query
stringlengths 11
185
| positive_passages
sequencelengths 1
11
| negative_passages
sequencelengths 0
30
|
---|---|---|
ซีรีบรัม หมายถึงอะไร? | [
"เทเลนเซฟาลอน (Telencephalon) เป็นส่วนของสมองส่วนหน้า เป็นโครงสร้างที่ใหญ่ของสมองซึ่งทำหน้าที่หลากหลาย อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซีรีบรัม (Cerebrum) หรือ สมองใหญ่ ในทางเทคนิค เทเลนเซฟาลอนหมายถึงซีรีบรัล เฮมิสเฟียร์ (cerebral hemispheres) และโครงสร้างเล็กๆ อื่นๆ ภายในสมอง สมองส่วนนี้เป็นส่วนที่อยู่หน้าสุดในการแบ่งส่วนของสมองในเอ็มบริโอ เจริญมาจากโปรเซนเซฟาลอน"
] | [
"สมองกลีบข้างมีบทบาทสำคัญในการประสานข้อมูลความรู้สึกมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในความรู้เกี่ยวกับตัวเลขและความสัมพันธ์ของตัวเลข[3] และในการเคลื่อนไหวจัดการวัตถุต่าง ๆ. มีเขตหลายเขตในสมองกลีบข้างที่มีความเกี่ยวข้องกับการประมวลปริภูมิทางตา ถึงแม้ว่าเราจะรู้ถึงกิจของสมองส่วนนี้ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว สมองกลีบข้างนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีเท่ากับสมองกลีบอื่น ๆ ในซีรีบรัม",
"หมวดหมู่:ซีรีบรัม",
"โลมานั้นเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดมาก เชื่อว่า ความฉลาดของโลมานั้นเทียบเท่าเด็กตัวเล็ก ๆ เลยทีเดียว หรือเป็นไปได้ว่าอาจจะฉลาดกว่าชิมแปนซี ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนี้เพราะโลมามีขนาดของสมองเมื่อเทียบกับลำตัวแล้วนับว่าใหญ่มาก แถมภายในสมองยังซับซ้อนอีกด้วย โดยเฉพาะโลมาปากขวดนั้นถึงกับมีขนาดของสมอง เมื่อเทียบกับลำตัวใหญ่แล้ว ถือเป็นสัตว์ที่มีขนาดสมองใหญ่เป็นที่สองรองจากมนุษย์ และสมองส่วนซีรีบรัม อันเป็นส่วนของความจำและการเรียนรู้ ก็มีขนาดใหญ่มาก เป็นศูนย์รวมของประสาทการรับกลิ่น, การมองเห็น และการได้ยิน จนอาจเชื่อได้ว่าแท้จริงแล้ว โลมาอาจมีความฉลาดเทียบเท่ากับมนุษย์ก็เป็นได้ ซึ่งจากความฉลาดแสนรู้ของโลมา จึงทำให้เป็นที่นิยมนำมาฝึกแสดงโชว์ต่าง ๆ ตามสวนสัตว์และสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ",
"สมองกลีบขมับ (; ) ในทางประสาทกายวิภาคศาสตร์ เป็นส่วนของเปลือกสมองในซีรีบรัม อยู่บริเวณด้านข้างของสมอง ใต้ร่องด้านข้าง (lateral fissure) หรือร่องซิลเวียน (Sylvian fissure) ในซีกสมองทั้งสองข้างของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หากมองสมองของมนุษย์ให้เหมือนนวมนักมวย สมองกลีบขมับเป็นส่วนของนิ้วโป้ง",
"หมวดหมู่:ซีรีบรัม หมวดหมู่:สมอง หมวดหมู่:ระบบประสาท หมวดหมู่:ระบบประสาทกลาง หมวดหมู่:ประสาทกายวิภาคศาสตร์ หมวดหมู่:ประสาทวิทยา หมวดหมู่:ประสาทวิทยาศาสตร์ หมวดหมู่:สายตา หมวดหมู่:ระบบการมองเห็น",
"หมวดหมู่:ซีรีบรัม หมวดหมู่:รอยนูน",
"ซีรีเบลลัมแบ่งออกเป็นครึ่งซ้ายและขวาเช่นเดียวกับซีรีบรัม และแบ่งออกเป็นกลีบย่อยๆ 10 กลีบ การเรียงตัวของเซลล์ประสาทในซีรีเบลลัมมีลักษณะเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด คือเชื่อมต่อเป็นชุดของวงจรในแนวตั้งฉาก การเรียงตัวเป็นแบบเดียวกันดังกล่าวทำให้ง่ายต่อการศึกษาวงจรประสาท ",
"ซีรีเบลลัม หรือ สมองน้อย () เป็นบริเวณของสมองที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ เนื่องจากซีรีเบลลัมทำหน้าที่ประสานการควบคุมการสั่งการ จึงมีวิถีประสาทเชื่อมระหว่างซีรีเบลลัมและคอร์เท็กซ์สั่งการของซีรีบรัม (ซึ่งจะส่งข้อมูลไปยังกล้ามเนื้อเพื่อเคลื่อนไหว) และลำเส้นใยประสาทสไปโนซีรีเบลลาร์ (spinocerebellar tract) (ซึ่งทำหน้าที่ส่งข้อมูลการรับรู้อากัปกิริยาจากไขสันหลังกลับมายังซีรีเบลลัม) ซีรีเบลลัมทำหน้าที่ประมวลวิถีประสาทต่างๆ โดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของร่างกายและการเคลื่อนไหวละเอียดที่ส่งกลับเข้ามา",
"หมวดหมู่:ซีรีบรัม หมวดหมู่:ประสาทกายวิภาคศาสตร์ หมวดหมู่:รอยนูน",
"ระหว่างฐานซีรีบรัมทั้งสองมีแอ่งเรียกว่า อินเตอร์พีดังคิวลาร์ ฟอซซา (interpeduncular fossa) เป็นแอ่งที่เต็มไปด้วยน้ำหล่อสมองไขสันหลัง บริเวณนี้มีเส้นประสาทกล้ามเนื้อตา (oculomotor nerve) ออกมาจากระหว่างฐานซีรีบรัม เส้นประสาทนี้ทำหน้าที่หดรูม่านตาและกลอกตา นอกจากนี้บริเวณนี้จะเห็นเส้นประสาททรอเคลียร์วิ่งโอบรอบด้านนอกของซีรีบรัล พีดังเคิล",
"แม่น้ำแยงซีถูกเรียกต่างชื่อกันไปตามเส้นทางของลำน้ำเช่นเดียวกับแม่น้ำหลายๆสาย เช่น ต้นทางของแม่น้ำแยงซีถูกเรียกโดยชาวทิเบตว่า ตางชู (ตัวอักษรจีน:当曲, ความหมายว่า บึงแม่น้ำหรือ หนองแม่น้ำ) ตามทางของแม่น้ำแยงซีถูกเรียกว่า แม่น้ำถัวทัว (อักษรจีน: 沱沱河) ลาดลงมาอีกเรียกว่า แม่น้ำถงเทียน (อักษรจีน: 通天河, ให้ความหมายทางวรรณกรรมว่า ผ่านแม่น้ำสวรรค์) นอกจากนี้แล้วแม่น้ำแยงซียังถูกเรียกว่า แม่น้ำจินชา (อักษรจีน: 金沙江; พินอิน: Jīnshā Jiāng, ให้ความหมายทางวรรณกรรมว่า แม่น้ำหาดทรายทอง) จากเส้นทางน้ำไหลผ่านช่องแคบระหว่างเทือกเขาต่างๆสู่ แม่น้ำแม่กองและ แม่น้ำสาละวิน ก่อนที่จะไหลผ่านเข้าสู่ที่ราบลุ่มเสฉวน หรือ ชิชวน (อักษรจีน: 四川; พินอิน: Sì Chuān) ซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันตกของจีน\nชาวจีนสมัยก่อนเรียกแม่น้ำแยงซีเพียงสั้นๆว่า เจียง (อักษรจีน: 江; พินอิน: Jiāng) หรือ ต้าเจียง (อักษรจีน: 大江; พินอิน: Dà Jiāng, ให้ความหมายทางวรรณกรรมว่า แม่น้ำใหญ่) ซึ่งต่อมาชาวจีนเรียกแทนแม่น้ำว่า เจียง ชาวทิเบตเรียกแม่น้ำว่า บีร์ชู (ภาษาทิเบต: འབྲི་ཆུ་; วายลี่: 'bri chu, ให้ความหมายทางวรรณกรรมว่า แม่น้ำแม่วัวป่า) แม่น้ำแยงซียังถูกเรียกว่าเป็นแม่น้ำสายทองคำ อีกด้วย",
"ซีรีบรัล พีดังเคิล (English: cerebral peduncles) หรือฐานซีรีบรัม มีลักษณะเป็นคู่อยู่ที่ด้านหลังของท่อน้ำสมอง ทำหน้าที่เป็นเส้นทางผ่านของลำเส้นใยประสาทคอร์ติโคสไปนัล (corticospinal tract) ซึ่งมาจากอินเทอร์นัล แคปซูล (internal capsule) ไปยังไขสันหลังเพื่อสั่งการการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตรงกลางของซีรีบรัล พีดังเคิลมีซับสแตนเชีย ไนกรา (substantia nigra; แปลว่า \"เนื้อสีดำ\") ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ส่วนนี้เป็นเพียงส่วนเดียวของสมองที่มีเม็ดสีเมลานิน",
"สมองทั้งสองซีกมีกำเนิดมาจากซีรีบรัม เกิดขึ้นภายใน 5 สัปดาห์หลังจากปฏิสนธิ เป็นการม้วนเข้า (invagination) ของผนังสมองในซีกทั้งสอง\nสมองทั้งสองซีกเจริญขึ้นเป็นรูปกลมเหมือนตัวอักษร C และหลังจากนั้นก็ม้วนตัวกลับเข้าไปอีก ดึงเอาโครงสร้างภายในซีกสมอง (เช่นโพรงสมอง) เข้าไปด้วย\ninterventricular foramina เป็นช่องเชื่อมต่อกับโพรงสมองด้านข้าง\nส่วนข่ายหลอดเลือดสมอง (choroid plexus) เกิดขึ้นจากเซลล์ ependyma และ mesenchyme ของหลอดเลือด",
"ออลเฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) - อยู่ด้านหน้าสุด ทำหน้าที่ - ดมกลิ่น (ปลา,กบ และสัตว์เลื้อยคลานสมองส่วนนี้จะมีขนาดใหญ่) ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมออลแฟกทอรีบัลบ์จะไม่เจริญ แต่จะดมกลิ่นได้ดีโดยอาศัยเยื่อบุในโพรงจมูก ซีรีบรัม (Cerebrum) - มีขนาดใหญ่สุด มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ความสามารถต่างๆ เป็นศูนย์การทำงานของกล้ามเนื้อ การพูด การมองเห็น การดมกลิ่น การชิมรส แบ่งเป็นสองซีก แต่ละซีกเรียกว่า Cerebral hemisphere และแต่ละซีกจะแบ่งได้เป็น 4 พูดังนี้",
"ปมประสาทฐาน หรือ Basal ganglia หรือ basal nuclei (, ตัวย่อ BG) เป็นกลุ่มของนิวเคลียสที่อยู่ในเขตต่าง ๆ ของสมองในสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ทำกิจหน้าที่เป็นหน่วยเดียวกัน นิวเคลียสเหล่านั้นอยู่ที่ฐานของซีรีบรัม และมีการเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่นกับเปลือกสมอง ทาลามัส และเขตอื่น ๆ ในสมอง\nbasal ganglia มีบทบาทในหน้าที่หลายอย่างรวมทั้ง การสั่งการเคลื่อนไหวใต้อำนาจจิตใจ การเรียนรู้เชิงกระบวนวิธี (procedural learning) ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมซ้ำซากหรือพฤติกรรมเป็นนิสัย เป็นต้นว่าการขบฟัน การเคลื่อนไหวของตา กิจทางประชาน (cognitive functions) และกิจที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก",
"เปลือกสมอง[1]หรือ ส่วนนอกของสมองใหญ่[1] หรือ คอร์เทกซ์สมองใหญ่[1] หรือ เซรีบรัลคอร์เทกซ์ หรือบางครั้งเรียกสั้น ๆ เพียงแค่ว่า คอร์เทกซ์ (แต่คำว่า คอร์เทกซ์ สามารถหมายถึงส่วนย่อยส่วนหนึ่ง ๆ ในเปลือกสมองด้วย) (English: Cerebral cortex, cortex, Latin: Cortex cerebri) เป็นชั้นเนื้อเยื่อเซลล์ประสาทชั้นนอกสุดของซีรีบรัม (หรือเรียกว่าเทเลนฟาลอน) ที่เป็นส่วนของสมองในสัตว์มีกระดูกสันหลังบางพวก เป็นส่วนที่ปกคลุมทั้งซีรีบรัมทั้งซีรีเบลลัม มีอยู่ทั้งซีกซ้ายซีกขวาของสมอง เปลือกสมองมีบทบาทสำคัญในระบบความจำ ความใส่ใจ ความตระหนัก (awareness) ความคิด ภาษา และการรับรู้ (consciousness) เปลือกสมองมี 6 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วยเซลล์ประสาทต่าง ๆ กัน และการเชื่อมต่อกับสมองส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เหมือนกัน เปลือกสมองของมนุษย์มีความหนา 2-4 มิลลิเมตร [2]",
"ซีรีเบลลัมก็มีโครงสร้างคล้ายกับซีรีบรัม\nคือ มีเปลือกเป็น ส่วนนอกของสมองน้อย (cerebellar cortex)\nมีเนื้อขาว (cerebellar white matter) ที่อยู่ลึกลงไป (เรียกว่า arbor vitae)\nและกลุ่มต่าง ๆ ของเซลล์ประสาทในเนื้อเทาที่มีเนื้อขาวล้อมรอบ\nโพรงสมองต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำ\nก็อยู่ลึกภายในเนื้อขาวของซีรีเบลลัมเช่นกัน",
"เนื้อเทามีอยู่อย่างกระจัดกระจายไปที่พื้นผิวของเซรีบรัลเฮมิสเฟียร์ (cerebral hemisphere) ทั้งสองข้าง (คือในเปลือกสมอง) และของซีรีเบลลัม (คอร์เทกซ์สมองน้อย) และในส่วนต่างๆข้างในของซีรีบรัม (คือ ทาลามัส, ไฮโปทาลามัส, ซับทาลามัส [subthalamus], ปมประสาทฐาน [basal ganglia] รวมทั้ง putamen, globus pallidus, globose nucleus, septal nuclei) ของสมองน้อย (นิวเคลียสของสมองน้อยที่อยู่ด้านในรวมทั้ง dentate nucleus, globose nucleus, emboliform nucleus, fastigial nucleus) ของก้านสมอง (substantia nigra, red nucleus, olivary nuclei, cranial nerve nuclei) และของเนื้อเทาของไขสันหลัง (anterior horn, lateral horn, posterior horn) เนื้อเทามีการเจริญเติบโตขึ้นตลอดในวัยเด็กและวัยรุ่น",
"ส่วนของซีรีบรัม คอร์เท็กซ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทเลนเซฟาลอน ทำหน้าที่ในการพูดและภาษา ส่วนที่สั่งการเกี่ยวกับภาษาได้แก่บริเวณโบรคา (Broca's area) ภายในสมองกลีบหน้าของสมอง การเข้าใจคำพูดเกี่ยวข้องกับบริเวณเวอร์นิเก (Wernicke's area) ซึ่งอยู่บริเวณรอยต่อของสมองสมองกลีบขมับและสมองกลีบข้าง บริเวณทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยลำเส้นใยประสาทขนาดใหญ่เรียกว่า อาร์คูเอท ฟาสซิคูลัส (arcuate fasciculus) การเสื่อมของบริเวณโบรคาจะทำให้เกิดภาวะเสียการสื่อความชนิด expressive aphasia (non-fluent aphasia) ในขณะที่การเสื่อมในบริเวณเวอร์นิเกส่งผลให้เกิดภาวะเสียการสื่อความชนิด receptive aphasia (fluent aphasia)",
"ซีรีเบลลัมตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเยื้องด้านล่างของศีรษะ (บริเวณสมองส่วนท้าย (rhombencephalon)) ด้านหลังของพอนส์ (pons) และด้านล่างกลีบท้ายทอย (occipital lobe) ของซีรีบรัม ซีรีเบลลัมประกอบด้วยเซลล์แกรนูล (granule cell) ขนาดเล็กๆ จำนวนมาก ส่วนนี้จึงมีเซลล์ประสาทมากกว่า 50% ของสมองทั้งหมด แต่มีปริมาตรเพียง 10% ของปริมาตรสมองรวม ซีรีเบลลัมรับใยประสาทนำเข้ามากถึงประมาณ 200 ล้านใย ในขณะที่เส้นประสาทตา (optic nerve) ประกอบด้วยใยประสาทเพียงหนึ่งล้านใย",
"ถ้าส่งสัญญาณไปยัง reticular formation และทาลามัส ความรู้สึกเจ็บปวดก็จะเกิดขึ้น เป็นความรู้สึกที่ยังทื่อ ๆ ไม่ชัดเจน และยากที่จะกำหนดตำแหน่ง ต่อจากทาลามัส สัญญาณนั้นอาจจะเดินทางไปยังคอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกาย (somatosensory cortex) ในซีรีบรัม ซึ่งเป็นช่วงที่ความรู้สึกเจ็บปวดจะปรากฏตำแหน่งที่ชัดเจน และมีคุณสมบัติเฉพาะอย่างอื่น ๆ ที่รู้สึกได้ชัด",
"โดยรู้จักกันมานานว่า \"เค้สชะแลงอเมริกัน\" (the American Crowbar Case)[3]:54[4] และครั้งหนึ่งได้มีคำอธิบายว่า \"มากกว่ากรณีอื่น ๆ ทั้งหมด เป็นกรณีที่สร้างความอัศจรรย์ใจให้ ลดคุณค่าเรื่องการพยากรณ์โรค และแม้แต่ล้มล้างหลักสรีรวิทยา\"[5] นายเกจมีอิทธิพลต่อการอภิปรายเรื่องจิตใจและสมองในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในเรื่องของการแบ่งหน้าที่เฉพาะของเขตสมองในซีรีบรัม และอาจจะเป็นเค้สแรกที่บอกเป็นนัยว่า ความเสียหายต่อเขตบางเขตในสมอง อาจมีผลต่อบุคลิกภาพ[2]:บทที่7-9[4]",
"ในระยะที่สมองเจริญออกเป็น 5 กระเปาะ สมองส่วนหน้าจะแบ่งออกเป็นสมองส่วนไดเอนเซฟาลอน (ได้แก่ พรีทาลามัส, ทาลามัส, ไฮโปทาลามัส, ซับทาลามัส, อิพิทาลามัส และพรีเทคทัม) และ เทเลนเซฟาลอน (ซีรีบรัม)",
"กลีบสมอง (English: Lobes of the brain) เป็นส่วนหนึ่งของสมอง ในการแบ่งกลีบของสมองในระยะดั้งเดิม เป็นการแบ่งตามลักษณะทางกายวิภาค ซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ต่างๆ กันของสมอง เทเลนเซฟาลอน ซึ่งเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสมองมนุษย์แบ่งออกได้เป็นกลีบต่างๆ เช่นเดียวกันกับสมองส่วนซีรีเบลลัม แต่หากไม่ระบุให้เจาะจงลงไป การแบ่งกลีบของสมองมักหมายถึงการแบ่งกลีบเฉพาะของซีรีบรัม",
"สมอง ซีรีบรัม ประสาทกายวิภาคศาสตร์",
"ภาวะเสียการคำนวณเกี่ยวข้องกับรอยโรคที่สมองกลีบข้าง (parietal lobe) (โดยเฉพาะที่ลอนสมองแองกูลาร์ (angular gyrus)) และสมองกลีบหน้า (frontal lobe) ของซีรีบรัม และมีอาการแสดงแรกคือมีภาวะสมองเสื่อม (dementia) ในผู้ป่วยบางคนอาจพบอาการของการเสียการคำนวณเพียงอย่างเดียว แต่โดยทั่วไปจะพบกลุ่มอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะเสียการเขียนสื่อความ (agraphia) , ภาวะเสียการระลึกรู้นิ้วมือ (finger agnosia) , และอาการสับสนทิศทางซ้ายขวา ซึ่งเกิดจากความเสียหายของลอนสมองแองกูลาร์ข้างซ้าย หรือที่เรียกกันว่า กลุ่มอาการเกอรสต์มานน์ (Gerstmann's syndrome) \nจากการศึกษาผู้ป่วยซึ่งมีรอยโรคที่สมองกลีบข้างแสดงให้เห็นว่ารอยโรคที่ลอนสมองแองกูลาร์จะมีแนวโน้มเกิดความบกพร่องในการจำข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์มากกว่า เช่น สูตรคูณ โดยไม่มีความบกพร่องในการลบเลข ในทางกลับกันผู้ป่วยที่มีรอยโรคบริเวณร่องอินทราพาไรทัล (intraparietal sulcus) จะมีแนวโน้มเกิดความบกพร่องในการลบเลข แต่ยังมีความสามารถในการคูณเลข จากการศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าบริเวณต่างๆ ของสมองกลีบข้างทำหน้าที่แตกต่างกันในกระบวนการทางคณิตศาสตร์",
"หมวดหมู่:ซีรีบรัม หมวดหมู่:ประสาทกายวิภาคศาสตร์",
"พอนส์ (Pons) - อยู่ด้านหน้าของซีรีเบลลัม ติดกับสมองส่วนกลาง ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานบางอย่างของร่างกาย เช่น การเคี้ยวอาหาร การหลั่งน้ำลาย การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า การหายใจ การฟัง เมดัลลา (Medulla) - เป็นสมองส่วนท้ายสุด ต่อกับไขสันหลัง เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างสมองกับไขสันหลัง เป็นศูนย์กลางการควบคุมการทำงานเหนืออำนาจจิตใจ เช่น ไอ จาม สะอึก หายใจ การเต้นของหัวใจ เป็นต้น ซีรีเบลลัม (Cerebellum) - อยู่ใต้เซรีบรัม ควบคุมระบบกล้ามเนื้อให้สัมพันธ์กันและควบคุมการทรงตัวของร่างกาย",
"หลอดเลือดดำใหญ่ซีรีบรัล (great cerebral vein) เป็นหนึ่งในหลอดเลือดขนาดใหญ่ภายในกะโหลกศีรษะ ลำเลียงเลือดจากซีรีบรัม หลอดเลือดนี้รู้จักกันในชื่อ \"หลอดเลือดดำของกาเลน\" (vein of Galen หรือ VG) ตั้งชื่อตามผู้ค้นพบซึ่งเป็นแพทย์ชาวกรีกนามว่า กาเลน \nความผิดปกติเกี่ยวข้องกับความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น vein of Galen aneurysmal malformation (VGAM) และ vein of Galen aneurysmal dilation (VGAD)"
] |
มาร์เวลคอมิกส์ก่อตั้งขึ้นปีไหน ? | [
"มาร์ติน กูดแมน ได้ก่อตั้งบริษัทซึ่งต่อมาที่รู้จักกันดีในนามของมาร์เวลคอมิกส์ ภายใต้ชื่อไทม์ลีพับลิเคชั่นส์ ในปี ค.ศ. 1939[1] เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือการ์ตูนภายใต้สำนักพิมพ์ไทม์ลีคอมิกส์[2] กู๊ดแมน ผู้เผยแพร่นิตยสารเยื่อกระดาษที่ได้เริ่มต้นผลิตนิยายตะวันตกเยื่อกระดาษในปี ค.ศ. 1933 ได้ขยายตัวในตลาด และได้รับความนิยมอย่างสูงในรูปแบบใหม่ปานกลางของหนังสือการ์ตูน การเปิดตัวของเขาจากสำนักงานของบริษัท ที่มีอยู่ที่เลขที่ 330 ตะวันตก ถนนที่ 42 นครนิวยอร์ก เขาได้จัดตั้งบรรณาธิการ บรรณาธิการบริหาร และผู้จัดการธุรกิจอย่างเป็นทางการ ที่มีอับราฮัม กูดแมน เป็นผู้เผยแพร่ที่ระบุอย่างเป็นทางการ[1]"
] | [
"ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 มีการรายงานจากหลายแหล่งข่าวว่าวิลเลียมส์จะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง \"The King of the Elves\" ของฟิลิป เค. ดิก อย่างไรก็ดี ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ได้มีการประกาศวิลเลียมส์จะได้ร่วมกำกับภาพยนตร์ของดิสนีย์อีกเรื่องหนึ่งคือ \"บิ๊กฮีโร่ 6\" ภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการ์ตูนของมาร์เวลคอมิกส์ในชื่อเรื่องเดียวกัน โดยเป็นผู้กำกับร่วมกับดอน ฮอลล์",
"กัปตันอเมริกา (English: Captain America) เป็นตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ในหนังสือการ์ตูนอเมริกันที่จัดพิมพ์โดยมาร์เวลคอมิกส์ สร้างสรรค์โดย โจ ไซมอน (Joe Simon) และ แจ็ก เคอร์บี (Jack Kirby) ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือ Captain America Comics เล่มที่ 1 (มีนาคม ค.ศ. 1941) ซึ่งจัดพิมพ์โดยไทม์ลีคอมิกส์ บริษัทก่อนหน้ามาร์เวลคอมิกส์ โดยกัปตันอเมริกาถูกออกแบบให้เป็นซูเปอร์โซลเยอร์รักชาติที่เคยรบกับฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นตัวละครที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของไทม์ลีคอมิกส์ในช่วงยุคสงคราม ต่อมาสงครามได้ทำให้ความนิยมในซูเปอร์ฮีโร่ลดลงจน Captain America Comics ต้องปิดตัวในปี 1950 ต่อมามาร์เวลคอมิกส์ได้นำตัวละครนี้กลับมาในปี 1953 ซึ่งโลดแล่นได้ไม่นานก็ปิดตัวลงไป ภายหลังได้นำตัวละครนี้กลับมาอีกครั้งในปี 1964 ซึ่งนับตั้งแต่นั้น ตัวละครกัปตันอเมริกาก็โลดแล่นอยู้ในจักรวาลมาร์เวลมาจนถึงปัจจุบัน",
"ดีซีคอมิกส์ รายชื่อตัวละครมาร์เวลคอมิกส์ รายชื่อภาพยนตร์โดยมาร์เวลคอมิกส์ จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล มาร์เวลสตูดิโอส์",
"Tales to Astonish เป็นชื่อหนังสือการ์ตูนอเมริกันตีพิมพ์โดยมาร์เวลคอมิกส์\nหนังสือการ์ตูนหัวนี้เริ่มตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ.1959-มีนาคม ค.ศ.1968 โดยจะมีเนื้อหาคล้ายนิยายวิทยาศาสตร์ซึ่งสร้างสรรค์โดยแจ็ค เคอร์บี้และสตีฟดิตโก มันได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆในยุดซิลเวอร์เอจของหนังสือการ์ตูน ต่อมาหนังสือการ์ตูนหัวนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นThe Incredible Hulk# 102 (เมษายน 1968) ร่วมกับหนังสือการ์ตูนหัวอื่นอย่างTales of Suspense\nต่อมามาร์เวลคอมิกส์ก็ได้พิมพ์เล่มต่อโดยเล่าเรื่องราวของเจ้าสมุทรดิ ซับ-มารีเนอร์ ไป14ฉบับตั้งแต่ธันวาคม ค.ศ.1979-มกราคม ค.ศ.1981",
"นอกจากจะเป็นหนึ่งในหนังสือการ์ตูนกระแสหลักของสังกัดมาร์เวลคอมิกส์แล้ว เรื่องของไอ้แมงมุก็ยังถูกนำมาเล่าในเนื้อเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย",
"บริษัทรุยไฮโลจิสติกส์ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2555 เป็นบริษัทขนส่งเอกชนที่ดำเนินงานรับจัดการวัตถุเคมีอันตรายภายในท่าเรือเทียนจินโดยเฉพาะ เช่น อากาศอัดแรงดัน วัสดุติดไฟและมีฤทธิ์กัดกร่อน สารในปฏิกิริยารับอิเล็กตรอน และสารเคมีเป็นพิษ ซึ่งบริษัทได้รับมอบหมายจากสำนักงานความปลอดภัยทางพาณิชย์นาวีเทียนจินให้เป็นตัวแทนรับอนุญาตในการจัดการสารเคมีอันตรายเหล่านี้",
"มหาประลัยคนเกราะเหล็ก () เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรที่มาจากต้นฉบับการ์ตูนของมาร์เวลคอมิกส์ในชื่อเดียวกัน ภาพยนตร์กำกับโดย จอน แฟฟโรว์ เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เกี่ยวกับ โทนี สตาร์ก (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) เศรษฐีพันล้านเจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรมซึ่งโดนจับตัวโดยผู้ก่อการร้ายในประเทศอัฟกานิสถาน เพื่อให้สร้างขีปนาวุธ แต่ทางสตาร์กได้นำวัตถุดิบในการสร้าง มาสร้างเป็นชุดเกราะฮีโรเพื่อหลบหนีมาแทนที่ ซึ่งเมื่อเขาได้กลับมาที่อเมริกา ต่อมาได้พัฒนาชุดเกราะของเขากลายมาเป็นซูเปอร์ฮีโรไอรอนแมน \nภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 และมีภาคต่อ \"มหาประลัยคนเกราะเหล็ก 2\" ออกฉายปี พ.ศ. 2553 และ \"มหาประลัยคนเกราะเหล็ก 3\" ออกฉายปี พ.ศ. 2556",
"ตัวละครดังกล่าวได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในยุคเงินของหนังสือการ์ตูน โดยปรากฏตัวมาเป็นเวลากว่าสี่ทศวรรษของมาร์เวลคอมิกส์อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นตัวละครนำในลิมิเต็ดซีรีส์ \"ซูเปอร์-วิลเลียน ทีม-อัพ: โมด็อคอีเลเว่น\" #1 - 5 (กันยายน - ธันวาคม ค.ศ. 2008) ต่างหากด้วย และในชื่อของตัวละครเดียวกันนี้ในการจัดพิมพ์ฉบับวัน-ช็อต โดยใช้ชื่อว่า \"โมด็อค: เรจ์นดีเลย์\" (พฤศจิกายน ค.ศ. 2009)",
"ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า () เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรที่มาจากต้นฉบับการ์ตูนของมาร์เวลคอมิกส์ในชื่อเดียวกัน ธอร์ สร้างโดยมาร์เวล สตูดิโอส์ และจัดจำหน่ายโดย พาราเมาต์พิกเจอส์ กำหนดตารางจัดฉายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554",
"เซนทิเนล ไพรม์ ปรากฏตัวครั้งแรกในการ์ตูนชุดทรานส์ฟอร์มเมอร์ส ตอนที่ 65 ของมาร์เวลคอมิกส์ในฐานะของผู้นำกลุ่มออโต้บอทส์ ก่อนหน้าอ็อพติมัส ไพรม์\nเซนทิเนล ไพรม์ ในภาคอะนิแมเต็ดมีลักษณะร่างกายสีน้ำเงิน รวมทั้งมีล้อรถและเกราะป้องกันสีเหลืองและสีเทาติดอยู่ในช่วงไหล่ทั้งสองข้าง เป็นหุ่นยนต์ประจำอยู่ในสังกัดของ ไซเบอร์ทรอนเอลตี้การ์ด (Cybertron Elite Guard) เซนทิเนล ไพรม์มีข้อเสียเรื่องการที่เขามักจะตัดสินใจทำการสิ่งใดนั้น ผิดพลาดในบางครั้งบางคราว\nในภาคต่อของภาพยนตร์ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส ภาคที่ 3 เซนทิเนล ไพรม์ คืออดีตนักรบที่ดีที่สุด และเคยเป็นผู้นำของกลุ่มออโต้บอทส์ ที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานาน จากอุบัติเหตุยานบินออโต้บอทส์ถูกระดมยิงตกลงบนผิวของดวงจันทร์ของโลก เซนทิเนล ไพรม์มีความผูกพันเป็นญาติกับอ็อพติมัส ไพรม์ ซึ่งสืบทอดตำแหน่งผู้นำกลุ่มออโต้บอทส์หลังจากที่เซนทิเนล ไพรม์ หายตัวไป อาวุธของเซนทิเนล ไพรม์ ที่ปรากฏในภาพยนตร์ประกอบด้วย โล่ ปืนยิงสนิม และดาบซึ่งมีสองใบมีด สามารถพับเก็บได้ เจตนาของเซนทิเนล ไพรม์ นั้น คือการฟื้นฟูดาวบ้านเกิด นั่นคือ ไซเบอร์ทรอน ที่เสียหายจากสงครามกลางดวงดาวระหว่างกลุ่มออโต้บอทส์ และดีเซปติคอนส์ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เซนทิเนลนั้น ยอมทำได้ทุกอย่างแม้แต่การทรยศ อ็อพติมัส ไพรม์ ผู้เป็นน้องชายของเขา รวมถึงกลุ่มออโต้บอทส์ซึ่งเป็นพวกเดียวกันเอง แล้วไปร่วมมือกับกลุ่มดิเซปติคอนส์ ในช่วงสุดท้ายของการรบเซนทิเนลได้ใช้ดาบฟันที่แขนข้างขวาของอ็อพติมัส ไพรม์ สุดท้ายเซนทิเนลถูกอ็อพติมัส ไพรม์ได้ใช้ปืนของเมกะทรอนสังหารเขาสิ้นใจในทันที ผู้ให้เสียงพากย์เซนทิเนล ไพรม์ภาคภาษาไทย คือ เอกชัย พงษ์สมัย และให้เสียงภาคภาษาอังกฤษโดย ลีโอนาร์ด นิมอย (Leonard Nimoy) โดย ลีโอนาร์ด ได้เคยฝากผลงานการพากย์เสียง กัลวาทรอน ในภาพยนตร์ ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส เดอะ มูฟวี่ ในคริสต์ศักราช 1986 อีกด้วย",
"กัปตันอเมริกาแอนด์ดิอเวนเจอร์ส (; ) เป็นเกมตู้ที่ได้รับการพัฒนาและเผยแพร่โดยดาตาอีสต์ในปี ค.ศ. 1991 เกมนี้มีตัวละคร\"ดิอเวนเจอร์ส\"จากมาร์เวลคอมิกส์ในรูปแบบการวิวาทและการยิงแบบผจญภัยฉายด้านข้างเพื่อกำจัดเรดสกัลที่ชั่วร้าย เกมได้รับการจัดทำสู่ระบบเจเนซิส/เมกาไดร์ฟ, ซูเปอร์แฟมิคอม, เกมบอย และเกมเกียร์ ส่วนเวอร์ชันอื่นที่แตกต่างของดาตาอีสต์ได้รับการเปิดตัวสู่ระบบแฟมิคอม",
"แนช (; ) หรือ ชาร์ลี () เป็นตัวละครจากเกมสตรีทไฟท์เตอร์ เป็นตัวละครที่สามารถเลือกมาต่อสู้ได้ครั้งแรกในเกมสตรีทไฟท์เตอร์ซีโร่ภาคแรก และมีเรื่องราวที่กล่าวถึงอดีตที่เกี่ยวของกับตัวเขาในสตรีทไฟท์เตอร์ II แนชเป็นนายทหารอากาศชาวสหรัฐ เขามีจุดมุ่งหมายที่จะโค่นองค์กรชาโดลู มีบทบาทสำคัญในภาคซีโร่ และภาคเกมต่อสู้ข้ามฝั่ง ที่ต้องทำศึกกับตัวละครจากมาร์เวลคอมิกส์อยู่หลายภาค",
"โจเซฟ เฮนรี่ \"โจ\" ไซมอน (; 11 ตุลาคม ค.ศ. 1913 — 14 ธันวาคม ค.ศ. 2011) เป็นนักเขียนหนังสือการ์ตูน, ศิลปิน, บรรณาธิการ และ ผู้จัดพิมพ์ชาวอเมริกัน เขาเป็นผู้ร่วมออกแบบตัวละครสำคัญเป็นจำนวนมากในยุค 1930 - 1940 ซึ่งเป็นยุคทองของหนังสือการ์ตูน และทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการครั้งแรกให้กับไทม์ลี่คอมมิกส์ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นมาร์เวลคอมิกส์ในเวลาต่อมา",
"ฟาวเซ็ทได้ประกาศหยุดตีพิมพ์กัปตันมาร์เวลในปี 1953 เนื่องจากเกิดคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับดีซีคอมิกส์ ซึ่งกล่าวหาว่ากัปตันมาร์เวลมีต้นแบบมาจากซูเปอร์แมน ในปี 1972 ดีซีได้รับอนุญาตให้นำมาร์เวลแฟมิลี่จากฟาวเซ็ท กลับมาตีพิมพ์อีกครั้ง โดยปี 1991 ดีซีได้รับสิทธิเหนือตัวละครทั้งหมดและได้นำกัปตันมาร์เวลและมาร์เวล แฟมิลี่เข้าสู่จักรวาลดีซี และเนื่องจากความขัดแย้งกับชื่อตัวละครอีกตัวที่ชื่อว่า\"กัปตันมาร์เวล\"ซึ่งเป็นตัวละครของมาร์เวลคอมิกส์ ดีซีจึงใช้เครื่องหมายการค้า \"ชาแซม!\" ในการโฆษณา ทำให้หลายคนเข้าใจว่าคำนี้เป็นชื่อของตัวละคร จนเมื่อปี 2011 ดีซีจึงเปลี่ยนชื่อตัวละครนี้เป็น \"ชาแซม\" อย่างเป็นทางการ",
"ดิ๊กซี่ ชิกส์ () เป็นวงดนตรีแนวคันทรี่จากสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยสมาชิก 3 สาวคือ Emily Robison, Martie Maguire และ Natalie Maines ที่การันตีความสำเร็จด้วยตำแหน่งกลุ่มศิลปินหญิงที่มียอดขายผลงานมากที่สุดในโลกถึง 28 ล้านก๊อปปี้\nดิ๊กซี่ ชิกส์ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1989 ที่เท็กซัส มีเพลงฮิตมากมายอย่าง \"Wide Open Spaces\", \"Cowboy Take Me Away\"และ \"Long Time Gone\" นอกจากผลงานดนตรีอันโดดเด่นแล้ว ทั้ง Dixie Chicks ยังถูกจับตามองจากแฟนเพลงและสื่อมวลชนทั่วโลก หลังจากที่ Natalie Maines นักร้องนำของวงได้กล่าววิจารณ์ประธานาธิบดี George W. Bush อย่างรุนแรงกลางเวทีคอนเสิร์ตที่ลอนดอนเมื่อปี 2003 ในกรณีที่สหรัฐส่งทหารบุกอิรักผลงานดนตรีของ Dixie Chicks ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจากสถาบันดนตรีต่างๆ เช่น รางวัลแกรมมี่, บิลบอร์ด, American Music Awards, People Choice Awards เป็นต้น",
"อินฮิวแมน ที่กำลังจะมาถึงของช่องเอบีซี เป็นละครชุดทางโทรทัศน์อเมริกันแนวซูเปอร์ฮีโรโดยมีเค้าโครงมาจาก \"อินฮิวแมน\" ของมาร์เวลคอมิกส์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยสก็อตต์ บัค และนำแสดงโดยซอนย่า บัลมอร์ส,อิซาเบล คอร์นิช,อิเม อิควอล์กเกอร์ เป็นต้น โดยมี2ตอนแรกฉายทางระบบไอแม็กซ์ โดยเป็นการเล่าเรื่องของราชวงศ์อินฮิวแมนนี่หลบซ่อนตัวอยู่อีกฟากของดวงจันทร์ ณมหานครแอตติแลนของเหล่าอินฮิวแมนซึ่งปกคองโดย ราชาแบล็คโบลต์และราชินีเมดูซ่า\nปัจจุบันมี 1ซีซั่น",
"โกสต์ ไรเดอร์ มัจจุราชแห่งรัตติกาล (อังกฤษ: Ghost Rider) เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ 3 มิติ โดยอิงจากหนังสือการ์ตูนแนวแอนตี้ฮีโร่สังกัดมาร์เวลคอมิกส์ซึ่งมีชื่อว่า โกสท์ ไรเดอร์ ภาพยนตร์ชุดนี้มีภาคต่อคือภาพยนตร์เรื่อง โกสต์ ไรเดอร์ อเวจีพิฆาต ซึ่งนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ รับบท โกสท์ไรเดอร์ (จอห์นนี่ เบลซ)",
"การตีพิมพ์ครั้งแรกของไทม์ลีโดยหนังสือการ์ตูน มาร์เวลคอมิกส์ ฉบับที่ 1 (ตุลาคม 1939) รวมทั้งการปรากฏตัวครั้งแรกของซุเปอร์ฮีโรแอนดรอยด์ของคาร์ล บูร์กอส ชื่อฮิวแมนทอร์ช และการปรากฏตัวครั้งแรกของแอนตีฮีโรของบิลล์ อีเวอเรตต์ชื่อ กะลาสีนามอร์ ประสบความสำเร็จที่ดี และพิมพ์ครั้งที่สองต่อมาขายต่อเดือนรวมเกือบ 900,000 เล่ม[3] ในขณะที่เนื้อหาของมันมาจากบรรจุด้านนอกของ บริษัท ฟันนีส์ ไทม์ลีในปีต่อไปมีพนักงานของตัวเอง",
"เดดพูลได้ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน เดอะนิวมิวแตนท์ ฉบับที่ 98 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 ซึ่งในการปรากฏตัวครั้งแรกของเขา เดดพูลได้รับการจ้างวานจากทอลลิเวอร์ ในการโจมตีเคเบิล กับเหล่ามิวแตนท์สายพันธุ์ใหม่ ในช่วงต่อมาเคเบิลได้ปรากฏตัวในหนังสือการ์ตูน เอ็กซ์ฟอร์ซ ในฐานะตัวละครที่แจ้งเกิดขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ เดดพูลยังได้เป็นดารารับเชิญให้ปรากฏตัวในหนังสือการ์ตูนของมาร์เวลคอมิกส์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น อเวนเจอร์ส, แดร์เดวิล, ฮีโร่ฟอร์ไฮร์ และในปี ค.ศ. 1993 ตัวละครได้รับบทบาทสำคัญในมินิซีรีส์ของตนเอง โดยใช้ชื่อว่า เดอะเซอร์เคิล เชส ซึ่งได้รับการเขียนเรื่องโดยไรเฟล นิเซียซา และวาดลายเส้นดินสอโดย โจ มาดูเรรา การร่วมงานกันในครั้งนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ และเดดพูลได้เป็นดาราหลักในครั้งที่สอง โดยใช้ชื่อของเดดพูลเองเป็นชื่อเรื่อง ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1994 โดยมาร์ค เวด และได้รับการวาดลายเส้นดินสอโดยเอียน เชอร์ชิล",
"มนุษย์ตัวเขียวจอมพลัง () เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรที่มาจากต้นฉบับการ์ตูนของมาร์เวลคอมิกส์ในชื่อเดียวกัน สร้างโดยมาร์เวลสตูดิโอส์ และจัดจำหน่ายโดย ยูนิเวอร์แซลพิกเจอส์ กำหนดตารางจัดฉายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551",
"บริษัท มาร์เวลเวิลด์ไวด์ (English: Marvel Worldwide, Inc.) หรือเรียกทั่วไปว่า มาร์เวลคอมิกส์ (English: Marvel Comics) และชื่อก่อนหน้านีนี้<b data-parsoid='{\"dsr\":[1319,1347,3,3]}'>บริษัท มาร์เวลพับลิชิง (English: Marvel Publishing, Inc.) และ มาร์เวลคอมิกส์กรุป (English: Marvel Comics Group) เป็นค่ายการ์ตูนและสื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโรของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1939 โดย มาร์ติน กูดแมน ในนามของไทม์ลีคอมิกส์ มีนักเขียน นักวาดคนสำคัญ เช่น สแตน ลี แจ็ก เคอร์บี สตีฟ ดิตโก เป็นต้น มาร์เวลคอมิกส์ มีชื่อเสียงโด่งดังและรู้จักกันดี เช่น เอ็กซ์เมน สไปเดอร์-แมน ฮัลก์ กัปตันอเมริกา ไอรอนแมน ธอร์ เป็นต้น และศัตรูที่โด่งดังและรู้จักกันดี เช่น กรีนก็อบลิน แม็กนีโต ด็อกเตอร์ดูม โลกิ กาแล็กตัส และเรดสกัล เป็นต้น มาร์เวลคอมิกส์ และคู่แข่งสำคัญมายาวนานคือดีซีคอมิกส์ ร่วมหุ้นกันไป 80 % ของตลาดหนังสือการ์ตูนอเมริกันในปี ค.ศ. 2008 ปัจจุบันมาร์เวลคอมิกส์เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์",
"X-เม็น 2 () เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของภาพยนตร์ชุด X-เม็น สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนเอ็กซ์เมนของมาร์เวลคอมิกส์โดยแจ็ค เคอร์บี้และสแตน ลี ภาพยนตร์กำกับโดยไบรอัน ซิงเกอร์ และนำแสดงโดย แพทริค สจ๊วต, ฮิวจ์ แจ็คแมน, เอียน แม็กเคลเลน, ฮัลลี เบอร์รี, ฟัมเกอ ยันส์เซิน, เจมส์ มาร์สเดน, บรูซ เดวิสัน, รีเบคก้า โรมิจิน-สเตมอส, ไบรอัน ค็อกซ์, เคลลี่ ฮู, แอนนา แพควิน",
"อัลติเมตมาร์เวล vs. แคปคอม 3 ได้มีการเปิดตัวตัวละครใหม่อย่างฟีนิกซ์ ไรท์ หรือที่รู้จักในชื่อริวอิจิ นะรุโฮะโด ในเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแม้จะมีการเปิดตัวนักสู้ทีละราย เพื่อเป็นการสร้างกระแสของเกมต่อสู้จนเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีผู้คนให้ความสนใจต่อตัวละครดังกล่าวมากเป็นพิเศษ เนื่องด้วยเป็นตัวละครจากเกมทนายชื่อเอชแอตเทอร์นีย์ หรือกาคุเท็นไซบัน ในเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น โดยได้มีการนำท่าการเคลื่อนไหวจากเกมต้นฉบับมาดัดแปลงเป็นท่าโจมตี โดยเฉพาะการชี้นิ้วเพื่อคัดค้านอันเป็นเอกลักษณ์ และการปรากฏตัวของตัวละครฝั่งมาร์เวลคอมิกส์อย่างโนวา[20] รวมถึง ได้มีการเปิดตัวแฟรงก์ เวสต์ ซึ่งเป็นตัวละครจากเกมซีรีส์เดดไรซิง และเคยปรากฏตัวในทัตสึโนโกะ vs. แคปคอม: อัลติเมตออล-สตาร์ส แม้ว่ารูปแบบการต่อสู้จะเหมือนกับเกมดังกล่าว แต่ทางแคปคอมได้ทำการปรับปรุงโดยเพิ่มระบบเลเวล และยกเลิกท่าไม้ตายที่อยู่ในชุดร็อคแมนออกไป และตัวละครชื่อร็อกเก็ตแรคคูน ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในมาร์เวลพรีวิว เล่ม 7 โดยในเกม ตัวละครดังกล่าวจะเน้นการใช้แทกติกและการวางกับดัก[21]",
"โกสต์ ไรเดอร์ อเวจีพิฆาต () เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่3 มิติ โดยอิงจากหนังสือการ์ตูนแนวแอนตี้ฮีโร่สังกัดมาร์เวลคอมิกส์ซึ่งมีชื่อว่า โกสท์ไรเดอร์ ภาพยนตร์ชุดนี้เป็นภาคต่อของภาพยนตร์ \"โกสต์ ไรเดอร์ มัจจุราชแห่งรัตติกาล\" ซึ่งนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ ที่กลับมาแสดงอีกครั้งในบทของ โกสท์ไรเดอร์ (จอห์นนี่ เบลซ) นอกจากนี้ ยังเป็นภาพยนตร์ชุดที่สองที่เปิดตัวภายใต้ชื่อมาร์เวลไนท์ต่อจาก \"สงครามเพชฌฆาตมหากาฬ\" กำกับภาพยนตร์โดย มาร์ค เนเวลดีน และ ไบรอัน เทย์เลอร์ เขียนบทภาพยนตร์โดย เดวิด เอส. โกเยอร์, สก็อตต์ กิมเปิล และ เซธ ฮอฟแมน ทั้งนี้ \"โกสต์ ไรเดอร์ อเวจีพิฆาต\" ได้รับกำหนดการเปิดตัว ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 โปรติวเซอร์ของมาร์เวลชื่อ อาวี อาราด ได้ประกาศที่จะพัฒนา \"โกสท์ไรเดอร์ 2\" ในงานแถลงข่าว ปีเตอร์ ฟอนด้า ยังได้แสดงความปรารถนาที่จะกลับมาแสดงอีกครั้งในบทของเมฟิสโตเฟลเลส ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 นิโคลัส เคจยังได้แสดงความสนใจที่จะกลับมาแสดงนำในบทของโกสท์ไรเดอร์",
"กัปตัน มาเวลรัส (キャプテン・マーベラス) / โกไคเรด (ゴーカイレッド) แสดงโดย โอซาวะ เรียวตะ (小澤亮太) ตัวเอกของเรื่อง เป็นผู้นำของโกไคเจอร์ กัปตันเรือโกไคแกลเลียนคนที่ 2 ต่อจากอาคะเรด มีนิสัยเอาแต่ใจ อวดดี เผด็จการ ปากสุนัข นิสัยออกแนวจักรพรรดิเต็มขีดปรอท แต่มีจิตใจคุณธรรม ไม่เห็นด้วยกับการยึดครองดินแดนแบบโหดร้าย ชอบการยึดครองดินแดนด้วยสันติวิธี ในเวลาปกติ มาร์เวลรัส มักทำตัวเป็นเรื่อยเปื่อยและเอาแต่ใจบ่อยครั้ง ชอบร้องเอะอะโวยวายและหาทางระบายอารมณ์ใส่ดอนเสียทุกครั้ง เขามักจะสั่งลูกน้องของเขาตามอารมณ์และความต้องการส่วนตัว มีความอ่อนโยนอยู่ลึกๆ สิ่งที่มาร์เวลรัสไม่ถนัดคือ การทำอาหาร และ การเล่นไพ่ เพราะเขามักจะแพ้ทุกครั้งที่เล่นแถมยังแพ้แบบหลุดลุ่ยอีกต่างหาก ในทุกๆ วัน มาร์เวลรัส มักจะฝึกฝนตนเองโดยการใส่กำไลที่มีน้ำหนักมหาศาลแทนการยกดัมเบล และ เล่นเกมปาเป้าเพื่อฝึกฝนด้านการยิงปืน มีความสามารถในการยิงปืนที่แม่นที่สุดในกลุ่ม ในอดีต มาร์เวลรัสเป็นเพียงโจรสลัดธรรมดา แต่เมื่อเขาได้พบกับอาคะเรนเจอร์คีย์ และอาคะเรด ทำเขาได้กลายเป็นลูกเรือบนเรือโกไคแกเลียนในเวลาต่อมา โดยมีอาคะเรดเป็นกัปตันของเรือและเป็นผู้ชักชวนให้มาร์เวลรัสออกผจญภัยในอวกาศอันไกลพ้น ครั้งหนึ่งในระหว่างการจอดพักบนดาวแห่งหนึ่ง เขาและอาคะเรดได้ถูกซันแก็คลักลอบโจมตีเนื่องจากการทรยศของบาสโก แต่เขากลับรอดชีวิตมาได้โดยอาคะเรดเข้ามาปกป้องเขาและมอบเรนเจอร์คีย์กับเนวี่ไว้ให้ โดยมีหน้าที่ในการปกป้องสมบัติที่มีค่ามหาศาลของจักรวาลเอาไว้ให้รอดพ้นจากซันแก็ค นับแต่นั้นมา เขาตั้งตนเป็นกัปตันและตามหาสามาชิกที่ปกป้องสมบัติของจักรวาลจนถึงปัจจุบัน โจ กิปเดน (ジョー・ギブケン) / โกไคบลู (ゴーカイブルー) แสดงโดย ยามาดะ ยูคิ (山田裕貴) รองหัวหน้าทีมของโกไคเจอร์ เป็นคนสุขุมและใจเย็นในบางครั้ง แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง และขี้อาย จึงทำให้ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใดๆให้ใครเห็นสักเท่าไหร่ มีความสามารถพิเศษด้านการต่อสู้ด้วยดาบ การทำอาหาร รวมไปถึง การเล่นไพ่ นอกจาก โจ ยังมีสายตาที่แหลมคมและมองเห็นความผิดปกติแม้เพียงนิดเดียว ในอดีต โจ เคยเป็นหัวหน้าองครักษ์ของซันการ์ค มาก่อน แต่ภายหลังได้รู้ความจริงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลของซันการ์ค ทำให้โจตัดสินใจที่จะต่อสู้กับซันการ์ค ทำให้เขาถูกหมายหัวและกลายเป็นคนทรยศของซันการ์คในที่สุด และได้เข้าร่วมกลุ่มโกไคเจอร์เป็นคนแรกจากการชักชวนของมาเวลรัส ลูก้า มิลฟี่ (ルカ・ミルフィ) / โกไคเยลโล่ (ゴーカイイエロー) แสดงโดย อิจิมิจิ มาโอะ (市道真央) สาวห้าวประจำทีม มีนิสัยใจร้อน หุนหันพลันแล่น หวงสมบัติและเห็นแก่เงินในบางครั้งคราว และมักจะหัวเสียทุกครั้งเมื่อเงินและสมบัติที่เธอได้มา ถูกทำลายหรือใช้ไปไม่เหมาะสม มีความสามารถในการจารกรรม และการเล่นไพ่ในระดับสูง สิ่งที่ลูก้าชื่นชอบคือ อัญมณีและเงินทอง และเมื่อเธอแวะเวียนไปที่ร้านขายอัญมณี เสียทุกครั้งเท่าที่มีโอกาส สิ่งที่ลูก้าเกลียดคือ ผักบล็อกโคลี่ ในอดีต ลูก้า มีชีวิตอันแร้นแค้นและขัดสน เธอมีน้องชายและน้องสาวมากกว่า 10 คน ทำให้เธอและน้องๆต้องออกไปจารกรรมสิ่งของหรือแม้แต่อาหารเพื่อประทังชีวิต โดยเธอตั้งปณิธานไว้ว่าจะหาเงินทองเพื่อทำให้ครอบครัวและน้องๆของเธอให้ได้มีความสุขมากที่สุด สิ่งที่ลูก้าไม่อาจทำใจได้คือการสูญเสียของเหล่าพี่น้อง ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการอดอาหารและการทารุณกรรมของซันแก็ค ทำให้เธอเกลียดชังซันแก็คขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น ดอน ด็อกคอยเยอร์ (ドン・ドッゴイヤー) / โกไคกรีน (ゴーカイグリーン) นักประดิษฐ์ประจำทีม มีชื่อเล่นว่า ฮาคาเสะ (ハカセ) แต่ไกจะเรียกว่า ดอนจัง (ドンさん) มีนิสัยสนุกสนานเฮฮา แต่ขี้กลัว มักโดนเพื่อนๆเห็นเป็นกระสอบทรายเสียทุกครี้ง มีความสามารถในการประดิษฐ์ ซ่อมอุปกรณ์ และทำอาหารบ่อยครั้งที่ดอน มักถูกเพื่อนๆในกลุ่มใช้แรงงานหรือจ้างวานให้ทำงานหลายๆอย่าง ตั้งแต่งานบ้านธรรมดา จนถึงงานซ่อมแซมเครื่องมือ บ่อยครั้งที่มักถูกจ้างวานให้เป็นคนรับใช้ในการถือของ เวลาเดินเลือกซื้อและจ่ายตลาด สิ่งที่ดอนค้างคาใจมาโดยตลอดคือ ความทรงจำในช่วงวัยเด็กจนถึงช่วงวัยรุ่นที่หายไปของเขา โดยที่ตัวของเขาเองไม่รู้เลยว่าเขามาจากไหน มาทำอะไร และ ทำเพื่ออะไร รู้แต่เพียงว่าเขาอาศัยอยู่ในกระท่อมบนดาวแห่งหนึ่งและเก็บตัวทำการประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆเพียงลำพัง ไอม์ เดอ ฟามิว (アイム・ド・ファミーユ) / โกไคพิงค์ (ゴーカイピンク) แสดงโดย โคอิเคะ ยูอิ (小池唯) เจ้าหญิงแห่งดาวฟามิวที่ล่มสลายเนื่องจากถูกซันการ์คทำลายดาวบ้านเกิดของเธอ โดยเธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว เธอเป็นคนใจดี เมื่อรู้ว่ามีกลุ่มที่เป็นปรปักรกับซันแก็ค เธอจึงได้มุ่งหน้าตามหากลุ่มดังกล่าว และเมื่อรู้ว่าเป็นกลุ่มของมาร์เวลรัส เธอได้ขอร้องให้มาเวลลัสรับเป็นลูกเรืออีกคน เนื่องด้วยไอม์ เป็นสมาชิกลูกเรือที่มีประสบการณ์น้อยที่สุด ทำให้เธอมักสงสัยและไม่เข้าใจถึงการกระทำบางอย่างของมาร์เวลรัส, โจ และ ลูก้า และแสดงความเป็นห่วงเพื่อนๆในทีมเสมอๆ ในทุกๆครั้งที่ทุกคนในเรือมีปัญหา ไอม์ จะมีหน้าที่เป็นคนกลางและคอยไกล่เกลี่ยปัญหาเท่าที่ตนจะสามารถทำได้ หน้าที่หลักของไอม์บนเรือนั้นคือ แม่บ้าน และ ทำหน้าที่รินน้ำชายามบ่ายให้กับทุกๆคน โดยมีดอน ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย อิคาริ ไก (伊狩 鎧) / โกไคซิลเวอร์ แสดงโดย อิเคดะ จุนยะ (池田純矢) ปรากฏตัวครั้งแรกในตอนที่ 17 เป็นเด็กหนุ่มจากดาวโลกผู้ชื่นชอบซูเปอร์เซ็นไตเป็นชีวิตจิตใจ เขาได้รับการคัดเลือกให้กลายเป็นโกไคซิลเวอร์จากนักสู้ที่อาศัยอยู่ปรโลกอย่าง ดราก้อนเรนเจอร์, ไทม์ไฟเออร์ และ อาบะเรคิลเลอร์ เนื่องจากเขาได้ช่วยชีวิตเด็กหญิงเอาไว้จากอุบัติเหตุทำให้นักสู้ที่อยู่ปรโลก ตัดสินใจคัดเลือกให้ไกเป็นนักสู้อีก 1 คน มีประโยคประจำตัวคือ ลุยแบบเงินๆ (ギンギンに行くぜ!) ความสามารถพิเศษที่ไกได้รับมาจากการเป็นโกไคเจอร์คือ เมื่อใดทีไกสัมผัสเรนเจอร์คีย์ เขาจะสามารถสื่อสารกับเหล่านักรบในนิมิตรที่ถูกสร้างขึ้น เช่น เมื่อหยิบโกออนโกลด์คีย์ และ โกออนซิลเวอร์คีย์ ไกสามารถสื่อสารกับโกออนโกลด์และโกออนซิลเวอร์ผ่านทางนิมิตรของเขาได้ในทันที นาวี่ (ナビィ) พากย์โดย ทามุระ ยูคาริ (田村 ゆかり) หุ่นยนต์รูปแบบนกแก้วมาร์คอว์ ตัวสีแดงเข้ม ทำหน้าที่เป็นผู้บอกทิศทางการค้นหาสมบัติพลังอันยิ่งใหญ่ของขบวนการนักสู้และการเดินเรือของโกไคแกลเลียนให้กับโกไคเจอร์ มักคิดว่าตนเองคือผู้นำทางที่สุดยอดที่สุด แต่ในสายตาคนอื่นกลับมองเป็นหุ่นยนต์นกแก้วปากเสียตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เดิม เนวี่ เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาคะเรด เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้กับกลุ่มโจรสลัดสีแดงเพียงอย่างเดียว ภายหลังเนวี่ได้ติดตามมาร์เวลรัสแทนเนื่องจากอาคะเรดได้หายสาบสูญในศึกมหาสงครามในตำนาน",
"ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1997 มาร์เวลกำลังเจรจากับมาร์ก กอร์ดอน และแกรี เลวินโซน ในการสร้างภาพยนตร์\"กัปตันอเมริกา\" และวางตัวให้แลร์รี วิลสัน และเลสลี โบเฮม เป็นผู้เขียนบท ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2000 มาร์เวลรวมทีมกับอาร์ทิแซนเอนเตอร์เทนเมนต์ช่วยด้านการเงินให้กับภาพยนตร์ อย่างไรก็ตาม เกิดคดีความระหว่างมาร์เวลคอมิกส์และโจ ไซมอน เกี่ยวกับเจ้าของลิขสิทธิ์\"กัปตันอเมริกา\" ทำให้กระบวนการสร้างภาพยนตร์ต้องหยุดชะงักลง คดีความถูกตัดสินในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 ในปี ค.ศ. 2005 มาร์เวลได้รับเงินลงทุนจากเมร์ริล ลินช์ 525 ล้านดอลลาร์ ทำให้พวกเขาสร้างภาพยนตร์ได้สิบเรื่อง รวมเรื่อง\"กัปตันอเมริกา\"ด้วย พาราเมาต์พิกเชอส์ตกลงเป็นผู้เผยแพร่ภาพยนตร์ เดิมภาพยนตร์จะเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียว เควิน ไฟกี ผู้สร้างกล่าวว่าเนื้อเรื่อง \"เกือบครึ่ง\" จะกำหนดเวลาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนก้าวเข้าสู่ยุคปัจจุบัน อาวี แอรัด ผู้สร้างคนหนึ่งกล่าวว่า \"โอกาสที่ใหญ่ที่สุดกับกัปตันอเมริกาคือเป็นชายที่ 'อยู่ผิดเวลา' กลับมาสู่ปัจจุบัน มองโลกของเราผ่านสายตาคนที่คิดว่าโลกที่สมบูรณ์แบบคือเมืองเล็ก ๆ ในสหรัฐ เวลาผ่านไปหกสิบปี แล้ววันนี้เราเป็นใคร เราดีขึ้นหรือไม่\" เขาอ้างอิงภาพยนตร์ไตรภาค\"เจาะเวลาหาอดีต\"ให้เป็นอิทธิพลต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ และกล่าวว่าเขามี \"คนคนหนึ่งในใจที่จะเลือกมาแสดง และมีคนอีกคนที่เลือกมาเป็นผู้กำกับด้วย\" ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 แอรัดต้องการให้ภาพยนตร์ออกฉายในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2008 จอน แฟวโร ทาบทามแอรัดให้กำกับภาพยนตร์ให้เป็นแนวตลก แต่เขาเลือกทำเรื่อง\"มหาประลัยคนเกราะเหล็ก\"แทน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 เดวิด เซลฟ์ได้รับจ้างให้เขียนบท เขาอธิบายว่ากัปตันอเมริกาเป็นซูเปอร์ฮีโรที่เขาชื่นชอบขณะที่เขาเป็นเด็กเพราะ \"พ่อบอกผมว่าวันหนึ่งผมจะได้เป็นกัปตันอเมริกา\" โจ จอห์นสตันมาพบมาร์เวลเพื่อคุยเรื่องการกำกับภาพยนตร์",
"วอร์เร็น เคนเน็ธ เวอร์ธิงตัน ที่สาม () (แต่เดิมมีชื่อเดิมว่าแองเจิล ()และต่อมาเป็นอาร์คแองเจิล ())คือ ตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ที่ปรากฏในหนังสือการ์ตูนอเมริกันที่ตีพิมพ์โดยมาร์เวลคอมิกส์และเป็นผู้ก่อตั้งทีมเอ็กซ์เมนที่สร้างขึ้นโดยนักเขียนสแตน ลี และนักวาดแจ็ค เคอร์บี้ ปรากฎตัวครั้งแรกในThe X-Men # 1 (ก.ย. 1963)",
"อาคะเรด (アカレッド) จิตวิญญาณแห่งนักรบสีแดง เขาได้ตื่นจากการจำศีลในช่วงระยะเวลา 5 ปีหลังจากที่ซูเปอร์เซ็นไตทั้ง 34 ขบวนการได้สละพลังในอวกาศ โดยประดิษฐ์อุปกรณ์นานาชนิดและเรือโกไคแกลเลี่ยนขึ้นมาเพื่อใช้ในการปราบปรามศัตรูและค้นหาสมาชิกทั่วจักรวาล โดยลูกเรือชุดแรกที่รับเข้ามาคือ มาร์เวลรัส และ บาสโก้และตามหาเรนเจอร์คีย์ที่ถูกกระจัดกระจายไปยังจักรวาลโดยก่อตั้งกลุ่มโจรสลัดสีแดงเพื่อตามหาเรนเจอร์คีย์ทั้งหมดเพื่อปกป้องพลังของซูเปอร์เซ็นไต และเป็นผู้มอบเรนเจอร์คีย์พร้อมกับเนวี่ให้กับมาร์เวลรัส เพื่อใช้ในการปกป้องสมบัติของจักรวาลด้วยจิตวิญญาณของซูเปอร์เซ็นไตในตัวของมาร์เวลรัส ทำให้อาคะเรดหายสาบสูญจากการต่อสู้ อย่างไรก็ตามอาคะเรดก็ปรากฏตัวในความฝันของมาเวลรัสในเวลาที่พ่ายแพ้แก่ซันแก็คและได้บอกพลังที่ยิ่งใหญ่ของซูเปอร์เซ็นไตไว้ อาคะเรดในโกไคเจอร์มีลักษณะที่แตกต่างกับอาคะเรดในโบเคนเจอร์ VS ซูเปอร์เซ็นไตคือตราสัญลักษณ์บนหน้าอกจากเลข 30 เป็นสัญลักษณ์เลข 35 และหัวเข็มขัดจากตัว X สามตัวถูกเพิ่มตัว V บนกลางหัวเข็มขัด เด็กหนุ่มชุดดำ / ชินเคนเรด แสดงโดย อิซึมิ ไดจิ (泉 大智) ปรากฏตัวในตอนที่ 2 เป็นเด็กหนุ่มที่มีความต้องการที่จะปกป้องโลกจากซันการ์คเนื่องจากปู่ของเขาเสียชีวิตในศึกมหาสงครามในตำนาน จึงได้ขโมยเรนเจอร์คีย์ไปจากมาร์เวลรัส ภายหลังจากการเป็นชินเคนเรด ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ตนเองสามารถทำได้คือสิ่งใด",
"กัปตันอเมริกาเป็นตัวละครมาร์เวลคอมิกส์ตัวแรกที่ปรากฏในสื่ออื่นๆนอกจากหนังสือการ์ตูน จากภาพยนตร์ซีเรียล กัปตันอเมริกา หลังจากนั้น ตัวละครปรากฏในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เรื่องอื่น ๆ ล่าสุดคือในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล รับบทโดยคริส อีแวนส์ ในเรื่องกัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 ดิ อเวนเจอร์ส กัปตันอเมริกา: มัจจุราชอหังการ อเวนเจอร์ส: มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก สไปเดอร์แมน: โฮมคัมมิ่ง และอเวนเจอร์ส: มหาสงครามล้างจักรวาล",
"เดดพูล () เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรอเมริกัน เกี่ยวกับตัวละครในเครือมาร์เวลคอมิกส์ในชื่อเดียวกัน \"เดดพูล\" เป็นภาพยนตร์ลำดับที่แปดในภาพยนตร์ชุด \"เอ็กซ์เมน\" ภาพยนตร์กำกับโดยทิม มิลเลอร์ เขียนบทโดยเรตต์ รีส และพอล เวอร์นิก และนำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลส์ โมเรนา แบ็กคาริน เอ็ด สกรีน ที. เจ. มิลเลอร์ จีนา คาราโน บริอานนา ฮิลเดแบรนด์ สเตฟาน คาพิซิค และเลสลี อักแกมส์ ภาพยนตร์เล่าเรื่องของเวด วิลสัน ผู้ตามล่าผู้ที่เกือบทำลายชีวิตของเขา หลังจากเข้ารับการทดลองเพื่อเพิ่มความสามารถพิเศษให้ตน"
] |
โรงเรียนมาเรียลัย ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่ ? | [
"โรงเรียนมาเรียลัย ได้เปิดทำการสอนตาม พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฏร์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2480 โดยมีพระคุณเจ้าเรอเน แปร์โร ประมุขมิสซังสยามในขณะนั้นเป็นเจ้าของและผู้จัดการคนแรก และนางสาวอำไพ เลาหบุตร เป็นครูใหญ่ ในปี พ.ศ. 2489 ได้ขอทุนโรงเรียนดีจากกระทรวงศึกษาธิการ และได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงฯ ช่วยเมื่อ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2499 ต่อมา โรงเรียนได้รับรองวิทยฐานะ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2505 และเปิดทำการสอนแบบสหศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3"
] | [
"วันที่ 5 กรกฎาคม 2522 บาทหลวงชวลิต กิจเจริญ ได้รับคำสั่งย้ายไปประจำที่อื่น จึงทำให้ตำแหน่งผู้จัดการว่าง ซิสเตอร์ ระเบียบ ยิ่งยืน จึงได้รับตำแหน่งผู้จัดการแทน และในปีนี้ จำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้นเป็น 630 คน ทางโรงเรียนจึงได้ขอต่อเติมอาคารเรียนเพิ่มขึ้นอีก 1 ห้อง โดยต่อจากห้องประชุมและได้ดัดแปลงใช้เป็นห้องเรียนอีก 2 ห้อง รวมมีห้องเรียนทั้งหมด 17 ห้อง ในเนื้อที่ 2,040 ตารางวา สามารถรับนักเรียนได้ไม่เกิน 729 คน ในปีนี้มีซิสเตอร์สุพรรณี แย้มกรรณ รับตำแหน่งเจ้าของโรงเรียนแทนบาทหลวงชวลิต กิจเจริญ ซึ่งย้ายไป",
"ปี 2535 ซิบเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืน ได้รับคำสั่งย้ายไปประจำที่อื่น บาทหลวงธีรวัฒน์ เสานางค์นารถ จึงได้ดำรงตำแหน่งครูใหญ่แทน ปีนี้มีนักเรียน 1,280 คน ครู 58 คน",
"- ชั้นที่ 5 มีห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 - 6 ( ปรับอากาศ ) รวมถึง ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ( Lab )2 ห้อง / ห้องคอมพิวเตอร์ใหญ่ 2 ห้อง / ห้องนาฏศิลป์ 2 ห้อง",
"ปี 2546 บาทหลวงไพฑูรย์ หอมจินดา ดำรงตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต ซิสเตอร์พัชรา นันทจินดา เป็นครูใหญ่ จำนวนนักเรียน 3,228 คน ครู 122 คน ครูพี่เลี้ยง 21 คน โรงเรียนได้พัฒนาการสอนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2544 จนเป็นที่ยอมรับของชุมชน และโรงเรียนในเขต 4 จึงมีโอกาสขยายการศึกษาออกไปเป็น 12 ปี เพื่อสนองต่อการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เริ่มมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นปีแรก ถึงแม้ว่าโรงเรียนได้รับการตรวจประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ.แล้ว โรงเรียนก็ยังมุ่นมั่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการประเมินคุณภาพในระยะต่อไป",
"ปี 2548 ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับในอนุญาตคือ บาทหลวงไพฑูรย์ หอมจินดา บาทหลวงสุขุม กิจสงวน ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ มีนักเรียน 3,270 คน ครู 130 คน พี่เลี้ยง 20 คน โรงเรียนได้มีการพัฒนาการศึกษาขึ้นทั้งระบบ และในปีนี้ ได้จัดทำธรรมนูญโรงเรียนเพื่อเป็นแผนงานในการปฏิบัติงานปีการศึกษา 2548 – 2550",
"ปี 2530 ก่อสร้างอาคารเรียน 5 ชั้น แทนอาคารเรียน 2 ชั้น หลังเก่าโดยมีซิสเตอร์กฤษฎีชื่นชมน้อย มารับหน้าที่ครูใหญ่แทน ปีนี้มีนักเรียน 830 ครู 35 คน",
"ปี 2523 ทางโรงเรียนได้ขออนุญาตทางราชการใช้ห้องเรียนชั่วคราวเพิ่มขึ้นอีก 2 ห้องเรียน ในอาคารเรียนที่ 2 เพื่อใช้เป็นห้องเรียนอนุบาล ในปีนี้มีนักเรียนทั้งหมด 653 คน มีครู 31 คน ปีนี้ทางโรงเรียนได้ขอปิดกองยุวกาชาดและได้เปิดกองเนตรนารีแทน",
"ปี 2539 การดำเนินงานของโรงเรียน มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้มีการปรับปรุงในด้านต่างๆดังนี้",
"- ชั้นที่ 4 มีห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 - 4 ( เครื่องปรับอากาศ )",
"- ชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 / ห้องคริสต์ศาสนา / ห้องพยาบาล ( มีห้องน้ำในตัว )( เครื่องปรับอากาศ )",
"เป็นอาคารเรียนและอาคารปฏิบัติการ 6 ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2543 หรือ ค.ศ. 2000 มีรายละเอียดดังนั้",
"- ชั้นที่ 3 มีห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 2 ( เครื่องปรับอากาศ )",
"ปี 2543 คุณพ่อเกรียงศักดิ์ โกวิทวานิช ได้รับมองหมายให้ดำรงตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต และผู้จัดการ",
"มาเรียลัย มาเรียลัย",
"ก่อสร้างห้องสหกรณ์เพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับครูและนักเรียน ปรับปรุงห้องนาฏศิลป์ ปรับปรุงและตกแต่งสนามหน้าโรงเรียนให้สวยงามยิ่งขึ้น ปรับปรุงและตกแต่งบริเวณอาคารสถานที่ของนักเรียนระดับอนุบาลให้ดูสวยงามและปลอดภัยสำหรับนักเรียนอนุบาลมากยิ่งขึ้น จัดทำห้องคอมพิวเตอร์ เพิ่มอีก 1 ห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้นได้มีโอกาสรู้ถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน",
"และในปัจจุบัน โรงเรียนมาเรียลัยยังเป็น ศูนย์กลางของนักเรียนทุกศาสนา ซึ่งทางโรงเรียนได้เปิดการเรียนการสอน ถึง 5 ระดับชัน ซึ่งแบ่งเป็น อนุบาล ประถมต้น-ปลาย มัธยมต้น-ปลาย",
"ยัวร์บอยทีเจสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้น-มัธยมปลาย โรงเรียนมาเรียลัย และระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ",
"ปี 2529 ซิสเตอร์กิตฟ้า ว่องประชานุกูล รับหน้าที่แทนซิสเตอร์มารศรี จันทร์ชะลอ ซึ่งลาออก",
"โรงเรียนมาเรียลัย เป็นโรงเรียนโรมันคาทอลิกในเขตมิสซังกรุงเทพฯ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ตั้งอยู่เลขที่ 389 ถนนประชาพัฒนา แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่จำนวน 15 ไร่ 40 ตารางวา เดิมเป็นอาคารเรียนเรือนไม้ 2 ชั้น 3 หลัง ชุมชนมีการพัฒนาความเจริญมากขึ้น ตามลำดับ ในพื้นที่ของวัดแม่พระประจักษ์เมืองลูร์ด",
"ปี 2526 ทางโรงเรียนได้ก่อสร้างโรงเรียนอนุบาล โรงอาหาร และหอประชุมหลังใหม่ บาทหลวงสุรชัย ชุ่มศรีพันธ์ ได้ย้ายไปประจำที่อื่น โดยมีบาทหลวง ธนันชัย กิจสมัคร มารับตำแหน่งดูแลแทน มีบาทหลวงวุฒิเลิศ แห่ล้อม เป็นผู้ลงนาทแทนผู้รับใบอนุญาต ซิสเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืน เป็นครูใหญ่และผู้จัดการ การก่อสร้างโรงเรียนอนุบาลแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน เปิดทำการให้ภาคเรียนที่ 2 ได้เสกและเปิดอาคารเรียนเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2527",
"ปรับปรุงสนามฟุตบอล จัดถมดินให้สูงขึ้นป้องกันน้ำท่วม รวมทั้งถนนเข้าสู่โรงเรียน เทคอนกรีต ให้สูงขึ้น โดยรอบ รวมทั้งตึกอนุบาลด้วย ซ่อมแซมอาคารเรียน 5 ชั้นเพื่อปรับปรุงให้เป็นห้องปฏิบัติการต่างๆตามความเหมาะสม จัดห้องคอมพิวเตอร์เพื่อเสริมการเรียนการสอนให้ก้าวไกลไปกับยุคปฏิรูปเพื่อให้เด็กมีคุณภาพและประสิทธิภาพดีขึ้น ปรับปรุงหน้าอาคารเรียน โดยเฉพาะบริเวณเสาธงอย่างสวยงาม",
"พ.ศ. 2561 ทั้งนี้โรงเรียนมาเรียลัยได้มีการสร้างตึกอนุบาล และ Nursery ใหม่อีกด้วย ซึ่งมีช่วงชั้นอนุบาล 1 - อนุบาล 3 รวมถึง Nursery ทั้งยังมีสนามเด็กเล่นอีกด้วย และยังสร้างโดมไว้ในสถานที่เข้าแถวรวมตัวนักเรียนช่วงเช้า ของทุกตึกครอบคลุมเกือบทั้งโรงเรียน",
"สีประจำโรงเรียน ฟ้า - ขาว สีฟ้า หมายถึง ความหวังที่ทุกคนมุ่งใฝ่ศึกษาเพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า, สีขาว หมายถึง ความศรัทธาในคุณธรรม จริยธรรม ความบริสุทธิ์สะอาด",
"- ชั้นที่ 2 มีห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 - 3 ( เครื่องปรับอากาศ )",
"ปี 2525 บาทหลวงวรยุทธ กิจบำรุงได้รับตำแหน่งเป็นอธิการโบสถ์นักบุญอันนา ท่าจีน ที่โรงเรียนอันนาลัย บาทหลวงสุรชัย ชุ่มศรีพันธ์ ได้รับการแต่งตั้งให้มาปกครองดูและโบสถ์และโรงเรียน ต่อมาได้มองหมายให้ซิสเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืนเป็นผู้จัดการแทน และบาทหลวงวุฒิเลิศ ดำรงตำแหน่งผู้ลงนาทแทนผู้รับใบอนุญาต",
"ปี 2538 การดำเนินงานของโรงเรียนมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น ได้ปรับปรุงหลายด้าน ได้แก่",
"ปี 2527 บาทหลวงธนันชัย กิจสมัคร ได้รับคำสั่งย้ายไปที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยา และซิสเตอร์ระเบียบ ยิ่งยืน ย้ายไปที่โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ บาทหลวงประเวศ พันธุมจินดา ได้มารับตำแหน่งผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการและซิสเตอร์อัญชลี สมแสงสรวง รับตำแหน่งครูใหญ่",
"- ชั้นที่ 6 มีห้องประชุมมารีอา ( ห้องประชุมใหญ่ที่สุดในโรงเรียน ) ( ปรับอากาศ ) / ห้องงานช่าง 1 ห้อง",
"ปี 2528 บาทหลวงพงษ์เกษม สังวาลเพชร ได้มารับตำแหน่งในหน้าที่ผู้จัดการ และเจ้าของโดยมีซิสเตอร์ มารศรี จันทร์ชลอ เป็นครูใหญ่ ปีนี้มีนักเรียน 783 คน ครู 33 คน"
] |
พรรคไทยรักไทยก่อตั้งโดยใคร? | [
"พรรคไทยรักไทย จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 เป็นพรรคการเมืองแรกที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้ง 23 คน นำโดย ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ ได้รับชัยชนะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนครบวาระ 4 ปี"
] | [
"ด้านการเมือง เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย จากจำนวน 23 คน และเมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2544 และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านคนพิการ และเป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาด้านคนพิการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยดำรงตำแหน่งทั้งสอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 - 2549 จนกระทั่งเกิดรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ",
"พรรคแทนคุณแผ่นดิน () ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดย \"กลุ่มแทนคุณแผ่นดินอีสาน\" นำโดย นายวิวรรธนไชย ณ กาฬสินธุ์ อดีต ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคไทยรักไทย ที่แยกตัวออกมาพรรคพลังประชาชน เนื่องจากนายวิวรรธนไชยอ้างว่า นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้เคยพูดจาดูถูกคนอีสานไว้ในอดีต จึงไม่อาจยอมรับได้",
"ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 ประกาศตั้งพรรคเพื่อกู มีนโยบายที่ออกไปในทางเสียดสีพรรคไทยรักไทย อาทิ โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งกองพัน เพื่อก่อตั้งแก๊งมือปืน นโยบายไล่ล่านักการเมืองที่หากินกับโครงการของรัฐ รวมทั้งการจัดซื้อเครื่องบินเอฟ 16 อีก 20 ฝูง เพื่อจะได้ค่าคอมมิสชั่นมาแจกจ่ายในหมู่สมาชิกพรรค",
"หลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้ทำการลาออกจากการเป็น สมาชิกพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นได้เป็นหนึ่งในตัวแทนกลุ่มมัชฌิมา หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้เป็นผู้ทำความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับต่างชาติโดยเฉพาะไทยกับญี่ปุ่น แต่เป็นได้เพียงไม่กี่วันก็ลาออกไป เนื่องจากแรงกดดันจากหลายฝ่าย ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 จากนั้นจึงร่วมในการก่อตั้งพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา โดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพรรค",
"พรรคพลังพลเมืองไทย (, อักษรย่อ: พพพ., TCP.) พรรคการเมืองของไทยที่ได้ยื่นจดแจ้งจัดตั้งพรรคตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เป็นลำดับที่ 11/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561 เกิดจากการรวมตัวกันของอดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส. จากทั่วทุกภาคโดยมีนาย เอกพร รักความสุข อดีตรัฐมนตรีช่วยการ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็นผู้ก่อตั้งพรรคและว่าที่เลขาธิการพรรคนอกจากนี้ยังมีอดีตรัฐมนตรีหลายคนเข้าร่วมก่อตั้งอาทินาย สัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ว่าที่หัวหน้าพรรคและนาย ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ เป็นต้นโดยมีการนัดประชุมหารือเรื่องการจัดตั้งพรรคและแถลงข่าวถึงเรื่องนี้ที่บ้านพักของนายสัมพันธ์ที่ ถนนราชวิถี เมื่อวันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561 โดยมีกำหนดประชุมพรรคครั้งแรกเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561 ที่ โรงแรมรอยัลริเวอร์ หรือ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ",
"ในวันที่ 31 ตุลาคม 2551 พลตรี จำลอง ศรีเมือง [16]กล่าวตำหนิ ดร.ดิสธร วัชโรทัย อันเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ นายดิสธร วัชโรทัย ได้กล่าว ในวันที่ 30 ตุลาคม 2551 ว่าถ้ารักในหลวงให้อยู่ชุมพร ไม่ต้องไปที่อื่น รักในหลวงให้อยู่บ้าน รักในหลวงให้กลับบ้าน คุณไปแสดงพลังตรงนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย รังแต่จะทำให้เกิดความแตกแยก ผมกล้าพูดตรงนี้เพราะผมเป็นตัวจริงเสียงจริงนะครับ รับพระราชกระแสมาเองว่า พวกเราต้องขยาย ทำอย่างไรให้เขาทราบว่า เรามีหน้าที่และทำหน้าที่อะไร ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ผมไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก ผมรู้อย่างเดียวว่า ผมอยู่พรรคในหลวง และพรรคนี้ใหญ่โตมาก[17]การแสดงออกดังกล่าวถูกตีความอย่างกว้างว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไม่พอพระทัยการชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลและปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากนาย ดร.ดิสธร วัชโรทัย มีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการพระราชวัง ราชการบริหารส่วนกลาง ณ เวลานั้น[18]",
"พรรคไทรักธรรม (, ชื่อย่อ: ท.ธ. ชื่อย่อภาษาอังกฤษ: T.T.) หรือชื่อเดิม พรรคไทยรักธรรม พรรคการเมืองไทยที่ก่อตั้งตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นลำดับที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556 มีนาย นราวิชญ์ ซะยะ ซึ่งในเวลาต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค และ นายพักรูดิน วายาโยะ เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคนแรก ",
"คณะกรรมการบริหารพรรคหลังการเข้าร่วมของกลุ่มไทยรักไทย\nในเมื่อนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนได้ส่งโทรสารยื่นใบลาออกถึงนายทะเบียนพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคต้องสิ้นสุดลงด้วยการเข้ามาของนายสมัครทำให้เกิดข้อวิจารณ์ในสังคม เนื่องจากแกนนำส่วนหนึ่งของพรรค ถูกมองว่า “ซ้ายจัด” เคยเข้าป่า ร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ขณะที่นายสมัคร เป็นสัญลักษณ์ของอุดมการณ์ “ขวาสุดขั้ว” โดยนายแพทย์สุรพงษ์ ได้กล่าวถึงข้อวิจารณ์ในกรณีดังกล่าวว่า “ผมว่าคนที่คิดอย่างนี้เป็นคนที่ใช้ประสบการณ์เดิมเมื่อ 30 ปีที่แล้วมาพูด อุดมการณ์ซ้ายกับขวานั้นเป็นแนวคิดเรื่องการบริหารประเทศในอดีต ที่แยกออกจากกันระหว่างฝ่ายทุนนิยมกับสังคมนิยม แต่ทุกวันนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไป เพราะสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ต้องเดินทางสายกลาง ฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ยืนยันจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าพื้นเพความคิดจะเป็นซ้ายหรือขวา ถ้ามีจุดยืนที่จะทวงคืนประชาธิปไตยให้กลับสู่บ้านเมืองโดยเร็วที่สุดแล้วละก็ เราพร้อมที่จะร่วมมือ”",
"เมื่อนายกรสำเร็จการศึกษา กลับมาเมืองไทย ได้เข้าเริ่มงานแห่งแรกที่ สถานทูตแคนาดา ในตำแหน่ง \"ผู้ช่วยทูตการค้า\" รับผิดชอบด้าน วิวัฒนาการ และพัฒนาเศรษฐกิจ ทางด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ หลังจากทำงานที่สถานทูตแคนาดาได้ 6 ปี จึงเริ่มเข้าสู่วงการเมืองโดยรับหน้าที่เป็น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้กับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ผู้เป็นน้าชาย และขณะนั้นกำลังเริ่มก่อตั้ง พรรคชาติไทย ทำให้นายกรได้มีส่วนร่วม ในการจัดตั้งพรรคชาติไทยมาตั้งแต่ต้น และได้ทำงานการเมืองอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้นมานายกร ทัพพะรังสี ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในปี พ.ศ. 2541 หลังจากถึงแก่อสัญกรรมของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หลังการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548แล้ว ซึ่งพรรคไทยรักไทยได้เสียงข้างมาก นายกรได้ลาออกจากพรรคชาติพัฒนาและเข้าสังกัดกับทางพรรคไทยรักไทย",
"พรรคประชาชน (ชื่อเดิม พรรครักไทย) พรรคการเมืองไทยที่จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2526 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 พรรครักไทยได้เปลี่ยนแปลงชื่อพรรคเป็น พรรคประชาชน และในปี พ.ศ. 2531 ได้เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่นำโดยกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ย้ายเข้ามาสังกัดพรรคประชาชนและได้ให้คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ เป็นรักษาการหัวหน้าพรรคและนางสาวนิตยา ภูมิดิษฐ์ เป็นรักษาการเลขาธิการพรรค ต่อมาอีกเพียง 15 วัน ที่ประชุมใหญ่ได้มีมติเลือกให้นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็นหัวหน้าพรรค และนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรคแทน และมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายเดโช สวนานนท์, นายไกรสร ตันติพงศ์, นายเลิศ หงษ์ภักดี, นายอนันต์ ฉายแสง, นายสุรใจ ศิรินุพงศ์, นายถวิล ไพรสณฑ์, นายพีรพันธุ์ พาลุสุข, นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์, นายกริช กงเพชร",
"เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ทักษิณก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จนในที่สุดก็ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544[47]",
"วันมูหะมัดนอร์ มะทา เข้าสู่วงการเมืองครั้งแรกในสังกัด พรรคกิจสังคม เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและแกนนำ กลุ่มวาดะห์ ไปเข้าสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ และต่อมาย้ายไปร่วมก่อตั้งพรรคประชาชน และ พรรคความหวังใหม่ โดยมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค และเป็นผู้นำกลุ่มวาดะห์ แทนนายเด่น โต๊ะมีนาที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง และขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคในเวลาต่อมา ก่อนจะย้ายไปเข้าสังกัด พรรคไทยรักไทย จากการยุบรวมพรรคความหวังใหม่เข้ากับพรรคไทยรักไทย เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2545 และ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้รับตำแหน่งเป็น รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย",
"คุณหญิง ดร.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เข้าสู่แวดวงการเมืองครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ได้เป็น ส.ส. ในเขตกรุงเทพมหานคร ในเขต 12 (มีนบุรี, บางเขน, หนองจอก, ดอนเมือง ยกเว้นแขวงทุ่งสองห้อง) ของพรรคพลังธรรม แต่หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้วางมือทางการเมืองแล้ว พรรคพลังธรรมก็ได้ผลัดเปลี่ยนหัวหน้าพรรคหลายคน มาจนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ก็ได้สนิทสนมกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับสมาชิกพรรคอีกหลายคนซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส. ในกรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2539 พรรคพลังธรรมมี ส.ส. เหลือเพียงคนเดียว คือ คุณหญิงสุดารัตน์นี่เอง และในปี พ.ศ. 2541 เมื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาก่อตั้งพรรคไทยรักไทย คุณหญิงสุดารัตน์ก็เป็นหนึ่งใน 23 บุคคลที่ร่วมก่อตั้งพรรคด้วย และก็ได้ร่วมงานกับทางพรรคมาจนบัดนั้น",
"เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (ชื่อเล่น: แดง) อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ประธาน ส.ส.ภาคเหนือ พรรคเพื่อไทย vfu9เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ก่อตั้งบริษัท เอ็มลิงก์ เอเชีย คอรัปชั่น จำกัด อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และหัวหน้ากลุ่มวังบัวบาน พรรคไทยรักไทย เป็นภริยาของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 26 เป็นน้องสาวคนรองของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 และเป็นพี่สาวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 28",
"หลังจากช่วงรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ผศ.พิมล ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 และได้เข้าไปช่วย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก่อตั้งกลุ่มธรรมาธิปไตย และภายหลังได้เข้าร่วมกลุ่มกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ตั้งเป็นพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย",
"พรรคประชาราช (, ย่อว่า: ปชร.) เป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยนายเสนาะ เทียนทอง เพื่อที่จะดำเนินงานทางการเมืองหลังลาออกมาจากพรรคไทยรักไทย ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ตั้งเป็นพรรคเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2549 แต่เดิมมี นายเสนาะ เทียนทอง เป็นหัวหน้าพรรค และมี นายฐานิสร์ เทียนทอง บุตรชายนายเสนาะ เป็นเลขาธิการพรรค ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 ทั้งคู่ได้ลาออกไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย จึงทำให้ ดร.คัมภีร์ สุริยาศศิน รองหัวหน้าพรรค ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรคแทน และที่ประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 มีมติแต่งตั้งให้ ดร.คัมภีร์ สุริยาศศิน เป็นหัวหน้าพรรค และนางพรพิศ โกศลจิตร เป็นเลขาธิการพรรค ",
"หลังจากรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 แล้ว ร.อ.รชฎพร้อมกับสมาชิกพรรคไทยรักไทยบางส่วน ได้ย้ายไปสังกัดพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมา และ ร.อ.รชฏก็ได้มีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการพรรคด้วย และเป็นรองหัวหน้าพรรคตามลำดับ",
"ต่อมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และ นายพินิจ จารุสมบัติ ถูกวินิจฉัยใน \"คดียุบพรรค\" ทำให้ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ขณะที่ นายสุวิทย์ ไม่มีปัญหาต้องเว้นวรรคทางการเมือง เนื่องจากลาออกจาก กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ไปก่อน ต่อมานายสุวัจน์ ได้แยกตัวไปร่วมกับ กลุ่มรวมใจไทย ของ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ก่อตั้ง พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ขณะที่ กลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ที่เหลือ ได้เข้าร่วมกับ กลุ่มปากน้ำ ของ นายวัฒนา อัศวเหม ก่อตั้งเป็น พรรคเพื่อแผ่นดิน และ นายสุวิทย์ คุณกิตติ ได้รับการสนับสนุน ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น หัวหน้าพรรค คนแรก ",
"เมื่ออายุได้ 35 ปี จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นธาริต ตามหลักทักษาปกรณ์ตามความเชื่อของโหราศาสตร์ไทย โดยให้คำว่า ธ เป็นเดชนำหน้าชื่อก่อนรับราชการอัยการ นายธาริตเป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนกฎหมาย จนกระทั่งได้พบกับนายคณิต ณ นครในฐานะอาจารย์พิเศษ จึงแนะนำให้ธาริตไปสอบอัยการหลังเรียนจบนิติศาสตร์มหาบัณฑิต และธาริตก็สอบได้เป็นอัยการ จนกระทั่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ได้ระดมนักกฎหมายหลายคน เช่น นายคณิต ณ นคร, นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ร่วมก่อตั้งพรรค ซึ่งในจำนวนนั้นมีนายธาริตอยู่ด้วย ทำให้หลังจากที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ธาริตจึงได้รับแต่งตั้งให้ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทำงานกับนพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันนายธาริตยังเป็นเป็นคณะที่ปรึกษาของนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์อีกด้วย",
"พรรคเสรีธรรม () เป็นพรรคการเมืองของประเทศไทยในอดีต จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 113/1617 ถนนเทอดดำริ แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ที่ประชุมใหญ่ของพรรคมีมติเอกฉันท์ให้รวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย เมื่อปี พ.ศ. 2546 มีความพยายามก่อตั้งพรรคเสรีธรรมขึ้นมาใหม่ แต่ก็ถูกยุบไปเนื่องจากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข",
"นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคปฏิวัติ เมื่อปี พ.ศ. 2524 ต่อมาเข้าร่วมงานการเมืองพรรคก้าวหน้า เมื่อปี พ.ศ. 2531 จากนั้นจึงย้ายมาสังกัดพรรคเอกภาพ ในปี พ.ศ. 2535 และย้ายพรรคอีกครั้งในปี พ.ศ. 2539 มาเป็นกรรมการบริหารพรรคความหวังใหม่ ซึ่งต่อมายุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 และได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 และต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ครม.ยิ่งลักษณ์ 3) ",
"ดร.ประชา คุณะเกษม เกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2477 เป็นอดีตนักการทูตไทยของกระทรวงการต่างประเทศ และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมือง คือ พรรคไทยรักไทย เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการต่างประเทศ ดร.ประชา สมรสกับ นางสุมณี คุณะเกษม นักสะสมของเก่าจากทั่วโลก มูลค่าหลายพันล้านบาท ที่มีโครงการจะจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายใต้การบริหารงานของ มูลนิธิ “มณีมณฑ์ชา” มีบุตรคือ นายวชิระมณฑ์ คุณะเกษมธนาวัฒน์ โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 17 (ลาดพร้าว) และ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย",
"เข้าสู่วงการเมืองครั้งแรกด้วยการสังกัดพรรคพลังธรรมในช่วงที่มีไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค ต่อมาเริ่มมีความใกล้ชิดกับภูมิธรรม เวชยชัย รองประธานมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ในขณะนั้น ซึ่งต่อมาทำให้ได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย",
"หลังเหตุการณ์ระเบิดเมื่อเวลา 18.00 น. สถานีโทรทัศน์ทุกช่องยังคงถ่ายทอดรายการตามปกติ มีเพียงตัววิ่งด้านล่างจอโทรทัศน์ ยกเว้น สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เนชั่นแชนแนล และเอเอสทีวี ที่รายงานข่าวอย่างใกล้ชิด [41] นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศยกเลิก งานเฉลิมฉลอง เพื่อนับถอยหลัง (เคานท์ดาวน์) เข้าสู่ปีใหม่ ในเขตกรุงเทพมหานครทุกงาน พรรคไทยรักไทย ได้ออกมาแถลงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ตามที่มีข่าวลือออกมา [42] นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ในขณะนั้น) ฟันธงว่า เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว เกิดจาก ผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี [43] พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร รวมถึงยังไม่ได้พิจารณาเรื่องการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน [44]",
"มานิต ศรีวานิชภูมิ เข้ามามีบทบาทด้านการเมือง โดยการเข้าร่วมกับวสันต์ สิทธิเขตต์ ในการก่อตั้งพรรคศิลปิน เพื่อดำเนินแนวนโยบายวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคไทยรักไทย โดยไม่หวังผลในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมานิต ศรีวานิชภูมิ ได้รับตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรค",
"ดร.เสน่ห์ ถิ่นแสน มีชื่อในกลุ่มล้มเจ้า ทำผิดคดีมาตรา112 โดยทำงานใกล้ชิดกับนายอเนก ชัยชนะ ในการก่อตั้งภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นองค์กรที่ถูกมองว่า ใกล้ชิดกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร แต่ ดร.เสน่ห์ ยืนยันตลอดว่า ไม่เคยได้รับเงินทองจากใคร หรือเป็นลูกน้องของใคร และเมื่อนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ลี้ภัยไปที่นครซานฟรานซิสโก ดร.เพียงดิน รักไทย มีบทบาทช่วยเหลือด้านการลี้ภัยในนามภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และการก่อตั้งองค์การเสรีไทยเพือสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ",
"ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล เริ่มเข้าสู่งานการเมือง โดยการชักชวนของทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคพลังธรรมและได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 สังกัดพรรคพลังธรรม ต่อมา ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล จึงเข้าร่วมกับทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และได้รับตำแหน่งเป็นโฆษกพรรคคนแรก (คณะกรรมการชุดที่ขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง) กระทั่งในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ผู้แทนการค้าไทย และต่อมาจึงได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ",
"พรรครักประเทศไทย () เป็นพรรคการเมืองในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 โดยมีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก",
"ก่อนหน้าพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เพียงหนึ่งวัน หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ \"ผู้จัดการ\" ได้ตีพิมพ์บทความส่วนหนึ่งเกี่ยวกับ \"แผนฟินแลนด์\" ข้อกล่าวหา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มีแผนสมคบคิดเพื่อโค่นล่มราชวงศ์จักรีและยึดอำนาจการปกครองประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ได้ฟ้องต่อสนธิ บรรณาธิการ คอลัมนิสต์ และฝ่ายบริหารอีกสองคนในข้อหาหมิ่นประมาทคดีสิ้นสุดในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559 โดยศาลฎีกายกฟ้องสนธิ ลิ้มทองกุล เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ชัยอนันต์ สมุทวณิช ปราโมทย์ นาครทรรพ จำเลยทั้ง 4 คนในคดีนี้"
] |
พระเจ้าธีบอเกดเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
"พระเจ้าธีบอ ประสูติวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2402 เป็นพระราชโอรสในพระเจ้ามินดงกับพระนางลองซี หรือพระมเหสีแลซา เจ้าหญิงเมืองฉาน[2] ชมีพระเชษฐภคินีและพระขนิษฐาร่วมพระราชบิดาพระราชมารดา 3 พระองค์ ได้แก่"
] | [
"เมื่อถูกถอดจากบัลลังด์ อังกฤษก็ได้เชิญพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัตไปประทับยังบริติชราช ทั้งสองพระองค์ประทับที่เมืองมัทราสราว 2-3 เดือน ภายหลังจึงถูกส่งไปประทับถาวรที่เมืองรัตนคีรีเมืองเล็กๆทางชายฝั่งทะเล ทางใต้เมืองบอมเบย์ (มุมไบในปัจจุบัน) พระนางศุภยลัตเกิดทะเลาะกับพระนางอเลนันดอ จนพระนางอเลนันดอต้องขอกลับพม่า อังกฤษก็ยอมให้กลับคุมตัวไว้ที่เมืองเมาะลำเลิงจนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยลัตถูกเนรเทศอยู่ที่บริติชราชนาน 31 ปี จนพระเจ้าธีบอจึงสิ้นพระชนม์ที่เมืองรัตนคีรีนั่นเอง พระนางจึงได้รับอนุญาตให้พาลูกสาวไปอยู่ย่างกุ้ง ส่วนพระศพพระเจ้าธีบอนั้นฝังไว้ที่อินเดีย",
"เมื่อพระเจ้าธีบอโอรสของพระเจ้ามินดงขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2421 รัฐบาลของพม่าอ่อนแอมาก มีการฆ่าล้างพระราชวงศ์ครั้งใหญ่ในตอนต้นรัชกาล แต่เนื่องจากอังกฤษติดสงครามกับอัฟกานิสถาน และไม่มีผู้ที่เหมาะสมจะสถาปนาให้เป็นกษัตริย์พม่าแทน นอกจากนั้น พระเจ้าธีบอส่งทูตไปฝรั่งเศสและยินยอมให้ฝรั่งเศสเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้และจัดตั้งธนาคาร ทำให้อังกฤษรู้สึกว่าเสียผลประโยชน์ จึงตัดสินใจจะผนวกพม่าทั้งหมด",
"พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2421 ด้วยความช่วยเหลือจากพระนางอเลนันดอ พระมเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้ามินดงผู้เป็นพระราชบิดา และเหล่าขุนนางชั้นสูงกลุ่มหนึ่ง พระองค์ได้ทรงเสกสมรสกับพระนางศุภยาลัตพระราชธิดาของพระเจ้ามินดงกับพระนางอเลนันดอ และพระขนิษฐาร่วมพระราชบิดาเดียวกัน ซึ่งพระนางศุภยาลัตเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อการตัดสินพระทัยในเหตุสำคัญต่าง ๆ ของพระเจ้าสีป่อเป็นอย่างมาก",
"ในช่วงแรก พิธีกร ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกมาทั้งหมด 50 คนและได้ให้ทุกคนเริ่มการถ่ายภาพหน้าธรรมชาติโดย สุรชัย แสงสุวรรณ บรรณาธิการแฟชั่นและช่างภาพแฟชั่นนิตยสารลอฟฟีเซียล ไทยแลนด์ เพื่อที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป ขณะนั้นเมนเทอร์ทั้งสามคนในซีซันนี้คือ บี ลูกเกด และ มาช่า ได้กล่าวทักทายกันและรอผู้เข้าแข่งขันมาถ่ายภาพเพื่อตัดสิน ในระหว่างที่ผู้เข้าแข่งขันเข้ามาถ่ายภาพ เมนเทอร์ทั้งสามก็ได้มีการซักถามกับผู้เข้าแข่งขันต่าง ๆ นานา. อุ้ม ได้บอกว่าแต่งงานกับแฟนที่เป็นผู้หญิงและยังคบกันอยู่. มะลิ ที่ ลูกเกด บอกว่าทำให้นึกถึงลิลลี่ใน ซีซัน 2 คือเดินแบบได้อย่างเดียว. เทีย ได้บอกเหตุผลที่เข้ามาแข่งเพื่อที่จะได้รับการฝึกฝนจากเมนเทอร์ทั้งสามคน. ทับทิม และโช ได้ผ่านเข้ารอบ 50 คนในรอบคัดเลือกอีกครั้งหลังจากพลาดโอกาสไปใน ซึ่ง ลูกเกด ได้ยกให้ มาช่า เป็นคนตัดสินใจ และ มาช่า ได้ให้ โช เข้ารอบต่อไป แต่ บี ได้ให้ ทับทิม เข้ารอบต่อไปอีกคน. วิกกี้, เมนเทอร์ดูแล้วรู้สึกว่าผอมเกินไป. จูลี่, ลูกเกด ได้บอกว่าลุคเดียวกับ เจสซี่ จาก ซีซัน 2. แองจี้, เมนเทอร์ทุกคนต่างลงความเห็นว่าตาไม่เท่ากันและอาจทำงานยากในวงการนางแบบ โดยเฉพาะ ลูกเกด ได้ลงความเห็นว่าเด็กเกินไปที่จะมาแข่งขัน. บุ้งกี๋ ได้บอกว่าเป็นครูสอนดนตรี และ มาช่า ได้ขอให้เธอร้องเพลงให้ฟัง. นุ่น ได้บอกว่าเคยเข้าประกวดและได้ถ่ายแบบกับ บี แต่ไม่ได้ถ่ายแบบคู่กัน. เจสซี่, ลูกเกด บอกว่าเวลาไม้ยิ้มดูหน้าบึ้งและได้บอกให้ยิ้มให้ดู. ใบหม่อน ได้บอกเมนเทอร์ว่ากลัวกะเทย บี ได้บอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนทัศนคติก็ทำงานในวงการไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของ ลูกเกด. อาลีน่า อยากเข้าวงการเพื่อตามหาพ่อที่ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เกิด. บลอสซั่ม ตีตี้ และ ฮาน่า ที่เข้ามาเป็นกลุ่มสุดท้าย เมนเทอร์ได้ถามว่าเป็นหญิงแท้หรือผู้หญิงข้ามเพศ มีเพียงแค่ ตีตี้ เท่านั้นที่บอกว่าเป็นหญิงแท้. บลอสซั่ม ได้บอกเหตุผลที่เข้ามาแข่งขันว่าอยากเป็นเดอะเฟซคนแรกที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศ. ฮาน่า, ลูกเกด บอกว่าลุคเหมือนยู่ยี่. ในรอบนี้มีผู้ผ่านเข้ารอบต่อไป 35 คน โดยที่ ซีย์ ซอส แพม ฟิลเลอร์ แก้มก้น วิกกี้ แองจี้ ใบหม่อน และตีตี้ ไม่ผ่านรอบนี้",
"พระเจ้าสีป่อเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามินดงกับเจ้าหญิงจากเมืองสีป่อในดินแดนไทใหญ่ มีพระนามเดิมว่าเจ้าชายหม่องปู (မောင်ပု Maung Pu) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2402 ที่กรุงมัณฑะเลย์ เมืองหลวงของราชอาณาจักรพม่าในเวลานั้น เมื่อเจริญพระชันษาขึ้นได้ผนวชเป็นพระภิกษุเพื่อศึกษาวิชาการต่างๆ เมื่อทรงลาผนวชแล้ว พระราชบิดาจึงทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองตี่บอ ซึ่งเป็นที่มาของพระนามเมื่อเสวยราชสมบัติในเวลาต่อมา",
"พระเจ้าธีบอตามพระทัยมเหสีจึงสั่งให้เตรียมพลไปรบ อังกฤษก็ให้นายพลแฮร์รี เพนเดอร์กาส นำทหารทั้งฝรั่งและอินเดียเคลื่อนพลเข้ารบ จากย่างกุ้งบุกไปตามลำน้ำอิรวดีถึงมัณฑะเลย์ ใช้เวลาแค่ 14 วันก็ยึดเมืองหลวงได้ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า นอกเหนือจากอาวุธที่ดีกว่าอย่างเทียบไม่ติด แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือราษฎรไม่คิดจะต่อสู้เพราะไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร เนื่องจากรัฐบาลของพระเจ้าธีบอโดยพระนางศุภยาลัต กดขี่พวกเขามาตลอด บ้านเมืองจึงขาดความสามัคคีขนาดหนัก เนื่องจากกษัตริย์และมเหสีไม่เคยทำตนให้เป็นที่รักของประชาชนพม่าของพระองค์เอง พระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัตจึงถูกเชิญให้ไปยังเมืองรัตนคีรี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดเอกราชของพม่า และการปกครองโดยราชวงศ์อลองพญาที่มีอย่างยาวนาน",
"แต่เมื่อพระเจ้ามินดงทรงพระประชวรด้วยโรคบิดและใกล้สวรรคต พระมเหสีสิ่งผยูมะฉิ่งได้ทรงเริ่มดำเนินแผนการเกลี้ยกล่อมเสนาบดีในสภาลุต่อ ทั้งกินหวุ่นมิงจี้และแตงดาหวุ่นจี้ต่างเห็นพ้องอย่างยิ่งกับข้อดีที่จะให้เจ้าชายธีบอขึ้นสืบราชบัลลังก์ตามที่พระมเหสีสิ่งผยูมะฉิ่งทรงเสนอ มีรายงานว่า ทรงประทานทองคำหนัก 50 จั๊ด เป็นตัวช่วยสำหรับเสนาบดีคนอื่นๆ[26] เหล่าเสนาบดีจึงต่างพากันสนับสนุนเพราะเห็นเช่นเดียวกับพระมเหสีสิ่งผยูมะฉิ่ง ว่า เจ้าชายธีบอนั้นว่านอนสอนง่าย พระมเหสีสิ่งผยูมะฉิ่งทรงชี้ให้แตงดาหวุ่นจี้เห็นถึงประโยชน์ เมื่อเจ้าชายธีบอขึ้นสู่ราชบัลลังก์ และขับไล่พวกอังกฤษ ส่วนกินหวุ่นมิงจี้ก็เห็นประโยชน์ที่ว่า การให้เจ้าชายธีบอครองบัลลังก์จะทำให้ความปรารถนาที่จะสร้างระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของพม่าเป็นจริง และเป็นอย่างอังกฤษ หรือประเทศในยุโรป ซึ่งกี้นวูนมี่นจี้ได้เคยพบเห็นมาในฐานะคณะทูตของพระเจ้ามินดงในพ.ศ. 2414",
"พระราชมารดาของพระองค์ทรงถูกเนรเทศออกจากราชสำนักโดยพระราชโองการของพระเจ้ามินดง พระนางทรงดำรงพระชนม์ชีพในช่วงบั้นปลายด้วยการเป็นตี่ละฉิ่น (thilashin) ซึ่งก็คือคำเรียกแม่ชีในพม่า พระนางทรงใช้ชีวิตและสิ้นพระชนม์อย่างไร้เกียรติ[3]",
"รัฐประหารวังหลวงพม่า พ.ศ. 2421–2422 เป็นเหตุการณ์รัฐประหารในพม่าสมัยราชวงศ์คองบอง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนการเสด็จสวรรคตของพระเจ้ามินดงและในช่วงต้นรัชกาลของพระเจ้าธีบอ นับตั้งแต่ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2421 จนถึงวันที่ 13–18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2422[1] เหตุการณ์นี้มักถูกเรียกว่า เหตุการณ์ ปลงพระชนม์หมู่พระราชวงศ์พม่า ซึ่งดำเนินการโดยพระนางสิ่งผยูมะฉิ่งหรือพระนางอเลนันดอ พระมเหสีตำหนักกลางในพระเจ้ามินดง ร่วมกับเสนาบดีในสภาลุตอที่เป็นพันธมิตรของพระนาง ได้แก่ กินหวุ่นมิงจี้และแตงดาหวุ่นจี้ เหตุการณ์นี้ทำให้เชื้อพระวงศ์พม่าทั้งพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระเจ้ามินดงหลายพระองค์ถูกปลงพระชนม์ และราชบัลลังก์ได้ส่งผ่านต่อไปยังพระเจ้าธีบอ ซึ่งเป็นผู้ที่พระนางสิ่งผยูมะฉิ่งและสภาลุตอต้องการให้สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป แต่ถึงกระนั้นเหตุการณ์นี้ได้ถูกมองว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สถาบันกษัตริย์พม่าล่มสลายต่อภัยจักรวรรดินิยม",
"พระเจ้าธีบอ หรือ พระเจ้าสีป่อ (သီပော္မင္း; pronounced[θìbɔ́ mɪ́ɴ] ตี่บอมิง) เป็นพระมหากษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อลองพญา ถูกบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไปอยู่ที่เมืองรัตนคีรีในบริติชราช หลังสิ้นสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม และสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2459[1]",
"เจ้าชายธีบอ พระเชษฐาของเจ้าหญิงทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทในช่วงที่พระเจ้ามินดงทรงพระประชวรหนัก ซึ่งตามมาด้วยการสังหารหมู่พระราชวงศ์ที่มีสิทธิในราชบัลลังก์เพื่อเปิดทางให้เจ้าชายธีบอได้ครองราชบัลลังก์ แผนการนี้ดำเนินการโดยพระนางซินผิ่วมะฉิ่น พระมเหสีรองในพระเจ้ามินดง และอัครมหาเสนาบดีในพระเจ้ามินดง คือ เกงหวุ่นมินจี ซึ่งเป็นพันธมิตรของพระนางซินผิ่วมะฉิ่น เจ้าชายหลายพระองค์ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้ามินดงและเจ้าหญิงบางพระองค์ได้ถูกปลงพระชนม์ในแผนการนี้ เจ้าหญิงเมกถีหล่าทรงรอดพระชนม์มาได้เนื่องจากทรงมีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาแท้ในพระเจ้าธีบอ",
"เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในปีสุดท้ายของรัชกาลพระเจ้ามินดง ปี พ.ศ. 2421 พระนางซินผิ่วมะฉิ่น พระมเหสีตำหนักกลางในพระเจ้ามินดง และอัครมหาเสนาบดีในพระเจ้ามินดง คือ เกงหวุ่นมินจี ซึ่งเป็นพันธมิตรของพระนางซินผิ่วมะฉิ่น และเต่งกะด๊ะมินจี เสนาบดีผู้มีอิทธิพลในสภาลุดต่ออีกคนหนึ่ง ได้ก่อการรัฐประหารวังหลวงพม่า พ.ศ. 2421 - 2422 โดยดำเนินการแต่งตั้งเจ้าชายธีบอ หนึ่งในพระโอรสของพระเจ้ามินดง และเป็นพระอนุชาต่างมารดาในเจ้าหญิงตองตา ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท พระนางซินผิ่วมะฉิ่นและเกงหวุ่นมินจีดำเนินการจับกุมพระราชโอรส ผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์และพระราชธิดารวมถึงเจ้าจอมมารดา บางพระองค์ มาสังหารหมู่เพื่อเปิดทางให้เจ้าชายธีบอขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าธีบอ ได้โดยง่าย เจ้าหญิงตองตาทรงเป็นหนึ่งในราชนิกูลที่ถูกจับกุมตามคำสั่งของพระนางชินผิ่วมะฉิ่นในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2421 พร้อมพระราชธิดาองค์อื่นๆ ที่พระนางชินผิ่วมะฉิ่นเกรงว่าจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ โดยเหล่าพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากอนิทวาล้วนถูกจับกุม ซึ่งไม่มีการกล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงตองตา แต่นักประวัติศาสตร์คาดว่าอาจจะทรงถูกปลงพระชนม์ตามคำสั่งของพระนางซินผิ่วมะฉิ่นในราววันที่ 13 - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2422 ณ พระราชวังมัณฑะเลย์ สิริพระชนมายุ 28 พรรษา",
"เจ้าหญิงทั้งสามและเจ้าจอมมารดาทยาสิ่นประทับในพระราชวังหลวงอย่างสงบ ไร้ซึ่งบทบาทในราชสำนัก ภายใต้การปกครองของพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัต พระมเหสีในพระเจ้าธีบอ ช่วงนี้พม่ากำลังเผชิญภัยคุกคามจากจักรวรรดินิยมอังกฤษ ราชอาณาจักรล่มสลายลงโดยพระเจ้าธีบอทรงครองราชย์ได้เพียง 7 ปีเท่านั้น พระองค์ทรงพ่ายแพ้ในสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สาม กองทัพอังกฤษได้บุกเข้าพระราชวังมัณฑะเลย์เพื่อเรียกร้องให้พระเจ้าธีบอทรงยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขภายใน 24 ชั่วโมง และบีบบังคับให้พระเจ้าธีบอสละราชบัลลังก์ พระองค์พร้อมพระราชินีศุภยาลัตและพระราชธิดาทรงถูกเนรเทศไปยังอินเดียในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428",
"ในรัชกาลของพระองค์ได้ส่งคณะทูตไปยังฝรั่งเศสเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2426 และได้มีการเจรจาเกี่ยวกับการทำสัญญาทางการค้า ยินยอมให้ฝรั่งเศสเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ซึ่งได้สร้างความหวาดระแวงให้อังกฤษ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2428 พม่าเรียกค่าปรับจากบริษัทบอมเบย์เบอร์มาเทรดดิงเป็นเงินจำนวน 2.3 ล้านรูปี อังกฤษจึงตัดสินใจยื่นคำขาดต่อพม่าในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2428 โดยให้พม่าลดค่าปรับ ให้ความสะดวกแกอังกฤษในการค้าขายกับจีนและให้อังกฤษควบคุมนโยบายต่างประเทศของพม่า พม่าปฏิเสธมาในวันที่ 9 พฤศจิกายน กองทัพอังกฤษจึงเคลื่อนทัพออกจากย่างกุ้งไปยังพม่าเหนือในวันที่ 14 พฤศจิกายนและยึดมัณฑะเลย์ได้ในวันที่ 28 พฤศจิกายน พระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัตยอมแพ้ในวันนี้ ทั้งสองพระองค์เสด็จลงเรือไปยังย่างกุ้งและถูกเนรเทศไปอินเดีย[5]",
"กินหวุ่นมินจี (, 3 กุมภาพันธ์ 1822 — 30 มิถุนายน 1908) อัครมหาเสนาบดีในช่วงรัชสมัย พระเจ้ามินดง — พระเจ้าธีบอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลัดดันให้พม่ามีการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น เขาและอีกหลายคนจึงถูกกล่าวหาว่ายอมแพ้ต่ออังกฤษใน สงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม",
"พระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัตทรงมีพระธิดาร่วมกัน 4 พระองค์ได้แก่",
"เจ้าชายเถ่าซา (Prince of Thonze; ประสูติ พ.ศ. 2386 – สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2422) เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 6 ในพระเจ้ามินดง ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโกนิททิวา เป็นพระราชโอรสที่มีพระชันษาสูงสุดในขณะนั้น[14] เนื่องจากพระเชษฐาได้ถูกปลงพระชนม์ในคราวกบฏเจ้าชายมินกุนและเจ้าชายมินกุนเดงแล้ว เจ้าชายเถ่าซาทรงมีบทบาทสำคัญในการเมืองของราชอาณาจักร โดยดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งชเวโบและพะโม ทำให้มีกำลังทหารสนับสนุนอยู่กลุ่มหนึ่ง อีกทั้งในราชสำนักเจ้าจอมมารดาโกนิททิวา พระราชมารดาของพระองค์ทรงมีอิทธิพลสูงในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีพระราชบุตรจำนวนมาก เจ้าชายเมะคะหย่า (Prince of Mekkhara; ประสูติ พ.ศ. 2390 – สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2421) เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 12 ในพระเจ้ามินดง ประสูติแต่พระนางนันทาเทวี มเหสีเหนือที่ 1 (เทียบเท่าสมเด็จพระอัครชายา) เจ้าชายดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งเจาะแซและตองอู ทรงเป็นนักการทหาร มีบทบาทในกองทัพ และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กล้าหาญ ชำนาญศึก[15] ทรงมีกำลังทหารสนับสนุนจำนวนหนึ่ง เจ้าชายนยองยาน (Prince of Nyaungyan; ประสูติ พ.ศ. 2388 – สิ้นพระชนม์ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2428) เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 11 ในพระเจ้ามินดง ประสูติแต่พระสนมเอกปัทมเทวี พระสนมเอกฝ่ายเหนือ เจ้าชายทรงมีบทบาทเป็นอุปราชแห่งมเยแด้ เจ้าชายทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาและเป็นพระราชโอรสองค์โปรดของพระเจ้ามินดง[16] เจ้าชายญองย่านเป็นผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายมากที่สุด เจ้าชายธีบอ (Prince of Thibaw; ประสูติ 1 มกราคม พ.ศ. 2402 – สิ้นพระชนม์ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2459) เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 31 ในพระเจ้ามินดง ประสูติแต่พระนางลองชี ทรงเป็นหนึ่งในพระราชโอรสที่พระเจ้ามินดงโปรดปราน แต่แทบไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเมืองใด ๆ พระราชมารดาของเจ้าชายธีบอทรงเป็นเจ้าหญิงจากรัฐฉาน[17] ทำให้ทรงมีศักดิ์สูงกว่าเจ้าชายหลายพระองค์ที่พระราชมารดาเป็นเพียงบุตรสาวของขุนนาง และทำให้ทรงเป็นหนึ่งในผู้สิทธิในราชบัลลังก์ตามยศศักดิ์ แต่พระราชมารดาของพระองค์ทรงถูกเนรเทศออกจากราชสำนักตามพระราชโองการของพระเจ้ามินดง พระนางทรงดำรงพระชนม์ชีพในช่วงบั้นปลายด้วยการเป็นตีละชีน ([thilashin]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) หรือแม่ชีในภาษาพม่า [18] เจ้าชายธีบอจึงทรงขาดการสนับสนุน",
"หลังจากที่เข้าร่วมอย่างไม่ค่อยเต็มในเท่าไหร่ เธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปและเต็มใจจะอยู่กับฝ่ายนี้ในท้ายที่สุด เธอประมือกับทีม X-Men เธอเคยลอบสังหาร วุฒิสมาชิกเคลลี่ ด้วยแต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายดีทุกครั้ง แต่ยิ่งเธอใช้พลังมากเท่าไหร่ จิตใจของโร้คก็ยิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่เธอต้องเข้าพบจิตแพทย์ ฟางเส้นสุดท้ายของเธอกับมิสทีคขาดสะบั้นลง เมื่อโร้คตาสว่างพบว่าแท้จริงแล้วนี่คือแผนร้าย ที่อีกฝ่ายตั้งใจหลอกใช้กันมาตลอด เธอจึงหันหน้าเข้าหาศาสตราจารย์ทเอ็กซ์ และพลพรรคเอ็กซ์ทีม ขอร้องให้เธอควบคุมพลังให้ได้เสียที",
"รัชสมัยต่อมา พระเจ้าธีบอ (ครองราชย์ พ.ศ. 2421–2428) ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ามินดง ทรงมีบารมีไม่พอที่จะควบคุมราชอาณาจักรได้ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นไปทั่วในบริเวณชายแดน ในที่สุดพระองค์ได้ตัดสินพระทัยยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษที่พระเจ้ามินดงได้ทรงกระทำไว้ และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สามในปี พ.ศ. 2428 ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถเข้าครอบครองดินแดนประเทศพม่าส่วนที่เหลือเอาไว้ได้ทั้งหมด",
"ในรอบที่สาม เป็นการแต่งหน้าเพื่อให้เมนเทอร์เลือกเข้าทีม. ลิลลี่ ถูกเลือกเป็นคนแรกโดย คริส และบี ซึ่ง ลิลลี่ ได้เลือกเข้าทีมบี ลูกเกด บอกว่า ที่ไม่เลือกเพราะยังเด็กเกินไป ถ้ามีลูกสาวอายุเท่ากันกับ ลิลลี่ จะไม่ให้มาแข่งขัน. เจสซี่ เป็นคนเดียวที่เมนเทอร์ทั้งสามคนยกโมเดลลิ่งบุ๊คเพื่อเลือกเธอ และเธอก็ได้เลือกเข้าทีมของคริส ลูกเกด ได้ถามอายุ ของ เจสซี่ และได้บอกว่า ตอนที่ ลูกเกด อายุเท่ากับ เจสซี่ เธอก็เคยทำผิดพลาดมาแล้ว. นัตโตะ ถูก ลูกเกด เลือกเข้าทีมแบบไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้เลือกเข้ามา. ทับทิม, เมนเทอร์ทุกคนเห็นตรงกันว่าสวยแต่ก็ไม่มีคนเลือกและเมนเทอร์ทุกคนรู้สึกเสียดายมากเมื่อเห็นเธอ โดยเฉพาะ ลูกเกด ถึงกับพูดว่า ถ้าเอากลับมาได้จะเลือกเข้าทีม. วีว่า ได้ความเห็นจาก คริส ว่าถ้าให้ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยมาอีกครั้งอาจจะดีกว่านี้. จู๊กกู้ มี ลูกเกด และบี ยกโมเดลลิ่งบุ๊คเลือกเธอ และ จุ๊กกู้ ได้เลือกเข้าทีมบี โดยได้บอกภายหลังว่ากลัว ลูกเกด เพราะ ลูกเกด เป็นคนดุ ซึ่ง ลูกเกด ได้บอกว่าถึงเธอจะดุแต่ดุเพราะอยากให้ลูกทีมได้ดี. น้ำหวาน มี คริส และลูกเกด ยกโมเดลลิ่งบุ๊คเลือกเธอ แม้ ลูกเกด จะเอารางวัลตุ๊กตาทองมาโชว์เพื่อให้เลือกเข้าทีม แต่ น้ำหวาน ได้เลือกเข้าทีมคริส. เหลือ จูน (ณฏิกา) เป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ถูกเลือก และ คริส ยังต้องมีคนเข้าทีมอึกหนึ่งคนให้ครบทีม จูน (ณฏิกา) จึงได้อยู่ทีมคริส ซึ่ง ลูกเกด พูดว่า ตอนแรกตั้งใจจะเลือก แต่พอเห็นภาพและเห็นตัวจริงก็ดีใจที่ไม่ได้เลือก และคิดว่า คริส คงผิดหวัง แต่ คริส บอกว่า อยากได้มาตั้งแต่แรก. ญาตา อินดี้ กวาง นิก ทับทิม นีว่า วีว่า กุ๊กกิ๊ก นานา จูน แทสเซียร์ นิดหน่อย และนาแนน ต้องกลับบ้านไปเพราะไม่ผ่านรอบนี้",
"ราชอาณาจักรล่มสลายลงโดยพระเจ้าธีบอทรงครองราชย์ได้เพียง 7 ปี พระองค์ทรงพ่ายแพ้ในสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สาม กองทัพอังกฤษได้บุกเข้าพระราชวังมัณฑะเลย์เพื่อเรียกร้องให้พระเจ้าธีบอทรงยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขภายใน 24 ชั่วโมง และบีบบังคับให้พระเจ้าธีบอสละราชบัลลังก์ พระองค์พร้อมพระราชินีศุภยาลัตและพระราชธิดาทรงถูกเนรเทศไปยังอินเดียในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 ซึ่งเจ้าหญิงเมกถีหล่าไม่ทรงได้พบกับพระเชษฐาอีกเลย",
"ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 เทียน เส่ง ประธานาธิบดีพม่าได้เดินทางไปเยี่ยมหลุมฝังศพของพระเจ้าสีป่อ และพบกับลูกหลานของพระองค์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประมุขรัฐบาลพม่าเดินทางไปเยือนสุสานของพระองค์[9]",
"หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ราชวงศ์โกนบอง หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสละราชบัลลังก์",
"พระเจ้ามินดงเสด็จสวรรคต พระเจ้าธีบอขึ้นครองราชย์สืบต่อในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2421 สถานะของเจ้าหญิงและเชษฐภคินีได้รับการฟื้นคืนขึ้นมาหลังจากที่ตกต่ำลงเมื่อคราวพระราชมารดาทรงถูกเนรเทศ เจ้าหญิงได้รับพระราชทานศักดินา พยุงพยาและเมกถีหล่า (Pyaung Pya and Meiktila) จากพระเจ้าธีบอ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2421 ซึ่งทำให้ทรงมีสถานะเป็นเจ้าหญิงแห่งพยุงพยาและเมกถีหล่า และกลายเป็นพระนามในการเรียกพระนางว่า เจ้าหญิงเมกถีหล่า",
"เจ้าหญิงมยะพะยาละ (, ; 4 ตุลาคม 1883 - 4 เมษายน 1956) เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยาลัต ก่อนหน้าที่จะมีการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยในพม่าโดยอังกฤษ เจ้าหญิงมยะพะยาละ ได้รับเลือกให้เป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์พม่า เมื่อพระเจ้าธีบอถูกโค่นล้มราชบัลลังก์ พระองค์จึงต้องไปพำนักที่อินเดียกับพระบิดาและพระมารดา ต่อมาเมื่อพระเจ้าธีบอสวรรคตลง พระองค์จึงเป็นผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์พม่าต่อจากพระบิดา พระองค์สื้นพระชนม์ที่เมืองกาลิมปง ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 4 เมษายน 1956 เจ้าตอ พญา ผู้เป็นพระราชภาคิไนย (เจ้าตอ พญาทรงเป็นพระโอรสในพระขนิษฐาของพระองค์) จึงเป็นผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์พม่าคนต่อไป",
"รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่ เป็นละครโทรทัศน์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ บทประพันธ์ของ นุกูล บุญเอี่ยม, วัชระ ปานเอี่ยม บทโทรทัศน์โดย พิสุทธิ์ แพร่แสงเอี่ยม กำกับการแสดงโดย นุกูล บุญเอี่ยม ผลิตโดย บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัดออกอากาศทุกวันเสาร์–อาทิตย์ เวลา 11.00–11.45 น. ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย เคลลี่ ธนะพัฒน์, น้ำฝน โกมลฐิติ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย",
"พระนางสิ่งผยูมะฉิ่งทรงเลือกเจ้าชายธีบอในฐานะตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากพระอุปนิสัยของเจ้าชายเป็นคนที่ไม่ทะเยอทะยาน เชื่อฟัง ซึ่งพระนางมองว่าน่าจะถูกชักจูงได้ง่าย และเจ้าชายเป็นผู้คงแก่เรียน โดยเป็นเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวที่ผ่านการสอบธรรมวินัยขั้นสูงสุด ทรงมองว่าการเลือกเจ้าชายธีบอขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ จะช่วยให้เกิดความสมัครสมานระหว่างผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนาด้วยกันได้เป็นอย่างดี[24] และจะทำให้พระนางทรงได้รับการสนับสนุนด้วยเช่นกัน อีกทั้งเจ้าชายยังทรงมีเลือดขัตติยะทางฝ่ายพระราชมารดาที่เป็นเจ้าหญิงเมืองฉาน จึงมีความเหมาะสมกว่าเจ้าชายองค์อื่นที่มีมารดาเป็นสามัญชน และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทรงเลือกเจ้าชายธีบอ คือ เจ้าชายไม่ทรงมีผู้สนับสนุนจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย แม้กระทั่งญาติทางฝ่ายมารดาก็ไม่มีอิทธิพลใด ๆ จึงทำให้พระนางเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนแต่เพียงกลุ่มเดียว กล่าวกันว่าเคยมีการกราบทูลพระเจ้ามินดงให้ทรงแต่งตั้งเจ้าชายธีบอเป็นองค์รัชทายาท ซึ่งอาจจะเป็นการกราบทูลของพระนางสิ่งผยูมะฉิ่งหรือเสนาบดีในสภาลุตอ แต่พระองค์ไม่ทรงดำเนินการใด ๆ ทรงเกรงว่าถ้าพระเจ้าธีบอขึ้นครองราชย์อาจจะไม่สามารถรักษาอิสรภาพของราชอาณาจักรไว้ได้[25] ถึงกระนั้นพระนางสิ่งผยูมะฉิ่งก็ไม่ทรงละความพยายาม ทรงหันเข้าหาเหล่าเสนาบดีเพื่อการสนับสนุนในความประสงค์ของพระนางทั้งด้านอิทธิพลและด้านกองกำลังทหาร จึงกลายเป็นการสร้างกลุ่มการเมืองขึ้นมาต่อสู้กับกลุ่มของเจ้าชายเมะคะหย่าที่ทรงอิทธิพลและมีพระญาติมาก และกลุ่มเจ้าชายนยองยานที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย",
"เริ่มมีผลงานเพลงตั้งแต่ปี 2538 โดยวงที-สเกิ๊ตนั้น ประกอบสมาชิก 3 คนด้วยกัน คือ อัสมา กฮาร (มาร์) ดวงพร สนธิขันธ์ (จอย) และ ธิติยา นพพงษากิจ (กิ๊ฟท์) มีผลงาน 2 อัลบั้มเต็ม และ 1 อัลบั้มพิเศษก่อนที่ทางค่ายคีตา เรคคอร์ดส จะปิดตัวลงไปเมื่อปี 2539 ผลงานเด่นคือเพลง ไม่เท่าไหร่, เจ็บแทนได้ไหม, ฟ้องท่านเปา, เรื่องมันเศร้า และเพลง ทักคนผิด เป็นต้น ผลงานอัลบั้มชุดแรกชื่อว่า \"T-Skirt\" ออกวางจำหน่ายกลางปี 2538 โดยรายชื่อเพลงมีดังนี้ 1.ไม่เท่าไหร่ 2.เจ็บแทนได้ไหม 3.เรื่องมันเศร้า 4.อย่าเล่นอย่างนี้ 5.ทักคนผิด 6.ฟ้องท่านเปา 7.วันที่ไม่เหงา 8.ทำให้เสร็จ 9.ซึ้ง ๆ หน่อย 10. เพื่อนกัน",
"เมื่อถึงเวลาถ่ายทำ ทีมลูกเกดเริ่มเป็นทีมแรก แต่หลังจากที่ ฟิลลิปส์ เข้าฉากไปได้ไม่นาน ลูกเกด ก็ได้โวยวายเนื่องจากเพลงที่ใช้เปิดมีแค่ทำนองแต่ไม่มีเสียงของนักร้องซึ่งทำให้กะเวลาไม่ลงตัว จึงได้บอกให้เปิดเพลงที่มีเสียงร้องและเริ่มต้นถ่ายทำใหม่อีกครั้ง นิคกี้ ยังทำผลงานออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร กันย์ ได้บ่นเรื่องที่ไม่ได้เก็บกล่องแหวนเข้ากระเป๋ากางเกงขณะเข้าฉาก มอส ต้องเผชิญกับอุณหภูมิของน้ำที่ร้อนเกินไปเมื่อเข้าฉากล้างฟองแชมพูออกจากผม เมื่อเหลือเวลาอีก 3 นาที ลูกเกด ได้ให้ ฟิลลิปส์ เข้าฉากอีกครั้งเนื่องจากเชื่อว่าเขาตอบโจทย์ใน<i data-parsoid='{\"dsr\":[29395,29405,2,2]}'>แคมเปญ</i>นี้ได้ดีที่สุด ทีมพีชเริ่มเป็นทีมที่สอง โจเซฟ แสดงอาการตื่นเต้นมากกว่าที่จะตกหลุมรัก พีเค ลืมเก็บกล่องแหวนเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนออกจากฉาก แมน และ กันน์ ทำได้ดีที่สุดในทีม ทีมหมูเข้าฉากเป็นทีมสุดท้าย อติล่า ถูก ลูกเกด และ พีช วิจารณ์ว่ามีแค่ความหล่อแต่มีความรู้สึกราบเรียบตลอดเวลาในตอนที่เข้าฉาก เนื่องจาก มิกกี้ เป็นคนที่ตาโต เวลาที่เลิกคิ้วและเหลือบตามองที่กระจกเวลาก้มหน้า ลูกเกด บอกว่าดูน่ากลัว ธาม ยังรู้สึกแย่ที่ไม่ได้เข้าฉาก ลูกเกด ได้พูดว่า ถ้าเธอเป็น หมู ในตอนนี้ เธอจะให้โอกาสลูกทีมทุกคน"
] |
เกาะช้าง อยู่ในจังหวัดอะไร? | [
"อำเภอเกาะช้าง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดตราด"
] | [
"โนรีเกาะช้าง เป็นพืชในสกุลโนรา วงศ์ Malpighiaceae เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง เลื้อยพาดไปตามพุ่มไม้อื่นได้ไกล ยอดอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เนื้อใบหนาเห็นเส้นใบเด่นชัด ดอกช่อ มีดอกย่อยจำนวนมาก สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อน ผลแห้งมีปีก ออกดอกเดือนมกราคม – มีนาคม พบครั้งแรกที่เกาะช้าง จังหวัดตราด โดย Bensekom ชาวเนเธอร์แลนด์และ ศ.ดร. ธวัชชัย สันติสุข เป็นไม้ถิ่นเดียวของไทย",
"สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ง่ายบริเวณแหล่งน้ำที่เป็นลำธารหรือน้ำตกในป่าดิบ เช่น จังหวัดเชียงใหม่, นครศรีธรรมราช, จันทบุรี, ตราด, ชุมพร, เกาะช้าง และเกาะสมุย เป็นต้น ",
"มีระวางขับน้ำ 2,350 ตัน เครื่องจักรดีเซล 2 เครื่อง ความเร็วมัธยัสถ์ 12.2 นอต ติดอาวุธปืน 8 นิ้ว ป้อมคู่ จำนวน 2 ป้อม ปืน 3 นิ้ว จำ นวน 4 กระบอก ปืน 50 มิลลิเมตร จำนวน 2 แท่น พลประจำเรือ 234 นาย ต่อจากอู่ต่อเรือคาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นระวางประจำการ เมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 จัดเป็นเรือพี่เรือน้องกับ เรือหลวงธนบุรี ที่ได้ไปเปลี่ยนเวรรักษาการณ์ ณ เกาะช้าง จังหวัดตราด เมื่อเย็นวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2484 และเกิดยุทธนาวีกับฝรั่งเศส (ยุทธนาวีเกาะช้าง) ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเรือหลวงธนบุรีจมไปแล้ว เรือหลวงศรีอยุธยาจึงเสมือนสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญอีกลำหนึ่งของราชนาวีไทย",
"ต่อมาคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2524 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2524 ให้ดำเนินการจัดบริเวณเกาะช้างและเกาะกูด จังหวัดตราด เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลอีกแห่งหนึ่ง กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งให้นายเรืองศิลป์ ประกรศรี นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลรายละเอียด ทั้งดำเนินการปรับปรุงวนอุทยานน้ำตกธารมะยม เพื่อยกฐานะเป็นอุทยานแห่งชาติต่อไป จากรายงานข้อมูลการสำรวจตามหนังสือวนอุทยานน้ำตกธารมะยมพบว่า เกาะช้างและเกาะบริวารสภาพทั่วไปมีทิวทัศน์สวยงาม มีน้ำตก และสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่ ตลอดจนในอดีตน่านน้ำบริเวณทิศตะวันออกของเกาะช้างได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นในสมัยอินโดจีน กล่าวคือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรีได้ทำการยุทธนาวีกับเรือรบฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ อย่างห้าวหาญ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2484 วีรกรรมครั้งนี้ได้รับการจารึก ไว้ในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ",
"ผักนกยูง เป็นพืชในวงศ์ Selaginellaceae ลำต้นเป็นเถาเลื้อยไปตามดินหรือเกาะหิน มีรากแขวนลอย ใบสีน้ำเงินปนเขียว มีใบย่อยละเอียดเป็นจำนวนมาก พบทุกภาคในประเทศไทย พบครั้งแรกที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ชื่อสปีชีส์ตั้งเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย ใช้เป็นไม้ประดับและไม้คลุมดินในที่ร่ม",
"ท้องที่อำเภอเกาะช้างเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอแหลมงอบ ทางราชการได้แบ่งพื้นที่การปกครองออกมาตั้งเป็น กิ่งอำเภอเกาะช้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2537 โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน ปีเดียวกัน[1] และต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ยกฐานะขึ้นเป็น อำเภอเกาะช้าง โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน ปีเดียวกัน[2]",
"การรบที่เกาะช้าง หรือที่รู้จักกันในนาม ยุทธนาวีเกาะช้าง เป็นเหตุการณ์รบทางเรือที่เกิดขึ้นในกรณีพิพาทไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ไทยเรียกร้องให้ปรับปรุงเส้นแบ่งเขตแดน ไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส เสียใหม่ โดยใช้แนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม และให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไปจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ให้ไทย ยุทธภูมิในการรบครั้งนี้เกิดขึ้นที่บริเวณด้านใต้ของเกาะช้าง จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 และถือเป็นการรบทางทะเลครั้งเดียวในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย และรัฐบาลวิชีฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกด้วย",
"เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา",
"เพื่ออนุรักษ์น่านน้ำประวัติศาสตร์และสภาพธรรมชาติของหมู่เกาะในทะเล กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2525 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2525 เห็นควรจัดตั้งหมู่เกาะช้างเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยมีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินเกาะช้างและเกาะใกล้เคียงในท้องที่ตำบลเกาะช้าง และตำบลเกาะหมาก อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ครอบคลุมพื้นที่ 406,250 ไร่ หรือ 650 ตารางกิโลเมตร โดยเป็นพื้นน้ำประมาณ 458 ตารางกิโลเมตร หรือ 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 197 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2525 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 45 ของประเทศไทย ",
"เกาะช้าง เดิมเป็นเกาะที่ไม่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย หากมีความสำคัญในฐานะที่เป็นท่าจอดเรือหลบลมมรสุม เป็นแหล่งเสบียงอาหาร และน้ำจืดโดยเฉพาะบริเวณอ่าวสลักเพชร หรืออ่าวสลัด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โจรสลัด ชาวจีนไหหลำ และญวน ปัจจุบันบนเกาะช้างมีประชาชนอาศัยอยู่ 8 หมู่บ้าน",
"ในประเทศไทย พบวาฬเพชฌฆาตเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง โดยในปี ค.ศ. 1993 พบในทะเลอันดามันทั้งหมด 9 ครั้ง โดยเป็นที่หมู่เกาะสุรินทร์ 5 ครั้ง และหมู่เกาะสิมิลัน 4 ครั้ง และพบอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ที่ฝั่งอ่าวไทย บริเวณเกาะช้าง โดยเป็นวาฬตัวเมียขนาดเล็กที่ได้รับบาดเจ็บ 2 ตัว ซึ่งในตอนแรกเชื่อว่าเป็นโลมาอิรวดี[15] จนกระทั่งพบอีกครั้งในต้นปี ค.ศ. 2016 โดยนักท่องเที่ยวสามารถบันทึกภาพไว้ได้เมื่อต้นปี ค.ศ. 2016 ที่หาดกะรน จังหวัดภูเก็ต[16]",
"การรบที่เกาะช้าง หรือที่รู้จักกันในนาม ยุทธนาวีเกาะช้าง",
"หาดและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหาดราชมงคล หาดปากเมง เกาะไหง เกาะรอก เกาะกระดาน เกาะเหลาเหลียงเหนือ-ใต้ เกาะมุก-ถ้ำมรกต ถ้ำเลเขากอบ ถ้ำเขาช้างหาย ถ้ำเขาปินะ สันหลังมังกร[1] ตรังอันดามันเกตเวย์ สวนน้ำอันดามัน ลานวัฒนธรรม",
"อำเภอเกาะสมุย เป็นอำเภอที่มีสภาพเป็นหมู่เกาะในอ่าวไทยอยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่ 1 ใน 3 เป็นที่ราบซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งทางฝั่งทะเลอ่าวไทย อำเภอเกาะสมุยมีพื้นที่ของเกาะต่าง ๆ รวมกันรวมประมาณ 252 ตารางกิโลเมตร เฉพาะตัวเกาะสมุยเองมีพื้นที่ประมาณ 228 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ตและเกาะช้าง",
"ขณะที่พลเรือเอกจิตต์มียศเป็นเรือโทนั้น ท่านได้รับคำสั่งให้ประจำอยู่ที่แผนกการปืน เรือหลวงธนบุรี ซึ่งเป็นเรือปืนยามฝั่งที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพเรือในขณะนั้น ต่อมาเมื่อเกิดกรณีพิพาทไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส เรือหลวงธนบุรีจึงได้รับคำสั่งให้ไปรักษาน่านไทยบริเวณพรมแดนด้านตะวันออกที่หมู่เกาะช้าง จังหวัดตราด เมื่อเกิดเหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้างในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 เรือโทจงจิตต์ สังขดุลย์ (ยศและชื่อในขณะนั้น) ก็ได้เข้าร่วมรบในฐานะนายป้อมปืนท้ายด้วย ภายหลังสิ้นสงครามแล้ว เรือโทจงจิตต์จึงได้รวบรวมบันทึกความทรงจำของตนเอง และของเพื่อนทหารที่ร่วมรบ ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ \"เมื่อธนบุรีรบ\" เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2484",
"บัวแฉกใหญ่ แพร่กระจายตั้งแต่ออสเตรเลีย โพลีเนเซีย มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา ไต้หวันและหมู่เกาะริวกิวในประเทศญี่ปุ่น พบในประเทศไทยทางภาคใต้ และเกาะช้าง จังหวัดตราด",
"วัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา อันได้แก่ แผนผัง วิหารหลวง วิหารน้ำแต้ม วิหารพระพุทธ รวมไปถึงพระธาตุลำปางหลวง วัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน อำเภอเกาะคา ได้แก่ วิหาร กู่เจ้าย่าสุตตา (ซุ้มโขงวัดกากแก้ว)",
"ในปี พ.ศ. 2510 จังหวัดตราดได้ให้ นายสมศักดิ์ เผื่อนด้วง ไปทำการสำรวจบริเวณน้ำตกธารมะยม และได้ส่งรายงานการสำรวจเบื้องต้นของน้ำตกธารมะยม ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ให้กรมป่าไม้พิจารณาจัดตั้งเป็นวนอุทยาน ซึ่งในปี 2516 กรมป่าไม้ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้ง \" วนอุทยานน้ำตกธารมะยม \" และกรมป่าไม้ได้มีหนังสือให้จังหวัดตราดรับงานจัดตั้งวนอุทยานน้ำตกธารมะยมไปดำเนินการในปี 2517 ซึ่งในปี 2518 จังหวัดตราดได้ให้ นายทนง โหตรภวานนท์ พนักงานป่าไม้ตรี ไปดำเนินการจัดตั้งวนอุทยานน้ำตกธารมะยม",
"ภาคตะวันออกประกอบด้วย 7 จังหวัด มีอาณาเขตติดกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือทางทิศเหนือ ประเทศกัมพูชาทางทิศตะวันออก ติดกับอ่าวไทยทางทิศใต้ ติดกับภาคกลางด้านตะวันตก มีเนื้อที่ 34,380 ตารางกิโลเมตร\nภูมิประเทศของภาคตะวันออกแบ่งได้ 4 ลักษณะ คือ ภูมิประเทศส่วนทิวเขา มีทิวเขาสันกำแพง ทิวเขาจันทบุรี และทิวเขาบรรทัด ภูมิประเทศส่วนที่เป็นที่ราบลุ่มน้ำ คือที่ราบลุ่มน้ำบางปะกง ที่ราบชายฝั่งทะเล ตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงไปจนสุดเขตแดนที่แหลมสารพัดพิษ จังหวัดตราด ส่วนใหญ่ชายฝั่งทะเลจะมีหาดทรายสวยงาม และส่วนเกาะและหมู่เกาะ เช่น เกาะสีชัง เกาะเสม็ด หมู่เกาะช้าง และเกาะกูด และมีท่าเรือพานิชย์ที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย\nอยู่ที่แหลมฉบัง",
"อำเภอบ้านแพรก มีที่มาของชื่อจากทางแยกของแม่น้ำที่เปลี่ยนทางเดินคือแม่น้ำลพบุรีสายเก่ากับคลองตาเมฆ เรื่องเล่าว่าตาเมฆเป็นชาวสุพรรณบุรี มารับราชการในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับบิดามีหน้าที่ดูแลช้างหลวง ตาเมฆได้นำโขลงช้างมามาพักเลี้ยงอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี โขลงช้างเดินขึ้นลงในแม่น้ำลพบุรีเกิดเป็นลำรางกลายเป็นคลอง จึงได้ชื่อว่า \"คลองตาเมฆ\" แม่น้ำลพบุรีเป็นแม่น้ำที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผ่านอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านอำเภอบ้านแพรก อำเภอมหาราช อำเภอบางปะหัน มาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่วัดตองปุ ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพระนครศรีอยุธยา",
"บุหงาเกาะช้างหรือบุหงาเถา เป็นพืชใน วงศ์ Annonaceae เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย ใบเดี่ยว ด้านบนของใบหยาบกร้าน ด้านล่างมีนวลสีขาวเกาะฉาบอยู่ ดอกเดี่ยว มีกลีบ 6 กลีบ เรียงสองชั้น กลีบชั้นในประกบเป็นทรงสามเหลี่ยมแหลม กลิ่นหอมแรง ผลกลุ่ม ผลย่อยเป็นรูปรี ออกดอกเดือนมีนาคม – เมษายน ใช้เป็นไม้ประดับ พบครั้งแรกที่เกาะช้าง จังหวัดตราด โดย A. Marcan ชาวอังกฤษ ลักษณะใกล้เคียงกับบุหงาเซิง",
"เกาะช้าง เดิมเป็นเกาะที่ไม่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย แต่มีความสำคัญในฐานะที่เป็นท่าจอดเรือหลบลมมรสุม แหล่งเสบียงอาหาร และน้ำจืด โดยเฉพาะที่บริเวณอ่าวสลักเพชร หรืออ่าวสลัด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โจรสลัด ชาวจีนไหหลำ และชาวญวน ปัจจุบันบนเกาะช้างมีประชาชนอาศัยอยู่ 8 หมู่บ้าน",
"การรบทางทะเลครั้งนี้ ในบทความเรื่อง \"การรบที่เกาะช้าง\" (ข้อมูลอย่างเป็นทางการของกองทัพเรือ - ตีพิมพ์ในหนังสือ \"เมื่อธนบุรีรบ\") ระบุว่า การรบครั้งนี้ควรเรียกชื่อว่า \"การรบที่เกาะช้าง\" เนื่องจากเป็นเพียงการรบกันระหว่างกองกำลังทางเรือส่วนน้อยของฝ่ายไทย กับกองกำลังทางเรือส่วนใหญ่ของฝ่ายฝรั่งเศสเท่านั้น ไม่ถึงขั้นการรบโดยการทุ่มเทกำลังส่วนใหญ่ของทั้งสองฝ่าย และผลของสงครามไม่อาจตัดสินผลสงครามได้อย่างเด็ดขาด อีกทั้งตามปกติแล้ว จะต้องมีเรือประจัญบานเข้าร่วมรบด้วย จึงจะนับว่าการรบแบบยุทธนาวีได้ อย่างไรก็ตาม คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังนิยมเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า \"ยุทธนาวีเกาะช้าง\" ดังปรากฏหลักฐานในคำขวัญประจำจังหวัดตราดว่า \"\"เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา\"\"",
"วันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) คณะนิสิตและนักศึกษาได้เดินขบวนและเรียกร้องให้รัฐบาลเรียกร้องดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคืนจากฝรั่งเศส ซึ่งเสียไปหลังวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 จากการสนับสนุนอย่างท่วมท้นของประชาชนไทย รัฐบาลจึงได้ส่งกองทัพข้ามแม่น้ำโขงไปโจมตีประเทศลาวและกัมพูชา ซึ่งขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศส การรบที่เป็นที่กล่าวขานมาก คือ ยุทธนาวีเกาะช้าง ซึ่งก็ทำให้เรือรบฝรั่งเศสไม่กล้าเข้ามาในอ่าวไทยอีก การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งญี่ปุ่นเป็นผู้เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในการเจรจาสงบศึก และภายหลังสงครามไทย-ฝรั่งเศสสิ้นสุดเมื่อ พ.ศ. 2484 ไทยก็ได้ดินแดนเพิ่มเข้ามาอีก 4 จังหวัด คือ จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ จังหวัดลานช้าง จังหวัดพิบูลสงครามและจังหวัดพระตะบอง เหตุการณ์ครั้งนี้ภายหลังได้ชื่อว่า \"กรณีพิพาทอินโดจีน\"",
"ฝ่ายไทยได้จัดสร้างอนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้างไว้ 2 แห่ง คือ อนุสรณ์สถานเรือหลวงธนบุรี ที่โรงเรียนนายเรือ จังหวัดสมุทรปราการ และอนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง ที่แหลมงอบ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรือหลวงธนบุรีถูกลากจูงมาเกยตื้นเมื่อเย็นวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484",
"เกาะหมาก เป็นเกาะในจังหวัดตราด อยู่ระหว่าง เกาะช้างกับเกาะกูด ห่างจากฝั่งประมาณ 38 กิโลเมตร มีพื้นที่ 9,000 ไร่ หรือ 14.4 ตารางกิโลเมตร มีรูปร่างคล้ายดาวสี่แฉก มีความยาวชายหาด 27 กม. มีชายหาด เช่น บริเวณอ่าวตานิด อ่าวไผ่ อ่าวโปร่ง อ่าวผาด อ่าวแดง บริเวณชายฝั่งรอบเกาะและเกาะใกล้เคียงจะพบแนวปะการังที่สมบูรณ์",
"ทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างการก่อสร้างปะการัง (Coral Reconstruction) กับการเตรียมชายหาด (Beach Preparation) ซึ่งเป็นการที่ทีมจะต้อง \"ให้กลับคืน\" สู่ประเทศไทยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 โดยแต่ละภารกิจนั้น ทีมจะต้องนั่งเรือสปีดโบ๊ทไปยังเกาะไข่ใน บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โดนทีมที่เลือการก่อสร้างปะการัง จะต้องสร้างแหล่งอนุบาลปะการังจากการประกอบท่อ PVCแบบต่างๆ เมื่อประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีมจะต้องพายเรือคายัค เพื่อนำโครงสร้างท่อและชิ้นส่วนปะการัง ไปยังบริเวณที่มีทุ่นลอยและนำโครงสร้างท่อลงไปตั้งในพื้นท้องทะเล แล้วจึงนำชิ้นส่วนปะการังไปปลูกในท่อให้ครบเรียบร้อย เมื่อปลูกเรียบร้อยแล้ว นักชีววิทยาทางทะเลจะมอบคำใบ้ต่อไปแก่ทีม ส่วนทีมที่เลือการเตรียมชายหาดนั้น จะต้องค้นหาเก้าอี้ชายหาด 20 ตัวและร่มชายหาด 10 คันที่มีสัญลักษณ์เฉพาะเป็นสติ๊กเกอร์รูปสัตว์ทะเลตามในคำใบ้ภายในโรงเก็บของ และนำมาเตรียมเพื่อให้นักท่องเที่ยวพักผ่อน เมื่อเก้าอี้และร่มชายหาดถูกจัดเตรียมได้ตามความพึงพอใจของเจ้าของบีชคลับ (เช่น เส้นระหว่างเก้าอี้แต่ละแถวตรงเป็นระเบียนเรียบร้อย) เขาจะมอบคำใบ้ต่อไปแก่ทีม ส่วนอุปสรรคของเลกนี้ ทีมจะต้องเดินทางไปยังเกาะยาวน้อย ในบริเวณอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ซึ่งสมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องปีนหน้าผาหินของเกาะ จนพวกเขาปีนไปถึงรังนกซึ่งจะมีคำใบ้ต่อไปอยู่ภายใน\nอุปสรรคแรกของเลกนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากละครเพลงมนต์รักเพลงสวรรค์ โดยสมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องเดินไปตามเสียงขลุ่ยซึ่งมีคนเป่าอยู่ ต้อจากนั้นพวกเขาจะต้องหาคำใบ้ ที่อยู่ในห่อผ้าผูกริบบิ้นสีเหลือง-แดงอยู่ใต้น้ำ ก่อนที่จะนำขึ้นมาและทุบปลาคาร์พเซมาริค ซึ่งมีคำใบ้ของพวกเขาอยู่ข้างใน ส่วนงานเพิ่มเติมนั้น ลิซกับมารี จะต้องทำความสะอาดช้าง เริ่มจากโกยอึช้างใส่ถุง แล้วทำความสะอาดช้างโดยใช้แปรงขัดก่อนที่จะขี่ช้างไปยังสถานที่ทำอุปสรรค สำหรับอุปสรรคที่สองของเลกนี้ (เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองเมื่ออุปสรรคสองภารกิจอยู่ในเลกเดียวกัน ครั้งแรกคือ \"ดิอะเมซิ่งเรซ 16\" เลก 10) สมาชิกที่ไม่ได้ทำอุปสรรคแรก จะต้องประกอบศาลพระภูมิที่พวกเขาเพิ่งถอดออกหลังจากทำงานอุปสรรคแรกเสร็จ โดยเริ่มไปถึงนางฟ้า โถน้ำ กระถางธูปต่างๆอื่นด้วย เมื่อประกอบได้เสร็จเรียบร้อยและได้รับความพึงพอใจจากแม่ชีแล้ว พระจะมอบคำใบ้ต่อไปพร้อมถุงอาหารให้แก่ทีม",
"อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 650 ตารางกิโลเมตร หรือ 406,250 ไร่ ประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ ที่มากถึง 52 เกาะ เรียงตัวกัน ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกาะช้าง และบางส่วนของ อำเภอเกาะกูด เกาะที่สำคัญที่สุด คือ เกาะช้าง นอกจากนี้ยังมีเกาะอื่น ๆ ที่ยังคงสภาพความสวยงามตามธรรมชาติ ได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายาใน เกาะง่าม เกาะไม้ซี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะง่าม บางแห่งมีปะการังใต้น้ำที่คงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เช่น เกาะหวาย และหมู่เกาะรัง ฯลฯ ที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะช้างใกล้คลองธารมะยม บริเวณด้านหน้ามีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ของอุทยานฯ นอกจากนี้ยังมีหน่วยพิทักษ์อุทยานอีก 3 จุด ซึ่งล้วนอยู่บนเกาะช้าง คือ บริเวณอ่าวคลองสน บริเวณทางเข้าน้ำตกคลองพลู และบริเวณหมู่บ้านสลักเพชร ",
"เทศบาลตำบลเกาะช้าง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเกาะช้างทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะช้างใต้ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเกาะช้างใต้ทั้งตำบล"
] |
กองทัพเรือไท ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่? | [
"พ.ศ. 2394 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจการทหารเรือเริ่มแบ่งออกมาชัดเจน และแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทหารเรือวังหลวง (ทหารมะรีนสำหรับเรือรบ) ขึ้นตรงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหพระกลาโหม และ ทหารเรือวังหน้า ขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทหารเรือวังหน้ามีหน่วยขึ้นในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และกองทะเล (บางทีเรียกว่ากองกะลาสี) ส่วนกรมอรสุมพลมีหน่วยขึ้นในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสามอญ และกรมอาสาจาม ซึ่งทหารทั้งสองหน่วยนี้เป็นอิสระจากกัน"
] | [
"เรือในยุคนี้เน้นความสวยงามเป็นหลักบวกกับความสะดวกสบาย เรือมักจะเป็นเรือยนต์ เครื่องยนต์ไอน้ำ เครื่องยนต์เชื้อเพลิงน้ำมัน เรือจะไปอย่างช้าๆไปเร่งรีบเพื่อให้คนได้ใช้ชีวิตอยู่กับเรือลำนี้นานๆ อาจเป็น สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน ,ไททานิกคือเรือที่โด่งดังที่สุดในโลก เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ส่วนในปัจจุบันเรือท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่ในโลกคือ เอ็มเอส โอเอซิสออฟเดอะซีส์\n(Steam and Steel)ประมาณ ศ.ต.ที่ 18-19 ยุคนี้เรือรบทางทะเลมีความก้าวหน้ากว่ายุคไหนๆ เรือส่วนใหญ่เริ่มเป็นแบบสมัยใหม่แล้ว โดยส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นเหล็กกล้า ใช้พลังงานไอน้ำเป็นหลัก และเริ่มเลิกใช้ เสาใบแล้ว มีการใช้เรือดำน้ำในกองทัพมากขึ้นโดยหลักๆแล้วยุคนี้ เจ้าแห่งเรือยังคงเป็น อังกฤษ สหรัฐ และ เยอรมนี",
"กองทัพบรูไน ( ) คือกองกำลังติดอาวุธของราชอาณาจักรบรูไนดารุสซาราม ก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 กองทัพบรูไนประกอบด้วยสามเหล่าทัพคือ กองทัพบก, กองทัพอากาศ และ กองทัพเรือ",
"บัลการ์และสลาฟถือโอกาสจากความแตกแยกในการเข้ารุกรานอิลิเรีย, เธรซ และ กรีซ หลังจากได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในยุทธการออนกาลา (battle of Ongala) ในปี ค.ศ. 680 แล้วกองทัพบัลการ์และสลาฟก็เดินทางไปทางใต้ของเทือกเขาบอลข่าน และได้รับชัยชนะต่อไบแซนไทน์อีกครั้ง จนไบแซนไทน์ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกที่เป็นการหยามเกียรติ โดยที่ต้องยอมรับการก่อตั้งจักรวรรดิบัลแกเรียที่ 1 ติดกับไบแซนไทน์เอง",
"แมทธิว คัลเบรธ เพร์รี () เป็นพลเรือจัตวาแห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เขาเป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในสงครามเม็กซิโก-อเมริกาและสงครามปี 1812 นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่นำกองเรือปืนบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศผ่านสนธิสัญญาคะนะงะวะในปี ค.ศ. 1854 ในฐานะผู้บังคับบัญชาทหาร เพร์รีให้ความสำคัญกับการศึกษาของเจ้าหน้าที่ทหารมาก นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการผลักดันการก่อตั้งวิทยาลัยทหารเรือสหรัฐอเมริกา",
"ก่อนปี พ.ศ. 2493 กองทัพอากาศรับบุคลากรที่ผลิตจากสถาบันการศึกษาอื่นและมหาวิทยาลัยเข้ามาทำงานในกองทัพอากาศ ต่อมาภารกิจและกิจการของกองทัพอากาศมีมากขึ้น ประกอบกับยังไม่มีสถาบันที่จะผลิตนายทหารสัญญาบัตรของตนเอง นอกจากนี้ ทางกองทัพอากาศต้องการนายทหารที่มีความรู้เฉพาะสาขาวิชามากกว่าด้านความรู้ทั่วไป จึงได้เตรียมการเริ่มตั้ง \"โรงเรียนนายเรืออากาศ\" เพื่อผลิตนายทหารหลักให้กับกองทัพอากาศ แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดประกอบกับปัญหาบางประการจึง ทำให้การก่อตั้งโรงเรียนนายเรืออากาศต้องล่าช้าออกไปนานนับทศวรรษ ",
"ในจักรวรรดิรัสเซีย พลเรือเอกอาวุโสถือเป็นยศที่สูงสุดในทำเนียบยศทหารเรือรัสเซีย เทียบเท่าได้กับยศจอมพล ยศนี้ถูกเลิกใช้งานเมื่อจักรวรรดิรัสเซียล่มสลายในปีค.ศ. 1917 และภายหลังก่อตั้งสหภาพโซเวียต กองทัพเรือโซเวียตได้สถาปนายศ \"จอมพลเรือแห่งสหภาพโซเวียต\" ขึ้นมาแทนยศพลเอกอาวุโสเดิม",
"หลังจากที่กำจัดกองทัพเดนส์ จากอังกฤษแล้วพระเจ้าอัลเฟรดก็ทรงหันความสนพระทัยไปในการปรับปรุงราชนาวี เพื่อต่อต้านการรุกรานในบริเวณฝั่งทะเลเวสเซ็กซ์โดยชนชาวเดนส์จากราชอาณาจักรนอร์ธัมเบรียและแคว้นอีสต์อังเกลียและการขึ้นฝั่งจากทางยุโรปที่อาจจะเกิดขึ้นอีก การปรับปรุงทางนาวีครั้งนี้มิใช่การเริ่มก่อตั้งราชนาวีอังกฤษตามที่เข้าใจกัน พระเจ้าอัลเฟรดทรงเข้าร่วมสงครามทางทะเลหลายครั้งก่อนหน้านั้น เช่นทรงเข้าร่วมต่อสู้กับพระเจ้าเอเธลวูล์ฟแห่งเวสเซ็กซ์พระราชบิดาในปี ค.ศ. 851 และก่อนหน้านั้น ในปี ค.ศ. 833 และ ในปี ค.ศ. 840 พงศาวดารแองโกล-แซ็กซอนสรรเสริญว่าพระองค์เป็นผู้ก่อตั้งเรือแบบใหม่ตามแบบที่ทรงออกแบบเองซึ่งเป็นเรือที่เร็วกว่า มั่นคงกว่า และสูงกว่าเรือแบบที่เคยใช้กันมา แต่เรือแบบใหม่ที่ว่านี้มิได้ประสบความสำเร็จเท่าใดนักนอกไปจากว่ามีข่าวว่าติดเลนหรือโคลงเคลงระหว่างพายุ แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งราชนาวีอังกฤษและรัฐนาวีสหรัฐอเมริกายกย่องให้พระเจ้าอัลเฟรดเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางพื้นฐานทางกองทัพเรือ",
"หากเทียบกับเวลาที่ใช้กันจริง อาจจะอ้างถึงการเทียบเวลามาตรฐานกับกองทัพเรือ หรือก่อนเคารพธงชาติตอนเช้า",
"หูฟังมีต้นกำเนิดมาจาก \"นาทาเนียล บอลด์วิน\" () นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นผู้ประดิษฐ์ชุดหูฟังวิทยุคนแรก แรกเริ่มการคิดค้นยังไม่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจเท่าไหร่ จนกระทั่งช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้สั่งซื้อชุดหูฟัง 100 ชุด ทำให้วงการชุดหูฟังเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากนั้นนักบินสองคนซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแพนทรอนิกส์ () ได้เริ่มผลิตชุดหูฟังที่มีน้ำหนักเบาเหมาะสำหรับการสวมใส่ โดยทดลองใช้ในเครื่องบินเป็นครั้งแรก เพื่อแก้ปัญหาความยากลำบากที่ได้รับจากการใช้หูฟังขนาดใหญ่ ทำให้หูฟังเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันเพราะช่างโดม รวมทั้งพัฒนาให้มีการใช้งานไร้สายหรือที่เรียกกันว่า \"บลูทูธ\"",
"บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ดำเนินกิจการต่อเนื่องมาจากบริษัท บางกอกด๊อก จำกัด ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2408 โดยกัปตันจอห์น บุช นักลงทุนชาวอังกฤษ และราชนาวีไทยต้องเข้ามาควบคุมกิจการในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และส่งคืนให้แก่ประเทศอังกฤษหลังเสร็จสิ้นสงคราม แต่ บางกอกด๊อก ต้องเลิกกิจการในปี พ.ศ. 2494 และขายกิจการกลับมาเป็นของบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด อีกครั้งเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2495 และได้มีการโอนกิจการโดยสมบูรณ์ให้กองทัพเรือ ในปี พ.ศ. 2500 พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษของบริษัทจาก Bangkok Dock Co., Ltd. มาเป็น Bangkok Dock company (1957) Limited. เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 กองทัพเรือจึงโอนหุ้นทั้งหมดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงการคลัง มอบหมายให้กองทัพเรือเป็นผู้ควบคุมนโยบาย และในปี พ.ศ. 2526 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติให้อู้กรุงเทพ มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทยุทธปัจจัย อยู่ในความควบคุมของกองทัพเรือ",
"เครื่องบินได้พัฒนาเพื่อกองทัพอากาศและกองทัพเรือของประเทศฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสขอถอนตัวออกจากโครงการ EFA ( European Fighter Aircraft ) หรือ Eurofighter ในปี ค.ศ. 1985 ฝรั่งเศสตัดสินใจพัฒนาเครื่องบินรบด้วยตัวเอง และเลือกที่จะสร้าง Rafale เครื่องบิน Rafale ก็มีปีกเล็กที่ส่วนหน้า ที่เป็นรูปสามเหลี่ยม แต่มี มุมน้อยกว่า เครื่อง ของ EFA และโครงสร้างลำตัวก็สร้างด้วยวัสดุผสมเรียกว่า CFC (Carbon Fiber Composite)คล้ายๆกับเรื่องบินยูโรไฟเตอร์ (Euro fighter) และส่วนที่เป็นคานาด(Canard)จะเป็นวัสดุผสมไททาเนียม เครื่อง Rafale เป็นเครื่องที่มีน้ำหนักเบา และเล็กกว่า Eurofighter แสดงให้ชมเป็นครั้งแรก คือ Rafale A, เริ่มทำการบินทดลอง เมื่อ วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1986 แผนการ คือ 140 เครื่องของ Rafale B และ 94 เครื่องของ Rafale C สำหรับกองทัพอากาศ และ 79 เครื่องของ Rafale M สำหรับกองทัพเรือ การส่งมอบจะดำเนินไปจนถึง ปี ค.ศ. 2009",
"กองทัพเรือจักรวรรดิรัสเซีย () เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการปฏิบัติการทางทหารในทะเล ลำน้ำ และพื้นที่บริเวณชายฝั่งของจักรวรรดิรัสเซีย โดยก่อตั้งขึ้นในปี 1696 จนกระทั่งถูกยุบใน การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ในปี 1917 กองทัพเรือพัฒนามาจากกองกำลังขนาดเล็กที่มีอยู่ก่อนหน้านี้โดย จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ทรงก่อตั้งกองทัพเรือรัสเซียในช่วง การทัพอะซอฟครั้งที่สอง",
"ภายหลังจากการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราช ค.ศ. 2006, กองทัพมอนเตเนโกรจึงก่อตั้งพร้อมกับการสถาปนาประเทศใหม่, ส่งผลให้กองทัพเซอร์เบียเป็นกองทัพที่ไม่มีกองกำลังทหารเรือ",
"กองทัพเรือรัสเซียเดิม ก่อตั้งโดย จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย (ปีเตอร์มหาราช) ในเดือนตุลาคม 1696 โดยสัญลักษณ์ของกองทัพเรือรัสเซียแรก ๆ คือธงของนักบุญอันดรูว์ ปัจจุบันกองทัพเรือรัสเซียมีกองเรือย่อยที่รับช่วงต่อจากกองทัพเรือโซเวียตคือ กองเรืออาร์กติก, กองเรือแปซิฟิก, กองเรือทะเลดำ, กองเรือบอลติก, กองเรือเล็กแคสเปียน, กองบินนาวี, และ กองกำลังป้องกันชายฝั่ง (อีกชื่อของ ทหารนาวิกโยธิน และ กองกำลังปืนใหญ่และมิสไซล์ชายฝั่ง)",
"นายพลไควาน ผู้บัญชาการกองเรือที่ 2 แห่งกองทัพสมาพันรัฐอะเดส ไควานนั้นถือเป็นนายพลในสังกัดลุสคิเนีย บัญชาการเรือธงที่สองนาม \"รักไทวจา\" กองเรือที่ 2 ได้ชื่อว่าเป็นกองเรือที่มีพลังทำลายล้างสูงสูดในบรรดากองเรือทั้งหมด อย่างไรก็ตามกองเรือที่ 2 ได้ถูกเอ็กไซล์ของกลาเคียสทำลายพินาศย่อยยับ",
"โรงเรียนนายเรือก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2440 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถานที่ตั้งเดิมอยู่ที่บริเวณพระราชวังเดิมในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 กองทัพเรือได้ถือเอาวันที่ 20 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น วันกองทัพเรือ[1]",
"นิวคาสเซิลอะพอนไทน์ () มักจะนิยมเรียกย่อว่า นิวคาสเซิล () เป็นนครและเมืองในโบโรฮ์ของไทน์แอนด์แวร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ เมืองนิวคาสเซิลตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำไทน์ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ถึงแม้ว่าในช่วงก่อตั้งนั้นได้ชื่อว่า ปอนส์แอรีอุส (Pons Aelius) ตามชื่อโรมัน และได้เปลี่ยนชื่อเป็นนิวคาสเซิลในปีค.ศ. 1080 หลังจากที่ได้มีการสร้างปราสาท โดยพระเจ้าโรเบิร์ตที่ 2 ตัวเมืองได้เป็นศูนย์กลางของการค้าขนแกะและต่อมาเป็นเหมืองถ่านหินอันดับต้นของประเทศ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นิวคาสเซิลได้รู้จักในชื่อของเมืองต่อเรือ โดยเป็นศูนย์กลางการต่อเรือที่สำคัญของโลกแห่งหนึ่ง โดยในปัจจุบันอุตสาหกรรมได้จางหายไป โดยตัวเมืองกลายเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ",
"ในยุคนั้น รถถังถือว่ามีบทบาทมากในเฉพาะสมรภูมิทางด้านยุโรปและในแอฟริกาเหนือ ซึ่งรถถังที่สำคัญในสมัยนั้นก็มี รถถังไทเกอร์,แพนเซอร์ ของกองทัพนาซีเยอรมัน รถถัง T-34 ของสหภาพโซเวียต รถถัง M4 เชอร์แมน ของกองทัพสหรัฐฯ โดยที่อัตราการผลิตรถถังนั้นทางสหภาพโซเวียตได้มีการผลิตรถถังรุ่น T-34 ที่สูงมาก ซึ่งในแต่ละวันนั้นผลิดได้ 60-70 คัน และมีอานุภาพการทำลายล้างสูง(ในระยะกลาง-ใกล้) จนกระทั่งสงครามสิ้นสุด ก็ยังมีประจำการอยู่ประมาณ 50,000 คัน ส่วนของกองทัพสหรัฐฯ เองแม้จะมีอัตราการผลิตสูงก็ตาม แต่อานุภาพการทำลายล้างยังด้อยกว่ารถถังไทเกอร์กับรถถังแพนเซอร์(หลังได้มีการเปลื่ยนปืนเป็ยขนาด76มม.ทำให้สามารถได้สูสีขึ้น) เพราะจำนวนมากนี่เอง ที่ทำให้กองทัพสหรัฐฯและฝ่ายพันธมิตรสามารถเอาชนะกองทัพเยอรมันได้ ส่วนกองทัพเยอรมันแม้ว่าจะมีรถถังที่ทรงอานุภาพมากก็ตาม แต่อัตราการผลิตยังถือว่าน้อยมาก เพราะผลิตออกมาเพียงรุ่นละไม่เกิน 4,500 คันเมื่อเทียบกับ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่แล้ว เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธของเยอรมันในสมัยนั้นยังเป็นการผลิตในระยะสั้น จึงทำให้สามารถผลิตรถถังออกมาได้ไม่มาก ส่วนทางญี่ปุ่นนั้น จะไม่ค่อยเน้นการผลิตรถถังเสียเท่าไหร่เนื่องจากทุกๆแนวรบไม่จำเป็นจะต้องใช้รถถัง การรบในจีน รถถังของญี่ปุ่นเป็นต่อกองกำลังรถถังของจีน เนื่องด้วยความทันสมัยของรถถังจำนวน และ ความสามารถของพลขับรถถังที่เก่งกว่า ซึ่งได้รับการพิสูจน์ในหลายๆที่แล้วว่า พลรถถังของจีนยังถูกฝึกให้มีความสามารถสู้พลขับรถถังของญี่ปุ่นไม่ได้ จึงไม่นิยมผลิตรถถังจำนวนมาก การรบในแปซิฟิค ด้วยสภาพภูมิประเทศส่วนมากในแปซิฟิคเป็นป่า ยานขนส่งทำการรบในป่าได้ลำบาก และส่วนมากจะรบในป่ามากกว่าที่โล่ง จีงเห็นได้ชัดว่าญี่ปุ่นไม่ค่อยใช้รถถังในภูมิภาคนี้มากสักเท่าไหร่ การต่อสู้กับรถถังอเมริกัน ญี่ปุ่นเห็นควรว่าน่าจะใช้ปืนยิงใหญ่ยิงใส่มากกว่าใช้รถถังเข้าสู้ เพราะรถถังญี่ปุ่นสู้ไม่ได้ และจำนวนยังน้อยกว่า เหล็กส่วนมากมักนำไปผลิตเครื่องบินกับเรือเสียส่วนมาก แต่ก็เหมาะสมต่อกองทัพญี่ปุ่นอยู่แล้ว",
"นอกจากงานเหล่านี้แล้วแอนดียังเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสารและเขียนหนังสืออีกหลายเล่ม อาทิ เช่น The Philosophy of Andy Warhol และ Popism: The Warhol Sixties แม้ในช่วงระยะหลังของชีวิตแอนดีจะไม่ค่อยทำงานศิลปะออกมามากเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงมีงานในด้านอื่นๆ ออกมาให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น งานโฆษณา หรือ งานแสดงที่เขาได้รับเชิญจากภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง เรือรักเรือสำราญ (Love Boat) และนั้นยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จของเขา หลังจากการแสดงงานครั้งสุดท้ายในยุโรป เมื่อกลับมานิวยอร์กได้ระยะหนึ่ง แอนดีก็เสียชีวิตลงในปี 1987",
"ในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นการปกครองของชาวต่างชาติ ชาวจีนบางส่วนที่เป็นผู้อนุรักษ์นิยม จึงได้เกิดการต่อต้านขึ้นมา โดยหนึ่งในกบฎที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ กบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว (เมืองแมนแดนสันดิ) ซึ่งนำโดย หง ซิ่วเฉฺวียน ซึ่งเผยแพร่หลักคำสอนเพื่อสันติ จนมีผู้คนเข้าร่วมเป็นลูกศิษย์นับพันนับหมื่นคน ซึ่งเมื่อมีผู้คนเข้าร่วมจำนวนมาก หง ซิ่วเฉฺวียน จึงก่อการกบฏ โดยใช้ชื่อ ไท่ผิงเทียนกั๋ว โดยเริ่มก่อการที่หมู่บ้านจินเถียน มณฑลกวางสี ในปี ค.ศ. 1851 (พ.ศ. 2394) แผ่ไปเรื่อย ๆ จากกุ้ยหลินถึงฉางซา อิ๋วโจวและอู๋ชัง จนไปยึดเมืองนานกิง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเทียนจิง (ราชธานีสวรรค์) ซึ่งเป็นการก่อตั้งรัฐบาลเพื่อการปกครองภายใต้รัฐบาลใหญ่คือราชวงศ์ชิง ทำให้ทางราชสำนักชิงจัดตั้งกองทัพเพื่อจัดการกับกองทัพของกบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว\nในการทำสงครามระหว่างราชสำนักชิงกับกบฏไท่ผิงนั้น ฝ่ายราชสำนักชิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่บ่อยครั้ง ด้วยความที่ทางกบฏไท่ผิงมีอุดมการณ์ที่หนักแน่นกว่า จนในปี ค.ศ. 1855 (พ.ศ. 2398) อาณาเขตของกบฏไท่ผิงแผ่ขยายขึ้นมาก ราชสำนักชิงจึงออกหมายประกาศให้หัวเมือง ทำการสร้างกองทัพเพื่อจัดการกับกบฏไท่ผิง โดยใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง นำโดย เจิงกว๋อพาน ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักชิง ซึ่งรวมพลในมณฑลหูหนาน ตั้งชื่อว่ากองทัพเซียง เพื่อกำจัดกบฏไท่ผิงโดยเฉพาะ โดยยกทัพทั้งทางบกและทางน้ำ เลียบแม่น้ำแยงซีเกียง เพื่อกำจัดกบฏตามหมายประกาศของราชสำนักชิง โดยทางกบฏไท่ผิง ก็ส่งแม่ทัพ สือต๋าไค่ มารับมือกับกองทัพเซียง\nสือต๋าไค่ นำกองทัพมาถึงหูโข่ว ซึ่งเป็นปากทางของแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับกองเรืองของกองทัพเซียง ที่ผ่านการตีจิ่วเจียงมาถึงพอดี สือต๋าไค่นำกองทัพไท่ผิงขึ้นสังเกตการณ์บนเนินเพื่อประเมินกองกำลังของกองทัพเซียง ก็พบกับกองเรือที่ยิ่งใหญ่ ที่ประกอบด้วยเรือรบลำใหญ่และเล็กหลายลำ ซึ่งทำงานประสานงานกันได้เป็นอย่างดี แต่สือต๋าไค่ ก็เล็งเห็นว่ากองเรือใหญ่ที่ขาดความรวดเร็ว ส่วนเรือเล็กก็ไม่เหมาะแก่การพักผ่อนหรือเตรียมอาหาร ต้องจัดการด้วยการแยกกองเรือทั้งสองแบบออกจากกันเพื่อเข้าตี \nแต่ก็เล็งเห็นว่ากองทัพเรือที่นำโดย เจิงกว๋อพาน เพิ่งผ่านชัยชนะมา ทหารยังมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม ไม่เหมาะแก่การเข้าตี จึงได้ให้ทหารตั้งมั่นที่ปากแม่น้ำ แล้วนำซุงมาลอยเป็นแพ รอบ ๆ แพยังตั้งป้อมรบติดปืนใหญ่ บนบกก็ตั้งค่ายปืนใหญ๋อีกเพื่อเสริมกำลัง ทำให้ฝ่ายกองทัพเรือของเจิงกว๋อพานที่ชนะมาโดยตลอด ทำการมุ่งเข้าตี แต่ไม่สามารถตีให้แตกได้และพ่ายแพ้ไป ประกอบกับในเวลากลางคืน กองทัพไท่ผิงก็ส่งเรือเล็กไปแอบลักลอบจุดไฟเผาเรือของกองทัพราชสำนักชิง ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก\nเมื่อเป็นเช่นนั้น กองทัพของราชสำนักก็ตีหักป้อมค่ายอย่างเต็มแรง ทำให้กองทัพเรือของไท่ผิงแตกกระเจิงไป แต่สือต๋าไค่ได้นำกองกรวดหินทราย มาใส่เรือแล้วเจาะเรือให้ล่ม ขวางแม่น้ำ เหลือแต่เพียงทางเล็ก ๆ ที่เรือเล็กผ่านไปได้ แม่ทัพเซียวเจี๋ยซันของกองทัพเซียง จึงนำกองเรือเล็กกว่าร้อยลำ ลอดช่องไปแล้วตีกองกำลังไท่ผิงแตกพ่ายอีกครั้ง แล้วกลับมารวมกับกองเรือใหญ่ เมื่อการโจมตีได้ผล ในวันต่อมา เซียวเจี๋ยซัน ก็นำกองเรือกว่าร้อยลำ ทหารอีกกว่า 2,000 คน ผ่านช่องเพื่อตีกองทัพไท่ผิงอีกครั้ง แต่คราวนี้ เมื่อกองเรือเล็กผ่านไปหมด สือต๋าไค่ได้สั่งให้ทหาร นำซุงมาตอกปิดทางหนี เพื่อแยกกองเรือเล็กและกองเรือใหญ่ของกองทัพเซียงออกจากกัน ทำให้สือต๋าไค่สามารถทำลายกองเรือเล็กร้อยกว่าลำของกองทัพเซียงลงได้ และเมื่อถึงกลางคืน ก็ใช้ยุทธวิธีเรือเล็กเข้าโจมตีกองเรือใหญ่ของกองทัพเซียง ซึ่งไม่มีกองเรือเล็กคอยป้องกัน ทำให้กองเรือใหญ่ถูกทำลาย แม่ทัพเจิงกว๋อพานเองก็โดดลงเรือเล็กหนีตายไป",
"เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือชาว โนลดอร์ เพื่อออกจากอามันและไล่ตามเมลคอร์ไปยังเบเลริอันด์ รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า \"มอร์กอธ\" เฟอานอร์เป็นผู้นำโนลดอร์กลุ่มแรกจากจำนวนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟิงโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ เทเลริ นามว่า อัลควาลอนเด แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้เรือแก่พวกเขาเพื่อไปยังมิดเดิลเอิร์ธ สงครามประหัตประหารญาติ ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตีชาวเทเลริและขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟิงโกลฟินข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่านแดนมฤตยู เฮลคารัคเซ (หรือทุ่งน้ำแข็งหฤโหด) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและก่อตั้งอาณาจักรของตนขึ้น เช่นเดียวกับฟิงโกลฟินและทายาทของเขา",
"กองทัพเรือสหรัฐมีต้นกำเนิดย้อนไปยังกองทัพเรือภาคพื้นทวีปซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นระหว่างสงครามปฏิวัติอเมริกา ก่อนที่จะถูกก่อตั้งขึ้นใหม่เป็นกองทัพเรือสหรัฐหลังจากนั้นไม่นาน กองทัพเรือสหรัฐมีบทบาทสำคัญในสงครามกลางเมืองอเมริกัน โดยทำการปิดล้อมทางทะเลต่อฝ่ายสมาพันธรัฐ และเข้าควบคุมทางแม่น้ำของสมาพันธรัฐ ทั้งยังมีบทบาทหลักในการเอาชนะจักรวรรดิญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 กองทัพเรือสหรัฐยังคงวางกำลังอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย กองทัพเรือสหรัฐเป็นกองทัพเรือทะเลน้ำลึก ที่มีความสามารถในการแสดงกำลังตามแนวชายฝั่งทั่วโลก และตอบสนองต่อสถานการณ์วิกฤตระดับภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กองทัพเรือสหรัฐเป็นตัวแทนผู้กระทำของสหรัฐฯ ทางการทูตและการทหารอยู่บ่อยครั้ง",
"ลุฟท์วัฟเฟอ () () เป็นเหล่าทัพการสงครามทางอากาศของกองทัพเยอรมันเวร์มัคท์ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, \"ลุฟท์ชไตรท์แครฟเทอ\" (Luftstreitkräfte) แห่งกองทัพจักรวรรดิเยอรมัน และหน่วยนักบินทหารเรือ \"มารีเนอ-ฟีเกอร์อับไทลุง\"ของไคแซร์ลีเชอ มารีเนอ (Kaiserliche Marine), ได้ถูกยุบในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1920 อันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่า เยอรมนีได้ถูกห้ามไม่ให้มีกองทัพอากาศ",
"เหรียญที่ระลึก \"ครบรอบ 30 ปีการสถาปนากองทัพโซเวียตและกองทัพเรือ\" () เป็นเหรียญที่ระลึกของสหภาพโซเวียต เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งกองทัพโซเวียต และ กองทัพเรือโซเวียต ได้รับการประกาศจากคณะผู้บริหารสูงสุดแห่งสภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียตในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1948 ระเบียบการมอบเหรียญได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 1980 ตามประกาศจากคณะกรรมการบริหารสูงสุดของสหภาพโซเวียตของสหภาพโซเวียตเลขที่ 2523-X",
"เมื่อไทเกอร์ไปเป็นนักผจญภัย ตนไปทำงานเป็นแม่ทัพในกองทัพเนปจูน หลังจากที่รู้ว่า ไทเกอร์ปลดปล่อยทาส ตนคือ 1 ในผู้เข้าร่วม หลังจากไทเกอร์เสียชีวิต ตนเป็นกัปตันคนใหม่ รับตำแหน่งเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ กับทำตามแนวคิดของไทเกอร์ ปล่อยตัวอารอง จนกลุ่มอารองกับมาโคลแยกตัว ส่วนลูกเรือบางส่วนกลับไปใช้ชีวิตปกติ เมื่อหนวดขาวตั้งอาณาเขตที่เกาะมนุษย์เงือก ไม่มีใครมารุกราน ก็นับถือกับเข้าร่วมแม้ไม่ทางการ เข้าออกเรือหนวดขาวบ่อย สู้เสมอกับเอส 5 วันติด พอเอสเข้ากลุ่มหนวดขาวก็สนิทกัน ได้ฟังเรื่องลูฟี่มามาก โดยหวังจัดการอารองที่ก่อเรื่อง แต่อารองติดสินบนทหารเรือแถบนั้น ทำให้ไม่รู้เรื่อง พอทราบข่าวเรื่องลูฟี่จัดการอารองก็รู้สึกขอบคุณมาก",
"กองทัพโซมาเลียประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศ ในช่วงเวลาที่เป็นเอกราชกองกำลังติดอาวุธของประเทศเริ่มจะกลายเป็นหนึ่งในกองทัพขนาดใหญ่ในทวีป การแผ่ขยายของสงครามกลางเมืองโซมาเลียในปีพ.ศ. 2534 นำไปสู่การยกเลิกกองทัพโซมาเลีย แต่หลังจากนั้นก็เริ่มก่อตั้งขึ้นมาใหม่หลังจากตั้งรัฐบาลกลางเปลี่ยนผ่านในปีพ.ศ. 2547",
"ฐานทัพเรือสัตหีบก่อตั้งโดยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากในปี พ.ศ. 2457 พระองค์ได้ประพาสทางชลมารคโดยพระองค์ประทับเรือพระที่นั่งมาที่สัตหีบเพื่อทอดพระเนตรการซ้อมรบที่จัดขึ้นโดยกองทัพเรือ โดยในขณะนั้นพระองค์ได้สั่งให้พื้นที่บริเวณสัตหีบเป็นที่พื้นที่สวงน",
"PASKAL ก่อตั้งขึ้นอย่างไม่เป็นทางการในปี 2520 เป็นที่รู้จักกันในชื่อ กองทัพเรือมาเลเซีย หน่วยหน่วยนาวิกโยธิน จาก วู้ดแลนด์, สิงคโปร์; ซึ่งเดิมเรียกว่า HMS Pelanduk ที่ ค่าย ตีบ, Sembawang สิงคโปร์ หน่วยนี้อยู่ภายใต้หน่วยงาน กองกำลังรักษาความปลอดภัย () ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในนามของกองทัพเรือ (; Protela).",
"นายกรัฐมนตรีอังกฤษวินสตัน เชอร์ชิลได้ปฏิญาณว่า\"ไม่ว่าจะเสียเท่าไหร่ เราจะต้องจมเรือบิสมาร์คให้ได้\" ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เรือหลวงฮูดอัปปางลงเรือเกือบทุกลำในกองทัพเรืออังกฤษถูกส่งออกไปภายใต้การบังคับบัญชาของพลเรือเอกจอห์น โทเวย์ โดยส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไป 1 ลำ เรือประจัญบาน 3 ลำ เรือลาดตระเวน 3 ลำและเรือพิฆาต 6 ลำ",
"กองทัพเรือประชาชนลาว () เป็นกองทัพเรือของประเทศลาว ใน ค.ศ. 1975 กองทัพเรือประชาชนลาวได้ก่อตั้งขึ้นเพื่มเติมจากกองทัพเรือลาว กองทัพเรือประชาชนลาวส่วนใหญ่ดำเนินงานอยู่ภายในแม่น้ำโขง เนื่องจากประเทศลาวไม่มีพื้นที่ทางออกสู่ทะเล และการปฏิบัติงานอยู่ในแม่น้ำโขงก็ทำให้ง่ายต่อการควบคุมชายแดน กองทัพเรือประชาชนลาวในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 มีกำลังพลอยู่ 500 นาย และมีเรือลาดตระเวน 50 ลำ"
] |
ประเทศมาเลเซียติดกับทะเลอะไร ? | [
"มาเลเซีย (มาเลเซีย: Malaysia) เป็นประเทศสหพันธรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐ และดินแดนสหพันธ์ 3 ดินแดน และมีเนื้อที่รวม 330,803 ตารางกิโลเมตร (127,720 ตารางไมล์) โดยมีทะเลจีนใต้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน ได้แก่ มาเลเซียตะวันตกและมาเลเซียตะวันออก มาเลเซียตะวันตกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับไทย และมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับสิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับบรูไนและอินโดนีเซีย และมีพรมแดนทางทะเลกับร่วมฟิลิปปินส์และเวียดนาม เมืองหลวงของประเทศคือกัวลาลัมเปอร์ ในขณะที่ปูตราจายาเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลาง ด้วยประชากรจำนวนกว่า 30 ล้านคน มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 42 ของโลก ตันจุงปีไอ (Tanjung Piai) จุดใต้สุดของแผ่นดินใหญ่ทวีปยูเรเชียอยู่ในมาเลเซีย มาเลเซียเป็นประเทศในเขตร้อน และเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) โดยมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นเป็นจำนวนมาก"
] | [
"งูเขียวหางไหม้ลายเสือ หรือ งูพังกา () เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง มีพิษอ่อน เมื่อเข้าใกล้จะสั่นหางขู่และฉกกัดอย่างรวดเร็ว ออกหากินในเวลากลางคืน อาศัยบนต้นไม้เป็นพุ่มเตี้ยๆ ตามป่าชายเลน หรือตามริมฝั่งคลองที่ติดกับทะเล พบในประเทศอินเดีย (รัฐอัสสัม, หมู่เกาะอันดามัน), ประเทศบังกลาเทศ, ประเทศพม่า, ประเทศไทย, มาเลเซียตะวันตก, ประเทศสิงคโปร์ และ ประเทศอินโดนีเซีย (เกาะสุมาตรา)",
"ลังกาวี () หรือ ลังกาวี อัญมณีแห่งไทรบุรี (; \"ลังกาวีเปอร์มาตาเกอดะฮ์\") ตั้งอยู่ในทะเลอันดามันใกล้ฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซียตะวันตก ขึ้นกับรัฐเกอดะฮ์ ประเทศมาเลเซีย ",
"ประเทศไทยตั้งอยู่กลางคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังอยู่บนคาบสมุทรมลายูด้วย อยู่ระหว่างละติจูด 5° ถึง 21° เหนือ และลองติจูด 97° ถึง 106° ตะวันออก มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร เป็นอันดับที่ 51 ของโลกและอันดับที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซียและเมียนมาร์ ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล (maritime zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 กว่า 323,488 ตารางกิโลเมตร มีความยาวชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันรวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมความยาวชายฝั่งทะเลในประเทศไทยทั้งสิ้น 3,148 กิโลเมตร[36]",
"PASKAL เป็นกองกำลังชายทั้งหมดที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมปี 1980 หลังจากระยะเวลาการติดตั้งห้าปีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบังคับใช้สิทธิพิเศษทางทะเลของมาเลเซียในทะเลโดยเฉพาะทางทะเลและทางบก",
"มาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 370 (MH370) เป็นเที่ยวบินโดยสารระหว่างประเทศที่สูญหายเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ระหว่างบินจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน เที่ยวบินดังกล่าวติดต่อด้วยเสียงครั้งสุดท้ายกับศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศเมื่อเวลา 01:19 MYT ของวันที่ 8 มีนาคม (17:19 UTC ของวันที่ 7 มีนาคม) ขณะบินเหนือทะเลจีนใต้ไม่ถึงชั่วโมงหลังนำเครื่องขึ้น อากาศยานหายจากจอเรดาร์ของผู้ควบคุมจราจรทางอากาศเมื่อเวลา 01:22 MYT เรดาร์ทหารของมาเลเซียยังติดตามอากาศยานขณะที่เครื่องเบี่ยงจากเส้นทางการบินตามแผนและข้ามคาบสมุทรมลายู เครื่องพ้นรัศมีของเรดาร์ทหารมาเลเซียเมื่อเวลา 02:22 ขณะบินเหนือทะเลอันดามัน ห่างจากปีนังทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศมาเลเซียไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 200 ไมล์ทะเล (370 กิโลเมตร) อากาศยานดังกล่าว ซึ่งเป็นโบอิง 777-200 อีอาร์ บรรทุกสมาชิกลูกเรือชาวมาเลเซีย 12 คน และผู้โดยสาร 227 คนจาก 15 ชาติ",
"สายชายฝั่งทะเลตะวันออก () เป็นสายรถไฟในประเทศมาเลเซีย ดำเนินการโดยเกอเรตาปีตานะฮ์เมอลายู (เคทีเอ็ม) เริ่มต้นทางจากสถานีรถไฟเกมัส ในรัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน (ชุมทางระหว่างสายชายฝั่งตะวันตกกับสายชายฝั่งตะวันออก) ไปสิ้นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟตุมปัต ในรัฐกลันตัน ส่วนชื่อ \"สายชายฝั่งทะเลตะวันออก\" ได้มากจากการที่ทางรถไฟตัดผ่านรัฐต่าง ๆ ริมชายฝั่งทะเลตะวันออกของมาเลเซีย ได้แก่ รัฐปาหัง และรัฐกลันตัน แนวเส้นทางส่วนใหญ่จะลัดเลาะไปตามป่าเขา จนได้ฉายาว่า รถไฟป่าดงดิบ",
"จังหวัดซูลาเวซีเหนือ (, ) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรบนเกาะซูลาเวซี บนคาบสมุทรมีนาฮาซา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศมาเลเซีย โดยอยู่ติดกับประเทศฟิลิปปินส์ทางทิศเหนือ ติดกับทะเลโมลุกกะทางทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดโก-รนตาโลทางทิศตะวันตก และติดกับอ่าวโตมีนีทางทิศใต้ เมืองหลวงของจังหวัดคือเมืองมานาโด โดยจังหวัดมีประชากร 4,135,526 คน จากข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2010 และจากข้อมูลประชากรอย่างเป็นทางการล่าสุดในเดือนมกราคม 2014 มีประชากร 4,353,540 คน เมืองมานาโดยังเป็นประตูหลักและศูนย์กลางเศรษฐกิจของจังหวัด เมืองสำคัญอื่น ๆ เช่น โตโมฮนและบีตุง จังหวัดมีภูเขา 41 ลูกที่มีความสูงตั้งแต่ ,112–1,995 เมตร (3,648–6,545 ฟุต) ทางด้านธรณีวิทยาภูมิภาคนี้ยังเป็นภูเขาไฟใหม่โดยส่วนใหญ่ มีการระเบิดหลายครั้งและเป็นภูเขาไฟทรงกรวยที่ยังครุกรุ่นอยู่ ที่พบได้ตอนกลางของมีนาฮาซา โบลาอังมงกนโดว์ และหมู่เกาะซังกีเฮอ",
"พ.ศ. 2488 เกิดสงครามทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นเมืองไทยผ่านไปประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ รถไฟสายใต้วิ่งจากหาดใหญ่ไปสถานีสุไหงโก-ลก ชายแดน ขนทหารและสัมภาระผ่านหน้าวัดช้างให้ วัดช้างให้ก็อยู่ในสภาพเดิมยังมิได้บูรณะ วัดช้างให้ซึ่งตั้งติดอยู่กับทางรถไฟเป็นทางผ่านไปยังจังหวัดยะลา นราธิวาส และชายแดนมาเลเซีย เจ้าอาวาสวัดช้างให้ต้องรับภาระหนักต้องจัดหาที่พักหาอาหารมาเลี้ยงดูผู้คนที่มาขอพักอาศัยพักแรมในระหว่างเดินทาง วัดได้มีถาวรวัตถุ ดังนี้ ศาลาการเปรียญ อุโบสถ หอฉัน หอระฆัง กุฏิ สถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวด กำแพงวัด อาคารเรียน โรงเรียนสมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ",
"นกพรานผึ้ง เป็นนกที่มีพฤติกรรมอยู่ลำพังเพียงตัวเดียว นานครั้งจึงเห็นอยู่เป็นคู่ เป็นนกที่บินได้เก่งและเร็ว และเป็นนกประจำถิ่น จะอยู่ในถิ่นใดถิ่นหนึ่งไปตลอด ต่อเมื่อนกตัวเก่าตายไป นกตัวใหม่ถึงเข้ามาอยู่แทน ในประเทศไทยมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ในป่าในเขตชายแดนภาคใต้ที่ติดกับมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีรายงานพบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง ทั้งในพื้นที่ราบและที่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร ",
"ทางรถไฟสายชุมทางหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ เป็นทางรถไฟระหว่างประเทศที่เชื่อมระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย มีจุดเริ่มต้นจากสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผ่านพรมแดนไทยกับมาเลเซีย จนถึงสถานีปลายทางคือสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส ซึ่งบรรจบกับทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันตกของมาเลเซีย",
