "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "68016#2", "text": "บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารอยู่ 8 พรรษา เมื่ออายุ 21 ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “ปุณฺณโก” พระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (ภายหลังลาสิกขาออกมาเป็นรับราชการ ได้รับบรรดาศักดิ์สุดท้ายที่พระยาศรีสุนทรโวหาร) ต่อมาได้รับตำแหน่งที่ \"พระครูสมุห์\" ฐานานุกรมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อุปสมบทได้ 8 พรรษา ได้ลาสิกขา ออกมารับราชการเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวม 20 ปี ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรให้เป็น \"ขุนสาครวิสัย\" จุลศักราช 1229 ตรงกับรัตนโกสินทร์ศก 86 ท่านได้บรรพชาอุปสมบทครั้งที่ 2 เมื่ออายุได้ 49 ปี ที่วัดบุปผารามวรวิหาร ธนบุรี มีพระอมรโมฬี (นบ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดเรือง ธมฺมรกฺขิโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา “ปุณฺณโก” เหมือนเมื่ออุปสมบทครั้งแรก เมื่ออุปสมบทแล้วได้เที่ยวแสวงหาปริเวกธรรมตามอัธยาศัยล่วงไป 3 พรรษา", "title": "พระชลโธปมคุณมุนี (พุฒ ปุณฺณโก)" }, { "docid": "232351#2", "text": "จนในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดเริ่มทรุดโทรมอีกครั้ง พระยาสวัสดิวารีได้กราบทูลขอทำการบูรณปฏิสังขรณ์ แต่บูรณปฏิสังขรณ์ยังไม่ทันเสร็จ พระยาสวัสดิวารีก็ได้ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน แต่ไม่มีผู้ใดรับบูรณปฏิสังขรณ์ต่อไปตลอดรัชกาลที่ 3 ครั้งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิศาลศุภผล ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อ และได้เพิ่มเติม โดยให้ช่างยกพระพุทธรูปในพระอุโบสถให้สูงขึ้น มีพระทรงเครื่องต้นอย่างกษัตริย์ ต่อชุกชีออกมา ทำเป็นรูปเทวราชถือพุ่มฉัตรดอกไม้ทอง ดอกไม้เงินด้วย 2 องค์", "title": "วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร" }, { "docid": "63904#28", "text": "รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปรับปรุงการทหารให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยจัดให้มีการจัดหน่วยทหารราบและทหารปืนใหญ่ขึ้น เป็นหน่วยประจำการ มีการนำชาวรามัญ จากเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) และเมืองปทุมธานี  มาฝึกหัดเป็นทหารซีปอย ที่ริเริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และมีการจัดพวกญวนมาฝึกหัดเป็นทหารปืนใหญ่ โดยให้แต่งการแบบทหารซีปอย นอกจากนี้ เพื่อป้องกันข้าศึกที่ยกมาทางบก ณ บริเวณพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านคือ ทางด้านตะวันออกติดกับกัมพูชา ทางด้านใต้ติดกับมะลายู และทางด้านตะวันตกติดกับพม่า จึงได้มีการสร้างป้อมปราการขึ้นใน 3 ทิศ ดังนี้รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศสยามได้เผชิญกับการคุกคามจากชาติตะวันตก มีการบีบบังคับให้เซ็นสนธิสัญญาทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม มีการส่งเรือรบมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 มีการสู้รบและเกิดการปิดล้อมกรุงเทพ ประเทศสยามต้องสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และดินแดนส่วนอื่นๆให้กับชาติตะวันตก ดังนั้นในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองรัชกาลนี้ ได้มีการปฏิรูปการทหารครั้งใหญ่ให้ทันสมัย และเป็นแบบอย่างตะวันตก การปฏิรูปการทหารบกของไทยเป็นแบบตะวันตก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือต้นแบบของกิจการทหารบกสมัยปัจจุบัน", "title": "กองทัพบกไทย" }, { "docid": "4249#46", "text": "พระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ยังได้ใช้เป็นแม่แบบของพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย[20]", "title": "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "60540#4", "text": "1. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับเอาวินัยวงศ์ คือ ธรรมเนียมประพฤติปฏิบัติทางพระวินัยแบบรามัญมาเป็นข้อปฏิบัติเป็นครั้งแรก เมื่อ จ.ศ. 1187 ตรงกับ พ.ศ. 2368 อันเป็นปีที่ 2 แห่งการผนวชของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับเอาวินัยวงศ์แบบรามัญนิกายมาเป็นแบบปฏิบัตินั้น เป็นการเริ่มต้นแก้ไขการประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยของพระองค์ ซึ่งยังผลให้มีผู้ประพฤติปฏิบัติตามจนเกิดเป็นพระสงฆ์คณะหนึ่งในเวลาต่อมา", "title": "ธรรมยุติกนิกาย" }, { "docid": "6106#3", "text": "ต่อมา สามเณรสาได้ถวายตัวเป็นศิษย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวชพำนักที่วัดสมอราย (ปัจจุบันคือวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร) เนื่องจากได้ยินกิตติศัพท์ว่าทรงปราดเปรื่องเรื่องภาษาบาลีจนหาผู้เทียบได้ยาก เมื่อได้สมัครเป็นศิษย์ ก็ถ่ายทอดความรู้ภาษาบาลีให้สามเณรสา จนกระทั่งเมื่อสามเณรสาอายุได้เพียงแค่ 18 ปีก็สามารถแปลพระปริยัติธรรมได้ถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นที่อัศจรรย์ในความฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก สมัยนั้นยังแปลพระปริยัติธรรมกันด้วยปากเปล่า (หมายถึงแปลสดให้กรรมการฟัง แล้วแต่กรรมการว่าจะให้แปลคัมภีร์อะไร หน้าเท่าไหร่) เป็นที่โจษจันไปทั่วพระนคร สามเณรสาจึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนาคหลวงสายเปรียญธรรมรูปแรกในกรุงรัตนโกสินทร์", "title": "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว)" }, { "docid": "6105#5", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย ก็ได้ทรงเข้าถือธรรมเนียมนั้นตาม ทรงทำทัฬหีกรรม ณ นทีสีมา โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงเป็นพระภิกษุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วศึกษาพระปริยัติธรรมต่อในสำนักพระวิเชียรปรีชา (ภู่) แม้จะไม่เคยสอบพระปริยัติธรรม แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานตาลปัตรสำหรับพระเปรียญที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงเคยรับ ให้ทรงใช้ต่อ", "title": "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์" }, { "docid": "43010#2", "text": "ครั้นเมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมราชวงศ์กระต่ายก็ติดตามสมัครเข้ารับราชการ ความสามารถของหม่อมราชวงศ์กระต่ายที่ช่วยราชกิจได้ดี จึงได้รับพระราชทานเลื่อนอิสริยยศเป็น \"หม่อมราโชทัย\" และด้วยความรู้ในภาษาอังกฤษดี พ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราโชทัยเป็นล่ามหลวงไปกับคณะราชทูตไทยที่เชิญพระราชสาสน์และเครื่องมงคลราชบรรณาการ เดินทางไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย การเดินทางไปในครั้งนั้นเป็นที่มาของหนังสือนิราศเมืองลอนดอน ซึ่งแต่งหลังจากเดินทางกลับได้ 2 ปี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราโชทัยขึ้นเป็นอธิบดีพิพากษาศาลต่างประเทศเป็นคนแรกของไทย", "title": "หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร)" }, { "docid": "40396#19", "text": "Family of Main Page 16. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย8. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว17. สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี4. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์18. หลวงอาสาสำแดง (แตง)9. สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม สุจริตกุล)19. ท้าวสุจริตธำรง (นาค)2. หม่อมเจ้าอรชุนชิษณุ สวัสดิวัตน์20. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว10. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร21. เจ้าจอมมารดาพึ่ง อินทรวิมล5. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี11. หม่อมสุ่น คัคณางค์ ณ อยุธยา1. หม่อมราชวงศ์ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์24. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว12. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว25. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี6. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต26. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว13. สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี27. เจ้าคุณจอมมารดาสำลี บุนนาค3. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานต์มณี28. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว14. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย29. เจ้าจอมมารดาห่วง7. หม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร15. หม่อมกลีบ ชูกะวิโรจน์", "title": "หม่อมราชวงศ์ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์" }, { "docid": "373864#2", "text": "ท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) มีนามเดิมว่า แก้ว อภัยวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2396 ณ เมืองพระตะบอง เป็นบุตรีของพระสุพรรณพิศาล (กอง อภัยวงศ์) เมื่อท้าวศรีสุนทรนาฏมีอายุได้ 7 ขวบ ในปี พ.ศ. 2407 พระสุพรรณพิศาลผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งให้คุมไพร่พลไปรื้อปราสาทหินขนาดน้อยแห่งหนึ่งเพื่อขนเข้ามาก่อสร้างในกรุงเทพฯ เมื่อทำการครั้งนั้นพระสุพรรณพิศาลพาบุตรคนหนึ่งและท้าวศรีสุนทรนาฏไปด้วย แต่เกิดเหตุโจรเข้าปล้นฆ่าพระสุพรรณพิศาลและบุตรเสียชีวิต แต่ตัวท้าวศรีสุนทรนาฏนั้นได้รับการช่วยเหลือจากบ่าวไพร่ด้วยอุ้มพาหลบหนีไปยังเมืองพระตะบองได้ เมื่อข่าวทราบถึงกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสสั่งให้มีท้องตราออกไปยังเมืองพระตะบองว่าพระสุพรรณพิศาลเสียชีวิตในหน้าที่ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำนุบำรุงครอบครัวของพระสุพรรณพิศาลมิให้เดือดร้อน", "title": "ท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา)" }, { "docid": "4253#6", "text": "วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตภายหลังเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 โดยก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า \"พระราชดำริทรงเห็นว่า เจ้านายซึ่งจะสืบพระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ พระเจ้าลูกยาเธอก็ได้ พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดีพร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะรักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร\" ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรคต จึงได้มีการประชุมปรึกษาเรื่องการถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งในที่ประชุมนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมนั้นมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังนั้น พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา[6] โดยในขณะนั้น มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้น จึงได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะมีพระชนมพรรษครบ 20 พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า[5]", "title": "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "85224#3", "text": "แม้ว่าเจ้าจอมมารดากลิ่นจะเป็นพระสนมเอก และไม่ปรากฏหลักฐานเรื่องความสนิทเสน่หากับพระราชสวามีมากนัก แต่จากหลักฐานงานบันทึกของแอนนา ลีโอโนเวนส์ได้กล่าวว่า \"\"เจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นไม่ใคร่จะเป็นที่โปรดปรานนัก เนื่องจากทรงระแวงญาติพี่น้องที่มีเชื้อสายมอญว่าจะไม่ซื่อสัตย์ภักดีต่อแผ่นดินไทย\"\" ถึงกับเคยลงโทษเจ้าจอมมารดากลิ่น เมื่อครั้งเจ้าจอมมารดากลิ่นทูลขอให้พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ทรงแต่งตั้งพี่ชายของเจ้าจอมมารดากลิ่นเป็นเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์แทนเจ้าเมืองคนก่อนที่เสียชีวิต ทั้งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งบุคคลอื่นไปแล้วก่อนหน้า เจ้าจอมมารดากลิ่นจึงถูกระวางโทษด้วยข้อหาบ่อนทำลายพระราชอำนาจด้วยการจำขัง เมื่อแอนนา ลีโอโนเวนส์ทราบเรื่อง เธอจึงไปขอร้องสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ช่วยกราบทูลพระราชทานอภัยโทษแก่เจ้าจอมมารดากลิ่น ซึ่งปรากฏในจดหมายพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ส่งถึงนางลีโอโนเวนส์ว่า \"\"ป.ล. 2 ฉันขอแจ้งให้เธอทราบว่าฉันได้ให้อภัยโทษแก่ คุณกลิ่น นักเรียนของเธอ ตามคำขอร้องของสมเด็จเจ้าพระยาแล้ว\"\"", "title": "เจ้าจอมมารดากลิ่น ในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "193972#25", "text": "รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในรัชกาลที่ 1 และ พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในรัชกาลที่ 2 และ พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในรัชกาลที่ 3 และ พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในรัชกาลที่ 4 และ พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในรัชกาลที่ 5 และ พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในรัชกาลที่ 6 และ พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "9091#8", "text": "ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังมิได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เพราะในขณะนั้นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่คือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานารถ ยังทรงพระเยาว์ มีพระชนมายุเพียง 12 พรรษา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเสนอพระองค์เจ้ายอดยิ่งเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระองค์เจ้ายอดยิ่งเป็นเพียงแค่ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เท่านั้น ก่อนที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์สุดท้าย", "title": "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "120824#0", "text": "พระที่นั่งบวรบริวัติ เป็นพระที่นั่งภายในพระบวรราชวังซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้น แต่พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งต่อจนเสร็จ ปัจจุบัน พระที่นั่งองค์นี้ได้รื้อลงแล้ว", "title": "พระที่นั่งบวรบริวัติ" }, { "docid": "873424#5", "text": "ในเดือนต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาเยี่ยมอาการประชวรของพระอนุชา พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงกราบบังคมทูลเรื่องสงสัยว่าเจ้าจอมมารดากลีบจะทำเสน่ห์ยาแฝด ขอพระราชทานให้คณะตระลาการวังหลวงไต่สวน คณะตระลาการวังหลวงก็ลงความเห็นว่า เจ้าจอมมารดากลีบทำเสน่ห์ยาแฝดจริง เหล่าลูกขุนจึงปรึกษาโทษว่า ให้ริบราชบาทว์ลงพระราชอาญาเฆี่ยนแล้วให้นำไปประหารชีวิตเสีย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงคลางแคลงพระทัยว่า เรื่องที่เจ้าจอมมารดากลีบทำเสน่ห์นี้คงจะไม่ใช่เป็นเรื่องจริง และไม่ได้เกี่ยวกับอาการประชวรของพระอนุชา จึงทรงพระราชหัตถ์เลขาให้งดโทษประหารไว้ทั้งหมด เนรเทศเจ้าจอมมารดากลีบไปอยู่สุโขทัย", "title": "เจ้าจอมมารดากลีบ ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "9143#5", "text": "เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงนำไปประดิษฐานที่พระปฐมเจดีย์ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2415 ", "title": "วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "62794#4", "text": "ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร คงมีนามเรียกเต็มว่า วัดหงสาราม ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือประชุมพงศารภาคที่ ๒๕ ตอนที่ ๓ เรื่องตำนานสถานที่ และวัสดุต่าง ๆ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณะ และมีความเกี่ยวเนื่องกับวัดหงส์ฯ ดังมีข้อความกล่าวไว้เป็นเชิงประวัติว่า วัดนี้นามเดิมว่า วัดเจ้าขรัวหงส์ แล้วเปลี่ยนมา เป็น วัดหงสาราม และในสำเนาเทศนาพระราชประวัติรัชกาลที่ ๒ ซึ่ง หม่อมเจ้าพระประภากร บวรวิสุทธิวงศ์ วัดบวรนิเวศน์วิหาร ทรงเทศนาถวาย ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้นามว่า วัดหงสาราม ในเรื่องเกี่ยวกับวัดหงส์ฯ แม้แต่ในพระอารามหลวงที่ เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร เรียบเรียงถวายรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวไว้เช่นเคียวกัน แต่กล่าวพิเศษออกไปว่า เรียกวัดหงสาราม มาแต่รัชกาลที่ ๑ เห็นจะเป็นว่าเมื่อเรียกโดยไม่มีพิธีรีตองสำคัญอะไร ก็คงเรียกวัดหงสาราม ทั้ง ๓ รัชกาล ก็เป็นได้ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) นี้ สมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ (พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้ทรงรับปฏิสังขรณ์จากการทรงชักชวนของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเกณฑ์ต่อให้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังดำรงพระยศ เจ้าฟ้ามงกุฎ ให้รื้อพระอุโบสถเก่าแปลงปลูกเป็นวิหาร แต่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงรับทำ จึงเป็นพระภาระของสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ แต่พระองค์เดียว ส่วน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งแรกทรงรับพระภาระสร้างโรงธรรมตึกใหญ่ขึ้นใหม่ แต่ในครั้งหลังสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์สิ้นพระชนม์ การยังไม่เสร็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องทรงรับเป็นพระธุระทั้งพระอุโบสถ และพระวิหาร และสิ่งอื่นอีก", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "720813#2", "text": "ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดปทุมคงคา แล้วศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่วัดนี้และวัดราชบุรณราชวรวิหาร ถึงปีมะเมีย พ.ศ. 2377 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดปทุมคงคาเช่นเดิม แล้วเข้าสอบพระปริยัติธรรมได้เป็นเปรียญธรรม 3 ประโยค เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะเป็นพระภิกษุประทับ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ท่านได้บวชซ้ำในคณะธรรมยุตตามและถวายตัวเป็นข้าหลวงศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักของพระองค์ สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระอุปัชฌาย์ ในระหว่างนี้ได้สอบพระปริยัติธรรมอีกจนจบเปรียญธรรม 9 ประโยค (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ว่าท่านสอบได้ถึงเปรียญธรรม 8 ประโยค แล้วไม่แปลต่อ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าภูมิความรู้ท่านถึง 9 ประโยค จึงตั้งเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค)", "title": "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ)" }, { "docid": "4529#32", "text": "พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) พระเจ้าประเทศราชผู้ครองนครศรีธรรมราชในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์ ณ นคร) หรือเจ้าพระยานครพัฒน์ อดีตเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระโอรสในกรมหมื่นอินทรพิทักษ์ (พระราชโอรสในสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์) กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) พระมเหสีฝ่ายซ้ายในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นพระธิดาในพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) กับหม่อมทองเหนี่ยว เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง พระสนมในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นพระธิดาพระองค์เล็กในพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) และเป็นมารดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) หรือเจ้าพระยานครน้อย อดีตเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ต้นสกุล ณ นคร, โกมารกุล ณ นคร และจาตุรงคกุล เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี กับเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง และเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์ ณ นคร) เจ้าพระยามหาศิริธรรม (น้อยใหญ่ โกมารกุล ณ นคร) บุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) ต้นสกุล โกมารกุล ณ นคร เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) อดีตเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช บุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) พระยาเสน่หามนตรี (น้อยเอียด ณ นคร) บุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) ต้นสกุล จาตุรงคกุล เจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่ พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และพระชนนีในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นธิดาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์ ณ นคร) กับท่านผู้หญิงชุ่ม เจ้าจอมมารดานุ้ยเล็ก พระสนมในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และพระชนนีในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปัทมราช เป็นธิดาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์ ณ นคร) กับท่านผู้หญิงชุ่ม เจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว พระสนมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นธิดาพระยาจักรีเมืองนครศรีธรรมราช และพระชนนีในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอภัยทัต กรมหลวงเทพพลภักดิ์ และหม่อมไกรสร (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ) เจ้าจอมมารดาน้อยใหญ่ พระสนมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) และพระชนนีในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมวงศ์ เจ้าจอมน้อยเล็ก พระสนมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) เจ้าจอมมารดาบัว พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) และพระชนนีในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมลักษณเลิศ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีสิทธิธงไชย กรมขุนสิริธัชสังกาศ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดำรงฤทธิ์ เจ้าจอมหนูชี พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในเจ้าพระยามหาศิริธรรม (น้อยใหญ่ ณ นคร) เจ้าจอมอิ่ม พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) เจ้าจอมจับ พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) เจ้าจอมเป้า พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระยาบริรักษ์ภูธร (แสง ณ นคร) เจ้าจอมอำพัน พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระอุทัยธานี (ม่วง ณ นคร) เจ้าจอมกุหลาบ พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระอุทัยธานี (ม่วง ณ นคร) เจ้าจอมเขียน พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระยาเสนานุชิด (นุช ณ นคร) เจ้าจอมทับทิม พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระยาเสนานุชิด (นุช ณ นคร) เจ้าจอมเกตุ พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระยาวิชิตสรไกร (กล่อม ณ นคร) เจ้าจอมสว่าง พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง ณ นคร) และท่านผู้หญิงดาวเรือง เจ้าจอมนวล พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระยาเสนานุชิด (นุช ณ นคร) เจ้าจอมเพิ่ม พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระอิศราธิไชย (กลิ่น ณ นคร) เจ้าจอมพิณ พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระศรีสุพรรณดิษฐ์ (เสม ณ นคร) เจ้าจอมมิ พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในนายสนิทยศสถาน (พร้อม จาตุรงคกุล) เจ้าจอมสุวรรณ พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในพระยากาญจนดิษฐบดี (พุ่ม ณ นคร)", "title": "จังหวัดนครศรีธรรมราช" } ]
3505
ทีมไกมุ เป็นทีมเกี่ยวกับอะไร ?
[ { "docid": "556487#0", "text": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ () เป็นชื่อของภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวโทคุซัทสึ ในซีรีส์มาสค์ไรเดอร์ ประจำปี 2013 เป็นลำดับที่ 24 ผลิตโดย โตเอะ คัมปะนี และ อิชิโนะโมะริ โปรดักชั่นส์ โดยออกอากาศต่อจาก มาสค์ไรเดอร์วิซเซิร์ด ทางทีวีอาซาฮี ในช่วง ซูเปอร์ฮีโร่ ไทม์ โดยมีกำหนดการออกอากาศในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 2013 และสิ้นสุดการออกอากาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 2014 รวมจำนวนตอนทั้งหมด 47 ตอน", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" } ]
[ { "docid": "556487#55", "text": "ต่อมาไมถูกโรชูโอเอาผลไม้ต้องห้ามมาฝังไว้ในร่าง แล้วก็ถูกกลับมาที่เมืองซาวาเมะจากนั้นก็กลับไปที่รวมตัวของทีมไกมุ โดยที่ร่างกายรับพลังไม่ไหว และเรียวมะก็เอาผลไม้ต้องต้ามออกจากตัวไมจนไมเสียชีวิตแล้วผลไม้ต้องห้ามกลายเป็นไมโดยมีรูปร่างเป็นหญิงสาวลึกลับ ไมจึงตัดสินใจย้อนเวลาไปเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต ปรากฏตัวต่อหน้าบีทไรเดอร์ที่กำลังใช้ใช้เซ็นโกคุไดรเวอร์ครั้งแรก แค่ 3 คน คือ โคตะ ไคโตะ มิจจิ เพื่อห้ามไม่ให้ใช้ เตือนถึงชะตากรรมในอนาคตที่เลวร้ายแล้วก็หายจากไป ที่จะไม่สามารถถอยได้ในอนาคต และเคยเตือนให้ไม เลิกเป็นนักเต้นแต่ก็ไม่สำเร็จ และบอก DJ ซางาระ พยายามบอกถึงสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ทำให้โคตะกลับเข้าสู่ชะตากรรมอีกครั้ง แต่DJ ซางาระ บอกว่าหญิงสาวลึกลับเป็นต้นการครอบงำโคตะก่อน โดยทั้งหมดที่ไมทำไปทำให้ทุกอย่างนั้นล้มเหลว เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกระแสของเวลาเดิม ทำให้ไมติดอยู่ในโลกคู่ขนาน", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "843889#21", "text": "หลังจากที่เรดูเอกับมิจจิเปิดแครกจากป่าเฮลไฮม์จนทำให้บริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันกลายเป็นรังของอินเวส เรียวมะขึ้นจรวดหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวจนไม่มีใครรู้อีก และกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเปิดเผยแผนโปรเจกต์อาร์ค ทำให้ผู้นำของอิกดราชิลจากทั่วโลกตกอยู่ในภาวะวิกฤต ส่วนเรียวมะก็ซ่อนตัวที่ไหนซักแห่งโดยทำการค้นคว้าเรื่องป่าเฮลไฮม์คนเดียวอย่างลับๆต่อไป เรียวมะก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่เมืองซาวาเมะ แหล่งรวมตัวของทีมไกมุโดยบอกว่าโคตะว่าตนอยู่ในเหตุการณ์ที่มิจจิสู้กับทาคาโทระ โดยยื่นข้อเสนอให้กับอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ที่เหลืออยู่ว่าจะบอกทางลับเฉพาะของตนที่สามารถแอบเข้าบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันเพื่อไปช่วยคนข้างในแต่ทางเข้ามันอยู่นอกตัวเมือง ส่วนตนก็แยกทางกับโคตะหลังจากเจอพวกคนที่ถูกจับเข้ามา เพื่อเข้าห้องห้องทดลองของตนเพื่อตรวจสอบหาข้อมูลบันทึกเทปเกี่ยวกับตอนที่มิจจิร่วมมือกับเรดูเอ จนรู้ว่าโรชูโอเป็นหัวหน้า จนเจอก็กระจายเสียงออกไปเพื่อให้อาร์มเมิร์ดไรเดอร์ที่เหลืออยู่ ให้รู้ว่าไมอยู่ที่ป่าเฮลไฮม์โดยอยู่กับโรชูโอ แล้วจากนั้นก็แอบเข้าไปในป่าเฮลไฮม์ดูการสู้ของโคตะกับไคโตะที่สู้กับโรชูโอ ", "title": "รายชื่อตัวละครในมาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "62096#4", "text": "1997-1998\nด้วยฟอร์มการเล่นที่ค่อนข้างดี บัลลาค จึงถูกไกเซอร์สเลาเทิร์นทีมน้องใหม่ในบุนเดสลีก้าดึงตัวมาร่วมทีม โดยลงเล่นในบุนเดสลีก้าครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน 1997 ในเกมพบกับคาร์สลูห์ ซึ่งลงเล่นในฐานะตัวสำรอง รวมเบ็ดเสร็จฤดูกาลนี้ลงเล่นทั้งสิ้น 16 นัด และในปีนี้เองที่อ๊อตโต้ เรหาลเก้นเทรนเนอร์ของทีมสร้างสิ่งมหรรศจรรย์ด้วยการพาทีมไกเซอร์สเลาเทิร์น เป็นแชมป์บุนเดสลีก้าทั้งที่ทีมพึ่งจะเป็นปีแรกที่เลื่อนชั้นจากลีก้า 2 ทำให้เขามีชื่อในฐานะนักเตะทีมแชมป์บุนเดสลีก้าอีกด้วย", "title": "มิชชาเอล บัลลาค" }, { "docid": "13607#0", "text": "เท็นเท็น ตัวละครการ์ตูนจากเรื่องนินจาคาถาโอ้โฮเฮะ เท็นเท็นเป็นเด็กที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธต่างๆในการโจมตีคู่ต่อสู้ของเธอจากระยะกลางและระยะไกลด้วยอาวุธนานาชนิด เท็นเท็นจบการศึกษาจากโรงเรียนนินจาเมื่ออายุ12ปี เธอพยายามฝึกซ้อมให้เก่งขึ้นเพื่อความฝันของเธอที่ว่าสักวันจะเป็นนินจาหญิง(คุโนะอิจิ)ที่ดีและเก่งกาจเหมือนซึนาเดะนินจาหญิง 1ใน3นินจาในตำนาน หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนนินจาเท็นเท็นถูกจัดให้อยู่ร่วมทีมกับฮิวงะ เนจิ และ ร็อค ลี ภายใต้การดูแลของไมโตะ ไก เธอเริ่มที่จะสนิทสนมกับเพื่อนร่วมทีมของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เธอมักจะฝึกซ้อมร่วมกับเนจิเสมอๆ ซึ่งเท็นเท็นยอมรับและชื่นชมในความสามารถของเนจิเป็นมาก เวลาผ่านไปกว่าปีทีมของเท็นเท็นผ่านการทำภารกิจมามากมาย หลังจากจบจากโรงเรียนนินจาแล้ว1ปีไกจึงตัดสินใจส่งทีมของเท็นเท็นเข้าสอบคัดเลือกจูนินที่กำลังจะมีขึ้น จุดประสงค์ของเกะนินทั้งสามของทีมไกนั้นหวังเพียงแค่จะสู้ร่วมกันอย่างดีที่สุดและเพื่อพิสูจน์ความสามารถและความเก่งกาจของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด", "title": "เท็นเท็น" }, { "docid": "711060#4", "text": "[ทีมทามาโกม่า-2]\nทีมของโอซามุ ยูมะและชิกะ สาขาทามาโกม่า โดยมีโอซามุเป็นหัวหน้ากลุ่มทำหน้าที่เป็นผู้วางแผน และตำแหน่งมือยิงซึ่งมีฝีมืออ่อนที่สุดและมีปริมาณทริออนน้อยที่สุดในทีม แต่มีฝีมือการวางแผนที่ยอดเยี่ยมทำให้ทีมคว้าชัยชนะได้ในหลายๆครั้ง ยูมะทำหน้าที่เป็นตัวบุกของทีม ใช้สกอเปียนเป็นอาวุธ และชิกะทำหน้าที่เป็นสไนเปอร์ ทีมนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อไต่เต้าไปเป็นทีมสำรวจโลกเนเบอร์ เพื่อไปช่วยพี่ชายของชิกะ รวมถึงเรพลิก้า ทหารทริออนอเนกประสงค์ของยูมะที่ถูกจับไปให้ได้", "title": "เวิลด์ ทริกเกอร์" }, { "docid": "101023#0", "text": "ทีมเดมอน เดวิลแบ๊ทส์ () เป็นทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนเดมอนจากการ์ตูนเรื่องอายชีลด์ 21 ไอ้หนูไต้ฝุ่นมะกันบอล โดยเป็นโรงเรียนสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายต่อจากโรงเรียนมาโอเดมอน โดยสมาชิกเบื้องต้นของทีมมีเพียง 3 คน คือ ฮิรุม่า โยอิจิ, คุริตะ เรียวคัน และทาเคคุระ เก็น หรือ มุซาชิ หลังจากนั้นไม่นานมุซาชิได้ออกจากทีมไปเนื่องจากปัญหาทางบ้าน จนกระทั่งฮิรุม่าเจอ โคบายาคาว่า เซนะ ผู้ที่มีความสามารถในการวิ่ง", "title": "ตัวละครในทีมเดมอน เดวิลแบ๊ทส์" }, { "docid": "798965#2", "text": "มุสทาฟีเปิดตัวกับทีมชาติครั้งแรกในเกมที่พบกับ โปแลนด์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 และเป็นหนึ่งในผู้เล่นของเยอรมนีในชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล และยังติดทีมชาติชุดฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ฝรั่งเศส โดยมุสทาฟีเป็นผู้ทำประตูให้ทีมได้ในการพบกับยูเครน ด้วยการโหม่งในนาทีที่ 19 ในการแข่งขันรอบแรกของกลุ่มซีอีกด้วย ที่สนามสตาดปีแยร์-โมรัว นับเป็นประตูแรกของการแข่งขัน ซึ่งเยอรมนีเอาชนะไปได้ 2–0", "title": "ชโคดรัน มุสทาฟี" }, { "docid": "256424#13", "text": "ในการแข่งขัน KOF 2003 จิสึรุปรากฏตัวต่อหน้าเคียวและอิโอริเพื่อที่จะร่วมมือกันคลี่คลายเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดที่มีโอโรจิมาเกี่ยวข้อง เคียวไม่ต้องการที่จะร่วมมือกับอิโอริ (อิโอริเองก็ไม่ต้องการเช่นกัน) แต่ก็สามารถรวมทีมเป็นทีมไตรเทวภัณฑ์ หลังจากเอาชนะมุไค พวกเคียวได้ไปสำรวจผนึกโอโรจิที่กำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆซึ่งพวกเขาได้ย้ายผนึกนั้นก่อนที่จะสู้กับมุไค แต่พวกเขาโดนแอช คริมสันลอบทำร้ายและชิงกระจกยาตะของจิสึรุ และประกาศว่ารายต่อไปก็คืออิโอริจากนั้นก็หนีไป เคียวสาบานว่าจะแก้แค้นนี้ให้จงได้", "title": "เคียว คุซานางิ" }, { "docid": "843889#2", "text": "และด้วยฐานะของอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ทำให้กลับเข้าร่วมทีมไกมุอีกครั้งเพื่อให้ทีมขึ้นอันดับโดยโคตะเป็นบอดี้การ์ดให้ทีม แต่เมื่อรู้ว่าบีทไรเดอร์สเป็นเพียงฉากหน้าของส่วนหนึ่งในการทดลองเข็มขัดเซนโกคุไดรเวอร์ทำให้เขาต้องเจอเหตุการณ์ที่ตกตะลึงและรู้ความจริงในสิ่งต่างๆ ของเบื้องหลังบีทไรเดอร์และอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ จึงลาออกจากทีมไกมุไปคอยกำจัดอินเวส แล้วปัจจุบันได้งานทำที่ร้านน้ำผลไม้ ดรอปเปอร์ส หลังจากที่ได้รับคิวามิล็อกซีดจาก DJ ซางาระ ก็ใช้พลังนั้นต่อสู้มาตลอดโดยที่เริ่มกลายเป็นเฟมชินมุ(โอเวอร์ลอร์ดอินเวส)ไปเรื่อยๆ โดยที่ตนไม่รู้ตัวโดยแสดงอาการออกมาคือไม่รู้สึกอยากกินอาหารของมนุษย์เรื่อยๆ ", "title": "รายชื่อตัวละครในมาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "187363#4", "text": "หลังจบฤดูกาล 2550 อานนท์ยิงประตูในลีกให้ต้นสังกัดได้ถึง 13 ประตูและเป็นดาวซัลโวของทีม โดยได้ดาวซัลโวลำดับที่ 3 ในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ด้วยความสามารถหลายรูปแบบทั้งจังหวะสับไกที่หวังผลได้ทั้งระยะไกล้และไกล ลูกโหม่ง และทีเด็ดจากลูกฟรีคิกส่งผลให้อานนท์ถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 23 ปีในกีฬาซีเกมส์ ที่นครราชสีมา และคว้าเหรียญทองพร้อมกับตำแหน่งดาวซัลโวที่จำนวน 6 ประตูจากการเล่นเป็นตัวจริง 4 นัดได้สำเร็จ จากนั้นได้เล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในรายการคิงส์คัพครั้งที่ 38 ปี 2550 ในเกมส์ที่ไทยชนะเกาหลีเหนือ 1-0 โดยลงมาเป็นตัวสำรอง และไทยสามารถคว้าแชมป์ได้ในท้ายที่สุด แต่อย่างไรก็ตามอานนท์ก็ยังไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติได้", "title": "อานนท์ สังข์สระน้อย" }, { "docid": "13607#5", "text": "และแล้วทีมไกก็ได้เดินทางไปถึงถ้ำที่แสงอุษาใช้ในการทำพิธีดึงสัตว์หางแต่ทางเข้าก็ถูกปิดไปด้วยหินก้อนใหญ่และแปะม่านพลัง5ผนึกไว้ ซึ่งผนึกนี้หากต้องการที่จะปลดออกต้องทำการดึงยันต์ออกพร้อมๆกันทั้ง5จุด ดังนั้นทุกคนในทีมไกจึงแยกย้ายไปยังจุดที่มียันต์อยู่ตามตำแหน่งที่เนจิใช้เนตรสีขาวตรวจพบ และหลังจากที่แกะยันต์แต่ละใบออกนั้นทีมไกก็ได้เจอคนที่หน้าตาและความสามารถเหมือนกับตนเองซึ่งเป็นผลจาการปลดยันต์นั้นเอง ทีมไกจึงต้องสู้กับร่างเลียนแบบของตัวเองนั้นและสามารถจัดการได้สำเร็จในที่สุด และตามไปสมทบกับทีมคาคาชิอีกครั้ง", "title": "เท็นเท็น" }, { "docid": "22385#10", "text": "จัดจำหน่ายในงานคอมิเก็ต ฤดูร้อน พ.ศ. 2547 เป็นเกมชูตติ้งสองมิติแนวตั้งเหมือนโทโฮฮามาโรคุ ผู้เล่นสามารถเลือกบังคับทีมซึ่งประกอบด้วยตัวละครทีมละสองตัวทั้งหมด 4 ทีม โดยมี ฮาคุเรย์ เรย์มุ ร่วมทีมกับ ยาคุโมะ ยูคาริ, คิริซาเมะ มาริสะ ร่วมทีมกับ อลิส มาร์กาทรอย จากโทโฮโยโยมุ, ซาคุยะ อิซาโยอิ ร่วมทีมกับ เรมิเลีย สคาร์เล็ต จากโทโฮโคมะเคียว, และ คอนปาคุ โยวมุ ร่วมทีมกับ ไซเกียวจิ ยูยูโกะ ตัวละครสองตัวของทีมสุดท้ายนั้นเป็นหัวหน้าของด่านที่ห้าและด่านที่หกของโทโฮโยโยมุ ตามลำดับ ในเนื้อเรื่อง ตัวละครทีมที่ผู้เล่นเลือกจะพยายามสืบหาสาเหตุที่พระจันทร์ที่มองเห็นจากเก็นโซเคียวถูกสับเปลี่ยนเป็นพระจันทร์ปลอมที่จะไม่สว่างเต็มดวง", "title": "โทโฮโปรเจกต์" }, { "docid": "556487#4", "text": "อดีตสมาชิกของทีมไกมุ อายุ 20 เป็นนักเต้นเบอร์ 2 ของทีมไกมุ แต่ว่าได้ออกจากทีมไปหางานทำ ทำงานเป็นเด็กส่งอาหารกับทำงานก่อสร้าง และมักจะทำให้พี่สาวเป็นห่วงอยู่เสมอ เป็นคนจิตใจดี ได้พบ \"เซนโกคุไดรเวอร์\" ของยูยะที่ตกหล่นอยู่ป่าเฮลไฮม์โดยบังเอิญพร้อมกับถูกอินเวสเข้าทำร้าย ทำให้กลายเป็นอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ของทีมไกมุไปในที่สุด แล้วคิดว่าจะเซนโกคุไดรเวอร์ช่วยทำงานได้ดีขึ้นแต่ดันไปก่อเรื่องทำให้เกิดปัญหาถึงขั้นเกือบโดนไล่ออก จึงขอลาออกจากงานก่อน แล้วหาเงินจากบีทไรเดอร์ แต่ว่าพี่ของโคตะเตือนถึงสิ่งที่ถูกต้องจึงเลิกหาเงินแบบนั้น แล้วหันไปหางานตามที่ต่างๆแต่ก็หาไม่ได้เลย", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "556487#58", "text": "โซโนมุระ (曽野村) แสดงโดย คิตะได ทาคาชิ หัวหน้าทีมเรดฮอต เคยเป็นพันธมิตรของทีมบารอนมาก่อน แต่หลังจากที่เลิกเข้าร่วมทีมบารอน จนได้รับเซนโกคุไดรเวอร์กับดุเรียนล็อกซีดจากซิดพร้อม แต่ถูกโอเรนริบไปเนื่องจากโซโนมุระและลูกทีมไปก่อกวนลูกค้าในร้าน จึงถูกโอเรนทำร้ายจนต้องยอมมอบเซนโกคุไดรเวอร์กับดุเรียนล็อกซีดเพื่อหนี และเคยใช้ล็อกซีดเรียกอินเวสในการปล้นทรัพย์ แต่หลังจากควบคุมล็อกซีดเรียกอินเวสอันสุดท้านที่ชิดให้มาไม่ได้ จึงพาลูกทีมหนีจากไปจนไม่มีใครเห็นอีกเลย", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "895913#9", "text": "ในปีพ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2018) ที่ได้มีการแข่งขันโอเวอร์วอตช์เวิลด์คัพ 2016 ในช่วงเวลานั้นมิกกี้เองก็ได้ถูกขอที่อยู่ในการติดต่อเป็นสไกป์เอาไว้ติดต่อในภายหลัง ซึ่งผู้ที่ขอที่อยู่กับเขานั้นก็คือ เดนนิส ฮาเวลกา หรือ INTERNETHULK หัวหน้าทีม ในช่วงเวลานั้น หลังจากที่มิกกี้กลับมายังประเทศไทยเวลาเดียวกันทีมเองก็กำลังแข่งขันในรายการ OGN Overwatch APEX Season 1 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างนั้นทางทีมได้เข้ารอบเพลย์ออฟไปแล้วแต่เกิดเหตุการณ์ที่ผู้เล่นนั้นขาดไปหนึ่งคน เดนนิสจึงได้ติดต่อมายังสไกป์ของเขาเพื่อชักชวนเขาไปเป็นตัวแทนของผู้เล่นที่ขาดไปที่เกาหลีใต้ในอาทิตย์ถัดไป มิกกี้เองก็ตอบรับทันที และในเวลานั้นก็ได้แยกจากทีมสวีตไทม์\"(ที่เปลี่ยนชื่อจากวีดไทม์ในตอนหลัง)\"ไปในที่สุด ทางเดนนิสก็ได้จัดการเรื่องค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเดินทาง ค่าที่พักหรือค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง เพียงแต่เขาต้องเดินทางไปหาเดนนิสที่โรงแรมด้วยตัวเอง หลังจากที่มิกกี้ได้แข่งขันเป็นตัวแทนผู้เล่นให้กับ ในฤดูกาลแรกนั้นทีมก็ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูงด้วยการคว้าแชมป์ของรายการประจำฤดูกาลได้ ซึ่งเป็นรายการที่เขามีศักยภาพในการเล่นดีที่สุดที่เคยมีมาอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากรายการดังกล่าวได้แชป์ไปก็ได้ถูกชักชวนให้ไปลองเล่นแข่งขันอีกหนึ่งรายการคือ เมเจอร์ลีกเกมมิ่งเวกัส 2016 ที่เขาได้แชมป์อีกหนึ่งรายการ ในวันนั้นเจ้าของทีมได้ตัดสินใจให้มิกกี้เซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นตัวจริงในทีมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา", "title": "ปองภพ รัตนแสงโชติ" }, { "docid": "556487#54", "text": "ทาคาสึคาสะ ไม (高司 舞) / หญิงสาวลึกลับ (謎の少女) แสดงโดย ชิดะ ยูมิ นักเต้นระดับมืออาชีพของทีมไกมุ อายุ 17 ปี เป็นเพื่อนสมัยเด็กของโคตะ ถึงจะมีนิสัยห้าว แต่ก็คอยดูแลทุกคนอย่างเป็นห่วง และคนที่เป็นห่วงและมอบกำลังใจให้มากที่สุดก็คือโคตะ เพราะโคตะเคยช่วยไว้ในสมัยเด็ก และคอยทำงานที่ร้านน้ำผลไม้ ดรอปเปอร์ส ตอนที่โคตะไม่อยู่ โดยทำงานไม่รับเงิน เพราะเงินเดือนเป็นของโคตะ ซึ่งไมถูกมิจจิกับชินมูกุรันจับตัวไป", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "556487#9", "text": "อดีตหัวหน้าทีมบารอน อายุ 20 ปี คู่ปรับทีมไกมุ แต่เดิมอาศัยในเมืองซาวาเมะก่อนที่จะรุ่งเรื่องในปัจจุบัน ในอดีตเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทก่อสร้าง แต่เมื่อบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันเข้ามาซื้อที่ดินด้วยเงินมหาศาล ทำให้บริษัทของพ่อล้มละลาย ส่วนครอบครัวต้องย้ายออก ทางพ่อใช้เงินหมดมีหนี้สินทำร้ายครอบครัว จนพ่อเผลอฆ่าแม่ กับฆ่าตัวตายตาม ไคโตะแค้นฝังใจ หวังว่าซักวันจะทำลายยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันที่เป็นต้นเหตุ", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "201933#2", "text": "ดอมปรากฏตัวครั้งแรกในตอนที่ 24 ของโมบิลสูทกันดั้ม โดยไกอา มาช และออเทก้า ทีมนักบินระดับเอซของซีอ้อนซึ่งมีฉายาว่าสามดาวตกทมิฬ ได้ใช้ดอมในการต่อสู้ยานไวท์เบสและกันดั้มของอามุโร่ เรย์ ซึ่งรูปแบบการโจมตีประสานของทั้งสามคนซึ่งเรียกว่าเจ็ตสตรีมแอ็ทแท็คนั้นทำให้อามุโร่ต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก แต่ในที่สุดก็สามารถโค่นทั้งสามได้ ดอมปรากฏตัวหลังจากนั้นในฐานะโมบิลสูทรุ่นผลิตจำนวนมากของซีอ้อน", "title": "ดอม" }, { "docid": "556487#15", "text": "สมาชิกของทีมไกมุ อายุ 16 ปี มีชื่อเล่นว่า มิจจิ (ミッチー) เป็นน้องชายของผู้อำนวยการบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชัน โดยปกปิดฐานะตัวเองไม่ให้เพื่อนร่วมทีมเห็นว่าเป็นใคร โดยเมื่อหลังเลิกเรียนของทุกวันที่โรงเรียนก็แอบเปลี่ยนชุดไปอยู่กับทีมไกมุ แล้วค่อยกลับบ้านโดยโกหกทาคาโทระว่าที่กลับดึกเพราะเรียนพิเศษของโรงเรียน โดยมิจจิแอบชอบไม นับถือโคตะเป็นรุ่นพี่ของทีม เชื่อว่าโคตะจะทำให้ไมมีความสุข หลังที่โคตะเกิดกลัวเรื่องตอนที่โดนทาคาโทระในร่างซันเงสึทำร้ายจึงขอเลิก จนทีมเกิดหมดหวังมิจจิก็ไปหาชิดไปขู่ให้ชิดมอบเซนโกคุไดร์เวอร์กับบุโดล็อกซีด จนกลายเป็นอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ของทีมไกมุอีกคน แต่หลังจากได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังของบีทไรเดอร์สและอินเวสเกม ทำให้เกิดความไม่ลงรอยกับโคตะและได้เห็นคลิปตัวอย่างการทดลองของวันที่ยูยะหายตัวไปทำให้ทัศนคติเริ่มเปลี่ยนไป และถูกทาคาโทระจับได้ว่าเป็นอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ แล้วไปเห็นซากปรักหักพังในป่าเฮลไฮม์จึงลาออกจากจากโรงเรียน โดยยอมร่วมมือกับบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชัน โดยทำหน้าที่เป็นสายลับคอยกำจัดโคตะ กับเคยสั่งการให้โจโนะอุจิกับโอเรนไปจัดการแทนตนแต่ล้มเหลวตลอด", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "711060#5", "text": "มิคุโมะ โอซามุ (Mikumo Osamu) เป็นตัวดำเนินเรื่อง\nนักเรียนชั้นมัธยม ที่มีลักษณะดูเงียบๆ และไม่ค่อยจะสุงสิงกับนักเรียนคนอื่นสักเท่าไหร่ เป็นคนรักความยุติธรรม และเป็นห่วงผู้อื่นก่อนตนเองเสมอ โอซามุเป็นสมาชิกบอร์ดเดอร์ระดับC หรือเป็นบอร์ดเดอร์ฝึกหัด แต่หลังจากที่โอซามุได้พบกับ 'คูงะ ยูมะ' เนเบอร์คล้ายมนุษย์ซึ่งเดินทางมายังโลกเพื่อตามหาคนรู้จักของพ่อในองค์กรบอร์เดอร์ โอซามุจึงได้เลื่อนขั้นเป็นระดับ B ด้วยความช่วยเหลือของคูงะ หลังจากนั้นโอซามุ คูงะ และชิกะจึงได้รวมทีมกันเป็นทีมทามาโกม่า-2 ทีมระดับ B ของสาขาทามาโกม่าเพื่อไต่เต้าเป็นทีมสำรวจ และเดินทางไปช่วยพี่ชายของชิกะและเรพลิก้าที่โลกเนเบอร์ให้ได้", "title": "เวิลด์ ทริกเกอร์" }, { "docid": "843889#4", "text": "จากนั้นโคตะก็กลับมาหาไคโตะอีกทีโดยเรียกกองทัพอินเวสออกมาจากแครก แล้วนำกองทัพอินเวสมาเพื่อท้าสู้กับไคโตะกับกองทัพอินเวสของไคโตะในศึกสุดท้าย จนชนะพาไมออกมาจากมิติคู่ขนานแล้วกินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปจนกลายเป็นราชาเฟมชินมุ(โอเวอร์ลอร์ดอินเวส)อย่างเต็มตัว แล้วไม่ยอมรับการทำลายโลก สร้างแครกขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อเปิดไปที่ดาวหนึ่งที่แห้งแล้งไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ไกลสุดขอบจักรวาล แล้วก็นำอินเวสทั้งหมดทุกตัว กับพืชของป่าเฮลไฮม์เข้าไปในแครกนั้นก่อนที่แครกจะปิดก็พาไมไปอยู่ร่วมกันที่ดาวนั้น ซึ่ง 7 เดือนผ่านไปหลังจากวิกฤตเฮลไฮม์ เมื่อโคงาเนะกลับมารุกรานอีกกครั้ง โคตะจึงกลับมาที่โลกเพื่อจัดการกับโคงาเนะโดยร่วมมือกับมิจจิ จนสามารถจัดการกับโคงาเนะได้สำเร็จแล้วจากมิจจิไป สร้างโลกใหม่กับไมต่อ\nอดีตหัวหน้าทีมบารอน อายุ 20 ปี เป็นคู่แข่งของทีมไกมุ เป็นคนที่เกิดมาก่อนเมืองซาวาเมะจะรุ่งเรื่องในปัจจุบันในอดีตไคโตะเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทก่อสร้างแต่เมื่อบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันเข้ามายึดซื้อด้วยเงินมหาศาลสถานที่นั้น ทำให้บริษัทของพ่อไคโตะล้มละลาย ส่วนครอบครัวต้องย้ายออกโดยทางพ่อของไคโตะก็ได้เงินจำนวนมหาศาลแล้วใช้จนหมดจนกลายเป็นคนมีหนี้สิน แล้วขี้เมาทำร้ายครอบครัว จนแม่ไคโตะเสียชีวิต ส่วนพ่อของไคโตะก็ฆ่าตัวตาย ไคโตะจึงแค้นฝังใจ โดยหวังว่าซักวันจะทำลายบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันที่เป็นต้นเหตุ ", "title": "รายชื่อตัวละครในมาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "117944#1", "text": "เปาตุ๊ (นำแสดงโดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) อดีตกรรมการบอลที่กำลังหนีลูกน้องของหัวหน้ากรรมการฟุตบอล แล้วเขาก็กระโดดลงที่ลำธาร และได้ไปสนามกีฬาโดยเห็นเงาะร่วมแข่งขันด้วย เขาสังสัยว่าเขาเค้าคือใครและเขาจึงตามพวกเขาไป โดยเข้าไปในป่า ก่อนที่จะพบเห็นหมู่บ้านเงาะป่ากับหัวหน้าเผ่า ซึ่งกำลังพูดเรื่องในหมู่บ้านกำลังมีโรคระบาด โดยที่ชาวซาไกยังคงมีอาหารป่วยไม่รู้จะรักษาอย่างไรจึงจะหาย ทำให้เขาตัดสินใจให้ซาไกทั้งกลุ่มออกเดินทางที่กรุงเทพมหานคร แต่ซาไกที่ไม่ได้ออกเดินทางนอกป่าที่ไกลมาก ซาไกทั้งกลุ่มจึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือพวกเผ่าเราให้หายป่วยโดยได้รับถ้วยพระราชทานในการแข่งขันฟุตบอลโลกครังนี้ และพวกเขาไปกรุงเทพโดยรถเมล์ เปาตุ๊คอยฝึกซาไกไว้ให้มาแข่งขันทีมซาไกยูไนเต็ดที่เปาตุ๊เคยตั้งชื่อทีมไว้แล้วในจังหวัดยะลา โดยการแข่งขันจะมี มะม่วงเป็นกัปตันทีมของซาไกยูไนเต็ด การแข่งขันของซาไกยูไนเต็ดไม่สำเร็จพอที่จะแข่งขันฟุตบอลตอนนี้ ในตอนกลางคืนกลุ่มซาไกได้เดินทางไปที่ถนนข้าวสารและได้เข้าไปในคลับ ซาไกเกิดอาการแปลกใจที่เห็นโลกภายนอก ในการแข่งขันทีมซาไกยูไนเต็ดแข่งกับสิงห์น้ำเงินแข่งเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จต่อๆกัน", "title": "ซาไกยูไนเต็ด" }, { "docid": "13607#6", "text": "หลังจากนั้นภารกิจการช่วยกาอาระเป็นต้นมาทีมของไกก็รับภารกิจต่างๆเรื่อยมา เมื่อเพนมาบุกโคโนฮะทีมของไกก็กำลังกลับมาจากปฏิบัติภารกิจพอดี ทีมไกรีบเดินทางกลับโคโนฮะและมาเจอกับฮินาตะที่โดนเพนโจมตีจนสาหัส เท็นเท็นได้เข้าไปดูแลฮินาตะก่อนที่จะตามนินจาแพทย์มารักษา เมื่อนารุโตะเอาชนะเพนร่างพระเจ้าได้และมุ่งหน้าไปหาร่างจริงของเพน ทีมไกตัดสินใจออกไปช่วยนารุโตะเพราะเห็นว่านารุโตะเหนื่อยมามากแล้วและไม่ควรที่จะไปคนเดียวจึงไม่ฟังเสียงทัดทานของคัทซึยุและตามนารุโตะไปในที่สุด\nทีมไกกลับมาจากทำภารกิจ", "title": "เท็นเท็น" }, { "docid": "843889#1", "text": "อดีตสมาชิกของทีมไกมุ อายุ 20 เป็นนักเต้นเบอร์ 2 ของทีมไกมุ แต่ว่าได้ออกจากทีมไปหางานทำ ทำงานเป็นเด็กส่งอาหารกับทำงานก่อสร้าง และมักจะทำให้พี่สาวเป็นห่วงอยู่เสมอ เป็นคนจิตใจดี ได้พบ \"เซนโกคุไดรเวอร์\" ของยูยะที่ตกหล่นอยู่ป่าเฮลไฮม์โดยบังเอิญพร้อมกับถูกอินเวสเข้าทำร้าย ทำให้กลายเป็นอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ของทีมไกมุไปในที่สุด แล้วคิดว่าจะเซนโกคุไดรเวอร์ช่วยทำงานได้ดีขึ้นแต่ดันไปก่อเรื่องทำให้เกิดปัญหาถึงขั้นเกือบโดนไล่ออก จึงขอลาออกจากงานก่อน แล้วหาเงินจากบีทไรเดอร์ แต่ว่าพี่ของโคตะเตือนถึงสิ่งที่ถูกต้องจึงเลิกหาเงินแบบนั้น แล้วหันไปหางานตามที่ต่างๆแต่ก็หาไม่ได้เลย ", "title": "รายชื่อตัวละครในมาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "556487#38", "text": "หลังจากที่เรดูเอกับมิจจิเปิดแครกจากป่าเฮลไฮม์จนทำให้บริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันกลายเป็นรังของอินเวส เรียวมะขึ้นจรวดหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวจนไม่มีใครรู้อีก และกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเปิดเผยแผนโปรเจกต์อาร์ค ทำให้ผู้นำของอิกดราชิลจากทั่วโลกตกอยู่ในภาวะวิกฤต ส่วนเรียวมะก็ซ่อนตัวที่ไหนซักแห่งโดยทำการค้นคว้าเรื่องป่าเฮลไฮม์คนเดียวอย่างลับๆต่อไป เรียวมะก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่เมืองซาวาเมะ แหล่งรวมตัวของทีมไกมุโดยบอกว่าโคตะว่าตนอยู่ในเหตุการณ์ที่มิจจิสู้กับทาคาโทระ โดยยื่นข้อเสนอให้กับอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ที่เหลืออยู่ว่าจะบอกทางลับเฉพาะของตนที่สามารถแอบเข้าบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชันเพื่อไปช่วยคนข้างในแต่ทางเข้ามันอยู่นอกตัวเมือง ส่วนตนก็แยกทางกับโคตะหลังจากเจอพวกคนที่ถูกจับเข้ามา เพื่อเข้าห้องห้องทดลองของตนเพื่อตรวจสอบหาข้อมูลบันทึกเทปเกี่ยวกับตอนที่มิจจิร่วมมือกับเรดูเอ จนรู้ว่าโรชูโอเป็นหัวหน้า จนเจอก็กระจายเสียงออกไปเพื่อให้อาร์มเมิร์ดไรเดอร์ที่เหลืออยู่ ให้รู้ว่าไมอยู่ที่ป่าเฮลไฮม์โดยอยู่กับโรชูโอ แล้วจากนั้นก็แอบเข้าไปในป่าเฮลไฮม์ดูการสู้ของโคตะกับไคโตะที่สู้กับโรชูโอ", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "843889#8", "text": "ไคโตะจึงบอกว่าต้องสู้กับโคตะเพื่อเอาพลังของผลไม้ต้องห้ามมาเพื่อช่วยไม แล้วก็สู้กันแต่โคตะก็หนี จนแซ็คคิดวางระเบิดฆ่าไคโตะถูกโยโกะช่วยไว้ จากนั้นสู้กับแซ็คแล้วสู้ชนะแซ็คได้อย่างง่ายดาย แล้วไปหาโยโกะจึงอยู่เคียงข้างโยโกะจนโยโกะตายจนไคโตะเสียใจ แล้วก็นำกองทัพอินเวสที่ตนเรียกออกมาทั้งหมดเพื่อสู้กับโคตะกองทัพอินเวสโคตะในศึกสุดท้าย จนพ่ายแพ้ โดยก่อนตายไคโตะก็ยอมรับโคตะว่าแข็งแกร่ง แล้วไคโตะก็เสียชีวิต โดยที่หลังจากนั้นไคโตะก็เข้าใจ\nสมาชิกของทีมไกมุ อายุ 16 ปี มีชื่อเล่นว่า \"มิจจิ\" (ミッチー) เป็นน้องชายของผู้อำนวยการบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชัน โดยปกปิดฐานะตัวเองไม่ให้เพื่อนร่วมทีมเห็นว่าเป็นใคร โดยเมื่อหลังเลิกเรียนของทุกวันที่โรงเรียนก็แอบเปลี่ยนชุดไปอยู่กับทีมไกมุ แล้วค่อยกลับบ้านโดยโกหกทาคาโทระว่าที่กลับดึกเพราะเรียนพิเศษของโรงเรียน โดยมิจจิแอบชอบไม นับถือโคตะเป็นรุ่นพี่ของทีม เชื่อว่าโคตะจะทำให้ไมมีความสุข หลังที่โคตะเกิดกลัวเรื่องตอนที่โดนทาคาโทระในร่างซันเงสึทำร้ายจึงขอเลิก จนทีมเกิดหมดหวังมิจจิก็ไปหาชิดไปขู่ให้ชิดมอบเซนโกคุไดร์เวอร์กับบุโดล็อกซีด จนกลายเป็นอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ของทีมไกมุอีกคน แต่หลังจากได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังของบีทไรเดอร์สและอินเวสเกม ทำให้เกิดความไม่ลงรอยกับโคตะและได้เห็นคลิปตัวอย่างการทดลองของวันที่ยูยะหายตัวไปทำให้ทัศนคติเริ่มเปลี่ยนไป และถูกทาคาโทระจับได้ว่าเป็นอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ แล้วไปเห็นซากปรักหักพังในป่าเฮลไฮม์จึงลาออกจากจากโรงเรียน โดยยอมร่วมมือกับบริษัทยุกดราชิลคอร์ปอร์เรชัน โดยทำหน้าที่เป็นสายลับคอยกำจัดโคตะ กับเคยสั่งการให้โจโนะอุจิกับโอเรนไปจัดการแทนตนแต่ล้มเหลวตลอด ", "title": "รายชื่อตัวละครในมาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "211704#4", "text": "พวกอาซาดะยังคงรักษาผู้ป่วยต่อไปและสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ทางเมย์ชินหมอคิโต ศาสตราจารย์ของเมย์ชินก็ตั้งทีมคิโตขึ้นและอยู่ภายใต้อำนาจของโนมุจิ นอกจากนั้นยังดึงหมออาราเสะ มอนจิ วิสัญญีแพทย์และนางพยาบาล มิกิ สมาชิกทีมดราก้อนมาร่วมทีม ทางพวกอาซาดะเองก็สามารถตั้งทีมขึ้นมาและรวมสมาชิกหมอฝีมือดีของโฮคุโยได้ทั้งหมด 4 คนมาร่วมทีมใหม่ แต่โนมุจิมีความหวังให้ยุบโฮคุโยและตั้งเป็นศูนย์ปลูกถ่ายหัวใจและในวันที่ 14 จะมีการมาเยี่ยมของคณะแพทย์จากต่างประเทศเพื่อพิจรณาว่าเมย์ชินเหมาะสมที่จะตั้งเป็นศูนย์ปลูกถ่ายหัวใจหรือไม่ แต่โนมุจิเกิดเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบขึ้นมาและให้พวกทีมอาซาดะรักษาให้จนสำเร็จ แต่การผ่าตัดครั้งนี้มีเงื่อนไขว่าหากผ่าตัดสำเร็จ พวกหมอฝีมือดีของโฮคุโยที่รวมพวกอาซาดะจะเข้าเป็นหมอที่เมย์ชินทันที ซึ่งเงื่อนไขนี้ถูกตั้งโดยผู้จัดการส่วนตัวของโนมุจิที่พักหลังถูกโนมุจิต่อว่า การผ่าตัดครั้งนั้นสำเร็จด้วยดีและพวกอาซาดะกับหมอฝีมือดีของโฮคุโยทั้ง7คน ย้ายมารวมกันที่เมย์ชินอีกครั้งและตั้งเป็นทีมดราก้อนทีมใหม่ที่มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นจากเดิม และนอกจากนั้นพวกอาซาดะยังดึงตัวอดีตสมาชิกทีมดราก้อนอย่าง พยาบาล ซาโตฮาร่า มิกิ และหมออาราเสะมาร่วมทีมอีกครั้ง ทำให้ทีมดราก้อนตอนนี้มีสมาชิกทั้งหมด9คนและเตรียมตัวเผชิญหน้ากับทีมคิโต ในขณะเดียวกันพวกทีมดราก้อนต้องผ่าตัดผู้ป่วยซึ่งป็นเด็กที่อาซาดะเคยผ่าบาทิสต้าให้ซึ่งปัจจุบันป่วยเพราะหัวใจผิดปกติเนื่องจากมีพังพืดและต้องการการปลูกถ่ายหัวใจ นอกจากนั้นยังต้องการผู้บริจาคตับอีกด้วย แต่อิชูอินหนึ่งในทีมดราก้อนก็ได้มอบหมายให้นำหัวใจของผู้บริจาคมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยอีกราย ในวันผ่าตัดทีมดราก้อนได้ผ่าตัดผู้ป่วยจนเกือบสำเร็จแต่ก็ต้องรอหัวใจของผู้บริจาคอยู่ดี อีกฝ่ายอิชูอินต้องพบอุปสรรคในการนำหัวใจมาให้แต่ก็สามารถมาถึงโรงพยาบาลได้ แต่ผู้ป่วยอีกรายได้รับการปลูกถ่ายหัวใจเรียบร้อยแล้ว อิชูอินจึงนำหัวใจมาให้พวกทีมดราก้อนจนการผ่าตัดสำเร็จด้วยดี อีกด้านเมื่อโนมุจิรู้เรื่องการผ่าตัดสำเร็จก็ดีใจยกใหญ่แต่ความลับเรื่องการปกปิดการผ่าตัดถูกแฉทำให้โนมุจิถูกสั่งให้ออกจากโรงพยาบาล สุดท้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุบางอย่างในต่างประเทศ เมย์ชินเองก็ได้ผู้บริหารคนใหม่ที่ยึดหลักการรักษาคนไข้เป็นสำคัญและพร้อมที่จะเปลี่ยนเมย์ชินไปจากเดิม ทีมดราก้อนเองก็แตกแยกย้ายกันไป", "title": "ทีมดราก้อน คุณหมอหัวใจแกร่ง" }, { "docid": "556487#5", "text": "และด้วยฐานะของอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ทำให้กลับเข้าร่วมทีมไกมุอีกครั้งเพื่อให้ทีมขึ้นอันดับโดยโคตะเป็นบอดี้การ์ดให้ทีม แต่เมื่อรู้ว่าบีทไรเดอร์สเป็นเพียงฉากหน้าของส่วนหนึ่งในการทดลองเข็มขัดเซนโกคุไดรเวอร์ทำให้เขาต้องเจอเหตุการณ์ที่ตกตะลึงและรู้ความจริงในสิ่งต่างๆ ของเบื้องหลังบีทไรเดอร์และอาร์มเมิร์ดไรเดอร์ จึงลาออกจากทีมไกมุไปคอยกำจัดอินเวส แล้วปัจจุบันได้งานทำที่ร้านน้ำผลไม้ ดรอปเปอร์ส หลังจากที่ได้รับคิวามิล็อกซีดจาก DJ ซางาระ ก็ใช้พลังนั้นต่อสู้มาตลอดโดยที่เริ่มกลายเป็นเฟมชินมุ(โอเวอร์ลอร์ดอินเวส)ไปเรื่อยๆ โดยที่ตนไม่รู้ตัวโดยแสดงอาการออกมาคือไม่รู้สึกอยากกินอาหารของมนุษย์เรื่อยๆ", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "556487#56", "text": "ส่วนศพของไมก็สลายไป จนไมไม่ใช่มนุษย์อีกแล้วแต่ยังไม่ตาย โดยเหลือหน้าที่สุดท้ายคือส่งมอบผลไม้ต้องห้ามให้ผู้ที่เหลือรอดคนสุดท้าย ซึ่งโคตะชนะแล้วมอบผลไม้ต้องห้ามให้โคตะ แล้วไปใช้ชีวิตด้วยกันกับโคตะที่ดาวที่แห้งแล้งที่โคตะเปิดแครก ซึมิอิ ยูยะ (角居裕也) แสดงโดย ซาคิโมโตะ ฮิโรมิ อดีตหัวหน้าทีมไกมุ ทำหน้าที่คุมซ้อมการเต้นของทีม เป็นผู้ที่ได้รับเลือกเป็นอาร์มเมิร์ดไรเดอร์และได้เซนโกคุไดรเวอร์จากชิด หลังจากนั้นทุกคนในทีมคิดยูยะว่าหายสาปสูญไป แต่ความจริงเมื่อเข้าไปในแครก ก็อยู่ในป่าเฮลไฮม์เขาได้กินผลไม้ในป่าเฮลไฮม์โดยบังเอิญจนกลายเป็น เบียะโกะอินเวส(อินเวสรูปแบบที่เกิดจากมนุษย์กินผลไม้จากป่าเฮลไฮม์) แล้วคลุ้มคลั่งจนควบคุมตัวเองไม่ได้ไปในที่สุด และเสียชีวิดจากการโจมตีของโคตะในร่างของไกมุตั้งแต่วันต่อมาหลังจากที่ได้เซนโกคุไดรเวอร์ แช็คกี้ (チャッキー) แสดงโดย KANON (ซึยาม่า คาน่อน) สมาชิกทีมไกมุ เป็นคนสาวห้าวนิดๆ แต่มีความสามารถในการเต้นที่ดีที่สุดในทีม 3 เดือนต่อมาหลังจากนั้นเมืองซาวาเมะฟื้นตัวขึ้นมาเป็นสมาชิกในทีมบีทไรเดอร์รุ่นใหม่ที่แซ็คเป็นหัวหน้า ริกะ (リカ) แสดงโดย MIINA (โยโกตะ มินะ) สมาชิกทีมไกมุ เป็นคนไม่ค่อยถูกกับแช็คกี้ แต่มีความสามารถในการสนับสนุนข่าวสารเกี่ยวกับบีทไรเดอร์และอินเวส ถูกอินเวสจับตัวไปพร้อมกับแร็ท แล้วถูกช่วยโดยพวกไคโตะ 3 เดือนต่อมาหลังจากนั้นเมืองซาวาเมะฟื้นตัวขึ้นมาเป็นสมาชิกในทีมบีทไรเดอร์รุ่นใหม่ที่แซ็คเป็นหัวหน้า แร็ท (ラット) แสดงโดย โอซาว่า เร็น สมาชิกทีมไกมุ ชื่นชอบการแสดงฉูดฉาดและมักจะจัดการเพื่อนำมาขึ้นอารมณ์ของทีมหลังจากที่สูญเสียไป แต่บางครั้งเขาผลักดันโชคของเขาห่างไกลเกินไป ถูกอินเวสจับตัวไปพร้อมกับริกะ แล้วถูกช่วยโดยพวกไคโตะ 3 เดือนต่อมาหลังจากนั้นเมืองซาวาเมะฟื้นตัวขึ้นมาเป็นสมาชิกในทีมบีทไรเดอร์รุ่นใหม่ที่แซ็คเป็นหัวหน้า", "title": "มาสค์ไรเดอร์ไกมุ" }, { "docid": "13607#4", "text": "ในการสอบจูนินครั้งถัดมาทีม10ของเธอทั้งหมดได้ผ่านการสอบจูนินเป็นที่เรียบร้อยและในปัจจุบันนี้เนจิก็ได้เลื่อนเป็นโจนินแล้ว ต่อมาได้มีคำขอกำลังเสริมมาจากทางซึนะงาคุเระเพื่อให้สนับสนุนในการตามตัวคาเสะคาเงะของทางซึนะงาคุเระที่ถูกทางแสงอุษาลักพาตัวไป ไกและทีมของเขาหลังจากกลัยมาจากปฏิบัติภารกิจได้ถูกซึนาเดะส่งตัวออกไปยังแคว้นซึนะงาคุเระทันทีเพื่อสมทบกับทีมคาคาชิและสนับสนุนทางซึนะในการทำภารกิจ(ในอนิเมะเป็นระดับsแต่ในมังงะเป็นระดับA) แต่การเดินทางของทีมไกได้ถูกขัดขวางระหว่างการเดินทางโดนคิซาเมะหนึ่งในแสงอุษาที่อาศัยวิชาย้ายโฉมโดยแบ่งจักระมาบางส่วนจากพิธีการดึงสัตว์หางโดยอาศัยร่างของนินจาจากซึนะในการเคลื่อนไหวและต่อสู้ ซึ่งคิซาเมะสามารถป้องกันการโจมตีของทีมไกได้เป็นอย่างดี แต่แล้วลี เนจิ เท็นเท็นโดนคาถาคุกน้ำของคิซาเมะทำให้ไม่สามารถที่จะช่วยต่อสู้ได้ แต่เนจิสามารถทำลายคุกน้ำและช่วยเท็นเท็นและลีออกมาจากคุกน้ำได้สำเร็จ ในด้านของไกก็ใช้ยูงทองแรกอรุณจัดการคิซาเมะที่ใช้วิชาย้ายโฉมมาได้สำเร็จ", "title": "เท็นเท็น" } ]
2358
สมชาย เข็มกลัด เกิดที่ไหน ?
[ { "docid": "51658#0", "text": "สมชาย เข็มกลัด เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2517 ที่กรุงเทพมหานคร นักร้อง นักแสดงชาวไทยที่มีชื่อเสียง", "title": "สมชาย เข็มกลัด" } ]
[ { "docid": "51658#1", "text": "เป็นชาวไทยเชื้อสายมอญที่เกิดในครอบครัวฐานะยากจน โดยมีผู้เป็นยายเลี้ยงดูมาตลอด เริ่มเข้าศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนท่าเรือวิทยา และได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา พ.ศ. 2544", "title": "สมชาย เข็มกลัด" }, { "docid": "51658#2", "text": "เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงจากการชักนำของ พจน์ อานนท์ ให้ไปถ่ายแบบลงหนังสือ เธอกับฉัน จากนั้นก็ก้าวสู่วงการจอแก้วในละครโทรทัศน์เรื่อง \"นางฟ้าสีรุ้ง\" ทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2533 ในฐานะตัวประกอบ และเข้าสู่บทบาทในจอเงินภายใต้ชื่อเรื่องว่า “สะแด่วแห้ว” จากนั้นได้เข้าเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในสังกัด อาร์เอส โปรโมชั่น มีอัลบั้มเป็นของตัวเองชื่อ “เต๋า หัวโจก” ในปี พ.ศ. 2536 ซึ่งถือเป็นผลงานสร้างชื่อให้เต๋ากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นด้วยแฟชั่นผ้าโพกหัวและเสื้อลายสก๊อตจากมิวสิกวีดีโอเพลง \"บอดี้การ์ด\" คู่กับ สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา ซึ่งทำให้ทั้งคู่ต่อมาเหมือนเป็นดาราคู่ขวัญกัน ตามมาด้วยอัลบั้มชุดที่ 2 “สมชายจดปลายเท้า” และอัลบั้มพิเศษ “สมชายโอที” ในปี พ.ศ. 2538 และอัลบั้มชุดที่ 3 \"สมชาย 100 แรงม้า\" ในปี พ.ศ. 2541", "title": "สมชาย เข็มกลัด" }, { "docid": "38928#0", "text": "จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก หรือชื่อจริง สมศักดิ์ หมีพุฒ เป็นอดีตนักแสดงตลกชาวไทย เกิดเมื่อ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 ที่ จังหวัดนครนายก เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนทั้งหมด 3 คน ของครอบครัวชาวสวน ในวัยเด็กรูปร่างยังไม่อ้วน แต่มาอ้วนเพราะมาเฝ้ายายที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พยาบาลนำข้าวโอ้ตมาให้ยายรับประทาน แต่ยายไม่ทาน เลยรับประทานเองเป็นเวลาเดือนครึ่ง และยิ่งอ้วนขึ้นไปอีกเมื่อบวชเป็นเณร", "title": "จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก" }, { "docid": "28430#1", "text": "หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2468 ตรงกับวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีฉลู เวลาเที่ยงวัน ณ หมู่บ้านเหล่างิ้ว ตำบลจังหาร อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด ในตระกูลที่เป็น ชาวฮินดู หลวงปู่สมชาย เป็นบุตรคนที่ 2 ของโยมบิดาชื่อ \"สอน มติยาภักดิ์\" โยมมารดา \"บุญ มติยาภักดิ์\" โยมมารดาของท่านเป็นบุตรตรีคนเล็กของ คุณหลวง เสนา ศาสนาพราหมณ์ในท้องถิ่นนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเพียง 2 คน คือ 1. นายหนู มติยาภักดิ์ 2. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย", "title": "พระวิสุทธิญาณเถร (สมชาย ฐิตวิริโย)" }, { "docid": "64911#4", "text": "มิตร ชัยบัญชา เกิดที่อำเภอท่ายาง หมู่บ้านไสค้าน จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรชายของ นาย สุมิตร สุขประเสริฐ กับนางยี หรือ สงวน ระวีแสง สาวตลาดท่ายาง ในวันที่นางยีให้กำเนิดลูกน้อยด้วยเหตุผลส่วนตัวของ นาย สุมิตร สุขประเสริฐ จึงได้วานเพื่อนสนิทคือ พลฯ ชม ระวีแสง เพื่อนนายตำรวจชั้นประทวนเป็นผู้เซ็นต์รับรองและดูแลบุตรแทนตนนับจากนั้น พลฯ ชม ระวีแสง ก็ได้ทำหน้าที่นั้นเรื่อยมาโดยมี นาย สุมิตร คอยดูแลลูกอยู่ห่างๆจนภายหลัง นางยี และ พลฯ ชม ระวีแสง ได้พาลูกน้อยย้ายเข้าพระนครฯ หลังจากนั้น นาย สุมิตร ก็ไม่ได้พบลูกอีกเลย จนกระทั่งหลายสิบปีให้หลังขณะที่เด็กน้อยจากอำเภอท่ายางได้เติบโตเข้าสู่วงการบันเทิงมีชื่อเสียงโด่งดัง มิตร ชัยบัญชา ได้รับรู้ความจริงว่า พลฯ ชม ระวีแสง ไม่ใช่พ่อแท้ๆของตน จึงได้เริ่มตามหาโดยเคยประกาศออกสื่อว่าหากใครเป็นพ่อของตนตนจะมอบเงินสามแสนบาทให้ ซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก แต่ก็ไม่มีใครแสดงตัวว่าเป็นพ่อที่แท้จริงจนกระทั่ง พลฯ ชม ระวีแสง ได้ตัดสินใจบอกความจริงกับ มิตร ชัยบัญชา ว่าพ่อที่แท้จริงคือใครและได้พา มิตร ชัยบัญชา เดินทางไปที่อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นที่อยู่และที่ทำงานของ นาย สุมิตร สุขประเสริฐ ในขณะนั้น มิตร ชัยบัญชา และพ่อที่แท้จริงได้เจอกันเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้เจอกันมานานหลายสิบปี การเจอกันในครั้งนั้น มิตร ชัยบัญชา ได้ถ่ายรูปคู่กับ นาย สุมิตร และได้พูดคุยเกี่ยวกับการที่ตนอยากจะเปิดตัวพ่อที่แท้จริงอย่างเป็นทางการออกสื่อ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนได้เกิดเหตุการณ์ที่นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของวงการบันเทิงไทย และเป็นการจบเรื่องราวชีวิตของพระเอกดาวค้างฟ้าชื่อดังของเมืองไทยนาม มิตร ชัยบัญชา", "title": "มิตร ชัยบัญชา" }, { "docid": "386673#0", "text": "สมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ (30 กันยายน พ.ศ. 2480 – ) เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ชาวจังหวัดชลบุรี ผู้กว้างขวางในภาคตะวันออก และเคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุขที่มีผลงานมากมายจนทำให้ชลบุรีเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและให้การสนับสนุนนักการเมืองจากภาคตะวันออกหลายคน ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 4 เดือน และยึดทรัพย์ในคดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว และจำคุก 25 ปี ในคดีจ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร แล้วหลบหนีคดี ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 นายสมชาย คุณปลื้มได้ถูกตำรวจจับที่กรุงเทพมหานคร", "title": "สมชาย คุณปลื้ม" }, { "docid": "51658#8", "text": "ในอดีต เคยใช้ชีวิตคู่กับ นัท มีเรียแต่ก็ไปกันไม่ได้ ต้องจดทะเบียนหย่า จนเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ได้จดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตบางรัก กับอัฐมาศ อัศววิมล รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดนิตยสารดิฉันและคอสโมโพลิแทน ปัจจุบันมีบุตรชาย 1 คน และบุตรสาว 1 คน ชื่อน้องสมใจ และน้องสุขใจ", "title": "สมชาย เข็มกลัด" }, { "docid": "51658#6", "text": "รวมถึงเคยเป็นพิธีกรรายการ 4+1 ถึงจะเท่ห์ ร่วมกับ สายฟ้า เศรษฐบุตร, ปราโมทย์ แสงศร และจักรกฤษณ์ อำมะรัตน์", "title": "สมชาย เข็มกลัด" }, { "docid": "629951#1", "text": "นายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ เป็นชาวจังหวัดลพบุรี เกิด พ.ศ. 2499 ต.ทะเลชุบศร(แถวย่านสระแก้วหรือวงเวียนศรีสุริโยทัย) อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นบุตรคนเล็ก มีพี่ 5 คน บิดาชื่อนายเก่งเทียม แซ่แต้ มาดาชื่อนางซอกเค็ง แซ่แต้", "title": "สมชาย เทียมบุญประเสริฐ" } ]
2234
อัตติลา เสียชีวิตเมื่อไหร่?
[ { "docid": "277543#0", "text": "อัตติลา หรือที่ใช้อ้างอิงส่วนใหญ่ อัตติลาเดอะฮัน (English: Attila the Hun) (ค.ศ. 406 – ค.ศ. 453) เป็นจักรพรรดิชาวฮันผู้ครองจักรวรรดิฮัน (Hunnic Empire) ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มชนเผ่าต่างๆทั้ง ฮัน ออสโตรกอท อลานส์ และเผ่าอนารยชนอื่นๆ ในดินแดนยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ระหว่าง ค.ศ. 434 จนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 453 ที่พระองค์ได้เสด็จสวรรคตลง ในรัชสมัยของพระองค์สามารถครอบครองดินแดนตั้งแต่ ประเทศเยอรมนีไปจนถึงแม่น้ำยูรัล และจากแม่น้ำดานูบไปจนถึงทะเลบอลติก กินพื้นที่มากกว่า 4 ล้านตารางกิโลเมตร[1] นับเป็นการครอบครองดินแดนที่มากที่สุดอาณาจักรหนึ่งในยุคมืด", "title": "อัตติลา" } ]
[ { "docid": "173935#16", "text": "ในปี 2004 เธอแสดงในหนังโรแมนติกตลก \"A Cinderella Story\" หนังได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเรื่องการแสดงของเธอ แต่กลับสวนทางกับด้านรายได้ของหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด ต่อมาในช่วงปลายปีเดียวกัน เธอแสดงนำใน \"Raise Your Voice\" เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงในหนังชีวิต เธอรับบทเป็นเด็กสาววัยรุ่นเสียงดี ที่ปิดตัวเองหลังจากที่พี่ชายเธอเสีย จนกระทั่งเธอได้รับเข้าการศึกษาที่โรงเรียนสอนดนตรี ซึ่งเป็นโจทย์ชีวิตของเธอ ที่เธอตั้งใจว่าจะทำสิ่งนี้เพื่อพี่ชายผู้ล่วงลับของเธอ คือการกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง หนังได้รับคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ในด้านลบ และกล่าวถึงการแสดงของเธอ ที่ไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่ และเรื่องการรับบทที่เป็นแบบซ้ำๆเดิมๆ ทำให้หนังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ และทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัล Razzie Awards ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดแย่เป็นปีแรก จาก Raise Your Voice และ A Cinderella Story", "title": "ฮิลารี ดัฟ" }, { "docid": "217474#19", "text": "“การพบปะระหว่างพระสันตะปาปาเลโอกับอัตติลา” เป็นภาพที่แสดงการพบปะระหว่างพระสันตะปาปาเลโอที่ 1 และอัตติลา", "title": "ห้องราฟาเอล" }, { "docid": "289494#4", "text": "โฮโนเรียพยายามหลบหนีหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ พระเชษฐาจึงทรงจับโฮโนเรียให้สมรสกับสมาชิกวุฒิสภาโรมัน โฮโนเรียพยายามหาทางเลี่ยงโดยหันไปให้อัตติลาช่วยโดยการส่งสาส์นถึงพระองค์พร้อมกับแหวนหมั้นในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 450 โฮโนเรียอาจจะมิได้ตั้งใจที่เสนอการแต่งงาน แต่อัตติลาตีความหมายของการสื่อสารดังว่าและยอมตกลง โดยขอดินแดนครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเป็นสินสอดทองหมั้น เมื่อจักรพรรดิวาเล็นติเนียนทราบแผน แทนที่จะทรงสั่งให้ฆ่าโฮโนเรีย พระองค์ก็ทรงสั่งเนรเทศตามคำร้องของของพระราชมารดากาลลา พลาซิเดีย และแล้วก็ทรงส่งพระราชสาส์นไปถึงอัตติลาปฏิเสธความถูกต้องของการขอแต่งงานของโฮโนเรียอย่างแข็งขัน แต่อัตติลาผู้ทรงตั้งใจมานานแล้วที่จะรุกรานโรมก็ทรงส่งราชทูตไปยังราเวนนาเพื่อไปประกาศความบริสุทธิ์ของโฮโนเรีย และยืนยันว่าการขอแต่งงานของโฮโนเรียเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และพระองค์จะทรงเดินทางมารับโฮโนเรียผู้ที่ทรงถือว่าเป็นของพระองค์อย่างถูกต้อง ในปี ค.ศ. 451 อัตติลาจึงใช้ข้ออ้างนี้เดินทางเข้ามารุกรานโรมในฐานะ “สามีผู้ถูกทรยศ” แต่โรมรอดตัวมาได้วยความช่วยเหลือของวิซิกอธ อัตติลาจึงไม่ได้ช่วยโฮโนเรีย และในที่สุดโฮโนเรียก็ถูกส่งตัวกลับโรม แต่จักรพรรดิวาเล็นติเนียนทรงพยายามเลี่ยงข้อครหาโดยมิได้ทรงสั่งให้ประหารชีวิต แต่ก็ไม่ทรงต้องการที่จะเนรเทศโฮโนเรียอีก ในที่สุดโฮโนเรียก็ต้องสมรสกับสมาชิกวุฒิสภาเฟลเวียส บัสซัส เฮอร์คิวลานัสผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตั้งแต่แรก", "title": "จัสตา กราตา โฮโนเรีย" }, { "docid": "342282#1", "text": "ในเขตพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่เรียกว่า DMZ หรือ JSA มีการพบศพทหารเกาหลีเหนือ 2 นายเสียชีวิต และเพื่อสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทางการของทั้ง 2 ประเทศได้ส่ง พันตรีหญิง โซฟี อี.จีน (ลี ยองเอ) นายทหารหญิงลูกครึ่งเกาหลี-สวิสเซอร์แลนด์ มาสอบสวน โดยเน้นย้ำว่าต้องให้เป็นกลางอย่างแท้จริง แต่ทั้ง 2 ประเทศให้ข้อมูลพาดพิงกัน เมื่อเธอสืบจนพบความจริงบางอย่าง ซึ่งทำให้นายทหารที่เกี่ยวข้องต้องฆ่าตัวตาย และเมื่อยิ่งสืบสาวราวเรื่องเท่าไหร่ ก็พบเรื่องความราวมิตรภาพของคนจาก 2 สัญชาติที่ลึก ๆ แล้วเขาก็คือพี่น้องร่วมชาติกันมาก่อน", "title": "สงครามเกียรติยศ มิตรภาพเหนือพรมแดน" }, { "docid": "277543#9", "text": "เมื่อได้ตามข้อเรียกร้องแล้ว กษัตริย์ฮันก็ถอยทัพกลับไปในจักรวรรดิของตนเอง จากบันทึกของนักประวัติศาสตร์จอร์ดาเนส (หลังจากพริสคัส) ในช่วงที่สงบสุขหลังจากที่ฝ่ายฮันถอยจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ (อาจจะราว ค.ศ. 445) เบลดามาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุระหว่างการล่าสัตว์ อัตติลาจึงกลายเป็นผู้นำคนเดียวเท่านั้นของชนฮัน[13]", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "251771#1", "text": "ชาวฮันอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ในยุโรปที่เป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ชนฮั่นรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิภายใต้การนำของอัตติลาผู้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 453 ภายในปีเดียวจักรวรรดิฮันก็ล่มสลาย ผู้สืบเชื้อสายชาวฮันต่อมาหรือกลุ่มชนที่มีชื่อคล้ายคลึงกันได้รับการบันทึกไว้ในบันทึกของชนชาติเพื่อนบ้านทางใต้ ตะวันออก และตะวันตกว่าเป็นผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางประมาณระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ชื่อเรียกต่างๆ ปรากฏในคอเคซัสจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8", "title": "ชาวฮัน" }, { "docid": "277543#13", "text": "แต่ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 450 จัสตา กราตา โฮโนเรีย พระขนิษฐาของจักรพรรดิวาเล็นติเนียนผู้พยายามหนีจากการที่จะต้องสมรสกับสมาชิกวุฒิสภาโรมันก็ส่งสาส์นถึงอัตติลาพร้อมกับแหวนหมั้นเพื่อของร้องให้ช่วย โฮโนเรียอาจจะมิได้ตั้งใจที่เสนอการแต่งงาน แต่อัตติลาตีความหมายของการสื่อสารดังว่าและยอมตกลง โดยขอดินแดนครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเป็นสินสอดทองหมั้น เมื่อจักรพรรดิวาเล็นติเนียนทราบแผน แทนที่จะทรงสั่งให้ฆ่าโฮโนเรีย พระองค์ก็ทรงสั่งเนรเทศตามคำร้องของของพระราชมารดากาลลา พลาซิเดีย และแล้วก็ทรงส่งพระราชสาส์นไปถึงอัตติลาปฏิเสธความถูกต้องของการขอแต่งงานของโฮโนเรียอย่างแข็งขัน แต่อัตติลาผู้ทรงตั้งใจมานานแล้วที่จะรุกรานโรมก็ทรงส่งราชทูตไปยังราเวนนาเพื่อไปประกาศความบริสุทธิ์ของโฮโนเรีย และยืนยันว่าการขอแต่งงานของโฮโนเรียเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และพระองค์จะทรงเดินทางมารับโฮโนเรียผู้ที่ทรงถือว่าเป็นของพระองค์อย่างถูกต้อง ในปี ค.ศ. 451 อัตติลาจึงใช้ข้ออ้างนี้เดินทางเข้ามารุกรานโรมในฐานะ “สามีผู้ถูกทรยศ” แต่โรมรอดตัวมาได้วยความช่วยเหลือของวิซิกอธ อัตติลาจึงไม่ได้ช่วยโฮโนเรีย และในที่สุดโฮโนเรียก็ถูกส่งตัวกลับโรม แต่จักรพรรดิวาเล็นติเนียนทรงพยายามเลี่ยงข้อครหาโดยมิได้ทรงสั่งให้ประหารชีวิต แต่ก็ไม่ทรงต้องการที่จะเนรเทศโฮโนเรียอีก ในที่สุดโฮโนเรียก็ต้องสมรสกับสมาชิกวุฒิสภาเฟลเวียส บัสซัส เฮอร์คิวลานัสผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตั้งแต่แรก", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "277543#24", "text": "ลูกและญาติพี่น้องของอัตติลาหลายคนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในนามและในกิจการที่กระทำ แต่ไม่นานเชื้อสายของอัตติลาก็หายไปโดยไม่อาจจะสืบย้อนหลังได้ แต่กระนั้นนักพงศาวลีวิทยา (Genealogist) ก็ยังพยายามที่จะปะติดปะต่อญาติวงศ์ของประมุขหลายคนในยุคกลาง แหล่งหนึ่งที่พอจะน่าเชื่อถืออ้างว่าข่านแห่งบัลแกเรียสืบเชื้อสายมาจากอัตติลา นอกจากนั้นก็มีการพยายามลำดับญาติวงศ์ของชาร์เลอมาญไปยังอัตติลาแต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นที่แน่นอน", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "232651#55", "text": "ข้อมูลการสอดส่องดูแลไข้หวัดใหญ่ \"ตอบคำถามที่ว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อะไรกำลังระบาด ระบาดที่ไหน และเมื่อไหร่ มันยังสามารถใช้แสดงผลกิจกรรมของไข้หวัดใหญ่ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่ไม่สามารถใช้ระบุอย่างชัดเจนได้ว่ามีคนจำนวนเท่าใดที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่\"[159] ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 ข้อมูลการสอดส่องดูแลไข้หวัดใหญ่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจากห้องปฏิบัติการกว่า 28,000 คน โดย 3,065 คน เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิต 127 คน แต่จากการสร้างตัวแบบทางคณิตศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่ามีชาวอเมริกันติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 1 ล้านคน จากการศึกษาของลินน์ ฟิเนลลี เจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลไข้หวัดใหญ่กับ CDC[160] ประมาณการผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ยังเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ในปี พ.ศ. 2548 มีผู้ที่อาศัยในสหรัฐอเมริกาเพียง 1,812 คน ที่มีไข้หวัดใหญ่เป็นสาเหตุการเสียชีวิต และระบุในใบมรณบัตร อย่างไรก็ตาม ประมาณการผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่กลับอยู่ที่ราว 36,000 คนต่อปี[161] CDC อธิบายว่า \"... ไม่บ่อยนักที่ไข้หวัดใหญ่จะถูกระบุไว้ในใบมรณบัตรของผู้ที่เสียชีวิตด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่\" และนอกเหนือจากนั้น \"การนับเฉพาะผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ตามที่ระบุในมรณบัตรจะเป็นการประมาณการที่ผิดพลาดอย่างมากในการศึกษาผลกระทบที่แท้จริงของไข้หวัดใหญ่\"[162]", "title": "การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009" }, { "docid": "277543#14", "text": "หลังจากการเสียชีวิตของประมุขของแฟรงค์อัตติลาก็เข้าไปมีบทบาทในความขัดแย้งเกี่ยวกับผู้สืบครองดินแดน อัตติลาสนับสนุนบุตรชายคนโต ขณะที่เฟลเวียส เอเทียสสนับสนุนบุตรชายคนรอง[15] อัตติลารวบรวมบรรดาดินแดนประเทศราชที่บางส่วนรวมทั้ง—เกปิด, ออสโตรกอธ, รูจิอี, ซิริอิ, Heruls, ทูริงเกียน, อาลัน, ชาวเบอร์กันดีและเริ่มยกทัพไปทางตะวันตก ในปี ค.ศ. 451 ก็เดินทัพไปถึงเบจิคาที่นักประวัติศาสตร์จอร์ดาเนสประมาณจำนวนที่อาจจะเกินเลยไปถึงครึ่งล้านคน นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไบแซนไทน์เจ.บี. เบอรีเชื่อว่าวัตถุประสงค์ของอัตติลาในการเดินทัพไปทางตะวันตกก็เพื่อทำการขยายดินแดน – ซึ่งขณะนั้นก็เป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้วบนแผ่นดินใหญ่ยุโรป – เข้าไปในกอลไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก.[16]", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "930988#1", "text": "เหตุการณ์สุดพลิกผันกลางท้องฟ้าจากความระทึกสุดขั้วสู่ความกลัวสุดขีดตลอดเที่ยวบินเมื่อกลุ่มผู้โดยสารที่นำโดย “แบรด มาร์ติน” และ แอร์โฮสเตสสาว ต้องเผชิญหน้ากับอุบัติเหตุเหนือคาดฝันที่ส่งผลให้มีผู้โดยสารเสียชีวิต ก่อนที่ผู้โดยสารและลูกเรือแต่ละคนต้องประสบกับการจู่โจมของแรงอาฆาตเร้นลับซึ่งซ่อนตัวอยู่ในทุกพื้นที่ของเครื่องบินลำนี้ ยิ่งเครื่องบินทะยานใกล้โตเกียวมากขึ้นเท่าไหร่ ชีวิตของทุกคนในไฟลท์ “7500” ก็ยิ่งตกอยู่ในความหวาดผวามากขึ้นเท่านั้น ไร้ทางหนี ไม่ทีทางรอด หรือสุดท้ายเครื่องบินลำนี้กำลังจะต้องกลายเป็นสุสานบนน่านฟ้า!", "title": "7500 ไม่ตกก็ตาย" }, { "docid": "277543#12", "text": "ในปี ค.ศ. 450 อัตติลาก็ประกาศความตั้งใจที่โจมตีราชอาณาจักรตูลูสวิซิกอธผู้มีอำนาจ โดยหันไปทำสัญญาพันธมิตรทางทหารกับจักรพรรดิวาเล็นติเนียนที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันตะวันตก เดิมอัตติลามีความสัมพันธ์อันดีกับจักรวรรดิโรมันตะวันตกและประมุข “โดยพฤตินัย” ของจักรวรรดิ--เฟลเวียส เอเทียส ผู้ที่หนีไปลี้ภัยอยู่กับชาวฮันอยู่ระยะหนึ่งในปี ค.ศ. 433 และได้รับการช่วยเหลือทางการทหารจากอัตติลาในการต่อสู้กับกอธและบากอแด (Bagaudae) จนได้ตำแหน่งเกียรติยศ “Magister militum” ในตะวันตก นอกจากนั้นแล้วบรรณาการและการติดต่อทางการทูตโดยเจนเซอริคผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อก็อาจจะมีอิทธิพลในการตัดสินใจของอัตติลาด้วย", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "44340#6", "text": "หลังจากพิมพ์ต้นฉบับของ \"Casino Royale\" เสร็จแล้ว, เฟลมิ่งได้ให้เพื่อนของเขา วิลเลียม โฟลเมอร์ อ่าน ซึ่งโฟลเมอร์ชอบมันและได้ส่งไปยังสำนักพิมพ์ โจนาธาน เคป แต่เคปก็ไม่ค่อยจะชอบมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ได้ถูกตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2496 ซึ่งแนะนำโดย ปีเตอร์ เฟลมิ่ง, พี่ชายของเอียน เฟลมมิง ระหว่างปี พ.ศ. 2496 ถึง พ.ศ. 2509 และ 2 ปีหลังจากเสียชีวิต เฟลมมิงได้ประพันธ์นวนิยายทั้งหมด 12 เล่มและรวมเรื่องสั้นอีก 2 เล่ม ซึ่ง 2 เล่มสุดท้ายนั้นใช้ชื่อว่า \"The Man with the Golden Gun\" และ \"Octopussy and The Living Daylights\" – ซึ่งตีพิมพ์หลังเสียชีวิตแล้ว ทุกเล่มตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ โจนาธาน เคป", "title": "เจมส์ บอนด์" }, { "docid": "277543#19", "text": "หลังจากถอยทัพออกจากอิตาลีกลับไปยังพระราชวังทางอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำดานูบ อัตติลาก็วางแผนที่จะเข้าโจมตีคอนสแตนติโนเปิลอีกครั้งเพื่อไปทวงบรรณาการที่จักรพรรดิมาร์เชียนทรงสั่งให้ยุติ (จักรพรรดิมาร์เชียนผู้ครองราชย์ต่อจากจักรพรรดิธีโอโดเซียสมีพระบรมราชโองการให้ยุติการส่งบรรณาการเมื่อปลายปี ค.ศ. 450 ขณะที่อัตติลาไปทำการรณรงค์ทางทหารอยู่ทางตะวันตก นอกจากนั้นการรุกรานในคาบสมุทรบอลข่านหลายครั้งของอัตติลาก็ทำให้ไม่เหลืออะไรให้ปล้นสดมอีกเท่าใดนัก) แต่อัตติลามาเสด็จสวรรคตเมื่อต้นปี ค.ศ. 453 เสียก่อน โดยทั่วไปแล้วจากพริสคัสกล่าวว่าในการเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานครั้งล่าสุดกับสตรีสาวสวยอิลดิโค (ถ้าเป็นชื่อที่ไม่ได้แผลงมาก็อาจจะเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากกอธ) [23] อัตติลามีอาการตกเลือดกำเดาอย่างหนัก และสำลักจนสิ้นพระชนม์ อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าพระองค์ประชวรด้วยเลือดออกภายในหลังจากที่เสวยน้ำจัณฑ์ไปเป็นอันมาก ด้วยอาการที่เรียกว่า หลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร (esophageal varices) เมื่อหลอดเลือดขยายตัวในบริเวณตอนล่างของหลอดอาหารแตกที่ทำให้เสียชีวิตจากการเสียเลือด[24]", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "277543#3", "text": "อัตติลาได้รับการบรรยายโดยนักประวัติศาสตร์จอร์ดาเนสว่าทรงมี \"พระวรการที่เตี้ย, พระอุระกว้างและพระเศียรใหญ่; พระเนตรเล็ก, พระมัสสุบางและประปรายด้วยสีเทา; พระนาสิกแบน และ พระฉวีคล้ำ แสดงถึงที่มาของพระองค์...\"[3] นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นที่รู้จักในเรื่องของ \"ดาบแห่งอัตติลา\" ที่ได้รับการแต่งขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์โรมันนาม พริสคัส[4] (Priscus) อีกด้วย", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "901600#1", "text": "ดร.แบรนแนน ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงกระดูก เพียงแค่เห็นโครงกระดูกก็สามารถระบุได้ว่าเป็นเพศชายหรือว่าหญิง ช่วงอายุ เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ วันหนึ่ง ดร.แบรนแนน ได้เข้าร่วมทีมสอบสวนคดีฆาตกรรมต่างๆกับเจ้าหน้าที่บูธซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ของทาง FBI โดยเจ้าหน้าที่บูธนั้น ต้องการความสามารถของ ดร.แบรนแนน มาช่วยในการวิเคราะห์ เพศ วัย ช่วงเวลาการเสียชีวิต สาเหตุการเสียชีวิต รวมไปถึงระบุข้อมูลคร่าวๆ ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เพื่อให้ทาง FBI นั้นสามารถหาได้ว่ามีใครบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนั้นๆ", "title": "พลิกซากปมมรณะ" }, { "docid": "277543#16", "text": "เฟลเวียส เอเทียสหันไปเป็นปฏิปักษ์ต่ออัตติลาโดยรวบรวมกำลังจากกลุ่มชาวแฟรงก์, ชาวเบอร์กันดี และชาวเคลต์ การเคลื่อนไหวของจักรพรรดิอาวิตัส และการคืบเข้าไปทางตะวันตกของอัตติลาทำให้พระมหากษัตริย์วิซิกอธพระเจ้าธีโอดอริคที่ 1 หันไปเป็นพันธมิตรกับโรมัน กองทัพร่วมเดินทางไปถึงออร์เลอองส์ก่อนหน้างกองทัพของอัตติลา[19] ซึ่งทำให้มีโอกาสหยุดยั้งความคืบหน้าของอัตติลาได้ เฟลเวียส เอเทียสไล่ตามกองทัพของชาวฮันจนไปพบกันที่คาทาลอนัม (ปัจจุบันชาลง-อ็อง-ช็องปาญ) กองทัพของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันในยุทธการชาลงส์ ที่ฝ่ายวิซิกอธ-โรมันได้รับชัยชนะแต่เป็นชัยชนะแบบที่เรียกว่า “ชัยชนะเพียร์ริค” (Pyrrhic victory) หรือชัยชนะที่ผู้มีชัยได้รับความเสียหายอย่างหนัก พระเจ้าธีโอดอริคที่ 1 สิ้นพระชนม์ในสนามรบและเฟลเวียส เอเทียสเองก็ไม่สามารถฉวยประโยชน์จากการได้รับชัยชนะ นักประวัติศาสตร์เอ็ดเวิร์ด กิบบอน และเอ็ดเวิร์ด ครีซีย์มีความเห็นว่าเอเทียสอาจจะพะวงถึงผลสะท้อนที่ได้รับจากชัยชนะอันท่วมท้นของวิซิกอธ พอกับความกลัวที่จะพ่ายแพ้ เฟลเวียส เอเทียสอาจจะพอใจกับผลของสงครามตรงที่ พระเจ้าธีโอดอริคที่ 1 สิ้นพระชนม์, อัตติลาต้องถอยทัพอย่างระส่ำระสาย และโรมันดูเหมือนเป็นผู้ได้รับชัยชนะ", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "277543#25", "text": "ลักษณะรูปร่างหน้าตาของอัตติลาไม่มีหลักฐานจากผู้ที่ได้พบอัตติลาด้วยตนเองหลงเหลืออยู่ให้ทราบ แต่มีหลักฐานมือสองจากโดยนักประวัติศาสตร์จอร์ดาเนสผู้อ้างว่าพริสคัสบรรยายรูปลักษณะของอัตติลาว่า:", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "48982#1", "text": "นอกจากงานเหล่านี้แล้วแอนดียังเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสารและเขียนหนังสืออีกหลายเล่ม อาทิ เช่น The Philosophy of Andy Warhol และ Popism: The Warhol Sixties แม้ในช่วงระยะหลังของชีวิตแอนดีจะไม่ค่อยทำงานศิลปะออกมามากเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงมีงานในด้านอื่นๆ ออกมาให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น งานโฆษณา หรือ งานแสดงที่เขาได้รับเชิญจากภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง เรือรักเรือสำราญ (Love Boat) และนั้นยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จของเขา หลังจากการแสดงงานครั้งสุดท้ายในยุโรป เมื่อกลับมานิวยอร์กได้ระยะหนึ่ง แอนดีก็เสียชีวิตลงในปี 1987", "title": "แอนดี วอร์ฮอล" }, { "docid": "277543#11", "text": "อนารยชนฮันที่อยู่ในเธรซขยายตัวมีอำนาจมากขึ้นจนสามารถยึดเมืองต่าง ๆ กว่าร้อยเมือง และเกือบจะเสียเมืองคอนสแตนติโนเปิลจนประชากรต้องหนีออกจากเมือง … ในเมืองก็มีการเข่นฆ่าทำร้ายกันอย่างแพร่จนไม่อาจจะนับจำนวนได้ ที่น่าสลดใจคือเมื่อ[ฮัน]บุกเข้าไปในโบสถ์หรืออารามและเข่นฆ่านักบวชและสตรีไปเป็นจำนวนมากมาย[14]", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "217493#2", "text": "“การพบปะระหว่างพระสันตะปาปาเลโอกับอัตติลา” ตั้งอยู่ภายใน“ห้องคอนแสตนติน” (Sala di Costantino) เป็นภาพที่แสดงการพบปะระหว่างสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 1 และอัตติลา โดยมีนักบุญปีเตอร์และนักบุญพอลแห่งทาซัสปรากฏอยู่บนท้องฟ้าถือดาบ ในตอนแรกราฟาเอลใช้ใบหน้าของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 เป็นแบบสำหรับพระสันตะปาปาเลโอ แต่เมื่อพระสันตะปาปาจูเลียสสิ้นพระชนม์ ราฟาเอลก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่--สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10", "title": "การพบปะระหว่างพระสันตะปาปาเลโอกับอัตติลา" }, { "docid": "277543#15", "text": "เมื่อวันที่ 7 เมษายนอัตติลายึดเมืองเมท์ซได้ เมืองอื่น ๆ ที่ถูกโจมตีทราบได้จากวรรณกรรมนักบุญที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อสรรเสริญพระสังฆราชองค์ต่าง ๆ: นักบุญนิคาเซียสแห่งแรงส์ถูกสังหารหน้าแท่นบูชาในโบสถ์ที่แรงส์; นักบุญเซอร์วาเทียสกล่าวกันว่าช่วยเมืองทองเกอเรนให้รอนมาได้ด้วยการสวดมนต์ เช่นเดียวกับนักบุญเจอเนอวีฟที่ช่วยให้ปารีสรอดมาได้[17] ส่วนนักบุญลูปัสแห่งทรัวส์ก็ช่วยให้เมืองทรัวส์รอดมาได้โดยการพบปะกับอัตติลาโดยตรง[18]", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "277543#5", "text": "การเสียชีวิตของขุนศึกรูจิลา (หรือ รูอา หรือ รูกา) ในปี ค.ศ. 434 ทำให้หลานสองคน อัตติลา และ เบลดา (หรือ Buda) บุตรชายของน้องชาย มุนด์ซุค (Hungarian: Bendegúz, Turkish: Boncuk) มีอำนาจปกครองกลุ่มชนฮันทั้งหมด ในเวลาที่อัตติลาและเบลดาขึ้นครองราชย์ ชนฮันกำลังทำการเจรจาต่อรองกับราชทูตของจักรพรรดิธีโอโดเซียสที่ 2แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ขอตัวคนทรยศ (อาจจะเป็นขุนนางที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองของอัตติลาและเบลดา) ที่หลบหนีไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารในบริเวณที่เป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ ปีต่อมาอัตติลาและเบลดาก็ไปพบกับคณะราชทูตที่มาร์กุส (ปัจจุบันโพซาเรอวัค) โดยทุกคนต่างก็ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าตามประเพณีของฮัน[11] การต่อรองประสบความสำเร็จโดยการลงนามในสนธิสัญญา: ฝ่ายไบแซนไทน์ไม่แต่จะตกลงคืนตัวผู้ลี้ภัยแต่ยังเพิ่มบรรณาการเป็นสองเท่าจากเดิมเป็นทอง 350 โรมันปอนด์ (ราว 115กิโลกรัม), เปิดตลาดไบแซนไทน์แก่พ่อค้าฮัน, และจ่ายค่าไถ่เป็นจำนวน 8 เหรียญโซลิดุสสำหรับทหารแต่ละคนที่ถูกจับโดยชนฮัน ฝ่ายฮันเมื่อพอใจในข้อตกลงในสนธิสัญญาก็รื้อค่ายออกจากไบแซนไทน์กลับไปยังบ้านเมืองที่ไปตั้งอยู่ในทุ่งราบใหญ่ฮังการี เพื่ออาจจะไปรวมรวมตัวและเสริมสร้างความมั่นคงแก่จักรวรรดิ จักรพรรดิธีโอโดเซียสจึงทรงฉวยโอกาสในช่วงเดียวกันในการเสริมสร้างกำแพงเมืองคอนสแตนติโนเปิลให้แข็งแรงขึ้น, สร้างกำแพงทะเลป้องกันตัวเมืองคอนสแตนติโนเปิลขึ้นเป็นครั้งแรก และเสริมสร้างระบบการป้องกันตามชายแดนริมฝั่งแม่น้ำดานูบเพิ่มขึ้น", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "617490#38", "text": "งานวิจัยเกี่ยวกับการบาดเจ็บในศิลปะป้องกันตัว พบว่า แม้ว่าอาการบาดเจ็บในแต่ละวิชาจะแตกต่างกัน แต่อัตราการบาดเจ็บไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ อาการบาดเจ็บในไอกิโดส่วนใหญ่เกิดที่เส้นเอ็น และมีรายงานว่า พบกรณีเสียชีวิตสองสามราย จากการโดน \"\"ชิโฮนาเกะ\"\" ในรุปแบบการ รับน้องสไตล์ญี่ปุ่น Japanese-style เฮซซิง ", "title": "ไอกิโด" }, { "docid": "277543#18", "text": "ฝ่ายจักรพรรดิวาเล็นติเนียนที่ 3 ก็ทูลขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 1 พร้อมด้วยกงสุลอาวิเอนัสและพรีเฟ็คท์ทริเจเทียสไปพบกับอัตติลาที่มินชิโอไม่ไกลจากมานตัว พระสันตะปาปาลีโอทรงได้รับสัญญาจากอัตติลาว่าจะถอยทัพจากอิตาลีและทำการเจรจาสันติภาพกับจักรพรรดิวาเล็นติเนียน[20] นักบุญพรอสเพอร์แห่งอาควิเทนบันทึกการพบปะครั้งนี้ที่น่าเชื่อถือได้ไว้อย่างสั้น ๆ แต่คำบรรยายโดยผู้ไม่ทราบนามต่อมา[21] เป็น “ตำนานที่ราฟาเอลนำไปวาด และอัลการ์ดีนำไปสลัก” (ดังที่เอ็ดเวิร์ด กิบบอนกล่าว) บันทึกว่าพระสันตะปาปาด้วยความช่วยเหลือโดยนักบุญปีเตอร์ และ นักบุญพอลแห่งทาซัสหว่านล้อมให้[อัตติลา]ถอยทัพออกจากเมือง และสัญญากับอัตติลาว่าถ้าถอยไปอย่างสงบสุขแล้ว ทายาทก็จะได้รับมงกุฎศักดิ์สิทธิ์แห่งฮังการี[22] พริสคัสบันทึกว่าการสิ้นพระชนม์ของอาลาริคไม่นานหลังจากเข้าตีเมืองและปล้นสดมทำลายกรุงโรมในปี ค.ศ. 410 อาจเป็นลางที่ทำให้อัตติลาต้องหยุดคิดอยู่บ้างก็เป็นได้", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "315330#3", "text": "การกระโดดเข้าเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้นั้น ทำให้เขาพบกับโลกของนักสู้ และมีนักสู้ฝีมือดีมากมายที่มาประลองกับเขา แม้ว่าเขาจะสามารถล้มคนเหล่านั้นได้เท่าไหร่ แต่ก็มีคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือเหนือกว่าปรากฏตัวเสมอ บางครั้งเกือบต้องเสียชีวิตเพราะเจอคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือมากกว่า แต่ด้วยไหวพริบกับทั้งความช่วยเหลือของอาจารย์และเพื่อนๆ ทำให้เขารอดมาได้ทุกครั้ง\nเรียงจากความอาวุโส อายุมากไปถึงอายุน้อย ในจำนวนอาจารย์ทั้ง 6 คน ฮายาโตะเป็นคนที่มีอายุมากที่สุด ส่วนชิงุเระอายุน้อยที่สุด", "title": "เคนอิจิ ลูกแกะพันธุ์เสือ" }, { "docid": "277543#20", "text": "อีกทฤษฎีหนึ่งที่บันทึกราว 80 ปีหลังจากการเสด็จสวรรคตโดยนักบันทึกประวัติศาสตร์โรมันเคานท์มาร์เซลลินัสกล่าวว่า “อัตติลากษัตริย์ของชนฮันและผู้ทำลายเมืองต่าง ๆ ในยุโรป ทรงถูกแทงโดยมีดของพระมเหสี”[25] “ตำนานโวลซุงกา” (Volsunga saga) และ “กวีนิพนธ์เอดดา” (Poetic Edda) ก็อ้างว่าพระเจ้าอัตลิ (อัตติลา) เสด็จสวรรคตด้วยน้ำมือของพระมเหสีโกดรุนเช่นกัน[26] แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ถือว่าสองเรื่องหลังนี้เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือมากไปกว่าคำบอกเล่า และเลือกที่จะเชื่อที่บันทึกของพริสคัส แต่เมื่อไม่นานมานี้บันทึกของพริสคัสก็ได้รับการวิจัยโดยไมเคิล เอ. แบ็บค็อค[27] จากรายละเอียดทางนิรุกติศาสตร์ แบ็บค็อคสรุปว่าบันทึกของพริสคัสว่าอัตติลาเสด็จสวรรคตโดยโรคธรรมชาติเป็นการ “อำพราง” และกล่าวว่าจักรพรรดิมาร์เชียนผู้ครองจักรวรรดิโรมันตะวันออกระหว่าง ค.ศ. 450 ถึง ค.ศ. 457 ที่เป็นแรงดันทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จสวรรคตของอัตติลา", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "277543#2", "text": "พระองค์ได้รุกรานต่อไปยังอิตาลี ได้ทำลายเมืองทางเหนือจนพินาศ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะกรุงโรมได้ พระองค์ได้ทรงดำริที่จะรุกรานโรมันอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากได้เสด็จสวรรคตลงในปี ค.ศ. 453 ภายหลังการสวรรคตของอัตติลา ได้ส่งผลให้ อาร์ดาริก ซึ่งเดิมเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของอัตติลา ได้ทำการแย่งชิงอำนาจกับพระโอรสของอัตติลาขึ้น ใน ยุทธการเนเดา (Battle of Nedao) ส่งผลให้อิทธิพลของจักรวรรดิฮันได้ค่อยๆยุติลงในดินแดนยุโรปตะวันออก ชาวยุโรปตะวันตกมองพระองค์ ว่าป่าเถื่อน ทารุณและไร้ความปราณี แต่ในฮังการี, ตุรกี และประเทศในกลุ่มเตอร์กิกต่าง ๆ ในเอเชีย พระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษ นักประวัติศาสตร์และนักบันทึกเหตุการณ์บางท่านบรรยายพระองค์ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่และผู้ทรงคุณธรรม นอกจากนั้นแล้วอัตติลาก็ยังทรงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตำนานของชาวนอร์สเรื่อง Atlakviða, Volsunga saga และ Atlamál[2]", "title": "อัตติลา" }, { "docid": "277543#17", "text": "อัตติลากลับมาอ้างสิทธิในการแต่งงานกับจัสตา กราตา โฮโนเรียอีกครั้งในปี ค.ศ. 452 ในขณะเดียวกันก็เที่ยวรุกรานและทำลายเมืองต่าง ๆ ระมาตามทาง ที่เป็นผลให้ผู้คนอพยพหนีไปอยู่บนเกาะเล็ก ๆ หลายเกาะในลากูนเวนิส เมืองที่กองทัพของอัตติลาทำลายและเผารวมทั้งอควิเลเอียที่ถูกทำลายจนสิ้นซาก ตำนานกล่าวว่าอัตติลาถึงกับสร้างป้อมบนเนินเหนือเมืองอควิเลเอียเพื่อนั่งดูเพลิงเผาเมืองที่ต่อมากลายเป็นเมืองอูดิเนซึ่งยังคงมีซากปราสาทที่กล่าวกันว่าสร้างโดยอัตติลาอยู่ เฟลเวียส เอเทียสผู้ไม่มีหนทางที่ปะทะกองทัพของอัตติลาโดยตรงได้พยายามก่อกวนเพื่อให้ความคืบหน้าช้าลง ในที่สุดอัตติลาก็หยุดทัพที่แม่น้ำโป เมื่อมาถึงช่วงนี้กองทัพของอัตติลาก็อาจจะประสบกับโรคภัยไข้เจ็บซึ่งทำให้ต้องหยุดการรุกราน", "title": "อัตติลา" } ]
2426
ลูกหนี้ร่วม ระบุไว้ในมาตราใดแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์?
[ { "docid": "272474#4", "text": "อนึ่ง ลูกหนี้ร่วมยังเกิดขึ้นในกรณีที่ในสัญญาหนึ่งมีบุคคลหลายคนผูกพันร่วมกันจะต้องกระทำการชำระหนี้ และกรณีนั้นเป็นที่สงสัยว่าการชำระหนี้จะต้องทำกันเช่นไร กฎหมายให้ถือว่าทำอย่างลูกหนี้ร่วม (ป.พ.พ ม.297) นับเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นลูกหนี้ร่วมแม้ข้อเท็จจริงบุคคลทั้งหลายนั้นจะมิได้มีเจตนาเป็นลูกหนี้ร่วมกันเลยก็ตาม ตัวอย่างเช่น กรณีที่นายจ้างต้องมาร่วมรับผิดกับลูกจ้างในละเมิดที่ลูกจ้างกระทำ () หรือกรณีที่บุคคลหลายคนร่วมกันทำละเมิด () เช่น", "title": "ลูกหนี้ร่วม" } ]
[ { "docid": "296424#0", "text": "อักษรย่อที่ใช้ในบทความนี้ (เรียงตามลำดับอักษรไทย)อักษรย่อคำเต็มฎ.คำพิพากษาศาลฎีกา ()ป.พ.พ.ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ()ม.มาตราว.วรรคการใช้อักษรย่อในนี้เพื่อมิให้บทความเยิ่นเย้อเท่านั้น แต่โดยปรกติแล้วควรเขียนด้วยคำเต็มไม่ควรย่อ เช่น \"ป.พ.พ. ม.123 ว.2\" ควรเขียนว่า \"ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 123 วรรคสอง\" มากกว่า", "title": "ยืมใช้คงรูป" }, { "docid": "186221#17", "text": "ภูมิลำเนาของบุคคลประเภทดังกล่าวนี้ ได้แก่ ถิ่นอันเป็นที่ปฏิบัติราชการตามตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งต้องไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่ชั่วคราว ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่นั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) เช่น\nผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ภูมิลำเนาของบุคคลดังกล่าวได้แก่สถานที่ตนถูกจำคุกอยู่ เช่น เรือนจำ ทัณฑสถาน ฯลฯ กรณีนี้ไม่รวมถึงการถูกคุมขังเป็นเวลาชั่วคราว ณ สถานีตำรวจ หรือถูกคุมขังในระหว่างรอการพิจารณาอุทธรณ์ เป็นต้น (มาตรา 47 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "283925#63", "text": "เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ร่างเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วแปลออกเป็นภาษาไทย โดยหน้าที่แปลนี้ตกเป็นของ \"คณะกรรมการตรวจภาษา\" ซึ่งประกอบด้วยนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้คุณวุฒิทางภาษาหลายคน บทบัญญัติดั้งเดิมของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงเป็นภาษาอันสุนทร ถูกต้องตามไวยากรณ์ไทยที่ดี และสละสลวยมาก ถึงขนาดที่บางบทบัญญัติมีรับส่งสัมผัสนอกสัมผัสในอย่างร้อยกรองด้วย[44] เช่น มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ซึ่งยังใช้บังคับอยู่ถึงปัจจุบัน ที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษว่า และแปลเป็นภาษาไทยว่า", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "283925#1", "text": "การจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยนั้นมี ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน (Bürgerliches Gesetzbuch) และประมวลกฎหมายแพ่งญี่ปุ่น () เป็นแม่แบบหลัก กับทั้งมีประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส (Code civil des Français) และประมวลกฎหมายแพ่งสวิส (Zivilgesetzbuch) เป็นแม่แบบรอง ประกอบกับกฎหมายเดิมของสยามเอง กับทั้งกฎหมายของชาติอื่น ๆ และกฎหมายระหว่างประเทศอีกประปราย[2] โดยงานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เฉพาะการร่างบรรพแรกจากที่วางโครงการไว้ทั้งหมดหกบรรพนั้น ก็กินเวลานานถึงสิบห้าปี ใช้งบประมาณมหาศาล และมีการเปลี่ยนคณะกรรมการร่างถึงสี่ชุด ทุกชุดมีชาวฝรั่งเศสเป็นสมาชิก โดยเฉพาะชุดแรกเป็นชาวฝรั่งเศสทั้งหมด หลังจากนั้นจึงเริ่มทยอยร่างและประกาศใช้บรรพอื่น ๆ จนครบ ทั้งหมดกินเวลากว่าสามสิบปี ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมเรื่อยมาจนปัจจุบันตามสถานการณ์", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "186221#12", "text": "บุคคลที่เป็นสามีและภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ มีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ภูมิลำเนาของบุคคลทั้งสองนี้ได้แก่ถิ่นที่อยู่ซึ่งทั้งสองอยู่กินกันฉันสามีและภรรยา เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแสดงเจตนาให้ชัดแจ้งว่าประสงค์จะมีภูมิลำเนาต่างหากจากกัน (มาตรา 43 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "283925#59", "text": "\"กฎหมายที่บัญญัติขึ้นในสมัยเก่า ๆ นั้น ในบางบทบางมาตราได้เขียนอธิบายเหตุผลของการที่บัญญัติข้อความเช่นนั้นไว้ในบทมาตรานั้นเอง แม้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เองก็เคยเขียนเหตุผลไว้ในบทมาตราเหมือนกัน แต่ผู้เขียนจำได้เพียงมาตราเดียว คือ มาตรา 204 ซึ่งใช้คำว่า '...ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว' เป็นเหตุผลซึ่งไม่สมควรจะใส่ไว้ในกฎหมาย สำหรับบทกฎหมายนั้นความสำคัญอยู่ที่ว่าลูกหนี้ผิดนัดหรือไม่เท่านั้น ตามที่กล่าวมาแล้วหมายความว่า ไม่สมควรที่บทมาตราต่าง ๆ จะบัญญัติถึงเหตุผลของการที่มีบทบัญญัตินั้นขึ้น เพราะการให้เหตุผลของการที่ควรมีบทบัญญัติขึ้นนี้ควรจะเป็นเรื่องที่ผู้เสนอกฎหมายที่จะอธิบายต่อองค์การที่จะอนุมัติให้บัญญัติกฎหมายมากกว่า เช่น เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่เสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนฯ ที่จะอธิบายเหตุผลการบัญญัติกฎหมายนั้นให้สภาผู้แทนฯ ทราบ เป็นต้น แต่การที่จะไปเขียนไว้ในบทมาตรานั้นย่อมจะเป็นการฟุ่มเฟือย บทมาตราต่าง ๆ ของกฎหมายควรจะมีข้อความสั้น ๆ กะทัดรัด อ่านง่าย เข้าใจง่าย เช่น จะต้องห้ามการอย่างไรก็เขียนห้ามไว้ ไม่จำเป็นต้องเขียนอธิบายว่า ทำไมจึงต้องมีบทบัญญัติห้ามการกระทำเช่นว่านั้น ข้อที่ควรระลึกมีว่า อย่าเอาเหตุผลในการบัญญัติกฎหมายไปปนกับเหตุผลของข้อความซึ่งอาจใส่เพื่อความชัดเจนได้ เช่น เมื่อพูดถึงวิกลจริต ก็อาจเขียนเหตุแห่งการวิกลจริตลงได้...\"", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "283925#89", "text": "ราชกิจจานุเบกษา. (2451, 1 มิถุนายน). กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2468, 11 พฤศจิกายน). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และ 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2471, 1 มกราคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2473, 18 มีนาคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2478, 29 พฤษภาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2478, 7 มิถุนายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2478, 28 กรกฎาคม). แก้คำผิด ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 13 วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2486, 19 มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2486, 19 มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2486, 14 กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2486, 14 กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2519, 26 สิงหาคม). ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2519, 27 กันยายน). ประกาศ วุฒิสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2519, 15 ตุลาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2535, 21 มกราคม). ประกาศสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552). (2535, 8 เมษายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "268744#0", "text": "อักษรย่อ ที่ใช้ในบทความนี้อักษรย่อคำเต็มฎ.คำพิพากษาศาลฎีกา ()บ.บรรพป.พ.พ.ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ()ป.ร.ประมวลรัษฎากร (ไทย) ()ป.วิ.พ.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ไทย) ()พ.ร.บ.พระราชบัญญัติ ()ภ.ภาคม.มาตรารก.ราชกิจจานุเบกษา ()ล.ลักษณะว.วรรคส.ส่วนที่หม.หมวดการใช้อักษรย่อในนี้เพื่อมิให้บทความเยิ่นเย้อเท่านั้น แต่โดยปรกติแล้วควรเขียนด้วยคำเต็มไม่ควรย่อ เช่น \"ป.พ.พ. ม.123 ว.2\" ควรเขียนว่า \"ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 123 วรรคสอง\" มากกว่า", "title": "ทรัพย์สิน" }, { "docid": "188079#0", "text": "ในทางกฎหมาย บุคคลธรรมดา หรือ บุคคล () หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย คือมนุษย์ทั้งปวงจะเป็นหญิง ชาย เด็ก คนชรา หรือเป็นผู้บกพร่องในความสามารถหรือเป็นคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามถือเป็นบุคคลธรรมดาทั้งสิ้น ตามประมวลกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 15 ที่ว่าไว้ดังนี้\nสภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก", "title": "บุคคลธรรมดา" }, { "docid": "224170#0", "text": "อักษรย่อที่ใช้ในบทความนี้ (เรียงตามลำดับอักษรไทย)อักษรย่อคำเต็มฎ.คำพิพากษาศาลฎีกา ()ป.พ.พ.ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ()ม.มาตราว.วรรคการใช้อักษรย่อในนี้เพื่อมิให้บทความเยิ่นเย้อเท่านั้น แต่โดยปรกติแล้วควรเขียนด้วยคำเต็มไม่ควรย่อ เช่น \"ป.พ.พ. ม.123 ว.2\" ควรเขียนว่า \"ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 123 วรรคสอง\" มากกว่า", "title": "โมฆะ" }, { "docid": "32362#5", "text": "2. การจัดตั้งบริษัทจำกัด ต้องทำตามขั้นตอนที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด มาตรา 1097 กำหนดว่า บุคคลใดก็ตามตั้งแต่ 3 คนเป็นต้นไป จะเริ่มก่อการและตั้งเป็นบริษัทได้ โดยต้องเข้าชื่อทำหนังสือบริคณห์สนธิ และกระทำการอื่นๆ ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์", "title": "บริษัทจำกัด" }, { "docid": "283925#61", "text": "\"ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "283925#62", "text": "ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว\"", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "283925#52", "text": "บรรพ 1 หลักทั่วไปครั้งที่กฎหมายที่ให้ประกาศใช้เหตุผลในการประกาศใช้วันใช้บังคับ1ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลังวันประกาศใช้ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 วันใช้ 1 มกราคม พ.ศ. 2468 (พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ 3 และเลื่อนเวลาใช้บรรพ 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 2 \"ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 1 และ 2 ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2467 นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2468\")2พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และบรรพ 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (ประกาศใน )จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และ 2 แต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2466 เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 มกราคม พ.ศ. 24683พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 (ประกาศใน )เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งได้ใช้บังคับโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 1 และบรรพ 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2468 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและบทบัญญัติหลายประการล้าสมัย ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน สมควรปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้วันใช้พระราชบัญญัติ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2535 (มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย 7 มิถุนายน พ.ศ. 2535 (มาตรา 3)บรรพ 2 หนี้ครั้งที่กฎหมายที่ให้ประกาศใช้เหตุผลในการประกาศใช้วันใช้บังคับ1ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลังวันประกาศใช้ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 วันใช้ 1 มกราคม พ.ศ. 2468 (พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ 3 และเลื่อนเวลาใช้บรรพ 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 2 \"ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 1 และ 2 ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2467 นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2468\")2พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และบรรพ 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (ประกาศใน )จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และ 2 แต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2466 เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 มกราคม พ.ศ. 2468บรรพ 3 เอกเทศสัญญาครั้งที่กฎหมายที่ให้ประกาศใช้เหตุผลในการประกาศใช้วันใช้บังคับ1พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ 3 และเลื่อนเวลาใช้บรรพ 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 มกราคม พ.ศ. 24682พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (ประกาศใน )จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 แต่วันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2467 เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 1 มกราคม พ.ศ. 2471 วันใช้พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน พ.ศ. 2471 วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 เมษายน พ.ศ. 2471บรรพ 4 ทรัพย์สินครั้งที่กฎหมายที่ให้ประกาศใช้เหตุผลในการประกาศใช้วันใช้บังคับ1พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ประกาศใน )โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรประกาศใช้บรรพ 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 16 มีนาคม พ.ศ. 2473 วันใช้พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน พ.ศ. 2473 วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 เมษายน พ.ศ. 2473บรรพ 5 ครอบครัวครั้งที่กฎหมายที่ให้ประกาศใช้เหตุผลในการประกาศใช้วันใช้บังคับ1พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 (ประกาศใน )โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วันใช้พระราชบัญญัติ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 (มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478 (มาตรา 3)2พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 (ประกาศใน )โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้วันใช้พระราชกำหนด 19 มิถุนายน พ.ศ. 2486 ( มาตรา 2 ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)3พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486 (ประกาศใน )โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 ตามความในมาตรา 52 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยวันใช้พระราชบัญญัติ 14 กันยายน พ.ศ. 2486 (มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)4พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 (ประกาศใน )เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 28 วรรคสอง บัญญัติว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน จำต้องแก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นวันใช้พระราชบัญญัติ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (มาตรา 3)บรรพ 6 มรดกครั้งที่กฎหมายที่ให้ประกาศใช้เหตุผลในการประกาศใช้วันใช้บังคับ1พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 (ประกาศใน )โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้บรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วันใช้พระราชบัญญัติ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2478 (มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478 (มาตรา 3)2พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 (ประกาศใน )โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้วันใช้พระราชกำหนด 19 มิถุนายน พ.ศ. 2486 (มาตรา 2 ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)3พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486 (ประกาศใน )โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 ตามความในมาตรา 52 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยวันใช้พระราชบัญญัติ 14 กันยายน พ.ศ. 2486 (มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "186221#9", "text": "ในกรณีที่ภูมิลำเนาของบุคคลไม่ปรากฏ กล่าวคือ บุคคลนั้นไม่เปิดเผยให้ผู้ใดทราบก็ดี หรือไม่มีความแน่ชัดว่าบุคคลนั้นต้องการให้ถิ่นใดเป็นภูมิลำเนาของตนก็ดี หรือประการอื่นก็ดี ให้เอาถิ่นที่บุคคลนั้นพำนักอยู่เป็นหลักแหล่งเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น ซึ่งหากว่าบุคคลนั้นพำนักอยู่เป็นหลักแหล่งในหลายถิ่น จะถือเอาถิ่นใดเป็นภูมิลำเนาก็ได้ (มาตรา 39 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "283925#81", "text": "โดยในทางกฎหมาย คำว่า \"damage\" หมายความว่า \"ความเสียหาย\" ขณะที่ \"damages\" หมายความว่า \"ค่าเสียหาย\" แต่คณะกรรมการตรวจภาษาแปล \"damage\" ผิดเป็น \"ค่าเสียหาย\" แทน (\"...เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้\") และธานินทร์ กรัยวิเชียร ก็ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรา 218 วรรคหนึ่ง นี้อีกว่า[48]", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "283925#38", "text": "ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รับมาบัญญัติใน บรรพ 5 ครอบครัว, ลักษณะ 2 บิดามารดากับบุตร, หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร, มาตรา 1562 ว่า", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "178202#3", "text": "ตัวอย่างของกฎหมายปิดปาก เช่น มาตรา 407 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย ว่า \"บุคคลใดกระทำการตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้ โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ ท่านว่า ผู้นั้นหามีสิทธิที่จะได้รับคืนทรัพย์ไม่\"", "title": "กฎหมายปิดปาก" }, { "docid": "286257#10", "text": "\"คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2550 \"...ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 บัญญัติว่า \"ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้...\" อันเป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดฟ้องบุพการีของตน จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 โดยระบุว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ที.พี.เอ็น. อินดัสเตรียล จำกัด...และจำเลยทั้งสามอาศัยตำแหน่งหน้าที่ในฐานะเป็นกรรมการของบริษัท ร่วมกันจงใจทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่า บริษัทเป็นหนี้เงินกู้ยืมจากกรรมการ...จำเลยทั้งสามกระทำการดังกล่าวเพื่อนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย...โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะที่โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท...และจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นกรรมการของบริษัทดังกล่าว ร่วมกับกรรมการอีก 2 คน คือ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ชดใช้เงินให้แก่บริษัท มิได้ให้ชดใช้เงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการส่วนตัว ทั้งจำนวนเงินตามฟ้อง หากรับฟังได้ตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวหาก็เป็นเงินของบริษัท มิใช่เงินของจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น\"\"", "title": "อุทลุม" }, { "docid": "294851#4", "text": "ประกอบกับต้นร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนแปลเป็นภาษาไทยและประกาศใช้เป็นส่วน ๆ ไปนั้น ก็อาจทำให้เข้าใจความหมายของคำดังกล่าวมากขึ้นได้ (?) โดยต้นร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ข้างต้น ว่าดังนี้", "title": "ตกเป็นพับ" }, { "docid": "186221#10", "text": "ในกรณีที่บุคคลมีถิ่นที่อยู่หรือถิ่นอันเป็นหลักแหล่งในการประกอบอาชีพหลายแห่ง และทุกแห่งก็ล้วนสำคัญ ไม่อาจกำหนดได้ว่าถิ่นใดสำคัญกว่าเพื่อน ในกรณีเช่นว่านี้กฎหมายยอมรับให้บุคคลอาจมีภูมิลำเนาหลายแห่งได้ โดยจะถือเอาแห่งใดเป็นภูมิลำเนาของตนก็ได้ (มาตรา 38 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "283925#56", "text": "กฎหมายไทยแต่โบร่ำโบราณ โดยเฉพาะกฎหมายตราสามดวงนั้น มักระบุเหตุผลที่ตราบทบัญญัตินั้น ๆ ไว้ในบทบัญญัติด้วย เช่น กฎหมายตราสามดวง กฎหมายลักษณะผัวเมีย มาตรา 67 ว่า \"ภรรยาสามีมิชอบเนื้อพึงใจกัน จะหย่ากันไซร้ ตามน้ำใจเขา เหตุว่าเขาทั้งสองสิ้นบุญกันแล้ว จะจำใจให้อยู่ด้วยกันนั้นมิได้\"[40] ซึ่งการให้เหตุผลในตัวบทกฎหมายด้วยเช่นนี้ยังเป็นที่นิยมมาถึงในสมัยร่างกฎหมายลักษณะอาญาและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย ขณะที่การบัญญัติกฎหมายในปัจจุบันจะไม่พึงกระทำเช่นนั้นเด็ดขาด ดังที่ ชาร์ล-ลูอี เดอ เซอกงดา ผู้เป็นบารงแห่งแบรดและมงแตสกีเยอ (Charles-Louis de Secondat, baron de La Brède et de Montesquieu) หรือที่รู้จักกันในชื่อ \"มงแตสกีเยอ\" (Montesquieu) นักคิดนักเขียนทางการเมืองชาวฝรั่งเศส ว่า[41] [42]", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "186221#11", "text": "ในกรณีที่บุคคลใดมีที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง เช่น ครองชีพด้วยการสัญจรไปมา เป็นต้นว่า ทำงาน และปฏิบัติกิจวัตรต่าง ๆ บนรถบรรทุก ในกรณีเช่นว่านี้ หากพบตัวบุคคลดังกล่าวในถิ่นไหนก็ให้ถือเอาถิ่นที่พบตัวนั้นเป็นภูมิลำเนาของบุคคลเช่นว่า (มาตรา 40 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" }, { "docid": "160792#1", "text": "ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 ระบุไว้ว่า \"\"สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดและอยู่รอดเป็นทารก สิ้นสุดลงเมื่อตาย\"\" และตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2499 ระบุไว้ว่า \"\"คนตาย หมายความว่าคนสิ้นชีวิตเท่านั้น ลูกตายในท้อง หมายถึงลูกที่อยู่ในครรภ์มารดาเป็นเวลาเกินกว่า 28 สัปดาห์และคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิต\"\" ส่วนการตายตามหลักวิชาการแพทย์หมายถึง การหยุดทำงานของสมอง ระบบหายใจ และระบบไหลเวียนโลหิต", "title": "การเปลี่ยนแปลงหลังการตาย" }, { "docid": "283925#80", "text": "\"ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าหนี้ เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "283925#60", "text": "ทั้งนี้ มาตรา 204 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่ หยุด แสงอุทัย อ้างถึงนั้น มีข้อความเต็ม ๆ ดังต่อไปนี้ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2468 ตราบทุกวันนี้", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "283925#25", "text": "และแล้ว ใน พ.ศ. 2466 นั้นเอง ก็มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมายขึ้นใหม่อีกครั้งเป็นครั้งที่ 4 โดยชุดนี้ประกอบด้วย มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) และเรอเน กียง (René Guyon) คณะกรรมการได้ประชุมปรึกษากันเพื่อหาวิธีการให้งานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดำเนินไปโดยตลอดรอดฝั่ง ซึ่งครั้งนั้น พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) เสนอว่า จากเดิมที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสซึ่งมี 3 บรรพ เป็นแม่แบบ ควรเปลี่ยนมาใช้ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันเป็นแม่แบบแทน ด้วยการลอกประมวลกฎหมายแพ่งญี่ปุ่นที่ยกร่างโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันเป็นแม่แบบก่อนแล้ว ประกอบกับการใช้ประมวลกฎหมายแพ่งสวิสเป็นแม่แบบอีกฉบับหนึ่ง แต่เพื่อไม่ให้เสียไมตรีกับทางฝรั่งเศส จึงนำเอาบทบัญญัติบางช่วงบางตอนจากประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสและจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับเดิมที่ประกาศใน พ.ศ. 2466 มาประกอบด้วย[2] ที่สุดก็ได้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพแรก ๆ ที่สมบูรณ์ใน พ.ศ. 2468", "title": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" }, { "docid": "272474#0", "text": "อักษรย่อที่ใช้ในบทความนี้ (เรียงตามลำดับอักษรไทย)อักษรย่อคำเต็มฎ.คำพิพากษาศาลฎีกา ()ป.พ.พ.ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ()ม.มาตราว.วรรคการใช้อักษรย่อในนี้เพื่อมิให้บทความเยิ่นเย้อเท่านั้น แต่โดยปรกติแล้วควรเขียนด้วยคำเต็มไม่ควรย่อ เช่น \"ป.พ.พ. ม.123 ว.2\" ควรเขียนว่า \"ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 123 วรรคสอง\" มากกว่า", "title": "ลูกหนี้ร่วม" }, { "docid": "188079#1", "text": "จากบทกฎหมายข้างต้นได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลจะเริ่มขึ้นได้นั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ\n1)การคลอด ในทางการแพทย์นั้นการคลอดจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อทารกออกมาทั้งตัว มีการตัดสายรกเรียบร้อยแล้วและมีการรอให้มดลูกหดตัวประมาณ 15 นาทีถึง 2 ชั่วโมงหลังเด็กคลอด แต่ในทางกฎหมายนี้จะถือว่าเป็นการคลอดได้ก็ต่อเมื่อทารกพ้นออกจากช่องคลอดทั้งตัวแล้วเท่านั้นพอ การตัดสายรกหรือไม่นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ\n2) อยู่รอดเป็นทารก พูดง่ายๆก็คือคลอดแล้วทารกมีชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการแพทย์ในการบอกว่าทารกนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยในทางกฎหมายจะถือว่าทารกที่คลอดออกมามีชีวิตนั้นต้องได้ความว่าเด็กมีการหายใจด้วย เช่นนี้ก็ถือว่ามีสภาพบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ในทางกฎหมายเราจะไม่พิจารณาว่าจะต้องหายใจนานเท่าไหร่หรือหัวใจต้องเต้นกี่ครั้ง แม้มีการหายใจเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าสภาพบุคคลเกิดแล้วถึงแม้ทารกนั้นอาจเสียชีวิตในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็ตาม ซึ่งเมื่อมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นก็มีผลทำให้ทารกนั้นมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้ เช่น มีสิทธิรับมรดกได้ มีสิทธิที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดา และรวมไปถึงได้รับความคุ้มครองในด้านร่างกายหรือเสรีภาพ ฯลฯ ตามกฎหมายด้วย\nการจะเริ่มสภาพบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วยการคลอดและการอยู่รอดเป็นทารกด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ถือว่าไม่ครบหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย สภาพบุคคลย่อมไม่เกิด เราลองมาดูตัวอย่างกันเพื่อศึกษาถึงผลทางกฎหมายระหว่างการมีสภาพบุคคลและไม่มีสภาพบุคคลกัน\nตัวอย่าง นาย ก แต่งงานกับนาง ข เกิดบุตรในครรภ์ขึ้นหนึ่งคน วันเกิดเหตุนาย ก และนาง ข ขับรถไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางขึ้น นาย ก บาดเจ็บสาหัส ส่วนนาง ข บาดเจ็บเล็กน้อยแต่เกิดเจ็บท้องใกล้คลอดพอดี พลเมืองดีนำทั้งคู่ส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนาง ข ก็คลอดออกมาพอดี ทารกมีชีวิตรอดแต่นาย ก เสียชีวิต เช่นนี้ทารกนั้นถือว่ามีสภาพบุคคลตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว มีสิทธิต่างๆตามกฎหมาย จึงมีสิทธิได้รับมรดกจากบิดาที่เสียชีวิตไป ในทางกลับกันถ้าอุบัติเหตุดังกล่าวมีผลทำให้ทารกในท้องเกิดเสียชีวิตลงหรือคลอดออกมาแล้วแต่ไม่มีการหายใจ(ไม่มีชีวิต)หรือก็คือนาง ข ได้แท้งลูกนั่นเอง เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย ทารกนั้นไม่มีสภาพบุคคลไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จึงไม่อาจรับมรดกจากบิดาได้\nตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 ได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกได้ และจะสิ้นสุดลงเมื่อบุคคลนั้นตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดการตายไว้สองประเภทคือ\n1).การตายตามธรรมชาติหรือการตายธรรมดา ซึ่งเป็นการตายโดยสาเหตุต่างๆทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตายตามอายุขัย ตายเพราะเจ็บป่วย ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือการตายที่เกิดจากการฆาตกรรม ฯลฯ\nในทางกฎหมายไม่ปรากฏว่าการตายต้องมีลักษณะอย่างไร จึงต้องอาศัยหลักวิชาการทางการแพทย์ ซึ่งในทางการแพทย์นั้นจะถือว่าบุคคลตายเมื่อ “แกนสมองตาย” แกนสมองเป็นส่วนของสมองที่ต่อเชื่อมไขสันหลังกับสมองใหญ่ ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของประสาทรัความรู้สึกต่างๆเข้าสู่สมองใหญ่ ดังนั้นหากก้านสมองตายจะทำให้บุคคลนั้นหมดความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ระบบสำคัญต่างๆในร่างกายมนุษย์ก็จะเริ่มหยุดทำงาน แม้จะมีเครื่องช่วยหายใจก็ตาม แต่หัวใจก็จะทำงาต่อได้อีก 48-72 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะหยุดทำงาน แต่กรณีที่เพียงส่วนที่เป็นเปลือกสมองตาย โดยอาจมีสาเหตุมาจาก การขาดากาศชั่วคราว ได้รับบาดเจ็บจนเปลือกสมองได้รับความเสียหาย ฯลฯ ระบบต่างๆของร่างกายยังทำงานต่อได้ เพียงแต่บุคคลนั้นอาจไม่รู้สึกตัว เป็นเจ้าชายนิทรา แต่อาจรับรู้ความเจ็บปวดได้ ฯลฯ เช่นนี้ทางการแพทย์ยังไม่ถือว่าสมองตาย บุคคลนั้นยังไม่ตายในทางการแพทย์รวมไปถึงในทางกฎหมายด้วย\n2).การสาบสูญหรือการตายโดยผลของกฎหมาย ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้\nประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้\nระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี\nหลักเกณฑ์ทั่วไปที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้น เมื่อพิจารณาจากมาตรา 61 วรรคแรกแล้วพอจะสรุปได้ดังนี้", "title": "บุคคลธรรมดา" }, { "docid": "186221#6", "text": "2. บุคคลนั้นแสดงเจตนาให้ถิ่นดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของตน โดยพิจารณาจากพฤติการณ์ใด ๆ ที่บุคคลนั้นแสดงออกให้บุคคลอื่นรับรู้ได้ว่าตนต้องการให้ถิ่นนั้นเป็นภูมิลำเนาของตน (มาตรา 38 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)", "title": "ภูมิลำเนา" } ]
1426
เอมี เจด ไวน์เฮาส์ เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "130676#0", "text": "เอมี เจด ไวน์เฮาส์ (, เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1983 - เสียชีวิต 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2011) นักร้องแนวโซลชาวอังกฤษ และนักแต่งเพลงแจ๊ส", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" } ]
[ { "docid": "130676#5", "text": "เอมี ไวน์เฮาส์เกิดที่เขตเซาธ์เกท เมืองเอนฟีลด์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เธอเกิดในครอบครัวเชื้อสายยิวที่รักดนตรีแจ๊ส ครอบครัวของเธอมีสมาชิก 4 คน พ่อของเธอชื่อ มิทเชลล์ ทำงานอาชีพเป็นคนขับรถแท็กซี่ แม่ของเธอชื่อ เจนิส ทำงานอาชีพเป็นเภสัชกร และพี่ชายของเธอชื่อ อเล็กซ์ ในตอนที่เอมี่ยังเป็นเด็กพ่อของเธอมักจะร้องเพลงของแฟรงก์ ซินาตรา ซึ่งทำให้เอมีร้องเพลงแบบนั้นมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่ตอนที่เธอเป็นนักเรียน ครูมักจะดุเธอเรื่องร้องเพลงในห้องเรียนเสมอ", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "754976#0", "text": "เจเรมี จอห์น ไอเอินส์ (; เกิด 19 กันยายน ค.ศ. 1948) เป็นนักแสดงชาวอังกฤษ หลังจากที่ได้รับการฝึกฝนที่โรงละครบริสตอลโอลด์วิค ไอเอินส์เริ่มแสดงละครเวทีครั้งแรกในปี 1969 รับบทเป็น จอห์น เดอะ แบ็พติส ใน \"Godspell\" หลังจากนั้นเขาก็ร่วมแสดงกับคณะเวสต์เอ็นด์และสแตรตเฟิร์ดอะพอนเอวอน จนมีชื่อเสียงโด่งดังใน \"Richard II\" ของบริษัทรอยัลเชคสเปีย เขาแสดงละครบรอดเวย์เรื่องแรกใน \"The Real Thin\" ของทอม สต็อพพาร์ด ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลดราม่าลีกอวอร์ดและรางวัลโทนี สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม", "title": "เจเรมี ไอเอินส์" }, { "docid": "463789#8", "text": "มือปืนผู้ต้องหาชื่อ เจมส์ อีแกน โฮมส์ () เกิดวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1987 และเติบโตขึ้นมาในชุมชนแรนโชเพนญาสควิโทส เมืองแซนดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สำเร็จการศึกษาระดับไฮสกูลจากโรงเรียนไฮสกูลเวสต์วิวในชุมชนทอร์รีย์ไฮแลนส์ เมืองแซนดีเอโก ในปี 2006 ต่อมา เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ในสาขาวิชาประสาทวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตริเวอร์ไซด์ ในปี 2010 แล้วจึงเข้าสมัครเป็นนักศึกษาในระดับปริญญาเอกในสาขาวิชาเดียวกันที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด วิทยาเขตการแพทย์แอนสชุตซ์ ที่เมืองออโรรา ซึ่งเขาได้รับทุนจากรัฐบาลกลางและเป็นหนึ่งในนักศึกษาเพียง 6 คนที่ได้รับทุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ในปี 2012 ผลการเรียนของเขาตกต่ำลงและเขาทำคะแนนได้ไม่ดีในการสอบความเข้าใจ แม้ว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้มีแผนที่จะปลดเขาออกจากความนักศึกษา แต่โฮมส์ก็ได้ดำเนินการ และกำลังอยู่ในกระบวนการถอนวิชาออกจากวิทยาลัย โฮมส์ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน", "title": "เหตุยิงกันในออโรรา ค.ศ. 2012" }, { "docid": "314567#0", "text": "เอมี ลู แอดัมส์ () เกิดวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1974 เป็นนักแสดงหญิงชาวอเมริกัน แอดัมส์เริ่มอาชีพการแสดงทางด้านละครเวที ก่อนที่จะปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 199 กับหนังแนวตลกมืด เรื่อง \"Drop Dead Gorgeous\" หลังจากปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญทางซีรีส์ทางโทรทัศน์หลายเรื่อง และบทในหนังเกรดบี เธอก็รับบทเป็นเบรนดา สตรอง ในภาพยนตร์ปี 2002 เรื่อง \"Catch Me If You Can\" แต่ผลงานแจ้งเกิดของเธอคือหนังอินดี้ในปี 2005 เรื่อง \"Junebug\" รับบทเป็นแอชลีย์ จอห์นสเตน จากเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีและยังด้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม", "title": "เอมี แอดัมส์" }, { "docid": "137626#1", "text": "ไวส์เคานท์เซเวิร์นเกิดด้วยการผ่าท้องออกเมื่อเวลา 16.20 นาฬิกา ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอังกฤษ ของวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ณ โรงพยาบาลฟริมลีย์พาร์ก เมืองฟริมลีย์ มณฑลเซอร์เรย์ เมื่อตอนแรกเกิดมีน้ำหนัก 6 ปอนด์ 2 ออนซ์ (2.8 กิโลกรัม) เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งทรงประทับอยู่ด้วยขณะนั้นได้ตรัสว่า \"เงียบสงบกว่าครั้งก่อนมาก\" และพระชายาทรง \"สบายดี\" และพระโอรสก็ \"เหมือนกับทารกทั่วไปที่ตัวเล็ก น่ารักและน่ากอดมาก\" ไวเคานต์เซเวิร์นและพระชนนีเสด็จออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และวันต่อมา ได้มีการประกาศชื่อของไวส์เคานท์เซเวิร์นคือ เจมส์ อเล็กซานเดอร์ ฟิลิป ธีโอ มีพี่สาวคือ เลดีลูอีส วินด์เซอร์พระราชหัตถเลขาที่ออกเมื่อปี พ.ศ. 2460 (และยังคงมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน) กำหนดให้พระราชอิสริยยศของเจ้าชายและฐานันดรศักดิ์ชั้น \"รอยัลไฮเนส\" เป็นของพระราชนัดดาผ่านสายพระราชโอรสของพระประมุขอังกฤษ ดังนั้นทารกไวส์เคานท์เซเวิร์นจะมีพระอิสริยยศทั้งหมดดังกล่าว และเป็น เจ้าชายเจมส์แห่งเวสเซ็กส์ (His Royal Highness Prince James of Wessex) อย่างไรก็ตาม เมื่อพระชนกและพระชนนีทรงอภิเษกสมรสกัน ได้มีการประกาศตามความประสงค์ว่า พระโอรสและพระธิดาจะมิทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง พร้อมทั้งฐานันดรศักดิ์ชั้น Royal Highness แต่เป็นโอรสและธิดาของเอิร์ลแทน พระโอรสคนโตสุดของเอิร์ลจะได้รับหนึ่งในบรรดาศักดิ์กิตติมศักดิ์รองของบิดาตามประเพณี ดังนั้นเจมส์ วินด์เซอร์จึงมียศเป็น \"ไวส์เคานท์เซเวิร์น\" แม้พระอิสริยยศทางทฤษฎีจะเป็นเจ้าชาย เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้วจะทรงสามารถใช้พระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ของราชวงศ์อย่างเป็นทางการได้ หากประสงค์เช่นนั้น", "title": "เจมส์ ไวเคานต์เซเวิร์น" }, { "docid": "643549#1", "text": "เผิงอี๋ว์เยี่ยน หรือ EDDIE เกิดที่ไต้หวัน และไปใช้ชีวิตที่แคนาดาตั้งแต่อายุ 13 ปี เข้าวงการและมีผลงานเป็นที่รู้จักตั้งแต่ปี 2002 ด้วยผลงานละครวัยรุ่นอย่างเรื่อง “อ้ายฉิงไป๋ผีซู” ที่ได้ร่วมงานกับพระเอกเนื้อหอมอย่างอี๋ว์เหวินเล่อในขณะนั้น หลังจากนั้นก็มีผลงานเรื่อยมา เฉลี่ยแล้วปีละ 1 เรื่อง นอกจากจะเห็นผลงานละครแล้ว พ่อหนุ่มตากลมคนนี้ก็ยังมีผลงานโฆษณามากมาย แต่ที่โด่งดังสุดๆ ก็คือโฆษณาโค้กนั่นเอง\nเผิงอี๋ว์เยี่ยนอาจไม่ใช่พระเอกอันดับหนึ่งของไต้หวัน การแสดงของเขาก็ไม่ถือว่าโดดเด่นนัก ถ้านับผลงานที่เป็นที่รู้จักทั่วจีน กลับไม่ใช่ละครแนวสมัยใหม่หรือวัยรุ่นจ๋าอย่างที่เขาแสดงเมื่อเริ่มเข้าวงการ ละครที่แจ้งเกิดอย่างเห็นได้ชัดก็คือละครกำลังภายในเรื่องแรกในชีวิตอย่าง “เซียนกระบี่พิชิตมาร” ในบท ถังอี้ว์เสียวเป่า ที่เขาแสดงได้น่ารักน่าสงสารอย่างที่ไม่เคยได้รับคำชมเช่นนี้มาก่อน\nหลังจากเจาะตลาดจีนแผ่นดินใหญ่สำเร็จจนเป็นที่รู้จัก ไม่นานเผิงอี๋ว์เยี่ยนก็ได้รับการทาบทามให้รับบทเด่นอีกครั้งในละครกำลังภายในเรื่องที่สองคือ “ขุนศึกตระกูลหยาง” โดยเขารับบท “หยางชีหลาง” น้องชายคนเล็กของตระกูลหยางที่มีนิสัยมองโลกในแง่ดี จิตใจดี ร่าเริง ซึ่งบุคลิกก็ไม่ต่างไปจากบทถังอี้ว์เสียวเป่าสักเท่าใดนัก\nนอกจากงานละครแล้ว เผิงอี๋ว์เยี่ยนก็ยังเคยแสดงความสามารถด้านการร้องเพลงอีกด้วย แม้จะยังไม่มีอัลบั้มเต็มของตัวเอง แต่เขาก็เคยโชว์เสียงร้องเพลงประกอบละครอย่างเรื่อง Scent of Love และ When Dolphin met Cat มาแล้ว\nทางด้านครอบครัวของหนุ่มคนนี้นั้น ถือว่าไม่อบอุ่นเท่าที่ควร เพราะเขาต้องอยู่กับแม่ตั้งแต่เด็ก หลังจากที่พ่อแม่หย่าร้างกัน ในความทรงจำของเขานั้น ไร้ซึ่งภาพของพ่อตั้งแต่วัยเยาว์ แม่ต้องลำบากเลี้ยงเขาและพี่สาวอีก 2 คนมาจนโต รวมทั้งต้องดูแลคุณยายอีกด้วย เผิงอี๋ว์เยี่ยนเคยกล่าวว่า “ตั้งแต่เด็กผมเติบโตมากับสังคมที่แวดล้อมไปด้วยผู้หญิง บางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ จึงทำให้นิสัยผมเป็นคนอ่อนโยนและนุ่มนวล”\nเพราะเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน จึงมักจะได้รับความรักความเอาใจใส่มาก แต่เผิงอี๋ว์เยี่ยนกลับปฏิเสธว่าเขาก็ไม่ได้มีนิสัยคุณหนูอย่างที่หลายคนคิด\n“ผมยอมรับว่าครอบครัวรักผมมาก แต่ว่าไม่ใช่จะตามใจผมทุกอย่าง ทำเรื่องอะไรผิดก็ต้องถูกลงโทษ แม่ผมจะใส่ใจกับเรื่องการศึกษาและมารยาทการปฏิบัติตนต่อบุคคลอื่นมาก มีครั้งหนึ่งคะแนนสอบผมแย่มาก ไม่กล้าบอกคะแนนให้แม่รู้ โกหกแม่เรื่องคะแนนจริง ผลสุดท้ายเมื่อความจริงปรากฏ ผมโดนแม่ตียกใหญ่” ดังนั้นตั้งแต่เด็กจนโตเผิงอี๋ว์เยี่ยนจึงเชื่อฟังแม่มาตลอด\n“พูดตามความจริง ผมไม่เคยทำตัวเกเรเลย การเชื่อฟังแม่นั้นเป็นสัจธรรมที่ถูกต้องดีงาม เพราะแม่ทำงานเลี้ยงครอบครัวก็ลำบากมามากพอแล้ว เหตุใดผมจะต้องทำให้ท่านโกรธและไม่สบายใจอีกล่ะ”\nหลังจากเรียนจบจากแวนคูเวอประเทศแคนนาดา จนกลับมาที่ไต้หวันและได้เข้าวงการแล้วนั้น เผิงอี๋ว์เยี่ยนมีโอกาสได้แสดงละคร ช่วงนั้นที่เขามีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็พยายามเก็บหอมรอบริบกินข้าวกล่องทุกมื้อ เพื่อส่งเงินให้แม่เป็นทุนเปิดร้านอาหารที่เซี่ยงไฮ้ นับได้ว่าเป็นสุดยอดลูกกตัญญูที่หายากคนหนึ่งในวงการบันเทิง\n“ผมบอกแม่ว่า ชั่วชีวิตนี้ผมจะไม่ประพฤติตัวไม่ดีเด็ดขาด ผมหวังจะให้ท่านมีความสุข ท่านลำบากเพื่อผมมามาก หลังจากนี้ผมจะเก็บเงินซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ สักหลังแล้วรับท่านมาอยู่ด้วยกัน พวกเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าครับ”\nสำหรับความรักกับสาวๆ ของพ่อหนุ่มคนนี้ ตอนนี้เขาบอกแต่เพียงว่าโสดสนิท แต่ก็มีข่าวออกมามากมาย ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้กับนักแสดงสาวหน้าจิ้มลิ้มอย่างหยางเฉิงหลิง (เรนนี่) หรือกระแสข่าวที่ว่าเป็นเกย์และกุ๊กกิ๊กกับเหอยุ่นตงระหว่างถ่ายทำเรื่อง”ขุนศึกตระกูลหยาง” แต่แล้วก็เงียบไป เพราะเผิงอี๋ว์เยี่ยนออกมากล่าวว่าเขาไม่ใช่เกย์ และเขาก็มีใจนิยมเพศหญิงตามปกติ ล่าสุดมิวายมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับนักร้องสาว “ไช่อีหลิน” ที่นักข่าวตามไปถ่ายภาพทั้งสองแอบเที่ยวอยู่ด้วยกันที่ลอนดอน แต่เขาก็ออกมาปฏิเสธอีกว่าเจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าความรักของหนุ่มหน้าใสคนนี้จะเดินไปในทิศทางใด", "title": "เผิง อวี๋เยี่ยน" }, { "docid": "668313#0", "text": "เจมส์ เทรเวอร์ \"เจมี\" ออลิเวอร์ () เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 เป็นเชฟมีชื่อเสียง เจ้าของภัตตาคาร พิธีกร และชาวยูทูบชาวอังกฤษ เป็นที่รู้จักกันดีในอาหารที่มุ่งเน้นในรายการโทรทัศน์และตำราปรุงอาหารต่าง ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้รณรงค์ทั่วโลกเพื่อการศึกษาอาหารที่ดีกว่า", "title": "เจมี ออลิเวอร์" }, { "docid": "130676#7", "text": "เอมีได้กีต้าร์เป็นของตัวเองครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี เธอได้เริ่มแต่งเพลง และทำงานต่างๆ เช่น เป็นนักหนังสือพิมพ์ให้กับ เวิร์ด เอ็นเตอร์เทนเมนท์ นิวส์ เน็ตเวิร์ค (World Entertainment News Network) และร้องเพลงในวงดนตรีแจ๊ส เป็นต้น แฟนหนุ่มในขณะนั้นของเธอ ชื่อ ไทเลอร์ เจมส์ ซึ่งเป็นนักร้องเพลงโซลได้ส่งเทปเพลงตัวอย่างของเอมีไปให้ A&R ทำให้เธอได้เซ็นต์สัญญากับ ไอซ์แลนด์ เรคคอร์ด ยูนิเวอร์แซล (Island Records/Universal) ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท 19 แมนเนจเมนท์ (19 Management) ของ ไซมอน ฟูลเลอร์ (Simon Fuller) และกับ EMI เอมีได้ร่วมร้องเพลงและออกทัวร์กับ ชาร์รอน โจนส์ กับวงแดป-คิงส์", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" }, { "docid": "130676#18", "text": "เอมี ไวน์เฮาส์ ได้เสียชีวิตลงในอพาร์ทเมนต์ส่วนตัวที่ลอนดอน เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งสาเหตุเบื้องต้นได้สันนิษฐานว่าเกิดจากการติดสารเสพติดและสุราเป็นเวลายาวนาน โดยเธอได้สิ้นใจลงก่อนรถพยาบาลจะเข้ามาถึง", "title": "เอมี ไวน์เฮาส์" } ]
1868
ใครที่รับบทเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ ?
[ { "docid": "21799#0", "text": "แดเนียล จาคอบ แรดคลิฟฟ์ (English: Daniel Jacob Radcliffe เกิดวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2532)[1] มีชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงในบท แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในภาพยนตร์ชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[798,818,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาเคยแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 10 ขวบในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ออกอากาศทางช่องบีบีซีวัน เมื่อปี พ.ศ. 2542 ตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่องพยัคฆ์สายลับซ่อนลาย เมื่อปี พ.ศ. 2544 เมื่ออายุ 11 ขวบ เขาได้รับเลือกเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์</i>เรื่องแรก และแสดงบทดังกล่าวเป็นเวลา 10 ปี จนภาพยนตร์เรื่องที่แปดออกฉายในปี พ.ศ. 2554", "title": "แดเนียล แรดคลิฟฟ์" } ]
[ { "docid": "494668#18", "text": "ฮอร์ครักซ์ () เป็นหนึ่งในวัตถุเวทมนตร์ในวรรณกรรมเยาวชนชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ โดย เจ. เค. โรวลิ่ง หนึ่งในวัตถุศาสตร์มืดที่ถูกสร้างมาเพื่อรักษาความเป็นอมตะของเจ้าของไว้ \nแนวคิดของฮอร์ครักซ์ ปรากฏครั้งแรกในตอน \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม\" \nและการแสวงหาและทำลายฮอร์ครักซ์ของโวลเดอมอร์ก็เป็นประเด็นหลักของเนื้อเรื่องในสองเล่มสุดท้ายของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้แก่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม\" และ\"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต\"", "title": "วัตถุเวทมนตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "110806#4", "text": "ในนวนิยายชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ข้าราชการส่วนใหญ่ในกระทรวงเวทมนตร์ดูเหมือนจะมาจากการแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง ผู้สำเร็จการศึกษาเวทมนตร์สามารถเข้าทำงานที่กระทรวงได้ทันที แต่ตำแหน่งต่าง ๆ มีกำหนดระดับการศึกษาและผลสอบไว้ต่างกัน อย่างไรก็ดี มีระบุว่า ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเวทมนตร์เองมาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่เคยมีการอธิบายว่า ใครเป็นผู้เลือกตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเวทมนตร์ ตลอดเรื่อง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ทั้งกระทรวงเวทมนตร์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเวทมนตร์ดูจะอ่อนไหวง่ายกับความเห็นของสาธารณชนชาวพ่อมด จึงพยายามควบคุมความคิดเห็นของผู้คนด้วยข่าวหนังสือพิมพ์", "title": "กระทรวงเวทมนตร์" }, { "docid": "10882#11", "text": "ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี เขากลายเป็นจุดสนใจของคนรอบข้างอีกครั้ง เมื่อกลายเป็นผู้เข้าแข่งขันในการประลองเวทไตรภาคี ซึ่งทำให้เพื่อนร่วมบ้านกริฟฟินดอร์ต่างยินดี ยกเว้นรอน ผู้รู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขาหมดความอดทนด้วยความที่แฮร์รี่เด่นกว่าเขาในทุกๆ ด้าน รวมถึงบ้านอื่นๆ ที่คิดว่าเขาต้องการเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะบ้านฮัฟเฟิลพัฟที่มีเซดริก ดิกกอรี่ที่เป็นตัวแทนของฮอกวอตส์อีกคนหนึ่ง แฮร์รี่คืนดีกับรอนในเวลาต่อมา เนื่องจากรอนเห็นแล้วว่าการประลองดังกล่าวอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ในขณะเดียวกันแฮร์รี่และเพื่อนก็สงสัยว่าใครเป็นคนหยอดชื่อของเขาลงไปในถ้วยอัคนี แต่หลังจากที่แฮร์รี่เผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอมอร์ผู้กลับคืนชีพอีกครั้ง เขาจึงทราบว่าเป็นแผนของโวลเดอมอร์นั่นเอง ในการเผชิญหน้าครั้งนี้แฮร์รี่รอดมาได้อย่างหวุดหวิดจากการที่ไม้กายสิทธิ์ของเขามีแกนกลางเป็นขนนกฟินิกซ์เหมือนกับของโวลเดอมอร์ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ไม้ทั้งสองสะท้อนผลของคาถาซึ่งกันและกัน แต่ก็ต้องแลกกับการตายของเซดริกและเกราะคุ้มกันตัวแฮร์รี่ซึ่งถูกทำลายไปโดยเลือดของเขาเอง ความไว้ใจของแฮร์รี่ยังถูกทดสอบอีกครั้งเมื่อรู้ว่าศาสตร์จารย์มู้ดดี้ที่แฮร์รี่นับถือ แท้ที่จริงแล้วเป็นผู้เสพความตายปลอมตัวมาและทำให้แฮร์รี่เกือบตกอยู่ในอันตรายสูงสุด แต่ดัมเบิลดอร์ก็ช่วยเขาไว้ได้อีกครั้ง", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "10882#29", "text": "ในภาคที่ 7 แฮร์รี่ได้สัญญากับรอนว่าจะเลิกพบจินนี่เพื่อไม่ให้ความหวังแก่เธอ ซึ่งตลอดทั้งเล่ม แฮร์รี่ทำได้แค่เฝ้ามองดูเธอ แต่ในท้ายที่สุดหลังจากโค่นโวลเดอมอร์ลงได้ แฮร์รี่ก็ได้แต่งงานกับเธอ และ 19 ปีต่อมาทั้งสองก็มีลูกด้วยกันสามคนคือ เจมส์ ซีเรียส พอตเตอร์ อัลบัส เซเวอร์รัส พอตเตอร์ และ ลิลี่ ลูน่า พอตเตอร์ ดังนั้นกล่าวได้ในท้ายที่สุดว่าจินนี่เป็นนางเอกเรื่องนี้ (ในทางที่จริงแล้ว..แฮร์รี่ไม่ควรที่จะยุติความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจินนี่ เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนคิดว่าแฮร์รี่นั้นโหดร้ายและไม่ยอมสละเวลาเพื่อความรัก)", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "198618#15", "text": "ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบอุปสรรคและปัญหามากที่สุดเพราะเนื่องจากมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นเสมอเริ่มตั้งแต่การเสียชีวิตจากการถูกแทงของโรเบิร์ต น็อกซ์นักแสดงผู้รับบทเป็น มาร์คัส เบลบี้ หน้าผับจนเสียชีวิต อีกทั้งยังการปลอมแปลงโปสเตอร์ที่อ้างว่าทางW.B.เป็นผู้ผลิตทำให้บริษัทต้องกำจัดข่าวทั้งหมด การประท้วงนักเขียนที่อเมริกา แดเนียลผู้รับบทเป็นแฮร์รี่เล่นละครเวทีเปลื้องผ้าทำให้เสียความเป็นแฮร์รี่ การเข้าฉายใกล้เคียงกันระหว่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ (21 พฤศจิกายน) กับแวมไพร์ ทไวไลท์ (27 พฤศจิกายน) ซึ่งทำให้รายได้อาจถูกทไวไลท์แย่งไปได้เพราะแฮร์รี่เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ดังนั้นควรเข้าฉายในช่วงที่ไม่มีภาพยนตร์ที่ใหญ่พอจะสู้ ปัญหาเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือการเลื่อนฉายภาพยนตร์ที่ทาง W.B.กล่าวว่าต้องการให้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างแฮร์รี่เข้าฉายในช่วงหน้าร้อนและไม่อยากเอามาแข่งกับ แบทแมน เดอะ ดาร์ค ไนท์ที่สร้างรายได้ถล่มทลายโดยในครั้งแรกนั้นแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคที่6 มีกำหนดฉายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 แต่ทาง W.B ออกมายืนยันว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคที่ 6 นั้นจะเลื่อนฉายไปในวันที่ 16 กรกฎาคม ปี 2552 และทางประเทศไทยจะฉายในวันที่ 16 กรกฎาคม การเลื่อนฉายนี้ทำให้แฟนๆ ทั่วโลกไม่พอใจ และคาดเดาว่าเหตุใดถึงเลื่อนฉาย โดยมีการคาดเดาว่า แดเนียล แรดคลิฟฟ์พระเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้เล่นละครเวทีเปลื้องผ้า แต่ทาง W.B. ยืนยันว่าต้องการฉายในช่วงหน้าร้อนเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีจึงไม่อยากนำมาแข่งกับ แบทแมน เดอะ ดาร์ค ไนท์ ที่สร้างรายได้ถล่มทลายไปไม่นาน แต่การประกาศครั้งนั้นก็ทำให้แฟนๆยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่และมีการส่งจดหมายไปด่า W.B.ว่าเห็นแก่เงิน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "4336#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดนวนิยายแฟนตาซีจำนวนเจ็ดเล่ม ประพันธ์โดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิง เป็นเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมดวัยรุ่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเพื่อนสองคน รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเรียนโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ โครงเรื่องหลักเกี่ยวกับภารกิจของแฮร์รี่ในการเอาชนะพ่อมดศาสตร์มืดที่ชั่วร้าย ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ที่ต้องการจะมีชีวิตอมตะ มีเป้าหมายเพื่อพิชิตมักเกิ้ล หรือประชากรที่ไม่มีอำนาจวิเศษ พิชิตโลกพ่อมดและทำลายทุกคนที่ขัดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "197283#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ () เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2002 กำกับโดย Chris Columbus และจัดจำหน่ายโย Warner Bros. Pictures ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ J. K. Rowling ซึ่งเคยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1998 เป็นภาคต่อของ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในชุดภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เป็นผลงานการเขียนบทของ Steve Kloves และอำนวยการสร้างโดย David Heyman เล่าเรื่องการผจญภัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในปีที่สองของการศึกษาในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ซึ่งทายาทของซัลลาซาร์ สลิธีริน ได้เปิดห้องแห่งความลับ และปลดปล่อยสัตว์ร้ายภายในออกมาทำให้ผู้คนในโรงเรียนกลายเป็นหิน นำแสดงโดย Daniel Radcliffe รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ Rupert Grint รับบทรอน วีสลีย์ และ Emma Watson รับบทเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ Richard Harris มารับบทเป็นศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ก่อนที่จะเสียชีวิตในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "107269#7", "text": "ในภาคนี้ บรรดานักเรียนฮอกวอตส์ ปี 5 ต้อง สอบ ว.พ.ร.ส. (วิชาพ่อมดระดับสามัญ)นักเรียนทั้งหลายต่างกดดันเป็นที่สุดโดยเฉพาะแฮร์รี่ เมื่อกระทรวงเวทมนตร์เริ่มครอบงำโรงเรียนฮอกวอตส์ ไม่มีใครเชื่อว่า ลอร์ดโวลเดอมอร์ กำลังเข็มแข็งขึ้นเรื่อยมาหลังจากการประลองเวทไตรภาคี สิ้นสุดลง จนสุดท้ายแฮร์รี่ก็ต้องเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ(อีกครั้ง) ทางกระทรวงจะทราบความจริง หรือไม่ และความกดดันของโรงเรียนจะเป็นเช่นไร ต้องติดตาม...เดวิด เยตส์ ได้รับเลือกให้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากที่ Mike Newell (ผู้กำกับภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี\"), Jean-Pierre Jeunet, Matthew Vaughn, และ Mira Nair ปฏิเสธที่จะกำกับ เยตส์เชื่อว่าที่เขามีความเหมาะสมจะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพราะทางสตูดิโอเห็นว่าเขาสามารถกำกับภาพยนตร์ที่ \"มีความสุดขั้วและเต็มไปด้วยอารมณ์\" ซึ่งมี \"เบื้องหลังทางการเมือง\" ได้ดี จากผลงานเก่าของเขาคือละครโทรทัศน์เรื่อง \"Sex Traffic\" นอกจากนี้แล้ว Steve Kloves ผู้เขียนบทที่เคยเขียนบทภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" 4 ภาคก่อนหน้านี้ ติดภารกิจ จึงมีการจัดให้ Michael Goldenberg มาเขียนบทแทน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "4336#9", "text": "ลำดับเวลาที่ยอมรับกันทั่วไปคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเกิดในปี พ.ศ. 2523 และเรื่องราวในหนังสือเล่มแรกเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2534 โดยเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ทราบลำดับเวลาของนิยายได้ก็คือเหตุการณ์ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ บทที่ 8 ซึ่งเรื่องราวหนังสือเล่มที่สองเกิดขึ้นในเวลาหนึ่งปีให้หลังหนังสือเล่มแรก โดยในบทนี้แฮร์รี่ได้เข้าร่วม\"งานเลี้ยงวันตาย ปีที่ห้าร้อย\" ของตัวละครนิกหัวเกือบขาด และมีการระบุปีบนเค้กวันตายว่า \"ตายวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1492\" (พ.ศ. 2035) เมื่อบวกจำนวนปีแล้วจึงทำให้ทราบว่าเรื่องราวในภาคนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2535[13] ซึ่งก็หมายความว่าเรื่องของหนังสือเล่มแรกนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2534 อย่างแน่นอน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "176513#3", "text": "ต่อจากนั้นเขาก็มีผลงานภาพยนตร์เรื่อยๆ อย่างเรื่อง \"Sweet November\" (2001), \"Black Hawk Down\" (2001), \"Windtaklers\" (2002) และ \"The Tuxedo\" (2002) และเรื่อง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ\" (2002) \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน)\" (2004) \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี\" (2005) \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์\" (2007) ในบทลูเซียส มัลฟอย และยังร่วมแสดงกับ ฌอน คอนเนอรี่ ใน \"The League of Extraordinary Gentlemen\" และรับบทเป็น กัปตันฮุ๊ค/มิสเตอร์ดาร์ลิ่ง ใน \"Peter Pan\"", "title": "เจสัน ไอแซ็กส์" }, { "docid": "113433#4", "text": "เขาพบกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ครั้งแรก ตอนที่เขาไปร้านเสื้อผ้าของมาดามมัลกิ้นส์ที่ตรอกไดแอกอน โดยตอนนั้นเขายังดูอีกฝ่ายไม่ออกว่าคือใคร โดยเขาถามอีกฝ่ายว่า \"พ่อแม่เขาเป็น พวกของเรา (สายเลือดบริสุทธิ์) หรือไม่\" และเขายังบอกอีกว่า คนที่มาจากครอบครัวมักเกิ้ล (พวกไร้เวทมนตร์) นั้นไม่ควรมาเรียนที่ ฮอกวอตส์ ด้วย ก่อนจะจากไปโดยไม่มีการแนะนำตัวกันเลย และเขาพบอีกครั้งก่อนบนรถไฟด่วนฮอกวอตส์และถูกแฮร์รี่ปฏิเสธมิตรภาพของเขา หลังจากที่เขาว่าร้าย รอน วีสลีย์ (คนที่ได้ชื่อว่า เป็นเพื่อนคนแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์)", "title": "เดรโก มัลฟอย" }, { "docid": "10882#0", "text": "แฮร์รี่ เจมส์ พอตเตอร์</b>เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 (วันเดือนเดียวกับผู้แต่ง เจ. เค. โรว์ลิ่ง ได้เขียนให้แฮร์รี่เกิดวันเดียวกันกับเธอแต่คนละปี) เป็นลูกชายคนเดียวของเจมส์ พอตเตอร์และลิลี่ พอตเตอร์ เป็นตัวละครเอกในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "4336#62", "text": "โรว์ลิ่งได้เปิดเผยข้อมูลผ่านทวิตเตอร์ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ซึ่งตรงกับวันครบรอบการวางแผงหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกว่าละครเวทีแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นจะใช้ชื่อการแสดงว่า \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป\"[130] โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มเปิดการแสดงในช่วงฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์[131] ซึ่งบัตรเข้าชมในช่วงสี่เดือนแรกหรือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนถูกขายหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดจำหน่าย[132] ภายหลังในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ได้มีการเปิดเผยผ่านเว็บไซต์พอตเตอร์มอร์ว่าบทละครจะถูกตีพิมพ์จำหน่ายในรูปแบบหนังสือหนึ่งวันหลังรอบปฐมทัศน์โลกของละครเวที และเหตุการณ์ในเรื่องจะเกิดขึ้นสิบเก้าปีให้หลังจากบทจบของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โดยบางกลุ่มได้จัดบทละครที่จะถูกตีพิมพ์นี้เป็นหนังสือเล่มที่แปด แม้จะไม่ได้ถูกเขียนโดยเจ. เค. โรว์ลิ่งที่ก็ตาม[133]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "144418#0", "text": "รูเพิร์ต อเล็กซานเดอร์ ลอยด์ กรินต์ ( เกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2531) เป็นนักแสดงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงจากบทรอน วีสลีย์ หนึ่งในตัวละครหลักจากภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" กรินต์ได้รับเลือกให้เล่นบทรอน วีสลีย์เมื่ออายุ 11 ขวบ โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยแสดงละครเวทีในโรงเรียนและในชมรมละครเวทีท้องถิ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2554 เขาแสดงในภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\"ทั้งแปดภาคร่วมกับแดเนียล แรดคลิฟฟ์ รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ และเอ็มมา วอตสัน รับบท เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์", "title": "รูเพิร์ต กรินต์" }, { "docid": "17410#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี คือหนังสือเล่มที่สี่ในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ โดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง และแปลโดยงามพรรณ เวชชาชีวะจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 และเป็นฉบับภาษาไทยในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2544 วรรณกรรมชุดนี้ถือว่ายาวมากอย่างไม่น่าจะมีใครทำมาก่อน โดยในฉบับภาษาไทยมีความยาวทั้งหมดถึง 832 หน้า (ฉบับบลูมส์บูรี่มีความยาวทั้งหมด 636 หน้า) หนังสือเล่มนี้สร้างสถิติโดยเป็นหนังสือเล่มแรกที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากกว่าชิ้นงานวรรณกรรมเยาวชนอื่นๆ มีเพียงหนังสือเล่มต่อๆ มาในชุดเดียวกันนี้เท่านั้นที่สามารถลบสถิตินี้ได้ นั่นคือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์และแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม โดยเฉพาะจากการที่ เจ. เค. โรว์ลิ่งออกมาเตือนผู้อ่านก่อนหนังสือจะตีพิมพ์ว่าจะมีตัวละครเสียชีวิตในเล่มนี้ ซึ่งสร้างกระแสของการคาดการณ์ว่าตัวละครใดจะเสียชีวิต และสร้างปรากฏการณ์ 'คลั่งแฮร์รี่ พอตเตอร์' ทั่วโลก", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี" }, { "docid": "685605#0", "text": "เซอร์ ไมเคิล จอห์น แกมบอน () เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1940 เป็นนักแสดงชาวอังกฤษ เขามีเสียงจากการรับบทเป็น ศาสตราจารย์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ หนึ่งในตัวละครของภาพยนตร์ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" หลังจากการเสียชีวิตของนักแสดง ริชาร์ด แฮร์ริส เขาจึงมารับบทแทนตั้งแต่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน\" จนถึง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2\"", "title": "ไมเคิล แกมบอน" }, { "docid": "10882#4", "text": "เจมส์และลิลี่ พอตเตอร์ พ่อแม่ของแฮร์รี่ถูกสังหารโดยโวลเดอมอร์ใน 31 ตุลาคม พ.ศ. 2524(วันฮาโลวีน) (ค.ศ. 1981) ขณะที่พยายามปกป้องลูกชาย แฮร์รี่จากโวลเดอมอร์ เจมส์ถูกสังหารก่อน ตามด้วยลิลี่ ผู้ปกป้องลูกด้วยการนำตัวเข้าไปขวางคำสาปพิฆาตจากโวลเดอมอร์ขณะพยายามฆ่าแฮร์รี่ การกระทำดังกล่าวทำให้เกิดพันธะปกป้องลึกลับซึ่งเกิดขึ้นจากความรักของแม่ และทำให้คำสาปพิฆาต \"อะวาดา เคดาฟ-รา\" ซึ่งโวลเดอมอร์เป็นผู้สาปมีผลสะท้อนกลับมายังตัวของเขาเอง ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส และสูญเสียพลังทั้งหมดที่เคยมี ในหนังสือเล่มที่สอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ แฮร์รี่บอกกับโวลเดอมอร์ว่า \"ไม่มีใครรู้ว่าทำไมคุณถึงสูญเสียพลังอำนาจของคุณไปเมื่อคุณทำร้ายผม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไป แต่ผมรู้ว่าทำไมคุณฆ่าผมไม่ได้...\" เมื่อโวลเดอมอร์ไร้พลังอำนาจ จึงจำเป็นต้องหลบซ่อนตัว ในขณะที่แฮร์รี่กลายเป็นผู้โด่งดังและเป็นที่รู้จักในโลกผู้วิเศษว่าเป็น \"เด็กชายผู้รอดชีวิต\" มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นแผลเป็นรูปสายฟ้าตรงกลางหน้าผากซึ่งเกิดจากคำสาปของโวลเดอมอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "38960#74", "text": "สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (หนังสือเล่มเสริมจากชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[99216,99236,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์) (1 มีนาคม ค.ศ. 2001) ควิดดิชในยุคต่างๆ (หนังสือเล่มเสริมจากชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[99306,99326,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์) (1 มีนาคม ค.ศ. 2001) นิทานของบีเดิลยอดกวี (หนังสือเล่มเสริมจากชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[99399,99419,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์) (4 ธันวาคม ค.ศ. 2008) Short Stories from Hogwarts of Power, Politics and Pesky Poltergeists (6 กันยายน ค.ศ. 2016) Short Stories from Hogwarts of Heroism, Hardship and Dangerous Hobbies (6 กันยายน ค.ศ. 2016) Hogwarts: An Incomplete and Unreliable Guide (6 กันยายน ค.ศ. 2016) บทภาพยนตร์สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016)", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "19885#2", "text": "เริ่มเมื่อวันหนึ่งพ่อเลียง (เตอร์ เหลียง) เห็นโฆษณาทางโทรทัศน์ช่องภาษาจีน ประกาศหาสาวน้อยเอเชียรับบท โชแชง ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี (Harry Potter and the Goblet of Fire) จึงสนับสนุนให้ลูกสาวไปเทสต์หน้ากล้องที่กรุงลอนดอน ลูกสาว (เคที เหลียง) ก็ว่าง่ายเพราะอยากไปช็อปปิ้งในเมืองหลวงอังกฤษ เหลียง (เคที เหลียง) รอ 4 ชั่วโมง เพื่อเข้าไปสัมภาษณ์เพียง 5 นาที และที่สุดเธอได้รับบท โช แชง ในภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ด้วยเหตุผลพูดภาษาอังกฤษสำเนียงสกอตได้ดีมาก และนั้นทำให้มีผลงานในบทของโช แชง ในหนังภาคต่ออย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี (พ.ศ. 2547) และ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ (พ.ศ. 2550), แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม (พ.ศ. 2552) และต่อมา เคที เหลียงได้มีผลงานด้านละครและภาพยนตร์ตามาอีกหลายเรื่องได้แก่ Run ในบท Nu-Ying (พ.ศ. 2556), Father Brown ในบท Jia-Li Gerard และ One Child ในบท Mei Ashley (พ.ศ. 2557) เป็นต้น", "title": "เคที เหลียง" }, { "docid": "4336#10", "text": "นวนิยายเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กกำพร้าผู้พบว่าตนเองเป็นพ่อมดเมื่ออายุได้สิบเอ็ดปี อาศัยอยู่ในโลกแห่งผู้ไม่มีอำนาจวิเศษหรือมักเกิล ซึ่งถือเป็นประชากรปกติ[14] ความสามารถของเขานั้นมีมาโดยกำเนิดและเด็กจำพวกนี้จึงได้รับเชิญให้เข้าศึกษาในโรงเรียนซึ่งสอนทักษะที่จำเป็นแก่การประสบความสำเร็จในโลกพ่อมด[15] แฮร์รี่กลายมาเป็นนักเรียนที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ และเรื่องราวส่วนใหญ่ในนวนิยายเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ เมื่อแฮร์รี่เติบโตขึ้นผ่านช่วงวัยรุ่น เขาเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามปัญหาที่เผชิญกับเขา ทั้งทางเวทมนตร์ สังคมและอารมณ์ รวมทั้งความท้าทายอย่างวัยรุ่นทั่วไป เช่น มิตรภาพและการสอบ ตลอดจนบททดสอบอันยิ่งใหญ่กว่าที่เตรียมพร้อมเขาสำหรับการเผชิญหน้าที่คอยอยู่เบื้องหน้า[16]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "4336#54", "text": "ในปี พ.ศ. 2542 เจ. เค. โรว์ลิง ขายสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์จากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ในราคาหนึ่งล้านปอนด์สเตอร์ลิง[112] โรว์ลิงยืนยันให้นักแสดงหลักเป็นชาวสหราชอาณาจักร รวมถึงต้องใช้ภาษาอังกฤษบริเตนในบทสนทนา ภาพยนตร์สองภาคแรกกำกับโดยคริส โคลัมบัส ภาคที่สามโดยอัลฟอนโซ กวารอน ภาคที่สี่โดยไมค์ นิวเวลล์ และภาคที่ห้าถึงภาคสุดท้ายโดยเดวิด เยตส์[113] บทภาพยนตร์ของสี่ภาคแรกเขียนโดยสตีฟ โคลฟ โดยร่วมงานกับโรว์ลิง บทภาพยนตร์มีความเปลี่ยนแปลงจากหนังสือบ้างตามรูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์และเงื่อนไขเวลา อย่างไรก็ตาม โรว์ลิงได้กล่าวว่าบทภาพยนตร์ของโคลฟนั้นมีความซื่อตรงต่อหนังสือ[114] ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาค มีนักแสดงหลักคือแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เอ็มม่า วัตสันและรูเพิร์ท กรินท์ แสดงเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และรอน วีสลีย์ตามลำดับ โดยสามคนนี้ได้รับเลือกในปี พ.ศ. 2543 จากเด็กหลายพันคน[115]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "222054#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1 () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี-ผจญภัยภาคต่อที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของเจ. เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนที่ 7 ในชื่อ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่เนื่องจากในภาคสุดท้ายนั้นมีรายละเอียดมากและทางผู้สร้างต้องการให้หนังจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ จึงแบ่งออกเป็น 2 ตอนคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตตอนที่ 1 และตอนที่ 2 สำหรับตอนที่ 1 เริ่มถ่ายทำเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และจะเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ตอนที่ 2 จะเข้าฉายในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ภาพยนตร์มีนักแสดงนำได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ รูเพิร์ท กรินท์ และเอ็มม่า วัตสัน กำกับการแสดงโดย เดวิด เยตส์ เขียนบทโดยสตีฟ โคลฟ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน และเดวิด แบร์รอน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1" }, { "docid": "231183#35", "text": "วิลเลี่ยมส์ได้กลับมาร่วมงานกับโคลัมบัสอีกครั้ง ในปี ค.ศ.2001 ในผลงานภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Sorcerer's Stone) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายอังกฤษชื่อดังที่ประพันธ์โดย เจ.เค. โรว์ลิง (J.K. Rowling) วิลเลี่ยมส์ทำดนตรีในภาคต่ออีกสองภาค คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ (Harry Potter and the Chamber of Secrets) ใน ค.ศ.2002 กับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (Harry Potter and the Prisoner of Azkaban) ใน ค.ศ.2004 ในปี ค.ศ.2005 วิลเลี่ยมส์จำเป็นต้องปฏิเสธที่จะทำดนตรีประกอบให้กับภาคต่อของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เนื่องจากวิลเลี่ยมส์ กำลังทำดนตรีประกอบให้กับหนังเรื่องอื่นอยู่ ซึ่งในปีนั้นเอง วิลเลี่ยมส์มีงานทำดนตรีให้กับภาพยนตร์ถึง 4 เรื่อง (ขณะนั้นวิลเลี่ยมส์อายุ 73 ปี) ตั้งแต่ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคที่ 4 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี (Harry Potter and the Goblet of Fire) เป็นต้นมา จนถึงภาคสุดท้ายในปี ค.ศ.2011 วิลเลี่ยมส์ก็ไม่ได้กลับมาทำดนตรีประกอบให้อีกเลย แต่เพลง Hedwig's theme ที่วิลเลี่ยมส์ประพันธ์ขึ้น ก็ได้ถูกใช้เป็นเพลงธีมหลักในทุกภาคของแฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "จอห์น วิลเลียมส์" }, { "docid": "209021#3", "text": "Warner Bros. ผู้ผลิตภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ และเป็นผู้ถือเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อแฮร์รี่ พอตเตอร์ รูปแบบดีวีดีของภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ในตอน \"ห้องแห่งความลับ\" \"นักโทษแห่งอัซคาบัน\" และ \"ถ้วยอัคนี\" ก็ปรากฏลำดับเวลาด้วยเช่นกัน Warner Bros. ซึ่งเดิมพัฒนาลำดับเวลาดังกล่าวโดยเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\" ในปี ค.ศ. 2002 โรวลิ่งได้ทบทวนและปรับปรุงแก้ไขหลายครั้งจนกระทั่งเธอเห็นควรให้ใช้เป็นลำดับเวลา \"อย่างเป็นทางการ\"", "title": "ลำดับเวลาในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "137619#8", "text": "ด้วยภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี ทำให้ทั้งวอตสันและภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งใหม่ ภาพยนตร์ทำสถิติสำหรับสัปดาห์ออกฉายสัปดาห์แรกของภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นภาพยนตร์ไม่ได้เริ่มฉายในสหรัฐอเมริกาในวันสุดสัปดาห์ของเดือนพฤษภาคม และเป็นภาพยนตร์ที่ฉายสัปดาห์แรกในสุดสัปดาห์ในสหราชอาณาจักร นักวิจารณ์ชื่นชมการเติบโตของวอตสันและการแสดงวัยรุ่นของเธอ หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ชมการแสดงของเธอว่า \"เอาจริงเอาจังอย่างน่าประทับใจ\"[35] สำหรับวอตสัน เรื่องขบขันในภาพยนตร์ส่วนมากเกิดจากความเครียดในหมู่ตัวละครหลักสามคนขณะที่พวกเขากำลังเติบโต เธอกล่าวว่า \"ฉันชอบทุกตอนที่เราทะเลาะกัน ฉันคิดว่ามันเหมือนจริงมากที่พวกเขาทะเลาะกันและที่จะมีปัญหามากมาย\"[36] หลังจากภาพยนตร์เรื่องถ้วยอัคนีได้เข้าชิงสามรางวัล วอตสันชนะรางวัลออตโตเหรียญทองแดง[37][38] ต่อมาในปีนั้น วอตสันกลายเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดบนปกนิตยสารทีนโว้ก[39] เมื่อเธอปรากฏตัวอีกครั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552[40] ในปี พ.ศ. 2549 วอตสันรับบทเฮอร์ไมโอนี่ในละคร<i data-parsoid='{\"dsr\":[17690,17712,2,2]}'>เดอะควีนส์แฮนด์แบก ตอนพิเศษของแฮร์รี่ พอตเตอร์เพื่อธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร[41]", "title": "เอ็มมา วอตสัน" }, { "docid": "10882#20", "text": "อย่างไรก็ตาม ข้อเสียในตัวแฮร์รี่ก็มีอยู่หลายประการ เขาโมโหง่ายถ้าพ่อแม่หรือใครก็ตามที่เขาห่วงใยถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือเมื่อไรก็ตามที่มีคนไม่เชื่อถือคำพูดของเขา และเขาก็เหมือนรอนที่เรียนไม่ค่อยเก่งนักในหลายๆ วิชา ในเล่มที่ห้า (ภาคีนกฟีนิกซ์)แฮร์รี่มีอารมณ์โมโหร้ายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่สังคมผู้วิเศษเกือบทั้งหมดเชื่อว่าเขาเป็นคนโกหกที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ ผนวกกับการเติบโตเป็นวัยรุ่นซึ่งเป็นพัฒนาการทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ในบางครั้ง เขาถึงกับโมโหใส่รอนและเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเวลาที่ทั้งสองคนนั้นทะเลาะกัน อารมณ์โกรธดังกล่าวสามารถยกตัวอย่างได้เช่น ตอนที่รอนทะเลาะกับแฮร์รี่ และแฮร์รี่ไม่ยอมคืนดีเพราะรอนไม่เชื่อว่าเขาไม่ได้หย่อนชื่อตัวเองลงไปในถ้วยอัคนี ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีเป็นต้น", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "38960#20", "text": "ชื่อของหนังสือเล่มที่เจ็ดซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของหนังสือชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[33301,33321,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์</i>ได้รับการประกาศในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2006 โดยใช้ชื่อว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต (The Deathly Hallows) [75] และในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 มีการประกาศว่าโรว์ลิงได้เขียนข้อความลงบนรูปปั้นครึ่งตัวในห้องพักของเธอที่โรงแรมบัลโมรัล เมืองเอดินบะระ ว่าเธอได้เขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่เจ็ดเสร็จในห้องนี้เมื่อวันที่ 11 มกราคม ปี 2007[76] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต</i>วางจำหน่ายในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 (เวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาที)[77] และทำลายสถิติหนังสือที่ขายได้ไวที่สุดตลอดกาลที่ภาคก่อนเคยทำได้สำเร็จ[78] สามารถขายได้ถึง 11 ล้านเล่มในการวางขายวันแรกที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา[78] และบทสุดท้ายของหนังสือก็เป็นหนึ่งในบทที่เธอเขียนไว้ตั้งแต่ช่วงปี 1990 แล้ว[79]", "title": "เจ. เค. โรว์ลิง" }, { "docid": "4336#3", "text": "หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์สจำนวนแปดภาค โดยเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มที่เจ็ด ผู้สร้างได้แบ่งออกเป็นสองตอน ภาพยนตร์ชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[5767,5787,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตสินค้าควบคู่กันอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้ชื่อยี่ห้อแฮร์รี่ พอตเตอร์มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เนื้อหาที่ไม่ได้เปิดเผยในหนังสือได้เริ่มเผยแพร่ในรูปแบบอีบุ๊กผ่าน \"พอตเตอร์มอร์\"[11] ได้มีการต่อยอดความสำเร็จของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปในหลายรูปแบบ อาทิเช่น สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์, สตูดิโอทัวร์ในลอนดอน, ภาพยนตร์ภาคแยกซึ่งดัดแปลงมาจากเนื้อหาของหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ และภายหลังได้มีการดัดแปลงแฮร์รี่ พอตเตอร์สู่รูปแบบละครเวที ใช้ชื่อว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป เปิดการแสดงในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ เมืองลอนดอน โดยบทละครเวทียังได้ถูกพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบราวน์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกันที่ตีพิมพ์นิยายผู้ใหญ่ของโรว์ลิ่งภายใต้ชื่อ โรเบิร์ต กัลเบรธอีกด้วย[12]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "197313#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน () ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ และ คริส โคลัมบัส ผู้กำกับภาคที่ 1 และ 2 กับเดวิด เฮย์แมนเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์, เอ็มม่า วัตสัน,ไมเคิล แกรมบอลล์ ที่มารับตำแหน่งดัมเบิลดอร์แทนคนก่อนเนื่องจาก คนรับตำแหน่งดัมเบิลดอร์คนก่อนเสียชีวิต ", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (ภาพยนตร์)" } ]
1956
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยมีขนาดพื้นที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "7078#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (อักษรย่อ: ส.ก. /S.K.) เป็นโรงเรียนชายล้วนในระดับชั้น มัธยมศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งโดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 88 ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร บนเนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา ประกอบด้วยอาคารเรียน 7 หลัง ห้องเรียนทั้งหมด 78 ห้อง นอกจากนี้โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยยังโดดเด่นในเรื่องคุณภาพมาตรฐานของศิษย์เก่าที่จบไปโดยเฉพาะด้านวิชาการ ภาษา และความเป็นผู้นำ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย" } ]
[ { "docid": "118056#1", "text": "ปัจจุบันโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม) ได้มีการยกระดับให้ก้าวสู่การเป็นโรงเรียนส่งเสริมความเป็นเลิศทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เช่นเดียวกับโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อสนองตอบต่อนโยบายการปฏิรูปการศึกษาของประเทศในการพัฒนาเยาวชนให้สู่ความเป็นเลิศ ร่วมกับโรงเรียนกาญจนาภิเษกอีกทั้ง 8 แห่ง ซึ่งคณะทำงานในการยกระดับโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยก้าวสู่การเป็นโรงเรียนส่งเสริมความเป็นเลิศทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ได้เสนอแผนโครงการ และ รมว.ศธ. ได้มอบให้ สพฐ. ได้ปรับใช้งบประมาณปี ๒๕๕๔ มาดำเนินการให้กับโรงเรียนในการปรับปรุงเบื้องต้น โรงเรียนละ ๕ ล้านบาท สำหรับแผนการพัฒนาตั้งแต่ปี ๒๕๕๕-๒๕๖๑ ให้ สพฐ. ดำเนินการตามแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้จัดทำร่วมกัน\nประวัติ กรมสามัญศึกษา ในขณะนั้นได้มอบหมายให้นางสายพิณ มณีศรี ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา ในขณะนั้น เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการประสานงาน และบริหารโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2539 และตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2540 \nประวัติ กรมสามัญศึกษา ในขณะนั้นได้มอบหมาย นางลัดดา ผลวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงเรียนจากโรงเรียนถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม ในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม) และลาออกจากราชการเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2547 \nประวัติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มอบหมายให้ นายประเสริฐ บุญฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้น มาดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม) และเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2549 \nประวัติ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม เขต 2 ได้มอบหมาย นางสุรีย์พร สุนทรศารทูล ผู้อำนวยการโรงเรียนจากโรงเรียนสามพรานวิทยา จังหวัดนครปฐม ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม)\nประวัติ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 ได้มอบหมาย นายนพดล เด่นดวง ผู้อำนวยการโรงเรียนจากโรงเรียนสามพรานวิทยา จังหวัดนครปฐม ในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม)", "title": "โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม)" }, { "docid": "7078#50", "text": "หมวดหมู่:โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สวนกุหลาบวิทยาลัย หมวดหมู่:โรงเรียนมาตรฐานสากล หมวดหมู่:โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สวนกุหลาบวิทยาลัย หมวดหมู่:โรงเรียนชายในประเทศไทย หมวดหมู่:โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง หมวดหมู่:โรงเรียนที่มีอายุเกิน 100 ปีในประเทศไทย", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย" }, { "docid": "199432#1", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี (สวนสระบุรี) เป็นหนึ่งในสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้ง 11 สวน โดยบริหารจัดการภายใต้ธรรมนูญการศึกษาแห่งสถาบันสวนกุหลาบ ทั้งยังมีกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ และงานชุมนุมลูกเสือ - เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี โดยแต่ละโรงเรียนจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี" }, { "docid": "390184#24", "text": "เป็นพระบรมรูปประทับยืนเต็มพระองค์ ขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของพระองค์จริง", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช" }, { "docid": "192556#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ (Nawamintrachinutit Suankularb Wittayalai Samutprakarn School) (อักษรย่อ: ส.ก.ส., S.K.S.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทสหศึกษา ในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การมัธยมศึกษาเขต6 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ชื่อเดิม: กรมสามัญศึกษา) กระทรวงศึกษาธิการ", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ" }, { "docid": "216678#5", "text": "ปีการศึกษา 2541 โรงเรียนร่วมกับโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัยสมุทรปราการ และ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัยปทุมธานี ขออนุญาตจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หล่อพระพุทธรูป “หลวงพ่อสวนกุหลาบ” ขนาดหน้าตักกว้าง 49 นิ้ว เพื่อประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียน โดยจำลองจากหลวงพ่อสวนกุหลาบ ปางมารวิชัย ศิลปะสมัยเชียงแสน ขนาดหน้าตัก 12 นิ้ว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างและพระราชทาน ให้เป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "7078#13", "text": "ต่อมาการเดินทางอันยาวนานของ \"สวนกุหลาบ\" จึงได้สิ้นสุดลงเมื่อปี พ.ศ. 2454 โดยโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ได้รวมกับฝ่ายไทยและได้แหล่งที่พำนักถาวร พร้อมกับนามว่า \"โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย\" ถึงตรงนี้ โรงเรียนสวนกุหลาบทั้งสองฝ่ายก็ได้มารวมกันอีกครั้งโดยอยู่ในพื้นที่ของวัดราชบุรณะ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้สร้างตึกยาวขึ้นเพื่อดำเนินการสอน การที่พระองค์ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สร้างตึกยาวนี้ ทรงมอบให้กรมโยธาธิการเป็นผู้ออกแบบโดยใช้งบประมาณของวัดราชบูรณะ ซึ่งในเวลานั้นเงินสร้างตึกให้ชาวบ้านเช่าโดยเปลี่ยนเป็นให้โรงเรียนเช่า เพื่อใช้เป็นโรงเรียนแผนใหม่ ทั้งนี้ด้วยความคิดของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) ศิษย์เก่าเลขประจำตัวหมายเลข 2 ของโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เสนาบดีกระทรวงธรรมการในขณะนั้น โดยมีการเซ็นสัญญาเช่ากับพระธรรมดิลก เจ้าอาวาสวัดราชบูรณะในสมัยนั้น โดยมีนายเอง เลียงหยง เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 10,150 บาท จึงได้เกิดตึกยาว รวมนักเรียนสวนกุหลาบจากที่ต่างๆ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย" }, { "docid": "216678#55", "text": "เป็นอาคาร 9 ชั้น ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2537 โดยได้รับการอนุมัติจากกรมสามัญศึกษาเพื่อให้สร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 9 ชั้น โดยใช้งบประมาณ 69 ล้านบาท แต่โรงเรียนก็ได้ขอเปลี่ยนแปลงแบบบางส่วนเพื่อประโยชน์การใช้สอยและการเรียนการสอน โดยใช้เงินชมรมผู้ปกครองและครูสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต สมทบจำนวนหนึ่ง รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างประมาณ 70 ล้านบาท ภายในอาคารเรียนมีห้องเรียนและ ห้องพิเศษรวม 94 ห้อง ลิฟท์ 4 ตัว ซึ่งได้รับพระราชทานนามอาคารเรียนจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า สิรินธร 1 และโรงเรียนเข้าใช้งานอาคารในปี พ.ศ. 2539 โดยอาคารสิรินธร 1 ประกอบด้วยห้องเรียนและหน่วยงานต่างๆดังนี้\nเป็นอาคารอเนกประสงค์ 4 ชั้น ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2541 และเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2543 โดยได้รับงบประมาณก่อสร้างจำนวน 29 ล้านบาท มีบริษัท เจ บราเดอร์ เป็นผู้ประกวดราคาก่อสร้างได้ในวงเงิน 21.5 ล้านบาท และได้รับพระราชทานนามอาคารเรียนจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า สิรินธร 2 ในปี 2559 ได้ก่อสร้างลิฟท์แก้วบริเวณติดกับทางเชื่อมอาคารสิรินธร 1 และอาคารสิรินธร 2 เพื่อใช้ในการรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการที่พระองค์ฯเสด็จพระราชดำเนิน เยี่ยมชมห้องสมุดเฉลิมเฉลิมพระเกียติ 60 พรรษา และเยี่ยมชมนิทรรศการวิชาการของโรงเรียน ซึ่งภายในอาคารสิรินธร 2 ประกอบด้วยห้องต่างๆดังนี้\nเป็นอาคารเรียน 4 ชั้น แบบ 324ล.(ตอกเข็ม) ใต้ถุนโล่งก่อสร้างในปี พ.ศ. 2552 โดยได้รับงบประมาณก่อสร้างจำนวน 22 ล้านบาท เสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2554 โรงเรียนเข้าใช้งานอาคารในปี พ.ศ. 2554 และได้รับพระราชทานนามอาคารเรียนจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า สิรินธร 3 ใช้เป็นห้องเรียนประจำในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-2 กลุ่มห้องปกติ และในปัจจุบันชั้น 1 อาคารสิรินธร 3 แต่เดิมเป็นใต้ถุนโล่งและเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมของนักเรียนได้มีการดำเนินก่อสร้างห้องสำนักงานของโรงเรียนแห่งใหม่ ตามแผนฟื้นฟูของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในการช่วยเหลือโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์มหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 \nห้องสำคัญในอาคารสิรินธร3อาคาร 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต เป็นอาคารเรียนคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 4 ชั้นแบบ324ล./55-ก ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของโรงเรียน ต่อจากอาคารสิรินธร 3 เนื่องจากในปี 2559 โรงเรียนเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต เป็นโรงเรียนยอดนิยมที่มีผู้ปกครองส่งบุตรหลานมาเรียนเป็นจำนวนมาก อาคารเรียนที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการเรียนการสอน ดังนั้นโรงเรียนจึงได้ของบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในการก่อสร้างอาคารเป็นจำนวนเงิน 27 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินก่อสร้างเมื่อปีการศึกษา 2559 และแล้วเสร็จสามารถเข้าใช้ได้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ห้องสำคัญในอาคารสิรินธร4อาคารเอนกประสงค์องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อาคารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและอัฒจรรย์เชียร์กีฬา) ได้รับงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีและเริ่มก่อสร้างในปีการศึกษา 2556 เป็นจำนวนเงิน 25 ล้านบาท เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 2 ชั้นพร้อมอัฒจรรย์ สร้างขึ้นบริเวณทิศตะวันตกของสนามฟุตบอลในพื้นที่บ้านพักนักกีฬาหลังเก่าที่ได้ถูกรื้อถอนออกไป เริ่มเข้าใช้งานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 โดยมีห้องสำคัญในอาคารดังนี้ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต ได้ประกอบพิธีหล่อเมื่อเดือน กรกฎาคม 2540 เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 49 นิ้ว และ ได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกและเบิกเนตรหลวงพ่อสวนกุหลาบ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2541 โดยพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานสงฆ์พร้อมด้วยเกจิอาจารย์รวม 5 รูป คือ พระสุเมธาภรณ์ วัดมูลจินดาราม พระครูวิเศษนากิจ วัดสายไหม พระครูปทุมกิจโกศล วัดสว่างภพ พระครูสาธรพฒนกิจ วัดเสด็จ พระครูวิบูลย์พัฒนคุณ วัดประชุมราษฎ์ พระภิกษุสงฆ์สวดในพิธีอีก 4 รูป เป็นพระเกจิอาจารย์จากวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพมหานคร |เมื่อก่อสร้างหอพระเสร็จเรียบร้อยจึงได้อัญเชิญ หลวงพ่อสวนกุหลาบมาประดิษฐาน ณ หอพระพุทธรูป เมือวันที่ 5 สิงหาคม 2542 โดยมีนายโกวิทย์ วรพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานในพิธี ในปีการศึกษา 2556 นี้ทางโรงเรียนได้ทำการก่อสร้างหอพระพุทธรูปหลวงพ่อสวนกุหลาบแห่งใหม่ โดยห่างจากตำแหน่งที่ตั้งเดิมไปทางด้านหลังประมาณ 20 เมตร เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าโงเรียน โดยได้ดำเนินการก่อสร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด2ชั้น เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ หลังคา 3 ชั้น 2 ชาย ยอดประดับด้วยฉัตรทองคำ และได้ทำพิธีมหาพุทธาภิเษกเพื่อประดิษฐานหลวงพ่อสวนกุหลาบในหอประดิษฐานหลังใหม่เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2558 โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์(สนิท ชวนปญฺโญ ป.ธ.9)เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ประธานจุดเทียนชัย พร้อมพระราชาคณะชั้นพรหม 4 รูป พระราชาคณะชั้นธรรม 4 รูป พระราชาคณะชั้นเทพ 4 รูป พระคณาจารย์ผู้เฒ่า 4 รูป พระคณาจารย์วัดพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 4 วัด พระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ 8 ทิศ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เจริญพระพุทธมนต์ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร 10 รูป พระพิธีธรรมสวดคาถามหาพุทธภิเษก 4 รูป ซึ่งบริเวณใต้ถุนด้านล่างหอประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อสวนกุหลาบ ได้ใช้พื้นที่เปนห้องต่างๆดังนี้", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "216678#1", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต (สวนรังสิต) เป็นหนึ่งในสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้ง 11 สวน โดยบริหารจัดการภายใต้ธรรมนูญการศึกษาแห่งสถาบันสวนกุหลาบ ทั้งยังมีกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ และงานชุมนุมลูกเสือ - เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี โดยแต่ละโรงเรียนจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "216678#36", "text": "ปัจจุบันโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยมีสถานศึกษาในเครือที่ใช้ชื่อ “สวนกุหลาบวิทยาลัย” ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทยทั้งหมด 11 แห่ง \nมีการสร้างพันธกิจสำคัญร่วมกันขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาโดยการบริหารจัดการขององค์กรเครือข่ายสวนกุหลาบ สร้างบรรทัดฐานการเรียนการสอนทั้ง 11 สวนไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพชรบูรณ์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (จิรประวัติ) นครสวรรค์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "37324#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี (; อักษรย่อ: ส.ก.น., S.K.N.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทสหศึกษา ในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่สอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "279703#3", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี เป็น 1 ใน 9 แห่งของกลุ่มโรงเรียน 9 นวมินทราชินูทิศ ซึ่งสถาปนาขึ้นเนื่องในวโรกาสมหามงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงได้สถาปนาโรงเรียนในโครงการเฉลิมพระเกียรติขึ้นจำนวน 9 แห่ง โดยโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2535 บนพื้นที่ 20 ไร่ บริเวณโครงการวิคตอเรียปาร์ค ซึ่งได้รับการบริจาคจากคุณสมหมาย แก้วสวัสดิ์ การก่อตั้งโรงเรียนในระยะแรกนั้น กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นผู้ประสานงานการจัดตั้งโรงเรียน ดังนั้น จึงใช้ชื่อโรงเรียนว่า \"\"โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี\"\" ต่อมา เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า \"นวมินทราชินูทิศ\" แล้ว จึงเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น \"\"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี\"", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี" }, { "docid": "216678#57", "text": "เป็นสนามฟุตบอลของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน เริ่มแรกนั้นสร้างขึ้นขณะเริ่มก่อสร้างโรงเรียน ใช้เป็นสนามฝึกซ้อม ออกกำลังกาย แข่งขันกีฬาภายใน กีฬาประเพณีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และเป็นสนามในการแข่งขันฟุตบอล SKR Leauge ซึ่งซึ่งในปี พ.ศ. 2557 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิตได้มีการดำเนินการปรับปรุงสนามฟุตบอลใหม่ทั้งหมด มีการปรับพื้นสนามใหม่และสร้างลู่วิ่งขนาดมาตรฐาน 5 ลู่วิ่ง ซึ่งก็ได้มีพิธีเปิดสนามกีฬา \"SKR STADIUM\" ไปเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีเป็นประธาน", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "216678#2", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 4 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านศุภาลัยบุรี ตำบล คลองสี่ อำเภอ คลองหลวง จังหวัด ปทุมธานี โดยในปี 2534 คุณประทีป ตั้งมติธรรม ศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ประธานกรรมการบริหารบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มอบที่ดินจำนวน 15 ไร่ ภายในหมู่บ้านศุภาลัยบุรี เพื่อจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาในเครือโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเป็นโรงเรียนในโครงการจุดสกัดเขตปริมณฑล กรุงเทพมหานคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามประกาศจัดตั้งโรงเรียน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พุทธศักราช 2536 และแต่งตั้งให้ นายวีระ กาญจนะรังสิตา มาปฏิบัติหน้าที่ผู้บริหารโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "37324#1", "text": "โดยกรมสามัญศึกษา (ปัจจุบัน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ได้รับบริจาคที่ดุน จากนายผาสุก และนางเง็ก มณีจักร สองสามีภรรยา คหบดีชาวอำเภอปากเกร็ด ที่มีความประสงค์ให้สร้างโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย บนพื้นที่ดังกล่าว จึงเกิดการประสานงานจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2521 เดิมให้ชื่อไว้ว่า “โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ๒ (ผาสุก มณีจักร)” และมอบหมายให้ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รักษาราชการในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน จนถึงปลายปีถัดมา จึงเปลี่ยนชื่อโรงเรียน เป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และในปีเดียวกัน นางอัมพา แสนทวีสุข ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรก และเลื่อนฐานะขึ้นเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียนฯ ในเวลาต่อมา", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "377926#1", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี (สวนชล) เป็นหนึ่งในสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้ง 11 สวน โดยบริหารจัดการภายใต้ธรรมนูญการศึกษาแห่งสถาบันสวนกุหลาบ ทั้งยังมีกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ และงานชุมนุมลูกเสือ - เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี โดยแต่ละโรงเรียนจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี" }, { "docid": "216678#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 (ปทุมธานี สระบุรี) (สังกัดเดิมคือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1) สหวิทยาเขตสวนเทพรัตน์ทีปไท้ ตั้งอยู่เลขที่ 2/617 หมู่บ้านศุภาลัยบุรี ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และเป็นโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่ 5 ปัจจุบัน มีเนื้อที่ 25 ไร่ 2 งาน 86.8 ตารางวา ประกอบด้วยอาคารเรียน 4 หลัง อาคารประกอบ 1 หลัง เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายแบบสหศึกษา มีการจัดชั้นเรียนแบบ 14-14-14/15-15-15", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "377926#2", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยคุณวิกรม กรมดิษฐ์ เป็นผู้บริจาคพื้นที่ 25 ไร่ และเริ่มวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2542 โดยโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้มอบหมายนายพูนทรัพย์ วัฒนไชย มาบริหารงานและต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนคนแรก ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี\nปีการศึกษา 2542 เป็นการเปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังจากที่โรงเรียนอื่นๆเปิดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ มีจำนวนนัก เรียนทั้งหมด22คน โดยใช้หลักสูตรการเรียนการสอนทุกอย่างเหมือน โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และในปีแรกโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยส่งครูมาช่วสสอน3 วิชา และทางอมตะจ้างครูมาช่วยสอน สภาพโดยทั่วไปของโรงเรียน แห้งแล้ง เป็นป่าหญ้าคา ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา รวมถึงงบประมาณต่างๆก็ไม่มี ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากชุมชนบริเวณนี้ คอยอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ\nปีการศึกษา 2543 เปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 100 คน ปีการศึกษานี้ได้รับ\nครูอัตราจ้างมาจำนวน 4 คน ส่วนอุปกรณ์การเรียนการสอนทั้งหมดจึงได้รับความอนุเคราะห์จากทางอมตะ และทางโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยรวมถึงชุมชนในบริเวณนี้ ทางอมตะและโรงงานช่วยสร้างโรงอาหารให้ 1 หลังปีการศึกษา 2544 เปิดรับนักเรียนชั้น ม. 1 จำนวน 160 คน ในปีการศึกษานี้ ได้ครูอัตราจ้างเพิ่มขึ้นอีก 8 อัตรา และทางโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ส่งครู มาช่วยสอน อีก 2 ท่าน และได้รับความร่วมมือจากท่านผู้ปกครองและชุมชนในการจัดทำห้องคอมพิวเตอร์ 1 ห้อง เพื่อใช้ในการเรียนการสอนให้กับนักเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน\nปีการศึกษา 2545 เปิดรับมัธยมศึกษา ปีที่ 1 จำนวน 4 ห้องเรียน และเป็นปีแรกที่เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 ห้องเรียน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 สายการเรียน คือ วิทย์-คณิต และสายศิลป์ – ภาษา ในปีการศึกษาได้มีอาคารชั่วคราวเพิ่มขึ้น อีก 1 หลัง จำนวน 6 ห้องเรียนอาคารห้องสมุด และห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 1 หลัง และห้องน้ำหญิง จำนวน 6 ห้องโดยท่านพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ บริจาคพร้อมโต๊ะ เก้าอี้ จากคุณสุรพล เตชะหรูวิจิตร\nปีการศึกษา 2546 ท่านพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มอบให้พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ พลโทเฉลียว อักษรดี พลโทเนาวรัตน์ ทองคำวงษ์ สร้างอาคารเรียน 4 ห้อง พร้อมสนามบาสเกตบอล 1 สนาม ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้น ม.5 จำนวน 2 แผนการเรียน คือ วิทย์ – คณิต และศิลป์ – ภาษา ม.4 จำนวน 3 แผนการเรียน คือวิทย์ – คณิต และศิลป์ – ภาษา และอังกฤษ- สังคม รับนักเรียนชั้น ม. 1 จำนวน 3 ห้องเรียน สร้างห้องดนตรีไทย 1 ห้อง และสนามวอลเลย์ 2 สนาม ในปีการศึกษา นี้มีครูจำนวน 24 คน และนักเรียนจำนวน 564 คน\nปีการศึกษา 2547 นายแพทย์ประสพ รัตนกร ได้มอบหมายให้ พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ประสานงานกับ พลโทเนาวรัตน์ ทองคำวงษ์และนายพูนทรัพย์ วัฒนไชย ผู้บริหารโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี เรื่องพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษได้ให้ความอนุเคราะห์บริจาคเงินจำนวน 1,000,000 บาทเพื่อสร้างอาคารชั่วคราว 1 หลัง 5 ห้องเรียน และนายแพทย์ประสพ รัตนกร ได้ให้ชื่ออาคารเรียนนี้ว่า “อาคารศึกษาพัฒนามูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” ต่อมาคณะผู้ปกครองนักเรียน ได้ให้ความอนุเคราะห์ร่วมจัดสร้างอาคารอเนกประสงค์ 1 เพื่ออำนวยความสะดวกทำกิจกรรมในร่มของนักเรียน พร้อมกันนี้ ได้จัดสร้างอ่างล้างหน้าจำนวน 24 อ่าง ให้กับนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี อีกด้วย\nปีการศึกษา 2548 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี ได้รับความอนุเคราะห์จาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดยการประสานงานของผู้อำนวยการสมหมาย วัฒนคีรี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กับนายสิทธิรักษ์ จันทร์สว่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเรื่องการสร้างอาคารอเนกประสงค์หลังเก่า ซึ่งโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้งบประมาณในการสร้างอาคารใหม่ จึงรื้ออาคารหลังเก่า แต่ด้วยความห่วงใย ที่ทราบว่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี ยังไม่มีอาคารอเนกประสงค์เพียงพอที่จะรองรับการทำกิจกรรมให้กับนักเรียน จึงได้ขออาคารนี้ กับผู้รับเหมาให้กับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้ขายให้กับผู้รับเหมาไปแล้วทั้งนี้ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้รับความอนุเคราะห์เรื่องการขนย้าย โครงการอเนกประสงค์และอิฐตัวหนอน จากพลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์กับพลโทเนาวรัตน์ ทองคำวงศ์ ด้วยการนำทหารมาช่วยเหลือ ทำให้ภารกิจนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี\nปีการศึกษา 2551 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี ได้รับงบในการสร้างอาคารเรียนถาวรจาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 5,900,000 บาท ( ห้าล้านเก้าแสนบาทถ้วน)ในการสร้างอาคารเรียนถาวร 4 ชั้น 12 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี" }, { "docid": "216678#53", "text": "เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ในปี พ.ศ. 2558 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ) ได้มีโครงการจัดตั้งโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กพฐ.ได้เข้าเฝ้าฯถวายรายงานในเรื่องดังกล่าว พระองค์ท่านทรงรับสั่งว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีประชาชนบริจาคที่ดินและเงินเพื่อสร้างโรงเรียนเอกชนระดับมัธยมศึกษาใน จ.นนทบุรี มาแล้ว 1 โรง ดังนั้น หากจะสร้างโรงเรียนก็ควรอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีความจำเป็นจริงๆ เช่น มีจำนวนผู้เรียนเกินจำนวนที่โรงเรียนในพื้นที่รองรับได้ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ไม่จำเป็นต้องสร้างหลายโรง ดังนั้น สพฐ.กลับมาสำรวจและพบว่า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม เนื่องจากในปัจจุบันมีประชาชนอยู่อาศัยจำนวนมาก และ สพฐ.ก็มีที่ดินอยู่บริเวณตำบลคลองสอง ใกล้ ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต อยู่แล้วหากเปิดโรงเรียนเพิ่มในพื้นที่บริเวณจะสามารถรองรับเด็กทั้งในและรอบนอกพื้นที่ได้ สพฐ.จึงประกาศจัดตั้งโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา โดยใช้ชื่อว่า \"โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ 60พรรษา\" มอบหมายให้โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิตเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยง และดร.สุภาวดี วงษ์สกุล เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ 60 พรรษาอีกตำแหน่ง โดยนักเรียนทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต จนกว่าโรงเรียนที่สถานที่ตั้งจริงจะก่อสร้างแล้วเสร็จ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต" }, { "docid": "199432#2", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยสระบุรี เดิมมีชื่อว่า โรงเรียนปากเพรียววิทยาคม สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 โดยเปิดสอนระดับมัธยม โดยเปิดเรียนวันแรก ในวันที่ 12 พฤษภาคมพ.ศ. 2537 มีนักเรียนจำนวน 109 คน ครูจำนวน 6 คน มีนายไพบูรย์ เพ็งพูล เป็นผู้บริหารคนแรกและบุกเบิกก่อตั้ง ในระยะแรกอาคารเรียนยังก่อตั้งไม่เสร็จ ได้ขออาศัยวัดสุวรรณคีรี ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในปัจจุบันเป็นที่ทำการเรียนการสอนนักเรียนอยู่ประมาณ 2 ปีเศษ จึงได้ย้ายมาพื้นที่ปัจจบัน ตั้งแต่วันที่ 12 กันยนยน 2539 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน โรงเรียนมีอาคารเรียน 3 อาคารต่อมาผู้อำนวยการ จตุรงค์ เกิดปั้น เป็นผู้นำสู่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาโรงเรียนครั้งสำคัญ จากโรงเรียนปากเพรียววิทยาคม\nจากมติที่ประชุมของโรงเรียน ซึ่งดำรงโดยผู้อำนวยการจตุรงค์ เกิดปั้น ได้ดำเนินการ สมาคมศิษย์เก่า และสมาคมครูผู้ปกครอง ในพระบรมราชูปถัมป์ พร้อมด้วยโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มีมติให้โรงเรียนปากเพรียววิทยาคม เป็นเครือข่ายของโรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่ 8 โดยให้ชื่อว่า \" โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี \" ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา โรงเรียนจึงเปลี่ยนชื่อย่างเป็นทางการว่า โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี SuanKularb Wittayalai Saraburi โดยผู้อำนวยการ จตุรงค์ เกิดปั้น จนกระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2552 ในปัจจุบันท่านที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี คือ ท่านผู้อำนวยการธนิต มูลสภา ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี" }, { "docid": "891725#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี หรือมีชื่อเรียกย่อๆ ว่า “สวนธนฯ” () (อักษรย่อ: ส.ก.ธ., S.K.T.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา ประเภทสหศึกษา ในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่สิบ ปัจจุบันมีอายุ ปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ รหัสสถานศึกษา 1010720161 ปัจจุบันอยู่ในภายใต้การบริหารสถานศึกษาของ นายพิศณุ ศรีพล ผู้อำนวยการคนแรก ตั้งอยู่เลขที่ 201 หมู่ 6 ถนนกาญจนาภิเษก (เลียบทางด่วนสายบางขุนเทียน-พระประแดง) แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร 10150 บนเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี" }, { "docid": "956302#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพชรบูรณ์ หรือมีชื่อเรียกย่อๆ ว่า “สวนเพชร” () (อักษรย่อ: ส.ก.พ., S.K.PB.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา ประเภทสหศึกษา ในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่หก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ รหัสสถานศึกษา 1067380582 ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 222 หมู่ 13 ถนนสระบุรี-หล่มสัก ตำบลท่าพล อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ 67250", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพชรบูรณ์" }, { "docid": "390184#1", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช เป็นหนึ่งในสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้ง 11 สวน โดยบริหารจัดการภายใต้ธรรมนูญการศึกษาแห่งสถาบันสวนกุหลาบ ทั้งยังมีกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ และงานชุมนุมลูกเสือ - เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี โดยแต่ละโรงเรียนจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช" }, { "docid": "37324#45", "text": "กลุ่มโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม เพื่อเชื่อมความสามัคคีระหว่างสถาบันคือ \"งานชุมนุมลูกเสือ-เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์\" ที่เป็นกิจกรรมเข้าค่ายพักแรมลูกเสือเนตรนารีร่วมกัน และ \"การแข่งขันกรีฑา สวนกุหลาบสัมพันธ์\" ซึ่งเป็นกิจกรรมแข่งขันกีฬาประเภทลู่และลานร่วมกัน\nปัจจุบันโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยมีสถานศึกษาในเครือที่ใช้ชื่อ “สวนกุหลาบวิทยาลัย” ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทยทั้งหมด 11 แห่ง \nมีการสร้างพันธกิจสำคัญร่วมกันขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาโดยการบริหารจัดการขององค์กรเครือข่ายสวนกุหลาบ สร้างบรรทัดฐานการเรียนการสอนทั้ง 11 สวนไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพชรบูรณ์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (จิรประวัติ) นครสวรรค์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "37324#13", "text": "ต่อมา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 นายโอฬาร อัศวฤทธิกุล ร่วมกับ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกเททองหล่อหลวงพ่อสวนกุหลาบ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ โดยมีขนาดหน้าตักกว้าง 19 นิ้ว เพื่อมอบให้กับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย สำหรับเป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียน", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "956302#1", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพชรบูรณ์ (สวนเพชร) เป็นหนึ่งในสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้ง 11 สวน โดยบริหารจัดการภายใต้ธรรมนูญการศึกษาแห่งสถาบันสวนกุหลาบ ทั้งยังมีกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ และงานชุมนุมลูกเสือ - เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี โดยแต่ละโรงเรียนจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพชรบูรณ์" }, { "docid": "370765#1", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (จิรประวัติ) นครสวรรค์ (สวนจิรประวัติ) เป็นหนึ่งในสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้ง 11 สวน โดยบริหารจัดการภายใต้ธรรมนูญการศึกษาแห่งสถาบันสวนกุหลาบ ทั้งยังมีกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ และงานชุมนุมลูกเสือ - เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี โดยแต่ละโรงเรียนจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (จิรประวัติ) นครสวรรค์" }, { "docid": "390184#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช (English: Suankularb Wittayalai Nakhon Si Thammarat School) (อักษรย่อ: ส.ก.นศ., S.K.NS.) เดิมชื่อ โรงเรียนลานสกาประชาสรรค์ ก่อตั้งเมื่อปีพุทธศักราช 2516 ต่อมาได้รับการยกฐานะโดยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายชินวรณ์ บุญเกียรติ มีดำริจะให้มีโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยภาคใต้ และมองเห็นความพร้อมของโรงเรียนลานสกาประชาสรรค์ในด้านต่างๆ จึงได้ออกประกาศลงวันที่ 3 มีนาคม 2554 ยกฐานะจากโรงเรียนลานสกาประชาสรรค์ เป็นโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช หรือเรียกโดยย่อว่า “สวนนคร” เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา ประเภทสหศึกษา ในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่สิบเอ็ด ให้การศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ รหัสสถานศึกษา 1080210784 มีเนื้อที่ 42 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 109 หมู่ที่ 11 ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช" }, { "docid": "390184#62", "text": "ปัจจุบันโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยมีสถานศึกษาในเครือที่ใช้ชื่อ “สวนกุหลาบวิทยาลัย” ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทยทั้งหมด 11 แห่ง มีการสร้างพันธกิจสำคัญร่วมกันขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาโดยการบริหารจัดการขององค์กรเครือข่ายสวนกุหลาบ สร้างบรรทัดฐานการเรียนการสอนทั้ง 11 สวนไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพชรบูรณ์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (จิรประวัติ) นครสวรรค์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช" }, { "docid": "891725#1", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี (สวนธน) เป็นหนึ่งในสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้ง 11 สวน โดยบริหารจัดการภายใต้ธรรมนูญการศึกษาแห่งสถาบันสวนกุหลาบ ทั้งยังมีกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ และงานชุมนุมลูกเสือ - เนตรนารี สวนกุหลาบสัมพันธ์ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี โดยแต่ละโรงเรียนจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี" } ]
1479
สีประจำของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือสีอะไร?
