Dataset Viewer
Auto-converted to Parquet
id
stringlengths
4
7
url
stringlengths
93
183
title
stringlengths
7
17
text
stringlengths
138
39.4k
2088
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2
ภาษาไทย
ภาษาไทย หรือ ภาษาไทยกลาง เป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท และเป็นภาษาราชการ และภาษาประจำชาติของประเทศไทย มีการสันนิษฐานว่าภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางส่วนเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ ภาษาไทยปรากฏครั้งแรกในพุทธศักราช 1826 โดยพ่อขุนรามคำแหง และปรากฏอย่างสากลและใช้ในงานของราชการ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2476 ด้วยการก่อตั้งสำนักงานราชบัณฑิตยสภาขึ้น และปฏิรูปภาษาไทย พุทธศักราช 2485 การจำแนก ประวัติ ภาษาไทยจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไท (Tai languages) ภาษาหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท ภาษาไทยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาษาในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาลาว ภาษาผู้ไท ภาษาคำเมือง ภาษาไทใหญ่ เป็นต้น รวมถึงภาษาตระกูลไทอื่น ๆ เช่น ภาษาจ้วง ภาษาเหมาหนาน ภาษาปู้อี ภาษาไหล ที่พูดโดยชนพื้นเมืองบริเวณไหหนาน กวางสี กวางตุ้ง กุ้ยโจว ตลอดจนยูนนาน ไปจนถึงเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งสันนิษฐานว่าจุดกำเนิดของภาษาไทยน่าจะมาจากบริเวณดังกล่าว ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ได้มีการอพยพของผู้พูดภาษากลุ่มไทลงมาจากจีนตอนใต้ มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำพาภาษากลุ่มไทลงมาด้วย ภาษาที่ชนกลุ่มไทกลุ่มนี้พูดได้รับการสืบสร้างเป็นภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ดั้งเดิม ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ที่พูดโดยชาวออสโตรเอเชียติก และอยู่อาศัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่เดิม รวมถึงได้รับอิทธิพลจากภาษาทางวรรณกรรม คือ ภาษาสันสกฤต และ ภาษาบาลี จนพัฒนามาเป็นภาษาไทยในปัจจุบัน ภาษาไทยเก่า ภาษาไทยในอดีตมีระบบเสียงที่แตกต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบันอย่างชัดเจน ซึ่งมีประเด็นสำคัญต่อไปนี้ มีการแบ่งแยกระหว่างเสียงก้องและเสียงไม่ก้องในแทบทุกฐานกรณ์ และทุก ๆ ลักษณะการเกิดเสียง (manner of articulation) นั่นคือ มีเสียงพยัญชนะ /b d d͡ʑ g/ ซึ่งแบ่งแยกจาก /p t t͡ɕ k/ อย่างชัดเจน รวมถึงมีการแบ่งแยกระหว่างเสียงนาสิกแบบก้องและแบบไม่ก้องด้วย (/m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊/ หรือ /ʰm ʰn ʰɲ ʰŋ/ กับ /m n ɲ ŋ/ → ตัวอย่าง 1) รวมถึงเสียงเปิด (/ʍ l̥/ กับ /w l/) ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ได้สูญหายไปในภาษาไทยปัจจุบัน มีเสียงกักเส้นเสียงนำมาก่อน (pre-glottalized) หรือเสียงกักเส้นเสียงลมเข้า (implosive) ได้แก่ /ʔb/, /ʔd/,/ʔj/ → ตัวอย่าง 2 มีเสียงเสียดแทรกเพดานอ่อน (ฃ /x/ และ ฅ /ɣ/) ซึ่งต่างจากเสียงกักเพดานอ่อนอย่างชัดเจน (ข /kʰ/ และ ค /g/) → ตัวอย่าง 3 มีเสียงพยัญชนะ /ɲ/ ซึ่งเขียนแทนด้วย ญ เสียงพยัญชนะนี้ได้สูญหายไปจากภาษาไทยปัจจุบัน โดยกลายเป็นเสียง [j] ซึ่งเป็นเสียงเดียวกันกับ ย → ตัวอย่าง 4 มีวรรณยุกต์เพียงสามเสียงเท่านั้น ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอก และเสียงโท (หรือเขียนแทนด้วย *A, *B และ *C ตามลำดับ) ในพยางค์เป็น (unchecked syllable) จะมีเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นไปได้ 3 เสียง ส่วนพยางค์ตาย (checked syllable) มีเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นไปได้เพียงเสียงเดียว คือเสียงเอก นอกจากอักษรควบกล้ำทั่วไป (อย่าง กร-ฅร-ขร-คร-ตร-ปร-พร/กล-ฅล-ขล-คล-ปล-พล/กว-คว-ฅว) แล้วยังมีอักษรควบกล้ำพิเศษอีก 4 ตัว ก็คือ (*bd บด, *pt ผต, *mr/ml มร/มล, *thr ถร) ตามผลการวิจัยของนักภาษาศาสตร์ภาษาไทกะได เช่น André-Georges Haudricourt และ Li Fang-Kuei ปัจจุบันสามารถหาหลักฐาน จากภาษาไทกะไดต่าง ๆ ได้ → ตัวอย่าง 5 มีเสียงสระประสม /aɰ/ ซึ่งเขียนแทนด้วยไม้ม้วน (ใ) เสียงสระนี้ได้สูญหายไปจากภาษาไทยปัจจุบัน โดยกลายเป็นเสียง [aj] สำหรับสระอื่น ๆ โดยหลัก ๆ ไม่มีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบัน → ตัวอย่าง 6 สามารถสรุประบบเสียงพยัญชนะภาษาไทยเก่าได้ดังนี้ สีเขียว สีชมพู และสีฟ้า คือหน่วยเสียงพยัญชนะที่จะพัฒนาไปเป็นอักษรกลาง อักษรสูง และอักษรต่ำ ในอนาคต ตามลำดับ ระบบเสียงข้างต้นมีความสอดคล้องกันกับอักษรในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง นั่นคือ มีการใช้อักษร ฃ และ ฅ แยกกับ ข และ ค อย่างชัดเจน บ่งบอกว่าภาษาไทยในสมัยที่มีการสร้างจารึกดังกล่าว หน่วยเสียงพยัญชนะเหล่านี้ต้องแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดวรรณยุกต์ในภาษาไทยในจารึกสมัยสุโขทัยจึงมีวรรณยุกต์เพียง 2 รูป (เอกและโท) เท่านั้น เป็นเพราะว่าภาษาไทยเก่ามีวรรณยุกต์เพียงสามเสียงเท่านั้น (เสียงสามัญไม่เขียนรูปวรรณยุกต์) อย่างไรก็ตาม หน่วยเสียง /x/ และ /ɣ/ น่าจะมีการสูญหายไปในอย่างรวดเร็วในสมัยพระยาลิไท โดยเกิดการรวมกับหน่วยเสียง /kʰ/ และ /g/ โดยสังเกตได้จากการใช้รูปพยัญชนะ ฃ สลับกับ ข และ ฅ สลับกับ ค ในศิลาจารึกสมัยพระยาลิไท บ่งบอกว่าหน่วยเสียงทั้งสองคู่ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป ปัจจุบันจึงมีการเลิกใช้ตัวอักษร ฃ และ ฅ ระบบเสียงวรรณยุกต์สามเสียงสอดคล้องกับฉันทลักษณ์ในสมัยอยุธยาตอนต้น เช่นการบังคับเอกโทในโคลงสี่สุภาพ ในวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นที่เขียนในโคลงสี่สุภาพ ยังไม่ปรากฏว่ามีการใช้คำเอกโทษหรือโทโทษเกิดขึ้น จึงสันนิษฐานได้ว่าระบบเสียงของภาษาไทยที่ใช้ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงเป็นระบบเสียงแบบเก่าอยู่ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยต่อไปในสมัยอยุธยาตอนกลาง อนึ่ง เสียงสระ ใ /aɰ/ และ ไ /aj/ ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงรักษาความแตกต่างไว้ได้เช่นกัน โดยสังเกตได้จากการที่คำที่มีรูปสระ ไ และ ใ จะไม่สัมผัสกัน การเปลี่ยนแปลงระบบเสียงที่สำคัญ ในสมัยอยุธยาตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 21) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยเก่าขึ้น นับเป็นจุดเปลี่ยนผ่านจากภาษาไทยเก่าไปเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ โดยมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงดังนี้ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ทั้ง 3 เสียง (*A, *B และ *C) ได้แตกตัวออกเป็นเสียงละ 2 เสียง รวมทั้งหมดเป็น 6 เสียง (*A1, *A2, *B1, *B2, *C1 และ *C2) ขึ้นอยู่กับความก้องของเสียงพยัญชนะต้น แต่หน่วยเสียงที่แตกตัวออกมาเป็นคู่ ๆ เหล่านั้นยังคงมีความแตกต่างกันเพียงในระดับหน่วยเสียงย่อย เท่านั้น เสียงวรรณยุกต์ชุดแรก *A1, *B1 และ *C1 จะปรากฏในคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นเสียงไม่ก้อง และเสียงกักเสีนเสียง ได้แก่ /p pʰ t tʰ t͡ɕ t͡ɕʰ k kʰ ʔ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/ เสียงวรรณยุกต์ชุดที่สอง *A2, *B2 และ *C2 จะปรากฏในคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นเสียงก้อง ได้แก่ /b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/ เกิดการยุบรวม (merger) ของหน่วยเสียงพยัญชนะต่อไปนี้ เสียงกัก ก้อง (/b d d͡ʑ g/) ได้ยุบรวมกับเสียงกัก มีลม ไม่ก้อง (/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ/) เสียงเสียดแทรก ก้อง (/v z/) ได้ยุบรวมกับเสียงเสียดแทรก ไม่ก้อง (/f s/) เสียงกังวาน (sonorant) ไม่ก้อง (/m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/) ยุบรวมกับเสียงกังวาน ก้อง (/m n ɲ ŋ w l/) คู่ของเสียงวรรณยุกต์ทั้ง 3 คู่ มีการแบ่งแยกความแตกต่างมากขึ้น จนไปถึงระดับหน่วยเสียง (phoneme) มีการแตกตัวและการรวมของเสียงวรรณยุกต์ต่อไป ภาษาไทยถิ่นกลางมีการแตกตัวและการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่มีลักษณะเฉพาะ แบ่งแยกได้จากภาษาถิ่นภาคอื่น ๆ ได้แก่ การแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ *A ออกเป็นสองเสียงที่ต่างกันระหว่างพยัญชนะเสียงไม่ก้องที่มีลม (/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/) กับเสียงไม่ก้องที่ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) และมีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *B2 (เอก-ก้อง) และ *C1 (โท-ไม่ก้อง) อีกด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า ค่า กับ ข้า หรือคำว่า น่า กับ หน้า จึงออกเสียงวรรณยุกต์เป็นเสียงเดียวกันในภาษาไทยถิ่นกลาง แตกต่างจากภาษาไทยถิ่นเหนือและอีสานที่มีการแตกตัวและยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างไปจากนี้ จึงออกเสียงวรรณยุกต์ของทั้งสองคำนี้ต่างกันไปด้วย สำหรับภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงอยุธยา เป็นต้น มีการยุบรวมเสียงวรรณยุกต์ *A1 ของพยัญชนะเสียงไม่ก้อง ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) กับเสียงวรรณยุกต์ *A2 ของพยัญชนะเสียงก้อง (/b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/) ด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า กา กับ คา จึงออกเสียงวรรณยุกต์เหมือนกัน (เสียงสามัญ) แต่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างจากคำว่า ขา ซึ่งเป็นเสียงจัตวา ในขณะที่ภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีการออกเสียงวรรณยุกต์ของคำว่า กา กับ คา ที่ต่างกันอยู่ นั่นคือยังไม่มีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *A1 และ *A2 ดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ภาษาไทยกรุงเทพปัจจุบันมีเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน 5 หน่วยเสียง และสำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีเสียงวรรณยุกต์ 6 หน่วยเสียง รูปแบบการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน ของภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงสุพรรณบุรี สรุปได้ตามตารางต่อไปนี้ (ให้เสียงวรรณยุกต์เดียวกันมีสีเดียวกัน และวรรณยุกต์ที่ปรากฏในตารางเป็นเสียงวรรณยุกต์ในปัจจุบัน) วรรณยุกต์ที่ 1–5 ในภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพในตาราง คือวรรณยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงวรรณยุกต์จากภาษาไทยเก่ามาเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ แต่อักขรวิธีของภาษาไทยยังคงรูปเขียนเช่นเดิม ทำให้รูปเขียนและเสียงอ่านมีความไม่สอดคล้องกันขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ข้า กับ ค้า ที่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ทั้ง ๆ ที่มีรูปวรรณยุกต์โทเช่นเดียวกัน เกิดจากการที่ทั้งสองคำนี้เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน แต่มีเสียงพยัญชนะต้นที่แตกต่างกัน คือเสียง ข /kʰ/ และ ค /g/ ในภาษาไทยเก่า ความไม่สอดคล้องกันระหว่างรูปเขียนและเสียงอ่าน ทำให้เกิดระบบไตรยางศ์ ขึ้น โดยเป็นระบบการจัดหมวดหมู่รูปพยัญชนะอักษรไทยที่จัดให้รูปวรรณยุกต์หนึ่ง ๆ มีการออกเสียงที่แตกต่างกันได้เป็น 2 เสียง ขึ้นอยู่กับรูปพยัญชนะต้นของคำนั้น ๆ ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบการแตกตัวและยุบรวมของหน่วยเสียงพยัญชนะและสระข้างต้น เสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยา หลักฐานที่บ่งบอกถึงเสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีน้อยมาก ระบบไตรยางศ์แบบเดียวกันกับภาษาไทยปัจจุบันนี้ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างช้าสุดในตำราจินดามณี จากการสืบสร้างเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณี พบว่ามีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง และมีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์คล้ายคลึงกับภาษาไทยปัจจุบัน แต่ระดับเสียงและรูปร่างเสียงวรรณยุกต์ (contour) ยังคงมีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบันอยู่พอสมควร เสียงวรรณยุกต์สมัยนี้อาจมีความคล้ายคลึงกับสำเนียงพากย์โขน (วริษา กมลนาวิน, 2546) พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2559) ได้เสนอการสืบสร้างระบบเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณีดังต่อไปนี้ * ระบุระดับเสียงไม่ได้ชัดเจน ** ระบุความแตกต่างของสองเสียงนี้ไม่ได้ชัดเจน และได้เสนอว่าระบบวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีรูปแบบการแตกตัวที่ต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบัน คือ เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ที่มีอักษรต่ำ คำตาย เสียงสระสั้น กับ พยางค์ที่มีอักษรต่อ คำตาย เสียงยาว มีเสียงเดียวกัน (ตัวอย่างเช่น คำว่า คัด กับ คาด เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน) ซึ่งสรุปการแตกตัวได้ดังนี้ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการปฏิรูปภาษาไทยโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่สังเกตได้มีดังนี้ ตัดพยัญชนะ ฃ ออก แล้วใช้ ข แทน ตัดพยัญชนะ ฅ และ ฆ ออก แล้วใช้ ค แทน ตัดพยัญชนะ ฌ ออก แล้วใช้ ช แทน ตัดพยัญชนะ ฎ ออก แล้วใช้ ด แทน ตัดพยัญชนะ ฏ ออก แล้วใช้ ต แทน ตัดพยัญชนะ ฐ ออก แล้วใช้ ถ แทน ตัดพยัญชนะ ฑ ออก แล้วใช้ ท แทน ตัดพยัญชนะ ฒ ออก แล้วใช้ ธ แทน ตัดพยัญชนะ ณ ออก แล้วใช้ น แทน ตัดพยัญชนะ ศ และ ษ ออก แล้วใช้ ส แทน ตัดพยัญชนะ ฬ ออก แล้วใช้ ล แทน พยัญชนะ ญ ถูกตัดเชิงออกกลายเป็น พยัญชนะสะกดของคำที่ไม่ได้มีรากมาจาก คำบาลี-สันสกฤต เปลี่ยนเป็นพยัญชนะสะกดตามแม่โดยตรง เช่น อาจ เปลี่ยนเป็น อาด, สมควร เปลี่ยนเป็น สมควน เปลี่ยน อย เป็น หย เช่น อยาก เปลี่ยนเป็น หยาก เลิกใช้คำควบไม่แท้ เช่น จริง เขียนเป็น จิง, ทรง เขียนเป็น ซง ร หัน ที่มิได้ออกเสียง /อัน/ ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสระอะตามด้วยตัวสะกด เช่น อุปสรรค เปลี่ยนเป็น อุปสัค, ธรรม เปลี่ยนเป็น ธัม เลิกใช้สระใอ (ไม้ม้วน) เปลี่ยนเป็นสระไอ (ไม้มลาย) ทั้งหมด เลิกใช้ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เปลี่ยนไปใช้การสะกดตามเสียง เช่น พฤกษ์ ก็เปลี่ยนเป็น พรึกส์, ทฤษฎี ก็เปลี่ยนเป็น ทริสดี ใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างภาษาต่างประเทศ เช่น มหัพภาค (.) เมื่อจบประโยค จุลภาค (,) เมื่อจบประโยคย่อยหรือวลี อัฒภาค (;) เชื่อมประโยค และจะไม่เว้นวรรคถ้ายังไม่จบประโยคโดยไม่จำเป็น หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง สัทวิทยา ภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสียงสำคัญ 3 ประเภท คือ หน่วยเสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ พยัญชนะ พยัญชนะต้น ภาษาไทยมาตรฐานแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียงแทรก เป็นสามประเภทดังนี้ เสียงไม่ก้อง ไม่พ่นลม เสียงไม่ก้อง พ่นลม เสียงก้อง ไม่พ่นลม หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง เอส (S) ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง เสียงพยัญชนะต้นมี 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น * ฃ และ ฅ เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร ** ฑ มีอยู่สองเสียง คือ [tʰ] เมื่อเป็นคำเป็น และ [d] เมื่อเป็นคำตาย พยัญชนะสะกด ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก ฃ และ ฅ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ฉ ผ ฝ ห อ ฮ ดังนั้นตัวสะกดจึงเหลือเพียง 36 * เสียงพยัญชนะกัก เส้นเสียง จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด กลุ่มพยัญชนะ แต่ละพยางค์ในคำหนึ่ง ๆ ของภาษาไทยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน (ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่พยัญชนะสะกด อาจกลายเป็นพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไป หรือในทางกลับกัน) ดังนั้นพยัญชนะหลายตัวของพยางค์ที่อยู่ติดกัน จะไม่รวมกันเป็นกลุ่มพยัญชนะเลย ภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะเพียงไม่กี่กลุ่ม ประมวลคำศัพท์ภาษาไทยดั้งเดิมระบุว่ามีกลุ่มพยัญชนะ (ที่ออกเสียงรวมกันโดยไม่มีสระอะ) เพียง 11 แบบเท่านั้น เรียกว่า พยัญชนะควบกล้ำ หรือ อักษรควบกล้ำ พยัญชนะควบกล้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกหกเสียงจากคำยืมภาษาต่างประเทศ ได้แก่ (บร) เช่น บรอนซ์, เบรก (บล) เช่น บล็อก, เบลอ (ดร) เช่น ดราฟต์, ดริงก์ (ฟร) เช่น ฟรักโทส, ฟรี (ฟล) เช่น ฟลูออรีน, แฟลต (ทร) เช่น จันทรา, แทรกเตอร์ เราสามารถสังเกตได้ว่า กลุ่มพยัญชนะเหล่านี้ถูกใช้เป็นพยัญชนะต้นเท่านั้น ซึ่งมีเสียงพยัญชนะตัวที่สองเป็น ร ล หรือ ว และกลุ่มพยัญชนะจะมีเสียงไม่เกินสองเสียงในคราวเดียว การผันวรรณยุกต์ของคำขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ของพยัญชนะตัวแรก สระ เสียงสระในภาษาไทยมาตรฐานแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน (ดูที่ อักษรไทย) สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้ เ–ีย ประสมจากสระ อี และ อา ia เ–ือ ประสมจากสระ อือ และ อา uea –ัว ประสมจากสระ อู และ อา ua ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ–ียะ เ–ือะ –ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้ –ำ am ประสมจาก อะ + ม (อัม) เช่น ขำ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม) เช่น น้ำ ใ– ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ใจ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ใต้ ไ– ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ไหม้ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ไม้ เ–า ao ประสมจาก อะ + ว (เอา) เช่น เกา บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว) เช่น เก้า ฤ rue, ri, roe ประสมจาก ร + อึ (รึ) เช่น ฤกษ์ บางคำเปลี่ยนเป็น (ริ) เช่น กฤษณะ หรือ (เรอ) เช่น ฤกษ์ ฤๅ rue ประสมจาก ร + อือ (รือ) ฦ lue ประสมจาก ล + อึ (ลึ) ฦๅ lue ประสมจาก ล + อือ (ลือ) บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา คำที่สะกดด้วย –ั (สระ -ะ) + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน สระ เ-ะ แ-ะ เ-าะ ที่มีวรรณยุกต์ ใช้รูปเดียวกับสระ เ– แ- -อ ตามลำดับ เช่น เผ่น เล่น แล่น แว่น ผ่อน กร่อน คำที่สะกดด้วย –อ (สระ -อ) + ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ + ร จึงไม่มี สระ เ–อะ ที่มีตัวสะกดใช้รูปเดียวกับสระ เ–อ เช่น เงิน เปิ่น เห่ย คำที่สะกดด้วย เ–อ + ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– อย่างไรก็ตาม คำที่สะกดด้วย เ– + ย จะไม่มีในภาษาไทย พบได้น้อยคำ เช่น เทอญ เทอม วรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คำเป็น เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมาตรฐานจำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่ คำตาย เสียงวรรณยุกต์ในคำตายสามารถมีได้แค่เพียง 3 เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก เสียงโท และ เสียงตรี โดยขึ้นอยู่กับความสั้นความยาวของสระ เสียงเอกสามารถออกเสียงควบคู่กับได้สระสั้นหรือยาว เสียงตรีสามารถออกเสียงควบคู่กับสระสั้น และ เสียงโทสามารถออกเสียงควบคู่กับสระยาว เช่น แต่อย่างใดก็ดี ในคำยืมบางคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คำตายสามารถมีเสียงตรีควบคู่กับสระยาว และเสียงโทควบคู่กับสระสั้นได้ด้วย เช่น รูปวรรณยุกต์ ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่ การเขียนเสียงวรรณยุกต์ ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น คำควบกล้ำ คำควบกล้ำ หรือ อักษรควบ หมายถึง พยัญชนะสองตัวเขียนเรียงกันอยู่ต้นพยางค์ และใช้สระเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวกัน เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นั้นจะผันเป็นไปตามเสียงพยัญชนะตัวหน้าคำควบกล้ำ (อักษรควบ) มี 2 ชนิด คือ คำควบแท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ล ว ควบกับพยัญชนะตัวหน้า ประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวพร้อมกัน คำควบไม่แท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ควบกับพยัญชนะตัวหน้าประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านไม่ออกเสียง ร ออกเสียงเฉพาะตัวหน้า หรือมิฉะนั้น ก็ออกเสียง เป็นเสียงอื่นไป คำควบไม่แท้ที่ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวหน้า ได้แก่พยัญชนะ จ ซ ศ ส ควบกับ ร คำควบไม่แท้ ท ควบกับ ร จะออกเสียงกลายเป็น ซ ไวยากรณ์ ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป ไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) วาจก (voice) หรือบุรุษ (person) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงค์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้เป็นคำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เช่น ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต เมื่อนำคำที่รับมานั้นมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำได้อย่างตายตัว จำเป็นต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) วากยสัมพันธ์ ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ หรือการเรียงลำดับคำในประโยค โดยรวมแล้วจะเรียงเป็น 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ในกรณีที่มีการเน้นความหมายของกรรม (topicalization) สามารถเรียงประโยคเป็น 'กรรม-ประธาน-กริยา' (object-subject-verb หรือ OSV) ได้ด้วย แต่ต้องใช้คำชี้เฉพาะเติมหลังคำที่เป็นกรรมคำนั้น เช่น การยืมคำจากภาษาอื่น ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่น ๆ ค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาขร้า-ไท ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไท ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทฺธิ (iddhi) ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทฺธิ ऋद्धि (ṛddhi) ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไท แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้ รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย วชิระ (บาลี: วชิร [vajira]), วัชระ (สันส: วชฺร वज्र [vajra]) ศัพท์ (สันส: ศพฺท शब्द [śabda]), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี: สทฺท [sadda]) อัคนี และ อัคคี (สันส: อคฺนิ अग्नि [agni] บาลี: อคฺคิ [aggi]) โลก (โลก) – บาลี: โลก [loka] (สันสกฤต: लोक โลก) ญาติ (ยาด) – บาลี: ญาติ (ยา-ติ) [ñāti] เสียง พ มักแผลงมาจาก ว เพียร (มาจาก พิริย และมาจาก วิริย อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรฺย वीर्य [vīrya], บาลี:วิริย [viriya]) พฤกษา หรือ พฤกษ์ (สันส:วฺฤกฺษ वृक्ष [vṛkṣa]) พัสดุ (สันส: वस्तु [vastu] (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ) ) เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หรติ)) เสียง ด มักแผลงมาจาก ต หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ)) เทวดา (บาลี:เทวตา [devatā]) วัสดุ และ วัตถุ (สันส: [vastu] वस्तु (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ)) กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ)) เสียง บ มักแผลงมาจาก ป กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ)) บุพเพ และ บูรพ (บาลี: [pubba] (ปุพฺพ)) ภาษาอังกฤษ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีวิวัฒนาการต่าง ๆ ทางเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งทำให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เช่น ประปา จากคำว่า วอเตอร์ซัปพลาย (water supply) สถานี จากคำว่า สเตชัน (station) รถยนต์ จากคำว่า รถมอเตอร์คาร์ (motorcar) เรือยนต์ จากคำว่า เรือมอเตอร์ (motorboat) ประมวล จากคำว่า โค้ด (code) ดูเพิ่ม ไตรยางศ์ ภาษาในประเทศไทย ภาษาวิบัติ วันภาษาไทยแห่งชาติ อักษรไทย อ้างอิง กำชัย ทองหล่อ. หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: บำรุงสาส์น, 2533. นันทนา รณเกียรติ. สัทศาสตร์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548. ISBN 978-974-571-929-3. อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล และ กัลยารัตน์ ฐิติกานต์นารา. 2549.