"ทิศเหนือ มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดินแดนที่อยู่ทางเหนือสุดของภาคคือ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ทิศตะวันออก มีพื้นที่ติดต่อกับอ่าวไทย ดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของภาคคือ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ทิศใต้ มีพื้นที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ดินแดนที่อยู่ใต้สุดของภาค (และของประเทศไทย) คือ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ทิศตะวันตก มีพื้นที่ติดต่อกับทะเลอันดามัน ดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตกสุดของภาคคือ อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา",
"พื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มเจไอ อยู่ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอาจจะเคลื่อนไหวอยู่ในฟิลิปปินส์ และไทย โดยเฉพาะพื้นที่ที่อำนาจของรัฐบาลเข้าไปไม่ถึง, พื้นที่ที่ขาดแคลนเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือมีการทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่ และพื้นที่ติดทะเลที่มีเขตน่านน้ำที่เปิดกว้างของหลายประเทศ ทำให้กลุ่มเจไออาศัยข้อจำกัดเหล่านี้ เป็นช่องทางในการปฏิบัติการได้อย่างในหลายประเทศได้โดยสะดวก",
"เซอลาโงร์ (, อักษรยาวี: ) เป็นหนึ่งในสิบสามรัฐที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธ์มาเลเซีย ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของคาบสมุทรมลายู และล้อมรอบกัวลาลัมเปอร์ไว้ทั้งหมด อาณาเขตของรัฐเซอลาโงร์ ทิศเหนือติดรัฐเปรัก ทิศตะวันออกติดรัฐปะหัง ทิศตะวันตกติดช่องแคบมะละกา ทิศใต้ติดรัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน เมืองหลวงของเซอลาโงร์ชื่อ ชะฮ์อาลัม เมืองเจ้าผู้ครองชื่อ กลัง เป็นรัฐทีใหญ่อันดับ 9 ของมาเลเซีย อีกเมืองหนึ่งที่สำคัญของเซอลาโงร์คือเปอตาลิงจายา ซึ่งได้รับเป็นสถานะเป็นเมืองดีเด่นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2006",
"กฎหมายแรกที่กำหนดให้การขับขี่ในประเทศสหรัฐชิดขวาเริ่มใน ค.ศ. 1792 และถูกใช้บนทางด่วนฟิลาเดลเฟียและแลงคาสเตอร์ รัฐนิวยอร์กใช้การจราจรขวามืออย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1804 รัฐนิวเจอร์ซีย์ใน ค.ศ. 1813 และรัฐแมสซาชูเซตส์ใน ค.ศ. 1821\nประเทศไทยคือประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศที่ขับรถคนละด้าน คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดในโลก คือมีพรมแดนติดกับ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย มีแค่มาเลเซียที่ขับรถด้านเดียวกับไทย ที่เหลือติดกับประเทศที่ขับรถคนละด้านกับไทยทั้งหมด",
"ทะเลอันดามัน (; ; ) หรือ ทะเลพม่า (, ; \"มยะหม่าปิ่นแหล่\") เป็นทะลที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอ่าวเบงกอล เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรอินเดีย ทางเหนือของทะเลติดกับปากแม่น้ำอิรวดีในประเทศพม่า ทางตะวันออกเป็นคาบสมุทรประเทศพม่า ประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย ทางตะวันตกเป็นหมู่เกาะอันดามัน และหมู่เกาะนิโคบาร์ ภายใต้การปกครองของอินเดีย ทางใต้ติดกับเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย และช่องแคบมะละกา ",
"สามเหลี่ยมปะการัง () เป็นพื้นที่หนึ่งในทะเลและมหาสมุทรแปซิฟิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแนวปะการังที่เชื่อมต่อติดกันเป็นรูปสามเหลี่ยมระหว่างน่านน้ำของหลายประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ของทะเลประเทศฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ปาปัวนิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอน และติมอร์เลสเต คิดเป็นพื้นที่ 5.7 ล้านตารางกิโลเมตร ",
"วิกฤตผู้ลี้ภัยโรฮีนจา พ.ศ. 2558 เป็นอุบัติการณ์การย้ายถิ่นของชาวโรฮีนจาจากประเทศพม่าและบังกลาเทศหลายพันคนที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งสื่อนานาชาติเรียกรวม ๆ ว่า \"ชาวเรือ\" ไปประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซียและไทยโดยเรือโกโรโกโสโดยทางน่านน้ำช่องแคบมะละกาและทะเลอันดามัน ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติประเมินว่า นักค้ามนุษย์นำตัวกว่า 25,000 คนจากเรือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2558 มีการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตราว 100 คนในประเทศอินโดนีเซีย 200 คนในมาเลเซีย และ 10 คนในไทยขณะกำลังเดินทางหลังผู้ค้ามนุษย์ทิ้งพวกเขากลางทะเล",
"มาเลเซียตะวันตก () เป็นภูมิภาคหนึ่งของมาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายูโดยมีชายแดนติดต่อกับประเทศไทยทางเหนือ และติดต่อกับสิงคโปร์ทางใต้โดยมีช่องแคบยะโฮร์กั้นอยู่ ทางตะวันตกจรดกับช่องแคบมะละกาและทางตะวันออกจรดกับทะเลจีนใต้ มาเลเซียตะวันตกยังเป็นดินแดนส่วนแรกที่รวมตัวกันเป็นสหภาพมาลายา ก่อนที่มาเลเซียตะวันออกและสิงคโปร์จะเข้าร่วมและกลายเป็นสหพันธรัฐมาลายาในเวลาต่อมา (และภายหลังสิงคโปร์ก็แยกดินแดนออกไปตั้งรัฐของตนเอง)",
"สายชายฝั่งทะเลตะวันตก () เป็นสายรถไฟในประเทศมาเลเซีย ดำเนินการโดยเกอเรตาปีตานะฮ์เมอลายู (เคทีเอ็ม) เริ่มต้นจากสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ตำบลปาดังเบซาร์ บนพรมแดนไทย–มาเลเซีย รัฐปะลิส ไปสิ้นสุดปลายทางที่จุดผ่านรถไฟวุดแลนด์ ประเทศสิงคโปร์ ส่วนชื่อ \"สายชายฝั่งทะเลตะวันตก\" ได้มากจากการที่ทางรถไฟตัดผ่านรัฐต่าง ๆ ริมชายฝั่งทะเลตะวันตกของมาเลเซีย สถานีรถไฟหลักที่สำคัญ ได้แก่ สถานีรถไฟเซ็นทรัลกัวลาลัมเปอร์ในกัวลาลัมเปอร์, สถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธในรัฐปีนัง และสถานีรถไฟเกมัส รัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกได้",
"กองทัพไทยกับมาเลเซียมีการฝึกทางทหารระหว่างกันเป็นประจำ ได้แก่ (1) LAND EX THAMAL ซึ่งเป็นการฝึกประจำปีเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2536 (2) THALAY LAUT ซึ่งมีการฝึกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2523 จัดขึ้นทุก 2 ปี โดยไทยกับมาเลเซียสลับกันเป็นเจ้าภาพ (3) SEA EX THAMAL เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2522 มีพื้นที่ฝึกบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการร่วมชายแดนทางทะเลระหว่างไทย–มาเลเซียทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน (4) AIR THAMAL เป็นการฝึกการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีตามบริเวณชายแดนไทย–มาเลเซีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 โดยทำการฝึกทุกปี ประกอบด้วยการฝึกภาคสนามสลับกับการฝึกปัญหาที่บังคับการ และสลับกันเป็นเจ้าภาพ และ (5) JCEX THAMAL เป็นการฝึกร่วม/ผสมภายใต้กรอบการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และการช่วยเหลือประชาชน",
"อุทยานแห่งชาติทะเลบัน ตั้งอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยระหว่างเส้นรุ้งที่ 6 องศา 25 ลิปดา – 6 องศา 48 ลิปดา เหนือ และเส้นแวงที่ 100 องศา 05 ลิปดา – 100 องศา 13 ลิปดา ตะวันออก มีอาณาเขตติดต่อเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกจดอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ทิศใต้จดรัฐเปอร์ลิส ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย และทิศตะวันตกจดทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย\nพื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติทะเลบันเป็นภูเขาสลับซับซ้อน ประกอบด้วย เขาวังช้าง เขาหินร้อง เขาวังพะเนียด เขาจีน เขามดแดง เขาหาบเคย เขากวงใหญ่ เขากวงเล็ก เขาวังหมู เขาวังกลวง เขากายัง เขากล่ำ เขาปูยู และเขาวังกูนอง มียอดเขาที่สูงที่สุดอยู่ในเทือกเขาจีน สูงประมาณ 756 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เทือกเขาทางด้านอำเภอเมืองหรือด้านทิศตะวันตกของอุทยานแห่งชาติมีลักษณะเป็นเทือกเขาหินปูนใน ยุคออร์โดวิเชียน (500-435 ล้านปีมาแล้ว) หินดินดาน และหินควอร์ตไซต์ ซึ่งมีการกัดเซาะตามธรรมชาติจึงเกิดเป็นถ้ำขนาดใหญ่อยู่หลายแห่งเช่น ถ้ำโตนดิน ถ้ำผาเดี่ยว และถ้ำลอดปูยู เป็นต้น ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของอำเภอควนโดนจะเป็นหินแกรนิตใน ยุคครีเทเชียส (141-65 ล้านปีมาแล้ว) และหินแกรโนไดโอไรต์ นอกจากนี้อุทยานแห่งชาติทะเลบันยังได้รวมพื้นที่อีก 1 เกาะ ซึ่งติดแนวเขตประเทศ คือ เกาะปรัสมานา\nเทือกเขาจีนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่ประกอบด้วยลำธารย่อย ๆ มากมายที่สำคัญคือ คลองกลางบ้าน คลองยาโรย คลองตูโย้ะ มีน้ำตกที่สวยงาม 2 แห่ง ได้แก่ น้ำตกยาโรย และน้ำตกโตนปลิว ส่วนทางด้านทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติบริเวณเขาบ่อน้ำมีคลองท่าส้ม และบริเวณแนวเขตของอุทยานแห่งชาติทางทิศตะวันตก เป็นลำธารน้ำกร่อยและน้ำเค็มในพื้นที่ป่าชายเลนตลอดแนวตะวันตก",
"ลูกประคำโขะขะที่ใช้ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ไม่ได้ทำมาจากลูกมะพร้าวทะเลจริง แต่ทำมาจากลูกปาล์มชนิดหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าใข่ไก่ มีกะลาหนามาก ผลิตในตุรกี อิรัก โดยส่งเข้าซีเรีย ซี่งมีรูปแบบสวยงาน ส่วนที่ผลิดในอิยิปต์ก็มีรูปแบบที่ไม่ค่อยสวยมากนัก นักศึกษาไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียในประเทศอาหรับ จะพาลูกประคำเหล่านี้มาขายในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครทราบว่า ลูกประคำเหล่านั้นไม่ได้ทำมาจากมะพร้าวทะเลจริง",
"สายชายฝั่งทะเลตะวันตก เริ่มต้นจากสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส (บนพรมแดนไทย-มาเลเซีย) มุ่งหน้าลงใต้สิ้นสุดที่จุดผ่านรถไฟวุดแลนส์ ประเทศสิงคโปร์ สถานีรถไฟรายทางที่สำคัญได้แก่ สถานีรถไฟเซ็นทรัลกัวลาลัมเปอร์ กัวลาลัมเปอร์ กับสถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง ปัจจุบันมีแผนที่จะติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัวบนเส้นทางนี้",
"ตาวี-ตาวีเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศ มีอาณาเขตทางทะเลติดกับรัฐซาบะฮ์ของประเทศมาเลเซีย และติดกับจังหวัดกาลีมันตันเหนือของประเทศอินโดนีเซีย ส่วนภายในประเทศก็มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดซูลู ตาวี-ตาวีมีพื้นที่ครอบคลุมเกาะบางแห่งในทะเลซูลู ได้แก่ เกาะคากายันเดอตาวี-ตาวี และเกาะเต่า",
"พรมแดนมาเลเซีย-ไทย มีทั้งชายแดนระหว่างประเทศทั้งบนบกผ่านคาบสมุทรมลายู และทางน้ำทางช่องแคบมะละกา รวมไปถึง อ่าวไทย/ทะเลจีนใต้ มาเลเซียทอดตัวอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศไทย มีแม่น้ำโก-ลกเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ ที่มีความยาวประมาณ 95 กิโลเมตรกั้นประเทศไทยและมาเลเซีย โดยประเทศไทยอยู่ทางเหนือ และประเทศมาเลเซียอยู่ทางใต้",
"เมืองจางโจว หรือเมืองเจียงจิว เป็นเมืองทางใต้สุดของมณฑลฮกเกี้ยนอยู่ติดกับจังหวัดแต้จิ๋วในมณฑลกวางตุ้ง สถาปนาเมือสมัยราชวงศ์ถัง ในปีช่วง ค.ศ. 686 ตามคำกราบบังคมทูลของ นายตันเกียวหลุน ที่ต้องการให้ให้พื้นที่บริเวณนี้เป็นท่าเรือประมง และ บริเวณเกษตรกรรม มีชื่อเสียงในการผลิตลิ้นจี่ และ อาหารทะเล ผู้อพยพจากเมืองนี้ส่วนใหญ่กระจายอยู่บริเวณ ตอนเหนือของเกาะสุมาตรา เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย และจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออกของประเทศไทย เช่น ปัตตานี สงขลา นราธิวาส ฯลฯ",
"กรณีพิพาทเปดราบรังกา เป็นความขัดแย้งระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ในการอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ขนาดเล็กในทะเลจีนใต้ กรณีพิพาทนี้เริ่มขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 เมื่อมาเลเซียตีพิมพ์แผนที่ให้บริเวณนี้อยู่ในบริเวณของตน สิงคโปร์ได้ประท้วงแผนที่ฉบับนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ทั้งสองประเทศได้เจรจากันในช่วง พ.ศ. 2536 – 2537แต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จึงส่งเรื่องให้ศาลโลกพิจารณาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ศาลโลกได้พิพากษาเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ให้เปดราบรังกาเป็นของสิงคโปร์ มิดเดิลร็อกส์เป็นของมาเลเซีย ส่วนเซาท์เลดจ์นั้นให้ขึ้นกับการตกลงแบ่งเขตน่านน้ำทางทะเลระหว่างสองประเทศ",
"อาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารอินเดียใต้เช่น น้ำบูดู ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมีความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซียอาหารของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้านมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้มจึงมีรสจัด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย",
"นราธิวาส เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นหนึ่งในจังหวัดชายแดนใต้สุดของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ห่างจากกรุงเทพฯ ทางรถยนต์ประมาณ 1,149 กิโลเมตร โดยมีเนื้อที่ประมาณ 4,475.43 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,797,143.75 ไร่ ทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดปัตตานีในเขตอำเภอสายบุรี อำเภอไม้แก่น และอ่าวไทย ทิศตะวันออกติดต่อกับอ่าวไทยและรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ทิศใต้ติดต่อกับรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดยะลาในเขตอำเภอบันนังสตา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้และภูเขา 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด มีป่าพรุประมาณ 361,860 ไร่ ทางแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดทิวเขาสันกาลาคีรีซึ่งเป็นแนวกั้นพรมแดนไทย-มาเลเซีย ลักษณะพื้นที่จะมีความลาดเอียงจากทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก พื้นที่ราบส่วนใหญ่อยู่บริเวณติดกับอ่าวไทยและที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำ 4 สาย คือ แม่น้ำบางนรา แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำตากใบ และแม่น้ำโก-ลก มีประชากรจำนวน 796,239 คน แยกเป็นชาย 393,837 คน หญิง 402,402 คน โดยจังหวัดนราธิวาสมีศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการอุตสาหกรรมอยู่ที่อำเภอสุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่และมีความเจริญกว่าตัวจังหวัดมาก"
] |
แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" เป็นผลงานลำดับที่ของกิมย้ง? | [
"\"แปดเทพอสูรมังกรฟ้า\" เป็นผลงานลำดับที่ 11 ของกิมย้ง นับตั้งแต่ชื่อเรื่อง และที่มาของแรงบันดาลใจ แสดงความใฝ่ใจในพุทธศาสนาของเขา ชื่อภาษาจีน \"เทียนหลงปาปู้\" หมายถึง เทพและอมนุษย์ 8 จำพวก ในตำนานของพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์เฉพาะตนแตกต่างกันไป ประกอบด้วย"
] | [
"มู่หยงฟู่ หรือม่อย้งฮก \"(慕容復 Murong Fu)\" เป็นตัวเอกในนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งแต่งโดยกิมย้ง ",
"มหาเวทดูดดาว / ยอดวิชาดูดดาว ( ขิบแชไต้ฮวบ )\nเป็นวิชากำลังภายใน ที่ปรากฏในนิยาย กระบี่เย้ยยุทธจักร ของกิมย้ง แปลโดย น.นพรัตน์\nวิชาดูดดาวมีสาระสำคัญคือ ดูดกำลังของคู่ต่อสู้มาเป็นของตัวเอง วิชานี้มีปรากฏในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร\nเป็นวิชาประจำตัวของ ยิ่มอั้วเกี้ย ประมุขนิกายสุริยันจันทรา ยิ่มอั้วเกี้ย ได้ถ่ายทอดให้เหล็งอู้ชง ( ตัวเอกใน\nนิยายกระบี่เย้ยยุทธจักร ) ยอดวิชาดูดดาวมีต้นกำเนิดมาจากสำนักสราญรมญ์ เกิดจากการรวมกระแสของวิชา\nสลายพลังของสำนักดาวนักษัตร์ ( สัณนิฐานว่าน่าจะเป็น เต็งชุนชิว จากนิยาย แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ผู้บัญญัติวิชา\nสลายพลังของคู่ต่อสู้ ) กับลมปราณภูตอุดร ของตระกูลตวน ( สัณนิฐานว่าน่าจะมาจาก ตวนอื้อ จากนิยาย แปด\nเทพอสูรมังกรฟ้า ที่ฝีกวิชาลมปราณภูตอุดรบางส่วนจากคัมภีร์ลับในถ้ำ ) ยอดวิชาดูดดาวยิ่งใช้ต่อสู้ยิ่งดูดกำลัง\nภายในของ ฝ่ายตรงข้ามยิ่งมีกำลังภายในมาก แต่มีของบกพร่องคือ กำลังภายในที่ดูดมายิ่งมากยิ่งก่อให้เกิดไฟพิษ\nเผาผลาญตัวเอง นานวันยิ่งก่อให้เกิดผลร้ายกับตัวคนฝึก",
"เฉียวฟงเหนือ หรือ เซียวฟง \nพูดถึงวิชาฝีมือนี้ต้องกล่าวย้อนไปถึงยอดคนในยุคแรกๆ ตั้งแต่ยุคของแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ช่วงราชวงศ์ซ้องเหนือ (คริสต์ศตวรรษที่ 11) ก็มียอดคนผู้หนึ่งใช้วิชานี้ได้อย่างช่ำชองยิ่ง นั่นคือ เฉียวฟง จอมยุทธผู้เรืองนามในยุคนั้น ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าในยุคแปดเทพฯนั้นเป็นยุคที่มียอดวิชาที่สุดร้ายกาจแสนพิสดารอยู่มากมาย จอมยุทธแต่ละคนล้วนมีฝีมือสูงเยี่ยมเป็นที่สุด แต่กระนั้น เฉียวฟงยังคงใช้ วิชา สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร วิชาเดียวนี้ โลดแล่นอยู่ในยุทธจักรในยุคแปดเทพฯ ได้อย่างองอาจไร้ผู้ต่อต้าน \nการเจอกับเฒ่าสารพัดพิษอย่างติงชุนชิวที่ขณะนั้นมีอาจื่อ น้องสาวอาจูคนรักของเฉียวฟงเป็นตัวประกัน เขาใช้เพียงแค่พลังฝ่ามือจากท่ามังกรผยองได้สำนึกเข้าโจมตี กิมย้งบอกว่า การโจมตีของเฉียวฟงนั้นใช้เพียงแค่ 3 ฝ่ามือ มีระบุใน 8 เทพอสูรมังกรฟ้า เล่ม 5 หน้า 51 ฝ่ามือแรกสร้างพลังลมจากระยะสิบห้าสิบหกวา (ซึ่งจอมยุทธชั้นเยี่ยมโจมตีด้วยพลังฝ่ามือจากลมได้ไม่เกิน 5 วา แต่เฉียวฟงสามารถโจมตีได้ไกลกว่า 3-4 เท่า) แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ ท่าร่าง เพราะขณะที่ลมฝ่ามือแรกยังไปไม่ถึง เฉียวฟงก็โดดเข้าไปฟาดฝ่ามือที่สองอีกในระยะเหลือแค่หกวา กลายเป็นว่าลมฝ่ามือแรกถูกหนุนจากฝ่ามือที่สอง แต่ไม่เท่านั้น ยังพุ่งต่อไปฟาดฝ่ามือที่สามในระยะประชิดตัว ซึ่งรวมเข้ากับฝ่ามือแรกและฝ่ามือที่สอง เป็นการใช้ 3 ฝ่ามือในระยะทางที่แตกต่าง ในเวลาที่แตกต่าง แต่เป็นการบรรลุถึงพร้อมกันอย่างน่าอัศจรรย์ ผลก็คือ พลังฝ่ามือมังกรผยองได้สำนึกยกกำลังสาม ที่ทำให้เต็งชุนชิวหัวซุกหัวซุนจนต้องปล่อยมือจากอาจื่อทันที!! “พริบตานั้น เต็งชุนชิวรู้สึกลมหายใจอึดอัดขัดข้อง พลังฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามคล้ายระลอกคลื่นและคล้ายเป็นกำแพงชั้นหนึ่งโถมทับใส่มันไหนเลยมีแผนรับมือ แต่หากต้านรับด้วยมือเดียวคงถูกกระแทกแขนหัก หรือไม่ก็กระดูกทั่วร่างหักหมดสิ้น...”\nหรือแม้แต่หลวงจีนชราที่กวาดลานวัดเส้าหลิน ผู้สำเร็จเคล็ดวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ยังยอมรับว่าสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร สมเป็นวิชาฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน มีระบุใน 8 เทพอสูรมังกรฟ้า เล่ม 5 หน้า 179 หลวงจีนชราถูกมือขวาของเฉียวฟงกระแทกตามติด เมื่อฟาดถูกทรวงอกของหลวงจีนชรานั้น มีเสียงกรอบแกรบ กระดูกซี่โครงของหลวงจีนชราถูกกระแทกหักไปหลายซี่ หลวงจีนชรากล่าวกับเฉียวฟงว่า \"ฝีมืออันยอดเยี่ยม สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร สมเป็นวิชาฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินจริงๆ\" จึงกล่าวได้ว่า เฉียวฟงเป็นผู้ที่ใช้ท่าสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร ได้รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมา ",
"พรรคกระยาจก เป็นพรรคในนิยายกำลังภายในหลายเรื่องของกิมย้งและโก้วเล้ง โดยสมาชิกพรรคเป็นขอทาน และมีประเพณีในพรรคเป็นพิเศษ พรรคกระยาจกในบางยุคมีสมาชิกมากจนเรียกได้ว่าเป็นพรรคอันดับหนึ่งของแผ่นดิน พรรคกระยาจกปรากฏในเรื่อง แปดเทพอสูรมังกรฟ้า และมังกรหยก",
"แปดเทพอสูรมังกรฟ้าจึงไม่ใช่นิยายกำลังภายในที่ว่าด้วยการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม หากเป็นการต่อสู้ระหว่างคนกับชีวิตที่เป็นทุกข์จากกิเลสที่แตกต่างกัน และแปรเปลี่ยนไปสุดจะหยั่ง",
"อาจื่อ เป็นตัวละครในนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งแต่งโดยกิมย้ง",
"จอมใจจอมยุทธ หรือ ตำนานอักษรกระบี่ - 書劍恩仇錄 - Book and Sword: Gratitude and Revenge (พ.ศ. 2498) เพ็กฮวยเกี่ยม หรือ กระบี่เลือดเขียว - 碧血劍 - Sword Stained with Royal Blood (พ.ศ. 2499) มังกรหยก ภาค 1 - 射雕英雄传 - The Legend of the Condor Heroes (พ.ศ. 2500) จิ้งจอกภูเขาหิมะ - 雪山飛狐 - Flying Fox of Snowy Mountain (พ.ศ. 2502) มังกรหยก ภาค 2 - 神雕侠侣 - The Return of the Condor Heroes (พ.ศ. 2502) จิ้งจอกอหังการ - 飛狐外傳 - The Young Flying Fox (พ.ศ. 2503) เทพธิดาม้าขาว - T: 白馬嘯西風 S: 白马啸西风 - Swordswoman Riding West on White Horse (พ.ศ. 2504) ดาบนกเป็ดน้ำ - T: 鴛鴦刀 S: 鸳鸯刀 - Blade-dance of the Two Lovers (พ.ศ. 2504) มังกรหยก ภาค 3 (倚天屠龍記) Heaven Sword and Dragon Sabre (พ.ศ. 2504) กระบี่ใจพิสุทธิ์ - T: 連城訣 S: 连城诀 - A Deadly Secret (พ.ศ. 2506) แปดเทพอสูรมังกรฟ้า - 天龙八部 - Semi-Gods and Semi-Devils (พ.ศ. 2506-2509) มังกรทลายฟ้า - T: 俠客行 S: 侠客行 - Ode to Gallantry (พ.ศ. 2509-2510) กระบี่เย้ยยุทธจักร- 笑傲江湖 - The Smiling, Proud Wanderer (พ.ศ. 2510-2512) กระบี่นางพญา - T: 越女劍 S: 越女剑 - Sword of the Yue Maiden (พ.ศ. 2513) อุ้ยเสี่ยวป้อ - T: 鹿鼎記 S: 鹿鼎记 - Deer and the Cauldron (พ.ศ. 2512-2515)",
"แปดเทพอสูรมังกรฟ้า - ราชวงศ์ซ่ง (เหนือ)",
"8 เทพอสูรมังกรฟ้า (อังกฤษ: The Demi-Gods And Semi-Devils) เป็นละครโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2556 กล่าวถึงเรื่องราวของวรรณกรรมของ กิมย้ง เรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า นำแสดงโดย จง ฮั่นเหลียง, คีบ็อม, จาง เหมิง ออกอากาศทางช่อง เหอหนานทีวี ในจีน แต่ในไทย ละครเรื่องนี้จะออกอากาศทางช่องเวิร์คพอยท์",
"8 เทพอสูรมังกรฟ้า (อังกฤษ: Demi-Gods And Semi-Devils) เป็นละครโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2540 กล่าวถึงเรื่องราวของวรรณกรรมของ กิมย้ง เรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า นำแสดงโดย เฉิน ฮ่าวหมิน, ฝาน เส้าหวง, หวง เย่อหัว ออกอากาศทางช่อง TVB ในจีน",
"ตัวละครมีมาก เรื่องราวก็ซับซ้อน กิมย้งใช้วิธีเล่าถึงทีละคน ทีละเหตุการณ์ ไล่เรียงกันไป หากอุปมาเทพอสูร 8 เหล่า เป็นตัวละครต่างๆ อาจเปรียบได้ว่า",
"อาจู เป็นตัวละครในนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งแต่งโดยกิมย้ง โดยตัวละครดังกล่าวมีลักษณะที่งามทั้งน้ำใจและใบหน้า มีอายุประมาณสิบแปดปี เป็นสาวใช้อยู่กับคุณชายมู่หยงฟู่ สนิทสนมกับหวังอวี่เยียนและอาเพ่ก ชอบการปลอมแปลงโฉม อีกทั้งยังปลอมแปลงได้แนบเนียนจนไม่สามารถดูออกได้เลยทีเดียว เป็นเด็กกำพร้า เนื่องจากบิดาและมารดาฝากให้ผู้อื่นรับอุปการะเลี้ยงดูแทน",
"คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นปรากฏตัวขึ้นอย่างเด่นชัดครั้งแรกในนิยายเรื่อง \"แปดเทพอสูรมังกรฟ้า\" ถูกใช้โดยตัวละครปริศนาที่ไม่มีชื่อเรียกหา แต่นักอ่านได้เรียกกันทั่วไปว่า หลวงจีนหอไตร,หลวงจีนกวาดลานวัด, หลวงจีนนิรนาม บ้างล่ะ ซึ่งก็สามารถเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะใช้คำเรียกแบบไหนไหน และสาเหตุที่ทำให้วิชานี้เป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาของกิมย้งนั้น เนื่องมาจากสาเหตุการใช้วิชานี้โจมตียอดฝีมืออย่าง เซียวเอี้ยวซัว และ ม่อย้งผัก ภายในกระบวนท่าเดียว",
"เต็งชุนชิว หรือ ติงชุนชิว (; Ding Chunqiu) เป็นตัวละครในนิยายกำลังภายในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งประพันธ์โดยกิมย้ง ",
"ซีจุ๊หรือ ฮือเต็ก เป็นตัวเอกในนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งแต่งโดยกิมย้ง",
"คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น () วิชานี้พบได้ในนิยายกำลังภายในหลายเรื่องโดยเฉพาะนิยายกำลังภายในยุคเก่า รวมทั้งนิยายกำลังภายในของกิมย้งด้วยเช่นเดียวกัน ที่ปรากฏเห็นเด่นชัดที่สุด คือ นิยายเรื่อง มังกรหยก, มังกรหยก ภาค 2, ดาบมังกรหยก, แปดเทพอสูรมังกรฟ้า,สำนักพยัคฆ์มังกร และ กระบี่เย้ยยุทธจักร",
"ต้วนอี้ (Duan Yu) เป็นตัวเอกในนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งแต่งโดยกิมย้ง ",
"ดาวเคลื่อนดาราคล้อย (Qi Men San Cai Dao, 奇门三才刀) เป็นวิทยายุทธในนิยายกำลังภายในของกิมย้ง เรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า",
"8 เทพอสูรมังกรฟ้า (อังกฤษ: Demi-Gods And Semi-Devils) เป็นละครโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2546 กล่าวถึงเรื่องราวของวรรณกรรมของ กิมย้ง เรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า นำแสดงโดย ฮู จุน, หลิว อี้เฟย์, หลิน จื้ออิ่ง ออกอากาศทางช่อง CCTV ในจีน",
"แปดเทพอสูรมังกรฟ้า (จีนแต้จิ๋ว: เทียนเล้งโป๊ยโป๋ว ; จีนกลาง: 天龍八部เทียนหลงปาปู้ ; อังกฤษ: Demi-Gods and Semi-Devils) เป็นนิยายกำลังภายในของกิมย้ง จำลอง พิศนาคะ แปลเรื่องนี้ในชื่อ มังกรหยก ภาคพิเศษ เพื่อให้เข้าชุดกับมังกรหยก แต่ชื่อที่เป็นที่รู้จักมากกว่าคือ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งเป็นฉบับแปลของ น. นพรัตน์ ซึ่งเรื่องนี้ความจริงน่าจะเรียกว่ามังกรหยกภาค 1 มากกว่าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนยุคของก้วยเจ๋งซึ่งเป็นตัวเอกในมังกรหยกภาค 1",
"เฉียวฟงหรือเซียวฟง เป็นหนึ่งในสามตัวเอกของนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งแต่งโดยกิมย้ง",
"หวง ยื่อหัว มีบทบาทที่เป็นที่รู้จักกันดีจากบท ซีจุ๊ในแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ฉบับปี ค.ศ. 1982, ก๊วยเจ๋ง ในมังกรหยก ฉบับปี ค.ศ. 1983 และ เฉียวฟงใน แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ฉบับปี ค.ศ.1997 จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งใน 5 พยัคฆ์ทีวีบี ซึ่งประกอบไปด้วย หวง รื่อหัว, เหมียว เฉียวเหว่ย, ทัง เจิ้นเย่, หลิว เต๋อหัว และเหลียง เฉาเหว่ย",
"หมวดหมู่:บันเทิงคดีกำลังภายใน หมวดหมู่:แปดเทพอสูรมังกรฟ้า หมวดหมู่:งานเขียนของกิมย้ง",
"เทพ เป็นผู้มีบุญกุศล อาศัยอยู่ในสวรรค์ที่พรั่งพร้อม และอิ่มทิพย์ ทว่า ยังไม่อาจละกิเลสจากโลกียสุข เช่น ยังอยากได้หญิงงามของอสูร เป็นต้น อสูร เป็นอมนุษย์ในภพภูมิที่หยาบกว่าเทพ หากเป็นชายจะสุดอัปลักษณ์ หากเป็นหญิงจะมีรูปโฉมสะคราญ อสูรมักทำสงครามกับเทพบ่อยครั้ง เพราะต่างริษยาในกันและกัน อสูรอยากได้สวรรค์และความอิ่มทิพย์ของเทพ เทพอยากได้นางงามและภักษาหารรสโอชาของอสูร ต่างสัประยุทธ์กันจนฟ้าดินปั่นป่วน มังกร หรือนาค เป็นผู้สืบทอดพิทักษ์ศาสนา เปรียบกับพระชั้นผู้ใหญ่ หรืออุปถัมภกคนสำคัญ ครุฑ เป็นนกที่ยิ่งใหญ่ เมื่อกางปีกออกจะครอบคลุมดินฟ้าสามแสนหกหมื่นลี้ และมีฤทธิ์มาก สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้แผ่นดินและจักรวาลได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ในหนึ่งวัน ต้องกินมังกร 1 ตัว และลูกมังกร 500 ตัวเป็นอาหาร มักกล่าวกันว่า วีรบุรุษคนสำคัญคือครุฑมาเกิด ยักษ์ เป็นภูตประเภทหนึ่ง อยู่ระหว่างพรมแดนของเทพ อสูร และมนุษย์ มีความแข็งแรง คล่องแคล่ว เป็นกำลังที่เคลื่อนไหวได้ทั้งดีและชั่ว บางยักษ์ช่วยคุ้มครองมนุษย์ บางยักษ์ชอบจับมนุษย์กิน คนธรรพ์ เป็นเทพมังสวิรัติ ไม่แตะต้องเนื้อสัตว์สุรา แต่หลงใหลในความงามและกลิ่นหอม ส่วนตนมีฉายาและกลิ่นหอมชวนให้ผู้คนลุ่มหลง ทั้งยังแปลงกายเปลี่ยนรูปได้สุดหยั่งคะเน กินนร เป็นเทพที่ชอบร้องรำทำเพลง และสร้างสีสันสำราญใจให้แก่ชาวสวรรค์ มโหราค เป็นอมนุษย์ชั้นต่ำต้อยที่สุด บ้างมีลำตัวเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นงู บ้างมีลำตัวเป็นงู ศีรษะเป็นมนุษย์ มีฤทธิ์มาก แต่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก",
"ก่อนหน้านั้น ราชวงศ์ซ้อง (ซ่ง) ดำเนินนโยบายลิดรอนอำนาจขุนศึก และนิยมลัทธิขงจื๊อใหม่ กำลังของส่วนกลางจึงไม่เข้มแข็งนัก ช่วงเวลาตามท้องเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า แผ่นดินจีนแบ่งออกเป็น 5 อาณาจักร ของหลายชนเผ่า",
"สำนักสราญรมย์ () เป็นสำนักในนิยายกำลังภายในของกิมย้ง เรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า\nสำนักสราญรมย์เป็นสำนักปราชญ์โบราณ ถือหลักการใช้ชีวิตสำราญ เสพย์ดนตรีกวีศิลป์ สำนักสราญรมย์ไม่ปรากฏผู้ก่อตั้ง ถือเป็นสำนักลึกลับสำนักหนึ่งในจักรวาลของกิมย้ง ไม่ปรากฏแผนผังลำดับผู้สืบทอด ที่มาที่ไปของสำนักไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด ปรากฏแต่ในยุคของแปดเทพอสูรมังกรฟ้า อู๋หยาจื่อ (無崖子) ดำรงตำแหน่งประมุขพรรค โดยมีนางเฒ่าทาริกาเทียนชัว (天山童姥) ประมุขวังคฤธรศักดิ์สิทธิ์เป็นศิษย์พี่ ลี้ชิวจุ้ย (李秋水) สนมของฮ่องเต้ซีเซี่ยเป็นศิษย์น้อง ",
"กิมย้งเขียนเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าในปี พ.ศ. 2506-2510 และปรับปรุงพิมพ์เป็นเล่มในปี พ.ศ. 2521 ฉบับภาษาไทย จำลอง พิศนาคะ แปลสำนวนแรกในปี พ.ศ. 2522 ใช้ชื่อว่า \"มังกรหยกภาคพิเศษ\" แต่เนื้อหาและเหตุการณ์ตามท้องเรื่องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมังกรหยกทั้ง 3 ภาคเลย ฉากหลังเป็นประวัติศาสตร์ช่วงก่อนมังกรหยกภาคแรกประมาณ 100 ปี",
"จิ้งจอกภูเขาหิมะ (, ) หรือ เซาะฮัวปวยฮู้ เป็นนิยายกำลังภายในของกิมย้งจัดเป็นเรื่องสั้นที่เขียนได้ดีที่สุดและโดดเด่นที่สุดของยุทธจักรนิยาย โดยวิธีการดำเนินแบบเล่าเรื่อง มาตรแม้นว่าเป็นเรื่องราวเดียวกันแต่เมื่อกล่าวจากปากแต่ละคนกลับผิดแผกแตกต่างตลอดทั้งเนื้อเรื่องกล่าวถึงปริศนาลี้ลับมากมาย ใช้วิธีการผูกเรื่องคล้ายกับการสืบสวนคดีแบบปากต่อปากจากนั้นนำเรื่องราวทั้งหมดมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันจนได้ปรากฏข้อเท็จจริง ในด้านของเนื้อหาแม้ไม่นับว่าเลิศพบจบแผ่นดินดุจดั่งสามไตรภาคมังกรหยก แปดเทพอสูรมังกรฟ้า และกระบี่เย้ยยุทธจักร แต่นับว่าสามารถสะท้อนนิสัยใจคอพื้นเพของมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งโดยผ่านการกล่าววาจาซึ่งสะท้อนลักษณะนิสัยและความคิดของมนุษย์ อนึ่งนั้นมาตรแม้นว่าจิ้งจอกภูเขาหิมะจะมีเนื้อเรื่องและตัวละครเกี่ยวเนื่องกันกับจิ้งจอกอหังการแต่นักอ่านสามารถอ่านโดยแยกจากกันได้ ทั้งนี้เพราะแม้ว่าจิ้งจอกภูเขาหิมะเขียนขึ้นก่อนแต่กลับเป็นเรื่องราวภายหลังจิ้งจอกอหังการ และกิมย้งแต่งโดยให้ทั้งสองเป็นเอกเทศแยกจากกัน แต่ถึงกระนั้นเมื่อนำเรื่องนี้มาสร้างภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ผู้สร้างก็ยังมิวายรวมสองเรื่องเข้าด้วยกันเป็น จิ้งจอกภูเขาหิมะ เรื่องเดียวอยู่ดี",
"8 เทพอสูรมังกรฟ้า (อังกฤษ: Demi-Gods And Semi-Devils) เป็นละครโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2525 กล่าวถึงเรื่องราวของวรรณกรรมของ กิมย้ง เรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า นำแสดงโดย ไบรอัน เหลียง, ทัง เจิ้นเย่, หวง เย่อหัว, เฉิน อี้ว์เหลียน ออกอากาศทางช่อง TVB ในจีน"
] |
ปฏิบัติการเท็งโงเกิดขึ้นปีอะไร ? | [
"ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 เรือประจัญบานยะมะโตะของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเรือประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมเรือรบของญี่ปุ่นลำอื่นอีก 9 ลำ ได้แล่นออกจากญี่ปุ่นเพื่อการโจมตีฆ่าตัวตายต่อกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่กำลังสู้รบในยุทธการโอะกินะวะ กองกำลังของญี่ปุ่นถูกโจมตียับยั้งและโดนทำลายเกือบจะทั้งหมดด้วยเรือบรรทุกอากาศยานและอากาศยานบนเรือของสหรัฐก่อนที่จะเดินทางถึงเกาะโอะกินะวะ ยะมะโตะและเรือรบอีก 5 ลำอับปางลงในยุทธนาวีนี้"
] | [
"หมวดหมู่:สงครามมหาสมุทรแปซิฟิก หมวดหมู่:ยุทธนาวี หมวดหมู่:ยุทธการและปฏิบัติการทางทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง",
"เรือรบลำนี้มีความหมายอันยิ่งใหญ่สำหรับจักรวรรดิญี่ปุ่นในฐานะสัญลักษณ์ด้านนาวิกานุภาพของชาติ (คำว่า \"ยะมะโตะ บางครั้งก็หมายถึงประเทศญี่ปุ่น) และถูกเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันจมช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปฏิบัติการฆ่าตัวตายเท็งโง ซึ่งการจมของเรือรบยะมะโตะ บางครั้งถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นด้วย",
"ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1945 คะซุมิ ได้คุ้มกันเรือประจัญบานยามาโตะ จากทะเลใน (อยู่ระหว่าง เกาะฮนชู เกาะชิโกะกุ และ เกาะคีวชู) เพื่อเข้าปฏิบัติการเท็งโงโจมตีกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่จังหวัดโอะกินะวะ เรือคะซุมิอับปางในวันที่ 7 เมษายนจากการโจมตีของเครื่องบินของกองกำลังเฉพาะกิจที่ 58 เรือพิฆาตฟุยุซุกิได้เข้าช่วยเหลือผู้รอดชีวิตและจมเรือด้วยการยิงตอร์ปิโด 2 ลูกห่างออกไป 275 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนะงะซะกิ (Nagasaki) () °E / 30.46; 128.92)",
"เวลา 14:05 น. ยะมะโตะก็หยุดลงอย่างสิ้นเชิงและเรือเริ่มเอียงตัว พลเรือโท อิโต และกัปตันเรือปฏิเสธที่จะสละเรือหนีไปพร้อมกับลูกเรือที่รอดชีวิต เวลา 14:20 น. ยะมะโตะได้พลิกคว่ำและเริ่มจมลง () เวลา 14:23 น. เรือเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ตามรายงานที่ได้รับสามารถมองเห็นและได้ยินไกลถึงเมืองคะโงะชิมะซึ่งห่างออกไป 200 กม. และก่อให้เกิดเมฆรูปเห็ดสูง 20,000ฟุตกลางอากาศ[29] มีการกล่าวอ้างว่าแรงระเบิดของเรือทำให้เครื่องบินสหรัฐที่สังเกตการอยู่ในขณะนั้นตกหลายลำ[29] เชื่อกันว่าการระเบิดเกิดจากไฟของระเบิดที่โดนเข้าบริเวณคลังแสงหลักของเรือ[30]",
"พลเรือโท รีวโนะซุเกะ คุซะกะ (Ryūnosuke Kusaka) บินออกจากโตเกียวในวันที่ 5 เมษายนสู่โทะกุยะมะในความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะโน้มน้าวเหล่าผู้บัญชาการกองเรือผสมรวมถึงพลเรือโท อิโต ให้ตกลงยอมรับในแผนการ ครั้งแรกที่ได้ฟังถึงปฏิบัติการที่เสนอขึ้นมานั้น (ได้มีการปกปิดปฏิบัติการเป็นความลับจากผู้บัญชาการส่วนใหญ่) ผู้บัญชาการและกัปตันเรือของกองเรือผสมมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะเข้าร่วมกับพลเรือโทอิโตในการปฏิเสธที่จะดำเนินการตามแผนการด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่เขาได้แสดงออกไว้ข้างต้น จากนั้นพลเรือโท คุซะกะ ได้ชี้แจงว่าการโจมตีของกองทัพเรือจะช่วยเปลี่ยนเส้นทางเครื่องบินสหรัฐจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพตามแผนกองเรือสหรัฐที่โอะกินะวะ คุซะกะยังอธิบายอีกว่าบรรดาผู้นำรวมถึงสมเด็จพระจักรพรรดิคาดหวังว่ากองทัพเรือจะพยายามทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนการป้องกันโอะกินะวะ",
"รุ่งเช้าวันที่ 7 เมษายน กองกำลังญี่ปุ่นได้แล่นผ่านแหลมโอซุมิ (Ōsumi) สู่ทะเลเปิด มุ่งหน้าลงใต้จากเกาะคีวชูสู่โอะกินะวะ เรือได้แปรขบวนสำหรับตั้งรับ ให้ยะฮะงิแล่นนำยะมะโตะและเรือพิฆาตทั้ง 8 ลำแปรแถวเป็นรูปวงแหวนล้อมรอบเรือหลวงทั้ง 2 ลำไว้ แต่ละลำห่างกัน 1,500เมตร คงความเร็วที่ 20 นอต[13] เรือพิฆาตอะซะชิโมะ (Asashimo) เกิดปัญหาที่เครื่องยนต์จำต้องหันหลังกลับ เครื่องบินสอดแนมของสหรัฐเริ่มทำการสอดส่องกองกำลังหลักของขบวนเรือญี่ปุ่น เวลา 10:00 กองกำลังญี่ปุ่นได้หันหัวขบวนไปทางตะวันตกซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะถอนกำลังกลับ แต่เมื่อเวลา 11:30 หลังการตรวจพบโดยเรือบินฝ่ายสหรัฐ พีบีเอ็ม มาร์รินเนอร์ (PBM Mariner) 2 ลำ (โดน ยะมะโตะ ระดมยิงด้วยปืน 460 มม.จากป้อมปืนหัวเรือด้วยกระสุนรวงผึ้งพิเศษ () ขนวบเรือวกกลับและมุ่งสู่โอะกินะวะ[8]",
"เมื่อเวลา 12:46 น. ยะฮะงิโดนยิงด้วยตอร์ปิโดเข้าที่บริเวณห้องเครื่องยนต์ส่งผลให้ลูกเรือในห้องนั้นตายทั้งหมดและเรือไม่สามารถแล่นต่อไปได้ ยะฮะงิโดนยิงตอร์ปิโดอย่างน้อย 6 ลูกและโดนระเบิดอย่างน้อย 12 ลูกจากการโจมตีทางอากาศ เรือพิฆาตอิโซะกะเซะ (Isokaze) ได้พยายามเข้าไปช่วยเหลือแต่กลับถูกโจมตีเสียหายหนักและอับปางลงในเวลาต่อมา ยะฮะงิพลิกคว่ำและจมลงเมื่อเวลา 14:05 น.[20]",
"เรื่องราวของปฏิบัติการนี้ได้รับความเคารพยกย่องในระดับหนึ่งจากสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบัน เห็นได้จากเรื่องราวในวัฒนธรรมญี่ปุ่นยอดนิยมที่มักจะพรรณนาว่าเหตุการณ์เป็นสิ่งที่กล้าหาญเสียสละแต่ทว่าไร้ประโยชน์ เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามของทหารเรือญี่ปุ่นที่เข้าร่วมในการปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตน[40] เหตุผลหนึ่งที่เหตุการณ์ดังกล่าวอาจมีความสำคัญในวัฒนธรรมญี่ปุ่นก็คือคำว่า \"ยะมะโตะ\" มักจะใช้เป็นชื่อของญี่ปุ่นในบทกวี ดังนั้นการสูญเสียเรือประจัญบานยะมะโตะสามารถใช้เป็นคำอุปมาเปรียบเทียบถึงจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิญี่ปุ่น[41]",
"วันที่ 6 เมษายน เวลาประมาณ 16:00 เรือประจัญบานยะมะโตะพร้อมพลเรือโท อิโต บนเรือลาดตระเวนเบา ยะฮะงิ (Yahagi) และเรือพิฆาตอีก 8 ลำออกจากโทะกุยะมะเพื่อเริ่มต้นปฏิบัติการ[11] เรือดำน้ำฝ่ายสหรัฐ 2 ลำคือ ยูเอสเอส เทรดฟิน (USS Threadfin) และ ยูเอสเอส แฮกเคิลแบ็ก (USS Hackleback) พบเห็นกองกำลังฝ่ายญี่ปุ่นกำลังแล่นผ่านทางตอนใต้ของช่องแคบบังโงะ (Bungo Suido) และไม่ได้เข้าโจมตีแต่แจ้งไปยังกองเรือสหรัฐ[12]",
"กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มต้นแผนการทัพที่จะโจมตีแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่น ด้วยการรุกรานเกาะไซปันและเกาะอิโวะจิมะ กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรรุกรานเกาะโอะกินะวะในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1945 ซึ่งนับเป็นก้าวถัดมาก่อนการเริ่มแผนการที่เตรียมไว้สำหรับการโจมตีแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่น ในเดือนมีนาคม ในแถลงการสรุปต่อสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะเกี่ยวกับการตอบโต้ของญี่ปุ่นต่อการโจมตีเกาะโอะกินะวะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้นำทางทหารของญี่ปุ่นอธิบายว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นวางแผนที่จะโจมตีทางอากาศเป็นวงกว้างรวมถึงการใช้คะมิกะเซะด้วย ตามที่มีรายงานไว้ สมเด็จพระจักรพรรดิได้ตรัสถามว่า \"แล้วกองทัพเรือละ? พวกเขาจะทำสิ่งใดเพื่อช่วยป้องกันโอะกินะวะ?\" ด้วยความกดดันจากสมเด็จพระจักรพรรดิให้มีการโจมตีบางรูปแบบ ทำให้บรรดาผู้บัญชาการกองทัพเรือคิดปฏิบัติการอัตวินิบาตกรรมขึ้นโดยใช้เรือขนาดใหญ่ที่ยังใช้การได้อยู่ รวมไปถึงเรือประจัญบานยะมะโตะด้วย[3]",
"A first-hand account of the battle by the captain of the Japanese cruiser Yahagi. Unknown parameter |coauthors= ignored (|author= suggested) (help) Unknown parameter |coauthors= ignored (|author= suggested) (help) A first-hand account of the battle by Yamato's only surviving bridge officer.",
"ปฏิบัติการเท็งโง () เป็นปฏิบัติการทางทะเลหลักครั้งสุดท้ายของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นในสงครามแปซิฟิกของสงครามโลกครั้งที่สอง ปฏิบัติการเท็งโงยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า Operation Heaven One (ปฏิบัติการสรวงสวรรค์) และ Ten-ichi-gō (เท็งอิชิโง)",
"ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1945 \"ฮะมะกะเซะ\" ได้คุ้มกันเรือประจัญบาน \"ยามาโตะ\" จากทะเลใน (อยู่ระหว่าง เกาะฮนชู เกาะชิโกะกุ และ เกาะคีวชู) เพื่อเข้าปฏิบัติการเท็งโงโจมตีกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่จังหวัดโอะกินะวะ เรือโดนโจมตีจากเครื่องบินของกองกำลังเฉพาะกิจที่ 58 และจมลง 280 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ห่างจากเมืองนะงะซะกิ (Nagasaki) ()",
"ระหว่างการรบ กองทัพญี่ปุ่นได้โจมตีกองเรือสหรัฐทางอากาศที่โอะกินะวะตามที่ได้ให้สัญญาไว้แต่ประสบความล้มเหลวไม่สามารถจมเรือได้เลย จากเครื่องบิน 115 ลำ มีเครื่องบินจำนวนมากทำการโจมตีเรือรบสหรัฐแบบคะมิกะเซะตลอดทั้งวันของวันที่ 7 เมษายน เครื่องบินคะมิกะเซะได้โจมตีโดนเรือแฮนค็อก, เรือประจัญบานแมริแลนด์ และเรือพิฆาตเบนเน็ตต์ (Bennett) แฮนค็อกและแมริแลนด์เสียหายปานกลาง เบนเน็ตต์เสียหายหนัก ญี่ปุ่นสูญเสียเครื่องบินประมาณ 100 ลำ[36]",
"ในระหว่างการโจมตีระลอกแรก ทั้งที่พยายามหลบหลีกอย่างเต็มความสามารถ แม้ระเบิดและตอร์ปิโดส่วนใหญ่จะพลาดเป้า แต่ยะมะโตะก็ยังโดนระเบิดเจาะเกราะ 2 ลูกและตอร์ปิโด 1 ลูก[21] แม้ความเร็วของเรือไม่ได้รับผลกระทบแต่ระเบิดที่โดนทำให้เกิดไฟไหม้ท้ายเรือที่บริเวณโครงสร้างส่วนบนซึ่งไม่สามารถดับได้ และในช่วงเวลาในการโจมตีระลอกแรกเช่นกัน เรือพิฆาตของญี่ปุ่น ฮะมะกะเซะ (Hamakaze) และ ซุซุสึกิ (Suzutsuki) ได้รับความเสียหายอย่างหนักและถอนตัวจากการรบ ฮะมะกะเซะจมลงหลังจากนั้น[19]",
"ต่อมาวันที่ 1 เมษายน ค.ศ.1945 กองทัพอเมริกาได้ยกพลขึ้นบกที่เกาะโอะกินนะวะซึ่งเป็นเกาะที่ใกล้กับญี่ปุ่นมากที่สุดทางตอนใต้ ญี่ปุ่นคิดว่าหากสูญเสียโอะกินนะวะไปสหรัฐอเมริกาก็จะมีฐานทัพเรือและฐานทัพอากาศที่จะโจมตีญี่ปุ่นทางตอนใต้ดังน้นช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤตหนักของญี่ปุ่น ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ.1945 กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ทำภารกิจครั้งสุดท้ายเพื่อช่วยเหลือจักรวรรดิญี่ปุ่นในปฏิบัติการเท็งโงซึ่งแปลว่า\"ปฏิบัติการสรวงสวรรค์\" มันคือการเกิดใหม่ของ\"กามิกาเซ่\"ของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นมันคือปฏิบัติการแบบฆ่าตัวตาย มีเพียงทางเดียวเพื่อที่จะช่วยเหลือญี่ปุ่นซึ่งนำโดยเรือประจัญบานยะมะโตะที่แล่นออกจากญี่ปุ่นและโจมตีจุดทอดสมอของสหรัฐอเมริกาที่โอะกินนะวะ เรือประจัญบานยะมะโตะพร้อมกับเรือลาดตระเวนเบา 1 ลำและเรือพิฆาต 8 ลำ ถูกตรวจพบโดยเรือดำน้ำสหรัฐอเมริกาทางตอนใต้ของเกาะคิวชู เช้าวันต่อมาวันที่ 7 เมษายน ค.ศ.1945 กองทัพเรืออเมริกาได้ส่งเครื่องบินกว่า 300 ลำขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อจมเรือรบยะมะโตะ เครื่องบินของอเมริกาได้กระหน่ำทิ้งระเบิดและตอร์ปิโดลงไปยังเรือรบยะมะโตะ จนในเวลา 14:30 น.เรือรบยะมะโตะก็ได้จมลงในทะเล ไม่เพียงแค่นั้นเครื่องบินของอเมริกายังจมเรือลาดตระเวนเบายาฮากิและเรือพิฆาตอีก 4 ลำได้อีกด้วย จากปฏิบัติการเท็งโงที่ล้มเหลวเรือรบที่เหลือในกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นไม่เคยแล่นเรือรบออกมาอีกเลย เดือนมิถุนายน ค.ศ.1945 หลังจาก 2 เดือนแห่งสมรภูมิอันดุเดือดสหรัฐอเมริกาก็สามารถยึดเกาะโอะกินนะวะไว้ได้อย่างสมบูรณ์",
"ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ประกาศว่าเกาะโอะกินะวะเป็นเขตปลอดภัยในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1945[38] หลังการรบที่รุนแรงและมีความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ความตั้งใจที่ชัดเจนของญี่ปุ่นที่จะเสียสละคนจำนวนมากเพื่อใช้กลยุทธ์อัตวินิบาตกรรมเช่นปฏิบัติการเท็งโงและในยุทธการโอะกินะวะนั้น ตามรายงานกล่าวว่าเป็นปัจจัยให้สัมพันธมิตรใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับญี่ปุ่น[39]",
"เท็งโงเป็นปฏิบัติการใหญ่ครั้งสุดท้ายของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง เรือรบที่เหลือรอดมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยในปฏิบัติการรบของการต่อสู้ที่เหลืออยู่ ซุซุสึกิ ไม่ได้รับการซ่อมแซม ฟุยุซุกิ ได้รับการซ่อมแต่ก็ชนทุ่นระเบิดของสหรัฐที่เขตโมะจิ (Moji) ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และไม่ได้รับการซ่อมแซม ยุจิกะเซะ รอดจากสงครามมาได้โดยที่แทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลย ฮะสึชิโมะ ชนทุ่นระเบิดของสหรัฐในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 ใกล้กับเมืองมะริซุรุ (Maizuru) ประเทศญี่ปุ่น เป็นเรือพิฆาตลำที่ 129 และลำสุดท้ายที่อับปางในสงคราม[37]",
"ในวันที่ 6–7 เมษายน ค.ศ. 1945 \"ซุซุสึกิ\" ได้คุ้มกันเรือประจัญบาน \"ยามาโตะ\" จากทะเลใน (อยู่ระหว่าง เกาะฮนชู เกาะชิโกะกุ และ เกาะคีวชู) เพื่อเข้าปฏิบัติการเท็งโงโจมตีกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่จังหวัดโอะกินะวะ เรือได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากเครื่องบินของกองกำลังเฉพาะกิจที่ 58 แต่ยังสามารถแล่นเรือกลับเมืองซะเซะโบะ (Sasebo) ได้",
"เครื่องบินสหรัฐโดนยิงตก 10 ลำ โดยปืนต่อต้านอากาศยานของญี่ปุ่น นักบินบางคนได้รับการช่วยเหลือจากอากาศยานสะเทินน้ำสะเทินบกหรือเรือดำน้ำ ทหารสหรัฐเสียชีวิต 12 นาย ผู้รอดชีวิตชาวญี่ปุ่นบางคนรายงานว่าเครื่องบินขับไล่สหรัฐกราดยิงปืนกลใส่ผู้รอดชีวิตที่ลอยคออยู่ในทะเล[33][34] และยังรายงานอีกว่าเครื่องบินสหรัฐหยุดยิงเรือพิฆาตญี่ปุ่นชั่วคราวในช่วงเวลาที่เรือกำลังช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากในทะเล[35]",
"ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1945 \"อิโซคาเสะ\" ได้คุ้มกันเรือประจัญบาน \"ยามาโตะ\" จากทะเลใน (อยู่ระหว่าง เกาะฮนชู เกาะชิโกะกุ และ เกาะคีวชู) เพื่อเข้าปฏิบัติการเท็งโงโจมตีกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่จังหวัดโอกินาว่า เรือโดนโจมตีจากเครื่องบินของกองกำลังเฉพาะกิจที่ 58 และจมลงด้วยห่ากระสุน 280 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนางาซากิ (Nagasaki) () ลูกเรือเสียชีวิต 20 นาย ส่วนที่เหลือได้รับความช่วยเหลือจากเรือลำอื่น",
"เนื่องจากกองกำลังฝ่ายญี่ปุ่นไม่มีกองบินคุ้มกัน เครื่องบินของสหรัฐจึงสามารถโจมตีได้สะดวกโดยไม่ต้องกังวลถึงเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม เครื่องบินสหรัฐเดินทางมาถึงกองเรือยะมะโตะ หลังจากใช้เวลาบินสองชั่วโมงจากโอะกินะวะ เครื่องบินสามารถบินเป็นวงกลมรอบขบวนเรือญี่ปุ่นนอกระยะของอาวุธต่อต้านอากาศยาน ด้วยวิธีนี้เครื่องบินเข้าโจมตีเรือรบที่อยู่ด้านล่าง[8]",
"ต้นปี ค.ศ. 1945 หลังจากการทัพหมู่เกาะโซโลมอน ยุทธนาวีทะเลฟิลิปปินส์ และยุทธนาวีอ่าวเลย์เต กองเรือผสมของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เคยน่าเกรงขามในอดีตได้ลดจำนวนลงเหลือเพียงเรือรบ อากาศยาน และนักบินที่สามารถปฏิบัติการได้เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น เรือรบที่เหลือส่วนใหญ่ของกองเรือผสมจอดประจำอยู่ที่ท่าเรือในญี่ปุ่น ซึ่งเรือรบขนาดใหญ่ส่วนมากอยู่ที่อู่ทหารเรือคุเระ จังหวัดฮิโระชิมะ[2]",
"The official site of the NOVA documentary with additional information on the subject.",
"เรือพิฆาตอะซะชิโมะโดนระเบิดและจมลงด้วยน้ำมือของเครื่องบินสหรัฐขณะเดินทางกลับไปที่ท่า เรือพิฆาตคะซุมิ (Kasumi) อับปางจากการโจมตีของเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐระหว่างการรบ เรือพิฆาตซุซุสึกิทั้งๆที่หัวเรือได้รับความเสียหายอย่างหนักแต่เรือก็สามารถแล่นกลับไปที่เมืองซะเซะโบะ (Sasebo) ได้ด้วยวิธีการแล่นถอยหลัง[19]",
"ยุทธนาวีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงอำนาจความยิ่งใหญ่ทางอากาศของสหรัฐในสงครามมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อสงครามดำเนินมาถึงจุดนี้ ตลอดจนเรือผิวน้ำที่โดนโจมตีได้อย่างง่ายดาย เมื่อปราศจากการคุ้มกันทางอากาศ ยุทธนาวีดังกล่าว ยังได้แสดงถึงความสมัครใจของญี่ปุ่นที่จะเสียสละชาวญี่ปุ่นจำนวนมากในความพยายามอันสิ้นหวังที่จะชะลอการรุกคืบสู่แผ่นดินแม่ญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตร",
"เพราะยะมะโตะแล่นได้ช้ามากทำให้ตกเป็นเป้าได้ง่าย เครื่องบินตอร์ปิโดสหรัฐได้มุ่งการโจมตีไปที่หางเสือและท้ายเรือเพื่อจะได้ส่งผลต่อความสามารถในการคัดท้ายและพวกเขาก็ทำสำเร็จ[27] เวลา 14:02 น.หลังจากได้รับแจ้งว่าเรือไม่สามารถคัดท้ายได้และกำลังจะจมลง พลเรือโท อิโต ได้สั่งยกเลิกภารกิจ ทำการสละเรือ และให้เรือที่เหลืออยู่เริ่มทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิต[19] ยะมะโตะได้ส่งข้อความนี้ต่อเรือที่เหลือด้วยสัญญาณธงเพราะเครื่องรับส่งวิทยุประจำเรือถูกทำลาย[28]",
"ผู้บัญชาการคนอื่น ๆ ของราชนาวีจักรวรรดิญี่ปุ่นมีความรู้สึกในเชิงลบต่อปฏิบัติการเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าเป็นการสูญเปล่าในชีวิตมนุษย์และเชื้อเพลิง นาวาเอก อะสึชิ โออิ (Atsushi Ōi) ผู้บัญชาการกองเรือคุ้มกัน ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการที่เชื้อเพลิงและทรัพยากรถูกยักย้ายถ่ายเทไปจากปฏิบัติการของเขา กล่าวไว้ว่าจุดประสงค์ของปฏิบัติการนี้เป็นเพียง \"ประเพณีนิยมและเกียรติยศของกองทัพเรือ\" เขาตะโกนว่า:[7]",
"ในแผนปฏิบัติการที่ร่างขึ้นภายใต้คำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือผสม พลเรือเอกโทะโยะดะ โซะเอะมุ (Toyoda Soemu) [4] ได้มีคำสั่งให้เรือประจัญบานยะมะโตะและเรือคุ้มกันโจมตีกองเรือสหรัฐที่คอยสนับสนุนทหารที่ยกพลขึ้นบกทางตะวันตกของเกาะโอะกินะวะ ยะมะโตะและเรือคุ้มกันจะสู้รบไปตลอดทางสู่เกาะโอะกินะวะและเข้าเกยหาดระหว่างหมู่บ้านฮิงะชิ (Higashi) และหมู่บ้านโยะมิตัง (Yomitan) ก่อนจะทำหน้าที่เสมือนเป็นป้อมปืนใหญ่ชายฝั่งและต่อสู้จนกระทั่งเรือถูกทำลาย เมื่อเรือถูกทำลาย ลูกเรือที่ยังรอดชีวิตต้องสละเรือและเข้าต่อสู้กับกองกำลังสหรัฐบนแผ่นดิน มีเครื่องบินคุ้มกันเพียงน้อยนิดที่สามารถจัดเตรียมได้ซึ่งไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อเผชิญกับการโหมโจมตีทางอากาศของสหรัฐ[3] ในการเตรียมพร้อมเพื่อดำเนินการตามแผน เรือที่กำหนดได้ออกจากคุเระไปยังเมืองโทะกุยะมะ (Tokuyama) จังหวัดยะมะงุชิ นอกชายฝั่ง มิตะจิริ (Mitajiri) ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 29 มีนาคม[5] อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้เตรียมตัวสำหรับภารกิจ พลเรือโท เซอีชิ อิโต (Seiichi Itō) ผู้บัญชาการกองกำลังปฏิบัติการเท็งโง ยังคงปฏิเสธที่จะออกคำสั่งให้เรือของเขาดำเนินการตามแผนด้วยเชื่อว่าแผนปฏิบัติการนี้เป็นสิ่งไร้ประโยชน์และสูญเปล่า[6]"
] |
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เสม พริ้งพวงแก้ว แต่งงานกับใคร? | [
"เสมสมรสกับ แฉล้ม พริ้งพวงแก้ว พยาบาลคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามากกว่า 70 ปี มีบุตรชายด้วยกัน 3 คน และบุตรหญิง 2 คน หนึ่งในนั้นคือ ชัชวาลย์ พริ้งพวงแก้ว สถาปนิกดีเด่นของสมาคมสถาปนิกสยาม เจ้าของผู้ก่อตั้งบริษัทดีไซน์ 103 ที่มีชื่อเสียง โดยแฉล้มถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชราเมื่อปี พ.ศ. 2549"
] | [
"มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและองค์การอนามัยโลก จัดพิมพ์หนังสือ “เกียรติประวัติแพทย์ไทย ฝากไว้ให้ชนรุ่นหลัง ชีวิตและงานของนายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว” (สิงหาคม 2537) โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จัดพิมพ์หนังสือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[15276,15350,3,3]}'>เสม พริ้งพวงแก้ว ในโอกาสครบ 60 ปี ของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เพื่อประโยชน์ของประชาชนจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง หนังสือที่ระลึกพิธีเปิดอาคารอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม 27 สิงหาคม 2540 นายประกอบ ดำริชอบ นายอำเภออัมพวา กล่าวถึงผลงานของเสมที่สร้างโรงพยาบาลเอกเทศ พ.ศ. 2478",
"หลังจบการศึกษาด้านการแพทย์ ในปี พ.ศ. 2478 เสมได้ออกไปปฏิบัติงานในต่างจังหวัด โดยไปจัดตั้งโรงพยาบาลเอกเทศขึ้นที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อต่อสู้กับการระบาดของโรคอหิวาตกโรคจนโรคสงบลง ในปีต่อมาก็ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลเทศบาลนครสวรรค์ เป็นเวลา 2 ปี และได้เริ่มงานศัลยกรรมและงานทันตกรรมเป็นครั้งแรกในชนบท",
"นายแพทย์เสม ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข 2 สมัย สมัยรัฐบาล ฯพณฯ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการจัดโครงสร้างใหม่ในกระทรวงสาธารณสุขและการกระจายอำนาจโดยความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีการจัดทำแผนสาธารณสุขแห่งชาติด้วยความร่วมมือของ W.H.O. และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และต่อมาในปี พ.ศ. 2517 ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สมัยรัฐบาล ฯพณฯ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี[2]",
"เมื่อ พ.ศ. 2493 เสมได้จัดตั้งธนาคารเลือดขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่จังหวัดเชียงราย ได้จัดทำสถานีอนามัยที่มีบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วไปทำหน้าที่ให้บริการสาธารณสุขขั้นมูลฐานเป็นครั้งแรกที่กิ่งอำเภอแม่สาย อำเภอเทิง อำเภอเชียงของและอำเภอพะเยา และจัดให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลออกเยี่ยมประชาชนในวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ",
"ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เสม พริ้งพวงแก้ว (31 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 — 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2523, พ.ศ. 2524 - 2526[1] และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขหลายสมัย เป็นนายแพทย์ผู้บุกเบิกการแพทย์ชนบท และการแพทย์สมัยใหม่ ผู้ร่วมจัดทำแผนสาธารณสุขแห่งชาติ",
"เสม พริ้งพวงแก้ว – นายแพทย์ผู้บุกเบิก และสร้างความเจริญก้าวหน้า แก่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จูหลิง ปงกันมูล – ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส",
"เสมเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถือของชาวเชียงรายอย่างหาที่เปรียบได้ยาก ความมุมานะและความคิดริเริ่มต่างๆทำให้เชียงรายมีความเจริญด้านการแพททย์มากขึ้น จึงนับเป็นข้าราชการที่มีความสามารถสูงผู้หนึ่ง ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2494 กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมการแพทย์ออกคำสั่งย้ายเสมจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลหญิง หน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พญาไท (ปัจจุบัน คือ โรงพยาบาลราชวิถี) และได้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ เป็นลำดับ ได้แก่ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้การช่วยเหลือทางการแพทย์และการสาธารณสุขทั่วประเทศ รวมทั้งมหาวิทยาลัยแพทย์ ได้ติดต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกาขอผู้เชี่ยวชาญทางโลหิตวิทยาศึกษาโรค Thalassemia ในประเทศไทย ได้ร่วมสร้างผลงานจนได้เป็นศาสตราจารย์ไทยที่เป็นผู้ชำนาญการในโรคนี้จนปัจจุบันรู้จักกันทั่วโลก มีการจัดคณะแพทย์และพยาบาลมาช่วยพัฒนาการปฏิบัติการทางด้านศัลยกรรมที่โรงเรียนแพทย์ และร่วมมือกับ ศาสตราจารย์เบน ไอซแมนส์ แต่งตำราศัลยศาสตร์ทั่วไปด้วยเงินทุน M.S.A.",
"พ.ศ. 2496 – 2500 กรมการแพทย์ ได้เสนอให้เร่งสร้างโรงพยาบาลหญิงและโรงพยาบาลเด็ก และวิทยาลัยพยาบาลผดุงครรภ์ ทำให้ประชาชนทั่วประเทศมีโรงพยาบาลประจำจังหวัด เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข มีโอกาสได้รับบริการทั่วหน้าได้ เนื่องจากโรงพยาบาลหญิงมีเด็กคลอดวันละ 50 – 70 คน เด็กจำนวน 20,000 คน คลอดที่โรงพยาบาลแห่งนี้ทุกปี เด็กคลอดมีทั้งเด็กมีร่างกายปกติและมีร่างกายพิการ ทางราชการจึงเห็นความจำเป็นในการจัดตั้งโรงพยาบาลเด็กขึ้นในพื้นที่ 20 ไร่ ติดกับโรงพยาบาลหญิง เพื่อศึกษาและให้บริการแก่ประชาชนวัยเด็กที่มีความสำคัญต่อชาติเมื่อ พ.ศ. 2497 ในปี พ.ศ. 2500 ประชากรเด็กเพิ่มปีละ 3.3 ในร้อยคน รัฐบาลเห็นความสำคัญในการให้บริการแก่เด็กไทย โดยนอกจาการสร้างโรงพยาบาลเด็กแล้วก็สร้างสถานอนุเคราะห์เด็กที่บ้านราชวิถีขึ้นด้วย",
"พ.ศ. 2497 W.H.O. องค์การอนามัยโลกเห็นความสำคัญของระบบการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ จึงส่ง ศาสตราจารย์ ดร. วู๊ดบิวรี (Prof. Woodbury Ph.D.) ผู้เชี่ยวชาญทางการสถิติที่ปฏิบัติงานติดตามผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ณ เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ภายหลังการทิ้งระเบิดปรมาณู ที่ทำและติดตามทะเบียนผู้ป่วยที่ถูกแสงและมีชีวิตอยู่จนเป็นผลดีต่อทางราชการ ให้มาเป็นผู้ริเริ่มจัดการเวชเบียนผู้ป่วยขึ้นเป็นแห่งแรกที่โรงพยาบาลเด็ก โดยใช้เครื่อง IBM เป็นครั้งแรกในประเทศไทย จนเป็นแบบอย่างจนถึงปัจจุบัน โรงพยาบาลเด็กได้จัดส่งนายแพทย์ไทยไปเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกาจนได้ปริญญาเอกทางนี้มาทำงานในประเทศ โดยเริ่มที่โรงพยาบาลรามาธิบดี",
"การปฏิบัติวิชาชีพแพทย์ทั้งในภูมิภาคและในกรุงเทพฯ ที่ได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมานานทำให้เสมตัดสินใจออกจากราชการมา เป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปเป็นเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2506 – พ.ศ. 2516) โดยมีสำนักงานอยู่ที่ เลขที่ 103 ถนนสุขุมวิท ระหว่างซอย 5 และซอย 7 โดยแบ่งพื้นที่ชั้นบนให้บุตรชายที่เป็นสถาปนิกใช้เป็นสำนักงานออกแบบ ซึ่งต่อมาได้เจริญรุ่งเรืองในชื่อของ “บริษัทดีไซน์ 103” ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน และในช่วงนี้เอง เขาก็ยังได้ใช้ชีวิตในปัจฉิมวัยทำคุณประโยชน์แก่สังคมอย่างมากมาย ทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษาและการเมือง อาทิ",
"เชียงราย เมื่อ 70 ปีก่อนนั้นขาดแคลนนายแพทย์มาก บ้านเมืองและโครงสร้างพื้นฐานก็ยังไม่พร้อม ข้าราชการ โดยเฉพาะคณะกรมการจังหวัดในสมัยนั้นจึงต้องร่วมมือกันทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาระหว่าง พ.ศ. 2484-พ.ศ. 2488 เสมต้องทำงานอย่างหนักเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นนายแพทย์ที่ทุกคนต้องพึ่งพา แม้กระนั้น เขาก็ยังสามารถวางรากฐานด้านการแพทย์และสาธารณสุขไว้มากพอสรุปได้ดังนี้",
"ต่อมา พ.ศ. 2494 – พ.ศ. 2503 ก่อตั้งโรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์ กรมการแพทย์ เริ่มต้นที่โรงพยาบาลกลาง โดยอธิบดีกรมการแพทย์ เมื่อ พ.ศ. 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย พันโทนิตย์ เวชวิศิษฎ์ (หลวงเวชวิศิษฎ์) ผู้เชิญ มณี สหัสสานนท์ แห่งโรงพยาบาลศิริราช มาเป็นอาจารย์ผู้ปกครอง กิจการได้เจริญก้าวหน้าเมื่อย้ายโรงเรียนมาอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลหญิง ได้มีการส่งครูพยาบาลไปเรียนต่างประเทศ จากนั้นในปี พ.ศ. 2497 รัฐบาลออสเตรเลีย โดย Lord Casey ข้าหลวงใหญ่รัฐบาล ออสเตรเลียเชิญไปหารือด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ แล้วจัดรถพยาบาลจำนวน 78 คัน ให้ทุกโรงพยาบาลในประเทศ ใน พ.ศ. 2504",
"เมื่อจบชั้นมัธยมปีที่ 8 แล้ว โดยความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ นายเสมได้เข้าศึกษาในคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ปัจจุบันคือคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล) ได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต เมื่อ ปี พ.ศ. 2478 หลังจบการศึกษาแพทย์ปริญญาแล้ว เสมได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ยังได้ไปร่วมประชุมและดูงานในประเทศต่างๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกา บราซิล สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ออสเตรีย นิวซีแลนด์รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเสมยังได้ศึกษาด้านทันตกรรม เพิ่มเติมจากศาสตราจารย์สี สิริสิงห์ เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในชนบทได้ด้วย",
"หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย หมวดหมู่:แพทย์ชาวไทย หมวดหมู่:ราษฎรอาวุโส หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ.ว. (ฝ่ายหน้า) หมวดหมู่:สมาชิกเหรียญจักรพรรดิมาลา หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ หมวดหมู่:ชาวไทยที่มีอายุเกิน 100 ปี หมวดหมู่:บุคคลจากคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมวดหมู่:ข้าราชการพลเรือนชาวไทย หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย",
"ชัชวาลย์ พริ้งพวงแก้ว เกิดที่จังหวัดเชียงราย เป็นบุตรชายของนายแพทย์เสม และนางแฉล้ม พริ้งพวงแก้ว ศึกษาชั้นประถมศึกษาที่จังหวัดเชียงราย เมื่อบิดาย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ จึงเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนสอบเข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับปริญญาตรีเมื่อ พ.ศ. 2507 หลังจากเข้ารับราชการที่กองแบบแผน กรมโยธาเทศบาลได้ระยะหนึ่ง จึงลาออกไปศึกษาต่อด้านสถาปัตยกรรมระดับปริญญาโทที่แพรตต์อินสติติว บรุคลีน นครนิวยอร์ก และจบการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2510",
"พ.ศ. 2527 - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 2 (ภ.ป.ร.2)[5] เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามร่วมรบกับสหประชาชาติ ณ ประเทศเกาหลี เหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1",
"เรียบเรียงและสรุปจากประวัติและผลงานของเสม พริ้งพวงแก้ว พ.ศ. 2550",
"นอกจากนี้แล้วยังเคยสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ด้วย โดยได้หมายเลข 12 ได้รับการสนับสนุนจาก นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว และ นพ.ประเวศ วะสี 2 ราษฎรอาวุโส แต่ไม่ได้รับการเลือก",
"จำนวนแพทย์ที่มีความรู้เรื่องเด็กมีความจำเป็น โรงพยาบาลเด็กด้วยความร่วมมือของ W.H.O. ได้จัดการอบรมแพทย์โรคเด็กขึ้นใน พ.ศ. 2500 เป็นการฝึกแพทย์ประจำบ้าน (Residency Training) ขึ้นในประเทศไทย ใช้เวลาเรียนติดต่อกันอีก 3 ปี เป็นต้นมาจนปัจจุบัน",
"คณะกรรมการชุดนี้ ได้ดำเนินการพิจารณาแผนงาน โดยเสนอชื่อโครงการว่า “โครงการส่งเสริมการศึกษาแพทย์สำหรับชาวชนบท ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงสาธารณสุข” (Medical Education for Students in Rural Area Project-MESRAP) ได้วางโครงร่างการดำเนินการ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ คือ คณะอนุกรรมการพิจารณาเกณฑ์การคัดเลือกนิสิต คณะอนุกรรมการจัดทำหลักสูตร คณะอนุกรรมการแลกเปลี่ยนบุคลากร และคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือกสถานที่ ซึ่งคณะอนุกรรมการทั้ง 4 คณะได้ดำเนินการพิจารณาโครงสร้างและเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย โดยมีกองฝึกอบรม (สถาบันพระบรมราชชนก ในปัจจุบัน) กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งคณะอนุกรรมการได้พิจารณาเลือกโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เป็นศูนย์การศึกษาภาคคลินิก ของคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้มีพิธีเปิด “ศูนย์การศึกษาแพทยศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 โดยมีศาสตราจารย์ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และมีนายแพทย์ชัยสิทธิ์ ธารากุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ และเริ่มจัดการเรียนการสอนนิสิตแพทย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา",
"นายแพทย์เสม ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เป็นสมาชิกวุฒิสภา เป็นประธานกรรมการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 2 สมัย สมัยรัฐบาล ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มีการผลักดันให้มีการสร้างโรงพยาบาลประจำอำเภอ จำนวน 660 แห่ง สนับสนุนหลักการ “สุขภาพดีทั่วหน้าในปี 2543” (Health for all by the year 2000) สนับสนุนหลัก 10 ประการของการสาธารณสุขมูลฐานให้สุขภาพดีทั่วหน้าในปี 2543 และมีการจัดทำ จ.ป.ฐ. ความจำเป็นพื้นฐาน 8 ตัว ให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมใช้เป็นหลัก",
"เสม เกิดที่บ้านแถวๆ ถนนรองเมือง ซอย 4 (ปัจจุบันเรียกซอย 1) อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ในขั้นปฐมศึกษาเรียนที่โรงเรียนวัดบรมนิวาส และเข้าเรียนต่อระดับมัธยมที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จนจบชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 8 ในระหว่างเรียน นายเสมได้รับทุนการเรียนประเภทหมั่นเรียนมาโดยตลอด",
"นายแพทย์เสม ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น.ในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ที่โรงพยาบาลราชวิถี สิริอายุรวม 100 ปี 1 เดือน 8 วัน จากการติดเชื้อในกระแสเลือด มีภาวะช็อก และไตวาย",
"จากนั้นในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เวลา 16.00 น. ท่านได้นำคณะรัฐมนตรี เข้าเฝ้าเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ประกอบด้วยบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประกอบ หุตะสิงห์ เป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรม พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น",
"แพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล แพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล แพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สังคมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล",
"จัดทำหนังสือทางวิชาการเป็นนิตยสาร “เวชสารการแพทย์” พ.ศ. 2505 ได้ทำการผ่าตัดเด็กฝาแฝดไทยในเวลา 10 ปี ได้เป็นผลสำเร็จที่เป็นแฝดสยาม (Siamese Twin) จำนวน 5 คู่ ได้ทำการศึกษาฝาแฝดไทยคู่แรก นายอิน-นายจันทร ผู้ใช้นามว่า Buncker อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว",
"พ.ศ. 2526 - พ่อตัวอย่าง พ.ศ. 2532 - เหรียญ Health for All จาก W.H.O. พ.ศ. 2534 - โล่ Asia Pacific Consortium as Physician Teacher Innovator พ.ศ. 2534 - บุคคลดีเด่นแห่งชาติด้านพัฒนาสังคม พ.ศ. 2535 - บุคคลดีเด่นด้านสาธารณสุข และสมาชิกกิตติมศักดิ์สโมสรโรตารี่แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2540 - รางวัลประกาศเกียรติคุณ “คนดีศรีสยาม” จาก สมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์คอนกรีตไทย",
"ความตั้งใจจะช่วยสังคม ไม่ได้เป็นความว่างเปล่า เมื่อเขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอันหนึ่งของคนทำงาน คือ รางวัล คนไทยตัวอย่าง มูลนิธิสายใจไทย (ธารน้ำใจ)\nจากนั้นได้ร่วมกับบุคคลสำคัญทางสาธารณสุข เช่น นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว , นพ.ไพโรจน์ นิงสานนท์ นพ.ประเวศ วะสี ช่วยกันเคลื่อนไหวการก่อตั้ง \"มูลนิธิแพทย์ชนบท\" ขึ้นด้วย เมื่อ นพ. ปรีชา ได้ย้ายไปประจำที่เชียงใหม่ เริ่มต้นที่ สถานีอนามัย อ.สารภี ก็ได้เริ่มสร้างโมเดลของอนามัยชนบท โดยรณรงค์ให้เด็กก่อนวัยเรียนได้ดื่มนม และ ไข่ทุกวัน เนื่องจากเด็กชนบท ขาดแคลนวิตามินที่สำคัญในการพัฒนาร่างกาย โครงการนี้ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของกระทรวงสาธารณสุข จนขับให้เกิด สาธารณสุขมูลฐานขึ้นได้ในที่สุด http://tarnnamjai.org.a17.readyplanet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=539226247&Ntype=8 ",
"นายแพทย์เสม ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้แก่"
] |
กัมพูชา มีเมืองหลวงชื่อว่า? | [
"พนมเปญ หรือ ภนุมปึญ (Khmer: ភ្នំពេញ ภฺนุํเพญ ออกเสียง: [pʰnum pɨɲ]; English: Phnom Penh) อีกชื่อหนึ่งคือ ราชธานีพนมเปญ เป็นเมืองหลวงของประเทศกัมพูชา และยังเป็นเมืองหลวงของนครหลวงพนมเปญด้วย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า ไข่มุกแห่งเอเชีย (เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1920 พร้อมกับเมืองเสียมราฐ) นับเป็นเมืองที่เป็นเป้าการท่องเที่ยวทั้งจากผู้คนในประเทศและจากต่างประเทศ พนมเปญยังมีชื่อเสียงในฐานะที่มีสถาปัตยกรรมแบบเขมรดั้งเดิมและแบบได้รับอิทธิพลฝรั่งเศส"
] | [
"กัมพูชาประชาธิปไตย (ฝรั่งเศส: Kampuchea démocratique, เขมร: កម្ពុជាប្រជាធិបតេយ្យ ก็อมปูเจียประเจียทิปะเต็ย ) คือชื่อของประเทศกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2522 ซึ่งเกิดจากการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอลนอล และได้จัดปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์โดยพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเขมรแดง ในสมัยนี้องค์กรของรัฐบาลจะถูกอ้างถึงในชื่อ \"อังการ์เลอ\" (องฺคการเลี - องค์การบน หรือ หน่วยเหนือ)[1] ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชานั้น แกนนำของพรรคให้เรียกชื่อว่า \"อังการ์ปะเดะวัด\" (องฺคการปฏิวัตฺติ - องค์การปฏิวัติ)[2] โดยผู้นำสูงสุดของประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคือนายพล พต ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงด้วย",
"ด้วยประชากรกว่า 14.8 ล้านคน กัมพูชาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 66 ของโลก ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งประชากรกัมพูชานับถือประมาณ 95% ชนกลุ่มน้อยในประเทศมีชาวเวียดนาม ชาวจีน ชาวจาม และชาวเขากว่า 30 เผ่า[11] เมืองหลวงและเมืองใหญ่สุด คือ พนมเปญ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกัมพูชา",
"ธงชาติกัมพูชาในระยะต่อมาเปลี่ยนแปลงลักษณะไปตามความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2536 องค์การสหประชาชาติซึ่งเข้ามาควบคุมการเปลี่ยนผ่านอำนาจในกัมพูชา ได้จัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อลงประชามติกำหนดทิศทางของประเทศ ผลปรากฏว่า พรรคฟุนซินเปคซึ่งเป็นพรรคการเมืองแนวนิยมเจ้าชนะการเลือกตั้ง ประเทศกัมพูชาจึงกลับมาใช้ชื่อว่าราชอาณาจักรกัมพูชาอีกครั้ง และได้กำหนดให้ใช้ธงชาติช่วง พ.ศ. 2491 - 2512 เป็นธงชาติของกัมพูชาอีกครั้ง ตราบจนทุกวันนี้",
"ชอมสกีและเพื่อนร่วมงานต่อมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับกัมพูชาชื่อว่า \"หลังหายนะ (After the Cataclysm)\" (2522) ซึ่งพิมพ์หลังจากที่เขมรแดงหมดอำนาจแล้ว\nนักวิชาการกัมพูชาชาวอเมริกัน-กัมพูชาที่เป็นผู้ลี้ภัยด้วยกล่าวว่า \"เป็นหนังสือที่สนับสนุนการปฏิวัติของเขมรมากที่สุดเล่มหนึ่ง\" ที่ผู้เขียนสองท่าน \"ประพฤติเท่ากับป้องกันเขมรแดงโดยซ่อนอยู่ภายใต้การโจมตีสื่อ\"\nในหนังสือของชอมสกี พวกเขายอมรับว่า \"บันทึกความโหดร้ายในกัมพูชามีแก่นสารและบ่อยครั้งน่าสยดสยอง\" แต่ตั้งข้อสงสัยในจำนวน ซึ่งเชื่อว่า อาจขยาย \"เป็น 100 เท่า\"\nเพราะนโยบายการเกษตรของเขมรแดงได้มีรายงานว่าได้ผลที่ \"น่าตื่นตา\"",
"หมวดหมู่:เมืองหลวงในทวีปเอเชีย หมวดหมู่:ประเทศกัมพูชา หมวดหมู่:เมืองในประเทศกัมพูชา",
"พระมหากษัตริย์ กัมพูชา พระองค์ต่อไป ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ก่อน และไทยก็ใช้นามเดิมเรียกว่า พระยาละแวก เคยส่งพระอนุชามาช่วยการศึกกับพม่า แต่มีเรื่องบางอย่าง ขัดพระทัยกันในภายหลัง ทำให้กัมพูชามีการปล้นเมืองชายแดน กวาดต้อนหัวเมืองสยามอีก และเมื่อพระนเรศวรขึ้นครองราชย์ ทรงตั้งพระทัยว่าจะจัดทัพ ไปตีเมืองละแวก แต่ติดศึกด้านอื่น หลังสงครามยุทธหัตถึ เสร็จศึกกับหงศาวดี และยึดได้ตะนาวศรี ทวาย มะริด พระนเรศวรมหาราช ได้จัดทัพสี่ทัพ เข้าตีกัมพูชา ทั้งทางบกและทางทะเล จนเข้าถึงเมืองละแวก เมืองหลวงขณะนั้น ในพงศาวดารบางแห่งบอกว่ามีการพิธีประถมกรรม แต่ในหลายแห่งข้อมูลสมัยใหม่ มีการวิจัยไม่ตรงกัน และมีข้อมูลว่าพระยาละแวกหนีไปทางลาว อย่างไรก็ตาม ทัพไทยได้กวาดต้อน ชาวเมือง และชาวพระราชวัง ทั้งขุนนาง และฝ่ายใน จำนวนมาก มาชุบเลี้ยงตั้งบ้านเรือนในสยาม",
"กัมพูชาประชาธิปไตย ( \"กมฺพุชาบฺรชาธิบเตยฺย\"; ) คือ ชื่อของประเทศกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2522 ซึ่งเกิดจากการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอลนอล และได้จัดปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์โดยพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเขมรแดง ในสมัยนี้องค์กรของรัฐบาลมักเรียก \"องค์การเหนือ\" ( \"องฺคการเลี\") ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชานั้น แกนนำของพรรคให้เรียกชื่อว่า \"องค์การปฏิวัติ\" (; \"องฺคการบฎิวตฺต\") โดยผู้นำสูงสุดของประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคือนายพล พต ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงด้วย",
"วิทยาสถานปัจเจกวิทยากัมพูชา ( \"วิทฺยาสฺถานบจฺเจกวิทฺยากมฺพุชา\", , ; ITC) เป็นสถาบันอุดมศึกษาทางด้านเทคโนโลยีซึ่งตั้งในปี ค.ศ. 1964 ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือกันระหว่างกัมพูชาและสหภาพโซเวียต ขณะนั้น ใช้ชื่อว่า วิทยาสถานปัจเจกเทศชั้นสูงมิตรภาพเขมรโซเวียต (; , ) จนถึงปัจจุบันผลิตบุคคลากรไปแล้วกว่าหนึ่งหมื่นคนแล้ว ซึ่งโดยมากมักจะทำงานทางด้านเศรษฐกิจ และ โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ",
"ยุคมืดของกัมพูชา เริ่มตั้งแต่อาณาจักรอยุธยาได้โจมตีอาณาจักรเขมร และ ได้เผา พระนคร เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร ราบเป็นหน้ากลอง ทำให้อาณาจักรเขมรเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศตั้งแต่บัดนั้นมา เขมรเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาในฐานะดินแดนประเทศราช อาณาจักรอยุธยาปกครองเขมรเป็นเวลาเกือบ 400 ปี ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์เขมรตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิสยามอย่างเข้มงวด ในสมัยรัชกาลที่3 ได้เกิด สงครามอานามสยามยุทธทำให้กัมพูชาเป็นรัฐอารักขาระหว่างสยามกับญวณ ก่อนที่จะตกเป็นของฝรั่งเศสในเวลาต่อมา",
"ในช่วงนี้ ฝรั่งเศสพยายามจะลิดรอนอำนาจของกษัตริย์กัมพูชาและเพิ่มอำนาจให้ผู้ว่าการสูงสุดของฝรั่งเศส แต่พระองค์ไม่ยินยอม พระโอรสของพระองค์คือพระยุคนธรได้เดินทางไปยังฝรั่งเศสเพื่อคัดค้านนโยบายนี้จนถูกถอดจากบรรดาศักดิ์และต้องลี้ภัยไปสยาม ฝ่ายฝรั่งเศสก็ได้ทำการย้ายเมืองหลวงจากกรุงอุดงไปที่พนมเปญซึ่งพระองค์ทรงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งแต่ทางการฝรั่งเศสก็ได้ทำใบแจ้งเรื่องย้ายเมืองหลวงและบังคับให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยจนสำเร็จ พระองค์จึงสละราชบัลลังก์เป็นการคัดค้านการกระทำของฝรั่งเศสและเสด็จไปพำนักที่สยาม ทางการฝรั่งเศสก็ไม่ให้การสนใจต่อการเคลื่อนไหวของพระนโรดมอีกเลยและได้ให้พระสีสุวัตถิ์พระอนุชาของพระองค์ที่นิยมฝรั่งเศสขึ้นสืบสมบัติต่อ ส่วนพระนโรดมได้เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2447 ที่กรุงเทพมหานคร ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทางราชสำนักสยามได้อัญเชิญพระบรมศพกลับสู่กัมพูชา พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพมีขึ้นที่กรุงพนมเปญ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2449 ปัจจุบันมีพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของพระองค์อยู่ในวัดอุดง",
"ต้น พ.ศ. 2518 กองกำลังคอมมิวนิสต์ได้วางระเบิดตัดเส้นทางชายฝั่งแม่น้ำที่ใช้ลำเลียงอาหารและอาวุธเข้าสู่กรุงพนมเปญ[36] และนำกำลังปิดล้อมเมืองหลวงเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อเตรียมการบุกยึด ในที่สุด หลังจากการหลบหนีออกจากกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีลอน นอล ในเดือนมีนาคมของปีเดียวกัน และความพยายามของสหรัฐอเมริกา ที่จะนำฝ่ายคอมมิวนิสต์มาเจรจากับฝ่ายรัฐบาล ไม่เป็นผล กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ที่นำโดยกลุ่มเขมรแดงของซาลอธ ซาร์ ก็เข้าบุกยึดกรุงพนมเปญ ในเช้าตรู่วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 ซึ่งตรงกับวันปีใหม่ของชาวกัมพูชา (เหตุที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เลือกวันนี้เป็นวันบุกยึด เพราะต้องการให้ปีใหม่ปีนั้นเป็นปีเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของกัมพูชาใหม่ทั้งหมด) [37]",
"กัมพูชาประชาธิปไตย (English: Democratic Kampuchea; French: Kampuchea démocratique; Khmer: កម្ពុជាប្រជាធិបតេយ្យ อ่านว่า ก็อมปูเจียประเจียทิปะเต็ย) คือชื่อของประเทศกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2522 ซึ่งเกิดจากการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอลนอล และได้จัดปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์โดยพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเขมรแดง ในสมัยนี้องค์กรของรัฐบาลจะถูกอ้างถึงในชื่อ \"อังการ์เลอ\" (Khmer: អង្គការលើ; องฺคการเลี - องค์การบน หรือ หน่วยเหนือ) ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชานั้น แกนนำของพรรคให้เรียกชื่อว่า \"อังการ์ปะเดะวัด\" (Khmer: អង្គការបដិវត្ត; องฺคการปฏิวัตฺติ - องค์การปฏิวัติ) โดยผู้นำสูงสุดของประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคือนายพล พต ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงด้วย",
"เมืองหลวง (ราชธานี) และจังหวัด (เขต) เป็นเขตการปกครองระดับแรกสุดของประเทศกัมพูชา แบ่งเป็น 25 จังหวัด (รวมเมืองหลวง) แต่ละจังหวัดจะแบ่งเป็นเทศบาลและอำเภอ ซึ่งเป็นเขตการปกครองระดับที่สอง มีทั้งหมด 159 อำเภอ และ 26 เทศบาล แต่ละอำเภอและเทศบาลแบ่งเป็นตำบล และแต่ละตำบลแบ่งเป็นหมู่บ้าน",
"นอกจากการสนับสนุนการรุกรานและการควบคุมของเวียดนามแล้ว รวมทั้งการสูญเสียเอกราชในระหว่างนี้[13] ระบอบใหม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนที่หวาดกลัวเขมรแดง[14] แต่เมืองหลวงคือพนมเปญก็ต้องตกอยู่ในความว่างเปล่า เพราะทหารเวียดนามขนส่งสินค้ากลับไปเวียดนาม ภาพพจน์ด้านนี้ถูกนำไปเผยแพร่โดยฝ่ายต่อต้านสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา[15] อย่างไรก็ตาม การคงอยู่ของกองทัพเวียดนามก็มีประโยชน์ในการบูรณะเมืองใหม่หลังจากถูกเขมรแดงทำลายไปโดยสิ้นเชิง[16]",
"ในขณะที่นักองค์เองลี้ภัยอยู่ที่กรุงเทพฯ เวียดนามเข้าไปมีอำนาจในกัมพูชา จัดให้ขุนนางเวียดนามมาปกครอง รัชกาลที่ 1 จึงโปรดให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองเขมร เป็นเวลาถึง 12 ปี จนกระทั่งรบกับเวียดนามจนได้รับชัยชนะ ตั้งเมืองหลวงที่เมืองอุดงค์มีชัยหรือเมืองบันทายเพชรได้ใน พ.ศ. 2333 สถานการณ์เหตุการณ์วุ่นวายสงบลง จึงโปรดขอพระราชทานให้นักองค์เองออกไปครองกรุงกัมพูชา เมื่อทรงอภิเษกนักองค์เองกลับไปครองกรุงกัมพูชานั้น รัชกาลที่ 1 ทรงขอหัวเมืองเขมร คือ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน อภัยวงศ์) ปกครองโดยสิทธิ์ขาดถึงเก็บภาษีได้เอง ขึ้นการปกครองตรงต่อกรุงเทพฯ นักองค์เองทรงยินยอมดินแดนเขมรส่วนนี้จึงตกเป็นของไทยมาแต่บัดนั้น ส่วนเขมรตอนนอกนั้นนักองค์เองคงปกครองอย่างประเทศราชของกรุงสยามต่อมา",
"พุทธศตวรรษที่ 24 ฝรั่งเศสเริ่มเข้ามามีบทบาทในอินโดจีน และใน พ.ศ. 2410 กัมพูชาก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส จนถึงปี พ.ศ. 2497 จึงได้อิสรภาพคืนมา และเรียกชื่อประเทศว่า พระราชอาณาจักรกัมพูชา มีเมืองหลวงชื่อ พนมเปญ มีกษัตริย์ครองราชย์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2483 พระนามว่า พระเจ้านโรดมสีหนุ พระเจ้านโรดมสีหนุสละราชสมบัติให้พระเจ้านโรดมสุรามฤตพระบิดาขึ้นครองราชแทน พระองค์มาตั้งพรรคการเมืองชื่อ สังคมราษฎร์นิยม และได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อพระบิดาสวรรคต จึงทรงเป็นประมุขรัฐโดยไม่ได้ครองราชย์ พระเจ้านโรดมสีหนุ ทรงคิดตั้งทฤษฎี พุทธสังคมนิยม โดยการปกครองที่ยึดหลักพุทธธรรมเป็นหลักในการบริหารประเทศ ในช่วงนี้ประเทศแถบเอเซียอาคเนย์กำลังอยู่ในภาวะการต่อสู้ ระหว่างลัทธิคอมมิวนิสต์ กับลัทธิประชาธิปไตย ",
"เมา อายุทธ นักเขียนรางวัลซีไรต์คนที่สามของกัมพูชา เกิดเมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 ที่จังหวัดกำปงจาม เริ่มสนใจงานเขียนตั้งแต่เรียนวิทยาลัยสีสุวัตถิ์ และหันมาศึกษาการเขียนบทภาพยนตร์ในช่วง พ.ศ. 2506 – 2508 หลังจากนั้น เขาเข้าร่วมงานกับ TVRK และได้เป็นผู้กำกับ หลังจากพนมเปญแตกใน พ.ศ. 2518 เขาถูกกวาดต้อนไปอยู่นอกเมืองหลวง และกลับสู่พนมเปญหลังจากระบอบเขมรแดงล่มสลายใน พ.ศ. 2522 และเข้าทำงานในด้านภาพยนตร์ ได้เป็นผู้อำนวยการสร้างโทรทัศน์แห่งชาติของกัมพูชาใน พ.ศ. 2537\nนอกจากงานด้านภาพยนตร์ อายุทธยังเขียนนวนิยายเกี่ยวกับสังคมละวิถีชีวิต ได้รับรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ของประเทศกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2544",
"ยุคมืดของกัมพูชา เริ่มตั้งแต่อาณาจักรอยุธยาได้โจมตีอาณาจักรเขมร และ ได้เผา พระนคร เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร ราบเป็นหน้ากลอง ทำให้อาณาจักรเขมรเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศตั้งแต่บัดนั้นมา เขมรเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาในฐานะดินแดนประเทศราช อาณาจักรอยุธยาปกครองเขมรเป็นเวลาเกือบ 400 ปี ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์เขมรตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิสยามอย่างเข้มงวด ในสมัยรัชกาลที่3 ได้เกิด สงครามอานามสยามยุทธทำให้กัมพูชาเป็นรัฐอารักขาระหว่างสยามกับญวณ ก่อนที่จะตกเป็นของฝรั่งเศสในเวลาต่อมา",
"สายการบินแคมโบเดียอังกอร์แอร์ () เป็นสายการบินประจำชาติ ของประเทศกัมพูชา มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่พนมเปญซึ่งเป็นเมืองหลวง เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์วันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 มีรัฐบาลกัมพูชาเป็นเจ้าของ (51%) ร่วมกับสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ (49%) ซึ่งใช้ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน เครื่องบินส่วนใหญ่เช่ามาจากเวียดนามแอร์ไลน์",
"หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า \"สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี\" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า \"สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี\" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า \"ประเทศเยอรมนีตะวันตก\" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบ็อน และ \"ประเทศเยอรมนีตะวันออก\" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก",
"น้ำ ข้าว และปลาน้ำจืดเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมากต่ออาหารกัมพูชา แม่น้ำโขงไหลผ่านใจกลางประเทศกัมพูชา เมืองหลวงของประเทศคือพนมเปญตั้งอยู่ระหว่างจุดตัดของแม่น้ำโขงกับแม่น้ำโตนเลสาบและแม่น้ำบาสัก ทำให้กัมพูชามีปลาน้ำจืดอุดมสมบูรณ์ และเหมาะสมต่อการปลูกข้าว ในปัจจุบันอาหารกัมพูชามีความใกล้เคียงกับอาหารของประเทศเพื่อนบ้านคืออาหารไทยในด้านการใช้พริก น้ำตาลหรือกะทิ และอาหารเวียดนามในด้านที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารฝรั่งเศสเช่นกัน และยังได้รับอิทธิพลจากอาหารจีนอีกด้วย โดยเฉพาะอาหารจำพวกที่ใช้เส้นก๋วยเตี๋ยว อาหารจำพวกแกงที่ในภาษาเขมรเรียกว่า \"การี\" (ការី) แสดงถึงอิทธิพลของอาหารอินเดีย และยังมีอิทธิพลบางส่วนจากอาหารโปรตุเกสและอาหารสเปน ซึ่งเป็นผลจากการติดต่อค้าขาย อย่างไรก็ตามอาหารกัมพูชาไม่ได้มีรสจัดเท่าอาหารไทย อาหารลาว และอาหารมาเลเซีย",
"รัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อสหภาพแห่งชาติและการปลดปล่อยแห่งชาติกัมพูชา (Provisional Government of National Union and National Salvation of Cambodia: PGNUNSC) เป็นรัฐบาลเฉพาะกาลที่ตั้งขึ้นโดยเขมรแดงเมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อต่อต้านการจัดตั้งราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีคือ เขียว สัมพัน ซึ่งเป็นหัวหน้ากองทัพด้วย ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศคือซอน เซน ทีมงานเป็นสมาชิกพรรคสามัคคีแห่งชาติกัมพูชา บริเวณที่ควบคุมได้คือจังหวัดไพลิน (เมืองหลวงของรัฐบาลเฉพาะกาล)และจังหวัดพระวิหาร (ที่ตั้งของกองทัพ) สถานีวิทยุของเขมรแดงเป็นที่รู้จักว่าเป็นวิทยุของรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อสหภาพแห่งชาติและการปลดปล่อยแห่งชาติกัมพูชา รัฐมนตรีอื่นๆได้แก่ จัน ยัวราน มัก เบน อิน โซเพียบ กอร์บุนเฮง พิช เชียง และเชา เชือน.",
"หลังกรุงแตก นักองค์โนนร่วมกับก๊กของพระยาตาก จนสามารถสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงได้สำเร็จ หลังจากนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพยายามที่จะช่วยสถาปนานักองค์โนนให้เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยยกทัพไปตีเมืองบันทายเพชรถึงสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2312 แต่ไม่ทันสำเร็จ มีข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จสวรรคต จึงเลิกทัพกลับมาก่อน อีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2314 ซึ่งหลักฐานทางฝ่ายไทยกล่าวว่าตีได้เมืองบันทายเพชร นักองค์ตนหนีไปเวียดนาม จึงอภิเษกให้นักองค์โนนขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชา แต่หลักฐานทางกัมพูชากล่าวว่า สยามตีเมืองบันทายเพชรไม่สำเร็จ จึงให้นักองค์โนนประทับอยู่ที่เมืองกำปอต จน พ.ศ. 2318 เวียดนามที่สนับสนุนนักองค์ตนอ่อนแอลง นักองค์ตนจึงถวายราชสมบัติแก่นักองค์โนน",
"พรรคนโรดม รณฤทธิ์ (Norodom Ranariddh Party; NRP) เป็นพรรคการเมืองที่จัดตั้งในกัมพูชาโดยพระนโรดม รณฤทธิ์ หลังจากที่พระองค์แยกตัวออกมาจากพรรคฟุนซินเปกที่พระองค์เคยเป็นผู้นำอยู่ เดิมพรรคนี้ชื่อพรรคแห่งชาติเขมร และเปลี่ยนมาใช้ชื่อพรรคนโรดม รณฤทธิ์เมื่อ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 และให้พระนโรดม รณฤทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค ในช่วง พ.ศ. 2551 – 2553 พรรคนี้ใช้ชื่อว่าพรรคชาตินิยม\nพรรคนี้มีแนวคิดทางการเมืองหลายอย่างอยู่ด้วยกัน อย่างแรกคือแนวคิดฝ่ายขวาสนับสนุนการอนุรักษ์เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกัมพูชา ปรับปรุงเมืองหลวงคือพนมเปญให้มีความทันสมัย คงไว้ซึ่งเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรมเขมร ลดการขึ้นราคาสินค้าและการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ในทำนองเดียวกัน มีนโยบายฝ่ายซ้ายด้วย เช่น ส่งเสริมสิทธิของผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งแนวคิดเสรีนิยม ในการสนับสนุนเสรีภาพ ประชาธิปไตยและการใช้กฎหมาย\nพรรคนี้ได้จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรกับพรรคสมรังสี พรรคฟุนซินเปกและพรรคสิทธิมนุษยชน เพื่อต่อสู้กับพรรคประชาชนกัมพูชาแต่ก็เป็นฝ่ายแพ้การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2551 ซึ่งพรรคเหล่านี้กล่าวหาว่าพรรคประชาชนกัมพูชาทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ",
"นกกระจิบกัมพูชา () เป็นชนิดของนกซึ่งถูกค้นพบในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา ในปี 2552 ระหว่างการสืบสวนไข้หวัดนก ในปี 2556 มีการกำหนดให้เป็นชนิดใหม่และมีการอธิบายอย่างเป็นทางการ นกกระจิบกัมพูชาเป็นนกเล็ก มีปอยสีส้มแดงบนหัว นกกระจิบกัมพูชาเป็นสัตว์ประจำถิ่นของประเทศกัมพูชา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะจำกัดอยู่เฉพาะถิ่นที่อยู่ไม้พุ่มดกในที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงของแม่น้ำโขง",
"เพลงสิบเจ็ดเมษามหาโชคชัย ( \"ฎบ่บฺรำพีรเมสามหาโชคชัย\") เป็นเพลงชาติของประเทศกัมพูชา ในสมัยที่ใช้ชื่อว่า \"กัมพูชาประชาธิปไตย\" แต่งขึ้นเพื่อระลึกถึงความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมร และการสถาปนารัฐกัมพูชาใหม่ในนาม \"กัมพูชาประชาธิปไตย\" เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 เนื้อหากล่าวถึงการเสียสละของเหล่านักรบทั้งชายและหญิงในการก่อตั้งรัฐกัมพูชาและสังคมใหม่ และประกาศปณิธานว่าจะทำให้กัมพูชามีความรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่กว่าสมัยพระนคร ",
"อำเภอพนัสนิคมแบ่งออกเป็น 20 ตำบล แต่ละตำบลแบ่งย่อยออกเป็นหมู่บ้านรวม 185 หมู่บ้าน\nท้องที่อำเภอพนัสนิคมประกอบด้วยการปกครองส่วนท้องถิ่น 20 แห่ง ได้แก่นิทานเรื่องพระรถ-เมรี แพร่หลายในหมู่ชาวสองฝั่งโขง ยังบอกเล่าเรื่องพระรถ-มรี กับสถานที่ต่างๆที่นั่นด้วยจนทุกวันนี้ \nเรื่องพระรถ-เมรีนี้จัดเป็นชาดกนอกนิบาต ซึ่งหมายถึงชาดกที่แต่งขึ้นโดยอาศัยเค้าโครงจากนิทานพื้นบ้าน และไม่พบต้นฉบับในพระไตรปิฎก เรื่องพระรถกับนางเมรีนี้คงเป็นของผู้คนแถบสองฝั่งโขงมาแต่ดึกดำบรรพ์ จึงได้ถูกบันทึกไว้ในรูปของชาดกเรื่องหนึ่ง โดยพระสงฆ์ชาวเชียงใหม่ ราว พ.ศ. 2000 ถึง 2200 และจดไว้ในใบลานจำนวน 50 ผูก รู้จักกันในชื่อว่า “ปัญญาสชาดก”\nในคำอธิบายต้นเล่ม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกไว้ว่าคัมภีร์ปัญญาสชาดก เรื่องรถเสนฃาดก “เดี๋ยวนี้เห็นจะมีอยู่แต่ในประเทศสยาม กับที่เมืองหลวงพระบางแลที่กรุงกัมพูชา” ซึ่งก็หมายความว่านิทานเหล่านี้น่าจะจัดเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ของดินแดนสุวรรณภูมินั่นเองในปัญญาสชาดก เรื่องรถเสนชาดก เรียกนางเมรีว่า นางกังรี แล้วยังมีฉบับอื่นๆ อีกมากมายที่เรียกชื่อตัวละครเพี้ยนกันไปต่างๆ เช่นในพงศาวดารล้านช้างเรียกนางเมรีว่า นางกางรี ",
"เพลงชาติสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา เป็นเพลงชาติของประเทศกัมพูชา ในสมัยที่ใช้ชื่อว่า \"สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา\". เรียบเรียงทำนองโดย Sok Udom Deth. ภายหลังการโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดง โดยกองทัพประชาชนเวียดนาม; ข้อมูลบางแหล่งจากซีกโลกตะวันตกได้กล่าวถึง เพลงสิบเจ็ดเมษามหาโชคชัย ใช้เป็นเพลงชาติของแนวร่วมเขมรสามฝ่ายจนถึง พ.ศ. 2536",
"ประเทศกัมพูชาได้มีธงประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ธงนี้เรียกชื่อว่า \"ธงมหาราช\" เช่นเดียวกับในภาษาไทย ในสมัยราชอาณาจักรกัมพูชายุค พ.ศ. 2491 -2512 ธงนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยม พื้นนอกสีแดง พื้นในสีน้ำเงิน กลางเป็นรูปตราแผ่นดินของกัมพูชาอย่างย่อ ในแบบลายเส้นสีทอง ต่อมาเมื่อมีการฟื้นฟูราชอาณาจักรอีกครั้งใน พ.ศ. 2536 จึงได้เปลี่ยนธงใหม่เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นสีน้ำเงิน กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน กลางเป็นรูปตราแผ่นดินของกัมพูชา ซึ่งใช้สืบมาจนถึงทุกวันนี้"
] |
ริวเซย์โนะร็อคแมน วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อไหร่? | [
"ริวเซย์โนะร็อคแมน () หรือ เมกาแมนสตาร์ฟอร์ซ (Mega Man Star Force) เป็นวิดีโอเกมประเภทเกมเล่นตามบทบาทจากประเทศญี่ปุ่น เป็นเกมที่เล่นด้วยนินเทนโดดีเอส ซึ่งอยู่ในเกมชุดร็อคแมนและเป็นเกมแรกสุดในซีรีส์เกมริวเซย์โนะร็อคแมน ผลิตโดยแคปคอม โดยวางจำหน่ายในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2006 ที่ประเทศญี่ปุ่น และ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2007 ที่สหรัฐอเมริกา โดยตัวเกมออกวางจำหน่าย 3 เวอร์ชัน ได้แก่ เลโอ, ดราก้อนและเพกาซัส อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันดราก้อนเป็นรุ่นพิเศษในอเมริกาเหนือผ่านทางเกมสต็อปสโตร์[1] ในขณะที่สหราชอาณาจักร มีเวอร์ชันเพกาซัสผ่านทาง Play.com โดยแต่ละเวอร์ชันจะแตกต่างกันที่ตัวละครที่ชื่อว่า \"ผู้ดูแลดาวเทียม\" ซึ่งผู้เล่นจะได้สู้กับตัวละครที่ต่างกันออกไปในแต่ละเวอร์ชัน รวมถึงระบบเปลี่ยนร่างซึ่งร็อคแมนจะเปลี่ยนร่างได้ต่างกันตามแต่ละเวอร์ชัน อย่างไรก็ตามผู้เล่นสามารถเปลี่ยนเป็นร่างของเวอร์ชันอื่นได้โดยใช้ระบบบราเธอร์แบนด์"
] | [
"ร็อคแมน 8 เมทัลฮีโร่ส์ () หรือ เมกาแมน 8 (Mega Man 8) เป็นวิดีโอเกมซีรีส์ร็อคแมนลำดับที่ 8 โดยเกมนี้จำหน่ายโดยเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1996 และจัดจำหน่ายอีกครั้งในเครื่องเล่นเกม เซก้า แซทเทิร์น ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1997",
"ร็อคแมน X4 () หรือ เมกาแมน X4 (Mega Man X4) เป็นวิดีโอเกมชุดที่ 4 ของซีรีส์ร็อคแมน X วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1997 ที่ประเทศญี่ปุ่น ลงเครื่องเล่นเกมแพลตฟอร์มเพลย์สเตชันและเซก้าแซทเทิร์น",
"หากผู้เล่นสามารถโจมตีได้ 300 HP ขึ้นไปในการโจมตี 1 ตาสำหรับหัวหน้าระดับ SP ผู้เล่นจะได้บันทึก combo รูปแบบการโจมตีนั้นเป็น Best Combo ซึ่งสามารถไปซื้อการ์ดที่มีลักษณะ combo รูปแบบการโจมตีเหมือนกันทุกประการได้ในภายหลัง",
"(in Japanese) (in Japanese)",
"ฮาซามิ คิโยคิชิ (狭見 千代吉, Claud Pincer) / แคนเซอร์บับเบิ้ล (キャンサー・バブル, Cancer Bubble) แคนเซอร์ (キャンサー, Cancer) FM ประเภทปู โองามิ จูโระ (尾上 十郎, Damian Wolfe) / วูลฟ์ฟอเรส (ウルフ・フォレスト, Wolf Woods) วูลฟ์ (ウルフ, Wolf) FM ประเภทหมาป่า ฌอน คุรอนเน่ เวลมอนด์ โจโจวอนเน่ ที่ 14 (ジャン・クローヌ・ヴェルモンド・ジョルジョワーヌ14世, Jean Couronne Welmond Jour Jovonne XIV) / คราวน์ธันเดอร์ (クラウン・サンダー, Crown Thunder) คราวน์ (クラウン, Crown) FM ประเภทมงกฎ",
"เนื้อเรื่องทั้งหมด ของร็อคแมนนั้นได้รับการเปิดเผยว่าอยู่บนโลกใบเดียวกัน ยกเว้นภาคร็อคแมนเอ็กเซ่และริวเซย์โนะร็อคแมน ซึ่งแยกออกมาเป็นอีกโลกหนึ่ง",
"ริวเซย์โนะร็อคแมน 2 () หรือ เมกาแมน สตาร์ฟอร์ซ 2 (Mega Man Star Force 2) เป็นวิดีโอเกมลำดับที่ 2 ของซีรีส์ริวเซย์โนะร็อคแมน ออกวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 โดยภาคนี้ถูกแบ่งเป็น 3 แบบออกจำหน่าย 2 แบบคือ เบอร์เซิร์ก x ไดโนซอร์ (ベルセルク x ダイナソー,Zerker × Saurian) ,เบอร์เซิร์ท x ชิโนบิ (ベルセルク x シノビ,Zerker × Ninja)",
"ริวเซย์โนะร็อคแมน ริวเซย์โนะร็อคแมน 2 ริวเซย์โนะร็อคแมน 3",
"ร็อคแมน X2 () หรือ เมกาแมน X2 (Mega Man X2) เป็นวิดีโอเกมชุดที่ 2 ของซีรีส์ร็อคแมน X โดยวางจำหน่ายในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1994 และวางจำหน่ายในต่างประเทศเมื่อช่วงเดือน มีนาคม ค.ศ. 1995 ที่สหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป โดยวางจำหน่ายในเครื่องซูเปอร์แฟมิคอม",
"ร็อคแมน X3 () หรือ เมกาแมน X3 (Mega Man X3) เป็นวิดีโอเกมชุดที่ 3 ของซีรีส์ร็อคแมน X โดยวางจำหน่ายในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1995 ที่ประเทศญี่ปุ่น และวางจำหน่ายในต่างประเทศเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1996 ที่สหรัฐอเมริกา และวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1996 ที่ทวีปยุโรป วางจำหน่ายในเครื่องซูเปอร์แฟมิคอมและเป็นเกมสุดท้ายของซีรีส์ร็อคแมน X ที่ลงในเครื่องซูเปอร์แฟมิคอม ในปีต่อมาได้จัดจำหน่ายอีกครั้งในเครื่องเล่นเกม เพลย์สเตชัน และ เซกา แซทเทิร์น เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996 แต่ภายหลังได้มีการจัดจำหน่ายอีกครั้งบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1997",
"แทนที่จะใช้การ์ดโจมตี ผู้เล่นอาจจะใช้ Mega Buster (ปืนธรรมดา) โจมตีได้ตลอดการต่อสู้ และระหว่างเกม ผู้เล่นสามารถเก็บอุปกรณ์อัปเกรดต่างๆ ให้วอร์ร็อคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Mega Buster ทั้งพลัง ความเร็ว และการชาร์จ ผู้เล่นสามารถปล่อย Mega Buster ไว้พักหนึ่ง เพื่อให้ชาร์จอัตโนมัติและยิงกระสุนที่รุนแรงขึ้น แต่ผู้เล่นสามารถกดปุ่มค้างไว้เพื่อยิงแบบรัวๆ แทนก็ได้ เมื่อการต่อสู้จบลง เกมจะแสดงระดับความสามารถในการโจมตีให้ดู โดยวัดจากปัจจัยหลายอย่างเช่นความเร็ว และความรุนแรงในการโจมตี ยิ่งได้ระดับที่ดีมากเท่าไร ก็จะได้ของรางวัลที่ดีมากขึ้นเท่านั้น (เช่น เซนนี (เงิน) จำนวนมากๆ หรือแบทเทิลการ์ดที่หายาก)",
"เพกาซัสเมจิก (ペガサス・マジック) เลโอคิงดอม (レオ・キングダム) ดราก้อนสกาย (ドラゴン・スカイ)",
"ร็อคแมน (ロックマン, Mega Man ในภาษาอังกฤษ) ในเกมต้นฉบับเป็นหุ่นยนต์งานบ้านของดร.โธมัส ไลท์โดยมีหน้าตาและสวมเสื้อผ้าเหมือนมนุษย์ ภายหลังจากที่ดร.อัลเบิร์ต ไวลี่เข้าแทรกแซงหุ่นยนต์ของดร.ไลท์ให้กลายเป็นหุ่นยนต์ชั่วร้าย ดร.ไลท์จึงได้ทำการสร้างบลูส์ แต่ปรากฏว่าบลูส์หายตัวไป ดร.ไลท์จึงได้ทำการดัดแปลงร็อคแมนให้กลายมาเป็นหุ่นยนต์สำหรับต่อสู้แทน โดยเปลี่ยนร่างกายเป็นสีฟ้าและสวมหมวก\nในร็อคแมนภาคแรกสุด ร็อคแมนจะมีความสามารถในการยิงและกระโดดเท่านั้น แต่ความสามารถหลักๆของร็อคแมนคือการดูดกลืนความสามารถของหุ่นยนต์ตัวอื่นให้มาเป็นอาวุธของตนเองได้ และในภาคหลังๆดร.ไลท์ก็ได้เพิ่มความสามารถชาร์จยิง, สไลด์ รวมทั้งหุ่นยนต์ช่วยเหลือทั้งรัชและบีทอีกด้วย\nร็อคแมน X (ロックマンエックス, Mega Man X ในภาษาอังกฤษ) หรือถูกเรียกย่อๆว่า X คือชื่อของร็อคแมนในเกมร็อคแมน X ซึ่งแท้จริงแล้วร็อคแมน X ไม่ใช่ที่ร็อคแมนตื่นจากการหลับใหลนานนับร้อยปี แต่ X เป็นหุ่นตัวใหม่ที่ โทมัส ไรท์ สร้างขึ้นในบั้นปลายชีวิต โดยใส่ข้อมูลความสามารถหลักๆของร็อคแมน เป็นอิเรกูลาร์ฮันเตอร์\nร็อค วอลนัท (Mega Man Volnutt ในภาษาอังกฤษ) ในเกมร็อคแมนแดช เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกบาร์เรล แคสเก็ทค้นพบจากการหลับใหลนับร้อยๆปี\nร็อคแมนเอ็กเซ่ (Mega Man.Exe ในภาษาอังกฤษ) เป็นชื่อของร็อคแมนจากเกมร็อคแมนเอ็กเซ่เน็ตนาวิของ ฮิคาริ เน็ตโตะ (Lan Hikari ในภษาอังกฤษ) ในเกมได้เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเขาคือ ฮิคาริ ไซโตะ (Hub Hikari ในภาษาอังกฤษ) พี่ชายของเน็ตโตะ แต่หลังจากเกิดได้ไม่นานเขาก็เสียชีวิต ฮิคาริ ยูอิจิโร่ พ่อของเขาจึงถ่ายทอดความทรงจำบางอย่างมาสร้างเป็นร็อคแมน.Exe ให้ร็อคแมน.Exe เป็นนาวิแบบพิเศษที่มีหน่วยความจำและความสามารถมากกว่านาวิทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นสไตล์เชนจ์, โซลยูนิชั่น, ครอสฟิวชั่น, บีสต์เอาท์\nร็อคแมน ZX คือการรวมร่างกันระหว่าง โมเดล X และ โมเดล Z โดยที่ตัวเอกทั้งสองของเกมร็อคแมน ZX วานและเอล อีกทั้งในภายหลังทั้งสองจะได้รับโมเดลเพิ่มเติมและสามารถเปลี่ยนร่างเป็น ร็อคแมน HX, ร็อคแมน FX, ร็อคแมน PX, ร็อคแมน LX, ร็อคแมน OX\nร็อคแมน ในเกม ริวเซย์โนะร็อคแมน ชื่อจริงของเขาคือ โฮชิคาวะ ซูบารุ (星河スバル, Geo Stelar ในภาษาอังกฤษ) เด็กผู้ชายอายุ 11 ปี ภายหลังจากได้พบกับ วอร์ร็อค (ウォーロック, Omega-Xis ในภาษาอังกฤษ) ทั้งสองร่วมมือกันให้ซูบารุแปลงร่างเป็นร็อคแมนและเข้าสู่โลกคลื่นไฟฟ้าได้",
"หลังจากที่ยุคของ K8 ก็มี K10 เข้ามาแทน.ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2007 , เอเอ็มดีก็ได้จำหน่ายโปรเซสเซอร์ K10 ตัวแรกโดยมีวางจำหน่ายต่อจากโปรเซสเซอร์ออพเทอรอนยุคที่ 3 ซึ่งมีสี่แกนประมวลผล. เรียกกันว่า ฟีน่อม ซึ่งเป็นโปรเซสซอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล. สถาปัตยกรรมโปรเซสเซอร์แบบ K10 นั้นออกแบบมาให้เหมาะสมสำหรับหน่วยประมวลผลแบบ ดูอัลคอร์ ทริปเปิ้ลคอร์ และ คอว์ดคอร์,[19] , โดยที่ทุกแกนประมวลผลนั้นอยู่บน Die เดียวเท่านั้น. ขณะเดียวกันเองเอเอ็มดีก็ได้วางจำหน่ายแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า \"สไปเดอร์\", ซึ่งหมายถึงการทีในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นมี โปรเซสเซอร์ฟีน่อม, ชิปกราฟิก R770 และชิปเซ็ต790 GX/FX จาก ชิปเซ็ตเอเอ็มดีซีรีส์ 700.",
"ร็อคแมนเอ็กเซ่ BEAST+ เป็นผลงานภาพยนตร์อนิเมะชุดสุดท้ายของของร็อคแมนเอ็กเซ่โดยภาคนี้มีเนื้อหาที่สั้นเพียง 10 นาทีต่อตอน โดยระยะเวลาการออกอากาศของภาคนี้ทำให้อนิเมะต่อจาก ร็อคแมนเอ็กเซ่ BEAST+ คือ ริวเซย์โนะร็อคแมน มีผลกระทบไปด้วย",
"ริวเซย์โนะร็อคแมนยังคงใช้ระบบธาตุในการโจมตี ในเกมจะมี 4 ธาตุ คือ Heat (ไฟ) Aqua (น้ำ) Elec (ไฟฟ้า) Wood (ไม้) โดยคู่ต่อสู้บางตัว และร็อคแมนบางร่าง จะมีธาตุประจำตัวอยู่ หากถูกโจมตีด้วยธาตุที่เหนือกว่า พลังจะลดลงเป็นสองเท่า ลำดับคือ Heat แพ้ Aqua แพ้ Elec แพ้ Wood แพ้ Heat",
"ริวเซย์โนะร็อคแมน มีเนื้อเรื่องอยู่บนโลกเดียวกับร็อคแมนเอ็กเซ่ โดยเป็นช่วงเวลาต่อจากเอ็กเซ่ถึง 200 ปี อีกทั้งภาพรวมของตัวเกมและการควบคุมก็คล้ายคลึงกับเกมร็อคแมนเอ็กเซ่มาก",
"ร็อคแมน X6 () หรือ เมกาแมน X6 (Mega Man X6) เป็นวิดีโอเกมชุดที่ 6 ของซีรีส์ร็อคแมน X โดยวางจำหน่ายในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ที่ประเทศญี่ปุ่นวางจำหน่ายในเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชัน\nในเวลาช่วงปี ค.ศ. 21XX 3 สัปดาห์หลังจากที่โคโลนี่ยูเรเซียตกลงสู่พื้นโลก, เอ็กซ์ได้ปราบซิกม่าลงได้และอิเรกูลาร์ฮันเตอร์ซีโร่ต้องสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องเอ็กซ์ ทำให้มนุษย์ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองไปอย่างมาก ซิกม่าไวรัสที่อบอวนอยู่เต็มพื้นโลก ทำให้มนุษย์ต้องอาศัยอยู่ใต้ดิน เหล่าฮันเตอร์ที่รอดชีวิตอยู่ได้ร่วมมือกันฟื้นฟูโลก โดยมีเอ็กซ์ที่ได้รับ Z-เซเบอร์ มาจากซีโร่เป็นผู้นำ",
"ส่วนร็อคแมนเอ็กเซ่ ก็ดำเนินเรื่องในอีกโลกหนึ่ง โดยริวเซย์โนะร็อคแมนดำเนินเรื่องต่อมาในอีก 200 ปี",
"แบทแมน: อาร์แคมออริจินส์ () เป็นวีดิโอเกมที่ผลิตโดย Warner Bros. Games Montréal และจัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Interactive Entertainment ในรูปแบบของเครื่องเล่นวีดิโอเกมไมโครซอฟท์ วินโดวส์ เพลย์สเตชัน 3 วียู และเอกซ์บอกซ์ 360 โดยนำตัวละครซุเปอร์ฮีโร่จากดีซีคอมิกส์ แบทแมน เป็นภาคต่อจาก และเป็นเกมภาคที่ 3 ของซีรีส์ โดยจะวางจำหน่ายในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2013",
"1 หมวดหมู่:วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท หมวดหมู่:วิดีโอเกมข้ามฝั่ง หมวดหมู่:เกมสำหรับนินเท็นโดดีเอส",
"ตรงกันข้ามกับร็อคแมนเอ็กเซ่ ที่ตัวละครเกือบทุกตัวในเกมจะเป็นเน็ตนาวิซึ่งมีชื่อและรูปร่างมาจากเหล่าบอส (Robot Master) มาจากเกมร็อคแมนคลาสสิก (รวมถึงธรรมเนียมที่ตัวละครจะต้องมีคำว่า man ลงท้าย) ในเกมริวเซย์โนะร็อคแมน ตัวละครส่วนมากจะเป็นมนุษย์โลกที่ทำการรวมร่างกับสิ่งมีชีวิตในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดาว FM (FM-ian) ซึ่งเข้าไปปั่นป่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ผ่านทางโลกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยชื่อของตัวละครจะมาจากหมู่ดาวต่างๆ ในอวกาศ ส่วนเกมภาคต่อที่มีชื่อว่า ริวเซย์โนะร็อคแมน 2 ได้ออกจำหน่ายวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 [2]",
"ริวเซย์โนะร็อคแมน 3 () หรือ เมกาแมนสตาร์ฟอร์ซ 3 (Mega Man Star Force 3) เป็นวิดีโอเกมประเภทเกมเล่นตามบทบาทจากประเทศญี่ปุ่น เป็นเกมที่เล่นด้วยนินเทนโดดีเอส ซึ่งอยู่ในซีรีส์ร็อคแมนและเป็นเกมลำดับที่ 3 ของซีรีส์เกมริวเซย์โนะร็อคแมน ผลิตโดยแคปคอม โดยวางจำหน่ายในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น และ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2009 ที่สหรัฐอเมริกา โดยตัวเกมออกวางจำหน่าย 2 เวอร์ชันคือ BLACK ACE และ RED JOKER",
"ออลเอ็กเซส () เป็นดีวีดีฉบับแรกของวงเฮฟวีเมทัลอเมริกัน อะเว็นจด์เซเวนโฟลด์ วางจำหน่ายวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 กำกับโดยราฟา อัลคันทารา เนื้อหาข้างในประกอบไปด้วยสารคดีเกี่ยวกับวงซึ่งมีวิดีโอที่บันทึกไว้ตั้งแต่ปี 1999 จนถึงปี 2007 บันทึกการแสดงสดสี่วิดีโอ มิวสิควิดีโอสี่เพลง และตอนที่ถูกตัดออกไปและโบนัสอื่นๆ ดีวีดีดังกล่าวเป็นแผ่นไม่จำกัดโซน และมียอดขาย 11,000 แผ่น ในอาทิตย์แรกที่วางจำหน่าย จากข้อมูลของ Nielsen Soundscan นับตั้งแต่วันวางจำหน่ายจนถึงปี 2010 ออลเอ็กเซส มียอดจำหน่ายไปแล้วราว 61,000 แผ่น นอกจากนี้ยังมีการฉายออล เอ็กเซส รอบพรีเมียร์ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2007 ในโรงภาพยนตร์เฉพาะแห่งในสหรัฐอเมริกา ในปี 2014 ออลเอ็กเซสถูกวางจำหน่ายผ่านร้านไอทูนส์",
"ริวเซย์โนะร็อคแมน ริวเซย์โนะร็อคแมน ไทรบ์",
"ริวเซย์โนะร็อคแมนเป็นเกมเล่นตามบทบาท (RPG) ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับร็อคแมนเอ็กเซ่ โดยมีกราฟิกในเกมปกติ เช่น ตัวละคร ฉากหลัง เป็นภาพมุมมองไอโซเมตริก (isometric) แต่ฉากต่อสู้จะเป็นภาพสามมิติ โดยมีมุมมองจากทางด้านหลังของร็อคแมน ร็อคแมนจะเคลื่อนที่ได้เพียงสองทิศทางคือซ้ายและขวา ในขณะที่คู่ต่อสู้กลับมีพื้นที่กว้างขวาง ทำให้การหลบหลีกทำได้ยาก แต่ร็อคแมนก็มีความสามารถใหม่ๆ โดยสามารถบล็อกการโจมตีจากคู่ต่อสู้และล็อกทิศทางสำหรับโจมตีได้ ร็อคแมนจะมีพลังชีวิต (HP) เป็นตัวเลข โดยถ้าถูกโจมตี พลังชีวิตก็จะลดลง และร็อคแมนจะตายเมื่อพลังชีวิตลดลงเป็นศูนย์ ทำให้เกมโอเวอร์ แต่ร็อคแมนก็สามารถฟื้นพลังชีวิตได้โดยวิธีต่างๆ ทั้งระหว่างการต่อสู้และหลังการต่อสู้",
"ร็อคแมนเอ็กเซ่ โอเพอร์เรท ชู้ตติ้งสตาร์ () เป็นวิดีโอเกมซีรีส์ร็อคแมนผลิตโดยบริษัทแคปคอม โดยภาคนี้ได้นำแบทเทิลเน็ตเวิร์ค ร็อคแมนเอ็กเซ่ จากวิดีโอเกมซีรีส์ร็อคแมนเอ็กเซ่มาทำใหม่ในรูปแบบวิดีโอเกมนินเทนโด ดีเอส และได้เพิ่มเนื่อหาที่เชื่อมโยงกับซีรีส์ริวเซย์โนะร็อคแมนด้วย วางจำหน่ายเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ที่ประเทศญี่ปุ่นในเกมนี้ได้นำแบทเทิลเน็ตเวิร์ค ร็อคแมนเอ็กเซ่มาปรับปรุงรูปแบบใหม่โดยปรับปรุงภาพตัวละครและในช่วงต่อสู้โดยได้เพิ่มส่วนปุ่มการต่อสู้โดยเฉพาะปุ่ม L เป็นปุ่มหนีการโจมตีไวรัส (ในภาคแรกนั้นยังไม่ใช้ปุ่ม L ในการหนีไวรัสแต่จะมีชิป Escape ซึ่งทำหน้าที่ในการหลบหนีไวรัส) และได้เพิ่มแบทเทิลชิปที่ปรากฏในภาคนี้ด้วยและโปรแกรมแอควานซ์เพิ่มใหม่อีกทั้งได้เพิ่มรหัสของชิปตัว \"*\" (แต่เดิมนั้นไม่มี) อีกด้วย นอกจากนี้ในเกมได้เพิ่มจอส่วนล่างเป็นแผนที่ของแอเรียต่างๆอีกด้วย\nสตาร์โคลอสเซียม เป็นเกมพิเศษเฉพาะ โดยผู้เล่นสามารถเล่นได้ 1 หรือ 6 คนก็ได้โดยจากการค้นหาสัญญาณ Wi-Fi ในเกม โดยผู้เล่นจะเลือกตัวละครทั้ง 3 ได้แก่ ร็อคแมนเอ็กเซ่, บลูส์ และ ริวเซย์โนะร็อคแมน และจากนั้นเลือกฉากสนามต่อสู้โดยสู้กับฟอร์เต้โดยมีเวลาจำกับคือ 4 นาทีซึ่งผู้เล่นจะต้องโค่นฟอร์เต้ลงโดยในเกมนี้มีโอกาสในการแพ้เพียง 2 ครั้ง",
"ผู้เล่นจะสามารถเก็บแบทเทิลการ์ด (Battle Card) ได้ตลอดทั้งเกม และจะต้องจัดเข้า Folder ให้เหมาะสมสำหรับใช้ในการต่อสู้ เมื่อเริ่มการต่อสู้แต่ละครั้ง หรือเมื่อ Custom Gauge เต็ม ผู้เล่นจะมีโอการเลือกการ์ดที่สุ่มขึ้นมาให้ เพื่อใช้สำหรับโจมตี ป้องกัน ปรับแต่งพื้นที่ต่อสู้ หรือเพิ่มพลังชีวิต การ์ดบางกลุ่มสามารถทำมารวมกันเพื่อให้การโจมตีรุนแรงขึ้นได้ และเช่นเดียวกับร็อคแมนเอ็กเซ่ การ์ดจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ตามคุณสมบัติและความหายาก (Standard Mega และ Giga) ซึ่งการจัดการ์ดเข้า Folder จะจำกัดจำนวนการ์ดในบางระดับเอาไว้ คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของเกมนี้คือ ผู้เล่นสามารถเลือกการ์ดบางการ์ดให้เป็น Favorite ได้ และเพื่อนคนอื่นที่เชื่อมต่อกับเราทางระบบ Wi-Fi จะสามารถนำการ์ดที่เป็น Favorite ของเราไปใช้ได้โดยระบบสุ่ม",
"ชื่อภาษาอังกฤษของริวเซย์โนร็อคแมนอย่างเป็นทางการคือ ชู้ตติ้งสตาร์ร็อคแมน (Shooting Star Rockman)"
] |
กรดยูริก มีสูตรทางเคมีว่าอย่างไร? | [
"กรดยูริก (English: Uric acid) เป็นสารประกอบเฮเทอโรไซคลิก (heterocyclic) ที่มีคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน และไฮโดรเจน โดยมีสูตรเคมีเป็น C5H4N4O3 มันมีรูปแบบทั้งเป็นไอออนและเกลือที่เรียกว่าเกลือยูเรต (urate) และเกลือกรดยูเรต (acid urate) เช่น ammonium acid urate กรดยูริกเป็นผลของกระบวนการสลายทางเมแทบอลิซึมของนิวคลีโอไทด์คือพิวรีน (purine) และเป็นองค์ประกอบปกติของปัสสาวะ การมีกรดยูริกในเลือดสูงอาจทำให้เกิดโรคเกาต์ และสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ รวมทั้งโรคเบาหวาน และนิ่วในไตที่เกิดจาก ammonium acid urate"
] | [
"ระดับของกรดยูริกที่สูงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน (ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง) อาจส่งผลให้เกิดอาการอื่น ๆ รวมถึงการจับตัวของผลึกกรดยูริกที่แข็งแต่ไม่แสดงอาการเจ็บปวดที่รู้จักกันในนามของ ก้อนโทไฟ การขยายตัวของก้อนโทไฟอาจนำไปสู่โรคไขข้ออักเสบเรื้อรังเนื่องจากการผุกร่อนของกระดูก นอกจากนี้ ระดับที่สูงของกรดยูริกยังอาจนำไปสู่การเกิดผลึกในไต ก่อให้เกิดนิ่วตามด้วยโรคไตจากกรดยูริก",
"สารตั้งต้นสำหรับลำดับปฏิกิริยาก็คือกรดยูริก (8) ซึ่งสกัดได้จากนิ่วไตในปี 1776 โดยนักเคมีชาวเยอรมัน-สวีเดน คาร์ล วิลเฮล์ม เชเลอ\nคือ กรดยูริก (8) จะสร้างปฏิกิริยากับ phosphorus pentachloride (PCl) มีผลเป็น 2,6,8-trichloropurine (10) ซึ่งก็จะแปลงเป็น 2,6-diiodopurine (11) ด้วยไฮโดรเจนไอโอไดด์ (HI) และเกลือ Phosphonium (PHI)\nผลที่ได้จะรีดิวซ์เป็นพิวรีน (1) โดยใช้ผงสังกะสี",
"นิ่วประมาณ 5-10% ทั้งหมดเกิดจากกรดยูริก[18] คนไข้ที่มีโรคทางเมแทบอลิซึมรวมทั้งโรคอ้วน[17] อาจมีนิ่วแบบกรดยูริก แต่ก็อาจเกิดสัมพันธ์กับอาการต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะกรดยูริกเกินในปัสสาวะ (hyperuricosuria) โดยจะมีหรือไม่มีภาวะกรดยูริกเกินในเลือด (hyperuricemia) ก็ได้ และก็สามารถเกิดสัมพันธ์กับโรคทางเมแทบอลิซึมที่ทำให้ปัสสาวะเป็นกรดเกิน ซึ่งทำให้กรดยูริกตกผลึก",
"ความอิ่มตัวของกรดยูริกในเลือดอาจมีผลเป็นรูปแบบหนึ่งของนิ่วในไตเมื่อยูเรตตกผลึกในไต นิ่วกรดยูริกเหล่านี้โปร่งรังสี ดังนั้น จึงไม่ปรากฏในภาพเอกซ์เรย์ท้องธรรมดา ๆ[53] ผลึกกรดยูริกยังส่งเสริมให้เกิดนิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลต โดยเป็นเหมือนกับผลึกล่อ/เริ่มต้น[54]",
"กรดยูริกในเลือดสูงแบบนี้ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สามัญของการปลูกถ่ายอวัยวะ[9] นอกจากความต่าง ๆ กันที่เป็นปกติเนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม กลุ่มอาการอาการเนื้องอกสลาย (Tumor lysis syndrome) จะทำให้กรดยูริกสูงมากจนกระทั่งไตอาจวาย กลุ่มอาการ Lesch-Nyhan syndrome ก็ยังสัมพันธ์กับกรดยูริกในระดับสูงมากด้วย",
"การมีกรดยูริกเกินในเลือดสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคเกาต์[36] ซึ่งเป็นโรคสร้างความเจ็บปวดโดยมีผลเป็นกรดยูริกตกผลึกเป็นรูปเข็มที่ข้อต่อ หลอดเลือดฝอย ผิวหนัง และเนื้อเยื่ออื่น ๆ[37] โรคเกาต์สามารถเกิดเมื่ระดับกรดยูริกในเลือดอาจถึงค่าเพียงแค่ 6mg/dL (~357µmol/L) แต่บุคคลหนึ่ง ๆ ก็อาจมีค่าถึง 9.6mg/dL (~565µmol/L) และก็ยังไม่เกิดโรค[20]",
"สุนัขพันธุ์แดลเมเชียนมีความบกพร่องทางพันธุกรรมในการดูดซึมกรดยูริกเข้าในตับและไต ทำให้เปลี่ยนกรดเป็น allantoin ลดลง ดังนั้น พันธุ์นี้จึงถ่ายกรดยูริกในปัสสาวะ ไม่ใช่ allantoin[22]",
"คาร์ล วิลเฮ็ล์ม เชเลอ (; 9 ธันวาคม ค.ศ. 1742 – 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1786) เป็นนักเคมีและเภสัชกรชาวเยอรมัน-สวีเดน ผู้ได้รับฉายา \"เชเลอผู้อาภัพ\" จากนักเขียน ไอแซค อสิมอฟ จากการค้นพบทางเคมีหลายอย่างแต่ไม่ได้รับการยกย่องในช่วงชีวิตของเขา เชเลอเป็นผู้ค้นพบธาตุออกซิเจน, คลอรีน, ทังสเตน และสารประกอบอินทรีย์อื่น ๆ เช่น กรดยูริก, กรดแล็กติก, กรดออกซาลิก",
"แพทย์จะปรับขนาดยาเพื่อดำรงการลดขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ ระดับกรดยูริกในเลือดที่หรือต่ำกว่า 6mg/100ml บ่อยครั้งเป็นเป้าหมายการรักษา แต่ภาวะกรดยูริกเกินในเลือดไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดนิ่วกรดยูริก เพราะกรดยูริกในปัสสาวะอาจเกินแม้เมื่อระดับกรดยูริกในเลือดปกติหรือต่ำกว่าปกติ แพทย์บางท่านสนับสนุนให้เพิ่มอัลโลพิวรีนอลแก่คนไข้โดยเฉพาะ ๆ เท่านั้น คือที่มีกรดยูริกเกินในปัสสาวะและมีกรดยูริกเกินในเลือดแบบไม่หาย แม้จะได้ใช้สารทำปัสสาวะให้เป็นด่าง เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนตหรือโพแทสเซียมไนเตรตแล้ว[39]",
"ภาวะกรดยูริกเกินในเลือด[1] (English: Hyperuricemia) เป็นภาวะที่กรดยูริกสูงเกินในเลือด ในระดับ pH ปกติของน้ำในร่างกาย กรดยูริกโดยมากจะอยู่ในรูปแบบของยูเรตซึ่งเป็นไอออน[2][3] ปริมาณของยูเรตในร่างกายจะขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างปริมาณพิวรีนที่ได้จากอาหาร ปริมาณยูเรตที่สังเคราะห์ภายในร่างกาย (เช่น ในการผันเวียนของเซลล์) และปริมาณของยูเรตที่ถ่ายออกทางปัสสาวะหรือผ่านทางเดินอาหาร[3] ในมนุษย์ พิสัยด้านสูงปกติอยู่ที่ 360µmol/L (6mg/dL) สำหรับหญิงและ 400µmol/L (6.8mg/dL) สำหรับชาย[4]",
"ส่วนการอดอาหารจะเป็นเหตุให้ร่างกายเผาผลาญเนื้อเยื่อของตนเองที่สมบูรณ์ไปด้วยพิวรีนเพื่อพลังงาน ดังนั้น เหมือนกับอาหารที่มีพิวรีนมาก การอดอาหารจะเพิ่มปริมาณของพิวรีนที่แปลงเป็นกรดยูริก อาหารที่มีแคลอรีต่ำมากและไม่มีคาร์โบไฮเดรตอาจทำให้เกิดภาวะกรดยูริกเกินในเลือดอย่างรุนแรง ดังนั้น การมีอาหารเป็นคาร์โบไฮเดรตบ้างและลดโปรตีน จะช่วยลดกรดยูริก[22] การอดอาหารยังทำให้ไตไม่สามารถกำจัดกรดยูริก เนื่องจากการแข่งขันเพื่อโปรตีนขนส่งระหว่างกรดยูริกกับคีโทน[23]",
"ภาวะกรดยูริกเกินในเลือดอาจเป็นผลของการดื้ออินซูลินเพราะโรคเบาหวาน โดยไม่ใช่อาการตั้งต้นของโรค[47] งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า ระดับกรดยูริกในเลือดสูงจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคเบาหวานแบบ 2 ที่สูงกว่า ต่างหากจากโรคอ้วน สัมพันธ์กับภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia) และความดันโลหิตสูง[48] ภาวะกรดยูริกเกินในเลือดยังสัมพันธ์กับองค์ประกอบต่าง ๆ ของกลุ่มอาการทางเมแทบอลิซึม (metabolic syndrome) รวมทั้งในเด็ก[49][50]",
"ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเป็นลักษณะพื้นฐานของโรคเกาต์ แต่โรคเกาต์เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเกิดได้โดยไม่ต้องมีภาวะนี้ และคนส่วนใหญ่ที่มีระดับกรดยูริกสูงไม่เคยเป็นโรคเกาต์ ดังนั้น ประโยชน์ของการวินิจฉัยโดยการวัดระดับกรดยูริกจึงถูกจำกัด ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง หมายถึง การมีระดับของกรดยูริกในพลาสมาสูงกว่า 420 μmol/l (7.0 mg/dl)ในเพศชาย และสูงกว่า 360 μmol/l (6.0 mg/dl)ในเพศหญิง การตรวจเลือดอื่น ๆ ที่ดำเนินการกันทั่วไปได้แก่ การตรวจนับเม็ดเลือดขาว อิเล็กโทรไลต์ การตรวจการทำงานของไต และ การตรวจอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR) อย่างไรก็ตาม ทั้งอัตราเซลล์เม็ดเลือดขาวและ ESR อาจจะสูงเนื่องจากโรคเกาต์ในกรณีที่ไม่มีการติดเชื้อ เคยมีการบันทึกจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่นับได้สูงถึง 40.0×10/l (40,000/mm)",
"SLC2A9 เป็นยีนเข้ารหัสโปรตีนที่ช่วยขนส่งกรดยูริกในไต ซิงเกิลนิวคลีโอไทด์โพลีมอร์ฟิซึมหลายแบบของยีนนี้ มีสหสัมพันธ์ที่สำคัญกับระดับกรดยูริกในเลือด[11] ภาวะกรดยูริกเกินในเลือดที่มักสืบทอดร่วมกับโรคกระดูกเปราะกรรมพันธุ์ (osteogenesis imperfecta) พบว่า สัมพันธ์กับการกลายพันธุ์ในยีน GPATCH8 ซึ่งตรวจโดยเทคนิค exome sequencing[12]",
"ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง เป็นสาเหตุพื้นฐานของโรคเกาต์ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้ด้วยสาเหตุมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร พันธุกรรม หรือ การขับเกลือยูเรทซึ่งเป็นเกลือของกรดยูริกที่ไม่เพียงพอ การขับกรดยูริกไม่เพียงพอของไตเป็นสาเหตุหลักของภาวะกรดยูริกในเลือดสูงในผู้ป่วยประมาณ 90% ในขณะที่การผลิตกรดมากเกินไปเป็นสาเหตุของผู้ป่วยน้อยกว่า 10% ประมาณ 10% ของผู้ป่วยที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงจะกลายเป็นโรคเกาต์ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต อย่างไรก็ตาม อัตราความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับของภาวะกรดยูริกในเลือดสูง หากระดับนี้อยู่ระหว่าง 415 ถึง 530 μmol/l (7 ถึง 8.9 mg/dl) อัตราความเสี่ยงจะอยู่ที่ 0.5% ต่อปี ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 535 μmol/l (9 mg/dL) อัตราความเสี่ยงจะอยู่ที่ 4.5% ต่อปี",
"ดังนั้น ในขณะที่กรดอินทรีย์โดยมากจะให้โปรตอน (deprotonated) เนื่องกับการแตกตัวเป็นไอออนของพันธะเคมีไฮโดรเจน-ออกซิเจนที่มีขั้ว ปกติพร้อมกับการเกิด resonance stabilization โดยมีผลเป็นไอออนคาร์บอกซิเลต กรดยูริกจะให้โปรตอนจากอะตอมไนโตรเจน และจะใช้หมู่ keto/hydroxy ที่เป็นเทาโทเมอร์[upper-alpha 2] สำหรับถอนอิเล็กตรอนเพื่อเพิ่มค่า p<i data-parsoid='{\"dsr\":[6882,6887,2,2]}'>K1 วงแหวนที่มี 5 หน่วยยังมีหมู่ keto (ในตำแหน่งที่ 8) ล้อมรอบด้วยหมู่อะมิโนทุติยภูมิสองหน่วย (ในตำแหน่ง 7 และ 9) และการเสียโปรตอนของหน่วยเหล่านี้ที่ค่า pH สูงก็จะสามารถอธิบายค่า p<i data-parsoid='{\"dsr\":[7076,7081,2,2]}'>K2 และปฏิกิริยาโดยเป็นกรดไดพร็อกติก[upper-alpha 1] การจัดระเบียบใหม่เป็นเทาโทเมอร์[upper-alpha 2] และ pi-resonance stabilization ในรูปแบบที่คล้ายกัน ก็จะทำให้ไอออนนี้เสถียรโดยระดับหนึ่ง",
"ยาเร่งการขับกรดยูริกออกทางไต เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมเมื่อมีการหลั่งกรดยูริกน้อยเกินไป เช่น ตามที่แสดงในผลการตรวจปัสสาวะในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่พบปริมาณของกรดยูริกน้อยกว่า 800 mg อย่างไรก็ตาม ยานี้ไม่แนะนำในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคนิ่วในไต หากพบว่ามีการขับถ่ายกรดยูริกทางปัสสาวะในเวลา 24 ชั่วโมงมากกว่า 800 mg ซึ่งบ่งชี้การผลิตมากเกินไป การใช้ตัวยับยั้งแซนทีนออกซิเดสจะได้รับความนิยมมากกว่า ",
"ภาวะกรดยูริกต่ำในเลือด (hypouricemia) มีเหตุหลายอย่าง การได้สังกะสีจากอาหารน้อยจะทำให้กรดยูริกต่ำ ผลเช่นนี้อาจชัดขึ้นในหญิงที่ทานยาคุมกำเนิด[55] ยาที่ใช้ป้องกันภาวะฟอสเฟตเกินในเลือด (hyperphosphataemia) ที่บ่งใช้ในคนไข้โรคไตเรื้อรัง ก็สามารถลดระดับกรดยูริกในเลือดอย่างสำคัญ[56]",
"กลุ่มอาการเนื้องอกสลาย (Tumor lysis syndrome) เป็นอาการฉุกเฉินที่เป็นผลมาจากมะเร็งเม็ดเลือด ที่ก่อให้เกิดกรดยูริกระดับสูงในเลือด โดยเซลล์เนื้องอกปล่อยสารในเซลล์ออกในเลือด ไม่ว่าจะเกิดเองหรือหลังจากได้เคมีบำบัด[43] อาการอาจทำให้ไตเสียหายอย่างเฉียบพลันเมื่อกรดยูริกตกผลึกที่ไต[43] การรักษารวมทั้งการให้น้ำ (hyperhydration) เพื่อทำให้กรดยูริกเจือจางแล้วขับออกทางปัสสาวะ ให้ยา rasburicase เพื่อลดระดับกรดยูริกที่ไม่ละลายในเลือด หรือให้ allopurinol เพื่อห้ามกระบวนการแคแทบอลิซึมของพิวรีนเพื่อไม่ให้เพิ่มระดับกรดยูริก[43]",
"ความอิ่มตัวเกินของปัสสาวะร่วมกับการมีสารประกอบก่อผลึกจะขึ้นอยู่กับค่า pH ยกตัวอย่างเช่น ที่ pH 7.0 ความละลายได้ของกรดยูริกในปัสสาวะอยู่ที่ 158มิลลิกรัม/100มิลลิลิตร ถ้าลดค่าเหลือ 5.0 ความละลายได้จะลดลงเหลือน้อยกว่า 8mg/100ml การเกิดนิ่วกรดยูริกจะต้องมีทั้งกรดยูริกเกินในปัสสาวะ (hyperuricosuria) และค่า pH ของปัสสาวะที่ต่ำ ภาวะกรดยูริกเกินในปัสสาวะอย่างเดียวไม่สัมพันธ์กับการเกิดนิ่วกรดยูริกถ้าค่า pH ของปัสสาวะเป็นด่าง[39] ความอิ่มตัวเกินของปัสสาวะจึงเป็นปัจจัยที่จำเป็นแต่ไม่เพียงพอให้เกิดนิ่ว[22]",
"ยาที่ใช้บ่อย ๆ เพื่อรักษาภาวะกรดยูริกเกินในเลือดมีสองประเภท คือ xanthine oxidase inhibitor และสารช่วยขับกรดยูริกทางปัสสาวะ (uricosuric) xanthine oxidase inhibitors จะลดการผลิตกรดยูริกโดยขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ xanthine oxidase ส่วนสารจะช่วยขับกรดยูริก โดยลดการดูดซึมกลับเมื่อไตได้กรองกรดยูริกออกจากเลือดแล้ว ยาเหล่านี้บางอย่างก็ใช้ตามข้อบ่งชี้ แต่บางอย่างก็ใช้เพื่อระงับอาการโดยไม่ได้รับอนุมัติ ยังมียาอื่น ๆ ที่มีโอกาสช่วยรักษาภาวะกรดยูริกเกินในเลือด สำหรับคนไข้ที่ล้างไต ยา sevelamer อาจช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดอย่างสำคัญ[24][25] โดยดูดซับยูเรตที่ผ่านทางเดินอาหาร[25] ในหญิง การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบผสม สัมพันธ์อย่างสำคัญกับระดับกรดยูริกในเลือดที่ต่ำกว่า[26]",
"โปรแกรมอาหารแบบ ketogenic diet[upper-alpha 1] จะขัดขวางไม่ให้ไตขับกรดยูริก เนื่องจากการแย่งการขนส่งระหว่างกรดยูริกและคีโทน[13]",
"กรดยูริกแยกออกจากนิ่วไตเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1776 โดยนักเคมีชาวสวีเดน (Carl Wilhelm Scheele)[8] ต่อมาในปี 1882 นักเคมีชาวยูเครน (Ivan Horbaczewski) จึงเป็นคนแรกที่สังเคราะห์กรดยูเรตโดยหลอมละลายยูเรียกับไกลซีน[9]",
"อาหารอาจเป็นปัจจัย คือ การทานอาหารจำนวนมากที่มีสารประกอบอินทรีย์คือพิวรีน ที่มีน้ำเชื่อมข้าวโพดซึ่งมีฟรักโทสสูง และที่มีน้ำตาล อาจเพิ่มระดับกรดยูริก[31][32] (ดูเพิ่มที่ ภาวะกรดยูริกเกินในเลือด#การผลิตกรดยูริกเพิ่ม) กรดยูริกในเลือดอาจเพิ่มเพราะไตขับกรดออกน้อยลง[33] การอดอาหารหรืออการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วสามารถเพิ่มระดับกรดยูริกอย่างชั่วคราว ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะกลุ่ม thiazide สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดโดยขัดขวางการกำจัดกรดของไต[34] กลุ่มอาการอาการเนื้องอกสลาย (Tumor lysis syndrome) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งหรือเคมีบำบัดบางอย่าง เกิดจากการขับ nucleobase[upper-alpha 3] และโพแทสเซียมของเซลล์ที่ตายออกในกระแสเลือด[35]",
"เหตุของภาวะกรดยูริกเกินในเลือดแบบผสมจะทั้งเพิ่มการผลิตกรดและลดการขับถ่าย การบริโภคแอลกอฮอล์ (เอทานอล) จำนวนมากเป็นเหตุสำคัญของภาวะ และทำการทั้งสองอย่างโดยกลไกหลายอย่าง คือเพิ่มการผลิตกรดยูริกโดยเพิ่มการผลิตกรดแล็กติก และทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดแล็กติก เอทานอลยังเพิ่มความเข้มข้นของ hypoxanthine และ xanthine ในน้ำเลือดด้วย ผ่านการเร่งสลาย adenine nucleotide และอาจเป็นสารยับยั้งเอนไซม์ xanthine dehydrogenase อย่างอ่อน ๆ เบียร์ก็มีพิวรีนด้วยโดยเป็นผลข้างเคียงของการหมัก เอทานอลจะลดการขับถ่ายกรดยูริกโดยส่งเสริมภาวะขาดน้ำและ (แม้น้อยมาก) ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโทน (ketoacidosis) ในระดับคลินิก[6]",
"สารที่มากระตุ้นการตกตะกอนของกรดยูริกนั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แม้ว่ากรดยูริกจะสามารถตกผลึกได้เมื่อปริมาณของมันอยู่ในระดับปกติ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะตกผลึกมากขึ้นเมื่อปริมาณเพิ่มขึ้น ปัจจัยอื่น ๆ ที่เชื่อว่ามีความสำคัญในการกระตุ้นการอักเสบเฉียบพลันของอาการข้ออักเสบได้แก่อุณหภูมิที่เย็น การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระดับกรดยูริก ภาวะกรด ความชุ่มชื้นของข้อต่อ และ โปรตีนเคลือบเซลล์ เช่น โปรตีโอไกลแคน คอลลาเจน และ คอนดรอยตินซัลเฟต การตกตะกอนที่เพิ่มขึ้นที่อุณหภูมิต่ำอธิบายได้ส่วนหนึ่งว่าเหตุใดข้อต่อบริเวณเท้าจึงได้รับผลกระทบมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของปริมาณกรดยูริกอาจเกิดขึ้นเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บ การผ่าตัด เคมีบำบัด ยาขับปัสสาวะ และ การหยุดหรือการเริ่มใช้อัลโลพูรินอล ในขณะเดียวกัน แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ และ โลซาร์แทน ถูกเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงจากโรคเกาต์เมื่อเทียบกับยาอื่น ๆ สำหรับโรคความดันโลหิตสูง ",
"ระดับความเข้มข้นของกรดยูริก (หรือไอออนไฮโดรเจนยูเรต) ในเลือดมนุษย์อยู่ที่ 25-80มิลลิกรัม/ลิตร (mg/L) ในชาย และ 15-60mg/L ในหญิง[19] (แต่ให้ดูต่อ ๆ ไปในเรื่องการมีค่าที่ต่างกว่าบ้าง) บุคคลหนึ่ง ๆ สามารถมีค่ากรดยูริกสูงถึง 96mg/L โดยไม่มีโรคเกาต์[20] ในมนุษย์ ไตเป็นตัวกำจัดกรดยูริก 70% ในแต่ละวัน และในมนุษย์ 5-25% ภาวะไตเสื่อมจะทำให้เกิดภาวะกรดยูริกเกินในเลือด[21] การถ่ายกรดยูริกออกในปัสสาวะอยู่ระหว่าง 250-750mg ต่อวัน เป็นความเข้มข้น 250-750มิลลิกรัม/ลิตร (mg/L) ถ้าผลิตปัสสาวะ 1 ลิตรต่อวัน ซึ่งเป็นการละลายที่สูงกว่าการละลายได้ของกรดก็เพราะมันอยู่ในรูปแบบของ acid urate ละลาย",
"การทานน้ำตาลฟรักโทสมากจะมีผลอย่างสำคัญต่อภาวะกรดยูริกเกินในเลือด[16][17][18] ในงานศึกษาขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา การดื่มน้ำอัดลมหวาน ๆ มากกว่า 4 หน่วยต่อวันจะมีผลเป็นอัตราส่วนปัจจัยเสี่ยง (odds ratio) มีภาวะกรดยูริกเกินในเลือดที่ 1.82[19] เมแทบอลิซึมของฟรักโทสจะรบกวนเมแทบอลิซึมของพิวรีนมีผลให้ผลิตกรดเพิ่มขึ้น โดยมีผลสองอย่าง คือ (1) เพิ่มการเปลี่ยน ATP เป็น inosine และจึงเพิ่มกรดยูริก (2) เพิ่มการสงเคราะห์พิวรีน[20] ฟรักโทสยังห้ามการถ่ายกรดยูริกออก โดยแข่งกับกรดยูริกเพื่อให้ได้โปรตีนขนส่งคือ SLC2A9[21] การลดการขับกรดยูริกออกของฟรักโทส จะเพิ่มขึ้นในบุคคลที่เสี่ยงทางพันธุกรรมต่อการมีภาวะกรดยูริกเกินในเลือด และ/หรือโรคเกาต์[20]",
"ในน้ำเลือดมนุษย์ พิสัยอ้างอิงของกรดยูริกปกติจะอยู่ระหว่าง 3.4-7.2mg/dL (200-430µmol/L) สำหรับชาย และ 4-6.1mg/dL (140-360µmol/L) สำหรับหญิง[29] โดย 1 mg/dL จะเท่ากับ 59.48µmol/L ความเข้มข้นกรดยูริกในเลือดที่สูงหรือต่ำกว่าพิสัยปกติเป็นอาการที่เรียกว่า ภาวะกรดยูริกเกินในเลือด (hyperuricemia) และภาวะกรดยูริกต่ำในเลือด (hypouricemia) โดยนัยเดียวกัน กรดยูริกที่สูงหรือต่ำกว่าปกติในปัสสาวะเรียกว่า ภาวะกรดยูริกเกินในปัสสาวะ (hyperuricosuria) และภาวะกรดยูริกต่ำในปัสสาวะ (hypouricosuria) ระดับกรดยูริกในน้ำลายอาจสัมพันธ์กับระดับกรดในเลือด[30]",
"ยาหลัก ๆ ที่มีบทบาทให้เกิดกรดยูริกเกินในเลือดโดยลดการขับถ่าย ก็คือยากลุ่ม antiuricosuric (เป็นยาเพิ่มกรดยูริกในเลือดและลดกรดยูริกในปัสสาวะ) ยาและสารกัมมันต์อื่น ๆ รวมทั้งยาขับปัสสาวะ, salicylate, pyrazinamide, ethambutol, กรดนิโคตินิก, ciclosporin, 2-ethylamino-1,3,4-thiadiazole, และสารกัมมันต์ที่เป็นพิษต่อเซลล์ (cytotoxic agent)[10]"
] |
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรณคตเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
"พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พระราชสมภพ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 สวรรคต 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ครองราชย์ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 2 ในราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) พระราชสมภพเมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน เวลาเช้า 5 ยาม ซึ่งตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสวยราชสมบัติเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. 2352 - 2367 ขณะมีพระชนมายุได้ 42 พรรษา"
] | [
"สะพานสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นที่มาของชื่อถนนพระรามที่ 2 ในปัจจุบัน เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชสมภพที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม สะพานดังกล่าวได้อัญเชิญพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มาเป็นนามของสะพานว่า \"สะพานสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย\" คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขอพระบรมราชานุญาตตั้งชื่อถนนสายนี้ว่า \"ถนนพระรามที่ 2\" ภายหลังจากกรมทางหลวงได้สร้างถนนสายธนบุรี–ปากท่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว",
"พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าต่างกรม มีพระนามกรมดังต่อไปนี้",
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโอรสพระราชธิดารวมทั้งสิ้น 73 พระองค์ โดยประสูติเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร 47 พระองค์ ประสูติเมื่อดำรงพระอิสรยยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล 4 พระองค์ และประสูติภายหลังบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว 22 พระองค์",
"พ.ศ. 2310 24 กุมภาพันธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย</b>พระราชสมภพ ณ ตำบลอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม พระนามเดิม ฉิม",
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระนามเต็มเมื่อทรงรับการบรมราชาภิเษกแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สากลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรา ธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอกนิษฐ ฤทธิราเมศวรมหันต บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมิทรปรมาธิเบศ โลกเชษฐวิสุทธิ รัตนมกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ซึ่งเหมือนกับพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทุกตัวอักษร เนื่องจากในเวลานั้น ยังไม่มีธรรมเนียม ที่จะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกันในแต่ละพระองค์",
"พงศาวลีของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร 16. (=24.) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก8. (=12.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย17. (=25.) สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี4. (=6.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. (=26.) เงิน แซ่ตัน9. (=13.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี19. (=27.) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าแก้ว กรมพระศรีสุดารักษ์2. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว20. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว10. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์21. เจ้าจอมมารดาทรัพย์5. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี22. บุศย์ (ชาวบางเขน)11. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา23. แจ่ม1. Main Page24. (=16.) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก12. (=8.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย25. (=17.) สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี6. (=4.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว26. (=18.) เงิน แซ่ตัน13. (=9.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี27. (=19.) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าแก้ว กรมพระศรีสุดารักษ์3. สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า14. หลวงอาสาสำแดง (แตง สุจริตกุล)7. สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา15. ท้าวสุจริตธำรง (นาค สุจริตกุล)",
"ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามรัชกาลที่ 2 ว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[3482,3522,3,3]}'>พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าสุลาลัย ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรงโปรดให้สร้างอุทิศถวาย[3] และต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนสร้อยพระนามเป็น \"นภาลัย\" และเฉลิมพระปรมาภิไธยใหม่เป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[3825,3986,3,3]}'>พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐ มเหศวรสุนทร ไตรเสวตรคชาดิศรมหาสวามินทร์ สยารัษฎินทรวโรดม บรมจักรพรรดิราช พิลาศธาดาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระพุทธเลิศหล้านภาไลย[4]",
"เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งองค์นี้ แต่ปัจจุบันได้มีการอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกลับไปประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ดังเดิม ส่วนพระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป",
"อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือ อุทยาน ร.2 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ต.อัมพวา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม มีเนื้อที่ 11 ไร่ บริเวณที่ก่อสร้างอุทยานพระบรมราชานุสรณ์นี้ พระราชสมุทรเมธี เจ้าอาวาสวัดอัมพวันเจติยาราม เป็นผู้น้อมเกล้าฯ ถวาย ซึ่งที่บริเวณนี้มี ความสำคัญเพราะเป็นที่พระราชสมภพของรัชกาลที่ 2 ",
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรด้วยโรคพิษไข้ ทรงไม่รู้สึกพระองค์เป็นเวลา 8 วัน พระอาการประชวรก็ได้ทรุดลงตามลำดับ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริพระชนมายุได้ 57 พรรษา และครองราชย์สมบัติได้ 15 ปี",
"พระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ เล่ากันว่าหุ่นพระพักตร์ปั้นโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ส่วนพระวรกายปั้นโดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่ฐานของพระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอีกด้วย",
"พงศาวลีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร 16. (=20) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย8. (=10) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว17. (=21) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์9. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี19. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา2. สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก20. (=16) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย10. (=8) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว21. (=17) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี5. สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า22. หลวงอาสาสำแดง (แตง สุจริตกุล)11. สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา23. ท้าวสุจริตธำรง (นาค สุจริตกุล)1. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร12. ชุ่ม ชูกระมล6. ชู ชูกระมล13.3. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี14.7. คำ ชูกระมล15. ผา",
"พ.ศ. 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางกราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 2 แห่งพระราชวงศ์จักรี เฉลิมพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตกับพวก คิดกบฏ โปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ชำระความ สงครามกับพม่าที่เมืองถลาง",
"ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เฉลิมพระนามใหม่เป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[4169,4241,3,3]}'>พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาอิศรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย[5]",
"สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนกษัตรานุชิต เสด็จประทับอยู่ ณ วังแห่งนี้จนสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเจ้าจอมมารดาเรียม (สมเด็จพระศรีสุลาไลย) เสด็จประทับจนสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงเสด็จเถลิงถวัลย์ครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้พระราชทานวังนี้เป็นที่ประทับของพระราชโอรส 3 พระองค์ คือ",
"เจ้าจอมมารดามาถึงแก่อนิจกรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อัฐิของท่านถูกนำไปลอยอังคาร หลังเจ้าจอมมารดามาถึงแก่อนิจกรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็มิได้ทรงโปรดให้เจ้านายพระองค์ใดมาประทับที่วังริมป้อมพระสุเมรุอีก",
"นายแพทย์เอกชัย โควาวิสารัช ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า มีพระอาการที่เหมือนกันกับโรคสมองอักเสบที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสค่อนข้างมาก ตั้งแต่ปวดพระเศียร ปวดเมื่อย มึนพระองค์ มีพระไข้ ซึมลง ตรัสไม่ได้ และเสวยพระโอสถไม่ได้ นอกจากนี้ พระอาการยังมีความคล้ายกับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเช่นกัน แต่พระอาการพระศอแข็งไม่สามารถระบุได้ชัดเจน เนื่องจากไม่มีบันทึกโดยแพทย์หลวงหรือปรากฏในเอกสารชิ้นใดเลย แต่พระอาการของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกลับไม่เหมือนกับโรคเลือดออกในสมองหรือโรคเนื้องอกของสมอง ดังนั้น นายแพทย์เอกชัย โควาวิสารัชจึงมีความเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยน่าจะทรงพระประชวรและสวรรคตด้วยพระโรคติดเชื้อของสมอง ซึ่งอาจเป็นโรคสมองอักเสบที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสหรือโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมากที่สุด",
"Family of Main Page 16. (=22.) สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก8. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก17. (=23.) พระอัครชายา (หยก)4. (=24.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย18. ทอง ณ บางช้าง9. สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี19. สมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี2. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว20. เศรษฐีจีนฮกเกี้ยนแซ่ตัน10. เงิน แซ่ตัน21. น้องสาวของท่านผู้หญิงน้อย ภรรยาของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่)5. สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี22. (=16.) สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก11. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสุดารักษ์23. (=17.) พระอัครชายา (หยก)1. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว24. (=4.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย12. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว25. สมเด็จพระศรีสุลาไลย6. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์26. พระอักษรสมบัติ (หม่อมราชวงศ์ทับ)13. เจ้าจอมมารดาทรัพย์27. ผ่อง3. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี14. บุศย์7. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา15. แจ่ม31. ม่วง สุรคุปต์",
"Family of Main Page 16. (=24.) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก8. (=12.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย17. (=25.) สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี4. (=6.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. (=26.) เงิน แซ่ตัน9. (=13.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี19. (=27.) สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์2. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว20. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว10. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์21. เจ้าจอมมารดาทรัพย์5. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี22. บุศย์11. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา23. แจ่ม1. Main Page24. (=16.) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช12. (=8.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย25. (=17.) สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี6. (=4.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว26. (=18.) เงิน แซ่ตัน13. (=9.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี27. (=19.) สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์3. สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า14. หลวงอาสาสำแดง (แตง)7. สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา15. ท้าวสุจริตธำรง (นาค)",
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสิ้น 73 พระองค์ แต่มีพระเจ้าลูกยาเธอ 18 พระองค์ได้ทรงกรมโดยรัชกาลที่ 2 มีบางพระองค์ที่ทรงกรมโดยรัชกาลที่ 3 มีดังต่อไปนี้",
"พระพุทธนฤมิตร เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นโดยจำลองจากพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานบนบุษบกยอกปรางค์หน้าพระอุโบสถ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร จนถึงปัจจุบัน",
"คุณเรียมเริ่มรับราชการในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ด้วยทอดพระเนตรเห็นคุณเรียมขณะลงเล่นน้ำที่ท่าหน้าบ้านแล้วต้องพระทัย และตามเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังเดิม ถือเป็นหม่อมห้ามคนที่สองในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ส่วนหม่อมท่านแรก คือ เจ้าจอมมารดาสี ธิดาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช) ",
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดสะพานเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 ซึ่งในปีนี้พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษาเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมอัยกาธิราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชพิธีพระชนมายุมงคลเสมอรัชกาลที่ 2 และฉลองวัดอรุณราชวรารามด้วย และเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีช้างเผือกในแผ่นดินถึง 4 เชือก จึงพระราชทานนามว่า สะพานเฉลิมหล้า ซึ่งมาจากพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และหัวเสาของสะพานออกแบบเป็นหัวช้างเผือก 4 หัว",
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระมเหสี และ เจ้าจอมมารดา รวมทั้งสิ้น 37 และพระองค์ยังมีพระราชโอรส-ธิดา ทั้งหมดรวม 73 พระองค์ ",
"รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ค่อนข้างไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ขณะนี้ราชวงศ์จักรีเข้าควบคุมทุกส่วนของรัฐบาลสยาม เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชโอรส-ธิดารวมทั้งสิ้น 42 พระองค์ พระมหาอุปราช พระอนุชา มีพระโอรส-ธิดารวม 43 พระองค์ และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโอรส-ธิดาทั้งสิ้น 73 พระองค์ จึงมีเจ้านายพอที่จะจัดเข้าสู่ระบบข้าราชการประจำ กองทัพ สมณเพศอาวุโสและรัฐบาลส่วนภูมิภาค มีการเผชิญหน้ากับเวียดนาม ซึ่งกลายมาเป็นมหาอำานจในภูมิภาค เหนือการควบคุมกัมพูชาใน พ.ศ. 2356 ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการฟื้นฟูสถานะเดิม",
"พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระปรีชาสามารถในศิลปกรรมด้านต่างๆ หลายสาขา ดังจะขอยกตัวอย่างต่อไปนี้",
"เจ้าครอกชีสิ้นพระชนม์เมื่อใดไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด บ้างก็ว่าสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก บ้างก็ว่าสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ที่ถูกต้องน่าจะเป็นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เพราะพ.ศ. 2361 ยังมีพระชนม์อยู่ สถานที่เก็บรักษาพระอัฐิของพระองค์อยู่ที่หอพระนาก พระโกศของพระองค์อยู่ในพระเบญจาชั้นที่ 1 เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระอัฐิเป็น กรมขุนรามินทรสุดา",
"เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองคใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชสมบัติพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงสด็จกลับไปประทับ ณ พระราชวังเดิม[7] พร้อมกับพระราชมารดา ส่วนสมเด็จพระเชษฐาของพระองค์นั้นทรงสมณเพศประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุและวัดสมอราย เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 21 พรรษา ผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไปประทับ ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หลังจากลาผนวชพระองค์จึงเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว",
"สุภาษิตเรื่อง สวิสดิรักษา สุนทรภู่แต่งถวายสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์พระเจ้าลูกยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมอบพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นี้ ให้เป็นศิษย์ศึกษาอักษรสมัยในสำนักสุนทรภู่ สันนิษฐานว่า แต่งขึ้นเมื่อปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๔ ถึงปี พ.ศ. ๒๓๖๗",
"พงศาวลีของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 16. (=20) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย8. (=10) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว17. (=21) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์9. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี19. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา2. สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก20. (=16) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย10. (=8) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว21. (=17) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี5. สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า22. หลวงอาสาสำแดง (แตง สุจริตกุล)11. สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา23. ท้าวสุจริตธำรง (นาค สุจริตกุล)1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์12. ชุ่ม6. ชู ชูกระมล3. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี7. คำ ชูกระมล15. ผา"
] |
ฟิลิปปินส์ มีเมืองหลวงชื่ออะไร ? | [
"ฟิลิปปินส์ (English: Philippines; Filipino: Pilipinas) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (English: Republic of the Philippines; Filipino: Republika ng Pilipinas) เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ[1] ซึ่งจัดอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ใหญ่ 3 เขตจากเหนือจรดใต้ ได้แก่ ลูซอน, วิซายัส และมินดาเนา เมืองหลวงของประเทศคือมะนิลา ส่วนเมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือนครเกซอน ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเมโทรมะนิลา[2] ฟิลิปปินส์มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก ทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก และทะเลเซเลบีสทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับไต้หวันทางทิศเหนือ ปาเลาทางทิศตะวันออก มาเลเซียและอินโดนีเซียทางทิศใต้ และเวียดนามทางทิศตะวันตก"
] | [
"มากาตี () คือเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ และหนึ่งใน 16 เมืองซึ่งอยู่ในเขตเมโทรมะนิลา หรือเขตปริมณฑลรอบกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ",
"สาธารณรัฐบังซาโมโร (Bangsamoro Republik) หรือชื่อเป็นทางการว่าสหสหพันธรัฐแห่งสาธารณรัฐบังซาโมโร (United Federated States of Bangsamoro Republik; UFSBR) เป็นรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองอายุสั้นที่แยกตัวออกมาจากฟิลิปปินส์ นูร์ มีซัวรี ประธานแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร เป็นผู้ประกาศเอกราชของบังซาโมโรเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ที่ตาลิเปา ซูลู และประกาศให้เมืองหลวงอยู่ที่ดาเวา ซิตี ตามคำประกาศของมีซัวรี เขตการปกครองประกอบด้วยเกาะบาสิลัน มินดาเนา ปาลาวัน ซูลูและตาวี-ตาวี และรวมถึงรัฐซาราวะก์และซาบะฮ์ของมาเลเซียด้วย",
"เซบูซิตี เป็นนครที่เก่าแก่ที่สุดของฟิลิปปินส์ เนื่องจากจักรวรรดิสเปนเดินทางมาตั้งถิ่นฐานที่นี่เป็นที่แรก และเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศ ที่นี่ถือศูนย์รวมคริสตศาสนิกชนแห่งตะวันออกไกล และเป็นมหานครที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศรองจากเมโทรมะนิลา",
"มหาวิหารมะนิลา (, ) มหาวิหารแห่งเมืองหลวงมะนิลา หรือที่รู้จักอย่างไม่เป็นทางการในชื่อมหาวิหารมะนิลาคือ มหาวิหารโรมันคาทอลิกที่ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ อุทิศให้กับพระนางมารีย์พรหมจารี ในฐานะแม่พระปฏิสนธินิรมล ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์หลักของฟิลิปปินส์ มหาวิหารใช้งานในฐานะสันตะสำนักของอาร์ชบิชอปแห่งมะนิลา ซึ่งเป็นอาร์ชบิชอปโดยพฤตินัยของประเทศฟิลิปปินส์",
"MNL ย่อมาจากชื่อเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ มะนิลา (MANILA) และตัวเลข \"48\" มาจากนามสกุลของ โคตาโระ ชิบะ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เอเคเอส โดยคำว่า \"ชิ\" และ \"บะ\" เป็นคำพ้องเสียงของภาษาญี่ปุ่น สามารถแปลความหมายได้เป็นเลข \"4\" และ \"8\" ",
"เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน มาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1521 (พ.ศ. 2064) มีเกล โลเปซ เด เลกัซปี มาถึงฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) และตั้งชุมชนชาวสเปนขึ้น ซึ่งนำไปสู่การตั้งอาณานิคมในเวลาต่อมา หลังจากนั้น นักบวชศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้แปรศาสนาของชาวเกาะทั้งหมดให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ในช่วง 300 ปีนับจากนั้น กองทัพสเปนได้ต่อสู้กับเหตุการณ์กบฏต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากชนพื้นเมืองและจากชาติอื่นที่พยายามเข้ามาครอบครองอาณานิคม ซึ่งได้แก่ อังกฤษ จีน ฮอลันดา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และโปรตุเกส สเปนสูญเสียไปมากที่สุดในช่วงที่อังกฤษเข้าครอบครองเมืองหลวงเป็นการชั่วคราวในช่วงสงครามเจ็ดปี (Seven Years' War) หมู่เกาะฟิลิปปินส์อยู่ใต้การปกครองของสเปนในฐานะอาณานิคมของสเปนใหม่ (New Spain) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) ถึงปี ค.ศ. 1821 (พ.ศ. 2364) และนับจากนั้นฟิลิปปินส์ก็อยู่ใต้การปกครองของสเปนโดยตรง การเดินเรือมะนิลาแกลเลียน (Manila Galleon) จากฟิลิปปินส์ไปเม็กซิโก เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และหมู่เกาะฟิลิปปินส์เปิดตัวเองเข้าสู่การค้าโลกในปี ค.ศ. 1834",
"ชื่อของนครตั้งชื่อตามพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 6 แห่งสเปน และอยู่ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของนักบุญเฟอร์ดินันที่ 3 แห่งแคว้นกัสติยาและเลออน โดยวันเฉลิมฉลองของเขาคือวันที่ 30 พฤษภาคม นครซันเฟร์นันโดมักเป็นที่รู้จักกันในสมญา \"เมืองหลวงคริสต์มาสแห่งฟิลิปปินส์\" เนื่องจากมีเทศกาลตะเกียงยักษ์ในเดือนธันวาคมของทุกปี และซีเอ็นเอ็นยกย่องให้เมืองนี้เป็น 'เมืองหลวงคริสต์มาสแห่งเอเชีย'",
"สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 2 (Second Philippine Republic) หรือสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (ภาษาญี่ปุ่น: フィリピン共和国, ภาษาฟิลิปิโน: Republika ng Pilipinas) หรือสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ญี่ปุ่นสนับสนุน (Japanese-sponsored Philippine Republic) เป็นรัฐหุ่นเชิด จัดตั้งเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2486 ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล เกซอน ได้ประกาศที่มะนิลา เมืองหลวงให้เป็นเมืองเปิด ปกครองโดยจอร์จ บี วาร์กัส ญี่ปุ่นเข้าเมืองได้เมื่อ 2 มกราคม พ.ศ. 2485 และตั้งมะนิลาเป็นเมืองหลวง ญี่ปุ่นเข้าสู่ฟิลิปปินส์อย่างเต็มที่เมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 หลังจากยุทธการคอร์เรกิดอร์\nนายพลมาซาฮารุ ฮอมมา ได้ประกาศสลายเครือจักรภพฟิลิปปินส์และจัดตั้งคณะกรรมการสูงสุดฟิลิปปินส์ (Komisyong Tagapagpaganap ng Pilipinas) และให้จอร์จ วาร์กัสเป็นประธานคนแรกในเดือนมกราคม พ.ศ. 2485 กาลิบาปีซึ่งเป็นตัวย่อในภาษาตากาล็อกขององค์กรบริหารแห่งฟิลิปปินส์ใหม่ (Kapisanan sa Paglilingkod sa Bagong Pilipinas) ก่อตั้งขึ้นโดยประกาศหมายเลข 109 ของคณะกรรมการสูงสุดฟิลิปปินส์ และประกาศเป็นกฎหมายเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2485 คว่ำบาตรพรรคการเมืองทั้งหมดที่มีอยู่ และจัดตั้งพันธมิตรของรัฐบาลใหม่ พรรคกานับซึ่งเป็นพรรคนิยมญี่ปุ่นได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกาลิบาปี",
"MNL48 (อ่านว่า เอ็มเอ็นแอลโฟร์ตีเอต) MNL ย่อมาจาก มะนิลา (Manila) ซึ่งเป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ โดยเป็นกลุ่มไอดอลหญิงจากประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นวงน้องสาวต่างประเทศลำดับที่ 5 ของ AKB48 ซึ่งมีการประกาศการก่อตั้งวงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559 ที่คอนเสิร์ตของ AKB48 รวมไปถึงวงน้องสาวอีกสองวง ได้แก่ TPE48 ประเทศไต้หวัน(ภายหลังได้ยุบวงและเปลี่ยนชื่อเป็น AKB48 Team TP) และ BNK48 ประเทศไทย",
"จังหวัดเซบู (; เซบัวโน: Lalawigan sa Sugbu; ) เป็นจังหวัดในเขตกิตนางคาบีซายาอัน ประเทศฟิลิปปินส์ ประกอบด้วยเกาะหลักและเกาะบริวารอีก 167 เกาะ เมืองหลักคือ เซบูซิตี ซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของฟิลิปปินส์ จังหวัดนี้มีท่าอากาศยานนานาชาติมักตัน–เซบู ตั้งอยู่บนเกาะมักตัน เป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมาเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ",
"เชื้อชาติ: ประเทศเกาหลีแทบจะไม่มีชนชาติอื่นนอกจากคนเกาหลีเอง แต่ก็มีชาวจีนประมาณ 3 หมื่นคน ซึ่งอยู่ตามเขตเมืองหลวงมาช้านานแล้ว และยังมีชาวฟิลิปปินส์อีก 72,000 คน",
"เนื่องจากตากาล็อกเป็นชื่อของกลุ่มชนด้วย จึงมีความอ่อนไหวทางการเมืองหากจะกล่าวว่าภาษาฟิลิปปินส์เป็นภาษาเดียวกับภาษาตากาล็อก คำว่าฟิลิปปินส์เป็นคำที่เป็นกลางโดยมาจากชื่อของประเทศไม่ได้มาจากชื่อชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ภาษาฟิลิปปินส์มีบทบาทเป็นภาษากลางในบริเวณที่เคยใช้ภาษาอื่น ๆ มาก่อน เช่น ในเกาะมินดาเนาที่เคยใช้ภาษาเซบูเป็นภาษากลาง และเมืองบาเกียวที่เคยใช้ภาษาอีโลกาโนเป็นภาษากลาง เนื่องจากภาษาฟิลิปปินส์เป็นภาษาในโรงเรียน การศึกษาจะทำให้ช่องว่างระหว่างภาษาตากาล็อกกับภาษาฟิลิปปินส์ห่างไกลกันยิ่งขึ้น",
"เขตกิตนางลูโซนตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศ อยู่ติดกับเขตอีโลโคสและเขตลัมบักนางคากายันทางทิศเหนือ, ติดกับเขตเมืองหลวงแห่งชาติ เขตคาลาบาร์โซน และอ่าวมะนิลาทางทิศใต้, ติดกับทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก และติดกับทะเลฟิลิปปินส์ทางทิศตะวันออก จังหวัดปังกาซีนันเคยเป็นส่วนหนึ่งของเขตนี้ก่อนย้ายไปขึ้นกับเขตอีโลโคสเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1973 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ส่วนจังหวัดเอาโรราย้ายมาจากเขตเซาเทิร์นตากาล็อกตามคำสั่งฝ่ายบริหารหมายเลข 103 เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002",
"อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปูเวร์โตปรินเซซา ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาเซนต์พอล ทางตอนเหนือของเกาะปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ ห่างจากเมืองปูเวร์โตปรินเซซา เมืองหลวงของเกาะปาลาวันทางตอนเหนือประมาณ 50 กิโลเมตร",
"อีมุสอยู่ห่างจากเมโทรมะนิลาไปทางทิศใต้ และเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชัยชนะสองครั้งเหนือจักรวรรดิสเปนในการปฏิวัติฟิลิปปิน สงครามสองครั้งนั้นได้แก่ สงครามอีมุส เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1896 และสงครามอะลาปัน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 โดยในครั้งนั้น ธงชาติฟิลิปปินส์ผืนแรกได้โบกสะพัด ทำให้เมืองนี้ได้รับฉายา \"เมืองหลวงแห่งธงชาติของฟิลิปปินส์\" และมีการเฉลิมฉลองทุก ๆ ปี และมีการจัดแสดงเรื่องราวของสงครามไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อีมุส อีมุสได้รับการยกฐานะเป็นนครเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2012",