[ { "docid": "669#12", "text": "ธรรมจักร เป็นตราประจำมหาวิทยาลัย[16] โดยตราธรรมจักรนี้มี 12 แฉก อันหมายถึง อริยสัจ 4 ซึ่งวนอยู่ในญาณ 3 คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และ กตญาณ และมีพานรัฐธรรมนูญอยู่ตรงกลาง อันหมายถึงการยึดมั่นและรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย[17] เพลงประจำมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ทำนองมอญดูดาว) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเพลงแรก ประพันธ์โดยขุนวิจิตรมาตรา เมื่อ พ.ศ. 2478[18] สีเหลืองแดง เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ดังปรากฏในเนื้อเพลง \"เพลงประจำมหาวิทยาลัย\" (มอญดูดาว) ที่ว่า \"เหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้\" มีความหมายถึง ความสำนึกในความเป็นธรรมและความเสียสละเพื่อสังคม นับเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ปีแรกของการก่อตั้ง คือ พ.ศ. 2477[18] เพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ (ยูงทอง) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน[19] โดยในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2504 ได้มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขณะเสด็จมาทรงดนตรี ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร ภายในพระราชวังดุสิต พระองค์รับสั่งว่าจะทรงพระราชนิพนธ์เพลงประจำมหาวิทยาลัยพระราชทานให้แก่นักศึกษาธรรมศาสตร์", "title": "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" } ]
[ { "docid": "50748#18", "text": "เสื้อครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยเป็นเสื้อคลุม ผ้าโปร่งสีขาว ผ่าอกตลอดรอบขอบและที่ต้นแขนกับปลายแขน มีแถบสีทองและฟ้าเข้มทาบทับด้วยแถบทองบริเวณอกเสื้อทั้งสองข้างมีวงมีตรามหาวิทยาลัย ปริญญาตรี และเส้นมีการจัดสีพื้นกับสีประจำคณะ สีของเส้นที่แสดงระดับของวุฒิคือ ปริญญาตรี 1 เส้น ปริญญาโทและเอกใช้ 2 และ 3 เส้น ตามลำดับนั้นเนื่องจากมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ขึ้นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2548 แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เสนอว่าควรกำหนดให้มีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นรูปมงกุฎสีทองซึ่งเป็นตราพระสัญลักษณ์ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ส่วนบนเป็นมงกุฎสีทอง ส่วนกลางมีอักษรย่อพระนาม กว.สีฟ้าน้ำทะเล ส่วนล่างเป็นโบว์สีทองวงซ้อนพับกัน ภายในแถบโบว์มีชื่อ\"มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์\"สีฟ้าน้ำทะเล ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระวินิจฉัยและพระราชทานอนุญาต เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549 และสภามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการและต่อมาจึงได้ประกาศ \"พระราชกฤษฎีกากำหนดตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2551\" โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายโดยสมบูรณ์", "title": "มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์" }, { "docid": "12100#19", "text": "ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือ ต้นมะพร้าว สีประจำมหาวิทยาลัย ได้แก่ สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีเทา - ทอง", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "73261#55", "text": "กีฬานิติสัมพันธ์ เป็นการแข่งขันกีฬา และจัดกิจกรรมร่วมกัน ระหว่าง คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยจัดขึ้น ปีละ 1 ครั้งเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้ จะสลับกันเป็นเจ้าภาพ กีฬาที่จัดแข่งขันกัน มี 2 ประเภท คือ ฟุตบอล และ บาสเกตบอล โดยจะแบ่งเป็นประเภท ทีมน้องใหม่ ทีมรวม และ ทีมอาจารย์ หลังจากเสร็จการแข่งขันกีฬา จะมีการเลี้ยงอาหาร และกิจกรรมรื่นเริง ระหว่าง นิสิต-นักศึกษา อันได้แก่ การเล่นดนตรี การแสดงต่างๆงานประเพณีสิงห์สัมพันธ์ เป็นกิจกรรมร่วมกัน ระหว่าง พี่น้องสิงห์ทุกสถาบัน เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี ไม่ต้องแบ่งสี แบ่งก๊ก แบ่งเหล่า (เริ่มจาก 5 มหาวิทยาลัย คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) และต่อมามี 6 สถาบัน สถาบันที่เพิ่มเข้ามาคือ มหาวิทยาลัยบูรพา(อดีตมศว บางแสน) โดยเข้ามาในปีที่ 5 ของการจัดงาน ในปี2554 จะเป็นการแข่งขันครั้งที่ 8 มหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพคือมหาวิทยาลัยบูรพา และต่อมาในปี 2557 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้เข้ามาในปีที่ 9 และงานประเพณีสิงห์สัมพันธ์ ครั้งที่ 11 เจ้าภาพโดยมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปี 2561", "title": "กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย" }, { "docid": "11905#20", "text": "มหาวิทยาลัยกำหนดให้ ต้นปาริชาตหรือต้นทองหลางลายเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีใบเป็นสีเขียวและเส้นใบเป็นสีทอง ตรงกับสีเขียว-ทองซึ่งเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" }, { "docid": "11674#13", "text": "\"สีเขียวเวอร์ริเดียน\" หรือที่เรียกตามสีไทยโทนว่า \"สีเขียวตั้งแช\"[7] เป็นสีของน้ำทะเลระดับลึกที่สุด แต่ในระยะแรกก่อตั้งมหาวิทยาลัยได้กำหนดใช้สีเขียว ซึ่งเป็นสีพื้นป้ายมหาวิทยาลัยป้ายแรก แต่ช่วงนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ใช้สีเขียวเป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเช่นกัน จึงมีแนวคิดที่จะสร้างความแตกต่าง และเนื่องจากนักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ นิยมพารุ่นน้องปี 1 ไปทำกิจกรรมรับน้องที่เกาะเสม็ด จึงได้มีโอกาสชื่นชมสีของน้ำทะเลใส และได้นำมาเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสีที่บ่งบอกถึงความสร้างสรรค์ของชาวศิลปากร", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "290867#2", "text": "ตราสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ออกแบบโดยการนำเอาสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้ามาประกอบ ได้แก่ ตึกโดมและสีเหลืองแดง ซึ่งเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย เมื่อมองตราสัญลักษณ์โดยภาพรวมแล้วจะเห็นเป็นรูปตึกโดมอันเกิดจากรูปคนสีเหลืองและคนสีแดงหันหน้าเข้าหากันแล้วชูธงชาติไทย", "title": "กีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 37" }, { "docid": "120602#9", "text": "ทำด้วยผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสี ตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 0.5 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำขนาด 2 เซนติเมตร ตรงกึ่งกลางติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีเงิน ขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาด ตอนหน้าอกทั้งสองข้าง สำรดที่ต้นแขน เช่นเดียวกับสำรดรอบขอบ แต่ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำ ตรงกึ่งกลาง ห่างจากขอบ 0.5 เซนติเมตร ติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย จำนวน 3 เส้น แต่ละเส้นคั่นด้วยแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร โดยเว้นระยะระหว่างแถบ 0.5 เซนตเมตร", "title": "มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย" }, { "docid": "36069#4", "text": "สำหรับการแต่งกายของเชียร์ลีดเดอร์ทั้งสองสถาบันก็เริ่มพัฒนาจากเดิมที่มีการแต่งการสร้างสีสันการนำเชียร์หน้าอัฒจันทร์ของประธานเชียร์ หรือ ผู้นำร้องเพลง โดยกลุ่มผู้นำเชียร์จะแต่งกายเป็นกลุ่ม เหมือนกัน โดยเน้นความทะมัดทะแมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางกลุ่มผู้นำเชียร์ของธรรมศาสตร์ จะมีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ คือนอกเหนือจากจะใช้สี หรือสัญลักษณ์ประจำสถาบันที่โดดเด่น ยังมักแฝงแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวคิดหลักการการจัดงาน การเชียร์ หรือ ในปีนั้น ๆ ส่วนทางจุฬาฯ มักจะเน้นการแต่งกายที่อ่อนหวาน โก้หรู โดยใช้สีชมพู หรือขาวสอดคล้องกับประเพณีการเชียร์และเพลงสถาบันเช่นกัน", "title": "เชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "70645#9", "text": "ในปี พ.ศ. 2534 มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรวบรวมการเรียกชื่อปริญญาและสีประจำสาขาวิชาทั้งของสาขาวิชาเดิมและสาขาวิชาใหม่ไว้ในพระราชกฤษฎีกาฉบับเดียวกัน และพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้มีการสะกดชื่อปริญญาของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย โดยตัดเครื่องหมายทัณฑฆาตท้ายคำว่า \"ศาสตร์\" ออก ดังพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2534 ให้ไว้ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 108 ตอนที่ 122 วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 (7) สาขาวิชาวารสารศาสตร์ มีปริญญาสามชั้น ได้แก่", "title": "คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "6858#7", "text": "มหาวิทยาลัยทักษิณมีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเป็นรูปตำราการศึกษา 3 เล่ม สีเทา (สีประจำมหาวิทยาลัย) สะท้อนปรัชญาของมหาวิทยาลัย “ปัญญา จริยธรรม และการพัฒนา” ล้อมรอบด้วยอักษรสีฟ้า (สีประจำมหาวิทยาลัย) เป็นภาษาไทย “มหาวิทยาลัยทักษิณ” และภาษาอังกฤษ “THAKSIN UNIVERSITY” ซึ่งหมายถึงมหาวิทยาลัยแห่งภาคใต้ ด้านบนเหนือรูปตำราการศึกษาเป็นมงกุฎเปล่งรัศมีสีฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศและเกียรติยศ ด้วยในปีพุทธศักราช 2539 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตภาคใต้ ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ตรงกับวโรกาสอันเป็นมหามงคลสมัยปีกาญจนาภิเษก ในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 50 ปี", "title": "มหาวิทยาลัยทักษิณ" }, { "docid": "61431#3", "text": "เรวัตหัดเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยบิดาบังคับให้เรียนแซกโซโฟน เขากับเพื่อนๆ โรงเรียนเซนต์คาเบรียลตั้งวงดนตรี ชื่อ Dark Eyes ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น Mosrite และเข้าประกวดในงานของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ในปี พ.ศ. 2508 และ 2509\nขณะเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน พ.ศ. 2510 ได้ร่วมกับเพื่อนตั้งวง Yellow Red (เหลือง-แดง คือสีประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เพื่อนในวงคนสำคัญคือ ดนู ฮันตระกูล และจิรพรรณ อังศวานนท์", "title": "เรวัต พุทธินันทน์" }, { "docid": "12104#3", "text": "ตราประจำมหาวิทยาลัย ใช้สัญลักษณ์ เจดีย์ทรงล้านช้าง หมายถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภายในมีดอกบัวหลวงประดิษฐานอยู่บนแท่นรองรับของเส้น 3 เส้น ดอกบัวมีสีกลีบบัว อันหมายถึงสัญลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี และเส้น 3 เส้นที่เป็นฐานรองรับดอกบัวนั้น หมายถึงแม่น้ำสายสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ แม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล ลักษณะของดอกบัวเป็นประเภทบัวเหนือน้ำที่พร้อมจะ เบ่งบาน ให้ความดีงามแก่มหาชนได้ชื่นชม ส่วนกลีบดอกบัวด้านล่างสองกลีบ หมายถึง คุณธรรมและปัญญาอันเป็นเปลือกหุ้มสถาบันสำหรับดอกตูมสามกลีบหมายถึง องค์พระรัตนตรัย สีน้ำเงิน ที่เป็นขอบเส้นของตรามหาวิทยาลัยนั้นมีความ หมายถึง ความมั่นคงแข็งแรงและสีเหลืองสดที่เป็นพื้น หมายถึง สีประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ได้แก่ ต้นกันเกรา เป็นไม้สูงประมาณ 25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ใบดกหนาทึบ สีเขียวแก่เป็นมัน ดอกสีเหลืองอมแสด ออกดอกที่ช่อปลายกิ่ง มีกลิ่นหอมเย็นระรื่นอยู่ 7 วัน จากนั้นจะมีกลิ่นเหม็น ไม้กันเกราสื่อความหมายถึงเครื่องป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ และทำให้เสาเรือนมั่นคง ต้นกันเกราเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี เป็นต้นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่พบมากใน บริเวณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก “มันปลา” ภาคใต้ เรียก“ตำเสา”ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็น ช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีเหลือง อักษรย่อ คือ ม.อบ.", "title": "มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" }, { "docid": "295810#14", "text": "ตราสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ออกแบบโดยปิติ ประวิชไพบูลย์ นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดอกจามจุรีซึ่งเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย โดยนำแฉกรัศมีของพระเกี้ยวมาเรียงเป็นดอกจามจุรี 3 ดอกในแนวตั้งจากใหญ่ขึ้นไปเล็กมีลักษณะคล้ายกับพระเกี้ยวอันสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย และยังสามารถอ่านได้เป็นตัวเลข 38 อันเป็นครั้งของการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ โดยเลือกใช้สีชมพูอันเป็นสีประจำมหาวิทยาลัยไล่เฉดสีจากอ่อนขึ้นไปเข้มสื่อความหมายถึงความรุ่งเรืองของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่พร้อมจะต้อนรับนักกีฬาทุกสถาบันในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย และดอกจามจุรีทั้ง 3 ยังสื่อถึงการรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของน้ำใจนักกีฬาด้วย[18] นอกจากนี้ บริเวณปลายดอกบนสุด จะแทรกด้วย สีฟ้า เขียว เหลือง แดง และชมพู โดยมีความหมายรวมกันเป็นคำว่า SPORT ซึ่งมีความหมายดังนี้ S</u>uccess (ความสำเร็จ) แทนด้วย สีเขียว, P</u>eace (ความสันติ) แทนด้วย สีฟ้า, O</u>riginal (ความเป็นต้นแบบ) แทนด้วย สีเหลือง, R</u>elationship (ความสัมพันธ์) แทนด้วย สีชมพู และ T</u>eamwork (การทำงานเป็นหมู่คณะ) แทนด้วย สีแดง[19]", "title": "กีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 38" }, { "docid": "669#14", "text": "หางนกยูงฝรั่ง เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงปลูกไว้บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่จำนวน 5 ต้น เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 เวลา 14:30 นาฬิกา พร้อมกับพระราชทานให้เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[21] ดอกมีสีเหลือง–แดง สัมพันธ์กับสีประจำมหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "312134#2", "text": "สีเลือดหมู เป็นสีประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และใช้เป็นสีประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกสถาบัน เพลงแรงเลือดหมู เป็นเพลงประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ธงประจำคณะ เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเลือดหมู ตรงกลางมีดวงตราพระสิทธิธาดา (ตรามหาวิทยาลัย) ใต้ดวงตรามีชื่อคณะตามแนวโค้งของดวงตรา ขอบธงประดับด้วยพู่สีเหลือง ต้นไผ่ ต้นไม้ประจำคณะ และต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์", "title": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" }, { "docid": "669#122", "text": "จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ คณะราษฎร ธรรมจักร (ตราประจำมหาวิทยาลัย) เพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ (ยูงทอง) (เพลงประจำมหาวิทยาลัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) หางนกยูงฝรั่ง (ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตึกโดม งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ โดม เอฟซี - สโมสรฟุตบอลอาชีพของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งานรักบี้ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ เชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โขนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา เหตุการณ์ 14 ตุลาคม เหตุการณ์ 6 ตุลาคม", "title": "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "386779#1", "text": "กฤษณา สีหลักษณ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 เป็นบุตรของนายสุนันท์ กับนางถนอมขวัญ สีหลักษณ์ สำเร็จการศึกษาด้านการบัญชี จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์", "title": "กฤษณา สีหลักษณ์" }, { "docid": "1847#21", "text": "สีน้ำเงิน ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สีเขียว ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สีม่วง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร สีแดงเลือดนก ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ สีน้ำเงินเทอร์ควอยส์ (น้ำเงินทะเล) ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก สีทอง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ สีน้ำตาลทอง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา สีเหลือง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สีแสด ( )เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล" }, { "docid": "5519#18", "text": "จามจุรี เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมพระราชทานต้นจามจุรีแก่มหาวิทยาลัย จำนวน 5 ต้น ซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากวังไกลกังวล ทรงปลูกด้วยพระองค์เอง บริเวณด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรี ทรงเน้นว่าดอกสีชมพูเป็นสัญลักษณ์สูงสุดอย่างหนึ่งของจุฬาฯ ทรงเล่าว่าทรงปลูกต้นไม้ที่พระตำหนักไกลกังวล จามจุรีงอกขึ้นที่บริเวณต้นไม้ซึ่งทรงปลูกไว้ จึงทรงถือว่าทรงปลูกจามจุรีเหล่านั้นด้วย เมื่อจามจุรีโตขึ้นแล้วเห็นว่าควรเข้ามหาวิทยาลัยเสียที สถานที่เรียนนั้นไม่มีที่ใดเหมาะเท่าจุฬาฯ[59] สีชมพู เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้เสนอว่าชื่อของมหาวิทยาลัย คือ พระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันอังคารและโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สีชมพูเป็นสีประจำพระองค์ จึงสมควรอัญเชิญสีประจำพระองค์เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นเกียรติและสิริมงคล[60][61]", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "12279#6", "text": "ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาใช้ \"สีม่วง\" และ \"สีแสด\" เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยการเปลี่ยนแปลงสีประจำมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อเป็นเกียรติกับสองบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย เนื่องจากสีม่วงเป็นสีประจำวันเสาร์ และสีแสดเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี", "title": "มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" }, { "docid": "11719#111", "text": "เป็นครุยพื้นผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ต้นแขนกับปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสีตามสีประจำ มหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีแดงชาด ติดแถบสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 3 เซนติเมตร ทั้งสองข้างโดยติดห่างจากขอบสักหลาดสีแดงชาด 0.5 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีทองขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาดตอนหน้าอกทั้งสองข้าง และมีสร้อยทำด้วยโลหะสีทองพร้อมด้วยเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยตามแบบที่สภามหาวิทยาลัยกำหนดระหว่างตรามหาวิทยาลัยทั้งสองข้าง ยึดติดกับครุยประมาณร่องหัวไหล", "title": "มหาวิทยาลัยขอนแก่น" }, { "docid": "11719#104", "text": "ทำด้วยผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสี ตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 0.5 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำขนาด 2 เซนติเมตร ตรงกึ่งกลางติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีเงิน ขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาด ตอนหน้าอกทั้งสองข้าง สำรดที่ต้นแขน เช่นเดียวกับสำรดรอบขอบ แต่ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำ ตรงกึ่งกลาง ห่างจากขอบ 0.5 เซนติเมตร ติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย จำนวน 3 เส้น แต่ละเส้นคั่นด้วยแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร โดยเว้นระยะระหว่างแถบ 0.5 เซนตเมตร", "title": "มหาวิทยาลัยขอนแก่น" }, { "docid": "365983#0", "text": "รองศาสตราจารย์กฤษติกา คงสมพงษ์ (เกิด 8 กันยายน พ.ศ. 2508) เป็นนายกสมาคมแม่บ้านทหารบก, อาจารย์ประจำสาขาการตลาด สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อาจารย์พิเศษสาขาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อดีตพิธีกรรายการกำจัดจุดอ่อนทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และรายการลูกใครหว่า อีกทั้งได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรอยู่บ่อยครั้ง", "title": "กฤษติกา คงสมพงษ์" }, { "docid": "120602#14", "text": "เป็นครุยพื้นผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ต้นแขนกับปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสีตามสีประจำ\nมหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีแดงชาด ติดแถบสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 3 เซนติเมตร ทั้งสองข้างโดยติดห่างจากขอบสักหลาดสีแดงชาด 0.5 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีทองขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาดตอนหน้าอกทั้งสองข้าง และมีสร้อยทำด้วยโลหะสีทองพร้อมด้วยเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยตามแบบที่สภามหาวิทยาลัยกำหนดระหว่างตรามหาวิทยาลัยทั้งสองข้าง ยึดติดกับครุยประมาณร่องหัวไหล\nเช่นเดียวกับครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย แต่ไม่มีสร้อย", "title": "มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย" }, { "docid": "882712#2", "text": "วทันยา วงษ์โอภาสี สำเร็จการศึกษาจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษและวรรณคดีภาษาอังกฤษ เธอเคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ รวมถึงเคยถ่ายโฆษณาผลิตภัณฑ์การ์นิเย่", "title": "วทันยา วงษ์โอภาสี" }, { "docid": "669#49", "text": "เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 73 ของโลก[48]", "title": "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "400621#12", "text": "ยุคแห่งผู้บริหารจาก \"ธรรมศาสตร์\" ในยุคนี้มีผู้อำนวยการถึง 3 คนที่จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ นายกุหลาบ ประภาสโนบล นายทอง พงศ์อนันต์ และนายชะลอ ปทุมานนท์ ซึ่งล้วนแล้วแต่นำสิ่งใหม่ๆมาสู่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นสีประจำโรงเรียน (เหลืองแดง) ต้นไม้ที่ปลูกรอบโรงเรียนล้วนได้รับอิทธิพลจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้กระทั่งตราโรงเรียนยุคแรกก็ยังได้รับอิธิพลจากตราธรรมจักรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการตีพิมพ์วารสารโรงเรียนขึ้นเป็นครั้งแรกโดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงและเป็นการกำหนดหลักสูตรให้กับโรงเรียนโดยรอบจังหวัดผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งถือว่าเป็นสื่อที่ทันสมัยในยุคนั้น\nสืบเนื่องจากนโยบายทางการศึกษาของรัฐบาลใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงแยกโรงเรียนออกเป็นชายล้วนและหญิงล้วนในระหว่างช่วงนี้โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพลได้แยกนักเรียนหญิงในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นไปยัง \"โรงเรียนสตรีชัยภูมิ\" และได้ทำการสอนนักเรียนหญิงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามปกติจนกระทั่งปี พ.ศ. 2483 โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพลจึงกลายโรงเรียนชายล้วนอย่างสมบูรณ์", "title": "โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล" }, { "docid": "68843#5", "text": "สัญลักษณ์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เริ่มใช้อย่างเป็นทางการในโอกาสครบรอบ 48 ปี วันคล้ายวันสถาปนาคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ใน พ.ศ. 2556 มีที่มาจากแก้วหลากสี (polychrome glass) รูปศีรษะบุคคล สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ซึ่งพบบริเวณปากแม่น้ำโขง", "title": "คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "70645#8", "text": "ในคราวประชุมคณบดี ครั้งที่ 7/2533 เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2533 ได้มีมติให้คณะใหม่ ไปพิจารณาเลือกสีประจำคณะ ที่ไม่ซ้ำกับคณะเก่า สำหรับคณะเก่า ก็ขอให้กำหนดสีที่ชัดเจนด้วย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน จึงนำเข้าพิจารณา ในที่ประชุมคณะกรรมการประจำคณะฯ ที่ประชุมมีมติกำหนดให้สีม่วงเม็ดมะปรางเป็นสีประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนนับแต่นั้นเป็นต้นมา", "title": "คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" } ]
625
ภาคตะวันตก มีทั้งหมดกี่จังหวัด?
[ { "docid": "17633#0", "text": "ภาคตะวันตก เป็นภูมิภาคหนึ่งของประเทศไทยในระบบการแบ่งแบบ 6 ภูมิภาคตามคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติ และเป็นภูมิภาคย่อยของภาคกลางของระบบการแบ่งแบบ 4 ภูมิภาค (ซึ่งรวมภาคตะวันออก และภาคตะวันตก) ภาคตะวันตกมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่าทางทิศตะวันตก ติดต่อกับภาคเหนือทางทิศเหนือ ติดต่อกับภาคกลางทางทิศตะวันออก และติดต่อกับภาคใต้ทางทิศใต้ ภาคตะวันตกประกอบไปด้วยจังหวัดเพียง 5 จังหวัด แม้ว่าจะจัดรวมอยู่ในภาคตะวันตก แต่ในภูมิภาคนี้ยังมีความหลากหลาย ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ซึ่งแตกต่างกันค่อนข้างมาก", "title": "ภาคตะวันตก (ประเทศไทย)" } ]
[ { "docid": "7070#4", "text": "จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตั้งอยู่ในภาคตะวันตก ตามการแบ่งระบบ 6 ภาคอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติและราชบัณฑิตยสภา ในขณะที่การแบ่งภูมิภาคด้วยระบบ 4 ภาค (เหนือ กลาง อีสานใต้) จัดเป็นจังหวัดในภาคกลาง และการแบ่งทางอุตุนิยมวิทยาจัดเป็นจังหวัดในภาคใต้ตอนบน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีเนื้อที่ประมาณ 6,367.620 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 3,979,762.5 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ประมาณ 212 กิโลเมตร และชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 224.8 กิโลเมตร มีส่วนที่แคบที่สุดของประเทศอยู่ในตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จากอ่าวไทยถึงเขตแดนพม่าประมาณ 12 กิโลเมตร ระยะทางจากกรุงเทพมหานครตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ประมาณ 399 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเศษ และตามเส้นทางรถไฟสายใต้ ประมาณ 318 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-6 ชั่วโมงการปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ 48 ตำบล 388 หมู่บ้าน\nจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 61 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, เทศบาลเมือง 2 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ และเทศบาลเมืองหัวหิน, เทศบาลตำบล 14 แห่ง, และองค์การบริหารส่วนตำบล 44 แห่ง โดยรายชื่อเทศบาลทั้งหมดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีดังนี้", "title": "จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" }, { "docid": "1820#8", "text": "พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งจังหวัดและดินแดนโพ้นทะเล (ไม่รวมดินแดนอาเดลี) คือ 674,843 ตารางกิโลเมตร (260,558 ตารางไมล์) นับเป็น 0.45% ของพื้นแผ่นดินโลกทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นอันดับสองของโลก ด้วยเนื้อที่ 11,035,000 ตารางกิโลเมตร (4,260,000 ตารางไมล์) นับเป็น 8% ของพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะทั้งหมดในโลก ตามหลังสหรัฐอเมริกา ไปเพียง 316,000 ตารางกิโลเมตร และนำประเทศออสเตรเลียกว่า 2,886,750 ตารางกิโลเมตร ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปตั้งอยู่ระหว่าง 41° and 50° เหนือ บนขอบทวีปยุโรปตะวันตกและตั้งอยู่ในภูมิอากาศเขตอบอุ่นเหนือ ทางภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีสภาพภูมิอากาศเขตอบอุ่น แต่กระนั้นภูมิประเทศและทะเลก็มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศเหมือนกัน ละติจูด ลองจิจูดและความสูงเหนือระดับน้ำทะเลทำให้ประเทศฝรั่งเศสมีภูมิอากาศแบบคละอีกด้วย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันตกส่วนมากจะมีปริมาณน้ำฝนสูง ฤดูหนาวไม่มากและฤดูร้อนเย็นสบาย ภายในประเทศภูมิอากาศจะเปลี่ยนไปทางภาคพื้นทวีปยุโรป อากาศร้อน มีมรสุมในฤดูร้อน ฤดูหนาวหนาวกว่าเดิมและมีฝนตกน้อย ส่วนภูมิอากาศเทือกเขาแอลป์และแถบบริเวณเทือกเขาอื่น ๆ ส่วนมากมักจะมีภูมิอากาศแถบเทือกเขา ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งกว่า 150 วันต่อปีและปกคลุมด้วยหิมะกว่า 6 เดือน จริงนะครับนี่เป็นเมืองที่มีความสวยงามมากเลยนะครับ", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "740280#0", "text": "อำเภอตามเดื่อง () เป็นอำเภอของจังหวัดลายเจิวตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้ประชากร 41,235 คน มีเนื้อที่ทั้งหมด 758 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลักคือ ตามเดื่อง", "title": "อำเภอตามเดื่อง (จังหวัดลายเจิว)" }, { "docid": "130982#3", "text": "อำเภอหนองกี่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้", "title": "อำเภอหนองกี่" }, { "docid": "332066#15", "text": "โดยทั่วไปประเทศไทยมีฝนอยู่ในเกณฑ์ดี พื้นที่ส่วนใหญ่มีปริมาณฝน 1,200–1,600 มิลลิเมตรต่อปี ปริมาณฝนรวมตลอดปีเฉลี่ยทั่วประเทศมีค่า 1,587.7 มิลลิเมตร ปริมาณฝนในแต่ละพื้นที่ผันแปรไปตามลักษณะภูมิประเทศ นอกเหนือจากการผันแปรตามฤดูกาล บริเวณประเทศไทยตอนบนปกติจะแห้งแล้งและมีฝนน้อยในฤดูหนาว เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนปริมาณฝน จะเพิ่มขึ้นบ้างพร้อมทั้งมีพายุฟ้าคะนอง และเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้นมาก โดยจะมีปริมาณฝนมากที่สุดในเดือนสิงหาคมหรือกันยายน พื้นที่ที่มีปริมาณฝนมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ด้านหน้าทิวเขา หรือด้านรับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ได้แก่ พื้นที่ทางด้านตะวันตกของประเทศและบริเวณภาคตะวันออก โดยเฉพาะที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด มีปริมาณฝนรวมตลอดปีมากกว่า 4,000 มิลลิเมตร ส่วนพื้นที่ที่มีฝนน้อยส่วนใหญ่อยู่ด้านหลังเขา ได้แก่พื้นที่บริเวณตอนกลางของภาคเหนือและภาคกลาง และบริเวณด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับภาคใต้มีฝนชุกเกือบตลอดปียกเว้นช่วงฤดูร้อน พื้นที่บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นด้านรับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จะมีปริมาณฝนมากกว่าภาคใต้ฝั่งตะวันออกในช่วงฤดูฝน โดยมีปริมาณฝนมากที่สุดในเดือนกันยายน ส่วนช่วงฤดูหนาวบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นด้านรับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีปริมาณฝนมากกว่าภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยมีปริมาณฝนมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน พื้นที่ที่มีปริมาณฝนมากที่สุดของภาคใต้อยู่บริเวณจังหวัดระนอง ซึ่งมีปริมาณฝนรวมตลอดปีมากกว่า 4,000 มิลลิเมตร ส่วนพื้นที่ที่มีฝนน้อยได้แก่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน ด้านหลังทิวเขาตะนาวศรี บริเวณจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์[2]", "title": "ภูมิอากาศไทย" }, { "docid": "651979#0", "text": "ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (; ) เป็นหนึ่งในภูมิภาคของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขา ภาคนี้ประกอบด้วยสี่จังหวัดหลักคือ จังหวัดเดี่ยนเบียน, จังหวัดลายเจิว, จังหวัดเซินลา และจังหวัดฮหว่าบิ่ญ ส่วนอีกสองจังหวัดคือ จังหวัดหล่าวกายและจังหวัดเอียนบ๊าย บางครั้งจะได้รับการจัดเป็นส่วนหนึ่งของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ภูมิภาคนี้มีประชากรประมาณสองล้านห้าแสนคน ติดพรมแดนประเทศลาวและประเทศจีนและเป็นหนึ่งในสามทางภูมิศาสตร์ย่อยภูมิภาคตามธรรมชาติของภาคเหนือของเวียดนาม (อีกสองภูมิภาคย่อยเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือและดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง)", "title": "ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (เวียดนาม)" }, { "docid": "756426#0", "text": "ต่วนซ้าว () เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเดี่ยนเบียนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้มีประชากร 104,185 คน และมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,583 ตารางกิโลเมตร โดยมีเมืองหลักคือต่วนซ้าว", "title": "อำเภอต่วนซ้าว" }, { "docid": "740278#0", "text": "อำเภอสี่นโห่ () เป็นอำเภอของจังหวัดลายเจิวตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้ประชากร 75,942 คน มีเนื้อที่ทั้งหมด 2,039 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลักคือ สี่นโห่", "title": "อำเภอสี่นโห่" }, { "docid": "17498#1", "text": "ทิศเหนือ มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดินแดนที่อยู่ทางเหนือสุดของภาคคือ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ทิศตะวันออก มีพื้นที่ติดต่อกับอ่าวไทย ดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของภาคคือ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ทิศใต้ มีพื้นที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ดินแดนที่อยู่ใต้สุดของภาค (และของประเทศไทย) คือ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ทิศตะวันตก มีพื้นที่ติดต่อกับทะเลอันดามัน ดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตกสุดของภาคคือ อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา", "title": "ภาคใต้ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "740272#0", "text": "อำเภอฟ็องโถ () เป็นอำเภอของจังหวัดลายเจิวตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ในปีค.ศ. 2003 อำเภอนี้ประชากร 49,169 คน มีเนื้อที่ทั้งหมด 819 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลักคือ ฟ็องโถ", "title": "อำเภอฟ็องโถ" }, { "docid": "756424#0", "text": "ตั๋วจั่ว () เป็นอำเภอของจังหวัดเดี่ยนเบียนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้มีประชากร 42,366 คน และมีเนื้อที่ทั้งหมด 679 ตารางกิโลเมตร โดยมีเมืองหลักคือตั๋วจั่ว", "title": "อำเภอตั๋วจั่ว" }, { "docid": "102066#0", "text": "โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี โรงละครแห่งชาติเป็นองค์กรของรัฐที่มีการบริหารงานแบบไม่หวังผลกำไร ดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของกลุ่มโรงละครแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในสังกัด สำนักการสังคีตกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ปัจจุบัน มี นายเอนก อาจมังกร เป็นผู้อำนวยการสำนัก มี นายนิรันดร์ ใจชนะ เป็นหัวหน้ากลุ่มโรงละครแห่งชาติ \nโรงละครแห่งชาติปัจจุบันมีอยู่รวมทั้งหมดจำนวน ๓ แห่ง โดยอยู่ในส่วนกลาง ๑ แห่ง และอยู่ในส่วนภูมิภาค ๒ แห่ง ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดนครราชสีมา โดยมีฐานะเป็นฝ่ายในสังกัดโรงละครแห่งชาติ", "title": "โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี" }, { "docid": "332066#24", "text": "การวัดสถิติพายุแบ่งตามเดือน พฤษภาคม พายุส่วนใหญ่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยทางด้านตะวันตกของประเทศ บริเวณที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านมากที่สุดคือพื้นที่ของภาคเหนือตอนบนในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน และพื้นที่ของภาคกลางในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ต่อเนื่องกับจังหวัดตากและอุทัยธานี โดยคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพายุทั้งหมดที่เข้าประเทศไทยในเดือนพฤษภาคมซึ่งมีทั้งหมด 6 ลูก มิถุนายน ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปพายุเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยทางด้านตะวันออกของประเทศ ซึ่งในเดือนนี้บริเวณที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านมากที่สุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณจังหวัดนครพนม หนองคายและตอนบนของสกลนคร โดยคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพายุทั้งหมดที่เข้าประเทศไทยในเดือนมิถุนายนซึ่งมีทั้งหมด 6 ลูก สิงหาคม บริเวณที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านมากที่สุดคือ พื้นที่ทางด้านตะวันออกของภาคเหนือตอนบนบริเวณจังหวัดน่าน พะเยา แพร่ ลำปาง เชียงรายและเชียงใหม่ รวมถึงพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนบริเวณจังหวัดนครพนม สกลนคร หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภูและเลย โดยคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพายุทั้งหมดที่เข้าประเทศไทยในเดือนสิงหาคมซึ่งมี 18 ลูก กันยายน เดือนนี้เป็นเดือนแรกที่พายุเริ่มมีโอกาสเคลื่อนตัวเข้ามาในภาคใต้ตอนบน แต่ยังมีโอกาสน้อย พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านยังคงเป็นประเทศไทยตอนบน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนต่อกับภาคเหนือตอนล่าง บริเวณจังหวัดนครพนม สกลนคร หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย อุตรดิตถ์ และพิษณุโลกมีพายุเคลื่อนผ่านเข้ามาคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของพายุทั้งหมดที่เคลื่อนเข้ามาในเดือนนี้ ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 39 ลูก ตุลาคม เป็นเดือนที่ศูนย์กลางพายุมีโอกาสเคลื่อนผ่านประเทศไทยได้ทั้งในประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ โดยในเดือนนี้พายุเริ่มมีโอกาสเคลื่อนเข้าสู่ภาคใต้ตอนล่างได้บ้างแต่มีโอกาสน้อย ส่วนบริเวณที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านมากที่สุดคือพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกือบทั้งหมด ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคกลางตอนล่างต่อเนื่องถึงภาคใต้ตอนบน ซึ่งมีพายุเคลื่อนผ่านมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของพายุทั้งหมดที่เคลื่อนผ่านเข้ามาในเดือนนี้ซึ่งมีจำนวน 48 ลูก พฤศจิกายน พายุมีโอกาสเคลื่อนเข้าสู่ภาคใต้ได้มากกว่าประเทศไทยตอนบน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพายุเคลื่อนผ่านมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของพายุทั้งหมดที่เคลื่อนผ่านเข้ามาในเดือนนี้ซึ่งมีจำนวน 28 ลูก บริเวณที่พายุเคลื่อนผ่านได้มากเป็นอันดับรองลงมา ได้แก่ พื้นที่ในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสงขลา ซึ่งมีศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่าน 10 - 25 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพายุทั้งหมด อย่างไรก็ตามบริเวณประเทศไทยตอนบน ยังมีบางพื้นที่ที่ศูนย์กลางพายุมีโอกาสเคลื่อนผ่านได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ต่อกับภาคตะวันออกบริเวณจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ และสระแก้ว มีพายุเคลื่อนผ่าน 10 - 15 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพายุทั้งหมด ธันวาคม เดือนนี้เป็นเดือนที่ไม่มีพายุเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบนพายุทั้งหมด จะเคลื่อนผ่านอ่าวไทยเข้าสู่ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป โดยศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านบริเวณจังหวัดสงขลาและพัทลุงมากที่สุด คือ 75 เปอร์เซ็นต์ของพายุทั้งหมดที่เคลื่อนผ่านเข้ามาในเดือนนี้จำนวน 7 ลูกด้วยกัน", "title": "ภูมิอากาศไทย" }, { "docid": "756401#0", "text": "เหมื่องจ่า () เป็นอำเภอของจังหวัดเดี่ยนเบียนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้มีประชากร 49,242 คน และมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,826 ตารางกิโลเมตร โดยมีเมืองหลักคือเหมื่องจ่า", "title": "อำเภอเหมื่องจ่า" }, { "docid": "102066#3", "text": "โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ภายในศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ภาคตะวันตกจังหวัดสุพรรณบุรี หรือ ศูนย์ราชการกรมศิลปากร จังหวัดสุพรรณบุรี เลขที่ ๑๑๙ หมู่ที่ ๑ ถนนสุพรรณบุรี - ชัยนาท ( ทางหลวงหมายเลข ๓๔๐ ) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ๗๒๐๐๐ โทรศัพท์ ๐-๓๕๕๓-๕๑๑๖ โทรสาร ๐-๓๕๕๓-๕๑๑๒ ", "title": "โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี" }, { "docid": "659405#0", "text": "เตวียนกวาง () เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงฮานอย ตรงใจกลางหุบเขาแม่น้ำโลซึ่งเป็นแควสาขาของแม่น้ำแดง การก่อตัวของดินดอนสามเหลี่ยมในจังหวัดนี้เรียกว่าดินดอนสามเหลี่ยมตังเกี๋ย เมืองหลักของจังหวัดคือเมืองเตวียนกวาง ในปี ค.ศ. 2008 จังหวัดเตวียนกวางมีประชากรประมาณ 746,900 คน ความหนาแน่น 127 คนต่อตารางกิโลเมตร บนพื้นที่ทั้งหมด 5,870.4 ตารางกิโลเมตร (2,266.6 ตารางไมล์)", "title": "จังหวัดเตวียนกวาง" }, { "docid": "756418#0", "text": "เหมื่องแญ้ () เป็นอำเภอของจังหวัดเดี่ยนเบียนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้มีประชากร 34,829 คน และมีเนื้อที่ทั้งหมด 2,508 ตารางกิโลเมตร โดยมีเมืองหลักคือเหมื่องแญ้", "title": "อำเภอเหมื่องแญ้" }, { "docid": "222562#2", "text": "มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของกัมพูชา บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม, มาเลเซีย, ภาคตะวันตกของเกาะสุมาตราและบอร์เนียว สำหรับในประเทศไทยพบบริเวณภาคตะวันตกและภาคใต้ จากรายงานเมื่อปี พ.ศ. 2531 มีการพบนากจมูกขน 2 แห่ง คือ ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในปี พ.ศ. 2542 มีผู้สามารถจับตัวได้อีกที่ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ในบริเวณใกล้กับชายแดนมาเลเซีย\nนากจมูกขนนับว่าเป็นนากชนิดที่ได้ชื่อว่าหายากที่สุดในโลก เพราะมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้งและมีการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมน้อยมาก มักพบนากชนิดนี้ตามพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ปากแม่น้ำใกล้กับทะเลหรือชายฝั่ง มักอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ", "title": "นากจมูกขน" }, { "docid": "5114#55", "text": "จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่บนที่ราบสูงโคราช ห่างจากกรุงเทพ 259 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 20,493.964 ตารางกิโลเมตร (12,808,728 ไร่) เป็นพื้นที่ป่าไม้ 2,297,735 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติคืออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลานร้อยละ 61.4 และเป็นแหล่งน้ำ 280,313 ไร่[2] ทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดชัยภูมิ และขอนแก่น ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดบุรีรัมย์ และทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดสระบุรี ชัยภูมิ และลพบุรี", "title": "จังหวัดนครราชสีมา" }, { "docid": "760770#0", "text": "อำเภอเตินเวียน () เป็นอำเภอของจังหวัดลายเจิวตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นอำเภอใหม่และก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2008 ได้รับพื้นที่มาจากตอนใต้ของอำเภอทานเวียน ในปี ค.ศ. 2008 อำเภอนี้ประชากร 42,221 คน มีเนื้อที่ทั้งหมด 903.27 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลักคือเตินเวียน", "title": "อำเภอเตินเวียน (จังหวัดลายเจิว)" }, { "docid": "667738#0", "text": "เอียนบ๊าย () เป็นจังหวัดที่มีพื้นฐานอยู่บนการเกษตร ตั้งอยู่ในภูมิภาคเต็ยบั๊กหรือภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ทางภาคเหนือตอนกลางของประเทศเวียดนาม มีพรมแดนร่วมกับ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดห่าซาง, จังหวัดหล่าวกาย, จังหวัดลายเจิว, จังหวัดเซินลา, จังหวัดฟู้เถาะ และจังหวัดเตวียนกวาง จังหวัดครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 6,899.5 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 750,200 คนในปี ค.ศ. 2008", "title": "จังหวัดเอียนบ๊าย" }, { "docid": "184722#0", "text": "ภาษาม้งขาว หรือ ภาษาม้งเด๊อว (Hmong Daw) มีผู้พูดทั้งหมด 514,895 คน พบในจีน 232,700 คน (พ.ศ. 2547) ทางตะวันตกของกุ้ยโจว ทางใต้ของเสฉวน และยูนนาน พบในลาว 169,800 คน (พ.ศ. 2538) ทางภาคเหนือ พบในไทย 32,395 คน (พ.ศ. 2543) ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย น่าน พิษณุโลก เลย สุโขทัย กำแพงเพชร แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ ลำปาง ในเวียดนามพบทางภาคเหนือพบได้บ้างในจังหวีดทางภาคใต้เช่น จังหวัดดักลัก มีผู้พูดภาษานี้ในฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาด้วย ", "title": "ภาษาม้งขาว" }, { "docid": "740281#0", "text": "อำเภอทานเวียน () เป็นอำเภอของจังหวัดลายเจิวตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้ประชากร 75,942 คน มีเนื้อที่ทั้งหมด 1,630 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลักคือ ทานเวียน", "title": "อำเภอทานเวียน" }, { "docid": "740275#0", "text": "อำเภอเหมื่องแต่ () เป็นอำเภอของจังหวัดลายเจิวตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้ประชากร 47,406 คน มีเนื้อที่ทั้งหมด 3,679 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลักคือ เหมื่องแต่", "title": "อำเภอเหมื่องแต่" }, { "docid": "760771#0", "text": "อำเภอเหนิ่มหญู่น () เป็นอำเภอของจังหวัดลายเจิว ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในปี ค.ศ. 2003 อำเภอนี้ประชากร 24,165 คน มีเนื้อที่ทั้งหมด 1,388 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลักคือเหนิ่มหญู่น", "title": "อำเภอเหนิ่มหญู่น" }, { "docid": "7385#0", "text": "พัทลุง เป็นจังหวัดในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย เคยเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่แห่งหนึ่ง และยังมีสภาพภูมิประเทศทั้งที่ราบ เนินเขา และชายฝั่ง โดยทางทิศตะวันตกของจังหวัด จะเป็นพื้นที่ที่ราบสูงและที่ราบเชิงเขา อันเนื่องมาจากมีพื้นที่ติดต่อกับเทือกเขานครศรีธรรมราช ถัดลงมาทางตอนกลางและทางทิศตะวันออกของจังหวัด จรดทะเลสาบสงขลาจะเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะแก่การทำการเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนาข้าว ชาวภาคใต้จะเรียกจังหวัดนี้ว่า เมืองลุงจังหวัดพัทลุง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภาคใต้ของประเทศไทย ระหว่างละติจูดที่ 7 องศา 6 ลิปดาเหนือถึง 7 องศา 53 ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 100 องศา 5 ลิปดาตะวันออก ห่างจากกรุงเทพมหานครตามเส้นทางสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41) เป็นระยะทางประมาณ 858 กิโลเมตร และตามเส้นทางรถไฟ ระยะทางประมาณ 846 กิโลเมตร ความยาวของจังหวัดจากทิศเหนือไปทิศใต้ประมาณ 78 กิโลเมตรและความกว้างจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ระยะทางประมาณ 53 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 3,424.473 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,140,296 ไร่ (พื้นดิน 1,919,446 ไร่ พื้นน้ำ 220,850 ไร่) ", "title": "จังหวัดพัทลุง" }, { "docid": "761487#0", "text": "เปล็ยกู () เป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในภาคกลางของประเทศเวียดนาม โดยมีฐานะเป็นนครประจำจังหวัดและเมืองหลักของจังหวัดซาลาย เมืองนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่สูงตอนกลาง บริเวณจุดตัดระหว่างทางหลวงแห่งชาติหลายสาย เช่น ทางหลวงแห่งชาติหมายเลข 14 ซึ่งมุ่งไปยังเมืองกอนตูมทางทิศเหนือและเมืองบวนมาถ็วตทางทิศใต้, ทางหลวงแห่งชาติหมายเลข 19 ซึ่งมุ่งไปยังเมืองสตึงแตรงในประเทศกัมพูชาทางทิศตะวันตก (ผ่านจังหวัดรัตนคีรี) และจังหวัดบิ่ญดิ่ญทางทิศตะวันออก เป็นต้น ตัวเมืองเปล็ยกูเป็นศูนย์กลางของเขตเมืองซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 261 ตารางกิโลเมตร", "title": "เปล็ยกู" }, { "docid": "7013#0", "text": "นราธิวาส เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นหนึ่งในจังหวัดชายแดนใต้สุดของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ห่างจากกรุงเทพฯ ทางรถยนต์ประมาณ 1,149 กิโลเมตร โดยมีเนื้อที่ประมาณ 4,475.43 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,797,143.75 ไร่ ทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดปัตตานีในเขตอำเภอสายบุรี อำเภอไม้แก่น และอ่าวไทย ทิศตะวันออกติดต่อกับอ่าวไทยและรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ทิศใต้ติดต่อกับรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดยะลาในเขตอำเภอบันนังสตา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้และภูเขา 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด มีป่าพรุประมาณ 361,860 ไร่ ทางแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดทิวเขาสันกาลาคีรีซึ่งเป็นแนวกั้นพรมแดนไทย-มาเลเซีย ลักษณะพื้นที่จะมีความลาดเอียงจากทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก พื้นที่ราบส่วนใหญ่อยู่บริเวณติดกับอ่าวไทยและที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำ 4 สาย คือ แม่น้ำบางนรา แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำตากใบ และแม่น้ำโก-ลก มีประชากรจำนวน 796,239 คน แยกเป็นชาย 393,837 คน หญิง 402,402 คน โดยจังหวัดนราธิวาสมีศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการอุตสาหกรรมอยู่ที่อำเภอสุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่และมีความเจริญกว่าตัวจังหวัดมาก", "title": "จังหวัดนราธิวาส" }, { "docid": "102066#1", "text": "โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตกจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นโรงละครแห่งชาติในส่วนภูมิภาคขนาด ๘๕๐ ที่นั่ง มูลค่า ๒๙๓ ล้านบาท ซึ่งกำหนดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ด้านการแสดง ให้บริการทางวิชาการด้านนาฏศิลป์ ดนตรี รวมทั้งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมระหว่างชาติ ประจำภาคตะวันตก ปัจจุบันมีนายวิรัตน์ คำแข็งขวา เป็นหัวหน้าโรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี", "title": "โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี" } ]
3066
ประเทศฟินแลนด์มีธงชาติสีอะไร?
[ { "docid": "59315#0", "text": "ธงชาติฟินแลนด์ ( ธงกากบาทสีน้ำเงิน) ใช้พื้นฐานธงกากบาทแบบนอร์ดิกที่เริ่มต้นโดยธงชาติเดนมาร์ก ธงของฟินแลนด์เป็นรูปกากบาทนอร์ดิกสีฟ้าบทพื้นสีขาว โดยสีฟ้าแสดงถึงทะเลสาบและท้องฟ้า และสีขาวแสดงถึงหิมะและราตรีสีขาวของฟินแลนด์ในช่วงฤดูหนาว ธงรัฐการมีตราแผ่นดินอยู่ที่จุดตัด นอกนั้นแล้วเหมือนกับธงพลเรือนทุกประการ ธงของทหารนั้นมีปลายของกากบาทเป็นลักษณะแหลม และธงของประธานาธิบดีมีลักษณะคล้ายธงของทหาร แต่ว่ามีตราอิสริยาภรณ์กางเขนแห่งเสรีภาพ (ภาษาฟินแลนด์: Vapaudenristin ritarikunta) อยู่ที่มุมซ้ายบน", "title": "ธงชาติฟินแลนด์" } ]
[ { "docid": "59315#1", "text": "ตามกฎหมายของประเทศฟินแลนด์ ธงชาติฟินแลนด์มีอัตราส่วนด้านสูงต่อด้านกว้างเท่ากับ 11:18 หากเป็นธงปลายแหลมของรัฐด้านยาวจะยาวขึ้นอีกหนึ่งส่วน โดยส่วนแหลมนั้นยาวห้าส่วน ความกว้างของกากบาทสีน้ำเงินเท่ากับสามส่วน เมื่ออยู่บนเสาธง ธงควรจะมีความกว้างเป็นเศษหนึ่งส่วนหกของความสูงของเสาธง สีของธงตามมาตรฐานสีของแพนโทนเป็นดังนี้ สีฟ้า 294C สีแดง 186C และสีเหลือง 123C", "title": "ธงชาติฟินแลนด์" }, { "docid": "148969#7", "text": "ในประเทศฟินแลนด์ส่วนที่พูดภาษาสวีเดน สีของธงชาติรัสเซียปัจจุบันถูกตีความถึงประวัติศาสตร์ฟินแลนด์ในปี ค.ศ. 1809 (พ.ศ. 2352) ซึ่งเป็นช่วงที่ฟินแลนด์ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ความหมายโดยรวมคือการเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย", "title": "ธงชาติรัสเซีย" }, { "docid": "294477#3", "text": "ธงแถบแนวนอนสีขาวและสีแดงถือเป็นรูปแบบธงอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ดังจะเห็นได้ว่ามีธงหลากหลายธงที่คล้ายคลึงกับธงชาติโปลแลนด์แต่มิได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ธงสำคัญซึ่งมีลักษณะดังกล่าวได้แก่ธงของแคว้นโบฮีเมียในสาธารณรัฐเช็ค และธงชาติของสองประเทศซึ่งเรียงแถบสีแดงอยู่เหนือสีขาว อันได้แก่ธงชาติอินโดนีเซียและธงชาติโมนาโก ในประเทศโปแลนด์ ธงหลายชนิดจะมีพื้นฐานการออกแบบมาจากธงชาติเป็นหลัก และมีสีประจำชาติปรากฏร่วมอยู่ในธงด้วย", "title": "ธงชาติโปแลนด์" }, { "docid": "110168#3", "text": "ประเทศฟิลิปปินส์มิได้มีการกำหนดธงชัยหรือธงสงคราม (war flag) แยกเป็นการเฉพาะอย่างที่นิยมกันในหลายประเทศ โดยใช้ธงชาติเพียงอย่างเดียวในวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย โดยธงชาติฟิลิปปินส์จะเป็นเครื่องหมายแสดงออกถึงภาวะสงครามของประเทศเมื่อมีการแสดงธงโดยให้แถบสีแดงอยู่ทางด้านบน หรือแถบสีแดงอยู่ทางด้านซ้ายของสายตาผู้มองธงเมื่อแสดงธงแบบแขวนแนวตั้ง ส่วนในยามปกตินั้นจะให้แถบสีน้ำเงินอยู่ทางด้านบนของธง ตัวอย่างของการแสดงธงกลับด้านเช่นนี้ปรากฏในประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ช่วงแห่งการปฏิวัติฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1896 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และธงบางส่วนที่ผู้ประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่รุมล้อมวังมาลากันญังชูขึ้นเป็นสัญลักษณ์ในการปฏิวัติเอ็ดซา เมื่อ ค.ศ. 1986", "title": "ธงชาติฟิลิปปินส์" }, { "docid": "114843#0", "text": "ธงชาติเดนมาร์ก หรือ \"ธงแดนเนอบรอก\" (, IPA: ) เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง มีรูปกางเขนแบบสแกนดิเนเวียสีขาวปลายจดขอบธง โดยที่ส่วนหัวของกางเขนนั้นอยู่ชิดกับทางด้านคันธง รูปกางเขนบนผืนธงดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนศาสนาคริสต์ ได้มีการนำไปปรับใช้ในธงของกลุ่มประเทศนอร์ดิก อันได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ หมู่เกาะโอลันด์ และหมู่เกาะแฟโร เช่นเดียวกับธงของกลุ่มเกาะเชตแลนด์และออร์คนีย์ของสกอตแลนด์ ในระหว่างที่ประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์รวมตัวเป็นสหภาพเดียวกันนั้น ธงแดนเนอบรอกยังได้ใช้เป็นธงชาติสำหรับนอร์เวย์ และยังคงมีการใช้ต่อมาโดยมีการดัดแปลงเล็กน้อย ตราบจนกระทั่งนอร์เวย์ได้เริ่มใช้แบบธงปัจจุบันในปี ค.ศ. 1821", "title": "ธงชาติเดนมาร์ก" }, { "docid": "194930#0", "text": "ธงชาติเนเธอร์แลนด์ () เป็นธงสามสีสามแถบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สัดส่วนโดยรวมกว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน ภายในเรียงเป็นแถบสีสีแดง สีขาว และสีน้ำเงินตามลำดับจากบนลงล่าง เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2115 แต่ได้กำหนดให้เป็นธงชาติของประเทศเนเธอร์แลนด์อย่างเป็นทางการมาในปี พ.ศ. 2480 ธงนี้นับเป็นธงสามสีธงแรกของโลกและเป็นธงสามสีที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นต้นแบบของธงชาติต่างๆ ที่ใช้สีธงหลักเป็น 3 สีในโลกนี้ด้วย", "title": "ธงชาติเนเธอร์แลนด์" }, { "docid": "110168#4", "text": "จากเอกสารของทางราชการฟิลิปปินส์ ได้ระบุความหมายของสัญลักษณ์ในธงชาติไว้ว่า สามเหลี่ยมสีขาวเป็นเครื่องหมายแทนความเสมอภาคและภราดรภาพ พื้นสีน้ำเงินหมายถึงสันติภาพ สัจจะ และความยุติธรรม และพื้นสีแดงหมายถึงความรักชาติและความมีคุณค่า รูปดวงอาทิตย์มีรัศมีแปดแฉกหมายถึงแปดจังหวัดแรกของประเทศ อันได้แก่ จังหวัดบาตังกาส, จังหวัดบูลาคัน, จังหวัดคาวิเต, จังหวัดลากูนา, จังหวัดมะนิลา, จังหวัดนูเอวา เอคิยา, จังหวัดปัมปังกา และจังหวัดตาร์ลัค ซึ่งพยายามเรียกร้องเอกราชจากสเปนและฝ่ายสเปนได้บังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่เหล่านั้นเมื่อเริ่มเหตุการณ์การปฏิวัติฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1896 ดาวสามดวงหมายถึงการแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ เกาะลูซอน เกาะมินดาเนา และหมู่เกาะวิสายัน", "title": "ธงชาติฟิลิปปินส์" }, { "docid": "110168#0", "text": "ธงชาติฟิลิปปินส์ () มีลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 1 ส่วน ยาว 2 ส่วน ตอนต้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมสีขาว ภายในมีรูปดวงอาทิตย์รัศมี 8 แฉก ล้อมด้วยดาวห้าแฉก 3 ดวง ตามมุมของรูปสามเหลี่ยม รูปเหล่านี้เป็นสีทอง ส่วนทีเหลือของธงนั้นเป็นแถบแบ่งครึ่งตามด้านยาวของธง ครึ่งบนพื้นสีน้ำเงิน ครึ่งล่างพื้นสีแดง หากแถบทั้งสองสีนี้สลับตำแหน่งกัน คือ แถบสีแดงอยู่บน แถบสีน้ำเงินอยู่ตอนล่าง แสดงว่าประเทศฟิลิปปินส์อยู่ในภาวะสงคราม", "title": "ธงชาติฟิลิปปินส์" }, { "docid": "59315#2", "text": "กฎหมายฟินแลนด์มีการควบคุมเกี่ยวกับธงหลายอย่าง เช่น ห้ามการขีดเขียนเล่นหรือนำไปใช้ในทางที่ไม่เคารพ ห้ามนำธงออกจากเสาโดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้ธงของรัฐหรือประธานาธิบดีโดยไม่ได้รับอนุญาต การเพิ่มเติมสัญลักษณ์บนธง รวมถึงการขายธงชาติที่เพี้ยนไปจากรูปร่างและสีที่ระบุตามกฎหมาย การละเมิดกฎเหล่านี้อาจมีโทษปรับได้", "title": "ธงชาติฟินแลนด์" } ]
2857
อัลดริช เฮเซน เอมส์ โดนคดีอะไร ?
[ { "docid": "441264#0", "text": "อัลดริช เฮเซน เอมส์ (English: Aldrich Hazen Ames; เกิด 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1941) เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ต่อต้านการข่าวกรองและนักวิเคราะห์ของหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (CIA) ซึ่งใน ค.ศ. 1994 ถูกตัดสินให้มีความผิดในข้อหาเป็นสายลับให้กับสหภาพโซเวียตและรัสเซีย จนกระทั่งการจับกุมตัวโรเบิร์ต แฮนเซ็นในอีก 7 ปีต่อมา เอมส์เป็นคนที่ทำให้สายของ CIA ต้องตกอยู่ในอันตรายมากกว่าสายลับโซเวียตทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา", "title": "อัลดริช เอมส์" } ]
[ { "docid": "441264#1", "text": "ขณะที่ทำงานในแผนกต่อต้านข่าวกรองของ CIA เป็นเวลา 9 ปี เขาประกาศรายรับต่อปีไว้ที่ 60,000 ดอลลาร์ แต่กลับมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตถึง 30,000 เหรียญต่อเดือน และมีชีวิตอย่างหรูหรา ซึ่งรวมไปถึงการซื้อรถจากัวร์คันใหม่และบ้านราคา 540,000 ดอลลาร์ ด้วยเงินสด[2]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#15", "text": "จากนั้น CIA ก็โทษอดีตเจ้าหน้าที่ CIA เอ็ดเวิร์ด ลี ฮาวเวิร์ด ว่าเป็นคนที่ทำให้สูญเสียสายข่าว เนื่องจากเขาเป็นคนส่งข้อมูลไปให้พวกโซเวียตเช่นกัน แต่เมื่อ CIA สูญเสียแหล่งข่าวสำคัญอีกสามแหล่ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ฮาวเวิร์ดไม่มีทางทราบได้ จึงเป็นที่ประจักษ์ว่าการจับตัวสายข่าวมีที่มาจากต้นตออื่น[17]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#3", "text": "อัลดริช เอมส์เรียนไฮสคูลที่โรงเรียนไฮสคูลแม็คลีน ที่เมืองแม็คลีน รัฐเวอร์จิเนีย เริ่มต้นใน ค.ศ. 1957 ขณะที่เขาอยู่ปีสอง เอมส์ทำงานให้ CIA เป็นเวลาสามฤดูร้อน ในตำแหน่งนักวิเคราะห์บันทึกระดับต่ำ (GS-3) โดยมีหน้าที่ทำเครื่องหมายเอกสารลับเพื่อนำไปเก็บ ในปี 1959 เอมส์เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยชิคาโก โดยวางแผนที่จะเรียนวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ต่างชาติ แต่ความปรารถนาที่มีมาเนิ่นนานในการแสดงละครทำให้ผลการเรียนของเขาตกต่ำลง ทำให้เขาเรียนไม่จบปีสอง เอมส์ทำงานที่ CIA ในฤดูร้อนของปี 1960 ในตำแหน่งผู้ใช้แรงงานและช่างทาสี จากนั้นเขาก็ผันตัวเองมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับด้านเทคนิคที่โรงละครชิคาโกจนกระทั่งปี 1962 เขาก็กลับมายังละแวกวอชิงตัน แล้วทำงานเต็มเวลาให้กับ CIA อีกครั้ง ในตำแหน่งเชิงเสมียน ทำนองเดียวกับที่เขาทำสมัยไฮสคูล[4]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#2", "text": "อัลดริช เอมส์เกิดที่เมืองริเวอร์ฟอลส์ รัฐวิสคอนซิน เป็นบุตรของคาร์ลตัน เซซิล เอมส์ บิดา และเรเชล เมส์ (อัลดริช) มารดา บิดาของเขาเป็นอาจารย์วิทยาลัย ส่วนมารดาของเขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในไฮสคูล อัลดริชเป็นบุตรของโตจากทั้งหมดสามคนและเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ใน ค.ศ. 1952 คาร์ลตัน เอมส์ เริ่มทำงานให้กับหน่วยอำนวยการปฏิบัติการณ์ของ CIA ในเวอร์จิเนีย และใน ค.ศ. 1953 ได้รับมอบหมายให้ประจำการที่ภูมิภาคเอชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลาสามปีพร้อมกับครอบครัว คาร์ลตันได้รับผลการประเมินการปฏิบัติงานในแง่ลบเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาติดสุราเรื้อรัง ทำให้เขาถูกส่งกลับไปอยู่ที่สำนักใหญ่ CIA ตลอดอาชีพที่เหลือ[3]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#24", "text": "บ้านราคา 540,000 ดอลลาร์ที่เมืองอาร์ลิงตัน, เวอร์จิเนีย ซึ่งเขาจ่ายด้วยเงินสด[26] รถยนต์จากัวร์ราคา 50,000 เหรียญ[27] ค่าตกแต่งและออกแบบบ้านใหม่ราคา 99,000 เหรียญ ค่าโทรศัพท์มือถือมากกว่า 6,000 เหรียญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการโทรของภรรยาของเอมส์ ไปหาครอบครัวของเธอในโบโกตา, โคลัมเบีย ชุดสูทตัดเข้ารูป แทนเสื้อผ้าที่ \"ซื้อมาจากกระบะลดราคาของห้างสรรพสินค้า\" ของเขา ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าเพื่อนร่วมงานที่ CIA ของเขาอย่างเห็นได้ชัด ค่าใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแบบพรีเมียมที่มากกว่าเงินเดือนของเขา[28]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#20", "text": "ในปี 1990 CIA แน่ใจแล้วว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ในองค์กรของตนเอง การเกณฑ์สายลับโซเวียตต้องหยุดลงเพราะกลัวว่าองค์กรจะไม่สามารถคุ้มกันสายข่าวที่มีอยู่ได้[16]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#5", "text": "ในปี 1969 เอมส์แต่งงานกับเจ้าหน้าที่แนนซี เซเกบาร์ธ ที่เขาเจอที่โครงการฝึกอาชีพ เมื่อเอมส์ได้รับมอบหมายให้ไปประจำการที่กรุงอังคารา ประเทศตุรกี แนนซีจึงต้องลาออกจาก CIA เนื่องจากกฎที่ห้ามมิให้คู่สมรสทำงานในสำนักงานเดียวกัน[6]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#4", "text": "ห้าปีต่อมา เอมส์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน เริ่มแรกเอมส์ไม่ได้วางแผนที่จะใช้ชีวิตไปกับการทำงานให้ CIA แต่หลังจากได้เลื่อนขั้นมาเป็นระดับ GS-7 และได้รับผลการประเมินการปฏิบัติงานยอดเยี่ยม เอมส์ก็ได้รับการอนุมัติให้เข้าสู่โครงการฝึกอาชีพ แม้ว่าจะมีปัญหากับตำรวจเรื่องการเมาสุราหลายครั้ง[5]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#6", "text": "งานของเอมส์ที่ตุรกึคือการหาและเกณฑ์เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของโซเวียต เขาประสบความสำเร็จในการแทรกซึมเข้าไปในองค์กรคอมมิวนิสต์ DEV-GENÇ โดยแทรกซึมผ่านนักศึกษาและนักปฏิบัติการหัวรุนแรง เดนิซ กิชมิช[7] แม้ว่าจะประสบความสำเร็จ ผลการปฏิบัติงานของเอมส์กลับออกมาแค่ระดับน่าพึงพอใจ ทำให้เอมส์ ผู้ซึ่งถูกผลการประเมินบั่นทอนกำลังใจ คิดจะออกจาก CIA[8]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#41", "text": "หมวดหมู่: บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2484 หมวดหมู่: เจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หมวดหมู่: สายลับโซเวียต หมวดหมู่: สายลับสองหน้า หมวดหมู่: บุคคลที่ต้องโทษจำคุก หมวดหมู่:บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#35", "text": "วาเลรี มาร์ทินอฟ เป็นเจ้าหน้าที่สาย X (ข่าวกรองวิทยาศาสตร์และเทคนิค) ของวอชิงตันเรซิเดนทูรา มาร์ทินอฟเปิดเผยตัวตนของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของโซเวียตกว่า 50 นายที่ปฏิบัติการนอกสถานทูต และยังให้ชื่อของเป้าหมายด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิคที่ KGB สามารถเจาะเข้าไปได้ เอมส์ส่งชื่อมาร์ทินอฟให้ KGB และเขาถูกประหารชีวิต[47] เอมส์ส่งชื่อมาร์ทินอฟให้ KGB ทำให้เขาถูกประหารชีวิต[48]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#40", "text": "on IMDb U.S. Department of Justice Office of the Inspector General, \" (April 1997) - Unclassified Executive Summary \"\", สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (27 มี.ค. 2548) - คำอธิบายโดยสรุปเกี่ยวกับอาชีพสายลับของเอมส์", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#30", "text": "เพลโต คาเคริส ทนายของเอมส์ ขู่ที่จะฟ้องร้อง FBI เรื่องการตรวจค้นและอายัติทรัพย์สินในบ้านและที่ทำงานของเอมส์โดยไม่มีหมายศาล แต่เนื่องจากเอมส์รับสารภาพผิด คำขู่นี้จึงหมดความสำคัญไป ต่อมารัฐสภาจึงผ่านกฎหมายใหม่เพื่อให้อำนาจนั้นกับศาลสอดส่องข่าวกรองต่างชาติ[37]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#34", "text": "พันเอกโอเลก กอร์เดียฟสกี เป็นหัวหน้า rezidentura (ผู้อาศัย) ในลอนดอนและเป็นสายลับให้กับหน่วยข่าวกรองราชการลับแห่งสหราชอาณาจักร (MI6) เอมส์ส่งข้อมูลเกี่ยวกับกอร์เดียฟสกีที่ทำให้สามารถระบุตัวกอร์เดียฟสกีว่าเป็นผู้ทรยศได้[46] แต่กอร์เดียฟสกีสามารถหลบหนีไปยังชายแดนของฟินแลนด์ ที่ซึ่งเขาถูกส่งตัวไปยังสหราชอาณาจักรผ่านนอร์เวย์โดย MI6 ก่อนที่เขาจะถูกควบคุมตัวในรัสเซีย", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#33", "text": "ในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 พลตรีดิมิทรี โพลยาคอฟเป็นสายข่าวของ CIA ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงสุดในหน่วยข่าวกรองโซเวียต (GRU) เขาถูกประหารชีวิตในปี 1988 หลังจากที่เอมส์เปิดโปงเขา[44] เขาน่าจะเป็นสายข่าวที่มีค่าที่สุดที่เอมส์ทำให้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าหน้าที่ CIA คนหนึ่งพูดถึงโพลยาคอฟว่า \"เขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน เขายืนยันที่จะอยู่ในตำแหน่งเดิมเพื่อช่วยเรา\"[45]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#36", "text": "พันตรีเซอร์เก โมโทรินเป็นเจ้าหน้าที่สาย PR (ข่าวกรองการเมือง) ของวอชิงตันเรซิเดนทูราที่ FBI ขู่กรรโชกให้เป็นสายลับให้สหรัฐฯ ในที่สุดแล้ว เขาให้ความร่วมมือด้วยเหตุผลส่วนตัว[49] โมโทรินเป็นหนึ่งในสองสายข่าวที่เรซิเดนทูราที่ถูกทรยศโดยเอมส์ และถูกประหารอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา[48][50]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#37", "text": "พันเอกลีโอนิด โพลิชชุคเป็นเจ้าหน้าที่สาย KR (ต่อต้านข่าวกรอง) ในไนจีเรีย เขาก็เป็นอีกคนที่ถูกเอมส์ทรยศ เขาถูกจับกุมด้วยความบังเอิญเมื่อสายลับ KGB ที่ไปเฝ้าสังเกตการทิ้งข้อมูล (dead drop) ของสายลับ CIA เห็นโพลิชชุคมารับข้อมูล[51]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#23", "text": "CIA เพ่งเล็งเอมส์ด้านการเงิน หลังจากที่รู้ว่าเอมส์ ผู้ได้รับรายได้ 60,000 เหรียญต่อปี สามารถซื้อ", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#11", "text": "ในเดือนตุลาคม เขาแยกทางกับภรรยาอย่างเป็นทางการ และในเดือนพฤศจิกายน เขาจึงส่งรายงานถึงกิจกรรมนอกองค์กรว่าด้วยความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับโรซาริโอให้กับ CIA ในข้อตกลงหย่า เอมส์ตกลงที่จะรับภาระหนี้ของคู่สมรสและจ่ายเงินรายเดือนเพื่อสนับสนุนภรรยาเป็นเวลาสามปีครึ่ง รวมเป็นเงินประมาณ 46,000 ดอลลาร์ เอมส์คิดว่าการหย่าร้างอาจทำให้เขาต้องล้มละลาย ซึ่งเขาบอกว่าความกดดันด้านการเงินที่มาจากข้อตกลงนี้ทำให้เขาเริ่มพิจารณาการไปเป็นสายลับให้กับสหภาพโซเวียต[12] นอกจากนี้ เขายังพบโรซาริโอเป็นคนใช้เงินเยอะ หลังจากที่เธอถูกจับกุม FBI ตรวจภาพกระเป๋าสตางค์กว่า 60 อันในบ้านของเอมส์ และยังมีรองเท้าอีกกว่า 500 คู่ กับถุงน่องที่ยังไม่ได้ใช้อีก 165 กล่อง[13]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#18", "text": "เมื่อเอมส์อยู่ในสถานะหย่าร้างอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ปี 1985 เขาก็แต่งงานกับมาเรีย เดล โรซาริโอในทันที เขาเข้าใจว่าเงินจำนวนมากที่เขาเพิ่งได้มาจะทำให้มีพิรุธ เขาจึงแต่งเรื่องบังหน้าว่าทรัพย์สินที่เขาได้มานั้นมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยของภรรยาชาวโคลับเบียนของเขา[20]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#17", "text": "ในขณะเดียวกัน เอมส์ยังคงพบปะกับเซอร์เก ดิมิเทรวิช ชูวาคิน คนที่เขาติดต่อด้วยที่สถานทูตโซเวียต และในระยะเวลาหนึ่ง เขาได้รายงานสรุปให้ CIA และ FBI ถึงความคืบหน้าของเขาในการพยายามที่จะเกณฑ์เซอร์เกเป็นสาย แต่ที่จริงแล้ว ทุกครั้งที่พวกเขาพบกันเพื่อทานอาหารกลางวัน เอมส์จะได้รับเงิน 20,000 ถึง 50,000 ดอลลาร์ทุกครั้ง[19] ท้ายที่สุดแล้ว เอมส์ได้รับเงินถึง 4.6 ล้านเหรียญจากพวกโซเวียต ซึ่งทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้หรูหรากว่าเจ้าหน้าที่ CIA คนอื่นๆ[16]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#10", "text": "อย่างไรก็ตาม ในเดือบกันยายน ปี 1983 CIA มอบหมายให้เอมส์กลับไปประจำที่แผนก SE ในวอชิงตัน ซึ่งทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดในกรมปฏิบัติการเพราะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจกรรมต่อต้านข่าวกรองของโซเวียต เอมส์สามารถเข้าถึงแผนและปฏิบัติการณ์ของ CIA ที่มีต่อ KGB และ GRU หน่วยข่าวกรองทหารของโซเวียต[12]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#22", "text": "ในปี 1986 และ 1991 เอมส์ผ่านการทดสอบโดยเครื่องโพลีกราฟ (เครื่องจับเท็จ) ระหว่างที่เขาเป็นสายลับให้กับสหภาพโซเวียตและรัสเซีย เริ่มแรกนั้นเอมส์กลัวที่จะต้องทำการทดสอบ แต่ KGB แนะนำว่าให้เขา \"ทำตัวตามสบาย\"[24] การทดสอบของเอมส์แสดงให้เห็นถึงคำตอบหลอกในบางคำถาม แต่คนทดสอบปล่อยให้เขาผ่าน CIA ให้ความเห็นในภายหลังว่าเนื่องจากผู้ทดสอบ \"เป็นมิตรมากเกินไป\" ทำให้ผลการตอบสนองทางจิตไม่ไปในทางที่ควรจะเป็น[25]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#28", "text": "เอมส์เป็นนักโทษหมายเลข #40087-083 ของสำนักงานทันฑสถานกลาง รับโทษอยู่ที่ทันฑสถานสหรัฐอเมริกาอัลเลนวูด ใกล้กับเมืองอัลเลนวูด รัฐเพนซิลเวเนีย[35]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#19", "text": "เอมส์ได้ไปประจำการที่โรมในปี 1986 ซึ่งผลประเมินงานของเขาที่นั่นออกมาในระดับพอใช้หรือแย่อีกครั้ง และยังมีหลักฐานเกี่ยวกับปัญหาติดสุรา อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 1990 ถึง 91 เอมส์ถูกส่งกลับไปประจำแผนกวิเคราะห์ของศูนย์ต่อต้านข่าวกรองของ CIA ซึ่งทำให้เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งรวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับสายลับสองหน้าของสหรัฐฯ[21]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#29", "text": "CIA ถูกติที่ไม่เพ่งเล็งเอมส์ให้เร็วกว่านี้ ทั้งๆ ที่คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้นกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด[16] และยังทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขนานใหญ่ในรัฐสภา เมื่อผู้อำนวยการ CIA เจมส์ วูลซีตัดสินใจว่าจะไม่มีการปลดหรือลดขั้นเจ้าหน้าที่ในองค์กร วูซีประกาศว่า \"คนบางคนร้องขอให้คนถูกทำโทษ เพื่อที่เราจะได้พูดว่ามีคนที่ถูกทำโทษแล้ว ขอโทษ แต่นั่นไม่ใช่ทางของผม\" วูซีถูกบังคับให้ลาออกในเวลาต่อมา[36]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#16", "text": "เจ้าหน้าที่ CIA คนหนึ่งกล่าวว่า \"พวกโซเวียตจัดการเก็บสายของเราแบบล้างบาง\" ซึ่งไม่ธรรมดาเป็นอย่างมากเพราะว่า \"เป็นสิ่งที่รู้กันดีในหมู่ผู้จับสายลับขององค์กรว่าการกำจัดสายข่าวทั้งหมดในทันทีจะทำให้หนอนบ่อนไส้ตกอยู่ในอันตราย\" ซึ่งทำให้คนดูแลสายข่าวของ KGB ขอโทษเอมส์ แต่กล่าวว่าการตัดสินใจที่จะกำจัดสายข่าวอเมริกันทั้งหมดมาจากนักการเมืองระดับสูงสุด[18]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#31", "text": "เรื่องของเอมส์ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ Aldrich Aims: Traitor Within ในปี 1998 โดยทิโมธี ฮัตตัน รับบทเป็นเอมส์ เอมส์ยังถูกนำไปเป็นตัวละครในนิยายของเฟรเดอริค ฟอร์ไซท์ในปี 1997 เรื่อง Icon ซึ่งในเรื่องเขาทรยศสายลับโซเวียตหลายคนที่ถูกสหรัฐอเมริกาเกณฑ์เป็นสายให้[38]", "title": "อัลดริช เอมส์" }, { "docid": "441264#14", "text": "เมื่อมาถึงปี 1985 เครือข่ายสายลับในฟากฝั่งโซเวียตเริ่มหายตัวไปในอัตราที่น่าตกใจ CIA รู้ว่ามีอะไรผิดปกติแต่ไม่อยากพิจารณาความเป็นไปได้ว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ในองค์กร การสืบสวนเบื้องต้นมุ่งเน้นไปที่ช่องโหว่ที่อาจเกิดจากเครื่องดังฟังของโซเวียต หรือรหัสถูกถอดได้[16]", "title": "อัลดริช เอมส์" } ]
3008
เกลาดีโอ แคสแทกนอลีเริ่มเซ็นสัญญากับWWEเมื่อไหร่?
[ { "docid": "662047#4", "text": "12 สิงหาคม 2014 มีประกาศว่าเขาได้เซ็นสัญญากับ WWE และเข้าร่วมสังกัดค่ายพัฒนาทักษะ NXT ในวันที่ 25 สิงหาคม[19] เขาได้รับชื่อใหม่ว่า เควิน โอเวนส์ และ NXT ได้ออกวิดีโอโปรโมตตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนการเปิดตัวครั้งแรกของเขาที่จะเกิดขึ้น;[20] โอเวนส์รายละเอียดว่าเขาได้ปล้ำเป็นเวลา 14 ปีก่อนที่จะทำให้มันเป็นไป WWE หลังจากที่ต้องเผชิญกับ (และกลายเป็นเพื่อนกับ) อีกหลายปัจจุบัน WWE มวยปล้ำหรือ NXT วงจรอิสระปีที่ผ่านมา แต่ WWE ลงนามพวกเขาครั้งแรก ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่, โอเวนส์ประกาศว่าเขาจะต่อสู้กับทุกคนและทุกคนเพราะการต่อสู้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาจะให้ครอบครัวของเขา[21][22][23]", "title": "เควิน โอเวนส์" } ]
[ { "docid": "404168#6", "text": "ในรอว์ (30 เมษายน 2012) โลรีนายติสได้เชิญให้เลสเนอร์ออกมา แต่ไม่ทันไร ทริปเปิลเอชก็ตามออกมา บอกจะทำในสิ่งที่โลรีนายติสไม่กล้าทำ เลสเนอร์จะไม่ได้รับสัญญาฉบับใหม่ที่เรียกร้องเกินกว่าเหตุเครื่องบินที่รับนายมาจากบ้านจะไม่ส่งนายกลับยกเว้นนายจะจ่ายเงินเช่นเดียวกับรถลิมูซีนที่พานายมาสนามด้วยและรายการนี้ก็จะชื่อ มันเดย์ ไนท์ รอว์ ตลอดไปไม่มีใครใหญ่ไปกว่า WWE ชั้นต้องการให้นายอยู่ที่นี่คนดูก็ต้องการจะดูนายเจอกับ จอห์น ซีนา, ซีเอ็ม พังก์, แรนดี ออร์ตัน หรือ เชมัส แต่นายจะต้องอยู่ภายใต้สัญญาฉบับแรกที่เราตกลงกันเท่านั้นสัญญาใหม่ที่นายขอแก้ไขนั้นชั้นจะไม่เซ็นให้หรอกนะ ทริปเปิล เอช ฉีกสัญญาใหม่ของเลสเนอร์ ทิ้งแล้วพูดต่อว่าถ้านายไม่พอใจล่ะก็จะยกเลิกสัญญาก็ได้แล้วก็จากไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ที่มีต่อซีนา ซึ่งนายคงจะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นใช่มั้ย โลรีนายติส พยายามพูดช่วยเลสเนอร์ แต่ ทริปเปิล เอช สั่งให้โลรีนายติส หุบปากซะแต่โลรีนายติส ไม่หยุดพูด ทริปเปิล เอช เลยหันไปเอาเรื่องโลรีนายติส เลยเปิดโอกาสให้เลสเนอร์ อัด ทริปเปิล เอช จากด้านหลัง และจับใส่ท่าคิมุระล็อกจนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเพราะแขนหักร้อนถึงนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะต้องรีบออกมาช่วย ทำให้เลสเนอร์ รีบหนีลงเวทีไป ในรอว์ (7 พฤษภาคม 2012) พอล เฮย์แมน ออกมา บอกว่าเขามาเพื่อเป็นตัวแทนของเลสเนอร์ ชายผู้ซึ่งชอบการทำลายล้างที่สุดในประวัติศาสตร์ WWE แต่เขากลับถูกแฟนๆ โห่อย่างหนักมาตลอดตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนจากความช่วยเหลือของโลรีนายติส ก็ได้เซ็นสัญญาที่เป็นธรรมกับเลสเนอร์ แต่เขากลับถูกหักหลังซึ่งเขาไม่สมควรจะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นเขาเป็น แชมป์ NCWA, แชมป์ WWE และแชมป์ UFC เลสเนอร์ได้มอบหมายให้ เฮย์แมน มาเพื่ออ่านคำแถลงของเลสเนอร์ ผมกลับมาเพื่อนำความจริงจังกลับมาสู่ WWE ชั้นไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำกับซีนา เพราะชั้นเกลียดมันและอีกคนหนึ่งที่ถูกชั้นทำให้อับอายก็คือ ทริปเปิล เอช มันอิจฉาชั้นมันทนอยู่ในกรงเหล็กกับอันเดอร์เทเกอร์ ได้หนึ่งชั่วโมงแต่มันสู้กับชั้นได้ไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำมันฉีกสัญญาชั้นทิ้งชั้นจึงหักแขนของมันและชั้นก็ไม่สนใจว่า WWE จะฟ้องร้องหรืออะไร เพราะชั้นลาออกแล้ว", "title": "บร็อก เลสเนอร์" }, { "docid": "899400#1", "text": "ในปี 2015 เธอได้เป็นรองผู้ชนะการแข่งขัน \"WWE Tough Enough\" ในปีเดียวกันนั้น เธอได้เซ็นสัญญากับWWE และร่วมรายการเรียลลิตี้โชว์อย่าง \"Total Divas\", ซึ่งผลิตโดย WWE และช่อง E!", "title": "แมนดี โรส" }, { "docid": "552982#2", "text": "ในศึกรอว์ (22 กรกฎาคม 2013) แบรด แมดด็อกซ์ออกมาเปิดรายการด้วยการทักทายแฟนๆ ชาวเท็กซัส ก่อนจะประกาศให้มีการเซ็นสัญญาปล้ำระหว่าง จอห์น ซีนา กับ แดเนียล ไบรอัน ซีนาออกมาเตรียมเซ็นสัญญา และแมดด็อกซ์ก็สัมภาษณ์ซีนาไปด้วยว่าทำไมถึงเลือกไบรอันล่ะ เขาตัวเล็กกว่านายตั้งเยอะ นายเลือกเขาเพราะว่าจะได้ชนะง่ายๆ หรือเปล่า แดเนียล ไบรอัน ออกมาท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนๆ และถาม แบรด แมดด็อกซ์ ว่านายคิดว่าว่าชั้นไม่สมควรจะได้ชิงแชมป์เหรอ ซีนาบอกถ้าแมดด็อกซ์คิดว่าขนาดตัวเป็นสิ่งสำคัญล่ะก็ เอาแชมป์ไปให้เกรทคาลีได้เลย ใน WWE เราเคยมีแชมป์อย่าง ชอว์น ไมเคิลส์, เรย์ มิสเตริโอ และ เอ็ดดี เกอร์เรโร มาแล้ว ทั้งสองคนเซ็นสัญญา แล้วแมดด็อกซ์ก็เตรียมจัดแมตช์ให้ไบรอันได้พิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมจริงหรือไม่ที่ได้ชิงแชมป์ ในคืนเดียวกันไบรอันจะต้องปล้ำแมตช์ Gauntlet Match โดยเจอกับ แจ็ก สแวกเกอร์, ซีซาโร และไรแบ็ก ผลปรากฏว่า แมตช์ที่ 1 ไบรอันชนะ แมตช์ที่ 2 ไบรอันชนะแมตช์สุดท้าย ไบรอันชนะฟาว์ลเพราะไรแบ็กจับไบรอันไปพาวเวอร์บอมใส่โต๊ะจนพัง หลังแมตช์จะเล่นงานไบรอันต่อ แต่ซีนาออกมาช่วยไล่อัดไรแบ็กหนีไป ซีนาเอาไมค์มาประกาศท้าไรแบ็กให้มาเจอกันในแมตช์ Table", "title": "ซัมเมอร์สแลม (2013)" }, { "docid": "291269#10", "text": "ในเดือนมกราคม 2015 เจริโคได้เผยในทวิตเตอร์ว่าสัญญาของเขาที่ทำไว้กับ WWE คือขึ้นปล้ำเฮาส์โชว์ 16 โชว์ในวันที่ 10 มกราคม ถึง 1 มีนาคม โดยไม่ปรากฏตัวออกจอทีวี ก่อนที่จะเซ็นสัญญาขึ้นปล้ำอีก 19 โชว์ที่ไม่ได้ออกทีวีระหว่างเดือนมิถุนายนและสิงหาคม ในเดือนพฤษภาคม ได้เป็นผู้ดำเนินรายการทัฟ อีนัฟซีซั่นที่6 วันที่ 4 กรกฎาคม ในโชว์พิเศษทาง WWE Network เจริโคได้กลับมาขึ้นปล้ำถ่ายทอดสดอีกครั้งโดยเอาชนะเนวิลล์ไปได้ ในไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2015) เจริโคได้เซอร์ไพรส์มาร่วมปล้ำแทกทีม 6 คนกับดีน แอมโบรสและโรแมน เรนส์ แพ้ให้กับไวแอ็ตต์แฟมิลี ในWWE Live from Madison Square Gardenได้แพ้ในการชิงแชมป์อินเตอร์สมัยที่10กับเควิน โอเวนส์", "title": "คริส เจริโค" }, { "docid": "328129#2", "text": "ในสแมคดาวน์ 27 พฤษภาคม 2011 ได้ทำร้ายรานจิน ซิงห์ ผู้จัดการของคาลี และกลายเป็นฝ่ายอธรรม เป็นลูกน้องให้จินเดอร์ มาฮาล ก่อนจะทะเลาะกับมาฮาลและกลับมาเป็นฝ่ายธรรมะอีกครั้ง ในสแมคดาวน์ 30 กันยายน 2011 หลังจากแพ้ให้กับมาร์ก เฮนรี คาลีได้ถูกเฮนรีเอาเก้าอี้ตีและหนีบขาก่อนกระโดดทับใส่จนบาดเจ็บ ต่อมาคาลีได้หมดสัญญากับทาง WWE และก็ไม่มีการต่อสัญญาอีก โดยคาลีจะกลับมาที่อินเดียและจะมุ่งไปเป็นดารานักแสดง ถึงแม้ว่าคาลีจะไม่ต่อสัญญา แต่ทั้งสองฝ่ายยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยอาจจะกลับมาแสดงภาพยนตร์กับทางทีมงานสร้างภาพยนตร์ของ WWE ในอนาคต", "title": "เดอะเกรทคาลี" }, { "docid": "635332#1", "text": "เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2013–14 สัญญาของผู้รักษาประตู โคเซ มานวยล์ ปินโต และ บิกตอร์ บัลเดส ได้หมดลง และไม่ได้ต่อสัญญาใหม่ บาร์เซโลนาได้เซ็นสัญญาอย่างรวดเร็วกับ มาร์ก-อังเดร เทอร์ ชเตเกิน จากโบรุสเซียเมินเชนกลัดบัค ทีมในลีกบุนเดสลีกา และ เกลาดีโอ บราโบ จากเรอัลโซเซียดัด ในวันที่ 15 พฤษภาคม การ์เลส ปูยอล ผู้ซึ่งเป็นกัปตันทีมบาร์เซโลนามายาวนาน ก็ได้ตัดสินใจลาวงการฟุตบอลหลังจากที่เล่นให้กับบาร์เซโลนามานานถึง 15 ปี ปูยอลจึงได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการด้านฟุตบอลให้กับ อันโดนี ซูบีซาร์เรตา ในวันที่ 19 พฤษภาคม ลุยส์ เอนรีเก ได้ถูกยืนยันแล้วว่าจะเป็นผู้จัดการทีมคนต่อไป ต่อจากเคราร์โด มาร์ตีโน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล เอนรีเกกลับมาสู่บาร์ซาหลังจากที่เป็นผู้จัดการทีมบาร์เซโลนา เบในช่วง พ.ศ. 2551 - 2554", "title": "สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาในฤดูกาล 2014–15" }, { "docid": "356948#1", "text": "โฟลีย์ใฝ่ฝันว่าตัวเองจะได้เป็นนักมวยปล้ำ และเขาชื่นชอบ จิมมี \"ซูเปอร์ฟลาย\" สนูกกา มาก ทั้งท่าทาง ทั้งลีลาต่างๆ ของเขา ถึงขนาดอัดวิดีโอที่เป็นแมตช์ของเขาอย่างเดียวเก็บไว้เป็นหลายม้วน แถมลองทำท่า Diving Headbutt ที่เป็นท่าไม้ตายของสนูกก้า บนเตียงตัวเอง อีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงโดยไปฝึกทักษะมวยปล้ำที่สมาคมแห่งหนึ่ง และไฝ่ฝันต่อว่าจะได้ไปปล้ำที่สมาคม WWF ซึ่งเขาได้ปล้ำแมตช์เดียวในแจ็คเก็ด ก็แพ้แล้ว จึงลาออกจาก WWF และไปฝึกมวยปล้ำที่ญี่ปุ่น ในนามของ แคคตัส แจ็ค ซึ่งเขาก็ถนัดในการปล้ำแบบ เดท แมตช์ หรือ ฮาร์ดคอร์ ซะด้วย จึงได้รับการผลักดันให้เป็นนักมวยปล้ำเด่นๆ ในสมาคมหนึ่งในญี่ปุ่น จากนั้นก็ได้มาปล้ำที่เยอรมนี โดยเขาขึ้นปล้ำกับ ลีโอ ไวท์ หรือ บิ๊ก แวน เวเดอร์ ก็ยังคงปล้ำแบบฮาร์ดคอร์ อยู่ดีและเป็นที่สนใจในสมาคมมวยปล้ำของอเมริกาหลายแห่ง ไม่นานโฟลีย์ ก็กลับมาที่อเมริกา และเซ็นสัญญากับสมาคม WCW", "title": "มิค โฟลีย์" }, { "docid": "518703#0", "text": "โคลบี แดเนียล โลเปซ (Colby Daniel Lopez; เกิด 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1986) เป็นนักมวยปล้ำอาชีพและนักแสดงชาวอเมริกันที่ปัจจุบันเซ็นสัญญากับ WWE ในนาม เซท รอลลินส์ (Seth Rollins) เป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท WWE 2 สมัย และได้รางวัลสแลมมีอะวอร์ด ซุปเปอร์สตาร์แห่งปี 2015 หลังจากเซ็นสัญญา WWE ในปี 2010 เขาได้ฝึกที่ค่ายพัฒนาทักษะ ฟลอริดาแชมเปียนชิปเรสต์ลิง(FCW) เป็นแชมป์แกรนด์สแลม FCWคนแรก หลังจาก FCW ถูกยุบรวมกับ NXT เขาก็ได้แชมป์ NXTเป็นคนแรก เปิดตัวค่ายหลักในปี2012 พร้อมกับดีน แอมโบรสและโรแมน เรนส์ในฐานะเดอะชีลด์", "title": "เซท รอลลินส์" }, { "docid": "849732#0", "text": "แคสซานดรา แคสซี แม็กอินทอช (Cassandra \"Cassie\" MacIntosh) เกิด 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1992 เป็นนักมวยปล้ำอาชีพชาวออสเตรเลีย ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWEภายใต้ชื่อบนสังเวียน เพย์ตัน รอยซ์ (Peyton Royce) อดีตสังกัดค่ายพัฒนาทักษะ NXT", "title": "เพย์ตัน รอยซ์" }, { "docid": "652740#1", "text": "วันที่ 12 กรกฎาคม 2014 ทาง WWE ได้ประกาศเซ็นสัญญาเค็นตะ หนึ่งในสตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เข้ามาสู่ NXT ซึ่งการประกาศเกิดขึ้นระหว่างพิธีการเซ็นสัญญาที่เกิดขึ้นในเฮาส์โชว์ของ WWE ที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น โดยมีตำนานนักมวยปล้ำของ WWE อย่างฮัลค์ โฮแกน เป็นผู้ดำเนินพิธี", "title": "ฮิเดโอะ อิตามิ" }, { "docid": "615070#0", "text": "เกลาดีโอ แคสแทกนอลี (Claudio Castagnoli; เกิด 27 ธันวาคม ค.ศ. 1980) นักมวยปล้ำอาชีพชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWEในนาม ซีซาโร (Cesaro) เคยปล้ำที่ Chikara, Combat Zone Wrestling (CZW), Ring of Honor (ROH), Pro Wrestling Guerrilla (PWG) และ Pro Wrestling Noah เขายังได้รับการเสนอชื่อจาก Wrestling Observer Newsletter ว่าเป็นนักมวยปล้ำที่ตกอับที่สุด (Most Underrated Wrestler) สี่ปีติดตั้งแต่ 2013 ถึง 2016", "title": "ซีซาโร" }, { "docid": "344280#1", "text": "จากนั้น เบล ก็สามารถพังประตูแรกให้สเปอร์ในแมตช์อย่างเป็นทางการได้สำเร็จในเกมที่เสมอกับฟูแล่ม 3-3 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2007 \nก่อนที่จะตามมาด้วยการทำสกอร์จากฟรีคิกในเกมดาร์บี้แมตช์แห่งลอนดอนเหนือกับอาร์เซน่อล และตามด้วยการทำประตูในเกมลีก คัพ ที่พบกับมิดเดิลสโบรช์ ซึ่งทำให้เบล ซึ่งเป็นดาวรุ่งวัย 18 ปีในเวลานั้น กลายเป็นขวัญใจแฟนบอลสเปอร์ส อย่างรวดเร็ว หลังทำไป 3 ประตูจากการลงสนาม 4 นัดแรก\nในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2007 เบล ก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าขวาอย่างรุนแรง จนต้องพักนานหลายเดือน อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคม 2008 เจ้าตัวก็ได้เซ็นสัญญากับสเปอร์ส เพิ่มอีก 4 ปีแม้ส่วนตัวแล้วจะทำผลงานได้ดี แต่ไม่น่าเชื่อว่า เบล จะมีสถิติลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก 24 นัดให้สเปอร์ส โดยที่ทีมไม่ชนะเลย จนโดนตราหน้าว่าเป็น \"ตัวซวย\" ที่เมื่อลงสนามเมื่อไหร่ ทีมจะไม่ชนะ ซึ่งกว่าที่เบลจะได้สัมผัสชัยชนะในลีกเป็นนัดแรกก็ต้องรอจนถึงเกมที่พบกับเบิร์นลีย์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2009 ซึ่งกินเวลามากกว่า 2 ปี หลังจากที่เซ็นสัญญาในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน โดยเกมดังกล่าวเบลถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 85\nฤดูกาล 2010-11 เบล เริ่มต้นได้อย่างสวยหรูเมื่อเหมาคนเดียว 2 ประตูให้ทีมชนะสโตกซิตี 2-1 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2010 และถัดมาอีก 4 วัน เบลก็ทำแอสซิสต์ทั้ง 4 ลูกให้ สเปอร์ส ถล่ม ยัง บอยส์ เบิร์น จากสวิตเซอร์แลนด์ 4-0 ในศึกแชมเปียนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน\nฤดูกาล 2012-13 เบล เปลี่ยนมาใส่เสื้อหมายเลข 7 ซึ่งเป็นเบอร์ไรอัน กิกส์ ขวัญใจของเบลในทีมชาติเวลส์", "title": "แกเร็ธ เบล" }, { "docid": "954913#0", "text": "ลีโอเนล เจราร์ด กรีน (Lionel Gerard Green; ) เป็นนักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกันซึ่งรู้จักกันดีในชื่อบนสังเวียน ลีโอ รัช (Lio Rush) ปัจจุบันเขาได้เซ็นสัญญากับ WWE ซึ่งเขาได้ร่วมปล้ำสังกัด 205 Live ที่เป็นลีกครุยเซอร์เวท เขาเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในสมาคม Ring of Honor (ROH) ซึ่งเขาเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน 2016 Top Prospect Tournament ตลอดจนเวลาใน Combat Zone Wrestling (CZW) ซึ่งเขาเคยเป็นอดีตแชมป์ CZW World Heavyweight Championship และอดีตแชมป์ CZW Wired Championship 2 สมัย", "title": "ลีโอ รัช" }, { "docid": "345920#2", "text": "เขาได้เซ็นสัญญากับWWE และเข้าร่วมแข่งขันNXTซีซั่น1 โดยเวด บาร์เร็ตต์เป็นผู้ชนะ ต่อมาได้เป็นสมาชิกของกลุ่มเดอะเน็กซัส โดยมีหัวหน้ากลุ่มคือเวด บาร์เร็ตต์ ในแบรกกิ้ง ไรท์ส (2010)ได้คว้าแชมป์แท็กทีม WWEร่วมกับจอห์น ซีนาโดยชนะดรูว์ แม็กอินไทร์และโคดี โรดส์ แต่ก็เสียแชมป์ให้กับฮีท สเลเตอร์และจัสติน เกเบรียล สมาชิกในกลุ่มตนเองในรอว์คืนถัดมา ซึ่งครองแชมป์ได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น", "title": "เดวิด โอทังกา" }, { "docid": "518703#8", "text": "ในริงออฟออเนอร์(ROH) เดือนกันยายน 2007 ได้เปิดตัวร่วมกับจิมมี เจคอบส์ และเนโคร บัตเชอร์ ใน Final Battle 2007 แบล็กและเจคอบส์ชนะ The Briscoe Brothers คว้าแชมป์โลกแท็กทีม ROH พวกเขาเสียแชมป์หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อวันที่ 26 มกราคมให้กับ No Remorse Corps (เดวี ริชาดส์ และร็อกกี โรเมโร) ในการแข่งขัน Ultimate Endurance พร้อมด้วย The Hangmen 3 (เบรนต์ อัลไบรต์และบีเจ วิตเมอร์) และทีมของออสติน แอรีส์และไบรอัน แดเนียลสัน เดือนกันยายนปี 2009 แบล็กได้เข้ารับการผ่าตัดแผ่นดิสก์ในลำคอของเขา วันที่ 10 ตุลาคมแบล็กได้ชนะเคนนี คิงในการแข่งขันรอบแรกและจากนั้นก็ชนะเกลาดีโอ แคสแทกนอลี, Colt Cabana, Delirious, คริส ฮีโร และรอเดริก สตรอง ในทัวร์นาเมนต์รอบชิงชนะเลิศ 2009 Survival of the Fittest วันที่ 19 ธันวาคม ใน Final Battle 2009 ได้ปล้ำชิงแชมป์โลก ROH กับออสติน แอรีส์ ในการปล้ำ 60 นาที ซึ่งผลออกมาเป็นเสมอ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2010 เขาได้คว้าแชมป์โลก ROH จากแอรีส์ ก่อนจะเสียแชมป์ให้รอเดริก สตรองในแมตช์ไม่มีกฏกติกา และเป็นการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายของเขาก่อนจะเซ็นสัญญากับ WWE", "title": "เซท รอลลินส์" }, { "docid": "831359#0", "text": "คริส สแปรดลิน (Chris Spradlin) เกิด 24 ธันวาคม ค.ศ. 1979 เป็นนักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน ที่รู้จักกันดีในชื่อบนสังเวียน คริส ฮีโร (Chris Hero) เซ็นสัญญากับ WWE ทำงานให้กับค่ายพัฒนาทักษะ NXT ในชื่อ แคสซีอุส โอโน (Kassius Ohno) สมัยใช้ชื่อคริส ฮีโร ได้รับเป็นแกนนำในหลายๆ สมาคมมวยปล้ำอิสระรวมทั้งPro Wrestling Guerrilla และRing of Honor เช่นเดียวกับสมาคมPro Wrestling Noahในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักจากเวลาของเขาในสมาคมมวยปล้ำอิสระ Independent Wrestling Association Mid-South, Combat Zone Wrestling และChikara ซึ่งเขาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนร่วม Chikara Wrestle Factory", "title": "คริส ฮีโร" }, { "docid": "445093#1", "text": "วันที่ 30 มกราคม 2011 ซินการาได้ตกลงเซ็นสัญญาการปล้ำใน WWE อย่างเป็นทางการ ในรอว์ (4 เมษายน 2011) ได้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรก โดยมาช่วยแดเนียล ไบรอันจากการเล่นงานของแชมป์ยูเอส เชมัส และได้ปรากฏตัวในสแมคดาวน์ (8 เมษายน) มาเล่นงานแจ็ก สแวกเกอร์ ในรอว์ (11 เมษายน) ได้เดบิวต์ปล้ำแมตช์แรกเอาชนะปรีโมไปได้ รอว์สัปดาห์ต่อมา (18 เมษายน) ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้จับคู่กับจอห์น ซีนา เอาชนะแชมป์ WWE เดอะมิซ และอเล็กซ์ ไรลีย์ไปได้ ในเดือนเดียวกันซินการาได้ถูกดราฟท์ย้ายไปสแมคดาวน์และชนะแจ็ก สแวกเกอร์เป็นแมตช์แรก ต่อมาได้เปิดศึกกับชาโว เกอร์เรโร และได้ขึ้นปล้ำศึกใหญ่แรกในโอเวอร์เดอะลิมิต (2011)โดยชนะชาโว", "title": "มิสติโก" }, { "docid": "254297#7", "text": "เรย์ได้เปิดศึกกับโคดี โรดส์และท้าเจอกันในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 27 โดยเรย์เป็นฝ่ายแพ้ ต่อมาเรย์ได้ย้ายไปอยู่รอว์ จากผลการดราฟท์ ในรอว์ 25 เมษายน ในเอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2011)เรย์สามารถเอาชนะโคดีในแมตช์จับกดที่ไหนก็ได้และล้างแค้นโคดีได้สำเร็จ ในรอว์ เรย์ได้ปล้ำสามเส้ากับเดอะมิซและอัลเบร์โต เดล รีโอ เพื่อหาผู้ท้าชิงอันดับ 1 ในการชิงแชมป์ WWE กับจอห์น ซีนา ใน I Quit Match ในโอเวอร์ เดอะ ลิมิต (2011) ซึ่งเดอะมิซเป็นฝ่ายชนะ หลังแมตช์อาร์-ทรูธได้มาลอบทำร้ายเรย์ ต่อมาเรย์ได้ขอท้าเจอกับทรูธ ในโอเวอร์เดอะลิมิต แต่เรย์ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป ในแคปิเทล พูนิชเมนท์ เรย์ได้แพ้ให้ซีเอ็ม พังก์ ในรอว์ 25 กรกฎาคม เรย์ได้เจอกับเดอะมิซ ผู้ชนะก็จะได้แชมป์ WWE ทันที สุดท้ายเรย์ได้เป็นผู้ชนะและคว้าแชมป์ WWE เป็นสมัยแรกมาได้สำเร็จ คืนเดียวกัน เรย์ต้องป้องกันแชมป์กับจอห์น ซีนา สุดท้ายเรย์ก็เสียแชมป์ให้กับซีนา ในรอว์ 15 สิงหาคม เรย์ได้ชิงแชมป์ WWE กับอัลเบร์โต เดล รีโอ เจ้าของตำแหน่ง สุดท้ายเรย์ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์มาได้ หลังแมตช์ เดล รีโอได้ลอบทำร้ายเรย์จนได้รับบาดเจ็บ แต่ซีนาออกมาขัดขวางเอาไว้ หลังจากนั้น เรย์ก็ต้องพักการปล้ำยาวนานหลายเดือน ในรอว์ 12 ธันวาคม เรย์ได้ออกมาปรากฏตัวและประกาศมอบรางวัลสแลมมีอวอร์ด ซุปเปอร์สตาร์แห่งปี ถึงแม้อาการบาดเจ็บของเรย์ยังไม่หายดี วันที่ 26 เมษายน 2012 เว็บไซต์ WWE.com ได้ประกาศว่าเรย์ถูกแบนเป็นเวลา 60 วัน หลังจากไม่ผ่านการตรวจสุขภาพตามระเบียบการของสมาคม สำหรับการฝ่าฝืนระเบียบการของสมาคม ซึ่งเป็นการถูกแบนครั้งที่สองแล้ว ถ้าหากมีครั้งที่สามเมื่อไหร่ เรย์จะถูกไล่ออกในทันที", "title": "เรย์ มิสเตริโอ" }, { "docid": "442495#3", "text": "หัวหน้าของกลุ่ม EXO-K ซูโฮ เป็นคนแรกที่ได้เข้ามารับการฝึกฝนในค่าย SM เอนเตอร์เทนเมนต์ หลังจากออดิชั่นผ่านในระบบแคสติ้งเมื่อปี ค.ศ. 2006 ในปีถัดมา ไค ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทางครอบครัวในเส้นทางนี้เองก็ได้ชนะการออดิชั่นในการประกวด SM Youth Best Contest และได้เซ็นสัญญาเข้ามาในทันที[16] เช่นเดียวกับ ชันย็อล ซึ่งได้อันดับที่ 2 ในการประกวด Smart Model Contest พร้อมทั้ง เซฮุน ที่ถูกพบและทาบทามโดยแมวมองของทางค่ายและได้รับการแคสติ้งเข้ามาภายในบริษัท ภายในปี 2008[17] และในปี 2010 ดี.โอ. ซึ่งได้รับข้อเสนอในการเซ็นสัญญาจากทางค่ายหลังจากที่เห็นคุณสมบัติในตัวเขาจากการออดิชั่นก็ได้เข้าสังกัดเป็นลำดับถัดมา[18] โดยสมาชิกคนสุดท้ายของฝั่ง EXO-K ก็คือ แบ็กฮย็อน ซึ่งได้เข้ามาในบริษัทด้วยระบบแคสติ้งภายในปี 2011 และใช้เวลาฝึกฝนอยู่ประมาณเพียงหนึ่งปีเท่านั้นจึงเดบิวต์สู่สายตาสาธารณชน สำหรับฝั่ง EXO-M คริส ได้ผ่านการออดิชั่น Global Audition จากประเทศแคนาดาในปี ค.ศ. 2008 เขาได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้เพื่อฝึกฝนเพื่อเป็นศิลปิน เช่นเดียวกันในปีเดียวกันนั้นเอง เลย์ ก็ได้ผ่านการออดิชั่นจากฉางชาและย้ายมาในประเทศเกาหลี ในขณะที่ ซิ่วหมิน เองก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันพร้อมกันกับเพื่อนของเขาและชนะอันดับที่ 2 ในการออดิชั่นได้ในปี 2010[19] ลู่หาน นั้นถูกทาบทามเข้ามาในสังกัดโดยตัวแทนของทางค่ายในขณะที่เขาเดินเที่ยวอยู่ในมย็องดงและผ่านการออดิชั่นเข้ามาในเวลาถัดมา เช่นเดียวกับ เทา ซึ่งถูกทาบทามจากรายการโชว์ทักษะพิเศษ และสมาชิกคนสุดท้ายซึ่งก็คือ เฉิน เขาผ่านเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกได้โดยผ่านการแคสติ้งจากทางค่ายในปี ค.ศ. 2011", "title": "เอ็กโซ (วงดนตรี)" }, { "docid": "290977#1", "text": "เขาเริ่มอาชีพมวยปล้ำโดยการเข้าร่วมประกวดทัฟ อีนัฟ ซีซั่น3 ซึ่งกฏกติกาบอกว่าถ้าผู้เข้าแข่งขันคนไหนชนะก็จะได้เซ็นสัญญากับWWE แล้วเขาก็ได้เป็นหนึ่งในผู้ชนะ และได้เข้าไปปล้ำในค่ายพัฒนาทักษะ OVW แล้วเขาก็ได้แชมป์แท็กทีมร่วมกับโจอี เมอร์คิวรี และก็มีผู้จัดการส่วนตัวของทีมคือเมลินา ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามกลุ่มเอ็มเอ็นเอ็ม เขาได้เปิดตัวกับWWE โดยใช้นาม จอห์นนี ไนโตร และปรากฏตัวในสแมคดาวน์พร้อมกับเมอร์คิวรีและเมลินา ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็คว้าแชมป์แท็กทีม WWEได้จากเรย์ มิสเตริโอและเอ็ดดี เกอร์เรโร จนเมอร์คิวรีได้ถูกพักงานในเดือนพฤษภาคม 2006 ไนโตรและเมลินาได้ย้ายไปอยู่รอว์ เขาก็ยังโชว์ฟอร์มได้ดีในฐานะศิลปินเดี่ยวโดยการคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล 2สมัย", "title": "จอห์น มอร์ริสัน" }, { "docid": "518691#2", "text": "วันที่ 4 เมษายน 2011 เขาได้เซ็นสัญญากับ WWE และ Dragon Gate USA ได้อนุญาตปล่อยตัวเขาออกจากสมาคม เขาเคยปรากฏตัวในสมาคมในนาม จอน ม็อกซ์ลีย์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2006 ร่วมปล้ำแท็กทีมกับแบรด แอตติจูด แพ้ให้เอ็มเอ็นเอ็ม วันที่ 27 พฤษภาคม 2011 เขาได้เข้าร่วมค่ายพัฒนาทักษะของ WWE, ฟลอริดาแชมเปียนชิปเรสต์ลิง(FCW) ภายใต้ชื่อ ดีน แอมโบรส แอมโบรสเปิดตัวใน FCW วันที่ 3 กรกฎาคม โดยการท้าทายเซท รอลลินส์ อีกหนึ่งนักมวยปล้ำที่โดดเด่นในสมาคมอิสระ ทั้งคู่ได้มีแมตช์เจอกันครั้งแรกในการชิงแชมป์ FCW 15 แบบ Iron Man 15 นาที ตอนที่ 14 สิงหาคมของ FCW โดยแมตช์จบลงด้วยการเสมอ ทำให้รอลลินส์ยังเป็นแชมป์ ในการแข่งขันรอบที่ 2 เพื่อการชิงแชมป์ วันที่ 18 กันยายนของ FCW รอลลินส์ทำแต้มชนะ 3-2 แอมโบรสสามารถเอาชนะรอลลินส์ไปได้แบบไม่ชิงแชมป์ในรอบแรกของทัวร์นาเมนต์ Super Eight หาแชมป์ฟลอริดาเฮฟวี่เวท FCWคนใหม่ แต่ก็แพ้ลีโอ ครูเกอร์ในรอบสุดท้ายแบบสี่เส้า แอมโบรสยังมีความแค้นกับรอลลินส์เพื่อตำแหน่งแชมป์ FCW 15 โดยการทำร้ายแดเมียน แซนดาว ในระหว่างการชิงแชมป์กับรอลลินส์ทำให้รอลลินส์ถูกปรับฟาล์ว แอมโบรสไม่สามารถชิงแชมป์ FCW 15 มาจากแซนดาวได้ ก่อนที่ลีอากีชนะทั้งแอมโบรสและรอลลินส์แบบสามเส้าเพื่อหาผู้ท้าชิงอันดับ1 ในการชิงแชมป์ฟลอริดาเฮฟวี่เวท FCW แอมโบรสเริ่มปรากฏตัวในเฮาส์โชว์ของ WWE ในเดือนธันวาคม 2011", "title": "ดีน แอมโบรส" }, { "docid": "867402#0", "text": "ไมเคิล เบนเนตต์ (Michael Bennett) เกิด 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1985 นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกันที่ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWEภายใต้ชื่อ ไมค์ แคเนลลิส (Mike Kanellis) อดีตนักมวยปล้ำของTotal Nonstop Action Wrestling (TNA)ภายใต้ชื่อ \"เดอะมิราเคิล\" ไมค์ เบนเนตต์ (\"The Miracle\" Mike Bennett) เป็นแชมป์ TNA X Division Championship 1สมัย ก่อนหน้านี้เขาเคยปล้ำในRing of Honor (ROH) เป็นอดีตแชมป์ ROH World Tag Team Championship และNew Japan Pro Wrestling (NJPW) เป็นอดีตแชมป์ IWGP Tag Team Championship ทั้งสองแชมป์ร่วมกับ Matt Taven ทั้งคู่ได้ร่วมฝึกโรงเรียนมวยปล้ำใน West Warwick, Rhode Island แต่งงานกับมาเรีย แคเนลลิส", "title": "ไมค์ แคเนลลิส" }, { "docid": "806223#1", "text": "ในปี 2013 เธอได้เซ็นสัญญากับ WWE และได้รับมอบหมายให้ไปฝึกมวยปล้ำที่เพอร์ฟอร์มเมนซ์ เซ็นเตอร์ ที่ออร์แลนโด, รัฐฟลอริดา ในเดือนตุลาคม 2014 เธอได้เปิดตัวใน NXT เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับทีมเอ็นโซและแคส ปี 2016 ได้ถูกดราฟท์ขึ้นค่ายหลักเปิดตัวในสแมคดาวน์ ปี 2017 ได้เป็นผู้ชนะคว้ากระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์ผู้หญิงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และใช้สิทธิ์คว้าแชมป์หญิงสแมคดาวน์ WWEได้จากชาร์ลอตต์ แฟลร์", "title": "คาร์เมลลา" }, { "docid": "402323#2", "text": "ในศึกรอว์ (5 ธันวาคม ค.ศ.2011) จอห์น โลรีนายติส ผู้จัดการทั่วไปชั่วคราวของรอว์ ได้ให้ทั้ง 3 คน เซ็นสัญญาปล้ำในแมทช์การปล้ำ โต็ะ บันได และ เก้าอี้ ซึ่งก่อนเริ่มรายการ มี เดอะ มิซ อัลเบร์โต เดล รีโอ จอห์น ซีนา และ ดอลฟ์ ซิกก์เลอร์ ออกมาเถียงกัน ทำให้ จอห์น โลรีนายติส ต้องออกมาแล้วบอกว่าถ้าหาก ทั้งสี่คนเอาชนะ นักมวยปล้ำจากสแมคดาวน์ได้ ก็จะได้รับสิทธิ์ไปชิงแชมป์ WWE ใน TLC 2011 โดย เดอะ มิซ สามารถเอาชนะเคาท์เอาท์ แรนดี ออร์ตัน โดย เวด บาร์เร็ตต์ มาก่อกวน อัลเบอรฺ์โต เดล ริโอ ก็สามารถชนะ แดเนียล ไบรอัน ด้วยซับมิชชั่น ดอลฟ์ ซิกก์เลอร์ เจอ เชมัส แต่ก็แพ้ไม่ได้สิทธิ์ชิงแชมป์ WWE", "title": "ทีแอลซี: เทเบิล แลดเดอร์ แอนด์ แชร์ (2011)" }, { "docid": "363334#0", "text": "นาตาลี แคเทอรีน \"แนตตี\" ไนด์ฮาร์ต-วิลสัน (Natalie Katherine \"Nattie\" Neidhart-Wilson) เกิดวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1982 นักมวยปล้ำอาชีพหญิงชาวแคนาดา เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวตระกูลฮาร์ต ลูกสาวของตำนาน จิม ไนด์ฮาร์ต และหลานของ เบรต ฮาร์ต ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWE ภายใต้ชื่อ นาตาเลีย (Natalya) อดีตผู้จัดการทีมเดอะฮาร์ทไดนาสตี้ และภรรยาของไทสัน คิด เป็นแชมป์WWE Divas Championship และWWE SmackDown Women's Championship", "title": "นาตาเลีย" }, { "docid": "404168#5", "text": "เลสเนอร์ได้กลับมา WWE ในรอว์ (2 เมษายน 2012) โดยออกมาและขึ้นมาประจันหน้ากับจอห์น ซีนาเพื่อขอจับมือ ที่ไหนได้เลสเนอร์จับซีนาใส่ท่าไม้ตาย F-5 ในรอว์ (9 เมษายน 2012) ซีนาออกมาขัดจังหวะ แล้วก็เดินมาตบหน้าเลสเนอร์ เลยโดนเลสเนอร์ คร่อมต่อยเป็นชุดจนเลือดกบปาก ร้อนถึงสตาร์ WWE คนอื่นๆ ต้องออกมาช่วยกันจับแยก ในคืนเดียวกันหลังจากแมตช์ของซีนา เลสเนอร์โผล่มาเตะผ่าหมากซีนา แล้วต่อด้วยท่า F-5 ในรอว์ (23 เมษายน 2012) ซีนาและเลสเนอร์จะต้องเซ็นสัญญาเพื่อที่จะเจอกันในเอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2012) ช่วงต้นรายการ ทีโอดอร์ ลองประกาศแนะนำตัวซีนาออกมาก่อนจากนั้นก็ประกาศเรียกเลสเนอร์ คนที่ออกมากลายเป็นจอห์น โลรีนายติส บอกว่าเลสเนอร์ยังมาไม่ถึง และก็สั่งให้ซีนากลับไปก่อน ช่วงท้ายรายการโลรีนายติสออกมาเตรียมการเซ็นสัญญาระหว่างซีนาและเลสเนอร์ในเอกซ์ตรีมรูลส์ และเลสเนอร์ออกมาก่อน แต่พอถึงคิวซีนา กลายเป็นว่ามีแต่เพลงตัวไม่ออกมา เลสเนอร์นำเอาสัญญาฉบับใหม่ที่เขาต้องการแก้ไข และบอกว่าเขาไม่ใช่เด็กบ้านนอกเหมือนเมื่อ 8 ปีก่อนแล้ว ชั้นเป็นสตาร์ดังสมาคมนี้ต้องการตัวชั้นและชั้นต้องยิ่งใหญ่กว่าสมาคม ข้อแรก ชั้นต้องการเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของวินซ์ แม็กแมน ในการรับส่งชั้นจากบ้านไปที่สนาม ข้อ 2 ชั้นไม่ชอบถูกสัมภาษณ์ ชั้นเกลียดการพบปะผู้คน ข้อ 3 ชั้นจะมาร่วมรายการรอว์ เมื่อไหร่ก็ตามแต่ต้องการ ชั้นจะไม่เป็นเครื่องมือของแกเหมือนกับที่คนอื่นๆ เป็น ข้อ 4 นายปรับเงินคนอื่นไปทั่ว แต่นั่นจะไม่เกิดขึ้นกับชั้น มีแต่แกจะต้องจ่ายเงินชั้นมากขึ้นจนกว่านายจะยอมรับข้อเสนอนี้ชั้นจะไม่เซ็นสัญญาปล้ำแมตช์ในวันอาทิตย์นี้ ชั้นไม่สนใจหรอกว่าคนดูจะคิดยังไง และดูที่บรรทัดสุดท้ายให้ดีๆ ถ้าชั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของรายการนี้เมื่อไหร่ จะต้องเปลี่ยนชื่อรายการเป็นมันเดย์ไนท์รอว์ นำแสดงโดยบร็อก เลสเนอร์ ด้วย โลรีนายติสตอบตกลงและจับมือกับเลสเนอร์ ก่อนที่จะเซ็นสัญญากัน ซีนาออกมาโดยใส่โซ่คล้องคอมาด้วยจากนั้นก็ถอดโซ่ออกมากำไว้ในมือแต่เลสเนอร์ ก็ไม่กลัวเลสเนอร์ บอกให้ซีนาเซ็นสัญญา เลสเนอร์บอกว่าแกกำลังกลัวอยู่ใช่มั้ยล่ะฉันสัมผัสได้ถึงกระแสจิตที่ออกมาจากตัวแกว่าแกกำลังกลัว ซีนาเซ็นเสร็จแล้วก็โยนใส่เลสเนอร์ เลยทำท่าเหมือนจะต่อยกัน เลสเนอร์แค่ล้มโต๊ะ ซีนาก็สะดุ้งและถอยเล็กน้อย เลสเนอร์หัวเราะเยาะ ก่อนจะเดินกลับไป ในเอ็กซ์ตรีมรูลส์แพ้ซีนา", "title": "บร็อก เลสเนอร์" }, { "docid": "615720#1", "text": "เพจเริ่มเล่นมวยปล้ำตั้งแต่อายุ 13 ปี เป็นน้องเล็กสุดในบ้าน ชื่อในวงการเดิมของเธอคือ \"บริททานี่ ไนท์\" แต่ทุกคนในบ้านมักเรียกเธอว่า \"เจ้าหญิง\" เมื่อเริ่มต้นเล่นมวยปล้ำ บริททานี่คิดว่ามันน่าเบื่อ ไม่สนุกเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ แต่เมื่อเธอเล่นมวยปล้ำจนถึงอายุ 19 ปี ทำให้เธอรู้ว่ามวยปล้ำไม่เบื่ออย่างที่คิด และเธอจะเข้าวงการ WWE ให้ได้ เพื่อความหวังของครอบครัว เธอได้เดินทางกับพี่ชายไปแคสตัวกับ WWE ที่ใจกลางเมืองหลวงของอังกฤษ หลังจากการแคสตัวเรียบร้อย เมื่อพวกเขาก็ได้นำข่าวดีและข่าวร้ายไปให้ครอบครัว ข่าวดีคือบริททานี่ได้ผ่านการแคสตัว และเซ็นสัญญาเข้าสมาคมเรียบร้อย ข่าวร้ายคือพี่ชายของเธอไม่ผ่านการแคสตัวด้านสัดส่วน ทำให้เขาผิดหวัง แต่ไม่มีความอิจฉาน้องสาวของตัวเองเลย หลังจากนั้นพี่ชายของเธอตั้งหน้าตั้งตาลดน้ำหนัก เล่นกล้าม เพื่อรอการแคสตัวอีกครั้งในหกสัปดาห์หน้า เธอได้ผันตัวมาเป็นฝ่ายอธรรม และฝึกพูดมากขึ้น เพื่อเตรียมตัวก่อนเดบิวต์", "title": "เพจ" }, { "docid": "558539#0", "text": "มิสติโก 2 () หรือ มิสติโก หมายเลข 2 เป็นนักมวยปล้ำอาชีพสวมหน้ากากชาวเม็กซิโก ปัจจุบันเซ็นสัญญากับสมาคม Consejo Mundial de Lucha Libre (CMLL) ซึ่งก่อนหน้านี้เขาปรากฏตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2010 ในนามของ ดรากอน ลี () เขาเคยได้แชมป์โลกทรีโอส CMLL คู่กับ Máscara Dorada และValiente ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 เขาได้มาสวมบทบาทเป็นมิสติโก คนที่ 2 หลังจากที่คนเดิมได้เซ็นสัญญากับสมาคมWWE", "title": "มิสติโก 2" }, { "docid": "529348#0", "text": "ลีอาติ โจเซฟ \"โจ\" อานัวอี (Leati Joseph \"Joe\" Anoa'i; เกิด 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1985) นักมวยปล้ำอาชีพและอดีตผู้เล่นตะแกรงฟุตบอลอาชีพชาวอเมริกัน เป็นสมาชิกของครอบครัวอานัวอี ตระกูลนักมวยปล้ำชื่อดังชาวอเมริกัน-ซามัว และเป็นญาติห่างๆกับเดอะร็อก ปัจจุบันเซ็นสัญญาปล้ำกับWWEในนาม โรแมน เรนส์ (Roman Reigns) เป็นนักมวยปล้ำที่ใช้ท่าสเปียร์ได้ดีที่สุดที่เคยมีมา ในปี 2012 เขาเปิดตัวในฐานะสมาชิกเดอะชีลด์พร้อมกับดีน แอมโบรสและเซท รอลลินส์ และยังเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท WWE 3สมัย และแชมป์ยูนิเวอร์แซล WWE นอกจากนี้เขายังเป็นนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเป็น \"Most Hated Wrestler of the Year\" (นักมวยปล้ำที่คนเกลียดที่สุดแห่งปี) โดย \"Pro Wrestling Illustrated\" และยังเป็น \"Most Overrated\" โดย \"Wrestling Observer Newsletter\" ประจำปี 2016", "title": "โรแมน เรนส์" } ]
303
ทองคำเปลวทำมาจากอะไร ?
[ { "docid": "321919#0", "text": "ทองคำเปลว (English: Gold leaf) คือทองที่ได้รับการตีแผ่จนเป็นแผ่นที่บางมาก ทองคำเปลวมักจะใช้สำหรับการปิดทอง (gilding) หรือปิดบนองค์พระพุทธรูปหรือสิ่งสักการะ ทองคำเปลวทำจากทอง โดยมีสีต่างๆ เกิดขึ้นตามองค์ประกอบของโลหะชนิดอื่นๆ ที่ผสมในกระบวนการผลิตทองคำเปลว มีตั้งแต่ 96.5%, 99% ไปจนถึง 99.99%", "title": "ทองคำเปลว" } ]
[ { "docid": "427894#0", "text": "ดาราทอง หรือ ทองเอกกระจัง เป็นขนมไทยชนิดหนึ่ง มีส่วนประกอบหลักคือขนมทองเอก (ทำจากแป้งสาลี ไข่แดง กะทิ และน้ำตาล) ปั้นเป็นทรงกลมแป้นเล็กน้อย บากให้เป็นร่อง ๆ คล้ายผลมะยมหรือผลฟักทอง แล้วนำไปวางบนจานแป้งเล็ก ๆ ที่ติดขอบด้วยเมล็ดแตงโมกวาดน้ำเชื่อม (กวาดให้น้ำตาลแห้งเกาะเมล็ดเป็นหนาม) จากนั้นประดับยอดด้วยแผ่นทองคำเปลวที่กินได้ ", "title": "ดาราทอง" }, { "docid": "9150#1", "text": "ถนนตีทองสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นถนนสายสั้น ๆ เชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนบำรุงเมือง ซึ่งเป็นถนนที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนสายนี้ตัดผ่านย่านของชุมชนที่มีอาชีพทำทองคำเปลว จึงเรียกว่า \"ถนนตีทอง\" โดยบรรพบุรุษของชาวชุมชนนั้นเป็นชาวลาวที่อพยพมาจากเวียงจันทร์และหลวงพระบาง ตั้งแต่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์", "title": "ถนนตีทอง" }, { "docid": "171289#13", "text": "ผู้รับใช้มีปีกแห่งรัตติกาลมีชื่อเป็นสมญานาม ผู้รับใช้ที่ระบุชื่อใน\"ศุกร์รัตติกาล\" ได้แก่ \nเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในโรงงานทำทองคำเปลว พลเมืองที่นี่จะใช้นามสกุล \"ทองแผ่น\" กันหมด หน้าที่ของพวกเขาคือหลอมทองและตีทองให้แบนเพื่อนำไปปิดตัวอักษร ตีเป็นแผ่นสำหรับจารึก และทองรูปอื่นๆ ความต้องการทองคำเปลวที่โรงงานต้องผลิตได้ทุกวันคือสี่พันคืบ อยู่ใต้การควบคุมของย่ำรุ่งของวันศุกร์เป็นลำดับแรก และเอลิบาเซ็ธเป็นลำดับที่สองคนผลักกระดาษทำงานอยู่ในท่าเรือและคลอง สวมชุดที่ทำจากกระดาษที่มีตัวอักษรเผื่อตกน้ำจะได้ไม่จม มีหน้าที่ขนส่งผู้โดยสารและบันทึกไปยังที่ต่างๆ ในบ้านเบื้องกลางโดยคลอง เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ขับเคลื่อนทางน้ำมีเกียรติสูงส่ง ซึ่งเป็นสมาคมพิเศษของคนผลักกระดาษไม่ขึ้นตรงต่อชั้นไหนๆ ของบ้านเบื้องกลาง เป็นอาชีพหนึ่งที่ผู้รับใช้ที่ถูกกินเครื่องแบบโดยพินัยกรรมส่วนที่ห้ามักมาทำงานเป็นพลเมืองที่อยู่บนที่ราบสูงบนสุด ส่วนใหญ่ตกมาจากบ้านเบื้องบน มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์แต่ก็เจ้าเล่ห์มากนักรบของบ้านเบื้องบน สวมรองเท้าหนังเทียมขึ้นเงากับกางเกงลายตาราง และแต่งตัวแบบแปลกๆ เช่น ใส่เอี๊ยมเปิดกระดุม และหมวกเบเร่ต์เอียงเป็นมุมเดียวกันทั้งหมด อาวุธของพวกเขาเป็นมีดปลายแหลมเล่มยาวซึ่งบรรจุแกนสุญญะเข้มข้น ทำให้อาวุธนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว เพราะสุญญะจะกัดกินอาวุธไปจนหมด นักรบเหล่านี้สามารถทำการรบบนท้องฟ้าได้ โดยติดปีกซึ่งมีแสงสว่างเหมือนดวงดาว พวกเขาได้รับคำสั่งให้ลงมายึดประตูฟ้า ซึ่งจะเป็นการขัดขวางการทำงานของแพ และกลุ่มผู้รับใช้แห่งรัตติกาลของบ้านเบื้องกลาง รวมไปถึงช่วยส่งกำลังหนุนจากบ้านเบื้องบนไปยังส่วนอื่นๆ ต่อไป อยู่ภายใต้การควบคุมของย่ำรุ่งของวันเสาร์เป็นนักรบที่ห้าวหาญที่สุดของบ้านเบื้องบน พวกเขาล้วนสวมเสื้อนอกสีดำตัวยาวสมัยศตวรรษที่ 19 สวมวิกผมยาวลงแป้งจนแข็ง มีอาวุธเป็นดาบซึ่งรูปร่างเหมือนปลายปากกาหมึกซึมซึ่งมีความใหญ่และยาวมาก ซูซี่บอกว่าพวกเขาสามารถดูดเอาตับไตไส้พุงออกมาได้เพียงแค่มองตามทีได้ยินเขาเล่ากันมา แต่ว่าพวกเขาทั้งหมดเสียชีวิตพร้อมกับย่ำค่ำของวันเสาร์ พ่ายแพในการชิงกุญแจดอกที่ห้าของปลอมจากคนเป่าปี่และเด็กของคนเป่าปี่ของเขา อยู่ภายใต้การควบคุมของย่ำค่ำของวันเสาร์ทำหน้าที่ล้างระหว่างหูเด็กของคนเป่าปี่ (อย่างไรก็ตามการล้างระหว่างหูหนูเติบโตไม่ประสบความสำเร็จ) พวกเขามาจากบ้านเบื้องบน และรับใช้วันเสาร์เลอเลิศ ผู้ดูแลห้องน้ำเป็นส่วนหนึ่งของผู้ตรวจสอบบัญชีภายใน (แต่ไม่ใช่ผู้ตรวจสอบบัญชีภายในทั้งหมดจะเป็นผู้ดูแลห้องน้ำทุกคน) ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของย่ำค่ำของวันเสาร์ การล้างระหว่างหูเด็กของคนเป่าปี่เป็นแผนการของวันเสาร์เพื่อการป้องกันไม่ให้เด็กของคนเป่าปี่คนใดกลายเป็นทายาทผู้ทรงสิทธิ์เด็ดขาดเนื่องจากเด็กของคนเป่าปี่ก็เป็นผู้รู้ตายเหมือนกัน พินัยกรรมสามารถเลือกใครคนใดคนหนึ่งเป็นทายาทผู้ทรงสิทธิ์ก็ได้ เป็นเด็กของคนเป่าปี่ที่ทำงานอยู่ในบ้านเบื้องบน ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายลูกบาศก์ห้องทำงานของพลเมือง ลิงหยอดน้ำมันมีหน้าที่หลายอย่าง ไม่ใช่หยอดน้ำมันอย่างเดียว แต่ทำทั้งขันสกรู ทำราง ฯลฯ รวมถึงการสร้างเส้ากระทุ้ง หัวหน้าของลิงหยอดน้ำมันแห่งกองซ่อมบำรุงโซ่และแรงเคลื่อนที่ยี่สิบเจ็ดมีชื่อว่า อาลีส (Alyse) พลเมืองหน้าเศร้าที่สอบตกจากการเรียนเวทมนตร์ พวกเขามีร่มประจำตัวเป็นร่มสีหม่นที่ถูกแมลงกัดแหว่งไปหมด พวกเขาเป็นพลเมืองมีลำดับความสำคัญต่ำสุด มีหน้าที่คอยจับตาดูเด็กของคนเป่าปี่ตลอดเวลา อยู่ภายใต้การควบคุมของยามเที่ยงของวันเสาร์", "title": "เจ้าหน้าที่ของบ้าน" }, { "docid": "290986#2", "text": "ภาพเหมือนของพระเจ้าเฮนรีเป็นภาพเหมือนที่เป็นเอกลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ยุโรปในยุ่คนั้น พระองค์ทรงวางท่าให้เขียนโดยปราศจากเครื่องยศศักดิ์ต่างๆ เช่นพระขรรค์, มงกุฎ หรือ คทาในการแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์เช่นที่ทำกันตามปกติ เพียงแต่ทรงวางพระองค์อย่างแสดงความสง่าและความมีอำนาจ พระองค์ทรงยืนด้วยพระวรกายที่สูงสง่าอย่างมีผู้มีความมั่นใจในตนเอง พระเนตรทอดตรงมายังผู้ดูภาพ พระชงฆ์กาง และพระกรอยู่ข้างพระองค์ในท่าที่ท้าทาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือถุงพระหัตถ์ อีกข้างอยู่เหนือกริชที่ห้อยอยู่จากบั้นพระองค์ เครื่องแต่งและฉากรอบพระองค์จัดอย่างหรูหราวิจิตร ภาพต้นฉบับใช้ทองคำเปลวในการตกแต่งเพื่อเน้นความหรูหรา สิ่งที่น่าสนใจคือรายละเอียดของการปักด้ายดำ (Blackwork Embroidery) พระเจ้าเฮนรีทรงเครื่องเพชรพลอยต่างๆ ที่รวมทั้งพระธำมรงค์ขนาดใหญ่หลายวง และสร้อยพระศอสองสาย ถุงคลุมของสงวน (codpiece) ชิ้นใหญ่และเครื่องหนุนพระพาหายิ่งช่วยในการส่งเสริมความเป็นชายผู้มีอำนาจของพระองค์มากขึ้น", "title": "ภาพเหมือนของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8" }, { "docid": "181706#1", "text": "ลายรดน้ำ เป็นลวดลายหรือภาพ รวมไปถึงภาพประกอบลายต่าง ๆ ที่ปิดด้วยทองคำเปลวบนพื้นรัก โดยขั้นตอนการทำสุดท้ายคือการเอาน้ำรด ให้ปรากฏเป็นลวดลาย จึงกล่าวได้ว่า “ลายรดน้ำ” คือ ลายทองที่ล้างด้วยน้ำ", "title": "ลายรดน้ำ" }, { "docid": "33487#7", "text": "มีบันไดทางขึ้นไปยังลานเนินเขาเชียงกุตระสี่ทาง ในแต่ละทางขึ้นมีรูปปั้นคล้ายสิงโตมีชื่อเรียกว่าชินเต ประดับไว้เป็นคู่หน้าทางขึ้นเพื่อปกปักรักษาองค์เจดีย์ตามความเชื่อ ทางทิศตะวันออกและทางใต้มีร้านขายธูปเทียน ทองคำเปลว หนังสือ และวัตถุมงคลต่าง ๆ", "title": "เจดีย์ชเวดากอง" }, { "docid": "322720#0", "text": "พระแม่มารีทองแห่งเอสเซิน () เป็นประติมากรรมของพระแม่มารีและพระบุตรที่มีแกนที่สลักจากไม้แล้วปิดด้วยทองคำเปลว พระแม่มารีทองแห่งเอสเซินเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติของมหาวิหารเอสเซินที่เดิมเป็นแอบบีเอสเซินในนอร์ดไรน์-เวสต์ฟาเลนในเยอรมนี และตั้งแสดงอยู่ในมหาวิหาร", "title": "พระแม่มารีทองแห่งเอสเซิน" }, { "docid": "254278#6", "text": "บริเวณหลายบริเวณในภาพใช้ทองคำเปลวและเงินในการตกแต่ง ทองใช้ในการตกแต่งบังเหียนซึ่งยังคงดูใหม่ ส่วนเงินใช้ตกแต่งเสื้อเกราะซึ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนที่ทำให้กลายเป็นสีเทาหรือดำ ภาพทุกภาพได้รับความเสียหายจากกาลเวลาและการซ่อมแซมสมัยต้น และบางส่วนก็หายไป", "title": "ยุทธการที่ซานโรมาโน (อุชเชลโล)" }, { "docid": "56370#2", "text": "ดิน ตะไคร่น้ำแห้ง ที่ใบเสมารอบพระอุโบสถวัดสวนตาล และทองคำเปลวบนองค์พระพุทธรูป พระเจ้าทองทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชา ถูกนำมาเป็นมวลสารใช้สร้างพระสมเด็จจิตรลดา\nและสรงน้ำ จัดขึ้นเป็นประจำในเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 13 เมษายน ทุกปี", "title": "วัดสวนตาล" }, { "docid": "171289#8", "text": "(อังกฤษ: The Guild of Gilding and Illumination) ประกอบด้วยพลเมืองทั้งหมดที่ทำงานอยู่ในทุ่งราบ มีหน้าที่เกี่ยวกับการปิดทอง เช่น หลอมทอง ตีทอง ปิดทอง เป็นต้น สถานที่ทำงานหลักคือโรงงานทำทองคำเปลว ซึ่งมีระบบการป้องกันที่ดี สถานที่อื่นๆ เช่น หอปกหน้าเป็นเลิศ อาคารของกิจกรรมนักวาดอักษรและฐานช่างริบบิ้น โดยมีที่พักผ่อนของพลเมืองอยู่ที่เมืองออเรียนเบิร์ก อยู่ห่างจากสถานที่ต่างๆ เท่ากันพอดี ควบคุมโดยย่ำรุ่งของวันศุกร์", "title": "เจ้าหน้าที่ของบ้าน" }, { "docid": "242865#12", "text": "ปัจจุบันนี้รูปหล่อของหลวงพ่อปานก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส ที่กุฏิของท่านซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง ซึ่งปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม ทองคำเปลวที่รูปหล่อก็มีคนนำไปปิดที่หน้าผากเพื่อรักษาโรค เป็นต้น", "title": "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ (ปาน อคฺคปญฺโญ)" }, { "docid": "159247#52", "text": "สมัยแห่งความก้าวหน้า (Progressive Era) เป็นสมัยที่สหรัฐมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในสหรัฐ แต่เป็นสมัยที่มีปัญหาทางสังคมสูง สมัยนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สมัยแห่งทองคำเปลว (Gilded Age) ตามวรรณกรรมของมาร์ค ทเวน (Mark Twain) เรื่อง \"The Gilded Age: A Tale of Today.\" ซึ่งเปรียบความเจริญก้าวหน้าของสหรัฐในสมัยนั้นว่าเสมือนเป็นทองคำเปลวฉาบหน้าซ่อนเร้นปัญหาความเสื่อมโทรมไว้ภายใน ", "title": "ประวัติศาสตร์สหรัฐ" }, { "docid": "41285#13", "text": "เมื่อได้หัวหุ่นที่ประดับลวดลายต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการการปั้นรักตีลาย โดยการใช้รักตีลายพิมพ์เป็นลวดลายละเอียด สำหรับประดับตามตำแหน่งบนกะโหลกที่ติดลวดลายประดับไว้แล้ว ใช้รักน้ำเกลี้ยงทาทับส่วนที่ทำเป็นลวดลายต่าง ๆ ที่ต้องการให้เป็นสีทองคำ ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทแล้วนำทองคำเปลวมาปิดทับให้ทั่ว ประดับกระจกหรือพลอยกระจกเพื่อให้เกิดประกายแวววาม กระจกที่ใช้เรียกว่ากระจกเกรียง ปัจจุบันหายากมาก ช่างทำหัวโขนจึงเลือกใช้พลอยกระจกประดับแทน จากนั้นเป็นการระบายสีและเขียนส่วนละเอียด ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำหัวโขน มักนิยมใช้สีฝุ่นผสมกาวกระถินหรือยางมะขวิด ที่มีคุณสมบัติสดใสและนุ่มนวล ในขั้นตอนของการการระบายสีและเขียนรูปลักษณ์บนใบหน้าของหัวโขน ช่างทำหัวโขนจะต้องลงสีตามแบบแผนอันเกี่ยวเนื่องกับชาติเชื้อเผ่าพงศ์ของหัวโขนนั้น ๆ ให้ถูกต้องอีกด้วย", "title": "หัวโขน" }, { "docid": "321919#1", "text": "ในปัจจุบันมีการนำทองคำวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้งานแทนทองคำเปลวที่ทำจากทองคำแท้เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่า โดยจะสังเกตความแตกต่างได้ง่ายเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ หากทองคำเปลวไม่ติดนิ้วมือและเป็นรอยขาด ลักษณะเป็นแผ่นบางๆแตกเป็นชิ้นๆ แสดงว่าเป็นทองคำวิทยาศาสตร์ และถ้าหากใช้นิ้วมือขยี้ทองคำเปลวแล้วติดมือแสดงว่าเป็นทองคำแท้ ข้อสังเกตอีกหนึ่งประการทองคำเปลวที่ผลิตจากทองคำแท้จะมีสีที่แวววาวกว่าทองคำเปลววิทยาศาสตร์", "title": "ทองคำเปลว" }, { "docid": "312358#11", "text": "ชั้น 3 ของสมาคมธรรมประทีปนั้นเป็นห้องพระใหญ่ ซึ่งสามารถจุจำนวนสมาชิกได้เกินกว่า 100 ที่นั่ง ห้องพระชั้น 3 นี้จะใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆทุกพิธีของสมาคม อาทิเช่น พิธีรับพระ-รับศีล พิธีแต่งงาน พิธีโทบะ หรือการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเช้า-เย็น รวมไปถึง การสวดมนต์เพื่อสันติสุขโลก(โชได) อีกด้วย และยังเป็นห้องสำหรับศึกษาธรรมอีกด้วย ในห้องพระชั้น 3 นี้มีตู้พระขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมไปถึงโงะฮนซนองค์ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยประดิษฐานอยู่ (ไม่นับรวมสมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย) ภายในตู้พระ(บุตสึดัน, Altar) สีทองขนาดใหญ่ ทำจากทองคำเปลว ที่ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในการเปิด-ปิดตู้พระด้วยรีโมทซึ่งผู้นำสวดจะเป็นผู้กดเพื่อเปิด-ปิด สมาชิกไม่มีสิทธิที่จะเปิด-ปิดด้วยตนเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า โงะฮนซนจะต้องถูกเก็บรักษาอย่างดีภายในไคดันที่สะอาดบริสุทธิ์", "title": "สมาคมธรรมประทีป" }, { "docid": "196746#4", "text": "การออกแบบภายใน มีรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ออกแบบโดย รศ.ดร. ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นท้องพระโรงในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการประดับด้วยเสาสดุมภ์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างทางเดิน ลงลายกระเบื้องเป็นดอกพิกุล ปลายเสาประดับด้วยบัวจงกลปิดทองคำเปลว พื้นและผนังจำลองมาจากกำแพงเมือง ประดับด้วยเสาเสมาของพระบรมมหาราชวัง เพดานเป็นลายฉลุแบบดาวล้อมเดือน ปิดทองคำเปลว นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการ แสดงวัตถุโบราณที่ขุดพบ เช่น ฐานรากของพระราชวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี", "title": "สถานีสนามไชย" }, { "docid": "52175#0", "text": "พระธาตุไจทีโย หรือ พระธาตุอินทร์แขวน (, ; , ) เป็นเจดีย์ที่จาริกแสวงบุญของพุทธศาสนิกชน ตั้งอยู่ในรัฐมอญ ประเทศพม่า เป็นพระเจดีย์ขนาดเล็ก () สร้างขึ้นบนก้อนหินแกรนิตที่ปิดด้วยทองคำเปลวโดยผู้ที่นับถือศรัทธา", "title": "พระธาตุไจทีโย" }, { "docid": "298623#12", "text": "งานโมเสกเป็นศิลปะตกแต่งบนพื้นราบโดยใช้ชิ้นหินหรือแก้วหลากสีฝังบนปูน งานโมเสกทองจะใช้การแปะแผ่นทองคำเปลวลงบนแผ่นกระจกใส และฝังด้านที่เป็นแผ่นทองคำเปลวลงบนปูน สีทองที่เห็นก็จะเป็นสีทองที่ลอดมาจากกระจกทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการขีดข่วนหรือการร่อน การใช้โมเสกสีทองมักจะใช้ในการสร้างฉากหลังของตัวรูปแบบที่ทำให้ภาพดูสว่างเรือง การฝังโมเสกทำได้บนพื้นผิวที่ราบเท่ากันที่แบนหรือโค้งที่มักจะใช้ในการตกแต่งเพดานโค้งหรือโดม คริสต์ศาสนสถานที่ตกแต่งด้วยโมเสกแทบทั้งสถานจะดูเหมือนเป็นห้องที่อาบด้วยภาพและลวดลายไปทั้งห้อง", "title": "พระคัมภีร์คนยาก" }, { "docid": "28773#10", "text": "ในปี พ.ศ. 2555 กรมศิลปากร ร่วมกับวัดราชนัดดารามวรวิหาร จัดโครงการบูรณะโลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม โดยการปิดทองคำเปลวบนยอดทั้ง 37 ยอด โดยเริ่มดำเนินการจากชั้นบนสุดลงมา คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2560", "title": "โลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร" }, { "docid": "224973#1", "text": "หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่ สิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 มีการบำเพ็ญกุศลพระศพที่ศาลา 10 วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร นับเป็นพระอนุวงศ์พระชันษายืนที่ทรงสิ้นชีพิตักษัยในรัชกาลที่9 ซึ่งก่อนหน้านี้หม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด จักรพันธุ์ สิ้นชีพิตักษัยก่อนหม่อมเจ้าทองคำเปลวเพียง 2 สัปดาห์ ปัจจุบันคงมีพระอนุวงศ์ไม่กี่พระองค์ที่ยังทรงพระชนม์", "title": "หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่" }, { "docid": "224973#0", "text": "หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่ ประสูติเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2455 เป็นพระโอรสลำดับที่ 22 ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ลำดับที่ 9 ที่ประสูติในหม่อมนวม ทองใหญ่ ณ อยุธยา มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดา 8 พระองค์ คือ", "title": "หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่" }, { "docid": "287307#0", "text": "ห้องอำพัน (, \"Yantarnaya komnata\", ) ตั้งอยู่ภายในพระราชวังแคทเธอรีนที่หมู่บ้านซาร์สโคเยอเซโลไม่ไกลจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นห้องที่ผนังที่ทำด้วยอำพันทั้งห้องตกแต่งด้วยทองคำเปลวและกระจก ความงามของห้องนี้ทำให้บางครั้งได้รับสมญาว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์ที่แปดของโลก”", "title": "ห้องอำพัน" }, { "docid": "304750#6", "text": "สิ่งที่เด่นอีกอย่างหนึ่งคือชั้นแท่นบูชา (Retable) แบบบาโรกที่เป็นไม้ทาทองที่สร้างปี ค.ศ. 1678 ไม่นานหลังจากการรื้อฟื้นอาราม ที่เป็นภาพ “แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์” สมบัติอื่นของอาราม ก็ได้แก่ “แม่พระและพระกุมาร” และ เรลิกที่เป็นแขนที่ทำด้วยไม้หุ้มด้วยเงินและทองคำเปลว", "title": "อารามโบลีเยอ-ซูร์-ดอร์ดอญ" }, { "docid": "321919#2", "text": "อย่างไรก็ตามทองคำเปลวได้ถูกนำมาใช้ในด้านต่างๆ เช่น ใช้ในทางการแพทย์ ด้านความสวยความงาม และถูกนำมาใช้ในการประกอบอาหาร เป็นต้น", "title": "ทองคำเปลว" }, { "docid": "321919#3", "text": "หมวดหมู่:ทองคำ หมวดหมู่:วัสดุสำหรับงานศิลปะ หมวดหมู่:ส่วนประกอบของอาหาร", "title": "ทองคำเปลว" }, { "docid": "299145#3", "text": "เทคนิคการเขียนเป็นจิตรกรรมสีฝุ่นเทมเพอรา โดยการบดรงควัตถุกับไข่แดงและทาบนสารเคลือบบางๆ ฉากหลังและรายละเอียดตกแต่งฝังด้วยทองคำเปลว และบางบริเวณก็มีการบากเข้าไปในผิวรูปส่วนที่เป็นทองเล็กน้อยเพื่อเพิ่มคุณลักษณะของภาพ แผงที่เป็นภาพพระแม่มารีและพระบุตร เครื่องแต่งกายเป็นสีน้ำเงินทั้งหมด ซึ่งมาจากรงควัตถุที่ทำจากหินมีค่าลาพิส ลาซูไล ฉลองพระองค์ของพระเจ้าริชาร์ดเป็นสีแดงชาดซึ่งเป็นสีที่มีค่าอีกสีหนึ่ง สีบางสีในภาพเปลี่ยนไปจากสีเดิม เช่นดอกกุหลาบบนผมของเทวดาเดิมเป็นสีชมพูแก่ และลานหญ้าที่กวางนอนบนภาพด้านนอกสีคร่ำกว่าเมื่อแรกเขียน", "title": "ฉากแท่นบูชาวิลทัน" }, { "docid": "264484#0", "text": "สีทอง หรือ ออร์ () เป็นภาษามุทราศาสตร์ (Heraldry) ที่บรรยายลักษณะของผิวตรา (Tincture) ที่เป็นสีทอง ที่อยู่ในกลุ่มผิวตราสีอ่อนที่เรียกว่ากลุ่ม “โลหะ” ถ้าเป็นการแกะพิมพ์ (engraving) “ทอง” ก็จะเป็นลายประที่เป็นจุดห่างจากกันเท่าๆ กัน “ออร์” มักจะปรากฏเป็นสีเหลือง แต่บางทีก็ใช้ทองคำเปลวถ้าเป็นภาพในหนังสือวิจิตร ", "title": "สีทอง (มุทราศาสตร์)" }, { "docid": "253128#1", "text": "ในสมัยโบราณนั้นได้มีการนำทองคำเปลวมาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มาประดับไว้ด้านบนของขนมทองเอก โดยใช้วิธีการวางแผ่นทองคำเปลววางไว้บนแม่พิมพ์ก่อนเทขนมทองเอกลงในแม่พิมพ์ แต่ปัจจุบันไม่มีการนำทองคำเปลวมาตกแต่งขนมทองเอก เนื่องจากทองคำเปลวเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้รับประทาน", "title": "ทองเอก" }, { "docid": "144889#34", "text": "ชั้นล่างสุดซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นสถานที่ตั้งของสมาคมวิชาชีพปิดทองประดับหน้าหนังสือ โรงงานสำคัญที่สุดคือโรงงานปิดทอง แล้วยังมีหอปกหน้าเป็นเลิศและอาคารอื่น ๆ รวมไปถึงเมืองพักผ่อนคือเมืองออเรียนเบิร์ก ซึ่งห่างจากโรงงานในระยะทางที่เท่ากัน ทุ่งราบเป็นที่ราบไหล่เขาซึ่งอยู่ต่ำที่สุด แถมยังไม่มีการดูแลทำให้อากาศพัง ทุ่งราบจึงตกอยู่ในความหนาวเย็นและไม่มีดวงอาทิตย์ตลอดหลายพันปี น้ำในคลองหลวงใหญ่อย่างยิ่งก็กลายเป็นน้ำแข็งแผ่จากตลิ่งเข้ามายังตรงกลาง มีระหัดวิดน้ำขนาดยักษ์สำหรับให้เครื่องตีทองแห่งโรงงานทำทองคำเปลว", "title": "บ้าน (อาณาจักรแห่งกาลเวลา)" } ]
3034
ใครเป็นผู้แต่งเรื่องสามก๊ก?
[ { "docid": "9800#11", "text": "เรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคสามก๊ก เคยมีผู้นำมาเล่าเป็นนิทานเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน และนำมาปรับปรุงเสริมแต่งเพื่อเล่นเป็นงิ้วในเมืองจีน จนกระทั่งหลัว กวั้นจง นักปราชญ์จีนในสมัยยุคราชวงศ์หมิง ในปี พ.ศ. 1911 - พ.ศ. 2186 ได้นำสามก๊กมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้งในรูปแบบของหนังสือ ต่อมาภายหลังเม่าจงกังและกิมเสี่ยถ่าง (จิ้นเสิ้งทั่น) ได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนของสามก๊กและนำไปตีพิมพ์ในจีน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อของ \"สามก๊ก\" ได้กลายเป็นวรรณกรรมอมตะที่ได้รับการกล่าวขานและแพร่หลายในจีน รวมทั้งอีกหลาย ๆ ประเทศและได้รับการตีพิมพ์ในรูปแบบภาษาต่าง ๆ หลายภาษา[5]", "title": "สามก๊ก" } ]
[ { "docid": "882845#59", "text": "ใน\"จดหมายเหตุสามก๊ก\" บทชีวประวัติโจโฉได้บันทึกว่าโจโฉเสียชีวิตที่เมืองลกเอี๋ยงในปี ค.ศ. 220 ขณะอายุได้ 66 ปี (นับอายุแบบจีน). ส่วนบทชีวประวัติฮัวโต๋ได้บันทึกว่าโจโฉสั่งประหารฮัวโต๋เมื่อฮัวโต๋ปฏิเสธที่จะรักษาอาการปวดศีรษะเรื้อรังของโจโฉ ต่อมาโจโฉเสียใจที่สั่งประหารฮัวโต๋ไป เพราะบุตรของโจโฉชื่อโจฉอง (เฉาชง) ป่วยเสียชีวิตขณะอายุยังน้อย และโจโฉเชื่อว่าถ้าฮัวโต๋ยังอยู่คงสามารถรักษาโจฉองได้ บทชีวประวัติฮัวโต๋ไม่ได้ระบุปีที่ฮัวโต๋เสียชีวิต แต่อนุมานได้ว่าฮัวโต๋เสียชีวิตก่อนปี ค.ศ. 208 ซึ่งเป็นปีที่โจฉองเสียชีวิต ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวรรณกรรม\"สามก๊ก\"จึงเป็นเรื่องที่แต่งเสริมขึ้นมา", "title": "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสามก๊ก" }, { "docid": "251471#3", "text": "นอกจากบทความแล้ว เธอยังมีรวมเรื่องสั้นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากฉาก ตัวละคร และข้อคิดต่างๆจากสามก๊ก คือ \"ขงเบ้งเจอคนบ้า\" และนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ซึ่งเล่าเรื่องชีวิตของผู้แต่งสามก๊ก หลอ กว้านจง \"เงาฝันของผีเสื้อ\" ซึ่งทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลซีไรต์ปี 2552", "title": "เอื้อ อัญชลี" }, { "docid": "84540#0", "text": "สามก๊ก มหาสนุก เป็นงานเขียนการ์ตูนเรื่องยาวจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนเรื่อง สามก๊ก (แต่งโดย หลอกว้านจง) โดย สุชาติ พรหมรุ่งโรจน์ (หมู นินจา) ตีพิมพ์ในนิตยสารมหาสนุกตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จนถึง พ.ศ. 2550 ได้พิมพ์รวมเล่มเป็นการ์ตูนสีรวมทั้งหมด 45 เล่ม และบริษัทวิธิตาได้นำเรื่องสามก๊กมาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นมาแล้ว 2 ภาค ออกฉายทางช่อง 7 ล่าสุดได้รับการแปลเป็นภาษาเกาหลีแล้ว ซึ่งจัดจำหน่ายโดย บริษัท พีเอ็มจี โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ซัมซุง บุ๊ค พับลิเชอร์", "title": "สามก๊ก มหาสนุก" }, { "docid": "23806#7", "text": "จูล่ง ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่ผู้อ่านสามก๊กโดยส่วนมาก โปรดปราน ชื่นชมมากที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมดในเรื่อง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์การแต่งกายสง่างาม ฝีมือสัประยุทธ์เป็นเลิศ และมีความซื่อสัตย์ ทำการโดยไม่เห็นแก่ลาภยศ พร้อมมีสติปัญญาเป็นเยี่ยม", "title": "จูล่ง" }, { "docid": "23803#3", "text": "ในทางวัฒนธรรมแล้ว สืบเนื่องความโด่งดังของนวนิยายสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 เรื่อง สามก๊ก หลิว เป้ย์ จึงได้รับการมองว่า เป็นผู้ปกครองที่โอบอ้อมอารี รักใคร่ปวงประชา และเลือกสรรคนดีเข้าปกครองบ้านเมือง เรื่องแต่งเหล่านี้เป็นไปเพื่อยกตัวอย่างเชิงสดุดีผู้ปกครองที่ยึดมั่นคุณธรรมแบบขงจื๊อ แต่ในทางประวัติศาสตร์แล้ว หลิว เป้ย์ ยึดถือเล่าจื๊อมากกว่า เฉกเช่นเดียวกับผู้ปกครองหลาย ๆ คนแห่งราชวงศ์ฮั่น ทั้งเขายังเป็นนักการเมืองที่ชาญฉลาด เป็นผู้นำที่ความสามารถฉายออกมาในแบบนักนิตินิยม ความนับถือขงจื๊อของหลิว เป้ย์ นั้นได้รับการแต่งเติมมากกว่าของคู่แข่งอย่างเฉา พี/โจผี (曹丕) กับซุน เฉวียน/ซุนกวน (孫權) ผู้ซึ่งบริหารบ้านเมืองอย่างนิตินิยมเต็มรูปแบบ", "title": "เล่าปี่" }, { "docid": "882845#35", "text": "เหตุการณ์นี้ไม่มีการบันทึกไว้ใน \"จดหมายเหตุสามก๊ก\" เป็นเรื่องที่เสริมแต่งขึ้นมา", "title": "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสามก๊ก" }, { "docid": "743196#2", "text": "เมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทยสองเรื่อง คือ เรื่องไซ่ฮั่น เรื่องหนึ่ง กับเรื่องสามก๊ก เรื่องหนึ่ง โปรดให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังหลัง ทรงอำนวยการแปลเรื่องไซ่ฮั่น แลให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลเรื่องสามก๊ก คำที่เล่ากันมาดังกล่าวนี้ไม่มีในจดหมายเหตุ แต่เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นมีหลักฐานควรเชื่อได้ว่า เป็นความจริง ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเอาเป็นพระราชธุระขวนขวายสร้างหนังสือต่าง ๆ ขึ้นเพื่อประโยชน์สำหรับพระนคร หนังสือซึ่งเป็นต้นฉบับตำรับตำราในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ทั้งที่รวบรวมของเก่า ที่แต่งใหม่ แลที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๑ มีมาก แต่ว่าในสมัยนั้นเป็นหนังสือเขียนในสมุดไทยทั้งนั้น ฉบับหลวงมักมีบานแพนกแสดงว่าโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปีใด แต่หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กสองเรื่องนี้ต้นฉบับที่ยังปรากฏอยู่มีแต่ฉบับเชลยศักดิ์ขาดบานแพนกข้างต้น จึงไม่มีลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญว่าแปลเมื่อใด ถึงกระนั้นก็ดี มีเค้าเงื่อนอันส่อให้เห็นชัดว่า หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กแปลเมื่อในรัชกาลที่ ๑ ทั้งสองเรื่อง เป็นต้นว่า สังเกตเห็นได้ในเรื่องพระอภัยมณีที่สุนทรภู่แต่งซึ่งสมมุติให้พระอภัยมณีมีวิชาชำนาญในการเป่าปี่ ก็คือ เอามาแต่เตียวเหลียงในเรื่องไซ่ฮั่น ข้อนี้ยิ่งพิจารณาดูคำเพลงปี่ของเตียวเหลียงเทียบกับคำเพลงปี่ของพระอภัยมณีก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ถ่ายมาจากกันเป็นแท้ ด้วยเมื่อรัชกาลที่ ๑ สุนทเรื่องสามก๊กนั้นเป็นนิทานที่ใช้เล่าและเล่นเป็นงิ้วในเมืองจีนมาแต่ก่อน ปราชญ์จีนชื่อ ล่อกวนตง ในยุคราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911 - 2186) จึงได้เขียนเรียบเรียงเป็นหนังสือ ต่อมาเม่าจงกัง และ กิมเสี่ยถ่าง ได้แต่งเพิ่มและนำไปตีพิมพ์ ตั้งแต่นั้นจึงได้แพร่หลายขึ้น และแปลเป็นภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ของไทยนั้นแปลในปี พ.ศ. 2345 โดยซินแสผู้รู้ภาษาจีนได้แปลออกมาให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรียบเรียงเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับภาษาจีนหรือแม้แต่ภาษาอังกฤษ เนื้อความหลายตอนจึงคลาดเคลื่อนกันบ้าง ซึ่งหาเทียบได้จากฉบับที่ สังข์ พัฒโนทัย แปลออกมาในตำราพิชัยสงครามสามก๊ก หรือในสามก๊กฉบับวณิพก ของยาขอบ ซึ่งเทียบจากฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์ แต่เนื้อความภาษาจีนเป็นอย่างไรหรือเรื่องจริงเป็นอย่างไรมิใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสามก๊กฉบับภาษาไทยนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเพชรเม็ดงามทางร้อยแก้วในวงวรรณกรรมไทย นอกจากสำนวนภาษาแล้ว เนื้อเรื่องยังได้แสดงตัวละครในลักษณะที่มีความซับซ้อนหลากหลาย ความเปลี่ยนแปรในจิตใจของมนุษย์ ตลอดจนเบื้องหลังอุปนิสัยตัวละครที่สัมพันธ์อย่างยิ่งกับการเดินเรื่อง สามก๊กจึงเป็นยอดในแบบของนิยายที่แสดงให้เห็นชีวิตโดยเหตุนี้", "title": "สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)" }, { "docid": "178114#3", "text": "ซึ่งทำให้ผู้ชมไม่ทราบว่าจูล่งตายหรือไม่สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร เป็นสามก๊กฉบับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2551 เช่นเดียวกับ \"สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ\" ของจอห์น วู แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ไปทางลบ เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เจาะเฉพาะตัวละครเอกคือ จูล่ง เพียงคนเดียว โดยเล่าเรื่องราวของจูล่งตั้งแต่หนุ่มยันแก่ อีกทั้งเนื้อเรื่องก็มิได้เป็นไปตามวรรณกรรมด้วย มีตัวละครหลายตัวที่ถูกแต่งขึ้นมา เช่น โจอิง หรือ หลอผิงอัน เป็นต้น อีกทั้งหลายส่วนในเรื่องก็ไม่เป็นไปตามวรรณกรรม เช่น ชุดเกราะของจูล่งที่ในวรรณกรรมระบุว่าสวมเกราะสีเงิน แต่ในภาพยนตร์กลับสวมเกราะที่มีลักษณะคล้ายเกราะของซามูไรมากกว่า จึงทำให้ในเว็บไซต์ IMDb ให้เครดิตภาพยนตร์เรื่องนี้เพียง 5.7 ดาว จาก 10 ดาวเท่านั้น", "title": "สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร" }, { "docid": "882845#0", "text": "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสามก๊ก แสดงรายการเนื้อเรื่องที่แต่งเสริมขึ้นในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก เรียงตามลำดับเหตุการณ์ พร้อมอธิบายความแตกต่างระหว่างเนื้อเรื่องในวรรณกรรมและข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์", "title": "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสามก๊ก" }, { "docid": "32898#3", "text": "ล่อกวนตงเป็นผู้แต่งนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก และได้ชื่อว่าเป็นผู้ปรับปรุงเรื่อง 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน ซึ่งนับเป็น 2 ใน 4 สุดยอดวรรณกรรมจีน (อีกสองเรื่องคือ ไซอิ๋ว และความฝันในหอแดง)", "title": "ล่อกวนตง" }, { "docid": "250515#0", "text": "ตันซิ่ว (; ) หรือ เฉินโซ่ว เป็นนักประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์จิ้น และเป็นผู้แต่งจดหมายเหตุสามก๊ก เกิดที่เมืองหนานจง มณฑลเสฉวนในปี พ.ศ. 776 ซึ่งอยู่ยุคสามก๊ก และได้รับราชการกับจ๊กก๊ก ภายหลังวุยก๊กได้ยึดจ๊กก๊ก ตันซิ่วได้ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่วุยก๊ก ต่อมา สุมาเอี๋ยนขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าจิ้นหวู่ตี้ จึงทรงให้ตันซิ่วเป็นผู้ชำระประวัติศาสตร์ในยุคสามก๊กในชื่อว่า \"จดหมายเหตุสามก๊ก\"", "title": "ตันซิ่ว" }, { "docid": "57545#0", "text": "จิวยี่ (; ) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในยุคสามก๊ก แม่ทัพคนสำคัญของง่อก๊ก ขุนพลผู้ปราดเปรื่อง และเป็นคู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง เป็นชาวเมืองลู่เจียนซู เกิดในครอบครัวขุนนางเก่า มีชื่อรองว่า กงจิน (公瑾) ลักษณะเป็นบุรุษรูปงาม หน้าขาว เมื่อวัยเด็กได้เรียนรู้วิชาอย่างแตกฉาน ทั้งการทหาร และศิลปะแขนงต่าง ๆ โดยจิวยี่เป็นผู้ชำนาญทางดนตรี กล่าวกันว่า ถ้าใครดีดพิณผิดแม้นิดเดียว ใครต่อใครจับไม่ได้ แต่จิวยี่สามารถจับได้ จิวยี่เป็นผู้มีนิสัยโอบอ้อม มีน้ำใจต่อเพื่อนฝูง ดังนี้ จึงมีผู้ที่เคารพนับถือเป็นมิตรสหายมากมาย ", "title": "จิวยี่" }, { "docid": "23803#7", "text": "เล่าปี่ถือได้ว่าเป็นตัวละครเอกในเรื่องสามก๊ก โดยล่อกวนตง มีลักษณะของผู้มีคุณธรรมอย่างเต็มเปี่ยม ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร ไม่เคยใช้เล่ห์กลในทางมิชอบ ซึ่งตรงข้ามกับโจโฉ โดยสิ้นเชิง เป็นผู้ที่นบน้อมต่อคนทุกชนชั้น จึงได้รับการเรียกขานจากยาขอบ ว่า \"ผู้พนมมือแด่ชนทุกชั้น\"", "title": "เล่าปี่" }, { "docid": "59039#3", "text": "หงสาจอมราชันย์ เป็นเรื่องที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมสามก๊กของ หลอ กว้านจง เนื่องจากบันทึกสามก๊กหลายส่วนมีความคลุมเครือ จึงเป็นช่องให้มีการเสริมแต่งเรื่องราวได้จากการอ้างอิงประวัติศาสตร์ เช่น การที่สกุลพ่อค้าที่ทรงอิทธิพล จะชุบเลี้ยงกองทหารและมือสังหาร ในเรื่องจึงให้สกุลสุมามีกลุ่มมือสังหารชื่อซากทัพ ซึ่งรับคนพิการให้มาฝึกเป็นสมาชิก และคอยกระทำการเบื้องหลังประวัติศาสตร์ เช่น การลอบสังหารบุคคลสำคัญ", "title": "หงสาจอมราชันย์" }, { "docid": "9800#113", "text": "สามก๊ก ฉบับตำราพิชัยสงคราม แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยโดย สังข์ พัธโนทัย ลักษณะการแปลเป็นการรวบรวมเอาตัวละครเด่น ๆ ของเรื่อง มาสรุปเป็นตัวๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่จุดเสื่อมราชวงศ์ฮั่น ตั๋งโต๊ะยึดอำนาจ ฯลฯ ไปจนถึงอวสานยุคสามก๊กและมีการอ้างอิงตัวละครทั้งหมดในท้ายเล่ม มีการเทียบเสียงจีนกลาง แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบรายชื่อตัวละครและสถานที่สำคัญในเนื้อเรื่อง นอกจากนี้สามก๊ก ฉบับตำราพิชัยสงคราม ยังเได้รับยอมรับว่า เป็นหนังสือเล่มแรกที่ผู้คิดเริ่มอ่านสามก๊ก ควรอ่านก่อนสามก๊กฉบับอื่น ๆ เพราะอ่านง่ายและสรุปเรื่องได้ดี ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประดู่ลาย", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#107", "text": "สามก๊กฉบับหลัว กวั้นจงได้มีการแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2345 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งมีพระราชดำริให้จัดแปลพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ไซ่ฮั่น และแปลพงศาวดารมอญเรื่องราชาธิราช เพื่อให้คนไทยได้ใช้ศึกษาเป็นตำราพิชัยสงคราม โดยมอบหมายให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้อำนวยการแปลสามก๊ก มีความยาวทั้งสิ้น 95 เล่มสมุดไทย ซึ่งได้รับการสันนิษฐานว่าเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ไม่ได้แปลสามก๊กจากต้นฉบับทั้งหมด เนื่องจากการใช้สำนวน ภาษา และรูปแบบการแปลในตอนท้ายเรื่องเป็นคนละสำนวนกับตอนต้นเรื่อง สามก๊กฉบับนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือแบบฝรั่งครั้งแรกโดยโรงพิมพ์หมอบรัดเล มีจำนวน 4 เล่มจบ เมื่อปี พ.ศ. 2408 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว [20] ซึ่งต่อมากลายเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และถูกนำมากล่าวถึงในบทละครนอกเรื่องคาวี ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ความว่า", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "841473#0", "text": "ยุทธการที่ด่านแฮบังก๋วน () สงครามใน ยุคสามก๊ก ที่เป็นความขัดแย้งระหว่าง เล่าปี่ และ เตียวฬ่อ ซึ่งสงครามครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งเป็นสามก๊กอย่างชัดเจนในเวลาต่อมา ยุทธการครั้งนี่ไม่ปรากฏว่าอยู่ในจดหมายเหตุสามก๊ก จึงสันนิษฐานกันว่ายุทธการครั้งนี้น่าจะเป็นเพียงเรื่องแต่งเท่านั้น", "title": "ยุทธการที่ด่านแฮบังก๋วน" }, { "docid": "9800#126", "text": "สามก๊ก เป็นวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีผู้นำไปตีความในแง่มุมต่าง ๆ เกิดเป็นหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกับสามก๊กอีกมากมาย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนหนังสือชุด \"สามก๊ก ฉบับนายทุน\" ขึ้นเป็นทำนองล้อเลียนฉบับวณิพกของยาขอบ โดยตีความเรื่องราวในวรรณกรรมสามก๊กไปในทางตรงกันข้าม ด้วยสมมุติฐานว่าผู้เขียนเรื่องสามก๊กตั้งใจจะยกย่องฝ่ายเล่าปี่เป็นสำคัญ หากผู้เขียนเป็นฝ่ายโจโฉเรื่องก็อาจบิดผันไปอีกทางหนึ่ง งานเขียนที่สืบเนื่องจากสามก๊กของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ได้แก่ โจโฉนายกตลอดกาลและ เบ้งเฮ็กผู้ถูกกลืนทั้งเป็น ซึ่งในหนังสือเล่มหลังนี้นำเสนอแนวคิดว่าแท้จริงแล้วเบ้งเฮ็กอาจจะเป็นบรรพบุรุษของคนไทยที่อพยพหนีลงมาจากสงครามก็ได้", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#21", "text": "ซันกั๋วจือผิงฮว่า เป็นการนำเอาหลักการความเชื่อในด้านศาสนาและลัทธิเต๋าของจีนมาผสมผสานไว้ในเนื้อเรื่อง ผูกโยงร่วมกับนิทานพื้นบ้านของจีนเรื่องไซ่ฮั่น โดยสมมุติเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในซันกั๋วจือผิงฮว่าใหม่ทั้งหมด ซึ่งตัวละครในแต่ละตัวจะพบผลกรรมที่ตนเองได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้ในยุคไซ่ฮั่นเช่น มีการแต่งเนื้อเรื่องเพิ่มเติมว่าฮั่นสินได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นโจโฉ เล่าปังหรือพระเจ้าฮั่นโกโจ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่นพระองค์แรก กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ เนื่องจากในชาติที่แล้ว เล่าปังได้เนรคุณฮั่นสินที่มีบุญคุณต่อตนเองภายหลังจากได้ช่วยให้ครอบครองแผ่นดินได้สำเร็จ เมื่อกลับมาเกิดใหม่เป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงถูกฮั่นสินที่กลับมาเกิดเป็นโจโฉกดขี่ข่มเหงและกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา หรือแม้แต่สุมาต๋ง ก็ได้หวนกลับมาเกิดใหม่เป็นสุมาอี้ ผู้วางรากฐานจีนแผ่นดินใหญ่และการรวบรวมก๊กต่าง ๆ ทั้งสามก๊กให้เป็นแผ่นดินเดียวกันได้สำเร็จ", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#137", "text": "สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกรนำแสดงโดย หลิวเต๋อหัว, แม็กกี้ คิว, หงจินเป่า, แวนเนส วู, แอนดี้ อัง, ตี้หลุง กำกับการแสดงโดย แดเนียล ลี ความยาว 102 นาที ออกฉายเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551 ในประเทศไทยฉายวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551 สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกรได้รับเสียงวิจารณ์ไปทางลบเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เป็นการเจาะเฉพาะตัวละครเอกของเรื่องคือจูล่งเพียงคนเดียว โดยเป็นการเล่าเรื่องราวประวัติของจูล่งตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงวัยชรา รวมทั้งเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ก็ไม่ได้เป็นไปตามวรรณกรรมอีกด้วย และมีตัวละครหลายตัวที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะเช่น โจอิง หรือ หลอผิงอัน เป็นต้น และอีกหลายส่วนในเรื่องก็ไม่เป็นไปตามวรรณกรรมเช่นชุดเกราะของจูล่งที่ในวรรณกรรมระบุว่าสวมเกราะสีเงิน แต่ในภาพยนตร์กลับสวมเกราะที่มีลักษณะคล้ายเกราะของซามูไรมากกว่า จึงทำให้ในเว็บไซต์ IMDb ให้เครดิตภาพยนตร์เรื่องนี้เพียง 5.7 ดาว จาก 10 ดาวเท่านั้น", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "882845#1", "text": "วรรณกรรมเรื่องสามก๊กมีเนื้อหาที่อิงมาจากประวัติศาสตร์ปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกต่อยุคสามก๊ก ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จึงทำให้ผู้อ่านหลายคนเข้าใจผิดว่าเนื้อเรื่องที่ปรากฏในวรรณกรรมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในยุคสามก๊ก แหล่งข้อมูลของประวัติศาสตร์ยุคสามก๊กที่เชื่อถือได้มากที่สุดคือ\"จดหมายเหตุสามก๊ก\" (\"ซันกั๋วจื้อ\"หรือ\"สามก๊กจี่\") ที่เขียนโดยตันซิ่ว และเพิ่มอรรถาธิบายโดยเผยซงจือ แหล่งข้อมูลอื่นๆที่ครอบคลุมประวัติศาสตร์ในยุคสามก๊กได้แก่ \"โฮ่วฮั่นซู\" (จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นยุคหลัง) ของฟ่านเย่ และ \"จิ้นซู\" (จดหมายเหตุราชวงศ์จิ้น) ของฝางเสฺวียนหลิ่ง ด้วยความที่วรรณกรรมเรื่องสามก๊กเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ เนื้อเรื่องหลายส่วนจึงเป็นเนื้อเรื่องที่แต่งเสริมขึ้น หรือนำมาจากนิทานพื้นบ้าน หรืออิงมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคอื่นๆของประวัติศาสตร์จีน", "title": "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสามก๊ก" }, { "docid": "23804#0", "text": "กวนอู เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง \"สามก๊ก\" ที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก เกิดเมื่อวันที่ 24 เดือนมิถุนายน จีนศักราชเอี่ยงฮี ปี พ.ศ. 704 ในรัชกาลฮั่นฮวนเต้ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 เดือนกรกฎาคม จีนศักราชเคี่ยงเซ้ง ปี 763 ในรัชกาลฮั่นเหี้ยนเต้ มีชื่อรองว่า \"หุนเตี๋ยง\" (; ) เป็นชาวอำเภอไก่เหลียง ลักษณะตามคำบรรยายในวรรณกรรมสามก๊ก กวนอูเป็นผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ 9 ฟุตจีนหรือประมาณ 6 ศอก ใบหน้าแดงเหมือนผลพุทราสุก นัยน์ตายาวรี คิ้วดั่งหนอนไหม หนวดเครางามถึงอก มีง้าวรูปจันทร์เสี้ยว ยาว 11 ศอก หนัก 82 ชั่ง เป็นอาวุธประจำกายเรียกว่า ง้าวมังกรเขียว หรือง้าวมังกรจันทร์ฉงาย ในจินตนาการของศิลปินมักวาดภาพหรือปั้นภาพให้กวนอูแต่งกายด้วยชุดสีเขียวและมีผ้าโพกศีรษะ กวนอูมีความเชี่ยวชาญและเก่งกาจวิทยายุทธ จงรักภักดี กตัญญูรู้คุณ มีคุณธรรมและซื่อสัตย์เป็นเลิศ", "title": "กวนอู" }, { "docid": "642911#6", "text": "\"ลักษณะการแปลหนังสือจีนเป็นภาษาไทยแต่โบราณ (หรือแม้จนชั้นหลังมา) อยู่ข้างลำบาก ด้วยผู้รู้หนังสือจีนไม่มีใครชำนาญภาษาไทย ผู้ชำนาญภาษาไทยก็ไม่มีใครรู้หนังสือจีน การแปลจึงต้องมีพนักงานเป็นสองฝ่ายช่วยกันทำ ฝ่ายผู้ชำนาญหนังสือจีนแปลความออกให้เสมียนจดลง แล้วผู้ชำนาญภาษาไทยเอาความนั้นเรียบเรียงแต่งเป็นภาษาไทยให้ถ้อยคำแลสำนวนความเรียบร้อยอีกชั้นหนึ่ง [...] แต่สำนวนแปลคงจะไม่สู้ตรงกับสำนวนที่แต่งไว้ในภาษาจีนแต่เดิม เพราะผู้แปลมิได้รู้สันทัดทั้งภาษาจีนแลภาษาไทยรวมอยู่ในคนเดียวเหมือนเช่นแปลหนังสือฝรั่งกันทุกวันนี้\"", "title": "เลียดก๊ก" }, { "docid": "359860#0", "text": "บุปผาในกุณฑีทอง ( \"จินผิงเหมย์\"; ) เป็นวรรณกรรมจีนที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง อ้างตามฉบับพิมพ์สมัยราชวงศ์หมิงในรัชสมัยของจักรพรรดิเสินจง ศักราชว่านลี่ ปีติงซื่อ (ปีที่ 45 ของรัชกาล) ผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ใช้นามปากกาว่า \"บัณฑิตแห่งสุสานกล้วยไม้ผู้ยิ้มเยาะ\" (; The Scoffing Scholar of Lanling) เดิมนับเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับนวนิยายอีกสามเรื่อง คือ สามก๊ก ซ้องกั๋ง และไซอิ๋ว เรียกรวมกันว่า \"สี่วรรณกรรมอันยิ่งใหญ่\" (四大奇書,四大奇书) แต่ต่อมาเรื่อง \"จินผิงเหมย์\" ถูกต่อต้าน เพราะพรรณนาบทสังวาสจำนวนมากจนถูกเรียกว่าเป็นหนังสือโลกีย์ จึงมีการจัดให้ \"ความฝันในหอแดง\" นิยายอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนแทน", "title": "บุปผาในกุณฑีทอง" }, { "docid": "9800#29", "text": "Template:CJKV) เป็นสามก๊กฉบับนิยายที่ประพันธ์โดยหลัว กวั้นจง นักปราชญ์ในสมัยราชวงศ์หมิง ผู้เป็นศิษย์เอกของซือไน่อัน หลัว กวั้นจงเป็นผู้นำเอาจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่วมาเรียบเรียงใหม่ โดยแต่งเสริมเพิ่มเติมในบางส่วนจากความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของตนเอง รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของจีนให้กลายเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เป็นการต่อสู้กันเองระหว่างฝ่ายคุณธรรมและฝ่ายอธรรมตามแบบฉบับของงิ้ว ที่จะต้องมีการกำหนดตัวเอกและตัวร้ายอย่างชัดเจนในเนื้อเรื่อง", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "153816#0", "text": "กองซุนจ้าน มีชื่อในสำเนียงจีนกลางว่ากงซุนจ้าน (; ) มีชื่อรองว่า โป๋กุย () เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก เจ้าเมืองปักเป๋ง กองทัพส่วนใหญ่ของกองซุนจ้านส่วนใหญ่ขี่ม้าสีขาว เนื่องจากกองซุนจ้านปราบพวกชนเผ่าพื้นเมืองเกียง เข้าผนวกทัพของตน กองซุนจ้านเป็นเพื่อนกับเล่าปี่มาตั้งแต่ครั้งยังเรียนหนังสือด้วยกัน ในสงครามปราบตั๋งโต๊ะ ในที่ประชุมพล อ้วนเสี้ยวถามว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังกองซุนจ้านเป็นใคร กองซุนจ้านจึงแนะนำว่า ผู้นี้เป็นสหายข้าพเจ้า ชื่อเล่าปี่ เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น บรรดาขุนพลจึงได้รู้จักเล่าปี่เป็นครั้งแรก และเป็นที่มาของวีรกรรมกวนอู เมื่ออาสาตัดหัวฮัวหยงได้โดยที่สุราที่โจโฉรินอวยพรให้ ยังอุ่น ๆ อยู่", "title": "กองซุนจ้าน" }, { "docid": "882845#31", "text": "ปราสาทตั้งเซ็กไต๋หรือปราสาทนกยูงทองแดง (銅雀臺) ถูกสร้างขึ้นในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 210 สามปีหลังศึกเซ็กเพ็ก และบทกวีของโจสิด \"ชมปราสาทตั้งเซ็กไต๋\" ถูกเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 212 สองปีหลังจากปราสาทได้ถูกสร้างขึ้น นอกจากนี้ในวรรณกรรม \"สามก๊ก\"ยังได้เพิ่มเติมบทกวีไปอีก 7 วรรคที่ไม่มีในบทกวีที่ปรากฏในบทชีวประวัติโจสิดใน \"จดหมายเหตุสามก๊ก\" ดังนั้นเรื่องราวในวรรณกรรม\"สามก๊ก\"ที่ขงเบ้งใช้บทกวียั่วยุจิวยี่ให้โกรธโจโฉจึงเป็นเรื่องที่แต่งเสริมขึ้นมา", "title": "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสามก๊ก" }, { "docid": "23860#0", "text": "ลิโป้ (; ;ค.ศ.155 — ค.ศ. 198) เป็นยอดนักรบผู้ที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในยุคสามก๊ก หรือเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม มีร่างที่สูงใหญ่กำยำ มีสำนวนในสามก๊กกล่าวไว้ว่า “ หยืนจงหลี่ปู้ หม่าจงชื่อทู่ ” ความหมายของประโยคนี้คือ \"ยอดคนต้องลิโป้ ยอดม้าต้องเซ็กเธาว์\" ความแข็งแกร่งที่กลายเป็นตำนาน ในฐานะของนักรบที่เก่งที่สุดในแผ่นดินยุคสามก๊ก ทั้งยังได้รับการกล่าวว่าเป็นผู้ชำนาญศึกอย่างยิ่ง แม้แต่ เล่าปี่, กวนอู และเตียวหุย ที่ร่วมมือกันสู้รบกับลิโป้ก็ยังไม่สามารถเอาชนะลิโป้ได้ โดยที่ตราบใดที่เขายังถือทวนกรีดนภา และนั่งอยู่บนหลังม้าเซ็กเธาว์ ก็ไม่มีใครล้มเขาลงได้ ", "title": "ลิโป้" }, { "docid": "883845#0", "text": "รายชื่อตัวละครสมมติในยุคสามก๊ก แสดงรายชื่อของบุคคลที่เป็นตัวละครสมมติที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนในยุคสามก๊ก รายชื่อประกอบด้วยตัวละครสมมติที่ปรากฏในวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนเรื่อง\"สามก๊ก\"ของล่อกวนตง (คือเป็นตัวละครที่แต่งเสริมขึ้นมา ไม่ปรากฏชื่อในหลักฐานทางประวัติศาสตร์) และชื่อของตัวละครสมมติที่ปรากฏในแหล่งอื่นที่อิงประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก", "title": "รายชื่อตัวละครสมมติในยุคสามก๊ก" } ]
3126
เลดี้ กาก้า มีอัลบั้มแรกเมื่อไหร่ ?