“การเน้นพยางค์กับทำนองเสียงภาษาไทย” (Stress and Intonation in Thai) วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2549) หน้า 59-76 สัทวิทยา: การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. 2547. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ Gandour, Jack, Tumtavitikul, Apiluck and Satthamnuwong, Nakarin.1999. “Effects of Speaking Rate on the Thai Tones.” Phonetica 56, pp.123-134. Tumtavitikul, Apiluck, 1998. “The Metrical Structure of Thai in a Non-Linear Perspective”. Papers presentd to the Fourth Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society 1994, pp. 53-71. Udom Warotamasikkhadit and Thanyarat Panakul, eds. Temple, Arizona: Program for Southeast Asian Studies, Arizona State University. Apiluck Tumtavitikul. 1997. “The Reflection on the X’ category in Thai”. Mon-Khmer Studies XXVII, pp. 307-316. อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. 2539. “ข้อคิดเกี่ยวกับหน่วยวากยสัมพันธ์ในภาษาไทย” วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ. 4.57-66. Tumtavitikul, Appi. 1995. “Tonal Movements in Thai”. The Proceedings of the XIIIth International Congress of Phonetic Sciences, Vol. I, pp. 188-121. Stockholm: Royal Institute of Technology and Stockholm University. Tumtavitikul, Apiluck. 1994. “Thai Contour Tones”. Current Issues in Sino-Tibetan Linguistics, pp.869-875. Hajime Kitamura et al, eds, Ozaka: The Organization Committee of the 26th Sino-Tibetan Languages and Linguistics, National Museum of Ethnology. Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “FO – Induced VOT Variants in Thai”. Journal of Languages and Linguistics, 12.1.34 – 56. Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “Perhaps, the Tones are in the Consonants?” Mon-Khmer Studies XXIII, pp.11-41. แหล่งข้อมูลอื่น ภาษาไทยและอักษรไทย ที่ Omniglot พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ พจนานุกรม ภาษาไทยในรูปแบบ สตาร์ดิกต์ (StarDict), GoldenDict และ ABBYY Lingvo ไทย ไทย ไทย
6001
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87
กวางตุ้ง
กวางตุ้ง อาจหมายถึง มณฑลกวางตุ้ง มณฑลหนึ่งของจีนตั้งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศ ภาษากวางตุ้ง ภาษาจีนที่ใช้เป็นหลักในมณฑลกวางตุ้ง ผักกาดกวางตุ้ง เรียกอย่างย่อว่า ผักกวางตุ้ง
15785
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD
ภาษาไทยถิ่นเหนือ
คำเมือง (อักษรธรรมล้านนา: ; คำเมืองอักษรไทย: กำเมือง) หรือ ภาษาล้านนา, ภาษาไทยวน ราชการไทยเรียก ภาษาถิ่นพายัพ เป็นภาษาถิ่นของชาวไทยวนทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ซึ่งเป็นอาณาจักรล้านนาเดิม ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, อุตรดิตถ์, แพร่, น่าน, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา และยังมีการพูดและการผสมภาษากันในบางพื้นที่ของจังหวัดตาก, สุโขทัย และเพชรบูรณ์ ปัจจุบันกลุ่มคนไทยวนได้กระจัดกระจายและมีถิ่นที่อยู่ในจังหวัดสระบุรี, จังหวัดนครปฐม, จังหวัดราชบุรี และอำเภอของจังหวัดอื่นที่ใกล้เคียงกับราชบุรีอีกด้วย คำเมืองยังสามารถแบ่งออกเป็นสำเนียงล้านนาตะวันตก (ในจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน และแม่ฮ่องสอน) และสำเนียงล้านนาตะวันออก (ในจังหวัดเชียงราย, พะเยา, ลำปาง, อุตรดิตถ์, แพร่ และน่าน) ซึ่งจะมีความแตกต่างกันบ้าง คือ สำเนียงล้านนาตะวันออกส่วนใหญ่จะไม่พบสระเอือะ เอือ แต่จะใช้สระเอียะ เอียแทน (มีเสียงเอือะและเอือเพียงแต่คนต่างถิ่นฟังไม่ออกเอง เนื่องจากเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงนาสิกใกล้เคียงกับเอียะ เอีย) ส่วนคนในจังหวัดลำพูนมักจะพูดสำเนียงเมืองยอง เพราะชาวลำพูนจำนวนมากสืบเชื้อสายมาจากชาวยองในรัฐชาน จึงมีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ คำเมืองมีไวยากรณ์คล้ายกับภาษาไทยกลางแต่ใช้คำศัพท์ไม่เหมือนกันและไวยากรณ์ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่เดิมใช้คู่กับอักษรธรรมล้านนาซึ่งเป็นตัวอักษรของอาณาจักรล้านนาที่ใช้อักษรมอญเป็นต้นแบบ ระบบการเขียนใช้อักษรไทยในการสื่อสารคำเมืองเป็นหลัก เนื่องจากนับตั้งแต่อดีตการศึกษาไทยในสถานศึกษาไม่เคยส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น รวมถึงอักษรธรรมล้านนาก็ไม่มีการสอนอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ผู้คนในยุคปัจจุบันแทบไม่เข้าใจอักษรธรรมล้านนา จึงอาศัยการสะกดด้วยอักษรไทยในการสื่อสารผ่านทางข้อความ รัฐไทยในช่วงรัชกาลที่ 7–9 ได้สั่งห้ามใช้อักษรธรรมล้านนาและคำเมืองในที่สาธารณะ และให้เผาตำราเรียนในภาษาล้านนา เพื่อทำลายรากเหง้าท้องถิ่นหลังผนวกล้านนาเข้ากับตน แต่คำเมืองยังคงได้รับการใช้งานในชีวิตประจำวันสืบ ๆ มา ปัจจุบันกลับมีความพยายามจากรัฐไทยเองที่จะอนุรักษ์คำเมือง เช่น ใน พ.ศ. 2559 ราชบัณฑิตยสภาเริ่มโครงการจัดทำพจนานุกรมและรณรงค์การใช้คำเมือง เพราะเกรงภาษาถิ่นจะเลือนหาย ชื่อ ภาษาถิ่นพายัพมีชื่อเรียกหลายชื่อ โดยภาษาจากตระกูลภาษาไทต่าง ๆ มีชื่อเรียกซึ่งคล้ายคลึงหรือไม่เหมือนกัน ในภาษาถิ่นพายัพเอง มักเรียกว่า "กำเมือง" (อักษรธรรมล้านนา: , คำเมืองอักษรไทย: กำเมือง) ภาษาไทยมาตรฐานออกเสียงว่า "คำเมือง" อันแปลว่า "ภาษาของเมือง" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "ภาษาล้านนา" ส่วนชาวยวนในจังหวัดราชบุรี เรียกภาษาของตนว่า "ภาษาไทยวน” ภาษาไทยมาตรฐาน เรียกว่า "ภาษาถิ่นพายัพ", "ภาษาไทยถิ่นเหนือ" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "ภาษาเหนือ" หรือ "ภาษายวน" ในอดีตเรียก "ลาวเฉียง" หรือ "คำเฉียง" ภาษาลาว เรียกว่า "ภาษายวน" (ลาว: ພາສາຍວນ, รูปปริวรรต: พาสายวน) หรือ "ภาษาโยน" (ลาว: ພາສາໂຍນ, รูปปริวรรต: พาสาโยน) ภาษาไทลื้อ เรียกว่า "ก้ำโย่น" (ไทลื้อ: ᦅᧄᦍᦷᧃ, รูปปริวรรต: คำโยน) ภาษาไทใหญ่ เรียกว่า "กว๊ามโย้น" (ไทใหญ่: , รูปปริวรรต: กวามโยน) นอกจากภาษากลุ่มไทดังกล่าวแล้ว ภาษาอังกฤษ เรียกภาษาถิ่นพายัพว่า "Northern Thai" หรือ “Kam Mueang” พื้นที่การใช้ภาษา สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือไว้ว่า ภาคเหนือตอนบนประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่ และน่าน ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาเหนือเป็นภาษากลาง และภาคเหนือตอนล่างประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาไทยกลาง แต่มีเขตที่พูดภาษาไทยถิ่นเหนือด้วยหลายตำบล เช่น ตาก, สุโขทัย, กำแพงเพชร, อุตรดิตถ์, พิจิตร และพิษณุโลก สมทรง บุรุษพัฒน์ ได้ระบุว่าภาษาไทยถิ่นเหนือเป็นภาษาที่พูดกันทางตอนเหนือของไทย ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, ตาก, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และบางอำเภอของจังหวัดสระบุรี กาญจนา เงารังษีและคณะ ได้สรุปผลการศึกษาภาษาถิ่นเหนือที่ใช้บริเวณภาคเหนือตอนล่าง โดยระบุว่า ภาษาเหนือเป็นภาษาถิ่นที่ใช้ในพื้นที่ 9 จังหวัด คือ กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ระบบเสียง ระบบเสียงพยัญชนะ พยัญชนะต้น พยัญชนะต้นควบกล้ำ ไม่ปรากฏคำควบกล้ำเสียง ร ล มีคำควบกล้ำเฉพาะเสียง ว เท่านั้น อนึ่งเสียงรัวลิ้น "ร" และเสียงไม่รัวลิ้น "ล" ถือว่าไม่ต่างกัน ซึ่งบางครั้งเสียง "ล" จะกลายเป็นเสียง "ร" ก็ไม่ถือว่าต่างกันแต่อย่างใด คำควบกล้ำในภาษาไทยถิ่นเหนือนั้น มี 11 เสียงได้แก่ /kw/ (อักษรไทย: กว; อักษรธรรมล้านนา: ) /xw/ (อักษรไทย: ขว, คว; อักษรธรรมล้านนา: ) /t͡ɕw/ (อักษรไทย: จว; อักษรธรรมล้านนา: ) /ŋw/ (อักษรไทย: งว; อักษรธรรมล้านนา: ) /sw/ (อักษรไทย: ซว; อักษรธรรมล้านนา: ) /ɲw/ (อักษรไทย: ญว; อักษรธรรมล้านนา: ) /tw/ (อักษรไทย: ตว; อักษรธรรมล้านนา: ) /pʰw/ (อักษรไทย: พว; อักษรธรรมล้านนา: ) /jw/ (อักษรไทย: ยว; อักษรธรรมล้านนา: ) /lw/ (อักษรไทย: ลว; อักษรธรรมล้านนา: ) /ʔw/ (อักษรไทย: อว; อักษรธรรมล้านนา: ) พยัญชนะสะกด ระบบเสียงสระ สระเดี่ยว อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ สระประสม อัวะ อัว เอียะ เอีย เอือะ เอือ อำ ไอ ใอ เอา เสียงสระเอือะ, เอือ จะไม่พบในบางท้องถิ่น คือในถิ่นล้านนาตะวันออก ได้แก่ จังหวัดแพร่, อุตรดิตถ์, น่าน, พะเยา และลำปาง โดยจะออกเสียงเป็นสระเอียะ, เอีย เช่น คำเมือง เป็น กำเมียง (มีเสียงเอือะ และเอือเพียงแต่คนต่างถิ่นฟังไม่ออกเอง เนื่องจากเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงนาสิกใกล้เคียงกับเอียะ เอีย) นอกจากนี้ยังมีสำเนียงแบบเมืองยองซึ่งพูดกันมากในจังหวัดลำพูน โดยจะไม่มีสระประสม สระอัว กลายเป็น โอ สระเอีย กลายเป็น เอ และสระเอือ กลายเป็น เออ เช่น เมือง เป็น เมิง, เกลือ เป็น เก๋อ, สวย เป็น โสย, หมี่เกี๊ยว เป็น หมี่เก๊ว เป็นต้น ระบบเสียงวรรณยุกต์ ในตำราสอนภาษาล้านนาฉบับมิชชันนารีฉบับ พ.ศ. 2447 ภาษาล้านนาสามารถผันเสียงวรรณยุกต์ได้ถึง 8 เสียง เสียงวรรณยุกต์ในพยางค์เป็น เสียงวรรณยุกต์สำเนียงเชียงใหม่มี 6 เสียง คือ เสียงจัตวา, เสียงเอก, เสียงตรีปลายโท, เสียงสามัญ, เสียงโท, และเสียงตรี เสียงวรรณยุกต์ในพยางค์ตาย เสียงวรรณยุกต์บางที่มีถึง 9 เสียง ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอกต่ำ หรือเสียงเอกขุ่น เสียงเอกสูง หรือเสียงเอกใส เสียงโทต่ำ หรือเสียงโทขุ่น เสียงโทพิเศษ เสียงโทสูง หรือเสียงโทใส เสียงตรีต่ำ หรือเสียงตรีขุ่น เสียงตรีสูง หรือเสียงตรีใส เสียงจัตวา การพูดคำเมืองในสมัยปัจจุบัน การพูดคำเมืองที่เป็นประโยคแบบดังเดิมนั้นหายากแล้ว เนื่องจากมีการรับอิทธิพลภาษาไทยกลาง ทั้งในสำเนียง, คำศัพท์ และอักษรไทย การสื่อสารในชีวิตประจำวันโดยการเขียนจะใช้อักษรไทย ส่วนนี้จะเป็นส่วนรวบรวม ประโยค คำเมือง ดั้งเดิม การพูดคำเมืองผสมกับภาษาไทยนั้น คำเมืองจะเรียกว่า ปะแล้ด (ไทยปะแล้ดเมือง) ซึ่งโดยมากแล้วมักจะพบใน คนที่พูดคำเมืองมานาน แล้วพยายามจะพูดไทย หรือ คนพูดภาษาไทยพยายามจะพูดคำเมือง เผลอพูดคำทั้ง 2 ภาษามาประสมกัน อนึ่งการพูดคำเมืองมีการแยกระดับของความสุภาพอยู่หลายระดับ ผู้พูดต้องเข้าใจในบริบทการพูดว่าในสถานการณ์นั้น ๆ ต้องพูดระดับภาษาอย่างไรให้เหมาะสมและมีความสุภาพ เพราะมีระบบการนับถือผู้ใหญ่ คนสูงวัยกว่า เช่น ลำ (อร่อย) ลำแต๊ ๆ (สุภาพที่สุด) ลำขนาด (สุภาพรองลงมา) ลำแมะฮาก (เริ่มไม่สุภาพ ใช้ในหมู่คนที่สนิทกัน) ลำใบ้ลำง่าว (เริ่มไม่สุภาพ ใช้ในหมู่คนที่สนิทกัน) ลำง่าวลำเซอะ (เริ่มไม่สุภาพ ใช้ในหมู่คนที่สนิทกันมาก ๆ) เป็นต้น ภาษาไทยถิ่นเหนือนอกเขตภาคเหนือ ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ปี พ.