id
stringlengths
4
7
url
stringlengths
93
183
title
stringlengths
7
17
text
stringlengths
138
39.4k
2088
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2
ภาษาไทย
ภาษาไทย หรือ ภาษาไทยกลาง เป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท และเป็นภาษาราชการ และภาษาประจำชาติของประเทศไทย มีการสันนิษฐานว่าภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางส่วนเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ ภาษาไทยปรากฏครั้งแรกในพุทธศักราช 1826 โดยพ่อขุนรามคำแหง และปรากฏอย่างสากลและใช้ในงานของราชการ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2476 ด้วยการก่อตั้งสำนักงานราชบัณฑิตยสภาขึ้น และปฏิรูปภาษาไทย พุทธศักราช 2485 การจำแนก ประวัติ ภาษาไทยจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไท (Tai languages) ภาษาหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท ภาษาไทยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาษาในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาลาว ภาษาผู้ไท ภาษาคำเมือง ภาษาไทใหญ่ เป็นต้น รวมถึงภาษาตระกูลไทอื่น ๆ เช่น ภาษาจ้วง ภาษาเหมาหนาน ภาษาปู้อี ภาษาไหล ที่พูดโดยชนพื้นเมืองบริเวณไหหนาน กวางสี กวางตุ้ง กุ้ยโจว ตลอดจนยูนนาน ไปจนถึงเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งสันนิษฐานว่าจุดกำเนิดของภาษาไทยน่าจะมาจากบริเวณดังกล่าว ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ได้มีการอพยพของผู้พูดภาษากลุ่มไทลงมาจากจีนตอนใต้ มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำพาภาษากลุ่มไทลงมาด้วย ภาษาที่ชนกลุ่มไทกลุ่มนี้พูดได้รับการสืบสร้างเป็นภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ดั้งเดิม ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ที่พูดโดยชาวออสโตรเอเชียติก และอยู่อาศัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่เดิม รวมถึงได้รับอิทธิพลจากภาษาทางวรรณกรรม คือ ภาษาสันสกฤต และ ภาษาบาลี จนพัฒนามาเป็นภาษาไทยในปัจจุบัน ภาษาไทยเก่า ภาษาไทยในอดีตมีระบบเสียงที่แตกต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบันอย่างชัดเจน ซึ่งมีประเด็นสำคัญต่อไปนี้ มีการแบ่งแยกระหว่างเสียงก้องและเสียงไม่ก้องในแทบทุกฐานกรณ์ และทุก ๆ ลักษณะการเกิดเสียง (manner of articulation) นั่นคือ มีเสียงพยัญชนะ /b d d͡ʑ g/ ซึ่งแบ่งแยกจาก /p t t͡ɕ k/ อย่างชัดเจน รวมถึงมีการแบ่งแยกระหว่างเสียงนาสิกแบบก้องและแบบไม่ก้องด้วย (/m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊/ หรือ /ʰm ʰn ʰɲ ʰŋ/ กับ /m n ɲ ŋ/ → ตัวอย่าง 1) รวมถึงเสียงเปิด (/ʍ l̥/ กับ /w l/) ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ได้สูญหายไปในภาษาไทยปัจจุบัน มีเสียงกักเส้นเสียงนำมาก่อน (pre-glottalized) หรือเสียงกักเส้นเสียงลมเข้า (implosive) ได้แก่ /ʔb/, /ʔd/,/ʔj/ → ตัวอย่าง 2 มีเสียงเสียดแทรกเพดานอ่อน (ฃ /x/ และ ฅ /ɣ/) ซึ่งต่างจากเสียงกักเพดานอ่อนอย่างชัดเจน (ข /kʰ/ และ ค /g/) → ตัวอย่าง 3 มีเสียงพยัญชนะ /ɲ/ ซึ่งเขียนแทนด้วย ญ เสียงพยัญชนะนี้ได้สูญหายไปจากภาษาไทยปัจจุบัน โดยกลายเป็นเสียง [j] ซึ่งเป็นเสียงเดียวกันกับ ย → ตัวอย่าง 4 มีวรรณยุกต์เพียงสามเสียงเท่านั้น ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอก และเสียงโท (หรือเขียนแทนด้วย *A, *B และ *C ตามลำดับ) ในพยางค์เป็น (unchecked syllable) จะมีเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นไปได้ 3 เสียง ส่วนพยางค์ตาย (checked syllable) มีเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นไปได้เพียงเสียงเดียว คือเสียงเอก นอกจากอักษรควบกล้ำทั่วไป (อย่าง กร-ฅร-ขร-คร-ตร-ปร-พร/กล-ฅล-ขล-คล-ปล-พล/กว-คว-ฅว) แล้วยังมีอักษรควบกล้ำพิเศษอีก 4 ตัว ก็คือ (*bd บด, *pt ผต, *mr/ml มร/มล, *thr ถร) ตามผลการวิจัยของนักภาษาศาสตร์ภาษาไทกะได เช่น André-Georges Haudricourt และ Li Fang-Kuei ปัจจุบันสามารถหาหลักฐาน จากภาษาไทกะไดต่าง ๆ ได้ → ตัวอย่าง 5 มีเสียงสระประสม /aɰ/ ซึ่งเขียนแทนด้วยไม้ม้วน (ใ) เสียงสระนี้ได้สูญหายไปจากภาษาไทยปัจจุบัน โดยกลายเป็นเสียง [aj] สำหรับสระอื่น ๆ โดยหลัก ๆ ไม่มีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบัน → ตัวอย่าง 6 สามารถสรุประบบเสียงพยัญชนะภาษาไทยเก่าได้ดังนี้ สีเขียว สีชมพู และสีฟ้า คือหน่วยเสียงพยัญชนะที่จะพัฒนาไปเป็นอักษรกลาง อักษรสูง และอักษรต่ำ ในอนาคต ตามลำดับ ระบบเสียงข้างต้นมีความสอดคล้องกันกับอักษรในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง นั่นคือ มีการใช้อักษร ฃ และ ฅ แยกกับ ข และ ค อย่างชัดเจน บ่งบอกว่าภาษาไทยในสมัยที่มีการสร้างจารึกดังกล่าว หน่วยเสียงพยัญชนะเหล่านี้ต้องแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดวรรณยุกต์ในภาษาไทยในจารึกสมัยสุโขทัยจึงมีวรรณยุกต์เพียง 2 รูป (เอกและโท) เท่านั้น เป็นเพราะว่าภาษาไทยเก่ามีวรรณยุกต์เพียงสามเสียงเท่านั้น (เสียงสามัญไม่เขียนรูปวรรณยุกต์) อย่างไรก็ตาม หน่วยเสียง /x/ และ /ɣ/ น่าจะมีการสูญหายไปในอย่างรวดเร็วในสมัยพระยาลิไท โดยเกิดการรวมกับหน่วยเสียง /kʰ/ และ /g/ โดยสังเกตได้จากการใช้รูปพยัญชนะ ฃ สลับกับ ข และ ฅ สลับกับ ค ในศิลาจารึกสมัยพระยาลิไท บ่งบอกว่าหน่วยเสียงทั้งสองคู่ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป ปัจจุบันจึงมีการเลิกใช้ตัวอักษร ฃ และ ฅ ระบบเสียงวรรณยุกต์สามเสียงสอดคล้องกับฉันทลักษณ์ในสมัยอยุธยาตอนต้น เช่นการบังคับเอกโทในโคลงสี่สุภาพ ในวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นที่เขียนในโคลงสี่สุภาพ ยังไม่ปรากฏว่ามีการใช้คำเอกโทษหรือโทโทษเกิดขึ้น จึงสันนิษฐานได้ว่าระบบเสียงของภาษาไทยที่ใช้ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงเป็นระบบเสียงแบบเก่าอยู่ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยต่อไปในสมัยอยุธยาตอนกลาง อนึ่ง เสียงสระ ใ /aɰ/ และ ไ /aj/ ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงรักษาความแตกต่างไว้ได้เช่นกัน โดยสังเกตได้จากการที่คำที่มีรูปสระ ไ และ ใ จะไม่สัมผัสกัน การเปลี่ยนแปลงระบบเสียงที่สำคัญ ในสมัยอยุธยาตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 21) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยเก่าขึ้น นับเป็นจุดเปลี่ยนผ่านจากภาษาไทยเก่าไปเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ โดยมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงดังนี้ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ทั้ง 3 เสียง (*A, *B และ *C) ได้แตกตัวออกเป็นเสียงละ 2 เสียง รวมทั้งหมดเป็น 6 เสียง (*A1, *A2, *B1, *B2, *C1 และ *C2) ขึ้นอยู่กับความก้องของเสียงพยัญชนะต้น แต่หน่วยเสียงที่แตกตัวออกมาเป็นคู่ ๆ เหล่านั้นยังคงมีความแตกต่างกันเพียงในระดับหน่วยเสียงย่อย เท่านั้น เสียงวรรณยุกต์ชุดแรก *A1, *B1 และ *C1 จะปรากฏในคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นเสียงไม่ก้อง และเสียงกักเสีนเสียง ได้แก่ /p pʰ t tʰ t͡ɕ t͡ɕʰ k kʰ ʔ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/ เสียงวรรณยุกต์ชุดที่สอง *A2, *B2 และ *C2 จะปรากฏในคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นเสียงก้อง ได้แก่ /b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/ เกิดการยุบรวม (merger) ของหน่วยเสียงพยัญชนะต่อไปนี้ เสียงกัก ก้อง (/b d d͡ʑ g/) ได้ยุบรวมกับเสียงกัก มีลม ไม่ก้อง (/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ/) เสียงเสียดแทรก ก้อง (/v z/) ได้ยุบรวมกับเสียงเสียดแทรก ไม่ก้อง (/f s/) เสียงกังวาน (sonorant) ไม่ก้อง (/m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/) ยุบรวมกับเสียงกังวาน ก้อง (/m n ɲ ŋ w l/) คู่ของเสียงวรรณยุกต์ทั้ง 3 คู่ มีการแบ่งแยกความแตกต่างมากขึ้น จนไปถึงระดับหน่วยเสียง (phoneme) มีการแตกตัวและการรวมของเสียงวรรณยุกต์ต่อไป ภาษาไทยถิ่นกลางมีการแตกตัวและการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่มีลักษณะเฉพาะ แบ่งแยกได้จากภาษาถิ่นภาคอื่น ๆ ได้แก่ การแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ *A ออกเป็นสองเสียงที่ต่างกันระหว่างพยัญชนะเสียงไม่ก้องที่มีลม (/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/) กับเสียงไม่ก้องที่ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) และมีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *B2 (เอก-ก้อง) และ *C1 (โท-ไม่ก้อง) อีกด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า ค่า กับ ข้า หรือคำว่า น่า กับ หน้า จึงออกเสียงวรรณยุกต์เป็นเสียงเดียวกันในภาษาไทยถิ่นกลาง แตกต่างจากภาษาไทยถิ่นเหนือและอีสานที่มีการแตกตัวและยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างไปจากนี้ จึงออกเสียงวรรณยุกต์ของทั้งสองคำนี้ต่างกันไปด้วย สำหรับภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงอยุธยา เป็นต้น มีการยุบรวมเสียงวรรณยุกต์ *A1 ของพยัญชนะเสียงไม่ก้อง ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) กับเสียงวรรณยุกต์ *A2 ของพยัญชนะเสียงก้อง (/b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/) ด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า กา กับ คา จึงออกเสียงวรรณยุกต์เหมือนกัน (เสียงสามัญ) แต่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างจากคำว่า ขา ซึ่งเป็นเสียงจัตวา ในขณะที่ภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีการออกเสียงวรรณยุกต์ของคำว่า กา กับ คา ที่ต่างกันอยู่ นั่นคือยังไม่มีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *A1 และ *A2 ดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ภาษาไทยกรุงเทพปัจจุบันมีเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน 5 หน่วยเสียง และสำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีเสียงวรรณยุกต์ 6 หน่วยเสียง รูปแบบการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน ของภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงสุพรรณบุรี สรุปได้ตามตารางต่อไปนี้ (ให้เสียงวรรณยุกต์เดียวกันมีสีเดียวกัน และวรรณยุกต์ที่ปรากฏในตารางเป็นเสียงวรรณยุกต์ในปัจจุบัน) วรรณยุกต์ที่ 1–5 ในภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพในตาราง คือวรรณยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงวรรณยุกต์จากภาษาไทยเก่ามาเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ แต่อักขรวิธีของภาษาไทยยังคงรูปเขียนเช่นเดิม ทำให้รูปเขียนและเสียงอ่านมีความไม่สอดคล้องกันขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ข้า กับ ค้า ที่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ทั้ง ๆ ที่มีรูปวรรณยุกต์โทเช่นเดียวกัน เกิดจากการที่ทั้งสองคำนี้เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน แต่มีเสียงพยัญชนะต้นที่แตกต่างกัน คือเสียง ข /kʰ/ และ ค /g/ ในภาษาไทยเก่า ความไม่สอดคล้องกันระหว่างรูปเขียนและเสียงอ่าน ทำให้เกิดระบบไตรยางศ์ ขึ้น โดยเป็นระบบการจัดหมวดหมู่รูปพยัญชนะอักษรไทยที่จัดให้รูปวรรณยุกต์หนึ่ง ๆ มีการออกเสียงที่แตกต่างกันได้เป็น 2 เสียง ขึ้นอยู่กับรูปพยัญชนะต้นของคำนั้น ๆ ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบการแตกตัวและยุบรวมของหน่วยเสียงพยัญชนะและสระข้างต้น เสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยา หลักฐานที่บ่งบอกถึงเสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีน้อยมาก ระบบไตรยางศ์แบบเดียวกันกับภาษาไทยปัจจุบันนี้ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างช้าสุดในตำราจินดามณี จากการสืบสร้างเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณี พบว่ามีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง และมีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์คล้ายคลึงกับภาษาไทยปัจจุบัน แต่ระดับเสียงและรูปร่างเสียงวรรณยุกต์ (contour) ยังคงมีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบันอยู่พอสมควร เสียงวรรณยุกต์สมัยนี้อาจมีความคล้ายคลึงกับสำเนียงพากย์โขน (วริษา กมลนาวิน, 2546) พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2559) ได้เสนอการสืบสร้างระบบเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณีดังต่อไปนี้ * ระบุระดับเสียงไม่ได้ชัดเจน ** ระบุความแตกต่างของสองเสียงนี้ไม่ได้ชัดเจน และได้เสนอว่าระบบวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีรูปแบบการแตกตัวที่ต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบัน คือ เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ที่มีอักษรต่ำ คำตาย เสียงสระสั้น กับ พยางค์ที่มีอักษรต่อ คำตาย เสียงยาว มีเสียงเดียวกัน (ตัวอย่างเช่น คำว่า คัด กับ คาด เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน) ซึ่งสรุปการแตกตัวได้ดังนี้ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการปฏิรูปภาษาไทยโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่สังเกตได้มีดังนี้ ตัดพยัญชนะ ฃ ออก แล้วใช้ ข แทน ตัดพยัญชนะ ฅ และ ฆ ออก แล้วใช้ ค แทน ตัดพยัญชนะ ฌ ออก แล้วใช้ ช แทน ตัดพยัญชนะ ฎ ออก แล้วใช้ ด แทน ตัดพยัญชนะ ฏ ออก แล้วใช้ ต แทน ตัดพยัญชนะ ฐ ออก แล้วใช้ ถ แทน ตัดพยัญชนะ ฑ ออก แล้วใช้ ท แทน ตัดพยัญชนะ ฒ ออก แล้วใช้ ธ แทน ตัดพยัญชนะ ณ ออก แล้วใช้ น แทน ตัดพยัญชนะ ศ และ ษ ออก แล้วใช้ ส แทน ตัดพยัญชนะ ฬ ออก แล้วใช้ ล แทน พยัญชนะ ญ ถูกตัดเชิงออกกลายเป็น พยัญชนะสะกดของคำที่ไม่ได้มีรากมาจาก คำบาลี-สันสกฤต เปลี่ยนเป็นพยัญชนะสะกดตามแม่โดยตรง เช่น อาจ เปลี่ยนเป็น อาด, สมควร เปลี่ยนเป็น สมควน เปลี่ยน อย เป็น หย เช่น อยาก เปลี่ยนเป็น หยาก เลิกใช้คำควบไม่แท้ เช่น จริง เขียนเป็น จิง, ทรง เขียนเป็น ซง ร หัน ที่มิได้ออกเสียง /อัน/ ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสระอะตามด้วยตัวสะกด เช่น อุปสรรค เปลี่ยนเป็น อุปสัค, ธรรม เปลี่ยนเป็น ธัม เลิกใช้สระใอ (ไม้ม้วน) เปลี่ยนเป็นสระไอ (ไม้มลาย) ทั้งหมด เลิกใช้ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เปลี่ยนไปใช้การสะกดตามเสียง เช่น พฤกษ์ ก็เปลี่ยนเป็น พรึกส์, ทฤษฎี ก็เปลี่ยนเป็น ทริสดี ใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างภาษาต่างประเทศ เช่น มหัพภาค (.) เมื่อจบประโยค จุลภาค (,) เมื่อจบประโยคย่อยหรือวลี อัฒภาค (;) เชื่อมประโยค และจะไม่เว้นวรรคถ้ายังไม่จบประโยคโดยไม่จำเป็น หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง สัทวิทยา ภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสียงสำคัญ 3 ประเภท คือ หน่วยเสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ พยัญชนะ พยัญชนะต้น ภาษาไทยมาตรฐานแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียงแทรก เป็นสามประเภทดังนี้ เสียงไม่ก้อง ไม่พ่นลม เสียงไม่ก้อง พ่นลม เสียงก้อง ไม่พ่นลม หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง เอส (S) ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง เสียงพยัญชนะต้นมี 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น * ฃ และ ฅ เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร ** ฑ มีอยู่สองเสียง คือ [tʰ] เมื่อเป็นคำเป็น และ [d] เมื่อเป็นคำตาย พยัญชนะสะกด ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก ฃ และ ฅ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ฉ ผ ฝ ห อ ฮ ดังนั้นตัวสะกดจึงเหลือเพียง 36 * เสียงพยัญชนะกัก เส้นเสียง จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด กลุ่มพยัญชนะ แต่ละพยางค์ในคำหนึ่ง ๆ ของภาษาไทยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน (ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่พยัญชนะสะกด อาจกลายเป็นพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไป หรือในทางกลับกัน) ดังนั้นพยัญชนะหลายตัวของพยางค์ที่อยู่ติดกัน จะไม่รวมกันเป็นกลุ่มพยัญชนะเลย ภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะเพียงไม่กี่กลุ่ม ประมวลคำศัพท์ภาษาไทยดั้งเดิมระบุว่ามีกลุ่มพยัญชนะ (ที่ออกเสียงรวมกันโดยไม่มีสระอะ) เพียง 11 แบบเท่านั้น เรียกว่า พยัญชนะควบกล้ำ หรือ อักษรควบกล้ำ พยัญชนะควบกล้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกหกเสียงจากคำยืมภาษาต่างประเทศ ได้แก่ (บร) เช่น บรอนซ์, เบรก (บล) เช่น บล็อก, เบลอ (ดร) เช่น ดราฟต์, ดริงก์ (ฟร) เช่น ฟรักโทส, ฟรี (ฟล) เช่น ฟลูออรีน, แฟลต (ทร) เช่น จันทรา, แทรกเตอร์ เราสามารถสังเกตได้ว่า กลุ่มพยัญชนะเหล่านี้ถูกใช้เป็นพยัญชนะต้นเท่านั้น ซึ่งมีเสียงพยัญชนะตัวที่สองเป็น ร ล หรือ ว และกลุ่มพยัญชนะจะมีเสียงไม่เกินสองเสียงในคราวเดียว การผันวรรณยุกต์ของคำขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ของพยัญชนะตัวแรก สระ เสียงสระในภาษาไทยมาตรฐานแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน (ดูที่ อักษรไทย) สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้ เ–ีย ประสมจากสระ อี และ อา ia เ–ือ ประสมจากสระ อือ และ อา uea –ัว ประสมจากสระ อู และ อา ua ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ–ียะ เ–ือะ –ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้ –ำ am ประสมจาก อะ + ม (อัม) เช่น ขำ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม) เช่น น้ำ ใ– ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ใจ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ใต้ ไ– ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ไหม้ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ไม้ เ–า ao ประสมจาก อะ + ว (เอา) เช่น เกา บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว) เช่น เก้า ฤ rue, ri, roe ประสมจาก ร + อึ (รึ) เช่น ฤกษ์ บางคำเปลี่ยนเป็น (ริ) เช่น กฤษณะ หรือ (เรอ) เช่น ฤกษ์ ฤๅ rue ประสมจาก ร + อือ (รือ) ฦ lue ประสมจาก ล + อึ (ลึ) ฦๅ lue ประสมจาก ล + อือ (ลือ) บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา คำที่สะกดด้วย –ั (สระ -ะ) + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน สระ เ-ะ แ-ะ เ-าะ ที่มีวรรณยุกต์ ใช้รูปเดียวกับสระ เ– แ- -อ ตามลำดับ เช่น เผ่น เล่น แล่น แว่น ผ่อน กร่อน คำที่สะกดด้วย –อ (สระ -อ) + ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ + ร จึงไม่มี สระ เ–อะ ที่มีตัวสะกดใช้รูปเดียวกับสระ เ–อ เช่น เงิน เปิ่น เห่ย คำที่สะกดด้วย เ–อ + ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– อย่างไรก็ตาม คำที่สะกดด้วย เ– + ย จะไม่มีในภาษาไทย พบได้น้อยคำ เช่น เทอญ เทอม วรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ คำเป็น เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมาตรฐานจำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่ คำตาย เสียงวรรณยุกต์ในคำตายสามารถมีได้แค่เพียง 3 เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก เสียงโท และ เสียงตรี โดยขึ้นอยู่กับความสั้นความยาวของสระ เสียงเอกสามารถออกเสียงควบคู่กับได้สระสั้นหรือยาว เสียงตรีสามารถออกเสียงควบคู่กับสระสั้น และ เสียงโทสามารถออกเสียงควบคู่กับสระยาว เช่น แต่อย่างใดก็ดี ในคำยืมบางคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คำตายสามารถมีเสียงตรีควบคู่กับสระยาว และเสียงโทควบคู่กับสระสั้นได้ด้วย เช่น รูปวรรณยุกต์ ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่ การเขียนเสียงวรรณยุกต์ ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น คำควบกล้ำ คำควบกล้ำ หรือ อักษรควบ หมายถึง พยัญชนะสองตัวเขียนเรียงกันอยู่ต้นพยางค์ และใช้สระเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวกัน เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นั้นจะผันเป็นไปตามเสียงพยัญชนะตัวหน้าคำควบกล้ำ (อักษรควบ) มี 2 ชนิด คือ คำควบแท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ล ว ควบกับพยัญชนะตัวหน้า ประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวพร้อมกัน คำควบไม่แท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ควบกับพยัญชนะตัวหน้าประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านไม่ออกเสียง ร ออกเสียงเฉพาะตัวหน้า หรือมิฉะนั้น ก็ออกเสียง เป็นเสียงอื่นไป คำควบไม่แท้ที่ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวหน้า ได้แก่พยัญชนะ จ ซ ศ ส ควบกับ ร คำควบไม่แท้ ท ควบกับ ร จะออกเสียงกลายเป็น ซ ไวยากรณ์ ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป ไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) วาจก (voice) หรือบุรุษ (person) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงค์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้เป็นคำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เช่น ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต เมื่อนำคำที่รับมานั้นมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำได้อย่างตายตัว จำเป็นต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) วากยสัมพันธ์ ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ หรือการเรียงลำดับคำในประโยค โดยรวมแล้วจะเรียงเป็น 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ในกรณีที่มีการเน้นความหมายของกรรม (topicalization) สามารถเรียงประโยคเป็น 'กรรม-ประธาน-กริยา' (object-subject-verb หรือ OSV) ได้ด้วย แต่ต้องใช้คำชี้เฉพาะเติมหลังคำที่เป็นกรรมคำนั้น เช่น การยืมคำจากภาษาอื่น ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่น ๆ ค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาขร้า-ไท ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไท ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทฺธิ (iddhi) ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทฺธิ ऋद्धि (ṛddhi) ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไท แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้ รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย วชิระ (บาลี: วชิร [vajira]), วัชระ (สันส: วชฺร वज्र [vajra]) ศัพท์ (สันส: ศพฺท शब्द [śabda]), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี: สทฺท [sadda]) อัคนี และ อัคคี (สันส: อคฺนิ अग्नि [agni] บาลี: อคฺคิ [aggi]) โลก (โลก) – บาลี: โลก [loka] (สันสกฤต: लोक โลก) ญาติ (ยาด) – บาลี: ญาติ (ยา-ติ) [ñāti] เสียง พ มักแผลงมาจาก ว เพียร (มาจาก พิริย และมาจาก วิริย อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรฺย वीर्य [vīrya], บาลี:วิริย [viriya]) พฤกษา หรือ พฤกษ์ (สันส:วฺฤกฺษ वृक्ष [vṛkṣa]) พัสดุ (สันส: वस्तु [vastu] (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ) ) เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หรติ)) เสียง ด มักแผลงมาจาก ต หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ)) เทวดา (บาลี:เทวตา [devatā]) วัสดุ และ วัตถุ (สันส: [vastu] वस्तु (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ)) กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ)) เสียง บ มักแผลงมาจาก ป กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ)) บุพเพ และ บูรพ (บาลี: [pubba] (ปุพฺพ)) ภาษาอังกฤษ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีวิวัฒนาการต่าง ๆ ทางเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งทำให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เช่น ประปา จากคำว่า วอเตอร์ซัปพลาย (water supply) สถานี จากคำว่า สเตชัน (station) รถยนต์ จากคำว่า รถมอเตอร์คาร์ (motorcar) เรือยนต์ จากคำว่า เรือมอเตอร์ (motorboat) ประมวล จากคำว่า โค้ด (code) ดูเพิ่ม ไตรยางศ์ ภาษาในประเทศไทย ภาษาวิบัติ วันภาษาไทยแห่งชาติ อักษรไทย อ้างอิง กำชัย ทองหล่อ. หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: บำรุงสาส์น, 2533. นันทนา รณเกียรติ. สัทศาสตร์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548. ISBN 978-974-571-929-3. อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล และ กัลยารัตน์ ฐิติกานต์นารา. 2549.“การเน้นพยางค์กับทำนองเสียงภาษาไทย” (Stress and Intonation in Thai) วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2549) หน้า 59-76 สัทวิทยา: การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. 2547. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ Gandour, Jack, Tumtavitikul, Apiluck and Satthamnuwong, Nakarin.1999. “Effects of Speaking Rate on the Thai Tones.” Phonetica 56, pp.123-134. Tumtavitikul, Apiluck, 1998. “The Metrical Structure of Thai in a Non-Linear Perspective”. Papers presentd to the Fourth Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society 1994, pp. 53-71. Udom Warotamasikkhadit and Thanyarat Panakul, eds. Temple, Arizona: Program for Southeast Asian Studies, Arizona State University. Apiluck Tumtavitikul. 1997. “The Reflection on the X’ category in Thai”. Mon-Khmer Studies XXVII, pp. 307-316. อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. 2539. “ข้อคิดเกี่ยวกับหน่วยวากยสัมพันธ์ในภาษาไทย” วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ. 4.57-66. Tumtavitikul, Appi. 1995. “Tonal Movements in Thai”. The Proceedings of the XIIIth International Congress of Phonetic Sciences, Vol. I, pp. 188-121. Stockholm: Royal Institute of Technology and Stockholm University. Tumtavitikul, Apiluck. 1994. “Thai Contour Tones”. Current Issues in Sino-Tibetan Linguistics, pp.869-875. Hajime Kitamura et al, eds, Ozaka: The Organization Committee of the 26th Sino-Tibetan Languages and Linguistics, National Museum of Ethnology. Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “FO – Induced VOT Variants in Thai”. Journal of Languages and Linguistics, 12.1.34 – 56. Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “Perhaps, the Tones are in the Consonants?” Mon-Khmer Studies XXIII, pp.11-41. แหล่งข้อมูลอื่น ภาษาไทยและอักษรไทย ที่ Omniglot พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ พจนานุกรม ภาษาไทยในรูปแบบ สตาร์ดิกต์ (StarDict), GoldenDict และ ABBYY Lingvo ไทย ไทย ไทย
6001
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87
กวางตุ้ง
กวางตุ้ง อาจหมายถึง มณฑลกวางตุ้ง มณฑลหนึ่งของจีนตั้งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศ ภาษากวางตุ้ง ภาษาจีนที่ใช้เป็นหลักในมณฑลกวางตุ้ง ผักกาดกวางตุ้ง เรียกอย่างย่อว่า ผักกวางตุ้ง
15785
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD
ภาษาไทยถิ่นเหนือ