[ { "docid": "211529#1", "text": "The Fame อัลบั้มแรกของเธอ ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2008 สามารถขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และไอร์แลนด์ และสามารถติดชาร์ต 1 ใน 10 อันดับแรกในอีกหลายประเทศ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา ที่สามารถทำสถิติขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 200 ในอันดับที่ 2 และขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตอัลบั้มเพลงแดนซ์/อิเล็กทรอนิกส์ ของบิลบอร์ด และอีกสองเพลงเปิดตัว คือ Just Dance และ Poker face ที่กาก้าร่วมแต่งและผลิตกับเรดวัน ก็เป็นที่นิยมและติดอันดับหนึ่งในหลายประเทศ รวมถึงอันดับต้น ๆ ของบิลบอร์ดฮอต 100 ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้ม The Fame ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่มากถึง 6 สาขารางวัล และได้รับรางวัลในสาขาอัลบั้มเพลงอิเล็กทรอนิกส์/เพลงแดนซ์ยอดเยี่ยม และรางวัลเพลงแดนซ์ยอดเยี่ยมจากเพลง Poker Face ต้น ค.ศ. 2009 เธอออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในชื่อ The Fame Ball Tour และในปลายปีเดียวกัน เธอได้ประกาศวางจำหน่ายอัลบั้มเสริม The Fame Monster เป็นอัลบั้มต่อจากอัลบั้มเปิดตัว The Fame อัลบั้มนี้ทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 6 สาขารางวัล สามารถขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งด้วยซิงเกิลเปิดตัวอัลบั้ม คือ Bad Romance และได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่สอง The Monster Ball Tour ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน", "title": "เลดีกากา" } ]
[ { "docid": "211529#9", "text": "อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า เรื่องที่ฟูซารีอ้างถึงที่มาของชื่อ \"เลดี้ กาก้า\" นั้นไม่เป็นความจริง และจริง ๆ แล้ว ชื่อ \"เลดี้ กาก้า\" ได้มาจากการพบกันทางธุรกิจกับเลดี้สตาร์ไลต์ ศิลปินแสดงสด ในค.ศ. 2007[20] และกาก้าได้ร่วมงานกับเธอนับแต่นั้นมา สตาร์ไลต์เป็นยังเป็นผู้สร้างสรรค์แฟชั่นบนเวทีการแสดงเองด้วย[21] ทั้งคู่เริ่มงานแสดงที่คลับในดาวน์ทาวน์นิวยอร์ก ชื่อ เมอร์คิวรี่เลานจ์ และเดอะบิตเทอร์เอนด์ รวมไปถึง เดอะร็อกวูดมิวสิกฮอล ด้วยความสามารถในศิลปะการแสดงสดและจำอวดของพวกเธอที่เป็นที่พูดถึงแล้ว ทำให้เป็นที่รู้จักในชื่อ \"การแสดงเบ็ดเตล็ดของเลดี้ กาก้าและสตาร์ไลต์\" โดยถูกยกย่องว่าเป็น \"การแสดงป็อป-เบอร์เลสก์ชุดสุดท้าย\" การแสดงของกาก้าและสตาร์ไลต์มีกลิ่นอายของยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 ทั้งสองได้รับเชิญให้ขึ้นแสดงสดบนเวทีในเทศกาลดนตรีอเมริกันลอลลาพาลูซา ค.ศ. 2007[22][23] การแสดงของพวกเธอในครั้งนั้นได้รับการตอบรับดีมาก และได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวก ด้วยความสนใจในการทดลองแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ กาก้าค้นพบความสามารถทางดนตรีในตัวเองเมื่อตอนที่เริ่มผสมทำนองดนตรีป็อปกับเพลงแนวแกลมร็อกของเดวิด โบวี ลงในเพลงที่แต่งเอง[24]", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "562173#0", "text": "แอพพลอส เป็นซิงเกิลของนักร้องอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ของเธอ อาร์ตป็อป(2013) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ DJ White Shadow ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้มอย่างเป็นทางการ ที่ปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการทั่วโลกในวันที่ 12 สิงหาคม 2556 โดยตามจริงแล้วกาก้าได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า ซิงเกิลจะปล่อยอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 สิงหาคม 2556 โดยค่ายอินเตอร์สโคป แต่เนื่องจากมีผู้เจาะข้อมูลของกาก้า พยายามดึงเพลงนี้ออกมาทีละท่อน จนกาก้าตัดสินใจปล่อยเพลงก่อนกำหนดหนึ่งอาทิตย์เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ที่เจาะข้อมูลดังกล่าว", "title": "แอพพลอส (เพลง)" }, { "docid": "406679#0", "text": "แมรีเดอะไนต์ () เป็นซิงเกิลเพลงที่ 5 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม บอร์นดิสเวย์ (2011) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ Fernando Garibay, และผลิตโดย Fernando Garibay ปล่อยทั่วโลกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2011 เป็นซิงเกิลสุดท้ายในอัลบั้ม บอร์นดิสเวย์", "title": "แมรีเดอะไนต์" }, { "docid": "368846#0", "text": "จูดาส หรือ ยูดาส () เป็นเพลงบันทึกโดยศิลปินอเมริกา เลดี้ กาก้า เพลงยูดาสได้เปิดตัวทั้วโลกในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554 แต่งและร้องโดย เลดี้ กาก้า เป็นเพลงที่พูดถึงผู้หญิงในความรักในอดีตและคนที่ทรยศพระเยซู จูดาสมีเสียงร้องคล้ายกับซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้เช่น\"Poker face\", \"Love Game\", \"Bad Romance\" และ \"Alejandro\" ทำนองการร้องก็คล้ายกับเพลงบอร์นดิสเวย์ซึ่งเนื้อหาในมิวสิกวิดีโอโดยนำเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิลมาแสดงในแบบของเธอ ซึ่งกาก้าแสดงเป็นแมรี แม็กดาเลน และมี Norman Reedus แสดงเป็นยูดาส ซึ่งทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกไม่พอใจอย่างมากที่กาก้านำพระคัมภีร์มาหาผลประโยชน์ใส่ตัว และบอกว่าจะทำการยื่นฟ้องหลังจากมิวสิกวิดีโอยูดาสออก\nมิวสิกวิดีโอของเพลง Judas ได้ลงในเว็บไซต์ Youtube เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 โดยเนื้อหาในมิวสิควีดีโอเป็นเรื่องราวของแมรี่ แม็กดาเลน จูดาส พระเยซู โดยได้รับแรงบันดารใจจากเรื่องราวในพระคัมภีย์ไบเบิ้ล โดยเล่าถึงการทรยศของจูดาส ที่ขายพระเยซูให้กับพวกทหาร โดยสถานที่ใช้ถ่ายทำมิวสิควีดีโอคือ ยูนิเวอร์เซล สตูดิโอ ฮอลลีวูด โดยสามารถรับชมได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=wagn8Wrmzuc", "title": "จูดาส (เพลง)" }, { "docid": "211529#79", "text": "2009: เดอะเฟมบอลทัวร์ 2009-11: เดอะมอนสเตอร์บอลทัวร์ 2012-13: เดอะบอร์นดิสเวย์บอล 2014-15: ดิอาร์ทป็อปบอล () 2015: ชิคทูชิคทัวร์ ร่วมกับ โทนี เบนเนต 2017: โจแอนน์เวิร์ลด์ทัวร์ 2018-19: เลดี้ กาก้า ไลฟ์ อิน ลาสเวกัส", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "429116#15", "text": "ประเทศไทยถึงจะไม่ได้มีการประท้วงให้ยกเลิกคอนเสิร์ต แต่ประเด็นที่กาก้าถูกฟ้องร้องจากกระทรวงวัฒนธรรม เนื่อจากประเด็นที่ 1.จากการทวิตข้อความถึงประเทศไทยเมื่อกาก้าเดินทางมาถึงโดยเธอทวิตข้อความว่า \"I just landed in Bangkok baby! Ready for 50,000 screaming Thai monsters. I wanna get lost in a lady market and buy fake Rolex.\" \"ฉันพึ่งมาถึงกรุงเทพฯที่รัก! พร้อมแล้วที่จะฟังเสียงกริ๊ดของมอนสเตอร์(แฟนคลับ)ชาวไทย. ฉันอยากจะไปตลาดสินค้าของผู้หญิงและซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ปลอม\" ซึ่งการทวิตข้อความของเธอได้มีหลายคนตีความว่า Lady Market เลดี้ กาก้า จะสื่อความหมายถึงอะไรกันแน่ระหว่างตลาดช้อปปิ้งยามค่ำคืน เช่นที่ฮ่องกง หรือย่านสีลม หรือเลดี้ กาก้าจะหมายถึงสถานบันเทิงทางเพศกันแน่ ซึ่งมีหลายกลุ่มไม่พอใจที่กาก้าทวิตข้อความดูถูกประเทศไทย แต่หลังจากนั้นสำนักข่าวต่างชาติพากันหมิ่นรัฐบาลไทย ประเด็นทวิตเตอร์จึงจบไป ประเด็นที่ 2. กาก้านำชฎาไปใช้บนเวทีคอนเสิร์ต กระทรวงวัฒนธรรม ยื่นหนังสือพิจารณาดำเนินคดีกับ เลดี้ กาก้า ฐานสวมชฎา นุ่งบิกินี่ และใช้ธงชาติไทยผูกท้ายรถจักรยานยนต์ ชี้ไม่เหมาะสม กระทบจิตใจชาวไทย โดยระหว่างทำการแสดงนั้น เลดี้ กาก้า ได้สวมชฎา และใส่เสื้อผ้าในลักษณะคล้ายบิกินี่ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันใหญ่ ที่ผูกธงชาติไทยเอาไว้ด้านหลัง โดยเรื่องชฎานักแสดงหรือกูรูด้านแฟชั่นอย่าง ม้า อรณภาได้พูดไว้ว่า “เมื่อก่อนมาดอนน่าก็เคยเอาชฎามาสวมนะ ก็ไม่มีปัญหาอะไร สำหรับกรณีของเลดี้ กาก้า นี้ คงเป็นเพราะเธอเลือกใส่ผิดจังหวะกับชุดที่สวม หากเธอใส่ชุดราตรีออกมาแล้วก็คว้าชฎาของแฟนคลับมาใส่ ก็คงไม่ถูกวิพากย์วิจารณ์ขนาดนี้” หากมองต่างมุมในแบบกูรูม้า เธอแสดงความคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “หากให้ดิฉันมองต่างมุมให้มากๆ ถึงมากที่สุด ก็คิดว่าคนไทยนับถือของสูง ชฎาเป็นของสูง ซึ่งจะไม่เอามาใส่เล่นกัน แต่ฝรั่งคงไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งเหมือนเรา และเขาก็คงไม่จำเป็นต้องศึกษาด้วย หากไม่ได้สนใจเรื่องนั้นจริงๆ จังๆ แต่ด้วยความชอบในเรื่องศิลปะและแฟชั่นของเลดี้ กาก้า บวกกับการอยากเอาใจแฟนเพลงของเธอในเมืองไทย จึงทำให้พอเธอมีโอกาสก็อยากใส่ ใส่แล้วก็ยกมือไหว้คนไทย ความรู้สึกก็คงเหมือนฝรั่งเอาพระพุทธรูปไปประดับในห้องน้ำ มันไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ” โดยหลังจากกระทรวงประกาศฟ้องร้องเลดี้ กาก้าได้ไม่นาน บรรดาสื่อต่างประเทศพากันโจมตีรัฐบาลไทยว่า ไร้เหตุผลสิ้นดี ที่จะฟ้องในเรืองที่ไม่จำเป็น", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "393758#0", "text": "เลิฟเกม () เป็นเพลงที่ 4 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ เรดวัน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 24 มีนาคม 2009", "title": "เลิฟเกม" }, { "docid": "392333#0", "text": "อเลฮานโดร () เป็นเพลงที่ 3 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟมมอนสเตอร์ (2009) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ เรดวัน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 20 เมษายน 2010", "title": "อเลฮานโดร" }, { "docid": "372467#0", "text": "ดิเอดจ์ออฟกลอรี () เป็นซิงเกิ้ลเพลงที่ 3 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม ที่สามของเธอบอร์นดิสเวย์ (2011) เขียนและผลิตโดยเลดี้ กาก้า, Fernando Garibay และ DJ White Shadow ดิเอดจ์ออฟกลอรี ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 9 พฤษภาคม 2011 โดยมีคลาเรนซ์ เคลมอนส์เป็นนักแซ็กโซโฟนมาร่วมเล่นดนตรีประกอบเพลง มิวสิกวิดีโอถูกปล่อยในวันที่16 มิถุนายน พ.ศ. 2012 แต่หลังจากที่มิวสิกวิดีโอเผยแพร่ได้ 2วันคลาเรนซ์ เคลมอนส์นักแซ็กโซโฟนที่ร่วมดนตรีประกอบและแสดงในมิวสิกวิดีโอได้เสียชีวิตลงหลังจากมิวสิกวิดีโอปล่อยได้แค่ 2วัน โดยมิวสิกวิดีโอ ดิเอดจ์ออฟกลอรี เป็นวิดีโอและเพลงสุดท้ายของคลาเรนซ์ เคลมอนส์", "title": "ดิเอดจ์ออฟกลอรี" }, { "docid": "394155#0", "text": "จัสต์แดนซ์ () เป็นเพลงที่ 1 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า, เรดวัน และ เอค่อน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2008", "title": "จัสต์แดนซ์" }, { "docid": "239569#8", "text": "ในบทสัมภาษณ์ทางบีบีซีเรดิโอวัน กับเฟิร์น คอตตอน แฮร์ริสพูดว่าเขาปฏิเสธการทำงานร่วมกับเลดี้ กาก้า ในปี 2008 เพราะเขาไม่ชอบเพลงเดโมที่ให้เขามาและเขาไม่ต้องการขุ่นเคืองในเวลานั้น ต่อมาบีบีซีสัมภาษณ์เขาอีกครั้ง แฮร์ริสกล่าวว่า เลดี้ กาก้า \"เป็นศิลปินที่ดี\" ในการสัมภาษณ์เดียวกันเขาพูดถึงนักดนตรีวัย 16 ปีที่ชื่อริชาร์ด เจย์", "title": "แคลวิน แฮร์ริส" }, { "docid": "473358#3", "text": "ในสหราชอาณาจักร ได้มีการเปิดตัวน้ำหอม ณ ห้างสรรพสินค้า Harrods ที่ สหราชอาณาจักร โดยมี เลดี้ กาก้า มาร่วมในการเปิดตัวด้วย โดยประเทศนี้น้ำหอมเฟมก็สร้างสถิติน้ำหอมขายดีอันดับ 1 ด้วยเช่นกัน", "title": "เลดี้กาก้าเฟม" }, { "docid": "355617#0", "text": "เดอะเฟมมอนสเตอร์ () เป็นอีพีลำดับที่สามของศิลปินหญิงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2009 ในตอนแรก 8 แทร็คจากอัลบั้มนี้ตั้งใจที่จะเป็นเพิ่มลงในอัลบั้มชุดแรก The Fame แต่ต่อมาเธอประกาศว่าเพลงใหม่ทั้งหมดนี้จะถูกวางจำหน่ายแบบอัลบั้มเดี่ยว เนื่องจากการทำเพิ่มเพลงลงอัลบั้มเดิมมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป และเนื้อหาในอัลบั้มใหม่มีเนื้อหาที่แตกต่างจากอัลบั้ม The Fame และไม่มีความจำเป็นต้องใช้เพลงจากอัลบั้มแรกมาสนับสนุน 5 สัปดาห์ต่อมาในวันที่ 15 ธันวาคม 2009 ได้มีการวางจำหน่ายอัลบั้มเดอะเฟมมอนสเตอร์ รุ่นดีลักซ์ที่มี 2 ซีดีจากเดอะเฟมมอนสเตอร์และ The Fame ที่มาในรูปแบบโบนัสดิสก์", "title": "เดอะเฟมมอนสเตอร์" }, { "docid": "394151#0", "text": "โป๊กเกอร์เฟส () เป็นเพลงที่ 2 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ เรดวัน, และผลิตโดย เรดวัน ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2008", "title": "โป๊กเกอร์เฟส" }, { "docid": "364382#5", "text": "ต้นสังกัดของริทนี่ย์ ได้ปล่อยซิงเกิลออกมาเป็นซิงเกิลที่ 2 แต่ซิงเกิลนี้ ไม่แรงเท่าซิงเกิลที่ 1 ที่ทำได้ติดชาร์ตในบิลบอร์ดในวันแรกที่ปล่อยเพลง ซิงเกิลนี้เลยตกไปอยู่อันดับที่ 2 ในวันแรก และต่อมา ก็ตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 20 เนื่องจากสภาพ มิวสิกวิดีโอ ซิงเกิลก่อนที่เธอทำให้ชาวแฟนๆผิดหวัง แล้วนำเธอไปเปรียบเทียบกับ เลดี้ กาก้า ซึ่ง เพลง Born This Way ของเธอและมิวสิกวิดีโอของเธอ มาแรงแซงอันดับ1ไปได้ แต่ทางต้นสังกัดเองก็พยายามให้สุดความสามารถ เพื่อให้ไม่ทำให้แฟนๆเพลงของเธอผิดหวัง \nต่อมา ก็ได้มีมิวสิกวิดีโอออกมา ในวันที่ 5 เมษายน ที่กำกับโดย เรย์ เคย์ (ซึ่งเคยกำกับเพลง Poker Face ของ เลดี้ กาก้า และ Baby ของ จัสติน บีเบอร์ ฯลฯ) ทำให้เพลงนี้ขึ้นชาร์จในสัปดาห์แรกอยู่ที่ 8 และสัปดาห์ต่อมา ก็ขึ้นไปอยู่อันดับที่ 3ได้ ", "title": "ฟามฟาเตล (อัลบั้มของบริตนีย์ สเปียส์)" }, { "docid": "848619#2", "text": "นอกจากสนามแห่งนี้จะใช้ในการแข่งขันฟุตบอล และ รักบี้ ระดับชาติแล้ว ยังมีศิลปินเพลงระดับโลกหลายราย เช่นวงเอซี/ดีซี , มาดอนน่า , เลดี้ กาก้า, ไมเคิล บูเบล หรือวงดนตรีของไอร์แลนด์เองอย่างเดอะสคริปต์ ใช้ในการจัดคอนเสิร์ตเมื่อมาเปิดการแสดงที่กรุงดับลิน อีกด้วย", "title": "อวีวาสเตเดียม" }, { "docid": "392910#0", "text": "ปาปารัซซี () เป็นเพลงที่ 5 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ Rob Fusari, และผลิตโดย Rob Fusari ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 5 กรกฎาคม 2009", "title": "ปาปารัซซี (เพลง)" }, { "docid": "320550#4", "text": "ในปี 2009 สกาส์กอร์ดแสดงในมิวสิกวิดีโอของนักร้องเพลงป็อป เลดี้ กาก้า ในเพลง \"Paparazzi\"", "title": "อเลกซานเดอร์ สกาส์กอร์ด" }, { "docid": "211529#8", "text": "ต่อมาโปรดิวเซอร์เพลง ร็อบ ฟูซารี เป็นคนช่วยเธอแต่งเพลงขึ้นอีกหลายเพลง โดยเขาเปรียบเทียบเสียงร้องของเธอว่าคล้ายกับเสียงของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี[10][19] ฟูซารีเป็นคนที่คิดชื่อในวงการให้เธอว่า เลดี้ กาก้า หลังจากได้ฟังเพลงเรดิโอ-กาก้า ของวงควีน ซึ่งตอนนั้นกาก้ากำลังอยู่ในระหว่างคิดหาชื่อเพื่อใช้ในการแสดง เมื่อฟูซารีส่งความถึงเธอว่า \"Lady Gaga\" สเตฟานีจึงตัดสินใจใช้ชื่อนี้[19] และเป็นที่รู้จักทั่วไปหลังจากนั้น", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "393997#0", "text": "เอ, เอ (นอตติงเอลส์ไอแคนเซย์) () เป็นเพลงที่ 3 โดยศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า จากสตูดิโออัลบั้ม เดอะเฟม (2008) เขียนโดย เลดี้ กาก้า และ Martin Kierszenbaum, และผลิตโดย Martin Kierszenbaum ถูกปล่อยทั่วโลกวันที่ 10 มกราคม 2009", "title": "เอ, เอ (นอตติงเอลส์ไอแคนเซย์)" }, { "docid": "211529#49", "text": "ต้นเดือนสิงหาคม 2018 เลดี้ กาก้า ได้เริ่มโปรโมทโชว์คอนเสิร์ตถาวรเป็นเวลา 2 ปี ที่โรงละคร พาร์ค เอ็มจีเอ็ม ในลาสเวกัส ชื่อโชว์ว่า Lady Gaga Enigma ซึ่งจะเริ่มทำการแสดงในเดือนธันวาคม ปี 2018 เป็นต้นไป[60]", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "580457#0", "text": "\"ดูวอทยูวอนท์\" () เป็นเพลงของนักร้องอเมริกา เลดี้ กาก้า ที่ได้ศิลปินมาร่วมร้อง อาร์ เคลลี่ ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่ 2 ของเลดี้ กาก้า เป็นหนึ่งในเพลงของสตูดิโออัลบั้มที่สามของกาก้า ที่มีชื่อว่า อาร์ตป็อป (2013) อยู่ลำดับที่เจ็ดของอัลบั้ม เขียนและแต่งโดย เลดี้ กาก้า, พอล ดีเจ ไวท์แชโด้ แบลร์, อาร์ เคลลี่, มาร์ตินและวิลเลี่ยม เพลงนี้ถูกเผยแพร่ออกมาในรูปแบบเพลงประกอบโฆษณาหูฟังของ ดร.เดร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2013 ที่ตัดเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และต่อมาก็ถูกขายในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลดผ่านทางไอทูนส์ และ เว็ปไซต์อแมซอน เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2013 ", "title": "ดูวอตยูวอนต์ (เพลงเลดี้ กาก้า)" }, { "docid": "211529#47", "text": "กลางเดือนเมษายน เลดี้ กาก้า ได้เริ่มเปิดกล้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A Star Is Born ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย รีเมคมาจากเวอร์ชันปี 1937 เธอใช้ชื่อในการแสดงว่า สเตฟานี่ เจอร์มาน็อตตา ซึ่งเป็นชื่อจริงๆของกาก้าเอง โดยเธอรับบทเป็น แอลลี่ นางเอกของเรื่อง ซึ่งแสดงคู่กับแบรดลีย์ คูเปอร์ ซึ่งเป็นผู้กำกับด้วย", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "79797#38", "text": "ลิงคินพาร์กเป็นวงดนตรีร็อกวงแรกที่ประสบความสำเร็จจากยอดการเข้าชมที่มากกว่าหนึ่งพันล้านในยูทูบ นอกจากนี้ ลิงคินพาร์กยังเป็นหนึ่งในสิบห้าหน้าในเฟซบุ๊กที่มีการกดถูกใจมากที่สุด ตามหลัง \"เลดี้ กาก้า\" และนำหน้าวง \"แบล็กอายด์พีส์\"", "title": "ลิงคินพาร์ก" }, { "docid": "881048#0", "text": "มิลเลียนรีซันส์ () เป็นเพลงที่บันทึกโดยนักร้องหญิงชาวอเมริกัน เลดี้ กาก้า เป็นหนึ่งในเพลงของสตูดิโออัลบั้มที่ห้าของเธอ โจแอนน์ ปล่อยออกสู่สถานีวิทยุเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 โดยเธอแต่งขึ้นจากประสบการณ์เกี่ยวกับผู้ชายในชีวิตของเธอ", "title": "มิลเลียนรีซันส์" }, { "docid": "429116#1", "text": "ปี พ.ศ. 2555 นิตยสาร บิลบอร์ด จัดอันดับรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินที่มีทัวร์ในปี 2012 ซึ่ง เลดี้ กาก้า เดอะบอร์ดิสเวย์บอล อยู่อันดับที่ 5 รายได้ $161.4 million หรือประมาณ 5 พันล้านบาท ในการขายตั๋วทั้งหมดตั้งแต่โชว์แรกจนถึงโชว์ที่ทางกรรมการรวบรวมสถิติ รวมทั้งหมด 80 โชว์ทั่วโลก [2]", "title": "บอร์นดิสเวย์บอล" }, { "docid": "211529#66", "text": "ปี 2012 ได้มีการค้นพบพืชจำพวกเฟิร์นสายพันธุ์ใหม่โดยองค์กรชีววิทยา ได้ตั้งชื่อเฟิร์นพันธุ์นี้ว่า \"GAGA\" เหตุที่ใช้ชื่อเลดี้ กาก้า เป็นชื่อเฟิร์นชนิดใหม่เนื่องจาก ดีเอ็นเอของเฟิร์นตระกูลนี้ จำแนกออกมาแล้ว เรียงตัวตามลำดับเป็น Guanine, Adenine, Guanine, Adenine, และ เพื่อเป็นเกียรติให้กับนักร้องอเมริกันคนนี้ ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวเกย์และชาวรักร่วมเพศมาโดยตลอด อีกเหตุผลหนึ่งคือ \"เลดี้ กาก้า\" เคยสวมชุดที่เป็นแรงบันดาลใจจากเฟิร์น \"เกมีโตไฟท์\" ในการแสดงบนเวที นอกจากนี้ ชุดที่เป็นเอกลักษณ์ของเลดี้ กาก้า ที่เหมือนกางเกงขอบยื่น เป็นแบบเดียวกับใบอ่อนของเฟิร์นที่ม้วนเป็นก้อนกลม มีเฟิร์น 2 สปีชี่ย์ ที่เป็นการค้นพบใหม่ คือ \"กาก้า เจอร์มาน็อตต้า\" พบที่คอสตาริกา และได้ชื่อตามชื่อสกุลของเลดี้กาก้า กับ \"กาก้า มอนสตราพาร์วา\" ที่หมายถึง \"ลิตเติล มอนสเตอร์\" ชื่อที่เลดี้ กาก้า ใช้เรียกสาวกของตนเอง[96] [97]", "title": "เลดีกากา" }, { "docid": "562173#1", "text": "เขียนเพลงและแต่งโดย เลดี้ กาก้า และ DJ White Shadow และมีการบันทึกในปี 2012 ในช่วงที่กาก้ากำลังเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต เดอะ บอร์นดิสเวย์ บอลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงที่จะอยู่ในอัลบั้มที่สามของกาก้า อาร์ตป็อป ", "title": "แอพพลอส (เพลง)" }, { "docid": "511049#2", "text": "เลดี้ กาก้า เคยกล่าวว่า ตนเองเคยตกเป็นเหยื่อของการรังแกในโรงเรียน กล่าวต่อนักศึกษาฮาร์เวิร์ดที่นั่งกันเต็มห้องประชุมว่า แนวคิดของการก่อตั้งมูลนิธิเกิดขึ้นหลังจากเปิดตัวอัลบั้มบอร์น ดิส เวย์ได้ไม่นาน และเธอก็ได้รับอีเมล์จากกลุ่มคนที่กล่าวว่า อยากให้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ยอมรับความคิดหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ และ ซินเธีย เจอร์มาน็อตต้า แม่ของเธอ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน เป็นแรงบันดาลใจให้เธอตั้งมูลนิธินี้ขึ้น", "title": "มูลนิธิบอร์นดิสเวย์" }, { "docid": "394155#2", "text": "มิวสิกวิดีโอของเพลง เลดี้ กาก้า จะปรากฏตัวในงานปาร์ตี้ที่เพลงเธอเล่น ด้วยความเพลิดเพลิน ในปี ค.ศ. 2009 เพลงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี่ในประเภทการบันทึกการเต้นที่ดีที่สุด", "title": "จัสต์แดนซ์" } ]
56
ซะมุไร คืออะไร ?
[ { "docid": "54270#0", "text": "ซามูไร (侍) แปลเป็นภาษาไทยว่าทหาร คำว่า ซามูไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซะบุระอุ ซึ่งเป็นคำกริยาในภาษาญี่ปุ่นโบราณ ที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้น ซามูไรก็คือคนรับใช้นั่นเอง", "title": "ซามูไร" } ]
[ { "docid": "621895#1", "text": "ปูเฮเกะ มีลักษณะเด่น คือ บนกระดองมีลวดลายที่มีลักษณะเหมือนใบหน้ามนุษย์ที่กำลังโกรธเกรี้ยวหรือหน้ากากซะมุไร ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า ปูชนิดนี้เป็นดวงวิญญาณของเหล่านักรบซะมุไรตระกูลเฮเกะ หรือไทระที่กลับชาติมาเกิด หลังจากได้ถูกฆ่าตายล้างตระกูลหรือกระโดดน้ำฆ่าตัวตายในท้องทะเลแถบนี้เมื่อปี ค.ศ. 1185 ในยุทธการดันโนะอุระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเก็มเป ที่เป็นสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือ ไทระ กับ มินะโมะโตะ และฝ่ายมินะโมะโตะเป็นฝ่ายชนะ จึงมีเรื่องเล่าต่าง ๆ เกี่ยวกับดวงวิญญาณที่ยังไม่สงบของสมาชิกเหล่าตระกูลไทระต่าง ๆ บ้างก็ว่าชาวประมงในแถบนี้เห็นดวงไฟวิญญาณบนท้องทะเลในเวลาค่ำคืน ", "title": "ปูไฮเกะ" }, { "docid": "869190#1", "text": "ชีวิตในวัยเยาว์ของคุซุโนะกิ มะซะชิเงะ และความเป็นมาของตระกูลคุซุโนะกิ ไม่ได้รับการบันทึกไว้ คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ เป็นซะมุไรระดับล่าง อาศัยอยู่ในแคว้นคะวะชิ ( จังหวัดโอซะกะในปัจจุบัน) เมื่อพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ ทรงประกาศเชื้อเชิญให้บรรดาซะมุไรทั้งหลายที่ไม่พอใจการปกครองของรัฐบาลโชกุนคะมะกุระเข้าร่วมกับกองกำลังของพระองค์ในการล้มล้างรัฐบาลโชกุนฯ ในปีค.ศ. 1331 คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ ประกาศตนเข้ากับฝ่ายของพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ และสร้างกองกำลังอยู่ที่ป้อมอะกะซะกะ () ในแคว้นคะวะชิ ซึ่งเจ้าชายโมะริโยะชิ () พระโอรสของจักรพรรดิโกะ-ไดโงะเสด็จมายังป้อมอะกะซะกะเพื่อทรงร่วมนำทัพในการต่อต้านรัฐบาลโชกุน แต่ทว่าตระกูลโฮโจแห่งรัฐบาลโชกุนฯส่งกองทัพมาเข้าล้อมป้อมอะกะซะกะและสามารถยึดป้อมได้ คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ นำเจ้าชายโมะริโยะชิเสด็จหนีออกจากป้อมอะกะซะกะ จากนั้นมะซะชิเงะรวบรวมกำลังได้อีกครั้งที่ป้อมชิฮะยะ () ทัพของตระกูลโฮโจเข้าล้อมป้อมชิฮะยะแต่ไม่สำเร็จ", "title": "คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ" }, { "docid": "467110#0", "text": "ไทระ โนะ คิโยโมริ (ญี่ปุ่น: たいら の きよもり Taira no Kiyomori หรือ 平清盛 Taira Kiyomori) หรือ คิโยโมริแห่งไทระ ซะมุไรซึ่งเรืองอำนาจขึ้นปกครองญี่ปุ่นในช่วงปลายยุคเฮอังในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถือเป็นชนชั้นซะมุไรคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ขึ้นปกครองประเทศ", "title": "ไทระ โนะ คิโยโมริ" }, { "docid": "56198#18", "text": "โนะบุนะงะเป็นผู้เริ่มก่อตั้ง \"กองกำลังทหารอะชิงะรุ\" ซึ่งมาจากบรรดาชาวบ้านธรรมดาที่อยากมีส่วนร่วมกับบ้านเมืองในการทำสงคราม ให้โอกาสผู้ที่อยากเป็นทหารแต่ไม่มีโอกาสได้เป็น ซึ่งจะแตกต่างจากไดเมียวคนอื่นๆ กองกำลังของโนะบุนะงะจึงเป็นกองทัพที่มาจากชาวบ้านธรรมดา ไม่เหมือนกองกำลังอื่นๆ ของไดเมียวที่มีแต่ซะมุไรจำนวนมาก กองกำลังอะชิงะรุแม้จะมาจากชาวบ้านธรรมดา แต่ทว่าพวกเขามาด้วยใจที่รักบ้านเมือง แตกต่างจากซะมุไรที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง กองกำลังอะชิงะรุนั้นแม้มีศักยภาพในการทำสงครามไม่แพ้พวกซะมุไร แต่ก็แตกต่างกับซะมุไรผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นที่ตั้ง ที่ยอมพลีชีพในสงครามอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ถ้าถูกจับตัวได้จะไม่มีการซัดทอดโดยเด็ดขาด ยอมแม้แต่จะเซ็ปปุกุตัวเองเพื่อไม่ต้องตายโดยน้ำมือผู้อื่น", "title": "โอดะ โนบูนางะ" }, { "docid": "38412#4", "text": "ในตอนปลายยุคเซ็งโงะกุ วิชายิวยิตสูได้มีการรวบรวมไว้เป็นแบบแผน ต่อมาเมื่อ ตระกูลโทะกุงะวะ ได้ทำการปราบเจ้าแคว้นต่างๆ ให้สงบลงอย่างราบคาบและตั้งตนเป็น โชกุน ปกครองประเทศญี่ปุ่น ได้มีการปรับปรุงวิชาการรบของพวกซะมุไร นอกจากวิชาการรบแล้ว ซะมุไรต้องเรียนหนังสือเพื่อศึกษาวิชาการปกครอง การอบรมจิตใจให้มีศีลธรรม ยิวยิตสูเป็นวิชาป้องกันตัวชนิดหนึ่งในสมัยนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงวิธีการต่อสู้จากการไร้ศีลธรรมมาเป็นการป้องกัน การต่อสู้ด้วยกำลังกาย และกำลังใจอันประกอบด้วยคุณธรรม มีจรรยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อยขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับคำว่า ยิวยิตสู ซึ่งหมายความถึง ศิลปะแห่งความสุภาพ", "title": "ยูโด" }, { "docid": "171942#13", "text": "เมื่อคัมปะกุฮิเดโยชิเดินทางมาถึงเกาะคีวชู ก็พบว่าดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยชาวคริสเตียนและมิชชันนารีชาวโปรตุเกส ที่ได้เข้ามายังญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยเซงโงะกุ ใน ค.ศ. 1587 คัมปะกุฮิเดโยชิจึงได้ออกประกาศขับไล่ชาวคริสเตียนและมิชชันนารีออกจากญี่ปุ่น (バテレン追放令) นับว่าเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนแรกที่ออกนโยบายกดขี่ชาวคริสเตียน แต่ประกาศในครั้งนี้ยังไม่เป็นที่ใส่ใจมากนัก และใน ค.ศ. 1588 ได้ออกกฎหมายริบอาวุธ (刀狩) เพื่อริบอาวุธคือจากชาวนาและอะชิงะรุหรือชาวนานักรบทั้งหลาย เพื่อป้องกันการลุกฮือหรือการเลี่อนชั้นจากชาวนามาเป็นซะมุไร อย่างเช่นตัวฮิเดโยชิเองได้กระทำ และกำหนดว่าชนชั้นซะมุไรเท่านั้นที่มีสิทธิถือครองอาวุธได้ กฎหมายนี้ยังคงมีผลต่อไปในสมัยเอโดะ", "title": "โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ" }, { "docid": "869190#0", "text": "คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ ( ค.ศ. 1294 ถึง ค.ศ. 1336) เป็นซะมุไรในช่วงต้นยุคมุโระมะชิ เป็นซะมุไรคนสำคัญซึ่งสู้รบอยู่ในฝ่ายของพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ", "title": "คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ" }, { "docid": "266325#21", "text": "ที่แคว้นซะสึมะ สุโช ฮิโรซาโตะ ดำเนินการพัฒนาแคว้น จึงต้องเก็บภาษีมากมาย ทำให้พวกซะมุไรหนุ่มและชาวเมืองยากจน พวกซะมุไรหนุ่มอย่างไซโก คิชิโนะสุเกะ (ยุคิโยะชิ โอซาวะ) โอคุโบะ โชสุเกะ (ไทโช ฮาราดะ) และคนอื่นๆเกลียดสุโช ในตอนนั้นโอคัทสึ (อะโอิ มิยะซะกิ) ได้รับคำเชิญให้ไปบ้านสุโช จึงชวนคิโมสึกิ นะโอะโกะโระ (เอตะ) ไปด้วยกัน โอคัทสึได้รู้ความจริงบางอย่างจากสุโช?", "title": "เจ้าหญิงอัตสึ (ละครโทรทัศน์)" }, { "docid": "618867#45", "text": "ในประเทศญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากการสอบขุนนางมาเป็นต้นแบบในยุคเฮอัง (Heian period) แต่มีผลเพียงกับชนชั้นสูงจำนวนไม่มากนัก ต่อมาจึงถูกแทนที่โดยการสืบทอดเชื้อสายในยุคซะมุไร (Samurai era) ", "title": "การสอบขุนนาง" }, { "docid": "628489#0", "text": "เป็นประจำจนเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Teradaya Incident (การลอบสังหารที่เทะระดะยะ)ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1866 (พ.ศ. 2409) โดยเป็นเหตุการณ์ที่เรียวมะถูกซะมุไรของ\nรัฐบาลลอบสังหารที่นี่แต่ได้มาม่าซังเจ้าของร้าน,เรียว(ต่อมาคือภรรยาของเรียวมะ) และซะมุไรผู้คุ้มกันได้\nช่วยชีวิตเอาไว้แต่ได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือซ้าย", "title": "ร้านเทะระดะยะ" }, { "docid": "251717#5", "text": "บากูฟุ แปลว่า \"ทำเนียบรัฐบาล\" หมายถึงระบอบการปกครองที่นำโดยโชกุน โชกุน หรือชื่อตำแหน่งทางการว่า \"เซอิไทโชกุน\" () เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งโดยองค์พระจักรพรรดิที่เมืองเกียวโต มอบให้แก่ตระกูลผู้นำซะมุไรที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลมินาโมโตะโบราณ ซึ่งในสมัยเอโดะนั้นก็คือตระกูลโทกูงาวะ ตำแหน่งโชกุนนั้นเป็นตำแหน่งที่สืบทอดภายในตระกูลโทกูงาวะ ในทางทฤษฏีโชกุนมีหน้าที่รับใช้ราชสำนักเกียวโตในฐานะประมุขของชนชั้นซะมุไรทั้งมวลในญี่ปุ่น แต่ในทางปฏิบัตินั้นโชกุนคือผู้ปกครองมีอำนาจเหนือประเทศญี่ปุ่นที่แท้จริง ", "title": "รัฐบาลเอโดะ" }, { "docid": "366446#4", "text": "จนกระทั่งค.ศ. 1544 ซะมุไรข้ารับใช้ของตระกูลคนหนึ่งชื่อว่า อุซะมิ ซะดะมิซึ () ได้เข้ามาทาบทามให้คะเงะโตะระเข้าแย่งแคว้นเอะฉิโงะมาจากฮะรุกะเงะผู้เป็นพี่ชาย เนื่องจากฮะรุกะเงะไม่เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาซะมุไรผู้รับใช้ตระกูลนะงะโอะทั้งหลาย คะเงะโตะระจึงก่อสงครามกับพี่ชายของตนเอง ด้วยการสนับสนุนจากซะมุไรผู้จงรักภักดี คะเงะโตะระสามารถเอาชนะฮะรุกะเงะผู้เป็นพี่ชายได้ ฮะรุกะเงะจึงทำการเซ็ปปุกุสิ้นชีวิตไป", "title": "อูเอซูงิ เค็นชิง" }, { "docid": "2417#23", "text": "ยุคเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบซะมุไร ใน พ.ศ. 1728 จักรพรรดิโกะ-โทะบะทรงแต่งตั้งซะมุไร มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ เป็นโชกุน หลังพิชิตตระกูลไทระในสงครามเก็มเป โยะริโตะโมะตั้งฐานอำนาจในคะมะกุระ หลังเขาเสียชีวิต ตระกูลโฮโจเถลิงอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนในยุคคะมะกุระ (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซะมุไร รัฐบาลโชกุนคะมะกุระขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูกจักรพรรดิโกะ-ไดโงะโค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูกอะชิกะงะ ทะกะอุจิพิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879", "title": "ประเทศญี่ปุ่น" }, { "docid": "926506#1", "text": "ละครเรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงของ ไทระ โนะ คิโยะโมะริ ซะมุไรคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ก้าวขึ้นมาสู่จุดสูงสุดในราชสำนักด้วยการดำรงตำแหน่ง ไดโจไดจิง หรือ อัครมหาเสนาบดี ซึ่งได้วางรากฐานรูปแบบการปกครองแบบใหม่ของญี่ปุ่นที่ปกครองโดยซะมุไรอันเป็นต้นกำเนิดของการปกครองในรูปแบบโชกุนในเวลาต่อมาโดยดำเนินเรื่องราวผ่านช่วงชีวิตของคิโยโมริตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นจนถึงบั้นปลายของชีวิตเรื่อยมาจนถึง สงครามเก็มเป และการสถาปนา รัฐบาลโชกุนคะมะกุระ ผ่านการบอกเล่าโดย มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ โชกุนคนแรกของญี่ปุ่นซึ่งรับบทโดย มะซะกิ โอะกะดะ", "title": "ซามูไรคิโยโมริ" }, { "docid": "440091#3", "text": "การล่มสลายของรัฐบาลคะมะกุระ การฟื้นฟูอำนาจของราชสำนักเมืองเคียวโตะ และการขึ้นสู่อำนาจของทะกะอุจิ ถูกกล่าวถึงอย่างละเอียดในวรรณกรรมเรื่อง \"ไทเฮกิ\" () ปี ค.ศ. 1331 ซะดะอุจิผู้เป็นบิดาเสียชีวิต ทะกะอุจิจึงขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลอะชิกะงะต่อจากบิดา ในปีเดียวกันนั้น พระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะทรงวางแผนยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลคะมะกุระกลับมาสู่ราชสำนักเกียวโต แต่ทว่าแผนการกลับรั่วไหล รัฐบาลคะมะกุระจึงปลดพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะออกจากราชสมบัติ เนรเทศพระจักรพรรดิไปประทับยังเกาะโอะกิ และตั้งพระจักรพรรดิโคงงขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แทน พระโอรสของพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ คือ เจ้าชายโมะรินะงะ () และซะมุไร คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ () ยังคงทำสงครามเพื่อล้มการปกครองของตระกูลโฮโจอันมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคะมะกุระต่อไป เรียกว่า สงครามปีเก็งโก () ซะมุไรจำนวนมากซึ่งไม่พอใจการปกครองเผด็จการของตระกูลโฮโจจึงมาเข้ากับฝ่ายจักรพรรดิ", "title": "อาชิกางะ ทากาอูจิ" }, { "docid": "621895#0", "text": "ปูเฮเกะ หรือ ปูซะมุไร (; ; ) เป็นปูทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในท้องทะเลแถบเมืองชิโมะโนะเซะกิ จังหวัดยะมะงุจิ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น", "title": "ปูไฮเกะ" }, { "docid": "54697#4", "text": "เมื่อโยะริโมะโตะเสียชีวิตในค.ศ. 1199 มินะโมะโตะ โนะ โยะริอิเอะ () บุตรชายของโยะริโตะโมะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเซวะเง็นจิต่อมา และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโชกุนในค.ศ. 1202 แต่ทว่าบรรดาซะมุไรข้ารับใช้เก่าของโยะริโตะโมะต่างเห็นพ้องต้องกันว่าโยะริอิเอะไม่มีความสามารถในการปกครอง จึงจัดตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนขึ้นในค.ศ. 1200 ประกอบด้วยซะมุไรจำนวนสิบสามคนเพื่อทำหน้าปกครอง\"บะกุฟุ\"แทนโยะริอิเอะ ตระกูลทางฝ่ายมารดาของโยะริอิเอะ คือ ตระกูลโฮโจ () นำโดยโฮโจ โทะกิมะซะ ผู้ซึ่งเป็นตาของโยะริอิเอะ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำ\"มันโดะโกะโระ\"เป็นผู้สำเร็จราชการแทนโชกุนเรียกว่า \"ชิกเก็ง\" () และโฮโจ มะซะโกะ () มารดาของโยะริอิเอะ ได้ขึ้นมามีอำนาจเหนือ\"บะกุฟุ\" โดยที่โชกุนเป็นเพียงหุ่นเชิด ตระกูลโฮโจได้ดำเนินการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองต่างๆทำให้สามารถขึ้นมีมีอำนาจเหนือ\"บะกุฟุ\"ได้ในที่สุด โชกุนโยะริอิเอะมีความเอนเอียงไปทางตระกูลฮิกิ () ซึ่งเป็นตระกูลฝ่ายภรรยาของโยะริอิเอะ นำโดยฮิกิ โยะชิกะซุ () ในค.ศ. 1203 ตระกูลโฮโจได้เข้าทำการกวาดล้างตระกูลฮิกิอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยม และทำการปลดโยะริอิเอะออกจากตำแหน่งโชกุนแล้วเนรเทศไปยังแคว้นอิซุ ตั้งน้องชายของโยะริอิเอะคือ มินะโมะโตะ โนะ ซะเนะโตะโมะ () เป็นโชกุนคนต่อมา โทะกิมะซะส่งคนไปทำการลอบสังหารโยะริอิเอะในปีต่อมาค.ศ. 1204", "title": "ยุคคามากูระ" }, { "docid": "371520#0", "text": "โอะคะดะ อิโซ () เป็นซะมุไรชาวญี่ปุ่นในช่วงปลายยุคเอโดะ ผู้ถูกกล่าวขวัญในฐานะ 1 ใน 4 มือสังหารแห่งยุคบะคุมะสึ ชาติกำเนิดเป็นชาวแคว้นโทะซะ เขาทำงานในฐานะมือสังหารในกรุงเคียวโตะให้กับทะเกะชิ ฮัมเปตะ ผู้นำกลุ่มซะมุไรโทะซะคินโนโท ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มขับไล่ชาวต่างชาติหัวรุนแรงในยุคนั้น", "title": "โอะกะดะ อิโซ" }, { "docid": "868970#1", "text": "หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลคะมะกุระ จักรพรรดิโกะ-ไดโงะทรงก่อตั้งการปกครองขึ้นมาใหม่โดยมีอำนาจและศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักเมืองเกียวโต ดังที่เคยเป็นมาในยุคเฮอัง และลดอำนาจของชนชั้นซะมุไร เรียกว่า การฟื้นฟูปีเค็มมุ (Kemmu Restoration) สร้างความไม่พอใจให้แก่ชนชั้นซะมุไรโดยทั่วไป ในค.ศ. 1335 อะชิกะงะ ทะกะอุจิ แยกตนออกไปเพื่อก่อตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่นิตตะ โยะชิซะดะ ยังคงจงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ โดยที่นิตตะ โยะชิซะดะ เป็นคู่แข่งคนสำคัญของอะชิกะงะทะกะอุจิ นิตตะ โยะชิซะดะ ยกทัพไปปราบอะชิกะงะ ทะกะอุจิ ที่เมืองคะมะกุระแต่พ่ายแพ้ ทำให้อะชิกะงะ ทะกะอุจิ สามารถยกทัพเข้าประชิดเมืองเกียวโตได้ คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ () ป้องกันเมืองเกียวโตได้สำเร็จทำให้ทะกะอุจิต้องถอยร่นไป ", "title": "นิตตะ โยะชิซะดะ" }, { "docid": "738478#1", "text": "การกบฏเกิดขึ้นในอดีตแคว้นซัตสึมะบนเกาะคีวชู แคว้นนี้เป็นแคว้นที่มีบทบาทสำคัญที่สนับสนุนฝ่ายองค์จักรพรรดิในสงครามโบะชิง ซึ่งภายหลังจากก่อตั้งรัฐบาลเมจิและสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น อดีตแคว้นซัตสึมะก็กลายเป็นที่พำนักของเหล่าอดีตซะมุไรจำนวนมาก อดีตซะมุไรเหล่านี้ได้สูญเสียสถานะทางสังคมตลอดจนบรรดาอภิสิทธิทั้งหลายจากการปฏิรูปการทหารของรัฐบาล ซะมุไรได้ถูกแทนที่ด้วยปืนไรเฟิลจากตะวันตก ทำให้ไม่มีใครว่าจ้างซะมุไรเหล่านี้ให้ไปคุ้มครองอีกต่อไป จนเกิดเป็นความคับแค้นใจต่อรัฐบาลเมจิขึ้น \nไซโง ทะกะโมะริ เป็นหนึ่งในขุนพลคนสำคัญที่เคยอยู่ฝ่ายจักรพรรดิและร่วมโค่นล้มรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะ ทำให้ภายหลังการตั้งรัฐบาลเมจิ เขาได้เป็นหนึ่งในผู้นำอาวุโสของรัฐบาล ในปี 1873 เขาเป็นคนเสนอให้ญี่ปุ่นทำสงครามเพื่อยึดครองเกาหลี โดยมีเหตุผลว่า สงครามกับเกาหลีนั้นเป็นทั้งประโยชน์ต่อชาติญี่ปุ่น และก็เป็นประโยชน์ต่อบรรดาอดีตซะมุไรที่จะได้แสวงหาการตายแบบมีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ข้อเสนอของเขาก็ได้รับการปฏิเสธ ภายหลังแผนการของเขาถูกปฏิเสธ เขาก็ลาออกจากทุกตำแหน่งในรัฐบาลเพื่อเป็นการประท้วงและกลับไปยังคะโงะชิมะ บ้านเกิดของเขา เขาได้สนับสนุนบรรดาอดีตซะมุไรเหล่านี้ โดยได้เปิดสำนักเป็นของตัวเองในคะโงะชิมะ สอนเกี่ยวกับวิถีนักรบ และในที่สุดก็มีสาขาถึง 132 สาขาทั่วทั้งจังหวัด นอกจากนี้เขายังจัดตั้งโรงเรียนสรรพาวุธขึ้น โดยเน้นไปที่การสอนองค์กรการเมืองกำลังรบกึ่งทหารมากกว่าสิ่งอื่นใด จนในที่สุด ไซโงก็ได้รับแรงสนับสนุนมากมาย และตัดสินใจเผชิญหน้ารัฐบาลองค์จักรพรรดิ", "title": "กบฏซัตสึมะ" }, { "docid": "814090#1", "text": "ท่านหญิงคะซุงะเกิดในตระกูลซะมุไรที่มีชื่อเสียง เป็นธิดาของไซโต โทะชิมิสึ ผู้ติดตามของอะเกะชิ มิสึฮิเดะ ส่วนมารดาเป็นธิดาของอินะบะ โยะชิมิชิ", "title": "ท่านหญิงคะซุงะ" }, { "docid": "581836#0", "text": "มินะโมะโตะ โนะ โยะชิโตะโมะ () (1123-11 กุมภาพันธ์ 1160) เป็นซะมุไรคนสำคัญในช่วงปลายยุค เฮอัง และเป็นบิดาของ มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ โชกุนคนแรกของญี่ปุ่น", "title": "มินะโมะโตะ โนะ โยะชิโตะโมะ" }, { "docid": "17159#0", "text": "นินจา ( นินจะ หรือ ชิโนะบิ ความหมาย: \"ผู้คงทน\") ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มสายลับ ในช่วงสมัยเปลี่ยนการปกครองของประเทศญี่ปุ่น โดยขณะเดียวกันนินจาได้ถูกเปรียบเทียบกับซะมุไร ซึ่งซะมุไรเปรียบเหมือนนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า ขณะที่นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหลัง นอกจากนี้มีการกล่าวกันว่ากลุ่มคนบางคนเป็นทั้งนินจาและซะมุไรพร้อมกัน ในปัจจุบันไม่มีร่องรอยของบุคคลที่เป็นนินจาหลงเหลือ เหลือเพียงแต่ซะมุไร สำหรับนินจาหญิงจะเรียกว่า คุโนะอิจิ", "title": "นินจา" }, { "docid": "863908#0", "text": "มินะโมะโตะ โนะ สึเนะโมะโตะ ( ; 1437 – 1504) ซะมุไร และ เจ้าชายแห่งญี่ปุ่นโดยพระองค์เป็นต้นตระกูล เซวะ เก็นจิ อันเป็นสาขาย่อยสาขาหนึ่งของ ตระกูลมินะโมะโตะ ", "title": "มินะโมะโตะ โนะ สึเนะโมะโตะ" }, { "docid": "919094#0", "text": "ยะเอะ ยอดหญิงซะมุไร () เป็นละครโทรทัศน์แนวอิงประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เป็นละครไทกะเรื่องที่ 52 จาก สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ออกอากาศระหว่างวันที่ 6 มกราคม – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556 โดยสร้างจากชีวิตจริงของ ยะมะโมะโตะ ยะเอะโกะ หรือ นิอิจิมะ ยะเอะ สตรีชาวญี่ปุ่นผู้มีชีวิตอยู่จริงในช่วงปลายของ ยุคเอะโดะ จนถึงช่วงต้นของ ยุคโชวะ ซึ่งมีความสามารถในการยิงปืนอันผิดแผกจากสตรีชาวญี่ปุ่นในยุคนั้นนำแสดงโดย ฮะรุกะ อะยะเซะ นางเอกชื่อดังของญี่ปุ่นซึ่งเรื่องราวในละครจะดำเนินผ่านการเดินทางของเธอในช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังเปิดรับวัฒนธรรมของชาติตะวันตกโดยที่ยะเอะเชื่อว่าผู้หญิงก็สามารถมีสิทธิเทียบเท่ากับผู้ชายได้", "title": "ยะเอะ ยอดหญิงซะมุไร" }, { "docid": "54697#3", "text": "สมัยคะมะคุระเป็นสมัยแรกที่นักรบหรือซามูไร () ขึ้นมากลายเป็นชนชั้นปกครองแทนที่พระจักรพรรดิและนักปราชญ์ที่เป็นพลเรือนดังที่เคยเป็นมาในยุคเฮอัง มีผู้นำของการปกครองคือโชกุนซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองคะมะกุระ หรือเรียกว่า คามาคูระ-โดโนะ () มีอำนาจเสมอเหมือนเป็นเจ้าผู้ปกครองญี่ปุ่นแทนที่พระจักรพรรดิ สถานที่จัดการปกครองไม่มีความหรูหราเช่นเกียวโตทำให้ศูนย์การปกครองที่คะมะคุระถูกเรียกว่า รัฐบาลเต็นต์ หรือ \"บากูฟุ\" () มีสภาขุนนางซึ่งมีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับการปกครองเรียกว่า \"มันโดะโกะโระ\" () สงครามทำให้ชนชั้นนักรบได้เข้าครอบครองที่ดินต่างๆซึ่งแต่ก่อนเป็นของราชสำนักเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของญี่ปุ่นสมัยศักดินา โดยนักรบที่เป็นนายจะแบ่งที่ดินให้แก่ข้ารับใช้ของตนตามระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) โดยที่ซะมุไรผู้ถือครองที่ดินเรียกว่า \"จิโต\" () ในขณะที่\"บากูฟุ\"แต่งตั้งซะมุไรไปปกครองแว่นแคว้นเรียกว่า \"ชูโง\" () ทับซ้อนกับระบอบเจ้าผู้ปกครองแคว้นเดิมที่ได้รับแต่งตั้งจากราชสำนักเกียวโต", "title": "ยุคคามากูระ" }, { "docid": "38412#6", "text": "ต่อมาในยุคเมจิ ญี่ปุ่นได้รับอารยธรรมตะวันตกเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้วัฒนธรรมประเพณีของญี่ปุ่นหลายอย่างกลายมาเป็นสิ่งล้าสมัยของต่างชาติ และชาวญี่ปุ่นสมัยใหม่ ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2414 จึงได้ออกกฎหมายห้ามนักรบใช้ซะมุไรเป็นอาวุธ ห้ามพกหรือสะพายดาบซะมุไร ยิวยิตสูซึ่งเป็นวิชาที่นิยมเล่นกับซะมุไร จึงถูกมองว่าเป็นสิ่งล้าสมัย เพราะทารุณ ป่าเถื่อน ฉะนั้นวิชายิวยิตสูจึงได้รับการปรับปรุงและแก้ไขพร้อมกันหลายอย่างในยุคเมจิ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ศิลปะการต่อสู้นานาชนิดรวมทั้งยิวยิตสูต้องซบเซาลง สถาบันที่เปิดฝึกสอนยิวยิตสู ซึ่งมีอยู่แพร่หลายได้รับกระทบกระเทือนถึงกับเลิกกิจการไปเป็นอันมาก", "title": "ยูโด" }, { "docid": "868970#0", "text": "นิตตะ โยะชิซะดะ ( ค.ศ. 1300 ถึง ค.ศ. 1338) ซะมุไรซึ่งมีช่วงชีวิตอยู่ในปลายยุคคะมะกุระและต้นยุคมุโระมะชิ เป็นผู้ล้มล้างรัฐบาลโชกุนคะมะกุระ\nนิตตะ โยะชิซะดะ เป็น\"โกะเกะนิง\" ( ) หรือซะมุไรผู้ปกครองผืนดินอยู่ที่เมืองนิตตะ (ปัจจุบันอยู่ที่เมืองโอตะ จังหวัดกุมมะ) ในแคว้นโคซุเกะ () ตระกูลนิตตะสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเซวะเง็งจิ ( ) เฉกเช่นเดียวกับตระกูลอะชิกะงะ ในค.ศ. 1333 จักรพรรดิโกะ-ไดโงะ ทรงประกาศเชื้อเชิญให้บรรดาซะมุไรทั้งหลายที่ไม่พอใจการปกครองของรัฐบาลโชกุนเมืองคะมะกุระเข้าร่วมกับกองกำลังของพระองค์ในการล้มล้างรัฐบาลโชกุนฯ เรียกว่า สงครามปีเก็งโก () ในขณะที่อะชิกะงะ ทะกะอุจิ ( ) ยึดเมืองเคียวโตะถวายแด่พระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะนั้น นิตตะ โยะชิซะดะ ยกทัพจากแคว้นโคซุเกะทางไปทางใต้เพื่อเข้ายึดเมืองคะมะกุระ หลังจากที่มีชัยชนะเหนือทัพของรัฐบาลโชกุนในยุทธการที่บุบะอิงะวะระ ( เขตฟุชู เมืองโตเกียวในปัจจุบัน) นิตตะ โยะชิซะดะจึงยกทัพเข้าประชิดเมืองคะมะกุระ แต่ทว่าชัยภูมิของเมืองคะมะกุระมีภูเขาล้อมรอบสามด้าน การโจมตีเมืองคะมะกุระนั้นต้องผ่านทางทะเลผ่านแหลมอินะมุระงะซะกิ () นิตตะ โยะชิซะดะ จึงทำพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งทะเล โดยการโยนดาบลงไปในทะเล หลังจากเสร็จสิ้นพิธีคลื่นทะเลกลับเปลี่ยนทิศไปในทางที่ส่งเสริมทัพของโยะชิซะดะ โยะชิซะดะจึงสามารถยึดเมืองคะมะกุระได้ ผู้สำเร็จราชการคนสุดท้ายคือ โฮโจ ทะกะโตะกิ () ทำการ\"เซ็ปปุกุ\"เสียชีวิตไปพร้อมกับขุนนางซะมุไรทั้งหลายในรัฐบาลโชกุนคะมะกุระ", "title": "นิตตะ โยะชิซะดะ" }, { "docid": "62520#30", "text": "หมวดหมู่:เครื่องป้องกันตัว หมวดหมู่:ซะมุไร", "title": "เกราะญี่ปุ่น" }, { "docid": "465905#5", "text": "เซอิไทโชกุน (征夷大将軍) หรือ คะมะกุระ-โดะโนะ (鎌倉殿) หรือโชกุน เป็นประมุขของรัฐบาลโชกุน ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักเกียวโต ในยุคคะมะกุระโชกุนเป็นเพียงหุ่นเชิดของชิกเก็งเท่านั้น เป็นตำแหน่งทางพิธีการเพื่อให้รัฐบาลโชกุนยังคงดำเนินต่อไปได้ ชิกเก็ง (執権) หรือผู้สำเร็จราชการแทนโชกุน เป็นผู้นำของมันโดะโกะโระ และเป็นผู้มีอำนาจปกครองประเทศโดยแท้จริง มีตระกูลโฮโจเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในตำแหน่ง เร็งโช (連署) หรือรองผู้สำเร็จราชการแทนโชกุน มีอำนาจรองลงมาจากชิกเก็ง มีขึ้นครั้งแรกในสมัยของชิกเก็งโฮโจ ยะซุโตะกิ เฮียวโจ-ชู (評定衆) สภาประกอบด้วยโงะเกะนิงหรือเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหลาย มีอำนาจสูงสุดตัดสินใจเกี่ยวกับกฎหมายและนโยบายต่างๆของชิกเก็ง ในสมัยหลังมีอำนาจลดลงเนื่องจากชิกเก็งกุมอำนาจเผด็จการไว้แต่ผู้เดียว ฮิกิซึเกะ-ชู (引付衆) สภามีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆระหว่างโงะเกะนิง มันโดะโกะโระ (政所) สภาประกอบด้วยขุนนางซะมุไร มีหน้าที่แนะนำและลงความเห็นนโยบายของโชกุน มีอำนาจเฉพาะในสมัยของโชกุนมินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ มงชู-โจ (問注所) สภามีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ คล้ายกับฮิกิซึเกะ-ชูเพียงแต่เป็นของโชกุน โงะเกะนิง (御家人) ซะมุไรผู้ถือครองที่ดินที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลโชกุนส่วนกลาง ได้รับผลประโยชน์จากผลผลิตในที่ดินของตน โดยมีหน้าที่ต้องให้กำลังพลและทรัพยากรในยามที่รัฐบาลกลางต้องการ ตามระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) ประกอบด้วย จิโต (地頭) ขุนนางซะมุไรผู้ปกครองที่ดินขนาดเล็ก ชูโง (守護) ขุนนางซะมุไรผู้ปกครองแคว้นใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายจิโต โระกุฮะระ ทังได (六波羅探題) เปรียบเสมือนเป็นสาขาสองของรัฐบาลโชกุนในเมืองเกียวโต ตั้งอยู่ในเขตโระกุฮะระ (六波羅) ของเมืองเกียวโต เกิดขึ้นหลังจากสงครามโจคิวเพื่อควบคุมราชสำนักเกียวโต มีผู้นำสองคนได้แก่ คิตะ-โนะ-คะตะ (北方) ดูและส่วนเหนือของเกียวโต และ มินะมิ-โนะ-คะตะ (南方) ดูแลส่วนใต้ของเกียวโต ชิงเซย์-บุเงียว (鎮西奉行) ผู้ปกครองชิงเซย์ หรือเกาะคีวชู หลังจากการรุกรานญี่ปุ่นของมองโกล จึงได้มีการยกระดับขึ้นเป็น ชิงเซย์-ทังได (鎮西探題) มิอุชิบิโตะ (御内人) คนรับใช้ประจำตระกูลโฮโจ เรืองอำนาจขึ้นมาในช่วงปลายสมัยคะมะกุระ เช่น ไทระ โนะ โยะริซึนะ นะงะซะกิ เอ็งกิ", "title": "รัฐบาลโชกุนคามากูระ" } ]
1210
ควอนตัม คืออะไร?
[ { "docid": "81875#0", "text": "กลศาสตร์ควอนตัม (English: quantum mechanics) เป็นสาขาหนึ่งในทฤษฎีรากฐานของฟิสิกส์ ที่มีความสามารถในการอธิบายผลการทดลองต่างๆ และถูกใช้แทนที่กลศาสตร์นิวตัน (หรือกลศาสตร์ดั้งเดิม) และ กลศาสตร์ไฟฟ้าของแม็กซ์เวลล์ (หรือทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า) ซึ่งกลศาสตร์ดั้งเดิมเหล่านี้ไม่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ในวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าอะตอม แต่กลศาสตร์ควอนตัมนั้นสามารถคำนวณได้แม่นยำมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขนาดของวัตถุที่สนใจนั้นเล็กถึงขนาดอะตอม จึงกล่าวได้ว่ากลศาสตร์ควอนตัมนั้นเป็นรากฐานเบื้องต้นของฟิสิกส์ที่มีความสำคัญมากกว่ากลศาสตร์นิวตันและกลศาสตร์ไฟฟ้าของแม็กซ์เวลล์ หรือใกล้เคียงกับความจริงมากกว่านั่นเอง", "title": "กลศาสตร์ควอนตัม" } ]
[ { "docid": "860752#19", "text": "เมื่อ formula_15 คือ formula_9 และเป็นฟังก์ชันเชิงซ้อน ซึ่ง |formula_15| = formula_15formula_15 เป็น โอกาสในการพบอนุภาคในสถานะควอนตัม formula_7", "title": "ตัวดำเนินการในกลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "207661#0", "text": "คาร์โล โรเวลลี(Carlo Rovelli)เป็นนัก ฟิสิกส์ และ นักจักรวาลวิทยาชาวอิตาลี ทำงานทั้งใน อิตาลี,ฝรั่งเศส และ อเมริกา. เกิดที่ เวโรนา, อิตาลี ในปี 1956. ปัจจุบันทำงานอยู่ที่\nthe Université de la Méditerranée, ในศูนย์ทฤษฎีฟิสิกส์( the Centre de Physique Théorique), ใน มาร์กเซย์, ฝรั่งเศส. เขายังเป็น affiliated Professor ที่ ภาควิชา ประวัติศาสตร์และปรัชญาแห่งวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก, USA และสมาชิกของ the Institut Universitaire de France. ใน 1981 เขาสำเร็จการศึกษา BS/MS ฟิสิกส์ ที่ มหาวิทยาลัยแห่งโบโลนญ่า และใน1986 จบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งปาโดวา, อิตาลี. งานของเขาอยู่ในสาขาความโน้มถ่วงควอนตัม(Quantum Gravity)เป็นส่วนมาก.\nในปี 1988 คาร์โล โรเวลลี, ลี สโมลิน(Lee Smolin) และ แอเบย์ อาชเทการ์(Abhay Ashtekar) ได้เสนอทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัม ชื่อ ความโน้มถ่วงควอนตัมลูป. ปี 1995 โรเวลลี กับ สโมลิน ได้พื้นฐานที่ชัดเจน ของสถานะของความโน้มถ่วงควอนตัม,\nกำหนดโดย สปิน เน็ตเวิร์คของ เพนโรส (Penrose's spin networks), ใช้พื้นฐานทั้ง2สามารถแสดงให้เห็นว่า ทฤษฎีนี้ทำนายว่า พื้นที่และปริมาตรถูกทำให้เป็นควอนตัม. ผลที่ได้นี้ชี้ว่า กาล-อวกาศ มีโครงสร้างไม่ต่อเนื่อง(discrete)ในสเกลที่เล็กมากๆ", "title": "คาร์โล โรเวลลี" }, { "docid": "10347#32", "text": "ปรากฏการณ์ในทางกลศาสตร์ควอนตัม เช่น การเคลื่อนย้ายสสารเชิงควอนตัม (Quantum teleportation), ปฏิทรรศน์อีพีอาร์ (the EPR paradox) หรือ การพัวพันกันเชิงควอนตัม (หรือ ควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์ (Quantum entanglement)) อาจจะมีปรากฏให้เห็นอยู่ในเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างกลไกที่ช่วยทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและกันในระยะทางที่ไกลมาก ๆ เช่น ในระยะทางระหว่างดวงดาว ที่มีอัตราเร็วมากกว่าแสง (FTL) หรือ ในเรื่องของการเดินทางข้ามเวลา, และในความเป็นจริงแล้วการตีความบางส่วนของกลศาสตร์ควอนตัม เช่น การตีความแบบโบห์ม (Bohm interpretation) เข้าใจว่าข้อมูลบางอย่างจะถูกแลกเปลี่ยนกันระหว่างอนุภาคอย่างทันทีทันใดเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างอนุภาคเอาไว้ [30] ปรากฏการณ์นี้จะถูกเรียกว่า \"การกระทำของผีจากระยะไกล\" (spooky action at a distance) โดยผู้ที่ให้คำจำกัดความนี้ก็คือ ไอน์สไตน์", "title": "การเดินทางข้ามเวลา" }, { "docid": "847691#0", "text": "ในวิชากลศาสตร์ควอนตัม แฮมิลโทเนียนเป็นตัวดำเนินการที่สอดคล้องกับผลรวมของพลังงานในระบบของเหตุการณ์ที่พบเจอเป็นส่วนใหญ่ มักจะใช้สัญลักษณ์เป็น \"H\" หรือ \"Ȟ\" หรือ \"Ĥ\" โดยสเปกตรัมคือชุดของค่าที่หาออกมาได้เมื่อทำการวัดค่าพลังงานรวมของระบบ เพราะสิ่งเหล่านี้จะมีความสอดคล้องกับความสัมพันธ์ของเวลา (time-evolution)ของระบบนั้นๆ ซึ่งมีความสำคัญมากกับสูตรการคำนวณของควอนตัมเป็นส่วนใหญ่", "title": "แฮมิลโทเนียน (กลศาสตร์ควอนตัม)" }, { "docid": "860752#5", "text": "ให้ \"ψ\" เป็นฟังก์ชันคลื่นสำหรับระบบควอนตัม โดยฟังก์ชันคลื่นจะต้องมีสมบัติ square-integrable functions คือวิธีการหาปริพันธ์ของฟังก์ชันกำลังสอง เมื่อฟังก์ชันคลื่นคูณแบบสเกลาร์กับตัวมันเองแล้วสามารถหาค่าได้ กล่าวคือ", "title": "ตัวดำเนินการในกลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "861054#7", "text": "หลักการแปรค่าที่กล่าวข้างบนเป็นพื้นฐานของวิธีการแปรค่าที่ใช้ในกลศาสตร์ควอนตัมและเคมีควอนตัม เพื่อหาค่าประมาณของสถานะพื้น", "title": "วิธีการแปรค่า (กลศาสตร์ควอนตัม)" }, { "docid": "81875#6", "text": "สูตรการแผ่รังสีของวัตถุดำ เป็นผลงานแรกๆ ของทฤษฎีควอนตัม ในกลางคืน วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2443 โดยพลังก์ มันมาจากรายงานของรูเบนส์ (Rubens) จากการค้นพบล่าสุดในการค้นหาอินฟราเรด คืนนั้นเองพลังก์เขียนสูตรลงบนโปสการ์ด รูเบนส์ ได้รับโปสการ์ดนั้นในเช้าวันถัดมา", "title": "กลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "201104#0", "text": "ทฤษฎีสนามควอนตัม ( หรือ QFT) คือทฤษฎีควอนตัมของสนามพลังงาน หรือ การใช้ทฤษฎีควอนตัมมาใช้กับระบบที่มีอนุภาคจำนวนมาก เพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ทาง อิเล็กโตรไดนามิกส์ (โดยการควอนตัมสนามแม่เหล็กไฟฟ้า) เรียกว่าพลศาสตร์ไฟฟ้าควอนตัม (Quantum Electrodynamics) ต่อมาได้ขยายกรอบทางทฤษฎีเพื่ออธิบายสนามของแรงนิวเคลียร์แบบอ่อนร่วมด้วย เรียกว่าทฤษฎี อิเล็กโตร-วีก (Electro-Weak Theory) และเป็นพื้นฐานสำหรับการอธิบายแรงนิวเคลียร์แบบเข้มที่เรียกว่า ควอนตัมโครโมไดนามิกส์ (Quantum Chromodynamics) ทฤษฎีสนามควอนตัม (QFT) เป็นกรอบทฤษฎีสำหรับการสร้างแบบจำลองทางกลศาสตร์ควอนตั้มของสนามและระบบหลาย ๆ อย่างของวัตถุ (อยู่ในบริบทของสสารควบแน่น) ระบบทั้งสองซึ่งเป็นตัวแทนของระบบแบบคลาสสิกโดยเป็นจำนวนอนันต์ขององศาอิสระ", "title": "ทฤษฎีสนามควอนตัม" }, { "docid": "835075#0", "text": "ในวิชากลศาสตร์ควอนตัม สมการชเรอดิงเงอร์ เป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายระบบทางฟิสิกส์ ที่เป็นผลจากปรากฏการณ์ควอนตัม เช่น ทวิภาคของคลื่นและอนุภาค สมการชเรอดิงเงอร์เป็นสมการที่สำคัญในการศึกษาระบบทางกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งแอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ (Erwin Schrödinger) นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย ได้ค้นพบ \"สมการชเรอดิงเงอร์\" ในปี พ.ศ. 2468 และถูกตีพิมพ์ในปีต่อมา จากการค้นพบสมการชเรอดิงเงอร์ ทำให้แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี พ.ศ. 2476 สมการนี้เป็นสมการเชิงอนุพันธ์ย่อยหรือที่รู้จักกันว่าสมการคลื่น โดยสามารถแก้สมการชเรอดิงเงอร์เพื่อหาพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของคลื่นได้", "title": "สมการชเรอดิงเงอร์" }, { "docid": "614515#0", "text": "มักซ์ บอร์น (, 11 ธันวาคม ค.ศ. 1882 - 5 มกราคม ค.ศ. 1970) เป็นนักฟิสิกส์ผู้มีส่วนพัฒนาทฤษฎีด้านกลศาสตร์ควอนตัม และได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1954 ร่วมกับวัลเทอร์ โบเทอจากผลงานการคิดค้นสูตรที่ใช้ในการอธิบายฟังก์ชันความน่าจะเป็นในสมการคลื่นของชเรอดิงเงอร์ ในวิชากลศาสตร์ควอนตัม", "title": "มักซ์ บอร์น" }, { "docid": "860752#0", "text": "การคำนวณทางคณิตศาสตร์ของกลศาสตร์ควอนตัม ถูกสร้างขึ้นตามแนวคิดของตัวดำเนินการ กล่าวคือ ปริมาณที่สังเกตหรือที่วัดได้ในทางกายภาพของอนุภาคจากการทดลอง เช่น ตำแหน่ง โมเมนตัมเชิงเส้น พลังงาน โมเมนตัมเชิงมุม เป็นต้น สามารถแทนได้ด้วยตัวดำเนินการ A ใด ๆ ในกลศาสตร์ควอนตัม หากต้องการทราบข้อมูลหรือปริมาณดังกล่าวจะต้องใช้ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์มากระทำกับฟังก์ชันไอเกนของอนุภาคนั้น ๆ ดังนั้น ผลของการวัดจะทำให้ฟังก์ชันไอเกนของอนุภาคกลายเป็นฟังก์ชันไอเกนที่สอดคล้องกับตัวดำเนินการ ตามสมการ ", "title": "ตัวดำเนินการในกลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "194802#0", "text": "หลุมดำเชิงควอนตัม หรือ หลุมดำจิ๋ว เป็นสมมติฐานของหลุมดำที่มีขนาดเล็กมากๆ ระดับควอนตัม ทฤษฎีควอนตัมจึงมีบทบาทสำคัญในหลุมดำประเภทนี้ เช่น การแผ่รังสีฮอว์คิง", "title": "หลุมดำเชิงควอนตัม" }, { "docid": "243860#0", "text": "แวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ก (; 5 ธันวาคม พ.ศ. 2444-1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมันซึ่งเป็นหนึ่งในผู้วางหลักการพื้นฐานของกลศาสตร์ควอนตัม มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะผู้คิดค้นหลักความไม่แน่นอนของทฤษฎีควอนตัม นอกจากนี้ยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในสาขาวิชาฟิสิกส์นิวเคลียร์ ทฤษฎีสนามควอนตัม และฟิสิกส์อนุภาค", "title": "แวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ก" }, { "docid": "395948#1", "text": "ใน ปี พ.ศ. 2544 ลี สโมลิน ได้เสนอว่า สถานะโคะดะมะ เป็น สถานะพื้น ที่มีคุณสมบัติ ลิมิตกึ่งคลาสสิก ที่ดี ซึ่งอาจทำให้เราศึกษาพลวัต (dynamics) ของ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่มี ค่าคงที่จักรวาลเป็นบวก หรือเรียกว่า \"จักรวาล เดอ ซิตเตอร์\" (de Sitter universe) 4มิติ และ กราวิตอน (อนุภาคทางทฤษฎีที่ใช้เป็นสื่อแรงโน้มถ่วงระหว่างมวล) จากทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมได้อีกครั้ง (เนื่องจากในปัจจุบันเราไม่สามารถ ศึกษาทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป โดยเริ่มจากทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมแบบหนึ่งได้ ซึ่งเราเรียกว่าแบบคาโนนิคัล ทั้งๆที่เราศึกษาไดนามิกส์ของมันในเชิงคลาสสิก ก่อนจะส่งผ่าสู่แบบควอนตัม ทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมแบบลูป ก็จัดอยู่ในประเภทนี้ และทฤษฎีความโน้มถ่วงเชิงควอนตัมเหล่านี้เริ่มมาจาก ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป จึงถือว่าเป็นทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมแบบไม่ขึ้นอยู่กับพื้นหลัง) เนื่องจากสถานะนี้เป็น คำตอบแบแม่นตรง (exact solution) ของ เงื่อนไขคอนสเตรนท์ (เงื่อนไขที่บังคับตัวแปรอิสระของทฤษฎีบางตัวให้ไม่เป็นอิสระต่อกัน และสมการนี้ถือเป็นสมการการเคลื่อนที่ของทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมแบบลูป และแบบคาโนนิคัล) บน\"\"ทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัม แบบไม่ขึ้นอยู่กับพื้นหลัง\"\"กล่าวคือ ทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมที่ไม่ได้ใช้อวกาศเวลาเป็นตัวแปรอิสระเพราะอวกาศเวลาก็มีการเปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับตัวแปรอื่นๆ ทำให้สรุปได้ว่า ทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมแบบลูป เป็นทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัม ที่มีลักษณะกึ่งคลาสสิก (ทฤษฎีที่สมมติให้แรงโน้มถ่วงอธิบายด้วยทฤษฎีคลาสสิก (ไม่มีผลทางควอนตัม) ส่วนอนุภาคและสนามอื่นๆอธิบายด้วยทฤษฎีควอนตัม ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีสนามควอนตัมบนอวกาศเวลาโค้ง ผลของทฤษฎีนี้ที่เป็นที่รู้จัก คือ สตีเฟน ฮอว์คิง ใช้คำนวณ เอนโทรปี (ความยุ่งเหยิง) ของหลุมดำ) ที่ถูกต้อง ", "title": "สถานะโคะดะมะ" }, { "docid": "358058#49", "text": "พี.เอ.เอ็ม.ดิเรก (P.A.M.Direc) พบว่าวงเล็บปัวส์ซองในแบบกลศาสตร์คลาสสิคมีความเชื่อมโยงกันกับวงเล็บการสลับที่ของกลศาสตร์ควอนตัม โดย พี.เอ.เอ็ม.ดิเรกสามารถที่จะกำหนดค่าวงเล็บปัวส์ซองในกลศาสตร์คลาสสิคได้จากการสลับที่ของตัวดำเนินการในกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งแสดงความหมายว่ากลศาสตร์คลาสสิคอยู่ในขอบเขตที่ค่าคงที่แพลงค์เป็นศูนย์", "title": "กลศาสตร์แฮมิลตัน" }, { "docid": "860752#12", "text": "สรุปคือ ฟังก์ชันคลื่นเป็นฟังก์ชันกำลังสองที่สามารถหาปริพันธ์ได้ ฟังก์ชันคลื่นใด ๆ ที่ไม่สามารถยกกำลังสองแล้วหาปริพันธ์ได้จะไม่มีความหมายในกลศาสตร์ควอนตัม", "title": "ตัวดำเนินการในกลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "81875#3", "text": "สำหรับความเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎีทางฟิสิกส์อื่นๆ นั้น หากรวมสัมพัทธภาพพิเศษลงในกลศาสตร์ควอนตัม จะเรียกว่า พลศาสตร์ไฟฟ้าควอนตัม หรือทฤษฎีสนามควอนตัม", "title": "กลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "81875#2", "text": "ข้อแตกต่างของกลศาสตร์ดั้งเดิมและกลศาสตร์ควอนตัม กลายเป็นเรื่องประหลาด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2469 แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก และ แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ สามารถอธิบายทฤษฎีดังกล่าวทางคณิตศาสตร์ได้", "title": "กลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "81875#4", "text": "ในปัจจุบัน ถือได้ว่า กลศาสตร์ควอนตัม และ สัมพัทธภาพทั่วไป เป็นเสาหลักของฟิสิกส์ยุคใหม่ ซึ่งยังไม่มีผู้ใดสามารถรวมสองทฤษฎีนี้เข้าด้วยกันได้ แต่ทฤษฎีสตริงอาจเป็นคำตอบสำหรับปัญหานี้", "title": "กลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "194853#0", "text": "ทฤษฎีโน้มถ่วงเชิงควอนตัม () เป็นทฤษฎีที่พยายามรวม กลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งอธิบายแรงพื้นฐาน สามแรงคือ แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม และแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน เข้ากับ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ซึ่งใช้อธิบายแรงโน้มถ่วง เป้าหมายของทฤษฎีนี้ก็คือ การอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในระดับพลังงานสูง และ ทฤษฎีควอนตัมในระดับสเกลใหญ่ภายใต้กฎหนึ่งเดียวเป็นทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of Everything: TOE)", "title": "ความโน้มถ่วงเชิงควอนตัม" }, { "docid": "926778#0", "text": "ในการคำนวณเชิงควอนตัม คิวบิต () หรือ ควอนตัมบิต () เป็นหน่วยย่อยที่สุดของข้อมูล (เช่นเดียวกับที่ บิต เป็นหน่วยย่อยที่สุดของการคำนวณมาตรฐาน) คิวบิตคือระบบทางควอนตัมที่มีสองสถานะ เช่น โพลาไรเซชันของโฟตอนที่มีสถานะสองแบบคือโพลาไรซ์ในแนวตั้งและแนวนอน ในระบบการคำนวณเชิงคลาสสิก บิตใด ๆ จะต้องอยู่ในสถานะใดสถานะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กลศาสตร์ควอนตัม ทำให้คิวบิตสามารถอยู่ในสถานะวางซ้อนกันของสถานะทั้งสองในเวลาเดียวกันได้ คุณสมบัตินี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการคำนวณเชิงควอนตัม", "title": "คิวบิต" }, { "docid": "56848#37", "text": "ลูกกระสุนปืนใหญ่ของนิวตัน (Newton's cannonball) (กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน) Brownian ratchet เครื่องจักรที่ใช้ \"perpetual motion\" ของ (ริชาร์ด ไฟยน์แมน ซึ่งไม่ขัดแย้งกฎข้อที่สองและไม่เกิดงาน) Casimir cones (หลักการของเครื่องจักรแบบเกือบเป็น perpetual motion กระตุ้นโดย เอนโทรปี) เรือของกาลิเลโอ (Galileo's ship) (หลักสัมพัทธภาพคลาสสิค) ค.ศ. 1632 Galileo's Leaning Tower of Pisa experiment (ข้อแย้งหลักความโน้มถ่วงแบบอริสโตเติล) GHZ experiment (กลศาสตร์ควอนตัม) EPR paradox (กลศาสตร์ควอนตัม) (forms of this have actually been performed) Ladder paradox (ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ) Maxwell's demon (เทอร์โมไดนามิกส์) 1871 Quantum suicide (กลศาสตร์ควอนตัม) Schrödinger's cat (กลศาสตร์ควอนตัม) Twin paradox (ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ) Wigner's friend (กลศาสตร์ควอนตัม) Wittgenstein's rod (engineering mechanics) - an exercise in visualization Bucket argument - แย้งว่าสเปซนั้นสัมบูรณ์ ไม่ใช่สัมพัทธ์", "title": "การทดลองทางความคิด" }, { "docid": "57430#54", "text": "เซลล์แสงอาทิตย์จุดควอนตัม (QDSCs) จะขึ้นอยู่กับเซลล์ Grätzel หรือ เซลล์แสงอาทิตย์ไวต่อสี มีสถาปัตยกรรมแต่ใช้อนุภาคนาโนเซมิคอนดักเตอร์ที่มีช่องว่างแถบต่ำ ประดิษฐ์ด้วยผลึกขนาดเล็กที่พวกมันสร้างรูปแบบเป็นจุดควอนตัม (เช่น CdS, CdSe, Sb2S3, PbS, ฯลฯ) แทนที่จะใช้สีย้อมอินทรีย์หรือสี organometallic เป็นตัวซึมซับแสง จุดควอนตัม (QDs) ได้ดึงดูดความสนใจมากเพราะคุณสมบัติที่ไม่เหมือนใคร การ quantization ขนาดของมันช่วยให้ช่องว่างแถบ ที่ได้รับการปรับจูนโดยเพียงแค่เปลี่ยนขนาดของอนุภาค มันยังมีค่าสัมประสิทธิ์การสูญเสียที่สูงและได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการผลิตหลาย exciton[43]", "title": "เซลล์แสงอาทิตย์" }, { "docid": "57430#24", "text": "เนื่องจากความยากลำบากในการวัดพารามิเตอร์เหล่านี้โดยตรง พารามิเตอร์อื่นๆจึงถูกวัดแทนเช่นประสิทธิภาพทางอุณหพลศาสตร์, ประสิทธิภาพทางควอนตัม,ประสิทธิภาพควอนตัมแบบบูรณาการ, อัตราส่วน VOC และปัจจัยการเติม. การสูญเสียเนื่องจากการสะท้อนเป็นส่วนหนึ่งของ ประสิทธิภาพควอนตัมภายใต้ \"ประสิทธิภาพควอนตัมภายนอก\". ความเสียหายจากการรวมตัวกัน สร้างส่วนหนึ่งของประสิทธิภาพควอนตัม, อัตราส่วน VOC และปัจจัยการเติม การสูญเสียจากแรงต้านทานส่วนใหญ่มีการแบ่งประเภทภายใต้ปัจจัยเติม แต่ยังสร้างส่วนเล็กๆน้อยๆของประสิทธิภาพควอนตัม, อัตราส่วน VOC", "title": "เซลล์แสงอาทิตย์" }, { "docid": "287239#5", "text": "[[กลศาสตร์ควอนตัม]]ได้ให้ความหมายของการวัดไว้ว่าเป็น \"การยุบตัวของฟังก์ชันคลื่น\" ความหมายที่กำกวมเช่นนี้มาจาก[[ปัญหาการวัด]]ซึ่งเป็นข้อปัญหาพื้นฐานที่แก้ไม่ได้ของกลศาสตร์ควอนตัม", "title": "การวัด" }, { "docid": "81875#8", "text": "n = เลขควอนตัม E = พลังงาน f = ความถี่ single mode ที่แผ่รังสี", "title": "กลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "81875#12", "text": "กลศาสตร์ควอนตัม หมวดหมู่:กลศาสตร์ หมวดหมู่:หลักการสำคัญของฟิสิกส์", "title": "กลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "847691#9", "text": "มีการประยุกต์ใช้แฮมิลโทเนียนในระบบที่ใช้สมการคลื่น \"Ψ\"(r, \"t\") (wave function) มาอธิบาย โดยวิธีนี้ก็เป็นวิธีการแบบทั่วๆไปในการแก้สมการของทางกลศาสตร์ควอนตัม", "title": "แฮมิลโทเนียน (กลศาสตร์ควอนตัม)" }, { "docid": "860752#7", "text": "ตัวอย่างฟังก์ชันกำลังสองที่สามารถหาปริพันธ์ได้ คือ ฟังก์ชันคลื่นแบบกลศาสตร์ควอนตัม :formula_4", "title": "ตัวดำเนินการในกลศาสตร์ควอนตัม" }, { "docid": "410612#0", "text": "การทดลองของสเติร์น-เกอร์แลค ตั้งชื่อตาม ออตโต สเติร์น และ วอลเทอร์ เกอร์แลค เป็นการทดลองในปี ค.ศ. 1922 ที่มีความสำคัญยิ่งในสาขากลศาสตร์ควอนตัม โดยทดสอบดูทิศทางการหักเหของอนุภาคซึ่งใช้ในการวางหลักการพื้นฐานของกลศาสตร์ควอนตัม และเป็นตัวบ่งชี้ว่าอิเล็กตรอนและอะตอมมีคุณสมบัติควอนตัมภายใน และการตรวจวัดในกลศาสตร์ควอนตัมมีผลกระทบต่อตัวระบบที่กำลังตรวจวัดนั้นเองด้วย", "title": "การทดลองของสเติร์น-เกอร์แลค" } ]
2587
สามก๊กมีการนำไปแปลเป็นภาษาไทยหรือไม่ ?
[ { "docid": "743196#0", "text": "สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นแม่กองแปล ตั้งแต่ พ.ศ. 2345 และเป็นร้อยแก้วของไทยที่ได้รับการตีพิมพ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2417 ก่อนที่จะสังคมไทยจะได้อ่าน ความพยาบาท นิยายแปลโดยแม่วัน และ ละครแห่งชีวิต โดยหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ ซึ่งถือเป็นนิยายเล่มแรกของวงวรรณกรรมไทย จึงเป็นนิยายร้อยแก้วที่เก่าแก่ที่สุดในสังคมไทย สำนวนภาษาตลอดจนค่านิยมดั้งเดิมล้วนปรากฏอยู่ทั่วไปในสามก๊ก ชนชั้นนำไทยแต่เดิมก็ถือว่าสามก๊กเป็นตำราการเมืองเสียด้วยซ้ำ คติทางสังคมหลายอย่างก็ถอดแบบมาจากสามก๊ก หนังสือเรื่องนี้จึงน่าเสพและศึกษาไปพร้อม ๆ กัน", "title": "สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)" } ]
[ { "docid": "4797#5", "text": "กรณีการแปลภาษาไทยเป็นภาษาอื่นๆ สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงคือคำกริยาภาษาไทยมีการนำกริยาหลายตัวมาเรียงลำดับติดต่อกันได้มากกว่า 2 ตัว แต่ไม่เกิน 7 ตัว การวิเคราะห์จึงต้องมีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ นอกจากนั้น การที่ภาษาไทยไม่มีกลุ่มคำที่เรียกว่า \"คำคุณศัพท์\" เหมือนในภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส มีแต่คำว่า \"คำวิเศษณ์\" ซึ่งมีพฤติกรรมการใช้งานตรงกับรูปคำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ทำให้การวิเคราะห์กลุ่มคำที่ทำหน้าเป็นคำกริยา verbal phrase มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น", "title": "การแปลด้วยเครื่อง" }, { "docid": "9800#104", "text": "การแปลสามก๊กเป็นภาษาต่าง ๆ นั้น ในหนังสือ \"ตำนานสามก๊ก\" พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงรวบรวมประวัติการแปลหนังสือสามก๊กเป็นภาษาต่าง ๆ จนถึง พ.ศ. 2470 ซึ่งเป็นปีที่ทรงพระนิพนธ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น ดังนี้[16]", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "84540#0", "text": "สามก๊ก มหาสนุก เป็นงานเขียนการ์ตูนเรื่องยาวจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนเรื่อง สามก๊ก (แต่งโดย หลอกว้านจง) โดย สุชาติ พรหมรุ่งโรจน์ (หมู นินจา) ตีพิมพ์ในนิตยสารมหาสนุกตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จนถึง พ.ศ. 2550 ได้พิมพ์รวมเล่มเป็นการ์ตูนสีรวมทั้งหมด 45 เล่ม และบริษัทวิธิตาได้นำเรื่องสามก๊กมาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นมาแล้ว 2 ภาค ออกฉายทางช่อง 7 ล่าสุดได้รับการแปลเป็นภาษาเกาหลีแล้ว ซึ่งจัดจำหน่ายโดย บริษัท พีเอ็มจี โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ซัมซุง บุ๊ค พับลิเชอร์", "title": "สามก๊ก มหาสนุก" }, { "docid": "121597#0", "text": "สามก๊ก () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องยาว ที่แปลมาจาก วรรณกรรรมจีน เรื่องสามก๊ก วาดภาพโดย มิตสึเทรุ โยโกยามะ ต่อมาได้ถูกสร้างเป็นอะนิเมะ ในปี พ.ศ. 2534 ออกอากาศทางสถานีทีวีโตเกียว และสร้างเป็นเกม สำหรับเครื่องนินเทนโดดีเอส ในปี พ.ศ. 2550 เนื้อเรื่องในการ์ตูน แปลมาจาก หนังสือสามก๊กฉบับภาษาญี่ปุ่น ของเออิจิ โยชิคาวะ ซึ่งจะแตกต่างจาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)หรือ สามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบเล็กน้อย สามก๊กเป็นนิยาย ที่เต็มไปด้วย แผนการรบและกลอุบาย จนมีคำกล่าวว่า \"อ่านสามก๊กครบสามจบ คบไม่ได้\" ในประเทศไทย สำนักพิมพ์จัมโบ้ จัดพิมพ์สามก๊กเป็นเล่มใหญ่ โดยแบ่งเป็น 15 เล่ม", "title": "สามก๊ก (การ์ตูน)" }, { "docid": "124268#0", "text": "บุคคลในยุคสามก๊ก แสดงรายชื่อของบุคคลในประวัติศาสตร์จีนในยุคสามก๊ก รายชื่อนี้แสดงชื่อไทย อังกฤษ และจีน ของแต่ละคน บุคคลเหล่านี้นำไปสู่วรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ เรื่องสามก๊ก เนื่องจากสามก๊กภาษาไทย อ่านชื่อคนด้วยสำเนียงฮกเกี้ยน แต่ภาษาอังกฤษอ่านแบบภาษาจีนกลาง การออกเสียงจึงไม่เหมือนกัน", "title": "รายชื่อบุคคลในยุคสามก๊ก" }, { "docid": "743196#2", "text": "เมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทยสองเรื่อง คือ เรื่องไซ่ฮั่น เรื่องหนึ่ง กับเรื่องสามก๊ก เรื่องหนึ่ง โปรดให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังหลัง ทรงอำนวยการแปลเรื่องไซ่ฮั่น แลให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลเรื่องสามก๊ก คำที่เล่ากันมาดังกล่าวนี้ไม่มีในจดหมายเหตุ แต่เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นมีหลักฐานควรเชื่อได้ว่า เป็นความจริง ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเอาเป็นพระราชธุระขวนขวายสร้างหนังสือต่าง ๆ ขึ้นเพื่อประโยชน์สำหรับพระนคร หนังสือซึ่งเป็นต้นฉบับตำรับตำราในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ทั้งที่รวบรวมของเก่า ที่แต่งใหม่ แลที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๑ มีมาก แต่ว่าในสมัยนั้นเป็นหนังสือเขียนในสมุดไทยทั้งนั้น ฉบับหลวงมักมีบานแพนกแสดงว่าโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปีใด แต่หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กสองเรื่องนี้ต้นฉบับที่ยังปรากฏอยู่มีแต่ฉบับเชลยศักดิ์ขาดบานแพนกข้างต้น จึงไม่มีลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญว่าแปลเมื่อใด ถึงกระนั้นก็ดี มีเค้าเงื่อนอันส่อให้เห็นชัดว่า หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กแปลเมื่อในรัชกาลที่ ๑ ทั้งสองเรื่อง เป็นต้นว่า สังเกตเห็นได้ในเรื่องพระอภัยมณีที่สุนทรภู่แต่งซึ่งสมมุติให้พระอภัยมณีมีวิชาชำนาญในการเป่าปี่ ก็คือ เอามาแต่เตียวเหลียงในเรื่องไซ่ฮั่น ข้อนี้ยิ่งพิจารณาดูคำเพลงปี่ของเตียวเหลียงเทียบกับคำเพลงปี่ของพระอภัยมณีก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ถ่ายมาจากกันเป็นแท้ ด้วยเมื่อรัชกาลที่ ๑ สุนทเรื่องสามก๊กนั้นเป็นนิทานที่ใช้เล่าและเล่นเป็นงิ้วในเมืองจีนมาแต่ก่อน ปราชญ์จีนชื่อ ล่อกวนตง ในยุคราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911 - 2186) จึงได้เขียนเรียบเรียงเป็นหนังสือ ต่อมาเม่าจงกัง และ กิมเสี่ยถ่าง ได้แต่งเพิ่มและนำไปตีพิมพ์ ตั้งแต่นั้นจึงได้แพร่หลายขึ้น และแปลเป็นภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ของไทยนั้นแปลในปี พ.ศ. 2345 โดยซินแสผู้รู้ภาษาจีนได้แปลออกมาให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรียบเรียงเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับภาษาจีนหรือแม้แต่ภาษาอังกฤษ เนื้อความหลายตอนจึงคลาดเคลื่อนกันบ้าง ซึ่งหาเทียบได้จากฉบับที่ สังข์ พัฒโนทัย แปลออกมาในตำราพิชัยสงครามสามก๊ก หรือในสามก๊กฉบับวณิพก ของยาขอบ ซึ่งเทียบจากฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์ แต่เนื้อความภาษาจีนเป็นอย่างไรหรือเรื่องจริงเป็นอย่างไรมิใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสามก๊กฉบับภาษาไทยนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเพชรเม็ดงามทางร้อยแก้วในวงวรรณกรรมไทย นอกจากสำนวนภาษาแล้ว เนื้อเรื่องยังได้แสดงตัวละครในลักษณะที่มีความซับซ้อนหลากหลาย ความเปลี่ยนแปรในจิตใจของมนุษย์ ตลอดจนเบื้องหลังอุปนิสัยตัวละครที่สัมพันธ์อย่างยิ่งกับการเดินเรื่อง สามก๊กจึงเป็นยอดในแบบของนิยายที่แสดงให้เห็นชีวิตโดยเหตุนี้", "title": "สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)" }, { "docid": "84540#2", "text": "การ์ตูนสามก๊กฉบับนี้ดำเนินเรื่องค่อนข้างรวดเร็ว แต่คงเนื้อหาและใจความหลักของเรื่องเดิมไว้เป็นส่วนใหญ่ ภายในเรื่องจะมีการสอดแทรกมุขเสียดสีสถานการณ์บ้านเมืองขณะที่เขียนไว้อย่างแสบๆ คันๆ อยู่เสมอ ตอนใดที่ในสามก๊กฉบับภาษาจีนมีบทกวีที่ไพเราะ ก็จะมีการแปลแทรกและเขียนประกอบไว้ในเรื่องด้วย เช่น ตอนหองจูเปียนรำพันก่อนถูกลิยู ลูกน้องของตั๋งโต๊ะปลงพระชนม์ ตอนโจสิดต้องร่ายกลอนให้สำเร็จภายในชั่ว 7 ก้าวเดินเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นต้น", "title": "สามก๊ก มหาสนุก" }, { "docid": "9800#115", "text": "นิยายสามก๊กของหลัว กวั้นจง ได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างยิ่งในยุคของราชวงศ์หมิง ที่ครองแผ่นดินจีนต่อจากราชวงศ์หยวน โดยมีการนำไปเล่นเป็นงิ้ว อันเป็นการแสดงที่เข้าถึงผู้คนทั่วทุกหัวระแหง และมีการแต่งตั้งให้กวนอูเป็น \"เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์\" ที่เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนให้ความเคารพบูชาและศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมากแทนที่งักฮุยหรือเยี่ยเฟย กวนอูได้รับการยกย่องให้เป็นถึง \"จงอี้เหรินหย่งเสินต้าตี้\" ซึ่งมีความหมายคือ มหาเทพบดีผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจงรักภักดี คุณธรรมและความกล้าหาญ", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#113", "text": "สามก๊ก ฉบับตำราพิชัยสงคราม แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยโดย สังข์ พัธโนทัย ลักษณะการแปลเป็นการรวบรวมเอาตัวละครเด่น ๆ ของเรื่อง มาสรุปเป็นตัวๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่จุดเสื่อมราชวงศ์ฮั่น ตั๋งโต๊ะยึดอำนาจ ฯลฯ ไปจนถึงอวสานยุคสามก๊กและมีการอ้างอิงตัวละครทั้งหมดในท้ายเล่ม มีการเทียบเสียงจีนกลาง แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบรายชื่อตัวละครและสถานที่สำคัญในเนื้อเรื่อง นอกจากนี้สามก๊ก ฉบับตำราพิชัยสงคราม ยังเได้รับยอมรับว่า เป็นหนังสือเล่มแรกที่ผู้คิดเริ่มอ่านสามก๊ก ควรอ่านก่อนสามก๊กฉบับอื่น ๆ เพราะอ่านง่ายและสรุปเรื่องได้ดี ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประดู่ลาย", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#107", "text": "สามก๊กฉบับหลัว กวั้นจงได้มีการแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2345 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งมีพระราชดำริให้จัดแปลพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ไซ่ฮั่น และแปลพงศาวดารมอญเรื่องราชาธิราช เพื่อให้คนไทยได้ใช้ศึกษาเป็นตำราพิชัยสงคราม โดยมอบหมายให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้อำนวยการแปลสามก๊ก มีความยาวทั้งสิ้น 95 เล่มสมุดไทย ซึ่งได้รับการสันนิษฐานว่าเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ไม่ได้แปลสามก๊กจากต้นฉบับทั้งหมด เนื่องจากการใช้สำนวน ภาษา และรูปแบบการแปลในตอนท้ายเรื่องเป็นคนละสำนวนกับตอนต้นเรื่อง สามก๊กฉบับนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือแบบฝรั่งครั้งแรกโดยโรงพิมพ์หมอบรัดเล มีจำนวน 4 เล่มจบ เมื่อปี พ.ศ. 2408 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว [20] ซึ่งต่อมากลายเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และถูกนำมากล่าวถึงในบทละครนอกเรื่องคาวี ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ความว่า", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#111", "text": "แปลโดย นายวรรณไว พัธโนทัย เป็นสามก๊กฉบับแรกที่พยายามแปลจากต้นฉบับสามก๊กภาษาจีนของ หลอก้วนจง ทำให้เป็นสามก๊กฉบับแปลไทยฉบับแรกที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับภาษาจีนและภาษาอังกฤษของ บริเวตต์ เทย์เลอร์ สามก๊กฉบับวรรณไว พัธโนทัย ยังเป็นฉบับที่ถือว่าแปลตามลักษณะของนิยายตะวันตกคือแปลคำต่อคำ โดยไม่ได้ดัดแปลงสำนวนภาษาแต่อย่างใด จึงค่อนข้างอ่านง่าย สำหรับคนรุ่นใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้มีรสทางวรรณกรรมเทียบเท่ากับสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ซึ่งใช้สำนวนเป็นภาษาชาววังโบราณ ส่วนฉบับนี้ภาษาที่ใช้ก็เป็นสำนวนปกติทั่วไป [24] อีกจุดหนึ่งที่สามก๊กฉบับนี้ยังคงไว้จากต้นฉบับคือ บทร้อยกรองต่าง ๆ และเนื้อหาของฎีกาหรือข้อความบรรยายบางจุดที่ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตัดออก ในฉบับนี้ก็ยังมีอยู่ครบ แต่กระนั้นก็ยังมีบางจุดที่แปลผิดพลาดอยู่บ้าง[25]", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#105", "text": "นอกจากนี้ยังทรงเชื่อว่ายังมีสามก๊กที่แปลในภาษาอื่นที่ยังสืบความไม่ได้ เช่นภาษามองโกล เป็นต้น[17]", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "395425#2", "text": "ในเพลง \"ลำนำสามก๊ก\" ซึ่งเป็นเพลงสุดท้าย เป็นเพลงที่นำมาจากบทกวี \"ฉือ\" จากตำราพิชัยยุทธสามก๊ก ซึ่งเป็นเพลงนำของละครโทรทัศน์ชุดสามก๊ก ที่ถอดความเป็นภาษาไทยโดย ทองแถม นาถจำนง", "title": "กำลังใจคาราบาว 30 ปี" }, { "docid": "84540#9", "text": "สามก๊ก มหาสนุก ฉบับรวมเล่ม มีจำนวน 45 เล่ม จำหน่ายในราคาเล่มละ 50 บาท พิมพ์สี่สี ภายในมีเนื้อหา 4 ตอนต่อเล่ม นอกจากนี้ยังการนำสามก๊กมาจัดเป็นชุด ทั้งหมด 8 ชุด ชุดละ 6 เล่ม โดยชุดสุดท้ายมีเล่มที่ 43-45, สามก๊กฉบับ Special Editor และสามก๊กฉบับมินิตูนอีก 2 เล่ม", "title": "สามก๊ก มหาสนุก" }, { "docid": "165509#8", "text": "เตียวหัวและเตาอี้ได้กราบบังคมทูลให้พระเจ้าจิ้นอู่ตี้พิจารณาจดหมายเหตุสามก๊ก แต่กลับถูกคัดค้านอย่างหนักจากเหล่าขุนนางในราชสำนักที่ไม่เห็นด้วยกับจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่ว ทำให้การพิจารณาเรื่องต้องถูกระงับไป ตันซิ่วเห็นว่าจดหมายเหตุสามก๊กที่เขียนขึ้นนั้นทำให้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อตนเอง ประกอบกับต้นฉบับร่างสามก๊กนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากขาดข้อมูลจากฝ่ายง่อก๊กอีกเป็นจำนวนมาก จึงหลีกเลี่ยงในการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระเจ้าจิ้นอู่ตี้ ", "title": "จดหมายเหตุสามก๊ก" }, { "docid": "9800#109", "text": "เนื้อหาในบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่มีการกล่าวถึงตำราพิชัยสงครามและสามก๊ก นับเป็นหลักฐานการยืนยันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความคุ้นเคยของชาวไทยที่มีต่อสามก๊ก และได้มีการค้นพบจดหมายเหตุในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งโปรดปรานบทร้อยแก้วของสามก๊กที่เป็นการแปลฉบับของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และกลายเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้มีพระราชดำริรับสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง เพื่อสำหรับนำไปใช้ในการบริหารราชการบ้านเมืองสืบต่อไป[22]", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#128", "text": "ละครโทรทัศน์ชุด สามก๊ก เป็นละครที่ผลิตขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อเป็นการเชิดชูวรรณกรรมอมตะของจีน โดยเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ด้วยความร่วมมือกับทางประเทศญี่ปุ่น ออกอากาศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น 84 ตอน ความยาวตอนละ 44 นาที สามก๊กในแบบฉบับละครโทรทัศน์ได้รับการนำเข้ามาออกอากาศครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อกลางปี พ.ศ. 2537 ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. โดยบริษัทมีเดียส์ ออฟ มีเดีย จำกัด เวลาประมาณ 22.00 น. และออกอากาศซ้ำอีกครั้งทางช่องเอ็มวีทีวีวาไรตี้แชนแนล เมื่อต้นปี พ.ศ. 2551", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "642911#6", "text": "\"ลักษณะการแปลหนังสือจีนเป็นภาษาไทยแต่โบราณ (หรือแม้จนชั้นหลังมา) อยู่ข้างลำบาก ด้วยผู้รู้หนังสือจีนไม่มีใครชำนาญภาษาไทย ผู้ชำนาญภาษาไทยก็ไม่มีใครรู้หนังสือจีน การแปลจึงต้องมีพนักงานเป็นสองฝ่ายช่วยกันทำ ฝ่ายผู้ชำนาญหนังสือจีนแปลความออกให้เสมียนจดลง แล้วผู้ชำนาญภาษาไทยเอาความนั้นเรียบเรียงแต่งเป็นภาษาไทยให้ถ้อยคำแลสำนวนความเรียบร้อยอีกชั้นหนึ่ง [...] แต่สำนวนแปลคงจะไม่สู้ตรงกับสำนวนที่แต่งไว้ในภาษาจีนแต่เดิม เพราะผู้แปลมิได้รู้สันทัดทั้งภาษาจีนแลภาษาไทยรวมอยู่ในคนเดียวเหมือนเช่นแปลหนังสือฝรั่งกันทุกวันนี้\"", "title": "เลียดก๊ก" }, { "docid": "9800#112", "text": "สามก๊กฉบับวณิพก ผลงานการประพันธ์ของยาขอบ เป็นการเล่าเรื่องสามก๊กใหม่ในแบบฉบับของตนเอง และเน้นตัวละครเป็นตัวไป เช่น เล่าปี่ผู้พนมมือแด่ชนทุกชั้น, โจโฉผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ, จิวยี่ผู้ถ่มน้ำลายรดฟ้า, ตั๋งโต๊ะผู้ถูกแช่งทั้งสิบทิศ, ลิโป้อัศวินหัวสิงห์, จูกัดเหลียงผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน, เตียวหุยคนชั่วช้าที่น่ารัก, กวนอูเทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ, จูล่งวีรบุรุษแห่งเสียงสาน, ยี่เอ๋งผู้เปลือยกายตีกลอง เป็นต้น อีกทั้งยังได้เพิ่มสำนวนและการวิเคราะห์ส่วนตัวเข้าไปด้วย โดยอาศัยสามก๊กฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์มาประกอบร่วมกับสามก๊กฉบับภาษาไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ผดุงศึกษา ในปี พ.ศ. 2529 จำนวน 2 เล่ม และตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในปี พ.ศ. 2530 - 2540 โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้าในรูปแบบของหนังสือชุดจำนวน 8 เล่ม และตีพิมพ์เป็นเครื่องระลึกในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาลของยาขอบโดยสำนักพิมพ์แสงดาว ในปี พ.ศ. 2551 จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกแข็งสองเล่ม", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#143", "text": "สามก๊ก มหาสนุก เป็นงานเขียนการ์ตูนเรื่องสามก๊ก เรื่องและภาพโดยหมู นินจา ตีพิมพ์ในนิตยสารมหาสนุกตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จนถึง พ.ศ. 2550 ภายหลังได้มีการตีพิมพ์รวมเล่มเป็นการ์ตูนสีรวมทั้งหมด 45 เล่ม และบริษัทวิธิตาได้นำเรื่องสามก๊กมาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นจำนวน 2 ภาค ล่าสุดได้รับการแปลเป็นภาษาเกาหลี จัดจำหน่ายโดย บริษัท พีเอ็มจี โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ซัมซุง บุ๊ค พับลิเชอร์[29]", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "480684#1", "text": "ผลงานที่สำคัญของนู กอนคือนวนิยายเรื่อง\"ตุงฌิน\" เรื่องขบขันเรื่องเตียวแอกและพิมพานิพพาน นอกจากนั้นยังแปลสามก๊กและอิเหนาจากภาษาไทยเป็นภาษาเขมร ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 2490 รวมอายุได้ 73 ปี", "title": "นู กอน" }, { "docid": "9800#141", "text": "เนื้อเรื่องในการ์ตูนสามก๊กฉบับการ์ตูนญี่ปุ่นแปลมาจากหนังสือสามก๊กฉบับภาษาญี่ปุ่นของเออิจิ โยชิคาวะ ซึ่งมีความแตกต่างจากสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) หรือสามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบเล็กน้อย สามก๊กเป็นนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยแผนการรบและกลอุบาย จนมีคำกล่าวว่า อ่านสามก๊กครบสามจบ คบไม่ได้ ในประเทศไทย สำนักพิมพ์จัมโบ้เป็นผู้จัดพิมพ์การ์ตูนสามก๊กเป็นเล่มใหญ่ โดยแบ่งเป็น 15 เล่มจบ", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "126365#4", "text": "จากนั้นในปี พ.ศ. 2552 สุชาติได้นำการ์ตูนสามก๊กแปลเป็นภาษาเกาหลี และจัดเป็นหนังสือขายดีในเกาหลีใต้", "title": "สุชาติ พรหมรุ่งโรจน์" }, { "docid": "9800#4", "text": "Template:CJKV) แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2345 ในรูปแบบสมุดไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ ในปี พ.ศ. 2408 และได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งภายใต้ชื่อ \"หนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภา\" โดยโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ในปี พ.ศ. 2471 ปัจจุบันสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้รับการตีพิมพ์ใหม่อีกหลายครั้งโดยหลายสำนักพิมพ์ถือเป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เล่มที่ 2 โดยแปลจากไซ่ฮั่นและเก่าแก่ที่สุดในไทย[2]", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#106", "text": "ในประเทศไทย สามก๊กได้รับการแปลและเรียบเรียงเป็นร้อยแก้วในปี พ.ศ. 2345 โดยซินแสผู้รู้ภาษาจีนได้แปลออกมาให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เพื่อนำมาเรียบเรียงเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่งก่อนทำการตีพิมพ์ ดังนั้นเมื่อนำสามก๊กของหลัว กวั้นจงซึ่งเป็นต้นฉบับ นำมาเปรียบเทียบเคียงกับภาษาไทยที่แปลโดย สังข์ พัธโนทัย ซึ่งเป็นการแปลออกมาในรูปแบบของตำราพิชัยสงคราม หรือสามก๊ก ฉบับวณิพกของยาขอบ หรือฉบับสามก๊ก ฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์ จะเห็นว่าเนื้อและความหมายของบทประพันธ์ในหลายตอนมีคลาดเคลื่อนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการคลาดเคลื่อนของความหมายในสามก๊กนั้นเกิดจากผู้แปลโดยตรง[18] อย่างไรก็ดี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 วรรณคดีสโมสร ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2457 ได้ตัดสินให้ \"สามก๊ก\" เป็นวรรณคดีประเภทเรียงความยอดเยี่ยมประเภทนิทาน เสมอกับเรื่องราชาธิราช เนื่องจากมีการใช้สำนวนภาษาที่สละสลวย เนื้อเรื่องมีความสนุกสนานและทอดแทรกแฝงแง่คิดต่าง ๆ ไว้มากมาย โดยถือว่าสามก๊กนั้น เป็นตำราสำหรับใช้ในการศึกษากลยุทธ์ในการทำสงครามและประวัติศาสตร์ของจีนได้เป็นอย่างดี[19]", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "4797#8", "text": "การพัฒนาระบบแปลภาษา \"ภาษิต\" เป็นการใช้แนวความคิดของระบบแปลภาษาในรูปแบบกฎ กล่าวคือ ระบบแปลภาษาจะประกอบด้วย คลังคำศัพท์ กฎไวยากรณ์ ของถาษาอังกฤษ และภาษาไทยแผนภาพความเชื่อมโยงของมโนทัศน์ในเชิงความหมาย เมือผู้ใช้บริการส่งข้อมูลภาษาอังกฤษเข้าทำการแปลระบบจะทำหน้าที่วิเคราะห์ไวยากรณ์ และความหมายภาษาอังกฤษ จากนั้นจะแปลงโครงสร้างภาษาให้อยู่ในรูปแบบภาษากลาง ซึ่งจะอยู่ในรูปภาพต้นไม้ ซึ่งตอนนั้นจะมีการนำคลังตำศัพท์มาใช้แปลงภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย จากนั้นระบบจะทำการแปลงภาพต้นไม้ให้ไปสู่ภาษาไทย โดยจะทำการสร้างภาษาไทยที่เป็นไปตามโครงสร้างทั้งเชิงไวยากรณ์และความหมาย", "title": "การแปลด้วยเครื่อง" }, { "docid": "624288#1", "text": "บทร้องฉบับที่รู้จักโดยทั่วไปและเป็นทางการที่สุดในภาษาจีน คือฉบับที่ใช้เป็นเพลงประจำพรรคโดยพฤตินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งฉู ชิวไป๋ () ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในยุค 1920 ได้แปลครั้งแรกจากฉบับภาษารัสเซียเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1923 บทแปลของเขาใช้ชื่อทับศัพท์ในภาษาจีนว่า \"อิงเต้อน่าสฺยงไน่เอ่อร์\" () ตามเสียงภาษาจีนกลาง ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งสาธารณรัฐโซเวียตจีนในปี ค.ศ. 1931 จึงได้มีการนำเอาเพลงนี้มาใช้เป็นเพลงชาติของตนเอง เนื่องจากเขาถูกพรรคก๊กมินตั๋งประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1935 บทแปลของเขาจึงตกเป็นสิทธิสาธารณสมบัติตามระยะเวลาแห่งการถือครองลิขสิทธิ์ ซึ่งถือครองได้ตลอดชั่วอายุขัยของผู้สร้างสรรค์ผลงานบวกกับระยะเวลา 70 ปีหลังผู้สร้างสรรค์ผลงานเสียชีวิตตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา อันรวมถึงในพื้นที่ของผู้ที่ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาหลัก คือ คือ จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน (ตลอดอายุขัยของผู้สร้างสรรค์ + 50 ปีหลังเสียชีวิต) และสิงคโปร์ (ตลอดอายุขัยของผู้สร้างสรรค์ + 70 ปีหลังเสียชีวิต) บทร้องภาษาจีนฉบับนี้มีอยู่ 3 บท ซึ่งตรงกับบทร้องฉบับภาษารัสเซียสำนวนแปลของอาร์คาดี้ ยาคอฟเลวิช ก็อตส์ และตรงกับบทที่ 1, 2 และ 6 ของบทร้องต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสซึ่งแต่งโดยเออแฌน ปอตติเยร์ บทที่ 3, 4, 5 ตามต้นฉบับภาษาเดิมนั้นไม่ได้ใช้ในบทร้องฉบับทางการในภาษาจีน และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนได้ห้ามการใช้บทร้องดังกล่าวในการเผยแพร่ต่อสาธารณะ", "title": "แองเตอร์นาซิอองนาลฉบับภาษาจีน" }, { "docid": "23804#30", "text": "สำหรับกวนอูให้ช่างตีเหล็กเป็นง้าวขนาดใหญ่รูปจันทร์เสี้ยว ประดับลวดลายมังกรขนาดความยาว 11 ศอกหรือประมาณ 3.63 เมตร หนัก 82 ชั่งหรือประมาณ 65.6 กิโลกรัม มีชื่อเรียกเฉพาะว่า \"ชิงหลงเหยี่ยนเยฺว่เตา\" () หรือง้าวมังกรเขียว (บ้างเรียกง้าวมังกรจันทร์ฉงาย) ตลอดระยะเวลาในการตรากตรำทำศึกสงครามร่วมกับเล่าปี่และเตียวหุย กวนอูใช้ง้าวมังกรเขียวเป็นอาวุธประจำกายตลอดเวลาจนกระทั่งเสียชีวิต ในสามก๊กฉบับภาษาไทย สำนวนแปลของ \"ยาขอบ\" (ซึ่งยึดฉบับแปลภาษาอังกฤษ Romance of the Three kingdoms โดย C.H. Brewitt-Taylor เป็นต้นฉบับ) นั้น ครูยาขอบได้ถอดชื่อง้าวของกวนอูให้ฟังเป็นไทยๆ ว่า ง้าว \"นิลนาคะ\" (เทียบ - \"นาคะ\" คือ มังกร \"นิล\" หมายเอาความว่าสืเขียวแก่เกือบดำ หรือสีน้ำเงินเข้ม)", "title": "กวนอู" }, { "docid": "642911#1", "text": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรับสั่งให้แปล \"เลียดก๊ก\" เป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2362 วันที่รับสั่งและรายชื่อคณะผู้แปลมีจารึกไว้ในบานแพนกสมุดไทยดังนี้", "title": "เลียดก๊ก" } ]
2279
อำเภอแม่สอดติดกับชายแดนประเทศอะไร?
[ { "docid": "35773#1", "text": "แม่สอดเป็นอำเภอที่มีการค้าระหว่างประเทศไทยกับพม่า เนื่องจากเป็นอำเภอที่อยู่ติดชายแดน และเป็นที่ตั้งจุดผ่านแดนถาวรด่านพรมแดนแม่สอด เชื่อมโยงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ประวัติความเป็นมาของอำเภอแม่สอดนั้นยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจะเป็นเมืองฉอดของขุนสามชนที่เคยยกทัพไปตีกรุงสุโขทัยหรือไม่ ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ เมื่อดูตามสภาพบ้านเมืองของอำเภอแม่สอดนั้น ไม่พบว่ามีสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่มีอายุอยู่ในยุคของสุโขทัยได้เลย ฉะนั้นจึงน่าเชื่อได้ว่าไม่ใช่เมืองเดียวกัน และขณะนี้ได้มีนักโบราณคดีพบซากเมืองโบราณอยู่ในป่าทึบในท้องที่อำเภอแม่ระมาด ซึ่งอาจจะเป็นเมืองฉอดตามศิลาจารึกกรุงสุโขทัยได้", "title": "อำเภอแม่สอด" }, { "docid": "35773#14", "text": "อำเภอแม่สอดมีพื้นที่ทั้งสิ้น 1,986.116 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,241,322.50 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.11 ของเนื้อที่จังหวัด (เนื้อที่จังหวัด 16,406.650 ตารางกิโลเมตร) สภาพพื้นส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชันซับซ้อนสลับกับหุบเขาแคบ ๆ ลักษณะภูมิประเทศของอำเภอเป็นที่ราบประมาณร้อยละ 20 ของพื้นที่อำเภอ และประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่ปกครองไปด้วยป่าโปร่งป่าดงดิบและป่าสน ภูเขาบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาถนนธงชัยที่ต่อลงมาจากทางตอนใต้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ทอดผ่านจังหวัดตากและอำเภอแม่สอด ลงไปจนเชื่อมต่อกับทิวเขาตะนาวศรี จังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่ลาดเอียงลงไปทางทิศตะวันตกลงสู่แม่น้ำเมยซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า", "title": "อำเภอแม่สอด" }, { "docid": "35773#0", "text": "แม่สอด (; ; ) เป็นอำเภอหนึ่งทางตอนกลางของจังหวัดตาก ได้รับการจัดตั้งเป็นอำเภอมาตั้งแต่ พ.ศ. 2441 ตัวอำเภออยู่ในที่ราบระหว่างภูเขาระหว่างเทือกเขาถนนธงชัยทิวเขาในฝั่งประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งเป็นทิวเขาฝั่งประเทศพม่า อำเภอแม่สอดมีพื้นที่ประมาณ 1,986 ตารางกิโลเมตร ประชากรมีทั้งชาวเขาและคนที่อพยพจากอำเภอเมืองตากเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ รวมทั้งชาวพม่าที่มีภรรยาและบุตรเป็นคนไทยด้วย อำเภอแม่สอดอยู่ห่างจากอำเภอเมืองตาก 86 กิโลเมตร", "title": "อำเภอแม่สอด" } ]
[ { "docid": "71870#0", "text": "แม่สอด เป็นแนวคิดในการรวม 5 อำเภอชายแดนฝั่งตะวันตกของ จังหวัดตาก อันประกอบด้วย อำเภอแม่สอด อำเภออุ้มผาง อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง และอำเภอพบพระ เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าเขา ยากต่อการดูแลของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ดังนั้นจึงได้มีความพยายามที่จะผลักดันให้ 5 อำเภอชายแดน เป็นจังหวัดแม่สอด ตั้งแต่ปี 2547 แต่ไม่ผ่านเกณฑ์เนื่องจากจำนวนประชากรไม่ถึงจำนวนที่กำหนด และความเจริญของตำบลโดยรอบ", "title": "จังหวัดแม่สอด" }, { "docid": "35773#15", "text": "สภาพพื้นที่โดยทั่วไปของอำเภอแม่สอด ตั้งอยู่ในภาคเหนือค่อนไปทางตะวันตกของประเทศไทยประกอบด้วยป่าไม้และเทือกเขาสูง มีพื้นที่ราบสำหรับการเกษตรน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นทิวเขาถนนธงชัยสูงสลับซับซ้อนเป็นตัวแบ่งพื้นที่ออกเป็นฝั่งตากตะวันออก คือ อำเภอเมืองตาก อำเภอบ้านตาก อำเภอสามเงา และอำเภอวังเจ้า ส่วนฝั่งตากตะวันตก คือ อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อำเภอพบพระ อำเภอท่าสองยาง อำเภออุ้มผาง", "title": "อำเภอแม่สอด" }, { "docid": "35773#21", "text": "อำเภอแม่สอดเป็น 1 ใน 9 อำเภอที่อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดตาก อำเภอแม่สอดเป็นหน่วยการบริหารราชการ การปกครองส่วนภูมิภาค ที่มีฐานะเป็นอำเภอที่ได้รับการจัดตั้งมายาวนาน ซึ่งมีอายุ 111 ปี ในปี พ.ศ. 2551 แบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 10 ตำบล 88 หมู่บ้าน อำเภอแม่สอดแบ่งเขตการปกครองระดับท้องที่ในระดับตำบลออกเป็น 10 ตำบล ประกอบด้วย\nเทศบาล\nปัจจุบันอำเภอแม่สอดมีเทศบาล 2 ขนาด รวมทั้งสิ้น 4 แห่ง ประกอบด้วย", "title": "อำเภอแม่สอด" }, { "docid": "55844#9", "text": "อำเภอแม่สะเรียงเป็นอำเภอชายแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่าทางทิศตะวันตกตลอดแนวระยะทาง 166 กิโลเมตร มีแม่น้ำสาละวินกั้นเขตแดนระยะทาง 101 กิโลเมตร มีสันเขาขุนแม่ลอง เสาหินดอยผาตั้ง เป็นเส้นกั้นเขตแดนทางบกระยะทาง 65 กิโลเมตร สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นป่าเขาทุรกันดาร พื้นที่ราบลุ่มที่เหมาะสมกับการตั้งชุมชนและทำการเกษตรส่วนใหญ่อยู่ในตำบลแม่ยวม ตำบลแม่คง ตำบลบ้านกาศ และตำบลแม่สะเรียง มีพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 800-1,200 เมตร(Highland) มีภูมิอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี เหมาะสมแก่การปลูกพืชเมืองหนาวที่ตำบลแม่เหาะ และป่าแป๋ มีแม่น้ำไหลผ่านจำนวน 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำยวม แม่น้ำแม่สะเรียง และแม่น้ำสาละวิน (แม่น้ำคง) ที่ไหลจากทิเบต ประเทศจีน", "title": "อำเภอแม่สะเรียง" }, { "docid": "452706#23", "text": "นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผวจ.ตาก กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลนครแม่สอด และแม่น้ำเมยล้นตลิ่งที่ชายแดนไทย-พม่า ว่า ขณะนี้ได้ประกาศให้เขตพื้นที่เทศบาลนครแม่สอดและเขตอำเภอแม่สอดทั้งหมดเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติอุทกภัย พร้อมได้ให้เงินช่วยเหลือฉุกเฉินจำนวน 3 ล้านบาทแก่นายอำเภอแม่สอด เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนในทันที", "title": "อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2555" }, { "docid": "35773#27", "text": "การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟม.) ของบประมาณ 58 เพื่อศึกษาความเหมาะสมรถไฟทางคู่สายนครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-แม่สอด\nสถานีขนส่งแม่สอด เป็นศูนย์กลางเชื่อมการขนส่งอำเภอท่าสองยาง แม่ระมาด พบพระ และอุ้มผาง ซึ่งเป็นอำเภอชายแดนก่อนเชื่อมตัวเมืองตาก จังหวัดอื่น และกรุงเทพมหานคร มีรถขนส่งสาธารณะผ่านสถานีขนส่งแม่สอด 14 สาย เดินรถวันละ 373 เที่ยว ผู้ใช้บริการกว่า 3,500 คนต่อวัน ในขณะที่แม่สอดยังเชื่อมการขนส่งข้ามแดนไทย-พม่า ที่เมียวดี ฝั่งตรงข้าม วันละ 120 เที่ยว ผู้ใช้บริการกว่า 1,500 คน ขณะเดียวกันการค้าชายแดนไทย-พม่า สูงถึงปีละกว่า 12,000 ล้านบาท\nเป็นจุดเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้ากับกลุ่มเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงและอ่าวเบงกอล (GMS and BIMSTEC) และจุดเชื่อมการขนส่งแนวถนนระเบยียงเศรษฐกิจ ตะวันออก-ตะวันตก (East-west Economic Corridor) ตามแผนความร่วมมือพัฒนาของไทย กับประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และอินโดจีน รวมถึงการรองรับการเป็นเขตเศรษฐกิจชาย แดน เขตนิคมอุตสาหกรรม แม่สอดมหานครฝั่งตะวันตกและการผลักดันยกฐานะแม่สอดเป็น จังหวัด", "title": "อำเภอแม่สอด" }, { "docid": "35773#4", "text": "แม่สอดเป็นเมืองในหุบเขาตั้งอยู่ในแอ่งที่ราบแม่สอด โดยเมื่อประมาณ 200 ล้านปีมาแล้วเคยเป็นทะเลมาก่อน เนื่องจากมีการค้นพบฟอสซิลหอยชนิดแอมโมไนต์ แอ่งที่ราบแม่สอดมีภูเขาล้อมรอบเหมือนอยู่ในก้นกระทะ แอ่งที่ราบมีลักษณะเป็นแนวยาว มีแม่น้ำเมยไหลผ่านทางยาวไปตามแนวเขา และมีลักษณะทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมากมายทั้งตามหุบเขาไม่ไกลนักจากตัวเมืองแม่สอดและบนสองฝั่งตามแนวยาวของแม่น้ำเมย อย่างไรก็ดี แม่สอดมิใช่เมืองเดียวโดดเดี่ยวในแอ่งที่ราบแม่สอด ยังมีอีกหลายเมืองที่ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเมย ทั้งพบพระ แม่สอด เมียวดี แม่ระมาด และท่าสองยาง", "title": "อำเภอแม่สอด" } ]
32
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "109228#0", "text": "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกแห่งราชอาณาจักรสยาม ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยเป็นผลพวงหลังการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร ซึ่งได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) ซึ่งในขณะที่เกิดการปฏิวัตินั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประทับ ณ พระตำหนักวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์", "title": "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475" } ]
[ { "docid": "11232#8", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เป็นผลพวงมาจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 อันนำไปสู่กระแสเรียกร้องต้องการให้มีการปฏิรูปทางการเมืองอย่างจริงจัง จนในที่สุดมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2539 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งมาตรา 211 ด้วยการเพิ่มหมวด 12 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ บัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นสำคัญ และให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา 240 วัน นับแต่วันที่มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญครบตามจำนวน (99 คน)", "title": "คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ประเทศไทย)" }, { "docid": "21707#0", "text": "วันรัฐธรรมนูญในประเทศไทย หรือ วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน", "title": "วันรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "761106#3", "text": "สำหรับประเทศไทยนั้นเริ่มกล่าวถึงเสรีภาพต่าง ๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญไทยฉบับแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาไว้ในมาตรา 13 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 หมวด 2 ว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของ ชนชาวสยามความว่า \n“บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการ ถือศาสนาหรือลัทธิใด ๆ และย่อมมีเสรีภาพ ในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความนับถือของตน เมื่อไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมของประชาชน” แนวความคิดการให้ความคุ้มครองเสรีภาพในการ นับถือศาสนานี้เกิดจากคณะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ เห็นว่าการให้เสรีภาพในประเทศไทยไม่มีความชัดเจนแน่นอน ซึ่งไม่อาจเป็นการให้หลักประกันของประชาชนได้ จึงจำเป็นต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนว่าผู้ปกครองจะละเมิดมิได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐธรรมนูญไทยฉบับ หลัง ๆ ทุกฉบับก็ได้วางหลักประกันสิทธิเสรีภาพ ในศาสนาตลอดมา ", "title": "เสรีภาพทางศาสนา" }, { "docid": "28664#1", "text": "รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 นี้ถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ริเริ่มขึ้นโดยพรรคชาติไทย นายบรรหาร ศิลปอาชานายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองเข้ามาดำเนินการและได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 99 คน โดย 76 คนเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัด และอีก 23 คนมาจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งฉบับเดียวของประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ 15 ฉบับมาจากคณะรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งหรือรัฐบาลทหาร รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวถูกเรียกว่าเป็น \"รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน\" เนื่องจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่าง", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" }, { "docid": "69653#6", "text": "รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบางฉบับใช้บังคับเป็นเวลานาน เช่น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ซึ่งเกิดขึ้นจากรัฐประหารจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ใช้บังคับเป็นเวลา 9 ปีเศษ แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับใช้บังคับในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีหลักการสอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองซึ่งไม่ได้อยู่ในมือของประชาชนอย่างแท้จริง ทว่าตกอยู่ในมือของกลุ่มข้าราชการประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทหารระดับสูง ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรจึงมักถูกยกเลิกโดยรัฐประหาร โดยคณะผู้นำทางทหาร เมื่อคณะรัฐประหาร ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดอำนาจได้สำเร็จก็จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มุ่งใช้บังคับถาวรแล้วก็จะมีการเลือกตั้ง และตามด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศไปได้ระยะหนึ่งก็จะถูกรัฐประหาร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พร้อมทั้งจัดให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใหม่อีก หมุนเวียนเป็นวงจรการเมืองของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนับหลายสิบปี นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "741532#1", "text": "สืบเนื่องจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 และการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่านมา ทำให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดแรก จำนวน 36 คน ซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด มีบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน[1] แต่ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ มีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการฯ[2] ทำให้มีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ จำนวน 21 คน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558 และมีมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน[3] โดยนับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ผ่านการออกเสียงประชามติ ต่อจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยได้รับเสียงเห็นชอบท่วมท้นถึง 16.8 ล้านเสียง ต่อเสียงคัดค้าน 10.5 ล้านเสียง[4]", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560" }, { "docid": "69653#7", "text": "แม้จะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนร่วมเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากจอมพล ถนอม กิตติขจรรัฐประหารให้แก่ตนเอง เพราะขณะรัฐประหารนั้น จอมพลถนอมดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 และเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พร้อมเตรียมร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรตามวงจรการเมืองของไทยที่เคยเป็นมา ก็เกิดกระบวนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด จนทำให้จอมพล ถนอม กิตติขจรต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเดินทางออกนอกประเทศ และแม้ต่อมาจะมีการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ที่เป็นรัฐธรรมนูญซึ่งมีหลักการที่เป็นประชาธิปไตยมากฉบับหนึ่ง แต่ในที่สุดก็มีรัฐประหารอีก แล้วก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทำให้วงจรการเมืองไทยหมุนกลับไปสู่วงจรเดิม คือ รัฐประหาร ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร จัดให้มีการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และรัฐประหารยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซ้ำซากไม่จบสิ้น เฉลี่ยแล้ว รัฐธรรมนูญไทยเปลี่ยนแปลงทุก 4 ปี ต่างจากกรณีสหรัฐอเมริกาที่มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว ซึ่งนับตั้งแต่ประกาศใช้ 7 มาตรา 55 อนุมาตรา ใน พ.ศ. 2332 ก็มีแต่การแก้ไขให้ทันสมัยเท่านั้น", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "98888#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18 ซึ่งจัดร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ในระหว่าง พ.ศ. 2549–2550 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อคณะเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกัน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน กรุงเทพมหานคร มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 124 ตอนที่ 47 ก หน้า 1 ในวันเดียวกันนั้น และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายทันที แทนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550" }, { "docid": "936#27", "text": "ปลายปี 2556 เกิดวิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่ มีสาเหตุหลักจากสภาผู้แทนราษฎรผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ[35] เกิดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนการเลือกตั้ง วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 กองทัพยึดอำนาจการปกครองประเทศ ต่อมาในปี 2560 ระบอบทหารออกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับล่าสุดหลังการลงประชามติเมื่อปีก่อน", "title": "ประเทศไทย" }, { "docid": "232523#3", "text": "จัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญนี้ถูกยกเลิกไปในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ เมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2481 จากนั้นต่อมาอีก 9 ปีจึงเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490 โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งยกเลิกรัฐธรรมนูญในขณะนั้นและนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 หรือที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญ \"ฉบับใต้ตุ่ม\" หรือ \"ฉบับตุ่มแดง\" มาใช้แทน", "title": "พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2476" }, { "docid": "8836#8", "text": "ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุด พ.ศ. 2549 ได้สิ้นสภาพไปพร้อมกับศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 และได้บัญญัติขึ้นตามมาตรา 35 ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่แทน", "title": "ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "108845#5", "text": "หลายประเทศมีการออกเสียงประชามติเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ประเทศไทยเคยมีการนำเอาการออกเสียงประชามติมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2492 ฉบับ พ.ศ. 2511 ฉบับ พ.ศ. 2517 ฉบับ พ.ศ. 2540 และฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 โดยสามฉบับแรกกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิออกเสียงประชามติในกรณีที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเท่านั้น ส่วนฉบับ พ.ศ. 2540 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสามารถขอให้ประชาชนออกเสียงประชามติในเรื่องที่อาจกระทบถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือประชาชนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไม่เคยมีการดำเนินการออกเสียงประชามติตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้จนกระทั่ง พ.ศ. 2550 ที่มีการออกเสียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550", "title": "การออกเสียงประชามติ" }, { "docid": "112910#1", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ที่ร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490", "title": "สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "296168#7", "text": "ประเทศไทยนั้นกล่าวถึงสิทธิพลเมืองขึ้นครั้งแรกภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ที่ได้เปลี่ยนสถานภาพคนไทยจาก “ไพร่” มาเป็น “พลเมือง” ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อำนาจนั้น “เป็นของราษฎรทั้งหลาย” (พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2475) เพราะภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฐานที่มาของความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐได้เปลี่ยนแปลงจากเบื้องบน คือจากตัวพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นจากเบื้องล่าง คือจากประชาชนชาวไทยทุกๆ คน ผ่านระบบตัวแทนจากการเลือกตั้งที่เสรี และเป็นธรรม (free and fair elections) โดยมีการกำหนดบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิของประชาชนชาวไทยไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนตั้งแต่ไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก (คือรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) ดังจะเห็นจากมาตรา 12 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า", "title": "สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง" }, { "docid": "671#4", "text": "ก่อนหน้าการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญใช้ในการปกครองประเทศ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์และประมุขฝ่ายบริหาร ในปี พ.ศ. 2475 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์อักษร โดยคาดว่าจะเป็นแนวปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในการปกครองประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นระหว่างกลุ่มมีอิทธิพล จึงได้เกิดรัฐประหารขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2477 รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการฉบับแรกของประเทศถูกยกเลิก และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "936#36", "text": "ในปี 2560 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นับเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศไทยขาดเสถียรภาพทางการเมืองสูงและมีรัฐประหารหลายครั้ง หลังเปลี่ยนรัฐบาลสำเร็จ รัฐบาลทหารมักยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีการเปลี่ยนสมดุลอำนาจฝ่ายการปกครองเรื่อยมา ประเทศไทยมีรัฐประหารมากที่สุดในโลกในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย[48] ในปี 2559 \"ประเทศไทยมีทหารหรืออดีตทหารเป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศไทยเป็นเวลา 57 จาก 85 ปีนับแต่ล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475\"[49]", "title": "ประเทศไทย" }, { "docid": "69653#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย</b>เป็นกฎหมายลำดับศักดิ์สูงสุดแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองของประเทศ ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแล้วทั้งสิ้น 20 ฉบับ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "28664#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นกฎหมายสูงสุดว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองประเทศไทยที่เป็นลายลักษณ์อักษร ฉบับที่ 16 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ออกประกาศ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549 ทั้งนี้คณะปฏิรูปฯได้ออกประกาศคงบทบัญญัติบางหมวดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2549 ไว้ภายหลัง", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" }, { "docid": "634923#1", "text": "รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดทางให้สถาปนาสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อใช้อำนาจนิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อรับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (และต่อมาสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างกว้างขวางและอนุมัติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่แน่นอนสำหรับงานเหล่านี้\nปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับนี้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อมีการประกาศใข้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557" }, { "docid": "551461#5", "text": "ก่อน “ดร. นุ” ผันตัวเองมาทำงานภาคเอกชนและแวดวงการเงินการธนาคารทั้งในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 25 ปี เคยทำงานสื่อมวลชนช่วงจบการศึกษาใหม่ๆ และ ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางสังคม เป็นอดีตผู้นำนักศึกษา นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯปี 31 และกรรมการ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และผู้ประสานงานสหพันธ์นักศึกษาไทยในสหรัฐฯ ปี 34-36 มีบทบาทในการผลักดันให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง การถ่ายทอดการประชุมรัฐสภาฯ การเปิดเผยทรัพย์สินของนักการเมือง กฎหมายประกันสังคม และการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนผู้ด้อยโอกาส และร่วมพลักดัน [[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2540|รัฐธรรมนูญปี ๔๐]] (ฉบับประชาชน) เป็นต้น ช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 40 “อนุสรณ์ ธรรมใจ” ได้ร่วมกับ [[นิคม_จันทรวิทุร|ศ. นิคม จันทรวิทุร]] นักวิชาการด้านแรงงานท่านอื่นๆ และผู้นำแรงงาน ผลักดันให้มีการใช้ระบบประกันการว่างงานให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ในปี [[พ.ศ. 2547]] เขาได้แสดงปาฐกถาปรีดี พนมยงค์และได้นำเสนอแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองในหลายเรื่องด้วยกัน ในปี [[พ.ศ. 2551]] ได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร ทั้งที่รู้ว่าโอกาสในการชนะเลือกตั้งไม่มาก เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี 50 ให้มีสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ ได้เพียงท่านเดียว (รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ให้มีสมาชิกวุฒิสภาได้ถึง 18 ท่าน) เพื่อประกาศจุดยืนประชาธิปไตย เรียกร้องให้ สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง และต้องการไปผลักดันให้เกิดขบวนการปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่ และนำเสนอตัวเองในฐานะที่เป็นกลางทางการเมืองแต่ไม่สามารถฝ่ากระแสความขัดแย้งทางการเมืองแบบสุดขั้วได้ และขณะนั้นกระแสและอิทธิพลของคณะรัฐประหาร คมช ยังคงอยู่ เขาจึงไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ก็ได้คะแนนเสียงจากประชาชนไม่น้อย มากกว่าสองแสนคะแนน จุดยืนทางการเมืองของเขาจึงยึดหลักการ[[ประชาธิปไตย]]อย่างเข้มแข็งและต้องการให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาจากการเลือกตั้ง ต้องการให้มีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีที่มีความเป็นธรรม โดยบทบาทและแนวคิดจึงมีความชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางอนุรักษนิยมและเผด็จการ จึงจัดอยู่ในกลุ่มบุคคลที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยมที่ยอมรับข้อดีระบบสังคมนิยมด้วย เขายังเลื่อมใสในแนวทางรัฐสวัสดิการที่มีลักษณะเป็น Productive Welfare System อีกด้วย", "title": "อนุสรณ์ ธรรมใจ" }, { "docid": "112910#0", "text": "สภาร่างรัฐธรรมนูญ คือ คณะบุคคลที่ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ มักเกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและต้องการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร หรือเป็นกรณีที่ต้องการประสานประโยชน์ ตรงตามความประสงค์ของบุคคลทุกฝ่ายมากที่สุด ", "title": "สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "69653#4", "text": "ดังนั้นโดยสภาพแล้วรัฐธรรมนูญไทยหลายฉบับที่มีกรอบความคิดแบบตะวันตก ควรเกิดผลตามครรลองประชาธิปไตยตะวันตกเหมือนอย่างประเทศตะวันตก แต่สิ่งที่เกิดในระบบการเมืองไทยดูเหมือนสวนทางระบบการเมืองตะวันตก ซึ่งต้องยอมรับว่า รัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายลายลักษณ์อักษรสูงสุดของรัฐ ประเทศไทยมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อยครั้ง ซึ่งขัดกับแนวคิดทางนิติศาสตร์ที่ว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ ซึ่งควรมีความศักดิ์สิทธิ์และคงทนถาวร", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "23112#10", "text": "ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปณิธานอยู่แต่เดิมที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทยในวันที่ 6 เมษายน 2475 แต่เมื่อถึงเวลาก็มิได้พระราชทานเนื่องจากอภิรัฐมนตรีสภากราบบังคมทูลทัดทานไว้ว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรจึงได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย และได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศไทย", "title": "รัฐธรรมนูญ" }, { "docid": "49464#2", "text": "รัฐธรรมนูญนิยม มีหลายความหมาย โดยส่วนใหญ่แล้วมักหมายถึงกลุ่มของแนวความคิด ทัศนคติ และรูปแบบพฤติกรรมที่สาธยายเกี่ยวกับหลักการที่การใช้อำนาจของรัฐมาจากกฎหมายสูงสุดและถูกจำกัดอำนาจด้วยกฎหมายสูงสุด \nรัฐธรรมนูญนิยม นิยาม รัฐธรรมนูญนิยม หรือ ระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutionalism) หมายถึง ความเชื่อทางปรัชญาความคิดที่นิยมหลักการปกครองรัฐด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ เป็นแนวความคิดที่มุ่งหมายจะใช้รัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร (written constitution) เป็นหลักในการกำหนดรูปแบบ กลไก และสถาบันทางการเมืองการปกครองต่างๆ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานของการบริหารงานภาครัฐในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุด (อมร จันทรสมบูรณ์, 2537: 9; Alexander, 1999: 16; Bellamy, 2007: 4-5; Sartori, 1962: 3) ที่มา แนวคิดนี้เริ่มก่อตัวขึ้นครั้งแรกในประเทศตะวันตก ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อต่อต้าน คัดค้านรูปแบบการเมืองการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolutism) ของประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปขณะนั้น จนมาปรากฏชัดเจนขึ้นหลังจากการประชุมเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1787 (McIlwain, 1977: 17) ซึ่งทำให้แนวคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้น แนวคิดเรื่องลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมนี้เมื่อเกิดขึ้นในขั้นต้น จึงไม่ได้มีความหมายกลางๆ แต่อย่างใด หากแต่มีความหมายที่โน้มเอียงไปในด้านการจำกัดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในขณะนั้น และเน้นหนักในการพยายามสร้างสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของพลเมืองภายในรัฐ โดยเรียกร้องให้มีการนำสิ่งที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” มาใช้เป็นหลักในการวางกรอบของประเด็นดังกล่าว จากลักษณะข้างต้นจึงทำให้ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมในประเทศตะวันตกนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยไปในที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สำหรับประเทศตะวันตกแล้ว หากจะมีรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยนั่นเอง (Bellamy, 2007: 93) ท่ามกลางกระแสเสรีประชาธิปไตยซึ่งยังคงเป็นกระแสหลักของประเทศส่วนใหญ่ในตะวันตก จึงได้ทำให้คำว่าลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมในปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายกลางๆ ที่มองรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือทางกฎหมายอย่างหนึ่ง ที่จะนำมาใช้วางโครงสร้างสถาบันทางการเมืองการปกครอง กำหนดแหล่งที่มาของอำนาจ การเข้าสู่อำนาจ และการใช้อำนาจของผู้ปกครองในทุกๆ ระบอบการปกครอง (McIlwain, 1977) โดยมิได้จำกัดอยู่แต่เพียงระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไป ดังจะเห็นได้จากในปัจจุบันนี้รัฐสมัยใหม่ “ทุกรัฐ” ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยหรือไม่ ต่างก็ล้วนแล้วแต่ยึดรูปแบบการปกครองของระบอบรัฐธรรมนูญนิยม (constitutionalism) ทั้งสิ้น กล่าวคือ ทุกๆ รัฐต่างก็มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการจัดวางอำนาจและโครงสร้างทางการเมืองของประเทศนั้นๆ (เสน่ห์, 2540: 17) โดยปัจจุบัน (พ.ศ. 2556) ประเทศที่สหประชาชาติให้การรับรองนั้นมีทั้งสิ้น 196 ประเทศ (แต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติเพียง 193 ประเทศ) ในขณะที่รัฐธรรมนูญที่เป็นทางการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในโลกนี้มีทั้งสิ้นกว่า 203 ฉบับ ทั้งนี้เพราะในรัฐโพ้นทะเลบางแห่งอย่างเช่น หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน (British Virgin Islands or BVI) ของอังกฤษ หรือ เกาะกรีนแลนด์ของเดนมาร์กนั้นต่างก็เป็นรัฐที่มีรัฐธรรมนูญเป็นของตนเองในฐานะเป็นดินแดนที่มีการปกครองตนเอง แม้ว่าอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (absolute territorial sovereignty) นั้นจะเป็นของประเทศเจ้าเอกราชก็ตาม ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย ประเทศไทยเองก็รับเอาลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมนี้เข้ามาใช้อย่างเป็นทางการภายหลังจากการเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับแรกของคณะราษฎร แม้ว่าขบวนการในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นจะสามารถสร้างระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นในประเทศไทยได้ แต่ผลจากการที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดจากการต่อสู้กันเฉพาะภายในกลุ่มชนชั้นนำบางส่วนของไทย ประกอบกับประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ถึงขนาดที่มีคนเข้าใจว่า “รัฐธรรมนูญ” เป็นชื่อของลูกชายนายทหารผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (ปรีดี, 2543) ทั้งนี้ก็เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือต่อสู้บนพื้นฐานของความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพและการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ อันจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยของปวงชน ดังเช่นที่ประชาชนชาติตะวันตกได้ต่อสู้ด้วยความยากลำเค็ญเพื่อก่อร่างสร้างระบอบรัฐธรรมนูญในประเทศของพวกเขา ดังนั้น ระบอบรัฐธรรมนูญของไทยที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 จึงสามารถก่อรูปได้ก็แต่เพียงหลักการในการจำกัดอำนาจผู้ปกครอง คือ พระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และทำให้แหล่งที่มาของอำนาจต้องอ้างอิงกับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ตามหลักการทุกประการ แต่จากการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้มากนักจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงจิตสำนึกให้เข้ากับรัฐธรรมนูญได้ แม้จะมีบทบัญญัติถึงหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไว้ในรัฐธรรมนูญก็ตาม จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญ และทำให้รัฐธรรมนูญขาดความศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายรัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จึงกลายเป็นผลลัพธ์และการรอมชอมจากการต่อสู้ของกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองกลุ่มต่างๆ ของไทย ซึ่งสามารถถูกฉีกทิ้งและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทนในภายหลังได้อย่างง่ายดาย (เสน่ห์, 2540: 31-35) อย่างไรก็ดี หลังจากเหตุการณ์การเรียกร้องให้มีการใช้รัฐธรรมนูญในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 ของขบวนการนิสิตนักศึกษาไทย ได้แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยเฉพาะในแง่ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า คนส่วนหนึ่งของสังคมได้เริ่มตระหนักรู้และเข้าใจความสำคัญของรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยสูงสุดของปวงชน และเป็นเครื่องมือที่จะนำไปใช้จำกัดอำนาจของผู้ปกครองจากการใช้อำนาจอันมิชอบ (abuse of power) ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถมีเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมที่ถูกรับรองไว้ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญได้อย่างถ้วนหน้า ซึ่งเป็นแก่นของระบอบรัฐธรรมนูญนั่นเอง (เสน่ห์, 2540: 316) จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทย ในฐานะที่เป็นแนวคิดที่จะสร้างกลไกทางกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย คือ จำกัดอำนาจผู้ปกครอง และสร้างเสรีภาพให้แก่พลเมืองให้มากที่สุด จึงทำให้แนวคิดนี้เติบโตออกไปจากเดิมมาก แม้ช่วงเวลาหลังจากการเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับยุคที่รัฐธรรมนูญมีลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยเพียงครึ่งใบก็ตาม และด้วยกระแสลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมที่เติบโตขึ้นจึงทำให้ท้ายที่สุดในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยก็สามารถประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ได้ชื่อว่าประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยกร่าง และจัดทำรัฐธรรมนูญมากที่สุดฉบับหนึ่ง ซึ่งถึงแม้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะสามารถนำมาบังคับใช้ได้แค่เพียง 9 ปีก่อนจะเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 แต่จะเห็นได้ว่าการฉีกรัฐธรรมนูญของคณะทหารในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้ได้เกิดกระแสต่อต้านคณะรัฐประหารที่ทำลายรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีของประเทศไทยที่ประชาชนเริ่มผูกโยงความสำคัญของตัวรัฐธรรมนูญเข้ากับการมีอยู่ของสิทธิและเสรีภาพของตนที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าเพียงแค่ตัวอักษรที่จารึกไว้ในกระดาษ หากแต่เป็นเจตนารมณ์ของตัวรัฐธรรมนูญที่คอยปกป้องสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของรัฐธรรมนูญทุกรัฐธรรมนูญในระบอบรัฐธรรมนูญ (every constitutionalism’s constitution) นั้นพึงมี\nความหมายของรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับของโลก เป็นความหมายที่ เดวิด เฟลล์แมน เมธีด้านรัฐศาสตร์และรัฐธรรมนูญแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ได้อธิบายไว้ว่า", "title": "รัฐธรรมนูญนิยม" }, { "docid": "671#8", "text": "ภายหลังความขัดแย้งทางการเมืองช่วงปี 2556-2557 เกิดรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 พร้อมกับการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ภายใต้การควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐประหารประกาศกฎอัยการศึกและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งผ่านการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559 และแก้ไขตามข้อสังเกตพระราชทานจำนวน 3 มาตราโดยพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "671#3", "text": "ตั้งแต่โบราณกาล ราชอาณาจักรไทยอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ตาม หลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ(ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมห่กษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข) รัฐธรรมนูญเขียนฉบับแรกถูกร่างขึ้น อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยยังมีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มการเมืองระหว่างอภิชนหัวสมัยเก่าและหัวสมัยใหม่ ข้าราชการ และนายพล ประเทศไทยเกิดรัฐประหารหลายครั้ง ซึ่งมักเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้อำนาจของคณะรัฐประหารชุดแล้วชุดเล่า จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญและกฎบัตรรวมแล้ว 20 ฉบับ (นับรวมฉบับปัจจุบัน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างสูง หลังรัฐประหารแต่ละครั้ง รัฐบาลทหารมักยกเลิกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่เดิมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "673043#0", "text": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 หรือ รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 4 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 หรือหนึ่งวันหลังการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน มีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย หรือ ผู้บัญชาการทหารบก ในปัจจุบันเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490" }, { "docid": "28664#2", "text": "การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ประสบอุปสรรคมีการเคลื่อนไหว เพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญทั้งภายในและภายนอกสภา โดยการเคลื่อนไหวภายนอกสภานั้น กลุ่มที่ออกมาคัดค้าน เช่น กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน และได้มีองค์กรการเมืองภาคประชาชนออกมาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่น คณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย (ครป.) เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ฯลฯ พรรคการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ แสดงท่าทีไม่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งได้นำมวลชนจัดตั้งเข้ามาคัดค้าน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสนับสนุน ที่ใช้ \"สีเขียว\" เป็นสัญลักษณ์ กับฝ่ายต่อต้าน ที่ใช้ \"สีเหลือง\" เป็นสัญลักษณ์", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" }, { "docid": "69653#14", "text": "สภาที่มาจากการเลือกตั้ง: สภานิติบัญญัติในกลุ่มนี้จะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (ซึ่งสภาผู้แทนมีการเลือกตั้งโดยตรง ส่วนสภาสูงซึ่งเรียกว่าพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม) และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 (ที่ทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรง) สภาที่มาจากการสรรหา: สภานิติบัญญัติที่เกิดมาจากการสรรหาทั้งหมดหรือบางส่วน โดยที่สมาชิกผู้มาจากการสรรหานั้นมีอำนาจมากพอในการจำกัดอำนาจสมาชิกที่มีมาจาการเลือกตั้งได้ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สภาที่มาจากการแต่งตั้ง: ฝ่ายบริหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือเกือบจะเป็นเช่นนั้น ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม, ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502, ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519, ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "53198#0", "text": "สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในประเทศไทย หมายถึง สภาที่ทำหน้าที่ออกกฎหมายแทนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เกิดขึ้นหลังจากคณะรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือนและประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองหรือรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทนรัฐธรรมนูญถาวร สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีลักษณะเป็นสภาเดี่ยวซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร ซึ่งรัฐธรรมนูญบางฉบับอาจกำหนดให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญอีกหน้าที่หนึ่ง", "title": "สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย)" } ]
1277
ละครเรื่องชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "351915#1", "text": "ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 บทโทรทัศน์โดย ศุภชัย สิทธิอำพรพรรณ กำกับการแสดงโดย นิพนธ์ ผิวเณร นำแสดงโดย ภูธเนศ หงษ์มานพ, เก็จมณี พิชัยรณรงค์สงคราม, รุจน์ รณภพ, สรพงศ์ ชาตรี, ณัฐนันท์ คุณวัฒน์, ณหทัย พิจิตรา, พูนสวัสดิ์ ธีมากร, นภาพร หงสกุล ออกอากาศทุกวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 18.45 น. 17 เมษายน พ.ศ. 2541 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2541", "title": "ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ" }, { "docid": "351915#0", "text": "ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ เป็นละครโทรทัศน์ไทย สร้างจากเค้าโครงเรื่องโดย นิพนธ์ ผิวเณร, ศุภชัย สิทธิอำพรพรรณ ถูกนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2541 (ช่อง 5) และ พ.ศ. 2560 (ช่องวัน)", "title": "ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ" } ]
[ { "docid": "351915#2", "text": "ครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2560 บทโทรทัศน์โดย ทีมเอ็กแซ็กท์, ก้องเกียรติ โขมศิริ กำกับการแสดงโดย ก้องเกียรติ โขมศิริ นำแสดงโดย เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์, มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ, วิลลี่ แมคอินทอช, ธนายง ว่องตระกูล, อัครัฐ นิมิตชัย, วิริฒิพา ภักดีประสงค์, รอง เค้ามูลคดี, สุขพัฒน์ โล่ห์วัชรินทร์, ภัทรพล กันตพจน์, พลภัคค์ วัชรพงศ์หิรัญ, ณัฐกฤต เกษตรภิบาล ออกอากาศทุกวันจันทร์ - อังคาร เวลา 20.30 - 21.50 น. เริ่มตอนแรกวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 – 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560", "title": "ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ" }, { "docid": "351915#16", "text": "อาคิด / คิตตี้ อาแท้ๆ ของวายุ และน้องสาวของสุรสีห์ ที่ทราบเรื่องของสุรสีห์ที่ฆ่าพ่อแม่วายุจนเสียชีวิต ในตอนอวสานก็จัดงานแต่งงานของวายุและภาวรินทร์พอจัดงานแต่งเสร็จ ก็เจอสุรสีห์อีกครั้ง กับบอกว่าวายุเป็นลูกในไส้ของสุรสีห์\nการตอบรับของละครเรื่องนี้ทั้งหมด 18 ตอนที่ได้ออกอากาศไป (เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 – 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560) Nielsen ได้วัดค่าเฉลี่ยเรตติ้งละครจากคนทั่วประเทศไทยอยู่ที่", "title": "ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ" }, { "docid": "766161#0", "text": "ขอโทษที่รักเธอ เป็นละครโทรทัศน์ นำแสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช,นิธิดล ป้อมสุวรรณ,วรกาญจน์ โรจนวัชร,ธนทัต ชัยอรรถ และ มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ ผลิตโดย เอ็กแซ็กท์ - ซีเนริโอ กำกับการแสดงโดย ผอูน จันทรศิริ ออกอากาศระหว่างวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559 – 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559  กันตะ (นิธิดล ป้อมสุวรรณ) เด็กหนุ่มกำพร้าใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะสมุย เขาได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากครอบครัวชาวต่างประเทศ แต่ถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้าน เพราะความเกเรตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่น เขาจึงมาใช้ชีวิตอยู่กับจีจี้ (สิรินทร์ ก่อเกียรติ) แฟนสาว วันเวลาผ่านไปจีจี้ก็ทิ้งเขาไปแต่งงานกับมหาเศรษฐีทำให้กันตะถูกยิงเข้าที่หัว ซึ่งไม่สามารถผ่าออกได้ จีจี้จึงมอบเงินจำนวนมากที่ยักยอกจากสามีให้กับกันตะ เพื่อที่เขาจะได้ไปทำตามฝัน คือไปตามหาแม่ที่แท้จริงที่กรุงเทพฯ และเป็นการหนีให้พ้นจากสามีของเธอที่ตามฆ่าเขาอีกด้วย ที่กรุงเทพฯ จั๊ก หรือ จักรเทพ (ธนทัต ชัยอรรถ) นักร้องหนุ่มชื่อดัง มีแม่เป็นนักแสดงดาวค้างฟ้า คือ ณหทัย (สินจัย เปล่งพานิช) ทั้งคู่เป็นแม่ลูก ที่มีคนกล่าวขวัญถึงมากที่สุด และยังมีครอบครัวของอานันท์ (เกรียงไกร อุณหะนันทน์) ซึ่งเป็นทั้งคนสนิท และผู้จัดการที่คอยดูแลทุกอย่างให้ณหทัย อานันท์มีภรรยาชื่อแป้น (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) ทำงานเป็นแม่บ้านให้ณหทัยด้วย แม้กระทั่งลูกสาวคนกลางคือต้องตา หรือ ตอง (วรกาญจน์ โรจนวัชร) ก็คอยดูแลคิวงานให้จักรเทพ ต้องตาหลงรักจักรเทพตั้งแต่ยังเด็ก โดยที่จักรเทพเองเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น เพราะจักรเทพหลงรักดาราสาวชื่อดัง รสริน (มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ) ซึ่งบังเอิญเป็นเพื่อนรักกับต้องตา กันตะได้พบกับพรพรรณ (พิชญา เชาวลิต) พี่สาวฝาแฝดของเขาผ่านรายการโทรทัศน์ ซึ่งเขาไปออกเพื่อตามหาแม่ พรพรรณมีสมองพิการเท่ากับเด็ก 7 ขวบ เพราะอุบัติเหตุรถชนตั้งแต่ยังเล็ก และมีลูกติดจากการโดนข่มขืนหนึ่งคนคือม่อน (ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์) เป็นเด็กฉลาดกว่าวัย การได้พบพรพรรณทำให้กันตะได้รู้ความจริงของชีวิตตัวเองจาก สุธรรม (สุประวัติ ปัทมสูต) อดีตนักหนังสือพิมพ์ที่คอยดูแลพรพรรณ ว่าแม่ที่แท้จริงของกันตะคือดาราชื่อดังที่มีฐานะรํ่ารวย และมีน้องชายเป็นนักร้องยอดนิยม ซึ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดมาตลอดว่าแม่จำเป็นต้องทิ้งเขาไปเพราะความยากจน เรื่องราวการแก้แค้นของเขาจึงเริ่มต้นขึ้น กันตะเข้ามาเป็นผู้จัดการให้กับจักรเทพ โดยผ่านทางต้องตา ซึ่งทั้งคู่เคยพบกันมาก่อนที่เกาะสมุย ต้องตาคิดว่ากันตะตามเธอมาเพราะหลงรักเธอ กันตะพยายามแย่งรสรินผู้หญิงของจักรเทพให้มารักตัวเองได้อย่างคลั่งไคล้ จักรเทพเสียใจมากแต่ไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายที่รสรินรักคือใคร  การผิดหวังครั้งนี้ทำให้จักรเทพเปลี่ยนใจมาหลงรักต้องตา โดยไม่รู้เลยว่าหัวใจของต้องตาเองก็เปลี่ยนไปแล้ว เธอหลงรักผู้ชายที่แสนเศร้า และมีชีวิตขมขื่นอย่างกันตะโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเธอบอกความจริงกับจักรเทพไป เขากลับช็อกจนต้องนำส่งโรงพยาบาล และได้พบว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ณหทัยเศร้าจนแทบฆ่าตัวตาย เธอทุ่มเทเวลาดูแลจักรเทพ และยอมทำดีกับกันตะผู้ซึ่งเธอไม่ชอบหน้ามาตลอด เพราะณหทัยรู้ว่ากันตะป่วย และจะอยู่ได้อีกไม่นาน เพื่อจะได้บริจาคหัวใจของตัวเองให้จักรเทพ ความจริงข้อนี้ยิ่งเพิ่มความปวดร้าวให้กับกันตะเป็นอย่างมาก สุดท้ายณหทัยทราบความจริงทั้งหมด กันตะเสียชีวิต ต้องตาได้ส่งจดหมายไปให้จักรเทพว่าเธอไม่ได้รักจักรเทพเลย ทำให้โรคหัวใจกำเริบ เสียชีวิต สร้างความเจ็บปวดต่อรสรินอย่างมาก ต้องตาตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการเดินลงไปในทะเลลึกๆ แล้วจมน้ำเสียชีวิตละครเรื่อง ขอโทษที่รักเธอ เป็นละครแนวแนวรักโรแมนติกดราม่า โดยทางเอ็กแซ็กท์ และ ซีเนริโอ ได้ดัดแปลงจากซีรีส์เกาหลี เรื่อง Sorry,I love you (ขอโทษครับ ผมรักคุณ) เนื้อเรื่องกล่าวถึง ความรักที่ไม่สมหวังของ กันตะ และตอง จักรเทพ และ รสริน และในบางฉากได้ใช้ฉากที่สมจริง เช่น ฉากตบจริง ในตอนที่กันตะ ยืนเฝ้า จักรเทพ หน้าห้องไอซียู แล้วณทหัยเดินมาเห็น กันตะ จึงตบหน้ากันตะเพื่อสร้างอารมณ์ที่สมจริงมากยิ่งขึ้น สำหรับสถานที่ถ่ายทำ ได้ยกฉากไปถ่ายทำที่ ‘โรงพยาบาลบางโพ’ ในเหตุการณ์ที่ จักรเทพประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ \nด้านเสียงวิจารณ์ ผู้จัดการออนไลน์ ได้ทำสกู๊ปข่าวสัมภาษณ์ถึงแกงส้ม ธนทัต พระเอกของเรื่องว่าเป็นละครแนวดราม่าแต่บรรยากาศในการถ่ายทำสนุก ด้านผู้ชมละครก็ให้การตอบรับค่อนข้างดีมาก ด้านนก สินจัย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงละครนี้ว่า เป็นละครคนละแบบกับละครไทย ต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเข้าถึงอารมณ์และละครเรื่องนี้ค่อนข้างมีหลากหลายอารมณ์ ด้าน “ไนกี้ นิธิดล” ได้เสียงตอบรับว่าเล่นดีมาก", "title": "ขอโทษที่รักเธอ" }, { "docid": "916940#0", "text": "เฉพาะหัวใจให้เธอ เป็นละครโทรทัศน์ละครโทรทัศน์แนว แฟนตาซี-โรแมนติก-ดราม่า ผลิตโดย บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และ บริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) สร้างจากเค้าโครงเรื่องของ เกรียงไกร อามตยกุล เขียนบทโทรทัศน์โดย ปนิก กำกับการแสดงโดย เกรียงไกร อมาตยกุล ซึ่งละครเรื่องนี้ถือเป็นการพบกันครั้งแรกของนักร้องมากความสามารถ อย่าง อัมรินทร์ นิติพน ประกบคู่กับ มีเรีย เบนเนเดตตี้ ออกอากาศทุกศุกร์-อาทิตย์ เวลา 20.25 - 21.25 น. เริ่มออกอากาศวันแรกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2541 – 10 มกราคม พ.ศ. 2542 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5", "title": "เฉพาะหัวใจให้เธอ" }, { "docid": "850933#0", "text": "13 บันทึกลับหัวใจสลาย () เป็นซีรีส์โทรทัศน์อเมริกันในปี ค.ศ. 2017 อิงจากนวนิยายเรื่อง \"เธอร์ทีนรีซันส์วาย\" (Thirteen Reasons Why) ของเจย์ แอชเชอร์ ที่พัฒนาโดยไบรอัน ยอร์คีย์ ออกอากาศครั้งแรกที่ช่องเน็ตฟลิกซ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแฮนนาห์ เบเกอร์ วัยรุ่นที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังจากประสบความล้มเหลวในชีวิต โดยเธอได้ทิ้งเทปเอาไว้ 13 หน้า ที่บอกเล่าเรื่องราวของคน 13 คนที่ทำให้เธอเลือกจบชีวิตลง ฤดูกาลแรกมีทั้งหมด 13 ตอนตามจำนวนเหตุผลของเทป", "title": "13 บันทึกลับหัวใจสลาย" }, { "docid": "622497#0", "text": "ครีบนี้หัวใจมีเธอ เป็นละครภาคต่อของละครรักนี้หัวใจมีครีบ บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย จาวตาล ผลิตโดย บริษัท เมคเกอร์ เค จำกัด กำกับการแสดงโดย บัณฑิต ทองดี ออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.30 - 19.45 น. เริ่มตอนแรกวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557–23 มิถุนายน พ.ศ. 2557 นำแสดงโดย ฐากูร การทิพย์, ลักษณ์นารา เปี้ยทา, เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา และ วิชุดา พินดั้ม", "title": "ครีบนี้หัวใจมีเธอ" }, { "docid": "740664#0", "text": "สองหัวใจนี้เพื่อเธอ (ชื่อภาษาอังกฤษ : Two Spirits' Love) เป็นละครโทรทัศน์ไทย แนว โรแมนติก-ดราม่า-คอมเมดี-แฟนตาซี นำแสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ, ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558ถึงวันที่18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558ออกอากาศทุกวันพุธ–พฤหัสบดี เวลา 20.15 - 22.45 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย บริษัท โซนิกซ์ บูม 2013 จำกัด โดยผู้จัด ปิยะ เศวตพิกุล, ชุดาภา จันทเขตต์ ดัดแปลงจากบทประพันธ์โดย จินโจว บทโทรทัศน์โดย สร้างสรรค์, หลี่เจิน, โซนิกซ์ ทีม ควบคุมการดำเนินงานโดย ปิยะ เศวตพิกุล กำกับการแสดงโดย ชุดาภา จันทเขตต์", "title": "สองหัวใจนี้เพื่อเธอ" }, { "docid": "351915#17", "text": "เรตติ้งที่มีอันดับสูงที่สุดในละครแต่ละตอนจะแสดงด้วย , เรตติ้งที่มีอันดับต่ำที่สุดในละครแต่ละตอนจะแสดงด้วย , เรตติ้งเฉลี่ยของละครจะแสดงด้วย", "title": "ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ" } ]
2901
ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "674576#1", "text": "ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1740 เพื่อเป็นฐานตั้งต้นของการสำรวจทางทะเลของไวทัส เบริงนักเดินเรือเชื้อสายเดนมาร์กซึ่งมารับภารกิจสำรวจทางทะเลให้กับจักรวรรดิรัสเซีย[1] เมืองนี้มีบทบาทสำคัญทางทะเลด้านตะวันออกไกลให้แก่รัสเซียมาอย่างยาวนาน เป็นทั้งสมรภูมิด้านตะวันออกไกลในสงครามไครเมียเมื่อปี ค.ศ. 1854 และมีส่วนร่วมในสงครามโลกครั้งที่สองจนได้รับเกียรติยกย่องในรัสเซียเป็นหนึ่งในเหล่าเมืองเกียรติยศทางการทหาร (English: City of military glory; Russian: Город воинской славы) เป็นที่ตั้งของสนามบินพาณิชย์เพียงแห่งเดียวบนคาบสมุทรและยังมีฐานทัพของกองเรือแปซิฟิกของรัสเซียตั้งอยู่ด้วย", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" } ]
[ { "docid": "674576#3", "text": "ด้วยว่าชื่อของเมืองนั้นตั้งมาจากชื่อของนักบุญสององค์ เมืองจึงได้นับถือนักบุญทั้งสองเป็นนักบุญประจำเมืองด้วยและใช้รูปของนักบุญทั้งสองในตราเมือง", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "674576#12", "text": "ช่วงสงครามเย็น ทางโซเวียตได้เพิ่มการพัฒนาทางด้านการทหารในบริเวณคาบสมุทรอย่างมาก คัมชัตคาถูกประกาศให้เป็นเขตหวงห้ามทางการทหารที่แม้แต่ชาวรัสเซียเองก็มิสามารถเดินทางเข้ามาได้ง่าย มีการส่งเรือดำน้ำมาประจำการที่ฐานทัพเรือและหน่วยฝูงบินของกองทัพโซเวียตก็ประจำการอยู่ที่สนามบินหลักของเมืองรวมถึงมีเขตพื้นที่หวงห้ามเพื่อทดลองขีปนาวุธพิสัยไกลด้วย[6] ดังนั้นในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1983 โคเรียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 007ได้บังเอิญบินรุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าของคัมชัตคาใกล้กับเมืองปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกีจนถูกทางการโซเวียตสงสัยว่าเป็นการสอดแนมและถูกสั่งยิงตกเมื่อบินออกจากเขตคาบสมุทรไปถึงบริเวณเกาะซาฮาลินแล้ว", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "674576#15", "text": "หมวดหมู่:เมืองในประเทศรัสเซีย", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "102375#1", "text": "เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2507 แอโรฟลอต โซเวียต ได้ตั้งแผนกโดโมเดโดโว ยูไนเต็ดแอร์ ขึ้นมาเพื่อให้บริการเที่ยวบินภายในสหภาพโซเวียต โดยเน้นไปยังพื้นที่ฝั่งตะวันออก และประเทศเอเชียกลาง และในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2507 ก็ได้เริ่มให้บริการเป็นครั้งแรกด้วยเครื่องตูโปเลฟ ตู-114 เที่ยวบินจากโดโมเดโดโวไปยังคาบารอฟสค์ ในภาคตะวันออก จนในปี พ.ศ. 2521 ก็ได้เปิดเที่ยวบินภายในประเทศที่ไกลที่สุดในโลก จากมอสโกไปยังเปโตรปัฟลอฟสค์-คัมชัตสกี ซึ่งมีระยะทาง 6,800 กิโลเมตร ด้วยเครื่องบินอิลยูชิน อิล-62 ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โดโมเดโดโว ซาปา (รัสเซีย : Домодедовское производственное объединение гражданской авиации (ДПО ГА))", "title": "โดโมเดโดโวแอร์ไลน์" }, { "docid": "674576#0", "text": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี (Russian: Петропа́вловск-Камча́тский) เป็นเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียวบนคาบสมุทรคัมชัตคาและเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของคัมชัตคาไครทางตะวันออกไกลของรัสเซีย มีประชากรราว ๆ 180,000 คนหรือกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในดินแดนคัมชัตคาไครทั้งหมด", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "406138#0", "text": "เลออน ทรอตสกี () ชื่อเกิด เลฟ ดาวิโดวิช บรอนชเทย์น () เป็นนักปฏิวัติและนักทฤษฎีมาร์กซิสต์ นักการเมืองโซเวียต และผู้ก่อตั้งและผู้นำคนแรกของกองทัพแดง", "title": "เลออน ทรอตสกี" }, { "docid": "756282#1", "text": "ดินแดนคัมชัตคามีเนื้อที่ทั้งหมด 472,300 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรทั้งหมด 322,079 คน โดยมีศูนย์กลางการบริหารคือ ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี", "title": "ดินแดนคัมชัตคา" }, { "docid": "23142#36", "text": "ทรอตสกีและผู้สนับสนุนดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเหนือสหภาพโซเวียตและขับไล่สตาลินออกจากการปกครอง ได้แบ่งการจัดตั้งเป็นฝ่ายซ้ายต่อต้าน (Left Opposition) ซึ่งภายหลังเป็นที่รู้จักในชื่อลัทธิทรอตสกี อย่างไรก็ตาม สตาลินสามารถรวบรวมอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จไว้ได้สำเร็จในท้ายที่สุด ส่งผลให้ความพยายามของทรอตสกีล้มเหลวและต้องลี้ภัยออกจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1929 ในขณะที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศนั้น ทรอตสกียังคงดำเนินการต่อต้านสตาลินอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น การก่อตั้งสังคมนิยมสากลที่สี่ (Fourth International) ในปี ค.ศ. 1938 ขึ้นมาแข่งกับโคมินเทิร์น ท้ายที่สุดแล้วทรอตสกีถูกลอบสังหารในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1940 ณ กรุงเม็กซิโกซิตี ตามคำสั่งของสตาลิน", "title": "ลัทธิคอมมิวนิสต์" }, { "docid": "674576#5", "text": "ภูมิอากาศของปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกีได้รับอิทธิพลจากความชื้นของมหาสมุทรแปซิฟิกค่อนข้างมาก ทำให้อากาศไม่ค่อยหนาวเย็นรุนแรงนักแม้จะอยู่ในไซบีเรีย มีอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมกราคมเพียง -7 องศาเซลเซียส (ส่วนอื่นของไซบีเรียสามารถมีอุณหภูมิต่ำได้ถึง -30 องศาเซลเซียสในช่วงเดียวกัน) อากาศจะเริ่มหนาวเย็นลงได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนและเริ่มมีหิมะได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมและหิมะสามารถคงอยู่โดยไม่ละลายได้จนถึงราวกลางมิถุนายน ในบางช่วงของฤดูหนาวหิมะสามารถตกลงมาสะสมเป็นปริมาณที่สูงมากและน้ำทะเลในบางส่วนของอ่าวอะวาชาสามารถจับตัวเป็นน้ำแข็งได้ ช่วงหน้าร้อนจะมีเพียงระยะสั้นไม่เกินสามเดือนโดยอุณหภูมิจะเป็นแบบอบอุ่นเฉลี่ยระดับ 15-16 องศาเซลเซียส", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "134895#1", "text": "คณะบัลเลต์มาริอินสกี ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1738 เดิมแสดงประจำอยู่ที่ โรงละครบอลชอย (Imperial Bolshoi Kamenny Theatre) และมีชื่อเรียกว่า อิมพีเรียลบัลเลต์ จนกระทั่งย้ายมาจัดแสดงที่โรงละครมาริอินสกี เมื่อ ค.ศ. 1886 และเปลี่ยนชื่อเป็น มาริอินสกีบัลเลต์ ", "title": "มาริอินสกีบัลเลต์" }, { "docid": "674576#13", "text": "แม้ว่าการล่มสลายลงของโซเวียตจะเป็นการเปิดเมืองให้ผู้คนสามารถเดินทางเข้ามาได้ง่ายขึ้น ทว่าหลังจากการล่มสลายของโซเวียตประชากรของเมืองกลับลดลงอย่างต่อเนื่องจากการย้ายถิ่นฐานออกไปยังที่อื่น ในขณะเดียวกับเศรษฐกิจของเมืองก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางจากที่เดิมพึ่งพาการประมงและธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่งทางเรือและการทหาร ในระยะหลัง ๆ นักท่องเที่ยวทั้งชาวรัสเซียและชาวต่างชาติบางส่วนเริ่มเข้ามาเที่ยวในคัมชัตคามากขึ้นและด้วยฐานะที่เป็นเมืองที่มีความเจริญมากที่สุดของคาบสมุทร ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกีจึงได้กลายเป็นจุดตั้งต้นของการเดินทางเที่ยวชมธรรมชาติของคาบสมุทร กระนั้นเมืองก็ไม่ค่อยได้รับการพัฒนามากเท่าในช่วงสงครามเย็น สภาพทั่วไปจึงค่อนข้างเสื่อมโทรมไม่มีการก่อสร้างอะไรใหม่มากไปจากสมัยโซเวียตนัก", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "759956#0", "text": "อาแล็กซันดรุฟวุตสกี () เป็นเมืองของประเทศโปแลนด์ ตั้งอยู่ในช่วงกลางของลุ่มแม่น้ำวิสวาและแม่น้ำโอเดอร์ของประเทศ เมืองก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1816 มีเนื้อที่ทั้งหมด 13.47 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรทั้งหมด 20,220 คน", "title": "อาแล็กซันดรุฟวุตสกี" }, { "docid": "831287#1", "text": "ตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1999 เมืองได้เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดลูบลิน ก่อนหน้านี้เมืองได้เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดเบียวาปอดลัสกา (ค.ศ. 1975–1998) และในอดีตเป็นของเลสเซอร์โปแลนด์ เมืองได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1468 และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือพระราชวังปอตอสกี", "title": "รัดซึญปอดลาสกี" }, { "docid": "674576#4", "text": "เมืองปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกีตั้งอยู่ค่อนลงมาทางด้านใต้ของคาบสมุทรคัมชัตคาทางด้านตะวันออก เวลาท้องถิ่นของเมืองนั้นไวกว่ามอสโกซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัสเซียที่อยู่ห่างกัน 6,766 กิโลเมตรถึง 9 ชั่วโมง สภาพแวดล้อมโดยรอบของเมืองเป็นแนวทิวเขาจนแทบไม่มีจุดใดจากในตัวเมืองสามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าได้ จุดที่เมืองตั้งเป็นบริเวณที่ราบขนาดแคบ ๆ ลาดลงสู่ทะเลสลับเนิน อ่าวอะวาชาซึ่งเป็นทางออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกนั้นมีสภาพเกือบคล้ายลากูนด้วยมีช่องทางติดต่อกับมหาสมุทรแปซิฟิกเพียงแคบ ๆ ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว ๆ 30 กิโลเมตรเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟสามลูกเรียงตัวกันในแนวตะวันตกไปยังตะวันออกคือ ภูเขาไฟคาเรียคสกี (Koryaksky Volcano) ภูเขาไฟอะวาชินสกี (Avachinsky Volcano) และ ภูเขาไฟคาเซลสกี (Kozelsky Volcano) โดยภูเขาไฟทั้งสามลูกนี้ไม่ค่อยปะทุบ่อยนักและถูกเรียกกันว่า Home Volcanoes ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเมืองซึ่งประกอบอยู่ในตราเมืองเช่นกัน", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "134889#1", "text": "โรงละครมาริอินสกี มีคณะบัลเลต์ประจำ คือ มาริอินสกีบัลเลต์ (Mariinsky Ballet หรือ Imperial Ballet) ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1783 จนถึงปัจจุบันมีอายุ ปี เดิมมีสถานที่แสดงประจำอยู่ที่ โรงละครบอลชอย (Imperial Bolshoi Kamenny Theatre) ต่อมาอาคารโรงละครเดิมทรุดโทรม จึงถูกรื้อลงเมื่อ ค.ศ. 1886 คณะอิมพีเรียลบัลเลต์ได้ย้ายมาจัดแสดงที่นี่ และเปลี่ยนชื่อเป็น มาริอินสกีบัลเลต์ จนถึงปัจจุบัน", "title": "โรงละครมาริอินสกี" }, { "docid": "258214#0", "text": "คาบสมุทรคัมชัตคา (; ) เป็นคาบสมุทรทางภาคตะวันออกของประเทศรัสเซีย มีพื้นที่ประมาณ 472,300 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก (ทางทิศตะวันออก) และทะเลโอคอตสค์ (ทางทิศตะวันตก) คาบสมุทรมีความยาว 1,250 กิโลเมตรโดยประมาณ", "title": "คาบสมุทรคัมชัตคา" }, { "docid": "674576#9", "text": "ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของปิตราปัฟลัฟสค์ปรากฏขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1854 ซึ่งรัสเซียกำลังทำสงครามไครเมียโดยอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฝรั่งเศสและอังกฤษ เนืองจากในระยะนั้นทั้งสองชาติได้เริ่มมามีอาณานิคมในแถบเอเชียแล้วและเมืองปิตราปัฟลัฟสค์เองก็มีฐานะในยามนั้นเป็นฐานกำลังหลักของกองทัพเรือรัสเซียทางฝั่งแปซิฟิก ในเดือนสิงหาคมกองเรือของทั้งสองชาติได้แล่นมาจากจีนและทำการปิดล้อมโจมตีเมืองปิตราปัฟลัฟสค์ซึ่งในเวลานั้นมีคนในเมืองเพียง 988 คนกับปืนเพียง 68 กระบอก ทว่าฝ่ายรัสเซียสามารถต้านทานจากโจมตีด้วยจำนวนเรือ 6 ลำ ปืน 206 กระบอกและทหารราว ๆ 2,500 คนได้จนฝ่ายฝรั่งเศสและอังกฤษต้องจำล่าถอยไปด้วยเสบียงที่ร่อยหรอลงและใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งทางฝ่ายรัสเซียได้ใช้โอกาสที่เข้าสู่ฤดูหนาวตัดสินใจอพยพทิ้งร้างเมือง เมื่อกองเรือของฝรั่งเศสและอังกฤษยกกำลังกลับมาอีกครั้งในฤดูร้อนปีถัดมาจึงพบเพียงเมืองร้างว่างเปล่าซึ่งก็ถูกยิงถล่มเสียหายก่อนจะถอนกำลังออกไป กระนั้นวีรกรรมของฝ่ายรัสเซียซึ่งสามารถปกป้องเมืองไม่ให้ถูกยึดครองโดยฝ่ายศัตรูก็ถูกยกย่องจนปิตราปัฟลัฟสค์ได้รับการขนานนามว่าเป็นเซวัสโตปอลแห่งตะวันออก", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "114893#29", "text": "ในภาคตะวันออกไกล รัสเซียกระตือรือร้นอย่างมากในอุตสาหกรรมเครื่องขนสัตว์บนคาบสมุทรคัมชัตคาและบนเกาะคูริล กระตุ้นให้รัสเซียมีความสนใจในการค้าในทางใต้กับญี่ปุ่นเพื่อสรรหาวัตถุดิบและอาหาร ในปี ค.ศ. 1783 พายุได้พัดเรือของกัปตันไดโคคุยะ โคดะยู ล่มในทะเลจนเขาลอยมาขึ้นฝั่งบนเกาะอะลูเชียนซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นดินแดนของรัสเซีย ทางการท้องถิ่นของรัสเซียช่วยไดโคคุยะและคณะของเขาไว้ รัฐบาลรัสเซียจึงตัดสินใจใช้เขาเป็นราชทูตติดต่อทำการค้ากับญี่ปุ่น ในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1791 พระนางแคทเธอรีนพระราชทานโอกาสให้ไดโคคุยะเข้าเฝ้า ณ พระราชวังทีจักรพรรดิสกีซีโล (Tsarskoye Selo) ต่อมาในปี ค.ศ. 1792 รัฐบาลรัสเซียส่งคณะทูตไปเจรจาการค้ากับญี่ปุ่นภายใต้การนำของอดัม แลกซ์แมน รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะให้การตอนรับคณะทูตแต่การเจรจาประสบความล้มเหลว", "title": "เยกาเจรีนามหาราชินี" }, { "docid": "674576#7", "text": "จากนโยบายจากแสวงหาดินแดนใหม่ทางตะวันไกลของจักรวรรดิรัสเซีย คาบสมุทรคัมชัตคาได้ถูกเข้ามาสำรวจโดยคณะสำรวจของชาวรัสเซียตั้งแต่ปลายยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 หากแต่การจะเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของคัมชัตคามักถูกต่อต้านโดยเหล่าชาวพื้นเมืองของคาบสมุทรซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่มาก่อนเป็นเวลายาวนานโดยเฉพาะชาวคาเรียค (Koryaks) ซึ่งอยู่ทางด้านบนของตัวคาบสมุทรติดกับแผ่นดินใหญ่และส่วนตอนกลางและทางใต้นั้นเป็นถิ่นของชาวอิเทลเมน (Itelmens) หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งคือ ชาวคัมชาตดัล (Kamchatdals) หลังจากดำเนินการสู้รบกับฝ่ายรัสเซียมานานหลายสิบปี ในท้ายสุดชาวอิเทลเมนประสบกับโรคระบาดซึ่งมากับชาวรัสเซียที่มาครอบครองดินแดนจนทำให้ประชากรของชาวอิเทลเมนตายไปเป็นจำนวนมากและไม่สามารถลุกขึ้นต้านทานฝ่ายรัสเซียได้อีก และเริ่มมีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฝ่ายรัสเซียจนแทบถูกกลืนหายไปหมดสิ้น ในปี ค.ศ. 1740 ไวตัส เบริง นักสำรวจทางทะเลเชื้อสายเดนมาร์กที่มารับราชการในกองทัพเรือรัสเซียได้เดินทางมาถึงบริเวณอ่าวอะวาชาจากทะเลโอค็อตสค์ก่อนเริ่มการสำรวจ Second Kamchatka Expedition (ซึ่งต่อมาจะเป็นการค้นพบอะแลสกาเป็นครั้งแรก) เนื่องจากเห็นว่าเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมจะให้ใช้เป็นจุดพักกำลังในการเดินเรือด้วยเป็นอ่าวเกือบปิดลึกเข้ามาจากมหาสมุทรแปซิฟิกจึงได้ให้มีการสร้างชุมชนขึ้นเพื่อเป็นจุดแวะสำหรับการเดินเรือในย่านนี้ด้วยไม่มีชุมชนใดสร้างใช้เป็นที่พักเรือได้เลยมาก่อน จากนั้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 เบริงได้เริ่มการสำรวจไปทางตะวันออกของคาบสมุทรคัมชัตคาจนเรือสองลำคือ เรือเซนต์ปีเตอร์ กับ เรือเซนต์พอล พลัดหลงจากกันเพราะทัศนวิสัยเลวร้ายกลางทะเล วันที่ 10 ตุลาคมปีนั้นเรือเซนต์พอลได้ล่องกลับมายังเมืองปิตราปัฟลัฟสค์ก่อน[4]เรือเซนต์ปีเตอร์ของเบริงซึ่งลอยลำไปสำรวจฝั่งตะวันตกของอะแลสกา สุดท้ายแล้วเบริงก็ได้เสียชีวิตลงที่เกาะร้างกลางทะเลก่อนจะสามารถล่องเรือกลับมาถึงเมืองได้ (ปัจจุบันเกาะที่เบริงเสียชีวิตคือ เกาะเบริง เป็นหนึ่งในเกาะของหมู่เกาะคอมมานเดอร์ (Commander Islands) นอกชายฝั่งคาบสมุทรคัมชัตคา)", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "756282#0", "text": "ดินแดนคัมชัตคา () เป็นเขตการปกครองของประเทศรัสเซีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โดยรวมตัวกันของแคว้นคัมชัตคากับเขตปกครองตนเองคาเรียค มีการออกเสียงประชามติในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2548", "title": "ดินแดนคัมชัตคา" }, { "docid": "674576#2", "text": "แม้ว่าคาบสมุทรคัมชัตคานั้นจะมีนักสำรวจชาวคอสแซคของทางรัสเซียกลุ่มอื่นเข้ามาสำรวจและตั้งชุมชนอยู่อาศัยมาก่อนตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1700 หากแต่ด้วยชนพื้นเมืองซึ่งอยู่มาก่อนนั้นได้ทำการรบพุ่งกับฝ่ายรัสเซียซึ่งเข้ามาทางตอนเหนือขึ้นไปของคาบสมุทร[2]ทำให้ไม่มีชุมชนของฝ่ายรัสเซียในบริเวณนี้จนกระทั่งการเดินทางมาถึงของไวตัส เบริงพร้อมกับกองเรือสำรวจซึ่งเดินทางมาจากทะเลโอค็อตสค์ เพื่อไปสำรวจทะเลทางตะวันออกของคาบสมุทรคัมชัตคา โดยเบริงได้สั่งให้มีการสร้างชุมชนขึ้นบริเวณอ่าวอะวาชาในวันที่ 17 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1740 เพื่อให้เป็นฐานสำหรับการเตรียมการออกเรือสำรวจ โดยได้ตั้งชื่อชุมชน ณ อ่าวอะวาชานี้ว่า ปิตราปัฟลัฟสค์ จากชื่อเรือสองลำในกองเรือคือเรือเซนต์ปีเตอร์และเรือเซนต์พอล[1]", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "674576#14", "text": "ปัจจุบันนี้แม้ว่าจะสิ้นสุดยุคการเป็นเมืองปิดทางการทหารแล้ว ทว่าก็ยังคงมีกิจกรรมทางการทหารเกิดขึ้นรอบ ๆ เมืองอยู่เสมอ ฝูงบินของกองทัพรัสเซียก็ยังคงประจำการอยู่ที่สนามบินปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี ฐานทัพเรือของกองเรือแปซิฟิกก็ยังคงมีการซ้อมรบนอกชายฝั่งรวมถึงมีการเสริมกำลังยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ อยู่ในทุกวันนี้[7]", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "674576#8", "text": "หลังจากนั้นปิตราปัฟลัฟสค์ได้กลายเป็นจุดพักเรือของการสำรวจทางมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยในปี ค.ศ. 1779 เจมส์ คุก ได้มาหยุดเรือที่ปิตราปัฟลัฟสค์ ต่อมา ค.ศ. 1787 ฌ็อง-ฟร็องซัว เดอ ลา เปรูซ (Jean-François de La Pérouse) นักเดินเรือของฝรั่งเศสก็ได้มาหยุดแวะที่เมืองเช่นกันก่อนการสำรวจมหาสมุทรแปซิฟิกทางใต้ ทว่าเมืองไม่ได้เติบโตขึ้นจากที่เป็นเพียงชุมชนเล็ก ๆ มีคนอยู่ไม่ถึงพันคนไปอีกนับร้อยปี", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "674576#10", "text": "หลังจากนั้นคัมชัตคาได้กลายเป็นจุดหมายของนักโทษซึ่งถูกเนรเทศมาจากทางตะวันตกของประเทศ ทำให้อัตราประชากรเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนในที่สุดชาวรัสเซียได้กลายเป็นประชากรส่วนของทั้งเมืองและตัวคาบสมุทรคัมชัตคา", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "258214#1", "text": "คาบสมุทรคัมชัตคาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนคัมชัตคา ซึ่งเป็นเขตการปกครองเขตหนึ่งของรัสเซีย โดยคาบสมุทรกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตการปกครองนั้น", "title": "คาบสมุทรคัมชัตคา" }, { "docid": "286936#1", "text": "วาสสิลี แคนดินสกี (Wassily Kandinsky) และ ฟรานซ์ มาร์ก (Franz Marc) เจอกันครั้งแรกในปลายปี 1910 หลังจากที่มาร์กได้เขียนคำวิจารณ์ถึงการจัดนิทรรศการครั้งที่สองของ Neue Künstlervereinigung München\n(N.K.V.M. กลุ่มศิลปินหน้าใหม่ในมิวนิก) ก่อนที่จะเป็น เดอะ บลู ไรเดอร์ แคนดินสกีและศิลปินคนอื่น ๆ เคยเป็นสมาชิกของ N.K.V.M. กลุ่มศิลปินหน้าใหม่ในมิวนิกมาก่อน\nN.K.V.M. ได้เริ่มต้นก่อตั้งขึ้นในปี 1909 เป็นกลุ่มที่รวบรวมศิลปินที่ถูกเนรเทศออกจากกลุ่มศิลปะรัสเซีย ซึ่งได้แก่ วาสสิลี แคนดินสกี (Wassily Kandinsky), อเล็ก วอน จาวเลนสกี (Alexej von Jawlensky), Marianne von Werefkin, Vladimir von Berekhtyev กลุ่มศิลปินกลุ่มนี้จึงเป็นเสมือนการผสมผสานศิลปินต่าง ๆ เข้าด้วยกัน\nโดยที่ภายหลังกลุ่มศิลปะกลุ่มนี้ก็ได้ดึงดูดศิลปินต่าง ๆ ให้เข้ามาได้ในไม่ช้า รวมถึง Alexander Kanoldt, Paul Baum, Carl Hofer,\nAdolf Erbsloh และ Gabriele Münter นักประวัติศาสตร์ศิลปะ อย่าง Heinrich Schnabel, Oskar Wittgenstein and Otto Fischer นักเต้น\nAlexander Sakharov นักดนตรีและนักเขียน ความหลากหลายนี้อาจจะเป็นแนวความคิดของแคนดินสกีที่ต้องการรวมเอาความหลายหลายทางศิลปะเข้าด้วยกัน\nสถาบัน N.K.V.M.รวบรวมศิลปินเข้าด้วยกัน ไม่เพียงแต่เพื่อที่จะแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่เพื่อที่จะแสดงให้เห็นโลกที่อยู่ภายในตัวของพวกเขาด้วย", "title": "กลุ่มเบลาเออไรเทอร์" }, { "docid": "17164#0", "text": "ดร. แอฟราม โนม ชอมสกี (, ; เกิด 7 ธันวาคม ค.ศ. 1928) เป็นนักภาษาศาสตร์ นักปรัชญา นักปริชานศาสตร์ และนักกิจกรรมทางการเมือง เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณประจำคณะภาษาศาสตร์และปรัชญา สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) ชอมสกีได้รับการยกย่องจากการให้กำเนิดทฤษฎี Transformative-Generative Grammar หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Generative Grammar (ภาษาไทยมีใช้ทั้งไวยากรณ์พึ่งพา ไวยากรณ์เพิ่มพูน และไวยากรณ์ปริวรรต) ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นงานชิ้นสำคัญที่สุดของวงการภาษาศาสตร์ทฤษฎีในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชอมสกียังมีส่วนช่วยจุดประกายการปฏิวัติองค์ความรู้ในวิชาจิตวิทยาเกี่ยวกับปริชานผ่านทางงานปริทัศน์หนังสือ \"Verbal Behavior\" ของบี. เอฟ. สกินเนอร์ อันเป็นการท้าทายวิธีแบบพฤติกรรมศาสตร์ที่เคยครอบงำการศึกษาเรื่องจิตและภาษาในคริสต์ทศวรรษ 1950 วิธีศึกษาภาษาโดยแนวทางธรรมชาติของชอมสกียังมีผลกระทบต่อวิชาปรัชญาภาษาและปรัชญาจิตอีกด้วย นอกจากนี้ ชอมสกียังได้รับการยกย่องจากการก่อตั้งลำดับชั้นชอมสกี (Chomsky hierarchy) ซึ่งเป็นการจำแนกภาษารูปนัยออกเป็นลำดับชั้น ตามพลังในการก่อกำเนิดของแต่ละระดับ", "title": "โนม ชอมสกี" }, { "docid": "674576#11", "text": "ในระยะนี้ประชากรของเมืองได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากการย้ายกำลังทหารมาประจำในฐานทัพต่าง ๆ รอบอ่าวอะวาชาอย่างเนืองแน่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกีได้กลายเป็นหนึ่งในเมืองกำลังหลักของการส่งเรือรบและเครื่องบินไปต่อสู้กับทางญี่ปุ่นเพื่อแย่งชิงหมู่เกาะคูริล จนทำให้ได้รับยกย่องเป็นเมืองเกียรติยศทางการทหารเมื่อปี ค.ศ. 2011[5]", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" }, { "docid": "674576#6", "text": "ด้านธรณีวิทยา เมืองเคยได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวบ่อยครั้งเนื่องจากอยู่ในแนวขนานกับรอยเลื่อนคูริล-คัมชัตคา (English: Kuril–Kamchatka Trench) ที่อยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งวางตัวในแนวเหนือ-ใต้จากหมู่เกาะคูริลทางด้านใต้ของคาบสมุทรขนานมาจนถึงครึ่งนึ่งของความยาวคาบสมุทรทั้งหมด ที่ผ่านมาบางครั้งเคยเกิดแผ่นดินไหวระดับมากกว่า 7 ริกเตอร์ในมหาสมุทรแปซิฟิกไม่ห่างจากเมืองมากนัก[3] ด้วยเหตุนั้นอาคารต่าง ๆ ในเมืองนอกจากไม่สร้างให้มีความสูงมากแล้วยังต้องสร้างให้รับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ด้วย", "title": "ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี" } ]
3004
อันเนอ ฟรังค์ ทำอาชีพอะไร?
[ { "docid": "44795#0", "text": "อันเนอลีส มารี \"อันเนอ\" ฟรังค์ (Annelies Marie \"Anne\" Frank; 12 มิถุนายน 2472 – ประมาณมีนาคม 2488) หรือแอนน์ แฟรงค์ เป็นเด็กหญิงชาวยิว เกิดที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เธอมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้เขียนบันทึกประจำวันซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือ บรรยายเหตุการณ์ขณะหลบซ่อนตัวจากการล่าชาวยิวในประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างที่ถูกเยอรมนีเข้าครอบครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง", "title": "อันเนอ ฟรังค์" } ]
[ { "docid": "44795#29", "text": "กอร์เนลิส เซยก์ อดีตผู้อำนวยการมูลนิธิอันเนอ ฟรังค์ และประธานศูนย์สหรัฐอเมริกาของมูลนิธิการศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประกาศในปี พ.ศ. 2542 ว่า เขาเป็นเจ้าของกระดาษบันทึก 5 แผ่น ซึ่งออทโท ฟรังค์ ดึงออกจากสมุดบันทึกก่อนจะนำไปตีพิมพ์ เซยก์อ้างว่าออทโท ฟรังค์ มอบกระดาษบันทึกเหล่านั้นให้เขาเอง ไม่นานก่อนที่ออทโทจะเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2523 เนื้อหาบันทึกส่วนที่หายไปเกี่ยวข้องกับการที่อันเนอ ฟรังค์ วิพากษ์วิจารณ์ชีวิตแต่งงานของพ่อแม่ของเธอ และยังพรรณนาความรู้สึกไม่พอใจต่อแม่ของเธอด้วย ในเวลาต่อมาเรื่องนี้ก็กลายเป็นที่ถกเถียงกัน เพราะเซยก์เรียกร้องสิทธิ์ในการตีพิมพ์บันทึก 5 แผ่นนี้ และคิดจะนำไปขายเพื่อระดมทุนให้แก่ศูนย์สหรัฐอเมริกาของเขา สถาบันเอกสารหลักฐานสงครามแห่งเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของต้นฉบับ เรียกร้องให้เขาคืนบันทึกทั้ง 5 แผ่นนี้ ในปี พ.ศ. 2543 กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์แห่งเนเธอร์แลนด์ ยินยอมบริจาคเงินจำนวน 300,000 เหรียญสหรัฐให้แก่มูลนิธิของเซยก์ แล้วบันทึกทั้ง 5 แผ่นจึงได้ส่งคืนในปี พ.ศ. 2544 หลังจากนั้นจึงได้นำบันทึกทั้ง 5 แผ่นผนวกรวมเข้าไปในหนังสือบันทึกฉบับพิมพ์ครั้งใหม่ ๆ ด้วย", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#5", "text": "ปี พ.ศ. 2481 ออทโท ฟรังค์ เริ่มต้นทำบริษัทเพคทาคอนเป็นบริษัทที่สอง โดยเป็นผู้แทนจำหน่ายสมุนไพร เกลือ และเครื่องเทศต่าง ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตไส้กรอก บริษัทได้ว่าจ้างแฮร์มันน์ ฟัน แป็ลส์ มาเป็นที่ปรึกษาทางด้านเครื่องเทศ เขาเป็นพ่อค้าสัตว์ชาวยิวที่พาครอบครัวหนีมาจากเมืองออสนาบรึค (Osnabrück) ในเยอรมนี ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 แม่ของเอดิทก็มาอยู่กับครอบครัวฟรังค์ด้วย จนกระทั่งเสียชีวิตลงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2485", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#47", "text": "เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 มีการตกลงกันให้ตัดต้นไม้ของอันเนอ ฟรังค์ เพื่อป้องกันการโค่นลงทับอาคารข้างเคียง เนื่องจากรากต้นไม้ติดเชื้อราอย่างหนักและอาจล้มได้ทุกเมื่อ อาร์โนลด์ เฮร์เจอ นักเศรษฐศาสตร์ชาวดัตช์ซึ่งต้องหลบซ่อนตัวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน กล่าวถึงต้นไม้นี้ว่า \"มันไม่ใช่เพียงต้นไม้ธรรมดา ต้นไม้ของอันเนอ ฟรังค์ เป็นศูนย์รวมการถูกทรมานของชาวยิว\" มูลนิธิต้นไม้ซึ่งเป็นกลุ่มผู้อนุรักษ์ต้นไม้พยายามรณรงค์เพื่อป้องกันมิให้โค่นต้นเกาลัดต้นนี้ มีสื่อสากลให้ความสนใจเป็นอันมาก ศาลแห่งเนเธอร์แลนด์สั่งให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายผู้อนุรักษ์หาข้อมูลทางเลือกอื่น ๆ มาเสนอเพื่อหาข้อยุติ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้โดยสร้างโครงสร้างเหล็กประคองต้นไม้ไว้ ซึ่งจะช่วยยืดอายุไปได้อีกอย่างน้อย 15 ปี", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#43", "text": "วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 ประชาชนจำนวนหนึ่งรวมทั้งออทโท ฟรังค์ ได้ก่อตั้งกลุ่ม \"คนรักอันเนอ ฟรังค์\" ขึ้น เพื่อพยายามป้องกันมิให้อาคารปรินเซินครัคต์ถูกทุบทิ้ง และพยายามให้อาคารแห่งนั้นเปิดต่อสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ อันเนอ ฟรังค์ เฮาส์ จึงได้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ประกอบด้วยพื้นที่คลังสินค้าของบริษัทโอเพคทา ส่วนสำนักงาน และส่วน \"อัคเตอร์เฮยส์\" ไม่มีการตกแต่งภายใน เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเดินผ่านห้องต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ของส่วนตัวบางอย่างของผู้อยู่อาศัยเดิมยังคงประดับอยู่เช่นเดิม เช่นรูปภาพดารานักแสดงซึ่งอันเนอทากาวปิดไว้บนผนัง ขีดบนผนังที่ออทโทบันทึกส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นของลูกสาวทั้งสอง และแผนที่บนผนังที่เขาบันทึกการเคลื่อนที่คืบหน้าของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ปัจจุบันทั้งหมดมีกระดาษใสเคลือบเอาไว้เพื่อรักษาสภาพ จากห้องเล็ก ๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเปเตอร์ ฟัน แป็ลส์ มีทางเดินเชื่อมต่อกับอาคารข้างเคียง มูลนิธิได้ซื้ออาคารนั้นไว้ด้วย ปัจจุบันใช้เก็บรักษาหนังสือบันทึก และจัดนิทรรศการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมถึงความโหดร้ายทารุณในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก อันเนอ ฟรังค์ เฮาส์ กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในกรุงอัมสเตอร์ดัม ในปี พ.ศ. 2548 จำนวนผู้เยี่ยมชมก็สูงกว่า 965,000 คน อันเนอ ฟรังค์ เฮาส์ ยังเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตและจัดนิทรรศการเคลื่อนที่ไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมที่ไม่สะดวกจะเดินทางมายังอัมสเตอร์ดัม ในปี พ.ศ. 2548 มีการจัดนิทรรศการเคลื่อนที่ในประเทศต่าง ๆ 32 ประเทศ ทั้งในยุโรป เอเชีย อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#4", "text": "ออทโท ฟรังค์ เริ่มทำงานที่บริษัทโอเพคทาซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายผลไม้ เขามีห้องพักอาศัยแห่งหนึ่งบริเวณจัตุรัสแมร์เวเดอ () ในกรุงอัมสเตอร์ดัม เอดิทกับลูก ๆ มาถึงอัมสเตอร์ดัมในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 จากนั้นเด็กหญิงทั้งสองจึงได้เข้าโรงเรียน มาร์กอทได้เข้าโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนอันเนอได้เข้าโรงเรียนแบบมอนเตสโซรี (Montessori) มาร์กอทมีความสามารถพิเศษด้านพีชคณิต ส่วนอันเนอชอบการอ่านและเขียนหนังสือ เพื่อนคนหนึ่งของเธอคือ ฮันเนอลี กอสลาร์ เล่าถึงเรื่องในวัยเด็กภายหลังว่า อันเนอมักเขียนหนังสืออยู่เสมอ เธอจะเอามือป้องบังงานของเธอเอาไว้และไม่ยอมพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับงานเขียนของเธอเลย มาร์กอทกับอันเนอมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัด โดยที่มาร์กอทเป็นคนเรียบร้อย เก็บตัว ชอบศึกษาหาความรู้ ส่วนอันเนอเป็นคนช่างพูด กระตือรือร้น และชอบพบปะผู้คน", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#44", "text": "ปี พ.ศ. 2506 ออทโท ฟรังค์ กับภรรยาคนที่สองคือ เอลฟรีเดอ ไกริงเงอร์-มาร์โควิทส์ ได้ก่อตั้ง มูลนิธิอันเนอ ฟรังค์ ขึ้นในเมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มูลนิธิจัดหาเงินทุนเพื่อบริจาคแก่การกุศล \"ตามที่เห็นว่าเหมาะสม\" หลังจากออทโทเสียชีวิต เขาแสดงความจำนงจะยกลิขสิทธิ์ในหนังสือบันทึกให้แก่มูลนิธิ โดยที่เงินส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ส่วนแรกจำนวน 80,000 ฟรังก์สวิสจะต้องแบ่งให้แก่ทายาทของเขาก่อนในทุก ๆ ปี เงินส่วนที่เหลือให้มูลนิธินำไปช่วยเหลือโครงการการกุศลต่าง ๆ ได้ตามที่ผู้บริหารมูลนิธิเห็นว่าสมควร มูลนิธินำเงินไปช่วยเหลือโครงการทางการแพทย์ของสหประชาชาติเป็นประจำทุกปี ทั้งยังให้การศึกษาแก่เด็ก ๆ ต่อต้านการทารุณกรรม และยังให้ยืมเอกสารต้นฉบับบางส่วนไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การล้างเผ่าพันธุ์ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2546 รายงานประจำปีในปีนั้นยังแสดงให้เห็นความพยายามของมูลนิธิที่จะกระตุ้นจิตสำนึกโดยรวมของทั้งโลก โดยสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ในประเทศเยอรมนี อิสราเอล อินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#36", "text": "ปี พ.ศ. 2501 ซีมอน วีเซินทัล ถูกท้าทายจากกลุ่มผู้ต่อต้านขณะแสดงละคร \"The Diary of Anne Frank\" ที่กรุงเวียนนา พวกเขากล่าวหาว่า อันเนอ ฟรังค์ ไม่มีตัวตนจริง และท้าให้วีเซินทัลพิสูจน์ตัวตนของเธอโดยหาตัวคนที่จับกุมเธอ วีเซินทัลจึงเริ่มออกติดตามหาคาร์ล ซิลเบอร์เบาเออร์ ตำรวจในคณะจับกุม และพบตัวเขาในปี พ.ศ. 2506 จากการสัมภาษณ์ ซิลเบอร์เบาเออร์ยอมรับบทบาทของเขา และระบุตัวอันเนอ ฟรังค์ ได้จากภาพถ่ายว่าเป็นหนึ่งในคนที่เขาจับกุม เขาให้ข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น และเล่าถึงการค้นกระเป๋าใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยกระดาษโดยการเทลงบนพื้น คำให้การของเขาสนับสนุนเรื่องราวลำดับเหตุการณ์ที่เล่าโดยพยานคนอื่นมาก่อนหน้านี้ เช่น ออทโท ฟรังค์", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#18", "text": "อันเนอกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่รอดจากการสังหารหมู่ทันทีที่มาถึง ถูกบังคับให้เปลือยกายและฆ่าเชื้อ พวกเธอถูกจับโกนผมและสักหมายเลขประจำตัวไว้บนแขน ในเวลากลางวัน พวกผู้หญิงจะถูกใช้งานเป็นทาส อันเนอต้องทลายหินและขุดพื้น เมื่อตกกลางคืนพวกเขาต้องเบียดเสียดกันอยู่ในคุกแคบ ๆ พยานหลายคนให้ปากคำในภายหลังว่า อันเนอจะหวาดผวาและร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นเด็ก ๆ ถูกนำตัวไปยังห้องรมแก๊ส แต่ก็มีพยานอีกหลายคนบอกว่าบางครั้งเธอก็แสดงความกล้าหาญและความแข็งแกร่ง ความอารีและธรรมชาติความเป็นผู้นำในตัวเธอทำให้เธอมักได้รับส่วนแบ่งขนมปังเพิ่มขึ้นสำหรับให้เอดิท มาร์กอท และตัวเธอเอง ในค่ายสกปรกมาก ไม่ช้าเชื้อโรคก็แพร่ระบาด ผิวของอันเนอติดเชื้อหิดอย่างรุนแรง เธอกับมาร์กอทถูกแยกไปห้องผู้ป่วย ที่ซึ่งมีแต่ความมืดสลัวตลอดเวลา และเป็นที่อยู่ของหนู เอดิท ฟรังค์ เลิกกินอาหารส่วนของตน แต่เก็บเอาไว้เพื่อส่งไปให้ลูกสาวทั้งสอง โดยส่งผ่านรูเล็ก ๆ ที่เธอแอบเจาะไว้ทางด้านหลังกำแพงห้องผู้ป่วย", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#30", "text": "บันทึกของอันเนอได้รับคำยกย่องชมเชยในฐานะวรรณกรรมที่ดี ไมเยอร์ เลวิน ให้ความเห็นเกี่ยวกับวิธีการเขียนของอันเนอว่า \"รักษาความตึงเครียดของนวนิยายซึ่งเขียนโดยมีโครงสร้างอย่างดี\" เขาประทับใจกับผลงานของเธอมากจนต้องร่วมงานกับออทโท ฟรังค์ ในการดัดแปลงบทประพันธ์เป็นบทละคร หลังจากหนังสือได้รับการตีพิมพ์ไม่นานนัก จอห์น เบร์รีแมน กวีชาวอเมริกันเขียนถึงหนังสือนี้ว่า มีถ้อยความพรรณนาที่โดดเด่นมาก มิใช่เพียงแค่เรื่องราวของเด็กสาว แต่เป็น \"การก้าวย่างจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ ซึ่งเกิดจากความแม่นยำ ความเชื่อมั่น เป็นรูปแบบที่ชวนให้พรึงเพริดกับความสัตย์ซื่อของตัวอักษร\"", "title": "อันเนอ ฟรังค์" }, { "docid": "44795#22", "text": "ออทโท ฟรังค์ รอดชีวิตจากค่ายกักกันเอาชวิทซ์ หลังสงคราม เขากลับไปยังอัมสเตอร์ดัมและได้อาศัยพำนักอยู่กับยันและมีป คีส เพื่อติดตามค้นหาครอบครัวของเขา เขาได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของภรรยาแล้วตั้งแต่อยู่ที่เอาชวิทซ์ แต่ก็ยังมีความหวังว่าลูกสาวทั้งสองน่าจะรอดชีวิต หลังจากค้นหาอยู่หลายสัปดาห์เขาจึงได้ทราบว่า มาร์กอทและอันเนอเสียชีวิตแล้ว เขาติดตามสอบถามข่าวชะตากรรมของบรรดาสหายของบุตรสาวด้วย และได้ทราบว่าพวกเขาถูกสังหารจนหมด ซูซันเนอ เลเดอร์มันน์ เป็นหนึ่งในชื่อสหายที่ปรากฏบ่อยครั้งอยู่ในสมุดบันทึกของอันเนอ เธอถูกรมแก๊สเสียชีวิตพร้อมกับพ่อแม่ แต่บาร์บารา พี่สาวของซูซันเนอและเพื่อนสนิทของมาร์กอท รอดชีวิต ยังมีเพื่อนร่วมโรงเรียนของพี่น้องฟรังค์อีกหลายคนที่รอดชีวิต เช่นเดียวกับญาติ ๆ อีกหลายคนของทั้งออทโทและเอดิท ฟรังค์ ที่หนีออกจากเยอรมนีในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1930 บางคนไปตั้งรกรากอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา", "title": "อันเนอ ฟรังค์" } ]
1593
ศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงเรื่องอะไร ?