"หลังจากที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นอาณานิคมของสเปนอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1571 ระบบการศึกษาในฟิลิปปินส์ได้รับอิทธิพลจากนโยบายของจักรวรรดิสเปน สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญในการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาในสมัยนั้น คือ ระบบการศึกษาแบบคาทอลิก โดยศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาระบบการศึกษาทั้งในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยภายในฟิลิปปินส์ เพราะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสเปนในการเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกในฟิลิปปินส์ ปัจจัยที่ส่งผลให้ศาสนจักรโรมันคาทอลิกประสบความสำเร็จในการปฏิรูประบบการศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์คือ ปัจจัยด้านการถือครองที่ดิน เหตุเพราะศาสนาโรมันคาทอลิกถือครองที่ดินเป็นจำนวนมากภายในฟิลิปปินส์ ซึ่งส่งผลให้นักบวชนิกายโรมันคาทอลิกมีอิทธิพลและมีอำนาจมากในการปฏิรูประบบการศึกษา และประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกภายในฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ระบบการศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี ค.ศ.1863 ผ่านกฎหมายการศึกษา (Educational Decree) ที่เน้นให้ระบบการศึกษาภายในประเทศมีความเป็นระบบ มีหลักสูตรที่มีมาตรฐาน และก่อตั้งโรงเรียนเพิ่มมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับประชาชนทั่วไปภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบการศึกษาของคนในประเทศยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ชายและผู้หญิง และความเหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและยากจน นอกเหนือจากศาสนาและระบบการศึกษาที่เป็นระบบ ภาษาสเปนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สเปนได้ทิ้งไว้แก่ประเทศอาณานิคม ซึ่งเห็นได้จากร่องรอยของมรดกทางภาษาสเปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาตากาล็อกที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากภาษาสเปน เช่นเดียวกับการตั้งชื่อคนในประเทศ ถนนหนทาง หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในฟิลิปปินส์ที่ยังคงถูกเรียกขานเป็นภาษาสเปนจนถึงปัจจุบัน นโยบายทางการศึกษาในยุคที่เป็นอาณานิคมของสหรัฐ ในการปฏิรูประบบการศึกษาภายในฟิลิปปินส์ภายใต้อาณานิคมของสหรัฐ ยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐ คือ ความพยายามที่จะทำให้ชาวฟิลิปปินส์มีความเป็นอเมริกันมากขึ้น (Americanization) ผ่านนโยบายการศึกษาที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวอเมริกัน ตลอดระยะเวลาที่สหรัฐปกครองฟิลิปปินส์ มีการสนับสนุนให้ใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น เพื่อลดบทบาทการใช้ภาษาท้องถิ่น โดยกว่า 5 ทศวรรษของระบบการศึกษาแบบอเมริกัน นักเรียนฟิลิปปินส์ต้องศึกษาบทประพันธ์ของกวีตะวันตกชื่อดังมากมาย อาทิ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เป็นต้น ส่งผลทำให้ชาวฟิลิปปินส์ให้ความสนใจกับวรรณคดีท้องถิ่นน้อยลง และใช้ภาษาอังกฤษในชั้นเรียนและในชีวิตประจำวันมากขึ้น ถึงแม้ว่าสหรัฐ พยายามสอดแทรกวรรณกรรมตะวันตกในชีวิตประจำวันของชาวฟิลิปปินส์ แต่เมื่อเทียบกับยุคที่สเปนปกครองฟิลิปปินส์ก่อนหน้านั้น ถือได้ว่าชาวฟิลิปปินส์มีเสรีภาพในการแสดงผลงานด้านบทประพันธ์ กลอน และวารสารต่างๆ ในภาษาท้องถิ่นมากกว่าในยุคที่เป็นอาณานิคมของสเปน อย่างไรก็ตาม ผลงานวรรณกรรมของชาวฟิลิปปินส์กลับไม่ได้รับการบรรจุในวิชาภาษาและวรรณคดีในชั้นเรียนเท่าที่ควร ซึ่งส่งผลทำให้ระบบการศึกษาแบบอเมริกันแตกต่างจากระบบการศึกษาในยุคที่เป็นอาณานิคมของสเปนโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ชาวฟิลิปปินส์ในยุคที่ถูกปกครองโดยสหรัฐ ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาประจำชาติของตัวเอง เพราะภาษาท้องถิ่นถูกใช้เป็นเพียงตัวช่วยในการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ เท่านั้น อีกทั้งสหรัฐยังผูกขาดการใช้ภาษาอังกฤษในระบบการศึกษา จวบจน ค.ศ. 1940 ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองฟิลิปปินส์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ญี่ปุ่นไม่ได้มีบทบาทในการพัฒนาการศึกษาภายในประเทศฟิลิปปินส์",
"ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา มีสามหน่วยงานที่ตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อนภายในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นผลให้บ่อยครั้งที่พายุหมุนมักจะมีสองชื่อในเวลาเดียวกัน ซึ่งในช่วง พ.ศ. 2488 ถึง 2543 กองทัพเรือแห่งสหรัฐอเมริกาในนามศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน ก่อนที่สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น จะเข้ามารับช่วงต่อในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งทั้งสองหน่วยงานจะใช้ชื่อที่ตั้งไว้กับพายุ ก็ต่อเมื่อพายุหมุนมีการทวีกำลังแรงสู่ระดับพายุโซนร้อน ส่วนสำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์ (PAGASA) จะตั้งชื่อให้กับพายุตั้งแต่ พ.ศ. 2506 โดยจะทำการตั้งชื่อให้กับระบบพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ หรือพายุดีเปรสชันเขตร้อนใด ๆ ที่ก่อตัวภายในพื้นที่รับผิดชอบของตน ซึ่งมีอาณาเขตระหว่างละติจูด 135°ตะวันออก ถึง 115°ตะวันออก และระหว่างลองจิจูด 5°เหนือ ถึง 25°เหนือ แม้ว่าพายุลูกนั้น ๆ จะมีชื่อที่ถูกกำหนดไว้อยู่แล้วก็ตาม ทั้งสามหน่วยงานที่มีการตั้งชื่อให้กับพายุหมุนเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก จะมีการปลดเกษียณชื่อของพายุหมุนเขตร้อนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์ จะปลดเกษียณชื่อพายุหมุนของตนเมื่อพายุลูกนั้น ๆ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างน้อย 1 พันล้านเปโซฟิลิปปินส์ และ/หรือ เป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนอย่างน้อย 300 รายในฟิลิปปินส์",
"ปาไซ () เป็นเมืองที่อยู่ในเขตเขตนครหลวงในประเทศฟิลิปปินส์ อยู่ทางตอนเหนือของกรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศ และอยู่ทางใต้ของมากาตีซิตี มีประชากรประมาณ 403,064 คน (ข้อมูลปี ค.ศ. 2007) นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาตินีโนยอากีโน ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์",
"แม่น้ำที่ยาวที่สุดคือแม่น้ำคากายันในภาคเหนือของเกาะลูซอน[26] อ่าวมะนิลา (ชายฝั่งของอ่าวเป็นที่ตั้งของกรุงมะนิลาเมืองหลวง) เชื่อมต่อกับลากูนาเดบาอี (ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์) ผ่านแม่น้ำปาซิก อ่าวซูบิก อ่าวดาเบา และอ่าวโมโรเป็นอ่าวอื่น ๆ ที่สำคัญ ช่องแคบซันฮัวนีโคแยกเกาะซามาร์และเกาะเลเตออกจากกัน แต่ก็มีสะพานซันฮัวนีโคข้ามเหนือช่องแคบ[27]",
"ซูลู (ฟิลิปีโนและ) หรือ ซูก (เตาซุก: ) เป็นจังหวัดเกาะปกครองตนเองของประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองในมุสลิมมินดาเนา (ARMM) เมืองหลวง คือ โฮโล และกินพื้นที่กลุ่มเกาะกลางของกลุ่มเกาะซูลู ระหว่างบาซีลันกับตาวี-ตาวี เป็นที่ตั้งของรัฐสุลต่านซูลูในประวัติศาสตร์",
"ไม้สีง้ำใช้ทำเครื่องประมงพื้นบ้าน ชื่อเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ (กรุงมะนิลา) ในภาษาตากาล็อกเรียกว่า แปลว่า \"มีต้นสีง้ำ\" เนื่องจากบริเวณอ่าวมะนิลามีต้นสีง้ำขึ้นอยู่มาก คำว่านีลัดหรือนีลาที่แปลว่าสีง้ำ อาจมาจากภาษาสันสกฤต \"nila\" (नील)",
"เมื่อสงครามสหรัฐอเมริกา-สเปนขยายตัวมาถึงมหาสมุทรแปซิฟิก จอร์จ ดิวอีย์ได้ทำลายกองทัพเรือสเปนที่มะนิลาเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2441 อากีนัลโดเดินทางกลับสู่เมืองกาวีเตพร้อมเรือรบของสหรัฐ อากีนัลโดประกาศตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์โดยมีเมืองหลวงที่มาโลส แต่สหรัฐไม่ยอมรับ อากีนัลโดได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการเมื่อ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2441 มีการชักธงชาติฟิลิปปินส์ขึ้นสู่ยอดเสา กองกำลังฝ่ายชาวพื้นเมืองล้อมกรุงมะนิลาไว้ได้",
"มะนิลา (; ) เป็นเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยุ่บนชายฝั่งตะวันออกของอ่าวมะนิลา (Manila Bay) บนเกาะลูซอนซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ทางเหนือสุดของฟิลิปปินส์ บางส่วนของเมืองมีความยากจน อย่างไรก็ดี มะนิลาเป็นเมืองที่มีชนชาติรวมกันอยู่มากมาย และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษา และอุตสหากรรมของประเทศ มะนิลาคือศูนย์กลางของเขตมหานครที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน เขต \"เมโทรมะนิลา\" (Metro Manila) เป็นมหานครที่ใหญ่กว่า ประกอบด้วยเมืองและเทศบาล 17 แห่ง เฉพาะเมืองมะนิลาเองเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 มีประชากรประมาณ 1.5 ล้านคน เมืองเดียวที่มีประชากรมากกว่าคือเมืองเกซอนซิตี (Quezon City) ชานเมืองและอดีตเมืองหลวง มะนิลาตั้งอยูที่ 14°35' เหนือ 121°0' ตะวันออก ",
"เกซอนซิตี (; ฟิลิปีโน: Lungsod Quezon) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในประเทศฟิลิปปินส์ เคยเป็นเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ระหว่างปี ค.ศ. 1948–1976 ตั้งอยู่บนเกาะลูซอน เมืองนี้ตั้งชื่อตามอดีตประธานาธิบดี มานูเอล แอล. เกซอน",
"ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2441 เอมีลีโอ อากีนัลโดได้เลือกโบสถ์แห่งมาโลโลสให้เป็นสำนักงานรัฐบาล และโบสถ์บาราโซอายินที่อยู่ใกล้กันเป็นรัฐสภา เมื่อสหรัฐเข้ายึดครองมาโลโลส อากีนัลโดได้สั่งให้นายพล อันโตนีโอ ลูนาเผาโบสถ์มาโลโลส\nบ้านหลังนี้เป็นสำนักงานของอากีนัลโดเมื่อย้ายที่ตั้งรัฐบาลมายังซันอีซีโดร ในช่วงท้ายของสงครามกับสหรัฐ ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2441 อากีนัลโดมาถึงซันอีซีโดร และตั้งให้เป็นเมืองหลวงชั่วคราวของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เขาเข้าพักที่บ้านซีเดโกและจัดให้เป็นสำนักงาน เมื่อสหรัฐยึดซันอีซีโดรได้ บ้านหลังนี้เป็นที่พักของนายพลเฟรเดอริก ฟุนสตัน ซึ่งต่อมา เขาคือผู้ที่จับกุมอากีนัลโดได้ที่ปาลานัน โดยกล่าวว่าแผนการจับตัวอากีนัลโดกำหนดขึ้นในบ้านหลังนี้ ปัจจุบัน บ้านหลังนี้เป็นขององค์กรคริสเตียน",
"จากนั้นในปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) กลุ่มนักกีฬาของสาธารณรัฐประชาชนจีน และฟิลิปปินส์ ซึ่งเข้าร่วมแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 14 ที่กรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร มีดำริที่จะฟื้นการแข่งขันกีฬาตะวันออกไกลขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม กูรู ดัตท์ สนธิ (Guru Dutt Sondhi) ผู้แทนคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งอินเดีย ให้ความเห็นว่า ควรเปิดกว้างให้แก่ทุกประเทศในทวีปเอเชีย สามารถเข้าร่วมการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน จึงเสนอให้ร่างระเบียบขึ้น เพื่อจัดตั้งขึ้นในรูปสหพันธ์กีฬาแห่งเอเชีย (The Asian Athletic Federation) ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ธรรมนูญองค์กรก็เสร็จสมบูรณ์ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น สหพันธ์กีฬาเอเชีย (The Asian Games Federation) ถือกำเนิดขึ้นที่กรุงนิวเดลีของอินเดีย ซึ่งเมืองหลวงแห่งนี้เอง ที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันครั้งที่ 1 ของเอเชียนเกมส์ ในอีกสองปีถัดมา (พ.ศ. 2493; ค.ศ. 1950)",
"แมนนี ปาเกียว เกิดวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ที่เมืองบูคิดนอน ประเทศฟิลิปปินส์ มีชื่อเต็มว่า เอ็มมานูเอล ดาปิดราน ปาเกียว (Emmanuel Dapidran Pacquiao) ในครอบครัวที่ยากจนมากที่เมืองบูคิดนอน ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ โดยเป็นลูกชายคนที่ 2 ในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมด 4 คน ของ โรซาลิโอ และ ดิโอนิเซีย ปาเกียว ทั้งคู่แยกทางกันตั้งแต่ปาเกียวยังเล็ก ๆ ปาเกียวขึ้นชกมวยด้วยความยากจน ขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2538 ที่กรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ได้ค่าตัวครั้งแรก 100 เปโซ โดยส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัวตลอด[1]",
"ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2441 ที่มะนิลา เกิดการสู้รบขึ้นในฟิลิปปินส์ระหว่างกองทัพสาธารณรัฐฟิลิปปินส์และกองทัพสหรัฐซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากสงครามสเปน-สหรัฐอเมริกา ในวันนั้น ประธานาธิบดีอากีนัลโดประกาศว่าสันติภาพและความสัมพันธ์ฉันมิตรกับสหรัฐสิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปนี้คือศัตรูที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายสงคราม การสู้รบเกิดขึ้นในการทัพมะนิลาครั้งที่ 2 ซึ่งกองทัพสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ถูกบีบให้ล่าถอยออกจากเมือง ในวันที่ 31 มีนาคม กองทัพสหรัฐเข้ายึดมาโลโลส ที่ตั้งรัฐบาลฟิลิปปินส์ ที่ถูกเผาโดยกองทัพสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ถอนตัวไป อากีนัลโดและแกนนำของกองทัพปฏิวัติย้ายไปที่ซันอีซีโดร จังหวัดนูเวบาเอซีฮา การเจรจาสันติภาพกับฝ่ายสหรัฐเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ ระหว่างเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 2442 และล้มเหลว กองทัพสหรัฐเข้ายึดซันอีซีโดรได้ในวันที่ 16 พฤษภาคม กองทัพฟิลิปปินส์และรัฐบาลถอยไปยังบัมบัน ตาร์ลัก ก่อนจะย้ายต่อไปที่เมืองตาร์ลัก กลุ่มของอากีนัลโดได้ออกจากเมืองตาร์ลักซึ่งถือเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้าย เมื่อกองทัพสหรัฐเข้ายึดครองได้ในวันที่ 13 พฤศจิกายน",
"ไต้หวันด้านตะวันตกติดกับจีนแผ่นดินใหญ่ ด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือติดกับญี่ปุ่น และด้านใต้ติดกับฟิลิปปินส์ กรุงไทเปเป็นเมืองหลวง[1] ส่วนไทเปใหม่เป็นเขตปกครองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ กินพื้นที่กรุงไทเป และเป็นเขตซึ่งประชากรหนาแน่นที่สุดในเวลานี้"
] |
ประเทศโปแลนด์ ใช้สกุลเงินใด ? | [
"ซวอตือ (Polish: złoty; รหัสสากลตาม ISO 4217 PLN) เป็นสกุลเงินของประเทศโปแลนด์ มีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 3.95 ซวอตือโปแลนด์ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ"
] | [
"สกุลเงิน หมายถึงชื่อเรียกเงินตราที่มีใช้ในแต่ละประเทศ สกุลเงินจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศหรือกลุ่มประเทศ โดยการแลกเปลี่ยนเงิน หรือการซื้อของหรือบริการระหว่างประเทศที่ใช้สกุลเงินต่างกันจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเป็นเกณฑ์ในการอ้างอิง ",
"สกุลเงินทั่วไปจะมีหน่วยสกุลเงินย่อย โดยส่วนมากจะเป็นอัตราส่วน 1/100 ของสกุลเงินหลัก เช่น 100 สตางค์ = 1 บาท หรือ 100 เซนต์ = 1 ดอลลาร์ แต่บางสกุลเงินจะไม่มีหน่วยย่อยเช่น สกุลเงินเยน ในหลายหลายประเทศเนื่องจากเงินเฟ้อ ทำให้สกุลเงินย่อยมีการเลิกใช้ไป",
"ยูโรโซน หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า พื้นที่ยูโร เป็นสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน ประกอบด้วยรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป 19 รัฐ (ณ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558) ซึ่งใช้เงินสกุลยูโรเป็นสกุลเงินร่วม และเป็นเงินสกุลเดียวที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ยูโรโซนปัจจุบันประกอบด้วยออสเตรีย เบลเยียม ไซปรัส เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก ลัตเวีย มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สโลวาเกีย สโลวีเนีย และสเปน รัฐสหภาพยุโรปอื่นส่วนใหญ่ถูกผูกมัดให้เข้าร่วมเมื่อรัฐนั้นผ่านเกณฑ์การเข้าร่วม ไม่มีรัฐใดออกจากกลุ่มและไม่มีข้อกำหนดในการออกหรือขับสมาชิกออก",
"หมวดหมู่:สกุลเงินยุโรป หมวดหมู่:ประเทศโปแลนด์",
"พ.ศ. 2550 รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมราคาสินค้า ผู้ใดขายสินค้าในราคาเกินกำหนดถือว่ามีความผิด แต่ผลคือ ต้นทุนของสินค้ายังเพิ่มขึ้นจนแพงกว่ากำแพงราคาที่กำหนด ร้านค้าต่างๆ เก็บสินค้าของตนออกไปขายในตลาดมืด เพราะไม่สามารถขายในราคาที่ขาดทุนได้ ทำให้ตลาดมืด (ตลาดผิดกฎหมาย) ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประชาชนไม่มีทางเลือก และเกิดการกักตุนสินค้าในตลาดมืดไว้ขายในราคาที่สูงกว่าในวันหน้า และนอกจากนี้ ชาวซิมบับเวเปลี่ยนไปใช้เงินสกุลอื่น หรือใช้สิ่งของในการแลกเปลี่ยนแทนเงินประจำชาติ เพราะมีความเสถียรกว่ามาก มีรายงานว่าแม้แต่โรงพยาบาลบางแห่ง ยังยินดีรับค่ารักษาเป็นถั่วลิสงมากกว่าที่จะรับเงินในสกุล ZWN โดยจะคิดค่ารักษาเป็นจำนวนถังของถั่วลิสง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการทาขนมปังให้คนไข้ เงินสกุลนี้ กลายเป็นเงินที่ต้องรีบใช้ เพราะราคาของในเงินสกุลนี้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเก็บออมโดยใช้เงินสกุลนี้คงจะยากที่จะมีโอกาสตั้งตัว และมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ต้องพบชะตากรรม เพราะเงินล้านที่ทำงานอดออมมาทั้งชีวิตตลอดก่อนหน้านี้เพื่อหวังจะใช้ชีวิตสบายยามชรา กลับเหลือมูลค่านำมาซื้อได้เพียงข้าวเช้า 1 จานเท่านั้น การควบคุมค่าเงินดูจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เงินเฟ้อประจำปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 66,212.3 ต่อปี",
"เงินยูโรยังสามารถใช้ในการชำระหนี้ในอาณาเขตนอกสหภาพยุโรปบางแห่ง ได้แก่ ประเทศโมนาโก ประเทศซานมารีโน และนครรัฐวาติกัน ซึ่งเคยใช้ฟรังก์ฝรั่งเศสหรือลีราอิตาลีเป็นสกุลเงินทางการ ตอนนี้ได้เปลี่ยนมาใช้สกุลยูโรแทนและได้รับสิทธิ์ในการผลิตเหรียญในสกุลยูโรในจำนวนเงินน้อย ๆ แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปก็ตาม",
"ระบบการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงิน หมายถึงการผูกมูลค่าของสกุลเงินนั่นๆให้เท่ากับมูลค่าของสกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง (ที่มีความแข็งแกร่งเช่น เงินดอลล่าร์สหรัฐ) หรือสกุลเงินของหลายๆประเทศ การตรึงอัตราแลกเปลี่ยนสามารถนำมาใช้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ แต่เนื่องจากมูลค่าของสกุลเงินที่นำมาอ้างอิงมีการเพิ่มและลดลงตลอดเวลา ดังนั้นมูลค่าของเงินในประเทศที่อยู่ภายใต้ระบบการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนจึงเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามมูลค่าของสกุลเงินที่นำมาอ้างอิง ซึ่งหมายความว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศนั้นๆจะถูกกำหนดโดยอัตราเงินเฟ้อของประเทศที่เป็นเจ้าของสกุลเงินที่นำมาอ้างอิง ดังนั้นการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนจึงทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้ของตัวเองในการที่จะบรรลุเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคได้",
"\"คึลเดิน\" เป็นคำคุณศัพท์ของภาษาดัตช์กลางที่แปลว่า \"ที่เป็นทอง\" ซึ่งเป็นชื่อที่บ่งถึงโลหะที่เดิมใช้ในการตีเงิน แต่สัญลักษณ์ ƒ หรือ fl. ที่ใช้แทนคำว่าคึลเดินมิได้ส่วนเกี่ยวข้องกับคำนี้แต่อย่างใด แต่มาจากอักษรย่อของสกุลเงินเดิมที่เรียกว่าโฟลไรน์ ()",
"เหรียญ 2 ยูโร เป็นเหรียญของเงินสกุลยูโร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25.75 มม. น้ำหนัก 8.5 กรัม ผลิตเป็นเหรียญกษาปณ์โลหะสองสี โดยส่วนของวงแหวนเป็นวัสดุคิวโปรนิเกิล ส่วนกลางใช้วัสดุประกบกันสามชั้นได้แก่ ทองเหลืองนิเกิล, นิเกิล และทองเหลืองนิเกิล เริ่มผลิตออกใช้เป็นเงินหมุนเวียนตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 ในเขตยูโรโซน การออกแบบเหรียญ 2 ยูโรในแต่ละประเทศจะมีภาพด้านหลังเหมือนกัน เป็นรูปแผนที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงประเทศสมาชิกที่ไม่ได้เปลี่ยนสกุลเงินมาใช้สกุลยูโร รวมทั้งเลขบอกมูลค่าหน้าเหรียญ 2 ยูโร ส่วนภาพด้านหน้านั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ",
"สกุลเงินยูโร (EUR) เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 แทนเงินสกุลลีตัส (Litas) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 22.287 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (GDP ต่อหัว 6487 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี) อัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ร้อยละ 6.7 อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 2.9 อัตราการว่างงาน ร้อยละ 11.4 (จำนวนแรงงาน 1.5 ล้านคน) ดุลการค้า ขาดดุล 3.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า/ส่งออก 12.78 และ 9.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศคู่ค้านำเข้าสำคัญ รัสเซีย (ร้อยละ 22.34) เยอรมนี (ร้อยละ 16.89) โปแลนด์ (ร้อยละ 7.56) เนเธอร์แลนด์ (ร้อยละ 3.95) ลัตเวีย (ร้อยละ 3.8)/ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (ร้อยละ 63) ประเทศคู่ค้าส่งออกสำคัญเยอรมนี (ร้อยละ 10.24) ลัตเวีย (ร้อยละ 10.06) รัสเซีย (ร้อยละ 9.10) ฝรั่งเศส (ร้อยละ 6.31) สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 5.32)/ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (ร้อยละ 66.45) สินค้านำเข้าสำคัญ ผลิตภัณฑ์แร่ธาตุ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ อุปกรณ์ที่ใช้ในการขนส่ง เคมีภัณฑ์ โลหะ สินค้าส่งออกสำคัญ ผลิตภัณฑ์แร่ธาตุ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ อุปกรณ์ที่ใช้ในการขนส่ง เคมีภัณฑ์",
"สกุลเงินที่ใช้คือโครนาไอซ์แลนด์ (króna – ISK) ออกโดยธนาคารกลางไอซ์แลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินด้วย ค่าเงินโครนามีความผันผวนกับสกุลเงินยูโรสูง จึงทำเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนมาใช้เงินยูโรโดยไม่เข้าร่วมกับกลุ่มสหภาพยุโรป จากการสำรวจในปี 2550 พบว่า 53% ของชาวไอซ์แลนด์สนับสนุนการร่วมใช้สกุลเงินยูโร 37% ต่อต้าน และ 10% ไม่ตัดสินใจ[21] ไอซ์แลนด์มีอัตราการใช้จ่ายด้วยเงินสดในประเทศต่ำมาก (น้อยกว่า 1% ของ GDP)[22] และนับได้ว่าเป็นประเทศที่ใช้ปัจจัยอื่นทดแทนเงินสดได้มากที่สุด[23] ประชากรส่วนใหญ่ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแม้จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย[24] พลังงานทดแทน ได้แก่พลังงานน้ำและพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นส่วนประกอบถึงมากกว่า 70% ของการบริโภคพลังงานของไอซ์แลนด์[25]",
"สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้หน่วยเงิน ดอลลาร์ เป็นสกุลเงินประจำชาติ และยังมีประเทศอื่นที่มีเงินดอลลาร์เช่นกัน แต่ใช้ชื่อเรียกอื่น เช่น ดอลลาร์สิงคโปร์ ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ไต้หวัน นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐ ยังเป็นสกุลเงินหลักในหลายประเทศ[2] และในบางประเทศถึงแม้ว่าดอลลาร์สหรัฐไม่ใช่สกุลเงินหลัก แต่ยังมีการยอมรับในการใช้จ่ายสินค้าทั่วไป",
"เงินในที่นี้จะให้เป็นเงินสกุล ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าทีมจะอยู่ในประเทศใด ๆ ก็ตาม (กฎนี้มีข้อยกเว้นในเลก 4 ของ ซีซั่นที่ 10 ในประเทศเวียดนาม ที่ให้เงินเป็นเงินสกุลท้องถิ่น (ด่อง) โดยจำนวนเงินที่ให้ในแต่ละเลกนั้นแตกต่างออกไปตั้งแต่ไม่ให้เงินจนถึงหลายร้อยดอลลาร์ (ในซีซั่นที่ 1 , ซีซั่นที่ 10 , ซีซั่นที่ 12 มีอยู่หนึ่งเลกที่ทางรายการไม่ได้ให้เงินและในซีซั่นที่ 4 ทางรายการให้เงินเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับ 2 เลกสุดท้าย และตั้งแต่ ซีซั่นที่ 5 ถึง ซีซั่นที่ 9 ทีมที่เข้าสุดท้ายในเลกที่ไม่มีการคัดออกจะถูกบังคับให้คืนเงินทั้งหมด และจะไม่ได้รับเงินใช้ในเลกต่อไป",
"เปโซคิวบา (English: Cuban peso) คือหน่วยสกุลเงินหนึ่งที่ใช้ในประเทศคิวบาแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ คิวบาเปโซ (CUP) ถือเป็นสกุลเงินหลักในประเทศ และ<b data-parsoid='{\"dsr\":[1321,1351,3,3]}'>คอนเวอร์ทิเบิลเปโซ (CUC) หรือสกุลเงินที่ออกมาเพื่อใช้แทนดอลลาร์สหรัฐ โดย 1 ดอลลาร์สหรัฐ มีค่าเท่ากับ 1 CUC และ 1 CUC มีค่าเท่ากับ 24 CUP แสดงให้เห็นว่าสกุลเงินในประเทศถูกกว่าสกุลเงินที่ใช้ทดแทนเงินภายนอกมาก แต่ทั้ง CUP และ CUC สามารถเรียกรวมกัน ง่ายๆ ว่า เปโซ (Peso) ในคิวบาตามร้านค้าจะไม่ค่อยรับ CUC มากนัก หรือรับก็มีมาตรฐานค่าเงินต่างกัน จึงมักเกิดกรณีที่ชาวต่างชาติจ่ายเงินเกินจำนวนบ่อย[3]",
"สกุลเงินนี้ใช้ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้แทนสกุลเงินเดนาร์ยูโกสลาเวีย เนื่องจากว่าประเทศมาซิโดเนียได้แยกตัวออกมาจากยูโกสลาเวียแล้ว",
"เหรียญไทยนั้นผลิตออกมาโดยสำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยสามารถผลิตออกใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมาค้ำประกัน เพราะโลหะที่ใช้ผลิตเหรียญกปาษณ์นั้นมีค่าในตัวเองอยู่แล้ว ส่วนธนบัตรนั้นผลิตและควบคุมการหมุนเวียนโดยธนาคารแห่งประเทศไทย การผลิตธนบัตรนำออกใช้จะมีหลักเกณฑ์วิธีที่เหมาะสมเพื่อให้เศรษฐกิจของชาติมีเสถียรภาพ",
"แต่การกระทำใดๆ ไร้ผล ที่สุดแล้วรัฐบาลซิมบับเว ประกาศยกเลิกการใช้เงินสกุลดอลลาร์ซิมบับเวในประเทศและยอมรับการใช้เงินสกุลอื่นในประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 เมษายน 2552 โดยกล่าวว่า จะหยุดใช้เงินสกุลนี้ไปอย่างน้อยหนึ่งปี จนกว่าประเทศจะพร้อมกลับไปใช้เงินสกุลนี้อีกครั้ง เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเยียวยาตัวมันเอง นับจากวันนั้น ภาวะเงินเฟ้อในซิมบับเวลดลงสู่ระดับเกือบปกติในทันที และไม่เคยพุ่งสูงอีกเลย และจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลเลิกใช้เงินสกุลนี้มีแล้วหลายปี แต่ก็ยังไม่ได้ให้ประเทศกลับไปใช้เงินสกุลนี้แต่อย่างใด",
"ตารางแสดงถึงการจัดอันดับสกุลเงิน 15 สกุลเงินที่ใช้ในการชำระเงินข้ามประเทศมากที่สุดในโลก (15 most frequently used currencies in World Payments) โดยสมาคมโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT)",
"เนื่องจากประเทศอันดอร์ราไม่มีสกุลเงินใช้เป็นของตนเอง โดยก่อนหน้านี้ใช้เงินสกุลฟรังก์ฝรั่งเศสและเปเซตาสเปน ในปัจจุบันใช้สกุลเงินยูโรเป็นหลัก รายได้ GDP ต่อหัว ประมาณ 16,600 ดอลลาร์สหรัฐ และมี GDP โดยรวมประมาณ 1,065,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนประมาณ 15,000,000 คนต่อปี",
"เงินในที่นี้จะให้เป็นเงินสกุล ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าทีมจะอยู่ในประเทศใด ๆ ก็ตาม (กฎนี้มีข้อยกเว้นในเลก 4 ของ ซีซั่นที่ 10 ในประเทศเวียดนาม ที่ให้เงินเป็นเงินสกุลท้องถิ่น (ด่อง) โดยจำนวนเงินที่ให้ในแต่ละเลกนั้นแตกต่างออกไปตั้งแต่ไม่ให้เงินจนถึงหลายร้อยดอลลาร์ (ในซีซั่นที่ 1 , ซีซั่นที่ 10 , ซีซั่นที่ 12 มีอยู่หนึ่งเลกที่ทางรายการไม่ได้ให้เงินและในซีซั่นที่ 4 ทางรายการให้เงินเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับ 2 เลกสุดท้าย และตั้งแต่ ซีซั่นที่ 5 ถึง ซีซั่นที่ 9 ทีมที่เข้าสุดท้ายในเลกที่ไม่มีการคัดออกจะถูกบังคับให้คืนเงินทั้งหมด และจะไม่ได้รับเงินใช้ในเลกต่อไป",
"ตามข้อมูลของสมาคมโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) สกุลเงินบาทได้รับการอันดับเป็นสกุลเงินอันดับที่ 10 ของโลกที่ใช้ในการชำระเงินระหว่างประเทศ (most frequently used currencies in World Payments)[1]",
"สหราชอาณาจักร ใช้เงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิง(ได้ออกจากEUแล้ว) สวีเดน ใช้เงินสกุลโครนสวีเดน เดนมาร์ก ใช้เงินสกุลโครนเดนมาร์ก DKK 7.46038 XEU 1 = DKK 0.19770007 บัลแกเรีย ใช้เงินสกุลเลฟ DEM 1.95583 XEU 1 = DEM 0.625083268 โรมาเนีย ใช้เงินสกุลเลอู ฮังการี ใช้เงินสกุลโฟรินต์ สาธารณรัฐเช็ก ใช้เงินสกุลโครูนาเช็ก โครเอเชีย ใช้เงินสกุลคูนา โปแลนด์ ใช้เงินสกุลซวอตี",
"ดอลลาร์ (; $) เป็นชื่อของสกุลเงินที่ใช้เหมือนกันในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ สกุลเงินของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเงินสกุลสำคัญสกุลหนึ่งของโลก",
"ในหลายประเทศสกุลเงินสามารถมีชื่อเดียวกันได้ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์ฮ่องกง และดอลลาร์แคนาดา และในหลายประเทศใช้สกุลเงินเดียวกัน เช่นในประเทศแถบยุโรปหลายประเทศใช้สกุลเงินยูโร และในบางประเทศใช้หน่วยเงินของประเทศอื่นเป็นเกณฑ์เช่นประเทศปานามา และ ประเทศเอลซัลวาดอร์ ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ",
"เงินครูนเอสโตเนีย ลิตัสลิทัวเนีย และโตลาร์สโลวีเนียถูกรวมเข้ากับ ERM 2 ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ปอนด์ไซปรัส ลัตส์ลัตเวีย และลีรามอลตาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 โครูนาสโลวาเกียเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 สกุลเงินของประเทศใหญ่ที่สุดซึ่งเข้าร่วมสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 (ได้แก่ ซวอตีโปแลนด์ โครูนาเช็ก และโฟรินต์ฮังการี) ได้รับการคาดหวังให้ปฏิบัติตามในที่สุด",
"เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948 สหรัฐอเมริกาและอังกฤษยื่นข้อเสนอต่อสภาปกครองฝ่ายพันธมิตรให้สร้างสกุลเงินเยอรมนีใหม่เพื่อแทนที่สกุลเงินไรช์มาร์ค (Reichsmark) ที่มีปริมาณล้นอยู่ในระบบและขาดมูลค่าอย่างแท้จริง สหภาพโซเวียตปฏิเสธข้อเสนอนี้เพราะต้องการให้เยอรมนีคงสภาพอ่อนแอ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกทั้งสามจึงร่วมมือกันสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นมาอย่างลับ ๆ และประกาศใช้ในพื้นที่ของตนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1948 ในชื่อสกุลเงินดอยช์มาร์ค (Deutsche Mark) สหภาพโซเวียตไม่ยอมรับสกุลเงินนี้ แต่ฝ่ายตะวันตกได้แอบลักลอบเอาเงินสกุลใหม่นี้เข้าไปในเบอร์ลินเป็นจำนวนถึง 250,000,000 ดอยช์มาร์คแล้ว ไม่นานนัก ดอยช์มาร์คก็กลายเป็นสกุลเงินมาตรฐานในทุกพื้นที่ของเยอรมนี",
"สโลวาเกีย (; ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสโลวัก (; ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคยุโรปกลาง มีอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับเช็กเกีย ทางเหนือติดต่อกับโปแลนด์ ทางตะวันออกติดต่อกับยูเครน ทางใต้ติดต่อกับฮังการี และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดต่อกับออสเตรีย เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศคือเมืองหลวงบราติสลาวา ปัจจุบันสโลวาเกียเป็นรัฐสมาชิกรัฐหนึ่งของสหภาพยุโรป และได้เปลี่ยนสกุลเงินของประเทศจากกอรูนาสโลวักมาเป็นยูโรเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552",
"มาตรฐานทองคำได้ถูกเลิกใช้ไปบางส่วนภายหลังการนำข้อตกลงเบรตตันวูดส์มาใช้ ภายใต้ระบบนี้เงินสกุลใหญ่ทุกสกุลจะถูกตรึงให้มีอัตราคงที่กับเงินดอลลาร์ ในขณะที่เงินดอลลาร์จะถูกผูกติดอยู่กับทองคำในอัตรา 35 ดอลล่าร์สหรัฐต่อออนซ์ ระบบเบรตตันวูดส์มีอันเป็นที่สิ้นสุดลงในปี 1971 ทำให้ประเทศส่วนใหญ่เปลี่ยนไปใช้ ซึ่งหมายถึงการที่เงินตรามีค่าตามที่กฎหมายของแต่ละประเทศเป็นผู้กำหนด",
"ISO 4217 เป็นมาตรฐานสากลสำหรับรหัสสกุลเงินที่ใช้ในประเทศต่างๆ มักใช้ในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามธนาคาร ประกอบด้วยอักษรละตินตัวใหญ่ 3 ตัวจากชื่อประเทศและชื่อของสกุลเงินที่ใช้ในประเทศนั้น"
] |
เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็กคืออะไร? | [
"เช็กเกียประกอบด้วยภูมิภาคที่เก่าแก่สองส่วน คือ โบฮีเมียและมอเรเวีย และส่วนหนึ่งของภูมิภาคที่สาม เรียกว่า ไซลีเซีย ประเทศนี้ได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 เมืองหลวงของประเทศคือ ปราก เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วย เมืองสำคัญอื่น ๆ ของประเทศ ได้แก่ เบอร์โน, ออสตราวา, เปิลเซน, ฮราเดตส์กราลอเว, เชสเกบุดเยยอวีตเซ และอูสตีนัดลาเบม"
] | [
"อันโตญีน ดโวชาก () เป็นคีตกวีชาวเช็ก เกิดเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2384 (ค.ศ. 1841) ที่เมืองมุลโฮเซน (ในภาษาเช็กคือเมืองเนลาโฮเซเวส) ห่างจากกรุงปรากออกไปทางตอนเหนือราว 20 กิโลเมตร ในแคว้นโบฮีเมีย (สาธารณรัฐเช็ก) และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) ที่กรุงปราก ",
"ปักกิ่ง หรือ เป่ย์จิง (จีน: , พินอิน: Běijīng) เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อย่อว่า จิง ตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ที่ราบหวาเป่ย์ ชื่อเดิมคือ จี่ (冀) สมัยวสันตสารท (春秋)และสมัยรณรัฐ (战国)เป็นเมืองหลวงของแคว้นเยียน สมัยราชวงศ์เหลียว เป็นเมืองหลวงรอง ชื่อ เยียนจิง เป็นเมืองหลวงของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิน หยวน หมิง ชิงจนถึง สาธารณรัฐจีน เคยใช้ชื่อจงตู ต้าตู เป่ย์ผิงและเป่ย์จิง โดยมีชื่อเรียกทั้งหมดกว่า 60 ชื่อ [4] เริ่มตั้งเป็นเมืองตั้งแต่ปี 1928 ปัจจุบัน แบ่งเป็น 16 เขตและ 2 อำเภอ เป็นนครที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง พื้นที่ทั่วกรุงปักกิ่งมีถึง 16,800 ตารางกิโลเมตร ถึงสิ้นปี ค.ศ. 2017 ทั่วกรุงเปย์จิงมีประชากร 21,107,000 คน[5] กรุงปักกิ่งเป็นศูนย์การเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษาและเขตชุมทางการคมนาคมทั่วประเทศจีนและก็เป็นเมืองท่อง เที่ยวที่มีชื่อดังทั้งในประเทศจีนและในโลก แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีกำแพงเมืองจีน พระราชวังโบราณ หอสักการะฟ้าเทียนถัน สุสานจักรพรรดิสมัยราชวงศ์หมิง วังพักร้อนอี๋เหอหยวนและภูเขาเซียงซาน เป็นต้น ปัจจุบันปักกิ่งเป็นเขตการปกครองพิเศษแบบมหานคร 1 ใน 4 แห่งของจีน ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับมณฑลหลังจากปักกิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 โดยเฉพาะหลังจากสมัย 80 ศตวรรษที่ 20 เมืองปักกิ่งได้พัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปัจจุบันนี้ปักกิ่งมีถนนที่สลับกัน ตึกสูงๆ โดยไม่เพียงแต่รักษาสภาพเมืองโบราณ และยังแสดงถึงสภาพเมืองที่ทันสมัย กลายเป็นเมืองใหญ่ของโลก",
"ในเวลาต่อมาได้มีการสถาปนาราชวงศ์จิน และได้ย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่แย่นจิงในปี 2239 (ค.ศ. 1696) โดยเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น จงตู ต่อมาราชวงศ์จินถูกรุกรานโดยชาวมองโกล จึงได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เปี้ยนจิง (เมืองไคฟง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) หลังจากนั้น ราชวงศ์หยวนก็ได้สถาปนาขึ้นภายใต้การปกครองของชาวมองโกล และตั้งให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงในปี 2353 (ค.ศ. 1810) จากนั้นปักกิ่งก็ถูกตั้งให้เป็นเมืองหลวงเรื่อยมาในสมัยราชวงศ์หมิง และชิง จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2492 เมื่อจีนเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้กำหนดให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจนถึงปัจจุบัน โบราณสถานในปักกิ่งที่ตกทอดสืบต่อมาและมีปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้มีมาก มาย เช่น พระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน หอบูชาฟ้า พระราชวังฤดูร้อน สุสานสิบสามกษัตริย์ เป็นต้น สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นมรดกทางประศาสตร์อันสำคัญทั้งของจีน และของโลก",
"สาธารณรัฐกาแลกติกใหม่ล่มสลายลงเนื่องจากเมืองหลวงของสาธารณรัฐคือ Hosnian Prime และดาวเคราะข้างเคียงในระบบ Hosnian ถูกลำแสงทำลายล้างที่ยิงมาจากฐานทัพสตาร์คิลเลอร์ โดยฝ่ายปฐมภาคี",
"สาธารณรัฐสังคมอิตาลี () เป็นรัฐหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนีระหว่างช่วงหลังของสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการเกิดใหม่ของรัฐฟาสซิสต์อิตาลี นำโดย เบนิโต มุสโสลินีและพรรคฟาสซิสต์สาธารณรัฐนิยมปฏิรูปของเขา รัฐดังกล่าวประกาศว่ากรุงโรมเป็นเมืองหลวง แต่เนื่องจากโรมไม่อยู่ภายใต้การควบคุม โดยพฤตินัยจึงกระจุกอยู่รอบซาโล อันเป็นสำนักงานใหญ่ของมุสโสลินีและกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐสังคมอิตาลีมีอำนาจอธิปไตยในนามในทางเหนือของอิตาลี แต่ต้องพึ่งพาทหารเยอรมันเพื่อรักษาการควบคุมเป็นส่วนใหญ่",
"ทีมชาติก่อตั้งขึ้นในปี 1901 ในสมัยราชอาณาจักรโบฮีเมียที่ถูกปกครองโดยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ต่อมาได้ก่อตั้งเชโกสโลวาเกีย ก่อนจะแยกประเทศกับสโลวาเกียในปี 1992 การแข่งขันระหว่างประเทศของพวกเขาเป็นครั้งแรกที่สาธารณรัฐเช็กคือยูโร 1996 ที่พวกเขาเสร็จสิ้นการวิ่งขึ้นเสร็จที่ดีที่สุดของพวกเขาในการแข่งขันระหว่างประเทศใด ๆ แม้จะมีความสำเร็จแรกของพวกเขาที่พวกเขาได้ให้ความสำคัญเฉพาะในฟุตบอลโลก 2006 ทัวร์นาเมนต์ที่พวกเขาถูกกำจัดในรอบแรกของการแข่งขัน พวกเขาเผชิญชะตากรรมเดียวกันที่ ยูโร 2008 ลักษณะที่ปรากฏล่าสุดของพวกเขาในขั้นตอนสุดท้ายของการแข่งขันที่สำคัญ",
"ยูกันดา (English: Uganda) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐยูกันดา (English: Republic of Uganda) เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออก มีอาณาเขตทางตะวันออกจดประเทศเคนยา ทางเหนือจดประเทศซูดานใต้ ทางตะวันตกจดสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ซาอีร์เดิม) ทางตะวันตกเฉียงใต้จดประเทศรวันดา และทางใต้จดประเทศแทนซาเนีย ทางใต้ของประเทศรวมถึงบางส่วนของทะเลสาบวิกตอเรีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับเคนยาและแทนซาเนียด้วย ยูกันดาได้ชื่อมาจากอาณาจักรบูกันดาซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทางใต้ของประเทศ รวมถึงเมืองหลวง กัมปาลา นอกจากนี้ยังมีอาณาจักรอื่นคือ อาณาจักรโตโร อาณาจักรบุนโยโร-กิตารา อาณาจักรบูโซกา อาณาจักรอันโกเล อาณาจักรรเวนซูรูรู เมืองหลวงเก่าของประเทศนี้คือเอนเทบบี อันเป็นที่ตั้งของสนามบินแห่งชาติยูกันดาด้วย",
"เชชเนียตั้งอยู่ในคอเคซัสเหนือ ตั้งอยู่ส่วนใต้สุดของยุโรปตะวันออก และอยู่ในรัศมี 100 กิโลเมตรจากทะเลแคสเปียน เมืองหลวงของสาธารณรัฐคือกรอซนืย ตามสำมะโน พ.ศ. 2553 สาธารณรัฐมีประชากร 1,268,989 คน",
"สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 2 (Second Philippine Republic) หรือสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (ภาษาญี่ปุ่น: フィリピン共和国, ภาษาฟิลิปิโน: Republika ng Pilipinas) หรือสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ญี่ปุ่นสนับสนุน (Japanese-sponsored Philippine Republic) เป็นรัฐหุ่นเชิด จัดตั้งเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2486 ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล เกซอน ได้ประกาศที่มะนิลา เมืองหลวงให้เป็นเมืองเปิด ปกครองโดยจอร์จ บี วาร์กัส ญี่ปุ่นเข้าเมืองได้เมื่อ 2 มกราคม พ.ศ. 2485 และตั้งมะนิลาเป็นเมืองหลวง ญี่ปุ่นเข้าสู่ฟิลิปปินส์อย่างเต็มที่เมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 หลังจากยุทธการคอร์เรกิดอร์\nนายพลมาซาฮารุ ฮอมมา ได้ประกาศสลายเครือจักรภพฟิลิปปินส์และจัดตั้งคณะกรรมการสูงสุดฟิลิปปินส์ (Komisyong Tagapagpaganap ng Pilipinas) และให้จอร์จ วาร์กัสเป็นประธานคนแรกในเดือนมกราคม พ.ศ. 2485 กาลิบาปีซึ่งเป็นตัวย่อในภาษาตากาล็อกขององค์กรบริหารแห่งฟิลิปปินส์ใหม่ (Kapisanan sa Paglilingkod sa Bagong Pilipinas) ก่อตั้งขึ้นโดยประกาศหมายเลข 109 ของคณะกรรมการสูงสุดฟิลิปปินส์ และประกาศเป็นกฎหมายเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2485 คว่ำบาตรพรรคการเมืองทั้งหมดที่มีอยู่ และจัดตั้งพันธมิตรของรัฐบาลใหม่ พรรคกานับซึ่งเป็นพรรคนิยมญี่ปุ่นได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกาลิบาปี",
"การประชุมรัฐสภาสาธารณรัฐเทกซัสครั้งแรกเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม 1836 ที่เมืองโคลัมเบีย (เวสต์โคลัมเบียในปัจจุบัน) สตีเฟน เอฟ. ออสติน ผู้ได้รับสมญานาม “บิดาแห่งเทกซัส” ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1836 หลังจากดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สาธารณรัฐใหม่ได้เพียงแค่สองเดือน เนื่องจากในช่วงสถาปนารัฐ เกิดสงครามต่อสู้เพื่ออิสรภาพอยู่ จึงมีการกำหนดให้เมืองห้าแห่งมีหน้าที่เป็นเมืองหลวงชั่วคราวของเทกซัสในปี 1836 ได้แก่เมืองวอชิงตัน-ออน-เดอะ-แบรซัส, แฮร์ริสเบิร์ก, แกลวิสตัน, วิลาสโก และโคลัมเบีย ต่อมาได้มีการย้ายเมืองหลวงไปที่ฮิวสตัน ซึ่งเป็นเมืองสร้างใหม่ ในปี 1837 ในปี 1839 เมืองหลวงถูกย้ายอีกครั้งไปยังนิคมเล็กๆ บริเวณชายแดนเลียบแม่น้ำโคลาราโด ที่เรียกว่าวอเตอร์ลู ซึ่งได้มีการผังเมืองใหม่ที่เมืองดังกล่าว และทำการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นเมืองหลวงชื่อว่าออสติน",
"จูบา () เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเซาท์ซูดานเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนไวท์ไนล์\nในปี ค.ศ. 2011 ประชากรในเมืองหลวงจูบามีจำนวน 372,410 คน\nตารางแสดงการเปลี่ยนแปลงของประชากร",
"สาธารณรัฐคาเรเลีย () หรือ สาธารณรัฐคาเรลียา (, \"Respublika Kareliya\"; ) เป็นสาธารณรัฐในประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศส่วนที่อยู่ในทวีปยุโรป มีเมืองหลวงคือ เปโตรซาวอดสค์ มีประชากร 643,548 คน (ค.ศ. 2010) มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายประเทศฟินแลนด์ ประกอบด้วยภูเขาเตี้ย ๆ มีทะเลสาบ ที่ลุ่มชื้นแฉะและธารน้ำอยู่ทั่วไป",
"หนานจิง หรือรู้จักกันอีกชื่อว่า นานกิง () เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยหนานจิงเป็นหนึ่งในเมืองหลวงเก่าของจีน ปัจจุบันหนานจิงเป็นเมืองใหญ่อันดับสองในภาคตะวันออกของจีน รองจากช่างไห่ และหนานจิงเป็นเมืองหลวงของจีนคณะชาติสมัยปฏิวัติล้มล้างจักรพรรดิจีน ราชวงศ์ชิงหรือแมนจู หนานจิง ที่แปลว่านครหลวงใต้ เคยเป็นเมืองหลวงของหลายราชวงศ์ จนได้รับสมญานามว่า เมืองหลวงสิบแผ่นดิน และยังเป็น 1 ใน 6 นครโบราณ อันได้แก่ ปักกิ่ง หนานจิง ซีอาน ลั่วหยาง หางโจว และ ไคเฟิง เป็นเมืองหลวงครั้งสุดท้ายระหว่างปี พ.ศ. 2470 ถึง พ.ศ. 2492 โดยรัฐบาลสาธารณรัฐจีน ซึ่งมีผู้นำขณะนั้น คือ นายพลเจียงไคเช็ค หลังสถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลใหม่จึงได้ย้ายเมืองหลวงกลับมายังปักกิ่งดังเดิม",
"ในภาษาไทย มีหลายคำที่ใช้ในความหมายนี้ เช่น กรุง หรือ พระนคร สำหรับคำว่าเมืองหลวงนั้นยังก็มีความหมายเป็นสองนัย กล่าวคือ หมายถึงเมืองใหญ่ (หลวง หมายถึง ใหญ่) หรือเมืองของหลวง (คือเมืองของพระเจ้าแผ่นดิน, เพราะเป็นที่ประทับของกษัตริย์) เมืองหลวงในบางประเทศ มีขนาดเล็กกว่าเมืองอื่น เช่นใน สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล สำหรับคำว่าเมืองหลวงนี้ อาจเป็นเมืองหลวงของรัฐ (ในประเทศที่ปกครองแบบสาธารณรัฐ เป็นต้น) หรือเมืองหลวงของเขตการปกครองระดับใดๆ ก็ได้ เช่น อำเภอเมือง เปรียบเหมือนเป็นเมืองหลวงของจังหวัด",
"สาธารณรัฐเกิดจากการลงนามในรัฐธรรมนูญกาแลกติกเมื่อ 25,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน ในช่วงสงครามในการรวมกาแลกซี่ ในเวลานั้น มนุษย์และดูรอส ได้สลับขั้วเทคโนโลยีที่ใช้พลังของราคาทา จึงได้ประดิษฐ์ไฮเปอร์ไดรฟ์ขึ้น ทำให้คอรัสซังกลายมาเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐกาแลกติกและยังคงเป็นเช่นนั้นไปอีก 25,000 ปี สาธารณรัฐถูกสร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งแกนหลัก ",
"เมื่อสาธารณรัฐตุรกีถูกก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) เมืองหลวงของประเทศย้ายจากอิสตันบูลไปที่เมืองอังการา นับระยะเวลาที่อิสตันบูลเป็นเมืองหลวงทั้งสิ้น 1,610 ปี",
"รหัสประเทศของสาธารณรัฐเช็กคือ 420 และอัตราการใช้กัญชาที่นั่นนั้นเป็นอันดับต้น ๆ ในโลก นักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นคิดว่ากัญชาถูกกฎหมายในยุโรปกลาง แต่ว่าผู้เสพกัญชาในที่สาธารณะจะโดนปรับ และการถือครองกัญชามากกว่า 10 กรัมถือว่าเป็นอาชญากรรม ในปี 2016 สนูป ด็อกก์ได้แสดงความรู้เกี่ยวกับกัญชาในเกมโชว์ $100,000 \"Pyramid\" เขาตอบอย่างรวดเร็วว่ารหัสประเทศของสาธารณรัฐเช็กคือ 420",
"อินซฺวี () คือแหล่งมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในเมืองอันหยาง มณฑลเหอหนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของราชวงศ์ซาง โดยเป็นเมืองหลวงอยู่ 225 ปี มีจักรพรรดิปกครองอยู่ 12 พระองค์ ",
"หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า \"สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี\" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า \"สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี\" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า \"ประเทศเยอรมนีตะวันตก\" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบ็อน และ \"ประเทศเยอรมนีตะวันออก\" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก",
"บราซาวีล () เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐคองโก ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคองโก เชื่อมต่อกับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก จากการสำรวจประชากรในปี ค.ศ. 2001 มีประชากร 1,018,541 คน และราว 1.5 ล้านคนหากรวมกับเขตชานเมือง ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของกรุงกินชาซา เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก กรุงบราซาวีลมีประชากรอาศัยอยู่ราว 1 ใน 3 ของประชากรประเทศ ยังเป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารและเศรษฐกิจของประเทศ",
"สาธารณรัฐโคมี (; ; ) เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของประเทศรัสเซีย (สาธารณรัฐ) มีเมืองหลวงคือ ซึคตึฟคาร์ สาธารณรัฐมีประชากร 901,189 คน จากข้อมูลสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2010",
"สาธารณรัฐบัชคอร์โตสถาน (; ) เป็นเขตการปกครองของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำวอลกากับเทือกเขายูรัล มีเมืองหลวงคืออูฟา มีประชากรทั้งหมด 4,072,292 คน และมีเนื้อที่ทั้งหมด 143,600 ตารางกิโลเมตร",
"ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2443 สหรัฐยอมให้มีการเลือกตั้งภายในสาธารณรัฐ ซึ่งมาเรียโน อาร์กิซาเป็นประธานาธิบดี แต่รัฐบาลของอาร์กิซาไม่ได้มีประสิทธิภาพและสิ้นสุดในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2445 สาธารณรัฐซัมโบอังกาสลายตัวไป ซัมโบอังกากลายเป็นเมืองหลวงของจังหวัดโมโร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตมินดาเนา",
"สาธารณรัฐโครเอเชียแห่งเฮิร์ตเซก-บอสเนียยุติการดำรงอยู่อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1994 โดยรวมเข้ากับสหพันธรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (หน่วยการปกครองของสาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา) หลังจากที่ทางการสาธารณรัฐโครเอเชียและทางการสาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาร่วมลงนามในความตกลงวอชิงตัน เมืองหลวงอย่างเป็นทางการของเฮิร์ตเซก-บอสเนียคือเมืองมอสตาร์ส่วนตะวันตก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในขณะนั้นมอสตาร์อยู่ในพื้นที่สงคราม ศูนย์กลางการปกครองที่มีประสิทธิภาพจึงอยู่ที่เมืองกรูเด",
"ดัชชีมอนแฟร์ราโตมีเนื้อที่ 2750 ตารางกิโลเมตรที่แบ่งเป็นสองส่วนโดยมีพรมแดนติดกับดัชชีซาวอย, ดัชชีมิลาน และสาธารณรัฐเจนัว กาซาเลมอนแฟร์ราโตถือกันว่าเป็นเมืองหลวง แต่ในปัจจุบันอัสตีเป็นเมืองหลวงของมอนแฟร์ราโต",
"ในปี ค.ศ. 1836 มีเมืองห้าแห่งด้วยกันที่ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงชั่วคราวให้กับเทกซัส ได้แก่เมืองวอชิงตัน-ออน-เดอะ-แบรซัส, แฮร์ริสเบิร์ก, แกลวิสตัน, วิลาสโก และโคลัมเบีย ก่อนที่ประธานาธิบดีแซม ฮิวสตันจะย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองฮิวสตันในปี 1837 เมืองหลวงถูกย้ายไปที่เมืองสร้างใหม่ที่ชื่อว่าออสตินในปี 1839 โดยประธานาธิบดีคนต่อมา มิราโบ บี. ลามาร์ ธงชาติผืนแรกของสาธารณรัฐเทกซัสคือ “ธงเบอร์เน็ต” (Burnet Flag) มีลักษณะเป็นธงผืนน้ำเงินที่มีดาวทองอยู่ตรงกลาง ตามมาด้วยการประกาศใช้อย่างเป็นทางการของธงดาวเดียว (Lone Star Flag) ที่ยังเป็นธงประจำรัฐเทกซัสมาจนถึงทุกวันนี้",
"สหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิสประกอบด้วย 2 เกาะ () \nสาธารณรัฐเซาท์ซูดานประกอบด้วย 28 รัฐ ()\nสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประกอบด้วย 36 รัฐ () และ 1 ดินแดน ()\nสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลประกอบด้วย 26 รัฐ () และ 1 เขตสหพันธ์ ()\nบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาประกอบด้วย 2 หน่วยการบริหาร () และ 1 เขต () ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลร่วมกันระหว่างหน่วยการบริหารทั้งสอง\nราชอาณาจักรเบลเยียมประกอบด้วย 3 เขต ()\nสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประกอบด้วย 4 แคว้น (), 1 ดินแดน (), 1 ดินแดนเมืองหลวงสหพันธ์ () และยังมีอีก 2 ดินแดนปกครองตนเอง () ในบริเวณที่ยังเป็นกรณีพิพาทกับสาธารณรัฐอินเดีย",
"สาธารณรัฐอะดีเกยา (; , \"Adıge Respublik\") เป็นสาธารณรัฐของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ เป็นดินแดนที่อยู่รอบล้อมด้วยดินแดนครัสโนดาร์ มีพื้นที่ 7,600 ตร.กม. (2,900 ตร.ไมล์) มีประชากร 439,996 คน (ค.ศ. 2010) เมืองหลวงคือเมือง ไมคอป",
"สาธารณรัฐนอร์ทออสซีเชีย-อาลาเนีย (; , \"Respublikæ Cægat Iryston-Alani\", ; ) เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของประเทศรัสเซีย (สาธารณรัฐ) จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2010 มีประชากร 712,980 คน มีเมืองหลวงคือ วลาดีคัฟคาซ",
"เทศมณฑลเผิงหู () คือหมู่เกาะชายฝั่งทางด้านตะวันตกของสาธารณรัฐจีน ซึ่งในอดีตปกครองสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อจากราชวงศ์ชิง เกาะเล็กครอบคลุมพื้นที่ 141 ตารางกิโลเมตร เทศมณฑลเผิงหูถูกดำเนินการปกครองโดยสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) เมืองหลวง Magong ซิตี้ เนื้อที่ทั้งหมด 141.052 ตารางกิโลเมตร ประชากรทั้งหมด 91,950 (ข้อมูลปี พ.ศ. 2550) ความหนาแน่นประชากร 724.79 คน/ตารางกิโลเมตร"
] |
วัดแห่งแรกของโลกคือวัดอะไร? | [
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร หรือ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน[1] เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล) [2]"
] | [
"ในการสำรวจโดยวิธีการวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กนั้น นักธรณีฟิสิกส์จะใช้เครื่องมือวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก (Magnetometer) เพื่อคำนวณค่าความเข้มของสนามแม่เหล็กโลก ณ จุดที่ทำการสำรวจบนพื้นผิวโลก สำหรับการสำรวจโดยวิธีการการวัดค่าความโน้มถ่วงของโลก นั้นจะใช้เครื่องมือวัดค่าความโน้มถ่วงของโลก (Gravity Meter/ Gravimeter) ช่วยในการคำนวณวัดค่าความโน้มถ่วงโลก ณ บริเวณที่ทำการสำรวจ โดยเครื่องมือทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวมาแล้ว จะถูกใช้ในการสำรวจหาลักษณะ ขนาด ความลึก และขอบเขตโดยประมาณของแอ่งสะสมตะกอนและโครงสร้างชั้นหินที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน สำหรับการสำรวจโดยวิธีการวัดค่าความไหวสะเทือนนั้น จะเป็นการส่งคลื่นเสียงไปใต้พื้นดินโดยการจุดระเบิด หรือการกระแทกบนพื้นดิน ซึ่งคลื่นความสั่นสะเทือนที่ถูกส่งผ่านลงไปใต้ผิวดินจะสะท้อนกลับจากชั้นหินใต้พื้นดินมายังผิวโลก ในลักษณะของคลื่นสะท้อนกลับ และจะเข้าสู่เครื่องรับสัญญาณและถูกบันทึกโดยเครื่องมือซึ่งเรียกว่า geophone ซึ่งข้อมูลที่บันทึกไว้จะถูกนำไปประมวลผลจนสามารถแสดงผลออกมาในลักษณะของรูปภาพแสดงถึงตำแหน่งและรูปร่างลักษณะโครงสร้างของชั้นหินเบื้องล่างได้",
"วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อครั้งแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด บุณยรัตพันธ์) กับพระวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปกะที่สร้างพระนครใหม่ ณ ฝั่งตะวันออก โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชาเศรษฐี และพวกคนจีน ย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) ไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง (วัดปทุมคงคา) และเห็นว่าเป็นวัดโบราณที่ทรุดโทรมมาก สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ทั้งวัด เมื่อกรมพระราชวังบวรสุรมหาสิงหนาททรงปฏิสังขรณ์และสร้างเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดปทุมคงคา”",
"ยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดเมื่อวัดจากระดับน้ำทะเล แต่ก็ยังกล่าวได้ไม่เต็มปากเต็มคำนักว่ายอดเขาเอเวอเรสต์เป็น ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก เนื่องจากมีอีกสองยอดเขาที่ดูจะสูงกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ เมื่อใช้เกณฑ์การวัดที่ต่างกัน ยอดเขาแรกคือ ยอดเขาเมานาโลอา (Mauna Loa) ในหมู่เกาะฮาวาย ซึ่งถ้าวัดความสูงจากฐานที่จมอยู่ในทะเลแล้วจะพบว่ายอดเขานี้สูงกว่า 9 กิโลเมตร เลยทีเดียว แต่เมื่อวัดความสูงจากระดับน้ำทะเล ยอดเขาเมานาโลอาจะสูงเพียง 13,680 ฟุต หรือ 4,170 เมตรเท่านั้น อีกยอดเขาหนึ่งคือ ยอดเขาชิมโบราโซ (Mount Chimborazo) ในประเทศเอกวาดอร์ ที่ถ้าวัดจากจุดศูนย์กลางโลกแล้วจะสูงกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ 2,150 เมตร ทั้งนี้เพราะโลกมีลักษณะป่องตรงกลาง แต่เมื่อวัดความสูงจากระดับน้ำทะเล ยอดเขาชิมโบราโซมีความสูง 6,272 เมตร",
"การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2016 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของประเทศไทย และอันดับที่ 484 ของโลก[70]",
"วัดกลางเวียง หรือ วัดจันทน์โลก (คำเมือง: วัดจั๋นตะโลก) เป็นวัดและโบราณสถานในจังหวัดเชียงราย เป็นที่ประดิษฐานสะดือเมืองเชียงรายองค์เดิม (เสาหลักเมือง) สร้างขึ้นมาราวปี พ.ศ. 1975 ตั้งอยู่บนถนนอุตรกิจ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย ",
"การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2016 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 4 ของประเทศไทย และอันดับที่ 626 ของโลก[22]",
"วัดโฮรีว () เป็นวัดพุทธในเมืองอิการูงะ จังหวัดนาระ ประเทศญี่ปุ่น มีชื่อเต็มว่า \"วัดปราชญ์เปรื่องธรรม\" (法隆学問寺; Learning Temple of the Flourishing Law) มีที่มาจากการที่วัดนี้ได้เปิดให้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาเช่นเดียวกับที่เป็นอารามสงฆ์ เป็นที่ยอมรับกันว่าวัดนี้มีอาคารไม้หลายหลังที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ในโลก แม้ว่าจะยังมีวัดอื่นที่เก่าแก่กว่าและมีความสำคัญมากกว่า แต่วัดโฮรีวก็ยังคงเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2536 วัดโฮรีวได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในนามว่า \"\"พุทธสถานในเขตโฮรีว\"\" และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น",
"วัดสว่างอารมณ์วรวิหารหรือวัดจวน เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวสวรรคโลกมาแต่ช้านาน เพราะคำว่า \"จวน\" นั้นมาจากความหมายที่ว่า ที่ว่าการของผู้ปกครอง อันหมายถึงจวนของพระยาวิชิตภักดี พระยาผู้ปกครองเมืองสวรรคโลกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และได้ทำการโยกย้ายเมืองสวรรคโลกมาที่นี่ จึงได้สร้างวัดเพื่อเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองแก่เมืองสวรรคโลกโดยใช้ชื่อว่าวัดสว่างอารมณ์วรวิหารหรือวัดจวนที่ติดปากชาวบ้านเรียกกันจนถึงปัจจุบัน",
"วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมป้อมเพชร อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระอัยกาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ให้ชื่อว่าวัดทอง เป็นวัดของฝ่ายวังหน้า ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็โปรดเกล้าให้บูรณะวัดนี้ทั้งหมด จึงถือว่า วัดนี้เป็นวัดประจำราชวงศ์จักรี",
"จารึกวัดติโลกอาราม ค้นพบเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เป็นแผ่นหินทราย จารึกด้วยอักษรฝักขาม บอกเล่าประวัติความเป็นมาของวัด ผู้อุปถัมภ์วัด ผู้สร้าง และพิธีกรรมทางศาสนา ข้อความในจารึกให้รายละเอียดเกี่ยวกับพระเจ้าติโลกราช ซึ่งพระราชทรัพย์สำหรับสร้างวัดนี้ขึ้น\nอักษรฝักขามที่ใช้บันทึก ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช อักษรชนิดนี้นิยมสลักลงบนแผ่นหิน โดยเฉพาะในเมืองพะเยานั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีจารึกหินทรายสมัยล้านนามากที่สุด เนื่องจากมีแหล่งสกัดหินเป็นของตัวเอง และเป็นเมืองที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง",
"วัดสว่างอารมณ์วรวิหาร หรือวัดจวน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม ในเขตตำบลเมืองสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวสวรรคโลกมาแต่ช้านานเคยเป็นวัดที่เจ้าเมืองและกรมการเมืองสวรรคโลกกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ เบื้องพระพักตร์พระพุทธเรืองฤทธิ์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2372-2475 เคยเป็นที่ตั้งโรงเรียนประจำอำเภอสวรรคโลก คือโรงเรียนสวรรควิทยา ปัจจุบันคือโรงเรียนสวรรค์อนันต์วิทยา ",
"วัดโทได () หรือวัดไทโดจิเป็นวัดพุทธในเมืองนาระ ประเทศญี่ปุ่น ศาลาหลวงพ่อโต (ไดบุตสึเด็ง) ของวัดนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุตสึขนาดใหญ่หล่อจากบรอนซ์ ซึ่งเป็นพระปฏิมาแทนองค์พระไวโรจนพุทธเจ้า นอกจากนี้ วัดนี้ยังเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนศาสนาในสายเคงงอีกด้วย วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในทะเบียนเดียวกับวัด ศาลเจ้า และสถานที่สำคัญอื่น ๆ อีก 7 แห่งในเมืองนาระ",
"ในปีพ.ศ. 2440 วัดโลกโมฬีตั้งอยู่แขวงบ้านทับม่าน แคว้นเจ็ดยอด เจ้าอธิการชื่อ \"ตุ๊พวก\" รองอธิการชื่อ \"ตุ๊คำ\" เป็นนิกายเชียงใหม่ มีโฉนดออกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2482 กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง วัดโลกโมฬีถูกทิ้งให้ร้าง จนถึงปี พ.ศ. 2502 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดโลกโมฬีเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ",
"ใช้ดัชนีชี้วัดดังนี้ใช้ดัชนีชี้วัดดังนี้\nเป็นการจัดอันดับคุณภาพการจ้างงานของบัณฑิต โดยพิจารณาจาก ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้จ้างงาน ผลผลิตของบัณฑิต อัตราการจ้างงานบัณฑิต เป็นต้น\nการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2016 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยใน ระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10%\nการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก RUR Reputation Rankings โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาในด้านชื่อเสียงการสอน และชื่อเสียงเกี่ยวกับงานวิจัย\nการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก RUR Research Performance World University Rankings โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 โดยเน้นจัดอันดับในด้านคุณภาพการวิจัย\nการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก RUR Research Performance World University Rankings โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2017 โดยเน้นจัดอันดับในด้านบุคลากร ปริมาณและการอ้างอิงงานวิจัย ",
"อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1994 ซึ่งประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ศาลเจ้าคาโมะ, วัดเคียวโอโกโกกุ (วัดโท), วัดคิโยมิซุ, วัดโดโงะ, วัดนินนะ, วัดไซโฮ, วัดเท็นรีว, วัดโรกูอง (วัดคิงกากุ), วัดจิโช (วัดกิงกากุ), วัดเรียวอัง, วัดฮงงัน, วัดโคซัง และปราสาทนิโจ ที่สร้างโดย โชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุ และมีอีกหลายแห่งที่อยู่นอกเมืองที่อยู่ในรายชื่อมรดกโลกด้วย",
"ในสมัยธนบุรี วัดนี้เป็นวัดในเขตพระราชฐาน จึงไม่มีพระสงฆ์อยู่ตลอดช่วงรัชกาล ในรัชกาลที่ 3 ได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ทั่วทั้งพระอาราม และทรงเปลี่ยนนามใหม่ว่า \"วัดโมลีโลกยสุธาราม\" ภายหลังมาเรียกกันว่า \"วัดโมลีโลกยาราม\" วัดโมลีโลกยารามเคยเป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีที่มีผู้สอบได้เปรียญธรรมมากเป็นระดับต้นๆ ของประเทศ สิ่งก่อสร้างสำคัญประกอบด้วย",
"เมืองพยาวหรือภูกามยาว เคยมีสถานะเป็นเมืองลูกหลวงทางทิศใต้ของหิรัญนครเงินยางเชียงแสน กษัตริย์ที่ปกครองเมืองสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เชียงแสน ภูกามยาวดำรงสถานะนครรัฐอิสระหลังพ้นยุคหิรัญนครเงินยางเชียงแสนและเข้าสู่ยุคต้นของอาณาจักรล้านนาในรัชสมัยพญามังราย จวบจนพ้นรัชสมัยของพญางำเมือง กษัตริย์ลำดับที่ 9 แห่งราชวงศ์เชียงแสน ภูกามยาวก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา และในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช ได้ทรงแผ่ขยายพระราชอำนาจออกไปทั่วทุกทิศ ดินแดนล้านนาในยุคสมัยของพระองค์ กินอาณาบริเวณไปจนจรดชายแดนจีนตอนใต้ ยุคสมัยนี้ นอกจากการศึกสงครามแล้ว พระพุทธศาสนาก็มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก มีการส่งทูตไปยังลังกา ทำให้พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาเข้ามามีอิทธิพลอยู่ในล้านนา อีกทั้งยุคสมัยของพระเจ้าติโลกราช ยังมีการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 8 ของโลก ทำให้เมืองต่าง ๆ ในอาณาจักร ต่างมีการทะนุบำรุงพระศาสนา มีการสร้างวัดและคัดลอกพระไตรปิฎกกันอย่างแพร่หลาย หนึ่งในวัดที่สร้างขึ้นมาในยุคของพระเจ้าติโลกราช ก็คือวัดติโลกอาราม และวัดนี้ ถือเป็นพระอารามหลวงหรือวัดหลวงในรัชสมัยอีกด้วย เนื่องจากเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทรัพย์ให้สร้างและรับเป็นองค์อุปถัมภ์",
"การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2016 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 6 ของประเทศไทย และอันดับที่ 641 ของโลก[75]",
"เดิมเรียกว่า วัดจั๋นตะโลก (วัดจันทน์โลก) มาจากต้นจันทน์แดงขนาดใหญ่ในวัด ซึ่งตามธรรมเนียมโบราณเป็นไม้มงคลที่ใช้บูชาพระ วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดร้าง\nจนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2418 เจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าหลวงเมืองเชียงราย ได้มีดำริให้รังวัดเมืองจาก 4 มุมเมืองเชียงราย พบว่าจุดตรงกลางของเมืองอยู่บริเวณวัดแห่งนี้ จึงได้สถาปนาสะดือเวียง (เสาหลักเมือง) ขึ้น พร้อมกับเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดจันทน์โลกกลางเวียง ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 เกิดพายุใหญ่พัดต้นจันทน์แดงดังกล่าวหักโค่นลงมา พระอุโบสถและวิหารพังเสียหาย หลังการบูรณะจึงเรียกเพียง วัดกลางเวียง",
"กะรัต () เป็นหน่วยในการวัดระดับของน้ำหนักอัญมณีต่าง ๆ อาทิ เพชร ทับทิม บุษราคัม เพทาย โกเมน เป็นต้น ซึ่งเป็นหน่วยการวัดที่แพร่หลายไปทั่วโลก และถูกกำหนดให้ใช้เป็นหน่วยในการชั่งตวงวัดอัญมณีสากลที่ใช้กันทั่วโลก น้ำหนักกะรัต เป็นหน่วยน้ำหนักมาตรฐานในการวัดน้ำหนักของอัญมณี ซึ่งจะเทียบกับในระบบเมตริกได้คือ 1 กะรัต จะมีค่าเท่ากับ 0.2 กรัม หรือหากวัดในระดับความบริสุทธิ์ของทองคำ ทองคำ 24 กะรัตจะมีค่าความบริสุทธิ์ 99.99%",
"ช่วงเวลาที่เชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2122 เป็นต้นมา วัดวาอารามต่าง ๆ ถูกเผาทำลายไปมากมายแต่วัดโลกโมฬีไม่ได้ถูกเผา เนื่องจากพระเจ้าสาวัตถีนรถามังคะยอ กษัตริย์แคว้นล้านนาได้ทรงเมตตาธรรมพระมหาสมเด็จวัดโลกโมฬีไว้กับวัดวิสุทธาราม และเป็นวัดสำคัญในพระราชสำนักมาโดยตลอด",
"คำถามต่อไปคือมุม OCS มีค่าเป็นเท่าไรของวงกลม เอราทอสเทนีส วัดระยะทางนี้ได้ 1/50 ของวงกลม โดยระยะทางระหว่าง Syene และ Alexandria (WO) ชาวอียิปต์วัดได้ 5,000 stades ดังนั้น เขาจึงวัดเส้นรอบโลกได้เท่ากับ 50×5,000 หรือ 250,000 stades โดย 10 stades เท่ากับ 1 ไมล์ ดังนั้นความยาวของเส้นรอบโลกของเขา จึงเท่ากับ 25,000 ไมล์ ซึ่งถือกันว่าใกล้กลับความจริงมากที่สุดเท่าที่มีการวัดมาของปราชญ์กรีกโบราณ ทั้งนี้เพราะเส้นรอบโลกวัดจากขั้นโลกเท่ากับ 24,860 ไมล์ อย่างไรก็ดีระยะทางระหว่างเมือง Syene กับAlexandria ที่แท้จริงเท่ากับ 453 ไมล์",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า \"วัดโพธาราม\" หรือ \"วัดโพธิ์\" ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส\" เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช",
"วัดสระเกศ เป็นวัดโบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งแปลว่า ชำระพระเกศา เนื่องจากเคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. 2325 มูลเหตุที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชทานเปลี่ยนชื่อวัดสะแก เป็นวัดสระเกศนี้ มีหลักฐานที่ควรอ้างถึงคือ พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีข้อ 11 ว่า\"รับสั่งพระโองการ ตรัสวัดสะแกเรียกวัดสระเกศแล้วบูรณปฏิสังขรณ์ เห็นควร ที่ต้นทางเสด็จพระนคร\"ทรงพระราชวิจารณ์ไว้ว่า\"ปฏิสังขรณ์วัดสะแกและเปลี่ยน ชื่อเป็น วัดสระเกศเอามากล่าวปนกับวัดโพธิ์เพราะเป็นต้นทางที่เสด็จเข้ามาพระนครมีคำ เล่า ๆ กันว่า เสด็จเข้าโขลนทวารสรงพระมุธาภิเษกตามประเพณีกลับจากทางไกลที่ วัดสะแก จึงเปลี่ยนนามว่า 'วัดสระเกศ'",
"การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2016 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และอันดับที่ 618 ของโลก",
"วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดระฆังโฆสิตาราม” นอกจากเป็นเพราะขุดพบระฆังที่วัดนี้และเพื่อฟื้นฟูแบบแผนครั้งกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดชื่อวัดระฆังเช่นกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “วัดระฆังโฆสิตาราม” เป็น “วัดราชคัณฑิยาราม” (คัณฑิ แปลว่าระฆัง) แต่ไม่มีคนนิยมเรียกชื่อนี้ ยังคงเรียกว่าวัดระฆังต่อมา",
"การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2018 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (A Ranking of Leading World Universities มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 465 ของโลก[153][154]",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[1] (/พระ-เชด-ตุ-พน-วิ-มน-มัง-คะ-ลา-ราม/[2]) หรือ วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด<b data-parsoid='{\"dsr\":[1544,1563,3,3]}'>ราชวรมหาวิหาร[3] และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทั้งยังเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง และทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551[4] และวันที่ 16 มิถุนายน 2554 ทางยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น เป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ",
"วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร หรือชื่อลำลองว่า วัดท้ายตลาด ที่ตั้ง พระราชวังเดิม ซอยวังเดิม 6 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดที่สร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง และเหตุที่เรียกว่าวัดท้ายตลาดเนื่องจากอยู่ต่อจากตลาดเมืองธนบุรี ปัจจุบันชาวบ้านยังนิยมเรียกชื่อนี้อยู่ ",
"วัดสว่างอารมณ์วรวิหารหรือวัดจวน เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวสวรรคโลกมาแต่ช้านาน เพราะคำว่า “จวน” นั้นมาจากความหมายที่ว่า ที่ว่าการของผู้ปกครอง อันหมายถึงจวนของพระยาวิชิตภักดี (ชื่อเดิม “นาค”/พ.ศ. 2378-2385) ต้นสกุลวิชิตนาค พระยาผู้ปกครองเมืองสวรรคโลกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และได้ทำการโยกย้ายเมืองสวรรคโลกมาที่นี่ จึงได้สร้างวัดเพื่อเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองแก่เมืองสวรรคโลกโดยใช้ชื่อว่าวัดสว่างอารมณ์วรวิหาร และมอบถวายที่ดินถึง 42 ไร่ ให้เป็นที่ตั้งวัดและบริจาคจวนหรือเรือนพักให้เป็นเสนาสนะสงฆ์ด้วย ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดจวนที่ติดปากชาวบ้านเรียกกันจนถึงปัจจุบัน \nวัดสว่างอารมณ์ ได้รับการจดทะเบียน และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อประมาณ พ.ศ. 2330 ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร"
] |
ใครเป็นผู้ดำเนินรายการ กำจัดจุดอ่อน ของประเทศไทย? | [
"รองศาสตราจารย์กฤษติกา คงสมพงษ์ (เกิด 8 กันยายน พ.ศ. 2508) เป็นนายกสมาคมแม่บ้านทหารบก, อาจารย์ประจำสาขาการตลาด สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อาจารย์พิเศษสาขาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อดีตพิธีกรรายการกำจัดจุดอ่อนทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และรายการลูกใครหว่า อีกทั้งได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรอยู่บ่อยครั้ง"
] | [
"รูปแบบภาษาไทย มีชื่อรายการว่า \"กำจัดจุดอ่อน\" เริ่มออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ผลิตโดย บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (ในชื่อ บางกอกการละคอน) ดำเนินรายการโดย ดร. กฤษติกา คงสมพงษ์ ในเวลา 22.20 น.- 23.20 น. ทุกคืนวันพฤหัสบดี รูปแบบรายการเป็นมีลักษณะแบบเดียวกันในหลายประเทศ (กติกาจะเหมือนกับของเวอร์ชันสหรัฐอเมริกา) จำนวนผู้เข้าแข่งขันมีทั้งหมด 8 ท่าน โดยมาจากการคัดเลือกจากทางบ้านเพื่อชิงเงินรางวัลสูงสุด 1,000,000 บาท",
"เดชีเฟรเดแล็ทร์ () เกมโชว์จากประเทศฝรั่งเศส เป็นรายการเกมโชว์ความรู้ในด้านอักษรศาสตร์และคณิตศาสตร์ Armand Jammot เป็นผู้คิดริเริ่มรายการนี้ขึ้นมา จะเน้นในเรื่องของวิชาคณิตศาสตร์และอักษรศาสตร์ ในอดีตเคยออกอากาศครั้งแรกทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศฝรั่งเศส ช่อง 4 ตันฉบับมาจากรายการ Countdown ออกอากาศทาง Channel 4 จากประเทศอังกฤษ\nปัจจุบันนี้ผู้ดำเนินรายการโดย Laurent Romejko, Arielle Boulin-Prat และ Bertrand Renard (เป็นผู้ตรวจสอบคำศัพท์ในพจนานุกรม)รายการนี้เปิดโอกาสให้ชาวฝรั่งเศสเข้ามาตอบคำถาม โดยทั้ง 2 ท่านจะเป็นผู้เข้าแข่งขันทางบ้านที่สมัครเข้ามาในรายการนี้ จะแข่งทั้งหมด 8+8 เกม แข่ง 2 รอบ ก็คือ คณิตศาสตร์และอักษรศาสตร์ ใครที่ได้คะแนนมากที่สุดจะได้เป็นแชมป์ 1 สมัย ถ้าใครทำได้แชมป์ 10 สมัย จะมีรางวัลพิเศษที่ทางรายการมอบให้ทั้งตำแหน่งชนะเลิศและตำแหน่งรองชนะเลิศ",
"ปัจจุบัน พลเอก อภิรัชต์ ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดอกเตอร์กฤษติกา คงสมพงษ์ (สกุลเดิม ศิริจรรยา) นายกสมาคมแม่บ้านทหารบก ท่านปัจจุบัน อาจารย์ประจำสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อดีตพิธีกรรายการ The Weakest Link กำจัดจุดอ่อน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3",
"เป็นรายการที่จัดโดยทีมงานของทางรายการ<b data-parsoid='{\"dsr\":[19368,19386,3,3]}'>กำจัดจุดอ่อน</b>เอง โดยเป็นการแก้เผ็ดผู้เข้าแข่งขันที่ล้อเลียนรายการ โดยให้ผู้เข้าแข่งขันมาแข่งขันรายการ \"กำจัดจุดอ่อน\" ของจริง ซึ่งมีพิธีกรคือคุณกฤติกา คงสมพงษ์ ในรอบแรกนั้นพิธีกรจะถามเฉพาะคำถามที่ยากกว่าคำถามปกติที่ใช้ในการแข่งขันจริง ทำให้ผู้เข้าขันแต่ละคนถึงกับหน้าซีด แต่เมื่อจบการแข่งขันในรอบแรก ทางทีมงานจึงมาเฉลยว่าเป็นการแก้เผ็ดกับพิธีกรที่ล้อเลียนรายการ และให้เล่นเกมกันใหม่โดยไม่ใช้บรรยากาศแบบนี้ จึงได้มีการเล่นเกมใหม่โดยเปลี่ยนชื่อเป็น The Weakest Joker กำจัดตลกอ่อน ซึ่งมีแต่คำถามตลก ๆ และคำถามประหลาด ๆ โดยผลการแข่งขันปรากฏว่าผู้ที่ชนะและไม่ถูกกำจัดออกคือธงธง มกจ๊ก และในตอนท้ายทางรายการได้บริจาคเงินทั้งหมดหนึ่งแสนบาทแก่มูลนิธิการกุศล",
"ในเดือนพฤศจิกายน 2014 มีการเก็งว่า ในปฏิบัติการจับผู้ดำเนินการตลาดมืดขายของผิดกฎหมายคือ Operation Onymous (แปลว่า ปฏิบัติการ \"มีนาม\") มีการถือเอาประโยชน์จุดอ่อนของทอร์\nโดยเจ้าหน้าที่ยุโรโพลได้ปฏิเสธไม่แสดงรายละเอียดของวิธีที่ใช้ โดยกล่าวว่า \"\"นี่เป็นอะไรที่เราต้องการเก็บไว้ไม่บอกใคร\nวิธีที่เราใช้ เราไม่สามารถแชร์ให้โลกรู้ เพราะเราต้องการจะทำแล้วทำอีก\"\"\nส่วนสำนักข่าวบรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ (BBC) ได้อ้าง \"ความก้าวหน้าทางเทคนิค\"\nที่ช่วยติดตามตำแหน่งจริง ๆ ของระบบบริการ โดยจำนวนเว็บไซต์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าได้แทรกซึม ทำให้คาดกันว่า มีจุดอ่อนในเครือข่ายทอร์ที่ได้ถูกถือเอาประโยชน์\nแต่ตัวแทนของโปรเจ็กต์ทอร์ ไม่ให้ความเชื่อถือในโอกาสเป็นไปได้เช่นนี้ โดยแนะว่า การใช้กระบวนการสืบคดีธรรมดา เช่น การตามร่องรอยบิตคอยน์ น่าจะเป็นวิธีดำเนินการมากกว่า",
"ไทยทีวีโกลบอลเน็ทเวิร์ค () เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยได้แพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ เพื่อคนไทยที่อาศัยอยู่ทั่วโลก 170 ประเทศ และต่างชาติที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประเทศไทย ก่อนมีพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 จึงเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งเดียวที่ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระความรู้ ความบันเทิงออกไปสู่สายตาของผู้ชมทั่วโลกโดย ออกอากาศ 24 ชั่วโมงต่อวัน ส่งสัญญาณ รายการผ่านดาวเทียมถึง 5 ดวง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 177 ประเทศทั่วโลก ผังรายการ TGN เป็นผังรายการที่จัดขึ้นใหม่ แยกจากผังรายการของ ททบ.5 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เป็นรายการที่ TGN เป็นผู้ผลิตเอง, ผู้จัดรายการผลิตรายการขึ้นใหม่เพื่อเช่าเวลา ส่วนที่เหลือเป็นรายการที่เช่าเวลากับ ททบ.5 นำมาเช่าเวลาเพื่อออกอีกรอบทาง TGN รวมถึงรายการถ่ายทอดสดที่รับสัญญาณจากททบ.5 ลและจากสถานีอื่นที่ไม่ใช่ ททบ.5 (เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย,เอ็นบีทีเวิลด์ ฯลฯ)ดังนั้น ผังรายการ TGN จึงมีรายการที่มีความหลากหลายน่าสนใจ\nสามารถรับชม TGN ได้ 170 ประเทศ ทั่วโลก ได้แก่สถานีโทรทัศน์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดำเนินการโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย\nสถานีโทรทัศน์เพื่อเศรษฐกิจและการลงทุน ดำเนินการโดย บริษัท แฟมมิลี่โนฮาว จำกัด\nช้อป แชนแนล ทีวีช้อปปิ้งอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ดำเนินการโดย บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด",
"ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันกำลังแข่งขันนั้นจะถูกกระตุ้นให้ไร้ความปราณีแก่ผู้เข้าแข่งขันท่านอื่น การลงคะแนนเป็นกลยุทธ์หนึ่งของผู้เล่นที่มีไหวพริบที่จะทำให้ตนชนะ และทำให้มีเงินรางวัลรวมมากที่สุด ระหว่างการลงคะแนนให้กับผู้เข้าแข่งขันที่เป็นจุดอ่อนผู้ดำเนินรายการจะถามผู้เข้าแข่งขันว่าเขาลงคะแนนให้ใคร และทำไมถึงลงคะแนนให้ผู้เข้าแข่งขันท่านนั้น เมื่อถึงเวลาในการกำจัดผู้เข้าแข่งขันออก ผู้ดำเนินรายการจะกล่าวคำว่า \"คุณคือจุดอ่อนของทีม เชิญค่ะ\" (English: You are the weakest link — goodbye!) (Hebrew: !אתה החוליה החלשה, שלום) (Dutch: Jij bent de zwakste schakel, Tot ziens) (French: Vous êtes le maillon faible)",
"ในรอบนี้ผู้เข้าแข่งขัน 2 ท่านจะต้องตอบคำถามเป็นชุด คนละ 3-5 คำถาม ผู้ที่แกร่งที่สุดจากรอบที่แล้วจะได้เลือกว่าใครจะเป็นผู้ตอบคำถามก่อน ใครที่ตอบคำถูกมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ (ตอบคำถามถูกต้องสูงสุด 3 ข้อ) และจะกลับบ้านไปพร้อมเงินรางวัลทั้งหมดที่สะสมมา ส่วนผู้แพ้จะกลับบ้านมือเปล่าเช่นเดียวกับผู้เข้าแข่งขันอื่นที่ถูกกำจัดออก ในกรณีที่จำนวนข้อที่ผู้เข้าแข่งขันตอบถูกเสมอกันกับอีกคนหนึ่ง เกมจะเข้าสู่ช่วงต่อเวลา โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องตอบคำถามแบบข้อต่อข้อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีท่านใดท่านหนึ่งตอบถูกและอีกท่านตอบผิด",
"หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ไทย หมวดหมู่:เกมโชว์ไทย หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ช่อง 3 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2545 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ที่ยุติการออกอากาศในปี พ.ศ. 2545 หมวดหมู่:รายการโทรทัศน์ในอดีต",
"เอกซ์-แมน ปริศนาเขาคือใคร (; ) เป็นรายการเกมโชว์จากประเทศเกาหลีใต้ ทางช่อง SBS ประเทศเกาหลีใต้ ออกอากาศครั้งแรกทางเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ถึง 8 เมษายน พ.ศ. 2550 ในช่วง Real Situation Sunday ของทุกวันอาทิตย์ ในประเทศไทยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ (21 เมษายน พ.ศ. 2550 ถึง 16 มกราคม พ.ศ. 2553 ) ทางช่อง True X-Zyte ของทรูวิชันส์ ผู้ดำเนินรายการโดย ยู แจซอก (Yu Jae-seok (MC Yoo/MC 유)) รายการนี้ได้ยุติการออกอากาศไปแล้วโดยเทปสุดท้ายออกอากาศเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2550",
"รายการกำจัดจุดอ่อนที่ฉายในประเทศไทยนั้นเป็นที่นิยม ต่อมาได้ถูกล้อเลียนในรูปแบบสื่อต่าง ๆ เช่น ตลก การ์ตูน รวมไปถึงเกมคอมพิวเตอร์",
"รายการ ตู้ซ่อนเงิน ได้รับเสียงวิพากย์วิจารณ์ในด้านแง่ลบอยู่ระดับหนึ่ง เนื่องจากรูปแบบรายการได้ลอกเลียนแบบมาจากรายการกำจัดจุดอ่อน และไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์จากบีบีซี เอ็นเตอร์เทนเมนต์",
"เมื่อจบการถามคำถามในแต่ละรอบ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องลงคะแนนให้ผู้เล่นที่พวกเขาคิดว่าเป็น \"จุดอ่อน\" ซึ่งผู้ที่เป็นจุดอ่อนอาจจะเข้าข่ายกรณีดังต่อไปนี้",
"กำจัดจุดอ่อน รวยรายวัน ลูกใครหว่า ก๊วนข่าวเช้าวันหยุด เดินหน้า ประเทศไทย (คสช.) ฝ่าวิกฤติกับกฤษติกา",
"วันที่ 20 มกราคมพ.ศ. 2550 ได้มีรายการเกมโชว์ที่ชื่อว่า ตู้ซ่อนเงินของ เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ได้นำรูปแบบการแข่งขันมาจากรายการกำจัดจุดอ่อน และ รูปแบบความสนุกสนานมาจากรายการที่ล้อเลียนกำจัดจุดอ่อน มาออกอากาศทางททบ.5 แต่ไม่ได้มีการซื้อลิขสิทธิ์จากบีบีซี เอนเทอร์เทนเมนท์ จึงทำให้มีเสียงวิพากย์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมทั้งทางด้านรูปแบบการนำเสนอของรายการที่ลอกเลียนฉากและรูปแบบการแข่งขันของเกม โดยไม่ได้มีการซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศแต่อย่างใด",
"สำหรับตลกกำจัดจุดอ่อนนั้นจะเป็นการแสดงตลกล้อเลียนรายการ ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อรายการเป็นชื่ออื่น ๆ เช่น",
"กำจัดจุดอ่อน (English: Weakest Link) คือรายการควิซโชว์ ออกอากาศครั้งแรกในสหราชอาณาจักรทางช่อง BBC Two และ BBC One เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ออกแบบรายการโดย ฟินตัน คอยล์ (Fintan Coyle)และ เคธี ดันนิง (Cathy Dunning) พัฒนาเพื่อการออกอากาศโดย บีบีซี เอนเทอร์เทนเมนท์ เป็นรายการที่ถอดแบบมาดำเนินรายการในรูปแบบภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก ถูกเรียกว่า \"เกมโชว์แบบเรียลลิตี้\" เพราะมีลักษณะคล้ายเรียลลิตี้โชว์ และเป็นรากฐานแห่งเรียลลิตี้โชว์ในปัจจุบัน ในสหราชอาณาจักร ดำเนินรายการโดย แอนน์ รอบินสัน (Anne Robinson) โดยในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ออกอากาศเป็นตอนที่ 1,000 ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555 ออกอากาศตอนสุดท้าย",
"กระทั่งปีพ.ศ. 2545 (2002) เธอก็ได้กลับมาถูกพูดถึงอย่างมากอีกครั้งกับบทบาทพิธีกรฝีปากกล้า ในรายการเกมโชว์แบบเรียลลิตี้ ที่มีชื่อรายการว่า กำจัดจุดอ่อน (THE WEAKEST LINK) ว่ากันว่าเป็นรายการที่มีแฟรนไชส์เยอะมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ บทบาทพิธีกรที่เธอได้รับในฉบับฮ่องกงคล้ายๆ กับบทบาทพิธีกรของ ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ ในเวอร์ชันภาษาไทย จากความสำเร็จอย่างสูงของการรับหน้าที่เป็นพิธีกรฝีปากกล้าในครั้งนั้น ทำให้เธอกลายเป็นพิธีกรชื่อดังแถวหน้าคนหนึ่งของฮ่องกง และปัจจุบันเธอมีรายการทอล์คโชว์ (talk show) เป็นของตนเองและยังคงสนุกกับงานทางด้านการเป็นพิธีกรมากกว่างานแสดง เพราะเหนื่อยน้อยกว่าและรายได้ค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตาม...เธอก็ยังคงมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในการทำงานด้านอื่น ๆ กับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีอยู่เสมอ",
"ในสหราชอาณาจักรแอนน์ รอบินสัน (Anne Robinson) เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการประสบความสำเร็จโดยในรายการกำจัดจุดอ่อนนี้เธอจะพูดจาเสียดสี แหน็บแนม และตำหนิ กลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ไม่สามารถทำเงินรางวัลสะสมได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นจุดขายของรายการ จนทำให้คำพูดที่กล่าวว่า \"คุณคือจุดอ่อนที่สุดของทีม เชิญค่ะ\" (อังกฤษ: You are the weakest link — goodbye!) เป็นคำพูดที่ติดปากผู้ชมอย่างรวดเร็ว (ผู้ที่คิดคำพูดนี้ขึ้นมาคือ Jeremy Paxman ผู้ดำเนินรายการ University Challenge) ผู้บรรยายในฉบับสหราชอาณาจักรคือ Jon Briggs",
"ในแต่ละรอบการแข่งขันผู้เล่นแต่ละท่านจะต้องลงคะแนนให้แก่ผู้เข้าแข่งขันท่านอื่นที่คิดว่าเป็น \"จุดอ่อน\" ผู้ที่ได้รับการลงคะแนนมากที่สุดจะถูกกำจัดออกไปจากเกม (กรณีคะแนนโหวตเสมอกันจะให้ผู้ที่แกร่งในแต่ละรอบเป็นผู้กำจัดออก) เมื่อมีผู้เข้าแข่งขันถูกกำจัดออกไป จะต้องสัมภาษณ์กับทีมงาน รวมทั้ง เวลาในการตอบคำถามในรอบต่อไปก็จะถูกลดลง 10 หรือ 15 วินาที ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ(ในเวอร์ชันไทย เมื่อมีผู้ที่ถูกกำจัดออก เวลาจะลดลงไป 10 วินาที)",
"ปี พ.ศ. 2545 รายการ กำจัดจุดอ่อน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งทางรายการก่อนบ่ายคลายเครียด ได้ให้ธงธงเลียนแบบเป็น กฤษติกา คงสมพงษ์ พิธีกรรายการกำจัดจุดอ่อน จนทำให้ธงธงมีชื่อเสียงขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น",
"รายการนี้ได้รับกระแสตอบรับในทางลบ เนื่องจากถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทยบางสำนักบางยี่ห้อ รวมไปถึงผู้ชมบางส่วนที่ไม่เข้าใจกฎกติกาการเล่นเกมของรายการ โดยการกล่าวหามีลักษณะไปในทำนองว่า \"เป็นรายการที่สร้างขัดแย้ง แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่เหมาะสมต่อศีลธรรม และวัฒนธรรมของไทย\" จึงทำให้ถูกเฝ้าจับตาโดยสื่อของประเทศไทย เช่นเดียวกับในประเทศฮ่องกง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่มีผู้เข้าแข่งขันตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังจากที่บันทึกเทปรายการเสร็จ ทางรายการก็ได้ปรับลดความดุดันลงเพื่อไม่ให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำอีก แต่การปรับเนื้อหาดังกล่าวทำให้ความนิยมของรายการลดลงไปเช่นเดียวกันอันเนื่องจากการตัดรูปแบบเอกลักษณ์และเสน่ห์ของรายการ จนกระทั่งวันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2545 รายการ The weakest link กำจัดจุดอ่อนได้ทำการออกอากาศเป็นตอนสุดท้ายและยุติการออกอากาศลงในที่สุดก่อนปี พ.ศ. 2546 โดยหลังจากนั้น ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการเกมโชว์ใหม่พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็นรายการ Magic Box กล่องวิเศษ ซึ่งออกอากาศต่อจากรายการนี้ ในวันและเวลาเดียวกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2546 โดยมีสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นผู้ดำเนินรายการ",
"The Weakest Joker กำจัดตลกอ่อน (ก่อนบ่ายคลายเครียด) พิธีกร:ธงธง มกจ๊กและตี๋ ดอกสะเดา The Weakest Link กำจัดจุด...อ่อน ๆ (ตี 10) พิธีกร:เสนาลิง ตึกสามเพดานสูง พิธีกร:ดารณีนุช โพธิปิติ กำจัดใครก่อน พิธีกร:น้อย โพธิ์งาม เดอะชิเก้นลิงก์ กำจัดไก่อ่อน (สาระแนโชว์) พิธีกร:เปิ้ล นาคร เดอะวินตื้บลิงก์ กำจัดปัญญาอ่อน พิธีกร:อาคม ปรีดากุล (ค่อม ชวนชื่น)",
"กระทั่งปีพ.ศ. 2545 (2002) เธอก็ได้กลับมาถูกพูดถึงอย่างมากอีกครั้งกับบทบาทพิธีกรฝีปากกล้า ในรายการเกมส์โชว์ กำจัดจุดอ่อน (THE WEAKEST LINK) ว่ากันว่าเป็นรายการที่มีแฟรนไชส์เยอะมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ บทบาทพิธีกรที่เธอได้รับในฉบับฮ่องกงคล้ายๆ กับบทบาทพิธีกรของ ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ ในเวอร์ชันภาษาไทย จากความสำเร็จอย่างสูงของการรับหน้าที่เป็นพิธีกรฝีปากกล้าในครั้งนั้น ทำให้เธอกลายเป็นพิธีกรชื่อดังแถวหน้าคนหนึ่งของเกาะฮ่องกงทันที และได้มีโอกาสรับหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการอื่น ๆ ที่สำคัญ ๆ ของทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี อยู่เสมอ ๆ อีกทั้งเธอยังมีรายการวาไรตี้ที่เป็นของตัวเธอเองอีกด้วย ",
"ตลกรายวัน[19] (26 มีนาคม พ.ศ. 2513 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2535) - รายการที่สองของสถานีฯ และเป็นรายการสุดท้ายของแต่ละวัน ตามผังรายการครั้งแรกของสถานีฯ มีเนื้อหาเป็นการเล่าเรื่องตลก ออกอากาศทุกวัน เวลา 11.00-12.00 น. ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 ย้ายมาออกอากาศเวลา 21.00-22.00 น. แต่ในต่างจังหวัดยังออกอากาศเวลาเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2516 ออกอากาศเป็นสองช่วงเวลาคือ 20.30-22.00 น. และ 23.00-0.00 น. เฉพาะในกรุงเทพมหานคร และออกอากาศช่วงเดียว คือ ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 23.00 น. อวสานสิ้นปี 2535 รับรางวัล (15 มกราคม พ.ศ. 2514) เกมโชว์รายการแรกของสถานีฯ ที่ในระยะแรกออกอากาศเป็นเวลา 10 นาทีของทุกวัน แต่เนื่องจากได้รับความนิยมจากผู้ชมสูงมาก จนกระทั่งสถานีฯ ขยายเวลาในวันจันทร์-วันศุกร์ เป็น 30 นาที และวันเสาร์-วันอาทิตย์ เป็น 1 ชั่วโมง เปาบุ้นจิ้น (พ.ศ. 2517, พ.ศ. 2537 และ พ.ศ. 2558) ภาพยนตร์ชุดจีนจากไต้หวัน ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาก ในทั้งสองช่วงเวลา (พ.ศ. 2517 ออกอากาศทุกวันอังคาร-วันศุกร์ เวลา 19.00 น. และ พ.ศ. 2537 ออกอากาศทุกวันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 20.30 น.) โดยยุคแรกนั้น บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด ถึงกับเกาะกระแสด้วยการออกผลิตภัณฑ์ผงซักฟอก ในเครื่องหมายการค้า เปาบุ้นจิ้น เลยทีเดียว (ปัจจุบันใช้เพียงชื่ออย่างสั้นว่า เปา เท่านั้น) ไฟพ่าย (1 กันยายน พ.ศ. 2519) ละครโทรทัศน์ยุคใหม่เรื่องแรกของสถานีฯ ผลงานของภัทราวดี มีชูธน ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันพุธ เวลา 19.30-20.00 น. ด้วยแนวทางที่ให้ผู้แสดงศึกษาบทล่วงหน้า และจำบทเอง โดยไม่ต้องมีผู้บอกอยู่ข้างฉากเช่นในยุคก่อนหน้า มีการซักซ้อมล่วงหน้า และบันทึกเทปแทนการออกอากาศสด กระบี่ไร้เทียมทาน (พ.ศ. 2523) ภาพยนตร์ชุดจีนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมากอีกเรื่องหนึ่ง ออกอากาศทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ นำแสดงโดย ฉีเส้าเฉียน (เล่นเป็นตัวละครเอก ฮุ้นปวยเอี๊ยง) ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถึงกับนำกรณีที่ตัวละครในเรื่องนี้นัดหมายพิสูจน์วิชายุทธกัน มาขึ้นเป็นพาดหัวข่าวในหน้า 1 เลยทีเดียว เณรน้อยเจ้าปัญญา (พ.ศ. 2526) ภาพยนตร์การ์ตูนจากญี่ปุ่น ที่สร้างโดยอิงจากชีวประวัติของพระอิกคิว โซจุน ได้รับความนิยมในกลุ่มเยาวชนเป็นอย่างมาก ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเย็น ๆ เนื่องจากความฉลาดรอบรู้ของเณรเด็ก อิกคิวซัง ตัวเอกของเรื่อง อีกทั้งยังมีคติสอนใจในทุกตอนอีกด้วย ภาษาไทยวันละคำ (พ.ศ. 2527) รายการสอนภาษาไทย ในเชิงอธิบายความหมายของถ้อยคำสำนวนต่าง ๆ ดำเนินรายการโดย ศ.กิตติคุณ ดร.กาญจนา นาคสกุล หัวหน้าภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น ซึ่งได้รับความสนใจ และเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก จากผู้ชมทุกเพศทุกวัย ไม่เฉพาะเด็กและเยาวชน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของรายการ (รายการนี้ถูกล้อเลียน โดยรายการเพชฌฆาตความเครียด ภายใต้ช่วงว่า \"ภาษาไทยคำละวัน\" ของ ปัญญา นิรันดร์กุล) ดูดีดีมีรางวัล (พ.ศ. 2531) นับเป็นควิซโชว์ตอบคำถามชิงรางวัลในยุคแรก ๆ ที่เปิดรับผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านทั่วประเทศ เนื่องจากทางสถานีฯ กำลังเริ่มโครงการขยายเครือข่ายร่วมกับ อ.ส.ม.ท. จึงเกิดแนวคิดในการสมนาคุณตอบแทนแก่ผู้ชม ที่ติดตามชมรายการของสถานีฯ มาตลอด ดำเนินรายการโดย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ และ หัทยา เกษสังข์ (ปัจจุบันนามสกุล วงศ์กระจ่าง) ฝันที่เป็นจริง (พ.ศ. 2531 - พ.ศ. 2539) รายการที่นำเสนอวิถีชีวิตของบุคคล ผู้ต่อสู้กับชะตากรรมอันยากลำบาก ผ่านรูปแบบละครสั้น และปิดท้ายรายการด้วยการสนทนากับบุคคลเจ้าของเรื่อง พร้อมทั้งมอบร้านค้ารถเข็น ให้เป็นอุปกรณ์ดำรงชีพต่อไป ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของรายการ เป็นเวทีแจ้งเกิดให้กับ ไตรภพ ลิมปพัทธ์ จนกลายเป็นพิธีกรที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น โดยมีผลิตภัณฑ์ผงซักฟอก บรีส เป็นผู้สนับสนุนหลักของรายการ ทไวไลท์โชว์ (14 ตุลาคม พ.ศ. 2533 - 28 มีนาคม พ.ศ. 2547 และ 7 มิถุนายน - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557) รายการวาไรตี้ทอล์กโชว์ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ ซึ่งในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุดนั้น ได้รับจัดสรรเวลาจากสถานีฯ ถึง 3 ชั่วโมง (15.00-18.00 น.) ดำเนินรายการโดย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ แต่เพียงผู้เดียวมาตลอด 14 ปี ก่อนจะย้ายไปออกอากาศทางไอทีวี ราวปี พ.ศ. 2547 ปี 2557 กลับมาออกอากาศอีกครั้ง โดยออกอากาศทุกวันเสาร์เวลา 15.30 - 17.00 น สีสันบันเทิง (พ.ศ. 2535 - ปัจจุบัน) ข่าวบันเทิงรายการแรกของสถานีฯ เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับรายการ แวด-วงบันเทิง ออกอากาศก่อนหน้าละครภาคค่ำทุกวัน เวลาประมาณ 20.20 น. ซึ่งได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงจากรายการนี้ อาทิ หม่อมหลวงสุรีย์วัล สุริยง, พรหมพร ยูวะเวส เป็นต้น โต้คารมมัธยมศึกษา (พ.ศ. 2535-พ.ศ. 2538) รายการแข่งขันโต้วาที สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ดำเนินรายการโดย กรรณิกา ธรรมเกษร และ จตุพล ชมภูนิช ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 11.30-12.30 น. เป็นรายการที่สร้างชื่อเสียงแก่นักพูดระดับประเทศ อาทิ สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ สุพจน์ พงษ์พรรณเจริญ เปิดอก (พ.ศ. 2536 -พ.ศ. 2539) วาไรตี้ทอล์กโชว์ แก้ไขปัญหาชีวิตครอบครัวและสังคม ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ จันทร์ และ อังคาร เวลา 18.30 - 19.00 น. ดำเนินรายการโดย ดวงตา ตุงคะมณี มยุรา เศวตศิลา ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ภาณุเดช วัฒนสุชาติ และเพลงไตเติ้ลรายการโดย เทียรี่ เมฆวัฒนา มาสเตอร์คีย์ (พ.ศ. 2537 - ปัจจุบัน) เกมโชว์ในยุคใหม่ ที่ออกอากาศในช่วงกลางวัน (ปัจจุบันย้ายไปอยู่ช่วงเช้า) ดำเนินรายการโดย เมทนี บุรณศิริ และ สุเทพ โพธิ์งาม โดยทั้งสองเป็นพิธีกรตั้งแต่ครั้งแรกของรายการจนถึงต้นปี 2553 168 ชั่วโมง (พ.ศ. 2538) วาไรอิตีโชว์สำหรับคนนอนดึก ปัจจุบันออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 00.00-00.30 น. ดำเนินรายการโดย จอนนี่ แอนโฟเน่, วิบูลย์ ลีรัตนขจร, วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี, โบ๊ท วิบูลย์นันท์ และ พีรพล เอื้ออารียกูล ตีสิบ (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 - ปัจจุบัน) วาไรอิตีทอล์กโชว์ ออกอากาศทุกวันอังคาร เวลา 22.30-00.30 น. ปัจจุบันมีระดับความนิยมของผู้ชม (เรตติ้ง) มากที่สุดของสถานีฯ รองจากรายการประเภทละคร มีช่วง<i data-parsoid='{\"dsr\":[41942,41953,2,2]}'>ดันดารา ที่มีชื่อเสียง ดำเนินรายการโดย วิทวัส สุนทรวิเนตร์ และ ณปภา ตันตระกูล ชิงร้อยชิงล้าน (7 มกราคม พ.ศ. 2541 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558) รายการเกมโชว์ยอดนิยมของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยในช่วงปี 2541 ออกอากาศทุกวันพุธ 22.00 น. ก่อนจะย้ายไปออกอากาศทางช่อง 5 ในปี พ.ศ. 2542 และอีกครั้งในช่วงปี 2555 - 2558 ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ 14.45 น. - 16.45 น. ก่อนจะย้ายไปออกอากาศทางช่องเวิร์คพอยท์ ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ซือกง (พ.ศ. 2541 - ปลายปี พ.ศ. 2542) ภาพยนตร์ชุดจีนจากไต้หวัน ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 18.30-19.30 น. สถานีฯ ทำประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ชุดนี้ ด้วยคำขวัญซึ่งเป็นที่นิยมในระยะต่อมาว่า \"อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล\" เกมเศรษฐี (4 มีนาคม พ.ศ. 2543 - 28 มีนาคม พ.ศ. 2547) ควิซโชว์รูปแบบตอบคำถาม รายการแรกของประเทศไทย มีเงินรางวัลสูงสุด 1,000,000 บาท เพียงตอบคำถามได้ถูกต้องทั้ง 16 ข้อ ดำเนินรายการโดย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ต่อมาย้ายไปออกอากาศทางไอทีวี ราวปี พ.ศ. 2547 กำจัดจุดอ่อน (7 มีนาคม พ.ศ. 2545) ควิซโชว์ตอบคำถาม ซึ่งผู้เข้าแข่งขันที่ได้คะแนนน้อยที่สุด ต้องออกจากการแข่งขันไปทีละคน มีลักษณะเด่นที่ผู้ดำเนินรายการจะใช้วาจาเชือดเฉือนผู้เข้าแข่งขัน ด้วยน้ำเสียงกระด้างและเรียบเฉย จึงมีผู้วิจารณ์ว่าไม่เหมาะกับสังคมไทย ดำเนินรายการโดย กฤษติกา คงสมพงษ์ รักใสใส หัวใจสี่ดวง (พ.ศ. 2545) ภาพยนตร์ชุดไต้หวัน นำแสดงโดย กลุ่มศิลปินเอฟโฟร์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งในไต้หวันและเมืองไทย เรื่องเล่าเช้านี้ (2 มิถุนายน พ.ศ. 2546 - ปัจจุบัน) เป็นรายการนำเสนอข่าวที่ใช้รูปแบบการเล่าด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เปลี่ยนไปจากการนั่งอ่านข่าวจากสคริปต์ในรูปแบบเดิม ดำเนินรายการโดย ภาษิต อภิญญาวาท พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ และ เอกราช เก่งทุกทาง โคกคูนตระกูลไข่ (2 สิงหาคม พ.ศ. 2546 - 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549) ซิตคอมของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) นำแสดงโดย หม่ำ จ๊กมก จินตหรา สุขพัฒน์ สันติสุข พรหมศิริ เท่ง เถิดเทิง ฯลฯ ออกอากาศทุกวันเสาร์ 14.00 น. ก่อนจะย้ายไปออกอากาศทางช่อง 5 ตั้งแต่วันเสาร์ที่4 มีนาคม พ.ศ. 2549 แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง (พ.ศ. 2548 - ต้นปี พ.ศ. 2549) ภาพยนตร์ชุดจากเกาหลีใต้ เรื่องแรกของสถานีฯ ออกอากาศทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์ เวลา 18.00-20.00 น. อัจฉริยะข้ามคืน (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 - 7 มกราคม พ.ศ. 2551) รายการเรียลลิตี้ควิซโชว์รายการแรกของไทย มีจุดเด่นที่เกมการแข่งขันที่ต้องใช้การวิเคราะห์โจทย์เป็นหลัก โดยเฉพาะเกมที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย นั้นคือ เกมถอดรหัสลับอัจฉริยะ ดำเนินรายการโดย แทนคุณ จิตต์อิสระ และ ปัญญา นิรันดร์กุล สตรอเบอรี่ชีสเค้ก (8 ตุลาคม พ.ศ. 2549 - 27 กันยายน พ.ศ. 2558) รายการโทรทัศน์แนววาไรตี้ โดยเปิดโอกาสวัยรุ่นได้แสดงออกทุกรูปแบบ ที่จะให้ผู้ชมได้สัมผัสโลกของวัยรุ่น โดยมีพิธีกรวัยรุ่น 9-15 คน(โดยประมาณ) รับหน้าที่ดำเนินรายการ โดยตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2556 รายการได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่ มีพิธีกรผู้ชายเพิ่มเข้ามาด้วย และเปลี่ยนชื่อรายการเป็น รายการ สตรอเบอรี่ครับเค้ก ถ้าคุณแน่? อย่าแพ้ เด็ก (ประถม) ! (1 ตุลาคม พ.ศ. 2550 - 29 เมษายน พ.ศ. 2553) ควิซโชว์ที่ผู้ร่วมรายการต้องแข่งขันตอบคำถามกับนักเรียนชั้นประถมศึกษา จึงเป็นที่นิยมเนื่องจากผู้ชมเอ็นดูในความฉลาดและน่ารักของเด็ก ๆ ดำเนินรายการโดย กนิษฐ์ สารสิน ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ (6 มีนาคม พ.ศ. 2554 - 4 กันยายน พ.ศ. 2559) เรียลลิตี้โชว์ประกวดความสามารถหลากหลายรูปแบบ ไม่จำกัดอายุ เพศ จำนวน ประเภทของโชว์ โดย บริษัท ยูนิลีเวอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ซื้อลิขสิทธิ์การประกวดบริเทนส์กอตแทเลินต์ จากประเทศอังกฤษ มาออกอากาศในประเทศไทย โดยมี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการผลิตรายการ (ชื่อเต็ม: ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์บันดาลชีวิต โดยซันซิลและเรโซนา) (ปัจจุบัน ย้ายไปออกอากาศช่องเวิร์คพอยท์) เดอะวอยซ์ไทยแลนด์ (6 กันยายน พ.ศ. 2555 - 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561) เรียลลิตี้โชว์ประกวดร้องเพลง ผลิตรายการ โดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบัน ย้ายไปออกอากาศช่องพีพีทีวี) เดอะเฟซไทยแลนด์ (4 ตุลาคม พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน) เรียลลิตี้โชว์เพื่อค้นหาสุดยอดนางแบบ เทรนเนอร์ ได้แก่ เมทินี กิ่งโพยม, รฐา โพธิ์งาม, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, คริส หอวัง และน้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ เนลท์ให้โอกาสประเทศไทยเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผลิตรายการโดย บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) Davinci เกมถอดรหัส (2 ธันวาคม พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน) เกมโชว์แนวควิซโชว์ที่ทดสอบความรู้รอบตัวและไหวพริบของผู้เข้าแข่งขันผ่านคำถามที่มาในรูปแบบของรูปภาพที่นำมาร้อยเรียงกันเป็นคำปริศนา ผลิตรายการโดย บริษัท อะมะเตะระสุ จำกัด The Eyes มองตาก็รู้ใคร (5 มีนาคม พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน) เกมโชว์ที่ทดสอบการจดจำดวงตาของเหล่าคนดังทั่วโลกจากทุกวงการ ผลิตรายการโดย บริษัท อะมะเตะระสุ จำกัด",
"หลาย ๆ องค์ประกอบของรายการนี้มีแรงบันดาลใจมาจากรายการ บิ๊ก บราเธอร์ และ เกมเศรษฐี แต่ทว่า รูปแบบของรายการนั้นค่อนข้างจะแปลกไปจากรายการอื่นอย่างชัดเจน กล่าวคือมีการเปิดฉากต่อสู้กันทางสีหน้า ท่าทางและวาจาของผู้เข้าแข่งขัน โดยใช้ผู้ดำเนินรายการเป็นตัวกระตุ้น ในบางประเทศรายการถูกสื่อต่าง ๆ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ ประเทศ รายการนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก",
"Step Right Up ใครเก่ง ใครได้ เป็นรายการโทรทัศน์ประเภทเกมโชว์ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านมาเล่นเกม 1 เกม ในโอกาส 1 ครั้ง เพื่อให้ได้รับของรางวัลกลับบ้าน โดยทางบริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ได้ซื้อลิขสิทธิ์รูปแบบรายการจาก Endemol Shine Group ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อนำมาผลิตในรูปแบบของประเทศไทย โดยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556 ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ดำเนินรายการโดย วราวุธ เจนธนากุล, ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ และ เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ และออกอากาศเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เนื่องจากการปรับปรุงผังรายการของช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี",
"ในขณะลงคะแนนมีเพียงผู้ชมทางบ้านเท่านั้นที่ทราบผ่านทางผู้บรรยายว่าใครคือผู้ที่แกร่งที่สุด และใครคือจุดอ่อน โดยมาจากสถิติในการตอบคำถาม (ซึ่งในบ้างเทปจะให้คนดูในห้องส่งโหวตให้)[1]",
"รูปแบบต้นฉบับมีลักษณะการแข่งขันแบบเป็นกลุ่ม 8-9 คน โดยผลัดกันตอบคำถามความรู้ทั่วไป เวลาในการตอบคำถามเวอร์ชันต้นฉบับจะมีเริ่มต้นที่ 3 นาที รอบที่ 2 ขึ้นไปลดลงทีละ 10 วินาทีส่วนรอบสุดท้ายจะมีเวลา 1 นาที 30 วินาที เป้าหมายในแต่ละรอบคือการตอบคำถามให้ถูกต้องติดต่อกันเพื่อสะสมเงินรางวัลตามขั้น หากตอบคำถามผิดเงินรางวัลที่สะสมตามขั้นจะหายไป ก่อนการถามคำถามของผู้ดำเนินรายการผู้เข้าแข่งขันสามารถพูดคำว่า \"เก็บ\" ได้ (ภาษาอังกฤษ\"Bank\") ซึ่งจะทำให้เงินรางวัลตามขั้นที่สะสมถูกเก็บไว้เป็นเงินรางวัลรวมอย่างปลอดภัย และการสะสมเงินรางวัลก็จะเริ่มต้นขึ้นใหม่ เมื่อผู้ดำเนินรายการถามคำถามแก่ผู้เข้าแข่งขันแล้วผู้เข้าแข่งขันไม่สามารถตอบคำถามได้ หรือไม่ตอบคำถาม ก็จะถือว่าตอบคำถามผิด และเมื่อเวลาในการตอบคำถามของในแต่ละรอบหมดลงเงินรางวัลสะสมที่ไม่ได้ถูกเก็บก็จะหายไป"
] |
ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีลูกกี่คน ? | [
"ทักษิณ สมรสกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หลังลาออกจากราชการตำรวจ ในปี พ.ศ. 2523[33] และมีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่"
] | [
"สกุลชินวัตร เป็นสกุลที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและธุรกิจมากมายในปัจจุบัน โดยมีเส็ง แซ่คูเป็นต้นตระกูล ซึ่งอพยพย้ายถิ่นฐานมาจากสาธารณรัฐจีน (ในขณะนั้น)มายังจังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย ต่อมาได้ย้ายไปตั้งรกรากที่จังหวัดเชียงใหม่ ในพ.ศ. 2454 เชียง แซ่คู บุตรชายคนโตของครอบครัวได้เริ่มต้นธุรกิจทอผ้าไหมในจังหวัดเชียงใหม่ จนในปัจจุบันเป็นกิจการผ้าไหมที่มีมายาวนานที่สุดของประเทศไทย สกุลชินวัตรเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเมื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร สมาชิกรุ่นที่ 3 ได้ดำเนินธุรกิจต่างๆ อาทิเช่น เครือค่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เอไอเอส จนประสบความสำเร็จ และได้เข้าสู่การเมืองในเวลาต่อมา พร้อมทั้งมีสมาชิกคนอื่นๆ ตามมา ซึ่งทำให้สกุลชินวัตรเป็นที่รู้จักมากในด้านของการเมืองในปัจจุบัน",
"หลังจากความสำเร็จในการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้ตัดสินใจนำบริษัทในกลุ่มชินวัตรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในระหว่างปี 2533 – 2537 อาทิ",
"ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นญาติของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากสุมาลี โตวิจักษณ์ชัยกุล น้าของสุรพงษ์ แต่งงานกับเสถียร ชินวัตร อาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เคยสมรสกับอัญชลี โตวิจักษณ์ชัยกุล มีบุตร 2 คน คือ ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล และศุภิสรา โตวิจักษณ์ชัยกุล ",
"รู้ทันทักษิณ เป็นหนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเสนอในรูปแบบของมุมมอง ความคิดเห็นของนักวิชาการชั้นนำหรือคนที่รู้จักทักษิณผ่านบทวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ เพี่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยมีบรรณาธิการคือ รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตเป็นสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และมีสำนักพิมพ์คือฃอคิดด้วยฅน หนังสือรู้ทันทักษิณมีทั้งหมด 5 เล่ม โดยได้แถลงเปิดตัวอย่างเป็นทางการเล่มแรก เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2547 ",
"ต่อมา ชัยสิทธิ์ได้สมรสกับคุณวีณา ชินวัตร (สุขสภา) มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นางสาวลัฆวี ชินวัตร และนายวีรสิทธิ์ ชินวัตร นอกจากนี้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ยังเป็นญาติผู้พี่ของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 28พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เคยมีกระแสข่าวว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ในปี พ.ศ. 2554 ในปี พ.ศ. 2561 พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคพลังปวงชนไทย ส่วนนายนิคม บุญวิเศษเป็นหัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นนอมินีของพรรคเพื่อไทย",
"นายพายัพ ชินวัตร (เกิด 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) เป็นผู้ดูแลภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ น้องชายคนเดียวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร",
"สุรพันธ์ ชินวัตร เป็นน้องชายของนายบุญเลิศ ชินวัตร บิดาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย",
"ชยาภาเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 เป็นธิดาคนสุดท้อง ของสมชาย (บิดา) นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 26 กับเยาวภา (มารดา; นามสกุลเดิม: ชินวัตร) จึงเป็นหลานสาวของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 23 ด้วย ชยาภามีพี่ชาย 1 คนคือ ยศชนัน (เชน) และพี่สาว 1 คนคือ ชินณิชา (เชียร์)",
"ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายโภคิน พลกุล ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 377 คะแนน ไม่เห็นชอบ 1 คะแนน (คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์) และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 116 คะแนน จึงถือได้ว่าพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี",
"แพทองธาร ชินวัตร (ชื่อเล่น: อุ๊งอิ๊งค์; เกิด: 21 สิงหาคม พ.ศ. 2529) บุตรสาวคนสุดท้อง ของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ",
"นายแพทย์พรหมินทร์และบริษัทแมทช์บอกซ์อยู่เบื้องหลังแคมเปญการรณรงค์ทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นภาพโปสเตอร์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ยืนชี้นิ้วมองไกลไปข้างหน้าพร้อมกับคำขวัญ \"พลิกเมืองไทยให้แข่งกับโลก\" ที่ได้รับว่าพึงพอใจจากคนชั้นกลางเป็นจำนวนมาก",
"เลิศ ชินวัตร (พ.ศ. 2462-23 ตุลาคม พ.ศ. 2540) อดีตนักการเมืองชาวเชียงใหม่ เป็นบิดาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ",
"ร.ต.อ.ปุระชัย คัดค้านที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีมติเห็นชอบ \"ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ….\" ที่พยายามช่วยเหลือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นความผิด โดยยืนยันว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ควรที่ต้องรับโทษตามกฎหมายคดีทุจริตคอรัปชันก่อน ถึงจะมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับการอภัยโทษความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อรัฐ",
"เยาวลักษณ์ ชินวัตร เกิดวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นบุตรคนโตของนายเลิศ ชินวัตร กับนางยินดี ชินวัตร มีน้อง 9 คน ได้แก่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร), นางเยาวเรศ ชินวัตร (สมรสกับนายวีระชัย วงศ์นภาจันทร์), นางปิยนุช (สมรสกับนายสง่า ลิ้มพัฒนาชาติ), นายอุดร ชินวัตร, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (สมรสกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์), นายพายัพ ชินวัตร (สมรสกับนางพอฤทัย จันทรพันธ์), นางมณฑาทิพย์ (สมรสกับนายแพทย์สมชัย โกวิทเจริญกุล), นางทัศนีย์ ชินวัตร และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร) ",
"โว๊กว๊าก นำแสดงโดย สายัณห์ ดอกสะเดา รับบทเป็น \"โอ๊กอ๊าก\" ลูกชายของ \"เจ้าสัวรักสิน\" โดยนำนักแสดงหน้าเหมือนนักการเมืองจากรายการสภาโจ๊ก มาร่วมแสดงด้วย จึงเกิดเสียงวิจารณ์ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงล้อเลียน พานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค) บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จนมีข่าวว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ แสดงความไม่พอใจ และทำให้ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล อ้างเป็นเหตุในการเข้าตรวจสอบภาพยนตร์เรื่องนี้ เด๋อจึงเซ็นเซอร์บางฉากออกไป เพื่อแก้ปัญหายุ่งยาก และเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ดังกล่าว",
"หลังจากการประกอบธุรกิจมาหลายประเภท ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจด้านข้อมูลข่าวสารด้วยการก่อตั้งบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด(เดิมชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซีเอสไอ (ICSI) ) ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2526 เพื่อประกอบธุรกิจให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมจาก IBM และต่อมาได้เริ่มธุรกิจวิทยุติดตามตัวยี่ห้อ Phonelink ที่ได้กลายเป็นแท่นกระโดดสู่ธุรกิจโทรคมนาคมเต็มตัว",
"นายกษิต ภิรมย์ เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่ได้รับความเชื่อถือจาก นายชวน หลีกภัย อย่างต่อเนื่อง\nปี 2537 นายกษิต ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตาได้ต้อนรับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ติดต่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการเมืองกับ\nนายกษิต จนกระทั่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน เมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2544 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงได้ให้นายกษิต ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงเพื่อไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี\nต่อมาเมื่อพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการบริหารราชการที่แตกต่างจากที่ได้เคยหารือกันไว้ ได้สัมผัสกับวิธีคิดและวิธีทำงานของพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ อย่างใกล้ชิด นายกษิต ภิรมย์ จึงเริ่มออกห่างจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และในเดือน พฤศจิกายน 2544 ได้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น",
"ในปี พ.ศ. 2539 มหาวิทยาลัยชินวัตรมีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดริเริ่มของ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ ศาสตราจารย์ ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่จะก่อตั้งมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อช่วยสนับสนุนการพัฒนาภายในประเทศและภูมิภาคใกล้เคียงบวกกับความคิดที่จะพัฒนารูปแบบของ มหาวิทยาลัยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ ดร.สุนทร บุญญาธิการ จวบจนกระทั่งปี พ.ศ. 2542 ทบวงมหาวิทยาลัยจึงอนุญาตให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยชินวัตรขึ้น มหาวิทยาลัยชินวัตรเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มุ่งเน้นการศึกษาค้นคว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยม การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ความเป็นผู้นำ การจัดการ ความเป็นนักลงทุน ไปพร้อมๆ กับมาตรฐานจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับสูง โดยบริษัท โอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ได้รับอนุญาตจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2542เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีในระดับภูมิภาคและระดับโลก มหาวิทยาลัยชินวัตรจึงมุ่งมั่นที่จะผลิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอกให้สอดคล้องและมีประสิทธิภาพต่อตลาดแรงงานและคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง",
"คุณหญิง ดร.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เข้าสู่แวดวงการเมืองครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ได้เป็น ส.ส. ในเขตกรุงเทพมหานคร ในเขต 12 (มีนบุรี, บางเขน, หนองจอก, ดอนเมือง ยกเว้นแขวงทุ่งสองห้อง) ของพรรคพลังธรรม แต่หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้วางมือทางการเมืองแล้ว พรรคพลังธรรมก็ได้ผลัดเปลี่ยนหัวหน้าพรรคหลายคน มาจนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ก็ได้สนิทสนมกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับสมาชิกพรรคอีกหลายคนซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส. ในกรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2539 พรรคพลังธรรมมี ส.ส. เหลือเพียงคนเดียว คือ คุณหญิงสุดารัตน์นี่เอง และในปี พ.ศ. 2541 เมื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาก่อตั้งพรรคไทยรักไทย คุณหญิงสุดารัตน์ก็เป็นหนึ่งใน 23 บุคคลที่ร่วมก่อตั้งพรรคด้วย และก็ได้ร่วมงานกับทางพรรคมาจนบัดนั้น",
"ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ มีชื่อเล่นว่า \"เชียร์\" เกิดเมื่อวันที่ เป็นบุตรสาวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย กับนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน และยังเป็นหลานสาวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย",
"ภายหลังจบการศึกษาและทำงานราชการ ต่อมาพรรคพวกเครือข่ายคนเดือนตุลาที่ไปช่วยงาน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แนะนำให้ดึงตัวนายแพทย์พรหมินทร์เข้ามาช่วยงานด้านกลยุทธ์ และได้เข้าร่วมทำงานกับกลุ่มบริษัทชินวัตร จนตำแหน่งสุดท้ายคือซีอีโอ ของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ คอมมิวนิเคชั่นส์",
"สมภารเซ้งโบสถ์ เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเสียดสี เปรียบเทียบ สถานการณ์การเมืองในขณะนั้น โดย ยืนยง ผู้แต่งได้แรงบันดาลใจในการเขียนเนื้อเพลงจากโคลงชื่อ \" สมภารเซ้งโบสถ์ \" ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ โดยเปรียบเทียบ ดร .ทักษิณ ชินวัตร เหมือนสมภารเลี่ยม การเซ้งโบสถ์ให้กับเถ้าแก่เสก เจ้าสัวเมืองสิงค์ เหมือนกับกรณีตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปแก่บริษัท เทมาเสก โฮลดิ้ง แห่งสิงคโปร์ ซึ่งนำมาสู่วิกฤตศรัทธาในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ",
"นับตั้งแต่การเคลื่อนไหวต่อต้าน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พานทองแท้ก็ถูกโจมตีและเผยแพร่ข่าวลือด้านลบมาโดยตลอดโดยกลุ่มผู้ต่อต้านทักษิณ พานทองแท้เริ่มมีบทบาททางการเมืองเด่นชัดนับจากปี 2555 จากกรณีการกล่าวหาว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนีทหาร และจากนั้นพานทองแท้ก็ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยการจ้างคอลัมนิสต์เขียนผ่านทางเฟสบุ๊คของตัวเอง และเป็นประเด็นในสื่อกระแสหลักเรื่อยมา หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เขาถูกทหารควบคุมตัว ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่\nและปรากฏข้อมูลในเอกสารคำร้องฝากขังกลุ่มแอดมินเพจ “เรารักพล.อ.ประยุทธ์” ระบุว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เงินสนับสนุน",
"ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล เริ่มเข้าสู่งานการเมือง โดยการชักชวนของทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคพลังธรรมและได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 สังกัดพรรคพลังธรรม ต่อมา ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล จึงเข้าร่วมกับทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และได้รับตำแหน่งเป็นโฆษกพรรคคนแรก (คณะกรรมการชุดที่ขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง) กระทั่งในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ผู้แทนการค้าไทย และต่อมาจึงได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ",
"ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 23 ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2544–2549 ระหว่างดำรงตำแหน่ง ทักษิณริเริ่มหลายนโยบายซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา พลังงาน ยาเสพติดและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขาชนะการเลือกตั้งถล่มทลายถึงสองสมัย[1] นโยบายของทักษิณลดความยากจนในชนบทได้อย่างเด่นชัด[2] และจัดบริการสาธารณสุขในราคาที่สามารถจ่ายได้ ด้วยเหตุนี้ ฐานเสียงสนับสนุนของเขาส่วนใหญ่จึงมาจากคนยากจนในชนบท[1]",
"มีบุตร 3 คน ได้แก่ นายณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ สมรส กับ อาจารย์ วณิศรา บุญยะลีพรรณ นายณพล จาตุศรีพิทักษ์ และเด็กชายณฉัตร จาตุศรีพิทักษ์ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อภิรดี ตันตราภรณ์ อีกด้วย\nดร.สมคิด ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลเศรษฐกิจคนสำคัญของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยที่นโยบายประชานิยมหรือนโยบายเศรษฐกิจหลายอย่างก็มาจากแนวความคิดของ ดร.สมคิดเอง ในระหว่างการทำงานการเมืองได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีภาพลักษณ์ดี เพราะเก่งกาจ มีความเชี่ยวชาญสามารถคนหนึ่ง และได้ชื่อว่าบางครั้งก็ไม่ทำตามนโยบายหรือแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำหนดไว้เสมอไป",
"นางเยาวลักษณ์ ชินวัตร หรือ นางเยาวลักษณ์ คล่องคำนวณการ พี่สาวคนโตของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2529",
"วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ของทักษิณ ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นของ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ที่ครอบครองอยู่ทั้งหมด ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จำกัด (พีทีอี) ซึ่งทักษิณชี้แจงว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่กลับมีบุคคลบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายที่ว่าด้วยการขายหุ้นในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกรณีดังกล่าว รวมทั้งการไม่ต้องเสียภาษีรายได้จากผลกำไรในการขายหุ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นจุดสำคัญที่ทำให้กระแสการขับทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขยายตัวออกไปในวงกว้าง",
"พานทองแท้ ชินวัตร ชื่อเล่น: โอ๊ค (2 ธันวาคม พ.ศ. 2522) นักธุรกิจชาวไทย สมาชิกพรรคเพื่อไทย บุตรชายของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย กับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา มีน้องสาวสองคน คือพินทองทา และแพทองธาร",
"โดยช่วงสำคัญของงานครั้งนี้ อยู่ที่การปราศรัยทางโทรศัพท์ ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีนายวีระ เป็นผู้สัมภาษณ์บนเวที โดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้กล่าวถึง การสร้างความสามัคคี ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติ"
] |
เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์สวางจำหน่ายเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
"มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเดอะซิมส์ 3 เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 และได้กำหนดวันวางจำหน่ายในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 สำหรับทวีปอเมริกาเหนือ และวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 สำหรับทวีปยุโรป สำหรับในประเทศไทยมีกำหนดวันวางจำหน่ายในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552[2]"
] | [
"รูปแบบการเล่นของภาคเสริม เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส คือการหาเควสต่างๆ หรือที่เรียกว่าการผจญภัย ซึ่งการผจญภัยจะประกอบด้วยเป้าหมายต่างๆเชื่อมโยงกันในเรื่องราว ซึ่งมีเป้าหมายทั่วไปรวมถึงการสำรวจสุสานต่างๆหาของมีค่าและพูดคุยกับชาวซิมส์คนอื่นๆ เพื่อสร้างสังคมของซิมส์ เมื่อสำรวจสุสาน ซิมส์ของคุณจะต้องฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ เพื่อปลดล็อกห้องถัดไป เมื่อชาวซิมส์เข้าไปในสุสานครั้งแรก จะเกิดหมอกสงครามขึ้น หมอกสงครามจะหายไปเมื่อชาวซิมส์เดินผ่านห้องต่างๆที่เกิดหมอกสงครามอยู่ ซึ่งสุสานต่างก็มีปริศนาลี้ลับซ่อนเงื่อน เช่น กับดัก, หลุมดำ และสวิทช์เปิดบันได เป็นต้น",
"ภาคเสริมเวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถพาชาวซิมส์ไปยังประเทศอียิปต์,ประเทศฝรั่งเศส และ ประเทศจีน ชาวซิมส์สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรมขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ชาวซิมส์ไป ในประเทศอียิปต์ ชาวซิมส์ สามารถเยี่ยมชมปิรามิดและพบกับปริศนาที่ซ่อนไว้ให้ปิรามิด ในประเทศจีน เยี่ยมชมดอกไม้ไฟรวมทั้งการกินและศิลปะการต่อสู้ และในประเทศฝรั่งเศส ชาวซิมส์สามารถมีส่วนร่วมในการทำไวน์รสชาติกลมกล่อม ระยะเวลาที่ชาวซิมส์จะสามารถอยู่ในประเทศที่ชาวซิมส์เที่ยวได้นั้นขึ้นอยู่กับระดับวีซ่า ระดับวีซ่านี้จะเพิ่มขึ้นไปในการผจญภัยต่างๆ ถ้ามีระดับวีซ่ามากขึ้นเท่าไร ชาวซิมส์จะสามารถซื้อบ้านพักตากอากาศเป็นของตัวเองและขยายเวลาการมาพักร้อนได้เท่านั้น [4][5]",
"สำหรับในภาคเสริมเวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ก่อนหน้านี้เคยมีภาคเสริมที่เกี่ยวกับการพักร้อนมาก่อนหน้านี้แล้วคือ \"เดอะซิมส์ วัยรักพักร้อน\" และ \"เดอะซิมส์ 2 ทริปซ่าส์\" แต่ในภาคเสริมเวิลด์ แอดเวนเจอร์สไม่เหมือนกับภาคเสริมที่แล้วมา เพราะภาคเสริมเวิลด์ แอดเวนเจอร์ส จะเน้นไปที่การผจญภัยหาสมบัติมากกว่าการที่จะพาชาวซิมส์ไปพักร้อน โดยมีสถานที่ที่มีอยู่จริง 3 สถานที่ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศอียิปต์,ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังสามารถพาชาวซิมส์ไปเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ พัฒนาทักษะการฝึกป้องกันตัว ทักษะการถ่ายภาพ และทักษะการทำไวน์ อีกทั้งยังเข้าไปพบปะพูดคุยกับชาวซิมส์ที่อยู่ในประเทศนั้นๆได้ แต่มีอีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาคือโหมดสร้างชั้นใต้ดิน โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปรับระดับของพื้นดินเลย และระดับวีซ่าจะมีผลต่อวันที่ชาวซิมส์จะมาเที่ยว ระดับวีซ่าจะเพิ่มก็ต่อเมื่อพาชาวซิมส์ไปผจญภัยในที่ต่างๆ [1]",
"ทักษะการถ่ายภาพขึ้นอยู่กับการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัลพกพา ภาพถ่ายที่ถ่ายโดยใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่ง เกมสามารถตรวจสอบเรื่องการถ่ายภาพ เกมมีเป้าหมายให้ผู้เล่นในรูปแบบของทักษะการถ่ายภาพสำหรับชาวซิมส์นั้น นอกจากนี้ผู้เล่นสามารถเลือกรูปแบบภาพต่างๆเช่น รูปแบบทัศนียภาพและโทนสีซีเปียเป็นต้น",
"Nelly Furtado ได้ร้องเพลง \"Manos al Aire\" เป็นภาษาซิมส์สำหรับ เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ซึ่งตอนนี้มิวสิกวิดีโอเพลงได้อัปโหลดลงยูทูบแล้ว . นอกจากนี้ Katie Melua ยังได้ร้องเพลง \"If the Lights go out\" (ซึ่งต้นฉบับนั้นได้ร้องโดย The Hollies) ในภาคเสริม \"เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส\" และขณะนี้เพลงดังกล่าวได้อัปโหลดลง ยูทูบแล้ว",
"ชุดเกมเสริม เอาต์ดอร์รีทรีต มีรูปแบบคล้ายคลึงกับ เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส, เดอะซิมส์ 2 ทริปซ่าส์ และ เดอะซิมส์ วัยรักพักร้อน เพียงแต่เน้นในเรื่องการเข้าค่ายพักแรม และการพักผ่อนเป็นหลัก\nเซอร์ไพรส์ครั้งใหม่กำลังรอซิมของคุณอยู่ในป่า ออกสำรวจที่หมายแห่งใหม่ Granite Falls (แกรนิต ฟอลส์) ซิมของคุณจะได้ตั้งแคมป์ ร้องเพลง หรือเล่าเรื่องผีรอบกองไฟ และสนุกกับกิจกรรมใหม่ทุกรูปแบบที่มีให้! เช็ก, เดนมาร์ก, เยอรมัน (DE), อังกฤษ (US), สเปน (ES), ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส (FR), อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส (BR), รัสเซีย, สวีเดน, จีนกลาง",
"เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ภาคนี้ ยังเพิ่มทักษะสามทักษะที่มีเป้าหมายใหม่และความท้าทายต่อผู้เล่น ทักษะศิลปะป้องกันตัวซึ่งสามารถฝึกได้กับหุ่นโชว์ เมื่อฝึกไปได้สักพักชาวซิมส์ก็จะสามารถสับไม้และวัตถุอื่นๆ โดยใช้อิฐสองบล็อกเป็นตัวตั้งวัตถุได้ อีกทั้งซิมส์ของคุณยังสามารถร่วมการแข่งขันประลองฝีมือต่างๆเพื่อเพิ่มอันดับของซิมส์ ระดับทักษะของชาวซิมส์จะเห็นได้ตามสายคาดและสีเสื้อที่ชาวซิมส์ใส่อยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้าอยู่ในระดับแรก สีของเสื้อจะเป็นสีขาว สายคาดสีดำ แต่พอฝึกไปได้สักพัก สีของเสื้อและสาดคาดจะเปลี่ยนไปเป็นสีอื่นๆ ตามระดับทักษะที่ได้ฝึกไว้ เป็นต้น",
"นอกจากนี้ ตัวเกมยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถใช้เครื่องมือเข้าไปสร้างหรือปรับแต่งหลุมศพได้ นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถเข้าไปเพิ่มลักษณะการเล่นเฉพาะวัตถุสำหรับสุสานได้ และยังเพิ่มลักษณะพิเศษต่างๆเพื่อให้เกิดความเร้าใจในการผจญภัยได้",
"เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ได้นำนักร้อง Nelly Furtado, Pixie Lott, Stefanie Heinzmann, Matt and Kim และ Young Punx มาขับร้องเป็น ภาษาซิมส์ สำหรับใช้ในเกมนี้.[13] โดยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ยังมีศิลปินนักร้องอีกมากมายที่มาขับร้องเพลงในภาคเสริมตัวนี้[14]",
"สำหรับเดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ภาคเสริม เป็นแกมที่เจ็ดในการจัดอันดับ 10 เกมที่ขายดีที่สุดตามการจัดอันดับของ เอ็นพีดี และนอกจากนี้เกม เดอะซิมส์ 3 ยังได้ชื่อว่าเป็นเกมที่ขายดีที่สุดแห่งปี 2009[21]",
"Audrye Sessions - \"Turn Me Off\" Broken Hearts Club - \"Na Na Na\" Esmee Denters - \"Outta Here\" Fefe Dobson - \"I Want You\" Friday Night Boys - \"Can't Take That Away\" Nelly Furtado - \"Manos al Aire\" Stefanie Heinzmann - \"No One (Can Ever Change My Mind)\" Pixie Lott - \"Mama Do\" Madina Lake - \"Lets Get Outta Here\" Manchester Orchestra - \"I've Got Friends\" Matt and Kim- \"Daylight\" Katie Melua - \"If the Lights Go Out\" Metalkpretty - \"Wake Up, Wake Up\" Natalie Portman's Shaved Head - \"Me + Yr Daughter\" Hot Chelle Rae - \"Say\" LeAnn Rimes - \"You've Ruined Me\" Cassie Steele - \"Summer Nights\" Evan Taubenfeld - \"Pumpkin Pie\" Young Punx - \"Juice and Sim\"",
"หมวดหมู่:ภาคเสริม * หมวดหมู่:เกมสำหรับวินโดวส์ หมวดหมู่:เกมในระบบแมคโอเอสเท็น หมวดหมู่:เกมในโทรศัพท์มือถือไอโฟน หมวดหมู่:เกมสำหรับไอโอเอส หมวดหมู่:วิดีโอเกมที่มีฉากในประเทศอียิปต์ หมวดหมู่:วิดีโอเกมที่มีฉากในประเทศจีน",
"ซูเปอร์แมนได้ถูกนำกลับมาทำใหม่อีกครั้งโดยนักเขียนและนักวาดภาพที่ชื่อว่า จอห์น ไบรอัน ในเนื้อเรื่องที่ชื่อว่าเดอะ แมน ออน สตีล (ค.ศ. 1986) ในปี ค.ศ. 1986 ได้ทำการยกเลิกการจัดพิมพ์นิตยสาร เวิลด์ ไฟเนท คอมิคส์ และ ได้ทำการเปลี่ยนชื่อนิตยสารของซูเปอร์แมนเป็น เดอะ แอดเวนเจอร์ออฟซูเปอร์แมน นิตยสาร<i data-parsoid='{\"dsr\":[19399,19413,2,2]}'>ซูเปอร์แมน</i>ในรูปแบบที่ 2 โดยได้เริ่มจัดจำหน่ายในปี ค.ศ.1987 เรื่อยมาจนกระทั่งสิ้นสุดในปี ค.ศ.2006 หลังจากที่จบลง เดอะ แอดเวนเจอร์ออฟซูเปอร์แมน ได้กลับมาตีพิมพ์อีกครั้งในนิตยสาร ซูเปอร์แมน ที่มีชื่อว่า ซูเปอร์แมน: เดอะ แมน ออน สตีล ที่เริ่มจัดจำหน่ายในปี ค.ศ.1991 จนถึงปี ค.ศ.2003 ในขณะที่นิตยสารไตรมาสอย่าง ซูเปอร์แมน: เดอะ แมนออฟทูมอร์โรว์ นั้นจัดจำหน่ายในปี ค.ศ.1995 จนถึงปี ค.ศ.1999 และในปี ค.ศ.2003 นิตยสาร ซูเปอร์แมน/แบทแมน จึงเริ่มทำการจัดจำหน่ายและสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.2011 เช่นเดียวกับซีรีส์หายากที่มีชื่อว่า ซูเปอร์แมน: เบิร์ธไรท์ ส่วนเรื่อง ออล-สตาร์ ซูเปอร์แมน นั้นเริ่มจัดพิมพ์ในปี ค.ศ. 2005 และเรื่อง ซูเปอร์แมน คอนฟิเดนเชี่ยล ก็ได้เริ่มตีพิมพ์ในปี ค.ศ.2006 (ภายหลังถูกยกเลิกไปในปี ค.ศ. 2008) ซูเปอร์แมนยังได้ถูกนำไปทำเป็นซีรีส์การ์ตูนทางโทรทัศน์ที่ดัดแปลงเนื้อเรื่องมาจากหนังสือการ์ตูนในชื่อเรื่องว่า ซูเปอร์แมน แอดเวนเจอร์ (ค.ศ.1996–ค.ศ.2002), จัสติสลีก แอดเวนเจอร์, จัสติสลีก อันลิมิต (ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 2008) และ เดอะ ลีเจียนออฟซูเปอร์-ฮีโร่ อิน เดอะ 31 เซนจูรี่ (ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 2008)",
"Game Boy Advance ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม, 2547 โดยได้ทำการปรับปรุงกราฟิกให้สมบูรณ์กว่าภาคเพลย์สเตชัน นอกจากนี้ยังทำการเปลี่ยนระบบเวทมนตร์จากจำนวนครั้งมาเป็น MP แทน, ตัวละครสามารถอัพระดับเลเวลได้เต็มที่สูงสุดถึง 99 ซึ่งจากเดิมได้เพียงแค่ 50 เท่านั้น, เพิ่มตัวละครประจำซีรีส์ไฟนอลแฟนตาซีซึ่งก็คือ \"ซิด\" เข้าไป , เพิ่มดันเจี้ยนพิเศษ ถ้ำแห่งการทดสอบ อีก 4 ดันเจี้ยนเข้าไปด้วย แต่เนื่องจากปัญหาความจุของเครื่องเกมบอยแอดวานซ์มีไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตัดมูฟวี่เปิดเกมส์ออกไป",
"ในช่วงแรกที่เดอะซิมส์ 3 ภาคเสริมเวิลด์ แอดเวนเจอร์สออกวางจำหน่าย เกมนี้ได้รับการตอบรับในด้านบวกจากหลายสำนักเช่น ในเกมโปร วันอัพดอตคอม รวมไปถึงเมตะคริติค โดยได้รับคะแนนการวิจารณ์เกมจาก เมตะคริติค 81 คะแนน[3]",
"สิ่งมีชีวิตในเกมเป็นผีมัมมี่ที่มีความสามารถหลายอย่าง เช่น ไม่ต้องไปนอน พบได้ในสุสาน ผู้เล่นอาจถูกผีมัมมี่ต้องคำสาปได้ถ้าหากไปทำร้ายหรือขัดขืน",
"ภาคเสริมตัวแรกของเดอะซิมส์ 3 มีชื่อว่า เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ซึ่งพัฒนาโดย The Sims Division ได้วางจำหน่ายแล้ว รวมถึงชุดไอเท็มเสริม ไฮ-เอนด์ ลอฟท์ ซึ่งเป็นชุดไอเท็มเสริมที่ครบรอบ 10 ปี เกมเดอะซิมส์ ได้แถมไอเท็มจากเดอะซิมส์ และเดอะซิมส์ 2 ได้วางจำหน่ายแล้ว และภาคเสริมล่าสุดคือ เดอะซิมส์ 3 แอมบิชันส์ และนอกจากนี้ยังมีสิ่งของเพิ่มเติมให้ดาวน์โหลดอีกใน The Sims 3 Store",
"ทักษะการทำไวน์จะขึ้นอยู่กับส่วนผสมของผลไม้ที่จะใส่ลงในเครื่องทำไวน์ คุณภาพของไวน์ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลไม้ที่นำไปใส่ลงเครื่องทำไวน์รวมทั้งวิธีการผลิตไวน์ มูลค่าของไวน์จะเพิ่มขึ้นโดยการนำขวดไวน์ไปใส่ในห้องใต้ดินและเก็บไว้ให้นานที่สุด ยิ่งเก็บไวน์ได้นานเท่าไร ก็จะยิ่งมีมูลค่าของไวน์มากขึ้นเท่านั้น",
"โดยได้สัมภาษณ์ ลินเซย์ เพียร์สัน ผู้ผลิตเกมนี้ได้กล่าวว่า จะเป็นเมืองที่นำมาจากสถานที่จริงและให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งสิ่งปลูกสร้างต่างๆเพื่อแลกเปลี่ยนกันได้ ภาคเสริมนี้แสดงความต้องการที่เธอกล่าวไว้ว่าลักษณะของภาคเสริมนี้แตกต่างจากแต่ก่อน[9]",
"นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือสร้างชั้นใต้ดินใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำการปรับระดับของพื้นดินแต่อย่างใด ซึ่งสามารถสร้างชั้นใต้ดินได้สูงสุดถึง 4 ชั้น",
"เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส (English: The Sims 3 World Adventures) เป็นภาคเสริมตัวแรกของเกมเดอะซิมส์ 3 พัฒนาโดย อีเอแบล็คบอกซ์และเดอะซิมส์ดิวิชัน จัดจำหน่ายโดยอิเล็กโทรนิคอาร์ต",
"ผู้ที่ประพันธ์เพลงให้กับเกม เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส คือ Steve Jablonsky ก่อนหน้านี้เขาได้ประพันธ์เพลงให้กับเกม เดอะซิมส์ 3 ตัวหลักมาก่อนหน้าแล้ว เขาประพันธ์เพลงโดยใช้เครื่องดนตรีทั้งหมด 35 ชิ้นบรรเลงเพลง และใช้วงดนตรีทั้งคณะ และบันทึกเสียงที่ Eastwest Studios ในย่านฮอลลิวูด [12]",
"ภาคเสริมนี้ได้รับการตอบรับมาเป็นอย่างดี สำหรับการวิจารณ์เกมโดย เรชูล มัวร์ จาก เกมโปร วิจารณ์เกมนี้ว่าคุณสมบัติของเกมนี้ดีมาก เพราะเหตุนี้เองสามารถทำให้ผู้เล่นเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการเล่นเกม[17] สำหรับการวิจารณ์เกมโดย สตีฟ บัทส์ จาก ไอจีเอ็น ได้วิจารณ์เกมนี้ว่า เป็นเกมผจญภัยที่ใช้ทักษะและการแก้ไขปัญหาของการผจญภัย และการพักผ่อนของครอบครัว แต่ในข้อสรุปของเขากล่าวว่า \"ผมหวังว่าในภาคเสริม เวิลด์ แอดเวนเจอร์สนี้ อาจจะเป็นต้นแบบสำหรับภาคเสริมเดอะซิมส์ในอนาคต\"[20]",
"สำหรับเวอร์ชันโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้ได้ปล่อยให้ดาวน์โหลดแล้ว ส่วนเวอร์ชันไอโฟน ก่อนหน้านี้จะะปล่อยให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 แต่ได้ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากปรับปรุงแก้ไขปัญหาบางส่วนที่เกิดขึ้น โดยกำหนดวันปล่อยให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553 ซึ่งตอนนี้ได้ปล่อยให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store เรียบร้อยแล้ว[11]",
"เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552[6] ซึ่งเป็นภาคเสริมของ \"เดอะซิมส์ 3\" โดยแน่นอนได้เลยว่าจะมีการผลิตเหมือนกับ \"เดอะซิมส์\" และ \"เดอะซิมส์\" 2 อย่างแน่นอน [7] โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบที่ให้ชาวซิมส์มีสัตว์เลี้ยง ดาวน์ทาวน์และสถานที่พักผ่อน ซึ่งเหมือนกับภาคเสริมที่ผ่านมา คาดว่าอาจจะได้รวมอยู่ในชุดภาคเสริมในอนาคต เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ได้ประกาศว่าเกมนี้เป็นเกมทองของปีนี้[8]",
"เดอะซิมส์ 3 และ เดอะซิมส์ 3 เวิลด์ แอดเวนเจอร์ส ได้เปิดตัวแล้วบนเครื่อง ไอโฟน และ ไอพอดทัช ส่วนเกมเดอะซิมส์ 3 บนเครื่อง นินเทนโด วี, เพลย์สเตชัน 3, เอกซ์บอกซ์ 360 และ นินเทนโด ดีเอส กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาเกม",
"อีกทั้งยังีการประกาศออกมาว่าจะมีไอเท็มพิเศษปล่อยให้ดาวน์โหลดที่ The Sims 3 Store เมื่อภาคเสริมวางจำหน่ายแล้ว เพราะเหตุนี้จึงเป็นการสร้างแรงจูงใจพิเศษสำหรับผู้เล่นที่จะซื้อเกม ลินเซย์ เพียร์สัน ยังกล่าวอีกว่า เมื่อมีภาคเสริมแล้วก็จะให้ของสมนาคุณด้วยการให้เงินสำหรับซื้อของผ่าน The Sims 3 Store [9] USD$10 (£6) SimPoints ซึ่งจะมีให้สำหรับผู้ที่ซื้อภาคเสริมเท่านั้น[10]",
"ด้านล่างนี้คือรายชื่อศิลปินที่มาขับร้องเพลงให้กับภาคเสริม",
"รูปแบบการเล่นของภาคเสริมเดอะซิมส์ 3 นี้เป็นการให้ผู้เล่นได้สัมผัสประเทศใหม่ๆ ตามที่มีอยู่ในความจริง นอกจากนี้ยังพาชาวซิมส์ไปผจญภัย หาขุมทรัพย์ที่ซ่อนตามประเทศต่างๆได้ ผู้เล่นสามารถให้ชาวซิมส์เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ พัฒนาความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติได้"
] |
กัมพูชามีขนาดพื้นที่เท่าไหร่? | [
"กัมพูชา หรือ ก็อมปุเจีย[10] ([កម្ពុជា กมฺพุชา]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรกัมพูชา หรือ ราชอาณาจักรก็อมปุเจีย ([ព្រះរាជាណាចក្រកម្ពុជា พฺระราชาณาจกฺรกมฺพุชา]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) เป็นประเทศตั้งอยู่ในส่วนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนทิศตะวันตกติดต่อกับประเทศไทย ทิศเหนือติดกับประเทศไทยและลาว ทิศตะวันออกและทิศใต้ติดกับเวียดนาม และทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดอ่าวไทย"
] | [
"ขุนหาญ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ มีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากอำเภอกันทรลักษ์ อำเภอขุขันธ์ และอำเภอภูสิงห์ ตามลำดับ และเป็นหนึ่งในสามอำเภอของจังหวัดศรีสะเกษที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา และยังเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกเงาะ ทุเรียนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดศรีสะเกษอีกด้วย",
"ทะเลสาบเขมร หรือ โตนเลสาบ ( \"บึงทนฺเลสาบ\") เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บริเวณตรงกลางของประเทศกัมพูชา มีพื้นที่ ประมาณ 7,500 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 7 เท่า ความลึกโดยเฉลี่ย อยู่ที่ 10 เมตร และเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ทำให้โตนเลสาบขยายตัวออกกว้างมากถึง 6 เท่า ทะเลสาบเขมรเกิดจากแม่น้ำโขง ซึ่งแม่น้ำโขงไหลผ่านมีความยาวถึง 500 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ กำปงธม กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมราฐ เป็นทะเลสาบที่มีปลาน้ำจืดชุกชุมมากแห่งหนึ่งประมาณ 300 ชนิด จึงมีชาวกัมพูชาเป็นจำนวนมากที่ประกอบอาชีพประมงในบริเวณทะเลสาบแห่งนี้",
"หลังการก่อกำเนิดดาวเคราะห์แล้ว ดาวเคราะห์ทั้งหมดล้วนเผชิญ \"การระดมชนหนักครั้งหลัง\" กว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่ผิวดาวอังคารแสดงบันทึกเหตุการณ์การระดมชนจากยุคนั้น ในขณะที่เป็นไปได้ว่าพื้นที่ผิวส่วนที่เหลืออีกมากมายวางตัวอยู่ภายใต้แอ่งขนาดมโหฬารซึ่งก็เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว มีหลักฐานของแอ่งพุ่งชนขนาดมหึมาในบริเวณซีกโลกเหนือของดาวอังคารซึ่งแผ่ขยายกว้างราว 8,500 กิโลเมตร และยาวร่วม 10,600 กิโลเมตร หรือมีขนาดใหญ่เป็นสี่เท่าของแอ่งไอต์เค็น-ขั้วใต้ของดวงจันทร์ ทำให้เป็นแอ่งจากการพุ่งชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ ทฤษฎีนี้เสนอว่าดาวอังคารถูกพุ่งชนโดยวัตถุขนาดเท่าดาวพลูโตเมื่อประมาณสี่พันล้านปีก่อน และคาดว่าเหตุการณ์นี้เองเป็นสาเหตุทำให้ดาวอังคารมีซีกดาวแตกต่างกันเป็นสองลักษณะอย่างชัดเจน เกิดแอ่งบอเรียลิสอันราบเรียบปกคลุมพื้นที่กว่าร้อยละ 40 ทางซีกเหนือของดาวเคราะห์\nประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาของดาวอังคารสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายช่วงเวลา แต่สำหรับช่วงเวลาหลักแล้วสามารถแบ่งได้เป็นสามยุคด้วยกัน",
"ทักษะพื้นฐาน 2.5/5 อย่างที่บอกในช่วงแรกว่าเคลลี่ไม่ใช่คนที่มีพื้นฐานทางด้านกีฬามามาก แต่เวลาออกท่าพื้นฐานแล้วออกมาได้สวยและแม่นยำ (แม้ว่าจะอืดอาดกว่าจะออกแต่ละทีก็เถอะ) หลังๆมาก็พัฒนาการถีบได้สวยขึ้นมาก พื้นฐานโอเคในระดับหนึ่งแหละ\nความคล่องตัว 2/5 จุดแรกของเคลลี่ที่สังเกตมานานมากตั้งแต่สมัยเข้ามาใหม่ๆ เคลลี่กว่าจะออกท่าแต่ละทีอืดอาดยืดยาดมากๆ แม้ว่าปัจจุบันจะพัฒนาเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ถ้าเทียบกับคนอื่นก็ยังอยู่มนระดับ \"ช้า\"อยู่ดี\nเทคนิค/ท่าต่างๆ 2.5/5 ไม่ค่อยมีเทคนิคอะไรใหม่ๆมาใช้มากนัก (ก็แหม ท่าพื้นฐานยังพึ่งพัฒนาจนเอาออกมาใช้ได้ไม่นานมานี้เอง) แต่ได้เท่านี้ก็ถือว่าโอเคแล้วแหละ\nไหวพริบ 3/5 บางทีเคลลี่ก็ดูมีสติไตร่ตรองดี ไหวพริบเลิศ สายตาประสานแล้วหลบท่าต่างๆได้ดี แต่ในบางทีเคลลี่ก็เดินดุ่มๆเข้าไปจะโจมตี (ซึ่งแน่นอนว่าโดนสวนกลับออกมาแหงแซะ)\nร่างกาย 3/5 ถึกเกินกว่าที่คาดไว้มาก สามารถเล่นบทรับท่าหนักๆจากผู้ชายได้(ในยุคแรกโดน Mike Knox ใส่ท่าไม้ตาย) เวลาปล้ำดูไม่ค่อยเหนื่อยสักเท่าไหร่ ดูเป็นคนแบ่งจังหวะลมหายใจได้ดี แต่ด้วยร่างกายที่ผอมบาง การที่ทนได้ขนาดนี้ก็ถือว่าสุดยอดละ",
"เหมือนจะเป็นคนเลวแต่จริงๆแล้วก็เป็นคนเลวนั่นแหละ มีจิตใจดีอยู่ข้างในหน่อยเดียว แต่ก็ทำเพื่อคนรักได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกเขา ต่อมามีด้านดีมาปลูกฝังก็เลยบดบังความเลวที่ได้ก่อไว้ในอดีต ลักษณะเวจิต้าจะออกแนวห้าวๆ ปากไม่ตรงกับใจเท่าไหร่ อินดี้มาก ปากร้าย จิตใจดีจริงๆเป็นคนอ่อนไหว บางทีก็ไม่รู้วิธีปฏิบัติกับคนอื่น อาจจะเพราะถูกตามใจ เอาแต่ใจ แต่เริ่มมีด้านดีมากขึ้นในช่วงการต่อสู้กับจอมมารบู รักครอบครัวมาก แต่แสดงออกให้เห็นไม่มาก เบจิต้าซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งชาวไซย่าจึงทำให้หยิ่งพยองในศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก เกียรติอันสูงส่งแม้ขนาดจอมเวทย์บาบิดี้ยังควบคุมได้ไม่เต็มที่ทำให้เป็นจุดแข็งของเบจิต้าฟรีเซอร์(อดีตเคยกลัว),เทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง,การพ่ายแพ้,หนอน",
"อย่างไรก็ตาม ในสมัยก่อน สโมสรเจลีกไม่ค่อยจะจริงจังกับการแข่งชันเอเชียนแชมเปียนส์ลีกเท่าไหร่นักเนื่องจากต้องเดินทางไกลและคุณภาพของทีมที่ต้องแข่งด้วยนั้นยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ในปี 2008 มีทีมญี่ปุ่นผ่านเข้าไปสู่รอบก่อนรองชนะเลิศถึง 3 ทีมด้วยกัน",
"มีผมที่ยาวขึ้น ไม่มีคิ้ว มีนัยน์ตาเป็นสีฟ้า และมีสายฟ้ารอบตัว เป็นร่างที่พัฒนามาจากซุปเปอร์ไซย่า 2 โดยร่างนี้เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนัก โดยจะมีพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นจากเดิม 400 เท่า เป็นร่างที่ใช้พลังงานมากและร่างกายจะได้รับภาระอย่างหนัก จึงไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ โดยจะปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงที่สู้กับจอมมารบู",
"มีลักษณะป็นที่ราบและเทือกเขาสูงชัน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลระหว่าง 200-476 เมตรจึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สามารถส่งน้ำไปช่วยเหลือและพัฒนาพื้นที่ราบชายแดนในโครงการต่างๆ มีลำห้วยที่สำคัญหลายสายคือ ห้วยสิงห์ ห้วยประเดก ห้วยขนาดมอญ ห้วยจรัส ห้วยหมอนแบก ห้วยสำราญ ห้วยเสียดจะเอิง ห้วยจำเริง ฯลฯ จึงมีการสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นในพื้นที่ เช่น อ่างเก็บน้ำจรัส อ่างเก็บน้ำขนาดมอญ อ่างเก็บน้ำขยอง อ่างเก็บน้ำห้วยสิงห์ อ่างเก็บน้ำห้วยเขิง อ่างเก็บน้ำห้วยด่าน อ่างเก็บน้ำตาเกาว์และอ่างเก็บน้ำห้วยจำเริง อันเป็นผลให้พื้นที่มีความชุ่มชื้นโดยทั่วไป มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ปราศจากการรบกวนกลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดภูมิประเทศที่ติดแนวชายแดนมีความสวยงาม โดยเฉพาะใกล้เขตชายแดนประเทศไทยกับกัมพูชาประชาธิปไตย พื้นที่ยิ่งสูงขึ้นเป็นป่าทึบ มีภูเขาสลับซับซ้อนตลอดแนวชายแดนและเป็นหุบเหว มีหน้าผาลึกไปทางกัมพูชา",
"ไม่ว่าระยะจะห่างไปเท่าไหร่ แต่ความสว่างของแสงรวมจะยังคงมีค่าเท่าเดิมตามระยะทาง ซึ่งหมายความว่า แสงแต่ละชั้นจะมีการเพิ่มความสว่างขึ้นมาเรื่อย ๆ และยิ่งมีชั้นเป็นอนันต์ ท้องฟ้ายามค่ำคืนจึงควรที่จะสว่าง",
"Spanning tree มันจะคุยกันโดยแต่ละตัวจะส่งข้อมูลเป็นชุดข้อมูลขนาดเล็ก ที่เรียกว่า Bridge Protocol Data Unit หรือ BPDU ทุกครั้งที่ส่ง BPDU มันจะบอกว่าตัวไหนคือ Root Bridge หรือใครคือ Root ID จากนั้นมันก็วิ่งไปที่ root ว่ามีค่า Cost เท่าไหร่ แล้วข้อมูล BPDU ใครเป็นคนส่งก็ดูจาก portที่มันส่ง BPDU มันก็จะบอกว่า Root Bridge คือตัวไหน และค่า Cost เท่าไหร่",
"ภาพถ่ายที่ดีนั้นจะต้องสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้น สามารถสื่อเรื่องราวได้อย่างชัดเจนและถูกต้องการที่ตัวเองต้องชักว่าวแล้วถ่ายลงเฟส พร้อมโฆษณาหนังโป๊หรือรอเมียเซ๊นก่อนครับแล้วดูขนาดของท่านด้วนนะครับว่าขนาดเท่าไหร่ เวลาเยสควรใส่ถุงด้วยนะครับขอบคุณครับภาพถ่ายในงานวารสารศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ภาพข่าว ภาพสารคดี และภาพโฆษณา",
"จังหวัดตโบงฆมุมก่อตั้งขึ้นตามประกาศราชกิจจานุเบกษาโดยพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ตามการทูลแนะนำของรัฐบาลฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยแยกออกมาจากจังหวัดกำปงจาม ด้วยเหตุผลอย่างเห็นได้ชัดเจนในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของจังหวัดขนาดใหญ่ การแยกพื้นที่บางส่วนของจังหวัดกำปงจามออกมาตั้งเป็นจังหวัดตโบงฆมุมนี้เกิดขึ้นหลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 ของพรรคประชาชนกัมพูชาของฮุน เซน ในพื้นที่จังหวัดกำปงจาม จังหวัดบ้านเกิดของเขา โดยพรรคประชาชนกัมพูชาสามารถเอาชนะได้เพียง 8 ที่นั่งจากทั้งหมด 18 ที่นั่งในสภาจังหวัด เขตการเลือกตั้งทั้ง 10 อำเภอที่ยังคงอยู่ในกำปงจามในตอนนี้ได้เทคะแนนอย่างท่วมท้นให้แก่พรรคฝ่ายตรงข้ามคือ พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา ซึ่งนำโดยสม รังสี ส่วนที่เหลือ 5 จาก 6 อำเภอซึ่งปัจจุบันอยู่ในจังหวัดตโบงฆมุม พรรคประชาชนกัมพูชาเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง",
"ขนาดของจอภาพจะวัดจากมุมหนึ่งของจอ ไปยังอีกมุมหนึ่งในแนวทแยงที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่ปัญหาหนึ่งของการวัดแบบนี้คือไม่สามารถแยกแยะได้ว่าจอภาพจะมี[[อัตราส่วนลักษณะ]] (aspect ratio) เท่าใด แม้ว่าจะมีขนาดทแยงมุมเท่ากัน เนื่องด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า[[รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า]]จะมีพื้นที่น้อยกว่า[[รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส]]เมื่อกำหนดให้[[เส้นทแยงมุม]]ยาวเท่ากัน ตัวอย่างเช่น จอภาพ 21 นิ้วในอัตราส่วน 4:3 มีพื้นที่ประมาณ 211 ตารางนิ้ว ในขณะที่จอภาพ[[ไวด์สกรีน]] 21 นิ้วในอัตราส่วน 16:9 จะมีพื้นที่แสดงผลเพียง 188 ตารางนิ้วเท่านั้น",
"เหตุการณ์สุดพลิกผันกลางท้องฟ้าจากความระทึกสุดขั้วสู่ความกลัวสุดขีดตลอดเที่ยวบินเมื่อกลุ่มผู้โดยสารที่นำโดย “แบรด มาร์ติน” และ แอร์โฮสเตสสาว ต้องเผชิญหน้ากับอุบัติเหตุเหนือคาดฝันที่ส่งผลให้มีผู้โดยสารเสียชีวิต ก่อนที่ผู้โดยสารและลูกเรือแต่ละคนต้องประสบกับการจู่โจมของแรงอาฆาตเร้นลับซึ่งซ่อนตัวอยู่ในทุกพื้นที่ของเครื่องบินลำนี้ ยิ่งเครื่องบินทะยานใกล้โตเกียวมากขึ้นเท่าไหร่ ชีวิตของทุกคนในไฟลท์ “7500” ก็ยิ่งตกอยู่ในความหวาดผวามากขึ้นเท่านั้น ไร้ทางหนี ไม่ทีทางรอด หรือสุดท้ายเครื่องบินลำนี้กำลังจะต้องกลายเป็นสุสานบนน่านฟ้า!",
"หูฟังมีต้นกำเนิดมาจาก \"นาทาเนียล บอลด์วิน\" () นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นผู้ประดิษฐ์ชุดหูฟังวิทยุคนแรก แรกเริ่มการคิดค้นยังไม่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจเท่าไหร่ จนกระทั่งช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้สั่งซื้อชุดหูฟัง 100 ชุด ทำให้วงการชุดหูฟังเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากนั้นนักบินสองคนซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแพนทรอนิกส์ () ได้เริ่มผลิตชุดหูฟังที่มีน้ำหนักเบาเหมาะสำหรับการสวมใส่ โดยทดลองใช้ในเครื่องบินเป็นครั้งแรก เพื่อแก้ปัญหาความยากลำบากที่ได้รับจากการใช้หูฟังขนาดใหญ่ ทำให้หูฟังเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันเพราะช่างโดม รวมทั้งพัฒนาให้มีการใช้งานไร้สายหรือที่เรียกกันว่า \"บลูทูธ\"",
"ในการเตรียมตัว ทำแอนิเมชัน ทีมงานพิกซาร์เดินทางไปทัศนศึกษาที่โรงงานรีไซเคิล เพื่อสังเกตการณ์การทำงานของเครื่องบดขนาดยักษ์ และเครื่องจักรกลอื่น ๆ เพื่อศึกษาหุ่นยนต์อย่างใกล้ชิด โดยทีมงานใช้หลักการ \"วัตถุดิบสมจริง\" คือการนำวัสดุธรรมดา ๆ มาออกแบบให้มีชีวิตและแสดงบุคลิกของหุ่นแต่ละตัว แต่ยังคงมีขีดจำกัดด้านกายภาพของแต่ละแบบดีไซน์เอาไว้ โดยสแตนตันพูดไว้ว่า \"เราอยากให้ผู้ชมเชื่อว่าพวกเขากำลังได้เห็นเครื่องจักรกลที่มีชีวิต ยิ่งพวกเขาเชื่อว่ามันเป็นเครื่องจักรมากเท่าไหร่ เรื่องราวก็ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นเท่านั้น\"",
"ประตูชัยแห่งนี้สร้างตรงปลายสุดของถนนซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งของกัมพูชา มีคลองลึกกั้นเขตแดน เชื่อมต่อเขตแดนกันโดยสะพานเหล็ก มีป้อม 2 ป้อม อยู่คนละฟากถนน มีลักษณะเหมือนกันเป็นรูปหกเหลี่ยมด้านเท่า สูง 15 เมตร ที่ฐานประตูทำเป็นห้องรักษาการณ์หกเหลี่ยมด้านเท่า ด้านละ 1.50 เมตร ย่อมนเล็กเรียว ลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นลำดับจนถึงยอดบนสุดซึ่งเป็นหอคอยหกเหลี่ยมด้านเท่า ด้านละ 0.30 เมตร มีลับแลบังตาสำหรับสังเกตการณ์ได้ทุกด้าน ข้างบนสุดหอคอยมีครุฑพ่าห์อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย ประตูชัยแห่งนี้ได้ชำรุดทรุดโทรมจากภัยสงครามถูกปล่อยให้เป็นซากปรักหักพัง มานานถึง 18 ปี และได้รับการบูรณะซ่อมแซมเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคงรักษารูปลักษณ์เดิมไว้โดยเฉพาะที่ป้อมด้านซ้ายมือเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญและเสียสละของทหารกล้า ร้อยโทสุรินทร์ ปั้นดี และเหล่าเพื่อนทหารผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งได้สละชีพและบาดเจ็บจากการสู้รบบริเวณชายแดนเพื่อชาติไว้ ณ ที่นั้น ส่วนด้านขวามือได้ก่อสร้างเป็นเสมาขนาดใหญ่หันหน้าไปทางกัมพูชาทำด้วยหินอ่อนสลักรูปครุฑไว้ด้านบนใต้ครุฑจารึกคำว่า \"ประเทศไทย\" ถัดลงมาได้อัญเชิญบทพระราชนิพนธ์สยามานุสสติ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาจารึกไว้",
"เป็นการแข่งขันเล่นท่าทางต่างๆที่กรรมการกำหนดให้ทั้งหมด 25ท่าในประเภทของ Single A ซึ่งจะไล่ระดับความยากของท่าเล่นขึ้นไป โดยจะมีจุดหรือกรอบพื้นที่ เพื่อสำหรับแสดงท่าเล่นต่อกรรมการ ซึ่งผู็เล่นจะต้องเล่นท่าทางที่กรรมการกำหนดให้ในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้นไม่สามารถซ้อมท่าได้ หากต้องการจะตรวจสอบลูกหรือเชือกจะต้องออกจากจุดแสดงท่า โดยในการแข่งขัน ผู้เล่นจะต้องเล่นท่าที่กำหนดให้และเก็บเข้ามือให้สมบูรณ์ มีโอกาสพลาดได้เพียง 2ครั้งเท่านั้นตลอดการเล่น 25ท่า หากพลาดครั้งแรกที่ท่าใหนก็จะข้ามท่านั้นๆไป และพลาดครั้งที่สอง ก็จะจบการแข่งขัน ผู้ที่สามารถเล่นท่าได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ถ้ามีผู้ที่สามารถเล่นได้ถึง25ท่า จะวัดกันที่การพลาดครั้งแรกว่าพลาดก่อนในท่าลำดับที่เท่าไหร่ ผู้ที่พลาดในลำดับหลังจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าหากเล่นได้ครบ25ท่าโดยไม่พลาดหลายคน กรรมการจะมีท่าตัดสินโดยนับจำนวนครั้งในการทำท่า ผู้ที่ทำท่าได้จำนวนครั้งมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ",
"รัฐบาลสหรัฐมองว่าการเข้ามามีส่วนในสงครามของตนเป็นหนทางป้องกันการยึดเวียดนามใต้ของคอมมิวนิสต์อันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาที่ใหญ่กว่า โดยมีเป้าหมายที่แถลงไว้เพื่อหยุดการแพร่ของคอมมิวนิสต์ ตามทฤษฎีโดมิโนของสหรัฐ หากรัฐหนึ่งกลายเป็นคอมมิวนิสต์ รัฐอื่นในภูมิภาคก็จะเป็นไปด้วย ฉะนั้น นโยบายของสหรัฐจึงถือว่าการผ่อนปรนการแพร่ของคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศเวียดนามนั้นยอมรับไม่ได้ รัฐบาลเวียดนามเหนือและเวียดกงต่อสู้เพื่อรวมเวียดนามอยู่ในการปกครองคอมมิวนิสต์ ทั้งสองมองข้อพิพาทนี้เป็นสงครามอาณานิคม ซึ่งเริ่มแรกสู้กับฝรั่งเศส โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ แล้วต่อมาสู้กับเวียดนามใต้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดของสหรัฐ ที่ปรึกษาทางทหารชาวอเมริกันมาถึงอินโดจีนขณะนั้นเริ่มตั้งแต่ปี 2493 การเข้ามามีส่วนของสหรัฐเพิ่มขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยมีระดับทหารเพิ่มเป็นสามเท่าในปี 2494 และเพิ่มอีกสามเท่าในปีต่อมา การเข้ามามีส่วนของสหรัฐทวีขึ้นอีกหลังเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย ปี 2507 ซึ่งเรือพิฆาตของสหรัฐปะทะกับเรือโจมตีเร็วของเวียดนามเหนือ ซึ่งตามติดด้วยข้อมติอ่าวตังเกี๋ยซึ่งอนุญาตให้ประธานาธิบดีสหรัฐเพิ่มทหารในพื้นที่ หน่วยรบปกติของสหรัฐถูกจัดวางเริ่มตั้งแต่ปี 2498 ปฏิบัติการข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ โดยพื้นที่ติดต่อกับประเทศลาวและกัมพูชาถูกกองทัพสหรัฐทิ้งระเบิดอย่างหนักขณะที่การเข้ามามีส่วนในสงครามของสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2511 ปีเดียวกัน ฝ่ายคอมมิวนิสต์เปิดฉากการรุกตรุษญวน การรุกตรุษญวนไม่สัมฤทธิ์ผลในการโค่นรัฐบาลเวียดนามใต้ แต่ได้กลายเป็นจุดพลิกผันของสงคราม เพราะได้แสดงว่าเวียดนามใต้ไม่อาจป้องกันตัวเองจากเวียดนามเหนือได้ แม้สหรัฐจะทุ่มความช่วยเหลือทางทหารอย่างมหาศาลหลายปี ด้วยจุดชัยชนะของสหรัฐนั้นไม่ชัดเจน จึงค่อย ๆ มีการถอนกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐโดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเรียก การแผลงเป็นเวียดนาม (Vietnamization) ซึ่งมุ่งยุติการเข้ามามีส่วนในสงครามของสหรัฐขณะที่โอนภารกิจต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ให้เวียดนามใต้เอง แม้ภาคีทุกฝ่ายลงนามข้อตกลงสันติภาพปารีสในเดือนมกราคม 2516 แล้วก็ตาม แต่การสู้รบยังดำเนินต่อไป ในสหรัฐและโลกตะวันตก มีการพัฒนาขบวนการต่อต้านสงครามเวียดนามขนาดใหญ่ขึ้น ขบวนการนี้ทั้งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมต่อต้าน (Counterculture) แห่งคริสต์ทศวรรษ 1960 และเป็นปัจจัยหนึ่งของมัน",
"หลังจากที่เข้าร่วมอย่างไม่ค่อยเต็มในเท่าไหร่ เธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปและเต็มใจจะอยู่กับฝ่ายนี้ในท้ายที่สุด เธอประมือกับทีม X-Men เธอเคยลอบสังหาร วุฒิสมาชิกเคลลี่ ด้วยแต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายดีทุกครั้ง แต่ยิ่งเธอใช้พลังมากเท่าไหร่ จิตใจของโร้คก็ยิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่เธอต้องเข้าพบจิตแพทย์ ฟางเส้นสุดท้ายของเธอกับมิสทีคขาดสะบั้นลง เมื่อโร้คตาสว่างพบว่าแท้จริงแล้วนี่คือแผนร้าย ที่อีกฝ่ายตั้งใจหลอกใช้กันมาตลอด เธอจึงหันหน้าเข้าหาศาสตราจารย์ทเอ็กซ์ และพลพรรคเอ็กซ์ทีม ขอร้องให้เธอควบคุมพลังให้ได้เสียที",
"ขั้นตอนวิธีของควิน-แม็กคลัสกีย์เป็นขั้นตอนวิธีที่ช่วยในการลดรูปนิพจน์ตรรกะได้เมื่อข้อมูลขาเข้าที่มีปริมาณตัวแปรจำนวนมาก แต่ในการทำงานยังมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาอยู่ จึงควรดูขนาดของข้อมูลขาเข้า ว่ามีขนาดเท่าไหร่ และสมควรที่จะใช้วิธีการนี้หรือไม่ หากไม่สมควรควรจะเลือกใช้วิธีการอื่นที่สามารถลดนิพจน์ตรรกะได้ เช่น วิธีการเอกเพรซโซ่ ซึ่งเป็นวิธีการที่จะใช้ผ่านโปรแกรม",
"เขตภูเขาสูง เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 1,500 เมตรขึ้นไป พื้นที่นี้อยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศ เขตที่ราบสูง คือพื้นที่ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,000 เมตร ปรากฏตั้งแต่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบสูงเมืองพวนไปจนถึงชายแดนกัมพูชา เขตที่ราบสูงนี้มีที่ราบสูงขนาดใหญ่อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ ที่ราบสูงเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง), ที่ราบสูงนากาย (แขวงคำม่วน) และที่ราบสูงบริเวณ (ภาคใต้) เขตที่ราบลุ่ม เป็นเขตที่ราบตามแนวฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำต่าง ๆ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในเขตพื้นที่ทั้ง 3 เขต นับเป็นพื้นที่อู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศ แนวที่ราบลุ่มเหล่านี้เริ่มปรากฏตั้งแต่บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำงึม เรียกว่า ที่ราบลุ่มเวียงจันทน์ ผ่านที่ราบลุ่มสุวรรณเขต ซึ่งอยู่ตอนใต้เซบั้งไฟและเซบั้งเหียง และที่ราบจำปาศักดิ์ทางภาคใต้ของลาว ซึ่งปรากฏตามแนวแม่น้ำโขงเรื่อยไปจนจดชายแดนประเทศกัมพูชา",
"ปลาแรดแดง หรือ ปลาแรดแดงอินโด (; ชื่อวิทยาศาสตร์: \"Osphronemus laticlavius\") เป็นปลาแรดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างโดยทั่วไปเหมือนปลาแรดชนิดอื่น ๆ แต่ทว่าปลาแรดแดงจะมีรูปร่างที่ยาวกว่า และพบได้เฉพาะในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเท่านั้น มีลำตัวสีแดงสด ยิ่งเมื่อปลาโตขึ้นเท่าไหร่ สีดังกล่าวจะยิ่งเข้มตามด้วย จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ปลาแรดแดงจะมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปลาแรดชนิดอื่น ๆ และขนาดเมื่อโตเต็มที่จัดว่าเป็นปลาแรดชนิดที่เล็กที่สุดด้วย กล่าวคือมีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตรเท่านั้น และมีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวน้อยที่สุด ตัวผู้และตัวเมียมีจุดสีดำเหนือโคนครีบอกทั้งคู่ แตกต่างกันตรงที่ขนาดของลำตัว ",