คำเมือง (อักษรธรรมล้านนา: ; คำเมืองอักษรไทย: กำเมือง) หรือ ภาษาล้านนา, ภาษาไทยวน ราชการไทยเรียก ภาษาถิ่นพายัพ เป็นภาษาถิ่นของชาวไทยวนทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ซึ่งเป็นอาณาจักรล้านนาเดิม ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, อุตรดิตถ์, แพร่, น่าน, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา และยังมีการพูดและการผสมภาษากันในบางพื้นที่ของจังหวัดตาก, สุโขทัย และเพชรบูรณ์ ปัจจุบันกลุ่มคนไทยวนได้กระจัดกระจายและมีถิ่นที่อยู่ในจังหวัดสระบุรี, จังหวัดนครปฐม, จังหวัดราชบุรี และอำเภอของจังหวัดอื่นที่ใกล้เคียงกับราชบุรีอีกด้วย คำเมืองยังสามารถแบ่งออกเป็นสำเนียงล้านนาตะวันตก (ในจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน และแม่ฮ่องสอน) และสำเนียงล้านนาตะวันออก (ในจังหวัดเชียงราย, พะเยา, ลำปาง, อุตรดิตถ์, แพร่ และน่าน) ซึ่งจะมีความแตกต่างกันบ้าง คือ สำเนียงล้านนาตะวันออกส่วนใหญ่จะไม่พบสระเอือะ เอือ แต่จะใช้สระเอียะ เอียแทน (มีเสียงเอือะและเอือเพียงแต่คนต่างถิ่นฟังไม่ออกเอง เนื่องจากเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงนาสิกใกล้เคียงกับเอียะ เอีย) ส่วนคนในจังหวัดลำพูนมักจะพูดสำเนียงเมืองยอง เพราะชาวลำพูนจำนวนมากสืบเชื้อสายมาจากชาวยองในรัฐชาน จึงมีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ คำเมืองมีไวยากรณ์คล้ายกับภาษาไทยกลางแต่ใช้คำศัพท์ไม่เหมือนกันและไวยากรณ์ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่เดิมใช้คู่กับอักษรธรรมล้านนาซึ่งเป็นตัวอักษรของอาณาจักรล้านนาที่ใช้อักษรมอญเป็นต้นแบบ ระบบการเขียนใช้อักษรไทยในการสื่อสารคำเมืองเป็นหลัก เนื่องจากนับตั้งแต่อดีตการศึกษาไทยในสถานศึกษาไม่เคยส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น รวมถึงอักษรธรรมล้านนาก็ไม่มีการสอนอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ผู้คนในยุคปัจจุบันแทบไม่เข้าใจอักษรธรรมล้านนา จึงอาศัยการสะกดด้วยอักษรไทยในการสื่อสารผ่านทางข้อความ รัฐไทยในช่วงรัชกาลที่ 7–9 ได้สั่งห้ามใช้อักษรธรรมล้านนาและคำเมืองในที่สาธารณะ และให้เผาตำราเรียนในภาษาล้านนา เพื่อทำลายรากเหง้าท้องถิ่นหลังผนวกล้านนาเข้ากับตน แต่คำเมืองยังคงได้รับการใช้งานในชีวิตประจำวันสืบ ๆ มา ปัจจุบันกลับมีความพยายามจากรัฐไทยเองที่จะอนุรักษ์คำเมือง เช่น ใน พ.ศ. 2559 ราชบัณฑิตยสภาเริ่มโครงการจัดทำพจนานุกรมและรณรงค์การใช้คำเมือง เพราะเกรงภาษาถิ่นจะเลือนหาย ชื่อ ภาษาถิ่นพายัพมีชื่อเรียกหลายชื่อ โดยภาษาจากตระกูลภาษาไทต่าง ๆ มีชื่อเรียกซึ่งคล้ายคลึงหรือไม่เหมือนกัน ในภาษาถิ่นพายัพเอง มักเรียกว่า "กำเมือง" (อักษรธรรมล้านนา: , คำเมืองอักษรไทย: กำเมือง) ภาษาไทยมาตรฐานออกเสียงว่า "คำเมือง" อันแปลว่า "ภาษาของเมือง" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "ภาษาล้านนา" ส่วนชาวยวนในจังหวัดราชบุรี เรียกภาษาของตนว่า "ภาษาไทยวน” ภาษาไทยมาตรฐาน เรียกว่า "ภาษาถิ่นพายัพ", "ภาษาไทยถิ่นเหนือ" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "ภาษาเหนือ" หรือ "ภาษายวน" ในอดีตเรียก "ลาวเฉียง" หรือ "คำเฉียง" ภาษาลาว เรียกว่า "ภาษายวน" (ลาว: ພາສາຍວນ, รูปปริวรรต: พาสายวน) หรือ "ภาษาโยน" (ลาว: ພາສາໂຍນ, รูปปริวรรต: พาสาโยน) ภาษาไทลื้อ เรียกว่า "ก้ำโย่น" (ไทลื้อ: ᦅᧄᦍᦷᧃ, รูปปริวรรต: คำโยน) ภาษาไทใหญ่ เรียกว่า "กว๊ามโย้น" (ไทใหญ่: , รูปปริวรรต: กวามโยน) นอกจากภาษากลุ่มไทดังกล่าวแล้ว ภาษาอังกฤษ เรียกภาษาถิ่นพายัพว่า "Northern Thai" หรือ “Kam Mueang” พื้นที่การใช้ภาษา สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือไว้ว่า ภาคเหนือตอนบนประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่ และน่าน ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาเหนือเป็นภาษากลาง และภาคเหนือตอนล่างประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาไทยกลาง แต่มีเขตที่พูดภาษาไทยถิ่นเหนือด้วยหลายตำบล เช่น ตาก, สุโขทัย, กำแพงเพชร, อุตรดิตถ์, พิจิตร และพิษณุโลก สมทรง บุรุษพัฒน์ ได้ระบุว่าภาษาไทยถิ่นเหนือเป็นภาษาที่พูดกันทางตอนเหนือของไทย ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, ตาก, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และบางอำเภอของจังหวัดสระบุรี กาญจนา เงารังษีและคณะ ได้สรุปผลการศึกษาภาษาถิ่นเหนือที่ใช้บริเวณภาคเหนือตอนล่าง โดยระบุว่า ภาษาเหนือเป็นภาษาถิ่นที่ใช้ในพื้นที่ 9 จังหวัด คือ กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ระบบเสียง ระบบเสียงพยัญชนะ พยัญชนะต้น พยัญชนะต้นควบกล้ำ ไม่ปรากฏคำควบกล้ำเสียง ร ล มีคำควบกล้ำเฉพาะเสียง ว เท่านั้น อนึ่งเสียงรัวลิ้น "ร" และเสียงไม่รัวลิ้น "ล" ถือว่าไม่ต่างกัน ซึ่งบางครั้งเสียง "ล" จะกลายเป็นเสียง "ร" ก็ไม่ถือว่าต่างกันแต่อย่างใด คำควบกล้ำในภาษาไทยถิ่นเหนือนั้น มี 11 เสียงได้แก่ /kw/ (อักษรไทย: กว; อักษรธรรมล้านนา: ) /xw/ (อักษรไทย: ขว, คว; อักษรธรรมล้านนา: ) /t͡ɕw/ (อักษรไทย: จว; อักษรธรรมล้านนา: ) /ŋw/ (อักษรไทย: งว; อักษรธรรมล้านนา: ) /sw/ (อักษรไทย: ซว; อักษรธรรมล้านนา: ) /ɲw/ (อักษรไทย: ญว; อักษรธรรมล้านนา: ) /tw/ (อักษรไทย: ตว; อักษรธรรมล้านนา: ) /pʰw/ (อักษรไทย: พว; อักษรธรรมล้านนา: ) /jw/ (อักษรไทย: ยว; อักษรธรรมล้านนา: ) /lw/ (อักษรไทย: ลว; อักษรธรรมล้านนา: ) /ʔw/ (อักษรไทย: อว; อักษรธรรมล้านนา: ) พยัญชนะสะกด ระบบเสียงสระ สระเดี่ยว อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ สระประสม อัวะ อัว เอียะ เอีย เอือะ เอือ อำ ไอ ใอ เอา เสียงสระเอือะ, เอือ จะไม่พบในบางท้องถิ่น คือในถิ่นล้านนาตะวันออก ได้แก่ จังหวัดแพร่, อุตรดิตถ์, น่าน, พะเยา และลำปาง โดยจะออกเสียงเป็นสระเอียะ, เอีย เช่น คำเมือง เป็น กำเมียง (มีเสียงเอือะ และเอือเพียงแต่คนต่างถิ่นฟังไม่ออกเอง เนื่องจากเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงนาสิกใกล้เคียงกับเอียะ เอีย) นอกจากนี้ยังมีสำเนียงแบบเมืองยองซึ่งพูดกันมากในจังหวัดลำพูน โดยจะไม่มีสระประสม สระอัว กลายเป็น โอ สระเอีย กลายเป็น เอ และสระเอือ กลายเป็น เออ เช่น เมือง เป็น เมิง, เกลือ เป็น เก๋อ, สวย เป็น โสย, หมี่เกี๊ยว เป็น หมี่เก๊ว เป็นต้น ระบบเสียงวรรณยุกต์ ในตำราสอนภาษาล้านนาฉบับมิชชันนารีฉบับ พ.ศ. 2447 ภาษาล้านนาสามารถผันเสียงวรรณยุกต์ได้ถึง 8 เสียง เสียงวรรณยุกต์ในพยางค์เป็น เสียงวรรณยุกต์สำเนียงเชียงใหม่มี 6 เสียง คือ เสียงจัตวา, เสียงเอก, เสียงตรีปลายโท, เสียงสามัญ, เสียงโท, และเสียงตรี เสียงวรรณยุกต์ในพยางค์ตาย เสียงวรรณยุกต์บางที่มีถึง 9 เสียง ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอกต่ำ หรือเสียงเอกขุ่น เสียงเอกสูง หรือเสียงเอกใส เสียงโทต่ำ หรือเสียงโทขุ่น เสียงโทพิเศษ เสียงโทสูง หรือเสียงโทใส เสียงตรีต่ำ หรือเสียงตรีขุ่น เสียงตรีสูง หรือเสียงตรีใส เสียงจัตวา การพูดคำเมืองในสมัยปัจจุบัน การพูดคำเมืองที่เป็นประโยคแบบดังเดิมนั้นหายากแล้ว เนื่องจากมีการรับอิทธิพลภาษาไทยกลาง ทั้งในสำเนียง, คำศัพท์ และอักษรไทย การสื่อสารในชีวิตประจำวันโดยการเขียนจะใช้อักษรไทย ส่วนนี้จะเป็นส่วนรวบรวม ประโยค คำเมือง ดั้งเดิม การพูดคำเมืองผสมกับภาษาไทยนั้น คำเมืองจะเรียกว่า ปะแล้ด (ไทยปะแล้ดเมือง) ซึ่งโดยมากแล้วมักจะพบใน คนที่พูดคำเมืองมานาน แล้วพยายามจะพูดไทย หรือ คนพูดภาษาไทยพยายามจะพูดคำเมือง เผลอพูดคำทั้ง 2 ภาษามาประสมกัน อนึ่งการพูดคำเมืองมีการแยกระดับของความสุภาพอยู่หลายระดับ ผู้พูดต้องเข้าใจในบริบทการพูดว่าในสถานการณ์นั้น ๆ ต้องพูดระดับภาษาอย่างไรให้เหมาะสมและมีความสุภาพ เพราะมีระบบการนับถือผู้ใหญ่ คนสูงวัยกว่า เช่น ลำ (อร่อย) ลำแต๊ ๆ (สุภาพที่สุด) ลำขนาด (สุภาพรองลงมา) ลำแมะฮาก (เริ่มไม่สุภาพ ใช้ในหมู่คนที่สนิทกัน) ลำใบ้ลำง่าว (เริ่มไม่สุภาพ ใช้ในหมู่คนที่สนิทกัน) ลำง่าวลำเซอะ (เริ่มไม่สุภาพ ใช้ในหมู่คนที่สนิทกันมาก ๆ) เป็นต้น ภาษาไทยถิ่นเหนือนอกเขตภาคเหนือ ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ปี พ.ศ. 2347 ได้มีการเทครัวชาวยวนลงมาในเขตภาคกลาง เช่น อาทิ จังหวัดสระบุรี (โดยเฉพาะอำเภอเสาไห้), จังหวัดราชบุรี (มีมากที่อำเภอเมือง, อำเภอบ้านโป่ง และอำเภอจอมบึง), จังหวัดนครปฐม (โดยเฉพาะอำเภอกำแพงแสน), จังหวัดกาญจนบุรี (โดยเฉพาะอำเภอไทรโยค), จังหวัดลพบุรี (ที่อำเภอชัยบาดาล) และจังหวัดนครราชสีมา (เฉพาะอำเภอสีคิ้ว) โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรีมีชาวยวนราว 70,000-80,000 คน และมีชาวยวนแทบทุกอำเภอ ยกเว้นเพียงแต่อำเภอดำเนินสะดวกกับวัดเพลงเท่านั้น ซึ่งภาษาไทยวนทุกจังหวัดมีหน่วยเสียง พยัญชนะและหน่วยเสียงสระเหมือนกัน รายละเอียดในวรรณยุกต์แทบไม่แตกต่างกัน ยกเว้นภาษายวนลพบุรีที่มีหน่วยเสียงแตกต่างจากอีก 4 จังหวัดเพียงหน่วยเสียงเดียว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชาวยวนลพบุรีได้อาศัยปะปนอยู่กับหมู่บ้านชาวลาว อาจทำให้หน่วยเสียงเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามภาษาไทยวนเหล่านี้ กำลังตกอยู่ในสภาวะใกล้สูญจากการแทรกแซงของภาษาและวัฒนธรรมภาคกลาง อีกทั้งลูกหลานของชาวยวนเองไม่สามารถพูดภาษายวน หรืออ่านอักษรธรรมได้อีก ภาษาไทยถิ่นเหนือในต่างประเทศ นอกจากนี้พื้นที่การใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือนอกเขตประเทศไทยนั้น ก็ยังมีการใช้ในหมู่บ้านของชาวยวนที่เข้ามาตั้งรกราก ได้แก่ เมียวดี ประเทศพม่า เนื่องจากในช่วงรัชกาลที่ 4-5 สมัยเชียงใหม่ยังมีเจ้าเมืองปกครอง ได้มีการเปิดทำการค้าขายเมืองเส้นทางทะเลกับอาณานิคมอังกฤษ เมืองท่าเรือใกล้เคียงที่สุดคือเมืองมะละแหม่ง เนื่องจากเมืองเมียวดีเป็นทางผ่าน ทำให้ระหว่างเส้นทางได้มีชาวยวนตั้งรกรากในที่แห่งนี้และ เมืองที่มีชาวยวนตั้งรกราก ได้แก่ ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า, ห้วยหราย และ เมืองต้นผึ้ง ประเทศลาว เนื่องจากเมืองทั้งสามนั้น ในอดีตเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ติดอยู่กับแหล่งที่อยู่ของชาวยวนกระจุกกัน เช่น อำเภอแม่สาย ,เชียงแสน ,เชียงของ และ เวียงแก่น จึงไม่แปลกใจนักที่ผู้คนบริเวณนั้น จะข้ามฟากแม่น้ำโขง, แม่น้ำสาย และ แม่น้ำรวก ไปมาหาสู่กันและตั้งรกรากอีกด้วย คำศัพท์ คำเมืองในจังหวัดอื่น คำเมืองในจังหวัดอื่น เช่น จังหวัดลำปาง, แพร่, น่าน, เชียงราย, พะเยา และอุตรดิตถ์ (ในบางอำเภอ) ก็มีการใช้คำบางคำที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะสื่อสารกันเข้าใจในกลุ่มคนเหนือ เช่น นอกจากนี้ สำเนียงในของคำเมืองในกลุ่มนี้จะออกสั้นและห้วนกว่า โดยที่เห็นได้ชัดคือเสียงตรีในเชียงใหม่ ลำพูน จะเป็นเสียงโทในจังหวัดอื่น เช่น บ่ะฮู้ แปลว่า ไม่รู้ เป็นสำเนียงเชียงใหม่ แต่จะออกเสียงว่า บ่ะฮู่ ในสำเสียงอื่น, กิ๋นน้ำ ที่แปลว่า ดื่มน้ำ จะออกเสียงเป็น กิ๋นน่ำ, สามร้อย/สามฮ้อย ออกเสียงเป็น สามร่อย/สามฮ่อย เป็นต้น ความแตกต่างจากภาษาไทยกลาง ความแตกต่างทางด้านระบบเสียง โดยมากแล้วภาษาไทยกลางและคำเมืองมักมีเสียงที่เหมือนกันยกเว้นบางครั้ง ที่ไม่เหมือนแต่คล้ายกันได้แก่ เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำมักตรงกับเสียงสิถิล (unaspirate) เช่น จาก "ท" เป็น "ต" (ᨴ) (เช่น "ทาง" เป็น "ตาง" (ᨴᩤ᩠ᨦ)), "ช" เป็น "จ" (ᨩ) (เช่น "ช้อน" เป็น "จ๊อน" (ᨩᩬ᩶ᩁ)), "พ" เป็น "ป" (ᨻ) (เช่น "แพง" เป็น "แปง" (ᨻᩯ᩠ᨦ)), "ค" เป็น "ก" (ᨣ) (เช่น "คำ" เป็น "กำ" (ᨣᩤᩴ)) เป็นต้น โดยมักจะคงเสียงวรรณยุกต์เดิม (เช่น "ใช้" เป็น "ใจ๊" (ᨩᩲ᩶)) อย่างไรก็ตาม เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำที่ตรงกับเสียงโฆษะบาลีมักมีเสียงที่ตรงกันในทั้งสองภาษา เช่น ภาพ เป็น ภาพ (ᨽᩣ᩠ᨻ) และ ธรรม เป็น ธัมม์ (ᨵᩢᨾ᩠ᨾ᩺) (ไม่มี ร หัน) เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำที่ตามด้วย ร ควบกล้ำในไทยกลางมักตรงกับเสียงธนิตแต่ไม่มี ร ตามในคำเมือง เช่น คราว เป็น คาว (ᨣᩕᩣ᩠ᩅ), ครั้ง เป็น คั้ง (ᨣᩕᩢ᩠᩶ᨦ), และ พระ เป็น พะ (ᨻᩕᩡ) นอกจากนี้แล้ว ยังมีความแตกต่างที่อื่นด้วย ได้แก่ เสียง ร ในไทยกลางมักตรงกับเสียง ฮ และ ล (ᩁ) เป็นบางคำ คำเมือง (เช่น "เรา" เป็น "เฮา" (ᩁᩮᩢᩣ)) เสียง ย ที่สะกดด้วย ทั้ง ย และ ญ ในภาษาไทยมักตรงกับเสียง ย นาสิก (ᨿ/ᨬ) ซึ่งไม่มีในภาษาไทยกลาง และถิ่นใต้ (เช่น "หญ้า" เป็น "หญ้า (นาสิก)" (ᩉ᩠ᨿ᩶ᩣ) นอกจากความแตกต่างทางด้านพยัญชนะแล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างทางด้านเสียงวรรณยุกต์อีกด้วย คำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรกลาง (ยกเว้น ด (ᨯ), บ (ᨷ), อย (ᩀ), และ อ (ᩋ)) ในคำเป็นภาษาไทยที่มีเสียงสามัญมักตรงกับเสียงจัตวาในคำเมือง (เช่น "ตัว" เป็น "ตั๋ว" (ᨲ᩠ᩅᩫ), "ใจ" เป็น "ใจ๋" (ᨧᩲ)) แต่ในคำพ้องเสียงของภาคกลาง ในภาษาเหนือนั้นอาจจะออกเสียงไม่เหมือนกัน ส่วนในคำตายนั้นเสียงเอกมักตรงกับเสียงจัตวาในคำเมือง (เช่น "หัก" เป็น "หั๋ก" (ᩉᩢ᩠ᨠ/ᩉᩢ)) อ้างอิง หนังสือ อ่านเพิ่ม Bilmes, J. (1996). Problems And Resources In Analyzing Northern Thai Conversation For English Language Readers. Journal of Pragmatics, 26(2), 171–188. Davis, R. (1970). A Northern Thai reader. Bangkok: Siam Society. Filbeck, D. (1973). Pronouns in Northern Thai. Anthropological Linguistics, 15(8), 345–361. Herington, Jennifer, Margaret Potter, Amy Ryan and Jennifer Simmons (2013). Sociolinguistic Survey of Northern Thai. SIL Electronic Survey Reports. Howard, K. M. (2009). "When Meeting Khun Teacher, Each Time We Should Pay Respect": Standardizing Respect In A Northern Thai Classroom. Linguistics and Education, 20(3), 254–272. Khankasikam, K. (2012). Printed Lanna character recognition by using conway's game of life. In ICDIM (pp. 104–109). Pankhuenkhat, R. (1982). The Phonology of the Lanna Language:(a Northern Thai Dialect). Institute of Language and Culture for Rural Development, Mahidol University. Strecker, D. (1979). "A preliminary typology of tone shapes and tonal sound changes in Tai: the La-n N-a A-tones", in Studies in Tai and Mon-Khmer Phonetics and Phonology In Honour of Eugénie J.A. Henderson, ed. T.L. Thongkum et al., pp. 171–240. Chulalongkorn University Press. Wangsai, Piyawat. (2007). A Comparative Study of Phonological Yong and Northern Thai Language (Kammuang). M.A. thesis. Kasetsart University. พจนี ศิริอักษรสาสน์ (2002). "ภาษาถิ่นของไทย". กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. แหล่งข้อมูลอื่น "Northern Thai New Testament". The New Testament in hard copy form was written using two scripts Amazon link. "Khamuang (Chiang Mai variety)". (Intercontinental Dictionary Series) ภาษาในประเทศไทย ภาษาในประเทศลาว วัฒนธรรมล้านนา กลุ่มภาษาไท
16801
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5
ภาษามลายูปัตตานี
ภาษามลายูปัตตานี หรือ ภาษามลายูปาตานี (มลายูปัตตานี: บาซอ 'นายู 'ตานิง; , อักษรยาวี: ) หรือนิยมเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ภาษายาวี (มลายูปัตตานี: , อักษรยาวี: ) เป็นภาษากลุ่มออสโตรนีเซียนที่พูดโดยชาวไทยเชื้อสายมลายูในจังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา รวมทั้งในอำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย ทางทิศตะวันออกของจังหวัดสงขลา (ไม่รวมจังหวัดสตูล) ในประเทศไทยมีประชากรที่พูดภาษานี้มากกว่า 1 ล้านคน ภาษานี้ใกล้เคียงมากกับภาษามลายูถิ่นในรัฐกลันตันและในอำเภอฮูลูเปรัก รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่แตกต่างจากส่วนที่เหลือของประเทศมาเลเซีย บางครั้งก็มีการเรียกรวมกันเป็นภาษาเดียวกันว่า ภาษามลายูกลันตัน-ปัตตานี (มลายูปัตตานี: ; กลันตัน: ) ระบบเสียง พยัญชนะ หน่วยเสียงที่อยู่ในวงเล็บคือหน่วยเสียงที่ปรากฏในคำยืม เช่น 'เค้ก', 'โทรศัพท์' หน่วยเสียงที่ปรากฏในตำแหน่งท้ายพยางค์มี 3 หน่วยเสียง ได้แก่ , และ เช่น 'ขนม', 'กล่อง', 'ร้อน' หน่วยเสียงพยัญชนะกึ่งนาสิกเป็นหน่วยเสียงที่ไม่พบทั้งในภาษามาเลเซียและภาษาไทย เกิดจากการรวบเสียงพยัญชนะนาสิกเข้ากับเสียงพยัญชนะกักซึ่งใช้ฐานกรณ์เดียวกันหรือใกล้เคียงกันจนกลมกลืนเป็นเสียงเดียว โดยเกิดเฉพาะในตำแหน่งกลางคำเท่านั้น ตัวอย่างคู่เทียบเสียงได้แก่ 'ไมยราบ' - 'บาน', 'ขวา' - 'คอก' และ 'ไร' - 'โทน, โดด' นอกจากหน่วยเสียงพยัญชนะข้างต้นแล้ว ภาษามลายูปัตตานียังมีหน่วยเสียงพยัญชนะเสียงยาว ซึ่งก็คือเสียงพยัญชนะต้นที่ถูกยืดให้ยาวกว่าปกติเล็กน้อยเนื่องมาจากการลดรูปของคำ การยืดเสียงเช่นนี้เกิดได้กับพยัญชนะทุกหน่วยเสียง ยกเว้น , และหน่วยเสียงพยัญชนะกึ่งนาสิก ตัวอย่างคู่เทียบเสียงได้แก่ 'ดอกไม้' - 'ออกดอก' และ 'กลางคืน' - 'ค้างคืน' สระ คำยืม นอกจากคำศัพท์พื้นฐานของภาษามลายูแล้ว ภาษามลายูปัตตานีมีคำยืมจากภาษาอื่นหลายภาษา ได้แก่ ภาษาสันสกฤต เข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ฮินดู เช่น ภาษา เป็น บาฮาซอ หรือ บาซอ; หฤทยะ ('ใจ') เป็น ฮาตี ('ตับ, ใจ'); คช ('ช้าง') เป็น กฺาเยฺาะฮ; ชัย ('ชัยชนะ') เป็น จายอ ('เจริญ'); โทษ ('ความชั่ว') เป็น ดอซอ ('บาป'); วาจา ('คำพูด') เป็น บาจอ ('อ่าน'); นคร ('เมือง') เป็น เนฆือรฺ ('ประเทศ') ภาษาอาหรับ เข้ามาพร้อมกับศาสนาอิสลาม เช่น /เกาะลัม/ ('ปากกา') เป็น กาแล; /ตัมร์/ ('อินทผลัม') เป็น ตามา; /อาลัม/ ('โลก') เป็น อาแล; /ตุฟฟาห์/ ('แอปเปิล') เป็น ตอเปาะฮ; /วักต์/ ('เวลา') เป็น วะกือตู; /กิตาบ/ ('หนังสือ') เป็น กีตะ ("คัมภีร์ทางศาสนาอิสลาม"); /ดุนยา/ ('โลก') เป็น ดุนิยอ ภาษาจีน เช่น กุยช่าย เป็น กูจา ภาษาเปอร์เซีย เช่น แมฮ์ทอบ ('แสงจันทร์') เป็น มะตับ; แกนโดม ('แป้ง') เป็น กฺานง ภาษาฮินดี เช่น โรตี เป็น รอตี ภาษาทมิฬ เช่น มานิกัม ('เพชร') เป็น มานิแก ภาษาอังกฤษ เช่น ('แก้ว') เป็น กฺือละฮ; ('ฟรี') เป็น ปือรี; ('จักรยานยนต์') เป็น มูตูซีกา ภาษาไทย เช่น นายก เป็น นาโยฺะ; ปลัด เป็น บือละ; มักง่าย เป็น มะงา; โทรศัพท์ เป็น โทราซะ ความแตกต่างระหว่างภาษามลายูปัตตานีกับภาษามาเลเซีย ความแตกต่างระหว่างภาษามลายูปัตตานีกับภาษามลายูกลางหรือภาษามาเลเซียมีดังนี้ การใช้คำ บางคำทั้งสองภาษาใช้คำต่างกัน เช่น 'ฉัน' ภาษามาเลเซียใช้ ภาษามลายูปัตตานีใช้ อามอ หรือ ซายอ บางคำใช้พยัญชนะสลับกัน เช่น 'มันเทศ' ภาษามาเลเซียใช้ ภาษามลายูปัตตานีใช้ อูบี กือแตลอ หรือ อูบี แตลอ; 'พูด' ภาษามาเลเซียใช้ ภาษามลายูปัตตานีใช้ แกแจะ นอกจากนี้ ยังมีการใช้คำภาษาไทยปะปนเข้ามาในบางส่วน การออกเสียง ออกเสียงสระต่างกัน ได้แก่ เสียง + พยัญชนะนาสิกในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ไก่') เป็น อาแย; ('กิน') เป็น มาแก เสียง ท้ายคำในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ชื่อ') เป็น นามอ; ('เชิญ') เป็น ซีลอ เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี (บางส่วน) เช่น ('พา') เป็น บอเวาะ; ('ขอ') เป็น มีเตาะ เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('บ้าน') เป็น รฺูเมาะฮ เสียง ท้ายคำในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง หรือ ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('คลอง') เป็น ซูงา หรือ ซูแง; ('ตลาด') เป็น กือดา หรือ กือแด (การแปรเป็นเสียง /æ/ พบในบางท้องถิ่นเท่านั้น) เสียง ท้ายคำในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('มีด') เป็น ปีซา เสียง ท้ายคำที่ประสมกับพยัญชนะนาสิกในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ที่นี่') เป็น ซีนิง เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง หรือ ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('สยาม') เป็น ซีแย, ('มนุษย์') เป็น มะนูซียอ เสียง พยางค์แรกในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('เคย') เป็น แบซอ เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('บวช,ถือศีลอด') เป็น ปอซอ ออกเสียงพยัญชนะต้นต่างกัน เช่น เสียง ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี (บางส่วน) เช่น ('คน') เป็น ออแรฺ, ('โซ่') เป็น รฺาตา ในขณะที่ ('ขนมปัง, โรตี') ยังคงเป็น รอตี ออกเสียงตัวสะกดต่างกัน เช่น ตัวสะกดที่เป็นเสียงเสียดแทรก , ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียงที่เกิดจากคอหอย ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('เกียจคร้าน') เป็น มาละฮ ตัวสะกด , ในภาษามาเลเซีย แปรเป็นเสียง ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ('ตุลาการ') เป็น ฮาเก็ง โครงสร้างประโยค ภาษามลายูปัตตานีนิยมเรียงประโยคแบบภาษาไทยคือใช้รูปประธานกระทำ ส่วนภาษามาเลเซียใช้ประโยคแบบประธานถูกกระทำ เช่น ภาษามลายูใช้ ตูวัน ดีเปอรานากัน ตีมานา ('ท่านถูกเกิดที่ไหน') ภาษามลายูปัตตานีใช้ ตูแว บือราเนาะ ดีมานอ ('ท่านเกิดที่ไหน') ความต่างของไวยากรณ์และคำศัพท์ ภาษามลายูปัตตานีตัดคำอุปสรรคที่ไม่จำเป็นออก เช่น (เดิน) ในภาษามาเลเซีย เป็น 'ยฺาแล ในภาษามลายูปัตตานี และเสียงพยัญชนะตัวแรกยาวขึ้น ภาษามลายูปัตตานีมีการย่อหรือกร่อนคำหลายคำรวมเป็นคำเดียว เช่น ดาโตะ อากี เป็น โตะกี, ตือรฺายฺู เป็น ตายฺู, ดี มานอ เป็น ดานอ, ซือแอกอ เป็น แซกอ เป็นต้น ในขณะที่ภาษามาเลเซียมีน้อยมาก ภาษามลายูปัตตานีใช้คำง่ายกว่า เช่น มาแก หมายถึงทั้ง 'กินข้าว' 'ดื่มน้ำ' และ 'สูบบุหรี่' แต่ภาษามาเลเซียแยกเป็น ('กิน'), ('ดื่ม') และ ('สูบ') ภาษามาเลเซียมีการแยกระดับของคำมากกว่า เช่น 'ผู้ชาย' ใช้ 'สัตว์ตัวผู้' ใช้ ส่วนภาษามลายูปัตตานีใช้ ยฺาแต กับทั้งคนและสัตว์ ส่วน ลือลากี มีใช้น้อย ภาษามลายูปัตตานีมีการเรียงคำแบบภาษาไทยมากกว่า เช่น 'ทำนา' ใช้ บูวะ บือแน อ้างอิง บรรณานุกรม ประพนธ์ เรืองณรงค์. บุหงาปัตตานี: คติชนไทยมุสลิมชายแดนภาคใต้. กรุงเทพฯ : มติชน, 2540. Ishii, Yoneo. (1998). The Junk Trade from Southeast Asia: Translations from the Tôsen Fusesu-gaki 1674–1723. Institute of Southeast Asian Studies. . Cummings, Joe et al. (2005). Thailand Lonely Planet. . Laver, John. (1994). Principles of Phonetics. Cambridge University Press. . Smalley, William A. (1994). Linguistic Diversity and National Unity: Language Ecology in Thailand. Chicago: University of Chicago Press. Abdul Aziz, A. Y. (2010). Inventori vokal dialek Melayu Kelantan: Satu penilaian semula. Persatuan Linguistik Malaysia. มลายูปัตตานี มลายูปัตตานี วัฒนธรรมของจังหวัดปัตตานี วัฒนธรรมของจังหวัดยะลา วัฒนธรรมของจังหวัดนราธิวาส วัฒนธรรมของจังหวัดสงขลา
18182
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%97
ภาษาผู้ไท
ภาษาผู้ไท (เขียน ภูไท ก็มี) เป็นภาษาในตระกูลภาษาขร้า-ไท มีผู้พูดจำนวนไม่น้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ตอนกลางลาว และแถบตะวันตกเฉียงเหนือเวียดนาม เข้าใจว่า ผู้พูดภาษาผู้ไทมีถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมในเมือง นาน้อยอ้อยหนู ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เมืองนาน้อยอ้อยหนู อันเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของผู้ไทนั้นอยู่ทีไหน เพราะมีเมืองนาน้อยอ้อยหนูอยู่ถึงสามแห่ง สองแห่งอยู่ในเขตจังหวัดเดียนเบียน อีกแห่งอยู่ห่างจากเมืองลอหรือจังหวัดเอียนบ๋ายของเวียดนามประมาณ 10 กิโลเมตร ผู้ไทกับไทดำเป็นคนละชาติพันธุ์กัน สันนิษฐานว่า อพยพแยกจากกันนานกว่า 1,500 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของผู้ไทเป็นพวกจ้วงจากตอนใต้ของประเทศจีนแถบมลฑลกวางสี อพยพมาสร้างบ้านเมืองบริเวณทุ่งนาน้อยอ้อยหนู จากนั้นได้ย้ายมา สร้างเมืองใหม่ในบริเวณที่เรียกว่า "เวียงสามหมื่น" และตั้งชื่อเมืองบริเวณเวียงสามหมื่นว่า "เมืองแถน" คนละเมืองกับ "เมืองแถง" ซึ่งเป็นเมืองของไทดำ (ภายหลังไทดำได้บุกยึดเอาเมืองแถนที่เวียงสามหมื่นไปจากผู้ไท) ผลของสงครามบ้านเมืองไม่สงบสุขทำให้ชาวผู้ไทส่วนใหญ่เคลื่อนย้ายไปอยู่ตามเมืองต่างๆ รวมทั้งอพยพเข้าสู่ตอนเหนือของ อาณาจักรล้านช้าง (ประเทศลาวในปัจจุบัน) บางส่วนอพยพลงมาถึงตอนกลางแถบแขวงคำม่วนและแขวงสะหวันนะเขต เช่นเมืองวังอ่างคำ ซึ่งต่อมาคือเมืองวีระบุรีในแขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว และอีกหลายๆเมืองในบริเวณใกล้เคียง เช่น เมืองพิน เมืองนอง เมืองเซโปน บางส่วนถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยเมื่อไม่ถึง 200 ปีมานี้ (บางพวกอพยพมาเอง เช่น ผู้ไทเรณูนคร ผู้ไทยหนองสูง) ผู้ไทที่อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงมีจำนวนไม่น้อยและผู้ไทอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแถบแขวงสะหวันนะเขตและแขวงคำม่วนในลาวก็ยังมีประปราย มักจะเรียกผู้ไททั้งสองกลุ่มนี้รวมกันว่า "ผู้ไทสองฝั่งโขง" และในเวียดนามก็ยังมีผู้ไทอาศัยอยู่โดยพบอาศัยปะปนอยู่กับชาติพันธุ์อื่นๆทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือแถบจังหวัดไลโจว เดียนเบียนและเซินลา ความเป็นมาของชาวผู้ไทในสยาม เมื่อ พ.ศ. 2369 (ก่อนสงครามเจ้าอนุวงศ์) ตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เมืองวังมีความวุ่นวาย เกิดขัดแย้งภายในของกลุ่มผู้ไท ที่มีเมืองวังเป็นเมืองหลัก ได้มีไทครัวผู้ไทกลุ่มหนึ่งอพยพมาตั้งบ้านเรือนในฝั่งขวาแม่น้ำโขง มีนายไพร่ รวม 2,648 คน ต่อมาได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านบุ่งหวาย ในปี พ.ศ. 2373 พระสุนทรราชวงษา เจ้าเมืองยโสธร ว่าราชการอยู่เมืองนครพนมได้มีใบบอกขอตั้งบ้านดงหวายเป็นเมือง "เรณูนคร" ต่อมา ร.3 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านบุ่งหวาย ขึ้นเป็นเมืองเรณูนคร และตั้งให้ ท้าวสาย หัวหน้าไทครัวผู้ไทเป็น "พระแก้วโกมล" เจ้าเมืองเรณูนคร คนแรก ขึ้นเมืองนครพนม(ในปี พ.ศ. 2387) ซึ่งคือท้องที่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนมในปัจจุบันนั่นเอง (จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมุดแห่งชาติ) ชาวผู้ไทเรณูนคร จึงเป็นชาวผู้ไทกลุ่มแรกที่อพยพมาอยู่ในเขตฝั่งขวาแม่น้ำโขง (หมายถึงผู้ไทที่เป็นบรรพบุรุษของคนผู้ไทในอิสานปัจจุบัน) นอกจากนี้พระสุนทรราชวงษายังมีการกวาดต้อนชาวเผ่าอื่นๆนอกจากเผ่าภูไท เช่น ไทยย้อ ไทข่า ไทกะเลิง ไทแสก ไทพวน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะถูกบีบบังคับให้พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนและญาติพี่น้องให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อีสานตอนบน เช่น ในพื้นที่จังหวัด นครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์ เนื่องด้วยเจ้านายเชื้อสายพระวอพระตามีความต้องการในอำนาจมาก ต้องการได้ความดีความชอบจากพระมหากษัตริย์กรุงสยาม ซึ่งเป็นเหตุให้ชนเผ่ากลุ่มน้อยหลายกลุ่มที่ถูกกวาดต้อนหรือถูกกดขี่ข่มเหงโดยเจ้านายอีสานสายดังกล่าวจึงไม่ค่อยมีความพอใจและยังมีความเคียดแค้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งเจ้านายกลุ่มเดียวกันนี้เองที่เป็นผู้ริเริ่มและมักนิยมตีข่าหรือจับชาวไทข่า จนส่งกลายเป็นวัฒนธรรมตีข่าอันโหดร้าย ท่ารุณที่เป็นที่นิยมแพร่หลายไปในกลุ่มเจ้านายลาวอีสานที่จับนำตัวไปส่งส่วนกลางไปเป็นแรงงานทาส หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2387 ผู้ไทจากเมืองวังอ่างคำและเมืองใกล้เคียง ก็อพยพตามมา เป็นกลุ่มที่ 2 แล้วไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองพรรณานิคม (จังหวัดสกลนคร) เมืองหนองสูง (จังหวัดมุกดาหาร) เมืองกุดสิมพระนารายณ์ (อำเภอเขาวงและอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์)ตามลำดับ โดยผู้ไทกลุ่มจากเมืองกะป๋องได้อพยพมาตั้งที่เมืองวาริชภูมิเป็นกลุ่มผู้ไทที่ข้ามมาฝั่งขวาแม่น้ำโขงกลุ่มล่าสุด (ในปี พ.