[ { "docid": "15804#0", "text": "จารึกพ่อขุนรามคำแหง[1] หรือ จารึกหลักที่ 1[1] เป็นศิลาจารึกที่บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สมัยกรุงสุโขทัย ศิลาจารึกนี้ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ขณะผนวชอยู่เป็นผู้ทรงค้นพบเมื่อวันกาบสี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 จ.ศ. 1214 ตรงกับ วันศุกร์ที่ 17 มกราคม ค.ศ.1834 หรือ พ.ศ. 2376[2] ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย มีลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่า ทรงกระโจม สูง 111 ซม. หนา 35 ซม. เป็นหินทรายแป้งเนื้อละเอียด[1]มีจารึกทั้งสี่ด้าน ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร", "title": "จารึกพ่อขุนรามคำแหง" } ]
[ { "docid": "11296#6", "text": "ปัจจุบัน นักภาษาศาสตร์ได้นำคำที่ใช้เขียนด้วย ข และ ฃ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ไปเปรียบเทียบกับภาษาไทถิ่นอื่น ๆ เช่น ไทขาว ก็พบว่าเป็นคำที่ใช้เสียงประเภทเดียวกัน และแยกเสียง ข และ ฃ เหมือนกัน เพราะคำเหล่านี้เป็นคำที่เป็นมรดกตกทอดมาจากภาษาไทโบราณเก่าแก่ตั้งแต่ยังไม่มีอักษรเกิดขึ้น ภาษาไทถิ่นยังใช้คำเหล่านี้อยู่ แต่ว่าเสียงเพี้ยนไป โดยร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถสังเกตได้ชัดเจนจากศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่าเริ่มมีการใช้ ข และ ฃ อย่างสับสน และใช้แทนที่กันในหลายแห่ง เช่น บ้างก็ใช้ ขุน บ้างก็ใช้ ฃุน[16]", "title": "ฃ" }, { "docid": "705604#1", "text": "พิจิตรเป็นเมืองเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1601 ในสมัยสุโขทัย ปรากฏข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในศิลาจารึกหลักที่ 8 รัชกาลพระยาลิไท และจากพงศาวดารเหนือ พระยาโคตรตะบองได้ย้ายเมืองจากนครไชยบวรมาตั้งที่หมู่บ้านสระหลวง โดยได้เริ่มฝังหลักเมือง และได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองสระหลวง ซึ่งมีสถานะเป็นหัวเมืองเอกของกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยอยุธยา รัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองโอฆบุรี ซึ่งแปลว่า \"เมืองในท้องน้ำ\" และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองพิจิตร ซึ่งมีความหมายว่า \"เมืองงาม\" จนถึงปัจจุบัน", "title": "เทศบาลเมืองพิจิตร" }, { "docid": "166945#5", "text": "เนื่องจากมีการเล่าเรื่องราวข้อมูลเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ และ ข้อมูลหลายอย่างไม่พบในศิลาจารึกหลักอื่นๆ จึงทำให้ศิลาจารึกหลักนี้เป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ใจความโดยรวมของศิลาจารึกนี้ยังสอดคล้องกับศิลาจารึกหลักที่ ๑ที่สร้างโดย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช", "title": "จารึกวัดศรีชุม" }, { "docid": "6472#1", "text": "พิจิตร เดิมสะกดว่า พิจิตร์ มีความหมายว่า \"(เมือง) งาม\" พิจิตรเป็นเมืองเก่าแก่ในสมัยสุโขทัย ปรากฏข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และในศิลาจารึกหลักที่ 8 รัชกาลพระยาลิไท เรียกว่า \"เมืองสระหลวง\" ซึ่งมีสถานะเป็นหัวเมืองเอกของกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยอยุธยา รัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"เมืองโอฆบุรี\" ซึ่งแปลว่า \"เมืองในท้องน้ำ\" ตามตำนานกล่าวว่า พระยาโคตรบองเป็นผู้สร้างเมืองพิจิตร แต่จะสร้างในสมัยใดไม่ปรากฏ นอกจากนี้ เมืองพิจิตรยังเป็นที่ประสูติของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่งคือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ)", "title": "จังหวัดพิจิตร" }, { "docid": "213532#5", "text": "ส่วนเรื่องจากปก เป็นกลุ่มบทความหลัก ๓ - ๕ เรื่อง ซึ่งจะกล่าวถึง ตั้งข้อสังเกต และอรรถาธิบายถึงความรู้เกี่ยวกับ “หัวเรื่อง” (theme) นั้นๆ ในเชิงวิชาการทั้งทางลึกและทางกว้าง มีส่วนเชิงอรรถ การขยายความ และการอ้างอิงหนังสือบรรณานุกรมเช่นเดียวกับงานวิชาการทั่วๆ ไป แต่ปรับสำนวนภาษาให้อ่านเข้าใจได้ง่าย นำเสนอข้อสังเกตและแนวคิดรวบรัดชัดเจน ไม่เยิ่นเย้อ ดังเช่นที่เคยนำเสนอเรื่องวัฒนธรรมทุ่งกุลา ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น\nส่วนบทความ เป็นบทความเชิงวิชาการที่เขียนโดยคณาจารย์ในสถานศึกษา ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่จากองค์กรหน่วยงานซึ่งทำการสอน เผยแพร่ หรือรับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ โดยตรง และสาระจากการอภิปรายในประเด็นวิชาการที่ยังไม่ยุติ ข้อมูลหลักฐาน หรือแนวคิดใหม่ๆ เช่น เรื่องทวารวดีในสายตานักประวัติศาสตร์ ปัญหาศิลาจารึกหลักที่ ๑ พัฒนาการก่อนยุคสุโขทัย ตลอดจนสกู๊ปพิเศษที่เจาะลึกถึงความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เน้นเรื่องเทคโนโลยี วัสดุอุปกรณ์ ขั้นตอนและวิธีการ ตลอดจนความรู้เชิงเทคนิคในระดับปฏิบัติการ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายทั่วไปนัก เช่น เทคโนโลยีดิจิตอลกับงานอนุรักษ์ภาพถ่ายโบราณ วิธีการกำหนดอายุโบราณวัตถุ เครื่องมือและวิธีการขุดค้นของนักโบราณคดี เป็นต้น", "title": "วารสารเมืองโบราณ" }, { "docid": "771445#5", "text": "เมืองฝาง เป็นชื่อที่เก่าแก่ที่สุด ปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัยสองหลัก ได้แก่ จารึกสุโขทัยหลักที่ 3 จารึกนครชุม และจารึกสุโขทัยหลักที่ 11 จารึกวัดเขากบ สำหรับที่มาของชื่อเมืองฝาง มีความเห็นต่างกันเป็นสองแนวคิด คือ", "title": "เมืองสวางคบุรี" }, { "docid": "52776#1", "text": "ศาลพระกาฬ หรือเดิมเรียกว่า ศาลสูง เนื่องจากศาลตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงที่อยู่สูงจากพื้นดิน เป็นศาสนสถานที่เป็นฐานศิลาแลงขนาดมหึมา สันนิษฐานกันว่าฐานศิลาแลงดังกล่าวเป็นฐานพระปรางค์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ หรือสร้างสำเร็จแต่พังถล่มลงมาภายหลังโดยมิได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม ศาลพระกาฬเป็นสิ่งก่อสร้างของขอม สืบเนื่องมาจากเมืองลพบุรีในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของขอมโบราณ ซึ่งได้กลายเป็นศูนย์กลางการปกครองของขอมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างไรก็ตามฌ็อง บวสเซอลิเยร์ ได้สันนิษฐานจากฐานพระปรางค์ที่สูงมากนี้ ว่าเขายังมิได้ข้อยุติว่าเป็นสถาปัตยกรรมขอมโบราณพุทธศตวรรษที่ 16 \"\"อาจเป็นฐานพระปรางค์จริงที่สร้างไม่เสร็จ หรือเสร็จแล้วแต่พังทลายลงมา\"\" ทั้งนี้มีที่ศาลสูงมีการค้นพบศิลาจารึกศาลสูงภาษาเขมร หลักที่ 1 และศิลาจารึกเสาแปดเหลี่ยม (จารึกหลักที่ 18) อักษรหลังปัลลาวะภาษามอญโบราณ จากกรณีจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่หักพังนั้น พบว่าเสานี้ถูกทุบทำลายให้ล้มพังอยู่กับที่มิได้เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น จึงสันนิษฐานว่าศาลพระกาฬอาจเคยเป็นศาสนสถานของนิกายเถรวาทมาก่อน ภายหลังถูกดัดแปลงเป็นเทวสถานในนิกายไวษณพของศาสนาฮินดูแทน", "title": "ศาลพระกาฬ (จังหวัดลพบุรี)" }, { "docid": "176685#20", "text": "ประวัติของพระพุทธรูปองค์นี้ อาจทราบได้จากศิลาจารึกบริเวณด้านล่างซ้ายภายในวิหารน้อย โดยเป็นหินอ่อนสีขาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๘๐ ซม. สูง ๘๐ ซม. หนา ๔ ซม ในประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๖ ตอนที่ ๑ กำหนดเป็น \"หลักที่ ๑๖๑ จารึกที่วิหารน้อยวัดหน้าพระเมรุ\" จารึกโดยพระยาไชยวิชิต คราวเมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปศิลาเขียวมาประดิษฐานที่วัดหน้าพระเมรุ กล่าวถึงประวัติโดยสังเขปดังนี้", "title": "วัดพระเมรุ (จังหวัดนครปฐม)" }, { "docid": "771445#26", "text": "เมืองสวางคบุรีได้รับการพัฒนาเป็นเมืองหน้าด่านและเป็นเมืองสำคัญทางพระพุทธศาสนาของอาณาจักรสุโขทัยไปด้วยกัน ในศิลาจารึกหลักที่ 3 จารึกนครชุม พบที่วัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร จารึกเมื่อ ปีมหาศักราช 1279 (พ.ศ. 1900) ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) มีเนื้อหาบางส่วนกล่าวถึงศิลาจารึกและรอยพระพุทธบาทต่างๆ ที่พระธรรมราชาทรงสร้างในหัวเมืองต่างๆในอาณาเขตของพระองค์ พบเนื้อความที่กล่าวถึงเมืองฝางด้วย ", "title": "เมืองสวางคบุรี" }, { "docid": "97402#26", "text": "มีหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏชัดเจนว่าอาณาจักรโคตรบูรใช้อักษรปัลลวะ อักษรหลังปัลวะ และอักษรขอมโบราณในการจารึกหลักหิน หลักศิลา อิฐเผา และใบเสมา โดยใช้ทั้งภาษาสันสกฤต ภาษาปาลี ภาษาเขมร และภาษาลาวมอน (ไทยเรียก ภาษามอญโบราณ) การใช้อักษรและภาษาดังกล่าวปรากฏอยู่ทั่วไปในสองฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นลักษณะร่วมกันกับกลุ่มเมืองโบราณต่าง ๆ ในแถบลุ่มน้ำมูลและน้ำชี จากนั้นพบว่าก่อนการล่มสลายของอาณาจักรหรือช่วงก่อนการสถาปนาอาณาจักรล้านช้างของสมเด็จพระเจ้าฟ้างุ้ม (ครองราชย์ พ.ศ. 1896-1915) อาณาจักรโคตรบูรได้มีการใช้อักษรธรรมลาวโบราณซึ่งมีลักษณะทางอักขระวิธีร่วมกันกับอักษรปัลลวะในการจารึกหลักศิลา อายุของจารึกปรากฏจุลศักราช 314 (พ.ศ. 1495) หรือราวปลายพุทธศตวรรษที่ 14 ก่อนสถาปนาอาณาจักรล้านช้างราว 4-5 พุทธศตวรรษ แต่อาจมีอายุน้อยกว่าการเข้ามาของอักษรปัลวะในแถบลุ่มน้ำโขง โดยจารึกดังกล่าวใช้ภาษาลาว-ปาลี อีกทั้งมีหลักฐานว่าอาณาจักรโคตรบูรได้มีการใช้อักษรลาวเดิมหรืออักษรลาวเก่าจารึกหลักศิลาในช่วงก่อนการล่มสลายของอาณาจักรไม่เกินสองร้อยปีซึ่งปรากฏในจารึกวัดร้างบ้านแร่ เมืองสกลนครด้วย การใช้อักษรลาวเดิมหรืออักษรลาวเก่านี้นักวิชาการบางกลุ่มสันนิษฐานว่า อาจพัฒนามาจากการใช้อักษรธรรมลาวโบราณที่ปรากฏในจารึกศิลาเลกรอบระเบียงวัดพระธาตุหลวงหรือจารึกจันทะปุระ เลขทะเบียน ທຫຼI/13 หรือไม่ก็พัฒนามาจากอักษรลาวเดิมที่ปรากฏในผนังถ้ำนางอั๋น เมืองจอมเพ็ด และจารึกวัดวิชุน เมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นอักษรที่รับอิทธิพลโดยตรงจากชนชาติลาว การรับอักษรดังกล่าวจากชนชาติลาวซึ่งอพยพมาจากอาณาจักลาวเดิมที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจีน อาจแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรโคตรบูรกำลังเสื่อมอำนาจลง โดยกลุ่มอำนาจใหม่นั้นมาจากทางตอนเหนือของอาณาจักร แต่นักวิชาการบางกลุ่มกลับเห็นว่าการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรอาจเริ่มจากกลุ่มอำนาจใหม่ทางตอนใต้คือกลุ่มอาณาจักรกัมพูชา", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "45273#1", "text": "ประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกว่า คนไทยมีการละเล่นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย จากความในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ 1 กล่าวว่า “…ใครใคร่จักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน…” และในสมัยอยุธยา ก็ได้กล่าวถึงการแสดงเรื่อง มโนห์รา ไว้ในบทละครครั้ง กรุงเก่า ได้กล่าวถึงการละเล่นนั้นบทละครนั้น ได้แก่ ลิงชิงหลัก และปลาลงอวน ประเพณีและวัฒนธรรมสมัยก่อน มักสอดแทรกความสนุกสนานบันเทิงควบคู่กันไปกับการทำงาน ทั้งในชีวิตประจำวัน และเทศกาลงานบุญ ตามระยะเวลาแห่งฤดูกาล", "title": "การละเล่นพื้นเมือง" }, { "docid": "7948#4", "text": "ชาวไทยมีความสนุกสนานกับการเล่นดนตรีและร้องเพลงกันมากดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ว่า \"ดบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน\" ซึ่งแลดงถึงการบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทตี เป่า ดีด และสี คือ กลอง ปี่ พิณ และเครื่องดนตรีทีมีสายไว้สีได้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานของล้านนาไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกันในหลักศิลาจารึกในวัดพระยืน จังหวัดลำพูน ที่จารึกไว้ว่า \"ให้ถือกระทงข้างตอกดอกไม้ไต้เทียน ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง ปี่สรไนพิสเนญชัยทะเทียดกาหลแตรสังมาลย์กังสดาล มรทงค์ดงเดือด เสียงเลิศเสียงก้อง อีกทั้งคนร้องโห่อื้อดาสรท้านทั่งทั้งนครหริภุญชัย แล\" ซึ่งแสดงถึงเครื่องดนตรีบรรเลงในวงดนตรี และประชาชนนำมาเล่นเพื่อความสนุกสนานครึกครื้นกัน ดังนั้นจึงสามารถกล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยได้จากวงดนตรีไทยในสมัยนั้น ได้แก่ วงแตรสังข์ ที่ใช้บรรเลงในพระราชพิธีต่าง ๆ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีแตรฝรั่ง แตรงอน ปี่ไฉนแก้ว กลองชนะ บัณเฑาะว์ และมโหระทึก วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบด้วย ปี่ใน ฆ้องวง ตะโพน สังข์ กลองทัด และฉิ่ง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีเช่น พิณ และซอสามสาย อยู่ในสมัยนั้นอีกด้วย", "title": "เครื่องดนตรีไทย" }, { "docid": "168924#4", "text": "1) หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ 2) พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศิลปะสมัยล้านช้าง 3) เจดีย์หางนกยูง 2 เจดีย์ 4) เจดีย์ดอกบัว 1 เจดีย์ 5) หลักศิลาจารึกบันทึกเป็นอักษรขอม ในอดีตมี 11 หลัก ปัจจุบันเหลือ 4 หลัก", "title": "วัดศรีชมภูองค์ตื้อ" }, { "docid": "11809#7", "text": "เป็นพระรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (ศิลาจารึกหลักที่ 1) จารึกนี้พบเมื่อ พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาท เมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ผนวชเป็นผู้ค้นพบ เป็นจารึกหลักแรกที่ใช้ภาษาไทยและตัวอักษรไทย มีลักษณะเป็นแท่นหินรูปสี่เหลี่ยม ยอดกลมมน สูง 1 เมตร 11 เซนติเมตร หนา 35 เซนติเมตร เป็นหินชนวนสีเขียวมีจารึกทั้ง 4 ด้าน ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร ", "title": "มหาวิทยาลัยรามคำแหง" }, { "docid": "11747#4", "text": "หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏการใช้ ฅ ในภาษาไทย คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือศิลาจารึกหลักที่ 1 มีการใช้ ฅ อยู่ 2 คำ ได้แก่ \"แฅว\" (แคว)และ \"ฅุ๋ม\" (คุ้ม, ในสมัยนั้น เครื่องหมายกากบาท ตรงกับไม้โทในการเขียนแบบปัจจุบัน)การใช้ ฅ ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นไปอย่างแม่นยำ หมายความว่า ไม่มีการใช้ ค ในคำที่ใช้ ฅ นั้นเลย อย่างไรก็ตาม ในสมัยใกล้เคียงกัน มีการใช้ ฅ ในศิลาจารึกหลักอื่น ได้แก่ คำว่า ฅ (คอ), ฅ้อน (ค้อน), ฅา (คา), ฅาบ (คาบเวลา), ฅืน (กลับคืน), แฅน (ดูแคลน), แฅ่ง (แข้ง), แฅว (แคว), ฅวาม (ความ) และ ฅวาง (คว้าง)", "title": "ฅ" }, { "docid": "15804#4", "text": "ส่วนจิราภรณ์ อรัณยะนาค เขียนบทความแสดงทัศนะว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 ได้ผ่านกระบวนการสึกกร่อนผุสลายมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี ใกล้เคียงกับศิลาจารึกหลักที่ 3 หลักที่ 45 และหลักที่กล่าวถึงชีผ้าขาวเพสสันดร ไม่ได้ทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4[8]", "title": "จารึกพ่อขุนรามคำแหง" }, { "docid": "537713#14", "text": "หลักฐานที่กล่าวถึงชาวกาวที่เก่าแก่ที่สุดคือ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ด้านที่ 4 ปรากฏความว่า \"ทังมา กาว ลาว และไทยเมืองใต้หล้าฟ้าฏ..ไทยชาวอูชาวของมาออก\"[13] พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด เรียกเมืองปัวซึ่งเป็นเมืองของชาวกาวว่า \"เมืองกาว\" หรือ \"เมืองกาวเทศ\" และกล่าวว่าเป็นคนไทกลุ่มหนึ่งความว่า \"เมื่อนั้นชาวกาวไทยทั้งหลาย\" และ \"เมื่อตติยสักกราช ๗๒๗ ตัว ปีกัดใค้ สนำกุญชรชาวกาวไทยเรียกร้องกันมาแปลงโรงหลวง\"[13] ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกกษัตริย์น่านว่า \"พระญากาวน่าน\" และเรียกประชาชนชาวน่านว่า \"กาวน่าน\"[13] ซึ่งสอดคล้องกับศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 45 พ.ศ. 1935 เรียกผีบรรพบุรุษของกษัตริย์น่านว่า \"ด้ำพงศ์กาว\" ซึ่งยืนยันถึงบรรพบุรุษของกษัตริย์น่านว่าเป็นชาวกาว[13] ในจารึกวัดบูรพาราม ด้านที่ 1 อ้างถึงปี พ.ศ. 1939 กษัตริย์สุโขทัยได้ขยายอาณาเขตไปยังเมืองกาว ดังความว่า \"ท่านได้ปราบต์ ทั้งปกกาว\" ปกหมายถึงรัฐคือรัฐกาวนั่นเอง ส่วนจารึกวัดบูรพารามด้าน 2 ซึ่งเป็นภาษาบาลี เรียกปกกาวว่า \"กาวรฏฺ\" และกล่าวต่อว่าตั้งอยู่ทางทิศอุดรของสุโขทัย[21]", "title": "นครรัฐน่าน" }, { "docid": "315254#0", "text": "วงมังคละ หรือ ปี่กลอง, ปี่กลองมังคละ เป็นดนตรีชั้นสูงสำหรับพระพุทธศาสนาของอาณาจักรสุโขทัยโบราณ โดยปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 และศิลาจารึกวัดช้างล้อม สันนิษฐานว่าดนตรีมังคละนั้นรับธรรมเนียม \"มงคลเภรี\" มาจากศรีลังกา ก่อนที่จะกลายมาเป็นดนตรีพื้นบ้าน ในชุมชนกลุ่มคนที่ใช้สำเนียงอาณาจักรสุโขทัยโบราณ ปัจจุบันพบการละเล่นอยู่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และอุตรดิตถ์ รวมทั้งพบร่องรอยการละเล่นมังคละในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ (วงตุ๊บเก่ง) รวมทั้งวงกาหลอ ", "title": "วงมังคละ" }, { "docid": "185392#1", "text": "จากการสำรวจพบหลักศิลาในเขตตำบลทุ่งมน 2 จุด ที่บริเวณบ้านสะพานหัน ภาษาถิ่นเรียกว่า “สเปียลฮาล” ซึ่งเป็นชื่อหมู่บ้านข้างลำห้วยชีว์น้อย และตรงข้ามบ้านสะพานหัน เขตตำบลไพศาล อำเภอประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ 1 จุด ทั้ง 3 จุดนี้อยู่ห่างระหว่างกันแต่ละจุดประมาณ 2 กิโลเมตร หลักศิลาที่พบบ้านสะพานหัน จุดแรกข้างลำห้วยชีว์น้อยก่อนข้ามสะพานไปตำบลตานี ประมาณ 100 เมตรอยู่ในที่ดินของนายปลิง\nว่าหนักแน่น เดิมมีประมาณ 5 หลัก วางตำแหน่งเป็นกลุ่มห่างกันประมาณหลักละ 1 เมตรมีเสาหลักหินกลางตามคำบอกเล่ามี รูปภาพจำหลักตรงเสากลางและเสาทางทิศตะวันออก และมีภาษาขอมจารึกเอาไว้ด้วยที่เสากลาง ส่วนเสาที่ล้อมรอบไม่มีรูปภาพจำหลักอีก 3 เสาหลักหิน สภาพปัจจุบันเสาที่มีภาพจำหลักและภาษาขอมถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วขณะนี้ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใหน 2 หลัก เหลือเพียง 3 หลักเท่านั้น", "title": "ตำบลทุ่งมน (อำเภอปราสาท)" }, { "docid": "4249#20", "text": "ชุมนุมพระบรมราโชบาย 4 หมวด คือ หมวดวรรณคดี โบราณคดี ธรรมคดี และตำรา ตำนานเรื่อง พระแก้วมรกต เรื่องปฐมวงศ์ ทรงริเริ่มให้มีการค้นคว้าศิลาจารึกในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือ จารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงและจารึกหลักที่ 4 ของพระยาลิไทย", "title": "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "166945#0", "text": "จารึกวัดศรีชุม หรือ \"ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒\" เป็นศิลาจารึกภาษาไทยสมัยสุโขทัยที่สำคัญ ที่เล่าเรื่องราวการสถาปนากรุงสุโขทัย และ วีรกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์นำถุม โดยสันนิษฐานว่าผู้สร้างศิลาจารึกหลักนี้คือ พระมหาเถรศรีศรัทธา ผู้เป็นเชื้อสายของ พ่อขุนศรีนาวนำถุม ผู้สถาปนาแคว้นสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย", "title": "จารึกวัดศรีชุม" }, { "docid": "35773#8", "text": "ในสมัยสุโขทัย มีซากเมืองโบราณอีกหลายแห่งบนทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมย ทั้งในตัวเมืองแม่สอดและในเมียวดีฝั่งพม่า ที่ตำบลแม่ตื่นและตำบลสามหมื่นในอำเภอแม่ระมาด แต่ละแห่งที่พบนั้นสร้างขึ้นต่างยุคกัน บางแห่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย คำว่า เมืองฉอด ก็ปรากฏเป็นครั้งแรกในสมัยสุโขทัยเช่นกัน มีการกล่าวถึง เมืองฉอด ในศิลาจารึกหลายหลัก อาทิ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่หนึ่ง ศิลาจารึกวัดศรีชุม และศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงหลักที่ 1 และ 2 แต่ในปัจจุบันยังไม่สามารถพิสูจน์แน่นอนได้ว่า เมืองฉอดอยู่ที่ไหนในแอ่งที่ราบแม่สอด ยังจะต้องอาศัยการสำรวจเพิ่มเติม ที่ว่า เมืองฉอดคือแม่สอดนั้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น[3]", "title": "อำเภอแม่สอด" }, { "docid": "846596#22", "text": "ในคัมภีร์อุรังคธาตุฉบับหอสมุดแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ ทั้ง ๒ สำนวน ยืนยันว่าพระยาธาตุพระนมเป็นผู้ปักศิลาจารึกของเจ้าพระยาหลวงนครพิชิตราชธานีศรีโคตรบูรหลวง เจ้าเมืองนครพนม ไว้ในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารใกล้กับองค์พระธาตุพนม ศิลาจารึกหลักนี้ยังไม่ถูกทำลายและนับเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญของเมืองธาตุพนม บัญชีหรือทะเบียนวัตถุของกองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดทะเบียนให้เป็น นพ. ๑ จารึกวัดพระธาตุพนม ในหนังสือศิลาจารึกอีสานสมัยไทย-ลาว กำหนดทะเบียนเป็น จารึกวัดพระธาตุพนม ๒ ส่วนหนังสืออุรังคนิทานกำหนดทะเบียนเป็น ศิลาจารึกของเจ้าพระยานคร จารึกหลักดังกล่าวเรียกโดยทั่วไปว่า จารึกวัดพระธาตุพนม ๒ ด้านที่ ๑ จารึกด้วยอักษรลาวเดิมหรืออักษรลาวเก่า (ไทยน้อย) ภาษาลาว พุทธศักราช ๒๑๕๗ วัตถุที่ใช้จารึกเป็นหินทราย ลักษณะวัตถุรูปใบเสมา มีจารึกจำนวน ๑ ด้าน รวม ๑๘ บรรทัด ขนาดวัตถุจารึกกว้าง ๔๘ เซนติเมตร สูง ๖๓ เซนติเมตร ผู้โปรดให้สร้างจารึกคือเจ้าพระยานครหลวงพิชิตราชธานี ไม่ปรากฏหลักฐานผู้ค้นพบจารึก ไม่ปรากฏหลักฐานปีที่พบจารึก สถานที่พบคือห้องเก็บของภายในวิหารคด วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ปัจจุบันเก็บรักษาที่ห้องเก็บของภายในวิหารคด วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ได้เคยมีการพิมพ์เผยแพร่จารึกนี้อยู่ในเอกสารหลายฉบับ ได้แก่ หนังสือจดหมายเหตุการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม หนังสือศิลาจารึกอีสานสมัยไทย-ลาว และหนังสืออุรังคนิทาน เนื้อหาโดยสังเขปกล่าวถึงพระยานครหลวงพิชิตราชธานีพร้อมด้วยท้าวพระยาในท้องถิ่นได้บูรณะพระธาตุพนม และสร้างกำแพงแก้วล้อมรอบพระธาตุ รวมทั้งสร้างถาวรวัตถุอื่นๆ ด้วย ตอนท้ายจารึกได้สาปแช่งผู้ถือสิทธิ์ครอบครอง ทำลายทานวัตถุ อันได้แก่ ทาสโอกาส ที่ดิน ไร่นาของวัด ในครั้งนี้ได้บูรณะเรือนธาตุชั้นที่ ๑ และกล่าวถึงการตกแต่งด้วย ซึ่งน่าจะหมายถึงลวดลายจำหลักอิฐรอบเรือนธาตุ สำหรับการกำหนดอายุจารึกนั้นมีข้อความจารึกบรรทัดที่ ๑ ระบุ จ.ศ. ๙๗๖ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๕๗ อันเป็นสมัยที่พระวรวงศาธรรมิกราชปกครองราชอาณาจักรล้านช้าง (พ.ศ. ๒๑๔๑-๒๑๖๕) ภาพสำเนาจารึกได้จากภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๕ เลขทะเบียน CD; INS-TH-14, ไฟล์; Nph_0100_c ", "title": "พระยาธาตุพระนม" }, { "docid": "41587#16", "text": "โปรดให้จารึกเรื่องราวบางส่วนที่เกิดในสมัยของพระองค์ โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ทำให้คนไทยยุคหลังได้ทราบ และนักประวัติศาสตร์ได้ใช้ศิลาจารึกดังกล่าวเป็นข้อมูลหลักฐานในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวประวัติศาสตร์สุโขทัย", "title": "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" }, { "docid": "209494#6", "text": "ทั้งนี้ แนวคันดินที่ทำหน้าที่เบี่ยงเบนทิศทางของน้ำให้ไหลไปตามทิศที่ต้องการซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับทำนบพระร่วงนั้น ถูกพบได้โดยทั่วไปบนพื้นที่ลาดเอียงรอบ ๆ เมืองเก่าสุโขทัย โดยพบมากที่สุดที่บริเวณเชิงเขาด้านทิศตะวันตกจรดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง โดยที่ไม่ได้เรียกว่าทำนบพระร่วงแต่อย่างใด เฉพาะคันดินเป็นแนวเชื่อมระหว่างเขาพระบาทใหญ่กับเขากิ่วอ้ายนี้ที่มีชื่อเรียกกันมาว่า \"ทำนบพระร่วง\" เพราะอาจเป็นคันดินแนวที่ชัดเจนที่สุดและถูกรู้จักมาช้านานก็เป็นได้ ทั้งนี้ ทำนบพระร่วงแห่งนี้ นักวิชาการหลายท่านได้เรียกชื่อเป็น สรีดภงส์ ตามชื่อที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 (ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)", "title": "สรีดภงส์" }, { "docid": "587678#22", "text": "จารึกเนินสระบัว พบที่เนินสระบัว ในบริเวณเมืองพระรถ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ต่อมาได้ถูกเคลื่อนย้ายมาพิงไว้ที่โคนต้นโพธิ์ใหญ่ในวัดโพธิ์ศรีมหาโพธิ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เดิมนัก เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 นายชิน อยู่ดี หัวหน้าแผนกพิพิธภัณฑ์พระนคร กองโบราณคดี กรมศิลปากร ได้ออกสำรวจที่แหล่งโบราณคดีนี้ จึงได้พบจารึกหลักดังกล่าว และได้ทำสำเนาจารึกหลักนี้ไว้ ต่อมา ศ. ฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้อ่าน-แปลจารึกหลักนี้ แล้วนำไปตีพิมพ์ในหนังสือชุดประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 3 ในปี พ.ศ. 2506 และ นาวาอากาศเอก แย้ม ประพัฒน์ทอง ได้อ่านและแปลใหม่อีกครั้ง แล้วนำไปตีพิมพ์ในหนังสือชุดจารึกในประเทศไทย เล่ม 1 ในปี พ.ศ. 2529 ", "title": "เตลกฏาหคาถา" }, { "docid": "846596#23", "text": "ประวัติจารึกนี้กล่าวว่า ตามหนังสือกราบทูลของพระยาพนมนครานุรักษ์ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๖๓ กราบทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น ดูเหมือนว่าเพิ่งจะค้นพบและคัดลอกสำเนาส่งมา และในบัญชีสำรวจของกรมศิลปากร พิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ กล่าวว่า \"หินฝังที่บัลลังก์ของพระวิหารทิศตะวันออก จำนวน ๑๘ บรรทัด ภาษาไทย จ.ศ. ๙๗๖\" ตามหนังสือที่ ๒๕๙/๒๔๙๕ ของแผนกศึกษาธิการจังหวัดนครพนม แจ้งว่า \"ตามที่กรมศิลปากรให้ค้นหาศิลาจารึกที่พระธาตุพนมที่ประตูตะวันออกวิหารทิศใต้ มีจารึก ๖ แห่งๆ ละ ๑๔ บรรทัดนั้น ทางจังหวัดนครพนมหาไม่พบ แต่พบจารึกรายอื่นจึงคัดลอกส่งมา\" (จารึกบนแผ่นดินเผา ธาตุพนม ๓) ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงจารึกพระธาตุพนม ๒ แต่อย่างไรก็ตาม น่าเชื่อได้ว่าจารึกหลักนี้ยังคงอยู่มาจนถึงสมัยพระธาตุพนมล่มลงใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ดังปรากฏในจดหมายเหตุการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม พ.ศ. ๒๕๒๒ หน้า ๒๙ ว่า \"พระเจ้าเมืองนครพนมได้มาปฏิสังขรณ์วัดพระธาตุพนมเมื่อศักราช ๙๗๖ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๕๗ และได้ทำจารึกขึ้นแผ่นหนึ่ง กล่าวถึงถาวรวัตถุที่ได้บูรณะ ศิลาจารึกหลักนี้เดิมพบอยู่ที่ใต้ฐานหอพระแก้ว จึงขุดขึ้นมาประดิษฐานไว้ตรงมุมกำแพงแก้วด้านเหนือ ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ สร้างกำแพงแก้วใหม่ จึงย้ายมาที่เชิงปราสาทหอข้างพระด้านหน้าองค์พระธาตุพนม เมื่อองค์พระธาตุพนมล้มศิลาจารึกก็ถูกพังทับด้วย\" จารึกหลักนี้อ่านครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ และส่งมากรุงเทพมหานคร พร้อมกับสำเนาลายมือลงชื่อผู้อ่านว่า นายจารย์ ธรรมรังสี และ รองอำมาตย์ตรี วาศ สมิตยนตร์ ผู้จด ต่อมาพระเทพรัตนโมลี ได้ศึกษาและพิมพ์เผยแพร่ ครั้งแรกพิมพ์รวมอยู่ในหนังสืออุรังคนิทาน และพิมพ์อีกครั้งในหนังสือจดหมายเหตุการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม", "title": "พระยาธาตุพระนม" }, { "docid": "294754#0", "text": "ศิลาจารึกตรังกานู (มลายู: Batu Bersurat Terengganu) เป็นศิลาจารึกที่เก่าแก่ที่สุดที่จารึกด้วยอักษรยาวี เชื่อว่าจารึกเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1846 ศิลาจารึกหลักนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าศาสนาอิสลามได้เข้ามายังดินแดนแห่งนี้ก่อนปีพ.ศ. 1869 หรือ 1929", "title": "ศิลาจารึกตรังกานู" }, { "docid": "554881#6", "text": "ตามประวัติกล่าวว่า เจ้าหน้าที่แผนกศึกษาธิการจังหวัดนครพนมได้พบเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 เป็นศิลาจารึกรูปใบเสมา พบที่ประตูด้านทิศตะวันออกของวิหารทิศใต้ วัดพระธาตุพนม ตำบลธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีจารึก 2 แห่ง คือ ด้านหน้าและด้านหลัง พระพนมเจติยานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ได้คัดจำลองอักษรจารึกไว้เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 และศึกษาธิการจังหวัดนครพนมได้นำสำเนาอักษรจารึกที่คัดนั้น ส่งให้เจ้าหน้าที่กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2495 เมื่อเจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติได้อ่านแปลจารึกนี้แล้ว จึงทราบว่า ข้อความในสำเนาจารึกทั้ง 2 แผ่นนั้นไม่ต่อเนื่องกัน อีกทั้งจารึกขึ้นต่างยุคสมัยและต่างรูปแบบอักษรอีกด้วย ในระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2524 เจ้าหน้าที่งานบริการหนังสือภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้เดินทางไปสำรวจเอกสารโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงได้ทราบว่า ศิลาจารึกเจ้าครูศีลาภิรัตน์ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เดิมแล้ว ต่อมาในการสำรวจครั้งเดือนเมษายน 2529 ได้พบจารึกหลักนี้ที่กุฏิรองเจ้าอาวาส และจากการสำรวจและถ่ายภาพจารึกที่วัดพระธาตุพนม โดยคณะทำงานโครงการพัฒนาฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ได้พบจารึกหลักนี้อยู่ในศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตรบูร ด้วยสภาพจารึกถูกผนึกติดไว้ที่เสาทำให้สามารถเห็นอักษรจารึกได้เพียงด้านเดียวคือ ด้านที่ 2 เนื้อหาโดยสังเขปของจารึกด้านที่ 1 จารึกด้วยอักษรธรรมลาว (ธรรมอีสาน) เนื้อความในจารึกกล่าวถึงเจ้าครูศีลาภิรัตน์ พร้อมด้วยภิกษุ สามเณร และสัปบุรุษ ประดิษฐานพัทธสีมาไว้ในพระบวรพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. 2464 จารึกด้านที่ 2 จารึกด้วยอักษรลาวเก่าหรืออักษรลาวเดิม (ไทน้อย) เนื้อความในจารึกกล่าวถึงเจ้าพระยาจันทสุริยวงศา เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้สร้างพัทธสีมาไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. 2349 สันนิฐานว่าผู้สร้างจารึกนี้คือพระยาหลวงเมืองจันกับขุนโอกาส (เฉพาะด้านที่ 2) เกี่ยวกับการกำหนดอายุข้อความในจารึกทั้งสองด้านนั้นไม่ต่อเนื่องกัน อีกทั้งจารึกขึ้นต่างยุคสมัยกัน กล่าวคือ ข้อความจารึกด้านที่ 2 บรรทัดที่ 1 ระบุ จ.ศ. 168 เข้าใจว่ามีการละเลข 1 ตัวหน้า ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2349 อันเป็นสมัยที่ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์เป็นประเทศราชขึ้นกับสยาม โดยมีเจ้าอนุวงศ์เป็นกษัตริย์นครเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2346-2370) ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2325-2352) ส่วนข้อความจารึกด้านที่ 1 บรรทัดที่ 3 ได้ระบุ จ.ศ. 1283 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2464 อันเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2453-2468) \nบรรทัดที่ 1 สังกลาษไดรอย 608 ต", "title": "เจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร)" } ]
2803
แฮร์รี่ เจมส์ พอตเตอร์ เรียนที่ไหนในเรื่อง ?
[ { "docid": "10882#7", "text": "หลังจากที่แฮร์รี่รับรู้เรื่องดังกล่าว เขาจึงเริ่มศึกษาต่อที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ หมวกคัดสรรเลือกให้เขาไปอยู่ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ และเป็นเพื่อนกับรอน วีสลีย์และเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ในเวลาต่อมา เขาอยู่ประจำหอนอนเดียวกับรอน, เนวิลล์ ลองบัตท่อม, เชมัส ฟินนิกันและดีน โทมัส", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" } ]
[ { "docid": "494668#18", "text": "ฮอร์ครักซ์ () เป็นหนึ่งในวัตถุเวทมนตร์ในวรรณกรรมเยาวชนชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ โดย เจ. เค. โรวลิ่ง หนึ่งในวัตถุศาสตร์มืดที่ถูกสร้างมาเพื่อรักษาความเป็นอมตะของเจ้าของไว้ \nแนวคิดของฮอร์ครักซ์ ปรากฏครั้งแรกในตอน \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม\" \nและการแสวงหาและทำลายฮอร์ครักซ์ของโวลเดอมอร์ก็เป็นประเด็นหลักของเนื้อเรื่องในสองเล่มสุดท้ายของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้แก่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม\" และ\"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต\"", "title": "วัตถุเวทมนตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "156352#10", "text": "จินนี่ยังเป็นเชสเซอร์ของทีมกริฟฟินดอร์ โดยเธอยังสามารถเล่นตำแหน่งซีกเกอร์แทนแฮร์รี่ได้อีกด้วย ในภาค 5 จินนี่ได้เข้าร่วมกองทัพดัมเบิลดอร์และได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่กระทรวงเวทมนตร์ ในภาค 6 หนังสือได้บรรยายว่าจินนี่สวยขึ้นมากจนแฮร์รี่เริ่มสนใจเธอ เธอได้คบกับดีน โทมัสช่วงหนึ่งแต่ก็ได้เลิกรากันไป เธอได้คบกับแฮร์รี่ในที่สุด แต่ภายหลังการตายของดัมเบิลดอร์ แฮร์รี่ได้ตัดสินใจค้นหาฮอร์ครักซ์ที่เหลือเพื่อปราบโวลเดอมอร์ตามหน้าที่ที่ดัมเบิลดอร์มอบหมายให้ ทำให้เขาตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับจินนี่ในที่สุด จินนี่ได้กลับไปเรียนที่ฮอกวอตส์ในปีที่หกของเธอ ซึ่งฮอกวอตส์ได้ถูกควบคุมโดยผู้เสพความตายโดยสมบูรณ์ ทำให้เธอและเนวิลล์ได้เริ่มต้นตั้งกองทัพดัมเบิลดอร์ขึ้นอีกครั้งเพื่อฝึกสอนเวทมนตร์ในห้องต้องประสงค์ แฮร์รี่พบกับจินนี่อีกครั้งในสงครามฮอกวอตส์ จินนี่ได้เข้าร่วมการต่อสู้แม้อายุจะไม่ถึงเกณฑ์และเกือบถูกฆ่าตายโดยเบลาทริกซ์ เลสแตรงค์ แต่มอลลี่ แม่ของเธอได้เข้ามาช่วยและสังหารเบลาทริกซ์ได้ ภายหลังสงคราม จินนี่ได้เป็นนักควิดดิชอาชีพก่อนที่จะผันตัวเป็นคอลัมนิสของเดลี่พรอเฟ็ต หมวดกีฬา เธอแต่งงานกับแฮร์รี่และมีลูกด้วยกันสามคนคือ เจมส์ ซิเรียส พอตเตอร์,อัลบัส 'อัล' เซเวอร์รัส พอตเตอร์ และลิลี่ ลูน่า พอตเตอร์", "title": "กองทัพดัมเบิลดอร์" }, { "docid": "494668#9", "text": "เดิมเป็นของ อิกโนตัส เพฟเวอเรลล์ น้องคนสุดท้องของตระกูลเพฟเวอเรลล์ และถูกส่งไปเรื่อย ๆ แบบรุ่นต่อรุ่น จนถึงเจมส์ พอตเตอร์ ระหว่างนั้นก่อนวันที่เจมส์และลิลี่ พอตเตอร์ถูกสังหาร อัลบัส ดัมเบิลดอร์ได้ขอยืมผ้าคลุมล่องหนไปตรวจสอบ และเมื่อแฮร์รี่เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ ดัมเบิลดอร์จึงคืนผ้าคลุมล่องหนให้ ผ้าคลุมล่องหนอันนี้ไม่เหมือนผ้าคลุมล่องหนทั่วไป ตรงที่มันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถล่องหนได้อย่างแท้จริง ไม่มีวันเสื่อมสภาพหรือฉีกขาด และไม่มีคาถาใดใช้กับผ้านี้ได้ผล (อ้างอิงจากเล่ม 7 ตอนที่พวกแฮร์รี่ลักลอบเข้าไปในหมู่บ้านฮอกส์มี้ดแล้วคนพยายามจะใช้คาถาเรียกของกับผ้าคลุมแต่ไม่ได้ผล)", "title": "วัตถุเวทมนตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "10882#29", "text": "ในภาคที่ 7 แฮร์รี่ได้สัญญากับรอนว่าจะเลิกพบจินนี่เพื่อไม่ให้ความหวังแก่เธอ ซึ่งตลอดทั้งเล่ม แฮร์รี่ทำได้แค่เฝ้ามองดูเธอ แต่ในท้ายที่สุดหลังจากโค่นโวลเดอมอร์ลงได้ แฮร์รี่ก็ได้แต่งงานกับเธอ และ 19 ปีต่อมาทั้งสองก็มีลูกด้วยกันสามคนคือ เจมส์ ซีเรียส พอตเตอร์ อัลบัส เซเวอร์รัส พอตเตอร์ และ ลิลี่ ลูน่า พอตเตอร์ ดังนั้นกล่าวได้ในท้ายที่สุดว่าจินนี่เป็นนางเอกเรื่องนี้ (ในทางที่จริงแล้ว..แฮร์รี่ไม่ควรที่จะยุติความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจินนี่ เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนคิดว่าแฮร์รี่นั้นโหดร้ายและไม่ยอมสละเวลาเพื่อความรัก)", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "201011#4", "text": "เปล่งเสียง: อากัวเมนตี ผลของเวทมนตร์: พ่นลำน้ำออกจากไม้กายสิทธิ์ของผู้ร่ายคาถา ตัวอย่างการใช้: เห็นครั้งแรกในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี เมื่อเฟลอร์ดับไฟจากกระโปรงของเธอ, เอ่ยชื่อครั้งแรกในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม เมื่อแฮร์รี่เรียนคาถานี้โดยเฉพาะในชั้นเรียนของศาสตราจารย์ฟลิตวิก ภายหลังแฮร์รี่เสกคาถานี้เพื่อพยายามให้น้ำแก่ดัมเบิลดอร์ดื่มหลังกินยาของโวลเดอมอร์ จากนั้นเพื่อดับไฟกระท่อมของแฮกริดเมื่อถูกไฟไหม้ภายหลัง", "title": "รายชื่อคาถาในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "197283#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ () เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2002 กำกับโดย Chris Columbus และจัดจำหน่ายโย Warner Bros. Pictures ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ J. K. Rowling ซึ่งเคยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1998 เป็นภาคต่อของ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในชุดภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เป็นผลงานการเขียนบทของ Steve Kloves และอำนวยการสร้างโดย David Heyman เล่าเรื่องการผจญภัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในปีที่สองของการศึกษาในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ซึ่งทายาทของซัลลาซาร์ สลิธีริน ได้เปิดห้องแห่งความลับ และปลดปล่อยสัตว์ร้ายภายในออกมาทำให้ผู้คนในโรงเรียนกลายเป็นหิน นำแสดงโดย Daniel Radcliffe รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ Rupert Grint รับบทรอน วีสลีย์ และ Emma Watson รับบทเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ Richard Harris มารับบทเป็นศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ก่อนที่จะเสียชีวิตในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "176513#3", "text": "ต่อจากนั้นเขาก็มีผลงานภาพยนตร์เรื่อยๆ อย่างเรื่อง \"Sweet November\" (2001), \"Black Hawk Down\" (2001), \"Windtaklers\" (2002) และ \"The Tuxedo\" (2002) และเรื่อง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ\" (2002) \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน)\" (2004) \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี\" (2005) \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์\" (2007) ในบทลูเซียส มัลฟอย และยังร่วมแสดงกับ ฌอน คอนเนอรี่ ใน \"The League of Extraordinary Gentlemen\" และรับบทเป็น กัปตันฮุ๊ค/มิสเตอร์ดาร์ลิ่ง ใน \"Peter Pan\"", "title": "เจสัน ไอแซ็กส์" }, { "docid": "10882#0", "text": "แฮร์รี่ เจมส์ พอตเตอร์</b>เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 (วันเดือนเดียวกับผู้แต่ง เจ. เค. โรว์ลิ่ง ได้เขียนให้แฮร์รี่เกิดวันเดียวกันกับเธอแต่คนละปี) เป็นลูกชายคนเดียวของเจมส์ พอตเตอร์และลิลี่ พอตเตอร์ เป็นตัวละครเอกในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "195306#1", "text": "เนื้อเรื้องนั้นเกี่ยวกับการที่เจมส์ พอตเตอร์ และซิเรียส แบล็ก ต้องปะทะกับตำรวจมักเกิล ซึ่งเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1976 หรือ 4 ปีก่อนแฮร์รี่ พอตเตอร์จะเกิด", "title": "พรีเควลแฮร์รี่พอตเตอร์" }, { "docid": "940971#1", "text": "\"แฮร์รี่ พอตเตอร์: ฮอกวอตส์ มิสเตอรี\" เป็นเกมเล่นตามบทบาทจัดในจักรวาล\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\"ของเจ. เค. โรว์ลิง โดยเกมจะจัดในช่วงวันเกิดของแฮร์รี่ พอตเตอร์และบรรยากาศในฮอกวอตส์ ผู้เล่นสามารถสร้างและปรับแต่งอวตารของตนเองได้ โดยเป็นนักเรีนที่กำลังศึกษาอยู่ในฮอกวอตส์ พวกเขาสามารถเรียนวิชาเวทย์มนตร์, ร่ายคาถา, ต่อสู้กับศัตรู และร่วมภารกิจ ในระหว่างที่เล่นเกมอยู่นั้น ผู้เล่นสามารถกำหนดชะตาของตัวละคร ซึ่งจะมีผลต่อความสัมพันธ์ของตัวละคร (และบางครั้งตัวเลือกอาจจะถูกล็อกเนื่องจากสถิตถผู้เล่นยังมีไม่มากพอ) ผู้เล่นสามารถคุยกับบุคคลสำคัญเช่น อัลบัส ดัมเบิลดอร์, รูเบอัส แฮกริด, เซเวอร์รัส สเนป และมิเนอร์ว่า มักกอนนากัล", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์: ฮอกวอตส์มิสทะรี" }, { "docid": "125700#5", "text": "รีมัส ลูปินเป็นมนุษย์หมาป่าและอดีตอาจารย์สอนวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด ภายหลังเขาลาออกจากการสอนเนื่องจากมีคนรู้ว่าเขาเป็นมนุษย์หมาป่าและเกรงว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะเป็นห่วงลูกๆที่ต้องเรียนกับมนุษย์หมาป่า นอกจากนั้นยังเป็นเพื่อนรักกับพ่อแฮร์รี่ด้วย ลูปินปรากฏตัวครั้งแรกในภาคที่สามในฐานะครูคนใหม่ของโรงเรียนฮอกวอตส์ เขามีบทบาทในการปราบผู้คุมวิญญาณบนรถไฟที่เข้ามาตามหาซิเรียส แบล็ก เขาได้รับตำแหน่งครูสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดซึ่งมีวิทธีการสอนที่เป็นที่ชอบกันในหมู่นักเรียน นอกจากนั้นเขายังเป็นคนสอนคาถาผู้พิทักษ์ให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาเป็นเพื่อนสนิทของเจมส์ พอตเตอร์ พ่อของแฮร์รี่ เป็นมนุษย์หมาป่าตามฉายา จันทร์เจ้า ในแผนที่ตัวกวนที่เขาร่วมกันสร้างขึ้นกับเพื่อนๆ ", "title": "ภาคีนกฟีนิกซ์" }, { "docid": "20557#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ คือหนังสือเล่มที่สองของหนังสือชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ที่แต่งโดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง เป็นเรื่องของชีวิตของแฮร์รี่ในการเรียนปีที่สองในโรงเรียนฮอกวอตส์ ปีนี้มีข้อความลึกลับปรากฏขึ้นบนกำแพงทางเดิน เตือนว่า \"ห้องแห่งความลับ\" ถูกเปิดแล้ว และ \"ทายาทของสลิธีริน\" จะออกสังหารเด็กนักเรียนที่ไม่ได้มาจากครอบครัวสายเลือดเวทมนตร์ และมีเหตุประหลาดที่ทำให้คนในโรงเรียนหลายคนกลายเป็นหิน ตลอดปีนี้ทั้งแฮร์รี่ และเพื่อนของเขาได้แก่รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ต้องออกสอบสวนสาเหตุของเหตุร้ายในครั้งนี้", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ" }, { "docid": "21799#0", "text": "แดเนียล จาคอบ แรดคลิฟฟ์ (English: Daniel Jacob Radcliffe เกิดวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2532)[1] มีชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงในบท แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในภาพยนตร์ชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[798,818,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาเคยแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 10 ขวบในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ออกอากาศทางช่องบีบีซีวัน เมื่อปี พ.ศ. 2542 ตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่องพยัคฆ์สายลับซ่อนลาย เมื่อปี พ.ศ. 2544 เมื่ออายุ 11 ขวบ เขาได้รับเลือกเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์</i>เรื่องแรก และแสดงบทดังกล่าวเป็นเวลา 10 ปี จนภาพยนตร์เรื่องที่แปดออกฉายในปี พ.ศ. 2554", "title": "แดเนียล แรดคลิฟฟ์" }, { "docid": "4336#19", "text": "แฮร์รี่ได้ก่อตั้ง \"กองทัพดัมเบิลดอร์\" กลุ่มเรียนลับเพื่อสอนทักษะการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดระดับสูงที่เขาเคยเรียนมาแก่เพื่อนร่วมชั้นของเขา ภายหลังมีการเปิดเผยถึงคำพยากรณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับแฮร์รี่และโวลเดอมอร์[24] แฮร์รี่ค้นพบว่าเขากับโวลเดอมอร์สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ และทำให้แฮร์รี่ได้เห็นการกระทำบางอย่างของโวลเดอมอร์ผ่านทางกระแสจิต ในช่างท้ายของเรื่อง แฮร์รี่กับเพื่อนได้เผชิญหน้ากับผู้เสพความตายของโวลเดอมอร์ แม้การมาถึงทันเวลาของสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์จะช่วยชีวิตของเด็ก ๆ ได้ แต่ซิเรียส แบล็กก็ถูกสังหารไปในคราวเดียวกัน[23]", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "210465#2", "text": "ภาษาพาร์เซล (Parseltongue) เป็นภาษาหนึ่งในเรื่องแต่งชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ที่ได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกในหนังสือ\"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ\" ซึ่งเป็นภาษางู ตามท้องเรื่องเชื่อกันว่าภาษาพาร์เซลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ศาสตร์มืด (อัลบัส ดัมเบิลดอร์ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ปฏิเสธความเชื่อนี้) และผู้ที่มีความสามารถในการพูดภาษาพาร์เซล (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า \"Parselmouth\") ก็หาได้ยากมาก เท่าที่ปรากฏในเนื้อเรื่องจนถึงปัจจุบันพอจะอนุมานได้ว่าการพูดภาษาพาร์เซลนั้นไม่ใช่ความสามารถที่สามารถเรียนรู้กันได้ แต่น่าจะมาจากการสืบทอดสายเลือด หรือโดยใช้เวทมนตร์มืดบางอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นคนหนึ่งที่สามารถพูดภาษาพาร์เซลได้ มีข้อสังเกตหลายจุดในเรื่องแต่งชุดนี้ว่าความสามารถในการพูดภาษาพาร์เซลของแฮร์รี่เป็นผลพวงจากการที่ลอร์ดโวลเดอมอร์\nพยายามฆ่าเขาตอนที่ยังเป็นทารกอย่างไม่ได้ตั้งใจ", "title": "เวทมนตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "125700#3", "text": "ซิเรียสเป็นคนรักสนุก ใจร้อน และวู่วามตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น ทำให้เขาเข้ากันกับเจมส์ พอตเตอร์ได้ดี เพราะมีนิสัยชอบแกล้งคนเหมือนกัน และถ้ามีโอกาสเขามักจะสาป เซเวอร์รัส สเนป ศัตรูอันดับหนึ่งของเขาอยู่เสมอ ทำให้สเนปแค้นใจมากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อแฮร์รี่เข้ามาเรียนในฮอกวอร์ตจึงถูกสเนปซึ่งเคียดแค้นซีเรียสและพ่อของเขากลั่นแกล้งและหาเรื่องจับผิดอยู่เสมอ ซิเรียส แบล็กเป็น แอนนิเมจัส ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมายร่วมกับเพื่อนของเขาสองคน คือ เจมส์ พอตเตอร์ และ ปีเตอร์ เพติกรูว์ ซึ่งซิเรียสสามารถแปลงร่างเป็นสุนัขตัวใหญ่สีดำ ฉายาว่า เท้าปุย ซิเรียส แบล็กหนีออกจากบ้านเมื่ออายุสิบห้าปี และถูกตัดออกจากตระกูล ได้มีการกล่าวถึงซิเรียส แบล็กครั้งแรกในภาค \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษอาซคาบัน\" เขาเป็นเพื่อนสนิทของเจมส์ พอตเตอร์ และเป็นพ่อทูนหัวของแฮร์รี่ ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกรฆ่าเพื่อนของตัวเอง และทรยศบอกที่ซ่อนของครอบครัวพอตเตอร์แก่โวลเดอมอร์ ทำให้ติดคุกอัซคาบัน แต่แหกคุกได้สำเร็จ แฮร์รี่ได้รู้ความจริงและช่วยให้ซิเรียสหนีไปได้ เขาได้ให้สถานที่คือบ้านเลขที่ 12 กริมโมลด์เพลสของตระกูลแบล็กเป็นกองบัญชาการของภาคี ซิเรียส แบล็กได้ไปช่วยเหลือแฮร์รี่ ภายหลังที่เขาถูกโวลเดอมอร์หลอกล่อให้มาที่กระทรวงเวทมตร์ แต่ซิเรียสได้ถูกเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เป็นผู้เสพความตายฆ่าตาย", "title": "ภาคีนกฟีนิกซ์" }, { "docid": "107228#6", "text": "ปีการศึกษาที่ห้าเริ่มต้นด้วยการประกาศข่าวโดยดัมเบิลดอร์ว่าอาจารย์ป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่คือ โดโรเลส อัมบริดจ์ แฮกริดไม่อยู่ที่โรงเรียน เมื่อพวกแฮร์รี่ มีช่วงเรียน กับอัมบริดจ์ เธอไม่ยอมให้ใครเรียนเกี่ยวกับการป้องกันตัวแบบปฏิบัติ แต่ให้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการป้องกันตัวแทน นักเรียนหลายคนประท้วงเรื่องนี้ จนแฮร์รี่พูดออกมาว่าโวลเดอมอร์กลับมา อัมบริดจ์ลงโทษกักบริเวณแฮร์รี่และให้คัดลายมือกับเธอในออฟฟิศ หลังจากที่แฮร์รี่กลับเข้ามาในห้องรวมกริฟฟินดอร์ เฮอร์ไมโอนี่ห็นรอยแดงบนมือของแฮร์รี่ ซึ่งเกิดจากปากกาขนนกที่เขียนด้วยเลือดแทนหมึก พวกแฮร์รี่ทนไม่ไหวที่แต่ละวันไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการป้องกันตัวแบบจริงๆ เฮอร์ไมโอนี่วางแผนทั้งหมดให้แฮร์รี่เป็นหัวหน้าของทีม และมีคนหลายคนที่มาเข้าร่วมโดยทำการลับๆใน ห้องต้องประสงค์ภายใต้ชื่อทีมว่า กองทัพ ดัมเบิลดอร์ พวกเขาเรียนการป้องกันตัวจริงๆในห้องนั้น เรียนคาถาเดียวกับที่แฮร์รี่ทำได้ เช่น คาถาเสกผู้พิทักษ์ และเรียนจากหนังสือที่เฮอร์ไมโอนี่ได้มาจากห้องสมุด ไม่นานหลังจากที่ อัมบริดจ์ตั้งกฎมากมายเพื่อต่อต้านโรงเรียน เธอเองได้รับแต่งตั้งให้เป็นคนตรวจการเรียนการสอนของอาจารย์แต่ละคน หลังจากที่ประมวลผลออกมาแล้ว ซีบิล ทรีลอว์นีย์ ถูกไล่ออก แต่ดัมเบิลดอร์ออกมาช่วยเหลือ อัมบริดจ์รู้แผนการของแฮร์รี่จึงออกกฎห้ามการรวมกลุ่มโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ว่าเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม และเธอก็จัดกลุ่มของเธอเพื่อคอยตรวจสอบความประพฤติของนักเรียนแทนเธอ รวมทั้งคอยจับตาดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ กลุ่มนักเรียนของเธอรวมไปถึง แครบ กอยล์ และ เดรโก มัลฟอย ซึ่งคอยจับตาดูและพยายามจะเข้าไปในห้องต้องประสงค์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์" }, { "docid": "70215#0", "text": "เจมส์ พอตเตอร์ และ ลิลี่ (เอฟเวนส์) พอตเตอร์ เป็นตัวละครในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยทั้งสองคนนี้เป็นพ่อและแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วของแฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "เจมส์ และ ลิลี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "494668#14", "text": "แผนที่ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ใครขยับไปทางไหนหรืออะไรอยู่ที่ไหนในฮอกวอตส์ แฮร์รี่ได้มาจากสองพี่น้องเฟร็ดและจอร์จ วีสลีย์ซึ่งขโมยมาจากห้องทำงานของฟิลช์ ถูกสร้างขึ้นโดย จันทร์เจ้า เขาแหลม เท้าปุย และ หางหนอน เพื่อช่วยในการกลายร่างมนุษย์หมาป่าของรีมัส ลูปิน ในสมัยที่พ่อของแฮร์รี่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนฮอกวอตส์ ในรูปปกติจะอยู่ในรูปกระดาษเปล่า ถ้าต้องการดูให้ใช้ไม้กายสิทธฺ์แล้วพูดว่า \"ข้าขอสาบานอย่างจริงจังว่าข้า นั้นหาความดีมิได้\" และเมื่อใช้เสร็จจะต้องซ่อนแผนที่โดยการใช้ไม้กายสิทธ์แตะที่แผนที่แล้วพูด ว่า \"แผนลวงสำเร็จแล้ว\" ในแฮรี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งคุกอัซคาบัน แฮร์รี่ได้เจอชื่อของปีเตอร์ เพ็ตติกกรูว์ ซึ่งเชื่อว่าตายไปแล้วบนแผนที่นี้ ต่อมา ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี แฮร์รี่ได้เจอชื่อของบาร์ทีเมียส เคร้าช์ เจ้าหน้าที่กระทรวงเวทมนตร์ซึ่งเป็นคณะกรรมการในการประลองไตรภาคีกำลังพยายามเข้าไปค้นห้องคุกใต้ดินของสเนป (แท้จริงแล้วเป็นลูกชายของบาร์ทีเมียส เคร้าช์ซึ่งมีชื่อเหมือนกัน รู้จักกันทั่วไปด้วยชื่อ บาร์ทีเมียส เคร้าช์ จูเนียร์) แล้วแฮร์รี่ก็ตามไปดูด้วยผ้าคลุมล่องหน เกือบถูกสเนปจับ โชคดีที่อลาสเตอร์มู้ดดีช่วยไว้ได้ และเขาก็ประทับใจแผนที่ตัวกวน จึงขอยืมใช้จากแฮร์รี่มา", "title": "วัตถุเวทมนตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "201011#14", "text": "ผลของเวทมนตร์: คาถาส่งของ ตรงข้ามกับ \"แอ๊กซิโอ\" เสกไล่วัตถุไป ตัวอย่างการใช้: พบในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี โดยเฮอร์ไมโอนี่เสกเบาะส่งไปในชั้นเรียนคาถา แฮร์รี่ยังประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในการเสกเบาะส่งไปในชั้นเรียนนั้นเช่นกัน", "title": "รายชื่อคาถาในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "137619#14", "text": "การถ่ายทำฉากสำคัญ<!--Principal photography-->ให้ภาพยนตร์<i data-parsoid='{\"dsr\":[25458,25478,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์</i>เรื่องที่หก เริ่มขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2550 โดยในส่วนของวอตสัน ถ่ายทำตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม ถึง 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2551[59][60] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม ฉายรอบปฐมฤกษ์ในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552[61] เลื่อนจากเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551[62] เนื่องจากนักแสดงหลายคนเป็นวัยรุ่นตอนปลาย นักวิจารณ์วิจารณ์พวกเขาในระดับเดียวกับนักแสดงคนอื่น ๆ ในเรื่อง โดยหนังสือพิมพ์<i data-parsoid='{\"dsr\":[26763,26783,2,2]}'>ลอสแอนเจลิสไทมส์</i>บรรยายเป็น \"การแนะนำสู่การแสดงแบบทันสมัย\"[63] หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์รู้สึกว่าวอตสัน \"แสดงได้มีเสน่ห์ที่สุดจนถึงทุกวันนี้\"[64] ขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะเดลีเทลิกราฟบรรยายถึงนักแสดงนำว่า \"กระตือรือต้น อิสระ และมีพลังที่จะแสดงสิ่งที่พวกเขามีให้กับส่วนที่เหลือของเรื่อง\"[65] ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 วอตสันกล่าวว่าเธออยากเรียนระดับมหาวิทยาลัยหลังเธอถ่ายทำภาพยนตร์ชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[28041,28061,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์</i>จบทั้งหมด[66]", "title": "เอ็มมา วอตสัน" }, { "docid": "96754#0", "text": "เซเวอรัส สเนป (Severus Snape) เป็นตัวละครในหนังสือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นอาจารย์วิชาสอนปรุงยาในเล่ม 1-5 และเป็นอาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม สเนปเคยเป็นพวกของ ลอร์ดโวลเดอมอร์ แต่ได้หนีออกมาจากการเป็นผู้เสพความตาย และมาอยู่กับ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มด ฮอกวอตต์ และหัวหน้ากลุ่มภาคีนกฟีนิกซ์ ใน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมสเนปได้สังหารอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ใน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต สเนปได้บอกกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ว่า เขารักลิลลี่แม่ของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาก และที่ได้ฆ่า อัลบัส ดัมเบิลดอร์ไปเพราะ ดัมเบิลดอร์เป็นคนขอร้อง และสเนปโดนลอร์ดโวลเดอมอร์ฆ่าในที่สุด", "title": "เซเวอร์รัส สเนป" }, { "docid": "222054#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1 () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี-ผจญภัยภาคต่อที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของเจ. เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนที่ 7 ในชื่อ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่เนื่องจากในภาคสุดท้ายนั้นมีรายละเอียดมากและทางผู้สร้างต้องการให้หนังจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ จึงแบ่งออกเป็น 2 ตอนคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตตอนที่ 1 และตอนที่ 2 สำหรับตอนที่ 1 เริ่มถ่ายทำเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และจะเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ตอนที่ 2 จะเข้าฉายในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ภาพยนตร์มีนักแสดงนำได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ รูเพิร์ท กรินท์ และเอ็มม่า วัตสัน กำกับการแสดงโดย เดวิด เยตส์ เขียนบทโดยสตีฟ โคลฟ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน และเดวิด แบร์รอน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1" }, { "docid": "10882#17", "text": "แฮร์รี่เมื่อได้ความทรงจำมาเขานำไปที่เพนซิฟเพื่อดูความทรงจำและพบว่าสเนปเป็นคนดีที่คอยช่วยเหลือแฮร์รี่ตลอดและยังเป็นสายลับของดัมเบิลดอร์อีกด้วย แฮร์รี่ไปที่ป่าต้องห้ามเขาสามารถเปิดลูกสนิชซึ่งซ่อนหินชุบชีวิตหนึ่งในเครื่องรางยมทูตได้และพบกับพ่อแม่ของเขา โวลเดอมอร์พบตัวแฮร์รี่และเสกคำสาปพิฆาตใส่แฮร์รี่ แฮร์รี่อยู่ที่อีกโลกหนึ่งระหว่างความเป็นกับความตายเขาพบกับดัมเบิลดอร์ซึ่งอธิบายว่าฮอร์ครักซ์อีกชิ้นคือตัวแฮร์รี่ซึ่งเป็นฮอร์ครักซ์ที่โวลเดอมอร์ไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างขึ้นและตอนนี้ถูกทำลายแล้ว ดัมเบิลดอร์เล่าเรื่องต่างๆอีกมากมายรวมทั้งเรื่องไม้เอลเดอร์ในตอนท้ายดัมเบิลดอร์ให้แฮร์รี่เลือกว่าจะไปต่อหรือกลับไปในโลกของความจริง แฮร์รี่เลือกที่จะกลับไป เขาฟื้นขึ้นมาแต่แกล้งตายเพื่อหลอกโวลเดอมอร์ ทางโวลเดอมอร์เองคิดว่าแฮร์รี่ตายแล้วและประกาศไปทั่วฮอกวอตส์ ทางฝ่ายฮอกวอตส์เองขอสู้เพื่อแฮร์รี่สงครามจึงเกิดขึ้นเมื่อกองทัพของฮอกวอตส์ประทะกับผู้เสพความตาย ยักษ์ปะทะกัน เอลฟ์สู้สงครามกับผู้เสพความตาย สัตว์อื่นทะลวงกองทัพผู้เสพความตาย ต่างฆ่าฟันกันมากมาย จนกระทั่งเนวิลล์ชักดาบกริฟฟินดอร์ที่เชื่อมต่อกับหมวกคัดสรรออกมาและกริ๊บฮุกก็พบคราวหลังว่าดาบหายไป เนวิลล์ใช้ดาบตัดคองูของโวลเดอมอร์ซึ่งเป็นฮอร์ครักซ์และฮอร์ครักซ์ทุกชิ้นถูกทำลายหมดสิ้น แฮร์รี่จึงลุกขึ้นและสู้กับโวลเดอมอร์ ในการต้านคาถากันแฮร์รี่ต้านคำสาปพิฆาตของโวลเดอมอร์ทำให้คำสาปย้อนไปโดนโวลเดอมอร์ โวลเดอมอร์ตายในที่สุดและแฮร์รี่เองก็ได้เป็นเจ้าของไม้เอลเดอร์ที่แท้จริงแต่เขาทิ้งมันไว้ในห้องทำงานดัมเบิลดอร์เพื่อไม่ให้ผู้ใดครอบครองมันอีก สิบเก้าปีต่อมาแฮร์รี่มาส่งลูกๆที่สถานีรถไฟเขาแต่งงานกับจินนี่มีลูกด้วยกันสามคนคือ เจมส์ ซิเรียส,อัลบัส เซเวอรัส และ ลิลี่ ลูน่า พอตเตอร์ ทุกอย่างจบลงด้วยดี", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร)" }, { "docid": "231183#35", "text": "วิลเลี่ยมส์ได้กลับมาร่วมงานกับโคลัมบัสอีกครั้ง ในปี ค.ศ.2001 ในผลงานภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Sorcerer's Stone) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายอังกฤษชื่อดังที่ประพันธ์โดย เจ.เค. โรว์ลิง (J.K. Rowling) วิลเลี่ยมส์ทำดนตรีในภาคต่ออีกสองภาค คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ (Harry Potter and the Chamber of Secrets) ใน ค.ศ.2002 กับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (Harry Potter and the Prisoner of Azkaban) ใน ค.ศ.2004 ในปี ค.ศ.2005 วิลเลี่ยมส์จำเป็นต้องปฏิเสธที่จะทำดนตรีประกอบให้กับภาคต่อของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เนื่องจากวิลเลี่ยมส์ กำลังทำดนตรีประกอบให้กับหนังเรื่องอื่นอยู่ ซึ่งในปีนั้นเอง วิลเลี่ยมส์มีงานทำดนตรีให้กับภาพยนตร์ถึง 4 เรื่อง (ขณะนั้นวิลเลี่ยมส์อายุ 73 ปี) ตั้งแต่ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคที่ 4 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี (Harry Potter and the Goblet of Fire) เป็นต้นมา จนถึงภาคสุดท้ายในปี ค.ศ.2011 วิลเลี่ยมส์ก็ไม่ได้กลับมาทำดนตรีประกอบให้อีกเลย แต่เพลง Hedwig's theme ที่วิลเลี่ยมส์ประพันธ์ขึ้น ก็ได้ถูกใช้เป็นเพลงธีมหลักในทุกภาคของแฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "จอห์น วิลเลียมส์" }, { "docid": "91329#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต () เป็นนวนิยายแนวแฟนตาซี เขียนโดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิ่ง เป็นหนังสือเล่มที่เจ็ดและเป็นเล่มสุดท้ายในนวนิยายชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 เป็นการปิดฉากชุดนวนิยายซึ่งเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1997 จากการตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" ในประเทศอังกฤษตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บลูมสบิวรี่ ประเทศอเมริกาตีพิมพ์โดยสกอลาสติก และในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ (ออกจำหน่ายวันที่ 7 ธันวาคมพ.ศ. 2550) ดำเนินเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม\" ไปจนถึงการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างสองพ่อมด แฮร์รี่ พอตเตอร์ และลอร์ดโวลเดอมอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต" }, { "docid": "4336#20", "text": "โวลเดอมอร์เริ่มทำสงครามอย่างเปิดเผยในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม แม้แฮร์รี่กับเพื่อนจะค่อนข้างได้รับการคุ้มครองจากภัยอันตรายเป็นอย่างดีที่ฮอกวอตส์ แต่พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในช่วงวัยรุ่นหลายอย่าง แฮร์รี่เริ่มต้นออกเดทกับจินนี่ วีสลีย์ รอนเองก็หลงใหลในตัวลาเวนเดอร์ บราวน์ เพื่อนสาวของเขาอย่างรุนแรง ส่วนเฮอร์ไมโอนีก็เริ่มที่จะรู้ตัวว่าเธอนั้นรักรอน ในช่วงต้นของนิยายแฮร์รี่ได้รับหนังสือเรียนปรุงยาเล่มเก่าซึ่งเต็มไปด้วยความเห็นประกอบและข้อแนะนำที่เขียนโดยนักเขียนลึกลับชื่อ เจ้าชายเลือดผสม แฮร์รี่ยังได้เรียนพิเศษเป็นการส่วนตัวกับดัมเบิลดอร์ ที่ได้แสดงให้เขาเห็นความทรงจำทั้งหลายเกี่ยวกับชีวิตช่วงต้นของโวลเดอมอร์ผ่านเพนซิฟ พร้อมแสดงให้เห็นว่าวิญญาณของโวลเดอมอร์ได้ถูกแยกไปอยู่ในฮอร์ครักซ์หลายชิ้น ซึ่งเป็นวัตถุวิเศษชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ยังที่ต่าง ๆ [25] ในช่วงท้ายของของเรื่อง เดรโก มัลฟอย คู่ปรับของแฮร์รี่ พยายามโจมตีดัมเบิลดอร์ และหนังสือจบลงด้วยการสังหารดัมเบิลดอร์โดยศาสตราจารย์สเนป ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อเจ้าชายเลือดผสม", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "197263#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2001 กำกับโดย คริส โคลัมบัส และจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอส์ เนื้อเรื่องยึดจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเจ. เค. โรว์ลิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคแรกในภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เขียนเรื่องโดยสตีฟ โคลฟส์ และผลิตโดยเดวิด เฮย์แมน เนื้อเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเรียนปีแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ฮอกวอตส์ ที่เขาพบว่าเขาเป็นพ่อมดที่มีชื่อเสียงและเริ่มศึกษาวิชาเวทมนตร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "494668#17", "text": "ในเล่มที่เจ็ด แฮร์รี่ยังคงใช้แผนที่ตัวกวนอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่เซเวอรัส สเนปได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่คนใหม่ของฮอกวอตส์ แฮร์รี่ได้พบเห็นชื่อของสเนปอยู่ในห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่ตลอดเวลา หลังสงครามฮอกวอตส์ได้จบลง แฮร์รี่ได้เก็บแผนที่ตัวกวนนี้เป็นสมบัติประจำส่วนตัวเพื่อระลึกความคิดถึงผู้ที่สร้างมันขึ้นมา แต่ต่อมา เจมส์ ซิเรียส พอตเตอร์ ลูกชายคนโตของแฮร์รี่ ก็มาหยิบออกไปจนได้", "title": "วัตถุเวทมนตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "57587#9", "text": "จนกระทั่งเกิดคำทำนายเรื่องผู้มีอำนาจที่จะปราบโวลเดอมอร์ เขาหวาดกลัวมากและพยายามที่จะกำจัดคนผู้นั้น โดยตามเนื้อหาของคำทำนายนั้น เขาคาดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเนวิลล์ ลองบัตท่อม โวลเดอมอร์เลือกแฮร์รี่ พอตเตอร์ และมาสังหารครอบครัวพอตเตอร์ทั้งหมด แต่โวลเดอมอร์สังหารแฮร์รี่ไม่สำเร็จเพราะความรักของลิลี่ และเจมส์ พอตเตอร์ได้ปกป้องแฮร์รี่เอาไว้ และทำให้ร่างกายของโวลเดอมอร์ทนทานไม่ไหวจึงสลายไปในคืนนั้น จนเหลือแต่เพียงวิญญาณ", "title": "ลอร์ดโวลเดอมอร์" } ]
934
มุสลิมใช้เรียกใคร ?
[ { "docid": "16796#0", "text": "มุสลิม (Arabic: مُسلِم‎) เป็นบุคคลที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยมีคำภีร์อัลกุรอานเป็นคำภีร์ของศาสนานี้ และเชื่อมั่นว่าอัลลอฮ์ได้ส่งญิบรีลเพื่อให้มุฮัมหมัดเป็นศาสดาคนสุดท้ายของศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ปฏิบัติตามการกระทำของมุฮัมหมัด (ซุนนะฮ์) ตามที่มีการจดบันทึกในรายงานต่างๆ (ฮะดีษ)[26] \"มุสลิม\" เป็นคำศัพท์ภาษาอาหรับหมายถึง \"ผู้เคารพ\" (ต่อพระเจ้า)[27]", "title": "มุสลิม" } ]
[ { "docid": "94825#0", "text": "ชาวหุย (จีน:回族;พินอิน:Huízú, อาหรับ:هوي) เป็นมุสลิมกลุ่มหนึ่งในประเทศจีน มีประชากร 9.82 ล้านคน มีประชากรเพียงหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมดในเขตปกครองตนเองหุยหนิงเซี่ย ชาวหุยก็คือชาวจีนที่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวหุยส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ทุรกันดารทางตอนใต้ของเขตปกครองตนเอง ถึงแม้ว่าชาวหุยจะเป็นมุสลิม นับถืออิสลาม แต่ในปัจจุบันการแยกความแตกต่างของชาวหุยกับชาวจีนฮั่นโดยใช้ศาสนาค่อนข้างจะยากอยู่ ชาวหุยที่เป็นผู้ชายจะสวมหมวกสีขาว ส่วนผู้หญิงชาวหุยบางคนในปัจจุบันยังคงใส่ม่านบังหน้า ชาวหุยหลายคนที่ไม่คิดว่าคำว่า \"เมกกะ\" มีความสำคัญแต่อย่างใด แต่ในประเทศไทยชาวจีนที่นับถืออิสลาม จะเรียกว่า \"\"จีนฮ่อ\"\" ในพม่าจะเรียกว่า \"\"ปันทาย\"\" (Panthay) และชาวจีนมุสลิมที่อยู่ในเอเชียกลางจะถูกเรียกว่า \"\"ดันกัน\"\" (Dungans;дунгане) ", "title": "หุย" }, { "docid": "685463#2", "text": "อูนุ นายกรัฐมนตรีหลังจากพม่าได้รับเอกราช ได้เรียกร้องให้สภามุสลิมพม่าออกจากการเป็นสมาชิกสันนิบาต ประธานคนใหม่ของสภามุสลิมพม่าคืออูขิ่นหม่องลัตตัดสินใจยุติกิจกรรมทางศาสนาอิสลามของสภาและเข้าร่วมกับสันนิบาตอีก ต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและไม่ได้เป็นตัวแทนชุมชนมุสลิมในพม่า อูนุได้ประกาศให้ศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติ และควบคุมการฆ่าวัวของชาวมุสลิม โดยผ่อนปรนให้ในเทศกาลอีดิลอัดฮา แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของตำรวจ เจ้าหน้าที่มัสยิดที่มาสามารถควบคุมการฆ่าวัวได้จะถูกจับกุมและลงโทษ รัฐบาลของอูนุควบคุมการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ของมุสลิมมากกว่าการเดินทางไปเนปาลหรือศรีลังกาของชาวพุทธ อย่างไรก็ตาม สภามุสลิมพม่าถูกขอให้สลายตัวใน พ.ศ. 2498 ต่อมา อูนุได้ขับสภามุสลิมพม่าออกจากสันนิบาตเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2499", "title": "สภามุสลิมพม่า" }, { "docid": "588621#2", "text": "ต่อมาจินนาห์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสันนิบาตเมื่อ พ.ศ. 2477 ได้พยายามรณรงค์ให้สันนิบาตมุสลิมเป็นตัวแทนของมุสลิมทั้งประเทศแต่ได้รับการเลือกตั้งไม่เพียงพอที่จะเข้าร่วมรัฐบาล เยาวหราล เนรูห์ ประธานคองเกรสไม่รับสันนิบาตมุสลิมเข้าร่วมรัฐบาล โดยกล่าวว่าคองเกรสมีตัวแทนมุสลิมอยู่แล้ว สันนิบาตจึงได้ดำเนินการเรียกร้องให้จัดตั้งปากีสถานอย่างจริงจังโดยออกเป็นมติพรรคใน พ.ศ. 2483 เรียกว่ามติลาฮอร์หรือมติปากีสถาน แม้ว่าผู้นำคองเกรสรวมทั้งมหาตมะ คานธี จะคัดค้านการแยกปากีสถานแต่เมื่อเห็นว่าการคัดค้านจะทำให้นองเลือดเกิดขึ้นจึงยกเลิกการคัดค้าน ปากีสถานจึงได้เป็นประเทศเอกราช จินนาห์ได้เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศแต่เขาเสียชีวิตด้วยมะเร็งปอดใน พ.ศ. 2491", "title": "สันนิบาตมุสลิมแห่งอินเดีย" }, { "docid": "362520#1", "text": "กลุ่มชาติพันธุ์ที่คนไทยเรียกกันว่า \"แขก\" คาดว่าหมายถึงชาวมุสลิมโดยรวม ทั้งนี้พ่อค้าชาวมุสลิมในคาบสมุทรเปอร์เซียที่เข้ามาค้าขายในแหลมมลายู (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาด้วย ภายหลังคนพื้นเมืองจึงได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ส่วนในประเทศไทยนี้พบหลักฐานว่าคนไทยได้ติดต่อสัมผัสกับชาวมุสลิมตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัย และช่วงกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา โดยชาวมุสลิมบางคนนั้น เป็นถึงขุนนางในราชสำนัก ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีชาวมุสลิมอพยพมาจากมลายูและเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมอินเดียที่เข้ามาตั้งรกราก รวมถึงชาวมุสลิมยูนนานที่หนีภัยการเบียดเบียนศาสนาหลังการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน", "title": "ศาสนาอิสลามในประเทศไทย" }, { "docid": "16796#1", "text": "ผู้นับถือศาสนาอิสลาม หากเป็นบุรุษจะเรียกว่า มุสลิม หรือเป็นสตรีจะเรียกว่า มุสลิมะฮ์ หรือเรียกโดยรวมว่า อิสลามิกชน คำว่า \"มุสลิม\" เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาอาหรับ مسلم แปลว่า ผู้ศิโรราบ ผู้ภักดี มนุษย์ทุกคนสามารถเป็นมุสลิมได้โดยการปฏิญาณตน มุสลิมนั้นไม่จำกัดเผ่าพันธุ์ อายุ เพศ และวรรณะ ผู้ที่เป็นมุสลิมจะต้องปฏิบัติตามศาสนวินัยต่าง ๆ ของอิสลาม (ทั้งวาญิบ และฮะรอม)", "title": "มุสลิม" }, { "docid": "106105#2", "text": "ชาวจีนฮ่อประมาณ 1 ใน 3 จะนับถือศาสนาอิสลาม ใช้ภาษาจีนกลาง นอกนั้นจะนับถือบูชาบรรพบุรุษ และถูกกลืนไปในวัฒนธรรมล้านนา โดยผู้ที่เป็นมุสลิมจะถูกเรียกว่า ผ่าสี่ แต่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมจะเรียกว่า ผ่าห้า สันนิษฐานได้ว่าคำว่าผ่าสี่อาจจะมาจากภาษาไทใหญ่ มีความหมายว่า เปอร์เซีย", "title": "ฮ่อ" }, { "docid": "294896#0", "text": "แกงมัสมั่น เป็นอาหารประเภทแกงที่ได้รับจากประเทศฝรั่งเศสซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอาหารมลายู ชาวไทย[อิสลาม]เรียกแกงชนิดนี้ว่าซาหมอบหมั่น\" แกงมัสมั่นแบบมุสลิมไทยออกรสหวานจนขึ้นเบาหวานเลยทีเดียวแหละในขณะที่ตำรับดั้งเดิมของชาวมุสลิมออกรสเค็มกัญชงคืออะไร กัญชงคืออะไรมันในไทยมีวิธีการทำสองแบบคือ แบบไทย น้ำพริกแกงมี พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ลูกผักชี ยี่หร่า ดอกจันทน์ กานพลู ปรุงรสให้หวานนำ เค็มและอมเปรี้ยว เป็นแกงมีน้ำมากเพื่อรับประทานกับข้าว อีกแบบเป็นแบบมุสลิม น้ำขลุกขลิก ใช้จิ้มขนมปังหรือโรตี ในน้ำพริกแกงไม่ใส่ข่า ตะไคร้ ส่วนผสมที่เป็นพริกแห้ง หอม กระเทียม ถั่วลิสงจะทอดก่อน ใส่ผงลูกผักชี ยี่หร่า ใส่มันฝรั่ง บางสูตรใส่มะเขือยาว ก่อนจะมีมันฝรั่งมาปลูกแพร่หลายในไทย จะนิยมใส่มันเทศ สันนิษฐานว่าคำว่า \"มัสมั่น\" มาจากภาษาเปอร์เซียคำว่า مسلمان (มุสลิมมาน) ซึ่งหมายถึง ชาวมุสลิมในรูปพหูพจน์", "title": "แกงมัสมั่น" }, { "docid": "239645#4", "text": "ช่องธนูมักจะใช้ในเชิงเทินของอิตาลีที่มักจะสร้างใบสอที่สูงพร้องกับที่คลุมตอนบน สถาปนิกของสิ่งก่อสร้างที่ใช้ในการยุทธการของอิตาลีออกแบบเชิงเทินที่เรียกว่า “เชิงเทินเกล์พและกิเบลลิเน” หรือ “เชิงเทินสวอลโลว์เทล” ที่เป็นปมรูปตัววีเหนือใบสอ ที่ดูคล้ายแตร ถ้าเป็นใบสอสี่เหลี่ยมธรรมดาก็เรียกว่า “เกล์พ” ใบสอของมุสลิมและแอฟริกามักจะมีลักษณะกลม", "title": "เชิงเทิน" }, { "docid": "426871#3", "text": "การเปิดเผยดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์เรียกร้องให้นาจิบลาออก แม้แต่คนในคณะรัฐมนตรีของเขาก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เขา ซึ่งบุคคลเหล่านั้นได้ถูกนาจิบปรับออกในการปรับคณะรัฐมนตรีกลางวาระ โดยนาจิบให้เหตุผลในการปรับออกว่า เขาต้องการทีมที่มีเอกภาพมากกว่านี้ ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม 2558 สำนักงานป.ป.ช.ของมาเลเซียได้ออกมาแถลงว่า เงินโอนดังกล่าวเป็นเงินบริจาค ไม่ใช่เป็นเงินจากกองทุนฯ แต่ไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้บริจาคและบริจาคทำไม หลังจากนั้นไม่กี่วัน สมาชิกพรรคอัมโนได้ออกมาแถลงว่า เงินบริจาคดังกล่าวเป็นเงินจากซาอุดีอาระเบียเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม และยังเสริมอีกว่าชุมชนมุสลิมในประเทศฟิลิปปินส์และในภาคใต้ของไทยก็ได้รับเงินบริจาคดังกล่าวเช่นกัน", "title": "นาจิบ ราซัก" }, { "docid": "39220#0", "text": "ฮุซัยนียะหฺ, ฮุซัยนียะห์ จากภาษาอาหรับ แปลว่า บ้านเรือนแห่งฮุเซน หมายถึงสถานที่ ๆ ชาวมุสลิมชีอะหฺใช้ประกอบพิธีไว้อาลัยอิมามฮุเซน ในวันอาชูรออ์ หรือใช้เป็นสถานที่พบปะ และสอนธรรมะแห่งศาสนาอิสลาม ในภาษาเบงกาลีเรียกว่า อิมามบารา (ตำหนักอิมาม) ในอินเดียเหนือเรียกว่า อาชูรอคอนา (เรือนอาชูรออ์)", "title": "ฮุซัยนียะหฺ" }, { "docid": "36535#0", "text": "ไก่กอและ หรือ ไก่ฆอและ เป็นอาหารมลายูปักษ์ใต้และมาเลเซีย อาหารชนิดนี้เป็นอาหารที่ชาวมุสลิมแถบชายแดนใต้ของไทยทำรับประทานกัน โดยเฉพาะที่ปัตตานีจะมีชื่อเสียงมาก บางแห่งจะทำไก่ฆอและขายคู่กับข้าวหลามด้วย ไก่กอและในภาษามลายูปาตานีจะอ่านว่า \"อาแยฆอและ\" (Ayam Golek) คำว่า อาแย (Ayam) แปลว่าไก่ ฆอและ (Golek) แปลว่า กลิ้ง อาแยฆอและ จึงแปลว่า ไก่กลิ้ง ก็น่าจะหมายถึงการย่างเพราะต้องคอยพลิกกลับไปมา นอกจากจะใช้ไก่ทำแล้ว ยังสามารถใช้เนื้อสัตว์อื่น ๆ ทำได้ ถ้าใช้หอยแครงสดทำ เรียกว่า \"กือเปาะห์ฆอและ\" ใช้ปลาทำ เรียกว่า \"อีแกฆอและ\" ถ้าใช้เนื้อทำ เรียกว่า \"ดาฆิงฆอและ\"", "title": "ไก่กอและ" }, { "docid": "986206#2", "text": "หลังจากเหตุการณ์ที่คอดิรกุมสิ้นสุดลง มุฮัมหมัดก็เสียชีวิต โดยมีอะลีชำระล้างศพและเป็นอิหม่ามละหมาดญะนาซะฮ์ กลุ่มของมุสลิมจึงรวมตัวไปที่ซากิฟา โดยอุมัรให้สัตยาบันกับอบูบักร์ ถึงแม้ว่าจะมีคำเทศนาของศาสดาที่คอดิรกุม และอุมีรได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่ออะลีก็ตาม กลุ่มของชาวมุสลิมที่สนับสนุนอบูบักร์จึงถูกเรียกว่าชาวซุนนี ส่วนชาวมุสลิมที่สนับสนุนอะลีถูกเรียกว่าชาวชีอะฮ์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา", "title": "รายชื่อเศาะฮาบะฮ์ที่ไม่ให้สัตยาบันกับอบูบักร์" }, { "docid": "295381#13", "text": "หลังจากการหย่า พระเจ้าชาห์ได้กล่าวเกี่ยวกับความความโศกเศร้าเสียใจของอดีตพระราชินีโซรยาโดยกล่าวเป็นโดยนัยว่า \"ไม่มีใครที่จะสามารถถือไฟได้นานกว่าฉัน\" และพระเจ้าชาห์ได้ให้ความสนพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับกับเจ้าหญิงมารีอา กาเบรียลลาแห่งซาวอย และพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 แห่งอิตาลี ซึ่งเรื่องราวของชาห์ที่พยายามจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอิตาลีได้ถูกนำมาเรียกกันว่า \"กษัตริย์มุสลิมกับเจ้าหญิงคาทอลิก\" ส่วนหนังสือพิมพ์ L'Osservatore Romano ของสำนักวาติกันก็ได้เขียนล้อเลียนอีกเช่นกันว่า \"องุ่นพิษ\"[14]", "title": "โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี" }, { "docid": "748985#2", "text": "การสู้รบเป็นไปอย่างรุนแรง ทัพมุสลิมใช้เครื่องทุ่นแรงช่วยในการทลายกำแพงเมือง ส่วนทัพครูเสดตอบโต้ด้วยกองเรือที่มีพลธนู พลหน้าไม้และเครื่องยิงหิน ศอลาฮุดดีนพยายามหาวิธีตีเมืองนี้แต่ไม่สำเร็จและต้องพบกับการโจมตีของทัพครูเสดที่นำโดยซันโช มาร์ติน (Sancho Martin) อัศวินชาวสเปนผู้มีฉายาว่า \"อัศวินเขียว\" (เรียกตามสีชุดเกราะ) ความกล้าหาญและฝีมือของมาร์ตินเป็นที่ยอมรับจากทั้งฝ่ายนักรบครูเสดและนักรบมุสลิม รวมถึงศอลาฮุดดีนที่เสนอทรัพย์สินให้หากเขายอมเปลี่ยนฝ่ายและหันมานับถือศาสนาอิสลาม แต่มาร์ตินปฏิเสธและยังคงนำทัพออกรบกับทัพมุสลิม", "title": "การล้อมไทร์ (ค.ศ. 1187)" }, { "docid": "991837#35", "text": "ขณะเดียวกัน จักรพรรดิเฮราคลีอุสทรงแต่งตั้งกองทัพเพื่อยึดซีเรียกลับมาอีกครั้ง โดยใช้เส้นทางที่เลี่ยงทหารมุสลิมในช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 636 ต่อมา คอลิดเริ่มห่วงว่าทหารมุสลิมอาจถูกแยกและกำจัดโดยง่าย จึงแนะนำให้อบูอุบัยดะฮ์รวมกองทัพมุสลิมให้เป็นหนึ่ง เพื่อรับมือกับกองทัพไบเซนไทน์", "title": "คอลิด อิบน์ อัลวะลีด" }, { "docid": "588621#1", "text": "การจัดตั้งสันนิบาตมุสลิมนี้ เกิดขึ้นหลังจากการแบ่งแคว้นเบงกอลของอังกฤษเป็นเบงกอลตะวันตกที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูกับเบงกอลตะวันออกที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ใน พ.ศ. 2448 ซึ่งมุสลิมในอินเดียเห็นด้วยแต่ผู้นับถือศาสนาฮินดูคัดค้าน ทำให้ชาวมุสลิมเชื่อมั่นในความคิดของเซอร์ไซยิด อาหมัด ข่านที่เห็นว่าผู้นับถือศาสนาฮินดูและมุสลิมเป็นคนละเชื้อชาติ จึงได้จัดตั้งสันนิบาตเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของมุสลิม และยังเรียกร้องให้อังกฤษจัดตั้งเขตเลือกตั้งพิเศษเฉพาะชาวมุสลิม ซึ่งอังกฤษได้ดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2452 ผู้นำในระยะแรกของสันนิบาตมุสลิมคือ โมฮัมหมัด อาลี และได้ชักชวนมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ให้เข้ามาเป็นสมาชิกใน พ.ศ. 2456 หลังจากอาลีถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2473 มูฮัมมัด อิกบาลได้เป็นผู้นำต่อมา และเป็นผู้เสนอความคิดที่จะจัดตั้งรัฐมุสลิมขึ้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งต่อมา เชาธารี ราห์มัด อาลีนำไปสานต่อเป็นแนวคิดการจัดตั้งปากีสถาน", "title": "สันนิบาตมุสลิมแห่งอินเดีย" }, { "docid": "18452#6", "text": "ในประเทศไทย บริเวณลุ่มน้ำคลองระบม-สียัด จังหวัดฉะเชิงเทรา มีความเชื่อเรื่อง \"จระเข้เจ้า\" ว่าเป็นพาหนะของเจ้าพ่อเขากา ที่ไม่ทำร้ายผู้คน แต่ถ้าหากใครไปทำร้ายก็จะประสบกับภัยพิบัติ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบลำน้ำโดมใหญ่หรือบางแห่งในลุ่มน้ำมูล มีความเชื่อเรื่อง \"จระเข้เจ้า\" เช่นกัน แต่จะเป็นจระเข้เผือกที่ภาษาถิ่นเรียกว่า \"แข้ด่อน\" ส่วนคนในบ้านครัว ชุมชนมุสลิมริมคลองแสนแสบ กรุงเทพมหานคร มีตำนานปรัมปราว่า บรรพบุรุษของชาวบ้านครัวเป็นจระเข้ที่อยู่ในคลองแสนแสบ ทั้งนี้ในนิทานเรื่อง \"ไกรทอง\" ได้ให้ภาพพจน์ของจระเข้มีสถานะและความสัมพันธ์เทียบเท่ากับมนุษย์ และเรื่อง \"ขุนช้างขุนแผน\" ตอนพลายชุมพลปราบจระเข้เถรขวาด ก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและมุมมองของคนในสมัยก่อนที่มีต่อจระเข้", "title": "จระเข้น้ำจืด" }, { "docid": "995796#12", "text": "การล้อมเมืองมะดีนะฮ์เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ.627 และใช้เวลา 27 วัน เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเจอสนามเพลาะมาก่อน \nพวกเขาจึงต้องอาศัยม้าในการกระโดดข้างสนามเพลาะ แต่ถูกฝ่ายมุสลิมยิงธนูสวนกลับ แต่มีคนหนึ่งที่ข้ามสนามเพลาะนี้ได้คือกลุ่มทหารของอัมร์ อิบน์ อับดุลวัดด์ (เป็นชายที่มีค่าพอๆ กับทหาร 1000 นาย) และอิกริมะฮ์ อิบน์ อบูญะฮัล โดยการหาบริเวณที่แคบที่สุดของคู จากนั้นจึงท้าให้มีใครซักคนมาสู้กับเขา อะลี อิบน์ อบูฏอลิบได้ตอบรับคำท้าและสู้รบจนเป็นฝ่ายชนะ", "title": "ยุทธการสนามเพลาะ" }, { "docid": "892663#0", "text": "โลกอิสลาม เป็นศัพท์เชิงวิชาการที่ใช้เรียกผืนแผ่นดินที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ผู้นับถือศาสนาอิสลามมีประมาณหนึ่งพันล้านคน ที่ปฏิบัติตามศาสนาของ\nมุฮัมหมัด บุตรของอับดุลลอฮ์ (ศาสดาของบรรดามุสลิม) เป็นชาวฮิญาซ และเป็นศาสนาที่มีมากว่า 1400 ปี (ปีจันทรคติ) บรรดามุสลิมมีความเชื่อเหมือนกันว่า ศาสดามุฮัมหมัด บุตรของอับดุลลอฮ์ คือศาสดาองค์สุดท้าย (คอตะมุลอันบิยา) เชื่อในกุรอาน ( คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม) กิบลัตและบทบัญญัติหลักปฏิบัติศาสนกิจ", "title": "โลกอิสลาม" }, { "docid": "685463#1", "text": "อูหย้าซะก์ไม่ต้องการเห็นการแบ่งแยกทางศาสนา และต้องการให้ชนกลุ่มน้อยมุสลิมเป็นที่ยอมรับในพม่า แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตไป สิทธิเหล่านี้ถูกรัฐบาลพม่าต่อมาละเลย อูรัสชิดและอูขิ่นหม่องลัตได้เรียกร้องสิทธิของมุสลิมต่อมา แต่ชาวมุสลิมในพม่าไม่ได้ยอมรับบุคคลเหล่านี้ว่าเป็นตัวแทนของพวกเขาโดยแท้จริง", "title": "สภามุสลิมพม่า" }, { "docid": "619185#10", "text": "มอเช เยการ์ นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอลได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดขึ้นเพราะนโยบายของรัฐบาลที่กดดันต่อชาวมุสลิมโรฮีนจา โดยสาเหตุของปัญหาได้แก่ หลังจากที่พม่าประกาศเอกราช มุสลิมไม่ได้รับการยอมรับในราชการทหาร รัฐบาลพม่าได้รับชาวยะไข่ซึ่งต่อต้านชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่แทนชาวมุสลิม มุสลิมถูกทหารและตำรวจจับตามอำเภอใจ การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่มุสลิมโรฮีนจา ชาวกะเหรี่ยง กะฉิ่น และฉิ่นที่นับถือศาสนาคริสต์ ทำให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้[20] เยการ์ยังได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุสลิมในยะไข่เกิดขึ้นก่อนพม่าได้รับเอกราช โดยเกิดขึ้นพร้อมกับการขอแยกดินแดนมายูในรัฐยะไข่ และต้องการเป็นรัฐเอกราชของมุสลิม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 มุสลิมในยะไข่ได้เรียกร้องต่อโมฮัมหมัด อาลี จินนาห์เพื่อขอให้ผนวกดินแดนของตนเข้าไปในปากีสถานที่จะตั้งขึ้นใหม่", "title": "การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก" }, { "docid": "362520#9", "text": "งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย เป็นงานที่มีการกล่าวบทสดุดีศาสดามุฮัมมัดหรือที่ชาวมุสลิมเรียกกันว่าบัรซันญีซึ่งเป็นบทกลอนอาหรับที่มีความไพเราะและมีการขอพรให้กับศาสดามุฮัมมัดหรือที่ชาวมุสลิมเรียกว่าซอลาวาต นอกจากนี้ยังมีการอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานโดยชาวไทยและชาวต่างประเทศ การเผยแพร่จริยวัตรอันงดงามและเรียบง่ายของศาสดามุฮัมมัด การบรรยายทางวิชาการ แต่ที่เด่นชัดในงานนี้คือการจำหน่ายสินค้ามุสลิม อาหารฮาลาลนานาชนิด นอกจากนี้งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยจัดว่าเป็นงานเดียวที่ชาวมุสลิมทั่วประเทศได้มีโอกาสมารวมตัวกัน", "title": "ศาสนาอิสลามในประเทศไทย" }, { "docid": "121732#1", "text": "เหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2547 เมื่อสมาชิกของกลุ่มมุสลิมติดอาวุธได้โจมตีที่ตั้งแห่งหนึ่งของกองทัพ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ประกาศขยายการใช้กฎอัยการศึกจากเดิมที่มีประกาศอยู่แล้วในบางพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี โดยวันที่ 28 เมษายน 2547 น่าจะถูกจงใจกำหนดให้ตรงกับ วันที่ 28 เมษายน 2491 อันเป็นวันเกิดของเหตุการณ์ที่ภาษาอำนาจรัฐส่วนกลางเรียกว่า กบฏดุซงญอ แต่ชาวปัตตานีเรียกว่า สงครามโต๊ะเปรัก-ดุซงยอ และนักประวัติศาสตร์มาเลเซียบางคนเรียกว่า เคบังอีตัน แปลว่า การลุกขึ้นสู้ อีกด้วย เนื่องจาก สภ.อ.ตากใบ มีสภาพพื้นที่เป็น จุดอับและทางตัน ฝ่ายขบวนผู้ก่อการจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมียุทธศาสตร์ระดมมวลชนเข้าไปชุมนุมด้วยท่าทีแข็งกร้าวและยั่วยุ เพราะเท่ากับเจตนาจงใจส่งคนไปตายที่ตากใบ ", "title": "กรณีตากใบ" }, { "docid": "747047#5", "text": "การปกครองของอังกฤษทำให้ชาวอินเดียมุสลิมเข้ามาอยู่ในพม่ามากขึ้น โดยเฉพาะในยะไข่ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธ จนเกิดการฆ่าฟันกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวพุทธยะไข่เข้าร่วมกับกลุ่มชาตินิยมพม่าที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น ส่วนชาวมุสลิมโรฮีนจาร่วมมือกับอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนสองกลุ่มนี้ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง สันนิบาตเสรีภาพประชาชนฯได้จัดให้ชาวยะไข่ที่นับถือพุทธที่อพยพมาอยู่ทางภาคใต้กลับขึ้นไปอยู่ทางเหนือที่มีมุสลิมอยู่หนาแน่นมากขึ้น จัดให้ชาวยะไข่พุทธมารับตำแหน่งบริหารแทนชาวมุสลิมที่อังกฤษแต่งตั้งไว้ ทำให้ชาวพุทธและมุสลิมปะทะกันอีก โรฮีนจาบางส่วนเรียกร้องให้นำยะไข่เหนือไปรวมกับปากีสถานตะวันออกแต่ปากีสถานไม่เห็นด้วย ในที่สุดยะไข่เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพพม่าใน พ.ศ. 2491 ชาวมุสลิมโรฮีนจาได้เรียกร้องต่อมาให้ตั้งเขตบริหารชายแดนมยูขึ้นในยะไข่ ซึ่งรัฐบาลอูนุได้รับหลักการใน พ.ศ. 2504 แต่ในปีต่อมา เกิดรัฐประหารโดยนายพลเน วิน และการตั้งเขตบริหารชายแดนดังกล่าวถูกยกเลิกไป ยะไข่ได้ยกสถานะขึ้นเป็นรัฐในพม่าใน พ.ศ. 2517", "title": "ประวัติศาสตร์ยะไข่" }, { "docid": "15721#2", "text": "ไก่พะแนง จึงเป็นการนำไก่ทั้งตัว มาขัดขากัน และทำในหม้อใบใหญ่ ใช้เครื่องแกงแขก แบบแกงมุสลิม และเรียกว่าไก่พะแนง คั่วไปจนน้ำขลุกขลิก เหมือนอาหารอินเดียมุสลิมอื่นๆ ใช้เครื่องเทศเฉพาะ", "title": "พะแนง" }, { "docid": "3730#7", "text": "หลังสิ้นสุดยุครุ่งเรื่องของปรัชญากรีก และการล่มสลายของจักรวรรดิ์โรมัน (โรมันตอนต้นปกครองโดยสภาเรียกว่าสาธารณะรัฐ ส่วนในตอนปลายปกครองโดยจักพรรดิ์จึงเรียกว่าจักรวรรดิ์) ศาสนาคริสต์เข้ามามีอิทธิพลต่อวิธีชีวิตของชาวยุโรปในทุกเรื่อง การศึกษาการเมืองจึงเป็นไปเพื่ออธิบายความว่าเหตุใดมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปตามความเชื่อของศาสนานั้นสามารถปกครองกันเองได้อย่างไร และกษัตริย์มีอำนาจชอบธรรมจากพระเจ้าอย่างไรจึงสามารถปกครองคนบาปได้ ในขณะเดียวกันปรัชญากรีกโบราณได้เติบโตในโลกมุสลิมเป็นอย่างมาก มีการนำปรัชญากรีกไปร่วมอธิบายกับหลักปรัชญามุสลิม และใช้เป็นรากฐานของการจัดการปกครอง ปรัชญากรีกในโลกมุสลิมต่อมามีอิทธิพลอย่างสูงต่อยุโรป โดยเฉพาะแนวคิดมนุษย์นิยมที่ต่อมากลายเป็นรากฐานของการปฏิวัติทางภูมิปัญญาในยุโรป (the age of enlightenment)", "title": "รัฐศาสตร์" }, { "docid": "986206#1", "text": "ไม่กี่เดือนก่อนที่ศาสดามุฮัมหมัดเสียชีวิต ท่านได้เรียกชาวมุสลิมให้ฟังคำเทศนาครั้งสุดท้าย โดยมีประโยคสำคัญว่า \"ใครก็ตามที่เมาลา (ใกล้ชิด) กับฉัน ก็ต้องเมาลา (ใกล้ชิด) อะลีเช่นกัน\" หลังจากจบการเทศนาแล้ว ชาวมุสลิมจึงให้สัตยาบันกับอะลี รายงานจากข้อมูลทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนนี อบูบักร์, อุมัร และอุสมานให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่ออะลีที่คอดิรกุม", "title": "รายชื่อเศาะฮาบะฮ์ที่ไม่ให้สัตยาบันกับอบูบักร์" }, { "docid": "115411#19", "text": "ที่เราเรียกกันว่า \"'อาชูรออฺ\" ซึ่งเป็นวันที่มีเกียรติในศาสนาอื่นด้วย เช่น ศาสนายิว เพราะเป็นวันที่ท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ได้รับความปลอดภัยจากฟิรเอานฺ จึงเป็นวันแห่งการขอบคุณของบนีอิสรออีล และเป็นที่รู้กันดีว่าท่านนบีมูซาได้ถือศีลอดในวันนี้ เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และท่านได้ทราบว่าชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺกำลังถือศีลในวันนั้น ท่านนบีจึงประกาศให้เป็นวันถือศีลอดของชาวมุสลิมด้วย โดยกล่าวว่า “ฉันมีข้อเกี่ยวพันกับมูซามากกว่าพวกท่าน (โอ้ชาวยิว) ” ท่านนบีจึงถือศีลอดวันนั้นและใช้ให้บรรดามุสลิมีนถือศีลอดด้วย” (บันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม)", "title": "มุฮัรรอมในความเชื่อของซุนนีย์" }, { "docid": "239649#2", "text": "ใบสอเป็นส่วนสำคัญของเชิงเทินและใช้กันมาเป็นเวลานาน ตัวอย่างที่พบคือในสิ่งก่อสร้างจากยุคกลางที่ใช้ประโยชน์ทั้งทางการป้องกันทางยุทธการและในการตกแต่ง ลักษณะของใบสอถ้าเป็นสี่เหลี่ยมธรรมดาก็เรียกว่า “ใบสอเกล์พ” ถ้ามีที่คลุมตอนบนเป็นปมรูปตัววีของอิตาลีเรียกว่า “ใบสอเกล์พและกิเบลลิเน” หรือ “ใบสอสวอลโลว์เทล” ทรงอื่นที่ใช้ก็มีใบสอสามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยม, โล่, ดอกไม้, กลม (มุสลิมและแอฟริกา), ปิรามิด หรืออื่นๆ ขึ้นอยู่กับการใช้สอยหรือการตกแต่งที่ต้องการ", "title": "ใบสอ" }, { "docid": "64267#1", "text": "ท่านแต่งงานและมีบุตร 2 คน จากนั้นได้ออกบวชและบำเพ็ญเพียรทางจิตอยู่ 35 ปี จนได้พบพระเจ้าจึงออกเผยแพร่ศาสนาสิกข์ในนามตัวแทนของพระเจ้า วาจาแรกที่ท่านกล่าวเมื่อออกประกาศศาสนาคือ \"ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นฮินดู ไม่มีใครเป็นอิสลาม\" ท่านออกสั่งสอนประชาชนอยู่หลายปี มีศิษย์ทั้งที่เป็นฮินดูและมุสลิม", "title": "คุรุนานักเทพ" } ]
2244
เรียลลิตีโชว์ แรกของโลกคือรายการอะไร?
[ { "docid": "21299#2", "text": "เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1973 ชื่อรายการ An American Family เป็นรายการเก็บภาพชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว William C. Loud มีผู้ชมถึง 10 ล้านคน จนเมื่อปี ค.ศ. 1994 เรียลลิตีโชว์ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และได้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ของเอ็มทีวี ที่ชื่อ “The Real World” นำคน 7 คนที่มีบุคลิกต่างกันมาอยู่ร่วมกัน ที่รายการซีซั่นที่ 3 ของรายการนี้ประสบความสำเร็จเพราะเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่าง Pedro Zamora เกย์ผู้ติดเชื้อ HIV กับ Puck อาชีพ Messenger และ Pedro ได้เสียชีวิตในที่สุด และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรียลลิตีโชว์ในยุคต่อมา", "title": "เรียลลิตีโชว์" } ]
[ { "docid": "883988#0", "text": "The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ซีซันที่ 3 รายการโทรทัศน์ประเภทเรียลลิตีโชว์มิวสิกโชว์และเป็นฤดูกาลที่ 3 ของรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ของประเทศไทยผลิตรายการโดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย กันต์ กันตถาวร คณะกรรมการในรายการซีซันที่ 3 จะมีหน้าที่วิเคราะห์เทคนิคการร้องเพลงของผู้เข้าแข่งขัน ทายตัวตนที่แท้จริงของบุคคลแต่ละคนที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่ยังไม่มีใครทราบ จนกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องเฉลยตัวตน โดยคณะกรรมการจะมีทั้งหมด 7 คน ในแต่ละครั้ง ซึ่งจะประกอบด้วยกรรมการประจำรายการ และ กรรมการรับเชิญ", "title": "The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ซีซันที่ 3" }, { "docid": "21299#5", "text": "เกมชีวิต ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยการผลิตของ กันตนา เมื่อต้นปี พ.ศ. 2543 (วันอาทิตย์ เวลา 17.00 น.) ซึ่งตอนนั้นได้ใช้รูปแบบรายการของเซอร์ไวเวอร์ (Survivor) แต่รูปแบบของของการเล่นเกมส์จะเปลี่ยนทุกซีซั่น ในซีซั่นที่ 3 จึงได้เสียงตอบรับที่ไม่ดีในด้านการดำเนินเกมส์ที่ใช้วิธีของทางทหาร สร้างความกดดันทั้งผู้เล่นเกมส์และคนดู จนคนดูไม่สามารถรับได้ จึงได้ยุติลงในที่สุด Survivor ในประเทศไทย ได้ออกอากาศทางฟรีทีวีและทางเคเบิลทีวี โดยลิขสิทธิ์ทางฟรีทีวี เป็นลิขสิทธิ์ของกันตนา (ฉายฤดูกาลที่ 1-3 ทางช่อง 5 เวลา 19.30 น.- 20.00 น. และฤดูกาลที่ 4-5 ทางช่อง 9 เวลา 22.00 น.-23.00 น. เมื่อต้นปี พ.ศ. 2546) ส่วนลิขสิทธิ์ทางเคเบิลทีวี คือ ทรูวิชั่นส์ โดยฉายฤดูกาลที่ 1-3 ตามหลังอเมริกาประมาณ 3 เดือนทางช่อง AXN และฉายฤดุกาลที่ 5-ฤดูกาลล่าสุด ตามหลังอเมริกาประมาณ 7 ชั่วโมง ทางช่อง True Series พร้อมทั้งยังมีการออกอากาศซ้ำหลายรอบ (ฤดูกาลที่ 4 เป็นฤดูกาลเดียวที่ไม่ได้ฉายทาง ทรูวิชั่นส์) เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ออกอากาศทางสถานีโมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง 9) ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา รักแท้บทที่ 1 ออกอากาศทางสถานีกองทัพบกช่อง5 ในปี พ.ศ. 2548 (วันศุกร์ เวลา 20.30 น.) ผลิตรายการโดย แกรมมี่ เทเลวิชั่น เป็นเรียลลิตีประเภทนัดบอด แต่เนื่องด้วยจากกระแสวิจารณ์ทางสังคม ที่ตีความเนื้อหาของรายการผิดเพี้ยนไปจากเดิม จึงถูกยุติบทบาทลงไปในไม่กี่เดือน ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ออกอากาศทางเคเบิลทีวี ทาง ทรูวิชั่นส์ ซึ่งทรูได้ซื้อลิขสิทธิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 และได้ออกอากาศทางฟรีทีวีตั้งแต่ ซีซั่น 2 โดย ซีซั่น 2 ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในปี พ.ศ. 2548 และเมื่อขึ้นซีซั่นที่ 3 ได้ออกกาศทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ในปี พ.ศ. 2549 โดยโมเดิร์นไนน์ทีวีได้ออกอากาศซีซั่นที่ 3 ถึงซีซั่นที่ 10 (พ.ศ. 2549 - 2556) และเปลี่ยนไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลทรูโฟร์ยูในซีซั่นที่ 11 (พ.ศ. 2557) จนถึงปัจจุบัน เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยและเป็นรายการเรียลลิตีโชว์รายการแรกของไทยที่ถ่ายทอดสดการใช้ชีวิตของผู้เข้าแข่งขันในบ้านตลอด 24 ชั่วโมงตั้งแต่ต้นจนจบฤดูกาล UBC Human Resource เป็นรายการประเภทหางาน จัดโดยทรูวิชั่นเองทั้งหมด รูปแบบรายการไม่ได้เป็นที่น่าสนใจ ไม่ตื่นเต้น ไม่สนุกสนาน ไม่สามารถดึงดูดผู้ชมไม่ว่าจะทางด้านใดๆ ได้เลย อีกทั้งยังออกอากาศเฉพาะในทรูเท่านั้น ทำให้รายการไม่เป็นที่รู้จักแต่อย่างใด บิ๊ก บราเธอร์ โดยเริ่มออกอากาศครั้งแรก วันที่ 2 เมษายน 2548 ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี และทางเคเบิล ทางUBC ช่อง 16 (ตลอด 24 ชม.) จนรายการจบ", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "914453#0", "text": "The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ซีซันที่ 4 รายการโทรทัศน์ประเภทเรียลลิตีโชว์มิวสิกโชว์และเป็นฤดูกาลที่ 4 ของรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ของประเทศไทยผลิตรายการโดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย กันต์ กันตถาวร ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.05 – 21.45 น. (โดยประมาณ) เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561", "title": "The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ซีซันที่ 4" }, { "docid": "736156#41", "text": "ทไทย ด หมวดหมู่:เรียลลิตีโชว์ 1 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2557", "title": "เดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซัน 1" }, { "docid": "73009#21", "text": "หมวดหมู่:ดิ อะเมซิ่ง เรซ หมวดหมู่:เรียลลิตีโชว์ หมวดหมู่:รายการที่ออกฉายทางทรูวิชั่นส์", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ" }, { "docid": "21299#0", "text": "เรียลลิตีโชว์ หรือที่ถูกว่า รีแอลลิทีโชว์ () เป็นรายการโทรทัศน์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งมักจะดำเนินไปโดยใช้สถานการณ์จริง และไม่มีการเขียนบท คัดเลือกผู้ร่วมรายการจากผู้ชมทางบ้าน ซึ่งจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมเอาไว้ ผู้เข้าร่วมรายการจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ รายการโทรทัศน์เช่นนี้ เริ่มมาช้านานแล้ว แต่เพิ่งจะนิยมอย่างแพร่หลายเมื่อราว พ.ศ. 2543 (โดยเฉพาะจากรายการ Expedition Robinson)", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "935164#0", "text": "เกมพันหน้า ซูเปอร์เซเว่น เป็นรายการเกมโชว์และเรียลลิตีโชว์ภาคต่อของรายการ เกมพันหน้า ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 12:00 - 13:30 น. ผลิตโดย บริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัด โดยครั้งนี้มีการเปลี่ยนพิธีกรคู่เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี โดยผู้ที่รับหน้าที่พิธีกร คือ ฟรอยด์ - ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์ และโบ - ธนากร ชินกูล ส่วนกิ๊ก - เกียรติ กิจเจริญ และติ๊ก กลิ่นสี พิธีกรคู่ที่เคยรับหน้าที่นี้มาเป็นเวลา 17 ปี ได้ผันตัวไปเป็นกรรมการประจำรายการ และมีผู้จัดการทีมที่นำชมรมมาแข่งในแต่ละสัปดาห์ คือ บอล เชิญยิ้ม", "title": "เกมพันหน้า ซูเปอร์เซเว่น" }, { "docid": "46956#20", "text": "หมวดหมู่:เกมโชว์ไทย หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ไทย หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่อง 3 หมวดหมู่:เรียลลิตีโชว์ หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ในอดีต หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2549 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่ยุติการออกอากาศในปี พ.ศ. 2551 หมวดหมู่:เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์", "title": "อัจฉริยะข้ามคืน" }, { "docid": "852920#4", "text": "ละคร (Drama) ได้แก่ ละครโทรทัศน์, ซิตคอม, ละครชุด (ซีรีส์), ละครสั้น (มินิซีรีส์), เว็บซีรีส์, ภาพยนตร์สั้น และภาพยนตร์ บันเทิง (Entertainment) ได้แก่ รายการบันเทิงประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่องเที่ยว, เกมโชว์, ทอล์กโชว์, เรียลลิตีโชว์ และวาไรตี้ (ปกิณกะ) เพลง (Music) ได้แก่ รายการเพลง, เพลงซิงเกิล, เพลงอัลบั้ม, มิวสิกวิดีโอ และบันทึกการแสดงคอนเสิร์ต ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ได้แก่ รายการประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา เช่น รีวิวร้านอาหาร รีวิวสินค้า สอนทำอาหาร สอนวิธีดูแลสุขภาพ เป็นต้น กีฬา (Sports) ได้แก่ รายการกีฬา, ถ่ายทอดสดกีฬา การแข่งขันกีฬาต่าง ๆ รวมไปถึงอีสปอร์ต แอนิเมชัน (Animation) ได้แก่ อนิเมะ, การ์ตูน และแอนิเมชั่น", "title": "ไลน์ทีวี" }, { "docid": "207660#21", "text": "หมวดหมู่:ดิ อะเมซิ่ง เรซ หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ภาษาอังกฤษ หมวดหมู่:ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์อเมริกัน หมวดหมู่:เรียลลิตีโชว์ หมวดหมู่:รายการที่ออกฉายทางทรูวิชั่นส์", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ (ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์อเมริกัน)" }, { "docid": "21299#9", "text": "หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "93724#0", "text": "กำจัดจุดอ่อน (English: Weakest Link) คือรายการควิซโชว์ ออกอากาศครั้งแรกในสหราชอาณาจักรทางช่อง BBC Two และ BBC One เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ออกแบบรายการโดย ฟินตัน คอยล์ (Fintan Coyle)และ เคธี ดันนิง (Cathy Dunning) พัฒนาเพื่อการออกอากาศโดย บีบีซี เอนเทอร์เทนเมนท์ เป็นรายการที่ถอดแบบมาดำเนินรายการในรูปแบบภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก ถูกเรียกว่า \"เกมโชว์แบบเรียลลิตี้\" เพราะมีลักษณะคล้ายเรียลลิตี้โชว์ และเป็นรากฐานแห่งเรียลลิตี้โชว์ในปัจจุบัน ในสหราชอาณาจักร ดำเนินรายการโดย แอนน์ รอบินสัน (Anne Robinson) โดยในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ออกอากาศเป็นตอนที่ 1,000 ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555 ออกอากาศตอนสุดท้าย", "title": "กำจัดจุดอ่อน" }, { "docid": "934171#0", "text": "เกมพันหน้า เดอะฮีโร่ เป็นรายการเกมโชว์และเรียลลิตีโชว์ภาคต่อของรายการ เกมพันหน้า ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560 ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 11:45 - 12:45 น. ผลิตโดย บริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัด โดยมี กิ๊ก - เกียรติ กิจเจริญ และ ติ๊ก กลิ่นสี เป็นผู้ดำเนินรายการ และมี บอล เชิญยิ้ม เป็นผู้กำหนดโจทย์", "title": "เกมพันหน้า เดอะฮีโร่" }, { "docid": "192289#0", "text": "ดิ อะเมซิ่ง เรซ 4 () เป็นฤดูกาลที่ 4 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส โดยฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกที่รางวัลเอ็มมีมีการแจกรางวัลประเภทเรียลลิตี้โชว์การแข่งขันและรายการก็คว้ามาได้แบบผูกขาดอยู่รายการเดียวจนถึงปัจจุบัน", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 4" }, { "docid": "743345#67", "text": "ทไทย ด หมวดหมู่:เรียลลิตีโชว์ 2 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2558", "title": "เดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซัน 2" }, { "docid": "21299#7", "text": "ไฮโซบ้านนอก ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2548 เป็นที่กล่าวถึงกันอย่างมาก เนื่องจากพฤติกรรมของ คชาภา ตันเจริญ (มดดำ) ซึ่งเป็นคนเปิดเผยและค่อนข้างตรง ทำให้บางครั้งเรื่องราวเกิดขึ้นเพียงคนๆ เดียว เช่น เกือบเผาบ้าน หรือแม้แต่วีนใส่ทีมงาน และอีกอย่าง เนื่องด้วยไฮโซบ้านนอก เป็น เรียลลิตีโชว์แบบเฟค (ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริง แต่ทีมงานกับผู้เข้าแข่งขัน ต่างรู้เรื่องราวกันเป็นอย่างดีโดยที่ผู้ชมทางบ้านไม่รู้ว่า นี่คือ การสมรู้ร่วมคิดกันของทีมงานกับผู้เข้าแข่งขัน) ทำให้ถูกวิจารณ์และทำให้ความหมายของคำว่า เรียลลิตีโชว์ ในไทย แปลความหมายผิดเพี้ยนไปจากเดิม รายการตัวจริง ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2549 ค้นหาพิธีกรโทรทัศน์ The Arsenal Dream ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2549 (วันอาทิตย์ เวลา 13.00 น.โดยประมาณ) เนื่องจากได้เวลาในช่วงบ่าย ประกอบกับการขาดเรื่องประชาสัมพันธ์ ทำให้เรตติ้งรายการไม่กระเตื้องขึ้น Thailand Next Top Model ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2548 ผู้ที่ซื้อลิขสิทธิ์ก็คือ ซอนญ่า คูลลิ่ง มีการกล่าวถึงเรื่องการดำเนินเกมส์ที่ขาดสีสัน ด้านอารมณ์ ทำให้ผู้เข้าแข่งขันมีลักษณะไปในทางเดียวกัน กล่าวคือ ไม่มีความริษยาหรือโกรธแค้นกลั่นแกล้งกัน ทำให้ความนิยมของรายการไม่กระเตื้องขึ้น ส่วนในด้านผลงานของผู้แข่งขันหลังจบเกมส์ ทาง BEC Tero ไม่ได้ประชาสัมพันธ์หรือป้อนงานให้ ทำให้ไม่สามารถติดตามผลงานได้ว่าพวกเธอมีผลงานในวงการบันเทิงในด้านใดบ้าง M Thailand ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปลายปี พ.ศ. 2548 ถึง ต้นปี พ.ศ. 2549 (วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 22.00 น. โดยประมาณ) มีการกล่าวถึงกันมาก เนื่องจากว่ากันว่ารูปแบบรายการได้ลอกเนื้อหามาจาก Thailand's Perfect Man โดยทาง BEC Tero ได้ชิงตัดหน้าขโมยความคิด นำมาทำเป็นรูปแบบเกมส์เรียลลิตีโชว์ก่อน และอีกสาเหตุหนึ่งมาจาก การวิจารณ์ผู้เข้าแข่งขันในรอบคัดเลือก จนไปสร้างความกดดันให้คนดูและผู้เข้าแข่งขัน รวมไปถึง การใช้ไอเดียของรายการ Manhunt ในการซ่อนทีมงานไปปะปนในหมู่ผู้เข้าแข่งขัน ทำให้ถูกพูดถึงในแง่การวิจารณ์เป็นอย่างมากและด้วยการดำเนินรายการของ BEC Tero ที่ไม่มีการโต้แย้งของผู้เข้าแข่งขัน ทำให้เรตติ้งรายการค่อนข้างทรงตัวจนจบการแข่งขัน ส่วนในด้านผลงานของผู้แข่งขันหลังจบเกมส์ เนื่องด้วยทาง BEC Tero ไม่ได้ประชาสัมพันธ์หรือป้อนงานให้กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ นอกจากผู้ชนะเลิศของรายการ ทำให้ไม่สามารถติดตามผลงานของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ได้ว่าใครไปมีอาชีพในวงการบันเทิงในด้านใดบ้าง Thailand's Perfect Man ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในปี พ.ศ. 2549 (ต้นเดือนกุมภาพันธ์-ปลายเดือนมิถุนายน ทุกวันอังคาร เวลา 23.00 น.) และทาง Chic Channel ของ UBC หลังจากที่ M Thailand ได้ชิงตัดหน้าออกอากาศไปก่อน ทำให้ Thailand's Perfect Man (TPM) ที่ดำเนินบริหารงานโดย เมทินี กิ่งพโยม ได้นำรายการไปเสนอทางไอทีวี และได้ปรับเนื้อหาของเกมส์ จนมีความลงตัวในหลายด้านๆ และไม่มีการสร้างความกดดันให้กับคนดูมากเกินไป แต่ถึงกระนั้นเรตติ้งของรายการก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น จนกระทั่งได้นำการเดินแบบในชุดว่ายน้ำมานำเสนอ จนทำให้เรตติ้งของรายการเพิ่มขึ้นประกอบกับความขัดแย้งของผู้เข้าแข่งขันในช่วงการแข่งขัน ทำให้เนื้อหามีความน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ส่วนในด้านผลงานของผู้แข่งขันหลังจบเกมส์ ได้มีการประชาสัมพันธ์ติดต่อจากสปอนเซอร์หลัก (ธนาคารไทยพาณิชย์, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, กันตนา ฯลฯ) ทำให้มีงานป้อนเข้ามาเป็นระยะ ซึ่งเป็นการดำเนินงานของ เมทินี กิ่งพโยม อัจฉริยะข้ามคืน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มออกอากาศในปี พ.ศ. 2549 จนถึงต้นปี พ.ศ. 2551 Eco Challenge คนเก่ง เกมนักขับ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในปี พ.ศ. 2549 ดำเนินการผลิตโดย กันตนา (ออกอากาศต่อจาก Thailand's Perfect Man ประมาณ 1 เดือน ทุกวันอังคาร เวลา 23.00 น.) รูปแบบของรายการได้ใช้รูปแบบของรายการเซอร์ไวเวอร์ ผสมกับเทคนิคการขับรถยนต์ในสถานการณ์ทุกรูปแบบ แต่เนื่องจากรูปแบบรายการที่ไม่ชัดเจนและใช้รูปแบบของเซอร์ไวเวอร์ มากถึง 70% ทำให้เรตติ้งรายการไม่กระเตื้องขึ้น ซึ่งผู้ชนะได้รับรถยนต์มิตซูบิชิ และเงินรางวัล 1 ล้านบาท (รายการเป็นรูปแบบเดียวกับทางฝั่งอเมริกาที่เป็นคนเดียวกันกับที่ทำรายการ Survivor และ Eco Challenge) ซีซ่า ทางสายฝันสู่ดวงดาว ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2549 โดยมี มณีนุช เสมรสุต (ครูอ้วน) เป็นผู้บริหารรายการ รายการเป็นรูปแบบแข่งขันร้องเพลงสำหรับเด็ก ทำดีให้พ่อดู เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ ตามติดชีวิตนักล่าฝันจากรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ในซีซั่นที่ 1 ถึง 3 ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อสังคม 12 โครงการ โดยแบ่งผู้ปฏิบัติภารกิจตามสายรหัส V1-V12 ของแต่ละซีซั่น พร้อมทั้งอาสาสมัครบุคคลทั่วไปที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ความดี เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ออกอากาศซีซี่นที่ 1 พ.ศ. 2550 ในตอน 12 V 12 ความดีเพื่อพ่อ และออกอากาศซีซั่นที่ 2 พ.ศ. 2552 ในชื่อตอน เรียนรู้ชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง โดยนักล่าฝันจากรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ในซีซั่นที่ 4 ถึง 6 โดยแบ่งนักล่าฝันเป็นรุ่น 3 รุ่น เพื่อเดินทางไปเรียนรู้งานในทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง 4 วัน 3 คืน ณ สถานที่ๆทีมงานกำหนด The Singer ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2550 เป็นรายการรูปแบบแข่งขันร้องเพลง โดยมี พุทธธิดา ศิระฉายา เป็นผู้บริหารรายการ อัจฉริยะยกบ้าน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในปี พ.ศ. 2551 ซูเปอร์สตาร์ ที่สุดแห่งดาว เป็นรายการเรียลลิตีฟอร์มยักษ์ เป็นการแข่งขันของเหล่าดารา เปิดเผยเบื้องหลังที่มาของการแสดงทุกรูปแบบ ดาราที่เข้าแข่งขันจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทีม เพื่อแข่งขันใน 10 หัวข้อการแสดง โดยการฝึกสอนจากเทรนเนอร์ที่เป็นที่สุดของทุกแขนง ออกอากาศซีซั่นแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 The Master ออกอากาศ 24 ชั่วโมงทาง ทรูวิชั่นส์ ช่อง 18 และมีรายการไฮไลท์ประจำวัน และคอนเสิร์ตทุกวันเสาร์ที่ช่อง 19 ทรูอินไซด์ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2552 เป็นเวลา 1 เดือน รูปแบบรายการเป็นการแข่งขันร้องเพลงและแสดงโชว์ แข่งขันเป็นทีม ทีมละ 5 คน โดยผู้เข้าแข่งขันมาจากตำแหน่งผู้ชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดับหนึ่งของรายการ ทรู อคาเดมี่ แฟนเทเชีย ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 1-5 และได้มีการโหวตคัดเลือกผู้แข่งขันนักล่าฝันคนอื่นๆเพิ่มเติมผ่านระบบ SMS รายการนี้จะเน้นการทำงานเบื้องหลังของศิลปิน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้ประสบการณ์ในการทำงาน คิดและวางแผนโชว์ที่จะเกิดขึ้นในทุกคืนวันเสาร์ด้วยตนเอง ร่วมกับสมาชิกในทีม และทีมเบื้องหลัง และผู้ชนะรายการเพียงหนึ่งเดียวจากผล Popular Vote จะได้ตำแหน่ง สุดยอดเดอะมาสเตอร์ สุภาพบุรุษบอยแบนด์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 The Trainer ปั้นฝันสนั่นเวที รายการเรียลลิตีโชว์สำหรับเด็ก ออกอากาศทาง ช่อง 9 เดือนพฤษภาคม ปี 2552 - ปัจจุบัน ล้านฝันสนั่นโลก ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 The Voyager เกมเดินทางในต่างแดน</b>ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 Teen Superstar เกิดมาเป็นดาว คือรายการ ซุปเปอร์สตาร์ ที่สุดแห่งดาว แต่ได้เปลี่ยนรูปแบบรายการใหม่ ค้นหาเยาวชน ผู้ชนะ ชาย 2 หญิง2 จะมาจากการโหวดของประชาชน ซึ่งก็คือ ชายและหญิง 2 คนแรก จะได้มีโอกาสไปเป็นศิลปินในประเทศเกาหลี และอีกสองคนจะได้เป็นศิลปินในประเทศไทย ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ประมาณเดือนธันวาคม ปี 2553 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 - ปัจจุบัน เดอะวอยซ์ไทยแลนด์ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - ปัจจุบัน เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ ซีซั่นที่ 1 เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ (English: The Comedian Thailand) เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ มีจุดประสงค์เพื่อค้นหา \"เอนเตอร์เทนเนอร์\" เป็นตัวแทนถ่ายทอดศาสตร์ตลกและศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อรับรางวัลมากมายพร้อมกับโอกาสที่จะได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ออกอากาศ ช่อง ทรูวิชั่นส์ (ถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมง) ถ่ายทอดสดการประกวด ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 – 21 เมษายน 2556 เดอะวอยซ์ คิดส์ ไทยแลนด์ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 27 เมษายน พ.ศ. 2556 - ปัจจุบัน เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ ซีซั่นที่ 2 เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ (English: The Comedian Thailand) เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ มีจุดประสงค์เพื่อค้นหา \"เอนเตอร์เทนเนอร์\" เป็นตัวแทนถ่ายทอดศาสตร์ตลกและศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อรับรางวัลมากมายพร้อมกับโอกาสที่จะได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ออกอากาศ ช่อง ทรูวิชั่นส์ (ถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมง) ถ่ายทอดสดการประกวด ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 26 มกราคม พ.ศ. 2557 - 13 เมษายน พ.ศ. 2557 เดอะวินเนอร์อีส ไทยแลนด์ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน เดอะเฟซไทยแลนด์(4 ตุลาคม พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน) เรียลลิตี้โชว์รายการเรียลลิตีเพื่อค้นหาสุดยอดนางแบบ โดยจะมีการแบ่งนางแบบออกเป็น 3 ทีมตามทีมของเมนเทอร์ของตนเอง เนลท์ให้โอกาสประเทศไทยเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผลิตรายการโดย บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เดอะเฟซเมนไทยแลนด์(29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน) เรียลลิตี้โชว์รายการเรียลลิตีเพื่อค้นหาสุดยอดนายแบบ โดยจะมีการแบ่งนายแบบออกเป็น 3 ทีมตามทีมของเมนเทอร์ของตนเอง ซึ่งเป็นการต่อยอดจากรายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ผลิตรายการโดย บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) The Mask Singer หน้ากากนักร้อง (6 ตุลาคม พ.ศ.2559 - ปัจจุบัน) เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์เพื่อค้นหาบุคคลในวงการบันเทิงที่มีความสามารถในการร้องเพลงมาเข้าร่วมประกวด โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องใส่ชุดหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนของตัวเองไว้ ซึ่งเป็นรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจาก ประเทศเกาหลีใต้ ผลิตรายการโดย เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ซูเปอร์เท็น (7 มกราคม พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน) เป็นรายการประกวดในรูปแบบที่จะค้นหา<b data-parsoid='{\"dsr\":[16130,16154,3,3]}'>อัจฉริยะพันธุ์จิ๋ว ผลิตรายการโดย บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ (4 มิถุนายน พ.ศ.2560 - ปัจจุบัน) เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์เพื่อค้นหาผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเชฟ แต่มีใจรักที่จะทำอาหารและมีความสามารถที่จะไปเป็นเชฟได้ โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องผ่านโจทย์การทำอาหารทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีมในแต่ละสัปดาห์ รายการ Topchef รายการแข่งทำอาหารของ Chef ชื่อดัง", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "870478#89", "text": "ไทยแลนด์ หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่อง 3 หมวดหมู่:เรียลลิตีโชว์ หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2560", "title": "เดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ซีซัน 1" }, { "docid": "331906#1", "text": "โพลีพลัส เริ่มต้นจากการผลิตรายการเด็กที่ชื่อ 7-4-28 ต่อมาพัฒนารูปแบบ เป็นรายการ ที่นี่...มีเพื่อน ซึ่งจากรายการนี้ทำให้ได้รับรางวัล ผลงานสื่อมวลชนดีเด่น ครั้งที่ 12 ประเภทรายการโทรทัศน์ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการพิจารณาผลงานสื่อมวลชนดีเด่นเพื่อเยาวชน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2537 ได้รางวัลเมขลา สาขารายการโทรทัศน์สำหรับเด็กและเยาวชนดีเด่น เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2538 และ เกียรติบัตรจากคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2538 ปัจจุบัน โพลีพลัสได้ผลิตรายการโทรทัศน์หลากหลายประเภท เพื่อนำเสนอผ่านทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ และ สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ไม่ว่าจะเป็นเกมโชว์, ควิซโชว์, เรียลลิตีโชว์, ทอล์คโชว์ และวาไรตี้โชว์", "title": "โพลีพลัส" }, { "docid": "4801#64", "text": "ละครโทรทัศน์ กำลังรอออกอากาศที่ถ่ายทำพร้อมกลับมาอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ซีรีส์ต่างประเทศ ASIAN SERIES (ซีรีส์จีนและเกาหลี) - กำลังคัดเลือกออกอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ 9 SERIES (ซีรีส์จีนและเกาหลี) - กำลังคัดเลือกออกอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ KOREAN SERIES (ซีรีส์เกาหลี) - กำลังคัดเลือกออกอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ ซีรีส์อเมริกา/อินเดีย/ญี่ปุ่น/ยุโรป - กำลังคัดเลือกออกอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ รายการเกมโชว์ ยังไม่มีการประกาศใด ๆ จากทางช่อง รายการประเภทเรียลลิตีโชว์ ยังไม่มีการประกาศใด ๆ จากทางช่อง", "title": "เอ็มคอตเอชดี" }, { "docid": "21299#4", "text": "โดยมาก รายการเรียลลิตีโชว์ มักจะออกอากาศในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ ซึ่งเป็นเวลาทองของสถานีต่างๆ ทำให้มีความนิยมมาก โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในวัยเรียนจนถึงวัยทำงานที่นอนดึก ให้ได้ติดตามกัน แต่ก็มีบางรายการที่ออกอากาศในช่วงกลางวันเช่นกัน", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "21299#1", "text": "นักวิจารณ์บางท่านเห็นว่า การใช้คำว่าเรียลลิตีโชว์นี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทั้งนี้เพราะรายการโทรทัศน์แบบนี้จำนวนมากให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันไปอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่แปลกแตกต่างไปจากการใช้ชีวิตจริง จึงไม่น่าจะถือว่าเป็นชีวิตจริงของพวกเขา จากการวิจัยของ Nielsen Media Research พบว่ารายการเช่นนี้มีสัดส่วนถึงร้อยละ 56 ของรายการโชว์ทางโทรทัศน์ของอเมริกา (ทั้งรายการทางเคเบิลทีวี และรายการจากสถานีโทรทัศน์ปกติ) และยังมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 69 ของรายการโชว์ทางโทรทัศน์ทั่วโลก (ทั้งรายการทางเคเบิลทีวี และรายการจากสถานีโทรทัศน์ปกติ)", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "330907#0", "text": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เริ่มทำการผลิตรายการ \"เวทีทอง\" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เป็นรายการแรก ต่อมา บริษัทขยายการผลิตรายการและละครประเภทต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบ เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำเสนอออกอากาศมาโดยตลอดระยะเวลา 28 ปี ของการดำเนินงานธุรกิจผลิตและรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ โดยบริษัทมีทีมครีเอทีฟที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีประสบการณ์สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพ เช่น เกมโชว์, ควิซโชว์, เรียลลิตี้เกมโชว์, เรียลลิตี้เกมโชว์ควิซโชว์, เรียลลิตี้โชว์, วาไรอิตีโชว์, เกมโชว์ควิซโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน, เรียลลิตี้โชว์สำหรับสำหรับเด็กและเยาวชน, เกมโชว์ซิตคอม, ละครซิตคอม, วาไรตี้โชว์ซิตคอม, วาไรตี้โชว์วันหยุดนักขัตฤกษ์, ละครซิตคอมวันหยุดนักขัตฤกษ์, รายการวันหยุดนักขัตฤกษ์, ละครโทรทัศน์เรื่องยาว, วาไรอิตีโชว์และละครเรื่องยาว, ละครเทิดพระเกียรติ และ สารคดีทางโทรทัศน์ โดยนำไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ นั่นคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย, สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และ ช่องเวิร์คพอยท์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมทุกเพศทุกวัย โดยแต่ละรายการของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จ และยังได้รับรางวัลในหลากหลายสาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น รางวัลเมขลา, รางวัลโทรทัศน์ทองคำ, รางวัลศิลปินแห่งชาติ จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และรางวัลโทรทัศน์แห่งเอเชีย (เอเชี่ยนเทเลวิชั่นอวอร์ดส์) เป็นต้น รวมถึงยอดขายโฆษณาที่สม่ำเสมอของทางบริษัทฯ", "title": "รายชื่อผลงานของเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "21299#3", "text": "เรียลลิตีโชว์ประเภทกึ่งสารคดีจะมีลักษณะนำเสนอชีวิตส่วนต่างๆ ไม่มีบทพูด ไม่ใช่ลักษณะของเกม ตัวอย่างรายการดังเช่น MTV's Laguna Beach: The Real Housewives of Orange County เรียลลิตีโชว์ประเภทอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษจะมีลักษณะการสร้างสภาพแวดล้อมพิเศษให้คนมาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นด้วยกัน เช่น Temptation Island, The Real World และ Solitary เรียลลิตีโชว์ของดารา คนดังจะเผยชีวิตของดาราดัง ชีวิตประจำวันต่างๆ เช่น The Osbournes (ครอบครัวออสบอร์น), Newlyweds (เจสสิก้า ซิมพ์สัน และ นิค ลาเช่), Keeping Up With The Kardashian (ครอบครัวคาร์เดเชียน) ในที่นี่รวมถึงลักษณะรายการที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเฉพาะ เช่น ไฮโซบ้านนอก,ด้ายใจ(เป็นรายการ Reality Variety ซึ่งมีครอบครัวหนึ่งมาขอเล่น Reality โดยการพาคุณแม่ของบ้านไปพักร้อน แล้วคุณพ่อและคุณลูกต้องอยู่กันเอง) เป็นต้น เรียลลิตีโชว์ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจะเผยลักษณะการทำงานต่างๆ ของผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆเช่น COPS และ The Restaurant เป็นต้น เรียลลิตีเกมโชว์เป็นการแข่งขันเพื่อชิงรางวัล โดยมีโจทย์ต่างๆ ตามคอนเซ็บต์ของรายการ เช่น บิ๊ก บราเธอร์, ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย, เซอร์ไวเวอร์, ดิ อะเมซิ่ง เรซ, อัจฉริยะยกบ้าน, So You Think You Can Dance และ อเมริกันไอดอล,อัจฉริยะข้ามคืน เป็นต้น เรียลลิตีโชว์ประเภทหางานมีรางวัลเป็นงานที่ต้องการ เช่น The Apprentice, เดอะเฟซไทยแลนด์, อเมริกาส์ เน็กซ์ ท็อป โมเดล และ Hell's Kitchen เป็นต้น เรียลลิตีโชว์ประเภทกีฬานำส่วนประกอบกีฬามาเป็นคอนเซ็บต์หลัก เช่น The Contender (รายการนี้ผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบคนนึงฆ่าตัวตายหลังถูกคัดออก) เรียลลิตีโชว์ประเภทปรับปรุงตัวเอง /แปลงโฉมมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงตัวเอง เช่นการผ่าตัด การลดน้ำหนัก ให้ตัวเองดีขึ้น เช่น Extreme Makeover, Queer Eye For The Straight Guy, The Swan, The Biggest Loser และ Celebrity Fit Club เป็นต้น เรียลลิตีโชว์ประเภทนัดบอดจะนำผู้เข้าแข่งขันที่ไม่รู้จักกัน มานัดบอด ตามเงื่อนไขต่างๆ รายการประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่องเอ็มทีวี เช่น Dis-missed Wanna Comein และ พรหมลิขิต บทที่ 1 (รายการนี้ก่อนตอนจบจะออกอากาศได้ถูกทางช่องแบนเพราะมีเนื้อหาไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน)[รายการนี้ตอนออกอากาศยังไม่มีการจัดประเภทรายการจากกรมประชาสัมพันธ์] เรียลลิตีโชว์ประเภททอล์คโชว์อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของรายการ โดยนำผู้ร่วมรายการมาสัมภาษณ์ เช่น The Jerry Springer Show เรียลลิตีโชว์ประเภทซ่อนกล้อง (Hidden Camera)จะซ่อนกล้องไม่ให้ผู้ร่วมรายการรู้ตัว โดยอาจสร้างสถานการณ์ต่างๆ เช่น Candid Camera หรือ อาจจะรวมถึง MTV Punk'd เรียลลิตีโชว์ประเภทคนหาตัวจริงจะมีผู้เข้าแข่งขัน 1 คน และที่เหลือจะมีนักแสดงที่คัดเลือกมา ให้ผู้เข้าแข่งขันได้ใช้ชีวิตกับคนเหล่านั้นและหาตัวจริงตามลักษณะคอนเซ็บต์รายการ ตัวอย่างเช่น Boy Meets Boy และ Joe Millionaire เป็นต้น", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "922039#0", "text": "แดร็ก เรซ ไทยแลนด์ () เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ประกวดหา ไทยแลนด์แดร็กซูเปอร์สตาร์ คนแรกของไทย โดยให้เหล่าผู้แข่งขันได้โชว์ต่างๆ ทั้งโชว์เต้น โชว์ลิปซิงค์ การแสดงต่างๆ และในเรื่องของการแต่งหน้าทำผม รวมไปถึงการตัดเย็บเสื้อผ้าขณะแข่งอีกด้วย โดยกันตนาซื้อลิขสิทธิ์รายการ \"\" จากประเทศสหรัฐอเมริกา มาดัดแปลงและออกอากาศผ่านทางไลน์ทีวี ในซีซันแรกได้ อารยา อินทรา มาเป็นพิธีกรดำเนินรายการ โดยตอนแรกกำหนดออกอากาศในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561\"(อายุเป็นไปตามช่วงเวลาที่ถ่ายทำรายการ) \"", "title": "แดร็ก เรซ ไทยแลนด์" }, { "docid": "243376#0", "text": "เดอะมาสเตอร์ () เป็นรายการ เรียลลิตีโชว์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 21 มีนาคม พ.ศ. 2552 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ออกอากาศ 24 ชั่วโมงทาง ทรูวิชั่นส์ ช่อง 18 และมีรายการไฮไลท์ประจำวัน และคอนเสิร์ตทุกวันเสาร์ที่ช่อง 19 ทรูอินไซด์", "title": "เดอะมาสเตอร์" }, { "docid": "71378#2", "text": "เธอยังคงเป็นที่รู้จักจากรายการเรียลลิตีโชว์ของเธอเองในชื่อ เดอะแอนนานิโคลโชว์ (\"The Anna Nicole Show\") และยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ ยาลดน้ำหนัก ทริมสปา (TrimSpa) ซึ่งเธอกล่าวว่าช่วยให้เธอลดน้ำหนักลงได้ 31 กก. (69 ปอนด์)", "title": "แอนนา นิโคล สมิธ" }, { "docid": "21299#8", "text": "Realitythai.com เรียลลิตีไทย Pantip.com ห้องเรียลลิตีโชว์", "title": "เรียลลิตีโชว์" }, { "docid": "840008#52", "text": "นอกจากนี้วงยังมีรายการโทรทัศน์เป็นของตัวเองจำนวน 7 รายการ ได้แก่ BNK48 Senpai รายการสารคดีเกี่ยวกับช่วงระหว่างการคัดเลือกสมาชิก และชีวิตของแต่ละคนหลังการเข้าวง โดยช่วงหลังเป็นรายการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น มีสมาชิกจากวงเอเคบีโฟร์ตีเอตเป็นแขกรับเชิญ, BNK48 Show รายการวาไรตีที่ให้สมาชิกในวงเล่นเกมและมีช่วงให้สมาชิกแต่ละคนแสดงความสามารถพิเศษ ออกอากาศทางช่อง 3 เอสดี,[112] เพื่อนร่วมทาง The Journey รายการเรียลลิตีโชว์ที่ถ่ายทำในประเทศญี่ปุ่น โดยมีสมาชิก 4 คน คือ แจน ปัญ แก้ว และตาหวาน, อยากจะได้พบเธอ! ญี่ปุ่น รายการท่องเที่ยวตามสถานที่จริงในฉากอนิเมะ มีสมาชิก 6 คน คือ เจนนิษฐ์ เคท โมบายล์ ปูเป้ นิ้ง และเจน ออกอากาศช่องอมรินทร์ทีวี[157]", "title": "บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "953136#0", "text": "The Mask Project A รายการโทรทัศน์ประเภทเรียลลิตีโชว์มิวสิกโชว์และเป็นฤดูกาลพิเศษของรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ของประเทศไทยผลิตรายการโดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย กันต์ กันตถาวร เริ่มออกอากาศตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561 - 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561", "title": "The Mask Project A" } ]
3688
บาสเกตบอลเอ็นบีเอ ก่อตั้งเมื่อใด ?
[ { "docid": "25631#1", "text": "sociation, NBA) ก่อตั้งโดยรวบรวมทีมอาชีพชั้นนำ และทำให้กีฬาบาสเกตบอลระดับอาชีพได้รับความนิยมสูงขึ้น ปี พ.ศ. 2510 มีการจัดตั้งลีก<b data-parsoid='{\"dsr\":[978,990,3,3]}'>เอบีเอ (American Basketball Association, ABA) ขึ้นอีกลีกมาเป็นคู่แข่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ลีกทั้งสองก็ควบรวมกันในปี พ.ศ. 2519", "title": "บาสเกตบอล" }, { "docid": "6450#1", "text": "เอ็นบีเอ ก่อตั้งขึ้นที่นครนิวยอร์ก ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1946 ในชื่อ Basketball Association of America (BAA) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น National Basketball Association ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ. 1949 หลังจากการรวมตัวกับทีมจาก National Basketball League (NBL)", "title": "สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ" } ]
[ { "docid": "5424#35", "text": "อ็องรียังเป็นแฟนบาสเกตบอลในเอ็นบีเอ เขากับเพื่อน โทนี พาร์กเกอร์มักไปดูการแข่งขันในยามที่เขาไม่ได้แข่งขันฟุตบอล อ็องรีให้สัมภาษณ์ว่าเขาชื่นชอบบาสเกตบอล ที่คล้ายกับฟุตบอลเรื่องการวิ่งและความตื่นเต้น ที่ผ่านมาเขามักไปดูเอ็นบีเอนัดตัดสินเป็นประจำ โดยเคยไปดูพาร์กเกอร์แข่งให้กับทีมซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ ในนัดตัดสินเอ็นบีเอ 2007 และในนัดตัดสินเอ็นบีเอ 2001 เขาเดินทางไปฟิลาเดลเฟียเพื่อช่วยรายการโทรทัศน์ฝรั่งเศสทำรายการนัดตัดสิน และเพื่อดูอัลเลน ไอเวอร์สัน ที่เขาเคยบอกว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เขาชื่นชอบ", "title": "ตีแยรี อ็องรี" }, { "docid": "399290#0", "text": "ฮิวสตัน รอกเก็ตส์ เป็นทีมบาสเกตบอลในลีกเอ็นบีเอ ในเมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส เล่นอยู่ในดิวิชั่นภาคตะวันตกเฉียงใต้ในคอนเฟอเรนส์ตะวันตก เดิมทีเล่นอยู่ในเมืองแซนดิเอโก 4 ปี ก่อนย้ายมาที่เมืองฮิวสตัน นอกจากนี้ ฮิวสตัน รอกเก็ตส์ ยังเคยเป็นทีมของ เหยา หมิง นักบาสเกตบอลเอ็นบีเอชาวจีนที่มีชื่อเสียง", "title": "ฮิวสตัน รอกเก็ตส์" }, { "docid": "398954#0", "text": "บอสตัน เซลติกส์เป็นทีมบาสเกตบอลในลีกเอ็นบีเอ ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ เล่นอยู่ในดิวิชั่นแอตแลนติกในคอนเฟอเรนส์ตะวันออก บอสตัน เซลติกส์ เป็นทีมที่ได้แชมป์มากที่สุดคือ 17 สมัย ใช้สนามทีดีการ์เด้นเป็นสนามเหย้าร่วมกับทีมฮอกกี้น้ำแข็ง บอสตัน บรูนส์ ของลีกเอ็นเอชแอล ปัจจุบันบอสตันเซลติกส์เป็นเพียงหนึ่งในสองทีมที่ยังคงเล่นอยู่ในเมืองเดิมตั้งแต่ก่อตั้งทีม (อีกทีมคือ นิวยอร์ก นิกส์)", "title": "บอสตัน เซลติกส์" }, { "docid": "60395#0", "text": "ชิคาโก บูลส์ (English: Chicago Bulls) เป็นหนึ่งในทีมบาสเกตบอลที่ในการแข่งขันลีกเอ็นบีเอ เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1966 (พ.ศ. 2509) และสามารถคว้าแชมป์ในการแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอได้ถึง 6 สมัยในปี ค.ศ. 1991, ค.ศ. 1992, ค.ศ. 1993, ค.ศ. 1996, ค.ศ. 1997 และปี ค.ศ. 1998", "title": "ชิคาโก บูลส์" }, { "docid": "25631#48", "text": "เอ็นบีเอ - การแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา", "title": "บาสเกตบอล" }, { "docid": "137905#0", "text": "ทีมออล-เอ็นบีเอ (Associated Press All-NBA Team หรือเรียกย่อๆ ว่า All-NBA Team) เป็นการยกย่องนักบาสเกตบอลที่เก่งที่สุดในลีกเอ็นบีเอในแต่ละฤดูกาล โหวตโดยสมาชิกของสำนักข่าวเอพี (Associated Press) เมื่อฤดูกาลสิ้นสุดลง ซึ่งในปี พ.ศ. 2550 มีผู้ร่วมโหวต 129 คน การโหวตนี้เริ่มใช้ตั้งแต่การก่อตั้งลีกในฤดูกาล 1946-47 จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน ทีมออล-เอ็นบีเอ ในแต่ละปีจะประกอบไปด้วย ทีมที่หนึ่ง ทีมที่สอง และทีมที่สาม ทีมละ 5 คน รวมเป็นผู้เล่น 15 คน ", "title": "ทีมออล-เอ็นบีเอ" }, { "docid": "6450#5", "text": "รายชื่อนักกีฬาเอ็นบีเอในปัจจุบัน (ภาษาอังกฤษ) 50 ผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ", "title": "สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ" }, { "docid": "6450#20", "text": "นอกจากรางวัลรายบุคคลแล้ว ยังมีการจัดทีมโดยนำเอาผู้เล่นแต่ละตำแหน่งมารวมกัน ได้แก่ ทีมออล-เอ็นบีเอ (All-NBA), ทีมออล-ดีเฟนซีฟ (All-Defensive), และทีมออล-รูคกี (All-Rookie) โดยทีมออล-เอ็นบีเอ มีทั้งหมดสามทีม ทีมแรกประกอบด้วย การ์ด 2 คน, ฟอร์เวิร์ด 2 คน และ เซ็นเตอร์ 1 คนที่เก่งที่สุดในเอ็นบีเอ ส่วนทีมสองและทีมสามประกอบด้วยผู้เล่นทั้งห้าตำแหน่งนี้ที่เก่งรองลงมา ทีมออล-ดีเฟนซีฟ มีสองทีม ประกอบขึ้นจากนักบาสที่เก่งด้านเกมรับทีมละ 5 คน (โดยไม่มีการแบ่งตำแหน่งผู้เล่น) ส่วน ออล-รูกี ก็มีสองทีมเช่นเดียวกัน รวบรวมผู้เล่นหน้าใหม่ที่เก่งที่สุด 5 คน (ไม่มีการแบ่งตำแหน่งผู้เล่น)", "title": "สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ" }, { "docid": "6450#24", "text": "การดราฟท์เป็นการคัดเลือกผู้เล่นหน้าใหม่เพื่อเข้าเล่นในลีกเอ็นบีเอ ในปัจจุบันจะดราฟปลายเดือนมิถุนายน การดราฟท์จะมีทั้งหมดสองรอบ รอบละ 30 คน เท่ากับจำนวนทีมในเอ็นบีเอ ผู้เล่นที่ถูกดราฟท์ในรอบแรกจะได้เซ็นสัญญาอย่างน้อยหนึ่งปีกับทีม ส่วนผู้เล่นที่ถูกดราฟท์ในรอบสอง ทีมจะมีสิทธิ์ในตัวผู้เล่นสามปีแต่ไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาการเล่น", "title": "สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ" }, { "docid": "92008#8", "text": "หลังจากแย่งชิงเอาพรสวรรค์มาจากนักบาสเกตบอลเอ็นบีเอ เอเลี่ยนแคระทั้ง 5 ก็กลายสภาพจากเอเลี่ยนตัวเล็ก ๆ กลายเป็นมอนสเตอร์ยักษ์ ที่มีพลังและพรสวรรค์ต็มเปี่ยม ทำให้บั๊กส์ บันนี่และลูนีย์ทูนส์ต้องหาผู้ช่วยในการแข่งขันบาสเกตบอลกับเอเลี่ยนแคระ และไมเคิล จอร์แดนก็คือบุคคลที่จะมาช่วยเหลือเหล่าลูนีย์ทูนส์ ", "title": "สเปซแจม ทะลุมิติมหัศจรรย์" }, { "docid": "429714#0", "text": "เจเรมี ลิน () เกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1988 เป็นนักบาสเกตบอลอาชีพชาวอเมริกัน เล่นอยู่กับทีมนิวยอร์ก นิกส์ ในเอ็นบีเอ ลินถือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอที่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เล่นในลีกที่มีเชื้อสายจีนหรือไต้หวัน เขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด คณะเศรษฐศาสตร์ เกมส์ที่เค้าชอบเล่นคือ DOTA2", "title": "เจเรมี ลิน" }, { "docid": "398975#0", "text": "เดนเวอร์ นักเก็ตส์ เป็นทีมบาสเกตบอลในลีกเอ็นบีเอ ในเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เล่นอยู่ในดิวิชั่นภาคตะวันตกเฉียงเหนือในคอนเฟอเรนส์ตะวันออก เริ่มแรกคือทีม \"เดนเวอร์ รอกเก็ตส์\" ซึ่งเล่นอยู่ในลีกเอบีเอ ต่อมาในปี ค.ศ. 1976 จึงเข้าร่วมลีกเอ็นบีเอ", "title": "เดนเวอร์ นักเก็ตส์" }, { "docid": "399100#0", "text": "นิวยอร์ก นิกส์ เป็นทีมบาสเกตบอลในลีกเอ็นบีเอ ในเมืองนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก เล่นอยู่ในดิวิชั่นแอตแลนติกในคอนเฟอเรนส์ตะวันออก เดิมทีเล่นอยู่ในลีกบีเอเอ กระทั่งมีการรวมลีกจึงย้ายมาเล่นในเอ็นบีเอ นิวยอร์ก นิกส์ เป็นเพียงสองทีมในปัจจุบันที่ยังคงเล่นอยู่ในเมืองเดิมตั้งแต่ก่อตั้งทีม (อีกทีมคือ บอสตัน เซลติกส์)", "title": "นิวยอร์ก นิกส์" }, { "docid": "398955#0", "text": "คลีฟแลนด์แควาเลียส์เป็นทีมบาสเกตบอลในลีกเอ็นบีเอ ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ เล่นอยู่ในดิวิชั่นภาคกลางในคอนเฟอเรนส์ตะวันออก\nคลีฟแลนด์แควาเลียส์ เป็นทีมที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในปี ค.ศ. 1970 จากการขยายเอ็นบีเอ นอกจากนี้ คลีฟแลนด์แควาเลียส์ ยังเคยเป็นทีมของ เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลเอ็นบีเอ ที่มีชื่อเสียง", "title": "คลีฟแลนด์แควาเลียส์" }, { "docid": "39857#0", "text": "เกมรวมดาราเอ็นบีเอ () เป็นการแข่งขันบาสเกตบอลที่จัดโดยเอ็นบีเอ เกมจะจัดในช่วงกลางฤดูกาล (ซึ่งปัจจุบันอยู่ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์) ของทุกปี มีการแข่งขันกันหนึ่งเกมระหว่างทีมตะวันออกกับทีมตะวันตก ซึ่งใช้โค้ชและผู้เล่นจากคอนเฟอร์เรนซ์ตะวันออกและตะวันตกตามลำดับ เริ่มแข่งครั้งแรกเมื่อ 2 มีนาคม พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951)", "title": "เกมรวมดาราเอ็นบีเอ" }, { "docid": "6450#0", "text": "เอ็นบีเอ (NBA) ย่อมาจาก National Basketball Association เป็นชื่อของลีกบาสเกตบอลอาชีพในอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีนักกีฬาบาสเก็ตบอลชั้นนำของโลกเล่นอยู่ในเอ็นบีเอนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้มาตรฐานระดับการแข่งขันนั้นถือว่าอยู่ในระดับสูง สัญลักษณ์ประจำเอ็นบีเอนั้น เป็นภาพเงาของ เจอร์รี เวสต์ (อดีตผู้จัดการทั่วไปของทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ และทีมเมมฟิส กริซลีส์)", "title": "สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ" }, { "docid": "399139#0", "text": "ออร์แลนโด แมจิก เป็นทีมบาสเกตบอลในลีกเอ็นบีเอ ในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา เล่นอยู่ในดิวิชั่นภาคตะวันออกเฉียงใต้ในคอนเฟอเรนส์ตะวันออก เป็นหนึ่งในสี่ทีมที่เพิ่มขึ้นมาจากการขยายเอ็นบีเอในช่วง ค.ศ. 1988-1989", "title": "ออร์แลนโด แมจิก" }, { "docid": "25631#8", "text": "ความนิยมกีฬาชนิดนี้ทั่วโลกสังเกตได้จากสัญชาติของผู้เล่นในเอ็นบีเอ จะสามารถพบนักกีฬาจากทั่วทุกมุมโลก สตีฟ แนช (Steve Nash) ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในเอ็นบีเอปี พ.ศ. 2548 เป็นชาวแคนาดาที่เกิดที่ประเทศแอฟริกาใต้ ดาราดังของทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ เดิร์ก โนวิตสกี (Dirk Nowitzki) ก็เกิดในประเทศเยอรมนีและเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนี", "title": "บาสเกตบอล" }, { "docid": "926675#0", "text": "สมาคมบาสเกตบอลหญิงแห่งชาติ () หรือย่อ ดับเบิลยูเอ็นบีเอ (WNBA) เป็นชื่อของลีกบาสเกตบอลอาชีพหญิงในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันประกอบด้วยทีมงาน 12 ทีม ก่อตั้งขึ้น ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1996 เป็นคู่ของหญิงในสมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA) และเริ่มต้นเล่นในปี ค.ศ. 1997 ในฤดูกาลปกติจะเล่นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงกันยายน โดยมี All Star game เล่นผ่านฤดูกาลในเดือนกรกฎาคม และWNBA Finals ในช่วงปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนตุลาคม", "title": "สมาคมบาสเกตบอลหญิงแห่งชาติ" }, { "docid": "399374#0", "text": "โทรอนโต แร็ปเตอร์ส เป็นทีมบาสเกตบอลในลีกเอ็นบีเอ ในเมืองโทรอนโต รัฐออนแทรีโอ ในประเทศแคนาดา เล่นอยู่ในโซนแอตแลนติกในสายตะวันออก เป็นทีมที่ถูกเพิ่มขึ้นมาจากการขยายเอ็นบีเอเข้าไปในแคนาดาในปี ค.ศ. 1995 พร้อมกับทีมแวนคูเวอร์ กริซลีส์", "title": "โทรอนโตแร็ปเตอส์" }, { "docid": "76701#7", "text": "ในปี 2011 เอเคบีโฟร์ตีเอต ได้ก่อตั้งวงน้องสาวนอกประเทศญี่ปุ่นวงแรกในชื่อ เจเคทีโฟร์ตีเอต (JKT48) ซึ่งประจำอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตามด้วยวงน้องสาวที่ประเทศจีน เอสเอ็นเอชโฟร์ตีเอต (SNH48) ประจำเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ภายหลังเอเคบีได้ยกเลิกสัญญาไม่ให้เป็นวงน้องสาวอีกต่อไปตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2016 ซึ่งเอสเอ็นเอชก็ได้ประกาศเช่นกันว่าตนเองไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเอเคบีมาตั้งแต่แรกและไม่เคยทำสัญญาใด ๆ กับทางวงมาก่อน นอกจากนี้ วงยังได้ประกาศจัดตั้งวงน้องสาววงใหม่อีก 3 วงด้วยกันในเดือนมีนาคม 2016 ได้แก่บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต (BNK48) ประจำกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย, เอ็มเอ็นแอลโฟร์ตีเอต (MNL48) ประจำกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์, และทีพีอีโฟร์ตีเอต (TPE48) ประจำกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน", "title": "เอเคบีโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "60395#1", "text": "ทีมชิคาโก บูลส์ เป็นทีมบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่ก่อตั้งขึ้นเป็นทีมที่สาม ถัดจากชิคาโก สแต็กส์ (Stags) ซึ่งเล่นระหว่างปี ค.ศ. 1946 ถึง 1950 และ ชิคาโก แพ็กเกอร์ (Packer) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เซไฟร์ (Zephyrs) และย้ายไปอยู่เมืองบัลติมอร์ (ปัจจุบันคือ วอชิงตัน วิซาร์ดส์) ชิคาโก บูลส์ เริ่มลงสนามในการแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอครั้งแรก ในฤดูกาล ค.ศ. 1966-67 ซึ่งตลอดระยะเวลาในการทำการแข่งขันชิคาโก บูลส์ ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ชิคาโก บูลส์ เป็นที่รู้จักเรื่องเกมรับที่แข็ง มีผู้เล่นมีชื่อเสียงหลายคนหลายคน เช่น บ็อบ เลิฟ (Bob Love), นอร์ม แวนเลียร์ (Norm Van Lier), เจอร์รี่ สโลน (Jerry Sloan) แต่ทีมสามารถคว้าอันดับหนึ่งในดิวิชันเพียงครั้งเดียวและไม่เคยเข้าถึงรอบไฟนอลในเพลย์ออฟได้เลย", "title": "ชิคาโก บูลส์" }, { "docid": "60395#26", "text": "หมวดหมู่:ทีมบาสเกตบอล หมวดหมู่:เอ็นบีเอ หมวดหมู่:สโมสรกีฬาที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2509", "title": "ชิคาโก บูลส์" }, { "docid": "28680#4", "text": "ผู้เล่นที่สูงที่สุดเท่าที่เคยเล่นในเอ็นบีเอ คือ จอร์จ มูเรซาน (Gheorghe Muresan) สูง 7 ฟุต 7 นิ้ว (2.31 เมตร) ส่วนผู้เล่นที่สูงที่สุดในประวัติดับบลิวเอ็นบีเอคือ มาร์โก ไดเด็ก (Margo Dydek) สูง 7 ฟุต 2 นิ้ว (2.18 เมตร) เธอยังสูงกว่าแชคิล โอนีลด้วยซ้ำ", "title": "เซ็นเตอร์ (บาสเกตบอล)" }, { "docid": "184803#0", "text": "เหยา หมิง () เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1980 เป็นนักบาสเกตบอลอาชีพชาวจีน เล่นให้กับทีมฮิวสตัน รอกเก็ตส์ ในเอ็นบีเอ เขายังเป็นนักกีฬาที่สูงที่สุดในเกมรวมดาราเอ็นบีเอ ด้วยความสูง 7 ฟุต 6 นิ้ว (229 ซม)", "title": "เหยา หมิง" }, { "docid": "92008#7", "text": "เหล่าตัวการ์ตูนลูนีย์ทูนส์ที่หายไปจากจอโทรทัศน์ กำลังประชุมเกี่ยวกับการกลายเป็นนักโทษของเหล่าเอเลี่ยนแคระ ที่จะพาทั้งหมดไปยังสวนสนุกโมรอน บั๊กส์ บันนี่ขอต่อรองเหล่าเอเลี่ยนแคระด้วยการแข่งขันบาสเกตบอล ถ้าผลการแข่งขันออกมาแพ้ ลูนีย์ทูนส์ทั้งหลายจะต้องกลายเป็นนักโทษและของเล่นชิ้นใหม่ของสวนสนุกโมรอน แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นพวกเอเลี่ยนแคระทั้งหมด แย่งชิงเอาพรสวรรค์ด้านบาสเกตบอลจากนักกีฬาบาสเกตบอลเอ็นบีเอทั้ง 5 คนในการแข่งขันลีกเอ็นบีเอ", "title": "สเปซแจม ทะลุมิติมหัศจรรย์" }, { "docid": "22561#2", "text": "ดอกเตอร์เจ เล่นบาสเกตบอลอาชีพให้กับทีม เวอร์จิเนีย สไควร์ส และ นิวยอร์ก เนตส์ ในลีกเอบีเอ และ เล่นให้กับทีม ฟิลลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอรส์ ในลีกเอ็นบีเอ เขาชนะเลิศการแข่งชิงแชมป์เอ็นบีเอ 3 ครั้ง และได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า 4 ครั้ง และรางวัลผู้เล่นทำคะแนนสูงสุด 3 ครั้ง เขามีสถิติในการทำคะแนนสูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของกีฬาบาสเกตบอล โดยทำคะแนนได้ 30,026 แต้ม", "title": "จูเลียส เออร์วิง" }, { "docid": "100314#0", "text": "แซน แอนโตนิโอ สเปอร์ส () เป็นทีมบาสเกตบอลอาชีพในลีกเอ็นบีเอของสหรัฐอเมริกา อยู่เมืองแซน แอนโตนิโอ รัฐเท็กซัส ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) เดิมอยู่ลีกเอบีเอ สเปอร์สเป็นทีมเดียวที่มาจากเอบีเอที่เคยได้แชมป์เอ็นบีเอ โดยได้แชมป์ทั้งหมด 4 สมัย และเมื่อนับสถิติการเล่นจากอดีตจนถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 สเปอร์สมีสถิติเปอร์เซนต์ชนะสูงเป็นอันดับที่สองรองจากทีมลอส แอนเจลิส เลเกอร์ส และพลาดการเล่นเพลย์ออฟเพียงสี่ฤดูกาลเท่านั้น", "title": "ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์" }, { "docid": "92008#2", "text": "สเปซแจม ทะลุมิติมหัศจรรย์ เป็นเรื่องราวของเด็กชายไมเคิล จอร์แดน ที่ชื่นชอบกีฬาบาสเกตบอล ตั้งแต่ในสมัยวัยเด็ก จอร์แดนใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลและเล่นให้กับทีมนอร์ธแคโรไลน่าและเอ็นบีเอ จากชีวิตในวัยเด็กที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล ทำให้จอร์แดนประสบความสำเร็จกับกีฬาชนิดนี้กับการเล่นในลีกเอ็นบีเอ สังกัดทีมชิคาโก บูลส์จนถึงจุดอิ่มตัวของการเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล จอร์แดนประกาศเลิกเล่นบาสเกตบอลอาชีพและหันไปเล่นกีฬาเบสบอลเหมือนกับพ่อของเขาแทน", "title": "สเปซแจม ทะลุมิติมหัศจรรย์" } ]
3030
มหาภารตะ เขียนโดยใคร ?
[ { "docid": "31531#1", "text": "ตามตำนานกล่าวว่าผู้แต่งมหากาพย์เรื่องนี้คือ ฤๅษีกฤษณไทวปายน หรือฤๅษีวยาส เชื่อกันว่าแต่งไว้ราว 800-900 ปีก่อนคริสต์ศักราช[1] นับเป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลก[2] ด้วยมีจำนวนคำ 1.8 ล้านคำ นับว่ายาวกว่ามหากาพย์อีเลียด หรือมหากาพย์โอดิสซี ของกรีกโบราณ[1] มีเนื้อหาซับซ้อน เล่าเรื่องอันยืดยาวที่เกี่ยวข้องกับเทพปกรณัม การสงคราม และหลักปรัชญาของอินเดีย ทั้งนี้ยังมีเรื่องย่อย ๆ แทรกอยู่มากมาย ซี่งหลายเรื่องก็เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเมืองไทย เช่น ภควัทคีตา ศกุนตลา สาวิตรี พระนล กฤษณาสอนน้อง อนิรุทธ์ เป็นต้น ทั้งนี้ ยังถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของศาสนาฮินดูด้วย นอกจากนี้ มหาภารตะนี้ยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ศาสนา การเมือง ศิลปะหลายแขนง ประวัติความเป็นมาของวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ในเรื่อง และธรรมเนียมประเพณีการรบการสงครามของอินเดียยุคโบราณด้วย", "title": "มหาภารตะ" } ]
[ { "docid": "317172#0", "text": "นางอุตตรา เป็นตัวละครในมหาภารตะ เป็นพระธิดาของท้าววิราฏแห่งมัสตยะ และเป็นชายาของเจ้าชายอภิมันยุ มีโอรสด้วยกันคือ เจ้าชายปริกษิต", "title": "นางอุตตรา (มหาภารตะ)" }, { "docid": "31531#10", "text": "มหาภารตยุทธ์ แปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับของ ฐากูรราเชนทรสิงห์ โดย ร.อ.หลวงบวรบรรณรักษ์ (นิยม รักไทย) พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2460 สงครามภารตะคำกลอน แต่งเป็นกลอนสุภาพ โดย พระยาอุปกิตศิลปสาร เนื่องในโอกาสสมโภชพระนครครบ 150 ปี พ.ศ. 2475 มหาภารตะยุทธ เป็นการเล่าเรื่องมหาภารตะโดยสังเขป แบ่งเนื้อหาเป็นบรรพต่าง ๆ ตามเรื่องเดิม เรียบเรียงโดย กรุณา - เรืองอุไร กุศลาศัย ศึกมหาภารตะ เป็นการเล่าเรื่องมหาภารตะในรูปแบบการ์ตูน ผลงานของอารีเฟน ฮะซานี เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เป็นหนังสือปกแข็งเรียบเรียงโดย วีระ ธีรภัทร จัดพิมพ์ 4 เล่ม คือ กำเนิดพี่น้องเการพ-ปาณฑพ เหตุแห่งสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร สงครามบนทุ่งกุรุเกษตร และ อวสานสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ (ซีดี) เป็นการรวบรวมเรื่องมหาภารตะที่ วีระ ธีรภัทร เล่าผ่านทางรายการวิทยุ ปัจจุบันมี 64 แผ่นและยังไม่มีกำหนดทำเพิ่ม ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนสงครามจบในวันที่สิบแปด โดยมีการเล่าเรื่องแทรกและเกร็ดต่างๆแทรกอยู่เป็นระยะ", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "344389#0", "text": "มหาภารตะ (เทวนาครี:महाभारत (टीवी धारावाहिक) อังกฤษ: Mahabharat) เป็นละครอินเดียที่เคยมาฉายที่ ช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2533 เป็นการเล่าของมหาภารตะ ทั้งแต่ต้นเรื่อง จนถึงจบเรื่อง และ กล่าวถึง ภควัทคีตา ที่ พระกฤษณะ แสดงให้กับ อรชุน ให้ สนามรบ ตอน สงครามทุ่งกุรุเกษตร ละครอินเดียนี้ นำแสดงโดย นิทิช ภารทวาช", "title": "มหาภารตะ (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2531)" }, { "docid": "344468#0", "text": "นิตีศ ภารทวาช () เป็นนักแสดงละครทางโทรทัศน์ของอินเดีย ละครเด่น ๆ ของเขา คือ มหาภารตะ และ พระมหาวิษณุ ผู้หยั่งรู้ ซึ่งบทบาทการแสดงที่ทำให้เขาภูมิใจและมีชื่อเสียงจนทุกคนจำเขาได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือ บทบาทที่เขา แสดงเป็น พระกฤษณะ ในเรื่องมหาภารตะ", "title": "นิตีศ ภารทวาช" }, { "docid": "867575#0", "text": "มหาภารตะ () เป็นละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงสงครามมหาภารตะ ระหว่างราชวงศ์เการพ กับราชวงศ์ปาณฑพ ละครเรื่องสร้างขึ้นโดยรีเมคจากละครเรื่อง มหาภารตะ ที่ออกอากาศในปี พ.ศ. 2531 นำแสดงโดย ซอรับห์ ราจ เจน, ชาเฮียร์ ชีคห์, พูจา ชาร์มา, อฮัม ชาร์มา ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5เป็นตอนแรกในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558", "title": "มหาภารตะ (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2556)" }, { "docid": "31531#3", "text": "มหาภารตะประกอบด้วยบรรพ (อ่านว่าบับ หรือ บับ-พะ แปลว่า ภาคหรือบท) ทั้งหมด 18 บรรพ ดังนี้", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "964903#1", "text": "มหาภารตะ กล่าวถึงสงครามระหว่าง ตระกูลปาณฑพ ซึ่งประกอบไปด้วยพี่น้อง 5 คน พร้อมด้วยพระนางเทราปตี ชายาของพี่น้องทั้งห้า และตระกูลเการพ ซึ่งมีพี่น้องร้อยคน สงครามครั้งยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นจากความละโมบของกษัตริย์ตระกูลเการพ ที่คิดจะยึดครองดินแดนไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว จึงออกอุบายหลอก ยุธิษฐิระ พี่ใหญ่แห่งตระกูลปาณฑพ ผู้ซึ่งหลงใหลในการพนัน ด้วยเกมทอยลูกเต๋าจนเสียพนันทรัพย์สมบัติและดินแดนทั้งหมดที่มีอยู่ รวมถึงการถูกเนรเทศให้ไปอาศัยอยู่ในป่าห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเวลา 30 ปี โดยตระกูลเการพสัญญาว่าจะคืนดินแดนให้เมื่อครบกำหนด แต่เมื่อถึงเวลา 13 ปีทางตระกูลเการพกลับผิดสัญญา จึงทำให้เกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง เส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่วกลับเลือนหายไป คนดีก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง ส่วนคนชั่วก็ไม่ได้ชั่วไปหมดทุกอย่าง เป็นเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? พบกับคำตอบได้ในละครเรื่อง \"มหาภารตะ\"", "title": "มหาภารตะ (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2556)" }, { "docid": "31531#0", "text": "มหาภารตะ (Sanskrit: महाभारत มหาภารต) บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า ภารตะ เป็นหนึ่งในสอง ของ มหากาพย์ ที่ยิ่งใหญ่ของ อินเดีย (มหากาพย์อีกเรื่องคือ รามายณะ) ประพันธ์เป็นโศลกภาษาสันสกฤต มหากาพย์เรื่องนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ \"อิติหาส\" (แปลตามศัพท์ว่า \"ประวัติศาสตร์\") และเป็นส่วนหนึ่งทึ่สำคัญยิ่งของ เทพปกรณัมในศาสนาฮินดู", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "31531#23", "text": "อภิปรายเรื่องมหาภารตะฉบับภาษาอินโดนีเซีย", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "31531#20", "text": "มหาภารตะฉบับย่อ (in English)", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "36010#9", "text": "ในพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 เป็นยุคที่เริ่มมีวรรณคดีพื้นบ้านในภาษาชวา เช่น สัง ฮยัง กะมาฮะยานีกัน ที่ได้รับมาจากพุทธศาสนา และ กากาวัน รามายานา ที่มาจากรามายณะฉบับภาษาสันสกฤต แม้ว่าภาษาชวาจะใช้เป็นภาษาเขียนทีหลังภาษามลายู แต่วรรณคดีภาษาชวายังได้รับการสืบทอดจนถึงปัจจุบัน เช่นวรรณคดีที่ได้รับมาจากรามายณะและมหาภารตะยังได้รับการศึกษาจนถึงทุกวันนี้ ", "title": "ภาษาชวา" }, { "docid": "31531#24", "text": "หมวดหมู่:มหากาพย์ หมวดหมู่:มหาภารตะ หมวดหมู่:วรรณคดีภาษาสันสกฤต หมวดหมู่:บทความที่ขาดกล่องข้อมูล", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "31531#4", "text": "ฝ่ายเการพที่มีกำลังรบ 11 อักเษาหิณี เหลือรอดชีวิตแค่ 4 คน ได้แก่กฤปาจารย์,กฤตวรมัน,อัศวัตถามา และวฤษเกตุ บุตรชายของกรรณะ(พี่น้องเการพไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเลย นอกจากเจ้าหญิงทุหศาลา) โอรสของท้าวธฤตราษฎร์องค์เดียวที่รอดชีวิตคือ ยุยุตสุ (เกิดแต่นางกำนัล) ซึ่งย้ายไปอยู่กับฝ่ายปาณฑพก่อนเข้าร่วมสงคราม ฝ่ายปาณฑพที่มีกำลังรบ 7 อักเษาหิณี เหลือรอดชีวิต 8 คน ได้แก่พี่น้องปาณฑพทั้ง5คน,พระกฤษณะ,ยุยุตสุ และสาตยกีและชนะสงคราม", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "294500#1", "text": "ในหนังสือพระนลคำหลวง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวระบุว่า พิรุณเป็นนามของพระสุริยะ เป็นลูกนางอทิติ เป็นเทพแห่งความเป็นธรรม พระพิรุณยอมรู้ว่าผู้ใดทำอะไร ย่อมรู้ว่าผู้ใดกะพริบตากี่ครั้ง ใครทำบาป เมื่อมีผู้ทำบาปพระพิรุณจักใช้บ่วงคล้องผู้นั้นไปหาพญายมราชเพื่อนำไปลงทัณฑ์ ในพระเวทเรียก \"เจ้าฟ้าอันอยู่ทั่วไป\" ภายหลังได้ฉายาว่า \"สินธุปติ\" แปลว่า \"เจ้าน้ำทั่วไป\" ในมหาภารตะ พระพิรุณเป็นบุตรพระฤๅษีกรรทม พรหมบุตร พระพิรุณในความเชื่อของคนไทยว่าเป็นผู้ให้ฝน ให้น้ำ ถือพระขรรค์ ทรงพญานาค หรือมกร เป็นพาหนะ จึงเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวกับการเกษตร อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์", "title": "พระพิรุณ" }, { "docid": "996877#1", "text": "เขาคือนักแสดงชายผู้มีชื่อเสียงจากการรับบทเป็นเทพเจ้าต่าง ๆ จากละครชุดแนวตำนานจินตนิมิต ไม่ว่าจะเป็นพระวิษณุจากเรื่อง \"พระกฤษณะ\" (\"Jai Shri Krishna\", ค.ศ. 2008) และ \"ศิวะ พระมหาเทพ\" (ค.ศ. 2011), พระกฤษณะซึ่งเป็นร่างอวตารของพระวิษณุ จากเรื่อง \"มหาภารตะ\" (ค.ศ. 2013) และล่าสุดคือพระศิวะ จาก \"มหากาลี เทวีพิทักษ์โลก\" (ค.ศ. 2017) เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 1985 ที่เมืองนิวเดลี ปัจจุบันเขาแต่งงานแล้วและมีลูกเป็นฝาแฝด ในช่วงเริ่มต้นการแสดง เขาประสบปัญหาอย่างมาก เนื่องจากตนเองมีรูปร่างสูงใหญ่กว่า 191 เซนติเมตร ทำให้ยากต่อการหานักแสดงหญิงที่ต้องมาเล่นคู่ด้วย แต่ด้วยความสามารถด้านการแสดงที่มีมากกว่า ทำให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคเรื่องนี้ไปได้ในเวลาต่อมา และเริ่มรับงานครั้งแรกในบทบาทสมทบตอนอายุ 19 ปี ก่อนที่จะมีชื่อเสียงจนเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากจากบทพระกฤษณะผู้ปราดเปรื่องจากเรื่อง \"มหาภารตะ\"", "title": "เสารภ ราช ไชนะ" }, { "docid": "10347#3", "text": "ไม่มีหลักฐานข้อมูลใด ๆ ในงานของนักประพันธ์ที่แสดงว่าควรจะได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอย่างแรกในเรื่องของการเดินทางข้ามเวลา เนื่องจากจำนวนของผลงานการเขียนของนักประพันธ์ในช่วงยุคต้น ๆ มีองค์ประกอบที่คลุมเครือไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางในเรื่องของการเดินทางข้ามเวลา ในนิทานพื้นบ้านโบราณและตำนานที่เกี่ยวข้องบางอย่างเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คล้ายกับการเดินทางข้ามเวลาไปในอนาคต ตัวอย่างเช่น ในตำนานของศาสนาฮินดู, มหากาพย์เรื่องมหาภารตะกล่าวถึงเรื่องราวของกษัตริย์ ริไวตะ (Revaita), ผู้ซึ่งได้เดินทางไปสวรรค์เพื่อพบกับพระพรหมผู้สร้างโลกและก็ต้องตกใจที่รู้ว่ากาลเวลาได้ผ่านไปนานมากเมื่อเขากลับมายังโลก [4][5]", "title": "การเดินทางข้ามเวลา" }, { "docid": "31531#22", "text": "บทความเกี่ยวกับมหาภารตะ (in English)", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "121796#0", "text": "อารีเฟน ฮะซานี หรือในนามปากกา เฟน สตูดิโอ (เกิด 17 มิถุนายน พ.ศ. 2500) นักเขียนการ์ตูนชาวไทย ประจำสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ในหนังสือการ์ตูนมหาสนุก สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ รามาวตาร และ ศึกมหาภารตะ", "title": "อารีเฟน ฮะซานี" }, { "docid": "31531#9", "text": "งานแปลหรือดัดแปลงเนื้อหาจากมหาภารตะทั้งหมด", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "908700#0", "text": "นอกจากนี้ มหาภารตะ ยังสามารถหมายถึง:", "title": "มหาภารตะ (แก้ความกำกวม)" }, { "docid": "493301#4", "text": "เชิงเขาไกรลาส เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญหลายสายของภูมิภาคแห่งนี้ ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ และยังมีทะเลสาบอีก 7 แห่งอยู่รายรอบ ซึ่งแห่งที่สำคัญ คือ \"ทะเลสาบมานสโรวระ\" หรือ \"ทะเลสาบมานัสสะ\" อยู่ทางเหนือของเขาไกรลาส ที่เชื่อกันว่า คือ \"สระอโนดาต\" ในป่าหิมพานต์ เชื่อกันว่าเป็นสถาน ๆ ที่เป็นต้นกำเนิดของหงส์ และหงส์จะบินกลับมาที่นี่ทุกปี ทะเลสาบมานัส ได้ถูกอ้างอิงถึงในรามายณะและมหาภารตะ ที่ระบุว่า \"ทะเลสาบมานัสอันศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้แต่ใครได้ถูกต้องสัมผัสหรือนำเอามาล้างร่างกายหรือได้อาบน้ำในทะเลสาบนี้ ผู้นั้นจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์ และถ้าใครได้ดื่มน้ำในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์นี้ ก็จะได้ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ใกล้ที่สถิตของพระศิวะ\"", "title": "เขาไกรลาส" }, { "docid": "31531#8", "text": "ในประเทศไทยมีผลงานเกี่ยวกับมหาภารตะในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "964903#0", "text": "มหาภารตะ () เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่กล่าวถึงสงครามมหาภารตะ ระหว่างราชวงศ์เการพ กับราชวงศ์ปาณฑพ กำกับโดย อมาน ข่าน มีเค้าโครงเรื่องมาจาก วรรณกรรมภาษาสันสกฤตเรื่อง มหาภารตะ ให้เสียงพากย์โดยนักแสดงชั้นนำของอินเดียมากมาย อาทิ อมิตาภ พัจจัน, อชัย เทวคัน, วิทยา พาลัน, ซันนี่ ดอล, อนิล คาปัวร์, แจ็กกี ชรอฟฟ์, มาโนช บัจพายี, ธิบดี พาวัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกจำหน่ายในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ ตรงกับวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าลงทุนสร้างสูงที่สุดในวงการภาพยนตร์แอนิเมชันของประเทศอินเดีย", "title": "มหาภารตะ (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2556)" }, { "docid": "91675#2", "text": "ในราวพุทธศตวรรษที่ 21 – 22 ถุนชัถถุ รมนุชัน เอซุถาชัน เขียนเอกสารฉบับแรกที่ใช้อักษรครันถะ-มาลายาลัม ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของภาษามาลายาลัม และใช้ในการแปลรามายณะและมหาภารตะมาเป็นภาษามาลายาลัม", "title": "ภาษามาลายาลัม" }, { "docid": "159030#0", "text": "อรชุน (เทวนาครี : अर्जुन) เป็นหนึ่งในตัวละครเอกในมหากาพย์มหาภารตะ ชื่อนี้หมายถึง สว่าง ส่องแสง ขาว หรือ เงิน อรชุนเป็นนักยิงธนูที่มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครเทียบได้ เป็นพี่น้องคนที่สามในบรรดาปาณฑพทั้งห้า เป็นลูกของนางกุนตี ภรรยาคนแรกของปาณฑุ และเป็นคนเดียวในพี่น้องปาณฑพที่ได้รับพรและอาวุธวิเศษจากเทพเจ้ามากที่สุดด้วย ", "title": "อรชุน" }, { "docid": "867575#1", "text": "มหาภารตะ กล่าวถึงสงครามระหว่าง ตระกูลปาณฑพ ซึ่งประกอบไปด้วยพี่น้อง 5 คน พร้อมด้วยพระนางเทราปตี ชายาของพี่น้องทั้งห้า และตระกูลเการพ ซึ่งมีพี่น้องร้อยคน สงครามครั้งยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นจากความละโมบของกษัตริย์ตระกูลเการพ ที่คิดจะยึดครองดินแดนไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว จึงออกอุบายหลอก ยุธิษฐิระ พี่ใหญ่แห่งตระกูลปาณฑพ ผู้ซึ่งหลงใหลในการพนัน ด้วยเกมทอยลูกเต๋าจนเสียพนันทรัพย์สมบัติและดินแดนทั้งหมดที่มีอยู่ รวมถึงการถูกเนรเทศให้ไปอาศัยอยู่ในป่าห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเวลา 30 ปี โดยตระกูลเการพสัญญาว่าจะคืนดินแดนให้เมื่อครบกำหนด แต่เมื่อถึงเวลา 13 ปีทางตระกูลเการพกลับผิดสัญญา จึงทำให้เกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง เส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่วกลับเลือนหายไป คนดีก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง ส่วนคนชั่วก็ไม่ได้ชั่วไปหมดทุกอย่าง เป็นเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? พบกับคำตอบได้ในละครเรื่อง \"มหาภารตะ\"", "title": "มหาภารตะ (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2556)" }, { "docid": "31531#2", "text": "มหาภารตะ เป็นเรื่องราวความขัดแย้งของพี่น้องสองตระกูล ระหว่าง ตระกูลเการพ และตระกูลปาณฑพ ซึ่งทั้งสองตระกูลต่างก็สืบเชื้อสายมาจากท้าวภรต แห่ง กรุงหัสตินาปุระ จนบานปลายไปสู่มหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ซึ่งมีพันธมิตรของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมรบด้วยเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่านี่คือการต่อสู้ระหว่าง ฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ความดีและความชั่ว ซึ่งในที่สุดแล้ว ฝ่ายปาณฑพก็เป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้", "title": "มหาภารตะ" }, { "docid": "948591#9", "text": "\"มหาภารตะ\" ว่า การถูกฤษีวสิษฐะสาปให้เป็นรากษส ทำให้พระเจ้ากัลมาษบาททรงเคียดแค้นฤษีวสิษฐะและวงศ์วานยิ่งนัก พระองค์ทรงจับลูกหลานของฤษีวสิษฐะมาสังหารและเสวยเนื้อถึง 99 คนเป็นการล้างแค้น ฤษีวสิษฐะจึงหนีออกจากอาศรมไปธุดงค์ในป่า \"มหาภารตะ\" และ \"ลิงคปุราณะ\" ว่า ฤษีวิศวามิตรเป็นผู้ยุยงให้รากษสกัลมาษบาทไปจับญาติพี่น้องของฤษีวสิษฐะกิน ส่วนเอกสารที่เก่ากว่าอย่าง \"พฤหัทเทวตา\" เอ่ยถึงเจ้าชายกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นโอรสของพระมหากษัตริย์พระนาม สุทัส ออกเข่นฆ่าลูกหลานของฤษีวสิษฐะ", "title": "กัลมาษบาท" }, { "docid": "31531#11", "text": "เรื่องย่อยในมหาภารตะที่มีการประพันธ์ใหม่ในภาษาไทย อนุศาสน์ภควัทคีตา", "title": "มหาภารตะ" } ]
1177
โลกาวินาศศาสตร์หมายถึงอะไร?
[ { "docid": "36997#0", "text": "อวสานวิทยา[1] หรือ โลกาวินาศศาสตร์[2] (English: Eschatology) เป็นการศึกษาเหตุการณ์ที่จะเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์โลก หรือชะตากรรมสุดท้ายของมนุษยชาติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะหมายถึงการสิ้นสุดของทั้งจักรวาล", "title": "อวสานวิทยา" } ]
[ { "docid": "337696#9", "text": "ผู้คนหวาดกลัวกับคำทำนายวันสิ้นโลก ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้น ได้มีกลุ่มลัทธิประหลาดชื่อ กลุ่มนิมิตสวรรค์ ที่เจ้าลัทธิ โอม ผู้สัมผัส และ นารา ผู้หยั่งรู้ ศรัทธาให้ผู้คนเชื่อว่าตนเป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นจากวันโลกาวินาศ เพียงแค่ภายในเวลา 1 เดือนก็มีคนคอยเชื่อและบูชาสัญลักษณ์ที่เชื่อกันว่ามันคือทางรอด ในวันโลกาวินาศ เพียงแค่หลังจากนั้นก็เกิดฝนตกไปทั่วเมือง ทำให้คนส่วนใหญ่หลับไหล คนที่ตื่นอยู่ก็จะถูกบังคับให้เข้าร่วมกันกลายเป็นสาวกบ้าคลั่ง โดยมีคำสั่งจากเจ้าลัทธิให้ตามล่าตัว การิน และ ลัลทริมา จากใบประกาศจับไปทั่วเมือง ทางเดียวที่จะมีชีวิตรอดคือ หยุดยั้งแผนการร้ายที่จะทำลายเมืองด้วย 2 สิ่งคือ นํ้า และไฟบรรลัยกัลป์ เพื่อไขปริศนาที่เกี่ยวข้องกับ ชายผมแดง จากอดีต แห่งความหวังที่จะพลีแด่พระเจ้า และจัดการอาถรรพ์ที่ควบคุมทั้งเมืองอยู่ก่อนที่จะสายเกินไป", "title": "รายชื่อตอนในการิน ปริศนาคดีอาถรรพ์" }, { "docid": "297237#0", "text": "เภสัชพันธุศาสตร์ แปลจากคำอังกฤษว่า Pharmocogenetics ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Pharmacogenomics โดยยังไม่มีการกำหนดนิยามคำสองคำนี้แน่ชัด โดยทั่วไป เภสัชพันธุศาสตร์ มักใช้ในความหมายว่าเป็นการศึกษาหรือการตรวจทางคลินิกเพื่อตรวจหาความแปรผันทางพันธุกรรมที่ทำให้ผู้รับยามีการตอบสนองต่อยาแตกต่างกันไป ในขณะที่ pharmocogenomics มักเป็นคำกว้างกว่าหมายถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางจีโนมิคส์ในการค้นหายาใหม่ๆ และทำให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ๆ ของยาเดิม", "title": "เภสัชพันธุศาสตร์" }, { "docid": "36997#3", "text": "วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (บางแหล่งอาจระบุว่าเป็นวันที่ 21 ธันวาคม ของปีเดียวกัน) วันโลกาวินาศอันตรกัป ตามคติในหลายชนชาติ", "title": "อวสานวิทยา" }, { "docid": "78821#12", "text": "ส่วนดิถีนั้น ให้นับ ขึ้น 1 ค่ำ เป็นดิถีที่ 1 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง ขึ้น 15 ค่ำ นับเป็นดิถีที่ 15 จากนั้นนับแรม 1 ค่ำ ต่อ เป็นดิถีที่ 16 จนถึง แรม 15 ค่ำ ก็เป็นดิถีที่ 30 (ดูเพิ่มเติมที่ ดิถี) สมมุติว่า ดิถีที่ 13 เป็นดิถีธงชัย ก็แปลความหมายว่า วันขึ้น 13 ค่ำ เป็นวันธงชัยทางจันทรคติ หรือถ้าสมมุติว่า ดิถีที่ 29 เป็นดิถีโลกาวินาศ ก็แปลความหมายได้ว่า วันแรม 14 ค่ำ เป็นวันโลกาวินาศทางจันทรคติ", "title": "กาลโยค" }, { "docid": "175779#0", "text": "ครอบครัว คือกลุ่มของบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน มีความใกล้ชิดกัน และอาศัยในที่เดียวกัน ความหมายของครอบครัวในทางพันธุศาสตร์จะพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นหลัก แต่ในสังคม คนทั่วไปมักจะเข้าใจความหมายของครอบครัวในทางภาพลักษณ์มากกว่าทางพันธุศาสตร์", "title": "ครอบครัว" }, { "docid": "402033#1", "text": "อรรถศาสตร์ในทางภาษาศาสตร์คือ การศึกษาความหมายที่มนุษย์ใช้เพื่อสื่อสารผ่านทางภาษา นอกจากนี้ยังมีอรรถศาสตร์ของภาษาโปรแกรม ตรรกศาสตร์ และการศึกษาสัญลักษณ์เชิงภาษาและการสื่อสาร (semiotics)", "title": "อรรถศาสตร์" }, { "docid": "4197#0", "text": "การพยาบาล หรือ พยาบาลศาสตร์ () ตามความหมายที่ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ได้ให้ไว้ หมายถึง กิจกรรมการช่วยเหลือผู้ป่วย เพื่อให้อยู่ในสภาวะที่จะต่อสู้การรุกรานของโรคได้อย่างดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งร่างกายและจิตใจ เช่นเดียวกับความหมายของการพยาบาลที่เสนอโดย เวอร์จิเนีย เฮนเดอร์สัน ได้แก่ การพยาบาลคือการช่วยเหลือบุคคล (ทั้งยามปกติและยามป่วยไข้) ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ หรือส่งเสริมการหายจากโรค (หรือแม้กระทั่งการช่วยให้บุคคลได้ไปสู่ความตายอย่างสงบ) ซึ่งบุคคลอาจจะปฏิบัติได้เองในสภาวะที่มีกำลังกาย กำลังใจ และความรู้เพียงพอ และเป็นการกระทำที่จะช่วยให้บุคคลกลับเข้าสู่สภาวะที่ช่วยตนเองได้โดยไม่ต้องรับการช่วยเหลือนั้น โดยเร็วที่สุด", "title": "พยาบาลศาสตร์" }, { "docid": "17204#0", "text": "ชัยฏอน หรือ อิบลีส ตามคติความเชื่อในศาสนาอิสลามแล้ว เป็นนามของญินตนหนึ่งที่หลอกลวงให้อาดัมและเฮาวาอ์ภรรยา ต้องออกจากสวนสวรรค์ และสาบานว่าจะตามล้างตามผลาญลูกหลานมนุษย์จนถึงวันโลกาวินาศ ในไบเบิลเรียกว่า ซาตาน ชัยฏอน อาจจะหมายถึง มารร้ายตนอื่น ๆ ที่เป็นพรรคพวกของอิบลีสก็ได้", "title": "ชัยฏอน" }, { "docid": "22185#0", "text": "ผลิกศาสตร์ () คือศาสตร์ที่ศึกษาการเรียงตัวของอะตอมในของแข็ง คำนี้ในการใช้งานเดิมจะหมายถึงศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลึก คำว่า \"ผลิก\" มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า \"ผลึก\"", "title": "ผลิกศาสตร์" }, { "docid": "232269#0", "text": "อาร์มาเก็ดดอน วันโลกาวินาศ ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่แห่งปี ค.ศ. 1998 เรื่อง Armageddon นำแสดงโดย บรูซ วิลลิส, ลิฟ ไทเลอร์, เบน แอฟเฟล็ก, โอเวน วิลสัน, บิลลี่ บ็อบ ทอร์นตัน, ไมเคิล คลาร์ก ดันแคน, สตีฟ บูเซมี กำกับการแสดงโดย ไมเคิล เบย์ อำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์", "title": "อาร์มาเก็ดดอน วันโลกาวินาศ" }, { "docid": "349569#0", "text": "ปรากฏการณ์ 2012 ประกอบด้วยขอบเขตความเชื่อทางโลกาวินาศศาสตร์ว่าจะมีเหตุการณ์อันนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงหรือวินาศภัยฉับพลันเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งวันนั้นกล่าวกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของวัฏจักรปฏิทินแบบนับยาวเมโสอเมริกา 5,125 ปี มีการเสนอข้อสนับสนุนทางดาราศาสตร์และสูตรพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับวันดังกล่าวออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ทั้งหมดล้วนไม่ได้รับการยอมรับจากวิชาการกระแสหลัก", "title": "ปรากฏการณ์ 2012" }, { "docid": "448795#3", "text": "คำว่า \"โลกาวินาศ\" หมายถึง สภาพการณ์ที่เชื่อว่าเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แนวคิดนี้มักพบในศาสนาต่าง ๆ", "title": "โลก" }, { "docid": "3116#11", "text": "อภิปรัชญาเป็นศัพท์บัญญัติของคำว่า Metaphysics หมายถึงศาสตร์ที่ว่าด้วยความเป็นจริงหรือสารัตถะ (Reality Essence) มีปรัชญาอีกสาขาหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ Metaphysics คือ Ontology แปลว่า ภววิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความมี (being) ศาสตร์ทั้งสองนี้มีความเกี่ยวข้องกันเพราะว่า Metaphysics คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะว่ามีจริงหรือไม่ Ontology ก็ศึกษาเรื่องความมีอยู่ของความแท้จริง หรือสารัตถะนั้นเป็นจริงอย่างไรโดยทั่วไปถือว่าศาสตร์ทั้งสองนี้ศึกษาเรื่องเดียวกัน คือ ความมีอยู่ของความแท้จริง หรือความแท้จริงที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าศาสตร์ทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน อภิปรัชญาเป็นการศึกษาปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการเห็นทั่ว ๆ ไป หรือความรู้ที่อยู่นอกเหนือการรู้เห็นใด ๆ แต่สามารถรู้และเข้าใจด้วยเหตุผล", "title": "ปรัชญา" }, { "docid": "928226#0", "text": "สุขศาสตร์ () เป็นชุดการปฏิบัติซึ่งกระทำเพื่อรักษาสุขภาพ องค์การอนามัยโลกนิยามว่า \"สุขศาสตร์หมายถึงภาวะและการปฏิบัติที่ช่วยรักษาสุขภาพและป้องกันการแพร่โรค\" อนามัยส่วนบุคคลหมายถึงการรักษาความสะอาดของร่างกาย", "title": "สุขศาสตร์" }, { "docid": "402033#0", "text": "อรรถศาสตร์ (อังกฤษ : semantics) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับความหมาย ให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคำ วลี สัญลักษณ์ และความหมาย", "title": "อรรถศาสตร์" }, { "docid": "402033#3", "text": "วิชาอรรถศาสตร์จะต่างกับวากยสัมพันธ์หรือไวยากรณ์ (syntax) ซึ่งศึกษาถึงหน่วยของภาษาที่ประกอบกันโดยไม่คำนึงถึงความหมาย และต่างกับวจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatics) ซึ่งศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัญลักษณ์ของภาษา ความหมาย และผู้ใช้ภาษานั้นๆ", "title": "อรรถศาสตร์" }, { "docid": "215124#0", "text": "การพิพากษาครั้งสุดท้าย() หรือ วันแห่งการพิพากษา (Day of Judgment) หรือ วันโลกาวินาศ (Doomsday) ตามหลักอวสานวิทยาศาสนาคริสต์ (Christian eschatology) หมายถึง วันที่พระเป็นเจ้าทรงพิพากษาบรรดาประชาชาติต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการคืนชีพของบรรดาผู้ตายและการมาครั้งที่สองของพระเยซู หัวข้อนี้เป็นที่นิยมทำในงานศิลปะต่าง ๆ", "title": "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" }, { "docid": "67324#0", "text": "อภิธาน โดยทั่วไปหมายถึงรายการของการอธิบายความหมายเพิ่มเติมของคำศัพท์เฉพาะศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง ซึ่งมิได้เป็นที่รู้จักกันโดยคนทั่วไป หรือเป็นคำใหม่หรือคำโบราณ เนื้อหาเป็นการให้นิยาม แนวคิดหรือที่มาที่เกี่ยวข้องคำหรือวลีนั้นๆ ซึ่งอาจมีการยกตัวอย่างหรือมีการเปรียบเทียบเกี่ยวกับคำศัพท์เฉพาะคำนั้นๆ ให้กระจ่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น อภิธานพุทธศาสนา อภิธานประวัติศาสตร์ไทย ส่วนคำว่า อภิธานศัพท์ แปลตามศัพท์ว่า \"ศัพท์ที่มาจากอภิธาน\" ซึ่งก็คือศัพท์เฉพาะเรื่อง บ่อยครั้งที่มีการใช้คำนี้แทนความหมายของอภิธานข้างต้น", "title": "อภิธาน" }, { "docid": "997527#0", "text": "อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล (, \"\" \"เมสสิยาห์ปลอม, โกหก, คนหลอกลวง\") เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในวันโลกาวินาศของศาสนาอิสลาม มันจะปรากฏพร้อมกับอ้างตนเองว่าเป็น \"อัลมะซีห์\" (หรือเมสสิยาห์) ก่อน \"เยามุลกิยามะฮ์\" (วันแห่งการทำลายล้าง) เป็นตัวแทนของผู้ต่อต้านเมสสิยาห์ เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ในวันโลกาวินาศของศาสนาคริสต์ และอาร์มิลุสในวันโลกาวินาศของศาสนายูดายช่วงยุคกลาง", "title": "อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล" }, { "docid": "78821#7", "text": "ถ้าจะหาโลกาวินาศ ให้ตั้งจุลศักราชของปีที่จะหาลง เอา 1120 บวก ลัพธ์เท่าใดตั้งเป็น 5 ฐาน", "title": "กาลโยค" }, { "docid": "4734#0", "text": "อรรถปริวรรตศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ: \"Hermeneutics\" แปลว่าเชิงตีความ) หรือ การตีความความหมาย สามารถมองได้ว่าเป็นทฤษฎีของการตีความและการทำความเข้าใจตัวบท ผ่านทางกระบวนการเชิงประจักษ์ (empirical) แนวทางนี้แตกต่างจากแนวปฏิบัติในการตีความที่เรียกว่านัยวิเคราะห์ ซึ่งพยายามแกะความหมายของตัวบท ขยายความ และเพิ่มเติมอรรถาธิบายของตัวบท ส่วนอรรถปริวรรตศาสตร์นั้น เน้นศึกษากระบวนการที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในผู้สร้างตัวบทนั้นและความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้อ่าน โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นในช่วงเวลาเดียวกัน หรือคนละช่วงเวลา การศึกษานี้ทำภายใต้เงื่อนไขของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดังนั้นศาสตร์สาขานี้จึงเป็นสาขาย่อยหนึ่งของปรัชญาที่สนใจความเข้าใจของมนุษย์และการตีความตัวบท ในปัจจุบัน ความหมายของคำว่าตัวบทนั้นถูกขยายออกไปจนเกินขอบเขตของเอกสาร งานเขียน โดยยังได้รวมไปถึง คำพูด การแสดง ผลงานศิลปะ หรือกระทั่งเหตุการณ์", "title": "อรรถปริวรรตศาสตร์" }, { "docid": "43320#0", "text": "เทคโนโลยีการศึกษา () หรือ เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นศาสตร์ที่ประยุกต์ วิชาการต่างๆ มาจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โดยการนำคำ “เทคโนโลยี” ซึ่งมีความหมายว่าเป็นศาสตร์แห่งวิธีการ ซึ่งไม่ได้มีความหมายว่าเป็นศาสตร์แห่งเครื่องมือเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงวัสดุและวิธีการ เมื่อนำมาใช้ กับ “การศึกษา” จึงเป็นคำใหม่ที่มีความหมายว่า การประยุกต์เครื่องมือ วัสดุและวิธีการไปส่งเสริม ประสิทธิภาพการเรียนรู้ รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อการเรียนรู้ “สื่อสาร” เป็น กระบวนการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับ โดยอาศัยสื่อหรือช่องทางต่างๆ ให้เกิดความ เข้าใจและเป็นแบบปฏิสัมพันธ์ ", "title": "เทคโนโลยีการศึกษา" }, { "docid": "424962#0", "text": "โลกาวินาศ อาจหมายถึง", "title": "โลกาวินาศ" }, { "docid": "38118#0", "text": "วันสิ้นโลก () หมายถึง วันโลกาวินาศ หรือวันจุดจบของโลก", "title": "วันสิ้นโลก" }, { "docid": "36997#1", "text": "อัลกุรอานเรียกโลกาวินาศว่า อัสสาอะหฺ นบีมุฮัมมัด ศาสดาแห่งอิสลามได้พยากรณ์สัญญาณของโลกาวินาศไว้ดังต่อไปนี้", "title": "อวสานวิทยา" }, { "docid": "78821#9", "text": "พุทธศักราช 2550 คิดเป็นจุลศักราช 1369 (เอา พ.ศ. ลบ 1181 ได้ จ.ศ. หรือเอา ค.ศ ลบ 638 ได้ จ.ศ. เช่นกัน)เมื่อนำมาเขียนเป็นตารางจะได้ดังนี้\nกาลโยค สามารถอ่านได้โดยการดูตัวเลขที่เขียนไว้ในตาราง แล้วตีเป็นความหมาย เช่น วันธงชัยเป็น 1 หมายความว่า วันอาทิตย์เป็นวันธงชัย วันโลกาวินาศเป็น 4 ก็หมายความว่า วันพุธเป็นวันโลกาวินาศ เป็นต้น โดยตัวเลขที่เขียนไว้ในช่องวัน คือตัวเลขที่นับ 1 จากวันอาทิตย์ เพิ่มทีละหนึ่งไปจนถึง 7 คือวันเสาร์", "title": "กาลโยค" }, { "docid": "5920#44", "text": "การใช้คำว่า \"เชื้อชาติ\" ให้มีความหมายคล้ายกับ \"สปีชีส์ย่อย\" ในมนุษย์นั้นเลิกไปแล้ว Homo sapiens ไม่มีสปีชีส์ย่อย ในความหมายโดยนัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คำนี้ใช้ไม่ได้กับสปีชีส์ที่เป็นเอกพันธุ์ทางพันธุกรรมอย่างมนุษย์ ดังที่แถลงไว้ในแถลงการณ์ว่าด้วยเชื้อชาติ[90] (ยูเนสโก ค.ศ. 1950 ) การศึกษาทางพันธุศาสตร์ได้พิสูจน์ถึงการขาดพรมแดนทางชีววิทยาที่ชัดเจนแล้ว ฉะนั้น คำว่า \"เชื้อชาติ\" จึงพบใช้น้อยครั้งเป็นศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะในทางมานุษยวิทยาเชิงชีววิทยาหรือพันธุศาสตร์มนุษย์[91] สิ่งที่ในอดีตเคยนิยามว่าเป็น \"เชื้อชาติ\" เช่น ผิวขาว ผิวดำ หรือเอเชีย ปัจจุบันนิยามว่าเป็น \"กลุ่มชาติพันธุ์\" หรือ \"ประชากร\" ตามสาขาที่พิจารณา (สังคมวิทยา มานุษยวิทยา พันธุศาสตร์) [92][93]", "title": "มนุษย์" }, { "docid": "402033#2", "text": "คำว่า อรรถศาสตร์ นั้นหมายถึง ขอบเขตความคิดตั้งแต่ระดับที่ใช้กันทั่วไปจนถึงระดับสูง มักใช้ในภาษาทั่วไปเพื่ออธิบายปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกใช้คำ หรือความหมายโดยนัย ปัญหาความเข้าใจนี้กลายเป็นประเด็นเกี่ยวกับการตั้งคำถามเพื่อไต่สวนหรือสอบถามแบบทางการมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอรรถศาสตร์เชิงกิจจะลักษณะ (formal semantics) ในภาษาศาสตร์นั้น อรรถศาสตร์ยังศึกษาเกี่ยวกับการแปลความหมายจากป้ายและสัญลักษณ์ที่เหล่าองค์กรและชุมชนใช้ในสถานการณ์และบริบทหรือสภาพแวดล้อมเฉพาะ หากพิจารณาอย่างละเอียด เสียง การแสดงออกทางสีหน้า ภาษากาย และการศึกษาบุคคลต่างวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ยังมีสาระที่เกี่ยวข้องกับการหาความหมาย ซึ่งแต่ละปัจจัยนี้ยังมีสาขาที่ศึกษาแยกออกไปอีก ในภาษาเขียน เรื่องของโครงสร้างในย่อหน้า และเครื่องหมายวรรคตอน ต่างก็มีเรื่องของการหาความหมายมาเกี่ยวข้อง หรือในรูปแบบอื่นๆ ของภาษา ก็ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหาความหมายเช่นกัน", "title": "อรรถศาสตร์" }, { "docid": "78821#0", "text": "กาลโยค หมายถึง การกำหนดว่ากาลใดดี กาลใดร้ายเพื่อการใช้ประโยชน์จากกาล (เวลา) กาลโยคมาจากคำว่า กาล (เวลา) และโยคะ (การประกอบ,การใช้งาน,การร่วมกัน) ในปฏิทินไทย กาลโยคคือตารางที่บ่งบอกให้ทราบว่าช่วงเวลาใดดี ช่วงเวลาใดร้าย เพื่อประกอบการพิจารณาหาฤกษ์กระทำการมงคล เช่น เปิดห้างร้าน หว่านข้าวลงในนา สถาปนายศศักดิ์ ฯลฯ กาลโยคแบ่งได้เป็นสี่ส่วนคือ ธงชัย และอธิบดี มีหมายความทางดี ซึ่งตรงกันข้ามกับอุบาทว์ และโลกาวินาศ ซึ่งมีความหมายทางร้าย และสี่ส่วนเหล่านี้จะนำไปประกอบกับช่วงเวลา 5 ช่วง ได้แก่ วัน ยาม ฤกษ์ ราศี ดิถี เพื่อใช้พิจารณาต่อไป", "title": "กาลโยค" } ]
2278
สมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มแต่ พ.ศ. ใด ?