ศ. 2347 ได้มีการเทครัวชาวยวนลงมาในเขตภาคกลาง เช่น อาทิ จังหวัดสระบุรี (โดยเฉพาะอำเภอเสาไห้), จังหวัดราชบุรี (มีมากที่อำเภอเมือง, อำเภอบ้านโป่ง และอำเภอจอมบึง), จังหวัดนครปฐม (โดยเฉพาะอำเภอกำแพงแสน), จังหวัดกาญจนบุรี (โดยเฉพาะอำเภอไทรโยค), จังหวัดลพบุรี (ที่อำเภอชัยบาดาล) และจังหวัดนครราชสีมา (เฉพาะอำเภอสีคิ้ว) โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรีมีชาวยวนราว 70,000-80,000 คน และมีชาวยวนแทบทุกอำเภอ ยกเว้นเพียงแต่อำเภอดำเนินสะดวกกับวัดเพลงเท่านั้น ซึ่งภาษาไทยวนทุกจังหวัดมีหน่วยเสียง พยัญชนะและหน่วยเสียงสระเหมือนกัน รายละเอียดในวรรณยุกต์แทบไม่แตกต่างกัน ยกเว้นภาษายวนลพบุรีที่มีหน่วยเสียงแตกต่างจากอีก 4 จังหวัดเพียงหน่วยเสียงเดียว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชาวยวนลพบุรีได้อาศัยปะปนอยู่กับหมู่บ้านชาวลาว อาจทำให้หน่วยเสียงเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามภาษาไทยวนเหล่านี้ กำลังตกอยู่ในสภาวะใกล้สูญจากการแทรกแซงของภาษาและวัฒนธรรมภาคกลาง อีกทั้งลูกหลานของชาวยวนเองไม่สามารถพูดภาษายวน หรืออ่านอักษรธรรมได้อีก ภาษาไทยถิ่นเหนือในต่างประเทศ นอกจากนี้พื้นที่การใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือนอกเขตประเทศไทยนั้น ก็ยังมีการใช้ในหมู่บ้านของชาวยวนที่เข้ามาตั้งรกราก ได้แก่ เมียวดี ประเทศพม่า เนื่องจากในช่วงรัชกาลที่ 4-5 สมัยเชียงใหม่ยังมีเจ้าเมืองปกครอง ได้มีการเปิดทำการค้าขายเมืองเส้นทางทะเลกับอาณานิคมอังกฤษ เมืองท่าเรือใกล้เคียงที่สุดคือเมืองมะละแหม่ง เนื่องจากเมืองเมียวดีเป็นทางผ่าน ทำให้ระหว่างเส้นทางได้มีชาวยวนตั้งรกรากในที่แห่งนี้และ เมืองที่มีชาวยวนตั้งรกราก ได้แก่ ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า, ห้วยหราย และ เมืองต้นผึ้ง ประเทศลาว เนื่องจากเมืองทั้งสามนั้น ในอดีตเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ติดอยู่กับแหล่งที่อยู่ของชาวยวนกระจุกกัน เช่น อำเภอแม่สาย ,เชียงแสน ,เชียงของ และ เวียงแก่น จึงไม่แปลกใจนักที่ผู้คนบริเวณนั้น จะข้ามฟากแม่น้ำโขง, แม่น้ำสาย และ แม่น้ำรวก ไปมาหาสู่กันและตั้งรกรากอีกด้วย คำศัพท์ คำเมืองในจังหวัดอื่น คำเมืองในจังหวัดอื่น เช่น จังหวัดลำปาง, แพร่, น่าน, เชียงราย, พะเยา และอุตรดิตถ์ (ในบางอำเภอ) ก็มีการใช้คำบางคำที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะสื่อสารกันเข้าใจในกลุ่มคนเหนือ เช่น นอกจากนี้ สำเนียงในของคำเมืองในกลุ่มนี้จะออกสั้นและห้วนกว่า โดยที่เห็นได้ชัดคือเสียงตรีในเชียงใหม่ ลำพูน จะเป็นเสียงโทในจังหวัดอื่น เช่น บ่ะฮู้ แปลว่า ไม่รู้ เป็นสำเนียงเชียงใหม่ แต่จะออกเสียงว่า บ่ะฮู่ ในสำเสียงอื่น, กิ๋นน้ำ ที่แปลว่า ดื่มน้ำ จะออกเสียงเป็น กิ๋นน่ำ, สามร้อย/สามฮ้อย ออกเสียงเป็น สามร่อย/สามฮ่อย เป็นต้น ความแตกต่างจากภาษาไทยกลาง ความแตกต่างทางด้านระบบเสียง โดยมากแล้วภาษาไทยกลางและคำเมืองมักมีเสียงที่เหมือนกันยกเว้นบางครั้ง ที่ไม่เหมือนแต่คล้ายกันได้แก่ เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำมักตรงกับเสียงสิถิล (unaspirate) เช่น จาก "ท" เป็น "ต" (ᨴ) (เช่น "ทาง" เป็น "ตาง" (ᨴᩤ᩠ᨦ)), "ช" เป็น "จ" (ᨩ) (เช่น "ช้อน" เป็น "จ๊อน" (ᨩᩬ᩶ᩁ)), "พ" เป็น "ป" (ᨻ) (เช่น "แพง" เป็น "แปง" (ᨻᩯ᩠ᨦ)), "ค" เป็น "ก" (ᨣ) (เช่น "คำ" เป็น "กำ" (ᨣᩤᩴ)) เป็นต้น โดยมักจะคงเสียงวรรณยุกต์เดิม (เช่น "ใช้" เป็น "ใจ๊" (ᨩᩲ᩶)) อย่างไรก็ตาม เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำที่ตรงกับเสียงโฆษะบาลีมักมีเสียงที่ตรงกันในทั้งสองภาษา เช่น ภาพ เป็น ภาพ (ᨽᩣ᩠ᨻ) และ ธรรม เป็น ธัมม์ (ᨵᩢᨾ᩠ᨾ᩺) (ไม่มี ร หัน) เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำที่ตามด้วย ร ควบกล้ำในไทยกลางมักตรงกับเสียงธนิตแต่ไม่มี ร ตามในคำเมือง เช่น คราว เป็น คาว (ᨣᩕᩣ᩠ᩅ), ครั้ง เป็น คั้ง (ᨣᩕᩢ᩠᩶ᨦ), และ พระ เป็น พะ (ᨻᩕᩡ) นอกจากนี้แล้ว ยังมีความแตกต่างที่อื่นด้วย ได้แก่ เสียง ร ในไทยกลางมักตรงกับเสียง ฮ และ ล (ᩁ) เป็นบางคำ คำเมือง (เช่น "เรา" เป็น "เฮา" (ᩁᩮᩢᩣ)) เสียง ย ที่สะกดด้วย ทั้ง ย และ ญ ในภาษาไทยมักตรงกับเสียง ย นาสิก (ᨿ/ᨬ) ซึ่งไม่มีในภาษาไทยกลาง และถิ่นใต้ (เช่น "หญ้า" เป็น "หญ้า (นาสิก)" (ᩉ᩠ᨿ᩶ᩣ) นอกจากความแตกต่างทางด้านพยัญชนะแล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างทางด้านเสียงวรรณยุกต์อีกด้วย คำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรกลาง (ยกเว้น ด (ᨯ), บ (ᨷ), อย (ᩀ), และ อ (ᩋ)) ในคำเป็นภาษาไทยที่มีเสียงสามัญมักตรงกับเสียงจัตวาในคำเมือง (เช่น "ตัว" เป็น "ตั๋ว" (ᨲ᩠ᩅᩫ), "ใจ" เป็น "ใจ๋" (ᨧᩲ)) แต่ในคำพ้องเสียงของภาคกลาง ในภาษาเหนือนั้นอาจจะออกเสียงไม่เหมือนกัน ส่วนในคำตายนั้นเสียงเอกมักตรงกับเสียงจัตวาในคำเมือง (เช่น "หัก" เป็น "หั๋ก" (ᩉᩢ᩠ᨠ/ᩉᩢ)) อ้างอิง หนังสือ อ่านเพิ่ม Bilmes, J. (1996). Problems And Resources In Analyzing Northern Thai Conversation For English Language Readers. Journal of Pragmatics, 26(2), 171–188. Davis, R. (1970). A Northern Thai reader. Bangkok: Siam Society. Filbeck, D. (1973). Pronouns in Northern Thai. Anthropological Linguistics, 15(8), 345–361. Herington, Jennifer, Margaret Potter, Amy Ryan and Jennifer Simmons (2013). Sociolinguistic Survey of Northern Thai. SIL Electronic Survey Reports. Howard, K. M. (2009). "When Meeting Khun Teacher, Each Time We Should Pay Respect": Standardizing Respect In A Northern Thai Classroom. Linguistics and Education, 20(3), 254–272. Khankasikam, K. (2012). Printed Lanna character recognition by using conway's game of life. In ICDIM (pp. 104–109). Pankhuenkhat, R. (1982). The Phonology of the Lanna Language:(a Northern Thai Dialect). Institute of Language and Culture for Rural Development, Mahidol University. Strecker, D. (1979). "A preliminary typology of tone shapes and tonal sound changes in Tai: the La-n N-a A-tones", in Studies in Tai and Mon-Khmer Phonetics and Phonology In Honour of Eugénie J.A. Henderson, ed. T.L. Thongkum et al., pp. 171–240. Chulalongkorn University Press. Wangsai, Piyawat. (2007). A Comparative Study of Phonological Yong and Northern Thai Language (Kammuang). M.A. thesis. Kasetsart University. พจนี ศิริอักษรสาสน์ (2002). "ภาษาถิ่นของไทย". กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. แหล่งข้อมูลอื่น "Northern Thai New Testament". The New Testament in hard copy form was written using two scripts Amazon link. "Khamuang (Chiang Mai variety)". (Intercontinental Dictionary Series) ภาษาในประเทศไทย ภาษาในประเทศลาว วัฒนธรรมล้านนา กลุ่มภาษาไท
16801
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5
ภาษามลายูปัตตานี
ภาษามลายูปัตตานี หรือ ภาษามลายูปาตานี (มลายูปัตตานี: บาซอ 'นายู 'ตานิง; , อักษรยาวี: ) หรือนิยมเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ภาษายาวี (มลายูปัตตานี: , อักษรยาวี: ) เป็นภาษากลุ่มออสโตรนีเซียนที่พูดโดยชาวไทยเชื้อสายมลายูในจังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา รวมทั้งในอำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย ทางทิศตะวันออกของจังหวัดสงขลา (ไม่รวมจังหวัดสตูล) ในประเทศไทยมีประชากรที่พูดภาษานี้มากกว่า 1 ล้านคน ภาษานี้ใกล้เคียงมากกับภาษามลายูถิ่นในรัฐกลันตันและในอำเภอฮูลูเปรัก รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่แตกต่างจากส่วนที่เหลือของประเทศมาเลเซีย บางครั้งก็มีการเรียกรวมกันเป็นภาษาเดียวกันว่า ภาษามลายูกลันตัน-ปัตตานี (มลายูปัตตานี: ; กลันตัน: ) ระบบเสียง พยัญชนะ หน่วยเสียงที่อยู่ในวงเล็บคือหน่วยเสียงที่ปรากฏในคำยืม เช่น 'เค้ก', 'โทรศัพท์' หน่วยเสียงที่ปรากฏในตำแหน่งท้ายพยางค์มี 3 หน่วยเสียง ได้แก่ , และ เช่น 'ขนม', 'กล่อง', 'ร้อน' หน่วยเสียงพยัญชนะกึ่งนาสิกเป็นหน่วยเสียงที่ไม่พบทั้งในภาษามาเลเซียและภาษาไทย เกิดจากการรวบเสียงพยัญชนะนาสิกเข้ากับเสียงพยัญชนะกักซึ่งใช้ฐานกรณ์เดียวกันหรือใกล้เคียงกันจนกลมกลืนเป็นเสียงเดียว โดยเกิดเฉพาะในตำแหน่งกลางคำเท่านั้น ตัวอย่างคู่เทียบเสียงได้แก่ 'ไมยราบ' - 'บาน', 'ขวา' - 'คอก' และ 'ไร' - 'โทน, โดด' นอกจากหน่วยเสียงพยัญชนะข้างต้นแล้ว ภาษามลายูปัตตานียังมีหน่วยเสียงพยัญชนะเสียงยาว ซึ่งก็คือเสียงพยัญชนะต้นที่ถูกยืดให้ยาวกว่าปกติเล็กน้อยเนื่องมาจากการลดรูปของคำ การยืดเสียงเช่นนี้เกิดได้กับพยัญชนะทุกหน่วยเสียง ยกเว้น , และหน่วยเสียงพยัญชนะกึ่งนาสิก ตัวอย่างคู่เทียบเสียงได้แก่ 'ดอกไม้' - 'ออกดอก' และ 'กลางคืน' - 'ค้างคืน' สระ คำยืม นอกจากคำศัพท์พื้นฐานของภาษามลายูแล้ว ภาษามลายูปัตตานีมีคำยืมจากภาษาอื่นหลายภาษา ได้แก่ ภาษาสันสกฤต เข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ฮินดู เช่น ภาษา เป็น บาฮาซอ หรือ บาซอ; หฤทยะ ('ใจ') เป็น ฮาตี ('ตับ, ใจ'); คช ('ช้าง') เป็น กฺาเยฺาะฮ; ชัย ('ชัยชนะ') เป็น จายอ ('เจริญ'); โทษ ('ความชั่ว') เป็น ดอซอ ('บาป'); วาจา ('คำพูด') เป็น บาจอ ('อ่าน'); นคร ('เมือง') เป็น เนฆือรฺ ('ประเทศ') ภาษาอาหรับ เข้ามาพร้อมกับศาสนาอิสลาม เช่น /เกาะลัม/ ('ปากกา') เป็น กาแล; /ตัมร์/ ('อินทผลัม') เป็น ตามา; /อาลัม/ ('โลก') เป็น อาแล; /ตุฟฟาห์/ ('แอปเปิล') เป็น ตอเปาะฮ; /วักต์/ ('เวลา') เป็น วะกือตู; /กิตาบ/ ('หนังสือ') เป็น กีตะ ("คัมภีร์ทางศาสนาอิสลาม"); /ดุนยา/ ('โลก') เป็น ดุนิยอ ภาษาจีน เช่น กุยช่าย เป็น กูจา ภาษาเปอร์เซีย เช่น แมฮ์ทอบ ('แสงจันทร์') เป็น มะตับ; แกนโดม ('แป้ง') เป็น กฺานง ภาษาฮินดี เช่น โรตี เป็น รอตี ภาษาทมิฬ เช่น มานิกัม ('เพชร') เป็น มานิแก ภาษาอังกฤษ เช่น ('แก้ว') เป็น กฺือละฮ; ('ฟรี') เป็น ปือรี; ('จักรยานยนต์') เป็น มูตูซีกา ภาษาไทย เช่น นายก เป็น นาโยฺะ; ปลัด เป็น บือละ; มักง่าย เป็น มะงา; โทรศัพท์ เป็น โทราซะ ความแตกต่างระหว่างภาษามลายูปัตตานีกับภาษามาเลเซีย ความแตกต่างระหว่างภาษามลายูปัตตานีกับภาษามลายูกลางหรือภาษามาเลเซียมีดังนี้ การใช้คำ บางคำทั้งสองภาษาใช้คำต่างกัน เช่น 'ฉัน' ภาษามาเลเซียใช้ ภาษามลายูปัตตานีใช้ อามอ หรือ ซายอ บางคำใช้พยัญชนะสลับกัน เช่น 'มันเทศ' ภาษามาเลเซียใช้ ภาษามลายูปัตตานีใช้ อูบี กือแตลอ หรือ อูบี แตลอ; 'พูด' ภาษามาเลเซียใช้ ภาษามลายูปัตตานีใช้ แกแจะ นอกจากนี้ ยังมีการใช้คำภาษาไทยปะปนเข้ามาในบางส่วน การออกเสียง ออกเสียงสระต่างกัน ได้แก่ เสียง + พยัญชนะนาสิกในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ไก่') เป็น อาแย; ('กิน') เป็น มาแก เสียง ท้ายคำในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ชื่อ') เป็น นามอ; ('เชิญ') เป็น ซีลอ เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี (บางส่วน) เช่น ('พา') เป็น บอเวาะ; ('ขอ') เป็น มีเตาะ เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('บ้าน') เป็น รฺูเมาะฮ เสียง ท้ายคำในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง หรือ ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('คลอง') เป็น ซูงา หรือ ซูแง; ('ตลาด') เป็น กือดา หรือ กือแด (การแปรเป็นเสียง /æ/ พบในบางท้องถิ่นเท่านั้น) เสียง ท้ายคำในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('มีด') เป็น ปีซา เสียง ท้ายคำที่ประสมกับพยัญชนะนาสิกในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ที่นี่') เป็น ซีนิง เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง หรือ ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('สยาม') เป็น ซีแย, ('มนุษย์') เป็น มะนูซียอ เสียง พยางค์แรกในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('เคย') เป็น แบซอ เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('บวช,ถือศีลอด') เป็น ปอซอ ออกเสียงพยัญชนะต้นต่างกัน เช่น เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี (บางส่วน) เช่น ('คน') เป็น ออแรฺ, ('โซ่') เป็น รฺาตา ในขณะที่ ('ขนมปัง, โรตี') ยังคงเป็น รอตี ออกเสียงตัวสะกดต่างกัน เช่น ตัวสะกดที่เป็นเสียงเสียดแทรก , ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียงที่เกิดจากคอหอย ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('เกียจคร้าน') เป็น มาละฮ ตัวสะกด , ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ตุลาการ') เป็น ฮาเก็ง โครงสร้างประโยค ภาษามลายูปัตตานีนิยมเรียงประโยคแบบภาษาไทยคือใช้รูปประธานกระทำ ส่วนภาษามาเลเซียใช้ประโยคแบบประธานถูกกระทำ เช่น ภาษามลายูใช้ ตูวัน ดีเปอรานากัน ตีมานา ('ท่านถูกเกิดที่ไหน') ภาษามลายูปัตตานีใช้ ตูแว บือราเนาะ ดีมานอ ('ท่านเกิดที่ไหน') ความต่างของไวยากรณ์และคำศัพท์ ภาษามลายูปัตตานีตัดคำอุปสรรคที่ไม่จำเป็นออก เช่น (เดิน) ในภาษามาเลเซีย เป็น 'ยฺาแล ในภาษามลายูปัตตานี และเสียงพยัญชนะตัวแรกยาวขึ้น ภาษามลายูปัตตานีมีการย่อหรือกร่อนคำหลายคำรวมเป็นคำเดียว เช่น ดาโตะ อากี เป็น โตะกี, ตือรฺายฺู เป็น ตายฺู, ดี มานอ เป็น ดานอ, ซือแอกอ เป็น แซกอ เป็นต้น ในขณะที่ภาษามาเลเซียมีน้อยมาก ภาษามลายูปัตตานีใช้คำง่ายกว่า เช่น มาแก หมายถึงทั้ง 'กินข้าว' 'ดื่มน้ำ' และ 'สูบบุหรี่' แต่ภาษามาเลเซียแยกเป็น ('กิน'), ('ดื่ม') และ ('สูบ') ภาษามาเลเซียมีการแยกระดับของคำมากกว่า เช่น 'ผู้ชาย' ใช้ 'สัตว์ตัวผู้' ใช้ ส่วนภาษามลายูปัตตานีใช้ ยฺาแต กับทั้งคนและสัตว์ ส่วน ลือลากี มีใช้น้อย ภาษามลายูปัตตานีมีการเรียงคำแบบภาษาไทยมากกว่า เช่น 'ทำนา' ใช้ บูวะ บือแน อ้างอิง บรรณานุกรม ประพนธ์ เรืองณรงค์. บุหงาปัตตานี: คติชนไทยมุสลิมชายแดนภาคใต้. กรุงเทพฯ : มติชน, 2540. Ishii, Yoneo. (1998). The Junk Trade from Southeast Asia: Translations from the Tôsen Fusesu-gaki 1674–1723. Institute of Southeast Asian Studies. . Cummings, Joe et al. (2005). Thailand Lonely Planet. . Laver, John. (1994). Principles of Phonetics. Cambridge University Press. . Smalley, William A. (1994). Linguistic Diversity and National Unity: Language Ecology in Thailand. Chicago: University of Chicago Press. Abdul Aziz, A. Y. (2010). Inventori vokal dialek Melayu Kelantan: Satu penilaian semula. Persatuan Linguistik Malaysia. มลายูปัตตานี มลายูปัตตานี วัฒนธรรมของจังหวัดปัตตานี วัฒนธรรมของจังหวัดยะลา วัฒนธรรมของจังหวัดนราธิวาส วัฒนธรรมของจังหวัดสงขลา