ศ. 2420 ในสมัยรัชกาลที่ 5) ผู้พูดภาษาผู้ไท ผู้พูดภาษาผู้ไทในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณจังหวัดภาคอีสานตอนบน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ (มีอำเภอกุฉินารายณ์,อำเภอเขาวง และอำเภอคำม่วง) นครพนม(มีอำเภอนาแกและอำเภอเรณูนคร)มุกดาหาร(อำเภอหนองสูง)และสกลนคร(อำเภอภูพาน)นอกจากนี้ยังมีอีกเล็กน้อยในจังหวัดร้อยเอ็ด(ตำบลบุ่งเลิศ อำเภอเมยวดี) โดยในแต่ละท้องถิ่นจะมีสำเนียงและคำศัพท์ที่แตกต่างกันไป เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาษาผู้ไทแม้จะกระจายอยู่ในแถบอีสาน แต่สำเนียงและคำศัพท์นั้นแตกต่างกับภาษาไทยถิ่นอีสานโดยทั่วไปอย่างมาก อย่างไรก็ตามยังมีคำยืมจากภาษาถิ่นอีสานอยู่ในภาษาผู้ไทบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่นับว่ามาก ด้วยเหตุนี้ ชาวไทยที่พูดภาษาอีสานจึงไม่สามารถพูดหรือฟังภาษาผู้ไทอย่างเข้าใจโดยตลอด แต่ชาวผู้ไทส่วนใหญ่มักจะพูดภาษาอีสานได้ ลักษณะของภาษา ด้วยภาษาผู้ไทเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท จึงมีลักษณะเด่นร่วมกับภาษาไทยด้วย นั่นคือ เป็นภาษาคำโดด มักเป็นคำพยางค์เดียว เป็นภาษามีวรรณยุกต์ โครงสร้างประโยคแบบเดียวกัน คือ "ประธาน กริยา กรรม" (SVO) ไม่ผันรูปตามโครงสร้างประโยค หน่วยเสียง ข้อมูลข้างล่างเป็นสำเนียงอำเภอวาริชภูมิ: พยัญชนะ ในที่นี้ขออธิบายเฉพาะเสียงที่แตกต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน ดังนี้ /ɲ/ เป็นหน่วยเสียงพิเศษ ที่ไม่พบในภาษาไทยภาคกลาง และถิ่นใต้ แต่พบได้ในภาษาไทยถิ่นอีสาน และเหนือ สระ ภาษาผู้ไทมีสระเดี่ยว 9 ตัว หรือ 18 ตัวหากนับสระเสียงยาวด้วย โดยทั่วไปมีลักษณะของเสียงคล้ายกับสระในภาษาไทยถิ่นอื่น อนึ่ง ในภาษาผู้ไทไม่ใช้สระประสม จะใช้แต่สระเดี่ยวข้างบนนี้ เสียงสระประสมประกอบด้วยสระเดี่ยวกับเสียงพยัญชนะเลื่อนตำแหน่งท้าย คือ หรือ ตัวอย่างคำที่ภาษาไทยกลางเป็นสระประสม แต่ภาษาผู้ไทใช้สระเดี่ยว หน่วยเสียงวรรณยุกต์ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาผู้ไท มีด้วยกัน 5 หน่วย พยางค์ พยางค์ในภาษาผู้ไทมักจะเป็นพยางค์อย่างง่าย ดังนี้ เมื่อประสมด้วยสระเสียงยาว พยางค์อาจประกอบด้วยพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ โดยจะมีพยัญชนะตัวสะกดหรือไม่ก็ได้ เมื่อมีสระเสียงสั้น พยางค์ประกอบด้วยพยัญชนะต้น สระ, วรรณยุกต์ และพยัญชนะตัวสะกด ลักษณะเด่นของภาษาผู้ไท ภาษาผู้ไทมีลักษณะเด่นดังนี้ 1. พยัญชนะ "ข,ฆ" /k/ ในภาษาไทยและลาว-อีสานบางคำ ออกเสียงเป็น ห, ฮ /h/ เช่น 2. เสียงสระ "ใ" ออกเสียงเป็น "เออ" และสระ "ไ" บางคำก็ออกเสียงเป็น "เออ" เช่น 3. ภาษาผู้ไทไม่มีสระผสม เอือ อัว เอีย ใช้แต่เพียงสระเดี่ยว เช่นเดียวกับภาษาไทลื้อ ไทขืน เช่น 4. คำที่ใช้สระเสียงยาวและสะกดด้วย "ก" จะเปลี่ยนเป็นสระเสียงสั้น ไม่ออกเสียง "ก" เช่นเดียวกับภาษาไทถิ่นใต้ฝั่งตะวันตก และภาษาไทดำ ไทขาว พวน เช่น *ลูก = ลุ *บอก = เบ๊าะ *แตก = แต๊ะ *ตอก = เต๊าะ *ลอก = เลาะ, ลู่น *ลวก = โหละ *หนอก = เนาะ *ยาก = ญ๊ะ *ฟาก,ฝั่ง = ฟ๊ะ *หลีก = ลิ *ปีก = ปิ๊ *ราก =ฮะ *กาก=ก๊ะ *อยาก = เยอะ *เลือก = เลอะ *น้ำเมือก = น้ำเมอะ *น้ำมูก = ขี้มุ *ผูก = พุ *หยอก = เยาะ *หมอก = เมาะ *ดอกไม้ = เด๊าะไม้ *ศอก = เซาะ *หนวก = โนะ *ถูก(ถืก ในภาษาลาว) = ทึ *ปลูก = ปุ *ปลวก = โปะ *หูก(ทอผ้า) = หุ 5. ภาษาผู้ไทใช้คำที่แสดงถึงการปฏิเสธว่า มี,หมี่ หรือเมื่อพูดเร็วก็จะออกเสียงเป็น มิ เช่นเดียวกับภาษาไทยโบราณ ภาษาจ้วง (bou,mi) และภาษาลื้อบางแห่ง เช่น *ไม่ได้ = มีได้ *ไม่บอก = มีเบ๊าะ *ไม่รู้ = มีฮู้, มีฮู้จัก,มีจัก *ไม่เห็น = มีเห็น *ไม่พูดไม่จา = มีเว้ามีจา *ไม่ไป = มีไป *ไม่เข้าใจ = มีเฮ่าเจ๋อ 6. คำถามจะใช้แตกต่างจากภาษาไทยดังนี้ *อะไร = เผอ,ผะเหลอ,ผิเหลอ *เป็นอะไร = เป๋นเผอ,เป๋นผะเหลอ *ทำไม = เอ็ดเผอ *ไหน = เซอ,ซิเลอ,เน้อเฮอ *อันไหน = อันเลอ *ใคร = เผ่อ,ผู้เลอ *เท่าไหร่,แค่ไหน = ท้อเลอ,ฮาวเลอ,ค้าเลอ *อย่างไร = แนวเลอ,สะเลอ *ทำยังไง = เอ็ดสะเลอ *เมื่อไหร่ = บาดเลอ,ญามเลอ,มื่อเลอ *ไหม,หรือปล่าว = เบาะ,ยูเบาะ,ยูติ๊ *ล่ะ = เด๋ 7. คำว่า จัก หรือ จะ ในภาษาไทย ภาษาผู้ไท จะใช้คำว่า หละ เช่น *เธอจะไปไหน = เจ้าหละไปซิเลอ *ฉันกำลังจะพูด = ข้อยทมหละเว้า *คุณจะกลับกี่โมง = เจ้าหละเมอจักโมง *เขาจะคุยกันเรื่องอะไร = เขาหละแอ่นเด๋วเลิ้งเผอ ___(ข้อ 8 เป็นต้นไปเป็นเพียงปลีกย่อย)___ 8. บางคำมีการออกเสียงต่างจากภาษาไทย ดังนี้ 1) ค เป็น ซ เช่น คง = ซง, ครก = ซก 2) ด เป็น ล เช่น = สะดุ้ง (เครื่องมือ หาปลาชนิดหนึ่ง) = จะลุ่ง 3) อะ เป็น เอะ เช่น มัน (หัวมัน) = เม็น, มันแกว = เม็นเพา-โหเอ็น, มันเทศ = เม็นแกว 4) เอะ เป็น อิ เช่น เล่น = ดิ้น, เด็กน้อย=ดิกน้อย, เหล็กไล (ตะปู) = ลิ๊กไล 5) เอีย เป็น แอ,เอ เช่น เหี่ยว = แห่ว, เขี้ยว = แห้ว, เหยี่ยว = แหลว,เตี้ย = เต้,เลีย = เล,เรียง = เรง,เฮง, เขียง = เขง,เหง, เที่ยว = เท้ว, เหลียว = เหลว 6) สระเสียงสั้นในภาษาไทยบางคำกลายเป็นสระเสียงยาวในภาษาผู้ไท เช่น ลิง = ลีง, ก้อนหิน = มะขี้หีน, กลิ้ง = กะลี้ง, ผิงไฟ = ฝีงไฟ,หลุด = หลูด,ปิ้ง = ปี้ง 7) อิ เป็น อึ เช่น กลิ่น = กึ่น คิด = คึด/ฮึด 9. คำเฉพาะถิ่น เป็นคำที่มีใช้เฉพาะในภาษาผู้ไท และอาจมีใช้ร่วมกับภาษาอื่นที่เคยมีวัฒนธรรมร่วมกัน เช่น *ดวงตะวัน = ตะเง็น, ขี้โก๊ *ดวงเดือน = โต๊ต่าน, เดิ๋น, ต๊อ *ประตูหน้าต่าง = ตู่บอง,ปะตู่บอง, ป่องเย่ม *ขี้โม้ = ขี้จะหาว *ขึ้นรา = ตึกเหนา *น้ำหม่าข้าว = น้ำโม๊ะ *สวย = ซับ,งาม *ตระหนี่,ขี้เหนียว = อีด, ขี้อีด, ขี้ถี่ *ประหยัด = ติ้กไต้, ตั๊กไต้ *หัวเข่า = โหโค้ย *ลูกอัณฑะ = มะขะหลำ *หัวใจ = เจ๋อ,โหเจ๋อ *หน้าอก = เอิ๊ก,อ๋าง *เหงือก = เฮ๊อะ *ตาตุ่ม = ปอเผอะ,ปอมเผอะ *ท้ายทอย = ง้อนด้น,กะด้น *หน้าผาก = หน้าแก่น,หน้าผะ *เอว = โซ่ง,กะโท้ย,แอ๋ว *ถ่านก่อไฟ = ก่อมี่,ขี้ก่อมี่ *พูดคุย,สนทนา = แอ่น,เว้าจ๋า *เกลี้ยกล่อม = โญะ, เญ๊า *หัน = ปิ่น,(ภาษาลาวว่า งวก) *ย้ายข้าง = อวาย, ว้าย (ภาษาลาวว่า อ่วย) *ขอร้อง,วิงวอน = แอ่ว,แอบ *กันนักกันหนา = กะดักกะด้อ *มาก,ยิ่ง = แฮง,กะดักกะด้อ-กะด้อ,หลาย *ไม่ใช่ = มิแม้น *จริง = เพิ้ง,แท้ *นึกว่า = ตื่อหวะ, กะเด๋วหวะ, เด๋วหวะ *พะวงใจ = ง้อ,คึดง้อ *อุทานไม่พอใจ = เยอ! เยอะ! *ไปโดยไม่หันกลับมา = ไปกิ่นๆ, ไปกี่ดี่ๆ *สั้น = สั้น, กิ๊ด, ขิ้น *ยาว = ญ๊าว, สาง *ปิด = ปิด, อัด, ฮี, กึด, งับ *เปิด = เปิด, ไข, อ้า *อวด = โอด,เอ้ *ขวด = โขด *ถั่ว = โถ่ *ถั่วฝักยาว = โถ่ฟั้กญ๊าว *กระดุม = มะติ่ง *ตุ้มหู = ด๊อก *ถุงย่าม = ถง *ก่อไฟ = ดังไฟ *เกลือ = เก๋อ *มะเขือ = มะเขอ *โรงเรียน = โรงเรน,โฮงเฮน *เรือน = เฮิน *กล้วย = โก้ย *ใบไม้ = เบ๋อไม้ *ใบตองกล้วย = เบ๋อต๋องโก้ย *กุ้ง = จุ้ง *มุ้ง = สุ้ด *วิ่ง = แล่น,เต้น *ทับ = เต็ง *กดไว้ = เญ๊นไว้ *เทน้ำ = เถาะน้ำ,เหญ้นน้ำ *คว่ำ = ว่ำ *กลับบ้าน = เมอบ้าน,เมอเฮิน *รอคอย = คอง,ถ้า *ล้างหน้า = โส่ยหน้า *ปวดหัว = เจ๊บโห *ปลาไหล = เหย่น, ป๋าเหย่น *ไส้เดือน = ไส้เดิ๋น,ขี้เดิ๋น *ผีเสื้อ = แมงกะเบ้อ *เหนือ(ทิศ) = เหนอ *เสื้อ = เส้อ *โกหก = ขี้โตะ *มองไม่เห็น(มืด) = มิเห็นฮุ้ง *ค้างคาว = บิ้ง *สั่น(หนาว)= เส่น *ข้าวโพด = ซะลี *ผด,ผื่น = หมืน *เหนียว = เน๋ว *ข้าวเหนียว = เข้าเน๋ว *ลื่น = มื้น *ลื่นล้ม = ผะหลาด *ขึ้นต้นไม้ = หึ้นก๊กไม้,บื๋นก๊กไม้ *ไม้กวาด = ไม้ฟอย *สะพาน = โข *สงสาร = เยอะดู๋ *ซื่อบื้อ,โง่ = เบ้อ,ขี้เบ้อ *นาน = เหิง *หมวก = โหมก *สุกงอม (ผลไม้) = อิ้ม *โกรธ,โมโห = ฮ้าย อ้างอิง วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. ภาษาผู้ไท. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ, 2520. ธัญญลักษณ์ ไชยสุข มอลเลอร์รพ and Asger Mollerup: ภาษาผู้ไท เพื่อสุขภาพ - ผู้ไท-ไทย-อังกฤษ. 2556. ภาษาผู้ไท การศึกษาเปรียบเทียบภาษาผู้ไทในประเทศไทยและประเทศลาว Phutai Language : A comparative study of the Phutai in Thailand and Laos P.D.R. โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูคุณค่าของภาษาผู้ไท In Search for the Phutais Mo Yao : Phutai Healing About Some Linguistic Variations in Phu Tai ผู้ไท ผู้ไท
18221
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87
ภาษาม้ง
ภาษาม้ง (Nyiakeng Puachue: 𞄀𞄩𞄰, พ่าเฮ่า: 𖬌𖬣𖬵) เป็นภาษาในตระกูลเหมียว-เหยา หรือม้ง-เมี่ยน ใช้กันในชาวม้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บางส่วนของจีนจัดเป็นภาษาคำโดด โดยหนึ่งคำมีเสียงพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ ไม่มีเสียงตัวสะกด มีวรรณยุกต์สนธิหรือการผสมกันของเสียงวรรณยุกต์เมื่อนำคำมาเรียงต่อกันเป็นประโยค ในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ภาษาม้งเขียว หรือ ม้งจั๊ว (Hmong Njua) ภาษาม้งขาว หรือ ม้งเด๊อ (Hmong Daw) ไวยากรณ์ การเรียงคำเป็นแบบประธาน-กริยา-กรรม เช่น เด๋เตาะหมี (หมากัดแมว) ไม่มีการเปลี่ยนรูปคำเพื่อแสดงกาล แต่ใช้การเติมคำบอกกาลเช่นเดียวกับในภาษาไทย ถ้าเป็นประโยคบอกอดีตให้เติมคำว่า "เหลอะ" ไว้ท้ายประโยค แบบเดียวกับคำว่า "了" (เลอ) ที่ใช้ในภาษาจีนกลาง ตัวอย่างเช่น เด๋เตาะหมีเหลอะ (หมากัดแมวแล้ว) ถ้าเป็นประโยคบอกอนาคตก็ให้เติมคำว่า "หยัว" ไว้หน้ากริยา ซึ้งจะใช้คล้ายๆกับคำว่า "要" (เย่า) ในภาษาจีนกลาง ยกตัวอย่างเช่น เด๋หยัวเตาะหมี (หมาจะกัดแมว) ประโยคปฏิเสธเติมคำว่าไม่ (จี่ หรือ ทจี่) หน้าคำกริยา เช่น เด๋ทจี่เตาะหมี (หมาไม่กัดแมว) ประโยคคำถามเติมคำว่า "ปัว" หรือ "หล๋อ" เข้าในประโยค คำว่า "หล๋อ" นิยมวางไว้ท้ายประโยค ส่วนคำว่า "ปัว" นิยมวางไว้หน้ากริยา เช่น เด๋เตาะหมีหล๋อ? หรือ เด๋ปัวเตาะหมี? (หมากัดแมวหรือ?) ภาษาม้งมีการใช้คำลักษณนามโดยจะเรียงคำแบบ จำนวนนับ-ลักษณนาม-นาม เช่น อ๊อตู่เนง (สอง-ตัว-ม้า) คำลักษณนามที่สำคัญคือ "ตู่" ใช้ได้กับทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอย่าง สัตว์ คน และต้นไม้ ส่วนคำว่า "เล่ง" (人) นั้นให้ใช้เฉพาะสำหรับคนอย่างเดียว เช่น อ๊อเล่ง (二人) (คนสองคน) "ตร๊า" ใช้กับเครื่องมือ เครื่องใช้ อาวุธ "ได่" ใช้กับสิ่งที่มีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ "จ้อ" ใช้กับสิ่งที่เป็นเส้นยาว "ลู้" แปลว่า อัน/ลูก/ก้อน/คัน เช่น อ๊อลู้เช้ (รถสองคัน) "จ๋อ" ใช้กับคำนามที่มีมากกว่าหนึ่ง เช่น จ๋อเนง (ม้าหลายตัว) ระบบการเขียน ไม่มีอักษรเป็นของตนเอง มีผู้สนใจภาษาม้งพยายามประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้เขียน เช่น อักษรม้ง อักษรพอลลาร์ด เมียว ที่เป็นที่นิยมแพร่หลายคืออักษรละติน ในประเทศไทยบางครั้งเขียนด้วยอักษรไทย สำหรับการเขียนด้วยอักษรละตินมี พยัญชนะที่ใช้ทั้งหมด 26 ตัว วรรณยุกต์ มี 8 และสระมี 14 ตัว ได้แก่ พยัญชนะ ในภาษาม้งมีทั้งหมด 57 ตัวแยกเป็น พยัญชนะตัวเดียว พยัญชนะควบกล้ำ 2 ตัว พยัญชนะควบกล้ำ 3 ตัว และพยัญชนะควบกล้ำ 4 ตัว ดังต่อไปนี้คือ พยัญชนะตัวเดียว มีทั้งหมด 18 ตัว t k p s x l n h m g q v r z y c f d เทียบกับอักษรไทย ต ก ป ซ ซ ล น ฮ ม _ ก ว จ ย ย จ ฟ ด พยัญชนะควบกล้ำ 2 ตัว มีทั้งหมด 22 ตัว kh qh ch ts ny hn th nt np ph tx xy hl nk nr dh rh nc pl hmเหมือนhn ml nl เทียบกับอักษรไทย ค ค ช จ ญ หน ท ด บ พ จ ซ หล ก จ ธ ช จ ปล หม หน มล นล พยัญชนะควบกล้ำ 3 ตัว มีทั้งหมด 14 ตัว tsh nth txh nts nph nrh hmlหรือhnl nkh nqh nch ntx npl plh hny เทียบกับอักษรไทย ช ด ช จ จ ภ ฌ หมล หนล ฆ ฆ ฌ จ บล พล หญ พยัญชนะควบกล้ำ 4 ตัว มีทั้งหมด 3 ตัว ntsh ntxh nplh เทียบกับอักษรไทย ฌ ฌ ภล วรรณยุกต์ วรรณยุกต์ของม้งมีทั้งหมด 7 รูป 8 เสียงดังต่อไปนี้คือ สั๊วบัว(suab npua) เสียงสามัญไม่มีพยัญชนะกำกับ เช่น qhia tsua ya zoo qee ntshua xyoo สั๊วนือ (suab nws) ใช้ตัว s เช่น ntuas tsoos nplias moos ntses qhuas สั๊วก้อ (suab koj) ใช้ตัว j เช่น yeej tshaj khauj noj nroj yaj phuaj phwj สั๊วเป๊ (suab peb) ใช้ตัว b เช่น neb coob qaub iab suab wb nyab cob สั๊วกู๋ (suab kuv) ใช้ตัว v เช่น qhiav ntxoov qhauv ntsev ntuav xav สั๊วป่อ (suab pom) ใช้ตัว m เช่น niam nyiam yuam twm nyem cuam kam สั๊วยอห์ (suab yog) ใช้ตัว g เช่น tog loog taug neeg lwg nag tseg yiag สั๊วเต๋อ (suab ntawd) ใช้ตัว d ใช้ในกรณีของการบอกทิศทางเท่านั้นเช่น ntawd tod saud haud nrad ped tid สระ ได้แก่ สระอา (a) สระอี (i) สระ เอ (e) สระอื (w) สระอู (u) สระออ (o) สระโอง (oo) สระอาง (aa) สระเอง (ee) สระเออ (aw) สระเอีย (ia) สระเอา (au) สระอัว ( ua) สระ ไอ (ai) อ้างอิง สุริยา รัตนกุล. พจนานุกรมภาษาไทย-ม้ง. กทม. โรงพิมพ์เกษมสัมพันธ์การพิมพ์. 2515 สุจริตลักษณ์ ดีผดุง. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธ์: ม้ง. กทม. สถาบันวิจัยวัฒนธรรมและภาษาเพื่อการพัฒนาชนบท. 2538 ศัพทานุกรมไทย-คำเมือง-ม้งขาว-กะเหรี่ยงสะกอ-มูเซอดำสำหรับแพทย์ ทันตแพทย์และสัตวแพทย์เพื่อการพัฒนุณภาพชีวิตของชาวชนบท. กทม. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2530 สุนิสา เจริญธรรมอักษร ชาวม้งเขียว บ้านแม่แรม ต.เตาปูน อ.สอง จ.แพร่ ภาษาในประเทศลาว ภาษาในประเทศไทย ภาษาในประเทศจีน
22835
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%99
ฮกเกี้ยน
ฮกเกี้ยน สามารถหมายถึง ชาวฮกเกี้ยน ชนเผ่าจีนที่มีถิ่นฐานตั้งอยู่ในมณฑลฮกเกี้ยน ภาษาฮกเกี้ยน ภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาจีน มณฑลฮกเกี้ยน เขตการปกครองในประเทศจีน อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลกวางตุ้ง หมี่ฮกเกี้ยน ก๋วยเตี๋ยวผัดชนิดหนึ่ง
23080
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%8B%E0%B8%A7
แต้จิ๋ว
แต้จิ๋ว หรือ เฉาโจว (潮州) ในภาษาอังกฤษสะกดหลายแบบ โดยทั่วไปตามระบบพินอิน Chaozhou และอื่น ๆ ได้แก่ Teochew, Teochiu, Diojiu, Tiuchiu, Chiuchow อาจหมายถึง ภาษาแต้จิ๋ว ภาษาถิ่นภาษาหนึ่งในประเทศจีน จังหวัดแต้จิ๋ว เขตการปกครองในประเทศจีนอยู่ทางทิศตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง ชาวจีนแต้จิ๋ว ชาวจีนกลุ่มหนึ่งในเขตเฉาซ่าน หรือแต้ซัว (เมืองแต้จิ๋ว เมืองซัวเถา และเมืองกิ๊กเอี๊ย) มณฑลกวางตุ้ง ทางใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน คำและวลีภาษาแต้จิ๋ว
37035
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8D
ภาษามอญ
ภาษามอญ (มอญพม่า: , มอญไทย: , , ; ) เป็นภาษาในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกที่พูดโดยชาวมอญที่อาศัยอยู่ในพม่าและไทย ภาษานี้เป็นภาษาของชนพื้นเมืองที่ได้รับการยอมรับในประเทศพม่าและประเทศไทย อักษรมอญที่เก่าแก่ที่สุดนั้นค้นพบที่ จังหวัดนครปฐม ในประเทศไทย หลักฐานที่พบคือจารึกวัดโพธิ์ร้าง พ.ศ. 1143 เป็นอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุด ในบรรดาจารึกภาษามอญที่ค้นพบในแถบเอเชียอาคเนย์ เป็นจารึกที่เขียนด้วยตัวอักษรปัลลวะที่ยังไม่ได้ดัดแปลงให้เป็นอักษรมอญ และได้พบอักษรที่มอญประดิษฐ์เพิ่มขึ้น เพื่อให้พอกับเสียงในภาษามอญ ในจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูง เมืองลพบุรี ข้อความที่จารึกเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา สันนิษฐานว่า จารึกในพุทธศตวรรษที่ 14 ราว พ.ศ. 1314 อักษรจารึกในศิลาหลักนี้ เรียกว่า ตัวอักษรหลังปัลลวะ ยูเนสโกจัดให้ภาษามอญเป็นภาษาในภาวะ "เสี่ยงใกล้สูญ" ใน แผนที่ชุดภาษาใกล้สูญของโลก ประจำปี 2553 ภาษามอญเผชิญกับการกลืนกลายทั้งในพม่าและไทยที่ซึ่งผู้สืบเชื้อสายมอญหลายคนสามารถพูดภาษาพม่าหรือภาษาไทยได้เพียงภาษาเดียว ใน พ.ศ. 2550 ผู้พูดภาษามอญมีประมาณ 800,000 ถึง 1 ล้านคน ในประเทศพม่า ผู้พูดภาษานี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของประเทศ โดยเฉพาะรัฐมอญ ตามมาด้วยภาคตะนาวศรีและรัฐกะเหรี่ยง ประวัติ ภาษามอญในจารึกสมัยกลางเป็นทั้งภาษามอญและอักษรมอญ ประมาณ พ.ศ. 1600 เป็นต้นมา พม่ารับอักษรมอญมาใช้เขียนภาษาพม่าเป็นครั้งแรก ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตัวอักษรได้คลี่คลายจากตัวอักษรปัลลวะ มาเป็นตัวอักษรสี่เหลี่ยม คือ ตัวอักษรที่เรียกว่า อักษรมอญโบราณ และเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กลงในระยะต่อมา ภาษามอญปัจจุบัน เป็นภาษาในระยะพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลาประมาณ 400 ปีเศษ ในยุคนี้เป็นจารึกในใบลาน มีลักษณะกลม ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของการจารหนังสือโดยใช้เหล็กจารลงบนใบลาน ไวยากรณ์ การจัดตระกูลภาษา ถือว่าอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในแถบอินโดจีนและทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และเมื่อพิจารณาลักษณะทางไวยากรณ์ ภาษามอญ จัดอยู่ในประเภทภาษารูปคำติดต่อ (Agglutinative) อยู่ในกลุ่มภาษาตะวันออกเฉียงใต้ (South Eastern Flank Group) ซึ่งมีนักภาษาศาสตร์ ชื่อ วิลเฮ็ล์ม ชมิท (Willhelm Schmidt) ได้จัดให้อยู่ในตระกูลภาษาสายใต้ (Austric Southern family) พระยาอนุมานราชธนได้กล่าวถึงภาษามอญไว้ว่า "ภาษามอญ นั้นมีลักษณะเป็นภาษาคำโดด ซึ่งมีรูปภาษาคำติดต่อปน" ลักษณะคำมอญ จะมีลักษณะเป็นคำพยางค์เดียว หรือสองพยางค์ ส่วนคำหลายพยางค์ เป็นคำที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาบาลีและสันสกฤต และคำที่เกิดจากการเติมหน่วยคำผสาน กล่าวคือ การออกเสียงของคำซึ่งไม่เน้นการออกเสียงในพยางค์แรก จะสร้างคำโดยการใช้การผสานคำ (affixation) กับคำพยางค์แรก เพื่อให้มีหน้าที่ทางไวยากรณ์ อีกทั้งการใช้หน่วยผสานกลางศัพท์ และการใช้สระต่าง ๆ กับพยางค์แรก ในคำสองพยางค์ ก็จะเป็นการช่วยเน้นให้พยางค์แรกเด่นชัดขึ้นด้วย แต่พยางค์หลังเป็นส่วนที่มีความหมายเดิม กล่าวคือ ภาษามอญ เป็นภาษาที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ไม่มีการผันคำนาม คำกริยา ตามกฎบังคับทางไวยากรณ์ ประโยคประกอบด้วย คำที่ทำหน้าประธาน กริยา และกรรม ส่วนขยายอยู่หลังคำที่ถูกขยาย การเรียงประโยคเป็นแบบ ประธาน-กริยา-กรรม (SVO, subject-verb-object) เช่นเดียวกับภาษาไทย คำคุณศัพท์เติมหลังคำนาม กริยาวิเศษณ์เติมหลังคำกริยา คำที่บอกจำนวนอยู่หน้าหรือหลังนามก็ได้ ส่วนคำที่บ่งชี้จำนวนอยู่หลังคำนาม การบอกกาลใช้การเติมคำบอกกาลเช่น "แล้ว" "จะ" เข้าในประโยคแบบเดียวกับภาษาไทย รูปประธานถูกกระทำแสดงโดยการเติมคำบ่งชี้ประธานถูกกระทำไว้หน้ากริยาสำคัญ สัทศาสตร์ ไม่มีเสียงวรรณยุกต์แต่มีการแบ่งเสียงพยัญชนะเป็นเสียงโฆษะและอโฆษะแบบเดียวกับภาษาเขมร พยัญชนะ พบเฉพาะคำที่ยืมจากภาษาพม่า หลายสำเนียงไม่มีเสียงกักเส้นเสียงลมเข้ากลายเป็นเสียงระเบิดแทน สระ อ้างอิง อ่านเพิ่ม Bauer, Christian. 1982. Morphology and syntax of spoken Mon. Ph.D. thesis, University of London (SOAS). . Bauer, Christian. 1984. "A guide to Mon studies". Working Papers, Monash U. Bauer, Christian. 1986. "The verb in spoken Mon". Mon–Khmer Studies 15. Bauer, Christian. 1986. Questions in Mon: Addenda and Corrigenda. Linguistics of the Tibeto-Burman Area v. 9, no. 1, pp. 22–26. Diffloth, Gerard. 1984. The Dvarati Old Mon language and Nyah Kur. Monic Language Studies I, Chulalongkorn University, Bangkok. Diffloth, Gerard. 1985. "The registers of Mon vs. the spectrographist's tones". UCLA Working Papers in Phonetics 60: 55–58. Ferlus, Michel. 1984. Essai de phonetique historique du môn. Mon–Khmer Studies, XII: 1–90. . Guillon, Emmanuel. 1976. "Some aspects of Mon syntax". in Jenner, Thompson, and Starosta, eds. Austroasiatic Studies. Oceanic linguistics special publication no. 13. Halliday, Robert. 1922. A Mon–English dictionary. Bangkok: Siam society. . Haswell, James M. 1874. Grammatical notes and vocabulary of the Peguan language. Rangoon: American Baptist Mission Press. Huffman, Franklin. 1987–1988. "Burmese Mon, Thai Mon, and Nyah Kur: a synchronic comparison". Mon–Khmer Studies 16–17. Jenny, Mathias. 2005. The Verb System of Mon. Arbeiten des Seminars für Allgemeine Sprachwissenschaft der Universität Zürich, Nr 19. Zürich: Universität Zürich. Lee, Thomas. 1983. "An acoustical study of the register distinction in Mon". UCLA Working Papers in Phonetics 57: 79-96. Pan Hla, Nai. 1986. "Remnant of a lost nation and their cognate words to Old Mon Epigraph". Journal of the Siam Society 7: 122–155. . Pan Hla, Nai. 1989. An introduction to Mon language. Center for Southeast Asian Studies, Kyoto University. . Pan Hla, Nai. 1992. The Significant Role of the Mon Language and Culture in Southeast Asia. Tokyo, Japan: Institute for the Study of Languages and Cultures of Asia and Africa. Shorto, H.L. 1962. A Dictionary of Modern Spoken Mon. Oxford University Press. . Shorto, H.L.; Judith M. Jacob; and E.H.S. Simonds. 1963. Bibliographies of Mon–Khmer and Tai Linguistics. Oxford University Press. . Shorto, H.L. 1966. "Mon vowel systems: a problem in phonological statement". in Bazell, Catford, Halliday, and Robins, eds. In memory of J.R. Firth, pp. 398–409. Shorto, H.L. 1971. A Dictionary of the Mon Inscriptions from the Sixth to the Sixteenth Centuries. Oxford University Press. . Luangthongkum, Therapan. 1992. "Another look at the register distinction in Mon". In The international symposium on language and linguistics, edited by Cholthicha Bamroongraks et al, pp.22–51. Bangkok: Thammasat University. จำปา เยื้องเจริญ และจำลอง สารพัดนึก (2528). แบบเรียนภาษามอญ. กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. แหล่งข้อมูลอื่น A hypertext grammar of the Mon language SEAlang Project: Mon–Khmer languages: The Monic Branch Old Mon inscriptions database The Ananda "Basement" Plaques Mon-language Swadesh vocabulary list of basic words (จาก วิกิพจนานุกรมภาษาอังกฤษ Swadesh-list appendix) Mon Language Project Mon Language in Thailand: The endangered heritage มอญ มอญ ประวัติศาสตร์มอญ มอญ กลุ่มภาษามอญ
47313
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89
ภาษาไทยถิ่นใต้
ภาษาไทยถิ่นใต้ (โดยย่อว่า ภาษาใต้) หรือ ภาษาตามโพร () หรือ ภาษาปักษ์ใต้ เป็นภาษาไทกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ มีผู้ใช้ภาษาหนาแน่นบริเวณสิบสี่จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย มีบางส่วนกระจายตัวไปในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขตตะนาวศรีในประเทศพม่า และบริเวณรัฐเกอดะฮ์ รัฐปะลิส รัฐปีนัง และรัฐเปรัก ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย มีผู้พูดเป็นภาษาแม่ราวห้าล้านคน และอีกราว 1.5 ล้านคนใช้เป็นภาษาที่สอง ได้แก่กลุ่มชนเชื้อสายจีน เปอรานากัน มลายู อูรักลาโวยจ และมานิ นอกจากนี้ในภาคใต้ยังมีกลุ่มภาษาไทที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มย่อยของภาษาไทยถิ่นใต้ ได้แก่ ภาษาตากใบ ภาษาสะกอม และภาษาพิเทน เพราะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่แตกต่างไปจากภาษาไทยถิ่นใต้หรือภาษามลายู สัทอักษร วรรณยุกต์ ภาษาไทยถิ่นใต้ส่วนใหญ่ในพยางค์เดียวมี 5 ระดับเสียง ซึ่งเป็นจริงสำหรับสำเนียงที่อยู่ในระดับละติจูดประมาณ 10° เหนือถึง 7° เหนือกับภาษาถิ่นในเมืองทั่วภาคใต้ ในบางพื้นที่มีวรรณยุกต์หกถึงเจ็ดเสียง โดยสำเนียงจังหวัดนครศรีธรรมราช (ประมาณละติจูด 8° เหนือ) มีวรรณยุกต์ 7 เสียง ต้น * พบในบางสำเนียง ** ตั้งก่อนหน้าสระใด ๆ โดยไม่มีตัวหน้าและหลังสระสั้นโดยไม่มีตัวท้าย ***ปัจจุบันไม่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ทำให้เหลือพยัญชนะ 42 ตัว กลุ่มพยัญชนะ (พยัญชนะควบ) ในภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะ 11 แบบ ดังนี้: (กร), (กล), (กว) (ขร, คร), (ขล, คล), (ขว, คว) (ปร), (ปล) (ผร, พร), (ผล, พล) (ตร) นอกจากนี้ยังมีคำควบกล้ำที่ไม่ได้อยู่ในหลักภาษาไทยมาตรฐานด้วย เช่น หฺมฺร เช่น หมฺรับ อ่านว่า "หฺมฺรับ" (ห เป็นอักษรนำ ตามด้วย ม ควบกล้ำด้วย ร) แปลว่า สำรับ ไม่ได้ อ่านว่า หม-รับ หรือ หมับ ให้ออกเสียง "หมฺ" ควบ "ร") เช่น การจัดหฺมฺรับประเพณีสารทเดือนสิบ ท้าย เสียงหยุดทั้งหมดไม่มีการออกเสียง ดังนั้น เสียงท้ายของ , และ ออกเสียงเป็น , และ ตามลำดับ * ตรงท้ายออกเสียงเป็นเส้นเสียงหยุด (glottal stop) เมื่อไม่มีตัวท้ายหลังสระสั้น สระ สระในภาษาไทยถิ่นใต้มีความคล้ายกับภาษาไทยถิ่นกลาง โดยเป็นไปตามตารางนี้ สระมักมาเป็นคู่ยาว-สั้น โดยแบ่งไปตามนี้: สระพื้นฐานสามารถรวมกันเป็นสระประสมสองเสียงที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว: นอกจากนี้ ยังมีสระประสมสามเสียง 3 แบบที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว: สำเนียง ภาษาไทยถิ่นใต้ กลุ่มตะวันออก สำเนียงสุราษฎร์ธานี สำเนียงนครศรีธรรมราช สำเนียงพัทลุง–สงขลา กลุ่มตะวันตก สำเนียงพังงา–ภูเก็ต สำเนียงกระบี่–ตรัง กลุ่มตอนล่าง สำเนียงปัตตานี–ยะลา สำเนียงนราธิวาส ภาษาไทยถิ่นใต้มีภาษาย่อยแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่นต่าง ๆ บางแห่งมีการใช้คำศัพท์หรือมีการออกเสียงแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ดังนี้ ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันออก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันออกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา เรื่อยไปจนถึงรัฐเกอดะฮ์ และปะลิสของประเทศมาเลเซีย ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันตก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันตกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ชุมพร, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และเขตตะนาวศรีของประเทศพม่า ภาษาไทยถิ่นใต้ตอนล่าง เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส โดยสำเนียงปัตตานีและยะลามีความเชื่อมโยงกันมาก และใกล้ชิดกับสำเนียงนราธิวาสเป็นลำดับถัดมา มีการยืมคำมลายูค่อนข้างหนาแน่น เพราะตั้งชุมชนอยู่ท่ามกลางชาวไทยเชื้อสายมลายูซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะในอำเภอทุ่งยางแดง อำเภอสายบุรี และอำเภอตากใบ คำยืม ภาษาไทยถิ่นใต้มีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติอย่างหลากหลาย จนเกิดการยืมคำมาใช้ ทั้งนี้พบว่าภาษาไทยถิ่นใต้มีการยืมคำจากภาษาเขมรมากที่สุดถึง 1,320 คำ บางส่วนเป็นคำยืมที่พบได้เพียงแต่ในภาษาไทยถิ่นใต้เท่านั้น ไม่พบในภาษาไทยกลาง เข้าใจว่าคงยืมผ่านภาษาเขมรโบราณโดยตรง ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ พบว่าสำเนาพระราชกฤษฎีกาสมัยสมเด็จพระเพทราชาเรื่องกัลปนาวัดในแขวงเมืองพัทลุงล้วนใช้ภาษาและอักษรเขมรเก่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า อาจมาจากการกวาดต้อนเชลยเขมรเข้าสู่หัวเมืองภาคใต้ นอกจากนี้ยังมีคำยืมภาษาจีนโดยเฉพาะภาษาฮกเกี้ยนหนาแน่นในสำเนียงภูเก็ต (1,239 คำ) และภาษาจีนอื่น ๆ ในสำเนียงสงขลา (396 คำ) และคำยืมภาษามลายูหนาแน่นในสำเนียงปัตตานี ยะลา นราธิวาส (400 คำ) และสตูล (375 คำ) แต่อย่างไรก็ตามคำยืมเหล่านี้มีผู้ใช้น้อยลง และแทนที่ด้วยภาษาไทยมาตรฐาน ระบบการเขียน ในอดีตภาษาไทยถิ่นใต้จะใช้อักษรขอมไทยในการจดจารตำรับตำราสำคัญทางศาสนา นับถือว่าหนังสือและอักษรเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใครเหยียบหรือข้ามหนังสือจะทำให้วิชาความรู้เสื่อมถอย อักษรขอมนี้พัฒนามาจากอักษรหลังปัลลาวะเริ่มใช้เขียนหลัง พ.ศ. 1726 เป็นต้นมา พบหลักฐานที่ฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกระทั่ง พ.ศ. 1773 อักษรขอมนี้มีพัฒนาการในรูปแบบท้องถิ่นภาคใต้โดยเฉพาะ แต่ระยะหลังมีการรับอักษรขอมไทยอย่างภาคกลางมากขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนอักษรไทยอยุธยา ปรากฏครั้งแรกในศิลาจารึกวัดแวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่มีอักขรวิธีอย่างคนเมืองเหนือ ในช่วงหลังมีการบันทึกวรรณกรรมเป็นอักษรไทยลงสมุดไทยและใบลานตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา พ.ศ. 2357 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการใช้อักษรไทยอยุธยาเขียนตามสำเนียงใต้โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบที่ถูกต้อง หรือมีอักขรวิธีตามความพอใจของผู้เขียนเอง ครั้นเมื่อมีการพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศไทย ภาษาไทยถิ่นใต้จึงพัฒนามาเขียนด้วยอักษรไทยอย่างกรุงเทพมหานครจนถึงปัจจุบัน ภาษาทองแดง ภาษาทองแดง ใน พจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ พุทธศักราช 2525 ให้ความหมายไว้ว่า "การพูดภาษากลางปนภาษาใต้หรือพูดเพี้ยน" ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานกำหนด ไม่ได้จำกัดว่าเป็นคนภาคใดหรือจังหวัดใด ๆ อย่างเช่น เมื่อผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นใต้เป็นภาษาแม่ไปพูดภาษาไทยมาตรฐาน ก็ย่อมจะนำลักษณะบางประการของภาษาถิ่นของตนปะปนเข้ากับภาษาไทยมาตรฐานจนผิดเพี้ยน เรียกว่า "ทองแดง" และชาวไทยเชื้อสายมลายูในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่พูดภาษาไทยมาตรฐานไม่ชัด เพราะติดสำเนียงมลายู ก็จะถูกเรียกว่า "ทองแดง" เช่นกัน แต่เดิมชาวไทยในแถบภาคใต้จะไม่นิยมใช้ภาษาไทยมาตรฐาน เพราะเป็นภาษาของเจ้านายหรือราชสำนัก เมื่อมีชนชั้นนำหรือเจ้านายพูดภาษาไทยมาตรฐาน ชาวบ้านจึงต้องออกเสียงให้ตรงกับภาษาของนาย เรียกว่า "แหลงข้าหลวง" ซึ่งเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของคนใต้ ที่ต้องการให้ส่วนกลางเข้าใจเนื้อหาคำพูดของตน แม้จะออกเสียงผิดเพี้ยนไปบ้าง และหากชาวใต้คนใดพูดภาษาไทยกลางหรือ "แหลงบางกอก" ก็จะถูกคนใต้ด้วยกันมองด้วยเชิงตำหนิว่า "ลืมถิ่น" หรือ "ดัดจริต" เพราะแม้จะพูดภาษาไทยมาตรฐานแต่ยังคงติดสำเนียงใต้อยู่ จึงถูกล้อเลียนว่า "พูดทองแดง" เพราะมีการออกเสียงพยัญชนะและสระต่างกัน มีการตัดคำหน้าของสระเสียงสั้นออกไป เพื่อความสะดวกในการออกเสียง เช่น "เงาะ" เป็น "เฮาะ", "ลอยกระทง" เป็น "ลอยกระตง", "สังขยา" เป็น "สังหยา" นอกจากนี้ยังมีการใช้คำต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน แต่มีความหมายเดียวกัน เช่น "ปวดท้อง" ว่า "เจ็บพุง", "ปวดหัว" ว่า "เจ็บเบ็ดหัว", "ชักช้า" ว่า "ลำลาบ" ปัจจุบันภาษาไทยมาตรฐานมีอิทธิพลเหนือภาษาไทยถิ่นใต้มาขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะจากการศึกษาในระบบ และผ่านการสื่อสารมวลชน ทำให้ภาษาไทยถิ่นใต้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะ อ้างอิง บรรณานุกรม Bradley, David. (1992). "Southwestern Dai as a lingua franca." Atlas of Languages of Intercultural Communication in the Pacific, Asia, and the Americas. Vol. II.I:13, pp. 780–781. Levinson, David. Ethnic Groups Worldwide: A Ready Reference Handbook. Greenwood Publishing Group. . Miyaoka, Osahito. (2007). The Vanishing Languages of the Pacific Rim. Oxford University Press. . Taher, Mohamed. (1998). Encylopaedic Survey of Islamic Culture. Anmol Publications Pvt. Ltd. . Yegar, Moshe. Between Integration and Secession: The Muslim Communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar. Lexington Books. . Diller, A. Van Nostrand. (1976). Toward a Model of Southern Thai Diglossic Speech Variation. Cornell University Publishers. . Li, Fang Kuei. (1977). A Handbook of Comparative Tai. University of Hawaii Press. . พจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ พุทธศักราช 2550 พิมพ์ครั้งที่ 5. สงขลา: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, มูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ และสถาบันทักษิณคดีศึกษา, 2551. . แหล่งข้อมูลอื่น กลุ่มภาษาไท ไทยถิ่นใต้ ไทยถิ่นใต้ ไทยถิ่นใต้