[ { "docid": "4253#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (20 กันยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2411 [3] เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ด้วยโรคพระวักกะ", "title": "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" } ]
[ { "docid": "178997#1", "text": "เจ้าจอมมารดาอ่อน เกิดในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือนยี่ ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 (ปัจจุบันคือ พ.ศ. 2411) เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวน 14 คน ของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) ที่เกิดกับท่านผู้หญิงอู่ (สกุลเดิม วงศาโรจน์) มีพี่น้องร่วมบิดาทั้งสิ้น 62 คน โดยในจำนวนนี้ มี 5 คน ที่เกิดจากท่านผู้หญิงอู่ และได้รับราชการเป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5 คือ เจ้าจอมมารดาอ่อน เจ้าจอมเอี่ยม เจ้าจอมเอิบ เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน ทั้งหมดเป็นที่รู้จักในนามเจ้าจอมก๊กออ", "title": "เจ้าจอมมารดาอ่อน ในรัชกาลที่ 5" }, { "docid": "77806#4", "text": "ภายในพระพุทธรัตนสถาน มีภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภาพจิตรกรรมด้านบน เมื่อ พ.ศ. 2542 แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2547 ภาพจิตรกรรมดังกล่าว แสดงประวัติการก่อสร้างพระพุทธรัตนสถาน และพระราชกรณียกิจที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 9 อยู่บริเวณระหว่างพระบัญชร จำนวน 8 ช่อง ซึ่งทุกช่องยกเว้นช่องที่ 7 จะมีภาพพระพุทธรัตนสถานรวมอยู่ด้วย โดยช่องที่ 1 และ 2 แสดงเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 ช่องที่ 3 แสดงเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่องที่ 4 แสดงเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 ช่องที่ 5 แสดงเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 ช่องที่ 6 แสดงเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 8 ช่องที่ 7 และ 8 แสดงเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 9", "title": "พระพุทธรัตนสถาน" }, { "docid": "72781#0", "text": "เมื่อ พ.ศ. 2352 รัชกาลที่ 2 ทรงยกเมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่งและถลาง ให้อยู่ในความปกครองของนครศรีธรรมราช จนกระทั่งพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ \nสมัยรัชกาลที่ 3 เมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง จึงกลับมาเป็นหัวเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ\nเมื่อ พ.ศ. 2383 ถึงรัชกาลที่ 5 ได้ทรง รวบรวมกลุ่มเมืองชั้นนอกเข้าเป็นมณฑลใน พ.ศ. 2435 ซึ่งครั้งนี้ เมืองตะกั่วป่าได้ถูกรวมอยู่ในมณฑลภูเก็ต พ.ศ. 2459 \nสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าให้เปลี่ยนจากเมืองเป็นจังหวัด เมืองตะกั่วป่าจึงได้เป็น จังหวัดตะกั่วป่า เดิมแบ่งการปกครองเป็น 3 อำเภอ คือ อำเภอเมืองตะกั่วป่า (อำเภอตลาดใหญ่), อำเภอปากน้ำ (อำเภอเกาะคอเขา) และอำเภอกะปง", "title": "จังหวัดตะกั่วป่า" }, { "docid": "158810#10", "text": "ธรรมเนียมเดิมจัดตำแหน่งเป็น 4 เวร คือ \"เวรศักดิ์ เวรสิทธิ์ เวรฤทธิ์\" และ \"เวรเดช\" หน้าที่ราชการของตำแหน่งทั้ง 4 นี้เหมือนกัน เพียงแต่ผลัดเวรเป็นข้างขึ้นข้างแรมดังกล่าวมาแล้ว และมีเวลาผลัดเวรกันเป็น 4 เวร จึงเรียกว่า เวร” มหาดเล็กชั้นหัวหมื่นลงมาถือเป็นตำแหน่งประจำเวร และมีชื่อเรียกตำแหน่งดังนี้ตำแหน่งสูงสุดคือ ผู้บัญชาการกรมมหาดเล็กนั้น เป็นตำแหน่งสูงสุดในกรมมหาดเล็ก นับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ยังมิได้เคยโปรดเกล้าฯ ตั้งผู้ใด นอกจากพระราชโอรสซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นผู้บัญชาการ ตำแหน่งนี้มีหน้าที่สำหรับบังคับบัญชาการในกรมมหาดเล็กทั่วไป \nผู้ทรงดำรงตำแหน่งนี้เป็นพระองค์สุดท้ายในรัชกาลที่ ๕ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ สิ้นพระชนม์พระชันษาเพียง ๑๗ พรรษา หลังจากทรงดำรงตำแหน่งนี้เพียงไม่ถึง ๒ ปี\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงไม่โปรดฯ ตั้งพระราชโอรสพระองค์ใดเป็นผู้บัญชาการกรมมหาดเล็กอีก ว่ากันว่าทรงมีพระราชปรารภถึง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ว่าเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็กได้ไม่นานก็สวรรคต \nพระชันษาเพียง ๑๗ ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ได้ไม่ทันไรก็สิ้นพระชนม์อีก ทำให้ทรงพระราชดำริว่า ตำแหน่งนี้อาจมีอาถรรพ์ จึงไม่โปรดฯ ตั้งพระราชโอรสพระองค์ใดอีก คงว่างอยู่ตลอดรัชกาล\nสมัยรัชกาลที่ 6 ผู้บัญชาการได้แก่ พลเอก จางวางเอก มหาเสวกเอก เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ) ตำแหน่งอื่นนอกจากนี้ได้มีการจำแนกตำแหน่งอื่นๆ เช่นจางวาง หัวหมื่น นายเวร นายจ่า หุ้มแพรและรองหุ้มแพรออกเป็นหลายชั้น", "title": "มหาดเล็ก" }, { "docid": "119809#1", "text": "ตลาดนางเลิ้งก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2443 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดเอง แต่เดิมเรียกว่าบ้านสนามควาย ก่อนจะเรียกว่า “อีเลิ้ง” ตามชื่อคือตุ่มชนิดหนึ่งของชาวมอญ จนมาเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า “นางเลิ้ง” สถานที่สำคัญของตลาดนางเลิ้งได้แก่ โรงภาพยนตร์เฉลิมธานี ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 80 ปี สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นที่บันเทิงที่จะได้ชมภาพยนตร์จากทุกชาติทั้งไทย, จีน, อินเดีย, ฝรั่ง จากจำนวนคนดูที่เคยมากถึงรอบละ 300–400 คนก็เหลือเพียงรอบละไม่ถึง 10 คน จนต้องเลิกฉายไปเมื่อปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันเป็นเพียงโกดังเก็บของ", "title": "ตลาดนางเลิ้ง" }, { "docid": "189735#0", "text": "หอพระคันธารราษฏร์ เป็นหอที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ เพื่อใช้ในพิธีขอฝน สมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์และการสร้างหอต่างๆ ขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ยังไม่เสร็จ รัชกาลที่ 5 จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จ ทันกับการฉลองกรุงเทพฯ 100 ปี นอกจากนั้นก็ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างบุษบกประดิษฐานพระบรมราชสัญลักษณ์ของรัชกาลต่างๆ รวม 3 องค์ หลังจากนั้นก็มิได้มีการสร้างสิ่งใดที่สำคัญเพิ่มเติมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นอกจากการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลปัจจุบันเมื่อคราวฉลองกรุงเทพฯ 150 ปี และ 200 ปีตามลำดับ", "title": "หอพระคันธารราษฎร์" }, { "docid": "227407#1", "text": "หม่อมเจ้าประเสริฐศักดิ์ ศิริวงศ์ ประสูติปีใดไม่ทราบ (ระหว่าง พ.ศ. 2382 -2384) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนขึ้นเป็น พระสัมพันธวงศ์เธอพระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์ ในรัชกาลที่ 5 เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. 2412 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 12 แรม 11 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2424 ", "title": "พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์" }, { "docid": "64083#1", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เป็นเวลา 63 ปีเศษ ระหว่างปี พ.ศ. 2380-2444 (ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5) พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2362 ณ พระราชวังเค็นซิงตัน กรุงลอนดอน โดยเป็นพระธิดาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์และสแตรเธิร์น พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร กับ เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งซัคเซิน-โคบูร์ก-ซาลเฟลด์ พระองค์ได้เสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 พระบรมราชปิตุลา ในปี พ.ศ. 2380 ขณะมีพระชนมพรรษา 18 พรรษา ต่อมาได้ราชาภิเษกสมรสกับ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา (ฟรันซ์ ออกุสต์ คาร์ล อัลเบิร์ต เอมานูเอล; 26 สิงหาคม พ.ศ. 2362 - 14 ธันวาคม พ.ศ. 2404) ซึ่งต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าชายพระราชสวามี (Prince Consort) พระญาติชั้นที่หนึ่งทางฝ่ายพระมารดา ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2383 ณ พระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน และประสูติพระราชโอรสและธิดาทั้งสิ้น 9 พระองค์ในระหว่างปี พ.ศ. 2383-2400 ชีวิตสมรสที่แสนสุขมีอันต้องสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2404 เมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีสิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคไข้รากสาดน้อย หรือไทฟอยด์ (และอาจเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารร่วมด้วย) เมื่อพระชนมายุ 42 พรรษา ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปจนตลอดพระชนม์ชีพ ด้วยความโทมนัสและสูญเสียที่ยากจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้ พระองค์จึงทรงจมอยู่กับความเศร้าโศกและฉลองพระองค์ไว้ทุกสีดำตลอดรัชกาล อีกทั้งยังทรงหลีกเลี่ยงการปรากฏพระองค์ในที่สาธารณะและแทบจะไม่เสด็จฯ มาประกอบพระราชกรณียกิจที่กรุงลอนดอนเป็นเวลาหลายปี แต่ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับอยู่ที่พระราชวังวินด์เซอร์ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของพระองค์กับพระสวามี จนเป็นที่มาของพระราชสมัญญา แม่ม่ายแห่งวินด์เซอร์ (Widow of Windsor)", "title": "ราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย" }, { "docid": "38419#4", "text": "\"- \"ปรากฏหลักฐานในทำเนียบข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช สมัยรัชกาลที่ 2 ปี พ.ศ. 2354 เกี่ยวกับข้าราชการที่ลำพูนดังนี้ คือ \"“ หลวงอินทรพิชัย นายที่ลำพูน ถือศักดินา ๘๐๐ ฝ่ายซ้าย ขุนเพชรกำแพง ปลัด ถือศักดินา ๔๐๐ หมื่นเทพรักษา รอง ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นพรหมอักษร สมุห์บัญชี ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นจิตอักษร สมุห์บัญชี ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นสุรบุรี เป็นสารวัตร ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นเกล้าเป็นสารวัตร ถือศักดินา ๒๐๐ สิริ หลวง ขุน หมื่น ที่ลำพูน หลวง ๑ ขุน ๑ หมื่น ๕ รวม ๗ คน ”\n- ปี พ.ศ. 2420 มีการจัดปกครองท้องที่แขวงลำพูน คือ แยกท้องที่เวียงสระและท้องที่ส้องห้วยมะนาวออกเป็น 2 อำเภอคือ อำเภอเวียงสระ และอำเภอบ้านส้อง อำเภอเวียงสระต่อมาเรียกชื่ออำเภอคลองตาล โดยมี วัดเวียง เป็นที่เลณฑุบาต ท้องที่ลำพูนได้ดูแลราชการท้องที่ดังกล่าวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5", "title": "อำเภอบ้านนาเดิม" }, { "docid": "63917#2", "text": "องุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในเขตหนาว เขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว และเขตร้อน สำหรับประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาในสมัยใด แต่คาดว่าน่าจะนำเข้ามาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ท่านได้นำพันธุ์ไม้แปลกๆ จากต่างประเทศที่ได้เสด็จประพาสมาปลูกในประเทศไทย และเชื่อว่าในจำนวนพันธุ์ไม้แปลกๆ เหล่านั้นน่าจะมีพันธุ์องุ่นรวมอยู่ด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีหลักฐานยืนยันว่าเริ่มมีการปลูกองุ่นกันบ้างแต่ผลองุ่นที่ได้มีรสเปรี้ยว การปลูกองุ่นจึงซบเซาไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ได้เริ่มมีการปลูกองุ่นอย่างจริงจัง โดย หลวงสมานวนกิจ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และปี พ.ศ. 2497 ดร.พิศ ปัญญาลักษณ์ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากทวีปยุโรปซึ่งสามารถปลูกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นับแต่นั้นมาการปลูกองุ่นในประเทศไทยจึงแพร่หลายมากขึ้น", "title": "องุ่น" }, { "docid": "51052#0", "text": "ยศข้าราชการ ในที่นี้จะกล่าวถึง ยศสำหรับข้าราชการทหารและพลเรือนของสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปครองใน พ.ศ. 2475 โดยเริ่มมีการพระราชทานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2417 สำหรับทหาร และ พ.ศ. 2442 สำหรับพลเรือน จนกระทั่งยกเลิกบรรดาศักดิ์และยศข้าราชการพลเรือน ข้าราชการในราชสำนัก ในปี พ.ศ.2485 ", "title": "ยศข้าราชการทหารและพลเรือนของสยาม" }, { "docid": "80081#0", "text": "ปีขั้วโลกสากล () เกิดจากนักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 - 2552 เพื่อกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมีความร่วมมือกันในการวางแผนสำรวจ และทำการศึกษาวิจัยขั้วโลก ซึ่งในอดีตได้เคยมีการจัดปีขั้วโลกสากลมาแล้ว 3 ครั้ง คือ พ.ศ. 2425 - 2426 (สมัยรัชกาลที่ 5) พ.ศ. 2475 - 2476 (สมัยรัชกาลที่ 7) และครั้งสุดท้ายคือ พ.ศ. 2500 - 2501", "title": "ปีขั้วโลกสากล" }, { "docid": "716324#0", "text": "พระยาอัครราชนารถภักดี (หวาด บุนนาค) อดีตเจ้าเมืองจันทบุรี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5 บิดาชื่อ พระยาอภัยสงคราม(นกยูง บุนนาค)และมารดาชื่อคุณหญิงปริก เป็นธิดาพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร)เข้ารับราชการสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นหลวงวิเศษพจนกรในกรมท่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นพระศรีธรรมสาส์น ในกรมท่า แล้วเป็นพระยาวิชยาธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ และในเวลาต่อมาเป็นพระยาอรรคราชนารถภักดี ในกรมท่า", "title": "พระยาอรรคราชนารถภักดี (หวาด บุนนาค)" }, { "docid": "8013#6", "text": "ส่วนใน “กฎหมายเก่าของหมอบลัดเล” และ “พระราชบัญญัติในปัตยุบัน” ได้กล่าวถึงศาลที่ขึ้นอยู่กับกระทรวงกรมต่าง ๆ ตลอดจนอำนาจหน้าที่ในการชำระความประเภทใดไว้ ดังนี้นอกจากนี้ยังมีศาลพิเศษที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งขึ้นเมื่อใดก็ได้ตามความเหมาะสมเพื่อชำระความพิเศษบางคดีซึ่งทรงเห็นว่าศาลธรรมดาที่มีอยู่ชำระไม่ได้หรือชำระได้ยาก ศาลดังกล่าวเรียกว่า “ศาลรับสั่ง” เป็นศาลที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่น ศาลรับสั่งสำหรับชำระคนในบังคับสยามที่ต้องหาว่ากระทำความร้ายผิดกฎหมายที่ทุ่งเชียงคำและที่แก่งเจ๊กเมืองคำมวญซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ และตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ตามสัญญาที่ไทยทำกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ เป็นต้น", "title": "ศาลชั้นต้น (ประเทศไทย)" }, { "docid": "20838#91", "text": "ความจากหนังสือตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ดังกล่าวมานี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับเค้าโครงของหนังสือนี้ว่ามีเค้าโครงมาจากสมัยสุโขทัยจริง แต่รายละเอียดบางส่วนอาจจะมีการแต่งเสริมกันขึ้นมาในสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์[51] อย่างไรก็ดี จากหลักฐานดังกล่าว (แม้จะไม่แน่ชัด) การพิธีวิสาขบูชา ย่อมเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย เพราะในสมัยนั้นกรุงสุโขทัยได้สืบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาจากลังกาประเทศ ซึ่งเป็นเมืองที่มั่นทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และขนาดของการจัดพิธีบูชาเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาของชาวศรีลังกานั้น นับเป็นพิธีใหญ่และสำคัญมากของอาณาจักรมาตั้งแต่แรกรับพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดพิธีเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาของประเทศศรีลังกานั้นมีความสำคัญและส่งอิทธิพลต่อประเทศพุทธศาสนาอื่นเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรสุโขทัยที่รับสืบพระพุทธศาสนามาจากประเทศศรีลังกาโดยตรง และหลังการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย จนถึงในสมัยอยุธยาก็สันนิษฐานว่าคงมีการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาอยู่ แต่ลดความสำคัญลงไปมาก จนไม่ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารหรือจารึกใด จนมาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พิธีวิสาขบูชาจึงได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง หลังจากความเสื่อมของพระพุทธศาสนาหลังยุคสุโขทัยล่มสลาย เพราะหลังจากสิ้นยุคอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยาได้ถูกครอบงำด้วยแนวคิดทางคติพราหมณ์ซึ่งได้รับจากการซึมซับวัฒนธรรมฮินดูแบบขอม (นครวัด)[52] จนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พระองค์ได้มีพระราชประสงค์ให้ทำการฟื้นฟูการประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น พระองค์ได้ทรงปรึกษากับ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ให้วางแนวปฏิบัติการพระราชพิธีวิสาขบูชา และพระราชพิธีวันวิสาขบูชาครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้จัดขึ้นเป็นการพระราชพิธีใหญ่ 3 วัน 3 คืน นับตั้งแต่วันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ ถึง วันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ปีฉลู นพศก จุลศักราช 1179 ( พ.ศ. 2360) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงเพิ่มจัดให้มีการเทศน์ปฐมสมโพธิกถา (พระพุทธประวัติ) ในวันวิสาขบูชาด้วย ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการตั้งโต๊ะเครื่องบูชารอบระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ปรากฏหลักฐานว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจุดดอกไม้เพลิงถวายเป็นพุทธบูชา และให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายใน และหน่วยราชการต่าง ๆ เดินเวียนเทียน จัดโคมประทีป และสวดมนต์ที่พระพุทธรัตนสถาน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และมีการจัดพิธีวิสาขบูชาสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "วันวิสาขบูชา" }, { "docid": "131468#2", "text": "เมื่อมีการจัดระเบียบธงในสมัยรัชกาลที่ 5 ครั้งแรก โดยการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้ใช้ธงช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นบนพื้นสีขาบเป็นธงฉานแทนธงเดิม (แต่ยังคงเรียกชื่อธงว่า ธงเกตุ) และใช้เป็นธงสำหรับหมายยศของนายทหารเรือชั้นนายพล โดยกำหนดจากตำแหน่งเสาเรือที่ชักธงฉานเป็นหลัก ดังนี้ต่อมาได้มีการปรับปรุงการใช้ธงเกตุหลายครั้ง โดยในปี พ.ศ. 2440 ได้มีการเปลี่ยนชื่อธงเกตุเป็น \"ธงฉาน\" และกำหนดขอบเขตการใช้ธงให้ชัดเจนขึ้นว่า ธงนี้ใช้สำหรับชักขึ้นที่หน้าเรือหลวงทั้งปวง และยังคงใช้เป็นธงหมายยศนายพลเรือเอก โดยชักธงขึ้นที่เสาใหญ่ ส่วนธงหมายยศชั้นอื่น ๆ นั้น ได้กำหนดให้มีลักษณะต่างกันออกไปจากธงฉานเดิม โดยธงนายพลเรือโทจะมีจักรเพิ่มที่หน้ารูปช้างในธงฉาน 1 จักร ถ้าเป็นธงนายพลเรือตรีก็เพิ่มรูปจักรขึ้นเป็น 2 จักร ส่วนธงนายพลเรือจัตวานั้นใช้ธงฉานตัดชายเป็นรูปหางนกแซงแซวแทน ต่อมาก็ได้ปรับปรุงขอบเขตของการใช้ธงอีกครั้งใน พ.ศ. 2453 สมัยรัชกาลที่ 6 โดยมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่า ถ้าชักธงนี้ขึ้นที่ปลายพรวนเสาหน้าเรือลำใด เป็นเครื่องหมายว่าเรือลำนั้นเป็นเรือยามประจำอ่าว และใช้ธงนี้เป็นธงประจำกองทหารในเวลายกพลขึ้นบก", "title": "ธงฉาน (ไทย)" }, { "docid": "44518#56", "text": "นับแต่องค์ปฐมเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา ตามความในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) คือ พระพิมลธรรม (พระราชาคณะในสมัยกรุงธนบุรี) ที่ได้รับอาราธนาจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยทางราชการ ให้ขึ้นมาอยู่ประจำสั่งสอนพระธรรมวินัยในเมืองสวางคบุรี ในปี พ.ศ. 2313 พร้อมกับการสถาปนาวัดคุ้งตะเภาขึ้นในปีนั้น ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นนับตั้งแต่นั้น ก่อนที่จะมีกฎหมายระบุการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์โดยอนุมัติจากทางราชการไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5-6 วัดคุ้งตะเภาคงมีพระอุปัชฌาย์ไปตามพระธรรมวินัย อย่างไรก็ดีการกำหนดให้มีการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์โดยฝ่ายบ้านเมืองพึ่งเริ่มมีในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีประกาศเรื่องผู้จะบวชเป็นพระภิกษุให้มีประกันและการตั้งอุปัชฌาย์ จุลศักราช 1237 (พ.ศ. 2419) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2445) ประกอบกับประกาศกระทรวงธรรมการ เรื่อง ตั้งอุปัชฌายะ พ.ศ. 2456 ในสมัยรัชกาลที่ 6 วัดคุ้งตะเภาก็ไม่เคยมีพระภิกษุรูปใดได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์โดยถูกต้องจากทางราชการอีกเลย ดังนั้นในส่วนนี้จึงเป็นการแสดงลำดับพระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งโดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และตามความในข้อ 9 แห่ง กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17 ( พ.ศ. 2536 ) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ซึ่งมีเพียงจำนวน 3 รูป ดังต่อไปนี้", "title": "วัดคุ้งตะเภา" }, { "docid": "174845#62", "text": "ตลอดระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๑๖ เสนาบดีจากตระกูลบุนนาคมีบทบาทในการบริหารประเทศมากกว่าเสนาบดีในตระกูลอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ และต้นรัชกาล ที่ ๕ (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๔๑๖)", "title": "สกุลบุนนาค" }, { "docid": "266070#9", "text": "ถ้ำเขากอบเคยได้รับการพัฒนาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โดยขุนกอบ คีรีกิจ (นายอิน วรรณบวร) กำนันผู้ก่อตั้งตำบลเขากอบ ได้ทำการขุดลอกคลองภายในถ้ำที่ตื้นเขินเพื่อให้ลำน้ำไหลผ่านได้สะดวก หลังจากนั้นไม่มีการบูรณะใด ๆ เขากอบจึงกลายเป็นถ้ำร้างมาโดยตลอด กระทั่งในปี พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2528 ได้มีการขุดลอกคลองอีกครั้งหนึ่ง", "title": "ถ้ำเลเขากอบ" }, { "docid": "26149#35", "text": "ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่มีการเลื่อนชั้น อิสริยยศเจ้านาย จากที่ได้รับแต่เดิมแต่ประการใด (ยกเว้นการเลื่อนกรมพระราชมารดา หรือผู้ที่ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชขึ้นเป็น กรมพระ) ประเพณี การเลื่อนอิสริยยศเจ้านายเกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชการที่ 2 ให้เรียก กรมของสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า \"กรมสมเด็จพระ\" ต่อมาในรัชกาลที่ 3 โปรดให้ พระองค์เจ้าทรงกรมชั้นผู้ใหญ่เลื่อนขึ้นไปได้เป็น \"กรมสมเด็จพระ\" สูงกว่า \"กรมพระ\" เดิม และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ให้แก้ไข \"กรมสมเด็จพระ\" เป็น \"กรมพระยา\" ดังนั้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทธิ์ อิสริยยศเจ้านายจึงมี 5 ชั้นคือ", "title": "การเฉลิมพระยศเจ้านาย" }, { "docid": "196774#0", "text": "เจ้าจอมมารดาอ่วม ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของพระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ (เจ้าสัวยิ้ม พิศลยบุตร) เป็นเจ้าของเรือกลไฟชื่อ \"เจ้าพระยา\" เดินทางระหว่าง กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ ซึ่งเป็นเพียงลำเดียวในสมัยนั้น มารดาชื่อ \"ปราง\" (สกุลเดิม \"\"สมบัติศิริ\"\") ท่านเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2399 มีน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน คือ เมื่อท่านมีอายุได้ 17-18 ปี ขณะนั้นเป็นช่วงต้นรัชกาลที่5 บ้านของท่านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อกระบวนพยุหยาตราชลมารคผ่านเสด็จครั้งใด เจ้าจอมและน้องชายก็ดูหน้าต่างเพื่อชมพระบารมีเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นพักตร์รูปร่างหน้าตาของเจ้าจอม จึงทรงรับมาเป็นเจ้าจอมในพระองค์ท่านก็ได้ถวายตัวรับใช้พระเจ้าอยู่หัวนับตั้งแต่นั้นมา", "title": "เจ้าจอมมารดาอ่วม ในรัชกาลที่ 5" }, { "docid": "119263#16", "text": "ในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 สยามเริ่มมีพลเมืองมากขึ้น การค้าเศรษฐกิจเจริญเติบโตตามจำนวนประชากร อีกทั้งยังเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามา ในยุคนั้นประชาชนทั่วไปก็ยังไม่นิยมสร้างส้วมในที่อาศัยของตนเอง แต่จะขับถ่ายนอกสถานที่ตามตรอกซอกซอย ถนนหนทาง ริมกำแพงวัด หรือริมน้ำคูคลองต่าง ๆ เกลื่อนกลาดไปด้วยกองอุจจาระ เป็นสิ่งไม่น่าดู ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง และเป็นสาเหตุของโรคระบาดตามมา อีกทั้งเวจหรือถานพระที่มีอยู่ตามวัด ก็ปลูกสร้างแบบปล่อยอุจจาระทิ้งลงน้ำบ้างหรือปล่อยทิ้งลงพื้นเรี่ยราด เป็นเหตุให้มีทั้งสัตว์มาคุ้ยเขี่ยและแมลงวันไต่ตอม จนในปี พ.ศ. 2440 หรือปลายสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐโดยกรมสุขาภิบาลซึ่งก่อตั้งในปีเดียวกันนั้น ได้ดำเนินการจัดสร้างส้วมสาธารณะขึ้นครั้งแรกหรือสมัยนั้นเรียกว่า \"เวจสาธารณะ\" ขึ้นตามตำบลต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ พร้อมกันนั้นรัฐได้ออกพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ พ.ศ. 2440 มีผลบังคับให้คนต้องขับถ่ายในส้วม และรัฐได้จัดสร้างส้วมสาธารณะขึ้นตามตำบลต่าง ๆ ตามข้อกำหนดในหมวดที่ 2 มาตรา 8 ที่ให้กรมศุขาภิบาล \"จัดเว็จที่ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะของมหาชนทั่วไป\"", "title": "ส้วมในประเทศไทย" }, { "docid": "33086#2", "text": "ประตูเมืองและกำแพงเมือง ทางทิศเหนือนั้นกรมศิลปากรได้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2524 เป็นประตูเมืองตามแบบในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นประตูยอด โดยแตกต่างจากประตูไม้ทาดินแดงในสมัยรัชกาลที่ 1 และประตูก่ออิฐข้างบนซึ่งใช้เป็นหอรบในสมัยรัชกาลที่ 3", "title": "กำแพงเมืองและป้อมปราการกรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "113281#4", "text": "พ.ศ. 2396 ท่านลาสิกขาบท เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ดำรงค์ (หรือเจ้าหมื่นสรรพเพชรภักดีในขณะนั้น) ได้นำท่านเข้าถวายตัวรับราชการอยู่ในกรมมหาดเล็กเวรศักดิ์ รัชกาลที่ 4 ทรงใช้สอยในเรื่องหนังสือไทย หนังสือขอมคล่องแคล่ว ตามที่พระองค์ต้องการ ไม่ว่าจะติดขัดในประการใดก็ช่วยเหลือพระองค์ได้เสมอ ท่านรับราชการ 1 ปี ก็ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นที่ “ขุนประสิทธิ์อักษรศาสตร์” ทำงานเป็นผู้ช่วยของเจ้ากรมพระยารักษ์ ว่าที่เจ้ากรมอักษรพิมพการ ครั้นถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งเป็น “ขุนสารประเสริฐ” ปลัดทูลฉลอง กรมพระอาลักษณ์ และเมื่อเจ้านครเชียงใหม่นำช้างเผือกมาถวาย ท่านจึงได้แต่งฉันท์กล่อมช้าง ", "title": "พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)" }, { "docid": "92028#3", "text": "อย่างไรก็ตาม หลักฐานการได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ของหมื่นชงัดฯยังไม่แน่ชัดว่าไดรับพระราชทานเมื่อใด เพราะมีทั้งที่บอกเล่าว่าได้รับพระราชทานในการชกหน้าพระที่นั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ในงานพระศพกรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ แต่เจ้านายพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 6 และมีคำบอกเล่าจากลุกศิษย์ของท่านว่าท่านเข้ามาชกในกรุงเทพฯเมื่ออายุได้ 30 ปี ซึ่งถ้านับจากปีเกิดจะตรงกับ พ.ศ. 2461 อยู่ในสมัยรัชกาลที่ 6", "title": "หมื่นชงัดเชิงชก (แดง ไทยประเสริฐ)" }, { "docid": "61259#28", "text": "ไม่มีผู้ใดทราบว่าชีวิตในบั้นปลายของขรัวอินโข่งเป็นอย่างไร และวันมรณภาพเป็นวันเดือนปีใด เมื่ออายุเท่าใดและโดยสาเหตุใด แต่เชื่อกันว่าครองสมณเพศตลอดชีวิต แต่เชื่อแน่ว่ามรณภาพในสมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับชีวิตและงานของขรัวอินโข่งเลยในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นที่หวังว่างานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับศิลปินคนสำคัญยิ่งท่านหนึ่งของชาติในภายหน้าอาจให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้", "title": "ขรัวอินโข่ง" }, { "docid": "604043#1", "text": "หม่อมราชวงศ์บงกช นพวงศ์ สมภพเมื่อ พ.ศ. 2384 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะนั้น พระบิดายังเป็น หม่อมเจ้านพวงศ์ พระโอรสในเจ้าฟ้ามงกุฎ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงได้เป็น หม่อมเจ้า ชั้นหลานหลวง ต่อมาในรัชกาลที่ 5 ทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระยศเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบงกช เมื่อปีมะแม พ.ศ. 2438 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2456 (ปัจจุบันคือ พ.ศ. 2457) พระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดราชาธิวาส วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2457", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบงกช" }, { "docid": "21614#3", "text": "ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ปรางค์ของวัดองค์เดิมที่สร้างด้วยศิลาแลง ยอดพระปรางค์ได้ทลายลงมาเกือบครึ่งองค์ถึงชั้นครุฑ แต่จะด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ จึงยังมิได้ซ่อมแซมให้คืนดีดังเดิมในรัชกาลนั้น ต่อมาสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงบูรณะใหม่รวมเป็นความสูง 25 วา เมื่อปี พ.ศ. 2176 และในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เมื่อปี พ.ศ. 2275 - 2301 จนถึงช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่2 วัดมหาธาตุโดนทำลายจนเหลือเพียงซากปรักหักพังและถูกทิ้งร้าง ต่อมายอดพระปรางค์ได้พังทลายลงมาอีกครั้งในรัชสมัยรัชกาลที่ 5", "title": "วัดมหาธาตุ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)" }, { "docid": "16861#6", "text": "การพิมพ์ปฏิทินมีขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2385 (ปลายสมัย รัชกาลที่ 3) ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ทรงฯโปรดให้พิมพ์ปฏิทินภาษาไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปฏิทินที่พิมพ์ในเมืองไทยได้แก่ \"ประนินทิน\" แจ้งราคาขายไว้เล่มละ 4 บาท การพิมพ์ปฏิทินเล่มยังมีการจัดทำต่อมา ในหลายรูปแบบ ซึ่งมีบอกสถาพของน้ำขึ้น-น้ำลง ดิถีดวงจันทร์ และปฏิทินภาษาจีนร่วมด้วย และมีช่องว่างให้บันทึกเล็กน้อย ในรูปแบบของ ไดอารี่ หรือ \"สมุดบันทึกประจำวัน\" ก็สามารถอนุโลมให้เป็นปฏิทินได้ โดยไดอารี่ที่มีชื่อเสียงได้แก่ ไดอารี่ของรัชกาลที่ 5 ซึ่งเมื่อตีพิมพ์เผยแพร่มีชื่อเรียกว่า \"จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน\"", "title": "ปฏิทิน" }, { "docid": "151638#2", "text": "ปัจจุบันในไทยไม่มีกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งในอดีตเคยมีบ่อนถูกกฎหมายเปิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องด้วยปัญหาประชาชนติดการพนัน ได้มีการยกเลิกบ่อนการพนัน จาก 403 ตำบล เหลือ 9 ตำบล และในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการประกาศปิดบ่อนทั่วประเทศในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460[2]", "title": "กาสิโน" } ]
1114
กรุงศรีอยุธยาล่มสลายเมื่อปีใด?
[ { "docid": "59325#19", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "อำเภอสุวรรณภูมิ" }, { "docid": "6993#15", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "จังหวัดขอนแก่น" }, { "docid": "224477#32", "text": "เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในปีพ.ศ. 2310 ก่อให้เกิดความแตกแยกกันขึ้นในระหว่างข้าราชการและขุนนาง ฝ่ายเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เจ้าพระยานครพระยาไชยาธิเบศร์ก็ถูกเรียกตัวเข้าไปช่วยราชการงานศึกที่กรุงศรีอยุธยา แล้วถึงแก่อนิจกรรมไม่ได้กลับมาที่นครศรีธรรมราชอีก พระปลัด (หนู)จึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะประกาศอิสรภาพแก่นครศรีธรรมราช ซึ่งเคยเป็นเมืองอิสระแต่ครั้นโบราณกาล จึงตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2307 และได้เกลี้ยกล่อมหัวเมืองปักษ์ใต้ให้เข้าเป็นพวกด้วย", "title": "ประวัติศาสตร์จังหวัดภูเก็ต" }, { "docid": "44328#0", "text": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองหรือ สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งที่สองระหว่างราชวงศ์โกนบองแห่งพม่า กับราชวงศ์บ้านพลูหลวงแห่งอยุธยา ในการทัพครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีคนไทยเกือบสี่ศตวรรษได้เสียแก่พม่าและถึงกาลสิ้นสุดลงไปด้วย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
[ { "docid": "44328#49", "text": "ภายหลังจากการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา เพื่อความอยู่รอด ทำให้เกิดชุมนุมทางการเมืองในระดับต่าง ๆ ซึ่งเป็น \"\"รัฐบาลธรรมชาติ\"\" ขึ้นมาในท้องถิ่นทันที ส่วนรัฐบาลธรรมชาติเหล่านี้เกิดจากการที่บรรดาเจ้าเมืองขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนักได้ตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน เรียกว่า \"ชุมนุม\" หรือ \"ก๊ก\" ซึ่งมีจำนวน 4-6 แห่ง นับว่ารัฐไทยเกือบสิ้นสลายไปเพราะไม่อาจรวมกันเป็นปึกแผ่นได้อีก", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "333043#4", "text": "ค่ายหลวงหว้ากอ อยู่ในตำแหน่งใกล้กับเส้นกึ่งกลางของคราส โดยสูงค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย คราสเริ่มจับ (สัมผัสที่ 1) เวลา 10:32:23 น. จับหมดดวง (สัมผัสที่ 2) เวลา 12:00:31 น. กินลึกสุดเวลา 12:03:55 น. มุมเงยดวงอาทิตย์ 84.8° เริ่มคลายออก (สัมผัสที่ 3) เวลา 12:07:18 น. คลายหมดดวง (สัมผัสที่ 4) เวลา 13:35:13 น. ส่วนกรุงเทพมหานครในขณะนั้น เห็นเป็นสุริยุปราคาชนิดบางส่วนโดยกินลึกถึง 96% เวลา 12:03:33 น. ตามเวลามาตรฐานประเทศไทยในปัจจุบัน", "title": "สุริยุปราคา 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411" }, { "docid": "44328#2", "text": "การเสียกรุงครั้งนี้ นอกจากจะส่งผลให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลายลงแล้ว ตะนาวศรีตอนใต้ยังได้ตกเป็นของพม่าเป็นการถาวร และเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองในระดับต่าง ๆ จนแทบนำไปสู่การล่มสลายของรัฐไทย อย่างไรก็ดี พม่าจำต้องถอนกำลังส่วนใหญ่ในอาณาจักรอยุธยาเดิมกลับคืนประเทศไปเมื่อถูกจีนบุกครอง จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเถลิงอำนาจและตั้งอาณาจักรของคนไทยใหม่", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "323601#36", "text": "เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อเวลา 14.25 น. กลุ่มผู้ชุมนุมทุบกระจกที่ชั้น 1 ของอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งศูนย์การค้าเซน แล้วลอบเข้าไปวางเพลิงภายใน จนทำให้มีกลุ่มควัน และเปลวไฟพวยพุ่งออกมา นอกจากนี้ ในภายหลังยังมีรูปกลุ่มผู้ชุมนุมบางคนลับลอบขโมยขนสินค้าราคาสูงออกมาจากตัวห้างด้วย ต่อมา มีการลอบวางเพลิงโรงภาพยนตร์สยามอีกแห่งหนึ่งเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าสกัดเพลิงได้ เนื่องจากถูกกลุ่มคนในชุดดำ\nยิงต่อสู้ เพลิงได้ลุกไหม้เป็นเวลาหลายชั่วโมง นอกจากนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปภายในอาคารมาลีนนท์ ริมถนนพระรามที่ 4 ซึ่งเป็นที่ทำการของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จากนั้นเกิดเพลิงลุกไหม้ป้ายชื่ออาคาร และชั้นล่างของอาคาร", "title": "การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ พ.ศ. 2553" }, { "docid": "33621#35", "text": "การชุมนุมวันที่ 6 ตุลาคม จนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เหี้ยมโหดอำมหิต และจบด้วยการจับกุมนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชน ภาพของการล้อมฆ่า ล้อมทำร้าย ภาพของการแขวนคอ ตอกลิ่ม นั่งยางเผาสด เป็นความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในใจกลางเมืองหลวง ข้างพระราชบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย ที่เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา เป็นที่สะเทือนใจของประชาชนทั่วไป", "title": "รัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี" }, { "docid": "663949#2", "text": "ครั้งที่สองปี พ.ศ. 2541 ผลิตโดยบริษัท เมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด บทโทรทัศน์โดย ละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล, นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์ กำกับการแสดงโดย ชนะ คราประยูร นำแสดงโดย จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์, จริยา แอนโฟเน่, บุษกร พรวรรณะศิริเวช, วรวุฒิ นิยมทรัพย์, กรรชัย กำเนิดพลอย ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 18 กุมภาพันธ์ - 26 มีนาคม พ.ศ. 2541 ทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3", "title": "เลื่อมสลับลาย" }, { "docid": "588515#105", "text": "เย็นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 สุเทพประกาศว่าจะยุบสถานที่ชุมนุมที่แยกปทุมวัน ราชประสงค์ สีลมและอโศกในวันที่ 2 มีนาคม 2557 และขอโทษแก่ประชาชนผู้ไม่ได้รับความสะดวกจากการยึดกรุงเทพมหานคร กปปส. ย้ายสถานที่ชุมนุมไปยังสวนลุมพินี นับเป็นจุดสิ้นสุดของ \"การปิดกรุงเทพมหานคร\" และอีกหนึ่งเวทีชุมนุมที่ยังเหลืออยู่ คือ ที่แจ้งวัฒนะ ที่มีพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม (หลวงปู่พุทธะอิสระ) เป็นแกนนำ ซึ่งประกาศว่าจะไม่รื้อหรือย้ายเวทีไปไหนหลังจากการประกาศของสุเทพ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป ความมุ่งหมายหลักของขบวนการประท้วงจะเป็นการคว่ำบาตรและขัดขวางปฏิบัติการของผลประโยชน์ทางธุรกิจของตระกูลชินวัตร", "title": "วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557" } ]
3021
เนเฮเมียห์ กรีว นักพฤกษศาสตร์ชาวอะไร?
[ { "docid": "448274#0", "text": "ฮือโค มารี เดอ ฟรีส () เป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และถือเป็นนักพันธุศาสตร์คนแรก ๆ ของโลก เป็นที่รู้จักจากการเสนอแนวคิดว่าด้วยยีน การค้นพบกฎการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมซ้ำอีกครั้งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1890 โดยไม่รู้จักผลงานของเกรเกอร์ เมนเดล มาก่อน การเสนอใช้คำว่าการกลายพันธุ์ (mutation) และการพัฒนาทฤษฎีการกลายพันธุ์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ", "title": "ฮือโค เดอ ฟรีส" } ]
[ { "docid": "232116#1", "text": "มีรายงานการค้นพบละอองเรณูภายใต้กล้องจุลทรรศน์เป็นครั้งแรกสุดในช่วงทศวรรษที่ 1640 โดย เนเฮเมียห์ กรีว นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นผู้บรรยายลักษณะของละอองเรณู เกสรตัวผู้ และเป็นผู้ทำนายได้อย่างถูกต้องว่าละอองเรณูเป็นสิ่งจำเป็นในการสืบพันธุ์ของพืชทั้งหลาย กล้องจุลทรรศน์ได้เข้ามามีบทบาทในการศึกษาเรณูวิทยามากยิ่งขึ้นรวมไปถึงผลงานของโรเบิร์ต คิดสตัน และพี เรนช์ผู้ตรวจสอบพบสปอร์ในชั้นถ่านหินที่เปรียบเทียบได้กับสปอร์ของพืชปัจจุบัน ผู้บุกเบิกช่วงแรกๆยังรวมถึงคริสเตียน กอทต์ฟรายด์ อีห์เรนเบิร์ก (ผู้ศึกษาเรดิโอลาเรียนและไดอะตอม) ไกเดียน แมนเทลล์ (ผู้ศึกษาสาหร่ายเดสมิด) และเฮนรี โฮฟเรย์ ไวต์ (ผู้ศึกษาไดโนแฟลกเจลเลต)", "title": "เรณูวิทยา" }, { "docid": "755703#0", "text": "เซอร์ จอห์น คาวเดอรี เคนดรูว์ (; 24 มีนาคม ค.ศ. 1917 – 23 สิงหาคม ค.ศ. 1997) เป็นนักผลิกศาสตร์และนักเคมีชาวอังกฤษ เกิดที่เมืองออกซฟอร์ด เขาเป็นบุตรของวิลฟอร์ด จอร์จ เคนดรูว์ ศาสตราจารย์ด้านภูมิอากาศวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดกับเอเวลีน เมย์ เกรแฮม แซนด์เบิร์ก นักประวัติศาสตร์ศิลป์ เคนดรูว์เรียนที่โรงเรียนดรากอนและวิทยาลัยคลิฟตัน ก่อนจะเรียนต่อด้านเคมีที่วิทยาลัยทรินิตี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาทำงานร่วมกับกองทัพอากาศแห่งสหราชอาณาจักร และเริ่มสนใจการศึกษาโปรตีน", "title": "จอห์น เคนดรูว์" }, { "docid": "859311#0", "text": "แอนดรูว์ เจอเรอมี เวคฟิลด์ () เกิดเมื่อ ค.ศ. 1957 เป็นอดีตแพทย์ทางเดินอาหารและอดีตนักวิจัยทางการแพทย์ชาวอังกฤษ ซึ่งถูกถอนใบอนุญาตจากแพทยสภาแห่งประเทศอังกฤษเนื่องจากเหตุฉ้อฉลเรื่องงานวิจัยในปี ค.ศ. 1998 และคดีประพฤติมิชอบอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับข้ออ้างซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการให้วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR) กับการเกิดภาวะออทิสติกและโรคลำไส้", "title": "แอนดรูว์ เวคฟิลด์" }, { "docid": "36040#0", "text": "อาจารย์ กนก เหวียนระวี (20 มกราคม 2490 — ) เป็นอาจารย์และนักธุรกิจเจ้าของกิจการบ้านจัดสรรและสนามกอล์ฟกรุงกวี เป็นอาจารย์รุ่นบุกเบิกของภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีความเชี่ยวชาญทางด้านพืชสวน สำเร็จปริญญาตรีและโทในสาขาพืชสวน จากมหาวิทยาลัยมิสซุรี สหรัฐอเมริกา อาจารย์กนกเป็นผู้ที่ส่งเสริมการออกแบบภูมิทัศน์โดยอิงกับธรรมชาติ เช่น การใช้ระบบนิเวศดูแลเรื่องแมลง แทนการใช้ยาฆ่าแมลง โดยมักยกกรณีตัวอย่างจากกิจการสนามกอล์ฟของอาจารย์เอง", "title": "กนก เหวียนระวี" }, { "docid": "4933#0", "text": "มารี สกวอดอฟสกา-กูว์รี () มีชื่อแต่แรกเกิดว่า มาเรีย ซาลอแมอา สกวอดอฟสกา (; ; 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2410 - 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2477) เป็นนักเคมีผู้ค้นพบรังสีเรเดียม ที่ใช้ยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีอัตราการตายของคนไข้เป็นอันดับหนึ่งมาทุกยุคสมัย ด้วยผลงานที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติเหล่านี้ ทำให้มารี กูว์รีได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งด้วยกัน", "title": "มารี กูว์รี" }, { "docid": "611060#0", "text": "นาย ฟิเนียส์ พี. เกจ () (ค.ศ. 1823-1860)\nเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างทางรถไฟชาวอเมริกัน ผู้ที่รู้จักกันเนื่องจากการรอดชีวิตอย่างไม่น่าเป็นไปได้\nจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างการระเบิดหิน ที่แท่งเหล็กขนาดใหญ่พุ่งทะลุผ่านกะโหลกศีรษะของเขา\nทำลายสมองกลีบหน้าด้านซ้ายโดยมาก\nและเนื่องจากผลที่เกิดขึ้นเพราะความบาดเจ็บ ต่อบุคลิกภาพและพฤติกรรมตลอดชีวิตอีก 12 ปีที่เหลือของเขา\nเป็นผลกระทบที่กว้างขวางลึกซึ้งจนกระทั่งว่า เพื่อนของเขา (อย่างน้อยก็เป็นช่วงเวลาหนึ่ง) เห็นว่าเขา \"ไม่ใช่นายเกจอีกต่อไป\"", "title": "ฟิเนียส์ พี. เกจ" }, { "docid": "556442#0", "text": "มอริส ฮิว เฟรเดอริก วิลคินส์ (15 ธันวาคม พ.ศ. 2459 – 5 ตุลาคม พ.ศ. 2547) เป็นนักฟิสิกส์และนักชีววิทยาโมเลกุลชาวอังกฤษ (เกิดที่นิวซีแลนด์) ผู้มีบทบาทสำคัญในการค้นพบโครงสร้างดีเอ็นเอร่วมกับโรซาลินด์ แฟรงคลิน เรย์มอนด์ กอสลิง เจมส์ วัตสัน และนักวิทยาศาสตร์อีกหลายท่าน นอกจากนี้ยังได้ทำงานวิจัยด้านการวาวแสง การแยกไอโซโทป กล้องจุลทรรศน์ การเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ และเรดาร์อีกด้วย", "title": "มอริส วิลคินส์" }, { "docid": "728178#0", "text": "วลาดีเมียร์ เพเทอร์ เคิพเพิน () หรือ วลาดีมีร์ เปโตรวิช คอปเปน (; 25 กันยายน พ.ศ. 2389 – 22 มิถุนายน พ.ศ. 2483) เป็นนักภูมิศาสตร์ นักอุตุนิยมวิทยา นักกาลวิทยา และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและรัสเซีย หลักจากศึกษาในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตทำงานในประเทศเยอรมนีและประเทศออสเตรีย ผลงานซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดของเคิพเพินก็คือระบบการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพินซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน", "title": "วลาดีเมียร์ เคิพเพิน" }, { "docid": "102875#0", "text": "พอล เอเดรียน มัวริซ ดิแรก (; 8 สิงหาคม 2445 -20 ตุลาคม 2527) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวอังกฤษ หนึ่งในผู้ก่อตั้งฟิสิกส์สาขากลศาสตร์ควอนตัม เขาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ลูคาเซียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ก่อนจะไปใช้ชีวิตในช่วงสิบปีสุดท้ายของชีวิตที่มหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตต เขาเป็นผู้สร้าง \"สมการดิแรก\" เพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมของแฟร์มิออน นำไปสู่การคาดการณ์ถึงการดำรงอยู่ของปฏิสสาร เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2476 ร่วมกับ เออร์วิน ชเรอดิงเงอร์ สำหรับการ \"ค้นพบรูปแบบใหม่ของทฤษฎีอะตอม\"", "title": "พอล ดิแรก" } ]
2219
เสก โลโซ ชื่อจริงว่าอะไร ?
[ { "docid": "223957#0", "text": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือ เสก โลโซ เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2517 เป็นนักร้อง, นักดนตรี, นักแต่งเพลงชาวไทย จังหวัดนครราชสีมา เป็นอดีตนักร้องนำวงโลโซ ก่อนที่ต่อมาจะแยกตัวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว", "title": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย" } ]
[ { "docid": "558620#1", "text": "มิวสิกวิดีโอนี้ได้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 (วันฉัตรมงคล) ในรายการ ฮัลโหลวันหยุด ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยถ่ายทำที่โรงงานน้ำตาลแห่งหนึ่งในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และสตูดิโอ 125 กำกับโดย ณัฐพล มุขขันธ์ โดยมี มาช่า วัฒนพานิช มาร่วมแสดงในบทบาทของสาวงามที่บังเอิญรถเสียและเดินหลงเข้าไปในหมู่บ้านๆหนึ่งเลยทำให้ชาวบ้านร้านตลาดตกตะลึงในความงามของเธอ ส่วนฉากของ เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ และ เสก โลโซ (เสกสรรค์ ศุขพิมาย) นั้น เป็นการประชันของ เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ ซูเปอร์สตาร์ฝั่งป็อปในชุดสูทผูกเนคไทสุดเนี้ยบโดดขึ้นเวทีกับ เสก โลโซ (เสกสรรค์ ศุขพิมาย) ซูเปอร์สตาร์ฝั่งร็อกในบรรยากาศที่เซ็ตขึ้นมาเหมือนคอนเสิร์ตจริง โดยมีแฟนคลับร้อยกว่าชีวิตมาร่วมบรรยากาศข้าง ๆ เวทีด้วยความมันในอารมณ์ตามเพลงชนิดที่ว่าถ่ายกี่เทคกี่คัตยังไม่หาย", "title": "อมพระมาพูด" }, { "docid": "50690#1", "text": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย (เสก): หัวหน้าวง, นักร้องนำ,กีตาร์, แต่งคำร้องและทำนอง, ประสานเสียง (พ.ศ. 2539 - 2545) กิตติศักดิ์ โครตคำ (ใหญ่): กลองชุด, ร้องประสาน, ร้องนำเพลง เราและนาย, เธอชอบนาย, โชคดี (พ.ศ. 2539 - 2545) อภิรัฐ สุขจิตร์ (รัฐ): เบส, ร้องประสาน, ร้องนำเพลง เธอชอบนาย, โชคดี (พ.ศ. 2539 - 2541 ,พ.ศ. 2544 - 2545)", "title": "โลโซ" }, { "docid": "223957#13", "text": "เสก โลโซ ใช้กีตาร์ Fender Stratocaster Richie Sambora Signature (สีครีม Inlay รูปดาว) มาโดยตลอดตั้งแต่อัลบัมแรกจนถึงปัจจุบันและเสกก็มีกีต้าร์รุ่นนี้อยู่หลายตัว", "title": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย" }, { "docid": "117214#9", "text": "ในปี พ.ศ. 2540 ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 7 บางอ้อ มีเพลงดังอย่าง \"อยากได้ยินว่ารักกัน\" \"ข้าวเย็น\" \"I LOVE YOU\" และ \"คนหลายใจ\" ซึ่งแต่งโดยร็อคเกอร์ชื่อดัง \"เสก โลโซ\" และเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายที่มียอดขายเกิน1ล้านตลับของวง", "title": "อัสนี-วสันต์" }, { "docid": "52894#22", "text": "หมากเกมนี้ - อัลบั้ม งานซนคนดนตรี นานที 10 ปีหน (พ.ศ. 2536) เธอ...ผู้ไม่แพ้ - อัลบั้ม ROCK ZONE: ร็อค (โ) ซน (พ.ศ. 2538) ร่วมร้องเพลง คนไทยหัวใจเดียวกัน (ร่วมกับ ไมโคร , เสก โลโซ , บอดี้แสลม , บิ๊กแอส) - เพลงโฆษณาเครื่องดื่มช้าง (พ.ศ. 2553) (ภายหลังบรรจุไว้ในอัลบั้ม PLUS ของ เสก โลโซ) เกลียดแผลที่อยู่ในใจ - เพลงประกอบละครซีรีส์เลือดมังกร ตอน กระทิง (พ.ศ. 2558)", "title": "อำพล ลำพูน" }, { "docid": "517060#6", "text": "ด้านชีวิตส่วนตัว ปกรณ์คบกับแฟนสาวชื่อโม โดยเขาได้แบ่งเวลาช่วยแฟนสาวขายเสื้อผ้าที่ตลาดนัด และปกรณ์เป็นผู้ที่ชื่นชอบเพลงของเสก โลโซ ตลอดจนเป็นผู้ที่ชอบสะสมเหรียญพระเครื่องต่าง ๆ", "title": "ปกรณ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" }, { "docid": "120487#11", "text": "จตุพร พรหมพันธุ์ สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล เสก โลโซ นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ", "title": "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" }, { "docid": "188694#10", "text": "หลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 อัญชะลีได้ร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์นิวทีวี ในเครือหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดยเป็นผู้ดำเนินรายการ \"หมายข่าวนิวทีวี\" (ภายหลังเปลี่ยนชื่อรายการเป็น \"นิวหมายข่าว\") ออกอากาศในช่วงเย็น โดยเริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งจัดมาต่อเนื่องจนกระทั่งอัญชะลีได้ลาออกจากนิวทีวี เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพื่อร่วมงานกับเนชั่นทีวี โดยร่วมดำเนินรายการ \"เนชั่นทันข่าว\" กับศุภโชค โอภาสะคุณ และ สถาปัตย์ แพทอง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ขณะเดียวกัน อัญชะลีกลับมาจัดรายการที่ช่องฟ้าวันใหม่อีกครั้ง ในรายการ \"ข่าวคาใจ\" ซึ่งมีรายการเทปหนึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีการเข้าจับกุมนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ (อดีตพระพุทธะอิสระ) และโจมตีบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือบุคคลที่เห็นด้วยกับการจับกุม เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นายเสกสรรค์ ศุขพิมาย (เสก โลโซ) โดยใช้ถ้อยคำหยาบคายและรุนแรง ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องไปยังองค์กรกำกับดูแลให้ดำเนินการทางปกครองกับสถานีที่ออกอากาศ", "title": "อัญชะลี ไพรีรัก" }, { "docid": "50690#20", "text": "รวมเพลงโลโซตั้งแต่อัลบั้ม Lo-Society จนถึงปกแดง และผลงานเดี่ยวของเสก", "title": "โลโซ" }, { "docid": "675812#5", "text": "พัชรีย์มีนักกีฬาที่ชื่นชอบคือบัวขาว ป.ประมุข และมีนักร้องในดวงใจคือเสก โลโซ ส่วนนักแสดงที่เธอชอบคือพัชราภา ไชยเชื้อ ปัจจุบัน เธออยู่ในสถานะโสด", "title": "พัชรีย์ ดีเสมอ" }, { "docid": "50690#0", "text": "โลโซ (English: Loso) เป็นวงดนตรีร็อกสัญชาติไทย สังกัดค่ายมอร์ มิวสิก ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เป็นวงดนตรีแนวร็อกบ้านนอก ติดดิน สไตล์ร็อคแอนด์โรลพันธุ์ไทยแท้ เนื้อหาเพลงฟังเข้าใจง่าย ซึ่งในช่วงนั้นถือได้ว่าเป็นศิลปินแจ้งเกิดที่ขายฝีมือได้ดีโดยไม่เน้นหน้าตา อัลบั้มเกือบทุกชุดของวงโลโซนั้นประสบความสำเร็จ ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนเพลงทั่วประเทศไทย สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังส่วนใหญ่ ทำให้โลโซเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งของประเทศไทย ก้าวสู่วงร็อคระดับแนวหน้าของแกรมมี่ นำโดย เสก โลโซ ซึ่งเป็นมือกีตาร์ และคนแต่งคำร้องทำนองเพลงของวงทั้งหมด", "title": "โลโซ" }, { "docid": "50690#5", "text": "วันหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ต้องการจะทำวงดนตรีจึงได้ชักชวนวงโลโซมาเป็นวงแบ็คอัพ และได้ออกอัลบั้มเพลงชุด เด็กหลังห้อง เมื่อต้นปี พ.ศ. 2539 ภายหลังจากนั้นแท่ง ศักดิ์สิทธิ์ ได้แนะนำเสกให้นำอัลบั้มเพลง Demo ไปเสนอกับค่ายมอร์ มิวสิก ของอัสนี โชติกุล ในเครือของแกรมมี่ ซึ่งเพิ่งเปิดมาใหม่ อัลบั้มเพลง Demo ดังกล่าวประสบความสำเร็จประกอบกับช่วงดนตรีที่เปลี่ยนไปสู่ยุคของดนตรีร็อคที่เน้นความสามารถมากกว่าหน้าตา ทำให้โลโซได้เป็นศิลปินในที่สุดและได้ออกอัลบั้มชุดแรกของวงโลโซ ใช้ชื่อชุดว่า Lo Society ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2539 ซึ่งอัลบั้มนี้มีแนวเพลงที่มีความเป็นร็อคแบบกรันจ์ มีเพลงในอัลบั้มอย่างเพลง ฉันหรือเธอ (ที่เปลี่ยนไป), ไม่ต้องห่วงฉัน, เราและนาย, ไม่ตายหรอกเธอ, อยากบอกว่าเสียใจ, คุณเธอ อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายและได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนเพลงชาวไทย ซึ่งในยุคสมัยนั้นกระแสของเพลงอัลเทอร์เนทีฟในไทยยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก วงโลโซถือเป็นวงร็อคที่สามารถต่อสู้กับศิลปินอัลเทอร์เนทีฟชื่อดังจากค่ายเพลงอื่น จนสามารถดึงกระแสความนิยมมายังค่ายมอร์ มิวสิค และแกรมมี่ได้ ถึงแม้ว่าวงจะมีเครื่องดนตรีเพียงแค่สามชิ้น แต่ซาวด์ดนตรีที่ออกมานั้นแน่นจับใจ เพลงทั้งหมดของวงแต่งคำร้องและทำนองเองโดยเสก และบันทึกเสียงเพลงในวงเอง ทำให้ชื่อของเสกสรรค์ ศุขพิมาย และวงโลโซเป็นที่จดจำของแฟนเพลงชาวไทย และได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินร็อคระดับแนวหน้าของประเทศไทยในขณะนั้น", "title": "โลโซ" }, { "docid": "50690#11", "text": "หลังจากคอนเสิร์ตใหญ่ผ่านพ้นไป โลโซได้ทัวร์คอนเสิร์ตต่อจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2545 โลโซก็ได้หยุดทัวร์คอนเสิร์ต และในปี พ.ศ. 2546 เสกได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ได้ยุบวงโลโซ และสมาชิกในวงก็แยกย้ายกันไปแล้ว เนื่องจากถึงจุดอิ่มตัวของวงและขอพักวงการเพื่อไปเรียนต่อยังประเทศอังกฤษเพื่อเรียนภาษาและดนตรีเพื่มเติม พร้อมกับฝากผลงานอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเขา ชื่อชุดว่า 7 สิงหา หลังจากเสกเรียนจบ เขาก็กลับเข้าสู่วงการดนตรีต่อโดยเขาได้ร่วมทำเพลงและออกอัลบั้มพิเศษคู่กับเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย นักร้องซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทย ชื่อชุดว่า เบิร์ด - เสก เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 เพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 20 ปี ของ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จมากมียอดจำหน่ายสูงสุดแห่งปีคือ 2 ล้านชุด หลังจากนั้นเสกก็ออกอัลบั้มเป็นของตนเองต่อไปในฐานะศิลปินเดี่ยว รับทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ และเขายังเป็นที่รู้จักและยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "โลโซ" }, { "docid": "52314#4", "text": "ต่อมาก่อนเปิด ฤดูกาล 2560 ทางกลุ่มทุนที่บริหาร สมุทรสาคร เอฟซี ได้ยื่นข้อเสนอในการ เทกโอเวอร์ ซึ่งการเจรจาบรรลุผลแล้ว แต่ว่า ทางกลุ่มของสมุทรสาครได้ล้มการเจรจาไปในที่สุด ต่อมาทางกลุ่มทุนที่นำโดย เสกสรรค์ ศุขพิมาย (เสก โลโซ) ได้เข้าร่วมบริหารกับกลุ่มทุนเดิม ทำให้สโมสรยังมีชื่อลงเล่นต่อไปได้", "title": "สโมสรฟุตบอลจัมปาศรี ยูไนเต็ด" }, { "docid": "50707#19", "text": "จัดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2549 ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ร่วมกับ บิ๊กแอส ,บอดี้สแลม ,เสก โลโซ ,ลานนา คัมมินส์ ,ไมค์ ภิรมย์พร ,ฝน ธนสุนทร และ ขุนอินทร์", "title": "โปเตโต้" }, { "docid": "288086#1", "text": "จุดเริ่มต้นของอัลบั้มชุดนี้เกิดขึ้นโดย เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ ไปชักชวน เสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือที่รู้จักกันในนาม เสก โลโซ ให้มาออกอัลบั้มพิเศษคู่กันโดยเพลงในอัลบั้มชุดนี้ได้รวบรวมเพลงดังของทั้งคู่มาขับร้องใหม่โดยมีเพลงใหม่อีก 2 เพลงคือ อมพระมาพูด และ คุณรู้ไหมครับ โดยได้มีคอนเสิร์ตใหญ่จัดการแสดง 2 วัน ชื่อคอนเสิร์ต เบิร์ดซน เบิร์ดเสก แสดงเมื่อวันที่ 5 - 6 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี", "title": "เบิร์ด-เสก" }, { "docid": "223957#3", "text": "เสก โลโซ เคยมีเรื่องข่าวอื้อฉาวการไป ตบบ้องหู น้อย วงพรู เหตุเพราะเคืองอีกฝ่ายสะบัดรองเท้าปลิวไปโดนตัวระหว่างทำการแสดงแล้วไม่ยอมขอโทษ น้อย วงพรู ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งที่ทั้งคู่เดินทางไปแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นางลอย นาฏกรรมแห่งรักแอนด์โรล ในงานมหกรรมดนตรี Lincoln Center Festival ของโรงละครชื่อดังในนครนิวยอร์ก เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 จนตกเป็นข่าวกระฉ่อนข้ามทวีปอยู่พักใหญ่ แต่ทั้งคู่ก็ได้เคลียร์กัน กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม จนกระทั่งมีข่าวฉาวขึ้นมาอีกรอบ[6][7] เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 [8]มีข่าวการเผยแผร่ภาพของเสกในลักษณะที่คล้ายกับกำลังเสพยาเสพติดแพร่กระจายในทั่วโซเซี่ยลเน็ตเวิร์คอย่างมาก จนกระทั่งมีกระแสในด้านลบและกลายเป็นปัญหาอื้อฉาว เสกเลือกที่จะไม่โต้ตอบในกระแสหลัก แต่มีการโพสต์ข้อความและรูปภาพในอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรับงานตามปกติ[9] การทำร้ายร่างกายของอดีตภรรยา พร้อมทั้งเปิดตัวแฟนสาวคนใหม่ อ้อม พรพิมล เทพพิชัย ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเสก[10] ภายหลังการแถลงข่าว เช้าวันต่อมาบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) โดยนายกริช ทอมมัส ได้จัดแถลงข่าวพิเศษ จึงประกาศการยกเลิกสัญญากับทางค่ายเพลงของเสกในที่สุด[11] เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559 กรณีนางวิภากร หรือกานต์ ศุขพิมาย อดีตภรรยา ของ “เสก โลโซ” นายเสกสรร ศุขพิมาย ร็อกเกอร์ ชื่อดังโพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊ก สันนิษฐานว่าอดีตสามีทำร้ายร่างกายสาวหล่อ น.ส.ชนกชล บุญเพ็ง หรือ บี ลูกน้องคนสนิทของเธอต่อหน้า “น้องกวาง” ลูกสาวคนกลาง ทั้งที่พยายามห้ามปรามแต่ไม่เป็นผลจนทำให้เหยื่อบาดเจ็บกระดูกกรามหัก รอเช็กเลือดคั่งในสมอง เขียนข้อความว่า “ใครที่มีอำนาจพอที่จะลาก เสก โลโซ เข้าคุกได้ ช่วยที” เพราะถูกอีกฝ่าย คุกคามตลอด ครั้งที่แล้วให้ลูกน้องขับรถชนน้องชายคดียังไม่ไปถึงไหนเลย ล่าสุดมาทำร้ายลูกน้องคนสนิทบาดเจ็บสาหัส พร้อมระบุแจ้งความกับตำรวจ สน.ลาดพร้าวแล้ว[12] โดยศาลได้ฟ้องเสกสรรค์ จำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 4,000 บาท แต่รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง รอลงอาญา 2 ปี พร้อมบริการสังคม 3 ครั้ง[13] และจ่ายค่าเสียหายให้คู่กรณีเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท[14] เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เสกสรรค์ ได้ยิงปืนขึ้นฟ้าหลังจากเสร็จงานคอนเสิร์ตในงาน 250 ปี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยปืนที่ยิงนั้นเป็นปืน 9 ม.ม. และชักปืนยิงขึ้นฟ้าทั้งหมด 10 นัด และยิงลงพื้นอีก 1 นัด โดยที่ไม่ชี้แจงจุดประสงค์ดังกล่าว โดยทางเสกสรรค์ได้ชี้แจงว่าที่ยิงปืนขึ้นฟ้ามาจากการคำสั่งของเจ้าอาวาสโดยกล่าวว่า ยิงสลุตถวายพระองค์ท่าน ด้วยความจงรักภักดี หลังจากแสดงคอนเสิร์ตการกุศลสิ้นสุดลง แต่ด้วยข่าวที่เกิดขึ้นทำให้เสก ถูกหมายจับข้อหา มีอาวุธปืน-กระสุนไม่ได้ รับอนุญาต พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร ยิงปืน โดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน ชุมชน[15] กระทั่งวันที่ 31 ธันวาคม ตำรวจได้ออกหมายค้นที่บ้านโดยเสกอยู่ในบ้านตลอด จนถูกรวบตัวหลังจากถูกจับกุม ได้ตรวจสารเสพติดผลปรากฏว่ามีปัสสวะสีม่วง[16] ทำให้ถูกเพิ่มข้อหาเสพสารเสพติดและถูกจำคุกเพิ่มอีกจากคดีทื่ทำร้ายทอมเขาจำคุกในคืน วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561 ที่ สภ.พรหมคีรี[17] แต่ว่ากานต์ วิภากร อดีตภรรยาได้นำเงินประกันตัวเสกสรรค์ เป็นจำนวนเงิน 150,000 บาท ในข้อหาขัดขวางการจับกุมและพกพาอาวุธปืน ก่อนควบคุมตัวกลับไปยัง สน.คันนายาว เพื่อรอประสานกับ สภ.พรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อดำเนินคดีต่อ ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561 [18] เสกสรรค์ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มอีก 2 ข้อหา คือ มีอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน หรือผู้ต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ หลังขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมตัว จนต้องใช้กำลังจากหน่วยอรินทราชเข้าควบคุมตัว และการตรวจผลปัสสวะสีม่วงได้พบว่า มีสารเมทแอมเฟตามีน อยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภทยาไอซ์หรือยาบ้า และสารเอ็มดีเอ็มเอ (Methylenedioxy methamphetamine) อยู่ในกลุ่มประเภทยาอี ทั้งนี้ สารเสพติดที่พบดังกล่าวอยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภทที่ 1 [19] แต่หลังจากที่ปล่อยตัวเสก ได้โพสต์รูปงานเลี้ยงและถ่ายรูปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับได้รับดำเนินคดีที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง และจากการโพสต์นั้นทำให้ถูกสั่งย้ายด่วนในรูปภาพ[20] เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม เสกสรรค์ได้ถ่ายทอดสดในแฟนเพจตัวเองในเฟซบุ๊ก โดยมีการพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 ด้วยคำไม่สุภาพและทั้งหมดหมิ่นประมาททั้งไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม[21], ทักษิณ ชินวัตร, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พานทองแท้ ชินวัตร[22][23][24] พร้อมประกาศตัวเองว่าเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกด้วย และด้วยการถ่ายทอดสดต่อเนื่องทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เสกสรรค์มีอาการโรคไบโพลาร์[25] อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ได้นำตัวเสกเข้าไปรักษาบำบัดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยผู้ที่นำพาไปคือเสฏกานต์, วิภากร ศุกพิมาย และ อภิสยา พัฒนวรทรัพย์ ซึ่งได้พบว่าอาการของเสกเป็นไบโพลาร์ขั้นร้ายแรงซึ่งอาจจะมีส่งผลต่อการฆ่าตัวตาย และมีอาการโรคนี้มานานเกือบ 10 ปี[26]", "title": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย" }, { "docid": "350643#0", "text": "โอโฮ () เป็นวงดนตรีหญิงล้วน 4 คน ประกอบด้วย เอ๋, อ้อ, โบว์ จากวง XYZ และนักร้องนำ หนุ่ย นันทกานต์ ซึ่งทั้งหมดได้รับการชักชวนจากอัสนี โชติกุล ให้มาทำวงดนตรีในนามวงโอโฮ ซึ่งวงโอโฮมีผลงานเพลงออกมาเพียง 1 อัลบั้ม ชื่อ \"OHO...OHO\" มีเพลงที่ได้รับความนิยมคือ \"เก็บใจใส่ (กุญแจ)\" ซึ่งเป็นผลงานการแต่งเพลงของร็อคเกอร์ชื่อดัง เสก โลโซ ในนามปากกาว่า ส.ศรีวรา ต่อมาสมาชิกในวงก็แยกย้ายกันออกไป และเหลือเพียงหนุ่ย นันทกานต์ ้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในวงการในฐานะศิลปินเดี่ยวจนถึงปัจจุบัน\nวางจำหน่าย : กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542", "title": "โอโฮ" }, { "docid": "223957#8", "text": "นอกจากการแต่งคำร้องในผลงานเพลงทั้งหมดของตัวเองแล้ว เสก โลโซ ยังได้แต่งคำร้องให้กับศิลปินคนอื่น ๆ ในสังกัดจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ด้วย โดยใช้นามปากกา อย่างเช่น ส. ศรีวรา, เสฎกานต์, กรกวี, วิภากร เช่น", "title": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย" }, { "docid": "50690#22", "text": "รวมเพลงโลโซตั้งแต่อัลบั้ม Lo-Society จนถึงปกแดง และผลงานเดี่ยวของเสก", "title": "โลโซ" }, { "docid": "50690#3", "text": "จุดเริ่มต้นของวงโลโซเริ่มเกิดขึ้นจาก เสกสรรค์ ศุขพิมาย (เสก) โดยเสกได้เข้าสู่เส้นทางดนตรีอาชีพโดยการตระเวนเล่นดนตรีอาชีพตามผับในหลายจังหวัด และได้ไปเรียนงานช่างไฟฟ้าที่วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา จากนั้นก็ได้เจอกับเพื่อนนักดนตรีอาชีพเดียวกันอย่าง อภิรัฐ สุขจิตร์ (รัฐ) และ กิตติศักดิ์ โคตรคำ (ใหญ่) ซึ่งมีความรักในสิ่งเดียวกันนั่นก็คือดนตรีและมีหัวคิดทางดนตรีที่ก้าวหน้าเหมือนกัน โดยเสกชอบแนวดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกแบบวงเนอร์วานา ซึ่งมีสมาชิกวงเพียงแค่ 3 คน จึงได้ตกลงคุยกันและร่วมกันก่อตั้งวง ในนาม<b data-parsoid='{\"dsr\":[2048,2058,3,3]}'>โลโซ โดยชื่อของวงดัดแปลงมาจากคำว่า ไฮโซ ซึ่งมาจากคำที่มีความหมายถึงคนชั้นสูง โดยชื่อโลโซนี้เป็นคำที่สะท้อนให้เห็นถึงต้นกำเนิดของวงรวมถึงเป็นการถ่อมตน", "title": "โลโซ" }, { "docid": "84540#7", "text": "การนำเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมที่ขณะที่เขียนการ์ตูนมาแทรกอยู่ในตัวเรื่องก็ถือเป็นอีกกลวิธีการแทรกอารมณ์ขันในสามก๊ก มหาสนุก เช่น ตอนที่ตันก๋งจับตัวโจโฉที่กำลังถูกทางการประกาศจับมาไต่สวน โจโฉได้แก้ตัวว่าตนชื่อฮองฮู ไม่ใช่โจโฉ ตันก๋งไม่เชื่อจึงได้ร้องเพลง 'อมพระมาพูด' ของธงไชย แมคอินไตย์ และเสก โลโซ", "title": "สามก๊ก มหาสนุก" }, { "docid": "50690#24", "text": "รวมเพลงโลโซตั้งแต่อัลบั้ม Lo-Society จนถึงปกแดง และผลงานเดี่ยวของเสก โดยวางจำหน่ายในรูปแบบ USB", "title": "โลโซ" }, { "docid": "674785#0", "text": "\"เจ็บหัวใจ\" เป็นซิงเกิลของนักร้อง เสก โลโซ จากอัลบั้ม \"SEK LOSO\" เป็นการกลับมาอีกครั้งของเสกในค่ายใหม่ชื่อว่า อัพ^จี สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ออกจำหน่ายในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ", "title": "เจ็บหัวใจ" }, { "docid": "259793#0", "text": "ไมเคิ่น ตั๋ง มีชื่อจริงว่า รุ่งโรจน์ นิจรันธ์ เป็นนักลอกเลียนแบบการแสดงของศิลปินดัง ๆ อย่างไมเคิล แจ็กสัน, แอ๊ด คาราบาว, เทียรี่ เมฆวัฒนา, เล็ก คาราบาว, อี๊ด วงฟลาย, ตู้ ดิเรก, เสก โลโซ, อัสนี โชติกุล, อำพล ลำพูน, เหน่ง วายน็อตเซเว่น, นิค นิรนาม, เรวัต พุทธินันทน์, ชรัส เฟื่องอารมย์, สบชัย ไกรยูรเสน, เทพ โพธิ์งาม, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, ชาย เมืองสิงห์, ติ๊ก ชีโร่, ควีน, เอลวิส เพรสลี่ย์, สกอร์เปียนส์, ออดี้, โป่ง หิน เหล็ก ไฟ, เนม ปราการ, โจ๊ก โซคูล, สายัณห์ สัญญา และอื่นๆ อีกมากมาย", "title": "ไมเคิ่น ตั๋ง" }, { "docid": "223957#1", "text": "เสกสรรค์ ภูมิลำเนาอยู่อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา และเป็นน้องสุดท้อง โดยมีพี่ชายแท้ๆ คือ อมร ศุขพิมาย หรือ แสน นากา เป็นอดีตนักร้องนำวงนากา จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดโคกหนองไผ่ ก่อนที่จะร่วมวงโลโซ ได้ตระเวนเล่นดนตรีอาชีพตามผับในหลายจังหวัด จนมามีผลงานอัลบั้ม โลโซไซตี้ ในนามวง โลโซ กับดนตรีแนวร็อกเนื้อหาฟังเข้าใจง่าย ซึ้งในช่วงนั้นถือได้ว่าเป็นศิลปินที่ขายฝีมือไม่ได้ขายหน้าตา ที่สามารถแจ้งเกิดได้[1] โดยมีเพลงดัง อย่าง ฉันหรือเธอที่เปลี่ยนไป ในปี พ.ศ. 2546 เสกประกาศหยุดพักวงโลโซ เพื่อไปเตรียมไปเรียนภาษาและดนตรีเพิ่มเติมที่ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นกลับมารับโฆษณาเครื่องดื่มบำรุงกำลัง M-150 ซึ่งจัดจำหน่ายโดย บริษัท โอสถสภา จำกัด และกลับไปลอนดอนอีกครั้งพร้อมกับครอบครัว[2] โดยศึกษาด้านภาษาที่โรงเรียน the Hampstead School of English ในลอนดอนเป็นเวลา 6 เดือน Steve Wasserman ซึ่งเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษของเสกในเวลานั้น เคยเขียนเล่าประสบการณ์ดังกล่าวให้กับหนังสือพิมพ์การ์เดียนของอังกฤษ และเขาเคยเป็นเหตุเสพยาเสพติดของตัวเอง เช่น ดื่มเหล้า เสพยาไอซ์ รวมไปถึงการทุ่มกีตาร์ในขณะเล่นคอนเสิร์ต และการทำร้ายร่างกายภรรยาของเสก โลโซ ด้านครอบครัว เคยแต่งงานกับนางวิภากร ศุขพิมาย (กานต์) มีบุตร - ธิดารวม 3 คน คือ เสฎกานต์ (เสือ หรือ ไทกอร์), กรกวี (กวาง หรือ เดียร์), และน้องลอนดอน แต่ภายหลังเสกมีการเกิดปัญหาภายในครอบครัว จึงได้หย่าขาดจากกันเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 หลังสมรสกันมา 20 ปี ต่อมาเมื่อเสกออกมาจากโรงพยาบาลธัญญารักษ์ ที่เข้าไปทำการบำบัดยาเสพติด เสกได้จดทะเบียนสมรสกับกานต์อีกครั้ง และกลับมาอยู่กับครอบครัว ปัจจุบัน จดทะเบียนหย่าครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 เนื่องจากมีปัญหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งและทำร้ายร่างกายกันภายในครอบครัว", "title": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย" }, { "docid": "223957#14", "text": "นอกจากผลงานเพลงแล้ว เสก โลโซยังมีกิจการประเภทอื่นด้วย ได้แก่ เครื่องดื่มชูกำลัง, น้ำดื่ม, เบียร์, ร้านสะดวกซื้อ, โทรศัพท์มือถือ ภายใต้ชื่อของตัวเอง[31] และเคยเข้าร่วมบริหารสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจเมื่อต้นปี พ.ศ. 2559[32] แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากคลับไลน์เซนซิงไม่ผ่านเกณฑ์[33] จึงมาทำค่ายมวยในชื่อ \"ส. โลโซ\" และจัดศึก \"โลโซ มวยไทย ไฟต์\"[34]", "title": "เสกสรรค์ ศุขพิมาย" }, { "docid": "50690#13", "text": "อภิรัฐ สุขจิตร์ (รัฐ) ได้ไปร่วมเป็นสมาชิกของวงฟาเรนไฮธ์ แต่ก็ออกจากวงไปในช่วงอัลบั้ม \"เอ็กตร้า ฟาเรนไฮธ์\" ต่อมาได้กลับมาเล่นร่วมกับเสกอีกครั้ง รับหน้าที่เป็นมือเบสแบ็คอัพให้ในอัลบั้ม \"แบล็กแอนด์ไวต์\" และหลังจากนั้นรัฐได้ยุติการเล่นดนตรีเนื่องจากต้องไปรักษาตัวจากโรคไตและทำธุรกิจส่วนตัว แต่ก็ยังมาร่วมเล่นดนตรีกับเสกในโอกาสอื่น เช่น เป็นนักดนตรีรับเชิญในคอนเสิร์ต 40 ปีเสกโลโซ 40 แต่รู้สึกเหมือน 14 เมื่อปี 2557 กิตติศักดิ์ โคตรคำ (ใหญ่) ไปร่วมเป็นสมาชิกของวงฟาเรนไฮธ์เช่นเดียวกับรัฐ และรับงานแบ็คอัพมือกลองให้กับ อัสนี-วสันต์ ในปี พ.ศ. 2556 ใหญ่ได้ก่อตั้งวงใหม่ขึ้นในชื่อ \"เดอะจิ๊กโก๋\" ร่วมกับอาคม นุชนิล (เอก) อดีตมือเบสวงฟาเรนไฮธ์และวงแท๊กซี่ โดยเอกเป็นคนร้องนำกับเบส และใหญ่เป็นมือกลอง โดยหลังจากที่ใหญ่ออกจากวงโลโซไปก็ไม่เคยหันกลับมาร่วมงานกับเสกอีกเลย เนื่องจากเหตุผลส่วนตัว ณัฐพล สุนทรานู (กลาง) หลังจากออกจากวงตั้งแต่อัลบั้มโลโซแลนด์ไป 4 ปีกลางได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของวง \"พลพรรครักเอย\" โดยมี \"ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง\" เป็นนักร้องนำ โดยทำหน้าที่เล่นเบส และก็หายหน้าจากวงการไป", "title": "โลโซ" }, { "docid": "106787#10", "text": "โซคูลได้ทัวร์คอนเสิร์ตไปทุกที่ทุกแห่งทั่วประเทศไทย เคยไปร่วมเล่นกับศิลปินกลุ่มอื่นเช่น แคลช เสก โลโซ\nถึงแม้วงโซคูลยังไม่เคยมีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเองก็ตาม แต่พวกเขาก็เคยแสดงคอนเสิร์ตในงานต่างๆมากมาย เช่น", "title": "โซคูล" } ]
2484
โคนัน ดอยล์ ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้าง เชอร์ล็อก โฮมส์ มาจากใคร?
[ { "docid": "48260#3", "text": "โคนัน ดอยล์ ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้าง \"เชอร์ล็อก โฮมส์\" มาจากนายแพทย์ผู้หนึ่ง คือ นายแพทย์โจเซฟ เบลล์ ระหว่างที่เขาเป็นแพทย์ฝึกงานที่ โรงพยาบาลเอดินบะระรอยัล นายแพทย์อาวุโสสามารถระบุอาการและโรคของคนไข้ได้ทันทีเพียงจากการสังเกตสภาพภายนอก หรือสามารถอธิบายเรื่องราวได้มากมายจากข้อสังเกตเพียงเล็กน้อย ซึ่งทำให้โคนัน ดอยล์ ทึ่งมาก นายแพทย์เบลล์ยังเคยช่วยเหลือการสืบสวนคดีของตำรวจบางคดีอีกด้วย", "title": "เชอร์ล็อก โฮมส์" }, { "docid": "48260#4", "text": "เมื่อโคนัน ดอยล์ เรียนจบและออกไปประกอบอาชีพ เขาเขียนหนังสือเป็นงานอดิเรกเพื่อสร้างรายได้เสริม โดยเขียนเรื่องสั้นส่งให้กับนิตยสาร เนื่องจากการงานอาชีพแพทย์ไม่ค่อยสร้างรายได้ดีนัก เขาใช้เวลาว่างระหว่างรอคนไข้เริ่มเขียนนวนิยาย โดยใช้นายแพทย์เบลล์ อาจารย์ของเขาเองเป็นต้นแบบในการสร้างตัวละครเอก คือ เชอร์ล็อก โฮมส์ แล้วสร้างตัวละครรองเป็นนายแพทย์ซึ่งเกี่ยวข้องกันกับวิชาชีพของเขา และเรื่องแรกที่โคนัน ดอยล์ เขียนคือ \"แรงพยาบาท (A Study in Scarlet)\" พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ \"Beeton's Christmas Annual\" ในปี ค.ศ. 1887 หลังจากที่ถูกปฏิเสธอยู่หลายครั้งหลายหน หลังจากนั้น โคนัน ดอยล์ จึงทยอยเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับนักสืบโฮมส์และเพื่อนนายแพทย์ของเขา ผลตอบรับจากการเขียนนวนิยายนักสืบชุดนี้ดีจนคาดไม่ถึง และโคนัน ดอยล์ ต้องแต่งเรื่องส่งให้สำนักพิมพ์อยู่เรื่อย ๆ จนเป็นที่ยอมรับ", "title": "เชอร์ล็อก โฮมส์" } ]
[ { "docid": "290713#0", "text": "เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก () เป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2009 ดัดแปลงมาจากตัวละครในบทประพันธ์ชื่อเรื่องเดียวกันของเซอร์อาร์เทอร์ โคนัน ดอยล์ ภาพยนตร์กำกับโดยกาย ริตชี และมีโปรดิวเซอร์คือโจเอล ซิลเวอร์, ไลโอเนล ไวแกรม, ซูซาน ดาวนีย์ และแดน ลิน เขียนบทภาพยนตร์โดยไมเคิล โรเบิร์ต จอห์นสัน, แอนโทนี เพกแฮม และไซมอน คินเบิร์ก โดยยึดจากเนื้อเรื่องตัวละครของไลโอเนล ไวแกรม และโคนัน ดอยล์ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รับบทเป็นเชอร์ล็อก โฮมส์ และจู๊ด ลอว์ รับบทเป็นนายแพทย์จอห์น วอตสัน", "title": "เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก" }, { "docid": "48260#45", "text": "ปี ค.ศ. 1893 เมื่อโคนัน ดอยล์ เริ่มคิดโครงเรื่องนิยายได้ยากขึ้น และต้องการหันไปทุ่มเทกับงานเขียนด้านอื่นที่เขาเห็นว่ามีคุณค่ามากกว่า เขาได้เขียนเรื่องสั้นตอน \"ปัจฉิมปัญหา (The Final Problem) \" ให้เชอร์ล็อก โฮมส์ พ่ายแพ้ในการต่อสู้กับศาสตราจารย์เจมส์ มอริอาร์ตีและพลัดตกเหวไป เพื่อจบบทบาทของเชอร์ล็อก โฮมส์เสีย ผลปรากฏว่า ผู้อ่านพากันต่อว่าต่อขานโคนัน ดอยล์ อย่างเคียดแค้น สมาชิกนิตยสารสแตรนด์ บอกยกเลิกสมาชิกภาพถึงกว่าสองหมื่นคน บางคนถึงกับไว้ทุกข์ให้แก่เชอร์ล็อก โฮมส์ มีจดหมายจำนวนมากส่งไปถึงโคนัน ดอยล์ เพื่อเค้นถามข้อเท็จจริงว่า โฮมส์ตกเหวไปแล้วตายจริงหรือเปล่า หลังจากต้านทานแรงกดดันจากสาธารณะแปดปี ในที่สุดโคนัน ดอยล์ ทนไม่ไหว จึงปล่อยเรื่องยาว \"หมาผลาญตระกูล\" ออกมาในปี ค.ศ. 1901 ทำให้ผู้อ่านตื่นเต้นยินดีมาก แต่ก็ยังไม่หายสงสัย เพราะเหตุการณ์ในเรื่อง \"หมาผลาญตระกูล\" เป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะต่อสู้กับศาสตราจารย์มอริอาตี้ ข้อกังขาว่าโฮมส์ตกเหวแล้วตายหรือไม่ จึงยังมิได้ไขกระจ่าง", "title": "เชอร์ล็อก โฮมส์" }, { "docid": "48260#68", "text": "งานเขียนชุดหนึ่งที่จัดว่ามีชื่อเสียงไม่แพ้ชุดของโคนัน ดอยล์ เนื่องจากสามารถรักษาบุคลิกภาพและแนวทางดำเนินเรื่องได้คล้ายคลึงกับต้นฉบับ คืองานเขียนชุดเชอร์ล็อก โฮมส์ ของนิโคลัส มีเยอร์ ได้แก่เรื่อง \"The Seven-Per-Cent Solution\", \"The Canary Trainer\" และ \"The West End Horror\" มีเยอร์เปิดตัว \"The Seven-Per-Cent Solution\" ในปี 1974 โดยแต่งเนื้อเรื่องว่าทายาทของหมอวอตสันได้รับมอบเอกสารส่วนหนึ่งมาเป็นมรดก ในเอกสารเหล่านั้นมี \"บันทึกที่หายไป\" ว่าด้วยคดีของเชอร์ล็อก โฮมส์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน", "title": "เชอร์ล็อก โฮมส์" }, { "docid": "48260#66", "text": "หลังจากที่ โคนัน ดอยล์ เสียชีวิตไปแล้ว มีนักประพันธ์ที่สร้างนวนิยายเกี่ยวกับ เชอร์ล็อก โฮมส์ สืบเนื่องต่อมาอีก ส่วนหนึ่งมีการเขียนร่วมกับทายาทของโคนัน ดอยล์ และบางส่วนเขียนขึ้นเองเป็นเอกเทศ แม้ในยุคเดียวกันกับโคนัน ดอยล์ เอง ก็มีนักประพันธ์เลื่องชื่อท่านอื่น ๆ ที่นำ \"เชอร์ล็อก โฮมส์\" ไปปรากฏในผลงานเขียนของตน เช่น มาร์ค ทเวน ได้ประพันธ์เรื่อง \"A Double Barrelled Detective Story\" เมื่อปี ค.ศ. 1902 เป็นนิยายเชิงขบขันล้อเลียน เขานำบุคลิกของโฮมส์ไปตีความในแง่มุมที่ขบขัน (ทำให้แฟน ๆ ของโฮมส์ไม่ชอบใจนักและบางคนบอกว่าเขาเลวไปเลย) นักเขียนนิยายสืบสวนและสยองขวัญชื่อดังอย่าง สตีเฟน คิง ก็เคยเขียนเรื่อง \"The Doctor's Case\" ในปี ค.ศ. 1987 โดยในเรื่องนี้ หมอวอตสัน สามารถคลี่คลายคดีได้ก่อนโฮมส์ แต่ก็ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกดีเท่าไรนัก", "title": "เชอร์ล็อก โฮมส์" }, { "docid": "2509#2", "text": "เรื่องที่ไม่ได้ตีพิมพ์เรื่องหนึ่งในช่วงนั้น แสดงถึงการทดลองด้วยคุณลักษณะ 2 อย่าง คือ การใช้ตัวเอกที่มีความรู้ในศาสตร์ลับ และคนเล่าเรื่องที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านใด แต่พัฒนาการของแนวคิดดังกล่าวก้าวถึงจุดสูงสุดเมื่อปี ค.ศ. 1886 และสร้างสีสันมีชีวิตชีวามาก จากเรื่อง \"A Study in scarlet\" เป็นเรื่องของนักสืบชื่อเชอร์ล็อก โฮลมส์ และเพื่อนชื่อหมอวัตสัน ด้วยการสร้างบทสนทนาที่สนุกสนาน น่าติดตาม ทำให้เรื่องของเขาเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง และตีพิมพ์เป็นเรื่องสั้นกว่า 56 เรื่อง และนวนิยาย 4 เรื่อง โดยได้รับแนวคิดจาก \"Socrates and his disciples\" ของเพลโต และ \"Don Quixote\" ของเซอร์บันเตส เป็นต้น", "title": "อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์" }, { "docid": "2509#3", "text": "โคนัน ดอยล์ยังถือว่าเป็นหนี้ความรู้ของเอ็ดก้าร์ แอลลแลน โป (Edgar Allan Poe) บิดาแห่งรหัสคดี แต่การสร้างสรรค์เรื่องของโคนัน ดอยล์ทำให้นวนิยายชุดเชอร์ล็อก โฮมส์มีความแตกต่างจากนิยายสืบสวนทั่วไป และกลายเป็นนิยายรหัสคดียิ่งใหญ่ในชั่วเวลาไม่นาน เขาให้เขียนให้โฮมส์เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1893 เพื่อจบนิยายชุดนี้ แต่ต้องแต่งเรื่องให้โฮมส์กลับมาอีกครั้ง ตามคำเรียกร้องของบรรดานักอ่านของเขา", "title": "อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์" }, { "docid": "556382#53", "text": "ภาพยนตร์ \"ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ\" (ค.ศ. 2000) ได้รับแรงจูงใจจากเค้สของนายเฮ็นรี่ โมไลสัน (รู้จักกันมาก่อนเสียชีวิตว่า คนไข้ H.M.) \nกาย เพียร์ซเล่นบทเป็นอดีตผู้ตรวจสอบเคลมประกัน (ลีโอนาร์ด) ผู้เกิดภาวะเสียความจำส่วนอนาคต (anterograde amnesia) อย่างรุนแรงที่เกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ\nแต่ไม่เหมือนผู้เสียความจำโดยมาก ลีโอนาร์ดจำเรื่องราวของตนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการบาดเจ็บได้ แต่ไม่สามารถสร้างความจำใหม่ ๆ\nการสูญเสียความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ แสดงว่า ความบาดเจ็บที่ศีรษะกระทบสมองกลีบขมับด้านใน มีผลเป็นความไม่สามารถในการสร้างความจำชัดแจ้งใหม่ ๆ", "title": "ความจำชัดแจ้ง" }, { "docid": "31504#3", "text": "ตัวละครจาก \"จอมโจรอัจฉริยะ\" ถูกดัดแปลงจากตัวละครจากเรื่องสั้น \"ลูแปง โจรขโมยหัวใจ\" ซึ่งโกโช อาโอยามะเคยเขียนไว้ก่อนหน้า โดยจอมโจรคิด ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากอาร์แซน ลูแปงของมอริส เลอบล็อง ต่างจากคุโด้ ชินอิจิจากเรื่อง \"ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน\" ซึ่งได้เชอร์ล็อก โฮมส์ของอาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์เป็นตัวละครต้นแบบ", "title": "จอมโจรอัจฉริยะ" } ]
172
โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "210403#1", "text": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ได้ก่อตั้งขึ้นในปีพุทธศักราช 2456 โดยผู้ที่ก่อตั้งโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์คือ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นผู้ก่อตั้ง ในปีการศึกษาแรกที่มีการเรียนการสอน โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ในปีแรกมีนักเรียนที่เข้ารับการเรียนการสอนทั้งสิ้น 50 คน โดยมี นายบุญถม ชนะกานนท์ เป็นผู้บริหารโรงเรียนในขณะนั้น และมีคุณครู อีก 2 ท่าน คือ นายอุทา พิมพะสาลี และนายเหลา พิมพะสาลี", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" } ]
[ { "docid": "210403#0", "text": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ (อังกฤษ: Kalasinpittayasan School) (อักษรย่อ: ก.พ.ส ,K.P.S.) เป็นสถานศึกษาแห่งแรกของจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งแต่เดิมเป็นโรงเรียนชายล้วน ปัจจุบันจัดอยู่ในประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ รูปแบบสหศึกษา ทำการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#12", "text": "พ.ศ. 2549 โรงเรียนได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ (MEP) โดย", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#29", "text": "พ.ศ. 2552 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 3 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#28", "text": "พ.ศ. 2551 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 2 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 2 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#34", "text": "พ.ศ. 2557 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 8 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#35", "text": "พ.ศ. 2558 ได้เปิดทำการสอน<b data-parsoid='{\"dsr\":[18673,18790,3,3]}'>ห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 9 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#2", "text": "พ.ศ. 2456 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่วัดใต้โพธิ์คำ พ.ศ. 2460 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่เรือนจำเก่า พ.ศ. 2462 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่สโมสรเสื่อป่า พ.ศ. 2472 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่วัดหอไตรปิฏการาม พ.ศ. 2471 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ เพราะโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ถูกไฟไหม้ และได้มีการเริ่มลงทะเบียนเลขประจำตัวนักเรียนใหม่ โดยเริ่มนับจากหมายเลข 1 พ.ศ. 2474 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายมาเรียนในพื้นที่ปัจจุบัน และในปีเดียวกันได้มีการสร้างอาคารเรียนหลังแรก(อาคารเสาใหญ่) โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 10,000 บาท พร้อมทั้งบ้านพักครู 1 หลัง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2474 พ.ศ. 2484 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้มีการเปิดสอนเฉพาะระดับมัยมศึกษา", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#18", "text": "พ.ศ. 2552 นายเสน่ห์ คำสมหมาย ได้พัฒนาโรงเรียนไปสู่โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลง", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "440651#4", "text": "สร้างโรงเรียนประจำจังหวัด คือ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ และโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด (โรงเรียนอนุกูลนารี)", "title": "พระอรรถเปศลสรวดี (เจริญ ทรัพยสาร)" }, { "docid": "210403#30", "text": "พ.ศ. 2553 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 4 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#36", "text": "พ.ศ. 2559 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 10 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#6", "text": "พ.ศ. 2543 นางพิสมัย อารีย์ มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแทนนายบรรเทา วรรณจำปี ซึ่งเกษียณอายุราชการ", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#10", "text": "พ.ศ. 2548 โรงเรียนได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ (MEP) โดย", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#31", "text": "พ.ศ. 2554 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 5 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#25", "text": "2. ผู้เกี่ยวข้องในการจัดตั้งโครงการ Gifted", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#27", "text": "พ.ศ. 2550 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 1 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#9", "text": "พ.ศ. 2547 โรงเรียนได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ (MEP)โดยเปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้องเรียน ๆ ละ 27 คน รวม 54 คน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#21", "text": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ จัดการศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายดังนี้", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#40", "text": "หมวดหมู่:โรงเรียนในจังหวัดกาฬสินธุ์ หมวดหมู่:โรงเรียนประจำจังหวัด หมวดหมู่:โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ก หมวดหมู่:โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#3", "text": "พ.ศ. 2510 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนมัธยมศึกษาเพื่อพัฒนาชนบท", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#4", "text": "พ.ศ. 2534 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทานระดับ โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประจำปีการศึกษา 2534 ในขณะนั้น นายวินัย เสาหิน ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#7", "text": "พ.ศ. 2543 โรงเรียนได้งบประมาณค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างอาคารเรียนแบบ 324/ล41 (หลังคาทรงไทย) งบประมาณในการก่อสร้าง 14,850,000 บาท โดยสร้างแทนอาคารเสาใหญ่ที่ได้ทรุดโทรมไป", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#33", "text": "พ.ศ. 2556 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 7 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#26", "text": "นายเสน่ห์ คำสมหมาย ผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ นางสุธารพิงค์ โนนศรีชัย หัวหน้าโครงการ (พ.ศ. - ปัจจุบัน) นางศิรนันท์ บำรุงกุล (หัวหน้าโครงการ พ.ศ. - พ.ศ.)", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#32", "text": "พ.ศ. 2555 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 6 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#16", "text": "พ.ศ. 2551 นายเสน่ห์ คำสมหมาย มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ โรงเรียนได้พัฒนาการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี (TSM และGC) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้องเรียนและระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ห้องเรียน มีการนำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปฝึกการทำโครงงาน ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ มีการนำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ไปฝึกการใช้ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ช่วงปิดภาคเรียน ส่วนนักเรียนในโครงการ จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ(MEP) ได้นำนักเรียนในโครงการไปทัศนศึกษา", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#8", "text": "พ.ศ. 2546 โรงเรียนก่อสร้างโรงอาหารระหว่างหอประชุมกับอาคารพลศึกษาและนายวานิชย์ ติชาวัน ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนในปีเดียวกันนี้", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#14", "text": "พ.ศ. 2550 นายเสน่ห์ คำสมหมาย มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแทน นายวานิชย์ ติชาวัน ซึ่งเกษียณอายุราชการ โรงเรียนได้งบประมาณค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างอาคารเรียนแบบ 216 ปรับปรุง 46 งบประมาณในการก่อสร้าง 14,773,000 บาท โดยสร้าง", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" }, { "docid": "210403#38", "text": "นายเสน่ห์ คำสมหมาย ผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ นางอลงกรณ์ ลีลาพันธุ์ หัวหน้าโครงการ (พ.ศ. 2554 - ปัจจุบัน)", "title": "โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์" } ]
3099
จังหวัดอุบลราชธานี มีคำขวัญว่าอะไร ?
[ { "docid": "4047#2", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด: อุบลเมืองดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์ ฉลาดภูมิปัญญาท้องถิ่น ดินแดนอนุสาวรีย์คนดีศรีอุบล ตราประจำจังหวัด: รูปดอกบัวบานชูช่อพ้นน้ำ ต้นไม้ประจำจังหวัด: ต้นยางนา ([Dipterocarpus alatus]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกบัว สัตว์น้ำประจำจังหวัด: ปลาเทโพหรือปลาปึ่ง ([Pangasius larnaudii]error: {{lang}}: text has italic markup (help))", "title": "จังหวัดอุบลราชธานี" } ]
[ { "docid": "116195#1", "text": "พรรคราษฎร จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2541 โดยมีคำขวัญว่า \"พรรคราษฎร เพื่อราษฎร\" มีนายสมชาย หิรัญพฤกษ์ เป็นหัวหน้าพรรค ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคเป็น พลอากาศเอก สมบุญ ระหงษ์ มีเลขาธิการพรรค คือ นายมั่น พัธโนทัย และหัวหน้าพรรคคนต่อมา คือ นายวัฒนา อัศวเหม แกนนำกลุ่มปากน้ำ\nในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 พรรคราษฎร มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้ง จำนวนเพียง 2 คน คือ นางสาวเรวดี รัศมิทัต จากจังหวัดสมุทรปราการ กับ นายชัยวัฒน์ กุลศักดิ์วิมล จากจังหวัดนครพนม และได้รับเลือกตั้งเพิ่มเติมอีกในการเลือกตั้งใหม่ วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2544 คือ นายวิทยา บันทุปา จากจังหวัดอุบลราชธานี แต่ต่อมาถูก กกต.ตัดสินให้เลือกตั้งใหม่ และไม่ได้รับเลือกตั้งอีกและจังหวัดเชียงราย แม่คำหลัก 7 ร.ตอ.มาสพงศ์ ผลประดับวงศ์หรือ สจ.ป้อม อ.เชียงแสน - อ.เถิง แก้ไขทะเบียนราษฎร์โดย.กกต.กรรมการเลือกตั้งจังหวัดน่านแทน ว่าที่เลิศ วัฒนาอัศวเหม กับ ว่าที่วัฒนนท์ อัศวเหมสานต่อในปี 2561 - 2577", "title": "พรรคมหาชน" }, { "docid": "6470#23", "text": "คำขวัญประจำจังหวัดอุตรดิตถ์แต่งขึ้นในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ในสมัยนั้นได้นำนโยบายนี้เข้าสู่ที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและมีการคิดประกอบคำขวัญจังหวัดอุตรดิตถ์ขึ้นเป็นตัวอย่าง เพื่อมอบให้วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์กำหนดกรอบแนวคิดการประกวดคำขวัญประจำจังหวัดต่อไป อย่างไรก็ดี คำขวัญที่คิดในที่ประชุมส่วนราชการได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางและเป็นที่รู้จักทั่วไป จึงไม่ได้มีการคิดประกวดคำขวัญใหม่ ทำให้คำขวัญดังกล่าวยังคงใช้เป็นคำขวัญประจำจังหวัดมาจนปัจจุบัน[20]", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "12104#0", "text": "มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ม.อบ.) (Ubon Ratchathani University) \"ภูมิปัญญาแห่งภูมิภาคลุ่มน้ำโขง\" เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่จัดตั้งในพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2530 โดยจัดตั้งเป็น วิทยาลัยอุบลราชธานี สังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่น และยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2533 จากความพยายามที่จะให้มีมหาวิทยาลัยในจังหวัดอุบลราชธานีของทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนในจังหวัดและมีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแห่งที่สองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ", "title": "มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" }, { "docid": "4047#24", "text": "ในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการยกเลิกมณฑลทั้งประเทศ จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งแยกออกมาจากมณฑลนครราชสีมาในขณะนั้น ได้กลายเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลังจากนั้นจังหวัดอุบลราชธานีก็ได้ถูกแบ่งออก โดยอำเภอยโสธรและอำเภอใกล้เคียงเป็นจังหวัดยโสธร ในปี พ.ศ. 2515 และต่อมาปี 2536 ได้ถูกแบ่งอีกครั้ง โดยอำเภออำนาจเจริญและอำเภอใกล้เคียงเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ ปัจจุบันจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่เป็นอันดับ 5 ของไทย และมีประชากรลำดับที่ 3 ของประเทศ", "title": "จังหวัดอุบลราชธานี" }, { "docid": "306668#0", "text": "เทศบาลเมืองวารินชำราบ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเทศบาลเมือง ตั้งอยู่ที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีอาณาเขตครอบคลุมเขตตำบลวารินชำราบทั้งหมด โดยห่างจากเทศบาลนครอุบลราชธานีเพียงแค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้น และเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับ 2 ของจังหวัดอุบลราชธานี รองจากเทศบาลนครอุบลราชธานี เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจอย่างมากในจังหวัดอุบลราชธานี\nสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลเมืองวารินชำราบ 3 โรงเรียน คือ", "title": "เทศบาลเมืองวารินชำราบ" }, { "docid": "675715#1", "text": "ตราสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 43 โดยทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็นเจ้าภาพ ตราสัญลักษณ์จะเน้นใช้แนวคิดที่ได้ แรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์ ของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด และสีสันออกมาให้สื่อถึงการแข่งขันกีฬาที่เต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนานสัตว์นำโชค คือ ปลาบึก มีชื่อว่า \"บึกบึน\" และ \"บัวบาน\" เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ไม่มีเกล็ดอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงตั้งแต่ประเทศจีน ประเทศลาว ประเทศพม่า ประเทศไทย เรื่อยมาตลอดความยาว ของแม่น้ำรวมไปถึงแควสาขาต่าง ๆ เช่น แม่น้ำมูล แม่น้ำสงคราม แต่ไม่พบในตอนปลายของแม่น้ำโขงที่เป็นน้ำกร่อย ดังคำขวัญของอุบลราชธานีที่ว่า มีปลาแซบหลาย แปลว่า อุบลราชธานีมีปลาหลากหลายในบท 2 บาท 5 ของสักวาคุณค่าเมืองอุบล ประกอบกับอุบลมีแม่น้ำมูลไหลผ่าน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาบึก", "title": "กีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 43" }, { "docid": "11847#67", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด: ชาวตรังใจกว้าง สร้างแต่ความดี[13] คำขวัญส่งเสริมการท่องเที่ยว: เมืองพระยารัษฎา ชาวประชาใจกว้าง หมูย่างรสเลิศ ถิ่นกำเนิดยางพารา เด่นสง่าดอกศรีตรัง ปะการังใต้ทะเล เสน่ห์หาดทรายงาม น้ำตกสวยตระการตา", "title": "รายชื่อคำขวัญประจำจังหวัด" }, { "docid": "505258#0", "text": "เขตมิสซังอุบลราชธานี ชาวคาทอลิกเรียกว่าสังฆมณฑลอุบลราชธานี เป็นมุขมณฑลโรมันคาทอลิกในประเทศไทย มีพื้นที่ครอบคลุม 7 จังหวัดในภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดยโสธร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ", "title": "เขตมิสซังอุบลราชธานี" }, { "docid": "138805#0", "text": "คำเขื่อนแก้ว เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยโสธร เดิมชื่อบ้านลุมพุก ขึ้นแขวงเมืองยโสธร บริเวณอุบลราชธานี ปี พ.ศ. 2451 ได้ลดฐานะเมืองยโสธรลงเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี และได้ตั้งบ้านลุมพุกขึ้นเป็นอำเภออุทัยยะโสธรขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีเจ้าเหลี่ยม ณ จำปาศักดิ์ เป็นเจ้าเมืองคนแรก ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งจังหวัดยโสธรขึ้น โดยแยกออกมาจากจังหวัดอุบลราชธานี และได้รวมเอาอำเภอคำเขื่อนแก้วมาขึ้นกับจังหวัดยโสธรตั้งแต่บัดนั้น ครั้งหนึ่งอำเภอคำเขื่อนแก้วเคยใช้ชื่อว่า อำเภอลุมพุก และประชาชนทั่วไปก็มักใช้เรียกอำเภอคำเขื่อนแก้วว่าอำเภอลุมพุกตลอดมา", "title": "อำเภอคำเขื่อนแก้ว" }, { "docid": "4047#1", "text": "ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือเป็นจังหวัดที่แม่น้ำสายสำคัญทั้งหมดของภาคอีสานทั้งโขงชีมูลไหลมาบรรจบกัน โดยแม่น้ำชีและแม่น้ำมูลไหลมารวมกันที่อำเภอวาริน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสถานีรถไฟหลักและมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองเช่นจังหวัดอื่นๆทั่วไป ส่วนสถานที่ราชการ ศาลากลางประจำจังหวัด สนามบินอุบลราชธานีอยู่ฝั่งอำเภอเมืองซึ่งเชื่อมกับอำเภอวารินด้วยสะพานรัตนโกสินทร์200ปี และ สะพานเสรีประชาธิปไตย โดยมีแม่น้ำมูลไหลกั้นทุ่งศรีเมืองและอำเภอวารินชำราบ ก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำโขงบริเวณจุดชมวิวทางธรรมชาติ โขงสีปูน มูลสีคราม อำเภอโขงเจียมต่อไป จังหวัดอุบลราชธานีเป็นเมืองใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำมูลที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากว่า 200 ปี และแหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลืองยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในบริเวณวัดบ้านก้านเหลือง ตำบลขามใหญ่ ในตัวอำเภอเมือง กรมศิลปากรได้ทำการขุดค้นเมื่อปี 2539 พบโบราณวัตถุต่าง ๆ มากมาย เช่น ลูกปัด เครื่องปั้นดินเผา การทำโลหะผสม กระพรวนสำริด ขวานเหล็ก และแกลบข้าวจำนวนมาก แต่ไม่พบโครงกระดูกมนุษย์ สันนิษฐานว่าชุมชนโบราณแห่งนี้เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีอายุระหว่าง 2,500-2,800 ปีมาแล้ว อยู่ในยุคโลหะตอนปลาย เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ภายหลังถูกแบ่งออกเป็นจังหวัดใหม่คือจังหวัดยโสธรในปี พ.ศ. 2515 และจังหวัดอำนาจเจริญในปี พ.ศ. 2536 ซึ่งถ้ารวมพื้นที่อีกสองจังหวัดที่แยกออกไป จังหวัดอุบลราชธานีจะมีพื้นที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย", "title": "จังหวัดอุบลราชธานี" }, { "docid": "498482#3", "text": "สถานศึกษาเพื่อรับรางวัลพระราชทาน ระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประจำปีการศึกษา 2549\nมาตรฐานการศึกษาและประเมินคุณภาพการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านมัธยมศึกษา รอบสอง \nการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)\nพัฒนาผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ประจำปีการศึกษา 2550 รุ่นที่ 1 \nมาตรฐานการศึกษาและประเมินคุณภาพการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านมัธยมศึกษา รอบสอง \nพัฒนาผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ประจำปีการศึกษา 2550 รุ่นที่ 1 \nเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 \nทักษะทางศิลปะของนักเรียนโดยได้รับรางวัลชนะเลิศ “อีซูซุ พาน้องๆ ท่องญี่ปุ่น”\nในการประกวดวาดภาพโปสเตอร์พร้อมคำขวัญ โครงการอีซูซุ เยาวชนสัมพันธ์ 2551\nนักเรียน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2552 ณ จังหวัดอุบลราชธานี\n(โดยจัดกิจกรรม ครบรอบ 40ปี ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2552)\nจากสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)\nและรับมอบงานในวันที่ 1 เมษายน 2556", "title": "โรงเรียนชุมแพศึกษา" }, { "docid": "743178#5", "text": "สโมสรฟุตบอลอุบลราชธานี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2555 เปิดตัวสโมสรเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ณ ลานเทียน ทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี โดยนายพงษ์ศักดิ์ มูลสาร นายกสมาคมกีฬาจังหวัดอุบลราชธานี ดำรงตำแหน่งประธานสโมสร โดยมีชื่อทีมฟุตบอลของสโมสร คือ “อุบลราชธานี เอฟซี (Ubon Ratchathani FC)” มี นายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานี ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการทีม \nโดยนัดแรกที่ทำการแข่งขันในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555 ทีมสโมสรฟุตบอลอุบลราชธานี เอฟซี เสมอทีมสโมสรฟุตบอลอำนาจเจริญ ทาวน์ 1-1", "title": "สโมสรฟุตบอลอุบลราชธานี เอฟซี" }, { "docid": "227462#0", "text": "ถนนแจ้งสนิท หรือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23 สายบ้านไผ่–อุบลราชธานี เป็นทางหลวงแผ่นดินสายหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี มีปลายทางทิศตะวันตกอยู่บนถนนมิตรภาพ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2) ในอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น และมีปลายทางทิศตะวันออกอยู่บนถนนชยางกูร (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 212) ในอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี มีระยะทางตลอดทั้งสาย 278.752 กิโลเมตร", "title": "ถนนแจ้งสนิท" }, { "docid": "12104#42", "text": "หมวดหมู่:จังหวัดอุบลราชธานี อุบลราชธานี อุบลราชธานี หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างในจังหวัดอุบลราชธานี", "title": "มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" }, { "docid": "11847#13", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด: ชัยภูมิ เมืองผู้กล้า พญาแล คำขวัญส่งเสริมการท่องเที่ยว: ทิวทัศน์สวย รวยป่าใหญ่ มีช้างหลาย ดอกไม้งาม ลือนามวีรบุรุษ สุดยอดผ้าไหม พระใหญ่ทวารวดี", "title": "รายชื่อคำขวัญประจำจังหวัด" }, { "docid": "11847#0", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด เป็นคำขวัญที่แต่ละจังหวัดในประเทศไทยแต่งขึ้น เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ ความภาคภูมิใจ และความโดดเด่นที่มีอยู่ในจังหวัดนั้น ๆ มักเป็นคำคล้องจองสั้น ๆ เพื่อให้จดจำง่าย นอกจากคำขวัญประจำจังหวัดแล้ว ปัจจุบันยังมีการแต่งคำขวัญประจำท้องถิ่นในส่วนย่อยลงไปอีก เช่น คำขวัญประจำอำเภอ คำขวัญประจำเขต (ในกรุงเทพมหานคร) เป็นต้น", "title": "รายชื่อคำขวัญประจำจังหวัด" }, { "docid": "179242#3", "text": "การเปิดรับนักศึกษาแพทย์ โดยวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6)หรือเทียบเท่า สายการเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 4 จังหวัด (ไม่น้อยกว่า 3 ปี) คือ จังหวัดอุบลราชธานี, จังหวัดยโสธร, จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดศรีสะเกษ และตามข้อกำหนดต่างๆ ของวิทยาลัยฯ ปัจจุบันเปิดรับนักศึกษาแพทย์ปีละ 68 คน", "title": "วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" }, { "docid": "264664#2", "text": "เหนือโล่เป็นหมวกเกราะเปิดกระบังมีพู่ประดับสีทอง ขอบสีดำ และเครื่องยอดเป็นมงกุฎ ด้านหลังโล่เป็นมือแห่งความยุติธรรมและคทายอดสิงโต สร้อยเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอโปลด์ล้อมรอบโล่ ประคองข้างด้วยสิงโตสองตัวถือหอกที่ยอดเป็นธงชาติเบลเยียมสีแดง, เหลือง และ ดำ ใต้ฐานรองเป็นคำขวัญเป็นภาษา หรือเป็นเป็นภาษา ('ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนำมาซึ่งความแข็งแกร่ง') แถบคำขวัญเป็นพื้นสีแดงขอบเส้นขนานดำทั้งบนและล่าง ตัวอักษรของคำขวัญเป็นสีทอง ตั้งแต่ออกเป็นพระราชประกาศในปี ค.ศ. 1837 คำขวัญก็มิได้รับการแปลอย่างเป็นทางการ และมักจะใช้คำขวัญที่เป็นภาษาดัตช์ ตราที่บรรยายทั้งหมดอยู่ภายในเสื้อคลุมขนเออร์มินที่แต่งด้วยครุยและสายคาดที่มีปลายเป็นพู่ รวบยอดด้วยมงกุฎ ตอนบนสุดเหนือเสื้อคลุมเป็นแถบที่มีตราของจังหวัดเก้าจังหวัดที่ประกอบกันเป็นเบลเยียมในปี ค.ศ. 1837 ที่รวมทั้งอันท์เวิร์พ, ฟลานเดอร์สตะวันตก, ฟลานเดอร์สตะวันออก, ลีเยช, บราบองต์, เอโนต์, ลิมบวร์ก, ลักเซ็มเบิร์ก และ นาเมอร์", "title": "ตราแผ่นดินของเบลเยียม" }, { "docid": "11847#65", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด: กระบี่ เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก[12] คำขวัญส่งเสริมการท่องเที่ยว: แหล่งถ่านหิน ถิ่นหอยเก่า เขาตระหง่าน ธารสวย รวยเกาะ เพาะปลูกปาล์ม งามหาดทราย ใต้ทะเลสวยสด มรกตอันดามัน สวรรค์เกาะพีพี", "title": "รายชื่อคำขวัญประจำจังหวัด" }, { "docid": "11847#1", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด แยกตามภาคได้ดังนี้", "title": "รายชื่อคำขวัญประจำจังหวัด" }, { "docid": "597016#2", "text": "บรรพชา เป็นสามเณรสังกัดมหานิกาย เมื่อ พ.ศ. 2429 ขณะที่อายุได้ 19 ปี ที่วัดสว่าง ตำบลสว่าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี แล้วแปลงเป็นธรรมยุติกนิกายที่วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม ในปัจจุบัน) อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และอุปสมบท เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2430 ณ พัทธสีมา วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม ในปัจจุบัน) อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านเทวธมฺมี (ม้าว) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านโชติปาโล (ชา) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอนุสาวนาจารย์", "title": "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)" }, { "docid": "765512#1", "text": "วิทยาลัยเทคโนโลยีธัญลักษณ์ ก่อตั้งขึ้นโดยเจตนารมณ์ของ ดร.ชุติมา รายะนาคร ซึ่งได้เล็งเห็นความจำเป็นและความสำคัญทางการศึกษาของเยาวชนในอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอย่างมาก ในอันที่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อในอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้ปกครอง ทำให้เกิดเป็นแรงผลักดันให้ก่อตั้งวิทยาลัยเทคโนโลยีธัญลักษณ์แห่งนี้ขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองในอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี และยังเป็นการยกระดับการศึกษาประเภทอาชีวศึกษาในอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ให้มีความก้าวหน้าและยังเป็นการพัฒนาเยาวชนตลอดจนสังคมให้เจริญยิ่งขึ้นด้วย", "title": "วิทยาลัยเทคโนโลยีธัญลักษณ์" }, { "docid": "13302#1", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาซึ่งจัดตั้งอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจัดการการศึกษาและให้การบริการแก่ประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ (บางส่วน) และบุคลากรในเขตจังหวัดและประเทศใกล้เคียง โดยจัดการศึกษาในระดับอนุปริญญา ปริญญาบัณฑิต ปริญญามหาบัณฑิต และปริญญาดุษฎีบัณฑิต โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีพัฒนาการและการยกฐานะดังต่อไปนี้", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี" }, { "docid": "7605#27", "text": "ปี พ.ศ. 2455 รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสาน เป็น 2 มณฑล คือ มณฑบลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด โดยกำหนดให้มณฑลอุบลราชธานี มี 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ใชช่วงเวลาดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเมืองให้เรียกเป็นจังหวัดแล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมืองยโสธรก็ถูกยุบไปในคราวเดียวกันนั้น ส่วนอำเภอต่างๆ ที่เคยขึ้นกับเมืองยโสธร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ก็ถูกโอนย้ายให้อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา", "title": "จังหวัดยโสธร" }, { "docid": "86011#11", "text": "การคมนาคมทางบก \nมีการบริการด้วยรถโดยสารประจำทางปรับอากาศจากจังหวัดต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือและโครงการเดินรถในเขตภาคใต้มายังจังหวัดอุบลราชธานี ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานี เช่น", "title": "เทศบาลนครอุบลราชธานี" }, { "docid": "11847#80", "text": "หมวดหมู่:รายชื่อเกี่ยวกับประเทศไทย หมวดหมู่:สัญลักษณ์ประจำจังหวัด หมวดหมู่:คำขวัญ", "title": "รายชื่อคำขวัญประจำจังหวัด" }, { "docid": "941478#1", "text": "เกิดวันที่ 19 ธันวาคม 2490 เป็นบุตรของ นายวิฑูรย์ จินตะเวช อดีตปลัดอำเภอหัวหน้ากิ่งอำเภอบุณฑริก (อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ในปัจจุบัน) กับนางอรอวล จินตะเวช ซึ่งสอบไล่ได้อันดับ 1 ของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชในขณะนั้น และเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตตั้งโรงเรียนวิฑูรย์วิทยาการ โรงเรียนเอกชนแห่งแรกของอำเภอเดชอุดม และนางเกษร จินตะเวช อดีตอาจารย์โรงเรียนนารีนุกูล ที่ตำบลโพนงาม กิ่งอำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้ย้ายตามบิดาไปอยู่ที่อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี และปัจจุบันได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี", "title": "ปัญญา จินตะเวช" }, { "docid": "166424#0", "text": "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี เดิมคือโรงเรียนศรีปทุมพิทยาคาร เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่และเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัดอุบลราชธานี แห่งที่ 3 ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และ มัธยมศึกษาตอนปลาย แบบสหศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา เขต 29 (อุบลราชธานี - อำนาจเจริญ) ได้เข้าร่วมเป็นโรงเรียนในเครือเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 และได้รับการอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียนศรีปทุมพิทยาคาร เป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี จัดเป็นโรงเรียนในเครือเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในลำดับที่ 15ธรรมจักร คือ คุณธรรม \nรัศมี คือ ความเจริญงอกงาม \nดอกบัว คือ จังหวัดอุบลราชธานี\nแดง หมายถึง ความเข้มแข็งจริงจัง\nน้ำเงิน หมายถึง ความยิ่งใหญ่ อดทน", "title": "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี" }, { "docid": "7605#2", "text": "คำขวัญประจำจังหวัด: เมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ ตราประจำจังหวัด: รูปพระธาตุอานนท์ ปูชนียสถานสำคัญของจังหวัดยโสธร ขนาบด้วยรูปสิงห์ 2 ตัว เบื้องล่างของภาพดังกล่าวรองรับด้วยรูปดอกบัวบานเป็นการแสดงถึงการที่จังหวัดยโสธรแยกออกมาจากจังหวัดอุบลราชธานี พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด: ต้นกระบาก ([Anisoptera costata]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ต้นไม้ประจำจังหวัด: ต้นยางนา ([Dipterocarpus alatus]error: {{lang}}: text has italic markup (help))[2] ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกบัวแดง ([Nymphaea rubra]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) สัตว์น้ำประจำจังหวัด: ปลาชะโอนหรือปลาเซียม ([Ompok bimaculatus]error: {{lang}}: text has italic markup (help))", "title": "จังหวัดยโสธร" } ]
3391
ฮ่องกงเป็นเกาะหรือไม่ ?
[ { "docid": "545611#12", "text": "ตามกฎหมายหลักฮ่องกง (Basic Law of Hong Kong) ประชาชนจีนที่เกิดในเกาะฮ่องกงมีสิทธิการอยู่อาศัยในดินแดนเกาะฮ่องกง กล่าวคือ มีสิทธิทั่วไปอย่างชาวฮ่องกง คดีระหว่างอธิบดีกรมตรวจคนเข้าเมือง กับจวง เฟิงหยวน \"(Director of Immigration v. Chong Fung Yuen)\" ใน ค.ศ. 2001 ยืนยันให้สิทธินี้แก่บุตรของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ใช่ผู้มีสิทธิอาศัยในเกาะฮ่องกง ด้วยเหตุนี้จึงมีหญิงมีครรภ์ชาวจีนแผ่นดินใหญ่เดินทางมาคลอดบุตรในเกาะฮ่องกงเพื่อให้บุตรของตนมีสิทธิอาศัยในเกาะดังกล่าว ใน ค.ศ. 2009 มีทารกถึง 36% ที่เกิดในเกาะฮ่องกงที่มีบิดามารดามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ กรณีนี้ได้สร้างกระแสต่อต้านและก่อให้เกิดความกังวลต่อระบบรัฐสวัสดิการรวมถึงการศึกษาของเกาะฮ่องกง ความพยายามที่จะจำกัดสิทธิโดยกำเนิดในกรณีดังกล่าวถึงปฏิเสธโดยศาล ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยอย่างมา กระทั่งได้ลุกขึ้นประท้วงต่อต้านเมื่อต้น ค.ศ. 2012", "title": "การท่องเที่ยวเพื่อคลอดบุตร" }, { "docid": "6032#1", "text": "ฮ่องกงมีพื้นที่รวม 1,096.63 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย เกาะฮ่องกง (80.30 ตร.กม.) เกาลูน (46.71 ตร.กม.) เขตดินแดนใหม่ () และเกาะอื่น ๆ (969.62 ตร.กม.) หรือขนาดประมาณ 1 ใน 6 ของพื้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้", "title": "ฮ่องกง" }, { "docid": "6032#2", "text": "ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเกาะฮ่องกง เกาลูนและเขตดินแดนใหม่ จะเป็นแนวเขาทอดตัวยาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือลงสู่ทิศใต้ เป็นแนวเขาที่ต่อเนื่องมาจากมณฑลฝูเจี้ยนและกว่างตงที่อยู่ทางตอนใต้ของจีน แต่เนื่องจากเขตเทือกเขาแต่ครั้งโบราณนั้น ปัจจุบันจมอยู่ใต้น้ำ จึงเกิดเป็นทัศนียภาพเกาะแก่งเล็ก ๆ ที่มีลักษณะลาดชันผุดโพล่ขึ้นมากมาย", "title": "ฮ่องกง" }, { "docid": "148946#0", "text": "เกาะฮ่องกง (อักษรจีนตัวเต็ม: 香港島; ภาษาอังกฤษ: Hong Kong Island) เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน\nเกาะฮ่องกงเป็นอาณาบริเวณส่วนแรกที่อังกฤษเข้ามาครอบครอง ก่อนที่จะขยายอาณาบริเวณขึ้นไปตามเกาะต่างๆและบนฝั่งจนกลายเป็นพื้นที่ของเขตบริหารพิเศษอย่างในปัจจุบัน", "title": "เกาะฮ่องกง" }, { "docid": "6032#15", "text": "ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตึกสูงระฟ้า อาคารทันสมัย ตลาดขายของพื้นเมือง ตลาดขายของเก่า วัดวาอาราม หรือแม้แต่แปลงปลูกผัก จากความหลากหลายเหล่านี้ จึงทำใหฮ่องกงมีมนต์เสน่ห์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถพบกับสิ่งที่น่าสนใจและหลากหลาย โดยเราสามารถแบ่งเขตท่องเที่ยวสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลักๆ ออกเป็น 3 เขต คือ เกาะฮ่องกง ฝั่งเกาลูน เขตนิวเทอร์ริทอรี่ส์ และหมู่เกาะต่างๆ", "title": "ฮ่องกง" }, { "docid": "148946#2", "text": "เกาะฮ่องกงเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรมากกว่าส่วนอื่นๆในเขตบริหารพิเศษ โดยมีความหนาแน่นประมาณ 15,915 คนต่อตารางกิโลเมตร และมีประชากรทั้งหมด 1,268,112 คน คิดเป็น 18.5% ของประชากรทั้งหมด", "title": "เกาะฮ่องกง" }, { "docid": "148946#4", "text": "เกาะฮ่องกงเชื่อมต่อกับฝั่งเกาลูนด้วยอุโมงค์สำหรับรถยนต์ 2 แห่ง อุโมงค์สำหรับรถไฟฟ้าใต้ดิน(MTR) 2 แห่ง(สาย Tsuen Wan และ Tung Chung) และอุโมงค์สำหรับรถยนต์และรถไฟฟ้าใต้ดินใช้ร่วมกันอีก 1 แห่ง(สาย Tseung Kwan O) เกาะฮ่องกงไม่มีสะพานข้ามไปฝั่งเกาลูน แต่มีสะพานข้ามไปยังเกาะอาเบอร์ดีน ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮ่องกง นอกจากทางบกแล้ว ระหว่างเกาะฮ่องกงและฝั่งเกาลูนยังมีเรือเฟอร์รี่บริการอีกด้วย", "title": "เกาะฮ่องกง" }, { "docid": "148946#5", "text": "เกาะฮ่องกงยังเป็นที่ตั้งของท่าเรือเฟอร์รี่ฮ่องกง-มาเก๊า(Hong Kong-Macau Ferry Pier) ซึ่งให้บริการเรือโดยสารระหว่างเขตบริหารพิเศษฮ่องกงกับเขตบริหารพิเศษมาเก๊าและเมืองต่างๆในมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน", "title": "เกาะฮ่องกง" } ]
[ { "docid": "294743#0", "text": "เกาะเช็คแลปก๊ก (; Jyutping: cek3 laap6 gok3; ) เป็นเกาะทางตะวันตกของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เกาะเช็คแลปก๊กถูกเชื่อมกับเกาะลันเตาด้วยการถมทะเลเพื่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ทำให้ท่าอากาศยานมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า \"ท่าอากาศยานเช็คแลปก๊ก\"", "title": "เกาะเช็กล้าปก๊อก" }, { "docid": "984624#0", "text": "สะพานฮ่องกง - จูไห่ - มาเก๊า (HKZMB หรือ HZMB) เป็นระบบสะพานและอุโมงค์ ซึ่งประกอบด้วยสะพานสายเคเบิล 3 แห่ง และอุโมงค์ใต้น้ำ 1 แห่ง รวมทั้งเกาะเทียมอีก 2 แห่ง ครอบคลุมช่องแคบหลิงติงหยาง ซึ่งเชื่อมต่อฮ่องกง มาเก๊า และจูไห่ สามเมืองใหญ่บริเวณสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง", "title": "สะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า" } ]
922
ประเทศจีน ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อไหร่?
[ { "docid": "23110#7", "text": "ตลอดระยะเวลาที่ราชวงศ์ชิงระส่ำระส่าย เป็นประเทศล้าหลังและวุ่นวาย ชาวจีนถูกชาวตะวันตกและญี่ปุ่น ขนานนามว่าเป็น ขี้โรคแห่งเอเชีย ทำให้ชาวจีนบางส่วนต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศ โดยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เจริญและเป็นประชาธิปไตย โดยมีขบวนการถงเหมิงฮุ่ย มี ดร. ซุน ยัตเซ็น เป็นผู้นำ ราชวงศ์ชิงครองแผ่นดินจีนจนถึงปี พ.ศ. 2454 เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ซึ่งเป็นการลุกฮือต่อต้านราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ชิงถูกยึดอำนาจในปีนั้น และใน พ.ศ. 2455 จักรพรรดิผู่อี๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกบังคับให้สละราชสมบัติ ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์ชิง และการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นเวลานับ 5,000 ปีของประวัติศาสตร์จีน ถงเหมิงฮุ่ยได้เปลี่ยนแปลงประเทศนำไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย และมีชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐจีน", "title": "ราชวงศ์ชิง" } ]
[ { "docid": "11558#6", "text": "แคว้นพระบิดาของพระพุทธองค์ก็อยู่ในแคว้นเล็ก ๆ นี่อาณาจักรเหล่านี้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือพระราชามีอำนาจเด็ดขาดบ้าง ระบอบสามัคคีธรรม คือมีสภาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ระบอบประชาธิปไตยบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยเหตุที่พุทธศาสนาถือกำเนิดในแผ่นดินอินเดีย จึงควรจะได้ศึกษาภูมิหลังของอินเดียในยุคก่อนการกำเนิดของพุทธศาสนาพอสังเขป ดังนี้", "title": "ชมพูทวีป" }, { "docid": "977609#2", "text": "ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ราชสำนักยินยอมให้แต่ละชุมชนนับถือศาสนาพื้นบ้านของตนได้หากทำให้สังคมมีระเบียบ แต่จะปราบปรามทันทีที่พบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชสำนัก หลังระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ล่มสลายลง รัฐบาลและชนชั้นนำเริ่มมองว่าศาสนาพื้นบ้านเป็นเรื่องงมงายและล้าสมัยของพวกศักดินา จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในประเทศไต้หวันและคริสต์ศตวรรษที่ 21 ในประเทศจีน ปัญญาชนจึงเริ่มยอมรับศาสนาพื้นบ้านมากขึ้น", "title": "ศาสนาพื้นบ้านจีน" }, { "docid": "23861#0", "text": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (English: absolute monarchy) คือ ระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองและมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ ในระบอบการปกครองนี้ กษัตริย์ก็คือกฎหมาย กล่าวคือ ที่มาของกฎหมายทั้งปวงอยู่ที่กษัตริย์ คำสั่ง ความต้องการต่าง ๆ ล้วนมีผลเป็นกฎหมาย[1] กษัตริย์มีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและพลเมืองโดยอิสระ โดยไม่มีกฎหมายหรือองค์กรตามกฎหมายใด ๆ จะห้ามปรามได้ แม้องค์กรทางศาสนาอาจทัดทานกษัตริย์จากการกระทำบางอย่างและองค์รัฏฐาธิปัตย์ (กษัตริย์) นั้นจะถูกคาดหวังว่าจะปฏิบัติตามธรรมเนียม แต่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใด ๆ ที่จะอยู่เหนือกว่าคำชี้ขาดของรัฏฐาธิปัตย์ ตามทฤษฎีพลเมืองนั้น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มอบความไว้วางใจทั้งหมดให้กับพระเจ้าแผ่นดินที่ดีพร้อมทางสายเลือดและได้รับการเลี้ยงดูฝึกฝนมาอย่างดีตั้งแต่เกิด", "title": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" }, { "docid": "21707#0", "text": "วันรัฐธรรมนูญในประเทศไทย หรือ วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน", "title": "วันรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "406199#2", "text": "ในเรื่องนี้ นับเป็นผลงานที่เฉินหลงตั้งใจมากที่จะผลิตและมีส่วนร่วมเนื่องจากเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 100 ในชีวิตการแสดงของเฉินหลงและถือว่าตรงกับวาระครบรอบ 100 ปี ของการปฏิวัติชิงไห่ หรือการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ชิง ปิดระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีนที่มาอย่างยาวนานกว่า 2,000 ปี โดยสิ้นเชิง", "title": "ใหญ่ผ่าใหญ่" }, { "docid": "32128#2", "text": "ในยุคคามากูระและยุคเอโดะเฮอังเกียวหมดอำนาจลงเนื่องจากการปกครองได้เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามแบบประเทศจีนมาเป็นระบอบโชกุนซึ่งมีนักรบเป็นใหญ่ แต่เฮอังเกียวก็ยังมีฐานะเป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นและเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิเรื่อยมา แต่ในบันทึกนั้น ไม่มีการบอกว่าเฮอังเกียวนั้นเป็นเมืองหลวงเลย จนมาถึงในสมัยยุคเมจิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่แบบตะวันตกสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิซึ่งเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิในยุคนั้น จึงต้องทรงย้ายที่ประทับไปสู่เมืองหลวงใหม่โตเกียวแทน ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของเฮอังเกียวในฐานะเมืองหลวง", "title": "เฮอังเกียว" }, { "docid": "35293#0", "text": "อ้ายซินเจว๋หลัว (อักษรจีนตัวเต็ม: 愛新覺羅; อักษรจีนตัวย่อ: 爱新觉罗; พินอิน: àixīn juéluó แมนจู: ) เป็นราชตระกูลในราชวงศ์ชิงซึ่งมีเชื้อสายแมนจู ในภาษาแมนจู \"อ้ายซิน\" มีความหมายว่า \"ทอง\" ราชวงศ์ชิงมีปฐมจักรพรรดิคือหนูเอ่อฮาชื่อ หนูเอ่อฮาชื่อแห่งตระกูลอ้ายซินเจว๋หลัวได้สถาปนาราชวงศ์จินขึ้นมา ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์ชิงในสมัยของจักรพรรดิหวงไท่จี๋ ราชวงศ์ชิงครองแผ่นดินจีนจนถึงปี พ.ศ. 2454 ก็เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ อันเป็นการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐโดยซุน ยัตเซ็น และใน พ.ศ. 2455 จักรพรรดิผู่อี๋ ผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงและของจีนได้สละราชสมบัติ ถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ชิงและการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจักรวรรดิจีนในที่สุด", "title": "อ้ายซินเจว๋หลัว" }, { "docid": "243886#2", "text": "ด้วยเหตุที่ว่า การปฏิวัติสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นโดยคณะราษฎร ในวันและเดือนดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2475 คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดไว้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 มนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งเพลงประจำวันชาติของไทยขึ้น โดยให้ชื่อเพลงว่า \"\" อนึ่ง เมื่อวันดังกล่าวถูกยกเลิกในอีก 21 ปีต่อมา เพลงนี้จึงกลายเป็นเพลงที่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ใช้รำลึกวันเริ่มระบอบรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 24 มิถุนายนของทุกปี", "title": "วันชาติ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "446554#0", "text": "ด่านเจียยฺวี่ (; \"ด่านหุบเขาดีเลิศ\") เป็นด่านสุดท้ายของกำแพงเมืองจีนทางด้านทิศตะวันตก ปัจจุบันตั้งอยู่ ณ เมืองเจียยฺวี่กฺวัน มณฑลกานซู่ ด่านเจียยฺวี่บูรณะครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง 2 ราชวงศ์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีน ถือเป็นด่านสุดท้ายที่สุดชายแดนประจบกับชนเผ่ามองโกล ซึ่งสภาพแวดล้อมมีแต่ทะเลทรายเวิงว้าง", "title": "ด่านเจียยฺวี่" }, { "docid": "12891#3", "text": "หลังจากนั้นตำแหน่งฮ่องเต้ก็ดำรงอยู่มานับพันปีซึ่งตั้งแต่ราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง โดยมาสิ้นสุดที่ราชวงศ์ชิง เนื่องจากบริหารบ้านเมืองล้มเหลว และยังถูกประเทศต่างชาติรุกราน เป็นเหตุให้ประเทศจีนเกิดการปฏิรูปการปกครองจากระบอบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ ตำแหน่งฮ่องเต้จึงสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912 ", "title": "จักรพรรดิจีน" }, { "docid": "23861#4", "text": "ประเทศไทยเคยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิ์เด็ดขาดในการปกครองแผ่นดิน ดังคำกล่าวที่ว่า \"พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามนี้ ไม่ได้ปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใด ด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นที่ล้นพ้น ไม่มีข้อสั่งอันใดจะเป็นผู้บังคับขัดขวางได้\"[1]", "title": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" }, { "docid": "69653#9", "text": "ก่อนที่ราชอาณาจักรไทยจะมีรัฐธรรมนูญนั้น ราชอาณาจักรไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ไทยเชิงการเมืองการปกครอง เมื่อคณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการสายทหารบก ทหารเรือ และสายพลเรือน จำนวน 99 คน โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้า ร่วมกันยึดอำนาจการปกครองประเทศจากพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ ณ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงตัดสินพระทัยที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยสงบ ดังความตามพระราชหัตถเลขา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) ที่ทรงเขียนในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 ไม่ลงวันที่ พระราชทานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งได้แปลเป็นภาษาไทยในหนังสือเรื่อง เกิดวังปารุสก์ เล่ม 2 ความดังนี้[2]", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "346996#12", "text": "ยุคสุดท้ายของราชวงศ์ชิง เมื่อถึงการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิกวงสู ปูยีได้ขึ้นครองราชย์แทน ด้วยการเป็นหุ่นเชิดของพระนางซูสีไทเฮาต่อไป และได้เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายในหน้าประวัติศาสตร์จีน ด้วยการสละราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1911 สิ้นสุดราชวงศ์ชิงที่มีอายุกว่า 268 ปี และถือเป็นการสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีนที่ปกครองอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 4,000 ปี", "title": "13 ฮ่องเต้ตำนานจักรพรรดิราชวงศ์ชิง" }, { "docid": "23110#71", "text": "การล่มสลายของราชวงศ์ชิงใน พ.ศ. 2454 ถือเป็นการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในจีนที่มีมายาวนานกว่า 5,000 ปี", "title": "ราชวงศ์ชิง" }, { "docid": "23861#1", "text": "ในทางทฤษฎี กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีอำนาจทั้งหมดเหนือประชาชนและแผ่นดิน รวมทั้งเหนืออภิชนและบางครั้งก็เหนือคณะสงฆ์ด้วย ส่วนในทางปฏิบัติ กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มักจะถูกจำกัดอำนาจ โดยทั่วไปโดยกลุ่มที่กล่าวมาหรือกลุ่มอื่น", "title": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" }, { "docid": "28311#0", "text": "กษัตริย์ หรือ พระมหากษัตริย์ คือประมุขหรือผู้ปกครองสูงสุดของรัฐ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือในราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีน้อยมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศขนาดเล็ก พระมหากษัตริย์เป็นได้ด้วยการสืบสันตติวงศ์หรือโดยการยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์พระองค์เดิมแล้วปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์", "title": "พระมหากษัตริย์" }, { "docid": "85846#3", "text": "เทศบาลนครนนทบุรีมีอาณาเขตครอบคลุม 5 ตำบลของอำเภอเมืองนนทบุรี ได้แก่ ตำบลสวนใหญ่, ตำบลตลาดขวัญ, ตำบลบางเขน, ตำบลบางกระสอ และตำบลท่าทราย มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 38.90 ตารางกิโลเมตรความหมายของดวงตราของเทศบาลนครนนทบุรี เป็นรูปพานรัฐธรรมนูญเพราะได้พิจารณาเห็นว่าเทศบาลมีกำเนิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อประเทศไทยได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 เทศบาลจึงได้กำหนดตราเป็นรูปพานรัฐธรรมนูญ มิใช่แต่แสดงว่าเทศบาลเกิดขึ้นได้เพราะมีการปกครองตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังได้แสดงถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตย", "title": "เทศบาลนครนนทบุรี" }, { "docid": "28600#1", "text": "อำนาจอธิปไตย ย่อมมีความแตกต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง ตัวอย่างเช่น ในระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน กล่าวคือ ประชาชนคือผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์ คือ กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นต้น", "title": "อำนาจอธิปไตย" }, { "docid": "27456#6", "text": "ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในระยะแรกคณะราษฎรได้มีประกาศยกเลิกอภิรัฐมนตรีสภา และพระราชบัญญัติองคมนตรี เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 และว่างเว้นมาเป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 จึงมีบทบัญญัติคล้ายคลึงกันโดยกำหนดให้มี \"คณะอภิรัฐมนตรี\" ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น \"คณะองคมนตรี\" ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และใช้มาตราบจนถึงปัจจุบัน", "title": "คณะองคมนตรีไทย" }, { "docid": "293980#8", "text": "ภายหลังจากการยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐอิสลาม เจ้าหญิงชามส์ได้เสด็จลี้ภัย โดยประทับในสหรัฐอเมริกา และภายหลังเจ้าชามส์ได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 สิริรวมพระชนมายุได้ 79 พรรษา", "title": "เจ้าหญิงชามส์ ปาห์ลาวี" }, { "docid": "4554#55", "text": "ปี พ.ศ. 2454 เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ ซึ่งเป็นการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐโดย ดร. ซุนยัดเซ็นราชวงศ์ชิงถูกยึดอำนาจในปีนั้น และใน พ.ศ. 2455 ผู่อี๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกบังคับให้สละราชสมบัติ ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์ชิง และการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีน ดร. ซุนยัดเซ็น เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณยาสิทธิราชย์ซึ่งปกครองด้วยสิทธิขาดของจักรพรรดิ มาเป็นระบอบสาธารณรัฐโดยมียฺเหวียน ชื่อไข่เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐจีน", "title": "ประวัติศาสตร์จีน" }, { "docid": "23861#3", "text": "ประเทศที่ใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบันคือ ซาอุดีอาระเบีย บรูไน โอมาน สวาซิแลนด์ กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้ง นครรัฐวาติกัน ด้วย", "title": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" }, { "docid": "17648#0", "text": "ความคิดและความเคลื่อนไหวที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของราชอาณาจักรสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นประชาธิปไตยนั้น มีมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อประมาณ ร.ศ. 103 (พ.ศ. 2427) หลังจากนั้น ได้มีการแสดงความคิดเห็นและความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อย ๆ จนนำไปสู่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยโดยคณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "ความเคลื่อนไหวสู่การปฏิวัติสยาม" }, { "docid": "23861#2", "text": "กษัตริย์บางพระองค์ (เช่นจักรวรรดิเยอรมนี ค.ศ. 1871–1918) มีรัฐสภาที่ไม่มีอำนาจหรือเป็นเพียงสัญลักษณ์ และมีองค์กรบริหารอื่น ๆ ที่กษัตริย์สามารถเปลี่ยนแปลงหรือยุบเลิกได้ตามต้องการ แม้จะมีผลเท่ากับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่โดยทางเทคนิคที่เป็นไปได้แล้ว นี่คือราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) เนื่องจากการมีอยู่ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายพื้นฐานของประเทศ", "title": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" }, { "docid": "345856#1", "text": "สำหรับในประเทศไทย วันรัฐธรรมนูญตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน ลักษณะสำคัญคือ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจาก พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริการราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาล ก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐ ซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ผู้ใดจะละเมิดมิได้", "title": "วันรัฐธรรมนูญ" }, { "docid": "69653#5", "text": "สำหรับประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนั้นนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2 ลักษณะคือ รัฐธรรมนูญ มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรโดยที่มีการยกร่างกันอย่างเป็นระบบ กับรัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการชั่วคราวซึ่งมักเรียก ธรรมนูญการปกครอง", "title": "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" }, { "docid": "671#3", "text": "ตั้งแต่โบราณกาล ราชอาณาจักรไทยอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ตาม หลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ(ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมห่กษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข) รัฐธรรมนูญเขียนฉบับแรกถูกร่างขึ้น อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยยังมีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มการเมืองระหว่างอภิชนหัวสมัยเก่าและหัวสมัยใหม่ ข้าราชการ และนายพล ประเทศไทยเกิดรัฐประหารหลายครั้ง ซึ่งมักเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้อำนาจของคณะรัฐประหารชุดแล้วชุดเล่า จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญและกฎบัตรรวมแล้ว 20 ฉบับ (นับรวมฉบับปัจจุบัน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างสูง หลังรัฐประหารแต่ละครั้ง รัฐบาลทหารมักยกเลิกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่เดิมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว", "title": "การเมืองไทย" }, { "docid": "11232#2", "text": "นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 กระทั่งได้มีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป 19 ครั้ง ดังนี้", "title": "คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ประเทศไทย)" }, { "docid": "461436#0", "text": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม () คือรูปแบบของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบบใช้อำนาจเด็ดขาด ที่ซึ่งผู้ปกครองได้รับอิทธิพลจากยุคเรืองปัญญา พระมหากษัตริย์ในระบอบนี้ที่เรียกว่า \"ประมุขผู้ทรงภูมิธรรม\" เป็นผู้อุปถัมภ์หลักการของการเรืองปัญญา โดยเฉพาะความสำคัญของหลักเหตุและผล และนำไปใช้ในการปกครองดินแดนของตน พระมหากษัตริย์มีแนวโน้มที่จะมีพระบรมราชานุญาตให้มีหลักขันติธรรมทางศาสนา, เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเผยแพร่ข่าวสาร รวมถึงสิทธิ์ของประชาชนทั่วไปในการครอบครองทรัพย์สิน อันเป็นการช่วยสร้างความเจริญก้าวหน้าทางศิลปศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และการศึกษาในยุโรปอย่างมาก", "title": "สมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม" } ]
3900
ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี ตั้งแสดงอยู่ที่ใด?
[ { "docid": "246571#0", "text": "ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี (), การแต่งงานของอาร์นอลฟีนี () หรือ ภาพเหมือนของโจวันนี อาร์นอลฟีนี และภรรยา (; ) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันบนไม้โอ๊กที่เขียนโดยยัน ฟัน ไอก์ จิตรกรเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร", "title": "ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี" } ]
[ { "docid": "246571#1", "text": "ยัน ฟัน ไอก์เขียนภาพ \"ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี\" ในปี ค.ศ. 1434 เป็นภาพที่เชื่อกันว่าเป็นภาพเหมือนของโจวันนี อาร์นอลฟีนี (Giovanni Arnolfini) พ่อค้าจากเมืองลุกกาในอิตาลีและภรรยาในห้องที่อาจจะเป็นที่บ้านที่พำนักอยู่ในเมืองบรูชในฟลานเดอส์ เป็นภาพที่ถือกันว่าเป็นภาพที่มีความเป็นต้นตอและความซับซ้อนมากที่สุดภาพหนึ่งของจิตรกรรมตะวันตก ฟัน ไอก์ลงชื่อและวันที่ว่าวาดในปี ค.ศ. 1434 ต่อมาหอศิลป์แห่งชาติแห่งลอนดอนซื้อภาพเขียนนี้ในปี ค.ศ. 1842", "title": "ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี" }, { "docid": "246571#4", "text": "ภาพนี้เป็นภาพที่เชื่อกันอยู่เป็นเวลานานว่าเป็นภาพเหมือนของโจวันนี อาร์นอลฟีนี และโจวันนา เชนามี (ภรรยา) ภายในห้องแบบเฟลมิช แต่ในปี ค.ศ. 1997 ก็เป็นที่ทราบว่าอาร์นอลฟีนีและเชนามียังไม่แต่งงานกันในปี ค.ศ. 1447 ซึ่งเป็นเวลาสิบสามปีหลังจากปีที่ระบุว่าเป็นปีที่เขียนภาพและหกปีหลังจากที่ฟัน ไอก์ เสียชีวิตไปแล้ว ในปัจจุบันจึงเชื่อกันว่าเป็นภาพเขียนของลูกพี่ลูกน้องของโจวันนี ดี อาร์รีโก ที่ชื่อโจวันนี ดี นีโกลาโอ อาร์นอลฟีนี และภรรยา ที่อาจจะเป็นภรรยาคนที่สองที่ไม่มีเอกสารระบุ หรือตามทฤษฎีที่เสนอเมื่อไม่นานมานี้ว่าเป็นภรรยาคนแรกที่ชื่อคอสสแตนซา เทรนทาผู้ที่เสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1433 ตามทฤษฎีนี้ก็ทำให้ภาพนี้กลายเป็นภาพอนุสรณ์แสดงให้เห็นภาพของผู้ที่ยังมีชีวิตคนหนึ่งและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วอีกคนหนึ่ง โจวันนี ดี นีโกลาโอ อาร์นอลฟีนีเป็นพ่อค้าชาวอิตาลีที่เดิมมาจากเมืองลุกกาผู้มาตั้งถิ่นฐานในเมืองบรูชอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1419 อาร์นอลฟีนีเป็นแบบสำหรับภาพเหมือนอีกภาพหนึ่งที่เขียนโดยฟัน ไอก์ที่ปัจจุบันอยู่ที่เบอร์ลิน ที่ทำให้สันนิษฐานกันว่าอาจจะเป็นเพื่อนกับจิตรกร", "title": "ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี" } ]
2792
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก่อตั้งเมื่อไหร่?
[ { "docid": "12218#0", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา () เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่วังสวนสุนันทา อันเคยเป็นเขตพระราชฐานของพระราชวังดุสิตในรัชกาลที่ 5 มาก่อน นักเรียนและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาทุกคนจะใช้คำแทนตัวเองว่า \"ลูกพระนาง\" ซึ่งพระนางในที่นี้หมายถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว\nมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีรากฐานมาจากการสถาปนา \"โรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย\" เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 เปิดสอน ประกาศนียบัตรประโยคครูประถม (ป.ป.) ต่อมาจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยครูสวนสุนันทา\" ในปี พ.ศ. 2518 ตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ. 2518 เปิดสอนถึงระดับปริญญาตรี หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "12218#1", "text": "วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม \"สถาบันราชภัฏ\" เป็นชื่อสถาบันการศึกษาในสังกัดกรมการฝึกหัดครูกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งยังได้พระราชทานตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ให้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ ทำให้วิทยาลัยครูสวนสุนันทามีชื่อเป็น \"สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา\" โดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่เป็นทางการ เนื่องจากยังไม่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏในราชกิจจานุเบกษา และเมื่อได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2538 วิทยาลัยครูสวนสุนันทาจึงมีสถานะเป็น \"สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา\" อย่างเป็นทางการ", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852480#2", "text": "ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2547 สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา ได้เปลี่ยนแปลงประเภทเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตามประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 ทำให้บัณฑิตวิทยาลัยได้รับการจัดตั้งให้เป็นหน่วยงานตามโครงสร้างภายในของมหาวิทยาลัยฯ ที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 ที่มีการบริหารงานบุคคลและงานบริหารวิชาการของตนเอง โดยมีหน้าที่กำกับมาตรฐานและประสานงานการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ตามระเบียบสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาว่าด้วยการจัดตั้งและดำเนินงานการจัดการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย", "title": "บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" } ]
[ { "docid": "852460#1", "text": "คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แรกเริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2480 จนถึง พ.ศ. 2560 รวมเวลา 80 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้เริ่มก่อตั้งจาก \"โรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย\" ก่อนปี พ.ศ. 2491 วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่สอนในระดับประถมและมัธยมศึกษา ในปี พ.ศ. 2501 ได้เปิดสอนเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูสวนสุนันทา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.สูง) วิทยาศาสตร์จัดเป็นหมวดวิทยาศาสตร์ที่ประกอบด้วย ภาควิชาเคมี ภาควิชาชีววิทยา ภาควิชาฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ทั่วไป", "title": "คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852480#1", "text": "บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แรกเริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2542 ในขณะที่สถาบันมีฐานะเป็นสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา โดยการจัดตั้ง \"โครงการบัณฑิตศึกษา\" ขึ้น โดยมีสายงานขึ้นตรงต่อรองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษมีชื่อเรียกภายในว่า \"บัณฑิตวิทยาลัย\" มีฐานเทียบเท่าคณะ ระบุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งเพื่อทำหน้าที่จัดการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งหมายถึง การศึกษาในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญามหาบัณฑิต ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง และปริญญาดุษฎีบัณฑิตในสาขาต่างๆ", "title": "บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852507#1", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดระนอง แรกเริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2555 ซึ่งเกิดจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาฉบับที่ 10 ของรัฐบาล โดยมีนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การส่งเสริมและพัฒนาด้านการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน สังคม และท้องถิ่น การพัฒนาภูมิปัญญาไทยสู่สากล การดูแล และรักษาสุขภาพอนามัยของประชามชนและชุมชนตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและหน่วยงานภาคเอกชนกำลังพัฒนาโครงการให้ผู้สูงอายุจากต่างประเทศเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นากจากนี้งานวิจัยของจุฬาลงกรณ์ พบว่าอายุไขของผู้ชายและผู้หญิงในไทยสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 70-75 ปี ซึ่งในการนี้จำเป็นจะต้องพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในด้านดังกล่าวเพื่อจะรองรับความต้องการในธุรกิจและอุตสาหกรรมประเภทนี้ต่อไป", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดระนอง" }, { "docid": "852258#1", "text": "วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ แรกเริ่มก่อตั้งตามมติสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้อนุมัติให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เพื่อวัตถุประสงค์การจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทามีความพร้อม มีประสบการณ์และมีความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนสาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ(การดูแลเด็กเล็กและผู้สูงอายุ) วิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม ในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ขณะนั้น)", "title": "วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "780758#0", "text": "คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (อังกฤษ: Faculty of Education, Suansunandha Rajabhat University) ถือกำเนิดมาจากโรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 ต่อมาได้พัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 นับเป็นคณะแรกของมหาวิทยาลัย\nธ เนรมิตกลิ่นแก้วการศึกษา\nคือคุณค่าครุศาสตร์ปราชญ์แผ่นดิน\nองอาจปราดเปรื่องเป็นทรัพย์สิน\nกำจายกลิ่นครุศาสตร์ดาษดา\nปรัชญานิยมล้ำลึกศึกษา\nรับใช้ประชาเป็นเรือจ้างสร้างชาติไทย\nเปี่ยมประเสริฐงามงดสดใส\nรักษาไว้ชีพพร้อมยอมพลี\nสร้างคุณค่าเทิดรักศักดิ์ศรี\nหอมทวีกลกลิ่นแก้วจุลจอม", "title": "คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "847864#2", "text": "วิทยาลัยการภาพยนตร์ ศิลปะการแสดง และสื่อใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เรียกชื่อย่อว่า SISA ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2555 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (เขตดุสิต) เปิดทำการเรียนการสอนปีแรกในปีการศึกษา 2556 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (เขตดุสิต) โดยใช้อาคาร 31 เป็นอาคารเรียนชั่วคราวสมัยนั้น เปิดสอนใน 2 หลักสูตร มีนักศึกษารุ่นแรกจำนวน 30 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 ทางวิทยาลัยฯได้เห็นชอบกับทางผู้บริหารมหาวิทยาลัย โดยย้ายวิทยาลัยการภาพยนตร์ฯ ไปยังวิทยาเขตศาลายา ตำบลคลองโยง อำเภอพุทธมนฑล จังหวัดนครปฐม 73170 เนื่องจากรองรับการขยายตัวของนักศึกษาที่มีเพิ่มมากขึ้นในทุกๆปี เพื่อตอบสนองตามนโยบายของมหาวิทยาลัย และมีห้องเรียนห้องปฏิบัติการที่เพียงพอต่อการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ ซึ่งอาคารเรียนสร้างเสร็จสมบูรณ์พอดีในปี พ.ศ. 2559 มีจำนวนห้องเรียนที่เพียงพอในอาคารทั้งสิ้น 20 ห้อง และได้เปิดทำการเรียนการสอนในหลักสูตรระดับปริญญาตรีมาจนปัจจุบัน มีนักศึกษาไทยและนักศึกษาชาวต่างชาติในแต่ละสาขาวิชา ในปี 2561 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขตศาลายา มีหน่วยงานกลางที่ดูแลอำนวยความสะดวกนักศึกษา เช่น หอพัก สนามกีฬา โรงอาหาร การติดต่อยื่นเอกสาร และคณะอื่นๆที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก จำนวน 4 หน่วยงาน มีนักศึกษาประมาณ 5,000 คน มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านการสร้างสรรค์และการศึกษาสื่อบันเทิงในภูมิภาคอาเซียน", "title": "วิทยาลัยการภาพยนตร์ ศิลปะการแสดงและสื่อใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852469#1", "text": "คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แรกเริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2518 ตามพระราชบัญญัติ ให้วิทยาลัยครูทุกแห่งเป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาจึงได้มีการก่อตั้ง“คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์” โดยได้เปิดสอนในระดับอนุปริญญาระดับปริญญาตรี 4 ปีและปริญญาตรี 2 ปี (หลังอนุปริญญา)สาขาการศึกษา  มีวิชาเอก 3 วิชาคือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2527 มีการพัฒนาหลักสูตร และเปิดสอนหลักสูตรศิลปะศาสตร์", "title": "คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" } ]
3557
ดาวเคราะห์ มีแสงในตัวเองหรือไม่ ?
[ { "docid": "3688#3", "text": "ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบันกล่าวว่าดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากการยุบตัวลงของกลุ่มฝุ่นและแก๊ส พร้อมๆ กับการก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ที่ใจกลาง ดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สามารถมองเห็นได้เนื่องจากพื้นผิวสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ในระบบสุริยะมีดาวบริวารโคจรรอบ ยกเว้นดาวพุธและดาวต่างต่าง และสามารถพบระบบวงแหวนได้ในดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน มีเพียงดาวเสาร์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นวงแหวนได้ชัดเจนด้วยกล้องส่องทางไกล", "title": "ดาวเคราะห์" } ]
[ { "docid": "60227#9", "text": "ดาวเคราะห์หิน หรือที่เรียกว่า ดาวเคราะห์คล้ายโลก อย่างเช่น โลกของเรา จะก่อตัวขึ้นด้วยกระบวนการที่ช่วยให้ความเป็นไปได้ของการมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกับที่โลกของเรามีได้ การผสมผสานกันระหว่าง คาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ในรูปแบบทางเคมีของคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) (ตัวอย่างเช่น น้ำตาล) จะสามารถเป็นแหล่งของพลังงานทางเคมีที่ชีวิตจะสามารถพึ่งพาได้และสามารถเอื้ออำนวยก่อให้เกิดองค์ประกอบโครงสร้างทางชีวเคมีที่จำเป็นสำหรับการก่อกำเนิดชีวิตได้ พืชได้รับพลังงานผ่านการแปลงพลังงานแสงให้เป็นพลังงานทางเคมีผ่านทางการสังเคราะห์ด้วยแสง", "title": "สิ่งมีชีวิตนอกโลก" }, { "docid": "47050#41", "text": "ดาวเคราะห์น้อยประมาณหนึ่งส่วนในสามส่วนของดาวเคราะห์น้อยทั้งหมดในแถบหลักจะเป็นสมาชิกของตระกูลดาวเคราะห์น้อยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้มีลักษณะวงโคจรใกล้เคียงกัน เช่นค่ากึ่งแกนเอก ค่าความเบี้ยวศูนย์กลาง และค่าระนาบวงโคจร รวมถึงคุณสมบัติทางแสงที่คล้ายคลึงกัน สิ่งเหล่านี้แสดงว่าดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากวัตถุเดียวกันแล้วจึงแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากแผนภาพแสดงตำแหน่งวัตถุที่เป็นสมาชิกในแถบหลักแสดงให้เห็นความหนาแน่นของวัตถุในบางตำแหน่งซึ่งส่อถึงตระกูลดาวเคราะห์น้อย ประมาณได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันเช่นนี้อยู่ราว 20-30 กลุ่มที่น่าจะเป็นดาวเคราะห์น้อยตระกูลเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันน้อยลงมา เราสามารถแยกแยะตระกูลดาวเคราะห์น้อยได้จากวัตถุที่มีคุณสมบัติทางแสงตรงกัน ส่วนดาวเคราะห์น้อยที่มีความสัมพันธ์น้อยลงมาจะเรียกว่า กลุ่มหรือกระจุกดาวเคราะห์น้อย", "title": "แถบดาวเคราะห์น้อย" }, { "docid": "275805#0", "text": "การระเหยด้วยแสง () คือกระบวนการที่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ (หรือบางส่วนของชั้นบรรยากาศ) ถูกฉีกออกเนื่องจากโฟตอนพลังงานสูงและการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่นๆ เมื่อโฟตอนมีปฏิกิริยากับโมเลกุลของบรรยากาศ โมเลกุลเหล่านั้นจะถูกเร่งและทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้น เมื่อระดับพลังงานสูงมากพอ โมเลกุลหรืออะตอมจะไปถึงระดับความเร็วหลุดพ้นจากดาวเคราะห์ และ \"ระเหย\" ไปในอวกาศ ยิ่งมวลของแก๊สมีน้อยเท่าใด ความเร็วที่จะเกิดจากปฏิกิริยากับโฟตอนก็ยิ่งสูงขึ้น ดังนั้น ไฮโดรเจน จึงมีแนวโน้มจะเกิดการระเหยด้วยแสงมากที่สุด", "title": "การระเหยด้วยแสง" }, { "docid": "204863#0", "text": "434 ฮังกาเรีย เป็นดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก จัดเป็นดาวเคราะห์น้อยประเภท E (คือมีค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงสูง) ชื่อของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ใช้เป็นชื่อตระกูลดาวเคราะห์น้อยฮังกาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรต่ำกว่าช่องว่างเคิร์กวูด 1:4 ห่างออกมาจากแกนกลางของแถบหลัก", "title": "434 ฮังกาเรีย" }, { "docid": "47050#21", "text": "ดาวเคราะห์น้อยประเภทซิลิกา หรือประเภท S มักพบมากบริเวณด้านในของแถบหลัก คือมีวงโคจรจากดวงอาทิตย์น้อยกว่า 2.5 หน่วยดาราศาสตร์ สเปกตรัมพื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยในกลุ่มนี้แสดงให้เห็นซิลิเกตจำนวนมากรวมถึงโลหะบางชนิด แต่ไม่มีร่องรอยที่เด่นชัดขององค์ประกอบคาร์บอน แสดงว่าแร่ธาตุในตัวได้ผ่านการปรับเปลี่ยนไปจากองค์ประกอบดั้งเดิม ซึ่งอาจเกิดจากการหลอมละลายหรือการก่อตัวใหม่ ดาวเคราะห์น้อยกลุ่มนี้มีค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงค่อนข้างสูง และมีจำนวนประมาณ 17% ของจำนวนประชากรดาวเคราะห์น้อยทั้งหมด", "title": "แถบดาวเคราะห์น้อย" }, { "docid": "524285#4", "text": "ดาวเคราะห์อัคโต () ปรากฎใน\"อุบัติการณ์แห่งพลัง\" เป็นดาวเคราะห์ที่พื้นผิวปกคลุมด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ เป็นที่อยู่ของวิหารเจไดแห่งแรก และต้นไม้ที่เก็บรักษาตำราโบราณของเจได และเป็นที่ที่ลุค สกายวอล์คเกอร์ หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ หลังจากล้มเหลวในการฝึกสอนเจไดรุ่นใหม่ท้องฟ้าของดาวแอนแซทนั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงที่สามารถพบเห็นได้จากทุกที่ ชาวแอนซาทิรุ่นแรกๆ เชื่อว่าพวกมันคือพลังงานของบรรพบุรุษ แอนซาทิเชื่อว่าพวกเขาสามารถได้ยินเสียงที่ไร้เสียงของแสงพวกนั้นในจิตใจของพวกเขา ", "title": "รายชื่อดาวเคราะห์ในสตาร์ วอร์ส" }, { "docid": "3800#30", "text": "ดาวเคราะห์นอกระบบที่ถูกค้นพบในปัจจุบันส่วนมากจะโคจรรอบดาวฤกษ์ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดวงอาทิตย์ของเรา คือเป็นดาวฤกษ์ในแถบกระบวนหลักซึ่งมีประเภทสเปกตรัม F, G หรือ K สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากโปรแกรมการค้นหาที่มุ่งศึกษาดาวฤกษ์ในประเภทนี้ ถึงอย่างไรก็ตามข้อมูลทางสถิติก็บ่งชี้ว่า โอกาสจะพบดาวเคราะห์ในระบบของดาวฤกษ์มวลน้อย (ดาวแคระแดง ซึ่งมีประเภทสเปกตรัม M) ก็ค่อนข้างน้อย หรือมิฉะนั้นตัวดาวเคราะห์เองก็อาจมีมวลต่ำมากทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้น[24] การสำรวจด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์เมื่อไม่นานมานี้ได้ค้นพบว่าดาวฤกษ์ในประเภทสเปกตรัม O ซึ่งมีความร้อนกว่าดวงอาทิตย์ของเรา จะมีปรากฏการณ์ การระเหยด้วยแสง ซึ่งส่งผลในทางขัดขวางการก่อตัวของดาวเคราะห์[25]", "title": "ดาวเคราะห์นอกระบบ" }, { "docid": "154278#1", "text": "กล้องถ่ายภาพสนามกว้างและดาวเคราะห์ 2 มีอุปกรณ์ถ่ายเทประจุ (CCD) ทั้งหมด 4 ตัว แต่ละตัวมีขนาด 800x800 พิกเซล สามารถตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในช่วง 120 นาโนเมตรถึง 1100 นาโนเมตรได้ (ครอบคลุมคลื่นที่ตามองเห็นทั้งหมดและคลื่นอัลตราไวโอเลตกับคลื่นอินฟราเรดบางส่วน) มีการแจกแจงความไวต่อแสงเป็นรูปการแจงแจกปกติที่มีจุดยอดอยู่ที่ 700 นาโนเมตร อุปกรณ์ถ่ายเทประจุ (CCD) 3 ตัววางเรียงกันเป็นรูปตัวแอล (L) ทำหน้าที่เป็นกล้องถ่ายภาพสนามกว้าง (Wide Field Camera) อุปกรณ์ถ่ายเทประจุอีกตัวหนึ่งวางอยู่ติดกับอุปกรณ์ถ่ายเทประจุ 3 ตัวแรก ทำหน้าที่เป็นกล้องถ่ายภาพดาวเคราะห์ (Planetary Camera) ที่มีโฟกัสแคบกว่าทำให้ได้ภาพที่มีขนาดเล็กกว่าแต่มีความละเอียดสูงกว่า โดยปกติ จะมีการนำภาพที่ได้จากกล้องถ่ายภาพสนามกว้างและกล้องถ่ายภาพดาวเคราะห์มารวมกันทำให้ได้ภาพที่มีรูปร่างเป็นขั้นบันได เมื่อมีการเผยแพร่ภาพเหล่านี้โดยจุดประสงค์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ภาพจากกล้องถ่ายภาพดาวเคราะห์จะถูกปรับความละเอียดให้ลดลงเท่ากับภาพจากกล้องถ่ายภาพสนามกว้าง อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์สามารถขอภาพต้นฉบับที่ไม่มีการลดความละเอียดได้", "title": "กล้องถ่ายภาพสนามกว้างและดาวเคราะห์ 2" }, { "docid": "524285#2", "text": "แรงดึงดูดของมันได้ยื้อดึงกับแรงดึงดูดของดาวแก๊สยักษ์เลฟรานิจนทำให้มุสตาฟาร์อยู่ตรงกลางระหว่างวงโคจรของดาวทั้งสองดวงแต่เดิมนั้น โปลิส แมซซา เคยเป็นดาวเคราะห์เล็กๆ ที่ไม่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นที่อยู่ของอารยธรรมอีลเลยิน (Eellayin) ที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก อารยธรรมนี้สร้างเมืองลึกลงไปใต้ดินอย่างเช่นเมืองวิเยนทาห์ (Wiyentaah) แต่ด้วยภัยพิบัติลึกลับ ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้แตกสลายกลายเป็นหมู่ดาวเคราะห์น้อย ซึ่งยังคงเป็นที่รู้จักในชื่อเดิม คือโปลิส แมซซา โดยเฉพาะดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ที่สุด ส่วนอารยธรรมอีลเลยินนั้นได้เสื่อมสลายไปจนหมดสิ้น สเตดมิน คราวซา ผู้นำของดาว โปลิส แมสซา ได้ร่วมมือกับฝ่ายแบ่งแยกดินแดน โปลิส แมสซา กลายเป็นโรงงานหลอมหุ่นดรอยด์โรงงานผลิตปืน สเตดมินต้องการให้ โปลิส แมสซา กลายเป็น อุตสหกรรมโปลิชแมสเซียนเหมือน อุตสหกรรมจีโอโนเซียนของดาวจีโอโนซิสฟีลูเซียมีพืชพันธุ์และสัตว์แปลกประหลาดที่หลากหลาย ซึ่งคล้ายยางและปิดบังแสงแดด อย่างหม้อข้าวหม้อแกงลิงขนาดยักษ์ เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสง สภาพแวดล้อมก็จะส่องแสงระยิบระยับเหมือนทุ่งหลากสี พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟีลูเซียนั้นชุ่มชื้น และสิ่งมีชีวิตมากมายอย่างสัตว์พื้นเมืองเจลากรับ สัตว์ที่ย้ายถิ่นมาอย่างแอคเล่ย์ ตัวซาร์แลคขนาดมหึมา ฟีลูเซียมีชาวพื้นเมืองคือชาวฟีลูเซียน ซึ่งสามารถได้รับอิทธิพลจากผู้ใช้พลังที่แข็งแกร่ง ทั้งสว่างและมืด พืชและสัตว์ส่วนใหญ่ของฟีลูเซียได้สร้างการป้องกันตัวเองเพื่อปกป้องตัวเองจากพวกอื่น ซึ่งทำให้พวกมันเป็นอันตรายกับผู้ที่มาจากดาวอื่น", "title": "รายชื่อดาวเคราะห์ในสตาร์ วอร์ส" }, { "docid": "154005#55", "text": "การค้นพบที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ การค้นพบกลุ่มก๊าซที่รวมตัวกันเป็นรูปจานที่กำลังจะกลายเป็นดาวเคราะห์ ในเนบิวลานายพราน การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่โคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ และการค้นพบปรากฏการณ์คล้ายแสงวาบรังสีแกมมา ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "545#23", "text": "ดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นการศึกษาวัตถุทางดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงม่วง คือประมาณ 10-3200 Å (10-320 นาโนเมตร) [12] แสงที่ความยาวคลื่นนี้จะถูกชั้นบรรยากาศของโลกดูดซับไป ดังนั้นการสังเกตการณ์จึงต้องกระทำที่ชั้นบรรยากาศรอบนอก หรือในห้วงอวกาศ การศึกษาดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลตจะใช้ในการศึกษาการแผ่รังสีความร้อนและเส้นการกระจายตัวของสเปกตรัมจากดาวฤกษ์สีน้ำเงินร้อนจัด (ดาวโอบี) ที่ส่องสว่างมากในช่วงคลื่นนี้ รวมไปถึงดาวฤกษ์สีน้ำเงินในดาราจักรอื่นที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการสำรวจระดับอัลตราไวโอเลต วัตถุอื่น ๆ ที่มีการศึกษาแสงอัลตราไวโอเลตได้แก่ เนบิวลาดาวเคราะห์ ซากซูเปอร์โนวา และนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์[12] อย่างไรก็ดี แสงอัลตราไวโอเลตจะถูกฝุ่นระหว่างดวงดาวดูดซับหายไปได้ง่าย ดังนั้นการตรวจวัดแสงอัลตราไวโอเลตจากวัตถุจึงต้องนำมาปรับปรุงค่าให้ถูกต้องด้วย[12]", "title": "ดาราศาสตร์" }, { "docid": "132289#0", "text": "253 มาทิลเด (, ) เป็นดาวเคราะห์น้อยในแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก ค้นพบโดย โยฮันน์ พาลิซา ใน พ.ศ. 2428 ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์จำนวนสี่ปี และโคจรรอบตัวเองด้วยอัตราที่ช้าผิดปกติ คือใช้เวลา 17.4 วัน ในการโคจรรอบตัวเองครบหนึ่งรอบ ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จัดว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยประเภท C ซึ่งพื้นผิวมีส่วนประกอบของคาร์บอนอยู่ปริมาณมาก ทำให้พื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ทึบแสง โดยจะสะท้อนแสงเพียง 4% ของแสงที่ตกกระทบ", "title": "253 มาทิลเด" }, { "docid": "154005#38", "text": "เนื่องจากเครื่องมือต่าง ๆ มีรูปแบบแตกต่างกัน การแก้ไขภาพจึงทำโดยวิธีที่ต่างกันไป กล้องถ่ายภาพสนามกว้างและดาวเคราะห์ 2 ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำไปแทนกล้องถ่ายภาพสนามกว้างและดาวเคราะห์ตัวเดิม โดยมันจะติดตั้งกระจกสะท้อนแสงเพื่อส่งแสงไปยังอุปกรณ์รับภาพแบบ CCD แปดตัว พื้นผิวของมันถูกสร้างให้มีความคลาดเคลื่อนที่จะสามารถหักล้างความคลาดเคลื่อนของกระจกหลักได้อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ตัวอื่นไม่สามารถแก้ไขด้วยในวิธีนี้ได้ จึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ภายนอกเข้ามาช่วยแก้ไขภาพ[33]", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "438965#4", "text": "เรย์ ได้เผชิญหน้ากับ มิไร ร่างมนุษย์ของอุลตร้าแมนเมบิอุส ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวแกแล็กซี่ เอ็ม 78 ให้กับเรย์ และนครแห่งแสงในนานมาแล้ว ดาวเคราะห์และผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนกับโลก ดวงอาทิตย์ของมันเคลื่อนตัวออกไปและทำให้ดาวเคราะห์ที่ต้องเผชิญกับการทำลายทำให้ พลาสม่าสปาร์ค ถูกสร้างขึ้น มันถูกเปิดเผยว่าพลาสม่าสปาร์คทำหน้าที่เหมือนดวงอาทิตย์เทียมสำหรับดาวเคราะห์และมันยังเปลี่ยนประชาชนทั้งหมดของประเทศเป็นนักรบอุลตร้า จากนั้น มิไร ได้อธิบายเรื่องราวของอุลตร้าแมนแบเรียล ก่อนที่ถิ่นในปัจจุบัน อุลตร้าแมนแบเรียล ถูกล่อลวงเข้าสู่การเป็นเจ้าของอำนาจของพลาสม่าสปาร์คให้กับตัวเอง แต่มีรอยแผลเป็นอย่างเห็นได้ชัดโดยใช้พลังงานและถูกเนรเทศโดยนักรบอุลตร้าสำหรับเป็นอันตรายต่อดาวเคราะห์ อยู่ในหลืบลึกของพื้นที่เขาได้พบกับเอเลี่ยนเรย์แบรด ที่ผสมผสานด้วยบีลีล เปลี่ยนแปลงเขาให้กลายเป็นความชั่วร้ายอุลตร้าเขาเป็นตอนนี้และทำหน้าที่เป็นในจิตสำนึกของเขา ในระหว่างการโจมตีครั้งแรกของบีลีลบนนครแห่งแสงเรียกว่า จลาจลแบเรียล เขาเกือบเอาชนะดาวเคราะห์กับกองทัพของมอนสเตอร์จนกระทั่งเขากำลังเผชิญหน้ากับอุลตราแมนคิง อุลตร้าแมนแบเรียล ถูกผนึกไว้ในเรือนจำทำให้จับเขาได้ กองทัพของเขาถูกทำลายไป และกิงกาแบทเทิลไนเซอร์ ถูกปิดผนึกไว้ออกไปในหุบเขาแห่งไฟ มิไร ก็ถามเพื่อขอความช่วยเหลือของเรย์ตอนที่อุลตร้าแมนแบเรียลได้กลับมา และเรย์ตกลงที่จะช่วย ในขณะเดียวกันหลังจากหลบหนีออกจากดวงดาวแกแล็กซี่ เอ็ม 78 อุลตร้าแมนแบเรียล ได้ซ่อนอยู่ในสุสานมอนสเตอร์และใช้ กิงกาแบทเทิลไนเซอร์ ชุบชีวิตและควบคุมมอนสเตอร์อุลตร้า 100 ตัว เพื่อต่อสู้นักรบอุลตร้า", "title": "อุลตร้าแกแล็คซี่ กำเนิดอุลตร้าแมนซีโร่" }, { "docid": "943392#0", "text": "ดับเบิลยูเอเอสพี-104บี () เป็นดาวเคราะห์นอกระบบจำพวกดาวพฤหัสบดีร้อนที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดับเบิลยูเอเอสพี-104 ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวเคราะห์ที่ดำที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ ดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกพบใน พ.ศ. 2557 ในการค้นพบครั้งแรกมันถูกคิดว่าผิวของมันสามารถดูดซับแสงได้ 60% แต่จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยคีลใน พ.ศ. 2561 แสดงให้เห็นว่าผิวของมันดูดซับแสงได้มากกว่า 97% เนื่องบรรยากาศของมันมีโซเดียมและโพแทสเซียมอยู่อย่างหนาแน่น", "title": "ดับเบิลยูเอเอสพี-104บี" }, { "docid": "276130#0", "text": "COROT (ย่อมาจาก COnvection ROtation and planetary Transits ; หรือ \"การพา การหมุน และการเคลื่อนผ่านของดาวเคราะห์\") คือปฏิบัติการทางอวกาศ นำโดยองค์การอวกาศฝรั่งเศส (CNES; French Space Agency) ร่วมมือกับองค์การอวกาศยุโรปและองค์กรนานาชาติอื่น มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบที่มีคาบโคจรสั้น โดยเฉพาะดวงที่มีลักษณะเป็นดาวเคราะห์คล้ายโลก และการตรวจวัดคาบการแกว่งตัวของดาวฤกษ์ (asteroseismology) ที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ COROT ถูกส่งออกสู่อวกาศเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2006 เวลา 14:28:00 UTC ด้วยจรวดนำส่งโซยูส และรายงานแสงแรกกลับมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2007 นับได้ว่า COROT เป็นยานอวกาศลำแรกที่อุทิศภารกิจแก่การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบโดยเฉพาะ ดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกที่ COROT ตรวจพบคือ COROT-1b ตรวจพบเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 เดิมคาดว่าปฏิบัติการจะสิ้นสุดภายในเวลา 2.5 ปีนับจากวันส่งขึ้น แต่นับถึงปัจจุบัน COROT ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่และคาดว่าจะทำหน้าที่ไปจนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 2010", "title": "COROT" }, { "docid": "275546#16", "text": "ถ้าดาวพื้นหลังของดาวที่มีหน้าที่รวมแสงมีดาวเคราะห์บริวาร ซึ่งดาวเคราะห์ดังกล่าวจะมีสนามโน้มถ่วงของดาวเอง โดยสนามโน้มถ่วงดังกล่าวสามารถตรวจวัดได้จากปรากฏการณ์เลนส์ เนื่องด้วยการศึกษาดังกล่าวต้องอาศัยการเรียงตัวที่ดีมาก ทำให้การศึกษาต้องมีการตรวจวัดดาวระยะไกลจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจวัดดาวเคราะห์นอกระบบ ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่น่าเชื่อถือสำหรับดาวเคราห์นอกระบบที่อยู่ระหว่างโลกกับจุดศูนย์กลางของกาแล็กซี่ เนื่องจากบริเวณใจกลางกาแล็กซี่มีดาวพื้นหลังจำนวนมาก", "title": "วิธีตรวจจับดาวเคราะห์นอกระบบ" }, { "docid": "537717#1", "text": "ยานลำนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบที่คล้ายโลกที่โครจรอยู่ในเขตอาศัยได้และทำการประมาณค่าว่าดาวฤกษ์หลายพันล้านดาวในทางช้างเผือกมีดาวเคราะห์ดังกล่าวกี่ดวง อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ติดไปกับตัวยานนั้นคือเครื่องวัดความเข้มแสงที่คอยตรวจสอบความต่อเนื่องของแสงสว่างของดาวฤกษ์ประมาณ 150,000 ดวงในแถบลำดับหลัก จากนั้นยานจะส่งข้อมูลกลับไปยังสถานีเพื่อทำการตรวงสอบการบังแสงของดาวเคราะห์ในขณะที่มันโคจรผ่านดาวฤกษ์ ช่วงตลอดเวลา 9 ปีของภาระกิจมันทำการสังเกตดาวฤกษ์กว่า 530,506 ดาวและค้นพบดาวเคราห์อีก 2,662 ดวง", "title": "เคปเลอร์ (ยานอวกาศ)" }, { "docid": "51301#55", "text": "ในปี ค.ศ. 499 นักคณิตศาสตร์-นักดาราศาสตร์ อารยภรต เสนอแบบจำลองในรายละเอียดของระบบสุริยะ ของความโน้มถ่วง ที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง โดยดาวเคราะห์หมุนรอบแกน ของมันทำให้เกิดกลางวันกลางคืนและเคลื่อนไปทางวงโคจรวงรี รอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดปี และบรรดาดาวเคราะห์รวมทั้งดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเองแต่สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ อารยภรตยังอธิบายสาเหตุของสุริยปราคาและจันทรุปราคา ได้อย่างถูกต้องและทำนายเวลาที่เกิดขึ้น บอกค่ารัศมีของวงโคจรดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ และวัดความยาวของวัน sidereal year เส้นผ่านศูนย์กลางและ เส้นรอบวง ของโลกได้อย่างแม่นยำ พรหมคุปต์ได้ระลึกถึงความโน้มถ่วงว่าเป็นแรงดึงดูด และเข้าใจกฎของความโน้มถ่วง ใน \"พรหม สปุต สิทธานตะ\" ของเขาเมื่อปี ค.ศ. 628 อีกด้วย", "title": "ประวัติศาสตร์ฟิสิกส์" }, { "docid": "943392#1", "text": "ดับเบิลยูเอเอสพี-104บีได้รับการยอมรับจากนักวิจัยว่ามันเป็นหนึ่งหนึ่งในดาวเคราะห์นอกระบบที่ดำที่สุดเท่าที่ค้นพบ พ.ศ. 2561 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคีลได้กล่าวว่าผิวของมันดูดซับแสงได้มากกว่า 97% เพราะมีโซเดียมและโพแทสเซียมจำนวนมากบนชั้นบรรยากาศ หนังสือพิมพ์หกหน้าที่แผยแพร่ในหอสมุดมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์อธิบายเกี่ยวกับดาวเคราะห์นอกระบบดวงนี้ว่า \"ดำกว่าถ่าน\" และเห็นด้วยกับคำที่ว่า \"หนึ่งในดาวเคราะห์ที่สะท้อนแสงน้อยที่สุดเท่าที่พบในปัจจุบัน\" มีการพิจารณาว่ามีดาวเคราะห์อีกสองดวงที่ดำกว่าดับเบิลยูเอเอสพี-104บี คือทีอาร์อีเอส-2บีและดับเบิลยูเอเอสพี-12บี แสงดาวของมันถูกนำไปเปรียบเทียบกับดับเบิลยูเอเอสพี-12บีเพราะดับเบิลยูเอเอสพี-12บีสามารถดูดซับแสงได้ 94%", "title": "ดับเบิลยูเอเอสพี-104บี" }, { "docid": "362491#1", "text": "บางครั้งดาวเฮอร์บิก เออี/บีอี ก็มีการแปรแสงที่สว่างจนสังเกตได้ชัด เชื่อว่าเกิดขึ้นจากการรวมตัวของดาวเคราะห์ก่อนเกิดเข้ากับแผ่นจานดาวฤกษ์ ในสภาวะที่มีความสว่างน้อยที่สุด การแผ่รังสีจากดาวจะมีสีน้ำเงินเข้มกว่า และเกิดโพลาไซส์เชิงเส้นของแสง (ในทำนองเดียวกันกับการมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า)", "title": "ดาวเฮอร์บิก เออี/บีอี" }, { "docid": "669611#1", "text": "ดาวเคราะห์น้ำแข็งโดยมากมีคุณสมบัติที่ไม่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมีอุณหภูมิที่เย็นจัด ดาวเคราะห์น้ำแข็งอาจมีมหาสมุทรภายในที่อยู่ใต้เปลือกของมัน ซึ่งอาจถูกทำให้อุ่นโดยแกนของมันเองหรือแรงไทดัลจากวัตถุที่อยู่ใกล้เคียง โดยเฉพาะดาวแก๊สยักษ์ น้ำใต้เปลือกดาวเคราะห์อาจสามารถเอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต รวมไปถึงปลา แพลงก์ตอน และจุลินทรีย์ แพลงก์ตอนและจุลินทรีย์ที่อยู่ใต้เปลือกของดาวเคราะห์จะไม่ทำการสังเคราะห์ด้วยแสงเนื่องจากแสงดาวฤกษ์ถูกบดบังโดยเปลือกน้ำแข็งที่อยู่เหนือน้ำ แต่จะสร้างสารอาหารจากโดยใช้สารเคมีจำเพาะ โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี หากมีปัจจัยที่เหมาะสม ดาวเคราะห์บางดวงอาจมีชั้นบรรยกาศที่เห็นได้ชัดคล้ายกับไททัน ดาวบริวารของดาวเสาร์ ซึ่งอาจเอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างดาว", "title": "ดาวเคราะห์น้ำแข็ง" }, { "docid": "359176#3", "text": "นักวิจัยหลายคนคาดว่าด้านที่ถูกแสงแดดของดาวเคราะห์ดังกล่าวอาจหันเข้าหาดวงฤกษ์ของมันตลอดเวลาด้วยแรงไทดัล เหมือนกับกรณีที่ดวงจันทร์หันด้านเดิมเข้าหาโลกเสมอซึ่งเกิดจากเวลาที่ใช้หมุนรอบตัวเองเท่ากับเวลาที่ดวงจันทร์ใช้โคจรรอบโลก จึงไม่น่าสามารถที่จะมีดาวบริวารได้ แต่ ณ ตอนนี้ คงไม่อาจพิสูจน์ได้จากเทคโนโลยีสมัยนี้", "title": "อิปไซลอนแอนดรอมิดา บี (ดาวเคราะห์)" }, { "docid": "204906#0", "text": "ดาวเคราะห์น้อยประเภท S เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นสารประกอบซิลิกา (Silica) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ มีอยู่เป็นจำนวนประมาณ 17% ของดาวเคราะห์น้อยทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวนมากรองจากดาวเคราะห์น้อยประเภท C หรือจำพวกคาร์บอน\nดาวเคราะห์น้อยประเภท S จะมีความสว่างปานกลาง มีค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสง (albedo) ระหว่าง 0.10 ถึง 0.22 และมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็น ไอร์อ้อนซิลิเกต หรือ แมกนีเซียมซิลิเกต มักอยู่ในบริเวณรอบในของแถบดาวเคราะห์น้อย มีวงโคจรต่ำกว่า 2.2 หน่วยดาราศาสตร์ ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ที่สุดในประเภทนี้คือ 15 ยูโนเมีย (กว้างประมาณ 330 กิโลเมตร) รองลงไปได้แก่ 3 จูโน 29 แอมฟิไทรต์ 532 เฮอร์คิวลินา และ 7 ไอริส ดาวเคราะห์น้อยประเภท S ขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตากำลัง 10x50 เมื่อมันเข้ามาในตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์ ดวงที่สว่างที่สุดคือ 7 ไอริส ซึ่งเคยมีค่าความสว่างสูงสุดถึง +7.0 ที่ถือว่าสว่างมากนอกเหนือจากดาวเคราะห์น้อยที่สะท้อนแสงได้ดีเช่น 4 เวสต้า", "title": "ดาวเคราะห์น้อยประเภท S" }, { "docid": "3800#26", "text": "ดาวคู่อุปราคา: ในระบบดาวคู่อุปราคา เราสามารถตรวจพบดาวเคราะห์ได้จากการเปลี่ยนแปลงของช่วงแสงขณะที่ดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านไปผ่านมา วิธีนี้เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในการค้นหาดาวเคราะห์ในระบบดาวคู่", "title": "ดาวเคราะห์นอกระบบ" }, { "docid": "359182#1", "text": "สีฟ้าที่เห็นอยู่ในภาพจินตนาการของศิลปินส่วนใหญ่ไม่ได้แปลว่า \"ความเย็น\" แต่สีฟ้านี้เกิดจากการกระจายตัวของแสง เพราะดาวเคราะห์ดวงนี้ร้อนมาก ดังนั้นถ้ามองด้วยตาเปล่า เราจะเห็นดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีเมฆสีแดงอยู่", "title": "อิปไซลอนแอนดรอมิดา ซี" }, { "docid": "50516#5", "text": "ครั้นต่อมาได้มีการศึกษาสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ พบว่ามีฮีเลียม แต่ไม่พบเนบิวเลียม จนเฮนรี นอร์ริส รัสเซล (Henry Norris Russel) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน เสนอว่า \"เนบิวเลียม\" เป็นธาตุที่เราคุ้นเคยกันดี แต่อยู่ในสภาวะที่เราไม่ทราบ ต่อมาค้นพบว่าใจกลางของเนบิวลาดาวเคราะห์ (คือดาวแคระขาว) มีอุณหภูมิสูงมากแต่มีแสงจางมาก ขณะที่ชั้นนอกของดาวยักษ์แดงดวงเดิมขยายตัวออกสู่อวกาศเสมอ จนเกิดแนวคิดว่าเนบิวลาดาวเคราะห์เป็นจุดจบของดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย (ต่างกับซูเปอร์โนวาที่เป็นจุดจบของดาวฤกษ์ที่มีมวลมาก)", "title": "เนบิวลาดาวเคราะห์" }, { "docid": "2646#30", "text": "ในบันทึกของอริสโตเติลเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศฉบับแรกของเขา ได้บรรยายถึงมุมมองเกี่ยวกับดาวหางที่ได้มีอิทธิพลอยู่เหนือแนวคิดของชาวตะวันตกมานานกว่าสองพันปีแล้ว อริสโตเติลไม่เห็นด้วยกับนักปรัชญายุคก่อนที่บอกว่าดาวหางคือดาวเคราะห์ หรือปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับดาวเคราะห์ เนื่องจากพื้นฐานแนวคิดที่ว่าดาวเคราะห์มีขอบข่ายการเคลื่อนที่อยู่บนจักรราศี ขณะที่ดาวหางปรากฏตัวขึ้น ณ จุดใดบนท้องฟ้าก็ได้ ตรงกันข้าม อริสโตเติลอธิบายว่า ดาวหางเป็นปรากฏการณ์ในบรรยากาศชั้นบน อันเป็นที่ซึ่งไออากาศร้อนและเย็นไปรวมตัวกันอยู่ และทำให้เกิดการลุกไหม้เป็นเปลวเพลิง เขาใช้แนวคิดนี้อธิบายสิ่งอื่นนอกจากดาวหาง เช่น ดาวตก แสงออโรรา หรือแม้แต่ทางช้างเผือกด้วย", "title": "ดาวหาง" }, { "docid": "47050#48", "text": "ย้อนหลังไปไกลกว่านั้น กระจุกดาวเคราะห์น้อยดาทูรา ดูจะก่อตัวขึ้นประมาณ 450,000 ปีก่อนจากการปะทะกับแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก ระยะเวลานี้ประเมินจากความน่าจะเป็นที่สมาชิกในกระจุกมีวงโคจรอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากยิ่งกว่าหลักฐานทางกายภาพอื่นๆ อย่างไรก็ดี กระจุกดาวเคราะห์น้อยนี้อาจเป็นแหล่งกำเนิดของฝุ่นแสงจักรราศีก็เป็นได้ แต่กระจุกดาวเคราะห์น้อยอื่นที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เช่น กระจุกดาวเคราะห์น้อยเอียนนินิ (Iannini) (ประมาณ 1-5 ล้านปีก่อน) ก็อาจเป็นแหล่งที่มาเพิ่มเติมของบรรดาฝุ่นดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้ก็ได้", "title": "แถบดาวเคราะห์น้อย" } ]
3127
วงโนเดาต์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด ?