18182
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%97
ภาษาผู้ไท
ภาษาผู้ไท (เขียน ภูไท ก็มี) เป็นภาษาในตระกูลภาษาขร้า-ไท มีผู้พูดจำนวนไม่น้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ตอนกลางลาว และแถบตะวันตกเฉียงเหนือเวียดนาม เข้าใจว่า ผู้พูดภาษาผู้ไทมีถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมในเมือง นาน้อยอ้อยหนู ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เมืองนาน้อยอ้อยหนู อันเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของผู้ไทนั้นอยู่ทีไหน เพราะมีเมืองนาน้อยอ้อยหนูอยู่ถึงสามแห่ง สองแห่งอยู่ในเขตจังหวัดเดียนเบียน อีกแห่งอยู่ห่างจากเมืองลอหรือจังหวัดเอียนบ๋ายของเวียดนามประมาณ 10 กิโลเมตร ผู้ไทกับไทดำเป็นคนละชาติพันธุ์กัน สันนิษฐานว่า อพยพแยกจากกันนานกว่า 1,500 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของผู้ไทเป็นพวกจ้วงจากตอนใต้ของประเทศจีนแถบมลฑลกวางสี อพยพมาสร้างบ้านเมืองบริเวณทุ่งนาน้อยอ้อยหนู จากนั้นได้ย้ายมา สร้างเมืองใหม่ในบริเวณที่เรียกว่า "เวียงสามหมื่น" และตั้งชื่อเมืองบริเวณเวียงสามหมื่นว่า "เมืองแถน" คนละเมืองกับ "เมืองแถง" ซึ่งเป็นเมืองของไทดำ (ภายหลังไทดำได้บุกยึดเอาเมืองแถนที่เวียงสามหมื่นไปจากผู้ไท) ผลของสงครามบ้านเมืองไม่สงบสุขทำให้ชาวผู้ไทส่วนใหญ่เคลื่อนย้ายไปอยู่ตามเมืองต่างๆ รวมทั้งอพยพเข้าสู่ตอนเหนือของ อาณาจักรล้านช้าง (ประเทศลาวในปัจจุบัน) บางส่วนอพยพลงมาถึงตอนกลางแถบแขวงคำม่วนและแขวงสะหวันนะเขต เช่นเมืองวังอ่างคำ ซึ่งต่อมาคือเมืองวีระบุรีในแขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว และอีกหลายๆเมืองในบริเวณใกล้เคียง เช่น เมืองพิน เมืองนอง เมืองเซโปน บางส่วนถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยเมื่อไม่ถึง 200 ปีมานี้ (บางพวกอพยพมาเอง เช่น ผู้ไทเรณูนคร ผู้ไทยหนองสูง) ผู้ไทที่อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงมีจำนวนไม่น้อยและผู้ไทอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแถบแขวงสะหวันนะเขตและแขวงคำม่วนในลาวก็ยังมีประปราย มักจะเรียกผู้ไททั้งสองกลุ่มนี้รวมกันว่า "ผู้ไทสองฝั่งโขง" และในเวียดนามก็ยังมีผู้ไทอาศัยอยู่โดยพบอาศัยปะปนอยู่กับชาติพันธุ์อื่นๆทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือแถบจังหวัดไลโจว เดียนเบียนและเซินลา ความเป็นมาของชาวผู้ไทในสยาม เมื่อ พ.ศ. 2369 (ก่อนสงครามเจ้าอนุวงศ์) ตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เมืองวังมีความวุ่นวาย เกิดขัดแย้งภายในของกลุ่มผู้ไท ที่มีเมืองวังเป็นเมืองหลัก ได้มีไทครัวผู้ไทกลุ่มหนึ่งอพยพมาตั้งบ้านเรือนในฝั่งขวาแม่น้ำโขง มีนายไพร่ รวม 2,648 คน ต่อมาได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านบุ่งหวาย ในปี พ.ศ. 2373 พระสุนทรราชวงษา เจ้าเมืองยโสธร ว่าราชการอยู่เมืองนครพนมได้มีใบบอกขอตั้งบ้านดงหวายเป็นเมือง "เรณูนคร" ต่อมา ร.3 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านบุ่งหวาย ขึ้นเป็นเมืองเรณูนคร และตั้งให้ ท้าวสาย หัวหน้าไทครัวผู้ไทเป็น "พระแก้วโกมล" เจ้าเมืองเรณูนคร คนแรก ขึ้นเมืองนครพนม(ในปี พ.ศ. 2387) ซึ่งคือท้องที่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนมในปัจจุบันนั่นเอง (จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมุดแห่งชาติ) ชาวผู้ไทเรณูนคร จึงเป็นชาวผู้ไทกลุ่มแรกที่อพยพมาอยู่ในเขตฝั่งขวาแม่น้ำโขง (หมายถึงผู้ไทที่เป็นบรรพบุรุษของคนผู้ไทในอิสานปัจจุบัน) นอกจากนี้พระสุนทรราชวงษายังมีการกวาดต้อนชาวเผ่าอื่นๆนอกจากเผ่าภูไท เช่น ไทยย้อ ไทข่า ไทกะเลิง ไทแสก ไทพวน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะถูกบีบบังคับให้พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนและญาติพี่น้องให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อีสานตอนบน เช่น ในพื้นที่จังหวัด นครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์ เนื่องด้วยเจ้านายเชื้อสายพระวอพระตามีความต้องการในอำนาจมาก ต้องการได้ความดีความชอบจากพระมหากษัตริย์กรุงสยาม ซึ่งเป็นเหตุให้ชนเผ่ากลุ่มน้อยหลายกลุ่มที่ถูกกวาดต้อนหรือถูกกดขี่ข่มเหงโดยเจ้านายอีสานสายดังกล่าวจึงไม่ค่อยมีความพอใจและยังมีความเคียดแค้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งเจ้านายกลุ่มเดียวกันนี้เองที่เป็นผู้ริเริ่มและมักนิยมตีข่าหรือจับชาวไทข่า จนส่งกลายเป็นวัฒนธรรมตีข่าอันโหดร้าย ท่ารุณที่เป็นที่นิยมแพร่หลายไปในกลุ่มเจ้านายลาวอีสานที่จับนำตัวไปส่งส่วนกลางไปเป็นแรงงานทาส หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2387 ผู้ไทจากเมืองวังอ่างคำและเมืองใกล้เคียง ก็อพยพตามมา เป็นกลุ่มที่ 2 แล้วไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองพรรณานิคม (จังหวัดสกลนคร) เมืองหนองสูง (จังหวัดมุกดาหาร) เมืองกุดสิมพระนารายณ์ (อำเภอเขาวงและอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์)ตามลำดับ โดยผู้ไทกลุ่มจากเมืองกะป๋องได้อพยพมาตั้งที่เมืองวาริชภูมิเป็นกลุ่มผู้ไทที่ข้ามมาฝั่งขวาแม่น้ำโขงกลุ่มล่าสุด (ในปี พ.ศ. 2420 ในสมัยรัชกาลที่ 5) ผู้พูดภาษาผู้ไท ผู้พูดภาษาผู้ไทในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณจังหวัดภาคอีสานตอนบน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ (มีอำเภอกุฉินารายณ์,อำเภอเขาวง และอำเภอคำม่วง) นครพนม(มีอำเภอนาแกและอำเภอเรณูนคร)มุกดาหาร(อำเภอหนองสูง)และสกลนคร(อำเภอภูพาน)นอกจากนี้ยังมีอีกเล็กน้อยในจังหวัดร้อยเอ็ด(ตำบลบุ่งเลิศ อำเภอเมยวดี) โดยในแต่ละท้องถิ่นจะมีสำเนียงและคำศัพท์ที่แตกต่างกันไป เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาษาผู้ไทแม้จะกระจายอยู่ในแถบอีสาน แต่สำเนียงและคำศัพท์นั้นแตกต่างกับภาษาไทยถิ่นอีสานโดยทั่วไปอย่างมาก อย่างไรก็ตามยังมีคำยืมจากภาษาถิ่นอีสานอยู่ในภาษาผู้ไทบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่นับว่ามาก ด้วยเหตุนี้ ชาวไทยที่พูดภาษาอีสานจึงไม่สามารถพูดหรือฟังภาษาผู้ไทอย่างเข้าใจโดยตลอด แต่ชาวผู้ไทส่วนใหญ่มักจะพูดภาษาอีสานได้ ลักษณะของภาษา ด้วยภาษาผู้ไทเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท จึงมีลักษณะเด่นร่วมกับภาษาไทยด้วย นั่นคือ เป็นภาษาคำโดด มักเป็นคำพยางค์เดียว เป็นภาษามีวรรณยุกต์ โครงสร้างประโยคแบบเดียวกัน คือ "ประธาน กริยา กรรม" (SVO) ไม่ผันรูปตามโครงสร้างประโยค หน่วยเสียง ข้อมูลข้างล่างเป็นสำเนียงอำเภอวาริชภูมิ: พยัญชนะ ในที่นี้ขออธิบายเฉพาะเสียงที่แตกต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน ดังนี้ /ɲ/ เป็นหน่วยเสียงพิเศษ ที่ไม่พบในภาษาไทยภาคกลาง และถิ่นใต้ แต่พบได้ในภาษาไทยถิ่นอีสาน และเหนือ สระ ภาษาผู้ไทมีสระเดี่ยว 9 ตัว หรือ 18 ตัวหากนับสระเสียงยาวด้วย โดยทั่วไปมีลักษณะของเสียงคล้ายกับสระในภาษาไทยถิ่นอื่น อนึ่ง ในภาษาผู้ไทไม่ใช้สระประสม จะใช้แต่สระเดี่ยวข้างบนนี้ เสียงสระประสมประกอบด้วยสระเดี่ยวกับเสียงพยัญชนะเลื่อนตำแหน่งท้าย คือ หรือ ตัวอย่างคำที่ภาษาไทยกลางเป็นสระประสม แต่ภาษาผู้ไทใช้สระเดี่ยว หน่วยเสียงวรรณยุกต์ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาผู้ไท มีด้วยกัน 5 หน่วย พยางค์ พยางค์ในภาษาผู้ไทมักจะเป็นพยางค์อย่างง่าย ดังนี้ เมื่อประสมด้วยสระเสียงยาว พยางค์อาจประกอบด้วยพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ โดยจะมีพยัญชนะตัวสะกดหรือไม่ก็ได้ เมื่อมีสระเสียงสั้น พยางค์ประกอบด้วยพยัญชนะต้น สระ, วรรณยุกต์ และพยัญชนะตัวสะกด ลักษณะเด่นของภาษาผู้ไท ภาษาผู้ไทมีลักษณะเด่นดังนี้ 1. พยัญชนะ "ข,ฆ" /k/ ในภาษาไทยและลาว-อีสานบางคำ ออกเสียงเป็น ห, ฮ /h/ เช่น 2. เสียงสระ "ใ" ออกเสียงเป็น "เออ" และสระ "ไ" บางคำก็ออกเสียงเป็น "เออ" เช่น 3. ภาษาผู้ไทไม่มีสระผสม เอือ อัว เอีย ใช้แต่เพียงสระเดี่ยว เช่นเดียวกับภาษาไทลื้อ ไทขืน เช่น 4. คำที่ใช้สระเสียงยาวและสะกดด้วย "ก" จะเปลี่ยนเป็นสระเสียงสั้น ไม่ออกเสียง "ก" เช่นเดียวกับภาษาไทถิ่นใต้ฝั่งตะวันตก และภาษาไทดำ ไทขาว พวน เช่น *ลูก = ลุ *บอก = เบ๊าะ *แตก = แต๊ะ *ตอก = เต๊าะ *ลอก = เลาะ, ลู่น *ลวก = โหละ *หนอก = เนาะ *ยาก = ญ๊ะ *ฟาก,ฝั่ง = ฟ๊ะ *หลีก = ลิ *ปีก = ปิ๊ *ราก =ฮะ *กาก=ก๊ะ *อยาก = เยอะ *เลือก = เลอะ *น้ำเมือก = น้ำเมอะ *น้ำมูก = ขี้มุ *ผูก = พุ *หยอก = เยาะ *หมอก = เมาะ *ดอกไม้ = เด๊าะไม้ *ศอก = เซาะ *หนวก = โนะ *ถูก(ถืก ในภาษาลาว) = ทึ *ปลูก = ปุ *ปลวก = โปะ *หูก(ทอผ้า) = หุ 5. ภาษาผู้ไทใช้คำที่แสดงถึงการปฏิเสธว่า มี,หมี่ หรือเมื่อพูดเร็วก็จะออกเสียงเป็น มิ เช่นเดียวกับภาษาไทยโบราณ ภาษาจ้วง (bou,mi) และภาษาลื้อบางแห่ง เช่น *ไม่ได้ = มีได้ *ไม่บอก = มีเบ๊าะ *ไม่รู้ = มีฮู้, มีฮู้จัก,มีจัก *ไม่เห็น = มีเห็น *ไม่พูดไม่จา = มีเว้ามีจา *ไม่ไป = มีไป *ไม่เข้าใจ = มีเฮ่าเจ๋อ 6. คำถามจะใช้แตกต่างจากภาษาไทยดังนี้ *อะไร = เผอ,ผะเหลอ,ผิเหลอ *เป็นอะไร = เป๋นเผอ,เป๋นผะเหลอ *ทำไม = เอ็ดเผอ *ไหน = เซอ,ซิเลอ,เน้อเฮอ *อันไหน = อันเลอ *ใคร = เผ่อ,ผู้เลอ *เท่าไหร่,แค่ไหน = ท้อเลอ,ฮาวเลอ,ค้าเลอ *อย่างไร = แนวเลอ,สะเลอ *ทำยังไง = เอ็ดสะเลอ *เมื่อไหร่ = บาดเลอ,ญามเลอ,มื่อเลอ *ไหม,หรือปล่าว = เบาะ,ยูเบาะ,ยูติ๊ *ล่ะ = เด๋ 7. คำว่า จัก หรือ จะ ในภาษาไทย ภาษาผู้ไท จะใช้คำว่า หละ เช่น *เธอจะไปไหน = เจ้าหละไปซิเลอ *ฉันกำลังจะพูด = ข้อยทมหละเว้า *คุณจะกลับกี่โมง = เจ้าหละเมอจักโมง *เขาจะคุยกันเรื่องอะไร = เขาหละแอ่นเด๋วเลิ้งเผอ ___(ข้อ 8 เป็นต้นไปเป็นเพียงปลีกย่อย)___ 8. บางคำมีการออกเสียงต่างจากภาษาไทย ดังนี้ 1) ค เป็น ซ เช่น คง = ซง, ครก = ซก 2) ด เป็น ล เช่น = สะดุ้ง (เครื่องมือ หาปลาชนิดหนึ่ง) = จะลุ่ง 3) อะ เป็น เอะ เช่น มัน (หัวมัน) = เม็น, มันแกว = เม็นเพา-โหเอ็น, มันเทศ = เม็นแกว 4) เอะ เป็น อิ เช่น เล่น = ดิ้น, เด็กน้อย=ดิกน้อย, เหล็กไล (ตะปู) = ลิ๊กไล 5) เอีย เป็น แอ,เอ เช่น เหี่ยว = แห่ว, เขี้ยว = แห้ว, เหยี่ยว = แหลว,เตี้ย = เต้,เลีย = เล,เรียง = เรง,เฮง, เขียง = เขง,เหง, เที่ยว = เท้ว, เหลียว = เหลว 6) สระเสียงสั้นในภาษาไทยบางคำกลายเป็นสระเสียงยาวในภาษาผู้ไท เช่น ลิง = ลีง, ก้อนหิน = มะขี้หีน, กลิ้ง = กะลี้ง, ผิงไฟ = ฝีงไฟ,หลุด = หลูด,ปิ้ง = ปี้ง 7) อิ เป็น อึ เช่น กลิ่น = กึ่น คิด = คึด/ฮึด 