49565
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD
ภาษาไทลื้อ
ภาษาไทลื้อ หรือ ภาษาลื้อ (ไทลื้อใหม่: ᦅᧄᦺᦑᦟᦹᧉ กำไตหลื่อ; กำไต; Dǎilèyǔ ไต่หยวื่อ; เตี๊ยงหลื่อ, เตี๊ยงหลือ; ; ) เป็นภาษาไทถิ่นแคว้นสิบสองปันนาหรือเมืองลื้อ อยู่ในตระกูลภาษาขร้า-ไท และมีคำศัพท์และการเรียงคำศัพท์คล้ายกับภาษาไทยถิ่นอื่น ๆ ผู้พูดภาษาไทลื้อเรียกว่าชาวไทลื้อหรือชาวลื้อ ภาษาไทลื้อมีผู้พูดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 2,000,000 คน โดยมีจำนวนผู้พูดในประเทศจีน 300,000 คน ในประเทศพม่า 200,000 คน ในประเทศไทย 1,200,000 คน และในประเทศเวียดนาม 5,000 คน ระบบเสียง พยัญชนะ พยัญชนะต้น ตัวอักษรไทยที่กำกับ หมายถึงเสียงที่ใกล้เคียงในภาษาไทย มิใช่การถอดอักษร พยัญชนะท้าย สระ วรรณยุกต์ วรรณยุกต์ในพยางค์ไม่หยุด วรรณยุกต์ในพยางค์หยุด สำเนียง ภาษาไทลื้อในตระกูลเผ่าไททั้ง 5 เผ่า นั้นแบ่งสำเนียงภาษาการพูดออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ โดยอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำล้านจ้าง(โขง) เป็นตัวแบ่ง สำเนียงแรก คือ สำเนียงเชียงรุ่ง และสำเนียงเมืองล้า 1. สำเนียงเชียงรุ่ง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ สำเนียงคนยองถือว่าเป็นสำเนียงภาษากลางของชาวไทลื้อ คือเป็นภาษาของชาวเชียงรุ่ง เป็นสำเนียงที่พูดช้าและฟังดูสุภาพ มักมีคำว่า "เจ้า" ต่อท้ายเหมือนคนล้านนา สำเนียงนี้เป็นสำเนียงที่ใช้ในบริเวณสิบสองปันนาตอนกลาง และตะวันตกของสิบสองปันนา ครอบคลุ่มถึงรัฐฉาน ประเทศพม่า ประกอบด้วย (เมืองยอง, เมืองหลวย, เมืองยู้, เมืองเชียงลาบ, เมืองเลน, เมืองพะยาก และเมืองไฮ) เลยมาถึงประเทศลาวแถบเมืองสิงห์ (เชียงทอง), เชียงแขง, เวียงภูคา, บ่อแก้ว, ไชยบุรี, เชียงฮ่อน, เชียงลม และหงสา โดยมีสำเนียงจะออกกลางๆ การผันสำเนียงเสียง จะอยู่ในระดับกลางๆ ขึ้นๆ ลงๆ ค่อนข้างน้อย แต่มักตัดคำพูดควบกันให้สั้นลง และมักเอื้อนเสียงพูด หรือลากเสียงยาว ภาษาชาวไทลื้อกลุ่มนี้พูดกันมากในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ เชียงราย น่าน (นับแต่ ตำบลยม อำเภอท่าวังผา, อำเภอปัว ขึ้นไปจนถึงเมืองเงิน และหลวงพระบาง, เมืองสิงห์ ของประเทศลาว) 2. สำเนียงภาษาไทลื้อกลุ่มเมืองล้า ได้รับอิทธิพลสำเนียงมาจากภาษาลาว หรือภาษาพวน มาค่อนข้างมาก สำเนียงการพูดออกไปทางภาษาลาว การผันสำเนียงขึ้นลงค่อนข้างเร็ว แต่ต่างกันที่สำเนียงพูดยังคงเป็นภาษาลื้อที่ไม่มี สระ อัว อัวะ เอีย สำเนียงการพูดนี้จะพูดในกลุ่มของชาวไทลื้อเมืองหล้า เมืองพง เมืองมาง เมืองเชียงบาน โดยในประเทศไทย ภาษากลุ่มนี้จะพูดใน อำเภอเชียงม่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา, อำเภอสองแคว อำเภอท่าวังผา (เฉพาะตำบลป่าคา และตำบลยอด อำเภอสองแคว) จังหวัดน่าน) นอกจากนี้คำบางคำในภาษาไทลื้อยังแตกต่างกันไปตามสภาพของภูมิศาสตร์ และอิทธิพลของภาษากลุ่มที่ใกล้เคียง ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ ไทลื้อ
57110
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88
ภาษาไทใหญ่
ภาษาไทใหญ่ หรือ ภาษาฉาน (ไทใหญ่: [หลิกไต๊], ความไท [กว๊ามไต๊], /kwáːm.táj/; ) เป็นภาษาตระกูลขร้า-ไท ใช้พูดในภาคเหนือของประเทศพม่า ประเทศไทย และทางตอนใต้ของประเทศจีน มีเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้พูดที่แน่นอน เนื่องจากสงครามระหว่างพม่ากับไทใหญ่ ทำให้การเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับชาวไทใหญ่ทำได้ยาก คาดว่ามีผู้พูดราว 4-30 ล้านคน มีอักษรเป็นของตนเอง 2 ชนิดคือ อักษรไทใหญ่ ใช้ในพม่า และอักษรไทใต้คง ใช้ในจีน แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่า "อย่ากิ๋นอย่างม่าน อย่าตานอย่างไต" ซึ่งเปรียบเทียบวิถีชีวิตของชาวพม่าที่ให้ความสำคัญกับการกินอยู่ ซึ่งแตกต่างจากชาวไทใหญ่ที่ให้ความสำคัญแก่การทำบุญ ถึงกระนั้นไทใหญ่ก็รับวัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนถึงคำในภาษาพม่าเข้ามามาก จนคำไทใหญ่หลายถิ่นเป็นกวามไตลอแล คือไทใหญ่พูดคำพม่าปนไปหมด เช่นที่เมืองสีป้อและเมืองยางเป็นต้น สำเนียงท้องถิ่น ภาษาไทใหญ่มีสำเนียงแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น ฉานเหนือ ฉานใต้ เชียงตุง และพรมแดนติดกับจีนเรียกว่า ไทเหนือ โดยภาษาเมืองหนอง ถือเป็นภาษาไทหลวง สำเนียงของฉานเหนือ และฉานใต้จะแตกต่างโดยชัดเจน ส่วนที่เชียงตุงชนส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทเขิน โดยมีส่วนต่างกับภาษาไทใหญ่อื่น ๆ มาก และมีศัพท์เฉพาะค่อนข้างมาก และเสียง ร ไม่เป็น ฮ ไปทั้งหมด โดยเชียงตุงกับเมืองไทยจะมีสุภาษิตคล้ายคลึงกันมากเลยทีเดียว ระบบเสียง พยัญชนะ เสียงสัทอักษรพยัญชนะในภาษาไทใหญ่ (เสียงแปร) มีอยู่ด้วยกัน 19 เสียง ไม่เหมือนภาษาไทยและลาวเพราะไม่มีเสียงกักโฆษะ [d] และ [b]** เสียง /f/ (ၾ) บางครั้งอาจจะออกเสียงเป็น /pʰ/ เสียง /r/ ส่วนใหญ่มักออกเสียงเป็น /ɹ/ (เหมือนอักษร R ในภาษาอังกฤษ) ปัจจุบัน ได้มีการเพิ่มรูปและเสียงของพยัญชนะเข้ามาแล้ว คือ /b/ = ၿ , /d/ = ၻ แต่มักจะใช้ในคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ พยัญชนะควบกล้ำ ในภาษาไทใหญ่มีการควบกล้ำอยู่ 3 เสียง /j/ /r/ /w/ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปของพยัญชนะที่นำมาควบด้วย เป็น ျ , ြ , ႂ ตามลำดับ อนึ่ง คำที่ควบด้วยเสียง /r/ บางครั้งจะไม่ออกเสียงควบกันสนิท โดยจะออกเสียงในลักษณะสระอะกึ่งเสียง สำหรับเสียง /k/ , /kʰ/ และ /s/ เมื่อมีการควบของเสียงร่วมกับเสียง /j/ เสียงที่เกิดขึ้นมักจะใกล้เคียงกับเสียง /c/ , /cʰ/ และ /ʃ/ ตามลำดับ ตัวอย่างคำ ၵျွင်း [kʲɔ̰́ŋ] วัด [กย๊อง] ၽြႃး [pʰɹáː] พระ [พร้า] ၵႂၢမ်း [kʷáːm] คำพูด, ความ, ภาษา [กว๊าม] เสียงสระ ภาษาไทใหญ่มีสระเดี่ยวอยู่ 10 เสียง และสระผสมอีก 13 เสียง สระเดี่ยว สระผสม [iu] (อิว), [eu] (เอว), [ɛu] (แอว); [ui] (อุย), [oi] (โอย), [ɯi] (อึย), [ɔi] (ออย), [əi] (เอย); [ai] (อัย/ไอ), [aɯ] (ใอ (อะ~อึ/อะ~อือ)), [au] (เอา); [aːi] (อาย), [aːu] (อาว) เสียงวรรณยุกต์ เปรียบเสียงกับภาษาไทย โดยมากแล้วทั้งสองภาษามักมีเสียงวรรณยุกต์ที่คล้ายกันยกเว้นบางที่ ที่คล้ายได้แก่ เสียงเอกในคำเป็นของทั้งสองมักตรงกัน เช่น ป่า, อย่า, อยู่, ผ่า เป็นต้น เสียงจัตวาในคำเป็นที่ขึ้นต้นด้วยอักษรสูงมักตรงกัน เช่น ขา, หมา, หนา, ผา, หลัง เป็นต้น เสียงที่ไม่เหมือนได้แก่ เสียงสามัญไทยในคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรกลางมักตรงกับเสียงจัตวาไทใหญ่ เช่น กา เป็น ก๋า, ปลา เป็น ป๋า, ตา เป็น ต๋า, และ อา เป็น อ๋า เป็นต้น เสียงสามัญไทยในคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำมักตรงกับเสียงตรีไทใหญ่ เช่น นา เป็น น้า, ทา เป็น ต๊า, ลา เป็น ล้า เป็นต้น เสียงโทไทยมักตรงกับเสียงสามัญไทใหญ่ เช่น เจ้า เป็น เจา, ข้า เป็น คา, หน้า เป็น นา, และ ผ้า เป็น พา เป็นต้น เสียงตรีไทยมักตรงกับเสียงโทสั้นไทใหญ่ เช่น น้ำ เป็น น่ำ, ช้าง เป็น จ้าง, ม้า เป็น ม่า, น้า เป็น น่า เป็นต้น นอกจากการแตกต่างระหว่างเสียงวรรณยุกต์แล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างเล็กน้อยทางเสียงพยัญชนะขึ้นต้นด้วย คำในภาษาไทยที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำเสียงกักธนิตมักตรงกับเสียงกักสิถิลในไทใหญ่ เช่น พยัญชนะ พ, ท, และ ค ในไทยมักตรงกับเสียง ป, ต, และ ก ในไทใหญ่ แต่คำในภาษาไทยที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำเสียงกักธนิตที่ตรงกับเสียงโฆษะบาลีมักตรงกับเสียงกักธนิตในไทใหญ่ เช่น พยัญชนะ ภ, ธ, และ ฆ ในไทยมักตรงกับเสียง พ, ท, และ ค นอกจากนี้ คำในภาษาไทยที่ขึ้นต้นด้วยอักษรต่ำเสียงกักธยิตที่ตามด้วย ร มักตรงกับเสียงกักธนิตในไทใหญ่ เช่น พยัญชนะ ปร, ทร, และ คร ในไทยมักตรงกับเสียง พ, ท, และ ค ในไทใหญ่ นอกจากนี้แล้ว มีเสียงพยัญชนะบางเสียงในไทใหญ่ที่ไม่ตรงกับไทย พยัญชนะ ด กับ บ ของไทยมักตรงกับเสียง หล กับ หม ในไทใหญ่ เช่น ดิน เป็น หลิน, ดี เป็น หลี, เดือน เป็น เหลิน, บ่า เป็น หม่า, บ้า เป็น มา (หม้า), และ บ่าว เป็น หม่าว เป็นต้น พยัญชนะ ร ของไทยมักตรงกับเสียง ฮ ไทใหญ่ เช่น เรา เป็น เฮ้า, ร่าง เป็น ฮาง, และ รัก เป็น ฮั่ก เป็นต้น อักษรต่ำไทย อักษรกลางไทย อักษรสูงไทย ไวยากรณ์ ภาษาไทใหญ่ เป็นภาษาที่ไม่มีการผันคำไปตามกาล เพศ การก ฯลฯ เช่นเดียวกับภาษาไทย รูปแบบประโยคเป็นแบบ ประธาน-กริยา-กรรม คำคุณศัพท์จะมีการวางไว้หลังคำนาม สรรพนาม การทักทาย (ล่องโต้งตั้ก) การนับเลข (ล่อง-นั่บ-อ่าน) ตัวเลขของภาษาไทใหญ่ใช้ชุดต่างจากอักษรพม่าตามปกติ มีดังนี้ เวลา (ยาม) การบอกเวลา การบอกเวลาในภาษาไทใหญ่ก็คล้าย ๆ กับในภาษาไทย เช่น " " (เม่อเหล็วไน่ สาม โม้งเย่า) - ตอนนี้ 3 โมงแล้ว ตารางการบอกช่วงเวลา ปี เดือน วัน (ปี๋ เหลิน วัน) ပီႊလိူၼ်ဝၼ်း อ้างอิง BlogGang.com : : นายช่างปลูกเรือน : : การออกเสียง และการพูดในภาษาไท (ไทใหญ่) : โอเคไต แหล่งข้อมูลอื่น SIL Padauk Font (Shan Unicode) SEAlang Library Shan Dictionary ไทใหญ่ ไทใหญ่ ไทใหญ่ ไทใหญ่
70489
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%87
ภาษาชอง
ภาษาชอง (ชอง: ) เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก สาขามอญ-เขมร สาขาย่อยเปือร์ตะวันตก ใช้พูดกันในหมู่ชาวชองในจังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด และจังหวัดระยอง (ในอดีตมีในจังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกว่า ภาษาป่า) ในปัจจุบันภาษาชองเป็นจุดสนใจของโครงการฟื้นฟูภาษาโครงการหนึ่งในประเทศไทย ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของภาษาชองคือการจำแนกความต่างระหว่างลักษณะน้ำเสียง 4 ลักษณะ ระบบไวยากรณ์ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง ภาษาชองเป็นภาษาที่ไม่มีตัวเขียนจนกระทั่ง พ.ศ. 2543 เมื่อเจ้าของภาษาได้ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลสร้างระบบการเขียนภาษาชองด้วยอักษรไทย หลังจากนั้นจึงมีการจัดทำสื่อการเรียนการสอนเป็นภาษาชองขึ้น ในขณะที่ภาษาชองในประเทศไทยได้รับการศึกษาเรื่อยมา แต่ภาษาชองในประเทศกัมพูชายังไม่ได้รับการค้นคว้าวิจัยมากนัก เดวิด แบรดลีย์ นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน รายงานว่าไม่มีผู้พูดภาษานี้เหลืออยู่แล้วในประเทศกัมพูชา การจำแนก ภาษาจำนวนหนึ่งในกลุ่มภาษาเปือร์ถูกเรียกว่า "ภาษาชอง" แต่ทั้งหมดไม่ได้ประกอบกันเป็นภาษาเดียว ภาษาชองแท้ประกอบด้วยวิธภาษาส่วนใหญ่ที่พอล ซิดเวลล์ จัดอยู่ในกลุ่ม "ชองตะวันตก" ซึ่งรวมถึงภาษาถิ่นภาษาหลักในจังหวัดจันทบุรี (ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของอำเภอเขาคิชฌกูฏและทางด้านตะวันตกของอำเภอโป่งน้ำร้อน) วิธภาษาในกลุ่มดังกล่าวเป็นคนละกลุ่มกับวิธภาษาที่เรียกว่า "ชอง" หรือ "กะซอง" ในจังหวัดตราด ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม "ชองกลาง" ร่วมกับภาษาซัมเร ในทำนองเดียวกัน บรรดาภาษาและวิธภาษาที่เรียกว่า "ชอุ้ง" หรือ "ชุอุ้ง" ในจังหวัดกาญจนบุรีและในประเทศกัมพูชาเป็นภาษาย่อยของภาษาสะโอจ และจัดอยู่ในกลุ่ม "ชองใต้" ร่วมกับภาษาซูโอย ภาษาหรือวิธภาษาในกลุ่มภาษาชองตะวันตก (ชองแท้) ตามการจำแนกของซิดเวลล์มีดังนี้ ชองจันทบุรี (Baradat ms.) (สาขา) ชองเฮิบ (Martin, 1974) ชองคลองพลู (Siripen Ungsitibonporn, 2001) (สาขา) ชองลอ (Martin, 1974) ชองวังกระแพร (Siripen Ungsitibonporn, 2001) ชอง (Huffman, 1983) มารี อา. มาร์แต็ง ได้แบ่งภาษาชอง (ในจังหวัดจันทบุรี) ออกเป็น 2 ภาษาถิ่นตามคำลงท้ายประโยค โดยเรียกภาษาชองที่พูดในอำเภอเขาคิชฌกูฏว่า ชองลอ และเรียกภาษาชองที่พูดในอำเภอโป่งน้ำร้อนว่า ชองเฮิบ ต่อมาอิสระ ชูศรี ได้ศึกษาภูมิศาสตร์ภาษาถิ่นของภาษาชองในจังหวัดจันทบุรีแล้วเสนอให้แบ่งภาษาชองออกเป็น 3 ภาษาถิ่นตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ดังนี้ ภาษาชองถิ่นเหนือ อยู่บริเวณบ้านคลองพลู บ้านน้ำขุ่น ตำบลคลองพลู และบ้านตะเคียนทอง บ้านชำเคราะห์ ตำบลตะเคียนทอง อำเภอเขาคิชฌกูฏ เป็นภาษาถิ่นที่มีจำนวนผู้พูดมากที่สุดและเป็นส่วนหนึ่งของภาษาชองถิ่นตะวันตกหรือ ชองลอ ตามการแบ่งของมาร์แต็ง ภาษาชองถิ่นใต้ อยู่บริเวณบ้านพังคะแลง บ้านทุ่งตาอิน บ้านกระทิง ตำบลพลวง และบ้านทุ่งสะพาน ตำบลชากไทย อำเภอเขาคิชฌกูฏ เป็นส่วนหนึ่งของภาษาชองถิ่นตะวันตกหรือ ชองลอ ตามการแบ่งของมาร์แต็ง ภาษาชองถิ่นตะวันออก อยู่บริเวณบ้านวังกระแพร ตำบลทับไทร อำเภอโป่งน้ำร้อน ในปัจจุบันมีผู้พูดอยู่เพียงจำนวนน้อยและส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ภาษาถิ่นนี้ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ชองเฮิบ ตามการแบ่งของมาร์แต็ง จากการสัมภาษณ์ผู้พูดภาษาถิ่นเหนือและผู้พูดภาษาถิ่นใต้ของอิสระ ชูศรี ทำให้ทราบว่าผู้พูดภาษาถิ่นทั้งสองสามารถเข้าใจภาษาของอีกฝ่ายได้ดีแม้จะมีความแตกต่างด้านการออกเสียงและด้านวงศัพท์อยู่บ้าง แต่พวกเขาไม่ทราบเกี่ยวกับภาษาถิ่นตะวันออก (ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเขาสอยดาว) มากนัก สัทวิทยา พยัญชนะ หน่วยเสียงที่อยู่ในวงเล็บคือหน่วยเสียงที่ปรากฏในคำยืมจากภาษาไทย หน่วยเสียงที่เป็นได้ทั้งพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายมี 12 หน่วยเสียง ได้แก่ , , , , , , , , , , และ หน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบในภาษาชองถิ่นตะเคียนทองและคลองพลูมี 12 หน่วยเสียง ได้แก่ , , , , , , , , , , และ ทั้งนี้ ในภาษาชองถิ่นวังกระแพรออกเสียง เป็น สระ สระเดี่ยว สระประสม ภาษาชองถิ่นตะเคียนทองและคลองพลูมีหน่วยเสียงสระประสม 3 หน่วยเสียง ได้แก่ , และ สองหน่วยเสียงแรกปรากฏเฉพาะในคำยืมจากภาษาไทย ลักษณะน้ำเสียง ภาษาชองถิ่นตะเคียนทองและคลองพลูมีลักษณะน้ำเสียง 4 ลักษณะ ได้แก่ ลักษณะน้ำเสียงปกติ (เสียงกลางปกติ), ลักษณะน้ำเสียงก้องมีลม (เสียงต่ำใหญ่), ลักษณะน้ำเสียงปกติตามด้วยการกักของเส้นเสียง (เสียงสูงบีบ) และลักษณะน้ำเสียงก้องมีลมตามด้วยการกักของเส้นเสียง (เสียงต่ำกระตุก) ระบบการเขียน เดิมทีภาษาชองไม่มีตัวอักษรสำหรับเขียน เนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้พูดเท่านั้น ต่อมาเฉิน ผันผาย อดีตกำนันตำบลคลองพลู อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ที่มีความพยายามในการรักษาอัตลักษณ์ชอง ได้คิดค้นระบบการเขียนใหม่ โดยศึกษาจากอักษรไทย อักษรมอญ อักษรเขมร และอักษรโรมัน และได้รับคำแนะนำจากนักภาษาศาสตร์แคนาดาที่ออกแบบอักษรให้ใช้งานง่าย มีระบบการเขียนบรรทัดเดียวแบบภาษาอังกฤษ ไม่มีสระและวรรณยุกต์อยู่เหนือหรือใต้บรรทัด และมีความพยายามที่จะทำเป็นชุดแบบอักษร ใน พ.ศ. 2553 มีผู้สามารถใช้อักษรนี้ได้ระดับคล่องแคล่ว 20 คน ตัวเขียนภาษาชองอักษรไทยตามที่คณะกรรมการจัดทำระบบเขียนภาษาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทยแห่งราชบัณฑิตยสถาน (ปัจจุบันคือสำนักงานราชบัณฑิตยสภา) ได้กำหนดไว้ มีดังนี้ สถานการณ์ในปัจจุบัน ปัจจุบันภาษาชองอยู่ภาวะวิกฤตใกล้สูญ คนเฒ่าคนแก่เสียดายที่ภาษาชองจะสูญหายไป โดยปัจจุบันมีชาวชองอยู่อาศัยถิ่นฐานเดิมบริเวณตำบลคลองพลู อำเภอเขาคิชฌกูฏ (แต่แหล่งที่พูดกันมากที่สุดอยู่ที่ตำบลตะเคียนทอง) จังหวัดจันทบุรี ประมาณ 6,000 คน แต่ที่พูดได้มีเพียงประมาณ 500 คน โดยส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนวัยรุ่นชาวชองนั้นอายที่จะพูดภาษาดั้งเดิมประจำชาติพันธุ์ของตน ขณะนี้มหาวิทยาลัยมหิดลพยายามจะฟื้นฟูโดยให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการบันทึกเสียงและถอดภาษาพูดเป็นภาษาเขียน ให้โรงเรียนบ้านคลองพลูสอนภาษาชองให้กับลูกหลานชอง แทรกเป็นหลักสูตรท้องถิ่นในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการศึกษาของอิสระ ชูศรี พบว่า ผู้พูดภาษาชองถิ่นเหนือ (ตะเคียนทอง–คลองพลู) มองว่าตนเองเป็นกลุ่มผู้พูดภาษาถิ่นแยกต่างหากจากผู้พูดภาษาชองถิ่นใต้ (พลวง–ชากไทย) ความตระหนักนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้พูดภาษาถิ่นเหนือเลือกที่จะเปิดโครงการฟื้นฟูภาษาชองในถิ่นตนเองแทนที่จะเป็นภาษาชองของทั้งอำเภอเขาคิชฌกูฏ อิสระ ชูศรี ยังให้ความเห็นว่า จากมุมมองทางภาษาศาสตร์สังคม ภาษาชองถิ่นเหนือมีอนาคตที่สดใสกว่าภาษาชองถิ่นใต้ในแง่การคงจำนวนผู้พูดไว้ ในขณะที่ภาษาชองถิ่นตะวันออก (วังกระแพร) ในอำเภอโป่งน้ำร้อนนั้นอยู่ในภาวะใกล้สูญเต็มที อ้างอิง อ่านเพิ่ม เจตน์จรรย์ อาจไธสง, พระอธิการธวัชชัย จนฺทโชโต, พระอาจารย์สี เตชพโล, เฉิน ผันผาย, และคำรณ วังศรี. (2556). แบบเรียนภาษาชอง. พิมพ์ครั้งที่ 3. จันทบุรี: [ต้นฉบับ]. พระครูธรรมสรคุณ (เขียน ขนฺธสโร), และธรรม พันธุศิริสด. (2541). "อารยธรรมชอง จันทบุรี." ใน อารยธรรม ชอง จันทบุรี และอาณาจักรจันทบูร เมืองเพนียต. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทยรายวัน. Gordon, Raymond G., Jr. (ed.). (2005). Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. DiCanio, C.T. (2009) The Phonetics of Register in Takhian Thong Chong, Journal of the International. Phonetic Association, 39(2): 162–188 Isarangura, N. N. (1935). Vocubulary of Chawng words collected in Krat Province. [S.l: s.n.]. Premsrirat, Suwilai; Rojanakul, Nattamon (2015). Chong. In Paul Sidwell and Mathias Jenny (eds.), The Handbook of Austroasiatic Languages, 603-642. Leiden: Brill. ชอง
82703
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A
ไทโคราช
ไทเบิ้ง ไทเดิ้ง หรือไทโคราช เป็นกลุ่มชนพื้นถิ่นที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน จังหวัดลพบุรี อำเภอพัฒนานิคม, อำเภอชัยบาดาล, อำเภอโคกสำโรง และอำเภอสระโบสถ์ จังหวัดสระบุรี อำเภอวังม่วง จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอศรีเทพ และอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอนางรอง อำเภอละหานทราย อำเภอชำนิ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอหนองกี่ และบางหมู่บ้านในเขตอำเภอเมือง อำเภอลำปลายมาศ อำเภอประโคนชัย จังหวัดชัยภูมิ อำเภอจัตุรัส อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอเทพสถิต อำเภอเนินสง่า อำเภอซับใหญ่ และบางหมู่บ้านในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดนครราชสีมา ทุกอำเภอ ยกเว้น อำเภอที่ชาวไทลาวมากกว่าเช่น อำเภอบัวใหญ่ และอำเภอสูงเนิน บางส่วนในจังหวัดพระตะบอง และจังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา ซึ่งชาวไทเบิ้งมีขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมคล้ายไทภาคกลาง แต่มีภาษา ความเชื่อ เพลงพื้นบ้าน การละเล่น การทอผ้า ที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชนอยู่ ภาคกลาง หรือในบางครั้งจะเรียกว่า ไทเดิ้ง หรือ ไทโคราช จากเอกสารประวัติศาสตร์และโบราณสถานกำหนดได้ว่าเป็นชุมชนไทยที่อยู่อาศัยมานานอย่างน้อยตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ชาวไทยเบิ้ง มีเอกลักษณ์ ในเรื่องของประเพณีความเชื่อ ภูมิปัญญา สังคม สถาปัตยกรรมและผลงานทางวัฒนธรรม เช่น ภาษาและวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรี และการละเล่นเพลงพื้นบ้าน การละเล่นทั่วไปและกีฬา มีเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนไทยเบิ้ง ซึ่งมีลักษณะผสมผสาน ระหว่างวัฒนธรรมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและวัฒนธรรมไทยโคราช คือ มีประเพณีชีวิตที่สอดแทรกวัฒนธรรมอันดีงาม เช่น ความกตัญญู ความสามัคคี ความมีน้ำใจเสียสละ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเห็นอกเห็นใจมีประเพณีท้องถิ่นเนื่องในพุทธศาสนา ตรุษสารท และประเพณีเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอาชีพและประเพณี เกี่ยวข้องกับความความเชื่อ สำหรับความเชื่อนั้นมีความเชื่อโชคลาง โหราศาสตร์ ภูตผีปีศาจ และไสยศาสตร์ การแต่งกาย ผู้หญิง นุ่งผ้าโจงกระเบน เป็นผ้าพื้นทอมือสีเข้ม เช่น สีดำ สีน้ำตาล สีกรมท่า คาดเข็มขัดเงิน เข็มขัดทอง หรือเข็มขัดนาก ไม่นิยมนุ่งซิ่น สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือ เสื้อที่นิยมใช้ เรียกว่า เสื้อ "คอกระโจม" และเสื้อ "อีแปะ" หญิงชาวไทยเบิ้งจะใช้เสื้อประเภทนี้ไปวัด แต่งงานใช้สไบเฉียงห่มทับเสื้อ หรือ สวมเสื้อแขน กระบอกห่มสไบทับเสื้อ ถ้าอยู่บ้านมักใช้ผ้าคาดอกแทนการสวมเสื้อ ตัดผมทรงดอกกระทุ่ม ไม่นิยมดัดผม และแต่งหน้าเพียงใช้แป้งเม็ดบรรจุกระป๋องทาหน้า กินหมากทำให้ปากแดง ใช้สีผึ้งทาปากเพื่อไม่ให้ปากแห้ง การบำรุงผิวใช้ขมิ้นผสมกับดินสอพอง ทาตัวและทาหน้า สำหรับเครื่องประดับนิยมใช้ทองมากกว่าเพชรพลอย และนิยมใช้ตุ้มหูมากกว่าสร้อยและแหวน สะพายย่ามแทนกระเป๋า ของที่ใส่ในย่ามได้แก่ เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องมือในการประกอบอาชีพ ข้าวห่อและอื่น ๆ ผู้ชาย ในอดีต ชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมไม่ผ่าอก นุ่งกางเกงขาก๊วย กางเกงขาสั้น กาง เกงขายาว หากอยู่บ้านนุ่งผ้าถุงและไม่สวมเสื้อ เมื่อออกนอกบ้านสวมเสื้อคอกลม ปกฮาวาย หรือปกเชิ้ต มีผ้าขาวม้าพาดบ่า เหมือนสไบ ตัดผมทรงดอกกระทุ่ม สะพายย่ามไม่สวมรองเท้า ภูมิปัญญา ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทเบิ้ง ได้แก่ อาชีพที่ได้อาศัยประโยชน์จากสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่อยู่ใกล้เคียงเช่น การทำไต้ ทำลาน ส่วนอาชีพอื่นๆ คือการทำไร่ ทำนา หาปลา โดยมีเครื่องมือประกอบอาชีพส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่ เครื่องมือดำรงชีวิตบางชิ้น เช่น ตะกร้า มีรูปแบบคล้ายกระบุงขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชน การทอผ้า ชาวไทยเบิ้งนิยมผ้าฝ้าย ทำลวดลายผ้า เป็นลายตารางรูปสี่เหลี่ยม ปกติ จะทอไว้ใช้เอง เช่น ผ้าเย็บที่นอน หมอน ผ้าถุง ผ้าขาวม้า ย่าม ปัจจุบันบางครอบครัวทอไว้ขาย เช่น ผ้าขาวม้า และย่าม แต่เดิมการทำผ้าของชาวไทยเบิ้งได้เตรียมการทอผ้าเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูกฝ้าย ปั่นด้าย ย้อมสีด้ายฝ้าย ในปัจจุบัน ซื้อเส้นด้านย้อมสีสำเร็จรูปมาทอ การแต่งกายใช้ผ้าฝ้าย เอกลัษณษ์ในการแต่งกายคือ สตรีสูงอายุนุ่งโจงกระเบน และสะพายย่าม รูปแบบลักษณะเฉพาะในเวลาไปทำงาน กลุ่มชนชาวไทเบิ้งที่อาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำป่าสัก ประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก เมื่อย่างเข้าฤดูแล้ง ผู้ชายอาจจะเข้าป่า หาของป่า ล่าสัตว์ ผู้หญิงจะทอผ้าไว้ใช้ในครอบครัว และ ปลูกฝ้าย ในเนื้อที่ที่เหลือในบริเวณบ้านเพื่อใช้ทอผ้า กรรมวิธีการทำเส้นด้าย การอิ้วฝ้าย หรือ หีบฝ้าย เป็นการแยกเมล็ดออกจากปุยฝ้าย โดยใช้เครื่องหีบ หรือเครื่องอิ้วฝ้าย การดีดฝ้าย เป็นการทำให้ฝ้ายแตกกระจายออกเป็นเนื้อเดียวกัน การดิ้วฝ้าย เป็นการนำด้ายที่ดีดเป็นปุยแล้วมาล้อหมุนให้ได้ฝ้ายที่มีลักษณะกลม โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ไม้ล้อ การเข็นฝ้าย หรือการปั่นฝ้าย เป็นการดึงฝ้ายที่ดิ้วแล้วให้เป็นเส้นด้าย โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ไน หรือ หลา แล้วใช้ไม้เปียด้ายพันด้าย จนมีขนาดโตพอประมาณ แล้วดึงด้ายออก เรียกว่า ปอย หรือ ไจ การตกแต่งเส้นด้าย การฆ่าด้าย วิธีการทำให้ด้ายมีความเหนียว ทนทานไม่เป็นขนโดยนำไปต้มกับข้าว วิธีการนี้ใช้กับเส้นด้ายที่ไม่ต้องการย้อมสี การย้อมสี เป็นวิธีเพิ่มความสวยงามให้แก่ผืนผ้า โดยใช้สีที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งจะได้จากส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ราก ดอก ต้น แก่น ลูก และใบ กรรมวิธีการย้อม มีวิธีย้อมตามลักษณะของวัสดุ พืชที่นำมาใช้เป็นสีย้อมผ้า ได้แก่ ผลมะเกลือ เปลือกกระโดน มะเกลือเลือด แก่นแกแล เปลือกอินทนิล ฝักระกำ ต้นคราม ขมิ้นกับ ยอดแค แก่นฝาง ผักงาด ฯลฯ ส่วนวิธีการย้อมสี ผ้าหรือเส้นด้ายที่จะย้อม จะต้องซัก หรือแช่น้ำให้เปียกทั่วทั้งผืนก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้สีด่าง จะทำให้สีติดผ้าทั่วกันทั้งผืน และเมื่อย้อมสีเสร็จแล้วจะต้องนำผ้าไปล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำไปตาก เครื่องมือเครื่องใช้ในการทอผ้า กี่พื้นเมืองหรือกี่ทอมือ กี่ชนิดนี้ทอผ้าแต่ละครั้งได้จำนวนจำกัด คือ ได้เพียงครั้งละ 5-6 ผืน หน้ากว้างของผ้าที่ทอได้ จะแคบ กี่ทอมือจะต้องใช้เท้าเหยียบเพื่อบังคับตะกอให้แยกเส้นด้ายยืนออกจากกัน แล้วใช้มือสอดกระสวยใต้เส้นด้ายที่แยกดึงฟันฟืมกระทบเส้นด้ายพุ่งให้ติดกันทีละเส้น ซึ่งทอได้ช้า กี่กระตุก เป็นกี่ที่เพิ่งจะเริ่มนำเข้ามาใช้ โดยได้รับการส่งเสริมจากกรมพัฒนาชุมชน การทอกี่กระตุก ผู้ทอไม่ต้องสอดกระสวย ใช้มือกระตุกเชือกที่ติดกับกระสวย แล้วกระสวยจะวิ่งผ่านเส้นด้ายยืนที่แยกออกจากกัน โดยการใช้เท้าเหยียบไม้ที่ดึงตะกอ ข้อดีของกี่กระตุก คือ ในการทอแต่ละครั้งไม่ต้องสืบเส้นด้ายยืนบ่อย ๆ มีแกนม้วนด้ายยืนได้ยาวหลายสิบเมตร เส้นด้ายยืนจะตึงเรียบเสมอกันไม่ต้องหวีหรือจัด กรรมวิธีการทอผ้า การเสาะด้าย คือการนำด้ายที่ย้อมสีแล้วมาเสาะใส่ระวิง สาวลงกระบุง นำด้ายมากรอใส่หลอดทำด้วยไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ แล้วนำไปค้น การค้น คือการนำด้ายสีต่าง ๆ ที่เสาะแล้วมาเกาะหลักพิมพ์ เพื่อกำหนดความยาวของเส้นด้ายยืนว่าต้องการทอกี่ผืน เมื่อเสร็จแล้วนำด้ายออกจากพิมพ์ เรียกว่า เครือ การสืบด้าย นำเครือด้ายมาสืบในฟืมจนครบตามหน้ากว้างของฟืม การทอ นำเส้นด้ายพุ่งที่กรอใส่หลอดด้าย เลือกสีตามต้องการ ใส่กระสวยแล้วนำมาทอ การทอหูกใช้เท้าเหยียบ มือพุ่งกระสวย และใช้มือดึงฟันหวีกระทบด้ายทีละเส้นให้แน่น ทอไป เรื่อย ๆ จนหมดความยาวของเส้นด้ายยืน ประเภทของผ้าทอของชาวไทเบิ้ง ประเภทของผ้าทอของชาวไทเบิ้ง ผ้าทอที่พบแบ่งออกเป็นสองยุค ได้แก่ 1.ผ้าทอโบราณ เป็นผ้าที่ทอขึ้นเพื่อเก็บไว้ใช้เอง หรือให้ญาติพี่น้อง ผู้ที่เคารพนับถือใช้ มีลักษณะเป็นผ้าพื้นสีขาว ถ้าย้อมสี สีจะค่อนข้างเข้ม ทอแบบง่าย ๆ ลวดลายไม่สลับซับซ้อน เส้นด้ายที่ใช้ทอเป็นเส้นด้ายที่ได้มาจากฝ้ายแท้ๆ ได้แก่ ผ้าเย็บที่นอน เย็บหมอน ผ้าห่ม ผ้าพื้นใช้เย็บเสื้อ ผ้าถุงผ้าขาวม้า ย่าม 2.ผ้าทอไทเบิ้งในปัจจุบัน มีเพียงตำบลเดียวที่ยังมีการทอผ้าคือตำบลโคกสลุง เป็นการ ทอเพื่อการค้า เส้นด้ายที่ใช้เป็นเส้นด้ายประดิษฐ์หรือใยสังเคราะห์ ผ้าทอไทยเบิ้งในปัจจุบันมี 3 ประเภท คือ ผ้าขาวม้า รูปแบบยังเหมือนเดิม แต่สีสันฉูดฉาดขึ้น ลวดลายของผ้าขาวม้าที่พบคือ ลายตาคู่ หรือลายตาสองลอน ลายตาคู่แทรก ลายตาราง ย่ามลวดลายยังคงแบบเดิมมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะการใช้สีคือใช้สีอ่อนกว่าเดิมทอ ๒แบบ คือแบบธรรมดาไม่มีการเข้าเกลียวและแบบเข้าเกลียวเส้นด้าย ผ้าถุง เป็นผ้ามัดหมี่ที่ใช้กรรมวิธีการทอแบบชาวบ้านหมี่ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยทางราชการส่งเสริมอาชีพนี้โดยให้กรมพัฒนาชุมชนจัดวิทยากรไปสอนการทอผ้ามัดหมี่ แนวโน้มการทอผ้าของชาวไทยเบิ้งในอนาคต การทอผ้าจะเป็นการทอเพื่อการค้ามากขึ้น การใช้กี่ทอมือจะน้อยลง เพราะกรรมวิธีในการทอค่อนข้างยุ่งยากและช้า นิยมใช้กี่กระตุก เพราะทอได้รวดเร็ว ไม่เสียเวลาในการจัดเส้นด้ายยืน ลวดลายแบบใหม่ คือ เป็นการทอลายมัดหมี่ ซึ่งนำด้ายขาวมามัด แล้วย้อมสีตามต้องการ ผ้าทอของชาวไทยเบิ้งไม่ค่อยได้รับความนิยม ราคาค่อนข้างแพง และปัจจุบันหญิงสาว นิยมเรียนหนังสือและทำงานโรงงาน จึงไม่มีใครสืบทอดการทอผ้าแบบเดิม สถาปัตยกรรม ชาวไทยเบิ้งมีเอกลักษณ์ของกลุ่มชน คือ สร้างเรือนยกเสาสูง แบบเรือนไทย มีหน้าต่างประตู บานเล็ก สลักอกเลาประตู เป็นลวดลายแบบง่ายๆ ฝาเรือนคือฝาฟาก ฝาค้อ จากการสำรวจ พบว่า หมู่บ้านเกษตรกรรม นิยมสร้างบ้านเป็นกระจุก โดยมีการทำนา ทำไร่ อยู่รอบๆหมู่บ้าน การกระจุกตัวของเรือนรวมกันเป็นหมู่บ้านนั้นมีเหตุผลว่า เพื่อความปลอดภัย การแยกสร้างเรือนให้กระจายออกไปอาจถูกโจรผู้ร้ายปล้น ได้ง่าย และเพื่อความอบอุ่นที่ได้อยู่อาศัยในระหว่าง ญาติพี่น้องและมิตรสหาย รูปทรงเรือน เป็นเรือนใต้ถุนสูง โดยปกติเรือนจะยกพื้นสูงขนาดคนเดินลอดได้ คือสูงราว 2 เมตร หลังคาเรือนในอดีตนิยมหน้าจั่ว ทรงมนิลาและทรงปั้นหยา เรือนจะหันหน้าไปได้ทุกทิศ ยกเว้นทิศตะวันตก รูปทรงของเรือนก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบันมีด้วยกันหลายแบบ ที่สำคัญคือ 1.เรือนทรงไทย เป็นเรือนใต้ถุนสูง มีผัง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เสากลมปักเอียงสอบเข้าหากัน หลังคาทรงจั่ว ตกแต่งของจั่วด้วยป้านลมที่มีเชิงเป็นรูปตัวเหงา ฝาเรือนทำด้วยไม้จริง ลักษณะเป็นกรอบลูกฟัก หรือตีด้วยไม้กระดาษ เรือนแบบนี้พบทั่วไป 2.