[ { "docid": "212017#0", "text": "โนเดาต์ (English: No Doubt) เป็นวงสกาพังก์ (เธิร์ดเวฟ สกา) สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งวงในอนาฮีม รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1986 ผลงานอัลบั้มชุดแรกของพวกเขา No Doubt เป็นแนวสกา-ป็อป ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากกระแสความนิยมในดนตรีแนวกรันจ์ในเวลานั้น ต่อมาอัลบั้มชุด Tragic Kingdom ที่มียอดขายระดับแผ่นเสียงระดับเพชร ช่วงทำให้กระแสแนวสกากลับมาในยุคทศวรรษ 1990 ส่วนซิงเกิล \"Don't Speak\" ซิงเกิลที่ 3 จากอัลบั้มนี้ สร้างสถิติขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทออกอากาศในชาร์ทบิลบอร์ดฮ็อต 100 แอร์เพลย์ ยาวนาน 16 สัปดาห์ ทำลายสถิติก่อนหน้านี้ของวงกูกูดอลส์ เพลง \"Iris\"", "title": "โนเดาต์" } ]
[ { "docid": "965407#0", "text": "\"จัสต์อะเกิร์ล\" () เป็นเพลงของวงอเมริกัน โนเดาต์ จากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 \"Tragic Kingdom\" (1995) เพลงนี้แต่งโดยเกว็น สเตฟานี และทอม ดูมอนต์ โพรดิวซ์โดยแมตทิว ไวล์เดอร์ ออกจำหน่ายในฐานะซิงเกิ้ลนำในสหรัฐเมื่อ 21 กันยายน 1995 ในยุโรปบางประเทศ \"จัสต์อะเกิร์ล\" ออกขายในปี 1997 และยังปรากฎในอัลบั้มรวมฮิตปี 2003 ชุด \"The Singles 1992–2003\" เนื้อเพลง \"จัสต์อะเกิร์ล\" เป็นเพลงนิวเวฟ พูดในมุมมองชีวิตของสเตฟานี ในฐานะผู้หญิงกับการติดขัดในความเข้มงวดของผู้ปกครอง \"จัสต์อะเกิร์ล\" เป็นเพลงแรกที่สเตฟานีแต่ง โดยปราศจากการช่วยเหลือของพี่ชาย เอริก", "title": "จัสต์อะเกิร์ล" }, { "docid": "212017#2", "text": "โนเดาต์ ออกผลงานรวมเพลงชุด The Singles 1992–2003 และบ็อกซ์เซ็ตชุด Boom Box ในปี 2003 ทั้ง 2 ชุดบรรจุเพลงคัฟเวอร์ของวงทอล์กทอล์ก เพลงแนวซินธ์ป็อป ที่ชื่อ \"It's My Life\" ต่อมาหัวหน้าวง เกว็น สเตฟานี ออกผลงานอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองในปีถัดมา ร่วมด้วยศิลปินร่วมงานหลายคน รวมทั้งสมาชิกร่วมวงอย่าง โทนี คานอล และ เน็ปจูน ฟาร์เรลล์ ขณะที่มือกีตาร์ ทอม ดูมอนต์มีผลงานไซด์โปรเจกต์ Invincible Overlord ในการทำงานในชื่อ โนเดาต์ วงชนะ 2 รางวัลแกรมมี่ และมียอดขาย 27 ล้านชุดทั่วโลกในขณะนี้[1]", "title": "โนเดาต์" }, { "docid": "516594#0", "text": "โนลแกลลาเกอส์ไฮฟลายอิงเบิดส์ () เป็นวงดนตรีร็อกจากแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2010 โดยโนล แกลลาเกอร์ อดีตสมาชิกวงโอเอซิส", "title": "โนลแกลลาเกอส์ไฮฟลายอิงเบิดส์" }, { "docid": "976326#0", "text": "แอล.เอ.เอ็ม.บี. () เป็นไลน์แฟชั่นของนักร้องชาวอเมริกัน เกว็น สเตฟานี นักร้องนำวงโนเดาต์ เป็นไลน์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับแฟชั่น ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2003 และได้แสดงบนรันเวย์ครั้งแรกในปี 2004 ผลิตเครื่องแต่งกายเช่น รองเท้า นาฬิกา กระเป๋า และน้ำหอม ที่เรียกว่า \"แอล.\" (L.) เป็นตัวย่อจากอัลบัมเดี่ยวเปิดตัวของเธอ \"เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี.\"", "title": "แอล.เอ.เอ็ม.บี." }, { "docid": "965407#1", "text": "\"จัสต์อะเกิร์ล\" ได้รับเสียงวิจารณ์ด้านบวกจากนักวิจารณ์เพลง การมีเนื้อเพลงผู้หญิง ความติดหูของเพลง และเสียงร้อง เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในนักวิจารณ์ ซิงเกิ้ลนี้เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวที่ได้รับความนิยมของโนเดาต์ \"จัสต์อะเกิร์ล\" ยังเป็นซิงเกิ้ลแรกที่เข้าชาร์ตในสหรัฐ สูงสุดอันดับ 23 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ยังติดท็อป 10 ในอีกหลายประเทศ อย่าง ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สกอตแลนด์ และสหราชอาณาจักร", "title": "จัสต์อะเกิร์ล" }, { "docid": "957987#0", "text": "ทราจิกคิงดอม () เป็นสตูดิโออัลบัมชุดที่ 3 ของวงอเมริกันร็อก โนเดาต์ ออกวางขาย 10 ตุลาคม ค.ศ. 1995 โดยสังกัดเทรามาเรเคิดส์และอินเตอร์สโคปเรเคิดส์ เป็นอัลบัมชุดสุดท้ายที่มีสมาชิกดั้งเดิมตำแหน่งคีย์บอร์ด เอริก สเตฟานี ซึ่งออกจากวงเมื่อปี 1994 อัลบัมนี้ผลิตโดยแมตทิว ไวลเดอร์ และบันทึกเสียงจำนวน 11 สตูดิโอในเกรเตอร์ลอนแอนเจลิส ช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 1993 ถึง ตุลาคม 1995 โดยระหว่างปี 1998 ถึง 1998 วงออก 7 ซิงเกิลจากอัลบัมนี้ ได้แก่ \"Just a Girl\" ที่ติดชาร์ต \"บิลบอร์ด\" ฮอต 100 และ ยูเคซิงเกิลส์ชาร์ต และ \"Don't Speak\" ขึ้นอันดับ 1 บน \"บิลบอร์ด\" ฮอต 100 แอร์เพลย์ และขึ้นใน 5 อันดับแรกของชาร์ตหลายประเทศ ", "title": "ทราจิกคิงดอม" }, { "docid": "20659#17", "text": "สเตฟานีทำชุดเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่เธอสวมใส่บนเวทีกับวงโนเดาต์ เป็นผลทำให้เธอเริ่มรวบรวม สรรหาสิ่งดี ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สไตลิสต์ที่ชื่อ แอนเดรีย ลีเบอร์แมน เป็นคนแนะนำเธอให้รู้จักกับชุดแต่งกายแบบโอตคูเชอร์ นำไปสู่การที่เธอออกสินค้าแฟชั่นที่ใช้ชื่อว่า แอล.เอ.เอ็ม.บี. ในปี 2004[9] โดยได้รับอิทธิพลจากแฟชั่นที่หลากหลาย อาทิ สไตล์กัวเตมาลา ญี่ปุ่น และจาเมกา[93] สินค้าเธอยังได้รับความนิยมในหมู่คนดัง มีผู้สวมใส่อย่าง เทรี แฮตเชอร์, นิโคล คิดแมน และตัวเธอเอง[7][94] ในเดือนมิถุนายน 2005 เธอแยกแบรนด์สินค้าที่ราคาถูกกว่า ในชื่อ ฮาราจูกุเลิฟเวอส์ ที่เธออธิบายว่า \"เป็นสินค้าที่น่าเชิดชู\" มีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น กล้องถ่ายรูป สิ่งประดับโทรศัพท์มือถือ และชุดชั้นใน[95][96] ในปลายปี 2006 สเตฟานีออกสินค้าตุ๊กตารุ่นจำกัด เรียกว่า \"เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี.\" ตุ๊กตาได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นต่าง ๆ ที่สเตฟานีและฮาราจูกุเกิลส์สวมใส่ขณะออกทัวร์อัลบัม[97]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "261541#0", "text": "เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี. () เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มเปิดตัวของนักร้องเพลงป็อปและร็อก เกว็น สเตฟานี ออกวางขายเมื่อ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 กับค่ายอินเตอร์สโคป อัลบั้มนี้เดิมจะเป็นเพียงแค่โครงการย่อย ๆ ของสเตฟานีเท่านั้น จะได้กลายเป็นเป็นผลงานอัลบั้มเดี่ยวหลังจากเธอหยุดพักจากวงโนเดาต์ อัลบั้มนี้ได้มีการร่วมงานกับศิลปินและโปรดิวเซอร์ดังมากมาย \"เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี.\" เป็นอัลบั้มในรูปแบบของดนตรีในยุคคริสต์ทศวรรษ 1980 ในเวอร์ชันล่าสุด และได้รับอิทธิพลจากศิลปินอย่าง มาดอนน่า นิวออร์เดอร์ ซินดี ลอเปอร์ ดีเพชโมด เดอะเคียว ลิซาลิซาแอนด์เดอะคัลต์แจม เดบบี เดบ และคลับนูโว เพลงโดยมากจะมีธีมที่มุ่งเน้นถึงเรื่องแฟชั่นและความร่ำรวย อัลบั้มยังได้แนะนำสาวฮาราจุกุ ที่เป็นแดนซ์ 4 สาวที่แต่งตัวในลักษณ์แฟชันฮาราจุกุ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น", "title": "เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี." }, { "docid": "20659#2", "text": "สเตฟานีเกิดเมื่อ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ที่ฟูลเลอร์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย[8] เติบโตในครอบครัวโรมันคาทอลิกในแอนะไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย[9] ชื่อของเธอตั้งตามชื่อบริกรหญิงบนเครื่องบนจากบนประพันธ์ปี 1968 เรื่อง แอร์พอร์ต ส่วนชื่อกลาง เรเน (Renée) มาจากเพลงของวงเดอะโฟร์ทอปส์ ปี 1968 ที่คัฟเวอร์ของเลฟต์ แบงก์ในปี 1966 ที่ชื่อ \"วอล์กอะเวย์เรเน\"[10] พ่อเธอ เดนนิส สเตฟานี เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด (marketing executive) ที่ยามาฮ่า[11] ส่วนแม่ของเธอ แพตตี (สกุลเดิม ฟลินน์)[12] ทำงานเป็นนักบัญชี ก่อนที่จะออกมาเป็นแม่บ้าน[11][13] พ่อแม่ของเกว็นนั้นเป็นแฟนเพลงแนวโฟล์ก ยังให้เธอฟังเพลงของศิลปินอย่าง บ็อบ ดิลลันและเอมมีลู แฮร์ริส[9] เธอยังมีน้องอีก 2 คน คือ จิลล์และทอดด์ และมีพี่ชายชื่อเอริก[9][13] เอริกเคยเป็นมือคียบอร์ดให้วงโนเดาต์ ก่อนจะออกไปทำงานสร้างภาพเคลื่อนไหวเรื่อง เดอะซิมป์สันส์[8]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "107325#29", "text": "หลังจากเกือบ 10 ปีที่เพลงใต้ดิน, สกาพังก์ และเพลงที่มีส่วนผสมของสกาอังกฤษยุคแรก ๆ กับพังก์ ได้รับความนิยมในสหรัฐ วงแรนซิดเป็นวงแรกที่ได้แจ้งเกิดจาก \"การกลับมาคลื่นลูกที่ 3 ของสกา\" และในปี 1996 วงไมตีไมตีบอสสโตนส์, โนเดาต์, ซับไลม์, โกลด์ฟิงเกอร์, รีลบิกฟิช, เลสส์แดนเจก และเซฟเฟอร์ริส มีเพลงเข้าชาร์ตหรือได้รับกระแสตอบรับท่วมท้นทางวิทยุ[84][85]", "title": "ออลเทอร์นาทิฟร็อก" }, { "docid": "212017#3", "text": "No Doubt (1992) The Beacon Street Collection (1995) Tragic Kingdom (1995) Return of Saturn (2000) Rock Steady (2001)", "title": "โนเดาต์" }, { "docid": "20659#11", "text": "วันที่ 11 มิถุนายน 2012 วงประกาศบนเว็บไซต์ทางการของวงว่า อัลบัมใหม่จะออกวันที่ 25 กันยายน โดยมีซิงเกิลแรกออก 16 กรกฎาคม ใช้ชื่ออัลบัมว่า พุชแอนด์โชฟ ซิงเกิลแรกคือ \"เซตเทิลดาวน์\" กำกับมิวสิกวิดีโอโดยโซฟี มุลเลอร์ (ก่อนหน้านี้กำกับมิวสิกวิดีโอหลายตัวให้โนเดาต์) ในช่วงเวลานั้นเองโนเดาต์เป็นผู้ให้คำปรึกษารับเชิญในรายการ เอกซ์แฟกเตอร์ ฉบับสหราชอาณาจักร[56] \"เซตเทิลดาวน์\" ขึ้นอันดับสูงสุดอันดับ 34 บน บิลบอร์ด ฮอต 100 ขณะที่อัลบัมสูงสุดอันดับ 3 บนชาร์ต บิลบอร์ด 200 ต่อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2012 วงได้ดึงมิวสิกวิดีโอ \"ลุกกิงฮอต\" ออกจากอินเทอร์เน็ต เนื่องจากได้รับเสียงวิจารณ์ว่าใจดำกับชนพื้นเมืองอเมริกัน[57]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "969064#0", "text": "\"เฮย์เบบี\" () เป็นเพลงของวงสกาสัญชาตอเมริกัน โนเดาต์ จากสตูดิโออัลบัมชุดที่ 5 \"Rock Steady\" (2001) แต่งโดยเกว็น สเตฟานี, โทนี แคแนล และทอม ดูมอนต์ \"เฮย์เบบี\" เป็นซิงเกิลนำของอัลบัม ออกเมื่อ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2001 โดยสังกัดอินเตอร์สโคปเรเคิดส์ \"เฮย์เบบี\" ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวเพลงแดนซ์ฮอลล์จากจาเมกา ถูกใช้เป็นเพลงหลังการโชว์ในปาร์ตี้และเลานจ์ในรถทัวร์ของวงในทัวร์ \"Return of Saturn\" tour เนื้อเพลงพูดถึงเรื่องด้านโลกีย์ของเหล่ากรุปปีในงานปาร์ตี้", "title": "เฮย์เบบี" }, { "docid": "20659#29", "text": "ตลอดอาชีพในการทำงานผลงานเดี่ยว สเตฟานีได้รับรางวัลด้านดนตรีหลายรางวัล รวมถึง 1 รางวัลแกรมมี่, 4 รางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์, 1 รางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด, 1 รางวัลบริตอะวอดส์ และ 2 รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ด ส่วนกับวงโนเดาต์ เธอได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ และในปี 2005 นิตยสาร โรลลิงสโตน เรียกเธอว่า \"เป็นร็อกสตาร์หญิงเพียงคนเดียวอย่างแท้จริงที่เปิดบนวิทยุหรือเอ็มทีวี\" และยังให้เธอขึ้นปกนิตยสารอีกด้วย[152] สเตฟานีได้รับรางวัล สไตล์ไอคอนอะวอร์ด จากการแจกรางวัลพีเพิลแมกกาซีนอวอดส์ในปี 2014[153] นอกจากนี้ในปี 2016 เธอยังได้รับเกียรติจากเรดิโอดิสนีย์มิวสิกอวอดส์ ด้วยรางวัลฮีโรอะวอร์ด ที่มอบให้กับศิลปินที่อุทิศให้กับงานการกุศล[154]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "959546#0", "text": "เดอะสวีตเอสเคป () เป็นสตูดิโออัลบัมชุดที่ 2 ของนักร้องชาวอเมริกัน เกว็น สเตฟานี ออกจำหน่าย 1 ธันวาคม ค.ศ. 2006 กับสังกัดอินเตอร์สโคปเรเคิดส์ เดิมทีจะทำเป็นอัลบัมการกลับมาของวงโนเดาต์ หลังจากออกอัลบัมเดี่ยวชุดแรก \"Love. Angel. Music. Baby.\" (2004) สเตฟานีตัดสินใจบันทึกเสียงเป็นอัลบัมชุด 2 โดยใช้วัตถุดิบที่เหลือจากอัลบั้ม \"Love. Angel. Music. Baby.\" งานเพลงของอัลบัมนี้ดูคล้ายกับอัลบัมชุดก่อน แต่เพิ่มซาวด์ป็อปสมัยใหม่มากขึ้น ได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งบวกและลบจากนักวิจารณ์เพลงร่วมสมัย โดยวิจารณ์ว่าค่อนข้างคล้ายกับ \"Love. Angel. Music. Baby.\" อย่างมาก", "title": "เดอะสวีตเอสเคป" }, { "docid": "20659#21", "text": "ไม่นานหลังจากที่สเตฟานีเข้าร่วมวงโนเดาต์ เธอกับเพื่อนร่วมวง โทนี แคแนล เริ่มคบหากัน เธอเล่าว่า ค่อนข้างสละเวลาอย่างมากในความสัมพันธ์ครั้งนี้ สเตฟานีวิจารณ์ว่า \"ทุกสิ่งที่ฉันทำ คือเพื่อโทนี และภาวนากับพระเจ้าว่าขอให้มีลูกกับเขา\"[107] ระหว่างช่วงนี้ วงเกือบต้องแยกกันไปเพราะความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวของสเตฟานีกับแคแนล[108] โดยแคแนลเป็นผู้บอกเลิกเธอ[109] การเลิกราครั้งนี้เป็นแรงบันดาลใจในเนื้อเพลงให้แก่สเตฟานี หลายเพลงในอัลบัม ทราจิกคิงดอม อย่างเช่น \"โดนต์สปีก\", \"ซันเดย์มอร์นิง\" และ \"เฮย์ยู!\" เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของทั้งคู่[110] หลายปีต่อมา สเตฟานีร่วมแต่งเพลงดัง \"คูล\" ที่เล่าถึงความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อน ในอัลบัมเดี่ยวเปิดตัวชุด เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี.[111]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "979794#0", "text": "คริสต์ แอนโทนี โนโวเซลิช (; ; หรืออาจเขียนว่า Chris Novoselic) เกิด 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1965 เป็นนักดนตรี และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวอเมริกัน เป็นอดีตมือเบสและสมาชิกผู้ก่อตั้งวงกรันจ์ เนอร์วานา ร่วมกับมือกีตาร์และนักร้องนำ เคิร์ต โคเบน วงเนอร์วานาประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ได้รับรางวัลระดับแผ่นเสียงทองคำและทองคำขาวหลายครั้ง และยังออกทัวร์ไปทั่วโลกโดยทุกโชว์สามารถขายบัตรได้หมด เมื่อเนอร์วานาแยกกันไปภายหลังการเสียชีวิตของเคิร์ต โคเบนในปี 1994 โนโวเซลิชได้ก่อตั้งวงที่ชื่อ สวีตเซเวนตีไฟฟ์ (Sweet 75) หลังจากนั้นหลายปีกับวง อายส์อะดริฟต์ (Eyes Adrift) เมื่อปี 2002 ได้ออกอัลบัม 1 ชุดกับแต่ละวง ตั้งแต่ปี 2006 ถึง 2009 เขาเล่นอยู่ในวงพังก์ที่ชื่อ ฟลิปเปอร์ และในปี 2011 เขาได้เล่นเบสและแอกคอร์เดียนในเพลง \"I Should Have Known\" ให้กับวงฟูไฟเตอส์ ในอัลบัมชุด \"Wasting Light\" เขายังกีตาร์เบสและแอกคอร์เดียนกับวงล่าสุด ไจแอนส์อินเดอะทรีส์ (Giants in the Trees) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2016", "title": "คริสต์ โนโวเซลิช" }, { "docid": "965656#0", "text": "\"โดนต์สปีก\" (Don't Speak) เป็นเพลงของวงดนตรีแนวสกาสัญชาติอเมริกัน โนเดาต์ จากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 \"Tragic Kingdom\" (1995) เพลงออกเมื่อ 15 เมษายน ค.ศ. 1996 ในสหรัฐ ในฐานะซิงเกิ้ลที่ 3 ของอัลบั้ม นักร้องนำของวง เกว็น สเตฟานีกับพี่ชาย เอริก สเตฟานี อดีตสมาชิกวง ได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้ เดิมมีเจตนาแต่งเป็นเพลงรัก เพลงผ่านการเขียนใหม่ และเกว็นได้ดัดแปลงให้เป็นเพลงอกหัก ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสมาชิกร่วมวงและอดีตแฟนหนุ่ม โทนี แคเนล หลังจากจบความสัมพันธ์ยาวนาน 7 ปี", "title": "โดนต์สปีก" }, { "docid": "20659#7", "text": "ในปี 2004 สเตฟานีเริ่มมีความสนใจในการแสดงภาพยนตร์และเริ่มออดิชันหนังหลายเรื่อง อย่างเช่น มิสเตอร์แอนด์มิสซิสสมิธ นายและนางคู่พิฆาต[39] เธอมีผลงานเรื่องแรก รับบทเป็นจีน ฮาร์โลว์ในภาพยนตร์กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง บินรัก บันลือโลก ในปี 2004 สกอร์เซซีมีบุตรสาวที่เป็นแฟนเพลงโนเดาต์ เขาได้แสดงความสนใจที่จะรับเลือกเธอแสดงหลังจากเห็นภาพยถ่ายของเธอที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมาริลิน มอนโรจากนิตยสาร ทีนโว้ก ในปี 2003[40][41] เพื่อเตรียมการจะรับบทนี้ สเตฟานีอ่านหนังสือชีวประวัติของเธอ 2 เรื่องและดูหนังที่ฮาร์โลว์แสดง 18 เรื่อง[9] การถ่ายทำในส่วนของเธอใช้เวลา 4 ถึง 5 วัน สเตฟานีมีบทพูดเพียงเล็กน้อย[42] สเตฟานียังพากย์เสียงให้กับตัวละครในวิดีโอเกมปี 2004 มาลิซ อย่างไรก็ดีก่อนที่จะเสร็จสิ้น บริษัทเลือกที่จะไม่ใช้เสียงของสมาชิกวงโนเดาต์นี้[43]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "212017#1", "text": "วงออกผลงานอัลบั้มถัดมาคือชุด Return of Saturn ในอีก 4 ปีถัดมา แต่เนื่องจากได้รับคำวิจารณ์ไม่ดี ทำให้อัลบั้มชุดนี้ถูกตัดสินว่าล้มเหลวได้ยอดขาย อีก 15 เดือนต่อมา พวกเขาออกผลงานชุด Rock Steady ที่นำเพลงแนวเร้กเก้ และแด๊นส์ฮอลล์เข้ามาในงานพวกเขาด้วย ซึ่งเพลงส่วนใหญ่บันทึกเสียงในจาเมก้าและร่วมกับศิลปินจาเมก้าอย่างเช่น เบาตี้ คิลเลอร์, สลาย แอนด์ ร็อบบี้ และ เลดี้ ซอว์ อัลบั้มชุดนี้ได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่กับซิงเกิล \"Hey Baby\" และ \"Underneath It All\".", "title": "โนเดาต์" }, { "docid": "139499#0", "text": "พรรคเอกราชมลายา () ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2494 เป็นองค์กรไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อกระตุ้นให้อังกฤษให้เอกราชแก่มลายา ผู้ก่อตั้งคือ ดาโต๊ะ โอนท์ บิน จาอาฟาร์ ซึ่งเป็นประธานอัมโนคนแรกด้วย จาอาฟาร์สนับสนุนให้มีการยอมรับคนกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชาวมลายูด้วย แต่สมาชิกอัมโนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จาอาฟาร์จึงแยกออกมาตั้งพรรคเอกราชมลายาเมื่อ พ.ศ. 2494 แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนไม่ว่าจากชนเชื้อชาติใด ๆ พรรคเริ่มเสื่อมสลายหลังจากจาอาฟาร์เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2505 และถูกยกเลิกเมื่อ พ.ศ. 2510", "title": "พรรคเอกราชมลายา" }, { "docid": "971168#1", "text": "ซิงเกิ้ลออกขายอีกครั้งในสหราชอาณาจักรในปี 1985 คราวนี้ไปได้เพียงอันดับ 93 อย่างไรก็ดี เพลง \"อิตส์มายไลฟ์\" ออกขายอีกครั้งเพื่อประชาสัมพันธ์ในอัลบั้มรวมเพลง \"Natural History: The Very Best of Talk Talk\" ครั้งนี้ไปได้อันดับ 13 ในสหราชอาณาจักร ถือเป็นเพลงที่ทำสถิติดีที่สุดของวงในประเทศบ้านเกิดวงแนวสกาจากอเมริกา โนเดาต์ บันทึกเสียงเพลงนี้เพื่อประชาสัมพันธ์อัลบั้มรวมฮิตครั้งแรกของวงในชุด \"The Singles 1992–2003\" (2003) ด้วยที่วงห่างหายไประยะหนึ่ง ขณะที่เกว็น สเตฟานี ได้ออกผลงานอัลบั้มเดี่ยวของเธอเอง วงตัดสินใจนำเพลงมาคัฟเวอร์แทนที่จะแต่งเพลงใหม่ หลังจากวงฟังเพลงร่วมร้อยเพลงจากยุคคริสต์ทศวรรษ 1980 ได้จำกัดวงไปจนเหลือ 2 เพลงคือ \"It's My Life\" กับ \"Don't Change\" ของวงร็อกจากออสเตรเลียที่ชื่อ อินเอกซ์เซส", "title": "อิตส์มายไลฟ์ (เพลงทอล์กทอล์ก)" }, { "docid": "20659#3", "text": "พี่ชายของเธอ เอริก ได้แนะนำให้เกว็นรู้จักกับดนตรีแนวทูโทน อย่างวงแมดเนสส์และเดอะซีเลกเตอร์ และในปี 1986 เขาได้ชวนเธอให้มาร้องกับวงโนเดาต์ วงแนวสกาที่เขาก่อตั้งขึ้น[8] จนท้ายสุดในปี 1991 วงได้เซ็นสัญญากับอินเตอร์สโคปเรเคิดส์ ออกอัลบั้มชื่อเดียวกับวง เมื่อปี 1992 แต่ดนตรีแบบสกาป็อปเช่นนี้ ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากแนวเพลงกรันจ์กำลังเป็นที่นิยม[14] ก่อนที่แนวเพลงนี้จะประสบความสำเร็จในกระแสหลักเพราะวงโนเดาต์และซับไลม์ สเตฟานีเป็นนักร้องรับเชิญให้กับเพลง \"ซอว์เรด\" (Saw Red) ในอัลบัมของซับไลม์ในปี 1994 ที่ชื่อชุด รอบบินเดอะฮูด สเตฟานีปฏิเสธความก้าวร้าวของศิลปินหญิงแนวกรันจ์ และเอ่ยถึงนักร้องวงบลอนดี ที่ชื่อ เดบบี แฮร์รี ว่าเธอเป็นการผสมผสานระหว่างพลังกับแรงดึงดูดทางเพศ ว่าเป็นอิทธิสำคัญต่อเธอ[15] อัลบัมชุด 3 ของโนเดาต์ ชุด ทราจิกคิงดอม (1995) ที่ออกหลังจากอัลบัมที่วงออกเอง เดอะบีคอนสตรีตคอลเลกชัน (1995) ใช้เวลาทำงานมากกว่า 3 ปี โดย 5 ซิงเกิลจาก ทราจิกคิงดอม อย่าง \"โดนต์สปีก\" ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตปลายปีของฮอต 100 แอร์เพลย์ ประจำปี 1997[16] สเตฟานีออกจากวิทยาลัย 1 เทอมเพื่อออกทัวร์ ทราจิกคิงดอม แต่ก็ไม่กลับมาเรียนต่อหลังจากที่ทัวร์กินระยะเวลา 2 ปีครึ่ง[9] อัลบัมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่และขายได้มากกว่า 16 ล้านชุดทั่วโลก จากข้อมูลปี 2004[9][17][18] ในปลายปี 2000 นิตยสาร โรลลิงสโตน ตั้งฉายาเธอว่า \"ราชินีเพลงป็อปสารภาพผิด\" (The Queen of Confessional Pop)[19]", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "973425#0", "text": "\"เดอะสวีตเอสเคป\" () เป็นเพลงของนักร้อง นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เกว็น สเตฟานี จากสตูดิโออัลบัมชุด 2 ในชื่อเดียวกัน (2006) เพลงเขียนโดยสเตฟานี, เอค่อน และจอร์จิโอ ทุยน์ฟอร์ต เอค่อนที่เป็นนักร้องเช่นกัน ได้พัฒนาบีตของเพลงก่อนที่จะร่วมงานกับสเตฟานี เขาออกแบบเพลงโดยยึดจากผลงานเก่าของวงโนเดาต์ เพลง\"เดอะสวีตเอสเคป\" มีเนื้อหาขอโทษในการทะเลาะของคนรักสองคน และอธิบายถึงความฝันกับชีวิตที่น่าพอใจของพวกเขา ยังเป็นเพลงไตเติลแทร็ก ชื่อเพลงยังช่วยด้านการตลาดทั้งเพลงและสินค้าแฟชั่นของสเตฟานีอีกด้วย", "title": "เดอะสวีตเอสเคป (เพลง)" }, { "docid": "76701#6", "text": "เอสเคอีโฟร์ตีเอต (SKE48) เป็นวงน้องสาววงแรกของเอเคบีโฟร์ตีเอต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 และมีโรงละครประจำวงที่นาโงยะ ส่วนเอสดีเอ็นโฟร์ตีเอต (SDN48), เอ็นเอ็มบีโฟร์ตีเอต (NMB48) ที่นัมบะ, และเอชเคทีโฟร์ตีเอต (HKT48) ที่ฮากาตะ ได้ก่อตั้งขึ้นภายในเวลาต่อมา หลังจากนั้น เอ็นจีทีโฟร์ตีเอต (NGT48) ก็ได้ก่อตั้งขึ้นเช่นกันในปี 2015 ที่นีงาตะ ส่วนเอสทียูโฟร์ตีเอต (STU48) วงน้องสาวล่าสุด ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2016 ในงานแข่งขันจังเก็น (เป่ายิงฉุบ) ประจำปี ซึ่งวงนี้มีสถานที่ตั้งโรงละครไม่เหมือนกับวงอื่น โดยจะตั้งอยู่บนเรือแทนที่จะอยู่ในเมือง นอกจากนี้เอเคบีโฟร์ตีเอตยังได้สร้าง \"วงคู่แข่งอย่างเป็นทางการ\" ในชื่อโนกิซากะโฟร์ตีซิกซ์ (Nogizaka46) และวงน้องสาวของวงดังกล่าวในชื่อเคยากิซากะโฟร์ตีซิกซ์ (Keyakizaka46) เช่นกัน", "title": "เอเคบีโฟร์ตีเอต" }, { "docid": "79797#25", "text": "ลิงคินพาร์กมีการแสดงที่ เดอะวิลเทิร์น ในลอสแอนเจลิส เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงการฉลองครบรอบ 50 ปีของ กีตาร์เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายของร้านค้าขายปลีกเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม และมีการแสดงที่งานร็อกอินริโอยูเอสเอเฟสติวัลในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ด้วยกันกับเมทัลลิกา, โนเดาต์, เทย์เลอร์ สวิฟต์, จอห์น เลเจนด์, และเดฟโทนส์", "title": "ลิงคินพาร์ก" }, { "docid": "462197#0", "text": "เดาต์ () เป็นอัลบั้มที่สองของวงจีซัสโจนส์ ในปี 1991 ผ่านทางค่ายฟูดเรเคิดส์ที่ได้จัดจำหน่ายโดย เอสบีเคเรเคิดส์และผ่านทางค่ายพาร์โลโฟน อัลบั้มได้ขึ้นอันดับที่ 25 ในสหรัฐ และขึ้นในท็อปซาร์ตในสหราชอาณาจักร", "title": "เดาต์" }, { "docid": "276878#2", "text": "เทวัญ ทรัพย์แสนยากร ยังได้ก่อตั้งวงแจ๊สร่วมสมัย ในชื่อว่า \"วงกังสดาล\" (ปี 2534) ซึ่งใช้เครื่องดนตรีไทยปี่ ขลุ่ย ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน เครื่องเปอร์คัทชัน บรรเลงร่วมกับโซปราโน อัลโตแซ็กโซโฟนโดยเป็นผู้สร้างสรรค์บทเพลงใหม่ และนำเพลงไทยของเดิมมาเรียบเรียงนำเสนอมุมมองใหม่ ในรูปแบบแจ๊ส อาทิ แหยม แว่วกังสดาล ชมสวน ครวญหา หนุ่งหนิง ลาวเจริญศรี ซึ่งแต่ละเพลงมีท่วงทีลีลาแตกต่างกันไปไม่ซ้ำกัน ทั้งรูปแบบเพลง สไตล์ ทั้งการใช้เทคนิคการเดี่ยวใหม่ ๆ การด้นImprovize และการประสานเสียงซึ่งไม่ต้องแก้ไขระบบเสียงของเครื่องดนตรีไทยแต่อย่างใด นับเป็นความอัจฉริยะและได้รับการชื่นชมตอบรับจากหลายหน่วยงาน เนื่องจากแนวเพลงโดดเด่นแปลกใหม่ในขณะนั้นสามารถรวบรวมนักดนตรีไทยที่มากฝีมือให้มารวมกันบรรเลง คิดค้นวิธีการบรรเลงเครื่องมือตนเองอย่างอิสระ อาทิ จำเนียร ศรีไทยพันธุ์ ( ขลุ่ย, ปี่)ณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า (ระนาดทุ้ม) ชัยยุทธ์ โตสง่า (ระนาดเอก) วรยศ ศุขสายชล (ซอด้วง-ซออู้), สุธารณ์ บัวทั่ง (จะเข้) เล็ก ปานพุ่ม(กลอง-เปอรคัทชัน) ฯลฯ โดยมีเจ้าภาพสนใจร่วมแคมเปญนำแสดงหลายมุมทั่วโลก อาทิ อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ ฯลฯ ซึ่งภายหลังนักดนตรีแยกตัวออกไปตามภาระหน้าที่ของตน ต่างไปก่อตั้งวงดนตรีร่วมสมัยในภายหลังอีกด้วย เช่น บอยไทย เป็นต้น", "title": "เทวัญ ทรัพย์แสนยากร" }, { "docid": "212017#4", "text": "หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีออลเทอร์นาทิฟร็อกสัญชาติอเมริกัน หมวดหมู่:กลุ่มดนตรีที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2529 หมวดหมู่:วงดนตรี 4 ชิ้น", "title": "โนเดาต์" } ]
3354
คาร์ล เอมิล มักซิมิเลียน เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "4140#0", "text": "คาร์ล เอมิล มักซิมิเลียน \"มักซ์\" เวเบอร์ () (21 เมษายน ค.ศ. 1864 – 14 มิถุนายน ค.ศ. 1920) เป็นนักเศรษฐศาสตร์การเมืองและนักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ถือกันว่าเวเบอร์เป็นผู้ก่อตั้งวิชาสังคมวิทยาสมัยใหม่และรัฐประศาสนศาสตร์ งานชิ้นหลัก ๆ ของเขาเกี่ยวข้องกับสังคมวิทยาศาสนาและสังคมวิทยาการปกครอง นอกจากนี้เขายังมีงานเขียนอีกหลายชิ้นในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ งานที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดของเวเบอร์คือ ความเรียงเรื่อง \"จริยธรรมโปรเตสแตนต์และจิตวิญญาณแห่งทุนนิยม\" ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกของเขาในสาขาสังคมวิทยาศาสนา ในงานชิ้นดังกล่าว เวเบอร์เสนอว่าศาสนาเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก ๆ ที่นำไปสู่เส้นทางการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่ต่างกันระหว่างโลกประจิม (the Occident) กับโลกบูรพา (the Orient) ในงานที่มีชื่อเสียงอีกชิ้นหนึ่งของเขาที่ชื่อ\"การเมืองในฐานะวิชาชีพ\" (\"Politik als Beruf\") เวเบอร์นิยามรัฐว่ารัฐคือหน่วยองค์ (entity) ซึ่งผูกขาดการใช้กำลังทางกายภาพที่ถูกกฎหมาย ซึ่งนิยามนี้ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ในเวลาต่อมา", "title": "มักซ์ เวเบอร์" } ]
[ { "docid": "838434#1", "text": "มักซีมีเลียน อ็อสคาร์ เบียร์เชอร์-เบ็นเนอร์ เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2410 ในเมืองอาเรา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีบิดาชื่อ ไฮน์ริช เบียร์เชอร์ (Heinrich Bircher) และมารดาชื่อ แบร์ทา ครือซี (Berta Krüsi) เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยซูริก เพื่อศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์ จากนั้นเขาได้ก่อตั้งคลินิกโรคทั่วไปของตนเอง ในปีแรกที่เขาเปิดคลินิก เบียร์เชอร์-เบ็นเนอร์มีอาการของโรคดีซ่าน และเขาอ้างว่าเขาหายได้เพราะรับประทานแอปเปิลสด จากข้อสังเกตนี้ เขาได้ทำการทดลองเกี่ยวกับผลกระทบที่อาหารสดมีต่อร่างกาย และได้ส่งเสริมการบริโภคมูสลี ที่ประกอบไปด้วยข้าวโอ๊ตดิบ ผลไม้ และถั่ว เบียร์เชอร์-เบ็นเนอร์ขยายงานวิจัยด้านโภชนาการของเขา และได้เปิดสถานพยาบาลชื่อ \"พลังชีวิต\" (Vital Force) ใน พ.ศ. 2440 เขาเชื่อว่าผลไม้และผักสดมีคุณค่าทางอาหารสูงสุด อาหารที่ผ่านการปรุงหรือกระบวนการอื่นๆ มีคุ่นค่าทางอาหารน้อยรองลงมา ส่วนเนื้อมีคุ่นค่าทางอาหารน้อยที่สุด เบียร์เชอร์-เบ็นเนอร์เลิกกินเนื้อในที่สุด แม้นักวิทยาศาสตร์คนอื่นในขณะนั้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาเรียกว่า \"วิทยาศาสตร์การอาหารรูปแบบใหม่\" สักเท่าไหร่ ทว่าคนทั่วไปกลับติดใจในความคิดของเขาและได้ชี้นำทางทำให้เขาสามารถขยายสถานพยาบาลของเขา รูปแบบการรับประทานตามแบบโภชนาการของเขาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2482 ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยวัย 71 ปี เบียร์เชอร์-เบ็นเนอร์เขียนหนังสือที่ชื่อว่า \"วิทยาศาสตร์การอาหารสำหรับทุกคน\" (\"Food Science for All\")", "title": "มักซีมีเลียน เบียร์เชอร์-เบ็นเนอร์" }, { "docid": "769104#0", "text": "เอลเมอร์ เวอร์เนอร์ แมคคอลลัม (; 3 มีนาคม ค.ศ. 1879 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1967) เป็นนักชีวเคมีชาวอเมริกัน เกิดที่เมืองฟอร์ตสก็อตต์ เป็นบุตรของคอร์นีเลียส อาร์มสตรอง แมคคอลลัมและมาร์ธา แคเทอรีน คิดเวลล์ แมคคอลลัม เรียนจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแคนซัส และเรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเยล ก่อนจะทำงานที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน แมคคอลลัมทำการทดลองเกี่ยวกับสารอาหารจนในปี ค.ศ. 1913 แมคคอลลัมค้นพบสารอาหารชนิดหนึ่งที่ละลายได้ในไขมัน เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีการค้นพบโครงสร้างของสารชนิดนี้ แมคคอลลัมและเพื่อนร่วมงาน มาร์เกอริต เดวิสจึงใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษในการเรียกชื่อแทน แมคคอลลัมเรียกวิตามินเอว่า \"fat-soluble A\" และเรียกวิตามินบีว่า \"water-soluble B\" ต่อมาในปี ค.ศ. 1917 แมคคอลลัมดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเคมีสุขศาสตร์คนแรกของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮ็อปกินส์ ขณะทำงานอยู่ที่นี่ แมคคอลลัมตีพิมพ์บทความทางวิชาการกว่า 150 บทความ เป็นบทความเกี่ยวกับการวิจัยด้านวิตามินและโลหะปริมาณน้อยในอาหาร แมคคอลลัมได้ร่วมงานกับสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ เพื่อลดปัญหาการขาดสารอาหารของทหารช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แมคคอลลัมเกษียณตัวเองในปี ค.ศ. 1946 และเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1967", "title": "เอลเมอร์ แมคคอลลัม" }, { "docid": "49344#1", "text": "บาทหลวงเอมิล โอกุสต์ โกลงเบต์ หรือ เอมิล ออกัสต์ กอลมเบต์ ตามการออกเสียงที่คนไทยนิยมเรียก เกิดวันที่ 26 พฤษภาคม 1849 ที่เมืองกัป จังหวัดโอตซาลป์ ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 23 ธันวาคม 1871 ได้รับศีลบวชเป็นบาทหลวงคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (MEP) จากนั้น ได้ออกเดินทางมามิสซังสยาม เมื่อ 31 มกราคม 1871 เดินทางถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 5 เมษายน 1872 เป็นอาจารย์ที่เซมินารีบางนกแขวก (เป็นเวลา 2 ปี ) ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤศจิกายน 1875 เป็นผู้ช่วยอธิการโบสถ์กาลหว่าร์ และทำหน้าที่ต่าง ๆ ดังนี้", "title": "เอมิล ออกัสต์ กอลมเบต์" }, { "docid": "185633#1", "text": "โรซาลีนน์เกิดที่เพลนส์ รัฐจอร์เจีย เป็นลูกคนโตของแฟรนซ์ อเลทเทีย มัวร์เรย์ (1905-1997) เป็นนักออกแบบชุดและวิลเบิร์น เอ็กการ์ สมิธ (1896-1940) เป็นช่างซ่อมรถและชาวนา เธอมีน้อง 3 คน คือ วิลเลียม เจอโรลด์ \"เจอร์รี\" สมิธ (อาชีพ วิศวกร ; 1929-2003) และมัวร์เรย์ ลี สมิธ (อาชีพ ครู ,รัฐมนตรี ; 1932-2003) และมีน้องสาว 1 คน คือ ลิเลียน อเลทเทีย สมิธ วอลล์ (เกิดเมื่อค.ศ. 1936)", "title": "โรซาลีนน์ คาร์เตอร์" }, { "docid": "51285#0", "text": "อะเลคเซย์ มักซิโอวิช เปชคอฟ () หรือรู้จักกันในนาม มักซิม กอร์กี () เป็นนักประพันธ์ชาวรัสเซีย เกิดเมื่อ พ.ศ. 2411 ที่เมืองนิจนีนอฟโกรอด, จักรวรรดิรัสเซีย บิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก เขาต้องออกมาใช้ชีวิตโดยลำพัง และประกอบอาชีพต่างๆ โดยมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ครั้งหนึ่งเขาพยายามฆ่าตัวตายใช้ปืน เขารอดชีวิตมาได้แต่ลูกกระสุนทะลุปอดตัวเอง ทำให้เขามีปัญหาสุขภาพตลอดมา", "title": "มักซิม กอร์กี" }, { "docid": "243830#0", "text": "ฮาคีม เซริคี () เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ แชมมิลเลียนแนร์ ( เป็นคำประสมระหว่าง \"chameleon\" และ \"millionaire) เป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน นักร้อง นักดนตรีจากฮิวสตัน รัฐเทกซัส และยังเป็นซีอีโอของ Chamillitary Entertainment เขาเคยพูดว่าเขาจะพิสูจน์ว่าคนทางใต้สามารถทำผลิตนักเขียนเพลงที่มีคุณภาพได้ เขายังเป็นคนเขียนท่องฮุคและมักร้องและร้องประสานกับเพลงเขาเอง แชมมิลเลียนแนร์เป็นผู้ก่อตั้งและสมาชิกดั้งเดิมของวง เดอะคัลเลอร์เชนจินคลิก () ในปี 2007 เขาได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาแสดงเพลงแร็ปยอดเยี่ยมประเภทคู่หรือกลุ่ม กับซิงเกิล \"Ridin'\" ซึ่งสามารถขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดฮ็อต 100 ในสหรัฐอเมริกันได้ 2 สัปดาห์ในปี 2006 เขายังเคยเป็นศิลปินในค่าย Swishahouse", "title": "แชมมิลเลียนแนร์" }, { "docid": "344629#1", "text": "คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นบุตรสาวของ ดร.ฮันส์ โยอาคิม ฟลีดาริช โวลเทมัส โดยบิดาเป็นลูกครึ่งเยอรมัน-สเปน และเกิดที่ประเทศเยอรมนี ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาตรีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจาก Harvard University ทำงานเป็นทนายความ ส่วนมารดาชื่อ ลินดา โวลเทมัส โดยบิดาและมารดาของเธอพบรักและแต่งงานกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา คิมเบอร์ลี่เป็นบุตรคนที่สี่ของครอบครัว โดยมีพี่ชาย 2 คน ชื่อทอมและแดน พี่สาว 1 คน ชื่อเจน พี่ชายทั้งสองเกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนคิมเบอร์ลี่และพี่สาวเกิดที่ประเทศเยอรมนี ในวัยเด็กเธอจึงเติบโตอยู่ที่ประเทศเยอรมนี จนอายุได้ 7–8 ขวบ จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย พร้อมกับครอบครัวในปี 2542", "title": "คิมเบอร์ลี แอน เทียมศิริ" }, { "docid": "347458#1", "text": "แจซมิน เกรซ กรีมัลดี เกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2535 ณ โรงพยาบาลเดเซิร์ต เมืองปาล์มสปริงส์ เทศมณฑลริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นพระธิดานอกสมรสของเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก กับนางตามารา จีน โรโตโล มารดาของเธอเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลีที่เกิดในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เธอได้อาศัยร่วมกับมารดาอย่างปกติสุขมาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้มารดาของเธอได้สมรสกับนายเดวิด ชูมักเกอร์ และหย่ากันในปี ค.ศ. 1992 แต่ทั้งคู่ก็มีไม่บุตรด้วยกัน และในปีเดียวกันที่มารดาของเธอหย่า ก็ได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเจ้าชายอัลแบร์แห่งโมนาโก จนนางตามาราตั้งครรภ์ ทั้งนี้นางตามารา ผู้เป็นมารดาเคยเป็นบริกรหญิงที่เฟรนช์ริเวียรา ในปี ค.ศ. 1991", "title": "แจซมิน เกรซ กรีมัลดี" }, { "docid": "840234#1", "text": "คาร์สัน แมคคัลเลอส์เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1917 ที่เมืองโคลัมบัส รัฐจอร์เจีย มีชื่อเกิดว่า ลูลา คาร์สัน สมิธ (Lula Carson Smith) เป็นบุตรของเวรา มาร์เกอริต วอเทอส์และลามาร์ สมิธ ช่างทำนาฬิกาและอัญมณี เมื่ออายุได้ 10 ปี แมคคัลเลอส์เรียนเปียโน ต่อมาเมื่ออายุได้ 15 ปี เธอได้รับเครื่องพิมพ์ดีดจากบิดาที่สนับสนุนให้เธอเขียนเรื่องราวต่าง ๆ หลังเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมโคลัมบัส แมคคัลเลอส์มีแผนจะเรียนต่อด้านดนตรีที่โรงเรียนจูเลียร์ดที่นครนิวยอร์ก แต่เนื่องจากป่วยเป็นไข้รูมาติกจึงต้องพักรักษาตัว หลังหายป่วยเธอเริ่มสนใจจะเป็นนักเขียนและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในปี ค.ศ. 1936 แมคคัลเลอส์ตีพิมพ์เรื่องสั้นแรก \"Wunderkind\" ที่ต่อมารวมอยู่ในรวมเรื่องสั้นชื่อ \"บทเพลงคาเฟ่อันแสนเศร้า\" (\"The Ballad of the Sad Café\")", "title": "คาร์สัน แมคคัลเลอส์" } ]
3069
ประเทศสโลวีเนีย มีธงชาติสีอะไร?
[ { "docid": "726254#0", "text": "ธงชาติสโลวีเนีย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1991[1] เป็นธงแถบสีขาว สีน้ำเงินและสีแดง ซึ่งเป็นสีกลุ่มชนสลาฟ[2] เรียงจากบนลงล่าง ด้านใกล้คันธงมุมบนประดับด้วยตราแผ่นดินของสโลวีเนีย", "title": "ธงชาติสโลวีเนีย" } ]
[ { "docid": "67674#8", "text": "ประเทศต่าง ๆ ส่วนมากใช้ธงชาติเป็นธงเดินเรือในขณะเดียวกัน เรียกว่า ธงเรือประจำชาติ ดังรูป () แต่ธงเดินเรือในบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับธงชาติ แต่อาจมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อย เช่น กำหนดสัดส่วนธงให้ต่างออกไป เป็นต้น มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่กำหนดให้มีธงเดินเรือแยกจากธงชาติออกมาโดยเฉพาะ เช่น สหราชอาณาจักร ซึ่งมีการใช้ธงเดินเรือถึง 3 ชนิด สำหรับจำแนกประเภทเรือ ได้แก่ ธงเดินเรือสีแดง สำหรับเรือพาณิชย์ของประชาชนทั่วไป ธงเดินเรือสีขาว สำหรับใช้เป็นธงราชนาวี และ ธงเดินเรือสีน้ำเงิน สำหรับเรือราชการของรัฐบาลที่ไม่ได้สังกัดราชนาวีอังกฤษ", "title": "ธงชาติ" }, { "docid": "110168#17", "text": "ธงชาติฟิลิปปินส์ได้ถูกห้ามใช้อีกครั้งเมื่อญี่ปุ่นกรีฑาทัพเข้ารุกรานและยึดครองหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในต้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 และถูกชักขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการสถาปนาสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 2 ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้ให้การสนับสนุน ในพิธีการซึ่งถูกจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1943 อดีตประธานาธิบดีเอมีลีโอ อากีนัลโด ได้ชักธงชาติซึ่งใช้สีเลียนแบบธงชาติคิวบาขึ้นอีกครั้ง ธงดังกล่าวยังคงถูกชักโดยให้แถบสีฟ้าอยู่ด้านบนตามปกติจนกระทั่งประธานาธิบดีโฮเซ ลอเรล ประกาศสถานะรัฐในภาวะสงครามต่อประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในปี ค.ศ. 1944 ส่วนรัฐบาลเครือรัฐฟิลิปปินส์พลัดถิ่นซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐอเมริกา ยังคงใช้ธงชาติฟิลิปปินส์ตามสีแบบธงชาติสหรัฐอเมริกาเช่นเดิม และใช้ในลักษณะที่กลับเอาสีแดงขึ้นด้านบนนับตั้งแต่การถูกญี่ปุ่นรุกรานมาโดยตลอด ด้วยการต่อสู้ของกองกำลังผสมฟิลิปปินส์-สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1944 และการปลดปล่อยฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1945 ธงชาติฟิลิปปินส์ตามแบบสีธงของอเมริกาได้ถูกนำกลับมาใช้บนแผ่นดินฟิลิปปินส์อีกครั้ง และธงดังกล่าวนี้เองคือแบบธงที่ได้ถูกชักขึ้นในพิธีส่งมอบเอกราชจากสหรัฐอเมริกาสู่ประเทศฟิลิปปินส์ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1946", "title": "ธงชาติฟิลิปปินส์" }, { "docid": "137699#0", "text": "ธงชาติอิรัก (อาหรับ: علم العراق) มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายครั้ง จากความผันผวนทางการเมืองในประเทศ นับตั้งแต่การก่อตั้งประเทศใน พ.ศ. 2464 เป็นต้นมา ธงชาติแบบที่เปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดนี้ ได้ดัดแปลงจากธงชาติอิรัก พ.ศ. 2457-2551 ลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นสีแดง-ขาว-ดำ แบ่งตามแนวนอน มีความกว้างแต่ละแถบเท่ากัน กลางแถบสีขาวมีอักษรคูฟิก เขียนเป็นข้อความภาษาอาหรับว่า \"อัลลอหุ อักบัร\" แปลว่า พระอัลเลาะห์เจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเอารูปดาวห้าแฉกสีเขียว 3 ดวงออกจากธงเดิมไป ธงดังกล่าวนี้จะใช้เป็นธงชาติอิรักเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการรับรองแบบธงชาติใหม่ใน พ.ศ. 2552", "title": "ธงชาติอิรัก" }, { "docid": "164787#1", "text": "หลังการประกาศเอกราช ประเทศโกตดิวัวร์ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก ซึ่งกลุ่มประเทศดังกล่าวล้วนใช้ธงที่ได้รับอิทธิพลจากธงชาติฝรั่งเศสและสีพันธมิตรแอฟริกา สีที่โกตดิวัวร์ใช้ในธงชาตินั้น ประเทศไนเจอร์ก็ได้นำไปใช้ในธงชาติของตนด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงถึงความเป็นพันธมิตรต่อกันของทั้งสองชาติ ความหมายของสีธงที่ทั้งสองใช้มีดังนี้", "title": "ธงชาติโกตดิวัวร์" }, { "docid": "110168#15", "text": "จากการที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์จบลงด้วยความพ่ายแฟ้ต่อสหรัฐอเมริกา ประเทศฟิลิปปินส์จึงถูกปกครองด้วยระบบอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา และการแสดงธงชาติฟิลิปปินส์ได้ถูกประกาศให้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตามรัฐบัญญัติว่าด้วยการต่อต้านรัฐบาล ค.ศ. 1907 (Sedition Act of 1907) กฎหมายดังกล่าวนี้ต่อมาได้ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1919 เมื่อมีการอนุญาตให้ใช้ธงชาติฟิลิปปินส์ในเวลานั้น ผ้าสีแดงและสีน้ำเงินที่ขายตามห้างร้านขายผ้าต่างๆ ส่วนมากเป็นสีตามแบบของธงชาติสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นธงชาติฟิลิปปินส์นับตั้งแต่ ค.ศ. 1919 เป็นต้นมาจึงใช้สีแดงและน้ำเงินตามแบบธงชาติสหรัฐอเมริกา (สีน้ำเงินในธงดังกล่าวเป็นสีชนิดที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า \"สีเนวีบลู\") สภานิติบัญญัติฟิลิปปินส์ได้ผ่านรัฐบัญญัติเลขที่ 2928 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1920 เพื่อให้ธงชาติฟิลิปปินส์เป็นธงอย่างเป็นทางการสำหรับหมู่เกาะฟิลิปปินส์ทั้งหมด ส่วนการฉลองวันธงชาติ (Flag Day) ของฟิลิปินส์ในระยะนั้นจนถึงช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการฉลองเป็นประจำในวันที่ 30 ตุลาคมของทุกปี อันเป็นวันที่กฎหมายห้ามการใช้ธงชาติฟิลิปปินส์ได้ถูกยกเลิก", "title": "ธงชาติฟิลิปปินส์" }, { "docid": "726254#1", "text": "Schemeน้ำเงินแดงเหลืองขาวCMYK100 60 0 100 100 100 00 10 100 00 0 0 0SCOTDIC Code 777—ระบบรหัสสีนานาชาติ (Int'l Colour Codification System) (2034)N46 N722509N23 N074014N6 N197512N1 N95*แหล่งที่มา:", "title": "ธงชาติสโลวีเนีย" }, { "docid": "724762#0", "text": "สีกลุ่มชนสลาฟ () เป็นสีที่ใช้ในธงของประเทศหรือดินแดนที่มีกลุ่มชนสลาฟอาศัยอยู่ ประกอบด้วยสีแดง น้ำเงิน ขาว สีกลุ่มชนสลาฟมีที่มาจากการประชุมชาวสลาฟที่กรุงปราก ปี ค.ศ. 1848 โดยมีพื้นฐานมาจากธงชาติรัสเซียในศตวรรษที่ 17 ชาติแรกที่ใช้สีกลุ่มชนสลาฟบนธงชาติคือ ประเทศสโลวีเนีย", "title": "สีกลุ่มชนสลาฟ" }, { "docid": "135314#3", "text": "ซิมบับเวโรดิเซีย เป็นชื่อของประเทศซิบบับเวตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2522 ถึง 18 เมษายน พ.ศ. 2523 ธงชาติของประเทศนี้ออกแบบโดย เรืออากาศเอกเซดริก เฮอร์เบิร์ต (Cedric Herbert) แห่งกองทัพอากาศโรดิเซีย และสมาชิกของสมาคม Rhodesian Heraldry and Genealogy Society โดยออกแบบจากสีพันธมิตรแอฟริกา 4 สี ได้แก่ สีเหลือง สีดำ สีเขียว และสีแดง พร้อมทั้งนิยามความหมายของสีธงชาติ ดังนี้", "title": "ธงชาติซิมบับเว" }, { "docid": "132152#2", "text": "หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีเหนือคงยังรวมกับเกาหลีใต้เป็นประเทศเกาหลี เกาหลีเหนือจึงใช้ธงแทกึกกีเป็นธงชาติเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ต่อมาเมื่อเกาหลีเหนือประกาศแยกตัวเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. 2491 จึงได้เปลี่ยนธงชาติใหม่ให้ใกล้เคียงกับธงชาติสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ที่ให้การสนับสนุน โดยเอาสีหลักในธงชาติเกาหลีเดิม คือ สีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน มาออกแบบเป็นธงชาติใหม่ เน้นให้สีแดงโดดเด่นกว่าสีอื่น และเพิ่มรูปดาวแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของลัทธิคอมมิวนิสต์ ลงบนวงกลมพื้นสีขาว ซึ่งก็คือธงชาติของเกาหลีเหนือที่ปรากฏในปัจจุบัน", "title": "ธงชาติเกาหลีเหนือ" }, { "docid": "534365#2", "text": "ธงชาติไทยอยู่ประเทศไทย", "title": "ตราแผ่นดินของสโลวีเนีย" }, { "docid": "164779#0", "text": "ธงชาติบูร์กินาฟาโซ เป็นธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน ภายในแบ่งครึ่งตามแนวนอน ครึ่งบนพื้นสีแดง ครึ่งล่างพื้นสีเขียว กลางธงมีรูปดาวห้าแฉกสีเหลือง 1 ดวง ธงนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2527 หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปีนั้น ซึ่งนำโดยร้อยเอกโตมาส์ ซังการา (Thomas Sankara - ต่อมาคือประธานาธิบดีคนแรกของประเทศนี้) สีในธงนี้ถือเป็นสีพันธมิตรแอฟริกาเช่นเดียวกับธงในหลายประเทศ ซึ่งมีต้นแบบมาจากธงชาติเอธิโอเปีย โดยสีแดงหมายถึงการต่อสู้ในการปฏิวัติประเทศ สีเขียวหมายถึงความหวังและความอุดมสมบูรณ์ ดาวสีเหลืองหมายถึงความมั่งคั่งด้วยทรัพยากรแร่ธาตุของประเทศ", "title": "ธงชาติบูร์กินาฟาโซ" }, { "docid": "169537#1", "text": "ก่อนหน้านั้น คูเวตใช้ธงสีแดงเป็นธงสำหรับชาติเช่นเดียวกับประเทศอาหรับทั้งหลาย ส่วนสีบนธงชาติในปัจจุบันนี้เป็นสีพันธมิตรอาหรับ แต่ละสีล้วนมีความหมายต่างๆ คือ สีดำหมายถึงความพ่ายแพ้ของพวกศัตรู สีแดงคือเลือดที่เปือนบนดาบของชาวคูเวต สีขาวเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ และสีเขียวหมายถึงแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ ทั้งนี้ ยังมีอีกแนวคิดหนึ่งเกี่ยวกับสีธงชาติคูเวตกล่าวว่า รูปสี่เหลี่ยมคางหมูสีดำนั้นอาจมีที่มาจากธงชาติอิรักในช่วงก่อน พ.ศ. 2500 ก็ได้ (ธงชาติอิรักในยุคนั้นเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นสีดำ-เขียว-ขาว มีรูปสี่เหลี่ยมคางหมูสีแดงที่ด้านคันธง ภายในรูปดังกล่าวมีดาวสีขาว 2 ดวง)", "title": "ธงชาติคูเวต" }, { "docid": "294477#3", "text": "ธงแถบแนวนอนสีขาวและสีแดงถือเป็นรูปแบบธงอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ดังจะเห็นได้ว่ามีธงหลากหลายธงที่คล้ายคลึงกับธงชาติโปลแลนด์แต่มิได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ธงสำคัญซึ่งมีลักษณะดังกล่าวได้แก่ธงของแคว้นโบฮีเมียในสาธารณรัฐเช็ค และธงชาติของสองประเทศซึ่งเรียงแถบสีแดงอยู่เหนือสีขาว อันได้แก่ธงชาติอินโดนีเซียและธงชาติโมนาโก ในประเทศโปแลนด์ ธงหลายชนิดจะมีพื้นฐานการออกแบบมาจากธงชาติเป็นหลัก และมีสีประจำชาติปรากฏร่วมอยู่ในธงด้วย", "title": "ธงชาติโปแลนด์" }, { "docid": "137699#5", "text": "แบบธงดังกล่าวนี้ ถือได้ว่าแตกต่างจากธงที่ใช้ในกลุ่มประเทศอาหรับอย่างสิ้นเชิง เพราะตามประวัติศาสตร์ของชาติต่างๆ ในแถบตะวันออกกลาง ธงชาติมักจะใช้สีเขียวและสีดำ เพื่อแทนความหมายของศาสนาอิสลาม ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดชาตินิยมอาหรับ และในตราสัญลักษณ์แบบอาหรับนั้น ก็นิยมใช้สีเขียวหรือสีแดงโดยทั่วไปอีกด้วย การที่ใช้ธงชาติที่มีสีหลักเป็นสีขาวและฟ้าเช่นนี้ จึงได้กลายเป็นประเด็นที่โต้แย้งและถกเถียงกันในอิรัก เพราะลักษณะธงนี้ไปคล้ายคลึงกับธงชาติอิสราเอล ซึ่งอิรักถือว่าเป็นประเทศชนชาติศัตรู (อนึ่ง แบบธงชาติอิสราเอลจำนวนหนึ่งก่อนที่จะมีการประกาศใช้ธงชาติของตนจริงๆ นั้น ก็มีสีเหลืองประกอบอยู่ในธงด้วย)) ข้อวิจารณ์ในหลายแห่งแสดงออกมามาว่ารู้สึกเสียใจที่ธงชาติอย่างใหม่นี้ ได้ละเลยการใช้สีพันธมิตรอาหรับ และไม่มีข้อความสรรเสริญพระเจ้า \"อัลลอหุ อักบัร\" ปรากฏอยู่ โดยขาดความเคารพต่อผู้ที่ออกแบบธงเดิม", "title": "ธงชาติอิรัก" }, { "docid": "726254#3", "text": "หมวดหมู่:ประเทศสโลวีเนีย", "title": "ธงชาติสโลวีเนีย" }, { "docid": "8855#15", "text": "สีน้ำเงินขาบเป็นสีส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ (สีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ วันเสาร์) เมื่อเปลี่ยนแปลงเช่นนี้แล้วธงชาติสยามก็จะเป็นธงสามสีในทำนองเดียวกันกับธงชาติของประเทศฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งน่าจะทำให้ทั้งสามประเทศพอใจประเทศสยามยิ่งขึ้นเพราะเสมือนว่าได้ยกย่องชาติเหล่านั้น การมีสีของสถาบันพระมหากษัตริย์ในธงชาติ จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระองค์ในวาระที่ชาติสยามเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญต่างๆ", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "161602#0", "text": "ธงชาติสาธารณรัฐชาด มีลักษณะเป็นธงสามสีสามแถบอย่างธงชาติฝรั่งเศส กล่าวคือ แต่ละแถบแบ่งตามแนวตั้งและมีความกว้างเท่ากัน ประกอบด้วยแถบสีน้ำเงิน สีเหลือง และสีแดง เรียงจากด้านคันธงไปยังด้านปลายธง ลักษณะโดยรวมของธงนี้พ้องกับธงชาติโรมาเนียเกือบทุกประการ ธงนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่เมื่อชาดเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองและได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2503 และแม้ว่าประเทศจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภายในอีกหลายครั้ง แต่แบบธงชาติชาดก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยมาจนถึงทุกวันนี้", "title": "ธงชาติชาด" }, { "docid": "194930#0", "text": "ธงชาติเนเธอร์แลนด์ () เป็นธงสามสีสามแถบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สัดส่วนโดยรวมกว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน ภายในเรียงเป็นแถบสีสีแดง สีขาว และสีน้ำเงินตามลำดับจากบนลงล่าง เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2115 แต่ได้กำหนดให้เป็นธงชาติของประเทศเนเธอร์แลนด์อย่างเป็นทางการมาในปี พ.ศ. 2480 ธงนี้นับเป็นธงสามสีธงแรกของโลกและเป็นธงสามสีที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นต้นแบบของธงชาติต่างๆ ที่ใช้สีธงหลักเป็น 3 สีในโลกนี้ด้วย", "title": "ธงชาติเนเธอร์แลนด์" }, { "docid": "168146#1", "text": "ที่มาของสีในธงชาติทั้ง 4 สี คือ สีแดง สีเขียว สีดำ และ สีเหลือง มาจากสีของพรรควานูอากูปาตี (Vanua'aku Pati- พรรคแผ่นดินของเรา) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่นำพาประเทศวานูอาตูให้ได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2523 ส่วนความหมายของสีธงแต่ละสีนั้น สีเขียวหมายถึงความมั่งคั่งของแผ่นดิน สีแดงหมายถึงเลือดของมนุษย์และหมูป่า และสีดำเป็นเครื่องหมายของชนชาตินิวานูอาตู (เป็นคำเรียกชาวโพลีเนเชียนที่อยู่ในประเทศวานูอาตู) ส่วนแถบคล้ายอักษร \"Y\" สีเหลืองขอบดำนั้น นายกรัฐมนตรีแห่งวานูอาตูได้ขอให้เพิ่มเข้าไปในธงชาติ เพื่อเน้นให้พื้นสีดำเด่นขึ้น เฉพาะตัวแถบสีเหลืองนั้น หมายถึงคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าที่สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตของชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ทั้งนี้ ประเทศวานูอาตูมีประชากรเกือบร้อยละ 90 นับถือศาสนาคริสต์", "title": "ธงชาติวานูอาตู" }, { "docid": "294477#0", "text": "ธงชาติของประเทศโปแลนด์ ประกอบด้วยแถบแนวนอนสองสีขนาดกว้างเท่ากัน โดยแถบบนเป็นสีขาว แถบล่างเป็นสีแดง สีทั้งสองนี้ถือเป็นสีประจำชาติตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ สำหรับธงชาติโปแลนด์ที่มีการเพิ่มเครื่องหมายตราแผ่นดินลงที่กลางแถบขาวของธงถือเป็นธงชาติสำหรับใช้ในทางราชการตามกฎหมายทั้งในต่างประเทศและในเรือเดินทะเลของรัฐ ส่วนธงอีกอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับธงในราชการแต่มีการตัดชายธงเป็นรูปหางนกแซงแซวนั้นเป็นธงนาวีสำหรับกองทัพเรือโปแลนด์", "title": "ธงชาติโปแลนด์" }, { "docid": "148969#2", "text": "แบบของธงชาติรัสเซียที่ใช้อยู่ในธงวันนี้มีลักษณะแตกต่างจากธงที่เริ่มใช้ใน ค.ศ. 1991 เล็กน้อย จากการแก้ไขเพิ่มเติมใน ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) และรับรองให้ใช้เป็นธงชาติอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) เป็นต้นมา โดยสีของธงนี้จัดเป็นสีพันธมิตรสลาฟ ซึ่งประกอบด้วยสีแดง-น้ำเงิน-ขาว ปรากฏอยู่ในธงชาติของกลุ่มประเทศสลาฟหลายประเทศ", "title": "ธงชาติรัสเซีย" }, { "docid": "17480#0", "text": "ธงชาติลิทัวเนีย มีลักษณะคล้ายกับธงชาติพม่า แต่ไม่มีดาว และออกจะเข้มด้วย ธงสามสีแบ่งตามแนวนอน พื้นสีเหลือง สีเขียวและสีแดง เรียงจากบนลงล่าง ความกว้างแต่ละแถบเท่ากัน ธงนี้เริ่มใช้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการประกาศเอกราช ก่อนหน้านี้ธงนี้เคยใช้เป็นธงชาติลิทัวเนียในช่วงปี พ.ศ. 2461 - 2483 ซึ่งเป็นช่วงที่ลิทัวเนียอยู่ภายใต้การยึดครองของสหภาพโซเวียต โดยที่สีในธงดังกล่าวสว่างกว่าสีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ต่อมาหลังการยึดครองระยะสั้นของนาซีเยอรมนีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ลิทัวเนียมีฐานะเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลิทัวเนีย ธงชาติในยุคนี้เริ่มแรกเป็นธงแดงแบบธงชาติสหภาพโซเวียตพร้อมอักษรบอกนามประเทศ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นธงแดงแบบโซเวียตมีแถบสีขาวและสีเขียวอยู่ตอนล่าง", "title": "ธงชาติลิทัวเนีย" }, { "docid": "534365#1", "text": "== ตราแผ่นดินของไทย ธงชาติไทย", "title": "ตราแผ่นดินของสโลวีเนีย" }, { "docid": "161595#1", "text": "แบบธงชาตินแคเมอรูนนี้ดัดแปลงมาจากธงชาติฝรั่งเศส ส่วนสีที่ใช้ในธงชาตินั้นจัดเป็นกลุ่มสีพันธมิตรแอฟริกา โดยแถบสีเหลืองหมายถึงดวงอาทิตย์และทุ่งหญ้าสะวันนาในภาคเหนือของประเทศ สีเขียวหมายถึงป่าไม้ในแถบภาคใต้ของประเทศ แถบกลางสีแดงและดาวสีเหลืองกลางธงหมายถึงเอกภาพ ซึ่งดาวดวงนี้มักเรียกกันด้วยชื่อว่า ดาวแห่งเอกภาพ (\"the star of unity\")", "title": "ธงชาติแคเมอรูน" }, { "docid": "314075#3", "text": "ธรรมเนียมการใช้ธงในประเทศกานานั้น เห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจากประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม ยกตัวอย่างเช่น ธงนาวีกานา ซึ่งใช้ในกองทัพเรือกานานั้น เป็นธงพื้นสีขาวมีกากบาทสีแดงอยู่กลางธง ที่มุมธงด้านคันธงนั้นมีธงชาติกานา ในลักษณะอย่างเดียวกันกับธงแสดงสัญชาติสีขาว ส่วนธงเรือเอกชนกานานั้น ใช้ธงพื้นสีแดง ที่มุมธงด้านคันธงมีธงชาติกานามีขอบสีดำ ลักษณะดังกล่าวนี้เป็นการเลียนแบบจากธงแสดงสัญชาติสีแดง.", "title": "ธงชาติกานา" }, { "docid": "137699#2", "text": "ธงชาติแบบแรกสุดของประเทศอิรัก กำหนดให้มีขึ้นเมื่อมีการจัดตั้งประเทศในปี พ.ศ. 2464 โดยเป็นรัฐอารักขาเมโสโปเตเมียของสหราชอาณาจักร ลักษณะเป็นธงสามสีพื้นสีดำ-ขาว-เขียว ที่ด้านคันธงมีรูปสี่เหลี่ยมคางหมูในแนวตั้งพื้นสีแดง (บางแบบก็เป็นรูปสามเหลี่ยมก็มี) ในพื้นสีแดงนั้นมีดาว 7 แฉก 2 ดวง เรียงกันในแนวตั้ง หมายถึงทั้ง 14 จังหวัดของราชอาณาจักรอิรักในขณะนั้น สังเกตได้ว่า ธงนี้มีความคล้ายคลึงกับธงชาติจอร์แดนเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าสีในธงทั้งหมดนั้น บรรดาเจ้าผู้ครองนคร (Hashemite leaders) ในการปฏิวัติอาหรับ ซึ่งเป็นผู้สถาปนาประเทศนี้ เป็นผู้เลือกให้ใช้ในธงชาติอิรัก ธงนี้มีการใช้มาตลอดสมัยที่อิรักปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึง พ.ศ. 2502 ซึ่งในหมู่พวกนิยมกษัตริย์ในอิรัก ก็ยังมีการใช้ธงนี้อยู่\nหลังจากการปฏิวัติเพื่อโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ภายใต้การนำของอับดุล การิม คัสซิม (Abdul Karim Qassim) ในปี พ.ศ. 2501 ประเทศอิรักก็ได้มีการออกกฎหมายเลขที่ 102 ค.ศ. 1959 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 ให้ใช้ธงชาติอย่างใหม่ของสหพันธรัฐอาหรับอิรักและจอร์แดน ซึ่งมีลักษณะเป็นธงสามสีแนวตั้ง พื้นสีดำ-ขาว-เขียว ที่กลางแถบสีขาวนั้นมีรูปดาว 8 แฉกสีแดง 1 ดวง ภายในมีวงกลมสีเหลือง ความหมายของสีดำและสีเขียวคือเป็นสีพันธมิตรอาหรับ ดวงตะวันสีเหลืองหมายถึงชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ด ส่วนดาว 7 แฉกสีแดงนั้นหมายถึงชนกลุ่มน้อยชาวอัสซีเรีย", "title": "ธงชาติอิรัก" }, { "docid": "195174#0", "text": "ธงชาติเช็กเกีย () มีลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน พื้นธงแบ่งครึ่งตามแนวนอน โดยครึ่งบนมีสีขาว ครึ่งล่างมีสีแดง ที่ด้านคันธงมีรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วสีน้ำเงิน โดยฐานของรูปนั้นอยู่ติดกับด้านคันธง ธงนี้เดิมเป็นธงชาติของประเทศเช็กโกสโลวาเกีย แต่เมื่อมีการแยกประเทศเช็กโกสโลวาเกียเป็นสาธารณรัฐเช็ก (เช็กเกีย) และสโลวาเกียในปี พ.ศ. 2536 สาธารณรัฐเช็กก็ได้รับเอาธงชาติเช็กโกสโลวาเกียเดิมเป็นธงชาติของตนสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญซึ่งห้ามทั้งสองชาติใช้สัญลักษณ์ที่สืบทอดจากประเทศเช็กโกสโลวาเกียเดิมก็ตาม", "title": "ธงชาติเช็กเกีย" }, { "docid": "320875#1", "text": "ธงลักษณะข้างต้นนี้เดิมเคยใช้เป็นธงชาติของราชอาณาจักรเซอร์เบียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 จนถึงปี ค.ศ. 1918 เมื่อเซอร์เบียเข้าร่วมในราชอาณาจักรเซอร์เบีย, โครเอเชีย และสโลวีเนีย ต่อมาในปี ค.ศ. 1945 เซอร์เบียได้กลายเป็นสาธารณรัฐภายใต้การปกครองของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย รูปดาวแดงของลัทธิคอมมิวนิสต์จึงได้ถูกเพิ่มลงบนธงชาติเซอร์เบียตราบจนกระทั่งได้มีการยกเลิกอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1992 สำหรับธงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้เป็นธงที่ได้รับการรับรองจากรัฐสภาเซอร์เบียอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2004 ต่อมาเมื่อเซอร์เบียได้มีการประกาศรัฐธรรมนูญใหม่ในปี ค.ศ. 2006 การใช้ธงสามสีแดง-น้ำเงิน-ขาว เป็นธงชาติ จึงได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการตามรัฐธรรมนูญ (พร้อมกันกับตราแผ่นดินและเพลงชาติ) โดยทั้งธงชาติและธงรัฐบาลนั้นถือเป็นธงที่มีสถานะเท่าเทียมกัน ธงของเซอร์เบียแบบที่ไม่มีตราแผ่นดินนั้น เดิมเคยใช้ในฐานะของธงชาติและธงราชการ นับตั้งแต่การประกาศรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 2006 เป็นต้นมา ธงนี้มีสถานะเป็นธงชาติเพียงธงเดียวเท่านั้น", "title": "ธงชาติเซอร์เบีย" }, { "docid": "726254#2", "text": "1:2 ธงที่ใช้ในการปฏิวัติ พ.ศ. 2391 1:2 ธงขบวนการต่อต้านนาซี (ค.ศ. 1941) 1:2 ธงขบวนการนิยมนาซี 1:2 ธงสาธารณรัฐสังคมนิยมสโลวีเนีย (ค.ศ. 1945-1991) 1:2 ธงที่มีการเสนอก่อนได้รับเอกราช", "title": "ธงชาติสโลวีเนีย" } ]
1489
อาณาจักรล้านช้าง ก็ได้สูญเสียเอกราชแก่ราชอาณาจักรสยามในปีพ.ศใด?
[ { "docid": "72960#1", "text": "อาณาจักรแห่งนี้ได้สถาปนาขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่นมั่งคงอย่างแท้จริงในปี พ.ศ. 1896 สมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม มีความรุ่งเรืองสลับกับความร่วงโรยต่อมาหลายสมัย ซึ่งยุคที่นับได้ว่าเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านช้างคือรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2091- พ.ศ. 2114 และรัชสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช (พ.ศ. 2181- พ.ศ. 2238) หลังจากนั้นอาณาจักรลาวก็เสื่อมอำนาจลงและแตกแยกเป็น 3 ราชอาณาจักร และในปี พ.ศ. 2321 ทั้ง 3 อาณาจักรก็ได้สูญเสียเอกราชแก่ราชอาณาจักรสยามในที่สุด", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" } ]
[ { "docid": "480013#0", "text": "อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ เป็นอาณาจักรทางตอนกลางของประเทศลาว และ ภาคอีสานตอนบนของประเทศไทยในปัจจุบัน อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ครอบคลุม ภาคอีสานตอนบน แขวงเวียงจันทน์ นครหลวงเวียงจันทน์ กรุงเวียงจันทน์ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศและบริเวณใกล้เคียง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ติดกับอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ เมื่อถึง พ.ศ. 2436 อาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 ส่วนจึงได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเป็นพระราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2496 รวมลาวอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสเป็นเวลา 60 ปี", "title": "อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์" }, { "docid": "158684#7", "text": "เมื่อเกิดกรณีพิพาทไทย-ฝรั่งเศส ฝ่ายไทยได้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2446 เมื่อเจ้ายุติธรรมธร (คำสุก) ถึงแก่พิราลัย เจ้าราชดนัย (หยุย) ก็ได้รับแต่งตั้งจากฝรั่งเศสให้เป็นผู้ว่าการนครจำปาศักดิ์ ดังนั้นอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์จึงมีฐานะเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส", "title": "อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์" }, { "docid": "572345#4", "text": "ช่วงปี พ.ศ. 2484 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากกรณีพิพาทอินโดจีน ประเทศไทยได้รับดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสบางส่วนคืนจากฝรั่งเศส โดยนำท้องที่การปกครองเมืองจำปาศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 รวมไปถึงดินแดนประเทศกัมพูชาปัจจุบัน ได้แก่พื้นที่ส่วนหนึ่งของจังหวัดสตึงแตรงและพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดพระวิหาร ยกขึ้นเป็นจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ โดยมีเจ้ายุติธรรมธร (หยุย ณ จำปาศักดิ์) เป็นผู้ครองนคร แต่เมื่อสงครามสิ้นสุด ไทยในฐานะผู้แพ้สงครามต้องส่งดินแดนดังกล่าวคืนให้แก่ฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อประเทศลาวได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2497 จึงได้รวมอาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 อาณาจักรขึ้นเป็นราชอาณาจักรลาว พื้นที่ดังกล่าวจึงได้ยกขึ้นเป็นแขวงจำปาศักดิ์ของประเทศลาวมาจนถึงปัจจุบัน โดยเจ้าครองนครองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรจำปาศักดิ์ ก่อนการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์", "title": "แขวงจำปาศักดิ์" }, { "docid": "72960#41", "text": "ภายหลังที่สูญเสียเอกราชให้แก่อาณาจักรสยาม พระเจ้าแผ่นดินสยามจึงให้เจ้านันทเสนโอรสของพระเจ้าศิริบุญสาร เสด็จขึ้นครองราชย์แทน แล้วแต่งตั้งเจ้าอินทวงศ์เป็นอุปราช ส่วนเจ้าอนุวงศ์และเจ้าพรหมวงศ์ให้ลงไปเป็นตัวประกันที่กรุงธนบุรี แต่ต่อมาก็เกิดข้อพิพาทฟ้องร้องกันกับเจ้าอนุรุทธแห่งนครหลวงพระบางหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2336 เจ้านันทเสนถูกกล่าวหาว่าสมคบกับเจ้าเมืองนครพนมและเวียดนามจะก่อการกบฏ จึงถูกเรียกตัวลงไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ พระองค์ต่อสู้คดีอยู่ 2 ปี ก็เสด็จสวรรคต", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "1942#7", "text": "ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาในลาวและดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสอื่นๆ เมื่อญี่ปุ่นใกล้แพ้สงคราม ขบวนการลาวอิสระซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อกู้เอกราชลาวในเวลานั้นประกาศเอกราชให้ประเทศลาวเป็นประเทศ ราชอาณาจักรลาว หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็กลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากการที่ เวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นการสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศสจนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วนในปี พ.ศ. 2492 และได้เอกราชสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496 ภายหลังฝรั่งเศสรบแพ้เวียดนามที่เดียนเบียนฟู ผู้ที่มีบทบาทในการประกาศเอกราชคือ เจ้าสุวรรณภูมา เจ้าเพชรราช และ เจ้าสุภานุวงศ์ โดยมี เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ามหาชีวิต (พระมหากษัตริย์) จากอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางเดิม และได้รวมทั้ง 3 อาณาจักรคือ ล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทน์ และ ล้านช้างจำปาศักดิ์ เข้าด้วยกันเป็นราชอาณาจักรลาว", "title": "ประเทศลาว" }, { "docid": "35698#7", "text": "พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงประคับประคองนำราชอาณาจักรล้านช้างผ่านพ้นภัยการเป็นเมืองขึ้นของพม่าไปได้ ตลอดรัชสมัยของพระองค์ แม้ว่าในขณะนั้นอาณาจักรล้านนา (เสียแก่พม่า พ.ศ. 2101) และอาณาจักรอยุธยา (เสียแก่พม่า พ.ศ. 2107) ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว แต่หลังจากพระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2114 พอมาถึง พ.ศ. 2117-2118 พระเจ้าบุเรงนองได้ยกทัพมาตีลาวและได้รับชัยชนะ และทรงนำโอรสองค์เดียวของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชซึ่งประสูติในปีที่สวรรคต ไว้เป็นประกันที่หงสาวดีด้วย ต่อจากนั้นมาหลายปีแผ่นดินลาวก็วุ่นวายด้วยเรื่องราชสมบัติ ", "title": "สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช" }, { "docid": "53356#12", "text": "ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาในลาวและดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสอื่นๆ เมื่อญี่ปุ่นใกล้แพ้สงคราม ขบวนการลาวอิสระซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อกู้เอกราชลาวในเวลานั้นประกาศเอกราชให้ประเทศลาวเป็นประเทศ ราชอาณาจักรลาว หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็กลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากการที่เวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นการสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศสจนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วนในปี พ.ศ. 2492 และได้เอกราชสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496 ภายหลังฝรั่งเศสรบแพ้เวียดนามที่เดียนเบียนฟู ผู้ที่มีบทบาทในการประกาศเอกราชคือ เจ้าสุวรรณภูมา เจ้าเพชรราช และ เจ้าสุภานุวงศ์ โดยมีเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ามหาชีวิต (พระมหากษัตริย์) จากอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางเดิม และได้รวมทั้ง 3 อาณาจักรคือ ล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทน์ และ ล้านช้างจำปาศักดิ์ เข้าด้วยกันเป็นราชอาณาจักรลาว", "title": "ประวัติศาสตร์ลาว" }, { "docid": "72960#45", "text": "เมื่อสูญเสียเอกราชใน พ.ศ. 2321 ในสมัยเจ้าสุริยวงศ์ พระองค์จึงถูกคุมตัวลงไปที่กรุงธนบุรี ภายหลังจึงถูกส่งคืนมาเป็นเจ้านครหลวงพระบาง และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2334 บรรดาเสนาอำมาตย์จึงทูลเชิญเจ้าอนุรุทธ พระอนุชาของเจ้าสุริยวงศ์ขึ้นครองราชย์ เมื่อเจ้านันทเสนแห่งเวียงจันทน์ยกทัพมาตีหลวงพระบางได้ เจ้าอนุรุทธจึงถูกส่งลงไปขังที่กรุงเทพฯอยู่ 4 ปี จึงได้เสด็จกลับมาขึ้นครองราชย์ตามเดิม และเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2339 เจ้ามันธาตุราช โอรสของเจ้าอนุรุทธะจึงได้ขึ้นครองเมืองแทนใน พ.ศ. 2360 ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จสวรรคต เจ้ามันธาตุราชจึงได้เสด็จลงไปกรุงเทพฯ เพื่ออุปสมบทต่อหน้าพระบรมศพแล้วจึงเสด็จกลับมาครองครองราชย์ตามเดิม โดยในปี พ.ศ. 2370 เกิดเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ เจ้ามันธาตุราชจึงได้ส่งกำลังพลไปช่วยกองทัพไทยตีเวียงจันทน์", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "95834#2", "text": "หากแต่ว่าขณะนั้นอาณาจักรตองอูเกิดความยุ่งยากจากการประกาศเอกราชของกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2127 และต้องทำศึกติดพันกับกรุงศรีอยุธยาและกบฏภายในราชอาณาจักรอยู่หลายปี ทำให้ฝ่ายหงสาวดีไม่ได้จัดการแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ลาวองค์ใดมาปกครองอาณาจักรล้านช้างแทนพระยานครน้อย ทำให้อาณาจักรล้านช้างว่างกษัตริย์นานถึง 8 ปี", "title": "พระยานครน้อย" }, { "docid": "572345#3", "text": "เมื่อถึงรัชสมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม ได้ทรงรวบรวมเมืองต่าง ๆ ของลาวเข้ามาเป็นอาณาจักรเดียวกันชื่อว่าอาณาจักรล้านช้าง มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง แต่เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้มสิ้นพระชนม์ อาณาจักรล้านช้างเริ่มตกต่ำลงเพราะสงครามแย่งชิงอำนาจและการก่อกบฏต่าง ๆ นานนับร้อยปี จนถึง พ.ศ. 2063 พระเจ้าโพธิสารราชขึ้นครองราชย์และได้รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ต่อมาพระโอรสคือพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างมาอยู่ที่กรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) เพื่อหลีกเลี่ยงอิทธิพลของอาณาจักรตองอู อาณาจักรล้านช้างมีความเจริญมา 200 ปีเศษก็เริ่มอ่อนแอลง หัวเมืองต่างๆ แตกออกเป็น 3 ฝ่าย คือ อาณาจักรหลวงพระบาง อาณาจักรเวียงจันทน์ และอาณาจักรจำปาศักดิ์ ตรงกับสมัยกรุงธนบุรีของสยาม ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชระแวงว่าลาวจะร่วมมือกับพม่ายกทัพมาตี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1) ยกทัพไปตีลาวทั้ง 3 อาณาจักรตกเป็นเมืองขึ้นของสยามนานถึง 114 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2436 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ภายหลังวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ดินแดนลาวฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงรวมทั้งแขวงจำปาศักดิ์บางส่วนตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ขณะที่ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงบริเวณเมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับมณฑลอุบลตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในเวลาต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2447", "title": "แขวงจำปาศักดิ์" }, { "docid": "998448#0", "text": "พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ พระเจ้าศิริบุญสาร เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 4 (พ.ศ. 2294 - พ.ศ. 2322) พระราชโอรสในเจ้าองค์ลอง, เสียเอกราชแก่สยามในปี พ.ศ. 2322", "title": "พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3" }, { "docid": "72960#44", "text": "เมื่อกองทัพอาณาจักรสยามตีนครเวียงจันทน์ครั้งที่ 2 ในรัชกาลของเจ้าอนุวงศ์นี้ ฝ่ายสยาม (รัชกาลที่ 3) ได้สั่งให้ \"ทำลายนครเวียงจันทน์ให้สิ้นซาก\" และกวาดต้อนทรัพย์สินและผู้คนมากรุงเทพฯ อีกทั้งให้ล้มเลิกอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์เสีย มิให้มีเมืองและเจ้าครองนครอีกต่อไป นครเวียงจันทน์ที่จึงถูกทำลายกลายเป็นเมืองร้าง ในปี พ.ศ. 2371", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "72960#32", "text": "อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางถือกำเนิดจากความแตกแยกระหว่างเวียงจันทน์และหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2250 ดังได้กล่าวมาแล้ว มีอาณาปกครองดินแดนลาวภาคเหนือในปัจจุบัน มีพระเจ้ากิ่งกิสราชเป็นปฐมกษัตริย์ (พ.ศ. 2249 - 2256) และมีเชื้อสายกษัตริย์สืบราชสมบัติต่อมาจนกระทั่งประเทศลาวเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2492 และเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรลาวต่อมาจนถึงปี พ.ศ. 2518 ในยุคแรกอาณาจักรนี้เกิดการแย่งชิงอำนาจภายในของตนเองเป็นระยะ และมีการจะขอกำลังจากรัฐที่ใหญ่กว่าอย่างพม่ามาช่วยเหลือเสมอ แน่นอนว่าฝ่ายหลวงพระบางก็ไม่ไว้ใจและหาทางทำลายฝ่ายเวียงจันทน์เช่นกัน", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "527630#1", "text": "เมืองพวน หรือเมืองพวนเชียงขวาง มีนามเต็มในประวัติศาสตร์ว่า เมืองมหารัตนบุรีรมย์พรหมจักรพรรดิ ศรีมหานัครตักกะเสลา นครเชียงขวางราชธานี คำว่า พวน ตรงกับคำว่า โพน ในภาษาลาวและ พูน ในภาษาไทย หมายถึง เมืองอันตั้งอยู่บริเวณพื้นที่สูงหรือที่ราบสูง เมืองพวนเดิมเป็นเขตการปกครองที่มีสถานะเป็นราชอาณาจักรหนึ่งในดินแดนที่เป็นประเทศลาวปัจจุบัน ประกอบด้วยหัวเมืองน้อยใหญ่หลายหัวเมือง ปัจจุบันเป็นตำแหน่งที่ตั้งของแขวงเชียงขวาง มีศูนย์กลางการปกครองเมืองที่เมืองเชียงขวาง ประชากรในเมืองพวนเรียกว่าชาวชาวไทพวน หรือ ชาวลาวพวน ชาวพวนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์สำคัญในกลุ่มตระกูลลาว-ไท ที่อพยพมาจากประเทศจีนทางตอนใต้เช่นเดียวกับชาติพันธุ์ลาว แล้วตั้งตัวเป็นอิสระตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา โดยมีเมืองเชียงขวางเป็นเมืองหลวงหรือราชธานี เมืองพวนมีบทบาทในทางการค้าโลหะและของป่า ในราวพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 เมืองพวนตกอยู่ภายใต้อำนาจการคุ้มครองของอาณาจักรล้านช้างในสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มแหล่งหล้าธรณีมหาราช (ราว พ.ศ. 1896-1915) ในฐานะเมืองส่วนหรือเมืองลาด (นครประเทศราช) จากนั้นมาราชอาณาจักรพวนก็มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักล้านช้างของชาวลาวมาโดยตลอด นอกจากการเสียส่วยหรือเครื่องมงคลราชบรรณาการให้ราชอาณาจักรล้านช้างแล้ว เมืองพวนยังคงรักษาการปกครองของตนไว้ได้ มีศิลปกรรมทางพุทธศาสนาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ศิลปะจากเมืองพวนบางส่วนได้เข้ามามีอิทธิพลต่ออาณาจักรล้านช้างแถบนครหลวงพระบางด้วย ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่เรียกว่า ศิลปะเชียงขวาง ต่อมาเมื่อสยามได้แผ่อิทธิพลข้ามฝั่งแม่น้ำโขงเข้าควบคุมราชอาณาจักรล้านช้าง เมืองพวนกลายเป็นรัฐกันชนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับราชอาณาจักรไดเวียดของชาวญวน ในสมัยหลังรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2348-2371) สยามได้กวาดต้อนชาวพวนจำนวนมากเข้ามาอยู่ในสยามหลายหัวเมือง ต่อมาในราว พ.ศ. 2413 เมื่อกองทัพฮ่อที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มกบฏไท่ผิงซึ่งถูกทางการจีนปราบปรามลง ได้เข้ามาโจมตีนครหลวงพระบางและราชอาณาจักรล้านช้าง เมืองพวนเองก็ได้ถูกกองทัพฮ่อโจมตีจนเสียหายไปมากเช่นเดียวกัน จากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2436 นครเชียงขวางซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองพวนได้ถูกกำหนดให้อยู่ในเขตแดนของอินโดจีนฝรั่งเศส ภายหลังการประกาศเอกราชของราชอาณาจักรลาวนครเชียงขวางจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาว", "title": "เมืองพวน" }, { "docid": "72960#51", "text": "เมื่อเกิดกรณีพิพาทสยาม-ฝรั่งเศส ฝ่ายอาณาจักรสยามได้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2446 เมื่อเจ้ายุติธรรมธร (คำสุก) ถึงแก่พิราลัย เจ้าราชดนัย (หยุย) ก็ได้รับแต่งตั้งจากฝรั่งเศสให้เป็นผู้ว่าการนครจำปาศักดิ์ ดังนั้นอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์จึงมีฐานะเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "863013#1", "text": "พ.ศ. ๒๓๗๖ หลังสงครามเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑) เสร็จสิ้นลง ตลอดจนการล่มสลายของราชวงศ์เวียงจันทน์อันเก่าแก่ ทำให้พระเจ้าแผ่นดินญวนส่งกองทัพไปยึดหัวเมืองต่างๆ ของอาณาจักรล้านช้างทางตอนใต้และเขมรเพื่อขยายอิทธิพลและแสดงความเข้มแข็งทางการปกครอง อีกทั้งขยายอิทธิพลเข้ารบกวนราษฎรลาวในแถบหัวเมืองลาวทางภาคอีสานตอนล่างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรล้านช้างด้วย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเห็นเป็นโอกาสในการเข้ายึดราชอาณาจักรล้านช้าง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพยกกองทัพสยามไปรบกับญวนที่อาณาจักรเขมรและเมืองไซ่ง่อน เพื่อตัดกำลังญวนไม่ให้มีอิทธิพลเหนือล้านช้างและเขมร ศึกสงครามระหว่างกองทัพญวนกับสยามยืดเยื้อเป็นเวลานาน พ.ศ. 2390 สงครามยุติลงโดยการทำสัญญาสงบศึกระหว่างกัน ในประวัติศาสตร์เรียกสงครามครั้งนี้ว่า อานามสยามยุทธ์ ผลพวงศึกครั้งนี้ทำให้ราษฎรลาวและราษฎรเผ่าต่างๆ ในหัวเมืองล้านช้างตอนใต้ได้รับความเดือดร้อน ถูกญวนและสยามกดขี่ข่มเหงกะเกณฑ์ไพร่พลและเสบียงอาหารเพื่อเป็นกำลังให้แก่ทั้งสองฝ่าย ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนได้พากันละทิ้งบ้านเรือนอพยพมาทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจำนวนมาก ฝ่ายท้าวบัวกรมการเมืองเชียงฮ่มซึ่งเป็นบุตรของท้าวนิเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของเมืองเชียงฮ่ม ได้เป็นหัวหน้าอพยพไพร่พลเผ่าภูไทและเผ่าโซ่ (กระโซ่) เมืองเชียงฮ่มและเมืองผาบังทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ปัจจุบันอยู่ในแขวงสุวรรณเขตหรือสะหวันนะเขดของลาว) จำนวน ๔๔๙ คน (หลักฐานบางแห่งกล่าวว่า ๔๕๘ คน) ขึ้นมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงแม่น้ำท่าแขกแล้วพักไพร่พลอยู่", "title": "พระอุทัยประเทศ (บัว นิวงษา)" }, { "docid": "635961#0", "text": "ประวัติศาสตร์การทหารของลาวส่วนใหญ่จะเป็นการต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะไทยและเวียดนาม ก่อนจะเข้าสู่ยุคอาณานิคมและสงครามการเมืองก่อนจะเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบคอมมิวนิสต์\nลาวเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่เข้มแข็งทางการทหาร ลาวได้พัฒนาทักษะทางการทหารโดยใช้ช้างเป็นพาหนะ ราชอาณาจักรล้านช้างเป็นรัฐเริ่มแรกในลาว ผู้ก่อตั้งคือพระเจ้าฟ้างุ้ม ในสมัยของพระองค์ กองทัพล้านช้างได้รบขยายดินแดนโดยขยายเขตแดนทางตะวันตกมาถึงที่ราบสูงโคราช ทางตะวันออกไปถึงเทือกเขาอันนัม ทางใต้ลงไปถึงเขตแดนของชาวจามและชาวเขมร ส่วนทางเหนือไปถึงเขคแดนของชนเผ่าต่างๆทางเหนือ. หลังจากสมัยของพระเจ้าฟ้างุ้ม ล้านช้างต้องต่อสู้กับสยามและพม่า จนในที่สุด รัฐล้านช้างต้องสลายตัวใน พ.ศ. 2321 ราชอาณาจักรเวียงจันทน์ถูกโจมตีและเผาทำลายโดยกองทัพสยาม ใน พ.ศ. 2363 เวียงจันทน์พยายามรื้อฟื้นกองกำลังทหารเพื่อต่อต้านสยามแต่สยามก็เป็นฝ่ายชนะเข้ายึดครองเวียงจันทน์ได้อีกใน พ.ศ. 2371\nหลังจากเวียงจันทน์ถูกทำลาย ลาวถูกสยามปกครอง แม้ว่าเวียดนามจะเข้ามาเกี่ยวข้อง จนกระทั่งพ.ศ. 2427 ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองอันนัมเป็นอาณานิคม สยามยังคงปกครองฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง ฝรั่งเศสจึงเข้ามาบังคับให้สยามยอมรับอำนาจของฝรั่งเศสเหนือดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงโดยอาศัยคำกล่าวอ้างของอันนัมว่าลาวเป็นดินแดนภายใต้อำนาจของตน ในที่สุด ฝรั่งเศสได้ดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำโขงรวมทั้งเกาะในแม่น้ำโดยสนธิสัญญาใน พ.ศ. 2436 และ พ.ศ. 2450. ในสมัยฝรั่งเศสปกครอง ได้นำทหารเวียดนามจำนวนมากเข้ามาในลาว แต่ฝรั่งเศสก็ฝึกตำรวจชาวลาวและกองทหารในท้องถิ่น จ่ายอาวุธสมัยใหม่ให้ หน่วยของชาวลาวจะได้รับเงินเดือนจากราชสำนักหลวงพระบาง\nระหว่าง พ.ศ. 2444 – 2450 กองทหารฝรั่งเศสได้ต่อสู้กับทหารกบฏของชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษากลุ่มมอญ-เขมร กองทหารจากยูนนานเข้ามาสู้รบกับฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2457 – 2459 นอกจากนั้น ยังต่อสู้กับกองทัพม้งของปา ชายในแขวงหัวพันและเชียงขวาง โดยที่ชาวม้งเหล่านี้ต้องการจัดตั้งราชอาณาจักรม้งที่เป็นเอกราชจากฝรั่งเศส\nกองทัพลาวจัดตั้งโดยฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2484 มีหน้าที่รักษาความสงบภายในจนกระทั่งญี่ปุ่นรุกรานเมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2488 เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ลาว กองทหารเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายไปสู่เขตภูเขา ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพฝรั่งเศสอิสระที่มีฐานที่มั่นในอินเดีย ในขณะเดียวกันมีการจัดตั้งกองทัพลาวอิสระเพื่อเรียกร้องเอกราชและต่อต้านญี่ปุ่น โดยได้รับความช่วยเหลือจากเวียดนาม อาวุธนั้นขโมยมาจากทหารญี่ปุ่น ซื้อมาจากกองทัพจีนคณะชาติที่เข้ายึดครองภาคเหนือของลาว หรือได้มาจากทหารฝรั่งเศส เกิดยุทธการท่าแขกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งลาวอิสระได้สู้รบกับกองทหารฝรั่งเศส สมาชิกลาวอิสระบางส่วนลี้ภัยไปกรุงเทพฯระหว่าง พ.ศ. 2489 – 2492\nฝรั่งเศสได้เข้ามาฝึกและจัดตั้งกองทัพราชอาณาจักรลาวในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 โดยลาวมีทหาร 15,000 คน กองทัพลาวไม่สามารถต้านทานกองทัพเวียดมิญในการรุกรานลาวระหว่าง พ.ศ. 2496 – 2497 ได้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งสหภาพฝรั่งเศสได้สั่งให้กองทหารไปตั้งมั่นที่เดียนเบียนฟูเพื่อไม่ให้เวียดมิญเข้าโจมตีลาว นักรบที่มีประสิทธิภาพของฝ่ายฝรั่งเศสคือนักรบม้งจากเชียงขวาง ที่ฝรั่งเศสจัดตั้งเป็นหน่วยรบแบบกองโจร นำโดยวังเปา หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเจนีวาใน พ.ศ. 2497 ทหารฝรั่งเศสและเวียดมิญได้ถอนตัวออกจากลาว ลาวได้รับความคุ้มครองไม่ให้มีกองทหารต่างชาติ และไม่ให้เข้าร่วมหรือรับความช่วยเหลือทางทหารจากประเทศใด และให้รวมกองทัพปะเทดลาวในหัวพันและพงสาลีเข้ากับกองทัพลาวเพื่อที่จะเข้าถึงชายแดนที่ติดต่อกับเวียดนามเหนือได้\nหลังจากสิ้นสุดสงคราม ลาวได้ออกจากสหภาพฝรั่งเศสและได้เป็นประเทศเอกราช ลาวได้แบ่งเขตทหารออกเป็น 5 เขต การควบคุมกองทัพลาวขึ้นกับกระทรวงกลาโหมที่เวียงจันทน์", "title": "ประวัติศาสตร์การทหารของประเทศลาว" }, { "docid": "72960#40", "text": "สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระพิโรธมากที่ฝ่ายเวียงจันทน์ส่งกองทัพมาฆ่าผู้ที่อยู่ในขอบขัณฑสีมาของพระองค์ กอปรกับพระองค์เองก็ไม่ทรงไว้ใจฝ่ายเวียงจันทน์ที่มีท่าทีฝักใฝ่อาณาจักรพม่าซึ่งยังคงคุกคามฝ่ายสยามอยู่ตลอด ในปี พ.ศ. 2321 พระองค์จึงทรงส่งกองทัพภายใต้การนำของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ขึ้นไปตีอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ โดยไล่ตีมาทางใต้ผ่านทางอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ก่อน ฝ่ายจำปาศักดิ์เห็นว่าจะสู้กองทัพไทยไม่ได้จึงยอมอ่อนน้อมโดยดี จากนั้นจึงยกทัพขึ้นเหนือตีหัวเมืองหน้าด่านของเวียงจันทน์เรื่อยมา จนสามารถหักเอาเมืองเวียงจันทน์ได้สำเร็จ ฝ่ายสยามจึงกวาดต้อนทรัพย์สิน ผู้คน ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ และกุมตัวพระเจ้าศิริบุญสารลงมายังกรุงธนบุรี ด้านอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางซึ่งเป็นอริกับเวียงจันทน์มาตลอดก็ได้ให้ความช่วยเหลือฝ่ายสยามในสงครามครั้งนี้อย่างเต็มที่ แต่พอสิ้นศึกก็ถูกฝ่ายไทยบังคับให้ยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้นด้วยเช่นกัน อาณาจักรล้านช้างทั้งสามแห่งจึงตกเป็นประเทศราชของไทยทั้งหมดในปี พ.ศ. 2321 นี้เอง แม้ต่อมาภายในสยามก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์สู่ราชวงศ์จักรีและย้ายราชธานีมายังกรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ. 2325 ก็ตาม แต่ภาวะความเป็นประเทศราชของทั้งสามอาณาจักรก็มิได้เปลี่ยนแปลง", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "527904#5", "text": "เมื่อ พ.ศ. 2322 อาณาจักรล้านช้างแตกแยกเป็น 3 อาณาจักรแล้วสูญเสียเอกราชตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม ประกอบด้วยเมืองขึ้นต่างๆ ของหัวเมืองลาวกาวเช่น เมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองขุขันธ์ เมืองกมลาสัย เมืองอุบลราชธานี เมืองศรีสะเกษ เมืองภูแล่นช้าง เมืองกาฬสินธุ์ เมืองเขมราฐ เมืองยโสธร เมืองสุวรรณภูมิ เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ และเมืองมหาสารคาม เป็นต้น", "title": "หลวงพิสณฑ์ยุทธการ (ปึก โรจนกุล)" }, { "docid": "289359#12", "text": "นครจำปาศักดิ์และหัวเมืองอันรวมเป็นราชอาณาจักรล้านช้างของชาวลาวตอนใต้ ได้พบกับมรสุมทางการเมืองจากหลายฝ่ายทั้งสยามและฝรั่งเศส จนกระทั่งวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1948 กองประชุมสภาร่วมได้เสนอให้เสด็จเจ้าบุญอุ้มดำรงตำแหน่งประธานสภาร่วม พระองค์ทรงกล่าวคำปราศรัย ณ ที่ประชุม ในคำปราศรัยนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกสูญเสีย ความคับแค้นใจ ความไม่พึงพอใจที่พระองค์ถูกลดฐานะบทบาทในการที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรจำปาศักดิ์ ซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้สถาปนามายาวนานถึง 236 ปี ให้กลายเป็นเพียงเจ้าผู้ครองนครและไร้อำนาจเต็มในการจัดการกับเมืองต่างๆ ที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรจำปาศักดิ์ ดังความว่า", "title": "เจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์" }, { "docid": "1942#4", "text": "ภายหลังเมื่อพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชเสด็จสวรรคตแล้ว เชื้อพระวงศ์ลาวต่างก็แก่งแย่งราชสมบัติกัน จนอาณาจักรล้านช้างแตกแยกเป็น 3 ส่วนคือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเพื่อชิงความเป็นใหญ่ต่างก็ขอสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรเพื่อนบ้าน เช่น ไทย พม่า เพื่อขอกำลังมาสยบอาณาจักรลาวด้วยกันในลักษณะนี้ ในที่สุดอาณาจักรลาวทั้ง 3 แห่งนี้จะตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม ในปี พ.ศ. 2321", "title": "ประเทศลาว" }, { "docid": "53356#2", "text": "อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเพื่อชิงความเป็นใหญ่ต่างก็ขอสวามิภักดิ์ต่อเมืองเพื่อนบ้านเช่นไทย พม่า เพื่อขอกำลังมาสยบอาณาจักรลาวด้วยกัน ในลักษณะนี้ในที่สุดอาณาจักรลาวทั้ง 3 แห่งนี้จะตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรสยามในปี พ.ศ. 2321", "title": "ประวัติศาสตร์ลาว" }, { "docid": "95911#0", "text": "เจ้าอนุวงศ์ หรือ เจ้าอนุ () เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ที่ ๕ หรือพระองค์สุดท้าย ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระมหาวีรกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างและประเทศลาว นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากประชาชนชาวลาวว่า เป็นพระมหากษัตริย์ผู้พยายามกอบกู้เอกราชชาติลาวจากการเป็นประเทศราชของราชอาณาจักรสยาม ทรงปกครองราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ราว พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑ นักประวัติศาสตร์ลาวและไทยนิยมออกพระนามของพระองค์ว่าพระเจ้าไชยเสฏฐาธิราชที่ ๓ หรือ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๓ แต่นักประวัติศาสตร์บางท่านตรวจสอบพระนามตามจารึกต่างๆ โดยละเอียดแล้วได้นับพระองค์เป็นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารผู้เป็นพระราชบิดา และพระเจ้าอินทวงศ์ ผู้เป็นพระราชเชษฐาได้เฉลิมพระนามของทั้งสองพระองค์เองว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชด้วยเช่นกัน ", "title": "เจ้าอนุวงศ์" }, { "docid": "158684#3", "text": "เมื่อสมเด็จพระเจ้าสร้อยศรีสมุทร เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2281 เจ้าไชยกุมารพระราชโอรสจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ แลแต่งตั้งให้เจ้าธัมมเทโว พระราชอนุชาให้เป็นเจ้าอุปราช ต่อมากองทัพไทยได้ยกมาตีเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2321 ได้ยกกองทัพผ่านมาทางเมืองจำปาศักดิ์ และตีเอาเมืองจำปาศักดิ์ได้โดยง่าย เพราะสมเด็จพระเจ้าไชยกุมารยอมออกมาอ่อนน้อมโดยไม่มีการต้อสู้ นครจำปาศักดิ์ที่แยกตัวออกจากเวียงจันทน์และรักษาเอกราชได้เพียง 64 ปี ก็สูญเสียเอกราชให้แก่ฝ่ายไทย เช่นเดียวกับเวียงจันทน์และหลวงพระบาง", "title": "อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์" }, { "docid": "72960#37", "text": "มูลเหตุที่อาณาจักรล้านช้างทั้งสามจะเสียเอกราชให้แก่สยามมาจากความขัดแย้งภายในของอาณาจักรล้านช้าง ระหว่างพระเจ้าศิริบุญสารกษัตริย์เวียงจันทน์กับเจ้าพระวอ เจ้าพระตา สองขุนนางผู้ใหญ่ ทั้งสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน (บางแห่งว่าพระวอเป็นพี่ พระตาเป็นน้อง บางแห่งว่ากลับกัน บางแห่งว่าทั้งสองคนเป็นคนเดียวกันก็มี) มีเชื้อสายเจ้าปางคำเมืองเชียงรุ้ง ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์เวียงจันทน์ให้ตั้งถิ่นฐานที่เมืองหนองบัวลุ่มภูซึ่งเป็นเมืองหน้าด่าน ทั้งสองเคยได้ช่วยเหลือให้พระเจ้าศิริบุญสารได้เสวยราชสมบัติในเวียงจันทน์มาก่อน ต่อมาในปี พ.ศ. 2313 พระเจ้าศิริบุญสารทรงขอตัวลูกสาวของขุนนางทั้งสองทำนองจะเอาไว้เป็นตัวประกัน เจ้าพระวอ เจ้าพระตา ไม่พอใจพระเจ้าศิริบุญสารมาก จึงกลับมาตั้งมั่นเตรียมสู้รบอยู่ที่เมืองหนองบัวลุ่มภู (สาเหตุที่ขัดแย้งกันยังมีต่างออกไปอีกตามหลักฐานแต่ละแห่ง)", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "72960#30", "text": "ในปี พ.ศ. 2250 เจ้ากิ่งกิสราชกับเจ้าองค์คำ พระราชนัดดาของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ที่หนีไปประทับที่เมืองหงสา (อยู่ในแขวงไชยบุรีในปัจจุบัน) ได้ยกทัพเข้ามาชิงเมืองหลวงพระบาง จับเจ้าอุปราชท้าวลองสำเร็จโทษ และเตรียมจะยกทัพเข้าตีกรุงเวียงจันทน์ พระไชยองค์เว้จึงมีพระราชสาส์นไปยังสมเด็จพระเพทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอความช่วยเหลือ ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาจึงไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายให้ยุติการรบและปกปันเขตแดนต่อกัน ทำให้หลวงพระบางกลายเป็นอาณาจักรเอกราชไม่ขึ้นกับเวียงจันทน์มานับแต่นั้น ในยุคนี้จึงนับได้ว่าเป็นยุคที่ลาวแตกแยกเป็น 2 อาณาจักร คือ อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์และอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง ซึ่งเวียงจันทน์ก็เองไม่ไว้ใจและหาทางทำลายฝ่ายหลวงพระบางอยู่ตลอด", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "158684#8", "text": "ผู้ปกครองอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ก่อนปี พ.ศ. 2322 อันเป็นปีที่เสียเอกราชแก่อาณาจักรสยามนั้น มีสถานะเป็นพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรเอกราช นับตั้งแต่ พ.ศ. 2322 เป็นต้นไปถือว่าเป็นเจ้าผู้ครองนคร เนื่องจากสถานะของอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์เป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม ในบางสมัยปรากฏว่าเมื่อเจ้าผู้ครองนครถึงแก่พิราลัย เจ้าอุปราชจะเป็นผู้รักษาราชการไปก่อนจนกว่าจะมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งลงมาจากกรุงเทพมหานคร", "title": "อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์" }, { "docid": "72960#10", "text": "หลังพระยาล้านคำแดงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1971 แล้ว อาณาจักรล้านช้างกลับตกอยู่ในสภาพระส่ำระสาย เพราะอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริงได้ตกอยู่ในมือของพระนางมหาเทวีอามพัน (หรือนางแก้วพิมพา) ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพระยาล้านคำแดง พระองค์ได้ทรงใช้อำนาจที่ทรงมีอยู่แต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองราชอาณาจักรตามอำเภอใจ หากไม่พอใจพระเจ้าแผ่นดินองค์ไหนก็ปลดออกจากตำแหน่งหรือลอบปลงพระชนม์เสีย กษัตริย์ล้านช้างในช่วงนี้จึงไม่มีองค์ใดอยู่ในราชสมบัติได้นานนัก ส่วนมากทรงครองราชย์อยู่ได้ไม่ถึงปี สร้างความปั่นป่วนแก่ราชสำนักและยังความเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดินเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 1981 บรรดาขุนนางทั้งหลายจึงปรีกษากันว่าจะเอาพระนางมหาเทวีไว้ไม่ได้จึงพร้อมในกันจับตัวพระนางสำเร็จโทษ แล้วเชิญพระราชโอรสของพระยาล้านคำแดงขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว อาณาจักรล้านช้างจึงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เป็นการยุติความยุ่งเหยิงซึ่งกินเวลานานถึงสิบกว่าปี", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "537804#0", "text": "พระเจ้าจันทรเทพประภาคุณ มีพระนามเดิมว่า เจ้าจันทราช เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 10 แห่งราชอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง ทรงพระราชสมภพ ณ กรุงเทพมหานคร ราชอาณาจักรสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2383 เป็นพระราชโอรสในเจ้ามันธาตุราชกษัตริย์ล้านช้างหลวงพระบางพระองค์ที่ 8 กับเจ้านางคำมูน พระองค์ทรงเป็นพระอนุชาในเจ้าสุกเสริมกษัตริย์ล้านช้างหลวงพระบางพระองค์ก่อน พระองค์ทรงครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2395 จนกระทั่งถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2414 พระเจ้ามหินทรเทพนิภาธร หรือ \"เจ้าอุ่นคำ\" พระอนุชาของพระองค์สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ รัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงที่ลาวอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม พระราชกรณียกิจสำคัญ อาทิ ปีพ.ศ. 2409 ได้รับพระราชโองการมาณพระสุรสีหนาทในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ให้อัญเชิญพระบาง พระพุทธรูปสำคัญของลาวจากสยามกลับคืนมาประดิษฐานที่หลวงพระบางจนถึงปัจจุบัน, ยกกองกำลังสมทบกองทัพสยามไปตีเมืองเชียงตุงให้มาขึ้นกับสยาม แต่ไม่สำเร็จ, ต้อนรับคณะสำรวจแม่น้ำโขงชาวฝรั่งเศส อองรี มูโอต์ เป็นต้น พระองค์ทรงเป็นปฐมบรรพบุรุษของผู้ใช้สกุล จันทราช ซึ่งทายาทหลายสาขาได้อพยพหนีภัยสงครามและการแย่งอำนาจของสามอาณาจักรของลาวเข้าไปตั้งหลักแหล่งหลายภูมิภาคในสยาม อาทิ บึงกาฬ เลย หนองคาย อุดรธานี อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม โคราช เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง เถินบุรี ตาก นครนายก ปราจีนบุรี ฯลฯ", "title": "พระเจ้าจันทรเทพประภาคุณ" } ]
3457
อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้มออกแบบตัวละครโดยใคร?
[ { "docid": "20631#1", "text": "กำกับและเขียนบทโดยโยชิยูกิ โทมิโนะ มีจำนวนตอนทั้งหมด 50 ตอน ออกแบบตัวละครโดย โยชิคาสึ ยาสุฮิโกะ และออกแบบหุ่นยนต์และแมคคานิคอื่นๆโดย คุนิโอะ โอคาวาระ, มาโมรุ นากาโน่ และคาสุมิ ฟูจิตะ", "title": "โมบิลสูท เซต้ากันดั้ม" } ]
[ { "docid": "57606#0", "text": "RX-77-2 กันแคนน่อน () () เป็นหุ่นยนต์ที่ปรากฏตัวในการ์ตูนญี่ปุ่นอะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทกันดั้ม ออกแบบโดยคุนิโอะ โอคาวาระ", "title": "กันแคนน่อน" }, { "docid": "178088#3", "text": "คิวเบเลย์ปรากฏตัวในช่วงท้ายของโมบิลสูทเซต้ากันดั้มและทำให้โมบิลสูท MSN-00100 เฮียะกุชิกิ ของ ควาโทร บาจีนา クワトロ・バジーナ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งในช่วงท้ายของโมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ซึ่งฮามานได้ใช้คิวเบเลย์ต่อสู้กับ MSZ-010 ดับเบิ้ลเซต้ากันดั้ม และถูกทำลายโดยที่ฮามานไม่ยอมสละเครื่องหนีออกมา", "title": "คิวเบเลย์" }, { "docid": "180134#5", "text": "โมดูลเสริมที่พัฒนาสำหรับใช้ในการเข้าสู่บรรยากาศโลกซึ่งสามารถบรรทุกโมบิลสูทอีกเครื่องไว้ในตัวได้ เมื่อเข้าสู่บรรยากาศโลกแล้วแล้วแดนดีไลอ้อนสามารถปลดชิ้นส่วนสำหรับบรรทุกโมบิลสูทออกและใช้เป็นฐานยืนให้โมบิลสูทเครื่องอื่นบินกลางอากาศ ในสภาพนี้ แดนดีไลอ้อนสามารถกางกรงเล็บออกมากลายเป็นโมบิลอาเมอร์เพื่อทำการต่อสู้เองได้ เมื่อปลดเกราะกันความร้อนซึ่งใช้ในขณะเข้าสู่บรรยากาศออกไปก็จะกลายเป็นร่างโมบิลสูทสำหรับใช้ในการต่อสู้ภาคพื้นดิน โดยมีส่วนลำตัวของโรเซ็ตโผล่มาใช้แกนของเกราะกันความร้อนเป็นโล่และกรงเล็บจะกลายเป็นเท้า กลไกการแปลงร่างของแดนดีไลอ้อนนั้นคล้ายคลึงกับโมบิลสูท NRX-055 บาวด็อค ในโมบิลสูทเซต้ากันดั้มมาก", "title": "มาราไซ" }, { "docid": "77564#0", "text": "MSZ-006 เซต้ากันดั้ม (; English: Z Gundam) เป็นโมบิลสูทตัวเอกเครื่องที่สองของการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้มและมีบทบาทสำคัญต่อมาในโมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดยคาซุมิ ฟุจิตะ คำว่า<i data-parsoid='{\"dsr\":[839,848,2,2]}'>เซต้า</i>ในชื่อเซต้ากันดั้มมาจากอักษรกรีก(ζ) ซีต้า", "title": "เซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "208184#0", "text": "PMX-003 ธิโอ ( ;) เป็นโมบิลสูทตัวร้ายซึ่งมีบทบาทสำคัญในอะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้ม ออกแบบโดยมาโคโตะ โคบายาชิ", "title": "ธิโอ" }, { "docid": "198195#0", "text": "NZ-000 ควีนมันธา ( ;) เป็นโมบิลสูทตัวร้ายซึ่งมีบทบาทสำคัญในอะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทกันดั้มดับเบิลเซต้า ออกแบบโดยมิกะ อาคิทากะ", "title": "ควีนมันธา" }, { "docid": "180134#0", "text": "RMS-108 มาราไซ(ญี่ปุ่น:\"マラサイ\" ;อังกฤษ:Marasai)เป็นโมบิลสูทตัวประกอบที่มีบทบาทในการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้ม ออกแบบโดย มาโคโตะ โคบายาชิ", "title": "มาราไซ" }, { "docid": "201788#2", "text": "เนื่องจากเป็นโมบิลสูทที่มีพลังในการต่อสู้สูงมาก โดเวนวูล์ฟจึงได้รับเลือกเป็นโมบิลสูทรุ่นผลิตจำนวนมากแทนซาคุทรีและนับเป็นโมบิลสูทรุ่นผลิตจำนวนมากซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในขณะนั้น เมื่อเกรมี่ โตโต้ได้ก่อกบฏเพื่อชิงอำนาจจากฮามาน คานนั้น โดเวนวูล์ฟเป็นโมบิลสูทของหน่วยสเปซวูล์ฟที่มีราคัน ดาคารันเป็นหัวหน้าหน่วย ซึ่งหน่วยสเปซวูล์ฟได้สังหารหัวหน้าหน่วยรอยัลการ์ด คาร่า ซูน และ มัชชิมา เซโลที่ยังภักดีต่อฮามานได้ แต่ในที่สุดราคันเองก็ถูกดับเบิ้ลเซต้ากันดั้มของจูโด อชิตะทำลาย", "title": "โดเวนวูล์ฟ" }, { "docid": "196411#0", "text": "MRX-009 ไซโคกันดั้ม ( ;) เป็นโมบิลอาเมอร์ตัวร้ายซึ่งมีบทบาทสำคัญในอะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้ม ออกแบบโดยคาซุมิ ฟุจิตะ", "title": "ไซโคกันดั้ม" }, { "docid": "15491#0", "text": "RX-78-2 กันดั้ม () () เป็นโมบิลสูทตัวเอกของการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทกันดั้ม ออกแบบโดยคุนิโอะ โอคาวาระ", "title": "กันดั้ม (โมบิลสูท)" }, { "docid": "201788#0", "text": "AMX-014 โดเวนวูล์ฟ (ญี่ปุ่น:\"ドーベン・ウルフ\" ;อังกฤษ:Doven Wolf) เป็นโมบิลสูทตัวประกอบที่มีบทบาทในการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดย มิกะ อาคิทากะ", "title": "โดเวนวูล์ฟ" }, { "docid": "201770#2", "text": "เมสซาลาปรากฏตัวในตอนที่10ของโมบิลสูทเซต้ากันดั้มและเป็นโมบิลสูทแบบแปลงร่างได้ตัวแรกที่ปรากฏตัวในเรื่อง โดยซีร็อคโคได้ใช้เมสซาลาโจมตีกระสวยอวกาศ \"เทมป์เทชัน\" ของไบรท์ โนอา และต่อมาได้เข้าโจมตีกลุ่มต่อต้านสหพันธ์ขณะลงสู่โลกเพื่อโจมตีกองบัญชาการหลักที่จาบุโร ซึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ซีร็อคโคได้ทำลายศัตรูไปมากมาย รวมถึงจมยานประจัญบานชั้นซาลามิสได้และตัดแขน RMS-099 ริคดิแอส ของเอมม่า ชีนขาดด้วย แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการลงสู่โลกของกลุ่มต่อต้านได้เพราะเมสซาลาไม่มีระบบที่ใช้ป้องกันความร้อนขณะเข้าสู่บรรยากาศของโลกจึงไม่สามารถติดตามพวกของคามิว บีดันลงไปยังโลกได้", "title": "เมสซาลา" }, { "docid": "77564#3", "text": "เซต้ากันดั้มได้รับการประจำการบนยานอากาม่าโดยเป็นโมบิลสูทประจำตัวของคามิว บีดันตลอดช่วงศึกกรีปส์ ในช่วงสงครามนีโอซีอ้อนครั้งที่หนึ่งซึ่งคามิวอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมโมบิลสูทได้อีก เซต้ากันดั้มซึ่งยังประจำการบนยานอากาม่าได้เป็นโมบิลสูทของนักบินรุ่นใหม่ คือจูโด้ อาชิตะและต่อมาได้เปลี่ยนไปให้ลู ลูก้า", "title": "เซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "113509#0", "text": "MSZ-010 ดับเบิ้ลเซต้ากันดั้ม ( ; ) เป็นโมบิลสูทตัวเอกของการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดยมาโคโตะ โคบายาชิ คำว่า\"เซต้า\"ในชื่อดับเบิ้ลเซต้ากันดั้มมาจากอักษรกรีก(ζ) \"ซีต้า\" และยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าทีต้ากันดั้ม ตามอักษรกรีก(Θ) \"ทีต้า\"", "title": "ดับเบิ้ลเซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "189385#5", "text": "รุ่นพัฒนาของกันแทงก์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ \"โมบิลสูทวาริเอชัน\" และต่อมาได้ปรากฏตัวในอะนิเมะ โมบิลสูทเซต้ากันดั้มออกแบบโดยคุนิโอะ โอคาวาระ กันแทงก์ทูว์นั้นมีลักษณะที่คล้ายรถถังมากกว่าเดิมและใช้นักบินในการควบคุมสองคนเหมือนกันแทงก์ โดยห้องควบคุมของพลขับจะย้ายไปอยู่ที่ฐานซึ่งปลอดภัยกว่าเดิม ส่วนลำตัวและหัวของกันแทงก์ทูว์สามารถหมุนได้โดยอิสระ ซึ่งปืนใหญ่ของกันแทงก์ทูว์จะติดไว้กับหัวเพื่อให้ปรับทิศทางการยิงได้ง่ายขึ้นและส่วนแขนแบบโมบิลสูทกลายเป็นมิสไซล์ลันเชอร์และร็อคเก็ตลันเชอร์ซึ่งติดตั้งแบบตายตัว", "title": "กันแทงก์" }, { "docid": "201770#0", "text": "PMX-000 เมสซาลา ( ;) เป็นโมบิลสูทตัวร้ายซึ่งมีบทบาทสำคัญในอะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้ม ออกแบบโดยคาซุมิ ฟุจิตะ", "title": "เมสซาลา" }, { "docid": "31492#2", "text": "ในโมบิลสูทกันดั้ม ตอนที่แปด มีแสตมป์ที่ระบุปี 2079 และในโมบิลสูทเซต้ากันดั้มมีแสตมป์ซึ่งระบุปี 2088 ซึ่งหมายความว่าศักราช UCที่หนึ่งนั้นเริ่มในปีคริสต์ศักราช 2001 แต่ในฉบับตัดต่อใหม่เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ของทั้งสองภาคไม่มีฉากเหล่านี้", "title": "ยูนิเวอร์แซลเซนจูรี" }, { "docid": "189385#0", "text": "RX-75-4 กันแทงก์ (ญี่ปุ่น:\"ガンタンク\" ;อังกฤษ:Guntank)เป็นหุ่นยนต์ที่ปรากฏตัวในการ์ตูนญี่ปุ่นอะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทกันดั้ม ออกแบบโดยคุนิโอะ โอคาวาระ รถปืนต่อต้านอากาศยานรุ่น87ของกองกำลังป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นนั้น มีชื่อเล่นที่ทหารเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่ากันแทงก์", "title": "กันแทงก์" }, { "docid": "77468#0", "text": "RX-178 กันดั้มมาร์คทูว์ () () เป็นโมบิลสูทตัวเอกเครื่องแรกของการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูท เซต้ากันดั้มและมีบทบาทในฐานะโมบิลสูทตัวประกอบในโมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดยคุนิโอะ โอคาวาระ, มาโมรุ นากาโนะและคาซึมิ ฟุจิตะ", "title": "กันดั้มมาร์คทูว์" }, { "docid": "113509#3", "text": "จูโด้ อาชิตะได้รับดับเบิ้ลเซต้ากันดั้มเป็นโมบิลสูทประจำตัวหลังจากที่ส่วนหัวของเซต้ากันดั้มถูกทำลายในการต่อสู้กับ \"AMX-103 ฮัมมาฮัมมา\"ของมัชชิม่า เซโล", "title": "ดับเบิ้ลเซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "77564#1", "text": "เซต้ากันดั้มเป็นโมบิลสูทสำคัญที่พัฒนาโดยบริษัทแอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกตามโครงการ<b data-parsoid='{\"dsr\":[993,1012,3,3]}'>โปรเจกต์เซต้า</b>เพื่อพัฒนาโมบิลสูทที่สามารถแปลงร่างได้ ในช่วงแรกของการพัฒนาเซต้ากันดั้มนั้นประสพปัญหาสำคัญที่โครงสร้างซึ่งใช้กับโมบิลสูทโดยทั่วไปนั้นไม่สามารถใช้การได้ จนกระทั่งได้โครงสร้างแบบ<i data-parsoid='{\"dsr\":[1188,1206,2,2]}'>มูฟเอเบิ้ลเฟรม</i>ของกันดั้มมาร์คทูว์มาศึกษา ซึ่งในขณะนั้นคามิล บีดันนักบินของกลุ่มต่อต้านสหพันธ์โลกซึ่งเป็นอดีตผู้ชนะการแข่งขันออกแบบจูเนียร์โมบิลสูทได้ออกแบบเซต้ากันดั้มไว้เป็นโมบิลสูทในจินตนาการ แต่อัสโตนาจิ เมดอสโซ วิศวกรประจำยานอากาม่าได้นำมาปรับปรุงแล้วส่งไปให้แอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกพิจารณาและกลายเป็นรูปแบบของเซต้ากันดั้มที่สมบูรณ์", "title": "เซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "77564#17", "text": "รุ่นต้นแบบของเซต้ากันดั้มที่ไม่สามารถแปลงร่างได้เพราะโครงสร้างที่ใช้ไม่สามารถทนแรงกดดันที่เกิดจากกลไกการแปลงร่างได้ เซต้ากันดั้มรุ่นต้นแบบมีสามเครื่อง โดย MSZ-006-X1 มีส่วนหัวแบบเฮียะกุชิกิ MSZ-006-X2 ใช้หัวแบบริคดิแอส และ MSZ-006-X3ใช้หัวแบบนีโม เซต้ากันดั้มรุ่นต้นแบบเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ต้นฉบับ เซต้ากันดั้ม โมบิลสูทวาริเอชั่น ออกแบบโดย คาซุมิ ฟุจิตะ", "title": "เซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "77564#8", "text": "โมบิลสูทแบบแปลงร่างได้ที่พัฒนาต่อมาจากเซต้ากันดั้มเพื่อเน้นการใช้งานในอวกาศโดยเฉพาะ โครงสร้างของแซดทูว์เปลี่ยนจากแบบเซต้ากันดั้มไปเป็นแบบ MSA-005 เมธัส</i>และไม่มีไบโอเซนเซอร์เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ร่างโมบิลอาเมอร์ของแซดทูว์ไม่สามารถบินในบรรยากาศโลกได้จึงไม่มีพลังก์อาเมอร์สำหรับใช้ป้องกันความร้อนขณะเข้าสู่บรรยากาศโลก แต่มีความเร็วที่สูงกว่าโหมดเวฟไรเดอร์ของเซต้ากันดั้มเมื่อใช้ในอวกาศ ปืนเมก้าบีมไรเฟิลซึ่งเป็นอาวุธหลักของแซดทูว์มีอานุภาพใกล้เคียงกับไฮเปอร์เมก้าลันเชอร์ของเซต้ากันดั้ม แอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกได้เสนอขายแซดทูว์ให้กับกลุ่มต่อต้านสหพันธ์โลกพร้อมกับ MSZ-010 ดับเบิ้ลเซต้ากันดั้ม แต่ถูกปฏิเสธไม่ซื้อจึงไม่มีการสร้างใช้งาน", "title": "เซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "178088#0", "text": "AMX-004 คิวเบเลย์ หรือ คิวเบเรย์ ( ; ) เป็นโมบิลสูทฝ่ายเนโอซีออนที่มีบทบาทสำคัญในการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้มและโมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดย มาโมรุ นากาโนะ นอกจากนั้นยังมีรหัสเครื่องอีกแบบว่า MMS-3", "title": "คิวเบเลย์" }, { "docid": "202181#10", "text": "ปรากฏตัวในดีไซน์ต้นฉบับ \"โมบิลสูทวาริเอชัน\" เป็นกูฟที่ได้รับการดัดแปลงเพื่อให้สามารถบินได้ โดยติดแบ็คแพ็คสำหรับควบคุมทิศทางกลางอากาศเข้าไปและติดเครื่องยนต์เจ็ตไว้ที่ขาทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้างของรุ่นนี้จะเป็นปืนกลติดนิ้ว 75 มม.และมีตลับกระสุนขนาดใหญ่เหมือนกูฟรุ่นติดอาวุธหนัก กูฟรุ่นทดลองบินเป็นรุ่นที่มีปัญหามากที่สุดและได้รับการแก้ไขจนกระทั่งรุ่น MS-07H-4 ซึ่งใช้เครื่องยนต์แบบใหม่ได้เกิดขัดข้องและระเบิดกลางอากาศขณะทดสอบ ทำให้โครงการนี้ถูกระงับไป แต่กระนั้นในอะนิเมะภาคโมบิลสูทเซต้ากันดั้มก็ยังมี MS-07H ที่ใช้งานโดยสหพันธ์โลกปรากฏตัวในการต่อสู้ที่จาบุโร ออกแบบโดยคุนิโอะ โอคาวาระ และในภาคโมบิลสูทกันดั้ม 08th ทีมก็ยังมี MS-07H8 ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงที่ใช้รูปแบบของ MS-07B-3 แทนออกมาด้วย ซึ่งรุ่นนี้ออกแบบโดยฮาจิเมะ คาโทกิ", "title": "กูฟ" }, { "docid": "20631#7", "text": "ตัวเอกของโมบิลสูทเซต้ากันดั้มเมื่อเริ่มเรื่องได้มีปัญหากับเจริดของ Titans ส์ซึ่งส่งผลให้คามิวทำการช่วยควาโทร บาจินาในการขโมยกันดั้มมาร์คทู และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ A.E.U.G.", "title": "โมบิลสูท เซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "179754#0", "text": "RMS-106 ไฮแซ็ค(ญี่ปุ่น:\"ハイザック\" ;อังกฤษ:Hi-Zack)เป็นโมบิลสูทตัวประกอบที่มีบทบาทในการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้มและโมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดย คุนิโอะ โอคาวาระ", "title": "ไฮแซ็ค" }, { "docid": "183655#0", "text": "AMX-011 ซาคุทรี หรือ แซ็คทรี ( ; ) เป็นโมบิลสูทตัวประกอบที่มีบทบาทในการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดย โอดะ มาสะฮิโระ ชื่อซาคุทรียังเป็นชื่อเล่นของเกลกุ๊กรุ่นทดลองที่ปรากฏในดีไซน์ต้นฉบับชุด \"โมบิลสูทคอลเลคชันของคุนิโอะ โอคาวาระ\" แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันนอกจากเป็นโมบิลสูทที่พัฒนาต่อมาจากซาคุทูว์", "title": "ซาคุทรี" }, { "docid": "77564#4", "text": "โมบิลสูทแบบแปลงร่างได้ซึ่งพัฒนาต่อมาจากเซต้ากันดั้มซึ่งมีบทบาทสำคัญในนิยายกันดั้มเซนติเนลและนับเป็นรุ่นผลิตจำนวนจำกัดของเซต้ากันดั้ม แซดพลัสซีรีส์ได้รับการออกแบบโดยฮาจิเมะ คาโทกิ", "title": "เซต้ากันดั้ม" }, { "docid": "106271#0", "text": "MSN-00100 เฮียะกุชิกิ(ญี่ปุ่น:\"百式\" ;อังกฤษ:Hyaku Shiki)เป็นโมบิลสูทที่มีบทบาทสำคัญในการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้มและโมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดย มาโมรุ นากาโนะ ชื่อเฮียะกุชิกิแปลว่า \"แบบที่100\"", "title": "เฮียะกุชิกิ" } ]
3265
ครุฑ เป็นสัตว์กึ่งเทพที่มีจริงหรือไม่ ?
[ { "docid": "174958#1", "text": "พ.ศ. 2474 ได้มีผู้ขุดพบพระพุทธรูป \"พระพนัสบดี\" ในบริเวณตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เป็นพระพุทธรูปจำหลักจากศิลาดำเนื้อละเอียด นักโบราณคดีกำหนดว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี พระพุทธรูปที่มีลักษณะเช่นพระพนัสบดีนี้ มีอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครหลายองค์ ทุกองค์งามสู้พระพนัสบดีองค์ที่ขุดพบนี้ไม่ได้ พระพนัสบดีมีพุทธลักษณะแปลกกว่าพระพุทธรูปอื่นๆ คือ เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนบนดอกบัว ยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ จีบพระองคุลีพระหัตถ์ทั้งสอง เช่น พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา บนฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองมีลายธรรมจักร เบื้องพระปฤษฎางค์มีประภามณฑล ประทับยืนบนสัตว์พาหนะที่แปลกพิเศษกว่าสัตว์ทังหลาย เป็นภาพสัตว์ที่เกิดจากจินตนาการประติมากรผู้สร้างพระพุทธรูป คือ นำโค ครุฑ หงส์ มารวมเป็นสัตว์ตัวเดียวกัน สัตว์นั้นหน้าเป็นครุฑ เขาเป็นโค ปีกเป็นหงส์ โค ครุฑ หงส์ เป็นพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวรทรงโค พระนารายณ์ทรงครุฑ พระพรหมทรงหงส์ เมื่อรวมเข้ากันจึงเป็นสัตว์พิเศษที่มีเขาเป็นโค มีจะงอยปากเป็นครุฑ และมีปีกเป็นหงส์ ผู้สร้างอาจหมายถึงพระพุทธเจ้าอาศัยศาสนาพราหมณ์เป็นพาหนะ ในการประกาศพระศาสนา หรือหมายถึงพระพุทธเจ้าทรงชัยชนะแล้วซึ่งศาสนาพราหมณ์ก็ได้ พระพนัสบดีที่ขุดพบนี้ สูง 45 เซนติเมตร ครั้งเมื่อพระยาพิพิธอำพลเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี", "title": "พระพนัสบดี" } ]
[ { "docid": "16614#30", "text": "ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด และก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า \"ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า\" และจึงเรียกการบวชนี้ว่า \"บวชนาค\"", "title": "นาค" }, { "docid": "8152#12", "text": "ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้ และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกันเทวดา แต่ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ บางประเภทถ้าผูกเวรกับนาค ก็จะกินนาคเป็นอาหาร หรือถ้าผูกเวรกับสัตว์นรกในยมโลก ก็จะสมัครใจไปเป็นนายนิรยบาลลงทัณฑ์สัตว์นรก", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "260653#0", "text": "แพน (, ) เป็นเทพเจ้าในเทพปกรณัมกรีกที่คู่กับนิมฟ์ เป็นเทพเจ้าแห่งคนเลี้ยงแกะและฝูงแกะ ป่าเขา การล่าสัตว์ และดนตรีพื้นเมือง ชื่อของเทพแพนมาจากภาษากรีก “paein” ที่แปลว่า “ในท้องทุ่ง” (to pasture) ลักษณะของแพนเป็นกึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ที่เดินบนขาหลัง มีเขาเหมือนแพะ ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายฟอน (faun) หรือ ซาไทร์ แพนทรงพำนักอยู่ในอาร์เคเดียเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทุ่ง ป่าโปร่ง และลำธารน้ำในป่าโปร่ง และเป็นผู้มีความเกี่ยวพันธ์กับการเจริญพันธุ์ (fertility) และฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนั้นกรีกโบราณก็ยังเห็นว่าแพนทรงเป็นเทพเจ้าแห่งการวิพากษ์นาฏกรรม\nแพนเทียบเท่ากับฟอนัส (Faunus) ในเทพปกรณัมโรมัน ผู้เป็นพระบิดาของโบนาเดีย (Bona Dea) เทพเจ้าแห่งการเจริญพันธุ์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 แพนกลายมาเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญของขบวนการจินตนิยมของยุโรปตะวันตกและในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในขบวนการของลัทธิเพกันใหม่", "title": "แพน (เทพปกรณัม)" }, { "docid": "119217#5", "text": "\"ปักษาวายุ\" เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟทริลเลอร์ ที่นับเป็นเรื่องแรกของไทยที่ถ่ายทำในระบบดิจิตอล เหมือนกับภาพยนตร์ระดับโลกหลาย ๆ เรื่อง และจัดเป็นภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์เรื่องแรกของไทย ที่สร้างตัวสัตว์ประหลาด คือ ครุฑ จากวรรณคดีของไทยหลายเรื่อง และเป็นผลงานการแสดงครั้งแรกของซาร่า เล็กจ์ ", "title": "ปักษาวายุ" }, { "docid": "204379#1", "text": "อินุยาฉะ () ออกเสียงตามอักษรโรมันว่า Inuyasha) คือ พระเอกในหนังสือการ์ตูน (มังงะ) และภาพยนตร์ชุดการ์ตูนแอนิเมชัน (อะนิเมะ) เรื่อง \"อินุยาฉะ เทพอสูรจิ้งจอกเงิน\" สร้างสรรค์โดย รูมิโกะ ทาคาฮาชิ (Rumiko Takahashi) อินุ แปลว่า สุนัข และ ยาฉะ ต้นกำเนิดคำนี้คือ ยักษา แต่จะไม่ใช้คำแปลตรงตัวนี้โดยตรงเพราะระหว่างขั้นตอนกลมกลืนของการรับวัฒนธรรมนั้นมีการปรับปรุงทำให้คำๆนี้ส่วนหนึ่งแปรจากความหมายเดิม แต่ ยาฉะ คำนี่มีจุดร่วมที่ได้ความหมายเป็นสถานะในชั้นภูมิของเผ่าพันธุ์ คือ “อสูรกึ่งเทพ” หรือ “เทพอสูร” ดังนั้น คำว่า อินุยาฉะ อนุมานแปลได้ว่า \"สุนัขอสูรกึ่งเทพ\" หรือ \"เทพอสูรสุนัข\"", "title": "อินุยาฉะ (ตัวละคร)" }, { "docid": "351941#7", "text": "1. \"กรณีศึกษา เรื่อง กฎแห่งกรรม\" ซึ่งเป็นกรณีศึกษาของบุคคลจริงที่ส่งเรื่องราวของตนเองและครอบครัวถึงพระเทพญาณมหามุนี ด้วยต้องการทราบถึงบุพพกรรมและปรโลกของบุคคลเหล่านั้น โดยพระเทพญาณมหามุนีเรียกวิธีการที่ทำให้ทราบบุพพกรรมและปรโลกของบุคคลเหล่านั้น ว่า \"ฝันในฝัน\" ตามอย่างคำกล่าวของ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงสมาธิชั้นสูงและการใช้วิชชาธรรมกายเพื่อศึกษาความเป็นมาเป็นไปของสรรพสัตว์", "title": "โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา" }, { "docid": "65682#17", "text": "นอกจากรูปประติมากรรมพระโพธิสัตว์ 3 องค์สำคัญในลัทธิวัชรยานของกัมพูชา ได้แก่ พระโลเกศวรสี่กร พระวัชรสัตว์นาคปรกและพระนางปรัชญาปารมิตา และรูปเคารพพระโลเกศวรเปล่งรัศมี ที่เป็นตัวยืนยันว่าโบราณสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แล้ว ยังมีประติมากรรมหัวสะพานรูปครุฑยุดนาค ที่เป็นเอกลักษณ์ของการสร้างปราสาทในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างหัวสะพานของปราสาทบายน ที่เป็นรูปครุฑยุดนาคเช่นกัน ดังนั้นแสดงว่าประติมากรรมที่พบนี้ มีอายุเวลาร่วมสมัยกับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ", "title": "วัดกำแพงแลง" }, { "docid": "142608#24", "text": "นอกจากนี้ยังมีพระวิหารหลวง ประดิษฐานพระประธานทรงเครื่องสมัยอยุธยา เป็นพระวิหารที่สวยงามแปลกตาเนื่องจากไม่มีไขราหน้าบัน ส่วนช่อฟ้าและหางหงส์เป็นปูนปั้นเทพชุมนุม มีภาพใบหน้ายักษ์คั่นกลาง ใบระกาเป็นลายกนก ปูนปั้นที่หน้าบันทำเป็นสองตอน ตอนบนเป็นภาพนารายณืสี่กรทรงครุฑ ประกอบด้วยลายกนกก้านขด ออกช่อเป็นครุฑร่ายรำตอนล่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว มีภาพเทพพนมนั่งเรียงกันเป็นแถว ซุ้มประตูปั้นเป็นภาพเทวดา ยักษ์และสัตว์หิมพานต์ ส่วนซุ้มหน้าต่างแต่ละซุ้มมีลวดลายไม่ซ้ำกัน ภายในมีภาพจิตรกรรมสีฝุ่นเต็มผนังทั้งสี่ด้าน สีสันแจ่มชัด เป็นฝีมือการเขียนภาพของศิลปินเมืองเพชรที่มีชื่อเสียง 3 ท่าน ได้แก่ ครูหวน ตาลวันนา, ครูเลิศ พ่วงพระเดช และนายพิณ อินฟ้าแสง นอกจากนี้บริเวณลานด้านหน้าพระวิหารหลวง ในบางโอกาสอาจได้ยินเสียงปี่พาทย์ เสียงตีกรับ และเสียงบอกบทของละครชาตรี ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน", "title": "เทศบาลเมืองเพชรบุรี" }, { "docid": "47881#1", "text": "ท้าวพรหมทัตกษัตริย์แห่งนครพาราณสีแม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็มีพระมเหสีรูปงามกลิ่นกายหอมชื่อว่านางกากี พระองค์รักและหลงใหลนางกากี ไม่ให้มหาดเล็ก คนสนิทที่เป็นชายเข้าใกล้หรือได้เห็นนางยกเว้นที่จำเป็นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งในหนุ่มคนสนิทที่สามารถเข้าใกล้นางกากีได้คือ “นาฏกุเวร” ผู้เป็นคนธรรพ์รูปงามมีหน้าที่บรรเลงดนตรี แต่งกลอน ขับกล่อม\nให้แก่ท้าวพรหมทัต ในยามที่พระองค์เล่นสกากีฬาโปรดปรานกับพระสหายสนิท ตามปกติคนธรรพ์เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดาที่มีความสามารถสูง ยิ่งเป็นนาฏกุเวรผู้มีความเปรื่องปราชญ์ก็ยิ่งเป็นที่รักใคร่ไว้วางพระทัยของท้าวพรหมทัต นอกจากพระประยูรญาติที่ท้าวพรหมทัตโปรดให้เล่นสกาด้วยแล้ว พระองค์มีสหายสนิทผู้มีความลึกลับที่มีฝีมือการทอดสกาเทียบเท่าพระองค์นามว่าเวนไตย เวนไตยเป็นพญาครุฑที่มีวิมานชื่อฉิมพลี ตั้งอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุเหนือดงงิ้ว ผู้มีร่างมาเป็นมานพรูปร่างสง่างามในเมืองมนุษย์ เวนไตยไม่ยอมบอกว่าตัวเองมาจากที่ไหน แต่ก็มาเล่นสกากับท้าวพรหมทัตอย่างสม่ำเสมอทุกๆ เจ็ดวัน", "title": "กากีกลอนสุภาพ" }, { "docid": "41285#2", "text": "หัวโขนคนธรรพ์ ประกอบด้วยเทพคนธรรพ์และคนธรรพ์ หัวโขนพญาปักษา ประกอบด้วยพญาครุฑ พญาสัมพาที พญาสดายุ และหัวโขนแบบเบ็ดเตล็ด ประกอบด้วยหัวสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น และอาจแบ่งตามประเภทของหัวโขนที่ใช้สวมอย่างละ 2 ประเภทคือ ยักษ์ยอด ยักษ์โล้น ลิงยอดและลิงโล้น นอกจากนี้ยังแบ่งตามชนิดของมงกุฎ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป แบ่งเป็นฝ่ายลงกาคือ มงกุฎยอดกระหนก มงกุฎยอดจีบ มงกุฎยอดหางไก่ มงกุฎยอดน้ำเต้า มงกุฎยอดน้ำเต้ากลม มงกุฎยอดน้ำเต้าเฟื่อง มงกุฎยอดกาบไผ่ มงกุฎยอดสามกลีบ มงกุฎยอดหางไหล มงกุฎยอดนาคา มงกุฎตามหัวหรือหน้า พวกไม่มีมงกุฎ พวกหัวโล้น พวกหัวเขนยักษ์หรือพลทหารยักษ์และตัวตลกฝ่ายยักษ์ ", "title": "หัวโขน" }, { "docid": "730786#3", "text": "เวลาผ่านไปไม่ถึงวัน มนุษย์กึ่งเทพทั้งสามถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจเพื่อช่วยเหลือเฮรา เทพีซึ่งถูกยักษ์ลักพาตัวไป ทั้งสามออกเดินทางโดยขี่หลังมังกรซึ่งมีนามว่าเฟสตัส (มาจากภาษาละติน แปลว่า มีความสุข) ซึ่งลีโอเป็นผู้เจอมันและซ่อมแซมมันเองกับมือ ทั้งสามเดินทางไปรัฐควิเบก, ประเทศแคนาดาเป็นที่แรก ซึ่งพวกเราได้พบกับเทพเจ้าแห่งลมประจำทิศเหนือนามว่าโบเรียส ไพเพอร์ค้นพบความจริงว่าเธอสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ และเธอได้สนทนากับเทพโบเรียส, บุตรของเขา และธิดาของเขานามว่าคีโอนี หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินทางมาทางใต้ ซึ่งเฟสตัสพุ่งชนอะไรบางอย่างอย่างเป็นปริศนา ทิ้งให้มนุษย์กึ่งเทพทั้งสามต้องสำรวจโรงงานร้าง ในขณะที่ลีโอออกไปตามหาเฟสตัส เจสันอยู่ในโรงงานร้างกับไพเพอร์ ซึ่งข้อเท้าของเธอบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เธอพยายามรักษาตัวเองด้วยแอมโบรเซียและเน็กทาร์ ซึ่งเป็นอาหารของเหล่าเทพ ในขณะที่เจสันออกไปสำรวจ เขาไม่กลับมา ไพเพอร์รู้สึกสงสัยและถูกจับกุมตัวโดยเหล่าไซคลอปส์ทั้งสาม โดยเจสันเองก็ถูกจับกุมตัวด้วย ลีโอแอบย่องเข้ามาในโรงงานและทำลายเหล่าไซคลอปส์ด้วยเครน ทำให้ไพเพอร์กับเจสันซึ่งหมดสติอยู่นั้นปลอดภัย ลีโอซ่อมแซมเฟสตัส และเมื่อทั้งสามพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อหาสถานที่พักแรม ลีโอพบท่อระบายน้ำที่สามารถใช้เป็นที่พักแรมได้ แต่พวกเขากลับพบร้านค้าอันแปลกประหลาด และพบโค้ชเฮจถูกขังอยู่ในกรงในสภาพตัวแข็ง ในที่สุดพวกเขาก็พบว่าร้านค้าแห่งนี้ถูกปกครองโดยแม่มดนามว่ามีเดีย ซึ่งพยายามฆ่าเด็กทั้งสามด้วยยาพิษ ทั้งสามหนีออกมาได้หลังจากต่อสู้อยู่นาน ทิ้งให้มีเดียอยู่ในซากปรักหักพังของอาคารที่กำลังถูกเพลิงไหม้ ทั้งสามขี่เฟสตัสออกมาและมองหาพื้นที่ที่กว้างพอที่จะลงจอด แต่โชคไม่ดีที่ที่ดินที่ทั้งสามลงจอดนั้นถูกติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยด้วยเลเซอร์ ทำให้เฟสตัสแหลกเป็นชิ้น ๆ ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้การได้อีกต่อไป ลีโอรู้สึกเศร้าเสียใจมากที่ต้องสูญเสียเพื่อนมังกรของเขาไป ทั้งสามตัดสินใจเข้าไปในคฤหาสน์หลังที่อยู่ข้าง ๆ ที่เดินซึ่งเฟสตัสลงจอด และผล็อยหลับไป ทั้งสามสะดุ้งตื่นและพบกับชายคนหนึ่งซึ่งเขาคือกษัตริย์ไมดาส ซึ่งมีพลังอำนาจในการเปลี่ยนสิ่งของทุกอย่างบนโลกนี้ให้เป็นทองคำ ไมดาสเปลี่ยนไพเพอร์กับลีโอให้เป็นทองคำทันที", "title": "วีรบุรุษผู้สาบสูญ" }, { "docid": "741685#4", "text": "เวลาผ่านไปไม่ถึงวัน มนุษย์กึ่งเทพทั้งสามถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจเพื่อช่วยเหลือเฮรา เทพีซึ่งถูกยักษ์ลักพาตัวไป ทั้งสามออกเดินทางโดยขี่หลังมังกรซึ่งมีนามว่าเฟสตัส (มาจากภาษาละติน แปลว่า มีความสุข) ซึ่งลีโอเป็นผู้เจอมันและซ่อมแซมมันเองกับมือ ทั้งสามเดินทางไปรัฐควิเบก, ประเทศแคนาดาเป็นที่แรก ซึ่งพวกเราได้พบกับเทพเจ้าแห่งลมประจำทิศเหนือนามว่าโบเรียส ไพเพอร์ค้นพบความจริงว่าเธอสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ และเธอได้สนทนากับเทพโบเรียส, บุตรของเขา และธิดาของเขานามว่าคีโอนี หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินทางมาทางใต้ ซึ่งเฟสตัสพุ่งชนอะไรบางอย่างอย่างเป็นปริศนา ทิ้งให้มนุษย์กึ่งเทพทั้งสามต้องสำรวจโรงงานร้าง ในขณะที่ลีโอออกไปตามหาเฟสตัส เจสันอยู่ในโรงงานร้างกับไพเพอร์ ซึ่งข้อเท้าของเธอบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เธอพยายามรักษาตัวเองด้วยแอมโบรเซียและเน็กทาร์ ซึ่งเป็นอาหารของเหล่าเทพ ในขณะที่เจสันออกไปสำรวจ เขาไม่กลับมา ไพเพอร์รู้สึกสงสัยและถูกจับกุมตัวโดยเหล่าไซคลอปส์ทั้งสาม โดยเจสันเองก็ถูกจับกุมตัวด้วย ลีโอแอบย่องเข้ามาในโรงงานและทำลายเหล่าไซคลอปส์ด้วยเครน ทำให้ไพเพอร์กับเจสันซึ่งหมดสติอยู่นั้นปลอดภัย ลีโอซ่อมแซมเฟสตัส และเมื่อทั้งสามพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อหาสถานที่พักแรม ลีโอพบท่อระบายน้ำที่สามารถใช้เป็นที่พักแรมได้ แต่พวกเขากลับพบร้านค้าอันแปลกประหลาด และพบโค้ชเฮจถูกขังอยู่ในกรงในสภาพตัวแข็ง ในที่สุดพวกเขาก็พบว่าร้านค้าแห่งนี้ถูกปกครองโดยแม่มดนามว่ามีเดีย ซึ่งพยายามฆ่าเด็กทั้งสามด้วยยาพิษ ทั้งสามหนีออกมาได้หลังจากต่อสู้อยู่นาน ทิ้งให้มีเดียอยู่ในซากปรักหักพังของอาคารที่กำลังถูกเพลิงไหม้ ทั้งสามขี่เฟสตัสออกมาและมองหาพื้นที่ที่กว้างพอที่จะลงจอด แต่โชคไม่ดีที่ที่ดินที่ทั้งสามลงจอดนั้นถูกติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยด้วยเลเซอร์ ทำให้เฟสตัสแหลกเป็นชิ้น ๆ ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้การได้อีกต่อไป ลีโอรู้สึกเศร้าเสียใจมากที่ต้องสูญเสียเพื่อนมังกรของเขาไป ทั้งสามตัดสินใจเข้าไปในคฤหาสน์หลังที่อยู่ข้าง ๆ ที่เดินซึ่งเฟสตัสลงจอด และผล็อยหลับไป ทั้งสามสะดุ้งตื่นและพบกับชายคนหนึ่งซึ่งเขาคือกษัตริย์ไมดาส ซึ่งมีพลังอำนาจในการเปลี่ยนสิ่งของทุกอย่างบนโลกนี้ให้เป็นทองคำ ไมดาสเปลี่ยนไพเพอร์กับลีโอให้เป็นทองคำทันที", "title": "วีรบุรุษแห่งโอลิมปัส" }, { "docid": "521485#2", "text": "ยุคทองของกัมพูชาอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14 – 19 ในยุคพระนครซึ่งมีอำนาจครอบคลุมพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องทำสงครามกับเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่งคือสยามกับไดเวียด สิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่สำคัญในสมัยนี้คือนครวัดและนครธม และยังมีปราสาทหินที่พบได้ทั่วไปในเขตแดนของกัมพูชา ไทย ลาว และเวียดนามในปัจจุบัน อิทธิพลทางศิลปะของกัมพูชาทั้งสถาปัตยกรรม ดนตรี และนาฏศิลป์ได้ส่งผลต่อศิลปะของประเทศเพื่อนบ้านทั้งไทยและลาว\nสิ่งก่อสร้างในสมัยพระนครมักสร้างด้วยหิน ได้รับแรงบันดาลใจทางศาสนา ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู โดยสลักเรื่องเล่าทางศาสนาเหล่านี้ไว้บนผนัง รวมทั้งใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาในการตกแต่ง ตัวอย่างเช่น พระราชวังในพนมเปญใช้รูปครุฑซึ่งเป็นเทพกึ่งนกศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดูในการตกแต่ง", "title": "วัฒนธรรมกัมพูชา" }, { "docid": "59038#7", "text": "นักรบนอร์ดิก หรือที่รู้จักกันดีในนามของ เบอร์เซอร์เกอร์ เป็นพวกที่สร้างความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่าให้น่ากลัวยิ่งขึ้น เนื่องจากนิยมไว้ผมและหนวดเครายาวรุงรังเพื่อให้น่ากลัว ข่มขวัญศัตรู พวกชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลเมื่อถูกชนกลุ่มนี้ทำร้าย มักจะเชื่อว่าพวกเบอร์เซอร์เกอร์สามารถกลายร่างเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ร้าย อย่าง หมี หรือหมาป่าได้ ขณะทำการต่อสู้ ซึ่งในเทพปกรณัมของเบอร์เซอร์เกอร์บทหนึ่งเล่าว่า มีแม่มดร่ายเวทมนตร์ไว้บนหนังหมาป่า 2 ผืน ใครที่ได้สวมหนังหมาป่านี้จะกลายร่างเป็นหมาป่าไปทั้งหมด 10 วัน มีนักรบ 2 คนไปพบหนังหมาป่า 2 ผืนนี้โดยบังเอิญในป่า จึงขโมยมาขณะที่เจ้าของยังหลับอยู่ ด้วยความรู้ไม่ถึงการณ์นักรบทั้ง 2 ก็นำหนังหมาป่านี้มาสวมดู แต่ไม่สามารถถอดออกได้ นักรบทั้ง 2 หอนโหยหวนและเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน และยังทำร้ายเจ้าของหนังหมาป่าด้วย เมื่อ 10 วันผ่านไป เมื่อทั้งคู่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วก็เอาหนังหมาป่าทั้ง 2 ผืนนี้ไปเผาไฟทำลายทิ้งเสีย ", "title": "มนุษย์หมาป่า" }, { "docid": "8152#7", "text": "ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาสและได้ทราบเงื่อนไขจากพวกนาคว่า ต้องไปเอาน้ำอมฤตให้นาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงบินไปสวรรค์ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์ แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ โดยเมื่อพระอินทร์ใช้วัชระโจมตีครุฑนั้น ครุฑไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ครุฑก็จำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้ป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ ด้านพระวิษณุหรือพระนารายณ์ก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และสู้รบพญาครุฑด้วยเช่นกัน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "20868#2", "text": "พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นพระที่นั่ง1ชั้นสถาปัตยกรรมทรงปราสาทแบบจตุรมุขด้านเหนือมีมุขเด็ดยื่นออกมาเป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูนฐานสูง2.85เมตรชั้นล่างเป็นเชิงฐานถัดไปเป็นฐานสิงห์และฐานเชิงบาตรสองชั้นหลังคาเป็นยอดทรงปราสาทประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้งคันทวยมีลักษณะเป็นพญานาค3หัวหน้าบันจำหลักรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณล้อมรอบด้วยลายกนกเทพพนมมุมยอดปราสาททั้ง4มุมเป็นรูปลายพญาครุฑหน้าบันจำหลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑไขรารอบปราสาทเป็นรูปครุฑหยุดนาครองรับ\nภายในพระที่นั่งประดิษฐานพระแท่นต่าง ๆ ดังนี้", "title": "พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท" }, { "docid": "8152#0", "text": "ครุฑ () เป็นสัตว์กึ่งเทพในปกรณัมอินเดียและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์ \"มหาภารตะ\" เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคและทะเลาะกันจนเป็นศัตรู นอกจากนี้ ยังมีคัมภีร์ปุราณะที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าพญาครุฑ", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "294256#1", "text": "ศิลปะอัศจรรย์เดิมจำกัดอยู่เฉพาะแต่งานจิตรกรรมและภาพประกอบ แต่ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาก็ขยายไปรวมภาพถ่าย ศิลปะอัศจรรย์มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับแฟนตาซี, แฟนตาซีเชิงวิทยาศาสตร์ (ประเภทย่อยของไซ-ไฟที่เกี่ยวกับความลี้ลับของมนุษย์ต่างดาวและศาสนาของมนุษย์ต่างดาว), จินตนาการ, และภาวะกึ่งฝัน, วิลักษณ์, มโนทัศน์อันเหนือจริง และรวมทั้งศิลปะเชิงกอธิค การที่ศิลปะอัศจรรย์มีที่มาจากประเภทของงานศิลปะแบบสัญลักษณ์นิยมของสมัยวิคตอเรียทำให้ครอบคลุมหัวข้อที่คล้ายคลึงกันที่รวมทั้งเทพวิทยา, รหัสญาณ (Occultism) และ รหัสยลัทธิ (mysticism), หรือ ตำนานและตำนานพื้นบ้าน และ จะแสวงหาคุณค่าของคุณสมบัติภายใน (ธรรมชาติของวิญญาณและจิตวิญญาณ)", "title": "ศิลปะอัศจรรย์" }, { "docid": "31568#84", "text": "หัวโขนคนธรรพ์ ประกอบด้วยเทพคนธรรพ์และคนธรรพ์ หัวโขนพญาปักษา ประกอบด้วยพญาครุฑ พญาสัมพาที พญาสดายุ และหัวโขนแบบเบ็ดเตล็ด ประกอบด้วยหัวสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น และอาจแบ่งตามประเภทของหัวโขนที่ใช้สวมอย่างละ 2 ประเภทคือ ยักษ์ยอด ยักษ์โล้น ลิงยอดและลิงโล้น นอกจากนี้ยังแบ่งตามชนิดของมงกุฎ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป แบ่งเป็นฝ่ายลงกาคือ มงกุฎยอดกระหนก มงกุฎยอดจีบ มงกุฎยอดหางไก่ มงกุฎยอดน้ำเต้า มงกุฎยอดน้ำเต้ากลม มงกุฎยอดน้ำเต้าเฟื่อง มงกุฎยอดกาบไผ่ มงกุฎยอดสามกลีบ มงกุฎยอดหางไหล มงกุฎยอดนาคา มงกุฎตามหัวหรือหน้า พวกไม่มีมงกุฎ พวกหัวโล้น พวกหัวเขนยักษ์หรือพลทหารยักษ์และตัวตลกฝ่ายยักษ์", "title": "โขน" }, { "docid": "8152#22", "text": "มีการอ้างอิงถึงครุฑไว้ในวัฒนธรรมร่วมสมัยเช่น ภาพยนตร์ไทยเรื่อง \"ปักษาวายุ\" ในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นไซไฟ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับครุฑซึ่งเป็นสัตว์ที่ดำรงชีวิตมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และจับไดโนเสาร์กินจนสูญพันธุ์ และยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ ออกอาละวาดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "470512#3", "text": "ในปัจจุบัน มีตุมเปิงที่เป็นอาหารมังสวิรัติ หรือกินกับอาหารทะเลย่าง อาหารสูตรพื้นเมืองนั้น จะสมดุลระหว่างเนื้อสัตว์ ผัก และอาหารทะเล ตุมเปิงของชาวชวามีความซับซ้อนเพราะส่วนประกอบของอาหารต้องสมดุลกันตามความเชื่อของชาวชวาใน พ.ศ. 2552 ครุฑได้กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของความเป็นอินโดนีเซีย ตุมเปิงจัดเป็นอาหารของครุฑ ตึกพิพิธภัณฑ์ปูร์นาบักตีเปอร์ตีวี ในสมัยซูฮาร์โต สร้างขึ้นให้มีรูปทรงแบบตุมเปิง", "title": "ตุมเปิง" }, { "docid": "854114#33", "text": "ทั้งนี้ มีเสาโครงเป็นครุฑและสัตว์หิมพานต์ ซึ่งครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์ มีความเชื่อตามสมมติเทพว่า พระมหากษัตริย์เป็นพระนารายณ์อวตารลงมา", "title": "การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "8152#4", "text": "เทพปกรณัมของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "31568#55", "text": "การคัดเลือกตัวนางสำหรับการแสดง ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตัวละครที่เป็นตัวนางนั้นมีเป็นจำนวนมากเช่น เป็นมนุษย์ได้แก่ นางสีดา นางมณโฑ นางไกยเกษี นางเกาสุริยา เป็นเทพหรือนางอัปสรได้แก่ พระอุมา พระลักษมี เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ได้แก่ นางสุพรรณมัจฉา นางกาลอัคคีนาคราช นางองนค์นาคี และเป็นยักษ์ซึ่งในที่นี้หมายถึงยักษ์ที่มีลักษณะรูปร่างเหมือนกับตัวนางทั่วไป ไม่ได้มีรูปร่างและใบหน้าเหมือนกับยักษ์ได้แก่ นางเบญจกาย นางตรีชฏา นางสุวรรณกันยุมา และยักษ์ที่มีลักษณะใบหน้าเหมือนยักษ์แต่สวมหัวโขนได้แก่ นางสำมะนักขา อากาศตะไล ฯลฯ ซึ่งตัวละครเหล่านั้นสามารถบ่งบอกชาติกำเนิดของตนเองได้ จากสัญลักษณ์ของการแต่งกายและเครื่องประดับ", "title": "โขน" }, { "docid": "8140#2", "text": "เทพ เป็นผู้มีบุญกุศล อาศัยอยู่ในสวรรค์ที่พรั่งพร้อม และอิ่มทิพย์ ทว่า ยังไม่อาจละกิเลสจากโลกียสุข เช่น ยังอยากได้หญิงงามของอสูร เป็นต้น อสูร เป็นอมนุษย์ในภพภูมิที่หยาบกว่าเทพ หากเป็นชายจะสุดอัปลักษณ์ หากเป็นหญิงจะมีรูปโฉมสะคราญ อสูรมักทำสงครามกับเทพบ่อยครั้ง เพราะต่างริษยาในกันและกัน อสูรอยากได้สวรรค์และความอิ่มทิพย์ของเทพ เทพอยากได้นางงามและภักษาหารรสโอชาของอสูร ต่างสัประยุทธ์กันจนฟ้าดินปั่นป่วน มังกร หรือนาค เป็นผู้สืบทอดพิทักษ์ศาสนา เปรียบกับพระชั้นผู้ใหญ่ หรืออุปถัมภกคนสำคัญ ครุฑ เป็นนกที่ยิ่งใหญ่ เมื่อกางปีกออกจะครอบคลุมดินฟ้าสามแสนหกหมื่นลี้ และมีฤทธิ์มาก สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้แผ่นดินและจักรวาลได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ในหนึ่งวัน ต้องกินมังกร 1 ตัว และลูกมังกร 500 ตัวเป็นอาหาร มักกล่าวกันว่า วีรบุรุษคนสำคัญคือครุฑมาเกิด ยักษ์ เป็นภูตประเภทหนึ่ง อยู่ระหว่างพรมแดนของเทพ อสูร และมนุษย์ มีความแข็งแรง คล่องแคล่ว เป็นกำลังที่เคลื่อนไหวได้ทั้งดีและชั่ว บางยักษ์ช่วยคุ้มครองมนุษย์ บางยักษ์ชอบจับมนุษย์กิน คนธรรพ์ เป็นเทพมังสวิรัติ ไม่แตะต้องเนื้อสัตว์สุรา แต่หลงใหลในความงามและกลิ่นหอม ส่วนตนมีฉายาและกลิ่นหอมชวนให้ผู้คนลุ่มหลง ทั้งยังแปลงกายเปลี่ยนรูปได้สุดหยั่งคะเน กินนร เป็นเทพที่ชอบร้องรำทำเพลง และสร้างสีสันสำราญใจให้แก่ชาวสวรรค์ มโหราค เป็นอมนุษย์ชั้นต่ำต้อยที่สุด บ้างมีลำตัวเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นงู บ้างมีลำตัวเป็นงู ศีรษะเป็นมนุษย์ มีฤทธิ์มาก แต่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก", "title": "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" }, { "docid": "174958#2", "text": "พระพนัสบดีองค์จำลอง สร้างเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2517 ส่วนองค์จริงกรมศิลปากรเก็บรักษาไว้เมื่อ ปี พ.ศ. 2474 พระพนัสบดีเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มีอายุ 1,200-1,300 ปี แกะสลักจากศิลาดำเนื้อละเอียด เหมือนนกที่มีลักษณะกึ่งครุฑ กึ่งนกเค้าในท่าประทานพร กลางฝามือมีลวดลายคล้ายธรรมจักร นักโบราณคดียืนยันว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี ประทับยืนบนหลังสัตว์ประหลาดที่สร้างขึ้นจากจินตนาการ รูปร่างคล้ายนก ดวงตากลมโปนโต แก้มเป็นกระพุ้ง จะงอยปากใหญ่งุ้มแข็งแรง ปลายจะงอยปากจากบนลงล่าง มีรูทะลุคล้ายกับจะแขวนกระดิ่งได้ มีเขาทั้งคู่บิดเป็นเกลียวงอเข้าหากันคล้ายเขาโคตั้งอยู่เหนือตา ที่โคนเขามีหูสองหูอย่างหูโค มีปีสองข้างใหญ่สั้นที่กำลังกางออก ขาทั้งสองข้างพับแนบทรวงอกยกเชิดขึ้นอย่างขาของครุฑที่กำลังเหินลม", "title": "พระพนัสบดี" }, { "docid": "195253#7", "text": "แม่มด ในยุคปัจจุบันนั้นมิได้มีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวเหมือนอย่างภาพลักษณ์ที่คุ้นเคยกันในอดีต ที่เป็นหญิงแก่จมูกงุ้มยาว คางแหลม ผมยาวรุงรังดูน่ากลัว แต่งกายด้วยชุดผ้าคลุมยาวและหมวกทรงสูงแหลม หากแต่จะเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นวัยหนุ่มสาวที่แต่งตัวตามยุคสมัย บางคนอาจแต่งตัวโฉบเฉี่ยวตามแฟชั่นด้วยซ้ำ และจะมีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง แต่จะประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของตนเอง เช่น การขี่ไม้กวาด แท้จริงแล้วมิได้ใช้เป็นพาหนะในการเหาะไปในอากาศ หากแต่เป็นเพียงการกระโดดข้ามเพื่อที่จะเป็นการประกาศแต่งงาน และมีความเข้าใจผิดว่ามดนั้นนับถือปิศาจ เช่น ซาตาน แต่แท้ที่จริงนับถือเทพแพน เทพเจ้าองค์หนึ่งตามเทพปกรณัมกรีก ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่เป็นตัวแทนของธรรมชาติ ที่มีรูปลักษณ์เป็นกึ่งมนุษย์เพศชายกึ่งแพะ จึงทำให้ดูรูปลักษณ์คล้ายซาตานไป เป็นต้น โดยมดจะมีเครื่องมือของอุปกรณ์ที่เป็นของตนเองหลัก ๆ ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม ได้แก่ ไม้คทา, มีดปลายทื่อ, ตัวแทนธาตุทั้งสี่ ซึ่งมดบางตนอาจสร้างวงกลมเวทมนตร์ของตนเองขึ้นมาได้โดยการใช้การโรยเกลือเป็นตัวช่วยแทนธาตุทั้งสี่ได้ และสมุนไพร ที่ได้แก่ พืช ตลอดจนเปลือกหอยหรือกระดูกสัตว์ต่าง ๆ ใช้สำหรับปรุงยา", "title": "มด (บุคคล)" }, { "docid": "8152#2", "text": "ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "8230#37", "text": "ในอินเดีย ที่ซึ่งมีความเชื่อและวัฒนธรรมที่หลากหลาย งูมีชื่อเรียกในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนที่เป็นภาษาที่ใช้ภูมิภาคแถบนี้ว่า \"นาคา\"[16] อันเป็นชื่อเรียกอย่างเดียวกับ \"พญานาค\" ซึ่งเป็นงูใหญ่ที่เป็นสัตว์กึ่งเทพในความเชื่อของชนชาวอารยันและเอเชียอาคเนย์ เช่นเดียวกับ \"มังกร\" ในความเชื่อของชาวจีน ซึ่งเชื่อว่ามีที่มาจากงูขนาดใหญ่[17]", "title": "งู" } ]
655
ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกถูกใช้ที่ไหน ?
[ { "docid": "184506#3", "text": "สหรัฐอเมริกา อังกฤษและแคนาดา ได้ร่วมมือกันตั้งโครงการลับ \"ทูบอัลลอยด์\" และ \"สถานีวิจัยคลาค รีเวอร์\" เพื่อออกแบบและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรก ภายใต้โครงการที่เรียกว่า \"โครงการแมนฮัตทัน\" ภายใต้การค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ และนักฟิสิกส์อเมริกัน นาม เจ. โรเบิร์ต ระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมะของญี่ปุ่น ที่ชื่อ \"ลิตเติลบอย\" นั้น ได้ใช้ ยูเรเนียม - 235, ลูกระเบิดลูกแรกถูกทดสอบที่ ทรีนิตี้, นิวเม็กซิโก ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2488 ส่วนระเบิดที่ชื่อ “แฟตแมน” ซึ่งใช่ถล่มนางาซากินั้นใช้ พลูโตเนียม - 239", "title": "การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ" } ]
[ { "docid": "225436#53", "text": "ด้วยการที่เห็นว่าประเทศโลกที่สามเริ่มมีกองทัพขนาดใหญ่และอาวุธนิวเคลียร์มันจึงนำไปสู่การออกแบบใหม่ขึ้นมาสองแบบ คือ เครื่องบินสกัดกั้นและเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด ทั้งสองแบบถูกลดบทบาทในการต่อสู้ทางอากาศ เครื่องบินขับไล่ความเร็วสูงหรือเครื่องบินสกัดกั้นนั้นมีขีปนาวุธที่เข้ามาแทนปืนและการต่อสู้ของมันจะทำจากระยะที่มองไม่เห็น ผลที่ได้คือเครื่องบินสกัดกั้นถูกออกแบบให้บรรทุกขีปนาวุธได้มากและมีเรดาร์ที่ทรงพลัง โดยลดความเร็วและอัตราการไต่ระดับลง ด้วยบทบาทในการป้องกันทางอากาศเป็นหลัก ความสำคัญจึงอยู่ที่ความสามารถในการเข้าสกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่บินอยู่ในระดับสูง เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดสามารถสับเปลี่ยนบทบาทระหว่างครองน่านฟ้ากับโจมตีภาคพื้นดิน และมักออกแบบมาให้มีความเร็วสูง ความสามารถในการบินระดับต่ำเพื่อทิ้งระเบิด ขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาร์และด้วยโทรทัศน์ถูกนำมาใช้เพื่อขยายการใช้ระเบิดแรงโน้มถ่วง และมีบางรุ่นที่สามารถใช้ระเบิดนิวเคลียร์ได้", "title": "เครื่องบินขับไล่" }, { "docid": "83826#0", "text": "แฟตแมน (Fat Man) หรือ มาร์กทรี (Mark 3) เป็นชื่อรหัสของระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น โดยสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ในสงครามโลกครั้งที่สอง ระเบิดลูกนี้เป็นอาวุธนิวเคลียร์ลูกที่สองที่เคยใช้ในสงครามและเป็นระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่สามที่มนุษย์สร้างขึ้น", "title": "แฟตแมน" }, { "docid": "557034#0", "text": "แคสเซิลบราโว () เป็นสมญานามของระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์หรือระเบิดไฮโดรเจนแบบเชื้อเพลิงแห้งลูกแรกของสหรัฐอเมริกา ระเบิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1954 ณ บิกีนีอะทอลล์, หมู่เกาะมาร์แชลล์ เป็นการทดลองการระเบิดครั้งแรกใน \"แคสเซิลบราโว\" ยังเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่สหรัฐอเมริกาเคยใช้งาน โดยมีแรงระเบิดเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 15 เมกะตัน (มีขนาดเพียงหนึ่งในสามของระเบิดนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการระเบิดมา) เกินจากที่คาดไว้ที่ 4 ถึง 6 เมกะตันอย่างมาก ทำให้เกิดการปนเปื้อนจากกัมมันตภาพตรังสีรุนแรงที่สุดเท่าที่สหรัฐอเมริกาเคยก่อ", "title": "แคสเซิลบราโว" }, { "docid": "151617#0", "text": "เครื่องบินทิ้งระเบิด คือ อากาศยานทางการทหารที่ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจการโจมตีเป้าหมายทางภาคพื้นดินและทางทะเล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้การปล่อยลูกระเบิดลงมาเพื่อทำลายเป้าหมาย ซึ่งระเบิดที่ถูกทิ้งลงมามีหลากหลายชนิด เช่น ระเบิดนาปาล์ม ระเบิดทำลายบังเกอร์ ระเบิดอัจฉริยะ ระเบิดนิวเคลียร์ เป็นต้น", "title": "เครื่องบินทิ้งระเบิด" }, { "docid": "3890#2", "text": "มีอาวุธนิวเคลียร์เพียงสองชิ้นเท่านั้นที่เคยใช้ตลอดห้วงการสงคราม ทั้งสองครั้งโดยสหรัฐอเมริกายามสงครามโลกครั้งที่สองใกล้ยุติ วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 วัตถุประเภทจุดระเบิดยูเรเนียม (uranium gun-type) ชื่อรหัสว่า \"ลิตเติลบอย\" ถูกจุดระเบิดเหนือนครฮิโรชิมาของญี่ปุ่น อีกสามวันให้หลัง วันที่ 9 สิงหาคม วัตถุประเภทจุดระเบิดภายในพลูโตเนียม (plutonium implosion-type) ชื่อรหัสว่า \"แฟตแมน\" ระเบิดเหนือนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปประมาณ 200,000 ศพ ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน จากการบาดเจ็บฉับพลันที่ได้รับจากการระเบิด[1]", "title": "อาวุธนิวเคลียร์" }, { "docid": "184506#6", "text": "ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น เรียกจุดที่ระเบิดถูกทิ้งลงใส่ฮิโรชิมะ ว่า \"ฮิบะกุชะ\" ในภาษาญี่ปุ่นหรือแปลเป็นภาษาไทยว่า \"จุดระเบิดที่มีผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่น\" ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงมีนโยบายต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และประกาศเจตนาให้โลกรู้ว่า ญี่ปุ่นมีนโยบายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ในวันที่ 31 เดือนมีนาคม 2551 \"ฮิบะกุชะ\" มีรายชื่อผู้เสียชีวิตจากทั้งสองเมืองของญี่ปุ่น ที่ถูกจารึกไว้ประมาณ 243,692 คน และในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน มีรายชื่อผู้เสียชีวิตที่ถูกจารึกไว้เพิ่มขึ้นมากกว่า 400,000 คน โดยแบ่งออกเป็นเมืองฮิโรชิมะ 258,310 คน และเมืองนางาซากิ 145,984 คน", "title": "การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ" }, { "docid": "184506#0", "text": "การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ เป็นการโจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่สอง โดยคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฮร์รี เอส. ทรูแมน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม และวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากการโจมตีทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ 67 เมืองของญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 เดือน สหรัฐอเมริกาจึงได้ทิ้ง \"ระเบิดปรมาณู\" หรือที่เรียกในปัจจุบันว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า \"เด็กน้อย\" หรือ \"ลิตเติลบอย\" ใส่เมืองฮิโรชิมะในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ตามด้วย \"ชายอ้วน\" หรือ \"แฟตแมน\" ลูกที่สองใส่เมืองนางาซากิโดยให้จุดระเบิดที่ระดับสูงเหนือเมืองเล็กน้อย นับเป็นระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นำมาใช้ในประวัติศาสตร์การทำสงคราม", "title": "การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ" }, { "docid": "4076#4", "text": "นอกจากนั้นเขายังเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก ในโครงการแมนฮัตตัน เป็นหนึ่งในผู้ตรวจสอบการระเบิดของกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ และเป็นผู้ริเริ่มเสนอแนวคิดของนาโนเทคโนโลยี", "title": "ริชาร์ด ไฟน์แมน" }, { "docid": "184506#2", "text": "หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (นาซีเยอรมนีลงนามตราสารประกาศยอมแพ้และยุติสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488) การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกดังกล่าวมีส่วนทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องยอมรับหลักการ 3 ข้อว่าด้วยการห้ามมีอาวุธนิวเคลียร์", "title": "การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ" }, { "docid": "437026#0", "text": "บี-2 สปีริท มาจากชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า Northrop Grumman B-2 Spirit (นอร์ทธรอป กรัมแมน บี-2 สปีริท)ผลิต โดยบริษัท นอร์ทธรอป กรัมแมน (Northrop Grumman)เป็นอากาศยานทิ้งระเบิดหนัก บินครั้งแรกเมื่อ ปี ค.ศ.1988 โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการบินโดยไม่ให้ฝั่งศัตรูจับได้ และนอกจากนี้ยังเป็นอากาศยานที่มีราคาสูงที่สุดในโลกตั้งแต่มีการผลิตขึ้นมา และมีการผลิตมาเพื่อใช้ในกองทัพ เพียงแค่ 20 ลำเท่านั้น เนื่องจาก ราคาอันสูงของมัน และปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้าง เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2008 เครื่อง B-2 หมายเลข AV-12 ได้ประสบอุบัติเหตุตก ที่เกาะกวม โชคดีนักบินทั้ง 2 นายดีดตัวออกมาทัน\nเป็นเครื่องบินที่ได้รับการยกย่องว่า เป็น \"เครื่องบินทิ้งระเบิดที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง(Advanced Technology Bomber)\" เป็นเครื่องบินที่สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ และอาวุธธรรมดาได้ และสามารถ ทิ้งระเบิดได้ครั้งนึงถึง 80 ลูก(ระเบิดลูกนึงขนาด 500 ปอนด์/230 กิโลกรัม)โดยใช้ระบบ จีพีเอส เป็นตัวช่วยในการทิ้งระเบิด ให้แม่นยำยิ่งขึ้น", "title": "บี-2 สปีริท" }, { "docid": "6581#4", "text": "ในที่สุด ไฟแห่งสงครามก็ระเบิดขึ้น ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ CE (Cosmic Era) 70 สามวันหลังจากการประกาศสงครามระหว่างฝ่ายสหพันธ์โลก (OMNI: Oppose Militancy & Neutralize Invasion Enforcer) และ กองทหารของเหล่าโคออร์ดิเนเตอร์ หรือ ซาฟท์ (ZAFT: Zodiac Alliance of Freedom Treaty) ฝ่ายสหพันธ์โลกเริ่มโจมตีแพลนท์เป็นครั้งแรก และใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำลายโคโลนี่ที่มีชื่อว่า \"ยูนิอุสเซเว่น (Junius Seven) \" ซึ่งเป็นแพลนท์ทางด้านเกษตรกรรม ผู้คนบริสุทธิ์กว่า 200,000 ราย ต้องเสียชีวิต (243,721 คน) จนถูกกล่าวขานว่าเป็นเหตุการณ์ \" วาเลนไทน์ เลือด (Bloody Valentine) \" ทำให้ฝ่ายแพลนท์ตัดสินใจใช้ N-Jammer (Neutron Jammer) ซึ่งสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของอนุภาคนิวตรอน ทำให้ยับยั้งปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ โดยแพลนท์ยิงฝัง N-Jammer ลงใต้พื้นดินทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนพลังงานอย่างมาก และคลื่นวิทยุบนโลกก็ถูกรบกวนจนใช้การได้ลำบาก", "title": "กันดั้มซี้ด" }, { "docid": "3890#1", "text": "อาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์สมัยใหม่ที่หนักกว่า 1,100 กิโลกรัมเล็กน้อย สามารถก่อให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่ากับการจุดระเบิดทีเอ็นทีมากกว่า 1.2 ล้านตัน ดังนั้น กระทั่งวัตถุนิวเคลียร์ลูกเล็กๆ ที่ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าระเบิดธรรมดา สามารถทำลายล้างนครทั้งนครได้ ด้วยแรงระเบิด ไฟและกัมมันตรังสี อาวุธนิวเคลียร์ถูกพิจารณาว่าเป็นอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง และการใช้และควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ได้กลายเป็นจุดสนใจสำคัญของนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนับแต่ถือกำเนิดขึ้น", "title": "อาวุธนิวเคลียร์" }, { "docid": "5621#35", "text": "หลังจากที่ \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" ตีพิมพ์เผยแพร่ มีการวิจารณ์กันมากว่า 'แหวนเอก' เป็นตัวแทนอุปมาถึงระเบิดนิวเคลียร์ เรื่องนี้โทลคีนยืนยันหนักแน่นว่างานเขียนของเขาไม่ใช่งานสัญลักษณ์แฝงคติ (Allegory) ในบทนำของหนังสือ \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" เขาถึงกับเขียนไว้ว่า เขาไม่ชอบนิยายเปรียบเทียบแฝงคติ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่นิยายแบบนั้น เขายังบอกว่าผู้กล่าวเช่นนั้นช่างไร้ความรับผิดชอบที่จะมาแก้ไขประเด็นเหล่านี้เสียให้ถูก เพราะโทลคีนเขียนเนื้อเรื่องส่วนใหญ่รวมถึงเนื้อหาตอนจบเสร็จก่อนที่ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกจะปรากฏขึ้นบนโลกในปี ค.ศ. 1945 เสียอีก", "title": "เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" }, { "docid": "347804#2", "text": "ระเบิดนิวเคลียร์ มาร์ก 17/24 เป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในประจำการของสหรัฐอเมริกา โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐเพียงรุ่นเดียวที่สามารถบรรทุกได้ คือเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์คอนแวร์ บี-36 พีซเมกเกอร์ ระเบิดมาร์ก 17 ถูกผลิตขึ้นจำนวน 200 ลูก มาร์ก 24 จำนวน 105 ลูก ทั้งหมดทยอยปลดประจำการในปี 1956-1957 โดยถูกทดแทนด้วยระเบิดนิวเคลียร์มาร์ก 15 ที่มีขนาดเล็กกว่า และเนื่องจากกำหนดการปลดประจำการเครื่องบิน บี-36 ", "title": "ระเบิดนิวเคลียร์มาร์ก 17" }, { "docid": "931677#2", "text": "ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาทำงานเป็นหัวหน้าแผนกทฤษฎีที่ห้องปฏิบัติการลอสแอลามอส อันเป็นห้องแลปลับซึ่งพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกขึ้น เขามีส่วนสำคัญในการคำนวณมวลวิกฤตของอาวุธนิวเคลียร์ ตลอดจนมีส่วนสำคัญในการทดลองทรินิตีและการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ ต่อมาภายหลังสงคราม เขาได้ร่วมกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนอื่น ๆ แสดงจุดยืนต่อต้านการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ตลอดจนต่อต้านการแข่งขันสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงสงครามเย็น เขาเป็นผู้โน้มน้าวรัฐบาลสหรัฐลงนามในสนธิสัญญาระงับการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ค.ศ. 1963 กับสหภาพโซเวียต และสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธทิ้งตัว ค.ศ. 1972", "title": "ฮันส์ เบเทอ" }, { "docid": "47849#30", "text": "ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นได้มีการใช้ระเบิดปรมาณมากที่ญี่ปุ่น พลังงานอันมหาศาลของปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ทำลายสิ่งก่อสร้างและชีวิตมนุษย์เป็นจำนวนมาก แต่เดิมนั้นคิดว่ามนุษย์ตายเพราะแรงระเบิดเท่านั้น\nเพราะยังไม่เคยมีการศึกษาหรือทดลองผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีต่อสิ่งมีชีวิตในสมัยนั้น\nรวมทั้งไม่มีเครื่องมือตรวจสอบสารกัมมันตภาพรังสีที่อยู่บริเวณที่ถูกระเบิดและในร่างกายผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการ์ณนั้น แต่หลังจากการระเบิดของระเบิดปรมาณูประมาณ 1 ปี ก็พบว่ามีคนจำนวนมากเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเพราะได้รับกัมมันตภาพรังสี\nด้วยเหตุนี้โลกจึงเริ่มตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีที่มีต่อชีวิตมนุษย์\nเมื่อกัมมันตภาพรังสีจากธาตุกัมมันตภาพรังสีผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตจะทำให้เนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงคือ อาจทำให้เนื้อเยื่อตายทันทีหรือเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจนำไปสู่สาเหตุของการเป็นโรคมะเร็งได้", "title": "ฟิสิกส์นิวเคลียร์" }, { "docid": "51301#33", "text": "ใน ค.ศ. 1934 นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี เอนริโค เฟอร์มี ได้ค้นพบผลประหลาดเมื่อทำการชน ยูเรเนียม ด้วย นิวตรอน ซึ่งเขาเชื่อในครั้งแรกว่าได้สร้างธาตุ transuranic ในปี ค.ศง 1939 นักเคมี ออตโต ฮาห์น และฟิสิกส์ Lise Meitner ได้ค้นพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ นั้นคือกระบวกการของ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน เมื่อนิวเคลียสของยูเรเนียมได้แตกตัวเป็นสองซึ่งปลดปล่อยพลังงานจำนวนหนึ่งในกระบวนการนั้น ถึงจุดนี้นี้มันชัดเจนสำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้วว่ากระบวนการนี้สามารถควบคุมให้ได้มาซึ่งพลังงานปริมาณมหาศาล อาจจะเป็นแหล่งพลังงานแห่งอายธรรมหรืออาวุธก็ได้ Leó Szilárd ได้จดสิทธิบัตรของแนวคิด ปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ เมื่อ ค.ศ. 1934 ในอเมริกา คณะโดยเฟอร์มีและ Szilárd ประสบความสำเร็จในการสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์โดยมนุษยชาติเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1942 ใน nuclear reactor เครื่องแรกของโลก และในปี ค.ศ. 1945 ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกถูกจุดขึ้นที่ Trinity Site ทางเหนือของ Alamogordo, New Mexico หลังจากสงคราม รัฐบาลกลางกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักของฟิสิกส์ ผู้นำทางวิทยาศาสตร์ของโครงการร่วม นักฟิสิกส์ทฤษฎี โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ ได้บันทึกความเปลี่ยนแปลงของบทบาทในอุดมคติของนักฟิสิกส์ เมื่อเขาได้กล่าวในสุนทรพจน์ว่า", "title": "ประวัติศาสตร์ฟิสิกส์" }, { "docid": "758827#2", "text": "สหรัฐอเมริกาเป็นชาติแรกที่มีอาวุธชนิดนี้ โดยทำการทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกในปี ค.ศ. 1952 มีโค้ดเนมคือ (Ivy Mike) นับแต่นั้นคอนเซ็ปต์ดังกล่าวจึงมีหลายชาตินิวเคลียร์ส่วนใหญ่ของโลกลอกแบบไปใช้ในออกแบบอาวุธของตน การออกแบบอาวุธนิวเคลียร์ชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นในสหรัฐนี้จะเรียกว่า โครงแบบเทลเลอร์–อูลาม (Teller–Ulam configuration) ตามชื่อผู้มีส่วนสำคัญสองคน คือ เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์และสแตนิสลอว์ อูลาม ซึ่งพัฒนาใน ค.ศ. 1951 ให้สหรัฐ และด้วยคอนเซ็ปต์นี้บางอย่างได้ถูกพัฒนาต่อด้วยการมีส่วนร่วมของ จอห์น ฟอน นอยมันน์ สหภาพโซเวียดเป็นชาติที่สองที่มีอาวุธชนิดนี้ โดยทำการทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ของตนเองลูกแรก ใช้ชื่อว่า \"RDS-6s (Joe 4)\"เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1953 จากนั้นจึงตามมาด้วย สหราชอาณาจักร จีนและฝรั่งเศสตามลำดับซึ้งต่างก็พัฒนาอุปกรณ์คล้ายกันนี้\nอาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์เป็นระเบิดนิวเคลียร์ชนิดที่ออกแบบได้ทรงประสิทธิภาพที่สุดสำหรับผลและพลังงานในระเบิดที่มีผลเกิน 50 กิโลตันขึ้นไป จึงทำให้อาวุธนิวเคลียร์แทบทั้งหมดที่ห้าประเทศนิวเคลียร์ใช้อยู่ในปัจจุบันภายใต้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ล้วนเป็นอาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์ที่ใช้การออกแบบของเทลเลอร์-อูลามทั้งสิ้น คุณลักษณะสำคัญของการออกแบบอาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์ถูกเก็บเป็นความลับอย่างเป็นทางการมาเกือบสามทศวรรษ ซึ่งคุณลักษณะที่ว่านี้ คือ", "title": "อาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์" }, { "docid": "365544#4", "text": "อย่างไรก็ดีคำว่า hypocenter อาจใช้ในอีกความหมายหนึ่งในกรณีของการระเบิดกลางอากาศ (เช่นการระเบิดของนิวเคลียร์ หรือการระเบิดของวัตถุลอยฟ้า) เพื่อสื่อถึงตำแหน่งบนผิวโลก ณ จุดใต้การระเบิดนั้นเนื่องจากในกรณีนี้ ผิวโลกมีตำแหน่งอยู่ใต้ศูนย์กลางการเกิดระเบิด ในบริบทนี้อาจใช้คำว่า \"ground zero\" แทนคำว่า hypocenter", "title": "ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว" }, { "docid": "727625#1", "text": "ซูซาน คูเปอร์ (เมลิสซ่า แม็คคาร์ธี่) เป็นนักวิเคราะห์ซีไอเอ ผู้ถ่อมเนื้อถ่อมตนและได้แต่นั่งอยู่กับโต๊ะ เธอเป็นวีรสตรีที่ไม่มีใครกล่าวขวัญถึงเบื้องหลังภารกิจสุดอันตรายขององค์กรสายลับแห่งนี้ เพื่อนร่วมงานของเบรดเลย์ ไฟน์ (จู๊ด ลอว์) ได้รับภารกิจจากสำนักงานของซีไอเอในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ให้ฆ่าทีโคเมอร์ โบยานอฟ (รอม ราวี) แต่จะต้องหากระเป๋าเดินทางที่มีระเบิดนิวเคลียร์ก่อน ซึ่งทีโคเมอร์เป็นคนเดียวที่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ในขณะเดียวกันลูกสาวของทีโคเมอร์ที่ชื่อ เรย์นา โบยานอฟ (โรส เบิร์น) ได้รู้ตำแหน่งของระเบิดจึงให้ไฟน์เข้าไปในบ้านของเธอเพื่อบอกว่าระเบิดนิวเคลียร์อยู่ที่ไหน แต่เธอยิงปืนใส่ไฟน์แทน ในขณะนั้นซูซานเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านทางอุปกรณ์พิเศษที่ไฟน์ใส่อยู่ในดวงตา ซึ่งเรย์นารู้จักชื่อของสายลับทั้งหมดในหน่วยงานรวมถึงไฟน์ และริค ฟอร์ด (เจสัน สเตธัม) ซูซานจึงขออาสาจะเป็นสายลับแทนไฟน์ที่เสียชีวิตไปกับเจ้านายของเธอ เอเลน คร็อกเกอร์ (แอลลิสัน แจนนีย์) ซึ่งฟอร์ดไม่เห็นด้วยที่คร็อกเกอร์เลือกซูซานมาเป็นสายลับ แต่ถึงฟอร์ดจะคัดค้านแต่คร๊อกเกอร์ก็เลือกซูซานอยู่ดี", "title": "สปาย (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "10106#2", "text": "โครงการแมนฮัตตันได้ออกแบบและทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ 3 ลูกใน ค.ศ. 1945 ลูกแรกอยู่ใน แผนปฏิบัติการทรินนิที (Trinity) ทดสอบเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม มีขึ้นในทะเลทรายใกล้เมืองอลามากอร์โด, รัฐนิวเม็กซิโก ลูกที่สองคือระเบิดนิวเคลียร์ ลิตเติลบอย (Little Boy) ระเบิดวันที่ 6 สิงหาคม ที่เมืองฮิโระชิมะ จักรวรรดิญี่ปุ่น และลูกสุดท้ายคือ แฟตแมน (Fat Man) ระเบิดวันที่ 9 สิงหาคม ที่เมืองนะงะซะกิ จักรวรรดิญี่ปุ่น การทิ้งระเบิดสองลูกสุดท้ายที่ญี่ปุ่นนั้น นำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สองในภูมิภาคเอเชีย", "title": "โครงการแมนฮัตตัน" }, { "docid": "665217#16", "text": "นิวเคลียร์ฟิวชันถูกไล่ล่าหาความจริงในตอนต้นในขั้นตอนทางทฤษฎีเท่านั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ในโครงการแมนฮัตตัน (นำโดยเอ็ดเวิร์ด Teller) ตรวจสอบว่ามันเพื่อการสร้างระเบิด โครงการได้ละทิ้งฟิวชั่นหลังจากที่มีการสรุปว่ามันต้องการปฏิกิริยาฟิชชันเพื่อจุดระเบิด มันต้องใช้เวลาจนถึงปี 1952 สำหรับระเบิดไฮโดรเจนเต็มรูปแบบลูกแรกที่จะถูกจุดชนวน, ที่เรียกอย่างนั้นเพราะว่ามันใช้ปฏิกิริยาระหว่าง ดิวเทอเรียม และ ทริเทียม ปฏิกิริยาฟิวชั่นอื่นๆมีพลังมากมายต่อหน่วยมวลของเชื้อเพลิงมากกว่าปฏิกิริยาฟิชชัน แต่การเริ่มต้นปฏิกิริยาลูกโซ่ของฟิวชั่นเป็นเรื่องยากกว่ามาก.", "title": "เทคโนโลยีนิวเคลียร์" }, { "docid": "14515#48", "text": "\"แฟตแมน\"-ระเบิดที่ใช้พลูโทเนียมที่สร้างขึ้นในระหว่างโครงการแมนฮัตตัน ใช้การระเบิดบีบอัดของพลูโทเนียมที่มีความหนาแน่นสูงร่วมกับต้นกำเนิดนิวตรอนตรงกลางเพื่อเริ่มปฏิกิริยาและเพิ่มประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเหลือพลูโทเนียมเพียง 6.2 กก.ที่ต้องการสำหรับระเบิดที่มีแรงระเบิดเท่ากับทีเอ็นที 20 กิโลตัน มีสมมุติฐานที่ว่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญ พลูโทเนียมเพียง 4 กก.ก็สามารถสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้หนึ่งลูก", "title": "พลูโทเนียม" }, { "docid": "3890#0", "text": "อาวุธนิวเคลียร์ เป็นวัตถุระเบิดซึ่งมีอำนาจทำลายล้างมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาฟิชชัน(atomic bomb)อย่างเดียว หรือ ฟิชชันและฟิวชัน(hydrogen bomb)รวมกัน ปฏิกิริยาทั้งสองปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาลจากสสารปริมาณค่อนข้างน้อย การทดสอบระเบิดฟิชชัน (\"อะตอม\") ลูกแรกปลดปล่อยพลังงานออกมาเทียบเท่ากับทีเอ็นทีประมาณ 20,000 ตัน การทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ (\"ระเบิดไฮโดรเจน\") ลูกแรก ปลดปล่อยพลังงานออกมาเท่ากับทีเอ็นทีประมาณ 10,000,000 ตัน", "title": "อาวุธนิวเคลียร์" }, { "docid": "8510#15", "text": "นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาระหว่างฝรั่งเศสและสหรัฐซึ่งพิจารณาความเป็นไปได้ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีสามลูก ทว่า รายงานความจริงจังของการพิจารณานี้และผู้พิจารณายังคลุมเครือและขัดแย้งกันแม้จนปัจจุบัน แผนฉบับหนึ่งสำหรับปฏิบัติการแร้ง (Operation Vulture) ที่เสนอไว้กล่าวถึงการส่งเครื่องบินบี-29 จากฐานทัพสหรัฐในภูมิภาค 60 ลำ โดยมีเครื่องบินขับไล่ที่อาจมากถึง 150 ลำที่ปล่อยจากเรือบรรทุกเครื่องบินกองเรือสหรัฐที่เจ็ดสนับสนุน ทิ้งระเบิดที่ตั้งของหวอ เงวียน ซ้าป ผู้บัญชาการเวียดมินห์ แผนดังกล่าวรวมทางเลือกการใช้อาวุธนิวเคลียร์มากถึงสามลูกต่อที่ตั้งของเวียดมินห์ พลเรือเอก อาเธอร์ ดับเบิลยู. แรดฟอร์ด (Arthur W. Radford) ประธานคณะเสนาธิการทหารสหรัฐ สนับสนุนทางเลือกนิวเคลียร์นี้ เครื่องบินบี-29 บี-36 และบี-47 สามารถโจมตีด้วยนิวเคลียร์ได้ เช่นเดียวกับอากาศยานประจำเรือจากกองเรือที่เจ็ด", "title": "สงครามเวียดนาม" }, { "docid": "620777#2", "text": "ในปี ค.ศ. 1996 หลังจากการตายของสเปชก็อดซิลลา Miki Saegusa ได้เดินทางไปพบเกาะที่กำเนิดในการตรวจสอบก็อตซิลล่า และลูกชาย แต่เธอก็พบว่าทั้งเกาะถูกทำลายไป ในฮ่องกง ก็อตซิลล่าปรากฏตัว ปกคลุมไปด้วยเรืองแสงมีผื่นขึ้นเหมือนลาวา อาละวาดก่อให้เกิดความเสียหายที่สำคัญและฆ่าพลเรือนหลายพันคน กลุ่มของผู้แทนจากกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น ว่าจ้างนักศึกษาวิทยาลัย Kenichi Yamane หลานชายของ Dr. Kyohei Yamane เข้ามาทำงานที่ศูนย์ในความพยายามที่จะคลี่คลายความลึกลับของสภาวะของก็อตซิลล่า Yamane สงสัยว่า หัวใจของก็อตซิลล่า ทำหน้าที่เป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ที่ผ่านการหลอมละลายนิวเคลียร์ เมื่อก็อตซิลล่ามีอุณหภูมิถึง 1,200 องศาเซลเซียส เขาจะระเบิดด้วยความเร็วเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกอาวุธนิวเคลียร์ของโลก", "title": "ก็อตซิลล่า ถล่ม เดสทรอยย่า ศึกอวสานก็อตซิลล่า" }, { "docid": "365720#140", "text": "ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้​​านิวเคลียร์ทั่วโลกเริ่มที่จะติดตั้งตัวผสมไฮโดรเจนที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาอัตโนมัติแบบไม่ตอบโต้ () ซึ่งไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงาน PARs ทำงานเหมือนมากกับเครื่องฟอกไอเสีย () กับไอเสียของรถยนต์ โดยมันจะเปลี่ยนก๊าซที่อาจทำให้เกิดการระเบิดเช่นไฮโดรเจนให้เป็นน้ำ ถ้าอุปกรณ์ดังกล่าวได้รับการติดตั้งที่ด้านบนของอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟุกุชิมะหนึ่ง ในที่ซึ่งแก๊สไฮโดรเจนถูกเก็บเอาไว้ การระเบิดก็จะไม่เกิดขึ้นและการปลดปล่อยไอโซโทปกัมมันตรังสีก็จะมีน้อยมากน้อย", "title": "ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง" }, { "docid": "347688#1", "text": "บี 41 มีขนาดความยาว 12 ฟุต 4 นิ้ว (3.76 เมตร) เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ฟุต 4 นิ้ว (1.32 เมตร) น้ำหนัก 10,670 ปอนด์ (4850 กิโลกรัม) ประจำการบนเครื่องบี-52 สตราโตฟอร์เทรส และบี-47 สตราโตเจ็ตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 จนถึงปี ค.ศ. 1963 จึงถูกแทนที่ด้วยระเบิดนิวเคลียร์บี53 ระเบิดนิวเคลียร์บี41ลูกสุดท้ายปลดประจำการในปี ค.ศ. 1976", "title": "ระเบิดนิวเคลียร์บี 41" }, { "docid": "184506#4", "text": "ในวันที่ 10 - 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ได้มีการคัดเลือกเป้าหมายที่ Los Alamos นำโดยเจ. โรเบิร์ต นักฟิสิกส์ ใน \"โครงการแมนฮัตทัน\" ได้แนะนำ เป้าหมายสำหรับระเบิดลูกแรก คือ เมืองเกียวโต, ฮิโรชิมะ, โยโกฮามา โดยใช้เงื่อนไขที่ว่า:", "title": "การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ" } ]
2424
กีฬาเทควันโดเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ?
[ { "docid": "45392#1", "text": "จากประวัติศาสตร์ซึ่งเผยแพร่ในช่วงแรกนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง เกาหลีที่ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นในปี 1910-1945 เทควันโดได้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้คาราเต้ของญี่ปุ่นเป็นพื้นฐาน แล้วผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้ของเกาหลีประเภทอื่นเช่น taekyon subak ทำให้เทควันโดเป็นการต่อสู้ที่แตกต่างสวยงาม โดยใช้เท้าเป็นหลักซึ่งแตกต่างจากคาราเต้ ทั้งรูปแบบการต่อสู้ จุดเด่น การยืน ฟุตเวิร์ก อย่างชัดเจน", "title": "เทควันโด" } ]
[ { "docid": "135323#0", "text": "กีฬาเทควันโด้ในโอลิมปิก () เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวเกาหลีที่มีการกระโดดเตะและหมุนตัวเตะเป็นเอกลักษณ์ ในปี ค.ศ. 1973 ได้มีการจัดแข่งขันเทควันโด้ชิงแชมป์โลกขึ้นเป็นครั้งแรก และเข้ามาเป็นกีฬาสาธิตในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 เมื่อเกาหลีใต้ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพที่โซล และโอลิมปิกครั้งที่ 25 โอลิมปิกฤดูร้อน 1992 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ส่วนที่แอตแลนต้าในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 นั้น ไม่มีการแข่งขันเทควันโด้ จนในโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เทควันโด้กลายเป็นกีฬาชิงเหรียญทองอย่างเต็มตัว", "title": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน" }, { "docid": "620562#2", "text": "พาณิภัคเริ่มเล่นกีฬาเทควันโดตั้งแต่อายุ 9 ปี ได้รับการฝึกสอนจากโค้ชคนแรก คือ นายทรงศักดิ์ ทิพย์นาง ที่ยิมตาปีเทควันโด จังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าสู่การเป็นนักกีฬาเทควันโดเยาวชนทีมชาติในปี 2554 ขณะมีอายุเพียง 13 ปี จากการเข้าร่วมการแข่งขัน \"กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27\" ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันเทควันโด รุ่นไม่เกิน 42 กก.หญิง เนื่องจากเป็นนักกีฬาที่มีรูปร่างสูง และมีหน่วยก้านดี ทำให้ชเว ยองซอก ผู้ฝึกสอนเทควันโดชาวเกาหลีใต้ เรียกตัวเข้ามาฝึกซ้อมและคัดเลือกเป็นนักกีฬาเทควันโดตัวแทนทีมชาติไทย เธอได้รับแรงบันดาลใจจากพี่ชายในการเล่นกีฬาเทควันโด มีนักกีฬาเทควันโดในดวงใจ คือ เยาวภา บุรพลชัย และมีนักกีฬารุ่นพี่ คือ ชนาธิป ซ้อนขำ เป็นแบบอย่างในการฝึกซ้อม\nในปี 2554 พาณิภัคเข้าร่วมการแข่งขันเทควันโด รายการ \"โคเรีย โอเพ่น 2011\" ที่เมืองชุนชอน ประเทศเกาหลีใต้ คว้าเหรียญทอง รุ่นไม่เกิน 42 กก.หญิง ซึ่งเป็นการแข่งขันเทควันโดครั้งแรกในฐานะเยาวชนทีมชาติไทย โดยเข้าร่วมการแข่งขันกับนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย จำนวน 16 คน แบ่งเป็นเยาวชนหญิง จำนวน 6 คน ประกอบด้วย แพรวพรรณ วรรณโอสถ ภิญญาพัชญ์ ไชยพงศ์จรัญ คันธรัตน์ หนูราม ธนาภา แซ่เล้า วรวงษ์ พงษ์พานิช ภัทธิรา ดวงสิงห์ แบ่งเป็นเยาวชนชาย จำนวน 8 คน ประกอบด้วย ธนาภัทร รัตนเสวก สุทธิศักดิ์ จานทอง คฤพล เอี่ยมศรี อัครินทร์ กิจวิจารณ์ ดนุนัย ราชวงษา พัชระ สมจริง พีระเทพ ศิลาอ่อน ณัฐภัทร ตันตรามาตย์ แบ่งเป็นรุ่นประชาชน จำนวน 2 คน ประกอบด้วย ปรัชญา บูรพนาวิบูลย์ สรวิศ เลาหนิมิต", "title": "พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ" }, { "docid": "120491#1", "text": "โดยจัดขึ้นครั้งแรก ในปี 1948 โดยเซอร์ลัดวิก กัตแมนน์ ผู้ซึ่งจัดการแข่งขันกีฬาของทหารที่ได้รับบาดเจ็บที่ไขกระดูกสันหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โรงพยาบาลบำบัด ในสโตค แมนวิลล์ ประเทศอังกฤษ ในปี 1952 เนเธอร์แลนด์ได้เข้าร่วมแข่ง จึงทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างประเทศสำหรับคนพิการขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี 1960 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 9 ของกีฬาสโตคแมนวิลล์ ซึ่งจัดขึ้นที่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี และตามมาในปีเดียวกันนั้นเองก็มีการจัดกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 17 ขึ้นที่กรุงโรม อิตาลีเช่นกัน จึงถือว่า นี่เป็นการจัดการแข่งขันพาราลิมปิคครั้งที่ 1", "title": "กีฬาคนพิการโลก" }, { "docid": "181974#1", "text": "โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองเซเลีย ประเทศสโลวีเนีย เมื่อปี 1968 (พ.ศ. 2511) เป็นการชิงชัยของเด็กนักเรียนชายหญิงวัยอายุ 12-15 ปี โดยทีมที่เข้าร่วมแข่งขันจะให้ส่งในนามของเมือง ไม่ใช่ส่งในนามของประเทศ ฉะนั้นประเทศหนึ่งอาจจะส่งหลายเมืองก็ได้ ในครั้งแรกนั้นมีทีมที่เข้าร่วมแข่งขันจาก 9 ประเทศ", "title": "กีฬายุวชนโลก" }, { "docid": "769759#3", "text": "นัดการแข่งขันที่ได้รับการบันทึกครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1880 สองปีหลังจากสโมสรได้ก่อตั้งขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเกมกระชับมิตร นัดการแข่งขันชิงชัยครั้งแรกที่จัดขึ้นที่นอร์ทโรดเป็นการแข่งขันถ้วยแลงคาเชอร์ รอบแรกที่พบกับทีมสำรองของสโมสรฟุตบอลแบล็กเบิร์นโอลิมปิก แข่งเมื่อ 27 ตุลาคม 1883 โดยนิวตันฮีทแพ้ 7–2 รายละเอียดผู้ชมสูญหายไป แต่คาดว่าสนามมีการล้อมรั้ว มีค่าเข้า 3 เพนนี (ราว 1 ปอนด์ในปี 2018) ของนัดการแข่งขัน เมื่อฟุตบอลเป็นกีฬาอาชีพในอังกฤษในปี 1885 นิวตันฮีทได้เซ็นสัญญานักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกในช่วงฤดูร้อนปี 1886 รายได้ของสโมสรไม่เพียงพอในการจ่ายค่าจ้าง จึงมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 3 เพนนีในทุกนัดการแข่งขันที่นอร์ทโรด ต่อมาเพิ่มเป็น 6 เพนนี\nเดิมทีสนามมีความจุราว 12,000 คน แต่เจ้าหน้าที่ของสโมสรตัดสินใจว่า นี่ไม่เพียงพอต่อความหวังพวกเขาเหล่านั้นที่จะเข้าร่วมในลีกฟุตบอลได้ ได้มีการขยับขยายสนามในปี 1887 แต่ปี 1891 นิวตันฮีทได้ใช้เงินสำรองบางส่วนที่มีซื้ออัฒจรรย์หลัก 2 อัฒจรรย์ แต่ละอัฒจรรย์จุได้ 1,000 คน อย่างไรก็ตาม การซื้อนี้ทำให้สโมสรไม่ลงรอยกับบริษัททางรถไฟที่ปฏิเสธการช่วยเหลือข้อตกลงทางการเงิน มีสององค์กรที่ได้แยกออกไปนับจากนั้นและในปี 1892 สโมสรพยายามหาทุนเรือนหุ้นจำนวน 2,000 ปอนด์ เพื่อจ่ายหนี้จากการขยับขยายสนามนี้ การแยกออกไปนี้ทำให้บริษัททางรถไฟหยุดจ่ายค่าเช่าให้เนื่องจากสนามนี้เป็นของมหาวิหารที่ ณ ขณะนั้นตัดสินใจเพิ่มค่าเช่าด้วย ภายใต้ความดันทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหน่วยงานมหาวิหารรู้สึกว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่สโมสรคิดค่าเข้าสนาม จึงมีการประกาศขับไล่สโมสรในเดือนมิถุนายน 1893 ผู้บริหารสโมสรจึงเริ่มหาสนามแห่งใหม่ตั้งแต่เริ่มมีการพยายามขับไล่ตั้งแต่ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมของปีก่อนหน้านี้ พวกเขาสามารถย้ายไปยังสนามแห่งใหม่ที่แบงก์สตรีต อยู่ห่างจากเคลย์ตัน 3 ไมล์ การจะย้ายอัฒจรรย์ใหญ่ 2 อัฒจรรย์ไปยังสนามแห่งใหม่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาจึงขายไปที่ 100 ปอนด์", "title": "นอร์ทโรด" }, { "docid": "714462#0", "text": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 จัดแข่งขันที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย แข่งขัน 8 ประเภท ได้รับการบรรจุเป็นกีฬาหลักของโอลิมปิกฤดูร้อนอย่างเป็นทางการครั้งแรก", "title": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2000" }, { "docid": "714461#0", "text": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 1992 จัดแข่งขันที่[บาร์เซโลนา ประเทศสเปน แข่งขัน 16 ประเภท ซึ่งยังจัดแข่งขันเป็นกีฬาสาธิตอยู่", "title": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 1992" }, { "docid": "714474#0", "text": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 จะจัดแข่งขันที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 17–20 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ประเภทการแข่งขันแบ่งออกเป็น 8 ประเภท; ชาย 4 ประเภท และหญิง 4 ประเภท", "title": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016" }, { "docid": "802414#0", "text": "การแข่งขันเทควันโด ชาย รุ่น 58 กิโลกรัม ที่ โอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม, ที่ สนามกีฬาในร่มคาริโอกา 3.", "title": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 – รุ่น 58 กิโลกรัม ชาย" }, { "docid": "714457#0", "text": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 จัดแข่งขันที่โซล ประเทศเกาหลีใต้ แข่งขัน 16 ประเภท ซึ่งยังจัดแข่งขันเป็นกีฬาสาธิตอยู่", "title": "กีฬาเทควันโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 1988" } ]
2932
ตราแผ่นดินของไทยถูกประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อใด ?