9. คำเฉพาะถิ่น เป็นคำที่มีใช้เฉพาะในภาษาผู้ไท และอาจมีใช้ร่วมกับภาษาอื่นที่เคยมีวัฒนธรรมร่วมกัน เช่น *ดวงตะวัน = ตะเง็น, ขี้โก๊ *ดวงเดือน = โต๊ต่าน, เดิ๋น, ต๊อ *ประตูหน้าต่าง = ตู่บอง,ปะตู่บอง, ป่องเย่ม *ขี้โม้ = ขี้จะหาว *ขึ้นรา = ตึกเหนา *น้ำหม่าข้าว = น้ำโม๊ะ *สวย = ซับ,งาม *ตระหนี่,ขี้เหนียว = อีด, ขี้อีด, ขี้ถี่ *ประหยัด = ติ้กไต้, ตั๊กไต้ *หัวเข่า = โหโค้ย *ลูกอัณฑะ = มะขะหลำ *หัวใจ = เจ๋อ,โหเจ๋อ *หน้าอก = เอิ๊ก,อ๋าง *เหงือก = เฮ๊อะ *ตาตุ่ม = ปอเผอะ,ปอมเผอะ *ท้ายทอย = ง้อนด้น,กะด้น *หน้าผาก = หน้าแก่น,หน้าผะ *เอว = โซ่ง,กะโท้ย,แอ๋ว *ถ่านก่อไฟ = ก่อมี่,ขี้ก่อมี่ *พูดคุย,สนทนา = แอ่น,เว้าจ๋า *เกลี้ยกล่อม = โญะ, เญ๊า *หัน = ปิ่น,(ภาษาลาวว่า งวก) *ย้ายข้าง = อวาย, ว้าย (ภาษาลาวว่า อ่วย) *ขอร้อง,วิงวอน = แอ่ว,แอบ *กันนักกันหนา = กะดักกะด้อ *มาก,ยิ่ง = แฮง,กะดักกะด้อ-กะด้อ,หลาย *ไม่ใช่ = มิแม้น *จริง = เพิ้ง,แท้ *นึกว่า = ตื่อหวะ, กะเด๋วหวะ, เด๋วหวะ *พะวงใจ = ง้อ,คึดง้อ *อุทานไม่พอใจ = เยอ! เยอะ! *ไปโดยไม่หันกลับมา = ไปกิ่นๆ, ไปกี่ดี่ๆ *สั้น = สั้น, กิ๊ด, ขิ้น *ยาว = ญ๊าว, สาง *ปิด = ปิด, อัด, ฮี, กึด, งับ *เปิด = เปิด, ไข, อ้า *อวด = โอด,เอ้ *ขวด = โขด *ถั่ว = โถ่ *ถั่วฝักยาว = โถ่ฟั้กญ๊าว *กระดุม = มะติ่ง *ตุ้มหู = ด๊อก *ถุงย่าม = ถง *ก่อไฟ = ดังไฟ *เกลือ = เก๋อ *มะเขือ = มะเขอ *โรงเรียน = โรงเรน,โฮงเฮน *เรือน = เฮิน *กล้วย = โก้ย *ใบไม้ = เบ๋อไม้ *ใบตองกล้วย = เบ๋อต๋องโก้ย *กุ้ง = จุ้ง *มุ้ง = สุ้ด *วิ่ง = แล่น,เต้น *ทับ = เต็ง *กดไว้ = เญ๊นไว้ *เทน้ำ = เถาะน้ำ,เหญ้นน้ำ *คว่ำ = ว่ำ *กลับบ้าน = เมอบ้าน,เมอเฮิน *รอคอย = คอง,ถ้า *ล้างหน้า = โส่ยหน้า *ปวดหัว = เจ๊บโห *ปลาไหล = เหย่น, ป๋าเหย่น *ไส้เดือน = ไส้เดิ๋น,ขี้เดิ๋น *ผีเสื้อ = แมงกะเบ้อ *เหนือ(ทิศ) = เหนอ *เสื้อ = เส้อ *โกหก = ขี้โตะ *มองไม่เห็น(มืด) = มิเห็นฮุ้ง *ค้างคาว = บิ้ง *สั่น(หนาว)= เส่น *ข้าวโพด = ซะลี *ผด,ผื่น = หมืน *เหนียว = เน๋ว *ข้าวเหนียว = เข้าเน๋ว *ลื่น = มื้น *ลื่นล้ม = ผะหลาด *ขึ้นต้นไม้ = หึ้นก๊กไม้,บื๋นก๊กไม้ *ไม้กวาด = ไม้ฟอย *สะพาน = โข *สงสาร = เยอะดู๋ *ซื่อบื้อ,โง่ = เบ้อ,ขี้เบ้อ *นาน = เหิง *หมวก = โหมก *สุกงอม (ผลไม้) = อิ้ม *โกรธ,โมโห = ฮ้าย อ้างอิง วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. ภาษาผู้ไท. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ, 2520. ธัญญลักษณ์ ไชยสุข มอลเลอร์รพ and Asger Mollerup: ภาษาผู้ไท เพื่อสุขภาพ - ผู้ไท-ไทย-อังกฤษ. 2556. ภาษาผู้ไท การศึกษาเปรียบเทียบภาษาผู้ไทในประเทศไทยและประเทศลาว Phutai Language : A comparative study of the Phutai in Thailand and Laos P.D.R. โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูคุณค่าของภาษาผู้ไท In Search for the Phutais Mo Yao : Phutai Healing About Some Linguistic Variations in Phu Tai ผู้ไท ผู้ไท
18221
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87
ภาษาม้ง
ภาษาม้ง (Nyiakeng Puachue: 𞄀𞄩𞄰, พ่าเฮ่า: 𖬌𖬣𖬵) เป็นภาษาในตระกูลเหมียว-เหยา หรือม้ง-เมี่ยน ใช้กันในชาวม้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บางส่วนของจีนจัดเป็นภาษาคำโดด โดยหนึ่งคำมีเสียงพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ ไม่มีเสียงตัวสะกด มีวรรณยุกต์สนธิหรือการผสมกันของเสียงวรรณยุกต์เมื่อนำคำมาเรียงต่อกันเป็นประโยค ในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ภาษาม้งเขียว หรือ ม้งจั๊ว (Hmong Njua) ภาษาม้งขาว หรือ ม้งเด๊อ (Hmong Daw) ไวยากรณ์ การเรียงคำเป็นแบบประธาน-กริยา-กรรม เช่น เด๋เตาะหมี (หมากัดแมว) ไม่มีการเปลี่ยนรูปคำเพื่อแสดงกาล แต่ใช้การเติมคำบอกกาลเช่นเดียวกับในภาษาไทย ถ้าเป็นประโยคบอกอดีตให้เติมคำว่า "เหลอะ" ไว้ท้ายประโยค แบบเดียวกับคำว่า "了" (เลอ) ที่ใช้ในภาษาจีนกลาง ตัวอย่างเช่น เด๋เตาะหมีเหลอะ (หมากัดแมวแล้ว) ถ้าเป็นประโยคบอกอนาคตก็ให้เติมคำว่า "หยัว" ไว้หน้ากริยา ซึ้งจะใช้คล้ายๆกับคำว่า "要" (เย่า) ในภาษาจีนกลาง ยกตัวอย่างเช่น เด๋หยัวเตาะหมี (หมาจะกัดแมว) ประโยคปฏิเสธเติมคำว่าไม่ (จี่ หรือ ทจี่) หน้าคำกริยา เช่น เด๋ทจี่เตาะหมี (หมาไม่กัดแมว) ประโยคคำถามเติมคำว่า "ปัว" หรือ "หล๋อ" เข้าในประโยค คำว่า "หล๋อ" นิยมวางไว้ท้ายประโยค ส่วนคำว่า "ปัว" นิยมวางไว้หน้ากริยา เช่น เด๋เตาะหมีหล๋อ? หรือ เด๋ปัวเตาะหมี? (หมากัดแมวหรือ?) ภาษาม้งมีการใช้คำลักษณนามโดยจะเรียงคำแบบ จำนวนนับ-ลักษณนาม-นาม เช่น อ๊อตู่เนง (สอง-ตัว-ม้า) คำลักษณนามที่สำคัญคือ "ตู่" ใช้ได้กับทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอย่าง สัตว์ คน และต้นไม้ ส่วนคำว่า "เล่ง" (人) นั้นให้ใช้เฉพาะสำหรับคนอย่างเดียว เช่น อ๊อเล่ง (二人) (คนสองคน) "ตร๊า" ใช้กับเครื่องมือ เครื่องใช้ อาวุธ "ได่" ใช้กับสิ่งที่มีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ "จ้อ" ใช้กับสิ่งที่เป็นเส้นยาว "ลู้" แปลว่า อัน/ลูก/ก้อน/คัน เช่น อ๊อลู้เช้ (รถสองคัน) "จ๋อ" ใช้กับคำนามที่มีมากกว่าหนึ่ง เช่น จ๋อเนง (ม้าหลายตัว) ระบบการเขียน ไม่มีอักษรเป็นของตนเอง มีผู้สนใจภาษาม้งพยายามประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้เขียน เช่น อักษรม้ง อักษรพอลลาร์ด เมียว ที่เป็นที่นิยมแพร่หลายคืออักษรละติน ในประเทศไทยบางครั้งเขียนด้วยอักษรไทย สำหรับการเขียนด้วยอักษรละตินมี พยัญชนะที่ใช้ทั้งหมด 26 ตัว วรรณยุกต์ มี 8 และสระมี 14 ตัว ได้แก่ พยัญชนะ ในภาษาม้งมีทั้งหมด 57 ตัวแยกเป็น พยัญชนะตัวเดียว พยัญชนะควบกล้ำ 2 ตัว พยัญชนะควบกล้ำ 3 ตัว และพยัญชนะควบกล้ำ 4 ตัว ดังต่อไปนี้คือ พยัญชนะตัวเดียว มีทั้งหมด 18 ตัว t k p s x l n h m g q v r z y c f d เทียบกับอักษรไทย ต ก ป ซ ซ ล น ฮ ม _ ก ว จ ย ย จ ฟ ด พยัญชนะควบกล้ำ 2 ตัว มีทั้งหมด 22 ตัว kh qh ch ts ny hn th nt np ph tx xy hl nk nr dh rh nc pl hmเหมือนhn ml nl เทียบกับอักษรไทย ค ค ช จ ญ หน ท ด บ พ จ ซ หล ก จ ธ ช จ ปล หม หน มล นล พยัญชนะควบกล้ำ 3 ตัว มีทั้งหมด 14 ตัว tsh nth txh nts nph nrh hmlหรือhnl nkh nqh nch ntx npl plh hny เทียบกับอักษรไทย ช ด ช จ จ ภ ฌ หมล หนล ฆ ฆ ฌ จ บล พล หญ พยัญชนะควบกล้ำ 4 ตัว มีทั้งหมด 3 ตัว ntsh ntxh nplh เทียบกับอักษรไทย ฌ ฌ ภล วรรณยุกต์ วรรณยุกต์ของม้งมีทั้งหมด 7 รูป 8 เสียงดังต่อไปนี้คือ สั๊วบัว(suab npua) เสียงสามัญไม่มีพยัญชนะกำกับ เช่น qhia tsua ya zoo qee ntshua xyoo สั๊วนือ (suab nws) ใช้ตัว s เช่น ntuas tsoos nplias moos ntses qhuas สั๊วก้อ (suab koj) ใช้ตัว j เช่น yeej tshaj khauj noj nroj yaj phuaj phwj สั๊วเป๊ (suab peb) ใช้ตัว b เช่น neb coob qaub iab suab wb nyab cob สั๊วกู๋ (suab kuv) ใช้ตัว v เช่น qhiav ntxoov qhauv ntsev ntuav xav สั๊วป่อ (suab pom) ใช้ตัว m เช่น niam nyiam yuam twm nyem cuam kam สั๊วยอห์ (suab yog) ใช้ตัว g เช่น tog loog taug neeg lwg nag tseg yiag สั๊วเต๋อ (suab ntawd) ใช้ตัว d ใช้ในกรณีของการบอกทิศทางเท่านั้นเช่น ntawd tod saud haud nrad ped tid สระ ได้แก่ สระอา (a) สระอี (i) สระ เอ (e) สระอื (w) สระอู (u) สระออ (o) สระโอง (oo) สระอาง (aa) สระเอง (ee) สระเออ (aw) สระเอีย (ia) สระเอา (au) สระอัว ( ua) สระ ไอ (ai) อ้างอิง สุริยา รัตนกุล. พจนานุกรมภาษาไทย-ม้ง. กทม. โรงพิมพ์เกษมสัมพันธ์การพิมพ์. 2515 สุจริตลักษณ์ ดีผดุง. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธ์: ม้ง. กทม. สถาบันวิจัยวัฒนธรรมและภาษาเพื่อการพัฒนาชนบท. 2538 ศัพทานุกรมไทย-คำเมือง-ม้งขาว-กะเหรี่ยงสะกอ-มูเซอดำสำหรับแพทย์ ทันตแพทย์และสัตวแพทย์เพื่อการพัฒนุณภาพชีวิตของชาวชนบท. กทม. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2530 สุนิสา เจริญธรรมอักษร ชาวม้งเขียว บ้านแม่แรม ต.เตาปูน อ.สอง จ.แพร่ ภาษาในประเทศลาว ภาษาในประเทศไทย ภาษาในประเทศจีน
22835
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%99
ฮกเกี้ยน
ฮกเกี้ยน สามารถหมายถึง ชาวฮกเกี้ยน ชนเผ่าจีนที่มีถิ่นฐานตั้งอยู่ในมณฑลฮกเกี้ยน ภาษาฮกเกี้ยน ภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาจีน มณฑลฮกเกี้ยน เขตการปกครองในประเทศจีน อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลกวางตุ้ง หมี่ฮกเกี้ยน ก๋วยเตี๋ยวผัดชนิดหนึ่ง
23080
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%8B%E0%B8%A7
แต้จิ๋ว
แต้จิ๋ว หรือ เฉาโจว (潮州) ในภาษาอังกฤษสะกดหลายแบบ โดยทั่วไปตามระบบพินอิน Chaozhou และอื่น ๆ ได้แก่ Teochew, Teochiu, Diojiu, Tiuchiu, Chiuchow อาจหมายถึง ภาษาแต้จิ๋ว ภาษาถิ่นภาษาหนึ่งในประเทศจีน จังหวัดแต้จิ๋ว เขตการปกครองในประเทศจีนอยู่ทางทิศตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง ชาวจีนแต้จิ๋ว ชาวจีนกลุ่มหนึ่งในเขตเฉาซ่าน หรือแต้ซัว (เมืองแต้จิ๋ว เมืองซัวเถา และเมืองกิ๊กเอี๊ย) มณฑลกวางตุ้ง ทางใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน คำและวลีภาษาแต้จิ๋ว
37035
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8D
ภาษามอญ
ภาษามอญ (มอญพม่า: , มอญไทย: , , ; ) เป็นภาษาในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกที่พูดโดยชาวมอญที่อาศัยอยู่ในพม่าและไทย ภาษานี้เป็นภาษาของชนพื้นเมืองที่ได้รับการยอมรับในประเทศพม่าและประเทศไทย อักษรมอญที่เก่าแก่ที่สุดนั้นค้นพบที่ จังหวัดนครปฐม ในประเทศไทย หลักฐานที่พบคือจารึกวัดโพธิ์ร้าง พ.ศ. 1143 เป็นอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุด ในบรรดาจารึกภาษามอญที่ค้นพบในแถบเอเชียอาคเนย์ เป็นจารึกที่เขียนด้วยตัวอักษรปัลลวะที่ยังไม่ได้ดัดแปลงให้เป็นอักษรมอญ และได้พบอักษรที่มอญประดิษฐ์เพิ่มขึ้น เพื่อให้พอกับเสียงในภาษามอญ ในจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูง เมืองลพบุรี ข้อความที่จารึกเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา สันนิษฐานว่า จารึกในพุทธศตวรรษที่ 14 ราว พ.ศ. 1314 อักษรจารึกในศิลาหลักนี้ เรียกว่า ตัวอักษรหลังปัลลวะ ยูเนสโกจัดให้ภาษามอญเป็นภาษาในภาวะ "เสี่ยงใกล้สูญ" ใน แผนที่ชุดภาษาใกล้สูญของโลก ประจำปี 2553 ภาษามอญเผชิญกับการกลืนกลายทั้งในพม่าและไทยที่ซึ่งผู้สืบเชื้อสายมอญหลายคนสามารถพูดภาษาพม่าหรือภาษาไทยได้เพียงภาษาเดียว ใน พ.ศ. 2550 ผู้พูดภาษามอญมีประมาณ 800,000 ถึง 1 ล้านคน ในประเทศพม่า ผู้พูดภาษานี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของประเทศ โดยเฉพาะรัฐมอญ ตามมาด้วยภาคตะนาวศรีและรัฐกะเหรี่ยง ประวัติ ภาษามอญในจารึกสมัยกลางเป็นทั้งภาษามอญและอักษรมอญ ประมาณ พ.ศ. 1600 เป็นต้นมา พม่ารับอักษรมอญมาใช้เขียนภาษาพม่าเป็นครั้งแรก ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตัวอักษรได้คลี่คลายจากตัวอักษรปัลลวะ มาเป็นตัวอักษรสี่เหลี่ยม คือ ตัวอักษรที่เรียกว่า อักษรมอญโบราณ และเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กลงในระยะต่อมา ภาษามอญปัจจุบัน เป็นภาษาในระยะพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลาประมาณ 400 ปีเศษ ในยุคนี้เป็นจารึกในใบลาน มีลักษณะกลม ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของการจารหนังสือโดยใช้เหล็กจารลงบนใบลาน ไวยากรณ์ การจัดตระกูลภาษา ถือว่าอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในแถบอินโดจีนและทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และเมื่อพิจารณาลักษณะทางไวยากรณ์ ภาษามอญ จัดอยู่ในประเภทภาษารูปคำติดต่อ (Agglutinative) อยู่ในกลุ่มภาษาตะวันออกเฉียงใต้ (South Eastern Flank Group) ซึ่งมีนักภาษาศาสตร์ ชื่อ วิลเฮ็ล์ม ชมิท (Willhelm Schmidt) ได้จัดให้อยู่ในตระกูลภาษาสายใต้ (Austric Southern family) พระยาอนุมานราชธนได้กล่าวถึงภาษามอญไว้ว่า "ภาษามอญ นั้นมีลักษณะเป็นภาษาคำโดด ซึ่งมีรูปภาษาคำติดต่อปน" ลักษณะคำมอญ จะมีลักษณะเป็นคำพยางค์เดียว หรือสองพยางค์ ส่วนคำหลายพยางค์ เป็นคำที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาบาลีและสันสกฤต และคำที่เกิดจากการเติมหน่วยคำผสาน กล่าวคือ การออกเสียงของคำซึ่งไม่เน้นการออกเสียงในพยางค์แรก จะสร้างคำโดยการใช้การผสานคำ (affixation) กับคำพยางค์แรก เพื่อให้มีหน้าที่ทางไวยากรณ์ อีกทั้งการใช้หน่วยผสานกลางศัพท์ และการใช้สระต่าง ๆ กับพยางค์แรก ในคำสองพยางค์ ก็จะเป็นการช่วยเน้นให้พยางค์แรกเด่นชัดขึ้นด้วย แต่พยางค์หลังเป็นส่วนที่มีความหมายเดิม กล่าวคือ ภาษามอญ เป็นภาษาที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ไม่มีการผันคำนาม คำกริยา ตามกฎบังคับทางไวยากรณ์ ประโยคประกอบด้วย คำที่ทำหน้าประธาน กริยา และกรรม ส่วนขยายอยู่หลังคำที่ถูกขยาย การเรียงประโยคเป็นแบบ ประธาน-กริยา-กรรม (SVO, subject-verb-object) เช่นเดียวกับภาษาไทย คำคุณศัพท์เติมหลังคำนาม กริยาวิเศษณ์เติมหลังคำกริยา คำที่บอกจำนวนอยู่หน้าหรือหลังนามก็ได้ ส่วนคำที่บ่งชี้จำนวนอยู่หลังคำนาม การบอกกาลใช้การเติมคำบอกกาลเช่น "แล้ว" "จะ" เข้าในประโยคแบบเดียวกับภาษาไทย รูปประธานถูกกระทำแสดงโดยการเติมคำบ่งชี้ประธานถูกกระทำไว้หน้ากริยาสำคัญ สัทศาสตร์ ไม่มีเสียงวรรณยุกต์แต่มีการแบ่งเสียงพยัญชนะเป็นเสียงโฆษะและอโฆษะแบบเดียวกับภาษาเขมร พยัญชนะ พบเฉพาะคำที่ยืมจากภาษาพม่า หลายสำเนียงไม่มีเสียงกักเส้นเสียงลมเข้ากลายเป็นเสียงระเบิดแทน สระ อ้างอิง อ่านเพิ่ม Bauer, Christian. 