"พื้นที่ คือ ปริมาณของพื้นผิวหรือรูปร่างสองมิติ ที่แสดงถึงขอบเขตเนื้อที่ในแนวแผ่นระนาบ พื้นที่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นจำนวนวัสดุที่หนาขนาดหนึ่งเท่าที่จำเป็นที่จะประกอบขึ้นเป็นรูปร่าง หรือปริมาณสีทาเท่าที่จำเป็นที่จะทาผิวหน้าในครั้งเดียว พื้นที่เป็นมโนทัศน์ในสองมิติที่คล้ายคลึงกับความยาวของเส้นโค้งในหนึ่งมิติ หรือปริมาตรของทรงตันในสามมิติ",
"รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่ เป็นละครโทรทัศน์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ บทประพันธ์ของ นุกูล บุญเอี่ยม, วัชระ ปานเอี่ยม บทโทรทัศน์โดย พิสุทธิ์ แพร่แสงเอี่ยม กำกับการแสดงโดย นุกูล บุญเอี่ยม ผลิตโดย บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัดออกอากาศทุกวันเสาร์–อาทิตย์ เวลา 11.00–11.45 น. ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย เคลลี่ ธนะพัฒน์, น้ำฝน โกมลฐิติ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย",
"ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จ แต่ต่อมาเขาก็ละจากการร่วมงานกับค่ายเอสบีเค ซึ่งได้ให้เขาทำงานผลงานตลาดมากขึ้นและผลิตตีพิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาที่ไม่ได้ผ่านการเล่าเรื่องจากเขา หลังจากเขาพยายามฆ่าตัวตายโดยการเสพยาเกินขนาด เขาก็รอดตายและได้รับแรงบันดาลใจให้เปลี่ยนแนวเพลงและวิถีชีวิตของตัวเอง อัลบั้มถัด ๆ มาอย่าง \"Hard to Swallow\", \"Bi-Polar\" และ \"Platinum Underground\" ที่ไม่ตามกระแสเท่าไหร่ มีแนวเพลงดนตรีแบบร็อก และไม่ประสบความสำเร็จด้านตารางอันดับ",
"สาวสวยสุดเซ็กซี่ ราชินีประจำโรงเรียน ชอบวางมาดไฮโซ ชอบของหรูๆ แต่จริงๆ แล้วฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้อดีของเธอคือเป็นคนรักน้อง รักครอบครัวมากขนาดเคยยกเลิกนัดกับตัวเอกเพราะต้องไปดูแลน้องที่ไม่สบายมาแล้ว นิสัยส่วนตัวคือหลงตัวเองและชอบอะไรหรูๆ",
"เคยมีการสันนิษฐานว่าจมูกที่ยาวของมีไว้เพื่อใช้ในการว่ายน้ำ แต่เหตุผลข้อนี้ก็ต้องตกไป เพราะตัวเมียก็ว่ายน้ำเหมือนกัน แต่ตัวเมียกลับมีจมูกที่เล็กกว่าครึ่งหนึ่งของตัวผู้ นักชีววิทยาบางกลุ่มก็สันนิษฐานว่า จมูกมีหน้าที่ในการระบายอากาศจากภายในร่างกาย เนื่องจากตัวผู้มีขนาดตัวและมีกระเพาะที่ใหญ่มาก ภายในร่างกายจึงมีความร้อนมาก บ้างก็อธิบายโดยใช้หลักการของชาร์ล ดาร์วิน ว่า ตัวเมียจะชอบตัวผู้ที่มีจมูกใหญ่ เมื่อนานเข้าตัวผู้ที่มีจมูกเล็กจึงลดจำนวนลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือแต่ตัวที่จมูกใหญ่ คล้ายกับว่ายิ่งตัวผู้มีจมูกยาวใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นที่สนใจของตัวเมียมากขึ้นเท่านั้น ",
"เริ่มมีผลงานเพลงตั้งแต่ปี 2538 โดยวงที-สเกิ๊ตนั้น ประกอบสมาชิก 3 คนด้วยกัน คือ อัสมา กฮาร (มาร์) ดวงพร สนธิขันธ์ (จอย) และ ธิติยา นพพงษากิจ (กิ๊ฟท์) มีผลงาน 2 อัลบั้มเต็ม และ 1 อัลบั้มพิเศษก่อนที่ทางค่ายคีตา เรคคอร์ดส จะปิดตัวลงไปเมื่อปี 2539 ผลงานเด่นคือเพลง ไม่เท่าไหร่, เจ็บแทนได้ไหม, ฟ้องท่านเปา, เรื่องมันเศร้า และเพลง ทักคนผิด เป็นต้น ผลงานอัลบั้มชุดแรกชื่อว่า \"T-Skirt\" ออกวางจำหน่ายกลางปี 2538 โดยรายชื่อเพลงมีดังนี้ 1.ไม่เท่าไหร่ 2.เจ็บแทนได้ไหม 3.เรื่องมันเศร้า 4.อย่าเล่นอย่างนี้ 5.ทักคนผิด 6.ฟ้องท่านเปา 7.วันที่ไม่เหงา 8.ทำให้เสร็จ 9.ซึ้ง ๆ หน่อย 10. เพื่อนกัน",
"สาวๆ เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการเรียนเต้นรำ สาวๆ จะได้เรียนรู้การเต้นแบบต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก เอมิเลียชื่นชอบและทำออกมาได้เป็นอย่างดีในขณะที่ดาโกต้าไม่ค่อยที่จะให้ความร่วมมือเท่าไหร่ โดยเธออ้างว่าเธอมาเพื่อเป็นนางแบบไม่ใช่มาเป็นแดนซ์เซอร์ ในวันต่อมาสาวๆ ได้ไปที่โรโทรัว เพื่อแข่งกันโพสท่าในลูกบอลขนาดยักษ์ สาวๆ ต่างก็พยายามทำกันอย่างทุลักทุเลและผู้ที่ทำออกมาได้อย่างพริ้วไหวและงดงามที่สุดคือคอร์ทเนย์ และรางวัลของเธอก็คือการไปนวดทำสปาสุดหรู"
] |
ประเทศพม่ามีกษัตริย์องค์สุดท้ายชื่ออะไร ? | [
"พระเจ้าธีบอ หรือ พระเจ้าสีป่อ (သီပော္မင္း; pronounced[θìbɔ́ mɪ́ɴ] ตี่บอมิง) เป็นพระมหากษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อลองพญา ถูกบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไปอยู่ที่เมืองรัตนคีรีในบริติชราช หลังสิ้นสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม และสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2459[1]"
] | [
"เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1945 พระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของมัณฑะเลย์",
"สมิงพยู (, ; ถึงแก่กรรม 1544) นายพลและแม่ทัพเรือแห่ง กองทัพพม่า และเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักของ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ แห่ง ราชวงศ์ตองอู ของ พม่า ระหว่าง ค.ศ. 1536 ถึง 1544 ผู้บัญชาการทหารเชื้อสายมอญผู้นี้เดิมเป็นเสนาบดีในราชสำนักของ พระเจ้าสการะวุตพี กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่ง อาณาจักรหงสาวดี แต่ได้มาสวามิภักดิ์และรับราชการในพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้เมื่อ ค.ศ. 1536 ซึ่งเป็นการปูทางให้เขาขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาชั้นนำของกษัตริย์แห่งตองอู เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการวางแผนและบัญชาการรบในยุทธนาวีโจมตีเมืองเมาะตะมะซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของอาณาจักรหงสาวดีใน ค.ศ. 1541 อันเป็นจุดสิ้นสุด สงครามตองอู–หงสาวดี (พ.ศ. 2077–2084)",
"สมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย (, \"Petar I Karađorđević\") (พระบรมราชสมภพ 29 มิถุนายน 1844 - เสด็จสวรรคต 16 สิงหาคม 1921) เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของประเทศเซอร์เบีย 1903-1918 และต่อมาผู้ปกครองของรัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ในปี 1929) จึงให้รวมอาณาจักรเข้าด้วยกัน ภายใต้พระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน พระองค์จึงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย พระองค์ทรงเป็นผู้นำกองทัพเซอร์เบียรบชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง",
"สีหตูแห่งแปร (, ; สิ้นพระชนม์ 1288) หรือ สีหสุระ อุปราชแห่ง แปร ระหว่าง ค.ศ. 1275 ถึง 1288 เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์พม่าเมื่อเป็นผู้ปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์เอง พระเจ้านรสีหบดี กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่ง อาณาจักรพุกาม ใน ค.ศ. 1287 นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นพระอัยกา (ตา) ของ พระเจ้าฝรั่งมังศรีชวา แห่ง อังวะ",
"เจ้าต่อพะยา (ประสูติ 22 มีนาคม 1924) เป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของเจ้าหญิงมยะพะยา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าธีบอพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งประเทศพม่า ทรงเป็นผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของพม่า พระเชษฐาของพระองค์ซึ่งก็คือพระราชโอรสองค์ที่หนึ่งเจ้าหญิงมยะ พะยา ถูกลอบปลงพระชนม์โดยพวกคอมมิวนิสต์ก่อการร้ายในปี 1948 กับการสิ้นพระชนม์ของพระมาตุจฉาในปี 1956 พระองค์จึงทรงเป็นประมุขในราชวงศ์คองบอง",
"พญาทะละได้เริ่มเปิดฉากการโจมตีพม่าตอนบนเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1754 แต่ก็ถูกกองทัพโกนบองโจมตีแตกพ่ายกลับมา ทำให้พระองค์สั่งสำเร็จโทษพระเจ้ามหาธรรมราชาธิบดี กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ตองอูและเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด พร้อมกับบังคับให้ชาวพม่าตอนล่างตัดผมและแต่งตัวแบบชาวมอญเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดี ",
"พระนางวิสุทธเทวี (พ.ศ. 2107-2121) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์มังราย สวรรคต อาณาจักรล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าโดยตรง",
"พระเจ้าปยีนบยา (, ; 817–876) กษัตริย์แห่งราชวงศ์พุกาม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมืองพุกามใน ค.ศ. 849 พงศาวดารพม่ากล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 33 ของราชวงศ์ที่สถาปนาช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 2 แต่นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่กล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรกๆของราชวงศ์พุกาม ซึ่งจะสามารถเข้าครอบครองพม่าตอนกลางในอีก 2 ร้อยกว่าปีข้างหน้า พระองค์เป็นพระปัยกา (ทวด) ฝ่ายพระบิดาของ พระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่ง อาณาจักรพุกาม",
"หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในประเทศจีน ราวปี ค.ศ. 1949-1950 ท่านจึงกลายเป็น “กษัตริย์องค์สุดท้าย” โดยเปลี่ยนฐานันดรศักดิ์จากกษัตริย์เป็นสามัญชน โดยที่ยังมิได้ บริหารราชการแผ่นดินเลย เนื่องจากหลังจากทำพิธีฮับเมืองครั้งแรกแล้วท่านได้แต่งตั้งให้เจ้าหม่อมแสนเมือง พระราชบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากนั้นท่านก็ไปเรียนหนังสือต่อ",
"ซาโลมอน (ศัพท์คริสต์ศาสนา) หรือ โซโลมอน (ศัพท์ประวัติศาสตร์) (ละติน: Solomon; ) มาจากราก S-L-M ที่แปลว่า \"ความสงบ\" ในอิสลามว่า สุลัยมาน หรือตามฉายาคือ ซาโลมอนผู้ทรงปัญญา ชื่ออีกชื่อหนึ่งที่ใช้ในคัมภีร์ฮีบรูคือ เจดิดิอา () ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่สามแห่งอิสราเอล ปรากฏในคัมภีร์ฮีบรูหมวดทานัคของศาสนายูดาห์ คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิมของศาสนาคริสต์ และในคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม คัมภีร์กล่าวว่ากษัตริย์ซาโลมอนเป็นบุตรของดาวิด และกล่าวว่าเป็นกษัตริย์องค์ที่สามของสหราชอาณาจักรอิสราเอลและกษัตริย์องค์สุดท้ายก่อนที่จะแยกเป็นราชอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือและราชอาณาจักรยูดาห์ทางใต้ หลังจากการแยกตัวผู้ที่สืบเชื้อสายก็ปกครองแต่เพียงราชอาณาจักรยูดาห์เท่านั้น",
"ได้กล่าวถึงกษัตริย์เมืองเพชรบุรีไว้ว่า ปฐมกษัตริย์สยามทรงพระนามว่าพระปฐมสุริยเทพนรไทยสุวรรณบพิตร ครองนครไชยบุรี พ.ศ. 1300 สืบราชสันติวงศ์มาสิบชั่วกษัตริย์ องค์สุดท้ายทรงพระนามว่าพญาสุนทรเทพมหาเทพราช โปรดฯ ให้ย้ายเมืองหลวงตั้งชื่อใหม่ว่าธาตุนครหลวง (Tasoo Nocorn Louang) ในปี พ.ศ. 1731 กษัตริย์องค์ที่ 12 สืบต่อมาจากพญาสุนทรฯ ทรงพระนามว่าพระพนมไชยศิริ พระองค์โปรดฯ ให้ราษฎรไปอยู่ ณ เมืองนครไทยทางตอนเหนือของเมืองพิษณุโลก ส่วนพระองค์เองไปสร้างเมืองใหม่ชื่อพิบพลี (Pipeli) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีพระมหากษัตริย์สืบต่อมา 4 ชั่วกษัตริย์จนถึงองค์สุดท้ายทรงพระนามว่า รามาธิบดี ได้สร้างเมืองสยามขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1894 จากบันทึกนี้กับตำนานเมืองนครศรีธรรมราชมีส่วนคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่เพี้ยนนามเท่านั้น คือ พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชกับพระพนมไชยศิริ ส่วนองค์ที่สร้างกรุงศรีอยุธยานั้นพระนามตรงกัน\nอย่างไรก็ตาม เรื่องพระพนมไชยศิรินี้ บางตำนานได้กล่าวไว้ว่า เป็นเจ้าเมืองเวียงไชยปราการได้หนีข้าศึกมาจากเมืองสุธรรมวดี (สะเทิม) เมื่อ พ.ศ. 1547 ในตอนแรกจะอพยพครอบครัวไปทางทิศตะวันตกของแม่น้ำกก แต่ในขณะนั้นในแม่น้ำมีมาก จึงล่องใต้มายังตำบลหนึ่งแล้ว จึงสร้างเมืองขึ้นให้ชื่อว่า กำแพงเพชร และที่เมืองสุโขทัยยังมีเมือง ๆ หนึ่งชื่อ เมืองเพชรบุรี อยู่ที่อำเภอคีรีมาศริมฝั่งคลองสาระบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง",
"เจ้าหญิงเมียะพะยากะเล (; 25 เมษายน พ.ศ. 2430 – 3 มีนาคม พ.ศ. 2479) เป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กในพระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยาลัต พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีองค์สุดท้ายของพม่า",
"อลิมามาง (, ) เจ้าเมืองเมาะตะมะใน พม่าตอนล่าง ของ อาณาจักรพุกาม ระหว่างประมาณ ค.ศ. 1259 ถึง 1285 ได้รับการแต่งตั้งโดย พระเจ้านรสีหบดี กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรพุกาม เมื่ออาณาจักรพุกามถูกรุกรานโดยจักรวรรดิมองโกลในตอนเหนือ เขาและขุนนางอื่น ๆ ในภาคใต้เริ่มวางแผนที่จะประกาศอิสรภาพออกจากพุกาม กระทั่งถูกสังหารโดยผู้นำท้องถิ่นนาม มะกะโท ซึ่งต่อมาได้ประกาศเอกราชจากอาณาจักรพุกามและสถาปนาตนเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว ในอีก 2 ปีต่อมา",
"พระเจ้าปดุง () เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์อลองพญา (หรือเป็นองค์ที่ 6 หากนับรวมพระเจ้าหม่องหม่องด้วย) ราชวงศ์สุดท้ายของพม่า เป็นพระโอรสลำดับที่ 5 ใน 6 พระองค์ของพระเจ้าอลองพญา ขึ้นครองราชย์โดยการปราบดาภิเษกในปี พ.ศ. 2325 ปีเดียวกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้าปดุง เมื่อทรงครองราชย์มีพระนามว่า \"ปโดงเมง\" หมายถึง \"พระราชาจากเมืองปโดง\" แต่มีพระนามที่เป็นที่เรียกขานในพม่าภายหลังว่า \"โบดอพญา\" () แปลว่า \"เสด็จปู่ \" ",
"ต่อมาได้มีการละเมิดสนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้เกิดสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สองและจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษ ในรัชสมัยของพระเจ้ามินดงพระองค์พยายามที่จะฟื้นฟูความเข้มแข็งของอาณาจักรขึ้นมาอีกครั้ง โดยสถาปนามัณฑะเลย์ขึ้นเป็นราชธานีมีการสร้างพระราชวังอย่างใหญ่โต แต่ในรัชสมัยของพระโอรสของพระองค์ คือ พระเจ้าสีป่อ พระองค์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศไว้ได้ทำให้นำไปสู่การทำสงครามกับอังกฤษอีกครั้ง และครั้งนี้อังกฤษสามารถครอบครองพม่าไว้ได้หมดทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2428 ทำให้พระเจ้าสีป่อถูกบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไปอยู่ที่อินเดียหลังสิ้นสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สาม ทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าและเป็นการสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในพม่าที่มีมายาวนาน",
"พระเจ้านรสีหบดี (; , nəɹa̰ θìha̰pətḛ; c. 1238–1287) เป็นกษัตริย์พม่าองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พุกาม ครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1254-1287 มีเรื่องโดดเด่นสองประการที่สร้างพระเจ้านรสีหบดีพระองค์นี้เป็นที่จดจำ คือ ความตะกละตะกลามชอบเสวยอาหาร โดยร่ำลือกันว่าต้องมีอาหารหลากหลายถึงสามร้อยชนิดต่อมื้อพระกระยาหาร และอีกประการคือ ความขลาดกลัวต่อการรุกรานของทัพมองโกล จนเป็นกษัตริย์ที่ได้ฉายาว่า \"กษัตริย์ขี้ตะกละผู้หนีทัพจีน\"",
"ไฉ จงซฺวิ่น ตามสำเนียงกลาง หรือ จิวซาซือ ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (柴宗訓; 14 กันยายน 953 – 973) หรือชื่ออื่นว่า กัว จงซฺวิ่น (郭宗訓) และเมื่อตายแล้วได้นามว่า ปูชนียกษัตริย์ (恭帝) เป็นกษัตริย์องค์ที่สามและองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โจวยุคหลังในประเทศจีนสมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร",
"เป็นพระพุทธรูปที่ อยู่ประเทศพม่า มีประวัติว่าครั้งหนึ่งมีกษัตริย์องค์หนึ่งของประเทศพม่า อยากได้พระศรีศักยมุนีมาประดิษฐานที่พระนคร จึงทำการ ตัดพระศรีศักยมุนี เป็นส่วนๆ แล้วลากผ่านถนนหิน มาประดิษบานที่พระนคร ปัจจุบันพระศรีศักยมุนีนี้ผิวขององค์จะเป็นตะปุ่มตะป่ำ ยกเว้นเพียงพระพักต์เท่านั้นที่สวย และงดงามมากยิ่งนัก",
"พ.ศ. 2283 สมิงทอพุทธิเกศ กู้เอกราชคืนมาจากพม่าได้สำเร็จ และสถาปนา อาณาจักรหงสาวดีใหม่ ทั้งได้ยกทัพไปตีเมืองอังวะ ในปี พ.ศ. 2290 พญาทะละได้ครองอำนาจแทนสมิงทอพุทธิเกศ ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวางทำให้อาณาจักรตองอูของพม่าสลายตัวลง จนในปี พ.ศ. 2300 พระเจ้าอลองพญา ก็กู้อิสรภาพของพม่ากลับคืนมาได้ ทั้งยังได้โจมตีมอญ กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญคือ พระเจ้าพญามองธิราชหรือพญาทะละ",
"พระมหามัยมุนี หรือ มหาเมียะมุนี () เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่า และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า \"ผู้รู้อันประเสริฐ\" (The Great Sage) เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ มีตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์หนัก 6.5 ตัน มีการสร้างบนฐานสูง รวมองค์พระมีความสูงทั้งหมดกว่า ไหล่กว้าง และรอบเอวกว้าง ",
"เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) เป็นผู้มีความสามารถหลายด้าน ทั้งในด้านฝีมือในการรบ การทูต การใช้ภาษา เมื่อครั้งยุคล่าอาณานิคมอังฤษยึดอินเดียได้ และได้เริ่มทำสงครามกับพม่าจึงกระทบถึงความมั่นคงของไทย รัชกาลที่ 3 โปรดฯให้ เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) นำทัพไปช่วยอังกฤษรบและเจรจาทางด้านการทูต ด้วยความสามารถและชาติกำเนิดทำให้ เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) เป็นที่เคารพนับถึอของชาวมอญ เช่น เมื่อครั้งที่ท่านยกทัพเข้าไปในพม่าทางด่านเจดีย์สามองค์ เจ้าเมืองขะเมิงและเจ้าเมืองทราซี่งเป็นเจ้าเมืองมอญ ได้จัดกองทัพเข้าสมทบกว่า 3,000 คน เมื่อเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ยกกองทัพเข้าไปตั้งอยู่ที่เมืองเตริน (อัตรัน) ซึ่งเป็นเมืองมอญที่บิดาท่านเคยปกครอง บรรดาเจ้าเมืองมอญทั้งหลายก็เข้าอ่อนน้อมทำให้การศึกเป็นไปโดยง่าย ภายหลังเมื่ออังกฤษมีชัยต่อพม่า อังกฤษมีความคิดที่จะตั้งรามัญประเทศขึ้นใหม่ อังกฤษจึงได้มาทาบทามและเกลี้ยกล่อม เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ไปเป็นกษัตริย์รามัญประเทศที่จะตั้งขึ้น เนื่องด้วยเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) เป็นที่นิยมในหมู่ชาวมอญและมีบิดาเป็นพระภาติยะ (หลานลุง) ในกษัตริย์มอญองค์สุดท้าย แต่เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ตอบปฏิเสธด้วยมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไทย อังกฤษจึงเลิกล้มความตั้งใจ ",
"เจ้าหญิงเมียะพะยา (; 7 มีนาคม พ.ศ. 2429 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2505) เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สามในพระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยาลัต พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีองค์สุดท้ายของพม่า",
"เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ ชาวอยุธยาในพม่าค่อย ๆ ผสมปนเปไปกับสังคมพม่า บ้างก็โยกย้ายจากถิ่นฐานเดิม พวกเขาเลิกพูดภาษาไทยและหันไปพูดภาษาพม่า จนกระทั่งทิน มอง จี นักวิชาการชาวพม่าผู้มีเชื้อสายโยดายาเขียนบทความสั้นชื่อ \"สุสานกษัตริย์ไทย\" (A Thai King’s Tomb) ก่อนปี พ.ศ. 2538 โดยเชื่อว่าสถูปเก่าองค์หนึ่งในป่าช้าเนินล้านช้างหรือเนินกระแซ (ลินซินกอง) เป็นสุสานของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร อดีตพระมหากษัตริย์อยุธยาผู้นิราศจากบัลลังก์และตกเป็นเชลยในพม่า และเริ่มมีชื่อเสียงจากการที่มัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวไทยไปยังสถูปแห่งหนึ่งในป่าช้าลินซิน แต่กระแสดังกล่าวทำให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาชาวอยุธยาในพม่า และมีความพยายามในการตามหาชุมชนอยุธยาที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน",
"สมิงมังละ (, ; ถึงแก่กรรมประมาณคริสต์ทศวรรษ 1310) เจ้าเมือง มยองยา (ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศพม่า) ระหว่างประมาณคริสต์ทศวรรษ 1290 ถึงประมาณคริสต์ทศวรรษ 1310 เขาเป็นพระบิดาของ พระเจ้าแสนเมือง กษัตริย์องค์ที่ 3 (ครองราชย์ 1311 – 1323) และ พระเจ้ารามมะไตย (ครองราชย์ 1323 – 1330) กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่ง อาณาจักรหงสาวดี สมิงมังละเป็นผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ในช่วงต้นรัชสมัยพระเจ้าแสนเมือง",
"ชาวพม่าเข้ามาตั้งรกรากในบริเวณปัจจุบันตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 14 และได้ตั้งอาณาจักรพุกามเมื่อ พ.ศ. 1600 และล่มสลายลงเมื่อกุบไลข่านเข้ามารุกรานเมื่อ พ.ศ. 1830 ราชวงศ์ตองอูรวบรวมแผ่นดินได้อีกในราวพุทธศตวรรษที่ 21 ส่วนราชวงศ์คองบองได้ขึ้นสู่อำนาจเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 23 ก่อนจะถูกผนวกเข้าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายถูกส่งไปลี้ภัยยังประเทศอินเดีย อังกฤษเข้าปกครองพม่าแม้จะมีการลุกฮือต่อต้านทั่วดินแดนเดิมที่เป็นราชอาณาจักรพม่า แต่อังกฤษก็ปราบปรามได้ อังกฤษได้ทำลายความเป็นราชอาณาจักรของพม่า ส่งราชบัลลังก์ของกษัตริย์พม่าเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ที่กัลกัตตา พระราชวังมัณฑะเลย์ถูกเปลี่ยนเป็นสโมสรสำหรับชาวอังกฤษในพม่าตอนบน",
"พระนางจันทาเทวี ( ) หนึ่งในพระมเหสีของ พระเจ้าบุเรงนอง แห่ง ราชวงศ์ตองอู ของ พม่า ระหว่าง ค.ศ. 1553 ถึง 1581 นอกจากนี้พระนางยังเป็นพระมเหสีของกษัตริย์สององค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรแปรระหว่าง ค.ศ. 1532 ถึง 1542 และพระนางยังเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ของ นัดจินหน่อง กษัตริย์แห่ง ตองอู",
"เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 พระเจ้าบุเรงนอง แห่งอาณาจักรตองอูได้ทำศึกมีชัยชนะไปทั่วทุกทิศานุทิศ จนได้รับการขนานนามพระเจ้าผู้ชนะสิบทิศ พระเจ้าบุเรงนองได้ทำศึกยึดครองนครเชียงใหม่เป็นประเทศราชได้สำเร็จ รวมทั้งได้เข้าได้ยึดเมืองลูกหลวงและเมืองบริเวณของเชียงใหม่ไปเป็นประเทศราชด้วย ในช่วงแรกนั้นทางพม่ายังไม่ได้เข้ามาปกครองเชียงใหม่โดยตรง เนื่องจากยุ่งกับการศึกกับกรุงศรีอยุธยา แต่ยังคงให้ \"พระเจ้าเมกุฎิ\" ทำการปกครองบ้านเมืองต่อตามเดิม แต่ทางเชียงใหม่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปให้หงสาวดี ต่อมา \"พระเจ้าเมกุฎิ\" ทรงคิดที่จะตั้งตนเป็นอิสระ ฝ่ายพม่าจึงปลดออกและแต่งตั้ง \"พระนางวิสุทธิเทวี\" เชื้อสายราชวงศ์มังรายพระองค์สุดท้าย ขึ้นเป็นกษัตริย์เชียงใหม่แทน จนกระทั่งพระนางราชเทวีสิ้นพระชนม์ ทางฝ่ายพม่าจึงได้ส่งสาวถีนรตรามังซอศรีมังสรธาช่อ พระราชโอรสในพระเจ้าบุเรงนอง มาปกครองแทน",
"พระพุทธศาสนาในพม่ามีความเกี่ยวพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ การเจริญหรือเสื่อมของคณะสงฆ์ก็ย่อมมีส่วนกับสถาบันกษัตริย์ด้วย ดังนั้นกษัตริย์จึงมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือการปฏิรูปสถาบันสงฆ์ ดังที่มีการบรรยายถึงการปฏิรูปสถาบันสงฆ์ไว้ว่า “กษัตริย์พม่าได้ทรงริเริ่มการปฏิรูปศาสนา หรือการชำระสถาบันสงฆ์ให้บริสุทธิ์ เพื่อจะได้ยึดทรัพย์สมบัติของทางสงฆ์มาให้เป็นที่ยอมรับทั้งทางกฎหมายและสังคม สังฆะที่ร่ำรวยย่อมหมายถึงว่าพระสงฆ์ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามกฎของพระวินัย ดังนั้นการปฏิรูปจึงนับว่าถูกต้องชอบธรรมตามอุดมการณ์ การปฏิรูปศาสนาส่งผลทางวัตถุให้ขนาดของสังฆะลดลงทางด้านอุดมการณ์เท่ากับว่าทำให้พระศาสนาบริสุทธิ์ขึ้น เมื่อสังฆะบริสุทธิ์ขึ้นประชาชนต่างก็จะมาทำบุญเพิ่มขึ้น เพราะบุญที่บุคคลจะได้ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของพระที่บุคคลนั้นนับถือ สังฆะเองก็จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณเพิ่มขึ้น เพราะโดยหลักการถือว่าพระมหากษัตริย์ต้องเป็นผู้ทรงปกป้องและอุปถัมภ์ค้ำจุนพระศาสนา ถ้าประชาชนและพระมหากษัตริย์ไม่ได้หันมาอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา สุดท้ายจะนำกลับไปสู่ลัทธิเจ้าของที่ดินของวัดและรัฐก็ต้องเข้ามาจัดการปฏิรูปสังฆะใหม่หมุนเวียนไปไม่รู้จบ[19]",
"ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2294 หัวหน้าหมู่บ้านชเวโบชื่อ อองไชยะ ได้ก่อตั้งราชวงศ์คองบอง และสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าอลองพญาเพื่อต่อสู้กับมอญ พระเจ้าอลองพญารวบรวมพม่าภาคเหนือทั้งหมดได้ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2295 และตั้งเมืองหลวงทางตอนเหนือของอังวะ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2296 พญาทะละยกทัพไปปราบพม่าภาคเหนือ แต่เป็นฝ่ายแพ้และสูญเสียอย่างมาก หลังจากพ่ายแพ้กษัตริย์มอญได้ใช้นโยบายป้องกันตนเองและแสดงความเป็นมอญทางใต้ เชื้อพระวงศ์อังวะถูกประหารชีวิตทั้งหมดรวมทั้งกษัตริย์ตองอูองค์สุดท้าย บังคับให้ชาวพม่าทางใต้แต่งกายแบบชาวมอญ",
"หลังจากที่ องค์ชายนอคติส ลูซิส เคลัมน์ กษัตริย์รีจิส ลูซิส เคลัมน์ ที่ 113 ทรงพาองค์ชายนอคติสไปรักษาที่เทเนไบร์ โดยมีองค์หญิงลูนาเฟรยา นอกซ์ เฟลเร คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่ความสุขก็อยู่ไม่นาน เมื่อนิฟเฟลไฮม์บุกโจมตีหวังจะปลิดชีพกษัตริย์รีจิส และองค์ชายนอคติส กษัตริย์รีจิสจึงพาองค์ชายนอคติสหลบหนี และจากวันนั้น เทเนไบร์ ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของนิฟเฟลไฮม์ไปโดยปริยาย หลังเทเนไบร์ตกเป็นเมืองขึ้นของนิฟเฟลไฮม์ นิฟเฟลไฮม์ก็ไม่หยุดที่จะโจมตีประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสถานที่สุดท้าย \"เลสตัลลัม\" ป้อมปราการสุดท้ายของลูซิส กษัตริย์รีจิสทรงรู้อย่างแน่ชัดว่าพระองค์คงไม่สามารถชนะสงครามนี้ได้ จึงได้ตัดสินใจสละดินแดนทั้งหมดรอบๆ อินซอมเนีย ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของนิฟเฟลไฮม์ และนำประชาชนทั้งหมดถอยร่นไปอยู่ในอินซอมเนีย จากนั้นไม่นานพระองค์จึงใช้พลังจากคริสตัลชิ้นสุดท้ายในโลก สร้างกำแพงเวทมนตร์ขนาดใหญ่ปกคลุมอินซอมเนียทั้งเมือง ทำให้นิฟเฟลไฮม์ไม่สามารถบุกโจมตีอินซอมเนียทางอากาศได้อีกต่อไป รวมถึงทรงก่อตั้งหน่วยคิงส์เกลฟ หน่วยทหารองครักษ์ที่ได้รับการแบ่งพลังลูซิไอจากกษัตริย์รีจิส เพื่อใช้ปกป้องความสงบสุขของเมืองและเป็นทหารอารักษาส่วนพระองค์"
] |
ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทาง? | [
"ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้"
] | [
"กลุ่มปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์\nตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรมแดนต่างประเทศ \nมีแต่เพียงแนวทิศเขาดงเร็ก เป็นพรมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คนโบราณมีการ\nใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องสายตะกูมีปราสาทบายแบก \nแต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆกัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก \nเรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป",
"ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 750 เมตร และอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือน ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 390 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ เชื่อกันว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล หรือ สถานรักษาพยาบาลของชุมชน หรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7",
"ปราสาทตาเมือนธม (Khmer: ប្រាសាទតាមាន់ធំ ตาม็วนธม - ตาไก่ใหญ่) ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลังเรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน",
"ปราสาทตาควาย หรือปราสาทตาวาย หรือในภาษาเขมรเรียกว่า ปราสาทกรอเบย ( \"บฺราสาทตากฺรบี\") ตั้งอยู่บริเวณช่องตาควาย ในเขตบ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหินศิลาแลง ตั้งทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธม ห่างไปประมาณ 12 กิโลเมตร",
"ปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ ก่อด้วยหินทราย และศิลาแลง",
"ปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดนเขมรมากที่สุด การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก",
"กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์ แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค",
"เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น \nไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก\nปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ 750 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง \nมีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล \nรักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7\nปราสาทตาเมือน(บายกรีม)อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา \nคือที่พักสำหรับคนเดินทาง\nกลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์\nแก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค",
"ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม \nตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม \nอยู่ใกล้ดินแดนเขมรมากที่สุด ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ \nนอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน\nบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ ",
"ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม (ธม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่) ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม",
"ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ",
"ปราสาทตาเมือน หรือ ปราสาทบายกรีม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงเร็ก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลบ้านตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็กที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน",
"กลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทที่รวมกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน มาเป็นอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน และกำลังพิจารณาปราสาทกลุ่มราชมรรคาเป็นมรดกโลก\nปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน และและสมาชิกใหม่คือปราสาทศีขรภูมิ, ปราสาทตาควาย",
"ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ 750 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7",
"เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก",
"ปราสาทตาเมือนโต๊ด ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหลังหนึ่งในกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน",
"ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม อยู่ใกล้ดินแดนเขมรมากที่สุด ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน บรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ",
"ปราสาทตาเมือนธมประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ",
"ปราสาทตาเมือนโต๊ด ( \"ตาม็วนโตจ\" - ตาไก่เล็ก) ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหลังหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน",
"ปราสาทตาเมือน(บายกรีม)อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง",
"ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม (ธม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่) ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม ",
"ปราสาทตาเมือน () หรือ ปราสาทบายกรีม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลบ้านตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็กที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน",
"หมวดหมู่:ปราสาทหินในไทย หมวดหมู่:กลุ่มปราสาทตาเมือน หมวดหมู่:โบราณสถานในจังหวัดสุรินทร์",
"การเดินทางจากจังหวัดบุรีรัมย์ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 219 ที่จะไปบ้านกรวด จนมาถึงแยกที่ตัดกับทางหลวงหมายเลข 224 บริเวณนิคมปราสาท อำเภอบ้านกรวด เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 224 จนถึงแยกบ้านตาเมียง แล้วไปตามเส้นทางเช่นเดียวกับข้างต้น",
"การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ไปทางอำเภอปราสาทตามทางหลวงหมายเลข 214 จนมาถึงทางแยกตัดกับทางหลวงหมายเลข 24 ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 24 จนถึงสามแยกบริเวณนิคมปราสาท ให้เลี้ยวซ้าย ไปตามป้ายบอกทางไปอำเภอพนมดงรัก ตามทางหลวงหมายเลข 2397 จนมาถึงแยกบริเวณ อบต. แนงมุด ให้เลี้ยวขวา ไปตามทางหลวงหมายเลข 224 จนพบป้ายบอกทางไปกลุ่มปราสาทตาเมือน ให้เลยป้ายไปอีกเล็กน้อยจนถึงแยกบ้านตาเมียง จะพบทางที่มีป้ายบอกไป ฉก. ตชด. 16 เลี้ยวไปตามถนนเส้นนี้(2407)ตรงมาเรื่อยๆ จนพบห้าแยกเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2407 ผ่านบ้านหนองคันนา ใช้ทางตรงมาเรื่อยจนพบทางแยก จะพบปราสาทตาเมือนก่อน ใกล้ๆกันนั้นมีหน่วยตระเวนชายแดนคุ้มครองนักท่องเที่ยว ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อความปลอดภัยในการเที่ยวชมปราสาท",
"ปราสาทตาเมือนธมประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ ",
"ปราสาทตาวาย (ปราสาทตาควาย) หรือ ปราสาทกรอเบย ( \"บฺราสาทตากฺรบี\") ตั้งอยู่บริเวณช่องตาควาย ในเขตบ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหินศิลาแลง ตั้งทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธม ห่างไปประมาณ 12 กิโลเมตร",
"ปราสาทตาเมือนโต๊ดอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 750 เมตร และอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 390 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ เชื่อกันว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยศาลหรือสถานรักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7",
"กลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรหมแดนต่างประเทศ มีแต่เพียงแนวทิวเขาพนมดงรัก เป็นพรหมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คนโบราณมีการ ใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก แต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆกัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก เรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป"
] |
อาฟเตอร์สกูล เดบิวต์เมื่อปีอะไร? | [
"ในวันที่ 15 มกราคม 2009 เพลดิสเอนเตอร์เทนเมนท์ ต้นสังกัดได้ปล่อยตัวอย่างความยาว 30 วินาทีของซิงเกิลเดบิวต์ \"AH!\" ผ่านทาง Gom TV ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากและมีผู้เข้าชมในวันแรกมากกว่าหนึ่งแสนครั้ง[9] ทำให้ค่ายตัดสินใจปล่อยซิงเกิลแรกคือ \"AH!\" พร้อมกับซิงเกิลอัลบั้มชุดแรก New Schoolgirl ออกมาในวันนั้นทันที อาฟเตอร์สกูลขึ้นแสดงสดครั้งแรกในวันที่ 17 มกราคม 2009 ในรายการมิวสิคคอร์ (Show! Music Core) ของสถานีโทรทัศน์เอ็มบีซี ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิก 5 คนคือ กาฮี จองอา จูยอน โซยอง และเบคก้า ในช่วงเดือนเมษายน ยูอี ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของวง ทำให้อาฟเตอร์สกูลมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน พร้อมกับได้ปล่อยดิจิตอลซิงเกิลใหม่ \"Diva\" ในวันที่ 9 เมษายน 2009 และขึ้นแสดงครั้งแรกในรายการเอ็ม! เคาต์ดาวน์ (M!Countdown) ของช่องเอ็มเน็ตในวันเดียวกัน ซิงเกิลใหม่ \"Diva\" นี้ทำให้อาฟเตอร์สกูลได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำเดือนเมษายน 2009 ของ Cyworld Digital Music Awards อีกด้วย"
] | [
"2012: อาฟเตอร์สกูลเฟิสต์เจแปนทัวร์ \"เพลย์เกิร์ล\" 2014: อาฟเตอร์สกูลเซเคินด์เจแปนทัวร์ \"เดรสทูชายน์\"",
"จาง อี้ชิง (; ; ) เกิดเมื่อ 7 ตุลาคม ค.ศ.1991 ที่เมืองฉางชา, มณฑลหูหนาน, ประเทศจีน ชื่อในวงการคือ เลย์ (; ) รู้จักกันในนามสมาชิกในวงบอยแบนด์จากเกาหลีใต้ เอ็กโซ และยูนิตย่อย เอ็กโซ-เอ็ม เดบิวต์เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2012 ตำแหน่งเต้นหลัก",
"ในวันที่ 15 มีนาคม 2010 เว็บไซต์หลักของอาฟเตอร์สกูลได้มีการเปิดเผยภาพโปรโมทซิงเกิลอัลบั้มชุดที่สามเป็นครั้งแรก โดยในภาพนี้สิ่งที่ทุกฝ่ายให้การจับตามองคือ อาฟเตอร์สกูลไม่ได้ปรากฏตัวแค่ 7 คน แต่กลับมีสมาชิกเพิ่มเข้ามารวมเป็น 8 คนด้วยกัน สำหรับภาพแจ็คเก็ตของ 8 สาวอาฟเตอร์สกูล หนึ่งในสมาชิกใหม่ที่กำลังก้มหน้าก็ได้รับความสนใจจากแฟนๆเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับภาพลักษณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งความสง่างามก็ทำให้ทุกฝ่ายต่างจับตามองถึงการแปลงโฉมในครั้งนี้กับเวทีคัมแบ็คของพวกเธออย่างถ้วนหน้า จนในวันที่ 17 มีนาคม เพลดิสเอนเตอร์เทนเมนท์จึงได้เปิดเผยว่าสมาชิกใหม่ของอาฟเตอร์สกูลนั่นก็คือ ลิซซี่ และอาฟเตอร์สกูลก็จะคัมแบ็คด้วยซิงเกิลอัลบั้มชุดที่สาม Bang! ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ โดยซิงเกิล Bang! นั้นสามารถทำยอดขายได้ 2,374,731 แผ่น และอยู่ในอันดับที่ 29 ของการจัดอันดับชาร์ตเพลงประจำปี 2010",
"ในวันที่ 17 สิงหาคม 2011 อาฟเตอร์สกูลได้เดบิวต์ที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการด้วยซิงเกิลแรก \"Bang!\" เวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น โดยอยู่ในอันดับ 7 ของออริกอนชาร์ต",
"ยู ซึง-โฮเดบิวต์เมื่อปี 1999 กับผลงานโฆษณาของ n016 ตอนอายุ 7 ขวบ ยู ซึง-โฮได้เริ่มงานแสดงในฐานะนักแสดงเด็กเมื่อปี 2000 กับผลงานทางละครโทรทัศน์เรื่อง Daddy Fish แต่เขามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักเมื่อได้แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เรื่อง The Way Home (2002) เรื่องราวของเด็กชายที่เติบโตขึ้นมาในสังคมเมืองและต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับยายที่เป็นใบ้ในชนบท ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างความประหลายใจให้แก่ผู้ชม เมื่อถล่มรายได้บ๊อกซ์ออฟฟิศในปี 2002 มีผู้ชมมากกว่า 4 ล้านคน[1] หลังจากนั้นยู ซึง-โฮก็ได้รับฉายาว่า \"น้องชายเกาหลี\" นอกจากนี้ยู ซึง-โฮยังได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Hearty Paws (2006) ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กชายกับสุนัขอันเป็นที่รัก[2] และเรื่อง Do You See Seoul (2008) เรื่องราวของเด็ก ๆ ในเกาะที่อยู่ห่างไกล ซึ่งเข้ามาในโซลเพื่อทัศนศึกษาโรงงานทำขนมในช่วงปี 1970[3][4]",
"ออนแอนด์ออฟ (ภาษาเกาหลี:온앤오프 ใช้ตัวย่อว่า ONF ) เป็นบอยแบนด์ประเทศเกาหลีใต้ที่มีสมาชิก 7 คน ภายใต้การดูแลของบริษัท ดับเบิ้ลยูเอ็มเอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งสมาชิกวงประกอบไปด้วย ฮโยจิน, อีชั่น, เจอัส, ไวอัท, เอ็มเค, ยู และราอุน จัดโชว์เคสเดบิวต์เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 พร้อมมินิอัลบัม “1st Mini Album [ON/OFF]” และซิงเกิ้ลแรก กับเพลง “ON/OFF” ขึ้นแสดงสเตจแรกที่รายการ Mnet M countdown วันที่ 3 สิงหาคม และนับวันนี้เป็นวันเดบิวต์ ",
"อัลบั้มเกาหลี เวอร์จิน (2011) อัลบั้มญี่ปุ่น เพลย์เกิร์ล (2012) เดรสทูคิล (2014)",
"วอนนาวัน () เป็นบอยแบนด์ของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งสมาชิกมาจากการแข่งขัน Produce 101 Season 2 ในปี 2017 เป็นรายการที่คัดเลือกเด็กฝึกจากหลายบริษัท จาก 101 คนให้เหลือแค่ 11 คน ซึ่งบริษัท CJ E&M ได้สังกัดไว้. และ 11 คนนั้นก็ได้มาเป็นสมาชิกวง Wanna One โดยมีสมาชิกทั้งหมด 11 คน ประกอบไปด้วย ยุน จีซอง, ฮา ซองอุน, ฮวัง มินฮยอน, อง ซองอู, คิม แจฮวาน, คัง แดเนียล, พัค จีฮุน, พัค อูจิน, แพ จินยอง, อี แดฮวี และไล ควานลิน ซึ่งได้เดบิวต์เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2017 และจะโปรโมตไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2018 เป็นเวลาทั้งสิ้น 1 ปี 6 เดือน โดยบริษัท YMC Entertainment และ CJ E&M เป็นต้นสังกัด โดยภายหลังในวันที่ 31 พฤษภาคม 2018 Swing Entertainment ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลวอนนาวันโดยเฉพาะ",
"ฮวีซ็อง (ปัจจุบันเป็นนักร้องอยู่ภายใต้สังกัดอื่น) อี จุน-กิ (ปัจจุบันเป็นนักแสดงอยู่ภายใต้สังกัดอื่น) ฮอ ย็อง-แซ็ง (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง ดับเบิลเอส 501) พัก จ็อง-มิน (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง ดับเบิลเอส 501) พัก กยู-รี (ปัจจุบันคือหัวหน้าวงอดีตเกิร์ลกรุ๊ป คาร่า) อี ซ็อง-ย็อล (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง อินฟินิต) จี.โอ (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง เอ็มแบล็ก) โซลบี (ปัจจุบันเป็นนักร้องอยู่ภายใต้สังกัดอื่น) จี ดรากอน (ปัจจุบันคือหัวหน้าวง บิกแบง) อี จง-ซ็อก (ปัจจุบันเป็นนักแสดงอยู่ภายใต้สังกัดอื่น) ซีโค (ปัจจุบันคือหัวหน้าวง บล็อกบี) โซย็อน (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง ที-อารา) ฮอ ชัน-มี (อดีตสมาชิกวงโคเอ็ดสคูล และ ไฟฟ์ดอลส์) โช ฮย็อน-ย็อง (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง เรนโบว์) โก อู-รี (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง เรนโบว์) เรนะ (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง อาฟเตอร์สกูล และหัวหน้าซับยูนิต ออเรนจ์คาราเมล) ฮอ กา-ยุน (ปัจจุบันคือหนึ่งในวงอดีตเกิร์ลกรุ๊ป โฟร์มินิต) พัค อึน-จี (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง ไนน์มิวส์) พัค กา-ฮี (อดีตหัวหน้าวง อาฟเตอร์สกูล) คิม ฮิม-ชาน (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง บี.เอ.พี) โก ซึง-ยอน (ปัจจุบันอยู่ภายใต้สังกัดอื่น) คว็อน ซุน-อิล (ปัจจุบันคือสมาชิกวง เออร์บันซาคาปา) จุนฮย็อก (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง ฮ็อตช็อต) ทิโมเทโอ (ปัจจุบันคือหนึ่งในสมาชิกวง ฮ็อตช็อต)",
"ในวันที่ 1 ธันวาคม 2011 เพลดิสเอนเตอร์เทนเมนท์ ได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ Happy Pledis 2011 ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ 2 ในโปรเจกต์ \"Happy Pledis\" โดยในคราวนี้ได้ ซนดัมบิ, อาฟเตอร์สกูล, ศิลปินฝึกหัดในค่าย รวมถึงบอยแบนด์กลุ่มใหม่ของเพลดิสที่มีกำหนดจะเดบิวต์ในปีหน้า มาร่วมกันโปรโมทในอัลบั้มนี้ ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งของอัลบั้มนี้จะถูกนำไปบริจาคให้กับองค์กรยูนิเซฟเพื่อช่วยเหลือเด็กๆต่อไป",
"ในวันที่ 17 มิถุนายน 2011 เพลดิสเอนเตอร์เทนเมนท์ ต้นสังกัดของอาฟเตอร์สกูล ได้เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ อาฟเตอร์สกูลจะมีนักเรียนที่จบการศึกษารุ่นแรก ซึ่งอาฟเตอร์สกูลเป็นวงเกิร์ลกรุปที่ได้รับความสนใจมาตั้งแต่เดบิวท์ด้วยระบบสมาชิกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ คือการเข้าโรงเรียนโดยการเพิ่มสมาชิกใหม่ และการจบการศึกษาโดยการลาออกของสมาชิกวง โดยนักเรียนที่จะจบการศึกษาในครั้งนี้ก็คือ เบคก้า ซึ่งต้นสังกัดกล่าวว่า “หลังจากครุ่นคิดและปรึกษาหารือกับเพื่อนๆ ครอบครัว บริษัทมานาน เบคก้าก็ตัดสินใจโดยสรุปว่า เธอจะจบการศึกษาจากวงอาฟเตอร์สกูล และจะกลับไปฮาวายเพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนออกแบบที่เธอใฝ่ฝัน” เสริม “ตอนนี้เราก็กำลังวางแผนเรื่องการถ่ายภาพจบการศึกษาของสมาชิกวงรวมกับเบคก้า ซึ่งอีกไม่นานก็จะมีการเปิดตัวผลงานจบการศึกษาของเบคก้า โดยเธอจะมาพบกับแฟนๆ ก่อนที่จะจบการศึกษาครับ” ส่วนเบคก้าก็ได้กล่าวฝากมาทางต้นสังกัดว่า “ตอนนี้ฉันกำลังเตรียมผลงานจบการศึกษาโดยรวมเอาประสบการณ์และช่วงเวลาที่มีความสุขตอนที่อยู่ด้วยกันมาจนกระทั่งถึงตอนนี้อยู่ค่ะ ต่อไป ถ้าทักษะการออกแบบของฉันเพิ่มขึ้น ฉันก็อยากจะออกแบบอัลบั้มของอาฟเตอร์สกูลให้เป็นของขวัญค่ะ” อนึ่ง เบคก้าจะจบการทำกิจกรรมร่วมกับวงอาฟเตอร์สกูลในผลงานจบการศึกษาที่เธอเป็นผู้แต่งเนื้อเพลงเอง ซึ่งเพลงนี้จะกล่าวถึงความรู้สึกของเธอในการทำกิจกรรมกับอาฟเตอร์สกูลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา",
"อาฟเตอร์สกูล (Korean: 애프터스쿨; English: After School) เป็นกลุ่มนักร้องหญิงของประเทศเกาหลีใต้ สังกัดค่ายเพลดิสเอนเตอร์เทนเมนต์ในปี ค.ศ. 2009 ที่มีระบบการรับสมาชิกเข้าและสำเร็จการศึกษา[1][2]",
"ในปี พ.ศ. 2554 เข้าสู่สังกัดจากการออดิชั่นร่วมกับยูอารา และ คิมฮเยริม(ราอิม) เพื่อที่จะเป็นสมาชิกวงอาฟเตอร์สกูล แต่สุดท้าย ทางต้นสังกัดก็คัดอียองเป็นสมาชิกวงอาฟเตอร์สกูล จนถึงปัจจุบันนี้",
"ในเดือนกรกฎาคม เพลดิสได้ออกมาประกาศถึงการคัมแบ็คครั้งที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งการคัมแบ็คในครั้งนี้จะกลับมาในรูปแบบของยูนิตย่อย \"A.S.RED\" และ \"A.S.BLUE\" โดย \"A.S.RED\" นั้นมาพร้อมกับภาพลักษณ์ในแบบทรงพลังและบรรยากาศที่ชวนให้น่าติดตามในแบบฉบับของออริจินัลริตี้ของอาฟเตอร์สกูล ในขณะที่ \"A.S.BLUE\" นั้นมาในสไตล์แบบสาวใสบริสุทธิ์",
"ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2015 อาฟเตอร์สกูลได้ปล่อยซิงเกิลภาษาญี่ปุ่น \"Shine\" เพื่อเป็นซิงเกิลโปรโมทสำหรับอัลบั้ม Best ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมเพลงภาษาญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมของอาฟเตอร์สกูล ที่จะวางขายในวันที่ 18 มีนาคม 2015",
"นัมอู-ฮย็อนเดบิวต์เมื่อปี 2010 ในฐานะนักร้องหลักของวงอินฟินิท",
"โฟร์มินิต (; ) เป็นเกิร์ลกรุปจากเกาหลีใต้จากค่าย Cube Entertainment มีจำนวนสมาชิก 5 คน ประกอบด้วย จีฮยอน กายุน จียุน ฮยอนอา และ โซฮยอน เดบิวต์เมื่อเดือนมิถุนาน ปี ค.ศ. 2009 ด้วยเพลงแรก \"Hot issue\" และต่อมา เดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2010 ได้ปล่อยอัลบั้มญี่ปุ่มเป็นอัลบั้มแรก \"Diamond\". ในปี ค.ศ. 2011 ได้ปล่อยอัลบั้มเกาหลีแบบเต็ม อัลบั้ม \"4Minutes Left\". ",
"อาฟเตอร์สกูลได้จัดแฟนมีตติ้งขึ้นที่ประเทศไทย ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2013 และที่ประเทศไต้หวัน ในวันที่ 30 มีนาคม 2013 ในวันที่ 27 มีนาคม 2013 อาฟเตอร์สคูลได้ทำการปล่อยอัลบั้ม The Best of AFTERSCHOOL ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมเพลงที่ได้รับความนิยมของอาฟเตอร์สคูลตั้งแต่เดบิวต์ พร้อมๆกับได้ปล่อยดีวีดีบันทึกการแสดง AFTERSCHOOL First Japan Tour 2012 -PLAYGIRLZ- ซึ่งเป็นดีวีดีบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตในญี่ปุ่นของพวกเธอด้วย",
"ในวันที่ 14 มีนาคม 2012 อาฟเตอร์สกูลได้ปล่อยอัลบั้มเต็มภาษาญี่ปุ่นชุดแรก Playgirlz ซึ่งนอกจากจะมีซิงเกิลที่ปล่อยออกมาทั้งสามซิงเกิลรวมอยู่ด้วยแล้ว ยังมีเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ถึง 6 เพลง รวมไปถึงการนำเพลง \"Shampoo\" และเพลง \"Shanghai Romance\" ของออเรนจ์คาราเมล มาทำใหม่ในเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 6 ของออริกอนอัลบั้มชาร์ตรายวันได้สำเร็จ จากการทำยอดขายได้มากกว่า 11,000 แผ่นภายในวันแรกที่ถูกปล่อยออกมา และอยู่ในอันดับที่ 9 ของยอดดาวน์โหลดใน iTunes Japan ในวันที่ 9 เมษายน 2012 เพลดิสเอนเตอร์เทนเมนท์ต้นสังกัดได้ออกมาประกาศให้ทราบถึงการเพิ่มสมาชิกใหม่ของอาฟเตอร์สกูล ซึ่งในวันต่อมาก็ได้มีการเปิดเผยว่าสมาชิกคนดังกล่าวนั้นก็คือ กาอึน ซึ่งเป็นสมาชิกรุ่นที่ 5 ของอาฟเตอร์สกูล และจะเข้าร่วมในซิงเกิลอัลบั้มชุดที่ 5 ที่จะปล่อยออกมาในวันที่ 21 มิถุนายนที่จะถึงนี้",
"คัง จี-ย็อง เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1994 ที่ พาจู ประเทศเกาหลีใต้ จีย็องเริ่มเดบิวต์เมื่ออายุ 15 ปี ตอนอยู่มัธยมเกรดสาม เธอเป็นหนึ่งในสมาชิก 2 คนที่เข้าร่วมวงหลังจากคิม ซองฮีออกจากวงไป จีย็องร้องเพลงคิสซิงยู ของเกิลส์เจเนอเรชัน ในการออดิชัน จีย็องเป็นญาติของนักร้องเคป๊อปเกาหลีคือ เอ็นเอส ยุนจี",
"เอ็น.ฟลายอิ้ง (, เกาหลี: 엔플라이잉) เป็นวงดนตรีชายสัญชาติเกาหลีใต้ ภายใต้สังกัด FNC Entertainment ในปี 2015 และมีสมาชิกทั้งหมด 5 คน ได้แก่ ซึงฮยอบ, กวังจิน, ชาฮุน, แจฮยอน และฮเวซึง โดย N.Flying ย่อมาจาก New Flying\nN.Flying เป็นวงดนตรีชายสัญชาติเกาหลีใต้ ภายใต้สังกัด FNC Entertainment และเดบิวต์เมื่อปี 2015 ด้วยสมาชิกทั้งหมด 4 คน ได้แก่ ซึงฮยอบ, กวังจิน, ชาฮุน และแจฮยอน ต่อมาเมื่อปี 2017 ทางต้นสังกัดได้ทำการเพิ่มสมาชิกคนใหม่ที่ผ่านจากรายการชื่อดังอย่าง Produce101 Season2 เข้ามาอีก 1 คน คือ ยู ฮเวซึง ทำให้ปัจจุบัน N.Flying มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน ได้แก่ ซึงฮยอบ, กวังจิน, ชาฮุน, แจฮยอน และฮเวซึง",
"เอฟที ไอส์แลนด์ (; ; ย่อจาก \"ไฟฟ์เทรเชอร์ไอส์แลนด์\" (Five Treasure Island)) เป็นวงดนตรีแนวป๊อปร็อกสัญชาติเกาหลีใต้ประกอบด้วยสมาชิกห้าคน คือ ชเว จง-ฮุน (Choi Jong-hoon) ตำแหน่งกีตาร์,คีย์บอร์ดและหัวหน้าวง อี ฮงกิ (Lee HongGi) ตำแหน่งร้องนำ, อี แจ-จิน (Lee Jae-jin) ตำแหน่งเบสและร้อง, ซง ซึง-ฮยอน (Song Seung-hyun) ตำแหน่งกีตาร์และร้อง กับชเว มิน-ฮวัน (Choi Min-hwan) ตำแหน่งกลอง ตามลำดับ ปรากฏตัวบนรายการโทรทัศน์เมื่อ 19 พฤษภาคม 2007 และเดบิวต์เมื่อ 7 มิถุนายน 2007 ในขณะที่ฮงกิและจงฮุนอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น(มากสุดในวง) พวกเขาออกอัลบัมแรกชื่อ \"เชียร์ฟูลเซนซิบิลิตี (Cheerful Sensibility)\" เมื่อปี 2550 และขายดีเป็นอันดับที่หกในปีนั้น ส่วนเพลงแรกของวงนี้คือ \"เลิฟซิก\" (Love sick) ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศแม่เป็นเวลาแปดสัปดาห์ติดต่อกัน เอฟทีไอส์แลนด์เป็นวงที่สมาชิกทุกคนไม่เคยผ่านการศัลยกรรมมาก่อน สมาชิกส่วนใหญ่มีความสามารถแต่งเพลงเนื้อร้องและทำนองเอง รวมถึงอื่นๆ แม้ที่ผ่านมาสมาชิกในวงจะมีโอกาสได้แต่งเพลงทำเพลงในอัลบั้มบ้างเป็นบางเพลง แต่อัลบั้ม I WILL และ Where's the truth? เป็นสองอัลบั้มที่แสดงความเป็นตัวตนของเอฟทีไอส์แลนด์อย่างแท้จริง พวกเขาแต่งเพลงเอง ทำเพลงเอง รวมถึงออกแบบตัดต่ออื่นๆ ล้วนเป็นไอเดียของสมาชิกทุกคนในวง",
"ในวันที่ 5 มิถุนายน 2012 ทางเพลดิสต้นสังกัดได้ออกมายืนยันถึงการจบการศึกษาหัวหน้าวงกาฮี ซึ่งเป็นการจบการศึกษาเป็นคนที่ 3 ของวงอาฟเตอร์สกูล ทั้งนี้กาฮีจะทำกิจกรรมในฐานะอาฟเตอร์สกูลไปจนถึงเดือนกันยายน และจะออกจากวงเพื่อเตรียมตัวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวต่อไป",
"ทีมงานได้ถูกถามถึงผลงานอัลบั้มเต็ม Virgin ของอาฟเตอร์สกูล ที่วางจำหน่ายในรอบ 1 ปีหลังจากอัลบั้ม Bang! โดยทีมงานกล่าวว่า \"ทุกคนจะสามารถสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของ After School ที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากลุคของสาวงามสุดมั่นในแบบเดิมๆ พวกเธอจะมาถ่ายทอดนิยามความงามในแบบ Virgin ผ่านผลงานอัลบั้มชุดนี้ครับ\"",
"ในวันที่ 6 ธันวาคม 2010 อาฟเตอร์สกูล ได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ Happy Pledis 1st Album ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ \"Happy Pledis\" ที่ศิลปินของเพลดิสทุกคนจะมอบความสุขให้กับแฟนเพลงเป็นของขวัญส่งท้ายปี โดยรายได้บางส่วนจากการจำหน่ายซิงเกิลนี้ จะถูกนำไปบริจาคให้กับองค์กร \"Save The Children\" ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือเด็กๆด้วย อย่างไรก็ตาม เบคก้า ไม่ได้เข้าร่วมโปรโมทซิงเกิลนี้กลับสมาชิกคนอื่นๆ โดยต้นสังกัดเปิดเผยว่า \"ตอนนี้เบคก้ากำลังอยู่ในระหว่างการพักผ่อนครับ\" เขากล่าว \"ตั้งแต่เธอเป็นเด็กฝึกหัด เบคก้า ยังไม่เคยเดินทางกลับบ้านไปที่ฮาวายเป็นเวลากว่า 3-4 ปีแล้วครับ ตอนนี้เธอเลยใช้เวลากลับไปผักผ่อน\" เสริม \"เนื่องจากเธอไปพักผ่อนอยู่ก่อนแล้ว การที่จะให้เธอเดินทางกลับมาแป๊ปนึงเพื่อถ่ายภาพนั้นก็ใช่เรื่อง ทำให้เราตัดสินใจไม่ได้รวมเธอเข้าไปในอัลบั้มนี้ครับ\" กล่าวต่อ \"อัลบั้มนี้เป็นผลงานอัลบั้มซีซั่นพิเศษ ที่อาฟเตอร์สกูลได้เตรียมเอาไว้เพื่อใช้เป็นเพลงในเทศกาลคริสต์มาสในฤดูหนาวนี้ครับ\" เสริม \"ส่วนด้านเบคก้าจะกลับมาร่วมกับเพื่อนๆของเธอในอัลบั้มเต็มของอาฟเตอร์สกูลที่จะวางจำหน่ายต้นปีหน้าครับ\"",
"หลังจากที่กาฮีออกจากวง S.Blush แล้ว เธอได้ติดต่อกับเพื่อนที่ เพลดิสเอนเตอร์เทนเมนท์ และได้วางโครงการร่วมกันที่จะก่อตั้งเกิร์ลกรุปวงใหม่ขึ้นมา โดยสมาชิกคนแรก(นอกเหนือจากกาฮี)คือเบคก้า ซึ่งเป็นเด็กฝึกหัดในตอนที่กาฮียังเป็นสมาชิกวง S.Blush อยู่ ตามด้วยจองอา จูยอน และโซยองเป็นคนสุดท้าย เพี่อที่จะเดบิวต์เป็นเกิร์ลกรุปที่มีสมาชิก 5 คน",
"ในวันที่ 19 กรกฏาคม พ.ศ.2560,เจลลี่ฟิช เอนเตอร์เทนเมนต์ได้ออกแถลงการณ์ว่า สมาชิกของคูกูดัน คัง มิ-นา และ โช ฮเย-ย็อน ทั้งสองคนจะเดบิวต์เป็นซับยูนิตของววง โดยเรียกว่า \"Gugudan 5959\" พวกเขาเดบิวต์เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมด้วยเพลง \"Ice Chu\"",
"ยัง จีว็อน(Hangul: 양지원; Hanja: 楊知元; เกิด 5 เมษายน 2531)หรือชื่อที่ใช้ในการแสดงว่าจีว็อน(Jiwon)เป็น นักร้อง นักแสดง พิธีกร ไอดอลหญิง ชาวเกาหลีใต้ ซึ่งรู้จักในสถานะสมาชิกวง สปีคก้า\nจีวอน เกิดในโซล หลังจากเธอจบจากโรงเรียนมัธยมในโซล เธอได้เรียนที่ มหาวิทยาลัยดองกุก จีวอนเธอได้สอบเข้าเรียนคณะการบันเทิง เธอเกือบเปิดได้เป็นสมาชิกวง Five Girlsมี 5คน ประกอบด้วย จีน่า(เป็นศิลปินเดี่ยว) ฮโยซ็อง วงซีเครต ยูอี วง อาฟเตอร์สกูล ยูบิน วง วันเดอร์เกิลส์ แต่ภายหลังวงนี้เป็นที่หน้าเสียดายเพราะไม่ได้เดบิว เนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินของค่าย Good Entertainment \nหลังจากค่ายเก่าถูกยกเลิกไปเพราะปัหญาทางการเงินเธอได้ย้ายมาอยู่กับค่าย Core Contents Media แต่ว่าเธอเกือบได้เป็นสมาชิกวง ที-อารา แต่ว่าเธอขอถอนตัวออกมาก่อนเพราะปัหญาความไม่พร้อมของตัวเธอเองด้วยหลังจากนั้นในปี 2010 เธอก็ได้ตัดสินลาออกจากค่าย Core Contents Media\nในปี 2011 เธอตัดสินใจไปออดิชั่นกับค่าย B2M Entertainment และเธอก็ได้รับการอบรมจนได้เป็นสมาชิกวง สปีคก้า ในที่สุด",
"ในวันที่ 31 ธันวาคม 2010 เพลดิสเอนเตอร์เทนเมนท์ ได้เปิดตัวสมาชิกคนที่ 9 ของอาฟเตอร์สกูล อียอง (E-Young) ในงาน MBC \"Music Festival\"",
"ในวันที่ 17 ธันวาคม 2011 อาฟเตอร์สกูลได้ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ต MTV EXIT ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ร่วมกับวง เดอะคลิกไฟฟ์ วงดนตรีจากประเทศสหรัฐอเมริกา[11]"
] |
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เกิดที่ไหน ? | [
"ไอน์สไตน์เกิดในเมืองอูล์ม ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค สมัยจักรวรรดิเยอรมัน ห่างจากเมืองชตุทท์การ์ทไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ประเทศเยอรมนี บิดาของเขาชื่อว่า แฮร์มานน์ ไอน์สไตน์ เป็นพนักงานขายทั่วไปซึ่งกำลังทำการทดลองเกี่ยวกับเคมีไฟฟ้า มารดาชื่อว่า พอลลีน โดยมีคนรับใช้หนึ่งคนชื่อ คอช ทั้งคู่แต่งงานกันในโบสถ์ในสตุ๊ทการ์ท (เยอรมัน: Stuttgart-Bad Cannstatt) ครอบครัวของเขาเป็นชาวยิว (แต่ไม่เคร่งครัดนัก) อัลเบิร์ตเข้าเรียนในโรงเรียนประถมคาธอลิก และเข้าเรียนไวโอลิน ตามความต้องการของแม่ของเขาที่ยืนยันให้เขาได้เรียน"
] | [
"ก่อนหน้านี้ เขามีแฟนคนแรกตอนเรียนมัธยมชื่อ มารี วินเทเลอร์ แต่ต้องแยกย้ายกันไปเมื่อเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย",
"}}]] [[Category:{{subst:#switch:{{subst:uc:1955}}",
"ปี พ.ศ. 2533 ชื่อของไอน์ชไตน์ถูกจารึกในวิหารวัลฮัลลา หอเกียรติยศซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบ ประเทศเยอรมนี[39]",
"ใน \"เรด-อเลิร์ท 3\" สหภาพโซเวียต นำโดย ผู้นำ อนาโตลี เซอร์เดนโก ได้สร้างเครื่องย้อนเวลาเพื่อให้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นพวกเดียวกับโซเวียต โดยหวังว่าจะทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรอ่อนแอลง แต่ความผิดพลาดทำให้ ไอน์สไตน์ ถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ และยังเกิดฝ่ายใหม่ขึ้นมา ก็คือฝ่าย จักรวรรดิแห่งแดนอาทิตย์อุทัย โดยมีเทคโนโลยีนาโน และ หุ่นยนต์ที่ล้ำยุค",
"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) สามารถที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าแรงโน้มถ่วงนั้นเกิดจากความโค้งของกาล-อวกาศ (space-time)หรืออาจจะแปลว่าปริภูมิก็ได้ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเป็นทฤษฎีเชิงเรขาคณิตที่ถือหลักว่ามวลและพลังงานทำให้เกิดการโค้งงอของกาล-อวกาศ การโค้งนี้ส่งผลต่อเส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคอิสระรวมทั้งแสง และเขาก็สามารถที่จะลบล้างสมมติฐานของนิวตันที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงแพร่กระจายตัวออกไปอย่างทันทีทันใดของแรงโน้มถ่วงลงได้อีกด้วย",
"ในปี1952, George Gamow, หนึ่งในบิดาแห่งการค้นพบจักรวาลวิทยา ได้ตั้งชื่อช่วงก่อนเกิดบิกแบงว่ายุคออกัสทิเนียน, ภายหลังจากที่นักปราชญ์นามว่า Saint Augustine, เสนอว่าเวลาเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับจักรวาล ดังนั้นช่วงก่อนเกิดบิกแบงจึงไม่มีเวลา คำว่า \"ยุคออกัสทิเนียน\" หมายถึงแนวคิดที่ขัดแย้งกับความรู้ทางฟิสิกส์ในภาวะเอกฐาน ของ ความหนาแน่นที่มีค่าสูงขึ้นอย่างไม่จำกัดขณะที่เวลาในอดีตจำกัดอยู่ค่าหนึ่ง,จากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บอกว่าจะไม่มีสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งขัดแย้งกันแต่นักฟิสิกส์ยังพยายามที่จะข้ามพ้นข้อจำกัดนั้นโดยใช้ ทฤษฎีโน้มถ่วงเชิงควอนตัม ",
"ในสัมพัทธภาพทั่วไป ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หลุมขาว () เป็นพื้นที่สมมติชนิดหนึ่งในทางทฤษฎีของกาลอวกาศซึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถเข้าไปได้ แต่สสารและแสงสามารถหนีออกมาได้ (ตรงกันข้ามกับหลุมดำ) \nหลุมขาวปรากฏอยู่ในทฤษฎีหลุมดำนิรันดร์ อย่างไรก็ตามการเกิดหลุมดำสามารถเกิดได้ผ่านการยุบตัวอันเกิดจากแรงโน้มถ่วง แต่หลุมขาวยังไม่สามารถเกิดได้ผ่านกระบวนการทางกายภาพที่รู้จัก",
"อัลแบร์ท ไอน์ชไตน์ (German: Albert Einstein) หรือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม กลศาสตร์สถิติ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ใน พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก\"การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี\"",
"หลักการนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างหนักแน่น จากนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือกาลิเลโอ กาลิเลอี ที่มองธรรมชาติเป็นสิ่งที่สวยงามดั่งศิลปะ ",
"ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิด ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในปี ค.ศ. 1905",
"ผู้จัดการออนไลน์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้จัดการออนไลน์",
"แถลงการณ์รัสเซลล์–ไอน์สไตน์ เป็นแถลงการณ์ของเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1955 ระหว่างสงครามเย็น แถลงการณ์นี้มีสาระสำคัญเน้นย้ำถึงภัยจากอาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้ผู้นำชาติต่าง ๆ หามติร่วมกันเพื่อป้องกันความขัดแย้งในระดับนานาชาติ ผู้ลงนามในแถลงการณ์นี้ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์และปัญญาชนชั้นนำ รวมถึงอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่ลงนามก่อนเสียชีวิตในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1955 ไม่กี่วัน หลังจากประกาศไม่นาน ไซรัส เอส. อีตันได้เสนอและสนับสนุนให้จัดการประชุมดังกล่าวขึ้น ดังที่ได้เรียกร้องไว้ในแถลงการณ์ โดยจัดในพักวอช รัฐโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอีตัน การประชุมดังกล่าวมีขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1957 และถือเป็นการประชุมครั้งแรกของการประชุมพักวอชว่าด้วยวิทยาศาสตร์และกิจการโลก",
"รัสเซลล์และรอทแบลทได้ร่วมกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในการร่างแถลงการณ์ที่ภายหลังเรียกว่าแถลงการณ์รัสเซลล์–ไอน์สไตน์",
"{{subst:#if:|}} [[Category:{{subst:#switch:{{subst:uc:1879}}",
"นอกจากนั้น หัวข้อในปี พ.ศ. 2542 ก็ถูกเปลี่ยนเป็น \"บุคคลแห่งศตวรรษ\" และผู้ได้รับการคัดเลือกคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์",
"การอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกจะต้องอาศัยคุณสมบัติของแสงในรูปของอนุภาค โดยเกิดขึ้นได้เมื่ออนุภาคโฟตอน \" (อนุภาคแสง) \" ที่มีพลังงานสูงชนกับอิเล็กตรอนในสสารจึงทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกมาพร้อมกับมีพลังงานจลน์ติดตัวออกมาด้วย ซึ่งผู้ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้สมบูรณ์คืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาจึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี พ.ศ. 2464 และความเข้าใจคุณสมบัติความเป็นอนุภาคของแสงส่งผลให้เกิดความเข้าใจในเรื่องทวิภาคของคลื่น–อนุภาคในเวลาต่อมา",
"ผลงานของไอน์ชไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่ง:",
"ไอน์สไตน์มีบุตรสาวหนึ่งคนกับมิเลวา มาริค ชื่อว่า ไลแซล (Lieserl) คาดว่าเกิดในตอนต้นปี พ.ศ. 2445 ที่เมือง Novi Sad[9]",
"ถ้ามวลของนิวเคลียสหลังจากเกิดปฏิกิริยาฟิวชั่นมีน้อยกว่าจำนวนมวลรวมของอนุภาคขณะที่ยังแยกกัน มวลที่แตกต่างกันระหว่างค่าทั้งสองอาจจะแพร่ออกไปในลักษณะของพลังงานบางอย่าง (เช่น รังสีแกมมา หรือพลังงานจลน์ของอนุภาคบีตา) ดังที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อธิบายไว้ในสมการสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน E=mc2 เมื่อ m คือมวลที่สูญหายไป และ c คือความเร็วแสง จำนวนที่หายไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสใหม่ และเป็นการสูญเสียพลังงานแบบไม่มีวิธีย้อนกลับ ซึ่งทำให้อนุภาคที่หลอมรวมกันยังคงอยู่ในสถานะที่จำเป็นต้องใช้พลังงานในระดับนั้นเพื่อแยกตัวออกจากกัน[56]",
"นอกจากงานคณิตศาสตร์แล้ว เขายังมีอิทธิพลในด้านฟิสิกส์ด้วย กล่าวคือ เขาเป็นหนึ่งในผู้ให้กำเนิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ ร่วมกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าไอน์สไตน์ลอกงานของฮิลเบิร์ท เพียงแต่ทฤษฎีของทั้งคู่มีความคล้ายคลึงกัน",
"นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟเคยถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองพิสูจน์การมีตัวตนของอีเทอร์ () หรือที่เรียกว่าการทดลองของไมเคิลสัน-มอร์เลย์ () ในปี พ.ศ. 2430 โดย อัลเบิร์ต เอ ไมเคลสัน () จากสถาบันเทคโนโลยีเคสและ เอ็ดเวิร์ด ดับบิว มอร์ลีย์ () จากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ ซึ่งการทดลองนี้สนับสนุนความคิดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในการสร้างสัจพจน์ข้อที่สองของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ จากผลงานนี้ทำให้อัลเบิร์ต เอ ไมเคลสันได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในปี พ.ศ. 2450 โดยถือเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล",
"ต่อไปนี้เป็นรายชื่ออนุสรณ์ส่วนหนึ่ง",
"เกาะนี้ใช้เป็นสถานที่ในการพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ พิสูจน์โดยอาเทอร์ สแตนลีย์ เอดิงตัน และทีม ในระหว่างเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1919",
"ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง () เป็นทฤษฎีที่เกิดจากความต้องการในการหาคำตอบของปริมาณทางฟิสิกส์ในเรื่องต่างๆ ด้วยชุดสมการเพียงชุดเดียว ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความท้าทายของมนุษย์ต่อธรรมชาติ โดยทฤษฎีนี้ได้ถูกริเริ่มมาจาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพอันโด่งดัง ซึ่งเขาคาดว่าทฤษฎีดังกล่าวสามารถเป็นจริงได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในหัวข้อนี้ได้ แต่นักฟิสิกส์ในปัจจุบันก็มีความพยายามที่จะสร้างและคาดหวังต่อทฤษฎีดังกล่าว จนเป็นประเด็นทางฟิสิกส์ที่มีนักฟิสิกส์ทฤษฎีสนใจกันมากที่สุดทฤษฎีหนึ่งอีกด้วย",
"ในปี พ.ศ. 2483 แชนนอนได้เข้าทำงานเป็นนักวิจัยใน ซึ่งในที่นั้นแชนนอนได้พบปะพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง อาทิ จอห์น ฟอน นอยมันน์ นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ผู้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์แบบปัจจุบัน หรือบางครั้งแม้แต่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในที่แห่งนั้นเอง แชนนอนเริ่มเกิดแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีสารสนเทศขึ้นมา",
"สมการดังกล่าวเป็นสมการที่ได้รับการพัฒนาโดยแฮ็นดริก โลเรินตส์ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่พัฒนาทฤษฎีที่เกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยังได้นำสมการดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษอีกด้วย",
"ใน พ.ศ. 2443 เขาได้รับประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิส ได้รับสิทธิ์พลเมืองสวิสในปี พ.ศ. 2444 และ พ.ศ. 2448 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซูริค[4]",
"\"การเกณฑ์ทหารเป็นการใช้แรงงานทาสรูปแบบหนึ่ง\" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ H.G. Wells, Bertrand Russell and Thomas Mann ",
"อัจฉริยบุคคล คือบุคคลที่แสดงความสามารถทางปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ หรือความคิดริเริ่ม ในระดับที่เกิดจากเชาว์ปัญญาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง อาจหมายถึงมุมมองเฉพาะของแต่ละบุคคล อาจเป็นนักวิชาการในหลายสาขา (เช่น กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ หรือ เลโอนาร์โด ดา วินชี) หรือนักวิชาการในสาขาเดียว (เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือ ชาลส์ ดาร์วิน) ไม่มีคำนิยามของอัจฉริยบุคคลทางวิทยาศาสตร์ และคำถามที่ว่าในตัวความนึกคิดเองมีความหมายที่แท้จริงหรือไม่นั้น ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่"
] |
ประเทศอินโดนีเซียมีเกาะทั้งหมดกี่เกาะ? | [
"อินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 1,826,440 ตารางกิโลเมตร มีประมาณ 17,000 เกาะ พื้นที่กว่า 70% ไม่มีผู้คนอาศัย มีภูเขาสูงตามเทือกเขาที่มีความสูงมากอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ตามบริเวณเขามักมีภูเขาไฟและมีที่ราบรอบเทือกเขา ชายเกาะมีความสูงใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล ทำให้มีที่ราบบางแห่งเต็มไปด้วยหนองบึงใช้ประโยชน์ไม่ได้"
] | [
"ชาวพุทธในอินโดนีเซียช่วงนี้ ไม่ได้มีบทบาทเด่นๆใดๆเลย และกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ภายใต้ชาวมุสลิม ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ และเป็นเช่นนี้เรื่อยๆจนถึงยุคฮอลันดาปกครอง และได้รับเอกราช ชาวอินโดนีเซียพุทธนั้นส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกของเกาะชวา เกาะบาหลี เกาะบังกา-เกาะเบลิตุง และบางส่วนของเกาะสุมาตรา",
"ในทางการเมือง หมู่เกาะโมลุกกะเป็นจังหวัดหนึ่งในอินโดนีเซียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 ถึงปี พ.ศ. 2542 มาลูกูเหนือและฮัลมาเฮรากลางถูกแยกออกเป็นอีกจังหวัดหนึ่ง ดังนั้น หมู่เกาะนี้จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 จังหวัด คือ มาลูกู (Maluku) และมาลูกูเหนือ (North Maluku) ระหว่างปี 2542 ถึง 2545 เป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมกับชาวคริสต์ แต่ก็เพิ่งกลับมาสงบสุขเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา",
"ประเทศอินโดนีเซียมีเกาะหลัก 5 เกาะคือ นิวกินี, ชวา, กาลีมันตัน, ซูลาเวซี และสุมาตรา เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะสุมาตรา ส่วนเกาะชวาเป็นเกาะที่เล็กที่สุดในบรรดาเกาะหลักทั้ง 5 เกาะ แต่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรกว่า 200 ล้านคนอาศัยอยู่บนเกาะนี้และเป็นที่ตั้งกรุงจาการ์ตาซึ่งเป็นเมืองหลวง หมู่เกาะเหล่านี้อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก ชายฝั่งของประเทศอินโดนีเซียยาวประมาณ 2,600 กิโลเมตร และมีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ปาปัวนิวกีนี และติมอร์-เลสเต",
"ออสเตรเลีย (English: Australia) หรือชื่อทางการคือ เครือรัฐออสเตรเลีย (Commonwealth of Australia)[1] เป็นประเทศซึ่งประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย, เกาะแทสเมเนีย และเกาะอื่น ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ มันเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับหกของโลกเมื่อนับพื้นที่ทั้งหมด ประเทศเพื่อนบ้านของออสเตรเลียประกอบด้วย อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินีและติมอร์-เลสเตทางเหนือ หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู และนิวแคลิโดเนียทางตะวันออกเฉียงเหนือ และนิวซีแลนด์ทางตะวันออกเฉียงใต้",
"ฟิลิปปินส์เป็นกลุ่มเกาะที่ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ[15] มีเนื้อที่ทั้งหมด (รวมพื้นผิวแหล่งน้ำภายในแผ่นดิน) ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์)[16] ชายฝั่งทะเลยาว 36,289 กิโลเมตร (22,549 ไมล์) ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีชายฝั่งยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก[17][18] ฟิลิปปินส์มีที่ตั้งซึ่งกำหนดโดยพิกัดภูมิศาสตร์คือ ระหว่างลองจิจูด 116° 40' ตะวันออก ถึง 126° 34' ตะวันออก กับละติจูด 4° 40' เหนือ ถึง 21° 10' เหนือ มีอาณาเขตจรดทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก[19] จรดทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก[20] และจรดทะเลเซเลบีสทางทิศใต้[21] เกาะบอร์เนียว[22] ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และไต้หวันตั้งอยู่ทางทิศเหนือโดยตรง หมู่เกาะโมลุกกะและเกาะซูลาเวซีตั้งอยู่ทางทิศใต้-ตะวันตกเฉียงใต้ และปาเลาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่เกาะ[17]",
"ประเทศสมัยใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดห้าประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกาะ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักร รัฐกลุ่มเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตามพื้นที่ คือ อินโดนีเซีย กลุ่มเกาะที่มีเกาะมากที่สุดอยู่ในทะเล Archipelago ในฟินแลนด์",
"หมู่เกาะตาเลาด์ (Talaud Islands) เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะซูลาเวซี ประเทศอินโดนีเซีย แต่เป็นหมู่เกาะที่อยู่ทางเหนือสุดทางทิศตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย หมู่เกาะมีประชากร 83,441 คน จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2010",
"บอร์เนียว () หรือ กาลีมันตัน () เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากเกาะกรีนแลนด์ (อันดับ 1) และเกาะนิวกินี (อันดับ 2) มีประเทศ 3 ประเทศอยู่ในเกาะบอร์เนียว คือ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย อยู่บริเวณใจกลางกลุ่มเกาะมลายูและประเทศอินโดนีเซีย ในทางภูมิศาสตร์ เกาะบอร์เนียวเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้",
"เกาะชวา (อินโดนีเซีย: Pulau Jawa, ชวา: Pulo Jawa) เป็นชื่อเดิมของหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง จาการ์ตา เป็นเกาะที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และมีประชากรมากกว่าทวีปออสเตรเลียและแอนตาร์กติกา (รายชื่อเกาะตามจำนวนประชากร) มีเนื้อที่ 132,000 ตารางกิโลเมตร ประชากร 127 ล้านคน และมีความหนาแน่นประชากร 864 คนต่อกม.² ซึ่งถ้าเกาะชวาเป็นประเทศแล้วจะมี ความหนาแน่นประชากรเป็นปันดับ 2 รองจากประเทศบังคลาเทศ ยกเว้นนครรัฐที่มีขนาดเล็ก",
"ในประเทศอินโดนีเซีย มีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 300 ชนเผ่า โดย 95% เป็นชาวอินโดนีเซีย โดยกำเนิด\nชาวชวา เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนมากเกือบๆ 52% ของสัดส่วนประชากร ชาวชวามีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะชวา แต่มีชาวชวามากกว่าล้านคน ไปตั้งถิ่นฐานตามหมู่เกาะต่างๆในประเทศอินโดนีเซีย เพราะการอพยบเคลื่อนย้าย นอกจากชาวชวาแล้ว ยังมีชาวซุนดา, มลายู และชาวมาดูรา เรียงตามลำดับสัดส่วนขอประชากร ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะแยกย่อยไปอีกเป็นจำนวนมากใน เกาะกาลีมันตัน และเกาะนิวกินี มีเพียงร้อยคน ต่อสัดส่วนจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ",
"อินโดนีเซียมีทางน้ำที่ใช้สัญจรได้ถึง 21,579 กิโลเมตร (ข้อมูลปี ค.ศ. 2005) ซึ่งครึ่งหนึ่งอยู่ในภูมิภาคกาลีมันตัน และอีกครึ่งหนึ่งอยู่บนเกาะสุมาตราและเกาะปาปัว ทางน้ำเป็นทางสัญจรหลักของผู้คนบนเกาะกาลีมันตันและเกาะปาปัวซึ่งมีระบบถนนที่ยังไม่ค่อยดีจะดีนัก ต่างจากเกาะชวาและเกาะสุมาตราซึ่งเป็นเกาะที่มีการพัฒนาสูง ประเทศอินโดนีเซียติดอันดับที่ 7 ในด้านประเทศที่มีทางน้ำยาวที่สุดในโลก",
"กรณีพิพาทเกาะซีปาดันและลีฆีตันเป็นความขัดแย้งระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย โดยทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน บริเวณเกาะซีปาดันและเกาะลีฆีตัน ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 10.4 และ 7.4 เฮกตาร์ ฝ่ายอินโดนีเซียอ้างว่าเกาะนี้เป็นของอินโดนีเซียตามข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ เมื่อ พ.ศ. 2434 เกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนบริเวณกาลิมันตัน ซึ่งกำหนดเขตแดนของทั้งสองประเทศที่เกาะเซบาติก ทำให้เกาะทั้งสองอยู่ในเขตของอินโดนีเซีย ส่วนมาเลเซียกล่าวอ้างว่าเกาะทั้งสองอยู่ในอำนาจของมาเลเซียเพราะตกทอดมาจากสมัยสุลต่านซูลูครองอำนาจ และตกทอดไปยังสเปน จากนั้น อังกฤษมารับช่วงต่อตั้งแต่ พ.ศ. 2421",
"(ทอเรียม) และ (ยูเรเนียม) เป็นไอโซโทปที่พบเห็นในธรรมชาติเพียงไม่กี่ไอโซโทปเท่านั้นที่ค่อนข้างเสถียรที่อยู่หลังบิสมัทและมีครึ่งชีวิตยาวนานมากกว่าหรือใกล้เคียงกับอายุของจักรวาล บิสมัทได้ถูกค้นพบในปี 2546 ว่าไม่เสถียร และสลายตัวโดยการปล่อยอนุภาคแอลฟาออกมา ด้วยครึ่งชีวิตประมาณ ปีสำหรับไอโซโทปหลังบิสมัทที่เหลือทั้งหมดนั้นค่อนข้างไม่เสถียรหรือไม่เสถียรมาก ดังนั้นตารางธาตุหลักจึงสิ้นสุดตรงนั้น (ตามความคล้ายคลึงกันทางภูมิศาสตร์จุดนั้นจะอยู่บริเวณขอบของทวีป อย่างไรก็ตาม ไหล่ทวีปนั้นดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบ น้ำตื้นจะเริ่มต้นที่เรเดียมและค่อยตกลงไปอีกทีหลังแคลิฟอร์เนียม โดยมีเกาะที่สำคัญตั้งอยู่ที่ทอเรียมและยูเรเนียม และเกาะเล็กเกาะน้อยอย่างเช่นพลูโทเนียม ซึ่งเกาะทั้งหมดถูกล้อมรอบโดย \"ทะเลแห่งความไม่เสถียร\" () โดยแสดงให้เห็นว่าธาตุเช่นแอสทาทีน เรดอน และ แฟรนเซียม มีความสัมพันธ์กับธาตุเบาทั้งหมด และยังมีครึ่งชีวิตที่น้อยมากีกดวย ยกเว้นธาตุหนักที่ถูกค้นพบมาแล้วทั้งหมดจนถึงตอนนี้",
"ภาษาบาหลี เป็นภาษาท้องถิ่นของเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ใช้พูดในเกาะชวา เกาะบาหลีและเกาะลอมบอก มีผู้พูด 3.8 ล้านคน คิดเป็น 2.1 % ของประชากรอินโดนีเซียทั้งประเทศ โดยที่ชาวบาหลีส่วนใหญ่จะพูดภาษาอินโดนีเซียเป็นภาษาที่สอง เขียนด้วยอักษรบาหลีและอักษรละติน เป็นภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน ใกล้เคียงกับภาษาซาซักและภาษากัมเบอราในเกาะซุมบาวา มีการแบ่งระดับชั้นภายในภาษา",
"ในประเทศไทย พบวาฬเพชฌฆาตเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง โดยในปี ค.ศ. 1993 พบในทะเลอันดามันทั้งหมด 9 ครั้ง โดยเป็นที่หมู่เกาะสุรินทร์ 5 ครั้ง และหมู่เกาะสิมิลัน 4 ครั้ง และพบอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ที่ฝั่งอ่าวไทย บริเวณเกาะช้าง โดยเป็นวาฬตัวเมียขนาดเล็กที่ได้รับบาดเจ็บ 2 ตัว ซึ่งในตอนแรกเชื่อว่าเป็นโลมาอิรวดี[15] จนกระทั่งพบอีกครั้งในต้นปี ค.ศ. 2016 โดยนักท่องเที่ยวสามารถบันทึกภาพไว้ได้เมื่อต้นปี ค.ศ. 2016 ที่หาดกะรน จังหวัดภูเก็ต[16]",
"ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียคือคาบสมุทรมลายู (เป็นจุดสิ้นสุดของเอเชียแผ่นดินใหญ่) และมีหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียเป็นจุดสิ้นสุดอาณาเขตของทวีปเอเชียซึ่งรวมเกาะเล็กเกาะน้อยที่เป็นหมู่เกาะร้างของประเทศอินโดนีเซียด้วยแต่สำหรับเกาะนิวกินีนั้นถือว่าเป็นเกาะของทวีปออสเตรเลีย ถึงแม้ทวีปออสเตรเลียจะอยู่ใกล้กับทวีปเอเชียมากแต่ก็ถือว่าเป็นอีกทวีปนึงเนื่องจากทั้งสองทวีปนี้อยู่บนเปลือกโลกคนละแผ่นกันส่วนหมู่เกาะของประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลียนั้นก็ถือว่าเป็นหมู่เกาะของโอเชียเนีย",
"ภาษาอินโดนีเซียเป็นทำเนียบภาษามาตรฐานของภาษามลายูเรียว ซึ่งแม้จะมีชื่อเรียกเช่นนั้นแต่ก็ไม่ใช่ภาษามลายูที่เป็นสำเนียงท้องถิ่นของหมู่เกาะเรียว แต่หมายถึงภาษามลายูคลาสสิกที่ใช้ในราชสำนักของรัฐสุลต่านมะละกา จากเดิมที่มีผู้ใช้กันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา ภาษามลายูได้กลายเป็นภาษากลางในบริเวณหมู่เกาะที่เป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันมาหลายร้อยปี จารึกเกอดูกันบูกิตเป็นหลักฐานที่เก่าที่สุดที่ใช้ภาษามลายูโบราณซึ่งเป็นภาษาราชการในสมัยจักรวรรดิศรีวิชัย ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา ภาษามลายูโบราณได้มีการใช้ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย เห็นได้จากจารึกสมัยศรีวิชัย และจารึกอื่น ๆ ตามบริเวณชายฝั่ง เช่นที่เกาะชวา การติดต่อค้าขายโดยชาวพื้นเมืองในเวลานั้นเป็นสื่อกลางในการแพร่กระจายของภาษามลายูโบราณในฐานะภาษาทางการค้า และกลายเป็นภาษากลางที่มีผู้ใช้อย่างแพร่หลายในบริเวณหมู่เกาะ",
"ใน พ.ศ. 2548 Malcolm Ross ได้เสนอข้อเสนอเกี่ยวกับกลุ่มภาษาทรานส์-นิวกินีขึ้นใหม่ โดยใช้ข้อมูลจากรากศัพท์เพียงอย่างเดียว ทำให้มีความคล้ายคลึงกับสมมติฐานของ Wurm ถึง 85%\nภาษาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีผู้พูดไม่กี่พันคน มีเพียงสี่ภาษาเท่านั้น คือภาษาเมลปา ภาษาเองา ภาษาดานีตะวันตก และภาษาเอการี ที่มีผู้พูดมากกว่า 100,000 คน ภาษาที่มีผู้พูดมากที่สุดที่อยู่นอกเกาะนิวกินีคือภาษามากาแซ บนเกาะติมอร์ มีผู้พูด 70,000 คน ความหลากหลายทางด้านสัทศาสตร์ของภาษาในกลุ่มนี้พบมากในบริเวณที่สูงภายในเกาะนิวกินี ซึ่งเป็นบริเวณตอนกลางและด้านตะวันออกของเกาะนิวกินี บริเวณอิเรียนจายาที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซีย มีความหลากหลายของภาษาน้อยกว่า Ross อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า เดิมผู้พูดภาษาเหล่านี้อยู่ที่บริเวณที่สูงของเกาะแล้วค่อยๆแพร่กระจายลงมา และเคลื่อนย้ายไปทางตะวันตกสุดเพียงเกาะติมอร์ เนื่องจากการขยายตัวเข้ามาของผู้พูดภาษากลุ่มออสโตรนีเซียน",
"นูซาเติงการาตะวันออก () เป็นจังหวัดที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศอินโดนีเซีย โดยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่เกาะซุนดาน้อย อยู่ทางใต้ของมหาสมุทรอินเดีย และอยู่ทางเหนือของทะเลโฟลเร็ซ ในอาณาเขตมีเกาะทั้งหมด 500 เกาะ โดยมีเกาะที่ใหญ่ที่สุดภายในอาณาเขต อาทิ เกาะซุมบา, เกาะโฟลเร็ซ, พื้นที่ทางตะวันตกของเกาะติมอร์ (พื้นที่นี้มีพรมแดนร่วมกับประเทศติมอร์-เลสเต) ในจังหวัดมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 21 อำเภอ กับนครระดับอำเภอ คือ กูปัง ถือว่าเป็นเมืองหลักและเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดนี้",
"สภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย หรือ “โอซีเอ” จัดกีฬาเอเชี่ยนบีชเกมส์มาเพื่อสร้างความหลากหลายให้กับวงการกีฬาของเอเชีย และได้นำกีฬาที่ไม่มีการแข่งขันในเอเชี่ยนเกมส์มาบรรจุแข่งขันในเอเชี่ยนบีชเกมส์ เจ้าภาพครั้งแรกคือ ประเทศอินโดนีเซีย ที่เกาะบาหลี มีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 19 ชนิด โดยมีการชิงชัย 71 เหรียญทอง และมี 45 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน มีสโลแกนการแข่งขันว่า “ไมตรีจิต คำมั่นสัญญา ความศรัทธาอย่างแรงกล้า สปิริตในเกมกีฬา” โดยครั้งแรกมีการแข่งขันที่ 4 ชายหาด ของเกาะบาหลี คือ \nประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันครั้งแรกนี้ 16 ชนิด กีฬาที่ไม่ได้ส่งเข้าแข่งขันเช่นโปโลน้ำ ว่ายน้ำมาราธอน เพราะไม่มีการเล่นแพร่หลายในประเทศไทยรวมนักกีฬาไทยที่เข้าแข่งขันครั้งนี้ทั้งหมด 201 คน จำนวนมากเป็นอันดับสองรองจากประเทศอินโดนีเซียที่เป็นเจ้าภาพ",
"อุทยานแห่งชาติโคโมโด () เป็นอุทยานแห่งชาติในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ใกล้หมู่เกาะซุนดาน้อย ระหว่างจังหวัดนูซาเติงการาตะวันออกกับจังหวัดนูซาเติงการาตะวันตก อุทยานประกอบด้วยเกาะใหญ่ 3 เกาะ คือ เกาะโกโมโด เกาะรินจา และเกาะปาดาร์ รวมทั้งยังมีเกาะเล็ก ๆ อีกมากมาย ซึ่งเกาะเหล่านี้กำเนิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟ มีพื้นที่รวมทั้งหมด 1,817 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,135,625 ไร่ (ส่วนที่เป็นแผ่นดิน 603 ตารางกิโลเมตร หรือ 376,875 ไร่) มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 4,000 คน ก่อตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2523 เพื่ออนุรักษ์มังกรโกโมโด ซึ่งเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น ภายหลังยังจัดเป็นพื้นที่สำหรับอนุรักษ์สัตว์ป่าและสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ อีกด้วย ใน พ.ศ. 2534 อุทยานได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทางธรรมชาติยุคใหม่อีกด้วย",
"เตอร์นาเต () เป็นเกาะในหมู่เกาะโมลุกกะ ทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่นอกฝั่งตะวันตกของเกาะที่ใหญ่กว่า คือ เกาะฮัลมาเฮรา เช่นเดียวกันเกาะบริเวณใกล้เคียง เกาะมีภูเขาไฟรูปกรวย เกาะแห่งนี้เคยเป็นเกาะที่ผลิตกานพลูแห่งเดียวของโลก ทำให้สุลต่านกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในอินโดนีเซีย ",
"นาการาเกรอตากามา () พงศาวดารของราชวงศ์มัชปาหิต ถือว่าติมอร์เป็นรัฐบรรณาการ แต่ตามที่ตูแม ปีรึช () ผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกส ได้เขียนไว้เมื่อพุทธศตวรรษที่ 21 เกาะที่อยู่ทางตะวันออกของเกาะชวาทั้งหมดถูกเรียกว่าติมอร์ นักชาตินิยมชาวอินโดนีเซียใช้พงศาวดารของราชวงศ์มัชปาหิตในการกล่าวอ้างว่าติมอร์ตะวันออกเป็นของอินโดนีเซีย นักสำรวจชาวยุโรปรุ่นแรกรายงานว่า เกาะมีผู้ปกครองเป็นเจ้าชายหรือหัวหน้าเผ่า ส่วนที่มีความสำคัญที่สุดคือเวฮาลีหรือราชอาณาจักรเวฮาเล ในติมอร์ตอนกลาง ซึ่งมีชาวเตตุม ชาวบูนัก และชาวเกมักอาศัยอยู่ ในพุทธศตวรรษที่ 21 เนเธอร์แลนด์และโปรตุเกสได้มาถึงเกาะติมอร์และได้แบ่งเกาะติมอร์ โดยเนเธอร์แลนด์ครอบครองภาคตะวันตกและโปรตุเกสครอบครองภาคตะวันออก ทำให้ติมอร์ตะวันออกมีประวัติศาสตร์ต่างไปจากเกาะข้างเคียง",
"อาหารอินโดนีเซีย () เป็นอาหารทีมีความหลากหลายทางด้านรูปลักษณ์และสีสันเพราะประกอบด้วยประชากรจากเกาะต่าง ๆ ที่มีคนอยู่อาศัยประมาณ 6,000 เกาะจากทั้งหมด 18,000 เกาะ มีอาหารเฉพาะถิ่นจำนวนมาก และได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ทำให้อาหารอินโดนีเซียมีความหลากหลายตามพื้นที่และมีอิทธิพลจากต่างชาติที่หลากหลาย อินโดนีเซียมีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางการค้ามาแต่อดีต มีเทคนิคและส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ และได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ตะวันออกกลาง จีน และท้ายที่สุดคือยุโรป พ่อค้าชาวสเปนและโปรตุเกสได้นำผลิตภัณฑ์จากโลกใหม่เข้ามาก่อนที่ชาวดัตช์จะเข้ามายึดครองหมู่เกาะเกือบทั้งหมดเป็นอาณานิคม หมู่เกาะโมลุกกะหรือมาลูกูของอินโดนีเซียได้รับสมญาว่าหมู่เกาะเครื่องเทศ ซึ่งเป็นแหล่งของเครื่องเทศ เช่น กานพลู จันทน์เทศ วิธีการปรุงอาหารหลัก ๆ ของอินโดนีเซียได้แก่ ผัด ย่าง ทอด ต้ม และนึ่ง อาหารอินโดนีเซียที่เป็นที่นิยมได้แก่ นาซีโกเร็งหรือข้าวผัด กาโดกาโด สะเต๊ะ และโซโต ซึ่งเป็นอาหารที่มีลักษณะเฉพาะและถือเป็นอาหารประจำชาติ",
"การขนส่งในอินโดนีเซีย มีกระจายอยู่ในเกาะกว่า 1,000 แห่งของประเทศ แต่เกาะที่มีปริมาณการขนส่งที่หนาแน่นที่สุดคือเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย มีการขนส่งครบทุกรูปแบบ โดยที่มีมากที่สุดคือ ถนน มีครอบคลุมทั่วทั้งประเทศกว่า 437,759 กิโลเมตรในปี ค.ศ. 2008 ส่วนการขนส่งระบบราง มีเฉพาะในเกาะชวาและเกาะสุมาตรา การขนส่งทางทะเล เนื่องจากเป็นประเทศหมู่เกาะ จึงเป็นศูนย์การขนส่งทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่ง โดยในแต่ละเกาะ จะมีเมืองท่าอย่างน้อย 1 แห่ง ส่วนการขนส่งทางแม่น้ำ พบได้ในสุมาตราตะวันออกและกาลีมันตัน และการขนส่งทางอากาศ มีสายการบินให้บริการมากมาย และมีท่าอากาศยานครอบคลุมทั่วประเทศ",
"อินโดนีเซีย (Indonesian: Indonesia) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Indonesian: Republic of Indonesia) เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรอินโดจีนกับทวีปออสเตรเลีย และระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียวหรือกาลีมันตัน (Kalimantan), ประเทศปาปัวนิวกินีบนเกาะนิวกินีหรืออีรียัน (Irian) และประเทศติมอร์-เลสเตบนเกาะติมอร์ (Timor)",
"จังหวัดชวาตะวันออก (, ย่อว่า Jatim, ) เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะชวา ยังรวมถึงเกาะมาดูราที่เชื่อมกับเกาะชวาโดยสะพานที่ยาวที่สุดในอินโดนีเซียที่ชื่อสะพานซูรามาดู และรวมถึงหมู่เกาะกาเงอันและหมู่เกาะมาซาเล็มบูที่ตั้งอยู่ทางตะวันออและเหนือ ตามลำดับ เมืองหลวงของจังหวัดคือ ซูราบายา เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซียและเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ บาญูวางีเป็นอำเภอที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดชวาตะวันออก และใหญ่ที่สุดของเกาะชวา",
"บริษัทฯ ยังคงมีความสำคัญทางการค้าเป็นเวลาเกือบสองศตวรรษ โดยจ่ายส่วนแบ่งประจำปีร้อยละ 18 เป็นเวลาเกือบ 200 ปี จนกระทั่งเกิดการล้มละลายและล้มเลิกกิจการอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2343 ทรัพย์สินต่าง ๆ และหนี้ของบริษัทได้ถูกครอบครองแทนโดยรัฐบาลของสาธารณรัฐบาเทเวีย ส่วนดินแดนในครอบครองของบริษัทฯ ได้กลายเป็นหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์และแผ่ขยายออกไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพื่อรวมหมู่เกาะอินโดนีเซียทั้งหมดเข้าด้วยกัน และคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงเกิดเป็นประเทศอินโดนีเซียบริษัทการค้าบริษัทอื่น ๆ ในยุคการเดินเรือ\nผู้ว่าราชการบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์",
"โฟลเร็ซตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะซุมบาวาและเกาะโกโมโด ทางทิศตะวันตกของเกาะเลิมบาตาและกลุ่มเกาะอาโลร์ และทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะติมอร์ อีกฟากหนึ่งของช่องแคบซุมบาทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของเกาะซุมบา และพ้นทะเลโฟลเร็ซขึ้นไปทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของเกาะซูลาเวซี ในบรรดาเกาะทั้งหมดที่ประกอบเป็นดินแดนอินโดนีเซีย โฟลเร็ซเป็นเกาะที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 10 รองจากเกาะชวา, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว, เกาะซูลาเวซี, เกาะนิวกินี, เกาะบาหลี, เกาะมาดูรา, เกาะลมบก และเกาะติมอร์ และยังเป็นเกาะที่มีพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 10 ของอินโดนีเซียอีกด้วย"
] |
เฟอร์ริตินเป็นคอมเพล็กซ์โปรตีนรูปทรงกลมที่มีหน่วยย่อย? | [
"เฟอร์ริตินเป็นคอมเพล็กซ์โปรตีนรูปทรงกลมที่มีหน่วยย่อย 24 หน่วยและเป็น \"โปรตีนเก็บธาตุเหล็กในเซลล์\" หลักทั้งในโพรแคริโอตและยูแคริโอต โดยเก็บเหล็กในรูปแบบที่ละลายน้ำได้และไม่มีพิษ ส่วนเฟอร์ริตินที่ไม่รวมเข้ากับธาตุเหล็กก็จะเรียกว่า apoferritin"
] | [
"เฟอร์ริตินของสัตว์มีกระดูกสันหลังมีหน่วยย่อย 2-3 หน่วยซึ่งตั้งชื่อตามมวลโมเลกุล คือ L \"light\" (เบา), H \"heavy\" (หนัก), และ M \"middle\" (ปานกลาง) แต่แบบ M พบในกบบูลฟร็อกเท่านั้น ส่วนในแบคทีเรียและอาร์เคีย เฟอร์ริตินจะมีหน่วยย่อยหน่วยเดียว[19]",
"แม้กระจุกดาวทรงกลมจะมีรูปร่างปรากฏดูคล้ายทรงกลม แต่ก็อาจมีสภาพคล้ายรูปไข่ได้ขึ้นกับแรงปฏิกิริยาไทดัล กระจุกดาวที่อยู่ในทางช้างเผือกและดาราจักรแอนดรอเมดามักมีสัณฐานค่อนข้างกลม ขณะที่กระจุกดาวในเมฆแมเจลแลนใหญ่จะมีรูปทรงคล้ายไข่มากกว่า",
"หน่วยย่อย H และ M ของเฟอร์ริตินในยูแคริโอต และหน่วยย่อยทั้งหมดของแบคทีเรียและอาร์เคีย (ซึ่งล้วนเป็นแบบ H) จะมี ferroxidase เป็นเอนไซม์เปลี่ยนเหล็กจากรูปแบบ Fe2+ (ferrous, di-iron) เป็น Fe3+ (ferric) ซึ่งจำกัดปฏิกิริยาที่เกิดระหว่าง Fe2+ กับไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ที่เรียกว่า Fenton reaction ซึ่งผลิตอนุมูลอิสระของไฮดรอกซิลที่มีอันตรายมาก การทำงานของ ferroxidase จะเกิดที่จุดยึด di-iron ที่ตรงกลางของหน่วยย่อย H แต่ละหน่วย[19][20] หลังจากกระบวนการออกซิเดชันของ Fe (II) ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Fe (III) จะอยู่ในสภาพไม่ค่อยเสถียร (metastable) ตรงกลางของ ferroxidase จนกระทั่ง Fe (II) เข้าไปแทนที่มัน[20][21] ซึ่งดูจะเป็นกลไกสามัญของเฟอร์ริตินในอาณาจักรสิ่งมีชีวิตทั้งสาม[19] เฟอร์ริตินแบบ L ไม่มีการทำงานของ ferroxidase แต่อาจมีหน้าที่ส่งอิเล็กตรอนผ่านกรงโปรตีน (protein cage)[22]",
"ไวรัสที่มีรูปร่างเป็นท่อนตรง (Stiff rod) ไวรัสแบบนี้มักมีความกว้างของอนุภาคไม่เกิน 25 nm และความยาว 130-300 nm ไวรัสที่มีรูปร่างเป็นแท่งคด (Flexuous or Filamentous particle) อนุภาคไวรัสแบบนี้มักมีความกว้างไม่เกิน 13 nm และมีความยาวตั้งแต่ 480-2,000 nm ไวรัสที่มีรูปหลายเหลี่ยม (Icosahedron) แต่เดิมการศึกษาไวรัสด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนกำลังขยายต่ำทำให้เข้าใจกันว่า เป็นอนุภาคแบบทรงกลม แต่ปัจจุบันพบว่าไวรัสที่มีรูปทรงกลมที่จริงเป็นรูปหลายเหลี่ยมที่มีด้าน 20 หน้า ประกอบขึ้นเป็นรูปทรงหลายเหลี่ยม แต่ละหน้าจะมีโปรตีนหน่วยย่อย (Protein sub-unit) เรียงกันอย่างสม่ำเสมอ มีโพรงแกนกลางของกรดนิวคลีอิค อนุภาคของไวรัสจำพวกนี้มีขนาดอนุภาค 20-80 nm ไวรัสที่มีรูปร่างแบบกระสุนปืน (Bullet-shape) อนุภาคที่มีรูปร่างแบบนี้จะเป็นแท่งตรง หัวท้ายมน ไม่ตัดตรงแบบท่อนตรง (Stiff rod) มักจะมีความกว้างไม่น้อยกว่า 1/3 ของความยาวไวรัส",
"ยีนเฟอร์ริตินในสปีชีส์ต่าง ๆ คล้ายกันมาก เช่น ยีนในสัตว์มีกระดูกสันหลังล้วนแต่มี intron สามหน่วยและ exon สี่หน่วย[5] ในมนุษย์ intron จะอยู่ระหว่าง residue ของกรดอะมิโนที่ตำแหน่ง 14 และ 15, 34 และ 35, 82 และ 83 นอกจากนั้นแล้ว ยังมี untranslated bases ประมาณ 200 จุดที่ exon สองด้านรวมกันทั้งหมด[6] ส่วน tyrosine residue ที่ตำแหน่ง 27 เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับกระบวนการ biomineralization[7]",
"เฟอร์ริตินเป็นโปรตีนกลวงรูปกลมมีมวลอะตอมที่ 450kDa โดยมีหน่วยย่อย 24 หน่วยและอยู่ในเซลล์ทุกชนิด[6] โดยทั่วไปแล้วจะมีขนาดผ่าศูนย์กลางภายในภายนอกที่ 8 และ 12 นาโนเมตร ตามลำดับ[8]",
"กกคมบางกลม () หรือ \"หญ้าก้ามกุ้ง\" เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอยู่ในวงศ์กก มีอายุขัยหลายปี ลักษณะลำต้นเป็นกอ ตั้งตรง สูง 15-50 เซนติเมตร ปลายลำมีขนคายมือ กาบใบโอบปิดลำรูปทรงกระบอกยาว 3-7 เซนติเมตร มีเหลี่ยมและสันชัดเจน ใบรูปหอกหรือรูปแถบ กว้าง 3-8 มิลลิเมตร ยาว 10-100 เซนติเมตร เนื้อหยาบ ผิวใบและขอบใบมีขนคายมือ ดอกของกกคมบางกลมออกเป็นช่อกระจุก มีช่อดอกย่อย 1-5 ช่อ กระจุกดอกย่อยรูปไข่หรือรูปรี กว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร ยาว 5-12 มิลลิเมตร มีสีเขียวเข้ม กาบช่อย่อยแผ่นเนื้อหยาบ รูปรี เรียงสลับบนแกนช่อย่อย ปลายเป็นหนามแหลมยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้ 6 อัน ส่วนผล มีลักษณะเป็นรูปไข่กลับหรือรูปรี มีผิวเกลี้ยงเป็นคลื่น ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด",
"ธงชัยเฉลิมพลประจำกองทหาร องค์พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นพระราชทานแก่หน่วยทหารเป็นคราวๆ ละหลายธง โดยประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา พระราชพิธีตรึงหมุด ธงชัยเฉลิมพล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีนี้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ท่ามกลางพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ชั้นผู้ใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรึงธงแต่ละผืนติดกับด้ามธง โดยทรงตอกฆ้อนเงินลงบนตะปูทองเหลืองอย่างแน่น ธงหนึ่งมีรูตะปูประมาณ 32-35 ตัว ที่ส่วนบนของคันธงจะมีลักษณะเป็นปุ่มโลหะกลึงกลมสีทองภายในกลวง ปุ่มกลมนั้นทำเป็นฝาเกลียวปิด-เปิดได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงบรรจุเส้นพระเจ้า พร้อมด้วยพระพุทธรูปที่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ชื่อ พระยอดธง ลงในปุ่มกลมแล้วทรงปิดฝาเกลียวขันแน่น ทรงเจิมแป้งกระแจะจันทน์ที่ยอดธงทุกคัน พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา",
"ถึงกระนั้น โปรตีน PKD2L1 โดยตนเองอาจไม่จำเป็นสำหรับการรู้รสเปรี้ยว\nเพราะมีหลักฐานว่า โปรตอนที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในสารเปรี้ยว สามารถเข้าไปในเซลล์รับรสเปรี้ยวที่แสดงออกยีน PKD2L1 โดยตรงผ่านช่องไอออนที่ส่วนยอดซึ่งไม่เกี่ยวกับคอมเพล็กซ์โปรตีนคือ PKD2L1/PKD1L3\nคือการย้ายประจุบวกผ่านช่องไอออนอื่น (ที่ยังกำหนดไม่ได้) เข้าไปในเซลล์รับรสเปรี้ยวก็เพียงพอจุดชนวนการตอบสนองทางไฟฟ้าได้แล้ว",
"หน่วยย่อยกัมมันต์ของจีโปรตีนที่แยกออกจากหน่วยรับเช่นนี้ จะจุดชนวนการส่งสัญญาณในลำดับต่อ ๆ ไปของโปรตีนปฏิบัติงาน (effector protein) มากมาย เช่น phospholipase และช่องไอออน โดยอย่างหลังจะอำนวยให้ปล่อยโมเลกุลส่งสัญญาณที่สองได้\nกำลังของ GPCR ในการขยายสัญญาณจะกำหนดโดยช่วงอายุของคอมเพล็กซ์ลิแกนด์-หน่วยรับ ของหน่วยรับ-คอมเพล็กซ์โปรตีนปฏิบัติงาน และเวลาที่เอนไซม์ในกระบวนการใช้เพื่อระงับฤทธิ์ของหน่วยรับกัมมันต์และโปรตีนปฏิบัติงาน \nเช่น ผ่าน protein kinase phosphorylation หรือ b-arrestin-dependent internalization",
"ในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ อาหารเข้าสู่ปากและการย่อยอาหารเชิงกลเริ่มต้นด้วยการเคี้ยว ซึ่งเป็นการย่อยอาหารเชิงกลรูปแบบหนึ่ง และการสัมผัสทำให้เปียกของน้ำลาย น้ำลายซึ่งเป็นของเหลวที่หลั่งจากต่อมน้ำลาย มีเอ็นไซม์อะไมเลสของน้ำลาย ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่เริ่มการย่อยแป้งในอาหาร น้ำลายยังมีเมือกที่หล่อลื่นอาหาร และไฮโดรเจนคาร์บอเนตซึ่งทำให้ภาวะ pH เหมาะสม (ด่าง) สำหรับการทำงานของอะไมเลส หลังการเคี้ยวและการย่อยแป้งดำเนินไป อาหารจะอยู่ในรูปของก้อนแขวนลอยขนาดเล็กทรงกลม เรียก โบลัส (bolus) จากนั้นจะเคลื่อนลงตามหลอดอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหารด้วยการทำงานของการบีบรูด (peristalsis) น้ำย่อยกระเพาะอาหารในกระเพาะอาหารเริ่มการย่อยโปรตีน น้ำย่อยกระเพาะอาหารประกอบด้วยกรดไฮโดรคลอริกและเพพซินเป็นหลัก เนื่องจากสารเคมีสองตัวนี้อาจสร้างความเสียหายต่อผนังกระเพาะอาหารได้ กระเพาะอาหารจึงมีการหลั่งเมือก ทำให้เกิดชั้นซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันฤทธิ์กัดกร่อนของสารเคมีทั้งสอง ขณะเดียวกับที่เกิดการย่อยโปรตีน เกิดการคลุกเคล้าเชิงกลโดยการบีบรูด ซึ่งเป็นระลอกการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่เคลื่อนตามผนังกระเพาะอาหาร ทำให้ก้อนอาหารคลุกเคล้ากับเอ็นไซม์ย่อยเพิ่ม",
"เฟอร์ริตินมีหน้าที่เก็บธาตุเหล็กในรูปแบบที่ไม่เป็นพิษ และขนส่งมันไปยังที่ที่ต้องการ[13] หน้าที่และโครงสร้างของเฟอร์ริตินจะแสดงออกต่าง ๆ กันในเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งโดยหลักคุมโดยปริมาณและเสถียรภาพของเอ็มอาร์เอ็นเอ (Messenger RNA, mRNA) และความเข้มข้นของ mRNA ยังแปรไปตามวิธีการที่เก็บและประสิทธิภาพในการถอดรหัสมัน[6]",
"ถั่วผี (ชื่อวิทยาศาสตร์: \"Macroptilium lathyroides\" (L.) Urb.) เป็นไม้ล้มลุกและ เป็นพืชฤดูเดียว (annual) เมล็ดแก่ร่วงแล้วงอกเป็นต้นใหม่ในฤดูฝนต่อไป ทรงต้นเป็นกอพุ่มตั้งปลายยอดทอดอ่อนเล็กน้อย ตามลำต้นมีขน ลำต้นกลม ใบประกอบมีใบย่อย 3 ใบ ใบย่อยรูปไข่แกมรูปหอก ดอกช่อแบบติดดอกสลับ ก้านดอกสั้น ดอกแดงปนม่วง ฝักรูปทรงกระบอก ภายในมีเมล็ด 18-30 เมล็ด แตกได้ เมล็ดรูปขอบขนาน หรือสี่เหลี่ยม",
"เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ต้นโตเต็มที่สูงราว 12 - 18 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างทรงกลมคล้ายร่ม แผ่กิ่งก้านออกคล้ายก้ามปู แต่มีขนาดเล็กกว่า ลำต้นเกลี้ยง เปลือกสีน้ำตาลอ่อนอมขาวถึงสีน้ำตาลเข้ม โคนต้นเป็นพูพอน มักมีรากโผล่พ้นดินออกโดยรอบเมื่อโตเต็มที่ ใบเป็นใบประกอบขนนกสองชั้นเรียงเวียนสลับและมีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน ขนาดใบย่อยใกล้เคียงกับใบย่อยของมะขาม แผ่นใบรูปขอบขนาน ปลายกลมโคนเบี้ยว ผิวใบเกลี้ยง เป็นพืชผลัดใบ ในประเทศไทยมักผลัดใบในฤดูร้อนช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน",
"ถ้าระดับเฟอร์ริตินต่ำ จะมีโอกาสเสี่ยงขาดธาตุเหล็ก ซึ่งนำไปสู่ภาวะเลือดจาง สำหรับภาวะเลือดจาง ระดับเฟอร์ริตินต่ำเป็นการทดสอบทางแล็บที่จำเพาะที่สุดต่อภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก (คือ ถ้าค่าต่ำพอ การมีเฟอร์ริตินต่ำแสดงว่าภาวะเลือดจางที่มี มีโอกาสเกิดจากการขาดธาตุเหล็กมากที่สุด)[28] แต่ว่า นี่ไม่ใช่เป็นการทดสอบที่ไว (คือการมีระดับปกติในเลือดไม่ได้แสดงว่าไม่ขาดธาตุเหล็ก) เนื่องจากระดับสามารถสูงขึ้นเนื่องจากการติดเชื้อหรือการอักเสบเรื้อรัง[29] และภาวะเหล่านี้อาจเปลี่ยนระดับเฟอร์ริตินที่ควรจะต่ำให้สูงจนถึงปกติ ดังนั้น การมีระดับเฟอร์ริตินต่ำให้ข้อมูลมากกว่าเมื่อมีระดับปกติ แต่ระดับเฟอร์ริตินต่ำก็อาจแสดงว่ามีโรคไทรอยด์ ขาดวิตามินซี หรือเป็นโรค celiac disease ได้ด้วย",
"พวงไข่มุก ( Rehder; ภาษาอังกฤษ:American elder) ทางปราจีนบุรีเรียก ระป่า ทางแพร่เรียก อุนหรืออุนฝรั่ง เป็นไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรง สูงได้ถึง 4 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้าม ใบย่อย 2-6 คู่ รูปขอบขนานแกมใบหอกหรือรูปไข่แกมใบหอก กว้าง 2-5 ซม. ยาว 6-15 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกสีขาว ขนาดเล็ก ผลสด รูปทรงกลม สีม่วงเข้ม ดอกมีกลิ่นหอม ",
"ราชดัด (L.) Merr. เป็นพืชในวงศ์ Simaroubaceae ชื่ออื่นๆคือ ดีคน (อุบลราชธานีและภาคกลาง) กะดัด ฉะดัด(ใต้) กาจับหลัก ยาแก้ฮากขม(เชียงใหม่) พญาดาบหัก(ตราด) เพี้ยฟาน(นครราชสีมา ขอนแก่น) เพียะฟาน(นครศรีธรรมราช) มะลาคา(ปัตตานี) สอยดาว(จันทบุรี) เท้ายายม่อมน้อย มะขี้เหา มะดีควาย เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกลำต้นเรียบ สีขาวปนเทา มีขนสีเหลืองปกคลุมหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับเวียนรอบกิ่ง แผ่นใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปไข่ถึงรูปหอกแกมรูปไข่ ขอบใบหยักมนเป็นฟันเลื่อยตลอดทั้งขอบใบ ปลายในแหลม โคนใบมน ผิวใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน เนื้อใบบาง นิ่ม ดอกช่อ เป็นดอกแยกเพศ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็กมาก มี 4 แฉก กลีบดอกรูปช้อนใหญ่กว่ากลีบเลี้ยงเล็กน้อย สีขาวอมเขียวถึงสีแดงอมเขียวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อตามซอกใบ และที่ปลายยอด สีอมม่วงหรือสีน้ำตาลแดง กลีบดอกมี 4 กลีบ มีขน เกสรตัวผู้มี 4 อัน ฐานอับเรณูทรงกลมใหญ่ ก้านชูเกสรเป็น 4 พู ผลเป็นผลสด กลมเป็นพวง มีเนื้อ รูปกลม ผิวเรียบเป็นมัน ขนาดเล็ก ออกรวมกลุ่มกัน 1-4 ผล เปลือกผลแข็ง เมื่อผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกมีสีดำ คล้ายเมล็ดมะละกอแห้ง มีเมล็ดเดียว ผิวเรียบ สีน้ำตาล ",
"ภายในเซลล์ เหล็กจะเก็บเป็นคอมเพล็กซ์โปรตีนโดยเป็น ferritin หรือ hemosiderin ส่วน Apoferritin จะเป็นเฟอร์ริตินที่เข้ายึดเหล็กที่เป็นอิสระ เมื่อเซลล์ใน reticuloendothelial (RE) system ซึ่งเป็นส่วนของระบบภูมิต้านทานสะสมเหล็กมากขึ้น โปรตีนที่สะสมจะรวมตัวกันเป็น hemosiderin เซลล์ใน RE สามารถดึงเอาเหล็กทั้งที่อยู่ในรูปแบบเฟอร์ริตินและ hemosiderin ได้ แต่ว่า จาก hemosiderin จะยากกว่า เมื่อคงตัว ระดับเหล็กในเลือดจะสัมพันธ์กับเหล็กที่สะสมในร่างกาย ดังนั้น การวัดเฟอร์ริตินในเลือดโดย FR5Rl เป็นการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่สะดวกที่สุดเพื่อประเมินปริมาณเหล็กที่สะสมในร่างกาย",
"ถ้าระดับเฟอร์ริตินสูง แสดงว่ามีการสะสมเหล็กเกิน หรือว่ามีปฏิกิริยาอักเสบอย่างฉับพลัน (acute inflammatory reaction) ที่มีการสร้างเฟอร์ริตินโดยไม่ได้มีเหล็กเกิน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อติดเชื้อ ระดับเฟอร์ริตินอาจสูงขึ้นโดยไม่ได้แสดงว่ามีเหล็กเกิน เฟอร์ริตินยังใช้เป็นตัวบ่งชี้โรคเหล็กเกินต่าง ๆ รวมทั้ง ภาวะเหล็กเกิน (hemochromatosis) และ hemosiderosis โรคสติลล์ที่เริ่มเป็นในผู้ใหญ่, porphyrias, hemophagocytic lymphohistiocytosis/macrophage activation syndrome ซึ่งล้วนแต่เป็นโรคที่อาจทำระดับเฟอร์ริตินให้สูง",
"ในเปลือกของเฟอร์ริติน ไอออนเหล็กจะอยู่ในรูปแบบผลึก (crystallite) ซึ่งจะคล้าย ๆ กับแร่ ferrihydrite คอมเพล็กซ์เฟอร์ริตินแต่ละหน่วยจะสามารถสะสมธาตุเหล็ก (Fe3+) ได้ประมาณ 4,500 ไอออน[6][9]",
"เฟอร์ริติน (English: Ferritin) เป็นโปรตีนในเซลล์ทั่วไปที่สะสมธาตุเหล็กและปล่อยมันอย่างเป็นระบบ โปรตีนนี้มีในสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมด รวมทั้งสาหร่าย แบคทีเรีย พืชชั้นสูง และสัตว์ ในมนุษย์ มันมีหน้าที่เป็นสารบัฟเฟอร์เพื่อไม่ให้ขาดเหล็กหรือมีเหล็กเกิน[3] และพบในเนื้อเยื่อโดยมากในรูปแบบของโปรตีนในไซโตซอล (ในไซโทพลาซึมของเซลล์) แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่อยู่ในเลือดโดยทำหน้าที่เป็นตัวขนส่งธาตุเหล็ก ระดับเฟอร์ริตินในเลือดยังเป็นตัวชี้ทางชีวภาพ (biomarker) ของปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย และดังนั้น จึงสามารถตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก (iron-deficiency anemia)[4]",
"ชะเอมจีน ภาษาจีนกลางเรียกกันเฉ่า ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกกำเช่า เป็นพืชในวงศ์ Leguminosae เป็นพรรณไม้ที่มีอายุนานหลายปี มีรากขนาดใหญ่จำนวนมาก ลำต้นมีขนสั้นๆ ปลายขนมีต่อม เปลือกนอกเป็นสีน้ำตาลแดง หรือน้ำตาลเข้ม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบย่อยสั้นมาก แผ่นใบรูปกลมรี มีขนสั้นๆทั้งสองด้าน ดอกช่อออกตามง่ามใบ ดอกย่อยมีจำนวนมากติดเป็นกลุ่มแน่น กลีบดอกสีม่วงอ่อนหรือขาว ทรงแบบดอกถั่ ฝักกลม งอคล้ายเคียวหรือบิดงอ มีขนปกคลุม ภายในฝัก นั้นจะมีเมล็ดอยู่ 2-8 เม็ด เมล็ดนั้นจะมีลักษณะกลมและแบนหรือคล้ายรูปไต เป็นสีดำและมัน ใช้ทำยา ",
"ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง หน่วยย่อยจะเป็นแบบเบา (light, L, Ferritin light chain) และแบบหนัก (heavy, H, FTH1) โดยมีมวลโมเลกุลที่ 19kDa และ 21kDa ตามลำดับ ลำดับยีนของหน่วยย่อยทั้งสองมีกำเนิดโครงสร้างเดียวกัน (homologous) ประมาณ 50%[6] ส่วนสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกมีเฟอร์ริตินเพิ่มอีกแบบที่เรียกว่าแบบ \"M\"[9] ส่วนเฟอร์ริตินรูปแบบเดียวที่พืชและแบคทีเรียมีคล้ายกับแบบ H[9] มีเฟอร์ริตินอีกสองอย่างที่พบในหอยฝาเดียว Lymnaea โดยเฟอร์รินตินที่อยู่ในตัว (somatic) และในไข่ (yolk) จะต่างกัน (ดูรายละเอียดต่อไป)[9] มีรูปแบบอื่นอีกที่คล้ายกับที่พบในตัวของ Lymnaea ที่เกี่ยวกับการสร้างเปลือกของหอยนางรม[10] ในปรสิตสกุล Schistosoma มีรูปแบบสองอย่างที่ต่างกันระหว่างตัวเมียและตัวผู้[9] รูปแบบทั้งหมดที่กล่าวถึงแล้วมีลำดับหลักคล้ายกับรูปแบบ H ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง[9] ส่วนในแบคทีเรีย E. coli เฟอร์ริตินที่พบคล้ายกับแบบ H ของมนุษย์ที่ 20%[9]",
"แดง เป็นไม้ที่ชอบขึ้นในป่าเต็งรัง, ป่าเบญจพรรณ และป่าสัก กระจายพันธุ์ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยขึ้นได้ทั่วทุกภาค ลำต้นค่อนข้างเปล่า ตรง หรือเป็นปุ่มปม เรือนยอดรูปทรงกลม หรือเก้งก้าง ไม่ค่อยแน่นอน สีเขียวอมแดง เปลือกเรียบสีเทาอมแดง ตกสะเก็ดออกเป็นแผ่นกลมบาง ๆ รอบลำต้น เมื่อสับเปลือกทิ้งไว้จะได้ชันสีแดง ยอดอ่อนมีขนสีเหลืองปกคลุม ใบเป็นช่อแบบขนนกสองชั้น ก้านใบยาว 2–7 เซนติเมตร ช่อใบยาว 10–22 เซนติเมตร แต่ละช่อมีใบย่อย 4–5 คู่ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน แผ่นใบมักจะเบี้ยว มีขนาดไม่เท่ากัน กว้าง 3–7 เซนติเมตร ยาว 7–20 เซนติเมตร ปลายใบแหลมมน ฐานใบมักจะเบี้ยว ใบแก่ไม่มีขนปกคลุม หรืออาจจะมีขนประปรายด้านท้องใบเล็กน้อย ก้านใบย่อยยาว 2–4 มิลลิเมตร ดอกสีเหลือง ขนาดเล็ก ขึ้นอัดกันแน่นบนช่อกลมเดี่ยว ๆ หรือแตกกิ่งก้าน หรือขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง แต่ละช่อประมาณ 1.4 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาว 2–5 เซนติเมตร มีขนปกคลุมประปราย กลีบรองกลีบดอกเชื่อมติดกันคล้ายรูประฆัง ตรงปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ มีขนสีเหลืองปกคลุม กลีบดอก 5 กลีบติดกันเล็กน้อยที่บริเวณฐาน เกสรตัวผู้มี 10 อัน แยกจากกันเป็นอิสระยื่นออกมานอกดอก ดอกจะออกมาพร้อมกับใบอ่อนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ฝักจะแก่ประมาณเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ผลเป็นฝักแบน รูปขอบขนานเรียวและโค้งงอที่ส่วนปลาย ฝักแข็ง ยาวประมาณ 7–10 เซนติเมตร สีน้ำตาลอมเทา ผิวเรียบ ไม่มีขนปกคลุม ไม่มีก้าน เมื่อฝักแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก ผนังของฝักที่แตกมักจะม้วนบิดงอ เมล็ดแบนเรียวแหลม ยาวรีหรือเกือบกลม ยาว 0.4–0.7 นิ้ว กว้าง 0.35–0.5 นิ้ว สีน้ำตาลเป็นมัน เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งขอประมาณ เมล็ดแม้จะผ่านไปเป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปี ก็สามารถงอกได้หากอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม ผักหนึ่งมีจำนวนหลายเมล็ด",
"งานวิจัยปี 2544 แสดงว่าเฟอร์ริตินของไมโทคอนเดรีย (mitochondrial ferritin) เป็นสารตั้งต้นของโปรตีน (protein precursor) อย่างหนึ่ง และจัดเป็นโปรตีนที่จับกับโลหะภายในไมโทคอนเดรีย[11] หลังจากที่โปรตีนผ่านกระบวนการของไมโทคอนเดรียไปแล้ว ก็จะสามารถสร้างเป็นเปลือกเฟอร์ริตินที่ใช้การได้ โดยมีโครงสร้างขนาด 1.70 อังสตรอม วัดโดยการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction) โดยมี residue 182 แห่ง และ 67% ของโครงสร้างจะเป็นรูปวนก้นหอย (helical) กราฟ Ramachandran plot[12] แสดงว่า โครงสร้างของเฟอร์ริตินไมโทคอนเดรียเป็นรูปวนก้นหอยแบบ alpha โดยมี beta sheet น้อย และไม่เหมือนกับเฟอร์ริตินของมนุษย์ประเภทอื่น ๆ ยีนของมันปรากฏกว่าไม่มีส่วน intron",
"ตับสังเคราะห์ไลโพโปรตีนเหล่านี้เป็นคอมเพล็กซ์ที่ประกอบด้วย apolipoprotein และฟอสโฟลิพิด ซึ่งคล้ายอนุภาคไลโพโปรตีนรูปทรงกลมที่ไร้คอเลสเตอรอลแต่ทำให้แบน โดยงานศึกษาปี 2017 ได้เผยแพร่โครงสร้างทางนิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์ () ของอนุภาค\nคอมเพล็กซ์เช่นนี้สามารถเก็บคอเลสเตอรอลจากเซลล์แล้วพกไว้ในภายใน ผ่านปฏิกิริยากับโปรตีน ATP-binding cassette transporter A1 (ABCA1)",
"ชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงใหญ่ เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลม แผ่กว้างเป็นชั้น ๆ เปลือกต้นเรียบสีเทาหรือสีน้ำตาล เมื่ออายุมากเปลือกแตกเป็นร่อง กิ่งเปราะหักง่าย ใบเป็นใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ก้านใบรวมยาว 5-30 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 0.5-2.5 เซนติเมตร ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 7.5-16 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม ดอกมีสีชมพูอ่อน ชมพูสดถึงสีขาว กลางดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร ยาว 5-7 เซนติเมตร ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร มักบานพร้อมกัน ร่วงง่าย ผลเป็นผลแห้ง แตกเป็นฝักกลม ยาว 15-30 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดแบนสีน้ำตาล มีปีก ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง",
"คอมเพล็กซ์เฟอร์ริตินบางส่วนในสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็น hetero-oligomer ของผลิตภัณฑ์ยีนสองอย่างที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดโดยมีคุณสมบัติทางสรีรภาพต่างกันเล็กน้อย อัตราโปรตีนสองอย่างนี้ที่มีโครงสร้างกำเนิดเดียวกัน (homologous) ในคอมเพล็กซ์จะขึ้นอยู่กับระดับการแสดงออกของยีนสองตัวที่ว่า",
"มีจีโปรตีนสองกลุ่ม\nกลุ่มแรกทำงานเป็น GTPase ที่เป็นมอนอเมอร์ขนาดเล็ก (monomeric small GTPase) และกลุ่มสองทำงานเป็นคอมเพล็กซ์จีโปรตีนที่มีสามส่วนโดยแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน (heterotrimeric G protein)\nโดยคอมเพล็กซ์กลุ่มหลังจะมีหน่วยย่อย ๆ คือ แอลฟา (α) บีตา (β) และแกมมา (γ)\nอนึ่ง หน่วยย่อยบีตาและแกมมายังอาจรวมเป็นคอมเพล็กซ์แบบไดเมอร์ที่เสถียร โดยเรียกว่า คอมเพล็กซ์บีตา-แกมมา (beta-gamma complex)"
] |
ใหม่ เจริญปุระ เกิดเมื่อใด ? | [
"ใหม่ เจริญปุระ (เกิด 5 มกราคม พ.ศ. 2512) เป็นนักร้อง Diva และนักแสดงชาวไทยระดับซุปเปอร์สตาร์หญิงแถวหน้าของเมืองไทย มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ ขอแค่คิดถึง ในปี พ.ศ. 2527 โดยใช้ชื่อว่า \"ใหม่ สิริวิมล\" และประเดิมละครเรื่องแรก คนเริงเมือง พ.ศ. 2531 ให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 อัลบั้มชุดแรก ไม้ม้วน ในปี พ.ศ. 2532 ประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลนักร้องหน้าใหม่จากเวทีสีสันอะวอดส์ และในปี พ.ศ. 2535 อัลบั้ม ความลับสุดขอบฟ้า สามารถทำสถิติ นักร้องหญิงของแกรมมี่คนแรกที่สร้างยอดขายเทปทะลุ 2 ล้านตลับ เธอยังสามารถคว้ารางวัลจากสีสันอะวอดส์อีกครั้งในฐานะศิลปินหญิงยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม \"แผลงฤทธิ์\" ในปี พ.ศ. 2541 และใหม่ยังได้รับฉายา Queen of poprock ยุค 90 อีกด้วย"
] | [
"ปี 2553 คอนเสิร์ต Mai OnThe Beach (1รอบ) โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ พัทยา จ.ชลบุรี",
"ทราย เจริญปุระ มีชื่อจริงว่า อินทิรา เจริญปุระ เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นบุตรของนายสุรินทร์ เจริญปุระ หรือ รุจน์ รณภพ ผู้กำกับภาพยนตร์ ที่เกิดกับนางสุภาภรณ์ เจริญปุระ โดยเป็นบุตรคนโต มีน้องชายและน้องสาวร่วมมารดา คือ ภวัต เจริญปุระ (ท็อฟฟี่) และภรณ์รวี เจริญปุระ (น้ำพราว)",
"ปี 2555 ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งกับ \"คอนเสิร์ต Dee & Seefa “The Lyrics of Love” พบกับทุกมุมมองความรัก จากปลายปากกาของ นิติพงษ์ ห่อนาค และนิ่ม สีฟ้า แอม เสาวลักษณ์แสดงร่วมกับ ใหม่ เจริญปุระ, จิรายุส วรรธนะสิน , คริสติน่า อากีล่าร์ ฯลฯ ในวันเสาร์ที่ 4 และอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ ณ Royal Paragon Hall แล้วก็มาถึงคอนเสิร์ตฉลอง 30 ปีของเธอกับ \"I am What I Amp Concert\" ในวันที่ 2-3 มิถุนายน ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ มีแขกรับเชิญเซอร์ไพรส์ทั้ง ใหม่ เจริญปุระ, มาช่า วัฒนพานิช, หฤทัย ม่วงบุญศรี, นัท มีเรีย, นิโคล เทริโอ และภัครมัย โปตระนันท์ ฯลฯ",
"พ.ศ. 2534 - และเธอก็มีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกหลังจากออกอัลบั้มมาแล้ว 2 ชุด ด้วยกระแสตอบรับที่ดีมากจากแฟนเพลงในชื่อว่า \"คอนเสิร์ต ใหม่ ร้อง เต้น เล่นละคร\" ณ MBK Hall หรือ เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ในปัจจุบันตัวคอนเสิร์ตที่นอกจากจะได้รับการตอบรับที่ดียังมีแขกรับเชิญคนสำคัญของใหม่ รุจณ์ รณภพ และคุณพ่อของเธอนั่นเอง ในปีนี้ใหม่มีทัวร์คอนเสิรตอย่างหนักและเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในต่างประเทศและผลงานการแสดงทิ้งทวนเรื่อง \"ผู้หญิงแถวหน้า\" กับค่ายกันตนาโดยแสดงนำคู่กับ นพพล โกมารชุน และ จอนนี่ แอนโฟเน่ ก็ไม่สามารถถ่ายทำในตอนจบ ซึ่งตอนหลังความกระจ่างขึ้นเมื่อมีข่าวใหม่ชนะคดีกับตำรวจในแอลเอซึ่งได้เข้าใจผิดในตัวเธอลงหน้าหนึ่งไทยรัฐ",
"นอกจากนี้ยังมีพี่สาวต่างมารดา 4 คน คือ เวณิก เจริญปุระ (แมว), พลอย เจริญปุระ (ปู), วิภาวี เจริญปุระ (กุ้ง) และสิริวิมล เจริญปุระ (ใหม่) ทราย เข้าสู่วงการโดยการชักชวนของสุพล วิเชียรฉาย มีผลงานละครเรื่องแรกเมื่ออายุ 13 ปี คือเรื่อง “ล่า” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 โดยแสดงร่วมกับสินจัย หงษ์ไทย และจักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ จากนั้นจึงได้แสดงละครอีกหลายเรื่อง เช่น บ้านสอยดาว กองพันทหารเกณฑ์ เจ้าสัวน้อย ฯลฯ จุดเด่นอย่างหนึ่งของเธอก็คือการมีส่วนสูงที่สะดุดตา เนื่องจากเธอสูงถึง 173 เซนติเมตร ",
"เรื่องราวแห่งความรักระหว่าง อิงอร (สิริวิมล เจริญปุระ หรือ ใหม่ เจริญปุระ) กฤช (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) และ แพร (ซัน คัมภิรานนท์) เด็กหญิงวัย 7 ขวบ เกิดขึ้นในสถานการณ์บีบบังคับ เมื่ออิงอรจำยอมพาแพร ซึ่งเป็นลูกสาวไปพบกฤชเพื่อวินิจฉัยอาการป่วย กฤชเป็นแพทย์หนุ่มที่มีแต่ความหดหู่อาลัยในชีวิต และนั่นเป็นครั้งแรกที่กฤชได้พบกับอิงอรและแพรเด็กสาวที่น่าสงสาร",
"อภิชัยยังใช้ชื่อ Greasy Cafe ทำเพลงในชุด Smallroom 002 เพลง พบ หลังจากนั้นรุ่งโรจน์ยังชวนอภิชัยทำเพลงเป็นระยะ เช่น ทำเพลงในโครงการสนามหลวงคอนเนคส์ สังกัด สนามหลวง ในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ โดยนำเพลง เธอรู้รึเปล่า ของ ใหม่ เจริญปุระ มาเรียบเรียงใหม่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมรุ่งโรจน์จึงชวนอภิชัยมาทำอัลบั้มเต็ม จนเกิดเป็นอัลบั้มแรก สิ่งเหล่านี้ ในปีพ.ศ. 2551",
"ดาวิกา เดิมชื่อ \"ดาวิก้า\" มาจากชื่อนางเอกภาพยนตร์รัสเซียที่บิดาชื่นชอบชื่อนี้ ส่วนชื่อเล่น \"ใหม่\" มาจากชื่อของใหม่ เจริญปุระ นักร้องที่มารดาชื่นชอบ",
"อาณาจักรอิศานปุระ หรือ อาณาจักรเจนละ เป็นอาณาจักรโบราณ เจริญรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันคือภาคอีสานตอนล่างของประเทศไทย ตอนบนของประเทศกัมพูชา และตอนล่างของประเทศลาว สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าอิศานวรมัน ผู้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์เจนละ คือพระเจ้ามเหนทระวรมัน หรือพระเจ้าจิตรเสน ผู้ครองแคว้นเจนละ ที่ทรงครอบครองดินแดนในพื้นที่อีสานตอนใต้และลาวทางตอนใต้แถบวัดภู หลังจากที่ได้รับการสืบทอดอำนาจจากพระเจ้าจิตรเสน พระเจ้าอิศานวรมันเสด็จขึ้นครองราชย์ราว พ.ศ. 1153 - พ.ศ. 1198 ได้ทำสงครามกับอาณาจักรฟูนัน ที่ยึดของพื้นที่ทางตอนใต้ ในที่สุดก็ได้ควบรวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน เป็นการสูญสิ้นอาณาจักรฟูนัน และได้สถาปนาศูนย์กลางการปกครองขึ้นใหม่ ชื่อว่า \"อิศานปุระ\"\nเมืองอิศานปุระ ที่พระเจ้าอิศานวรมันสถาปนาขึ้น นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า ตั้งอยู่บริเวณกลุ่มปราสาทซ็อมโบร์ไพรกุกห์ (สมโบไพรกุก) ในเขตจังหวัดกัมปงธม ในประเทศกัมพูชา ซึ่งปรากฏหลักฐานปราสาทอิฐ ศาสนสถานในศาสนาฮินดูจำนวนมาก",
"ปี 2542 Mai's Life ปี 2554 Mai Born 2 Love U",
"ชื่อ สุทธิพงษ์ สามคุ้มพิมพ์ \nชื่อเล่น โก๋\nเกิด 6 พฤษภาคม /2520\nน้ำหนัก 75 Kgs.\nสูง 178 CM.\nผลงานที่ผ่านมา\nโฆษนา : Beer Heineken 2003,Hutch,Lobo,Protex,etc...\nภาพยนตร์ :ปักษาวายุ\nมิวสิกวิดีโอ: แค่นี้นะ นัท มีเรีย, เขาไม่รัก ไชน่า ดอลล์, ดาวเรือง ดาวโรย ใหม่ เจริญปุระ, ของตาย The Mazz...\nผลงานล่าสุด แชมป์ รายการเกมทศกัณฐ์จำแลง รวมทั้งสิ้น 7สมัย",
"ปี 2545 มีคอนเสิร์ตเดี่ยวอีกครั้ง \"Song & Story เรื่องเล่ากับเสียงเพลง\" แล้วก็คอนเสิร์ตรวมศิลปิน ดารา อย่าง \"คอนเสิร์ต 10 ปี Exact\" แสดงร่วมกับ ใหม่ เจริญปุระ, คริสติน่า อากีล่าร์, สินจัย เปล่งพานิช, เจษฎาภรณ์ ผลดี, ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีคอนเสิร์ตที่รวมตัวชาวดีว่าส์ของเมืองไทยอย่าง ใหม่ เจริญปุระ, หฤทัย ม่วงบุญศรี, นันทิดา แก้วบัวสาย และวิยะดา โกมารกุล ณ นคร ใน \"The Divas Concert\"",
"ปี 2532 ละครซิทคอม ตะกายดาว ช่อง 9",
"ปราสาทบาปวนมีลักษณะเป็นรูปทรงพีระมิด มีฐานเป็นชั้น ๆ ส่วนบนสุด เป็นปราสาทประธานหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ลักษณะของตัวปราสาทประธานมียอดเรียวแหลม คล้ายกับปราสาทพนมรุ้ง มีระเบียงคตถึงสามชั้นที่เชื่อมต่อกันได้ตลอด โคปุระขนาดใหญ่สุด อยู่ทางด้านทิศตะวันออก เครื่องบนของโคปุระ ทำด้วยเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ซึ่งผุผังไปตามกาลเวลา โดยมีร่องรอยของการเจาะคานไว้บนหน้าบัวของโคปุระ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของศิวลึงค์ทองคำ สัญลักษณ์แทนพระศิวะ แต่ได้สูญหายไปนานแล้ว ปราสาทบาปวนจัดได้ว่าเป็นต้นแบบของศิลปะแบบบาปวนโดยแท้จริง และเป็นศิลปะร่วมแบบเขมรของปราสาทในประเทศไทยหลายแห่งด้วยกัน ซึ่งลักษณะเด่นของศิลปะสมัยนี้ ได้แก่ ภาพสลักเล่าเรื่องทำเป็นช่องเล็ก ๆ ต่อเนื่องกันลงมาในแนวดิ่ง แต่ในสมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเข้ามาแทนที่ในศาสนาพราหมณ์ ปราสาทบาปวนถูกรื้อลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อนำไปสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังปราสาท ร่องรอยต่าง ๆ ถูกโกลนเพื่อให้เข้ากับลักษณะของพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้ทำการรื้อและสำรวจทำหมายเลขกันใหม่ จนกระทั่งมาถึงยุคเขมรแดง เอกสารแผนผังการจัดทำการบูรณะปราสาทบาปวนถูกเผาทำลายจนราบเรียบ",
"ท้าวภีษมะนั่นไม่ได้แต่งงานแต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้ไปชิงตัวเจ้าหญิงแห่งแคว้นกาสี 3 พระองค์ก็คือ เจ้าหญิงอัมพา เจ้าหญิงอัมพิกา และเจ้าหญิงอัมพาลิกา มาเป็นมเหสีของวิจิตรวีรยะผู้เป็นน้องต่างมารดา (ตอนนั้นจิตรางคทะเสียชีวิตไปแล้วและโดยปกติมีข้อตกลงกันมานานแล้วว่า หากแคว้นกาสีมีพระธิดาจะต้องยกให้กับเจ้าชายแคว้นหัสตินาปุระก่อน แต่คราวนี้กลับทำพิธีสยุมพรแต่ไม่ได้เชิญเจ้าชายแคว้นหัสตินาปุระไปร่วมด้วย) แต่เมื่อชิงตัวทั้งสามมายังกรุงหัสตินาปุระเรียบร้อย เจ้าหญิงอัมพาเกิดบอกกับภีษมะว่าตอนที่ภีษมะกำลังจะไปชิงตัวนางนั้น นางกำลังจะทำพิธีสยุมพรกับท้าวศัลวะ ซึ่งเป็นคู่รักของนาง ทุกคนคือท้าวภีษมะ พระนางสัตยวดีและวิจิตรวีรยะตกใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงส่งตัวเจ้าหญิงอัมพาให้ท้าวศัลวะ แต่ท้าวศัลวะไม่ยอมรับตัวเจ้าหญิงอีกต่อไป เจ้าหญิงอัมพาเสียใจมาก เมื่อกลับมาหาท้าวภีษมะและขอร้องให้แต่งงานกับตน แต่ท้าวภีษมะทำไม่ได้เพราะเคยให้สัตย์สาบานกับฟ้าดินไว้ นางอัมพาโกรธแค้นท้าวภีษมะมากจึงขอให้ฤๅษีปรศุรามผู้เป็นอาจารย์ของท้าวภีษมะมาขอร้องแทนแต่ก็ไม่เป็นผลและยังต้องต่อสู้กับท้าวภีษมะอีกด้วย แต่ผลก็ไม่รู้แพ้รู้ชนะเพราะภีษมะกำลังจะตัดสินการสู้กันโดยใช้วิชาอัสตระชื่อวิชาปรัสวาปะ ซึ่งเป็นวิชาทำลายล้างโลก แต่ก็ถูกพระนารายณ์และพระศิวะห้ามไว้ก่อน เจ้าหญิงอัมพาจึงไม่สมหวังและขอพรกับเทพบุตรสันมุข พระองค์จึงให้พวงมาลัยที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉากับนาง เพื่อเอาไปคล้องคอกับผู้ที่จะฆ่าท้าวภีษมะให้ แต่ไม่มีกษัตริย์คนใดยอมรับ มาถึงคนสุดท้ายคือท้าวทรุปัท พระองค์ก็ไม่ยอมเช่นกัน เจ้าหญิงจึงแขวนพวงมาลัยในที่เสาในท้องพระโรงและได้พรจากพระศิวะให้นางเป็นคนฆ่าภีษมะด้วยตนเอง นางทนรอชาติหน้าไม่ไหวจึงเผาตนเองในกองไฟไปเกิดใหม่เป็นพระธิดาของท้าวทรุปัทชื่อ ศิขัณทิน (แต่ภายหลังได้แลกเพศกับยักษ์ตนหนึ่ง)",
"ใหม่ เจริญปุระ เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนาย สุรินทร์ เจริญปุระ (รุจน์ รณภพ) และนางวินีย์ สนธิกุล มีพี่สาว 3 คน คือ เวณิก เจริญปุระ (แมว), พลอย เจริญปุระ (ปู), วิภาวี เจริญปุระ (กุ้ง) มีน้องสาวต่างมารดาคือ ทราย เจริญปุระ ใหม่ เจริญปุระ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2512 เริ่มเรียนหนังสือชั้นต้นที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ แล้วจึงย้ายไปเรียนต่อที่แฟรีทั่นสคูล เมืองเค้นนอกกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ความฝันของใหม่ในยามนั้นคือ \"จิตรกรเอก\" แต่เนื่องจากได้รับอิทธิพลทางสายเลือดจากคุณพ่อ ทำให้เธอใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการดูหนัง ร้องเพลงและ เล่นละครให้คนทางบ้านดู และเมื่อครอบครัวไปทานข้าวที่โรงแรมมณเทียร ค่ำคืนนั้นได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์ และ สมบัติ เมทะนี พระเอกภาพยนตร์เรื่องนี้เคยรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของใหม่จึงชักชวนให้ไปร่วมงาน หลังจากงานเลิกแล้วเธอจึงรวบรวมความกล้าของตัวเอง เดินเข้าไปสมัครเล่นหนังเอง กับ ไพจิตร ศุภวารี โดยมิได้บอกว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร และในปี 2527 ก็กำเนิดดาวดวงใหม่ขึ้นในวงการภาพยนตร์ไทยในชื่อ \"ใหม่ สิริวิมล\"",
"ชัยปุระยุคใหม่นั้นก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1727 โดยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2 แห่งอาเมร์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากราชปุตราชวงศ์กาญจวาหา (Kachchwaha) ซึ่งปกครองระหว่างปีค.ศ. 1699 - ค.ศ. 1744 ซึ่งปกครองที่เมืองหลวงชื่อว่า \"อาเมร์\" (Amber) ตั้งอยู่ห่างจากชัยปุระเป็นระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร โดยเหตุผลในการย้ายเมืองหลวงนั้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตามมาด้วยการขาดแคลนแหล่งน้ำที่รุนแรงมากขึ้น พระองค์ได้ทรงศึกษาตำราสถาปัตยกรรมมากมาย พร้อมทั้งที่ปรึกษาต่างๆก่อนจะทำผังเมืองของชัยปุระ ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของสถาปนิกคนสำคัญคือ \"วิทยาธร ภัตตาจารย์\" (Vidyadhar Bhattacharya) ปราชญ์วรรณะพราหมณ์จากเบงกอล ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้าสถาปนิกของมหาราชา ซึ่งช่วยวางแผนและออกแบบอาคารต่างๆ รวมถึงพระราชวังหลวงใจกลางเมือง พร้อมทั้งกำแพงเมืองอย่างหนาแน่นที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามกับจักรวรรดิมราฐา นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นผู้ที่รักทางด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ทำให้ชัยปุระนั้นเกิดขึ้นได้อย่างสำเร็จด้วยองค์ประกอบสถาปัตยกรรมตามหลักของวัสดุศาสตร์ (Vastu Shastra) และหลักจากตำราอื่นๆ",
"ทราย เจริญปุระ (23 ธันวาคม พ.ศ. 2523 -) มีชื่อจริงว่า อินทิรา เจริญปุระ มีชื่อเล่นว่า \"ทราย\" เป็นนักแสดง นักร้องชาวไทย เป็นบุตรสาวของอดีตนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง รุจน์ รณภพ มีศักดิ์เป็นน้องสาวต่างมารดากับใหม่ เจริญปุระ",
"เชือดก่อนชิม เป็นภาพยนตร์ไทยแนวลึกลับสยองขวัญของค่ายพระนครฟิลม์ ออกฉายในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552 ผลงานการกำกับของทิวา เมยไธสง โดยมีพจน์ อานนท์เป็นผู้อำนวยการสร้าง นำแสดงโดย ใหม่ เจริญปุระ,รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์ ,ปิยวัฒน์ นิวาตวงศ์,พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ,จิรัชญา จิรรัชชกิจ มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับบุษ (ใหม่ เจริญปุระ) เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรโบราณที่ธุรกิจร้านกำลังแย่นอกจากนั้นยังต้องจ่ายหนี้ที่สามีก่อไว้ แต่วันหนึ่งเธอได้นำเอาเนื้อคนมาทำก๋วยเตี๋ยวและทำให้ธุรกิจร้านไปได้สวย นอกจากนั้นเธอยังได้พบกับอรรถพลนักศึกษามหาลัยที่คอยเอาใจใส่เธอ แต่กลับเกิดเรื่องกับน้องบัวน้องสาวต่างวัยของเธอที่ถูกประวิทย์และอ้อยฆ่าและอรรถพลที่หันไปคบกับนิดา เรื่องเหล่านี้ทำให้บุษเคียดแค้นใจและพร้อมที่จะล้างแค้นทุกคนที่ขวางทางเธอ ",
"ณหทัย พิจิตรา (ชื่อเล่น: ต้อม; ชื่อจริง: รัตนสุดา ธำรงค์กิตติชัชวาล; ชื่อเกิด: รัตนสุดา รัตนโชติ) เป็นนักแสดงชาวไทย เกิดเมือวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512 มีผลงานการแสดงทางจอเงินในปี พ.ศ. 2533 ด้วยการรับบทนางเอกในเรื่อง เดือนดับที่สบทา ต่อมาเริ่มเป็นที่รู้จักในภาพยนตร์เรื่อง \"วิถีคนกล้า\" กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิท ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้ทันที ในปี พ.ศ. 2534 ร่วมกับ จรัล มโนเพชร กับดาราใหม่ที่แจ้งเกิดใหม่ อาทิ นรินทร์ ทองคำ, อัครา อมาตยกุล (ชื่อเดิมคือ พุฒิชัย อมาตยกุล) และ ธิศวรรณ สุวรรณโพธิ์ นอกจากนี้เธอยังได้รับบทเด่นทางจอแก้วร่วมกับใหม่ เจริญปุระ และ มาช่า วัฒนพานิช ในละครเรื่อง \"วังน้ำวน\" ของค่ายเอ็กแซ็กท์ในปี พ.ศ. 2535 ด้วยสายตาที่ดุ และน้ำเสียงที่แหลม จึงมักจะได้รับบทร้ายและบทตลกเป็นส่วนมาก อีกทั้งยังมีอัลบั้มเพลงของตนเองมาแล้ว 1 ชุดเมื่อปี พ.ศ. 2537 ชื่อ \"ผู้หญิงคนกล้า\" ",
"ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2531) ออกอากาศเป็นภาพยนตร์ไทยฟิลม์ ผลิตโดย พูนทรัพย์โปรดักชั่น นำแสดงโดย ใหม่ เจริญปุระ, ลิขิต เอกมงคล, อภิรดี ภวภูตานนท์,อภิชาติ หาลำเจียก, ไพโรจน์ ใจสิงห์, มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช, สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์",
": MAI-TINA BEAUTY ON THE BEAT CONCERT เปิดแสดง เสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2552 Impact Arena เมืองทองธานี : แอน-อั้ม-ใหม่-อนันดา คว้าดารานำยอดเยี่ยม สตาร์ อวอร์ด 2551 : เปิดแสดง วันที่ 27 มิถุนายน 2541",
"รุจน์ รณภพ (พ.ศ. 2474 — 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552) มีชื่อจริงว่า \"สุรินทร์ เจริญปุระ\" อดีตนักแสดง นักเขียนบท ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้กำกับละครโทรทัศน์ เข้าเรียนที่โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ มักกะสัน เลขประจำตัว 1286 เมื่อปี พ.ศ. 2494 รุ่นที่ 11 ผลงานที่สร้างชื่อเสียงคือภาพยนตร์เรื่อง บ้านทรายทอง ฉบับที่ จารุณี สุขสวัสดิ์ และพอเจตน์ แก่นเพชร นำแสดง เมื่อ พ.ศ. 2522 นอกจากนี้ ยังเป็นบิดาของนักร้องและนักแสดง คือ ใหม่ เจริญปุระ และวิภาวี เจริญปุระ (เกิดกับวินีย์ สนธิกุล ภรรยาคนแรก) และ ทราย เจริญปุระ (เกิดกับสุภาภรณ์ เจริญปุระ ภรรยาคนที่สอง)",
"ทราย เจริญปุระ ยังเขียนบทความประจำ คอลัมน์ \"รักคนอ่าน\" โดยรีวิวหนังสือต่างๆลงในนิตยสารมติชน สุดสัปดาห์ด้วย",
"ร้อยตำรวจเอก ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นหนึ่งใน 23 ผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเป็นเลขาธิการพรรคคนแรก (ชุดจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง) เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในช่วงสองปีแรกของรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่สร้างผลงานการจัดระเบียบสังคมเข้มงวดกับสถานบริการตามพระราชบัญญัติจนได้ฉายาว่า \"\"มือปราบสายเดี่ยว\"\" ซึ่งบทบาทการทำงานของ ร้อยตำรวจเอก ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งส่งผลให้ผู้เสียประโยชน์เกิดความเห็นขัดแย้งและเป็นสาเหตุของการปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีของ ร.ต.อ.ปุระชัย ถูกย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งก็มีความขัดแย้งกันอีกกับ น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเรียกกันว่า \"\"สงครามคนดี\"\" จนเมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2548 ร.ต.อ.ปุระชัย จึงได้ยุติบทบาททางการเมืองไป แต่ก็ยังมีข่าวคราวออกมาเป็นระยะ ๆ เช่น การเปิดตัวหนังสือซึ่งเจ้าตัวเป็นผู้เขียนเอง เช่น \"คนดีไม่มีเสื่อม\" เป็นต้น และหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ร.ต.อ.ปุระชัย ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นบุคคลที่เมื่อมีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนครั้งใดมักจะได้รับความนิยมลำดับต้น ๆ เสมอ ๆ และเมื่อมีการสำรวจความเห็นประชาชนในกลางปี พ.ศ. 2550 ปรากฏว่า เป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่คนไทยอยากให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี",
"ด้านผลงานเพลง เคยออกอัลบั้มเพลงของตัวเองออกมาหนึ่งชุด ในปี พ.ศ. 2536 ชื่อชุด \"ยั้งไม่อยู่\" กับค่ายโชว์บิซ แต่ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด หลังจากนั้นได้แสดงมิวสิกวิดีโอให้กับ อิทธิ พลางกูร ในเพลง \"ทรมาน\" และเพลง \"สัญญา\" ของ ใหม่ เจริญปุระ",
"ปี 2529 ละครเวที ไร่แสนสุข ปี 2530 ละครเวที บ้าก็บ้าวะ ปี 2558 ละครเวที แผ่นดินของเรา เดอะมิวสิคัล",
"ร้องเพลง เสียใจได้ยินไหม ของ ใหม่ เจริญปุระ และแพ้ให้กับหน้ากากอียิปต์ หรือ แนนซี่ นันทพร ในรอบแรก",
"พิมรา เจริญภักดี เกิดวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2527 เกิดที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพลอย เจริญปุระ มารดาเป็นบุตรของรุจน์ รณภพ เป็นพี่สาวของใหม่ เจริญปุระ และทราย เจริญปุระ พิมราสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต และปริญญาโท คณะบัณฑิตวิทยาลัย สาขาการจัดการวัฒนธรรม ภาคภาษาอังกฤษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
] |
ใครคือบิดาแห่งพันธุศาสตร์? | [
"เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล (German: Gregor Johann Mendel; 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 - 6 มกราคม พ.ศ. 2427) เป็นนักวิทยาศาสตร์และภราดาคณะออกัสติเนียนชาวโมราเวียที่พูดภาษาเยอรมัน[1] ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงจากการก่อตั้งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่สาขาพันธุศาสตร์ แม้ว่าชาวสวนทั่วไปจะทราบถึงลักษณะปรากฏที่แตกต่างกันของพืชชนิดต่าง ๆ อยู่แล้ว โดยเมนเดลได้เริ่มศึกษาจากต้นถั่ว จนสามารถตั้งเป็นกฎทางพันธุกรรมมากมาย และภายหลังรู้จักกันในชื่อว่า พันธุศาสตร์ของเมนเดล"
] | [
"เวชพันธุศาสตร์ () เป็นการแพทย์เฉพาะทางอย่างหนึ่ง มุ่งวินิจฉัยและให้การดูแลโรคพันธุกรรม ต่างจาก มนุษยพันธุศาสตร์ (human genetics) ตรงที่ human genetics จะศึกษาพันธุศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งหมดโดยอาจเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับโรคก็ได้",
"พันธุศาสตร์เชิงแสง\nเป็นเทคนิคทางชีววิทยาซึ่งใช้แสงเพื่อควบคุมเซลล์ในเนื้อเยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่โดยเฉพาะนิวรอน โดยจะเป็นเซลล์ที่ได้ดัดแปลงพันธุกรรมให้แสดงออกช่องไอออนที่ไวแสง\nเป็นวิธีปรับเปลี่ยนระบบประสาทในประสาทวิทยาศาสตร์\nที่ผสมเทคนิคต่าง ๆ จากทัศนศาสตร์ (optics) และพันธุศาสตร์ เพื่อควบคุมและเฝ้าสังเกตการทำงานของเซลล์ประสาทเดี่ยว ๆ ภายในเนื้อเยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ (in vivo)\nแม้กระทั่งภายในสัตว์ที่เคลื่อนไวได้ และเพื่อวัดผลที่ได้จากการควบคุมปรับเปลี่ยนในเวลาจริง\nตัวทำปฏิกิริยาสำคัญที่ใช้ในศาสตร์นี้ก็คือโปรตีนไวแสง\nเพราะการควบคุมเซลล์ประสาทจะทำด้วยตัวกัมมันต์ (optogenetic actuators) เช่น channelrhodopsin, halorhodopsin, และ microbial rhodopsin\nในขณะที่การบันทึกแสงเนื่องจากการทำงานของเซลล์จะทำด้วยตัวรับรู้ (optogenetic sensors) ที่ใช้กับ calcium (GCaMP) กับการปล่อยสารสื่อประสาทจากถุงเล็ก (synapto-pHluorin) กับสารสื่อประสาท (GluSnFRs) หรือกับความต่างศักย์ข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ (Arc Lightning, ASAP1)\nโดยการควบคุมและการบันทึกข้อมูลจะจำกัดอยู่ที่เซลล์ประสาทซึ่งดัดแปลงพันธุกรรม และจะจำกัดที่และเวลาโดยเฉพาะเพราะต้องอาศัยแสง\n[[หมวดหมู่:ประสาทวิทยาศาสตร์]]\n[[หมวดหมู่:เทคนิคจุลชีววิทยา]]\n[[หมวดหมู่:เทคนิคทางวิทยาศาสตร์]]\n[[หมวดหมู่:ไซเบอร์เนติกส์]]\n[[หมวดหมู่:ทฤษฎีระบบควบคุม]]\n[[หมวดหมู่:การประสานสมอง-คอมพิวเตอร์]]\n[[หมวดหมู่:อุปกรณ์ทางประสาท]]\n[[หมวดหมู่:อุปกรณ์บันทึกข้อมูล]]\n[[หมวดหมู่:อุปกรณ์วิทยาศาสตร์]]\n[[หมวดหมู่:อุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ]]\n[[หมวดหมู่:วิศวกรรมชีวภาพ]]",
"เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าการใช้ยาเพื่อรักษาโรคในผู้ป่วยแต่ละรายถึงแม้จะเป็นชนิดเดียวกันแต่อาจให้ผลในการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากความแตกต่างในการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยอาจเป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆหลายปัจจัย เช่น พยาธิสรีรวิทยา สิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย (เช่น อาหาร การสูบบุหรี่) รวมทั้งลักษณะทางพันธุกรรมของผู้ป่วยเช่นความผิดแผกทางพันธุกรรมของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงยา (metabolism) หรือความผิดแผกของความไว (sensitivity) ในการตอบสนองต่อยา ซึ่งศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทางพันธุกรรมกับการตอบสนองต่อยาหรือการเกิดพิษของยานี้เรียกว่าเภสัชพันธุศาสตร์ (pharmacogenetics หรือ pharmacogenomics) ซึ่งปัจจุบันนี้เภสัชพันธุศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเภสัชพันธุศาสตร์นี้เป็น การศึกษาความหลากหลายของลักษณะทางพันธุกรรม (genetic polymorphisms) ในจีโนมมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ ครอบคลุมตั้งแต่การนำความรู้ทางด้านพันธุศาสตร์มาใช้ ในการทำนายการตอบสนองต่อยา การเลือกใช้ยาและขนาดยาที่เหมาะสม การค้นหา และ การพัฒนายาใหม่ที่เหมาะสมเฉพาะกลุ่มประชากร ซึ่งสิ่งเหล่านี้มาจากองค์ความรู้พื้นฐานว่ามนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างของรหัสดีเอ็นเอในยีนที่เกี่ยวข้องกับวิถีพยาธิกำเนิดของโรค (pathogenesis pathways) ยีนที่เกี่ยวข้องกับการออกฤทธิ์ของยาหรือเภสัชพลศาสตร์ (pharmacodynamic) และยีนที่เกี่ยวข้องกับเภสัชจลนศาสตร์ (pharmacokinetics) การทราบความแตกต่างเหล่านี้โดยละเอียด ย่อมจะนำไปสู่องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของโรค การเลือกใช้ยาตามความเหมาะสมกับโรค การเลือกขนาดยาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการรักษาสูงสุด และ ลดอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยากับผู้ป่วย อย่างไรก็ตามการประยุกต์ใช้ความรู้ทางเภสัชพันธุศาสตร์ในเวชปฏิบัติ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับอิทธิพลของยีนที่ทำให้เกิดลักษณะทางคลินิก และการตอบสนองต่อยา ในแง่ของความจำเพาะของความแปรผันทางพันธุกรรมในแต่ละเชื้อชาติ ไม่เพียงแพทย์เท่านั้นที่ต้องมีการปรับตัวให้ทันกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น บุคลากรอื่นๆ ทางสาธารณสุข รวมถึงนักวิจัยสาขาต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยความรู้บูรณาการในศาสตร์แต่ละแขนง เช่น การใช้ความรู้ทางชีวสารสนเทศ (bioinformatics) มาจัดเก็บ รวบรวม เปรียบเทียบ สืบค้น วิเคราะห์ข้อมูลทางชีววิทยาอย่างเป็นระบบ การศึกษาการแสดงออกของยีนในระดับ mRNA ภายในเซลล์ (transcriptomics) การศึกษาโปรตีโอมิกส์ (proteomics) ในด้านโครงสร้าง ประเภท ปริมาณ และหน้าที่ของโปรตีนที่แต่ละเซลล์สร้างขึ้น ร่วมกับศาสตร์สาขาอื่นๆ อีกจำนวนมาก เช่น metabolomics, phenomics, infectomics เป็นต้น เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ที่จำเพาะของลักษณะทางพันธุกรรมในเชิงลึกจนนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยในเวชปฏิบัติได้ ",
"แม้ในช่วงแรกเริ่มนั้นนักพันธุศาสตร์จะทำการศึกษาวิจัยในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด แต่ต่อมาความรู้ความเข้าใจในพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตบางชนิดก็มีการต่อยอดมากขึ้น ทำให้มีการศึกษาวิจัยในสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เป็นจำนวนมาก เมื่อมีจำนวนผลการศึกษาวิจัยในสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเป็นจำนวนมาก นักวิจัยรุ่นใหม่จึงนิยมทำการศึกษาวิจัยต่อยอดในสิ่งมีชีวิตนั้น จนมีสิ่งมีชีวิตต้นแบบเพียงไม่กี่ชนิดที่เป็นพื้นฐานของการศึกษาวิจัยทางพันธุศาสตร์ในที่สุด หัวข้อที่เป็นที่นิยมในการทำการศึกษาวิจัยกับสิ่งมีชีวิตต้นแบบ ได้แก่ การศึกษาเกี่ยวกับการควบคุมการแสดงออกของยีนและบทบาทของยีนในการเกิดรูปร่างและการเกิดมะเร็ง เป็นต้น",
"พันธุศาสตร์คลาสสิกคือชุดของความรู้ทางพันธุศาสตร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นก่อนจะมีการพัฒนาพันธุศาสตร์ยุคใหม่อย่างอณูพันธุศาสตร์ การค้นพบที่สำคัญของพันธุศาสตร์คลาสสิกที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นยูคาริโอตคือความเชื่อมโยงของพันธุกรรม ซึ่งเป็นผลที่ได้จากการสังเกตพบว่ายีนบางยีนไม่มีการแยกส่วนอย่างอิสระในขั้นตอนไมโอซิส ซึ่งเป็นการขัดกับกฎของทายกรรมเมนเดเลียน นำไปสู่การพัฒนาความรู้ในการหาทางสร้างแผนที่ที่ระบุตำแหน่งบนโครโมโซม แผนที่ความเชื่อมโยงนี้ยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในการพัฒนาพันธุ์พืช",
"เซลล์พันธุศาสตร์ () เป็นการศึกษาพันธุศาสตร์ในระดับเซลล์ ศึกษารูปร่าง ลักษณะ และจำนวน ของโครโมโซมในสิ่งมีชีวิต ตำแหน่งที่ตั้งของยีนบนโครโมโซม รวมถึงการศึกษาการแบ่งเซลล์ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต",
"อณูพันธุศาสตร์ (อังกฤษ: molecular genetics) เป็นแขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ที่ว่าด้วยเรื่องพันธุกรรมระดับโมเลกุล หรือ ดีเอ็นเอ และ ยีน ซึ่งนำมาสามเข้าใจในเรื่องพันธุศาสตร์ อีกทั้งเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับวิชาชีวเคมี และนำไปประยุกต์ใช้ในแบบของวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ",
"เภสัชพันธุศาสตร์ แปลจากคำอังกฤษว่า Pharmocogenetics ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Pharmacogenomics โดยยังไม่มีการกำหนดนิยามคำสองคำนี้แน่ชัด โดยทั่วไป เภสัชพันธุศาสตร์ มักใช้ในความหมายว่าเป็นการศึกษาหรือการตรวจทางคลินิกเพื่อตรวจหาความแปรผันทางพันธุกรรมที่ทำให้ผู้รับยามีการตอบสนองต่อยาแตกต่างกันไป ในขณะที่ pharmocogenomics มักเป็นคำกว้างกว่าหมายถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางจีโนมิคส์ในการค้นหายาใหม่ๆ และทำให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ๆ ของยาเดิม",
"ชีวเคมี เป็นการศึกษาสารเคมีและปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นในสิ่งมีชีวิต พันธุศาสตร์ เป็นการศึกษาการถ่ายทอดและผลของความแตกต่างของพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต อณูชีววิทยาและพันธุศาสตร์",
"หนังสือ \"พันธุศาสตร์กับกำเนิดสปีชีส์ (Genetics and the Origin of Species)\" ปี 2480 ของ Dobzhansky ได้เชื่อมความเข้าใจระหว่างพันธุศาสตร์กับชีววิทยา \nโดยแสดงงานคณิตศาสตร์ของนักพันธุศาสตร์ประชากรในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อนักชีววิทยา \nและโดยแสดงว่า เทียบกับแบบจำลองรุ่นต้น ๆ ของนักพันธุศาสตร์ประชากร ประชากรในธรรมชาติ (wild) มีความแตกต่างทางพันธุกรรมเมื่อสปีชีส์ย่อยแยกกันอยู่โดด ๆ มากกว่าที่เผื่อไว้ในแบบจำลอง และมีการเก็บรักษาความแตกต่างทางพันธุกรรมในยีนด้อย (recessive) มากกว่าที่เผื่อไว้",
"\"สถาบันอณูชีววิทยาและพันธุศาสตร์\" จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแหล่งผลิต วิจัย พัฒนาและเป็นหน่วยงานกลางทางวิชาการด้านอณูวิทยาพันธุศาสตร์ และพันธุศาสตร์ ",
"หมวดหมู่:อณูพันธุศาสตร์ หมวดหมู่:พันธุศาสตร์ หมวดหมู่:อาร์เอ็นเอ หมวดหมู่:การแสดงออกของยีน",
"พันธุศาสตร์ () เป็นอีกสาขาหนึ่งของชีววิทยา ศึกษาเกี่ยวกับยีน การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และความหลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต",
"พันธุศาสตร์ประชากรคือการศึกษาเกี่ยวกับการกระจายและการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของอัลลีลในประชากร ภายใต้ผลของกระบวนการทางวิวัฒนาการทั้ง 4 กระบวนการ ได้แก่ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ความไม่แน่นอนทางพันธุกรรม การกลายพันธุ์ และ การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน",
"พันธุศาสตร์ว่าด้วยโครงสร้างเชิงโมเลกุลและหน้าที่ของยีน พฤติกรรมของยีนในบริบทของเซลล์สิ่งมีชีวิต (เช่น ความเด่นและอีพิเจเนติกส์) แบบแผนของการถ่ายทอดลักษณะจากรุ่นสู่รุ่น การกระจายของยีน ความแตกต่างทางพันธุกรรมและการเปลี่ยนแปลงของพันธุกรรมในประชากรของสิ่งมีชีวิต (เช่นการศึกษาหาความสัมพันธ์ของยีนตลอดทั่วทั้งจีโนม) เมื่อถือว่ายีนเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด พันธุศาสตร์จึงเป็นวิชาที่นำไปใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทั้งไวรัส แบคทีเรีย พืช สัตว์ และมนุษย์ (เวชพันธุศาสตร์)",
"ได้มีการสังเกตมาแต่โบราณแล้วว่าสิ่งมีชีวิตมีการถ่ายทอดลักษณะจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นความรู้ที่มนุษย์ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ด้วยวิธีการคัดเลือกพันธุ์ อย่างไรก็ดี ความรู้พันธุศาสตร์สมัยใหม่ที่ว่าด้วยการพยายามทำความเข้าใจกระบวนการการถ่ายทอดลักษณะเช่นนี้เพิ่งเริ่มต้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเกรเกอร์ เมนเดล แม้เขาไม่สามารถศึกษาเจาะลึกไปถึงกระบวนการทางกายภาพของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แต่ก็ค้นพบว่าลักษณะที่ถ่ายทอดนั้นมีแบบแผนจำเพาะ กำหนดได้ด้วยหน่วยพันธุกรรม ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า ยีน",
"สุพันธุศาสตร์ () คือประมวลความเชื่อและวิธีปฏิบัติว่าด้วยการพัฒนาคุณภาพทางพันธุกรรมของประชากรมนุษย์ คำว่า \"สุพันธุศาสตร์\" นี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกโดยนักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ เซอร์ ฟรานซิส แกลตัน ในปีค.ศ. 1883 ",
"สาขาวิชาพันธุศาสตร์เป็นการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง สาขาวิชาพฤติกรรมวิทยาเป็นการศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มสิ่งมีชีวิต สาขาวิชาพันธุศาสตร์ประชากรเป็นการศึกษาพันธุศาสตร์ในระดับประชากรของสิ่งมีชีวิต การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกับสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง และระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่อาศัย จัดอยู่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและชีววิทยาของวิวัฒนาการ",
"พันธุศาสตร์เมนเดเลียนหรือ พันธุศาสตร์ของเมนเดล () เป็นชุดของทฤษฎีว่าด้วยการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งซึ่งเป็นพื้นฐานของวิชาพันธุศาสตร์ในปัจจุบัน มีที่มาจากการศึกษาของเกรเกอร์ เมนเดล ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1865 และ 1866 ซึ่งได้รับการค้นพบอีกครั้งในปี ค.ศ. 1900 และเป็นที่ถกเถียงอย่างมากในช่วงแรก ต่อมาเมื่อถูกผนวกเข้ากับทฤษฎีทายกรรมโครโมโซม (chromosome theory of inheritance) ของ Thomas Hunt Morgan ในปี ค.ศ. 1915 ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของแก่นของวิชาพันธุศาสตร์คลาสสิก",
"ในปี 2005 นั้นเอง คณะวิจัยโบราณคดี รังสีวิทยา และพันธุกรรมศาสตร์ ประกอบด้วย เยเฮีย กัด (Yehia Gad) และโซมาเอีย อิสมาอิล (Somaia Ismail) นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยแห่งชาติ (National Research Centre) ในกรุงไคโร พร้อมด้วยอัชรัฟ เซลิม (Ashraf Selim) และซาฮาร์ ซาลีม (Sahar Saleem) อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไคโร (Cairo University) กับทั้งคาร์สเทิน พุสช์ (Carsten Pusch) อาจารย์มหาวิทยาลัยเอเบอร์ฮาร์ดคาลส์ (Eberhard Karls University) ประเทศเยอรมนี อัลเบิร์ต ซิงก์ (Albert Zink) จากสถาบันมัมมี่และมนุษย์หิมะยูแรก (EURAC-Institute for Mummies and the Iceman) ประเทศอิตาลี และพอล กอสต์เนอร์ (Paul Gostner) จากโรงพยาบาลกลางบอลซาโน (General Hospital of Bolzano) ประเทศอิตาลี ร่วมกันตรวจพระศพทุตอังค์อามุนโดยวิธีถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ เชื่อว่า พระองค์มิได้สิ้นพระชนม์เพราะทรงถูกตีพระเศียร นอกจากนี้ ในพระกายยังพบความบกพร่องแต่กำเนิดซึ่งมีมากในหมู่เด็กที่เกิดจากการร่วมประเวณีระหว่างญาติสนิท ญาติสนิทที่สมสู่กันจะส่งกรรมพันธุ์ที่เป็นอันตรายผ่านไปยังบุตร บุตรที่บิดามารดาเป็นญาติสนิทกันจึงมักมีความบกพร่องทางพันธุกรรมอย่างเห็นประจักษ์ อนึ่ง ที่เคยตรวจพบว่า พระตาลุโหว่นั้น ก็สันนิษฐานว่า เป็นผลมาจากความบกพร่องทางพันธุกรรมดังกล่าวด้วย จึงมีการตรวจสอบต่อไปว่า ทุตอังค์อามุนทรงกำเนิดมาจากพระบิดาและพระมารดาที่เป็นพระญาติสนิทกันหรือไม่",
"นอกจากนี้ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมในมนุษย์ นักพันธุศาสตร์มักใช้แผนภาพเพ็ดดีกรีในการอธิบายการถ่ายทอดลักษณะที่เป็นโรคนั้น ๆ โดยแสดงให้เห็นการถ่ายทอดลักษณะของความเป็นโรคในครอบครัว",
"2. เภสัชพันธุศาสตร์ทีไม่เกี่ยวข้องกับเภสัชจลนศาสตร์ของยา ความผิดแผกทางพันธุกรรมชนิดนี้จะมีผลต่อการตอบสนองหรือการเกิดพิษของยา โดยที่ไม่มีผลต่อกระบวนการทางเภสัชจลนศาสตร์ของยา ตัวอย่างเช่น ความผิดแผกทางพันธุกรรมของเอนไซม์ที่เป็นเป้าหมายในการออกฤทธิ์ของยา หรือโปรตีนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมยาผ่านผนังลำไส้หรือการขนส่งยาเข้าสู่สมองหรือเนื้อเยื่อต่างๆ",
"เวชพันธุศาสตร์เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความแตกต่างทางพันธุกรรมกับสุขภาพและโรคของมนุษย์ ในการหายีนที่อาจทำให้เกิดโรค ผู้วิจัยจะใช้หลักของการเชื่อมโยงทางพันธุกรรมและแผนภาพพงศาวลีในการหาตำแหน่งบนจีโนมที่สัมพันธ์กับโรค ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรค ในการศึกษาวิจัยระดับประชากร ผู้วิจัยสามารถใช้หลักการสุ่มแบบเมนเดลในการหาตำแหน่งบนจีโนมที่สัมพันธ์กับโรคได้ ซึ่งจะเห็นประโยชน์ชัดเจนในโรคที่มียีนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถระบุยีนเดี่ยว ๆ ที่ก่อโรคได้ เมื่อพบยีนที่อาจเป็นยีนก่อโรคแล้ว จะมีการศึกษาวิจัยต่อกับยีนที่คล้ายกันในสิ่งมีชีวิตต้นแบบ นอกจากการศึกษาเกี่ยวกับโรคพันธุกรรมแล้ว ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับเภสัชพันธุศาสตร์ซึ่งศึกษาว่าลักษณะทางพันธุกรรมส่งผลต่อการตอบสนองต่อยาอย่างไร ทั้งนี้เป็นผลจากการที่เทคโนโลยีในการศึกษารูปแบบพันธุกรรมนั้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น",
"ในทศวรรษ 1930 และ 1940 มีการพยายามเพื่อรวมพันธุศาสตร์ประชากร กับสังเกตการณ์ของนักธรรมชาติวิทยาในเรื่องการกระจายตัวของสปีชีส์พร้อมทั้งสปีชีส์ย่อย และกับการวิเคราะห์บันทึกซากดึกดำบรรพ์ เพื่อสร้างแบบจำลองวิวัฒนาการแบบเอกภาพ\nการประยุกต์ใช้หลักพันธุศาสตร์กับกลุ่มประชากรในธรรมชาติ โดยบุคคลต่าง ๆ เช่น นักพันธุศาสตร์ชาวยูเครน-อเมริกัน Theodosius Dobzhansky และนักชีววิทยาวิวัฒนาการชาวเยอรมัน Ernst Mayr ได้ขยายความเข้าใจเรื่องกระบวนการวิวัฒนาการ",
"ทฤษฎีวิวัฒนาการแบบสังเคราะห์ในปัจจุบัน เป็นผลของของการรวมสาขาวิทยาศาสตร์หลายสาขาเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างหล่อหลอมเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ\nในคริสต์ทศวรรษ 1920 นักชีววิทยา-สถิติชาวอังกฤษโรนัลด์ ฟิชเช่อร์, ชาวอินเดีย-อังกฤษ J.B.S. Haldane, และนักพันธุศาสตร์ชาวอเมริกันซิวอัลล์ ไรท์ ได้รวมทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วินกับแบบจำลองทางสถิติของพันธุศาสตร์แบบเมนเดล และสร้างสาขาพันธุศาสตร์ประชากรใหม่",
"พันธุศาสตร์คือวิชาที่ว่าด้วยพันธุกรรม (ยีน) และการทำงานของพันธุกรรม ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดลักษณะต่างๆ จากรุ่นสู่รุ่นได้ เช่น เด็กมักมีหน้าตาเหมือนพ่อแม่ เนื่องจากได้รับพันธุกรรมมาจากพ่อแม่ วิชาพันธุศาสตร์จะพยายามค้นหาว่าลักษณะใดบ้างที่มีการถ่ายทอด และการถ่ายทอดลักษณะนั้นๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร",
"มนุษยพันธุศาสตร์เป็นสาขาย่อยของพันธุศาสตร์ที่ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมในมนุษย์ มีเนื้อหาครอบคลุมและทับซ้อนสาขาวิชาอื่นๆ เช่น พันธุศาสตร์คลาสสิก เซลล์พันธุศาสตร์ อณูพันธุศาสตร์ พันธุศาสตร์ชีวเคมี จีโนมิกส์ พันธุศาสตร์ประชากร พันธุศาสตร์การเจริญ พันธุศาสตร์คลินิก และการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม",
"การใช้คำว่า \"เชื้อชาติ\" ให้มีความหมายคล้ายกับ \"สปีชีส์ย่อย\" ในมนุษย์นั้นเลิกไปแล้ว Homo sapiens ไม่มีสปีชีส์ย่อย ในความหมายโดยนัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คำนี้ใช้ไม่ได้กับสปีชีส์ที่เป็นเอกพันธุ์ทางพันธุกรรมอย่างมนุษย์ ดังที่แถลงไว้ในแถลงการณ์ว่าด้วยเชื้อชาติ[90] (ยูเนสโก ค.ศ. 1950 ) การศึกษาทางพันธุศาสตร์ได้พิสูจน์ถึงการขาดพรมแดนทางชีววิทยาที่ชัดเจนแล้ว ฉะนั้น คำว่า \"เชื้อชาติ\" จึงพบใช้น้อยครั้งเป็นศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะในทางมานุษยวิทยาเชิงชีววิทยาหรือพันธุศาสตร์มนุษย์[91] สิ่งที่ในอดีตเคยนิยามว่าเป็น \"เชื้อชาติ\" เช่น ผิวขาว ผิวดำ หรือเอเชีย ปัจจุบันนิยามว่าเป็น \"กลุ่มชาติพันธุ์\" หรือ \"ประชากร\" ตามสาขาที่พิจารณา (สังคมวิทยา มานุษยวิทยา พันธุศาสตร์) [92][93]",
"ในวิชาพันธุศาสตร์ เพเนแทรนซ์ () คือสัดส่วนของประชากรที่มีความแตกต่างทางของลักษณะทางพันธุกรรม (genotype) แล้วมีลักษณะปรากฏ (phenotype) โดยในทางเวชพันธุศาสตร์ เพเนแทรนซ์ของการกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคคือสัดส่วนของประชากรที่มีอาการต่อประชากรที่มีการกลายพันธุ์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น หากการกลายพันธุ์ของยีนหนึ่ง ทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมลักษณะเด่นโดยมีเพเนแทรนซ์ 95% จะพบว่า ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ในลักษณะนั้น 95% จะเกิดโรคและมีอาการ ในขณะที่อีก 5% ไม่เกิดโรคและไม่มีอาการ แต่มีพันธุกรรมที่บ่งว่าจะเป็นโรค",
"กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็นการศึกษาโครงสร้างและการจัดเรียงตัวของร่างกายมนุษย์ สาขาวิชาหลักของกายวิภาคศาสตร์ได้แก่ มหกายวิภาคศาสตร์ (Gross anatomy) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จุลกายวิภาคศาสตร์ หรือมิญชวิทยา หรือวิทยาเนื้อเยื่อ (Histology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษากายวิภาคศาสตร์ในระดับจุลภาคซึ่งต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ สัณฐานวิทยา (Morphology) ศึกษาโครงสร้างและรูปร่างของสิ่งมีชีวิต สรีรวิทยา (Physiology) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต ทั้งในด้านกลศาสตร์ ด้านกายภาพ และด้านชีวเคมี แบ่งเป็น 2 สาขาย่อย คือ สรีรวิทยาของพืช และสรีรวิทยาของสัตว์ * อณูชีววิทยา (Molecular biology) หรือ ชีววิทยาโมเลกุล เป็นสาขาย่อย ที่แตกออกมาจากชีวเคมี เน้นศึกษาโครงสร้างและการทำงานของยีน (gene) ซึ่งเป็นรหัสพันธุกรรมบนสายดีเอ็นเอ หรือ อาร์เอ็นเอ ตลอดจนการควบคุมการทำงานของยีน ในระดับต่าง ๆ จนออกมาเป็น สาย อาร์เอ็นเอ และ เป็น โปรตีน พันธุศาสตร์ (Genetics) คือ สาขาแขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ ซึ่งว่าด้วยการศึกษาหน่วยพันธุกรรม หรือ ยีน, กรรมพันธุ์ (heredity) , และวิวัฒนาการในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต จากชั่วชีวิตหนึ่งไปอีกชั่วชีวิตหนึ่ง เซลล์พันธุศาสตร์ (Cytogenetics) ศึกษาพันธุศาสตร์ในระดับเซลล์ รูปร่าง ลักษณะ และจำนวนของโครโมโซมในสิ่งมีชีวิต ตำแหน่งที่ตั้งของยีนบนโครโมโซม และการแบ่งเซลล์ในสิ่งมีชีวิต นิเวศวิทยา (Ecology) คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่และสิ่งแวดล้อม คัพภวิทยา หรือ วิทยาเอ็มบริโอ (Embryology) เป็นการศึกษาการเจริญของเอ็มบริโอ เอ็มบริโอคือขั้นหนึ่งของการเจริญของสิ่งมีชีวิตก่อนคลอดหรือออกจากไข่ หรือในพืชคือในระยะก่อนการงอก (germination) ชีววิทยาของเซลล์ (cell biology) หรือ วิทยาเซลล์ (cytology) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเซลล์ ทั้งในด้านคุณสมบัติทางสรีรวิทยา, โครงสร้าง, ออร์แกเนลล์ที่อยู่ภายใน, ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม, วัฎจักรเซลล์, การแบ่งเซลล์, และการตายของเซลล์ มหพยาธิวิทยา (Gross pathology) หมายถึงลักษณะแสดงในระดับมหัพภาค (หรือระดับตาเปล่า) ของโรคที่เกิดในอวัยวะ, เนื้อเยื่อ และช่องตัว ศัพท์ดังกล่าวใช้กันทั่วไปในวิชาพยาธิกายวิภาค (anatomical pathology) เพื่อหมายถึงการตรวจเพื่อวินิจฉัยหาข้อมูลในชิ้นเนื้อตัวอย่างหรือการชันสูตรพลิกศพ (autopsy)"
] |
ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมืองเกิดวันที่เท่าไหร่? | [
"ซิโก้เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2516 ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี[1] เป็นบุตรคนสุดท้องจากทั้งหมดสามคน ของสุริยา (บิดา) และริสม (มารดา)[2][3] มีพี่สาวสองคน[4] แต่ภายหลังราวปี พ.ศ. 2525 เขาตามบิดามารดาย้ายกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น[5]"
] | [
"คำขวัญของนักเรียนนายร้อยตำรวจนั้น เป็นกุศโลบายที่จะฝึกให้ นรต.มีคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่จะเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร และกำลังจะสำเร็จการศึกษาออกไปเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยตำรวจทั่วประเทศ ซึ่งจะฝึกให้ นรต.รู้จักความเป็น \"ผู้ใต้บังคับบัญชา\"ที่ดีในชั้นปีที่ 1-2 และเป็น \"ผู้บังคับบัญชา\" ที่ดีในชั้นปีที่ 3-4 คำขวัญดังกล่าวมักจะถูกเรียกให้คล้องจองคือ \"เกียรติศักดิ์ รักษ์วินัย วิจัยกรณี ขันตีอุตสาหะ\"",
"พลตำรวจโท อำนวย นิ่มมะโน เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 31 (นรต.31) สำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2521",
"พลตำรวจโท ประชา บูรณธณิต เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2446 เป็นชาวนครราชสีมา เป็นทายาทสายสกุลของเจ้าเมืองนครราชสีมา เข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจรเข้ นครปฐม รุ่น พ.ศ. 2465 จบหลักสูตรเป็นนายร้อยตำรวจปี พ.ศ. 2468",