[ { "docid": "45300#0", "text": "ตราแผ่นดินของไทย คือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ เทพพาหนะของพระนารายณ์ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจแห่งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของชาติและเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ตามแนวคิดสมมุติเทพ โดยเริ่มใช้มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่หลัง พ.ศ. 2436 เป็นต้นมา แต่มาใช้อย่างเต็มที่แทนตราแผ่นดินเดิมทั้งหมดเมื่อ พ.ศ. 2453", "title": "ตราแผ่นดินของไทย" } ]
[ { "docid": "275555#2", "text": "ตราแผ่นดินของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของสเปน, ใช้ตราอาร์มน้อยเป็นตราสำหรับราชสำนัก. ตราประจำเมืองมะนิลา ประกาศใช้ตามพระบรมราชโองการของ พระเจ้าเฟลิเปที่ 2 (ภายหลังจากการเปลี่ยนชื่อหมู่เกาะ) เมื่อ ค.ศ. 1596. หลักฐานดังกล่าวปรากฏรูปเสาแห่งเฮอร์คิวลีส หรือ Golden Fleece อยู่บนตราแผ่นดิน ในบางโอกาสอาจมีการใช้ตราแผ่นดินรูปแบบดังกล่าว.", "title": "ตราแผ่นดินของฟิลิปปินส์" }, { "docid": "116270#0", "text": "ตราแผ่นดินของแคนาดา (มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ตราอาร์มแห่งแคนาดา หรือมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ตราแผ่นดินของแคนาดา ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร) และ ใช้เป็นตราประจำพระประมุขสูงสุดแห่งแคนาดา ประกาศใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2411 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบตราจากตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักร พร้อมกับมีการปรับแก้ไขลักษณะบางอย่างของตราให้เหมาะสม", "title": "ตราแผ่นดินของแคนาดา" }, { "docid": "532193#1", "text": "\"นกอินทรีแห่งศอลาฮุดดีน\" เริ่มแรกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ในสมัย การปฏิวัติอียิปต์ ค.ศ. 1952. แบบตราแผ่นดินที่ใช้ในปัจจบันนี้ ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ในสมัยของประธานาธิบดี มุบาร็อก ระหว่างการปฏิวัติอียิปต์ พ.ศ. 2554 นกอินทรีแห่งศอลาฮุดดีนเป็นสัญญลักษณ์ของระบอบเผด็จการมุบาร็อก เมเรซ (ค.ศ. 2012) รอยขูดขีดเขียนที่ได้มีการล้อเลียนตราแผ่นดินเป็นรูป \"นกอินทรีคอตก\" โดยสื่อถึงการสิ้นสุดอำนาจเผด็จการ.", "title": "ตราแผ่นดินของอียิปต์" }, { "docid": "115520#2", "text": "ตรามังกรสีแดงบนภูเขาสีเขียว ประกาศใช้เป็นตราแผ่นดินของเวลส์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1807, ต่อมาได้เพิ่มคำขวัญประกอบตราแผ่นดิน ความว่า \"Y Ddraig goch ddyry cychwyn\" ('The red dragon gives impetus' หรือ 'มังกรสีแดงชี้นำทาง') คำขวัญดังกล่าวมีที่มาจากวรรคหนึ่งในบทกวีที่มีชื่อว่า Deio ab Ieuan Du. เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1953 ตราแผ่นดินในห้วงเวลาดังกล่าว โดยปรากฎบนธงชาติที่บังคับใช่เมื่อ ค.ศ. 1953–1959. แบบธงชาติที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1959 ", "title": "ธงชาติเวลส์" }, { "docid": "233418#17", "text": "หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญระหว่างรัชกาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 คือการตราพระราชกฤษฎีกาแวร์ซาย (Edict of Versailles) หรือรู้จักกันในชื่อ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยขันติธรรม (Edict of Tolerance) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1787 และได้รับการลงมติในรัฐสภา ณ วันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1788 พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ลบล้างผลของพระราชกฤษฎีกาฟงแตนโบล (Edict of Fontainebleau) ซึ่งถูกตราและบังคับใช้มากว่า 102 ปี พระราชกฤษฎีกาแวร์ซายรับรองให้ชาวคริสต์นอกนิกายโรมันคาทอลิก เช่น นิกายคาลวิน- อูเกอโนต์ (Calvinist Huguenots) นิกายลูเทอแรน เช่นเดียวกับชาวยิว ได้รับสถานะทางแพ่งและทางกฎหมายในฝรั่งเศส และเปิดให้คนเหล่านั้นสามารถเลือกนับถือความเชื่อใดก็ตามได้อย่างเปิดเผย แต่ถึงกระนั้นพระราชกฤษฎีกาแวร์ซายก็ไม่ได้ประกาศเสรีภาพในการนับถือศาสนาในฝรั่งเศสโดยตรง ซึ่งต่อมาอีกสองปีก็มีการตรากฎหมายที่รับรองเสรีภาพดังกล่าวขึ้นคือ ประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 อย่างไรก็ตามนับได้ว่าพระราชกฤษฎีกาแวร์ซายเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญที่ช่วยลบล้างความตรึงเครียดทางศาสนาและทำให้การประหัตประหารกันระหว่างศาสนาในแผ่นดินของพระองค์สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ[21]", "title": "พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส" }, { "docid": "264664#0", "text": "ตราแผ่นดินของเบลเยียม () เป็นตราอาร์มของประเทศเบลเยียมที่เริ่มใช้เป็นตราประจำชาติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1837 ตราแผ่นดินประกอบด้วยสิงโตเบลเยียม (Leo Belgicus) ตามมาตรา 193 (เดิมมาตรา 125) ของรัฐธรรมนูฐเบลเยียมที่ระบุว่า \"ชาติเบลเยียมใชสีแดง, เหลือง และ ดำเป็นสีประจำชาติ และตราอาร์มมีสิงโตเบลเยียมพร้อมด้วยคำขวัญ 'ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนำมาซึ่งความแข็งแกร่ง' (UNITY MAKES STRENGTH)\" พระราชประกาศที่ออกเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1837 ระบุรูปทรงของตราอาร์มโดยบรรยายทั้งตรามหาจลัญจกรณ์ และตราประทับของราชอาณาจักร", "title": "ตราแผ่นดินของเบลเยียม" }, { "docid": "392764#0", "text": "ตราแผ่นดินของนิวซีแลนด์ (เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตราแผ่นดินแห่งอาณาจักร) ใช้โดยรัฐบาลแห่งนิวซีแลนด์. ประกาศใช้อย่างเป็นทางการโดย สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2454 และ แก้ไขแบบตราเพิ่มเติมโดย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อพ.ศ. 2499", "title": "ตราแผ่นดินของนิวซีแลนด์" }, { "docid": "153930#0", "text": "ธงชาติสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน แบบปัจจุบันนี้ ประกาศใช้ในสมัยรัฐบาลชุดถ่ายโอนอำนาจของรัฐอิสลามของอัฟกานิสถาน (พ.ศ. 2545 - พ.ศ. 2547) ลักษณะเป็นธงสามสี รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในแบ่งตามแนวตั้ง เป็นสีดำ-แดง-เขียว กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน กลางธงมีรูปตราแผ่นดินของอัฟกานิสถาน ในลักษณะภาพลายเส้นสีขาว ลักษณะของธงชาติยุคนี้ คล้ายคลึงกับธงชาติในสมัยราชอาณาจักรอัฟกานิสถาน ช่วง พ.ศ. 2473 - พ.ศ. 2516 โดยมีความแตกต่างสำคัญที่มีการบรรจุภาพอักษรที่เรียกว่า ชะฮาดะฮ์ เป็นข้อความซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า \"ข้าพเจ้านับถือว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากอัลลอหฺ และศาสดามุฮัมมัดคือ​ศาสนทูตแห่งอัลลอหฺ\" ที่ตอนบนของภาพตรา วันที่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการคือวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547", "title": "ธงชาติอัฟกานิสถาน" }, { "docid": "414804#0", "text": "ตราแผ่นดินของอุซเบกิสถาน ( ) ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม, พ.ศ. 2535. โดยมีลักษณะอย่างเดียวกันกับ ตราเดิมของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก. ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ สัญลักษณ์ค้อนเคียวที่สื่อถึงการปฏิวัติรัสเซีย พ.ศ. 2460 ได้ถูกตัดออก พร้อมกับมีการแก้ไขตราแผ่นดินในบางลักษณะ.", "title": "ตราแผ่นดินของอุซเบกิสถาน" }, { "docid": "137366#1", "text": "ในปี พ.ศ. 2496 องค์การสหประชาชาติได้ขอให้ประเทศฝรั่งเศสส่งสำเนาภาพตราแผ่นดินของตน เพื่อจัดแสดงร่วมกับภาพตราแผ่นดินของชาติสมาชิกอื่นๆ ในห้องประชุมขององค์การสหประชาชาติ คณะกรรมการร่วมที่รัฐบาลฝรั่งเศสแต่งตั้งในการนี้จึงให้โรแบรต์ หลุยส์ (Robert Louis) นักออกแบบตราสัญลักษณ์ ทำการเขียนตราทางการทูตข้างต้นขึ้นใหม่ตามแบบของตราเดิม อย่างไรก็ตาม ตรานี้รัฐบาลฝรั่งเศสก็ไม่ได้ออกกฎหมายรับรองให้ใช้เป็นตราแผ่นดินอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด", "title": "ตราแผ่นดินของฝรั่งเศส" }, { "docid": "481818#1", "text": "ตราแผ่นดินอย่างย่อ ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535, ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ บทบัญยัติดังกล่าว หมายรวมถึงตรามหาจลัญจกรณ์, ซึ่งยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ. ตราอาร์อย่างย่อออกแบบโดยAndriy Grechylo, Olexiy Kokhan และ Ivan Turetskyi.", "title": "ตราแผ่นดินของยูเครน" }, { "docid": "533638#0", "text": "ตราแผ่นดินของจอร์แดน () (ตราแผ่นดินออกแบบตามพระบรมราชโองการของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ที่ 1) ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2464 ต่อมาได้มีการแก้ไขแบบตราแผ่นดิน ตามคำแนะนำของสภามุขมนตรี ในมาตราที่ 6 ว่าด้วยตราแผ่นดิน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525. โดยมีส่วนประกอบคือ:", "title": "ตราแผ่นดินของจอร์แดน" }, { "docid": "131767#0", "text": "ธงชาติเซนต์เฮเลนา ใช้ตราแผ่นดินประกอบเข้ากับธงเรือรัฐบาลสหราชอาณาจักร (Blue Ensign) ที่ด้านปลายธง (เนื่องจากว่าดินแดนแห่งนี้เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร) ซึ่งตราแผ่นดินดังกล่าวนั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามการกำหนดให้ใช้ตราแผ่นดินในแต่ละครั้ง ธงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2527 สำหรับธงเรือพลเรือนนั้นใช้ธงเรือพลเรือนสหราชอาณาจักร (Red Ensign) ซึ่งมีพื้นสีแดง ส่วนเครื่องหมายในธงเป็นรูปตราแผ่นดินอย่างเดียวกับธงชาติ สำหรับธงประจำตำแหน่งผู่ว่าการแห่งเซนต์เฮเลนา ใช้ธงชาติสหราชอาณาจักรประดับด้วยตราแผ่นดินที่กลางธง", "title": "ธงเซนต์เฮเลนา" }, { "docid": "581726#0", "text": "ตราแผ่นดินของแอฟริกาใต้ แบบที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเนื่องในวันอิสรภาพ 27 เมษายน ค.ศ. 2000. แทนที่ตราแผ่นดินที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอาณานิคมเมื่อ ค.ศ.1910. คำขวัญ ' เขียนเป็นอักษรKhoisan ในภาษาซคัม หมายถึง \"เอกภาพในความหลากหลาย\". คำขวัญที่ปรากฏในตราแบบเดิม ', หมายถึ\nง \"unity is strength\".", "title": "ตราแผ่นดินของแอฟริกาใต้" }, { "docid": "415661#0", "text": "ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2535 หลังแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ตราแผ่นดินเป็นสีน้ำเงิน สีฟ้าของชาวคีร์กีซ หมายถึง ความกล้าหาญและความบริสุทธิ์ (มีนัยใกล้เคียงกับธงชาติคาซัคสถานและตราแผ่นดินของคาซัคสถาน) ด้านซ้ายและขวาของตรานั้นมีช่อดอกฝ้ายกับรวงข้าวสาลีรองรับ ที่ส่วนยอดและส่วนล่างมีนามชื่อประเทศเป็นอักษรซีริลลิกว่า ( \"Kyrgyz Respublikasy\")", "title": "ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน" }, { "docid": "392752#0", "text": "ตราแผ่นดินของออสเตรเลีย (เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตราแผ่นดินแห่งเครือรัฐ) ใช้โดยรัฐบาลแห่งออสเตรเลีย. ประกาศใช้อย่างเป็นทางการโดย สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2451 และ แก้ไขแบบตราเพิ่มเติมโดย สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2455 แต่ในบางโอกาสยังมีการใช้ตราแผ่นดินในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 เป็นกรณี, และตราแผ่นดินยังอยู่บน เหรียญ6เพนนีออสเตรเลีย ซึ่งใช้จนถึง พ.ศ. 2509.", "title": "ตราแผ่นดินของออสเตรเลีย" }, { "docid": "532822#0", "text": "ตราแผ่นดินของทาจิกิสถาน ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีลักษณะอย่างเดียวกันกับ ตราเดิมของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทาจิก. ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ สัญลักษณ์ค้อนเคียวที่สื่อถึงการปฏิวัติรัสเซีย พ.ศ. 2460 ได้ถูกตัดออก พร้อมกับมีการแก้ไขตราแผ่นดินในบางลักษณะ", "title": "ตราแผ่นดินของทาจิกิสถาน" }, { "docid": "8152#14", "text": "จากการที่ไทย ใช้ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า ธงมหาราช เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น", "title": "ครุฑ" }, { "docid": "112917#0", "text": "ตราแผ่นดินของยิบรอลตาร์ เป็นตราแผ่นดินของดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร มี 2 แบบคือ แบบแรกของอังกฤษ แบบที่ 2 รูปโล่แบบพื้นเมือง โดยมีตราแผ่นดินของตัวเองมีความเป็นมาในศตวรรษที่15 คือ เป็นตราแผ่นดินที่ประกาศใช้เป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2005 (ค.ศ. 1502) โดยกษัตริย์เฟอดินาน และ สมเด็จพระราชินีอิสเบลล่า รูปแบบที่1คือ มีรูปป้อมปราการสีเหลือง3ป้อม มีกุญแจสีเหลืองห้อยลงมาจากป้อมหลังกลาง รูปแบบที่2คือ มีรูปป้อมปราการสีแดง 3 ป้อม มีกุญแจสีเหลืองห้อยลงมาจากป้อมหลังกลาง", "title": "ตราแผ่นดินของยิบรอลตาร์" }, { "docid": "265879#6", "text": "นอกจากจะเป็นตราอาร์มอย่างเป็นทางการของสวีเดนแล้ว ยังถือเป็นตราอาร์มส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์แห่งสวีเดน ซึ่งทำให้ทรงมีที่ออกพระราชประกาศให้สมาชิกในราชวงศ์เบอร์นาด็อต (Bernadotte) ผู้ใดก็ได้ใช้เป็นตราประจำตัวโดยการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดตามพระราชประสงค์", "title": "ตราแผ่นดินของสวีเดน" }, { "docid": "532363#2", "text": "พระบรมราชโองการ ค.ศ. 2004 โดย กระทรวงพาณิชย์ และ อุตสาหกรรม เป็นผู้บังคับใช้พระราชบัญญัติตราแผ่นดิน รวมถึงการนำตราแผ่นดินไปใช้ในกิจการทางธุรกิจ – หรือ ปรากฏบนสินค้าที่นำเข้า และ ส่งออก โดยได้ขอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย. ผู้ใดนำตราแผ่นดินไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หรือ ปรากฏบทสินค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องระวังโทษต่อไปนี้. ผู้ใดนำตราแผ่นดินไปใช้ หรือดัดแปลง แก้ไข โดยไม่ได้รับอนุญาต. ต้องระวางโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 เรียล และ จำคุกสามปี.", "title": "ตราแผ่นดินของโอมาน" }, { "docid": "472410#5", "text": "ตราแผ่นดินที่ใช้ในปัจจุบัน ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 กันยายน, ค.ศ. 1848 ในสมัยของประธานาธิบดี ดร.โจเซ่ มาเรีย คาสโตร มาดริซ โดยประกาศใช้พร้อมกับธงชาติผืนใหม่. ธงชาติ และ ตราแผ่นดิน ได้มีการบันทึกข้องความถึง แปซิฟิคกา เฟอร์นานเดส ภริยาประธานาธิบดี. ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมตามกฎหมายฉบับที่ 18 วันที่ 27 พฤศจิกายน, ค.ศ. 1906 โดยเพิ่มสัญลักษณ์ทางทหารประกอบลงบนตราแผ่นดิน (รูปกระบอกปืนใหญ่ไขว้กับกรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์), และ ธงชาติประกอบกับอาวุธ.", "title": "ตราแผ่นดินของคอสตาริกา" }, { "docid": "531058#0", "text": "ตราแผ่นดินของแอลจีเรีย () ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2519. โดยใช้เป็นตราบนเอกสารสำคัญของรัฐบาล, รูปแบบของตราแผ่นดินดังกล่าวได้มีการแก้ไขแบบของตราแผ่นดินที่ใช้มาแล้ว4แบบ โดยได้เปลี่ยนแปลงคำขวัญประจำชาติจากภาษาฝรั่งเศส เป็น ภาษาอาหรับ. ประกอบรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งปรากฏบนธงชาติแอลจีเรีย, หมายถึงศาสนาอิสลาม. รอบนอกมีอักษรอาหรับสีแดงแสดงชื่อประเทศว่า: الجمهورية الجزائرية الديمقراطية الشعبية (\"สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย\").", "title": "ตราแผ่นดินของแอลจีเรีย" }, { "docid": "130095#0", "text": "ตราแผ่นดินของเซนต์คิตส์และเนวิส ประกาศใช้เป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2510 โดยรายละเอียดของตราอาร์มแผ่นดินมีดังนี้", "title": "ตราแผ่นดินของเซนต์คิตส์และเนวิส" }, { "docid": "45300#1", "text": "ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ใช้ตราอาร์มเป็นตราแผ่นดินใน พ.ศ. 2416 ต่อมาพระองค์มีพระราชดำริว่า ตราอาร์มที่ใช้เป็นตราแผ่นดินในเวลานั้นเป็นอย่างฝรั่งเกินไป และทรงระลึกได้ว่า พระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาเคยใช้ตราพระครุฑพ่าห์มาก่อน (ตราที่กล่าวถึงคือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์องค์เดิม) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเขียนพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ขึ้นเป็นตราแผ่นดินเพื่อใช้แทนตราอาร์ม โดยครั้งแรกทรงเขียนเป็นรูปตราพระนารายณ์ทรงครุฑจับนาค ตรานี้ได้ใช้อยู่ระยะหนึ่งก็โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเขียนตราครุฑขึ้นใหม่อีกครั้งเป็นตราวงกลม โดยยกรูปพระนารายณ์และนาคออกเสีย คงเหลือแต่รูปครุฑ ซึ่งเขียนเป็นรูปครุฑรำตามแบบครุฑขอม พื้นเป็นลายเปลวไฟ เมื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายก็ชอบพระราชหฤทัย และมีพระราชประสงค์ที่จะให้ใช้ตรานี้เป็นตราแผ่นดินถาวรสืบไป จะได้ไม่ต้องสร้างขึ้นใหม่เมื่อเปลี่ยนรัชกาล", "title": "ตราแผ่นดินของไทย" }, { "docid": "761976#2", "text": "10 มกราคม ค.ศ. 1820, จังหวัดกุนดีนามาร์กา ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพ ต่มาได้มีการประกาศใช้ตราแผ่นดินสำหรับเ้ขตการปกครองเวเนซุเอลา. รัฐสภาแห่งสหภาพได้ประกาศใช้ตราแผ่นดินของกุนดีนามาร์กา ประกอบบนธง เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1821. ในความเป็นจริง, ธงของกุนดีนามาร์กาในช่วงเวลานั้น ได้ใช้ธงสามสีของสหภาพ ซึ่งมีสถานะธงชาติของเ้ขตการปกครองเวเนซุเอลาอย่างเป็นทางการ. ใบบางแห่งยังมีการใช้ธงที่มีตราแผ่นดินอยู่กลางผืนธง. ธงผืนที่ 2 ได้ใช้จนถึง ค.ศ. 1821.", "title": "ธงชาติแกรนโคลอมเบีย" }, { "docid": "763066#0", "text": "ตราแผ่นดินของเอลซัลวาดอร์ ประกาศใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1823 ดวงตราแผ่นดินนี้ มีต้นแบบมาจากตราแผ่นดินของสหพันธ์สาธารณรัฐอเมริกากลาง ในระยะเวลาต่อมาได้มีการแก้ไขแบบตราแผ่นดินอยู่หลายครั้ง โดยแบบตราปัจจุบันเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1912.", "title": "ตราแผ่นดินของเอลซัลวาดอร์" }, { "docid": "595236#0", "text": "ตราแผ่นดินของนิการากัว ประกาศใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1823 ดวงตราแผ่นดินนี้ มีต้นแบบมาจากตราแผ่นดินของสหพันธ์สาธารณรัฐอเมริกากลาง ในระยะเวลาต่อมาได้มีการแก้ไขแบบตราแผ่นดินอยู่หลายครั้ง โดยแบบตราปัจจุบันเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1971 (โดย\"แก้ไขแบบตราแผ่นดิน\"ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1999) .", "title": "ตราแผ่นดินของนิการากัว" }, { "docid": "232091#0", "text": "ตราแผ่นดินของเวเนซุเอลา มีประกาศใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกโดยสภาแห่งชาติเวเนซุเอลาเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1836 โดยลักษณะของดวงตราในปัจจุบันเป็นดวงตราที่ได้การแก้ไขเพิ่มเติมจากแบบที่ใช้ในอดีตเล็กน้อย ดังบรรยายต่อไปนี้", "title": "ตราแผ่นดินของเวเนซุเอลา" }, { "docid": "266071#0", "text": "ตราแผ่นดินของเนเธอร์แลนด์ (, ) เป็นตราอาร์มส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้ตราย่อที่ไม่มีเสื้อคลุมและบางทีก็จะใช้แต่โล่และมงกุฎ องค์ประกอบของตราได้รับการอนุมัติโดยสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาตามพระราชประกาศเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1907 และได้รับการยืนยันอีกครั้งสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1980 (สำหรับตราที่ใช้อย่างเป็นทางการดูข้อมูลได้ที่สำนักพระราชวังเนเธอร์แลนด์)", "title": "ตราแผ่นดินของเนเธอร์แลนด์" } ]
2062
จักรพรรดิ์องค์แรกของประเทศอังกฤษคือใคร?
[ { "docid": "76879#3", "text": "\"พระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอังกฤษเริ่มต้นนับที่พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช ซึ่งแต่เดิมเป็นพระมหากษัตริย์เวสเซ็กซ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 1414 พระองค์ทรงเอาชนะพวกเดนมาร์ก ในปี พ.ศ. 1421 และได้ทรงรวบรวมอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่นก่อนสถาปนาเป็นราชอาณาจักรอังกฤษ และทรงปราบดาภิเษกพระองค์เองขึ้นเป็น \"พระมหากษัตริย์แห่งชนแองโกล-แซกซอน\" หลังจากยึดและสร้างนครลอนดอนจากชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ. 1429\" อนึ่งในช่วงต้นราชวงศ์นี้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระอิสริยยศว่า \"พระมหากษัตริย์แห่งชนแองโกล-แซกซอน\" (King of the Anglo-Saxons) ตราบจนถึงต้นรชสมัยของพระเจ้าแอเทลสแตนจึงเปลียนมาใช้\nพระอิสริยยศ พระมหากษัตริย์แห่งชนอังกฤษ (King of the English) ซึ่งพระยศนี้ใช้ตราบจนกระทั่งการสิ้นสุดของราชวงศ์เวสเซกซ์\n\"อังกฤษตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เดนมาร์กภายหลังจากรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอเธล์เรดที่ 2 ในช่วงนี้อังกฤษและเดนมาร์กมีกษัตริย์บางพระองค์ร่วมกัน\"", "title": "รายพระนามพระมหากษัตริย์อังกฤษ" } ]
[ { "docid": "159194#25", "text": "พระเจ้าเฮนรีมีชื่อเสียงจากการครองสถิติเป็นกษัตริย์อังกฤษที่มีลูกนอกสมรสที่เป็นที่รู้จำนวนมากที่สุด ด้วยจำนวนราว 20 หรือ 25 คน ทรงมีภรรยาลับมากมาย และการระบุว่าภรรยาลับคนใดเป็นแม่ของลูกคนใดเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เลือดเนื้อเชื้อไขนอกสมรสของพระองค์ที่มีหลักฐานทางเอกสาร มีดังนี้", "title": "พระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษ" }, { "docid": "549566#3", "text": "คริสตัลแก้วเจียระไนได้ถูกนำมาใส่แทนที่เพชรที่ถูกเช่ามาสำหรับใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระราชสวามีในปีค.ศ. 1685 และพระราชพิธีอื่นๆ ซึ่งมงกุฎองค์นี้ถือเป็น \"มงกุฎพระอัครมเหสี\" (Consort Crown) องค์แรกของอังกฤษภายหลังจากการฟื้นฟูราชวงศ์ในปีค.ศ. 1660 (ช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ มงกุฎแห่งราชวงศ์อังกฤษได้ถูกทำลายลงสิ้นภายใต้การปกครองของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์) มงกุฎทั้งสามองค์นี้สร้างโดยช่างอัญมณีแห่งราชสำนักในสมัยนั้น คือ ริชาร์ด โบวัวร์ ซึ่งภายหลังได้รับการบันทึกโดย ฟรานซิส แซนด์ฟอร์ด ว่า \"ได้รับเกียรติอย่างสูงยิ่งที่ทำให้ทั้งสองพระองค์พึงพอพระราชหฤทัยยิ่ง\"", "title": "มงกุฎพระราชินีแมรีแห่งโมดีนา" }, { "docid": "158568#5", "text": "ดินแดนผืนแรกที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงได้รับพระราชทานคือดินแดนแกสโคนี แต่ในปี ค.ศ. 1248 ปีหนึ่งก่อนหน้าที่จะพระราชทานให้กับพระเจ้าเฮนรีพระราชโอรส ทรงแต่งตั้งให้ไซมอนแห่งมอนฟอร์ต เอิร์ลแห่งเลสเตอร์ที่ 6 (Simon de Montfort, 6th Earl of Leicester) ไปเป็นข้าหลวงที่แกสโคนีเป็นเวลาเจ็ดปี ฉะนั้นแม้ว่าเอ็ดเวิร์ดจะมีฐานะเป็นเจ้าของแกสโคนีแต่พระองค์ก็ไม่ทรงมีอำนาจและรายได้จากแกสโคนีแต่อย่างใด", "title": "พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ" }, { "docid": "13092#4", "text": "ในปีค.ศ. 1170 เฮนรียุวกษัตริย์ พระเชษฐา ได้ขึ้นปกครองอังกฤษในฐานะกษัตริย์ร่วม (rex iunior) กับพระราชบิดา แต่พระองค์กลับสิ้นพระชนม์ก่อนพระบิดา ทำให้ไม่ได้รับการถวายพระนามว่าเฮนรีที่ 3 แต่ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า \"ยุวกษัตริย์\"\n(Henry the Young King) และทำให้ริชาร์ดกลายเป็นผู้ที่จะสืบราชสมบัติต่อไป", "title": "พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ" }, { "docid": "154834#1", "text": "นอกจากจะเป็นพระมหากษัตริย์ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และราชอาณาจักรไอร์แลนด์แล้วก็ยังทรงดำรงตำแหน่งดยุกแห่งเบราน์ชไวก์-ลือเนบูร์กและอัครเหรัญญิกและเจ้านครรัฐผู้คัดเลือกจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1727 จนถึงวันสวรรคต ทรงเป็นที่รู้จักจากการขัดแย้งกับพระราชบิดาหลายประการและต่อมากับพระราชโอรสของพระองค์เองด้วย แม้ว่าจะเป็นพระมหาษัตริย์แต่ก็ไม่ทรงมีอำนาจในการปกครองในระยะแรกที่ครองราชย์เท่าใดนัก อำนาจการปกครองในช่วงระยะเวลานั้นตกไปอยู่กับเซอร์โรเบิร์ต วอลโพล ผู้ที่ถือว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร”คนแรก พระเจ้าจอร์จสวรรคตด้วยเส้นพระโลหิตแตก (aortic dissection) ในห้องพระสรงเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1760 พระบรมศพถูกฝังไว้ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ผู้ครองราชบัลลังก์ต่อมาคือพระเจ้าจอร์จที่ 3 พระราชนัดดา ผู้เป็นพระโอรสในเจ้าชายเฟรเดอริก เจ้าชายแห่งเวลส์พระราชโอรสของพระองค์ผู้สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1751", "title": "พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่" }, { "docid": "13092#2", "text": "ริชาร์ดใจสิงห์เป็นโอรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายองค์ที่สามของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษดังนั้นจึงไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นโอรสคนโปรดของพระมารดา คือพระนางเอเลเนอร์แห่งอากีแตน ผู้มีเชื้อสายฝรั่งเศสและเป็นหนึ่งในสตรีผู้มั่งคั่งที่สุดในยุโรปสมัยยุคกลาง\nริชาร์ดเป็นโอรสองค์เล็กร่วมพระมารดาเดียวกันกับมารี เดอ ชองปาญจ์ และ อเล็กซิส แห่งฝรั่งเศส อีกทั้งยังเป็นพระอนุชาของวิลเลียม เค้าท์แห่งปัวติเยร์ เฮนรียุวกษัตริย์ และ มาทิลดา แห่งอังกฤษ เป็นพระเชษฐาของจอฟฟรีที่ 2 ดยุคแห่งบริททานี เลโอนอรา แห่งอากิเตน โจอาน ปลองตานเนต์ และ เจ้าชายจอห์นแห่งอังกฤษ", "title": "พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ" }, { "docid": "91429#2", "text": "พระองค์เป็นพระประมุขอังกฤษพระองค์แรกที่เสด็จเยือนประเทศรัสเซียเมื่อปี พ.ศ. 2451 ถึงแม้ว่าทรงปฏิเสธที่จะเสด็จเยือนในปี พ.ศ. 2449 (เพราะว่าโปรดสภาดูมามากกว่าซาร์) พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากองทัพเรืออังกฤษให้ทันสมัยขึ้นและการปฏิรูปหน่วยการแพทย์ในกองทัพบกอังกฤษหลังจากสงครามบัวร์ครั้งที่สอง การสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างอังกฤษกับนานาประเทศของทวีปยุโรป โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส ของพระองค์ ซึ่งทำให้ทรงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่า \"ผู้สร้างสันติภาพ\" (Peacemaker) ได้ถูกทำให้ผิดแผกแปลกไปอย่างน่าเศร้าจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2457", "title": "พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "318462#2", "text": "พระมหากษัตริย์องค์แรกของราชอาณาจักรพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 แห่งอิทรูเรียสวรรคตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ในปี ค.ศ. 1803 ดยุกการ์โลที่ 2 แห่งปาร์มาพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อโดยมีพระนางมาเรีย ลุยซาแห่งสเปน สมเด็จพระราชินีแห่งอิทรูเรีย พระราชมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์", "title": "ราชอาณาจักรอิทรูเรีย" }, { "docid": "159194#16", "text": "เฮนรียังเป็นที่รู้จักในด้านความโหดเหี้ยม พระองค์เคยโยนชาวเมืองที่ทรยศชื่อโคนัน พิลาตุสลงมาจากหอคอยแห่งรูอ็อง หอคอยที่ตั้งแต่นั้นมารู้จักกันในชื่อ \"การกระโดดของโคนัน\" อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1119 ลูกเขยของเฮนรี ยูซตาสแห่งแปซีกับราล์ฟ ฮาร์เนค ขุนวังแห่งอิฟรี แลกลูกให้เป็นตัวประกันของกันและกัน เมื่อยูซตาสทำลูกชายของฮาร์เนคตาบอด ฮาร์เนคต้องการล้างแค้น พระเจ้าเฮนรีอนุญาตให้ฮาร์เนคทำให้ลูกสาวสองคนของยูซตาส ซึ่งเป็นหลานสาวของเฮนรีเอง ตาบอดและพิการ ยูซตาสกับภรรยา จูเลียง ตะลึงและขู่ว่าจะก่อกบฏ เฮนรีจัดแจงจนได้เจรจาข้อพิพาทกับลูกสาวที่เบรอเตยล์ จูเลียงดึงหน้าไม้และพยายามลอบสังหารพ่อของตน ทำให้เธอถูกจับกุมและกักบริเวณในปราสาท แต่หนีออกมาได้ด้วยการกระโดดจากหน้าต่างลงมาในคูข้างล่าง หลายปีต่อมา เฮนรีคืนดีกับลูกสาวและลูกเขย", "title": "พระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษ" } ]
2208
ใครเป็นคนคิดค้นโดชคอยน์?
[ { "docid": "627015#1", "text": "หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายคนบน Twitter พามเมอร์ได้ซื้อโดเมนในชื่อ dogecoin.com และเริ่มใส่ข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับโดชคอยน์ซึ่งมีทั้งโลโก้และคำที่กระจายไปอยู่ทั่วทั้งเว็บไซต์ด้วยฟอร์น Comic Sans หลังจากมาร์คัสได้เห็นเว็บไซต์ที่พามเมอร์ได้สร้างขึ้นผ่านทางห้องแชตบน IRC เขาได้ติดต่อพูดคุยกับพามเมอร์แล้วเริ่มต้นที่จะเริ่มสร้างโดชคอยน์ขึ้นมา มาร์คัสได้สร้างโดชคอยน์จากโค้ตของสกุลเงินอื่นที่มีอยู่แล้วนั่นคือ Luckycoin ที่ใช้หลักการสุ่มจำนวนเหรียญที่ได้รับจากการไมนิงในแต่ละบล็อก ถึงแม้ว่าหลังจากนี้วิธีการสุ่มแบบนี้ได้ถูกเปลี่ยนไปในภายหลังในเดือนมีนาคมปี 2014 ก็ตาม Luckycoin นั้นเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ถูกพัฒนาต่อมาจาก Litecoin ที่ใช้ scrypt เป็นการอัลกอริทึมในการ \"ตรวจสอบงาน\" (proof-of-work) ในการใช้ scrypt นั้นทำให้ไมเนอร์ (miner) ไม่สามารถใช้ฮาร์ดแวร์แบบ SHA-256 ที่ใช้ในการไมนิง Bitcoin ได้ ซึ่งทำให้อุปกรณ์แบบ FPGA และ ASIC ที่ใช้ในการไมนิงเหรียญแบบ scrypt สร้างได้ยากขึ้น โดชคอยน์ได้รับการประกาศใช้ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ในตอนแรกนั้นเครือข่ายของโดชคอยน์ได้ถูกออกแบบไว้ให้สร้างเหรียญทั้งหมด 100 พันล้านโดชคอยน์ แต่ในภายหลังได้มีการประกาศว่าเครือข่ายของโดชคอยน์จะสร้างเหรียญออกมาไม่มีจำนวนจำกัด", "title": "โดชคอยน์" }, { "docid": "627015#0", "text": "โดชคอยน์ (Dogecoin, , code: DOGE, symbol: Ð and D) เป็นสกุลเงินแบบดิจิตัลที่ใช้รูปของสุนัขชื่อโดช(Doge)ที่เป็นอินเทอร์เน็ตมีมของสุนัขญี่ปุ่นพันธุ์ Shiba Inu เป็นโลโก้ของสกุลเงิน โดชคอยน์ถูกริเริ่มเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2013 เมื่อทำการเปรียบเทียบกับสกุลเงินดิจิตอลอื่น โดชคอยน์มีระยะเวลาการไมนิงจำนวนเหรียญเริ่มต้นเร็วกว่าสกุลเงินอื่น โดยจะมีเม็ดเงินที่เกิดจากการไมนิง 100 พันล้านเหรียญโดยประมาณภายในสิ้นปี 2014 และหลังจากนั้น 5.2 พันล้านเหรียญจะถูกสร้างทุกๆปี ทั้งนี้ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 โดชคอยน์จำนวนกว่า 65 พันล้านเหรียญได้ถูกไมนิงได้ ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีแอปพลิเคชันสำหรับโดชคอยน์ไม่มากนัก แต่จำนวนการใช้โดชคอยน์ผ่านทางระบบการให้ทิปในอินเทอร์เน็ตกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก โดยระบบนี้ทำให้คนบนโลกโซเชียลมีเดียสามารถให้ทิปคนอื่นที่นำเสนอบนความที่น่าสนใจผ่านทางโดชคอยน์ ทั้งนี้สมาชิกในชุมชนโดชคอยน์และชุมชนอื่นๆใช้ประโยคที่ว่า \"To the moon!\" สำหรับเรียกเวลาราคาเหรียญกำลังสูงขึ้น.\nโดชคอยน์ถูกสร้างโดยโปรแกรมเมอร์ชื่อบิลลี่ มาร์คัส(Billy Markus) จาก Portland, Oregon ในตอนเริ่มต้นนั้นบิลลี่ต้องการสร้างสกุลเงินดิจิตอลที่ตลกเพื่อที่จะเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้มากกว่าบิตคอยน์ (Bitcoin) นอกจากนี้เขายังต้องการใหโดชคอยน์มีความรู้สึกแตกต่างจากบิตคอยน์ \nที่ในขณะนั้นมีภาพลักษณ์ไม่ดีจากการที่เข้าไปเป็นสกุลเงินกลางที่ใช้ในการซื้อขายใน Silk Road ตลาดยาเสพติดออนไลน์ในขณะนั้น ประจวบเหมาะกับในขณะนั้นเจ็คสัน พามเมอร์ (Jackson Palmer)ผู้ร่วมสร้างโดชคอย์นอีกคนถูกนักศึกษาจาก Front Range Community College สนับสนุนให้สร้างความคิดให้เป็นจริง", "title": "โดชคอยน์" } ]
[ { "docid": "627015#6", "text": "วันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2014 ชุมชนของโดชคอยน์ประสบความสำเร็จในการระดมทุน 67.8 ล้านโดชคอยน์ (ประมาณ $55,000 ในขณะนั้น) เพื่อที่จะสปอนเซอร์นักแข่ง NASCAR ชื่อจอร์จ วิช (Josh Wise) วิชขับรถที่มีโฆษณาของโดชคอยน์และ Reddit อยู่บนตัวรถที่ Aaron's 499 สนาม Talladega Superspeedway โดยในวันที่ 4 พฤษฏาคม ค.ศ. 2014 วิชและรถของเขาได้ถูกถ่ายทอดกว่าหนึ่งนาที เมื่อผู้บรรยายกล่าวถึงโดชคอยน์และเรื่องราวของความพยายามระดมทุนของชุมชน ในวันที่ 16 พฤษฏาคม ค.ศ. 2014 จอร์จ วิชได้รับรางวัลชนะเลิศ (Sprint All-Star Race) จากแฟนๆออนไลน์ ซึ่งชนะเจ้าบ้านอย่าง Danica Patrick เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากชุมชนโดชคอยน์ใน Reddit วิชได้เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 15 ทั้งนี้ผู้สร้างเกมส์รถแข่ง \"NASCAR '14\" ได้ประกาศว่าทางทีมงานได้มีแผนที่จะนำ Dogecar ไปใส่ไว้ในเกมส์ DLC ในภาคต่อไปด้วย\nเว็บไซต์แลกเปลี่ยนหลายรายได้นำเสนอตลาดแลกเปลี่ยนแบบ DOGE/BTC and DOGE/LTC โดยสามตลาดแลกเปลี่ยนได้แก่ Mengmengbi, Bter และ BTC37 ได้นำเสนอตลาดแลกเปลี่ยนแบบ DOGE/CNY ทั้งนี้ในประเทศไทยเว็บไซต์ Thailand DOGE Exchange (TDE) ได้นำเสนอตลาด DOGE/THB ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2014 AltQuick.co เป็นเว็บไซต์แรกที่ทำการเสนอตลาดแลกเปลี่ยนแบบ DOGE/USD ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2014 ตลาดแลกเปลี่ยนสัญชาติแคนาดาชื่อ \"Vault of Satoshi\" ได้ทำการเปิดตลาด DOGE/USD และ DOGE/CAD ด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ตลาดแลกเปลี่ยนสัญชาติฮ่องกง Asia Nexgen ได้ประกาศว่าจะทำการรองรับการซื้อขายโดชคอยน์ในทุกตลาดค่าเงินหลัก ต่อมาตลาดแลกเปลี่ยนสัญชาติจีนได้เพิ่มตลาดโดชคอยน์เข้ามาทำให้ตลาดของโดชคอยน์ขยายใหญ่ขึ้นภายในเวลา 24 ชั่วโมง ในช่วงของวันแรกที่มีการเปิดซื้อขายโดชคอยน์ โดชคอยน์ได้รับความนิยมซื้อขายเป็นอันดับสองถัดจาก BTC ในเว็บไซต์นี้", "title": "โดชคอยน์" }, { "docid": "627015#3", "text": "ในวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ธนาคารแห่งชาติของประเทศอินเดียได้เตือนนักลงทุนในโดชคอยน์และสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆให้ระวังความเสี่ยงที่ทำการซื้อขายค่าเงินดังกล่าว ในวันถัดมาวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซึ่งเป็นวันคริสมาสต์ การโจรกรรมครั้งใหญ่ครั้งแรกได้เกิดขึ้นกับโดชคอยน์ เมื่อแฮกเกอร์ได้ขโมยโดชคอยน์จำนวนหลายล้านเหรียญจากเว็บไซต์กระเป๋าสตางค์ออนไลน์ของโดชคอยน์ (Dogewallet) โดยแฮกเกอร์ได้เข้าถึงไฟล์ระบบของเว็บไซต์กระเป๋าสตางค์ออนไลน์ดังกล่าวและทำการแก้ไขหน้ารับ/ส่งโดชคอยน์ของเว็บไซต์ให้ทำการส่งเงินที่มีอยู่ทั้งหมดไปยังที่อยู่ของแฮกเกอร์ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้โดชคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิตอลทางเลือกที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดใน Twitter ในขณะนั้น เพื่อที่จะทำการช่วยเหลือคนที่ถูกขโมยเหรียญไปบน Dogewallet ทางชุมชนโดชคอยน์ได้ริเริ่มโครงการ \"SaveDogemas\" เพื่อรับบริจาคโดชคอยน์สำหรับคนที่ถูกขโมยเงินไป เพียงแค่เวลาประมาณหนึ่งเดือน เงินที่ได้รับจากการบริจาคก็เพียงพอที่จะจ่ายคืนให้กับผู้ที่สูยเสียเหรียญไป ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 จำนวนการซื้อขายของโดชคอยน์ก็ได้สูงกว่าของ Bitcoin และสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆรวมกัน ตลาดของโดชคอยน์มีมูลค่ากว่า USD$81 million", "title": "โดชคอยน์" }, { "docid": "270007#0", "text": "ควอสิโมโด () เป็นตัวละครในวรรณกรรมเรื่องคนค่อมแห่งนอทเทอร์ดามซึ่งประพันธ์โดยนักเขียนชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า วิกเตอร์ ฮูโก ในเนื้อเรื่องได้กล่าวถึงควอสิโมโด เป็นชายหลังค่อม ซึ่งทำหน้าที่เฝ้ามหาวิหารโนตเรอดามแห่งปารีส และมีความรักต่อหญิงสาวชาวยิปซีนามว่า เอสเมอรัลด้า นอกจากนี้ ยังมีการนำตัวละครดังกล่าวไปเป็นตัวละครเอกในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง คนค่อมแห่งนอเทรอดาม ด้วยเช่นกัน", "title": "ควอสิโมโด" }, { "docid": "877899#0", "text": "บีเคเควาย () คือ ภาพยนตร์ไทยกึ่งสารคดีกึ่งเรื่องแต่งแนวข้ามพ้นวัย ปี พ.ศ. 2559 กำกับโดย นนทวัฒน์ นำเบญจพล นำแสดงโดย พลอยยุคล โรจนกตัญญู, อนงค์นาถ ยูสานนท์, เจตน์ เกสะวัฒนะ และณฐกร เกียรติ์มนตรี เล่าเรื่องของ \"โจโจ้\" หญิงสาวที่กำลังก้าวผ่านวัยจากนักเรียนสู่นักศึกษา และเผชิญกับความรักแบบเพศเดียวกันและเพศตรงกันข้าม โดยเรื่องราวของโจโจ้ถูกสร้างขึ้นมาจากเนื้อหาในไดอารีส่วนตัวของพลอยยุคล นักแสดงนำของเรื่อง ผนวกเข้ากับบทสัมภาษณ์ว่าด้วยเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ครอบครัว เพศภาวะ การมีเพศสัมพันธ์ ฯลฯ ที่นนทวัฒน์รวบรวมมาจากวัยรุ่นอายุ 17-19 ปี จำนวน 100 คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ", "title": "บีเคเควาย" }, { "docid": "627015#10", "text": "วันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2014 ผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์ออกนามได้บริจาคโดชคอยน์จำนวน 14 ล้านเหรียญให้กับโครงการสร้างบ่อน้ำดื่มในเคนย่าสำหรับวัน \"World Water Day\" ที่ตรงกับวันที่ 22 มีนาคมของทุกปี การบริจาคในครั้งนี้ได้ทำผ่านทางการให้ทิปบนทวิตเตอร์ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็น \"most valuable tweet in history\" ซึ่งเป็นเงินโดชคอยน์จำนวนกว่า 40,000,000 เหรียญ", "title": "โดชคอยน์" }, { "docid": "486491#3", "text": "1.ใครคือคนนั้น / ศิลปิน ไทรอัมพ์ส คิงดอม \n2.จินตนาการ / ศิลปิน มิสเตอร์ซิสเตอร์ \n3.ดอกไม้ / ศิลปิน วงนีซ \n4.อย่ายอมนะ / ศิลปิน วงเอช \n5. DON\"MAKE ME CRY/ ศิลปิน ไทรอัมพ์ส คิงดอม \n6.JUST DON\"STOP / ศิลปิน วงนีซ \n7.คิดถึงเธอ / ศิลปิน วงเอช \n8.อยากร็ / ศิลปิน มิสเตอร์ซิสเตอร์ \n9.อยากได้ / ศิลปิน ออย ช๊อกกิ้งพิ้งค์ \n10.ตอบแทน / ศิลปิน ไทรอัมพ์ส คิงดอม \n11.ข้อความ / ศิลปิน วงเอช \n12.ดาว / ศิลปิน คริสติน มารี นีเวล", "title": "ออย ช็อคกิ้งพิ้งค์" }, { "docid": "316247#0", "text": "เดอะ คาราเต้ คิด () เป็นภาพยนตร์แอคชั่นฉบับรีเมค ซึ่งกำกับโดย ฮารัล สจวร์ต นำแสดงโดย เฉินหลง และ เจเดน สมิธ ซึ่งเป็นบุตรชายของวิล สมิธ และถ่ายทำกันในกรุงปักกิ่ง ที่ประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยภาพยนตร์เวอร์ชันนี้เริ่มถ่ายทำในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 และแล้วเสร็จในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ซึ่งมีแผนกำหนดฉายในสหรัฐอเมริกาช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010", "title": "เดอะ คาราเต้ คิด (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2553)" }, { "docid": "220200#2", "text": "ประติมากรรม \"คนครุ่นคิด\" เดิมชื่อ \"กวี\" เป็นงานที่จ้างโดยพิพิธภัณฑ์ศิลปะตกแต่ง (Musée des Arts Décoratifs) ในกรุงปารีสเพื่อเป็นรูปปั้นสำหรับประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ รอแด็งได้รับแรงบันดาลใจจากไตรภูมิดันเตของดันเต อาลีกีเอรี และตั้งชื่อประตูว่า \"ประตูนรก\" ประติมากรรมแต่ละชิ้นเป็นตัวแทนชองตัวละครจากมหากาพย์ เดิม \"คนครุ่นคิด\" ตั้งใจจะให้เป็นดันเต อาลีกีเอรี หน้า \"ประตูนรก\" ครุ่นคิดถึงมหากาพย์ ในประมากรรมชิ้นสุดท้าย รูปปั้นเล็กนั่งอยู่เหนือประตูคิดถึงชะตาของผู้อยู่ข้างใต้ ประติมากรรมเป็นรูปเปลือยเพราะรอแด็งต้องการสร้างผู้ที่มีลักษณะเป็นวีรบุรุษทำนองเดียวกับมีเกลันเจโล ที่แสดงให้เห็นทั้งด้านสติปัญญาที่เกิดขึ้นจากความยำเกรงในพระเจ้าและความสามารถทางกวีนิพนธ์", "title": "คนครุ่นคิด (รอแด็ง)" } ]
3190
มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ซีซั้นแรกออกอากาศเมื่อใด ?
[ { "docid": "868759#0", "text": "มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ เป็นรายการเกมโชว์ทำอาหาร ออกอากาศครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จากทุกอาชีพและทุกภาคของประเทศไทย\nโดยมีผู้เข้าแข่งขันจากทั่วประเทศสามารถผ่านมาได้ 120 คนและได้มาทำการคัดเลือกให้เหลือ 38 คน ก่อนจะทำการคัดให้เหลือ 16 คนสุดท้ายด้วยทักษะในครัวขั้นพื้นฐาน", "title": "มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซันที่ 1" }, { "docid": "858307#0", "text": "มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ เป็นรายการเกมโชว์ทำอาหาร ออกอากาศครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ทาง ช่อง 7 โดยเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จากทุกอาชีพและทุกภาคของประเทศไทย", "title": "มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์" } ]
[ { "docid": "916480#0", "text": "มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซัน 2 เป็นรายการเกมโชว์ทำอาหาร โดยจะออกอากาศในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จากทุกอาชีพและทุกภาคของประเทศไทย ดำเนินรายการโดยปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ (ป๊อก) และมีกรรมการคือ หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์), หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล (คุณป้อม) และพงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย (เชฟเอียน)", "title": "มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซันที่ 2" }, { "docid": "962781#0", "text": "มาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ไทยแลนด์ เป็นรายการเกมโชว์ทำอาหาร ออกอากาศครั้งแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 ทาง ช่อง 7 โดยเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 8 - 13 ปี จากทุกภาคของประเทศไทย ดำเนินรายการโดยปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ (ป๊อก) และมีคณะกรรมการในการตัดสินคือ หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์), หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล (คุณป้อม) และพงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย (เชฟเอียน)", "title": "มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์" }, { "docid": "966031#0", "text": "มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์ ซีซันที่ 1 เป็นรายการเกมโชว์ทำอาหาร โดยจะออกอากาศในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุ 8–13 ปี ดำเนินรายการโดยปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ (ป๊อก) และมีคณะกรรมการในการตัดสินคือ หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์), หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล (คุณป้อม) และพงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย (เชฟเอียน)", "title": "มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์ ซีซันที่ 1" }, { "docid": "649979#1", "text": "เริ่มต้นกองประกวดจัดเวทีครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2554 (ค.ศ.2011) โดยคุณนับดาว องค์อภิชาติ ผู้อำนวยการกองประกวด มิส&มิสเตอร์, มิสควีน, มิสซิสเดฟไทยแลนด์ หรือผู้ถือลิขสิทธิ์จากเวทีการประกวด 4 เวที จัดเวทีการประกวดภายใต้ชื่อว่า การประกวดเวที พีดีเอดีเดฟไทยแลนด์แพนจัน “PDAD DEAF THAILAND PAGEANT” โดยมีเป้าหมายการประกวดเพศชาย หญิง และเพศที่สาม หรือสาวประเภทสอง ไม่มีตัวแทนเข้าการประกวดหูหนวกระดับโลก", "title": "มิสมิสเตอร์มิสควีนมิสซิสเดฟเวิลด์ไทยแลนด์" }, { "docid": "840123#3", "text": "ในปี 2561 ได้มีการเปิดรับสมัครนายแบบในหลายประเทศ เพื่อมาเข้าร่วมการแข่งขันซีซัน 2 ในประเทศไทย โดยเริ่มเปิดรับสมัครที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เป็นที่แรก ในเดือนพฤษภาคม และรับสมัครในประเทศไทยวันที่ 11 สิงหาคม นอกจากนี้ ในซีซัน 2 ทางรายการได้มีการเพิ่มตำแหน่งเมนเทอร์พิเศษขึ้นมา คือ \"มาสเตอร์ เมนเทอร์\". และผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดออกจากรายการจะได้กลับมาเรียนมาสเตอร์คลาสต่อไป โดยอยู่ในการดูแลของ \"ทีมมาสเตอร์ เมนเทอร์\" แต่จะไม่สามารถร่วมทำแคมเปญได้.", "title": "เดอะเฟซเมนไทยแลนด์" }, { "docid": "139354#0", "text": "มาสเตอร์คีย์ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 10.00 -10.30 น. (เริ่ม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552 - ปัจจุบัน) ผลิตโดย บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด ปัจจุบันมีผู้ดำเนินรายการได้แก่ เมทนี บุรณศิริ เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยเริ่มจาก มาสเตอร์คีย์, มาสเตอร์คีย์ ฟอร์เอฟเวอร์, มาสเตอร์คีย์ เดอะวินเนอร์, มาสเตอร์คีย์ สี่ภาค, มาสเตอร์คีย์ 10 ปีทอง, มาสเตอร์คีย์ มหาสนุก, มาสเตอร์คีย์ ไทยแลนด์, มาสเตอร์คีย์ คู่หูคู่เพลง และล่าสุดคือ มาสเตอร์คีย์ เวทีแจ้งเกิด", "title": "มาสเตอร์คีย์" }, { "docid": "210634#0", "text": "มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2552 เป็นการประกวดปีที่ 10 นับแต่ที่จัดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2543 โดย สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้ดำเนินการจัดขึ้น โดยทำการเก็บตัวเพื่อร่วมทำกิจกรรม ระหว่างการประกวด ที่ เกาะสมุย, จังหวัดสุราษฎร์ธานี และการประกวดรอบตัดสินในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552 ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ (ลาดพร้าว) ผู้ได้รับตำแหน่งจะได้เป็นตัวแทนสาวไทย เดินทางไปประกวดนางงามจักรวาลหรือมิสยูนิเวิร์ส ปี 2009 ณ ประเทศบาฮามาส ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ โดยรอบตัดสินมีสาวงามเข้าร่วมการประกวด 44 คน โดยมี กวินตรา โพธิจักร มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2551 เป็นผู้มอบมงกุฏให้กับ ชุติมา ดุรงค์เดช", "title": "มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2552" }, { "docid": "355453#0", "text": "มาสเตอร์มอสคีตั้น'99 () เป็นภาพยนตร์อนิเมะที่รีเมคจากเรื่อง มาสเตอร์มอสคีตั้น โดยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทีวีโตเกียว ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1997 และสิ้นสุดออกอากาศเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1998 โดยออกอากาศทั้งหมด 26 ตอน", "title": "มาสเตอร์มอสคีตั้น'99" } ]
490
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี มีกี่เมือง ?
[ { "docid": "665#0", "text": "เยอรมนี (English: Germany; German: Deutschland ดอยฺชลันฺท) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (English: Federal Republic of Germany; German: Bundesrepublik Deutschland) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบรัฐสภาในยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีภูมิอากาศตามฤดูกาลแบบอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ มีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป ประเทศเยอรมนีเป็นจุดหมายการเข้าเมืองยอดนิยมอันดับสองในโลกรองจากสหรัฐ เมืองหลวงและมหานครใหญ่สุดของประเทศคือ กรุงเบอร์ลิน ขณะที่เขตเมืองขยายใหญ่สุด คือ รัวร์ โดยมีศูนย์กลางหลักดอร์ทมุนท์และเอ็สเซิน นครหลักอื่นของประเทศ ได้แก่ ฮัมบวร์ค มิวนิก โคโลญ แฟรงก์เฟิร์ต ชตุทท์การ์ท ดึสเซิลดอร์ฟ ไลพ์ซิช เบรเมิน เดรสเดิน ฮันโนเฟอร์ และเนือร์นแบร์ก", "title": "ประเทศเยอรมนี" } ]
[ { "docid": "308803#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 10 ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) ณ เมืองกรีโนเบิล ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 6 กุมภาพันธ์ – 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูหนาว 1968" }, { "docid": "308228#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 19 ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม – 27 ตุลาคม พ.ศ. 2511", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูร้อน 1968" }, { "docid": "50118#0", "text": "เยอรมนีตะวันตก () เป็นคำเรียกอย่างไม่เป็นทางการของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในช่วงปี ค.ศ. 1949 ถึง 1990 ซึ่งในช่วงเวลานี้ มีอีกรัฐเยอรมันดำรงอยู่อีกรัฐหนึ่ง คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก)", "title": "ประเทศเยอรมนีตะวันตก" }, { "docid": "999878#0", "text": "การก่อการกำเริบสปาตาคิสท์ ยังเป็นที่รู้จักกันคือ การก่อการกำเริบเดือนมกราคม เป็นการนัดหยุดงานทั่วไป (และการต่อสู้รบด้วยอาวุธปืนประกอบไปด้วย) ในประเทศเยอรมนี ตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 12 มกราคม ค.ศ. 1919 เยอรมนีได้อยู่ในช่วงกลางของการปฏิวัติหลังสงคราม และสองเส้นทางที่ได้รับรู้ในความก้าวหน้าคือ ประชาธิปไตยสังคมหรือรัฐสภาสาธารณรัฐเช่นเดียวกับหนึ่งเส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นโดยบอลเชวิคในรัสเซีย การก่อการกำเริบครั้งนี้เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี(SPD) ภายใต้การนำโดยฟรีดริช เอเบิร์ท และกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวรุนแรงของพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมนีภายใต้การนำโดยคาร์ล ลีพคเน็ชท์และโรซา ลุคเซิมบวร์ค ที่ได้ก่อตั้งเมื่อก่อนหน้านี้และนำสันนิบาติสปาตาคิสท์(Spartakusbund) การต่อสู้แย่งชิงอำนาจครั้งนี้เป็นผลมาจากการสละราชบังลังก์ของจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี และการลาออกของนายกรัฐมนตรี มัคซีมีลีอานแห่งบาเดิน ซึ่งได้มอบอำนาจไปยังเอเบิร์ท ในฐานะที่เป็นผู้นำของพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภาเยอรมัน การก่อการกำเริบที่คล้ายกันได้เกิดขึ้นและถูกปราบปรามในเบรเมิน, รูร์, ไรน์ลันท์, ซัคเซิน, ฮัมบวร์ค, ทือริงเงิน และบาวาเรีย และอีกครั้งของการสู้รบบนถนนที่รุนแรงกว่าที่เกิดขึ้นในกรุงเบอร์ลินในเดือนมีนาคม ซึ่งนำไปสู่ความท้อแท้อย่างกว้างขวางด้วยรัฐบาลไวมาร์", "title": "การก่อการกำเริบสปาตาคิสท์" }, { "docid": "17186#10", "text": "หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง รัฐสภาของฟินแลนด์ ซึ่งไม่มีสมาชิกของพรรคสังคมประชาธิปไตยซึ่งสนับสนุนสาธารณรัฐอยู่เลย ได้ประกาศตั้งราชอาณาจักรฟินแลนด์ขึ้น โดยเลือกเจ้าชายเฟเดอริก ชาลส์ แห่งแฮสส์ของเยอรมนี ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของฟินแลนด์ แต่เมื่อเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความคิดนี้จึงต้องยกเลิกไป และฟินแลนด์ก็ประกาศเป็นสาธารณรัฐ โดยมีคาร์โล ยุโฮ สโตห์ลเบิร์ก เป็นประธานาธิบดีคนแรก[2]", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "308368#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 20 ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนีตะวันตก ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 10 กันยายน พ.ศ. 2515", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูร้อน 1972" }, { "docid": "463373#1", "text": "ทีมรวมเยอรมนี (; ) ร่วมแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อนและฤดูหนาวในปี พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) และ พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) ด้วยการเป็นทีมร่วมกันของนักกีฬาจาก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Federal Republic of Germany; “เยอรมนีตะวันตก”) และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (German Democratic Republic; “เยอรมนีตะวันออก”) ในปี พ.ศ. 2499 ทีมนี้ยังประกอบด้วย คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติชุดที่สามคือ \"คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งซาร์ลันด์\" (Saarland Olympic Committee) ซึ่งจัดส่งทีมเฉพาะกิจในปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) แต่ในปี พ.ศ. 2499 นั้นกำลังอยู่ในกระบวนการควบรวมกับ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติเยอรมนี ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) โดยหลังจากซาร์ลันด์เข้ารวมแล้ว จึงใช้รหัส FRG ร่วมกับเยอรมนีตะวันตก", "title": "ทีมรวมเฉพาะกิจในโอลิมปิก" }, { "docid": "530910#1", "text": "อุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมันมีอิทธิพลอย่างสูงในการเมืองเยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระหว่างการรวมประเทศเยอรมนี เมื่อจักรวรรดิเยอรมันถูกประกาศเป็นรัฐชาติใน ค.ศ. 1871 โดยปราศจากออสเตรีย (เยอรมนีน้อย) ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักคิดอุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมันจำนวนมาก จัดตั้งสันนิบาตอุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน (Pan-German League) ตั้งแต่ ค.ศ. 1891 ได้รับอุดมการณ์ยึดชาติพันธุ์เป็นศูนย์กลาง (ethnocentric) และนิยมเชื้อชาติอย่างเปิดเผย และท้ายสุดได้ทำให้นโยบายต่างประเทศ \"ไฮม์อินส์ไรช์\" ที่นาซีเยอรมนีภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ดำเนินตั้งแต่ ค.ศ. 1938 อันเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ผลจากภัยพิบัติแห่งสงครามทำให้อุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมันส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นอุดมการณ์ต้องห้ามในสมัยหลังสงครามทั้งในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี ปัจจุบัน อุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมันจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มนาซีใหม่ชายขอบบางกลุ่มในเยอรมนีและออสเตรีย", "title": "อุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน" }, { "docid": "227468#36", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี(เยอรมันตะวันออก)ได้ซื้อmig-29 จำนวน 24 ลำ (รุ่นA 20 ลำและรุ่นUB 4 ลำ) ซึ่งได้เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2531-2532 หลังจากที่กำแพงเบอร์ลินถูกทำลายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 และการรวมประเทศของเยอรมนีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2533 mig-29 และเครื่องบินลำอื่นๆ ของกองทัพอากาศเยอรมนีตะวันออกเดิมถูกรวมเข้าในกองทัพอากาศเยอรมนี ", "title": "มิโคยัน มิก-29" }, { "docid": "309479#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 12 ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) ณ เมืองอินส์บรุค ประเทศออสเตรีย ระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ – 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูหนาว 1976" }, { "docid": "309023#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 11 ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) ณ เมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูหนาว 1972" }, { "docid": "23775#4", "text": "ปีต่อมา เยอรมนีภายใต้การปกครองของ 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส รวมกันจัดตั้งเป็นประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หรือ เยอรมนีตะวันตก ในขณะที่เยอรมนีส่วนที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต ได้จัดตั้งเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี หรือ เยอรมนีตะวันออก ในช่วงแรก ประชาชนของทั้งสองประเทศสามารถเดินทางข้ามแดนไปมาหาสู่กันได้เป็นปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ความแตกต่างระหว่างการปกครองแบบประชาธิปไตยในเยอรมนีตะวันตก และการปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออก มีความแตกต่างที่เด่นชัดขึ้น ในขณะที่เยอรมนีตะวันตกได้รับการพัฒนา และฟื้นฟูประเทศ อาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่พังทลายในช่วงสงครามโลกได้รับการบูรณะ ส่วนเยอรมนีตะวันออกทุกอย่างกลับสวนทางกัน ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจทุกอย่างถูกเปลื่ยนมือไปเป็นของรัฐ เป็นเหตุให้ผู้คนพากันอพยพข้ามถิ่นจากเยอรมนีตะวันออกไปยังเยอรมนีตะวันตกกันมากขึ้น ทำให้เยอรมนีตะวันออกประสบปัญหาการขาดแรงงาน เฉพาะในปี ค.ศ. 1961 เพียงปีเดียว ซึ่งมีข่าวลือว่า ทางเยอรมนีตะวันออกจะปิดกั้นพรมแดนระหว่างสองประเทศ ทำให้ผู้คนกว่า 3 ล้านคน พากันอพยพไปยังเยอรมนีตะวันตก เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รัฐบาลเยอรมนีตะวันออก ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียตได้เร่งสร้างกำแพงกันแนวระหว่างสองประเทศ และรวมไปถึง แนวกำแพงที่ปิดล้อมกรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตกอีกด้วย", "title": "กำแพงเบอร์ลิน" }, { "docid": "11774#11", "text": "ในขณะที่เยอรมนีตะวันตกได้ถูกก่อตั้งและได้รับเอกราชจากผู้ยึดคีอง สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันได้ถูกก่อตั้งในเยอรมนีตะวันออกในปี ค.ศ. 1949 การสร้างทั้งสองรัฐขึ้นในปี ค.ศ. 1945 ส่วนหนึ่งของเยอรมนี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1952 (ในสิ่งที่กลายเป็นที่รู้จักกันคือ โน้ตสตาลิน) สตาลินได้ยื่นข้อเสนอให้รวมประเทศเยอรมนีด้วยนโยบายความเป็นกลาง, ด้วยปราศจากเงื่อนไขใดๆเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจและด้วยการรับประกันสำหรับ\"สิทธิมนุษย์และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเสรีภาพในการพูด กดดัน การชักชวนทางศาสนา, ความเชื่อมั่นทางการเมือง และการชุมนุม\" และเคลื่อนไหวอย่างเสรีของพรรคประชาธิปไตยและองค์กร ตอนนี้ได้ถูกปิดลง การรวมประเทศไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นผู้นำของเยอรมนีตะวันตก และอำนาจของนาโต้ได้ปฏิเสธข้อเสนอโดยอ้างว่าเยอรมนีควรที่จะเข้าร่วมนาโต้และการเจรจาต่อรองกับสหภาพโซเวียตจะถูกมองว่าเป็นการยอมจำนน มีการอภิปรายหลายครั้งเกี่ยวกับมีโอกาสที่จะรวมตัวอีกครั้งหรือไม่ซึ่งพลาดในปี ค.ศ. 1952 ", "title": "ประเทศเยอรมนีตะวันออก" }, { "docid": "10334#37", "text": "ค.ศ. 1932 ฮิตเลอร์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแข่งกับฟ็อน ฮินเดินบวร์ค เขาได้รับการสนับสนุนจากนักอุตสาหกรรมที่ทรงอำนาจที่สุดของเยอรมนีหลายคน หลังสุนทรพจน์วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1932 ต่อสภาอุตสาหกรรมในดึสเซลดอร์ฟ[139] อย่างไรก็ดี ฮินเดินบวร์คได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาตินิยม กษัตริย์นิยม คาทอลิกและสาธารณรัฐนิยม ตลอดจนสังคมประชาธิปไตยบางพรรค ฮิตเลอร์ใช้คำขวัญระหว่างหาเสียงว่า \"ฮิตเลอร์อือแบร์ดอยท์ชลันด์\" (ฮิตเลอร์เหนือเยอรมนี) โดยอ้างถึงทั้งความทะเยอทะยานทางการเมืองและการหาเสียงโดยเครื่องบินของเขา[140] ฮิตเลอร์มาเป็นอันดับสองในการเลือกตั้งทั้งสองรอบ โดยได้เสียงมากกว่า 35% ในการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย แม้จะพ่ายต่อฮินเดินบวร์ค การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ทำให้ฮิตเลอร์เป็นกำลังสำคัญในการเมืองเยอรมนี[141]", "title": "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" }, { "docid": "307204#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 21 ค.ศ. 1976([[พ.ศ. 2519) ณ กรุง[[มอนทรีออล]] [[ควิเบก]] [[ประเทศแคนาดา]] ระหว่างวันที่ [[17 กรกฎาคม]] – [[1 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2519]] ", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูร้อน 1976" }, { "docid": "306915#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 22 ค.ศ. 1980([[พ.ศ. 2523) ณ กรุง[[มอสโก]] [[สหภาพโซเวียต]]ระหว่างวันที่ [[19 กรกฎาคม]] – [[3 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2523]] ", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูร้อน 1980" }, { "docid": "309307#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 15 ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ณ เมืองแคลการี ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ – 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูหนาว 1988" }, { "docid": "808694#0", "text": "การรวมประเทศเยอรมนี () เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1990 เมื่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) รวมประเทศกันเป็นเยอรมนีเดียวที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และได้รวมเบอร์ลินตะวันออกและเบอร์ลินตะวันตกเป็นนครหนึ่งเดียวด้วยเช่นกัน กระบวนการนี้ถูกระบุไว้โดยรัฐธรรมนูญ \"กรุนด์เกอเซทซ์\" () มาตรา 23 และเมื่อกระบวนการนี้สิ้นสุดลงก็ถูกขนานนามว่า เอกภาพเยอรมนี () ซึ่งจัดการเฉลิมฉลองทุกวันที่ 3 ตุลาคมของทุกปีในฐานะ \"วันเอกภาพเยอรมัน\" (). จากการรวมประเทศในครั้งนี้ ส่งผลให้กรุงเบอร์ลินถูกยกฐานะขึ้นเป็นเมืองหลวงของเยอรมนีอีกครั้งหนึ่ง", "title": "การรวมประเทศเยอรมนี" }, { "docid": "50118#2", "text": "สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) รวมประเทศกับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2533", "title": "ประเทศเยอรมนีตะวันตก" }, { "docid": "391427#33", "text": "สหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี สาธารณรัฐประชาชนบัลแกเรีย สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเชโกสโลวัก สาธารณรัฐประชาชนฮังการี สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย สาธารณรัฐคิวบา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเยเมน สาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเอธิโอเปีย สาธารณรัฐประชาชนคองโก และประเทศกำลังพัฒนาที่นิยมโซเวียต เช่นอินเดียได้รับรองรัฐบาลใหม่ในกัมพูชา ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2523 มี 29 ประเทศที่รับรองสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา ในขณะที่อีกเกือบ 80 ประเทศรับรองรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยของเขมรแดง[43]", "title": "สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา" }, { "docid": "39508#8", "text": "ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ไลพ์ซิชเสียหายอย่างหนักเนื่องจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ยึดครองไลพ์ซิชได้ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1945 และในภายหลังได้ถ่ายอำนาจการปกครองแก่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตตามข้อตกลงในการปกครองดินแดน ไลพ์ซิชจึงรวมเป็นส่วนหนึ่ง และกลายเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี ก่อนจะรวมเข้าเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ใน ค.ศ. 1989", "title": "ไลพ์ซิช" }, { "docid": "336696#0", "text": "สนธิสัญญาการในการตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับดินแดนเยอรมนี หรือเรียกว่า สนธิสัญญาสองบวกสี่ () มีการเจรจาขึ้นในปี พ.ศ. 2533 ระหว่างสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี และอีกมหาอำนาจอีกสี่ชาติซึ่งยึดครองเยอรมนีตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา", "title": "สนธิสัญญาว่าด้วยการตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับดินแดนเยอรมนี" }, { "docid": "880970#0", "text": "พาลัสท์แดร์เรพูบลีค (; \"ทำเนียบแห่งสาธารณรัฐ\") เป็นอดีตอาคารรัฐสภาของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (หรือเยอรมนีตะวันออก) เป็นที่ประชุมหลักของ Volkskammer (สภาประชาชน) และ พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี พาลัสท์แดร์เรพูบลีคตั้งอยู่ที่ Schlossplatz และ Lustgarten (เดิมชื่อ Marx-Engels-Platz ตั้งแต่ปี 1951 ถึงปี 1994) บนเกาะในแม่น้ำชเปร นอกจากนี้ยังเป็น พิพิธภัณฑ์ศิลปะ, โรงละคร, ร้านอาหาร, ลานโบว์ลิ่ง, ที่ทำงานและ ไนต์คลับ ในวันที่ 23 สิงหาคม 1990, Volkskammer ได้ยุบสภาตามสนธิสัญญาการรวมประเทศเยอรมนี และยอมรับสภาBundestag ในกรุงบอนน์ พาลัสท์แดร์เรพูบลีคเริ่มก่อสร้างในปี 1973 และแล้วเสร็จในปี 1976 โดยสร้างทับพระราชวังหลวง กรุงเบอร์ลิน ( ) เดิม โดยได้ทําการรื้อถอนพาลัสท์แดร์เรพูบลีคในปี 2008 และปัจจุบันได้มีการก่อสร้างตัวพระราชวังหลวงเดิม ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2019", "title": "พาลัสท์แดร์เรพูบลีค" }, { "docid": "115483#0", "text": "อังเกลา โดโรเทอา แมร์เคิล (; นามสกุลเดิม คัสเนอร์; เกิด 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2497 ณ เมืองฮัมบวร์ค เยอรมนีตะวันตก) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเยอรมนี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งสู่รัฐสภาเยอรมันจากรัฐเมคเลินบวร์ค-ฟอร์พ็อมเมิร์น เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งโรงเรียนวิศวกรรม เป็นประธานพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (เซเดอู) ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2543 และเป็นประธานกลุ่มพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน-สหภาพสังคมคริสเตียนในรัฐสภาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 จนถึง พ.ศ. 2548 นอกจากนั้นแมร์เคิลยังเป็นผู้นำรัฐบาลผสมกับพรรคสหภาพสังคมคริสเตียน (เซเอ็สอู) และพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี (เอ็สเพเด) ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังภายจากการเลือกตั้งในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 แมร์เคิลชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2552 โดยมีพรรคประชาธิปไตยเสรี (เอ็ฟเดเพ) เป็นพรรคร่วมรัฐบาล, ชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2556 โดยมีพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนีเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2560 โดยมีพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนีเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป็นครั้งที่ 3 ของรัฐบาลนี้และครั้งที่ 4 ในการเมืองเยอรมนี", "title": "อังเกลา แมร์เคิล" }, { "docid": "665#19", "text": "หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า \"สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี\" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า \"สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี\" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า \"ประเทศเยอรมนีตะวันตก\" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบ็อน และ \"ประเทศเยอรมนีตะวันออก\" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก", "title": "ประเทศเยอรมนี" }, { "docid": "302241#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 24 ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ณ โซล เกาหลีใต้ระหว่างวันที่ 17 กันยายน – 2 ตุลาคม พ.ศ. 2531", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูร้อน 1988" }, { "docid": "771539#1", "text": "เธอมีบทบาทในพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนีจนถึง ค.ศ. 1917 แล้วเธอเข้าร่วมพรรคสังคมประชาธิปไตยอิสระเยอรมัน (USPD) และปีกขวาจัด สันนิบาตสพาร์ทาซิสท์ ซึ่งต่อมาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมนี (KPD) ซึ่งเธอเป็นผู้แทนราษฎรในไรช์สทากระหว่างสาธารณรัฐไวมาร์ตั้งแต่ ค.ศ. 1920 ถึง 1933", "title": "คลารา เซทคิน" }, { "docid": "309432#1", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 13 ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) ณ เมืองเลคพลาซิด ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูหนาว 1980" }, { "docid": "309374#0", "text": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 14 ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) ณ เมืองซาราเยโว ประเทศยูโกสลาเวีย ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ – 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527", "title": "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีในโอลิมปิกฤดูหนาว 1984" }, { "docid": "336696#2", "text": "หลังจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ชาวเยอรมันและรัฐบาลของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) มีจุดประสงค์อย่างชัดเจนที่จะสร้างรัฐเยอรมันอันหนึ่งเดียวที่เป็นประชาธิปไตย และเพื่อบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวและเอกราชสมบูรณ์ พวกเขามีความปรารถนาที่จะยอมรับเงื่อนไขของข้อตกลงพอทสดัมซึ่งมีผลกระทบต่อเยอรมนี จากนั้นจึงเป็นไปได้ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะเจรจาตกลงขั้นสุดท้ายตามที่ระบุในข้อตกลงพอทสดัม", "title": "สนธิสัญญาว่าด้วยการตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับดินแดนเยอรมนี" } ]
1409
บริษัทสแควร์เอนิกซ์ ตั้งอยู่ที่ใด ?
[ { "docid": "44524#0", "text": "สแควร์เอนิกซ์ หรือ บริษัท สแควร์เอนิกซ์ โฮลดิงส์ มหาชนจำกัด (; ) คือ ชื่อของบริษัทผลิตเกม โดยเกมที่มีชื่อเสียงคือเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี ดราก้อนเควสต์ และ คิงดอมฮาร์ต สำนักงานใหญ่อยู่ที่ โยะโยะงิ ในชิบุยะ เมืองโตเกียว", "title": "สแควร์เอนิกซ์" } ]
[ { "docid": "44524#1", "text": "สแควร์เอนิกซ์ เป็นบริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัทสแควร์ และ เอนิกซ์ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 โดยการควบรวมกันครั้งนี้ผู้ถือหุ้นในบริษัทสแควร์ได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นสัดส่วน 0.81 และเอนิกซ์ได้รับในอัตรา 1:1 แต่นอกเหนือจากเรื่องส่วนแบ่งของผู้ถือหุ้น ในส่วนของผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของบริษัทสแควร์ได้รับบทบาทในฐานะผู้นำในสแควร์เอนิกซ์ รวมทั้งประธานบริษัทสแควร์ซึ่งก็คือนายโยอิจิ วาดะ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของสแควร์เอนิกซ์นั่นเอง", "title": "สแควร์เอนิกซ์" }, { "docid": "44824#6", "text": "ในปี ค.ศ. 2002 บริษัทสแควร์ ได้รวมกิจการกับ เอนิกซ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเกมดราก้อนเควสต์ เพื่อที่จะควบคุมการพัฒนาและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเนื่องมาจากความล้มเหลวจากการผลิตภาพยนตร์ และในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2003 การควบรวมบริษัทก็ประสบความสำเร็จและใช้ชื่อเป็นบริษัทสแควร์เอนิกซ์ (Square Enix) จนถึงปัจจุบัน", "title": "สแควร์" }, { "docid": "148376#9", "text": "ชุดวีดีโอเกม \"นีดฟอร์สปีด\" แต่เดิมแล้วได้ถูกพัฒนาโดย Distinctive Software บริษัทสตูดิโอเกมแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ แวนคูเวอร์, บริติชโคลัมเบีย, แคนาดา และหลังจากนั้นก็ถูกบริษัทวีดีโอเกมอิเล็กทรอนิก อาตส์ซื้อบริษัทนี้ไปในปี ค.ศ. 1991 บริษัทนี้เคยได้สร้างวีดีโอเกมแข่งรถชื่อดังหลายเกมเช่น \"Stunts\" และ \"Test Drive II: The Duel\" หลังจากถูกซื้อ บริษัทนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Electronic Arts (EA) Canada หลังจากนั้น บริษัท EA Canada ก็ได้เริ่มการพัฒนาชุดเกม\"นีดฟอร์สปีด\"ต่อถึงปี ค.ศ. 2002 และต่อมา บริษัทเกมแห่งหนึ่งจากแวนคูเวอร์ที่ชื่อว่า Black Box Games ก็ได้ถูกจ้างให้สร้างเกม\"นีดฟอร์สปีด: ฮอตเพอร์สูต 2\" ต่อ บริษัท EA Black Box นั้นก็ได้เป็นบริษัทหลักสร้างชุดเกมนี้ตลอดมาจากปี ค.ศ. 2002–2008 ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 ชุดเกม\"นีดฟอร์สปีด\"เริ่มมียอดขายน้อยลง อีเอจึงได้ซื้อบริษัทเกม Slightly Mad Studios เพื่อพัฒนา \"\" และบริษัท Criterion Games จากสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 2010 เพื่อพัฒนาเกม \"\" ในปี 2011, Slightly Mad Studios ก็ได้พัฒนาเกม \"\" และ EA Black Box ได้พัฒนาเกม \"\".", "title": "นีดฟอร์สปีด" }, { "docid": "51429#0", "text": "บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและเบเกอรี่ภายใต้เครื่องหมายการค้า S&P โดยมีสาขาแรกเป็นร้านเบเกอรี่และไอศกรีมเล็ก ๆ อยู่ในซอยประสานมิตร (สุขุมวิท 23) เปิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 (ตรงกับเหตุการณ์ 14 ตุลา) โดยพี่น้องตระกูลไรวา และตระกูลศิลาอ่อน และได้ขยายธุรกิจเติบโตขึ้นเป็นลำดับ และได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2532 ในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เครื่องหมายในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า \"S&P\"", "title": "เอส แอนด์ พี ซินดิเคท" }, { "docid": "939148#1", "text": "เมื่อเริ่มแรกทางบริษัทฯ ใช้สำนักงานบริเวณซอยพัฒนาการ 56 ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง หลังจากนั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2553 ทางบริษัทฯ ย้ายสำนักงานไปที่ซอยวิภาวดี 20 แขวงจอมพล เขตจตุจักร หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2557 ย้ายสำนักงานมาที่ซอยสหการประมูล แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างสำนักงานและสตูดิโอ 3 สตูดิโอ มูลค่า 200 ล้านบาท", "title": "เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "245214#2", "text": "มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี ชั้น 37-38 เลขที่ 1 ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานครแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นโดยคุณเพียงใจ หาญพานิชย์ โดยมีหมู่บ้านจัดสรรโครงการแรก คือ หมู่บ้านศรีรับสุข ในปี พ.ศ. 2516 และได้จัดตั้งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างเป็นทางการในชื่อว่า \"บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด\" ในปี พ.ศ. 2526 ได้เข้าดำเนินการในโครงการพฤกษชาติซึ่งเป็นโครงการบ้านที่ซื้อมาจากบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของธนาคารกสิกรไทย", "title": "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" }, { "docid": "31546#0", "text": "เอนิกซ์ (ญี่ปุ่น: エニックス, อังกฤษ: Enix) บริษัทผลิตและพัฒนาวิดีโอเกมและหนังสือการ์ตูนจากประเทศญี่ปุ่น เอนิกซ์ก่อตั้งใน เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2525 โดยในปัจจุบันได้รวมกับบริษัทสแควร์ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 ภายใต้ชื่อ สแควร์เอนิกซ์ เอนิกซ์เป็นที่รู้จักกันมากในฐานะบริษัทผลิตเกมชุดดราก้อนเควสต์", "title": "เอนิกซ์" }, { "docid": "704588#0", "text": "บริษัทสเปซเอ็กซ์ (Space Exploration Technologies Corporation – SpaceX) เป็นบริษัทเอกชนทางด้านธุรกิจการขนส่งทางอวกาศ ประเทศสหรัฐอเมริกา สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฮาวโทรน, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการส่งจรวดสำหรับการตั้งอาณานิคมที่ดาวอังคารในอนาคต บริษัทนี้ได้พัฒนาจรวดขนส่ง 2 แบบ คือ ฟัลคอน 1 และ ฟัลคอน 9 โดยออกแบบโครงสร้างให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก และพัฒนายานอวกาศดรากอน สำหรับใช้กับจรวดแบบฟัลคอน 9 เพื่อส่งสินค้าสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศนานาชาติ ส่วนยานดรากอนแบบที่สามารถขนส่งมนุษย์ได้อยู่ในระหว่างการพัฒนา", "title": "สเปซเอ็กซ์" }, { "docid": "445603#8", "text": "ไชโยโปรดักชั่นส์ มีที่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 464 ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร 10230 และมีโรงถ่ายตั้งอยู่ที่ ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 52 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13180 ซึ่งใช้เป็นโรงถ่ายทำมาตั้งแต่อดีต ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่พักอาศัยของสมโพธิ และใช้เป็นที่เก็บสินค้าและสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับอุลตร้าแมนกว่า 1 ล้านชิ้น โดยเรียกว่า \"อุลตร้าแมนแลนด์\"", "title": "สมโพธิ แสงเดือนฉาย" } ]
634
เมืองกรากุฟ อยู่ที่ไหน?
[ { "docid": "282017#0", "text": "กรากุฟ (Polish: Kraków) หรือ คราเคา (English: Krakow หรือ Cracow) เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองและเก่าแก่ที่สุดในโปแลนด์และเป็นจุดหมายปลายทางที่นิยมของนักท่องเที่ยว[1][2]เขตเมืองเก่าได้รับการบรรจุอยู่ในรายชื่อมรดกโลก[3] เมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวิสตูลาในจังหวัดมาวอปอลสกา (เลสเซอร์โปแลนด์) เมืองมีที่มาตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 7[4] กรากุฟเป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางชั้นนำอย่างมีแบบแผนของสถาบันการศึกษาโปแลนด์ วัฒนธรรมและชีวิตศิลปะ และยังเป็นหนึ่งเมืองศูนย์กลางสำคัญด้านธุรกิจของโปแลนด์ เป็นเมืองหลวงของโปแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1038 ถึง ค.ศ. 1596 เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งคราเคาระหว่างปี ค.ศ. 1846 ถึง ค.ศ. 1918 และเมืองหลวงของจังหวัดคราครูฟระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงปี ค.ศ. 1999 และปัจจุบันเป็นเมืองหลักของจังหวัดมาวอปอลสกา", "title": "กรากุฟ" } ]
[ { "docid": "748249#10", "text": "ข้อตกลงระหว่างสมเด็จพระพันปีหลวงเอลิซาเบธกับคณะผู้แทนจากโปแลนด์บรรลุผลที่เซียรัดส์ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1383 สมเด็จพระพันปีหลวงทรงเสนอเจ้าหญิงเจดวิกา พระราชธิดาองค์สุดท้องให้เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ของพระเจ้าหลุยส์ในโปแลนด์ และทรงอภัยโทษแก่ขุนนางโปแลนด์ที่เคยให้สัตย์ปฏิญาณแก่สมเด็จพระราชินีนาถแมรีและเจ้าชายซีกิสมุนด์เมื่อปี ค.ศ. 1382 สมเด็จพระพันปีหลวงทรงยินยอมให้เจ้าหญิงเจดวิกาประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในกรากุฟ แต่ทรงร้องขอให้เจ้าหญิงเจดวิกาต้องประทับที่บูดอเป็นเวลามากกว่าสามเดือนก่อนจะถึงวันพระราชพิธี เนื่องจากทรงมองว่าพระราชธิดายังมีเยาว์พระชันษา ชาวโปลซึ่งกำลังวุ่นวายจากสงครามกลางเมืองโปแลนด์ครั้งยิ่งใหญ่ ได้ให้การยินยอมข้อเรียกร้องของพระนางในช่วงต้นแต่ภายหลังยอมรับไม่ได้ที่พระมหากษัตริย์ของพวกเขาประทับอยู่ที่ต่างประเทศเป็นเวลานาน การประชุมครั้งที่สองที่เซียรัดส์ ในวันที่ 28 มีนาคม เหล่าขุนนางไตร่ตรองว่าควรมอบราชบัลลังก์ให้กับ ซีโมวิทที่ 4 ดยุกแห่งมาโซเวีย พระญาติห่างๆของเจ้าหญิงเจดวิกา แต่ท้ายที่สุดเหล่าขุนนางก็เลือกที่จะต่อต้านข้อเสนอนี้ แต่ในการประชุมครั้งที่สาม ดยุกซีโมวิทตัดสินใจอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ด้วยตนเอง สมเด็จพระพันปีหลวงเอลิซาเบธทรงตอบสนองด้วยการส่งกองทัพที่มีทหาร 12,000 นายเข้าไปกวาดล้างกองทัพของมาโซเวียในเดือนสิงหาคม เพื่อให้เขายกเลิกการอ้างสิทธิ ในขณะเดียวกันพระนางก็ตระหนักแล้วว่าไม่ทรงสามารถคาดหวังให้ขุนนางยอมรับข้อเรียกร้องของพระนางได้และพระนางทรงแก้ปัญหาด้วยการเลื่อนการเสด็จถึงของเจ้าหญิงเจดวิกาให้ช้าลงแทน ทั้งๆที่ขุนนางโปแลนด์พยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งให้เจ้าหญิงเจดวิกาเสด็จมาถึงโดยเร็ว แต่เจ้าหญิงเจดวิกาก็ยังเสด็จไม่ถึงกรากุฟจนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1384 เจ้าหญิงเจดวิกาทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1384 ไม่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สมเด็จพระราชินีนาถพระชนมายุ 10 พรรษาทรงสามารถใช้พระราชอำนาจภายใต้คำปรึกษาของขุนนางผู้มีอิทธิพลในกรากุฟ สมเด็จพระพันปีหลวงเอลิซาเบธไม่ทรงได้พบกับพระราชธิดาองค์นี้อีกเลย", "title": "เอลิซาเบธแห่งบอสเนีย สมเด็จพระราชินีแห่งฮังการีและโปแลนด์" }, { "docid": "5217#33", "text": "หมวดหมู่:เสียชีวิตจากโรคทางประสาทวิทยา หมวดหมู่:พระสันตะปาปาชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:พระสันตะปาปานักบุญ หมวดหมู่:นักบุญชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:นักบุญในคริสต์ศตวรรษที่ 20 หมวดหมู่:ผู้นำในสงครามเย็น หมวดหมู่:บุคคลจากกรากุฟ หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "303557#0", "text": "มหาวิหารวาเวล () มีชื่อเป็นทางการว่า อัครอาสนมหามหาวิหารหลวงนักบุญสตานิสลาฟและนักบุญวาสลาฟบนเนินเขาวาเวล () เป็นอาสนวิหารโรมันคาทอลิกประจำอัครมุขมณฑลกรากุฟ ตั้งอยู่บนเนินเขาวาเวลที่เมืองกรากุฟ ประเทศโปแลนด์ เป็นอาสนวิหารที่มีประวัติเก่าแก่ยืดยามมาร่วมหนึ่งพันปี และมักจะเป็นสถานที่พระมหากษัตริย์โปแลนด์ทำพิธีราชาภิเษก", "title": "มหาวิหารวาเวล" }, { "docid": "528077#0", "text": "อัครมุขมณฑลกรากุฟ (; ) เป็นอัครมุขมณฑลโรมันคาทอลิกตั้งอยู่ภายในกรุงกรากุฟ ประเทศโปแลนด์ ", "title": "อัครมุขมณฑลกรากุฟ" }, { "docid": "722494#1", "text": "สตาญิสวัฟ แลม เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1921 ที่เมืองลวีฟ (ปัจจุบันอยู่ในยูเครน) เป็นบุตรชายของแพทย์ทหารในกองทัพออสเตรีย-ฮังการี ในช่วงการบุกครองโปแลนด์ของสหภาพโซเวียต แลมไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสารพัดช่างอย่างที่ต้องการ แต่เข้าเรียนด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยลวีฟ ต่อมาเมื่อนาซีบุกครองโปแลนด์ ครอบครัวของแลมซึ่งมีเชื้อสายยิวได้หนีไปอยู่ในเกตโต (ชุมชนแออัด) โดยใช้ชื่อปลอม ในปี ค.ศ. 1945 หลังสหภาพโซเวียตผนวกโปแลนด์ตะวันออก ครอบครัวของแลมก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองกรากุฟ เขาเรียนต่อด้านการแพทย์ แต่ไม่ได้สอบเป็นแพทย์ทหาร โดยทำงานเป็นผู้ช่วยในโรงพยาบาล และเริ่มต้นเขียนนิยาย", "title": "สตาญิสวัฟ แลม" }, { "docid": "789169#0", "text": "ตาอูรอนอาเรนากรากุฟ () เป็นสนามกีฬาในร่มตั้งอยู่ในกรากุฟ, ประเทศโปแลนด์ มีความจุ 15,328 ที่นั่งใช้สำหรับการแข่งขันกีฬา ", "title": "ตาอูรอนอาเรนากรากุฟ" }, { "docid": "629266#0", "text": "อาม็อน เลโอพ็อลท์ เกิท (; 11 ธันวาคม พ.ศ. 2451 – 13 กันยายน พ.ศ. 2489) คือนายทหารสัญญาบัตรเชื้อสายออสเตรีย ผู้ประจำการอยู่ในกองกำลังอารักขา \"ชุทซ์ชทัฟเฟิล\" ของพรรคนาซี และผู้บัญชาการแห่งค่ายกักกันกรากุฟ-ปวาซอฟในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ใกล้กับในเมืองปวาซอฟ สาธารณรัฐโปแลนด์ หลังสงครามเกิทถูกจับกุมเป็นอาชญากรสงครามจากบทบาทของเขาในค่ายกักกัน ซึ่งต่อมาศาลฎีกาสูงสุดแห่งโปแลนด์ได้พิพากษาว่าเขามีความผิดในโทษฐาน \"มีส่วนรับผิดชอบต่อการทำให้พิการ การทรมาน และการฆาตกรรมผู้คนในจำนวนที่ไม่อาจระบุแน่ชัดได้\" และถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ณ บริเวณซึ่งไม่ไกลจากที่ตั้งเดิมของค่ายกักกันปวาซอฟ", "title": "อาม็อน เกิท" }, { "docid": "911746#0", "text": "การพิจารณาคดีเอาชวิทซ์ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ในกรากุฟ เมื่อผู้ปกครองโปแลนด์(ศาลฎีกาสูงสุดแห่งโปแลนด์)ได้ทำการพิจารณาคดี 40 คนของอดีตเจ้าหน้าที่ในค่ายกักกันเอาชวิทซ์ การพิจารณาคดีได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1947", "title": "การพิจารณาคดีเอาชวิทซ์" }, { "docid": "282017#1", "text": "เมืองเริ่มเติบโตขึ้นมาตั้งแต่ยุคหิน มีการตั้งรกรากถิ่นฐานในเมืองที่มีความสำคัญที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโปแลนด์นี้ เริ่มต้นในหมู่บ้านในเนินเขาวาเวล และมีการบันทึกว่าเป็นศูนย์กลางการค้าอย่างคึกคักของชาวสลาฟในยุโรปใน ค.ศ. 965[5] หลังจากสาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2 และในคริสต์ศตวรรษที่ 20 กรากุฟก็เป็นที่ยอมรับอีกครั้งในฐานะศูนย์กลางการศึกษาหลักแห่งชาติและด้านศิลปะ ที่มีมหาวิทยาลัยเกิดใหม่และงานด้านวัฒนธรรมมากมาย", "title": "กรากุฟ" }, { "docid": "963226#3", "text": "ปแชมึชล์เป็นเมืองที่เก่าเป็นอันดับที่สองของโปแลนด์ใต้ (หลังจากกรากุฟ) มีประวัติถึงศรรตวรรษที่ 8 และเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเกรตมอเรเวีย โบราณคดียังยืนยันได้ว่าต่อการปรากฏขึ้นของอารามถึงสมัยศตวรรษที่ 9 หลังจากการบุกรุกของชาวฮังการีในใจกลางเกรตมอเรเวียประมาณ 899 ชาว Lendian ที่ได้อาศัยอยู่ได้ทำการประกาศความจงรักภักดีต่อเจ้าหน้าที่ฮังการี พื้นที่ปแชมึชล์กลายเป็นที่ตั้งของการต่อสู้ระหว่างโปแลนด์ เคียฟรุส และฮังการี ในศตวรรษที่ 9 เป็นอย่างน้อย พื้นที่นี้ได้มีการปรากฎครั้งแรกในปี 981 โดยเนสเตอร์ เมื่อวลาดีมีร์ที่หนึ่งแห่งเคียฟรุสได้บุกรุกถึงโปแลนด์ ในปี 1018 ได้ถูกคืนกลับมาเป็นของโปแลนด์ และถูกเอากลับคืนเป็นของรุสอีกในปี 1013 Palatium complex ถูกสร้างขึ้นในช่วงการปกครองของ Bolesław I Chrobry", "title": "ปแชมึชล์" }, { "docid": "676657#3", "text": "บ้างมีความเชื่อว่าเบเกิลนั้นไม่ได้มีรูปแบบมาจากการฉลองชัยชนะของสมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 3 โซบีสกีแห่งโปแลนด์ เหนือออตโตมันเติร์ก ในยุทธการที่เวียนนา เมื่อ ค.ศ. 1683 แท้จริงแล้วคาดว่า มีการคิดค้นเบเกิลมาก่อนหน้านี้ในเมืองกรากุฟ ประเทศโปแลนด์ เพื่อเป็นคู่แข่งของบูบลิก () หรือที่ชาวโปแลนด์รู้จักในชื่อ โอบวาร์ซาเนก () ซึ่งเป็นขนมปังทำจากแป้งสาลีสำหรับเทศกาลมหาพรต", "title": "เบเกิล" }, { "docid": "366710#10", "text": "ถ้วยรางวัลอ็องรี เดอโลแน () ของการแข่งขันรายการนี้ จะเดินทางไปรอบเมืองที่ตั้งสนามแข่งขัน ในระยะ 7 สัปดาห์ก่อนแข่งขัน โดยในระยะ 100 วันก่อนเปิดสนาม ถ้วยนี้จะเดินทางด้วยบอลลูนจากเมืองนียงของสวิตเซอร์แลนด์ และจะผ่าน 14 เมืองในสองประเทศเจ้าภาพ ซึ่งจะผ่าน 7 เมืองของโปแลนด์คือ วอร์ซอ, วรอตสวัฟ, กดัญสก์, พอซนาน, กรากุฟ, คาโตวีตเซ และวุช กับอีก 7 เมืองของยูเครนคือ เคียฟ, อีวาโน-ฟรันคิฟสค์, คาร์คิฟ, โดเนตสค์, ดนีโปรเปตรอฟสค์, ลวีฟ และโอเดสซา", "title": "ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012" }, { "docid": "819210#1", "text": "การจับสลากในรอบสุดท้ายจะมีขึ้นในกรากุฟ วันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2016 เวลา 8:00 CET () 12 ทีมจะถูกจัดอยู่ใน 3 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 4 ทีม โดยโปแลนด์ซึ่งเป็นเจ้าภาพถูกจัดอยู่ในกลุ่มเอ ", "title": "ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 2017" }, { "docid": "5217#9", "text": "ในปี ค.ศ. 1958 ท่านก็ต้องแปลกใจที่ตนเองได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งมุขนายกผู้ช่วยแห่งอัครมุขมณฑลกรากุฟ และในอีก 5 ปีต่อมา (ค.ศ. 1963) สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 ได้ทรงประกาศแต่งตั้งให้ท่านเป็นอาร์ชบิชอปแห่งกรากุฟ จากนั้นในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1967 ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระคาร์ดินัลขณะอายุเพียง 47 ปี เท่านั้น นับว่าเป็นพระคาร์ดินัลที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาพระคาร์ดินัลทั่วโลก และยังเป็นการเลื่อนสมณศักดิ์ที่เร็วมากอีกด้วย[1]", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "528077#1", "text": "อัครมุขมณฑลนี้เดิมมีสถานะเป็น \"มุขมณฑลกรากุฟ\" ซึ่งก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1925 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 จึงให้ยกสถานะขึ้นเป็นอัครมุขมณฑลโดยมีเจ้าชายอาดัม สเตฟาน ซาปีเอคา เป็นอัครมุขนายกองค์แรก ต่อมาในปี ค.ศ. 1992 อัครมุขมณฑลได้เสียพื้นที่บางส่วนออกไปตั้งเป็นมุขมณฑลบีเอลสกอ-ชีวีเอซและมุขมณฑลซอซนอวีเอซ", "title": "อัครมุขมณฑลกรากุฟ" }, { "docid": "725784#3", "text": "ตแชสวัฟ มีวอชเสียชีวิตที่เมืองกรากุฟ ประเทศโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 2004", "title": "ตแชสวัฟ มีวอช" }, { "docid": "772492#0", "text": "ปรุชกุฟ (; ) เป็นเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโปแลนด์ อยู่ในเขตจังหวัดออปอแล ห่างจากเมืองหลักออปอแล 10 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 16.31 ตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ. 2006 มีประชากร 2,713 คน ", "title": "ปรุชกุฟ (จังหวัดออปอแล)" }, { "docid": "5217#5", "text": "ในวัยหนุ่ม การอลทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับการเล่นกีฬา ทั้งฟุตบอลและสกี หลงใหลกับการนั่งชมการแสดงในโรงละคร เคยเป็นทั้งนักเขียนบทและนักแสดงมาแล้ว และครั้งหนึ่งฝันว่าจะเป็นนักแสดง โดยการอลเริ่มต้นเข้ารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยในเมืองกรากุฟ เมื่อปี ค.ศ. 1938 ในด้านวรรณกรรมและภาษาโปแลนด์ เนื่องจากท่านชื่นชอบการแสดง เพื่อน ๆ หลายคนก็คิดว่าท่านคงจะยึดอาชีพนักแสดงตามโรงละคร มากกว่าเข้าเซมินารีเพื่อบวชเป็นบาทหลวง", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "282017#4", "text": "หมวดหมู่:มรดกโลกในประเทศโปแลนด์ หมวดหมู่:เมืองในประเทศโปแลนด์ หมวดหมู่:สันนิบาตฮันเซียติก หมวดหมู่:เมืองหลวงเก่า หมวดหมู่:กรากุฟ", "title": "กรากุฟ" }, { "docid": "786593#0", "text": "การรุกวิสตูลา-โอเดอร์ เป็นการรุกที่ประสบความสำเร็จของ กองทัพแดง ใน แนวรบด้านตะวันออก และสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปในเดือนมกราคมปี 1945 โดยปลดปล่อยเมือง กรากุฟ, วอร์ซอ และ พอซนาน", "title": "การรุกวิสตูลา–โอเดอร์" }, { "docid": "5217#0", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปา นักบุญจอห์น ปอลที่ 2 มีพระนามเดิมว่า การอล ยูแซฟ วอยตือวา (Karol Józef Wojtyła ในภาษาโปแลนด์) เกิดเมื่อ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1920 ที่หมู่บ้านวาดอวิตแซ ใกล้เมืองกรากุฟ ประเทศโปแลนด์ บิดาเป็นทหารมียศเป็นจ่าทหารและเกษียณราชการแล้ว มารดาเสียชีวิต เมื่อคาโรลยังเป็นเด็ก ท่านเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษ ชอบการกีฬาเป็นอันมาก ท่านยังชอบบทกวีและการแสดงละคร", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2" }, { "docid": "282017#3", "text": "ในปี ค.ศ. 1978 ในปีที่ยูเนสโกยกย่องให้กรากุฟอยู่ในรายชื่อมรดกโลก คารอล วอยตีวา บาทหลวงแห่งเมืองกรากุฟขึ้นเป็นพระประมุขแห่งศาสนจักรนิกายโรมันคาทอลิกเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ถือเป็นพระสันตะปาปาคนแรกที่ไม่ใช่ชาวอิตาลีในรอบ 455 ปี และถือเป็นพระสันตะปาปาชาวสลาฟคนแรก[6]", "title": "กรากุฟ" }, { "docid": "878030#1", "text": "การรุกรานโจมตีโปลแลนด์ได้จบลงด้วยการเดินสวนสนามแห่งชัยชนะของนาซี-โซเวียตในเบรสต์ ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1939.เบรสต์ได้เป็นสถานที่ที่ตั้งของการประชุมนาซี-โซเวียตแห่งแรกที่ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1939.ซึ่งในขณะนั้นได้ทำการแลกเปลี่ยนเชลยที่ถูกพิจารณาคดีโทษก่อนเพื่อการลงนามข้อตกลงร่วมกันในมอสโกในวันต่อมา.ในเดือนถัดมา,เกสตาโพและเอ็นเควีดีได้พบปะในลวูฟเพื่อหารือเกี่ยวกับชะตากรรมของพลเรือนในช่วงการปฏิรูปอย่างรุนแรงของผนวกดินแดน.พวกเขาได้พบกันอีกครั้งในเขตภายใต้การยึดครองของ Przemyśl เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน,เพราะ Przemyśl เป็นเขตพรมแดนระหว่างทั้งสองฝ่ายผู้รุกราน.ชุดการประชุมต่อไปได้เริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1939,เดือนภายหลังจากการโยกย้ายเชลยศึกชาวโปแลนด์เป็นครั้งแรก.การประชุมได้ถูกจัดตั้งขึ้นในเขตภายใต้การยึดครองของกรากุฟในรัฐบาลสามัญ เมื่อวันที่ 6-7 ธันวาคม ค.ศ. 1939;และต่อไปอีกสองวันในเมืองรีสอร์ทของ Zakopane ในเทือกเขา Tatra ทางตอนใต้ของโปแลนด์(100 กม.จากกรากุฟ)เมื่อวันที่ 8-9 ธันวาคม ค.ศ. 1939.การประชุมที่ Zakopane ได้เป็นที่จดจำมากที่สุด.จากมุมมองของฝ่ายโซเวียต.เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของหน่วยเอ็นเควีดีได้เข้าร่วมประชุม.ในขณะที่ทางเยอรมันผู้เป็นเจ้าภาพได้มอบหมายให้กลุ่มผู้เชียวชาญจากหน่วยเกสตาโพ.", "title": "การประชุมเกสตาโพ-เอ็นเควีดี" }, { "docid": "676657#4", "text": "เลโอ รอสเต็น นักภาษาศาสตร์ชาวโปแลนด์เขียนใน \"ความสุขของยิดดิช\" (The Joys of Yiddish) ถึงคำว่า \"bajgiel\" ในระเบียบของชุมชนเมืองกรากุฟ เมื่อปี ค.ศ. 1610 ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นของขวัญสำหรับหญิงในการคลอดบุตร", "title": "เบเกิล" }, { "docid": "771030#0", "text": "กรอตกุฟ (; ) เป็นเมืองทางตะวันตกของประเทศโปแลนด์ อยู่ในเขตจังหวัดออปอแล ห่างจากเมืองบแชกประมาณ 20 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 9.88 ตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ 2007 มีประชากร 8,709 คน เมืองนี้เป็นเมืองทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ การเกษตรและการบริการ", "title": "กรอตกุฟ" }, { "docid": "282017#2", "text": "หลังจากที่นาซีเยอรมนีรุกรานโปแลนด์ จนเป็นฉนวนสงครามโลกครั้งที่สอง กรากุฟตกเป็นเมืองหลวงของรัฐบางทั่วไปของเยอรมนี ชาวยิวในเมืองถูกย้ายออกไปอยู่ในเขตกำแพงที่เรียกว่า กรากุฟเกตโต จากนั้นถูกส่งไปค่ายมรณะอย่างเช่นเอาชวิทซ์และกรากุฟ-พวาชูฟ", "title": "กรากุฟ" }, { "docid": "732107#0", "text": "วอลเลย์บอลเวิลด์ลีก 2016 () เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลชายระดับโลก จำนวน 36 ทีม เริ่มทำการแข่งขันตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน – 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 โดยเจ้าภาพสนามแข่งขันรอบสุดท้ายในครั้งนี้คือ กรากุฟ, ประเทศโปแลนด์\nดิวิชัน 1 และ ดิวิชัน 2 ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ส่วนดิวิชัน 3 ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558", "title": "วอลเลย์บอลเวิลด์ลีก 2016" }, { "docid": "758581#1", "text": "จังหวัดมาวอปอลสกาก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 หลังจากรัฐบาลโปแลนด์ได้ปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นในปี ค.ศ. 1998 โดยได้รับพื้นที่มาจากอดีตจังหวัดกรากุฟ จังหวัดตาร์นุฟ จังหวัดนอวือซอนตช์ และบางส่วนจากจังหวัดบีแยลสกอ-เบียวา จังหวัดคาโตวีตเซ จังหวัดกีแยลต์แซ และจังหวัดกรอสนอ", "title": "จังหวัดมาวอปอลสกา" }, { "docid": "869235#0", "text": "ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 2017 นัดชิงชนะเลิศ เป็นแมตช์ฟุตบอลที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะจัดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ที่ Stadion Cracovia ในเมือง กรากุฟ, ประเทศโปแลนด์, เพื่อที่จะตัดสินหาทีมชนะเลิศของ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 2017.", "title": "ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 2017 นัดชิงชนะเลิศ" } ]
1476
ชาวทิเบต มีภาษาของตนเองหรือไม่ ?
[ { "docid": "289930#2", "text": "มีผู้พูดกลุ่มภาษาทิเบตทั้งหมดราว 6 ล้านคน ภาษาทิเบตสำเนียงลาซามีผู้พูดประมาณ 150,000 คนที่เป็นผู้ลี้ภัยในอินเดียและประเทศอื่นๆ ภาษาทิเบตใช้พูดโดยชนกลุ่มน้อยในทิเบตที่อยู่ใกล้เคียงกับชาวทิเบตมากว่าศตวรรษ แต่ไม่สามารถรักษาภาษาและวัฒนธรรมของตนไว้ได้ ชาวเกวียงในคามนั้น รัฐบาลจีจัดให้เป็นชาวทิเบต แต่ภาษาเกวียงอิกไม่ใช่กลุ่มภาษาทิเบต แม้จะอยู่ในตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า", "title": "กลุ่มภาษาทิเบต" }, { "docid": "289930#5", "text": "กลุ่มภาษาทิเบตส่วนใหญ่เขียนด้วยอักษรทิเบต แต่ชาวลาดักและชาวบัลติบางส่วนเขียนภาษาของตนด้วยอักษรอาหรับแบบที่ใช้กับภาษาอูรดู ในบัลติสถาน ประเทศปากีสถาน ชาวบัลติเลิกใช้อักษรทิเบตมากว่าร้อยปีซึ่งเป็นอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม ชาวบัลติเริ่มตระหนักถึงอิทธิพลจากวัฒนธรรมภายนอกโดยเฉพาะจากชาวปัญจาบ จึงพยายามฟื้นฟูอักษรทิเบตขึ้นมาใช้ควบคู่กับอักษรอาหรับ", "title": "กลุ่มภาษาทิเบต" }, { "docid": "200882#0", "text": "ชาวทิเบต เป็นชนกลุ่มใหญ่ในเขตปกครองตนเองทิเบต ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และถือชนชาติกลุ่มน้อย กลุ่มหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นอยู่เป็นของตนเอง แต่ความเป็นชุมชนเมืองและเศรษฐกิจของชาวจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่กำลังทำลายความเป็นทิเบตดั้งเดิม ดั่งชนกลุ่มน้อยในประเทศต่างๆทั่วโลก", "title": "ชาวทิเบต" }, { "docid": "106180#1", "text": "ประชากรส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากชาวทิเบต โดยประชากรเหล่านี้อพยพมาในเวลาต่างๆกันในอดีต ภาษาที่พูดเป็นสาขาของภาษาทิเบตโบราณ มีชาวชีนบางส่วนพูดภาษาชีนา รูปแบบปัจจุบันของภาษาบัลติได้อิทธิพลจากภาษาบูรุซักกี ภาษาตุรกีและภาษาอูรดู รวมทั้งได้อิทธิพลจากวรรณกรรมอิสลามภาษาเปอร์เซียด้วยทำให้มีความแตกต่างจากภาษาทิเบตที่เป็นต้นกำเนิดมากขึ้น\nภาษาบัลติใกล้เคียงกับภาษาทิเบตสำเนียงคามมากกว่าสำเนียงอูซังและอัมโด จึงเป็นไปได้ว่าชาวทิเบตที่เข้าสู่บัลติสถานมาจากแคว้นคาม นักวิชาการบางกลุ่ม เช่น Rever and H.A. Jascke ถือว่าภาษาบัลติเป็นสำเนียงตะวันตกสุดของภาษาทิเบต ไม่ถือเป็นภาษาเอกเทศต่างหาก\nภาษาบัลติเคยมีอักษรเป็นของตนเองเรียกอักษรบัลติ ซึ่งเป็นอักษรแบบเดียวกับอักษรทิเบต ต่อมาถูกแทนที่ด้วยอักษรอาหรับแบบอูรดูเมื่อราว พ.ศ. 2200\nปัจจุบันได้มีการสนับสนุนให้ชาวบัลติกลับมาใช้อักษรของตนเองเพื่อรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนไว้ อักษรชนิดนี้มีใช้หลังจากที่ชาวทิเบตประดิษฐ์อักษรของตัวเองขึ้น และแพร่เข้าสู่บัลติสถานเมื่อราว พ.ศ. 1270 ใช้ในงานเขียนทางศาสนาและเป็นอักษรราชการ จนเมื่อราว พ.ศ. 2100เมื่อราชวงศ์มักโปนมีอำนาจและมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์โมกุลของอินเดีย ภาษาเปอร์เซียเข้ามามีบทบาทเหนือกว่าภาษาบัลติ และเมื่อบัลติสถานถูกรวมเข้ากับปากีสถาน เมื่อ พ.ศ. 2491 ภาษาอูรดูและภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทมากจนแทบจะไม่มีการประดิษฐ์คำใหม่ในภาษาบัลติเลย โดยใช้คำจากภาษาอูรดูและภาษาอังกฤษแทน", "title": "ภาษาบัลติ" }, { "docid": "289930#1", "text": "ด้วยเหตุผลทางการเมือง สำเนียงของภาษาทิเบตกลาง (รวมทั้งลาซา) คาม และอัมโดในจีน ถือเป็นภาษาทิเบตเพียงภาษาเดียว ในขณะที่ภาษาซองคา ภาษาสิกขิม ภาษาเศรปาและภาษาลาดัก ถือเป็นภาษาเอกเทศต่างหาก แม้ว่าผู้พูดภาษาดังกล่าวจะถือตนว่าเป็นชาวทิเบตด้วย ในทางภาษาศาสตร์ ภาษาซองคาและภาษาเศรปามีความใกล้เคียงกับภาษาทิเบตสำเนียงลาซามากกว่าสำเนียงคามและอัมโด", "title": "กลุ่มภาษาทิเบต" }, { "docid": "99234#0", "text": "ภาษาทิเบตเป็นภาษาในตระกูลทิเบต-พม่า ภาษาทิเบตมีภาษาถิ่นหลายกลุ่มคือ ภาษากลาง อยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบต เช่นที่ ลาซา สำเนียงคาม อยู่ในเขตแคว้นคาม สำเนียงอัมโด อยู่ในแคว้นอัมโด ภาษาถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ภาษาของชนเชื้อสายทิเบตในเนปาล เช่นชาวเศรปา\nเป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา คำคุณศัพท์ตามหลังคำที่ขยาย คำกริยาวิเศษณ์มาก่อนคำกริยา คำแสดงความเป็นเจ้าของ มาก่อนสิ่งที่อ้างถึง\nภาษาเขียนสมัยโบราณ มี 9 การกคือการกสมบูรณ์ (ไม่มีเครื่องหมาย) การกความเป็นเจ้าของ (-gi, -gyi, -kyi, -’i, -yi) การกแสดงเครื่องมือ (-gi, -gyi, -kyi, -’i, -yi) การกแสดงสถานที่ (-na) การกทั้งหมด (allative case; -la) การกลงท้าย (-ru, -su, -tu, -du, -r) การกแสดงมารยาท (-dang) การกแสดงคำนาม (-nas) และการกแสดงอารมณ์ (-las) การแสดงการกจะเติมที่นามวลีไม่ได้เติมที่คำแต่ละคำ ปัจจัยแสดงคำนามคือ –pa, -ba หรือ –ma ใช้กับคำนาม การแสดงเพศใช้ po หรือ bo สำหรับบุรุษลึงค์และ mo สำหรับสตรีลึงค์ แสดงพหูพจน์โดยใช้ –rnams หรือ –dag เมื่อมีการเน้น ทั้ง 2 กลุ่มคำสามารถเชื่อมกันได้ เช่น rnams–dag หมายถึง กลุ่มที่มีสมาชิกหลายคน dag –rnams หมายถึง หลายกลุ่ม", "title": "ภาษาทิเบต" }, { "docid": "289930#0", "text": "กลุ่มภาษาทิเบต (Tibetan languages) เป็นกลุ่มย่อยของภาษาที่ไม่สามารถเข้าใจกันได้ ของตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า ที่พูดโดยชาวทิเบตที่อยู่ในบริเวณเอเชียกลางติดต่อกับเอเชียใต้ ได้แก่ ที่ราบสูงทิเบต ภาคเหนือของอินเดียในบัลติสถาน ลาดัก เนปาล สิกขิม และภูฏาน ส่วนใหญ่ใช้ในการเขียนงานทางศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธ", "title": "กลุ่มภาษาทิเบต" } ]
[ { "docid": "268881#0", "text": "กลุ่มภาษาโบดิช (Bodish languages) มาจากภาษาทิเบต bod ซึ่งเป็นชื่อของภาษาทิเบตในความหมายอย่างกว้าง ซึ่งมาจากการที่กลุ่มผู้พูดภาษาเหล่านี้มักถือว่าตนเป็นชาวทิเบต การแบ่งกลุ่มภาษาโบดิชให้เป็นกลุ่มย่อยมีความแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ถือว่าภาษาทิเบตแยกต่างหากจากภาษาโบดิชตะวันออก Bradley (1997) ได้ให้กลุ่มภาษาโบดิชรวมถึงกลุ่มภาษาหิมาลัยตะวันตก กลุ่มภาษาซังลา กลุ่มภาษาตามันกิก ทำให้คำว่ากลุ่มภาษาโบดิชมีความหมายเท่ากับกลุ่มภาษาทิเบต-กิเนารีในการแบ่งแบบอื่น ทำให้กลุ่มภาษาโบดิชแยกเป็นสองฝ่ายชัดเจน คือกลุ่มโบดิชตะวันออกกับภาษาทิเบต", "title": "กลุ่มภาษาโบดิช" }, { "docid": "113840#0", "text": "ตระกูลภาษาจีน – ทิเบต เป็นตระกูลของภาษาที่รวมภาษาจีนและตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า มีสมาชิกทั้งสิ้น 250 ภาษา ส่วนใหญ่เป็นภาษาในเอเชียตะวันออกมีจำนวนผู้พูดเป็นอันดับสองของโลกรองจากภาษากลุ่มอินโด-ยุโรเปียน ภาษาในตระกูลนี้มีลักษณะร่วมกันคือมีเสียงวรรณยุกต์\nการจัดแบ่งแบบนี้ให้ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่าขึ้นมาเป็นตระกูลใหญ่ และให้ภาษาจีนเป็นกลุ่มย่อย เป็นดังนี้\nการจัดแบ่งแบบนี้เรียกสมมติฐานจีน-ทิเบต โดยถือว่าภาษาจีนและภาษาทิเบตมีความใกล้เคียงกัน", "title": "ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต" }, { "docid": "106297#0", "text": "ภาษาน่าซีเป็นภาษากลุ่มจีน-ทิเบต มีผู้พูดราว 300,000 คน ในลี่เจียง มณฑลยูนนาน ในพ.ศ. 2543 พบผู้พูดภาษานี้ 308,839 คน ในจำนวนนี้ 100,000 คน พูดได้ภาษาเดียว อีกราว 170,000 คน พูดภาษาจีน ภาษาทิเบต หรือภาษาไป๋ เป็นภาษาที่สอง ผู้พูดเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ในยูนนาน ส่วนน้อยอยู่ในทิเบต และมีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้พูดภาษานี้ในพม่า เป็นภาษาที่มีการใช้แพร่หลาย มีราว 75,000 คนที่ใช้ภาษานี้ในรัฐบาลท้องถิ่น โรงเรียน และตลาด สื่อในเขตปกครองตนเองทั้งหมดเป็นภาษาน่าซี ภาษานี้เขียนด้วยอักษรตงบา ซึ่งเป็นอักษรน่าซีชนิดหนึ่ง อักษรละตินหรืออักษรกีบา", "title": "ภาษาน่าซี" } ]
3308
คลื่นสึนามิเกิดครั้งแรกในไทยปีอะไร ?
[ { "docid": "3540#0", "text": "แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 เป็นแผ่นดินไหวใต้ทะเล เกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.58 น. ตามเวลาในประเทศไทย (00:58 UTC) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) ศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้ด้านตะวันตกของตอนเหนือเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทำให้เกิดความเสียหายบนเกาะสุมาตรา และยังรับรู้ได้ในภาคใต้ของประเทศไทย", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547" } ]
[ { "docid": "3554#5", "text": "คลื่นสึนามิแตกต่างจากคลื่นน้ำธรรมดามาก ตัวคลื่นนั้นสามารถเดินทางได้เป็นระยะทางไกล โดยไม่สูญเสียพลังงาน และสามารถเข้าทำลายชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลจากจุดกำเนิดหลายพันกิโลเมตรได้ โดยทั่วไปแล้วคลื่นสึนามิซึ่งเป็นคลื่นในน้ำ จะเดินทางได้ช้ากว่าการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่เป็นคลื่นที่เดินทางในพื้นดิน ดังนั้น คลื่นอาจเข้ากระทบฝั่งภายหลังจากที่ผู้คนบริเวณนั้นรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหวเป็นเวลาหลายชั่วโมง", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "363968#20", "text": "พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองคูจิและพื้นที่ส่วนใต้ของโอฟูนาโตะรวมทั้งบริเวณท่าเรือเกือบถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ เมืองที่เกือบถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงคือ ริกูเซ็นตากาตะ ซึ่งมีรายงานว่าคลื่นสึนามิมีความสูงเท่ากับตึกสามชั้น เมืองอื่นที่ได้รับรายงานว่าถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างหนักจากคลื่นสึนามิ ได้แก่โอตสึจิ และยามาดะ ในจังหวัดอิวาเตะ นามิเอะ โซมะ และมินามิโซมะ ในจังหวัดฟูกูชิมะ และโอนางาวะ นาโตริ อิชิโนมากิ และเคเซ็นนูมะ ในจังหวัดมิยางิ ผลกระทบรุนแรงที่สุดจาดคลื่นสึนามิเกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งยาว 670 กิโลเมตรตั้งแต่เอริมะทางเหนือไปจนถึงโออาราอิทางใต้ ซึ่งการทำลายล้างส่วนใหญ่ในพื้นที่เกิดขึ้นในชั่วโมงหลังจากเกิดแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิยังได้พัดพาเอาสะพานเพียงหนึ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับมิยาโตจิมะ จังหวัดมิยางิ ทำให้ประชากร 900 คนบนเกาะขาดการติดต่อทางบกกับแผ่นดินใหญ่ คลื่นสึนามิสูง 2 เมตรพัดถล่มจังหวัดชิบะ ราวสองชั่วโมงครึ่งให้หลังเหตุแผ่นดินไหว ก่อให้เกิดความเสียหายแย่างหนักต่อนครอาซาฮิ", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "3554#43", "text": "ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976): 16 สิงหาคม (เที่ยงคืน) เกิดคลื่นสึนามิเข้าถล่มภูมิภาครอบอ่าวโมโร (เมืองโคตาบาโต) ประเทศฟิลิปปินส์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,000 ราย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983): ประชาชนจำนวน 104 รายในภาคตะวันตกของประเทศญี่ปุ่นเสียชีวิตจากคลื่นสึนามิที่โถมเข้าถล่มหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในพื้นที่ใกล้เคียง ครั้งที่ 7 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998): สึนามิปาปัวนิวกินีคร่าชีวิตผู้ชนจำนวนประมาณ 2,200 ราย หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.1ในบริเวณ 15 กิโลเมตร นอกชายฝั่งปาปัวนิวกินี และจากห่างจากเวลานั้นเพียงแค่ 10 นาที คลื่นยักษ์สูง 12 เมตรก็เคลื่อนเข้าถล่มชายฝั่ง ในขณะที่ระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวยังไม่สามารถที่จะก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ดังกล่าวได้โดยตรงแต่การที่เกิดคลื่นยักษ์ได้นั้น เชื่อกันว่า เนื่องจากแผ่นดินไหวส่งผลให้แผ่นดินใต้ทะเลเกิดการเลื่อนตัว และเหตุการณ์หลังนี้ทำให้เกิดสึนามิขึ้น สองหมู่บ้านของปาปัวนิวกินีคือ อารอป และวาราปู ถูกทำลายเรียบเป็นหน้ากลอง", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "390086#2", "text": "อ่าวของแนวชายฝั่งอันผิดปกตินี้เหมือนว่าจะช่วยขยายการทำลายล้างของคลื่นสึนามิ เหตุการณ์ที่สำคัญคือ แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ซึ่งก่อนหน้านั้น ประวัติศาสตร์สึนามิของซานริกุอาจถูกตีความว่า คลื่นสึนามิทำให้มีผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการป้องกันและวางแผนของมนุษย์ แต่ภัยพิบัติใน พ.ศ. 2554 นั้นสร้างฐานใหม่สำหรับการวิเคราะห์คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเป็นประจำ", "title": "ชายฝั่งซันริกุ" }, { "docid": "3554#25", "text": "ในปี 1650 ก่อน ค.ศ. คลื่นสึนามิจากภูเขาไฟระเบิดในเกาะซานโตรินี่ (Santorini) ในช่วงระหว่างปี 1650 ก่อน ค.ศ. ถึง 1600 ก่อน ค.ศ. (เวลาที่แน่นอนยังถกเถียงกันอยู่) ภูเขาไฟในเกาะซานโตรินี่ของกรีซระเบิดขึ้น ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำ \"สึนามิ\" ที่มีความสูงตั้งแต่ 100 เมตรถึง 150 เมตร ซึ่งถาโถมเข้าถล่มชายฝั่งทางด้านเหนือของเกาะครีต (Crete) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 70 กิโลเมตร (45 ไมล์) พร้อมกวาดทำลายต้นไม้ทุกต้นที่ขึ้นอยู่ในแนวป่ามิโนอัน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเขียวชอุ่มรอบชายฝั่งทางเหนือของครีตจนหายวับไปหมดในชั่วพริบตา คาดกันว่าคลื่นใต้น้ำ \"ซานโตรินี่\" คือแหล่งข้อมูลที่ทำให้เพลโต (Plato) เกิดแรงบันดาลใจในการเขียนวรรณกรรมเป็นนวนิยายดังเรื่องแอตแลนติส (Atlantis) และนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า คลื่นสึนามิ \"ซานโตรินี่\" ที่เกิดขึ้นครั้งนี้คือแหล่งที่มาสำคัญที่นำไปสู่การบันทึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลก (Great Flood) ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทั้งของชาวยิว คริสเตียน และชาวอิสลาม", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#30", "text": "พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - สึนามิแปซิฟิก (Pacific Tsunami) แผ่นดินไหวในหมู่เกาะอาลิวเชียน ในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้าสู่ฮาวายและอะแลสกา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 165 คน มหันตภัยสึนามิที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นส่งผลให้เกิดการก่อสร้างระบบเตือนภัยสึนามิสำหรับบรรดาประเทศที่ตั้งอยู่ตามบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกขึ้นในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949)", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#21", "text": "แม้การป้องกันไม่ให้คลื่นสึนามิเกิดขึ้นจะยังทำไม่ได้ ในบางประเทศได้มีการสร้างเครื่องป้องกันและลดความเสียหายในกรณีที่คลื่นสึนามิจะเข้ากระทบฝั่ง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นได้มีการสร้างกำแพงป้องกันสึนามิที่มีความสูงกว่า 4.5 เมตร ด้านหน้าของชายฝั่งบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น บางที่ได้มีการสร้างกำแพงกันน้ำท่วมและทางระบายน้ำเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางของคลื่น และลดแรงกระแทกของคลื่น ถึงแม้ว่า ในกรณีของคลื่นสึนามิที่เข้ากระทบเกาะฮอกไกโดที่มักมีความสูงมากกว่าเครื่องกีดขวางที่ได้สร้างขึ้น กำแพงเหล่านี้อาจช่วยลดความเร็วหรือความสูงของคลื่นแต่ไม่สามารถที่จะป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3540#4", "text": "จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวเกิดขึ้นใต้มหาสมุทรอินเดีย ลึกลงไป 30km (19mi) จากระดับน้ำทะเล ห่างจาก เกาะซิเมอลูเอ ไปทางทิศเหนือประมาณ 160km (100mi) ซึ่งตัวเกาะตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของเกาะสุมาตรา โดยรอยเลื่อนซุนดาเมกะทรัสต์ (Sunda megathrust) ได้เลื่อนตัวแตกออกยาวถึง 1,300km (810mi)[6] ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและตามด้วยคลื่นสึนามิ ประชาชนในประเทศบังคลาเทศ อินเดีย มาเลเซีย พม่า ไทย สิงคโปร์ และมัลดีฟส์รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว[7] จากนั้นรอยเลื่อนย่อย (Splay fault) จึงขยับตาม ทำให้พื้นทะเลเกิดรอยแตกยาวในเวลาไม่กี่วินาที และเกิดน้ำทะเลยกตัวสูงและเพิ่มความเร็วแก่คลื่นให้มากขึ้น จากนั้นคลื่นสึนามิได้เข้าทำลายเมืองล็อกนา (Lhoknga) ใกล้กับเมืองบันดาอาเจะฮ์ จนราบเป็นหน้ากลอง[8]", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547" }, { "docid": "363968#29", "text": "ระดับและขอบเขตความเสียหายอันเกิดจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิที่เกิดตามมานั้นใหญ่หลวง โดยความเสียหายส่วนใหญ่นั้นเป็นผลจากคลื่นสึนามิ คลิปวิดีโอของเมืองที่ได้รับผลกระทบเลวร้ายที่สุดแสดงให้เห็นภาพของเมืองที่เหลือเพียงเศษซาก ซึ่งแทบจะไม่เหลือส่วนใดของเมืองเลยที่ยังมีสิ่งปลูกสร้างเหลืออยู่ การประเมินขอบเขตมูลค่าความเสียหายอยู่ในระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพถ่ายดาวเทียมเปรียบเทียบก่อนและหลังในพื้นที่ที่ถูกทำลายล้างนั้นแสดงให้เห็นความเสียหายอย่างมโหฬารที่เกิดในหลายพื้นที่ แม้ญี่ปุ่นจะลงทุนเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐไปกับกำแพงกั้นน้ำต่อต้านสึนามิ ซึ่งลากผ่านอย่างน้อย 40% ของแนวชายฝั่งทั้งหมด 34,751 กิโลเมตร และมีความสูงถึง 12 เมตรก็ตาม แต่คลื่นสึนามิก็เพียงทะลักข้ามยอดกำแพงกั้นน้ำบางส่วน และทำให้กำแพงบางแห่งพังทลาย", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "363968#27", "text": "ตามชายฝั่งแปซิฟิกของเม็กซิโกและอเมริกาใต้ มีรายงานคลื่นสึนามิพัดถล่ม แต่ในหลายพื้นที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยไปจนถึงไม่เกิดผลกระทบเลย มีรายงานว่าคลื่นสูง 1.5 เมตรพัดเข้าถล่มเปรู และบ้านเรือนมากกว่า 300 หลังคาเรือนได้รับความเสียหาย คลื่นสึนามิในชิลีเองก็มีขนาดใหญ่พอที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนมากกว่า 200 หลังคาเรือน โดยมีคลื่นสูงถึง 3 เมตร ในหมู่เกาะกาลาปาโกส มี 260 ครอบครัวได้รับความช่วยเหลือหลังคลื่นสูง 3 เมตรพัดเข้าถล่ม คลื่นดังกล่าวมาถึงยี่สิบชั่วโมงหลังแผ่นดินไหว แต่ก็หลังประกาศแจ้งเตือนภัยสึนามิถูกยกเลิกไปแล้ว สิ่งปลูกสร้างบนหมู่เกาะได้รับความเสียหายอย่างหนัก และมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "3554#24", "text": "สึนามิที่เกิดขึ้นในช่วง 6,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นคลื่นสึนามิใต้น้ำที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ อันเป็นผลจากการเลื่อนตัวของชั้นหินที่เรียกว่า \"Storegga Slide\" ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินใต้น้ำครั้งใหญ่ติดต่อกันเป็นระลอกๆ ยาวนานเป็นเวลาหลายหมื่นปี", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3540#1", "text": "แผ่นดินไหวเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกใต้มหาสมุทรอินเดีย กระตุ้นให้เกิดคลื่นสึนามิสูงราว 30 เมตร[1] เข้าท่วมทำลายบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งโดยรอบมหาสมุทรอินเดีย ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ใน 14 ประเทศมากกว่า 230,000 - 280,000คนหรือมากกว่า 280,000 คน นับเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเทศที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย รองลงมาคือประเทศศรีลังกา ประเทศอินเดีย และประเทศไทย ตามลำดับ", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547" }, { "docid": "3554#41", "text": "ครั้งที่ 1 20 มกราคม พ.ศ. 2150 (ค.ศ. 1607): ประชาชนจำนวนหลายพันคนที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งช่องแคบอังกฤษ (Bristol Channel) จมน้ำเสียชีวิต ขณะที่บ้านเรือนที่อยู่อาศัยและหมู่บ้านหลายแห่งถูกน้ำพัดกวาดหายลงไปในทะเลจากกระแสน้ำที่เอ่อท่วมอย่าวรวดเร็วซึ่งอาจเป็นคลื่นสึนามิ สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากสาเหตุ 2 ประการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันโดยมิได้คาดหมายมาก่อน คือ สภาพดินฟ้าอากาศที่วิปริตอย่างรุนแรงและช่วงกระแสน้ำทะเลที่หนุนขึ้นสูงสุด ครั้งที่ 2 มหันตภัยสึนามิครั้งเลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ถาโถมเข้าถล่มหมู่บ้านหลายหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งเกาะซานริกู (Sanriku) ประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) คลื่นที่มีความสูงกว่าตึก 7 ชั้น (ประมาณ 20 เมตร) พร้อมกับกวาดกลืนชีวิตผู้คนจำนวน 26,000 คนลงสู่ท้องทะเล ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929): เกิดแผ่นดินเลื่อนตัวใต้ทะเลที่หมู่เกาะ Aleutian คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นถาโถมเข้าสู่เกาะฮาวายกลืนชีวิตผู้คนไป 159 ราย (ขณะที่อีก 5 ราย เสียชีวิตในอะลาสก้า) ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958): สึนามิที่เกิดขึ้นในอ่าว Lituya Bay รัฐอะลาสก้า เป็นสึนามิขนาดมหึมาขนาดเมก้าสึนามิ เกิดจากน้ำแข็งถล่ม เป็นสึนามิเฉพาะท้องถิ่น เนื่องจากพื้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดวงอยู่เฉพาะในอ่าว แต่ได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นคลื่นสึนามิที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีความสูงมากกว่า 500 เมตร ( 1,500 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล คลื่นที่เกิดไม่สามารถเคลื่อนตัวออกไปไกลจากแนวฟยอร์ด (fjord) ที่ล้อมรอบอยู่ได้ แต่ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายจากเรือที่เข้าไปทำการประมงอยู่ในบริเวณนั้น และพลานุภาพของมันก็ทำให้พื้นดินบริเวณนั้นถูกกลืนหาย", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#22", "text": "สำหรับประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) หลังจากที่คลื่นสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้น้ำเข้ากระทบชายฝั่งทางใต้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาตรการป้องกันภัยจากคลื่นสึนามิ เพื่อเตือนประชาชนให้ป้องกันตัวโดยไม่ต้องรอประกาศจากทางราชการ", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#13", "text": "ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสึนามิคือ คลื่นเซช (seiche) แผ่นดินไหวที่รุนแรงมักทำให้เกิดทั้งคลื่นสึนามิและคลื่นเซช มีหลักฐานว่าคลื่นเซชอาจเกิดจากคลื่นสึนามิได้เช่นกัน", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "717748#56", "text": "ภัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ คลื่นเมกะสึนามิ\nเช่น คลื่นที่อาจจะสามารถทำลาย ฝั่งด้านตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น\nเป็นคลื่นที่เกิดจากเกาะภูเขาไฟถล่มลงมาในทะเล \nแม้ว่า เหตุการณ์เหล่านี้ จะไม่สามารถทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยทั้งหมด\nแต่ก็สามารถเป็นภัยต่ออารยธรรมในพื้นที่\nมีคลื่นสึนามิที่มีคนตายมาก แม้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 และในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 แต่ก็ยังไม่ใหญ่พอที่จะเรียกว่า คลื่นเมกะสึนามิ\nเมกะสึนามิ สามารถมีแหล่งกำเนิดจากวัตถุอวกาศได้ด้วย เช่นมีดาวเคราะห์น้อยวิ่งลงมาในทะเล", "title": "ความเสี่ยงมหันตภัยทั่วโลก" }, { "docid": "3554#34", "text": "ประเทศในแถบมหาสมุทรอินเดียเหล่านี้ ยังไม่มีระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิที่สมบูรณ์พอดังเช่นประเทศในภูมิภาคมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนหนึ่งเนื่องจากไม่มีภัยพิบัติที่เกิดจากคลื่นยักษ์ในภูมิภาคมานานแล้ว นับตั้งแต่เกิดคลื่นสึนามิจากการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัวในปี พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883) ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 36,000 คน ภัยพิบัติสึนามิในมหาสมุทรอินเดียล่าสุดนี้ส่งผลให้ยูเนสโกและองค์การระหว่างประเทศหลายแห่งออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องให้มีการจัดตั้งระบบเตือนภัยสึนามิโลกขึ้น", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "363968#19", "text": "เช่นเดียวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 และเหตุการณ์พายุไซโคลนนาร์กิส ความเสียหายจากคลื่นที่พัดเข้าถล่ม แม้ว่าจะกินพื้นที่จำกัดเฉพาะในท้องถิ่นกว่ามาก แต่ก็ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าตัวแผ่นดินไหวเอง มีรายงานว่า เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิในญี่ปุ่น รวมทั้งเมืองมินามิซังริกุ ซึ่งมีผู้สูญหายกว่า 9,500 คน ร่างของผู้เสียชีวิตหนึ่งพันคนถูกเก็บกู้ในเมืองเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554 ในบรรดาปัจจัยที่ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากคลื่นสึนามิสูงนั้น ข้อหนึ่งเป็นเพราะแรงกระแทกของน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่คาดฝัน และกำแพงสึนามิที่ตั้งอยู่ในนครหลายแห่งที่ได้รับผลกระทบ ป้องกันได้เฉพาะคลื่นสึนามิที่ขนาดเล็กกว่านี้มาก นอกจากนี้ หลายคนที่ถูกคลื่นสึนามิพัดพาไปคิดว่าพวกตนอยู่บนที่สูงพอจะปลอดภัยแล้ว", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "3554#11", "text": "นอกจากการกระทบกระเทือนที่เกิดใต้น้ำแล้ว การที่พื้นดินขนาดใหญ่ถล่มลงทะเล หรือการตกกระทบพื้นน้ำของวัตถุ ก็สามารถทำให้เกิดคลื่นได้ คลื่นสึนามิที่เกิดในรูปแบบนี้จะลดขนาดลงอย่างรวดเร็วและไม่มีผลกระทบต่อชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลมากนัก อย่างไรก็ตาม ถ้าแผ่นดินมีขนาดใหญ่มากพอ อาจทำให้เกิด เมกะสึนามิ ซึ่งอาจมีความสูงร่วมร้อยเมตรได้", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#4", "text": "บางครั้งคลื่นสึนามิถูกเรียกว่า คลื่นยักษ์ แต่ในช่วงปีหลัง คำนี้ค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงวิทยาศาสตร์ เพราะคลื่นสึนามิไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำเลย คำว่า \"คลื่นยักษ์\" ที่ครั้งหนึ่งเคยนิยมใช้นี้ มาจากลักษณะปรากฏทั่วไปที่สุด ซึ่งคือ คลื่นทะเลหนุน (tidal bore) สูงผิดปกติ ทั้งคลื่นสึนามิและกระแสน้ำต่างก็ก่อให้เกิดคลื่นน้ำที่พัดพาเข้าสู่ฝั่ง แต่ในกรณีของคลื่นสึนามิ การเคลื่อนที่ของน้ำในแผ่นดินนั้นยิ่งใหญ่กว่าและกินเวลานานกว่ามาก จึงให้ความรู้สึกของกระแสน้ำสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ คำว่า \"คลื่นสึนามิ\" เองก็ไม่ถูกต้องนักเมื่อเทียบกับ \"คลื่นยักษ์\" เพราะคลื่นสึนามิไม่จำกัดอยู่เฉพาะกับท่าเรือ บรรดานักธรณีวิทยาและนักสมุทรศาสตร์ต่างไม่เห็นด้วยกับคำว่าคลื่นยักษ์ แต่เห็นว่าชื่อคลื่นตามลักษณะของคลื่นนั้นธรรมดาควรแทนชื่อด้วยศัพท์ทางธรณีวิทยาและสมุทรศาสตร์", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#2", "text": "ธูซิดดิดีส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เสนอเมื่อ 426 ปีก่อนคริสตกาล ว่า คลื่นสึนามิเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวใต้ทะเล[3][4] แต่ความเข้าใจในธรรมชาติของคลื่นสึนามิยังมีเพียงเล็กน้อยกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และยังมีอีกมากที่ยังไม่ทราบในปัจจุบัน ขณะที่แผ่นดินไหวที่รุนแรงน้อยกว่ามากกลับก่อให้เกิดคลื่น พยายามพยากรณ์เส้นทางของคลื่นสึนามิข้ามมหาสมุทรอย่างแม่นยำ และยังพยากรณ์ว่าคลื่นสึนามิจะมีปฏิสัมพันธ์กับชายฝั่งแห่งหนึ่ง ๆ อย่างไร", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#33", "text": "พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - สึนามิจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย คลื่นสึนามิครั้งแรกในประเทศไทยเกิดจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ระลอกคลื่นยักษ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตล่าสุดจำนวนกว่า 165,000 ราย (มากกว่า 105,000 รายเสียชีวิตในอินโดนีเซีย) คลื่นสึนามิได้ถาโถมเข้าถล่มและคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่ใกล้กับจุดเกิดแผ่นดินไหว เช่น อินโดนีเซีย, ไทย, และพื้นที่บริเวณชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย ไปจนถึงพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรในบังกลาเทศ, อินเดีย, ศรีลังกา, หมู่เกาะมัลดีลฟ์, และแม้กระทั่งโซมาเลีย, เคนยา, และแทนซาเนีย ซึ่งตั้งอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันออก", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#1", "text": "คลื่นสึนามิไม่เหมือนกับคลื่นทะเล(tidal wave)ตามปกติ เพราะมีความยาวคลื่นยาวกว่ามาก แทนที่จะเป็นคลื่นหัวแตก (breaking wave) ตามปกติ คลื่นสึนามิเริ่มแรกอาจดูเหมือนกับว่าคลื่นน้ำเพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้ คลื่นสึนามิจึงมักเรียกว่าเป็นคลื่นยักษ์ โดยทั่วไป คลื่นสึนามิประกอบด้วยกลุ่มคลื่นซึ่งมีคาบเป็นนาทีหรืออาจมากถึงชั่วโมง มากันเรียกว่าเป็น \"คลื่นขบวน\" (wave train)[2] ความสูงของคลื่นหลายสิบเมตรนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากเหตุการณ์ขนาดใหญ่ แม้ผลกระทบของคลื่นสึนามินั้นจะจำกัดอยู่แค่พื้นที่ชายฝั่ง แต่อำนาจทำลายล้างของมันสามารถมีได้ใหญ่หลวงและสามารถมีผลกระทบต่อทั้งแอ่งมหาสมุทร คลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 เป็นหนึ่งในภัยธรรมชาติครั้งที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 230,000 คน ใน 14 ประเทศที่ติดกับมหาสมุทรอินเดีย", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "363968#21", "text": "13 มีนาคม พ.ศ. 2554 สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเผยแพร่รายละเอียดการสังเกตคลื่นสึนามิที่บันทึกไว้รอบแนวชายฝั่งของญี่ปุ่นหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว การอ่านค่าเหล่านี้ รวมทั้งค่าสึนามิสูงสุด (tsunami maximum reading) สูงกว่า 3 เมตร ค่าที่ได้นั้นเป็นข้อมูลมาจากสถานีบันทึกที่ดำเนินการโดยสำนักอุตุนิยมวิทยารอบแนวชายฝั่งญี่ปุ่น หลายพื้นที่ยังได้รับผลกระทบจากคลื่นความสูง 1 ถึง 3 เมตร และประกาศสำนักอุตุนิยมวิทยายังมีคำเตือนว่า \"\"ตามแนวชายฝั่งบางส่วน คลื่นสึนามิอาจสูงกว่าที่สังเกตจากจุดสังเกต\"\" การบันทึกคลื่นสึนามิสูงสุดแรกสุดนั้นอยู่ระหว่าง 15.12 ถึง 15.21 น. ระหว่าง 26 ถึง 35 นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว ประกาศยังรวมรายละเอียดการสังเกตคลื่นสึนามิเบื้องต้น เช่นเดียวกับแผนที่รายละเอียดมากกว่าของแนวชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "3554#32", "text": "พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - สึนามิกู๊ดฟรายเดย์ (Good Friday Tsunami) แผ่นดินไหวกู๊ดฟรายเดย์ขนาด 9.2 ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) ก่อให้เกิดคลื่นสินามิถาโถมเข้าถล่มชายฝั่งอะลาสก้า, บริติช โคลัมเบีย, แคลิฟอร์เนียและชายฝั่งเมืองแปซิฟิกนอร์ธเวสต์ในสหรัฐอเมริกา ทำให้ประชาชนเสียชีวิต 122 คน คลื่นสึนามิมีความสูงถึง 6 เมตร ในเมือง Crescent City ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในแคลิฟอร์เนียมีผู้เสียชีวิต 11 คน", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#36", "text": "วันเวลา - สถานที่เกิด 26 สิงหาคม พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883) - ภูเขาไฟกรากะตัวระเบิด 16 สิงหาคม พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - รอบอ่าวโมโร (เมืองโคตาบาโต) ประเทศฟิลิปปินส์ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - หมู่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - หมู่เกาะเมินตาวัย ประเทศอินโดนีเซีย 11 เมษายน พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) - หมู่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ขนาด 8.9 และ 8.3 ประเทศไทยสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็ก และไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย 28 กันยายน พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) - เกาะซูลาเวซี ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#31", "text": "พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - สึนามิชิลี (Chilean tsunami) แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ชิลี (The Great Chilean Earthquake)แมกนิจูด 9.5 ซึ่งเป็นระดับที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นบริเวณนอกชายฝั่งตอนกลางทางใต้ของประเทศชิลี ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิที่สร้างความวิบัติหายนะอย่างรุนแรงที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 คลื่นสึนามิเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมด ขนาดคลื่นมีความสูงถึง 25 เมตร เมื่อคลื่นสึนามิเคลื่อนตัวเข้าถล่มโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น หลังจากเกิดแผ่นดินไหวนานเกือบ 22 ชั่วโมงนั้น ขนาดความสูงของคลื่นที่มีการบันทึกไว้ระบุว่าสูงถึง 10 ฟุตเหนือระดับกระแสน้ำ ประมาณการณ์ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นตามมามีจำนวนระหว่าง 490 - 2,290 ราย", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "3554#14", "text": "คลื่นสึนามิที่สูงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้มีความสูงกว่า 500 เมตร โดยเกิดจากแผ่นดินถล่มที่รัฐอลาสกาในปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) อย่างไรก็ตาม เมื่อคลื่นไปถึงทะเลเปิดมันได้สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ความสูงของคลื่นสึนามินั้นถูกกำหนดโดยลักษณะของพื้นที่มากกว่าพลังงานที่เกิดจากแผ่นดินถล่ม", "title": "คลื่นสึนามิ" }, { "docid": "363968#16", "text": "แผ่นดินไหวดังกล่าวซึ่งเกิดจากการนูนขึ้น 5 ถึง 8 เมตร บนก้นทะเลยาว 180 กิโลเมตร ห่างจากชายฝั่งตะวันออกของโทโฮกุ 60 กิโลเมตร ทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงตามแนวชายฝั่งแปซิฟิกของหมู่เกาะตอนเหนือของญี่ปุ่น และส่งผลให้เกิดความสูญเสียชีวิตนับหลายพัน และหลายเมืองถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง คลื่นสีนามิยังได้แพร่ขยายไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก และมีการออกคำเตือนและคำสั่งอพยพในหลายประเทศที่ติดมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งตลิดชายฝั่งแปซิฟิกของอเมริกาเหนือและใต้ ตั้งแต่อะแลสกาไปจนถึงชิลี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสึนามิจะเดินทางไปถึงหลายประเทศ แต่ก็มีผลกระทบค่อนข้างน้อย ชายฝั่งชิลีส่วนที่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งอยู่ห่างจากญี่ปุ่นมากที่สุด (ราว 17,000 กิโลเมตร) ส่วนระยะทางบนโลกที่ไกลที่สุดที่เป็นไปได้อยู่ที่ครึ่งเส้นรอบวง ราว 20,000 กิโลเมตร) ก็ยังได้รับผลกระทบเป็นคลื่นสึนามิสูง 2 เมตร คลื่นสึนามิสูง 38.9 เมตรถูกประเมินที่คาบสมุทรโอโมเอะ เมืองมิยาโกะ จังหวัดอิวาเตะ", "title": "แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554" }, { "docid": "365720#0", "text": "ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ () เป็นอุบัติเหตุด้านพลังงานที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ หมายเลข I ที่เป็นผลเบื้องต้นมาจากคลื่นสึนามิจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2011 คลื่นสึนามิสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ และเมื่อปราศจากอุปกรณ์ดังกล่าวทำให้เครื่องปฏิกรณ์ 3 เครื่องในจำนวน 6 เครื่องขาดสารหล่อเย็น ความร้อนที่สูงอย่างยิ่งยวดทำให้เกิดการหลอมละลาย () และปลดปล่อยสารกัมมันตรังสีออกมาเริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ภัยพิบัติด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภัยพิบัติเชอร์โนบิลเมื่อปี 1986 และเป็นอันดับที่สองรองจากเชอร์โนบิลที่ระดับ 7 ตามการจัดอันดับของมาตรวัดเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ () แต่มีความซับซ้อนกว่าเนื่องจากเครื่องปฏิกรณ์ทั้งหมดได้รับผลกระทบ ได้มีการปลดปล่อยกัมมันตรังสี 10 ถึง 30% ของที่เชอร์โนบิล", "title": "ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง" } ]
3896
มีการแบ่งสวิตช์แบบครอสส์บาร์ออกเป็นกี่ส่วน?
[ { "docid": "396391#5", "text": "เป็นการแบ่งสวิตช์แบบครอสส์บาร์ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ชั้นอินพุต ชั้นกลาง และ ชั้นเอาต์พุต สวิตซ์จะมีขนาดเล็กลง ง่ายต่อการสร้าง และมีราคาไม่แพง", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" } ]
[ { "docid": "396391#2", "text": "สวิตช์แบบครอสส์บาร์มีความสามารถในการเชื่อมต่ออินพุต N ค่า ไปยัง เอาต์พุต N ค่า ผลที่ได้จะเป็นการจัดกลุ่มแบบหนึ่งต่อหนึ่ง โดยจะเชื่อมต่อผู้โทรศัพท์ไปยังผู้รับซึ่งปลายสายว่างอยู่ ทำให้การให้บริการโทรศัพท์เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" }, { "docid": "177020#4", "text": "ปัจจุบันโคมไฟระย้าถูกทำขึ้นจากหลายวัตถุดิบ และหลายรูปแบบ จนทำให้ยากที่จะแบ่งว่ามีกี่แบบกี่ประเภท  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน โดยทั่วไปการเลือกใช้โคมไฟระย้า จะเลือกตามสไตน์การแต่งห้อง จึงนิยมเลือกใช้และเรียกกันตามแบบของการออกแบบ เช่น โคมไฟระย้าคลาสสิค โคมไฟระย้าโมเดิร์น โคมไฟระย้า LED เป็นต้น", "title": "โคมระย้า" }, { "docid": "139222#20", "text": "SMPS บางตัวใช้ตัวกรองหรือขั้นตอนการสวิตช์เพิ่มเติมในวงจรเรียงกระแสเพื่อปรับปรุงรูปแบบของคลื่นกระแสไฟฟ้าที่ดึงมาจากไฟ AC input สิ่งนี้จะเพิ่มความซับซ้อนของระบบเข้าไปอีก แหล่งจ่ายไฟของคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะเพิ่มตัวแก้ PF เข้าไปใน SMPF และอาจโฆษณาว่ามี PF ที่ 1.0", "title": "แหล่งจ่ายไฟ" }, { "docid": "396391#30", "text": "ในการทำงานจริงของสวิตซ์จะสามารถสร้างจากสวิตซ์ย่อยที่มีจำนวนชั้นเป็นเลขคี่ แนวคิดของครอสส์บาร์สวิตซ์ที่มีสามชั้น และแต่ละส่วนก็แยกเป็นครอสส์บาร์สวิตซ์ แม้ว่าสวิตซ์ย่อยแต่ละอันจะมีความสามารถจำกัดแต่ก็มีการทำงานร่วมกัน จากการสังเคราะห์ผลของ NxN ครอสส์บาร์สวิตซ์", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" }, { "docid": "396391#12", "text": "ตัวอย่างเช่นการตั้งใจปรับขนาดให้เล็กลงอาจไม่ได้เป็นการประหยัดสวิตซ์ สวิตช์แบบครอสส์บาร์แบบ16x16จะมี256การเชื่อมต่อ ในขณะที่แบบทอดข้ามต่ำสุดจะมี 4x4x4x3 = 192 การเชื่อมต่อ ซึ่งการการสลับสายโทรศัพท์จริงๆจะมีแสนอินพุตและสิบล้านเอาต์พุตของสวิตซ์การเชื่อมต่อ", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" }, { "docid": "558978#27", "text": "สมาร์ทสวิตช์ (หรือสวิตช์ฉลาด) - เป็นสวิตช์ที่มีการจัดการแต่จำกัดในฟีเจอร์บางอย่าง สวิตช์นี้อยู่ระหว่างที่ไม่มีการจัดการและมีการจัดการ ด้วยราคาที่ต่ำกว่ามาก สวิตช์ฉลาดสามารถเป็นเว็บอินเตอร์เฟส (แต่ใช้ CLI ไม่ได้) และสามารถกำหนดค่าพื้นฐานเช่น VLANs พอร์ตแบนด์วิดท์และดูเพล็กซ์ได้. สวิตช์ที่มีการจัดการอย่างเต็มที่ - มีการจัดการไม่จำกัด สามารถปรับแต่งหรือเพิ่มประสิทธิภาพและมักจะแพงกว่าสวิตช์ฉลาด สวิตช์นี้มักจะพบในเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีจำนวนของสวิตช์และการเชื่อมต่อที่จัดการแบบรวมศูนย์ซึ่งสามารถประหยัดเวลาและแรงงานในการบริหาร สวิตช์แบบนี้มีขนาดใหญ่และจะวางซ้อนกันในตู้", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "254254#0", "text": "แอร์โคเล เดรอแบร์ติ () (ราว ค.ศ. 1451 - ค.ศ. 1496) เป็นจิตรกรยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีตอนต้นของตระกูลการเขียนภาพแบบเฟอร์ราราของคริสต์ศตวรรษที่ 15 ผู้มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง แอร์โคเล เดรอแบร์ติเกิดเมื่อราว ค.ศ. 1451 เป็นบุตรของยามรักษาประตูที่ปราสาทของตระกูลเอสเต ต่อมาก็ได้เป็นจิตรกรประจำสำนักของตระกูล แต่งานเขียนของแอร์โคเลมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้น และงานส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายไป", "title": "แอร์โกเล เด โรแบร์ตี" }, { "docid": "396391#4", "text": "มีการคิดหาทางที่จะสร้างสวิตช์แบบครอสส์บาร์ด้วยขนาดที่เล็กลง มีการเลียนแบบสวิตช์แบบครอสส์บาร์โดยการจัดเรียงสวิตช์แบบครอสส์บาร์ที่เล็กกว่า ซึ่งการเปลี่ยนโครงสร้างจากการใช้ชิ้นส่วนที่ได้มาตรฐานจะทำให้ได้โครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเรียกว่าเครือข่ายคลอส", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" }, { "docid": "396391#3", "text": "อย่างไรก็ตามสวิตช์แบบครอสส์บาร์ใช้เสียค่าใช้จ่ายเป็นเท่าตัวจากการใช้สวิตซ์แบบSPST ซึ่งสำหรับค่า N ขนาดใหญ่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป นอกจากนี้สวิตช์แบบครอสส์บาร์ยังมีปัญหาด้านกายภาพด้วย ไม่เพียงแต่การใช้เนื้อที่มาก แต่แถบโลหะของสวิตซ์นั้นเมื่อผ่านไปจะมีการโค้งและไม่น่าไว้ใจในคุณภาพ วิศวกรพบว่าแถบของวิตช์แบบครอสส์บาร์ในแต่ละชิ้นนั้นจะมีการเชื่อมต่อแบบเดียว การเชื่อมต่ออื่นๆในอีกสองแถบจะไม่ได้ถูกใช้ นับว่าเป็นโครงสร้างที่สิ้นเปลือง", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" }, { "docid": "396391#32", "text": "แบ่งพื้นที่ของมัลติแพล็คเซอร์ เป็นบางอย่างเช่นครอสส์บาร์สวิตซ์หรือการจัดเรียงของครอสส์บาร์สวิตซ์หรือบันยันสวิตซ์ ซึ่งเอาต์พุตตัวหนึ่งจะเลือกจากอินพุตใดๆ ในสวิตซ์ดิจิตอลนี้จะมีการจัดเรียงของ and gate การเชื่อมต่อจะมีการปรับในการการเชื่อมโยง ข้อดีของการออกแบบคือจำนวนของการแบ่งพื้นที่ของการเชื่อมต่อจะถูกหารด้วยจำนวนของช่องเวลาในการแบ่งเวลาของระบบ ซึ่งจะช่วยลดขนาดและค่าใช้จ่ายในการสับเปลี่ยนเส้นทาง นอกจากนี้ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือ เนื่องจากการเชื่อมต่อทางกายภาพที่จะล้มเหลวมีน้อย การแบ่งเวลาสวิตซ์ แต่ละตัวจะมีหน่วยความจำที่สามารถอ่านได้ในลำดับที่คงที่และเขียนโดยการโปรแกรมได้ ประเภทของสวิตซ์นี้ มีการสัปเปลี่ยนช่องเวลาในสัญญาณมัลติแพล็ก ซึ่งจะไปแบ่งช่องว่างของมัลติแพล็กเซอร์ ในชั้นที่ติดกัน ข้อดีของการออกแบบคือมีเพียงหนึ่งอินพุตและเอาต์พุต เนื่องจากมีการเชื่อมต่อที่ล้มเหลวน้อย จึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่าสวิตซ์แบบแบ่งพื้นที่ และมีสวิตซ์ที่ต้องการในชั้นนอกของสวิตซ์โทรศัพท์สมัยใหม่", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" }, { "docid": "659263#0", "text": "\"ครอว์ลิง\" () เป็นเพลงของวงดนตรีร็อกชาวอเมริกัน ลิงคินพาร์ก เป็นเพลงลำดับที่สองที่ออกจำหน่ายเป็นซิงเกิลจากสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของวง \"ไฮบริดทีโอรี\" ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2544 และชนะรางวัลแกรมมี ในสาขาการแสดงเพลงฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2545 เพลง \"ครอว์ลิง\" เป็นเพลงหนึ่งในไม่กี่เพลงในอัลบั้ม \"ไฮบริดทีโอรี\" ที่มีเนื้อเพลงแร็ปของ ไมค์ ชิโนะดะ ที่ไม่เป็นที่โดดเด่น กล่าวคือ มีเนื้อเพลงของเชสเตอร์ร้องมากกว่า เวอร์ชันแสดงสดของเพลง \"ครอว์ลิง\" ได้นำไปรวมเป็นบีไซด์ในซิงเกิล \"เบรกกิงเดอะแฮบิต\"", "title": "ครอว์ลิง" }, { "docid": "63545#13", "text": "อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ที่มีอยู่จะทำงานที่ไม่กี่กิโลโวลต์ในตัวเดี่ยว ๆ ในกรณีที่จะต้องทำงานกับแรงดันไฟฟ้าที่สูง ๆ ต้องใช้อุปกรณ์หลาย ๆ ตัวต่อกันแบบอนุกรม อีกครั้งที่ความเร็วในการสวิทช์เป็นปัจจัยสำคัญเนื่องจากอุปกรณ์ตัวที่สวิตช์ช้าที่สุดจะต้องทนต่อแรงดันไฟฟ้ารวม วาล์วปรอทในอดีตทำงานได้ถึง 100 กิโลโวลต์ในเครื่องเดียว ทำให้เป็นการง่ายในการนำไปประยุกต์ใช้ใน ระบบสายส่งกระแสตรงความดันสูง หรือ HVDC", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "482112#0", "text": "\"สวิตช์ ออน!\" () เป็นเพลงของนักร้องป๊อบชาวญี่ปุ่น แอนนา ซึชิยะ วางจำหน่ายในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 ซึ่งเป็นเพลงเปิดสำหรับภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวโทคุซัทสึ ในซีรีส์มาสค์ไรเดอร์ เรื่องมาสค์ไรเดอร์โฟร์เซ", "title": "สวิตช์ ออน!" }, { "docid": "396391#6", "text": "ในระบบโทรศัพท์จะเป็นการเชื่อมต่อแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งหมายถึงการที่จำนวนอินพุตจะเท่ากับจำนวนเอาต์พุตในแต่ละสวิตซ์ย่อยๆ หากต้องการสร้างแบบ16 ด้วยสวิตช์แบบครอสส์บาร์ 16 ตัว ในการออกแบบจะมี 4 สวิตซ์ย่อยในการรับอินพุต 16 ตัว ในส่วนของเอาต์พุต ก็จะมี4สวิตซ์ย่อย สำหรับ 16 ผลลัพธ์ เป็นการออกแบบที่ใช้สายไฟน้อย ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งจำนวนน้อยที่สุดซึ่งใช้เชื่อมโยงสวิตซ์ย่อย 2 ตัว ก็คือใช้สายไฟเพียง 1 เส้น ดังนั้นสวิตซ์ย่อยของอินพุตแต่ละตัวจะมีเส้นเชื่อมเพียงเส้นเดียวไปยังสวิตซ์ย่อยกลาง และ สวิตซ์ย่อยกลางแต่ละตัวจะมีเส้นเชื่อมเพียงเส้นเดียวที่ถูกเชื่อมกับสวิตซ์ย่อยของเอาต์พุต", "title": "การไม่ปิดกั้นของสวิตซ์แบบทอดข้ามต่ำสุด" }, { "docid": "833273#2", "text": "ระหว่าง 31 พฤษภาคม-2 มิถุนายน ค.ศ. 1793 คณะผู้ประท้วงที่นำโดยเอแบร์ ได้เดินทางไปประท้วงด้านนอกของสภา เรียกร้องให้มีการกวาดล้างระบบการเมืองและระบบราชการแบบเดิม และเรียกร้องให้ลดราคาขนมปังลง ด้วยการสนับสนุนจากกองทัพ ก็ได้ส่งทหารเข้าจับกุม 31 ผู้นำของพรรคจีรอแด็งซึ่งรวมถึงฌัก ปีแยร์ บรีโซ ภายหลังการจับกุมครั้งนี้ก็ทำให้สโมสรฌากอแบ็งเข้ามามีอำนาจควบคุมคณะกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวมในวันที่ 10 มิถุนายน เป็นจุดเริ่มต้นการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ ไม่กี่เดือนต่อมา เอแบร์ได้ต่อต้านแนวคิดเทวัสนิยมของรอแบ็สปีแยร์ เขาได้ทำการเคลื่อนไหวเพื่อขจัดอิทธิพลของคริสตจักรออกไปจากสังคม โดยต่อต้านกิจกรรมของศาสนาคริสต์ทุกรูปแบบ เอแบร์ได้เริ่มเขียนโจมตีรอแบ็สปีแยร์", "title": "ฌัก เอแบร์" }, { "docid": "63545#10", "text": "อุปกรณ์ทั้งหลายมีความแตกต่างกันที่ความเร็วในการเปิดปิด บางไดโอดและบาง thyristors จะเหมาะสำหรับความเร็วค่อนข้างช้าและมีประโยชน์สำหรับการสวิทช์และการควบคุมความถี่, thyristors บางตัวเป็นประโยชน์ที่ไม่กี่กิโลเฮิรตซ์ อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น MOSFETS และ BJTs สามารถสวิทช์ที่หมื่นกิโลเฮิร์ตซ์จนถึงไม่กี่เมกะเฮิรตซ์ แต่ระดับพลังงานลดน้อยลง พลังงานที่สูงมาก (ร้อยๆกิโลวัตต์) ที่ความถี่สูงมากๆ (ร้อยหรือหลายพันเมกะเฮิรตซ์) ยังคงเป็นพื้นที่ที่อุปกรณ์หลอดสูญญากาศครอบครองอยู่ การใช้อุปกรณ์สวิตชิ่งที่เร็วขึ้นช่วยลดการสูญเสียพลังงานในการปิดเปิดกลับไปกลับมา แต่อาจสร้างปัญหากับการรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมา วงจรไดรฟ์ที่เกท (หรือเทียบเท่า) ต้องถูกออกแบบให้จ่ายกระแสไดรฟ์ที่พอเพียงเพื่อให้อุปกรณ์ทำหน้าที่สวิตช์ได้อย่างเต็มที่ อุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการไดรฟ์เพียงพอที่จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วอาจจะถูกทำลายด้วยความร้อนส่วนเกิน", "title": "อิเล็กทรอนิกส์กำลัง" }, { "docid": "132218#16", "text": "สำหรับการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายแพ็กเกตสวิตชิง ข้อมูลจะถูกส่งออกไปทีละแพ็กเกตเรียง ลำดับตามกันโดยใช้วิธี (Store-and-forward) ถ้ามีข้อผิดพลาดในแพ็กเกตเกิตขึ้น สวิตช์นั้นก็จะทำการร้องขอให้สวิตช์ก่อนหน้านั้นส่งเฉพาะแพ็กเกตที่มีความผิดพลาดนั้นมาให้\nใหม่ ไม่จำเป็นจะต้องรอให้ผู้ส่งทำการส่งข้อมูลมาให้ครบทุกแพ็กเกตแล้วจึงค่อยส่งข้อมูลไป\nให้สถานีอื่นต่อไป การทำงานแบบนี้จะทำให้การส่งข้อมูลในเครือข่ายแพ็กเกตสวิตชิงสามารถ\nทำงาน ได้เร็วมากจนดูเหมือนกับไม่มีการเก็บกักข้อมูลเลย แบบนี้ก็ดีนะ ", "title": "แพ็กเกตสวิตชิง" }, { "docid": "257269#3", "text": "ในปี 1962 ครอสบีถือเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลประสบความสำเร็จจาก Global Achievement Award เขายังได้รับรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากบท บาทหลวง ชัค โอ'มัลเลย์ ในภาพยนตร์ปี 1944 เรื่อง \"Going My Way\" ครอสบียังเป็นคนไม่กี่คนที่มีชื่อจารึกอยู่บนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟมถึง 3 ครั้ง", "title": "บิง ครอสบี" }, { "docid": "36288#10", "text": "หุ่นยนต์ในเกมซุปเปอร์โรบอตไทเซ็นแบ่งออกเป็นสองชนิด คือ \"ซูเปอร์โรบ็อต\" และ\"เรียลโรบ็อต\" ซูเปอร์โรบ็อตคือหุ่นยนต์ที่มีพลังชีวิตสูง สามารถรับการโจมตีได้หลายๆ ครั้ง แต่ขาดความว่องไวทำให้โดนโจมตีบ่อยๆ ซูเปอร์โรบ็อตมีอาวุธหรือท่าไม้ตายสำหรับโจมตีระยะใกล้ที่มีพลังทำลายสูง แต่ความแม่นยำต่ำ ตัวอย่างหุ่นยนต์ซูเปอร์โรบ็อต ได้แก่ มาชินก้าแซด เก็ตเตอร์โรโบ เป็นต้น เรียลโรบ็อตเป็นหุ่นยนต์ที่มีความว่องไว สามารถหลบการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้บ่อยกว่าซูเปอร์โรบ็อต แต่มีพลังชีวิตน้อยและพลังป้องกันต่ำ จึงถูกทำลายได้ง่ายโดยการโจมตีเพียงไม่กี่ครั้ง อาวุธของเรียลโรบ็อตส่วนใหญ่เป็นอาวุธระยะไกลซึ่งมีความแม่นยำสูง แต่พลังโจมตีต่ำ ทำให้ต้องโจมตีศัตรูหลายครั้งก่อนจะเอาชนะได้ ตัวอย่างเรียลโรบ็อต ได้แก่ หุ่นยนต์กันดั้มเกือบทั้งหมด และวาลคิรีจากเรื่องมาครอส เป็นต้น อย่างไรก็ดีหุ่นยนต์บางตัวก็มีลักษณะไม่เป็นไปตามกฎข้างต้น เช่น ไรดีนเป็นซูเปอร์โรบ็อตที่อาวุธส่วนใหญ่เป็นอาวุธระยะไกล และดันไบน์เป็นเรียลโรบ็อตที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิตตัว", "title": "ซูเปอร์โรบ็อตไทเซ็น" }, { "docid": "558978#3", "text": "อีเทอร์เน็ตสวิตช์ทำงานที่ชั้น data link layer ของแบบจำลอง OSI เพื่อสร้างโดเมนการชนกันแยกต่างหากสำหรับแต่ละพอร์ตของสวิตช์ เข่นคอมพิวเตอร์ 4 ตัว (A, B, C และ D) บนสวิตช์ 4 พอร์ต A และ B สามารถถ่ายโอนข้อมูลไปมาในขณะที่ C และ D สามารถทำแบบเดียวกันพร้อมกัน ทั้งสองคู่สนทนากันและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ในโหมด full duplex คู่เหล่านี้ยังสามารถทับซ้อนกัน (เช่น A ส่งให้ B พร้อมกับ B ส่งให้ C, และต่อๆไป ) ในกรณีที่ใช้ repeater hub จะมีการแบ่งแบนด์วิดธ์และทำงานในโหมด half duplex ซึ่งทำให้ข้อมูลชนกันซึ่งจำเป็นจะต้องส่งใหม่", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "788725#0", "text": "เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา เบรธออฟเดอะไวลด์ (, ) เป็นวิดีโอเกมที่ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2017 เป็นเกมแนวแอคชั่นผจญภัย พัฒนาและจัดจำหน่ายโดยนินเทนโดสำหรับวียู และ นินเท็นโดสวิตช์. วางจำหน่ายพร้อมกันทั่วโลกเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2017 ทั้งแพลตฟรอม นินเทนโดวียู และ นินเทนโดสวิตช์ ตัวเกมรองรับหลายภาษา และรองรับ ระบบ amiibo", "title": "เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา บรีทออฟเดอะไวลด์" }, { "docid": "558978#26", "text": "สวิตช์ที่ไม่มีการจัดการ - สวิตช์เหล่านี้มีอินเตอร์เฟซการตั้งค่าหรืออ๊อพชั่น คือเป็นแบบ plug and play โดยทั่วไปจะเป็นสวิตช์ราคาไม่แพง ดังนั้นจึงมักจะใช้ในสภาพแวดล้อมขนาดเล็กเช่นสำนักงานหรือบ้าน สวิตช์แบบนี้สามารถตั้งบนโต๊ะหรือติดตั้งในแร็ค สวิตช์ที่มีการจัดการ - สวิตช์เหล่านี้มีหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งวิธีการที่จะปรับเปลี่ยนการทำงาน วิธีการจัดการทั่วไปได้แก่: อินเตอร์เฟซบรรทัดคำสั่ง (Command Line Interface, CLI) ที่เข้าถึงได้ผ่านทางคอนโซลอนุกรม, เทลเน็ต หรือ Secure Shell, Simple Network Management Protocol (SNMP) ที่ช่วยให้สามารถจัดการจากคอนโซลระยะไกลหรือจาก เว็บเบราว์เซอร์ ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงเช่นการเปิดใช้งาน spanning tree protocol, ตั้งค่าแบนด์วิดธ์, สร้างหรือปรับเปลี่ยน virtual lan (VLANs) ฯลฯ สองคลาสย่อยของสวิตช์ที่มีการจัดการที่มีขายในวันนี้ได้แก่:", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "44241#3", "text": "เมื่อพวกโกคูได้ยินเรื่องที่ท่านจอมเทพบอกก็พากันช็อคไปตามๆกัน และเตรียมตัวที่จะเริ่มการผจญภัยครั้งใหม่กับการหาดราก้อนบอลในอวกาศ โกฮังอาสาที่จะไป ปังก็จะไปด้วยแต่ผู้ใหญ่ก็ห้าม เมื่อมาถึงบ้านบูลม่าก็เตรียมพร้อมในส่วนของยานอวกาศเพื่อออกเดินทาง เบจิต้าจับได้ว่าทรังคซ์ชอบโดดงานในบริษัทแคปซูลฯ จึงลงโทษโดยการที่จะต้องไปอวกาศ และโกเท็นก็ต้องไปในคำสั่งของจีจี้โดยให้เบจิต้าจัดการ ในวันเดินทางโกคู ทรังคซ์ได้ขึ้นไปเตรียมตัวในยานอวกาศรอก็แต่โกเท็น แต่ปังไม่รู้มาจากไหน กดสวิตช์ให้ยานเดินเครื่องออกจากโลกไปโดยที่โกเท็นยังไม่ทันขึ้นยาน การเดินทางของคน 3 คน 3 วัยได้เริ่มขึ้นแล้ว", "title": "ดราก้อนบอล GT" }, { "docid": "558978#16", "text": "บริดจ์ที่คลาสสิกอาจจะเชื่อมต่อระหว่างกันโดยใช้spanning tree protocolที่จะป้องกันไม่ให้การส่งข้อมูลระหว่างกันในเครือข่ายแลนเกิดการวิ่งวน(ลูป). ในทางตรงกันข้ามกับเราเตอร์, บริดจ์สแปนนิ่งทรีจะต้องมีโครงสร้างที่มีเพียงเส้นทางที่ใช้งานหนึ่งเดียวระหว่างจุดสองจุด. มาตรฐานเก่าของ IEEE 802.1D โปรโตคอลสแปนนิ่งทรีอาจจะค่อนข้างช้าด้วยการหยุดรอถึง 30 วินาทีขณะที่สแปนิ่งทรีรวมตัวใหม่. สแปนนิ่งทรีที่เร็วกว่าจะใช้มาตรฐาน IEEE 802.1w มาตรฐานใหม่สุดสำหรับการบริดจ์เพื่อเส้นทางที่สั้นที่สุดคือ IEEE 802.1aq ซึ่งเป็นที่รวมของโปรโตคอล Spanning tree เก่าทั้งหมด (IEEE 802.1D STP, IEEE 802.1w RSTP, IEEE 802.1s MSTP) โดยจะปิดกั้นการจราจรบนเส้นทางทั้งหมดยกเว้นเส้นทางที่เลือก. IEEE 802.1aq (Shortest Path Bridging, SPB) ยอมให้ทุกเส้นทางใช้งานได้ด้วยหลายเส้นทางที่ค่าใช้จ่ายเท่ากัน ทำให้มีโครงสร้างเลเยอร์ 2 มีขนาดใหญ่กว่ามาก (สูงถึง 16 ล้านเทียบกับข้อจำกัดของ VLANs ที่ 4096 topologies), ทำให้การบรรจบกันได้เร็วขึ้นและช่วยปรับปรุงการใช้งานของ mesh topologies ผ่านแบนด์วิดท์ที่เพิ่มขึ้นและเพิ่มความซ้ำซ้อนระหว่างอุปกรณ์ทั้งหมดโดยให้การจราจรแชร์ส่วนแบ่งทั่วทุกเส้นทางของ mesh network .", "title": "เนตเวิร์กสวิตช์" }, { "docid": "407629#2", "text": "ซึ่งช่วงที่หลังจากจบสงครามศักดิ์สิทธิ์ในช่วงของเซจกับฮาคุเรย์ไปไม่กี่ปี เพราะรู้ว่าคลอธอาริเอสอยู่ที่หมู่บ้านลับแล แต่พอหาเจอหวังทำลายแต่ทำลายไม่ได้ จึงทำให้ทั้งหมู่บ้านเวลาถูกหยุดคนที่อยู่ที่นั่นไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เพราะเวลาถูกหยุด แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รอด แต่ร่างกายหยุดการเจริญเติบโตไปหลายร้อยปี ในช่วง 5 ปีก่อนเริ่มสงครามิออนมาเอาคลอธเพื่อเป็นโกลด์เซนต์ โยมะก็ใช้กับดักน้นกับชิออนแต่ก็ล้มเหลวจนร่างงเทพของตนก็บาดเจ็บจนแค้น 15 ปีหลังจากจบสงคราม โยมะหรือไครอสตื่นขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนอนาคตโดยหวังทำลายแซงทัวรี่ แล้วสู้กับิออนอย่างดุเดือดจนแพ้ แต่ไครอสก็ไม่ตาย แต่พอเทมมะกับซาช่าที่เป็นดวงวิญญาณใช้โล่อาเธน่าให้ไครอสส่อง ไครอสก็เสียชีวิตกับความชั่วร้ายสลายไป เพราะโล่นั้นจะสลายความชั่วร้ายทั้งหมดเพียงแค่ใช้ส่องเหมือนกระจก", "title": "เมฟิสโตเฟเลส โยมะ" }, { "docid": "838719#1", "text": "อีรอสเป็นดาวเคราะห์น้อยตัดวงโคจรดาวอังคาร (Mars-crosser) เป็นดวงแรกที่ทราบ วัตถุในวงโคจรดังกล่าวสามารถอยู่ตรงนั้นได้เพียงไม่กี่ร้อยล้านปีก่อนวงโคจรจะถูกรบกวนจากอันตรกิริยาความโน้มถ่วง การหาปฏิพันธ์พลวัตเสนอว่าอีรอสอาจเปลี่ยนเป็นตัดวงโคจรโลก (Earth-crosser) ในระยะเวลาสองล้านปี และมีโอกาสประมาณ 50% ในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในเวลา 10–10 ปี เป็นดาวเคราะห์น้อยที่อาจพุ่งชนโลก มีขนาดใหญ่ประมาณห้าเท่าของอุกกาบาตพุ่งชนโลกที่ก่อให้เกิดหลุมอุกกาบาตชีคชุลูบ (Chicxulub) ซึ่งนำไปสู่การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์", "title": "433 อีรอส" }, { "docid": "979454#0", "text": "โคมไฟของทอมสัน เป็นปริศนาทางปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอนันต์ กำเนิดขึ้นมาในปี 1954 โดยนักปรัชญาชาวอังกฤษ เจมส์ เอฟ. ทอมสัน เป็นผู้ที่เริ่มการวิเคราห์ถึงความเป็นไปได้ของซูเปอร์ทาสก์ ที่ซึ่งเกี่ยวกับตัวเลขอนันต์\nให้หลอดไฟมีระบบเปิดปิดที่ใช้ทอกเกิลสวิตช์ ที่เมื่อกดสวิตช์หนึ่งครั้งแล้วหลอดไฟจะเปิด เมื่อกดอีกครั้งจะปิด ต่อไป ให้กระทำการตามขั้นตอนต่อไปนี้ : เริ่มตัวจับเวลา จะมuคนเปิดไฟ เมื่อผ่านไปหนึ่งนาที ก็ปิดไฟ และเมื่อผ่านไปอีกครึ่งนาที ก็เปิดไฟอีกครั้ง และเมื่อผ่านไปอีก / ของหนึ่งนาที ก็ปิดไฟอีกครั้ง และเมื่อผ่านไปอีก / ของหนึ่งนาที ก็เปิดไฟอีกครั้ง และทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ โดยรอให้ถึงครึ่งหนึ่งของ ณ เวลานั้น ๆ จึงกดสวิตช์ ผลรวมของเวลาอนุกรมอนันต์นี้คือสองนาที", "title": "โคมไฟของทอมสัน" }, { "docid": "142162#3", "text": "บริดจ์ไอดีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่รูทบริดจ์ เป็นจุดอ้างอิงของเน็ตเวิร์กหนึ่ง สวิตช์ทุกตัวในเน็ตเวิร์กจะต้องมีรูทบริดจ์เป็นค่าเดียวกันเสมอ ทำให้สวิตช์ทุกตัวเห็นเน็ตเวิร์กโทโพโลยี (Network Topology) รูปเดียวกันเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้ไม่เกิดลูปในเน็ตเวิร์กนั้นๆ", "title": "เกณฑ์วิธีต้นไม้แบบทอดข้าม" }, { "docid": "141712#0", "text": "แลนเสมือน () เหมือนการสร้าง logical segment สวิสต์ตัวหนึ่งสามารถแบ่งออกมาเป็นหลายๆ vlanได้ เหมือนมีswitchหลายตัวหรือมีhubหลายตัว แต่จริงๆมีแค่ตัวเดียวแล้วก็แบ่งซอยออกมา โดยมากแบ่งตามพื้นที่ใช้งาน แบ่งตามแผนก แบ่งตามหน่วยงาน แบ่งตามลักษณะการใช้งาน\nการจำลองสร้างเครือข่าย LAN แต่ไม่ขึ้นอยู่กับการต่อทางกายภาพเช่น สวิตช์หนึ่งตัวสามารถใช้จำลองเครือข่าย LAN ได้สิบเครือข่าย หรือสามารถใช้สวิตช์สามตัวจำลองเครือข่าย LAN เพียงหนึ่งเครือข่าย เป็นต้น \nการแบ่งกลุ่มของสวิตซ์ภายในเลเยอร์ 2 ที่ไม่ขึ้นกับ ลักษณะทางกายภาพใดๆ กล่าวแบบง่ายๆ ก็คือ เราไม่จำเป็นที่จะต้องนำสวิตซ์มาต่อกันเป็น ทอดๆ เพื่อจัดกลุ่มของสวิตซ์ว่า สวิตซ์กลุ่มนี้คือ กลุ่มเดียวกัน แต่ เราสามารถที่จะ จัดกลุ่มให้ สวิตซ์ที่อยู่ห่างไกลกันออกไปนั้น เป็นสมาชิกของสวิตซ์อีกกลุ่มหนึ่งทางแนวตรรกะ", "title": "แลนเสมือน" } ]
2814
บ้านนี้มีรัก อำนวยการผลิตโดยใคร?
[ { "docid": "122640#0", "text": "บ้านนี้มีรัก เป็นละครโทรทัศน์ไทยประเภทซิตคอม ผลิตโดย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด หรือฝ่ายบริหารละครโทรทัศน์และซิตคอม สถานีโทรทัศน์ช่องวัน อำนวยการผลิตโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ กำกับการแสดงโดย กิตติ เชี่ยววงศ์กุล ออกอากาศครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ทีวี ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 - 19.00 น. เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 และออกอากาศครั้งสุดท้ายทางโมเดิร์นไนน์ทีวี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558", "title": "บ้านนี้มีรัก" } ]
[ { "docid": "344633#0", "text": "บ้านนี้ที่บางรัก เป็นซิตคอมโปรเจกต์พิเศษของเอ็กแซ็กท์ ที่นำซิตคอมเรื่อง บางรักซอย 9 และ บ้านนี้มีรัก ของ เอ็กแซ็กท์ และ ซีเนริโอ มาผสมผสานกัน โดยมีตัวละครเหมือนเดิม และมาแสดงร่วมกัน กำกับการแสดงโดย พงษ์ศักดิ์ ฉิมเจริญ และ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล นอกจากนี้ ยังมีแขกรับเชิญพิเศษคือ ปิยธิดา วรมุสิก และตัวละครใหม่ของเรื่องบ้านนี้มีรัก รับบทโดย บุษกร ตันติภนา ออกอากาศทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 18.00 - 19.00 น. ออกอากาศวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553 โดยออกอากาศทั้งหมด 16 ตอนเป็นตอนแรกที่เปิดตัวนักแสดงทั้งหมด และความสัมพันธ์ของแต่ละคน เช่น แป้ง กับ รัก เป็นเพื่อนสนิทกัน น้าเยาว์ กับ คุณน้อย สนิทกัน ปิ๊ก ไม่ถูกกันกับ ลิงก์ เนื่องเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นทั้งคู่ก็ดันมาชอบผู้หญิงคนเดียวกันอีก สกล ก็ไม่ถูกกับ เฮียหมู และ ก๊วยเจ๋ง กับ มิค สนิทกัน แฮงค์ กับ ฮาร์ท เป็นฝาแฝดกัน ในเรื่องนี้ เป็นต้น", "title": "บ้านนี้ที่บางรัก" }, { "docid": "122640#117", "text": "มีวันหนึ่งตอนรักใช่ชุดหมีง้อน้ำหวาน ทั้งบ้านเข้าใจผิดว่าเป็นสกลจึงไปทำร้าย พอรู้ว่าเป็นรัก ทั้งบ้านต่างขอโทษ จากนั้นสกลแก้ผ้าไปใส่ชุดหมี พอแฮงค์หนีรินไปขอชุดหมีใส่หลอกริน แต่รินจับได้ไล่ตีแฮงก์ สกลกับลูกโป่งตามไปห้าม แต่สกลต่อท่อ พ่อน้องพอลใส่ชุดหมี ลิงก์คิดว่าเป็นสกลจึงฝากน้องพอล พอตนเคลียร์งานเสร็จ กลับมารู้ว่าลูกหาย จึงออกตามหา แต่ตนรู้ว่าใครเอาไปจึงแจ้งตำรวจจับ กับต่อว่า แต่พ่อเด็กที่รู้สึกผิดถูกบ้านรักกล่อมจนเข้าใจ กับพยายามขอโทษตนต่อ แต่ตนกำชับว่าอย่ามายุ่งกับตนและลูกอีก", "title": "บ้านนี้มีรัก" }, { "docid": "122640#122", "text": "ก่อนที่รักกับน้ำหวานแต่งงาน ตนทำดีผิดปกติ จนทั้งบ้านสงสัย ใส่ความว่าตนทำรักท้องเสีย ตนจึงบอกสาเหตุว่า ตอนน้ำหวานลาออกจากงานพอดี ทางรีสอร์ทครอบครัวมีปัญหา ถ้าลูกอยู่กรุงเทพ จะไม่มีใครช่วยดูแล เลยมาขอให้รักมาอยู่ดูแลรีสอร์ทด้วย รักก็ตัดสินใจไปอยู่ที่บ้านน้ำหวาน แบบไปกลับก่อน พอแก้ปัญหาที่บ้านให้เสร็จ จะย้ายไปอยู่ทันที พอแก้ปัญหารีสอร์ทเสร็จจะขอน้ำหวานมาอยู่กรุงเทพ ตนก็ไม่ว่า", "title": "บ้านนี้มีรัก" }, { "docid": "727927#0", "text": "หยุดถามหัวใจ จะรักใครดี? (The Accidental Tourist) เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในสหรัฐอเมริกาในปีพ.ศ. 2531 นำแสดงโดยวิลเลียม เฮิร์ต, แคทลีน เทอร์เนอร์ และจีนา เดวิส กำกับโดยลอว์เรนซ์ แคสแดน ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์โดยจอห์น วิลเลียมส์ บทภาพยนตร์ถูกดัดแปลงโดยแคสแดนและแฟรงก์ กาลาติ โดยดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง 'เดอะ แอคซิเดนเทิล ทัวร์ริสต์' โดยแอนน์ ไทเลอร์ เป็นภาพยนต์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสี่สาขา", "title": "หยุดถามหัวใจ จะรักใครดี?" }, { "docid": "122640#15", "text": "สมัยเด็กไม่ถูกกับปิ๊กในบางรักซอย 9 โดยทั้งคู่แข่งเลี้ยงปลาทองว่าของใครตัวใหญ่กว่ากัน จบจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับเป็นหุ้นส่วนบริษัทรัก 15-30 บาท", "title": "บ้านนี้มีรัก" }, { "docid": "122640#19", "text": "เวลามีเรื่องกลุ้มใจเรื่องความรักของตน จะเสียใจจนไม่บอกใคร แบบหนีไปไกลๆ กับเมาพาลหาเรื่องไปเรื่อย", "title": "บ้านนี้มีรัก" }, { "docid": "558523#0", "text": "รักนี้หัวใจมีครีบ เป็นละครโทรทัศน์แนวโรแมนติก-คอมเมดี-แฟนตาซี บทประพันธ์โดย ทองเอก บทโทรทัศน์โดย ทองเอก,จาวตาล ผลิตโดย บริษัท เมกเกอร์ เค จำกัด กำกับการแสดงโดย บัณฑิต ทองดี โดยออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.30 - 20.00 น. ตั้งแต่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 นำแสดงโดย ฐากูร การทิพย์, ลักษณ์นารา เปี้ยทา,วิชุดา พินดั้ม และทางสถานีนำกลับมาออกอากาศซ้ำทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.10 น. เริ่มตอนแรกวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และได้นำกลับมาออกอากาศอีกเป็นครั้งที่ 2 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.30 น.เริ่มวันที่ 21 ต.ค. 2561 ถึง 30 ธ.ค. 2561 ทางช่อง 3 SD หรือ ช่อง 28", "title": "รักนี้หัวใจมีครีบ" }, { "docid": "852144#1", "text": "เรื่องราวความสัมพันธ์ที่พัวพันกันอลหม่านของคนในบ้าน love complex บ้านพักใจกลางเมืองใหญ่ ที่มีคอนเซปต์ไม่เหมือนใคร ให้ผู้เช่าอาศัยแต่ละห้อง ต้องมาอยู่ด้วยกัน มีปฏิสัมพันธ์ดั่งคนในครอบครัว แต่ความสัมพันธ์ของลูกบ้านแต่ละคนกลับมีแตกต่างหลากหลายรูปแบบ ทั้งแอบรักกัน แอบเกลียด และคลั่งอย่างไม่มีแอบก็มี ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงทั้งหลายนี้จะจบลงอย่างไร ใครจะลงเอยกับใคร ความลับจะแตกหรือไม่ ติดตามได้ใน Love complex", "title": "Love Complex คอนโดวุ่น จุ้นรัก" }, { "docid": "850071#0", "text": "ที่หนี้มีรัก เป็นละครโทรทัศน์ไทยแนวโรแมนติก คอมเมดี้ ผลิตโดย บริษัท เป่า จิน จง จำกัด สร้างจากบทประพันธ์และบทโทรทัศน์ของ เป่ากุ้ย กำกับการแสดงโดย ราชิต กุศลคูณศิริ นำแสดงโดย คณิน ชอบประดิถ,ภัสธรากรณ์ บุษราคัมวดี,วัทธิกร เพิ่มทรัพย์หิรัญ,ลลินา ชูเอ็ทท์ และนักแสดงอื่นๆ อีกมากมาย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560 – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 19.05 - 19.50 น. และวันศุกร์ เวลา 18.45 - 19.30 น. และตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ได้ขยายเวลาออกอากาศเป็นทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 19.05 - 20.05 น. และวันศุกร์ เวลา 18.45 - 19.45 น. ทางช่อง 3 ออริจินัล และทีวีดิจิตอล ช่อง 3 เอชดี ช่อง 33", "title": "ที่หนี้มีรัก" } ]
248
อินเทอร์เน็ต ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ ?
[ { "docid": "111531#1", "text": "ความคิดเรื่องนี้ในครั้งแรก ๆ ปรากฏขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 หากแต่การนำแนวคิดเหล่านี้ไปปฏิบัติได้จริงนั้นเริ่มขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 เทคโนโลยีซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่นั้นได้เริ่มแพร่หลายออกไปทั่วโลก ในคริสต์ทศวรรษ 1990 การมาถึงของเวิลด์ไวด์เว็บได้ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป", "title": "ประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต" } ]
[ { "docid": "761849#0", "text": "อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง () หรือ ไอโอที (IoT) หมายถึงเครือข่ายของวัตถุ อุปกรณ์ พาหนะ สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งของอื่นๆ ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ และการเชื่อมต่อกับเครือข่าย ฝังตัวอยู่ และทำให้วัตถุเหล่านั้นสามารถเก็บบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งทำให้วัตถุสามารถรับรู้สภาพแวดล้อมและถูกควบคุมได้จากระยะไกลผ่านโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถผสานโลกกายภาพกับระบบคอมพิวเตอร์ได้แนบแน่นมากขึ้น ผลที่ตามมาคือประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อ IoT ถูกเสริมด้วยเซ็นเซอร์และแอคชูเอเตอร์ซึ่งสามารถเปลี่ยนลักษณะทางกลได้ตามการกระตุ้น ก็จะกลายเป็นระบบที่ถูกจัดประเภทโดยทั่วไปว่าระบบไซเบอร์-กายภาพ (cyber-physical system) ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีอย่าง กริดไฟฟ้าอัจริยะ (สมาร์ตกริด) บ้านอัจฉริยะ (สมาร์ตโฮม) ระบบขนส่งอัจฉริยะ (อินเทลลิเจนต์ทรานสปอร์ต) และเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ตซิตี้) วัตถุแต่ละชิ้นสามารถถูกระบุได้โดยไม่ซ้ำกันผ่านระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัว และสามารถทำงานร่วมกันได้บนโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าเครือข่ายของสรรพสิ่งจะมีวัตถุเกือบ 50,000 ล้านชิ้นภายในปี 2020 มูลค่าตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 80 พันล้านเหรียญ", "title": "อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง" }, { "docid": "2937#38", "text": "เครือข่ายซ้อนทับเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เสมือนที่ถูกสร้างขึ้นทับบนเครือข่ายอื่น โหนดในเครือข่ายซ้อนทับจะถูกลิงค์เข้าด้วยกันแบบเสมือนหรือแบบลอจิก ที่ซึ่งแต่ละลิงค์จะสอดคล้องกับเส้นทางในเครือข่ายหลักด้านล่าง ที่อาจจะผ่านการลิงค์ทางกายภาพหลายลิงค์ โทโพโลยีของเครือข่ายซ้อนทับอาจ (และมักจะ) แตกต่างจากของเครือข่ายด้านล่าง. เช่น เครือข่ายแบบ peer-to-peer หลายเครือข่ายเป็นเครื่อข่ายซ้อนทับ พวกมันจะถูกจัดให้เป็นโหนดของระบบเสมือนจริงของลิงค์ที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเป็นภาพซ้อนทับบนเครือข่ายโทรศัพท์.", "title": "เครือข่ายคอมพิวเตอร์" }, { "docid": "238902#5", "text": "เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 ITU เรียกร้องให้มีการปรึกษาหารือสาธารณะบนเอกสารร่างก่อนหน้าการประชุม มีการอ้างว่า ข้อเสนอจะอนุญาตให้รัฐบาลจำกัดหรือบล็อกสารสนเทศที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตและสร้างระบอบการกำกับการสื่อสารอินเทอร์เน็ตทั่วโลก รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้ที่รับและส่งสารสนเทศต้องระบุตนเอง นอกจากนี้ยังให้รัฐบาลปิดอินเทอร์เน็ตได้หากมีความเชื่อว่าอินเทอร์เน็ตอาจแทรกแซงกิจการภายในของัฐอื่นหรือาสารสนเทศที่ละเอียดอ่อนอาจถูกแบ่งปันได้", "title": "สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ" }, { "docid": "333160#0", "text": "ความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ต () หรือ การจัดระเบียบรูปแบบของการออนไลน์ การสนับสนุนอิเล็กทรอนิกส์ ความเคลื่อนไหวทางโลกไซเบอร์, E-campaigning และ E-activism คือการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล เว็บไซต์ และโปสการ์ด โดยการเคลื่อนไหวของประชาชนและการส่งข้อมูลท้องถิ่นผู้ชมจำนวนมาก เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่ใช้ก่อให้เกิดการระดมทุนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุมชน, lobbying และการจัดการ", "title": "ความเคลื่อนไหวทางอินเตอร์เน็ต" }, { "docid": "670201#0", "text": "เวย์แบ็กแมชชีน () เป็นบันทึกดิจิตอลของเวิลด์ไวด์เว็บ และข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต ที่สร้างขึ้นโดยอินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์ องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก จัดตั้งขึ้นโดย บรูว์สเตอร์ เคล และ บรูซ กิลเลียต และมีการเก็บรักษาข้อมูลจากอเล็กซาอินเทอร์เน็ต บริการนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูหน้าเว็บรุ่นที่จัดเก็บไว้ในเวลาต่าง ๆ ได้ ซึ่งที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์เรียกว่า \"ดัชนีสามมิติ\"", "title": "เวย์แบ็กแมชชีน" }, { "docid": "758374#0", "text": "การปฏิรูปการตีพิมพ์วารสารทางวิชาการ () หมายถึง การสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงของการสร้างและการแจกจ่ายวารสารวิชาการ ในยุคอินเทอร์เน็ตและการกำเนิดของ ตั้งแต่เริ่มใช้อินเทอร์เน็ต คนได้รณรงค์เพื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียน ผู้แจกจ่ายแบบดั้งเดิม และผู้อ่าน โดยการอภิปรายส่วนใหญ่ได้มุ้งเน้นทางด้านการใช้ประโยชน์จากความสามารถของอินเทอร์เน็ตในการแจกจ่ายเอกสารและสิ่งตีพิมพ์อย่างทั่วถึง ", "title": "การปฏิรูปการตีพิมพ์วารสารวิชาการ" }, { "docid": "563278#47", "text": "บรอดแบนด์เคลื่อนที่เป็นศัพท์ทางการตลาดสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านเสาโทรศัพท์มือถือไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์, ไปโทรศัพท์มือถือ (เรียกว่า \"เซลล์โฟน\" ในอเมริกาเหนือและแอฟริกาใต้) และไปอุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ ที่ใช้โมเด็มแบบพกพา. บริการบางอย่างของโทรศัพท์มือถือช่วยให้อุปกรณ์มากกว่าหนึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยใช้การเชื่อมต่อแบบเซลลูลาร์เซลล์เดียวโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า tethering โมเด็มอาจจะถูกสร้างไว้ในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป, ในแท็บเล็ต, ในโทรศัพท์มือถือและในอุปกรณ์อื่น ๆ หรืออาจเพิ่มเข้าไปในอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้คาร์ดในเครื่องพีซี, โมเด็ม USB และที่ USB sticks หรือ dongles หรือโมเด็มไร้สายแยกส่วน", "title": "การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "8211#10", "text": "เมื่อมกราคม 2005, ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จำนวนสูงถึง 10 % ได้ เปลี่ยนมาใช้บริการโทรศัพท์แบบดิจิทัลนี้ ในเดือนเดียวกัน บทความของนิวสวีคชี้ให้เห็นว่า โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตอาจจะ \"สิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป\" ในปี 2006 บริษัทหลายแห่งให้บริการ VoIP กับผู้บริโภคและธุรกิจ\nจากมุมมองของลูกค้า, ระบบโทรศัพท์ IP ใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบนด์วิธสูง และต้องการอุปกรณ์สถานที่ลูกค้า () หรือ CPE ที่มีลักษณะพิเศษในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต, หรือผ่านเครือข่าย​​ข้อมูลส่วนตัวอื่นๆที่ทันสมัย จริงๆแล้ว อุปกรณ์ของลูกค้าอาจจะเป็นเพียง อะแดปเตอร์โทรศัพท์แอนะล็อก ( ATA ) ซึ่งใช้เชื่อมต่อเครื่องโทรศัพท์แบบอนาล็อกแบบเก่าเข้ากับอุปกรณ์เครือข่าย IP, หรืออาจเป็นเครื่องโทรศัพท์ไอพีที่มีเทคโนโลยีเครือข่ายและอินเตอร์เฟซที่สร้างขึ้นในชุดตั้งโต๊ะ ที่ทำงานเหมือนโทรศัพท์ที่คุ้นเคยแบบเดิม ", "title": "เครื่องโทรศัพท์" }, { "docid": "141472#6", "text": "เทคโนโลยีผู้บริโภคราคาไม่แพง และการเข้าถึงที่กว้าง อินเทอร์เน็ตได้สร้างการกระจายอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ในขณะที่ตลาดองค์กรสื่อชอบระยะเวลานานผูกขาดในการกระจายสื่อ อินเทอร์เน็ตเกิดมากมาย เพื่อผลิตสื่อ และลู่ทางใหม่เพื่อส่งข้อมูลให้กับผู้ชม", "title": "สื่อพลเมือง" }, { "docid": "37055#4", "text": "อินเทอร์เน็ตได้เปิดพรมแดนใหม่แห่งการโฆษณาและทำให้เกิดยุค \"ดอตคอม\" เฟื่องฟูในทศวรรษที่ 1990 บริษัทต่าง ๆ อาศัยเงินจากการโฆษณาเพียงอย่างเดียวโดยเสนอทุกอย่างตั้งแต่คูปองไปจนถึงบริการอินเทอร์เน็ต ในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 กูเกิลและบริษัทอีกจำนวนหนึ่งได้นำเสนอกลยุทธ์การโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา แทนที่จะโฆษณาทุกอย่างโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ทำให้เกิดกระแสการสร้างโฆษณาแบบอินเทอร์แอคทีฟอย่างมากมาย", "title": "การโฆษณา" }, { "docid": "614885#1", "text": "ทางไมโครซอฟท์อ้างว่าวินโดวส์แนชวิลล์น่าจะเพิ่มคุณลักษณะการรวมตัวกันของอินเทอร์เน็ตให้กับเดสก์ท็อปของวินโดวส์ 95 และวินโดวส์เอ็นที 4.0 รวมทั้งสร้างคุณสมบัติใหม่ในอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ 3.0 ซึ่งถูกปล่อยออกก่อนวินโดวส์แนชวิลล์ประมาณสองสามเดือน คุณสมบัติใหม่คือเอาโปรแกรมจัดการแฟ้มและเบราว์เซอร์มารวมกัน มีความสามารถในการเปิดเอกสารไมโครซอฟท์ ออฟฟิศจากภายในอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์โดยใช้เทคโนโลยี ActiveX และวิธีการที่จะวางเว็บเพจแบบเคลื่อนที่อย่างโดยตรงบนเดสก์ท็อปบนพื้นหลังแบบคงที่", "title": "วินโดวส์ แนชวิลล์" }, { "docid": "956980#29", "text": "ผู้ใช้ที่ถูกเซ็นเซอร์อาจสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยกับคอมพิวเตอร์ในประเทศที่มีกฎหมายอ่อนกว่าผ่านเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (วีพีเอ็น) แล้วชมดูอินเทอร์เน็ตเหมือนกับอยู่ในประเทศนั้น \nบริการบางแห่งมีค่าใช้จ่ายประจำเดือน\nบางแห่งฟรีแต่มีโฆษณา", "title": "การหลีกเลี่ยงการตรวจพิจารณาทางอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "111777#3", "text": "ในโลกอนาคตปี 20XX คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ได้ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยเครือข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถซ่อมแซมปรับปรุงแก้ไขได้อย่างง่าย ผู้คนมากมายใช้ PET(ย่อมาจากPersonal Terminal) ในการท่องอินเทอร์เน็ต PET ยังสามารถใช้เชื่อมต่อ(plug in) เข้าไปในทุกอย่างที่มีพอร์ตสำหรับรองรับได้อีก แต่ทว่าในอินเทอร์เน็ตนั้นก็มีไวรัสอยู่ทั่วไปจึงต้องมีโปรแกรม นาวิเกชั่น(Navigation) หรืออาจเรียกได้อีกอย่างคือ เน็ตนาวิ อินสตอล(Net Navi Install) อยู่ข้างในคอยช่วยในการกำจัดไวรัสทั้งหลายระหว่างที่กำลังเล่นอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเล่น เน็ตแบทเทิล(Net Battle) ระหว่างกันโดยใช้ แบทเทิลชิป(Battle Chip) ต่างๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมองอิเล็คทรอนิคส์ของศตวรรษที่ 21 และ PET plug in เข้าไปแก้ไขระบบที่เสียหายทั้งที่เกิดจากไวรัสและระบบขัดข้องได้ แต่ว่าอาจจะมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่นการส่ง เน็ตนาวิ(NetNavi) ไปทำลายระบบคอมพิวเตอร์หรือก่อกวน ซึ่งจะมี เน็ตแบลเทิลเลอร์(Netbattler) คอยแก้ไขปัญหาที่เกิดจากไวรัสเหล่านี้ นับว่าเป็นเครื่องที่ใช้ประโยชน์มากมายหลายอย่าง และยังแฝงไปด้วยโทษถ้ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิด ได้มีกลุ่มองค์กรกลุ่มหนึ่งชื่อว่า \"World Three\" ทำการก่อกวน Internet โดยการส่งไวรัสเข้าไป หรือส่งไวรัสไปทำลายระบบต่างๆ รบกวนชีวิตของชาวเมืองทั่วไป ฮิคาริ ยูอิจิโร่ ได้ทำการสร้าง เน็ตนาวิ ที่มีจิตใจเหมือนคน สามารถมีความรู้สึกนึกคิดได้เองขึ้น โดยมีความลับในการสร้างแอบแฝงอยู่ ซึ่งก็คือ ร็อกแมน เอ็กเซ่ (Rockman.EXE) โดยเขาได้สร้างให้กับลูกชายของเขานั่นเองซึ่งก็คือ ฮิคาริ เน็ตโตะ ต่อมานอกจาก World Three แล้วยังมีองค์กรชั่วร้ายเพิ่มมาอีกกลุ่ม นั่นก็คือ Gospel ", "title": "ร็อคแมนเอ็กเซ่ (ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์)" }, { "docid": "294558#3", "text": "การ์ตูนภาพนี้สร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์ของอินเทอร์เน็ต ครั้งหนึ่งเคยเป็นโดเมนเฉพาะของวิศวกรและอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐบาล ต่อมาอินเทอร์เน็ตกลายเป็นหัวข้ออภิปรายในนิตยสารเกี่ยวกับความสนใจทั่วไปอย่าง \"เดอะนิวยอร์กเกอร์\" มิตช์ เคเพอร์ ผู้ก่อตั้งโลตัสซอฟต์แวร์และนักกิจกรรมอินเทอร์เน็ตยุคแรก ให้ความเห็นในบทความหนึ่งในนิตยสาร\"ไทม์\" เมื่อปี 2536 ว่า \"สัญลักษณ์ที่แท้จริงที่บอกว่าความสนใจที่เป็นที่นิยมได้ถึงระดับมวลชนมาถึงแล้วในฤดูร้อนนี้ เมื่อเดอะนิวยอร์กเกอร์พิมพ์ภาพการ์ตูนที่แสดงสัตว์มีเขี้ยวสองตัวที่ชำนาญคอมพิวเตอร์\"", "title": "บนอินเทอร์เน็ต ไม่มีใครรู้ว่าคุณเป็นหมา" }, { "docid": "5519#46", "text": "ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 สถาบันวิทยบริการ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทย[119] ที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง[120][121] สร้างความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและองค์ความรู้ทุก ๆ แขนงแก่บุคลากร นิสิต และประชาชนทั่วไปที่สนใจอีกทั้งเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญของการศึกษาวิจัยในองค์กร[122] ด้วยการเข้าถึงของอินเทอร์เน็ต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงสามารถขยายบริหารทางวิชาออกไปได้อย่างกว้างขวาง อาทิ", "title": "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" }, { "docid": "105155#2", "text": "ขณะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต อภิษฎามีชื่อเสียงจากการเป็นนางแบบบนเวทีจริงและนางแบบนิตยสาร และเป็นนางแบบทางอินเทอร์เน็ต หรือทื่เรียก \"เน็ตไอดอล\" ด้วย โดยได้รับกล่าวขานว่ามีผมสวย เพราะขณะนั้นเธอยืดผมตรง และทำให้การยืดผมได้รับความนิยมในประเทศไทยมากขึ้น ต่อมา เธอได้แสดงผลงานแสดงมิวสิกวีดิโอเพลง \"เธอเป็นคนอย่างนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่\" ของวง PINK ที่เดี๋ยวนี้เลิกวงไปแล้ว ซึ่งทำให้เธอได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จึงได้แสดงมิวสิกวีดิโอเพลง \"อย่าบอกว่ารักเขา\" ของ อ้อน ในเวลาไล่เลี่ยกันอีก และก็ทำให้เธอเป็นที่จดจำอย่างรวดเร็ว เธอจึงได้เข้าวงการบันเทิงจริง ๆ ครั้งแรกด้วยการแสดงเป็นนางเอกละครโทรทัศน์เรื่อง \"ยายตัวแสบกับนายทรนง\" ซึ่งออกอากาศทางช่อง 3 ใน พ.ศ. 2545 และเธอก็ได้แสดงภาพยนตร์หลายเรื่องตามมาด้วย", "title": "อภิษฎา เครือคงคา" }, { "docid": "616589#7", "text": "ซอฟต์แวร์เกมออนไลน์ เริ่มในช่วงต้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในปี 1975 Will Crowther สร้าง Colossal Cave Adventure บน คอมพิวเตอร์ DEC PDP-10 เมื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเติบโต ทำให้จำนวนของผู้ใช้และเกมส์ที่เล่นหลายคนเพิ่มขึ้นด้วย ในปี 1978 Roy Trubshaw นักศึกษามหาวิทยาลัย Essex ประเทศอังกฤษ สร้างเกมส์ MUD (Multi-User Dungeon) และ MUDs อื่นๆอีกมากมายก็ถูกสร้างขึ้น แต่ยังคงสร้างบนตอมพิวเตอร์จนถึงปลายศตวรรษ 1980 เมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่มี dial-up โมเด็มในบ้าน เริ่มเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้งานระบบ multi-line Bulletin Board และผู้ให้บริการออนไลน์ ต่อมา MUDs ได้พัฒนาเป็น การแชทออนไลน์, การแชร์วีดีโอ และ การโทรผ่านอินเทอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาในอนาคต ผลการศึกษาของ MITRE แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของเสียง และข้อความสนทนา และแบ่งปันภาพถ่ายนั้นเพื่อความเข้าใจร่วมกัน", "title": "ซอฟต์แวร์เพื่อความร่วมมือ" }, { "docid": "956980#30", "text": "ตามเว็บไซต์เกี่ยวกับแห่งหนึ่ง \"กล่าวอย่างง่ายที่สุดคือ มันสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเข้ารหัสลับ เป็นการเชื่อมต่อที่พิจารณาได้ว่าเป็นอุโมงค์ ระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ที่ดำเนินงานโดยผู้ให้บริการวีพีเอ็น\"\nมันช่วยให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตป้องกันการสื่อสารไร้สาย หลีกเลี่ยงการจำกัดผู้ใช้โดยภูมิภาคหรือการเซ็นเซอร์เนื้อความ หรือเป็นเหมือนการใช้พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันการระบุที่อยู่ของผู้ใช้ได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ดี ระบบบริการอินเทอร์เน็ตบางอย่างอาจจำกัดการให้บริการต่อผู้ที่สื่อสารผ่านระบบวีพีเอ็นที่รู้จัก เพื่อไม่ให้สามารถหลีกเลี่ยงการจำกัดให้บริการโดยภูมิภาคของระบบได้", "title": "การหลีกเลี่ยงการตรวจพิจารณาทางอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "563278#20", "text": "การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ในวันนี้คือผ่าน LAN มักจะเป็น LAN ขนาดเล็กมากที่มีเพียงหนึ่งหรือสองอุปกรณ์ที่ต่อกัน และในขณะที่แลนเป็นรูปแบบสำคัญของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต สิ่งนี้สร้างคำถามถึงวิธีการและอัตราการส่งข้อมูลที่ LAN จะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทั่วโลก เทคโนโลยีที่อธิบายไว้ด้านล่างจะถูกใช้เพื่อทำการเชื่อมต่อเหล่านี้", "title": "การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "750118#6", "text": "บรรพตนิวส์มีแผนการทำธุรกิจในสื่อทางอินเทอร์เน็ตในปี 2559 โดยการเปิดเผยของ ด.ช.สุทิวัส ศรีนุช ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหาร สำนักพิมพ์บรรพต ระบุว่าจะใช้เงินรวมทั้งสิ้น 5000 บาท เพื่อลงทุนทำธุรกิจในสื่อทางอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการสร้างเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ การสั่งซื้ออุปกรณ์ การเตรียมบุคลากร สถานที่ และการรองรับการออกอากาศผ่านวิทยุอินเทอร์เน็ตอีกด้วย", "title": "บรรพตนิวส์ BPNews" }, { "docid": "4274#1", "text": "อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน", "title": "อินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "52636#1", "text": "ไมเคิลเป็นผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตในประเทศเบลเยียม เคยทำงานเป็นที่ปรึกษาทางด้านอินเทอร์เน็ต, เคยเป็นนักวิเคราะห์สารสนเทศให้กับ หน่วยงานสารสนเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Information Agency) , เคยเป็นผู้จัดการสารสนเทศให้กับบริติช ปิโตรเลียม (ที่ที่เขาสร้างหนึ่งในศูนย์สารสนเทศเสมือนแห่งแรกขึ้น) และเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารของนิตยสารภาษาดัชต์ เวฟ (Wave) ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับสังคมดิจิทัลเล่มแรกของยุโรป ", "title": "ไมเคิล โบเวนส์" }, { "docid": "563278#19", "text": "แม้ว่าการเชื่อมต่อกับ LAN อาจให้อัตราข้อมูลที่สูงมากภายใน LAN แต่ความเร็วในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่แท้จริงจะถูกจำกัดโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) LAN อาจมีทั้งแบบใช้สายและไร้สาย อีเทอร์เน็ต บนสายเกรียวคู่และ Wi-Fi เป็นสองเทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่ใช้ในการสร้างระบบแลนในวันนี้ แต่ ARCNET, Token ring, LocalTalk, FDDI, และเทคโนโลยีอื่น ๆ เคยถูกนำมาใช้ในอดีตที่ผ่านมา", "title": "การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "36822#11", "text": "เครื่องที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นระบบวิศวกรรมโทรคมนาคม ได้แก่ เครือข่ายโทรศัพท์ทั่วโลก อีกระบบหนึ่งของวิศวกรรมโทรคมนาคมคือ อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์ที่ล้ำหน้า และเป็นความจริงไม่น้อยที่ว่า อินเทอร์เน็ตจะมาแทนที่งานของเครือข่ายโทรศัพท์ ทางด้านกายภาพ ระบบเหล่านี้จะทำงานประสานโดยมองไม่เห็นความแตกต่าง", "title": "วิศวกรรมโทรคมนาคม" }, { "docid": "200170#0", "text": "การตลาดบนอินเทอร์เน็ต () หรืออาจใช้ว่า i-marketing, web-marketing, Digital Marketing, \"การตลาดออนไลน์\" (online-marketing) หรือ \"การตลาดอิเล็กทรอนิกส์\" (e-Marketing) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียดของการทำการตลาด E-Marketing จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้E-Marketing เป็นส่วนผสมแนวความคิดทางการตลาด และทางเทคนิค รวมเข้าไว้ด้วยกันทั้งด้าน การออกแบบ (Design) , การพัฒนา (Development) , การโฆษณาและการขาย (Advertising and Sales) เป็นต้น (ตัวอย่างกิจกรรมได้แก่ Search Engine Marketing , E-mail Marketing, Affiliate Marketing, Viral Marketing ฯลฯ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจและลูกค้า เนื่องจากระบบทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถสนับสนุนการร้องขอข้อมูลของลูกค้า การจัดเก็บประวัติ และพฤติกรรมของลูกค้าเอาไว้ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ส่งผลต่อ การเพิ่มและรักษาฐานลูกค้า (Customer Acquisition and Retention) และอำนวยประโยชน์ในการประกอบธุรกิจอย่างครบถ้วน", "title": "การตลาดบนอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "382478#0", "text": "โครงการสารานุกรมอินเทอร์เน็ต เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สามารถเข้าถึงได้ผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ แนวคิดที่จะสร้างสารานุกรมเสรีโดยการใช้อินเทอร์เน็ตมีตั้งแต่ข้อเสนออินเตอร์พีเดียในปี พ.ศ. 2536 อันเป็นโครงการสารานุกรมบนอินเทอร์เน็ตที่ทุกคนสามารถให้การสนับสนุนเนื้อหาได้ แต่โครงการนั้นไม่เคยพ้นขั้นตอนวางแผนและถูกไล่ตามทันโดยการปะทุของเวิลด์ไวด์เว็บ การถือกำเนิดของเสิร์ชเอนจินคุณภาพสูง และการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่มีอยู่เดิม", "title": "โครงการสารานุกรมอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "333160#1", "text": "Sandor Vegh ได้แบ่งความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ตออกเป็น 3 ประเภทคือ ความตระหนักการโฆษณา, องค์กรระดม และการกระทำปฏิกิริยาอินเทอร์เน็ตเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับกิจกรรมอิสระหรือ E – activists โดยเฉพาะที่มีข้อความอาจใช้เคาน์เตอร์ที่สำคัญโดยเฉพาะเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็นในการรายงานความโหดร้ายสู่โลกภายนอก ผู้สร้างความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ตยังสามารถส่งการร้องทุกข์ผ่านทาง E-petitions ที่จะส่งไปยังรัฐบาลและประชาชนและองค์กรเอกชนเพื่อประท้วงต่อต้านและกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงนโยบายในด้านบวกจากการค้าอาวุธการทดสอบสัตว์ มากมายไม่หวังผลกำไรและองค์กรการกุศลใช้วิธีการเหล่านี้ส่งอีเมลร้องเรียนไปยังผู้ที่รายชื่ออีเมลของพวกเขาถามคนที่จะผ่านพวกเขา", "title": "ความเคลื่อนไหวทางอินเตอร์เน็ต" }, { "docid": "995016#0", "text": "ราล์ฟตะลุยโลกอินเทอร์เน็ต () หรือ ราล์ฟตะลุยโลกอินเทอร์เน็ต วายร้ายหัวใจฮีโร่ 2 () เป็นภาพยนตร์ประเภทคอมพิวเตอร์แอนิเมชันสามมิติแนวตลก ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2561 อำนวยการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์และจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 57 ของวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง \"ราล์ฟ วายร้ายหัวใจฮีโร่\" ในปี พ.ศ. 2555 ภาพยนตร์กำกับโดยริช มัวร์ และฟิลล์ จอห์นสตัน เขียนบทภาพยนตร์โดยฟิลล์ จอห์นสตัน และพาเมลา ริบอน อำนวยการสร้างโดย จอห์น แลสเซตเตอร์, คริส วิลเลียมส์ และเจนนิเฟอร์ ลี นักพากย์เสียงตัวละครหลักได้แก่ จอห์น ซี. เรลลีย์, แซราห์ ซิลเวอร์แมน, Jack McBrayer, Jane Lynch และ Ed O'Neill กลับมารับบทบาทเดิมจากภาพยนตร์ภาคแรก รวมถึง Alan Tudyk ซึ่งกลับมาพากย์เสียงตัวละครใหม่ พร้อมด้วยนักพากย์เสียงตัวละครเพิ่มเติมได้แก่ กัล กาด็อต, Taraji P. Henson, Bill Hader และ Alfred Molina", "title": "ราล์ฟตะลุยโลกอินเทอร์เน็ต" }, { "docid": "133630#1", "text": "การส่งข้อมูลที่เป็นเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) จะมีการเข้ารหัสแพ็กเก็ตก่อนการส่ง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับข้อมูล และส่งข้อมูลไปตามเส้นทางที่สร้างขึ้นเสมือนกับอุโมงค์ที่อยู่ภายในเครือข่ายสาธารณะ (Public Network) นั่นก็คือเครือข่าย อินเทอร์เน็ต นั่นเอง เครือข่ายส่วนตัวเสมือนสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้ VPN จะช่วยให้คุณสามารถส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการส่งข้อมูลในแต่ละครั้ง", "title": "เครือข่ายส่วนตัวเสมือน" }, { "docid": "4274#3", "text": "แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม(Social Network) ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ ไฮไฟฟ์ และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก", "title": "อินเทอร์เน็ต" } ]
900
ประเทศไทย มีกี่จังหวัด?