1982. Morphology and syntax of spoken Mon. Ph.D. thesis, University of London (SOAS). . Bauer, Christian. 1984. "A guide to Mon studies". Working Papers, Monash U. Bauer, Christian. 1986. "The verb in spoken Mon". Mon–Khmer Studies 15. Bauer, Christian. 1986. Questions in Mon: Addenda and Corrigenda. Linguistics of the Tibeto-Burman Area v. 9, no. 1, pp. 22–26. Diffloth, Gerard. 1984. The Dvarati Old Mon language and Nyah Kur. Monic Language Studies I, Chulalongkorn University, Bangkok. Diffloth, Gerard. 1985. "The registers of Mon vs. the spectrographist's tones". UCLA Working Papers in Phonetics 60: 55–58. Ferlus, Michel. 1984. Essai de phonetique historique du môn. Mon–Khmer Studies, XII: 1–90. . Guillon, Emmanuel. 1976. "Some aspects of Mon syntax". in Jenner, Thompson, and Starosta, eds. Austroasiatic Studies. Oceanic linguistics special publication no. 13. Halliday, Robert. 1922. A Mon–English dictionary. Bangkok: Siam society. . Haswell, James M. 1874. Grammatical notes and vocabulary of the Peguan language. Rangoon: American Baptist Mission Press. Huffman, Franklin. 1987–1988. "Burmese Mon, Thai Mon, and Nyah Kur: a synchronic comparison". Mon–Khmer Studies 16–17. Jenny, Mathias. 2005. The Verb System of Mon. Arbeiten des Seminars für Allgemeine Sprachwissenschaft der Universität Zürich, Nr 19. Zürich: Universität Zürich. Lee, Thomas. 1983. "An acoustical study of the register distinction in Mon". UCLA Working Papers in Phonetics 57: 79-96. Pan Hla, Nai. 1986. "Remnant of a lost nation and their cognate words to Old Mon Epigraph". Journal of the Siam Society 7: 122–155. . Pan Hla, Nai. 1989. An introduction to Mon language. Center for Southeast Asian Studies, Kyoto University. . Pan Hla, Nai. 1992. The Significant Role of the Mon Language and Culture in Southeast Asia. Tokyo, Japan: Institute for the Study of Languages and Cultures of Asia and Africa. Shorto, H.L. 1962. A Dictionary of Modern Spoken Mon. Oxford University Press. . Shorto, H.L.; Judith M. Jacob; and E.H.S. Simonds. 1963. Bibliographies of Mon–Khmer and Tai Linguistics. Oxford University Press. . Shorto, H.L. 1966. "Mon vowel systems: a problem in phonological statement". in Bazell, Catford, Halliday, and Robins, eds. In memory of J.R. Firth, pp. 398–409. Shorto, H.L. 1971. A Dictionary of the Mon Inscriptions from the Sixth to the Sixteenth Centuries. Oxford University Press. . Luangthongkum, Therapan. 1992. "Another look at the register distinction in Mon". In The international symposium on language and linguistics, edited by Cholthicha Bamroongraks et al, pp.22–51. Bangkok: Thammasat University. จำปา เยื้องเจริญ และจำลอง สารพัดนึก (2528). แบบเรียนภาษามอญ. กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. แหล่งข้อมูลอื่น A hypertext grammar of the Mon language SEAlang Project: Mon–Khmer languages: The Monic Branch Old Mon inscriptions database The Ananda "Basement" Plaques Mon-language Swadesh vocabulary list of basic words (จาก วิกิพจนานุกรมภาษาอังกฤษ Swadesh-list appendix) Mon Language Project Mon Language in Thailand: The endangered heritage มอญ มอญ ประวัติศาสตร์มอญ มอญ กลุ่มภาษามอญ
47313
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89
ภาษาไทยถิ่นใต้
ภาษาไทยถิ่นใต้ (โดยย่อว่า ภาษาใต้) หรือ ภาษาตามโพร () หรือ ภาษาปักษ์ใต้ เป็นภาษาไทกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ มีผู้ใช้ภาษาหนาแน่นบริเวณสิบสี่จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย มีบางส่วนกระจายตัวไปในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขตตะนาวศรีในประเทศพม่า และบริเวณรัฐเกอดะฮ์ รัฐปะลิส รัฐปีนัง และรัฐเปรัก ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย มีผู้พูดเป็นภาษาแม่ราวห้าล้านคน และอีกราว 1.5 ล้านคนใช้เป็นภาษาที่สอง ได้แก่กลุ่มชนเชื้อสายจีน เปอรานากัน มลายู อูรักลาโวยจ และมานิ นอกจากนี้ในภาคใต้ยังมีกลุ่มภาษาไทที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มย่อยของภาษาไทยถิ่นใต้ ได้แก่ ภาษาตากใบ ภาษาสะกอม และภาษาพิเทน เพราะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่แตกต่างไปจากภาษาไทยถิ่นใต้หรือภาษามลายู สัทอักษร วรรณยุกต์ ภาษาไทยถิ่นใต้ส่วนใหญ่ในพยางค์เดียวมี 5 ระดับเสียง ซึ่งเป็นจริงสำหรับสำเนียงที่อยู่ในระดับละติจูดประมาณ 10° เหนือถึง 7° เหนือกับภาษาถิ่นในเมืองทั่วภาคใต้ ในบางพื้นที่มีวรรณยุกต์หกถึงเจ็ดเสียง โดยสำเนียงจังหวัดนครศรีธรรมราช (ประมาณละติจูด 8° เหนือ) มีวรรณยุกต์ 7 เสียง ต้น * พบในบางสำเนียง ** ตั้งก่อนหน้าสระใด ๆ โดยไม่มีตัวหน้าและหลังสระสั้นโดยไม่มีตัวท้าย ***ปัจจุบันไม่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ทำให้เหลือพยัญชนะ 42 ตัว กลุ่มพยัญชนะ (พยัญชนะควบ) ในภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะ 11 แบบ ดังนี้: (กร), (กล), (กว) (ขร, คร), (ขล, คล), (ขว, คว) (ปร), (ปล) (ผร, พร), (ผล, พล) (ตร) นอกจากนี้ยังมีคำควบกล้ำที่ไม่ได้อยู่ในหลักภาษาไทยมาตรฐานด้วย เช่น หฺมฺร เช่น หมฺรับ อ่านว่า "หฺมฺรับ" (ห เป็นอักษรนำ ตามด้วย ม ควบกล้ำด้วย ร) แปลว่า สำรับ ไม่ได้ อ่านว่า หม-รับ หรือ หมับ ให้ออกเสียง "หมฺ" ควบ "ร") เช่น การจัดหฺมฺรับประเพณีสารทเดือนสิบ ท้าย เสียงหยุดทั้งหมดไม่มีการออกเสียง ดังนั้น เสียงท้ายของ , และ ออกเสียงเป็น , และ ตามลำดับ * ตรงท้ายออกเสียงเป็นเส้นเสียงหยุด (glottal stop) เมื่อไม่มีตัวท้ายหลังสระสั้น สระ สระในภาษาไทยถิ่นใต้มีความคล้ายกับภาษาไทยถิ่นกลาง โดยเป็นไปตามตารางนี้ สระมักมาเป็นคู่ยาว-สั้น โดยแบ่งไปตามนี้: สระพื้นฐานสามารถรวมกันเป็นสระประสมสองเสียงที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว: นอกจากนี้ ยังมีสระประสมสามเสียง 3 แบบที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว: สำเนียง ภาษาไทยถิ่นใต้ กลุ่มตะวันออก สำเนียงสุราษฎร์ธานี สำเนียงนครศรีธรรมราช สำเนียงพัทลุง–สงขลา กลุ่มตะวันตก สำเนียงพังงา–ภูเก็ต สำเนียงกระบี่–ตรัง กลุ่มตอนล่าง สำเนียงปัตตานี–ยะลา สำเนียงนราธิวาส ภาษาไทยถิ่นใต้มีภาษาย่อยแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่นต่าง ๆ บางแห่งมีการใช้คำศัพท์หรือมีการออกเสียงแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ดังนี้ ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันออก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันออกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา เรื่อยไปจนถึงรัฐเกอดะฮ์ และปะลิสของประเทศมาเลเซีย ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันตก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันตกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ชุมพร, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และเขตตะนาวศรีของประเทศพม่า ภาษาไทยถิ่นใต้ตอนล่าง เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส โดยสำเนียงปัตตานีและยะลามีความเชื่อมโยงกันมาก และใกล้ชิดกับสำเนียงนราธิวาสเป็นลำดับถัดมา มีการยืมคำมลายูค่อนข้างหนาแน่น เพราะตั้งชุมชนอยู่ท่ามกลางชาวไทยเชื้อสายมลายูซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะในอำเภอทุ่งยางแดง อำเภอสายบุรี และอำเภอตากใบ คำยืม ภาษาไทยถิ่นใต้มีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติอย่างหลากหลาย จนเกิดการยืมคำมาใช้ ทั้งนี้พบว่าภาษาไทยถิ่นใต้มีการยืมคำจากภาษาเขมรมากที่สุดถึง 1,320 คำ บางส่วนเป็นคำยืมที่พบได้เพียงแต่ในภาษาไทยถิ่นใต้เท่านั้น ไม่พบในภาษาไทยกลาง เข้าใจว่าคงยืมผ่านภาษาเขมรโบราณโดยตรง ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ พบว่าสำเนาพระราชกฤษฎีกาสมัยสมเด็จพระเพทราชาเรื่องกัลปนาวัดในแขวงเมืองพัทลุงล้วนใช้ภาษาและอักษรเขมรเก่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า อาจมาจากการกวาดต้อนเชลยเขมรเข้าสู่หัวเมืองภาคใต้ นอกจากนี้ยังมีคำยืมภาษาจีนโดยเฉพาะภาษาฮกเกี้ยนหนาแน่นในสำเนียงภูเก็ต (1,239 คำ) และภาษาจีนอื่น ๆ ในสำเนียงสงขลา (396 คำ) และคำยืมภาษามลายูหนาแน่นในสำเนียงปัตตานี ยะลา นราธิวาส (400 คำ) และสตูล (375 คำ) แต่อย่างไรก็ตามคำยืมเหล่านี้มีผู้ใช้น้อยลง และแทนที่ด้วยภาษาไทยมาตรฐาน ระบบการเขียน ในอดีตภาษาไทยถิ่นใต้จะใช้อักษรขอมไทยในการจดจารตำรับตำราสำคัญทางศาสนา นับถือว่าหนังสือและอักษรเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใครเหยียบหรือข้ามหนังสือจะทำให้วิชาความรู้เสื่อมถอย อักษรขอมนี้พัฒนามาจากอักษรหลังปัลลาวะเริ่มใช้เขียนหลัง พ.ศ. 1726 เป็นต้นมา พบหลักฐานที่ฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกระทั่ง พ.ศ. 1773 อักษรขอมนี้มีพัฒนาการในรูปแบบท้องถิ่นภาคใต้โดยเฉพาะ แต่ระยะหลังมีการรับอักษรขอมไทยอย่างภาคกลางมากขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนอักษรไทยอยุธยา ปรากฏครั้งแรกในศิลาจารึกวัดแวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่มีอักขรวิธีอย่างคนเมืองเหนือ ในช่วงหลังมีการบันทึกวรรณกรรมเป็นอักษรไทยลงสมุดไทยและใบลานตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา พ.