"NATO CodeOF-10OF-9OF-8OF-7OF-6OF-5OF-4OF-3OF-2OF-1Student OfficerThai titleพลตำรวจเอกพลตำรวจโทพลตำรวจตรีพลตำรวจจัตวาพันตำรวจเอกพันตำรวจโทพันตำรวจตรีร้อยตำรวจเอกร้อยตำรวจโทร้อยตำรวจตรีนักเรียนนายร้อยตำรวจRTGSPhon Tam Ruad EkPhon Tam Ruad ThoPhon Tam Ruad TriPhon Tam Ruad JattawaPhan Tam Ruad EkPhan Tam Ruad ThoPhan Tam Ruad TriRoi Tam Ruad EkRoi Tam Ruad ThoRoi Tam Ruad TriNak Rian Nai Roi Tam RuadAbbreviation-พล.ต.อ.พล.ต.ท.พล.ต.ต.พล.ต.จ.พ.ต.อ.พ.ต.ท.พ.ต.ต.ร.ต.อ.ร.ต.ท.ร.ต.ต.นรต.Anglicised versionPolice GeneralPolice Lieutenant GeneralPolice Major GeneralPolice Brigadier (but not promotion this rank now) Police Senior ColonelPolice ColonelPolice Lieutenant ColonelPolice MajorPolice CaptainPolice LieutenantPolice Sub LieutenantPolice CadetUK equivalentField MarshalGeneralLieutenant GeneralMajor GeneralBrigadierColonelLieutenant ColonelMajorCaptainLieutenantSecond LieutenantPolice Cadet",
"พันตำรวจโทเจ๊ะอิสมาแอ เริ่มรับราชการครั้งแรกในพื้นที่นครบาล ก่อนที่ลาออกจากราชการครั้งแรก ในขณะที่มียศร้อยตำรวจโท เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง ในสังกัดพรรคกิจสังคม แต่ไม่ประสบ\nความสำเร็จ จึงกลับเข้ารับราชการใหม่ครั้งที่สอง จนกระทั่งเติบโตในหน้าที่ราชการจนติดยศพันตำรวจโท ในตำแหน่งสารวัตร หัวหน้าสถานีตำรวจภูธร ตำบลตันหยง อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส จากนั้นจึงลาออกเพื่อสมัครรับเลือกตั้งครั้งที่สอง ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงกลับเข้ารับราชการใหม่ครั้งที่สาม ซึ่งครั้งนี้ได้สังกัดกองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดสุราษฏร์ธานี ",
"เดือนกันยายน ชนาธิป ถูกเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เรียกตัวติดทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ และพาทีมชาติคว้าอันดับสี่มาครอง",
"ที่ทะเลทราย พรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก ฮาเวียร์ โรดวิเกวซ (เบนิซิโอ เดล โทโร่) นายตำรวจหนุ่มตงฉินชาวเม็กซิกัน และมาโนโล ซานเชส (เจคอบ วาร์กัซ) คู่หูอยู่ระหว่างการจับกุมแก๊งค์ค้ายาเสพย์ติดทั้งคู่สังกัดอยู่ในกรมตำรวจ ที่มี นายพลซาลาซ่า (โธมัส มิเลียน) ซึ่งเมื่อทั้งคู่สามารถจับแก๊งค์ค้ายาได้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้นายพลซาลาซ่ากระเทือนเท่านั้น เพราะแก๊งค์ค้ายาเหล่านี้ก็ตกอยู่ภายใต้การคุ้มครองของนายพลซาลาซ่า และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความลุ่มหลง และละโมบ ฮาเวียร์จึงพยายามที่จะต่อต้าน แต่ยิ่งต่อต้านมากเท่าใด เขาก็พบว่า ตัวเองและเพื่อนคู่หู ถลำลึกลงไปในวังวนของความฉ้อฉลมากขึ้นเท่านั้น",
"2 ตำรวจหญิงแผนกจราจรเป็นศัตรูของเรียวซึเนื่องจากพวดเธอไม่ค่อยเจ้าตัวเท่าไหร่ โดยโคมาจิมีนิสัยคล้ายๆทอมบอย ส่วนนาโอโกะจะม้วนผมหางม้า",
"ในปี พ.ศ. 2474 ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับหมวดที่กองเมืองจังหวัดพัทลุง ที่พัทลุงนี่เองท่านได้สร้างเกียรติประวัติในตำแหน่งหน้าที่ จนเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงราชการและคนทั่วไป โดยการปราบปรามผู้ร้ายสำคัญของจังหวัดพัทลุง คือ เสือสัง หรือเสือพุ่ม ซึ่งเป็นเสือร้ายที่แหกคุกมาจากเมืองตรัง ขุนพันธรักษ์ราชเดช เล่าว่า เสือสังนี้มีร่างกายใหญ่โต ดุร้าย และมีอิทธิพลมาก มาอยู่ในความปกครองของกำนันตำบลป่าพยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง นอกจากนั้นแล้วยังมีคนใหญ่คนโตหลายคนให้ความอุ้มชูเสือสัง จึงทำให้เป็นการยากที่จะปราบได้ แต่ท่านก็สามารถปรามเสือสังได้ในปีแรกที่ย้ายมารับราชการ โดยท่านไปปราบร่วมกับ พลตำรวจเผือก ด้วงชู มี นายขี้ครั่ง เหรียญขำ เป็นคนนำทาง การปราบปรามเสือสังครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก ตอนนั้นเจ้าพระยาศรีสุรเสนาไปตรวจราชการตำรวจที่พัทลุงพอดี ผู้ปราบเสือสังจึงได้รับความดีความชอบ คือ ว่าที่ร้อยตำรวจตรีบุตร พันธรักษ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นร้อยตำรวจตรี หรือร.ต.ต. พลตำรวจ (พล.ต.) เผือก ชูด้วง เป็นสิบตรี ส.ต. และนายขี้ครั่ง ได้รับรางวัล 400 บาท",
"นายวนัสธนา สัจจกุล เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 ที่จังหวัดนราธิวาส เป็น บุตรนายสุเทพและนางชวลิต สัจจกุล มีพี่น้อง 12 คน สมรสกับนางสุพัทรา มีบุตรชาย 2 คนและบุตรสาวคนเล็กอีก 1 คน(หนึ่งในนั้นคือนักแสดงที่มีชื่อเสียง คือ ธีรภัทร์ สัจจกุลและชลนสร สัจจกุล นักร้องวง CLC) เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนสตรีวรนาถ มัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย แผนกวิทยาศาสตร์ และศึกษาต่อวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีมาปัว ประเทศฟิลิปปินส์ ในครั้งนั้นได้เป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย และสโมสรฟิลิปปินส์ ได้เบี้ยเลี้ยงเดือนละ 200-300 บาท และยังได้ติดทีมชาติฟิลิปปินส์กลับมาแข่งที่ประเทศไทยด้วย ส่วนระดับปริญญาโท สำเร็จการศึกษาจากคณะจัดการ สถาบันศศินทร์พัฒนบริหารศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีชื่อเสียงมาพร้อมกับทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ชุด \"ดรีมทีม\" ซึ่งเป็นชุดที่ได้แชมป์ซีเกมส์ ที่สิงคโปร์ ประจำปี พ.ศ. 2536 ในฐานะผู้จัดการทีม ที่มีนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงจำนวนมากร่วมทีม ได้แก่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล, ดุสิต เฉลิมแสน, โกวิทย์ ฝอยทอง เป็นต้น",
"ประกิต ดีพร้อม ชื่อเล่น \"กิต\" เกิดวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2531 ที่จังหวัดสระบุรี สร้างชื่อเสียงกับการเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรฟุตบอลทีโอที โดยในฤดูกาล 2557 ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ทำได้ 5 ประตูและ 5 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 36 นัด ทำให้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยเรียกตัวติดทีมชาติไทย เพื่อแข่งขันในรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนทีมชาติไทยคว้าแชมป์ในรายการนี้ไปครอง",
"หัวหน้าผู้ฝึกสอน: เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง",
"ผู้ฝึกสอนปัจจุบันคือ เซือง มิญ นิญ นอกจากนี้ในอดีตได้มีผู้เล่นไทย 5 คนที่มีชื่อเสียงเล่นในทีมนี้ได้แก่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, โชคทวี พรหมรัตน์, ดุสิต เฉลิมแสน และศักดา เจิมดี โดยทางสโมสรได้ยกเลิกเบอร์เสื้อหมายเลข 13 ของผู้เล่นเพื่อเป็นเกียรติแก่เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง",
"ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ในตำแหน่งกองหน้า อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย มีชื่อเล่นที่สื่อมวลชนสายกีฬาตั้งให้ว่า ซิโก้ ตามชื่อของนักฟุตบอลชาวบราซิลที่มีชื่อเสียง อันมีที่มาจากชื่อเล่นของเขาเอง",
"พราว พิชญดา (อั้ม พัชราภา) นางเอกซุปเปอร์สตาร์ในสังกัดของ แฟรงค์ (เสนาหอย เกียรติศักดิ์) ถูกใครบางคนปองร้ายทางตำรวจจึงส่ง ผู้กองสมชาย (เวียร์ ศุกลวัฒน์) นายตำรวจหนุ่มผู้สูญเสีย ผู้กองวิทย์ (นัท อติรุจ) ตำรวจหนุ่มคู่หูในตอนที่ช่วยพราวจากโจรค้ายา มาเป็นบอดี้การ์ดทำให้ทั้งคู่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมา\nตลอดเวลาขณะเดียวกัน พราว แฟรงค์ และ เอมี่ (บี มาติกา) เลขาของแฟรงค์ต้องคอยแก้ข่าวที่มักจะถูก ส้มจี๊ด (ส้ม ธัญสินี) นักข่าวจอมแฉเขียนโจมตี เนื่องจากได้ จันทร์จรี (หยก ธัญยกันต์) เด็กในสังกัดเดียวกับพราวคอยให้ข่าวเพื่อหวังจะโค่นพราว",
"ชนินทร์ ยังได้รับการยกย่องจากธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล และเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ว่าเป็นผู้รักษาประตูฝีมือดีคนหนึ่งของทีม",
"หมวดหมู่:นักฟุตบอลชาวไทย หมวดหมู่:กองหน้าฟุตบอล หมวดหมู่:นักฟุตบอลทีมชาติไทย หมวดหมู่:ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวไทย หมวดหมู่:ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดขอนแก่น หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดอุดรธานี หมวดหมู่:ตำรวจชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์",
"ร้อยตำรวจเอก เฉลิม เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2490 บิดาชื่อ ร.ต.ต.แฉล้ม อยู่บำรุง มารดาชื่อนางลั้ง อยู่บำรุง จบการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง [2] ก่อนเข้ารับราชการตำรวจที่มีตำแหน่งเป็นสารวัตรกองปราบ นั้นได้เคยเป็นทหารยศสิบโทมาก่อน ได้ขอโอนย้ายตัวเองเข้าสังกัดตำรวจ ในการทำงานการเมืองเคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และขณะที่กำกับดูแลหน่วยงานแห่งนี้ ร้อยตำรวจเอก เฉลิม มีชื่อเรียกสั้น ๆ จากสื่อมวลชนว่า \"เหลิม\" หรือ \"เหลิมดาวเทียม\" เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันดีในแวดวงสื่อมวลชนถึงการควบคุมการนำเสนอข่าวด้วยตนเองของ ร้อยตำรวจเอก เฉลิม ซึ่งในบางครั้งถึงกับเข้าไปสั่งการในห้องตัดต่อเอง จนคนในช่อง 9 เรียกว่า \"บรรณาธิการเฉลิม\"[3]",
"เคนโมจิ อิซามุ (剣持 勇)นายตำรวจลูกน้องของสารวัตรอาเคจิ เคนโมจิเป็นนายตำรวจที่มีฝีมือในด้านการต่อสู้และเป็นยูโดสายดำ พบกับคินดะอิจิครั้งแรกในการคลี่คลายคดีฆาตกรรมโรงละครโอเปร่า ตอนแรกหมวดเคนโมจิไม่ค่อยชอบขี้หน้าคินดะอิจิสักเท่าไหร่ และต่อมาเมื่อมีคดีเกิดขึ้น เคนโมจิมักจะขอความช่วยเหลือจากคินดะอิจิอยู่เสมอ",
"คดีนี้ได้ถูกรื้อฟื้นและตัดสินอย่างจริงจังหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ศาลดำเนินคดีในปี พ.ศ. 2502 พบผู้ต้องหา 5 ราย ได้แก่ พลตำรวจจัตวา ผาด ตุงคะสมิท, พลตำรวจจัตวา ทม จิตรวิมล, ร้อยตำรวจโท จำรัส ยิ้มละมัย, ร้อยตำรวจโท ธนู พุกใจดี และสิบตำรวจเอกแนบ นิ่มรัตน์ โดยศาลพิพากษาในปี พ.ศ. 2504 จำคุกตลอดชีวิตผู้ต้องหา 3 ราย คือ พลตำรวจจัตวา ผาด, พลตำรวจจัตวา ทม และ สิบตำรวจเอก แนบ ส่วน ร้อยตำรวจโท จำรัส และร้อยตำรวจโท ธนู ศาลได้ยกฟ้อง แต่กระนั้นก็ยังมีความเชื่อว่า ผู้ต้องหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาตัวจริง อีกทั้งยังมีการช่วยเหลือและไม่จริงใจในการดำเนินคดีอีกด้วย ทั้งนี้ เพราะมีผู้ต้องหาหลายคนที่เคยเป็นทหารและตำรวจในสังกัดของจอมพล ป. มาก่อน ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ก็ต้องการให้ทหารและตำรวจเหล่านี้ค้ำจุนอำนาจไว้",
"เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ปรากฏตัวเกมส์แรกเป็นตัวละครนักฟุตบอลในเกม FIFA 98 road to worldcup ของบริษัท EA ในฐานะตัวสำรองของทีมชาติไทยในเกมส์ สวมเสื้อหมายเลข 13 และเกมส์ของค่าย KONAMI \"เวิร์ลด์ ซอคเกอร์ จิคเคียว วินนิ่ง อีเลฟเว่น 2000: U-23 เมดัล เฮโนะ โชเซ็น\" (World Soccer Jikkyou Winning Eleven 2000: U-23 Medal Heno Chousen) ในฐานะผู้เล่นทีมชาติไทยชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี โดยมีชื่อในเกมว่า \"เซนามูรัน\" (セナムラン)",
"เอ็มไทยท็อปทอล์กอะเบาต์ 2015 สาขาบุคคลชายที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด[42] Fever Awards 2016 สาขานักกีฬาฟีเวอร์ 2016",
"ในภายหลัง อภิสิทธิ์ได้มีส่วนร่วมกับสโมสรฟุตบอล บางกอก เอฟซี โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้แก่เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ครั้นเมื่อ เกียรติศักดิ์ได้หันไปทำหน้าที่ช่วยแก่ทีมชาติไทย อภิสิทธิ์ก็ได้รับหน้าที่คุมทีมบางกอก เอฟซี ทั้งหมดแทน ทั้งยังมีผลงานในการควบคุมโอลอฟ วัตสัน ซึ่งเป็นนักฟุตบอลชาวสวีเดน",
"*** ฟีฟ่ารับรอง 70 ประตู",
"ซิโก้เริ่มศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองแดง อำเภอกุมภวาปี จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากนั้นจึงย้ายมาศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนน้ำพองศึกษา อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จนสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 จึงย้ายเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร ในระดับอนุปริญญา สาขาการบัญชี ที่โรงเรียนพาณิชยการกรุงเทพ และจบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และจบการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการกีฬา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม[6]",
"ในระดับสโมสรดุสิตเคยเล่นให้กับ เพื่อนตำรวจ บีอีซี เทโรศาสน Mohun Bagan AC ที่ประเทศอินเดีย ก่อนกลับมาประเทศไทย โดยลงเล่นให้กับ บีอีซี เทโรศาสน เป็นครั้งที่ 2 แล้วย้ายไปเล่นให้กับฮหว่างอัญซาลาย ที่ประเทศเวียดนาม จากการชักชวนของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และกลับมาประเทศไทย ลงเล่นให้กับ เพื่อนตำรวจ เป็นครั้งที่ 2 และเป็นสโมสรสุดท้ายในการเป็นนักฟุตบอลของดุสิต",
"เดือนกันยายน ชนาธิปถูกเกียรติศักดิ์ เสนาเมืองเรียกตัวติดทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ และพาทีมชาติคว้าอันดับ 4 มาครอง",
"ต่อมาในปี พ.ศ. 2557 สารัชเข้าสู่ทีมชาติไทยชุดเอเชียนเกมส์ 2014 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ หลังจากมีผลงานที่ดีกับเมืองทอง ยูไนเต็ด จน เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เรียกเข้าไปติดทีมชาติและได้พาทีมชาติไทยสร้างประวัติศาสตร์เข้าสู่รอบสี่ทีมสุดท้ายอีกครั้ง",
"2532 ชนะเลิศ ถ้วย ก (ธนาคารกรุงไทย) 2536 ชนะเลิศ ถ้วย ข (ธนาคารกรุงไทย) 2541 ชนะเลิศ กีฬากองทัพไทย (ตำรวจ) 2542 รองชนะเลิศ มาเลเซียซูเปอร์ลีก (ปะลิส) 2543 รองชนะเลิศ ดิวิชั่น 1 อังกฤษ (ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์) 2545 ชนะเลิศ เอส.ลีก (สิงคโปร์ อาร์มฟอร์ซ) 2546 ชนะเลิศ วี-ลีก (ฮหว่างอัญซาลาย) 2546 ชนะเลิศ เวียดนามซูเปอร์คัพ (ฮหว่างอัญซาลาย) 2547 ชนะเลิศ วี-ลีก (ฮหว่างอัญซาลาย) 2547 ชนะเลิศ เวียดนามซูเปอร์คัพ (ฮหว่างอัญซาลาย)"
] |
การชันสูตรพลิกศพจะทำได้ในกรณีใด ? | [
"การชันสูตรพลิกศพ (English: Autopsy) คือการตรวจพิสูจน์เพื่อดูสภาพศพแต่เพียงภายนอก ค้นหาสาเหตุและพฤติการณ์ที่ตายว่าผู้ตายคือใคร ตายเมื่อใด ถ้าตายโดยคนทำร้าย สงสัยว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดที่ทำให้เกิดการตายตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 ความว่า \"ให้ทำการสอบสวนรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพในกรณีที่ความตายเป็นผลแห่งการกระทำผิดอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ ถ้าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล\"[1] ซึ่งตามกฎหมายมีความมุ่งหมายให้แพทย์และพนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจสอบในสถานที่พบศพ ยกเว้นแต่ว่าการชันสูตรพลิกศพ เพื่อตรวจดูสภาพศพในสถานที่เกิดเหตุนั้น อาจเป็นเหตุทำให้การจราจรติดขัดมาก อาจกลายเป็นสถานที่อุดจาตาจากสภาพศพ หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนทั่วไป แพทย์และพนักงานสอบสวนย่อมมีสิทธิ์ที่จะสามารถเคลื่อนย้ายศพ เพื่อนำไปทำการชันสูตรพลิกศพยังสถานที่อื่นที่เหมาะสมได้"
] | [
"กรณีถูกผู้อื่นทำให้ตาย หมายถึงกรณีที่การตายเกิดจากการกระทำของผู้อื่น ไม่ว่ากระทำโดยเจตนาฆ่า หรือไม่มีเจตนาฆ่า หรือโดยประมาท หรือแม้มิได้กระทำโดยประมาทก็เข้ากรณีนี้ เช่น ผู้ตายวิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด โดยผู้ขับขี่มิได้ประมาท การชันสูตรพลิกศพจะทำให้ทราบถึงสาเหตุการตายโดยแน่ชัดว่า เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดอาญาอย่างไร หรือบางครั้งมีการขับรถชนแล้วหลบหนีแต่ถ้ามีการเก็บวัตถุพยานต่างๆ จากผู้ตาย หรือผู้บาดเจ็บ ซึ่งได้แก่ สีของรถคันที่ชนอาจติดที่บาดแผลผู้ตาย ,เลือดของผู้ตายอาจติดอยู่ที่บริเวณกันชนหรือดอกยางของรถคันที่ชน ทำให้ตำรวจสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการเชื่อมโยงเหตุการณ์ในการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ส่วนในกรณีถูกสัตว์ทำร้าย หมายถึงการตายที่เป็นผลโดยตรงจากการถูกสัตว์ทำร้าย เช่น ถูกงูกัด ถูกช้างเหยียบ การชันสูตรพลิกศพจะทำให้รู้ว่าการตายนั้นถูกสัตว์กระทำโดยตรง ไม่ใช่เป็นการบาดเจ็บจากการกระทำของมนุษย์",
"โดยการจัดรหัสทั้งสองแบบนี้มีเพียง 23 ภาษาเท่านั้นที่มีรหัสแตกต่างกัน โดยที่ในอนาคตการกำหนดรหัสจะขึ้นอยู่กับชื่อแทนของภาษานั้น ยกเว้นแต่กรณีที่ประเทศนั้น ๆ หรือกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษานั้น ๆ ร้องขอ แต่เพื่อให้เกิดความเสถียรภาพและความต่อเนื่อง การเปลี่ยนรหัสเหล่านี้จะทำได้เมื่อมีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น และรหัสเดิมจะยังคงต้องใช้อยู่\nอย่างน้อย 5 ปีก่อนที่จะมีการใช้รหัสใหม่แทนที่หลังจากที่ได้มีการร้องขอให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตามรหัสในกลุ่มบรรณานุกรมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงถ้าชื่อของภาษาหรือสัญลักษณ์ย่อของภาษาเปลี่ยนด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน\nในกรณีที่ภาษาเดียวกันแต่มีการเขียนต่างกันจะใช้รหัสแทนภาษาตัวเดียวกันแต่อาจมีมาตรฐาน\nอื่นเพิ่มขึ้นเพื่อแยกให้เห็นระบบการเขียนที่แตกต่างกัน สำหรับกรณีภาษาท้องถิ่นก็จะใช้รหัสเดียวกับภาษานั้น ๆ ยกเว้นบ้างในกรณีที่ภาษาท้องถิ่นนั้นมีลักษณะที่ไม่สามารถบอกรากที่มาของภาษานั้น ๆ ได้ชัดเจนก็สามารถมีรหัสภาษาของตัวเองได้ (ซึ่งมีปรากฏอยู่น้อยกรณี)",
"แต่ถ้าเสนาบดีผู้บัญชาการปกครองท้องที่ หรือ สมุหเทศาภิบาลผู้สำเร็จราชการมณฑล หรือผู้ว่าราชการ เมืองเห็นว่า เหตุที่เกิดฆาตกรรมเป็นการซึ่งควรจะจัด การโดยพิเศษ จะตั้งผู้ทำการชันสูตรพลิกศพเฉพาะเรื่อง นั้นทั้ง ๓ คน ก็ได้ ถ้าหากว่า ศพนั้นตายโดยฆาตกรรมอย่างสามัญ พนักงาน ๓ คน ซึ่งจะนั่งทำการชันสูตร พลิกศพ ให้เป็นข้าราชการหัวหน้ากรมหรือกอง พนักงานซึ่งทำให้ตายคน ๑ ข้าราชการซึ่งเจ้ากระทรวงผู้ปกครองท้องที่เลือกแลตั้งคน ๑ แลข้าราชการซึ่งเป็นฝ่าย ตุลาการ ซึ่งเจ้ากระทรวงยุติธรรมเลือกแลตั้งคน ๑ ใน ๓ คนนี้ ผู้ใดมีบรรดาศักดิ์สูงกว่า คนผู้นั้นได้เป็น ประธาน ๑\"\nต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้มีการแก้ไขประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องนี้ โดยให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ กับอนามัยจังหวัด หรือแพทย์ประจำสุขศาลา หรือแพทย์ประจำโรงพยาบาล เป็นผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ ถ้าไม่มีแพทย์ดังกล่าว ให้ใช้เจ้าหน้าที่ท้องที่หรือแพทย์ประจำตำบลแทนได้ ดังนั้น แพทย์ของโรงพยาบาลทั่วไปหรือแพทย์ของสุขศาลา จึงต้องทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน",
"การผ่าศพ นอกจากจะใช้วิธีผ่าศพตรวจดูด้วยตาเปล่า (English: Gross Examination) แล้ว ยังรวมถึงการตัดเอาก้อนเนื้อไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (English: Microscopic Examination) อีกด้วยอย่างไรก็ตาม การผ่าศพไม่สามารถกระทำได้ในกรณีผู้ตายเป็นอิสลามิกชน เนื่องจากหลักการของศาสนาอิสลามมีว่า \"มนุษย์ทุกคนที่พระองค์อัลลอย์ทรงสร้างมานั้นเป็นสิทธิของพระองค์ มุสลิมจึงเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้า ต้องรักษาไว้ในสภาพเดิมทุกประการ หมายถึงศพอยู่ในสภาพใดก็ให้อยู่ในสภาพนั้น ห้ามมิให้ผู้ใดตัด หรือทำลายศพโดยเด็ดขาด\"[7] การยกเว้นผ่าศพชาวไทยอิสลามนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ออกหนังสือที่ มท 387/2500 ลงวันที่ 31 มกราคม 2500 มีข้อความว่า \"ขอให้งดเว้น การผ่าศพชาวไทยอิสลามที่ถูกฆาตกรรมแทงตาย ยิงตายหรือโดยอุบัติเหตุ หรือถึงแก่กรรมโดยมิได้ปรากฏเหตุ\" และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ในการชันสูตรพลิกศพฉบับที่ 3 พ.ศ. 2527 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 ข้อ 319 มีข้อความว่า \"การชันสูตรพลิกศพ ผู้ที่เป็นชาวไทยอิสลาม ถ้าจะต้องทำการดังกล่าวในวรรคก่อน ก็ขอให้พยายามหลีกเลี่ยงการผ่าศพ ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นการผิดต่อลัทธิศาสนาอิสลาม\"",
"การตรวจศพในสถานที่เกิดเหตุ นอกจากจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพแล้ว พนักงานสืบสวนสอบสวนควรให้ความสนใจในเรื่องท่าทางของศพเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง และถ่ายรูปไว้ก่อนที่ขยับศพ รวมทั้งการพิจารณาเสื้อผ้าที่ติดอยู่กับศพว่าอยู่ในตำแหน่งใด เสื้อหรือกางแกงของศพถูกดึงรั้งไปในส่วนใดบ้าง กางเกงชั้นในของศพดึงลงมาหรือไม่ และที่ศพมีรูทะลุเข้าบาดแผลหรือไม่โดยห้ามใช้วัตถุใดใดแยงเข้าไปในบาดแผล เพราะอาจไปทำลายหรือเพิ่มเศษสิ่งบางอย่างในแผลได้ รวมถึงการตรวจค้นตามกระเป๋าเสื้อกางเกง",
"ในการชันสูตรพลิกศพในกรุงเทพมหานคร ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้แพทย์ประจำสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมานิติเวชแพทย์ผู้ทำการตรวจและชันสูตรพลิกศพ ได้มีการประชุมและแบ่งเขตพื้นที่รับผิดชอบในการชันสูตรพลิกศพ เพื่อเป็นประโยชน์ด้านการศึกษาแก่หน่วยงานการศึกษาของรัฐ สำหรับพื้นที่ บก.น. 1 บางส่วน ให้แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลวชิรพยาบาลและ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ร่วมกันผู้รับผิดชอบ พื้นที่ บก.น. 5 บางส่วน ให้แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบ และพื้นที่ บก.น. 7, 8, และ 9 แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับพื้นที่ที่เหลือ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ หากพนักงานสอบสวนในแต่ละพื้นที่มีความจำเป็นต้องให้นิติเวชแพทย์ประจำสถาบันนิติเวชวิทยาเป็นผู้ร่วมชันสูตร ก็สามารถดำเนินการได้ และในกรณีที่มีพนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองร่วมในการชันสูตรพลิกศพด้วยนั้น ตารางการปฏิบัติงานของอัยการในกรุงเทพมหานครอยู่ที่อัยการสูงสุด ส่วนตารางการปฏิบัติงานของพนักงานฝ่ายปกครอง อยู่ที่กระทรวงมหาดไทย",
"มาตรา ๘ พนักงานที่จะทำการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งตายโดยฆาตกรรมอย่างสามัญนั้น โดยปกติให้ถือว่า เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอผู้ปกครองท้องที่อำเภอ ซึ่งพบศพนั้น จะเป็นประธาน ๑ กับกำนันคนใดคนหนึ่ง ในอำเภอนั้น และแพทย์ประจำตำบลหรือเจ้าบ้านคนใด คนหนึ่งในอำเภอนั้น ต้องนั่งพร้อมกัน ๓ คน จึงจะทำการชันสูตรพลิกศพถูกต้อง ตามพระราชบัญญัตินี้ ",
"วัตถุประสงค์ของการชันสูตรพลิกศพกรณีตายโดยผิดธรรมชาติ เมื่อแพทย์นิติเวชได้รับแจ้งเหตุกรณีฆ่าตัวตาย การชันสูตรพลิกศพจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ตายตายเพราะฆ่าตัวเอง ไม่ใช่ถูกผู้อื่นฆ่า และแม้เป็นการฆ่าตัวตายจริง ผลการชันสูตรพลิกศพอาจแสดงให้เห็นพฤติการณ์ของการตายว่า มีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นและสามารถนำผู้ที่เกี่ยวข้องไปลงโทษทางอาญาได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 292 เอาผิดแก่ผู้ปฏิบัติทารุณแก่คนที่ต้องพึ่งอาศัยตนเพื่อให้บุคคลนั้นฆ่าตัวเอง หรือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 293 เอาผิดแก่คนที่ช่วยหรือยุยงเด็ก หรือคนที่จิตใจไม่ปกติให้ฆ่าตัวเอง",
"สถานที่ชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย หากพิจารณาตามกฎหมายแล้ว กฎหมายมีเจตนารมณ์ให้ทำการชันสูตร ณ สถานที่ที่พบศพ โดยเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนท้องที่ที่พบศพ ส่วนแพทย์ผู้ร่วมชันสูตรศพนั้นได้แก่ แพทย์ตามที่ ป.วิ อาญา มาตรา 150 กำหนดไว้ ได้แก่ นิติเวชแพทย์ , แพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐ , นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด , หรือแพทย์อาสาสมัครที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงสาธารณสุข หลังจากได้มีการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นแล้ว หากยังหาสาเหตุการตายไม่ได้ หรือไม่ชัดแจ้ง จะส่งศพให้แพทย์ทำการผ่าศพตรวจโดยละเอียดได้ (ตาม ป.วิ อาญา ม.151) ณ สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชเช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นต้น สำหรับต่างจังหวัดอาจส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ,โรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์ในแต่ละภูมิภาค หรือโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุขที่มีแพทย์นิติเวชประจำอยู่เป็นต้น การนำศพไปชันสูตร ณ โรงพยาบาล มักเป็นการดำเนินการโดยอนุโลม เช่น แพทย์ไม่สะดวกในการเดินทางไปชันสูตรในพื้นที่ที่เกิดเหตุ หรือเป็นการเคลื่อนย้ายศพมาชันสูตรเพิ่มเติม เช่น เอ๊กซเรย์ศพเพื่อหาวัตถุแปลกปลอมภายใน ในกรณีเสียชีวิตจากท้องที่อื่นแล้วนำศพมาทิ้งไว้ จะต้องประสานความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนท้องที่ที่เกิดเหตุด้วย แต่พนักงานสอบสวนท้องที่ที่พบศพยังคงถือเป็นเจ้าหน้าที่หลักผู้รับผิดชอบในการชันสูตรศพนั้น",
"ส่วนการชันสูตรพลิกศพโดยการผ่าศพตรวจ เป็นการกระทำเมื่อมีเหตุจำเป็นเพื่อหาสาเหตุการตาย ในกรณีที่การพลิกศพไม่สามารถบ่งบอกสาเหตุการตายได้ชัดเจน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีอาญา มาตรา 151 บัญญัติว่า \"ในเมื่อมีความจำเป็นเพื่อพบเหตุของการตาย เจ้าพนักงานผู้ชันสูตรพลิกศพมีอำนาจสั่งให้ผ่าศพเพื่อแยกธาตุส่วนใด หรือจะให้ส่งทั้งศพ หรือบางส่วนไปยังแพทย์ หรือพนักงานแยกธาตุของรัฐบาลก็ได้\" การผ่าศพเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์หาสาเหตุการตาย สามารถตอบปัญหา และข้อสงสัยจากการพลิกศพได้เช่น เมื่อพลิกศพพบบาดแผลเป็นรูลึกเข้าไปในร่างกาย รูลึกนี้อาจเกิดจากกระสุนปืน หรือตะปูขนาดใหญ่ก็ได้ การผ่าศพจะทำให้ทราบว่าบาดแผลนั้นเกิดจากอาวุธหรือวัตถุอะไร และยังทำให้ทราบต่อไปว่าอาวุธหรือวัตถุนั้น ถูกอวัยวะสำคัญอะไรจึงทำให้ตาย หรือในกรณีที่การพลิกศพไม่พบบาดแผลปรากฏภายนอกให้เห็น การผ่าศพจะบอกได้ว่า การตายเกิดจากตับแตก ม้ามแตก ฯลฯ อันเป็นผลให้เกิดการบาดเจ็บ หรือเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เส้นโลหิตในสมองแตก ฯลฯ อันเป็นโรคภัยไข้เจ็บธรรมดา เป็นต้น",
"ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของอาณาจักรเผ่าพันธุ์ปีศาจคือ การสืบทอดตำแหน่งขุนนางสามารถทำได้ทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง (ในยุโรปสมัยก่อน โดยมากจะให้เพศชายสืบอำนาจสู่เพศชายเท่านั้น มีบางกรณีที่ให้สืบสู่ฝ่ายหญิงได้แต่น้อยและมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น) ดังนั้นในกรณีของเลดี้เซซิลี ฟอน ชปิทสเว็ก เป็นขุนนางแห่งชปิทสเว็ก เธอย่อมมีสิทธิ์สืบทอดอำนาจทุกอย่างให้ตกสู่ลูกๆ ของเธอได้ แต่ลูกของเธอเลือกที่จะสืบทอดอำนาจจากฝ่ายบิดาแทน เราจึงไม่เห็นลูกทั้งสามใช้นามสกุลว่า “ฟอน ชปิทสเว็ก” นอกจากนี้การสืบทอดอำนาจยังไม่ได้ห่วงเรื่องสายเลือดแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากที่กุนเทอร์เคยกล่าวไว้ว่า ลูกบุญธรรมของเขา (เลดี้กีเซล่า) จะเป็นผู้สืบทอดถัดไป",
"การตรวจศพในสถานที่เกิดเหตุ เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ โดยจะต้องทำการตรวจสภาพศพโดยคร่าว ๆ เท่านั้นเช่น ตรวจพบบาดแผลบนร่างกายของศพ ต้องระบุประเภทของบาดแผลว่า บาดแผลที่พบนั้นเป็นบาดแผลชนิดใด ถูกของไม่มีคม บาดแผลมีคมหรือบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืน รวมทั้งสรุปจำนวนบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งในการตรวจบาดแผลอาจจะมีบาดแผลแห่งความไม่แน่ใจ () หรือบาดแผลแห่งการป้องกันตัว () ของผู้ตายปรากฏอยู่ แพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพจะต้องตรวจสอบตำแหน่งบาดแผลที่พบ ว่าตำแหน่งของบาดแผลอยู่ที่ใดบ้าง บาดแผลทะลุเสื้อผ้าของผู้ตายหรือไม่ ถ้าเป็นบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืน มีระยะใกล้เท่าใด รวมทั้งตรวจหาระยะเวลาการตาย ซึ่งต้องร่วมกับการสอบถามผู้ใกล้ชิดหรือพบเห็นด้วย",
"จากการชันสูตรพลิกศพและพิสูจน์อวัยวะทั้งหมดภายในบ้าน พบว่าจำนวนศพที่อยู่ในบ้านมีทั้งหมดถึง 50 ศพด้วยกัน และเป็นชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ไม่เข้ากับร่างใดอีกมากมาย",
"ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ความว่า \"เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานให้มีการชันสูตรพลิกศพ เว้นแต่ตายโดยการประหารชีวิตตามกฎหมาย\"[2] อาจเห็นได้ว่าสภาพการจราจรในปัจจุบันก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางด้านจราจรเป็นจำนวนมาก เกือบทุกรายที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิต จึงจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนย้ายศพจากสถานที่เกิดเหตุเพื่อไปทำการชันสูตรพลิกศพและตรวจสอบสาเหตุการตายในสถานที่อื่นเช่น สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งก็มักจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการผ่าศพนั่นเอง",
"เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและแพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพแล้ว ต้องเขียนรายงานการชันสูตรพลิกศพ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการระบุสาเหตุการตายเบื้องต้นของผู้ตาย โดยแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ ต้องมีหน้าที่ต้องส่งรายงานการชันสูตรพลิกศพให้พนักงานสอบสวนภายใน 7 วัน รวมทั้งสรุปข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ เช่น สาเหตุการตาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ตายคือใคร ตาย ณ ที่ใด ตายเมื่อใด เป็นต้น และสามารถขอขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ๆ ละ ไม่เกิน 30 วัน สำหรับพนักงานสอบสวน มีหน้าที่ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง มีหน้าที่ออกใบมรณบัตรรับรองการตายให้แก่ญาติผู้ตาย",
"การตายโดยอุบัติเหตุ หมายถึงการตายที่เกิดจากเหตุอันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดหมาย เช่น ตกน้ำตาย ฟ้าผ่าตาย การชันสูตรพลิกศพจะทำให้ทราบว่า การตายเกิดขึ้นจากปัจจัยเหล่านั้นจริงๆ ซึ่งมิได้เกิดจากการกระทำผิดทางอาญา และการตายโดยยังมิปรากฏเหตุ หมายถึงการตายที่ยังไม่ทราบว่าเกิดจากสิ่งใด การชันสูตรพลิกศพจะทำให้ทราบว่า ผู้ตาย ตายเพราะเหตุใด และเหตุที่ทำให้ตายเกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดอาญา หรือไม่",
"การชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย เป็นกระบวนการที่กำหนดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า \"เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ให้มีการชันสูตรพลิกศพเว้นแต่ตายโดยประหารชีวิตตามกฎหมาย\" ซึ่งการตายโดยผิดธรรมชาติคือ การตาย 5 ลักษณะ ดังต่อไปนี้[5]",
"ในกรณีที่ผู้เข้าแข่งขันสามารถตอบคำถามได้ถูกทั้ง 10 ข้อติดต่อกัน จะได้รับรางวัล 1,000,000 บาท ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีคู่ใดที่สามารถทำได้",
"ส่วนการตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ได้แก่การตายที่อยู่ในระหว่างควบคุมหรือขัง หรือกักขัง หรือจำคุก หรือคุมตัวของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือคำพิพากษา หรือตามคำสั่งของศาลแล้วแต่กรณี ไม่ว่าการตายนั้นจะเป็นการตายโดยผิดธรรมชาติ หรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าพนักงานผู้ควบคุมว่า เกี่ยวข้องกับการตายหรือไม่เพียงใด",
"แม้การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุโดยตรง ที่จะละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม แต่ว่าในการจำพรรษาของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษานั้น อาจมีกรณีจำเป็นบางอย่าง ทำให้พระภิกษุผู้จำพรรษาต้องออกจากสถานที่จำพรรษาเพื่อไปค้างที่อื่น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษาโดยมีเหตุจำเป็นเฉพาะกรณี ๆ ไป ตามที่ทรงระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพระศาสนาหรือการอุปัฏฐานบิดามารดา แต่ทั้งนี้ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน การออกนอกที่จำพรรษาล่วงวันเช่นนี้เรียกว่า \"สัตตาหกรณียะ\" ซึ่งเหตุที่ทรงระบุว่าจะออกจากที่จำพรรษาไปได้ชั่วคราวนั้นเช่น",
"ปี พ.ศ. 2496 กรมตำรวจได้จัดตั้ง \"ฝ่ายนิติเวชวิทยา\" ขึ้นเป็นแห่งแรกในโรงพยาบาลกรมตำรวจ เพื่อทำหน้าที่ในการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ต่อมาปี พ.ศ. 2503 ได้ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา แบ่งส่วนราชการกองแพทย์ กรมตำรวจ ออกเป็น 4 แผนก โรงพยาบาลตำรวจเป็นแผนกหนึ่งของกองแพทย์ แบ่งออกเป็น 13 แผนกวิชา ฝ่ายนิติเวชวิทยาได้เปลี่ยนฐานะเป็น \"แผนกวิชานิติเวชวิทยา \" และสร้างตึก \"ตวงสิทธิ์อนุสรณ์\" เป็นที่ทำงานของฝ่ายนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจในปี พ.ศ. 2506 พร้อมกับจัดตั้งกรมตำรวจสร้างอาคาร 3 ชั้น เป็นที่ทำงานใหม่ของฝ่ายนิติเวชวิทยา โดยไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานใดในปี พ.ศ. 2515",
"การติดต่อกรณีนี้ควรใช้โทรศัพท์ เนื่องจากมีนักข่าวและสื่อมวลชนจำนวนมากที่ใช้วิทยุสื่อสารของตำรวจหรือใช้คลื่นตำรวจ อีกทั้งเพื่อป้องกันการไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชันสูตรพลิกศพมาอยู่ในที่เกิดเหตุมากเกินไป และมอบการรักษาที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวน เพื่อจะรักษาต่อไปจนกว่าการชันสูตรหรือตรวจสถานที่ได้ทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมายความว่าจนกว่าการทำรายงานเกี่ยวกับสถานที่เสร็จสิ้นลงแล้วและอาจจะใช้เวลาหลายวัน",
"ในกรณีที่แพทย์และพนักงานสอบสวนไปทำการชันสูตร ณ สถานที่พบศพ แพทย์และพนักงานสอบสวนต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำและก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อการตรวจหาพยานหลักฐานของเจ้าพนักงาน ผู้ทำหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย แพทย์สามารถใช้การตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อสำหรับเป็นข้อมูลที่ช่วยประกอบการผ่าศพ เพื่อที่จะสันนิษฐานพฤติการณ์ตายได้ใกล้เคียงขึ้นดังคำว่า \"การผ่าศพทางนิติพยาธิวิทยาเริ่มตั้งแต่ที่เกิดเหตุ\" แต่ถ้าเจ้าพนักงานสอบสวนทำการชันสูตรศพในเบื้องต้นและรู้สาเหตุการตายแล้ว รวมทั้งพอใจต่อผลของการพิสูจน์ศพในสถานที่เกิดเหตุ ให้ถือว่าการชันสูตรพลิกศพนั้น เสร็จสิ้นตามกฎหมาย[3]",
"ก่อนเข้าทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุ แพทย์และพนักงานสอบสวนต้องคำนึงถึงอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นได้เช่น อันตรายจากก๊าซพิษและไฟฟ้าลัดวงจรกรณีที่มีเพลิงไหม้ อันตรายจากรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ในรายที่เกิดอุบัติเหตุจราจร อันตรายจากการระเบิดกรณีที่มีเหตุวางระเบิดซึ่งอาจจะมีระเบิดตกค้างอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ อันตรายจากตึกถล่ม สำหรับพนักงานสอบสวนหรือแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้ชันสูตรพลิกศพควรระลึกไว้เสมอว่า การตรวจที่เกิดเหตุไม่ใช่สามารถตรวจครั้งเดียวจะเสร็จสิ้นได้เสมอไป บางครั้งอาจจะต้องกลับมาตรวจเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง",
"พลเรือเอกธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งให้กรมการขนส่งทางบกไปตรวจสอบรายละเอียดด้านกฎหมายว่าผู้ขับรถแท็กซี่ติดสติกเกอร์รณรงค์ \"ไม่รับ\" ร่างรัฐธรรมนูญบนรถแท็กซี่ สามารถทำได้หรือไม่ ขณะที่นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รองอธิบดีกรมขนส่งทางบก กล่าวว่าการติดสติกเกอร์โฆษณาต่าง ๆ บนรถแท็กซี่ถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติโฆษณา เนื่องจากกฎหมายห้ามไม่ให้รถแท็กซี่ติดโฆษณาใด ๆ ยกเว้นมีความจำเป็นกรณีพิเศษก็สามารถทำได้ แต่ต้องทำเรื่องขอไปที่กรมการขนส่งทางบกก่อน",
"สภาพแข็งทื่อหลังตาย สามารถนำใช้ประโยชน์ในการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีศพที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมาได้ เช่น กรณีที่พบศพตายในท่านั่งบนเก้าอี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง สภาพศพก็จะเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ทำให้ร่างกายแข็งตัวอยู่ในท่านั่ง ถ้ามีผู้อื่นมาเคลื่อนย้ายศพให้อยู่ในท่านอน แขนขาของศพก็จะคงยกแข็งค้างเสมือนยังอยู่ในท่านั่งนั้น จนกว่าสภาพแข็งทื่อหลังตายจะถูกทำลายไป กล้ามเนื้อของเส้นขนที่ดึงให้ขนตั้งในขณะที่กลัวหรือเสียวนั้น ก็จะแข็งตัวด้วยหลังตายจึงสามารถเห็นศพมีการ \"ขนลุก\" ภายหลังการตายได้ และกล้ามเนื้อของถุงเก็บน้ำอสุจิ () ก็จะแข็งตัวและบีบเอาน้ำอสุจิออกมาภายหลังตายด้วย ดังนั้นการชันสูตรพลิกศพหากพบว่าศพมีน้ำอสุจิออกมา ก็ไม่จำเป็นว่ามีการร่วมเพศก่อนตายแต่อย่างใด",
"สำหรับพื้นที่ในต่างจังหวัด พื้นที่การชันสูตรพลิกศพจะถูกแบ่งเขตโดยการขึ้นทะเบียนเป็นตารางการปฏิบัติงานที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละจังหวัดกำหนด และในกรณีที่มีพนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองร่วมในการชันสูตรพลิกศพด้วยนั้น ตารางการปฏิบัติงานของอัยการและพนักงานฝ่ายปกครอง ก็ขึ้นอยู่กับเขตจังหวัดในความดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด",
"ตามพระราชบัญญัติการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ปี พ.ศ. 2542 กำหนดให้พนักงานสอบสวนภายในประเทศไทยคือเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการในการรับแจ้งเรื่องเมื่อมีผู้ตาย รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินการติดต่อ ติดตามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งอาจจะเป็นแพทย์นิติเวชร่วมในการชันสูตรพลิกศพ หรือในบางครั้งอาจจะมีพนักงานอัยการและพนักงานฝายปกครองร่วมในการชันสูตรพลิกศพด้วยก็ได้ แล้วแต่กรณี",
"ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ระบุว่า \"ในกรณีที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่กับแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ซึ่งได้รับวุฒิบัตร หรือได้รับหนังสืออนุมัติจากแพทยสภา ทำการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว ถ้าแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ดังกล่าวไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ที่ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์อาสาสมัครตามระเบียบของกระทรวง สาธารณสุขปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ให้แพทย์ ประจำโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้น เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ ให้พนักงานสอบสวนและแพทย์ดังกล่าวทำบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพทันที \" ดังนั้นผู้ทำการชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ได้แก่[8]"
] |
โลก มีพระจันทร์กี่ดวง? | [
"ดวงจันทร์</b>เป็นดาราศาสตร์วัตถุที่โคจรรอบโลก เป็นดาวบริวารถาวรดวงเดียวของโลก เป็นดาวบริวารใหญ่ที่สุดอันดับที่ 5 ในระบบสุริยะ และเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่สุดเมื่อเทียบกับขนาดของดาวเคราะห์ที่โคจร ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารที่มีความหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากไอโอของดาวพฤหัสบดี ซึ่งบางส่วนไม่ทราบความหนาแน่นมากหรือน้อย"
] | [
"ที่มาของเทศกาลนี้ เกี่ยวกับเทพปกรณัมจีนที่เล่าถึง เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ที่ชื่อ \"ฉางเอ๋อ\" (嫦娥) ซึ่งเป็นหญิงคนรักของโฮวอี้ นักยิงธนูแห่งสวรรค์ ที่ใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์ตกลงไปถึง 9 ดวงจากทั้งหมด 10 ดวง ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบัญชาสวรรค์ จึงโดนลงทัณฑ์ให้ไปใช้ชีวิตธรรมดาเช่นมนุษย์ทั่วไปบนโลกมนุษย์กับฉางเอ๋อ แต่แล้วโฮวอี้ก็ถูกคนสนิททรยศฆ่าตาย ส่วนฉางเอ๋อนางได้ดื่มน้ำอมฤตเพื่อที่จะมีชีวิตอมตะ แล้วเหาะกลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้งตามลำพังด้วยความเศร้าสร้อย ในยุคของฮั่นเหวินตี้ (漢文帝) แห่งราชวงศ์ฮั่น ได้ทรงพระสุบินว่า พระองค์ลอยขึ้นไปเที่ยวชมพระราชวังบนดวงจันทร์ และได้พบกับฉางเอ๋อกำลังร่ายรำอยู่อย่างงดงาม ในสุบินนั้น พระองค์ทรงเพลิดเพลินและเกษมสำราญเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งเมื่อตื่นพระบรรทมและโปรดให้สุบินนั้นเป็นความจริง จึงมีรับสั่งให้นางสนมแต่งตัวและร่ายรำเลียนแบบเทพธิดาฉางเอ๋อที่พระองค์ได้พบเจอมา จนแพร่หลายไปสู่ราษฎรและเป็นประเพณีมา ซึ่งในอดีต ชาวจีนโดยเฉพาะหญิงสาวจะสวดขอพรจากฉางเอ๋อเพื่อที่ขอให้มีความเยาว์วัยและงดงามตลอดไปดุจดั่งนาง",
"จันทรุปราคา เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงตัวในแนวเดียวกันตามลำดับ ทำให้เงาของโลก บดบังแสงอาทิตย์ที่จะส่องมายังดวงจันทร์ และทำให้ดวงจันทร์ค่อยๆหายไปทั้งหมด หรือบางส่วน ก่อนจะกลับมาปรากฏใหม่อีกครั้ง ซึ่งจันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปทั้งหมดเรียกว่า จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปบางส่วนเรียกว่า จันทรุปราคาบางส่วน",
"ภายหลัง จักรวรรดิเวิร์ส ก็ประกาศสงครามต่อสหพันธ์โลก ในปี 1999 ระหว่างการต่อสู้บนดวงจันทร์ ไฮเปอร์เกทเกิดการระเบิดขึ้นทำให้มีเศษชิ้นส่วนของดวงจันทร์แตกออกและตกลงสู่โลก ทำให้สงครามต้องยุติ และในอีก 15 ปีต่อมาใน ค.ศ. 2014 เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเวิร์สได้เสด็จเยือนโลกเพื่อต้องการผูกไมตรีและสันติภาพ แต่ก็เกิดเหตุลอบปลงพระชนม์โดยกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่าย นั้นเองทำให้เหล่าตระกูลอัศวินทั้ง 37 ใช้เป็นข้ออ้างตัดสินใจเปิดสงครามกับสหพันธ์โลกและเริ่มโจมตีโลกอีกครั้ง ",
"ในชนชาติฮอตเทนทอต ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองเร่ร่อนล่าสัตว์ ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา เรื่องราวของกระต่ายบนดวงจันทร์ช่วยอธิบายอาการปากแหว่งเพดานโหว่ ตั้งแต่เกิดของมนุษย์ ตามตำนานพระจันทร์ส่งกระต่ายลงมายังโลกเพื่อบอกกับมนุษย์ว่าเมื่อเธอตายจะกลับฟื้นขึ้นอีกครั้ง และมนุษย์ก็เช่นกัน แต่กระต่ายไม่ใส่ใจจึงจำข้อความผิด ๆ ถูก ๆ ไปบอกมนุษย์ว่า พระจันทร์ตายแล้ว จะไม่ฟื้นคืนมาใหม่ และมนุษย์ก็จะเป็นเช่นเดียวกับเธอ เมื่อพระจันทร์ทราบว่ากระต่ายทำอะไรลงไป เธอโกรธมากและพยายามจะใช้ขวานจามหัวกระต่าย แต่พลาดไปโดนริมฝีปากบนของกระต่ายแทน กระต่ายบาดเจ็บก็ตอบแทนเธอด้วยการข่วนเข้าที่ใบหน้าด้วยอุ้งเล็บ ทำให้เกิดรอยปื้นดำปรากฏบนดวงจันทร์ดังที่เห็นกันทุกวันนี้",
"ดวงจันทร์ใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองที่ได้จังหวะพอดีกับวิถีการโคจรรอบโลก ซึ่งเมื่อเรามองดวงจันทร์จากพื้นโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวตลอดเวลา ในประวัติศาสตร์ยุคแรกของดวงจันทร์ การหมุนของมันช้าและกลายเป็นถูกล็อกอยู่ในลักษณะนี้ เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ความฝืด และมีความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงบนโลก",
"การดึงเชิงโน้มถ่วงระหว่างโลกและดวงจันทร์ก่อให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงบนโลก ผลเช่นเดียวกันที่เกิดกับดวงจันทร์นำไปสู่ภาวะการตรึงด้วยแรงไทด์ (tidal locking) ทำให้ระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์เท่ากันกับเวลาที่ใช้โคจรรอบโลก ผลคือดวงจันทร์จะหันด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอ ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกแต่ละรอบ พื้นผิวส่วนต่าง ๆ ของหน้าที่หันสู่โลกจะได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ นำไปสู่ปรากฏการณ์ข้างขึ้นข้างแรม ส่วนหน้ามืดแยกออกจากส่วนสว่างโดยเขตสนธยาสุริยะ (solar terminator)",
"การติดต่อสื่อสารสะท้อนพื้นผิวดวงจันทร์ () มักเรียกกันสั้นๆ ว่า EME หมายถึงการติดต่อสื่อสารโดยการส่งสัญญาณวิทยุจากโลกไปสะท้อนพื้นผิวของดวงจันทร์กลับมายังโลก ซึ่งพื้นผิวของดวงจันทร์จะสะท้อน คลื่นวิทยุคล้ายกับการติดต่อสื่อสารย่าน HF ที่ใช้ชั้นบรรยากาศสะท้อนคลื่นวิทยุเพื่อช่วยในการติดต่อสื่อสารให้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่การใช้ดวงจันทร์สะท้อนคลื่นวิทยุนั้นมีความยากกว่ามาก เนื่องจากดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมาก ทั้งยังมีการลดทอนสัญญาณที่ผ่านชั้นบรรยากาศ และปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้นการติดต่อ EME นับได้ว่าเป็นความท้าทายอย่างมากของ นักวิทยุสมัครเล่นที่จะทดลอง\nข้อมูลเกี่ยวกับดวงจันทร์ต่างๆ เหล่านี้ นับว่าสำคัญมากสำหรับการติดต่อสื่อสาร EME ให้ประสบความสำเร็จ นอกเหนือจากอุปกรณ์ที่จะต้องมีความพร้อมอย่างมากแล้ว",
"เมื่อนานมาแล้ว ขณะที่ดวงจันทร์ยังคงหมุนเร็วกว่าในปัจจุบัน รอบโป่งในปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงมาก่อนแนวโลก-ดวงจันทร์ เพราะว่ามันไม่สามารถดึงรอยโป่งของมันกลับคืนได้อย่างรวดเร็วพอที่จะรักษาระยะของรอยโป่งระหว่างมันกับโลก การหมุนของมันขจัดรอยโป่งนอกเหนือจากแนวโลก-ดวงจันทร์ รอยโป่งที่อยู่นอกเส้นโลก-ดวงจันทร์นี้ทำให้เกิดการบิดเบี้ยวขอหนอน ซึ่งลดความเร็วของการหมุนของดวงจันทร์ลง เมื่อการหมุนของดวงจันทร์ช้าลงจนเหมาะสมกับการโคจรรอบโลก เมื่อนั้นรอยโป่งของมันจึงหันหน้าเข้าหาโลกเสมอ รอยโป่งอยู่ในแนวเดียวกับโลก และรอยบิดของมันก็จึงหายไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมดวงจันทร์จึงใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองพอๆ กับการโคจรรอบโลก",
"จันทรุปราคาเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในเงาของโลก เมื่อเริ่มเกิดคราสขึ้น เงาของโลกที่ดวงจันทร์สัมผัสครั้งแรกจะทำให้ดวงจันทร์มืดลงเล็กน้อย เงามืดจะเริ่ม \"ครอบคลุม\" ส่วนของดวงจันทร์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดวงจันทร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง-น้ำตาลเข้ม (ซึ่งสีที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพของชั้นบรรยากาศ) ดวงจันทร์จะปรากฏเป็นสีแดงเพราะการกระเจิงแสงของเรย์ลี (Rayleigh scattering) (เช่นเดียวกับการที่ดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นสีแดงในขณะตก) และการหักเหแสงจากชั้นบรรยากาศโลกไปที่เงาบนดวงจันทร์",
"เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ไม่ได้หายไปจนมืดทั้งดวง แต่จะเห็นเป็นสีแดงอิฐ เนื่องจากมีการหักเหของแสงอาทิตย์เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้จันทรุปราคาไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เนื่องจากระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์และระนาบการโคจรของดวงจันทร์รอบโลกทำมุมกัน 5 องศา ในการเกิดจันทรุปราคา ดวงจันทร์จะต้องอยู่บริเวณจุดตัดของระนาบวงโคจรทั้งสอง และต้องอยู่ใกล้จุดตัดนั้นมาก จึงจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงหรือจันทรุปราคาบางส่วนได้",
"โลกและดวงจันทร์โคจรรอบจุดศูนย์กลางมวลร่วมในทุก ๆ 27.32 วัน สัมพัทธ์กับดาวฤกษ์พื้นหลัง เมื่อประกอบกันเข้ากับวงโคจรร่วมโลก–ดวงจันทร์รอบดวงอาทิตย์แล้ว เกิดเป็นคาบของเดือนจันทรคตินับจากอมาวสีหนึ่งไปอีกอมาวสีหนึ่งราว 29.53 วัน เมื่อมองจากขั้วฟ้าเหนือ การเคลื่อนที่ของโลก ดวงจันทร์ และการหมุนรอบแกนดาวของทั้งคู่ล้วนเป็นไปในทิศทวนเข็มนาฬิกา เมื่อมองจากจุดสูงเหนือขั้วเหนือของทั้งดวงอาทิตย์และโลก วงโคจรของโลกจะมีทิศทางทวนเข็มนาฬิการอบดวงอาทิตย์ วงโคจรและระนาบแกนไม่ได้วางตัวอยู่ในแนวเดียวกันโดยแกนหมุนของโลกมีการเอียงประมาณ 23.4 องศาจากแนวตั้งฉากกับระนาบโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (หรือสุริยวิถี) และระนาบโคจรของดวงจันทร์รอบโลกเอียง ±5.1 องศาเทียบกับระนาบโลก–ดวงอาทิตย์ หากปราศจากการเอียงเช่นนี้ จะเกิดอุปราคาทุกสองสัปดาห์สลับกันระหว่างจันทรุปราคาและสุริยุปราคา[121][160]",
"เกิดจากแรงดึงดูดตามกฎแรงดึงดูดระหว่างของนิวตันที่กล่าวไว้ว่า \"วัตถุทุกชนิดในเอกภพ จะส่งแรงดึงดูดระหว่างกัน โดยขนาดของแรงดึงดูด จะแปรผันตรงกับผลคูณของมวลทั้งสอง และแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลยกกำลังสอง\" ดังนั้นเมื่อพิจารณาโลกแล้วพบว่าโลกได้รับแรงดึงดูดจากดาวสองดวง คือ ดวงอาทิตย์ที่แม้อยู่ไกลแต่มีขนาดใหญ่ และดวงจันทร์ที่แม้ขนาดเล็กแต่อยู่ใกล้ โดยแต่ละตำแหน่งที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เปลี่ยนไปทำให้ทิศทางของแรงกระทำเปลี่ยนด้วย ส่งผลให้ของไหล(น้ำและแก๊ส)บนโลก เคลื่อนที่ตามทิศทางของแรงดึงดูดที่มากระทำต่อโลกเกิดเป็นปรากฏการ์ณคือ น้ำขึ้นและน้ำลง ซึ่งนอกจากน้ำบนผิวโลกแล้ว ดวงจันทร์ยังมีผลีต่อน้ำในร่างกายมนุษย์ กล่าวคือ มีผลต่อเลือดและของเหลวในสมอง ซึ่งเป็นคำอธิบายการคลุ้มคลั่งของผู้มีอาการทางจิตในช่วงพระจันทร์เต็มดวง",
"จันทรุปราคาเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในเงาของโลก เมื่อเริ่มเกิดคราสขึ้น เงาของโลกที่ดวงจันทร์สัมผัสครั้งแรกจะทำให้ดวงจันทร์มืดลงเล็กน้อย เงามืดจะเริ่ม \"ครอบคลุม\" ส่วนของดวงจันทร์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดวงจันทร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง-น้ำตาลเข้ม (ซึ่งสีที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพของชั้นบรรยากาศ) ดวงจันทร์จะปรากฏเป็นสีแดงเพราะการกระเจิงแสงของเรย์ลี (Rayleigh scattering) (เช่นเดียวกับการที่ดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นสีแดงในขณะตก) และการหักเหแสงจากชั้นบรรยากาศโลกไปที่เงาบนดวงจันทร์",
"เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558 ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านทางตอนใต้ของเงามืดของโลก ซึ่งส่วนใหญ่จะสังเกตได้จากซีกโลกตะวันตก รวมถึงทางทิศตะวันออกของออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, มหาสมุทรแปซิฟิก และอเมริกา ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงาคราสก่อนที่ดวงจันทร์จะขึ้นจากท้องฟ้า ส่วนในยุโรปและแอฟริกา ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงาคราสก่อนจะตกลับขอบฟ้าไป ส่วนดาวอังคารที่อยู่ในช่วงใกล้โลกมากที่สุด (opposition) มีโชติมาตร (magnitude) อยู่ที่ -1.5 ใกล้กับดวงจันทร์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ระยะ 9.5° ดาวรวงข้าวอยู่ทางตะวันตกของดวงจันทร์ที่ระยะ 2° ส่วนดาวอาร์คตุรุสอยู่ทางเหนือของดวงจันทร์ที่ระยะ 32°, ดาวเสาร์อยู่ทางตะวันออกของดวงจันทร์ที่ระยะ 26°, และดาวแอนทาเรสอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดวงจันทร์ที่ระยะ 44°",
"วันเพ็ญเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะเกิดจันทรุปราคาได้ ในเวลานี้ดวงจันทร์อาจเคลื่อนผ่านเงาของโลกที่ทาบลงมา อย่างไรก็ตาม เนื่องความเอียงของวงโคจรที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก (เมื่อเทียบกับวงโคจรที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์) ทำให้ดวงจันทร์อาจผ่านไปด้านล่างหรือด้านบนของเงาดังกล่าว ด้วยเหตุนี้จันทรุปราคาจึงจะไม่เกิดขึ้นทุกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวง",
"พ.ศ. 2399 ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์เจ้าดวงจันทร์ มีพระชันษาได้ 73 ปีเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ทรงมีพระชันษายืนนานเท่ารัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยินดี เสด็จไปพระราชทานเครื่องสักการะกับต้นไม้เงินต้นไม้ทองคู่หนึ่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์เจ้าดวงจันทร์ถึงในพระราชวังบวร แต่นั้นก็เป็นราชประเพณีถ้าเจ้านายมีพระชันษยืนเท่าพระชนมายุของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็จะทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องสักการะ ถ้าเป็นเจ้านายทรงศักดิ์สูงก็จะพระราชทานต้นไม้เงินต้นไม้ทองด้วยเฉลิมพระเกียรติด้วย แล้วเลยเป็นประเพณีสืบมาถึงรัชกาลอื่นภายหลัง แต่ในรัชกาลที่ 4 มีเพียงพระองค์เจ้าดวงจันทร์พระองค์เดียว ที่ได้รับพระราชทานเครื่องสักการะ",
"วงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกเป็นวงรีเช่นเดียวกันกับวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จึงไม่คงที่ อัตราส่วนระหว่างขนาดปรากฏของดวงจันทร์ต่อดวงอาทิตย์ขณะเกิดคราสเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าสุริยุปราคาอาจเป็นชนิดใด ถ้าคราสเกิดขึ้นระหว่างที่ดวงจันทร์อยู่บริเวณจุดใกล้โลกที่สุด (perigee) อาจทำให้เป็นสุริยุปราคาเต็มดวง เพราะดวงจันทร์จะมีขนาดปรากฏใหญ่มากพอที่จะบดบังผิวสว่างของดวงอาทิตย์ที่เรียกว่าโฟโตสเฟียร์ได้ทั้งหมด ตัวเลขอัตราส่วนนี้จึงมากกว่า 1 แต่ในทางกลับกัน หากเกิดคราสขณะที่ดวงจันทร์อยู่บริเวณจุดไกลโลกที่สุด (apogee) คราสครั้งนั้นอาจเป็นสุริยุปราคาวงแหวน เพราะดวงจันทร์จะมีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ อัตราส่วนนี้จึงมีค่าน้อยกว่า 1 สุริยุปราคาวงแหวนเกิดได้บ่อยกว่าสุริยุปราคาเต็มดวง เพราะโดยเฉลี่ยแล้วดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมากเกินกว่าจะบดบังดวงอาทิตย์ได้ทั้งหมด",
"มีระยะห่างจากโลกเฉลี่ยนับจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางประมาณ 384,403 กิโลเมตร เทียบเท่ากับ 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก จุดศูนย์กลางมวลร่วมของระบบตั้งอยู่ที่ตำแหน่ง 1700 กิโลเมตรใต้ผิวโลก หรือประมาณ 1 ใน 4 ของรัศมีของโลก ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในเวลาประมาณ 27.3 วัน[nb 1] เมื่อเปรียบเทียบการแปรคาบโคจรตามมาตรภูมิศาสตร์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นเฟสของดวงจันทร์ ซึ่งจะซ้ำรอบทุกๆ ช่วง 29.5 วัน[nb 2] (เรียกว่า คาบไซโนดิก)",
"เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์มีค่าประมาณ 3,474 กิโลเมตร[1] หรือประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ดังนั้นพื้นผิวของดวงจันทร์มีน้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นผิวของโลก (ประมาณ 1 ใน 4 ของผืนทวีปของโลกเท่านั้น คิดเป็นขนาดใหญ่ประมาณรัสเซีย แคนาดา กับสหรัฐอเมริกา รวมกัน) มวลรวมของดวงจันทร์คิดเป็นประมาณ 2% ของมวลของโลก และแรงโน้มถ่วงเป็น 17% ของโลก",
"ส่วนเกตุทางสากลและอินเดียคือจุดตัดของวงโคจรโลกรอบดวงอาทิตย์ตัดกับจันทร์โคจรรอบโลก คือช่วงที่เป็นจุดตัดที่มีทิศทางการโคจรจรของจันทร์จากที่อยู่ทิศใต้ของเส้นวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์กำลังเดินขึ้นไปทางทิศเหนือของเส้นวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์",
"วงโคจรของดวงจันทร์เป็นรูปวงรี ทำให้ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับโลกแปรผันได้ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์จากค่าเฉลี่ย เพราะฉะนั้น ขนาดปรากฏของดวงจันทร์จึงแปรผันไปตามระยะห่างซึ่งส่งผลต่อการเกิดสุริยุปราคา ขนาดเฉลี่ยของดวงจันทร์เมื่อมองจากโลกมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์เล็กน้อย ทำให้สุริยุปราคาส่วนใหญ่เป็นแบบวงแหวน แต่หากในวันที่เกิดสุริยุปราคานั้น ดวงจันทร์โคจรมาอยู่บริเวณจุดใกล้โลกที่สุด ก็จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ส่วนวงโคจรของโลกก็เป็นวงรีเช่นกัน ระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับโลกก็แปรผันไปในรอบปี แต่ส่งผลไม่มากนักต่อการเกิดสุริยุปราคา",
"ดวงจันทร์มีการหมุนรอบตัวเองแบบที่เรียกว่า การหมุนสมวาร (synchronous rotation) คือคาบการหมุนรอบตัวเองกับคาบการโคจรรอบโลกมีค่าเท่ากัน โดยดวงจันทร์ใช้เวลาโคจรรอบประมาณ 27.3 วัน เป็นผลให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก เรียกด้านที่หันเข้าหาเราว่า \"ด้านใกล้\" (near side) ส่วนด้านตรงข้าม คือ \"ด้านไกล\" (far side) เป็นด้านที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม ดวงจันทร์มีการแกว่งเล็กน้อย ทำให้เรามีโอกาสมองเห็นพื้นผิวดวงจันทร์ได้มากกว่า 50% อยู่เล็กน้อย ในอดีต ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นด้านที่ลึกลับอยู่เสมอ จนกระทั่งถึงยุคที่เราสามารถส่งยานอวกาศออกไปถึงดวงจันทร์ได้ สิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างด้านใกล้กับด้านไกล คือ ด้านไกลไม่มีพื้นที่ราบคล้ำที่เรียกว่า \"มาเร\" (แปลว่าทะเล) กว้างขวางมากเหมือนอย่างด้านใกล้",
"ปรากฏการณ์แสงโลก () เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดจากแสงอาทิตย์สะท้อนกับผิวโลกไปยังดวงจันทร์ และสะท้อนกลับมายังผู้สังเกตบนโลกอีกต่อหนึ่ง ทำให้ผู้สังเกตบนโลกเห็นแสงจาง ๆ จากด้านกลางคืนของดวงจันทร์ ปรากฏการณ์นี้จะสังเกตได้ดีในช่วงวันขึ้น 1–3 ค่ำ หรือ แรม 12–14 ค่ำ ซึ่งเป็นช่วงจันทร์ดับ เมื่อสังเกตจากโลกจะเห็นดวงจันทร์มืดมิด แต่หากสังเกตจากดวงจันทร์ จะเห็นว่าโลกมีแสงสว่าง การเกิดแสงโลกนี้จะทำให้เห็นพื้นผิวดวงจันทร์ได้เกือบทั้งหมด",
"จันทรุปราคาสามารถดูได้จากทุกที่ในฝั่งกลางคืนของโลก ซึ่งต่างกับสุริยุปราคาซึ่งมองเห็นได้จากพื้นที่ค่อนข้างเล็กของโลก จันทรุปราคากินเวลาเป็นชั่วโมง ขณะที่สุริยุปราคาเต็มดวงกินเวลาเพียงไม่กี่นาทีในที่หนึ่ง ๆ เนื่องจากเงาของดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่า นอกจากนี้ จันทรุปราคายังสามารถดูได้โดยไม่ต้องมีสิ่งป้องกันดวงตาหรือการป้องกันเป็นพิเศษ เพราะมืดกว่าจันทร์เพ็ญ",
"สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ เมื่อสังเกตจากพื้นโลกจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ โดยอาจบังมิดหมดทั้งดวงหรือบางส่วนก็ได้ ในแต่ละปีสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง โอกาสที่จะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงสำหรับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนพื้นโลกนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากสุริยุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งจะเกิดในบริเวณแคบ ๆ ภายในแถบที่เงามืดของดวงจันทร์พาดผ่านเท่านั้น",
"ในยุคโบราณ มีการตั้งชื่อให้แก่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่สว่างพอจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพียงไม่กี่ร้อยดวงเท่านั้น ตลอดช่วงหลายร้อยปีหลังมานี้ จำนวนของวัตถุทางดาราศาสตร์ที่เรารู้จักเพิ่มขึ้นอย่างมากจากไม่กี่ร้อยดวงกลายเป็นจำนวนนับพันล้านดวง และยังมีการค้นพบเพิ่มเติมตลอดเวลาทุกปี นักดาราศาสตร์จึงจำเป็นต้องกำหนดระบบการตั้งชื่อเพื่อบ่งชี้ถึงวัตถุทางดาราศาสตร์เหล่านี้ ในเวลาเดียวกันก็ให้ชื่อแก่วัตถุซึ่งน่าสนใจที่สุดโดยสัมพันธ์กับคุณลักษณะของวัตถุเหล่านั้น",
"ตำนานท้องถิ่นในเทพปกรณัมกันตาเบรียมีว่า แบซิลิสก์หายไปจากโลกเกือบสิ้นแล้ว ยังเหลือแต่ที่กันตาเบรีย (Cantabria) แต่ก็พบเจอได้ยากแล้ว สัตว์ชนิดนี้เกิดจากไข่ที่ไก่วางก่อนตายในเวลาเที่ยงคืนของคืนฟ้าโปร่งพระจันทร์เต็มดวง ไม่กี่วันให้หลัง มันจะกระเทาะไข่ออกมาเอง มันมีขา มีจะงอย และมีหงอนเหมือนไก่ แต่มีลำตัวเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ในแววตามีเปลวเพลิงรุนแรง ใครจ้องไปก็จะตายทันที สิ่งมีชีวิตเดียวที่เผชิญหน้าและต่อสู้กับมันได้ คือ วีเซิล แต่แบซิลิสก์จะตายก็เพราะเสียงไก่ตัวผู้ขันเท่านั้น ดังนั้น นักเดินทางจึงมักพกไก่ตัวผู้ติดตัวเมื่อเข้าไปในถิ่นที่เชื่อว่า เป็นที่อยู่ของแบซิลิสก์",
"หลังยุคหวงตี้ เป็นยุคของเชาเหา (少昊) และ ซวนซู (顓頊) ซึ่งในยุคนี้ได้กำเนิดดาราศาสตร์, ปฏิทิน, ความเชื่อ, ไสยศาสตร์และเรือ ต่อมาจึงเป็นยุคของ กู (帝嚳) และ เหยา (尧) ซึ่งในยุคนี้พระอาทิตย์มีมากมายพร้อมกันถึง 10 ดวง และต่างพากันเปล่งรัศมีความร้อนแรงมายังโลกมนุษย์ ทำให้เดือดร้อนกันมาก เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้ โหวอี้ นักยิงธนูบนสวรรค์ลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อจัดการ โหวอี้ใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์ตกไปถึง 9 ดวง และตำนานโฮ๋วอี้ยิงดวงอาทิตย์ 9 ดวงนี้ก็ก่อให้เกิดตำนาน เทพธิดาฉางเอ๋อ เหาะไปดวงจันทร์และเป็นต้นกำเนิดเทศกาลไหว้พระจันทร์ของจีน",
"จันทร์เพ็ญ หรือ วันเพ็ญ () คือวันที่พระจันทร์เต็มดวง ตามปฏิทินจันทรคติไทย นับเป็นวัน \"ขึ้น 15 ค่ำ\" (หรือ วัน 15 ค่ำ ตามปฏิทินจันทรคติจีน) อันเป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งด้านตรงข้ามของโลก เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งดวงอาทิตย์ ในโอกาสนี้ดวงจันทร์ที่เห็นจากพื้นผิวของโลกจะดูสว่างเต็มดวง เพราะรับแสงโดยตรงจากดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ภาพดวงจันทร์ที่เราเห็นเต็มดวงนั้น เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของพื้นผิวทั้งหมดของดวงจันทร์ที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์",
"จันทรุปราคาเกิดขึ้นเมื่อพระจันทร์เคลื่อนตัวผ่านระหว่างเงาของโลก เริ่มด้วยการที่เงาของโลกทำให้พระจันทร์มีสีเข้มขึ้นเล็กน้อย ต่อมาเงาเริ่ม \"บดบัง\" ส่วนของดวงจันทร์ทำให้เกิดสีแดง-น้ำตาล (สีมักขึ้นอยู่กับสภาพชั้นบรรยากาศ พระจันทร์ดูเหมือนมีสีแดงเพราะการกระเจิงแบบเรเลห์ (Rayleigh scattering) ซึ่งเป็นปรากฏการเดียวกันกับที่ทำให้เกิดสีแดงขณะพระอาทิตย์ตกดิน และการหักเหของแสงนั้นโดยชั้นบรรยากาศโลกไปยังเงา"
] |
ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนตั้งอยู่ที่ไหน ? | [
"ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (Spanish: Real Federación Española de Fútbol) หรือ เอร์เรเฟฟ (RFEF) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลกิจการฟุตบอลต่าง ๆ ในประเทศสเปน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913[1] โดยสืบทอดองค์กรมาจากสหพันธ์สโมสรฟุตบอลสเปน ([Federación Española de Clubs de Football]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ซึ่งได้รับการก่อตั้งในปี ค.ศ. 1909 ปัจจุบันสหพันธ์มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครฟุตบอลในเมืองลัสโรซัส ทางทิศตะวันตกของกรุงมาดริด"
] | [
"กีฬาฟุตบอลในประเทศลาวได้รับการดำเนินการโดยสหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติลาว ซึ่งเป็นสมาคมที่บริหารจัดการทีมฟุตบอลทีมชาติ เช่นเดียวกับลาวลีก ทั้งนี้ ประเทศลาวได้เป็นสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952",
"ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนประกอบด้วยสหพันธ์ฟุตบอลในระดับภูมิภาค 19 สหพันธ์ แต่ละสหพันธ์เป็นตัวแทนของแคว้นและนครปกครองตนเองต่าง ๆ ในประเทศสเปน",
"ช้างอารีนา (, ชื่อเดิม: ไอ-โมบาย สเตเดียม) มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า ธันเดอร์คาสเซิลสเตเดียม () เป็นสนามกีฬาที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ สนามแห่งนี้มีความจุ 24,000 ที่นั่ง (ในปี พ.ศ. 2557 ได้ต่อเติมเป็น 32,600 ที่นั่ง) โครงสร้างประกอบด้วยเหล็กและไฟเบอร์ ซึ่งสร้างด้วยงบประมาณกว่า 500 ล้านบาท โดยเป็นเงินสนับสนุนภายใต้สัญญาการกำหนดชื่อจากไอ-โมบายและบางส่วนของนายเนวิน ชิดชอบ จัดเป็นสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐานแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีลู่วิ่งคั่นสนามและผ่านมาตรฐานสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ, สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน ผ่านมาตรฐานสนามกีฬาระดับเอจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และยังผ่านมาตรฐานระดับโลกจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ และยังได้บันทึกลงกินเนสบุ๊คว่าเป็นสนามฟุตบอลในระดับฟีฟ่าแห่งเดียวในโลกที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลกคือ 256 วัน ",
"โลเปเตกีถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติสเปนชุดใหญ่ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย จะเริ่มขึ้นเพียง 2 วันเท่านั้น หลังจากที่เขามีข่าวรับตำแหน่งผู้จัดการทีมเรอัลมาดริดหลังจบการแข่งขันไปเพียงวันเดียว และทางราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนได้แต่งตั้งเฟร์นันโด อิเอร์โร อดีตผู้เล่นกองหลังกัปตันทีมเรอัลมาดริดรับตำแหน่งนี้แทนแต่โลเปเตกี ก็คุมเรอัลมาดริดต่อจากซีเนดีน ซีดานได้เพียง 14 นัดเท่านั้น บอร์ดบริหารของสโมสรก็ได้สั่งปลดเขาหลังจากทำทีมหล่นลงมาถึงอันดับที่ 9 ในลาลิกา",
"ฟุตซอลทีมชาติออสเตรเลีย() เป็นตัวแทนของประเทศออสเตรเลียในการแข่งขันฟุตซอลนานาชาติเช่น ฟุตซอลชิงแชมป์โลก และ ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชียและอยู่ภายใต้การดูแลของสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย(FFA)ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) และสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนในภูมิภาค (AFF) และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) หลังออกจากสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย ( OFC) ในปี 2006",
"นอกจากการแข่งขันต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนยังเป็นผู้จัดการแข่งขันต่อไปนี้",
"ฟุตบอลทีมชาติอินเดีย เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนของประเทศอินเดีย อยู่ภายใต้การควบคุมของสหพันธ์ฟุตบอลออลอินเดีย และยังเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลฟุตบอลเอเชียใต้ ทีมชาติมีช่วงที่รุ่งเรืองระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1950-60 ภายใต้การคุมทีมของ Syed Abdul Rahim อินเดียได้เหรียญทองในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ปี 1951 และ 1962 และจบอันดับที่สี่ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1956",
"ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมมากที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ตามมาด้วยรักบี้ยูเนียน ซึ่งสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF, Fédération Française de Football) เป็นองค์กรปกครองระดับประเทศและเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลกีฬาฟุตบอลทุกประเภทภายในประเทศ ทั้งระดับอาชีพและสมัครเล่น สหพันธ์จัดรายการกุปเดอฟร็องส์และเป็นผู้รับผิดชอบในการแต่งตั้งผู้จัดการทีมชาติฟุตบอลชาย, หญิง และเยาวชนในประเทศฝรั่งเศส สหพันธ์ให้ความสำคัญกับลีกเอิงและลีกเดอต่อสันนิบาตฟุตบอลอาชีพ ซึ่งควบคุมดูแล, จัดระเบียบ และจัดการสองลีกสูงสุดของประเทศ สันนิบาตฟุตบอลอาชีพยังรับผิดชอบในการจัดรายการกุปเดอลาลีกซึ่งเป็นการแข่งขันถ้วยลีกของประเทศ สหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสยังกำกับดูแลลีกของจังหวัดโพ้นทะเลและดินแดนของฝรั่งเศสและเป็นเจ้าภาพสโมสรฟุตบอลอาแอ็ส มอนาโก ซึ่งเป็นสโมสรที่ตั้งอยู่ในรัฐอธิปไตยที่เป็นอิสระของประเทศโมนาโก ส่วนในปี ค.ศ. 2006 สหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสออกใบอนุญาต 2,143,688 ใบ ร่วมกับผู้เล่นที่ลงทะเบียนแล้ว 1,850,836 ราย และสโมสรจดทะเบียน 18,194 ราย",
"ฟุตบอลทีมชาติสเปนรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี () เป็นทีมฟุตบอลรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ประจำประเทศสเปน อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นตัวแทนของราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ที่จัดขึ้นทุก 2 ปี",
"สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี () หรือ เอฟเฟอีจีชี () เป็นสมาคมฟุตบอลในประเทศอิตาลี ดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีก เซเรียอา รวมถึงฟุตบอลทีมชาติอิตาลี มีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงโรม ก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1898",
"เมื่อถึงดาวนาบู ควีนอมิดาล่าได้เข้าพบชาวกันแกนและขอความช่วยเหลือ ในการต่อสู้กับกองทัพสหพันธ์ฯ หลังจากต่อสู้กับกองทัพดรอย์ของสหพันธ์ฯ ไปได้ระยะหนึ่ง กองทัพกันแกนก็จวนเจียนจะพ่ายแพ้ แต่ก็กลับมาเป็นฝ่ายชนะ เมื่ออนาคินขับเครื่องบินรบและสามารถทำลายยานบัญชาการกองทัพดรอย์ของสหพันธ์ฯ ซึ่งทำให้กองทัพดรอย์หยุดการทำงานได้สำเร็จ ขณะเดียวกัน ทางด้านราชินีอมิดาล่าก็ได้พากำลังทหารของเธอกลับไปที่พระราชวัง เพื่อจับตัวอุปราชของสหพันธ์ฯ และในเวลาเดียวกันดาร์ธ มอลก็กำลังต่อสู้กับเจไดทั้งสอง เขาสังหารไควกอนได้สำเร็จ แต่ดาร์ธ มอลก็กลับถูกโอบีวันฆ่าตาย ก่อนที่ไควกอนจะสิ้นใจ เขาได้สั่งเสียโอบีวันให้ฝึกฝนอนาคินเป็นเจได ซึ่งโอบีวันก็รับปากตามที่ไควกอนขอ\nหลังการสู้รบจบสิ้น สภาเจไดแต่งตั้งให้โอบีวันเป็นอัศวินเจได โอบีวันเอ่ยถึงความตั้งใจของไควกอนที่ต้องการฝึกฝนให้อนาคินเป็นเจไดกับโยดา (Yoda) โยดาอนุญาตให้โอบีวันรับอนาคินเป็นศิษย์อย่างไม่เต็มใจ ในพิธีเผาศพของไควกอน เมซ วินดู (Mace Windu) และโยดาเห็นต้องกันว่าการตายของไควกอนนั้นเป็นฝีมือของซิธ และเนื่องจากซิธจะต้องมีสองคนเสมอ (อาจารย์และศิษย์) วินดูและโยดาจึงเชื่อว่ายังมีซิธอีกคนเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่ง",
"ฟุตบอลทีมชาติสเปน () เป็นทีมฟุตบอลประจำประเทศสเปน อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นตัวแทนของราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนในการแข่งขันระหว่างประเทศนัดต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นโดยสหพันธ์สมาคมฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า)",
"ตารางการแข่งขันได้รับการกำหนดโดยราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนและสันนิบาตฟุตบอลอาชีพแห่งชาติในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) และรูปแบบการแข่งขันคาดว่าจะเหมือนกันกับฤดูกาลที่ผ่านมา\nการจับสลากรอบแรกและรอบสองจัดขึ้นในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) เวลา 13:00 น. ตามเวลาฤดูร้อนยุโรปกลาง ในลาซิวดัดเดฟุตบอลซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน ลัสโรซัส แคว้นมาดริด ในรอบนี้ 37 ทีมที่มาจากเซกุนดาดีบีซีออน เบ ฤดูกาล 2015–16 และ 5 ทีมที่มาจากเตร์เซราดีบีซีออน ฤดูกาล 2015–16 จะได้เข้าแข่งขัน ส่วนในการจับสลาก 6 ทีมแรกจากเซกุนดาดีบีซีออน เบ จะได้บายไปก่อน จากนั้น ทีมที่เหลือจากลีกนี้และทีมที่มาจากเตร์เซราดีบีซีออนจะได้เผชิญหน้าตามเกณฑ์ความใกล้ชิดในกลุ่มต่อไป :",
"สันนิบาตฟุตบอลอาชีพแห่งชาติ () หรือที่รู้จักกันมากกว่าในชื่อ สันนิบาตฟุตบอลอาชีพ () และ เอเลเอเฟเป () เป็นสมาคมกีฬาระดับชาติที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบการแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลอาชีพในระดับบนสุด 2 ระดับของประเทศสเปน ซึ่งได้แก่ ปรีเมราดีบีซีออน (ลาลีกา) และเซกุนดาดีบีซีออน องค์การนี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1984 โดยเป็นส่วนหนึ่งของราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน แต่มีสภาพนิติบุคคลเป็นของตนเองและมีอำนาจอิสระในการปฏิบัติหน้าที่",
"เซกุนดาดีบีซีออน () อยู่ในระดับที่ 2 ของระบบลีกฟุตบอลสเปน มีสันนิบาตฟุตบอลอาชีพแห่งชาติเป็นหน่วยงานจัดการแข่งขันเช่นเดียวกับปรีเมราดีบีซีออน\nเซกุนดาดีบีซีออน เบ () อยู่ในระดับที่ 3 ของระบบลีกฟุตบอลสเปน มีราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน () เป็นหน่วยงานจัดการแข่งขัน แม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นกับสันนิบาตฟุตบอลอาชีพแห่งชาติ แต่สโมสรส่วนใหญ่ที่ลงแข่งขันก็ยังเป็นสโมสรอาชีพเช่นกัน\nแม้จะมีชื่อเรียกว่า \"ดิวิชันที่ 3\" แต่ที่จริงแล้ว เตร์เซราดีบีซีออน () อยู่ในระดับที่ 4 ของระบบลีกโดยรวมทั้งประเทศ มีราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนเป็นหน่วยงานจัดการแข่งขันร่วมกับสหพันธ์ฟุตบอลประจำแคว้นต่าง ๆ ในสเปน (รวมทั้งหมด 17 สหพันธ์)",
"(in Spanish) ที่เว็บไซต์สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ ที่เว็บไซต์สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป",
"สหพันธ์ฟุตบอลสหรัฐ () หรือ ยูเอสเอสเอฟ () เป็นสมาคมฟุตบอลในสหรัฐ ดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีก เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ รวมถึงฟุตบอลชายทีมชาติสหรัฐ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่เมืองชิคาโก ก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1913 โดยเข้าร่วมสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1914 และเข้าร่วมกับสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และแคริบเบียน เมื่อปี ค.ศ. 1961",
"สหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส () หรือ แอฟแอฟแอฟ () เป็นสมาคมฟุตบอลในประเทศฝรั่งเศส รวมถึงดูแลดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส (กัวเดอลุป เฟรนช์เกียนา มาร์ตีนิก มายอต นิวแคลิโดเนีย เฟรนช์โปลินีเซีย เรอูว์นียง) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1919 ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส เป็นสมาชิกกลุ่มก่อตั้งของฟีฟ่า ดูแลรับผิดชอบการแข่งขันฟุตบอลในฝรั่งเศส ทั้งการแข่งขันอาชีพและสมัครเล่น สหพันธ์รับผิดชอบ ตั้งแต่การจัดการทั้งทีมชาติฟุตบอลชาย หญิง และทีมชาติเยาวชน ในปี ค.ศ. 2010 สหพันธ์ออกได้รับรองใบอนุญาตแล้ว 2,107,924 ใบ โดยมีนักฟุตบอลลงทะเบียนมากกว่า 1,800,000 คน รวมถึงสโมสรที่ลงทะเบียนมากกว่า 18,000 สโมสร",
"ถ้วยรางวัลระดับชาติ: โกปาเดลเรย์ ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา โกปาเฟเดราซีออน การแข่งขันฟุตบอลหญิง: ปรีเมราดีบีซีออนเฟเมนีนา เซกุนดาดีบีซีออนเฟเมนีนา โกปาเดลาเรย์นา การแข่งขันฟุตบอลเยาวชน: โกปาเดกัมเปโอเนสคูเบนิล โกปาเดลเรย์คูเบนิล ดีบีซีออนเดโอนอร์คูเบนิล ลีกานาซีโอนัลคูเบนิล",
"ฟุตบอลทีมชาติกัมพูชา เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนจาก ราชอาณาจักรกัมพูชา อยู่ภายใต้การควบคุมของ สหพันธ์ฟุตบอลกัมพูชา มีผลงานเป็นอันดับ 4 ในเอเชียนคัพ 1972 แต่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในทีมที่เก่งน้อยที่สุดในโลก และไม่ได้เข้าร่วมรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 2006 ทีมก่อตั้งเมื่อพ.ศ. 2476 และเข้าร่วมฟีฟ่าเมื่อพ.ศ. 2496.",
"สหพันธ์ฟุตบอลเม็กซิโก () หรือ เฟเมซฟุต () เป็นสมาคมฟุตบอลในประเทศเม็กซิโก ดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีก ลิกา เอเมเอกิส รวมถึงฟุตบอลทีมชาติเม็กซิโก ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1927 โดยเข้าร่วมสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1929 และเข้าร่วมกับสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และแคริบเบียน เมื่อปี ค.ศ. 1961",
"ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนเป็นสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ, สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป และคณะกรรมการโอลิมปิกสเปน มีหน้าที่จัดการแข่งขันในระดับชั้นที่ 3 ของระบบลีกฟุตบอลสเปน และดูแลการแข่งขันในระดับชั้นที่ 1, ระดับชั้นที่ 2 (จัดโดยสันนิบาตฟุตบอลอาชีพแห่งชาติ) และระดับชั้นที่ 4 (จัดโดยสหพันธ์ฟุตบอลของแต่ละแคว้นและนครปกครองตนเอง) นอกจากนี้ยังเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการฟุตบอลทีมชาติสเปน (ชาย), ฟุตบอลหญิงทีมชาติสเปน, ฟุตบอลเยาวชนทีมชาติสเปน รวมทั้งฟุตซอลทีมชาติสเปนอีกด้วย",
"ฟุตบอลทีมชาติยูโกสลาเวีย เป็นอดีตทีมฟุตบอลตัวแทนของราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1918–1941) และสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1943–1992) เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันหลายรายการ แต่ในปี ค.ศ. 1992 ช่วงสงครามยูโกสลาเวีย ทีมชาติถูกลงโทษจากสหประชาชาติมิให้เข้าร่วมการแข่งขันใด ๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 1994 ทีมชาติยูโกสลาเวียจึงกลายเป็นทีมชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกร",
"กันตาเบรีย: สหพันธ์ฟุตบอลกันตาเบรีย ([Federación Cántabra de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) กัสตียา-ลามันชา: สหพันธ์ฟุตบอลกัสตียา-ลามันชา ([Federación de Fútbol de Castilla-La Mancha]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) กัสตียาอีเลออน: สหพันธ์ฟุตบอลกัสตียาอีเลออน ([Federación de Castilla y León de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) กาตาลุญญา: สหพันธ์ฟุตบอลกาตาลุญญา ([Federació Catalana de Futbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) กาลิเซีย: สหพันธ์ฟุตบอลกาลิเซีย ([Federación Gallega de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) เซวตา: สหพันธ์ฟุตบอลเซวตา ([Federación de Fútbol de Ceuta]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) นาบาร์รา: สหพันธ์ฟุตบอลนาบาร์รา ([Federación Navarra de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) บาเลนเซีย: สหพันธ์ฟุตบอลแห่งแคว้นบาเลนเซีย ([Federación de Fútbol de la Comunidad Valenciana]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ประเทศบาสก์: สหพันธ์ฟุตบอลบาสก์ ([Federación Vasca de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help); [Euskadiko Futbol Federakundea]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ภูมิภาคมูร์เซีย: สหพันธ์ฟุตบอลแห่งภูมิภาคมูร์เซีย ([Federación de Fútbol de la Región de Murcia]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) มาดริด: ราชสหพันธ์ฟุตบอลมาดริด ([Real Federación de Fútbol de Madrid]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) เมลียา: สหพันธ์ฟุตบอลเมลียา ([Federación Melillense de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ลาริโอฆา: สหพันธ์ฟุตบอลลาริโอฆา ([Federación Riojana de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) หมู่เกาะคะแนรี: สหพันธ์ฟุตบอลคะแนรี ([Federación Canaria de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) หมู่เกาะแบลีแอริก: สหพันธ์ฟุตบอลหมู่เกาะแบลีแอริก ([Federació de Futbol de les Illes Baleares]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) ลอันดาลูซิอา: สหพันธ์ฟุตบอลอันดาลูซิอา ([Federación Andaluza de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) อัสตูเรียส: ราชสหพันธ์ฟุตบอลแห่งราชรัฐอัสตูเรียส ([Real Federación de Fútbol del Principado de Asturias]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) อารากอน: สหพันธ์ฟุตบอลอารากอน ([Federación Aragonesa de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) เอซเตรมาดูรา: สหพันธ์ฟุตบอลเอซเตรมาดูรา ([Federación Extremeña de Fútbol]error: {{lang}}: text has italic markup (help))",
"สหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกส () หรือ แอฟือเปแอฟือ () เป็นสมาคมฟุตบอลในประเทศโปรตุเกส ดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีก รวมถึงฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกสและฟุตบอลหญิงทีมชาติโปรตุเกส มีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงลิสบอน ก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1914",
"สหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติลาว () เป็นองค์กรกำกับดูแลฟุตบอลในประเทศลาว ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับฟุตบอลทีมชาติลาว ตลอดจนการแข่งขันระดับชาติ เช่น ลาวลีก และถ้วยนายกรัฐมนตรี",
"สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย () เป็นสมาคมฟุตบอลในประเทศออสเตรเลีย ดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีก เอลีก รวมถึงฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย มีสำนักงานตั้งอยู่ที่เมืองซิดนีย์ ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1961 โดยเข้าร่วมกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1963 และเข้าร่วมกับสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย เมื่อปี ค.ศ. 2006",
"ฟุตบอลทีมชาติยูกันดา เป็นทีมฟุตบอลประจำประเทศยูกันดา อยู่ภายใต้การควบคุมของสหพันธ์แห่งสมาคมฟุตบอลยูกันดา เคยจบอันดับที่สองในสหพันธ์แห่งสมาคมฟุตบอลยูกันดา เมื่อปี ค.ศ. 1978",
"หมวดหมู่:ฟุตบอลในประเทศสเปน หมวดหมู่:สมาชิกยูฟ่า"
] |
จอห์น วินสตัน โอโนะ เลนนอน เกิดที่เมืองใดในอังกฤษ ? | [
"จอห์นเกิดและเติบโตที่เมืองลิเวอร์พูล ในวัยเด็กคลั่งไคล้ดนตรีแนวสกิฟเฟิล จอห์นได้เป็นสมาชิกวง เดอะควอรีเม็น ต่อมาในปี 1960 เปลี่ยนเป็นเดอะบีเทิลส์ ครั้นยุบวงในปี 1970 เลนนอนออกผลงานเดี่ยวของตัวเอง เขาออกอัลบั้ม จอห์น เลนนอน/พลาสติกโอโนะแบนด์ และอัลบั้ม อิแมจิน ซึ่งได้รับคำยกย่องมากมาย อัลบั้มมีเพลงโดดเด่นอย่าง \"กิฟพีซอะชานซ์\" และ \"เวิร์กกิงคลาสฮีโร\" และ \"อิแมจิน\"หลังจอห์นสมรสกับโยโกะ โอโนะ ในปี 1969 เขาเปลี่ยนชื่อเป็น จอห์น โอโนะ เลนนอน เลนนอนปลีกตัวจากงานเพลงในปี 1975 เพื่อเลี้ยงดูบุตรชาย ฌอน แต่กลับมารวมตัวทำงานเพลงกับโยโกะ โอโนะ ในอัลบั้ม ดับเบิลแฟนตาซี เขาถูกฆาตกรรมสามสัปดาห์ก่อนออกอัลบั้มดังกล่าว"
] | [
"แม็กคาร์ตนีย์กล่าวว่าป้ามีมี \"รู้ว่าเพื่อนของจอห์นเป็นคนฐานะด้อยกว่า\" และมักจะดูแลเขาเมื่อเขามาหาเลนนอน[31] ไมก์ พี่ชายของพอล กล่าวว่า พ่อของแม็กคาร์ตนีย์ก็ไม่สนับสนุน พร้อมกล่าวว่าเลนนอนจะพาลูกชายของเขา \"เจอแต่ปัญหา\"[32] แม้ว่าต่อมาเขาอนุญาตให้ซ้อมดนตรีในห้องหน้าบ้านของแม็กคาร์ตนีย์ที่บ้านเลขที่ 20 ถนนฟอร์ทลิน[33][34] ในระหว่างนี้ เลนนอนอายุ 18 ปีเขียนเพลงแรกชื่อ \"เฮลโลลิตเทิลเกิร์ล\" เป็นเพลงดังติด 10 อันดับแรกในสหราชอาณาจักรของวงเดอะโฟร์โมสต์ในอีกห้าปีต่อมา[35]",
"จอห์น วินสตัน โอโนะ เลนนอน (English: John Winston Ono Lennon, MBE) (9 ตุลาคม 1940 - 8 ธันวาคม 1980) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงทั่วโลก และเป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งวงเดอะบีเทิลส์ วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ในประวัติศาสตร์วงการดนตรี ร่วมกับสมาชิก พอล แม็กคาร์ตนีย์ เขากลายเป็นคู่หูนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง",
"ฌอน เลนนอน เกิดในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1975 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด 35 ปีของพ่อของเขา , เขาเป็นคนอังกฤษและมีเชื้อสายไอริชจากบิดา เขาได้เชื่อสายญี่ปุ่นมาจากแม่ของเขา จูเลียน เลนนอนเป็นพี่น้องต่างมารดา กับ เคียวโกะ แจน ค็อกซ์ พี่สาวต่างมารดา เอลตัน จอห์น เป็นพ่ออุปถัมภ์หลังวันเกิดของฌอน จอห์น เลนนอนก็ดูแลเป็นอย่างดีจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ฌอน เข้าเรียนอนุบาลที่ โตเกียว และเรียนโรงเรียน \"Institut Le Rosey\" ที่เมือง Rolle , สวิตเซอร์แลนด์",
"เพลง \"อิแมจิน\" ออกเป็นซิงเกิ้ลในสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นซิงเกิ้ลอันดับ 1 ซิงเกิ้ลเดียวของซิงเกิ้ลหลังที่อยู่กับวงเดอะบีตเทิลส์ในชาร์ตออสเตรเลีย ติดอันดับ 1 นาน 5 สัปดาห์ เพลงนี้ยังเป็น 1 ใน 3 เพลงของเลนนอนในฐานะศิลปินเดี่ยว ร่วมกับเพลง \"Instant Karma!\" และ \"Give Peace a Chance\" ที่อยู่ในรายชื่อ 500 เพลงที่มีอิทธิพลของร็อกแอนด์โรล ในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล นิตยสารโรลลิงสโตนยังจัดให้อยู่อันดับ 3 ของเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ใน 500 อันดับเพลง\nนอกจากนี้เพลง อิแมจิน เป็นหนึ่งในเพลง ปิดพิธีโอลิมปิกฤดูร้อน 2012ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน ที่มีเด็กพิการออทิสติกมาร่วมร้องบรรเลง เพลงนี้รวมถึง ชาวอังกฤษและนักกีฬาโอลิมปิกในสนาม ที่อยู่ในสนามต่างช่วยกันร้องเพลงนี้จนดังกึกก้องสนามโอลิมปิก \nเพลงอิแมจิน ของจอห์น เลนนอน นั้นมีโครงสร้างเพลงที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเป็นเพลงสั้นๆที่ได้ใจความ ไม่มีลูกเล่นอะไรมากมาย เพลงนี้ จอห์นกับภรรยา โยโก ได้ร่วมแสดง ใน มิวสิก วิดีโอด้วย โดยที่ตอนแรก จอห์น เลนนอนเดินเคียงคู่กับโยโก มาที่บ้านหลังหนึ่ง ต่อจากนั้นจอห์นเล่นเปียโน พร้อมกับร้องเพลง ส่วนโยโก ไม่ได้ร้อง แต่เป็นคนเปิดผ้าม่านในห้องมืดๆ ซึ่งหมายถึง การเปิดผ้าม่านเพื่อให้ห้องได้รับแสงสว่างในยามเช้า คอนเซปของเพลงนั้น คือ เพื่อให้โลกได้รับรู้ว่าทุกคนมีความฝัน คนเรานั้นไม่ใช่ว่าจะมีความฝันแล้วจะไม่เป็นความจริงเสมอ เปรียบเหมือนห้องมืดๆที่ซึ่ง ดูแล้วเหมือนคนไม่มีจินตนาการไม่มีความฝันเอาเสียเลย แต่เมื่อลองเปิดตาสู่โลกกว้างก็จะสามารถ ทำให้เรามีจินตนาการการได้ เพราะจินตนาการเกิดจากการสั่งเกตุจากสิ่งรอบๆตัว ก็เปรียบเหมือนห้องที่สว่าง ไม่ยอมให้ความมืดเขาครอบงำ",
"จอห์น เลนนอน เป็นนักดนตรีชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงทั่วโลกในฐานะหนึ่งในสมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ จากผลงานเดี่ยว และจากการเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองและสันตินิยม เขาถูกมาร์ก เดวิด แชปแมน ยิงเสียชีวิตโดยการเอาปืนมาสังหารที่ทางเข้าอพาร์ตเมนต์ เดอะดาโคตา (The Dakota) ที่เขาพักอยู่ ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1980 เลนนอนเพิ่งกลับจากสตูดิโอเรเคิร์ดแพลนต์ (Record Plant Studio) พร้อมกับภรรยา โยโกะ โอะโนะ",
"ต้นปี ค.ศ. 1974 เลนนอนดื่มหนักและพฤติกรรมที่เกิดจากแอลกอฮอล์ระหว่างเขากับแฮร์รี นิลสันทำให้เกิดพาดหัวข่าว เหตุการณ์ใหญ่สองเหตุการณ์ที่เป็นข่าวเกิดขึ้นที่คลับเดอะทรูบาโดร์ในเดือนมีนาคม ครั้งแรก เมื่อเลนนอนวางผ้าอนามัยบนหน้าผากและทะเลาะกับบริกรหญิงคนหนึ่ง ครั้งที่สอง หลังจากนั้นสองสัปดาห์ เมื่อเลนนอนและนิลสันถูกไล่ออกจากร้านเดียวกันหลังจากทะเลาะวิวาทกับวงสมาเทอส์บราเธอส์[110] เลนนอนตัดสินใจทำอัลบั้มของนิลสันชื่อ พุสซีแคตส์ และแพงเช่าบ้านริมหาดที่ลอสแอนเจลิสให้กับนักดนตรีทุกคน[111] แต่หนึ่งเดือนหลังเกิดพฤติกรรมเสเพล ผนวกกับช่วงอัดเสียงเกิดความโกลาหล เลนนอนย้ายไปนิวยอร์กกับแพงเพื่อทำอัลบั้มเพลงจนเสร็จ ในเดือนเมษายน เลนนอนทำเพลง \"ทูเมนีคุกส์ (สปอยส์เดอะซุป)\" ของมิก แจกเกอร์ เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับสัญญา เพลงไม่ได้ออกเผยแพร่นานกว่า 30 ปี แพงบรรจุเพลงไว้ในอัลบั้มรวมเพลง เดอะเวรีเบสต์ออฟมิกแจกเกอร์ (2007)[112]",
"ขณะที่เลนนอนกำลังอัดเสียงอัลบั้ม ไมนด์เกมส์ (1973) เขาและโอโนะตัดสินใจแยกทางกัน เวลาผ่านไป 18 เดือน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแอนเจลิสและนิวยอร์กในบริษัทของเมย์ แพง เขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า \"สุดสัปดาห์ที่หายไป\" (lost weekend)[109] อัลบั้ม<i data-parsoid='{\"dsr\":[28850,28864,2,2]}'>ไมนด์เกมส์</i>ออกภายใต้ชื่อศิลปินว่า \"พลาสติก ยู.เอฟ.โอโนะแบนด์\" ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1973 เลนนอนร่วมแต่งเพลง \"ไอม์เดอะเกรตเทสต์\" ในอัลบั้มริงโก (1973) ของริงโก สตาร์ วางจำหน่ายในเดือนเดียวกัน (มีอีกเวอร์ชันถึงจากตอนอัดอัลบั้ม<i data-parsoid='{\"dsr\":[29105,29114,2,2]}'>ริงโก 1973 โดยเลนนอนร้องนำ ปรากฏในบ็อกซ์เซตจอห์นเลนนอนแอนโทโลจี)",
"หลังพักงานดนตรี เลนนอนกลับมาในวันที่ตุลาคม ค.ศ. 1980 โดยออกซิงเกิล \"(จัสต์ไลก์) สตาร์ทิงโอเวอร์\" ตามมาด้วยอัลบั้มดับเบิลแฟนตาซีในเดือนถัดมา อัลบั้มมีเพลงที่แต่งระหว่างเลนนอนเดินทางไปเบอร์มิวดาบนเรือใบยาว 43 ฟุต เมื่อเดือนมิถุนายน[124] ซึ่งสะท้อนถึงความอิ่มเอมในชีวิตครอบครัวที่มั่นคง[125] ต่อมามีการวางแผนอัดเสียงอัลบั้มเพลงถัดไปคือ มิลก์แอนด์ฮันนี (ออกจำหน่ายหลังเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1984)[126] อัลบั้มดับเบิลแฟนตาซีออกจำหน่ายร่วมกันในนามเลนนอนและโอโนะ ได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนัก ความคิดเห็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์เมโลดีเมเกอร์กล่าวว่า \"ตามใจตัวจนเป็นหมัน ... เรื่องน่าเบื่อที่โหดร้าย\"[127]",
"ปลายปี 1968 เลนนอนแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดอะโรลลิงสโตนร็อกแอนด์โรลเซอร์คัส (ออกฉายในปี 1996) ในบทสมาชิกวงเดอร์ตีแม็ก ซูเปอร์กรุปนี้ประกอบด้วยจอห์น เลนนอน เอริก แคลปตัน คีธ ริชาดส์ และมิตช์ มิตเชลล์ และร้องเบื้องหลังโดยโอโนะ[75] เลนนอนและโอโนะสมรสกันในวันที่ 20 มีนาคม 1969 และออกจำหน่ายภาพพิมพ์หินชื่อ \"แบกวัน\" (Bag One) 14 ภาพ เป็นภาพบรรยายถึงช่วงเวลาฮันนีมูนของพวกเขา ภาพจำนวนแปดภาพถูกมองว่าไม่เหมาะสมและส่วนใหญ่ถูกห้ามจำหน่ายและริบไว้[76] ความสร้างสรรค์ของเลนนอนยังคงดำเนินต่อไปกับวงเดอะบีเทิลส์ และระหว่างปี 1968 และ 1969 เขาและโอโนะบันทึกอัลบั้มเพลงแนวดนตรีทดลองร่วมกัน ได้แก่ อัลบั้มอันฟินิชด์มิวสิกนัมเบอร์ 1: ทูเวอร์จินส์[77] (ปกเป็นที่รู้จักมากกว่าเพลง) อันฟินิชด์มิวสิกนัมเบอร์ 2: ไลฟ์วิดเดอะไลออนส์ และเวดดิงอัลบั้ม ในปั 1969 พวกเขาตั้งวง พลาสติกโอโนะแบนด์ ออกอัลบั้มไลฟ์พีซอินโตรอนโต 1969 ระหว่างปี 1969 และ 1970 เลนนอนออกซิงเกิล \"กิฟพีซอะชานซ์\" (ถูกนำไปเปิดเป็นเพลงรณรงค์การต่อต้านสงครามเวียดนามในปี 1969)[78] \"โคลด์เทอร์คี\" (เล่าเรื่องการถอนยาหลังจากเขาเสพติดเฮโรอีน)[79] และ \"อินสแตนต์คาร์มา\" ในการประท้วงการที่บริเตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองไนจีเรีย[80] กองกำลังสนับสนุนของอเมริกาในสงครามเวียดนาม และประท้วงที่เพลง \"โคลด์เทอร์คี\" ตกอันดับชาร์ต[81] เลนนอนคืนเครื่องอิสริยาภรณ์ของอาณาจักรบริติชให้พระราชินี แม้ว่าจะไม่มีผลใด ๆ ต่อสถานะของเครื่องอิสริยาภรณ์ของอาณาจักรบริติชของเขา เนื่องจากสถานะไม่อาจยกเลิกได้[82]",
"ในปี 1970 เลนนอนและโอโนะเข้ารับการบำบัดพื้นฐานกับอาร์เธอร์ แจเนิฟ ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย การบำบัดถูกออกแบบมาให้ปลดปล่อยความเจ็บปวดทางอารมณ์ในวัยเด็กออกมา การบำบัดกับแจเนิฟใช้เวลา 4 เดือน เดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งวัน เลนนอนอยากบำบัดให้นานกว่านั้น แต่พวกเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นและเดินทางกลับลอนดอน[88] อัลบั้มเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอัลบั้มแรกของเลนนอน จอห์น เลนนอน/พลาสติกโอโนะแบนด์ (1970) ได้รับคำชมอย่างสูง นักวิจารณ์ เกรล มาร์คัส กล่าวว่า \"ท่อนที่จอห์นร้องในท่อนสุดท้ายของ 'ก๊อด' อาจจะเป็นท่อนร็อกที่ดีที่สุด\"[89] อัลบั้มมีเพลง \"มาเธอร์\" ซึ่งเลนนอนเคยต้องเผชิญกับความรู้สึกที่มีต่อการถูกปฏิเสธในวัยเด็ก[90] และเพลง \"เวิร์กกิงคลาสฮีโร\" เป็นการโจมตีระบบทางสังคมชนชั้นกลาง ซึ่งจากเนื้อเพลงที่ว่า \"you're still fucking peasants\" แสดงความรังเกียจต่อนักข่าว[91][92] ในปีเดียวกัน มุมมองทางการเมืองของทารีก อาลี ที่แสดงออกขณะสัมภาษณ์เลนนอน เป็นแรงบันดาลใจให้เลนนอนเขียนเพลง \"เพาเวอร์ทูเดอะพีเพิล\" เลนนอนยังพัวพันกับอาลีในการประท้วงต่อต้านการฟ้องร้องเกี่ยวกับความลามกของนิตยสาร<i data-parsoid='{\"dsr\":[24794,24801,2,2]}'>ออซ เลนนอนประณามการพิจารณาคดีความนี้ว่า \"ฟาสซิสม์น่าขยะแขยง\" และเขากับโอโนะ (ในนาม อิลาสติกออซแบนด์) ออกซิงเกิล \"ก๊อดเซฟอัส/ดูดิออซ\" และร่วมเดินขบวนสนับสนุนนิตยสารดังกล่าว[93]",
"ภายหลังการเสียชีวิตของจอห์น เลนนอน เจฟฟ์ ลินน์ได้ร่วมงานกับสมาชิกสามคนที่เหลือของเดอะ บีตเทิลส์ และโยโกะ โอโนะ สร้างผลงานใหม่จากเสียงร้องเดโมของเลนนอนที่บันทึกเสียงไว้ ได้ออกมาเป็นเพลง \"Free as a Bird\" และ \"Real Love\" ที่ได้รับรางวัลแกรมมี ",
"เลนนอนออกจากวงเดอะบีเทิลส์ในเดือนกันยายน 1969[83] และจะไม่ชี้แจงสื่อใด ๆ ขณะที่เจรจาสัญญาครั้งใหม่กับสังกัด แต่เขาโกรธที่แม็กคาร์ตนีย์เผยแพร่การแยกทางจากวงโดยออกผลงานเดี่ยวอัลบั้มแรกในเดือนเมษายน 1970 เลนนอนมีปฏิกิริยาว่า \"พระเจ้า! เขาเอาหน้าอยู่คนเดียวเลย\"[84] เขายังเขียนต่อไปว่า \"ผมก่อตั้งวง ผมยุบวง ง่าย ๆ อย่างนั้นเลย\"[85] ในบทสัมภาษณ์กับนิตยสารโรลลิงสโตน เขาแสดงความขุ่นเคืองต่อแม็กคาร์ตนีย์ว่า \"ผมมันโง่ที่ไม่ทำอย่างที่พอลทำ เพื่อที่จะใช้ข่าวนี้ขายงานเพลง\"[86] เขายังพูดว่าเขารับรู้ได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ที่สมาชิกคนอื่นมีต่อโอโนะ และเกี่ยวกับว่าแฮร์ริสัน และสตาร์ รู้สึก \"เบื่อการเป็นตัวประกอบให้กับพอล ... หลังจากไบรอัน เอปสไตน์เสียชีวิต พวกเราประสบปัญหา พอลรับช่วงต่อ และเป็นผู้นำทางพวกเรา แต่อะไรจะนำทางเราได้เมื่อเราเดินทางเป็นวงกลม\"[87]",
"โยโกะ โอโนะ (; 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476—) เป็นนักร้องชาวญี่ปุ่น และเป็นภรรยาคนที่สองของจอห์น เลนนอน นักร้องนำของวงเดอะบีเทิลส์",
"เลนนอนได้แสดงภาพยนตร์ต่อต้านสงครามเรื่อง ฮาวไอวันเดอะวอร์ แบบเต็มเรื่องเพียงเรื่องเดียวที่ไม่เกี่ยวกับเดอะบีเทิลส์ ภาพยนตร์ออกฉายในเดือนตุลาคม 1967[68] แม็กคาร์ตนีย์เป็นคนจัดการโครงการโครงการแรกของวงหลังเอปไตน์เสียชีวิต[69] ในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง แมจิคัลมิสเตอรีทัวร์ โดยพวกเขาเขียนบทเอง ผลิตเอง และกำกับเอง ฉายในเดือนธันวาคมปีนั้นเอง แม้ว่าภาพยนตร์จะล้มเหลวอย่างหนัก แต่เพลงประกอบภาพยนตร์ \"ไอแอมเดอะวอลรัส\" ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากลูอิส แคร์รอลและทำให้เลนนอนได้รับคำชม กลับประสบความสำเร็จ[70][71] หลังจากเอปสไตน์จากไป สมาชิกวงเข้ามาทำกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้น และในเดือนกุมภาพันธ์ 1968 พวกเขาก่อตั้งแอปเปิลคอร์ บริษัทมัลติมีเดียที่ประกอบด้วยค่ายเพลงแอปเปิลเรเคิดส์ และบริษัทย่อยอีกหลายบริษัท เลนนอนพูดถึงการทำธุรกิจครั้งนี้ว่าเป็นความพยายามที่จะบรรลุ \"อิสรภาพทางศิลปินภายในโครงสร้างธุรกิจ\"[72] แต่ด้วยการใช้ยาที่มากขึ้น ความลุ่มหลงในตัวโยโกะ โอโนะ และแผนการสมรสของแม็กคาร์ตนีย์ เลนนอนลาออกจากแอปเปิลเนื่องจากต้องการการจัดการที่เป็นมืออาชีพ เลนนอนขอให้ลอร์ด บีชิง เข้ามาทำหน้าที่แทน แต่เขาปฏิเสธ โดยแนะนำเลนนอนให้กลับไปทำเพลง เลนนอนไปหาอัลเลน ไคลน์ ซึ่งเคยทำดนตรีให้เดอะโรลลิงสโตนส์และวงอื่น ๆ ระหว่างยุคการรุกรานของชาวบริติช เลนนอน แฮร์ริสัน และสตาร์ มอบหมายให้ไคลน์ทำหน้าที่ผู้บริหาร[73] แต่แม็กคาร์ตนีย์ไม่เซ็นสัญญาดังกล่าว[74]",
"เลนนอนอาศัยอยู่กับลุงและป้า มีมี และ จอร์จ สมิธ ซึ่งไม่มีบุตรของตนเอง ที่เมนดิปส์ 251 ถนนเมนเลิฟ เมืองวูลตัน[11] ป้าซื้อนวนิยายเรื่องสั้นให้จอห์นหลายเล่ม และลุงเป็นเจ้าของฟาร์มวัวนมเคยซื้อหีบเพลงปากให้จอห์น และร่วมเล่นปริศนาอักษรไขว้กับจอห์นด้วย[12] จูเลียแวะมาที่เมนดิปส์เป็นประจำ และเมื่อจอห์นอายุได้ 11 ขวบ จอห์นมักจะมาเยี่ยมจูเลีย ที่ 1 ถนนบลอมฟิลด์ เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งเธอเคยเล่นแผ่นเสียงของเอลวิส เพรสลีย์ สอนเขาเล่นแบนโจ และแสดงวิธีเล่นเพลงเพลง \"เอนต์แดตอะเชม\" ของแฟตส์โดมิโน[13] ในเดือนกันยายน 1980 เลนนอนให้ความเห็นเกี่ยวกับครอบครัวและนิสัยหัวรั้นของเขาว่า",
"เลนนอนเกิดในช่วงสงครามที่ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1940 ที่โรงพยาบาลลิเวอร์พูลมาเทอร์นิตี ให้กำเนิดโดย จูเลีย เลนนอน (นามสกุลเดิม สแตนลีย์) และอัลเฟรด เลนนอน เชื้อสายไอริช มีอาชีพเป็นพ่อค้าเดินเรือ และไม่ได้อยู่ด้วยกันขณะเขาเกิด[2] พวกเขาชื่อบุตรว่าจอห์นตามชื่อปู่ว่า จอห์น \"แจ็ก\" แลนนอน ส่วนชื่อกลาง วินสตัน มาจากวินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น[3] พ่อของเขามักจากบ้านไปทำงานบ่อย ๆ แต่ก็ยังส่งเช็คเงินสดมาเป็นประจำที่บ้านเลขที่ 9 ถนนนิวคาสเซิล ลิเวอร์พูล ที่จอห์นอาศัยอยู่กับแม่[4] เช็คหยุดส่งมาหาพวกเขาในกุมภาพันธ์ 1944 เนื่องจากพ่อปลดประจำการโดยไม่ได้รับอนุญาต[5][6] ในที่สุด หกเดือนต่อมา พ่อของจอห์นกลับมาบ้าน เสนอว่าจะดูแลครอบครัว แต่จูเลีย ตั้งครรภ์กับชายคนอื่นแล้ว จึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว[7] หลังจากพี่สาวของจูเลีย มีมี สมิธ ร้องทุกข์กับบริการสังคมของลิเวอร์พูลถึงสองครั้ง จูเลียจึงส่งเลนนอนให้เธอดูแล ในเดือนกรกฎาคม 1946 พ่อของเลนนอนมาเยี่ยมสมิธ และพาเลนนอนไปเที่ยวในเมืองแบล็กพูล โดยตั้งใจลับ ๆ ว่าจะพาย้ายออกไปอยู่กับเขาที่ประเทศนิวซีแลนด์[8] แต่จูเลียและสามีคนใหม่ของเธอ บ็อบบี ไดกินส์ ตามไปจนพบ และหลังจากการทะเลาะวิวาทรุนแรง ผู้เป็นพ่อบังคับให้เลนนอนอายุ 5 ขวบเลือกว่าจะอยู่กับใคร เลนนอนเลือกพ่อของเขาถึงสองครั้ง แต่ขณะที่แม่ของเขาเดินจากไป เขาเริ่มร้องไห้และเลือกตามแม่ของเขาไป[9] เขาได้ติดต่อกับพ่อของเขาอีกครั้งหลังผ่านไป 20 ปี[10]",
"เลนนอนและซินเธีย เพาเอลล์ (1939–2015) พบกันในปี 1957 เป็นนักเรียนที่วิทยาลัยศิลปะลิเวอร์พูล[134] แม้ว่าซินเธียจะเกรงกลัวทัศนคติและรูปกายของเลนนอน แต่เธอได้ยินว่าเขาหลงใหลนักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศส บรีฌิต บาร์โด เธอจึงย้อมผมบลอนด์ เลนนอนชวนเธอเที่ยว แต่เมื่อเธอบอกว่าเธอหมั้นแล้ว เขาตะโกนดัง ๆ ว่า \"ผมไม่ได้ขอคุณแต่งงานนะ\"[135] เธอจึงไปงานแสดงของวงควอรีเม็นกับเขาและเดินทางไปเยี่ยมเขาที่ฮัมบูร์กพร้อมกับคนรักของแม็กคาร์ตนีย์ในเวลานั้น เลนนอนซึ่งมีนิสัยขี้หึง จึงเกิดความหึงวงและมักทำให้เพาเอลล์เกรงกลัวความเกรี้ยวโกรธและความรุนแรงถึงเนื้อถึงตัวของเขา[136] ต่อมาเลนนอนกล่าวว่า เขายังไม่เคยสงสัยในทัศนคติที่ก้าวร้าว<!--chauvinistic-->ต่อผู้หญิงในตัวเขาจนกระทั่งเขาพบกับโอโนะ เขากล่าวว่าเพลง \"เกตทิงเบตเทอร์\" ของเดอะบีเทิลส์ เล่าเรื่องราวของเขาเอง \"ผมเคยโหดร้ายกับผู้หญิง และถึงเนื้อถึงตัวกับผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นคนใด ผมชอบตบตี ผมไม่อาจแสดงตัวตนของผมได้และผมก็ตบตี ผมสู้กับผู้ชายและผมตบตีผู้หญิง จึงเป็นเหตุที่ผมมักจะพูดถึงเรื่องสันติภาพตลอดเวลา\"[119]",
"จอห์น ชาลส์ จูเลียน เลนนอน () เกิด 8 เมษายน ค.ศ. 1963 เป็นนักดนตรีและช่างภาพชาวอังกฤษ เป็นบุตรชายของจอห์น เลนนอน กับภรรยาคนแรก ซินเทีย เลนนอน",
"เลนนอนตระหนักว่าแฟนคลับที่ชมคอนเสิร์ตของบีเทิลส์ไม่อาจได้ยินเสียงดนตรีได้เนื่องจากเสียงกรีดร้องดังมาก และความสามารถทางดนตรีของวงเริ่มมีปัญหา[52] เพลง \"เฮลป์!\" (ช่วยด้วย!) ของเลนนอนในปี ปี 1965 แสดงความรู้สึกของเขาว่า \"ผม<i data-parsoid='{\"dsr\":[16338,16349,2,2]}'>หมายถึง</i>อย่างนั้นจริง ๆ ผมกำลังร้องว่า 'ช่วยด้วย'\"[53] เขาน้ำหนักขึ้น (ต่อมาเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า \"เอลวิสอ้วน\")[54] และรู้สึกว่าจิตใต้สำนึกของเขากำลังมองหาความเปลี่ยนแปลง[55] ในเดือนมีนาคมปีนั้น เขาได้รู้จักกับยาแอลเอสดีโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาดื่มกาแฟที่มียานั้นอยู่[56] ขณะที่เขา แฮร์ริสัน และภรรยาของพวกเขาพบกับหมอฟันเจ้าของงานสังสรรค์มื้อเย็น เมื่อพวกเขาต้องการออกจากงานเลี้ยง เจ้าบ้านเปิดเผยสิ่งที่พวกเขาดื่มเข้าไป และแนะว่าไม่ให้ออกจากบ้านเนื่องจากยาจะออกฤทธิ์ ต่อมา ในลิฟต์ที่ไนต์คลับแห่งหนึ่ง พวกเขาทุกคนเชื่อว่าไฟกำลังครอกตัวพวกเขา \"พวกเรากรีดร้อง... ร้อนและเหมือนเป็นโรคประสาท\"[57] ในเดือนมีนาคม 1966 ระหว่างสัมภาษณ์กับนักข่าวหนังสือพิมพ์<i data-parsoid='{\"dsr\":[17107,17126,2,2]}'>อีฟนิงสแตนดาร์ด มอรีน คลีฟ เลนนอนกล่าวว่า \"คริสต์ศาสนาจะหายไป มันจะเลือนและหดหาย ตอนนี้พวกเราโด่งดังกว่าพระเยซูแล้ว ผมไม่รู้ว่าอะไรจะไปก่อนกัน ระหว่างร็อกแอนด์โรลกับคริสต์ศาสนา\"[58] ความเห็นนี้ไม่เป็นที่สังเกตในอังกฤษ แต่ก่อให้เกิดความขุ่นเคืองครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อนิตยสารฉบับหนึ่งนำคำกล่าวไปใช้ที่นั่นในห้าเดือนถัดมา หลังจากนั้นมีการปะทะเชิงอารมณ์ตามมา กิจกรรมของการเคลื่อนไหวคูคลักซ์แคลนและการขู่ทำร้ายเลนนอนทำให้วงตัดสินใจหยุดทัวร์คอนเสิร์ต[59]",
"โอโนะเกิดที่กรุงโตเกียว ในปี พ.ศ. 2476 ได้แต่งงานครั้งแรกกับ โทชิ อิจิยานางิ (Toshi Ichiyanagi) พ.ศ. 2499 ครั้งที่สองกับแอนโทนี ค็อกซ์ (Anthony Cox) พ.ศ. 2499 โดยมีบุตรสาวคนแรกชื่อ เคียวโกะ ชาน คอกซ์ (Kyoko Chan Cox) และแต่งงานครั้งที่สามกับนักร้องชาวอังกฤษ จอห์น เลนนอน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2512 โดยมีลูกชายชื่อ ฌอน เลนนอน หรือ ฌอน ทาโร โอโนะ เลนนอน (Sean Taro Ono Lennon) เกิดวันเดียวกับบิดาของเขาในวันที่จอห์น เลนนอนอายุครบ 35 ปี (9 ตุลาคม พ.ศ. 2518)",
"เลนนอนร่วมแต่งเพลง \"เฟม\" เพลงอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกาของเดวิด โบอี และเล่นกีตาร์และร้องเพลงเบื้องหลังขณะอัดเสียงในปี ค.ศ. 1975[116] ในเดือนเดียวกันนั้น เพลง \"ลูซีอินเดอะสกายวิทไดมอนส์\" ที่เอลตัน จอห์นนำมาร้องใหม่ขึ้นอันดับหนึ่ง โดยมีเลนนอนเล่นกีตาร์และร้องเบื้องหลังให้ (เลนนอนได้เครดิตในซิงเกิลภายใต้ชื่อเล่น \"ดร.วินสตัน โอบูกี\") ไม่นานหลังจากนั้น เขาและโอโนะกลับมารวมตัวกัน เลนนอนออกอัลบั้ม ร็อกเอ็นโรล (1975) อัลบั้มที่มีแต่เพลงทำใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ \"แสตนด์บายมี\" เป็นอีกเพลงจากอัลบั้มและได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เป็นซิงเกิลสุดท้ายของเขาตลอดเวลาห้าปี[117] เขาปรากฏตัวบนเวทีครั้งสุดท้ายในงาน<i data-parsoid='{\"dsr\":[31900,31925,2,2]}'>อะซาลูตทูลิว เกรด จัดโดยเอทีวี บันทึกรายการในวันที่ 18 เมษายนและออกอากาศในเดือนมิถุนายน[118] เลนนอนแสดงเพลงจากอัลบั้ม<i data-parsoid='{\"dsr\":[32071,32086,2,2]}'>ร็อกเอ็นโรล</i>สองเพลง (\"แสตนด์บายมี\" ซึ่งไม่ได้ออกอากาศ และ \"สลิปปินแอนด์สไลดิน\") ตามด้วยเพลง \"อิเมจิน\" โดยเลนนอนเล่นกีตาร์โปร่งและหนุนด้วยวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีแปดชิ้น[118] วงดนตรีมีชื่อว่าเอตเซตเทรา (Etc.) สวมหน้ากากไว้หลังศีรษะ ซึ่งเลนนอนคิดเย้าแหย่ว่าเกรดเป็นพวกตีสองหน้า",
"เขาเกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ บิดาเป็นนักทรัมเป็ตและเปียโนในวงแจ๊สซึ่งสนับสนุนการเล่นดนตรีมาแต่เล็ก โดยเล่นทูบา เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกต่อมาเปลี่ยนเป็นทรัมเป็ต ต่อมาในยุคความนิยมดนตรีสกิฟเฟิล (Skiffle) พอลจึงหันมาเล่นกีตาร์ จนในยุคที่ร็อกแอนด์โรลโด่งดัง เพื่อนของเขา จอห์น เลนนอนจึงชวนมาตั้งวงที่ชื่อ \"แควร์รี่ เมน\" (Quarry Men) ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ เดอะบีทเทิลส์ จนโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งเขาและจอห์นก็ร่วมแต่งเพลงฮิตมากมายหลายเพลง เช่น Lady Madonna, Here Today, Wanderlust , Yesterday จนในปี 1970 วงเดอะบีทเทิลส์ก็แตกวงไป พอแยกมาทำอัลบั้มร่วมกับภรรยา ลินดา แม็กคาร์ตนีย์ ในชื่อ \"วิงส์\" (Wings) ",
"ส.ส. วินสตันเป็นบุคคลที่ต่อต้านความเคลื่อนไหวต่างๆเพื่อปลดแอกอินเดียรวมถึงต่อต้านกฎหมายที่จะให้เอกราชแก่อินเดีย ในปี 1920 เขากล่าวว่า \"คานธีควรจะถูกมัดมือมัดเท้าไว้หน้าประตูเมืองเดลี แล้วก็ปล่อยให้ช้างตัวเบ้อเร่อเหยียบ\"[24][25] ยังมีเอกสารระบุในภายหลังอีกว่า วินสตันอยากจะเห็นคานธีอดอาหารให้ตายๆไปซะ[26] วินสตันเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่า สันนิบาตป้องกันอินเดีย (India Defence League) เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อธำรงไว้ซึ่งอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย ในปี 1930 วินสตันออกมาประกาศว่า กลุ่มคนและทุกอย่างของลัทธิคานธีจะต้องถูกจับกุมและถูกทำลาย[27] วินสตันถึงขนาดแตกหักกับนายกรัฐมนตรีบอลดวินที่จะเริ่มกระบวนการให้เอกราชแก่อินเดีย โดยกล่าวว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลอีกตราบใดที่บอลดวินยังเป็นนายกฯอยู่",
"จุดประสงค์ของการก่อสร้างเมื่อเริ่มแรกเพื่อเป็นของขวัญสำหรับจอห์น เชอร์ชิล ดยุกแห่งมาร์ลบะระเพื่อเป็นการตอบแทนในการนำกองทัพอังกฤษรบชนะฝรั่งเศสและบาวาเรีย แต่ต่อมาเบลนิมกลายเป็นปัญหาในการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งเป็นผลทำให้ดยุกและดัชเชสแห่งมาร์ลบะระสิ้นอำนาจ รวมทั้งการเสียชื่อเสียงของสถาปนิกจอห์น แวนบรูห์ ตัววังสร้างเป็นแบบบาโรก ปฏิกิริยาหรือคุณค่าของสิ่งก่อสร้างจนบัดนี้ก็ยังไม่เป็นที่เห็นพ้องกันได้ เช่นเดียวกับในสมัยเมื่อเริ่มสร้างในคริสต์ทศวรรษ 1720 ตัวสิ่งก่อสร้างเป็นลักษณะที่ผสมระหว่างที่อยู่อาศัย, ที่เก็บศพ และ อนุสาวรีย์ นอกจากนั้นสิ่งที่น่าสนใจคือเป็นที่เกิดของวินสตัน เชอร์ชิลอดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของอังกฤษ",
"ซินเธียแจงว่าสาเหตุที่เตียงหักคือแอลเอสดี ผลก็คือ เธอรู้สึกว่าเขาเริ่มสนใจเธอน้อยลง[140] เมื่อวงเดินทางไปงานสัมมนาการสมาธิอดิศัยของมาฮาริชิ โยกิ ที่แบงเกอร์ ประเทศเวลส์ ทางรถไฟ ในปี 1967 ตำรวจคนหนึ่งจำหน้าเธอไม่ได้ และไม่อนุญาตให้เธอโดยสารรถไฟ ต่อมาเธอจำได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นดั่งสัญลักษณ์แทนจุดจบของการสมรส[141] หลังมาถึงบ้านที่เคนวูด และพบเลนนอนอยู่กับโอโนะ ซินเธียออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อน ภายหลัง อเล็กซิส มาร์ดัส อ้างว่านอนกับเธอคืนนั้น และสองสามสัปดาห์ถัดมา เขาบอกเธอว่าเลนนอนกำลังหาทางหย่าร้างและพาจูเลียนไปอยู่ด้วย โดยอ้างว่าเพราะเธอมีชู้ หลังเจรจาต่อรอง เลนนอนยินยอม และยอมให้เธอหย่ากับเขาในข้อหาเดียวกัน คดีนี้ถูกตัดสินในศาลในเดือนพฤศจิกายน 1968 โดยเลนนอนจ่ายให้เธอ 100,000 ปอนด์ (240,000 ดอลลาร์สหรัฐในขณะนั้น) เป็นค่าใช้จ่ายรายปีเล็กน้อย และให้เธอเป็นผู้ปกครองจูเลียนต่อไป[142]",
"กลับไปที่นิวยอร์ก เลนนอนอัดอัลบั้ม วอลส์แอนด์บริดเจส วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1974 ในอัลบั้มมีเพลง \"วอตเอเวอร์เกตส์ยูทรูเดอะไนต์\" ได้เอลตัน จอห์นมาร้องเบื้องหลังและบรรเลงเปียโนให้ และกลายเป็นซิงเกิลเดี่ยวเพลงเดียวของเลนนอนที่ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด</i>ฮอต 100 ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่[113]b ซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มคือ \"#9 ดรีม\" วางจำหน่ายตามมาในปลายปี เลนนอนช่วยแต่งเพลงและบรรเลงเปียโนให้สตาร์อีกครั้งในอัลบั้มกูดไนต์เวียนนา (1974)[114] ในวันที่ 28 พฤศจิกายน เลนนอนเป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ตขอบคุณพระเจ้าของเอลตัน จอห์นที่แมดิสันสแควร์การ์เดน ตามสัญญาที่ว่าเขาจะร่วมแสดงสดหากเพลง \"วอตเอเวอร์เกตส์ยูทรูเดอะไนต์\" ประสบความสำเร็จและขึ้นอันดับหนึ่ง เลนนอนแสดงเพลงนั้น ร่วมด้วยเพลง \"ลูซีอินเดอะสกายวิทไดมอนส์\" และ \"ไอซอว์เฮอร์สแตนดิงแดร์\" ซึ่งเขากล่าวก่อนร้องเพลงดังกล่าวว่า \"เป็นเพลงของคู่หมั้นที่บาดหมางกับผม ชื่อพอล\"[115]",
"เซอร์<b data-parsoid='{\"dsr\":[2047,2089,3,3]}'>วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์-เชอร์ชิล (English: Winston Leonard Spencer-Churchill) เป็นรัฐบุรุษชาวอังกฤษผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรสองสมัย ระหว่างปี 1940 ถึง 1945 และปี 1951 ถึง 1955 ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสงครามของศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ วินสตันยังเป็นทหารในกองทัพอังกฤษ, นักประวัติศาสตร์, นักเขียน, ตลอดจนศิลปิน เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาอักษรศาสตร์ และยังเป็นบุคคลแรกที่ได้เป็น พลเมืองเกียรติยศแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้คนมักนิยมเรียกเขาด้วยชื่อ \"วินสตัน\" แทนที่จะเรียกด้วยนามสกุล",
"จอห์น วินดัม ปากส์ ลูคัส เบย์นอน แฮร์ริส (; 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1903 – 11 มีนาคม ค.ศ. 1969) เป็นนักเขียนชาวอังกฤษ เกิดที่เมืองดอร์ริดจ์ในวอริกเชอร์ (ปัจจุบันอยู่ในเขตเวสต์มิดแลนส์) เป็นบุตรของจอร์จ เบย์นอน แฮร์ริสกับเกอร์ทรูด ปากส์ มีน้องชายที่ต่อมาเป็นนักเขียนเช่นกันคือ วิเวียน เบย์นอน แฮร์ริส วินดัมใช้ชีวิตวัยเด็กในเขตเอดจ์บาสตันในเมืองเบอร์มิงแฮม เมื่อเขาอายุได้ 8 ปี บิดาและมารดาของเขาแยกกันอยู่ วินดัมเรียนในหลายโรงเรียนก่อนจะเรียนที่โรงเรียนบีเดลส์ จากนั้นเขาทำงานหลายอย่างรวมถึงเขียนเรื่องสั้นให้นิตยสารอเมริกันหลายฉบับ โดยใช้นามปากกาส่วนใหญ่ว่า \"จอห์น เบย์นอน\" และ \"จอห์น เบย์นอน แฮร์ริส\"",
"ฌอน ทาโร โอโนะ เลนนอน () หรือชื่อญี่ปุ่นว่า ทาโร โอโนะ (; เกิด: 9 ตุลาคม ค.ศ. 1975) เป็นนักร้อง, นักแต่งเพลง และนักดนตรีชาวอเมริกัน เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของจอห์น เลนนอน กับโยโกะ โอโนะ โดยมีพ่อบุญธรรมคือ เอลตัน จอห์น"
] |
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่? | [
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (English: Triam Udom Suksa School) เป็นโรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งแรกของประเทศไทย อยู่ในความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480 (ขณะนั้นนับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับอย่างสากลถือเป็น พ.ศ. 2481) โดยมติของสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มี ฯพณฯ ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการท่านแรก"
] | [
"ในปี พ.ศ. 2542 ผู้อำนวยการโรงเรียนพิษณุโลกศึกษา นายจุฬา ทารักษา ได้ประสานงานกับผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา คือ นายอัศวิน วรรณวินเวศร์ เพื่อขอจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ ที่โรงเรียนพิษณุโลกศึกษา และผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ตอบรับเป็นเบื้องต้น โดยรับโรงเรียนพิษณุโลกศึกษาเข้าเป็นเครือข่ายของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยได้ดำเนินการร่วมกันผ่านกรมสามัญศึกษาเพื่อขอจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ แต่ได้ระงับไปช่วงหนึ่งเพราะผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา นายอัศวิน วรรณวินเวศร์ เกษียณอายุราชการ ต่อมาผู้อำนวยการโรงเรียนพิษณุโลกศึกษา นายมนู วัฒนไพบูลย์ ได้รับทราบการขอจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ ที่โรงเรียนพิษณุโลกศึกษา และได้รับนโยบายของกรมสามัญศึกษาในการประสานงานจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ ที่โรงเรียนพิษณุโลกศึกษา จังหวัดพิษณุโลก เพราะเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือมีสถาบันอุดมศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยนเรศวร สถาบันราชภัฏ สถาบันราชมงคล ผู้อำนวยการโรงเรียนพิษณุโลกศึกษาได้ประสานงานกับผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ ปัจจุบัน คือ นางพรรณี เพ็งเนตร เพื่อเข้าเป็นเครือข่ายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ตอบรับไม่ขัดข้องในการขอเป็นเครือข่ายเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 นายปองพล อดิเรกสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้นได้ประกาศให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนพิษณุโลกศึกษา เป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือชั้นที่ 1 ห้องประชาสัมพันธ์ ห้องประชุม 1 ห้องเกียรติยศ (ห้องประชุม 2) ห้องประชุม 200 ที่นั่ง (ห้องโสตทัศนศึกษา) ห้องพัสดุ ห้องถ่ายเอกสาร สมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนพิษณุโลกศึกษา-เตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ\nชั้นที่ 2 ห้องท่านผู้อำนวยการ (527) ห้องรองผู้อำนวยการฝ่ายจัดการศึกษาและฝ่ายจัดการศึกษา+ฝ่ายรับเข้าศึกษา (521) ห้องรองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักเรียนและฝ่ายกิจการนักเรียน (525) ห้องรองผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการและฝ่ายอำนวยการ (528) ห้องรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานทั่วไปและฝ่ายบริหารทั่วไป (526) ห้องแนะแนวการศึกษา (524) ห้องประกันคุณภาพการศึกษา (523) ห้องทะเบียน-วัดผล (522) \nชั้นที่ 3 ห้องปฏิบัติการสังคมศึกษา 1 (531) ห้องศูนย์เทคโนโลยีและสารสนเทศโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ (537) ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ 533 534 535 536 ห้องเรียนE-Classroom (532) ห้องแสดงผลงานห้องเรียนสีเขียว (538) ",
"ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ใช้ตราพระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนข้าราชการ และหลังจากนั้นจึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อสภามหาวิทยาลัยลงมติจัดตั้ง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จึงรับเอาตราพระเกี้ยว เป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียนด้วย และเมื่อ คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ก่อตั้งโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2514 จึงได้มีหนังสือกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตใช้พระเกี้ยวเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน",
"นอกเหนือจากการรับราชการ คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชูยังได้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมอีกมากมาย อาทิ เป็นอาสากาชาด สงครามมหาเอเชียบูรพา (อินโดจีน) ได้รับพระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน ก่อตั้งมูลนิธินักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษา ก่อตั้งมูลนิธิเฉลิมศาสน์ศึกษา ก่อตั้งมูลนิธิคุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชูไว้ที่กรมสามัญศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2521 ร่วมกับคุณหญิงสิวลี ชลวิจารณ์ก่อตั้งมูลนิธิกฤตานุสรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2523 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 4 รอบ ก่อตั้งชมรมข้าราชการครูอาวุโสของกรมสามัญศึกษา เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่ปรึกษาสมาคมผู้ปกครองและครูเตรียมอุดมศึกษา ที่ปรึกษาสมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษา ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นต้น",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาประจำภาค ก่อตั้งขึ้นในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย จัดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) เพื่อเตรียมนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ประกอบด้วย",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ซึ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2480 ได้ให้การศึกษาอบรมความรู้นักเรียนให้มีความรู้ความสามารถเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับสูง นักเรียนส่วนมากที่จบไปแล้วล้วนมีบทบาทสำคัญอยู่ระดับแนวหน้าของสาขาวิชาชีพต่างๆ รวมทั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงในส่วนราชการและภาคเอกชนของประเทศ\nปี พ.ศ. 2514 คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู ผู้อำนวยการชั้นพิเศษโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ริเริ่มก่อสร้างโรงเรียนมัธยมสาขาขึ้น เพื่อสามารถรับนักเรียนจำนวนมากที่ปรารถนาจะเข้ามาเรียน โดยขนานนามโรงเรียนใหม่นี้ว่า โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (สาขา ๑) เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ตามราชทินนามพิเศษของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ซึ่งทายาทของท่านอุทิศที่ดินให้สร้างเป็นโรงเรียนแห่งใหม่",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดิมชื่อ “โรงเรียนสว่างศึกษา” ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2502 โดยความเอื้อเฟื้อของ หลวงปริวรรตวรพิจิตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครสมัยนั้น ครูใหญ่คนแรก คือ นายประมวล อุปพงษ์ วันที่ 1 สิงหาคม 2506 นายนิรัตน์ วิภาวิน ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ และในปีนี้ได้ เปลี่ยนชื่อโรงเรียน เป็น “โรงเรียนสว่างศึกษา” ในปี พ.ศ. 2541 กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายกระจายคุณภาพไปสู่ภูมิภาค เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนในต่างจังหวัด มีคุณภาพทัดเทียมกับโรงเรียน ที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานคร จึงประกาศจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาขึ้นทั้ง 4 ภาค ซึ่งมีการจัดการเรียนการสอนแบบเดียวกันกับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา วันที่ 1 มิถุนายน 2542 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ “โรงเรียนสว่างศึกษา” เป็น “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ได้ดำเนินการรับนักเรียนและเปิดทำการเรียนการสอน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตั้งแต่ปีการศึกษา 2542 เป็นต้นมา ปัจจุบันโรงเรียนมีพื้นที่ 57 ไร่ 2 งาน 84ตารางวา",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นครราชสีมา แต่เดิมชื่อโรงเรียนนครราชสีมาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2538โดยอยู่ภายใต้สังกัดกรมสามัญศึกษา เป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของจังหวัดนครราชสีมาและเพื่อรองรับการสร้าง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามโครงการของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนในต่างจังหวัดมีคุณภาพทัดเทียมกับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานคร จึงประกาศจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาขึ้นทั้ง 3 แห่งได้แก่\n1.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคใต้(โรงเรียนศรีวิชัย อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช)\n2.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ(โรงเรียนพิษณุโลกศึกษา อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก)\n3.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(โรงเรียนนครราชสีมาวิทยาลัย อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา)\nในโครงการของกระทรวงศึกษาธิการนั้น ได้เกิดความล้มเหลวเนื่องจากงบที่จะใช้พัฒนาการศึกษาและพัฒนาโรงเรียน(ในช่วงก่อนจะมีโครงการนี้ขึ้น)ได้ไปเข้าโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย โรงเรียนสุรนารีวิทยา โรงเรียนบุญวัฒนา ฯลฯ จนหมด และด้วยเหตุผลเกี่ยวกับผลประโยชน์ไม่ลงตัวของงบประมาณระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมากับกรมสามัญศึกษา เนื่องจากทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาจัดสรรงบประมาณแก่โรงเรียนมากกว่ากรมสามัญศึกษาทางโรงเรียนนครราชสีมาวิทยาลัยจึงขอเข้าสังกัดขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ทางกระทรวงศึกษาธิการจึงปรับงบในการที่จะสร้างโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาไปที่โรงเรียนสว่างศึกษา อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โรงเรียนจึงยังใช้ชื่อโรงเรียนนครราชสีมาวิทยาลัยในฐานะโรงเรียนมัธยมประจำตำบลโคกกรวด จนกระทั่งปีพ.ศ. 2552",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าอุตรดิตถ์ เป็นโรงเรียนในเครือข่ายเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า แห่งที่ 7 เดิมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าอุตรดิตถ์ มีชื่อว่า โรงเรียนอุตรดิตถ์วิทยา \" (ก่อตั้ง พ.ศ. 2522) \" โดยคณะกรรมการบริหารโรงเรียน, คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า รวมทั้งคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ได้เห็นชอบให้โรงเรียนอุตรดิตถ์วิทยา เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น \"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า อุตรดิตถ์\" เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551 ",
"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ พร้อมกันนี้ พระองค์ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อโรงเรียนมัธยมศึกษาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ว่า \"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ\" และเนื่องจากในระยะเริ่มต้นของการก่อตั้งโรงเรียนนั้น กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เป็นโรงเรียนพี่เลี้ยง และผู้ประสานงานการจัดตั้งโรงเรียน โดยความหมายของชื่อโรงเรียนนั้น สามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่\nดังนั้น นาม \"นวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ\" จึงมีความหมายว่า โรงเรียนสาขาเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อถวายแด่พระราชินีแห่งพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9http://www.nawamintriampat.ac.th เว็บไซต์โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ",
"คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 - 7 มีนาคม พ.ศ. 2555) อดีตอธิบดีกรมสามัญศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผู้ก่อตั้งโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ และ โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า",
"โรงเรียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 โดย ดร.อุดม พรมพันธ์ใจ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในขณะนั้น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ ถือเป็นโรงเรียนในเครือข่ายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ แห่งที่ 9",
"ปี พ.ศ. 2496 โรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน ได้ก่อตั้งขึ้นตามดำริของ ฯพณฯ ศาสตราจารย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้น พลเอกมังกร พรหมโยธี และ ศาสตราจารย์ คุณหญิงอุบล หุวะนันทน์ โดยเริ่มวางโครงการดำเนินการจัดการเรียนการสอน กำหนดตั้งเป็นหน่วยสาธิตในแผนกฝึกหัดครูมัธยมของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษากับวิทยาลัยวิชาการศึกษา พร้อมบริจาคที่ดินจำนวน 19 ไร่ข้างหลังโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาบริเวณถนนสนามม้า (ถนนอังรีดูนังต์ในปัจจุบัน)ให้วิทยาลัยวิชาการศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ)\nเพื่อเป็นที่ฝึกงานของนิสิตกับครูที่ต้องบรรจุฝึกงานก่อนไปสอนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พร้อม สังกัดกองเตรียมอุดมศึกษา กรมวิสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ , วิทยาลัยวิชาการศึกษา กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่เรียกชื่อว่า โรงเรียนสาธิต \nมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตปทุมวันในเวลาต่อมา",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เป็นโรงเรียนสหศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรุงเทพมหานคร เขต 2 โรงเรียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 โดยคุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู และคุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์เป็นผู้บริหารโรงเรียนคนแรก ได้ร่วมจัดกีฬา 5 พระเกี้ยว ได้แก่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนบดินทรเดชา โรงเรียนหอวัง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า",
"ในที่สุดสภามหาวิทยาลัยได้ลงมติให้จัดตั้ง \"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย\" เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480 โดยสภามหาวิทยาลัยประชุมในตึกอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงถือว่าวันนั้นเป็นวันก่อตั้งของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา",
"ชมรมนิเทศศิลป โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (Communication Arts Club of Triam Udom Suksa School - CACOTUSS) ก่อตั้งเมื่อ ปีการศึกษา 2546 เป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่อยู่ในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ มีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่สนใจวิชาชีพหรือสนใจศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งมีเนื้อหาวิชา สอดคล้องกับกิจกรรมของชมรมโดยตรง หรือคณะอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันเช่น คณะอักษรศาสตร์(ภาควิชาศิลปการละคร) และคณะศิลปศาสตร์ เป็นต้น ให้นักเรียนเหล่านั้นได้สัมผัสกับการทำงานจริงหรือใกล้เคียงมากที่สุด เพื่อให้นักเรียนมีประสบการณ์ในการทำงานในสาขาวิชาชีพนั้น ก่อนที่จะเข้าไป ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ขอนแก่น เริ่มแรกก่อตั้งโดยใช้ชื่อว่าโรงเรียนดอนหันวิทยายน ในปีพ.ศ. 2526 ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนท่าพระวิทยายน จนกระทั่งในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 โรงเรียนท่าพระวิทยายนก็ได้เข้าร่วมเป็นโรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ขอนแก่น เช่นในปัจุบัน",
"ตลอดระยะเวลาที่คุณหญิงบุญเลื่อนเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้พัฒนาโรงเรียนในทุกด้าน เช่น ด้านอาคารสถานที่ มีการก่อสร้างตึกคุณหญิงหรั่ง กันตารัติ มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ของโรงเรียน ด้านการปกครอง มีคำพูดอบรมนักเรียนที่เป็นตำนานตราบทุกวันนี้คือ \"นักเรียนเตรียมฯ มองข้างหลังก็รู้ว่าเป็นนักเรียนเตรียมฯ\" ด้านวิชาการ มีการบริหารจัดการให้โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเป็นแบบฉบับแก่โรงเรียนอื่นๆ เช่น ช่วยนิเทศการสอน ช่วยอบรมครูบรรจุใหม่ และได้ขยายเครือข่ายของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยจัดตั้งโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) และริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ๒ (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการในปัจจุบัน) รวมถึงริเริ่มก่อตั้งสมาคมผู้ปกครองและครูเตรียมอุดมศึกษา สมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษา และมูลนิธินักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษา",
"สมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษา ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนตอ.) () ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 โดยมีพันเอกการุณ เก่งระดมยิง นักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษารุ่นแรก เป็นนายกสมาคมคนที่ 1 สมาคมมีสำนักงานอยู่ที่ตึก 4 ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และได้ทำพิธีเปิดป้ายสมาคมขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2490 โดย ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล (ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาคนแรก) และในโอกาสนั้น ท่านได้ให้คำขวัญว่า",
"รายนามกลุ่มโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาลำดับชื่อสถาบันอักษรย่อวันที่ก่อตั้งวันที่ร่วมเครือข่ายสถานะที่ตั้ง1.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาต.อ. TUประกาศจัดตั้งเลขที่ 227 ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 103302.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคใต้ต.อ. TUSเปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียนศรีวิชัยเลขที่ 1 หมู่ 6 ตำบลนาพรุ อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช 800003.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต.อ. TUNEเปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียนสว่างศึกษาเลขที่ 121 หมู่ที่ 12 ตำบลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร 471104.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือต.อ. TUNเปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียนพิษณุโลกศึกษาเลขที่ 289 หมู่ 5 ตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก 65000",
"ปัจจุบันโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ มีเนื้อที่ภายในโรงเรียนทั้งหมด 19 ไร่ ซึ่งได้รับจากนายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 และได้ถือเอาวันรุ่งขึ้นวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เป็นวันก่อตั้งโรงเรียน",
"คุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์ (20 มิถุนายน พ.ศ. 2467 — ) อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ท่านที่ ๕ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตอาจารย์ใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการท่านแรก และผู้ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ฉะเชิงเทรา เป็นโรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เขตพื้นที่การศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 โรงเรียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2538 โดยนางวิเชียร สามารถ เป็นผู้บริหารโรงเรียนคนแรก",
"วิทยาลัยวิชาการศึกษาปทุมวัน นับเป็นวิทยาเขตที่สอง ซึ่งถือกำเนิดมาจากเดิมเป็นแผนกฝึกหัดครูมัธยม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในกาลต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ให้โอนแผนกฝึกหัดครูมัธยมของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และหน่วยสาธิตโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แผนกเตรียมอุดมศึกษาของโรงเรียนรัฐบาล กรมวิสามัญศึกษา ไปสังกัดสำนักงานเลขานุการกรมการฝึกหัดครู \nจากประกาศดังกล่าว เป็นผลให้แผนกฝึกหัดครูมัธยมเปลี่ยนทั้งสังกัดและฐานะ คือจากแผนกในสังกัดโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มาเป็นหน่วยงานอิสระอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษา พ.ศ. 2497 ซึ่งเพิ่งบังคับมาได้ 9 เดือน เป็นสาขาของวิทยาลัยวิชาการศึกษา เรียกว่า วิทยาลัยวิชาการศึกษาปทุมวัน ขึ้นตรงต่ออธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษา โดยมีรองอธิการ วิทยาลัยวิชาการศึกษาปทุมวัน คนแรกคือ ศาสตราจารย์ คุณหญิงอุบล หุวะนันทน์ \nวิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน นับเป็นวิทยาเขตที่สาม ก่อตั้งโดย พลเอกมังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น โดยก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 โดยมี ศาสตราจารย์ ธำรง บัวศรี เป็นรองอธิการ วิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสนคนแรก เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศ ที่ตั้งอยู่ส่วนภูมิภาคกำหนดหลักสูตร 4 ปี ผู้เรียนสำเร็จตามหลักสูตรได้รับปริญญาการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) และได้รับโอนโรงเรียนพิบูลบำเพ็ญ ตำบลแสนสุข ชลบุรี เพื่อปรับปรุงให้เป็นโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย โดยใช้ชื่อโรงเรียนใหม่ว่า โรงเรียนสาธิต\"พิบูลบำเพ็ญ\" วิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน \nวิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก นับเป็นวิทยาเขตที่สี่ โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ. 2510 เพื่อขยายสถาบันการผลิตครูในระดับอุดมศึกษาไปยังเขตภาคเหนือของประเทศไทย โดยมีรองอธิการ วิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลกคนแรก คือ ศาสตราจารย์ ดร.พนัส หันนาคินทร์ \nวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม นับเป็นวิทยาเขตที่ห้า ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2511 ตามแนวคิดของ อาจารย์บุญถิ่น อัตถากร อธิบดีกรมการฝึกหัดครูในขณะนั้น โดยการจัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคามนั้น เพื่อขยายสถาบันผลิตครูในระดับอุดมศึกษาไปยังเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยมี ดร.สายหยุด จำปาทอง เป็นรองอธิการ วิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม คนแรก \nวิทยาลัยวิชาการศึกษาสงขลา นับเป็นวิทยาเขตที่หก ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาและขยายสถาบันผลิตครูในระดับอุดมศึกษาไปยังเขตภาคใต้ของประเทศไทย โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.สมพร บัวทอง เป็นรองอธิการ วิทยาลัยวิชาการศึกษาสงขลา คนแรก",
"ต่อมาในปีพ.ศ. 2480 ท่านได้ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนสหศึกษาแห่งแรกในประเทศไทย ท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการท่านแรก 5 ปีต่อมาในปี พ.ศ. 2485 ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมสามัญศึกษาอีกตำแหน่งหนึ่งอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2487 ท่านได้พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและเป็นที่ปรึกษาโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและทำงานในหน้าที่เลขาธิการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ฉะเชิงเทรา เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประเภทสหศึกษา เริ่มก่อตั้งโดย กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีนายเสียมทอง หวังเจริญทรัพย์ จากบริษัทจตุรมิตรแลนด์ บริจาคที่ดิน 25 ไร่ ในหมู่บ้านเรสซิเด้นท์ปาร์ค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่สร้างโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ซึ่งมีนางวิเชียร สามารถ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในขณะนั้น รักษาการผู้บริหารโรงเรียนสาขา ดำเนินการรับนักเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ( สาขา ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รุ่นแรก ในปีการศึกษา 2537 โดยมีครู-อาจารย์ จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ มาช่วยสอนในอาคารชั่วคราวที่บริษัท จตุรมิตรแลนด์สร้างให้ในพื้นที่ชั่วคราว ของหมู่บ้านเรสซิเด้นท์ปาร์ค กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุวินทวงศ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2538 โดยมีนางมาลี สุดสาคร ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ",
"กรมสามัญศึกษาได้ประกาศ เปลียนชื่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา2 เป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาต ให้ใช้ตราพระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ประจำโรงเรียน เช่นเดียวกับ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และมีปรัชญาของโรงเรียนคือ \"ความเป็นเลิศทางวิชาการ และคุณธรรม\" และคติพจน์ ประจำโรงเรียนคือ สัจจัญจะ ปัญญาจะ นรานัง วุฒิ หมายถึง ซื่อสัตย์และปัญญา พาให้เจริญ ทั้งนี้โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการได้จัดตั้งโรงเรียนในเครือที่ไม่ได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียน คือ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุวรรณภูมิ",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นนทบุรี เดิมชื่อ โรงเรียนบางใหญ่ เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2502 ที่วัดพิกุลเงิน ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยความคิดริเริ่มของว่าที่ร้อยตรีสวัสดิ์ ดวงจันทร์ ศึกษาธิการอำเภอบางใหญ่ ในขณะนั้น เปิดสอนครั้งแรกชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้หอพระปริยัติธรรมของวัดพิกุลเงินเป็นสถานที่เรียนชั่วคราว ต่อมาได้ขยายชั้นเรียนเพิ่มเติมจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 3",
"เมื่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2481 คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชูเป็นนิสิตแผนกฝึกหัดครูมัธยม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยและได้ฝึกสอนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย หลังสำเร็จการศึกษา ด้วยมีคุณวุฒิสูงเกินกว่าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะรับบรรจุไว้ จึงได้เข้ารับราชการครูที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2482 ตำแหน่งอาจารย์ผู้ช่วยโท สอนวิชาภาษาไทย",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ในชื่อโรงเรียนประชาราษฎร์อุปถัมภ์ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ดังนั้นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา จึงถือเอาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 เป็นวันสถาปนาโรงเรียนและในวันดังกล่าวของทุก ๆ ปี จะมีการจัดงานและกิจกรรมต่าง ๆ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียน อาทิเช่น การทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียน , การบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงเรียน ,การบวงสรวงพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,การแจกเหรียญที่ระลึกเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียน เป็นต้น"
] |
โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่? | [
"โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ได้ก่อตั้งขึ้นในปีพุทธศักราช 2456 โดยผู้ที่ก่อตั้งโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์คือ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นผู้ก่อตั้ง ในปีการศึกษาแรกที่มีการเรียนการสอน โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ในปีแรกมีนักเรียนที่เข้ารับการเรียนการสอนทั้งสิ้น 50 คน โดยมี นายบุญถม ชนะกานนท์ เป็นผู้บริหารโรงเรียนในขณะนั้น และมีคุณครู อีก 2 ท่าน คือ นายอุทา พิมพะสาลี และนายเหลา พิมพะสาลี"
] | [
"โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ (อังกฤษ: Kalasinpittayasan School) (อักษรย่อ: ก.พ.ส ,K.P.S.) เป็นสถานศึกษาแห่งแรกของจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งแต่เดิมเป็นโรงเรียนชายล้วน ปัจจุบันจัดอยู่ในประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ รูปแบบสหศึกษา ทำการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย",
"พ.ศ. 2549 โรงเรียนได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ (MEP) โดย",
"พ.ศ. 2552 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 3 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2551 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 2 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 2 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2557 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 8 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2558 ได้เปิดทำการสอน<b data-parsoid='{\"dsr\":[18673,18790,3,3]}'>ห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 9 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2456 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่วัดใต้โพธิ์คำ พ.ศ. 2460 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่เรือนจำเก่า พ.ศ. 2462 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่สโมสรเสื่อป่า พ.ศ. 2472 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่วัดหอไตรปิฏการาม พ.ศ. 2471 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายไปเรียนที่ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ เพราะโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ถูกไฟไหม้ และได้มีการเริ่มลงทะเบียนเลขประจำตัวนักเรียนใหม่ โดยเริ่มนับจากหมายเลข 1 พ.ศ. 2474 นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้ย้ายมาเรียนในพื้นที่ปัจจุบัน และในปีเดียวกันได้มีการสร้างอาคารเรียนหลังแรก(อาคารเสาใหญ่) โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 10,000 บาท พร้อมทั้งบ้านพักครู 1 หลัง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2474 พ.ศ. 2484 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้มีการเปิดสอนเฉพาะระดับมัยมศึกษา",
"พ.ศ. 2552 นายเสน่ห์ คำสมหมาย ได้พัฒนาโรงเรียนไปสู่โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลง",
"สร้างโรงเรียนประจำจังหวัด คือ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ และโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด (โรงเรียนอนุกูลนารี)",
"พ.ศ. 2553 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 4 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2559 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 10 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2543 นางพิสมัย อารีย์ มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแทนนายบรรเทา วรรณจำปี ซึ่งเกษียณอายุราชการ",
"พ.ศ. 2548 โรงเรียนได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ (MEP) โดย",
"พ.ศ. 2554 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 5 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"2. ผู้เกี่ยวข้องในการจัดตั้งโครงการ Gifted",
"พ.ศ. 2550 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 1 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2547 โรงเรียนได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ (MEP)โดยเปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้องเรียน ๆ ละ 27 คน รวม 54 คน",
"โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ จัดการศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายดังนี้",
"หมวดหมู่:โรงเรียนในจังหวัดกาฬสินธุ์ หมวดหมู่:โรงเรียนประจำจังหวัด หมวดหมู่:โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ก หมวดหมู่:โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง",
"พ.ศ. 2510 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนมัธยมศึกษาเพื่อพัฒนาชนบท",
"พ.ศ. 2534 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทานระดับ โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประจำปีการศึกษา 2534 ในขณะนั้น นายวินัย เสาหิน ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์",
"พ.ศ. 2543 โรงเรียนได้งบประมาณค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างอาคารเรียนแบบ 324/ล41 (หลังคาทรงไทย) งบประมาณในการก่อสร้าง 14,850,000 บาท โดยสร้างแทนอาคารเสาใหญ่ที่ได้ทรุดโทรมไป",
"พ.ศ. 2556 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 7 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"นายเสน่ห์ คำสมหมาย ผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ นางสุธารพิงค์ โนนศรีชัย หัวหน้าโครงการ (พ.ศ. - ปัจจุบัน) นางศิรนันท์ บำรุงกุล (หัวหน้าโครงการ พ.ศ. - พ.ศ.)",
"พ.ศ. 2555 ได้เปิดทำการสอนห้องเรียน Gifted รุ่นที่ 6 เป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน จำนวน 1 ห้องเรียน",
"พ.ศ. 2551 นายเสน่ห์ คำสมหมาย มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ โรงเรียนได้พัฒนาการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี (TSM และGC) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้องเรียนและระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ห้องเรียน มีการนำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปฝึกการทำโครงงาน ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ มีการนำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ไปฝึกการใช้ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ช่วงปิดภาคเรียน ส่วนนักเรียนในโครงการ จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ(MEP) ได้นำนักเรียนในโครงการไปทัศนศึกษา",
"พ.ศ. 2546 โรงเรียนก่อสร้างโรงอาหารระหว่างหอประชุมกับอาคารพลศึกษาและนายวานิชย์ ติชาวัน ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนในปีเดียวกันนี้",
"พ.ศ. 2550 นายเสน่ห์ คำสมหมาย มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแทน นายวานิชย์ ติชาวัน ซึ่งเกษียณอายุราชการ โรงเรียนได้งบประมาณค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างอาคารเรียนแบบ 216 ปรับปรุง 46 งบประมาณในการก่อสร้าง 14,773,000 บาท โดยสร้าง",
"นายเสน่ห์ คำสมหมาย ผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ นางอลงกรณ์ ลีลาพันธุ์ หัวหน้าโครงการ (พ.ศ. 2554 - ปัจจุบัน)"
] |
แดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้พยากรณ์เกี่ยวกับอะไรในปี ค.ศ. 1979 ? | [
"เหตุผลวิบัติในการวางแผน (English: planning fallacy) ที่แดเนียล คาฮ์นะมัน (รูป) และอะมอส ทเวอร์สกี้เป็นผู้เสนอในปี ค.ศ. 1979[1][2] เป็นปรากฏการณ์ที่การพยากรณ์ของเราว่า จะใช้เวลานานเท่าไรในการทำงานหนึ่งให้เสร็จ จะปรากฏว่ามีความเอนเอียงโดยการมองในแง่ดี (optimistic bias) คือจะมีการประเมินเวลาต่ำเกินไป เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ว่า งานคล้าย ๆ กันในอดีตความจริงแล้วใช้เวลามากกว่าที่วางแผนและประเมินไว้[3][4][5] ความเอนเอียงนี้จะเกิดเมื่อประเมินงานของตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าคนอื่นประเมินให้ ก็จะมีความเอนเอียงโดยมองในแง่ร้าย และเวลาที่ประเมินก็จะมากเกินไป[6][7] นิยามของความเอนเอียงกำหนดว่า การพยากรณ์เวลาที่จะใช้ทำงานปัจจุบัน"
] | [
"คาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ได้ใช้วิธีการที่เป็น \"การยักย้ายเปลี่ยนแปลง (องค์ประกอบการทดลอง) ที่เพิ่มความสิ้นหวังขึ้นเรื่อย ๆ\" เพื่อจะให้ผู้ร่วมการทดลองรับรู้ถึงความผิดพลาดทางตรรกะของตน\nในรูปแบบหนึ่ง ผู้ร่วมการทดลองต้องเลือกระหว่าง\nแต่ว่า ผู้ร่วมการทดลอง 65% กลับเห็นว่า การอ้างเหตุผลที่ไม่ถูกต้องตามตรรกะน่าเชื่อมากกว่า",
"ในงานวิจัยปี ค.ศ. 1973[14] คาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้แบ่งผู้ร่วมการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม คือ",
"นักจิตวิทยา ศ.ดร. แดเนียล คาฮ์นะมัน อธิบายความไม่สอดคล้องกันโดยแบ่งแยกความสุขตาม \"ตนที่รู้สึก\" เทียบกับ \"ตนที่จำ\" คือ เมื่อให้ระลึกถึงประสบการณ์ความรู้สึกในอดีต ความเอนเอียงทางความจำ (memory bias) เช่น Peak-End effect (ที่เรามักจะจำประสบการณ์ที่ระทึกใจน่าตื่นเต้น และประสบการณ์สุดท้ายมากที่สุด) มีบทบาทที่สำคัญ มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับคนไข้ colonoscopy (การส่องกล้องผ่านทวารหนักเพื่อดูช่วงท้ายของลำไส้ใหญ่) ที่น่าทึ่งอย่างหนึ่ง คือ ดร. คาฮ์นะมันพบว่า ถ้าเพิ่มเวลาการส่องกล้องขึ้น 60 วินาที คนไข้กล่าวว่าการส่องกล้อง (ที่ปกติเป็นการตรวจสอบที่ไม่สบาย) รู้สึกสบายกว่า เพียงแต่ต้องไม่ขยับกล้องในช่วงท้าย 60 วินาที เพราะว่า การขยับกล้องเป็นเหตุก่อความรู้สึกไม่สบายมากที่สุด ดร. คาฮ์นะมันให้เหตุผลว่า \"ตนที่จำ\" มักจะพุ่งความสนใจเป็นที่ช่วงท้ายของประสบการณ์ ผลงานวิจัยเยี่ยงนี้ช่วยอธิบายความผิดพลาดของมนุษย์ในการพยากรณ์อารมณ์ความรู้สึกของตนเองในอนาคต[29]",
"เมื่อเราตัดสินใจอาศัยความเป็นตัวแทน เราสามารถตัดสินผิดพลาดจากกฎธรรมชาติของความน่าจะเป็น \nคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ให้ผู้ร่วมการทดลองอ่านข้อความสั้น ๆ เกี่ยวกับหญิงคนหนึ่งชื่อว่าลินดา โดยกล่าวถึงเธอว่า \"อายุ 31 ปี ยังโสด พูดจาตรงไปตรงมา และฉลาดมาก เธอเรียนปรัชญาเป็นวิชาเอก แม้จะเป็นนักศึกษา เธอก็มีความสนใจในปัญหาการเลือกปฏิบัติ และปัญหาความยุติธรรมทางสังคมอย่างลึกซึ้ง และเข้าร่วมการเดินขบวนต่อต้านการใช้อาวุธ/พลังงานนิวเคลียร์\"\nผู้ร่วมการทดลองจะอ่านข้อความนี้แล้วประเมินความเป็นไปได้ของข้อความต่าง ๆ เกี่ยวกับลินดา\nรวมทั้ง \"ลินดาเป็นพนักงานรับฝากถอนเงินในธนาคาร\" และ \"ลินดาเป็นพนักงานรับฝากถอนเงินในธนาคาร และเข้าร่วมกิจกรรมขบวนการเพื่อสิทธิของสตรี\"\nเรามักจะมีความโน้มเอียงที่มีกำลังในการเลือกข้อความหลัง ซึ่งเฉพาะเจาะจงมากกว่า ว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงกว่า \nแม้ว่า จริง ๆ แล้ว ประพจน์เชื่อมในรูปแบบ \"ลินดาเป็นทั้ง \"ก\" and \"ข\"\" ไม่สามารถที่จะเป็นไปได้มากกว่าข้อความที่ทั่วไปยิ่งกว่าคือ \"ลินดาเป็น \"ก\"\"\nการอธิบายโดยใช้ฮิวริสติกนี้คือว่า การตัดสินใจบิดเบือนไป\nเพราะว่า สำหรับผู้อ่านแล้ว ข้อความอธิบายบุคคลิกของลินดา คล้ายกับของบุคคลที่อาจจะเป็นนักสิทธินิยมของสตรี แต่ไม่เหมือนกับคนที่ทำงานในธนาคาร",
"เหตุผลวิบัติเกิดขึ้นจากการวางนัยทั่วไปเร็วเกินไป \nซึ่งก็คือความเชื่อที่ผิดพลาดว่า ตัวอย่างที่มีน้อยสามารถเป็นตัวแทนของประชากรกลุ่มที่ใหญ่กว่าได้\nคือ ตามเหตุผลวิบัตินี้ ลำดับการเกิดเหตุการณ์ที่เกิดช้ำต่อ ๆ กันจะต้องเปลี่ยนไปอีกด้าน เพื่อที่จะมีลักษณะเป็นตัวแทนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรวม ๆ ได้ \nในปี ค.ศ. 1971 อะมอส ทเวอร์สกี้ และแดเนียล คาฮ์นะมัน เสนอเป็นครั้งแรกว่า เหตุผลวิบัติของนักการพนันเป็นความเอนเอียงทางประชานที่เกิดขึ้นจากฮิวริสติกที่เรียกว่า representativeness heuristic (ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน)\nซึ่งเป็นทฤษฎีที่เสนอว่า เราประเมินความน่าจะเป็นของเหตุการณ์บางอย่างโดยประเมินว่าเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยประสบมาก่อนแค่ไหน ",
"เมื่อต้องตัดสินความน่าจะเป็นหรือความชุกของสิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งเป็นงานที่ยาก เรามักจะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ จำนวนหนึ่งที่เรียกว่า ฮิวริสติก เพื่อที่จะทำให้การตัดสินใจนั้นง่ายขึ้น\nกลยุทธ์อย่างหนึ่งก็คือฮิวริสติกโดยความเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งเป็นความโน้มน้าวที่จะตัดสินความชุกของเหตุการณ์หนึ่ง ๆ โดยอาศัยว่าง่ายเท่าไรในการที่จะระลึกถึงตัวอย่างเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน \nในปี ค.ศ. 1973 อะมอส ทเวอร์สกี้ และแดเนียล คาฮ์นะมัน เริ่มการศึกษาปรากฏการณ์เช่นนี้และบัญญัติคำว่า \"Availability Heuristic\"\nซึ่งเป็นกระบวนการใต้สำนึก (คือไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจ) ที่ทำงานโดยหลักว่า \"ถ้าสามารถนึกถึงได้ จะต้องเป็นสิ่งสำคัญ\" \nกล่าวอีกอย่างก็คือ ยิ่งง่ายเท่าไรที่จะคิดถึงตัวอย่าง ความรู้สึกว่าสิ่งนี้เกิดบ่อยก็จะมากขึ้นเท่านั้น\nดังนั้น เรามักจะใช้ลักษณะหรือข้อมูลที่คิดถึงได้ง่าย ๆ เป็นฐานในการตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกันน้อย",
"ภายใน 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดความเอนเอียงทางประชานเป็นจำนวนมาก เป็นผลจากงานวิจัยในเรื่องการประเมินและการตัดสินใจของมนุษย์ จากสาขาวิชาการต่าง ๆ รวมทั้งประชานศาสตร์ จิตวิทยาสังคม และเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (behavioral economics) ความเอนเอียงทางประชานเป็นเรื่องสำคัญที่จะศึกษาเพราะว่า \"ความผิดพลาดอย่างเป็นระบบ\" แสดงให้เห็นถึง \"กระบวนการทางจิตที่เป็นฐานของการรับรู้และการประเมินตัดสินใจ\" (Tversky & Kahneman,1999, p.582) นอกจากนั้นแล้ว แดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ ยังอ้างไว้ด้วยว่า ความรู้เกี่ยวกับความเอนเอียงทางประชานมีผลทางด้านการปฏิบัติในฟิลด์ต่าง ๆ รวมทั้งการวินิจฉัยทางคลินิก[11]",
"ในการศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และทฤษฎีการตัดสินใจ (decision theory) การหลีกเลี่ยงการเสีย \n() หมายถึงความโน้มเอียงที่เราจะป้องกันความสูญเสีย มากกว่าที่เราจะพยายามให้ได้ผลกำไร งานวิจัยโดยมากแสดงว่า โดยทางความรู้สึกทางจิตใจแล้ว การสูญเสียมีอำนาจมากกว่าการได้ประมาณสองเท่า \nนักจิตวิทยาชาวอเมริกันแดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ แสดงหลักฐานของการหลีกเลี่ยงการเสียเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1984",
"ส่วนนักจิตวิทยาพวกอื่น ๆ เสนอว่า งานวิจัยคลาสสิกทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับฮิวริสติกโดยความเข้าถึงได้ง่ายคลุมเครือและไม่ได้อธิบายถึงกระบวนการทางประชานที่เป็นฐานของการตัดสินใจ \nยกตัวอย่างเช่น เกี่ยวกับงานวิจัยปี ค.ศ. 1973 ที่มีชื่อเสียงของทเวอร์สกี้และคาฮ์นะมัน แว้งก์และคณะเชื่อว่า ความยากง่ายที่ไม่เหมือนกันในการระลึกถึงความจำ สามารถปรับเปลี่ยนการประเมินความสามัญของชื่อได้โดยสองวิธี\nในวิธีหนึ่ง ดังที่สมมุติฐานเกี่ยวกับฮิวริสติกโดยความเข้าถึงได้ง่ายได้แสดงแล้ว ผู้รับการทดลองจะใช้ความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัยเกี่ยวกับความยากง่ายในการระลึกถึงชื่อเป็นฐานในการตัดสินใจ\nซึ่งถ้าเป็นโดยวิธีนี้ ก็จะสามารถพยากรณ์การตัดสินใจของผู้ร่วมการทดลองว่า จะแสดงความชุกในระดับที่สูงกว่าของชื่อที่ระลึกได้ง่ายกว่า \nส่วนวิธีที่สองที่ใช้เปรียบเทียบกัน นักวิจัยเสนอว่า ผู้ร่วมการทดลองอาจจะระลึกถึงชื่อแต่ละประเภทให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาที่ให้ แล้วตัดสินใจโดยใช้ชื่อที่ระลึกได้เป็นฐาน (ไม่ได้ใช้ความยากง่าย)\nถ้าชื่อที่ระลึกได้ง่ายกว่าเริ่มด้วยอักษรใดอักษรหนึ่ง ก็จะระลึกถึงชื่อเช่นนั้นได้มากกว่าชื่ออื่น ๆ \nและก็จะสามารถพยากรณ์การตัดสินใจของผู้ร่วมการทดลองว่า จะแสดงความชุกในระดับที่สูงกว่าของชื่อเหล่านั้น \nแต่ว่าในกรณีที่สอง การตัดสินใจจะมีฐานเป็นสิ่งที่ระลึกถึงได้ ไม่ใช่มีฐานเป็นความรู้สึกตามอัตวิสัยของความยากง่ายในการระลึกถึงความจำ",
"ความคิดเกี่ยวกับความเอนเอียงทางประชานมาจากคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972[16] ซึ่งมีรากฐานมาจากประสบการณ์ของพวกเขาเกี่ยวกับความไม่สามารถคิดโดยเหตุผลโดยใช้ตัวเลข (innumeracy) ของมนุษย์ คาฮ์นะมันและคณะได้แสดงโดยใช้วิธีที่ทำซ้ำได้หลายอย่างว่า การประเมินและการตัดสินใจของมนุษย์ต่างไปจากที่แสดงในแบบจำลองทางเศรษฐศาตร์ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางคือ rational choice theory (ทฤษฎีการเลือกโดยเหตุผล) โดยอธิบายว่า มนุษย์ทำการประเมินและตัดสินใจโดยใช้ฮิวริสติก ซึ่งเป็นทางลัดทางความคิดที่สามารถให้ค่าประเมินอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์บางอย่าง (Baumeister & Bushman, 2010, p.141). ฮิวริสติกเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายกว่าในการคำนวณ แต่ว่าบางครั้งทำให้เกิด \"ความผิดพลาดที่รุนแรงอย่างเป็นระบบ\"[8]",
"เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม\n() และสาขาที่เกี่ยวข้องกันคือ การเงินพฤติกรรม () เป็นสาขาวิชาการที่ศึกษา\nเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมพุ่งความสนใจไปที่การตัดสินใจด้วยเหตุผลที่มีความจำกัด ขององค์กรและบุคคล \nแบบจำลองพฤติกรรมที่ใช้ในสาขาจะรวมความรู้ความเข้าใจจากสาขาวิชาการต่าง ๆ รวมทั้งจิตวิทยา ประสาทวิทยาศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์จุลภาค\nบางครั้งจะมีการกล่าวถึงเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมว่า เป็นทางเลือกของ neoclassical economics \nสิ่งที่เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมศึกษารวมทั้งการตัดสินใจทางตลาด\nและกลไกที่ขับเคลื่อนการเลือกผลิตโภคภัณฑ์เพื่อมหาชน (public choice)\nการใช้คำว่า \"เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม\" ในเอกสารวิชาการในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา\nส่วนบทความ \"Prospect Theory: An Analysis of Decision under Risk (ทฤษฎีความคาดหวัง: การวิเคราะห์การตัดสินใจภายใต้ความเสี่ยง)\" (ค.ศ. 1979) ของคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ เป็น \"บทความตั้งต้นของสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม\"",
"ในปี ค.ศ. 2014 นิตยสาร The Economist ยกย่อง ดร. คาฮ์นะมันว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลเป็นอันดับ 15 ของโลก[4]",
"ในอีกงานศึกษาหนึ่งของคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ มีการให้ผู้ร่วมการทดลองแก้ปัญหาดังต่อไปนี้[7]",
"โดยทำงานร่วมกันกับอะมอส ทเวอร์สกี้ และบุคคลอื่น ๆ ดร. คาฮ์นะมันแสดงฐานทางประชานที่เป็นเหตุของความผิดพลาดในการตัดสินใจของมนุษย์ ที่เกิดจากฮิวริสติกและความเอนเอียง (Kahneman & Tversky, ค.ศ. 1973; Kahneman, Paul Slovic & Tversky, ค.ศ. 1982; Tversky & Kahneman, ค.ศ. 1974) และคิดค้นทฤษฎี prospect theory (Kahneman & Tversky, 1979) เขาได้รับรางวัลรางวัลเพื่อระลึกถึงอัลเฟรด โนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี ค.ศ. 2002 สำหรับทฤษฎีนี้",
"มีนักวิจัยบางพวกคิดว่า อาจมีตัวแปรสับสน (confounding variable) ในงานวิจัยดั้งเดิมของทเวอร์สกี้และคาฮ์นะมัน \nคือนักวิจัยตั้งของสงสัยว่า ผู้ร่วมการทดลองตัดสินความสามัญของชื่อคนมีชื่อเสียงโดยมีฐานเป็นข้อมูลที่ระลึกได้ หรือว่ามีฐานเป็นความยากง่ายในการระลึกได้\nส่วนนักวิจัยบางพวกเสนอว่า แบบการทดลองในยุคต้น ๆ มีปัญหาและไม่สามารถกำหนดจริง ๆ ได้ว่า ฮิวริสติกโดยความเข้าถึงได้ง่ายมีการทำงานอย่างไร ",
"ในปัจจุบัน ดร. คาฮ์นะมัน เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณของคณะจิตวิทยาและ public affairs ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Woodrow Wilson School of Public and International Affairs) ดร. คาฮ์นะมัน เป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาทางด้านธุรกิจและด้านการทำบุญเพื่อสาธารณประโยชน์ เขามีคู่สมรสคือ ดร. แอนน์ ทรีสแมน ผู้เป็น Fellow ของราชสมาคมแห่งลอนดอน",
"บทความ \"Prospect Theory: An Analysis of Decision under Risk (ทฤษฎีคาดหวัง: การวิเคราะห์การตัดสินใจภายใต้ความเสี่ยง)\" (ค.ศ. 1979) ของคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ เป็น \"บทความตั้งต้นของสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม\"",
"นักประชานศาสตร์ชาวอเมริกันเฮอร์เบิร์ต ไซมอนดั้งเดิมเป็นผู้เสนอว่า การตัดสินใจของมนุษย์ต้องอาศัยฮิวริสติก \nโดยใช้แนวความคิดจากวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ \nในต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 นักจิตวิทยาแดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ แสดงฮิวริสติก 3 ประเภทที่เป็นฐานของการตัดสินใจโดยรู้เองที่ใช้อย่างกว้างขวาง\nงานวิจัยเหล่านี้ จุดชนวนโปรแกรมงานวิจัยเกี่ยวกับ ฮิวริสติกและความเอนเอียง (Heuristics and Biases) \nซึ่งศึกษาการตัดสินใจในชีวิตจริงของมนุษย์ และศึกษาสถานการณ์ที่การตัดสินใจเหล่านี้ใช้ไม่ได้ คือไม่สมเหตุผล\nงานวิจัยในแนวนี้ได้คัดค้านไอเดียว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่กระทำตามเหตุผล\nและได้ให้ทฤษฎีเกี่ยวกับการประมวลสารสนเทศ (information processing) ที่สามารถอธิบายวิธีการที่มนุษย์ใช้ในการประเมินผลหรือการตัดสินใจ\nเป็นแนวงานวิจัยที่เริ่มมีความสนใจในระดับสากลในปี ค.ศ. 1974 ด้วยบทความที่พิมพ์ในวารสาร \"Science\" มีชื่อว่า \"Judgment Under Uncertainty: Heuristics and Biases (การประเมินภายใต้ความไม่แน่ใจ ฮิวริสติกและความเอนเอียง)\" \nซึ่งได้กลายเป็นแนวทางของทฤษฎีเกี่ยวกับการตัดสินใจที่มีทั้งหมดในปัจจุบัน",
"Anchoring and adjustment heuristic (ฮิวริสติกการตั้งหลักและการปรับใช้)\nเป็นฮิวริสติก (คือวิธีการคิดแก้ปัญหา) ที่มีอิทธิพลต่อการประเมินค่าความน่าจะเป็นแบบรู้เอง (intuitive) ของมนุษย์\nโดยการใช้ฮิวริสติกนี้ เราจะเริ่มที่ค่าหลัก (anchor) ที่อาจจะมีการเสนอแบบอ้อม ๆ แล้วปรับใช้เป็นค่าประเมิน\nคือเราจะมีหลักเป็นค่าประเมินเบื้องต้น (anchor) แล้วปรับค่าขึ้นลงอาศัยข้อมูลอื่น ๆ \nแต่ว่าการปรับค่ามักจะไม่ได้ทำอย่างเพียงพอ ทำให้หลักเบื้องตนมีอิทธิพลมากเกิดไปในการประเมินค่า\nในปี ค.ศ. 1974 อะมอส ทเวอร์สกี้และแดเนียล คาฮ์นะมันได้คิดค้นทฤษฎีการตั้งหลักและการปรับใช้เป็นพวกแรก\nในงานศึกษาเบื้องต้นงานหนึ่งของพวกเขา มีการถามผู้ร่วมการทดลองให้คำนวณเลขภายใน 5 วินาที เป็นการคูณเลขตามลำดับตั้งแต่เลข 1 ถึง 8 โดยแสดงเป็น formula_1 หรือเป็น formula_2\nแต่เพราะว่าผู้ร่วมการทดลองไม่มีเวลาพอที่จะคูณเลขทั้งหมด จึงต้องประเมินคือเดาคำตอบหลังจากคูณเลข 2-3 ตัวแรก\nถ้าผลคูณเลขตัวแรก ๆ มีค่าน้อย เพราะว่าเริ่มจากลำดับเลขน้อย ผลประเมินเฉลี่ยที่ผู้ร่วมการทดลองตอบจะอยู่ที่ 512 แต่ถ้ามีค่ามาก ผลประเมินเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 2,250",
"ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทนเป็นหนึ่งในกลุ่มฮิวริสติก (คือกฎที่ใช้เพื่อทำการประเมินและการตัดสินใจ) ที่เสนอโดยนักจิตวิทยา แดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 มีการพรรณนาถึงฮิวริสติกว่าเป็น \"ทางลัดในการประเมิน ที่โดยทั่วไปช่วยให้เราไปถึงที่หมายได้ และอย่างรวดเร็ว แต่มีราคาคือบางครั้งส่งเราไปผิดที่\"[2] ฮิวริสติกมีประโยชน์เพราะว่าช่วยทำการตัดสินใจให้ง่ายขึ้นและไม่ต้องใช้ทรัพยากรทางสมองมาก[3] คำว่า \"ความเป็นตัวแทน\" (Representativeness) ในบทความนี้ใช้โดยสามารถหมายถึง[4][5][6]",
"ในปี ค.ศ. 1967 แช็ปแมนได้พรรณนาถึงความเอนเอียงในการตัดสินความชุกของเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นด้วยกัน ซึ่งแสดงว่า การมีสิ่งเร้าสองอย่างเกิดขึ้นด้วยกันมีผลให้ผู้ร่วมการทดลองประเมินความชุกของการเกิดขึ้นด้วยกันมากเกินไป \nคือ มีการให้ข้อมูลสมมุติเกี่ยวกับคนไข้โรคจิตหลายคน\nโดยที่ข้อมูลของคนไข้แต่ละคนจะมีการวินิจฉัยทางคลินิกและรูปที่วาดโดยคนไข้\nหลังจากนั้น ก็ให้ผู้ร่วมการทดลองประเมินความชุกของข้อวินิจฉัยแต่ละอย่างที่มาด้วยกันกับลักษณะต่าง ๆ ของรูปวาด (เช่นความขี้ระแวงของคนไข้และรูปตาที่แปลก ๆ)\nผู้ร่วมการทดลองทำการประเมินถึงความชุกของการเกิดขึ้นด้วยกันมากเกินไป \nซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แช็ปแมนได้เรียกว่า illusory correlation (สหสัมพันธ์ลวง)\nทเวอร์สกี้และคาฮ์นะมันเสนอว่า ฮิวริสติกโดยความเข้าถึงได้ง่ายเป็นคำอธิบายโดยธรรมชาติของปรากฏการณ์สหสัมพันธ์ลวง\nกำลังของความสัมพันธ์ระหว่างสองเหตุการณ์ (ที่เป็นอัตวิสัย) สามารถใช้เป็นฐานในการตัดสินใจว่าเหตุการณ์สองอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยกันบ่อยครั้งแค่ไหนเป็นอย่างดี\nคือ เมื่อมีความสัมพันธ์ (โดยอัตวิสัย) ที่มีกำลัง ก็จะมีโอกาสสูงขึ้นที่จะสรุปว่า เหตุการณ์สองอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยกันบ่อย ๆ",
"แดเนียล คาฮ์นะมัน[1] (, Hebrew: דניאל כהנמן เกิด 5 มีนาคม ค.ศ. 1934) เป็นนักจิตวิทยาชาวอิสราเอล-อเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับงานทางจิตวิทยาเรื่องการประเมินหลักฐานและการตัดสินใจ (judgment and decision-making) และงานทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (behavioral economics) ซึ่งเขาได้รับรางวัลรางวัลเพื่อระลึกถึงอัลเฟรด โนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี ค.ศ. 2002 การค้นพบที่ประกอบด้วยหลักฐานต่าง ๆ ของเขา คัดค้านข้อสมมุติว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ตัดสินใจตามเหตุผล ที่มีอยู่ทั่วไปในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบัน",
"คาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้เสนอฮิวริสติกโดยความพร้อมใช้งาน ว่าเป็นคำอธิบายของปรากฏการณ์สหสัมพันธ์ลวง (illusory correlation) ที่เราตัดสินใจผิด ๆ ว่า เหตุการณ์สองอย่างเป็นเหตุและผลของกันและกัน\nคือ เราตัดสินใจผิดว่าเหตุการณ์ทั้งสองมีความสัมพันธ์ เพราะว่าง่ายที่จะจินตนาการหรือระลึกถึงเหตุการณ์สองอย่างนั้นพร้อม ๆ กัน (ดูรายละเอียดในฮิวริสติกโดยความพร้อมใช้งาน)",
"ในผลงานวิจัยปี ค.ศ. 1974 นักจิตวิทยาชาวอเมริกันแดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ ได้เสนอว่า กลุ่มความเอนเอียงหลายสกุล (คือ ความผิดพลาดอย่างเป็นระบบในการประเมินและการตัดสินใจ) สามารถอธิบายได้โดยใช้คำอธิบายเกี่ยวกับฮิวริสติก (ทางลัดทางความคิด) รวมทั้งฮิวริสติกโดยความเข้าถึงได้ง่าย (availability heuristic) และฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน (representativeness heuristic)\nในปี ค.ศ. 2002 ดร. คาฮ์นะมันและผู้ร่วมงานได้ปรับปรุงคำอธิบายนี้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า การทดแทนคุณลักษณะเป็นกระบวนการที่เป็นฐานของความเอนเอียงเหล่านั้นและปรากฏการณ์อื่น ๆ",
"แต่สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคาฮ์นะมันและทเวอร์สกี้ มีวิธีการอธิบายอีกอย่างหนึ่งว่า การใช้ฮิวริสติกไม่ควรที่จะนำไปสู่ความคิดว่า ความคิดของมนุษย์เต็มไปด้วยความเอนเอียงทางประชานที่ไม่สมเหตุผล แต่ว่า ควรจะคิดถึงฮิวริสติกว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่มีการปรับตัวให้เข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เหมือนการใช้ตรรกะเชิงรูปนัย (formal logic) และกฎความน่าจะเป็น[18] อย่างไรก็ดี การทดลองต่าง ๆ เช่นเดียวกับเรื่องของลินดานี้ ได้กลายมาเป็นโปรแกรมงานวิจัยที่ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางเกินขอบเขตวิชาการทางจิตวิทยา ข้ามไปยังสาขาอื่น ๆ รวมทั้งแพทยศาสตร์และรัฐศาสตร์",
"ในปี ค.ศ. 1981 อะมอส ทเวอร์สกี้และแดเนียล คาฮ์นะมันตรวจสอบว่า การใช้คำวางกรอบทางเลือก มีอิทธิพลต่อคำตอบของผู้ร่วมการทดลองในสถานการณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย (สมมุติ) อย่างไร[3] คือ มีการให้ผู้ร่วมการทดลองเลือกวิธีการรักษาสองอย่างสำหรับคน 600 คนที่เกิดโรคร้ายแรงถึงตาย การรักษาแบบแรกมีการพยากรณ์ว่า \"มีผลให้ตาย 400 คน\" เทียบกับการรักษาแบบที่สองที่ \"มีโอกาส 33% ว่าจะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ก็มีโอกาส 66% ว่าทุกคนจะเสียชีวิต\" ทางเลือกเหล่านี้มีการแสดงให้ผู้ร่วมการทดลองโดยการวางกรอบคำพูดแบบบวก คือ จะมีกี่คนที่รอดชีวิต หรือว่า แบบลบ คือ จะมีกี่คนที่เสียชีวิต",
"ทฤษฎีคาดหวัง\n() เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral economics) ที่แสดงวิธีที่มนุษย์เลือกระหว่างทางเลือกที่เป็นไปได้ ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงแต่รู้ค่าความน่าจะเป็นของทางเลือก\nทฤษฎีกำหนดว่า มนุษย์ตัดสินใจขึ้นอยู่กับค่าความขาดทุน (ผลลบ) หรือผลกำไร (ผลบวก) ที่อาจจะมี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าผลที่ได้โดยที่สุด และมนุษย์ประเมินค่าความขาดทุนและผลกำไรโดยใช้ฮิวริสติกบางอย่าง\nแบบจำลองนี้เป็นแบบพรรณนา (descriptive) เป็นแบบจำลองของการเลือกการตัดสินใจที่มีในชีวิตจริง ๆ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจที่อาจจะเหมาะสำหรับสถานการณ์มากที่สุด (optimal decision)\nทฤษฎีนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1979 และมีการพัฒนาขึ้นอีกในปี ค.ศ 1992 โดยแดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ เป็นแบบจำลองที่มีความแม่นยำทางจิตวิทยามากกว่า expected utility hypothesis (สมมุติฐานอรรถประโยชน์ที่คาดหวัง)\nในคำอธิบายดั้งเดิม คำว่า \"prospect\" หมายถึง ลอตเตอร์รี่",
"ความเอนเอียงนี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการพยากรณ์ ทั้งในเรื่องการตั้งนโยบาย การวางแผนงาน และการจัดการบริหาร\nยกตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการทำงานที่มีการวางแผน มักจะมีการประเมินต่ำเกินไป และผลประโยชน์ที่ได้มักจะมีการประเมินสูงเกินไป เพราะเหตุแห่งความเอนเอียงนี้\nคำว่า เหตุผลวิบัติในการวางแผน (planning fallacy) สำหรับปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นคำบัญญัติโดยอะมอส ทเวอร์สกี้ และแดเนียล คาฮ์นะมัน \nเริ่มมีการสั่งสมหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ความเอนเอียงนี้ เป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณในเมกะโปรเจกต์\nความเอนเอียงตรงกันข้ามกับความเอนเอียงนี้ก็คือ ความเอนเอียงโดยการมองในแง่ร้าย ()\nซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เราประเมินโอกาสที่เหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเรามากเกินไป\nโดยเปรียบเทียบกับความเอนเอียงโดยการมองในแง่ดี ความแตกต่างก็คือ เรามีความวิตกกังวลกับเรื่องที่มีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ",
"นักจิตวิทยาชาวอเมริกันยุคต้น ๆ ที่ทำการศึกษาเช่นนี้คือ แดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นการคิดหาคำตอบโดยใช้ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน\nพวกเขาอ้างว่า มนุษย์ประเมินค่าความน่าจะเป็นหลายอย่าง หรือประเมินตัดสินเหตุและผล อาศัยว่าสิ่งหนึ่งมีความเป็นตัวแทน คือเหมือน กับอีกสิ่งหนึ่ง หรือกับประเภทหนึ่ง ๆ มากเท่าไร \nดร. คาฮ์นะมันพิจารณาว่า การละเลยอัตราพื้นฐานเช่นนี้ เป็นรูปแบบหนึ่งของ extension neglect \nส่วนนักจิตวิทยาริชาร์ด นิสเบ็ตต์ ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนเสนอว่า attribution bias เช่น fundamental attribution error เป็นรูปแบบอย่างหนึ่งของเหตุผลวิบัติโดยอัตราพื้นฐาน\nคือ มนุษย์ไม่ใช้ข้อมูลที่ปรากฏโดยทั่วไป (คืออัตราพื้นฐาน) ว่าคนอื่น ๆ มีพฤติกรรมอย่างไรในสถานการณ์คล้าย ๆ กัน แต่กลับไปใช้ข้อมูลเฉพาะคือการแสดงเหตุโดยนิสัย (dispositional attribution) ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายกว่า"
] |
หอประชุมจุฬาฯ สร้างเสร็จเมื่อไหร่? | [
"หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นคู่มหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2482 นิสิตและบุคลากรของจุฬาฯ ล้วนผูกพันและมีโอกาส ได้เข้าร่วมพิธีกรรมและกิจกรรมอันหลากหลายที่อาคารหลังนี้ นับตั้งแต่กิจกรรมแรกของการเป็นนิสิต คือพิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่ พิธีปฐมนิเทศนิสิตหอพักของหอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิธีไหว้ครู เปิดเทศกาลงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ จนกระทั่งเมื่อสำเร็จการศึกษา อาคารหลังนี้ก็เป็นสถานที่ประกอบพิธีพระราชทานปริญญาบัตร นอกจากนี้ยังใช้เป็นที่จัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมในวาระสำคัญต่าง ๆ ทั้งในระดับมหาวิทยาลัยและระดับชาติ[4]"
] | [
"วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อครั้งแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด บุณยรัตพันธ์) กับพระวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปกะที่สร้างพระนครใหม่ ณ ฝั่งตะวันออก โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชาเศรษฐี และพวกคนจีน ย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) ไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง (วัดปทุมคงคา) และเห็นว่าเป็นวัดโบราณที่ทรุดโทรมมาก สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ทั้งวัด เมื่อกรมพระราชวังบวรสุรมหาสิงหนาททรงปฏิสังขรณ์และสร้างเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดปทุมคงคา”",
"หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกโดยย่อว่า หอประชุมจุฬาฯ เป็นหอประชุมใหญ่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเป็นมาคู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นที่อาคารแห่งนี้หลายเหตุการณ์ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร",
"ต่อมาเมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2495 ได้รื้อเรือนหลังคามุงจากออก พอถึงเดือนตุลาคมจึงได้มีการสร้างอาคาร 3 ชั้น คืออาคาร 2 ซึ่งปัจจุบันรื้อถอนไปแล้ว กับหอประชุมอีก 1 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2496 จึงได้งบประมาณต่อเติมอาคาร 2 และอาคาร 3ซึ่งมี 2 ชั้น และหอประชุมจนเสร็จสมบูรณ์ หลวงสวัสดิ์สารศาสตรพุทธิ อธิบดีกรมวิสามัญศึกษา จึงเชิญ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายมังกร พรหมโยธี มาเปิดอาคารทั้ง 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2498",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้ามาประทับที่พระบวรราชวัง พระที่นั่งรังสรรค์จุฬาโลกซึ่งสร้างขึ้นจากเครื่องไม้อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก จึงโปรดให้รื้อและสร้างเก๋งจีนขึ้นใหม่ ซึ่งพระองค์ยังคงใช้เป็นที่เสด็จประพาสสำราญพระอิริยาบถ ปัจจุบัน บริเวณที่ตั้งของพระที่นั่งรังสรรค์จุฬาโลกนั้น เป็นที่ตั้งของหอประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์",
"การก่อสร้างพุทธมณฑลได้ดำเนินการมาแล้วเสร็จสมบูรณ์ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อสร้างองค์ \"พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์\" สำเร็จ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จประกอบพิธีสมโภช เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2525 และหลังจากนั้นก็ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมถาวรวัตถุต่าง ๆ ในพุทธมณฑลมาโดยตลอดเช่น มหาวิหารประดิษฐานพระไตรปิฎกหินอ่อน และ หอประชุม เป็นต้นถนนพุทธมณฑลสายต่างๆ เป็นถนนที่แยกย่อยออกไปจากถนนเพชรเกษมในทางทิศเหนือ ตัดผ่านถนนปิ่นเกล้านครชัยศรี (ขณะที่มีโครงการพุทธมณฑลยังไม่มีถนนดังกล่าว) ไปสิ้นสุดก่อนถึงทางรถไฟสายใต้",
"ในช่วงนี้มีการสร้างอาคาร\"รัตนโกสินทร์สมโภช 2525\" ขึ้น และได้มีการจัดสร้างสนามหญ้าและสวนหย่อมขนาดใหญ่หน้าอาคารรัตนโกสินทร์สมโภชฯ ในบริเวณอาคารไม้รูปตัว อี ที่ถูกรื้อถอนย้ายไปปลูกสร้างใหม่ (อาคาร 3 ในปัจจุบัน) และได้จัดสร้างอาคารอเนกประสงค์เพื่อใช้ เป็นอาคารห้องสมุดและหอประชุม แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2531",
"สถานีสามย่าน จากนั้นใช้ทางออกที่ 2 ไปยังอาคารจัตุรัสจามจุรี (Chamchuri Square) ใช้บันไดเลื่อนขึ้นไปชั้น G ของจัตุรัสจามจุรีแล้วเดินออกประตูทางด้านหลังเพื่อไปยังคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เดินไปทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ จะพบหอประชุมจุฬาฯ",
"ต่อมาเนื่องจากมีพระภิกษุ สามเณร คฤหัสถ์ ในท้องถิ่นและประเทศใกล้เคียง สนใจสมัครเข้าศึกษาเป็นจำนวนมาก อาคารเรียนที่มีอยู่เดิมที่วัดธาตุฯ ไม่เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอน พระครูสิริสารธรรม เจ้าคณะตำบลโคกสี จึงให้ใช้ที่ดินโคกสร้างหล่ม วัดป่าศรีเจริญธรรม เป็นที่ตั้งวิทยาเขตแห่งใหม่ ประกอบด้วย อาคารเรียน อาคารหอสมุดสารสนเทศ อาคารสถานีวิทยุกระจายเสียง และอาคารหอประชุม และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2550 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดป้ายมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ตำบลโคกสี อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และทรงเปิดป้ายอาคารหอสมุดสารสนเทศ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร)",
"หอประชุมจุฬาฯ เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของภูมิทัศน์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เกิดการปรับภูมิทัศน์โดยรอบ เช่น การขุดสระน้ำด้านหน้าประตูใหญ่ ตัดถนนรอบสนามรักบี้และสร้างลานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้มอบรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นให้แก่หอประชุมจุฬาฯ[1][2]",
"โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม เป็นโรงเรียนชายล้วน ประจำจังหวัดพิษณุโลก โดยเป็นสถานศึกษาขนาดใหญ่ เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ที่ตั้งปัจจุบัน อยู่บนถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลก บึงแก่งใหญ่ มีเนื้อที่ 339 ไร่ นอกจากนี้โรงเรียนได้พัฒนาด้านต่างๆ เช่นกีฬาและภูมิทัศน์ของโรงเรียนโดยการสร้างสวนต่างๆ เช่น สวนวรรณคดี นอกจากนี้อาคาร 1 (วังจันทน์) และอาคาร 2 (ร่มเกล้านเรศวร) ของโรงเรียนยังเป็นอาคารที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ โรงเรียนยังมีโครงการสร้างสะพานเชื่อมอาคารแต่ละอาคารเข้าด้วยกัน สร้างอาคารประกอบเพิ่มเติม หอประชุมใหม่ โรงยิม สระว่ายน้ำ และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขึ้นเพิ่มเติมด้วย ในปัจจุบันทางเดินเชื่อมอาคารเรียนได้สร้างเสร็จแล้วและเปิดใช้มาเป็นเวลากว่า 2 ปีโดยประมาณ ซึ่งโรงเรียนก็ยังได้สร้างหอประชุมใหม่ขึ้นชื่อว่า \"หอประชุมจักรกฤษณ์ นาคะรัต\" ที่เปิดใช้ไปในปีการศึกษา 2550 ที่ผ่านมา และในขณะนี้โรงเรียนกำลังจัดสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2552 \"เปิดใช้งานแล้วชื่อว่า อาคารร่มเกล้าวิสุทธิ์กษัตริย์\"",
"วันทรงดนตรีเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่คณาจารย์และนิสิตจุฬาฯที่ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีที่ประสูติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นิสิตจุฬาฯเข้าเฝ้าฯเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2500 ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งกับนายสันทัด ตัณฑนันทน์ หัวหน้าวงดนตรีสากล สโมสรนิสิตจุฬาฯ สมัยนั้นว่าจะนำวงลายครามมาบรรเลงที่จุฬาฯ งานวันทรงดนตรี ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นอกจากจะทรงดนตรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้พระราชทานข้อคิดแก่นิสิตจุฬาฯ และพระราชทานความเป็นกันเอง สร้างบรรยากาศอันอบอุ่น สนุกสนานและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯมาทรงดนตรีที่จุฬาฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2501 – พ.ศ. 2516 เนื่องจากทรงมี พระราชภารกิจเพิ่มขึ้นจึงไม่ได้เสด็จฯมาทรงดนตรีที่มหาวิทยาลัยอีก",
"ในต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้มีการสร้างวัดขึ้นในพื้นที่พระนครชั้นใน ในปี พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โดยมีพื้นที่ตั้งอยู่ในดงสะแก เป็นที่ลุ่มจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถมที่และสร้างเป็นวัด และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม จึงเรียกกันว่า วัดพระโต, วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้าบ้าง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า \"วัดสุทัศน์เทพวราราม\" ปรากฏในจดหมายเหตุว่า \"วัดสุทัศน์เทพธาราม\" และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า \"พระศรีศากยมุนี\", \"พระพุทธตรีโลกเชษฐ์\" และ \"พระพุทธเสรฏฐมุนี\"",
"หอประชุมใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2497 ในวาระครบรอบ 20 ปี ของการสถาปนามหาวิทยาลัย โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัย มีการวางศิลาฤกษ์ในวันสถาปนามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2497 และสร้างแล้วเสร็จในสมัยที่พลเอก ถนอม กิตติขจร เป็นอธิการบดี ในราว พ.ศ. 2506 โดยหอประชุมนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหอประชุมที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น[59] ทั้งในเรื่องของระบบเสียง ความเย็น และที่นั่ง ซึ่งมีทั้งสิ้น 2,500 ที่นั่ง โดยแยกออกเป็น ที่นั่งชั้นล่าง 1,800 ที่นั่ง และชั้นบน 700 ที่นั่ง ส่วนทางด้านทิศใต้ของหอประชุมนี้จัดทำเป็น หอประชุมเล็ก อีกส่วนหนึ่ง โดยบรรจุคนได้ราว 500 คน ปัจจุบันหอประชุมเล็กเรียกชื่อว่า หอประชุมศรีบูรพา ตามนามปากกาของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย",
"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังให้บริการทางวิชาการแก่ประชาชนทั่วไปผ่านการออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz อีกหนึ่งช่องทางด้วย โดยสถานีวิทยุจุฬาฯ เป็นสถานีวิทยุเพื่อการศึกษา มีการเผยแพร่เอกสารสื่อการสอนบนเว็บไซต์ของสถานีเป็นจำนวนมาก และมีการจัดรายการข่าวสารเชิงวิชาการ ให้ความรู้แก่ผู้ฟังตลอดช่วงเวลา 06.00-23.59 น. และยังเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการให้ความรู้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเพื่อการสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ในทุก ๆ ปี สถานีวิทยุจุฬาฯ จะจัดสอนพิเศษให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและถ่ายทอดภาพและเสียงไปทั่วประเทศ ภายใต้รายการชื่อว่า \"เปิดประตูสู่มหาวิทยาลัย\" โดยจัดขึ้นที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[131]",
"จนในปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจในประเทศไทยอย่างหนัก ผู้คนไม่มีกำลังซื้อ และค่าเช่าห้องแถวซึ่งปรับตัวสูงมากก่อนหน้านี้ สำนักทรัพย์สินจุฬาฯได้ปรับราคาค่าเช่าขึ้นถึง 1,200% จากค่าเช่าเซ้งเดิม 10 ปี ราคา 500,000 บาท ปรับขึ้นเป็นราคา 6-7 ล้านบาท ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของผู้ค้าขายในสยามสแควร์ ถึงขนาดมีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ จนในที่สุดจุฬาฯได้ปรับลดลงจาก 1,200% ที่ขึ้นราคา ลดลงเหลือ 600% ขณะเดียวกันช่วงเดียวกันนี้ กำลังมีก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส ทำให้ผู้เช่าร้านจำนวนมากอยู่ไม่ได้จึงตัดสินใจปิดตัวไปเป็นจำนวนมาก ร้านตัดเสื้อหลายแห่งต้องเปลี่ยนรูปแบบ มาเป็นขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อของลูกค้า พฤติกรรมการซื้อของของคนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันก็เกิดเจ้าของธุรกิจรายเล็ก ๆ เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันทางจุฬาฯ ให้เช่าเพื่อเป็นโรงเรียนกวดวิชา โดยเฉพาะซอย 5-6-7 จากเดิมมีไม่กี่โรงเรียน ก็เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 50 โรงเรียน เมื่อรถไฟฟ้าสร้างแล้วเสร็จก็ยิ่งทำให้สยามสแควร์กลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางเข้าถึงได้สะดวกมากขึ้น",
"ในพิธีสำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น พิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่และถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิธีพระราชทานปริญญาบัตร พิธีทูลเกล้าถวายหรือมอบปริญญากิตติมศักดิ์แด่พระประมุขต่างประเทศ กิจกรรมรับน้องก้าวใหม่ และพิธีสำคัญที่มหาวิทยาลัยใช้หอประชุมจุฬาฯ เป็นสถานที่หลักในการจัดงาน รถโดยสายภายในจุฬาลงกรณ์กรณ์มหาวิทยาลัยจะประกาศเปลี่ยนเส้นทางเดินรถชั่วคราว โดยเลี้ยวเข้าพื้นที่มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออกของถนนพญาไททางประตูคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแทน และไม่วิ่งผ่านบริเวณโดยรอบหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[31]",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างพระเกี้ยวองค์จำลองจากพระเกี้ยวองค์จริงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นพิจิตรเลขา (สัญลักษณ์ประจำรัชกาล) ประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจิมและทรงพระสุหร่ายพระเกี้ยวก่อนพระราชทานแก่มหาวิทยาลัยต่อหน้าประชาคมจุฬาฯ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจำปีการศึกษา 2531 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[12]",
"ปีการศึกษา 2540 รับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 จำนวนทั้งสิ้น 184 คน ซึ่งรวมกับนักเรียนที่มีอยู่เดิมจากปีการศึกษา 2539 มีจำนวนทั้งสิ้น 324 คน ซึ่งเป็นนักเรียนประจำทั้งหมด โดยย้ายสถานที่เข้ามาอยู่ที่โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก ตำบลมะขามสูง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ที่มีอาคารสร้างแล้วเสร็จจำนวน 6 อาคาร ประกอบด้วยอาคารเรียนวิทยาศาสตร์ อาคารหอประชุม อาคารหอนอน 3 ชั้น และ อาคารโรงฝึกงาน 3 หลังขณะเดียวกันก็มีการก่อสร้าง อาคารเพิ่มเติมด้วยเงินงบประมาณปี 2540-2541 และกรมสามัญศึกษาได้มีคำสั่งแต่งตั้ง นายสมพร ขุนพิลึก เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก ",
"ละคอนถาปัด หรือ ละครสถาปัตย์ เป็นกิจกรรมประจำปีของนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีนิสิตชั้นปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 เป็นแม่งาน ร่วมกับนิสิตเก่าและนิสิตปัจจุบันของคณะ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ นำความคิดสร้างสรรค์มาทำกิจกรรม เพื่อหารายได้สำหรับใช้ในกิจกรรมของนิสิตหลังจากสิ้นสุดยุคของกิจกรรม \"ลูกทุ่งถาปัด\" ในอดีตก่อนหน้านี้ลงไป ละคอนถาปัดเป็นกิจกรรมที่นิสิตสถาปัตย์ฯทำกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี ระหว่างช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน จนกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีของคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ ในปัจจุบันละคอนถาปัดมีจำนวน 10 รอบ โดยจัดการแสดงช่วงเดือนพฤษภาคมก่อนเปิดเทอมที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยบริเวณหน้างานมีของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับละคอนที่ทำขึ้นโดยนิสิตวางจำหน่ายด้วย เช่น เสื้อ ซีดีเพลงละคอน และหนังสือเรือนไทย เป็นต้น ในวาระพิเศษอาจมีการจัดการแสดงละครเพิ่มจากปกติ เช่น ในช่วงงานจุฬาวิชาการ",
"จามจุรี เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมพระราชทานต้นจามจุรีแก่มหาวิทยาลัย จำนวน 5 ต้น ซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากวังไกลกังวล ทรงปลูกด้วยพระองค์เอง บริเวณด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรี ทรงเน้นว่าดอกสีชมพูเป็นสัญลักษณ์สูงสุดอย่างหนึ่งของจุฬาฯ ทรงเล่าว่าทรงปลูกต้นไม้ที่พระตำหนักไกลกังวล จามจุรีงอกขึ้นที่บริเวณต้นไม้ซึ่งทรงปลูกไว้ จึงทรงถือว่าทรงปลูกจามจุรีเหล่านั้นด้วย เมื่อจามจุรีโตขึ้นแล้วเห็นว่าควรเข้ามหาวิทยาลัยเสียที สถานที่เรียนนั้นไม่มีที่ใดเหมาะเท่าจุฬาฯ[59] สีชมพู เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้เสนอว่าชื่อของมหาวิทยาลัย คือ พระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันอังคารและโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สีชมพูเป็นสีประจำพระองค์ จึงสมควรอัญเชิญสีประจำพระองค์เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นเกียรติและสิริมงคล[60][61]",
"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จฯ มาพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2489 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย[13] นับเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกและครั้งเดียวของรัชกาลนี้",
"ต่อมา ในปี พ.ศ. 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณนำ วงลายคราม ไปแสดงดนตรีที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยากาศของงานคล้ายกับการแสดงดนตรีที่สวนอัมพร จากนั้นทาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงดนตรีที่หอประชุมจุฬาฯ เป็นประจำทุกปี เว้นปีที่มีพระราชภารกิจมาก คือ เสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศ และหากไม่มีพระราชภารกิจ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอก็จะโดยเสด็จพระราชดำเนิน และทรงร่วมในการแสดงดนตรีด้วย",
"วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ถวายการต้อนรับพระองค์ในพิธีเปิดที่ทำการบริติช เคานซิล (British Council) ประจำประเทศไทย ณ อาคารวิทยกิตติ์ สยามสแควร์ จากนั้นพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี[14] เพื่อรับการถวายการต้อนรับจากประชาคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฐานตั้งธงโดยรอบเสาธงชาติของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประดับธงยูเนียนแจ็ก ในการนี้นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมกัน \"บาก้า\" เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์บริเวณระเบียงด้านหน้าหอประชุมจุฬาฯ จากนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงก็อดเซฟเดอะควีน (God Save the Queen) เป็นการส่งเสด็จ[15][16]",
"อาคารหลุยส์ มารี เป็นอาคารสูง 4 ชั้น สร้างเสร็จเมื่อปีพ.ศ. 2542 ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด ทำพิธีเสกอาคารในวันที่ 2 สิงหาคม 2542 ชั้นล่างและชั้นที่ 2 ใช้เป็นโภชนาคารและสโมสรครู ชั้นที่ 3 ใช้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ชั้น 4 เป็นหอประชุมรัชตสมโภช",
"ปีพุทธศักราช 2540 หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมกับพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 31 (พ.ศ. 2540) จึงเป็นปีที่เริ่มใช้หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่พระราชทานปริญญาบัตร",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า \"วัดโพธาราม\" หรือ \"วัดโพธิ์\" ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส\" เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช",
"ที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ตรงกับทางเข้าด้านหน้าและหน้าบันของหอประชุมจุฬาฯ เป็นการออกแบบตำแหน่งตามหลักการทางภูมิสถาปัตยกรรม (Landscape Architecture) โดยทำให้พื้นที่เปิดโล่งด้านหน้าเสาธงและหอประชุมจุฬาฯ มีจุดสนใจ (Focal Point) เป็นการส่งเสริมภูมิทัศน์ให้หอประชุมจุฬาฯ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์และอาคารมหาวชิราวุธ พื้นที่เปิดโล่งบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์จึงมองเห็นได้ง่ายจากถนนพญาไทและกลายเป็นจุดสนใจของเขตปทุมวันและกรุงเทพมหานครไปพร้อมกัน \nพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล เป็นอนุสรณ์สถานที่ใช้ประกอบพิธีสำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น พิธีปฐมนิเทศและถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาฯ พิธีถวายบังคมหลังรับพระราชทานปริญญาบัตรหรือถวายบังคมลา และเป็นสถานที่เคารพสักการะของนิสิต บุคคลากรและผู้มาเยือน พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายที่เกี่ยวกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง ถือเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในพื้นที่มหาวิทยาลัย",
"250px|thumbnail|left|หอประชุมจุฬาฯ มุมมองถนนพญาไท หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (พระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล) ด้านหน้าของหมู่อาคารเทวาลัย หรืออาคารมหาจุฬาลงกรณ์และอาคารมหาชิราวุธ ใจกลางพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท ทำให้ที่ตั้งของอาคารหอประชุมอยู่ในแขวงปทุมวันไม่ใช่แขวงวังใหม่ซึ่งเป็นที่ตั้งอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัย",
"ศาลาธรรมศาลาธรรมเป็นอาคาร 2 ชั้น ทรงไทย ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย ตัวอาคารประกอบด้วยห้องโถงกว้าง12 เมตร ยาว 20 เมตร สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2507 ต่อมาได้มีการต่อเติมตัวอาคารด้านหลังและทำซุ้มเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย ในระยะแรกศาลาธรรมเป็นสถานที่จัดพิธีไหว้ครูของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อศาลาอ่างแก้วสร้างเสร็จจึงได้ประกอบพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและพิธีไหว้ครู ณ ศาลาอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยจึงใช้ศาลาธรรมเป็นสถานที่เปลี่ยนฉลองพระองค์ และประทับพักพระอิริยาบถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและพระบรมวงศานุวงศ์ในคราวเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งเหล่าคณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็จะมาเฝ้ารอรับเสด็จ ณ สถานที่แห่งนี้ ต่อมาเมื่อหอประชุมมหาวิทยาลัยสร้างเสร็จจึงได้ย้ายสถานที่พระราชทานปริญญาบัตรและพิธีไหว้ครูไปยังหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยจึงได้ใช้ศาลาธรรมเป็นสถานที่จัดงานสำคัญๆของมหาวิทยาลัยในบางโอกาส เช่น การจัดงานแสดงความยินดี และงานเลี้ยงรับรองผู้มีเกียรติของมหาวิทยาลัย เป็นต้น"
] |
รัชนก อินทนนท์ เกิดเมื่อไหร่ ? | [
"รัชนก อินทนนท์เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นบุตรของวินัสชัย อินทนนท์ และคำผัน สุวรรณศาลา มีน้องชาย 1 คนคือ รัชพล อินทนนท์ เมื่ออายุ 3 เดือน รัชนกย้ายเข้ากรุงเทพมหานครตามบิดาและมารดา ซึ่งมาทำงานที่โรงงานทำขนมบ้านทองหยอด และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น นับแต่นั้น[8] รัชนกยังมีกมลา ทองกร เจ้าของโรงงานบ้านทองหยอด เป็นมารดาบุญธรรมอีกด้วย[9]"
] | [
"พ.ศ. 2555 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 5 เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ (บ.ภ.)[40] พ.ศ. 2556 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 3 ตติยดิเรกคุณาภรณ์ (ต.ภ.)[41] พ.ศ. 2559 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 2 ทุติยดิเรกคุณาภรณ์ (ท.ภ.)[42]",
"ปี พ.ศ. 2555 รัชนกสามารถทำผลงาน ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในรายการ ไทยแลนด์ โอเพ่น กรังด์ปรีซ์ โกลด์ ก่อนที่จะพ่ายต่อไซน่า เนห์วาล ไป 1-2 เซต ทำให้ได้เพียงอันดับสอง ต่อมาในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน รัชนกได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันโอลิมปิก 2012 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เป็นครั้งแรก ในฐานะมือวางอันดับ 11 ของโลก[20] โดยเธอสามารถผ่านรอบแรกไปได้ และสามารถเอาชนะจูเลียน เชงค์ จากเยอรมันไปได้ในรอบ 16 คนสุดท้าย[21] ก่อนที่จะแพ้หวัง ซิน จากจีนในรอบ 8 คนสุดท้ายไป 1-2 เซต[22]",
"18 เมษายน – รัชนก อินทนนท์ ได้เป็นนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวมือหนึ่งของโลกคนแรกของประเทศไทย",
"อนึ่ง ในระดับเยาวชน รัชนกยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้าเหรียญทอง ประเภทหญิงเดี่ยว รายการแบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์โลก ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน[17] ส่วนในการแข่งขันแบดมินตันชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2553 รัชนกเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายต่อสลักจิต พลสนะ 21-14 21-15[18]",
"นอกจากนี้ ภัททพลยังเป็นผู้ฝึกสอนแบดมินตันให้แก่รัชนก อินทนนท์ และณริฎษาพัชร แลม",
"รายการระดับ ซูเปอร์ ซีรีส์ พรีเมียร์ และซูเปอร์ ซีรีส์ รายการระดับ กรังด์ปรีซ์ โกลด์ และกรังด์ปรีซ์",
"วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556 รัชนก อินทนนท์ สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันแบดมินตันโลกได้สำเร็จเป็นคนแรกของประเทศไทย และเป็นแชมป์โลกแบดมินตันที่มีอายุน้อยที่สุด รวมถึงในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556 รัชนก อินทนนท์ ได้ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 ของโลก จากการจัดอันดับของสหพันธ์แบดมินตันโลก[27]",
"ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน รัชนกเข้าร่วมแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16 ในนามทีมชาติไทย และได้รับรางวัลเหรียญเงิน ในประเภททีมหญิง โดยในรอบชิงชนะเลิศ เธอลงแข่งขันในฐานะเดี่ยวมือ 1 และพ่ายให้กับหวัง ซิน นักแบดมินตันมือ 1 ของโลกในสมัยนั้นไปอย่างสูสี 1-2 เกม 22-20 17-21 14-21[16]",
"ในระดับเยาวชน รัชนกลงแข่งขัน รายการ บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์จูเนียร์แชมเชียนชิพ หรือเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งโลก เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2551 โดยเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย ก่อนที่จะพ่ายให้กับหวัง ซื่อเสียน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ปีต่อมา พ.ศ. 2552 รัชนกลงแข่งขันในรายการนี้อีกครั้ง และได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญทอง เป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะพรทิพย์ บูรณะประเสริฐสุข รุ่นพี่ทีมชาติไทย ในรอบชิงชนะเลิศ โดยเธอถือเป็นนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมถึงเป็นนักแบดมินตันไทยคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งนี้[13]",
"WFSFQF#RAN/ANH",
"รัชนกสำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมตอนต้นจากโรงเรียนกสิณธรอาคาเดมี่[10] มัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี และระดับอุดมศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี",
"รัชนกเริ่มเล่นกีฬาแบดมินตัน เมื่ออายุได้ 6 ปี เนื่องจากกมลา ทองกร เกรงว่ารัชนกจะวิ่งเล่นซุกซนภายในโรงงานจนเกิดอุบัติเหตุได้ จึงได้นำเธอมาหัดเล่นแบดมินตันตั้งแต่บัดนั้น หนึ่งปีต่อมาเธอได้ลงแข่งขันเป็นครั้งแรก ในรายการอุดรธานี โอเพ่น และได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นครั้งแรก",
"ศูนย์บริการข้อมูลนกอินทนนท์ (ร้านลุงแดง) ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ 31 หน่วยจัดการต้นน้ำแม่กลาง ให้บริการด้านข้อมูลนกในดอยอินทนนท์ เช่น สมุดบันทึกการพบนกในดอยอินทนนท์ ภาพวาดลายเส้นของนักดูนกท่านต่างๆแผนที่เส้นทางดูนกดอยอินทนนท์ ภาพถ่าย สไลด์เกี่ยวกับนก ฯลฯ ให้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ",
"ปี พ.ศ. 2550 ด้วยวัยเพียง 12 ปี รัชนกลงแข่งขัน รายการแบดมินตันชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรก และได้รับเหรียญทองแดง ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 เธอได้รับเหรียญเงิน[11] และปี พ.ศ. 2552 เธอได้รับเหรียญทองเป็นครั้งแรก โดยเอาชนะสลักจิต พลสนะ อดีตแชมป์ประเทศไทย ได้ในรองรอบชนะเลิศ และเอาชนะทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ได้ในรอบชิงชนะเลิศ[12]",
"รัชนกเป็นนักแบตมินตันคนแรกของโลกที่สามารถคว้าแชมป์ซูเปอร์ซีรีส์สามรายการติดต่อกันใน 3 สัปดาห์ ที่ประเทศอินเดีย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และทำคะแนนสะสมขึ้นนำเป็นนักแบตมินตันหญิงมือ 1 ของโลกประเภทหญิงเดี่ยว[28] โดยอันดับล่าสุด ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2559 รัชนกอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก",
"ปัจจุบัน รัชนกสังกัดสโมสรโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด และแข่งขันในนามสโมสรชิงเต่าในลีกระดับโลกที่ประเทศจีน ตั้งแต่ปี 2555 โดยเซ็นสัญญาแบบปีต่อปี[2]",
"ในส่วนของผลงานรายการเก็บคะแนนสะสมในรอบปี รัชนกทำผลงานได้ดีที่สุด ด้วยการคว้าแชมป์ในรายการ อินเดีย โอเพ่น กรังด์ปรีซ์โกลด์ ในเดือนธันวาคม",
"หลังจากนั้น รัชนกสามารถทำผลงานได้ดีอีกครั้ง ด้วยการผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ รายการไชน่า โอเพ่น ซูเปอร์ ซีรีส์ พรีเมียร์ ก่อนที่จะพ่ายแก่หลี่ เสี่ยวเล่ย มืออันดับ 1 ของโลก ไป 0-2 เซต ได้เพียงอันดับ 2[23] แต่นั่นก็เพียงพอทำให้รัชนก ได้สิทธิ์ไปแข่งขันรายการซูเปอร์ ซีรีส์ สุดท้ายของปี ที่จะให้สิทธิ์สำหรับนักแบดมินตัน 8 อันดับแรกที่ทำคะแนนสะสมสูงสุดในรอบปี โดยในรายการสุดท้ายนี้ รัชนกสามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายต่อหวัง ฉีเซียน จากจีน ไป 0-2 เซต 12-21 19-21[24]",
"เดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 บุศนันทน์เข้าแข่งขันศึกสวิสโอเพน 2013 และในเดือนมิถุนายนของปีเดียวกันนี้ บุศนันทน์เข้าแข่งขันเอสซีจี ไทยแลนด์ โอเพ่น แบดมินตัน แชมเปี้ยนชิพ 2013 ประเภทหญิงเดี่ยวในฐานะมือวางอันดับ 7 ของรายการ และได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ โดยเป็นฝ่ายแพ้ต่อรัชนก อินทนนท์ ที่ 2-1 เกม",
"รัชนก อินทนนท์ ชื่อเล่น เมย์ (เกิด 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538) เป็นนักกีฬาแบดมินตันหญิงชาวไทย อดีตนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวมือหนึ่งของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2559 และเป็นคนไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยก่อนหน้านั้นในปี 2556 เธอได้คว้าแชมป์โลกและสร้างสถิติเป็นแชมป์โลกแบดมินตันอายุน้อยที่สุด[7]",
"ในปี พ.ศ. 2553 รัชนกเริ่มก้าวเข้าสู่การแข่งขันในระดับทั่วไปในรายการที่ใหญ่ขึ้น และสามารถทำผลงานได้ดีในหลายรายการ ในเดือนตุลาคม ด้วยวัย 15 ปี รัชนกสามารถคว้าแชมป์แรกในระดับกรังด์ปรีซ์ และกรังด์ปรีซ์ โกลด์ ให้กับตัวเอง ได้ที่ประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซียตามลำดับ[14][15] และในรอบปีนั้น ยังทำผลงาน เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้ในรายการไชน่า ซูเปอร์ซีรีส์ พรีเมียร์, ฮ่องกง ซูเปอร์ซีรีส์, ไชนีส ไทเป กรังด์ปรีซ์โกลด์ และโคเรีย กรังด์ปรีซ์โกลด์",
"วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 รัชนกสร้างสถิติโลกใหม่เป็นนักแบดมินตันที่อายุน้อยที่สุดที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ในวัยเพียง 18 ปี หลังคว้าแชมป์ \"โยเน็กซ์ ซันไรส์ อินเดีย โอเพ่น\"[25] และในวันที่ 20 มิถุนายน สหพันธ์แบดมินตันโลก (บีดับเบิลยูเอฟ) ประกาศการจัดอันดับนักแบดมินตันโลก รัชนก อินทนนท์ ขยับขึ้นจากอันดับ 5 ไปเป็นมือ 3 โลก ในประเภทหญิงเดี่ยว[26]",
"รายการ2009 2010 2011 แบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์โลกGoldGoldGold",
"รายการ2013 แบดมินตันชิงแชมป์โลกGold",
"พิชิตพงษ์ เฉยฉิว นักฟุตบอลทีมชาติไทย ปิยะชาติ ถามะพันธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย เมย์ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันหญิง ไทยแลนด์ คำทอง ผู้นำเชียร์กีฬาทีมชาติไทย",
"ในปี พ.ศ. 2554 รัชนกเป็นนักแบดมินตันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในรายการ บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์จูเนียร์แชมเชียนชิพ ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์เยาวชนชิงชนะเลิศแห่งโลก ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์แบดมินตันโลก[19]",
"เมื่ออายุ 9 ปี อรเณศ ดีคาบาเลส ยังเคยเล่นแบดมินตันกับรัชนก อินทนนท์ มาแล้วครั้งหนึ่ง รวมถึงเธอยังมีนักแบดมินตันที่ชื่นชอบและเป็นต้นแบบคือ ซู หลิน",
"ปราโมทย์พบว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดในช่วงต้นปี พ.ศ. 2554 ทั้งที่ซึ่งเขาไม่ได้เป็นคนดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ จากนั้นเขาได้เข้ารับการรักษาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี ปราโมทย์ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ด้วยโรคมะเร็งปอด ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยญาติได้นำร่างของเขาไปประกอบพิธีที่วัดถาวรวราราม จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา และกำหนดพิธีฌาปนกิจศพในวันที่ 9 ของเดือนเดียวกันนี้ ในการจากไปนี้ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษาสมาคมแบดมินตันฯ ได้แสดงการไว้อาลัยผ่านทางเฟซบุ๊กของ ด.ต.ปราโมทย์ รวมทั้ง รัชนก อินทนนท์ ที่เคยรับการฝึกสอนจาก ด.ต.ปราโมทย์ ก็ได้แสดงความอาลัยผ่านทางอินสตาแกรมด้วยเช่นกัน",
"เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน รัชนกเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2011 ในฐานะผู้เล่นทีมชาติไทย โดยลงแข่งขันทั้งในประเภทหญิงเดี่ยว และในประเภททีมหญิง ซึ่งรัชนกสามารถคว้ามาได้ 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญทองแดง จากประเภททีมหญิง และหญิงเดี่ยว ตามลำดับ"
] |
ประเทศลาวมีภาษาราชการคือภาษาอะไร? | [
"ภาษาลาว (ลาว: ພພາສສາລາວ พาสาลาว) เป็นภาษาราชการของประเทศลาว เป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ในภาษากลุ่มไท และสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาษาอีสานของประเทศไทย ระบบการเขียนในภาษาลาวจะใช้อักษรลาว ซึ่งเป็นระบบอักษรสระประกอบ (ระบบการเขียนที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์แทนพยัญชนะและตามด้วยสระที่จะอยู่ด้านหน้า หลัง บน ล่าง ของพยัญชนะ) และสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอักษรไทยລາວ"
] | [
"อักขรวิธีแบบนี้สะกดตามเสียงอ่านเท่านั้น คือ อ่านออกเสียงอย่างไรให้สะกดอย่างนั้น เริ่มใช้ในเขตปลดปล่อยของขบวนการปะเทดลาวก่อน หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว รัฐบาลลาวจึงได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้อักษรลาวสามารถเขียนง่ายอ่านง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดจุดอ่อนหลายอย่าง และทำให้ภาษาลาวเกิดปัญหาการขาดหลักการสะกดคำที่ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง เช่น ได้มีการตัดตัวการันต์ ตัว ร หันลิ้น (ภาษาลาวเรียกว่า ร รถ) ออก ทำให้ไม่สามารถเขียนคำที่มาจากภาษาต่างประเทศและภาษาของชนเผ่าต่าง ๆ ได้ครบถ้วน อักษรลาวระบบนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2518 จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการลาวได้บรรจุตัว ร หันลิ้นกลับมาใช้ใหม่ และมีการใช้ตัวการันต์สำหรับสะกดคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ เช่นคำภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ยกเว้นคำที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต และคำลาวเดิม ยังสะกดตามเสียงอ่านอยู่เหมือนเดิม",
"ภาษาลาวมีตัวอักษรที่ใช้เขียนอยู่สองแบบ คือ อักษรลาว ใช้เขียนเรื่องคดีทางโลกทั่วไป ปัจจุบันรัฐบาลลาวได้ปรับปรุงอักษรลาวเดิมให้ใช้เป็นอักษรราชการ (ในภาคอีสานของไทยยังคงใช้อยู่บ้างในเอกสารโบราณ เรียกชื่อว่า อักษรไทน้อย)",
"อักขรวีธีของอักษรลาวแบบนี้สะกดตามเค้าเดิมของภาษาอย่างเคร่งครัด มีการใช้ตัวสะกดตัวการันต์ เพื่อให้รู้ต้นเค้าของคำว่าเป็นคำภาษาลาวเดิมหรือคำภาษาต่างประเทศ เช่น คำภาษาบาลี-สันสกฤต ซึ่งคล้ายกับระบบการเขียนภาษาไทยในปัจจุบัน ระบบการเขียนแบบนี้เคยใช้ในสมัยที่ประเทศลาวยังไม่มีระบบการเขียนที่แน่นอน ขาดหลักการที่ชัดเจน ใช้ในสมัยที่ลาวยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสจนถึงปี พ.ศ. 2491",
"ภาษามลาบรี(Mlabri) หรือภาษาผีตองเหลือง เป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์มลาบรี ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยและประเทศลาว ภาษามลาบรีเป็นภาษาหนึ่งจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ภาษากลุ่มมอญ-เขมร สาขามอญ-เขมรเหนือ สาขาย่อยขมุ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 สาขาด้วยกัน คือสาขาที่พูดกันในประเทศลาวสาขาหนึ่ง ส่วนอีกสองสาขาพูดกันในประเทศไทย",
"พ.ศ. 2509 ย้ายมารับราชการเป็นอาจารย์ที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร\nเป็นหัวหน้าภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นคนแรกจนเกษียณราชการ ตั้งแต่ภาควิชาเริ่มจัดสอนวิชาเอกภาษาไทย ระดับปริญญาตรี และปริญญาโท สาขาจารึกภาษาไทยและสาขาจารึกภาษาตะวันออก ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาภาษาตะวันออก ตลอดเวลารับราชการที่คณะโบราณคดีเคยดำรงตำแหน่งคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่าง 26 มิถุนายน พ.ศ. 2518 – 3 มีนาคม พ.ศ. 2521 เกษียณอายุราชการ เมื่อ พ.ศ. 2532 \nนอกจากงานราชการแล้ว ยังมีผลงานการเรียบเรียงตำราและแบบเรียนภาษาไทยตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ใช้ในโรงเรียนต่างๆ เป็นจำนวนร้อยกว่าเล่ม",
"มีผู้พูดทั้งสิ้นราว 324 คน พบในประเทศไทย 300 คน (พ.ศ. 2525) ตามแนวชายแดนลาวของจังหวัดพะเยา น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เลย หรืออาจจะมีในจังหวัดอื่น ๆ พูดภาษาลาวได้ด้วย นอกจากนั้นยังเข้าใจภาษาม้งและภาษาไทยถิ่นเหนือ อัตราการรู้หนังสือต่ำ พบในประเทศลาว 24 คน (พ.ศ. 2528) ในแขวงไชยบุรีตามแนวชายแดนไทย ต่างจากภาษาข่าตองเหลืองในลาวซึ่งอยู่ในภาษากลุ่มเวียต-เหมื่องตะวันตก",
"ภาษาลาว () เป็นภาษาที่ใช้เป็นส่วนใหญ่ในประเทศลาว ส่วนอักษรเขียนอย่างเป็นทางการจะใช้อักษรลาว และเป็นภาษาพูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งสื่อสารโดยใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก, ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต, ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และ ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน เป็นต้น",
"ทางการประเทศลาวไม่ได้กำหนดให้สำเนียงถิ่นใดเป็นสำเนียงภาษากลาง แต่การใช้ภาษาลาวอย่างเป็นทางการ เช่น ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศลาว สถานีวิทยุแห่งประเทศลาว จะใช้สำเนียงเวียงจันทน์ซึ่งเป็นสำเนียงของคนเมืองหลวง สามารถเข้าใจกันได้ทั่วประเทศ การเรียนภาษาลาวในประเทศลาวนั้น รัฐบาลลาวไม่ได้บังคับให้ใช้สำเนียงเวียงจันทน์ แต่ให้สามารถใช้สำเนียงท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ แต่การเรียนภาษาลาวสำหรับชาวต่างประเทศ รัฐบาลลาวแนะนำให้ใช้สำเนียงเวียงจันทน์ ฉะนั้นประชาชนในประเทศลาวจึงพูดอ่านภาษาลาวเป็นสำเนียงท้องถิ่นของตน แต่ประชาชนก็สามารถฟังเข้าใจได้ทุกสำเนียงทั่วประเทศ แม้จะพูดภาษาต่างสำเนียงกันก็ตาม",
"กลุ่มภาษาไท หรือ᩵ กลุ่มภาษาไต (; , พินอิน: tái yǔ zhī) เป็นกลุ่มภาษาย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได ประกอบด้วยภาษาไทยในประเทศไทย ภาษาลาวในประเทศลาว ภาษาไทใหญ่ในรัฐฉานของประเทศพม่า และภาษาจ้วง หนึ่งในภาษาหลักของประเทศจีนตอนใต้",
"ลาว () เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ตระกูลภาษาไท-กะได เป็นชนชาติใหญ่ที่สุดและมีจำนวนมากที่สุดในประเทศลาว มีประชากรประมาณ 14 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นเป็นจำนวนร้อยละ 53.2 ส่วนที่อื่น ๆ อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ชาวลาวบางส่วนได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป ชาวลาวส่วนใหญ่ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาที่พูดกันในชีวิตประจำวัน ",
"ภาษาละเม็ต () หรือภาษาขะเม็ต เป็นภาษาที่มีผู้พูดในลาวและไทย มีผู้พูดราว 16,864 คน พบในลาว 16,740 คน (พ.ศ. 2538) ในลาวตะวันตกเฉียงเหนือ หลวงน้ำทา บ่อแก้ว บางส่วนอพยพเข้ามาอยู่ประเทศไทยเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พบในไทย 100 คน ที่จังหวัดลำปางและเชียงราย เป็นภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร สาขาปะหล่อง ชื่อภาษาละเม็ตใช้ในประเทศลาว ในไทยใช้ชื่อภาษาขะเม็ต",
"ภาษาไทยถิ่นอีสาน หรือ ภาษาลาวอีสาน เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นภาษาลาวสำเนียงหนึ่งในสำเนียงภาษาถิ่นของภาษาลาวซึ่งแบ่งเป็น 6 สำเนียงใหญ่ คือ",
"กลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษากลุ่มมอญ-เขมรในลาวได้แก่ \nกลุ่มชนที่พูดภาษาในกลุ่มภาษาปะหล่อง เป็นชนพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อว่าจุดกำเนิดของชนเหล่านี้อยู่ในพม่าใกล้กับแนวชายแดนจีน ชาวปะหล่องมีความสัมพันธุ์ใกล้ชิดกับชาวขมุ โดยเป็นกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกในพม่า กลุ่มชนที่พูดภาษากลุ่มปะหล่องในลาว ได้แก่ \nการอพยพของกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไทจากเขตภูเขาทางเหนือเข้าสู่ดินแดนที่เป็นประเทศลาวในปัจจุบันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ โดยเข้ามาตามที่ราบลุ่มแม่น้ำทางเหนือ เข้ามาอาศัยในที่ราบลุ่ม และเข้ามาแทนที่หรืออยู่ร่วมกับกลุ่มชนที่พูดภาษาในตระกูลออสโตร-เอเชียติก ภาษาและวัฒนธรรมของชาวไทเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นในประเทศไทยและลาวในปัจจุบัน จุดกำเนิดของกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไท-กะไดมีต้นกำเนิดทางตอนใต้ของจีนและมีบรรบุรุษร่วมกับกลุ่มชนที่พูดภาษาออสโตรนีเซียนดั้งเดิม\nกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไท-กะไดในลาวได้แก่ \nชาวม้ง-เมี่ยนอพยพจากจีนเข้าสู่ลาวในช่วงเวลาที่กว้าง ยกเว้นชาวลูเมี่ยนที่อพยพจากจีนเข้าสู่เวียดนามในพุทธศตวรรษที่ 18 แล้วจึงเข้าสู่ลาว จุดกำเนิดของชาวม้งเมี่ยนคาดว่าอยู่ที่ Kweichow ในมณฑลยูนนาน เมื่อราว 2000 ปีที่แล้ว ชาวม้งกลุ่มต่างๆในลาวได้แก่ \nการอพยพของชาวจีนเข้าสู่ลาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายศตวรรษ โดยกลุ่มชาวจีนที่พบมากในลาวมักมาจากทางภาคใต้ของจีน\nกลุ่มชนที่พูดภาษากลุ่มโลโลนี้คาดว่าเป็นลูกหลานของชาวเกวียงโบราณในจีนตะวันตก ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวทิเบต ชาวหน่าซีและชาวเกวียงในปัจจุบัน ชาวโลโลหรือชาวอี้อพยพมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของทิเบตเข้าสู่เสฉวน ยูนนาน บางส่วนเข้าสู่พม่า และมายังลาว",
"ศาสนาหลักของลาวเป็นศาสนาพุทธนิกายเถรวาท การนับถือธรรมชาติเป็นศาสนาของชนเผ่าต่างๆ มีผู้นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามจำนวนหนึ่ง ภาษาราชการและภาษาหลักของประเทศคือภาษาลาว ชาวลาวเทิงและลาวสูงจะใช้ภาษาของเผ่าตนเอง ภาษาฝรั่งเศสเคยใช้มากในสมัยที่เป็นอาณานิคม ตแต่ปัจจุบันกำลังลดลง และใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น ",
"สื่อในประเทศลาวล้วนอยู่ในความดูแลของรัฐโดยตรง รัฐบาลลาวมีสำนักข่าวสารประเทศลาว (ขปล.) เป็นสำนักข่าวแห่งชาติที่เผยแพร่ข่าวของรัฐ ส่วนหนังสือพิมพ์ภาษาลาวที่สำคัญในประเทศได้แก่ หนังสือพิมพ์ประชาชนซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว และหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศอีก 2 ฉบับ คือ หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทมส์ (Vientiane Times) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ และหนังสือพิมพ์ \"เลอเรนอวาเตอร์\" (Le Rénovateur) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศส",
"นอกเหนือจากภาษาไทยแล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น ภาษาจีนโดยเฉพาะสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบางครั้งนิยามว่าภาษาลาวสำเนียงไทย ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ นอกจากนี้ก็มีภาษาอื่นเช่น ภาษากวย ภาษากะยาตะวันออก ภาษาพวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ รวมไปถึงภาษาที่ใช้กันในชนเผ่าภูเขา ประกอบด้วยตระกูลภาษามอญ-เขมร เช่น ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาเวียดนาม และภาษามลาบรี; ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เช่น ภาษาจาม; ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น ภาษาม้ง ภาษากะเหรี่ยง และภาษาไตอื่น ๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาแสก เป็นต้น",
"ส่วนภาษาเขียนในอดีตใช้อักษรธรรมล้านช้างหรือตัวธรรม สำหรับบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะหรือพระพุทธศาสนา และเขียนด้วยอักษรไทน้อยหรือตัวลาวเดิม (เป็นอักษรลาวล้านช้างโบราณ มีความแตกต่างกับอักษรลาวในประเทศลาวในปัจจุบันเล็กน้อย) สำหรับเรื่องราวทางโลก อักษรลาวล้านช้าง (ตัวลาวหรืออักษรไทน้อย) มีพยัญชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือ ในปัจจุบันนิยมใช้อักษรไทยสำหรับเขียนบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งในทางโลกและทางธรรม เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านตัวอักษรธรรมและอักษรลาวออก แต่ความนิยมในการเขียนบันทึกเป็นภาษาถิ่นไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก โดยส่วนใหญ่ภาษาเขียนในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยจะใช้อักษรไทยและบันทึกเป็นภาษาไทยกลางเป็นหลักแทน",
"อักษรไทน้อย หรือประเทศลาวเรียก อักษรลาวเดิม เป็นอักษรที่ใช้เขียนภาษาลาวในสมัยโบราณ (รวมถึงภาษาไทยถิ่นอีสานด้วย) ใช้ในการจารึกเรื่องราวต่างๆในทางโลก อาทิ บันทึกต่างๆ หนังสือราชการ ตำรายา เป็นต้น ส่วนการจดบันทึกที่เป็นทางด้านศาสนา หรือเกี่ยวข้องกับศาสนาจะนิยมบันทึกด้วยอักษรธรรมลาว หรืออักษรธรรมล้านช้าง",
"ภาษาลาวเวียงจันทน์ ใช้ในประเทศลาว ท้องที่นครหลวงเวียงจันทน์ แขวงบอลิคำไซ และในประเทศไทยท้องที่จังหวัดชัยภูมิ หนองบัวลำภู หนองคาย (อำเภอเมืองหนองคาย ศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ โพนพิสัย โพธิ์ตาก สังคม(บางหมู่บ้าน) ) ขอนแก่น (อำเภอภูเวียง ชุมแพ สีชมพู ภูผาม่าน หนองนาคำ เวียงเก่า หนองเรือบางหมู่บ้าน) ยโสธร (อำเภอเมืองยโสธร ทรายมูล กุดชุม บางหมู่บ้าน) อุดรธานี (อำเภอบ้านผือ เพ็ญ บางหมู่บ้าน) ศรีสะเกษ (ในบางหมู่บ้านของอำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอขุขันธ์ และอำเภอขุนหาญ) ภาษาลาวเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงหลวงพระบาง ไชยบุรี อุดมไซ ในประเทศไทยท้องที่จังหวัดเลย อุตรดิตถ์ (อำเภอบ้านโคก น้ำปาด ฟากท่า) เพชรบูรณ์ (อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า น้ำหนาว) ขอนแก่น (อำเภอภูผาม่าน และบางหมู่บ้านของอำเภอสีชมพู ชุมแพ) ชัยภูมิ (อำเภอคอนสาร) พิษณุโลก (อำเภอชาติตระการและนครไทยบางหมู่บ้าน) หนองคาย (อำเภอสังคม) อุดรธานี (อำเภอน้ำโสม นายูง บางหมู่บ้าน) ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงเชียงขวาง หัวพัน ในประเทศไทยท้องที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และบางหมู่บ้านในจังหวัดสกลนคร หนองคาย(บางหมู่บ้านในอำเภอท่าบ่อ อำเภอศรีเชียงใหม่ และอำเภอโพธิ์ตาก) และยังมีชุมชนลาวพวนในภาคเหนือบางแห่งในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้น หนองคาย ภาษาลาวกลาง แยกออกเป็นสำเนียงถิ่น 2 สำเนียงใหญ่ คือ ภาษาลาวกลางถิ่นคำม่วน และถิ่นสุวรรณเขต ถิ่นคำม่วน จังหวัดที่พูดในประเทศไทย เช่น จังหวัดนครพนม สกลนคร บึงกาฬ (อำเภอเซกา บึงโขงหลง บางหมู่บ้าน) ถิ่นสุวรรณเขต จังหวัดที่พูดมีจังหวัดเดียว คือ จังหวัดมุกดาหาร ภาษาลาวใต้ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงจำปาศักดิ์ สาละวัน เซกอง อัตตะปือ จังหวัดที่พูดในประเทศไทย จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร ภาษาลาวตะวันตก (ภาษาลาวร้อยเอ็ด) ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ท้องที่ร้อยเอ็ด อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม หนองคาย(บางหมู่บ้าน) และบริเวณใกล้เคียงมณฑลร้อยเอ็ดของสยาม",
"กลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว แบ่งออกเป็น2ส่วนใหญ่ๆคือ 1.ชาวไทอีสานดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานมานานแล้วไม่ต่ำกว่า300ปี 2.ชาวลาวที่โยกย้ายถิ่นมาจากประเทศลาวหรือฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่1เป็นต้นมา ทั้ง2กลุ่มมีภาษาในการสื่อสารเป็นของตนเองทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ได้แก่อักษรไทยน้อยและอักษรธรรมอีสาน ซึ่งเป็นตัวอักษรที่พัฒนามาจากตัวฝักขามในสมัยสุโขทัยพร้อมกับการเข้ามาของศาสนาพุทธในดินแดนอีสาน สำเนียงภาษาพูดของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไท-ลาว จัดอยู่อยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได โดยชาวไทอีสานดั้งเดิมจะมีสำเนียงพูดเป็นภาษาถิ่นอีสานถิ่นใต้สำเนียงเดียวกับจังหวัดอุบลราชธานี, อำนาจเจริญ และยโสธร ส่วนชาวลาวที่โยกย้ายมาทีหลังจะมี2กลุ่มคือชาวลาวเวียงจันทน์และชาวลาวจำปาศักดิ์ โดยสำเนียงลาวเวียงพบได้มากในตัวอำเภอเมืองศรีสะเกษ, อำเภอขุนหาญ และอำเภอขุขันธ์ ซึ่งเป็นสำเนียงเดียวกับนครหลวงเวียงจันทน์ในประเทศลาว มีลักษณะการพูดเนิบช้าและเหน่อ และภาษาลาวใต้ในแขวงจำปาศักดิ์, ประเทศลาว มีสำเนียงการพูดที่ห้วนสั้น การเข้ามาของชาวลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไม่ทราบปีที่แน่ชัด แต่พบการเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่๓ และรัชกาลที่๕ และยุคสงครามกลางเมืองลาวคอมมิวนิส (พ.ศ. 2496-2518) ในจังหวัดศรีสะเกษมีความแตกต่างจากสำเนียงของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในจังหวัดทางตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากพื้นฐานการพัฒนาและถิ่นฐานเดิมที่แตกต่างกันไป โดยรวมแล้วกลุ่มภาษาไทกะไดในจังหวัดศรีสะเกษถูกแบ่งออกเป็น3สำเนียงคือ ไทอีสาน, ลาวเวียง และลาวใต้ โดยหลอมรวมเป็นวัฒนธรรมไท-ลาวของชาวศรีสะเกษ อย่างไรก็ดีมักเรียกรวมกลุ่มวัฒนธรรมกลุ่มนี้ว่าชาวลาว [3]",
"เจ้าเพชรราช ประสูติ ณ ตำหนักวังหน้า นครหลวงพระบาง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนยี่ แรม 9 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1251 เวลา 11.55 น. ตรงกับวันที่ 19 มกราคม 2443 (ค.ศ.1890) เป็นโอรสองค์ที่ 3 ของเจ้ามหาอุปราชบุญคง ซึ่งสืบตระกูลมาจากเจ้ามหาอุปราชอุ่นแก้วซึ่งเป็นต้นตระกูลเดิม เมื่ออายุได้ 7 ปีกว่าจึงเริ่มเรียนหนังสือลาวและหนังสือสยามและภาษาฝรั่งเศส พร้อมๆกับการติดสอยตามพระบิดาไปตรวจงานหัวเมืองเสมอ ปี พ.ศ. 2442 ผนวชเป็นสามเณรที่วัดธาตุหลวงเรียนภาษาบาลี ปี พ.ศ. 2447 ได้เสด็จไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ที่โรงเรียนโกโลนิยาล (Colonial) ซึ่งเป็นร.ร.ที่ฝรั่งเศสตั้งขึ้นเพื่ออบรมผู้ที่จะไปเป็นข้าราชการปกครองในประเทศหัวเมืองขึ้น ต่อมาเข้าโรงเรียนมัธยมมงเตเยอ แผนกวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ ในระหว่างปิดเทอมได้ข้ามไปพักในอังกฤษ อาศัยอยู่กับมิสเตอร์เลนน อาจารย์สอนดาราศาสตร์จึงทำให้เกิดสนใจในดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ตั้งแต่นั้นมา ต่อมาได้แต่งหลักคำนวณปฏิทินลาวไว้ด้วย พระองค์ศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมเซนต์หลุยส์ถึงปี 2453 เสด็จกลับมาผนวชเป็นพระภิกษุที่วัดหนองสระแก้วตามประเพณี เมื่อลาผนวชแล้ว เข้ารับราชการเป็นผู้ร่างหนังสืออยู่กองคลัง หลวงพระบาง \nพระองค์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงคำแว่น พระพี่นางเธอของเจ้าศรีสว่างวงศ์ ซึ่งตกพุ่มหม้ายและมีอายุมากกว่าหลายปี ทั้งนี้ว่ากันว่าเป็นการประสานรอยร้าวระหว่างราชวงศ์หลวงพระบางสายเจ้ามันธาตุราชกับสายเจ้าอุ่นแก้ว (ตระกูลวังหน้ากับตระกูลวังหลัง) มีพระโอรสและพระธิดา 3 องค์ คือ เจ้าหญิงคำผิว (เสียชีวิต) เจ้าหญิงคำจันทร์ (สามีเป็นชาวฝรั่งเศส) และเจ้าชายสุริยะราช\nขณะรับตำแหน่งผู้ตรวจราชการหัวเมืองลาวที่นครเวียงจันทน์ ได้อนุชายา ชื่อนางศรี (ชาวเวียงจันทน์) บุตรธิดา 2 คน ได้แก่ เจ้าหญิงอรุณา (เจ้านา) เพชรราช และเจ้าชายอุ่นแก้ว (เจ้าแก้ว) เพชรราช (ภายหลังเมื่อสิ้นเจ้าเพชรราชแล้ว ทั้งสองท่านนี้ได้ตามหม่อมอภิณพร รัตนวงศามาอยู่ในเมืองไทย เจ้านาเรียนพยาบาล และเจ้าแก้วรับราชการทหาร)\nพ.ศ. 2489 เมื่อต้องทรงลี้ภัยทางการเมืองเข้ามาอยูในประเทศไทย พร้อมรัฐบาลลาวอิสระและประชาชนเมืองลาวผู้รักอิสรภาพหลายพันคนเป็นเวลานานถึง 11 ปี ขณะพำนักลี้ภัยในประเทศไทย มีคุณอภิณพร ยงใจยุทธเป็นแม่บ้าน ต่อมาได้สมรสกับคุณอภิณพรเปลี่ยนเป็นหม่อมอภิณพร รัตนวงศา (นามสกุล “รัตนวงศา” ทรงตั้งขึ้นเองเมื่ออยู่ในเมืองไทย สืบเนื่องจากพระมหาอุปราชอุ่นแก้วพระปัยกา) หม่อมอภิณพรฯ เป็นกำลังสำคัญของการปฏิบัติการกู้ชาติ ผู้ทำหน้าที่แม่บ้านปกครองดูแลผู้คนจำนวนมาก เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานกับรัฐบาลไทย บริหารการจัดการเงินจัดหาค่าใช้จ่าย เป็นเลขานุการส่วนพระองค์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนพระองค์เจ้าเพชรราช เจรจาการเมืองและ\nเรื่องส่วนพระองค์ ทั้งในและนอกราชอาณาจักรไทย ไปพนมเปญ ไปย่างกุ้ง เพื่อทำความเข้าใจร่วมระหว่างลาวเขมรญวนและพม่าที่ต่างมุ่งล้างอิทธิพลชาวผิวขาวด้วยกัน",
"อักษรลาว เป็นชื่ออักษรที่รัฐบาลลาวรับรองให้ใช้เขียนภาษาลาว ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการในปัจจุบัน มีพัฒนาการมาจากอักษรลาวเดิม (หรือในอีกชื่อหนึ่ง คือ อักษรไทน้อย) ซึ่งเริ่มพัฒนาขึ้นในสมัยราชวงศ์ล้านช้าง เมื่อราว พ.ศ. 1900 โดยได้รับอิทธิพลจากอักษรลาวโบราณสมัยรัชกาลพระเจ้าฟ้างุ้มเป็นต้นมา ซึ่งรับมาจากอักษรมอญและอักษรเขมร (อักษรขอม) อีกต่อหนึ่ง ลักษณะการใช้งานยังคงมีระบบการเขียนคล้ายอักษรไทยโบราณ ที่ไม่ใช้แล้วในอักษรไทยปัจจุบัน เช่น การใช้ไม้กงแทนเสียงสระโอะเมื่อมีตัวสะกด หรือการใช้ตัวเชิงของอักษร ย แทนสระเอียเมื่อมีตัวสะกด เป็นต้น",
"ภาษาลัวะ หรือ ภาษามัล ภาษาไพร ภาษาถิ่น ภาษาปรัย มีผู้พูดทั้งหมด 26,193 คน เป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร สาขาขมุ ผู้พูดภาษานี้ในประเทศไทยอพยพมาจากประเทศลาว ในไทยพบ 3,000–4,000 คน (พ.ศ. 2525) อยู่ทางตะวันออกของอำเภอปัวและอำเภอเชียงคำ จังหวัดน่าน ใกล้กับชายแดนลาว อยู่ในลาว 23,193 คน (พ.ศ. 2538) ในแขวงไชยบุรีทางตะวันตกของแม่น้ำโขง มีสำเนียงต่าง ๆ มากมาย ผู้พูดภาษาลัวะในไทยมีคำยืมจากภาษาไทยที่นำไปใช้แทนคำดั้งเดิมในภาษาลัวะมาก ไม่สามารถเข้าใจกันได้กับภาษาไพ",
"ลาวเทิง (ภาษาลาว: ລາວເທິງ [láːo tʰə́ŋ]) เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการที่ประเทศลาวใช้เรียกประชาชนในลาวที่ไม่ใช่ลาวลุ่มและลาวสูง มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ส่วนใหญ่พูดภาษาในตระกูลออสโตร-เอเชียติก ใน พ.ศ.2536 คิดเป็น 24% ของประชากรลาวทั้งหมด \nลาวเทิงส่วนใหญ่พูดภาษากลุ่มมอญ-เขมรซึ่งเป็นกลุ่มชนที่เชื่อว่าเคยเป็นชนส่วนใหญ่ในแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเข้ามาในบริเวณนี้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตามตำนานน้ำเต้าปุงของลาวที่ชาวลาวเทิงออกมาจากน้ำเต้าก่อน ปัจจุบัน ลาวเทิงอยู่ในพื้นที่สูงของลาว เคยทำนามาก่อน จนเมื่อชาวลาวลุ่มเข้ามาถึงลาว จึงอพยพขึ้นไปอยู่ที่สูงขึ้น\nในลาว กลุ่มลาวเทิงมักถูกเรียกในภาษาลาวว่าข่าหรือข้า (ภาษาลาว: ຂ້າ) แสดงว่กลุ่มชนนี้เคยถูกใช้เป็นแรงงานของชาวลาวลุ่มมาก่อน มาตรฐานการดำรงชีวิตของลาวเทิงค่อนข้างต่ำกว่าลาวกลุ่มอื่น",
"ระบบการเขียนภาษาลาวในปัจจุบันยังขาดเอกภาพ ไม่มีมาตรฐานในการเขียนและการใช้คำศัพท์ เพราะยังไม่มีองค์กรที่มาควบคุมอย่างเป็นทางการ จึงมีลักษณะต่างคนต่างเขียนตามหลักการของตนเอง ทำให้เกิดความสับสนในการเขียนและการใช้คำศัพท์ ส่วนคนลาวที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2518 ก็ยังใช้ภาษาลาวตามแบบที่ 2 ในสมัยที่ยังเป็นราชอาณาจักรลาวอยู่เหมือนเดิม ทำให้เกิดความสับสนระหว่างคนลาวในประเทศกับนอกประเทศ แม้รัฐบาลและประชาชนลาวเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในข้างต้นก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีมาตรการใด ๆ ออกมาแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน แต่ในอนาคตคาดว่ารัฐบาลลาวจะจัดตั้งองค์กรออกมาควบคุมเพื่อให้ระบบการใช้ภาษาลาวเป็นมาตรฐานเดียวกัน",
"ดนตรีของชาวลาวมีเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์คือแคน ในวงดนตรีมีนักร้องเรียกว่าหมอลำและคนเป่าแคนที่เรียกหมอแคน ลำสาละวันเป็นการแสดงที่มีชื่อเสียงของลาว \nภาษาหลักของชาวลาวคือภาษาลาว แม้จะมีภาษาของชนกลุ่มน้อยต่างๆอีกมาในประเทศลาว ภาษาลาวเป็นภาษาที่มีการแสดงถึงระดับความสุภาพในภาษา",
"ส่วนในประเทศลาว นอกจากสำเนียงถิ่นใหญ่แล้วยังมีสำเนียงแตกออกไปอีกหลายสำเนียงย่อย เช่น ภาษาลาวใต้ถิ่นสาละวัน ภาษาลาวกลางถิ่นสุวรรณเขต สำเนียงย่อยถิ่นเมืองอาดสะพังทอง ถิ่นเมืองจำพอน ภาษาเวียงจันทน์ถิ่นเมืองปากงึม ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีผู้พูดภาษาลาวใต้ถิ่นจำปาศักดิ์ในจังหวัดพระวิหาร สตึงแตรง และรัตนคีรีของประเทศกัมพูชาด้วย",
"ภาษาลาวเวียงจันทน์ (เวียงจันทน์ บอลิคำไซ) ภาษาลาวเหนือ (หลวงพระบาง ไชยบุรี อุดมไซ หลวงน้ำทา) ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ (เชียงขวาง หัวพัน) ภาษาลาวกลาง (คำม่วน สุวรรณเขต) ภาษาลาวใต้ (จำปาศักดิ์ สาละวัน เซกอง อัตตะปือ) ภาษาลาวตะวันตก (ไม่มีใช้ในประเทศลาว ร้อยเอ็ด)",
"ในปี พ.ศ. 2556 ประเทศกัมพูชามีประชากร 15,205,539 คน กว่าร้อยละ 90 มีเชื้อสายเขมรและพูดภาษาเขมรอันเป็นภาษาราชการ นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศได้แก่ชาวเวียดนาม ร้อยละ 5 และชาวจีน ร้อยละ 1[18] นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยเชื้อสายไทยในจังหวัดเกาะกง[19][20][21] ชาวจามในจังหวัดกำปงจามและจังหวัดกระแจะ[22] ชาวลาวในจังหวัดรัตนคีรีและจังหวัดสตึงแตรง และชนเผ่าทางตอนเหนือต่อชายแดนประเทศลาวที่เรียกรวม ๆ ว่า แขมรเลอ"
] |
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เกิดที่ไหน ? | [
"พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล หรือ พระองค์ชายใหญ่ (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538) เป็นพระโอรสใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล และเป็นพระอัยกาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเป็นผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับละครและภาพยนตร์ รวมทั้งทรงพระนิพนธ์เรื่องและคำร้องเพลงประกอบหลายเรื่อง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารไทยทนุ เมื่อปี พ.ศ. 2492 อีกทั้งโปรดการสะสมโบราณวัตถุด้วย"
] | [
"ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร (24 กันยายน พ.ศ. 2476) พระนามเดิม หม่อมเจ้าพันธุ์สวลี ยุคล เป็นพระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล เป็นภรรยาของหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร (พระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9) และเป็นพระมารดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ",
"หม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา (สกุลเดิม: ถาวร; 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499) เป็นหม่อมในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล",
"ภานุมา พิพิธโภคา พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงภานุมา ยุคล เป็นพระธิดาองค์เล็กในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ประสูติแด่หม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา และมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา(น้า)ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และหม่อมหลวงสราลี กิติยากร",
"คุณหญิงรังษีนภดล ยุคล (2 ตุลาคม พ.ศ. 2480 - 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560) (นามเดิม: หม่อมเจ้ารังษีนภดล ยุคล) มีนามลำลองคือ ท่านหญิงอ๋อย เป็นพระธิดาองค์เล็กของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล",
"หม่อมบุญล้อม ยุคล ณ อยุธยาหม่อมบุญล้อม ยุคล ณ อยุธยา (เดิม: บุญล้อม นาตระกูล) มีโอรส คือ",
"วันเพ็ญ (2521) - สร้างใหม่ กำกับการแสดงโดย มจ.ฐิติพันธุ์ ยุคล (พระโอรสของพระองค์เจ้าภาณุพันธ์) นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี, นิภาพร นงนุช, มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช, จักรกฤษณ์ พันธุ์ชัย และ วาสนา รัตนงาม เพลงเอกของเก่า ร้องใหม่ โดย สมบัติ เมทะนี",
"หม่อมเจ้านวพรรษ์ (ท่านชายปีใหม่) พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าปีใหม่ ยุคล ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2521 เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ถาวร) เป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ และเป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ",
"ปริม บุนนาคหม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา (เดิม: ปริม บุนนาค) ไม่มีโอรส-ธิดา",
"ร้อยเอก หม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคล (1 มกราคม พ.ศ. 2521) เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา และเป็นพระราชวงศ์ลำดับที่ 18 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทย",
"แม้พระเจ้าเสือจะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำพระทัยปฏิบัติตามพระราชกำหนด จึงตรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตาและนำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้นขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล ต่อมานวลจึงได้บอกเรื่องราวการปลงพระชนม์แก่พระเจ้าเสือให้ทรงทราบหลังจากประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ พันท้ายนรสิงห์ เป็นผลงานนิพนธ์อิงประวัติศาสตร์ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เคยถูกสร้างเป็นละครเวทีของคณะศิวารมณ์ ในปี พ.ศ. 2488 นำแสดงโดย สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ เป็น พันท้ายนรสิงห์, สุพรรณ บูรณะพิมพ์ เป็น นวล, จอก ดอกจันทร์ เป็น พระเจ้าเสือ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงสุด แต่หลังจากในยุคที่ละครเวทีเฟื่องฟู พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลได้ขายกิจการไทยฟิล์มให้กองภาพยนตร์ทหารอากาศ แล้วตั้งคณะละครชื่ออัศวินการละครและเมื่อละครเวทีหมดความนิยม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลก็หันกลับมาสร้างภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่งในนาม อัศวินภาพยนตร์ จึงได้ประกาศสร้างพันท้ายนรสิงห์ฉบับภาพยนตร์แบบอลังการงานสร้างในปี พ.ศ. 2491 ",
"ปริม บุนนาค หรือ หม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา เป็นหม่อมในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล และอดีตนักแสดง",
"หม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยาหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา (เดิม: ไฉไล ถาวร) ได้ลงนามจดทะเบียนสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ภายหลังจากที่หม่อมหลวงสร้อยระย้าถึงแก่อนิจกรรมแล้ว มีพระโอรสธิดา ได้แก่",
"Family of Main Page 16. (=24.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย8. (=12.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว17. (=25.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. (=26.) สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์9. (=13.) สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี19. (=27.) หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์20. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว10. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี21. เจ้าจอมมารดาเอมน้อย5. พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา22. แส้11. เจ้าจอมมารดาจีน23.1. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล24. (=16.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย12. (=8.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว25. (=17.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี6. สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช26. (=18.) สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์13. (=9.) สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี27. (=19.) หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา3. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล28. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)14. เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)29. ท่านผู้หญิงกลิ่น บุนนาค7. หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา30.15. ท่านผู้หญิงอิ่ม สุรวงศ์ไวยวัฒน์31.",
"หม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคลหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล ราชสกุลเดิม สนิทวงศ์ ธิดาหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์ กับนางยี่สุ่น สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (มังกรพันธ์) มีพระโอรสธิดา [2] ได้แก่",
"พันท้ายนรสิงห์ เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2493 ในระบบถ่ายทำฟิล์ม 16 มม. สี สร้างจากบทละครเวทีของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ที่แต่งขึ้นจากเรื่องเกร็ดในพงศาวดารและประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของอัศวินภาพยนตร์ กำกับการแสดงโดย มารุต ถ่ายภาพโดย รัตน์ เปสตันยี อำนวยการสร้างโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล (เสด็จพระองค์ชายใหญ่) นำแสดงโดย ชูชัย พระขรรค์ชัย, สุพรรณ บูรณะพิมพ์, ชั้น แสงเพ็ญ, ถนอม อัครเศรณี และ สมพงษ์ พงษ์มิตร ถ่ายทำในปี พ.ศ. 2491 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2493 ที่ศาลาเฉลิมกรุง ภาพยนตร์ได้รับความนิยมจากประชาชนผู้ชมทั่วประเทศ นับเป็นภาพยนตร์ที่เป็นประวัติการณ์ และมีอิทธิพลต่ออารมณ์และความเชื่อของผู้คนทั่วไปในสังคมไทย ",
"พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล (พระธิดาใน สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ซึ่งเป็นพระโสทรกนิษฐภาดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีพระอนุชา 2 พระองค์ คือ",
"พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล (10 มีนาคม พ.ศ. 2435 - 23 มกราคม พ.ศ. 2500) พระชายาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ และพระองค์เป็นพระธิดาในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช อันประสูติแต่หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา แรกประสูติ คือ หม่อมเจ้าเฉลิมเขตรมงคล ภาณุพันธุ์",
"ทรงได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ประจำปี พ.ศ. 2540 บุคคลยอดเยี่ยมแห่งวงการภาพยนตร์ไทย (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และ สักกะ จารุจินดา)",
"เพลงประกอบละครเวทีเรื่องบ้านทรายทองอีกเพลงหนึ่ง คือเพลง \"หากรู้สักนิด\" ประพันธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล, ทำนองโดย หม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ และ ขับร้องโดย สวลี ผกาพันธ์ เช่นกัน\nคำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล\nทำนอง: หม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์",
"หม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล ท.จ.ว.(ราชสกุลเดิม: สนิทวงศ์; 4 ตุลาคม พ.ศ. 2452 — 28 ธันวาคม พ.ศ. 2527) คุณท่านเป็นหม่อมเอกในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล",
"พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 พระชันษา 85 ปี",
"พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ",
"ในเวลาค่ำพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาสดับพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ ตลอดเวลา 100 วัน โดยสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เสด็จมาเฝ้ารับเสด็จทุกคืนในฐานะพระทายาท อาทิ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาฯ, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร",
"หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ สมรสกับ หม่อมเจ้าพันธุ์สวลี ยุคล (พระธิดาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล) เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2499 มีธิดา 2 คน คือ ",
"พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร หรือ พระองค์ชายกลาง (29 เมษายน พ.ศ. 2456 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2534) เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล มีพระเชษฐา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และ พระอนุชา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ",
"หม่อมเจ้าฐิติพันธุ์ ยุคล ประสูติเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2478 เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กับ หม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล มีพระภคินีและพระขนิษฐาร่วมพระอุทร 3 พระองค์ คือ ",
"พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล มีพระเชษฐาคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และพระอนุชาคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ",
"ทรงจดทะเบียนสมรสกับหม่อมหลวงสร้อยระย้า ยุคล (สนิทวงศ์) และมีหม่อม คือ หม่อมบุญล้อม ยุคล ณ อยุธยา หม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา และหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา โดยมีโอรสธิดาดังนี้",
"4) \"พระองค์เจ้ายก \" คือ หม่อมเจ้าหลานหลวง หรือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหลานหลวง พระโอรสธิดาของ เจ้าฟ้า กับพระมารดา ที่ได้รับการเสกสมรสเป็น<i data-parsoid='{\"dsr\":[9037,9050,2,2]}'>สะใภ้หลวง เป็นการสถาปนายกขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เช่น ราชสกุลจักรพันธ์ุ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าออศคาร์นุทิศ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ เดิม หม่อมเจ้าออศคาร์นุทิศ จักรพันธ์ เป็น หม่อมเจ้าชั้นหลานหลวง(ในสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมีฯ กับ หม่อมราชวงศ์สว่าง จักรพันธุ์) หรือ ราชสกุลภาณุพันธุ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านิพันธ์ภาณุพงศ์ กรมหมื่นภาณุพงศ์พิริยเดช เดิม หม่อมเจ้านิพันธ์ภาณุพงศ์ ภาณุพันธุ์ เป็น หม่อมเจ้าชั้นหลานหลวง(ในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ฯ กับ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา) หรือ ราชสกุลบริพัตร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต เดิม หม่อมเจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร บริพัตร เป็นหม่อมเจ้าชั้นหลานหลวง(ในสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯ กับ หม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร) หรือ ราชสกุลยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เดิม พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล (ในสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลฯ กับ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล) และได้ทรงประกาศให้ยกพระโอรสธิดาของ \"พระองค์เจ้ายก\" เหล่านี้เป็นหม่อมเจ้าอีกด้วย"
] |
ใครเป็นผู้แต่งเนื้อร้องเพลงชาติไทย? | [
"เพลงชาติไทย เป็นชื่อเพลงชาติของสยามและประเทศไทย ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 คำร้องฉบับแรกสุดโดยขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องอีกหลายครั้งและได้เปลี่ยนมาใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2482"
] | [
"คีตกวีหรือนักแต่งเพลงไทยเดิม จะแต่งทำนองขึ้นก่อนแล้วจึงตั้งชื่อเพลงนั้น สำหรับเนื้อร้องบางครั้งจะเอาเนื้อร้องจากคำประพันธ์ที่ไพเราะในวรรณคดีต่างๆ เช่นจากพระอภัยมณี พระลอ ขุนช้างขุนแผน ฯลฯ มาใส่ การแต่งเพลงขึ้นตอนแรกจะมีจังหวะปานกลาง แต่บางครั้งก็เอาทำนองนั้นไปขยายให้ยาวขึ้นและยุบทำนองให้สั้นลง แล้วนำมาบรรเลงติดต่อกันโดยเริ่มทำนองขยายก่อนด้วยจังหวะช้าเรียกว่าจังหวะ 3 ชั้น ต่อด้วยทำนองเดิมจังหวะปานกลางเรียกว่า 2 ชั้น และต่อด้วยทำนองที่ยุบให้สั้นลงด้วยจังหวะเร็วเรียกว่า ชั้นเดียว ซึ่งเรียกว่า เพลงเถา ถ้านำไปบรรเลงเพียงจังหวะเดียวเรียกเพลงเกร็ด และนำเพลงเกร็ดหลายๆ เพลงที่มีอัตราจังหวะเดียวกันมาบรรเลงติดต่อกันเรียกว่า เพลงตับ",
"ส่วนเนื้อร้องของเพลงชาตินั้น คณะผู้ก่อการได้ทาบทามให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้ประพันธ์ โดยคำร้องที่แต่ขึ้นนั้นมีความยาว 2 บท สันนิษฐานว่าเสร็จอย่างช้าก่อนวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคันพบโน้ตเพลงพร้อมเนื้อร้องซึ่งตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวันที่ตีพิมพ์ในวันดังกล่าว[3] แม้เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นเพลงชาติ และมีการจดจำต่อๆ กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน ดังปรากฏว่า มีการคัดลอกเนื้อเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราส่งเข้าประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่งด้วย[4]",
"จุดเริ่มต้นของวงเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2556 ด้วยการนำเพลงสากลที่มีชื่อว่า \"Empire State of Mind\" ของ Alicia Keys มาขับร้องในแบบฉบับของตัวเอง คำว่า Jelly Rocket มีที่มาจากการที่สมาชิกในวงชอบทานไอศกรีม เริ่มมีผลงานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2557 จากเพลง \"How Long\" เป็นเพลงที่แต่งโดยภัค พูดถึงการคิดถึงใครสักคนและไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน โดยแต่งเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะเห็นว่าการเขียนเพลงเป็นภาษาไทยค่อนข้างยากในเรื่องของวรรณยุกต์และสระ เพลงนี้ถูกนำมาเป็นเพลงประกอบโฆษณาที่ชื่อว่า \"Lalin\" ต่อมาได้ปล่อยเพลงที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาไทย ชื่อเพลง \"ลืม\" จากนั้นได้ปล่อยเพลงออกมาเรื่อยๆ เช่น \"อิ่มใจ,\" \"เจ้าเหมียว, Under the Mistletoe\" เป็นเพลงประกอบโฆษณาของขวัญ The Gift",
"ในปี พ.ศ. 2559 ช่วงปลายเดือนเมษายน เปิดตัวเพลงแรก คือ \"หากค่ำคืน\" ในชื่อโปรเจ็กต์ \"Showroom 3\" เป็นเพลงที่แต่งโดย \"มิ้นท์\" ธิติรัตน์ โรจน์แสงรัตน์ โดยเริ่มแต่งทำนองจากการเล่นอูคูเลเล่ จากนั้นจึงแต่งเนื้อร้อง นอกจากนี้ \"นะ\" รัตน จันทร์ประสิทธิ์ นักร้องนำวง Polycat ยังมีส่วนช่วยในการเรียบเรียงเนื้อเพลงให้มีความสมบูรณ์ เพลงนี้เป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกเหงา คิดถึงคนรักหรือใครบางคน แต่ไม่ถึงกับเศร้า เป็นเพลงที่มีเสียงของซินธิไซเซอร์หรือเครื่องดนตรีสังเคราะห์ผสมอยู่ จึงเป็นเพลงที่มีความสนุกสนาน ",
"เนื้อร้องของเพลงคิมิงะโยะนั้น เดิมเป็นบทกลอนยุคเฮอังที่ไม่ทราบว่าผู้ใดแต่งไว้ ปรากฏอยู่ในหนังสือโคะคินวะกะชู หรือ \"ประชุมบทร้อยกรองแบบวะกะ\" ในความเป็นจริงอาจกล่าวได้ว่า ผู้แต่งกวีบทนี้อาจเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในเวลานั้น แต่ชื่อของเขาไม่ได้รับการบรรจุไว้ในหนังสือดังกล่าว เพราะกวีผู้นั้นอาจมีฐานะทางสังคมที่ตำก็ได้ เพราะกวีในยุคนั้นมักจะไม่ใช่ชนชั้นสามัญชน บทกวีคิมิงะโยะนี้ปรากฏอยู่ในประชุมบทร้อยกรองหลายฉบับ และใช้ในยุคต่อ ๆ มาในลักษณะของเพลงเฉลิมแลองของผู้คนในสังคมชั้นสูง ทั้งนี้ ตอนต้นของบทกวีดังกล่าวมีเนื้อหาต่างจากที่ใช้เป็นเพลงชาติในปัจจุบัน โดยฉบับเดิมจะขึ้นต้นว่า \"วะ งะ คิมิ วะ\" (\"Wa ga Kimi wa\", \"ท่านผู้เป็นนายแห่งข้า\") เนื้อร้องของเพลงนี้ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185 - 1333) เป็น \"คิมิ งะ โยะ\" (แปลตามตัวคือ \"สมัยแห่งท่าน\") ดังที่รู้จักกันทุกวันนี้",
"ข้าพเจ้าผาดโผนโจนทะยานลงมาลุยวงการเพลงแบบ บินเดี่ยว ไม่ต้องมีใครใส่ทำนองให้ ไม่ต้องมีใครแต่งเนื้อร้องให้ ข้าพเจ้าเหมาคนเดียวหมด ...",
"\"ให้รักมันโตในใจ\" เป็นเพลงประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง \"ธรณีนี่นี้ใครครอง\" ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ขับร้องโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ ประพันธ์เนื้อร้องโดย ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ แต่งทำนองและเรียบเรียงโดย จักรกฤษณ์ มัฆนาโส นอกจากนี้ในอัลบั้มเพลงประกอบละครยังมี Original Score รูปแบบ Hum Acoustic ของเพลงนี้อีกด้วย",
"การประกวดเพลงชาติครั้งนี้ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีกวีและผู้มีชื่อเสียงในทางการประพันธ์เพลงหลายท่าน เช่น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี แก้ว อัจฉริยะกุล ชิต บุรทัต เป็นต้น ซึ่งรวมถึงผู้ประพันธ์เนื้อเพลงชาติสองฉบับแรก (ขุนวิจิตรมาตรา และฉันท์ ขำวิไล) ได้ส่งเนื้อร้องของตนเองเข้าประกวดด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการตัดสินครั้งนั้น เฉพาะเนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราแต่งใหม่นั้น ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า \"ไทย\" ถึง 12 ครั้ง[note 1]",
"อัลบั้มชุดนี้มีบทเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือเพลง \"หลวงพ่อคูณ\" ซึ่งได้ พยัพ คำพันธุ์ เซียนพระมือหนึ่งของไทย มาร่วมแต่งเพลง \nนอกจากนี้ ยังมีเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อสดุดีบุคคลสำคัญอีกสองท่าน ได้แก่ \"20 ปี คาราวาน\" โดยนำทำนองเพลง เซิ้งอีสาน ของวงดนตรีเพื่อชีวิต คาราวาน มาดัดแปลง เนื้อร้องกล่าวถึงประวัติการเดินทางของวงคาราวาน และเพลง \"จ่าง แซ่ตั้ง\" เพื่อรำลึกถึงศิลปิน นักเขียนบทกวีรูปธรรม และจิตรกรภาพวาดนามธรรมคนแรกของไทย โดยแอ๊ดรับหน้าที่ร้องนำเกือบทั้งหมด ",
"ในไต้หวันใช้ทำนองเพลงนี้ในวันจบการศึกษาและในงานศพ ในญี่ปุ่นมีผู้แปลงเป็นเพลงชื่อ Hotaru no Hikari (แสงหิ่งห้อย) ใช้ในงานพิธีจบการศึกษาเช่นกัน นอกจากนั้นปราชญ์วรรณกรรมชาวอินเดีย รพินทรนารถ ฐากูร นำทำนองมาแต่งเป็น \"About the Old Days\" สำหรับในประเทศไทย มีการนำเพลง \"ออลด์แลงไซน์\" มาใส่เนื้อร้องภาษาไทย ใช้ชื่อเพลงว่า \"สามัคคีชุมนุม\" ผู้ประพันธ์เนื้อร้องเป็นภาษาไทยคือ เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี",
"เพลงนี้แต่งขึ้นโดยมีต้นเค้าจากเพลงชื่อเดียวกันซึ่งประพันธ์ไว้เมื่อปี พ.ศ. 2499 โดยแชมชี คาลดายาคอฟ (Шәмші Қалдаяқов, Shamshi Kaldayakov) เป็นผู้ประพันธ์ทำนอง ส่วนเนื้อร้องแต่งโดยชูเมเคน แนชีเมเดนอฟ (Жұмекен Нәжімеденов, Zhumeken Nazhimedenov) ภายหลังนายนูร์ซุลตัน นาซาร์บายิฟ (Nursultan Nazarbayev) ประธานาธิบดีแห่งคาซัคสถาน ได้แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องบางส่วน ก่อนที่จะมีการประกาศใช้เพลงนี้เป็นเพลงชาติคาซัคสถานอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2549",
"เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎร์ได้ประกาศใช้เพลงชาติมหาชัย ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ เมื่อแรกๆ นั้น ได้ใช้คำร้องของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ประพันธ์ เป็นเพลงชาติไทยฉบับที่ห้า ใช้\"ระหว่างปี พ.ศ. 2475-2477",
"เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศใช้เพลงชาติมหาชัย ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเพลงชาติอยู่ 7 วัน (ใช้ชั่วคราว ระหว่างรอพระเจนดุริยางค์แต่งเพลงชาติใหม่) แต่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี",
"เพลงนี้ยังมิได้มีการแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษจนถึงปี พ.ศ. 2495 ในขณะที่เพลง \"ก็อดเซฟเดอะควีน\" ยังคงมีสถานะเป็นเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมีของแอฟริกาใต้จนถึงปี พ.ศ. 2500 บทประพันธ์เนื้อร้องเดิมมีทั้งหมด 3 บท แต่ทางรัฐบาลได้ขอให้ผู้แต่งเพิ่มเนื้อร้องของบทที่ 4 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาเข้าไป",
"รำวงมาตรฐาน ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด ๑๐ เพลง กรมศิลปากรแต่งเนื้อร้องจำนวน ๔ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม แต่งเนื้อร้องเพิ่มอีก ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงบูชานักรบ เพลงยอดชายใจหาญ ส่วนทำนองเพลงทั้ง ๑๐ เพลง กรมศิลปากร และกรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้แต่ง\nจากการสัมภาษณ์นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ สาชาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ อธิบายว่า ท่ารำเพลงรำวงมาตรฐานประดิษฐ์ท่ารำโดย นางลมุล ยมะคุปต์ นางมัลลี คงประภัศร์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป์ ส่วนผู้คิดประดิษฐ์จังหวะเท้าของเพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ คือนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสังคีตศิลป ปัจจุบันคือ วิทยาลัยนาฏศิลป ปีพ.ศ. ๒๔๘๕ – ๒๔๘๖ เมื่อปรับปรุงแบบแผนการเล่นรำโทนให้มีมาตรฐาน และมีความเหมาะสม จึงมีการเปลี่ยนแปลงชื่อจากรำโทนเป็น “รำวงมาตรฐาน” อันมีลักษณะการแสดงที่เป็นการรำร่วมกันระหว่างหญิง-ชายเป็นคู่ ๆ เคลื่อนย้ายเวียนไปเป็นวงกลม มีเพลงร้องที่แต่งทำนองขึ้นใหม่ มีการใช้ทั้งวงปี่พาทย์บรรเลงเพลงประกอบ และบางเพลงก็ใช้วงดนตรีสากลบรรเลงเพลงประกอบ ซึ่งเพลงร้องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้ง ๑๐ เพลง",
"ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) (7 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2523) ผู้สร้างหนัง ผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ผู้ประพันธ์เพลงต่างๆ หลายเพลง ซึ่งรวมถึงเนื้อร้องเพลงชาติไทยฉบับแรกสุดในปี พ.ศ. 2475 และเป็นผู้แต่งหนังสือต่างๆ หลายเรื่อง เช่น หลักไทย ภูมิศาสตร์สุนทรภู่ เป็นต้น นับได้ว่าเป็นนักคิด นักค้นคว้า และนักเขียนสำคัญคนหนึ่งของ ยุครัตนโกสินทร์",
"ในปี พ.ศ. 2482 \"ประเทศสยาม\" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"ประเทศไทย\" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า \"ไทย\" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482[9] และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน",
"การประกวดแต่งเพลงชาติไทยในครั้งนั้น มีผู้ส่งบทเนื้อร้องเข้าประกวดเป็นจำนวนมาก ในที่สุดคณะกรรมการได้คัดเลือกบทเนื้อร้องของ พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เสนอให้คณะรัฐมนตรีวินิจฉัย ที่ประชุมปรึกษาพิจารณาแล้วลงมติรับบทเพลงนั้น โดยแก้ไขไปบ้างตามความเหมาะสม",
"ประพันธ์ด้วยทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ ใช้เป็นเพลงชาติไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 (ในลักษณะไม่เป็นทางการ) โดยช่วงแรกใช้คำร้องที่ประพันธ์โดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้จัดการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติ และประกาศรับรองเนื้อร้องที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่โดยขุนวิจิตรมาตรา และเนื้อร้องที่แต่งโดยนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นฉบับที่ชนะการประกวด เป็นเนื้อร้องเพลงชาติฉบับทางราชการ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477",
"รูม 39 มีซิงเกิลแรกคือ \"หน่วง\" ซึ่งได้บอย โกสิยพงษ์ ร่วมแต่งเนื้อร้อง และสุธี แสงเสรีชน เป็นผู้ผลิต แม้ว่าในตอนแรกนั้น ซิงเกิลแรกของพวกเขาที่จะปล่อยออกสู่สาธารณชน คือ \"รักใครไม่ได้อีก\" แต่ในภายหลัง ก็ได้มีการแต่งเนื้อร้องและทำนองเพลง \"หน่วง\" ขึ้นมา และก็ได้เลือกเพลง \"หน่วง\" ให้เป็นซิงเกิลแรกของรูม 39",
"เพลงนี้ไม่ปรากฏว่าผู้ใดแต่งทำนองและเนื้อร้อง แต่คาดเดากันว่านายพอลพต ผู้นำของเขมรแดงที่ชาวโลกรู้จักกันดี น่าจะมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงนี้ด้วย รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยได้รับรองให้เพลงสิบเจ็ดเมษามหาโชคชัยเป็นเพลงชาติ ตามมาตรา 18 ของรัฐธรรมนูญแห่งประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย ลงวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2519 ",
"ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) คำร้อง: ขุนวิจิตรมาตรา (บทที่ 1 และบทที่ 2) แต่งเมื่อ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) คำร้อง: ฉันท์ ขำวิไล (บทที่ 3 และบทที่ 4) แต่งเมื่อ พ.ศ. 2477 ประกาศใช้เพิ่มเติมจากเนื้อร้องเดิมในปีเดียวกัน แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตต์แดนสง่า สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา รวมรักษาสามัคคีทวีไทย บางสมัยศัตรูจู่โจมตี ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่ เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไท สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา อันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า เอกราษฎร์คือเจดีย์ที่เราบูชา เราจะสามัคคีร่วมมีใจ รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้ เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย สถาปนาสยามให้เทอดไทยไชโย เหล่าเราทั้งหลายขอน้อมกายถวายชีวิต รักษาสิทธิ์อิสสระณแดนสยาม ที่พ่อแม่สู้ยอมม้วยด้วยพยายาม ปราบเสี้ยนหนามให้พินาศสืบชาติมา แม้ถึงภัยไทยด้อยจนย่อยยับ[note 2] ยังกู้กลับคงคืนได้ชื่นหน้า ควรแก่นามงามสุดอยุธยา นั้นมิใช่ว่าจะขัดสนหมดคนดี เหล่าเราทั้งหลายเลือดและเนื้อเชื้อชาติไทย มิให้ใครเข้าเหยียบย่ำขยำขยี้ ประคับประคองป้องสิทธิ์อิสสระเสรี เมื่อภัยมีช่วยกันจนวันตาย จะสิ้นชีพไว้ชื่อให้ลือลั่น ว่าไทยมั่นรักชาติไม่ขาดสาย มีไมตรีดียิ่งทั้งหญิงทั้งชาย สยามมิวายผู้มุ่งหมายเชิดชัยไชโย",
"แต่กระนั้น เพลงชาติไทยเพลงนี้ก็ไม่ได้รับการรับรอง จนกระทั่ง พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการเรื่องเพลงชาติ โดยในที่สุดได้เลือกทำนองเพลงชาติแบบสากลของ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) จากนั้นมา การประกวดคัดเลือกเนื้อร้องโดยคณะกรรมการตัดสินให้ใช้เนื้อร้องของ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ที่แต่งไว้เดิม และเนื้อร้องที่ประพันธ์โดย นายฉันท์ ขำวิไล โดยที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ประธานคณะกรรมการ ได้ขอแก้ไขถ้อยคำบางแห่งของขุนวิจิตรมาตรา เป็นดังนี้",
"เพลงชาติสหพันธรัฐรัสเซีย () หรือ เพลงสรรเสริญสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นชื่อของเพลงชาติอย่างเป็นทางการของรัสเซีย องค์ประกอบทางดนตรีและเนื้อร้องของเพลงได้รับดัดแปลงมาจากเพลงชาติสหภาพโซเวียต ประพันธ์โดย อเล็กซันเดอร์ อเล็กซันดรอฟ และผู้แต่งบทร้อง เซียร์เกย์ มิฮัลคอฟ และกาบรีล เอล-เรกิสตัน เพลงชาติโซเวียตใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 1944 โดยแทน \"แองเตอร์นาซิอองนาล\" ด้วยเพลงที่เน้นรัสเซียเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เพลงชาติดังกล่าวถูกแก้ไขใน ค.ศ. 1956 เพื่อลบเนื้อร้องที่อ้างถึงอดีตผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน เพลงดังกล่าวถูกแก้ไขอีกครั้งใน ค.ศ. 1977 เพื่อนำเนื้อร้องใหม่ที่เขียนโดยมิฮัลคอฟ",
"ออย์ซีเยทลามัยสกาซอรอ (มอนเตเนโกร: Ој, свијетла мајска зоро, แปลว่า \"โอ้ รุ่งสางอันสว่างไสวแห่งเดือนพฤษภา\") เป็นชื่อเพลงชาติอย่างเป็นทางการของประเทศมอนเตเนโกร เพลงนี้เดิมเป็นเพลงพื้นเมืองที่ชาวมอนเตเนโกรนิยมขับร้องทั่วไปในลักษณะของเพลงประจำชาติ ซึ่งมีการแต่งเติมเสริมแต่งออกไปหลายรูปแบบและไม่มีใครทราบชัดเจนว่าผู้ใดเป็นผู้เริ่มแต่งเพลงนี้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เซกูลา เดรลเยวิช (Sekula Drljević) นักการเมืองฟาสซิสต์ชาวมอนเตเนโกรได้ประกาศใช้เพลงนี้เป็นเพลงชาติของรัฐบาลฟาสซิสต์หุ่นเชิดของมอนเตรเนโกรในชื่อเพลงว่า \"เยชนานาชาเซอร์นากอรอ\" (แปลว่า มอนเตเนโกรจงเจริญชั่วกาลนาน) ซึ่งเพลงนี้ได้มีการวิจารณ์ด้วยว่า เนื้อร้องในบทเพลงฉบับดังกล่าวนั้นได้รับอิทธิพลมาจากเพลงเพลงหนึ่งของพรรคนาซี แต่เนื้อร้องที่ใช้ในปัจจุบันนนี้เป็นเนื้องร้องที่มีการประพันธ์ขึ้นใหม่ภายหลัง",
"ชูมี มาริตซา (, \"Shumi Maritsa\") เป็นชื่อเพลงชาติเพลงแรกของบัลแกเรีย ซึ่งใช้ในสมัยที่ประเทศนี้ยังเป็นราชอาณาจักรระหว่างปี พ.ศ. 2429 - พ.ศ. 2487 เนื้อร้องของเพลงนี้เดิมเป็นผลงานการประพันธ์ของนิโคลาร์ ซิฟคอฟ ครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเวเลส (ปัจจุบันอยู่ในประเทศมาซิโดเนีย) ต่อมาได้มีการแก้ไขมาหลายครั้ง แต่เนื้อร้องซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปเป็นผลงานของกวีชื่อ อีวาน วาซอฟ ซึ่งเป็นผู้แต่งทำนองของเพลงนี้ เนื้อร้องดังกล่าวแต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2455",
"พ.ศ. 2557 ได้แต่งเพลง คืนความสุขให้ประเทศไทย เพื่อสื่อความหมายจากใจที่ต้องการคืนความสุขให้ประชาชน โดยมอบให้วิเชียร ตันติพิมลพันธุ์ นักแต่งเพลงประกอบละครชื่อดัง เป็นผู้เรียบเรียงเนื้อร้องประกอบทำนอง และขับร้องโดยกองดุริยางค์ทหารบก ได้เผยแพร่เป็นครั้งแรกในรายการใต้ร่มธงไทย ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก เมื่อ 6 มิถุนายน 2557 ความยาว 4 นาที[95] พ.ศ. 2558 ได้แต่งเพลง เพราะเธอคือ...ประเทศไทย เป็นของขวัญในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2559[96]โดยมอบให้วิเชียร ตันติพิมลพันธุ์ นักแต่งเพลงประกอบละครชื่อดัง เป็นผู้เรียบเรียงเนื้อร้อง ทำนองและเรียบเรียงมี พันตรี สุระชัย ถวิลไพร ขับร้องโดย จ่าสิบเอก พงศธร พอจิต ซึ่งเป็นผู้ขับร้องเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย มาขับร้องเพลงนี้ ได้เผยแพร่เป็นครั้งแรกให้สื่อมวลชนฟังระหว่างรอการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 ความยาว 4 นาที[97][98] พ.ศ. 2559 ได้แต่งเพลง ความหวังความศรัทธา โดยมีจุดมุ่งหมายถึง ความหวังความศรัทธาที่จะสามารถสร้างพลังยิ่งใหญ่ได้ แต่คนไทยทั้งชาติจะต้องร่วมมือร่วมใจ และรวมพลังของความเป็นไทยอย่างไม่ท้อแท้เพื่อไปสู่เป้าหมาย โดยมอบให้พันตรี สุระชัย ถวิลไพร เป็นผู้เรียบเรียงและทำนอง และมี จ่าสิบเอก พงศธร พอจิต เป็นผู้ขับร้อง[99][100] พ.ศ. 2560 ได้แต่งเพลง สะพาน โดยมีจุดมุ่งหมายถึง คณะรัฐมนตรี ข้าราชการทหาร ตำรวจและประชาชนที่จะต้องเป็นสะพานก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามสิ่งเก่า ๆ ที่ไม่ได้พัฒนาไปสู่สิ่งที่พัฒนาเพื่อปฏิรูปประเทศ ฉะนั้นทุกคนต้องร่วมมือร่วมกัน สะพานจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ถ้าทุกคนยังวนเวียนอยู่กับเรื่องความขัดแย้งเดิม และความคิดเดิม[101][102] พ.ศ. 2561",
"แต่งเพลงชาติไทย วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นวันที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย หลังจากนั้นไม่นานได้มีการแต่งเพลงชาติขึ้น เพลงชาติเพลงแรกใช้ทำนองเพลงมหาชัยโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นผู้แต่งเนื้อร้อง ต่อมา น.ต. หลวงนิเทศกลกิจ ร.น. (กลาง โรจนเสนา) ได้ขอให้พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร) แต่งทำนองเพลงชาติแบบสากล และขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) แต่งเนื้อร้องขึ้นต้นว่า “แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า”",
"ก่อนที่เพลงนี้จะได้ใช้เป็นเพลงชาติสหภาพโซเวียต ทำนองของเพลงนี้เคยถูกใช้ในงานหลายชิ้นของอเล็กซานดรอฟ ครั้งแรกได้ใช้เป็นเพลงประจำพรรคบอลเชวิคใน ค.ศ. 1938 (พ.ศ. 2481) และเมื่อ องค์การคอมมิวนิสต์สากล หรือโคมินเทิร์นสลายตัวไปในปี ค.ศ. 1943 (พ.ศ. 2486) ผู้นำประเทศมองว่าเพลงชาติใหม่ของสหภาพโซเวียต สมควรเข้ามาแทนที่เพลง L'Internationale ซึ่งตามประวัติแล้วเกี่ยวข้องกับขบวนการคอมมิวนิสต์สากลมากกว่า โจเซฟ สตาลิน ผู้นำประเทศในยุคนั้นจึงตัดสินใจเลือกเอาทำนองที่อเล็กซานดรอฟประพันธ์ มาใช้เป็นทำนองเพลงชาติฉบับใหม่ ส่วนคำร้องที่ร่วมประพันธ์โดย มิคาลกอฟ และ แอล. เรจิสตาน ได้แต่งเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1943 (พ.ศ. 2486) สตาลินได้ให้การรับรองเป็นเนื้อร้องเพลงชาติในปีถัดมา โดยมีข้อมูลว่าสตาลินได้ปรับเปลี่ยนบางส่วนของเนื้อร้องเองด้วย เพลงนี้มีเนื้อหากล่าวถึงแนวคิดของเลนิน และสัมพันธภาพที่แบ่งแยกไม่ได้ของรัฐที่เข้าร่วมในสหภาพโซเวียต"
] |
ดาวเคราะห์ดวงใดที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด? | [
"ดาวเคราะห์ชั้นเอกทั้ง 8 ดวงในระบบสุริยะ เรียงลำดับจากใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดออกไป มีดังนี้คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน"
] | [
"ในสมัยปัจจุบัน จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของโลกเกิดขึ้นประมาณวันที่ 3 มกราคม และจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดเกิดขึ้นประมาณวันที่ 4 กรกฎาคม สองวันนี้เปลี่ยนแปลงตลอดอันเนื่องมาจากการหมุนควงและปัจจัยของวงโคจรอย่างอื่น ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนเป็นรอบ ๆ เรียก วัฏจักรมิลานโควิตช์ การเปลี่ยนแปลงระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ทำให้พลังงานจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกเพิ่มขึ้น ณ จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเทียบกับจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดประมาณร้อยละ 6.9[n 15] เพราะซีกโลกใต้มีการเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ในเวลาใกล้เคียงกันกับตำแหน่งที่โลกเดินทางเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ซีกโลกใต้จึงได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากกว่าที่ซีกโลกเหนือได้รับเล็กน้อยตลอดช่วงเวลาของปี ผลที่เป็นอยู่นี้มีนัยสำคัญน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงพลังงานอันเนื่องมาจากความเอียงของแกนอยู่มาก และส่วนใหญ่ของพลังงานส่วนเกินที่ได้รับมาจะถูกดูดซับไปโดยน้ำอันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของซีกโลกใต้[166]",
"มีดาวฤกษ์อยู่ค่อนข้างน้อยในช่วงระยะ 10 ปีแสง (ประมาณ 95 ล้านล้านกิโลเมตร) จากดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือระบบดาวสามดวง แอลฟาคนครึ่งม้า ซึ่งอยู่ห่างออกไป 4.4 ปีแสง แอลฟาคนครึ่งม้า เอ และ บี เป็นดาวคู่ที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ มีดาวแคระแดงขนาดเล็กชื่อ แอลฟาคนครึ่งม้า ซี (หรือดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้า) โคจรรอบดาวคู่ทั้งสองนั้นที่ระยะห่าง 0.2 ปีแสง ดาวฤกษ์อื่นที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ในลำดับถัดออกไปได้แก่ดาวแคระแดงบาร์นาร์ด (5.9 ปีแสง) ดาววูลฟ์ 359 (7.8 ปีแสง) และ ดาวลาลังเดอ 21185 (8.3 ปีแสง) ดาวฤกษ์ดวงใหญ่ที่สุดในระยะ 10 ปีแสงจากดวงอาทิตย์ได้แก่ ดาวซิริอุส เป็นดาวฤกษ์สว่างบนแถบลำดับหลักที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ราว 2 เท่า มีดาวแคระขาวชื่อ ซิริอุส บี โคจรอยู่รอบ ๆ ห่างจากดวงอาทิตย์ของเราไป 8.6 ปีแสง ระบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในระยะ 10 ปีแสงได้แก่ ระบบดาวแคระแดงคู่ ลูยเทน 726-8 (8.7 ปีแสง) ดาวแคระแดงเดี่ยว รอส 154 (9.7 ปีแสง) [101] สำหรับดาวฤกษ์เดี่ยวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ เทาวาฬ อยู่ห่างออกไป 11.9 ปีแสง มันมีมวลประมาณ 80% ของมวลดวงอาทิตย์ แต่มีความส่องสว่างเพียง 60% ของดวงอาทิตย์เท่านั้น[102] ดาวเคราะห์นอกระบบที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่รู้จัก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ในระบบดาวของ เอปไซลอนแม่น้ำ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่ค่อนข้างหรี่จางและมีสีแดงกว่าดวงอาทิตย์ อยู่ห่างออกไป 10.5 ปีแสง มีดาวเคราะห์ในระบบที่ได้รับการยืนยันแล้ว 1 ดวง คือ เอปไซลอนแม่น้ำ บี มีขนาดราว 1.5 เท่าของมวลของดาวพฤหัสบดี คาบโคจรรอบดาวฤกษ์แม่ของมันใช้เวลา 6.9 ปี[103]",
"ยิ่งดาวเคราะห์ใกล้โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากขึ้น เช่น ซีรีส และดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่อีก 2 ดวง มีแนวโน้มที่ความหนาแน่นของดาวจะยิ่งน้อยลง",
"90377 เซดนา (525.86 AU โดยเฉลี่ย) เป็นวัตถุขนาดใหญ่คล้ายดาวพลูโต มีสีแดง และมีวงโคจรวงรีขนาดใหญ่มากที่มีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 76 AU ส่วนจุดไกลที่สุดอยู่ที่ 928 AU ใช้เวลาในการโคจรรอบละ 12,050 ปี ไมเคิล อี. บราวน์ เป็นผู้ค้นพบดาวนี้เมื่อปี ค.ศ. 2003 เขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นสมาชิกทั้งของแถบหินกระจายหรือแถบไคเปอร์ เพราะจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดยังอยู่ห่างเกินกว่าจะเป็นวัตถุที่ถูกดีดออกมาด้วยแรงโน้มถ่วงของดาวเนปจูน เขากับนักดาราศาสตร์คนอื่น ๆ เห็นว่ามันน่าจะเป็นวัตถุชิ้นแรกในกลุ่มประชากรใหม่ของระบบ ซึ่งน่าจะรวมถึง 2000 CR105 ซึ่งมีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 45 AU และจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 415 AU มีรอบการโคจร 3,420 ปี[90] บราวน์เรียกประชากรใหม่ของระบบเหล่านี้ว่า \"เมฆออร์ตกลุ่มใน\" เพราะมันอาจมีลักษณะเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าก็ตาม[91] มีความเป็นไปได้ที่เซดนาจะเป็นดาวเคราะห์แคระ แม้จะยังต้องพิสูจน์ถึงสัณฐานของมันเสียก่อน",
"คาบการโคจรของดาวหางมีความยาวนานแตกต่างกันได้หลายแบบ ตั้งแต่คาบโคจรเพียงไม่กี่ปี คาบโคจร 50-100 ปี จนถึงหลายร้อยหรือหลายพันปี เชื่อว่าดาวหางบางดวงเคยผ่านเข้ามาในใจกลางระบบสุริยะเพียงครั้งเดียว แล้วเหวี่ยงตัวเองออกไปสู่อวกาศระหว่างดาว ดาวหางที่มีคาบการโคจรสั้นนั้นเชื่อว่าแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในแถบไคเปอร์ที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ส่วนดาวหางที่มีคาบการโคจรยาวอาจมาจากแหล่งอื่น ๆ ที่ไกลจากดวงอาทิตย์ของเรามาก เช่นในกลุ่มเมฆออร์ตซึ่งประกอบด้วยเศษซากที่หลงเหลืออยู่จากการบีบอัดตัวของเนบิวลา ดาวหางเหล่านี้ได้รับแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวเคราะห์รอบนอก (กรณีของวัตถุในแถบไคเปอร์) จากดวงดาวอื่นใกล้เคียง (กรณีของวัตถุในกลุ่มเมฆออร์ต) หรือจากการชนกัน ทำให้มันเคลื่อนเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์น้อยมีกำเนิดจากกระบวนการที่ต่างไปจากนี้ อย่างไรก็ดี ดาวหางที่มีอายุเก่าแก่มากจนกระทั่งส่วนที่สามารถระเหิดเป็นแก๊สได้สูญสลายไปจนหมดก็อาจมีสภาพคล้ายคลึงกับดาวเคราะห์น้อยก็ได้ เชื่อว่าดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกหลายดวงเคยเป็นดาวหางมาก่อน",
"กลีเซอ 581 มีมวลประมาณหนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ของเรา และเชื่อว่ามีดาวเคราะห์อย่างน้อย 3 ดวงโคจรอยู่รอบๆ ดวงแรกคือ กลีเซอ 581 บี มีขนาดใกล้เคียงกับดาวเนปจูน ค้นพบในปี พ.ศ. 2549 ดวงที่สองคือ กลีเซอ 581 ซี มีขนาด 1.5 เท่าของโลก ค้นพบในปี พ.ศ. 2550 มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดาวเคราะห์นอกระบบหินแข็งดวงแรก นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีดาวเคราะห์ดวงที่สาม กลีเซอ 581 ดี ซึ่งมีมวลประมาณ 8 เท่าของโลกและมีคาบการโคจร 84 วัน",
"ดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก (; NEA) คือดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรใกล้กับวงโคจรของโลก โดยมากมีวงโคจรอยู่ระหว่าง 0.983 ถึง 1.3 หน่วยดาราศาสตร์ จากดวงอาทิตย์ วงโคจรของดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกบางส่วนตัดกับวงโคจรของโลก ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่จะปะทะกันได้ ดาวเคราะน้อยเหล่านี้อยู่ใกล้พอที่จะเดินทางไปถึงโดยยานอวกาศได้ บางดวงสามารถไปถึงได้โดยใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่าการไปดวงจันทร์เสียอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดาวเคราะห์น้อยกลุ่มนี้เป็นเป้าหมายที่น่าสำรวจอย่างยิ่ง มียานอวกาศไปเยือนดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกสองดวงแล้ว คือ ยานสำรวจ Near Earth Asteroid Rendezvous ขององค์การนาซา ไปสำรวจดาวเคราะห์น้อย 433 อีรอส และยานสำรวจ Hayabusa ของ JAXA ได้ไปเยือน 25143 Itokawa \"ดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก\" จัดว่าเป็นกลุ่มย่อยหนึ่งอยู่ในบรรดา \"วัตถุท้องฟ้าใกล้โลก\"",
"เอชดี 147513 บี เป็นดาวเคราะห์นอกระบบ ตั้งอยู่ประมาณ 42 ปีแสง ห่างออกไปจากกลุ่มดาวแมงป่อง ดาวเคราะห์ดวงนี้มีอย่างน้อย 21% ที่มีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดี แต่ต่างกันตรงดาวพฤหัสบดีโคจรรอบดาวฤกษ์ใกล้ชิดมาก หมายถึงระยะทางห่างออกไปเพียงหนึ่งในสามมากกว่าระยะทางของโลกจากดวงอาทิตย์ วงโคจรยังผิดปกติที่เพเรียสตรอน ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ใกล้กับดาวมากกว่าโลกอยู่จากดวงอาทิตย์ ในขณะที่ในอพาสตรอน ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ไกลออกไปจากดาวอังคารมากกว่าดวงอาทิตย์",
"พื้นฐานสำหรับการทำความเข้าใจในยุคสมัยใหม่เกี่ยวกับวงโคจรเป็นสูตรแรกที่คิดขึ้นโดยโยฮันเนส เคปเลอร์ที่มีผลการสรุปในสามกฎของการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ประการแรกเขาพบว่าวงโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเป็นวงรี ไม่ได้เป็นวงกลม (หรือ epicyclic) ดังเช่นที่เคยเชื่อกัน และยังกล่าวว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางของวงโคจร แต่อยู่ที่จุดโฟกัสจุดหนึ่ง ประการที่สอง เขาพบว่าความเร็วของการโคจรของดาวเคราะห์แต่ละดวงไม่คงที่ดังที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเวลาที่ดาวเคราะห์ใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ คาบเวลาเท่ากันจะกวาดได้พื้นที่เท่ากัน แต่พบว่าความเร็วขึ้นอยู่กับระยะห่างของดาวเคราะห์จากดวงอาทิตย์ ประการที่สามเคปเลอร์พบความสัมพันธ์สากลระหว่างสมบัติการโคจรของดาวเคราะห์ทั้งหมดที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ สำหรับดาวเคราะห์, กำลังสามของระยะทางจากดวงอาทิตย์เป็นสัดส่วนกับกำลังสองของคาบการโคจรของมัน ยกตัวอย่างเช่น ดาวพฤหัสบดีและดาวศุกร์จะมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 5.2 และ 0.723 หน่วยดาราศาสตร์ (AU), มีคาบการโคจรประมาณ 11.86 ปี และ 0.615 ปี ตามลำดับ ความเป็นสัดส่วนกันนั้นจะเห็นได้โดยข้อเท็จจริงที่อัตราส่วนดังกล่าวสำหรับดาวพฤหัสบดีเป็น 5.2/11.86, สำหรับดาวศุกร์เป็น 0.723/0.615 สอดคล้องกับความสัมพันธ์กันตามกฏดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงใดก็ตามประการที่ 3 นี้เรียกว่า “กฎฮาร์มอนิก” (Harmonic Law)\nไอแซก นิวตัน ได้แสดงให้เห็นว่ากฎของเคปเลอร์เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขาและกล่าวอีกว่า, โดยทั่วไปแล้ว วงโคจรของวัตถุอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงคือภาคตัดกรวยถ้าแรงโน้มถ่วงถูกแพร่กระจายออกอย่างทันทีทันใด นิวตันแสดงให้เห็นว่าคู่ของวัตถุ, ขนาดวงโคจร, จะเป็นสัดส่วนผกผันกับมวลของมันเอง, วัตถุนั้นจะโคจรไปรอบๆของ ศูนย์กลางมวล (center of mass) ร่วมกัน เมื่อวัตถุหนึ่งที่มีขนาดของมวลมากกว่าขนาดของมวลอื่น ๆ มันจะเป็นการประมาณการที่สะดวกในการที่จะใช้เป็นศูนย์กลางของมวลนั้นที่มีความสอดคล้องต้องกันกับศูนย์กลางมวลของวัตถุที่มีขนาดมวลที่มีขนาดมากกว่า",
"ตามความเข้าใจในปัจจุบันเกี่ยวกับความสามารถอยู่อาศัยได้ของดาวเคราะห์ หรือความสามารถที่โลกใดโลกหนึ่งมีภาวะการณ์ทางสิ่งแวดล้อมเจริญพัฒนาขึ้นจนชีวิตอุบัติขึ้นได้ เช่นดาวเคราะห์ที่เอื้อให้มีน้ำของเหลวอยู่บนพื้นผิว เกณฑ์ที่ต้องการโดยมากคือวงโคจรของดาวเคราะห์นั้นต้องอยู่ในเขตอาศัยได้ ซึ่งในกรณีของดวงอาทิตย์คือตั้งแต่แถบพ้นจากดาวศุกร์ออกไปจนถึงระยะประมาณกึ่งแกนเอกของดาวอังคาร ระหว่างการเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ดาวอังคารได้ล่วงเข้าไปในเขตนี้ แต่ด้วยความที่มีบรรยากาศเบาบาง ความกดอากาศที่ต่ำเป็นอุปสรรคไม่ให้น้ำของเหลวปกคลุมภูมิประเทศเป็นบริเวณกว้างได้ในช่วงระยะเวลาที่นานพอ การไหลของน้ำของเหลวในอดีตเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าดาวอังคารมีศักยภาพสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต หลักฐานที่พบใหม่บางประการชี้ว่าน้ำบนผิวดาวอังคารนั้นอาจจะเค็มเกินไปและมีความเป็นกรดมากเกินไปที่จะค้ำจุนสิ่งมีชีวิตโลกโดยทั่ว ๆ ไปได้",
"ตามกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเคปเลอร์ อธิบายถึงลักษณะการโคจรของวัตถุต่างๆ รอบดวงอาทิตย์ กล่าวคือ วัตถุแต่ละชิ้นจะเคลื่อนที่ไปตามแนวระนาบรอบดวงอาทิตย์โดยมีจุดโฟกัสหนึ่งจุด วัตถุที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า (มีค่ากึ่งแกนเอกน้อยกว่า) จะใช้เวลาโคจรน้อยกว่า บนระนาบสุริยวิถีหนึ่งๆ ระยะห่างของวัตถุกับดวงอาทิตย์จะแปรผันไปตามเส้นทางบนทางโคจรของมัน จุดที่วัตถุอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเรียกว่า \"จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด\" (perihelion) ขณะที่ตำแหน่งซึ่งมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุด เรียกว่า \"จุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด\" (aphelion) วัตถุจะเคลื่อนที่ได้ความเร็วสูงที่สุดเมื่ออยู่ในตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำสุดเมื่ออยู่ในตำแหน่งไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ลักษณะของวงโคจรของดาวเคราะห์มีรูปร่างเกือบจะเป็นวงกลม ขณะที่ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย และวัตถุในแถบไคเปอร์ มีวงโคจรค่อนข้างจะเป็นวงรี",
"ดาวพลูโต (English: Pluto; ดัชนีดาวเคราะห์น้อย: 134340 พลูโต) เป็นดาวเคราะห์แคระในแถบไคเปอร์ วงแหวนของวัตถุพ้นดาวเนปจูน[1] โดยเป็นวัตถุแถบไคเปอร์ชิ้นแรกที่ถูกค้นพบ มันมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีมวลมากที่สุดเป็นอันดับสองในบรรดาดาวเคราะห์แคระที่รู้จักในระบบสุริยะ และยังเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 9 และมวลมากเป็นอันดับที่ 10 ในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวพลูโตเป็นวัตถุแถบไคเปอร์ที่ใหญ่ที่สุดโดยปริมาตร แต่มีมวลน้อยกว่าอีริส ซึ่งเป็นวัตถุในแถบหินกระจาย ดาวพลูโตมีลักษณะเหมือนกับวัตถุอื่น ๆ ในบริเวณเดียวกัน กล่าวคือ ประกอบไปด้วยหินและน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่[2] มีมวลและปริมาตรประมาณ 1 ใน 6 และ 1 ใน 3 ของดวงจันทร์ตามลำดับ วงโคจรของดาวพลูโตมีความเยื้องศูนย์กลางมาก อยู่ที่ 30 ถึง 49 หน่วยดาราศาสตร์ (4.4 – 7.4 พันล้านกิโลเมตร) จากดวงอาทิตย์ หมายความว่าเมื่อดาวพลูโตอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด มันจะอยู่ใกล้กว่าวงโคจรของดาวเนปจูนเสียอีก แต่เนื่องด้วยการสั่นพ้องของวงโคจร ทำให้ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงไม่สามารถโคจรมาชนกันได้ ในปี พ.ศ. 2557 ดาวพลูโตมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 32.6 หน่วยดาราศาสตร์ แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาประมาณ 5.5 ชั่วโมง ถึงจะไปถึงดาวพลูโตที่ระยะทางเฉลี่ย (39.5 หน่วยดาราศาสตร์)",
"เอชดี 147018 บี เป็นดาวเคราะห์นอกระบบ และดาวแก๊สยักษ์ ซึ่งโคจรรอบแถบลำดับหลักประเภท G ดาวฤกษ์เอชดี 147018 ตั้งอยู่ที่ประมาณ 140 ปีแสง ห่างออกไปจากกลุ่มดาวสามเหลี่ยมใต้ ดาวเคราะห์ดวงนี้มีมวลขั้นต่ำเกินกว่าสองเท่าของดาวพฤหัสบดี แต่ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรมากใกล้เคียงกับดาวพฤหัสบดีมากกว่าดวงอาทิตย์โดยมีปัจจัย 22 ขณะเดียวกันก็มีวงโคจรผิดปกติ ดาวเคราะห์สามารถได้ใกล้เคียงกับดาวเป็น 0.13 AU หรือได้รับเท่า 0.35 AU ไกลออกไปมีอีกเป็นดาวเคราะห์ซุเปอร์โจเวียนเอชดี 147018 ซี ซึ่งถูกค้นพบในวันเดียวกันว่าเป็นดาวเคราะห์นี้เมื่อ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2009",
"ทรงกลมฮิลล์หรือทรงกลมอิทธิพลโน้มถ่วงของโลกมีรัศมีประมาณ 1.5×106 กิโลเมตร[161][n 14] เป็นระยะทางสูงสุดที่แรงโน้มถ่วงของโลกมีอิทธิพลเหนือกว่าดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์อื่นที่อยู่ห่างออกไป วัตถุใด ๆ ในรัศมีนี้จะโคจรรอบโลก หรือไม่ก็หลุดลอยออกไปโดยการรบกวนเชิงโน้มถ่วงจากดวงอาทิตย์",
"ต่างจากดาวตกในบรรยากาศและดาวเทียมวงโคจรต่ำต่าง ๆ เทหฟ้าโดยมากมีการเคลื่อนที่ปรากฏไปทางด้านตะวันตกของท้องฟ้าของโลกในอัตรา 15 องศาต่อชั่วโมง หรือ 15 ลิปดาต่อนาที สำหรับวัตถุที่อยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรฟ้าจะเคลื่อนไปเทียบเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางปรากฏของดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ในทุก ๆ สองนาที เมื่อมองจากพื้นโลกขนาดปรากฏโดยประมาณของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นถือว่าเท่ากัน[158][159]",
"คาบการหมุนรอบดวงอาทิตย์ของดาวพลูโต คือ 248 ปีโลก วงโคจรของดาวพลูโตแตกต่างไปจากวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่น ซึ่งมีวงโคจรในลักษณะใกล้เคียงกับวงกลมและแบนราบไปกับระนาบสุริยวิถี แต่ดาวพลูโตมีค่าความเอียงของวงโคจรมาก (มากกว่า 17°) และความเยื้องศูนย์กลางก็มาก นั่นหมายความว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดาวพลูโตจะโคจรใกล้ดวงอาทิตย์กว่าดาวเนปจูน จุดศูนย์กลางมวลของระบบดาวพลูโต-แครอนอยู่ในตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2532[63][lower-alpha 2] และอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์กว่าดาวเนปจูนในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 และ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542[64]",
"ดาวพุธ</b>เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดในระบบสุริยะ ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 87.969 วัน ดาวพุธมักปรากฏใกล้ หรืออยู่ภายใต้แสงจ้าของดวงอาทิตย์ทำให้สังเกตเห็นได้ยากที่สุด",
"ดาวพลูโต (39 AU โดยเฉลี่ย) เป็นดาวเคราะห์แคระ และเป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เป็นที่รู้จัก เมื่อแรกที่ค้นพบดาวพลูโตในปี ค.ศ. 1930 มันถูกจัดว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้า แต่ในปี ค.ศ. 2006 มีการจัดประเภทใหม่หลังจากที่มีการกำหนดคำจำกัดความของ \"ดาวเคราะห์\" อย่างเป็นทางการ ดาวพลูโตมีความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจรประมาณ 17 องศาเทียบกับระนาบสุริยวิถี มีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 29.7 AU (ในระดับวงโคจรของดาวเนปจูน) และมีจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 49.5 AU",
"2001, Iota Draconis bเป็นดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกที่ถูกค้นพบรอบดาว Iota Draconis ซึ่งเป็นดาวยักษ์สีส้ม เป็นหลักฐานสำคัญแสดงถึงการมีอยู่และพฤติกรรมของระบบดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์ยักษ์ ดาวยักษ์ส่งแสงสว่างเป็นช่วง ๆ แสดงถึงการมีอยู่ของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ดวงนี้มีมวลมากและมีความรีของวงโคจรค่อนข้างมาก วงโคจรของมันมีระยะทางมากกว่าระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ประมาณ 27.5 เปอร์เซ็นต์[34] ในปี ค.ศ. 2008 จุดศูนย์กลางของระบบจะมองเห็นอยู่ในกระจุกดาวลูกไก่ ใกล้กับดาว Epsilon Tauri",
"เมื่อพิจารณาจากทั้งแง่กายภาพและการเคลื่อนที่ วัตถุที่โคจรรอบดวงอาทิตย์สามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทคือ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ และ วัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ไม่ว่าจะมีขนาดใดก็ตามที่โคจรรอบดวงอาทิตย์จะมีมวลมากพอจะสร้างตัวเองให้มีรูปร่างเป็นสัณฐานกลม และขับไล่ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวเองให้ออกไปให้พ้นระยะ จากคำจำกัดความนี้ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจึงมี 8 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ดาวพลูโตถูกปลดออกจากตำแหน่งดาวเคราะห์เนื่องจากมันไม่สามารถขับไล่วัตถุเล็กๆ อื่นๆ ในบริเวณแถบไคเปอร์ออกไปพ้นวงโคจรของมันได้[31]",
"ในช่วงประมาณ 5 พันล้านปีข้างหน้า ดวงอาทิตย์จะเย็นลง และผิวนอกจะขยายตัวออกไปหลายเท่าจากเส้นผ่านศูนย์กลางเดิม (กลายเป็นดาวยักษ์แดง) หลังจากนั้นดาวยักษ์แดงก็จะสลายผิวนอกกลายเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ และเหลือแกนกลางไว้ ซึ่งรู้จักกันว่าเป็น ดาวแคระขาว ในอนาคตอันไกลโพ้น ความโน้มถ่วงระหว่างดาวฤกษ์จะลดลง ดาวเคราะห์บางดวงอาจจะถูกทำลาย บางส่วนอาจจะหลุดออกไปสู่อวกาศระหว่างดวงดาว ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงประมาณหมื่นล้านปีข้างหน้า ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวฤกษ์ที่ไม่มีวัตถุใดโคจรรอบๆเลย",
"ตัวอย่างหนึ่งของการเคลื่อนผ่าน คือการที่ดาวเคราะห์เคลื่อนที่อยู่ระหว่างผู้สังเกตการณ์บนโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับดาวเคราะห์ชั้นในของระบบสุริยะที่อยู่ใกล้กว่าโลก คือ ดาวพุธและดาวศุกร์เท่านั้น (ดูเพิ่มที่ ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์ และ ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์) สำหรับกรณีดาวเคราะห์ที่อยู่รอบนอก เช่น ดาวอังคาร สามารถมองเห็นโลกเคลื่อนผ่านหน้าดวงอาทิตย์ จากบนดาวอังคารได้เหมือนกัน",
"ดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้า บี โคจรรอบดาวฤกษ์แม่ใช้เวลา 11.185 วัน โดยมีระยะห่างจากดาวฤกษ์มากที่สุด (กึ่งแกนเอก) เพียง 0.05 หน่วยดาราศาสตร์ (7 ล้านกิโลเมตร) ซึ่งเป็นระยะเพียง 1 ใน 20 ของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ เทียบกับดาวพุธซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดยังมีระยะกึ่งแกนเอก 0.39 หน่วยดาราศาสตร์ พร็อกซิมาคนครึ่งม้า บี ได้รับฟลักซ์รังสีจากดาวฤกษ์แม่ประมาณ 65 % ของฟลักซ์รังสีที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ แต่เนื่องจากดาวเคราะห์มีวงโคจรอยู่ใกล้ดาวฤกษ์แม่มาก ทำให้ได้รับปริมาณฟลักซ์ของรังสีเอกซ์สูงกว่าที่โลกได้รับถึง 400 เท่า[5]",
"นับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ได้มุ่งเสนอแนะส่งเสริมต่อแนวความคิดที่ว่า \"เขตอาศัยได้\" (habitable zone) เป็นอาณาบริเวณที่ที่มีแนวโน้มมากที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาจจะสามารถพบเจอได้ การค้นพบมากมายในโซนเขตอาณาบริเวณเหล่านี้มีมาตั้งแต่ปี 2007 มีการสร้างการประมาณการของความถี่ของจำนวนของดาวเคราะห์ที่มีสภาพคล้ายโลก -ในแง่ของส่วนประกอบสภาพแวดล้อมของดาว -ที่มีการนับเป็นจำนวนไว้ได้เป็นจำนวนหลายพันล้านดวง แต่นี่เป็นข้อมูลในปี 2013, มีเพียงจำนวนเล็กน้อยของดาวเคราะห์ที่ได้รับการค้นพบในโซนเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม, ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2013 นักดาราศาสตร์ได้มีรายงาน, บนพื้นฐานของข้อมูลภารกิจของยานอวกาศเคปเลอร์, ว่าอาจจะมีดาวเคราะห์คล้ายโลก (Earth-sized planet) เป็นจำนวนมากถึง 40 พันล้านดวง โคจรอยู่โดยรอบในเขตอาศัยได้ของดาวคล้ายดวงอาทิตย์ (Sun-like star) และดาวแคระแดง (red dwarf) ในทางช้างเผือก, ที่มีจำนวนถึง 11 พันล้านดวงซึ่งอาจจะโคจรอยู่รอบดาวที่คล้ายดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ดังกล่าวที่อยู่ใกล้โลกที่สุดอาจจะอยู่ห่างเป็นระยะทาง 12 ปีแสงห่างออกไปตามการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาดาราศาสตร์ยังได้มีการพิจารณาการ \"ติดตามพลังงาน\" (follow the energy) ในมุมมองของการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีศักยภาพอีกด้วย ",
"1998, กลีเซอ 876 บีเป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่ถูกค้นพบว่ามีวงโคจรรอบดาวแคระแดง Gliese 876 โดยมีรัศมีวงโคจรรอบดาวฤกษ์ใกล้กว่าระยะที่ดาวพุธโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่ถูกค้นพบในเวลาต่อมาส่วนมากจะมีวงโคจรใกล้ดาวฤกษ์เช่นกัน[30]",
"เซดนามีวงโคจรที่ยาวและยืดเป็นพิเศษ ทำให้มันต้องใช้ระยะเวลากว่า 11,400 ปีถึงจะโคจรครบหนึ่งรอบ และที่ตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด คือ 76 หน่วยดาราศาสตร์ จะช่วยให้เราสามารถศึกษาต้นกำเนิดของมันได้ ศูนย์ดาวเคราะห์น้อยได้จัดเซดนาให้อยู่ในแถบหินกระจาย ซึ่งเป็นกลุ่มของวัตถุที่มีวงโคจรยืดยาวออกไปไกลเนื่องด้วยแรงโน้มถ่วงจากดาวเนปจูน ถึงกระนั้น การจัดให้เซดนาอยู่ในแถบหินกระจายก็ยังเป็นข้อถกเถียง เพราะตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดของเซดนา ก็ยังคงอยู่ห่างจากดาวเนปจูนออกไปมากเกินกว่าที่จะมีผลกระทบต่อกันได้ ทำให้นักดาราศาสตร์บางคนเชื่อว่าเซดนาเป็นวัตถุหนึ่งในเมฆออร์ตชั้นใน แต่บางคนก็เชื่อว่าเซดนามีวงโคจรที่ยืดยาวแบบนี้เนื่องด้วยดาวฤกษ์ที่เฉียดผ่านเข้ามาใกล้ บางทีอาจเป็นหนึ่งในดาวของกระจุกดาวของดวงอาทิตย์ตอนเกิด (กระจุกดาวเปิด) หรือมันอาจถูกจับยึดโดยระบบดาวเคราะห์อื่น สมมติฐานอีกอย่างหนึ่งเสนอว่า วงโคจรของมันได้รับผลกระทบจากดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งที่พ้นวงโคจรดาวเนปจูน",
"2006, HD 69830เป็นระบบดาวเคราะห์ที่มีดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงกับดาวเนปจูน 3 ดวง ถือเป็นระบบดาวเคราะห์สามดวงระบบแรกที่โคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์โดยที่ไม่มีดาวเคราะห์คล้ายดาวพฤหัสบดีอยู่เลย มีการประกาศการค้นพบดาวเคราะห์ทั้งสามดวงในวันที่ 18 พฤษภาคม โดยโลวิส ดาวเคราะห์ทั้งสามดวงโคจรอยู่ในรัศมี 1 หน่วยดาราศาสตร์ ดาวเคราะห์ HD 69830 b, HD 69830 c, HD 69830 d มีมวล 10, 12 และ 18 เท่าของโลกตามลำดับ ดวงที่อยู่นอกสุดคือ d จัดว่าอยู่ในแถบที่สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ พ้นจากนั้นไปล้อมไว้ด้วยแถบดาวเคราะห์น้อย[43]",
"ดาวเคราะห์นอกระบบเริ่มเป็นหัวข้อตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักดาราศาสตร์โดยทั่วไปเชื่อว่าดาวเคราะห์นอกระบบมีอยู่จริง แต่ไม่อาจทราบได้ว่ามันมีลักษณะเช่นไร หรือคล้ายคลึงกับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะเพียงใด การตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 ด้วยวิธีตรวจวัดด้วยความเร็วแนวเล็ง ค้นพบดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ที่มีคาบการโคจร 4 วันอยู่รอบดาว 51 เพกาซี นับแต่นั้นก็ตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบเพิ่มมากขึ้น[2] เมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 ก็มีการตรวจพบเพิ่มขึ้นทุกปีมากกว่าปีละ 15 ดวง และมีการตรวจพบเพิ่มขึ้นถึง 61 ดวงในปี ค.ศ. 2007 ประมาณการว่า อย่างน้อย 10% ของดวงดาวที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์จะต้องมีดาวเคราะห์บริวาร โดยสัดส่วนที่แท้จริงอาจสูงกว่านั้น[4] การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบทำให้เกิดคำถามขึ้นอีกว่า จะมีบางดวงที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่[5]",
"ระบบสุริยะ (English: Solar System) ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่น ๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เนื่องจากแรงโน้มถ่วง ได้แก่ ดาวเคราะห์ 8 ดวงกับดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 166 ดวง[5] ดาวเคราะห์แคระ 5 ดวงกับดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 4 ดวง กับวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ อีกนับล้านชิ้น ซึ่งรวมถึง ดาวเคราะห์น้อย วัตถุในแถบไคเปอร์ ดาวหาง สะเก็ดดาว และฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์",
"ดาวฤกษ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออารยธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกมานับแต่อดีตกาล โดยเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา เป็นองค์ประกอบสำคัญในศาสตร์ของการเดินเรือ รวมไปถึงการกำหนดทิศทาง นักดาราศาสตร์ยุคโบราณส่วนใหญ่เชื่อว่าดาวฤกษ์อยู่นิ่งกับที่บนทรงกลมสวรรค์ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จากความเชื่อนี้ทำให้นักดาราศาสตร์จัดกลุ่มดาวฤกษ์เข้าด้วยกันเป็นกลุ่มดาวต่าง ๆ และใช้กลุ่มดาวเหล่านี้ในการตรวจติดตามการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ รวมถึงเส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์[5] ตำแหน่งการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เมื่อเทียบกับกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่เบื้องหลัง (และเส้นขอบฟ้า) นำมาใช้ในการกำหนดปฏิทินสุริยคติ ซึ่งสามารถใช้เพื่อกำหนดกิจวัตรในทางการเกษตรได้[7] ปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งใช้กันอยู่แพร่หลายในโลกปัจจุบัน จัดเป็นปฏิทินสุริยคติที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมุมของแกนหมุนของโลกโดยเทียบกับดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ ดวงอาทิตย์"
] |
เรือเอก สมรักษ์ คำสิงห์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน? | [
"สมรักษ์ เป็นชาวหมู่บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น (ปัจจุบันคือ อำเภอบ้านแฮด) เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2516 ในครอบครัวยากจน เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวนลูกทั้ง 3 คน ของ นายแดงและนางประยูร คำสิงห์ เหตุที่มีชื่อเล่นว่า \"บาส\" ก็เพราะต้องการให้คล้องกับชื่อเล่นของพี่ชายซึ่งเป็นนักมวยด้วยเหมือนกัน คือ สมรถ คำสิงห์ ที่มีชื่อว่า \"รถ\" เนื่องจาก คลอดบนรถโดยสาร ระหว่างเดินทางไปสถานีอนามัยอำเภอ เคยศึกษา โรงเรียนนายเรือ"
] | [
"สมรักษ์ คำสิงห์ วีรบุรุษนักชกเหรียญทองโอลิมปิก 1996 แอตแลนตา สหรัฐอเมริกา ใน 44 ปีที่รอคอย เหรียญทองประวัติศาสตร์โอลิมปิก. กทม. คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย. 2539 หน้า 60-67",
"การแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 27 ปีนี้จัดที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 15 กันยายน-1 ตุลาคม 2543 ประเทศไทยจะส่งกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน 12 สมาคมกีฬา คือ กรีฑา, ยกน้ำหนัก, เรือพาย, เรือใบ, วินด์เซิร์ฟ, ว่ายน้ำ, แบดมินตัน, เทนนิส, เทเบิลเทนนิส, วอลเลย์บอล, ยิงปืน และมวยสากลสมัครเล่นจาก 12 ชนิดกีฬาที่ไทยส่งไปแข่งขันครั้งนี้ มีเพียง 2 ชนิดกีฬาที่มีโอกาสมากที่สุดในการลุ้นเหรียญทอง คือ ยิงปืน (เทวฤทธิ์ มัจฉาชีพ) และมวยสากลสมัครเล่นที่คนส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่ สมรักษ์ คำสิงห์ เจ้าของเหรียญทองเมื่อ 4 ปีก่อน",
"และเมื่อเบนเข็มมาชกมวยสากลสมัครเล่น ทั้งคู่ก็เริ่มชกพร้อมกัน โดยที่สมรถชกในพิกัดรุ่น 48 กิโลกรัม (ไลท์ฟลายเวท) ขณะที่สมรักษ์ชกในพิกัด 57 กิโลกรัม (เฟเธอร์เวท) เนื่องจากมีรูปร่างที่เล็กกว่าสมรักษ์น้องชาย",
"พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ (มวยไทยหนแรก) สมรักษ์ ส.เทพสุทิน (มวยไทยหนหลัง)",
"ฤทธิเดช ว.วรรณทวี หรือ ฤทธิเดช ท.เทพสุทิน เป็นนักมวยไทยชาวไทย ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามนักมวยไทยที่โปรโมเตอร์ชุ้น เกียรติเพชร ได้เสนอให้ใจสู้ ท.เทพสุทิน ผู้เป็นศิษย์เอกของสมรักษ์ คำสิงห์ เลือกต่อสู้ ทั้งนี้ ฤทธิเดชจัดเป็นนักมวยเอกที่มีชื่อเสียง และเคยสู้กับนักชกรุ่นพี่ที่มีฝีมือเก่งกาจอย่างสามเอ ไก่ย่างห้าดาวยิม มาแล้วครั้งหนึ่ง",
"หลังจากนั้นผจญก็ได้แขวนนวมไป และได้ศึกษาจนจบปริญญาตรีที่วิทยาครูจันทรเกษม ในกลางปี พ.ศ. 2539 หลังจากที่ สมรักษ์ คำสิงห์ สามารถคว้าเหรียญทองมาได้จากการชกในรุ่นเฟเธอร์เวท ผจญก็ได้ร่วมแสดงในละครโทรทัศน์เรื่อง \"นายขนมต้ม\" ทางช่อง 7 โดยรับบทเป็น \"ไอ้มิ่ง\" ร่วมกับนักมวยคนอื่น ๆ เช่น สมรักษ์ คำสิงห์, ทวี อัมพรมหา, เขาทราย แกแล็คซี่, สามารถ พยัคฆ์อรุณ รวมทั้ง วิชัย ราชานนท์ ด้วย",
"เรือเอกสมรักษ์ คำสิงห์ ร.น. (นักกีฬาทีมชาติไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง ในกีฬาโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา) นาวาอากาศโท วิชัย ราชานนท์ (นักชกเหรียญทองแดง ในกีฬาโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา) พิมศิริ ศิริแก้ว (นักยกน้ำหนักหญิง เหรียญเงิน ในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 กรุงลอนดอน] ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ชาติ เกียรติเพชร พงษ์สิทธิ์ เวียงวิเศษ ฟ้าประกอบ รักเกียรติยิม ภราดร ศรีชาพันธุ์ วันวิน จ.เจริญ ศรายุทธ ชัยคำดี อาทิตย์ สุนทรพิธ พรชัย เค้าแก้ว ฐาปไพพรรณ ไชยศรี วอลเลย์บอล เอ็มอร พานุสิทธิ์ วอลเลย์บอล ศิรินภา พรหนองแสน ตะกร้อหญิง สิบเอกภัทรพงศ์ ยุพดีตะกร้อชาย ผุดผาดน้อย วรวุฒิ ผ่อน ออมกลิ่น ธนา ชะนะบุตร มงคล ทศไกร",
"สมรักษ์เข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาโนนสมบูรณ์ ด้วยเหตุที่สมรักษ์มีพ่อเป็นนักมวยเก่า จึงได้รับการฝึกการชกมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ขึ้นชกมวยครั้งแรกขณะอายุได้ 7 ปี และได้ตระเวนชกตามเวทีงานวัดต่าง ๆ จนทั่ว และได้รับการทาบทามจาก ณรงค์ กองณรงค์ หัวหน้าคณะณรงค์ยิมให้มาร่วมค่าย สมรักษ์จึงขอขึ้นชกมวยไทยในชื่อ สมรักษ์ ณรงค์ยิม และกลายเป็นนักมวยมีชื่อในแถบจังหวัดขอนแก่น",
"วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555 สมรักษ์ขึ้นชกในรายการศึกลุมพินีแชมเปี้ยนเกริกไกร ที่เวทีมวยลุมพินี โดยใช้ชื่อว่า \"สมรักษ์ ส.เทพสุทิน\" ในสังกัดของสมศักดิ์ เทพสุทิน[4] โดยมีฌอง-โกล็ด วอง ดัม รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง และสมรักษ์เป็นฝ่ายแพ้คะแนน จอมโหด หมอเบสกมลา หรือ จอมโหด เกียรติอดิศักดิ์ ไปด้วยคะแนน 47-49, 47-49 และ 47-49 และต่อมาในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ทั้งคู่ได้กลับมาชกล้างตากันอีกครั้ง ผลปรากฏว่าสมรักษ์เป็นฝ่ายชนะคะแนนไป 49-47 ไปทั้ง 3 เสียง ที่เวทีราชดำเนิน และเป็นฝ่ายคว้าเงินรางวัลเดินพันจำนวน 6,000,000 บาทไป[5] และทางสมรักษ์ยังคงยืนยันที่จะสู้กับบัวขาว ป.ประมุข โดยให้จัดนอกเวทีมวยราชดำเนิน หรือนอกเวทีมวยลุมพินีแทน ส่วนทางจอมโหดได้เปิดเผยว่ามีความต้องการที่จะสู้กับสมรักษ์อีกเป็นครั้งที่ 3 [6] และสมรักษ์ยังได้ขึ้นชกอีกหลายต่อหลายครั้ง",
"พันโท สมรถ คำสิงห์ อดีตนักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทยและอดีตนักมวยไทย ผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ สมรักษ์ คำสิงห์ นักกีฬาชาวไทยคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาได้ ",
"เขาติดทีมชาติอุซเบกิสถานเข้าแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ พ.ศ. 2541 ได้เหรียญเงิน โดยแพ้สมรักษ์ คำสิงห์ในรอบชิงชนะเลิศ และเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2543 แต่แพ้สมรักษ์ คำสิงห์ตกรอบสอง และเคยได้เหรียญเงินมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์โลกเมื่อ พ.ศ. 2542",
"ปัจจุบัน สมรักษ์ยังคงมีผลงานในวงการบันเทิง มีผลงานออกมาเป็นระยะ ๆ ล่าสุด ได้แสดงภาพยนตร์ระดับโลกเรื่อง จอมคนผงาดโลก ในปี พ.ศ. 2549 โดยบทบาทในเรื่องต้องปะทะกับ หลี่เหลียนเจี๋ย ด้วย มีกิจการของตัวเอง เช่น ร้านหมูกระทะ ชื่อ \"สมรักษ์ย่างเกาหลี\" ย่านเกษตร-นวมินทร์ และมีค่ายมวยของตนเอง ชื่อค่าย \"ส.คำสิงห์\"",
"เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ราชกิจจานุเบกษาออกประกาศเรื่อง ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ นางเสาวนีย์ คำสิงห์ และนายสมรักษ์ คำสิงห์ เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ มหานคร จำกัด ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลย[8] เนื่องจากมีหนี้สินจากการเปิดปั๊มน้ำมันกว่า 4 ล้านบาท[9]",
"ต่อมา ณรงค์กับนายแดงพ่อของสมรักษ์เกิดแตกคอกัน สมรักษ์จึงย้ายไปอยู่ค่ายศิษย์อรัญ เข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ ได้ไปเรียนที่ โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา โดยชกทั้งมวยไทย และมวยสากลสมัครเล่น สมรักษ์ขึ้นชกมวยไทยในชื่อ \"พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ\" แต่พอสมรักษ์ขึ้น ม.2 พ่อก็ถึงแก่กรรม",
"สมรักษ์ชี้แจงว่า กรณีนี้เป็นคดีเก่าที่ค้างคามาหลายทศวรรษปีแล้ว ตั้งแต่สมัยยังคงชกมวยสมัครเล่น มีสาเหตุอันเนื่องมาจากความไม่รู้ไม่เชี่ยวชาญในเรื่องเอกสารต่างๆ ประกอบกับธุรกิจขาดทุน จนสุดท้ายก็เลยกลายเป็นคดียืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ ธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้ว่า หากศาลสั่งให้ล้มละลาย สามารถเป็นเหตุให้สมรักษ์ต้องออกจากราชการด้วย[10]",
"สมรักษ์แต่งงานกับนางเสาวนีย์ คำสิงห์ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ทั้งคู่ยังเรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่น โดยทั้งคู่มีบุตร 2 คน คนโตเป็นหญิงชื่อ \"เบสต์\" และคนเล็กเป็นชายชื่อ \"โบ๊ท\"",
"พ.ศ. 2538 สมรักษ์ได้เหรียญทองจากกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ และผ่านการคัดเลือกไปแข่งกีฬาโอลิมปิกรอบสุดท้ายได้สมรักษ์โด่งดังถึงที่สุดในปี พ.ศ. 2539 เมื่อสมรักษ์สามารถคว้าเหรียญทองจากโอลิมปิกมาได้ โดยชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรีย ด้วยคะแนน 8-5 เส้นทางสู่ทองประวัติศาสตร์เริ่มจากรอบแรกเอาชนะแดเนี่ยล เซต้า นักชกเปอร์โตริโก 13-2, รอบสอง ชนะฟิลิป เอ็นดู จากแอฟริกาใต้ 12-7, รอบสามหรือรอบก่อนรองชนะ รามาส พาเลียนี่ จากรัสเซีย 13-4 นั่นหมายถึงว่าได้เหรียญทองแดงคล้องคอไว้แล้ว และสมรักษ์ชนะ พาโบล ชาคอน จากอาร์เจนตินาไปได้ 20-8 และท้ายที่สุดเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรียไปได้ ซึ่งก่อนการชกในรอบชิงชนะเลิศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารได้พระราชทานกระเช้าผลไม้มายังสมรักษ์และทีมงานพร้อมทั้งทรงอวยพรให้สมรักษ์ได้รับชัยชนะด้วย โดยการแข่งขันโอลิมปิคในครั้งนี้ สมรักษ์ ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า \"Kamsing Somluck\" โดยเจตนาให้มีนัยทางโชคด้วย (แต่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษอ่านออกเสียงว่า คำซิง สมลุก)",
"ปี พ.ศ. 2555 ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ณ กรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร สมรักษ์ได้รับหน้าที่เป็นผู้บรรยายการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นของสถานีโทรทัศน์ NBT ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดีอีกทั้งเป็นที่กล่าวถึงในเรื่องความตลกของการบรรยายมวยของสมรักษ์ และในปีเดียวกันนี้ ในวันที่ 4 ตุลาคม สมรักษ์ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง เมื่อกลับขึ้นมาชกมวยไทยอีกครั้ง โดยพบกับ ยอดวันเผด็จ สุวรรณวิจิตร (ใช้ชื่อท้ายในครั้งนั้นว่า \"ไก่ย่างห้าดาว\") อดีตยอดนักมวยไทยอีกคน ในการชกนัดพิเศษที่เวทีราชดำเนิน ที่มีเงินเดิมพันถึง 5,770,000 บาท ผลการชกปรากฏว่าสมรักษ์เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ในยกที่ 3 ด้วยการฟันศอกใส่ จนกรรมการต้องยุติการชก ซึ่งการชกนัดนี้ยังสามารถเก็บเงินค่าผ่านประตูได้สูงถึง 2,950,000 บาท ยอดผู้ชมกว่า 20,000 คน ปลุกกระแสมวยไทยที่ซบเซาให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ สมรักษ์ยังเปิดเผยอีกว่าต้องการที่จะชกกับ บัวขาว ป.ประมุข อีกด้วย",
"ภาพยนตร์ได้ หลี่ เหลียนเจี๋ย นักแสดงกังฟูที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งมารับบท ฮั่ว หยวนเจี๋ย ตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งหลี่ เหลียนเจี๋ย ก็ยังได้ร่วมเป็นผู้อำนวยการสร้างเองอีกด้วย อีกทั้งยังมี สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยไทยและนักมวยสากลสมัครเล่นเหรียญทองโอลิมปิกชื่อดังชาวไทยที่ผันตัวเองมาเป็นนักแสดง รับบทเป็นนักมวยไทยในเรื่องซึ่งเป็นบทสมทบที่มีสีสันด้วย",
"ทั้งสมรถและสมรักษ์ได้ถูกพ่อ คือ นายแดง ฝึกให้ชกมวยมาตั้งแต่เด็ก โดยขึ้นชกตระเวนไปในแถวบ้านเกิด เนื่องจากความยากจน เมื่อได้เดินทางเข้ามาชกในกรุงเทพฯ พร้อมสมรักษ์น้องชาย สมรถได้ใช้ชื่อว่า \"\"พิมพ์อรัญ ศิษย์อรัญ\"\" ขณะที่สมรักษ์ใช้ชื่อว่า \"\"พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ\"\" ซึ่งก็ถือว่าเป็นนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงด้วยกันทั้งคู่",
"สมรักษ์เริ่มเข้าแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นในนามของโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2528 เมื่ออายุ 12 ปี โดยมีพิกัดน้ำหนัก 52 กิโลกรัมเมื่อสมรักษ์จบ ม.6 จากโรงเรียนผดุงศิษย์ฯ ได้รับการทาบทามจากสโมสรราชนาวีให้ชกมวยสากลสมัครเล่นในนามของสโมสรและจะบรรจุให้เข้ารับราชการในกองทัพเรือด้วย สมรักษ์จึงตอบตกลง สมรักษ์ประสบความสำเร็จได้ทั้งแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองกีฬาแห่งชาติ",
"ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 สมรักษ์ได้เปิดตัวเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมกับเพื่อนนักมวยอีก 3 คน ได้แก่ เขาทราย แกแล็คซี่, มนัส บุญจำนงค์ และเจริญทอง เกียรติบ้านช่อง โดยที่สมรักษ์ลงรับสมัครเลือกตั้งในเขต 10 อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง[7]",
"ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 สมรักษ์มีกำหนดขึ้นชกกับ ฟิลิปเป บัวส์ นักมวยไทยชาวฝรั่งเศส ในรุ่นมิดเดิลเวท ที่เวทีมวยชั่วคราว โกดัง 4 ภายในศูนย์การค้าเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ มีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 แต่เมื่อถึงเวลาชกแล้ว ตัวของสมรักษ์กลับไม่ได้อยู่เวทีหรือห้องพักแต่อย่างใด ทำให้ บริษัท เพชรยินดี บ็อกซิ่ง โปรโมชั่น ไม่พอใจเป็นอย่างมากในฐานะผู้จัดการแข่งขัน ซึ่งได้จ่ายเงินมัดจำเป็นค่าตัวให้สมรักษ์ไปหนึ่งแสนบาทแล้ว และเมื่อติดต่อไปทางไลน์ ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ วันต่อมาสมรักษ์ได้ออกมาเปิดเผยเป็นเพราะตนติดถ่ายละครโทรทัศน์มาก ไม่มีเวลาซ้อม เกรงว่าจะชกสู้ไม่ได้ ยินดีจะคืนเงินมัดจำทั้งหมด และเปรยว่าจะแขวนนวมแล้ว เนื่องจากอายุมากถึง 41 ปีแล้ว หากจะชกจะเป็นการชกโชว์เท่านั้น",
"ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 เขาได้รับการแต่งตั้งจากเวทีมวยราชดำเนินให้เป็นโปรโมเตอร์มวยไทยขณะที่มีอายุได้ 25 ปี นับเป็นโปรโมเตอร์ที่มีอายุน้อยที่สุด ซึ่งในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เขาได้จัดรายการศึกเพชรวิเศษ โดยมีสมรักษ์ คำสิงห์ ขึ้นชกกับจอมโหด เกียรติอดิศักดิ์ และมีคู่ชกสามเอ ไก่ย่างห้าดาวยิม พบโพธิ์แก้ว ฝนจางชลบุรี, แสงมณี ส.เทียนโพธิ์ พบวันชนะ อ.บุญช่วย, น้องโอ๋ ไก่ย่างห้าดาวยิม พบมงคลชัย เพชรสุภาพรรณ, เพชรพนมรุ้ง ว.สังข์ประไพ พบเป็นเอก ศิษย์หนุ่มน้อย รวมถึงยอดวิชา ภ.บุญสิทธิ์ กับสิงห์ดำ เกียรติหมู่ 9 ในรายการเดียวกันนี้",
"นอกจากนี้แล้ว เมื่อ สมรักษ์ คำสิงห์ ชนะเลิศในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นรุ่นเฟเธอร์เวท ในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 26 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2539 ก่อนชกในรอบชิงชนะเลิศ สมรักษ์ให้สัมภาษณ์ว่า จะคว้าชัยชนะให้ได้ เพื่อนำเหรียญทองกลับไปร่วมสมโภชน์เป็นส่วนหนึ่งในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปีด้วย และเมื่อสมรักษ์สามารถเอาชนะได้ ได้ครองเหรียญทองโอลิมปิกเป็นครั้งแรกของนักกีฬาไทย สมรักษ์ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าถวายเหรียญทองประวัติศาสตร์เหรียญนี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย",
"เรือเอก สมรักษ์ คำสิงห์ ร.น. เป็นนักกีฬาทีมชาติไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น ในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2539",
"ภายหลังจากได้เหรียญทองแล้ว สมรักษ์กลายเป็นบุคคลชื่อดังไปในทันที กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ในเวลาไม่นาน ด้วยความเป็นคนมีบุคคลิกเฮฮา มีสีสัน น่าสนใจ ภายหลังจากกลับมาจากโอลิมปิคที่แอตแลนต้าแล้ว สมรักษ์ก็มีงานในวงการบันเทิงเข้ามา เริ่มจาก ละครเรื่อง \"นายขนมต้ม\" ทางช่อง 7 ที่รับบทเป็นนายขนมต้มพระเอกเอง โดยประกบคู่กับ กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ นางเอก และเพื่อน ๆ นักมวยรุ่นพี่อีกหลายคน",
"ในปลายปี พ.ศ. 2555 จอมโหด ได้สร้างความฮือฮาให้แก่วงการมวยไทยและวงการกีฬา เมื่อกลับมาชกมวยไทยพบกับ สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตแชมป์เหรียญทองโอลิมปิก ที่หันกลับมาชกมวยไทยอีกครั้ง ในพิกัดพิเศษ 150 ปอนด์ ด้วยการมีเงินเดิมพันสูงถึง 4 ล้านบาท ผลปรากฏว่าสมรักษ์เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างเฉียดฉิว ก่อนที่ในต้นปี พ.ศ. 2556 คู่นี้ได้กลับมาชกอีกครั้งในแบบล้างตา มีเงินเดิมพันสูงมากกว่าครั้งเก่า คือ 6 ล้านบาท ผลปรากฏว่า คราวนี้สมรักษ์เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้",
"ซึ่งการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในครั้งนี้ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ได้ออกแสตมป์ที่มีรูปการชกรอบชิงชนะเลิศของสมรักษ์ ราคาดวงละ 6 บาท มาด้วย เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ และทางกองทัพเรือ (ทร.) ต้นสังกัดก็ได้เลื่อนยศให้สมรักษ์เป็นเรือตรี (ร.ต.) ซึ่งเดิมสมรักษ์มียศเป็นจ่าเอก (จ.อ.)"
] |
นายทักษิณ ชินวัตร พ้นสภาพการเป็นนายกเมื่อใด ? | [
"ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เวลาประมาณ 21.00 น. คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้าคณะ กระทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลภายใต้การรักษาการนายกรัฐมนตรีของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างร่วมประชุมสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งทักษิณ ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเวลา 22.00 น. สดทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ แต่ในขณะที่การประกาศยังไม่จบ พลเอก สนธิ สั่งตัดภาพและเข้าสู่ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงถือเป็นการยึดอำนาจได้สำเร็จ ในเวลา 23:00 น."