[ { "docid": "136904#0", "text": "จังหวัด เป็นเขตบริหารราชการส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 76 จังหวัด[ก] (ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครไม่เป็นจังหวัด[ข]) จังหวัดถือเป็นระดับการปกครองของรัฐบาลลำดับแรก โดยเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคที่รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอเข้าด้วยกันและมีฐานะเป็นนิติบุคคล ในแต่ละจังหวัดปกครองด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด", "title": "จังหวัดของประเทศไทย" } ]
[ { "docid": "320577#2", "text": "ประเทศไทยมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ทำให้มีนกถิ่นเดียวเพียงไม่กี่ชนิด บางทีนกที่สวยงามอย่างนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรซึ่งพบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว อาจสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้", "title": "รายชื่อนกที่พบในประเทศไทย" }, { "docid": "147587#0", "text": "สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย เป็นสถานีวิทยุซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้เป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่ข่าวสารและแนวคิดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ สถานีนี้ใช้ความถื่คลื่นสั้น (short wave)ในการส่งออกอากาศ รับฟังได้ชัดเจนทั่วประเทศไทย เริ่มส่งกระจายเสียงประมาณปี พ.ศ. 2508 ระยะแรกส่งสัญญาณจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามเหนือ (ประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) ก่อนจะย้ายไปส่งสัญญาณที่เมืองคุนหมิง ประเทศจีน ในปี พ.ศ. 2508 จนกระทั่งวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 มีการเจรจาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ขอให้สถานีดังกล่าวหยุดส่งกระจายเสียงเพื่อแลกกับการหยุดสนับสนุนก๊กมินตั๋ง ของรัฐบาลไทย ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ต้องจัดตั้งสถานีวิทยุขี้นมา และส่งกระจายเสียงโดยใช้สถานีส่งต่างๆ เช่น ผาจิ จังหวัดพะเยา ภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก ฯลฯ ส่งได้ไม่กี่เดือน ก็ถูกทหารไทยบุกยึดเครื่องส่ง เป็นการยุติบทบาทของสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย", "title": "สถานีเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย" }, { "docid": "493356#3", "text": "ดอยหลวงเชียงดาว มีดอยที่สูงด้วยกันทั้งหมด 3 แห่ง นอกจากดอยหลวงเชียงดาวแล้ว ยังมี \"ดอยสามพี่น้อง\" และ\"ดอยกิ่วลม\" อีกซึ่งอยู่ใกล้กัน และถึงแม้ดอยหลวงเชียงดาว จะเป็นยอดดอยที่มีความสูงเช่นเดียวกับดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปกแล้ว แม้จะอยู่ในจังหวัดเดียวกัน คือ เชียงใหม่ แต่ทว่าความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตของที่นี่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง โดยจะมีสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก และพืชพรรณที่หายากหลายชนิด อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาศัยของกวางผา สัตว์กีบคู่ประเภทเดียวกับเลียงผา ที่พบเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นในประเทศไทย", "title": "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว" }, { "docid": "719373#0", "text": "ตามกี่ () เป็นเมืองหลักของจังหวัดกว๋างนาม ในภูมิภาคชายฝั่งตอนกลางใต้ของประเทศเวียดนาม", "title": "ตามกี่" }, { "docid": "99194#12", "text": "ขณะที่ฝ่าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม รู้ล่วงหน้าก่อนเพียงไม่กี่นาที จึงตัดสินใจหลบหนีโดยไม่ต่อสู้ โดยเดินทางไปโดยรถยนต์ประจำตัวนายกรัฐมนตรียี่ห้อฟอร์ด รุ่นธันเดอร์เบิร์ด พร้อมกับคนติดตามเพียง 3 คน เท่านั้นคือ นายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัว พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจติดตามตัว และ พ.ท.บุลศักดิ์ วรรณมาศ ทั้งหมดได้หลบหนีไปทางจังหวัดตราด และว่าจ้างเรือประมงลำหนึ่งเดินทางไปที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา ก่อนลงเรือ จอมพล ป. ได้ให้ พ.ท.บุลศักดิ์ นำรถไปคืนสำนักนายกรัฐมนตรี และเข้าพบหัวหน้าคณะปฏิวัติ คือ จอมพลสฤษดิ์ ว่า ทั้ง 3 ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ขออย่าได้ติดตามไปเลย", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500" }, { "docid": "492947#3", "text": "นกพรานผึ้ง เป็นนกที่มีพฤติกรรมอยู่ลำพังเพียงตัวเดียว นานครั้งจึงเห็นอยู่เป็นคู่ เป็นนกที่บินได้เก่งและเร็ว และเป็นนกประจำถิ่น จะอยู่ในถิ่นใดถิ่นหนึ่งไปตลอด ต่อเมื่อนกตัวเก่าตายไป นกตัวใหม่ถึงเข้ามาอยู่แทน ในประเทศไทยมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ในป่าในเขตชายแดนภาคใต้ที่ติดกับมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีรายงานพบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง ทั้งในพื้นที่ราบและที่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร ", "title": "นกพรานผึ้ง" }, { "docid": "947491#0", "text": "ค่ายมวยสิงห์มนัสศักดิ์ เป็นสถานที่จัดการแข่งขันมวยไทย (รวมถึงมวยสากล) ในจังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย ซึ่งจุผู้ชมได้น้อยกว่า 1,000 คน ค่ายมวยนี้มีเครื่องปรับอากาศที่สามารถชมได้สบาย อีกทั้งยังมีการปรับปรุงคุณภาพครั้งใหญ่ของการแข่ง อย่างไรก็ตาม ค่ายมวยนี้มีพื้นที่พักเพียงไม่กี่แห่งและมีที่จอดรถค่อนข้างน้อย ท่ามกลางฝูงชนที่แออัดและไม่ค่อยมีห้องว่างมากนัก ทั้งนี้ ทางค่ายมวยมีการประสานงานกับเวทีมวยนานาชาติรังสิต ในขณะที่เวทีมวยมาตรฐาน 2 แห่งอย่างสนามมวยราชดำเนินและสนามมวยเวทีลุมพินีที่เมืองหลวงจะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นสังเวียนมวย ซึ่งต่างไปจากค่ายมวยสิงห์มนัสศักดิ์", "title": "ค่ายมวยสิงห์มนัสศักดิ์" }, { "docid": "379324#0", "text": "พิพิธภัณฑ์สึนามิระหว่างประเทศ () เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กในหมู่บ้านบางเนียง อยู่ในกลางพื้นที่ของเขาหลัก ที่ห่างจากทางตอนใต้ของตำบลโคกเคียนไม่กี่กิโลเมตร ในอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซึ่งอยู่บนชายฝั่งด้านตะวันตกของประเทศไทย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5,231 ราย และได้รับบาดเจ็บ 8,457 รายในประเทศไทย โดยประมาณ 80% เป็นผู้มีถิ่นอาศัยอยู่ในพื้นที่เขาหลัก", "title": "พิพิธภัณฑ์สึนามิระหว่างประเทศ" }, { "docid": "33329#3", "text": "ประเทศเลโซโท เป็นประเทศที่มีแอฟริกาใต้ล้อมรอบหมดทุกด้าน มีพื้นที่ประมาณ 30,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณสองเท่าของจังหวัดอุบลราชธานี ของประเทศไทย แต่เลโซโทมีพื้นที่ส่วนมากอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400-1,800 เมตร จึงทำให้มีหิมะปกคลุม เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีหิมะ แต่ใช้ประโยชน์จากหิมะที่ละลายเป็นน้ำอุปโภคบริโภคใช้ในประเทศ", "title": "ประเทศเลโซโท" }, { "docid": "216428#5", "text": "ในที่สุดวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1927 (พ.ศ. 2470) คณะมิชชันนารีซาเลเซียนชุดแรกประกอบด้วยบาทหลวงยอห์น กาเสตตา และเซมานาเรียนยอร์ช ไปนอตตี ก็เดินทางจากมาเก๊า ประเทศจีนมาถึงประเทศไทย และได้พำนักที่โบสถ์บางนกแขวก จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อเตรียมการต้อนรับคณะธรรมทูตที่จะเดินทางมาอย่างเป็นทางการ วันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1927 ธรรมทูตซาเลเซียนกลุ่มใหญ่จำนวน 18 ท่าน ก็ได้เดินทางทางเรือมาถึงบางนกแขวก ภายใต้การนำของบาทหลวงกาเอตัน ปาซอตตี (ต่อมาท่านได้รับการอภิเษกเป็นมุขนายกมิสซังราชบุรี) และที่บางนกแขวกนี้ก็นับว่าเป็นบ้านแรกของคณะซาเลเซียนในเมืองไทย จากนั้น ก็มีธรรมทูตอีกหลายชุดเดินทางเข้ามาเพื่อเสริมกำลังจนเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ใหญ่ของคณะซาเลเซียนให้ความสนใจกับเมืองไทยเป็นพิเศษ เพราะในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ก็ได้มีการส่งธรรมทูตมาเมืองไทยเป็นจำนวนมาก", "title": "คณะซาเลเซียนของคุณพ่อบอสโก" }, { "docid": "117223#10", "text": "ในประเทศไทย พบวาฬเพชฌฆาตเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง โดยในปี ค.ศ. 1993 พบในทะเลอันดามันทั้งหมด 9 ครั้ง โดยเป็นที่หมู่เกาะสุรินทร์ 5 ครั้ง และหมู่เกาะสิมิลัน 4 ครั้ง และพบอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ที่ฝั่งอ่าวไทย บริเวณเกาะช้าง โดยเป็นวาฬตัวเมียขนาดเล็กที่ได้รับบาดเจ็บ 2 ตัว ซึ่งในตอนแรกเชื่อว่าเป็นโลมาอิรวดี[15] จนกระทั่งพบอีกครั้งในต้นปี ค.ศ. 2016 โดยนักท่องเที่ยวสามารถบันทึกภาพไว้ได้เมื่อต้นปี ค.ศ. 2016 ที่หาดกะรน จังหวัดภูเก็ต[16]", "title": "วาฬเพชฌฆาต" }, { "docid": "7043#19", "text": "เมืองปราสาทหิน หมายถึง บุรีรัมย์มีปราสาทหินเขาพนมรุ้งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด อีกทั้งจังหวัดบุรีรัมย์ มีปราสาทหินมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งนอกจากปราสาทพนมรุ้งแล้ว ก็ยังมีปราสาทหินอื่นๆที่น่าสนใจ อาทิ ปราสาทเมืองต่ำ ปรางค์กู่สวนแตง ปราสาทหนองหงส์ ปราสาทบ้านบุ กุฏิฤๅษีโคกเมือง เป็นต้น ถิ่นภูเขาไฟ หมายถึง บุรีรัมย์มีภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วมากที่สุดในประเทศไทย คือ 6 ลูก มี วนอุทยานเขากระโดง เขาพนมรุ้ง เขาไปรบัด เขาอังคาร เขาหลุบ และเขาคอก ผ้าไหมสวย หมายถึง บุรีรัมย์มีการทอผ้าไหมขึ้นชื่อหลากหลายแห่ง มีลวดลายเอกลักษณ์ อาทิ ผ้าซิ่นตีนแดง ผ้าไหมหางกระรอก ผ้าภูอัคนี มีการถักทออย่างแพร่หลาย ที่สำคัญมีที่อำเภอนาโพธิ์ อำเภอพุทไธสง อำเภอห้วยราช อำเภอละหานทราย เป็นต้น รวยวัฒนธรรม หมายถึง บุรีรัมย์มีเทศกาลงานประเพณีที่รุ่งเรืองมาหลายปี และมีวัฒนธรรมหลากหลายชาติพันธุ์ คือ ไทยลาว เขมร ไทยโคราช กูย และชนชาติจีน เลิศล้ำเมืองกีฬา หมายถึง บุรีรัมย์มีกิจกรรมด้านกีฬาระดับโลกหลากหลาย เช่น การแข่งขันโมโตจีพี การแข่งขันฟุตบอล การแข่งขันมาราธอน จักรยานทางไกล เป็นต้น รวมทั้งมีกีฬาท้องถิ่นหลากหลาย เช่น งานแข่งขันเรือยาว อำเภอสตึก มหกรรมว่าวอีสานและว่าวนานาชาติ อำเภอห้วยราช มหกรรมมวยไทย อำเภอหนองกี่ ประเพณีบุญบั้งไฟในอำเภอโนนสุวรรณ อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ อำเภอแคนดง เป็นต้น", "title": "จังหวัดบุรีรัมย์" }, { "docid": "9036#0", "text": "อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล (ชื่อเล่น \"เจ้ย\" ต่างประเทศเรียก \"Joe\") เกิดวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2513 ณ กรุงเทพมหานคร เติบโตในจังหวัดขอนแก่น โดยเป็นบุตรชายของ นายสุวัฒน์ วีระเศรษฐกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาโท ศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาพยนตร์ จากสถาบันศิลปะชิคาโก (Art Institute of Chicago) เริ่มต้นผลิตภาพยนตร์และวิดีโอตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2533 เป็นหนึ่งในผู้ผลิตภาพยนตร์ไม่กี่คนในประเทศไทยที่ทำงานนอกระบบสตูดิโอ อภิชาติพงศ์มักทดลองโดยยึดหลักโครงเรื่องที่อิงมาจากละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ การ์ตูน และภาพยนตร์เก่า ๆ มักได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองเล็ก ๆ มักใช้นักแสดงที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่ใช่มืออาชีพ และใช้บทสนทนาสด", "title": "อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" }, { "docid": "988128#9", "text": "พิธีปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 18:15 น. มีการแสดงทั้งหมด 2 ชุด และอีก 1 ชุดของเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานในพิธีมาถึงมีการแสดงชุดแรก คือ กี่ทอใจ ไหมเจียงฮาย นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่บัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้แสดงการแสดงพื้นบ้านของชาวจังหวัดเชียงราย[10] ต่อมาได้มีการเชิญธงจากตัวแทนนักกีฬาทั้งหมด 77 จังหวัดเข้าสู่สนาม ณัฐวุฒิ เรืองเวส รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ประธานในพิธีกล่าวปิดการแข่งขัน ได้มีการชักธงชาติ, ธงการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และธงประจำจังหวัดเชียงรายลงจากเสา มีการแสดงชุดที่ 2 คือ สี่หู ห้าตา คานิว้าว พร้อมกับการดับไฟในกระถางคบเพลิงลง ณ ที่นี้มีการแสดงจากจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติใครั้งถัดไป[11]", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "11257#34", "text": "ซีวิครุ่นนี้ในประเทศไทย ถูกยุติสายการผลิตในวันที่ 5 ตุลาคม 2011 และก่อนที่จะเลิกผลิตได้มีรุ่นพิเศษในชื่อว่า Civic Sport Pearl เป็นรุ่นพิเศษรุ่นสุดท้าย ก่อนโรงงานของ ฮอนด้าออโตโมบิล (ประเทศไทย) ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะถูกน้ำท่วมไม่กี่สัปดาห์ ทำให้ผลิตและจำหน่ายให้ลูกค้าออกมาไม่ครบตามจำนวนที่ตั้งใจไว้", "title": "ฮอนด้า ซีวิค" }, { "docid": "97959#1", "text": "ภาษาลาวเวียงจันทน์ ใช้ในประเทศลาว ท้องที่นครหลวงเวียงจันทน์ แขวงบอลิคำไซ และในประเทศไทยท้องที่จังหวัดชัยภูมิ หนองบัวลำภู หนองคาย (อำเภอเมืองหนองคาย ศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ โพนพิสัย โพธิ์ตาก สังคม(บางหมู่บ้าน) ) ขอนแก่น (อำเภอภูเวียง ชุมแพ สีชมพู ภูผาม่าน หนองนาคำ เวียงเก่า หนองเรือบางหมู่บ้าน) ยโสธร (อำเภอเมืองยโสธร ทรายมูล กุดชุม บางหมู่บ้าน) อุดรธานี (อำเภอบ้านผือ เพ็ญ บางหมู่บ้าน) ศรีสะเกษ (ในบางหมู่บ้านของอำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอขุขันธ์ และอำเภอขุนหาญ) ภาษาลาวเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงหลวงพระบาง ไชยบุรี อุดมไซ ในประเทศไทยท้องที่จังหวัดเลย อุตรดิตถ์ (อำเภอบ้านโคก น้ำปาด ฟากท่า) เพชรบูรณ์ (อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า น้ำหนาว) ขอนแก่น (อำเภอภูผาม่าน และบางหมู่บ้านของอำเภอสีชมพู ชุมแพ) ชัยภูมิ (อำเภอคอนสาร) พิษณุโลก (อำเภอชาติตระการและนครไทยบางหมู่บ้าน) หนองคาย (อำเภอสังคม) อุดรธานี (อำเภอน้ำโสม นายูง บางหมู่บ้าน) ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงเชียงขวาง หัวพัน ในประเทศไทยท้องที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และบางหมู่บ้านในจังหวัดสกลนคร หนองคาย(บางหมู่บ้านในอำเภอท่าบ่อ อำเภอศรีเชียงใหม่ และอำเภอโพธิ์ตาก) และยังมีชุมชนลาวพวนในภาคเหนือบางแห่งในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้น หนองคาย ภาษาลาวกลาง แยกออกเป็นสำเนียงถิ่น 2 สำเนียงใหญ่ คือ ภาษาลาวกลางถิ่นคำม่วน และถิ่นสุวรรณเขต ถิ่นคำม่วน จังหวัดที่พูดในประเทศไทย เช่น จังหวัดนครพนม สกลนคร บึงกาฬ (อำเภอเซกา บึงโขงหลง บางหมู่บ้าน) ถิ่นสุวรรณเขต จังหวัดที่พูดมีจังหวัดเดียว คือ จังหวัดมุกดาหาร ภาษาลาวใต้ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงจำปาศักดิ์ สาละวัน เซกอง อัตตะปือ จังหวัดที่พูดในประเทศไทย จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร ภาษาลาวตะวันตก (ภาษาลาวร้อยเอ็ด) ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ท้องที่ร้อยเอ็ด​ อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม หนองคาย(บางหมู่บ้าน) และบริเวณใกล้เคียงมณฑลร้อยเอ็ดของสยาม", "title": "ภาษาไทยถิ่นอีสาน" }, { "docid": "10159#8", "text": "ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ว่า เขามั่นใจว่าจะนำสันติภาพสู่ภูมิภาคภายใน พ.ศ. 2553[17] แต่เมื่อถึงปลายปีนั้น ความรุนแรงได้มีเพิ่มมากขึ้น ตรงกันข้ามกับการมองโลกในแง่ดีของรัฐบาล[18]กรมสอบสวนคดีพิเศษ จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2554 และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 รัฐบาลยอมรับว่าสถานการณ์ได้เพิ่มมากขึ้น และไม่สามารถแก้ไขได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน[19]หลังวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 3.00 น.คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ 10 เดือน 11 วัน โดยยกเลิกในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558", "title": "ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย" }, { "docid": "99544#0", "text": "ตุ๊กแกตาเขียว หรือ ตุ๊กแกป่าไทย (; ) เป็นตุ๊กแกชนิดหนึ่ง มีรูปร่าง ลักษณะคล้ายตุ๊กแกบ้าน (\"G. gecko\") ทั่วไป แต่มีรูปร่างเล็กกว่า มีส่วนหัวที่ยาวกว่า มีลวดลายที่เป็นระเบียบกว่าเป็นสีน้ำตาล และตามตัวและหางจะมีหนามเล็ก ๆ มีจุดเด่น คือ มีดวงตาโตสีเขียว จะพบได้เฉพาะในถ้ำหินปูนในแถบจังหวัดสระบุรี และไม่กี่จังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง ในประเทศไทยแห่งเดียวในโลกเท่านั้น", "title": "ตุ๊กแกตาเขียว" }, { "docid": "601100#7", "text": "ละครเรื่องนี้ถ่ายทำภายในประเทศไทยเพียงไม่กี่ฉาก ซึ่งไปถ่ายทำกันที่ประเทศญี่ปุ่น จังหวัดฮิโรชิมาและเมืองใกล้เคียง อาทิ สะพานคินไตเคียวที่จังหวัดยามางุจิ, เสาโทริแดงกลางทะเลที่เกาะมิยาจิม่า, โดโกะอนเซนที่เมืองมัตสึยามะ, ปราสาทฮิโรชิม่า, ร้านโอโคโนมิยากิ มิตจัง เป็นต้น", "title": "ฟ้ากับตะวัน" }, { "docid": "5114#73", "text": "กลุ่มไทโคราชเป็นกลุ่มที่แสดงเอกลักษณ์ของเมืองนครราชสีมา เพราะสำเนียงแตกต่างจากกลุ่มอื่น เป็นกลุ่มที่พูดภาษาไทยโคราชซึ่งคล้ายคลึงภาษาไทยกลางแต่สำเนียงเพี้ยน เหน่อ ห้วนสั้น เกิ่นเสียง มีคำไทยลาว (อีสาน) ปะปนบ้างเล็กน้อย ชาวไทยโคราชแต่งกายแบบไทยภาคกลาง รับประทานข้าวเจ้า อาหารทั่วไปคล้ายคลึงภาคกลาง ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมคล้ายไทยภาคกลาง ปัจจุบัน กลุ่มไทยโคราชอาศัยอยู่ในทุกอำเภอในจังหวัดนครราชสีมา ยกเว้นบางอำเภอที่มีชาวไทยอีสานมากกว่า (อำเภอบัวใหญ่ ปักธงชัย และสูงเนิน) และยังพบชาวไทยโคราชในบางส่วนของจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยภูมิ (อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอเนินสง่า อำเภอจัตุรัส อำเภอเทพสถิต อำเภอซับใหญ่ อำเภอคอนสวรรค์ และอำเภอเมืองชัยภูมิ) และจังหวัดบุรีรัมย์ (อำเภอเมืองบุรีรัมย์ นางรอง และหนองกี่)", "title": "จังหวัดนครราชสีมา" }, { "docid": "222562#2", "text": "มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของกัมพูชา บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม, มาเลเซีย, ภาคตะวันตกของเกาะสุมาตราและบอร์เนียว สำหรับในประเทศไทยพบบริเวณภาคตะวันตกและภาคใต้ จากรายงานเมื่อปี พ.ศ. 2531 มีการพบนากจมูกขน 2 แห่ง คือ ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในปี พ.ศ. 2542 มีผู้สามารถจับตัวได้อีกที่ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ในบริเวณใกล้กับชายแดนมาเลเซีย\nนากจมูกขนนับว่าเป็นนากชนิดที่ได้ชื่อว่าหายากที่สุดในโลก เพราะมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้งและมีการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมน้อยมาก มักพบนากชนิดนี้ตามพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ปากแม่น้ำใกล้กับทะเลหรือชายฝั่ง มักอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ", "title": "นากจมูกขน" }, { "docid": "47214#10", "text": "สด จิตรลดา เป็นชาวมุสลิมโดยกำเนิด ภายหลังแขวนนวมสดได้ศึกษาต่อจนกระทั่งจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นับว่าเป็นนักมวยเพียงไม่กี่คนที่จบการศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา และได้เปิดกิจการร้านอาหารใช้ชื่อว่า \"ครัวสด\" แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเขตคลองเตย (ส.ข.) ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาสดได้เข้าทำงานอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) อยู่พักหนึ่ง จึงลาออกและเดินทางไปสอนมวยไทยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นระยะเวลา 3-4 ปี ปัจจุบันได้กลับมาเปิดค่ายมวยไทยเพื่อสอนมวยให้เด็กและเยาวชนตลอดจนผู้สนใจในศิลปะมวยไทยที่บ้านพักซอยทานสัมฤทธิ์ ติวานนท์ 38 จังหวัดนนทบุรี", "title": "สด จิตรลดา" }, { "docid": "415280#0", "text": "แกบ (, \"อานม้า\") เป็นจังหวัดที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา แบ่งเป็น 2 อำเภอ คือแกบและฎ็อมนักจองเออ ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 164 กิโลเมตร อยู่ห่างจากจังหวัดห่าเตียนของประเทศเวียดนามไม่กี่กิโลเมตร แกบเป็นจังหวัดที่มีประชากรน้อยเพียง 40,280 คน และเป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดของประเทศ ", "title": "จังหวัดแกบ" }, { "docid": "909722#3", "text": "การค้ามนุษย์ในประเทศไทยไม่จำกัดเฉพาะคนไทยเท่านั้น สตรีจำนวนมากและเด็ก ๆ จากประเทศอื่นถูกค้ามนุษย์เข้ามาในประเทศไทยเพื่อทำงานในอุตสาหกรรมทางเพศของไทย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีสตรีชาวพม่า กัมพูชาและลาวจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อถูกค้ามนุษย์ในซ่องในจังหวัดชายแดนภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ และเชียงราย ภาคกลาง และภาคตะวันออก เช่น จังหวัดตราด, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, ชลบุรีและชุมพร และจังหวัดสงขลา นราธิวาสและปัตตานี ใกล้ชายแดนมาเลเซียตอนใต้ ผู้หญิงและเด็กกว่า 80,000 รายถูกขายให้กับอุตสาหกรรมบริการทางเพศของไทยตั้งแต่ปี 2533 ผู้ขายบริการทางเพศหญิงส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นชาวต่างชาติและกว่า 60% ของสตรีที่เดินทางเข้าประเทศเพื่อทำงานในอุตสาหกรรมทางเพศมีอายุต่ำกว่า 18 ปี มีโสเภณีเด็กจำนวนกว่า 75,000 คนในประเทศไทย ", "title": "การค้าหญิงและเด็กในประเทศไทย" }, { "docid": "727953#10", "text": "อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ที่กำลังเบ่งบาน แต่ต่อมาสับสนวุ่นวายเรื่อยมา(ตั้งแต่บัดนั้น จนบัดนี้) ทำให้ เจ้าวงศ์ ศิษย์เอกของภราดา ฟ.ฮีแลร์ อัสสัมชัญ บางรัก ผู้มีความคิดอ่านก้าวหน้าไม่เหมือนใครในยุคนั้น ตระหนักดีว่า ระบอบประชาธิปไตยของไทยมิใช่ ของจริง ไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง และอำนาจแท้จริง ในการปกครองประเทศ ยังผลัดเปลี่ยนวนเวียนอยู่ในกำมือของคนเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองในเครื่องแบบทหาร ท่านจึงล้างมือจากการเมืองไม่ยอมร่วมสังฆกรรมในเรื่องนี้อีก แต่ก็ได้สนับสนุนญาติ และพรรคพวกของท่าน ทั้งคุณหญิง บัวเขียว รังคสิริ และนายทอง กันทาธรรม เข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก่อนสงครามโลกครั้ง 2 ในปี พ.ศ. 2483 นายปรีดี พนมยงค์ ได้เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทยอิงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ เรื่องพระเจ้าช้างเผือก (THE WHITE ELEPHANT KING) เพื่อเผยแพร่เกียรติภูมิ และวัฒนธรรมของชาติไทย ให้โลกรู้ ใช้ผู้แสดงร่วมพันคน ช้างกว่า 150 เชือก เป็นภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม พูดภาษาอังกฤษ “เรื่องแรกของไทย” นายปรีดี ได้รับความร่วมมือจาก เจ้าวงศ์ ในการถ่ายทำฉากสำคัญที่สุดคือ ฉากยุทธหัตถี และการคล้องช้าง ซี่งถ่ายทำกันที่ป่าแดง หลังพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่", "title": "เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์" }, { "docid": "287198#4", "text": "ดีมิโอรุ่นที่ 3 หรือ มาสด้า 2 ใหม่ ใช้รหัสรถว่า DE มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด มีการผลิตรถซีดาน 4 ประตูด้วย (แต่ในช่วงแรกยังไม่เข้าประเทศไทย กำลังจะเข้าใน พ.ศ. 2552) รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง ภายใน 1 เดือนหลังการเปิดตัว สามารถทำยอดขายได้ถึง 15,000 คัน และในพ.ศ. 2551 ดีมิโอรุ่นที่ 3 นี้ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ระดับโลก (World Car of the Year 2008)\nรุ่นนี้ เป็นรุ่นแรกที่เข้ามาผลิตและมีชื่อเสียงในประเทศไทย โดยมีสายการผลิตที่ จังหวัดระยอง เริ่มการขายในช่วงปลายปี พ.ศ. 2552 ด้านมิติ มีความยาว 3885 มม., กว้าง 1695 มม., สูง 1475 มม. ระยะฐานล้อ 2490 มม. ไม่กี่เดือนต่อมา มาสด้า 2 ได้รับรางวัล รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2010 ระดับประเทศไทย (Thailand Car of the Year 2010) ประเภทรถยนต์แฮทช์แบ็ก ขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1500 ซีซี หลังจากนั้น ในต้นปี พ.ศ. 2553 ก็ได้มีการเปิดตัวรุ่นซีดานในประเทศไทย ซึ่งประสบความสำเร็จมากในวงกว้าง และได้มีการปรับโฉม (Minorchange) ในปี พ.ศ. 2554 โดยแยกออกเป็น 2 รุ่น คือ ตัวถังแฮทช์แบค 5 ประตู ใช้ชื่อว่า มาสด้า 2 สปอร์ต () และตัวถังซีดาน 4 ประตู ใช้ชื่อว่า มาสด้า 2 เอลิแกนซ์ () ", "title": "มาสด้า ดีมิโอ" }, { "docid": "577201#0", "text": "ผ้าย้อมคราม\nคือผ้าที่ทอด้วยมือ หรือทอด้วยเครื่องจักรที่ย้อมสีด้วยครามธรรมชาติ มีเฉดสีฟ้าถึงสีน้ำเงินเข้ม ผ้าย้อมครามนิยมใช้กันแพร่หลายในหลายเขตพื้นที่ของโลก โดยเฉพาะเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินเดีย ลาวและประเทศไทย เนื่องจากมีองค์ความรู้ในการปลูกต้นครามและการย้อมคราม \nผ้าย้อมครามในประเทศไทยมีมากในภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดสกลนครซึ่งมักจะย้อมครามที่เส้นฝ้าย เส้นฝ้ายก่อนนำไปทอด้วยมือให้เป็นผืน บ้างมัดหมี่ให้เป็นลวดลายก่อนแล้วจึงนำไปย้อมและทอมือด้วยกี่พื้นบ้าน เกิดเป็นผ้ามัดหมี่ทอมือย้อมครามที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ในปัจจุบันมีการผสมเทคนิคใหม่ๆ เช่นการมัดย้อม การเขียนเทียน บาติก เพื่อให้ได้ลวดลายและสีสันที่ร่วมสมัย", "title": "ผ้าย้อมคราม" }, { "docid": "19390#13", "text": "สำหรับในประเทศไทย มะพร้าวทะเลมีปลูกและครอบครองเพียงไม่กี่แห่ง ได้แก่ สวนนงนุช ที่พัทยา ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จ นับเป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่สามารถทำเช่นนี้ได้ และสวนแสนปาล์ม ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และมีราคาซื้อขายที่แพงมาก เคยมีการตั้งราคาขายเฉพาะกะลาที่แห้งแล้วไม่สามารถนำไปเพาะปลูกได้ถึงลูกละ 26,000 บาท", "title": "มะพร้าวแฝด" }, { "docid": "136904#5", "text": "การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองดังกล่าว ทำให้ขุนนางท้องถิ่นที่ต้องการรักษาฐานอำนาจและอิทธิพลของตนไว้ ก่อการกบฏต่อต้านอำนาจรัฐในบางภูมิภาค เหตุการณ์กบฏครั้งสำคัญคือกบฏผู้มีบุญอีสาน (หรือ \"กบฏผีบาปผีบุญ\") ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2445 โดยอาศัยความเชื่อเรื่องยุคพระศรีอาริยเมตไตรย เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมประชาชนให้ต่อต้านอำนาจรัฐ ขบวนการผู้มีบุญได้เคลื่อนไหวตามทั่วภาคอีสาน แต่ที่เป็นเหตุใหญ่ที่สุดอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งกลุ่มกบฏได้ก่อการถึงขั้นเผาเมืองเขมราฐและบังคับให้เจ้าเมืองเขมราฐร่วมขบวนการ แต่ที่สุดแล้วกบฏครั้งนี้ก็ถูกปราบปรามลงในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา", "title": "จังหวัดของประเทศไทย" }, { "docid": "101322#4", "text": "นกอ้ายงั่ว จัดเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของธรรมชาติได้ดีอย่างหนึ่ง เพราะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งปริมาณของอาหาร และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ จัดเป็นนกประถิ่นในประเทศไทย แต่อยู่ในภาวะถูกคุกคาม ในประเทศจัดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ปัจจุบันพบเพียงไม่กี่จังหวัดเท่านั้น เช่น จังหวัดสระแก้วในภาคตะวันออก", "title": "นกอ้ายงั่ว" } ]
4058
การแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "120626#1", "text": "การฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิกยุคโบราณได้ดึงดูดนักกีฬาจาก 14 ประเทศ ด้วยผู้แทนนักกีฬากลุ่มใหญ่จาก ประเทศกรีซ เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2439 นายเจมส์ คอนนอลลี่ ชาวอเมริกัน ชนะการแข่งขันกระโดดสามเท่า ซึ่งกลายเป็นผู้ชนะเลิศในโอลิมปิกคนแรกในรอบมากกว่า 150 ปี ผู้ชนะได้รับรางวัลเป็นเหรียญเงินและช่อโอลีฟ[1]", "title": "โอลิมปิกฤดูร้อน 1896" } ]
[ { "docid": "715876#1", "text": "รอบคัดเลือกซึ่งจัดขึ้นในประเทศเยอรมนี มีทั้งหมด 8 ทีมได้แก่ เจ้าภาพ และ 7 ทีมจากอันดับทวีปยุโรป โดยจะมีเพียงทีมจาก 1 ทีม จะผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ตัวเลขในวงเล็บเป็นอันดับทวีปยุโรป เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ยกเว้นเจ้าภาพอันดับที่ 4ในการแข่งขันหากผลว่ามีผลเท่ากันจะตัดสินตามลำดับดังนี้", "title": "วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 – รอบคัดเลือกโซนยุโรป" }, { "docid": "715874#1", "text": "รอบคัดเลือกซึ่งจัดขึ้นในประเทศตุรกี มีทั้งหมด 8 ทีมได้แก่ เจ้าภาพ และ 7 ทีมจากอันดับทวีปยุโรป โดยจะมีเพียงทีมจาก 1 ทีม จะผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ตัวเลขในวงเล็บเป็นอันดับทวีปยุโรป เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ยกเว้นเจ้าภาพอันดับที่ 4ในการแข่งขันหากผลว่ามีผลเท่ากันจะตัดสินตามลำดับดังนี้", "title": "วอลเลย์บอลหญิงในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 – รอบคัดเลือกโซนยุโรป" }, { "docid": "267833#10", "text": "ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 มีรายงานว่าค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก อาจจะมากกว่าการคาดการณ์งบประมาณเดิมถึงสี่เท่า และดังนั้นมีการเสนอให้มีการปรับปรุงแผนงาน เพื่อลดงบประมาณต่างๆ รวมถึงการย้ายสถานที่จัดการแข่งขันออกนอกกรุงโตเกียว\nเขตประวัติศาสตร์มีสถานที่จัดการแข่งขันทั้งหมด 7 สถานที่ โดยเขตประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางของกรุงโตเกียว ซึ่งเขตนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้านนักกีฬา สถานที่บางส่วนเคยจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1964", "title": "โอลิมปิกฤดูร้อน 2020" }, { "docid": "120640#0", "text": "โอลิมปิกฤดูร้อน 1964 หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 18 เป็นงานแข่งขันกีฬาหลายประเภทระหว่างประเทศจัดขึ้นในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 2 ถึง 18 ตุลาคม พ.ศ. 2507 โตเกียวได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1940 แต่เกียรตินี้ถูกส่งมอบแก่เฮลซิงกิเพราะการรุกรานจีนของญี่ปุ่น ก่อนจะถูกยกเลิกไปในที่สุดเพราะสงครามโลกครั้งที่สอง โอลิมปิกฤดูร้อนครั้งนี้เป็นโอลิมปิกครั้งแรกที่จัดในทวีปเอเชีย และเป็นครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้ถูกห้ามเข้าร่วมแข่งขันเพราะระบบการถือผิวในกีฬา อย่างไรก็ดี แอฟริกาใต้ได้รับอนุญาตให้เข้าแข่งขันพาราลิมปิกฤดูร้อน 1964 ซึ่งจัดในกรุงโตเกียวเช่นกัน และนับเป็นครั้งแรกที่แอฟริกาใต้เข้าแข่งขันพาราลิมปิก โตเกียวได้รับเลือกเป็นเมืองเจ้าภาพระหว่างสมัยประชุมคณะกรรมการโอลิมปิกสากลที่ 55 ในเยอรมนีตะวันตก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2502", "title": "โอลิมปิกฤดูร้อน 1964" }, { "docid": "671141#0", "text": "วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 เป็นการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลในร่ม ประเภททีมชาย ที่จะจัดแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ณ รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล มีจำนวนชาติที่เข้าแข่งขันทั้งสิ้น 12 ทีมเป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลชาย จำนวน 12 ทีม ภายใต้การกำกับดูแลการแข่งขันโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ร่วมกับ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (เอฟไอวีบี) และนับเป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลในโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 7 สิงหาคม ถึง 21 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ที่ฌีนาซีอูดูมารากานังซิญญูในการแข่งขันหากผลว่ามีผลเท่ากันจะตัดสินตามลำดับดังนี้", "title": "วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016" }, { "docid": "135721#4", "text": "และล่าสุด เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2013 ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ได้มีมติ ให้ถอดถอนการแข่งขันกีฬาชนิดนี้ ออกจากการเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน โดยจะมีผล หลังจากจบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ซึ่งหมายความว่า นับจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020เป็นต้นไป จะไม่มีการแข่งขันกีฬามวยปล้ำในโอลิมปิกต่อไป", "title": "กีฬามวยปล้ำในโอลิมปิกฤดูร้อน" }, { "docid": "135315#3", "text": "และในโอลิมปิกครั้งที่ 27 ปี 2000 มีการบรรจุปัญจกีฬาหญิงเป็นครั้งแรก ทำให้นักกีฬาชายลดจำนวนลงเหลือ 16 คนเท่ากัน เพราะแต่เดิมมีการแข่งขันเฉพาะประเภทชายเท่านั้น ซึ่งจะมีนักกีฬาแข่งขันทั้งหมด 32 คน", "title": "กีฬาปัญจกีฬาสมัยใหม่ในโอลิมปิกฤดูร้อน" }, { "docid": "290405#0", "text": "สนามแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 และพาราลิมปิก 2012 เป็นสนามแข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งหมดที่ใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 20 หรือโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ", "title": "สนามแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012" }, { "docid": "844913#3", "text": "นครลอสแอนเจลิสเคยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 และโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 นอกจากนี้จะเป็นครั้งที่สามของนครลอสแอนเจลิสในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน หากได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 หรือ โอลิมปิกฤดูร้อน 2028 นครลอสแอนเจลิสจะกลายเป็นเมืองแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในประเทศสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่โอลิมปิกฤดูหนาว 2002 ณ เมืองซอลต์เลกซิตี และเป็นเมืองแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันทั้งหมดสามครั้ง โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 นับเป็นวันครบรอบ 40 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 และวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 นับเป็นวันครบรอบ 92 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 ณ นครลอสแอนเจลิส นอกจากนี้วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2571 นับเป็นวันครบรอบปีที่ 44 ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 และวันที่ 30 กรกฎาคม 2028 เป็นวันครบรอบ 96 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 ณ นครลอสแอนเจลิส", "title": "การเสนอเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ของลอสแอนเจลิส" }, { "docid": "120627#0", "text": "กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนประจำปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) หรืออย่างเป็นทางการว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 2 คือกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่จัดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เดิมทีได้มีความพยายามที่จะให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกขึ้นในกรีกเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่ ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ขึ้นมา ได้ยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่จะให้มีการแข่งขันเวียนไปตามประเทศต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมการแข่งขันกีฬา", "title": "โอลิมปิกฤดูร้อน 1900" }, { "docid": "606951#0", "text": "วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 เป็นการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลในร่ม ประเภททีมชาย ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร มีจำนวนชาติที่เข้าแข่งขันทั้งสิ้น 12 ทีม ภายใต้การกำกับดูแลการแข่งขันโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ร่วมกับ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (เอฟไอวีบี) และนับเป็นการแข่งขันครั้งที่ 13 ของกีฬาวอลเลย์บอลในโอลิมปิกฤดูร้อน นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 12 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ที่อีเลส คอร์ต เอ็กฮิตบิชั่น เซนเตอร์ โดยวอลเลย์บอลชายทีมชาติรัสเซีย สามารถคว้าเหรียญทองไปครองได้เป็นสมัยแรก", "title": "วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012" }, { "docid": "498294#1", "text": "ในทศวรรษที่ 70 ของเขา ณ ค.ศ. 1968 เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดุ๊กและได้รับการยกย่องในฐานะ \"ความหวังของชายชรา\" เขาเป็นนักกีฬาที่มีอายุมากที่สุดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 และ 2012 โฮะเคะสึเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่มีอายุมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการแข่งขันให้แก่ทีมชาติญี่ปุ่น และเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่มีอายุมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเป็นอันดับสาม ถัดจากออสการ์ สวอห์น ซึ่งเป็นนักยิงปืนจากสวีเดนผู้ซึ่งชนะรางวัลเหรียญเงินในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 และอาเทอร์ ฟอน พอนเกรซ ผู้ซึ่งเข้าแข่งขันขณะมีอายุได้ 72 ปีในประเภทเดรสซาจในโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ที่กรุงเบอร์ลิน", "title": "ฮิโระชิ โฮะเคะสึ" }, { "docid": "464112#1", "text": "อุทยานโอลิมปิกเริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันฤดูร้อนครั้งที่ 4 ในกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร เมื่อปี พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) โดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันระบุว่า การแข่งขันทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งประกอบด้วย ว่ายน้ำ ยิงธนู ฟันดาบ เป็นต้น จะจัดขึ้นบนทำเลเดียวกัน ซึ่งจะมีการจัดสร้างอัฒจันทร์ สำหรับกรีฑาประเภทลู่และกีฬาจักรยาน แต่การจัดตั้งศูนย์กีฬารวมในลักษณะนี้ มิได้ปรากฏในการแข่งขันทุกครั้งแต่อย่างใด โดยในโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 16 เมื่อปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) และครั้งที่ 21 เมื่อปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) มีการกระจายสนามแข่งขันออกไปในวงกว้าง อนึ่ง ในปีหลังนี้มีสนามแข่งขันรายการนอร์ดิกสกีใช้ชื่อว่า “อุทยานโอลิมปิกวิสต์เลอร์” (Whistler Olympic Park) สำหรับในการแข่งขันฤดูร้อนครั้งที่ 31 ที่กรุงริโอเดจาเนโรของบราซิล ในปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) จะแบ่งสนามแข่งขันออกเป็น 4 กลุ่ม มากกว่าจะรวมกันอยู่ในอุทยานแห่งเดียว", "title": "อุทยานโอลิมปิก" }, { "docid": "682067#0", "text": "กีฬาลาครอส เป็นชนิดกีฬาที่เคยจัดแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน เพียง 2 ครั้ง คือในโอลิมปิกฤดูร้อน 1904 และ โอลิมปิกฤดูร้อน 1908 และถูกจัดแข่งขันเป็นกีฬาสาธิตอีก 3 ครั้ง ใน โอลิมปิกฤดูร้อน 1928 1932 และ 1948", "title": "กีฬาลาครอสส์ในโอลิมปิกฤดูร้อน" }, { "docid": "932273#0", "text": "การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกถือเป็นกิจกรรมที่มีการแข่งขันหลายกีฬาใหญ่ที่สุด มีการคว่ำบาตรอยู่ทั้งหมด 7 ครั้งของการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน การคว่ำบาตรครั้งแรกเกิดขึ้นในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 และการคว่ำบาตรครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 ประเทศโรดีเชียเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีสิทธิ์ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน เกิดเหตุเมื่อการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1972 คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติยกเลิกการให้ประเทศโรดีเชียเข้าร่วม เนื่องจากบางประเทศในกลุ่มแอฟริกันประท้วง", "title": "รายการการคว่ำบาตรกีฬาโอลิมปิก" }, { "docid": "714090#7", "text": "วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 รอบคัดเลือกซึ่งจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีทั้งหมด 12 ทีมได้แก่ เจ้าภาพ และ 11 ทีม การแข่งขันจะแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก (การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ที่ 1) รวมกับการแข่งขันโอลิมปิกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย จะมีทีมที่ได้อันดับ 1–4 ทีมแรก ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ส่วนกลุ่มที่ 2 (การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ที่ 2) ประกอบด้วย 4 ทีม และมีเพียงทีมจาก 1 ทีม จะผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016", "title": "วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 รอบคัดเลือก" }, { "docid": "673419#0", "text": "จักรวรรดิรัสเซียในโอลิมปิก เป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ตามประวัติศาสตร์แล้วรัสเซียเข้าร่วมแข่งขันในนามของหลายชาติด้วยกัน และจักรวรรดิรัสเชียเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1900 เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะหยุดไปและกลับเข้าร่วมแข่งขันอีกครั้งในโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 และ โอลิมปิกฤดูร้อน 1912 และหลังจากการปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 ก็ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันโอลิมปิกในนามสหภาพโซเวียต ในโอลิมปิกฤดูร้อน 1952", "title": "จักรวรรดิรัสเซียในโอลิมปิก" }, { "docid": "5513#50", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 27 กรกฎาคม และพาราลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงร่วมแสดงคู่กับแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์สั้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2012[158] ด้านพระราชบิดา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเคยเปิดการแข่งกันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 ส่วนพระปัยกา (ปู่ทวด) สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็ทรงเคยเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1976 ที่นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดามาแล้วครั้งหนึ่ง ด้านพระราชสวามี เจ้าชายฟิลิป ก็เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน[159] ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระประมุขแห่งรัฐพระองค์แรกที่ได้ทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้งใน 2 ประเทศ[160]", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "681669#0", "text": "กีฬาจักรยานในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 เป็นการแข่งขันกีฬาจักรยานที่จะจัดขึ้นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ที่เมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 ถึง 21 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ครั้งนี้จักรยานถูกแบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท และ 18 รายการ เช่นเดียวกับกีฬาจักรยานในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 โดยแข่งขันภายใน 4 สนาม ดังนี้บราซิลเป็นประเทศเจ้าภาพ ได้รับโควต้าโดยไม่ต้องผ่านรอบคัดเลือกใด ๆ", "title": "กีฬาจักรยานในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016" }, { "docid": "315298#1", "text": "ประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้ร่วมเดินสวนสนามภายใต้ธงรวมเกาหลีในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย, โอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ, โอลิมปิกฤดูหนาว 2006 ที่เมืองโตริโน ประเทศอิตาลี และในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2006 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันกีฬารายการดังกล่าว ทั้งสองประเทศจะแยกกันแข่งขันกีฬาในนามของชาติตนเอง ในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนั้นได้วินิจฉัยว่าทั้งสองประเทศต้องเข้าร่วมแข่งขันแยกกันตามประเทศของตน ทำให้ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งนี้ไม่มีการใช้ธงรวมเกาหลี ธงรวมเกาหลีจะนำกลับมาใช้อีกครั้งในโอลิมปิกฤดูหนาว 2018 และ เอเชียนเกมส์ 2018.", "title": "ธงรวมเกาหลี" }, { "docid": "714575#6", "text": "วอลเลย์บอลหญิงในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 รอบคัดเลือกซึ่งจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีทั้งหมด 12 ทีมได้แก่ เจ้าภาพ และ 11 ทีม การแข่งขันจะแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก (การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ที่ 1) รวมกับการแข่งขันโอลิมปิกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย จะมีทีมที่ได้อันดับ 1–4 ทีมแรก ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ส่วนกลุ่มที่ 2 (การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ที่ 2) ประกอบด้วย 4 ทีม และมีเพียงทีมจาก 1 ทีม จะผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016", "title": "วอลเลย์บอลหญิงในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 รอบคัดเลือก" }, { "docid": "306345#0", "text": "ประเทศสิงคโปร์ เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2491 เมื่อแยกตัวออกจากอาณานิคมช่องแคบและส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเรื่อยมาจนถึงกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พ.ศ. 2507 ซึ่งสิงคโปร์รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย หลังจากที่เป็นเอกราชจากมาเลเซียใน พ.ศ. 2508 สิงคโปร์ได้เข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกอีก และเข้าแข่งขันทุกครั้งยกเว้นกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พ.ศ. 2523 สิงคโปร์ไม่เคยเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว แต่ได้พยายามจะเข้าแข่งขันใน พ.ศ. 2557 โดยได้สร้างสนามสเกตน้ำแข็งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555", "title": "ประเทศสิงคโปร์ในโอลิมปิก" }, { "docid": "671146#0", "text": "วอลเลย์บอลหญิงในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง จำนวน 12 ทีม ภายใต้การกำกับดูแลการแข่งขันโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ร่วมกับ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (เอฟไอวีบี) และนับเป็นการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลในโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม ถึง 20 สิงหาคม 2016 ที่ฌีนาซีอูดูมารากานังซิญญูในการแข่งขันหากผลว่ามีผลเท่ากันจะตัดสินตามลำดับดังนี้", "title": "วอลเลย์บอลหญิงในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016" }, { "docid": "9698#25", "text": "คาดว่ามีนักกีฬาราว 10,800 คน จาก 204 คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่านักกีฬาที่เข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 ซึ่งจัดที่กรุงลอนดอน และกีฬาเครือจักรภพ 2002 ซึ่งจัดที่แมนเชสเตอร์ โอลิมปิกครั้งนี้จึงเป็นการแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดในสหราชอาณาจักร", "title": "โอลิมปิกฤดูร้อน 2012" }, { "docid": "185875#0", "text": "พิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2008 ณ สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง (สนามกีฬารังนก) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดยเริ่มเมื่อเวลา 20.00 น. (8:00 PM) ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยมีจาง อี้โหมว ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีนที่มีผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น \"Hero\", \"House of Flying Daggers\" และ\"Curse of the Golden Flower\" เป็นต้น และ จาง ฉีกัง รับหน้าที่กำกับการแสดง ซึ่งการแสดงทั้งหมดจะเน้นถึงอารยธรรมจีนโบราณ ผสมผสานกับความทันสมัยในโลกปัจจุบัน โดยใช้นักแสดงกว่า 15,000 คน พิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นพิธีเปิดโอลิมปิกที่ดีที่สุดเท่าที่มีการจัดการแข่งขัน\nจาง อี้โหมว ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีนและจาง ฉีกัง ได้รับเลือกจากคณะกรรมการจัดการแข่งขัน ให้เป็นผู้กำกับการแสดงร่วมกัน นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2006 คณะกรรมการยังได้เลือก สตีเว่น สปีลเบิร์ก อีเวส เปปิน และริก เบิร์ช เป็นคณะที่ปรึกษา แต่สปิลเบิร์กถอนตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 เนื่องจากไม่พอใจที่จีนสนับสนุนรัฐบาลซูดานในเหตุการณ์รุนแรงที่เขตดาฟูร์", "title": "พิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2008" }, { "docid": "185875#1", "text": "พิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 มีพระประมุข ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และผู้แทนประเทศเข้าร่วมพิธีเปิดกว่า 100 ประเทศ ซึ่งมากที่สุดเท่าที่มีการจัดการแข่งขันโอลิมปิก สำหรับประเทศไทย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพิธีในฐานะผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนายสมัคร สุนทรเวช เข้าร่วมในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย", "title": "พิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2008" }, { "docid": "135895#1", "text": "ในการประชุมไอโอซีเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 เบสบอลและซอฟต์บอลถูกลงคะแนนเสียงออกจากโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นับเป็นกีฬาชนิดแรกที่ถูกลงคะแนนออกจากโอลิมปิกนับตั้งแต่โปโลที่ถูกลงคะแนนเสียงออกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 การตัดออกดังกล่าวได้ตัดนักกีฬากว่า 300 คน จาก 16 ทีมออกจากโอลิมปิก 2012 ชนิดกีฬาที่ว่างลงสองชนิดถูกแทนที่ด้วยกอล์ฟและรักบี้ 7 คน ใน พ.ศ. 2559 การตัดสินใจดังกล่าวได้รับการยืนยันอีกครั้งในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ระหว่างการแข่งขันรอบชิงเหรียญทองแดงระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2548 ประธานไอโอซี ฌักส์ ร็อกก์ (Jacques Rogge) ให้สัมภาษณ์กับมาร์ค นิวแมนจาก MLB.com และอ้างเกณฑ์สารพัดที่เบสบอลต้องผ่านจึงจะกลับมาบรรจุในโอลิมปิกอีกครั้งว่า \"ในการที่จะอยู่ในโครงการโอลิมปิกนั้นเป็นประเด็นที่คุณต้องการความเป็นสากลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คุณต้องมีกีฬาที่มีสิ่งเหล่านี้ คุณต้องมีผู้เล่นที่ดีที่สุด และคุณต้องยินยอมตาม WADA (องค์การควบคุมการใช้สารกระตุ้นโลก) อย่างเข้มงวด และเหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่ต้องมี เมื่อคุณมีทั้งหมดนั้น คุณต้องเอาชนะใจ (heart) คุณสามารถเอาชนะจิต (mind) แต่คุณยังต้องชนะใจด้วย\" มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 ในการประชุมคณะกรรมการไอโอซีที่กรุงเบอร์ลิน ว่า เบสบอลจะไม่ถูกบรรจุในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ด้วย", "title": "กีฬาเบสบอลในโอลิมปิกฤดูร้อน" }, { "docid": "672276#0", "text": "กีฬาวอลเลย์บอลในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลนานาชาติระดับเยาวชน อยู่ภายใต้การกำกับของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท วอลเลย์บอลในร่มประเภททีมหญิงและทีมชาย โดยจะหมุนเวียนจัดทุก ๆ สี่ปี วอลเลย์บอลได้รับการบรรจุเข้าเป็นรายการแข่งขันครั้งแรกในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2010 ณ ประเทศสิงคโปร์ แต่ในการแข่งขันโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2014 วอลเลย์บอลในร่มถูกแทนที่ด้วยวอลเลย์บอลชายหาด", "title": "กีฬาวอลเลย์บอลในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน" }, { "docid": "673549#0", "text": "สรุปเหรียญรางวัลโอลิมปิกเยาวชนตลอดกาล เป็นรายชื่อประเทศที่เคยได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว ตั้งแต่โอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2010 ถึงโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2014 ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วมี 114 ชาติที่เคยได้รับเหรียญรางวัลอย่างน้อย 1 เหรียญจากการแข่งขัน แบ่งเป็น 111 ชาติในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อนและอีก 30 ชาติในโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวที่ได้รับเหรียญรางวัล ", "title": "สรุปเหรียญรางวัลโอลิมปิกเยาวชนตลอดกาล" }, { "docid": "244122#0", "text": "สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 29 ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม – 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้เข้าแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อนสมัยใหม่ทุกครั้ง ยกเว้นโอลิมปิกฤดูร้อน 1980 ที่กรุงมอสโกที่ได้รับการคว่ำบาตร คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งสหรัฐอเมริกาได้ทำการส่งนักกีฬารวม 596 คนไปยังกรุงปักกิ่ง (ชาย 310 คน และหญิง 286 คน) และได้เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกทุกรายการยกเว้นแฮนด์บอล", "title": "สหรัฐอเมริกาในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008" } ]
2768
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกสั้นๆว่าภาคอิสานได้หรือไม่ ?
[ { "docid": "13363#0", "text": "ภาคอีสาน (มาจากภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤต ऐशान aiśāna แปลว่า \"ตะวันออกเฉียงเหนือ\")[1] หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคหนึ่งในประเทศไทย ตั้งอยู่บนแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร มีแม่น้ำโขงกั้นประเทศลาวทางทิศเหนือและตะวันออกของภาค ทางทิศใต้มีเทือกเขาพนมดงรักกั้นประเทศกัมพูชาและภาคตะวันออกของประเทศไทย และมีทิวเขาเพชรบูรณ์และทิวเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นทางตะวันตกแยกจากภาคกลาง", "title": "ภาคอีสาน (ประเทศไทย)" } ]
[ { "docid": "610887#1", "text": "การสานกระติบเป็นงานหัตถกรรมที่มีพื้นฐานมาจากสังคมเกษตรกรรม และค่านิยมในการบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักของคนไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ แต่เดิมภาชนะที่ใช้บรรจุข้าวเหนียวมักทำจากต้นไม้ต้นเล็กๆ นำมาเจาะลำต้นให้กลวงแล้วตัดเป็นท่อนขนาดสั้นๆเป็นกระบอก มีฝาปิด หรือบางครั้งก็ใช้ไม้ไผ่มาตัดเป็นกระบอกสั้นๆนำมาเป็นภาชนะบรรจุข้าวเหนียว ต่อมามีการคำนึงถึงปริมาณไม้ไผ่ในพื้นที่ซึ่งมีมากบ้างน้อยบ้างและความสะดวก หากนำต้นไผ่มาทั้งต้นแบบเดิมต้นไผ่ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน อีกทั้งภาชนะบรรจุข้าวเหนียวรูปแบบเดิมก็เทอะทะ พกพาไม่สะดวกในการเดินทางไกล ", "title": "กระติบ" }, { "docid": "1919#76", "text": "สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) (หรือที่เรียกกันติดปากว่า หมอชิตใหม่ หรือ หมอชิต 2) สำหรับเดินทางขึ้นเหนือ ไปภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง (รวมทั้งภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ในบางเส้นทาง) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (เอกมัย) สำหรับเดินทางไปภาคตะวันออก สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (ถนนบรมราชชนนี) สำหรับเดินทางลงใต้ ไปภาคใต้[note 3] และภาคตะวันตก[note 4]", "title": "กรุงเทพมหานคร" }, { "docid": "818402#5", "text": "ในภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อุณหภูมิจะแตกต่างกันมากในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ซึ่งในฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำสุดในตอนเช้าจะอยู่เกณฑ์หนาวถึงหนาวจัดในเดือนธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งอุณหภูมิอาจลดลงได้จนต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหรือยอดเขาสูงของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลมพื้นผิวโดยมากเป็นลมฝ่ายเหนือและลมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนความชื้นสัมพัทธ์จะลดลงอย่างชัดเจน", "title": "ฤดูหนาวในประเทศไทย พ.ศ. 2559–2560" }, { "docid": "652276#0", "text": "เคอร์ดิสถานซีเรีย () หรือเคอร์ดิสถานตะวันตก () (; , \"Kurdistan Al-Suriyah\") มักเรียกเพียง \"โรยาวา\" () (\"ตะวันตก\" ในภาษาเคิร์ด) เป็นดินแดนปกครองตนเองโดยพฤตินัยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศซีเรีย เคอร์ดิสถานซีเรียเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ภูมิศาสตร์ใหญ่กว่า เรียก เคอร์ดิสถาน ซึ่งรวมบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี (เคอร์ดิสถานตุรกี) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิรัก (เคอร์ดิสถานอิรัก) ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน (เคอร์ดิสถานอิหร่าน) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย (เคอร์ดิสถานซีเรีย) เป็นบริเวณที่มีชาวเคิร์ดอาศัยอยู่จำนวนมาก\nพื้นที่ปกคลุมทางตะวันตกเฉียงเหนือของซากรอส และทางตะวันออกของเทือกเขาเทารัส ตั้งแต่ พ.ศ. 2555 เคอร์ดิสถานซีเรียส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยกองทหารเคิร์ดระหว่างสงครามกลางเมืองซีเรีย และในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ผู้แทนชาวเคิร์ด ชาวอาหรับ ชาวอัสซีเรียและชนกลุ่มน้อยอื่นประกาศตั้งรัฐบาลโดยพฤตินัยในบริเวณนี้", "title": "สหพันธรัฐประชาธิปไตยซีเรียเหนือ" }, { "docid": "906098#4", "text": "ในภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อุณหภูมิจะแตกต่างกันมากในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ซึ่งในฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำสุดในตอนเช้าจะอยู่เกณฑ์หนาวถึงหนาวจัดในเดือนธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งอุณหภูมิอาจลดลงได้จนต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหรือยอดเขาสูงของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลมพื้นผิวโดยมากเป็นลมฝ่ายเหนือและลมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนความชื้นสัมพัทธ์จะลดลงอย่างชัดเจน", "title": "ฤดูหนาวในประเทศไทย พ.ศ. 2560–2561" }, { "docid": "866491#1", "text": "วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2518 เดิมมีชื่อว่า โรงเรียนช่างกลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน และภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือและรับนักเรียน,นักศึกษาหญิง ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ได้ยกฐานะโรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นเป็น วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปัจจุบัน", "title": "วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" }, { "docid": "985297#0", "text": "แคว้นบาลูจิสถาน (; \"ดินแดนแห่งชาวบาลูจ\") เป็นแคว้นหนึ่งในประเทศปากีสถาน โดยเป็นแคว้นมีพื้นที่ใหญ่ที่สุด และถือเป็นภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มีเมืองหลวงและนครใหญ่สุดคือเควตตา มีอาณาเขตภาคเหนือติดต่อกับแคว้นปัญจาบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับแคว้นไคเบอร์ปัคตูนควา ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกับแคว้นสินธ์ ภาคใต้ติดต่อกับทะเลอาหรับ ภาคตะวันตกติดต่อกับประเทศอิหร่าน และภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับประเทศอัฟกานิสถาน", "title": "แคว้นบาลูจิสถาน" }, { "docid": "391790#0", "text": "ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ อีสาน หรือ อิสาน เป็นหนึ่งในทิศรองทั้งสี่ อยู่ตรงข้ามกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ ขวามือของทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และซ้ายมือของทิศตะวันออก", "title": "ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ" }, { "docid": "5114#53", "text": "เนื่องจากความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ปัจจุบัน นครราชสีมา จึงได้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางการรบที่สำคัญรองจากกรุงเทพมหานคร เป็นประตูสู่อิสาน เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของกองฐานกำลังรบหลักของกองทัพบก และกองทัพอากาศในปัจจุบัน", "title": "จังหวัดนครราชสีมา" }, { "docid": "887738#0", "text": "คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ () เป็น คณะวิชา สังกัดมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2531 เป็นคณะแรกของวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนั้น", "title": "คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" }, { "docid": "863041#0", "text": "คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ () เป็น คณะวิชา สังกัดมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2559", "title": "คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" }, { "docid": "741546#7", "text": "การเรียกร้องทางทะเล:\n\"ดินแดนในทะเล:\"\nภูมิอากาศ:\nหลักทะเลทราย; ธันวาคม-กุมภาพันธ์ - มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีอุณหภูมิในระดับปานกลางในภาคเหนือและร้อนมากในภาคใต้; พฤษภาคม-ตุลาคม - มรสุมตะวันตกเฉียงใต้, ร้อนระอุในภาคเหนือและร้อนในภาคใต้ปริมาณน้ำฝนที่ผิดปกติช่วงเวลาที่ร้อนและชื้น (tangambili) ระหว่างมรสุม", "title": "ภูมิศาสตร์โซมาเลีย" }, { "docid": "544371#0", "text": "มันเสา ภาคเหนือเรียกมันเสียม ภาคใต้เรียกมันทู่ ภาคกลางเรียก มันเลือดนก เป็นพืชมีหัวในวงศ์กลอย หัวสีม่วง ทำให้บางครั้งสับสนกับเผือกและมันเทศพันธุ์ Ayamurasaki เป็นพืชพื้นเมืองในเขตร้อนของเอเชีย เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทะเลแคริบเบียน และแอฟริกา เป็นอาหารของมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณ ", "title": "มันเสา" }, { "docid": "464368#15", "text": "ฟ้อน และ เซิ้ง ก็จัดว่าเป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เพราะผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นขึ้นมา มีการแต่งการตามท้องถิ่นเพราะการแสดงแต่ละชุดได้เกิดขึ้นมาจากแรงบัลดาลใจของผู้คิดที่จะถ่ายทอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิถีชีวิต การแต่งกาย ดนตรี เพลง และการเรียกชื่อการแสดงนั้น จะเรียกตาม\nภาษาท้องถิ่น และการแต่งกายก็แต่งกายตามท้องถิ่น เช่นภาคเหนือก็จะเรียกว่าฟ้อน เช่นป้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ภาคอิสานก็จะเรียกและแต่งกายตามท้องถิ่น\nทางภาคอิสานเช่น เซิ้งกะติ๊บข้าว เซิ้งสวิง เป็นต้น การแสดงต่างๆล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากท้องถิ่นและแต่งกายตามท้องถิ่นไม่ได้มีหลักหรือ\nเกณฑ์ที่ใช้กันโดยทั่วไปในวงการนาฏศิลป์ไทยทั่วประเทศสามารถปรับปรุงหรื่อเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาสที่แสดง จึงถือว่า การฟ้อนและการเซิ้งเป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่", "title": "นาฏศิลป์ไทย" }, { "docid": "866491#0", "text": "วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ () เดิมชื่อโรงเรียนช่างกลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นวิทยาลัยทางด้านอาชีวศึกษา ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น", "title": "วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" }, { "docid": "12104#3", "text": "ตราประจำมหาวิทยาลัย ใช้สัญลักษณ์ เจดีย์ทรงล้านช้าง หมายถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภายในมีดอกบัวหลวงประดิษฐานอยู่บนแท่นรองรับของเส้น 3 เส้น ดอกบัวมีสีกลีบบัว อันหมายถึงสัญลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี และเส้น 3 เส้นที่เป็นฐานรองรับดอกบัวนั้น หมายถึงแม่น้ำสายสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ แม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล ลักษณะของดอกบัวเป็นประเภทบัวเหนือน้ำที่พร้อมจะ เบ่งบาน ให้ความดีงามแก่มหาชนได้ชื่นชม ส่วนกลีบดอกบัวด้านล่างสองกลีบ หมายถึง คุณธรรมและปัญญาอันเป็นเปลือกหุ้มสถาบันสำหรับดอกตูมสามกลีบหมายถึง องค์พระรัตนตรัย สีน้ำเงิน ที่เป็นขอบเส้นของตรามหาวิทยาลัยนั้นมีความ หมายถึง ความมั่นคงแข็งแรงและสีเหลืองสดที่เป็นพื้น หมายถึง สีประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ได้แก่ ต้นกันเกรา เป็นไม้สูงประมาณ 25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ใบดกหนาทึบ สีเขียวแก่เป็นมัน ดอกสีเหลืองอมแสด ออกดอกที่ช่อปลายกิ่ง มีกลิ่นหอมเย็นระรื่นอยู่ 7 วัน จากนั้นจะมีกลิ่นเหม็น ไม้กันเกราสื่อความหมายถึงเครื่องป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ และทำให้เสาเรือนมั่นคง ต้นกันเกราเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี เป็นต้นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่พบมากใน บริเวณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก “มันปลา” ภาคใต้ เรียก“ตำเสา”ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็น ช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีเหลือง อักษรย่อ คือ ม.อบ.", "title": "มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" }, { "docid": "332066#9", "text": "เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเมื่อมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย และร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านประเทศไทยทำให้มีฝนชุกทั่วไป ร่องความกดอากาศต่ำนี้ปกติจะพาดผ่านภาคใต้ในเดือนพฤษภาคม แล้วจึงเลื่อนขึ้นไปทางเหนือตามลำดับจนถึงช่วงประมาณปลายเดือนมิถุนายน จะพาดผ่านอยู่บริเวณประเทศจีนตอนใต้ ทำให้ฝนในประเทศไทยลดลงระยะหนึ่ง และเรียกว่าเป็น \"ช่วงฝนทิ้ง\" ซึ่งอาจนานประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หรือบางปีอาจเกิดขึ้นรุนแรงและมีฝนน้อยนานนับเดือน ในเดือนกรกฎาคมปกติร่องความกดอากาศต่ำจะเลื่อนกลับลงมาทางใต้พาดผ่านบริเวณประเทศไทยอีกครั้ง ทำให้มีฝนชุกต่อเนื่อง จนกระทั่งมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยแทนที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณกลางเดือนตุลาคมประเทศไทยตอนบน จะเริ่มมีอากาศเย็นและฝนลดลง โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เว้นแต่ภาคใต้ยังคงมีฝนชุกต่อไปจนถึงเดือนธันวาคมและมักมีฝนหนักถึงหนักมาก จนก่อให้เกิดอุทกภัย โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งจะมีปริมาณฝนมากกว่าภาคใต้ฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นฤดูฝนอาจจะช้าหรือเร็วกว่ากำหนดได้ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ การพิจารณาปริมาณฝนในเวลา 24 ชั่วโมงของแต่ละวัน จะนับตั้งแต่เวลา 07.00 น. จนถึงเวลา 07.00 น. ของวันถัดไป โดยมีเกณฑ์แบ่งดังนี้", "title": "ภูมิอากาศไทย" }, { "docid": "315586#0", "text": "ฝั่งทะเลด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกา หรือเรียกว่า ชายฝั่งตะวันออก () หมายถึง รัฐฝั่งทะเลซึ่งตั้งในภาคกลางหรือภาคเหนือของสหรัฐอเมริกา โดยมีอาณาเขตติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก และแคนาดา ด้วยเหตุผลทางด้านภูมิศาสตร์ คำว่า \"ชายฝั่งตะวันออก\" (Eastern Seaboard) ได้มีการใช้อย่างกว้างขวาง; ในการใช้ที่ได้รับความนิยม \"East Coast\" มักเป็นคำที่ใช้ซึ่งเจาะจงหมายถึงเฉพาะครึ่งทางเหนือของพื้นที่ดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนครึ่งทางใต้ของพื้นที่ดังกล่าวมักถูกพิจารณาว่าเป็นภาคใต้หรือภาคตะวันออกเฉียงใต้", "title": "ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ" }, { "docid": "752982#0", "text": "คอนเสิร์ตชีวิตสัมพันธ์ สายธารสู่อิสานเขียว หรือที่นิยมเรียกกันว่าคอนเสิร์ต เวลคัม ทู อิสานเขียว เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ของวงคาราบาว จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ สนามกีฬากองทัพบก ซึ่งคอนเสิร์ตนี้มีผู้ชมมากกว่า 100,000 คน และได้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 อีกด้วย โดยรายได้จะนำไปมอบให้โครงการอิสานเขียวของกองทัพบก เพื่อแก้ปัญหาความแห้งแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในภายหลังได้มีการทำเทปออกมาวางจำหน่ายโดย อามีโก้ ด้วย ในปี พ.ศ. 2531\nแต๋ว แว่วหวาน , ต้อย , วิชาญ อามีโก้ , ทบ.", "title": "คอนเสิร์ตสายธารสู่อิสานเขียว" }, { "docid": "5272#0", "text": "จังหวัดชัยภูมิ (เดิมสะกดว่า ไชยภูมิ์[1]) เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย แต่หากแบ่งตามภูมิศาสตร์ ชัยภูมิอยู่จะในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตก ร่วมกับจังหวัดเลย และนครราชสีมา หากแบ่งตามลักษณะภูมิอากาศจะจัดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และแบ่งตามแบบเขตการปกครองจะจัดอยู่ในกลุ่มภาคอีสานตอนล่าง", "title": "จังหวัดชัยภูมิ" }, { "docid": "7585#19", "text": "หม่อมอมรวงศ์วิจิตร กล่าวไว้ในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานกล่าวว่า เดิมพื้นที่ในมณฑลลาวทางนี้ เมื่อก่อนจุลศักราชได้ 1,000 ปี ก็เป็นทำเลป่าดง (เป็นการเรียกไปเองของสมัยกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกคนอันสืบเชื้อสายมาแต่ขอม ต่อมาเรียกกันว่า กูย(กวย) ซึ่งยังมีอาศัยอยู่ในฝั่งโขงตะวันออก ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างปราสาทหิน และจากอิฐดินเผาจำนวนมากมีกระจายอยู่ทั่วไปในแถบอิสานใต้ ละโว้ (ลพบุรี) ไปจนถึงในเขตภาคกลาง (สมัยกรุงศรีอยุธยา หรือ) และภาคเหนือตอนล่าง", "title": "จังหวัดสุรินทร์" }, { "docid": "97144#0", "text": "สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือเรียกว่า หมอชิตใหม่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า หมอชิต 2 ตั้งอยู่บนถนนกำแพงเพชร 2 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งมีบริการรถโดยสารปรับอากาศสำหรับเดินทางไป ภาคกลาง, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในส่วนภาคตะวันออก และภาคใต้ จะมีให้บริการในบางเส้นทาง", "title": "สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร)" }, { "docid": "320589#0", "text": "ชีวิตสัมพันธ์ เป็นเพลงที่แต่งโดย ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) ร่วมกับ อัสนี โชติกุล ขับร้องบันทึกเสียงโดยเหล่าศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวไทยรวม 8 คน โดยเป็นซิงเกิลการกุศลในปี พ.ศ. 2530 ซึ่งมีเนื้อหาอุทิศแก่มวลมนุษยชาติกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโครงการอิสานเขียวของกองทัพบก อันเนื่องมาจากปัญหาความแห้งแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เพื่อเป็นกำลังใจในการต่อสู้หรือเสนอแนวทางต่อปัญหาเหล่านั้นได้\"ชีวิตสัมพันธ์\" ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในคอนเสิร์ต เวลคัม ทู อิสานเขียว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ สนามกีฬากองทัพบก โดยเป็นเพลงสำคัญซึ่งเหล่าศิลปินบนเวทีทั้งหมดมาร่วมร้องเพลงก่อนปิดงาน โดยภายหลังได้บรรจุในอัลบั้มเทปแพคคู่บันทึกการแสดงสด คอนเสิร์ตสายธารสู่อิสานเขียว และอัลบั้ม \"ถึก\" เนื่องในโอกาส 10 ปีของวงคาราบาว ในปี พ.ศ. 2534 และยังกลายเป็นเพลงระดับตำนานที่ใช้รณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสภาวะแวดล้อม อีกอย่างเป็นเพลงที่น่าจดจำและเด่นชัดได้มากกว่าสำหรับการร่วมงานระหว่าง ยืนยง กับ อัสนี", "title": "ชีวิตสัมพันธ์" }, { "docid": "6993#0", "text": "จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นจังหวัดศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง จังหวัดขอนแก่นมีเทศบาลนครขอนแก่นเป็นศูนย์กลางของจังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ในจุดที่ถนนมิตรภาพ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (ถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก) ตัดผ่าน ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญอีกเส้นหนึ่งในการเดินทางจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางเข้าไปสู่ภาคเหนือตอนล่างที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และเดินทางเข้าสู่ประเทศลาวทางด้านทิศใต้ของลาว อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจังหวัดเลย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกาฬสินธุ์ ทิศใต้ติดกับจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดชัยภูมิและจังหวัดเพชรบูรณ์", "title": "จังหวัดขอนแก่น" }, { "docid": "724082#0", "text": "แจงหรือแกง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กในวงศ์ Capparaceae ผลัดใบในช่วงสั้นๆทรงพุ่มแน่นทึบ ใบประกอบ ผลรูปรีหรือกลม สุกแล้วเป็นสีเหลืองฉ่ำน้ำ ออกดอกช่วงมกราคม – มีนาคม ผลแก่ในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน กระจายพันธุ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก พบครั้งแรกในประเทศไทยโดย J.E. Teijsmann ชาวเนเธอร์แลนด์ที่จังหวัดราชบุรี ชื่อสปีชีส์ตั้งตามประเทศไทย ใช้เป็นไม้ประดับ", "title": "แจง" }, { "docid": "985053#4", "text": "ในภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อุณหภูมิจะแตกต่างกันมากในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ซึ่งในฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำสุดในตอนเช้าจะอยู่เกณฑ์หนาวถึงหนาวจัดในเดือนธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งอุณหภูมิอาจลดลงได้จนต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหรือยอดเขาสูงของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลมพื้นผิวโดยมากเป็นลมฝ่ายเหนือและลมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนความชื้นสัมพัทธ์จะลดลงอย่างชัดเจน", "title": "ฤดูหนาวในประเทศไทย พ.ศ. 2561–2562" }, { "docid": "782253#0", "text": "เวลคัม ทู อิสานเขียว หรือที่นิยมเรียกกันว่าคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตสายธารสู่อิสานเขียว เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ของวงคาราบาว จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ สนามกีฬากองทัพบก ซึ่งคอนเสิร์ตนี้มีผู้ชมมากกว่า 100,000 คน และมีการบันทึกเทปแสดงสดทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 อีกด้วย โดยรายได้จะนำไปมอบให้โครงการอิสานเขียว ของกองทัพบก เพื่อแก้ปัญหาความแห้งแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในภายหลังได้มีการทำเทปออกมาวางจำหน่ายโดย อามีโก้ ในปี พ.ศ. 2531 ด้วย\nแต๋ว แว่วหวาน , ต้อย , วิชาญ อามีโก้ , ทบ.", "title": "คอนเสิร์ต เวลคัม ทู อิสานเขียว" }, { "docid": "243323#4", "text": "คำเล่าว่าเมื่อประมาณร้อยกว่าปีได้มีชาวอิสานที่เดินทางมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อทำการค้าวัวควาย และได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่จนกลายเป็นหมู่บ้านและสืบลูกสืบหลานมาจนถึงปัจจุบัน และในปัจจุบันชาวบ้านยังนิยมใช้ภาษาลาวในการพูดคุยและสนทนากันอยู่ และมีการสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน น่าเป็นที่ชื่นชบว่าชาวบ้านยังคงอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่นเอาไว้อยู่เสมอ", "title": "วัดพรหมทินใต้" }, { "docid": "110262#2", "text": "พบในป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง เทือกเขาหิมาลัย จีน ไต้หวัน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มันชอบอยู่เดี่ยว บางครั้งพบเป็นคู่หรือฝูงเล็ก ๆ หากินอยู่ในระดับกลางของยอดไม้ โดยกระโดดจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่ง ระหว่างเคลื่อนที่มักส่งเสียงร้องไปด้วย คล้ายเป็นการเรียกสมาชิกในฝูง ", "title": "นกปีกลายสก็อต" }, { "docid": "651985#0", "text": "ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (; ) เป็นภูมิภาคทางตอนเหนือของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงในประเทศเวียดนาม ที่เรียกว่า \"ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ\" นั้นก็เพื่อให้แตกต่างจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ความจริงภูมิภาคนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือรวมทั้งตะวันออกเฉียงเหนือของฮานอย กินพื้นที่กว้างขวางกว่าเหวียตบั๊ก (ภาคเหนือ) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหนึ่งในสามภูมิภาคทางตอนเหนือของเวียดนาม (อีกสองภูมิภาคคือภาคตะวันตกเฉียงเหนือและดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง) บางครั้ง \"ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ\" ก็นับรวมดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงด้วย", "title": "ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เวียดนาม)" } ]
1551
มองโกเลีย เป็นประเทศหรือทวีป ?
[ { "docid": "2123#0", "text": "มองโกเลีย (; \"มงกลอุลุส\") เป็นประเทศในทวีปเอเชียที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกรองจากประเทศคาซัคสถาน มีพรมแดนทางเหนือติดกับประเทศรัสเซีย และทางใต้ติดกับประเทศจีน มีพื้นที่ที่สามารถใช้สำหรับการเกษตรได้น้อยกว่าร้อยละหนึ่ง", "title": "ประเทศมองโกเลีย" }, { "docid": "2123#6", "text": "มองโกเลียแบ่งเขตออกเป็น 21 จังหวัด ซึ่งชาวมองโกลเรียกว่า \"aymag: ไอมัก\" (ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า ) แต่เดิม มองโกเลียเป็นมณฑลของจีน จึงมีการแบ่งมองโกเลียเป็นเขตย่อยลงไปอีก แล้วยังคงเป็นเช่นนี้หลังจากที่มองโกเลียเป็นเอกราชไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมองโกเลีย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2517 โดยกำหนดให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง มีเขตอาณาครอบคลุมมองโกเลีย และแต่งตั้งให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงอูลันบาตอร์อีกตำแหน่งหนึ่ง\nสำหรับฝ่ายมองโกเลียในช่วงแรกได้แต่งตั้งให้เอกอัครราชทูตมองโกเลีย ณ เวียงจันทน์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 มองโกเลียได้เปิดสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยขึ้น มีนาย Luvsandorj Bayart เป็นเอกอัครราชทูตมองโกเลียคนแรก \nความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลียโดยทั่วไปดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้มองโกเลียไม่ใช่ประเทศสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของไทย และสองฝ่ายยังไม่มีความร่วมมือที่เข้มข้นระหว่างกัน แต่ไทยและมองโกเลียพยายามรักษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อเป็นช่องทางการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง โดยไทยให้ความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่มองโกเลีย โดยคำนึงว่ามองโกเลียเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีทางออกทะเล และนักลงทุนไทยเริ่มรุกเข้าไปลงทุนที่มองโกเลีย โดยเฉพาะในสาขาเหมืองแร่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา \nมองโกเลีย สนับสนุนไทยด้วยดีในเวทีระหว่างประเทศ และให้ความสำคัญต่อประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และมีบทบาทโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ จึงประสงค์จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งต้องการให้ไทยเป็นพันธมิตรกับมองโกเลียในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ", "title": "ประเทศมองโกเลีย" }, { "docid": "2123#3", "text": "มองโกเลียเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิมองโกลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งต่อมาได้ยึดอำนาจเข้าปกครองจีนในนามของราชวงศ์หยวนแต่ก็ต้องมาเสียอำนาจเมื่อราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงเข้ามามีอำนาจซึ่งทางมองโกเลียเองต้องอยู่ใต้อำนาจของราชวงศ์ดังกล่าวอีกด้วย มองโกเลียได้รับเอกราชจากจีนเมื่อปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) จากการช่วยเหลือของสหภาพโซเวียตแต่ต้องสถาปนาการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตามแบบประเทศเพื่อนบ้าน ลัทธิคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลงจากมองโกเลียเมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ปีเดียวกันกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมามองโกเลียได้นำระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาใช้กับตน", "title": "ประเทศมองโกเลีย" }, { "docid": "2123#1", "text": "มองโกเลียมีประชากรเพียง 3 ล้านกว่าคน แต่มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยถึงกว่า 3 เท่า ซึ่งทำให้ประเทศมองโกเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุดในโลก ประชากรส่วนมากนับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยานแบบทิเบต และประชากรร้อยละ 38 อาศัยอยู่ในเมืองหลวงอูลานบาตอร์พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบทะเลทราย ทำให้เป็นประเทศที่มีประชากรเบาบางที่สุดในโลก", "title": "ประเทศมองโกเลีย" }, { "docid": "436215#0", "text": "สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย () คือรัฐคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกระหว่าง พ.ศ. 2464 ถึง พ.ศ. 2535 หลังจากมองโกเลียได้รับเอกราชจากจีน จากการช่วยเหลือของสหภาพโซเวียตแต่ต้องสถาปนาการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตามแบบประเทศเพื่อนบ้าน ลัทธิคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลงจากมองโกเลียเมื่อปี พ.ศ. 2533 ปีเดียวกันกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมามองโกเลียได้นำระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาใช้กับตน", "title": "สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย" }, { "docid": "111342#0", "text": "ชาวมองโกล หรือ ชาวมองโกเลีย เป็นกลุ่มชนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศมองโกเลีย และ เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ของประเทศจีน", "title": "มองโกล (กลุ่มชาติพันธุ์)" } ]
[ { "docid": "97866#0", "text": "มองโกลอยด์ () คือ คำจำกัดความของกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียเหนือ เอเชียใต้ อาร์กติก ทวีปอเมริกา และหมู่เกาะแปซิฟิก และเป็นส่วนหนึ่งของ \"\"(3 เผ่าพันธุ์หลัก) ตามแนวคิดของ นักธรรมชาติวิทยาและนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ร่วมกับเผ่าพันธุ์คอเคซอยด์และนิกรอยด์ คำว่า มองโกลอยด์ เป็นการผสมคำระหว่างคำว่า มองโกล() หมายถึงชาติพันธุ์มองโกลในเขตทุ่งหญ้าสเตปป์ของภูมิภาคเอเชียเหนือและประเทศมองโกเลียในปัจจุบัน กับ οειδές (-ออยเดส) หรือ είδες (-อิเดส) ในภาษากรีกโบราณ แปลว่า มีรูปแบบของ, มีลักษณะของ เมื่อรวมกันจึงมีความหมายถึง \"เผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะเหมือนชาวมองโกล\"", "title": "มองโกลอยด์" }, { "docid": "2123#7", "text": "ที่ผ่านมา มีความร่วมมือกันไม่มากนักแต่ได้เริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น เมื่อมองโกเลียได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการฝึกคอบร้าโกลด์ เมื่อปี 2545 นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติมองโกเลีย ได้เสนอให้มีความร่วมมือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย เพื่อความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และปรึกษาหารือในประเด็นที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน โดยได้ส่งร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งสองให้ฝ่ายไทยพิจารณา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2555 \nในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไทยกับมองโกเลียมีการแลกเปลี่ยนการเยือน และการพบหารือระดับสูงเพิ่มมากขึ้นและนายกรัฐมนตรี ได้พบหารือกับประธานาธิบดีมองโกเลียในช่วงการประชุมเอเชียยุโรป (ASEM) ครั้งที่ 9 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 และนายกรัฐมนตรีเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีของประชาคมประชาธิปไตย (Community of Democracies) ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 27-29 เมษายน 2556 \nสภาความมั่นคงแห่งชาติมองโกเลีย ได้เสนอให้มีความร่วมมือกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย เพื่อความร่วมมือในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และปรึกษาหารือในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในร่างความร่วมมือดังกล่าวแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาการลงนาม \nเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือทวิภาคีกับ นายลูฟซันวันดันโบล์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้ามองโกเลีย ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศไม่ฝักฝ่ายใด (NAM) ครั้งที่ 16 ที่กรุงเตหะราน \nไทยกับมองโกเลีย ยังมีความร่วมมือมากขึ้นในกรอบรัฐสภา ผ่านกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาไทย-มองโกเลีย โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26-30 ตุลาคม 2556 รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 (นายเจริญ จรรย์โกมล) และคณะได้เดินทางเยือนมองโกเลีย", "title": "ประเทศมองโกเลีย" }, { "docid": "17294#0", "text": "เม็กซิโก (; ) หรือชื่อทางการคือ สหรัฐเม็กซิโก (; ) เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนทางทิศเหนือจรดสหรัฐอเมริกา ทิศใต้และทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดกัวเตมาลา เบลีซ และทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันออกจรดอ่าวเม็กซิโก เนื่องจากครอบคลุมพื้นที่ถึงเกือบ 2 ล้านตารางกิโลเมตร เม็กซิโกจึงเป็นประเทศที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของทวีปอเมริกา และเป็นอันดับที่ 15 ของโลก นอกจากนี้ยังมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก โดยมีการประมาณไว้ว่า เมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ประเทศนี้มีจำนวนประชากร 128,632,000 ล้านคน", "title": "ประเทศเม็กซิโก" }, { "docid": "296126#10", "text": "ที่ทวีปอเมริกาใต้ ในประเทศโบลิเวีย ก็มีเรื่องราวของสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายหนอนมรณะมองโกเลียนี้ มีชื่อเรียกว่า \"Minhocão\" ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกสแปลว่า ไส้เดือนดินยักษ์", "title": "หนอนมรณะมองโกเลีย" } ]
3768
เรลกัน แฟ้มลับคดีคดีวิทยาศาสตร์ ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "368391#0", "text": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อเรื่องคู่ขนาน (side story) กับเรื่อง อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม โดยมีการดำเนินเรื่องไปในด้านวิทยาศาสตร์ภายในเมืองกากุเอ็น หรือ เมืองแห่งการศึกษา () ดำเนินเรื่องโดยศูนย์กลางอยู่ที่ มิซากะ มิโคโตะ ฉายภาคแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2553 จำนวน 24 ตอน และ ภาคที่สอง ใช้ชื่อว่า To aru Kagaku no Railgun S ฉายเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2556 - 27 กันยายน พ.ศ. 2556", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" } ]
[ { "docid": "368391#11", "text": "(in Japanese) Anime (manga) at Anime News Network's encyclopedia (anime) at Anime News Network's encyclopedia", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "534313#0", "text": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ เป็นรายชื่อตัวละครจากเรื่อง อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และ เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ ซึ่งสัมพันธ์กันและใช้ตัวละครหลักชุดเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่เรื่องแรกเน้นเวทมนตร์คาถา เรื่องหลังเน้นวิทยาศาสตร์", "title": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#6", "text": "ซาเต็น รุยโกะ () ให้เสียงโดย: อิโต คานาเอะ , อภิญญา พรมานะสุขุม เกิดวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.2002 เพื่อนสนิทของอุยฮารุที่มักจะเรียกชื่อเล่นๆว่า ซาเต็นซัง ชอบเปิดกระโปรงอุยฮารุเวลาอยู่ต่อหน้าสาธารณชนเป็นประจำ ซาเต็นซังมีนิสัยร่าเริงอยู่ตลอดเวลาและชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับข่าวลือต่างๆ (สาวถอดและเลเวลอัปเปอร์ด้วย) แต่เธอมักจะคิดมากเกี่ยวกับปมด้อยเรื่องไร้พลังพิเศษ แม้เธอจะได้เจอกับมิซากะและชิราอิที่มีพลังพิเศษระดับสูงแล้วทำให้มุมมองและความอคติกับผู้มีระดับสูงกว่าเปลี่ยนไปบ้าง แต่ในความคิดของรุยโกะก็ยังอยากได้พลังพิเศษให้เหมือนกับทุกๆคน ทำให้ซาเต็นซังคิดที่จะใช้เลเวลอัปเปอร์เพื่อพัฒนาพลังพิเศษของตัวเอง พลังพิเศษของซาเต็นที่ปรากฏออกมาอ่อนๆ คือ กระแสลม (Wind Control) แต่ก็ทำให้ซาเต็นซังกลายเป็น 1 ใน 10,000 ของผู้ที่เป็นเหยื่อเลเวลอัปเปอร์ด้วยเช่นกัน", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#3", "text": "มิซากะ มิโคโตะ () ให้เสียงโดย: ซาโตะ รินะ , ชิดชนก แย้มมา เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ.2000 ตัวเอกของเรื่อง เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ เด็กสาวผู้ที่มีพลังพิเศษในด้าน Electromaster เอสเปอร์ระดับ 5 แถมยังเป็นอันดับ 3 ของเมืองแห่งการศึกษาที่มีระดับ 5 เพียง 7 คน เท่านั้น มิซากะอยู่โรงเรียนโทคิวะไดและเป็นผู้มีพลังพิเศษที่ควบคุมกระแสไฟฟ้าระดับสูง สามารถหมุนเหรียญด้วยไฟฟ้า โดยแปลงไฟฟ้าเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าให้มีความเร็วเหนือเสียง 3 เท่าแล้วยิงออกไป จึงได้ฉายาที่ทุกคนในเมืองรู้จักว่า Railgun นิสัยของมิซากะออกจะเป็นคนหัวดื้อและห้าวนิดๆ ชอบใส่กางเกงขาสั้นไว้ใต้กระโปรงเสมอ ชอบของทุกอย่างที่เป็นตัวเกะโคะตะมากๆ (กบ) มีรสนิยมในการเลือกชุดเป็นสไตล์เด็กๆ (ตั้งแต่ชุดนอน ชุดว่ายน้ำ หรือแม้แต่ชุดชั้นใน) นิสัยอีกอย่างคือเป็นคนกลัวแมลงชนิดที่เรียกว่าขึ้นสมองเลยทีเดียว นอกจากนี่ยังมีเสน่ห์ในหมู่รุ่นน้องของโรงเรียนด้วย มิซากะอยู่หอพักของโรงเรียน โดยมี คุโรโกะ เป็นรูมเมทเนื่องจากคุโรโกะบุกรุกเข้าไปในห้องของมิซากะจนต้องอยู่ด้วยกันมาตลอด", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "181157#5", "text": "\"แฟ้มลับคดีพิศวง\" เล่าเรื่องของการทำงานและชีวิตส่วนของของเจ้าหน้าที่พิเศษฟอกซ์ มัลเดอร์แห่งเอฟบีไอ และแดนา สกัลลี มัลเดอร์เป็นนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่มีพรสวรรค์และมีความเชื่ออย่างมากต่อเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ", "title": "แฟ้มลับคดีพิศวง" }, { "docid": "534313#4", "text": "เป็นสาขาย่อยของสกิลเอาท์ ที่ออกมาป่วนเมืองโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าคาปาซิตี้ดาวส์โดยจะทำให้ผู้ใช้พลังจิตใช้พลังไม่ได้ กลุ่มบิ๊ก สไปเดอร์มีสมาชิกดังนี้", "title": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "181157#3", "text": "ฟอกซ์ มัลเดอร์ เป็นตัวละครหลักใน \"แฟ้มลับคดีพิศวง\" ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 1 ถึง 7 และถูกตัดออกไปในฤดูกาลที่ 8-9 เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างดูคอฟนีกับคาร์เตอร์ โดยคริส คาร์เตอร์กำหนดให้มัลเดอร์ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป และมีเจ้าหน้าที่พิเศษสองคนเข้ามารับผิดชอบแฟ้มคดีเอ็กซ์แทน คือ จอห์น ด็อกเกตต์ (รับบทโดยรอเบิร์ต แพทริก) และมอนิกา เรย์ส (รับบทโดยแอนนาเบท กิช) นอกจากนี้ในช่วงปลายฤดูกาลที่ 3 คริส คาร์เตอร์ยังเขียนบทให้สกัลลีย์ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป และเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาอย่างลึกลับ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่จิลเลียน แอนเดอร์สัน ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ไพเพอร์ มารู เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1994", "title": "แฟ้มลับคดีพิศวง" }, { "docid": "368391#9", "text": "only my railgun อัลบั้มเพลงเปิดเพลงแรก ขับร้องโดย fripSide Dear My Friend (Mada Minu Mirai e) อัลบั้มเพลงปิดเพลงแรก ขับร้องโดย ELISA Smile You and me อัลบั้มเพลงปิดของตอนที่12 ขับร้องโดย ELISA LEVEL5-judgelight- อัลบั้มเพลงเปิดเพลงที่สอง ขับร้องโดย fripSide Real Force อัลบั้มเพลงปิดเพลงที่สอง ขับร้องโดยELISA future gazer อัลบั้มเพลงในOVA ขับร้องโดย fripSide Special \"ONE\" อัลบั้มเพลงในOVA ขับร้องโดยELISA", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "181157#0", "text": "แฟ้มลับคดีพิศวง () เป็นภาพยนตร์ชุดสืบเนื่องทางโทรทัศน์แนวไซไฟที่ถือว่ายาวที่สุดเป็นอันดับสอง รองจากสตาร์เทร็ค ออกอากาศถึง 10 ฤดูกาล จำนวนตอนทั้งหมด 208 ตอน เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่าง ๆ ถึง 141 ครั้ง และสามารถชนะถึง 61 รางวัลจากผู้มอบรางวัล 24 สถาบัน รวมถึงรางวัลเอ็มมี, รางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลเอ็นไวรอนเมนทัลมีเดีย และรางวัลสกรีนแอกเตอร์สไกด์", "title": "แฟ้มลับคดีพิศวง" }, { "docid": "230646#0", "text": "บทความนี้เป็นมีเนื้อหาเกี่ยวกับ อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม หากต้องการทราบเนื้อเรื่องคู่ขนานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โปรดไปที่ เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ แทน", "title": "อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม" }, { "docid": "230646#6", "text": "คามิโจว โทวมะ () ให้เสียงโดย: อาเบะ อัทสึชิ , มนูญ เรืองเชื้อเหมือน , นนท์ ศรีโพธิ์ - อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม เดอะมูฟวี่ ปาฏิหาริย์แห่งเอนเดเมียน , อิทธิพล มามีเกตุ - แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ S เป็นชายหนุ่มผู้มีพลังพิเศษ แต่ถูกประเมินไว้ว่าอยู่ในระดับ 0 คือ ระดับต่ำสุด เพราะไม่สามารถวัดระดับพลังได้ มือขวาของเขาสามารถลบล้างอำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นพลังจิต หรือเวทมนตร์ นั่นคือเมื่ออยู่ในหมู่ผู้คนทั่วไป เขาจะดูเหมือนคนธรรมดา ถ้าจะป้องกันตัวก็ทำได้แค่ชกต่อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังพิเศษหรือเวทมนตร์ พลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้น จะไม่สามารถทำอันตรายเขาได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เขาซวยอยู่ตลอด", "title": "อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม" }, { "docid": "368391#10", "text": "Sister noise อัลบั้มเพลงเปิดเพลงแรก ขับร้องโดย fripSide Grow Slowly อัลบั้มเพลงปิดเพลงแรก ขับร้องโดย Yuka Iguchi", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#5", "text": "อุยฮารุ คาซาริ () ให้เสียงโดย: โทโยซากิ อากิ , พนาวรรณ ศรีวะโลสกุล เกิดวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ.2001 อุยฮารุอยู่สังกัดของกลุ่ม Judgement ซึ่งเป็นสังกัดเดียวกันกับคุโรโกะ โดยเธอมักจะทำงานJudgement เป็นคู่หูกับคุโรโกะอยู่เสมอ อุยฮารุมีนิสัยร่าเริง ขี้อาย ถ่อมตัว และหลงใหลคนดังอยู่เสมอ เธอมักใส่ที่คาดผมประดับด้วยดอกไม้อยู่บนหัวไว้ตลอดเวลา อุยฮารุมีเพื่อนสนิทที่มักเรียกเสมอว่า ซาเต็นซัง โดยทั้งคู่อยู่คนละโรงเรียนกับมิซากะและคุโรโกะ อุยฮารุมีความสามารถในการดูข้อมูล และจดจำข้อมูลต่างๆได้อย่างแม่นยำจากคอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊คติดตัว อุยฮารุจึงทำงานคู่กับคุโรโกะโดยเธอจะเป็นคนให้ข้อมูลต่างๆเวลาปฏิบัติงานจัดจ์เมนต์ของคุโรโกะเสมอ ในด้านพลังอุยฮารุมีพลังพิเศษระดับ 1 เป็นพลังที่สามารถควบคุมอุณหภูมิของวัตถุ", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#1", "text": "ในภาคแรก มิซากะกับเพื่อนร่วมกันสืบสวนเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ที่เรียกกันว่า เลเวล อัปเปอร์ (Level Upper) ซึ่งสามารถเพิ่มพลัง เพิ่มเลเวลให้กับผู้มีพลังจิต (ในฝ่ายวิทยาศาสตร์) แต่กลับทำให้ผู้ได้รับการเพิ่มเลเวลนั้น ต้องได้รับอันตราย ถึงกับต้องเข้าโคม่าภายหลังจากใช้พลังพิเศษ ซาเต็น รุยโกะ เพื่อนสนิทของ อุยฮารุ ที่พบเพลง เลเวล อัปเปอร์ โดยการสร้างของนักวิจัยฝ่ายวิชาการ คิยามะ ฮารุมิ เป็นกลไกของเครือข่ายสมองของผู้ไม่มีพลังพิเศษ หรือมีพลังพิเศษในระดับต่ำ ทำให้ผู้ไม่มีพลังพิเศษ สามารถใช้พลังพิเศษได้ แต่ก็ต้องล้มป่วยไป ซาเต็น รุยโกะ ก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยด้วย ในครึ่งหลังของซีรีส์ ได้กล่าวถึงพวกสกิลเอาท์ กลุ่มบิ๊กสไปเดอร์ ที่ตามล่าผู้มีพลังจิต หรือพลังพิเศษ โดยใช้เสียงปริศนาที่ทำให้ผู้มีพลังพิเศษ ไม่สามารถใช้พลังได้ และเข้าทำร้ายผู้มีพลังจิต", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "534313#6", "text": "ครอบครัวของนักวิทยาศาสตร์ สมาชิกในครอบครัวมักเป็นผู้ทำการทดลองสร้างผู้มีพลังจิต Level 6 ซึ่งสมาชิกในครอยครัวมีประมาณ 3000-4000 คน โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้สืบสายเลือดเดียวกันมีสมาชิกดังนี้", "title": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#4", "text": "ชิราอิ คุโระโกะ () ให้เสียงโดย: อระอิ ซาโตมิ , ศันสนีย์ ติณห์กีรดีศ เกิดวันที่ 12 มกราคม ค.ศ.2001 เด็กสาวผู้มีความสามารถด้าน Teleporter (Teleport - การเคลื่อนที่ทางไกลอย่างฉับพลัน) เอสเปอร์ระดับ 4 ของโรงเรียนโทคิวะได เป็นรุ่นน้องและรูมเมทของมิซากะ และมักจะเรียกมิซากะว่า \"Onee-sama\"(คุณพี่) คุโรโกะมีพลังพิเศษคือการเทเลพอร์ท ที่สามารถเทเลพอร์ทตัวเอง และเทเลพอร์ทสิ่งของรวมถึงผู้อื่นด้วยได้การสัมผัส แต่จะไม่สามารถเทเลพอร์ทได้หากถูกจับตัวและเทเลพอร์ทได้รอบละ 2 คนเท่านั้น คุโรโกะสังกัดอยู่กับหน่วย Judgement ซึ่งคอยดูแลรักษาความสงบในเมืองกาคุเอนเขตที่ 7 คุโรโกะมีรสนิยมในการแต่งตัวที่จัดและดูโรคจิตมาก โดยเฉพาะชุดว่ายน้ำ หรือชุดชั้นใน (ไม่มีชุดธรรมดาเนื่องจากกฎของโรงเรียน คือ ต้องใส่ชุดของโทคิวะไดทุกครั้งเมื่อออกไปข้างนอกแม้จะเป็นวันหยุด) ชอบลวนลามมิซากะทุกครั้งเมื่อได้โอกาส ไม่ว่าจะเป็นการขโมยชั้นใน จับหน้าอก ขโมยจูบ พยายามกอด หรือแม้แต่การแอบถ่ายมิซากะเวลาต่างๆ ด้วยนิสัยเหล่านี้จึงทำให้ถูกมิซากะอัดหรือช๊อตไฟฟ้าใส่ทุกครั้ง ด้วยความที่คุโรโกะรักมิซากะจนหมดหัวใจ จึงพยายามตื๊อให้มิซากะรับรักตนให้ได้และไม่เลือกวิธีการ แต่ก็ประสบความล้มเหลวหรือแผนแตกก่อนทุกครั้ง", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "901600#1", "text": "ดร.แบรนแนน ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงกระดูก เพียงแค่เห็นโครงกระดูกก็สามารถระบุได้ว่าเป็นเพศชายหรือว่าหญิง ช่วงอายุ เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ วันหนึ่ง ดร.แบรนแนน ได้เข้าร่วมทีมสอบสวนคดีฆาตกรรมต่างๆกับเจ้าหน้าที่บูธซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ของทาง FBI โดยเจ้าหน้าที่บูธนั้น ต้องการความสามารถของ ดร.แบรนแนน มาช่วยในการวิเคราะห์ เพศ วัย ช่วงเวลาการเสียชีวิต สาเหตุการเสียชีวิต รวมไปถึงระบุข้อมูลคร่าวๆ ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เพื่อให้ทาง FBI นั้นสามารถหาได้ว่ามีใครบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนั้นๆ", "title": "พลิกซากปมมรณะ" }, { "docid": "534313#1", "text": "เป็นโรงเรียนมัธยมปลายที่ไม่ปรากฏชื่อ ที่โทมะและเพื่อน ๆ ของเขาเรียนอยู่เป็นโรงเรียนที่ แอคเซราเรเตอร์ เรียนอยู่ แลเป็นโรงเรียนหนึ่งใน 5 โรงเรียนที่มีชื่อเสียงในเมืองแห่งการศึกษา และพยายามที่จะเป็นที่ 1 เป็นโรงเรียนคู่แข่งกับ โรงเรียนโทคิวะได และไม่จำกัดว่าผู้ที่เข้ามาเรียนจะต้องมีพลังพิเศษทุกคนโรงเรียนมัธยมต้นโทคิวะได เป็นโรงเรียนที่มิซากะ มิโคโตะ กับ ชิราอิ คุโรโกะ เรียนอยู่ และเป็นโรงเรียนหนึ่งใน 5 ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในเมืองแห่งการศึกษา เป็นโรงเรียนมัธยมต้นหญิงล้วนในเขตการศึกษาที่ 7 บรรยากาศโรงเรียนแบบลูกคุณหนู และผู้ที่เข้าเรียนจะต้องมีพลังพิเศษตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป และในโรงเรียนแห่งนี้มีผู้ที่มีพลังพิเศษระดับ 5 เรียนอยู่ที่นี่ถึง 2 คน", "title": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "181157#1", "text": "\"แฟ้มลับคดีพิศวง\" เขียนบทโดยคริส คาร์เตอร์ มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอสองคน คือ ฟอกซ์ มัลเดอร์ นักจิตวิทยา (รับบทโดยเดวิด ดูคอฟนี) และแดนา สกัลลี นักฟิสิกส์และแพทย์ (รับบทโดยจิลเลียน แอนเดอร์สัน) มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับแฟ้มคดี \"เอ็กซ์\" คดีลึกลับเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้งสองคนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของวอลเตอร์ สกินเนอร์ (รับบทโดยมิตช์ พีเลจจี) ผู้ช่วยผู้อำนวยการเอฟบีไอ", "title": "แฟ้มลับคดีพิศวง" }, { "docid": "534313#5", "text": "ในเมืองแห่งการศึกษา ผู้ใช้พลังจิต Level 5 จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองแห่งการศึกษา โดย Level 5 ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 คน แต่ลำดับที่จะจัดเรียงต่อไปนี้ ไม่ได้จัดเรียงตามลำดับความแข็งแกร่ง แต่เป็นการจัดลำดับในแผนของเอสเตอร์", "title": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "52784#15", "text": "เคนโมจิ อิซามุ (剣持 勇)นายตำรวจลูกน้องของสารวัตรอาเคจิ เคนโมจิเป็นนายตำรวจที่มีฝีมือในด้านการต่อสู้และเป็นยูโดสายดำ พบกับคินดะอิจิครั้งแรกในการคลี่คลายคดีฆาตกรรมโรงละครโอเปร่า ตอนแรกหมวดเคนโมจิไม่ค่อยชอบขี้หน้าคินดะอิจิสักเท่าไหร่ และต่อมาเมื่อมีคดีเกิดขึ้น เคนโมจิมักจะขอความช่วยเหลือจากคินดะอิจิอยู่เสมอ", "title": "คินดะอิจิ กับคดีฆาตกรรมปริศนา" }, { "docid": "181157#2", "text": "ฟอกซ์ มัลเดอร์ มีความเชื่อเรื่องจานบินและมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากเขาเชื่อว่าน้องสาวของเขา ชื่อ ซาแมนทา มัลเดอร์ ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนหมกมุ่น สะสมหนังสือโป๊ และเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด ในระหว่างการสืบสวน มัลเดอร์มักถูกทัดทานโดยดานา สกัลลีย์ ที่มีนิสัยการทำงานชอบวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ และหาเหตุผลมาหักล้างมากกว่า", "title": "แฟ้มลับคดีพิศวง" }, { "docid": "368391#2", "text": "ในภาคที่สอง (To aru Kagaku no Railgun S) กล่าวไปในช่วงก่อนที่มิซากะ มิโคโตะ จะรู้เรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของ มิซากะ ซิสเตอร์ โดยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการสร้างร่างโคลนของตนเองขึ้น เพื่อผลิตผู้มีพลังพิเศษในระดับ 5 ขึ้น และข่าวลือเรื่อง Money Card ปริศนา และเธอได้พบกับ นูโนะทาบะ ชิโนบุ นักเรียนชั้นมัธยมปลาย ปีที่ 3 ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยยามาชิตะ ซึ่งเธอคือหนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในโปรเจกต์สร้างร่างโคลนจากมิซากะ มิโคโตะ ในชื่อโปรเจกต์ Radio noise หลังจากที่โปรเจกต์ดังกล่าวไม่ได้ผลตามที่คาดไว้จึงถูกยกเลิกไป และได้นำเหล่าร่างโคลน ไปใช้ในโปรเจกต์เพื่อพัฒนาความสามารถไปสู่ระดับ 6 ให้กับ แอคเซราเรเตอร์ (Level 6 Shift)", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#12", "text": "หมวดหมู่:มังงะที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2550 หมวดหมู่:อนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2552 หมวดหมู่:อนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#8", "text": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ ผลิตโดย J.C.Staff ผลงานการกำกับโดย นางาอิ ทะทสึยูกิ และเริ่มฉายในญี่ปุ่นเมื่อ 3 ตุลาคม 2552 จนกระทั่งถึง 20 มีนาคม 2553 [1] ในประเทศไทย เด็กซ์ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายในภาคนี้อย่างเป็นทางการ และในภาคที่ 2 ใช้ชื่อว่า To aru Kagaku no Railgun S", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "590751#0", "text": "ด้วยรักคือรัก เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2528 กำกับโดยหม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย นำแสดงโดยธงไชย แมคอินไตย์ หรือเบิร์ด ซึ่งรับบทเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่องแรก ซึ่งขณะนั้นเบิร์ด ยังไม่มีผลงานเพลง โดยประกบคู่แสดงกับนักร้องดังแห่งยุค อัญชลี จงคดีกิจ หรือ \"ปุ๊\" ซึ่งถือว่าเป็นศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคนั้น โดยดนตรีประกอบภาพยนตร์ ใช้เพลง \"หนึ่งเดียวคนนี้\" ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับอัลบั้มดัง ของ อัญชลี จงคดีกิจ \nวิชนีย์ กับพรรคพวกเป็นนักร้องที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในอาชีพนักร้องสักเท่าไหร่ พี่ต้อ ผู้จัดการของวง จึงให้ พรพิชิต เพื่อนที่เป็นเสือผู้หญิงมาวางแผนจัดการ ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงซะใหม่ วิชนีย์กับพรพิชิตในช่วงแรกนั้นไม่ถูกชะตากันเท่าไหร่นัก เพราะความปากจัดและตรงไปตรงมาของพรพิชิต แต่เมื่อการโปรโมทได้ผล วิชนีย์เปลี่ยนชื่อเป็น อัญชลี และเป็นนักร้องดัง ทั้งคู่ก็ยังเล่นเกมเพื่อเอาชนะกัน และเกิดความใกล้ชิดกันขึ้น จนทั้งสองคนรักกัน แต่ว่าพรพิชิตก็ยังรักความเป็นอิสระของตัวเองอยู่ จนกระทั่งวิชนีย์เป็นโรคร้ายและมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน", "title": "ด้วยรักคือรัก" }, { "docid": "534313#2", "text": "โรงเรียนสตรีคิริกาโอกะ เป็นโรงเรียนหนึ่งใน 5 ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียง เป็นโรงเรียนมัธยมปลายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และไม่ถูกกับโรงเรียนอื่น โรงเรียนจะรับนักเรียนที่มีพลังพิเศษหายาก และมีเอกลักษณ์เท่านั้น", "title": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "368391#7", "text": "ตัวละครลับซึ่งไม่ปรากฏตัวออกมา ?? () ไม่มีใครให้เสียงทั้งนั้น เกิดวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ.2001", "title": "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" }, { "docid": "534313#3", "text": "โรงเรียนนี้ปรากฏในเรื่อง เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์ ซึ่งมี 2 ตัวละครหลักศึกษาอยู่เป็นกลุ่ม Level 0 ติดอาวุธที่รวมตัวกันต่อสู้กับผู้ใช้พลังจิต", "title": "รายชื่อตัวละครในอินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม และเรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" } ]
264
ภาษากงกณี ถูกค้นพบเมื่อใด?
[ { "docid": "82250#0", "text": "ภาษากงกณี(อักษรเทวนาครี: कोंकणी ; อักษรกันนาดา:ಕೊಂಕಣಿ; อักษรมาลายาลัม:കൊംകണീ ; อักษรโรมัน: Konknni) เป็นภาษากลุ่มอินโด-อารยัน โดยมีคำศัพท์จากภาษาดราวิเดียนปนอยู่ด้วย ได้รับอิทธิพลจากภาษาอื่นหลายภาษา ทั้งภาษาโปรตุเกส ภาษากันนาดา ภาษามราฐี ภาษาเปอร์เซีย และภาษาอาหรับ มีผู้พูดประมาณ 7.6 ล้านคน [1] [2]แต่เดิมเชื่อกันว่าภาษานี้เป็นภาษาถิ่นของภาษามราฐี แต่หลักฐานที่พบภาษากอนกานีเกิดก่อนภาษามราฐีนานมาก จารึกภาษากอนกานีพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1730 ขณะที่จารึกภาษามราฐีพบครั้งแรก เมื่อราว พ.ศ. 2100", "title": "ภาษากงกณี" } ]
[ { "docid": "82250#8", "text": "การเข้ามาของโปรตุเกสทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากในหมู่ของชาวกอนกานี ชาวกอนกานีบางส่วนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และอิทธิพลทางศาสนาของโปรตุเกสทำให้ชาวกอนกานีบางส่วนอพยพออกไป การแบ่งแยกระหว่างชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูและคริสต์ทำให้ภาษากอนกานีแตกเป็นหลายสำเนียงยิ่งขึ้น", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#18", "text": "การแตกแยกเป็นส่วนๆของภาษากอนกานี ทำให้ไม่มีสำเนียงกลางที่เข้าใจระหว่างกันได้ การแพร่หลายของวัฒนธรรมตะวันตกในอินเดีย ชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูในกัวและบริเวณชายฝั่งของรัฐมหาราษฏระ ส่วนใหญ่ใช้ภาษามราฐีได้ด้วย ผู้นับถือศาสนาอิสลามหันไปใช้ภาษาอูรดู ปัญหาการติดต่อของชาวกอนกานีที่มีศาสนาต่างกัน และภาษากอนกานีไม่ได้เป็นภาษาสำคัญทางศาสนา ชาวกอนกานีมักติดต่อในกลุ่มที่นับถือศาสนาเดียวกันและหลีกเลี่ยงการติดต่อระหว่างกลุ่มที่มีศาสนาต่างกัน การอพยพของชาวกอนกานีไปยังบริเวณอื่นๆของอินเดียและทั่วโลก การขาดโอกาสที่จะเรียนภาษากอนกานีในโรงเรียน มีโรงเรียนที่สอนภาษากอนกานีไม่กี่แห่งในกัว ประชาชนที่อยู่นอกเขตที่ใช้ภาษากอนกานีไม่มีโอกาสได้เรียนภาษากอนกานีแม้ตะในแบบไม่เป็นทางการ ความนิยมของประชาชนที่นิยมพูดกับเด็กๆด้วยภาษาที่ใช้ทำมาหากิน ไม่ใช่ภาษาแม่ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ภาษาอังกฤษของเด็กดีขึ้น", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#15", "text": "ในขณะที่มีความเชื่อว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐีไม่ใช่ภาษาเอกเทศ สุนิต กุมาร จัตเตร์ชี ประธานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์แห่งชาติได้จัดการประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับข้อโต้แย้งนี้และได้บทสรุปเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ว่าภาษากอนกานีเป็นภาษาเอกเทศ [7]", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#23", "text": "การรวมของกัวเข้ากับอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2504 เป็นเวลาที่รัฐในอินเดียมีการจัดตัวใหม่ตามเส้นแบ่งทางภาษา มีความต้องการที่จะรวมกัวเข้ากับรัฐมหาราษฏระเพราะในกัวมีผู้พูดภาษามราฐีจำนวนมาก และภาษากอนกานีถูกจัดให้เป็นสำเนียงของภาษามราฐี ดังนั้นสถานะของภาษากอนกานีในฐานะภาษาเอกเทศหรือเป็นสำเนียงของภาษามราฐีจึงเป็นหัวข้อทางการเมืองในการรวมรัฐกัวด้วย", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#17", "text": "ภาษากอนกานีเป็นภาษาที่ใกล้ตายเพราะ", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#5", "text": "ต้นกำเนิดของภาษากอนกานีคือกลุ่มพราหมณ์สรสวัต ผู้อยู่ตามฝั่งแม่น้ำสรวสวตีในอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว จากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำเมื่อราว 1,357 ปีก่อนพุทธศักราช ทำให้มีการอพยพ กลุ่มผู้อพยพกลุ่มหนึ่งเข้ามาตั้งหลักแหล่งในบริเวณโคมันตัก คนกลุ่มนี้พูดภาษาปรากฤต(ภาษาเศารเสนี) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นภาษากอนกานี[4] ภาษากอนกานีเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดในหมู่ชาวโกกนาซึ่งถูกทำให้เป็นสันสกฤต ชนกลุ่มนี้ปัจจุบันอยู่ในทางเหนือของรัฐมหาราษฏระและทางใต้ของรัฐคุชราตแต่อาจจะมีต้นกำเนิดมาจากเขตกอนกาน ผู้อพยพชาวอารยันที่เข้าสู่กอนกานนำภาษาของคนในท้องถิ่นมาใช้และเพิ่มศัพท์จากภาษาปรากฤตและภาษาสันสกฤตเข้าไป [5]", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#12", "text": "ผู้อพยพชาวกอนกานีนอกกัวยังคงใช้ภาษากอนกานีและภาษามีความแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น มีการเขียนภาษากอนกานีด้วยอักษรเทวนาครีในรัฐมหาราษฏระ ในขณะที่ผู้พูดในรัฐกรนาฏกะเขียนด้วยอักษรกันนาดา", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#14", "text": "หลังจากอินเดียได้รับเอกราช กัวได้รวมเข้ากับอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2504 ได้เกิดข้อโต้แย้งในกัวเกี่ยวกับสถานะของภาษากอนกานีในฐานะภาษาเอกเทศและอนาคตของกัวว่าจะรวมเข้ากับรัฐมหาราษฏระหรือเป็นรัฐต่างหากต่อไป บทสรุปปรากฏว่ากัวเลือกเป็นรัฐต่างหากใน พ.ศ. 2510 ส่วนในด้านภาษา ภาษาที่มีการใช้มากภายในรัฐได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี ภาษามราฐี ส่วนภาษากอนกานียังไม่ได้รับการใส่ใจ", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#6", "text": "ภาษากอนกานีเป็นภาษาหลักในกัว เริ่มแรกเขียนด้วยอักษรพราหมี ต่อมาจึงเขียนด้วยอักษรเทวนาครี ใช้ในทางศาสนาและการค้ารวมทั้งในชีวิตประจำวัน", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#24", "text": "องค์กรวิชาการสาหิตยะในอินเดียยอมรับภาษากอนกานีในฐานะภาษาเอกเทศเมื่อ พ.ศ. 2518 และภาษากอนกานีที่เขียนด้วยอักษรเทวนาครีได้เป็นภาษาราชการของกัวใน พ.ศ. 2530", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#9", "text": "ภาษานี้แพร่ไปสู่เขตจนระหรือกรวลี (ชายฝั่งของการณตกะ) โกกัน-ปัตตะ (ชายฝั่งกอนกาน ส่วนของรัฐมหาราษฏระ) และรัฐเกราลาในช่วง 500 ปีหลัง การอพยพของชาวกอนกานีมีสาเหตุมาจากการปกครองกัวของโปรตุเกส", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#3", "text": "FrontNear-frontCentralNear-backBackClose i• •u ɪ• •ʊ e• •ɵ •o ɛ• ʌ•ɔ æ ɐ a• •ɒ Near‑closeClose‑midMidOpen‑midNear‑openOpen", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#10", "text": "การอพยพของชาวคริสต์และฮินดูเกิดเป็น 3 ระลอก การอพยพครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2103 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่โปรตุเกสเข้ามาปกครองกัว ครั้งที่ 2 เกิดเมื่อ พ.ศ. 2114 ในสงครามกับสุลต่านพิชปูร์ การอพยพครั้งที่ 3 เกิดขึ้นระหว่างสงครามในช่วง พ.ศ. 2226 - 2283 การอพยพในช่วงแรกเป็นผู้นับถือศาสนาฮินดู ส่วนสองครั้งหลัง ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#20", "text": "จากการสำรวจในอินเดีย ผู้พูดภาษากอนกานีพูดได้หลายภาษา ใน พ.ศ. 2544 ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศมีผู้ใช้สองภาษา 19.44% และใช้สามภาษา 7.26% ในขณะที่เฉพาะผู้พูดภาษากอนกานี มีผู้ใช้สองภาษา 74.2% และใช้สามภาษา 44.68% ทำให้ชุมชนของชาวกอนกานีเป็นชุมชนของผู้ใช้หลายภาษาในอินเดีย เหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากการที่ขาดโรงเรียนที่สอนด้วยภาษากอนกานีเป็นภาษาแรกหรือภาษาที่สอง", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#13", "text": "สถานะของภาษากอนกานีจัดว่าน่าเป็นห่วง มีการใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการและภาษาทางสังคมในหมู่ชาวคริสต์ ในหมู่ชาวฮินดูนิยมใช้ภาษามราฐีมากกว่าและมีการแบ่งแยกระหว่างชาวคริสต์และชาวฮินดูมากขึ้น", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#21", "text": "การใช้หลายภาษาไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าภาษากอนกานีเป็นภาษาที่ไม่เกิดการพัฒนา ผู้พูดภาษากอนกานีที่ใช้ภาษามราฐีในกัวและมหราราษฏระเชื่อว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐี", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#4", "text": "ภาษากอนกานีพัฒนาขึ้นในบริเวณกอนกานซึ่งเป็นฉนวนแผ่นดินแคบๆระหว่างเขตภูเขาสหยทริและทะเลอาหรับทางฝั่งตะวันตกของอินเดีย โดยเฉพาะในโคมันตัก (ปัจจุบันคือกัว) ทฤษฎีเกี่ยวกับกำเนิดของภาษากอนกานีมีสองแบบคือ", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#25", "text": "ภาษกอนกานีใช้พูดทั่วไปในเขตกอนกาน ซึ่งรวมถึง กัว ชายฝั่งตอนใต้ของรัฐมหาราษฏระ ชายฝั่งของรัฐการณาฏกะ และรัฐเกราลา แต่ละท้องถิ่นมีสำเนียงของตนเอง การแพร่กระจายของผู้พูดภาษานี้มีสาเหตุหลักจากการออพยพของชาวกัวเพื่อหลบหนีการปกครองของโปรตุเกส", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "509272#0", "text": "ปณชี (ภาษากงกณี: पणजी, , ) เป็นเมืองหลวงของรัฐกัว ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำมาณฑวี เป็นเมืองท่าบนฝั่งทะเลอาหรับ มีประชากร 65,000 คน และมีประชากรราว 100,000 คนในเขตมหานคร ", "title": "ปณชี" }, { "docid": "82250#26", "text": "ภาษากอนกานีเขียนด้วยอักษณหลายชนิด ทั้ง อักษรเทวนาครี อักษรโรมัน (เริ่มสมัยอาณานิคมของโปรตุเกส) อักษรกันนาดา ใช้ในเขตมันกาลอร์ และชายฝั่งของรัฐการณาฏกะ อักษรอาหรับในหมู่ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เรียกว่า ภัทกาลี ชนกลุ่มนี้หันมานับถือศาสนาอิสลามในสมัยสุลต่านทิบบู อยู่ในเขตรัฐการณาฏกะ มีผู้เขียนด้วยอักษรมาลายาลัมกลุ่มเล็กๆในเกราลา แต่ปัจจุบันเริ่มหันมาใช้อักษรเทวนาครีแทน", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#27", "text": "ปัญหาทางด้านการใช้ระบบการเขียนหลายชนิดและสำเนียงที่ต่างกันกลายเป็นปัญหาสำคัญในการทำให้ภาษากอนกานีเป็นเอกภาพ การตัดสินใจให้ใช้อักษรเทวนาครีเป็นอักษรทางการและให้สำเนียงอันตรุซเป็นสำเนียงมาตรฐานทำให้มีข้อโต้แย้งตามมา สำเนียงอันตรุซเป็นสำเนียงที่ชาวกัวส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและต่างจากภาษากอนกานีสำเนียงอื่น และอักษรเทวนาครีมีการใช้น้อยเมื่อเทียบกับอักษรโรมันในกัวและอักษรกันนาดาในบริเวณชายฝั่งของรัฐกรนาฏกะ ชาวคริสต์คาทอลิกในกัวได้ใช้อักษรโรมันในการเขียนงานวรรณกรรมและต้องการให้อักษรโรมันเป็นอักษรทางการเทียบเท่าอักษรเทวนาครี", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#19", "text": "มีความพยายามที่จะฟื้นฟูภาษากอนกานีโดยเฉพาะความพยายามของเศนอย โคเอมพับ ที่พยายามสร้างความสนใจวรรณกรรมภาษากอนกานีขึ้นอีกครั้ง มีองค์ที่สนับสนุนการใช้ภาษากอนกานี เช่น กอนกาน ไทซ ยตระ ที่บริหารโดยมันเดล และองค์กรที่ใหม่กว่าอย่างเช่น วิศวะ กอนกานี ปาริศัด", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#2", "text": "ภาษากอนกานีมีสระพื้นฐาน 16 เสียง พยัญชนะ 36 เสียง เสียงกึ่งสระ 5 เสียง เสียงออกตามไรฟัน 3 เสียง เสียงระบายลม 1 เสียง และมีเสียงประสมจำนวนมาก ความแตกต่างของสระนาสิกเป็นลักษณะพิเศษของภาษากอนกานี", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#1", "text": "ภาษากอนกานีเป็นภาษาที่มีความหลากหลายในด้านการเรียงประโยคและรูปลักษณ์ของภาษา ไม่อาจจำแนกได้ว่าเป็นภาษาที่ใช้การเน้นเสียงหรือเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ [3] เป็นภาษาที่แยกเสียงสั้นยาวของสระเช่นเดียวกับภาษาในกลุ่มอินโด-อารยันอื่นๆ พยางค์ที่มีสระเสียงยาวมักเป็นพยางค์ที่เน้น", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#11", "text": "ในช่วงแรกของการเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส มิชชันนารีให้ความสำคัญกับการแปลคัมภีร์ศาสนาคริสต์เป็นภาษาท้องถิ่นทั้งภาษากอนกานีและภาษามราฐีจนกระทั่ง พ.ศ. 2227 โปรตุเกสห้ามใช้ภาษาถิ่นในเขตปกครองของตน ซึ่งถือว่าเป็นภาษาสำหรับศาสนาฮินดู ให้ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการแทน ทำให้การใช้ภาษากอนกานีลดลงและทำให้ภาษาโปรตุเกสมีอิทธิพลต่อภาษากอนกานีสำเนียงของชาวคริสต์มาก ส่วนชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูใช้ภาษามราฐีเป็นภาษาทางศาสนา และจากความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างภาษากอนกานีและภาษามราฐี ทำให้ชาวกอนกานีส่วนใหญ่พูดภาษามราฐีเป็นภาษาที่สองและปัจจุบันเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวฮินดูในกัวรวมทั้งชาวกอนกานีด้วย ชาวคริสต์ชั้นสูงใช้ภาษากอนกานีกับชนชั้นที่ต่ำกว่าและยากจน ส่วนในสังคมของตนใช้ภาษาโปรตุเกส", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#16", "text": "กลุ่มผู้รักภาษากอนกานีได้เรียกร้องให้ภาษากอนกานีเป็นภาษาประจำรัฐกัวใน พ.ศ. 2529 ในที่สุดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 รัฐกัวยอมรับให้ภาษากอนกานีเป็นภาษาราชการของรัฐ และได้รับการยอมรับให้เป็นภาษาประจำชาติของอินเดียเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2535", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#7", "text": "กลุ่มชนอื่นๆ ที่ใช้ภาษากอนกานีสำเนียงต่างๆ ได้แก่ชาวกอนกานมุสลิมในเขตรัตนกาลีและภัตกัล ซึ่งมีลักษณะของภาษาอาหรับเข้ามาปนมาก ชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้ภาษากอนกานีคือชาวสิททิสซึ่งมาจากเอธิโอเปีย[6]", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#28", "text": "ในกรนาฏกะที่มีผู้พูดภาษากอนกานีจำนวนมาก ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้ใช้อักษรกันนาดาเขียนภาษากอนกานีในโรงเรียนท้องถิ่นแทนอักษรเทวนาครี ในปัจจุบันไม่มีอักษรชนิดใดหรือสำเนียงใดเป็นที่เข้าใจหรือได้รับการยอมรับจากทุกส่วน การที่ขาดสำเนียงที่เป็นกลางและเข้าใจกันได้ทั่วไป ทำให้ผู้พูดภาษากอนกานีต่างสำเนียงกันต้องสื่อสารกันด้วยภาษาอื่น", "title": "ภาษากงกณี" }, { "docid": "82250#22", "text": "มีการกล่าวอ้างมานานแล้วว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐีและไม่ใช่ภาษาเอกเทศ ซึ่งมีเหตุผลหลายประการ ได้แก่ ความใกล้เคียงระหว่างภาษามราฐีและภาษากอนกานี ความใกล้เคียงทางภูมิศาสตร์ระหว่างกัวและมหาราษฏระ อิทธิพลอย่างชัดเจนของภาษามราฐีต่อภาษากอนกานีสำเนียงที่ใช้พูดในรัฐมหาราษฏระ การที่ภาษากอนกานีมีวรรณกรรมน้อยและชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูจะใช้ภาษามราฐีเป็นภาษาที่สอง ทำให้งานเขียนของ Jose Pereira ใน พ.ศ. 2514 กล่าวว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐี งานเขียนของ S. M. Katre ใน พ.ศ. 2509 ได้ใช้การศึกษาทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่และเปรียบเทียบสำเนียงของภาษากอนกานีหกสำเนียงได้สรุปว่าจุดกำเนิดของภาษากอนกานีต่างจากภาษามราฐี เศนอย โคเอมพับ ผู้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูภาษากอนกานี ได้ต่อต้านการใช้ภาษามราฐีในหมู่ชาวฮินดูและการใช้ภาษาโปรตุเกสในหมู่ของชาวคริสต์", "title": "ภาษากงกณี" } ]
1470
ประเทศจีน มีกี่มณฑล?
[ { "docid": "997706#4", "text": "เกือบทุกมณฑลจะมีนครระดับจังหวัดเป็นเขตปกครองย่อยแทนจังหวัดทั้งมณฑล หรือเกือบทั้งมณฑล ในบรรดา 22 มณฑล และ 5 เขตปกครองตนเองของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีเพียง 9 มณฑล (อันได้แก่ มณฑลยูนนาน มณฑลกุ้ยโจว มณฑลชิงไห่ มณฑลเฮย์หลงเจียง มณฑลเสฉวน มณฑลกานซู่ มณฑลจี๋หลิน มณฑลหูเป่ย์ และมณฑลหูหนาน) และ 3 เขตปกครองตนเอง (อันได้แก่ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เขตปกครองตนเองทิเบต และเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน) เท่านั้นที่มีเขตการปกครองระดับที่สองที่ไม่ใช่นครระดับจังหวัดจำนวนไม่กี่แห่ง", "title": "นครระดับจังหวัด" }, { "docid": "2032#23", "text": "สาธารณรัฐประชาชนจีนมีอำนาจการปกครองเหนือ 22 มณฑล และถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่ 23 ของตน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอำนาจการปกครองเหนือไต้หวันซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนจีนถูกคัดค้านโดยสาธารณรัฐจีน นอกจากนี้ยังแบ่งเขตการปกครองเป็นเขตปกครองตนเอง 5 แห่ง แต่ละแห่งมีชื่อตามชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่นั้น เทศบาลนคร 4 แห่ง และเขตบริหารพิเศษ 2 แห่ง ซึ่งมีสิทธิ์ปกครองตนเองอยู่ในระดับหนึ่ง ดินแดนเหล่านี้อาจถูกเรียกรวมกันว่า \"จีนแผ่นดินใหญ่\" ซึ่งมักยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊า", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "2032#0", "text": "ประเทศจีน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน (; ) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1400 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน) 5 เขตปกครองตนเอง 4 เทศบาลนคร (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ ฮ่องกงและมาเก๊า", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "67607#1", "text": "สาธารณรัฐประชาชนจีนมีเขตการปกครองระดับมณฑล (省级 shěngjí เชิ่งจี๋) ซึ่งประกอบไปด้วย 22 มณฑล 5 เขตปกครองตนเอง 4 เทศบาลนคร และ 2 เขตบริหารพิเศษ", "title": "เขตการปกครองของประเทศจีน" } ]
[ { "docid": "43419#0", "text": "มณฑลไหหลำ หรือ ไห่หนาน (ภาษาจีน: 海南, พินอิน: Hǎinán) คือมณฑลของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีขนาดเล็กที่สุด ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ ประกอบด้วยเกาะหลายเกาะ โดยที่เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะไหหลำ เมื่อชาวจีนพูดเกี่ยวกับ \"ไห่หนาน\" ในภาษาจีน มักจะหมายถึงเฉพาะเกาะไหหลำ เมื่อพูดถึงมณฑลไหหลำจะใช้คำว่า \"ไห่หนานเฉิ่ง\" เมืองหลวงคือ เมืองไหโข่ว", "title": "มณฑลไหหลำ" }, { "docid": "92276#0", "text": "มณฑลเสฉวน หรือ ซื่อชวน () หรือชื่อย่อว่า ชวน()หรือ สู่()เป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน มีเมืองเอกชื่อเฉิงตู มณฑลเสฉวนอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนตอนบนของแม่น้ำแยงซีเกียง มีพื้นที่ 485,000 ตาราง ก.ม. มีประชากรประมาณ 87,250,000 คน นับเป็นมณฑลที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน ทั้งขนาดพื้นที่และจำนวนประชากร ความหนาแน่น 180/ก.ม. จีดีพี 655.6 พันล้านเหรินหมินปี้ ต่อประชากร 7,510", "title": "มณฑลเสฉวน" }, { "docid": "30643#16", "text": "สาธารณรัฐประชาชนจีนมีหน่วยการปกครองย่อยที่ซับซ้อนมาก ทำนองเดียวกับมณฑลเทศาภิบาลซึ่งเคยใช้ในไทย การปกครองแบ่งย่อยออกเป็นมณฑล (อังกฤษ: province; จีน:省; พินอิน:Shěng; คำอ่าน: เสิ่ง) บางมณฑลอาจให้มีอำนาจปกครองตนเอง เรียกว่า เขตปกครองตนเอง (อังกฤษ: autonomous region ;จีน: 自治区; พินอิน:Zìzhìqū; คำอ่าน: จื้อจื้อชวี) นครขนาดใหญ่เช่นเป่ยจิง ฉงชิ่ง ซั่งไห่ และเทียนจิน ก็ถูกจัดให้มีฐานะเท่ามณฑลเช่นกัน เรียกว่า เทศบาลนคร (อังกฤษ: municipality; จีน:直辖市; พินอิน:Zhíxiáshì; คำอ่าน: จื๋อเสียซื่อ)", "title": "เทศมณฑล" }, { "docid": "610022#5", "text": "สาธารณรัฐจีนนั้นชั้นแรกยังบริหารตามเขตการปกครองเดิม คือ มีมณฑลไต้หวัน กับมณฑลฝูเจี้ยน และมณฑลทั้ง 2 แบ่งออกเป็นเทศบาลมณฑล และเทศมณฑล กับทั้งมีเขตการปกครองพิเศษเรียกว่า เทศบาลพิเศษ อยู่ในสังกัด แต่ภายหลังมีการจัดระเบียบใหม่ ในช่วงปี 1967 ถึง 2010 มีการแยกเทศบาลพิเศษออกจากมณฑลเพื่อให้ปกครองตนเองโดยขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา มีการให้เทศบาลมณฑลกับเทศมณฑลปกครองตนเองโดยขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางเช่นกัน ไม่ปกครองผ่านมณฑลอีก แต่ยังคงสังกัดมณฑลอย่างเดิม ปัจจุบัน มณฑลจึงเหลืออยู่แต่ในนาม แต่ก็ยังมิได้ยุบเลิกไปเสียทีเดียว", "title": "เขตการปกครองของประเทศไต้หวัน" }, { "docid": "92366#0", "text": "เหอหนาน ตามสำเนียงกลาง หรือ ห้อหลำ ตามสำเนียงฮกเกี้ยน () หรือชื่อย่อ อวี้ () และชื่อเดิม จงโจว หรือ จงหยวน เป็นมณฑลในสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่ทางตอนกลางเยื้องทางตะวันออกของประเทศ อยู่ทางตอนกลางส่วนล่างของ แม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) ซึ่งไหลผ่านเป็นระยะทาง 700 กว่ากิโลเมตร ถือเป็นแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของจีน มีเมืองเอกชื่อ เจิ้งโจว (郑州) มีเนื้อที่ 167,000 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 97,170,000 คน ความหนาแน่น 582 ต่อตารางกิโลเมตร จีดีพี 881.5 พันล้านเหรินหมินปี้ จีดีพีต่อประชากร 9070 เหรินหมินปี้ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่น", "title": "มณฑลเหอหนาน" }, { "docid": "92399#0", "text": "เทศมณฑลเผิงหู () คือหมู่เกาะชายฝั่งทางด้านตะวันตกของสาธารณรัฐจีน ซึ่งในอดีตปกครองสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อจากราชวงศ์ชิง เกาะเล็กครอบคลุมพื้นที่ 141 ตารางกิโลเมตร เทศมณฑลเผิงหูถูกดำเนินการปกครองโดยสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) เมืองหลวง Magong ซิตี้ เนื้อที่ทั้งหมด 141.052 ตารางกิโลเมตร ประชากรทั้งหมด 91,950 (ข้อมูลปี พ.ศ. 2550) ความหนาแน่นประชากร 724.79 คน/ตารางกิโลเมตร", "title": "เผิงหู" }, { "docid": "91931#0", "text": "มณฑลเฮย์หลงเจียง (จีนตัวย่อ: 黑龙江省; จีนตัวเต็ม: 黑龍江省)ชื่อย่อ เฮย (黑)ชื่อ เฮยหลงเจียง มาจากชื่อแม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดในมณฑล มีเมืองหลวงชื่อว่า ฮาร์บิน ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศแมนจูกัว อดีตที่ประเทศถูกญี่ปุ่นเข้ายึดในปี พ.ศ. 2474 มณฑลเฮย์หลงเจียง มีประชากรประมาณ 39 ล้านคน มีเนื้อที่ 454,000 ตาราง ก.ม.\nมณฑลเฮย์หลงเจียงมีพื้นที่ติดต่อดังนี้", "title": "มณฑลเฮย์หลงเจียง" } ]
304
เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร ประพันธ์โดยใคร ?
[ { "docid": "40345#0", "text": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร หรือ โมะโนะโนะเกะฮิเมะ () เป็นภาพยนตร์อนิเมะแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ ที่เขียนและกำกับโดยฮะยะโอะ มิยะซะกิแห่งสตูดิโอจิบลิ โมะโนะโนะเกะ () ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นคำที่ใช้เรียกภูตผีปีศาจ ภาพยนตร์เรื่องนี้เผยแพร่ในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม และ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ตามลำดับ", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" } ]
[ { "docid": "40345#1", "text": "โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์ย้อนยุคซึ่งมีฉากอยู่ในปลายยุคมุโระมะจิของญี่ปุ่น แต่แต่งเติมด้วยองค์ประกอบจากจินตนาการลงไปจำนวนมาก เนื้อเรื่องกล่าวถึงอะชิตะกะซึ่งเป็นคนภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติที่ดูแลป่าและผู้คนของโลหะนครซึ่งใช้ทรัพยากรจากป่า ในเรื่องนี้มิได้แสดงถึงฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่วที่เด่นชัด และจุดยืนของผู้สร้างภาพยนตร์ก็เปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่มีชัยชนะของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ชัดเจน มีเพียงความหวังที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติจะดำเนินเป็นวัฎจักรต่อไป", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" }, { "docid": "40345#22", "text": "\" โมะโนะโนะเกะฮิเมะ\" ยังอยู่ในรายการภาพยนตร์อเนิเมชันที่ดที่สุด 50 เรื่องของ เทอร์รี่ กิลเลียม", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" }, { "docid": "40345#13", "text": "โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อนิเมะที่แพงที่สุดที่เคยมีการจัดสร้างมา ด้วยต้นทุนทั้งสิ้นราว 2.35 พันล้านเยน", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" }, { "docid": "41907#0", "text": "เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน เป็นนวนิยายขนาดสั้นของมาลา คำจันทร์ ได้รับรางวัลซีไรต์\nเปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2461 เจ้าจันท์เป็นเจ้าหญิงล้านนาคนงาม เธอเดินทางไปบูชาพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดที่อยู่ในเขตพม่าใกล้เมืองเชียงใหม่ ด้วยความตั้งใจว่าจะตัดผมหอมบูชาพระธาตุ ตำนานเล่าว่าผู้ใดที่ปูผมลอดพระธาตุได้ จะสมหวังในสิ่งใดก็ตามที่ตั้งใจไว้ และสำหรับเจ้าจันท์แล้ว เธอกำลังต้องการให้ความหวังที่มีอยู่เป็นจริงอย่างเหลือเกิน", "title": "เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน" }, { "docid": "40345#21", "text": "\"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ\" ได้รับอันดับที่ 488 จาก 500 ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล (ใน พ.ศ. 2551) ของเอมไพร์แมกกาซีน", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" }, { "docid": "40345#15", "text": "เมื่อมิยะซะกิสร้างจิโกะ เขาไม่แน่ใจว่าจะสร้างให้เป็นสายลับของรัฐบาล นินจา นักบวช หรือ \"คนที่ดีมาก\" ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะใส่องค์ประกอบของทุกกลุ่มที่กล่าวมาลงไป", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" }, { "docid": "40345#12", "text": "มิยะซะกิตรวจเซลราว 144,000 เซลด้วยตนเอง และในจำนวนนี้เขาได้วาดแก้ไขเซลราว 80,000 เซล", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" }, { "docid": "40345#18", "text": "ดีวีดีที่เผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร มีซาวด์แทรกทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น และซับไตเติ้ลทั้งสองภาษา และมีการแปลตามตัวอักษรมากขึ้น", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" }, { "docid": "40345#16", "text": "ภูมิทัศน์ที่ปรากฏในภาพยนตร์ได้แรงบันดาลใจมากจาป่าโบราณแห่งเกาะยะกุ ในคิวชู และภูเขาแห่งเทือกเขาชิระคะมิ ทางตอนเหนือของฮอนชู", "title": "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" } ]
2528
ใครเป็นผู้สั่งสร้าง พระราชวังบางปะอิน?
[ { "docid": "28335#5", "text": "เมื่อปี พ.ศ. 2175 หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระมารดา และได้พระราชทานนามว่า \"วัดชุมพลนิกายาราม\" และได้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งเพื่อฉลองการที่พระราชเทวีประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระนารายณ์ราชกุมาร พระราชทานนามว่า \"พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์\" พระราชวังบางปะอินจึงเป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในฤดูร้อนสืบเนื่องกันมา จนกระทั่ง กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 ซึ่งทำให้พระราชวังแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างไป\nพระราชวังบางปะอินกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง เมื่อสุนทรภู่ได้ตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี ซึ่งได้เดินทางผ่านพระราชวังบางปะอิน และได้ประพันธ์ถึงพระราชวังแห่งนี้ในนิราศพระบาท ว่า", "title": "พระราชวังบางปะอิน" }, { "docid": "28335#0", "text": "พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากเกาะเมืองลงมาทางทิศใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ที่ทรงใช้ประทับแรม ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นพระราชวังใกล้พระนครนั่นเอง", "title": "พระราชวังบางปะอิน" } ]
[ { "docid": "29803#0", "text": "พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ตรงข้ามกับสระทางด้านตะวันออก ของพระราชวังบางปะอิน พระที่นั่งองค์นี้สร้างด้วยไม้ สไตล์ยุโรป แบบสวิสชาเล่ต์ 2 ชั้น มีกำแพงแก้ว จดหมายเหตุได้กล่าวไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงิน 90 ชั่งเพื่อสร้างพระที่นั่งองค์นี้ และรั้วพระราชวังบางปะอิน เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2420", "title": "พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร" }, { "docid": "28335#6", "text": "ครั้นมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังกรุงศรีอยุธยา ประพาสผ่านพระราชวังบางปะอิน ทอดพระเนตรเห็นความร่มรื่นโดยรอบเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย อีกทั้งยังเป็นเขตพระราชวังเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระราชวังบางปะอิน โดยสร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งเป็นที่ประทับ เรือนแถวสำหรับเจ้านายฝ่ายในหนึ่งหลัง พลับพลาริมน้ำ และพลับพลากลางเกาะ พร้อมทั้งปฏิสังขรณ์วัดชุมพลนิกายารามขึ้นใหม่", "title": "พระราชวังบางปะอิน" }, { "docid": "28335#11", "text": "สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เป็นพระราชธิดา ลำดับที่ 50 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 รัชกาลที่ 5 มีพระบรมราชโองการให้จัดเรือพระที่นั่งเพื่อเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินพร้อมพระมเหสีทุกพระองค์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงติดพระราชกิจ ไม่อาจเสด็จพระราชดำเนินไปตามกำหนดได้ จึงโปรดฯ ให้เรือพระที่นั่งของพระมเหสีเคลื่อนขบวนไปก่อน ระหว่างทางนั้น เรือพระประเทียบของพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระยศขณะนั้น) ประสบอุบัติเหตุล่ม ทำให้พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ สิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์ รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในพระครรภ์ (เวลานั้นทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน) หลังจากนั้น รัชกาลที่ 5 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์หินอ่อนขึ้น ณ พระราชวังบางปะอิน เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์", "title": "พระราชวังบางปะอิน" }, { "docid": "28335#14", "text": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติก่อนที่พระองค์จะเสด็จฯ ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระราชธิดาคู่ทุกข์คู่ยากของรัชกาลที่ 5 หลังจากการทรงกรมเป็น \"\"กรมขุนสุพรรณภาควดี\" \" ได้เพียง 1 ปี ก็สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระราชวังบางปะอิน โดยใช้พระที่นั่งไอสวรรย์ทิพยอาสน์เป็นที่ประดิษฐานพระศพ และโปรดให้จัดงานพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดนิเวศธรรมประวัติ ซึ่งถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก จนเป็นที่กล่าวขานในหมู่ชาววังว่า ใครไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นคนนอกสังคมชาววัง", "title": "พระราชวังบางปะอิน" }, { "docid": "38810#10", "text": "ตำหนักสวนฝรั่งกังไส เป็นที่ประทับของพระราชชายา เจ้าดารารัศมีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2451 ตำหนักสร้างเป็นอาคารโบกอิฐถือปูน หลังคาทรงปั้นหยา มีการขึ้นตำหนักเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 ปัจจุบัน ใช้เป็น พิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องราชูปโภคและภาพสีน้ำมันที่รัชกาลที่ 5 ทรงสั่งซื้อมาจากยุโรป ภาพเหมือนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง เรียกว่า \"อาคารราชูปโภค 1\"", "title": "พระตำหนักในพระราชวังดุสิต" }, { "docid": "29832#0", "text": "อนุสาวรีย์ภายในพระราชวังบางปะอิน มี 2 แห่ง ได้แก่ อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง", "title": "อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์" }, { "docid": "97924#0", "text": "วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมกอทิกเลียนแบบโบสถ์คริสต์", "title": "วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร" }, { "docid": "97698#11", "text": "ในปัจจุบัน บางตำหนักได้ถูกรื้อลงแล้ว ได้แก่ \nตำหนักที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ โดยสร้างแบบเรือนแพอยู่บริเวณทิศตะวันออกของหอวิฑูรทัศนา ติดกับสะพานที่จะข้ามไปยังอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์\nตำหนักที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมตั้งอยู่ที่สนามช้างในปัจจุบัน\nตำหนักวรนาฏเกษมสานต์ เป็นตำหนักที่ประทับของพระบรมวงศ์ฝ่ายในหลายพระองค์ประทับอยู่ด้วยกัน โดยในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน นั้น แม่พลอยซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องก็ได้มาพักที่ตำหนักนี้ ในรัชกาลที่ 6 ตำหนักแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นโรงละครประจำพระราชวัง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น \"วรนาฏยศาลา\"", "title": "พระตำหนักฝ่ายใน (พระราชวังบางปะอิน)" } ]
1669
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?
[ { "docid": "95689#1", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1909 โดยกลุ่มคนหนุ่มที่ไม่พอใจในสโมสรฟุตบอล \"Trinity Youth\" ของโบสถ์ประจำเมือง ชื่อ \"โบรุสเซีย\" (Borussia) นั้นมาจากภาษาละตินที่หมายถึงปรัสเซีย ช่วงแรกทีมใช้ชุดสีฟ้าขาว ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้สีเหลืองดำใน ค.ศ. 1913", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" } ]
[ { "docid": "95689#6", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์เป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกและแห่งเดียวของเยอรมนีที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่หลังจากแพ้ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ ปี 2002 สโมสรก็ประสบปัญหาทางการเงิน จนต้องขายสนามเว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน โดยทีมใช้วิธีเช่าสนามจากเจ้าของใหม่ ซึ่งเปลี่ยนชื่อสนามเป็น ซิกนาลอีดูนาพาร์ค สโมสรเริ่มตกต่ำในบุนเดสลีกาฤดูกาล 2005-06 ก่อนจบด้วยอันดับ 7 ในฤดูกาลถัดมาคือ 2006-2007 สโมสรต้องเผชิญสถานกาณ์หนีตกชั้นครั้งแรกในรอบหลายปี ได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมถึงสามครั้งก่อนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 10", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#7", "text": "ในปี 2011 โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาภายใต้การนำของเยือร์เกิน คล็อพ ซึ่งทำให้สาวกแฟนเสือเหลือง โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ จำนวนกว่า 500,000 คน ออกมาร่วมเฉลิมฉลองตำแหน่งแชมป์บุนเดสลีกา หรือแชมป์ลีกฟุตบอลเยอรมัน ฤดูกาล 2010 - 2011 กับบรรดานักเตะและ เยือร์เกิน ค็ลอพ เฮดโคชที่นำความสำเร็จมาสู่ทีมหลังต้องรอคอยมาอย่างยาวนานกว่า 9 ปี ในปี 2011-2012 โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถป้องกันแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จพร้อมทั่งทุบสถิติเป็นทีมที่เก็บแต้มสูงสุดในฤดูกาลเดียวของลีกเมืองเบียร์ 81 คะแนน ทำลายสถิติเดิม 79 แต้มที่ บาเยิร์น มิวนิค ทำไว้ในฤดูกาล 1971-1972 (คิดเทียบแบบผู้ชนะได้ 3 แต้มเช่นเดียวกับปัจจุบัน)\nและเท่านั่นยังไม่พอโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถคว้าแชมป์เดเอฟเบโพคาล หลังจากที่สามารถเอาชนะบาเยิร์น มิวนิค ไปด้วยสกอร์ 5-2 คว้าดับเบิ้ลแชมป์ไปในที่สุด \nหลังจากนั่นโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ต้องใช้เวลากว่า 5 ปีในการที่จะกลับมาคว้าแชมป์อีก โดยเป้นการคว้าแชมป์ เดเอฟเบโพคาล ปี 2017 โดยการเอาชนะ ไอน์ทรัคท์ แฟรงค์เฟิร์ต 2–1 นับเป็นแชมป์ครั้งแรกในรอบ 5 ปี และเป็นการชนะในนัดชิงได้ หลังจากที่เคยเข้าชิงมาสามครั้งติดต่อกันก่อนหน้านั่นในปี 2013–14, 2014–15, 2015–16", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#0", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ () ย่อว่า เบเฟาเบ (BVB) หรือ ดอร์ทมุนท์ (Dortmund) เป็นสโมสรฟุตบอลจากเมืองดอร์ทมุนท์ รัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน ประเทศเยอรมนี ปัจจุบันเล่นอยู่ในบุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของประเทศ", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "972044#2", "text": "องค์กรนี้ได้รับการก่อตั้งในปี ค.ศ. 1996 โดยอแมนดา วินเซนต์ และเฮเทอร์ โคลดวีย์ ที่เป็นนักวิจัยม้าน้ำ ปัจจุบัน วินเซนต์เป็นผู้อำนวยการ ส่วนโคลดวีย์เป็นรองผู้อำนวยการ และมีสมาชิกประมาณ 35 คน งานภาคสนามเริ่มขึ้นในชุมชนชาวฟิลิปปินส์ของฮันดูมอนบนเกาะจันดายัน ทางตอนเหนือของจังหวัดโบโฮล และได้ขยายไปยังทวีปยุโรป, อเมริกากลาง, เอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้, แอฟริกา และอเมริกาเหนือ โปรเจกต์ซีฮอร์สเป็นหน่วยงานเกี่ยวกับสัตว์ทะเลและสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องบัญชีแดงไอยูซีเอ็น", "title": "โปรเจกต์ซีฮอร์ส" }, { "docid": "39227#1", "text": "ดอร์ทมุนท์เป็นบ้านของสโมสรฟุตบอลโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ (BVB 09) ซึ่งเตะในสนาม Signal Iduna Park (ชื่อเดิมคือ Westfalenstadion) ซึ่งเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1974 ปัจจุบันเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี จุผู้ชมได้ 82,932 คน เคยใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1974 และ ฟุตบอลโลก 2006", "title": "ดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#3", "text": "เมื่อสมาพันธ์ฟุตบอลเยอรมนี ก่อตั้งบุนเดสลีกาเป็นลีกสูงสุด สโมสรได้รับการเสนอชื่อให้ร่วมแข่งขัน และนักเตะของสโมสรคือ Timo Konietzka ได้เป็นนักฟุตบอลที่ยิงประตูในบุนเดสลีกาเป็นคนแรก ในเกมที่แพ้ 2:3 ต่อแวร์เดอร์ เบรเมน", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "532661#2", "text": "ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2511 ในชื่อบริษัท ธนายง จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และได้เริ่มเปิดโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแรก คือ “โครงการธนาซิตี้” ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนบางนา-ตราด กม.14 ในปี 2531 ซึ่งเป็นโครงการที่ประกอบไปด้วยบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่าจัดสรร", "title": "บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์" }, { "docid": "95689#5", "text": "สโมสรกลับมาเริ่มประสบความสำเร็จอีกครั้งในยุค 90 เริ่มจากเข้าชิงยูฟ่าคัพในปี ค.ศ. 1993 (แต่แพ้ให้สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส 7-1) ได้แชมป์บุนเดสลีกา 2 ปีติดกันใน ค.ศ. 1995-1996 และได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ประจำปี ค.ศ. ​1997 โดยเอาชนะยูเวนตุส 3-1 หลังจากนั้นได้เว้นช่วงอีกระยะและได้แชมป์บุนเดสลีกาในปี 2002", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#2", "text": "ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สโมสรเข้าเล่นใน Oberliga West ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของเยอรมนีตะวันตกในช่วงนั้น และประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1956 สโมสรกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของสโมสรฟุตบอลชาลเก้ 04 ซึ่งอยู่ในเมืองใกล้เคียงกัน", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" } ]
564
ด้านมืดนั้นเกี่ยวข้องกับความตายและการทำลาย ผู้ใช้พลังที่ซึ่งเดินบนทางของด้านมืดจะถูกเรียกว่าอะไร?
[ { "docid": "182551#0", "text": "ด้านมืดของพลัง, ถูกเรียกว่าโบกันโดยเจไดโบราณ, เป็นเครื่องมือหลักของซิธลอร์ด, และเป็นด้านที่มีพลังทำลายมากกว่าในด้านอื่นของพลัง ต่างกับด้านสว่างของพลัง, ผู้ใช้ด้านมืดมีพลังจากอารมณ์, ทั้งด้านบวกและลบ; พลังมาจากความแข็งแกร่งและรุนแรง ในขณะที่ด้านสว่างนั้นเกี่ยวข้องกับการสร้างและชีวิต, ด้านมืดนั้นเกี่ยวข้องกับความตายและการทำลาย ผู้ใช้พลังที่ซึ่งเดินบนทางของด้านมืดจะถูกเรียกว่าผู้อยู่ด้านมืด", "title": "ด้านมืดของพลัง" } ]
[ { "docid": "182551#43", "text": "ผู้ที่ใช้ด้านมืดนั้นจะพบความสามารถมากมายในการใช้พลังที่ง่ายกว่า ด้วยบางพลังที่มีเฉพาะในเจไดมืดเท่านั้น เจไดฝ่ายสว่างอาจใช้พลังด้านมืดบางพลัง แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช้มัน เมื่อมันเกรี้ยวกราด, ทำลายล้าง, หรือเป็นสิ่งที่ดูประหลาด ลุค สกายวอล์คเกอร์ใช้พลังบีบคอในวังของแจ๊บบ้า ซึ่งเป็นพลังที่ห้ามใช้โดยเจได นอกเสียจากจะไร้อาวุธ พลังดังกล่าวเกี่ยวข้องกับรายชื่อพลังดังต่อไปนี้:ไม่ใช่ว่าพลังด้านมืดนั้นจะเลวร้ายเสียหมด; ดาร์ธ เพลกัสมีความสามารถในการสร้างชีวิต ดาร์ธ ไซออน, ดาร์ธ เบนและดาร์ธ เวเดอร์ใช้พลังบ้าคลั่งเพื่อรักษาบาดแผล", "title": "ด้านมืดของพลัง" }, { "docid": "182551#38", "text": "เจไดมืดและโดยเฉพาะซิธสามารถพัฒนาความสามารถได้รวดเร็วกว่าเจได ด้านมืดนั้นง่ายกว่าที่จะเรียนรู้และใช้ แต่ก็หลอกลวงมากกว่า ขณะที่พลังอันแท้จริงอยู่ที่ด้านสว่าง อย่างไรก็ตาม ซิธลอร์ดบางคนเท่านั้นที่ทรงพลังกว่าเจได เอกซาร์ คุนนั้นไร้เทียมทานจนกระทั่งเขาเผชิญหน้ากับเจไดทั้งกองทัพ; พลังที่เหนือกว่าของดาร์ธ มาลัคเป็นก็ที่ยอมรับแม้แต่กับเจได (นั่นคือ แบสติล่า ชาน ผู้ซึ่งบอกว่าเธอและสหายเจไดไม่สามารถรับมือลอร์ดมืดผู้นี้ได้); เขาสามารถบีบเจไดไว้พร้อมกันถึงสองคนก่อนที่จะสังหารพวกเขา; ดาร์ธ นิฮิลัสทำลายเจไดทั้งสภา (พร้อมกับคนอื่นๆ บนคาทาร์) โดยใช้เพียงเสียงจาก'คำพูด'ของเขาเท่านั้น; เครีย (ดาร์ธ เทรย่า) เกือบจะฆ่าเจไดทั้งหมดในสภาบนแดนทูอิน ในช่วงที่สาธารณรัฐล่มสลาย ดาร์ธซีเดียสสังหารเจไดสามคนพร้อมกันก่อนที่จะเผชิญหน้ากับเมซ วินดู นอกเหนือจากนั้น การต่อสู้กับโยดา—\"เจ้าแห่ง\"อาจารย์เจไดในตอนนั้น —ดูเหมือนว่าจะเสมอกัน จนกระทั่งโยดาถูกบังคับให้ต้องหนีไป อย่างไรก็ตาม ผู้อยู่ด้านมืดส่วนมาก ทั้งซิธและเจไดมืด ท้ายสุดก็มักจะพ่ายแพ้ต่อผู้ใช้แสงสว่างเสียส่วนใหญ่ มากไปกว่านั้น สามคนในที่กล่าวมานี้ (เอกซาร์ คุน, ดาร์ธ มาลัค, เครีย) มีพลังที่มากกว่าตอนที่เข้าสู่ด้านมืด", "title": "ด้านมืดของพลัง" }, { "docid": "182551#11", "text": "บางครั้งด้านมืดถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว, แม้ว่าผู้อยู่ด้านมืดหลายคนที่ซึ่งทำบางอย่างเพื่อพิสูจน์ตนเอง, ซึ่งกลายเป็นความโง่เขลา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออนาคินสกายวอล์คเกอร์, ผู้ซึ่งคล้าเอาด้านมืดเอาไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยภรรยาของเขา, เมื่อสละออกจากนิกายเจได หลายคนพบว่าด้านมืดนั้นช่างดึงดูด, ไม่สามารถที่จะต้านทานความเย้ายวนของมันได้ ผู้ใช้ด้านมืดจะยิ่งทรงพลังขึ้นเมื่อร่างกายของพวกเขาเริ่มเน่าเปื่อยอย่างช้า อย่างไรก็ตาม, ผู้ใช้ด้านมืดอย่างมาร่า เจดได้กล่าวว่าการใช้ด้านมืดของพลังนั้นต้องรู้กจักปฏิบัติ, เมื่อพลังที่มันเพิ่มพูนเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำลายเหมือนกับพลังจิต เหมือนกับด้านสว่าง, ด้านมืดนั้นมักมีการดัดแปลงเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างออกไป", "title": "ด้านมืดของพลัง" }, { "docid": "182551#3", "text": "ตลอดประวัติศาสตร์ของกาแลกติก ผู้ที่ทรงพลังในด้านมืดที่สุดก็คือซิธ ด้วยความสามารถที่มากมายเกินกว่าที่เจไดทำได้ เจไดปฏิเสธด้านมืดและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมัน เชื่อว่ามันนำไปสู่หายนะและความวุ่นวาย ซิธยึดมั่นในด้านมืด ใช้มันเพื่อหลอกลวง, ควบคุม, และทำลาย การแสดงตนของด้านมืดดูเหมือนเป็นสิ่งที่ดึงดูดและทำให้เสื่อม เป็นศาสตร์ด้านพลังอย่างหนึ่งแต่ไม่มีผู้ตาม ดูเหมือนจะหายไปในไม่กี่พันปี", "title": "ด้านมืดของพลัง" }, { "docid": "182551#17", "text": "ในขณะเดียวกัน, การเน่าเปื่อยของพลังก็อาจมากเสียจนทำลายความสามารถของร่างกายได้ กษัตริย์ออมมินแห่งออนเดอรอนเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด; เขาเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการเป็นซิธผู้วิเศษมาเกือบตลอดชีวิตและท้ายสุดด้านมืดก็กัดกินเขาก็ทำให้ไม่สามารถเดินได้และต้องใช้เครื่องมือในการช่วยให้อยู่รอด รอยด่างพร้อยยังได้ยินได้จากเสียงของผู้ที่ใช้ด้านมืด บางครั้งก็ทำให้เสียงต่ำลง ในกรณีที่แย่ที่สุดก็เห็นจะเป็นของดาร์ธ นิฮิลัสผู้ที่ซึ่งไม่ใช่แค่ถูกครอบงำทั้งจิตใจโดยด้านมืด แต่ยังรวมทั้งร่างกายของเขาด้วย ทำให้เขากลายเป็นครึ่งเป็นครึ่งตาย ซิธลอร์ดผู้นี้ไม่สนใจในชีวิตทุกชีวิต แม้กระทั่งซิธก็ตาม เขาปรารถนาที่จะครอบครองทุกอย่างเพื่อเติมเต็มความกระหายในพลังของเขา", "title": "ด้านมืดของพลัง" }, { "docid": "182551#32", "text": "บ้างก็ว่าซิธนั้นสะท้อนให้เห็นถึงเจได ตัวอย่างเช่น การมีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และพาดาวันของเจได ซิธก็นำไปใช้ในแบบที่ผิด ดังนั้นทั้งศิษย์และอาจารย์จะห่ำหั่นกันเองในตอนจบเพื่อทดสอบตน จักรวรรดิกาแลกติกก็ไม่มีการยกเว้น: หากไม่มีศัตรู \"(เจไดเป็นหลัก)\" ให้ลอร์ดมืดหรือเจไดมืดได้ต่อกร ผู้ใช้ด้านมืดก็ต้องทำลายกันเอง และหลายองค์กรที่สร้างขึ้นโดยซิธจะแย่งชิงอำนาจกันเอง นี่เป็นจริงโดยเฉพาะเมื่อซิธมีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ตาม ซิธและผู้อยู่ด้านมืดอื่นๆ อาจใช้ความอดทนและไหวพริบเพื่อบรรลุผล เหตุผลเบื้องหลังการกระทำนี้คือการสาธิตว่าใครแข็งแกร่งที่สุดและมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่มีสิทธิในการปกครอง", "title": "ด้านมืดของพลัง" } ]
3162
ในระบบประสาทของมนุษย์มีไฟฟ้าสถิตหรือไม่ ?
[ { "docid": "786915#17", "text": "ความรู้สึกของไฟฟ้าช็อกจะเกิดจากการกระตุ้นของเส้นประสาทเมื่อกระแสเป็นกลางไหลผ่านร่างกายมนุษย์ พลังงานที่เก็บไว้ในรูปไฟฟ้าสถิตย์บนวัตถุหนึ่งจะแปรผันขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุและค่าคาปาซิแตนซ์ของมัน, แรงดันไฟฟ้าที่ใช้ใส่ประจุให้มัน และค่าคงที่ไดอิเล็กตริกของตัวกลางโดยรอบ สำหรับการสร้างแบบจำลองของ ผลกระทบของการปล่อยปล่อยไฟฟ้าสถิตบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความไว มนุษย์จะถูกแสดงเป็นตัวเก็บประจุขนาด 100 pf ถูกใส่ประจุจากแรงดันไฟฟ้า 4000 ถึง 35000 โวลต์ เมื่อสัมผัสกับวัตถุ พลังงานนี้จะถูกปลดปล่อยในเวลาน้อยกว่าหนึ่งส่วนล้านวินาที[7] ในขณะที่พลังงานทั้งหมดมีขนาดเล็ก ด้วยค่าสิบยกกำลังของมิลลิจูล มันก็ยังสามารถสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความไว วัตถุขนาดที่ใหญ่กว่าจะเก็บพลังงานได้มากกว่า ซึ่งอาจเป็นอันตรายโดยตรงจากการสัมผัสของมนุษย์ หรืออาจจะให้ประกายไฟที่สามารถจุดชนวนก๊าซหรือฝุ่นละอองไวไฟ", "title": "ไฟฟ้าสถิต" } ]
[ { "docid": "654635#17", "text": "การเจริญของประสาทในระบบประสาทของผู้ใหญ่มีกลไกอย่างการสร้างไมอีลินใหม่ (remyelination) การสร้างเซลล์ประสาท เซลล์เกลีย แกนประสาท ไมอีลินหรือจุดประสานประสาทใหม่ การสร้างใหม่ของประสาทแตกต่างระหว่างระบบประสาทนอกส่วนกลางและระบบประสาทส่วนกลาง โดยกลไกการทำหน้าที่และโดยเฉพาะขอบเขตและความเร็ว", "title": "การเจริญของประสาทในมนุษย์" }, { "docid": "922748#24", "text": "ยังมีหลักฐานด้วยว่าสารสื่อประสาท acetylcholine ซึ่งมาจากเซลล์ประสาทแบบ cholinergic ในระบบประสาทกลางระดับสูงขึ้น มีผลเพิ่มการลดขั้วของ granule cell ทำให้มันเร้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็มีผลยับยั้งเซลล์รีเลย์มากขึ้น\nซึ่งทำให้ข้อมูลกลิ่นจากป่องรับกลิ่นเฉพาะเจาะจงมากขึ้นและสามารถแยกแยะได้ดีขึ้น\nป่องรับกลิ่นเสริม (accessory olfactory bulb, ตัวย่อ AOB) ซึ่งอยู่ที่ส่วนบนด้านหลัง (dorsal-posterior) ของป่องรับกลิ่นหลัก เป็นวิถีประสาทที่ขนานและเป็นอิสระจากป่องรับกลิ่นหลัก\nvomeronasal organ (VNO)\n(ที่มนุษย์ผู้ใหญ่เพียงแค่ 8% มี) \nเป็นอวัยวะรับความรู้สึกในจมูกที่ส่งกระแสประสาทไปยังป่องรับกลิ่นเสริม\nจึงทำให้มันเป็นตัวแปลผลทุติยภูมิของระบบรับกลิ่นเสริม (accessory olfactory system)", "title": "ป่องรู้กลิ่น" }, { "docid": "243364#4", "text": "รีเฟล็กซ์เอ็นลึก (deep tendon reflexes) เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทส่วนรยางค์ โดยปกติหากร่างกายมนุษย์มีรีเฟล็กซ์ที่ลดลง มักหมายถึงร่างกายมีความผิดปกติในระบบประสาทส่วนรยางค์ แต่หากมีรีเฟล็กซ์มากเกินไป มักหมายความว่าระบบประสาทส่วนกลางอาจมีความผิดปกติได้เด็กแรกเกิดจะมีรีเฟล็กซ์บางอย่างที่มักไม่พบในผู้ใหญ่ เรียกว่า รีเฟล็กซ์ดั้งเดิม (primitive reflexes) เช่น", "title": "รีเฟล็กซ์" }, { "docid": "139709#5", "text": "ในมนุษย์ เทเลนเซฟาลอนอยู่ล้อมรอบสมองส่วนที่เก่าแก่กว่า ระบบลิมบิก, ระบบรับรู้กลิ่น, และระบบสั่งการส่งใยประสาทจากบริเวณซับคอร์ติคัล (ชั้นลึก) (subcortical areas) ของซีรีบรัมไปยังส่วนของก้านสมอง ระบบความนึกคิด (cognitive system) และระบบความตั้งใจ (volitive system) ส่งใยประสาทจากบริเวณคอร์ติคัล (cortical area) ของซีรีบรัมไปยังทาลามัสและไปยังบริเวณอื่นๆ ของก้านสมอง เครือข่ายทางประสาทของเทเลนเซฟาลอนช่วยในพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ซับซ้อน เช่น ภาษา ระบบดังกล่าวประกอบด้วยเนื้อขาว (white matter) และ เนื้อเทา (grey matter) ส่วนเนื้อเทามีการพับทบอย่างมากซึ่งน่าจะช่วยในการบรรจุกลุ่มเซลล์จำนวนมากในปริมาตรสมอง โดยการเพิ่มพื้นที่ผิว เทเลนเซฟาลอนยังประกอบด้วยบริเวณที่มีต้นกำเนิดจาก archipallium, paleopallium และ neopallium การเจริญของ neopallium ซึ่งประกอบด้วยส่วนซีรีบรัล คอร์เท็กซ์ เป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์และไพรเมต", "title": "สมองใหญ่" }, { "docid": "172653#2", "text": "สำหรับสมองน้อยของมนุษย์นั้นทำหน้าที่ร่วมกับระบบประสาททั้งส่วนกลาง (central nervous system) และส่วนปลาย (peripheral nervous system) ในการควบคุมการทรงตัวและการเคลื่อนไหวของมนุษย์ โดยอาศัยไขสันหลังในการส่งผ่านกระแสประสาท", "title": "โรคกล้ามเนื้อเสียการประสานงานจากสมองน้อยและไขสันหลัง" }, { "docid": "622852#6", "text": "แม้ว่าสาร acrylamide จะรู้กันว่าเป็นพิษต่อระบบประสาท และระบบเจริญพันธุ์ แต่จากรายงานการประชุมในเดือน มิถุนายน 2014 ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลก ได้สรุปบริมาณที่เฝ้าระวังในการบริโภคซึ่งจะก่อให้เกิดโรคทางเส้นประสาทไว้ที่ (0.5 มิลิกรัม/ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน) มากกว่า 500 เท่าของค่าเฉลี่ยในการบริโภค และต้องรับสาร acrylamide (1 μg/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม/วัน) หรือมากกว่า 2,000 เท่าในค่าเฉลี่ยในการรับประทานจึงจะส่งผลต่อระบบเจริญพันธุ์ จากรายงานดังกล่าว จึงสรุปได้ว่าการบริโภคสารacrylamide จากอาหารอยู่ในระดับที่ปลอดภัยจากการเกิดโรคทางเส้นประสาท แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงเรื่องการเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เช่นเดียวกับการเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง", "title": "พรุน" }, { "docid": "586043#36", "text": "กลุ่มบุคคลที่ชอบประดับร่างได้ทำการทดลองใช้อุปกรณ์แม่เหล็กฝังเพื่อที่จะเลียนแบบประสาทสัมผัสแบบนี้[34] แต่ว่า โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ (และเชื่อว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นด้วย) สามารถตรวจจับสนามไฟฟ้าโดยอ้อมโดยกำหนดผลที่เกิดขึ้นที่ขน ตัวอย่างเช่น ลูกโป่งที่มีชารจ์ไฟฟ้าจะมีแรงกดที่ขนแขนของมนุษย์ ซึ่งสามารถรู้สึกได้ทางกายสัมผัส และสามารถระบุได้ว่ามีเหตุมาจากไฟฟ้าสถิต ไม่ได้มาจากลมหรือเหตุอื่น ๆ แต่ว่า นี่ไม่ใช่เป็นการรับรู้สนามแม่เหล็ก แต่เป็นกระบวนการรับรู้หลังระบบรับความรู้สึก", "title": "ประสาทสัมผัส" }, { "docid": "574997#27", "text": "รามจันทรันคาดหมายว่า งานวิจัยถึงบทบาทในเซลล์ประสาทกระจก จะช่วยอธิบายความสามารถทางจิตใจของมนุษย์ เช่นความเห็นใจผู้อื่น การเรียนรู้โดยลอกเลียนแบบ และวิวัฒนาการทางภาษา รามจันทรันยังได้ตั้งทฤษฎีขึ้นด้วยว่า เซลล์ประสาทกระจกอาจเป็นกุญแจในการเข้าใจระบบประสาทซึ่งเป็นรากฐานของความรู้สึกว่าตนในมนุษย์ ", "title": "วิลยนอร์ สุพรหมัณยัม รามจันทรัน" }, { "docid": "137276#1", "text": "ระบบประสาทของมนุษย์แบ่งออกได้เป็นระบบประสาทกลาง หรือ ซีเอ็นเอส (central nervous system) และระบบประสาทนอกส่วนกลาง หรือ พีเอ็นเอส (peripheral nervous system) ระบบประสาทกลางประกอบด้วยสมอง (brain) และไขสันหลัง (spinal cord) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมพฤติกรรม ส่วนระบบประสาทนอกส่วนกลางประกอบด้วยเซลล์ประสาททั้งหมดที่อยู่นอกระบบประสาทกลาง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นระบบประสาทกาย (somatic nervous system) และระบบประสาทอิสระ หรือ เอเอ็นเอส (autonomic nervous system) \nระบบประสาทกายประกอบด้วยเซลล์ประสาทนำเข้า (afferent neuron) ที่ส่งข้อมูลการรับความรู้สึกจากอวัยวะรับความรู้สึกมายังสมองและไขสันหลัง และเซลล์ประสาทนำออกที่ขนส่งข้อมูลสั่งการออกไปยังกล้ามเนื้อหรืออวัยวะที่ตอบสนองอื่นๆ ระบบประสาทอิสระแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ระบบประสาทซิมพาเทติก (sympathetic nervous system) ซึ่งเป็นชุดของเส้นประสาทที่กระตุ้นการตอบสนองแบบ \"สู้หรือหนี\" (\"fight-or-flight\" response) ส่วนระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic nervous system) ตรงกันข้ามกันคือเตรียมความพร้อมร่างกายให้พักผ่อนและเก็บพลังงานเอาไว้", "title": "ประสาทกายวิภาคศาสตร์" }, { "docid": "654635#7", "text": "ส่วนด้านหน้าของชั้นแมนเทิล (แผ่นฐาน) เกิดเป็นพื้นที่สั่งการของไขสันหลัง ขณะที่ส่วนด้านหลัง (แผ่นปีก) เกิดเป็นพื้นที่รับความรู้สึก ระหว่างแผ่นฐานและปีกเป็นชั้นกลาง (intermediate layer) ที่มีเซลล์ประสาทของระบบประสาทอิสระ", "title": "การเจริญของประสาทในมนุษย์" }, { "docid": "277816#2", "text": "ลินเดนเป็นสารที่เป็นพิษต่อระบบประสาทโดยรบกวนการทำงานของสารสื่อประสาท GABA โดยรบกวนการทำงานของตัวรับ GABAA ในมนุษย์ ลินเดนมีผลต่อระบบประสาท ตับ ไต และอาจจะเป็นสารก่อมะเร็งและสารรบกวนระบบต่อมไร้ท่อ องค์การอนามัยโลกจัดให้ลินเดนเป็นสารที่เป็นอันตรายปานกลาง และมีการควบคุมการค้าสารนี้ในระดับนานาชาติ ถูกห้ามใช้แล้วใน 50 ประเทศ และใน พ.ศ. 2552 ได้ถูกจัดให้เป็นสารที่ควรถูกห้ามผลิตและห้ามใช้ทั่วโลก ", "title": "ลินเดน (ยาฆ่าแมลง)" }, { "docid": "912551#1", "text": "ภาวะนี้มักจะมีเหตุจากความบาดเจ็บต่อระบบประสาทเนื่องจากแรงกระแทกจากภายนอกต่อเส้นใยกล้ามเนื้อ (muscle fiber) และต่อใยประสาทสั่งการ ซึ่งสร้างแรงกดที่เส้นประสาทอย่างซ้ำ ๆ หรือคงยืน\nเพราะแรงกดนี้ การขาดเลือดเฉพาะที่ก็จะเกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดรอยโรคที่เส้นประสาท ซึ่งร่างกายมนุษย์โดยธรรมชาติจะตอบสนองเป็นอาการบวมน้ำรอบ ๆ จุดที่ถูกกด\nรอยโรคจะหยุดหรือขัดขวางกระแสประสาทที่ช่วงหนึ่งในเส้นประสาท ทำให้ระบบประสาทต่อจากจุดนั้นไม่ทำงานหรือทำงานได้ไม่สมบูรณ์ แล้วทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง", "title": "Neurapraxia" }, { "docid": "815740#14", "text": "งานศึกษาในมนุษย์และสัตว์ (ทบทวนในปี 2543) แสดงว่า ออกซิโทซินเป็นกลไกทางประสาทร่วมต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine) ของการตอบสนองต่อความเครียดแบบ \"ผูกมิตร\" ของหญิง\nการให้ออกซิโทซินกับหนูและสัตว์วงศ์หนูทุ่ง (\"Microtus ochrogaster\") เพิ่มการมาหาสู่กันทางสังคมและการดูแลกันและกัน ลดความเครียด และลดความก้าวร้าว\nในมนุษย์ ออกซิโทซินโปรโหมตความรักระหว่างแม่ลูก ระหว่างคู่ และระหว่างเพื่อน\nการคุยติดต่อกับผู้อื่นหรือได้รับความช่วยเหลือในเวลาที่เครียด ทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทต่อมไร้ท่อตอบสนองต่อความเครียดลดลง\nแม้ว่า การช่วยเหลือทางสังคมจะช่วยลดการตอบสนองทางสรีรภาพเช่นนี้ทั้งในหญิงชาย แต่ว่า หญิงมีโอกาสสูงกว่าที่จะหาคนช่วยเมื่อเครียด\nนอกจากนั้นแล้ว การได้รับความช่วยเหลือจากหญิงอีกคนยังช่วยลดความเครียดได้ดีกว่า", "title": "การดูแลและหาเพื่อน" }, { "docid": "786915#29", "text": "พลังงานที่ปล่อยออกจากการปลดปล่อยไฟฟ้าสถิตย์อาจแตกต่างกันไปอย่างกว้างขวาง พลังงาน E มีค่าเป็นจูลส์สามารถคำนวณได้จากค่าคาปาซิแตนซ์ (C) ของวัตถุและศักย์ไฟฟ้าสถิต V มีค่าเป็นโวลต์ (V) โดยใช้สูตร E= ½<i data-parsoid='{\"dsr\":[17825,17831,2,2]}'>CV2.[21] ผู้ทดลองประมาณความจุของร่างกายมนุษย์สูงที่สุดได้ถึง 400 picofarads และด้วยความดันปลดปล่อยประจุที่ 50,000 โวลต์ เช่นในระหว่างการสัมผัสกับรถยนต์ที่มีประจุ จะสร้างประกายไฟด้วยพลังงาน 500 millijoules[22] การประมาณการอีกประการหนึ่งคือ 100-300 pF และ 20,000 โวลต์, สามารถผลิตพลังงานสูงสุดที่ 60 มิลลิจูล[23] IEC 479-2:1987 ระบุว่าการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าสถิตที่มีพลังงานสูงกว่า 5000 mJ เป็นความเสี่ยงร้ายแรงโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์ IEC 60065 ระบุว่าสินค้าอุปโภคบริโภคไม่สามารถปลดปล่อยมากกว่า 350 mJ เข้าสู่คน", "title": "ไฟฟ้าสถิต" }, { "docid": "392705#1", "text": "ในมนุษย์ เชื่อกันว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบต่อมไร้ท่อและระบบประสาท และเป็นที่เชื่อกันทั่วไปว่า ความซับซ้อนในพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตสัมพันธ์กับความซับซ้อนของระบบประสาท ทั่วไปแล้ว สิ่งมีชีวิตที่มีระบบประสาทซับซ้อนกว่ามีความสามารถสูงกว่าในการเรียนรู้การตอบสนองใหม่ ๆ และดังนั้น จึงสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้", "title": "พฤติกรรม" }, { "docid": "5920#48", "text": "สมองของมนุษย์ อันเป็นจุดรวมระบบประสาทส่วนกลางในมนุษย์ ควบคุมระบบประสาทส่วนนอก นอกเหนือไปจากควบคุมกิจกรรมนอกอำนาจจิตใจที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเป็นหลัก เช่น การหายใจและการย่อยอาหารแล้ว ยังเป็นที่คั้งของคำสั่งที่ \"สูงกว่า\" เช่น ความคิด การให้เหตุผลและภาวะนามธรรม[103] ขบวนการที่เกี่ยวกับการคิดนี้ซึ่งประกอบด้วยจิตและพฤติกรรม มีการศึกษาในสาขาจิตวิทยา", "title": "มนุษย์" }, { "docid": "615742#0", "text": "กรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก ( หรือ GABA) เป็นสารสื่อประสาทยับยั้งหลักในระบบประสาทส่วนกลางของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีบทบาทในการควบคุมภาวะกระตุ้นได้ของเซลล์ประสาทในระบบประสาท ในมนุษย์ GABA ยังมีหน้าที่ควบคุมความตึงของกล้ามเนื้อ", "title": "กรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก" }, { "docid": "61241#28", "text": "แอกซอนในระบบประสาทนอกส่วนกลางของมนุษย์ สามารถจัดตามลักษณะทางกายภาพและคุณสมบัติการนำกระแสประสาท", "title": "แกนประสาทนำออก" }, { "docid": "568257#7", "text": "คำว่า \"basal (ฐาน) \" นั้น มาจากความที่องค์ประกอบโดยมากของ basal ganglia อยู่ในส่วนฐานของสมองส่วนหน้า ส่วนคำว่า \"ganglia\" นั้นเป็นการใช้ชื่อที่ไม่เหมาะสม เพราะว่า ในปัจจุบัน กลุ่มเซลล์ประสาทจะเรียกว่า \"ganglia (ปมประสาท) \" ก็ต่อเมื่ออยู่ในระบบประสาทส่วนปลาย แต่เมื่ออยู่ในระบบประสาทกลาง ก็จะเรียกว่า \"นิวเคลียส (nucleus) \" ดังนั้น basal ganglia บางครั้งจึงรู้จักกันว่า \"basal nuclei\" Terminologia anatomica (เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1998) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการตั้งชื่อส่วนต่าง ๆ ของกายมนุษย์ ใช้คำว่า \"nuclei basales\" แต่คำนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้", "title": "ปมประสาทฐาน" }, { "docid": "395742#0", "text": "โครงข่ายประสาท ( - NN) โดยทั่วไปได้ถูกกล่าวถึงโครงข่ายประสาทชีวภาพในร่างกายของมนุษย์ที่เชื่อมโยงระบบประสาท แต่ในปัจจุบันการใช้งานคำว่าโครงข่ายประสาท ได้ถูกหมายถึงโครงข่ายประสาทเทียม ซึ่งเป็นลักษณะโมเดลในการประมวลผลข้อมูล", "title": "โครงข่ายประสาท" }, { "docid": "922755#0", "text": "interneuron หรือ internuncial neuron หรือ relay neuron หรือ association neuron หรือ connector neuron หรือ intermediate neuron หรือ local circuit neuron \nเป็นเซลล์ประสาทที่ส่งกระแสประสาทจากนิวรอนหนึ่งไปยังอีกนิวรอนหนึ่ง\nเป็นเซลล์ประสาทแบบหนึ่งในสามอย่างโดยจัดตามการทำงาน \nที่มีจำนวนมากที่สุด (ประมาณ 90%) ในร่างกายมนุษย์\nโดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือแบบเฉพาะที่ (local) และแบบรีเลย์\nแบบเฉพาะที่จะมีแอกซอนสั้น ๆ และสร้างวงจรประสาทกับนิวรอนใกล้ ๆ\nส่วนแบบรีเลย์ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า projection interneuron จะมีแอกซอนยาวและส่งกระแสประสาทไปได้ไกล ๆ จากสมองเขตหนึ่งไปยังอีกเขตหนึ่ง\nเซลล์เรียกว่า interneuron (คือนิวรอนในระหว่าง) ก็เพราะเป็นเซลล์ประสาททั้งหมดในระหว่างเซลล์ประสาทรับความรู้สึกกับเซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron)\nเป็นเซลล์ประสาทรวมทั้งที่อยู่ในไขสันหลังและสมอง\nนอกจากจะเชื่อมเซลล์หนึ่งกับอีกเซลล์หนึ่งแล้ว interneuron ยังมีหน้าที่รวบรวมผลในระบบประสาท คือมีหน้าที่ประมวลข้อมูล เก็บข้อมูล ค้นคืนข้อมูล และตัดสินใจว่าร่างกายควรจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าเช่นไร\ninterneuron มีบทบาทในการทำงานของรีเฟล็กซ์และของการแกว่งกวัดของคลื่นประสาท (neuronal oscillation)\nการทำงานร่วมกันระหว่าง interneuron ทำให้ระบบประสาทสามารถทำหน้าที่ซึ่งซับซ้อน เช่น การเรียนรู้และการตัดสินใจได้", "title": "อินเตอร์นิวรอน" }, { "docid": "43998#13", "text": "การแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์ด้วยกันพบน้อยมาก มีผู้ป่วยน้อยคนมีบันทึกผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะ หลังการติดเชื้อมนุษย์ตรงแบบโดยการกัด ไวรัสเข้าระบบประสาทนอกส่วนกลาง แล้วเดินทางตามประสาทนำเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ระหว่างระยะนี้ ไวรัสไม่สามารถถูกพบได้โดยง่ายในตัวถูกเบียน และวัคซีนอาจยังทำให้เกิดภูมิคุ้มกันอาศัยเซลล์เป็นสื่อ (cell-mediated immunity) เพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่แสดงอาการ เมื่อไวรัสเข้าสมอง มันทำให้เกิดสมองอักเสบอย่างเร็ว ระยะบอกเหตุโรค และเป็นจุดเริ่มต้นของอาการ เมื่อผู้ป่วยแสดงอาการแล้ว การรักษาแทบไร้ผลโดยสิ้นเชิงและอัตราตายมีกว่า 99% โรคพิษสุนัขบ้าอาจยังทำให้ไขสันหลังอักเสบ ทำให้เกิดไขสันหลังอักเสบตามขวาง (transverse myelitis)", "title": "โรคพิษสุนัขบ้า" }, { "docid": "936852#16", "text": "ระบบประสาทประกอบด้วยระบบประสาทกลาง (สมองและไขสันหลัง) และระบบประสาทนอกส่วนกลางประกอบด้วยเส้นประสาทและปมประสาทนอกสมองและไขสันหลัง สมองเป็นอวัยวะแห่งความคิด อารมณ์ ความทรงจำ และการประมวนทางประสาทสัมผัส และทำหน้าที่ในหลายมุมมองของการสื่อสารและควบคุมระบบและหน้าที่ต่าง ๆ ความรู้สึกพิเศษประกอบด้วย การมองเห็น การได้ยิน การรับรู้รส และการดมกลิ่น ซึ่ง ตา,หู, ลิ้น, และจมูกรวบรวมข้อมูลจากสิ่งรอบตัว", "title": "ร่างกายมนุษย์" }, { "docid": "96384#0", "text": "โคนิอีน (Coniine) เป็นแอลคาลอยด์ที่เป็นพิษที่พบในพืช poison hemlock และ yellow pitcher plant และทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในพืช hemlock เป็นสารพิษที่มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทโดยรบกวนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง มีความเป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์และปศุสัตว์ทุกชนิด ปริมาณที่มีฤทธิ์ถึงแก่ชีวิตต่อมนุษย์มีไม่ถึง 0.2 กรัม โดยทำให้เสียชีวิตเนื่องมาจากระบบหายใจเป็นอัมพาต", "title": "โคนิอีน" }, { "docid": "242167#0", "text": "เซโรโทนิน ( ) (5-hydroxytryptamine, or 5-HT) เป็นสารสื่อประสาทที่มีโครงสร้างทางเคมีเป็นโมโนอะมีน (monoamine neurotransmitter) พบมากในระบบทางเดินอาหารของสัตว์ (gastrointestinal tract of animals) และประมาณ 80-90% ของปริมาณเซโรโทนินรวมในร่างกายมนุษย์พบใน enterochromaffin cells ซึ่งเป็นเซลล์ในทางเดินอาหาร (gut) ซึ่งมันทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร ส่วนเซโรโทนินในร่างกายอีก 10-20% นั้น ถูกสังเคราะห์ในระบบประสาทส่วนกลางจากเซลล์ประสาทที่สามารถสร้างเซโรโทนินได้ (serotonergic neurons) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท ซึ่งมีบทบาทหลายหน้าที่เช่น การควบคุมความหิว อารมณ์ และความโกรธ", "title": "เซโรโทนิน" }, { "docid": "58892#20", "text": "ทั้งเดนไดรต์และแอกซอนในระบบประสาทกลาง (CNS) โดยทั่วไปจะหนาประมาณ 1 ไมโครเมตร แต่ในระบบประสาทนอกส่วนกลาง (PNS) จะหนากว่า ส่วนตัวเซลล์มีขนาดประมาณ 10-25 ไมโครเมตรและมักจะไม่ใหญ่กว่านิวเคลียสของเซลล์ที่อยู่ในมันมากนัก แอกซอนของเซลล์ประสาทสั่งการของมนุษย์ที่ยาวที่สุดอาจจะยาวกว่า 1 เมตร โดยวิ่งจากกระดูกสันหลังไปยังนิ้วเท้า ส่วนแอกซอนของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกอาจวิ่งจากนิ้วเท้าไปถึง posterior column ของไขสันหลัง ซึ่งยาวกว่า 1.5 เมตรในผู้ใหญ่ ส่วนยีราฟอาจมีแอกซอนยาวหลายเมตรวิ่งไปตามคอของมันทั้งหมด", "title": "เซลล์ประสาท" }, { "docid": "654635#0", "text": "การศึกษาการเจริญของประสาทใช้ทั้งประสาทวิทยาศาสตร์และชีววิทยาการเจริญเพื่ออธิบายกลไกของเซลล์และโมเลกุลที่ทำให้ระบบประสาทซับซ้อนกำเนิดขึ้นระหว่างการเจริญของเอ็มบริโอและตลอดชีวิต", "title": "การเจริญของประสาทในมนุษย์" }, { "docid": "467742#0", "text": "เซลล์ประสาทรับกลิ่น () เป็นเซลล์ที่ถ่ายโอนกลิ่นเป็นกระแสประสาทภายในระบบรับกลิ่น\nเป็นเซลล์ที่อยู่ภายในเยื่อรับกลิ่นที่บุบางส่วนของโพรงจมูก (ประมาณ 5 ซม ในมนุษย์) บริเวณยอดเซลล์จะมีเส้นขนเล็ก ๆ (olfactory cilia) ที่ทำหน้าที่จับโมเลกุลกลิ่นจากสิ่งแวดล้อมที่เข้ามาภายในรูจมูก \nเซลล์จะถ่ายโอนกลิ่นเป็นกระแสประสาทแล้วส่งผ่านเส้นประสาทรับกลิ่น (olfactory nerve) ซึ่งวิ่งผ่านรูในกระดูก cribriform plate เหนือโพรงจมูกขึ้นไปยังป่องรับกลิ่นในสมอง\nการรับกลิ่นของมนุษย์จะไม่พัฒนาเทียบเท่ากับสัตว์บางชนิดเช่นสุนัข ซึ่งมีประสาทรับกลิ่นที่ดีเยี่ยม", "title": "เซลล์รับกลิ่น" }, { "docid": "12688#2", "text": "เมทธิลโบรไมด์ เป็นสารเคมีที่ทำลายสารพันธุกรรมของมนุษย์และสัตว์ที่มีพิษสูงมาก \nทำลายระบบประสาท มีผลทำให้ระบบประสาทเสียหายถาวร ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง มีอาการประสาทหลอน\nทำลายปอดหากสูดดมเข้าไป ก่อให้เกิดการอักเสบ พุพองในทางเดินหายใจ\nทำลายอวัยวะภายในจนล้มเหลว เกิดอาการชักกะตุกและทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว", "title": "เมทธิลโบรไมด์" } ]
3415
จิตรกรคืออะไร ?
[ { "docid": "11472#0", "text": "จิตรกรรม () เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานจิตรกรรม มักเรียกว่า จิตรกร", "title": "จิตรกรรม" } ]
[ { "docid": "17196#5", "text": "พระยาอนุศาสตร์จิตรกรเป็นช่างฝีมือในทางศิลปหลายแขนง โดยเฉพาะการเขียนภาพ ทั้งภาพปก ภาพลายเส้นประกอบเรื่อง และภาพจิตรกรรมฝาผนัง เชี่ยวชาญทางเขียนภาพที่ใช้สีผสมน้ำปูนตามแบบโบราณ ภาพสีน้ำมัน ออกแบบเครื่องแต่งกาย สร้างฉากละครเรื่องต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดง ภาพวาดฝาผนังในสถานที่สำคัญ ได้แก่ พระราชวังสนามจันทร์, วัดพระปฐมเจดีย์ (นครปฐม), ภาพเรื่องรามเกียรติ์ ในพระที่นั่งบรมพิมาน และระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม, ภาพเขียนสีน้ำมัน บนกุฏิสมเด็จฯ วัดเทพศิรินทราวาส, ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม (อยุธยา) และวัดสามแก้ว (ชุมพร) เป็นต้น", "title": "พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)" }, { "docid": "17196#1", "text": "พระยาอนุศาสน์จิตรกร เป็นต้นสกุล \"จิตรกร\" เป็นบิดาของ คุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน สุนทรเวช) มารดาของนายสมัคร สุนทรเวช ท่านเกิดที่ตำบลวัดราชบูรณะ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2414 เข้าศึกษาวิชาการชั้นต้นที่วัดสังเวชวิศยาราม สำนักพระอาจารย์เพชร และพระอาจารย์สังข์ และวิชาการอื่นๆ จากครูพุด ยุวะพุกกะ", "title": "พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)" }, { "docid": "217725#0", "text": "จิตรกรภาพประกอบ (ภาษาอังกฤษ: Illustrator) คือจิตรกรกราฟิกที่มีความเชี่ยวชาญในการเพิ่มคุณค่าของงานเขียนโดยการสร้างภาพที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาภายในงาน จิตรกรอาจจะพยายามเพิ่มความกระจ่างแจ้งของเนื้อหาที่ซับซ้อนหรือสิ่งที่ยากต่อการอธิบายด้วยตัวหนังสือ หรืออาจจะเขียนเพื่อความบันเทิงเช่นการเขียนบัตรอวยพรหรือปกหนังสือ หรือภาพเขียนภายในหนังสือหรือวรสาร หรือโฆษณา หรือโปสเตอร์", "title": "จิตรกรภาพประกอบ" }, { "docid": "17196#0", "text": "มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) (23 ตุลาคม 2414 - 10 ตุลาคม 2492 - 78 ปี) เป็นผู้มีฝีมือทางด้านศิลปะ โดยเฉพาะด้านจิตรกรรม และการถ่ายภาพ จนได้เป็นช่างภาพประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยฉายพระบรมฉายาลักษณ์ และการเสด็จประพาสในวาระต่างๆ", "title": "พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)" }, { "docid": "728750#0", "text": "มาร์ก ไรเดน ( เกิด 20 มกราคม ค.ศ. 1963) เป็นจิตรกรชาวอเมริกัน ส่วนหนึ่งของศิลปะใต้ดิน นิตยสาร\"อินเทอร์วิวแมกาซีน\"ให้ชื่อเขาว่าเป็น \"เจ้าพ่อลัทธิเหนือจริง\" (the god-father of pop surrealism) อาร์ตเน็ตเรียกเขาและภรรยาชื่อ มาเรียน เพ็ก จิตรกร ว่าเป็นราชาและราชินีลัทธิเหนือจริง และเป็นหนึ่งในคู่รักจิตรกรที่สำคัญที่สุดในลอสแอนเจลิส สุนทรีย์ศาสตร์ของไรเดนพัฒนาจากการผสมผสานจากหลายแหลาง ตั้งแต่แอ็งกร์ ดาวีด และผู้เลื่อมใสในคติคลาสสิกฝรั่งเศสคนอื่น ๆ จนถึงชุดหนังสือลิตเทิลโกลเดนบุกส์ ไรเดนมีแรงบันดาลใจจากวัตถุที่ทำให้ระลึกถึงความลึกลับ เช่น ของเล่นเก่า ๆ หุ่นสรีระ หุ่นสัตว์ โครงกระดูก และของสะสมทางศาสนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามตลาดขายของมือสอง", "title": "มาร์ก ไรเดน" }, { "docid": "219794#5", "text": "“จิตรกรประวัติศาสตร์” มิใช่เป็นแต่เพียงจิตรกรที่วาดภาพที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แต่วาดอย่างใหญ่โตและเป็นนาฏกรรม โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือตำนานกรีกโรมัน, ฉากจากวรรณคดีสำคัญ, หรือเหตุการณ์สำคัญของบุคคลสำคัญๆ ในสมัยบาโรก หัวเรื่องก็มักจะเป็นจุดสูงสุดของเหตุการณ์โดยมีผู้ร่วมเหตุการณ์แต่งตัวแบบคลาสสิก", "title": "จิตรกรรมประวัติศาสตร์" }, { "docid": "265921#0", "text": "รักคืออะไร เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวงดิ อินโนเซ็นท์ออกวางแผงครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527ซึ่งในอัลบั้มนี้ได้ต้อนรับ 2 สมาชิกใหม่ของวงคือไก่ เกียรติศักดิ์ ยันตะระประกรณ์ ในตำแหน่งมือกลองที่เข้ามาแทนโหนก เกรียงศักดิ์ที่ได้ลาออกไปและไชยรัตน์ ปฏิมาปกรณ์ จากวงฟอร์เอฟเวอร์ ในตำแหน่งมือคีย์บอร์ดและมือกีตาร์ซึ่งก่อนหน้านั้นไชยรัตน์ได้เข้ามาเป็นนักดนตรีรับเชิญระหว่างออกทัวร์คอนเสิร์ตและแสดงทางโทรทัศน์ในอัลบั้ม เพียงกระซิบ และอัลบั้ม อยู่หอ ก่อนจะเข้ามาเป็นสมาชิกหลักของวงในอัลบั้มชุดนี้", "title": "รักคืออะไร" }, { "docid": "173997#0", "text": "ผู้ช่วยศาสตราจารย์ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง (6 มิถุนายน พ.ศ. 2500 — ) เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพเหมือนจริง ซูเปอร์เรียลลิสม์ สำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาประยุกต์ศิลปศึกษา คณะมัณฑนศิลป์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยผลงานส่วนใหญ่ของเขาใช้เทคนิคสีอะคริลิค ถ่ายทอดผลงานที่เหมือนจริงอย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ภาควิชาประยุกต์ศิลปศึกษา คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร", "title": "ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง" }, { "docid": "140816#0", "text": "โยฮันเนิส ไรเนียส์โซน เฟอร์เมร์ () หรือ โยฮัน เฟอร์เมร์ (; 31 ตุลาคม พ.ศ. 2175 - 15 ธันวาคม พ.ศ. 2218) เป็นจิตรกรชาวดัตช์ มีผลงานในด้านศิลปะบาโรก มักวาดภาพที่แสดงถึงชีวิตประจำวันธรรมดาของคน เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเดลฟท์ และเป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จพอสมควรในเมืองของเขา แต่ว่าไม่ได้ร่ำรวยเป็นพิเศษเพราะสร้างผลงานค่อนข้างน้อย ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่ \"สาวใส่ต่างหูมุก\" ซึ่งเป็นภาพที่รู้จักกันในชื่อ \"โมนาลีซาจากทางเหนือ\"", "title": "โยฮันเนิส เฟอร์เมร์" }, { "docid": "163379#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ เรืองอุไร กุศลาสัย (สกุลเดิม: หิญชีระนันทน์; 21 มิถุนายน พ.ศ. 2463 – 31 มกราคม พ.ศ. 2561) เป็นนักเขียน นักแปล ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศอินเดีย มีชื่อเสียงจากหนังสือและบทความเกี่ยวกับประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผลงานร่วมกับกรุณา กุศลาสัย ซึ่งเป็นสามี ได้รับการเชิดชูเกียรติ รางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2544", "title": "เรืองอุไร กุศลาสัย" } ]