เรือนทรงไทยแปลง เป็นแบบท้องถิ่น นั้นคือเป็นเรือนใต้ถุนสูง มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เสาเอียงสอบเข้าหากันแต่ไม่เอียงมากนัก หลังคาทรงจั่วแต่มุมบนของจั่วไม่ทำเป็นมุมแหลมมาก ไม่มีป้าน ลมและตัวเหงา ฝานิยมทำด้วยไม้กระดานหรือฝาฟาก หน้าต่างมีขนาดเล็ก หรืออาจจะกล่าวได้อีกว่าแบบดังกล่าวนี้ยึดถือระเบียบกรอบโครงสร้างแบบเรือนไทยแต่มีสัดส่วนที่โค้งมุมแหลมของหลังคาน้อยกว่า 3.เรือนทรงไทยอิทธิพลจากที่อื่นๆ เช่น แบบที่ได้รับอิทธิพลจากภาคอีสาน คือ เรือนใต้ถุนสูงมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เสาไม่เอียงสอบเข้าหากัน หลังคาทรงจั่วมุมบนไม่แหลมมาก ไม่มีป้านลมและตัวเหงา ฝานิยมทำด้วยไม้ฟาก และเจาะหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก แบบที่ได้รับอิทธิพลจากชุมชนไทยยวน มีลักษณะเป็นเรือนแฝดใต้ถุนสูงหลังคาทรงจั่ว ลักษณะคล้ายกับกรอบโครงสร้างของเรือนไทยล้านนา 4. เรือนที่ได้รับอิทธิพลจากเมืองใหญ่ เช่น เรือนหลังคาทรงปั้นหยาเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีหลังคาเอนเข้าหาอกไก่ทั้งสี่ด้าน ไม่มีหน้าจั่ว เป็นเรือนไม้สองชั้น ยกพื้นใต้ถุนสูง เรือนหลังคาทรงมนิลา คือเรือนที่ทรงหลังคาตรงลงมาไม่มีหักหน้าจั่วเหมือนเรือนปั้นหยา แต่ไม่งอนช้อยเหมือนเรือน ฝากระดาน มีกลังคาคล้ายกับเรือนบรานอ คือมีหน้าจั่วหลายจั่วของพวกชาวไทยมุสลิม การใช้เนื้อที่ภายในเรือน จะกั้นภายในเรือนมิดชิดเป็นสัดส่วน เพียงส่วนหนึ่งของเรือนในขณะพื้นที่ส่วนใหญ่ มีหลังคาคลุมใช้เป็นห้องโถงโล่ง ใช้ประโยชน์ของพื้นที่นี้อย่างอเนกประสงค์ เช่นพักผ่อน สังสรรค์ รับแขก รวมทั้งสามารถใช้นอนหลับได้เช่นกัน ครัวไฟจะอยู่บางมุมของชั้นบนเรือน หรือแยกเป็นเรือนต่างหาก เรือนบางหลังจะมีชานโล่งประกอบ อาหาร ชาวไทเบิ้งนั้นนิยมกินอาหารสุก กินเนื้อปลา กินผักพื้นเมือง กินข้าวเจ้า ไม่นิยมกินอาหารใส่กะทิหรือทอด อาหารของชาวไทยเบิ้งเป็นอาหารที่ ถูกสุขภาพ และหาได้ง่ายในท้องถิ่น สำหรับ สังคม เป็นสังคมสงบสุข มีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีต่อกัน สมาชิกในสังคมมีความเอื้ออาทรต่อกัน ช่วยเหลือกัน มีการดูแลรักษาสุขภาพ รักษาความสะอาดชุมชน และที่อยู่อาศัย มีหมอหลายประเภทรักษาโรค เช่น หมอยาสมุนไพร หมอตำแย หมอรักษาโรค ให้กำลังใจ เช่นหมอน้ำมนต์ สังคมไทเบิ้งเป็นสังคมมีประสบการณ์ และเรียนรู้ในการดูแลรักษา สุขภาพอนามัย ภาษา ชาวไทเบิ้งมีภาษาพูดคล้ายกับภาษาไทภาคกลาง แต่มีเสียงวรรณยุกต์ต่างไป และนิยมลงท้ายประโยคด้วยคำว่า เบิ้ง เดิ้ง เหว่ย ด๊อก มีผู้เรียกภาษานี้ในชื่ออื่นว่า ภาษาไทเดิ้ง หรือภาษาไทโคราช วรรณกรรมที่เก่าแก่ที่พบเขียนด้วยอักษรไทย เป็นส่วนใหญ่ เขียนบนสมุดไทยได้แก่ นิทาน นิยาย คำสอนและคติธรรม ตำรายา ตำราหมอดู และกฎหมายเป็นต้น มีรูปแบบอักษรอื่นที่พบบ้าง คืออักษรขอมเขียนบนสมุดไทยเป็นคาถา หรือจารบนใบลานเป็นบทเทศน์ของพระภิกษุ ศิลปกรรม ศิลปกรรมของชาวไทเบิ้งได้แก่ พระพุทธรูป ธรรมาสน์ จิตรกรรมพบว่ามีลักษณะคล้ายแบบศิลปกรรมของภาคกลาง แต่มีลักษณะพื้นถิ่นปะปนอยู่ด้วย ศิลปกรรมแบบนี้ เช่น พระพุทธรูปจะเป็นแบบในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22-23 เครื่องดนตรี เป็นแบบสังคมชนบทไม่มีความซับซ้อนในการเล่น และการประดิษฐ์ ได้แก่เพี้ย (บางครั้งเรียกว่าจิ้งหน่อง) ปี่ โทน และกลองยาว ส่วนเพลงพื้นบ้านที่สำคัญคือเพลงปฏิพากษ์ ใช้โต้ตอบกันด้วยกลอนเพลง มีหลายรูปแบบ เช่น เพลงหอมดอกมะไพ เพลงพวงมาลัย เพลงระบำบ้านไร่ เพลงโนเน เพลงพิษฐาน เพลงช้าเจ้าหงส์ และ เพลงโคราช ในจำนวนเพลงพื้นบ้านเหล่านี้ เพลงโคราชได้รับความนิยมสูงสุด และยังมีผู้เล่นได้บ้างจนถึงปัจจุบัน การละเล่นทั่วไป และกีฬาพื้นบ้าน มีทั้งของเด็กและผู้ใหญ่มีลักษณะคล้ายกับชาวไทยภาคกลางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และชาวไทย โคราช เช่น มอญซ่อนผ้า งูกินหาง ลูกช่วง เบี้ยริบ สะบ้า ต่อไก่ สันนิษฐานการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเบิ้ง มีข้อสันนิษฐานต่างๆ ดังนี้คือ 1.เบิ้ง ตรงกับคำว่า บ้าง ในภาษาไทยภาคกลาง "ไทยเบิ้งก็คงจะหมายถึง เป็นไทยอยู่บ้างเหมือนกัน คือ ส่วนหนึ่งเป็นไทย ส่วนหนึ่งเป็นเผ่าอื่น เช่น อาจจะเป็นลาว หรือเขมร หรือญวนผสมอยู่" 2. อาจจะเป็นเพราะคนกลุ่มนี้ใช้คำว่า เบิ้ง ปะปนกันในการพูดจาเสมอ เช่น ภาษาไทยภาคกลางพูดว่าขอไปด้วย ชาวไทยเบิ้งจะพูดว่า ขอไปเบิ้ง เป็นต้น 3. เป็นคำที่ชาวไทยลาว หรือเผ่าพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานเรียกชาวไทโคราช ธวัช ปุนโณทก ระบุในงานศึกษา เรื่องกลุ่มชั้นในภาคอีสานว่า "ชาวอีสานจะเรียกชาวโคราช" ว่าไทบ้าง ไทโคราชบ้าง ไทเบิ้ง หรือไทเดิ้ง บ้าง" ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นตรงกับงานศึกษาของสรเชต วรคามวิชัย เมื่อ พ.ศ. 2539 ว่า " ชาวอีสาน กลุ่มต่างๆ เช่น ลาว เขมร จะเรียกชาวไทยโคราชว่าไทยเบิ้ง หรือไทยเดิ้ง ไม่ทราบคำเรียกนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ปัจจุบันชาวบ้าน ยังเรียกอยู่ " และจากการพูดคุยกับวีระพงศ์ มีสถานนักวิจัยของสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ ระบุไว้ตรงกันว่า คนลาวชัยภูมิจะเรียกคนไทยโคราชว่า ไทยเบิ้ง กลุ่มชาวไทยในชัยภูมิจะยอมรับและหันมาเมื่อมีใครทักว่าเป็นไทยเบิ้ง แสดงว่ามีการรับรู้ว่าตนเองเป็นกลุ่มไทย (เบิ้ง) ไม่ใช่ลาว ไทโคราช เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ ที่มีวัฒนธรรมโคราช ได้แก่ มีเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่า “เพลงโคราช” ใช้ดนตรีพื้นบ้าน คือ มโหรีโคราช และที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญคือ ใช้ภาษาโคราชในชีวิตประจำวัน ภาษาโคราชเป็นภาษาที่มีวงศัพท์ สำเนียง และสำนวน เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ความก้าวหน้าทางการศึกษา ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ปัจจุบันส่งผลกระทบถึงกลุ่มชาติพันธุ์ โคราชรุ่นใหม่ ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของตนเอง ไม่รู้จักการละเล่นดนตรี และเพลงพื้นบ้าน ที่สำคัญคือ พูดภาษาโคราชไม่ได้ วงศัพท์ภาษาโคราชจึงนับวันจะหายไป ประเพณีและความเชื่อของไทเบิ้ง ประเพณีชาวไทเบิ้ง ก็ไม่ต่างจากชาวไทยกลุ่มอื่นมากนักในเรื่องของความเชื่อดังกล่าว คือ บางอย่างก็ไม่มีเหตุผล บางอย่างก็มีเหตุผล แต่จะแตกต่างจากประเพณีชาวไทยภาคกลางบ้าง รายละเอียดเกี่ยวกับประเพณีชีวิตของชาวไทยเบิ้ง มีดังนี้ ประเพณีแต่งงานการแต่งงานจะมีพิธี หลายขั้นตอนคือ การทาบทามสู่ขอ วิธีชีวิตของชาวไทยเบิ้ง โอกาสที่หนุ่มสาวจะได้พบกันมีน้อย เพราะต้องทำงานตลอดช่วงกลางวัน และเวลาค่ำคืนเป็นโอกาสที่หนุ่มสาวจะได้พบปะเกี่ยวพากัน และเมื่อชายหนุ่มถูกใจก็จะจัดหาเถ้าแก่ไปสู่ขอ บิดามารดาฝ่ายหญิงอาจเรียกสินสอดทองหมั้นเป็นเงินทอง หรือเป็นเรือนหอเรียกว่า มาดเป็นเงิน มาดเป็นทอง การหมั้น เมื่อได้ทาบทามสู่ขอแล้วก็จะให้พระสงฆ์ หรือหมอดูกำหนดฤกษ์เพื่อเป็นวันหมั้นซึ่งจะต้องเป็นวันฟู เพราะตามประเพณีจะไม่จัดในวันจม วันฟูหมายถึงวันอธิบดี วันธงชัย และวันจมหมายถึงวันอุบาทว์ วันโลกาวินาศ สำหรับเดือนที่นิยมจัดงานจะเป็นเดือนคู่ และไม่จัดงานระหว่างเข้าพรรษา เมื่อใกล้วันแต่งงาน จะต้องมีการเตรียมตำข้าว หาฟืน ลงปลา หาผักป่า เนื้อสัตว์ที่นิยมใช้ทำอาหารของชาวไทยเบิ้ง นิยมใช้ปลาจะไม่มีการฆ่าหมู วัวหรือควาย อาหารจะเป็นอาหารพื้นบ้านง่ายๆ ไม่มีอาหารประเภทใดต้องห้ามสำหรับงานแต่งงานไม่เหมือนประเพณีของทางภาคกลาง ในการจัดงานจะแบ่งเป็น 3 วันคือ วันแรกเป็นวันเตรียม วันต่อมาคือวันแต่งงานและวันที่สามคือวันทำบุญบ้าน ส่วนพิธีอื่นๆ จะคล้ายกับภาคกลาง ต่างกันตอนขบวนขันหมาก คือเมื่อบ้านฝ่ายหญิงยิงปืนขึ้น ๑ นัด ฝ่ายชายจึงเริ่มขบวนขันหมาก เมื่อขบวนมาถึงได้มีการขันหมากแล้ว ฝ่ายหญิงจะมอบแป้งกระสอบหนึ่งถุงเป็นของชำร่วย จากนนั้นจึงมีการผูกข้อไม้ข้อมือ วันที่สามมีพิธีทำบุญบ้านบ่าวสาว จะตักบาตร ขนมขันหมากที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจัดมาจะถวายพระ เพราะมีข้อห้ามไม่ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินขนมขันหมาก หลังจากเลี้ยง พระแล้วจะมีพิธีประพรมน้ำพุทธมนต์ เป็นอันเสร็จพิธีแต่งงาน หลังจากแต่งฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงอย่างน้อย ๓ คืน แล้วจึงจะแยกเรือนไปดำเนินชีวิตเป็นครอบครัวใหม่ต่อไป ประเพณีการเกิดผู้หญิงชาวไทยเบิ้ง เมื่อตั้งครรภ์จะมีการปฏิบัติตนเช่นเดิมปกติ คือ ยังทำงานบ้านทำไร่ทำนา ในระหว่างการตั้งครรภ์นั้น มีความเชื่อมีข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามหลายประการ เช่น ห้ามทำบาปไม่ตกปลาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ไปดูคนอื่นคลอดลูกเพราะมีความเชื่อว่าจะยันกันทำให้คลอดยาก ไม่ไห้อาบน้ำกลางคืน เพราะกลัวแฝดน้ำ เมื่อเกิดจันทรคราสบางคนก็เอาน้ำลูบท้องเพื่อให้คลอดง่าย ไม่ให้นั่ง ยืนคาบันไดหรือประตู ห้ามกินกล้วยแฝด กลัวจะมีลูกแฝดทำให้คลอดยาก ห้ามเตรียมของใช้ไว้ก่อนถ้าจะเย็บที่นอนและหมอนไว้ ต้องไม่เย็บปิดปากที่นอนหรือหมอน เมื่อคลอดแล้วจึงจะเย็บปิดปากหมอนเวลากินข้าวต้องรีบอิ่มก่อนคนอื่นถึงแม้จะยัง แล้วจึงกลับไปกินต่อที่หลังได้ เพราะเชื่อว่าอิ่มก่อนจะทำให้คลอดง่าย การเตรียมการคลอด หญิงมีท้องโดยเฉพาะลูกคนแรก จะกลับไปคลอดที่บ้านแม่ตนเอง โดยจัดเตรียมห้อง"ในเรือน" เป็นห้องคลอดบางบ้านทำสายสิญจน์วนรอบห้องคลอด บางคนเอาคล้องคอคนท้องไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผีมารบกวน ในห้องที่จะใช้เป็นห้องคลอดต้องทำเตาไฟ โดยเอาไม้ขอนวางขวางกันเป็นคอกหมู เอากาบกล้วยปูรองพื้นและนำดินใส่จนเต็ม เตรียมแคร่นอนไว้ข้างเตาไฟ ใต้ถุนของห้องคลอดจะขุดหลุมตรงกับร่องขับถ่ายของเสียไว้ และรอบๆหลุมนั้นจะตัดหนามพุทรา หรือหนามอื่นมาสะไว้โดยรอบเพื่อป้องกันผีปอบ ผีกระสือ ไม่ให้มากินเลือดกินของคาว ของเสียที่ถ่ายมาตามร่องนั้น การคลอด เมื่อท้องแก่เริ่มปวดท้อง จะไปตามหมอตำแยมาทำคลอด เริ่มด้วยหมอตำแยจะทำพิธีไหว้ผีบ้านผีเรือนก่อน โดยจัดทำขนมต้ม ข้าวเหนียวนึ่ง กล้วย ดอกไม้ ธูป เทียน และเงิน จัดใส่พานไหว้ "ปู่ ย่า ตา ยาย ทางพ่อก็ดี ทางแม่ก็ดี ให้มาช่วยให้การคลอดง่ายให้มาปกปักรักษาให้คลอดง่าย" โดยการคลอดจะนิยมให้คนท้องหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก และให้นั่งพิงครกหรือพิงหลังสามีเอาเท้ายันฝาไว้ เมื่อเด็กคลอดออกมาผู้เป็นสามีหรือคนในบ้านจะรีบติดไฟต้มน้ำร้อนเพื่ออาบน้ำเด็กต่อไป ถ้าการคลอดมีการผิดปกติจะใช้วิธีหาหมอพื้นบ้านมาเสกเป่า หรือทำน้ำมนต์ให้ดื่ม เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ การอยู่ไฟ การอยู่ไฟ"อยู่กรรม" จะเป็นการอยู่ไฟฟืนโดยท่อนล่างจะนุ่งเตี่ยว ท่อนบนจะเอาผ้าชุบน้ำโปะหน้าอกไว้ นอนเหยียดแขนขาบนแคร่ซึ่งส่วนมากจะเป็นไม้กระดานแผ่นเดียว การนอนอยู่ไฟจะไม่ให้งอแขนงอขา และห้ามไม่ให้ออกไปนอกบริเวณที่อยู่ไฟ เมื่อแข็งแรงดีแล้วจะลุกเดินได้ การเลี้ยงลูก การเลี้ยงดูเด็กอ่อน ขณะที่แม่ยังไม่มีน้ำนมคือให้เด็กกินน้ำ หรือน้ำผึ้งโดยใช้สำลีชุบน้ำผึ้งให้ดูด และเริ่มให้เด็กกินกล้วยสุกบด จนกระทั่งอายุประมาณ 1 เดือน จึงจะเลี้ยงด้วยข้าวบดใส่กล้วยสุก และเริ่มให้เด็กกินข้าวกับปลาก็ต่อเมื่อเด็กเริ่มหัดพูดและพูดคำว่า "ปลา"ได้ ถ้าเด็กลิ้นเป็นฝ้าจะใช้ปัสสวะของเด็กเองป้ายกวาดถ้าปวดท้องจะใช้ด้ายผูกก้อนมหาหิงค์ผูกติดข้อมือเด็กไว้เพื่อให้เด็กดมกลิ่น ประเพณีการบวช ผู้ที่จะบวชตามประเพณีของชาวพุทธต้องมีอายุครบ 20 ปี มีร่างกายครบ 32 ประการ ส่วนมากนิยมบวชก่อนแต่งงาน การบวชของชาวไทยเบิ้งมีพิธีกรรมคล้ายกับประเพณีบวช ในพื้นที่อื่นๆ เช่น การเตรียมการบวช นิยมหาฤกษ์เพื่อกำหนดวันที่ดีทำพิธี ผู้บวชจะต้องหัดขานนาค หัดสวดมนต์ให้คล่อง โดยบิดามารดาจะนำดอกไม้ ธูป เทียน ใส่พานพาผู้ที่จะบวชไปให้อยู่ที่วัดอย่างน้อย 1 เดือน การบวช ประเพณีการบวชของชาวไทยเบิ้ง นิยมจัดกัน 2 วัน คือวันสุกดิบ และวันบวช ตอนกลางวันก่อนเพลในวันสุกดิบ จะทำพิธีปลงผมที่วัด บิดามารดานาคจะเป็นผู้เริ่มขลิบผมก่อน ต่อด้วยญาติและพระสงฆ์เป็นผู้โกนจนหมด ผมที่โกนจะนำไปลอยน้ำ หลังจากนั้นบิดามารดานาคจะอาบน้ำให้นาคและแต่งตัวใหม่ ตอนค่ำจะทำพิธีสู่ขวัญ หรือ ทำขวัญนาค โดยมีหมอซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้คนในหมู่บ้าน หมอทำขวัญจะเริ่มทำพิธีนำไหว้พระ สวดบทชุมนุมประชุมเทวดา แหล่บทไหว้ครูบทว่าด้วยคุณบิดามารดา บทว่าด้วยตัวนาคตั้งแต่เล็กจนโต และบทสอนนาคให้ประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของวัด และบทบัญญัติพระพุทธศาสนา สอนให้รู้จักศีล สวดมนต์ภาวนา และบทสุดท้ายจะเป็นบทเชิญขวัญนาค ซึ่งในการแหล่จบแต่ละครั้งแต่ละบทจะมีการตีฆ้อง 3 ครั้ง โห่ร้องเอาชัย และเวียนเทียน วันรุ่งขึ้นเป็นวันบวช นิยมบวชตอนเช้าหลังจากถวายภัตตาหารเช้าแล้ว จะแห่นาคเดินจากบ้านไปวัด อาจมีกลองยาวหรือแตรวงนำขบวน การลาสิกขาบท ชาวไทยเบิ้ง นิยมบวช 1 พรรษา คนที่บวชไม่ครบจะถูกเรียกว่า เป็นคนไม่เต็มคน ก่อนจะลาสิกขาบทจะหาฤกษ์ดี แล้วนำกรวยใบตองดอกไม้ ธูป เทียน ไปกราบลาพระอุปัชฌาย์ และเจ้าอาวาส ซึ่งจะสวดคาถาและรดน้ำมนต์ให้ ขณะที่ก้มลงกราบจะชักผ้าสังฆาฏิออก แล้วให้นำน้ำมนต์ไปอาบ จากนั้นแต่งกายเป็นฆราวาส ถึงแม้จะลาสิกขาบทแล้ว ทิดสึกใหม่จะคงอยู่ที่วัดอีก 3 วัน เพื่อช่วยงานในวัด ประเพณีงานศพ การทำงานศพของชาวไทยเบิ้ง ในอดีตโดยทั่วไปนิยมการเผา นอกจากศพที่เกิดจากการถูกฆ่าตาย ตกต้นไม้ ฟ้าผ่า ตกน้ำตาย คลอดบุตรตาย หรือตายด้วยอุบัติเหตุต่างๆ จะนำศพฝังไว้ 3 - 5 ปี แล้วจึงทำพิธีเผาที่หลัง การทำความสะอาดศพ ด้วยน้ำร้อนต้มใส่ใบมะขาม ใบฝรั่ง ซึ่งการอาบน้ำ ศพนี้จะทำเฉพาะลูกหลาน และญาติใกล้ชิด ต่อจากนั้นแต่งตัวศพ ทาขมิ้น ผัดแป้ง หวีผม โดยจะหวีไปในทางตรงข้าม กับตอนมีชีวิตอยู่ ใส่เสื้อผ้ากลับด้านหน้าไว้ข้างหลัง จัดทำกรวยใบตองใส่ดอกไม้ ธูป เทียน ใส่มือพนมไว้เพื่อให้ผู้ตายนำไปบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และบอกกับศพว่าใครขอก็ไม่ให้ นำเงินเหรียญ ใส่ในปากศพ แล้วใช้ผ้าขาวมัดตราสังศพ แล้วทำพิธีเบิกโลงก่อนนำศพลงโลง ซึ่งเป็นหน้าที่ของสัปเหร่อ โดยใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกเป็นปากกา มีลักษณะเป็นไม้คีบเหมือนไม้ปิ้งปลา 8 อันนำไปคีบตามขอบโลงด้านละ 2 อัน แล้วนำด้ายสายสิญจน์มัดโยงตามไม้คีบปากกาทั้ง 8 อัน ทำกระทงใบฝรั่ง 4 กระทง ใส่ข้าวดำ ข้าวแดง เพื่อวางในโลงเป็นเครื่องสังเวย ทำน้ำมนต์ธรณีสารพรมที่โลงและศพ แล้วใช้เทียนจุดด้ายสายสิญจน์ที่โยงไว้ระหว่างไม้คีบปากโลง ให้สายสิญจน์ขาดเป็นช่องๆ เป็นการแสดงว่าได้ตัดขาดจากญาติพี่น้อง ลูกหลานให้หมด ต่อจากนั้นจึงม้วนด้ายสายสิญจน์และนำไม้คีบปากทั้งหมดใส่ในโลงด้วย หลังจากนั้นจะยกโลงไปตั้งบนเรือนหันด้านศีรษะไปทางทิศตะวันตกเพื่อทำพิธีสวดศพต่อไป การสวดศพ ในอดีตจะตั้งศพที่บ้าน ไม่นิยมไปตั้งศพที่วัดเหมือนปัจจุบัน และตั้งศพบำเพ็ญกุศลเพียง 1-3 วัน เนื่องจากในอดีตยังไม่มีการฉีดยาป้องกันศพเน่าเปื่อย จึงต้องรีบเผา ตลอดเวลาตั้งศพสวดนั้นจะจุดธูปหรือจุดตะเกียงตลอดไม่ให้ดับเมื่อถึงเวลาอาหารญาติของผู้ตายจะจัดสำรับอาหารไปวางข้างโลง และเคาะโลงเรียกให้กินอาหาร หรือเมื่อพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมก็จะเคาะโลงเรียกให้ฟังพระสวดด้วย การเผาศพ เมื่อสวดศพวันสุดท้ายแล้วจะหามศพไปทำพิธีที่วัดถ้าเป็นพ่อ แม่ หรือญาติผู้ใหญ่หลังจากการหามศพลงจากบ้านแล้วจะคว่ำโอ่งน้ำ 1 ใบ ขบวนศพที่หามไปนั้นจะนำหน้าศพด้วยหม้อไฟ (หม้อตาลใส่ฝ้ายจุดไฟ) และมีถาดใส่มะพร้าวปอกเปลือกแล้ว 1 ลูก กระทงใบฝรั่ง หรือ กระทงใบตองใส่ข้าวดำข้าวแดง และสตางค์กระทงละ 1 บาท แต่ละกระทงจะปักธงสามเหลี่ยม ขณะที่หามศพไปก็จะโรยข้าวตอกไปตลอดทาง เป็นการนำไปสู่สวรรค์ และตลอดทางที่หามศพไปจะไม่มีการหยุดพักระหว่างกลางทาง การกำหนดวันเผาศพของชาวไทยเบิ้ง จะห้ามเผาศพวันพระ และวันคู่ จะเผาศพเฉพาะวันคี่ ห้ามเผาวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอังคาร การแต่งกายของผู้ไปร่วมงานศพจะแต่งกายสีใดก็ได้จะไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมประเพณีแต่อย่างใด ประเพณีการแต่งกายสีดำ หรือสีขาว - ดำ ไปงานศพในเวลาต่อมานั้นได้รับแบบอย่างจากคนภาคกลาง การทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย หลังจากเผาศพ 3 วันจะทำพิธีกลบธาตุ หรือกลับธาตุ โดยจะนิมนต์พระสงฆ์ ไปที่เชิงตะกอน สวดบังสุกุลตายพรมน้ำมนต์ที่กระดูก แล้วเขี่ยกระดูกเป็นรูปคนหันศีรษะไปทางตะวันออก แล้วพระสงฆ์สวดบังสุกุลเป็นเพื่อเป็นการแสดงการเกิด แล้วจึงเก็บกระดูกใส่โกศไว้บนหิ้งบูชา หรือเก็บไว้ที่วัด เมื่อถึงวันตรุษสงกรานต์ แต่ละปีจะนำโกศไปวัดให้พระสงฆ์สวดบังสุกุล หรือนิมนต์พระสงฆ์ไปทำบุญที่บ้าน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ นับเป็นการทำบุญใหญ่ประจำปี การต่ออายุ เมื่อมีผู้ป่วยหนักมักจะทำพิธีต่ออายุโดยนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีที่บ้านมีการทำ บุญเลี้ยงพระ สวดต่อชะตาชักบังสุกุลเป็น เป็นการสร้างเสริมกำลังใจผู้ป่วย ยืดอายุผู้ป่วยไปอีกระยะหนึ่ง การบอกทางคนใกล้สิ้นใจเมื่อผู้ป่วยอาการหนัก เห็นว่าไม่มีทางรอดมีอาการใกล้สิ้นใจ ญาติพี่น้องจะบอกทางแก่ผู้ป่วย ให้นึกถึงพระอรหันต์ หรือบอกให้ท่องพุทโธๆ หรือจะกล่าวนำดังๆ ให้ผู้ป่วยได้ยินจะได้ยึดคำพุทโธๆ เป็นพุทธานุสติ ให้จิตใจสบายและเชื่อมั่นว่าเมื่อจากโรคนี้ไปแล้วจะไปสู่ภพภูมิที่ดี ประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยเบิ้ง ชาวไทยเบิ้งมีความเชื่อ และทำประเพณีต่างๆ คล้ายๆ กับชาวไทยภาคกลาง ประเพณีที่ทำในท้องถิ่นตลอดทั้งปีทีดังนี้ เทศน์มหาชาติ แต่ละวัดอาจจะจัดในเวลาต่างกัน ถ้าไม่เทศน์ในช่วงเข้าพรรษาก็จะเทศน์กลางเดือน ๑๒ งานเล็ก หรือใหญ่ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละวัด วัดที่จัดงานใหญ่จะตกแต่งสวยงาม บางวัดก็ไม่จัด เทศน์มหาชาติถือเป็นงานบุญที่สำคัญ ชาวบ้านจะร่วมมือกันจัดงานให้สำเร็จลงได้ด้วยดี ทำบุญในวันมาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา การทำบุญในวันสำคัญทางพระพุทธ ศาสนาทั้ง 3 วันนี้ ชาวไทยเบิ้ง จะให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชามากที่สุด ประเพณีทำบุญเข้าพรรษา ถือเป็นวันพระสำคัญทำบุญในวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ต่อจากงานบุญวันอาสาฬหบูชา ชาวบ้านจะนำพุ่มดอกไม้ ผ้าอาบน้ำฝนและเทียนพรรษาไปถวายพระ บุญออกพรรษาหรือลาพรรษาจะมีการตักบาตรเทโวในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ตามประเพณีชาวบ้านจะเตรียมอาหารไปตักบาตรเทโวกันอย่างพร้อมเพรียง ขนมที่ชาวไทยเบิ้งทำเป็นหลักเพื่อนำไป ตักบาตรเทโว คือ ข้าวต้มมัด ขนมเทียน และขนมกล้วย วันตรุษและสงกรานต์ ประเพณีตรุษจะทำในวันพระสิ้นเดือน ๔ ชาวบ้านจะกวนข้าวเหนียวแดงเพื่อนำไปถวายพระ ข้าวโป่งเป็นขนมที่มีลักษณะคล้ายกับข้าวเกรียบว่าวของภาคกลาง ปัจจุบันชาวบ้านไม่ค่อยทำกันเอง เนื่องจากขั้นตอนการทำยุ่งยากและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนประเพณีสงกรานต์จะทำในวันที่ 13 – 15 เมษายน เหมือนทั่วๆ ไป คือมีการทำบุญตักบาตรสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ และชาวบ้านจะเล่นสาดน้ำกัน และที่พิเศษคือจะมีการละเล่นรื่นเริง ต่างๆ เช่น รำโทน ลูกช่วง ชักเย่อ ฯลฯ ลอยกระทง ทำในวันเพ็ญเดือน 12 ชาวบ้านช่วยทำกระทง ซึ่งกระทงที่จัดทำมีหลายแบบส่วนมากทำจากต้นกล้วย ใช้กาบกล้วยตัดได้ขนาดแล้วตัดเป็นรูปเรือ แล้วใส่ดอกไม้ ธูป เทียน ลงในแพ แล้วนำไปลอยแม่น้ำป่าสัก ชาวบ้านมักจะมาประชุมกันบริเวณวัด และมาลอยกระทงหน้าวัดพร้อมๆ กัน ประเพณีทอดกฐิน ทอดผ้าป่า การทอดกฐิน จะทอดตั้งแต่หลังออกพรรษาถึงวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งการทอดกฐินของชาวไทยเบิ้ง มี 2 แบบ คือ ทอดกฐินแบบธรรมดา และแบบจุลกฐิน ส่วนการทอด ผ้าป่าจะไม่มีกำหนดแน่นอน ในสมัยก่อนมักจะทอดผ้าป่าทุกวันพระในช่วงเข้าพรรษา วันสารท เป็นประเพณีที่นิยม เป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ ในเดือน ๑๐ ชาวบ้านจะกวนกระยาสารทเพื่อนำไปถวายพระหลังเสร็จพิธี ก็จะชวนกันเข้าป่าไปหาผลไม้ป่ากันอย่างสนุกสนาน บุญกลางบ้าน เป็นประเพณีของชาวไทยเบิ้ง จะทำเฉพาะปีที่ฝนฟ้าไม่ตก วัตถุประสงค์ในการทำเพื่อเป็นการทำบุญบูชาผี ให้คนในหมู่บ้านอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขไม่มีโรคภัยร้ายแรง ประเพณีแห่นางแมวขอฝน (จะอธิบายรายละเอียดในเรื่อง ความเชื่อของชาวไทยเบิ้ง) รับท้องข้าว เป็นประเพณีที่ทำมาแต่โบราณนิยมทำในวันเข้าพรรษาหรือลาพรรษา หลังจากเสร็จพิธีทำบุญพรรษาแล้ว แต่ละบ้านจะทำพิธีรับท้องข้าว ต่างคนต่างทำในที่นาของตน รับขวัญข้าว จะทำในเดือน 12 หลังจากเกี่ยวข้าวนวดเข้า นำข้าวเข้ายุ้งแต่ละบ้านที่เก็บเกี่ยวได้จะทำ พิธีรับขวัญ หรือเรียกขวัญข้าว โดยเลือกผู้หญิงที่มีเรือนและมีวัยวุฒิ ให้คอนกระบุงข้าวขึ้นบ่าเดินไปที่ลานจะวางกระบุงลง จุดธูปกล่าวเชิญแม่โพสพ จากนั้นจะมีคนช่วยนำฟางข้าวมาถูกเป็นรูปหุ่น มีแขน ขา ลำตัว ศีรษะขนาดสูงประมาณ 1 ฟุต สมมติว่าเป็นแม่โพสพ วางลงในกระบุงกล่าวเชิญเสร็จก็คอนกระบุงกลับยุ้งมีเคล็ดลับว่าตลอดทางห้ามพูดกับใคร ห้ามทักใคร คอนกระบุงมาเข้ายุ้งข้าวแล้วนำหุ่นฟางแม่โพสพไปตั้งไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งบนกองข้าวในยุ้งเหมือนให้แม่โพสพตามจากนามาอยู่ในยุ้งข้าวด้วย ความเชื่อของชาวเบิ้ง มีความเชื่อทั้ง 2 ประเภท แต่ในสมัยก่อนมีความเชื่อต่างจากในปัจจุบัน ทุกหมู่บ้านจะมีความเชื่อในเรื่องต่างๆ คล้ายๆ กัน ความเชื่อสำคัญมีดังนี้ ความเชื่อเรื่องผี ชาวไทยเบิ้งที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ยังมีความเชื่อเรื่องผีอยู่ ดังนี้ ผีบ้านผีเรือนหรือผีปู่ย่าตายาย ชาวไทยเบิ้งไม่นิยมตั้งศาลบูชาผีบ้านผีเรือนผีปู่ย่าตายาย หรือศาลเจ้าที่ แต่เชื่อว่ามีผีประจำอยู่ ในบ้านเรือน ผีปอบ ชาวไทยเบิ้ง มีความเชื่อว่าปอบมีจริง ชาวบ้านบางคนเคยเห็น และผีปอบเคยสิงคนในหมู่บ้าน คนที่ถูกผีเข้าบางคนยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คนที่ถูกสิงจะมีอาการแปลกๆ เช่นอย่างกินของคาว บางคนเดินแก้ผ้าไม่อายใคร ผีนางไม้ ส่วนใหญ่เชื่อเรื่องผีนางตะเคียนมากที่สุด และต่างเชื่อกันว่าตามต้นไม้ ใหญ่จะมีผีประจำอยู่ใครไปทำอะไรไม่ดีจะถูกลงโทษ ผีกระสือ ชาวไทยเบิ้ง เล่าว่าเคยเห็นผีกระสือเข้ามาในหมู่บ้านจะมาตอนค่ำๆ หรือตอนกลางคืน มองเห็นเป็นดวงไฟแวบๆ ลอยมาวนเวียนใต้ถุนบ้าน บางทีก็ดูดกินตับไตไส้พุงของสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในใต้ถุนบ้านจนตายก็มี ผีพราย หรือผีเงือก ผีพรายหรือผีน้ำหรือผีเงือกจะเหมือนๆ กัน เชื่อว่าผีเงือกอยู่ประจำวังน้ำ เวลาใครไปหาปลา ลงเล่นน้ำหรือถ่ายปฏิกูลลงน้ำ อาจจะถูกผีเงือกหลอกได้ ผีปะกำหรือผีประกำ ชาวบ้านสมัยโบราณเชื่อว่าผีชนิดนี้เพราะมีอาชีพเกี่ยวกับการคล้องช้าง เชื่อว่าก่อนจะออกไปคล้องช้างจะต้องทำพิธีเซ่นสรวงบูชาผีปะกำก่อนจึงจะเกิดผลดีต่อการไปคล้องช้าง ผีโรงหรือผีโลง ผีโรงเป็นผีของบรรพบุรุษ ของแต่ละบ้านนั้นเองผีพวกนี้จะไม่ทำร้ายใคร แต่ต้องกราบไหว้บูชา ผีตายโหง มีความเชื่อว่าคนที่ตายไม่ดี จะเป็นผีตายโหง ผีเหล่านี้จะมาหลอกหลอนคนอื่นไม่ค่อยยอมไปผุดไปเกิดง่าย ๆ ผีตะมอย ชาวบ้านบางหมู่บ้านเชื่อเรื่องผีตะมอย ชาวบ้านบอกไม่แน่ชัดว่าผีตะมอยมีรูปร่างอย่างไร แต่เป็นผีขี้ขโมย ชอบมาขโมย มาลักกินข้าวของชาวบ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ชาวไทยเบิ้งมีความเชื่อเหมือนกับคนทั่วๆ ไปจะอธิบายดังนี้ พระพุทธรูปและพระเครื่องต่างๆ ชาวไทยเบิ้งล้วนเป็นชาวพุทธ จึงมีความเชื่อในพระพุทธเจ้ากราบไหว้บูชาพระพุทธรูป และนิยมพระเครื่องต่างๆ แต่ละบ้านจะจัดโต๊ะหมู่บูชาหรือหิ้งสำหรับกราบไหว้ ความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าและเทวดา คนไทยเบิ้ง ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องเทพเจ้าและเทวดามากนักรู้จักเพียงชื่อว่ามีหลายคน เช่น พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ เป็นต้น ส่วนเทวดาที่คนในชุมชน นับถือกราบไหว้บูชามากที่สุดคือ พระแม่โพสพ เพราะเป็นเทวดาที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ และชีวิตความเป็นอยู่ของพวกตนโดยตรง ส่วนเทวดาองค์อื่นๆ บอกเล่ากันว่ามี แต่ก็ไม่มีพิธีบูชาแต่อย่างใด ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและนรกสวรรค์ ไทยเบิ้งทุกคนเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดตามคติในพระพุทธศาสนาส่วนความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์นั้นบางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อเพราะพิสูจน์ไม่ได้ ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ชาวไทยเบิ้ง จำนวนหนึ่งมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์แตกต่างกันไป เช่น เชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถาอาคม ซึ่งมีใช้ทั้งในทางเลวร้าย และทางดี เครื่องรางของขลัง ผู้ชายไทยเบิ้งบางคน นิยมเสาะหาเครื่องรางของขลังไว้สวมใส่ หรือมีไว้ การเสกเป่าและรดน้ำมนต์ วิธีหนึ่งที่อาจช่วยแก้ปัญหาได้ ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาโดยการไปรดน้ำมนต์ การสัก ซึ่งนิยมสักตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา นิยมสักหลังจากบวชเรียนแล้ว เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน สักเพื่อแสดงว่า บวชเรียนมาแล้ว ฯลฯ ความเชื่อในเรื่องอาหารการกินบางชนิด มีความเชื่อแตกต่างกันไปบ้าง เช่น เชื่อว่าผู้ชายที่เล่นของเล่นไสยศาสตร์ ห้ามกินปลาไหล มะขามป้อม ลูกสมอและมะเฟือง กินแล้วของจะเสื่อม เชื่อว่าชายที่เป็นโรคผู้หญิง (กามโรค) ห้ามกินปลากระเบนจะทำให้โรคกำเริบ เป็นต้น ความเชื่อเรื่องการขอฝน เนื่องด้วยชาวไทยเบิ้ง มีอาชีพเกษตรกรรม จึงต้องอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติเพื่อให้พืชผลทางการเกษตรเจริญงอกงามจึงมีวิธีการขอฝน ตัวอย่างวิธีขอฝนคือ การแห่นางแมวขอฝน มักทำในเดือน 9 เดือน 10 หลังจากดำนาหรือหว่านข้าวแล้ว ชาวบ้านจะนำแมวใส่กรงขังไว้แล้วเดินแห่แมวไปยังหมู่บ้าน ขณะแห่จะร้องเพลงแห่นางแมว เนื้อร้องจะมีคำร้องเป็นการขอเรียกฝน การทำให้ฝนตกโดยวิธีการท่องคาถาขอฝน มี 2 คาถา คือ สวด หรือท่องคาถาหัวใจร้อยแปด จะแก้เหตุร้ายภัยพิบัติรวมทั้งฝนแล้งได้ด้วย คาถาที่ 2 สวดคาถาปลาช่อน ก่อนสวดปลาช่อนต้องทำบุญตักบาตร 3 วัน การพายเรือบนบก เป็นการทำต่อเนื่องคาถาปลาช่อน และสุดท้ายการปั้นไอ้เมฆ คือการปั้นหุ่นดินเหนียว เพศหญิงชาย แล้ววางทั้งไว้ที่ทาง 3 แพร่ง ขอเรียนฝน ความเชื่อเกี่ยวกับสวัสดิมงคลในการดำเนินชีวิต เป็นความเชื่อเกี่ยวเนื่องกับอาชีพเกษตรกรรมเป็นสำคัญ เช่น ห้ามสวมรองเท้าเดินลุยผ่านลานข้าว จะทำให้พระแม่โพสพโกรธ หรือการเลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ใช้งาน ไม่นิยมเลี้ยงวัว 5 ม้า 6 ตัว ตามลำดับ ถือว่าอัปมงคล ให้นำไปปล่อย เครื่องมือดำรงชีวิตประกอบอาชีพและพิธีกรรม เครื่องมือดำรงชีวิต และประกอบอาชีพซึ่งบางชิ้นจัดเป็นงานศิลปหัตถกรรมได้คือ ในสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จจะมีเวลาพักในช่วงฤดูแล้ง ทำให้ชาวบ้านมีเวลาที่จะทำงานหัตถกรรม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพหรือใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อการคมนาคมสะดวก ความเจริญทางวัตถุเพิ่มมากขึ้น ชาว บ้านเริ่มแสวงหาวัตถุอื่นๆ มาใช้แทนงานหัตถกรรมแบบดั้งเดิม หรือชาวบ้านมีโอกาสเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากแหล่งอื่นบ้าง ทำให้เกิดความหลากหลาย ในอดีต ชาวบ้านมักทำของขึ้นใช้เองภายในครัวเรือน ของใช้ในชีวิตประจำวันบางอย่างชาวบ้านเลิกใช้ไปแล้ว เนื่องจากมีสิ่งอื่นเข้ามาแทนที่ เช่นไถ คราด เกวียน โดยชาวบ้านนิยมใช้รถไถนาไถไร่ รถเกี่ยวข้าว เครื่องนวดข้าว และเครื่องจักรกลต่างๆ ทำงานแทนแรงงานจากคน เครื่องสีข้าว ครกตำข้าว ทุกหมู่บ้านลดบทบาทลงจนถึงกับเกือบเลิกใช้ หรือถูกเปลี่ยนหน้าที่ใหม่เมื่อชาวบ้านหันมาซื้อข้าวสาร จากโรงสี หรือซื้อข้าวสารจากร้านค้าแทนการสีข้าว ตำข้าวด้วยตนเองดังแต่ก่อน แต่ผลิตภัณฑ์บางอย่างยังคงใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่นกระบุง ตะกร้า เครื่องจักสานต่างๆ หรือเครื่องมือจับสัตว์น้ำถึงแม้ว่าจะลดจำนวนการใช้ลงบ้างแต่ก็ยังมีกิจกรรมต้อง ใช้เครื่องมือเหล่านี้อยู่ งานหัตถกรรมบางอย่าง มีคุณค่าทางความงาม และแสดงเทคโนโลยีพื้นบ้าน เช่น เครื่องมือดักจับสัตว์ ชนิดต่างๆ ที่ใช้กลไกแบบง่ายๆ โดยศึกษาพฤติกรรมการดำรงชีวิตของสัตว์แล้วสร้างกลไกเพื่อดักจับสัตว์เหล่านั้นได้ ผลิตภัณฑ์บางอย่างยังมีการออกแบบได้อย่างเหมาะสมกับการใช้สอย เช่นมีดจักตอก ชาวบ้านจะทำด้ามมีดให้ยาวโค้งงอ กระชับแนบกับลำตัวเวลาใช้มีดเหลาตอกจะสามารถบังคับมีดได้ดียิ่งขึ้น ช่างชาวบ้านผู้มีฝีมือในการจักสานหรือประดิษฐ์ภาชนะสิ่งของต่างๆ เริ่มหายาก ส่วนใหญ่ผู้มีความรู้ความชำนาญจะ มีอายุมาก คนรุ่นหลังไม่ค่อนสนใจที่จะเรียนรู้สืบทอดวิธีการต่อ จากผู้ใหญ่ทำให้งานหัตถกรรมที่มีคุณค่าหายากขึ้น อีกทั้งของเก่าที่มีอยู่แล้วก็ชำรุด หรือบางทีก็ถูกเก็บอย่างไม่รู้คุณค่า งานหัตถกรรมประเภทเครื่องมือเครื่องใช้ภายในบ้าน ที่พบในพื้นที่สำรวจ ส่วนใหญ่มีรูปแบบและลักษณะการใช้สอยคล้ายกับที่พบในภูมิภาคอื่น แต่มีงานหัตถกรรมบางอย่างที่มีความโดดเด่น ในด้านความงาม ความประณีต ได้แก่ งานจักสาน กระบุง ตะกร้า งานดังกล่าวถือได้ว่าเป็นงานศิลปหัตถกรรมของท้องถิ่นอย่างแท้จริง ควรแก่การยกย่อง งานจักสานกระบุง ตะกร้า ที่ช่างพื้นบ้านทำขึ้นเพื่อใช้ในครัวเรือนมีความประณีต สวยงาม แข็งแรงและคงทน โดยสามารถเห็นได้ชัดในเรื่องรูปแบบลักษณะของผลงาน อาหาร ชาวไทยเบิ้งใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติปรุงอาหาร การประกอบอาหารเป็นวิธีที่จัดว่าทำง่ายและกินอาหารที่สดใหม่หากต้องการเก็บอาหารไว้กินนานหลายวันใช้วิธีการถนอมอาหารแบบธรรมชาติเช่นการตากแห้ง การทำเค็มหรือการดองเปรี้ยว ไม่มีการใช้สารมีไขมันต่ำ กินปลาเป็นส่วนใหญ่ และกินผักกินข้าวเป็นประจำทุกมื้อ อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้ง คือ แกงหัวลาน แกงไก่สามสิบ และแกงบุก แกงส้มหัวลานมีการแกงน้อยมากเพราะหาต้นลานยาก ส่วนแกงไก่สามสิบ และแกงบุกยังมีให้เห็นบ้าง สังคมของชาวไทยเบิ้ง เป็นครอบครัวเกษตรกรรม จึงมีลูกหลายคนเพราะต้องการแรงงานในการทำมาหากิน ดังนั้นพ่อแม่จะต้องอบรมสั่งสอนให้ลูกรักกัน สามารถทำงานแทนพ่อแม่ได้ ช่วยเลี้ยงน้อง น้องต้องเชื่อฟังพี่และการปฏิบัติตัวของพ่อแม่ คือ ถ้าพ่อแม่มีความยุติธรรม ลูกก็จะมีความรักใคร่สามัคคีกัน ความสัมพันธ์ระหว่างปู่ย่า ตายาย และหลาน ปู่ย่า ตายาย คือผู้ใหญ่ในบ้านช่วยเลี้ยงดูหลานเมื่อพ่อแม่ต้องออกทำมาหากิน เด็กบางคนอาจเรียกว่า แม่ใหญ่ พ่อใหญ่ การที่เด็กสนิทกับปู่ย่า ตายาย ทำให้ได้มีโอกาสติดตามไปที่ต่างๆ เช่น วัด งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ทำให้เด็กได้รู้วัฒนธรรมของท้องถิ่น เพลงโคราช เป็นศิลปะ วัฒนธรรมพื้นบ้านของจังหวัดนครราชสีมาหรือโคราช ซึ่งได้สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน โดยเพลงโคราชนั้นมีเอกลักษณ์การร้องรำเป็นภาษาโคราช ซึ่งมีความไพเราะ ทำให้เกิดความเพลิดเพลินและสนุกสนาน แต่ปัจจุบันเพลงโคราชค่อยๆ ได้รับความนิยมและความสนใจน้อยลง พวกเราจึงควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์ และสืบสานศิลปวัฒนธรรมอันดีงามนี้ไว้ เพื่อให้ลูกหลานของเราได้สัมผัส ได้รับชมและรับความสนุกสนานเพลิดเพลินดีกว่าการเล่าขานเป็นตำนาน . ประวัติเพลงโคราช ประวัติของเพลงโคราชนั้นมีการเล่าขานกันมาว่า มีนายพรานคนหนึ่งชื่อ เพชรน้อย ออกไปล่าสัตว์ ในเขตหนองบุนนาก บ้านหนองบุนนาก อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา คืนหนึ่งแกไปพบลูกสาวพญานาค ขึ้นมาจากหนองน้ำ มานั่งร้องเพลงคนเดียว พรานเพชรน้อยได้ยินเสียง จึงแอบเข้าไปฟังใกล้ ๆ แกประทับใจ ในความไพเราะ และเนื้อหาของเพลง จึงจำเนื้อและทำนองมาร้องให้คนอื่นฟัง ลักษณะเพลงที่ร้องเป็นเพลงก้อม หรือเพลงคู่สอง อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ชาวโคราชได้เพลงโคราชมาจากอินเดีย โดยพระยาเข็มเพชรเป็นผู้นำมาพร้อมๆ กับลิเก และลำตัด โดยให้ลิเกอยู่กรุงเทพฯ ลำตัดอยู่ภาคกลาง และเพลงโคราชอยู่ที่นครราชสีมา เพลงโคราชระยะแรกๆ เป็นแบบเพลงก้อม คนที่เรียนรู้เพลงโคราช จากพระยาเข็มเพชร ชื่อตาจัน บ้านสก อยู่ "ซุมบ้านสก" ติดกับ สถานีรถไฟชุมทางถนนจิระ ตำนานทั้งสองถึงเม้จะต่างกันในด้านกำเนิดแต่ตรงกันอย่างหนึ่งที่กล่าวว่าเพลงโคราชระยะแรกเล่นแบบเพลงก้อม ก้อม เป็นภาษาโคราชและภาษาอีสาน แปลว่า สั้น เพลงก้อมหมายถึง เพลงสั้น ๆ ว่าโต้ตอบกล่าวลอย ๆ ทั้งที่มีความหมายลึกซึ้ง หรือไม่มีความหมายเลยก็ได้ เพลงโคราชจะเริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด หลักฐานจากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมา มีเพียงว่า สมัยท้าวสุรนารี ( คุณย่าโม ) ยังมีชีวิตอยู่ ( พ.