] | [
"นายศักดิ์ เตชาชาญ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2544 แทนที่ นายโกเมน ภัทรภิรมย์ ที่ลาออก ทำให้นายศักดิ์ได้เข้าร่วมตัดสิน \"คดีซุกหุ้น\" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 โดยอยู่ในฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นความผิดและให้เหตุผลเหมือนกับตุลาการอีก 3 คนคือ นายกระมล ทองธรรมชาติ นายจุมพล ณ สงขลา และนายผัน จันทรปาน ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะแสดงบัญชีทรัพย์สินได้พ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เพียงแต่ยังรักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ ",
"ต่อมา ชัยสิทธิ์ได้สมรสกับคุณวีณา ชินวัตร (สุขสภา) มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นางสาวลัฆวี ชินวัตร และนายวีรสิทธิ์ ชินวัตร นอกจากนี้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ยังเป็นญาติผู้พี่ของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 28พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เคยมีกระแสข่าวว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ในปี พ.ศ. 2554 ในปี พ.ศ. 2561 พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคพลังปวงชนไทย ส่วนนายนิคม บุญวิเศษเป็นหัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นนอมินีของพรรคเพื่อไทย",
"นายชินวัฒน์ หาบุญพาด อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย เป็นอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ ที่ชื่นชอบ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก่อตั้งและผู้จัดรายการของสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ เอฟเอ็ม 92.75 เมกกะเฮิร์ทซ์ และ เอฟเอ็ม 107.5 เมกกะเฮิร์ทซ์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ รุ่นที่ 2",
"สุรพันธ์ ชินวัตร เป็นน้องชายของนายบุญเลิศ ชินวัตร บิดาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย",
"ในทางด้านการเมือง เป็นหนึ่งในผู้ประสานงานเครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย (จคป.) และเคยร่วมขึ้นเวทีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นผู้ประสานงานกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนหลายกลุ่ม ในช่วงวิกฤตการเมืองท้ายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น เครือข่ายวิชาการเพื่อประชาธิปไตย (ควป.), เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคม, กลุ่มนักวิชาการเพื่อประชาชน, เครือข่ายสมัชชาประชาชนทั่วประเทศ, กลุ่มนักวิชาการนักธุรกิจและประชาชน, แนวร่วมประชาชนต้านการนิรโทษกรรมฯ, ผู้นำกลุ่มประชาชนผู้รักชาติและความถูกต้อง, เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน (เสื้อหลากสี) เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นผู้ที่รักษา นายอิทธิพล สรวิทย์สกุล ที่บาดเจ็บจากการถูกรุมสหบาทาที่เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ในเหตุการปะทะกันของฝ่ายผู้สนับสนุนนายกฯและฝ่ายต่อต้านฯ (\"ดูเพิ่ม \"การขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี\"\") รวมถึงยังเข้าร่วมกับการชุมนุมของกปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ด้วย (\"ดูเพิ่ม \"วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557\" \")",
"ทักษิณ ชินวัตร (เกิด 26 กรกฎาคม 2492) เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2549 เป็นพี่ชายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28 และ เป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะแห่งมหาวิทยาลัยทากุโชกุ เคยเป็นนักธุรกิจโทรคมนาคมและการสื่อสาร ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคมและการสื่อสารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[1] เจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน (ชั้นยศสูงสุดที่ นายกองใหญ่) อดีตข้าราชการตำรวจ (ชั้นยศสูงสุดที่ พันตำรวจโท) อดีตเจ้าของและประธานสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี อดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ปัจจุบันถือสัญชาติมอนเตเนโกร[2]",
"พลเอกพิชาญเมธ สำเร็จหลักสูตรเตรียมทหาร รุ่นที่ 5 เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด พี่ชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นเพื่อนกับ นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย",
"อย่างไรก็ตาม คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้ง ได้มีคำพิพากษาให้ การเลือกตั้ง ในวันที่ 2 เมษายน เป็นโฆฆะ หลังจากนั้นศาลฎีกาได้ตัดสินจำคุกและตัดสิทธิทางการเมืองคณะกรรมการการเลือกตั้ง 3 คน คือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร เป็นเวลา 10 ปี ทำให้ทั้งสามคนจึงพ้นจากตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง",
"ทว่า เมื่อรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชเข้ามาบริหารประเทศได้ระยะเวลาหนึ่ง กลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า รัฐบาลแทรกแซงสื่อมวลชน รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม เช่นการย้ายข้าราชการในกระทรวงยุติธรรม อาทิ การย้ายสุนัย มโนมัยอุดม[6] อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำลังดำเนินคดีต่อทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ให้พ้นตำแหน่งอย่างเร่งด่วน พร้อมให้ตำรวจออกหมายจับสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.)[7] ในข้อหาหมิ่นประมาททักษิณ ชินวัตร และย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง[8] ซึ่งมีความใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตร มารักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ[5] และรัฐบาลยังประกาศอย่างชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 237 และมาตรา 309 ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวม 164 คน ได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม[9] ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการหลบเลี่ยงการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรคและต้องการยุบคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เพื่อตัดตอนคดีความที่กำลังดำเนินต่อทักษิณ ชินวัตร ครอบครัวและพวกพ้อง ตลอดจน ทำให้กระบวนการตรวจสอบนักการเมืองอ่อนแอลงจนไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายการเมืองได้[10][11]",
"เยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ คนที่ 20 อดีตนายกสภาประจำสถาบันราชภัฏอุบลราชธานีเป็นผู้ดูแลพื้นที่ภาคใต้ของพรรคเพื่อไทย และเป็นน้องสาวของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และเป็นพี่สาวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย",
"หลังจากที่ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2544 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ทักษิณ ชินวัตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งมีความผิดตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มาตรา 295[67] ซึ่งเป็นความผิดที่จะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี คดีนี้ถูกเรียกว่า คดีซุกหุ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและภรรยาถือหุ้นในบริษัทเอกชนตามที่กฎหมายกำหนด แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับปกปิดความเป็นเจ้าของหุ้นโดยการโอนหุ้นที่มีอยู่ไปให้คนรับใช้ คนรถ คนสวนถือแทน[68] ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าวว่า (1) รัฐธรรมนูญไม่มีนิยามคำว่า \"ทรัพย์สินของตน\", (2) คำอธิบายแบบบัญชีฯ ไม่ชัดเจน, (3) การไม่แสดงทรัพย์สินที่ใช้ชื่อบุคคลอื่นถือแทน ซึ่งเดิมไม่กำหนดให้แสดง ไม่ถือเป็นความผิด, (4) ไม่จงใจไม่แสดงรายการทรัพย์สินที่ใช้ชื่อบุคคลอื่น, (5) ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องยื่นบัญชีฯ ก่อนการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งเพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 และ (6) ในหนังสือลับ ลงวันที่ 14, 24 และ 30 พฤศจิกายน 2543 ถึงประธานอนุกรรมการตรวจสอบฯ ผู้ถูกร้อง (ทักษิณ ชินวัตร) ชี้แจงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเหตุผลที่มิได้แสดงไว้ในบัญชีฯ โดยให้ถือการแจ้งรายการทรัพย์สินเพิ่มเติมเป็นส่วนหนึ่งของบัญชีฯ ที่ยื่นทั้งสามครั้งด้วย ในขณะที่นายกล้าณรงค์ จันทิก เลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ-ปปช. ชี้แจงว่า (1) แม้รัฐธรรมนูญจะไม่นิยามคำว่า \"ทรัพย์สินของตน\" ไว้ แต่เป็นที่เข้าใจได้, (2) คำอธิบายแบบบัญชีฯ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงคงมีสาระสำคัญเหมือนเดิม แต่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย เพื่อทำให้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น, (3) ไม่ปรากฏว่ามีรัฐมนตรีหรือผู้ยื่นบัญชีฯรายใด ยกเหตุไม่แสดงรายการทรัพย์สิน เพราะใช้ชื่อบุคคลอื่นถือแทน โดยอ้างว่าไม่เข้าใจคำอธิบายบัญชีฯ และ (4) แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 แต่ผู้ถูกร้องมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีฯตามรัฐธรรมนูญนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้บังคับ คือ วันที่ 11 ตุลาคม 2540 แล้ว[69] ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยด้วยเสียง 8 ต่อ 7 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีเจตนาในเรื่องดังกล่าว ท่ามกระแสกดดันจากสังคมมายังศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังได้รับความนิยมมากในขณะนั้น ควรได้รับโอกาสในการบริหารประเทศ[70] อย่างไรก็ตามก็มีอีกบางส่วนของสังคมที่เคลือบแคลงสงสัยในคำตัดสินของศาล และทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าแทรกแทรงกระบวนการยุติธรรม[71] จนมีการไปร้องเรียนเพื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ในเวลาต่อมา[72]",
"ร.ต.อ.ปุระชัย คัดค้านที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีมติเห็นชอบ \"ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ….\" ที่พยายามช่วยเหลือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นความผิด โดยยืนยันว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ควรที่ต้องรับโทษตามกฎหมายคดีทุจริตคอรัปชันก่อน ถึงจะมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับการอภัยโทษความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อรัฐ",
"เยาวลักษณ์ ชินวัตร เกิดวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นบุตรคนโตของนายเลิศ ชินวัตร กับนางยินดี ชินวัตร มีน้อง 9 คน ได้แก่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร), นางเยาวเรศ ชินวัตร (สมรสกับนายวีระชัย วงศ์นภาจันทร์), นางปิยนุช (สมรสกับนายสง่า ลิ้มพัฒนาชาติ), นายอุดร ชินวัตร, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (สมรสกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์), นายพายัพ ชินวัตร (สมรสกับนางพอฤทัย จันทรพันธ์), นางมณฑาทิพย์ (สมรสกับนายแพทย์สมชัย โกวิทเจริญกุล), นางทัศนีย์ ชินวัตร และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร) ",
"ต่อมาปี พ.ศ. 2550 ลีเดียได้เขียนได้เขียนพ็อกเกตบุ๊กที่มีชื่อ \"ลีเดีย...เฮียร์ ไอ แอม\" แต่เธอได้ตกเป็นข่าวดังติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ในประเด็นที่ลีเดียสนิทสนมกับครอบครัวชินวัตร โดยในช่วงแรกเธอตกเป็นข่าวกับ โอ๊ค - พานทองแท้ ชินวัตร และต่อมาตกเป็นข่าวกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งความจริงเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ครอบครัวของลีเดียและครอบครัวของอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น มีความสนิทสนม และแนบแน่นกันมานานแล้ว จนมีบางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เธอสนิทสนมกับอดีตนายกฯ เป็นอย่างมาก แต่เธอก็ปฏิเสธมาโดยตลอด และกล่าวว่าอดีตนายกฯ เปรียบเสมือนเป็นพ่อคนที่ 2",
"สมัยที่สมยศดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมยศได้มีบทบาทชักนำประชาคมธรรมศาสตร์ออกมาเรียกร้องให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ปที่สะท้อนให้เห็นว่า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน โดยสมยศได้กล่าวปาฐกถาแสดงความเห็นในกรณีดังกล่าวว่า หลังจากที่ฝ่ายต่าง ๆ เตรียมตรวจสอบความไม่โปร่งใสของรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ทำให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ใชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร และกำหนดการเลือกตั้งใหม่อย่างกระชั้นชิดเกินไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนได้กลับเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอีกครั้ง เขากล่าวว่า",
"พลตำรวจเอก นายกองใหญ่ ดร.ชิดชัย วรรณสถิตย์ (เกิด 13 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ที่จังหวัดอุบลราชธานี) อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี (คนที่ 1) สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งเนื่องจาก รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ในอดีตได้รับราชการเป็นรองผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2548 ได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และยังเคยดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีด้วย\nพล.ต.อ.ชิดชัย เข้ารับตำแหน่งเมื่อ วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2548 เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมาในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2548 ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549",
"จุมพล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งจากผู้พิพากษาศาลฎีกา และเป็นตุลาการที่ได้เข้าร่วมตัดสิน \"คดีซุกหุ้น\" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 โดยอยู่ในฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นความผิดและให้เหตุผลเหมือนกับตุลาการอีก 3 คนคือ กระมล ทองธรรมชาติ ผัน จันทรปาน และศักดิ์ เตชาชาญ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะแสดงบัญชีทรัพย์สินได้พ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เพียงแต่ยังรักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่",
"การประท้วงทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง เป็นเหตุการณ์ในประเทศไทยที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ และมีการชุมนุมปราศรัยเพื่อขับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็นครั้งแรก และเริ่มขยายเป็นวงกว้างขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 ส่วนหนึ่งจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา ในการรณรงค์ขับนี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลาย ๆ กลุ่ม ในเรื่องกระบวนการและประเด็นในการขับ ส่วนในกลุ่มที่สนับสนุน ซึ่งประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคาราวานคนจน และขบวนรถอีแต๋นเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ได้รวมตัวชุมนุมเพื่อสนับสนุนให้นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย ผลจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่อดีตพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชนและพรรคชาติไทยไม่ได้ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค ยังคงได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (56.45% ในผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ) แต่ในบางพื้นที่ของเขตซึ่งไม่มีผู้สมัครอื่นลงแข่งนั้น ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไม่ออกเสียงและบัตรเสีย แต่ในท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ในวันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้มีกลุ่มเครือข่ายแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และอาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย ล่าชื่อกว่า 92 คน ปลุกกระแส \"ต้านทักษิณ\" และออกแถลงการณ์ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ยุติบทบาทจากการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งในการเสวนาโต๊ะกลมเรื่องการร่วมกันแก้ไขวิกฤตปัญหาของบ้านเมือง ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของแกนนำเครือข่ายการต่อต้าน การประท้วงขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากการก่อรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อนวันที่จะมีการชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายในวันที่ 20 กันยายน ขณะที่พ.ต.ท. ทักษิณชินวัตร กำลังเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก",
"ทักษิณ ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรคนที่สอง ในจำนวน 10 คนของนายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร ธิดาของเจ้าจันทร์ทิพย์ (ณ เชียงใหม่) ระมิงค์วงศ์[29] ผู้เป็นธิดาในเจ้าไชยสงคราม (สมพมิตร ณ เชียงใหม่)",
"ต่อมาคะแนนนิยม พรรคความหวังใหม่ ตกต่ำลงมากภายหลัง วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 กระทั่ง พล.อ.ชวลิต ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และ นายเสนาะ ถูกปลดจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค กลุ่มวังน้ำเย็นจึงลาออกจาก พรรคความหวังใหม่ ไปเข้าร่วมกับ พรรคไทยรักไทย และสามารถสนับสนุนให้ พรรคไทยรักไทย ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร จากการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2544 ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทยได้สำเร็จ ทำให้ นายเสนาะ สามารถกล่าวอ้างอยู่เสมอว่า \"ปั้นนายกฯ\" หรือ \"ทำคลอดนายกฯ\" มาแล้วถึง 3 คน",
"นายผัน จันทรปาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2481 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งจากตุลาการศาลปกครองสูงสุด และเป็นตุลาการที่ได้เข้าร่วมตัดสิน \"คดีซุกหุ้น\" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 โดยอยู่ในฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นความผิดและให้เหตุผลเหมือนกับตุลาการอีก 3 คนคือ กระมล ทองธรรมชาติ จุมพล ณ สงขลา และศักดิ์ เตชาชาญ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะแสดงบัญชีทรัพย์สินได้พ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เพียงแต่ยังรักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่",
"นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมสร้างและเผยแพร่ทฤษฎี \"ปฏิญญาฟินแลนด์\" และกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ได้สมคบคิดกับอดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อล้มล้างราชวงศ์จักรี ยึดอำนาจการปกครองราชอาณาจักรไทยและก่อตั้งรัฐคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตามผู้ร่วมสร้างทฤษฎีไม่เคยแสดงหลักฐานแต่อย่างใดเพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีสมคบคิดนี้มีจริง ส่วนตัว พ.ต.ท. ทักษิณ นั้นได้ปฏิเสธเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหลังจากที่ปฏิวัติยึดอำนาจไว้ได้ ก็ไม่ได้ตรวจสอบหรือสอบสวนรายละเอียดของแผนฟินแลนด์แต่อย่างใด[21][22][23]",
"นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ได้รับความไว้วางใจมาเป็นเวลาหลายปี นางกาญจนาเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารกฎหมายต่างๆ รวมทั้งเกี่ยวกับการโอน และซื้อขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด สนามกอล์ฟอัลไพน์ ในส่วนของคุณหญิงพจมาน พ.ต.ท .ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพานทองแท้ ชินวัตร นางสาวพิณทองทา ชินวัตร เป็นต้น",
"ปรีชา เฉลิมวณิชย์ (18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 – 21 มกราคม พ.ศ. 2550) เคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งจากผู้พิพากษาศาลฎีกาเมื่อปี 2541 และสิ้นสุดสภาพพร้อมกับศาลรัฐธรรมนูญตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 3 เมื่อเดือนกันยายน 2549 และเป็นหนึ่งใน 8 ของตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในคดีซุกหุ้นพ้นความผิด โดยให้เหตุผลเหมือนตุลาการอีก 3 คนคือพลโท จุล อติเรก นายสุจินดา ยงสุนทร และนายอนันต์ เกตุวงศ์ ที่่บอกว่าผู้ถูกร้องไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับคู่สมรสที่ดำเนินการไปตามลำพัง จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกร้องต้องรู้ในกิจการของกันและกันทุกเรื่อง นายปรีชาเสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2550 ขณะพักผ่อนที่จังหวัดตาก",
"รองศาสตราจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ (อาจารย์แม่) อธิการบดีมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต พ.ต.ท. สำเนียง ลือเจียงคำ รองผู้กำกับสืบสวนสอบสวน สภ.อ.เมือง อ.เมือง จ.ยโสธร ผู้ฟ้องร้องนายสนธิและนางสาวสโรชา[58] กลุ่มผู้ให้บริการแทกซี่/กลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้างบางส่วน กลุ่มชาวบ้านจากจังหวัดในภาคเหนือบางส่วน [59] กลุ่มนักธุรกิจ ในเครือซีพี กลุ่มรักเมืองไทย-ให้กำลังใจนายก (รวมตัวกันจากห้องราชดำเนิน พันทิป.คอม — แต่ไม่ใช่ตัวแทนของห้องราชดำเนิน) กลุ่มคนผ่านฟ้า กลุ่มวายุภักษ์ รักษ์แผ่นดิน หมอดูอีที ชาวพม่า คลื่นวิทยุ Wisdom Radio FM 105 Mhz, FM.94.25 Mhz โดยเฉพาะช่วง รายการ \"เปิดแฟ้มความคิด\" โดย นายมังกรดำ หรือนายธรชัย ศักดิ์มังกร และปกภูมิ เดชดีหนูแก้ว ซึ่งต่อมาได้ถูกปิดรายการลงหลังจากมีกรณีหมิ่นศาล[60] รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเอเปค (ฝ่ายสัมมนาและเผยแพร่) เจ้าของแนวความคิด \"ไม่เลือกทักษิณ หรือจะเลือกทุนนิยมล้าหลัง?\"[61] นายเทพพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานสมัชชาภาคอีสานพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และในฐานะแกนนำ ผู้ประสานนำตัว 16 ผู้สนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในกรณีเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล[62] ผู้ช่วยศาสตราจารย์เสถียร วิพรมหา อาจารย์จากมหามกุฏราชวิทยาลัย เลขาธิการเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และแกนนำ ผู้สนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้งอีก 14 คน ที่ต้องโทษกรณีหมิ่นศาล นายธนา เบญจาธิกุล ทนายความ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกลุ่มบุคคลผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง 12 คน นายพันธุ์ศักดิ์ ซาบุ ตัวแทนองค์กรประชาชนรักความสงบ ผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ และขัดแย้งกับกลุ่มเครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณ ในกรณีพิพาท เมื่อวันที่ 19-20 สิงหาคม จากกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณถูกต่อต้านที่สยามพารากอน นายมงคล เสมอภาพ แกนนำ กลุ่มรักสันติสามัคคีเพื่อประชาธิปไตย ราว 100 คน เป็นกลุ่มที่จะชุมนุมให้กำลังใจกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทุกวันตามสถานที่สำคัญทั่วกรุงเทพมหานคร[63] ฯลฯ",
"เหตุการณ์ยังคงไม่คลี่คลาย มาจนถึงวันที่ 21 สิงหาคม ได้เกิดเหตุในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง ทั้งที่มีการวางกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบอารักขานายกรัฐมนตรี ขณะไปเปิดงานอุทยานเรียนรู้ - ดิจิตอล ทีเคปาร์ค ที่ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ เพราะเกรงว่าอาจถูกลอบสังหารตามที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รายงานมาก่อนหน้า หรือเกรงจะเกิดการปะทะซ้ำรอยเหตุการณ์ที่สยามพารากอน โดยได้มีการปะทะคารมกันของฝ่ายผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีและฝ่ายต่อต้าน จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและชายฉกรรจ์ในชุดสีเข้มไม่ทราบสังกัดทำร้ายร่างกาย เป็นชนวนให้เกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้น ผลคือมีการบาดเจ็บกันหลายคน ทราบชื่อได้แก่ น.ส.วศุพร บุญมี นาย อิทธิพล สรวิษศกุล และนาย ขวัญชัย จุ้ยมณี[18] ทั้งกลุ่มผู้ที่ต่อต้านนายกรัฐมนตรีและกลุ่มที่สนับสนุน บางส่วนของผู้ต่อต้านนายกฯ ถูกดำเนินคดีในข้อหารบกวนความสงบเนื่องจากเป็นต้นเหตุการก่อให้เกิดเสียงเอะอะรำคาญ[19] เหตุการณ์ทั้งสองถูกประณามว่านายกรัฐมนตรีและฝ่ายต่อต้านนายกรัฐมนตรีน่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกันทั้งสองฝ่ายเพราะเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาท แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด[20]",
"ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เอแบคโพลเปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ และผลวิจัยเชิงคุณภาพ เรื่อง \"ฐานสนับสนุนนักการเมือง กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปรียบเทียบระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ทักษิณ ชินวัตร\" กรณีศึกษาประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 27 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 4,286 ครัวเรือน ดำเนินโครงการสำรวจระหว่างวันที่ 22 - 24 ตุลาคม พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.4 ขออยู่ตรงกลาง ยังไม่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ในขณะที่ ร้อยละ 25.0 สนับสนุน ทักษิณ ขณะที่ร้อยละ 21.6 สนับสนุนนายอภิสิทธิ์[82]",
"ลูกแกะหลงทาง เป็นบทความที่มาจากความคิดเห็นในเว็บไซต์ผู้จัดการในหัวข้อ จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร (15) : ประธานวุฒิสภาต้องลาออก เปิดทางให้วุฒิสภาแก้ปัญหา ส่งเรื่องกลับศาลรัฐธรรมนูญ โดย เซี่ยงเส้าหลง ในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2548 โดยส่งมาเป็นความคิดเห็นที่ 9 ผู้ส่งใช้นามแฝงว่า \"555\" ซึ่งผู้เห็นครั้งแรกคือ นายคำนูณ สิทธิสมาน",
"ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ,ประธานคณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช, นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล นายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยศิลปากร ในอดีตได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร สมรสกับคุณหญิง รัชนีวรรณ วัฒนชัยศ.นพ.เกษม วัฒนชัย เริ่มรับราชการในตำแหน่งอาจารย์โท ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2511 และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ",
"สามารถพิทักษ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ จนทำให้เกิดการยุบพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่ทุจริตการเลือกตั้งถึง 3 พรรคการเมือง รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯถือเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากอำนาจโดยปริยายจากคดียุบพรรค"
] |
อำเภอกาญจนดิษฐ์ตั้งอยู่ในจังหวัดอะไรของไทย? | [
"อำเภอกาญจนดิษฐ์มีความเป็นมาคือ กาญจนดิษฐ์ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี"
] | [
"ตำบลพลายวาส เป็นตำบลในอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี",
"องค์การบริหารส่วนตำบลพลายวาส ตั้งอยู่ในตำบลพลายวาส อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฏร์ธานี พื้นที่ส่วนหนึ่งติดต่อกับเทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ และห่างจากเทศบาลนครสุราษฏร์ธานีประมาณ 18 กม. ตามเส้นทางการคมนาคม โดยมีอาณาเขตติดต่อกับตำบลต่าง ๆ ดังนี้",
"อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลตำบลขุนทะเล อำเภอกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลช้างซ้าย เทศบาลตำบลช้างขวา เทศบาลตำบลกรูด อำเภอดอนสัก เทศบาลเมืองดอนสัก อำเภอเกาะสมุย เทศบาลนครเกาะสมุย อำเภอเกาะพะงัน เทศบาลตำบลเกาะพะงัน เทศบาลตำบลบ้านใต้ เทศบาลตำบลเพชรพะงัน เทศบาลตำบลเกาะเต่า อำเภอไชยา เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลเวียง อำเภอท่าชนะ เทศบาลตำบลท่าชนะ อำเภอคีรีรัฐนิคม เทศบาลตำบลท่าขนอน อำเภอบ้านตาขุน เทศบาลตำบลบ้านเชี่ยวหลาน เทศบาลตำบลบ้านตาขุน อำเภอพนม เทศบาลตำบลพนม เทศบาลตำบลคลองชะอุ่น อำเภอท่าฉาง เทศบาลตำบลท่าฉาง อำเภอบ้านนาสาร เทศบาลเมืองนาสาร เทศบาลตำบลพรุพี เทศบาลตำบลคลองปราบ เทศบาลตำบลท่าชี เทศบาลตำบลควนศรี อำเภอบ้านนาเดิม เทศบาลตำบลบ้านนา อำเภอเคียนซา เทศบาลตำบลเคียนซา เทศบาลตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเวียงสระ เทศบาลตำบลเวียงสระ เทศบาลตำบลบ้านส้อง เทศบาลตำบลเขานิพันธ์ เทศบาลตำบลทุ่งหลวง เทศบาลตำบลเมืองเวียง อำเภอพระแสง เทศบาลตำบลบางสวรรค์ เทศบาลตำบลย่านดินแดง อำเภอพุนพิน เทศบาลเมืองท่าข้าม",
"อำเภอกาญจนดิษฐ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้",
"อำเภอกาญจนดิษฐ์แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 ตำบล 117 หมู่บ้าน ได้แก่",
"ขันติพงษ์ เกิดที่อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มแข่งขันมวยไทยเมื่ออายุ 7 ขวบ โดยใช้ชื่อพรทวี เดชนิรันดร์ ต่อมา ได้ย้ายตามครอบครัวของเขาซึ่งมาทำสวนที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยแข่งกว่า 200 ไฟต์ และแพ้เพียง 6 ครั้ง",
"ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เมืองเมืองกาญจนดิษฐ์, เมืองคีรีรัฐนิคมและเมืองไชยารวมตัวเป็นจังหวัดไชยา ขึ้นตรงต่อมณฑลชุมพร เมื่อเมืองขยายใหญ่ขึ้น จึงมีการปรับเปลี่ยนการปกครองและขยายเมืองออกไป มีการแยกเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นอำเภอกาญจนดิษฐ์และอำเภอบ้านดอน กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการย้ายอำเภอเมืองมาที่อำเภอบ้านดอนและโอนชื่อมาเป็นชื่ออำเภอไชยา และให้เชื่อเมืองเก่าว่า \"อำเภอพุมเรียง\" ทว่าประชาชนยังติดเรียกชื่อเมืองเก่าว่า \"อำเภอไชยา\" ทั้งตัวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดปรานชื่อบ้านดอน จึงพระราชทานนามอำเภอบ้านดอนว่า \"สุราษฎร์ธานี\" และยังคงชื่ออำเภอพุมเรียงว่าอำเภอไชยาเช่นเดิม รวมถึงเปลี่ยนชื่อจังหวัดเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานี[6] และพระราชทานนามแม่น้ำตาปี ให้ในคราวเดียวกันนั้นเอง ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามแบบเมืองและแม่น้ำในประเทศอินเดียที่มีแม่น้ำทัปตีไหลลงสู่ทะเลออกผ่านปากอ่าวที่เมืองสุรัต[4]",
"ดอนสัก เป็นอำเภอที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แยกการปกครองมาจากอำเภอกาญจนดิษฐ์เมื่อปี พ.ศ. 2512 แบ่งการปกครองเป็น 3 ตำบล คือ ตำบลดอนสัก ตำบลชลคราม ตำบลไชยคราม ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 ได้ตั้งตำบลปากแพรกขึ้นอีกตำบลหนึ่ง รวมเป็น 4 ตำบล (ดอนสัก ชลคราม ไชยคราม และปากแพรก)",
"อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 48ก วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2542 กำหนดบริเวณที่ดินป่าชัยคราม และป่าวัดประดู่ ในท้องที่ตำบลท่าอุแท ตำบลคลองสระ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และป่ายางโพรงและป่าเขาใหญ่ ในท้องที่ตำบลสี่ขีด ตำบลเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็น อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2542",
"ถึง พ.ศ. 2442 โปรดให้รวมเมืองกาญจนดิฐและเมืองไชยาเป็นเมืองเดียวกันให้เรียกว่าเมืองไชยา (คือยุบเมืองกาญจนดิฐเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองไชยา) ตั้งศาลาว่าการเมืองที่พุมเรียง มีหลวงวิเศษภักดี (อวบ) เป็นผู้ว่าราชการเมือง ขุนวิเศษรักษา ปลัดเมืองไชยาเดิม เป็นปลัดเมืองไชยา ส่วนพระศรีสุพรรณดิษฐ์ปลัดเมืองกาญจนดิฐที่ถูกยุบก็ทำหน้าที่เป็นปลัดเมืองอยู่ที่บ้านดอน",
"บัญญัติเกิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2485 (แต่ตามประวัติโดยทั่วไปมักระบุว่าเกิด 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2485) ที่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมชื่อ \"เก้าแซ่ แซ่ลิ้ม\" เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนไหหลำ มีภรรยาคือ นางจิตติมา สังขะทรัพย์",
"อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นมีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอบ้านนาสาร และ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบชื้น มีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด และมีจุดเด่นตามธรรมชาติที่สวยงาม เช่น หน้าผา ถ้ำ น้ำตก ตลอดจนมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์การสู้รบที่เหลืออยู่ เช่น ค่าย บังเกอร์ อุโมงค์ มีเนื้อที่ประมาณ 265,625 ไร่ หรือ 425 ตารางกิโลเมตร ได้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2534 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 73 ของประเทศไทย",
"ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งอู่เรื่อพระที่นั่งและเรือรบเพื่อใช้ในราชการที่อ่าวบ้านดอน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ย้ายที่ตั้งเมืองท่าทองมายังอ่าวบ้านดอน พร้อมทั้งยกฐานะให้เป็นเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร และพระราชทานชื่อว่า \"เมืองกาญจนดิษฐ์\"[4] โดยแต่งตั้งให้พระยากาญจนดิษฐ์บดีเป็นเจ้าเมืองดูแลการปกครอง",
"ตำบลตะเคียนทอง เป็นตำบลในอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี",
"หอยนางรมเป็นของขึ้นชื่อในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งจะมีความแตกต่างจากหอยนางรมที่อื่น คือ มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ รสชาติหวาน โดยจะจัดขึ้นประมาณต้นเดือนมีนาคมของทุกปีในตัวอำเภอกาญจนดิษฐ์",
"โบถส์ใหม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2545 ปัจจุบันมีพระครูปุณณสารวิมล เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 \nเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2422 ( ตรงกับวันพุธ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 2 ปีเถาะ) บิดาชื่อ นายมา มารดาชื่อ นางแดง นามสกุล สุราราษฎร์ อาชีพ กสิกรรม== การศึกษา === - ได้รับการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังสือไทยกับเลขตามธรรมดา ในสำนัก พระพัด เจ้าอาวาสวัดหนุน อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี == บรรพชา === ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2438 โดยมีพระครูขำ เจ้าคณะแขวงอำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้เล่าเรียนธรรมวินัย และสวดมนต์ไหว้ เป็นสามเณร อยู่ได้ 2 พรรษาได้ลาสิกขา ไปประกอบการหาเลี้ยงชีพตามภูมิลำเนาเดิม == อุปสมบท === ต่อมาอายุได้ 23 ปี ก็เข้าอุปสมบท ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2445 ที่วัดใหม่ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานสาธารณสุข อ.กาญจนดิษฐ์ ) มี พระครูขำ จ้าคณะแขวงอำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ / พระแก้ว เจ้าคณะหมวด แขวงอำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยภิกษุปาฎิโมกข์ ในสำนักวัดใหม่ จำนวน 5 พรรษาแล้วเดินธุดงค์== จำพรรษาวัดสุบรรณนิมิตร์=== หลังจากได้ธุดงค์แล้วในเขตประเทศพม่า อินเดีย แล้วก็ได้เข้าศึกษาหนังสือไทย ประถม 1 ถึงประถม 4 ในสำนักวัดสุบรรณนิมิตร์ โดยมีพระครูจุฬามุนี( ฤกษ์) เป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดชุมพร อยู่จนพระครูจุฬามุนี ได้มรณภาพลงในปี พ.ศ.2455 ตำแหน่งเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดชุมพร ว่างลง หลังจากนั้นพระครูวาทีธรรมรส เจ้าคณะแขวงประทิว ย้ายมารับตำแหน่ง เจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดชุมพร ท่านก็อยู่ช่วยงานในตำแหน่งรองเจ้าอาวาส ต่อมาพระครูวาทีธรรมรส ได้มรณภาพ ก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา == ตำแหน่งหน้าที่ ===- เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2460 พระครูวาทีธรรมรส เจ้าคณะจังหวัดชุมพร แต่งตั้งให้เป็นพระสมุห์ดำ ฐานาของพระครูวาทีธรรมรส - พ.ศ. 2463 พระครูวาทีธรรมรส เจ้าคณะจังหวัดชุมพร มรณภาพลง พระชุมพรบุรีศรีสมุหเขตร์ ผู้ว่าราชจังหวัดชุมพร ได้มอบหน้าที่ เจ้าคณะแขวงอำเภอท่าตะเภา - พ.ศ.2463 ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูดำ เจ้าคณะแขวงอำเภอท่าตะเภา- พ.ศ.2464 มหาเสวกโท พระยาคงคาธราธิบดีศรีสุราษฎร์โลหนครราธิปตัย อภัยพิริยะพาหะสมุหเทศาภิบาลมณฑลสุราษฎร์ ได้ร้องขอให้รับตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดชุมพร- 25 ธันวาคม พ.ศ.2464 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ - พ.ศ.2467 ได้พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระครูจุฬามุนี สังฆวาหะ - พ.ศ.2474 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดชุมพร== สหมิกที่สำคัญ ===-พระธรรมวิโรจนเถร (พลับ ฐิติโก) วัดธรรมบูชา / อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมบูชา อดีตเจ้าคณะธรรมยุติ จังหวัดสุราษฎร์ธานี== ศิษย์ที่สำคัญ ===- พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร และเจ้าอาวาสวัดขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร===มรณภาพ==- พระครูจุฬามุนีสังฆวาหะ (หลวงพ่อดำ ตาระโก) ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา ในปี พ.ศ.2495 สิริอายุ 73 ปี มีพรรษา 50 ณ วัดสุบรรณนิมิตร์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร",
"ร.ศ.107 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเขตการปกครองทั่วราชอาณาจักรออกเป็นมณฑล โปรดให้รวมเมืองไชยา เมืองกาญจนดิษฐ์ และเมืองคีรีรัฐนิคมเข้าเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า \"เมืองไชยา\" ตั้งศาลากลางที่บ้านดอน รวมเมืองไชยา เมืองชุมพร และเมืองหลังสวนขึ้นเป็นมณฑลหนึ่งเรียกว่า \"มณฑลชุมพร\" ตั้งศาลามณฑลอยู่ที่เมืองชุมพร ต่อมาได้ย้ายศาลามณฑลมาตั้งที่บ้านดอน บริเวณเดียวกับศาลากลางเมืองไชยา ยกฐานะเมืองท่าทองเป็นอำเภอ เอาชื่อเมืองกาญจนดิษฐ์ให้เป็นชื่ออำเภอเรียกว่า \"อำเภอกาญจนดิษฐ์\" ลดฐานะเมืองไชยาเดิมเป็นอำเภอเรียกว่า \"อำเภอไชยา\" และลดฐานะเมืองคีรีรัฐนิคมเป็น อำเภอคีรีรัฐนิคม ",
"บิว กัลยาณี มีชื่อจริงว่า กัลยาณี เจียมสกุล เป็นชาวอำเภอกาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2528 มีพี่น้อง 3 คน เป็นคนสุดท้อง ทางบ้านมีฐานะยากจน พ่อเป็นภารโรง ต่อมาขับรถตู้ของโรงเรียน ส่วนแม่ขายขนมในโรงเรียน ซึ่งเธอก็ช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ ปัจจุบัน มีถิ่นพำนักอยู่ที่บ้านเลขที 67/2 หมู่ที่ 2 ตำบลตะเคียนทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีทั้งที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้านนิเทศศาสตร์บูรณาการและ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ด้านการตลาด ",
"ทางหลวงสายนี้มีจุดเริ่มต้นแยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 บริเวณกิโลเมตรที่ 944+200 ตำบลคลองหิน อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ตัดขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านอำเภอปลายพระยา เข้าสู่เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผ่านอำเภอพระแสง อำเภอเคียนซา อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอพุนพิน อำเภอเมือง สิ้นสุดที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 บริเวณตำบลพลายวาส อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมระยะทาง 133.172 กิโลเมตร ",
"อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอดอนสัก อำเภอเกาะสมุย อำเภอเกาะพะงัน อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอคีรีรัฐนิคม อำเภอบ้านตาขุน อำเภอพนม อำเภอท่าฉาง อำเภอบ้านนาสาร อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอเคียนซา อำเภอเวียงสระ อำเภอพระแสง อำเภอพุนพิน อำเภอชัยบุรี อำเภอวิภาวดี",
"อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าชัยคราม และป่าวัดประดู่ ในท้องที่ตำบลท่าอุแท ตำบลคลองสระ \nอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และป่ายางโพรงและป่าเขาใหญ่ ในท้องที่ตำบลสี่ขีด ตำบลเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช",
"ท้องที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 14 แห่ง ได้แก่",
"เมื่อวันที่ 26 กันยายน ร.ศ. 115 ( พ.ศ. 2439) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จฯพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงทราบว่าตามที่ได้มีกระแสพระราชดำริให้จัดหัวเมืองปักษ์ใต้ตอนเหนือเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น คือเมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองหลังสวน เมืองกาญจนดิษฐ์ และเมืองกำเนิดนพคุณ ( บางสะพาน) ทั้ง 5 หัวเมืองรวมเข้าเป็นมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า มณฑลชุมพร ดังนั้นเมืองในมณฑลชุมพรจึงคงมีเพียง 5 หัวเมือง ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพดำเนินการไป นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองคีรีรัฐนิคม ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นกับเมืองไชยา เพราะเหตุที่เมืองคีรีรัฐนิคมอยู่ฝ่ายน้ำริมข้างฝั่งทะเลตะวันออก ตั้งอยู่ริมลำน้ำ เมืองไชยา ไปมาถึงกันง่าย พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ยกเกาะสมุย ซึ่งเคยขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช และเกาะพะงันซึ่งเคยขึ้นกับเมืองไชยา รวมเป็นอำเภอเดียวกัน ให้ไปขึ้นแก่เมืองกาญจนดิษฐ์ ซึ่งอยู่ใกล้กว่าเมืองอื่นสามารถเดินทางไปมาติดต่อกันได้สะดวกขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 26 กันยายน ร.ศ. 118 ( พ.ศ. 2442) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระบรมราชานุญาต รวมเมืองกาญจนดิษฐ์กับเมืองไชยาเข้าเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า “ เมืองไชยา ” เนื่องจาก 2 เมืองนี้เป็นเมืองใกล้ชิดติดต่อกันและไม่ใหญ่เท่าใดนัก ขอให้หลวงวิเศษภักดีข้าหลวงว่าราชการเมืองไชยา รักษาราชการต่อไปทั้ง 2 เมือง โดยให้ไปตั้งศาลากลางที่บ้านดอนหรือเมืองกาญจนดิษฐ์ ( ตัวเมืองสุราษฎร์ธานีปัจจุบัน) ส่วนเมืองไชยาเดิมซึ่งย้ายไปตั้งที่ตำบลพุมเรียงนั้นให้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอพุมเรียงตามนามตำบล สาเหตุที่ให้คงชื่อเมืองไชยาไว้เนื่องจากทรงเห็นว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์สำคัญเก่าแก่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่ง \nในปีถัดมา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ทำหนังสือลงวันที่ 3 เมษายน ร.ศ. 119 ( พ.ศ. 2443) กราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่าได้รับไปบอกพระยารัตนภักดี ข้าหลวงว่าราชการเมืองไชยาเสนอว่าในการที่จะรวมเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นเมืองไชยานั้น ควรยกศาลเมืองไชยาไปรวมตั้งอยู่ที่บ้านดอน และยกอำเภอไชยาขึ้นเป็นศาลแขวง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของราษฎรตามพระธรรมนูญศาลหัวเมืองก็พอจะระงับกิจทุกข์สุขของราษฎรเรียบร้อยได้ และยกคลังเมืองไชยาไปรวมอยู่กับคลังอำเภอ บ้านดอน การรับเงินที่เมืองไชยาปีหนึ่งเกินกว่า 50,000 บาท การรักษาพระราชทรัพย์แต่แห่งเดียวเป็นที่มั่นคงขึ้นทั้งเป็นการง่ายในการเบิกจ่ายทำบัญชีทั้งปวง และขอให้ยกที่ว่าการเมืองใชยาไปรวมอยู่ที่บ้านดอนพลางก่อนจนกว่าจะได้จัดการก่อสร้างขึ้นที่ตำบลท่าข้าม ( อำเภอพุนพินในปัจจุบัน) ที่เมืองไชยานั้นให้ปลัดอยู่ประจำรักษาราชการ ส่วนผู้ว่า-ราชการเมืองนั้นจะได้ออกตรวจราชการต่างๆ ทั่วไปทั้งบ้านดอนและ ไชยา พระยารัตนเศรษฐีจึงได้มีหนังสือตอบไปยังหลวงวิเศษภักดีว่าให้รีบจัดการไปตามความเห็นของหลวงวิเศษภักดีไปพลางๆ ก่อน แต่การศาลเมืองไชยานั้นให้ปรึกษากับพระศรีสัตยารักษ์ ข้าหลวงพิเศษให้เป็นที่ตกลงกัน ",
"ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานีกับจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีเส้นทางเริ่มจากใกล้ ๆ อำเภอตะกั่วป่า ในช่วงแรกเป็นถนน 2 ช่องจราจร จากนั้นวิ่งไปทางตะวันออก เข้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยผ่านอำเภอพนมอำเภอบ้านตาขุน อำเภอคีรีรัฐนิคมจากนั้นได้ขยายเป็น 4 ช่องจราจรไปยังอำเภอพุนพิน และต่อไปยังตัวเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอกาญจนดิษฐ์ จากนั้นก็เข้าสู่เขตจังหวัดนครศรีธรรมราชที่อำเภอขนอม แต่ไม่ได้ผ่านตัวอำเภอขนอม จากนั้นก็วิ่งลงใต้ผ่านอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และสิ้นสุดที่บ้านท่าแพ ประมาณ 10 กิโลเมตร ทางเหนือของตัวเมืองนครศรีธรรมราช ระยะทางทั้งหมดประมาณ 290 กิโลเมตร อยู่ในจังหวัดพังงาประมาณ 25 กิโลเมตร อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 175 กิโลเมตร และอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชประมาณ 90 กิโลเมตร",
"พบโดยทั่วไปตามบริเวณน้ำตื้นชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำลำคลอง ที่สุราษฎร์ธานี แหล่งที่เลี้ยง\nหอยนางรมใหญ่ที่สุด คือบริเวณอ่าวที่ตำบลท่าทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ก็มีการเลี้ยงที่บริเวณ\nแหลมซุย อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงหอยนางรมในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 741 ราย เนื้อที่ ประมาณ 4,866 ไร่",
"ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลตะเคียนทอง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 7 บ้านหนองจิก ตำบลตะเคียนทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอ ห่างจากที่ว่าการอำเภอกาญจนดิษฐ์ประมาณ 3 กิโลเมตร และห่างจากศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 12 กิโลเมตรตามเส้นทางคมนาคม ตำบลตะเคียนทองมีเนื้อทั้งหมดโดยประมาณ 27.80 ตารางกิโลเมตร หรือ 17,375 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับตำบลและอำเภออื่นๆ ดังนี้ \nพื้นที่ตำบลตะเคียนทองประมาณ มากกว่าร้อยละ 70 เป็นสภาพพื้นที่ราบชายฝั่งทะเล มีลำคลองกะแดะแจะ ไหลผ่านพื้นที่ตอนกลางค่อนไปทางตะวันตก ส่วนพื้นที่มีสภาพราบเรียบ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของตำบลมีคูคลองหลายสายกระจายอยู่ทั่วไป คูคลองเหล่านี้มีทั้งที่เกิดขึ้นเอง และสร้างขึ้น คลองที่สำคัญ เช่น คลองกะแดะแจะ คลองเฉงอะ เป็นต้น",
"พ.ศ. 2465 ทางการคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกำแพง (ปัจจุบันคือวัดกาญจนาราม) อำเภอกาญจนดิษฐ์ ซึ่งเป็นวัดตั้งอยู่ใกล้ที่ว่าการอำเภอกาญจนดิษฐ์ และว่างเจ้าอาวาสมานาน ปรากฏว่าได้รับการต้อนรับจากทางข้าราชการ และทางคณะสงฆ์ โดยมีพระเถระผู้ใหญ่จากกรุงเทพมหานครมาร่วมด้วย และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในคณะธรรมยุตนี้ด้วย เมื่อท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกาญจนารามแล้วได้พัฒนาวัดให้เป็นรมณียสถาน เป็นสำนักออค้า บรมกรรมฐานมีพระภิกษุ สามเณร ข้าราชการ ทายกทายิกา เข้าวัดมากขึ้น ทำให้วัดกาญจนารามเป็นวัดที่มีหลักฐานมั่นคงมาถึงปัจจุบัน [2]",
"พระธรรมวโรดม (เซ่ง อุตฺตโม) อดีตเจ้าคณะมณฑลสุราษฏร์,ภูเก็ต,นครศรีธรรมราช และอดีตเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร พระรัตนธัชมุนี (แบน คณฺฐาภรโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช พระธรรมปรีชาอุดม (หลวงพ่อพุ่ม) วัดตรณาราม, อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี พระครูจุฬามุนีสังฆวาหะ (หลวงพ่อดำ ตาระโก) วัดสุบรรณนิมิตร จ.ชุมพร, อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร พระเทพวงศาจารย์(พระธรรมจารีย์ จันทร์ โกศโลหรือเจ้าคุณเฒ่า) วัดขันเงิน ,อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร พระครูประกาศิตธรรมคุณ (หลวงพ่อเพชร อินทโชติ) วัดวชิรประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี อดีตเจ้าคณะอำเภอกาญจนดิษฐ์ พระครูปราการศิลประกฤต ( พ่อท่านจูลิ่ม ) วัดบางทีง อ.ควนเนียง จ.สงขลา หลวงพ่อพัฒน์ นารโท อดีตเจ้าอาวาสวัดพัฒนาราม อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พระอุปัฌาย์พุ่ม ฉนฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดปากคู อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี พระครูโยคาธิการวินิต อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมบูชา , อดีตเจ้าคณะธรรมยุติ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าอธิการพระมหายุตต์ ธมฺมวิริโยอดีตเจ้าอาวาสวัดกลาง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พระครูดิตถารามคณาศัย (หลวงพ่อชม คุณาราโม ) วัดท่าไทร อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี.อดีตเจ้าคณะอำเภอกาญจนดิษฐ์ เจ้าพระยาพลเทพ (เฉลิม โกมารกุล ณ นคร) อดีตเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ",
"ทิศเหนือ ติดต่อกับอ่าวไทย ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอดอนสัก และอำเภอสิชล (จังหวัดนครศรีธรรมราช) ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอนบพิตำ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) และอำเภอบ้านนาสาร ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอบ้านนาสารและอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี"
] |
อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี เกิดเมื่อไหร่? | [
"อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี มีนามเดิมว่า ท้าวโหง่นคำ หรือท้าวคำ ถือกำเนิดในตระกูลเจ้านายจากคณะอาญาสี่แห่งเมืองสกลนคร ซึ่งเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเจ้านายผู้สร้างเมืองมหาไชยกองแก้ว และเจ้านายในราชวงศ์ศรีโคตรบูรของเมืองนครพนมในอดีต พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) กำเนิดหลังรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ราว ๑๑ ปี ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีกุน เอกศก จ.ศ. ๑๒๐๑ ตรงกับวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๓๘๒ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นบุตรของเจ้าราชวงศ์อิน (อินทร์ หรือ จันทร์) เจ้านายในคณะอาญาสี่เมืองสกลนคร กับอัญญานางเทพ[2] ฝ่ายพระอัยกา (ปู่) พระนามว่า อุปฮาดพระนาคี (กิ่ง หรือ กิ่งหงษา) เจ้านายในคณะอาญาสี่เมืองมหาไชยกองแก้วของลาว พระปัยกา (ทวด) ทรงพระนามว่า พระบุรมราชากิตติศัพท์เทพฤๅยศ ทศบุรีศรีโคตรบูรหลวง คนทั่วไปรู้จักกันในพระนาม พระบรมราชา (พรหมา) ต้นตระกูล พรหมประกาย ณ นครพนม แห่งจังหวัดนครพนม เจ้าผู้ปกครองเมืองนครพนมเมื่อครั้งเป็นประเทศราชของเวียงจันทน์และสยาม โฮงหรือวังเดิมของพระยาประจันตประเทศธานีตั้งอยู่ ณ ตำบลธาตุเชิงชุม ใกล้วัดพระธาตุเชิงชุม ในตัวเมืองสกลนคร พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ศึกษาอักขระสมัยตามประเพณีบุตรหลานเจ้านายบ้านเมืองลาว รู้หนังสือลาวทั้งอักษรลาวอักษรธัมม์และหนังสือไทยโดยสมควร มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมมาแต่กำเนิด[3]"
] | [
"เมื่อพระอุปฮาด (โง่นคำ) ได้เลื่อนเป็นที่ พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนครแล้ว ได้จัดเอากระบือ ๒๑ ตัว ส่งขึ้นไปให้พระยาศรีสุริวงศ์ข้าหลวงเมืองเชียงขวางจ่ายให้พวกทำนาครั้งหนึ่ง ได้จัดกรมการท้าวเพี้ยพร้อมกับหลวงณรงค์โยธาข้าหลวง ขึ้นไปปักหลักด่านทางเมืองวังคำและตามไปส่งถึงเมืองนครพนม ต่อมาได้จัดกรมการพร้อมกับหลวงมลโยธานุโยคข้าหลวง ขึ้นไปประจำรักษาด่านอยู่เมืองวังคำ และตามไปส่งถึงเมืองนครพนมด้วยอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาได้ส่งเสบียงลำเลียงแก่หลวงมลโยธานุโยคข้าหลวงถึง ๓ ครั้ง ได้จัดท้าวเพี้ยและพาหนะส่งแก่หม่อมหลวงชื่นและข้าหลวงกองแผนที่ไปทางลำน้ำก่ำครั้ง ๑ จัดท้าวเพี้ยส่งมองสิเออคอมิแซร์ มองสิเออแกว ข้าหลวงฝรั่งเศสกองแผนที่ไปเมืองกาฬสินธุ์ทางหนึ่งและธาตุพนมทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังจัดท้าวเพี้ยส่งพาหนะหม่อมราชวงศ์ชิดและหม่อมราชวงศ์ชื่นไปเมืองหนองหานอีกครั้งหนึ่ง",
"ปีพุทธศักราช 2458 อำมาตย์โท พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ผู้ว่าราชการจังหวัดขณะนั้น และรองอำมาตย์โท ขุนเพาะนิสัยชอบ (เชื้อ รัชตรัตน์) ธรรมการจังหวัดตรัง ได้ดำเนินการให้มีการก่อสร้างทั้งหมด 8,155 บาท เสร็จเรียบร้อยในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2459",
"ในช่วงนี้จะเกิดความสับสนว่า ชาวภูไทกะป๋อง ซึ่งอาศัยอยู่บ้านหนองหอย ในเขตเมืองสกลนคร แทนที่จะจัดตั้งเมืองที่บ้านหนองหอย แต่เหตุใดจึงจัดตั้งเมืองวาริชภูมิขึ้นที่บ้านป่าเป้า ซึ่งอยู่ในเขตเมืองหนองหาน เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการจัดตั้งเมืองที่บ้านหนองหอย ถูกคัดค้านจาก พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร ซึ่งข้อขัดแย้งนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว ตั้งแต่สมัย ท้าวราชนิกูล และได้พยายามร้องขอกับ พระยาประจันตประเทศธานี หลายครั้งแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ พระพิทักษ์เขตขันธ์ เจ้าเมืองหนองหาน จึงยกพื้นที่บ้านป่าเป้า ในเขตเมืองหนองหาน ให้กับพระสุรินทรบริรักษ์ เพื่อจัดตั้งเมืองวาริชภูมิ และได้เกลี้ยกล่อมให้ พระสุรินทรบริรักษ์ ไปอพยพชาวภูไทกะป๋อง ที่อาศัยอยู่บ้านหนองหอย มาอยู่ที่บ้านป่าเป้าแทน แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากชาวภูไทกะป๋อง เป็นคนรักฐิ่นฐาน จึงไม่ยอมย้ายบ้านเมืองไปอยู่ที่อื่น ทำให้เมืองวาริชภูมิ ต้องย้ายมาตั้งที่บ้านหนองหอยดังเดิม จึงเกิดข้อพิพาทเขตแดนระหว่างเมืองหนองหาน และเมืองสกลนคร อย่างไม่จบสิ้น",
"มหาอำมาตย์โท พระยามโนปกรณนิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ชื่อเดิมว่า \"ก้อน หุตะสิงห์\" เกิดวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 ที่จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของนายฮวด กับนางแก้ว หุตะสิงห์ ท่านถึงแก่อนิจกรรม ณ เมืองปีนัง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2491 รวมอายุได้ 64 ปีเศษ\nพระยามโนปกรณนิติธาดา เป็นผู้ที่จบการศึกษาวิชากฎหมายระดับเนติบัณฑิต จากประเทศอังกฤษ เป็นข้าราชการตุลาการผู้ที่ได้ชื่อว่ามือสะอาด ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยมาตลอดชีวิตการรับราชการ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านได้รับเลือกจากคณะราษฎรโดยนายปรีดี พนมยงค์ ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มีด้วยกันทั้งหมด 70 คน ที่มาจากการแต่งตั้ง และได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ด้วยหวังว่าท่านจะเป็นคนกลางประสานความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้นิยมการปกครองแบบเก่า และกลุ่มผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ถูกทาบทามตั้งแต่วันแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ทว่ายังไม่ตอบรับเลยในทันที เพียงแต่ขอเวลาไปตัดสินใจหนึ่งคืน และได้ให้คำตอบรับในเช้าวันถัดมา ",
"พ.ศ. ไม่ปรากฏ - เหรียญปราบฮ่อ (ร.ม.ฮ.)",
"พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ป่วยด้วยโรคชราและถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ สิริรวมอายุได้ ๘๕ ปี รวมระยะเวลาที่เข้ารับราชการทั้งสิ้น ๖๖ ปี ในช่วงนี้ได้รับราชการฝ่ายบริหารและฝ่ายปกครองรวม ๕๑ ปี และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการเมืองสกลนครรวม ๓๗ ปี",
"อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) (ต.ช., ต.ม., ร.ป.ช., ร.ม.ฮ., ฯลฯ) เจ้าเมืองสกลนครองค์สุดท้าย ผู้ว่าราชการเมืองสกลนครคนแรก (ปัจจุบันคือจังหวัดสกลนคร ในภาคอีสานของประเทศไทย) เดิมเป็นที่ราชวงศ์แล้วเลื่อนเป็นที่พระอุปฮาด ตำแหน่งเจ้านายในคณะอาญาสี่เมืองสกลนคร ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร และอดีตนายกองสักเลกเมืองสกลนคร อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) เป็นผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล พรมหมสาขา[1] และเป็นต้นตระกูล พรหมสาขา ณ สกลนคร แห่งจังหวัดสกลนคร",
"โรงเรียนโนนสูงศรีธานี เดิมเชื่อโรงเรียนประจำอำเภอโนนวัด \"ศรีธานี\" ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2459 โดยรองอำมาตย์เอกหลวงธานีพิไชย นายอำเภอโนนวัดเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยราษฎรเป็นผู้เริ่มก่อสร้างอาคาร เมื่อ พ.ศ. 2459 แล้วเสร็จเปิดเรียนเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2461 สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 2,211.22 บาท เป็นรูปทรงปั้นหยาชั้นเดียวใต้ถุนสูง 1 เมตร ยาว 24 เมตร หลังคามุงด้วยแฝก การดำรงโรงเรียนอยู่ด้วยเงินช่วยการศึกษาประชาบาล ต่อมาเปลี่ยนฐานะจากโรงเรียนประชาบาลเป็นโรงเรียนรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2461 นักเรียนที่นำมาเรียนในโรงเรียนนี้ ย้ายมาจากโรงเรียนวัดบ้านบัวราชบุรุษคงจันทรทีประ(ขุนจันทรทีปศึกษากร) เป็นครูใหญ่คนแรก และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2467 รองอำมาตย์โทขุนศิริทดไผทเทศ นายอำเภอโนนวัด ได้จัดการมุงหลังคาด้วยสังกะสี ในปี พ.ศ. 2470 ได้จัดการต่อขยายและซ่อมดัดแปลงเพิ่มเติมให้มั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น พ.ศ. 2476 กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้เปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนโนนสูง \"ศรีธานี\" เปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น(ม.3 เดิม) ในปี พ.ศ. 2489 ",
"...ประกาศพระราชทานนามสกุลครั้งที่ ๑๗ พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธรขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขนานนามสกุลพระราชทานแก่ผู้ที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานเป็นครั้งที่ ๑๗ มีรายนามดังต่อไปนี้ กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ ๑๓๖๘ พระยาจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ผู้ว่าราชการเมืองสกลนคร พระราชทานนามสกุลว่า \"พรหมสาขา\" (Brahmasakha) ฯลฯ ประกาศมา ณ วันที่ ๖ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ (ลงพระนาม) นเรศวรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร รับ[[พระบรมราชโองการ...[10]",
"พ.ศ. 2416 นายเสนองานประพาส หุ้มแพร พ.ศ. 2443 พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ พ.ศ. 2454 มหาอำมาตย์ตรี พระศิริศาสตร์ประสิทธิ์ พ.ศ. 2455 มหาอำมาตย์ตรี พระยาพิจารณาปฤชามาตย์ มานวธรรมศาสตรสุปฤชา พ.ศ. 2467 มหาอำมาตย์โท พระยาพิจารณาปฤชามาตย์ มานวธรรมศาสตรสุปฤชา",
"เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้นำสิ่งของมงคลราชบรรณาการต่างๆ ลงไปทูลเกล้าทูลถวายเพื่อสมโภชพระนครที่กรุงเทพมหานครครั้งหนึ่ง ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ลงไปรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ณ กรุงเทพมหานคร หลังเสด็จกลับจากประพาสประเทศยุโรปครั้งแรก เมื่อสยามได้จัดหัวเมืองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองและเจ้านายในคณะอาญาสี่แล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ก็ได้รับราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองตลอดมาจนแก่ชรา จึงได้เปลี่ยนเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาราชการเมือง โดยหาได้แสดงความไม่พึงหรือขัดขืนเช่นเดียวกับบรรดาเจ้าเมืองหัวเมืองลาวอื่นๆ [9]",
"หมวดหมู่:ราชวงศ์ศรีโคตรบูร ประจันตประเทศธานี หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ช. หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ม. หมวดหมู่:ผู้ว่าราชการจังหวัดของประเทศไทย",
"Family of Main Page พระบุรมราชากิตติศัทพ์เทพฤๅยศ (กู่แก้ว) เจ้าเมืองนครพนม ผู้สร้างเมืองมหาชัยกองแก้วพระบุรมราชากิตติศัทพ์เทพฤๅยศ (พรหมา) เจ้าเมืองนครพนมพระชายาเจ้าอุปฮาดพระนาคี (กิ่งหงษา) อาญาสี่เมืองมหาชัยกองแก้วพระชายาเจ้าราชวงศ์ (อินทร์) อาญาสี่เมืองสกลนครชายาพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เจ้าเมืองสกลนครอาชญานางเทพ",
"ในสมัยต่อ ๆ มาได้มีราชวงศ์คำแห่งเมืองมหาชัยกองแก้วทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ขอสร้างบ้าน แปงเมืองขึ้นใหม่ที่เมืองสกลทวาปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์คำเป็นพระยาประเทศธานี (คำ) ในตำแหน่งเจ้าเมืองสกลทวาปี และทรงเปลี่ยนนามเมืองใหม่เป็น เมืองสกลนคร ตั้งแต่บัดนั้นมา จนถึง พ.ศ. 2435 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปกครองเมืองสกลนคร จึงเปลี่ยนเป็นรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคมณฑลเทศาภิบาล โดยส่วนกลางส่งพระยาสุริยเดช (กาจ) มาเป็นข้าหลวงเมืองสกลนครคนแรก และมีพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรก",
"การอพยพข้ามมาประเทศสยามของชาวภูไทเมืองกะป๋องในช่วงนั้นมีหลายระลอก ในปี พ.ศ. 2387 ท้าวราชนิกูลได้นำชาวภูไทเมืองกะป๋องประมาณ 400 ครัวเรือน อพยพข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมาประเทศสยามตามคำชักชวนของ พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร และพระสุนทรราชวงศา ( ท้าวฝ้าย เจ้าเมืองยโสธรและนครพนม ) ขบวนผู้อพยพได้เดินทาง พักแรมตามพื้นที่ต่าง ๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2390 ท้าวราชนิกูลและชาวภูไทเมืองกะป๋องได้ตั้งหมู่บ้านขึ้นที่บ้านหนองหอย ( อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร )",
"เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้เกิดศึกสงครามในระหว่างฟากโขงฝั่งซ้าย พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้จัดให้อุปฮาดเป็นพนักงานเร่งเกวียนโคต่างไปส่งกองทัพที่เมืองนครพนม พร้อมให้ราชวงศ์เป็นพนักงานเร่งเรือบรรทุกลำเลียงไปส่งกองทัพที่เมืองมุกดาหาร เมืองเขมราฐ ให้ราชบุตรเป็นพนักงานเร่งกำลังและทำลูกกระสุนดินดำ สำรวจปืนอาวุธรวบรวมให้แก่พระวิชิตพลหาญผู้ช่วย พระห้าวหาญ พระจันทวงศ์เทพ ท้าวสุริยวงศ์ ไปเข้าไว้ในกองทัพ และให้ราชบุตรเป็นพนักงานทำบัญชีซื้อข้าวของราษฎรมารวมขึ้นฉางไว้สำหรับส่งกองทัพ ให้พระศรีสกุลวงศ์ผู้ช่วย พระขัตติยะ พระวรสาร พระศรีวราช เป็นพนักงานออกไปสำรวจข้าวเมืองขึ้นฉางไว้สำหรับราชการ ครั้นเสด็จราชการทัพแล้ว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตัดทางสายโทรเลขและปลูกพลับพลาไว้ที่เมืองสกลนคร พระยาประจันตประเทศ (โง่นคำ) ได้ให้ราชบุตร พระวิชิตพลหาญผู้ช่วย เป็นผู้คุมไพร่ปลูกพลับพลา ให้พระขัตติยะเป็นพนักงานคุมไพร่ตัดทางสายโทรเลข ตั้งแต่เมืองสกลนครถึงเมืองพรรณานิคม ให้พระวรสารเป็นพนักงานตัดทางสายโทรเลขจากเมืองพรรณานิคมถึงบ้านพันนา และให้พระศรีสกุลวงศ์ผู้ช่วย คุมไร่ตัดทางสายโทรเลขตั้งแต่บ้านพันนาถึงเมืองหนองหาน",
"ภายหลังการจัดการหัวเมืองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลแล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้รับราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองตลอดมาจนชรา ทางสยามจึงเปลี่ยนเป็นตำแหน่งของพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ให้เป็นที่ปรึกษาราชการเมืองแทน เหตุด้วยพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นผู้คุ้นเคยราชการมามากไม่มีผู้ใดเหมือน ในท้องที่เมืองสกลนครนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีเจ้ากระทรวงก็ดี ข้าหลวงต่างพระองค์ก็ดี สมุหเทศาภิบาลก็ดี เมื่อต้องการใคร่รู้เรื่องราวกิจการอันใดที่ได้เคยมีมาในเมืองสกลนคร จะต้องเดินทางมาปรึกษากับพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) อยู่เป็นนิตย์ จึงนับว่าพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นเจ้านายลาวผู้ได้ทำคุณประโยชน์แก่ราชการบ้านเมืองฝ่ายสยามอย่างยิ่งท่านหนึ่ง",
"พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นผู้เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง และได้สร้างวัดไว้ในหัวเมืองสกลนครมากถึง ๖ วัด ได้แก่ วัดแจ้งแสงอรุณวัด ๑ (ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวง) วัดศรีชมพูวัด ๑ วัดศรีโพนเมืองวัด ๑ วัดศรีสุมังคล์วัด ๑ วัดยอดแก้ววัด ๑ (ปัจจุบันคือโรงเรียนเทศบาล ๑) และวัดดงมะไฟวัด ๑",
"ภายหลังจากพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ถึงแก่กรรมลง ทายาทบุตรหลานของท่านซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่เจ้าเมืองสกลนครทั้งหมด เห็นควรว่าสกุลเดิมที่พระราชทานมานั้น ควรเอาแบบอย่างราชธรรมเนียมในการพระราชทานชื่อเมืองต่อท้าย เนื่องด้วยบรรพบุรุษนั้นเป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองมาก่อน ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองต่อท้ายสกุลเดิมตามที่ทายาทบุตรหลานได้ขอมา ตามประกาศดังนี้",
"เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) มีอายุ ๑๙ ปี ได้เข้ารับราชการรับหมายตั้งเป็นที่ ท้าวสุริยภักดี ตำแหน่งนายกอง กรมการเมืองสกลนคร ต่อมา พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร ต่อมา พ.ศ. ๒๔๒๐ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระยาประจันตประเทศธานี ศรีสกลานุรักษ์ อรรคเดโชชัยอภัยพิริยากรมพาหุ เจ้าเมืองสกลนครองค์สุดท้าย ด้วยหัวเมืองสกลนครนั้นเป็นเมืองเอกและเป็นเมืองใหญ่เจ้าเมืองจึงมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ภายหลังจากปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ แล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสกลนครคนแรก อนึ่ง ราชทินนามคำว่า ประจันต และ ประเทศธานี นั้นมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่ในชายแดน โดยเป็นราชทินนามประจำของเจ้าเมืองสกลนครมาตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้านายวงศ์เมืองกาฬสินธุ์เข้ามาปกครองสกลนครก่อนเจ้านายวงศ์เมืองมหาชัยกองแก้ว",
"...ประกาศกรมราชเลขาธิการ มหาเสวกโท พระยาราชสาสนโสภณ ราชเลขานุการในพระองค์ รับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า นามสกุล พรหมสาขา ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ อำมาตย์โท พระยาจันตประเทศธานีศรีสกลานุรักษ์ (โง่นคำ) นั้น บัดนี้ บุตรหลานพระยาจันตประเทศธานี มีรองอำมาตย์เอก พระวิชิตพลหาร กรมการพิเศษจังหวัดสกลนคร ๑ รองอำมาตย์เอก พระพิทักษ์ถานกิจ กรมการพิเศษจังหวัดสกลนคร ๑ รองอำมาตย์เอก ขุนศรีนครานุรักษ์ นายอำเภอธาตุเชิงชุม ๑ รองอำมาตย์โท ขุนหิรัญรักษา คลังจังหวัดนครพนม ๑ รองอำมาตย์ตรี ขุนวิวัฒสรุกิจ นายอำเภอน้ำพอง ๑ รองอำมาตย์ตรี หลวงพิจารณ์อักษร ปลัดขวาอำเภอพรรณานิคม ๑ รองอำมาตย์ตรี ขุนถิระมัยสิทธิการ ปลัดขวาอำเภอธาตุเชิงชุม ๑ รองอำมาตย์ตรี ขุนจำรูญราชธนากร ศุภมาตราจังหวัดสกลนคร ๑ และ นายวรดี พรหมสาขา เนติบัณฑิตย์ รวม ๙ คน ได้ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าบรรพบุรุษของพระยาจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้เป็นเจ้าเมืองสกลนครต่อๆ กันมาแต่รัชกาลที่ ๓ รวมประมาณเวลาได้ ๘๕ ปีเศษ เริ่มแต่พระยาประเทศธานี (คำ) พระยาจันตประเทศธานี (ปิด) พระยาจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ปกครองจังหวัดสกลนครมาโดยความเรียบร้อย และได้ทนุบำรุงให้มีความเจริญตลอดมาจนทุกวันนี้ ใคร่จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเพิ่มคำ ณ สกลนคร ต่อท้ายนามสกุลตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ ณ สกลนคร ต่อท้ายนามสกุล พรหมสาขา เป็น พรหมสาขา ณ สกลนคร ตั้งแต่วันประกาศนี้ ประกาศมา ณ วันที่ ๔ สิงหาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๗...[11]",
"พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลแก่ทายาทบุตรหลานของเจ้าผู้ปกครองเมืองสกลนครในอดีต ตามประกาศมาว่า",
"เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2459 ทางจังหวัดตรังได้รับโรงเรียนวิเชียรมาตุ เข้าในทะเบียนโรงเรียนของจังหวัดตรัง โดยมีรองอำมาตย์ตรี ซุ่นกิ๊ต สินธวานนท์ เป็นครูใหญ่ อำมาตย์โท พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ผู้ว่าราชการจังหวัดและรองอำมาตย์โท ขุนเพาะนิสัยชอบ ธรรมการจังหวัดเป็นผู้จัดการ ",
"พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) มีพี่น้องทั้งหมดรวม ๒๑ ท่าน คือ",
"จังหวัดสกลนครนี้เดิมเป็นนครโบราณของชาวขอม เรียกว่า เมืองหนองหานหลวง มีพระธาตุเชิงชุมเป็นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของเมือง และมีหนองหานหลวงเป็นภูมิศาสตร์เมือง[5] ตำนานเมืองส่วนใหญ่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมลาวโบราณเรื่องผาแดง-นางไอ่ และวรรณกรรมทางศาสนาของลาวเรื่องอุรังคธาตุนิทานเทศนา [6] ต่อมาหนองหานหลวงล่มไป ชาวลาวจึงเข้ามาปกครองดินแดนแถบนี้ เรียกว่า เมืองเชียงใหม่หนองหาน แล้วร้างไป ต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกบ้านธาตุเชิงชุมให้เป็น เมืองสกลทวาปี ให้เจ้านายเชื้อสายเจ้าโสมพะมิตรจากเมืองกาฬสินธุ์มาปกครอง เดิมเมืองสกลทวาปีนี้ขึ้นแก่กรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างเวียงจันทร์ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นลาว ย้อ และโย้ย มิใช่ไทยหรือสยาม ภายหลังได้ถูกบังคับให้ขึ้นแก่รัตนโกสินทร์ของสยาม เมื่อสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์พยายามกอบกู้เอกราชให้แก่ชาวลาวในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) กองทัพกรุงเทพมหานครตีได้นครเวียงจันทน์และหัวเมืองขึ้นทั้งปวง จึงจัดหัวเมืองลาวทางฝ่ายตะวันออกที่เป็นเมืองใหญ่ให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้เรียกหัวเมืองสกลนครรวมกับหัวเมืองลาวอื่นๆ ว่า หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเหมือนกับหัวเมืองลาวทั้งปวง จากนั้นจึงจัดเป็นมณฑลอุบล มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ดในปัจจุบัน [7] บรรพบุรุษของพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) และเครือญาติบุตรหลานได้ขึ้นปกครองเมืองสกลนครหลังจากสงครามเจ้าอนุวงศ์เสร็จสิ้น โดยเป็นเมืองขึ้นสยามและมีตำแหน่งในเมืองสกลนครสืบมาโดยลำดับ สยามยังคงให้เจ้านายปกครองเป็นอย่างหัวเมืองลาว เรียกว่า อาญาสี่ คือมีตำแหน่งกรมการขื่อบ้านขางเมืองและมีเจ้านายทั้ง ๔ ตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่สุดของการปกครอง ได้แก่ เจ้าเมือง ๑ อุปฮาด ๑ ราชวงศ์ ๑ ราชบุตร ๑ เหมือนอย่างเมืองประเทศราชและเมืองลาวทั้งหลาย[8]",
"โฮงอันเป็นที่ประทับตลอดจนใช้ว่าราชการและสำเร็จราชการงานเมืองของพระมหากษัตริย์ เจ้าผู้ครองนคร และเจ้าเมืองนั้น บ้างก็เรียกว่า หอโฮงหลวง หอโฮงการ โฮงหลวง หอหลวง หอคำ หรือเรียกต่อท้ายด้วยบรรดาศักดิ์และราชทินนามของเจ้าเมืองหรือเจ้านคร เช่น โฮงพระยาประจันตประเทศธานี (เจ้าเมืองสกลนคร) โฮงเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงษ์ (เจ้าเมืองอุบลราชธานี) เป็นต้น",
"แต่เดิมนั้น เจ้าเมืองสกลนครองค์เก่าได้ตั้งท้าวโง่นคำให้เป็นที่ ท้าวสุริยภักดี กรมการช่วยราชการเมืองสกลนคร ครั้งนั้นท้าวสุริยภักดี (โง่นคำ) ได้นำเลกไปสักแขนที่เมืองยโสธรครั้งหนึ่ง ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเลื่อนเป็นที่ พระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร ได้คุมไพร่ไปเข้ากับกองทัพพระยามหาอำมาตย์รบกับพวกฮ่อที่เมืองนครเวียงจันทน์ ณ ค่ายสีฐาน ค่ายวัดจันทน์ จนค่ายแตกแล้วจึงได้ไล่ตามจับฮ่อมาถึงบ้านโพนงาม บ้านน้ำเกลี้ยง จับได้ฮ่อ ๓ คนส่งให้แม่ทัพครั้งหนึ่ง ต่อมาพระศรีสกุลวงศ์ (โง่นคำ) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเลื่อนเป็นที่ เจ้าราชวงศ์ ตำแหน่งเจ้านายในคณะอาญาสี่ซึ่งเป็นคณะปกครองสูงสุดของหัวเมืองฝ่ายลาว แล้วได้เลื่อนเป็นที่ พระอุปฮาด ผู้ว่าที่เจ้าเมืองสกลนครเพื่อรอเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองสกลนครองค์ต่อไป เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งที่พระอุปฮาด ได้คุมไพร่พลไปเข้ากองทัพพระยาราชวรานุกูลถึงเมืองบริคัณฑนิคม แขวงนครเวียงจันทน์ครั้งหนึ่ง ต่อมาเมื่อเจ้าราชวงศ์ (อิน) ผู้เป็นพระบิดาถึงแก่กรรมลง พระยาราชวรานุกูลได้ให้พระอุปฮาด (โง่นคำ) กลับมารักษาบ้านเมืองแทนพระบิดา พระอุปฮาด (โง่นคำ) ได้แต่งกรมการเมืองส่งเสบียงลำเลียงกองทัพช่วยราชการทัพของพระยาราชวรานุกูลครั้งหนึ่ง ได้จัดท้าวเพี้ยกรมการพร้อมกับจมื่นมณเฑียรพิทักษ์ข้าหลวง ไปตั้งประตูด่านทางแขวงเมืองภูวดลสอางของลาวครั้งหนึ่ง และได้ส่งเสบียงลำเลียงกองทัพของพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เมื่อครั้งรบฮ่อที่ทุ่งเชียงคำครั้งหนึ่ง",
"เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ )ได้รับพระราชทานยศเป็นอำมาตย์โท ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้นได้รับพระราชทานมาโดยลำดับ และได้รับพระราชทานสูงสุดคือ ช้างเผือก ชั้นที่ ๓ ตริตาภรณ์ และมงกุฎชั้นที่ ๓ ตริตาภรณ์ พร้อมด้วยเหรียญปราบฮ่อ ตลอดจนเหรียญที่ระลึกในงานพระราชพิธีต่างๆ ตามบรรดาศักดิ์อีกหลายประการ นอกจากการบริหารการเมืองการปกครองและพัฒนาเมืองสกลนครให้เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับแล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ยังได้ปฏิบัติราชการพิเศษมากมายหลายครั้ง เช่น ไปราชการคุมทัพปราบฮ่อที่เมืองนครเวียงจันทน์ ไปราชการคุมทัพปราบฮ่อที่เมืองเชียงขวางและทุ่งไหหิน เป็นผู้จัดหาทหารและเสบียงในกรณีพิพาทดินแดนอินโดจีนกับฝรั่งเศสเมื่อ ร.ศ.๑๑๒ เป็นผู้ตัดเส้นทางเพื่อวางสายโทรเลขระหว่างเมืองสกลนครและเมืองอุดรธานี เป็นผู้ส่งเสบียงอาหารและกำลังพลไปยังหัวเมืองใกล้เคียงเมื่อทางราชการสยามต้องการ เป็นต้น",
"อำมาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) พระบุรีบริรักษ์ (ขี่ หรือ คลี่) รองอำมาตย์เอก พระอนุบาลสกลเขตร์ (เมฆ) อาชญาท้าวสงกา อาชญาท้าวตูบ อาชญาท้าวเฮ้า (เรา) อาชญาท้าวเมา (เสา) อาชญาท้าวคำจัน (คำจันทร์) อาชญาท้าวชาย อัญญานางอุ่น อัญญานางบัวระพัน (บัวรพันธุ์) อัญญานางหมี อัญญานางภู (พู) อัญญานางหมู อัญญานางเขียด อัญญานางแก้ว (แกว) อัญญานางป้อง (ปอง) อัญญานางสุพา (สุภา) อัญญานางเฟือง อัญญานางเหลือง อัญญานางจันทร์แดง[4]"
] |
ระดับเซลล์ anterior cingulate cortex มีนิวรอนพิเศษคือเซลล์รูปอะไร? | [
"ในระดับเซลล์ ACC มีนิวรอนพิเศษคือเซลล์รูปกระสวย (spindle cell) มากอย่างไม่เหมือนใคร[7] เป็นเซลล์ที่มีวิวัฒนาการไม่นานนัก ซึ่งพบแต่ในมนุษย์, ลิงใหญ่อื่น ๆ, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทางทะเล (cetacean) และช้าง เป็นเซลล์ที่มีบทบาทในหน้าที่พิเศษของเขตสมองนี้ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาที่ยาก และในโรคประสาทที่เกี่ยวกับ ACC[8]"
] | [
"งานทบทวนวรรณกรรมที่ตรวจงานสร้างภาพในสมองพบว่า การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอจะเพิ่มปริมาตรเนื้อเทาในเขตสมองที่เกี่ยวกับการประมวลความจำ การควบคุมการรู้คิด การเคลื่อนไหว และระบบรางวัล[1][5][6][8] ที่เพิ่มมากที่สุดก็คือ prefrontal cortex, caudate nucleus, และฮิปโปแคมปัส ซึ่งมีส่วนควบคุมการรู้คิดและการประมวลความจำ ในบรรดาหน้าที่การรู้คิดทั้งหลาย[1][6][8][9] นอกจากนั้นแล้ว ทั้งด้านซ้ายขวาของ prefrontal cortex, ฮิปโปแคมปัส และ cingulate cortex จะทำงานร่วมกันเมื่อทำกิจโดยเฉพาะ ๆ (functional connectivity) ในระดับที่สูงกว่า ตอบสนองต่อการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ[1][7] งานทบทวนวรรณกรรม 3 งานแสดงการเพิ่มปริมาตรเนื้อเทาที่ชัดเจนของ prefrontal cortex และฮิปโปแคมปัส ในผู้ใหญ่ปกติที่ออกำลังกายหนักกลาง ๆ เป็นเวลาหลายเดือน[1][6][49] เขตอื่นในสมองที่เพิ่มปริมาตรเนื้อเทาขึ้นปานกลางหรือน้อยกว่าเมื่อสร้างภาพสมองรวมทั้ง anterior cingulate cortex, สมองกลีบข้าง, สมองน้อย และ nucleus accumbens[5][6][8][50]",
"แบบ (model) การเลือกตัวกระตุ้นของนิวรอนที่ได้รับการยอมรับ เสนอว่า นิวรอนตอบสนองในระดับต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับความใกล้เคียงของตัวกระตุ้นจริง ๆ กับตัวกระตุ้นที่เลือก[3] ฮูเบลและวีเซลเป็นผู้เสนอหลักฐานสำคัญแรกที่แสดงการเลือกตัวกระตุ้นของนิวรอนในงานวิจัยปี ค.ศ. 1959[4] ซึ่งพบว่า แสงที่ทอดยาวไปในทิศทางต่าง ๆ เป็นตัวกระตุ้นที่มีผลที่สุดในเซลล์ธรรมดา (simple cell) ของคอร์เทกซ์ลาย (striate cortex) [5] ส่วนนิวรอนซับซ้อนอย่างอื่น (complex cell) ตอบสนองดีที่สุดต่อเส้นทอดยาวที่กำลังเคลื่อนไหวไปเฉพาะทิศทาง [4] โดยรวม ๆ แล้ว นิวรอนในคอร์เทกซ์สายตาปฐมภูมิมีการเลือกตัวกระตุ้นทั้งโดยทิศทาง โดยขนาด โดยตำแหน่ง และโดยรูปร่าง[4]",
"เซลล์ประสาทในเปลือกสมองส่วนการเห็นยิงศักยะงาน เมื่อตัวกระตุ้นสายตาปรากฏในลานรับสัญญาณ (receptive field) ของตน คำจำกัดความของ<i data-parsoid='{\"dsr\":[8745,8761,2,2]}'>ลานรับสัญญาณ</i>ก็คือ เขตภายในลานสายตา (visual field) ทั้งหมดที่ก่อให้เกิดศักยะงานในเซลล์นั้น ๆ เมื่อปรากฏตัวกระตุ้น แต่สำหรับเซลล์ประสาทหนี่ง ๆ เซลล์นั้นอาจจะมีการตอบสนองดีที่สุดต่อตัวกระตุ้นเฉพาะอย่าง ที่ปรากฏในลานรับสัญญาณของเซลล์ คุณสมบัตินี้เรียกว่า การเลือกตัวกระตุ้นของนิวรอน (neuronal tuning) ในเขตสายตาขั้นแรก ๆ เซลล์ประสาทจะมีการเลือกตัวกระตุ้นที่ง่าย ๆ เช่น เซลล์ประสาทใน V1 อาจจะยิงสัญญาณเมื่อมีตัวกระตุ้นแนวตั้งในลานรับสัญญาณของเซลล์ แต่ในเขตสายตาหลัง ๆ เซลล์ประสาทจะมีการเลือกตัวกระตุ้นที่ซับซ้อน เช่น ในคอร์เทกซ์กลีบขมับด้านล่าง (inferior temporal cortex) เซลล์ประสาทอาจจะยิงสัญญาณเมื่อรูปใบหน้าของคนหนึ่งปรากฏที่ลานรับสัญญาณของเซลล์",
"ความเสียหายในช่วงพัฒนาการของ anterior cingulate cortex พร้อมกับความเสียหายใน dorsal medial-frontal cortex อาจเป็นมูลฐานทางประสาทสำหรับความบกพร่องทางสังคมและประชานของคนไข้โรคออทิซึม เช่น การกำหนดทิศทางของสังคม (social orientation) และการใส่ใจร่วมกันโดยใช้ตาและมือ (joint attention)[30]",
"นิวรอนพีระมิดในคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) มีหน้าที่ทางประชาน\nในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ความซับซ้อนของเซลล์พีระมิดจะเพิ่มขึ้นจากเขตสมองด้านหลัง (posterior) ไปยังเขตสมองด้านหน้า (anterior)\nระดับความซับซ้อนของเซลล์น่าจะสัมพันธ์กับสมรรถภาพทางประชานของลิงสปีชีส์ต่าง ๆ \nเช่น มันอาจมีบทบาทที่ขาดไม่ได้ในการรู้จำวัตถุ (object recognition) ที่ซับซ้อนภายในเขตเปลือกสมองที่แปลผลทางตา",
"เปลือกสมองส่วนรู้รส ( ตัวย่อ GC) เป็นโครงสร้างสมองซึ่งทำหน้าที่รับรู้รส\nโดยมีโครงสร้างย่อย 2 ส่วน คือ anterior insula ใน insular cortex, และ operculum ส่วนหน้าที่บริเวณ inferior frontal gyrus ในสมองกลีบหน้า\nเพราะองค์ประกอบของมัน เปลือกสมองส่วนรู้รสบางครั้งจึงเรียกในวรรณกรรมต่าง ๆ ว่า AI/FO (Anterior Insula/Frontal Operculum)\nโดยใช้เทคนิคการบันทึกสัญญาณนอกเซลล์ นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงว่า นิวรอนใน AI/FO จะตอบสนองต่อรสหวาน รสเค็ม รสขม และรสเปรี้ยว และเข้ารหัสความเข้มข้นของสิ่งเร้าที่มีรส",
"ความจำเพาะเจาะจงของรหัสโดยเวลา ทำให้ต้องใช้เทคโนโลยีที่ละเอียดมากในการวัดหาข้อมูลทางการทดลองที่ทั้งให้ความรู้และเชื่อถือได้\nความก้าวหน้าทางเทคนิค optogenetics ช่วยให้นักประสาทวิทยาศาสตร์สามารถควบคุมศักยะงานภายในนิวรอนหนึ่ง ๆ ได้โดยเฉพาะ ทำให้ควบคุมรูปแบบไฟฟ้าของศักยะงานและระยะเวลาระหว่างศักยะงานในระดับเซลล์เดี่ยว ๆ ได้\nยกตัวอย่างเช่น แสงสีน้ำเงินจะทำให้ช่องไอออนเปิดปิดด้วยแสง คือ channelrhodopsin เปิด ทำให้เซลล์ลดขั้วแล้วสร้างศักยะงาน\nเมื่อเซลล์ตรวจไม่พบแสงสีน้ำเงินอีก ช่องก็จะปิด แล้วเซลล์ก็จะหยุดส่งศักยะงาน\nรูปแบบของศักยะงานจะจับคู่กับรูปแบบของสิ่งเร้าคือแสงสีน้ำเงิน\nการใส่ลำดับยีนของ channelrhodopsin เข้าในดีเอ็นเอของหนูหริ่ง จึงทำให้นักวิจัยสามารถควบคุมศักยะงานและควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของหนู (เช่น ทำให้หนูหันไปทางซ้าย) ได้\nผ่านเทคนิค optogenetics นักวิจัยจึงมีอุปกรณ์ที่สร้างผลต่อการเข้ารหัสโดยเวลาต่าง ๆ ในนิวรอน ในขณะที่ยังดำรงอัตราเฉลี่ยการยิงสัญญาณเท่า ๆ กัน และดังนั้น จึงสามารถทดสอบได้ว่า มีวงจรประสาทหนึ่ง ๆ ที่เข้ารหัสโดยเวลาหรือไม่",
"OFC ได้ข้อมูลกลิ่นจาก piriform cortex, อะมิกดะลา, และคอร์เทกซ์รอบ ๆ ฮิปโปแคมปัส[38] เมื่อเซลล์ประสาทใน OFC ที่เข้ารหัสข้อมูลรางวัลของอาหารได้รับสิ่งเร้า ระบบรางวัลก็จะเริ่มทำงานแล้วสัมพันธ์การกินอาหารและรางวัล OFC ยังส่งข้อมูลต่อไปยัง anterior cingulate cortex ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับความอยากอาหาร[49] อนึ่ง OFC ยังสัมพันธ์กลิ่นกับสิ่งเร้าอื่น ๆ อีกด้วย เช่น รสชาติ[38]",
"ข้อมูลเกี่ยวกับสีและรูปร่างมาจากเซลล์ P ซึ่งเป็น ganglion cell ในเรตินาที่รับข้อมูลต่อจากเซลล์รูปกรวยโดยหลัก\nดังนั้นจึงไวต่อความต่าง ๆ กันของรูปร่างและสี\nเปรียบเทียบกับเซลล์ M ที่รับข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากเซลล์รูปแท่งโดยหลัก\nนิวรอนใน ITC ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า inferior temporal visual association cortex\nประมวลข้อมูลที่มาจากเซลล์ P \nนิวรอนใน ITC มีเอกลักษณ์หลายอย่าง\nที่อาจจะเป็นคำอธิบายว่า ทำไมเขตนี้จึงจำเป็นในการรู้จำรูปแบบต่าง ๆ \nคือ มันตอบสนองต่อตัวกระตุ้นทางตาเท่านั้น และลานรับสัญญาณของมันจะรวมส่วนรอยบุ๋มจอตา (fovea) ด้วย \nซึ่งอาจจะเป็นส่วนของเรตินาที่มีเซลล์รับแสงหนาแน่นที่สุดและมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเห็นที่ชัดเจนกลางลานสายตา\nลานรับสัญญาณของเซลล์ใน ITC มักจะมีขนาดใหญ่กว่าของนิวรอนในคอร์เทกซ์ลาย\nและมักขยายข้ามแนวกลาง (midline) รวมข้อมูลจากลานสายตาทั้งสองข้างเป็นเขตแรก\nนิวรอนของ IT เลือกตอบสนองต่อรูปร่างและสี\nและมักจะตอบสนองต่อรูปร่างซับซ้อนมากกว่ารูปร่างที่ง่าย ๆ\nมีนิวรอนจำนวนน้อยเปอร์เซ็นต์จำนวนหนึ่งที่เลือกตอบสนองต่อส่วนเฉพาะของใบหน้า\nข้อมูลใบหน้าและน่าจะข้อมูลรูปร่างที่ซับซ้อนอื่น ๆ ด้วย รับการเข้ารหัสโดยเป็นการทำงานเป็นลำดับในกลุ่มของเซลล์\nและเซลล์ใน IT ก็ปรากฏว่ามีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทรงจำรูปร่างซับซ้อนเหล่านี้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวขึ้นอยู่กับเหตุการณ์",
"เซลล์พีระมิด หรือ เซลล์ประสาทพีระมิด หรือ นิวรอนพีระมิด () เป็นเซลล์ประสาทหลายขั้วที่พบในเขตต่าง ๆ ของสมองรวมทั้งเปลือกสมอง ฮิปโปแคมปัส และอะมิกดะลา\nเป็นหน่วยส่งสัญญาณแบบเร้าหลักของ prefrontal cortex (คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า) ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และของลำเส้นใยประสาทเปลือกสมอง-ไขสันหลัง (corticospinal tract)\nเป็นเซลล์อย่างหนึ่งในสองอย่างที่มีลักษณะเฉพาะ คือ Negri bodies เมื่อชันสูตรศพหลังติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า\nนักประสาทวิทยาศาสตร์ชาวสเปนซานเตียโก รามอน อี กาฮาล เป็นผู้ค้นพบและศึกษาเซลล์นี้เป็นบุคคลแรก\nตั้งแต่นั้นมา ได้มีการศึกษาเซลล์พีระมิดในประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่สภาพพลาสติกของระบบประสาท (neuroplasticity) จนถึงเรื่องประชาน",
"นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อเยื่อ (histologist) ชาวสเปน ชื่อ Santiago Ramón y Cajal เป็นคนแรกที่ทำการศึกษาประสาทวิทยาศาสตร์ระดับเซลล์ จากการที่เขาสามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ศึกษาสมองได้เป็นผลสำเร็จ เขาเป็นคนพบว่า ชั้นต่าง ๆ ของเปลือกสมอง (cortex) ประกอบด้วยเซลประสาทหรือนิวรอนเป็นล้าน ๆ เซลล์ และเซลล์เหล่านั้นมีการจัดเรียงตัวเป็นระเบียบ (polarize) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นพื้นฐานของความรู้ความเข้าใจของการทำงานของระบบประสาทในเวลาต่อมา",
"แต่ว่า ก็ยังมีนิวรอนที่ไม่สร้างศักยะงานเพื่อส่งสัญญาณ แต่สร้าง Graded potential (ศักย์มีหลายระดับ) ซึ่งก็จะทำให้เซลล์ปล่อยสารสื่อประสาทในหลายระดับเช่นกัน นิวรอนที่ไม่ส่งสัญญาณแบบมียอดแหลม (nonspiking neuron) เช่นนี้ มักจะเป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึกและเซลล์ประสาทต่อประสาน (interneuron) เพราะว่าไม่สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกล ๆ",
"การเลือกตัวกระตุ้นของนิวรอน (English: neuronal tuning) หมายถึงการที่นิวรอน (คือเซลล์ประสาท) ในสมองเลือกที่จะเป็นตัวแทน[1]ของข้อมูลทางประสาทสัมผัส (sensory) ข้อมูลทางการเคลื่อนไหว (motor) หรือข้อมูลในการรับรู้ (cognition) เซลล์ประสาทจะค่อย ๆ ปรับการเลือกตัวกระตุ้นจนเหมาะสมที่สุดโดยอาศัยประสบการณ์ [2] การเลือกตัวกระตุ้นนั้นอาจจะมีกำลังและเฉพาะที่ ดังที่ปรากฏในคอร์เทกซ์สายตาปฐมภูมิ (primary visual cortex) หรืออาจจะอ่อนกำลังแต่กระจายไป ดังที่ปรากฏในกลุ่มนิวรอนต่าง ๆ นิวรอนหนึ่ง ๆ อาจจะเลือกตัวกระตุ้นหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กันเช่นข้อมูลทางตา ข้อมูลทางหู และข้อมูลทางจมูก ซึ่งมักจะเป็นนิวรอนที่ประสานสัมพันธ์ข้อมูลที่มาจากหลายแหล่ง การประสานสัมพันธ์ข้อมูล (integration) นั่นแหละเป็นการงานหลักของเครือข่ายเซลล์ประสาท ตัวอย่างดีที่สุดของการเลือกตัวกระตุ้นของนิวรอนสามารถเห็นได้ในระบบประสาทเกี่ยวกับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรู้ความรู้สึกทางกายประเภทอื่น ๆ (somatosensory) และความทรงจำ",
"anterior cingulate cortex สามารถแบ่งตามกายวิภาคออกเป็นส่วนล่าง (dorsal ตัวย่อ dACC) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับประชาน และส่วนบน (ventral) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก[4] dACC เชื่อมต่อกับคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) คอร์เทกซ์กลีบข้าง (parietal cortex) ระบบสั่งการ (motor system) และ frontal eye fields[5] จึงเป็นศูนย์กลางของการประมวลสิ่งเร้าทั้งแบบจากบนไปล่าง (top-down) ทั้งแบบจากล่างไปบน (bottom-up) และส่งงานต่อไปยังเขตสมองอื่น ๆ เปรียบเทียบกับส่วนบน (ventral) ของ ACC ซึ่งเชื่อมกับอะมิกดะลา, nucleus accumbens, ไฮโปทาลามัส, และ anterior insular cortex และมีหน้าที่ประเมินความเด่นทางอารมณ์ (emotional salience) และแรงจูงใจ ACC ดูเหมือนจะมีหน้าที่เป็นพิเศษในงานที่ต้องใช้ความพยายาม เช่น การเรียนรู้ระยะต้น และการแก้ปัญหา[6]",
"การออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายเดือนจะทำให้ executive functions ดีขึ้นอย่างสำคัญ และเพิ่มปริมาตรเนื้อเทา (gray matter) ในเขตสมองหลายเขต โดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับ executive functions[1][5][6][7][9] โครงสร้างทางสมองที่ตอบสนองต่อการออกกำลังกายโดยขยายปริมาตรสูงสุดก็คือ prefrontal cortex, caudate nucleus, และฮิปโปแคมปัส[1][5][6][8] ส่วนที่น้อยลงมาก็คือ anterior cingulate cortex, สมองกลีบข้าง, สมองน้อย และ nucleus accumbens[5][6][8] และส่วน prefrontal cortex, caudate nucleus และ anterior cingulate cortex เป็นโครงสร้างทางสมองแบบโดพามีนและนอร์เอพิเนฟรินที่สำคัญที่สุดที่ควบคุมการรู้คิด[6][39]",
"ศูนย์กลางของระบบรางวัล ก็คือวงจร basal ganglia โดยเฉพาะส่วน mesolimbic pathway (คือ VTA และ nucleus accumbens) แต่ก็ยังมีวงจรและโครงสร้างอื่น ๆ ที่เป็นส่วน เช่น anterior cingulate cortex และ midbrain dopamine pathways\nส่วนวิถีประสาทเคมีที่สำคัญของระบบรางวัล ก็คือ mesocorticolimbic pathway ซึ่งรวมทั้ง mesolimbic pathway และ mesocortical pathway.\nส่วน VTA เป็นแหล่งวิถีประสาทโดพามีนมากมายในสมอง ซึ่งเป็นนิวรอนที่ใช้สารสื่อประสาทโดพามีนเพื่อส่งสัญญาณไปยังโครงสร้างอื่น ๆ\nโดพามีนเป็นตัวกระตุ้น D1-like receptor และเป็นตัวยับยั้ง D2-like receptor เพื่อการผลิตและหยุดผลิต cyclic amp (cAMP)\nซึ่งเป็น second messenger อย่างหนึ่งที่สำคัญในกระบวนการทางชีวภาพต่าง ๆ มากมาย",
"Basket cell (เซลล์ตะกร้า) เป็นเซลล์ประสาทต่อประสาน (interneuron) ที่มีข่ายแอกซอนหนาแน่นรอบ ๆ ตัวของเซลล์เป้าหมาย พบอยู่ในเปลือกสมองและสมองน้อย Betz cell เป็นนิวรอนสั่งการขนาดใหญ่ Lugaro cell เป็นเซลล์ประสาทต่อประสานของสมองน้อย Medium spiny neuron เป็นนิวรอนโดยมากใน corpus striatum เซลล์เพอร์คินจี เป็นนิวรอนขนาดใหญ่มากอยู่ในสมองน้อย เป็นนิวรอนหลายขั้วแบบ Golgi I เซลล์พิระมิดเป็นนิวรอนที่มีตัวเซลล์เป็นรูปสามเหลี่ยม เป็นนิวรอนหลายขั้วแบบ Golgi I Renshaw cell เป็นนิวรอนที่มีขั้วทั้งสองเชื่อมกับเซลล์ประสาทสั่งการแบบอัลฟา Unipolar brush cell เป็นเซลล์ประสาทต่อประสานที่มีปลายเดนไดรต์ดูเหมือนกับพุ่มไม้ Granule cell เป็นนิวรอนหลายขั้วแบบ Golgi II Anterior horn cell เป็นเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor neuron) ที่อยู่ในไขสันหลัง Spindle cell เป็นเซลล์ประสาทต่อประสานที่เชื่อมเขตที่อยู่ห่าง ๆ ในสมอง",
"ความซึมเศร้าอาจสัมพันธ์กับกระบวนการกำเนิดของเซลล์ประสาท (neurogenesis) ของฮิปโปแคมปัส[52] ซึ่งเป็นศูนย์ทางอารมณ์และความจำ การเสียเซลล์ประสาทในฮิปโปแคมปัสบางครั้งพบในคนไข้ซึมเศร้า และมีสหสัมพันธ์กับความจำที่แย่ลงและอารมณ์ซึมเศร้า ยาอาจจะเพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง และกระตุ้นการเกิดของเซลล์ประสาทและดังนั้นจะเพิ่มมวลรวมของฮิปโปแคมปัส ซึ่งอาจจะช่วยฟื้นสภาพอารมณ์และความทรงจำ[53][54] ความสัมพันธ์ที่คล้าย ๆ กันก็พบด้วยระหว่างความซึมเศร้ากับบริเวณหนึ่งของ anterior cingulate cortex ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมที่ประกอบด้วยอารมณ์ (emotional behavior)[55] โปรตีน neurotrophin ประเภทหนึ่งที่มีส่วนในกำเนิดของเซลล์ประสาทก็คือ brain-derived neurotrophic factor (BDNF) ระดับ BDNF ในน้ำเลือดของคนไข้ซึมเศร้าลดลงอย่างรุนแรง (ถึง 3 เท่า) เทียบกับปกติ ยาแก้ซึมเศร้าจะเพิ่มระดับ BDNF ในเลือด และแม้ว่า ระดับที่ลดลงของ BDNF ก็พบในโรคอื่น ๆ เหมือนกัน แต่ก็มีหลักฐานที่แสดงว่า BDNF เป็นเหตุส่วนหนึ่งของความซึมเศร้าและมีส่วนในกลไกการทำงานของยาแก้ซึมเศร้า[56]",
"สมองประกอบด้วยเซลล์สองชนิด คือ เซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เกลียมีหน้าที่ในการดูแลและปกป้องนิวรอน นิวรอนหรือเซลล์ประสาทเป็นเซลล์หลักที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า ศักยะงาน (action potential) การติดต่อระหว่างนิวรอนนั้นเกิดขึ้นได้โดยการหลั่งของสารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ข้ามบริเวณระหว่างนิวรอนสองตัวที่เรียกว่า ไซแนปส์ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลงต่าง ๆ ก็มีนิวรอนอยู่นับล้านในสมอง สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มักจะมีนิวรอนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านตัวในสมอง สมองของมนุษย์นั้นมีความพิเศษกว่าสัตว์ตรงที่ว่ามีความซับซ้อนและใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมนุษย์",
"first order neuron จะมีตัวเซลล์อยู่ที่ปมประสาทรากหลัง (dorsal root ganglion) ที่ไขสันหลัง แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่ศีรษะหรือคอซึ่งเส้นประสาทไขสันหลังที่คอ (cervical nerve) ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตัวเซลล์ก็จะอยู่ที่ปมประสาท trigeminal หรือปมประสาทของเส้นประสาทสมอง (cranial nerve) เส้นอื่น ๆ แอกซอนของเซลล์จะส่งสัญญาณไปยัง second order neuron ในซีกร่างกายเดียวกัน second order neuron จะมีตัวนิวรอนในซีกร่างกายเดียวกันกับ first order neuron โดยถ้าไม่อยู่ในไขสันหลังก็ในก้านสมอง โดยแอกซอนของนิวรอนอาจจะวิ่งขึ้น/ลงแล้วข้ามไขว้ทแยง (decussate) ไปด้านตรงข้ามถ้าไม่ในไขสันหลังก็ในก้านสมอง และแอกซอนส่วนหนึ่งก็จะไปสุดที่ทาลามัสส่วนต่าง ๆ เช่น ในส่วน ventral posterior nucleus (VPN) ในขณะที่ส่วนที่เหลือก็จะไปสุดที่ reticular activating system (หรือเรียกว่า reticular system) หรือที่สมองน้อย ในการรับรู้เหนือจิตสำนึกทางสัมผัส อากัปกิริยา และความรู้สึกที่อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดบางประเภท third order neuron จะมีตัวเซลล์ในทาลามัสส่วน VPN และส่งสัญญาณไปสุดที่คอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกาย (somatosensory cortex/postcentral gyrus) ของสมองกลีบข้าง",
"โดยที่ไม่เหมือนกับแผนที่ภูมิลักษณ์ของระบบรับความรู้สึก นิวรอนของคอร์เทกซ์สั่งการ (motor cortex) เป็นเซลล์ประสาทในใยประสาทที่นำสัญญาณออกจากสมองแทนที่จะนำข้อมูลเข้าไปยังสมองเหมือนใยประสาทนำเข้า\nระบบสั่งการ (motor system) มีหน้าที่ในการสั่งการการเคลื่อนไหวใต้อำนาจจิตใจ เปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวแบบรีเฟล็กซ์ ซึ่งเกิดที่ไขสันหลัง ดังนั้น การเคลื่อนไหวแบบรีเฟล็กซ์ไม่ได้เกิดที่คอร์เทกซ์สั่งการ\nสัญญาณของคอร์เทกซ์สั่งการเดินทางผ่าน \"Betz cell\" ผ่าน \"upper motor neuron\" ผ่าน \"corticospinal tract\" \nลงไปสุดที่ \"ปีกหน้าของไขสันหลัง\" (anterior horn of spinal cord) ซึ่งเป็นเขต[[เนื้อเทา]ที่ \"lower motor neuron\" ส่งสัญญาณไปที่ \"นิวรอนสั่งการส่วนปลาย\" ซึ่งส่งสัญญาณไปสุดที่ \"[[กล้ามเนื้อ]]\" ที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ",
"ตัวเซลล์และเดนไดรต์เป็นตัวรับสัญญาณไซแนปส์จากเซลล์ประสาทอื่น ๆ ส่วนสัญญาณจะส่งผ่านแอกซอน ดังนั้น จุดประสานประสาทโดยทั่วไปก็คือการเชื่อมต่อกันระหว่างแอกซอนของเซลล์หนึ่งไปยังเดนไดรต์หรือตัวเซลล์ของนิวรอนอีกตัวหนึ่ง สัญญาณที่ส่งอาจจะเป็นแบบเร้า (excitatory) หรือแบบห้าม (inhibitory) ถ้าการเร้าสุทธิที่นิวรอนได้รับในระยะเวลาสั้น ๆ มีระดับเพียงพอ นิวรอนก็จะสร้างพัลส์ที่เรียกว่าศักยะงาน (action potential) เริ่มที่ตัวเซลล์แล้วส่งไปอย่างรวดเร็วทางแอกซอน เมื่อถึงที่สุด ปลายนิวรอน (axon terminal) ก็จะส่งสัญญาณต่อที่จุดประสานประสาทไปยังนิวรอนอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อ",
"ผิวด้านใน (medial) ของเปลือกสมอง/รอยนูนของมนุษย์ Anterior Cingulate Cortex ของลิงวอก",
"นิวรอนขั้วเดียว (Unipolar neuron) หรือนิวรอนขั้วเดียวเทียม (Pseudounipolar neuron) มีเดนไดรต์และแอกซอนยื่นออกมาจากขั้วเดียว นิวรอนสองขั้ว (Bipolar neuron) มีแอกซอนและเดนไดรต์อันเดียวอยู่ตรงข้ามกันขั้นระหว่างโดยตัวเซลล์ นิวรอนหลายขั้ว (Multipolar neuron) มีเดนไดรต์ 2 อันหรือมากกว่านั้น และมีแอกซอนต่างหาก Golgi I เป็นนิวรอนที่มีแอกซอนยาว ตัวอย่างรวมทั้ง นิวรอนพีระมิด เซลล์เพอร์คินจี และ anterior horn cell Golgi II เป็นนิวรอนที่มีแอกซอนส่งไปยังที่ใกล้ ๆ ตัวอย่างที่ดีสุดก็คือ granule cell นิวรอนไร้แอกซอน (Anaxonic neuron) มีแอกซอนที่ไม่สามารถจำแนกจากเดนไดรต์",
"ภาษาอังกฤษว่า anterior cingulate cortex (ตัวย่อ ACC) หมายถึงส่วนหน้าของเปลือกสมองส่วน cingulate cortex ซึ่งมีรูปคล้ายกับ \"คอเสื้อ\" ที่ล้อมส่วนหน้าของใยประสาทเชื่อมซีกสมองที่เรียกว่า corpus callosum ประกอบด้วยบริเวณบรอดมันน์ 24, 32, และ 33 ทำหน้าที่ต่าง ๆ มากมายเป็นส่วนของระบบประสาทอิสระ (autonomic nervous system) รวมทั้งควบคุมความดันเลือดและอัตราหัวใจเต้น เป็นต้น และยังทำหน้าที่ทางประชานเกี่ยวกับเหตุผลต่าง ๆ เช่น reward anticipation (ผ่านกระบวนการ classical conditioning) การตัดสินใจ การเห็นใจผู้อื่น การควบคุมความอยาก (impulse control)[1] และการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก[2][3]",
"แผนที่ตัวแทนที่สอง (Second-order representation) หรือเรียกว่า field discontinuity map เป็นแผนที่มีระเบียบที่ดูเหมือนว่า มีช่องหรือความไม่ต่อเนื่องกัน (discontinuity) ในลานสายตา (visual field) หรือในเรตินา\nแผนที่ในเขตสายตา V2 และคอร์เทกซ์นอกคอร์เทกซ์ลาย (extrastriate cortex) อื่น ๆ (คือเขตคอร์เทกซ์ที่มีระดับสูงกว่า V1) จัดเป็นแผนที่ตัวแทนที่สอง\nระบบการได้ยินเป็นระบบรับความรู้สึกสำหรับการได้ยิน เป็นที่ที่สมองแปลข้อมูลจากความถี่คลื่นเสียง เป็นการรับรู้เสียง\nคลื่นเสียงเดินทางเข้าไปในหูผ่านรูหู\nไปถึงแก้วหู เป็นที่ที่มีการถ่ายโอนคลื่นเสียงไปเป็นความสั่นสะเทือน\nซึ่งเดินทางไปตามกระดูกของหูชั้นใน จนถึงอวัยวะรูปหอยโข่ง (cochlea) ในหูชั้นใน\nซึ่งเป็นที่มีการถ่ายโอนความสั่นสะเทือน (คือข้อมูลเสียง) ไปเป็นข้อมูลไฟฟ้า โดยการยิงสัญญาณของเซลล์ขนใน organ of Corti ซึ่งเป็นส่วนของอวัยวะรูปหอยโข่ง\nและ organ of Corti ก็ส่งแอกซอนอย่างเป็นระเบียบไปยังโครงสร้างต่าง ๆ ในก้านสมอง คือ cochlear nuclei และ inferior colliculus\nต่อจากนั้น วิถีประสาทก็ดำเนินต่อไปยัง medial geniculate nucleus ในทาลามัส และไปยังคอร์เทกซ์การได้ยินปฐมภูมิ (primary auditory cortex)\nจุดที่อยู่ใกล้ ๆ กันบน organ of Corti ซึ่งรองรับเสียงที่มีความถี่ที่เฉพาะเจาะจง มีตัวแทนเป็นนิวรอนที่อยู่ใกล้ ๆ กันในโครงสร้างต่าง ๆ ที่พึ่งกล่าวถึงในระบบประสาทกลาง ระเบียบการส่งสัญญาณเช่นนี้เรียกว่า tonotopy \nระเบียบแบบ tonotopy นี้เริ่มใน cochlear ซึ่งเป็นที่ที่เยื่อ basilar membrane สั่นสะเทือนในตำแหน่งต่าง ๆ กันในด้านยาวขึ้นอยู่กับความถี่เสียง\nถ้า cochlea ที่ขดอยู่คลี่ออก ตำแหน่งของเสียงความถี่สูงจะอยู่ที่ฐาน และตำแหน่งของเสียงความถี่ต่ำจะอยู่ที่ปลาย\nการจัดระเบียบแบบนี้ก็พบได้ในคอร์เทกซ์การได้ยิน (auditory cortex) ในสมองกลีบขมับด้วย\nในเขตสมองที่มีการจัดระเบียบแบบนี้ ความถี่เสียงเพิ่มขึ้นตามลำดับจากต่ำไปถึงสูงตามผิวคอร์เทกซ์ แต่ว่าจะเป็นความถี่เดียวกันสำหรับเซลล์ในแนวตั้งฉาก (ที่เรียกว่าคอลัมน์ในคอร์เทกซ์) กับผิวของคอร์เทกซ์\nโดยทั่ว ๆ ไปสัตว์หนึ่ง ๆ มีแผนที่ tonotopic อย่างนี้หลายแผนที่กระจายไปตามผิวคอร์เทกซ์\nระบบรับความรู้สึกทางกายประกอบด้วยตัวรับความรู้สึกและศูนย์ประมวลข้อมูลมากมายหลายแบบ เพื่อจะก่อให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับสัมผัส อุณหภูมิ อากัปกิริยา และโนซิเซ็ปชั่น\nตัวรับความรู้สึกอยู่ที่ทั่วร่างกายรวมทั้งผิวหนัง เนื้อเยื่อบุผิว อวัยวะภายใน กล้ามเนื้อโครงร่าง กระดูก และข้อต่อ\nตัวรับความรู้สึกที่หนัง (cutaneous receptors) ส่งแอกซอนอย่างเป็นระเบียบไปสู่ไขสันหลัง\nและจากไขสันหลัง โดยผ่านวิถีประสาทนำเข้าคือ dorsal column-medial lemniscus pathway และ spinothalamic tract ไปยังทาลามัสและคอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกายปฐมภูมิ (primary somatosensory cortex)\nและในที่นี้ก็เช่นกัน ที่จุดใกล้ ๆ กันที่ผิวหนังมีนิวรอนที่อยู่ใกล้ ๆ กันในโครงสร้างสมองที่พึ่งกล่าวถึง เป็นตัวแทน ระเบียบการส่งสัญญาณเช่นนี้เรียกว่า somatotopy \nแผนผังสามัญที่แสดงแผนที่แบบ somatotopic อย่างหนึ่งเรียกว่า cortical homunculus\nภาพในผังแสดงขนาดของคอร์เทกซ์ที่อุทิศกับเขตความรู้สึกต่าง ๆ ในร่างกายอย่างค่อนข้างจะแม่นยำ\nนอกจากนั้นก็ยังแสดงด้วยว่า คอร์เทกซ์ส่วนไหนเป็นตัวแทนของส่วนไหนในร่างกาย",
"ในกรณีโดยมาก นิวรอนเกิดจากเซลล์ต้นกำเนิดโดยเฉพาะ ๆ และนิวรอนในสมองผู้ใหญ่ปกติจะไม่มีการแบ่งเซลล์ แต่ก็พบว่า astrocyte ซึ่งเป็นเซลล์เกลีย (glial cell) รูปดาว สามารถเปลี่ยนเป็นนิวรอนได้เพราะมีลักษณะ pluripotency ของเซลล์ต้นกำเนิด กำเนิดของเซลล์ประสาท (Neurogenesis) โดยมากในสมองจะหยุดลงเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ก็มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีนิวรอนเกิดใหม่จำนวนมากในเขตสมองสองเขต คือที่ฮิปโปแคมปัส และที่ olfactory bulb[2][3] ซึ่งเป็นโครงสร้างประสาทในสมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการได้กลิ่น",
"จนกระทั่งถึงกับมีการกล่าวว่า \"ผลทางประชานที่เกิดจากรอยโรคที่ anterior cingulate cortex ยังค่อนข้างคลุมเครือ เพราะมีกรณีคนไข้ที่มีหน้าที่ทางจิตประสาท และ executive functions ที่ไม่เสียหาย แม้ว่าจะมีรอยโรคขนาดใหญ่ที่ anterior dorsal cingulate cortex\"[20] ดูมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเขตสมองนี้ในงานปริทัศน์ของ Rushworth (2007)[21]",
"นอกจากนั้นแล้ว ยังมีหลักฐานด้วยว่า ACC อาจมีบทบาทในโรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder, ตัวย่อ OCD) เพราะว่า คนไข้มีระดับการทำงานของสารสื่อประสาทกลูตาเมตที่ต่ำกว่าธรรมชาติ[25] เทียบกับเขตสมองอื่น ๆ ที่เชื่อว่า มีระดับการทำงานของกลูตาเมตเกินกว่าปกติในคนไข้ งานวิเคราะห์อภิมานในปี ค.ศ. 2009 ที่ใช้วิธีวิเคราะห์ทางสถิติแบบ Signed differential mapping ของงานศึกษาที่ใช้เทคนิค voxel-based morphometry ซึ่งเปรียบเทียบคนไข้ OCD กับคนปกติ พบว่า คนไข้มีปริมาณเนื้อเทามากขึ้นใน lenticular nucleus ในสมองทั้งสองซีก ขยายไปจนถึง caudate nuclei และมีปริมาณเนื้อเทาที่ลดลงใน medial frontal cortex/anterior cingulate cortex ทางด้านล่าง (dorsal) ในสมองทั้งสองซีก[26][27] เปรียบเทียบกับคนไข้ที่มีโรควิตกกังวลอื่น ๆ ซึ่งมักจะมีปริมาณเนื้อเทาใน lenticular nucleus ที่ลดลง (แทนที่จะเพิ่มขึ้น) แต่ก็จะมีปริมาณเนื้อเทาใน medial frontal cortex/anterior cingulate cortex ทางด้านล่าง (dorsal) ที่ลดลงด้วย[27]"
] |
เกมทศกัณฐ์ มีพิธีกรกี่คน? | [
"ปัญญา นิรันดร์กุล (1 เมษายน พ.ศ. 2546 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551)"
] | [
"ผู้เข้าแข่งขันมี 60 วินาทีในการตอบ หากตอบถูกจะได้รับเงินรางวัลตามอัตราข้างต้น คูณกับจำนวนคนที่มีในรอบนั้น (ฉะนั้น รางวัลแจ๊คพ็อตคือ 30,000,000 บาท) แต่หากผู้เข้าแข่งขันตอบผิด จะตกรอบในทันที หากไม่มั่นใจ ผู้เข้าแข่งขันมีสิทธิ์ยกธงขาว (ยอมแพ้) โดยจะไม่ได้รางวัลแจ๊คพ็อต แต่ยังคงได้เล่นเกมต่อไป",
"ช่วงนี้สนับสนุนโดยสบู่ฮาร์โมนี ในรอบเทกระจาดนี้ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นดารารับเชิญจะมาแข่งขันเกมกับพิธีกรหลัก (ติ๊ก กลิ่นสีและธงชัย ประสงค์สันติ ต่อมาในเทปวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ได้เหลือพิธีกรหลักคนเดียวจากการตัดสินโดยหมุนวงล้อในรอบแรก) ผู้เข้าแข่งขันและพิธีกรหลักจะอยู่บนสไลด์เดอร์ซึ่งพิธีกรหลักจะอยู่ฝั่งซ้าย ผู้เข้าแข่งขันจะอยู่ฝั่งขวา หรือบางเทปอาจเป็นพิธีกรหลักอยู่ฝั่งขวา ผู้เข้าแข่งขันอยู่ฝั่งซ้าย ในเกมนี้จะให้ดารารับเชิญเป็นผู้เลือกคำถาม โดยจะมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการทั้งหมด 15 แผ่นป้าย เมื่อผู้เข้าแข่งขันเลือกคำถามแล้ว พิธีกรจะถามคำถามที่เลือก และลงท้ายด้วยคำว่า ใช่ หรือ ไม่ และให้ผู้เข้าแข่งขันตอบภายในเวลา 5 วินาที ทั้งนี้ถ้าหากดารารับเชิญไม่ตอบภายในเวลา 5 วินาที ทางรายการมีสิทธิให้ฟาวล์ได้ ถ้าหากผู้เข้าแข่งขันตอบถูก สไลด์เดอร์ของฝั่งพิธีกรจะยกขึ้น แต่ถ้าหากผู้เข้าแข่งขันตอบผิด ฝั่งดาราจะยกขึ้น โดยทั้ง 2 ฝ่ายต้องพยายามเกาะอยู่ในสไลด์เดอร์ให้ได้ ผู้ที่ตกลงมายังบ่อแป้งก่อนถือว่าเป็นผู้แพ้และเกมจะยุติลง (ในเทปวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ได้เปลี่ยนเป็นน้ำแทนจนถึงเทปสุดท้าย) ซึ่งเกมนี้จะคล้ายกับรอบเหมืองมรณะในรายการเกมจารชน และรอบเสือตกถังในรายการจารบีปีเสือ แต่ที่แตกต่างกันคือในจารบีสีชมพู และจารบีปีเสือให้ดาราเป็นผู้เลือกคำถามเอง แต่ในเกมจารชนผู้เข้าแข่งขันจะผลัดกันเลือกคำถาม จนกว่าจะมีผู้แพ้ สำหรับดารารับเชิญหากเป็นผู้ชนะ จะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท (ผู้สนับสนุนเงินรางวัล คือ สบู่ฮาร์โมนี) แต่ถ้าเป็นผู้แพ้จะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาทแทน",
"และเมื่อมีการยกเลิกเกมทายดาราสามช่ารับเชิญไป ในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2544 สามช่ารับเชิญจะมาจากการเปิดตัวโดยพิธีกรซึ่งเป็นผู้แนะนำ โดยการเปิดตัวจะมีรูปแบบเดียวกันกับในเกมทายดาราสามช่ารับเชิญ คือการออกมาร้องเพลงนั่นเอง และโดยเฉพาะในข้อที่ 2 ของเกม (ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2544 จนถึงปี พ.ศ. 2552)ได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นเรื่องราวประสบการณ์เกี่ยวกับผี และวิญญาณของดาราเจ้าของเรื่อง ซึ่งรูปแบบเกมจะเป็นเช่นเดียวกันกับข้อแรก โดยเจ้าของเรื่องก็จะเป็นผู้มาเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับผีและวิญญาณว่าเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากนั้นจะมีแก๊งสามช่า (หม่ำ,เท่ง และ โหน่ง) ออกมาด้วยเพื่อสร้างความตกใจให้กับในห้องส่งและผู้ชมทางบ้าน ต่อมา นับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2548 จนถึง พ.ศ. 2552 นั้น หม่ำ,เท่ง และ โหน่ง จะวิเคราะห์เรื่องประสบการณ์น่ากลัวของดาราเจ้าของเรื่องว่าน่ากลัวขนาดไหนพร้อมกับบอกด้วยว่าจะให้รางวัลกี่กะโหลกแก่ดาราเจ้าของเรื่องนั้น ซึ่งรางวัลจะเป็นถ้วยรูปหัวกะโหลกเล็กๆแต่ต่างจำนวนกัน โดยขึ้นอยู่กับความน่ากลัวของเนื้อหา เช่น ความน่ากลัวอยู่ในระดับปานกลางจะให้ 3 กะโหลก ความน่ากลัวอยู่ในระดับเสียวสันหลังจะได้ 4 กะโหลก และความน่ากลัวระดับขวัญผวาจะได้ 5 กะโหลก ซึ่งถ้วย 5 กะโหลกถือเป็นคะแนนสูงสุด แต่ส่วนใหญ่ หม่ำ,เท่ง และ โหน่ง จะให้รางวัลแค่ 4 กะโหลก แต่ในบางครั้ง แก๊งสามช่า มอบหลอดไฟซิลวาเนียเป็นของขวัญ เพื่อสำหรับคนกลัวผีอีกด้วย ซึ่งในรอบนี้ถ้าตอบถูกก็จะได้รับข้อละ 1 คะแนน",
"กติกาในการทายใบหน้านั้นเหมือนเดิม แต่ในเกมทศกัณฐ์ยกทัพนั้น จะแข่งขันในแบบทีม ทีมละ 3 คน โดยจะถูกแบ่งออกเป็นทีม<b data-parsoid='{\"dsr\":[5371,5382,3,3]}'>สีแดง</b>และ<b data-parsoid='{\"dsr\":[5385,5400,3,3]}'>สีน้ำเงิน ทั้ง 2 ทีมจะถูกสุ่มไฟขึ้นมา โดยเริ่มแรกนั้น ทั้ง 2 ทีมจะส่งตัวแทนออกมาทีมละ 1 คนเพื่อเล่นเกม โดยจะมีภาพใบหน้าของบุคคลให้ก่อน 2 ภาพ ภาพละครึ่งใบหน้า เมื่อภาพขึ้นมาแล้ว ทั้ง 2 ทีมจะต้องชักธงรบ (เหมือนการกดปุ่มไฟ) ไฟติดที่ทีมไหน จะได้เลือกใบหน้าที่จะเล่นและมีสิทธิ์ที่จะเลือกเล่นครึ่งหน้าหรือเต็มหน้า (การทายครึ่งหน้าจะชนะการทายเต็มหน้า) เมื่อเล่นครบทั้งสองคน คนที่แพ้จะต้องลงจากเวที ทีมไหนตกรอบทั้งทีมก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ไป ทีมที่ชนะจะได้เป็นแชมป์และเข้าไปเล่นรอบแจ๊คพอต ทั้งนี้ ทั้ง 2 ทีมจะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท",
"ต่อมาในปีพ.ศ. 2516 คุณแม่ของเธอได้ผลักดันสนับสนุนให้เธอเข้าร่วมประกวดนางงามฮ่องกง (Miss Hong Kong pageant 1973) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดการประกวดโดย สถานีโทรทัศน์ทีวีบี ด้วยความสวยและคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าผู้เข้าประกวดคนอื่น ๆ ทำให้ในปีนั้นเธอเป็นหนึ่งในหญิงสาวไม่กี่คนที่ได้เป็นตัวเกร็งว่าจะครองมงกุฎนางงามฮ่องกง และในรอบการประกวดชุดว่ายน้ำ ทำให้เธอมีคะแนนนำโด่ แต่น่าเสียดายที่เธอกลับดันมาพลาดในรอบของการตอบคำถาม ซึ่งในคืนนั้นพิธีกรได้ถามคำถามเธอ เกี่ยวกับทางด้านแฟชั่น ซึ่งเธอไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ส่งผลให้เธอกดดันและเครียดมากเกินไป เลยตอบคำถามออกมาได้ไม่ดีพอ ทำให้เธอได้รับคะแนนในรอบการตอบคำถาม นั้นน้อยมากและเธอมาแพ้คะแนนในส่วนนี้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรวมคะแนนทุกรอบผลปรากฏว่าเธอสามารถคว้าตำแหน่งรองอันดับ 3 มาครองได้\nโดยเธอได้รับรางวัลคือมงกุฎเพชร, นาฬิกาหรู , เงินสด $1000 ดอลลาร์ฮ่องกง และเธอยังเป็นแค่คนเดียวของกลุ่มนางงามในปีนั้น ที่ได้มีโอกาสเซ็นสัญญาเข้าเป็นนักแสดงในสังกัดของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี อีกด้วย แต่ทว่า...เธอก็ยังคงทำงานที่สายการบินอยู่เหมือนเดิม จึงทำให้เธอมีผลงานไม่มากนักในช่วงแรก เพราะเธอต้องทำงานทั้ง 2 ที่ โดยงานชิ้นแรกของเธอในวงการบันเทิงคืองานเบื้องหลัง โดยเธอได้ไปเป็นผุ้ช่วยผู้กำกับบท ถันเจียหมิง เพราะเธอต้องการที่จะเรียนรู้ทุกอย่างของระบบการทำงานในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ จากการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับจึงทำให้เธอได้เริ่มต้นจากการทำงานขั้นพื้นฐานก่อนเลย โดยแรกเริ่มเธอต้องเรียนรู้เกี่ยวกับงานหลายด้านทั้งงานในฝ่ายการผลิต, ฝ่ายผู้ช่วยคณะกรรมการ รวมไปถึงงานในฝ่ายจัดเตรียมอุปกรณ์ประกอบฉากเสื้อผ้า และอื่น ๆ ซึ่งเธอสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่สั้นมาก จนสามารถที่จะเข้าใจโปรแกรมและขั้นตอนในการดำเนินงานได้อย่างละเอียดทั้งหมด หลังจากได้เรียนรู้งานเบื้องหลังทั้งหมดแล้ว ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีได้ย้ายเธอไปอยู่ฝ่ายรายการวาไรตี้โดยมอบหมายให้เธอรับหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการเกมส์โชว์รายการหนึ่ง ที่ชื่อว่า เกมส์สนุกสุดหรรษา เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะของเธอในวงการบันเทิง ",
"ในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ได้เพิ่มกติกาใหม่ โดยจะให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกแผ่นป้ายจากแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 15 แผ่นป้าย โดยพิธีกรหลักที่ทำหน้าที่อยู่ในขณะนั้นจะเปิดแผ่นป้ายก่อนว่าสไลด์เดอร์จะยกกี่ขั้นในการตอบคำถามนั้นๆ ซึ่งจะมีตั้งแต่ 1-3 ขั้น อย่างละ 5 แผ่นป้าย ซึ่งสไลด์เดอร์ของดารารับเชิญหรือพิธีกรหลักก็จะยกตามจำนวนขั้นที่เปิดได้ (เช่นหากเปิดได้ 3 และดารารับเชิญตอบถูก ฝ่ายพิธีกรก็จะยก 3 ขั้น) ทำให้ดารารับเชิญมีโอกาสในการจบเกมเร็วยิ่งขึ้นหากตอบคำถามถูก",
"เกมทศกัณฐ์ ยกสยาม (เดิมชื่อ เกมทศกัณฐ์ ยกสยาม) เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์ ที่เน้นส่งเสริมให้คนในแต่ละจังหวัดรักบ้านเกิด ส่งเสริมให้เกิดการใช้ความรู้ความสามารถ ที่เกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ในแต่ละจังหวัด ถ่ายทอดผ่านเกมได้อย่างสนุกสนาน เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 18.30 น. ทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี ผลิตโดย บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย ปัญญา นิรันดร์กุล",
"ปัจจุบัน เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2558 เป็นต้นมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงกติกาในรอบที่ 3 เป็น ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 คน จะผลัดกันตอบคำถามคนละ 1 ข้อเพื่อสะสมคะแนนภายในจำนวนคำถามที่จำกัดเพียง 30 ข้อ แต่ละข้อมีเวลา 10 วินาทีในการตอบเช่นเดิม สามารถตอบได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะได้คำตอบที่ถูกต้อง หากตอบถูกจะได้คะแนนในข้อนั้นไป หากผู้เข้าแข่งขันยังตอบไม่ได้ สามารถใช้สิทธิ์ \"ข้ามคำถาม\" ข้อนั้นได้ โดยจะต้องบอกว่า \"ข้าม\" ก่อนที่เวลา 10 วินาทีจะหมดลง แล้วผู้เข้าแข่งขันลำดับถัดไปจะได้ตอบคำถามข้อนั้นแทนและถ้าตอบถูกก็จะได้คะแนนในข้อนั้นไปเช่นกัน และถ้าหากผู้เข้าแข่งขันบอก \"ข้าม\" คำถามข้อนั้นจนครบทุกคน พิธีกรจะทำการเฉลยคำตอบพร้อมกับเปลี่ยนคำถามใหม่ หลังจากครบ 30 ข้อแล้ว ผู้ที่ได้คะแนนน้อยที่สุดจะ \"หงายเก๋ง\" ตกรอบ แต่ทั้งนี้ยังคงมีเงื่อนไขเดิมคือหากผู้เข้าแข่งขันคนใดที่ยังตอบไม่ได้แล้วเวลา 10 วินาทีหมดลงเมื่อใด เกมจะจบลงและผู้เข้าแข่งขันคนนั้นจะต้อง \"หงายเก๋ง\" ตกรอบทันทีโดยไม่สนว่าจะตอบถูกมาก-น้อยแค่ไหนหรือพิธีกรถามไปแล้วกี่ข้อก็ตาม (ในกรณีที่ผู้เข้าแข่งขันที่ทำคะแนนไดัน้อยที่สุดมีเท่ากันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จะต้องทำการแข่งขันต่อด้วยชุดคำถามพิเศษเพื่อตัดสินโดยที่ผู้เข้าแข่งขันจะไม่มีสิทธิ์ \"ข้ามคำถาม\" ได้เหมือนในรอบปกติ ผู้เข้าแข่งขันคนใดที่ตอบไม่ได้ภายในเวลา 10 วินาทีจะต้อง \"หงายเก๋ง\" ตกรอบ)",
"เกมทศกัณฐ์ คุณสุรีย์พร แป้นคุ้มญาติ แชมป์ทศกัณฐ์ 25 สมัยที่ได้พิชิต 10 หน้าเป็นคนแรกของรายการ พร้อมเงินรางวัล 2,465,000 บาท ถูกโค่นแชมป์โดย คุณบวรศักดิ์ คุณบวรศักดิ์ แชมป์ทศกัณฐ์ 9 สมัย รับเงินรางวัล 95,000 บาท คุณน้ำผึ้ง เพทายรำลึก แชมป์ทศกัณฐ์ 15 สมัย รับเงินรางวัล 220,000 บาท คุณไพโรจน์ กลั่นวารี แชมป์ทศกัณฐ์ 18 สมัย รับเงินรางวัล 235,000 บาท คุณวีสวัส กระต่ายทอง แชมป์ทศกัณฐ์หญิงคนแรกที่อยู่ยาวนานถึง 48 สมัย และ โค่นสถิติแชมป์อย่าง คุณสุรีย์พรลงได้ พร้อมเงินรางวัล 1,270,000 บาท คุณพินิจ ศิระถิรกุล แชมป์ทศกัณฐ์ชายคนแรกที่สามารถโค่นสถิติแชมป์อย่าง คุณวีสวัสลงได้ และเป็นแชมป์ยาวนานที่สุดถึง 49 สมัยและถูกโค่นแชมป์โดย คุณสมพร พิณตะคุ พร้อมเงินรางวัล 1,275,000 บาท คุณสมพร พิณตะคุ แชมป์ทศกัณฐ์ 17 สมัย เป็นคนที่ 2 ต่อจากคุณสุรีย์พร แป้นคุ้มญาติที่ได้พิชิต 10 หน้า และได้แจ็กพอต 10 ล้านบาทเป็นคนแรกของรายการ เกมทศกัณฐ์ พร้อมเงินรางวัล 10,230,000 บาท เกมทศกัณฐ์ปางใหม่ คุณวิน เภรีฤกษ์ แชมป์ทศกัณฐ์ 39 สมัย เป็นคนที่ 3 ต่อจากคุณสุรีย์พร และคุณสมพรที่ได้พิชิต 10 หน้า และได้แจ็กพอต 10 ล้านบาทเป็นคนที่ 2 ต่อจากคุณสมพร และเป็นคนแรกในรูปแบบปางใหม่ ที่สำคัญเป็นเจ้าของสถิติเงินรางวัลสูงสุดของรายการเกมทศกัณฐ์ทุกแบบ รวมเงินรางวัลทั้งสิ้น 10,530,000 บาท เกมทศกัณฐ์หน้าทอง คุณชิดพงศ์ แก้วผสม แชมป์ทศกัณฐ์ 14 สมัย ที่ได้เป็นแชมป์ทศกัณฐ์หน้าทอง รางวัลทศกัณฐ์หน้าทองคำมูลค่า 1,000,000 บาท และ เงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท รวมเงินรางวัลทั้งสิ้นมูลค่า 1,215,000 บาท รวมถึงยังทำสถิติทายถูกติดต่อกันได้สูงสุดถึง 39 หน้า เกมทศกัณฐ์ยกทัพ ทัพเด็กสร้างบ้าน ประกอบด้วย ศรีวรา/วรรวณิชย์/พิชญ์ปิยา สามารถเป็นแชมป์ทศกัณฐ์ยกทัพ และเป็นทัพแรกที่อยู่ยาวนานที่สุดถึง 114 สมัย พร้อมเงินรางวัล 1,560,000 บาท [1] , [2] ทัพเล็กชิ้นสด ประกอบด้วย เมตไตร/โตมร/ปริญญา เป็นแชมป์ทศกัณฐ์ยกทัพถึง 76 สมัย เป็นทัพที่ 2 ที่อยู่ยาวนานที่สุด พร้อมเงินรางวัล 800,000 บาท [3] ทัพพลพลคนหน้าเหมือน เป็นแชมป์ทศกัณฐ์ยกทัพถึง 41 สมัย เป็นทัพที่สาม ที่อยู่ยาวนานสุด พร้อมเงินรางวัล 650,000 บาท [4] เกมทศกัณฐ์จำแลง คุณสุภัค ทองธรรมโชติ แชมป์ทศกัณฐ์จำแลงคนแรกที่อยู่ยาวนานถึง 28 สมัย คุณชมพู ทองธรรมโชติ เป็นลูกสาวของ คุณสุภัค ทองธรรมโชติ และเป็นแชมป์ทศกัณฐ์จำแลงคนที่สองที่อยู่ยาวนานถึง 56 สมัย เกมทศกัณฐ์ช่วยครูใต้ ดารารับเชิญที่มาร่วมตอบคำถามไปช่วยครู 3 จังหวัดชายแดนใต้ทั้งหมด 15,295,025 บาท ยกสยาม ยกสยามปี 1 จังหวัดระนองเป็นแชมป์ยกสยามปี 1 ที่ฝ่าฟันทั้ง 76 จังหวัดและคว้าแชมป์ยกสยามปีในปีแรกได้สำเร็จ พร้อมรับพระราชทานแผ่นเกียรติยศจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารและเงินรางวัลจากทรูมูฟมูลค่า 10,000,000 บาท ยกสยามปี 2 จังหวัดนนทบุรีเป็นแชมป์ยกสยามปี 2 ที่สามารถเอาชนะจังหวัดทั่วทั้งประเทศในยกสยามปี 2 ได้สำเร็จ พร้อมรับพระราชทานแผ่นเกียรติยศ จากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารและเงินรางวัลจากทรูมูฟมูลค่า 1,000,000 บาท (แชมป์แต่ละภาคทั้งหมด 5 ภาคจะได้ไปก่อนทีมละ 1,000,000 บาท ก่อนที่จะเข้ามาแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ) ยกสยาม ๑๐๐ ข้อ ทีมอาจารย์และลูกศิษย์จากสถาบันกวดวิชาเดอะติวเตอร์ สามารถคว้ารางวัลรถยนต์ นิสสัน มาร์ช มูลค่า 537,000 บาทได้สำเร็จ จากการตอบคำถามถูกต้องทั้ง 15 ข้อติดต่อกัน ยกสยาม ๑๐ ข้อ ศุภักษร ไชยมงคล และ ชาลิสา บุญครองทรัพย์ (แจ๊คพอต - เงินสด 1,000,000 บาท จาก ทรูมูฟ) กรรชัย กำเนิดพลอย และ เมย์ เฟื่องอารมย์ (แจ๊คพอต - รถยนต์โตโยต้า วีออส จำนวน 1 คัน มูลค่า 714,000 บาท) นภัทร อินทร์ใจเอื้อ และ วาโย อัศวรุ่งเรือง (แจ๊คพอต - เงินสด 1,000,000 บาท จาก ทรูมูฟ) รวมรางวัลแจ็คพอตทั้งสิ้น 2,714,000 บาท",
"รูปแบบการเล่นในเกมทศกัณฐ์จำแลง จะเป็นการทายใบหน้าจากคำใบ้ที่กำหนด โดยจะสุ่มผู้เข้าแข่งขันขึ้นมาเล่น ในเกมนี้จะแข่งกัน 2 คน โดยกติกาเริ่มแรกสุดคือทั้ง 2 ฝ่ายต้องแข่งกดไฟเพื่อชิงสิทธิ์เล่นก่อน โดยจะมีคำใบ้ปรากฏบนหน้าจอของตัวเอง มาคำใบ้มาแล้ว ต้องแข่งกันกดไฟ ใครกดได้ก่อน มีสิทธิ์ได้เล่นในคำใบ้นี้ จากนั้นจะปรากฏใบหน้า 3 ใบหน้าเพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทาย ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทายให้ถูกว่าคำใบ้ที่ได้มาหมายถึงบุคคลใดใน 3 คนนี้ ถ้าตอบถูกจะได้ 1 คะแนน และมีสิทธิ์เล่นในข้อต่อไป หากตอบผิด เกมจะหยุดลงทันที หากผู้เข้าแข่งขันไม่มั่นใจสามารถโยนได้ 1 ครั้ง ซึ่งหลักการโยน มีลักษณะเช่นเดียวกับเกมทศกัณฐ์ในรูปแบบแรก นั่นคือ หากโยนมาแล้วอึกฝ่ายหนึ่งตอบถูก เกมของผู้ที่โยนมาต้องหยุดลงทันที แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งตอบผิด ผู้ที่โยนมาจะมีสิทธิ์เล่นต่อไป โดยที่ใบหน้าที่โยนไปจะไม่มีผลต่อคะแนน เมื่อฝ่ายหนึ่งเล่นเสร็จ อีกฝ่ายหนึ่งจะได้เล่นในกติกาเดียวกัน เมื่อจบการแข่งขันของทั้ง 2 ฝ่าย ใครมีคะแนนมากกว่า จะได้เป็นแชมป์",
"รามเกียรต์ หรือ รามายณะ มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาวรรณกรรมเอเชีย ภาพการขับเคี่ยวที่พิสดารอลังการของฝ่ายพลับพลากับฝ่ายกรุงลงกา เส้นขนานของธรรมะและอธรรมรามและทศกัณฐ์ จึงเป็นขั้วที่ไม่เพียงยืนหยัด อยู่คนฝ่าย แต่ยังเป็น ศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องฟาดฟันกันให้แหลกลาญ “คนที่เป็นศัตรูกันต้องต่อสู้กันตลอดไปจริงหรือ?” กี่พันปีมาแล้วที่ทศกัณฐ์และพระรามเป็นศัตรูกัน กี่พันปีมาแล้วที่ทหาเอกของพระรามอย่างหนุมานต้องทำหน้าท่าปราบอธรรมให้สิ้นซาก คำถามนี้คือ จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” โดย “ประภาส ชลศรานนท์” โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มดำเนินการสร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2549 แล้วเสร็จและฉายในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2555 รวมระยะเวลาสร้าง 6 ปี",
"หมากรุกไทย มีประวัติเริ่มในอินเดีย โดยมาจากตำนานของรามเกียรติ์ ตามตำนานกล่าวว่า ฝ่ายทศกัณฐ์นั้น เมื่อมีศึกเข้าประชิด นางมณโฑ มเหสีของทศกัณฐ์ เห็นทศกัณฐ์เครียดกับการศึกจึงคิดหาเกมให้สวามีได้ผ่อนคลาย โดยคิดเป็นเกมหมากรุกขึ้น โดยแต่เดิมใช้คนเล่น 4 คน เรียกว่า จตุรังกา แต่ในภายหลังได้รับการปรับปรุงจนสามารถใช้ผู้เล่นเพียง 2 คนได้",
"ในปี พ.ศ. 2559 รอบสุดท้าย (Jackpot) ของเวทีทองนั้นจะมีกล่องอยู่ 4 ใบด้วยกัน ซึ่งในกล่องจะมีทองคำแท่งในจำนวนที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 0-9 แท่ง โดยให้ผู้เข้าแข่งขันที่สะสมแต้มจาก 3 เกมที่ผ่านมามากที่สุดได้เลือกกล่องก่อน ตามด้วยผู้เข้าแข่งขันที่มีคะแนนรองลงมาตามลำดับ จากนั้น ผู้เข้าแข่งขันจะตรวจสอบกล่องของตัวเองที่เลือกว่ามีทองกี่แท่ง เรื่มจากผู้เข้าแข่งขันที่มีคะแนนน้อยที่สุดตามลำดับ และเมื่อครบทั้ง 3 คนแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีสิทธิ์แลกกล่องกับใครก็ได้ หรือจะไม่แลกก็ได้ เรื่มจากผู้เข้าแข่งขันที่มีคะแนนน้อยที่สุดตามลำดับ โดยหลังจากการแลกทุกครั้ง ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองที่แลกกล่องสามารถตรวจสอบกล่องใหม่ของตัวเองว่ามีทองกี่แท่ง โดยผู้เข้าแข่งขันที่มีคะแนนรวมมากที่สุดจะได้รับสิทธิพิเศษ คือสามารถแลกกล่องของตัวเองกับกล่องที่ไม่ถูกเลือกได้ (หลังจากเทปแรก ผู้เข้าแข่งขันที่มีคะแนนมากที่สุดจะได้รับทองเพื่มอีก 1 แท่งด้วย) หลังจากผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 คนแลกกล่องเรียบร้อยแล้ว พิธีกรจะเปิดกล่องของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 คน โดยผู้เข้าแข่งขันที่มีทองในกล่องของตัวเองมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ และได้รับทองคำมูลค่า 30,000 บาทเป็นรางวัล (ในกรณีที่มีผู้แข่งขันที่มีทองแท่งมากที่สุดเท่ากัน 2 คน ทองคำมูลค่า 30,000 บาทจะถูกแบ่งให้ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 คน) ต่อมาเปลี่ยนเป็นทองคำมูลค่า 25,000 บาท",
"เกมทศกัณฐ์ เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์ที่ผลิตโดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 ทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี สร้างสรรค์และควบคุมการผลิตโดย รุ่งธรรม พุ่มสีนิล",
"เกมทศกัณฐ์ (1 เมษายน 2546 - 31 มีนาคม 2548) รวม 1 ปี 11 เดือน 30 วัน ทศกัณฐ์ยกทัพ (31 ตุลาคม 2548 - 29 ธันวาคม 2549) รวม 1 ปี 1 เดือน 28 วัน ทศกัณฐ์จำแลง (1 มกราคม 2550 - 15 มิถุนายน 2550) รวม 6 เดือน 14 วัน ทศกัณฐ์ยกสยาม (18 กุมภาพันธ์ 2551 - 25 กุมภาพันธ์ 2553) รวม 2 ปี 7 วัน ยกสยาม ๑๐๐ ข้อ (1 มีนาคม 2553 - 2 มิถุนายน 2553) รวม 3 เดือน 1 วัน ยกสยาม ๑๐ ข้อ (3 มิถุนายน 2553 - 28 กุมภาพันธ์ 2554) รวม 8 เดือน 25 วัน",
"เป็นรายการที่ล้อเลียนรายการเกมโชว์ควิซโชว์ชื่อดังในขณะนั้นอย่าง เกมทศกัณฐ์ ของ ปัญญา นิรันดร์กุล เป็นการล้อเลียนการทายใบหน้าบุคคล ทั้งนี้มีบางหน้าที่ปรากฏออกมาให้เรียกเสียงฮาของผู้ชม โดยมีผู้ดำเนินรายการที่ใช้ชื่อว่า คุณปั้นหยา (แต่ผู้แสดงเป็นคนละคนกับรายการแฟนพันธุ์ทองแท้)",
"จารชนฝึกหัดทั้ง 4 คนจะถูกมัดไว้และจะต้องผลัดกันทายตัวเลข 0-99 ตามลำดับ โดยพิธีกรจะบอกใบ้ว่าเลขที่ตอบไปนั้นใกล้เคียงเลขอันตรายหรือไม่ ถ้าพิธีกรบอกว่าตัวเลขที่ทายออกมามากไปหรือน้อยไป ตัวเลขที่ทายพร้อมทั้งตัวเลขที่อยู่ในช่วงที่พิธีกรใบ้จะถูกตัดออก เช่น หากผู้แข่งขันคนแรกทายว่า 25 แล้วพิธีกรบอกว่า น้อยไป ตัวเลขตั้งแต่ 0-25 จะถูกตัดออก และผู้เข้าแข่งขันท่านต่อไปจะทายเลขต่อ ๆ ไปจนกระทั่งมีผู้ทายตัวเลขตรงกับเลขอันตราย จารชนฝึกหัดคนนั้นจะถูกยิงด้วยกระสุนแป้งและจะโดนบทลงโทษซึ่งแตกต่างกันออกไปในแต่ละสัปดาห์และไม่ได้คะแนนในรอบนี้ไป ส่วนจารชนฝึกหัด 3 ท่านจะได้คะแนนสะสมคนละ 1 คะแนน แต่ถ้าจารชนฝึกหัดคนนั้นเลือกเลขแล้วโดนพิฆาตคนแรก เกมจะจบทันทีในรอบนี้จะมีคำปริศนาอยู่ 4 คำ โดยในแต่ละคำ จารชนฝึกหัดแต่ละคนจะต้องไปเป็นตัวประกันอยู่ด้านบนสไลเดอร์ แล้วเลือกคำปริศนา 1 คำ จากนั้นพิธีกรจะกำหนดตัวอักษรที่ตัวประกันจะต้องใบ้คำสำหรับคำปริศนานั้น (เช่น ถ้าพิธีกรกำหนดตัวอักษร \"ด\" ตัวประกันจะต้องใบ้เป็นเสียงพยัญชนะ ด.เด็กเท่านั้น หากใบ้เป็นเสียงพยัญชนะอื่น จะถือว่าฟาล์ว) โดยตัวประกันจะมีสิทธิ์ใบ้คำ 3 ครั้ง ครั้งละ 10 วินาที หลังจากใบ้เสร็จ จารชนฝึกหัดอีก 3 คนที่เหลือจะมีสิทธิ์กดไฟ ไฟติดที่ใคร คนนั้นจะมีโอกาสตอบ 1 คำตอบ ถ้าตอบถูกจะถือว่าช่วยตัวประกันได้สำเร็จ แต่ถ้าตอบไม่ถูก ตัวประกันจะต้องออกมาใบ้เพิ่มอีก 1 ครั้ง",
"เกมจารชนนับเป็นรายการแรกของเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ที่ได้ถูกซื้อลิขสิทธิ์จากอินโดนีเซีย หลังจากได้รับรางวัลเอเชี่ยน เทเลวิชั่น อวอร์ด ในปี พ.ศ. 2544ในรอบแรกจะมีผู้เข้าแข่งขันจำนวน 5 คน ซึ่งผู้เข้าแข่งขันทั้ง 5 คน จะถูกมัดเข้ากับเสาโดยสมมุติบทบาทเป็นจารชนที่ถูกจับตัวได้ เมื่อเกมเริ่มต้น ผู้เข้าแข่งขันทายตัวเลข 0-99 โดยพิธีกรจะบอกใบ้ว่าใกล้เคียงเลขอันตรายหรือไม่ ถ้าพิธีกรใบ้ว่า ตัวเลขที่ทายออกมาไม่ใช่เลขอันตรายซึ่งพิธีกรจะบอกว่ามากไปหรือน้อยไป ตัวเลขที่ทายพร้อมทั้งตัวเลขที่อยู่ในช่วงที่พิธีกรใบ้จะถูกตัดออก เช่น หากผู้แข่งขันคนแรกทายว่า 25 แล้วพิธีกรบอกว่า \"น้อยไป\" ตัวเลขตั้งแต่ 0-25 จะถูกตัดออก และผู้เข้าแข่งขันท่านต่อไปจะทายเลขต่อ ๆ ไปจนกระทั่งมีผู้ทายตัวเลขตรงกับเลขอันตราย (หากเหลือจำนวนตัวเลขน้อยกว่าจำนวนผู้เข้าแข่งขัน พิธีกรจะให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกเลขที่เหลือคนละตัวตามลำดับการเล่น จากนั้นจะเฉลยเลขอันตรายทันที) ผู้เข้าแข่งขันที่ทายตรงกับเลขอันตราย จะถูกยิงด้วยกระสุนแป้งและตกรอบทันที (ในเทปสงกรานต์จะใช้น้ำ+แป้งในขันสาดผู้เข้าแข่งขัน)",
"ในยุคแรกนั้น (ตั้งแต่ 17 มกราคม 2533 ถึง 29 มกราคม 2535) เกมในช่วงนี้จะเหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 3 คู่เท่านั้น แล้วแต่ละทีมก็จะมีแท่งคะแนนอยู่ทีมละ 4 แท่ง (ต่อมาเหลือทีมละ 2 แท่ง) ผู้แข่งขันคู่ที่มีคะแนนมากที่สุดจากรอบชิงบ๊วย จะมีสิทธิ์เลือกว่าจะแข่งกับคู่ใดก่อน แล้วหลังจากนั้นพิธีกรจะมีข้อมูลหรือคำถามให้ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคู่ว่าในข้อมูลหรือคำถามนั้นมีส่วนประกอบอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลหรือคำถามนั้น (ในปี 2533 แผ่นคำถามจะอยู่ที่พิธีกร โดยคุณปัญญาจะเป็นคนถามคำถามให้กับผู้เล่นคู่แรกก่อน และคุณมยุราจะเป็นคนถามคำถามให้กับผู้เล่นอีกคู่หนึ่ง ต่อมาในปี 2534-2535 จะมีแผ่นคำถาม 1-10 ให้ผู้เข้าแข่งขันเลือก) แล้วให้ใครคนใดคนหนึ่งในคู่นี้ผลัดกันตอบในเวลาเพียง 10 วินาที ถ้าตอบสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องหรือตอบซ้ำกันจะมีเสียงสัญญาณว่าผิด และถ้าพูดซ้อนกันว่าถือว่าแพ้ฟาล์ว ถ้าใครคนใดคนหนึ่งเกิดคิดไม่ออกนึกไม่ออกว่าจะตอบอะไรให้พูดคำว่า \"ชิงร้อยชิงล้าน\" ซึ่งหมายถึงให้ผ่านหรือข้ามนั่นเอง (ตั้งแต่ 17 มกราคม 2533 ถึงพฤษภาคม 2536 นั้นกลายเป็นคำวลีฮิต \"ถ้าหากคิดไม่ออก บอกชิงร้อยชิงล้าน\") โดยคู่ที่เล่นเสร็จก่อนจะมีสิทธิ์เลือกว่า จะใช้แท่งคะแนนในคู่ของตนเองโจมตีอีกคู่หนึ่งกี่แท่งคะแนน และอีกคู่หนึ่งจะต้องทำคะแนนให้มากกว่าเพื่อเอาแท่งคะแนนที่โจมตีนั้น แต่ถ้าอีกคู่ทำคะแนนน้อยกว่า จะต้องเสียแท่งคะแนนให้กับคู่ที่เล่นก่อนหน้านั้นไปแล้ว แต่ถ้าเสมอกันจะไม่มีใครเสียแท่งคะแนน คู่ใดที่เสียแท่งคะแนนไปจนหมดเลยจะตกรอบทันที จนกระทั่งเหลือ 1 คู่ที่มีแท่งคะแนนมากที่สุด คู่นั้นจะผ่านเข้ารอบ Jackpot หรือ รอบชิงล้านนั่นเอง",
"เพลงฮิตผิดเนื้อ แต่ละทีมส่งตัวแทน 1 คนออกมาที่ปุ่ม วงดนตรีจะเล่นเพลงโดยร้องเนื้อท่อนสุดท้ายผิด คนที่กดปุ่มก่อนจะได้ตอบว่าท่อนสุดท้ายที่ถูกต้องร้องว่าอะไร หากตอบถูกจะได้คะแนน แต่ถ้าตอบผิดอีกฝ่ายจะมีสิทธิตอบ ต่อตาตั้ง แต่ละทีมจะต้องผลัดกันนำลูกเต๋าที่มีหน้าซุป'ตาร์มาวางตั้งเรียงกันตามคำใบ้ของพิธีกรให้ถูกต้องตามลำดับ หากเรียงผิด ตรงฐานวางจะมีสปริงดีดทำให้ลูกเต๋าหล่นลงมา ผู้เล่นที่เรียงผิดจะต้องเรียงใหม่ตั้งแต่ต้น มีเวลา 120 วินาที เพลงเพราะ ไมค์เพี้ยน แต่ละทีมส่งตัวแทน 1 คนออกมาร้องเพลงโจทย์ให้เพื่อนร่วมทีมทาย โดยเสียงจะเพี้ยนผิดคีย์ไปตามแต่ทางรายการจะปรับไว้ให้ เพื่อเพิ่มความยากในการทาย เพื่อนร่วมทีมคนไหนตอบถูก จะต้องวิ่งออกมาร้องเพลงต่อไปแทน มีเวลาเล่น 90 วินาที ซุป'ตาร์ มาเป็นภาพ ในเกมนี้จะเป็นเกมใบ้ชื่อซุป'ตาร์ รูปแบบของคำถามจะคล้ายคลึงกับคำถามของรายการ Davinci เกมถอดรหัส และคำถามของรายการ ดารามหาชน ในช่วง \"ดารามาเป็นภาพ\" เมื่อทายถูกก็จะผ่านไปยังคำใบ้ชุดต่อไป มีเวลา 90 วินาที นักวาดมือไว ในเกมนี้ทุกคนจะมีกระดานแขวนคอไว้คนละ 1 กระดาน พร้อมม่านบังเพื่อไม่ให้เห็นกระดานตัวเอง พิธีกรจะมีหมวดหมู่มาให้ จากนั้นผู้เล่น 1 คน ของแต่ละทีมจะเป็นผู้วาด โดยต้องวาดโดยห้ามมองว่าตัวเองวาดอะไรลงไปบ้าง ให้เพื่อนร่วมทีมทาย หากทายถูกจะได้คะแนน ผู้เล่นของแต่ละทีมคนถัดไปจะขึ้นมาเป็นผู้วาดแทน ถอดภาพทายเพลง แต่ละทีมส่งตัวแทน 1 คนออกมาที่ปุ่ม พิธีกรจะเปิดภาพปริศนาที่จะสื่อถึงเพลงนั้นๆ คนที่กดปุ่มก่อนจะได้ตอบว่าภาพปริศนานี้สื่อถึงเพลงที่มีชื่อว่าอะไร หากตอบถูกจะได้คะแนน แต่ถ้าตอบผิดอีกฝ่ายจะมีสิทธิตอบ หากยังไม่มีใครตอบได้ พิธีกรจะมีคำใบ้ให้ โอบ อุ้ม อึด แต่ละทีมส่งตัวแทน 1 คนเป็นคนถือลูกบอล จากนั้นพิธีกรจะเชิญผู้แข่งขันที่เหลือมาจับคู่ตอบคำถามจากภาพปริศนา ซึ่งจะเป็นรูปดารา โดยจะให้คำใบ้เป็นชื่อเล่นดารา พร้อมกับคำใบ้ปริศนา ซึ่งคำตอบจะเป็นชื่อจริงของดาราบวกกับคำตอบของคำใบ้ปริศนา ซึ่งทั้งชื่อจริงดาราและคำใบ้ปริศนาจะต้องออกเสียงคล้ายกัน คนที่กดปุ่มก่อนจะมีสิทธิ์ตอบก่อน หากตอบถูกจะได้คะแนน และทีมตรงข้ามจะต้องถือลูกบอลเพิ่ม หากทีมใดทำลูกบอลตก เกมจะยุติทันที และทีมที่ยังคงถือลูกบอลได้อยู่จะได้คะแนนเพิ่ม 5 คะแนน กล่องลับวิลลี่ แต่ละทีมส่งตัวแทน 1 คนออกมาที่ปุ่ม แล้วพิธีกรจะถามคำถามที่มีคำตอบเป็นตัวเลข คนที่กดปุ่มจะมีสิทธิ์ตอบ ถ้าตอบถูกจะได้คะแนนไป และคนที่อยู่ทีมตรงข้ามจะต้องมาหมุนกล่องเป็นจำนวนตามคำตอบของคำถามแต่ละข้อ ในกรณีที่คนที่กดปุ่มตอบผิด คนที่กดปุ่มจะต้องมาหมุนกล่องเอง ถ้าหมุนกล่องแล้วกล่องเปิดเป็นหน้าพิธีกร ผู้แข่งขันจะต้องยุติการเล่นและไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ ในกรณีที่หมุนกล่องออกมาเป็นหุ่นพิธีกร เกมจะยุติทันที และแต่ละทีมจะได้คะแนนเพิ่มตามจำนวนสมาชิกในทีม ดวลใบ้ไร้มือ ในเกมนี้จะให้หัวหน้าทีมเป็นคนทายคำ จากการใบ้ของเหล่าดาราแต่ละคนซึ่งจะถูกมัดมือและห้ามใช้เสียงในการใบ้ หากทายถูกจะได้คะแนน ในเกมนี้จะมีการใบ้คำอยู่ 2 หมวดหมู่ โดยหมวดหมู่แรกจะให้มือที่โดนมัดอยู่ด้านหน้า และหมวดหมู่ที่สองจะให้มือที่โดนมัดอยู่ด้านหลัง",
"รายการ เกมทศกัณฐ์ ออกอากาศทาง โมเดิร์นไนน์ ทีวี เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 เป็นรายการเกมโชว์ควิซโชว์รายการแรกที่รางวัลแจ๊คพอตที่มีเงินรางวัลสูงสุดถึง 10 ล้านบาทนับถือว่าเป็นรางวัลแจ๊คพอตสูงที่สุดในวงการของรายการเกมโชว์โทรทัศน์ไทยและในเอเชีย (โดยเฉพาะ \"เกมทศกัณฐ์ยกทัพ\" ที่มีรางวัลแจ๊คพอตสูงถึง 30 ล้านบาท) เพียงตอบคำถามใบหน้าของบุคคลที่มีชื่อเสียงสำคัญ ๆ ของคนทั่วทั้งโลก ตอบถูกครบ 10 หน้า รับไปเลยรางวัลแจ๊คพอตสูงที่สุด 10 ล้านบาทและนับตั้งแต่ออกอากาศเกมทศกัณฐ์จนไปถึงยกสยาม เป็นเวลาเกือบ 8 ปีทางรายการได้แจกรางวัลไปทั้งหมดเกือบ 70 ล้านบาท",
"กติกาในรอบนี้ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 4 คนต้องแย่งกันกดสัญญาณไฟเพื่อตอบคำถามของพิธีกรให้ถูกต้อง 1 ข้อ เพื่อเข้ารอบถาม-ตอบ โดยรอบนี้ต้องการผู้เข้ารอบ 2 คน ถ้าเกิดมีผู้เข้าแข่งขันกดสัญญาณไฟได้แล้วตอบผิด พิธีกรจะเฉลยคำถามข้อที่ตอบผิดแล้วเริ่มถามคำถามข้อใหม่ โดยที่ผู้เข้าแข่งขันที่ตอบผิดเมื่อแย่งกดสัญญาณไฟแล้วไม่สามารถตอบผิดได้อีก ถ้าตอบผิดอีกครั้งตกรอบทันที (ยกเว้นเกมจิ๊กซอว์, คุณสมบัติ, และเกมประเภทวีดีโอบางเกมที่เมื่อใครตอบผิด พิธีกรจะไม่ถามคำถามข้อใหม่ โดยจะต้องเล่นต่อจนกว่าจะมีผู้ตอบถูก)",
"ทศกัณฐ์ ศึกทศกัณฐ์หน้าทอง (1 เมษายน 2548 - 28 ตุลาคม 2548) รวม 9 เดือน 27 วัน ทศกัณฐ์ช่วยครูใต้ (18 มิถุนายน 2550 - 15 กุมภาพันธ์ 2551) รวม 8 เดือน 27 วัน",
"ทีมดารารับเชิญจะเลือกแผ่นป้ายตัดสินคะแนน ซึ่งคะแนนที่ได้จากการแข่งขันจะตัดสินจำนวนป้ายว่าจะเปิดกี่ป้าย โดยถ้าฝ่ายใดได้คะแนนจากทั้ง 2 เกม จะได้เปิด 2 แผ่นป้าย อีกทีมหนึ่งจะได้เลือก 1 แผ่นป้าย แต่ถ้าทั้งสองทีมชนะทีมละเกม จะมีสิทธิ์เลือกทีมละ 1 แผ่นป้าย\nโดยแผ่นป้ายป้ายทั้งหมด 12 แผ่นป้าย มีแผ่นป้าย 0-9 อย่างละ 1 ป้าย แผ่นป้ายโชคดีเป็นรูปใบหน้าคนยิ้มและแผ่นป้ายโชคร้ายเป็นรูปหัวกะโหลกอย่างละ 1 แผ่นป้าย ทีมดารารับเชิญจะต้องเลือกแผ่นป้าย ให้ทีมพิธีกรก่อนแล้วค่อยเลือกให้ทีมตัวเอง (ยกเว้นในกรณีที่พิธีกรได้เลือก 2 แผ่นป้าย ทีมดารารับเชิญจะต้องเลือกให้ตัวเองก่อน)\nวิธีการตัดสินคือ ฝ่ายใดได้คะแนนมากกว่าจะได้มิสิทธิ์เป็นฝ่ายเลือกล้วงลับฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายตัวเอง อีกกรณีหนึ่ง ถ้าฝ่ายใดได้รูปโชคดี จะเป็นฝ่ายชนะและสามารถเลือกล้วงลับฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายตัวเองได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเจอป้ายโชคร้าย จะเป็นฝ่ายแพ้ไป อีกฝ่ายจะมีสิทธิ์เลือกล้วงลับฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายตัวเองได้ โดยเลือกใครคนหนึ่งหรือทั้งสามคนมาล้วงความลับ",
"ในแต่ละสัปดาห์จะมีผู้แข่งขัน 3 ท่าน จะต้องแข่งกันตอบคำถามสะสมเงินรางวัล โดยแต่ละคำถามนั้นจะมาจากละครที่พิธีกรทั้ง 4 คนได้เล่นกัน ซึ่งเกี่ยวกับของดีสี่ภาค หรือเคล็ดลับ โดยจะมีดาราหรือนักร้องมารับเชิญร่วมเล่นละครกับพิธีกร บางครั้งอาจจะให้พิธีกรปรัศนี 3 คน (จ๋า, เทพ และ ถนอม สามโทน) มาร้องเพลงแล้วให้ผู้แข่งขันทายว่า ใครร้องเพลงได้ถูกต้องที่สุด หรือบางครั้งจะเป็นการแข่งขันเกมแบบทีมระหว่างผู้เข้าแข่งขันกับทีมพิธีกร ซึ่งเกมจะเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์",
"รูปแบบแรก เป็นรูปแบบของเกมวางระเบิด ที่ใช้ในรายการมาตลอด คือจะมีแผ่นป้ายลูกระเบิด ซึ่งจำนวนแผ่นป้ายทั้งหมดขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้เล่นคือแขกรับเชิญ และพิธีกรร่วม (ยกเว้นพิธีกรหลัก) แต่ละแผ่นป้ายจะมีลูกระเบิดแตกต่างกันไป (2539 – 2540 มี 4 แผ่นป้าย ,2540 – 2542 มี 5 แผ่นป้าย ,2542– 2546 มี 6 แผ่นป้าย ,2548 – 2552 มี 8 แผ่นป้าย )เมื่อนำจำนวนลูกระเบิดทุกป้ายกับจำนวนลูกระเบิดของพิธีกรหลัก (1 ลูก) มารวมกัน ก็จะได้เท่ากับจำนวนแผ่นป้าย (ลูกระเบิด) ทั้งหมดในรอบเกมถอดสลักระเบิด คือ 18 ลูก(ปี 2541 – 2542 มีเพียง 15 ลูก) จะมีกติกาการเลือกโดยดารารับเชิญ จะต้องเลือกแผ่นป้ายให้กับตัวเอง และพิธีกรร่วมทั้งหมด ยกเว้นพิธีกรหลักซึ่งลูกระเบิดอยู่แล้ว 1 ลูก (ในยุคแรกๆคือช่วงวันที่ 7 เมษายน – 10 พฤษจิกายน 2539 พิธีกรหลักคือมยุราจะไม่มีลูกระเบิด ) เมื่อเลือกได้ครบทุกคนแล้วจะทำการเปิดดูแต่ละแผ่นป้ายซึ่งเป็นป้ายดึงแบบยางยึด(ในช่วงวันที่ 5 กรกฎาคม - 26 ตุลาคม 2540 ได้เปลี่ยนรูปแบบจากการเปิดป้ายยางยืดมาเป็นดึงแท่นระเบิดหรือที่เรียกกันว่าคลังแสงระเบิดแทนชั่วคราว) เพื่อดูว่ามีลูกระเบิดที่ซ่อนไว้ทั้งหมดกี่ลูก (จำนวนลูกระเบิดเท่ากับจำนวนแผ่นป้ายในรอบถอดสลักระเบิด) และในวันที่ 7 มกราคม 2550 - 13 กันยายน 2552 ได้ดัดแปลงกติกาเล็กน้อยคือถ้าดารารับเชิญเลือกแผ่นป้ายให้พิธีกรร่วมและตัวเองหมดแล้ว จะเหลืออยู่ 1 แผ่นป้าย โดยแผ่นป้ายนั้นจะเป็นบอมหมู่คือผู้เล่นทุกคนจะเข้าโดมระเบิดทั้งหมด ยกเว้นพิธีกรหลัก",
"ผู้เข้าแข่งขันที่สมัครเข้ามาร่วมเล่นในรายการจะนั่งอยู่บนอัฒจรรย์ โดยทางรายการจะสุ่มไฟ ไฟติดที่ด้านหน้าของผู้เข้าแข่งขันคนใด ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นจะได้ลงมาเล่นเกมบนเวที เกมจะเริ่มขึ้นโดย ผู้เข้าแข่งขันทั้งสอง จะต้องเอามือวางบนจอมอนิเตอร์ด้านหน้าของตน เมื่อใบหน้าปรากฏบนจอ (โดยจะมีใบหน้าที่ต้องตอบ และใบหน้าถัดใบที่มีเพียงครึ่งเดียว) ผู้ที่กดไฟได้ก่อนจะมีสิทธิ์ตอบ (หากผู้เข้าแข่งขันกดปุ่มก่อนที่ภาพจะขึ้น ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเล่นทั้ง ๆ ที่ไม่มีภาพ) ผู้เข้าแข่งขันจะต้องตอบ<b data-parsoid='{\"dsr\":[3229,3292,3,3]}'>ชื่อเล่น, ชื่อจริง, นามสกุลจริง, ชื่อที่รู้จักเป็นวงกว้าง</b>อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด ของบุคคลในภาพให้ถูกต้อง (ในกรณีที่ตอบเฉพาะชื่อจริงเพียงอย่างเดียว จะต้องระบุด้วยว่าเขาหรือเธอมีอาชีพอะไร และหากตอบเป็นชื่อตัวละครที่บุคคลนั้นแสดงจะถือว่าตอบผิด)",
"ศึกทศกัณฐ์หน้าทอง คือการแข่งขันของ 10 แชมป์ของเกมทศกัณฐ์ โดยจะแข่งขันแบบพบกันหมด ผู้ที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท และ รางวัลทศกัณฐ์หน้าทองคำ และใครตอบใบหน้าสะสมได้มากที่สุดรับเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท",
" ในส่วนของเกมการแข่งขันในรายการแสบคูณสองนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 4 ยุคด้วยกัน คือยุคแรก (กุมภาพันธ์ - เมษายน 2540) ยุคที่สอง (พฤษภาคม 2540 - มีนาคม 2542) ยุคแสบคูณสอง แลกหมัด (เมษายน 2542 - 2543) และยุคแสบคูณสอง ยกแก๊ง (2543 - มกราคม 2544) ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ โดยในแต่ละยุคได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมในรายการอยู่เรื่อยๆ\nผู้เข้าแข่งขันในยุคแรกของรายการ มีทั้งหมด 3 คน โดยจะเล่นเกมดังต่อไปนี้\nช่วงนี้สนับสนุนโดยเส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูปโคคา เป็นเกมในรอบแรกซึ่งจะเล่นทั้งหมด 2 ครั้ง ทั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องปิดตาก่อนแล้ว จากนั้นนักแสดงในรายการจะเป็นผู้นำของปริศนาออกมา (ในยุคแรกนั้น เท่ง เถิดเทิง เป็นผู้นำของปริศนาออกมา ทว่าตั้งแต่เทปวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา จึงเปลี่ยนรูปแบบเป็นการแสดงตลกสั้น นำโดยคุณติ๊ก กลิ่นสี เท่ง เถิดเทิง และนักแสดงตลกท่านอื่น ซึ่งเป็นนักแสดงให้กับละครแสบและละครพันหน้าจนถึงต้นปี พ.ศ. 2547) เมื่อเริ่มการแข่งขัน พิธีกรจะให้คำใบ้ และให้ผู้เข้าแข่งขันตอบตามลำดับโดยการถามคำถาม (ใช่หรือไม่ เช่น สิ่งของนี้มีรูปร่างกลมใช่หรือไม่) ถ้าถามแล้วพิธีกรบอกว่าใช่ ก็จะมีสิทธิ์ถามคำถามไปเรื่อยๆ แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ผู้เล่นคนต่อไปจะมีสิทธิ์ถามคำถาม (ใช่หรือไม่) หากมีผู้ตอบของปริศนาได้ถูกต้องจะเข้ารอบทันที ถ้าทั้ง 3 คนตอบไม่ได้ พิธีกรจะให้คำใบ้เพิ่มจนกว่าจะมีใครตอบถูกต้อง เกมนี้จะคัดหาผู้เข้ารอบ 2 คน ส่วนอีก 1 คนจะตกรอบ และได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท แต่ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2540 ได้ยกเลิกการให้เงินรางวัล 10,000 บาทกับผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบในรอบนี้อีก",
"ในทุก ๆ ครั้งที่เป็นแชมป์ (หรือทุก ๆ 10 สมัยในกติกาใหม่) ทีมแชมป์จะได้เล่นรอบแจ๊คพ็อต ซึ่งจะมีใบหน้าที่ถูกตัดและสลับเป็น 5 ส่วน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเลือกว่าจะเป็นภาพกี่ส่วน โดยจะมีเงินรางวัลต่างกันดังนี้"
] |
ลิเทียมสามารถติดไฟได้ง่ายหรือไม่? | [
"เมื่ออังลิเทียมไว้เหนือเปลวไฟ มันจะให้สีแดงเข้มออกมา แต่เมื่อเผาไหม้โดยตรง เปลวไฟจะเป็นสีขาวสว่างจ้า โลหะลิเทียมจะติดไฟและไหม้เมื่อกระทบกับออกซิเจนและน้ำ นอกจากนี้ยังนับเป็นโลหะเพียงชนิดเดียวที่ทำปฏิกิริยากับไนโตรเจนที่อุณหภูมิห้อง ลิเทียมนั้นมีความจุความร้อนจำเพาะที่สูงมาก คือ 3,582 J/(kg·K) และมีช่วงอุณหภูมิที่กว้างเมื่ออยู่ในรูปของเหลว ซึ่งทำให้เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์ใช้งานได้"
] | [
"ลิเทียมเป็นโลหะที่เบาที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด และมีความหนาแน่นเพียงครึ่งเท่าของน้ำ ที่น่าแปลกก็คือ ลิเทียมยังมีคุณสมบัติของโลหะแอลคาไลน์เอิร์ธ ในหมู่ 2 ด้วย ลิเทียมเป็นโลหะสีเงิน อ่อนนิ่มมากจนตัดด้วยมีดคมๆ ได้ ลิเทียมมีคุณสมบัติอย่างโลหะแอลคาไลทั้งปวง นั่นคือ มีวาเลนซ์อิเล็กตรอนเพียงตัวเดียว และพร้อมที่จะสูญเสียอิเล็กตรอนตัวนี้ไปเป็นไอออนบวก ทำให้มีอิเล็กตรอนในระดับชั้นพลังงานที่ไม่ครบถ้วน เนื่องจากกรณีดังกล่าว ทำให้ลิเทียมทำปฏิกิริยาในน้ำได้ง่าย และไม่ปรากฏโดยอิสระในธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ลิเทียมยังถือว่าทำปฏิกิริยายากกว่าโซเดียม ซึ่งมีคุณสมบัติทางเคมีที่คล้ายกัน",
"เนื่องจากฝอยขัดหม้อมีเนื้อเหล็กเป็นฝอยละเอียด มีพื้นที่สัมผัสกับอากาศได้มาก ทำให้สามารถติดไฟแล้วลุกไหม้ให้ประกายเหมือนดอกไม้ไฟ จึงนิยมนำมาใช้เป็นเอฟเฟกต์ในการถ่ายภาพ หรือใช้เป็นเชื้อไฟในกรณีฉุกเฉินเนื่องจากติดไฟได้ง่ายแม้เปียกน้ำ และสามารถใช้เพียงประกายไฟ หรือแบตเตอรี่ (โดยนำฝอยขัดหม้อไปลัดวงจรให้เกิดความร้อน) เพื่อจุดไฟได้",
"ในโลกของเรามีลิเทียมแพร่หลายกว้างไกล แต่ไม่ปรากฏในธรรมชาติในรูปอิสระ เพราะความสามารถทำปฏิกิริยาที่สูงมาก จึงมักพบเป็นส่วนประกอบกับธาตุชนิดอื่น หรือสารประกอบอื่นๆ ลิเทียมเป็นส่วนประกอบย่อยของหินอัคนีแทบทุกชนิด และยังพบในแอ่งน้ำกร่อนในธรรมชาติจำนวนมากด้วย ลิเทียมนับเป็นธาตุที่พบได้มากเป็นอันดับที่ 31 โดยมีอยู่มากในแร่ต่างๆ เช่น สปอดูมีน, เลปิโดไลต์ และแอมบลิโกไนต์ ในเปลือกโลกยังมีลิเทียมเป็นส่วนประกอบถึง 65 ส่วนต่อล้านส่วน (ppm)",
"วัสดุไพโรโฟริก ( มากจากภาษากรีก \"πυροφορος\", \"purophoros\", \"เกิดติดไฟ\") เป็นวัสดุที่เกิดการลุกไหม้เองได้ ที่อุณหภูมิลุกไหม้เองต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง เช่น ไอออน (II) ซัลไฟด์และโลหะหลายชนิดที่ทำปฏิกิริยากับสารอื่น รวมถึงยูเรเนียมด้วยเมื่อนำมาทำให้เป็นผงหรือแผ่นบางๆ วัสดุไพโรโฟริกเหล่านี้มักทำปฏิกิริยากับน้ำ และจะติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสกับน้ำหรืออากาศชื้น วัสดุเหล่านั้นสามารถควบคุมความปลอดภัยได้โดยเก็บไว้ในอาร์กอนหรือไนโตรเจน วัสดุไพโรโฟริกส่วนมากสามารถดับได้ด้วยเครื่องดับเพลิงแบบ ดี ซึ่งใช้สำหรับดับโลหะติดไฟ",
"ลิเทียมคลอไรด์ (lithium chloride) เป็นสารประกอบไอออนิก (เกลือ) ประกอบด้วยลิเทียมและคลอรีน มีสูตรเคมีคือ LiCl สามารถดูดความชื้นจากบรรยากาศได้ดีและสามารถละลายน้ำได้ เมื่อเทียบกับโซเดียมคลอไรด์และโพแทสเซียมคลอไรด์จะละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์มีขั้วเช่นเมทานอลและอะซิโตน\nลิเทียมคลอไรด์ทำหน้าที่เป็นแหล่งไอออนของคลอไรด์ (Cl^-) เช่นเดียวกับเกลือที่ละลายน้ำได้อื่น ๆ การผสมกับเกลือโลหะบางชนิดในสารละลาย จะทำให้เกิดคลอไรด์ที่ไม่ละลายน้ำ ตัวอย่างเช่นการทำปฏิกิริยากับตะกั่ว(II) ไนเตรตจะทำให้เกิดตะกั่ว(II) คลอไรด์\nLi (ลิเทียมไอออน) เป็นกรดเลอวิสอ่อน ยกตัวอย่างเช่น 1 โมล ของลิเทียมคลอไรด์สามารถเชื่อมต่อแอมโมเนียได้ถึง 4 โมล",
"เดิมที สเปรย์ละอองลอยมักใช้ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือ CFCs แต่เมื่อ มอนเทรล โพรโทคอล ถูกใช้เป็นแรงขับดัน ประมาณ พ.ศ. 2532 (1989) ก็ถูกใช้แทนที่ในเกือบทุกประเทศ เพราะกระแสต่อต้านการผลิตและใช้ CFCs ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชั้นโอโซนของโลก \nส่วนมาก เป็นของผสมของ ไฮโดรคาร์บอนที่ระเหยง่าย เช่น โพรเพนทั่วไป, บิวเทนสายตรง และ ไอโซบิวเทน \nนอกจากนี้ยังใช้ ไดเมทิลอีเทอร์ (DME) และ เมทิลเอทิลอีเทอร์ ด้วย \nสารทั้งหมดข้างต้นมีข้อเสียสำคัญคือ ติดไฟง่าย ",
"ไฮโดรเจนเป็นแก๊สติดไฟง่าย และไม่มีกลิ่น และสามารถระเบิดรุนแรงได้ ดูบทความความปลอดภัยของไฮโดรเจน",
"ลิเทียมโบรไมด์มีคุณสมบัติเป็นสารไฮโกรสโคปิก (ดึงดูดและกักเก็บความชื้นได้) จึงมักใช้เป็นสารดูดความชื้นในระบบปรับอากาศและระบบทำความเย็น ในทางการแพทย์เคยใช้เป็นยากล่อมประสาทมาตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1900 แต่เสื่อมความนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1940 เนื่องจากมีผู้ป่วยโรคหัวใจเสียชีวิตหลังใช้สารนี้แทนเกลือ ลิเทียมโบรไมด์เคยใช้เป็นยารักษาโรคอารมณ์สองขั้วเช่นเดียวกับลิเทียมคาร์บอเนตและลิเทียมคลอไรด์",
"ลิเทียมโบรไมด์ (Lithium bromide) เป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี LiBr เตรียมได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างลิเทียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรโบรมิก ได้ลิเทียมโบรไมด์, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ตามสมการ: ",
"กระสุนส่องวิถี เกิดขึ้นมา ครั้งแรกระหว่าง ชาวเติร์กและฮังการี่ สมัยนั้น เป็นกระสุนปืนใหญ่ ที่ไว้ยิง\nเพื่อทำลายและบุกยึดปราสาท โดยการระดมยิงตอนนั้น ยิงในเวลากลางคืนด้วยเหตุผลที่ว่า\nปืนใหญ่ในสมัยนั้น ไม่สามารถบรรจุดินปืนในขณะปืนยังร้อนได้ ดังนั้น จึงเลือกโจมตีในเวลากลางคืน\n(ปืนใหญ่จะเย็นตัวเร็วกว่าในเวลากลางคืน ทำให้บรรจุดินปืนได้เร็วกว่าตอนกลางวัน และถ้าบรรจุ\nดินปืนขณะลำกล้องยังร้อน จะทำให้ดินปืนติดไฟขณะบรรจุหรือกระทุ้งดินปืนได้)\nและการที่จะสามารถมองเห็นวิถีกระสุนในเวลากลางคืนเช่นนั้นได้จึงต้องใช้กระสุนที่ส่องแสงได้\nโดยกระสุนสมัยนั้นจะเป็นก้อนหิน เอามาเกลาให้กลม และห่อร่วมกับผงถ่าน และดินปืนบางส่วน\nหอด้วยผ้าฝ้ายชุบน้ำมันแล้วตากแห้ง มัดด้วยเชือก และก่อนบรรจุลงปากกระบอกปืนใหญ่นั้น\nจะถูกทาด้วยมันหมูที่มีสภาพคล้ายจารบีเคลือบทั้งลูก และเมื่อถูกจุดกระสุนในปากกระบอกปืนใหญ่\nแรงดันจะขับลูกกระสุนและลูกกระสุนจะติดไฟจากเชื้อเพลิงที่ห่อหุ้มลูกกระสุน จนทำให้เห็นเป็น\nลูกไฟลอยฟ้า และเมื่อกระทบกับเป้าหมายจะยังติดไฟอยู่ด้วยซ้ำ ทำให้สามารถเล็งปรับวิถีและยิง\nกระสุนลูกต่อไปเข้าเป้าหมายได้โดยง่าย และนี้ ถือเป็นต้นกำเนิดแห่งกระสุนส่องวิถี",
"ลิเทียมคาร์บอเนต (Lithium carbonate) เป็นสารประกอบอนินทรีย์มีสูตรเป็น LiCO เป็นเกลือลิเทียมของคาร์บอเนต มีลักษณะเป็นเกลือสีขาวไม่ละลายน้ำ มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการสร้างโลหะออกไซด์ เนื่องจากใช้ในการรักษาโรคอารมณ์สองขั้ว ลิเทียมคาร์บอเนตอยู่ในรายชื่อของยาที่จำเป็นขององค์การอนามัยโลกซึ่งเป็นยาที่สำคัญที่สุดที่จำเป็นในระบบสุขภาพขั้นพื้นฐาน สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยการรวมลิเทียมออกไซด์หรือลิเทียมไฮดรอกไซด์กับคาร์บอนไดออกไซด์ สามารถที่จะทำปฏิกิริยากับกรดกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และสามารถทำปฏิกิริยาคาร์บอนไดออกไซด์ชั่วคราวเพื่อทำไบคาร์บอเนต",
"เกิดเช่นเดียวกับน้ำมันและถ่านหินเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ในสถานะของก๊าซส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยก๊าซมีเทนก๊าซนี้นอกจากจะได้จาก แหล่งธรรมชาติแล้วยังได้จากการกลั่นน้ำมันและอาจกลั่นหรือสกัดจากขยะหรือ โรงกำจัดของเสียต่างๆ แต่ได้ปริมาณน้อย สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำมันดิบได้ การใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม ประกอบอาหารหรือให้ความอบอุ่นหรืออื่นๆ ต้องใช้ความระมัดระวังถ้าเกิดการรั่วอาจติดไฟและระเบิดได้ง่าย การเจาะหาแหล่งน้ำมันในอ่าวไทยปรากฏพบก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมาก และสามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2524 ถึงปัจจุบัน ก๊าซธรรมชาติเมื่อถูกอัดด้วยความดันสูงและส่งผ่านท่อจากบ่อน้ำมัน หรือถูกทำให้เป็นของเหลวและเก็บเป็น LPG ( Liguefied Petroleum Gas ) จัดเป็นก๊าซธรรมชาติซึ่งได้จากการกลั่นแล้วบรรจุในภาชนะในสภาพ ที่เป็นของเหลวภายใต้ความดันสูง มีองค์ประกอบที่สำคัญคือโพรเพนและบิวเทน ซึ่งมีชื่อเรียกทางการค้าหลายชื่อ เช่น ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซหุงต้ม ก๊าซเหลว เป็นต้น ใช้ในครัวเรือนและวงการอุตสาหกรรมมาก ปกติ LPGเป็นก๊าซที่ไม่มีกลิ่นฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงเติมกลิ่นลงไปเพื่อเตือนให้ทราบในกรณีที่ก๊าซรั่ว สารที่เติมลงไป คือ Ethyl mercaptan , Thiophane sulphide เป็นต้น โดยเติม 680 กรัมต่อ 1,000 แกลลอนของ LPG",
"การประเมินอายุของกระจุกดาวอีกวิธีหนึ่งคือการพิเคราะห์วัตถุที่มีมวลน้อยที่สุด ตามแถบลำดับหลักของดาวฤกษ์ปกติ ลิเทียมจะถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วในปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น แต่ดาวแคระน้ำตาลจะยังคงลิเทียมในตัวเอาไว้ได้ ลิเทียมนี้มีอุณหภูมิจุดเดือดต่ำเพียง 2.5 ล้านเคลวิน ดังนั้นดาวแคระน้ำตาลที่มีมวลมากที่สุดจะลุกไหม้ได้ในบางคราว การระบุมวลมากที่สุดของดาวแคระน้ำตาลที่ยังคงมีลิเทียมอยู่ทำให้สามารถคาดการณ์อายุของมันได้ ด้วยการประเมินวิธีนี้จะได้อายุของกระจุกดาวลูกไก่ที่ประมาณ 115 ล้านปี",
"การใช้ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้ คุณสมบัติของไม้พอโลเนียมีดังนี้ มีน้ำหนักเบา (14 ปอนด์/ลูกบาศก์ฟุต) ,ทนต่อความร้อนสูงมาก (ติดไฟที่ 425 องศา) ,อบให้แห้งง่ายและมีความเสียหายน้อย ถ้าอบในตู้อบจะแห้งในเวลา 24-48 ชั่วโมง ถ้าอากาศปกติ 30-60 วัน โดยไม่มีปัญหาการร้าว การบิดงอ การปริแตก ,มีความพรุนสูง (75-88%) ,มีความทนทาน ผุพังยากมาก (ในสภาพที่ไม่สัมผัสกับพื้นดิน) ,ง่ายต่อการเลื่อย เจาะรูใส ขัดผิว \nการใช้ประโยชน์ทางด้านนิเวศน์ รากของพอโลเนียช่วยปรับสภาพดินและเก็บความชื้นในดินได้ โดยสามารถปรับสภาพดินภูเขา ดินปนทราย หรือดินที่มีค่าความเป็นด่างสูง แต่ไม่สามารถปรับปรุงดินเหนียวหรือดินปนหิน และดินที่เป็นกรดจัดที่มีค่า pH 3.5 ใบของพอโลเนียมีขนาดใหญ่ และธาตุไนโตรเจนสูงช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับดิน และปกคลุมหน้าดิน ช่วยชลอการชะล้างผิวหน้าดิน ดอกพอโลเนียให้น้ำหวานแก่ผึ้งได้เป็นอย่างดี สามารถปลูกเพื่อเลี้ยง ผึ้งได้ ใบของพอโลเนียยังมีโปรตีนสูง สัตว์ต่าง ๆ ชอบกัดกิน เช่น กวาง กระต่าย วัว เป็นต้น",
"เกลือลิเทียม เช่น ลิเทียมคาร์บอเนต (Li2CO3) ลิเทียมไซเตรต และ ลิเทียมโอโรเทต ถือเป็น mood stabilizers ที่ใช้ในการบำบัดอาการทางจิต (bipolar disorder) เนื่องจากไม่เหมือนกับยา mood altering อื่นๆ ส่วนใหญ่ ที่รักษาทั้งอาการคลุ้มคลั่ง และอาการซึมเศร้า นอกจากนี้ลิเทียมยังใช้เพื่อขยายผลยาต้านการซึมเศร้าอื่น ๆ ปริมาณลิเทียมที่ใช้ประโยชน์ได้นี้น้อยกว่าปริมาณที่เป็นพิษเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงต้องตรวจสอบระดับลิเทียมในกระแสเลือดอย่างรอบคอบในช่วงการบำบัดรักษา ลิเทียมคลอไรด์ และ ลิเทียมโบรไมด์ นิยมใช้เป็นอุปกรณ์วัดความชื้นที่ดีเยี่ยม และมักจะใช้เป็น desiccant ลิเทียมสเตียเรต (Lithium stearate) นิยมใช้ทั่วไปสำหรับเป็นสารหล่อลื่นอุณหภูมิสูงแบบอเนกประสงค์ ลิเทียมเป็นตัวกระทำชนิดอัลลอย ที่ใช้เพื่อสังเคราะห์สารประกอบอินทรีย์ ลิเทียมยังใช้เป็นฟลักซ์ เพื่อช่วยในการหลอมของโลหะในช่วงการเชื่อมและบัดกรี นอกจากนี้ยังลดการเกิดออกไซด์ในช่วงที่เชื่อม โดยการดูดซับสิ่งเจือปนไว้ คุณสมบัติการหลอมดังกล่าวยังมีความสำคัญในฐานะเป็นตัวเชื่อมประสาน สำหรับการผลิตเซรามิก วัสดุเคลือบ และเครื่องแก้ว บางครั้งมีการใช้ลิเทียมในเครื่องแก้วและเซรามิก รวมทั้งกระจกสำหรับทำกล้องโทรทรรศน์ขนาด 200 นิ้ว ที่ยอดเขาพาโลมาร์ด้วย ลิเทียมไฮดรอกไซด์ นั้นใช้ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศในยานอวกาศ และเรือดำน้ำ สำหรับไฮดรอกไซด์ของอัลคาไลอื่นๆ นั้นจะดูดซับ CO2 ได้ แต่ลิเทียมไฮดรอกไซด์นั้นทำได้ดีกว่า เพราะมีน้ำหนักโมเลกุลที่ต่ำนั่นเอง มีการใช้อัลลอยของโลหะ ที่มีส่วนผสมของ อะลูมิเนียม, แคดเมียม, ทองแดง, และ แมงกานีส เพื่อผลิตชิ้นส่วนอากาศยานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ลิเทียมไนโอเบต (Lithium niobate) มีการใช้อย่างกว้างขวางในตลาดเครื่องมือโทรคมนาคม เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ และมอดูเลเตอร์แสง ลิเทียมไนโอเบตแบบสภาพไม่เชิงเส้นสูง ยังเป็นทางเลือกที่นิยมใช้สำหรับการประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ แบบไม่เชิงเส้น (non-linear application) ลิเทียมดิวเทอไรด์ (Lithium deuteride) , ดิวเทอเรียมเป็นไอโซโทปหนึ่งของไฮโดรเจน) เป็นเชื้อเพลิงแบบหลอมตัวในระเบิดไฮโดรเจน เมื่อถูกระดมยิงด้วยนิวตรอน ทั้งลิเทียม -6 และลิเทียม -7 จะผลิตไตรเทียมออกมา ไตรเทียมจะหลอมรวมตัวกับดิวเทอเรียม ในปฏิกิริยาฟิวชั่น ซึ่งทำได้ง่ายกว่า ลิเทียมถูกใช้เป็นแหล่งกำเนิด อนุภาคแอลฟา หรือนิวคลีไอของลิเทียม เมื่อนิวคลีไอของลิเทียม -7 ถูกระดมยิงจากโปรตอนที่ถูกเร่ง นิวคลีไอบางตัวของลิเทียมจะแตกสลายเป็นโปรตอน 4 ตัว และนิวตรอน 4 ตัว และทำให้เกิดอนุภาคแอลฟา 2 ตัวด้วย นับเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ครั้งแรกที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยฝีมือของคอกรอฟต์ (Cockroft) และวอลตัน (Walton) เมื่อ ค.ศ. 1929 ลิเทียมไฮดรอกไซด์ (LiOH) เป็นสารประกอบที่สำคัญของลิเทียม ที่ได้มาจากลิเทียมคาร์บอเนต (Li2CO3) นับเป็นเบสที่แรง และเมื่อให้ความร้อนจากไขมัน มันจะทำให้เกิดสบู่ลิเทียมขึ้น สบู่ลิเทียมนี้มีความสามารถทำให้น้ำมันแข็งตัว และด้วยเหตุนี้ จึงนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อผลิตจาระบีสำหรับใช้ในการหล่อลื่นเครื่องยนต์ ลิเทียมไฮดรอกไซด์เป็นสารเคมีที่มีน้ำหนักเบาและมีประสิทธิภาพในการกรองให้อากาศบริสุทธิ์ ในพื้นที่จำกัด เช่น ยานอวกาศ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์สามารถทำให้เสียสุขภาพหรือเกิดพิษได้ ลิเทียมไฮดรอกไซด์จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ โดยการเข้าทำปฏิกิริยาและเกิดเป็นลิเทียมคาร์บอเนต แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนเป็นตัวเก็บพลังงานไฟฟ้าที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ทำให้อุปกรณ์ที่เคยมีขนาดใหญ่ มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก รวมถึงมีระยะเวลาใช้งานก่อนจะประจุไฟใหม่ยาวนานขึ้นมาก แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนมีความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า เช่น รถยนต์ไฮบริด รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีความพยายามนำแบตเตอรี่ชนิดนี้ไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ด้านอวกาศ ด้านการทหาร ด้านการไฟฟ้าและสาธารณูปโภค",
"เบส (เคมี) ที่แข็งแกร่งอื่น ๆ เช่น soda lime, โซเดียมไฮดรอกไซด์, โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์, และลิเทียมไฮดรอกไซด์ มีความสามารถที่จะกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกโดยการทำปฏิกิริยาเคมีกับมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลิเทียมไฮดรอกไซด์ถูกนำมาใช้บนยานอวกาศ เช่นในโครงการอะพอลโล เพื่อกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศ มันทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อทำให้เป็นลิเทียมคาร์บอเนต:",
"โลหะพลูโทเนียมสร้างโดยการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีของฟลูออไรด์พลูโทเนียม (IV) กับแบเรียม, แคลเซียม, หรือลิเทียมที่อุณหภูมิ 1200 °C มันทำปฏิกิริยากับกรด, ออกซิเจน, และไอน้ำแต่ไม่ทำปฏิกิริยากับอัลคาไลและละลายได้ง่ายในไฮโดรคลอริกเข้มข้น, ไฮโดรไอโอดิก และกรดเปอร์คลอริก โลหะเหลวนี้ต้องถูกเก็บในสุญญากาศหรือในอากาศเฉื่อยเพื่อป้องกันการทำปฏิกิริยาทางเคมีกับอากาศ ที่อุณหภูมิ 135 °C พลูโทเนียมจะติดไฟในอากาศและจะระเบิดเมื่อนำไปใส่ในคาร์บอนเตตระคลอไรด์\nพลูโทเนียมเป็นโลหะที่เกิดปฏิกิริยาในอากาศชื้นหรืออาร์กอนชื้น มันจะรวมตัวกับออกซิเจนอย่างรวดเร็วและสร้างส่วนผสมระหว่างออกไซด์และไฮไดรด์ ถ้าโลหะพลูโทเนียมถูกวางไว้ไอน้ำนานพอ จะเกิดผง PuO ที่ผิวหน้า พลูโทเนียมไฮไดรด์ก็ถูกสร้างขึ้นมาเช่นกันแต่ไอน้ำส่วนเกินนั้นทำให้เกิดเพียง PuO เท่านั้น",
"ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 เกิดไฟป่าขึ้นในพื้นที่ทางทหารใกล้เมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยสาเหตุของเพลิงเกิดจากกระสุนส่องวิถี ทำให้พุ่มไม้ที่แห้งและติดไฟง่าย (ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในฤดูร้อน) ลุกไหม้ขึ้น",
"นอกเหนือไปจากไฟฉายมือถือวัตถุประสงค์ทั่วไป ยังมีการพัฒนาไฟฉายอีกหลายแบบเพื่อการใช้งานพิเศษ เช่น ไฟฉายติดศีรษะหรือหมวกนิรภัยออกแบบมาสำหรับคนงานเหมืองและผู้ออกค่ายเพื่อให้มีมือว่าง ไฟฉายบางแบบสามารถใช้ใต้น้ำหรือในบรรยากาศที่ติดไฟง่าย",
"ต้นอ้อเป็นพืชต่างถิ่นรุกราน (Alien invasive species) มักขึ้นเบียดเสียดกันจนเบียดเบียนพื้นที่ของพืชพันธุ์ท้องถิ่นอีกทั้งยังรุกรานถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าทั้งยังติดไฟง่ายส่งผลให้เกิดไฟป่าได้ง่ายและเพิ่มขึ้น",
"ลิเทียมอะไซด์ (lithium azide) เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมีเป็น LiN เป็นสารที่เป็นพิษและไม่เสถียร และสลายตัวเป็นลิเทียมและไนโตรเจนเมื่อถูกความร้อน\nลิเทียมอะไซด์สามารถสังเคราะห์ได้จากการทำปฏิกิริยาแทนที่คู่ซึ่งกันและกันของโซเดียมอะไซด์และลิเทียมไนเตรต\nนอกจากนี้ยังสามารถสังเคระห์ได้ด้วยการทำปฏิกิริยาของโซเดียมเอไซด์กับลิเทียมซัลเฟต",
"ผ้าติดไฟง่ายและเร็ว เมื่อเผาจะมีกลิ่นเหมือนเผากระดาษ มีขี้เถ้าเหลือน้อย และมีสีเท่านุ่ม ผ้าฝ้ายถ้าถูกความร้อนแห้งที่มีความร้อนสูงกว่า 149 องศาเซลเซียสนานๆ จะทำให้ใยเสื่อมคุณภาพ แต่จะไหม้เกรียมถ้ารีดด้วยความร้อนสูงมากและการตกแต่ง เช่นการลงแป้ง ซึ่งจะช่วยให้ไหม้เกรียมง่ายขึ้น",
"หลังเกิดเหตุ หน่วยงานจากรัฐบาลได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ แล้วสรุปได้ว่ารถลอยฟ้าไม่มีความปลอดภัย โครงสร้างทำจากวัสดุติดไฟง่ายทั้งหมด หากจะขออนุญาตเปิดทำการต่อต้องแก้ปัญหาอีกหลายจุด ทางแฟชั่นไอส์แลนด์จึงยุติการบริการรถลอยฟ้าทันที",
"แอลกอฮอล์เป็นของเหลว ใส ระเหยได้ง่าย ละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นเฉพาะตัว และ ติดไฟได้ง่าย แอลกอฮอล์เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ความรุนแรงของการออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในกระแสโลหิต แอลกอฮอล์ที่กินได้ คือแอลกอฮอล์ชนิดเอทิล ส่วนแอลกอฮอล์ชนิดอื่นล้วนกินไม่ได้และเป็นพิษต่อร่างกายมากยิ่งไปกว่าเอทิล ถ้าเอาแอลกอฮอล์ชนิดอื่น เช่น เมทิลแอลกอฮอล์มาผสมเป็นเหล้า กินเข้าไปแล้วทำให้ปวดหัว ตาพร่า จนบอด และถึงกับเสียชีวิตได้",
"ในปี ค.ศ. 1931 รัทเธอร์ฟอร์ดพบว่า ถ้าอนุภาคแอลฟาพลังงานสูงมากถูกปล่อยจากพอโลเนียม แล้วกระทบกับวัตถุบาง ๆ เช่น เบริลเลียม โบรอน หรือลิเทียม จะเกิดรังสีชนิดหนึ่งที่มีอำนาจทะลุทะลวงผิดปกติขึ้น เป็นรังสีที่มีอานุภาพมากกว่ารังสีแกมมา แต่ผลการทดลองไม่สามารถอธิบายได้โดยง่าย ในปีต่อมา เฟรเดอริกและอีเรน โจเลียต-คูรี พบว่า ถ้ารังสีชนิดดังกล่าวตกลงบนพาราฟินหรือสารเนื้อผสมใด ๆ ที่มีไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบ สารนั้นจะปลดปล่อยโปรตอนหลายตัวด้วยพลังงานสูง ซึ่งขัดแย้งกับสมบัติของรังสีแกมมาตามธรรมชาติ แต่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลยังไม่เป็นที่ยอมรับ",
"ลิเทียมที่อยู่ในรูปโลหะบริสุทธิ์จะติดไฟได้ง่ายมากและระเบิดได้ค่อนข้างง่าย เมื่อกระทบกับอากาศ และโดยเฉพาะกับน้ำ ไฟจากลิเทียมนั้นดับได้ยาก ต้องอาศัยสารเคมีเฉพาะที่ผลิตมาสำหรับการดับไฟนี้โดยตรง สำหรับโลหะลิเทียมยังสึกกร่อนง่าย และต้องจับต้องอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนัง การเก็บรักษาควรเก็บไว้ในรูปของสารประกอบที่ไม่ทำปฏิกิริยา เช่น แนพธา (naphtha) หรือไฮโดรคาร์บอน สารประกอบลิเทียมนั้นไม่มีบทบาทเชิงชีววิทยาในธรรมชาติ และถือว่าเป็นพิษพอสมควร เมื่อใช้เป็นยา จะต้องคอยตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เพราะลิเทียมไอออน (Li+) จะทำให้เลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น",
"ใน สหรัฐอเมริกามีการค้นพบลิเทียมในแอ่งน้ำกร่อย ในรัฐเนวาดา ทุกวันนี้ลิเทียมที่ผลิตขึ้นในเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่ขุดได้มาจากแหล่งน้ำกร่อยในประเทศชิลี โลหะชนิดนี้ (ซึ่งมีสีเงิน เช่นเดียวกับโซเดียม โพแตสเซียม และโลหะอัลคาไลอื่นๆ) ถูกผลิตขึ้นด้วยการแยกสลายทางไฟฟ้า จากส่วนผสมของโพแตสเซียมคลอไรด์ และลิเทียมที่หลอมละลาย ลิเทียมในรูปโลหะบริสุทธิ์นั้นมีตลาดซื้อขายที่แคบ และข้อมูลด้านราคาก็หายาก เมื่อ ค.ศ. 1998 มีราคาอยู่ที่ 43 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อน้ำหนัก 1 ปอนด์ (หรือ 95 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม) ประเทศชิลีนับเป็นผู้ผลิตโลหะลิเทียมบริสุทธิ์รายใหญ่ของโลกในปัจจุบันเพียงรายเดียว",
"พื้นที่อันตรายจำพวกฝุ่นนั้นสามารถแบ่งได้ดังนี้:\nก๊าซ ไอระเหยและฝุ่นที่ไวไฟมีคุณสมบัติทางเคมีที่ต่างกันที่ส่งผลต่อโอกาสและความรุนแรงของระเบิดที่ไม่เหมือนกัน คุณสมบัติเหล่านั้นประกอบด้วยอุณหภูมิเปลวไฟ () พลังงานต่ำสุดที่ใช้ในการติดไฟ ขอบเขตสูงสุด/ต่ำสุดในการระเบิด และน้ำหนักโมเลกุล การทดสอบด้วยการสังเกต () จะถูกกระทำเพื่อพิจารณาตัวแปรอย่างเช่น ระยะห่างปลอดภัยที่สุดในการทดลอง (maximum experimental safe gap) กระแสติดไฟต่ำสุด (minimum ignition current) ความดันการระเบิด (explosion pressure) และเวลาที่ใช้ในการเข้าสู่ความดันสูงสุด (time to peak pressure) อุณหภูมิจุดระเบิดตามธรรมชาติ (spontaneous ignition iemperature) และอัตราการเพิ่มความดันสูงสุด (maximum rate of pressure rise) ถึงแม้ว่าสสารทุกชนิดมีคุณสมบัติในการระเบิดที่แตกต่างกัน แต่พวกมันสามารถถูกจัดลำดับในช่วงที่คล้ายคลึงกันซึ่งทำให้ง่ายต่อการเลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับใช้ในพื้นที่อันตราย",
"โพลียูรีเทนติดไฟได้ง่ายและรวดเร็วมาก และเมื่อไหม้แล้วจะให้ความร้อน และควันหนาแน่นมาก ที่สำคัญคือให้ก๊าซพิษออกมาด้วยได้แก่ ไดออกซิน ไอโซไซยาไนด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น"
] |
ใครเป็นผู้คิดค้นโทรศัพท์มือถือ? | [
"โทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องแรกถูกผลิตและออกแสดงใน พ.ศ. 2516 โดย มาร์ติน คูเปอร์ (Martin Cooper) นักประดิษฐ์จากบริษัทโมโตโรลา เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม[1] ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2543 ที่มีจำนวน 12.4 ล้านคน[2] มาเป็น 4,600 ล้านคน[3]"
] | [
"ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ให้บริการ TrueMove H (ทรูมูฟเอช หรือ เรียลมูฟ) และ CAT CDMA ที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือในเทคโนโลยี CDMA2000 1x\nแต่ CAT CDMA เป็นเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่เป็น3G",
"ฟีเจอร์โฟน (feature phone) หรือโทรศัพท์มือถือระดับกลาง เป็นโทรศัพท์มือถือที่ในขณะเวลาหนึ่งผู้ผลิตไม่ถือว่ามันเป็นสมาร์ตโฟน\nอย่างไรก็ตามมันมีความสามารถเพิ่มเติมหลายอย่างที่มากกว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นมาตรฐาน\nกลุ่มเป้าหมายของโทรศัพท์ชนิดนี้คือลูกค้าที่ต้องการโทรศัพท์ความสามารถบางอย่างของสมาร์ตโฟน ในราคาที่ถูกลงมา",
"เอ็มเอ็มเอสนั้นรองรับการส่งรูปภาพสี ภาพเคลื่อนไหว หรือเสียงจากโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง โดยที่โทรศัพท์มือถือเครื่องของผู้รับนั้น จะต้องสามารถรับเอ็มเอ็มเอสรองรับการใช้จีพีอาร์เอสและถ้ายิ่งเป็นเอ็ดจ์ก็จะสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น และก่อนที่จะรับ-ส่งเอ็มเอ็มเอสได้นั้น จะต้องตั้งค่าโทรศัพท์และขอเปิดใช้บริการเอ็มเอ็มเอสและจีพีอาร์เอสจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือก่อนด้วย เอ็มเอ็มเอสนั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเอสเอ็มเอส และถ้าขนาดไฟล์ใหญ่เกินไป ก็จะไม่สามารถส่งได้ จำเป็นจะต้องมีการปรับขนาดให้เล็กลง ซึ่งโดยปกติจะมีอัตราค่าบริการที่แพงกว่าเอสเอ็มเอสแล้วแต่ผู้ให้บริการ ดังนั้นเอ็มเอ็มเอสจึงเป็นการส่งข้อมูลอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งคล้าย ๆ กับ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ บลูทูท เพียงแต่ทั้งสองอย่างนี้ จะไม่มีค่าใช้จ่ายเท่านั้นเอง ก็แล้วแต่เรา ว่าจะเลือกแบบไหน",