ศ. 2357 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการใช้อักษรไทยอยุธยาเขียนตามสำเนียงใต้โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบที่ถูกต้อง หรือมีอักขรวิธีตามความพอใจของผู้เขียนเอง ครั้นเมื่อมีการพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศไทย ภาษาไทยถิ่นใต้จึงพัฒนามาเขียนด้วยอักษรไทยอย่างกรุงเทพมหานครจนถึงปัจจุบัน ภาษาทองแดง ภาษาทองแดง ใน พจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ พุทธศักราช 2525 ให้ความหมายไว้ว่า "การพูดภาษากลางปนภาษาใต้หรือพูดเพี้ยน" ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานกำหนด ไม่ได้จำกัดว่าเป็นคนภาคใดหรือจังหวัดใด ๆ อย่างเช่น เมื่อผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นใต้เป็นภาษาแม่ไปพูดภาษาไทยมาตรฐาน ก็ย่อมจะนำลักษณะบางประการของภาษาถิ่นของตนปะปนเข้ากับภาษาไทยมาตรฐานจนผิดเพี้ยน เรียกว่า "ทองแดง" และชาวไทยเชื้อสายมลายูในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่พูดภาษาไทยมาตรฐานไม่ชัด เพราะติดสำเนียงมลายู ก็จะถูกเรียกว่า "ทองแดง" เช่นกัน แต่เดิมชาวไทยในแถบภาคใต้จะไม่นิยมใช้ภาษาไทยมาตรฐาน เพราะเป็นภาษาของเจ้านายหรือราชสำนัก เมื่อมีชนชั้นนำหรือเจ้านายพูดภาษาไทยมาตรฐาน ชาวบ้านจึงต้องออกเสียงให้ตรงกับภาษาของนาย เรียกว่า "แหลงข้าหลวง" ซึ่งเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของคนใต้ ที่ต้องการให้ส่วนกลางเข้าใจเนื้อหาคำพูดของตน แม้จะออกเสียงผิดเพี้ยนไปบ้าง และหากชาวใต้คนใดพูดภาษาไทยกลางหรือ "แหลงบางกอก" ก็จะถูกคนใต้ด้วยกันมองด้วยเชิงตำหนิว่า "ลืมถิ่น" หรือ "ดัดจริต" เพราะแม้จะพูดภาษาไทยมาตรฐานแต่ยังคงติดสำเนียงใต้อยู่ จึงถูกล้อเลียนว่า "พูดทองแดง" เพราะมีการออกเสียงพยัญชนะและสระต่างกัน มีการตัดคำหน้าของสระเสียงสั้นออกไป เพื่อความสะดวกในการออกเสียง เช่น "เงาะ" เป็น "เฮาะ", "ลอยกระทง" เป็น "ลอยกระตง", "สังขยา" เป็น "สังหยา" นอกจากนี้ยังมีการใช้คำต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน แต่มีความหมายเดียวกัน เช่น "ปวดท้อง" ว่า "เจ็บพุง", "ปวดหัว" ว่า "เจ็บเบ็ดหัว", "ชักช้า" ว่า "ลำลาบ" ปัจจุบันภาษาไทยมาตรฐานมีอิทธิพลเหนือภาษาไทยถิ่นใต้มาขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะจากการศึกษาในระบบ และผ่านการสื่อสารมวลชน ทำให้ภาษาไทยถิ่นใต้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะ อ้างอิง บรรณานุกรม Bradley, David. (1992). "Southwestern Dai as a lingua franca." Atlas of Languages of Intercultural Communication in the Pacific, Asia, and the Americas. Vol. II.I:13, pp. 780–781. Levinson, David. Ethnic Groups Worldwide: A Ready Reference Handbook. Greenwood Publishing Group. . Miyaoka, Osahito. (2007). The Vanishing Languages of the Pacific Rim. Oxford University Press. . Taher, Mohamed. (1998). Encylopaedic Survey of Islamic Culture. Anmol Publications Pvt. Ltd. . Yegar, Moshe. Between Integration and Secession: The Muslim Communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar. Lexington Books. . Diller, A. Van Nostrand. (1976). Toward a Model of Southern Thai Diglossic Speech Variation. Cornell University Publishers. . Li, Fang Kuei. (1977). A Handbook of Comparative Tai. University of Hawaii Press. . พจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ พุทธศักราช 2550 พิมพ์ครั้งที่ 5. สงขลา: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, มูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ และสถาบันทักษิณคดีศึกษา, 2551. . แหล่งข้อมูลอื่น กลุ่มภาษาไท ไทยถิ่นใต้ ไทยถิ่นใต้ ไทยถิ่นใต้
49565
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD
ภาษาไทลื้อ
ภาษาไทลื้อ หรือ ภาษาลื้อ (ไทลื้อใหม่: ᦅᧄᦺᦑᦟᦹᧉ กำไตหลื่อ; กำไต; Dǎilèyǔ ไต่หยวื่อ; เตี๊ยงหลื่อ, เตี๊ยงหลือ; ; ) เป็นภาษาไทถิ่นแคว้นสิบสองปันนาหรือเมืองลื้อ อยู่ในตระกูลภาษาขร้า-ไท และมีคำศัพท์และการเรียงคำศัพท์คล้ายกับภาษาไทยถิ่นอื่น ๆ ผู้พูดภาษาไทลื้อเรียกว่าชาวไทลื้อหรือชาวลื้อ ภาษาไทลื้อมีผู้พูดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 2,000,000 คน โดยมีจำนวนผู้พูดในประเทศจีน 300,000 คน ในประเทศพม่า 200,000 คน ในประเทศไทย 1,200,000 คน และในประเทศเวียดนาม 5,000 คน ระบบเสียง พยัญชนะ พยัญชนะต้น ตัวอักษรไทยที่กำกับ หมายถึงเสียงที่ใกล้เคียงในภาษาไทย มิใช่การถอดอักษร พยัญชนะท้าย สระ วรรณยุกต์ วรรณยุกต์ในพยางค์ไม่หยุด วรรณยุกต์ในพยางค์หยุด สำเนียง ภาษาไทลื้อในตระกูลเผ่าไททั้ง 5 เผ่า นั้นแบ่งสำเนียงภาษาการพูดออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ โดยอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำล้านจ้าง(โขง) เป็นตัวแบ่ง สำเนียงแรก คือ สำเนียงเชียงรุ่ง และสำเนียงเมืองล้า 1. สำเนียงเชียงรุ่ง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ สำเนียงคนยองถือว่าเป็นสำเนียงภาษากลางของชาวไทลื้อ คือเป็นภาษาของชาวเชียงรุ่ง เป็นสำเนียงที่พูดช้าและฟังดูสุภาพ มักมีคำว่า "เจ้า" ต่อท้ายเหมือนคนล้านนา สำเนียงนี้เป็นสำเนียงที่ใช้ในบริเวณสิบสองปันนาตอนกลาง และตะวันตกของสิบสองปันนา ครอบคลุ่มถึงรัฐฉาน ประเทศพม่า ประกอบด้วย (เมืองยอง, เมืองหลวย, เมืองยู้, เมืองเชียงลาบ, เมืองเลน, เมืองพะยาก และเมืองไฮ) เลยมาถึงประเทศลาวแถบเมืองสิงห์ (เชียงทอง), เชียงแขง, เวียงภูคา, บ่อแก้ว, ไชยบุรี, เชียงฮ่อน, เชียงลม และหงสา โดยมีสำเนียงจะออกกลางๆ การผันสำเนียงเสียง จะอยู่ในระดับกลางๆ ขึ้นๆ ลงๆ ค่อนข้างน้อย แต่มักตัดคำพูดควบกันให้สั้นลง และมักเอื้อนเสียงพูด หรือลากเสียงยาว ภาษาชาวไทลื้อกลุ่มนี้พูดกันมากในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ เชียงราย น่าน (นับแต่ ตำบลยม อำเภอท่าวังผา, อำเภอปัว ขึ้นไปจนถึงเมืองเงิน และหลวงพระบาง, เมืองสิงห์ ของประเทศลาว) 2. สำเนียงภาษาไทลื้อกลุ่มเมืองล้า ได้รับอิทธิพลสำเนียงมาจากภาษาลาว หรือภาษาพวน มาค่อนข้างมาก สำเนียงการพูดออกไปทางภาษาลาว การผันสำเนียงขึ้นลงค่อนข้างเร็ว แต่ต่างกันที่สำเนียงพูดยังคงเป็นภาษาลื้อที่ไม่มี สระ อัว อัวะ เอีย สำเนียงการพูดนี้จะพูดในกลุ่มของชาวไทลื้อเมืองหล้า เมืองพง เมืองมาง เมืองเชียงบาน โดยในประเทศไทย ภาษากลุ่มนี้จะพูดใน อำเภอเชียงม่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา, อำเภอสองแคว อำเภอท่าวังผา (เฉพาะตำบลป่าคา และตำบลยอด อำเภอสองแคว) จังหวัดน่าน) นอกจากนี้คำบางคำในภาษาไทลื้อยังแตกต่างกันไปตามสภาพของภูมิศาสตร์ และอิทธิพลของภาษากลุ่มที่ใกล้เคียง ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ
57110
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88
ภาษาไทใหญ่
ภาษาไทใหญ่ หรือ ภาษาฉาน (ไทใหญ่: [หลิกไต๊], ความไท [กว๊ามไต๊], /kwáːm.táj/; ) เป็นภาษาตระกูลขร้า-ไท ใช้พูดในภาคเหนือของประเทศพม่า ประเทศไทย และทางตอนใต้ของประเทศจีน มีเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้พูดที่แน่นอน เนื่องจากสงครามระหว่างพม่ากับไทใหญ่ ทำให้การเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับชาวไทใหญ่ทำได้ยาก คาดว่ามีผู้พูดราว 4-30 ล้านคน มีอักษรเป็นของตนเอง 2 ชนิดคือ อักษรไทใหญ่ ใช้ในพม่า และอักษรไทใต้คง ใช้ในจีน แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่า "อย่ากิ๋นอย่างม่าน อย่าตานอย่างไต" ซึ่งเปรียบเทียบวิถีชีวิตของชาวพม่าที่ให้ความสำคัญกับการกินอยู่ ซึ่งแตกต่างจากชาวไทใหญ่ที่ให้ความสำคัญแก่การทำบุญ ถึงกระนั้นไทใหญ่ก็รับวัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนถึงคำในภาษาพม่าเข้ามามาก จนคำไทใหญ่หลายถิ่นเป็นกวามไตลอแล คือไทใหญ่พูดคำพม่าปนไปหมด เช่นที่เมืองสีป้อและเมืองยางเป็นต้น สำเนียงท้องถิ่น ภาษาไทใหญ่มีสำเนียงแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น ฉานเหนือ ฉานใต้ เชียงตุง และพรมแดนติดกับจีนเรียกว่า ไทเหนือ โดยภาษาเมืองหนอง ถือเป็นภาษาไทหลวง สำเนียงของฉานเหนือ และฉานใต้จะแตกต่างโดยชัดเจน ส่วนที่เชียงตุงชนส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทเขิน โดยมีส่วนต่างกับภาษาไทใหญ่อื่น ๆ มาก และมีศัพท์เฉพาะค่อนข้างมาก และเสียง ร ไม่เป็น ฮ ไปทั้งหมด โดยเชียงตุงกับเมืองไทยจะมีสุภาษิตคล้ายคลึงกันมากเลยทีเดียว ระบบเสียง พยัญชนะ เสียงสัทอักษรพยัญชนะในภาษาไทใหญ่ (เสียงแปร) มีอยู่ด้วยกัน 19 เสียง ไม่เหมือนภาษาไทยและลาวเพราะไม่มีเสียงกักโฆษะ [d] และ [b]** เสียง /f/ (ၾ) บางครั้งอาจจะออกเสียงเป็น /pʰ/ เสียง /r/ ส่วนใหญ่มักออกเสียงเป็น /ɹ/ (เหมือนอักษร R ในภาษาอังกฤษ) ปัจจุบัน ได้มีการเพิ่มรูปและเสียงของพยัญชนะเข้ามาแล้ว คือ /b/ = ၿ , /d/ = ၻ แต่มักจะใช้ในคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ พยัญชนะควบกล้ำ ในภาษาไทใหญ่มีการควบกล้ำอยู่ 3 เสียง /j/ /r/ /w/ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปของพยัญชนะที่นำมาควบด้วย เป็น ျ , ြ , ႂ ตามลำดับ อนึ่ง คำที่ควบด้วยเสียง /r/ บางครั้งจะไม่ออกเสียงควบกันสนิท โดยจะออกเสียงในลักษณะสระอะกึ่งเสียง สำหรับเสียง /k/ , /kʰ/ และ /s/ เมื่อมีการควบของเสียงร่วมกับเสียง /j/ เสียงที่เกิดขึ้นมักจะใกล้เคียงกับเสียง /c/ , /cʰ/ และ /ʃ/ ตามลำดับ ตัวอย่างคำ ၵျွင်း [kʲɔ̰́ŋ] วัด [กย๊อง] ၽြႃး [pʰɹáː] พระ [พร้า] ၵႂၢမ်း [kʷáːm] คำพูด, ความ, ภาษา [กว๊าม] เสียงสระ ภาษาไทใหญ่มีสระเดี่ยวอยู่ 10 เสียง และสระผสมอีก 13 เสียง สระเดี่ยว สระผสม [iu] (อิว), [eu] (เอว), [ɛu] (แอว); [ui] (อุย), [oi] (โอย), [ɯi] (อึย), [ɔi] (ออย), [əi] (เอย); [ai] (อัย/ไอ), [aɯ] (ใอ (อะ~อึ/อะ~อือ)), [au] (เอา); [aːi] (อาย), [aːu] (อาว) เสียงวรรณยุกต์ เปรียบเสียงกับภาษาไทย โดยมากแล้วทั้งสองภาษามักมีเสียงวรรณยุกต์ที่คล้ายกันยกเว้นบางที่ ที่คล้ายได้แก่ เสียงเอกในคำเป็นของทั้งสองมักตรงกัน เช่น ป่า, อย่า, อยู่, ผ่า เป็นต้น เสียงจัตวาในคำเป็นที่ขึ้นต้นด้วยอักษรสูงมักตรงกัน เช่น ขา, หมา, หนา, ผา, หลัง เป็นต้น เสียงที่ไม่เหมือนได้แก่ เสียงสามัญไทยในคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรกลางมักตรงกับเสียงจัตวาไทใหญ่ เช่น กา เป็น ก๋า, ปลา เป็น ป๋า, ตา เป็น ต๋า, และ อา เป็น อ๋า เป็นต้น เสียงสามัญไทยในคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำมักตรงกับเสียงตรีไทใหญ่ เช่น นา เป็น น้า, ทา เป็น ต๊า, ลา เป็น ล้า เป็นต้น เสียงโทไทยมักตรงกับเสียงสามัญไทใหญ่ เช่น เจ้า เป็น เจา, ข้า เป็น คา, หน้า เป็น นา, และ ผ้า เป็น พา เป็นต้น เสียงตรีไทยมักตรงกับเสียงโทสั้นไทใหญ่ เช่น น้ำ เป็น น่ำ, ช้าง เป็น จ้าง, ม้า เป็น ม่า, น้า เป็น น่า เป็นต้น นอกจากการแตกต่างระหว่างเสียงวรรณยุกต์แล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างเล็กน้อยทางเสียงพยัญชนะขึ้นต้นด้วย คำในภาษาไทยที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำเสียงกักธนิตมักตรงกับเสียงกักสิถิลในไทใหญ่ เช่น พยัญชนะ พ, ท, และ ค ในไทยมักตรงกับเสียง ป, ต, และ ก ในไทใหญ่ แต่คำในภาษาไทยที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำเสียงกักธนิตที่ตรงกับเสียงโฆษะบาลีมักตรงกับเสียงกักธนิตในไทใหญ่ เช่น พยัญชนะ ภ, ธ, และ ฆ ในไทยมักตรงกับเสียง พ, ท, และ ค นอกจากนี้ คำในภาษาไทยที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำเสียงกักธยิตที่ตามด้วย ร มักตรงกับเสียงกักธนิตในไทใหญ่ เช่น พยัญชนะ ปร, ทร, และ คร ในไทยมักตรงกับเสียง พ, ท, และ ค ในไทใหญ่ นอกจากนี้แล้ว มีเสียงพยัญชนะบางเสียงในไทใหญ่ที่ไม่ตรงกับไทย พยัญชนะ ด กับ บ ของไทยมักตรงกับเสียง หล กับ หม ในไทใหญ่ เช่น ดิน เป็น หลิน, ดี เป็น หลี, เดือน เป็น เหลิน, บ่า เป็น หม่า, บ้า เป็น มา (หม้า), และ บ่าว เป็น หม่าว เป็นต้น พยัญชนะ ร ของไทยมักตรงกับเสียง ฮ ไทใหญ่ เช่น เรา เป็น เฮ้า, ร่าง เป็น ฮาง, และ รัก เป็น ฮั่ก เป็นต้น อักษรต่ำไทย อักษรกลางไทย อักษรสูงไทย ไวยากรณ์ ภาษาไทใหญ่ เป็นภาษาที่ไม่มีการผันคำไปตามกาล เพศ การก ฯลฯ เช่นเดียวกับภาษาไทย รูปแบบประโยคเป็นแบบ ประธาน-กริยา-กรรม คำคุณศัพท์จะมีการวางไว้หลังคำนาม สรรพนาม การทักทาย (ล่องโต้งตั้ก) การนับเลข (ล่อง-นั่บ-อ่าน) ตัวเลขของภาษาไทใหญ่ใช้ชุดต่างจากอักษรพม่าตามปกติ มีดังนี้ เวลา (ยาม) การบอกเวลา การบอกเวลาในภาษาไทใหญ่ก็คล้าย ๆ กับในภาษาไทย เช่น " " (เม่อเหล็วไน่ สาม โม้งเย่า) - ตอนนี้ 3 โมงแล้ว ตารางการบอกช่วงเวลา ปี เดือน วัน (ปี๋ เหลิน วัน) ပီႊလိူၼ်ဝၼ်း อ้างอิง BlogGang.com : : นายช่างปลูกเรือน : : การออกเสียง และการพูดในภาษาไท (ไทใหญ่) : โอเคไต แหล่งข้อมูลอื่น SIL Padauk Font (Shan Unicode) SEAlang Library Shan Dictionary ไทใหญ่ ไทใหญ่ ไทใหญ่ ไทใหญ่
End of preview. Expand in Data Studio

No dataset card yet

Downloads last month
15

Collection including ZombitX64/local-languages-of-thailand-wikipedia