ศ. 2313 ถึง 2395 ) ท่านชอบเพลงโคราชมาก เรื่องราวของเพลงโคราชได้ปรากฏหลัดฐานชัดเจน คือในปี พ.ศ. 2456 ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมานครราชสีมาทรงเปิดถนนจอมสุรางค์ยาตร์ และเสด็จไปพิมาย ในโอกาสรับเสด็จครั้งนั้น หมอเพลงชายรุ่นเก่าชื่อเสียงโด่งดังมากชื่อนายหรี่ บ้านสวนข่า ได้มีโอกาสเล่นเพลงโคราชถวาย เพลงที่เล่นใช้เพลงหลัก เช่น กลอนเพลงที่ว่า " ข้าพเจ้านายหรี่อยู่บุรีโคราชเป็นนักเลงเพลงหัด บ่าวพระยากำแหง ฯ เจ้าคุณเทศา ท่านตั้งให้เป็นขุนนาง .....ตำแหน่ง " ความอีกตอนเอ่ยถึงการรับเสด็จว่า " ได้สดับว่าจะรับเสด็จเพื่อเฉลิมพระเดชพระจอมแผ่นดิน โห่สามลา ฮาสามหลั่นเสียงสนั่น....ธานินทร์ " ( สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษประจำกรมทหารม้านครราชสีมา จนถึง พ.ศ. 2462 เมื่อเสด็จนครราชสีมา นายหรี่ สวนข่า ก็มีโอกาสเล่นเพลงถวาย ) เพลงโคราชมีโอกาสเล่นถวายหน้าพระที่นั่งในงานชุมนุมลูกเสือครั้งที่ 1 ในนามการแสดงมหรสพของมณฑลนครราชสีมา เกี่ยวกับกำเนิดของเพลงโคราช มีทั้งที่เป็นคำเล่าและตำนานหลักฐานจากคำบอกเล่าของหมอเพลงอีกจำนวนหนึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยรัตนโกสินทร์มีสงครามระหว่างไทยกับเขมร เมื่อไทยชนะสงครามเขมรครั้งไร ชาวบ้านจะมีการเฉลิมฉลองชัยชนะ ด้วยการขับร้องและร่ายรำกันในหมู่สกที่เขาเรียกว่า " ซุมบ้านสก " ใกล้ ๆ กับชุมทางรถไฟ ถนนจิระและเริ่มเล่นเพลงโคราชกันที่หมู่บ้านนี้ ท่าทางการรำรุกรำถอย และการป้องหู มีผู้สันนิษฐานว่าประยุกต์มาจากการเล่นเจรียง ที่เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวสุรินทร์ผสมผสาน กับเพลงทรงเครื่องของภาคกลาง ประเภทของเพลงโคราช การแบ่งประเภทของเพลงโคราชนั้น แบ่งได้หลายวิธี พอจะแยกกล่าวได้ดังนี้ 1. แบ่งตามโอกาสที่จะเล่น ได้ 2 ประเภท เพลงอาชีพ ได้แก่ เพลงโคราชที่เล่นเป็นอาชีพ มีการว่าจ้างเป็นเงินตามราคาที่กำหนด เพลงประเภทนี้จะเล่นในงานฉลองหรือสมโภชต่าง ๆ เช่น งานศพ งานบวชนาค ทอดกฐินงานประจำปี หรือเล่นแก้บน ผู้ประกอบอาชีพเพลงโคราชนี้เรียกว่า " หมอเพลง" การเล่นจะเล่นเป็นพิธีการ มีเวที การแต่งกายตามแบบของหมอเพลงและมีการยกครูเป็นต้น เพลงชาวบ้าน เพลงประเภทนี้ เป็นเพลงของชาวบ้านที่ร้องเล่นกันในยามว่างงานเพื่อความสนุกสนาน เช่น ในงานลงแขก ไถนา หรือเกี่ยวข้าว หรือพบปะพูดคุยกันในวงสุราชาวบ้านที่ว่าเพลงได้ จะว่าเพลงโต้ตอบกันเพื่อความสนุกสนาน ไม่มีพิธีรีตอง ไม่ต้องสร้างเวทีหรือ " โรงเพลง " และไม่มีการแต่งกายแบบหมอเพลงอาชีพ 2. แบ่งตามวิวัฒนาการของเพลงโคราช ตั้งแต่ยุคแรกมาจนถึงยุคปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่เพลงสั้น ๆ มาจนถึงเพลงยาว ๆ ที่ใช้เล่นกันในปัจจุบันนี้แบ่งได้ 5 ประเภท คือ 2.1 เพลงขัดอัน เป็นเพลงสั้น ๆ มีสัมผัสอยู่แห่งเดียว คือ ระหว่างวรรคที่ 1 กับวรรคที่ 2 เท่านั้น ส่วนวรรคที่ 3 และ 4 ไม่มีสัมผัส ( สัมผัสที่ใช้เป็นสัมผัสสระ ) เช่น 2.1.1 เอ้อเอ่อ....สะรุสะระ อีแม่กะทะขั่วถั่ว เมิ้ดบุญผัวแล้ว เหมือนไข่ไก่ร่างรัง 2.1.2 เอ้อเอ่อ....สะรุสะระ อีแม่กะทะขั่วหมี่ รู้ว่ากินไม่เมิ้ด มึงจิขั่วมากทำไม ( ในข้อ 2.1.2 นี้ จะเห็นได้ว่ามีการเล่นอักษรเพิ่มเข้ามาแต่ยังไม่บังคับ ลักษณะนี้จะกลายเป็นสัมผัสบังคับในสมัยหลัง ) 2.2 เพลงก้อม เป็นเพลงสั้น ๆ เช่นเดียวกับเพลงขัดอัน แต่เพิ่มสัมผัสในระหว่างวรรคที่ 3 และ 4 ซึ่งไม่มีในในเพลงขัดอัน เช่น ทำกะต้องกะแต้ง อยู่เหมือนกะแต๋งคอกะติก ขอให่พี่ซักหน่อย จะเอาไปฝากถ่วยน่ามพริก 2.3 เพลงหลัก เป็นเพลงที่เพิ่มจำนวนวรรคจาก 4 วรรคในเพลง 2 ประเภทต้นมาเป็น 6 วรรค เพลงประเภทนี้จะเห็นว่าการเริ่มใช้สัมผัสประเภทอักษรเด่นชัดขึ้นเช่น 2.3.1 อันคนเราทุกวัน เปรียบกันกะโคม พอคนโห่ควันโหม ก็ลอยบนเวหา พอเมิ้ดควันโคมคืน ก็ต๊กลงพื้นสุธา...ใหญ่ 2.3.2 เกษาว่าผม แก่แล้วบานผี เมื่อผมดำงามดี ก็ลับมาหายดำ ไม่เป็นผลดีดอกผม จะไม่นิยมมันทำ...ไม 2.4 เพลงสมัยปัจจุบัน คือเพลงที่ใช้ร้องเล่นกันในปัจจุบัน มีขนาดยาวกว่าสมัยก่อน ๆ แต่ถ้าร้องจะร้องช้าบางทีจังหวะไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับผู้ร้อง ร้องช้าหรือร้องเร็วไม่สม่ำเสมอเช่น โอ้โอ่ ...... ประเทศของไทยเราถึงคราวแคบ มันต้องมีคนแอบดอกนาพี่เอย .......คนแฝงเพลงโคราช สมัยเจริญจ้างเป็นเงินมาก็แพง .......เองจะว่ากันยังไงจะถูกใจคนฟังขอให้หนุ่มนำหน้าพอ .......เหนื่อยมาจะนำนอน ถ้าเข่าใจครรไลจร ให้ชี่นิ่วนำทาง .......อุปมาเหมือนยังพระ.....เดินนำเณร (ตบมือ) สมัยวิวัฒน์พัฒนา เขาก้าวหน่ามิใช่น่อย มาฉันจะเดินซ่อนรอย ขอแต่ให้พี่ชายนำ ถ้ายังไม่จรจะนำไปถึงจุ๊ด ฉันคงไม่ยุ๊ดพยายาม จะนำน้องเข่าไปเขาใหญ่ หรือดงพญา....เย็น 2.5 เพลงจังหวะรำ เพลงประเภทนี้ เป็นที่ใช้ร้องกันอยู่ในสมัยปัจจุบันเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในข้อ 2.4 แตกต่างกันที่ตรงจังหวะรำนี้จะเล่นสัมผัสมาก และสม่ำเสมอ สามารถเคาะจังหวะตามได้ และขณะที่ร้อง ผู้ร้องจะรำขย่มตัวไปตามจังหวะเพลงด้วย โดยจะเริ่มรำเมื่อว่าไปแล้วประมาณ 4 วรรค เพราะใน 4 วรรคต้นนี้จังหวะยังไม่กระชั้นหรือคงที่ อาจช้าบ้างเร็วบ้าง จะรำด้วยก็ได้แต่เป็นการรำช้า ๆ ไปรำจังหวะเร็วที่วรรคที่ 5 - 8 เป็นการจบท่อนแรก พร้อมทั้งตบมือ 1 ครั้ง พอขึ้นท่อนที่ 2 จะร้องช้าลงเพื่อเตรียมจบหรือเตรียมลง การรำหลอกล่อกันระหว่างชายและหญิง คือถ้าฝ่ายชายร้อง ฝ่ายหญิงก็จะรำด้วย ถ้าฝ่ายหญิงร้องฝ่ายชายก็จะรำด้วย การรำจึงเป็นการรำทีละคู่ 3. แบ่งตามลักษณะกลอน จะได้เป็น 5 ประเภทคือ เพลงคู่สอง เพลงคู่สี่ เพลงคู่แปด และเพลงคู่สิบสอง การแบ่งเช่นนี้ เป็นการกำหนดประเภทคล้ายแบบที่แบ่งตามวิวัฒนาการนั่นเอง คือเพลงคู่สองกับคู่สี่ เป็นเพลงก้อม ส่วนเพลงคู่หก กับคู่แปดเป็นเพลงที่ใช้ร้องกันในปัจจุบัน ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ในด้านจำนวนคำในวรรค ส่วนเพลงคู่สิบสองนั้นเป็นเพลงที่ดัดแปลง มาจากเพลงคู่แปด โดยเพิ่มจำนวนคำ ในวรรคมากขึ้น และร้องเร็วมาก จังหวะถี่ยังไม่แพร่หลายนักในปัจจุบัน เพราะหมอเพลงส่วนใหญ่ จะคิดคำไม่ทัน กับที่ต้องว่าเร็ว ๆ จึงปรากฏให้เห็น เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 4. แบ่งตามเนื้อหาของเพลง จะได้หลายชนิด เช่น เพลงเกริ่น เพลงเชิญ เพลงไหว้ครู เพลงถามข่าว เพลงชวน เพลงชมนกชมไม้ เพลงเกี้ยวเพลงเปรียบ เพลงสาบาน เพลงด่า เพลงคร่ำครวญ เพลงสู่ขอ เพลงเกี้ยวแกมจาก เพลงจาก เพลงลา เพลงพาหนี เพลงปลอบ เพลงไหว้พระ เพลงตัวเดียว เพลงเรื่อง ( นิทาน ) เป็นต้น อ้างอิง ชาวไท ชาวไทย กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย
97227
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%81
ภาษาซาไก
ภาษาซาไก (Kensiu) หรือภาษาเกนซีอู ภาษาโอรัง บูกิต ภาษาโมนิก ภาษาเมนดี มีผู้พูดทั้งหมด 3,300 คน พบในมาเลเซีย 3,000 คน (พ.ศ. 2527) ในบริเวณตอนเหนือของรัฐเกอดะฮ์ใกล้กับชายแดนไทย พบในไทย 300 คน ทางใต้ของจังหวัดยะลา พัทลุง สตูล นราธิวาส ตามแนวชายแดนมาเลเซีย จัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ภาษากลุ่มมอญ-เขมร สาขาอัสเลียน สาขาย่อยอัสเลียนเหนือ มีคำยืมจากภาษามลายูปะปนอยู่มากเช่น ปะยง (พระจันทร์, ภาษามลายูหมายถึงร่ม) ตาโก๊ะ (เสือ, ภาษามลายูหมายถึงกลัว) ชาวซาไกที่ติดต่อกับคนไทยรับคำยืมจากภาษาไทยด้วยเช่นเดียวกัน ภาษาซาไกมีเสียงนาสิกแต่ไม่มีเสียงควบกล้ำและเสียงวรรณยุกต์ เป็นภาษาคำโดด มีลักษณะของภาษาคำติดต่ออยู่บ้างแต่ไม่มากนัก อ้างอิง สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่ม ๕. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพานิชย์. 2542. Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. ซาไก ซาไก
97228
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%99
ภาษาพวน
ภาษาพวน หรือ ภาษาลาวพวน เป็นภาษาในตระกูลขร้า-ไทที่มีผู้พูดในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา โดยเป็นภาษาของชาวไทพวนหรือลาวพวน คำศัพท์ใกล้เคียงกับภาษาลาวและภาษาไทยถิ่นอีสานมากกว่าภาษาไทยภาคกลางและเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกันกับภาษาผู้ไทมาก มีเสียงพยัญชนะ 20 เสียง เป็นตัวสะกดได้ 9 เสียง มีเสียงควบกล้ำเฉพาะ /คฺว/ เท่านั้น สระมี 21 เสียง เป็นสระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 3 เสียง วรรณยุกต์มี 6 เสียง ลักษณะเด่นของคำพวนเช่น ถ้าใช้ ก เป็นตัวสะกดจะไม่ออกเสียงตัวสะกด ดังเช่น หูก พวนออกเสียงเป็น หุ ปาก พวนออกเสียงเป็น ปะ แบก พวนออกเสียง แบะ ส่วนคำที่ใช้สระใอไม้ม้วน (สระ ใ-) จะออกเสียงเป็น สระเออ เช่น บ้านใต้ พวนออกเสียงเป็น บ้านเต้อ ใกล้ พวนออกเสียงเป็น เค่อ ให้ พวนออกเสียงเป็น เห้อ ส่วนสระไอไม้มลาย (สระ ไ-) จะออกเสียงตามรูป เช่น ผัดไทยใส่ไข่ พวนออกเสียงเป็น ผัดไทยเส่อไข่ จะไม่พูดว่า ผัดเทอเส่อเข่อ ไม่มีเสียง ช ซึ่งจะออกเสียงเป็น ซ แทน เช่น ช้าง เป็น ซ้าง ช่วย เป็น ซ่อย ไม่มีเสียง ร ซึ่งมักจะออกเป็น ฮ แทน เช่น เรือน เป็น เฮือน ร่ำเรียน เป็น ฮ่ำเฮียน ไร่นา เป็น ไฮ่นา การออกเสียง ย และ ญ ลักษณะการออกเสียงของภาษาไทยนั้น ลิ้นจะอยู่กลางปาก แต่การออกเสียงของคนพวน ลิ้นจะแตะเพดานปากด้านหน้า ตัวอย่างคำ อ้างอิง วีระพงศ์ มีสถาน. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ พวน. สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท. 2539. พวน พวน
97229
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99
ภาษาเมี่ยน
ภาษาเมี่ยนเป็นภาษาตระกูลจีน-ทิเบต สาขาแม้ว-เย้า คำศัพท์ใกล้เคียงกับภาษาจีนกวางตุ้ง เขียนด้วยอักษรจีน มีพยัญชนะ 33 เสียง เป็นตัวสะกดได้ 9 เสียง สระมี 10 เสียง เป็นสระเดี่ยว 8 เสียง สระประสม 2 เสียง ไวยากรณ์ เป็นภาษาคำโดด ไม่มีการผันคำตามกาล คำขยายอยู่หลังคำถูกขยาย เช่น อ่วม (น้ำ) + จอม (ร้อน) เป็น อ่วมจอม (น้ำร้อน) เรียงประโยคแบบ ประธาน-กริยา-กรรม อ้างอิง ณัฏฐวี ทศรฐ และวีระพงศ์ มีสถาน. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธ์ เมี่ยน(เย้า). สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท. 2540. มเยน มเยน
97959
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99
ภาษาอีสาน
ภาษาอีสาน หรือ ภาษาลาวอีสาน หรือ ภาษาไทยถิ่นตะวันออกเฉียงเหนือ หรือที่นิยมกล่าวถึงในเอกสารราชการไทยว่า ภาษาไทยถิ่นอีสาน เป็นการพัฒนาในท้องถิ่นของภาษาลาวในประเทศไทย ผู้พูดในท้องถิ่นยังคงคิดว่าเป็นภาษาลาว รัฐบาลไทยยอมรับภาษานี้เป็นสำเนียงภาษาไทย ทั้งชาวไทยและลาวมีความเข้าใจร่วมกันยาก เพราะแม้ว่าจะมีคำร่วมเชื้อสายในพจนานุกรมกว่าร้อยละ 80 ทั้งลาวและอีสานมีระดับเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างกันมากและมักใช้คำจากภาษาไทย จึงทำให้เกิดการขัดขวางความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่มีการเปิดรับก่อน ภาคอีสานมีบริเวณทางการเกษตรเป็นจำนวนมากและเป็นหนึ่งในภาคที่ยากจนและพัฒนาช้าที่สุดในประเทศไทย ด้วยชาวภาคอีสานหลายที่คนที่ไม่ค่อยมีการศึกษามักไปทำงานที่กรุงเทพหรือเมืองอื่นและแม้แต่ต่างประเทศในฐานะคนงาน, คนทำอาหาร, คนขับแท็กซี, คนงานก่อสร้าง และอื่น ๆ รวมกับอคติทางประวัติศาสตร์อย่างเปิดเผยต่อชาวภาคอีสานและภาษาของพวกเขา ได้เป็นเชื้อเพลิงของความเข้าใจในแง่ลบในภาษานี้ ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ตัวภาษาได้เปลี่ยนภาษาไปเป็นภาษาไทยอย่างช้า ๆ ส่งผลถึงความอยู่รอดของภาษา อย่างไรก็ตาม ด้วยมุมมองที่ผ่อนคลายลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ทางนักวิชาการไทยในมหาวิทยาลัยในภาคอีสานได้ดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับภาษานี้ โดยบางส่วนได้เริ่มมีผลในการช่วยรักษาภาษาที่กำลังหายไป อุปถัมภ์ด้วยการเติบโตในด้านการรับรู้และชื่นชมวัฒนธรรม, วรรณกรรม และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สำเนียง ภาษานี้แบ่งออกเป็น 6 สำเนียงใหญ่ คือ ภาษาลาวเวียงจันทน์ ใช้ในประเทศลาว ท้องที่นครหลวงเวียงจันทน์ แขวงบอลิคำไซ และในประเทศไทยท้องที่จังหวัดชัยภูมิ หนองบัวลำภู หนองคาย บึงกาฬ ขอนแก่น (อำเภอภูเวียง ชุมแพ สีชมพู ภูผาม่าน หนองนาคำ เวียงเก่า หนองเรือบางหมู่บ้าน โคกโพธิ์ไชยบางหมู่บ้าน) ยโสธร (อำเภอเมืองยโสธร ทรายมูล กุดชุม บางหมู่บ้าน) อุดรธานี (อำเภอบ้านผือ เพ็ญ บางหมู่บ้าน) ศรีสะเกษ (ในบางหมู่บ้านของอำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ) นครราชสีมา (อำเภอสูงเนิน ปักธงชัย) ภาษาลาวเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงหลวงพระบาง ไซยะบุรี อุดมไซ ในประเทศไทยท้องที่จังหวัดเลย อุตรดิตถ์ (อำเภอบ้านโคก น้ำปาด ฟากท่า) เพชรบูรณ์ (อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า น้ำหนาว) ขอนแก่น (อำเภอภูผาม่าน และบางหมู่บ้านของอำเภอสีชมพู ชุมแพ) ชัยภูมิ (อำเภอคอนสาร) พิษณุโลก (อำเภอชาติตระการและนครไทยบางหมู่บ้าน) หนองคาย (อำเภอสังคม) อุดรธานี (อำเภอน้ำโสม นายูง บางหมู่บ้าน) ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงเชียงขวาง หัวพัน ในประเทศไทยท้องที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และบางหมู่บ้านในจังหวัดสกลนคร หนองคาย(บางหมู่บ้านในอำเภอท่าบ่อ อำเภอศรีเชียงใหม่ และอำเภอโพธิ์ตาก) และยังมีชุมชนลาวพวนในภาคเหนือบางแห่งในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้น ภาษาลาวกลาง แยกออกเป็นสำเนียงถิ่น 2 สำเนียงใหญ่ คือ ภาษาลาวกลางถิ่นคำม่วน และถิ่นสุวรรณเขต ถิ่นคำม่วน จังหวัดที่พูดในประเทศไทย เช่น จังหวัดนครพนม สกลนคร บึงกาฬ (อำเภอเซกา บึงโขงหลง บางหมู่บ้าน) ถิ่นสุวรรณเขต จังหวัดที่พูดมีจังหวัดเดียว คือ จังหวัดมุกดาหาร ภาษาลาวใต้ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงจำปาศักดิ์ สาละวัน เซกอง อัตตะปือ จังหวัดที่พูดในประเทศไทย จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร สุรินทร์ (อำเภอรัตนบุรี) ภาษาลาวตะวันตก (ภาษาลาวร้อยเอ็ดหรือภาษาลาวอีสาน) ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ท้องที่จังหวัดร้อยเอ็ด​ อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม บุรีรัมย์ หนองคาย (บางหมู่บ้าน) นครราชสีมา (อำเภอบัวใหญ่ บัวลาย สีดา แก้งสนามนาง ประทาย โนนแดง บ้านเหลื่อม เมืองยาง ลำทะเมนชัย คง ห้วยแถลง ชุมพวง จักราช) และบริเวณใกล้เคียงมณฑลร้อยเอ็ดของสยาม สำเนียงนี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในพื้นที่ส่วนมากของภาคอีสานสำเนียงนี้ส่วนมากจะใช้"สระเอียแทนสระเอือ"ในปัจจุบันจนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสำเนียงกลางหรือสำเนียงมาตรฐานของภาษาอีสาน เทียบเท่ากับ แหลงใต้ อู้คำเมือง พูดไทยกลาง ของแต่ละภาค ส่วนภาษาเขียนในอดีตใช้อักษรธรรมล้านช้างหรือตัวธรรม สำหรับบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะหรือพระพุทธศาสนา และเขียนด้วยอักษรไทน้อยหรือตัวลาวเดิม (เป็นอักษรลาวล้านช้างโบราณ มีความแตกต่างกับอักษรลาวในประเทศลาวในปัจจุบันเล็กน้อย) สำหรับเรื่องราวทางโลก อักษรลาวล้านช้าง (ตัวลาวหรืออักษรไทน้อย) มีพยัญชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือแต่จะใช้สระเอียแทน ในปัจจุบันนิยมใช้อักษรไทยสำหรับเขียนบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งในทางโลกและทางธรรม เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านตัวอักษรธรรมและอักษรลาวออก แต่ความนิยมในการเขียนบันทึกเป็นภาษาถิ่นไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก โดยส่วนใหญ่ภาษาเขียนในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยจะใช้อักษรไทยและบันทึกเป็นภาษาไทยกลางเป็นหลักแทน อ้างอิง อ่านเพิ่ม Hayashi, Yukio. (2003). Practical Buddhism among the Thai-Lao. Trans Pacific Press. . เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์. ภาษาถิ่นตระกูลไทย. กทม. สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบทมหาวิทยาลัยมหิดล. 2531. อีสานร้อยแปด. พจนานุกรมภาษาอีสาน. อีสาน : https://esan108.com/dict แหล่งข้อมูลอื่น Basic Isaan phrases (Some basic Isaan phrases with sound files). McCargo, Duncan, and Krisadawan Hongladarom. "Contesting Isan‐ness: discourses of politics and identity in Northeast Thailand." Asian Ethnicity 5.2 (2004): 219-234. พจนานุกรมภาษาอีสาน โครงการอักษรอีสาน อักษรไทน้อย ความเป็นมาของอักษรไทยน้อย ความเป็นมาของอักษรธรรมอีสาน กลุ่มภาษาไท ไทยถิ่นอีสาน
97970
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%AD
ภาษาญ้อ
ภาษาญ้อ (Nyaw) หรือ ภาษาไทญ้อ (Tai Yo/Tai Nyaw) หรือ ภาษาไทแมน (Tai Mène) หรือ ภาษาย้อ เป็นภาษากลุ่มไทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความใกล้ชิดกับภาษาไทเปาในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Tai Do และ Tai Quy Chau เดิมเคยเขียนเป็นอักษรไทญ้อ แต่ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว ภาษานี้พูดกันในหมู่ชาวไทญ้อซึ่งมีอยู่ในประเทศไทยราว 50,000 คน (พ.ศ. 2533) ในจังหวัดสกลนคร หนองคาย นครพนม มหาสารคาม ปราจีนบุรี และสระบุรี พบได้มากที่อำเภอนาหว้า อำเภอท่าอุเทน อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอศรีสงคราม อำเภอสว่างแดนดิน อำเภอเมืองสกลนคร อำเภออรัญประเทศ เป็นต้น ส่วนใหญ่อพยพมาจากทางตอนเหนือของแขวงหลวงพระบาง และแขวงคำม่วนประเทศลาว ภาษาญ้อจัดอยู่ในตระกูลภาษาขร้า-ไท มีพยัญชนะ 19 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 3 เสียง วรรณยุกต์ 4 เสียง พยัญชนะควบกล้ำ 6 เสียง อ้างอิง อ่านเพิ่ม Boonsner, Thepbangon. 1982. An Introduction to the Nɔɔ dialect. Nantaporn Ninjinda. 1989. A Lexical Study of Nyo Spoken in Sahon Nakhon, Nakhon Phanom, and Prachin Buri. Silpakorn University (in Thai). Pacqement, Jean. 2018. The Nyo language spoken at Kut Kho Kan village (Loeng Nok Tha district, Yasothon province): A Language Documentation Research at Roi Et Rajabhat University. Sikkha Journal of Education 5(2). Nakhon Ratchasima: Vongchavalitkul University. เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์. ภาษาถิ่นตระกูลไทย. กทม. สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบทมหาวิทยาลัยมหิดล. 2531. Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. บรรณานุกรม Chamberlain, James R. 1983. The Tai Dialects of Khammouan Province: Their Diversity and Origins. 16th International Conference on Sino-Tibetan Language and Linguistics, 16–18 September (Seattle, Washington, 1983) Chamberlain, James R. 1991. "Mène: A Tai dialect originally spoken in Nghệ An (Nghệ Tinh), Vietnam -- preliminary linguistic observations and historical implications." Journal of the Siam Society 79(2):103-123. Chamberlain, James R. 1998. "The Origin of the Sek: Implications for Tai and Vietnamese History". Journal of the Siam Society 86.1 & 86.2: 27-48. Finot, Louis. 1917. Recherches sur la Littérature Laotienne. BEFEO 17.5. Robequain, Charles. 1929. Le Thanh Hoá. EFEO, Paris et Bruxelles. Thananan, Trongdee. 2014. "The Lao-speaking Nyo in Banteay Meanchey Province of Cambodia". In Research Findings in Southeast Asian Linguistics, a Festschrift in Honor of Professor Pranee Kullavanijaya. Manusya, Special Issue 20. Bangkok: Chulalongkorn University Press. ญ้อ ญ้อ ญ้อ ญ้อ
98836
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD
ภาษากะเหรี่ยงสะกอ
ภาษากะเหรี่ยงสะกอ (S'gaw Karen) หรือ ภาษากะเหรี่ยงขาว หรือ ภาษาปกาเกอะญอ เป็นภาษาของชาวกะเหรี่ยงสะกอ มีผู้พูดทั้งหมด 1,584,700 คน พบในพม่า 1,284,700 คน (พ.ศ. 2526) ในลุ่มแม่น้ำอิระวดี ในไทยพบ 300,000 คน (พ.ศ. 2530) ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย ใกล้แนวชายแดนพม่า ผู้พูดส่วนใหญ่นับถือความเชื่อดั้งเดิมหรือศาสนาคริสต์จัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ภาษากลุ่มทิเบต-พม่า สาขากะเหรี่ยง สาขาย่อยสะกอ-บไฆ เรียงประโยคแบบประธาน-กริยา-กรรม สัทวิทยา มีเสียงพยัญชนะต้นมากกว่าภาษาไทย ไม่มีเสียงตัวสะกด มีเสียงพยัญชนะควบกล้ำมาก นอกจากกล้ำกับเสียง ร ล ว แล้ว ยังกล้ำกับเสียง ก (คล้ายเสียง g ในภาษาอังกฤษ) และเสียง ย ได้ด้วย มีสระเดี่ยวเท่ากับภาษาไทย แต่ความสั้นยาวของสระไม่มีนัยสำคัญทางภาษาศาสตร์ เสียงวรรณยุกต์มี 5 เสียง คือ เสียงกลาง-ระดับ อาจมีเสียงขึ้นหรือตกเล็กน้อยในตอนท้าย คล้ายเสียงสามัญในภาษาไทย เสียงกลาง-ตก คล้ายเสียงเอกกึ่งเสียงโทในภาษาไทย มีลมออกมามากกว่าปกติทำให้เสียงต่ำทุ้ม เสียงสูงขึ้น-ตก คล้ายเสียงตรีกึ่งเสียงโทในภาษาไทย แต่เสียงสูงกว่าเล็กน้อย เสียงสูง-ระดับ เกิดกับคำตายเสียงสั้น คล้ายกับเสียงตรีในคำตายเสียงสั้นในภาษาไทย เช่น พะ โต๊ะ เสียงต่ำ-ระดับ เกิดเฉพาะคำตายเสียงสั้นเท่านั้นคล้ายกับเสียงเอกนำตายเสียงสั้นในภาษาไทย เช่น แกะ จุ ปะ ตัวอย่างภาษาะเหรี่ยงสะกอ ได้แก่ ต่า กุ๊ ญ่า ถ่อ เตอ แจ๊ะ หา = อาการดีขึ้นหรือยัง ซฺวี่ ถ่อ เตอ เจ๊ะ เตอ เจ๊ะ = เลือดออกซิบๆ การเขียนด้วยอักษรโรมัน สระ a ตรงกับสระอาในภาษาไทยหรือเสียง a ในภาษาสเปนและภาษาอิตาลี e ตรงกับสระเออในภาษาไทยหรือเสียงe ในภาษาฝรั่งเศส i ตรงกับสระอีในภาษาไทยหรือเสียงe ในภาษาสเปนและภาษาอิตาลี o ตรงกับสระโอในภาษาไทยหรือเสียง o ของภาษาสเปน u ไม่ตรงกับสระในภาษาไทยเป็นเสียงที่อยู่ระหว่างสระอูกับสระอือ หรือระหว่าง u กับ i ในภาษาสเปน ai ตรงกับสระแอในภาษาไทย ei ตรงกับสระเอในภาษาไทย au ตรงกับสระออในภาษาไทย oo ตรงกับสระอูในภาษาไทย ' ตรงกับสระเออะในภาษาไทย เป็นเสียงสั้นๆ พยัญชนะ k ตรงกับไทย ก เช่น ka = ก๊ะ hk ตรงกับไทย ค เช่น hka = คะ g เหมือน g ในภาษาอังกฤษ แต่เป็นเสียงในลำคอมากกว่าภาษาอังกฤษ q ออกเสียงในลำคอพร้อมกับพ่นเสียง คล้าย j ในภาษาสเปน ng ตรงกับภาษาไทย ง c ตรงกับภาษาไทย จ คล้ายกับเสียง ch ในภาษาอังกฤษแต่เสียงเบกว่า ns ตรงกับภาษาไทย ช คล้ายเสียง ch ในภาษาสเปน ny ตรงกับภาษาไทย ญ หรือเสียง n ในภาษาสเปน t ตรงกับภาษาไทย ต ht ตรงกับภาษาไทย ท d ตรงกับภาษาไทย ด n ตรงกับภาษาไทย น p ตรงกับภาษาไทย ป หรือ p ในภาษาสเปน hp ตรงกับภาษาไทย พ หรือ p ในภาษาอังกฤษ b ตรงกับภาษาไทย บ m ตรงกับภาษาไทย ม y ตรงกับภาษาไทย ย แต่มีชาวกะเหรี่ยงบางกลุ่มออกเสียงคล้าย z ในภาษาอังกฤษ r ตรงกับภาษาไทย ร หรือ r ในภาษาสเปน l ตรงกับภาษาไทย ล w เป็นเสียงระหว่างไรฟัน v หรือเสียง f เบาๆ s ตรงกับภาษาไทย ซ h ตรงกับภาษาไทย ฮ หรือ j ในภาษาสเปน eh ตรงกับภาษาไทย เอ้อ ah ตรงกับภาษาไทย อ๋า วรรณยุกต์ การเขียนวรรณยุกต์ในภาษากะเหรี่ยงมีสองแบบคือแบบที่แทนด้วยตัวสะกด นิยมใช้ในการพิมพ์ กับแบบที่ใส่เป็นเครื่องหมายบนสระ นิยมใช้กับการเขียนด้วยมือ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ av หรือ ă เป็นเสียงสูงกลาง ออกเสียงในเวลาสั้นๆ คล้ายเสียงตรีในภาษาไทย aj หรือ à เสียงกลาง-ตก คล้ายเสียงเอกกึ่งเสียงโทในภาษาไทย af หรือ ä เสียงสูงขึ้น-ตก คล้ายเสียงตรีกึ่งเสียงโทในภาษาไทย ax หรือ â เสียงต่ำ ออกเสียงในเวลาสั้น คล้ายเสียงเอกในภาษาไทย az หรือ ā เสียงกลาง ออกเสียงยาว คล้ายเสียงสามัญในภาษาไทย a เสียงกลางสูง ออกเสียงปกติแต่สั้นกว่า az ไวยากรณ์ สรรพนาม y' บุรุษที่หนึ่งเอกพจน์ เป็นประธานของประโยค yaz บุรุษที่หนึ่งเอกพจน์ เป็นกรรม p'waiseif บุรุษที่ 1 พหูพจน์ เป็นได้ทั้งกรรมและประธาน pgaz บุรุษที่ 1 พหูพจน์ เป็นกรรม naz บุรุษที่สองเป็นกรรม n' บุรุษที่สอง เป็นประธาน su หรือ suwaiseif บุรุษที่ 2 พหูพจน์ เป็นได้ทั้งกรรมและประธาน av หรือ av wei บุรุษที่สาม เอกพจน์ เป็นได้ทั้งกรรมและประธาน และใช้กับสิ่งไม่มีชีวิตและสัตว์ได้ด้วย auz บุรุษที่ 3 ใช้ได้กับทั้งมีและไม่มีชีวิต แต่เป็นกรรมเท่านั้น คุณศัพท์ วางไว้ข้างหลังคำนามที่ขยาย คำวิเศษณ์อยู่ข้างหลังคำกริยาที่ขยายเช่นกัน ประโยค โครงสร้างประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา คำที่ใช้บอกหน้าที่ของคำเป็นแบบปรบท อ้างอิง โยเซฟ เซกีมอต. พจนานุกรมปกาเกอะญอ-ไทย-ฝรั่งเศส-อังกฤษ.กทม. หน้าต่างสู่โลกกว้าง. 2549 ศัพทานุกรมไทย-คำเมือง-ม้งขาว-กะเหรี่ยงสะกอ-มูเซอดำ สำหรับแพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชนบท. กทม. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2530. Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. แหล่งข้อมูลอื่น S'gaw Karen Grammar S'gaw Karen Dictionary S'gaw Karen Bible S'gaw Karen Picture Bible SEAlang Library S'gaw Karen Dictionary Drum Publication Group Free Anglo-Karen Dictionary Drum Publication Group—Online S'gaw Karen language materials. Includes an online English – S'gaw Karen Dictionary. Karen Teacher Working Group—Several Karen fonts available for download. กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงสะกอ
98839
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%9B
ภาษากะเหรี่ยงโป
ภาษากะเหรี่ยงโปวฺ เป็นภาษาของชาวกะเหรี่ยงโปวฺ มีพยัญชนะต้นเดี่ยว 23 เสียง มีเสียงพยัญชนะควบกล้ำมากโดยวบกับ ล ร ว และ ย ไม่มีความแตกต่างระหว่างสระเสียงสั้นกับสระเสียงยาว สระเดี่ยวมี 9 เสียง สระประสมมี 5 เสียง เสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง ไม่มีเสียงตัวสะกด ไวยากรณ์ การเรียงประโยคเป็น ประธาน-กริยา-กรรม เช่น ทุย อัยงฺ หมี่ หญ่อ = หมากัดแมว ประโยคปฏิเสธใช้คำว่า เอ หรือ บา หรือ วา ต่อท้ายประโยคบอกเล่า บางครั้งอาจเติมคำว่า เหล่อ (ไม่) ไว้หน้าคำกริยาที่ต้องการปฏิเสธเพิ่มอีกคำหนึ่งด้วย เช่น เหน่อ หลี่ เอ = เธอไม่ไป ประโยคคำถามใช่/ไม่ใช่ เติมคำว่า หงฺะ ท้ายประโยค ซึ่งเป็นคำที่ไม่มีในภาษาไทยออกเสียงในลำคอส่วนคำถามที่ต้องการข้อมูลจะเติมคำสรรพนามแสดงคำถามไว้ในตำแหน่งที่ต้องการถาม เช่น ออง หมี่ เหย่า หงฺะ = กินข้าวหรือยัง เหน่อ เหม่อ หลี่ ค่อแหล่ = เธอจะไปไหน ป่อ/โผลวฺ แหล่ ออง หมี่ = ใครกินข้าว สำเนียง ภาษากะเหรี่ยงโปมีหลายสำเนียง ได้แก่ ภาษากะเหรี่ยงโปตะวันออก (รหัส kjp) ภาษากะเหรี่ยงโปตะวันตก (รหัส pwo) ภาษากะเหรี่ยงโปเหนือ หรือ ภาษาโพลง (รหัส pww) ภาษากะเหรี่ยงโปตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาษากะเหรี่ยงโปแพร่ (รหัส kjt) แต่ละสำเนียงมีคลังศัพท์คล้ายกัน แต่ไม่สามารถพูดระหว่างกันเข้าใจได้ อ้างอิง สุจริตลักษณ์ ดีผดุง และสรินยา คำเมือง. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์: กะเหรี่ยงโป. กทม. สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 2540. กะเหรี่ยงโป กะเหรี่ยงโป
100028
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A2
ภาษากูย
ภาษากูย () หรือ ภาษากวย () เป็นตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก กลุ่มภาษามอญ-เขมร มีผู้พูดทั้งหมด 366,675 คน พบในไทย 300,000 คน (พ.ศ. 2535) ในจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม นครราชสีมา ส่วนใหญ่พูดภาษาลาว ภาษาไทยถิ่นอีสาน ภาษาไทยหรือภาษาเขมรเหนือได้ด้วย พบในกัมพูชา 15,495 คน (พ.ศ. 2532) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในจังหวัดพระวิหาร เสียมราฐ กำปงธม สตึงแตรง ส่วนใหญ่พูดภาษาเขมรได้ด้วย พบในลาว 51,180 คน (พ.ศ. 2543) ในแขวงสุวรรณเขต ส่วนใหญ่อยู่ตามริมแม่น้ำโขงในลาวภาคใต้ สำเนียง ภาษากูยเป็นภาษาที่ไม่มีวรรณยุกต์ ใช้ระบบน้ำเสียงแทน ในประเทศไทยมี 3 สำเนียงคือ กูยเญอ พบที่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ และ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ กูยไม พบที่ อำเภออุทุมพรพิสัย และ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ กูยมะไฮ พบที่ อำเภอเมืองจันทร์ ส่วนใหญ่อาศัยในเขต ตำบลเมืองจันทร์ และ บ้านโนนธาตุ ตำบลปราสาท อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ กูยปรือใหญ่ พบที่ อำเภอขุขันธ์ เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เหนือพนมดงรักมานานแล้ว โดยเฉพาะตำบลปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ภาษากูย หรือ ภาษากวย มีอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ มีภาษาที่ใช้สนทนามี 2 สำเนียงคือ กูยเขาพระวิหาร พบที่ อ.สำโรงทาบ อ.จอมพระ เช่น เบีย แปลว่า สอง เดีย แปลว่า น้ำ เทีย แปลว่า เป็ด ทรูย แปลว่า ไก่ จีง แปลว่า ช้าง จีเนีย แปลว่า ไปไหน เจียโดย แปลว่า กินข้าว เป็นต้น กวยจำปาศักดิ์ พบที่ อ.สังขะ อ.ท่าตูม อ.สนม อ.บัวเชด อ.ศรีณรงค์ อ.ศีขรภูมิ เช่น บา หรือ เบือ แปลว่า สอง ดะ หรือ เดือ แปลว่า น้ำ ทา หรือ เทือ แปลว่า เป็ด ทรวย แปลว่า ไก่ เจียง แปลว่า ช้าง จีนา แปลว่า ไปไหน จาโดย แปลว่า กินข้าว เป็นต้น อ้างอิง สมทรง บุรุษพัฒน์. สารานุกรมชนชาติกูย. กทม. สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 2538 พระสมุทร ถาวรธมฺโม/ทาทอง ผศ.ดร.ประวัติศาสตร์กวย. กทม. ที่ระลึกงานฌาปนกิจศพคุณยายขบวน ชาญเชี่ยว วัดแสงสว่างราฆฎร์บำรุง อ.บัวเชด จ.สุรินทร์. 2551. https://schoolonly.wordpress.com/วัฒนธรรมและภาษา/ด้านภาษา/ แหล่งข้อมูลอื่น ศูนย์การเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมกวย เฟซบุ๊กอนุรักษ์วัฒนธรรมกูย กุย กุย กุย
100032
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B8
ภาษาขมุ
ภาษาขมุ [ขะ-หฺมุ] หรือ ภาษากำมุ เป็นภาษาของชาวขมุซึ่งอาศัยอยู่ในตอนเหนือของประเทศลาวรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และประเทศจีน จัดอยู่ในกลุ่มภาษาขมุของตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก โดยในตระกูลภาษานี้ ภาษาขมุมักได้รับการระบุว่ามีความใกล้ชิดกับภาษากลุ่มปะหล่องและภาษากลุ่มคาซีมากที่สุด การกระจายตามเขตภูมิศาสตร์ สุวิไล เปรมศรีรัตน์ (2002) รายงานที่ตั้งและภาษาถิ่นของภาษาขมุในประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม และประเทศจีนดังต่อไปนี้ ไทย: พบผู้พูดภาษาขมุในหมู่บ้านหลายหมู่บ้านซึ่งรวมถึงหมู่ที่ 6 บ้านห้วยเอียน ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย (ชาวขมุในหมู่บ้านนี้มีถิ่นเดิมอยู่ที่เมืองปากแบ่ง แขวงไชยบุรี ประเทศลาว) นอกจากนี้ยังมีพบในจังหวัดน่านและจังหวัดลำปาง ลาว: พบผู้พูดภาษาขมุในแขวง 8 แขวงทางตอนเหนือของประเทศ ได้แก่ แขวงไชยบุรี แขวงบ่อแก้ว แขวงหลวงน้ำทา แขวงอุดมไซ แขวงพงสาลี แขวงหลวงพระบาง และแขวงเชียงขวาง รวมถึงในหมู่บ้านบางหมู่บ้านใกล้เวียงจันทน์ เวียดนาม: พบผู้พูดภาษาขมุในตำบลกีมดา อำเภอเตืองเซือง และในเมืองวิญ จังหวัดเหงะอาน นอกจากนี้ยังพบในจังหวัดลายเจิว จังหวัดเซินลา และจังหวัดทัญฮว้า จีน: พบผู้พูดภาษาขมุในจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ภาษาถิ่น ภาษาขมุประกอบด้วยภาษาถิ่นหลายภาษาโดยไม่มีวิธภาษามาตรฐาน ภาษาขมุถิ่นมีความแตกต่างกันในแง่จำนวนเสียงพยัญชนะ การใช้ลักษณะน้ำเสียง และระดับอิทธิพลจากภาษาประจำชาติที่อยู่โดยรอบ ภาษาขมุถิ่นต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้พูดภาษาถิ่นที่อยู่ไกลจากกันออกไปอาจสื่อสารกันลำบากขึ้น ภาษาขมุในท้องถิ่นต่าง ๆ สามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้สองกลุ่ม ได้แก่ ภาษาขมุตะวันตกและภาษาขมุตะวันออก ภาษาขมุตะวันตก ได้แก่ภาษาขมุที่พูดกันเป็นหลักในจังหวัดน่านและจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย; แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไซ และแขวงหลวงน้ำทา ประเทศลาว; และในบางหมู่บ้านของจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา ประเทศจีน ภาษาขมุถิ่นในกลุ่มนี้มีหน่วยเสียงพยัญชนะน้อยกว่าภาษาขมุตะวันออกและมีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำกับลักษณะน้ำเสียงแรง-ดัง-สูง (หรือใส-แรง) ภาษาถิ่นบางภาษายังผ่านภาวะการเป็นภาษามีลักษณะน้ำเสียงไปเป็นภาษามีวรรณยุกต์แล้วด้วย ภาษาขมุตะวันออก ได้แก่ภาษาขมุที่พูดกันเป็นหลักในแขวงพงสาลี แขวงหลวงพระบาง แขวงหัวพัน และแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว; จังหวัดเหงะอาน จังหวัดเซินลา และจังหวัดเดี่ยนเบียนในประเทศเวียดนาม; และในบางหมู่บ้านของจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา ประเทศจีน ภาษาขมุถิ่นในกลุ่มนี้มีแนวโน้มตรงกันข้ามกับภาษาขมุตะวันตก กล่าวคือ ไม่มีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างลักษณะน้ำเสียงหรือระหว่างวรรณยุกต์ แต่มีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างเสียงพยัญชนะหยุด 3 ประเภท (ก้อง ไม่ก้อง และไม่พ่นลม) และระหว่างเสียงพยัญชนะนาสิก 3 ประเภท (ก้อง ไม่ก้อง และนำด้วยเสียงหยุด เส้นเสียง) ในตำแหน่งต้นพยางค์ สัทวิทยา พยัญชนะ หน่วยเสียงในช่องสีแดงคือหน่วยเสียงที่ปรากฏเฉพาะในภาษาขมุตะวันออกถิ่นต่าง ๆ หน่วยเสียงที่เป็นได้ทั้งพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายมี 15 หน่วยเสียง ได้แก่ , , , , , , , , , , , , , และ หน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบมี 13 หน่วยเสียง ได้แก่ , , , , , , , , , , , และ (แต่หน่วยเสียง ไม่ปรากฏในภาษาขมุตะวันตกถิ่นห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย) หน่วยเสียง เมื่ออยู่ในตำแหน่งต้นพยางค์ออกเสียงเป็น และเมื่ออยู่ในตำแหน่งท้ายพยางค์ออกเสียงเป็น หน่วยเสียง ออกเสียงเป็น หน่วยเสียง เป็นหน่วยเสียงที่ปรากฏเฉพาะในคำยืมจากภาษากลุ่มไทที่อยู่โดยรอบ หน่วยเสียง เมื่ออยู่ในตำแหน่งท้ายพยางค์ออกเสียงเป็น , , หรือ ขึ้นอยู่กับภาษาถิ่น หน่วยเสียง ออกเสียงเป็นเสียงเปิด ริมฝีปาก-เพดานอ่อน ไม่ก้อง เสียง หรือ จัดเป็นหน่วยเสียงเอกเทศในภาษาขมุตะวันออก แต่จัดเป็นหน่วยเสียงย่อยของหน่วยเสียง ในภาษาขมุตะวันตก โดยปรากฏเฉพาะในคำบางคำและในคำยืมจากภาษากลุ่มไท สระ สระในภาษาขมุมีทั้งสิ้น 22 เสียง เป็นสระเดี่ยว 19 เสียง และสระประสมสองเสียง 3 เสียง ภาษาขมุถิ่นทุกภาษามีหน่วยเสียงสระคล้ายคลึงกัน แม้ว่าภาษาขมุถิ่นบางภาษาจะได้พัฒนาระบบลักษณะน้ำเสียงขึ้นใช้ แต่สระยังคงเหมือนเดิม สระเดี่ยว สระสั้น , , , , , และสระยาว มีจำนวนการเกิดไม่มากนัก คำที่มีพยัญชนะท้ายเป็น สระมักจะมีลักษณะเป็นเสียงสั้น เช่น 'นอน' ในขณะที่คำที่มีพยัญชนะท้ายเป็น สระมักจะมีลักษณะเป็นเสียงยาว เช่น 'ดี' เสียงสระในพยางค์แรกของคำ (ซึ่งเป็นพยางค์ที่ไม่ลงเสียงหนัก) อาจมีการแปรเสียง เช่น 'ไข่' สระประสม ภาษาขมุมีหน่วยเสียงสระประสม 3 หน่วยเสียง ได้แก่ , และ ลักษณ์เหนือหน่วยแยกส่วน ภาษาขมุนั้นมีทั้งภาษาถิ่นที่ใช้ลักษณะน้ำเสียง ภาษาถิ่นที่ใช้วรรณยุกต์และความแตกต่างของพยัญชนะต้น (พ่นลมหรือไม่พ่นลม) ภาษาถิ่นที่ใช้วรรณยุกต์แต่ไม่ใช้ความแตกต่างของพยัญชนะต้น (พ่นลมหรือไม่พ่นลม) และภาษาถิ่นที่ไม่ใช้ทั้งลักษณะน้ำเสียงและวรรณยุกต์ แต่ใช้ความแตกต่างของพยัญชนะต้น (ก้องหรือไม่ก้อง) ในการจำแนกความหมายของคำ ดังตัวอย่างในตาราง จากตาราง ภาษาขมุตะวันออกเป็นตัวแทนของภาษาขมุดั้งเดิมที่รักษาความเปรียบต่างระหว่างพยัญชนะก้องกับพยัญชนะไม่ก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ และเป็นภาษาไม่มีลักษณะน้ำเสียงและไม่มีวรรณยุกต์ แต่ในภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 1 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้องพร้อมสระที่มีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำ ในภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 2 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้อง พ่นลม ส่วนลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำได้พัฒนาไปเป็นเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ส่วนภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 3 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้องพร้อมสระที่มีเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ในขณะเดียวกัน ภาษาขมุตะวันตกยังคงรักษาเสียงพยัญชนะไม่ก้องในตำแหน่งต้นพยางค์จากภาษาขมุดั้งเดิมเอาไว้ แต่ได้พัฒนาลักษณะน้ำเสียงแรง-ดัง-สูงหรือวรรณยุกต์สูง (หรือสูง-ตก) ขึ้นมาเป็นลักษณ์เด่นจำแนกควบคู่กัน ในภาษาขมุถิ่นที่ใช้ลักษณะน้ำเสียงบางภาษา (เช่น ภาษาขมุตะวันตกถิ่นห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย) ลักษณะน้ำเสียงยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นคำที่มีคู่เทียบเสียง ลักษณะน้ำเสียงที่ 1 และลักษณะน้ำเสียงที่ 2 ในคำเหล่านั้นจะมีลักษณะต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าไม่มีคู่เทียบเสียง ลักษณะน้ำเสียงทั้งสองจะใกล้เคียงกัน และถ้าเป็นคำหลายพยางค์ จะลงเสียงหนักและระบุลักษณะน้ำเสียงที่พยางค์สุดท้ายเท่านั้น ส่วนพยางค์อื่นจะไม่ลงเสียงหนัก จึงไม่ระบุลักษณะน้ำเสียง เช่น 'ไข่', 'ช้าง', 'ผีเสื้อ', 'แมลงปอ' ไวยากรณ์ วิทยาหน่วยคำ โดยทั่วไปภาษาขมุเป็นภาษาไม่มีการเปลี่ยนรูปคำเพื่อแสดงเพศหรือพจน์ (ยกเว้นคำสรรพนาม) และไม่มีการกระจายรูปคำกริยาตามกาลหรือการณ์ลักษณะ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นภาษาที่มีคำพยางค์เดียวมากขึ้นเช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูลออสโตรเอเชียติก เช่น ภาษามัล ภาษาเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ในภาษาขมุก็มีการเติมหน่วยคำเติมเพื่อแสดงลักษณะทางไวยากรณ์อยู่บ้าง แต่จัดเป็นระบบไม่ได้ชัดเจนนัก สรรพนาม คำสรรพนามแทนบุคคลมีรูปเป็นเอกพจน์ ทวิพจน์ และพหูพจน์ดังนี้ คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคซึ่งตรงกับคำว่า "อันที่" "คนที่" หรือ "ตัวที่" ในภาษาไทย ภาษาขมุจะใช้ว่า หรือ หน่วยคำเติม คำในภาษาขมุที่มีมากกว่า 1 พยางค์อาจเกิดจากการเติมหน่วยคำเติมหน้า (อุปสรรค) หรือหน่วยคำเติมกลาง (อาคม) เพื่อแสดงลักษณะทางไวยากรณ์ การเติมหน่วยคำเติมยังอาจทำให้ลักษณะน้ำเสียงในพยางค์ที่ 2 เปลี่ยนไปด้วย ตัวอย่างการเติมหน่วยคำเติมมีดังนี้ หน่วยคำเติมหน้า } และ } ทำให้คำกริยาเป็นคำนาม เช่น 'เจ็บ' → 'ความเจ็บป่วย' 'นั่ง' → 'ที่นั่ง' หน่วยคำเติมหน้า } และ } ทำให้คำกริยาเป็นคำคุณศัพท์ เช่น 'บิด' → 'ที่ผิดไปจากรูปเดิม' 'ฉีก' → 'ที่ฉีกขาด' หน่วยคำเติมหน้า } และ } เปลี่ยนคำกริยาทั่วไปให้เป็นคำกริยาก่อเหตุ (กริยาการีต) เช่น 'ออก' → 'ทำให้ออก' 'ลืม, ไม่รู้ทาง' → 'ปล่อย, ทำให้หลงทาง' หน่วยคำเติมกลาง } ทำให้คำกริยาเป็นคำนาม เช่น 'คีบ' → 'คีม' 'สาน' → 'เครื่องสาน' วากยสัมพันธ์ ภาษาขมุเป็นภาษาที่มีการเรียงลำดับคำแบบประธาน–กริยา–กรรมเป็นหลัก มีการใช้คำสันธานน้อย โดยมากใช้ประโยคเรียงต่อกันเท่านั้น คำบุพบทมีไม่กี่คำ ที่ใช้มากคือคำว่า หมายถึง 'ด้าน' หรือ 'ที่' และคำว่า หมายถึง 'แถว' หรือ 'บริเวณ' ระบบการเขียน คณะกรรมการจัดทำระบบเขียนภาษาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทย สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้กำหนดตัวเขียนภาษาขมุอักษรไทยตามระบบเสียงภาษาขมุตะวันตกที่พูดกันในบ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ไว้ดังนี้ อ้างอิง ขมุ ขมุ ขมุ ขมุ
101271
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2
ภาษาเขมรถิ่นไทย
ภาษาเขมรถิ่นไทย บ้างเรียก ภาษาเขมรเหนือ หรือ ภาษาเขมรสุรินทร์ เป็นภาษาย่อยของภาษาเขมร พูดโดยชาวไทยเชื้อสายเขมรในประเทศไทยที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด รวมทั้งที่อพยพไปสู่ประเทศกัมพูชา โดยจังหวัดสุรินทร์มีผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด หรือประมาณ 8 แสนคน ภาษาเขมรถิ่นไทยต่างจากภาษาเขมรสำเนียงพนมเปญซึ่งเป็นสำเนียงมาตรฐาน ในด้านจำนวนและความต่างของหน่วยเสียงสระ การใช้พยัญชนะ รากศัพท์ และไวยากรณ์ ทำให้แยกสำเนียงเขมรถิ่นไทยออกจากสำเนียงอื่น ๆ ได้ง่าย ผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยจะเข้าใจภาษาเขมรทุกสำเนียง แต่ผู้พูดสำเนียงพนมเปญจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจภาษาเขมรถิ่นไทย ทำให้นักภาษาศาสตร์บางคนแยกภาษาเขมรถิ่นไทยออกเป็นภาษาใหม่ต่างหากจากภาษาเขมร โดยถือเป็นภาษาใกล้เคียงกัน สถานะ ผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยส่วนใหญ่สามารถพูดได้สองภาษา ทั้งภาษาไทยในฐานะภาษาทางการศึกษาและสื่อสารมวลชนภาษาเดียว และภาษาเขมรในเขตหมู่บ้านและบ้านของตน ในอดีต ภาษานี้เคยถูกห้ามใช้ (เช่นห้ามพูดภาษาเขมรถิ่นไทยในห้องเรียน) เพื่อส่งเสริมความชำนาญในภาษาประจำชาติ นั่นทำให้มีผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยไม่กี่คน (ประมาณ 1,000 คน) ที่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาเขมรได้ ประชากร สัทวิทยา พยัญชนะ หน่วยเสียงที่เป็นได้ทั้งพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายมี 14 หน่วยเสียง ได้แก่ , , , , , , , , , , , , และ หน่วยเสียง ในตำแหน่งท้ายพยางค์มีหน่วยเสียงย่อย 2 เสียง คือ และ เช่น 'น้ำ' อาจออกเสียงเป็น หรือ หน่วยเสียง และ ในบางตำรากล่าวว่าเป็นหน่วยเสียง และ หน่วยเสียง เป็นหน่วยเสียงที่ยืมมาจากภาษาไทยมาตรฐาน กลุ่มพยัญชนะที่มีตัวแรกเป็นเสียงนาสิกและตัวถัดมาเป็นพยัญชนะที่เกิดจากฐานเดียวกัน พยัญชนะตัวแรกนั้นอาจกลายเป็นพยัญชนะท้ายของ หรืออาจกลายเป็นพยางค์นาสิก สระ สระเดี่ยว สระประสม หน่วยเสียงสระประสมภาษาเขมรถิ่นไทยมี 6 หน่วยเสียง ได้แก่ , , , , และ โดยหน่วยเสียง จะปรากฏเฉพาะในคำยืมภาษาไทย เช่น 'รองเท้า' ไวยากรณ์ ลำดับคำในภาษาเขมรถิ่นไทยมักจะเป็นแบบประธาน–กริยา–กรรม ประกอบด้วยคำเดี่ยวเป็นหลัก แต่อาจจะมีสลับกันบ้างเป็นแบบประธาน–กรรม–กริยาและแบบกรรม–กริยา ระบบการเขียน นักภาษาศาสตร์ได้คิดค้นระบบการเขียนภาษาเขมรถิ่นไทยด้วยตัวอักษรไทยหลายระบบ โดยมีทั้งระบบของมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท้ายที่สุดมีระบบราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งดัดแปลงจากระบบก่อน ๆ เป็นมาตรฐานโดยปริยาย ตัวเขียนภาษาเขมรถิ่นไทยอักษรไทยตามที่คณะกรรมการจัดทำระบบเขียนภาษาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทย ราชบัณฑิตยสถาน (ปัจจุบันคือสำนักงานราชบัณฑิตยสภา) ได้กำหนดไว้ มีดังนี้ ภาษาเขมรถิ่นไทยไม่มีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ ในการเขียนเป็นอักษรไทยจึงเลือกใช้พยัญชนะไทยที่เป็นอักษรกลางและอักษรต่ำเท่านั้น ไม่ใช้อักษรสูงเพราะจะมีเสียงวรรณยุกต์จัตวาเข้ามาเกี่ยวข้อง หน่วยเสียง และ มีรูปพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายแตกต่างกันดังที่แสดงในตาราง โดยการใช้พยัญชนะเสียงก้องมาแทนพยัญชนะท้ายเสียงไม่ก้องนั้นนำแบบอย่างมาจากภาษาไทย หน่วยเสียง เมื่อเป็นพยัญชนะท้ายจะไม่มีรูปเขียน แต่ให้แสดงด้วยสระเสียงสั้นที่ไม่มีตัวสะกด (สระยาวที่ลงท้ายด้วยเสียงนี้ไม่ได้กำหนดไว้ในมาตรฐาน อาจใช้ แทน) คำบางคำที่มีพยัญชนะต้น 2 ตัวเรียงกัน บางครั้งอาจออกเสียงสระแทรกกลาง (แสดงด้วย หรือ ) และบางครั้งอาจออกเสียงคล้ายพยัญชนะควบ ให้เขียนตามแบบคำที่มีพยัญชนะต้นควบ เช่น , , เสียงสระที่ไม่มีในภาษาไทยจะเขียนแทนด้วยรูปสระไทยที่ออกเสียงใกล้เคียงกันและใช้เครื่องหมายพินทุ () กำกับ เพื่อแสดงเสียงที่ต่างออกไป หากเป็นรูปสระที่ไม่มี ประกอบ ให้ใส่พินทุกำกับใต้พยัญชนะต้น เช่น หากเป็นรูปสระที่มี ประกอบ ให้ใส่พินทุกำกับใต้ เช่น ยกเว้นสระ ให้ใส่พินทุกำกับใต้พยัญชนะต้น เช่น เพราะ ในกรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรูปสระอย่างแท้จริง รูปสระที่ซ้อนกันหลายตัวตามแนวดิ่ง ในการพิมพ์ทางคอมพิวเตอร์ให้พิมพ์จากล่างขึ้นบน เช่น สระ ที่มีพยัญชนะท้าย กดพยัญชนะต้น กดพินทุ ตามด้วย แล้วตามด้วยไม้ไต่คู้ อ้างอิง อ่านเพิ่ม Thanan Čhanthrupant, and Chātchāi Phromčhakkarin. Photčhanānukrom Khamen (Surin)-Thai-Angkrit = Khmer (Surin)-Thai-English Dictionary. [Bangkok, Thailand]: Indigenous Languages of Thailand Research project, Chulalongkorn University Language Institute, 1978. Suwilai Prēmsīrat, and Sōphanā Sīčhampā. Kānphatthanā rabop kānkhīan Phāsā Khamēn Thin Thai Khrōngkān Phatthanā Phāsā Phư̄nbān phư̄a ʻAnurak Sinlapawatthanatham Phư̄nbān læ Phalit Sư̄ Tāng Tāng = Formulating Thai-based northern Khmer orthography : for the recording and preservation of local culture and for the producing of educational materials. [Bangkok]: Sathāban Wičhai Phāsā læ Watthanatham phư̄a Phatthanā Chonnabot, Mahāwitthayālai Mahidon, 1990. แหล่งข้อมูลอื่น Thailand’s Khmer as 'Invisible Minority': Language, Ethnicity and Cultural Politics in North-Eastern Thailand The Cambodian Language in Thailand Description of Khmer: Lecture by Paul Sidwell of Australian National University ภาษาเขมร ขเมรเหนือ
102074
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%B0
ภาษาเลอเวือะ
ภาษาเลอเวือะ หรือ ภาษาละว้า เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขามอญ-เขมร สาขาย่อยปะหล่อง ในประเทศไทยมีผู้พูดในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ ตามรายงานของอี. ดับเบิลยู. ฮัตชินสัน เมื่อ พ.ศ. 2477 พบว่ามีผู้พูดในจังหวัดลำปาง เชียงราย และแพร่ด้วย แต่จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2527 ไม่พบผู้พูดภาษาเลอเวือะในจังหวัดดังกล่าว คงพูดภาษาไทยถิ่นเหนือทั้งหมด ภาษาเลอเวือะประกอบด้วยวิธภาษาหรือภาษาย่อยที่แตกต่างกันสองกลุ่มซึ่งแหล่งข้อมูลบางแหล่งถือว่าเป็นภาษาแยกจากกัน ได้แก่ ภาษาเลอเวือะตะวันตกและภาษาเลอเวือะตะวันออก ภาษาทั้งสองมีความแตกต่างกันพอสมควร (แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ทางเชื้อสายอย่างสูง) เนื่องจากไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้จากคำให้การที่สอดคล้องกันของผู้พูดภาษาเลอเวือะตะวันตกและผู้พูดภาษาเลอเวือะตะวันออกและจากการทดสอบโดยสถาบันภาษาศาสตร์ฤดูร้อน นอกจากนี้บรรดาหมู่บ้านที่พูดภาษาเลอเวือะของแต่ละกลุ่มก็ยังมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไปอีก มิชชันนารีที่เคยเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้พัฒนาการเขียนภาษาเลอเวือะตะวันตกด้วยอักษรละตินและอักษรไทย ภาษาเลอเวือะตะวันออกมีความมีชีวิตชีวาทางภาษาในระดับสูงและใช้สื่อสารกันในบ้านโดยผู้พูดทุกวัย การศึกษาของรัฐ ประกาศของหมู่บ้าน และธุรกิจทางการมักใช้ภาษาไทยกลาง ผู้พูดภาษาเลอเวือะตะวันออกส่วนใหญ่พูดคำเมืองได้เป็นอย่างน้อย แต่มีผู้พูดสูงอายุบางคนตอบเป็นภาษาเลอเวือะเมื่อมีผู้พูดคำเมืองด้วย ผู้พูดรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะพูดภาษาไทยกลางได้คล่องเนื่องจากระบบการศึกษา และส่วนใหญ่พูดคำเมืองได้คล่องเนื่องจากการแต่งงานระหว่างชาวเลอเวือะกับชาวยวน ระบบการเขียน ตัวเขียนภาษาเลอเวือะตะวันตก (และตะวันออกบางส่วน) อักษรไทยตามที่คณะกรรมการจัดทำระบบเขียนภาษาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทย สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้กำหนดไว้ มีดังนี้ ส่วนตัวเขียนภาษาเลอเวือะตะวันออกไม่มีการกำหนดมาตรฐานไว้ จึงอนุโลมใช้กฎเดียวกับภาษาเลอเวือะตะวันตก แต่เนื่องจากหน่วยเสียงตามตารางด้านบนยังไม่ครบถ้วน จึงมีการดัดแปลงเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ สระเรียงอื่นที่นอกเหนือจากตารางด้านบน ให้แยกออกเป็นสระไทยสองเสียง คั่นด้วยขีด หมายเหตุ และ เป็นสระคนละเสียงกับ และ ตามลำดับ พยัญชนะท้ายบางตัวต้องเปลี่ยนเป็นสระก่อน แล้วจึงค่อยใช้รูปสระเรียงต่อไป ดังนี้ เปลี่ยนเป็น เปลี่ยนเป็น เปลี่ยนเป็น เปลี่ยนเป็น เปลี่ยนเป็น เปลี่ยนเป็น เพิ่มหน่วยเสียงพยัญชนะและสระดังนี้ ฌ ใช้แทนเสียง เ–าฺะ ใช้แทนเสียง –อฺ ใช้แทนเสียง (เมื่อไม่มีพยัญชนะท้าย หรือเมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น) อ้างอิง สุริยา รัตนกุล และลักขณา ดาวรัตนหงษ์. พจนานุกรมภาษาละว้า-ไทย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหิดล, 2528. เลอเวือะ
102725
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%81
ภาษาแสก
ภาษาแสก เป็นภาษาตระกูลขร้า-ไทที่ใช้พูดบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขงในประเทศลาวและจังหวัดนครพนม ประเทศไทย ผู้พูดภาษานี้เหลือน้อยเพราะคนรุ่นใหม่หันไปพูดภาษาลาวและภาษาไทยถิ่นอีสานมากขึ้น ตัวอย่าง แม้ภาษาแสกจะอยู่ในตระกูลภาษาขร้า-ไท แต่ก็ได้มีการปะปนกับภาษาเวียดนามบางคำจึงมีลักษณะแตกต่างไปจากภาษาอีสานทั่วไป เช่น แหล่งข้อมูลอื่น แนวทางการจัดทำพจนานุกรมภาษาแสกฉบับชาวบ้านเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาแสกบ้านบะหว้า ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า จ.นครพนม (2013) ภาษาในประเทศไทย ภาษาในประเทศลาว กลุ่มภาษาไท
103183
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9
ภาษาบรู
ภาษาบรูเป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร สาขากะตู มีผู้พูดส่วนใหญ่ในประเทศลาว เวียดนามและกัมพูชา พบในไทยน้อย ส่วนใหญ่อพยพมาจากประเทศลาวมาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีสองสำเนียงคือภาษาบรูตะวันตกและภาษาบรูตะวันออก อ้างอิง สุริยา รัตนกุล. นานาภาษาในเอเชียอาคเนย์ ภาคที่ 1: ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกและภาษาตระกูลจีน-ธิเบต. กทม. ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 2531 บรู บรู บรู บรู
105033
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B5
ภาษามลาบรี
ภาษามลาบรี(Mlabri) หรือภาษาผีตองเหลือง เป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์มลาบรี ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยและประเทศลาว ภาษามลาบรีเป็นภาษาหนึ่งจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ภาษากลุ่มมอญ-เขมร สาขามอญ-เขมรเหนือ สาขาย่อยขมุ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 สาขาด้วยกัน คือสาขาที่พูดกันในประเทศลาวสาขาหนึ่ง ส่วนอีกสองสาขาพูดกันในประเทศไทย มีผู้พูดทั้งสิ้นราว 324 คน พบในประเทศไทย 300 คน (พ.ศ. 2525) ตามแนวชายแดนลาวของจังหวัดพะเยา น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เลย หรืออาจจะมีในจังหวัดอื่น ๆ พูดภาษาลาวได้ด้วย นอกจากนั้นยังเข้าใจภาษาม้งและภาษาไทยถิ่นเหนือ อัตราการรู้หนังสือต่ำ พบในประเทศลาว 24 คน (พ.ศ. 2528) ในแขวงไชยบุรีตามแนวชายแดนไทย ต่างจากภาษาข่าตองเหลืองในลาวซึ่งอยู่ในภาษากลุ่มเวียต-เหมื่องตะวันตก อ้างอิง สุริยา รัตนกุล. นานาภาษาในเอเชียอาคเนย์ ภาคที่ 1: ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกและภาษาตระกูลจีน-ธิเบต. กทม. ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 2531 Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. มลาบรี มลาบรี
105036
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%95
ภาษาละเม็ต
ภาษาละเม็ต () หรือภาษาขะเม็ต เป็นภาษาที่มีผู้พูดในลาวและไทย มีผู้พูดราว 16,864 คน พบในลาว 16,740 คน (พ.ศ. 2538) ในลาวตะวันตกเฉียงเหนือ หลวงน้ำทา บ่อแก้ว บางส่วนอพยพเข้ามาอยู่ประเทศไทยเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พบในไทย 100 คน ที่จังหวัดลำปางและเชียงราย เป็นภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร สาขาปะหล่อง ชื่อภาษาละเม็ตใช้ในประเทศลาว ในไทยใช้ชื่อภาษาขะเม็ต ผู้พูดภาษาละเม็ตเรียกภาษาของตนเองว่า [χəmɛːt] หรือแบบที่พบน้อยกว่าว่า [kʰəmɛːt] ที่ตั้ง เดิมเคยมีผู้พูดภาษาละเม็ตลำปางในหมู่บ้าน Takluh ทางตอนเหนือของหลวงน้ำทาในประเทศลาว วิธภาษาที่ใกล้ชิดกับภาษานี้คือ Lua' ที่มีผู้พูดใน Ban Pang Chok (Ban Lua) อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย อ้างอิง สุริยา รัตนกุล. นานาภาษาในเอเชียอาคเนย์ ภาคที่ 1: ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกและภาษาตระกูลจีน-ธิเบต. กทม. ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 2531 Narumol, Charoenma. 1980. The sound systems of Lampang Lamet and Wiang Papao Lua. MA thesis, Mahidol University. Narumol, Charoenma. 1982. The phonologies of a Lampang Lamet and Wiang Papao Lua. The Mon-Khmer Studies Journal 11. 35-45. Gordon, Raymond G., Jr. (ed.) , 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. แหล่งข้อมูลอื่น http://projekt.ht.lu.se/rwaai RWAAI (Repository and Workspace for Austroasiatic Intangible Heritage) http://hdl.handle.net/10050/00-0000-0000-0003-66ED-E@view Lamet in RWAAI Digital Archive ภาษาในประเทศไทย ภาษาในประเทศลาว
121273
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88
ภาษาลีสู่
ภาษาลีซอ หรือ ลีสู่ (ลีสู่: , ꓡꓲ‐ꓢꓴ ꓥꓳꓽ หรือ ; ; , ) หรือ ภาษาโยบิน ภาษาเยายิน มีผู้พูดทั้งหมด 723,000 คน พบในจีน 580,000 คน (พ.ศ. 2542) ในจำนวนนี้พูดได้ภาษาเดียว 467,869 คน ในยูนนานตะวันตก พบในอินเดีย 1,000 คน (พ.ศ. 2543) ในรัฐอรุณาจัลประเทศ พบในพม่า 126,000 (พ.ศ. 2530) ในรัฐว้า ชายแดนติดกับรัฐอัสสัมของอินเดียหรือในรัฐฉาน พบในไทย 16,000 คน (พ.ศ. 2536) ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร บางส่วนอพยพมาจากพม่า จัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า สาขาพม่า-โลโล สาขาย่อยโลโล มีหลายสำเนียงแต่ความแตกต่างระหว่างสำเนียงมีไม่มาก ในจีนเป็นภาษาที่ใช้ในทางศาสนาคริสต์ การปกครองและในโรงเรียน ส่วนใหญ่พูดภาษาจีนได้ด้วย ในจำนวนนี้มี 150,000 คนสามารถพูดภาษาไป๋ ภาษาทิเบต ภาษาน่าซี ภาษาไทลื้อ หรือภาษาจิ่งเผาะได้ด้วย เขียนด้วยอักษรโรมัน หรืออักษรฟราเซอร์ เป็นภาษาพูดของชาวลีซอ มีสามสำเนียงคือ หัว ไป่ และลู ใกล้เคียงกับภาษาลาฮูและภาษาอาข่า และมีความสัมพันธ์กับภาษาพม่า ภาษาจิ่งเผาะ และภาษายิ สัทวิทยา พยัญชนะมี 31 เสียง เสียงตัวสะกดมีน้อยมาก ไม่มีความแตกต่างระหว่างสระเสียงสั้นกับสระเสียงยาว สระเดี่ยวมี 9 เสียง สระสะเทินมี 5 เสียง ซึ่งแปรเป็นสระเดี่ยวได้หลายเสียง วรรณยุกต์มี 6 เสียง เรียงประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา คำบุพบทอยู่หลังคำนาม อ้างอิง ผลงานอ้างอิง ลักขณา ดาวรัตนหงษ์. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธ์: ลีซอ. กทม. สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท.2539 อ่านเพิ่ม Miyake, Marc. 2011. Unicode 5.2 (not 6.1!): the Old Lisu script. แหล่งข้อมูลอื่น Handbook of the Lisu language (1922) ลีซอ ลีซอ ลีซอ ลีซอ
131654
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%8B
ภาษาอี๋
ภาษาอี๋ หรือ ภาษานอซู เป็นตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า พูดโดยชาวอี๋ บางครั้งเรียกภาษานี้ว่าภาษาโลโล มีอักษรเป็นของตนเองเรียกอักษรอี๋ อี๋ อี๋
157452
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%B3
ภาษาไทดำ
ภาษาไทดำ มีผู้พูดทั้งหมด 763,700 คน อาศัยอยู่ระหว่างแม่น้ำแดงกับแม่น้ำดำ ทางภาคเหนือของประเทศเวียดนาม 699,000 คน (พ.ศ. 2545) อยู่ในแขวงคำม่วน ประเทศลาว 50,000 คน (พ.ศ. 2538) อยู่ในจังหวัดเลย ประเทศไทย 700 คน (พ.ศ. 2547) อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2428 ลาวโซ่งก็คือคนไทดำกลุ่มแรกที่เข้ามาสู่ประเทศไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี นอกจากนี้ยังมีผู้พูดภาษานี้ในออสเตรเลีย จีน ฝรั่งเศส และสหรัฐ ภาษาไทดำอยู่ในตระกูลภาษาขร้า-ไท กลุ่มกัม-ไท สาขาเบ-ไท สาขาย่อยไท-แสก อัตราการรู้หนังสือภาษาแม่ราวร้อยละ 1-5 เป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยที่สำคัญในเวียดนาม อ้างอิง Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: Tai Dam แหล่งข้อมูลอื่น Tai Dam alphabet Tai Dam Language, Literature, and Culture SIL Tai Heritage Pro fonts ไทดำ ไทดำ ไทดำ ไทดำ
179604
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A1
ภาษาเขมรลาวเดิม
ภาษาเขมรลาวเดิม บ้างเรียก ภาษาลาวเดิม เพื่อจำแนกกลุ่มโดยเฉพาะ เป็นภาษาหนึ่งที่ใช้สื่อสารในจังหวัดราชบุรี มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาไทยถิ่นอีสาน และไม่มีความสัมพันธ์กับภาษาเขมรเลย เข้าใจว่าบรรพบุรุษของชาวเขมรลาวเดิม เป็นชาวลาวที่ถูกกองทัพเขมรกวาดต้อนไปไว้กรุงกัมพูชา ครั้นกองทัพไทยไปตีกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2314 จึงได้กวาดต้อนทั้งชาวลาวและเขมรจากเมืองโพธิสัตว์ เสียมราฐ และพระตะบองกลับมาด้วย จึงได้ชื่อนี้มา ด้วยเหตุนี้ชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนมาจึงแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่ใช้ภาษาไทยปนเขมร กับกลุ่มที่ใช้ภาษาลาว เฉพาะกลุ่มที่ใช้ภาษาลาวพบได้ที่ตำบลเจ็ดเสมียน ตำบลคุ้งกระถิน ตำบลคุ้งน้ำวนในอำเภอเมืองราชบุรี, ตำบลวัดยางงาม ตำบลบ่อกระดาน ตำบลดอนทรายในอำเภอปากท่อ, ตำบลวัดเพลง ตำบลเกาะศาลพระในอำเภอวัดเพลง และตำบลหัวโพ ตำบลวังเย็น ตำบลวัดแก้ว ตำบลบางแพในอำเภอบางแพ แต่ปัจจุบันประชากรสองชาติพันธุ์นี้มักสมรสข้ามกลุ่มกันตามพลวัตทางสังคม จากการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2546 พบว่ามีชุมชนที่ใช้ภาษาเขมรลาวเดิมเป็นภาษาเดียวจำนวน 9 หมู่บ้าน และชุมชนสองภาษา (ไทยกลางกับเขมรลาวเดิม) จำนวน 9 หมู่บ้าน ภาษาเขมรลาวเดิมใกล้เคียงกับภาษาลาวครั่งและลาวหลวงพระบาง จัดอยู่ในกลุ่มภาษาลาวหลวงพระบาง ตระกูลภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีสถานะเป็นภาษาในวงล้อม (Enclave language) เพราะล้อมรอบด้วยภาษาไทยกลางและภาษาลาวเวียง ในอนาคตชุมชนภาษาเขมรลาวเดิมอาจหายไปจากจังหวัดราชบุรีและไม่มีผู้ใดใช้ภาษานี้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนภาษา (language shift) ให้กลมกลืนกับภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาลาวครั่งเพราะภาษาทั้งสองมีความใกล้เคียงกันมากทั้งด้านศัพท์และเสียง สิ่งที่ต่างกันมีเพียงเสียงสระ ใ ไม้ม้วน ซึ่งภาษาเขมรลาวเดิมใช้เสียง [au] ในขณะที่ภาษาลาวครั่งใช้เสียง [ai] และพบว่าผู้พูดภาษาเขมรลาวเดิมที่มีอายุน้อยมักมีการแปรระหว่างเสียง [au] ~[ai] อีกทั้งประเพณีของคนกลุ่มนี้ไม่สู้จะมีเอกลักษณ์เด่นชัด ทั้งนี้ภาษาเขมรลาวเดิมจะมีการแปรเสียงต่าง ๆ ตามสำเนียงตน เช่น เสียงสระโอะ แปรเป็น เอะ เช่น หมด เป็น เหม็ด เสียงสระอุ แปรเป็น โอะ เช่น ตุ๊กแก เป็น ต๊กแก เสียงสระไอ แปรเป็น อา เช่น ใหม่ เป็น หมา ปัจจุบันภาษาเขมรลาวเดิมใกล้สูญหาย เหลือเพียงคนสูงอายุใช้ในการสื่อสารเพียงไม่กี่คน เพราะชาวเขมรลาวเดิมมองว่าอัตลักษณ์ของตนนั้นดูน่าอับอายมากกว่าจะเป็นเรื่องน่าชื่นชม ส่วนชาวเขมรลาวเดิมกลุ่มที่ใช้ภาษาเขมร กลับมีสถานะที่แย่กว่าเขมรลาวเดิมกลุ่มที่ใช้ภาษาลาว เพราะการสำรวจใน พ.ศ. 2545 พบผู้ใช้ภาษาเขมรราว 8-10 คนซึ่งเป็นผู้สูงอายุทั้งหมด โดยใช้ภาษาไทยเจือเขมรเป็นคำ ๆ เป็นภาษาผสมสำหรับสื่อสารกับคนรุ่นเดียวกัน และไม่ตกทอดสู่ลูกหลาน ตัวอย่าง ฮู้ แปลว่า รู้ ฮัก แปลว่า รัก เว้า หรือ ว้าว แปลว่า พูด เซ้า แปลว่า เช้า บ่หย่าน แปลว่า ไม่กลัว ข้าวเม้า แปลว่า ข้าวใหม่ ถั่วค้าง แปลว่า ถั่วฝักยาว ถั่วคุด แปลว่า ถั่วลิสง ไปเด๋ามา แปลว่า ไปไหนมา ไปเฮ็ดนา แปลว่า ไปทำนา ปวดแค้ว หรือปวดแข่ว แปลว่า ปวดฟัน ไปเดี๋ยวหกคืน แปลว่า ไปเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับ หกมื้อเด๋า แปลว่า กลับเมื่อไร หกมื้ออื้น แปลว่า กลับพรุ่งนี้ ไปโพ้นไปพี้ แปลว่า ไปโน่นไปนี้ แย้มอีหยัง แปลว่า มองอะไร หกบ้าน แปลว่า กลับบ้าน หกบ้านมื้อเด๋า แปลว่า กลับบ้านเมื่อไร แย้ม หรือ เย้ม แปลว่า มอง พก แปลว่า แอบ (ดู) อ้างอิง เขมรลาวเดิม
182223
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B0%E0%B8%AE%E0%B9%8C
ภาษามลายูเกอดะฮ์
ภาษามลายูเกอดะฮ์, ภาษามลายูไทรบุรี หรือ ภาษามลายูสตูล () เป็นสำเนียงหนึ่งของภาษามลายู ใช้พูดในทางภาคตะวันตกของมาเลเซีย ได้แก่ รัฐเกอดะฮ์ (ไทรบุรี) รัฐปีนัง รัฐปะลิส และทางตอนเหนือของรัฐเปรัก ในประเทศไทยมีผู้พูดในจังหวัดสตูล บางส่วนของจังหวัดตรังและระนอง ข้ามไปยังเขตเขตเกาะสองของประเทศพม่า และยังพบว่ามีการพูดบางพื้นที่ทางตอนบนของเกาะสุมาตรา ของประเทศอินโดนีเซียด้วย ภาษามลายูเกอดะฮ์ในไทย ผู้ใช้ภาษามลายูเกอดะฮ์ในไทยสามารถใช้พูดภาษาไทยได้ มีความแตกต่างจากภาษามลายู และภาษามลายูปัตตานีไม่มากนัก แต่ในช่วงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีชาวสตูลก็ลืมภาษามลายูถิ่นของตน เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีไม่มีใครพูดภาษามลายูถิ่นได้ ด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้สตูลต้องติดต่อกับสงขลามากกว่าไทรบุรี ปัจจุบันในสตูลมีผู้ใช้ภาษานี้ไม่มาก (ประมาณ 6,800 คน) เพราะนิยมใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันมากกว่าในอดีต ชาวสตูลที่ใช้ภาษามลายูถิ่นนี้เป็นชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูที่อยู่ในบางหมู่บ้าน บางตำบลของสตูลเท่านั้น เช่น ตำบลเจ๊ะบิลัง, ตำบลตำมะลัง, ตำบลปูยู และตำบลฉลุง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 3 ตำบล คือ ตำบลเจ๊ะบิลัง, ตำบลตำมะลัง และตำบลบ้านควนเท่านั้นที่ยังใช้ในการอ่านคุตบะห์บรรยายธรรมในมัสยิด แม้ผู้ใช้ภาษาจะมีน้อยลง แต่อิทธิพลของภาษามลายูถิ่นนี้ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น บ้านกุบังปะโหลด (แปลว่า บ้านหนองปลาไหล), บ้านภูเก็ตยามู (แปลว่า บ้านเขาที่มีต้นฝรั่ง), คลองบันนังปุเลา (แปลว่า เกาะที่มีการทำนา), หนองน้ำทุ่งปาดังกลิงค์ (แปลว่า บริเวณที่แขกกลิงคราษฎร์ตั้งถิ่นฐานอยู่) และเขาปูยู (แปลว่า เขาที่กั้นลมพายุ) เป็นต้น ยังมีจำนวนหนึ่งใช้พูดในจังหวัดตรัง แต่ได้รับอิทธิพลจากภาษาไทยค่อนข้างมาก ในปี พ.ศ. 2544 มีเพียงผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ที่สามารถใช้ภาษามลายูถิ่นได้ พบได้ในตำบลเกาะ (แปลว่า ต้นหลาวชะโอน) และในตำบลบ่อน้ำร้อน เช่น บ้านสิเหร่ (แปลว่า พลู) และท่าปาบในอำเภอกันตัง ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาจากเกาะหมาก (ปีนัง) ในมาเลเซีย นอกจากสำเนียงเกอดะฮ์แล้ว ก็ยังพบผู้ใช้ภาษามลายูสำเนียงชวา ซึ่งมีผู้ใช้บนเกาะมุก อำเภอกันตัง เลยขึ้นไปพบผู้ใช้สำเนียงถิ่นนี้บนเกาะสินไห จังหวัดระนอง และพบผู้ใช้จำนวนหนึ่งในบ้านคลองดิน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และกำลังลดจำนวนผู้พูดอย่างรวดเร็วเนื่องจากวัยรุ่นหันมาใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ นอกจากนี้ยังเคยมีการใช้ภาษามลายูถิ่นนี้ในแถบจังหวัดภูเก็ต แต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสก็พบว่าชาวภูเก็ตพูดภาษามลายูไม่ได้แล้ว คำศัพท์ อ้างอิง อ่านเพิ่ม แหล่งข้อมูลอื่น Kedahan-Standard Malay Online dictionary มลายูเกอดะฮ์ มลายูเกอดะฮ์ มลายูเกอดะฮ์
184653
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2
ภาษาผู้น้อย
ภาษาผู้น้อย (Phunoi) มีผู้พูดในลาว 35,635 คน (พ.ศ. 2538) ในพงสาลี มีผู้พูดในประเทศไทยในจังหวัดเชียงราย ใกล้เคียงกับภาษามปี ภาษาปเยน และภาษาบีซู จัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่า สาขาพม่า-โลโล สาขาย่อยโลโล อ้างอิง Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. ผูนอย ผูนอย
184722
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7
ภาษาม้งขาว
ภาษาม้งขาว หรือ ภาษาม้งเด๊อว (Hmong Daw) มีผู้พูดทั้งหมด 514,895 คน พบในจีน 232,700 คน (พ.ศ. 2547) ทางตะวันตกของกุ้ยโจว ทางใต้ของเสฉวนและยูนนาน พบในลาว 169,800 คน (พ.ศ. 2538) ทางภาคเหนือ พบในไทย 32,395 คน (พ.ศ. 2543) ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย น่าน พิษณุโลก เลย สุโขทัย กำแพงเพชร แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ ลำปาง ในเวียดนามพบทางภาคเหนือพบได้บ้างในจังหวัดทางภาคใต้ เช่น จังหวัดดั๊กลัก มีผู้พูดภาษานี้ในฝรั่งเศสและสหรัฐด้วย เข้าใจกันได้กับภาษาม้งเขียว จัดอยู่ในตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน ภาษากลุ่มม้ง เป็นภาษาที่มีพยัญชนะมาก บางเสียงไม่มีในภาษาไทย ไม่มีเสียงตัวสะกด ไม่มีความต่างระหว่างสระเสียงสั้นกับสระเสียงยาว เสียงวรรณยุกต์ มี 8 เสียงคือ เสียงต่ำ-ตก มีการกักเส้นเสียงตอนท้ายทำให้สระเสียงสั้นกว่าปกติ คล้ายเยงเอกกึ่งเสียงโทในภาษาไทย เสียงต่ำ-ขึ้น คล้ายเสียงจัตวาในภาษาไทย เสียงกลาง-ระดับ คล้ายเสียงสามัญในภาษาไทย เสียงต่ำ-ระดับ คล้ายเสียงเอกในภาษาไทย เสียงกลาง-ตก คล้ายเสียงโทในภาษาไทย แต่ต่ำกว่าและมีลมออกมามาก เสียงสูง-ขึ้น คล้ายเสียงตรีในภาษาไทย เสียงสูง-ตก คล้ายเสียงโทในภาษาไทย เสียงกลาง-ขึ้น คล้ายเสียงจัตวาในภาษาไทย แต่เสียงเริ่มต้นสูงกว่า และเลื่อนขึ้นสูงกว่า เสียงนี้พบน้อย อ้างอิง ศัพทานุกรมไทย-คำเมือง-ม้งขาว-กะเหรี่ยงสะกอ-มูเซอดำสำหรับแพทย์ ทันตแพทย์และสัตวแพทย์เพื่อการพัฒนุณภาพชีวิตของชาวชนบท. กทม. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2530 Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. ม้งขาว ม้งขาว ม้งขาว ม้งขาว
184726
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7
ภาษาม้งเขียว
ภาษาม้งเขียว หรือ ภาษาม้งจั๊ว (Hmong Njua) ภาษาม้งตะวันตก มีผู้พูดทั้งหมด 1,290,600 คน พบในจีน 1,000,000 คน (พ.ศ. 2525) ซึ่งรวมชาวบูนูที่เป็นชนกลุ่มเย้าแต่พูดภาษานี้เป็นภาษาแม่ 29,000 คนเข้าไปด้วย ในบริเวณกุ้ยโจว เสฉวน และยูนนาน พบในลาว 145,600 คน (พ.ศ. 2538)ทางภาคเหนือ พบในพม่า 10,000 คน (พ.ศ. 2530) พบในไทย 33,000 คน ในจังหวัดตาก น่าน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ เชียงราย พะเยา เลย สุโขทัย แพร่ กำแพงเพชร อุทัยธานี พบในเวียดนาม ทางภาคเหนือ พบได้บ้างในจังหวัดทางภาคใต้ เช่น จังหวัดดั๊กลัก มีผู้พูดภาษานี้ในฝรั่งเศสและสหรัฐด้วย เข้าใจกันได้กับภาษาม้งขาว จัดอยู่ในตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน ภาษากลุ่มม้ง เรียงประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา มีวรรณยุกต์ 3 เสียง อ้างอิง Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. ม้งเขียว ม้งเขียว ม้งเขียว ม้งเขียว ม้งเขียว
189594
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%88
ภาษาอูรักลาโวยจ
ภาษาอูรักลาโวยจ หรือ ภาษาอูรักลาโว้ย เป็นภาษามลายูพื้นเมืองดั้งเดิมภาษาหนึ่งที่ใช้กันในภาคใต้ของประเทศไทย มีผู้พูดราว 5,000 คน (พ.ศ. 2555) โดยเฉพาะในเกาะภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ นอกจากนี้ยังมีผู้พูดในท้องที่อื่นทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกอย่างเกาะอาดัง จังหวัดสตูล เป็นต้น ไม่พบในประเทศมาเลเซีย ภาษาอูรักลาโวยจจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน กลุ่มภาษามาลาโย-โพลีเนเซีย สาขามาเลย์อิก ผู้พูดภาษานี้เป็นภาษาแม่คือชาวอูรักลาโวยจซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในประเทศไทย พวกเขานับถือความเชื่อดั้งเดิม ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม สัทวิทยา พยัญชนะ หน่วยเสียงในวงเล็บเป็นหน่วยเสียงที่พบในคำยืมจากภาษาอื่นเป็นส่วนใหญ่ หน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบในภาษาอูรักลาโวยจถิ่นบ้านสังกาอู้มี 15 หน่วยเสียง ได้แก่ , , , , , , , , , , , , , และ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ วิเคราะห์สถานะทางสัทวิทยาของ และ (ซึ่งปรากฏท้ายพยางค์) แตกต่างกันไป บางแหล่งจัดให้ เป็นหน่วยเสียงย่อยของหน่วยเสียง และจัดให้ เป็นหน่วยเสียงย่อยของหน่วยเสียง ในขณะที่บางแหล่งจัดให้ เป็นหน่วยเสียงย่อยของหน่วยเสียง เท่านั้น และบางแหล่งไม่เห็นด้วยกับการจัดเช่นนี้ทั้งหมด หน่วยเสียง ในภาษาอูรักลาโวยจถิ่นบ้านสังกาอู้มีเสียงแปร 2 เสียง ได้แก่ เสียงลิ้นกระทบ ปุ่มเหงือก ก้อง และเสียงที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ก้อง หน่วยเสียง ในภาษาอูรักลาโวยจถิ่นบ้านสังกาอู้ปรากฏในตำแหน่งต้นพยางค์เท่านั้น แต่ในภาษาอูรักลาโวยจถิ่นภูเก็ตปรากฏทั้งในตำแหน่งต้นพยางค์และท้ายพยางค์ สระ สระเดี่ยว ความสั้นยาวของเสียงสระไม่ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนแปลง แต่เสียงสระในพยางค์เปิดมักยาวกว่าเสียงสระในพยางค์ปิด และในขณะเดียวกัน เสียงสระที่มีพยัญชนะนาสิกเป็นพยัญชนะท้ายมักยาวกว่าเสียงสระที่มีพยัญชนะหยุดเป็นพยัญชนะท้าย สระประสม หน่วยเสียงสระประสมภาษาอูรักลาโวยจถิ่นบ้านสังกาอู้มี 2 หน่วยเสียง ได้แก่ และ ลักษณ์เหนือหน่วยแยกส่วน ภาษาอูรักลาโวยจไม่มีวรรณยุกต์ แต่มีการเน้นพยางค์ (stress) และการใช้ทำนองเสียง (intonation) ทำให้ฟังแล้วคล้ายกับมีวรรณยุกต์ ตัวอย่างเช่น คำที่มี 2–3 พยางค์ จะเน้นที่พยางค์สุดท้าย, คำสุดท้ายของประโยคคำถาม จะมีทำนองเสียงสูงขึ้น, คำสุดท้ายของประโยคปฏิเสธ จะมีทำนองเสียงลงต่ำกว่าปกติ เป็นต้น แม้ว่าการเปลี่ยนทำนองเสียงในประโยคสามารถทำให้ความหมายของประโยคนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่การออกเสียงเน้นที่พยางค์ใดก็ตามของคำไม่ทำให้ความหมายของคำนั้นเปลี่ยนแปลง ระบบการเขียน เดิมทีภาษาอูรักลาโวยจไม่มีตัวเขียน นับวันจะยิ่งสูญหาย จึงเกิดโครงการ "แนวทางในการศึกษาศักยภาพของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมีส่วนร่วมของชาวอูรักลาโวยจ บ้านสังกาอู้ ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น และศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล และได้จัดทำมาตรฐานการเขียนภาษาอูรักลาโวยจด้วยอักษรไทยขึ้นตามระบบเสียงภาษาอูรักลาโวยจที่พูดกันอยู่ในหมู่ที่ 7 บ้านสังกาอู้ ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เป็นหลัก ตัวเขียนภาษาอูรักลาโวยจอักษรไทยตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบเขียนและจัดทำคู่มือภาษาชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทย ศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กำหนดไว้ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ อ้างอิง Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. อูรักลาโวยจ
189598
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5
ภาษาปะหล่องปาเล
ภาษาปะหล่องปาเล (Pale Palaung) หรือ ภาษาปะหล่องเงิน ภาษาดลัง มีผู้พูดทั้งหมด 267,539 คน พบในพม่า 257,539 คน (2543) อยู่ทางใต้ของรัฐชาน พบในจีน 5,000 คน (พ.ศ. 2538) ในยูนนานตะวันตก ส่วนใหญ่พูดภาษาไทลื้อ ภาษาจิ่งเผาะ หรือภาษาจีนได้ด้วย ในไทยพบ 5,000 คน (พ.ศ. 2532) ใกล้เคียงกับภาษาปะหล่องชเวและภาษาปะหล่องรูไม จัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ภาษากลุ่มมอญ-เขมร สาขามอญ-เขมรเหนือ สาขาย่อยปะหล่อง เรียงประโยคแบบประธาน-กริยา-กรรม อ้างอิง Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. ภาษาในประเทศไทย ภาษาในประเทศจีน ภาษาในประเทศพม่า
214015
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%81
ภาษามลายูบางกอก
ภาษามลายูบางกอก, ภาษามลายูกรุงเทพ (อักษรยาวี: بڠكوق ملايو; บาซอนายูบาเกาะ) บ้างเรียก มลายูบางบัวทอง เป็นภาษามลายูถิ่นที่ใช้พูดกันในชุมชนชาวไทยเชื้อสายมลายูที่พำนักบริเวณชานเมืองของกรุงเทพมหานคร บ้างก็เป็นชนที่อาศัยมาแต่เดิม บ้างก็เป็นกลุ่มที่ถูกกวาดต้อนขึ้นภาคกลางของไทยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันมีผู้ใช้ภาษามลายูบางกอกไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรเชื้อสายมลายูในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี และมีจำนวนมากที่หันมาใช้ภาษาไทยมาตรฐาน ประวัติ มีประวัติการตั้งถิ่นฐานของชาวไทยเชื้อสายมลายูบริเวณภาคกลางของไทยมาช้านาน บ้างก็ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ช่วงกรุงศรีอยุธยาซึ่งรับราชการเป็นขุนนางเดิม บ้างก็มาจากการค้าขาย ดังพบว่ามีการใช้ภาษามลายูเป็นภาษากลางสำหรับการติดต่อค้าขายกับประชาคมต่างประเทศ ก่อนอพยพลงมาลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างพร้อมกับมุสลิมกลุ่มอื่น ๆ หลังกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก บางส่วนก็สืบสันดานมาแต่บรรพบุรุษเชลยที่ถูกกวาดต้อนจากหัวเมืองแขกอันได้แก่ปัตตานี ไทรบุรี ยะหริ่ง กลันตัน และสตูล ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งหมด 6 ครั้ง และได้รับโปรดเกล้าให้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนทั้งในและรอบพระนคร ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มประชากรในพระนคร และลดกำลังพลของหัวเมืองแขกมิให้ก่อกบฏต่อสยามอีก ทำให้ประชาคมมลายูกลายเป็นชุมชนมุสลิมขนาดใหญ่ของกรุงเทพมหานครมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บางกลุ่มเช่นกลุ่มมุสลิมบ้านสมเด็จเป็นกลุ่มเชื้อสายเจ้าเมืองและขุนนาง มีการใช้ราชาศัพท์ และมักสมรสกับผู้มีฐานันดรสูงด้วยกัน แต่ในระยะหลัง หญิงมุสลิมในแถบนี้มักตกเป็นภรรยาของขุนนางที่ไม่ใช่มุสลิม นอกจากนี้ชาวมลายูที่มาจากไทรบุรีและสตูลบางส่วนใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ ไม่ใช้ภาษามลายู ในกรุงเทพมหานคร มีกลุ่มชนเชื้อสายมลายู ทั้งกลุ่มแขกเก่า (คือกลุ่มที่อาศัยบริเวณภาคกลางมาแต่เดิม) กับกลุ่มแขกใหม่ที่โยกย้ายมาคราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งที่อพยพมาเพื่อค้าขายและถูกกวาดต้อนมา อาศัยอยู่กระจายตัวตั้งแต่สี่แยกบ้านแขก ในฝั่งเขตธนบุรี ทุ่งครุ บางคอแหลม มหานาค พระโขนง คลองตัน มีนบุรี หนองจอก เรื่อยไปจนถึงอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา และยังมีคนเชื้อสายมลายูรอบ ๆ ปริมณฑลด้วย ดังพบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนครนายก จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดเพชรบุรี ภายหลังได้มีการขยับขยายออกมาทางจังหวัดชลบุรี ซึ่งชาวมลายูบางส่วนมีพัฒนาการด้านภาษา หรือแม้แต่ด้านพิธีกรรมทางศาสนาบางประการต่างจากมาตุภูมิ และอนุชนส่วนใหญ่ถือตนว่าเป็นมุสลิมกรุงเทพฯ เสียมากกว่ามุสลิมเชื้อสายมลายู พวกเขาผสมกลมกลืนไปกับคนส่วนใหญ่ บางคนตักบาตรแก่พระสงฆ์ แต่จะเรียกว่า "ให้อาหารพระ" เป็นต้น สถานะปัจจุบัน ผู้พูดภาษามลายูบางกอกมีอยู่ประมาณ 5,000 คน ส่วนมากจะมีอายุเกินกว่า 40 ปีเท่านั้นที่ยังพอพูดภาษามลายูได้ แต่ความสามารถในการใช้ภาษาแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามปัจจุบันภาษาของพวกเขาเหล่านั้นมีความแตกต่างจากภาษามลายูปัตตานีบ้าง ไม่ว่าจะเป็นด้านเสียง ความหมาย และโครงสร้างประโยค ทั้งนี้เนื่องจากมีวิวัฒนาการทางภาษาที่แตกต่างกัน ชุมชนเชื้อสายมลายูหลายแห่งยุติการคุตบะห์หรือการบรรยายธรรมเป็นมลายู การศึกษากีตาบยาวี หรือแม้แต่การใช้ภาษามลายูสำหรับสื่อสารในชีวิตประจำวันเสียแล้ว ปัจจุบันจังหวัดปทุมธานียังมีการใช้ภาษามลายูแบบปัตตานีในการสื่อสาร โดยเฉพาะในอำเภอคลองหลวง และพบในอำเภอลาดหลุมแก้ว ส่วนในนนทบุรีท้องที่ที่ยังใช้ภาษามลายู ได้แก่ ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด และพบที่ตำบลละหาร อำเภอบางบัวทอง ส่วนในโรงเรียนสุเหร่าบ้านดอน เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ยังมีการเรียนการสอนด้วยภาษามลายูอยู่เพื่อสืบทอดภาษาสู่ชนรุ่นต่อไป ชนรุ่นหลังส่วนใหญ่หันมาใช้ภาษาไทยมากขึ้น แต่ยังคงศัพท์เฉพาะจำพวกคนและสิ่งของต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน และคงสำเนียงถิ่นเข้าผสมกับภาษาไทย เช่นชุมชนเชื้อสายมลายูในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จะเรียกพ่อว่า ป๊ะ เป๊าะ เยาะห์ ป๋า ส่วนคำไทยอื่นจะมีเสียงแปร่ง เช่น เป็ด เป็น เป๊ด, ขยะ เป็น ขะยะ และ สะอาด เป็น ซะอั๊ด เป็นต้น ตัวอย่าง ตัวอย่างคำในภาษามลายูบางกอก ในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี อ้างอิง แหล่งข้อมูลอื่น Umaiyah Haji Umar (2005), Bang Bua Thong Melayu Dialect - a Lexicon Study, Journal Language and Culture, Bangkok:The Research Institute for Languages and Cultures of Asia (RILCA), Mahidol University, online edition มลายูบางกอก มลายูบางกอก
231908
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7
ภาษาไทขาว
ภาษาไทขาว หรือ ภาษาไทด่อน () มีผู้พูดทั้งหมด 490,000 คน พบในประเทศเวียดนาม 280,000 คน (พ.ศ. 2545) ทางตอนเหนือตามแนวแม่น้ำแดงและแม่น้ำดำ พบในประเทศลาว 200,000 คน (พ.ศ. 2538) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่สามารถเข้าใจกันได้กับภาษาไทดำ ได้รับอิทธิพลจากภาษาลาว จัดอยู่ในตระกูลภาษาขร้า-ไท กลุ่มภาษากัม-ไท สาขาเบ-ไท สาขาย่อยไท-แสก อ้างอิง Gordon, Raymond G., Jr. (ed.), 2005. Ethnologue: Languages of the World, Fifteenth edition. Dallas, Tex.: SIL International. Online version: http://www.ethnologue.com/. ไทขาว ไทขาว
319988
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87
ภาษากลาง
ภาษากลาง () เป็นภาษาที่ใช้เป็นระบบให้บุคคลที่มิได้พูดภาษาแม่ภาษาเดียวกันสามารถสื่อสารกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นภาษาที่สาม ซึ่งมิใช่ภาษาแม่ของทั้งสองฝ่าย ภาษากลางกำเนิดขึ้นทั่วโลกตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ บางครั้งด้วยเหตุผลเชิงพาณิชย์ (ที่เรียกว่า "ภาษาการค้า") แต่ยังเพื่อความสะดวกทางการทูตและการปกครอง และเป็นวิธีแลกเปลี่ยนสารสนเทศระหว่างนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการสาขาอื่นที่ถือคนละสัญชาติ อ้างอิง ภาษา
743419
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%81
ภาษาเขมรตะวันตก
ภาษาเขมรตะวันตก หรือ ภาษาเขมรถิ่นจันทบุรี เป็นภาษาถิ่นหนึ่งของภาษาเขมร ใช้พูดในประชากรผู้มีเชื้อสายเขมรที่อาศัยอยู่บริเวณทิวเขาบรรทัดนับแต่ชายแดนกัมพูชาด้านตะวันตกจนถึงภาคตะวันออกของประเทศไทยโดยเฉพาะในจังหวัดจันทบุรีซึ่งมีชุมชนเชื้อสายเขมรตั้งถิ่นฐานใกล้แนวชายแดน กลุ่มชนเขมรในจันทบุรีอพยพมาจากจังหวัดพระตะบองและไพลิน เข้าอาศัยในบริเวณดังกล่าวก่อนการปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2449 และรับสัญชาติไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 เป็นต้นมา ภาษาเขมรตะวันตกมีความแตกต่างจากสำเนียงอื่น ด้วยยังรักษาการเปรียบต่างระหว่างเสียงพูดปรกติ (modal voice) กับเสียงพูดลมแทรก (breathy voice) ซึ่งสูญไปแล้วในภาษาเขมรสำเนียงอื่น นักภาษาศาสตร์สันนิษฐานกันว่าเคยมีปรากฏการณ์จัดตั้งหน่วยเสียงพูดลมแทรกขึ้นในภาษาเช่นว่านี้ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางเสียงของภาษาเขมร ทั้งนี้ในจังหวัดจันทบุรีมีชุมชนที่มีเชื้อสายเขมรในตำบลเทพนิมิต ตำบลหนองตาคง และตำบลคลองใหญ่ในอำเภอโป่งน้ำร้อน และมีชุมชนที่ตำบลทรายขาวในอำเภอสอยดาว โดยกลุ่มวัยที่ใช้ภาษาได้ดีคืออายุ 35 ปีขึ้นไป แต่ในวัยปัจจุบันกลุ่มวัยเด็กและวัยรุ่นเริ่มไม่เห็นความสำคัญและสื่อสารได้น้อยลงกว่าคนรุ่นก่อน อ้างอิง ภาษาเขมร ภาษาในประเทศกัมพูชา ภาษาในประเทศไทย
1249809
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2
ภาษาอาข่า
ภาษาอาข่า เป็นภาษาที่ชาวอาข่าใช้พูดในภาคใต้ของจีน (มณฑลยูนนาน), ภาคตะวันออกของพม่า (รัฐฉาน), ภาคเหนือของลาว และภาคเหนือของไทย นักวิชาการตะวันตกจัดให้ภาษาอาข่า ภาษาฮานี และภาษาโฮนีอยู่ในภาษากลุ่มฮานี โดยถือว่าทั้งสามภาษานี้เป็นภาษาที่ไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ แต่ใกล้ชิดกันอย่างมาก กลุ่มภาษาฮานีจัดอยู่ในกลุ่มย่อยโลโลใต้ของกลุ่มโลโล ส่วนนักภาษาศาสตร์ชาวจีนจัดให้ภาษากลุ่มฮานีทั้งหมด (ซึ่งรวมถึงภาษาอาข่า) เป็นภาษาถิ่นของภาษาเดียวกันตามรายงานการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการของจีนที่จัดผู้พูดภาษากลุ่มฮานีทั้งหมดให้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ผู้พูดภาษาอาข่าอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาห่างไกลที่ซึ่งภาษาอาข่าได้พัฒนาเป็นแนวต่อเนื่องภาษาถิ่นที่มีขอบเขตกว้างขวาง ภาษาถิ่นจากหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ห่างกันเพียง 10 กิโลเมตรอาจมีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัด ความโดดเดี่ยวของชุมชนอาข่าก็ทำให้หลายหมู่บ้านแตกแขนงภาษาถิ่นออกไป วิธภาษาที่อยู่ตรงปลายทั้งสองด้านของแนวต่อเนื่องภาษาถิ่นจึงไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ อ้างอิง อ่านเพิ่ม แหล่งข้อมูลอื่น ELAR archive of Archaic Akha language documentation materials อาข่า อาข่า อาข่า อาข่า อาข่า อาข่า
1259187
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%88
ภาษาโซ่
ภาษาโซ่ อาจหมายถึง: ภาษาโซ่ (ทะวืง) ภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร กลุ่มย่อยเวียตติก ภาษาโส้ ภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร กลุ่มย่อยกะตู
1332340
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B2
ภาษามลายูสงขลา
ภาษามลายูสงขลา (หรือผู้พูดภาษานี้เรียกว่า Pasa Nayu Singgora) เป็นวิธภาษาของภาษามลายูที่พูดกันในจังหวัดสงขลา ประเทศไทย ภาษามลายูสงขลาเกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมมลายูกับภาษาและวัฒนธรรมไทย ภาษานี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาษามลายู-ปัตตานีที่มีผู้พูดบริเวณชายแดนมาเลเซีย–ไทย บริเวณที่มีผู้พูด ภาษามลายูสงขลามีผู้พูดในบริเวณอำเภอทางตอนใต้ของจังหวัดสงขลา โดยผู้พูดเรียกภาษานี้ว่า Pasa Nayu Singgora หรือในภาษามลายูมาตรฐานเรียกเป็น Bahasa Melayu Singgora มีผู้พูดภาษานี้ในอำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา อำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอสะเดา และยังมีผู้พูดในระดับเล็ก ๆ ที่อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอเมืองสงขลา และอำเภอสิงหนคร คำศัพท์ ตัวอย่างข้างล่างเทียบคำศัพท์มลายูสงขลาบางส่วนกับคำแปลภาษาไทย อ้างอิง ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน สงขลา มลายูสงขลา จังหวัดสงขลา
1354551
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87
ภาษาปะหล่อง
ภาษาปะหล่อง หรือ Ta'ang () มีอีกชื่อว่า De'ang (; ) เป็นกลุ่มภาษาย่อยในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกที่มีผู้พูดมากกว่าครึ่งล้านคนในประเทศพม่า (รัฐฉาน) และประเทศเพื่อนบ้าน ชาวปะหล่องแบ่งออกเป็น Palé (Ruching), Rumai และ Shwe และแต่ละกลุ่มมีภาษาเป็นของตนเอง จำนวนผู้พูดยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยมีผู้พูดในกลุ่มชน Shwe 150,000 คนใน ค.ศ. 1982, Ruching (Palé) 272,000 คนใน ค.ศ. 2000 และ Rumai 139,000 คนที่ไม่ทราบวันที่บันทึก แผนที่ชุดภาษาใกล้สูญของโลกของยูเนสโกจัดให้ภาษาปะหล่องอยู่ในกลุ่มภาษาที่ "ใกล้สูญขั้นรุนแรง" อ้างอิง ข้อมูล แหล่งข้อมูลอื่น Palaung Thailand language site Palaung Ruch language site ปะหล่อง ปะหล่อง ปะหล่อง กลุ่มภาษาปะหล่อง ชาวปะหล่อง