"ผู้มามอบตัวทั้งสามอ้างว่า 1) นายวิชาญและนายรุ่งโรจน์เป็นผู้ปีนแอบดู 2) นายปิยะนัสเป็นผู้ยืมโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย รุ่นเอ็น72 จากนายธีรชัยไปบันทึกภาพ แล้วนำข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ขนาดสมุดบันทึกของหญิงคนรัก ก่อนจะมีการเผยแพร่ทั่วไป 3) โทรศัพท์มือถือดังกล่าวได้สูญหายไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551 แล้ว 4) นายปิยะนัสขณะนี้เป็นทหารเกณฑ์อยู่ที่จังหวัดยะลา",
"ในปีพ.ศ.2554 แบล็คเบอร์รี่ กินส่วนแบ่งตลาด โทรศัพท์มือถือ ทั่วโลกได้ 3% กลายเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับ 6 ของโลก ระบบอินเทอร์เน็ตของแบล็คเบอร์รี่เปิดให้บริการใน 91 ประเทศ ภายใต้ผู้ให้บริการเครือข่ายกว่า 500 ราย ในเดือนกันยายน พ.ศ.2555 มีผู้ใช้แบล็คเบอร์รี่ถึง 80 ล้านเครื่องทั่วโลก ในปีพ.ศ.2554 ผู้คนกลุ่มประเทศแคริบเบียนและละตินอเมริกาใช้แบล็คเบอร์รี่มากที่สุด คิดเป็น 45% ของจำนวนเครื่องแบล็คเบอร์รี่ทั่วโลก ",
"ซ้อเจ็ด เป็นนามปากกาของนักเขียนผู้ไม่ประสงค์จะออกนามจริง เขียนบทความในผู้จัดการออนไลน์เกี่ยวกับดาราและบุคคลที่มีชื่อเสียง โดยมีข้อมูลจากวงใน หรือข้อมูลที่สำคัญ ลักษณะการเขียน ผู้เขียนจะไม่กล่าวชื่อดาราคนนั้นว่าเป็นใครแต่จะพูดเป็นคำใบ้ต่างๆ แทน เช่น คุณป้าหน้าบาน น้องตาโตเสียงแผด นางเอกหน้าคม เป็นต้น และเปิดให้มีผู้เข้าไปอ่านเป็นจำนวนมากและแสดงความคิดเห็นต่างๆกันไป นอกจากข่าวในเว็บออนไลน์แล้ว คอลัมน์ซ้อเจ็ดมีบริการรับฟังข่าวผ่านโทรศัพท์มือถือ",
"และมีผลโหวตจากผู้ชมในห้องส่งรายการที่จะกดโหวตผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อตัดสินว่าศิลปินจากสีแดงหรือสีน้ำเงินใครจะมีคะแนนโหวตที่สูงมากกว่ากันก็จะได้บันทึกเพลงที่ศิลปินแต่ละท่านได้ร้องไว้นำมาลงแผ่นเสียง Re-Master ในกรณีที่มีคะแนนโหวตเสมอกันจะให้ลงแผ่นเสียง Re-Master ทั้ง 2 คน",
"โทรศัพท์มือถือมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในเครือข่ายโทรศัพท์ สมาชิกโทรศัพท์มือถือในขณะนี้มีจำนวนมากกว่าสมาชิกพื้นฐานอยู่กับที่ในหลายตลาด ยอดขายของโทรศัพท์มือถือในปี 2012 รวม 1,495 ล้านเครื่อง โดยแบ่งเป็นประเทศในแอฟริกา 56 ล้าน, เอเซีย/แปซิฟิก 652 ล้าน, ทวีปอเมริกา 358 ล้าน และยุโรป 366 ล้าน[31] โทรศัพท์เหล่านี้จะได้รับการบริการโดยระบบเสียงที่มีเนื้อหาและมีการส่งแบบดิจิทัล เช่น GSM หรือ W- CDMA ที่มีการตลาดจำนวนมากเลือกที่จะลดลงของระบบอนาล็อก เช่น AMPS",
"1G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ analog โทรศัพท์มือถือในยุคนั้นไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ความสามารถหลักๆ คือการให้บริการเสียงอย่างเดียว รองรับเพียงการโทรเข้าและรับสาย ยังไม่รองรับการส่งหรือรับ Data ใดๆ แม้แต่จะส่ง SMS ก็ยังไม่สามารถทำได้ ซึ่งในยุคนั้นผู้คนก็ยังไม่มีความจำเป็นในการใช้งานอื่นๆ นอกจากการโทรเข้าออกอยู่แล้ว และกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในเวลานั้น เป็นผู้มีฐานะหรือนักธุรกิจที่ใช้ติดต่องาน เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเวลานั้นมีราคาสูงมาก ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น NMT, AMPS, DataTac เริ่มใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ.1980 2G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GSM, cdmaOne, PDC มีการพัฒนารูปแบบการส่งคลื่นเสียงแบบ Analog มาเป็น Digital โดยการเข้ารหัส โดยส่งคลื่นเสียงมาทางคลื่นไมโครเวฟ โดยการเข้ารหัสเป็นแบบดิจิตอลนี้ จะช่วยในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น และช่วยในเรื่องของสัญญาณเสียงที่ใช้ติดต่อสื่อสารให้มีความคมชัดมากขึ้นด้วย โดยมีเทคโนโลยีการเข้าถึงช่องสัญญาณของผู้ใช้เป็นลักษณะเชิงผสมระหว่าง FDMA และ TDMA (Time Division Multiple Access) เป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารทำให้รองรับปริมาณผู้ใช้งานที่มีมากขึ้นได้ ให้บริการทั้งเสียงและข้อมูล มีการทำงานแบบ circuit switching ที่ความเร็ว 9.6-14.4 kbps 2.5G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่เริ่มนำระบบ packet switching มาใช้ ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GPRS ซึ่งพัฒนาในเรื่องของการรับส่งข้อมูลที่มากขึ้น ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps (แต่ถูกจำกัดการใช้งานจริงอยู่ที่ 40 kbps) สิ่งที่เราจะเห็นได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ก็คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เพิ่มฟังก์ชันการรับส่งข้อมูลในส่วนของ MMS (Multimedia Messaging Service) หน้าจอโทรศัพท์เริ่มเข้าสู่ยุคหน้าจอสี และเสียงเรียกเข้าก็ถูกพัฒนาให้เป็นเสียงแบบ Polyphonic จากของเดิมที่เป็น Monotone และเข้ามาสู่ยุคที่เสียงเรียกเข้าเป็นแบบ MP3 2.75G ยุคนี้เป็นยุคของ EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก GPRS นั่นเอง และในปัจจุบันนี้เราก็ยังคงได้ยินและมีการใช้เทคโนโลยีนี้กันอยู่ ซึ่งได้พัฒนาในเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลไร้สาย ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น , EDGE ให้ความเร็วน้อยกว่า 10 KBPS 3G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ยุคนี้จะเน้นการสื่อสารทั้งการพูดคุยแบบเสียงตามปกติและแบบรับส่งข้อมูลซึ่งในส่วนของการรับส่งข้อมูล ที่ทำให้ 3G นั้นต่างจากระบบเก่า 2G ที่มีพื้นฐานในการพูดคุยแบบเสียงตามปกติอยู่มาก เนื่องจากเป็นระบบที่ทำขึ้นมาใหม่เพื่อให้รองรับกับการรับส่งข้อมูลโดยตรง มีช่องความถี่และความจุในการรับส่งสัญญาณที่มากกว่า ส่งผลให้การรับส่งข้อมูลหรือการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือนั้นเร็วมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ประสิทธิภาพในการใช้งานด้านมัลติมีเดียดีขึ้น และยังมีความเสถียรกว่า 2G ที่มีความสามารถครบทั้งการสื่อสารด้วยเสียงและข้อมูลรวมถึงวิดีโอ ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น W-CDMA, TD-SCDMA, CDMA2000 ความเร็ว มากกว่า 144 kbps 3.5G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้นกว่า 3G เช่น HSDPA ใน W-CDMA 4G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ LTE หรือ",
"บรอดแบนด์เคลื่อนที่เป็นศัพท์ทางการตลาดสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านเสาโทรศัพท์มือถือไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์, ไปโทรศัพท์มือถือ (เรียกว่า \"เซลล์โฟน\" ในอเมริกาเหนือและแอฟริกาใต้) และไปอุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ ที่ใช้โมเด็มแบบพกพา. บริการบางอย่างของโทรศัพท์มือถือช่วยให้อุปกรณ์มากกว่าหนึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยใช้การเชื่อมต่อแบบเซลลูลาร์เซลล์เดียวโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า tethering โมเด็มอาจจะถูกสร้างไว้ในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป, ในแท็บเล็ต, ในโทรศัพท์มือถือและในอุปกรณ์อื่น ๆ หรืออาจเพิ่มเข้าไปในอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้คาร์ดในเครื่องพีซี, โมเด็ม USB และที่ USB sticks หรือ dongles หรือโมเด็มไร้สายแยกส่วน",
"ต่อมา ทีโอทีจับมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือใหม่ 5 ราย (MVNO) ได้แก่\nเปิดให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระยะที่ 3 บนคลื่นความถี่ 2100 เมกกะเฮิร์ต โดยความร่วมมือระหว่างเอไอเอสและทีโอที แต่แท้จริงแล้ว บริการดังกล่าวคือการนำเอาคลื่นความถี่ 1900 เมกะเฮิร์ตที่ทีโอทีมีอยู่จากกิจการไทยโมบาย มาพัฒนาแล้วให้รันเสมือนบนคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิร์ตแทน ซึ่งผู้ให้บริการทั้งหมด 5 รายนี้ จะเข้ามาใช้คลื่นความถี่ของทีโอทีร่วมกันในลักษณะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง หรือ MVNO",
"ฤดูร้อนปี ค.ศ. 2007 นักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่ง เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย เรน, อีวา, แมนดี้ และ เวนดี้ ต่อมา อีวาได้ฆ่าตัวตายอย่างลึกลับที่หน้าตึกร้างแห่งหนึ่ง ที่เรียกว่า \"ตึกผี\" เรน เป็นคนสุดท้ายที่ได้เจอเธอ และได้ถ่ายรูปเธอด้วยโทรศัพท์มือถือเป็นรูปสุดท้าย หมอเหยิน จิตแพทย์ขาพิการประจำมหาวิทยาลัย เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่นักศึกษากลุ่มนี้ โดยมี ไวโอเล็ต เป็นผู้ช่วย เรนได้พบกับ สารวัตรยิป นายตำรวจที่รู้จักเธอมาก่อน ที่มาเพื่อสืบการตายของอีวา เรนได้รู้ว่าการฆ่าตัวตายของอีวาเป็นการเล่นเกมอย่างหนึ่ง คือ การฝ่านรกขุมต่าง ๆ ซึ่งไวโอเล็ตเป็นผู้สร้างขึ้นมา โดยติดต่อผ่านเอสเอ็มเอสทางโทรศัพท์มือถือ นรกในเกมนี้มีทั้งหมด 19 ขุม โดยที่ขุมแรกถึงขุมที่ 9 เป็นขุมที่ผ่านได้ง่าย ๆ เพียงเอาชนะความกลัวฝังใจในอดีต แต่หลังจากนั้นถึงขุมที่ 18 จะผ่านได้ยาก และขุมที่ 19 เป็นขุมที่ไม่มีในความเชื่อ และไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีสภาพเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน แมนดี้ก็เล่นเกมนี้ด้วยสภาพจิตใจที่หวาดผวา เรนพยายามห้ามเธอ แต่ก็ไม่เป็นผล",
"ที่มาของชื่อบลูทูธนั้นนำมาจากพระนามพระเจ้าฮาราลด์ บลูทูท (King Harald Bluetooth) ของประเทศเดนมาร์ก เพื่อเป็นการรำลึกถึงกษัตริย์ Bluetooth ผู้ปกครองประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งในปัจจุบันเป็นกลุ่มผู้นำในด้านการผลิตโทรศัพท์มือถือป้อนสู่ตลาดโลก และระบบ Bluetooth นี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับโทรศัพท์มือถือ และเริ่มต้นจากประเทศในแถบนี้ด้วยเช่นกัน",
"ความวิตกกังวลจะถูกกระตุ้นจากการทำมือถือหาย สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีหรือแบตเตอรี่หมด อาการของโรครวมไปถึงการใช้มือถือมากเพื่อกันตัวเองจากการสนทนากับผู้อื่น และมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมากกว่าหนึ่งเครื่อง พกสายชาร์จตลอดเวลาและกังวลว่ามือถือจะหาย อาการอาจรวมไปถึงการลดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นแบบต่อหน้าและชอบการสื่อสายผ่านเทคโนโลยี ไม่ปิดมือถือเวลานอนทั้งยังวางไว้ใกล้มือตลอดเวลา คอยเช็คมือถือตลอดเพื่อไม่ให้พลาดการรับสายหรือข้อความ โนโมโฟเบียอาจส่งผลให้เกิดการอาการเจ็บศอก มือ และคอเนื่องจากใช้มือถือบ่อย ๆ",
"ความตั้งใจของกูเกิล ที่จะเข้าสู่ตลาดเครื่องมือสื่อสาร อย่างโทรศัพท์มือถือได้มาถึงช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ตามรายงานของบีบีซี และ วอลล์สตรีตเจอร์นัล ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กูเกิลพยายามที่จะผลิตโทรศัพท์มือถือที่ใช้สำหรับค้นหา และ ใช้โปรแกรมประยุกต์ หรือ แอปพลิเคชันได้ และกูเกิลได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้ และมีข่าวลือว่า กูเกิลจะพัฒนาโทรศัพท์มือถือภายใต้ชื่อสินค้าของตนเอง บางคนก็สันนิษฐานว่ากูเกิลจะกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือ และส่งให้กับผู้ผลิต และ ผู้ให้บริการเครือข่าย ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 อินฟอร์เมชันวีก (InformationWeek) ร่วมมือกับ เอแวลูเซิร์ฟ (Evalueserve) เพื่อที่จะศึกษารายงานของกูเกิลในการยื่นสิทธิบัตรเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ",
"การประดิษฐ์คิดค้นโดย Jack Kilby ในปี 1967,[166][184] เครื่องคิดเลขมือถือเป็นอุปกรณ์สำหรับการดำเนินการคำนวณทางคณิตศาสตร์, แตกต่างไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยความสามารถในการแก้ปัญหาจะมีจำกัด และอินเตอร์เฟซที่จะใช้วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการคำนวณแบบโต้ตอบมากกว่าการเขียนโปรแกรม. เครื่องคิดเลข สามารถเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟแวร์, และเป็นเครื่องจักรกลหรือแบบอิเล็กทรอนิกส์ และมักจะ ถูกสร้างขึ้นในอุปกรณ์เช่นพีดีเอหรือโทรศัพท์มือถือ",
"โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (บ้างเรียก วิทยุโทรศัพท์) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของโทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการอื่น โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูกกล่าวถึงในชื่อสมาร์ทโฟน",
"ทรูมูฟ เอช () หรือ บริษัท เรียลมูฟ จำกัด (Real Move Co., Ltd) และ บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TrueMove H Universal Communication Co., Ltd) เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ทำธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือรายหนึ่งในประเทศไทย โดยเป็นตัวแทนขายส่งต่อบริการของ กสท. โทรคมนาคม เดิมคือเครือข่ายฮัทซ์ ของบริษัท ฮัทจิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด ที่ถูกกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น เข้าซื้อกิจการโดยผ่านความเห็นชอบจากกสท. โทรคมนาคม และได้รับอนุญาตในการดำเนินการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระยะที่ 3 (3G) บนเครือข่ายดับเบิลยูซีดีเอ็มเอ 850 เมกกะเฮิตซ์ บนช่วงความถี่ 15 เมกกะเฮิตซ์ ที่ถือว่ามากที่สุดในกลุ่มผู้ให้บริการในปัจจุบัน (รวมทรูมูฟ) และยังได้รับใบอนุญาตในการดำเนินการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือบนเครือข่ายดับเบิลยูซีดีเอ็มเอ 2100 เมกกะเฮิตซ์ บนช่วงความถี่ 15 เมกกะเฮิตซ์ จาก กสทช. เพื่อมาดำเนินการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระยะที่ 3 และโครงข่ายโทรศัพท์มือถือระยะที่ 4 (4G LTE) โดยเครือข่าย ทรูมูฟ-เอช กับ ทรูมูฟ ในทางธุรกิจโทรคมนาคมจะถือว่าเป็นคนละเครือข่ายกัน แต่ทั้งสองเครือข่ายมีวิธีดำเนินการเหมือนกันทุกประการ ปัจจุบัน เมื่ออิงตามยอดผู้ใช้งาน ทรูมูฟ เอช เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ อันดับที่ 2 ของประเทศ",
"เครื่องดื่มเบียร์ช้าง (1 เมษายน 2546 - กันยายน 2546) แชมพูซันซิล (ตุลาคม 2546 - 2547) เครือข่ายโทรศัพท์มือถือออเรนจ์ (2547 - 2549) เครือข่ายโทรศัพท์มือถือทรูมูฟ (2549 - 2553) เครือข่ายโทรศัพท์มือถือทรูมูฟ เอช (2553 - 2554)",
"เอทีแอนด์ที อิงค์ () เป็นบริษัทข้ามชาติด้านโทรคมนาคมของสหรัฐอเมริกา มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองแดลลัส รัฐเทกซัส เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่เป็นอันดับสองและโทรศัพท์คู่สายใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่เป็นอันดับ 18 ของโลกตามฐานลูกค้าในปี 2015 โดยมีฐานลูกค้าในมือกว่า 126.4 ล้านคน บริษัทได้รับการจัดอันดับในปี 2014 ให้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 24 ของโลก",
"ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โอเพนแฮนด์เซตอัลไลแอนซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรในด้านเทคโนโลยี ซึ่งรวมไปด้วยกูเกิล กับผู้ผลิตอุปกรณ์เช่น เอชทีซี, โซนี่ และ ซัมซุง รวมไปถึงผู้ให้บริการเครือข่ายเช่น สปรินต์ เน็กเทล และ ทีโมบายล์ และบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์เช่น ควอล์คอมม์ และ เท็กซัสอินสตรูเมนส์ ได้เปิดเผยในเป้าหมายเพื่อการพัฒนาโทรศัพท์มือถือที่มีมาตรฐานเปิด ในวันเดียวกัน แอนดรอยด์ได้เปิดตัวสินค้าชิ้นแรก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือ สร้างบนลินุกซ์ เคอร์เนล 2.6 ส่วนโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์คือเอชทีซี ดรีม เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551",
"อาการหลอนคิดว่ามือถือสั่น () เป็นอาการที่คิดว่าโทรศัพท์มือถือมีการสั่นหรือเสียงเรียกเข้าเมื่อจริง ๆแล้วไม่มีใครโทรเข้า บางครั้งเรียกว่า ริงโทนวิตกกังวล (ringxiety) หรือ ฟอซอะลาม (fauxcellarm มาจากคำว่า\"faux\" /fō/ แปลว่า ปลอม หรือ ผิด และ มือถือ (cellphone) และเสียงร้อง (alarm)) หรือ โฟนทอม (phonetom) (เป็นการรวมกันระหว่าง \"phone\" และ \"phantom\") ดอกเตอร์ไมเคิล โรธเบิร์กกล่าวว่า อาการหลอนคิดว่ามือถือสั่นไม่ใช่กลุ่มของอาการโรคแต่เป็นการหลอนของประสาทสัมผัสที่สมองรับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่มีอยู่จริง บางครั้งอาจเกิดระหว่างอาบน้ำ ดูโทรทัศน์ หรือใช้เครื่องมือที่มีเสียงดัง มนุษย์มักจะเซนซิทีฟกับโทนเสียงในช่วง 1,000 ถึง 6,000 เฮิรตซ์ และเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือมักอยู่ในช่วงนี้ อาการหลอนคิดว่ามือถือสั่นจะเกิดขึ้นหลังผู้ใช้พบมือถือที่ตั้งระบบสั่นไว้ นักวิจัยมิเชล ดรูอินพบว่าเกือบ 9 ใน 10 นักศึกษาปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยของเธอมีอาการนี้ ",
"เมื่อ พ.ศ. 2546 มีหลายบริษัทเริ่มให้บริการคาราโอเกะผ่านโทรศัพท์มือถือ และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่สามารถคาดหมายได้ชัดว่าจะเติบโตไปในทิศทางใด อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการคาราโอเกะผ่านโทรศัพท์มือถือบางราย เช่น Karaokini ได้เริ่มประสบความสำเร็จในเชิงพานิชย์บ้างแล้ว บริการคาราโอเกะผ่านมือถือมักจะใช้ ภาษาจาวา ซึ่งทำงานด้วยไฟล์ข้อความ บรรจุเป็นคำ และไฟล์ midi พร้อมเสียงดนตรี www.web2txt.co.uk เป็นบริษัทแรกที่เสนอคาราโอเกะผ่านมือถือ ในรูปแบบ 3GP ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า (ในประเทศไทยเคยมีให้บริการร้องคาราโอเกะบนมือถือผ่านเครื่อข่ายระบบฮัทช์)",
"ทาโร่เถรตรง ใครก็ตามที่ถือทาโร่เถรตรงไว้ในมือทาโร่จะพูดทุกอย่างที่เราคิดออกมา ที่คาดหัวเด็กดี ถ้าคุณบ่นว่าหนาวเมื่อไร จะโดนบีบหัวปูด ไม่สามารถถอดเองได้ ต้องให้คนอื่นถอดให้ เทียนไขไม่ปฏิเสธ [11] เมื่อรับไปแล้วและถูกขออะไรก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ [5] เป็นเหมือนโทรศัพท์กระป๋องเด็กเล่น ถ้าพูดคำว่า สวัสดี แล้วตัวเราจะไปเข้าไปในกระป๋องไปหาฝ่ายตรงข้าม โทรศัพท์ส่งของ [พิเศษ 3] สามารถขออะไรก็ได้ทางโทรศัพท์เครื่องนี้ ถ้าขอแล้วจะไม่มีทางปฏิเสธ ไม่ว่าอะไรไม่ว่าที่ไหนก็ส่งมาให้ได้ โทรศัพท์สั่งจอง [43] ถ้าหยิบและคุยว่าจะจองอะไร ก็จะเป็นจริง โทรศัพท์อัดเสียงทับ [37] ถ้านำไปแปะกับคนๆ นั้นแล้ว จะสามารถพูดคุยตามผู้ใช้โดยไม่มีใครรู้ ไทม์ก๊อปปี้ [43] ดูรายระเอียดที่ก๊อปปี้สามมิติ (หมวด ก) ไทม์แคปซูล [26] ไม่มีข้อมูล ไทม์ทีวี [1] สามารถดูเหตุการณ์ในอดีตหรืออนาคตได้(ปัจจุบันจะเรียกว่า\"ทีวีกาลเวลา\") ไทม์เทเลโฟน [24] สามารถโทรศัพท์ไปคุยกับคนในอดีตและอนาคตได้ ไทม์สโคประบบเปลี่ยน ใช้ส่องเหตุการณ์ในอนาคตและจำลองการตัดสินใจได้",
"เอสเอ็มเอส (SMS) หรือ บริการข้อความสั้น หรือ บริการสารสั้น () เป็นบริการการสื่อสารอย่างหนึ่ง\nที่ให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความสั้นๆ ไปยังอุปกรณ์สื่อสารอีกเครื่องหนึ่งได้ พบใช้ในโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์มือถือ หรือโทรศัพท์พื้นฐานบางระบบ",
"โทรศัพท์มือถือหรือเซลล์โฟน เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระยะไกลที่ใช้สำหรับการสื่อสารเคลื่อนที่ของเสียงหรือข้อมูลผ่านเครือข่ายของสถานีฐานเชี่ยวชาญเฉพาะ ที่รู้จักกันเป็นเซลล์ไซต์. โทรศัพท์มือถือช่วงต้นได้ใช้คลื่นวิทยุ FM ในการใช้งานอยู่นานหลายปี, แต่เนื่องจาก จำนวนความถี่วิทยุที่มีจำกัดมากในหลายพื้นที่, จำนวนการใช้โทรศัพท์จึงมีจำกัดไปด้วย. เพื่อแก้ปัญหานี้, อาจจะมีพื้นที่ขนาดเล็กจำนวนมากที่เรียกว่าเซลล์ ที่แชร์ความถี่เดียวกัน. เมื่อผู้ใช้ เคลื่อนที่จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งในขณะที่กำลังโทร, การโทรจะต้องถูกสวิตช์ไปโดยอัตโนมัติโดยสายไม่หลุด. ในระบบนี้ ความถี่วิทยุจำนวนน้อยสามารถรองรับการโทรจำนวนมากได้. การโทรด้วยมือถือครั้งแรกทำจากโทรศัพท์ในรถในเซนต์หลุยส์, มิสซูรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1946 แต่ระบบก็ทำไม่ได้จากสิ่งที่ถือว่าเป็นโทรศัพท์มือถือแบบพกพาในปัจจุบัน. อุปกรณ์หนัก 80 ปอนด์, และใช้บริการของ AT&T, ที่โดยทั่วไปเป็นสายที่มีการใช้หนาแน่น, มีค่าใช้จ่าย $30 ต่อเดือน บวก 30 ถึง 40 เซ็นต์ต่อการโทรท้องถิ่นหนึ่งครั้ง.[226] เครือข่ายและโครงสร้างสนับสนุนพื้นฐานของ เซลล์หกเหลี่ยมที่ใช้ในการสนับสนุนระบบโทรศัพท์มือถือในขณะที่ยังคงใช้ช่องสัญญาณเดียวกันได้ถูกดัดแปลงโดย Douglas H. Ring และ W. Rae Young ที่ AT&T Bell Labs ในปี 1947. ในที่สุดในปี 1973 มาร์ติน คูเปอร์ ได้คิดค้นมือถือเซลลูลาร์/โทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรก. การโทรด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาครั้งแรกถูกเรียกไปที่ โจเอล เอส Engel ในเดือน เมษายน 1973.[11][227]",
"กูเกิล ได้ซื้อกิจการบริษัทแอนดรอยด์ ในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เพื่อให้มาเป็นบริษัทย่อยในเครือของกูเกิล โดยบุคคลสำคัญของบริษัทแอนดรอยด์ ทั้ง รูบิน, ไมเนอร์ และ ไวท์ ยังอยู่กับบริษัทหลังจากถูกซื้อกิจการ มีผู้คนไม่มากที่รู้จักบริษัทแอนดรอยด์ ในช่วงเวลานั้น แต่หลายคนสันนิษฐานว่ากูเกิลกำลังวางแผนที่จะเข้ามาสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือจากการซื้อกิจการครั้งนี้ ที่กูเกิล รูบินนำทีมที่จะพัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือซึ่งขับเคลื่อนโดยลินุกซ์ เคอร์เนล ในตลาดมือถือของกูเกิล จะมีสัญญากับผู้ให้บริการเครือข่าย ต่อมากูเกิลได้เริ่มวางแผนในเรื่องของส่วนประกอบฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และผู้ให้บริการเครือข่าย",
"หรือที่เรียกว่ามือถือบรอดแบนด์ เทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายรวมถึงการให้บริการจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเช่น Verizon Wireless, Sprint คอร์ปอเรชั่นและ AT & T Mobility ซึ่งอนุญาตให้หลายรุ่นมือถือเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ผู้บริโภคสามารถซื้อพีซีการ์ด, การ์ดแล็ปท็อปหรืออุปกรณ์ USB เพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านทางเสาสถานีมือถือได้ การเชื่อมต่อแบบนี้จะมีเสถียรภาพในเกือบทุกพื้นที่ที่สามารถรับสัญญาณโทรศัพท์ที่แรงพอได้แต่ก็เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นด้วยเพื่อความสะดวกแบบพกพารวมทั้งมีข้อจำกัดความเร็วในทุกสภาพแวดล้อม แม้แต่ในเมืองบริเวณที่มีการจราจรสูง",
"AirCard คือ โมเด็มอย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย โดยใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีการเชื่อมสัญญาณเข้ากับ Cellsite ของเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทำให้เล่นเน็ตที่ไหนก็ได้ที่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ",
"การควบคุมระบบโทรมาตรและระบบการควบคุมการจราจร อุปกรณ์ควบคุมระยะไกลด้วยอินฟราเรดและอัลตราโซนิก วิทยุเคลื่อนที่ภาคพื้นมืออาชีพ LMR (Land Mobile Radio) และ วิทยุมือถือเฉพาะกิจ SMR (Specialized Mobile Radio) ที่ใช้โดยทั่วไปในธุรกิจ, อุตสาหกรรมและหน่วยงานความปลอดภัยสาธารณะ วิทยุสองทางผู้บริโภครวมทั้ง FRS (Family Radio Service) GMRS (General Mobile Radio Service) และวิทยุ Citizens band (\"CB\") วิทยุสมัครเล่น (แฮมวิทยุ) วิทยุ VHF สำหรับผู้บริโภคและมืออาชีพทางทะเล อุปกรณ์ Airband และวิทยุนำทางที่ใช้โดยนักบินและการควบคุมการจราจรทางอากาศ โทรศัพท์มือถือและวิทยุติดตามตัว: ให้การเชื่อมต่อสำหรับการใช้งานแบบพกพาและโทรศัพท์มือถือทั้งในส่วนบุคคลและธุรกิจ ระบบ Global Positioning System (GPS): ช่วยให้คนขับรถยนต์และรถบรรทุก, กัปตันของเรือและเรือและนักบินของเครื่องบินเพื่อยืนยันสถานที่ของพวกเขาที่ใดก็ได้บนโลก. อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ไร้สาย: เมาส์ไร้สายเป็นตัวอย่างที่พบโดยทั่วไป, แป้นพิมพ์และเครื่องพิมพ์ยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านเทคโนโลยีไร้สายเช่น Wireless USB หรือ Bluetooth โทรศัพท์บ้านแบบ cordless: เป็นอุปกรณ์ที่จำกัดระยะการใช้ อย่าสับสนกับโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ดาวเทียม: มีการออกอากาศจากดาวเทียมในวงโคจร บริการโดยทั่วไปจะใช้ดาวเทียมออกอากาศทางตรงที่จะให้สถานีโทรทัศน์หลายสถานีกับผู้ชม"
] |
บริษัท ไอทีวี จำกัดเดิมชื่อบริษัทอะไร? | [
"บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เป็นกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อโทรทัศน์ โดยได้รับอนุมัติให้ดำเนินการสัมปทานสถานีโทรทัศน์ระบบ UHF จาก บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 ช่องสถานี ส่งโทรทัศน์สีในระบบยูเอชเอฟ ทางช่อง 26 (ต่อมาเปลี่ยนเป็นช่อง 29) โดยใช้ชื่อว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวี (ปัจจุบันสถานีฯได้ถูกโอนกิจการให้แก่ทั้งสองหน่วยงานของรัฐ ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ด้านล่าง) เดิมชื่อ บริษัท สยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 โดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทอื่นๆ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ปัจจุบัน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนี้"
] | [
"โดยช่องทีเอชวี เริ่มเข้าสู่ระยะทดลองออกอากาศ ทางโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลช่อง 17 ตั้งแต่เวลา 07:30 น. ของวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 มีรูปแบบหลักคือ นำเสนอข่าวสารทั่วไป ร้อยละ 20 และข่าวบันเทิง ร้อยละ 30 ร่วมกับรายการสาระบันเทิง ร้อยละ 50 ซึ่งยังคงยึดถือสัดส่วนลักษณะนี้ ตลอดระยะเวลาที่ออกอากาศภาคพื้นดินระบบดิจิทัล ทว่าต่อมา ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน บริษัท โพสต์พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ของโพสต์ทีวี ขอบอกเลิกสัญญาผลิตรายการข่าวทั่วไป ร่วมกับ บริษัท ไทยทีวี จำกัด โดยทางโพสต์ทีวี ผลิตรายการข่าวให้ช่องทีเอชวี เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม เป็นผลให้ไทยทีวียุติการใช้ตราสัญลักษณ์เดิม และชื่อช่องทีเอชวี โดยออกแบบตราสัญลักษณ์ใหม่ และเปลี่ยนมาเป็นชื่อไทยทีวี ()",
"นอกจากนี้ บมจ.อสมท ยังร่วมดำเนินกิจการกับผู้ประกอบการรายอื่น ประกอบด้วย 2 กิจการหลักที่สำคัญคือ ร่วมกับบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (บีอีซี) ในการดำเนินกิจการ\"สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อสมท\" รวมทั้งให้เช่าเวลาจัดรายการ และโฆษณาทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 105.5 เมกะเฮิร์ตซ์ และร่วมกับบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) (เดิมคือบริษัท อินเตอร์เนชันแนลบรอดแคสติงคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ยูทีวีเคเบิลเน็ตเวิร์ก จำกัด (มหาชน) ก่อนจะควบรวมกิจการเมื่อปี พ.ศ. 2541) ในการดำเนินกิจการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิก โดยมีชื่อว่า ทรูวิชันส์ (เดิมชื่อ ไอบีซี/ยูทีวี, ยูบีซี, ยูบีซี-ทรู, ทรูวิชันส์-ยูบีซี)",
"โดยเขาเป็นผู้นำคนหนึ่งของกลุ่มพนักงานฝ่ายข่าวไอทีวี ที่เคลื่อนไหวคัดค้านการเข้าถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ของกลุ่มชินคอร์ป ซึ่งพนักงานกลุ่มดังกล่าวเชื่อว่า มีความเกี่ยวข้องกับ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมากลุ่มพนักงานดังกล่าว เป็นที่รู้จักในชื่อ \"กบฏไอทีวี\" นอกจากงานประจำแล้ว ปัจจุบันวิศาลยังมีกิจการผลิตรายการโทรทัศน์ ในนามบริษัท เมไกแมสมีเดีย จำกัดอีกด้วย",
"ในเบื้องต้น สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี จะถ่ายทอดโดยใช้สถานีส่ง และอุปกรณ์ ของกรมประชาสัมพันธ์ ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งติดตั้งอยู่ที่อาคาร สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ โดยยังคงใช้ผังรายการเดิมของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี หลังจากนั้น จะมีการพิจารณาปรับผังรายการให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง [2] [3] แต่ในทางปฏิบัติ สถานียังคงดำเนินงานอยู่ที่ อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 และพนักงานในสถานีโทรทัศน์ทั้งหมด ล้วนเป็นพนักงานของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ที่ถูกบอกเลิกสัญญาจ้างจากบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ทันทีที่บริษัทถูกบอกเลิกสัญญาสัมปทานการบริหารสถานีโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟจากสปน.",
"ป๊อป ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เดิมมีชื่อว่า ป๊อป แชนแนล และเป็นช่องของ สไมล์เน็ตเวิร์ค ทีวี (ชื่อเดิมของไลฟ์ ทีวี) เจ้าของคือ บริษัท บีเอ็นที ทีวี จำกัด ในเครือของ บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)",
"วันที่ 26 กันยายน 2549 ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทใหม่ และเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก \"บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)\" เป็น \"บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)\" \"บริษัท บีเอ็นทีทีวี จำกัด\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"บริษัท ไลฟ์ทีวี จำกัด\" และ \"สไมล์ทีวี\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"ไลฟ์ทีวี\" วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 \"นายอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ\" และ \"นางสาววิลาสินี จิวานนท์\" ได้แยกออกจาก บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และก่อตั้งบริษัทใหม่ คือ \"บริษัท มีเดีย คอมมูนิเคชั่น เน็ทเวอร์ค จำกัด\" และได้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์สำหรับบอกรับเป็นสมาชิกภายใต้ชื่อ \"สไมล์ทีวี เน็ตเวิร์ค\" ขึ้นมาอีกครั้ง (ปัจจุบันยุติการดำเนินธุรกิจแล้ว)",
"สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี เริ่มต้นขึ้นภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 กำหนดว่าหากบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถจ่ายค่าสัมปทานที่ค้างอยู่ทั้งสิ้น 2,210 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เป็นจำนวนเงินรวม 464.5 ล้านบาท และค่าปรับกรณีทำผิดสัญญาเรื่องผังรายการอีกกว่า 97,760 ล้านบาทได้ ภายในวันที่ 7 มีนาคม ทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จะดำเนินการยกเลิกสัญญาสัมปทานการดำเนินงานสถานีโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟโดยทันที ซึ่งภายหลังจากที่บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีท่าทีว่าจะไม่สามารถชำระเงินค่าสัมปทานค้างจ่าย และค่าปรับ เป็นจำนวนเงินรวมเกือบ 1 แสนล้านบาทได้นั้น คณะรัฐมนตรีจึงตัดสินใจที่จะยึดคืนสัมปทานจากบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)",
"ในปี พ.ศ. 2538 บริษัท สยามอินโฟเทนเมนต์ จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จนถึงปัจจุบัน) ผู้ดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เชิญให้เครือเนชั่นเข้าร่วมบริหาร โดยเทพชัยอาสาเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายข่าวคนแรก ซึ่งสามารถนำพาไอทีวียุคแรกให้ประสบความสำเร็จอย่างมาก นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้ประกาศข่าว และผู้ดำเนินรายการไอทีวีทอล์ก ย้อนรอย ฯลฯ ด้วยตนเอง จนได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำประจำปี พ.ศ. 2542 ประเภทผู้ประกาศข่าวชายดีเด่น ต่อมา ราวกลางปี พ.ศ. 2543 เทพชัยและพนักงานฝ่ายข่าวส่วนหนึ่ง เคลื่อนไหวคัดค้านกรณีบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เข้าถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ไอทีวี โดยหลังจากนั้น ผู้บริหารไอทีวีโยกย้ายให้เทพชัยไปเป็นที่ปรึกษาสถานีฯ เขาจึงประกาศฟ้องศาลให้ดำเนินคดีกับฝ่ายบริหารไอทีวี แต่ต่อมายอมประนีประนอมกันได้ และในเดือนพฤศจิกายน เทพชัยประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในไอทีวี แล้วกลับไปรับตำแหน่งบรรณาธิการเครือเนชั่น",
"สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี (สำนักงานบริหารกิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอช เอฟ เฉพาะกิจ (หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ)) บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายนามผู้ประกาศข่าวและผู้รายงานข่าว สถานีโทรทัศน์ไอทีวี",
"วันที่ 26 กันยายน 2549 ได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่จาก \"บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)\" เป็น \"บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)\" \"บริษัท บีเอ็นทีทีวี จำกัด\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"บริษัท ไลฟ์ทีวี จำกัด\" และ \"สไมล์ เน็ตเวิร์ค ทีวี\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"ไลฟ์ ทีวี\" ",
"วันที่ 26 กันยายน 2549 ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทใหม่ และเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก \"บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) \" เป็น \"บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) \" \"บริษัท บีเอ็นที ทีวี จำกัด\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"บริษัท ไลฟ์ทีวี จำกัด\" และ \"สไมล์ เน็ตเวิร์ค\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"ไลฟ์ ทีวี\"",
"วันที่ 26 กันยายน 2549 ได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่จาก \"บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)\" เป็น \"บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)\" \"บริษัท บีเอ็นทีทีวี จำกัด\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"บริษัท ไลฟ์ทีวี จำกัด\" และ \"สไมล์ เน็ตเวิร์ค ทีวี\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"ไลฟ์ ทีวี\" ",
"บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) () เป็นผู้ผลิตเนื้อหาในสายงานวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ภายใต้เครือเนชั่นกรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2536 ด้วยชื่อ \"บริษัท แน็ทค่อน มีเดีย จำกัด\" ทุนจดทะเบียนตั้งต้นที่ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นผู้ผลิตรายการสนทนาเชิงข่าว \"เนชั่นนิวส์ทอล์ก\" ทางไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เป็นรายการแรก โดยระยะต่อมา เข้าร่วมผลิตรายการข่าว ทางไทยสกายทีวี จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2539 เปลี่ยนชื่อเป็น \"บริษัท เนชั่น เทเลวิชั่น จำกัด\" พร้อมทั้งเข้าร่วมผลิตรายการข่าว กับสถานีโทรทัศน์ไอทีวี จนถึงปี พ.ศ. 2542",
"ทว่าศาลปกครองสูงสุด กลับวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่ง ของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ต้องจ่ายค่าสัมปทาน สำหรับเช่าสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เป็นเงิน 1,000 ล้านบาทต่อปีตามเดิม และต้องปรับเพิ่มสัดส่วน ให้รายการข่าวและสาระ เป็นร้อยละ 70 ต่อรายการบันเทิง ร้อยละ 30 ตามเดิมด้วย นอกจากนี้ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ยังต้องชำระค่าปรับ จากการเปลี่ยนแปลงผังรายการ ที่ไม่เป็นไปตามสัญญาสัมปทาน คิดเป็นร้อยละ 10 ของค่าสัมปทานแต่ละปี คิดเป็นรายวัน วันละ 100 ล้านบาท นับแต่เริ่มปรับผังรายการ เป็นระยะเวลา 2 ปี",
"ปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2553 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อจาก บริษัท สยามสหบริการ จำกัด (มหาชน) (Siam United Service Public Company Limited) มาเป็น บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) (Susco Public Company Limited) และในวันที่ 3 ธันวาคม 2555 บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท ปิโตรนาส รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันปิโตรนาส ผู้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นปิโตรนาส และผู้บริหารร้านสะดวกซื้อซูเรีย โดยซื้อกิจการมาทั้งหมด 96 สาขา ในหลายจังหวัดในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทำให้ซัสโก้มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับสถานีบริการน้ำมันเดิมของซัสโก้จะมีอยู่ถึง 230 สาขา และครอบคลุมทั่วประเทศโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เน้นตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก มีในกรุงเทพฯ น้อยกว่า 20 สาขา ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2550 บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) เคยเข้าซื้อกิจการสถานีบริการน้ำมันทีพีไอของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันทีพีไอ ผู้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นทีพีไอ และผู้บริหารร้านสะดวกซื้อทีพีไอ มาร์ท โดยซื้อกิจการมาทั้งหมด 23 สาขา ปัจจุบันอยู่ระหว่างติดต่อผู้ทำธุรกิจร้านะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และศูนย์บริการถยนต์ให้มาเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมันปิโตรนาสเดิมและซัสโก้ด้วย และกำลังปรับปรุงปั๊มน้ำมันปิโตรนาส 96 สาขาให้แล้วเสร็จในปี 2557",
"บริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ( ชื่อย่อ:ADAM) บริษัทจัดตั้งเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2545 เดิมชื่อบริษัท อาร์ เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (“RK”) เพื่อประกอบธุรกิจการลงทุนในบริษัทย่อยในลักษณะ Holding Company ปัจจุบันได้ลงทุนในบริษัทย่อย 2 บริษัท คือ บริษัท อาดามัส เวิลด์ จำกัด และ บริษัท อาดามัส เอ็กซ์ตร้า ล้าจซ์ จำกัด โดยกลุ่มบริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจหลัก 2 ด้าน คือ ด้านธุรกิจบริหารจัดการสถานีทีวีกีฬา T Sports Channel และ ด้านธุรกิจบริหารการตลาด ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ",
"อย่างไรก็ตาม บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ก็ไม่สามารถจ่ายค่าสัมปทาน และคำเสียหายดังกล่าว ให้กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ ในที่สุดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2550 มติคณะรัฐมนตรีสั่งให้ยกเลิกสัญญาสัมปทาน จัดตั้งสถานีโทรทัศน์เสรี ระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กับบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งสั่งให้ยุติการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เมื่อเวลา 24.00 น. วันเดียวกัน โดยมอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ เข้ากำกับดูแลการออกอากาศและรับโอนกิจการสถานีโทรทัศน์ โดยให้ชื่อใหม่ว่า สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ซึ่งออกอากาศในวันถัดไป (คือวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2550 เวลา 00.00 น.) ในเวลาต่อมา ก็ยังได้มีการจัดตั้งสำนักงานบริหารกิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอช เอฟ เฉพาะกิจ (หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ)ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานที่เข้ามารับผิดชอบในการดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ในช่วงเวลาเฉพาะกิจ ไปจนกว่าที่จะมีความแน่นอนในการดำเนินกิจการ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550[13]",
"พ.ศ. 2538 ไตรภพได้นำบริษัทของตนเอง มาเป็นส่วนหนึ่งของ ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทอื่นๆอีก 5 แห่ง มารวมตัวกันเพื่อการได้รับให้เช่าคลื่นความถี่ระบบยูเอชเอฟและสัมปทาน จากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 30 ปี โดยใช้ชื่อว่า กลุ่มสยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ (สยามอินโฟเทนเมนท์) ซึ่งตัวเขาเอง ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในการรวมกันจัดตั้ง สถานีโทรทัศน์ไอทีวีอีกด้วย ในราวต้นปี พ.ศ. 2539 ไตรภพเข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไอทีวีครั้งที่ 1 แต่เหตุเนื่องด้วย มีความคิดที่แตกต่างจากผู้บริหารเนชั่น ทำให้ไตรภพขอยุติบทบาทการเป็นผู้อำนวยการสถานี จากนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2547 เมื่อ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ประสบปัญหาการถือหุ้นของผู้บริหารเนชั่น บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด จึงกลับเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมกับ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ ไตรภพกลับมาเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไอทีวีอีกครั้ง โอกาสนี้ ไตรภพได้ย้ายรายการที่ผลิตโดย บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด มาออกอากาศทางไอทีวีทั้งหมด จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551 สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ต้องสิ้นสภาพลงตามกฎหมาย จนแปลงสภาพเป็น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายการทั้งหมดของ บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด จึงยุติการออกอากาศลงด้วยเช่นกัน",
"วันที่ 26 กันยายน 2549 ได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่จาก \"บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)\" เป็น \"บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)\" \"บริษัท บีเอ็นทีทีวี จำกัด\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"บริษัท ไลฟ์ทีวี จำกัด\" และ \"สไมล์ เน็ตเวิร์ค ทีวี\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"ไลฟ์ ทีวี\" ",
"อีดีเอ็น ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เป็นช่องของ สไมล์เน็ตเวิร์ค ทีวี (ชื่อเดิมของไลฟ์ ทีวี) เจ้าของคือ บริษัท บีเอ็นที ทีวี จำกัด ในเครือของ บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)",
"บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) ( ชื่อย่อ:SVI) บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป \nเดิมชื่อบริษัท เซมิคอนดัคเตอร์ เวนเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2528 เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการผลิตสินค้าประเภทวงจรไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป และได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2532 และได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนชื่อ บริษัท เซมิคอนดัคเตอร์ เวนเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2537 โดยมุ่งเน้นเป้าหมายเป็นผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงประเภท ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Box-Build) ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2546 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน)",
"บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ในนาม<i data-parsoid='{\"dsr\":[4218,4259,2,2]}'>บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ด้วยทุนจำนวน 300 ล้านบาท ประกอบธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ เพื่อนำออกอากาศเป็นการทั่วไป เดิมตั้งอยู่เลขที่ 414 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร (อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 1 ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น อาคารอินทัช) ประกอบด้วยกรรมการบริษัท 4 คนคือ พานทองแท้ ชินวัตร, พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์, ทรงศักดิ์ เปรมสุข, เฉลิม แผลงศร และมีผู้ถือหุ้นจำนวน 8 รายคือ บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชัน จำกัด (ร้อยละ 56.00), พานทองแท้ ชินวัตร (ร้อยละ 36.96), พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (ร้อยละ 7.04) และบุคคลอื่นๆ รวมอีก 5 หุ้น มีผลงานผลิตรายการโทรทัศน์ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เช่น I Style,ใครรักใครหัวใจตรงกัน,ปลาเก๋าราดพริก,บางกอกรามา ฯลฯ รวมถึง ฺเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่น ฮิคารุเซียนโกะ ซึ่งออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อีกด้วย[6] เปลี่ยนชื่อครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เป็นบริษัท วอยซ์สเตชัน จำกัด, เปลี่ยนครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เป็นชื่อปัจจุบัน[3]",
"ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2546 นายไตรภพ ลิมปพัทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอร์น ออพปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด และ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (เอ็มโอยู) ร่วมกับ บมจ.ไอทีวี พร้อมเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 10 และมีผลให้นายไตรภพมีสถานะเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไอทีวีด้วย ซึ่งถือเป็นการกลับสู่ไอทีวีอีกครั้ง หลังจากที่ในระยะเริ่มแรกของสถานีฯ นายไตรภพ เคยเข้าร่วมกับกลุ่มสยามทีวี ในการประมูลสถานีโทรทัศน์เสรีมาแล้ว แต่ไม่นานนักก็ได้ถอนตัวออกไป",
"สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เริ่มดำเนินโครงการ สถานีโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟ เมื่อปี พ.ศ. 2538 โดยมีการเปิดประมูลรับสัมปทาน เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2538 โดย กลุ่มสยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่น (แปรรูปเป็น บริษัท สยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด เมื่อได้รับอนุมัติสัมปทานแล้ว และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541) เป็นผู้ได้รับอนุมัติสัมปทานดังกล่าว โดยใช้ชื่อสถานีว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวี (ITV-Independent Television) นับเป็น สถานีโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟแห่งแรกของประเทศไทย แพร่ภาพออกอากาศทางช่อง 26 และเปลี่ยนมาเป็นช่อง 29 ในภายหลัง โดยมีอายุสัมปทาน 30 ปี เริ่มต้นออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 และได้เปลี่ยนแปลงเป็น สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีในปี 2550 และ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ตามลำดับ ในปี 2551",
"ไทยไชโย เดิมชื่อว่า \"รักไท ทีวี\" เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เป็นช่องของ สไมล์เน็ตเวิร์ค ทีวี (ชื่อเดิมของไลฟ์ ทีวี) เจ้าของคือ บริษัท บีเอ็นที ทีวี จำกัด ในเครือของ บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)",
"บริษัท สยาม ปรินต์ จำกัด (ชื่อเดิม: บริษัท สยามสปอร์ต ปรินติง จำกัด และ บริษัท กิเลนการพิมพ์ จำกัด) ดำเนินธุรกิจโรงพิมพ์และผลิตสิ่งพิมพ์ครบวงจร (เว็บไซต์), บริษัท สยามสปอร์ต เทเลวิชัน จำกัด (ชื่อเดิม: บริษัท สปอร์ตส แอนด์ เลเซอร์ โปรโมชัน จำกัด) ดำเนินธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ (สยามกีฬาทีวี, สตาร์ซอคเก้อร์ทีวี และ ฟุตบอลสยามทีวี) ประเภทกีฬาตลอด 24 ชั่วโมง (เว็บไซต์), บริษัท สยามสปอร์ต บุ๊กส์ จำกัด (ชื่อเดิม: บริษัท ก.สัมพันธ์ บุ๊กส์ จำกัด) ดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายนิตยสารและหนังสือพกพา (Pocket Book) ประเภทต่างๆ (เว็บไซต์)",
"นิวส์วัน (ชื่อเดิม เอเอสทีวี) เป็นสถานีข่าว 24 ชั่วโมงแห่งที่สองของประเทศไทย (แห่งแรกของประเทศไทยคือ เนชั่น แชนแนล) เดิมมีชื่อว่า 11NEWS1 ดำเนินการโดย บริษัท ไทยเดย์ดอตคอม จำกัด โดยเดิมออกอากาศทางยูบีซี 9 ปัจจุบันแพร่ภาพออกอากาศทางดาวเทียม เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่มีบริษัท เอเชียไทม์ออนไลน์ จำกัด เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เป็นเจ้าของ บริษัท ผู้จัดการ 360 จำกัด ประเทศไทย",
"นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (เดิมชื่อ นิวัฒน์ บุญทรง) เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย, อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) และอดีตรองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายภาพลักษณ์ และกิจกรรมสัมพันธ์ กลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)",
"เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2550 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งหนังสือยกเลิกสัญญามายัง บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ยุติการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ผ่านระบบยูเอชเอฟ ช่อง 29 อย่างเป็นทางการ ในเวลา 24.00 น. ของวันดังกล่าว ทั้งนี้ ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้พนักงานไอทีวีดำเนินการออกอากาศได้ต่อไป ในคลื่นความถี่เดิมอย่างต่อเนื่อง โดยให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้ดำเนินการ ใช้ชื่อว่า สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันที่ 8 มีนาคม เป็นต้นไป"
] |
อำเภอแม่สอดมีขนาดพื้นที่เท่าไหร่? | [
"แม่สอด (Northern Thai: ; Burmese: မဲဆောက်; Shan:ႄႈသၢႆ) เป็นอำเภอหนึ่งทางตอนกลางของจังหวัดตาก ได้รับการจัดตั้งเป็นอำเภอมาตั้งแต่ พ.ศ. 2441 ตัวอำเภออยู่ในที่ราบระหว่างภูเขาระหว่างเทือกเขาถนนธงชัยทิวเขาในฝั่งประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งเป็นทิวเขาฝั่งประเทศพม่า อำเภอแม่สอดมีพื้นที่ประมาณ 1,986 ตารางกิโลเมตร ประชากรมีทั้งชาวเขาและคนที่อพยพจากอำเภอเมืองตากเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ รวมทั้งชาวพม่าที่มีภรรยาและบุตรเป็นคนไทยด้วย อำเภอแม่สอดอยู่ห่างจากอำเภอเมืองตาก 86 กิโลเมตร"
] | [
"อุทยานแห่งชาติลานสาง ตั้งอยู่ในท้องที่บ้านลานสาง ตำบลแม่ท้อ อ.เมืองตาก มีพื้นที่ประมาณ 104 ตารางกิโลเมตร หรือ 65,000 ไร่ อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลแม่ท้อ ตำบลพะวอ เขต อ.แม่สอด และ อ.เมืองตาก จ.ตาก มีเนื้อที่ 149 ตารางกิโลเมตร หรือ 93,125 ไร่ จุดเด่นที่สำคัญคือ ต้นกระบากใหญ่ ซึ่งจัดว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อุทยานแห่งชาติแม่เมย อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ หรือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าสามหมื่น จังหวัดตาก มีเนื้อที่ประมาณ 220 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 137,350 ไร่ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ",
"ถนนในช่วงแม่สอด–ตาก เดิมเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 เป็นถนนที่ก่อสร้างตามโครงข่ายทางหลวงสายเอเชีย คือ ทางหลวงเอเชียสาย 1 จุดเริ่มต้นตามหลักกิโลเมตรอยู่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพไทย-พม่า (สะพานข้ามแม่น้ำเมย) ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จากนั้นทางลงสู่ระดับดินผ่านด่านพรมแดนแม่สอด ตรงไปยังทิศตะวันออก ในช่วงนี้จะเป็นทางคู่ขนาด 4 ช่องจราจร ผ่านแยกสนามบิน ซึ่งหากเลี้ยวขวาไปยังทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1355 (ถนนอินทรคีรี) จะเข้าเมืองแม่สอด ถ้าตรงไปจะเป็นเลี่ยงเมือง หลังจากนั้นมาบรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1355 ที่วงเวียนที่แยกอุ้มผาง จากนั้นขึ้นเขาผ่านเทือกเขาถนนธงชัย เป็นทางเดี่ยวขนาด 2-4 ช่องจราจร มุ่งหน้าไปยังอำเภอเมืองตาก แล้วสิ้นสุดช่วงนี้บนถนนพหลโยธิน รวมระยะทาง 85.905 กิโลเมตร จากนั้นนับกิโลเมตรต่อไปตามถนนพหลโยธินไปทางทิศเหนือ จนถึงสี่แยกทางหลวงในเขตเทศบาลเมืองตาก จึงมีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 แยกขวาออกไปทางทิศตะวันออก",
"เทศบาล ปัจจุบันอำเภอแม่สอดมีเทศบาล 2 ขนาด รวมทั้งสิ้น 4 แห่ง ประกอบด้วย",
"สภาพพื้นที่โดยทั่วไปของอำเภอแม่สอด ตั้งอยู่ในภาคเหนือค่อนไปทางตะวันตกของประเทศไทยประกอบด้วยป่าไม้และเทือกเขาสูง มีพื้นที่ราบสำหรับการเกษตรน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นทิวเขาถนนธงชัยสูงสลับซับซ้อนเป็นตัวแบ่งพื้นที่ออกเป็นฝั่งตากตะวันออก คือ อำเภอเมืองตาก อำเภอบ้านตาก อำเภอสามเงา และอำเภอวังเจ้า ส่วนฝั่งตากตะวันตก คือ อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อำเภอพบพระ อำเภอท่าสองยาง อำเภออุ้มผาง",
"อำเภอแม่สอดมีสภาพภูมิประเทศ มีเทือกเขาถนนธงชัยเป็นตัวปะทะมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย และทะเลอันดามัน จึงรับอิทธิพลจากลมมรสุมมากกว่าจังหวัดตากฝั่งตะวันออกทำให้ปริมาณฝนตก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ในเขตภูเขา เช่นนี้อากาศจะหนาวเย็นมาก",
"โดยมีแนวทางการดำเนินการโครงการเป็นหลายแนวทาง เช่น ยกฐานะเทศบาลเมืองแม่สอด เป็นเทศบาลนครแม่สอดแล้วจัดตั้งเป็นเขตการปกครองในรูปแบบใหม่ที่ศึกษาลักษณะการบริหาร การจัดการ และการปกครองจาก กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการขยายตัวของอำเภอแม่สอด เป็นจังหวัดแม่สอด ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอชายแดนฝั่งตะวันตกของจังหวัดตาก ประกอบด้วย อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง อำเภอพบพระ อำเภออุ้มผาง และโครงการจัดตั้ง 3 กิ่งอำเภอ คือ กิ่งอำเภอรวมราษฎร์คีรี แยกจากอำเภอพบพระ กิ่งอำเภอพะวอ-ด่านแม่ละเมา แยกจากอำเภอแม่สอด และกิ่งอำเภอมงคลคีรีเขตร์ แยกจากอำเภอท่าสองยาง ",
"จุดแข็ง ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางติดต่อกับหน่วยราชการได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ก่อให้เกิดผลดีทางด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจการลงทุนตามแนวชายแดนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ ขยายโอกาส และสร้างความเจริญให้กับประชาชนในพื้นที่ ทำให้การดูแลแก้ไขปัญหาของประชาชนโดยหน่วยงานภาครัฐเป็นไปอย่างทั่วถึง ด้วยความสะดวก และรวดเร็ว จุดอ่อน ทำให้จังหวัดเดิมมีขนาดเล็กลง ขาดการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจที่ดี ตามลักษณะโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมดั้งเดิม ทำให้การบริหารงานภาครัฐในด้านการบริการประชาชนเกิดความไม่คุ้มค่าเชิงภารกิจ เมื่อเทียบเท่ากับสัดส่วนจำนวนประชากรที่คงเหลือ จังหวัดตาก ยังคงมีข้อมูลทั่วไปซึ่งไม่สอดคล้องตามหลักเกณฑ์การจัดตั้งจังหวัดใหม่ 4 ประเด็น คือ จำนวนอำเภอ ในเขตการปกครองของจังหวัดตาก แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ และ</i>หากมีการยกฐานะ อำเภอแม่สอด อำเภอท่าสองยาง อำเภอแม่ระมาด อำเภอพบพระ และอำเภออุ้มผาง แยกไปตั้งจังหวัดใหม่ จะทำให้จังหวัดเดิมมีอำเภอ เหลือเพียง 4 อำเภอ คือ อำเภอเมืองตาก อำเภอบ้านตาก อำเภอสามเงา และอำเภอวังเจ้า จำนวนประชากร จังหวัดตาก มีจำนวนประชากรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2547 จำนวน 516,627 คน ซึ่งเมื่อแยก 5 อำเภอชายแดนไปตั้งจังหวัดใหม่แล้ว จะทำให้จังหวัดเดิมเหลือจำนวนประชากรเพียง 209,077 คน และจังหวัดที่ตั้งใหม่มีจำนวนประชากรเพียง 307,550 คน ปัจจัยเกี่ยวกับอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ กรณีการจัดตั้งจังหวัดขึ้นใหม่มีความ<i data-parsoid='{\"dsr\":[4215,4341,2,2]}'>จำเป็นต้องจัดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของราชการต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายลดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ภาครัฐของรัฐบาล ความคิดเห็นของประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ทางด้าน อำเภอแม่สอด อำเภอท่าสองยาง อำเภอแม่ระมาด อำเภอพบพระ และอำเภออุ้มผาง โดยส่วนใหญ่จะเห็นด้วย แต่<i data-parsoid='{\"dsr\":[4539,4622,2,2]}'>ทางด้านอำเภอเมืองตาก อำเภอบ้านตาก อำเภอสามเงา และอำเภอวังเจ้า จะไม่เห็นด้วย</i>กับการขอตั้งจังหวัดใหม่ นอกจากกรณีตามข้อ 2.1, 2.2 เมื่อพิจารณาปัจจัยทางด้านเนื้อที่ และสภาพภูมิศาสตร์ลักษณะพิเศษของจังหวัด ผลดีในการให้บริการประชาชน สถานทีราชการและความพร้อมในด้านอื่นๆ รายได้ รวมทั้งหลักเกณฑ์อื่นๆ แล้ว ทุกกรณีจะมีลักษณะเป็นไปโดยสอดคล้องตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กำหนดไว้ จากการพิจารณาข้อมูลตามที่ปรากฏในภาพรวมแล้วเห็นว่า การขอยกฐานะ 5 อำเภอชายแดนเป็นจังหวัด ยังคงมีองค์ประกอบปัจจัยไม่สมบูรณ์ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การจัดตั้งจังหวัดใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2524 ประกอบกับปัจจุบันได้มีการบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา (CEO) โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดูแลแก้ไขปัญหาข้อจำกัดในด้านต่างๆ และอำนวยความสะดวกด้านบริการประชาชนในระดับพื้นที่อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ หากเป็นนโยบายของรัฐบาลในการที่จะแก้ไขปัญหาข้อจำกัดในด้านสภาพพื้นที่ของจังหวัด ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางและมีลักษณะยาวมาก ตลอดจนเพื่อการดูแลแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน อันจะเป็นการอำนวยประโยชน์สุข และก่อให้เกิดผลดีแก่ประชาชาชนมากยิ่งขึ้น ก็สามารถดำเนินการได้โดยการเสนอขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว",
"อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ตั้งอยู่ในท้องที่ 2 อำเภอ คือ อำเภอเมืองตาก และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ติดถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 (ตาก–แม่สอด) ห่างจากตัวอำเภอเมืองตากประมาณ 35 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 163,750 ไร่ หรือ 262 ตารางกิโลเมตร",
"เทศบาลตำบลพระธาตุผาแดง เป็นโครงการจัดตั้งแยกออกจากองค์การบริหารส่วนตำบลพระธาตุผาแดง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลพระธาตุผาแดง นครแม่สอด เป็นโครงการยุบรวมเทศบาลนครแม่สอด และเทศบาลตำบลท่าสายลวด เข้าไว้ด้วยกันเป็น อปท.รูปแบบพิเศษ",
"ท่าอากาศยานแม่สอด หรือ สนามบินแม่สอด () ตั้งอยู่ที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก\nท่าอากาศยานแม่สอด เดิมเป็นท่าอากาศยานเล็ก ๆ อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย สร้างขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เดิมเป็นสนามบิน ที่ใช้ในกิจการทหารอยู่ในความดูแลของกองทัพอากาศ ในปี 2473 ดำเนินการเป็นรัฐพาณิชย์ กองการบินพลเรือน กระทรวงพาณิชย์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่น ได้ใช้สนามบินแห่งนี้เป็นหน่วยบินในการปฏิบัติการ ทางอากาศ โจมตีฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศพม่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สงบลงในปี พ.ศ. 2489 กองทัพอากาศ ได้ริเริ่มดำเนินการบินขึ้นใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2503-2504 สำนักงานการบินพลเรือนได้เห็นความสำคัญในการขนส่ง ทางอากาศ ขณะนั้นจึงได้ปรับปรุงสภาพสนามบิน และทำการสร้างอาคารท่าอากาศยานและหอบังคับการบินซึงใน ช่วงเวลาดัวกล่าวนี้บริษัทเดินอากาศไทยได้นำเครื่อง DC-3 หรือ DAGOTA มาใช้บริการรับ-ส่งผู้โดยสาร สินค้า และพัสดุภัณฑ์ ในปี พ.ศ. 2506 สำนักงานการบินพลเรือน กรมการขนส่ง ได้รับการยกฐานะเป็นกรม ชื่อว่ากรมการบินพาณิชย์ ในระหว่างนี้ท่าอากาศยานแม่สอดก็ได้เปิดให้บริการเรื่อยมา จนกระทั่ง พ.ศ. 2513 บริษัทเดินอากาศไทย จึงได้ทำการงดบินในปี พ.ศ. 2513 นี้เองกรมการบินพาณิชย์ได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงท่าอากาศยานแม่สอด อีกครั้งเพื่อให้เป็นมาตรฐาน คือได้มีการสร้างทางวิ่งใหม่ กำหนดทางวิ่ง 09 และ 27 พื้นผิวลาดยางแอสฟัลส์ ขนาด 30x1500 เมตร สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2515 และสร้างหอควบคุมจราจรทางอากาศขึ้นใหม่แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2517 และได้เปิดให้บริการกับสายการบินและผู้โดยสารเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันในการกำกับดูแลของกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม",
"น้ำตกธารารักษ์ อยู่เขตบ้านเจดีย์โค๊ะ จาก อ. แม่สอด เป็นน้ำตกขนาดเล็กมีชั้นเดียวมีน้ำตลอดปี ลักษณะเป็นน้ำไหลตกลงมาจากหน้าผาหินปูนที่ชันระดับ 90 องศา สูงประมาณ 30 ม. น้ำตกนางครวญ (น้ำตกเพอะพะ) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติพาเจริญ เป็นน้ำตกขนาดกลางลดหลั่นลงไปเป็นชั้นเล็ก ๆ ท่ามกลางป่าเบื้องล่าง กระแสน้ำแรง น้ำตกปางมโนราห์ ถ้ำแม่อุษา อยู่บริเวณเดียวกับน้ำพุร้อนแม่กาษาเป็นถ้ำขนาดใหญ่มีห้องโถง 13 ห้อง มีทางเดินถึงกันได้ทุกห้อง ภายในมีหินงอกหินย้อยรูปแบบต่างๆ บ่อน้ำพุร้อนแม่กาษา อยู่ในท้องที่ตำบลแม่กาษา นอกเหนือจากน้ำพุร้อนแล้วยังมีบ่อน้ำร้อนอีก 2 บ่อ อุณหภูมิของน้ำสูงประมาณ 75 องศา แม่น้ำเมย จากตัวอำเภอแม่สอดไปทางตะวันตกประมาณ 6 กิโลเมตร สุดเขตแดนไทย-พม่าจะถึงแม่น้ำเมย แม่น้ำสายนี้น้ำไหลขึ้น มิได้ไหลล่องเช่นแม่น้ำโดยทั่วไป แม่น้ำเมยมีต้นน้ำอยู่ที่บ้านมอเกอในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก พัทยาท่าล้อ แม่กื้ดสามท่า แก่งแม่ละเมา",
"ตำบลแม่ปะ ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ตำบลแม่ปะ มีเรื่องเล่าว่าได้มีช้างของราษฎรในตำบลพะวอหาย เจ้าของได้ออกตามหาและมาพบที่สันป่าซาง (สัน = ภูเขา, ซาง = ไม้ไผ่ซาง) จึงเรียกบริเวณนั้นว่า \"แม่ปะสันป่าซาง\" (ปะ = พบ) เมื่อมีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานจึงเรียกที่นี้ว่า \"บ้านแม่ปะสันป่าซาง\" เรียกสั้นว่า \"บ้านแม่ปะ\" ต่อมาได้ยกฐานะเป็นตำบลใช้ชื่อว่า \"ตำบลแม่ปะ\" อยู่ในความรับผิดชอบของอำเภอแม่สอด",
"พ.ศ. 2491 แยกพื้นที่ตำบลท่าสองยางมาตั้งเป็นกิ่งอำเภอท่าสองยาง และโอนให้มาขึ้นกับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก",
"อำเภอเมืองแม่สอด (เปลี่ยนจาก อำเภอแม่สอด) อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง อำเภอพบพระ อำเภออุ้มผาง กิ่งอำเภอรวมราษฎร์คีรี กิ่งอำเภอใหม่ในจังหวัดแม่สอดแยกจากอำเภอพบพระ กิ่งอำเภอพะวอ-ด่านแม่ละเมา กิ่งอำเภอใหม่ในจังหวัดแม่สอดแยกจากอำเภอแม่สอด กิ่งอำเภอมงคลคีรีเขตร์ กิ่งอำเภอใหม่ในจังหวัดแม่สอดแยกจากอำเภอท่าสองยาง กิ่งอำเภอแม่จะเรา กิ่งอำเภอใหม่ในจังหวัดแม่สอดแยกจากอำเภอแม่ระมาด",
"อำเภอแม่สอดมีพื้นที่ทั้งสิ้น 1,986.116 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,241,322.50 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.11 ของเนื้อที่จังหวัด (เนื้อที่จังหวัด 16,406.650 ตารางกิโลเมตร) สภาพพื้นส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชันซับซ้อนสลับกับหุบเขาแคบ ๆ ลักษณะภูมิประเทศของอำเภอเป็นที่ราบประมาณร้อยละ 20 ของพื้นที่อำเภอ และประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่ปกครองไปด้วยป่าโปร่งป่าดงดิบและป่าสน ภูเขาบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาถนนธงชัยที่ต่อลงมาจากทางตอนใต้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ทอดผ่านจังหวัดตากและอำเภอแม่สอด ลงไปจนเชื่อมต่อกับทิวเขาตะนาวศรี จังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่ลาดเอียงลงไปทางทิศตะวันตกลงสู่แม่น้ำเมยซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า",
"เทศบาลนครแม่สอด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่สอดทั้งตำบล เทศบาลตำบลแม่กุ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางส่วนของตำบลแม่กุ เทศบาลตำบลท่าสายลวด ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลท่าสายลวด เทศบาลตำบลแม่ตาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่ตาวทั้งตำบล",
"ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (ถนนตาก-แม่สอด) หรือ ทางหลวงเอเชียหมายเลข 1 จากชายแดนประเทศพม่า (ด่านพรมแดนแม่สอด สะพานมิตรภาพไทย-พม่า) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก-อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ถนนช่วงตาก-แม่สอด เดิมคือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 (ถนนแม่สอด-แม่สะเรียง เดิมคือ ถนนแม่สอด-แม่ระมาด) หรือ จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก-อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1090 (ถนนแม่สอด-อุ้มผาง) ทางเข้าเมืองแม่สอด จากแยกอุ้มผาง-อำเภออุ้มผาง",
"เทศบาลนครแม่สอด ตั้งอยู่ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีพื้นที่ประมาณ 27.2 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 17,000 ไร่ มีระยะทางห่างจากตัวจังหวัดตาก ประมาณ 87 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 509 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลต่าง ๆ คือ",
"ที่รหัสโรงเรียนชื่อโรงเรียนที่อยู่ ตำบล / อำเภอ / รหัสไปรษณีย์วันสถาปนาระดับที่เปิดสอน1โรงเรียนบีบีเอส คอมพิวเตอร์เลขที่ 1/5 ซ.สรรพการ ถ.ประสาทวิถี แม่สอด แม่สอด 631102โรงเรียนพะวอการบริบาลเลขที่ 3/24 ถ.ราษฎร์อุทิศ แม่สอด แม่สอด 631103โรงเรียนแม่สอดเทคโนโลยีเลขที่ 301/5 ถ.อินทรคีรี แม่สอด แม่สอด 631104โรงเรียนรวมใจพิมพ์ดีดเลขที่ 1 ซ.ร่วมใจ ถ.อินทรคีรี แม่สอด แม่สอด 631105โรงเรียนศูนย์ครุภัณท์แม่สอดเลขที่ 109/12 ถ.สวรรด์วิถี แม่สอด แม่สอด 631106โรงเรียนเสริมสวยลักขณาเลขที่ 211/1 ถ.ประสาทวิถี แม่สอด แม่สอด 63110",
"แม่สอดเป็นอำเภอที่มีการค้าระหว่างประเทศไทยกับพม่า เนื่องจากเป็นอำเภอที่อยู่ติดชายแดน และเป็นที่ตั้งจุดผ่านแดนถาวรด่านพรมแดนแม่สอด เชื่อมโยงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ประวัติความเป็นมาของอำเภอแม่สอดนั้นยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจะเป็นเมืองฉอดของขุนสามชนที่เคยยกทัพไปตีกรุงสุโขทัยหรือไม่ ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ เมื่อดูตามสภาพบ้านเมืองของอำเภอแม่สอดนั้น ไม่พบว่ามีสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่มีอายุอยู่ในยุคของสุโขทัยได้เลย ฉะนั้นจึงน่าเชื่อได้ว่าไม่ใช่เมืองเดียวกัน และขณะนี้ได้มีนักโบราณคดีพบซากเมืองโบราณอยู่ในป่าทึบในท้องที่อำเภอแม่ระมาด ซึ่งอาจจะเป็นเมืองฉอดตามศิลาจารึกกรุงสุโขทัยได้",
"แม่สอดตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดตาก ระหว่างเส้นรุ้งที่ 16 องศา 42 ลิปดา 47 พิลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 98 องศา 34 ลิปดา 29 พิลิปดาตะวันออก สูงกว่าระดับน้ำทะเล116.2 เมตร ณ ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอแม่สอด อำเภอแม่สอดมีพื้นที่ประมาณ 1,986.116 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,241,322.5 ไร่ ใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของจังหวัดตาก รองจากอำเภออุ้มผาง และอำเภอสามเงา",
"องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ปะ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอแม่สอด ดูแลรับผิดชอบในพื้นที่ตำบลแม่ปะ ทั้งหมดรวม 11 หมู่บ้าน มีนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ปะ เป็นผู้บริหารสูงสุด และมีปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ปะ เป็นหัวหน้าที่ทำการ",
"ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน มีพื้นที่ราบอยู่เพียงเล็กน้อย บริเวณที่ทำการอุทยานฯ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,000 เมตร มีแนวทิวเขาถนนธงชัย ผ่านกลางอุทยานฯ ลักษณะเป็นสันปันน้ำซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างอำเภอเมืองตากกับอำเภอแม่สอด เป็นต้นกำเนิดของห้วยสำคัญๆ เช่น ทางด้านอำเภอแม่สอด ได้แก่ ห้วยตะปูเคาะ ห้วยยะอุ ห้วยปลาหลด ห้วยพลูใหญ่ ห้วยผักหละ ห้วยพระเจ้า ห้วยปูแป้ ห้วยผาแกว และห้วยสะมึนหลวง ไหลไปรวมกันเป็นห้วยแม่ละเมา ทางด้านอำเภอเมืองตากมีจำนวน 7 ห้วย ได้แก่ ห้วยปางอ้า ห้วยสลักพระ ห้วยน้ำดิบ ห้วยบง ห้วยช้างไล่ ห้วยโปร่งสัก และห้วยไม้ห้าง ซึ่งไหลลงมารวมเป็นห้วยแม่ท้อ แล้วไหลลงสู่แม่น้ำปิง",
"ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 สายแม่สอด–แม่สะเรียง เป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร และ 4 ช่องจราจรในช่วงผ่านชุมชน มีระยะทาง 230.497 กิโลเมตร มีเส้นทางเริ่มต้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และสิ้นสุดที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางจะขึ้นเขาสูงชันระหว่าง ตำบลท่าสองยาง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก กับอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน แนวเส้นทางส่วนใหญ่จะเลียบแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นแนวชายแดนไทย-พม่า ซึ่งเกิดความไม่สงบบ่อยครั้งรวมทั้งโจร กะเหรี่ยง เส้นทางนี้จึงไม่ค่อยได้ความนิยมมากนัก",
"นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผวจ.ตาก กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลนครแม่สอด และแม่น้ำเมยล้นตลิ่งที่ชายแดนไทย-พม่า ว่า ขณะนี้ได้ประกาศให้เขตพื้นที่เทศบาลนครแม่สอดและเขตอำเภอแม่สอดทั้งหมดเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติอุทกภัย พร้อมได้ให้เงินช่วยเหลือฉุกเฉินจำนวน 3 ล้านบาทแก่นายอำเภอแม่สอด เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนในทันที",
"อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช เดิมมีชื่อว่า อุทยานแห่งชาติต้นกระบากใหญ่ เนื่องจากมีต้นกระบากที่ใหญ่สุดในประเทศไทยเท่าที่สำรวจพบในขณะนี้ ตั้งอยู่ในท้องที่ 2 อำเภอ คือ อำเภอเมืองตาก และอำเภอแม่สอด ซึ่งประกาศทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ละเมา ตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 954 (พ.ศ. 2524) และประกาศทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ท้อ–ห้วยตากฝั่งขวา ตำบลแม่ท้อ อำเภอเมือง จังหวัดตาก ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 145 (พ.ศ. 2509) มีพื้นที่ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาจำนวน 93,125 ไร่ แต่มีพื้นที่จริงจากการคำนวณเท่ากับ 163,750 ไร่ \nต่อมากองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติแด่องค์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และเป็นสิริมงคลแก่อุทยานแห่งชาติ ตลอดจนเพื่อเป็นการรำลึกถึงสถานที่อันมีค่าทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย ได้แก่ จังหวัดตาก เห็นสมควรเปลี่ยนชื่อ อุทยานแห่งชาติต้นกระบากใหญ่ เป็น อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช กรมป่าไม้จึงได้ดำเนินการกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อใช้พระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นชื่ออุทยานแห่งชาติ และได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามหนังสือสำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง ลงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2529 ให้ใช้ชื่อว่า อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ",
"ตำบลแม่ตาว ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีพื้นที่ติดต่อตำบลท่าสายลวด, ตำบลแม่สอด, ตำบลแม่กุ, ตำบลพระธาตุผาแดง และสหภาพพม่า ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก",
"มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรมุ่งให้โอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชน มุ่งสร้างศักยภาพ ให้เป็นขุมพลังแห่งปัญญา มุ่งพัฒนาท้องถิ่นผลิตกำลังคน ที่มีความรู้ความสามารถและ มีคุณธรรมโดยเน้นที่จิตสำนึกในการรับใช้ท้องถิ่นและประเทศชาติ\nมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ศูนย์อุดมศึกษาแม่สอด หรือ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร แม่สอด\nเป็นศูนย์ขยายโอกาสการอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร\nประกาศจัดตั้งขึ้นแห่งแรกตามโครงการขยายโอกาสการอุดมศึกษาสู่ท้องถิ่นตามข้อบังคับ\nสภาประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรว่าด้วยการขยายโอกาสการอุดมศึกษาสู่ท้องถิ่น\nพ.ศ. 2544 ศูนย์อุดมศึกษาแม่สอดแห่งนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด\nจังหวัดตาก ในเนื้อที่จำนวน 600 ไร่ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตร\nและสหกรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 การขอเข้าใช้ประโยชน์เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติการ\nและวิจัยทางธรรมชาติ โดยวัตถุประสงค์เดิมเพื่อเป็นการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าที่มีสภาพเสื่อม\nโทรมให้เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ นักเรียน นักศึกษา นักท่องเที่ยว ตลอดจน\nประชาชนและผู้สนใจสามารถเข้าศึกษาธรรมชาติของป่าอย่างแท้จริงได้รับความรู้ เกิดจิต\nสำนึก หวงแหน และเห็นความสำคัญในอันที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติและป่าไม้ อีกทั้งเป็นศูนย์\nปฏิบัติทางวิชาการระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น\nพื้นที่ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนเพื่อพัฒนาเพียงเล็กน้อย เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้รับ\nงบประมาณเพียงการก่อสร้าง สำนักงานชั่วคราว 1 หลัง ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากอดีตสมาชิก\nสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตาก นายอุดร ตันติสุนทร เพื่อก่อ สร้างฝายน้ำล้น ได้รับความอนุเคราะห์จาก\nหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 33 อำเภอแม่สอด ในการปรับปรุงพื้นที่บ้างโดยไม่สามารถดำเนิน การให้เป็น\nไปตาม วัตถุประสงค์ได้ แต่เนื่องจากนโยบายการขยายการศึกษาขึ้นพื้นฐานตามพระราชบัญญัต\nิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ให้เยาวชนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีคุณภาพทัดเทียม\nเป็นเวลา 12 ปี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจึงทำให้ ผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี \nในท้องถิ่นต้องการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาจำนวนมากขึ้น และได้เกิดข้อเรียกร้องให้สถาบัน ขยาย\nโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชน และผู้สำเร็จการศึกษาในอำเภอฝั่งตะวันตก ของจังหวัดตาก \nเนื่องจากเยาวชนและผู้สำเร็จ การศึกษาในพื้นที่ดังกล่าวมีโอกาสน้อยในการได้รับการศึกษาต่อใน\nระดับอุดมศึกษาอันมีสาเหตุมาจากสภาพพื้นที่จังหวัดตากในเขต 5 อำเภอฝั่งตะวันตก ประกอบ\nด้วยอำเภอแม่สอด อำเภออุ้มผาง อำเภอพบพระ อำเภอท่าสองยาง อำเภอแม่ระมาดเป็นป่าเขา \nการคมนาคมไม่สะดวก ขาดปัจจัยในการศึกษาในระยะแรกสถาบันราชภัฏกำแพงเพชรจึงได้ริเริ่ม\nโครงการจัดตั้งศูนย์ให้การศึกษา ภายนอกสถาบัน โดยจัดการศึกษาระดับปริญญาตรี อนุปริญญา\nและปริญญาตรี 2 ปีหลังสำหรับบุคลากรประจำการ (กศ.บป) ขึ้นใน ปีการศึกษา 2543 ที่ศูนย์ให้\nการศึกษานอกสถาบันโรงเรียนสรรพวิทยาคม",
"นครแม่สอด เป็นโครงการยุบรวมเทศบาลนครแม่สอดและเทศบาลตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตากและจัดตั้งขึ้นเป็นนครแม่สอดมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอาณาเขตครอบคลุมเขตเทศบาลนครแม่สอดและเทศบาลตำบลท่าสายลวดที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ นครแม่สอดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตนครแม่สอดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เมื่อมีการจัดตั้งนครแม่สอดแล้ว ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตากมีเขตพื้นที่ครอบคลุมเขตจังหวัดตากยกเว้นเขตนครแม่สอด "
] |
ใครคือรัชกาลที่ 1 ของไทย ? | [
"พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พระราชสมภพ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 — สวรรคต 7 กันยายน พ.ศ. 2352) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 1 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ"
] | [
"การศึกษาความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำแนกตามยุคสมัยที่นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้ คือ ยุคที่ 1 ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และยุคที่ 2 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้",
"ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มจากรัชกาลที่ 1 เพิ่มกลองทัดเข้าวงปี่พาทย์อีก 1 ลูก รวมเป็น 2 ลูก ตัวผู้เสียงสูง ตัวเมียเสียงต่ำ รัชกาลที่ 2 ทรงพระปรีชาสามารถการดนตรี ทรงซอสามสาย คู่พระหัตถ์คือซอสายฟ้าฟาด และทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทย บุหลันลอยเลื่อน รัชสมัยนี้เกิดกลองสองหน้าพัฒนามาจากเปิงมางของมอญ พอในรัชกาลที่ 3 พัฒนาเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มคู่กับระนาดเอก และฆ้องวงเล็กให้คู่กับฆ้องวงใหญ่",
"หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์โต๊ะ อิศรางกูร) เกิดตอนปลายรัชกาลที่ 4 (สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) รับราชการเป็นนายทหารพระธรรมนูญ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงทหารเรือ ท่านเป็นพระอาจารย์ภาษาไทยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 และพระราชโอรส พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โดยเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย พระยาอิศรพันธุ์โสภณ คนที่ 1 (ม.ร.ว. หนู) มีบุตรธิดา 8 คน กับนางราโชทัย (พุก) คือ และมีบุตร 1 คนกับนาง ซ่วน คือ ม.ล.อาทิตย์ อิศรางกูร",
"ระยะแรกไทดำตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย (สมัยพระเจ้าตากสิน และรัชกาลที่ 1) ระยะที่สอง (สมัยรัชกาลที่ 3) โปรดฯ ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม ไทดำหรือไทยทรงดำ จึงมาตั้งถิ่นฐานที่ท่าแร้ง เมื่อปี พ.ศ. 2378 - 2381 ก่อนไทยมุสลิมท่าแร้ง ซึ่งถูกกวาดครัวเข้ามาภายหลังไทดำ ไทยมุสลิมหรือที่เรียกว่า แขกท่าแร้ง มาสู่เพชรบุรีในลักษณะถูกกวาดครัว เข้ามาอยู่ ณ เมืองเพชรบุรีราวปี พ.ศ. 2328 เนื่องด้วยเหตุผลทางสงครามเช่นกัน ",
"เงินตราสมัย<b>อาณาจักรฟูนัน เงินตราสมัย<b>อาณาจักรทวารวดี เงินตราสมัย<b>อาณาจักรศรีวิชัย เงินตราสมัย<b>อาณาจักรสุโขทัย เงินตราสมัย<b>อาณาจักรอยุธยา เงินตราสมัย<b>กรุงธนบุรี เงินตราสมัย<b>รัชกาลที่ 1-3 เงินตราสมัย<b>รัชกาลที่ 4 เงินตราสมัย<b>รัชกาลที่ 5 เงินตราสมัย<b>รัชกาลที่ 6-8 กษาปณ์หมุนเวียนสมัย<b>รัชกาลที่ 9",
"เมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทยสองเรื่อง คือ เรื่องไซ่ฮั่น เรื่องหนึ่ง กับเรื่องสามก๊ก เรื่องหนึ่ง โปรดให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังหลัง ทรงอำนวยการแปลเรื่องไซ่ฮั่น แลให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลเรื่องสามก๊ก คำที่เล่ากันมาดังกล่าวนี้ไม่มีในจดหมายเหตุ แต่เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นมีหลักฐานควรเชื่อได้ว่า เป็นความจริง ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเอาเป็นพระราชธุระขวนขวายสร้างหนังสือต่าง ๆ ขึ้นเพื่อประโยชน์สำหรับพระนคร หนังสือซึ่งเป็นต้นฉบับตำรับตำราในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ทั้งที่รวบรวมของเก่า ที่แต่งใหม่ แลที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๑ มีมาก แต่ว่าในสมัยนั้นเป็นหนังสือเขียนในสมุดไทยทั้งนั้น ฉบับหลวงมักมีบานแพนกแสดงว่าโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปีใด แต่หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กสองเรื่องนี้ต้นฉบับที่ยังปรากฏอยู่มีแต่ฉบับเชลยศักดิ์ขาดบานแพนกข้างต้น จึงไม่มีลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญว่าแปลเมื่อใด ถึงกระนั้นก็ดี มีเค้าเงื่อนอันส่อให้เห็นชัดว่า หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กแปลเมื่อในรัชกาลที่ ๑ ทั้งสองเรื่อง เป็นต้นว่า สังเกตเห็นได้ในเรื่องพระอภัยมณีที่สุนทรภู่แต่งซึ่งสมมุติให้พระอภัยมณีมีวิชาชำนาญในการเป่าปี่ ก็คือ เอามาแต่เตียวเหลียงในเรื่องไซ่ฮั่น ข้อนี้ยิ่งพิจารณาดูคำเพลงปี่ของเตียวเหลียงเทียบกับคำเพลงปี่ของพระอภัยมณีก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ถ่ายมาจากกันเป็นแท้ ด้วยเมื่อรัชกาลที่ ๑ สุนทเรื่องสามก๊กนั้นเป็นนิทานที่ใช้เล่าและเล่นเป็นงิ้วในเมืองจีนมาแต่ก่อน ปราชญ์จีนชื่อ ล่อกวนตง ในยุคราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911 - 2186) จึงได้เขียนเรียบเรียงเป็นหนังสือ ต่อมาเม่าจงกัง และ กิมเสี่ยถ่าง ได้แต่งเพิ่มและนำไปตีพิมพ์ ตั้งแต่นั้นจึงได้แพร่หลายขึ้น และแปลเป็นภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ของไทยนั้นแปลในปี พ.ศ. 2345 โดยซินแสผู้รู้ภาษาจีนได้แปลออกมาให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรียบเรียงเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับภาษาจีนหรือแม้แต่ภาษาอังกฤษ เนื้อความหลายตอนจึงคลาดเคลื่อนกันบ้าง ซึ่งหาเทียบได้จากฉบับที่ สังข์ พัฒโนทัย แปลออกมาในตำราพิชัยสงครามสามก๊ก หรือในสามก๊กฉบับวณิพก ของยาขอบ ซึ่งเทียบจากฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์ แต่เนื้อความภาษาจีนเป็นอย่างไรหรือเรื่องจริงเป็นอย่างไรมิใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสามก๊กฉบับภาษาไทยนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเพชรเม็ดงามทางร้อยแก้วในวงวรรณกรรมไทย นอกจากสำนวนภาษาแล้ว เนื้อเรื่องยังได้แสดงตัวละครในลักษณะที่มีความซับซ้อนหลากหลาย ความเปลี่ยนแปรในจิตใจของมนุษย์ ตลอดจนเบื้องหลังอุปนิสัยตัวละครที่สัมพันธ์อย่างยิ่งกับการเดินเรื่อง สามก๊กจึงเป็นยอดในแบบของนิยายที่แสดงให้เห็นชีวิตโดยเหตุนี้",
"หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี หมวดหมู่:พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 หมวดหมู่:รัชกาลที่ 2 หมวดหมู่:กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หมวดหมู่:เจ้าฟ้าชาย หมวดหมู่:กวีชาวไทย",
"เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 มีลักษณะดังนี้[70] ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี\" ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามย่อ \"พ.ร.\" ภายใต้มงกุฎขัตติยราชนารี และมีพระวชิระ ดอกบัว และดารารัศมีประดับอยู่โดยรอบ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘\" เบื้องล่างมีข้อความบอกราคาและ \"ประเทศไทย\" ตามลำดับ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีลักษณะดังนี้[71] ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี\" ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามย่อ \"พ.ร.\" ภายใต้มงกุฎขัตติยราชนารี ล้อมด้วยลายไทยประดิษฐ์ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า \"พระชนมายุ ๘๔ พรรษา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒\" เบื้องล่างมีข้อความว่า \"ประเทศไทย\" โดยมีจุดกลมคั่นระหว่างข้อความเบื้องบนกับเบื้องล่าง เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555 มีลักษณะดังนี้ ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสายสะพายและสายสร้อยเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1, เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1, และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า \"สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี\" ด้านหลัง กลางเหรียญเป็นรูปพระเมรุมาจัดวาง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ หลังรูปพระเมรุมีรูปแสงพระอาทิตย์แผ่รัศมีผ่าน ปุยเมฆ สื่อความหมายว่าแสงสุดท้ายและเป็นการน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย",
"พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหารนี้ ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการยกเลิกขนบไพร่ ประกาศใช้ในมณฑลนครศรีธรรมราช ปัตตานี สุราษฎร์ ภูเก็ตและเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2458 (สมัยรัชกาลที่ 6) ด้วยความที่ว่าการยกเลิกขนบไพร่เป็นการปลดทุกข์ของราษฎรทุกตำบลทั่วราชอาณาจักร จึงมีความเห็นว่าการยกเลิกขนบไพร่สำคัญยิ่งกว่าการยกเลิกขนบทาสเสียอีก เพราะราษฎรได้รับการส่งเสริมฐานะทางเศรษฐกิจ มีเวลาทำมาหากินได้เต็มที่ และไม่มีใครรังเกียจเหมือนแต่ก่อน",
"วัดชัยชนะสงครามนั้น เจ้าพระยา บดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) ซึ่งเป็นเสนาบดี ที่แกล้วกล้าในการสงครามเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความสามารถอันหาใครเสมอเหมือนนี้ ทำให้เจ้าพระยา บดินทร์เดชานั้นเป็นที่โปรดปรานใน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นล้นพ้น ถึงขนาดได้รับคำยกย่องว่าเป็นขุนศึกคู่พระไทยในรัชกาลที่ 3 เลยทีเดียว เมื่ออยู่ครั้งหนึ่งที่ไทยมีศึกสงครามกับญวนที่รบรากันมากว่า 14 ปี กว่าจะได้รับชัยชนะ และเมื่อจอมทัพอย่างเจ้าพระยา บดินทร์เดชาได้กรำศึกจนชนะแล้ว จึงได้ปรารถนาที่จะสร้างอนุสรณ์แห่งชัยชนะในการศึกครั้งนั้น เจ้าพระยาบดินทร์ฯ จึงได้อุทิศที่ดิน และบ้านที่รัชกาลที่ 3 ทรงพระราชทานให้มาใช้เป็นวัด แล้วจึงตั้งชื่อตามเจตนรมย์เดิมว่า วัด ชัยชนะสงคราม และเมื่อสร้างเสร็จ และมีการทำ สังฆกรรมแล้ว วัดนี้ก็มิได้มีการทูลถวายให้เป็นวัดหลวง วัดนี้จึงได้เป็นวัดราษฎร์มานานจนกระทั่งถึง รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงองค์ปัจจุบัน จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ารับเป็นอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ วัดนี้นอกจากจะมีความพิเศษที่ความเป็นมาอันหมายถึงชัยชนะแล้ว แต่ความพิเศษอีกประการคือชื่อเล่นๆ ที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า กุฏิ ที่ล้วนแล้วแต่ สร้างเป็นอาคารคอนกรีต อันเป็นวิธีการปลูกสร้างที่ใหม่ และแปลกสำหรับคนสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง และชาวบ้านในแถบนั้นก็ยังคงเรียก วัด ชัยชนะสงครามนี้ว่า วัด ตึกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน",
"พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติก่อนที่พระองค์จะเสด็จฯ ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระราชธิดาคู่ทุกข์คู่ยากของรัชกาลที่ 5 หลังจากการทรงกรมเป็น \"กรมขุนสุพรรณภาควดี \"[9] ได้เพียง 1 ปี ก็สิ้นพระชนม์[10] รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระราชวังบางปะอิน โดยใช้พระที่นั่งไอสวรรย์ทิพยอาสน์เป็นที่ประดิษฐานพระศพ และโปรดให้จัดงานพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดนิเวศธรรมประวัติ[11] ซึ่งถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก จนเป็นที่กล่าวขานในหมู่ชาววังว่า ใครไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นคนนอกสังคมชาววัง[2]",
"\"ถึงรัชกาลที่ 3 อังกฤษเกิดรบกันขึ้นกับพม่าเป็นครั้งแรก ครั้นชนะแล้วจึงให้กัปตันเฮนรี่ เบอร์เนย์ (Henry Burney) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. 2368 ทูตอเมริกัน มิสเตอร์ เอ็ดมอนด์ โรเบิต (Edmond Roberts) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. 2375 มิสเตอร์ริดชัน (Ridson) ทูตอังกฤษเข้ามาทำสัญญาขอซื้อช้างเมื่อ พ.ศ. 2381 และเซอร์เจมส์ บรู้ค (Sir James Brooke) ผู้เคยเป็นรายา (White Raja) ผู้ครองเกาะซาราวะก์ (Sarawak) เข้ามาขอทำสัญญาอีกเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2393 ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต รวมทูตอังกฤษที่เข้ามาทำสัญญากับเมืองไทยถึง 4 ครั้ง แต่ก็ได้ทำแต่เรื่อง เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเรื่องผ่านแดนไทยกับพม่า และสัญญาซื้อขายช้าง ม้า และแลกเปลี่ยนสินค้าบางอย่าง ไม่ได้ทำสัญญากับเมืองไทยโดยตรงอย่างเมืองอื่น ๆ ส่วนทางเมืองไทยก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะมีผู้ใดจะเกะกะทางนี้ได้ บางคนนึกเลยไปว่าเหล็กจะลอยน้ำได้อย่างไร ในเมื่อมีใครมาเล่าว่าทางมหาอำนาจตะวันตกนั้นมีเรือรบที่ทำด้วยเหล็ก ไทยจึงไม่เต็มใจจะเปิดประตูค้ากับผู้ใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่รับข้อที่จำเป็นในเวลานั้นเท่านั้น แต่ในที่สุดเราก็ได้พบรายงานของเซอร์เจมส์ บรู๊ค ผู้ซึ่งเข้ามาครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ว่า\"",
"การปนของภาษา คือการที่เราใช้ภาษา 2 ภาษาหรือมากกว่านั้นปนกัน การปนของภาษาเริ่มขึ้นตั้งแต่การ เข้ามาของอาณานิคม ต่างชาติในไทย โดยเริ่มการปนของภาษาในราชสำนักไทย ที่มีการติดต่อกันของเชื้อพระวงศ์ไทย หรือแม้กระทั่งขุนนางชั้นสูงที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ในการที่ทรงเขียนจดหมายถึง พระโอรส เชื้อพระวงศ์ ต่างๆ ก็ทรงมีการใช้คำไทยปนกับ การใช้คำอังกฤษมาตั้งแต่สมัยนั้น หลังจากนั้นก็มีการใช้ภาษาที่ปนกันในหมู่คนชั้นสูง ที่ได้รับการศึกษาสูง จนกลายเป็นค่านิยมว่าหากใครพูดไทยคำ อังกฤษคำ จะดูเท่ โก้หรู เป็นเครื่องบ่งว่ามีการศึกษาสูง",
"วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) ทรงแสดงพระอาการว่าสบายพระราชหฤทัย จึงตรัสและทรงพระสรวลอย่างสนุกสนาน เจ้าจอมแว่นเห็นเป็นโอกาสดีก็เข้าไปใกล้พระองค์แล้วทูลว่า \"ขุนหลวงเจ้าขา ดีฉันจะทูลความสักเรื่องหนึ่ง แต่ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา\" พระองค์จึงตรัสตอบว่า \"จะพูดอะไรก็พูดไปเถิด ไม่กริ้วดอก\" เจ้าจอมแว่นจึงทูลว่า \"ถ้ายังงั้น ขุนหลวงสบถให้ดีฉันเสียก่อน ดีฉันจึงจะทูล\" พระองค์ก็ตรัสด้วยถ้อยความอันหยาบคายว่า \"อีอัปรีย์ บ้านเมืองลาวของมึง เคยให้เจ้าชีวิตจิตสันดานสบถหรือ กูไม่สบถ พูดไปเถิด กูไม่โกรธดอก\" เจ้าจอมแว่นจึงกระเถิบเข้าพระองค์แล้วกระซิบทูลว่า \"เดี๋ยวนี้ แม่รอดท้องได้ ๔ เดือน\" พระองค์ทรงอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า \"ท้องกับใคร\" เจ้าจอมแว่นจึงทูลว่า \"จะมีกะใครเสียอีกเล่า ก็พ่อโฉมเอกของขุนหลวงน่ะซี\" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) ทรงกริ้วนิ่งๆ อยู่เป็นเวลาหลายวัน จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าจะทรงทำอย่างไรกันแน่ และพากันเกรงพระราชอาญาแทนเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ไปตามกัน ฝ่ายเจ้าจอมแว่นร้อนใจมากกว่าผู้ใด จึงหาโอกาสเข้าไปทูลถามว่าทารกในพระครรภ์จะเป็นเจ้าฟ้าหรือไม่ พระองค์ก็ตรัสตอบว่าเป็นเจ้าฟ้า เจ้าจอมแว่นและเจ้านายทั้งหลายก็โล่งใจไปตามกัน ในที่สุดกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ก็เข้าไปขอพระพระราชทานโทษแทนพระเจ้าหลานทั้งสองพระองค์ เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นั้นก็คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ภายหลังได้เสด็จเสวยราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) กับเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด พระธิดาของเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เจ้าจอมแว่นทรงรักใคร่เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นี้มากเป็นพิเศษถึงกับได้บนบานว่า หากเรื่องคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ตนจะสร้างวัดถวายไว้ในพระพุทธศาสนาหนึ่งวัด ในที่สุดเจ้าจอมแว่นก็ได้สร้างวัดขึ้นกลางสวนวัดหนึ่ง ในตำบลบางยี่ขัน ธนบุรี (เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า) เพื่อแก้บน คนทั้งหลายเรียกว่า วัดขรัวอิน[19]",
"ตราไปรษณียากรที่ระลึก 80 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา - เป็นพระรูปทรงฉลองพระองค์ชุดไทยสีเทาเข้ม ประดับเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ที่พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 ที่พระอังสาเบื้องขวาประดับเข็มกลัดเพชรอักษรพระบรมนามาภิไธย ร.ร.6 ในรัชกาลที่ 6 ฉากพื้นเป็นสีชมพูซึ่งเป็นสีวันประสูติ-วันอังคาร (วันแรกจำหน่าย: 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548) [72] ตราไปรษณียากรที่ระลึก 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา -เป็นพระรูปทรงฉลองพระองค์ชุดไทยสีน้ำเงินเข้ม ประดับเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ที่พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1 อักษรบอกราคา 3 บาทเป็นสีชมพูซึ่งเป็นสีวันประสูติ-วันอังคาร (วันแรกจำหน่าย: 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552) [73]",
"แต่เดิมนั้นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีรัชกาลที่ 1-3 นั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยของพระองค์เองโดยขึ้นต้นว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” และมีสร้อยพระนามเหมือนกันทั้ง 3 รัชกาล ราษฎรจึงต้องสมมตินามแผ่นดินเอาเองเมื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ในสมัยรัชกาลที่ 3 ราษฎรได้เรียกนามแผ่นดินรัชกาลที่ 1 ว่า \"แผ่นดินต้น\" รัชกาลที่ 2 ว่า \"แผ่นดินกลาง\" รัชกาลที่ 3 ว่า \"แผ่นดินนี้\" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ไม่ทรงโปรดการออกนามแผ่นดินดังกล่าว เนื่องจากทรงเกรงว่าต่อไปราษฎรจะเรียกรัชกาลของพระองค์ว่า \"แผ่นดินปลาย\" หรือ \"แผ่นดินสุดท้าย\" อันเป็นอัปมงคล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระมหากษัตริย์สองรัชกาลแรก ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม องค์หนึ่งถวายพระนามว่า \"พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก\" อุทิศถวายสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชรัชกาลที่ 1 และอีกองค์หนึ่งถวายพระนามว่า \"พระพุทธเลิศหล้าสุราไลย\" (ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ถวายสร้อยพระนามใหม่ว่า \"พระพุทธเลิศหล้านภาไลย\") อุทิศถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถรัชกาลที่ 2 และโปรดเกล้าฯ ให้เรียกนามแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ทั้งสองรัชกาลตามนามพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้",
"วัดอัมพวา ตั้งอยู่เลขที่ 109 ถนนอิสรภาพ 37 และถนนจรัญสนิทวงศ์ 22 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร สังกัด คณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัด เนื้อที่ 8 ไร่ อาณาเขตทิศเหนือ ติดต่อกับซอยวัดอัมพวา ทิศใต้ติดกับที่เอกชน ทิศตะวันออกติดกับกองรถยนต์ กองช่าง ขส.ทร. ทิศตะวันตกติดกับอาคารบ้านเรือนราษฎรและโรงเรียนวัดอัมพวา\nวัดอัมพวา สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2211 ในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่สวน วัดตั้งอยู่ทิศตะวันตกวังสวนอนันต์ กรมการขนส่งทหารเรือ\nวัดอัมพวา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ประมาณ พ.ศ. 2216 (กรมการศาสนา,2526 358-359) ใบเสมารัชกาลที่ 1 เป็นเสมาคู่ หรืออาจจะเป็นใบเสมาสมัยกษัตริย์รัชกาลสุดท้ายของอยุธยาก็ได้ สองสมัยนี้ ใบเสมาแบบอย่างเหมือนกัน ใบเสมาแบบอย่างเหมือนกัน ใบเสมาทำซุ้มเป็นกูบช้าง ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ทรงกลมใหญ่ เป็นแบบรัชกาลที่ 4 แสดงว่า ต้องมาปฏิสังขรณ์ใหญ่สมัยรัชกาลที่ 4 (น.ณ.ปากน้ำ)",
"กล่าวถึงตอนปลายรัชกาลที่ 1 มีพระภิกษุชาวเมืองลังกาชื่อ พระวลิตร กับสามเณร 2 รูป ชื่อ รัตนะปาละ กับหิธายะ เดินทางมากรุงเทพมหานคร ได้โปรดฯ ให้การต้อนรับ โปรดให้พระวลิตร กับสามเณรรัตนะปาละ ไปจำพรรษาอยู่วัดมหาธาตุ ส่วนสามเณรหิธายะ โปรดให้ไปจำพรรษาอยู่วัดพระเชตุพนฯ จนมาถึงสมัยรัชกาลนี้ สามเณรทั้ง 2 รูป ได้ขออุปสมบทในไทย เพราะเห็นว่าพระไทยกับพระลังกาเป็นนิกายเดียวกัน ในลังกาก็มีสยามวงศ์อยู่ ดังนั้น รัชกาลที่ 2 จึงโปรดให้อุปสมบทเป็นนาคหลวง แล้วพระราชทานนิตยภัต และไตรสืบมา",
"วัดหนองอารี เดิมชื่อ วัดหนองอารีย์สัมพันธ์มาลา ตั้งอยู่เลขที่ 1 ม.1 ต.ดินแดง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ สังกัดสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่11 ไร่ 1 งาน 16 ตารางวา โฉนดที่ดิน439 นับว่าเป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ของจังหวัดศรีสะเกษ จากตำราโบราณและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านได้กล่าวว่า ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง เพราะเกิดมาก็ได้พบเห็น วัดและโบสถ์อยู่แล้ว แต่สันนิฐานว่า สร้างขึ้นประมาณพ.ศ. 2410 (ปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4) ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2435 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 10 เมตร ยาว 15 เมตร มีศาสนาสถานที่สำคัญคืออุโบสถเป็นอาคารทรงไทยเดิม มีลักษณะพิเศษคือมีประตูทางเข้า-ออก ทางเดียว ซึ่งมีไม่กี่แห่งในจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ตามรูปแบบโครงสร้างเดิม เพื่อเป็นคงความเป็นเอกลักษณ์คงความสวยงามและเป็นแหล่งศึกษาศาสนสถานสำหรับผู้สนใจได้เที่ยวชม เนื่องจากยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร ปัจจุบันมี พระครูพินิจธรรมวิชัย เป็นเจ้าอาวาส",
"บ้านสวนมีสถานะเป็นชุมชนและหน่วยการปกครองมาแต่ต้น ดังปรากฏหลักฐานเมื่อ พ.ศ. 2455 (รศ.130) เป็น ประกาศ บอกล่วงน่าจะแจกโฉนดสำหรับที่ดิน ใน(1) ทุ่งบ้านสวนเหนือ ตำบลบ้านสวนเหนือ อำเภอในเมือง (2) ในทุ่งบ้านสวนใต้ ตำบลบ้านสวนใต้ อำเภอในเมือง (3) ในทุ่งบ้านทุ่งหลวง ตำบลบ้านทุ่งหลวง อำเภอในเมือง (4) ในทุ่งบ้านท่าดินแดง ตำบลท่าดินแดง อำเภอในเมือง แขวงเมืองศุโขทัย เล่มที่ ๒๘ ตอน ๐ง ประกาศเมื่อ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2454 หน้า 2182 ปรากฏหน่วยการปกครองในเขตบ้านสวนว่า ประกาศกำหนดวันจะแจกสำหรับโฉนดที่ดิน ๑.ในทุ่งบ้านสวนเหนือ ตำบลบ้านสวนเหนือ อำเภอในเมือง ๒.ในทุ่งบ้านสวนใต้ ตำบลบ้านสวนใต้ อำเภอในเมือง ๓.ในทุ่งบ้านทุ่งหลวง ตำบลบ้านทุ่งหลวง อำเภอในเมือง ๔.ในทุ่งบ้านท่าดินแดง ตำบลท่าดินแดง อำเภอในเมือง แขวงเมือง ศุโขไทย ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2454) บ้านสวนจึงเป็นหน่วยการปกครองในระดับตำบลขึ้นกับแขวงศุโขไทย จังหวัดศุโขไทย ที่เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลพิษณุโลก โดยแยกการปกครองเป็น \"ตำบลบ้านสวนเหนือ\" และ \"ตำบลบ้านสวนใต้\" และเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอเมือง จังหวัดศุโขไทย (สะกดตามราชกิจจานุเบกษาปี พ.ศ. 2460) เดิมชื่อว่า อำเภอเมือง ซึ่งในปี พ.ศ. 2460 ในสมัยรัชกาลที่ 6 อำเภอนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอธานี จนเมื่อสมัยรัชกาลที่ 7 วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 ได้ยุบอำเภอธานีและเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอสุโขทัยธานี ขึ้นต่อจังหวัดสวรรคโลก ภายหลังในปี พ.ศ. 2482 ภายใต้การปกครองของคณะราษฎร์ อันมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นปีที่รัฐบาล ประกาศใช้รัฐนิยมฉบับที่ 1 อันมีสาระเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็น ไทย พร้อมประกาศจัดตั้งจังหวัดสุโขทัยอีกครั้ง ยกอำเภอสุโขทัยธานีเป็นศูนย์กลางของจังหวัด และได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมืองสุโขทัย ",
"มีความก้าวหน้าทางดนตรีมาก เริ่มจากสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เพิ่มกลองทัดขึ้นในวงปี่พาทย์เป็น 2 ลูก และเพิ่มระนาดในวงมโหรีปี่พาทย์อีก 1 ราง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 เริ่มมีปี่พาทย์บรรเลงประกอบเสภา จึงได้นำเปิงมางมาติดข้างสุกถ่วงเสียงให้ต่ำลง เรียกว่าสองหน้า ใช้ประกอบการบรรเลงประกอบเสภา และได้เพิ่มฆ้องวงในวงมโหรีด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีผู้สร้างระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นมา ทำให้เกิดวงปี่พาทย์เครื่องคู่ขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีระนาดทีเปลี่ยนชื่อเป็นระนาดเอก เพื่อให้เข้าคู่กับระนาดแบบใหม่ ที่เพิ่มราง 1 ราง และสร้างขนาดใหญ่เรียกว่า ระนาดทุ้ม และฆ้องวงใหญ่ เพื่อให้เข้าคู่กับฆ้องวงเล็กที่สร้าง ขนาดเล็กลงเรียกว่า ฆ้องวงเล็ก นอกจากนี่ยังมีการนำปี่นอกเข้ามาผสมเข้าคู่กับปี่ใน และเครื่องดนตรีเดิม คือ ตะโพน กลองทัดและฉิ่งเช่นเดิม รวมทั้งมีวงมโหรีเครื่องคู่เกิดขึ้น โดยมีการนำระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก และขลุ่ยหลีบ ให้เข้าคู่กับเครื่องดนตรีที่มีอยู่เดิม ในสมัยรัชกาลที่ 4 วงปี่พาทย์มีความเจริญมาก โดยเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ ต่างก็มีวงปี่พาทย์ประจำบ้านกัน และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระราชดำริให้นำลวดเหล็กเล็ก ๆ ที่ทอดพระเนตรจากนาฬิกาตั้งโต๊ะที่กลไกข้างในมีลวดเส้น เล็ก ๆ สั้นบ้างยาวบ้าง ปักเรียงกันถี่ ๆ เป็นวงกลมคล้ายหวีตรงกลางมีแกนหมุนและเหล็กเขี่ยเส้นลวดเหล็กเหล่านั้นผ่านไปโดยรอบที่พระองค์ทรงเรียกว่า นาฬิกาเขี่ยหวี ซึ่งมีเสียงดังกังวานมาสร้าง เป็นระนาดทุ้มเหล็ก และระนาดเหล็กที่เล็กกว่าและมีเสียงสูงกว่า มาเพิ่มเข้าในวงปี่พาทย์ และเรียกวงปี่พาทย์นี้ว่า วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเครื่องดนตรี ระนาดทุ้มเหล็กและระนาดเอกเหล็กที่ทำด้วยทองเหลืองเรียกว่า ระนาดทอง และนำซอด้วงและซออู้มาผสมในวงมโหรีด้วยเรียกว่า มโหรีเครื่องใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อบรรเลงประกอบละครวงปี่พาทย์นี้มีชื่อเสียงไพเราะนุ่มนวลกว่า เพราะได้ดัดเครื่องดนตรีที่มีเสียงดังมาก เสียงสูงและเสียงเล็กแหลมออกจนหมด และระนาดเอกก็ตีด้วยไม้นวม รวมทั้งยังนำฆ้องชัยหรือฆ้องหุ่ยมา 7 ลูก เทียบเสียงเรียงลำดับตีห่างๆ คล้ายกับ เบสของฝรั่ง เพิ่มเข้ามา ในสมัยรัชกาลที่ 6 การดนตรีมีความเจริญขึ้นมาก โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งกรมมหรสพ กรมบัญชาการ กรมโขนหลวง กรมพิณพาทย์หลวงกลองเครื่องสายฝรั่งหลวง และกรมช่างมหาดเล็ก สำหรับสร้างและซ่อมสิ่งที่เป็นศิลปะต่าง ๆ และพระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องปี่พาทย์ประดับมุกและประดับงาขึ้น 2 ชุด ประดับเป็นลวดลายวิจิตร มีอักษรพระปรมาภิไธย ม.ว. ซึ่งงดงามมีค่ายิ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งวงเครื่องสาย ส่วนพระองค์ขึ้น โดยพระองค์ทรงซอด้วง และพระบรมราชินีทรงซออู้ พร้อมทั้งเจ้านายอีกหลายพระองค์ อยู่ในวงนั้น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์ เพลงราตรีประดับดาว เถา เพลงเขมรละออองค์ เถา และเพลงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น ต่อมาเมื่อหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 การดนตรีไทยได้ค่อย ๆ เสื่อมลง จนมาถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแล้ว จึงได้มีการฟื้นฟูดนตรีไทยขึ้นใหม่ จนมาถึงปัจจุบันนี้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระปรีชาสามารถทางดนตรีสากล และพระราชนิพนธ์เพลงขึ้นหลายเพลงด้วย แต่พระองค์ยังทรงสนพระทัยการดนตรีไทย โดยพระราชทานทุน ให้พิมพ์เพลงไทยเป็นโน้ตสากลออกจำหน่ายจนเป็นที่นิยมของวงการดนตรีทั่วไป",
"การพิมพ์ปฏิทินมีขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2385 (ปลายสมัยรัชกาลที่ 3) ซึ่งสามารถตรวจสอบและค้นคว้าหาหลักฐานได้จากไมโครฟิล์ม หนังสือบางกอกคาเลนดาร์ ปี ค.ศ. 1870 (พ.ศ. 2413) หน้า 5 ในหอสมุดแห่งชาติ หรือค้นคว้าได้จากหนังสือต้นฉบับ ที่หอสมุดดำรงราชานุภาพ ซึ่งหมอ บรัดเลย์ ได้เขียนไว้ว่า “ 14 First Calendar print in B. 1842 ” (ไม่บอกว่าใครเป็นผู้พิมพ์ แต่คาดหมายว่า คือ หมอ บรัดเลย์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ ผู้มีผลงานทางหนังสือมากมาย) ",
"ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงเปิดกว้างต่อการไหลบ่าของอารยธรรมตะวันตกมากขึ้น ทั้งยังทรงเคยเป็นสมาชิก บางกอกรีคอเดอ มาก่อน และเมื่อหมอบรัดเลย์ออกหนังสือพิมพ์อีก ก็ทรงบอกรับเป็นสมาชิกอีก ครั้นได้พบว่าหมอบรัดเลย์เขียนบทความโจมตีพุทธศาสนาก็ทรงเขียนบทความตอบโต้ โดยมิทรงลงพระมหาปรมาภิไธย แต่คนทั่วไปก็ทราบดีกว่าบทความเหล่านั้นคือใคร[2] แต่เนื่องจากหมอบรัดเลย์ยกศาสนาของตนและประเทศของตนข่มคนไทย จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจกับคนไทยอย่างกว้างขวาง จึงทำให้การบอกรับสมาชิกไม่เพิ่มขึ้นทั้งสมาชิกเดิมก็ไม่จ่ายเงิน จึงยากที่จะยืนหยัดในสถานการณ์เช่นนี้",
"ในการลาออกจากราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 มีหนังสือเรื่อง แถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ มีเรื่องที่กล่าวถึงพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่มีโอกาสจะได้เป็น (Candidate) พระมหากษัตริย์ต่อจากรัชกาลที่ 7 คือมีคนไปสัมภาษณ์ท่านว่าท่านมีความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยพระองค์ตอบกลับว่า \"จะไม่มีใครมาเชิญฉันหรอก และถึงจะมีคนมาเชิญจริง ๆ ฉันก็ยินดีรับไม่ได้เพราะได้ถูกตัดออกอย่างเด็ดขาดมานานแล้ว ถ้าจะรบเร้ากันจริง ๆ ซึ่งก็ไม่เชื่อว่า จะมีใครมารบเร้า ฉันต้องยืนยันให้มีประชามติ (plebiscite) กันเสียก่อน\" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในหลักประชาธิปไตยเป็นอย่างดีของท่าน และด้วยเหตุที่ว่า จากราชกิจจานุเบกษา ตอนพิเศษของเล่มที่ 41 มีกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ออกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467 เกี่ยวกับลำดับชั้นเชื้อพระบรมวงศ์ ซึ่งจะควรสืบราชสันตติวงศ์ได้นั้น แต่ในหมวดที่ 5 ว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์ มาตรา 11 ",
"หมวดหมู่:พระบรมวงศานุวงศ์ลาว หมวดหมู่:พระภรรยาในรัชกาลที่ 1 หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายลาว ว่แน",
"สุลักษณ์เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2476 ที่กรุงเทพมหานคร มีชื่อเล่นว่า แป๊ะ หรือ เหม่ เป็นบุตรคนเดียวของเฉลิม และสุพรรณ สมรสกับนิลฉวี มีบุตร 1 คน ธิดา 2 คน \nสุลักษณ์เป็นที่ปรึกษาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2549 หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 \nในวันที่ 1 กันยายน 2557 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ให้สัมภาษณ์รายการ \"คืนความจริง\" ว่า มาตราดังกล่าวเป็นเครื่องมือของทุกรัฐบาลเพื่อกดขี่ราษฎร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า การจับคนเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทุกครั้งเป็นการรังแกพระองค์ และทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกรัฐบาลที่อ้างว่าจงรักภักดี ลึก ๆ แล้วไม่จงรัก และยกตัวอย่างจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนีซึ่งจับคนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุด แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์ของเยอรมนีก็สิ้นไปก่อนพระองค์สวรรคตเสียอีก สุลักษณ์ว่าเขาเสียใจที่ไม่มีปัญญาชนเห็นโทษของกฎหมายนี้ ไม่เห็นหัวใจของเสรีภาพ ไม่เห็นหัวใจของประชาธิปไตย ไม่เห็นหัวใจของความเป็นมนุษย์เป็นลำดับ เป็นปศุสัตว์เชื่อง ๆ ให้ใครเขาสั่งได้ ต่อมาในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามกล่าวหาเขาว่าทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมีมติฟ้องร้องเขาต่อ ศาลทหารกรุงเทพ ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อมาอัยการทหารไม่สั่งฟ้องครอบครัวของสุลักษณ์ เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน บรรพบุรุษทั้งหมดเป็นชาวจีนโพ้นทะเลซึ่งเดินทางเข้ามาตั้งรกรากและแต่งงานกับชาวไทยตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงรัชกาลที่ 5 แม้พื้นฐานครอบครัวจะได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนก็ตาม แต่ก็ได้ผสมผสานจนกลายเป็นครอบครัวคนไทยที่นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทเป็นหลัก ส่วนพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นตระกูลที่ประกอบอาชีพค้าขายเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่รับราชการในส่วนกลาง แต่ในช่วงที่สุลักษณ์เกิดนั้น เป็นช่วงที่ฐานะทางเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำเกือบถึงขีดสุด จึงแยกครอบครัวมาอยู่ที่ซอยสันติภาพ ถนนนเรศ อันเป็นบ้านที่สุลักษณ์อาศัยอยู่ในปัจจุบัน หลังจากที่บิดาถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2489 สุลักษณ์ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในช่วงมัธยมต้น ก็ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง และต่อมาจึงได้รับการอุปการะจากมารดา จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาสุลักษณ์นับเป็นนักเขียนที่มีผลงานหนังสือมากที่สุดในประเทศ รวมกว่า 200 เล่ม โดยส่วนใหญ่จะเป็นการรวมคำกล่าว หรือบทสัมภาษณ์ของเขาในที่สาธารณะ",
"Step Right Up ใครเก่ง ใครได้ เป็นรายการโทรทัศน์ประเภทเกมโชว์ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันจากทางบ้านมาเล่นเกม 1 เกม ในโอกาส 1 ครั้ง เพื่อให้ได้รับของรางวัลกลับบ้าน โดยทางบริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ได้ซื้อลิขสิทธิ์รูปแบบรายการจาก Endemol Shine Group ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อนำมาผลิตในรูปแบบของประเทศไทย โดยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556 ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ดำเนินรายการโดย วราวุธ เจนธนากุล, ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ และ เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ และออกอากาศเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เนื่องจากการปรับปรุงผังรายการของช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี",
"“แต่อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้ว ถ้าเป็นการละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อน เดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่ง ต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยนี่ พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ว่าวิจารณ์ไม่ได้ก็เข้าคุก มีที่เข้าคุก เดือดร้อนพระมหากษัตริย์ ต้องบอกว่าเข้าคุกแล้วต้องให้อภัย ที่เขาด่าเราอย่างหนัก ฝรั่งเขาบอกว่าในเมืองไทยนี่ พระมหากษัตริย์ถูกด่า ต้องเข้าคุก ที่จริงควรเข้าคุก แต่เพราะฝรั่งบอกอย่างนั้น ก็ไม่ให้เข้า ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิด ก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก ตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆ เป็นกบฏ ก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ 6 ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนถึงต่อมา รัชกาลที่ 9 ใครเป็นกบฏ ก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุก ให้ปล่อย หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนเดือดร้อน”",
"ผลพวงจากสงครามสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) มาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทำให้ไทดำ หรือไทยทรงดำ ถูกกวาดครัวมาอยู่เพชรบุรี ",
"ปัจจุบันในไทยไม่มีกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งในอดีตเคยมีบ่อนถูกกฎหมายเปิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องด้วยปัญหาประชาชนติดการพนัน ได้มีการยกเลิกบ่อนการพนัน จาก 403 ตำบล เหลือ 9 ตำบล และในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการประกาศปิดบ่อนทั่วประเทศในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460[2]"
] |
สไปรูไลนาไม่ถูกมองว่าเป็นแหล่งวิตามินบี12 ที่ดีนักใช่หรือไม่? | [
"สไปรูไลนาไม่ถูกมองว่าเป็นแหล่งวิตามินบี12 ที่ดีนัก การวิเคราะห์ทางเคมีบี12 มาตรฐาน โดยใช้ Lactobacillus leichmannii แสดงให้เห็นว่าสไปรูไลนาเป็นแหล่งที่ให้วิตามินบี12 ที่มีชีวประสิทธิผลน้อยมาก[7] อาหารเสริมสไปรูไลนามีวิตามินเทียม บี12 ซึ่งใช้การไม่ได้ทางชีววิทยาในมนุษย์[8] บริษัทซึ่งปลูกและจัดจำหน่ายสไปรูไลนาอ้างว่า เป็นแหล่งสำคัญของบี12 ตามการวิเคราะห์ทางเคมีอีกชุดหนึ่งและไม่ได้ตีพิมพ์ แม้ว่าการอ้างดังกล่าวจะไม่ได้รับการยอมรับจากองค์การวิทยาศาสตร์เลยก็ตาม สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา และนักโภชนาการแคนาดา ระบุในเอกสารแสดงจุดยืนว่าด้วยเรื่องอาหารมังสวิรัติ ว่า สไปรูไลนาไม่สามารถถูกนับได้ว่าเป็นแหล่งวิตามินบี12 ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้[9] งานตีพิมพ์ทางการแพทย์ก็แนะนำคล้ายกันว่าสไปรูไลนาไม่เหมาะสมจะใช้เป็นแหล่งบี12[8][10]"
] | [
"พืชวงศ์ถั่วและผักใบเขียวเช่น บรอกโคลี ผักวงศ์กะหล่ำปลี และอื่น ๆ เป็นแหล่งเหล็กที่ดีสำหรับคนที่ทานอาหารเจ\nแต่ว่า ผักโขมฝรั่ง (spinach) และบีตรูต มีกรดออกซาลิกซึ่งเข้ายึดกับเหล็ก ทำให้ร่างกายดูดซึมเหล็กไม่ได้\nแต่เหล็กแบบไม่ใช่ heme จะดูดซึมได้ดีกว่าถ้าทานพร้อมกับอาหารที่มีเหล็ก heme หรือวิตามินซี",
"อาหารที่เสริมวิตามินบี12 สามารถเป็นแหล่งวิตามินทุกวันได้ด้วย อาหารที่เสริมวิตามินบี12 อาจรวมซีเรียวอาหารเช้า ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง องค์กรต่าง ๆ (รวมทั้ง UK Vegan Society, Vegetarian Resource, และ Physicians Committee for Responsible Medicine) แนะนำให้ผู้ทานอาหารเจแบบวีแกนที่ได้วิตามินจากอาหารเสริมวิตามินไม่พอให้ทานวิตามินเสริม[24][9][10]",
"ขณะที่ยังเป็นชายฉกรรจ์ในกองทัพโรมัน มาร์แก็ลลุสได้รับการยกย่องจากผู้บังคับบัญชาในด้านทักษะและความกล้าหาญ จากประวัติการรับราชการที่ดี เมื่อ 226 ปีก่อนคริสต์ศักราช เขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งไอดีลิสกูรูลิส () ในสาธารณรัฐโรมัน ตำแหน่งไอดีลิสนั้นถือว่าค่อนข้างมีเกียรติสำหรับชายอย่างมาร์แก็ลลุส เนื่องจากไอดีลิสเป็นผู้ดูแลอาคารสาธารณะและงานเทศกาลตลอดจนดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของประชาชน ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งแรกที่ชาวโรมันจะได้รับในตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง ส่วนตำแหน่งกูรูลิสค่อนข้างแปลกประหลาดเพราะเป็นการแสดงออกซึ่งมีความหมายว่าบุคคลนั้นเป็นชนชั้นพาทริเชียนหรือชนชั้นสูงมากกว่าจะเป็นพลิบีอันหรือสามัญชน มาร์แก็ลลุสได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงจากผู้บังคับบัญชาจนกระทั่งถูกมองว่าเป็นพาทริเชียน ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วครอบครัวของเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นพลิบีอัน ราว ๆ เวลาที่เขาดำรงตำแหน่งไอดีลิส มาร์แก็ลลุสได้รับตำแหน่งเอากูร์หรือโหรหลวง () ซึ่งพลูทาร์กอธิบายว่าเป็นเพราะความสามารถในการแปลความลางบอกเหตุได้ เมื่อเขาอายุได้ประมาณ 40 ปี มาร์แก็ลลุสได้กลายมาเป็นทหารและบุคคลสาธารณะที่ได้รับการสรรเสริญ อาชีพช่วงต้นของมาร์แก็ลลุสปิดฉากลงเมื่อ 222 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเวลานั้นเขาได้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากขึ้นจากการเลือกตั้งเป็นกงสุลแห่งสาธารณรัฐโรมัน ตำแหน่งทางการเมืองและทางการทหารที่สูงสุดในสมัยโรมันโบราณ",
"สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐแนะนำให้หญิงทานเจที่มีครรภ์ทานวิตามินเสริมเพื่อป้องกันการขาด\nเมื่อระบุปัญหาได้แล้ว สามารถรักษาได้ง่าย ๆ โดยให้วิตามินเสริมไม่ทางปากก็ทางการฉีด\nไม่ต้องกังวลว่าจะมีวิตามินบี เกินในบุคคลที่มีสุขภาพดี\nคนไข้บางรายอาจจะดีขึ้นเองถ้ารักษาโรคที่เป็นเหตุ\nในบางกรณีอาจจะต้องทานวิตามินชั่วชีวิตเพราะโรคที่เป็นเหตุไม่สามารถรักษาได้\nการขาดวิตามินบี เป็นเรื่องสามัญ\nประมาณว่า 6% ของคนที่อายุต่ำกว่า 60 และ 20% ของคนที่อายุมากกว่า 60 จะมีปัญหานี้\nโดยอัตราอาจสูงถึง 80% ในบางเขตของทวีปแอฟริกาและเอเชีย",
"การมีวิตามินบี12 ในระดับที่เพียงพอ ยังสัมพันธ์อย่างอิสระกับการลดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าและกับการรู้คิดที่ดีกว่าแม้เมื่อควบคุมตัวแปรกวนแล้ว วิตามินเป็นซับสเตรตของปฏิกิริยาในเซลล์หลายอย่าง รวมทั้งการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิกและสารสื่อประสาทที่อาศัยกระบวนการ methylation และการสังเคราะห์สารสื่อประสาททั้ง 3 อย่าง (รวมทั้งเซโรโทนิน นอร์เอพิเนฟริน และโดพามีน) สามารถช่วยเพิ่มผลของยาแก้ซึมเศร้าที่ใช้โดยปกติ[20]",
"ในปี 2490 เมื่อทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ดร. แมรี่ ชอว์ ชอร์บ ในงานที่ทำร่วมกับ ดร. คาร์ล โฟลเกอร์ส แห่งบริษัทเมอร์ค ได้รับเงินทุนเพื่อพัฒนาแบบทดสอบ \"LLD assay\" เพื่อวิตามินบี12 โดย LLD หมายถึง Lactobacillus lactis Dorner[74] ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่จำต้องได้สารที่เรียกว่า \"LLD factor\" เพื่อการเติบโต ซึ่งต่อมาระบุว่าเป็นวิตามินบี12 ดร. ชอร์บและเพื่อนร่วมงานได้ใช้ LLD assay เพื่อสกัดยาต้าน pernicious anemia จากตับ และในปี 2491 จึงสามารถสกัดวิตามินบริสุทธิ์ได้โดยได้รับการร่วมมือจาก ดร. ชอร์บ[75] ดร. คาร์ล โฟลเกอร์ส และอเล็กซานเดอร์ ทอดด์แห่งประเทศอังกฤษ เพื่อการค้นนี้ ในปี 2492 ดร. ชอร์บ และ ดร. โฟลเกอร์ส ได้รับรางวัล Mead Johnson Award จาก American Society of Nutritional Sciences[75]",
"วิตามินบี12 (English: vitamin B12, cobalamin) เป็นวิตามินละลายน้ำได้ที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำงานเป็นปกติของสมองกับระบบประสาท และการสร้างเม็ดเลือดแดง เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 8 อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึมในเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์ โดยมีผลเฉพาะต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ เมแทบอลิซึมของกรดไขมันและกรดอะมิโน[1] ไม่มีเห็ดรา พืช หรือสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่สามารถสร้างวิตามินบี12ได้ มีแต่สิ่งมีชีวิตประเภทแบคทีเรียและอาร์เคียที่มีเอนไซม์เพื่อสังเคราะห์มันได้ แหล่งของวิตามินที่ได้พิสูจน์แล้วเป็นผลิตภัณฑ์สัตว์รวมทั้งเนื้อ ปลา ผลิตภัณฑ์นม และอาหารเสริม แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงว่า ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่มาจากสัตว์บางอย่างอาจเป็นแหล่งธรรมชาติของวิตามินได้ เพราะอยู่ร่วมกับแบคทีเรีย (bacterial symbiosis) วิตามินบี12 เป็นวิตามินที่ใหญ่ที่สุด มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุด และสามารถสังเคราะห์โดยหมักแบคทีเรีย (bacterial fermentation-synthesis) แล้วใช้เสริมอาหารและเป็นวิตามินเสริม",
"นอกจากอาหารหมักบางอย่างแล้ว[35][36] มีพืช เห็ดรา และสาหร่าย จำนวนน้อยมากที่มีวิตามินบี12 ที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ และทั้งหมดเหล่านี้ไม่เคยได้ทดสอบในมนุษย์ โดยสาหร่ายเกลียวทอง (spirulina) และสาหร่ายแห้งญี่ปุ่นพันธุ์ Porphyra tenera (Asakusa-nori) พบโดยมากว่ามีแต่วิตามินบี12 เทียม ไม่ใช่เป็นวิตามินที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ[14][37]",
"ดังนั้น คำว่าวิตามินบี12 จึงเป็นคำทั่วไปหมายถึงโมเลกุลประกอบด้วยโคบอลต์และวงแหวน corrin ที่มีหน้าที่โดยเฉพาะในร่างกาย ซับสเตรตของโมเลกุลโคบอลต์-วงแหวน corrin ที่เป็นพื้นฐานของวิตามินบี12 แบคทีเรียต้องเป็นตัวสังเคราะห์ หลังจากการสังเคราะห์ ยกเว้นในกรณีที่มีน้อย ร่างกายมนุษย์จะสามารถเปลี่ยนรูปแบบใดแบบหนึ่งของวิตามินบี12 ไปเป็นแบบที่มีฤทธิ์ โดยใช้เอนไซม์กลุ่มพรอสเทติก (กลุ่มที่ไม่ใช่โปรตีนที่เชื่อมอยู่กับโปรตีน) ออกจากอะตอมของโคบอลต์ แล้วแทนที่มันด้วยกลุ่มอื่น รูปแบบทั้ง 4 ของวิตามินบี12 (หรือที่เรียกว่า vitamer) เป็นผลึกสีแดงเข้มเมื่อละลายน้ำ เนื่องจากสีของคอมเพล็กซ์โคบอลต์-วงแหวน corrin",
"วิตามินบี12 ใช้รักษาการขาดวิตามินบี12 ไซยาไนด์เป็นพิษ และการขาดวิตามินบี12โดยกรรมพันธุ์ (hereditary deficiency of transcobalamin II)[3] เป็นวิตามินที่ให้โดยเป็นส่วนของการวินิจฉัยภาวะเลือดจางเหตุขาดวิตามินบี12 (pernicious anemia) โดย Schilling test[3]",
"การขาดวิตามินบี12 อาจทำให้เสียหายอย่างรุนแรงโดยฟื้นคืนไม่ได้ โดยเฉพาะต่อสมองและระบบประสาท[16] ในระดับที่ต่ำกว่าปกติเพียงเล็กน้อย อาจมีอาการเช่นความล้า อารมณ์ซึมเศร้า และความจำไม่ดี[2] การขาดวิตามินอาจเป็นเหตุของอาการฟุ้งพล่าน (mania) หรืออาการโรคจิต (psychosis)[17][18]",
"การขาดวิตามินบี12 เกิดจากการทานไม่พออย่างสามัญที่สุด แต่ว่าอาจเกิดจากการดูดซึมได้ไม่ดี โรคทางลำไส้บางอย่าง การมีโปรตีนยึดเหนี่ยว (binding protein) น้อย หรือเมื่อใช้ยาบางประเภท วิตามินมีน้อยมากในพืช และดังนั้น คนที่ทานเจมีโอกาสขาดวิตามินสูงสุด ทารกจะเสี่ยงขาดวิตามินสูงกว่าถ้าแม่ทานเจ ผู้สูงอายุที่จำกัดการทานผลิตภัณฑ์สัตว์เป็นกลุ่มที่เสี่ยงอีกกลุ่มหนึ่ง[19]",
"(2) 5-methyltetrahydrofolate-homocysteine methyltransferase (MTR) หรือรู้จักว่า methionine synthase เป็นเอนไซม์ methyltransferase ที่ใช้วิตามินในรูปแบบ MeB12 และปฏิกิริยาแบบ 2 เพื่อย้ายกลุ่ม methyl จาก 5-methyltetrahydrofolate ไปยัง homocysteine แล้วสร้าง tetrahydrofolate (THF) และ methionine[61] ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เสียไปเมื่อขาดวิตามินบี12 มีผลเป็นระดับ homocysteine ที่สูงขึ้น และเป็นโฟเลตติดกับดักอยู่ในรูป 5-methyl-tetrahydrofolate โดยไม่สามารถเปลี่ยนเป็น THF (ซึ่งเป็นโฟเลตแบบที่มีฤทธิ์) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ และดังนั้น ระดับ THF ที่ลดลงจะทำให้ไม่สามารถสร้างเซลล์ที่ผันเวียนอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเม็ดเลือดแดงและเซลล์ผนังลำไส้ที่มีหน้าที่ดูดซึมอาหาร เพราะว่า กระบวนการ MTR สามารถสร้าง THF ใหม่ก็ได้ หรือโฟเลตใหม่อาจได้จากอาหารก็ได้ ดังนั้นผลเกี่ยวกับการสังเคราะห์ดีเอ็นเอจากการขาดวิตามินบี12 รวมทั้งภาวะเลือดจางแบบเม็ดเลือดใหญ่ (megaloblastic anemia) ซึ่งปรากฏใน pernicious anemia จะหายถ้าทานโฟเลตเพียงพอ และดังนั้น หน้าที่ที่รู้จักดีที่สุดของวิตามินบี12 (รวมทั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ การแบ่งเซลล์ และภาวะเลือดจาง) ความจริงเป็นการอำนวยให้เกิดโฟเลตในรูปแบบที่มีฤทธิ์ซึ่งจำเป็นในการผลิตดีเอ็นเอที่มีประสิทธิภาพ[62] นอกจากนั้นแล้ว เอนไซม์ย้ายกลุ่ม methyl อย่างอื่นที่จำเป็นต้องได้วิตามินบี12 เป็น coenzyme ก็ยังมีอีกในแบคทีเรีย เช่น Me-H4-MPT, coenzyme M methyltransferase",
"นิตยสารชีวจิตรายงานว่าอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว ก็เป็นแหล่งวิตามินบี12 ด้วย[23]",
"การมีระดับวิตามินบี12 หรือ cobalamin สูง (คือสูงกว่า 600pmol/L) โดยไม่ได้ทานเสริมอาจเป็นอาการของโรคที่รุนแรง แต่ว่าในกรณีเช่นนี้ เชื่อว่า วิตามินเป็นตัวบ่งโรค ไม่ใช่เหตุ เหตุอย่างหนึ่งของการมีระดับวิตามินสูงก็คือการมีโรคตับทั่วไป เนื่องจากการแยกสลายเซลล์ตับ (hepatic cytolysis) จะปล่อยวิตามินออกในเลือด และตับที่มีปัญหาจะกำจัดวิตามินได้น้อยกว่า ดังนั้น ตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งเซลล์ตับ โรคตับเหตุการแพร่กระจายของเนื้อร้าย (metastatic liver disease) สามารถมาพร้อมกับระดับวิตามินที่สูงขึ้น",
"วิตามินบี12 พบในผลิตภัณฑ์สัตว์โดยมาก รวมทั้งปลาและหอย เนื้อ (โดยเฉพาะตับ) ไก่ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์นม[2] แต่การดูดซึมวิตามินจากไข่น้อยกว่า 9% เทียบกับ 40%-60% จากปลา สัตว์ปีก และเนื้อ[22] สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (NIH) ซึ่งกำหนดการได้วิตามิน 100% ต่อวันที่ 6 μg/วัน แสดงแหล่งวิตามินจากสัตว์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้[2]",
"ยังไม่มีการทดลองในมนุษย์โดยมีขนาดตัวอย่างพอเพื่อเป็นหลักฐานของฤทธิ์เอนไซม์ของวิตามินบี12 ที่มาจากแหล่งอื่นนอกจากแบคทีเรีย เช่น สาหร่ายในสกุล Chlorella และสาหร่ายทะเลที่ทานได้อื่น ๆ แม้ว่า ทางเคมีแล้ว แหล่งเหล่านี้จะรายงานว่ามีรูปแบบวิตามินที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้าย ๆ กับวิตามินที่มีฤทธิ์[15]",
"การดูดซึมจากใต้ลิ้นโดยตรงยังไม่มีหลักฐานว่าจำเป็นหรือมีประโยชน์ แม้ว่าจะมียาและแม้แต่วิตามินเสริมที่ทำเป็นรูปขนมอมยิ้มที่ขายสำหรับให้ดูดซึมใต้ลิ้น งานศึกษาปี 2546 ไม่พบความแตกต่างที่สำคัญในการดูดซึมเข้าเลือดระหว่างที่ทานหรือที่ \"ดูดซึมใต้ลิ้น\" สำหรับวิตามมิน (cobalamin) ขนาด 0.5มก.[25] การเสริมวิตามินใต้ลิ้นมีผลก็เพียงเพราะว่ามีขนาดสูง (0.5มก.) และในที่สุดก็ต้องกลืน ไม่ใช่เป็นอะไรที่ดีกว่ายาทาน",
"เนื้อแดงมีแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ รวมทั้งธาตุเหล็ก, creatine, สังกะสีและฟอสฟอรัส, วิตามินบี (รวมทั้งไนอาซิน วิตามินบี12 ไทอามีน และไรโบเฟลวิน )\nเป็นแหล่งหนึ่งของ alpha lipoic acid",
"Methyl-B12 สามารถดูดซึมได้ผ่านกระบวนการสองอย่าง อย่างแรกเป็นการดูดซึมผ่านลำไส้โดยใช้ intrinsic factor ซึ่งสามารถดูดซึมได้ 1-2 ไมโครกรัมทุก ๆ 2-3 ชม. อย่างที่สองเป็นการแพร่ ซึ่งดูดซึมวิตามิน 1% ที่เหลือ[64] แต่กระบวนการทางสรีรภาพของมนุษย์เกี่ยวกับวิตามินบี12 เป็นเรื่องซับซ้อน และดังนั้น จึงง่ายที่จะมีปัญหาทำให้ขาดวิตามินบี12 เช่น วิตามินที่ยึดอยู่กับโปรตีนต้องย่อยออกจากโปรตีนก่อนโดยฤทธิ์ของเอนไซม์ protease ที่เป็นตัวย่อยทั้งในกระเพาะอาหารและในลำไส้เล็ก[65] ส่วนกรดกระเพาะอาหารเป็นตัวย่อยวิตามินออกจากตัวอาหาร ดังนั้น ยา antacid หรือขัดขวางการหลั่งกรด (โดยเฉพาะยายับยั้งการหลั่งกรด) อาจจะขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี12 นอกจากนั้นแล้ว บางคนยังหลั่งกรดน้อยลงเมื่อสูงอายุขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสขาดวิตามินด้วย[66]",
"สารอาหารลิพิดของสไปรูไลนามีอยู่ราว 7% โดยน้ำหนัก[11] และอุดมไปด้วยกรดแกมมาไลโนเลนิก และยังพบกรดอัลฟาไลโนเลนิก, กรดไลโนเลอิก, กรดสเตียริโดนิก, กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก, กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิกและกรดอะราคิโดนิก[5][12] สไปรูไลนามีวิตามินบี1 (ไทอามีน), บี2 (ไรโบฟลาวิน), บี3 (ไนโคไทนาไมด์), บี6 (ไพริโดซีน), บี9 (กรดโฟลิก), วิตามินซี, วิตามินดี, วิตามินเอ และวิตามินอี[5][12] นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งโพแทสเซียม, แคลเซียม, โครเมียม, ทองแดง, เหล็ก, แมกนีเซียม, แมงกานีส, ฟอสฟอรัส, เซเลเนียม, โซเดียม และสังกะสี[5][12] สไปรูไลนามีรงควัตถุหลากหลายซึ่งอาจมีทั้งประโยชน์และชีวประสิทธิผล รวมทั้งบีตา-แคโรทีน, ซีแซนทีน, คลอโรฟิลล์-เอ, แซนโทฟิลล์, เอคินีโนน, ไมโซแซนโทฟิลล์, แคนทาแซนทิน, ไดอาโทแซนทิน, 3'-ไฮดรอกซีเอคินีโนน, บีตา-คริปโตแซนทิน และออสซิลาแซนทิน บวกกับไฟโคบิลิโปรตีน ซี-ไซโคไซยานินและอัลโลไซโคไซยานิน[1]",
"ไม่มีพืชหรือสัตว์ที่สามารถสร้างวิตามินบี12 ได้โดยตนเอง[48] มีแต่สิ่งมีชีวิตแบบแบคทีเรีย และอาร์เคียเท่านั้น[49] ที่มีเอนไซม์ในการสังเคราะห์วิตามินทางชีวภาพ กระบวนการสังเคราะห์วิตามินบี12 เต็มรูปแบบรายงานเป็นครั้งแรก โดยคู่นักเคมีชาวอเมริกันและชาวสวิสในปี 2515[50][51][52] ซึ่งก็ยังคงเป็นงานคลาสสิกในเรื่องการสังเคราะห์ทางอินทรีย์ สปีชีส์จากสิ่งมีชีวิตเหล่าที่รู้ว่าสามารถสังเคราะห์วิตามินบี12 ได้คือ Acetobacterium, Aerobacter, Agrobacterium, Alcaligenes, Azotobacter, Bacillus, Clostridium, Corynebacterium, Flavobacterium, Lactobacillus, Micromonospora, Mycobacterium, Nocardia, Propionibacterium, Protaminobacter, Proteus, Pseudomonas, Rhizobium, Salmonella, Serratia, Streptomyces, Streptococcus และ Xanthomonas การผลิตวิตามินบี12 ทำโดยหมักจุลินทรีย์ที่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง[53]",
"สถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของแคนาดา ระบุว่า หอยเชอรี่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร คือเป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง (ไทอามีน) วิตามินบีสอง (ไรโบเฟลวิน) วิตามินบีสาม (ไนอาซิน) วิตามินซี (กรดแอสคอร์บิค) และวิตามินดี (แคลซิฟีรอล) การบริโภคหอยเชอรี่ช่วยให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุประเภท แร่เหล็ก ทองแดง ไอโอดีน แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี แมงกานีส และฟอสฟอรัส อย่างไรก็ตาม หอยเชอรี่ดิบอาจมีพยาธิและแบคทีเรีย จึงควรหลีกเลี่ยง",
"hydroxocobalamin เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของวิตามิน แต่ปกติจะไม่มีในร่างกายมนุษย์ และบางครั้งเรียกว่าเป็นวิตามินบี12a นี่เป็นรูปแบบที่ผลิตโดยแบคทีเรีย แต่จะเปลี่ยนเป็น cyanocobalmin เมื่อผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์โดยใช้ถ่าน hydroxocobalamin ชอบเข้ายึดกับไอออนไซยาไนด์มาก และดังนั้นจึงใช้เพื่อแก้พิษไซยาไนด์ ซึ่งมักจะผลิตเป็นรูปยาน้ำเพื่อใช้ฉีด hydroxocobalamin เชื่อว่า เปลี่ยนเป็นรูปแบบเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ของวิตามินได้ง่ายกว่า cyanocobalamin มักจะแพงกว่า และดำรงอยู่ในร่างกายได้นานกว่า จึงมักใช้รูปแบบนี้ในกรณีที่ต้องมั่นใจว่าวิตามินจะมีฤทธิ์ การฉีด hydroxocobalamin ในกล้ามเนื้อมักใช้สำหรับเด็กที่มีปัญหาเมแทบอลิซึมกับวิตามินบี12 สำหรับผู้ขาดวิตามินที่ตามัวเพราะสูบบุหรี่ (ซึ่งเชื่อว่า บุหรี่อาจเป็นพิษให้เกิดไซยาไนด์) และสำหรับคนไข้ pernicious anemia ที่มีโรคเส้นประสาทตา (optic neuropathy)",
"ยารักษาโรคในกระเพาะประเภท H2-receptor antagonist รวมทั้งไซเมทิดีน ฟาโมทิดีน นิซาทิดีน และแรนิทิดีน ระดับกรดในกระเพาะและเอนไซม์เพพซินที่ลดลงเหตุยา อาจลดการดูดซึมวิตามินบี12 ที่ยึดอยู่กับโปรตีนในอาหาร แต่จะไม่ลดระดับการดูดซึมวิตามินเสริม เพราะว่า ต้องมีกรดในกระเพาะเพื่อจะย่อยวิตามินออกจากโปรตีนที่ยึดวิตามินเพื่อให้ดูดซึมได้ ส่วนการขาดวิตามินบี12 ในระดับที่แสดงอาการสำคัญ และภาวะเลือดจางแบบเม็ดเลือดโต (megaloblastic anemia) เพราะเหตุนี้มีโอกาสน้อย ยกเว้นถ้าใช้ยาเป็นเวลานาน (2 ปีหรือมากกว่านั้น) หรือว่ามีโภชนาการที่ไม่ดี และจะมีโอกาสสูงยิ่งขึ้นสำหรับคนที่เกิดภาวะไร้กรดเกลือ (achlorhydria) คือกระเพาะไม่หลั่งกรดเลย ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยกว่าในคนที่ใช้กลุ่มยา proton pump inhibitor ดังนั้น ระดับวิตามินจึงควรสอดส่องในบุคคลที่ใช้ยา H2 blocker ในขนาดสูงเป็นระยะเวลานาน เมตฟอร์มิน อาจลดระดับกรดโฟลิกและวิตามินบี12 ในเลือด การใช้ยาในขนาดสำคัญเป็นระยะเวลานานเพิ่มความเสี่ยงการขาดวิตามินบี12 และสำหรับคนไข้ที่ขาด การมี homocysteine เกิน (hyperhomocysteinemia) เป็น \"ปัจจัยเสี่ยงอิสระต่อโรคหัวใจ โดยเฉพาะในบุคคลที่มีโรคเบาหวานประเภท 2\"[42] มีรายงานแม้จะน้อยของภาวะเลือดจางแบบเม็ดเลือดโต (megaloblastic anemia) สำหรับบุคคลที่ทานยา 5 ปีขึ้นไป ระดับวิตามินที่ลดลงเกิดใน 30% สำหรับบุคคลที่ทานยาเป็นประจำ[43][44] แต่ว่าการขาดวิตามินในระดับที่ปรากฏอาการมีโอกาสน้อยถ้าทานวิตามินพอ การขาดสามารถแก้ได้โดยให้วิตามินบี12 เสริมแม้จะใช้ยาต่อไป ส่วนภาวะการดูดซึมวิตามินบี12 ได้ไม่ดีเนื่องจากยา สามารถแก้ได้โดยให้แคลเซียมทานเสริม[45] ความสำคัญทางคลินิกโดยทั่วไปของยาต่อระดับวิตามินบี12 ยังเป็นเรื่องไม่ชัดเจน[46] ยายับยั้งการหลั่งกรด (PPIs) รวมทั้งโอมีปราโซล, lansoprazole, ราบีปราโซล, pantoprazole, และ esomeprazole คือ ระดับกรดในกระเพาะและเพพซินที่ลดลงเนื่องจาก PPIs สามารถลดการดูดซึมวิตามินบี12 ที่ยึดกับโปรตีนได้ แต่จะไม่ลดการดูดซึมวิตามินเสริม (ที่ไม่ได้ยึดกับโปรตีน) เพราะว่า กรดกระเพาะอาหารจำเป็นเพื่อย่อยวิตามินออกจากโปรตีนที่ยึดกับวิตามินเพื่อการดูดซึม ระดับวิตามินที่ลดลงอาจสามัญสำหรับ PPIs มากกว่า H2-blocker เพราะว่า PPIs มีโอกาสทำให้เกิดภาวะไร้กรดเกลือ (achlorhydria) สูงกว่า ซึ่งกรดกระเพาะอาหารไม่หลั่งออกโดยสิ้นเชิง แต่การขาดวิตามินที่มีนัยสำคัญทางคลินิกมีโอกาสน้อย นอกจากใช้ยาเป็ระยะเวลานาน (2 ปีหรือมากกว่านั้น) หรือทานวิตามินไม่พอ ดังนั้น ควรสอดส่องระดับวิตามินบี12 ในคนไข้ที่ใช้ยา PPIs ขนาดสูงเป็นระยะเวลานาน",
"ได้มีการเสนอว่า ระดับวิตามินบี12 ที่สูงขึ้นในเลือดเป็นตัวพยากรณ์ความเสี่ยงตายในห้องไอซียู แต่งานวิจัยปี 2557 แสดงว่า \"ระดับวิตามินบี12 ที่สูงขึ้นไม่ได้เป็นตัวพยากรณ์อัตราการตายที่สำคัญหลังจากรับเข้าห้องไอซียู เมื่อควบคุมการทำงานของตับแล้ว แต่อาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าตับทำงานได้ไม่ดี\"[38]",
"Streptomyces griseus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เคยคิดว่าเป็นยีสต์ เป็นแหล่งผลิตวิตามินบี12 หลักเป็นเวลาหลายปี[54][55] แต่ปัจจุบันมักจะใช้ Pseudomonas denitrificans และ Propionibacterium freudenreichii subsp. shermanii[56] แบคทีเรียเหล่านี้บ่อยครั้งเลี้ยงอย่างพิเศษเพื่อเพิ่มผลผลิต และบริษัทอย่างน้อยหนึ่งแห่ง (เช่น Sanofi-Aventis) ใช้แบคทีเรียที่ผ่านพันธุวิศวกรรม แต่เนื่องจากว่า สปีชีส์ต่าง ๆ ของ Propionibacterium ไม่มีพิษทั้งภายในและภายนอกแบคทีเรีย และพิจารณาว่าปลอดภัยโดยทั่วไป (g</b>enerally r</b>egarded a</b>s s</b>afe หรือได้สถานะ GRAS) โดยองค์การอาหารและยาสหรัฐ จึงเป็นแบคทีเรียประเภทที่องค์กรให้ความเชื่อใจมากกว่า (preferred) ในการผลิตวิตามินบี12[57]",
"คนไข้กลุ่มที่สามที่มีระดับ cobalamin สูงโดยไม่ได้เสริม (> 600pmol/L) อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อมะเร็งเนื่องจากสูบบุหรี่หรือดื่มสุราโดยไม่ใช่โรคเลือด (โดยมากจะได้วินิจฉัยมะเร็งภายใน 1 ปีหลังจากตรวจเจอวิตามินสูง) ในการศึกษาประชากร 333,000 คนในประเทศเดนมาร์ก คนที่มีระดับวิตามินบี12 สูงมีโอกาสเกิดมะเร็งบางอย่างสูงกว่า 3-6 เท่าของคนที่มีระดับปกติ[40]",
"วิตามินดี หมายถึง เซกโคสเตอรอยด์ (secosteroids) ที่ละลายในไขมันกลุ่มหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เสริมการดูดซึมแคลเซียม เหล็ก แม็กนีเซียม ฟอสเฟตและสังกะสี ในมนุษย์ สารประกอบที่สำคัญที่สุดในกลุ่มนี้ คือ วิตามินดี3 (หรือ คอเลแคลซิเฟรอล [cholecalciferol]) และวิตามินดี2 (เออร์โกแคลซิเฟรอล [ergocalciferol]) คอเลแคลซิเฟรอลและเออร์โกแคลซิเฟรอลสามารถดูดซึมจากอาหารและอาหารเสริมได้ มีอาหารน้อยชนิดมากที่มีวิตามินดี การสังเคราะห์วิตามินดี (โดยเฉพาะคอเลแคลซิเฟรอล) ในผิวหนังเป็นแหล่งของวิตามินดังกล่าวตามธรรมชาติที่สำคัญเพียงแหล่งเดียว การสังเคราะห์วิตามินดีของผิวหนังจากคอเลสเตอรอลอาศัยการได้รับแสงแดด (โดยเฉพาะรังสียูวีบี)"
] |
ใครเป็นผู้ก่อตั้ง สำนักพิมพ์ ดีซี คอมิคส์? | [
"ดีซีคอมิกส์ (English: DC Comics) เป็นสำนักพิมพ์หนังสือการ์ตูนอเมริกาที่ใหญ่และประสบความสำเร็จที่สุดแห่งหนึ่ง ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของดีซีเอนเตอร์เทนเมนท์ซึ่งเป็นบริษัทลูกของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์[1] ซึ่งมีเจ้าของใหญ่คือไทม์ วอร์เนอร์ ดีซีคอมิกส์จัดพิมพ์หนังสือการ์ตูนและมีตัวละครที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ซูเปอร์แมน แบทแมน วันเดอร์วูแมน โรบิน อะควอแมน ฮอว์คแมน กรีนแอร์โรว์ มาร์เชี่ยนแมนฮันเตอร์ กรีนแลนเทิร์น แฟลช และทีมซูเปอร์ฮีโร เช่น จัสติสโซไซตีออฟอเมริกา จัสติสลีก ทีนไททันส์ ดูมแพโทรล และตัวละครตัวร้ายเช่นเล็กซ์ ลูเธอร์ โจ๊กเกอร์ ริดเดลอร์ มิสเตอร์ฟรีซ แคทวูแมน ซิเนสโตร เพนกวิน ทูเฟซ นายพลซ็อด เบรนิแอก ฮาร์ลีย์ ควินน์ ดาร์กไซด์ และโลโบ เป็นต้น"
] | [
"ซูเปอร์แมนปรากฏตัวครั้งแรกในนิตยสาร แอคชั่น คอมิคส์ เล่มที่ 1 จัดพิมพ์วันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1938 (จัดจำหน่าย มิถุนายน ค.ศ. 1938)[24] ในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการเปิดตัว ซูเปอร์แมนฉบับรวมเล่ม โดยเป็นการรวบรวมตอนที่ตีพิมพ์จากนิตยสาร \"แอคชั่น คอมิคส์\" ส่งผลให้ยอดขายของหนังสือนั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก[25] จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1939 ซูเปอร์แมนถูกนำไปตีพิมพ์ในนิตยสาร นิว ยอร์ค เวิลด์ แฟร์ คอมิคส์ ที่ภายหลังในหน้าร้อนในปี ค.ศ. 1942 ได้ทำการเปลี่ยนชื่อมาเป็น เวิลด์ ฟินเนท คอมิคส์ รวมถึงในฉบับที่ 7 ของ ออล สตาร์ คอมิคส์ นอกจากนั้นซูเปอร์แมนยังออกมาปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในบทบาทของสมาชิกกิตติมศักดิ์แห่งกลุ่มจัสทิส โซไซตี้ออฟอเมริกาอีกด้วย",
"ในปี ค.ศ. 1945, ซูเปอร์บอย ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในนิตยสาร มอร์ ฟัน คอมิคส์ ฉบับที่ 101 หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1946 ได้ย้ายมาตีพิมพ์ในนิตยสาร แอดเวนเจอร์ คอมิคส์ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า ซูเปอร์บอยและได้ทำการรวมเล่มในปี ค.ศ. 1949 จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.1950 ได้มีการเปิดตัวผลงานชุดใหม่ของซูเปอร์แมนเรื่องซูเปอร์แมน พอล จิมมี่ โอลเซ่น (ในปี ค.ศ. 1954) และ ซูเปอร์แมน เกิร์ลเฟรนด์ ลูอิส เลน (ในปี ค.ศ. 1958) ต่อมาในปี ค.ศ.1974 ทั้ง2เรื่องได้ถูกรวมเข้าไปอยู่ในชุดซีรีส์ของ ซูเปอร์แมน แฟมิลี่ อย่างไรก็ตามซีรีส์ชุดนี้ถูกทำการยกเลิกไปในปี ค.ศ.1982 ส่วนนิตยสาร ดีซีคอมิกส์ พรีเซนท์ ที่ทำการตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1978 ถึงปี ค.ศ.1986 จะทำการเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการรวมตัวของซูเปอร์แมนและตัวละครอื่นๆใน ดีซี ยูนิเวอร์ส.",
"เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้อำนวยการ ศูนย์บูรณาการศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ (CID) ที่ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ \nเป็นผู้ก่อตั้งชมรมมังกรธรรมเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในแนวทางบูรณาการสู่สังคม\nปี ค.ศ. 2012 เขียนหนังสือชุดไตรภาค \"บันทึกเนตรฟ้าใจวารี\" ที่บันทึกประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของตัวเองในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ล่าสุดได้นำเสนอ กรรมฐานเนตรฟ้า สู่สังคมไทยที่บูรณาการลมปราณกรรมฐานกับธาตุกายสิทธิ์ (แก้วบารมี) เข้าด้วยกัน นอกจากงานเขียนไตรภาค บันทึกเนตรฟ้าใจวารี (สำนักพิมพ์กรีนปัญญาญาณ) แล้ว ยังได้เขียนหนังสือ \"เหนือมะเร็ง\" และ \"ตันตระโยคะศาสตร์เหนือวัย\" (สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์) เป็นชุดหนังสือสุขภาพยอดคนออกมาด้วย รวมทั้งหนังสือ \"ซามูไรสอนลูก\" (สำนักพิมพ์โอเพ่นบุกส์)",
"ในปีค.ศ.1993 ดีซีได้ทำการเปิดตัวซูเปอร์บอยคนใหม่ซึ่งเป็นวัยรุ่นที่ถูกโคลน จากของซูเปอร์แมนและเล็กซ์ ลูเธอร์ มีชื่อตามภาษาคริปตันว่า คอน-เอล และใช้ชีวิตอยู่บนโลกในฐานะ คอนเนอร์ เคนท์ ลูกพี่ลูกน้องของซูเปอร์แมน ซูเปอร์บอยคนใหม่ก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเองใน<i data-parsoid='{\"dsr\":[4339,4360,2,2]}'>นิตยสารซูเปอร์บอย(ชุดที่3) ทำการตีพิมพ์ตั้งแต่ปีค.ศ.1994 ถึง ค.ศ.2002 รวมถึงมีบทบาทในกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่วัยรุ่น นอกจากนี้คอน-เอลยังได้เข้าไปมีบทบาทในนิตยสารแอดเวนเจอร์ คอมิคส์ ที่ทางดีซีได้ปรับปรุงเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมดและมีเรื่องราวเป็นของตัวเองที่ทำการตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2010 จนถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2011 ส่วนเรื่องราวชุดใหม่ของคอน-เอล ทางดีซีได้ทำการเริ่มเรื่องราวใหม่ทั้งหมดและจัดพิมพ์เป็นผลงานชุดใหม่ของซูเปอร์บอยควบคู่ไปกับเรื่องราวอื่นๆในจักรวาล นิว52 ซึ่งเริ่มจัดจำหน่ายในเดือนกันยายน ค.ศ.2011 ซูเปอร์บอยคนใหม่ได้เริ่มมีบทบาทในเรื่อง สมอลล์วิลล์ ที่จัดจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม ค.ศ.2011 ในตอนที่มีชื่อว่า “ทายาท” ซึ่งกล่าวถึง(ในนิตยสาร) คอนเนอร์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากการโคลนนิ่งดีเอ็นเอระหว่าง เล็กซ์ และ คลาร์ก และมีพลังคล้ายคลึงกับซูเปอร์แมน นอกจากนี้ซูเปอร์บอยยังได้ไปปรากฏตัวในผลงานการ์ตูนทางโทรทัศน์ที่มีชื่อว่า ยัง จัสทิส ซึ่งออกอากาศตั้งแต่ปีค.ศ.2011-2013",
"ด้วยเหตุผลที่หลายหลาย วารสารแบบเปิดถูกก่อตั้งขึ้นโดยสำนักพิมพ์ที่ล่าเหยื่อซึ่งมีเป้าหมายในการหาต้นแบบที่จะทำกำไรโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของวารสาร ผู้ทบทวนงานวิจัยที่ชื่อว่า เจฟฟรี่ บีลล์ ได้เผยแพร่ \"บัญชีรายชื่อของสำนักพิมพ์ที่ล่าเหยื่อ\" และวิธีการระบุสำนักพิมพ์ที่มีการปฏิบัติทางการเงินและการบรรณาธิการที่ขัดแย้งกับการปฏิบัติของงานวิจัยที่ดี",
"นายสุข สูงสว่าง (พ.ศ. 2475 - 13 มกราคม พ.ศ. 2550) ผู้ก่อตั้งกลุ่มธุรกิจหนังสือดวงกมล ประกอบด้วยร้านหนังสือดวงกมล สำนักพิมพ์ดวงกมล (D.K. Book House) เป็นผู้นำเข้าตำราภาษาอังกฤษ และผู้จัดพิมพ์หนังสือและตำราวิชาการเป็นภาษาไทยเป็นจำนวนมาก เป็นผู้ก่อตั้งนิตยสาร \"โลกหนังสือ\" เมื่อ พ.ศ. 2520 เป็นผู้ก่อตั้งร้านหนังสือดวงกมล สาขาซีคอนสแควร์ ซึ่งเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีแนวความคิดที่จะตั้งเมืองหนังสือ ที่อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ให้เป็นแหล่งซื้อขายหนังสือที่ใหญ่ที่สุด และสร้างหมู่บ้านนักเขียนนานาชาติ ที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี แต่โครงการล้มเลิกไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ เมื่อ พ.ศ. 2540 ",
"โทระโดระ! ยายเสือใสกับนายหน้าโหด () เป็นไลท์โนเวล แต่งโดย ยูยูโกะ ทาเคมิยะ และวาดภาพประกอบโดย ยาสึ วางจำหน่ายเล่มแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2006 ส่วนเล่ม 10 เป็นเล่มจบของฉบับไลท์โนเวล วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2009 โดยสำนักพิมพ์ เด็งเงคิ บุงโกะ ในเครือ ASCII มีเดียเวิร์กส และมีนิยายที่มีเนื้อเรื่องแยกออกมาจากเนื้อเรื่องหลัก ใช้ชื่อว่า โทระโดระ สปริน-ออฟ! วางจำหน่ายเล่มแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2007 และมังงะวาดโดย เซคเคียว ลงในนิตยสาร Dengeki Comic Gao! ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2007 สำนักพิมพ์ เด็งเงคิ คอมิคส์ โดยหลังจากนิตยสาร Dengeki Comic Gao! ปิดตัวลง วันที่ 27 มกราคม 2008 ก็ได้รับการตีพิมพ์ต่อในนิตยสาร Dengeki Daioh ในวันที่ 21 มีนาคม 2008",
"แต่เดิมนั้นผลงานของซูเปอร์แมนนั้นเป็นของนิตยสาร แอคชั่น คอมิคส์ โดยชีเกลและชูสเตอร์ได้ตกลงทำสัญญาการจัดพิมพ์เรื่องราว ตัวละคร และสิ่งของต่างภายใต้แบรนด์ของซูเปอร์แมน โดยทั้งคู่ได้ค่าทำสัญญาเป็นเงิน $130 [53][54] หนังสือพิมพ์ เดอะ แซทเทอร์เดย์ อีฟนิ่ง โพสท์ ได้ทำการรายงานในปี ค.ศ.1940 เอาไว้ว่าทั้งคู่ได้ค่าตอบแทนประมาณ $75,000 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนที่น้อยมากถ้าเทียบกับรายได้ของนิตยสารที่มีจำนวนผู้อ่านเป็นล้านคนที่ติดตามอ่านเรื่องซูเปอร์แมน [55] ชีเกลและชูสเตอร์จึงได้ทำการต่อรองเรื่องรายได้ในสัญญาฉบับใหม่แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าจนในปี ค.ศ. 1947 ชีเกลและชูสเตอร์ ได้ทำการยื่นฟ้องร้องเพื่อที่จะทำให้สัญญาที่พวกเขาเคยทำไว้ในปี ค.ศ.1938 กลายเป็นโมฆะ และทำสัญญาลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ให้กับผลงานเรื่องซูเปอร์แมน นอกจากนั้นทั้งคู่ยังยื่นฟ้องต่อสำนักพิมพ์ในปีเดียวกันเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ของซูเปอร์บอย ซึ่งพวกเขาให้เหตุผลว่าเป็นตัวละครที่พวกเขาสร้างแยกออกมาซึ่งถูกทางสำนักพิมพ์นำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต หลังจากเหตุการณ์นั้นทั้งคู่ถูกไล่ออกจากสำนักพิมพ์ทันทีแต่ทางสำนักพิมพ์ก็ยังเก็บผลงานต่างๆของทั้งคู่เอาไว้ ในที่สุดการต่อสู้ทางกฎหมายก็จบลงในปี ค.ศ.1948 เมื่อศาลแห่งนิวยอร์กได้ตัดสินให้ยึดถือสัญญาที่เคยทำไว้ในปี ค.ศ.1938 อย่างไรก็ตามการพิจารณาคดีจากผู้พิพากษา เจ แอดดิสัน ยัง ทั้งคู่ก็ยังได้รับข่าวดีอยู่บ้างในลิขสิทธิ์การครอบครองซูเปอร์บอย หลังจาก 1เดือนในการตัดสินคดีการครอบครองลิขสิทธิ์ในซูเปอร์บอยทั้งสองฝ่ายก็หาข้อยุติได้ โดยสำนักพิมพ์จะทำการจ่ายเงินให้กับชีเกลและชูสเตอร์เป็นจำนวนราว $94,000 สำหรับค่าลิขสิทธิ์ที่ถือครองผลงานเรื่อง ซูเปอร์บอย ส่วนสถานะของทั้งคู่ในสำนักพิมพ์ยังคงเป็นที่ยอมรับในฐานะนักเขียนผู้สร้างผลงานเรื่องซูเปอร์แมน แต่ทางดีซีนั้นก็ปฏิเสธที่จะรับทั้งคู่กลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง [56] ในปี ค.ศ.1973 ชีเกลและชูสเตอร์ ต้องมีเรื่องในการฟ้องร้องลิขสิทธิ์เกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของซูเปอร์แมน ซึ่งครั้งนี้เป็นผลมาจาก กฎหมายลิขสิทธิ์ที่ชื่อว่า กฎหมายว่าด้วยการครอบครองลิขสิทธิ์ ฉบับปีค.ศ.1909 กฎหมายที่ทำให้มีสิทธิ์ในการครอบครองผลงานได้ 28 ปี แต่สามารถทำการขยายสัญญาได้ในกรณีพิเศษออกไปอีก 28 ปี ซึ่งข้อโต้แย้งของทั้งคู่นั้นต้องการให้ดีซีถือลิขสิทธิ์นี้ได้แค่ 28 ปีเท่านั้น ซึ่งครั้งนี้ทั้งคู่แพ้คดีทั้ง 2 ศาลไม่ว่าจะเป็น ศาลแขวง ได้พิจารณาคดีเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ.1973 และ ศาลอุทธรณ์ ได้พิจารณาคดีเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1974[57][58]",
"เจอรี ชีเกล และ โจ ชูสเตอร์ ได้ทำการออกแบบตัวละครฝ่ายอธรรมที่มีลักษณะหัวล้าน ผู้ที่มีความสามารถใช้ พลังจิต เพื่อคุกคามโลก ในผลงานเรื่องสั้นที่ชื่อว่า \"เดอะ เรนจ์ออฟเดอะ ซูเปอร์-แมน\" ตีพิมพ์ในนิตยสาร \"ไซน์ ฟิคชั่น\" ฉบับที่ 3 โดยเป็นผลงานในรูปแบบแฟนซีน ออกจัดจำหน่ายในปี ค.ศ.1933[10] ซีเกลได้ทำการออกแบบตัวละครอีกตัวในปีถัดมา มีรูปแบบเป็นฮีโร่ที่มีลักษณะ อุปนิสัย เป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ว่ากันว่าต้นแบบของซูเปอร์แมนนั้นคือ ดั๊กลาส แฟร์แบ๊งส์ ส่วนต้นแบบของ คลาร์ก เคนต์ บุคลิกของซูเปอร์แมนตอนใช้ชีวิตแบบคนทั่วๆไปนั้นก็คือ แฮโรลด์ ลอยด์.[11][12] กำกับดูแลเรื่องภาพวาดและลายเส้นโดยลี แอล แอบเนอร์และดิ๊ค เทรซี่ ทั้งชีเกลและชูสเตอร์ต้องใช้เวลาถึง 6 ปี ในการหาสำนักพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์เรื่อง เดอะ ซูเปอร์แมน ชีเกลและชูสเตอร์นั้นได้รับข้อเสนอจากคอนโซลิเดท บุ๊ค พับลิชชิ่งในการเป็นผู้จัดพิมพ์ โดยจะจัดพิมพ์ในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนขาว-ดำจำนวน 48 หน้า ในนิตยสารดีแทคทิฟ แดน: ซีเคร็ท โอเปอเรทิฟ ฉบับที่ 48 แม้ว่าผลงานของทั้งคู่จะเป็นที่ชื่นชอบของผู้อ่าน แต่ผลพวงของปัญหาด้านการเงินทำให้ผลงานของทั้งคู่ต้องหยุดพิมพ์ ทำให้ชูสเตอร์เครียดและทำการเผาผลงานของตัวเองทุกหน้า ยกเว้นหน้าปกเท่านั้นที่รอดจากการเผาเนื่องจากชีเกลได้หยิบออกมาจากกองไฟได้ทันเวลา หลังจากนั้นชีเกลและชูสเตอร์ได้สร้างสรรค์ตัวละครชื่อ สแลม แบรดลีย์และได้นำผลงานเรื่องนี้ลงในนิตยสาร ดีแทคทิฟ คอมิคส์ ฉบับที่ 1 (มีนาคม ค.ศ.1937).[13]",
"ปี 2007 จอห์นมีผลงานอำนวยการสร้างและกำกับ ซึ่งมีทั้งผลงานเกมที่ชื่อว่า \"Stranglehold (VG)\" (2007) โดยดึงเอาคาแรคเตอร์ของดาราคู่บุญอย่าง โจวเหวินฟะ มาเป็นตัวละครหลักในเกม ซึ่งวางจำหน่ายทั้งเครื่องเพลย์สเตชัน 3, เอกซ์บอกซ์ 360 และเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี จากนั้นจอห์นก็มีงานสร้างนิยายภาพแนวแอ๊คชั่นโดยใช้ชื่อว่า \"John Woo's 7 Brothers\" (2006 - 2007) ของสำนักพิมพ์เวอร์จิน คอมิคส์ ฉบับ ลิมิเต็ด ซีรีส์ โดยออกในรูปแบบ Director's Cut และมีเล่มสองในชื่อว่า \"John Woo's 7 Brothers II\" (2007) และอำนวยการสร้างแอนิเมชันญี่ปุ่นเรื่อง \"Appleseed Saga: Ex Machina\" (2007) ของชินจิ อาระมากิ โดยดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนของ ชิโร ซามูเนะ โดยจัดจำหน่ายในรูปแบบ ดีวีดีและบลูเรย์ และภาพยนตร์แอ๊คชั่น - แก๊งค์สเตอร์เรื่อง \"Blood Brothers\" (2007) โดยรีเมคจาก \"Bullet in the Head\" ของจอห์นเองhttp://www.imdb.com/name/nm0000247/",
"ในปัจจุบัน นิตยสารที่เกี่ยวกับซูเปอร์แมนที่จัดพิมพ์อยู่นั้นได้แก่ นิตยสาร ซูเปอร์แมน, แอคชั่น คอมิคส์ และ จัสติสลีกนอกจากนี้ซูเปอร์แมนยังได้ไปปรากฏตัวบ่อยๆในบทดารารับเชิญในนิตยสารเรื่องอื่นๆของดีซีอีกด้วย",
"เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ 1939) ค่ายพิมพ์ เนชันแนล พับบลิคเคชั่น (National Publication) (ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น ดีซี คอมิคส์) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ไทม์วอร์เนอร์ (Time Warner) ได้ประสบความสำเร็จจากเรื่องซุปเปอร์แมนในต้องการตัวละครเพิ่ม บ็อบ เคน ได้สร้างตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อ เบิร์ดแมน (Birdman) ด้วยความร่วมมือจาก บิล ฟิงเกอร์ ได้เปลี่ยนจากหน้ากากนก มาเป็นหมวกคลุมทั้งหัว และได้เปลี่ยนจากปีกนกมาเป็นผ้าคลุม และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ไรแมน ในภายหลัง มีหลายคนให้ความเห็นว่า ลักษณะของของแบทแมนได้แรงบันดาลใจมาจากตัวละครอย่าง หน้ากากโซโร , แฟนทอม , เชอร์ล็อก โฮมส์ , ซูเปอร์แมน , ดิก เทรซี หรือแม้แต่ภาพวาดของเลโอนาร์โด ดา วินชี ในช่วงเริ่มต้น แบทแมนมีลักษณะของคนที่ต้องการล้างแค้น ใช้ความรุนแรงและปืนพก หลังจากนั้นแบทแมนก็ได้โด่งดังไปทั่ว เพราะความรุนแรงของเนื้อเรื่อง ถึงขนาดที่แผนกเนชั่นแนลคอมิกบุกส์ ได้เปลี่ยนมาเป็น บริษัทเนชั่นแนลคอมิกบุกส์ หลังจากนั้น ทางบริษัทได้ปรับเปลี่ยนความรุนแรงให้ลดลงเพื่อเพิ่มผู้อ่านในกลุ่มเยาวชน และเคนได้คิดตัวละครขึ้นมาใหม่คือ พัค ในขณะที่ ฟิงเกอร์ได้คิดตัวละคร โรบิน หลังจากนั้น คู่หูแบทแมนกับโรบิน ก็ฮิตติดตลาดกลายเป็นขวัญใจของผู้คนในช่วงนั้นมาจนถึงทุกวันนี้",
"พวกเขาได้ทำการขายผลงานให้กับสำนักพิมพ์ชื่อดังหลายสำนักพิมพ์เช่น เนชั่นแนล อัลไลน์ พับลิชชิ่งสำนักพิมพ์ในเครือของ มัลค่อม วีลเลอร์-นิโคลสัน ทั้งคู่ได้ทำการออกแบบตัวละครเพื่อนำไปใช้ในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนที่มีขนาดความยาวของเรื่องมากกว่าการ์ตูนเรื่องใดๆในสมัยนั้น พวกเขาได้เสนอผลงานให้กับ แม็ก เกนส์ ซึ่งได้ยอมรับผลงานของพวกเขาทั้งสองและ ยูไนเต็ด ฟีเจอร์ ซินดิเคทก็ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจต่อผลงานชิ้นนี้แต่สุดท้ายก็ได้ส่งจดหมายมาเพื่อทำการปฏิเสธไปในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1937 อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์อย่าง เลส แดเนี่ยลส์ได้แสดงความคิดเห็นว่า \"แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องที่พลิกความคาดหมายแบบนี้ขึ้น\" แม็ก เกนส์ได้ยุติบทบาทในตำแหน่งหัวหน้าด้านกำกับศิลป์ของสำนักพิมพ์ วีลเลอร์-นิโคลสันในนิตยสารชุดใหม่ของสำนักพิมพ์ซึ่งก็คือ แอคชั่น คอมิคส์ วิน ซัลลิแวน บรรณาธิการของนิตยสารนั้นต้องการให้นำช่องการ์ตูนแบบเก่านำกลับมาใช้อีกครั้ง จึงได้ขอให้ทั้งคู่ออกแบบช่องการ์ตูนเป็น 8 ช่องต่อ 1 หน้ากระดาษ ถึงอย่างนั้น ชีเกล และ ชูสเตอร์ ก็ไม่ได้สนใจต่อคำพูดของวิน ซัลลิแวนทั้งคู่ยังคงใช้ความคิดและประสบการณ์ของตัวเองในการออกแบบ หน้ากระดาษ โดยชีเกลจะเป็นคนกำหนดรูปภาพที่ใช้ในการขึ้นปกของนิตยสาร แอคชั่น คอมิคส์ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน1938)ซึ่งเป็นการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของซูเปอร์แมน[21] และในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2010 ได้มีการจัดประมูลนิตยสาร แอคชั่น คอมิคส์ ฉบับที่ 1ขึ้น ซึ่งถูกทำการประมูลไปด้วยราคา $1,000,000.[22]",
"ซูเปอร์แมน คือตัวละครจากหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ ผลงานของ ดีซีคอมิกส์ สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา[1][2][3][4] ออกแบบโดยนักเขียนชาวอเมริกาเจอร์รี ชีเกลและนักวาดภาพชาวอเมริกาเชื้อสายแคนาดาโจ ชูสเตอร์ในปี ค.ศ. 1932 ขณะที่ทั้งคู่พักอาศัยอยู่ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ จนกระทั่งในปี 1938 ทั้งคู่ได้ขายผลงานชิ้นนี้ให้กับสำนักพิมพ์ ดีแทคทีฟ คอมิคส์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นดีซีคอมิกส์) ตัวละครนี้ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือแอคชั่น คอมิคส์ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน ค.ศ. 1938) และยังถูกนำไปทำเป็นซีรีส์ทางวิทยุ ,โทรทัศน์, ภาพยนตร์, การ์ตูนช่องในหนังสือพิมพ์, และวิดีโอเกมส์ เรื่องราวของซูเปอร์แมนนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก ซูเปอร์แมนนั้นได้ถูกจัดอันดับให้เป็นซูเปอร์ฮีโรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนังสือการ์ตูนอเมริกา.[1] ซูเปอร์แมนปรากฏตัวด้วยชุดที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ประจำตัวด้วยชุด สีน้ำเงิน, แดงและเหลือง รวมถึง ผ้าคลุม, และเครื่องหมายตัว\"S\" บนหน้าอก[5][6] สัญลักษณ์ตัว S นี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของซูเปอร์แมนที่นำไปใช้ในสื่อต่างๆมาจนถึงปัจจุบัน[7]",
"หลังจากที่ผลงานชุด ลีเจียน อ๊อฟ ซูเปอร์ ฮีโร่ เข้ามาแทนที่ผลงานชุด นิว ซูเปอร์บอย ในนิตยสาร แอดเวนเจอร์ คอมิคส์ ปีค.ศ.1963 นิตยสารซูเปอร์บอยจึงกลายเป็นนิตยสารเดียวที่ตีพิมพ์เรื่องราวดั้งเดิมของซูเปอร์บอย แต่ทว่า 2 ปีให้หลังเมื่อเรื่องราวของ ลีเจียน ถูกถอดออกจากแอดเวนเจอร์ คอมิคส์ นิตยสารซูเปอร์บอยจึงกลายเป็นบ้านหลังใหม่ในการตีพิมพ์เรื่องราวของลีเจียนไปโดยปริยาย โดยเริ่มตั้งแต่ ซูเปอร์บอยฉบับที่ 172 (พฤษภาคม ค.ศ.1971) ซึ่งเรื่องราวของลีเจียนจะออกมาในรูปแบบของตอนพิเศษ และก็เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวของลีเจียนได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้ซูเปอร์บอยฉบับที่ 197(กันยายน ค.ศ.1973) เรื่องราวของลีเจียนกลายมาเป็นเนื้อหาหลักของนิตยสารรวมถึงในฉบับต่อๆมา ส่งผลให้ในฉบับที่ 197 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโลโก้นิตยสารเป็น “ซูเปอร์บอย สตาร์ริ่ง เดอะ ลีเจียน อ๊อฟ ซูเปอร์-ฮีโร่ (ภายหลังในฉบับที่ 222 ได้เปลี่ยนไปใช้คำ “แอนด์(and)” แทน สตาร์ริ่ง(starring))” แต่ยังคงใช้ชื่ออย่างเป็นทางการ(ชื่อจดทะเบียนนิตยสาร)เป็นซูเปอร์บอย จนถึงฉบับที่ 231 (กันยายน ค.ศ.1977) นิตยสารจึงได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการว่า ซูเปอร์บอย แอนด์ เดอะ ลีเจียน อ๊อฟ ซูเปอร์-ฮีโร่ หลังจากนั้นในฉบับที่ 259 (มกราคม ค.ศ.1980) ชื่อของซูเปอร์บอยถูกถอดออกจากชื่อนิตยสารคงเหลือไว้แต่เพียงชื่อ เดอะ ลีเจียน อ๊อฟ ซูเปอร์-ฮีโร่ เท่านั้น ถึงกระนั้นซูเปอร์บอยก็ยังคงมีบทบาทอยู่บ้างเป็นครั้งคราวในเรื่องราวที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเรื่องเป็นชื่อชองเขาเอง ชื่อของลีเจียนถูกใช้เป็นชื่อนิตยสารจนถึงฉบับที่ 354 ซึ่งเป็นฉบับสุดท้ายในการตีพิมพ์",
"ซูเปอร์แมนถือว่าเป็นตัวละครที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการออกแบบตัวละครซูเปอร์ฮีโรในเรื่องอื่นๆ [105][106] เช่น แบทแมน ซึ่งถือว่าเป็นตัวละครตัวแรกที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากซูเปอร์แมน โดยบ๊อบ เคน ผู้สร้างแบทแมน เคยกล่าวต่อ วิน ซัลลิแวน เอาไว้ว่า “จำนวนเงินพวกนั้น[ที่ชีเกลและชูสเตอร์ได้รับจากผลงานเรื่องซูเปอร์แมน]คุณจะได้มาแค่วันจันทร์วันเดียว”[107] เช่นเดียวกับวิคเตอร์ ฟอกซ์ สมุห์บัญชีของดีซีใขณะนั้นได้ทำการเสนอความคิดเห็นต่อ วิล ไอส์เนอร์ คณะกรรมการของ ดีซี ว่าควรจะสร้างตัวละครที่มีลักษณะใกล้เคียง กับซูเปอร์แมน ซึ่งตัวละครนั้นก็คือ วันเดอร์ วูแมน โดย<i data-parsoid='{\"dsr\":[72778,72796,2,2]}'>วันเดอร์ วูแมน ทำการตีพิมพ์ฉบับแรกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1939 แต่หลังจากที่ฟอกซ์แพ้คดีความในการครอบครองลิขสิทธิ์ของตัวละครต่อทางดีซี[108] ฟอกซ์จึงต้องยุติบทบาททั้งหมดที่เขามีต่อวันเดอร์ วูแมน จนกระทั่งภายหลังฟอกซ์จึงมาประสบความสำเร็จกับตัวละครที่มีชื่อว่า บลู บีทเทิล ส่วน กัปตันมาร์เวล ตัวละครของนิตยสารฟอว์เซทท์ คอมิคส์ ทำการตีพิมพ์ในปี ค.ศ 1940 ได้กลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของซูเปอร์แมนในการแย่งความนิยมตลอดทศวรรษ 1940 โดยในช่วงนั้นได้มีการฟ้องร้องกันไปมาระหว่าง 2 สำนักพิมพ์ จนกระทั่งทางสำนักพิมพ์ ฟอว์เซทท์ยอมรับข้อเสนอจากทางดีซีในปี ค.ศ.1953 โดยทางฟอว์เซทท์ต้องยุติการพิมพ์ผลงานทั้งหมดของกัปตันมาร์เวล[109] ในยุคสมัยปัจจุบันหนังสือการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโรนับได้ว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากในวงการหนังสือการ์ตูนของอเมริกา [110] ซึ่งมีตัวละครนับพันๆตัวได้ถูกสร้างขึ้นมาตามรอยของซูเปอร์แมน[111]",
"เริ่มทำงานครั้งแรกด้วยการเป็นนักข่าวในเครือผู้จัดการ ต่อมาได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์บุรพัฒน์ จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือการ์ตูนในแนวกำลังภายในหลายเรื่อง เช่น ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า หรือ ขี่พายุดาบเทวดา เป็นต้น จากนั้นในต้นปี พ.ศ. 2547 ได้ขึ้นเป็นผู้บริหาร (ซีอีโอ) คนหนึ่งในเครือผู้จัดการ เป็นผู้พัฒนาเว็บไซต์ผู้จัดการให้น่าสนใจ น่าติดตามเช่นดังปัจจุบัน",
"ซูเปอร์บอย คือชื่อของตัวละครจากหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ที่ถูกจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ดีซี คอมิคส์ มีเรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับซูเปอร์แมนในช่วงวัยรุ่น ซูเปอร์บอยได้กลายมาเป็นหนึ่งในสี่ตัวละครหลักของหนังสือการ์ตูนที่มีชื่อเรื่องเดียวกันซึ่งทำการจัดพิมพ์โดย ดีซี คอมิคส์",
"ใน ประเทศไทย โดราเอมอนฉบับ หนังสือการ์ตูน มีการตีพิมพ์โดยหลายสำนักพิมพ์ในช่วงก่อนที่จะมีลิขสิทธิ์การ์ตูน [8][9] แต่ปัจจุบัน สำนักพิมพ์ เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดพิมพ์แต่เพียงผู้เดียว ส่วนฉบับอนิเมะ ออกอากาศครั้งแรก วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2525 ทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี ในปัจจุบัน [10] และวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี-ดีวีดี ลิขสิทธิ์โดยบริษัท โรส วิดีโอ [11]",
"ในปี 1992 สปากส์ได้เริ่มทำงานเป็นผู้จำหน่ายยา และในปี 1993 เขาได้ย้ายไปที่วอชิงตัน ดี.ซี. และที่นั้นเขาได้เขียนนวนิยายอีกเรื่องหนึ่งขึ้นในช่วงเวลาว่างของเขา ชื่อเรื่อง \"The Notebook\" สองปีต่อมา มีตัวแทนที่ชื่อ เทเรซา ปาร์ค จากสำนักพิมพ์วรรณกรรมมาพบเขาเข้าและบอกว่าชื่นชอบนวนิยายเรื่อง \"The Notebook\" และเสนอที่จะเป็นตัวแทนให้กับเขา ในเดือนตุลาคม ปี 1995 ปารค์ก็วางเงินค้ำประกันจำนวน 1 ล้านเหรียญให้ก่อนล่วงหน้า สำหรับนวนิยายเรื่องนี้ เพื่อให้สำนักพิมพ์ไทม์ วอร์เนอร์ บุ๊ค กรุ๊ป ตีพิมพ์ นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ในเดือนตุลาคม 1996 และติดอับดับหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์ในสัปดาห์แรกหลังจากวางแผง ",
"ไซบอร์ก () หรือที่รู้จักกันในชื่อ วิกเตอร์ สโตน (Victor Stone) เป็นตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ในหนังสือการ์ตูนอเมริกันที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดีซีคอมิกส์ สร้างสรรค์โดย มาร์ฟ วูล์ฟแมน (Marv Wolfman) และ จอร์จ เปเรซ (George Pérez) ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือ \"DC Comics Presents\" เล่ม 26 (ตุลาคม 1980) โดยแรกเริ่มเดิมทีตัวละครนี้เป็นที่รู้จักกันในฐานะสมาชิกของ ทีนไททันส์ ทีมซูเปอร์ฮีโร่วัยรุ่น แต่ในภายหลังดีซีได้เปลี่ยนเรื่องราวของตัวละครนี้ โดยให้เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งกลุ่ม จัสติซลีก ในจักรวาล New 52 ",
"สำนักพิมพ์ตะวันส่องก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 เริ่มด้วยการจัดพิมพ์หนังสือเพื่อการศึกษา หนังสือนิทานสองภาษา และสารานุกรม\nต่อมาในปี 2549 ได้มีการเปิดตัวสำนักพิมพ์อีกครั้ง โดยปรับรูปแบบให้ทันสมัยยิ่งขึ้น หนังสือที่ใช้ในการเปิดตัวคือ ภูมิแพ้แก้ไม่ยาก\nจากนั้นเป็นต้นมาสำนักพิมพ์ได้มุ่งเน้นที่จะผลิตหนังสือพ๊อคเก็ตบุ๊คที่ทันสมัย และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสำหรับวัยทำงานที่ใส่ใจ สุขภาพและการปรับปรุงตนเองในแง่มุมต่างๆ\nหรื่อหนังสือสำหรับเยาวชน ที่สนใจอ่านงานวรรณกรรมแฟนตาซี หรือเรื่องราวลึกลับผจญภัยวรรณกรรมไทย",
"ยูลีอุส ชไตรเชอร์ () เป็นสมาชิกระดับแกนนำของพรรคนาซีในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นผู้ก่อตั้งและสำนักพิมพ์ของการต่อต้านยิว หนังสือพิมพ์ \" Der Stürmer\" ซึ่งกลายเป็นองค์กรโฆษณาชวนเชื่อหลักของพรรคนาซี บริษัทสำนักพิมพ์ของเขายังได้ปล่อยหนังสือสามเล่มที่มีเนื้อหาการต่อต้านยิวสำหรับเด็กรวมทั้ง \"Der Giftpilz\" ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานที่ได้แพร่หลายมากที่สุดของการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งในเนื้อหานั้นได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับอันตรายจากชาวยิวที่มีความร้ายกาจโดยใช้คำอุปมากล่าวถึงเห็ดพิษร้ายแรง ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งเป็นเกาไลเทอร์ประจำฟรังเคิน หัวหน้าพรรคนาซีบริหารในเขตเกา (จังหวัด) ของรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนีระหว่างปี 1933-40 หลังสงคราม เขาถูกจับกุมและนำตัวไปพิจารณาคดีที่เนือร์นแบร์ค ถูกตัดสินให้ได้รับโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1946",
"ลาสต์ แฟนตาซีเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บเด็กดี.คอม ในปี 2545 โดยเผยแพร่อยู่ประมาณ 3 ปี เป็นจำนวน 109 ตอน จากนั้นจึงตีพิมพ์รวมเล่มกับสำนักพิมพ์กู๊ดเมอร์นิ่งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 ภายใต้ชื่อ \"Last Fantasy\" พิมพ์ครั้งแรก โดยเป็นการยื่นขอตีพิมพ์จากทางสำนักพิมพ์ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2549 Last Fantasy เล่มที่ 7 ภาค การเดินทางอันยาวไกลถึงการสิ้นสุดแล้ว สำนักพิมพ์กู๊ดมอร์นิ่งได้ถูกตีพิมพ์ออกมา โดยสำนักพิมพ์ได้แจ้งว่าเป็นบทอวสานไว้บนหน้าปก ในตอนท้ายเล่ม มีการชี้แจงเหตุผลที่จำเป็นต้องจบในเล่มที่ 7 ซึ่งจริงๆแล้ววางแผนไว้ว่าจะมีทั้งหมด 15 เล่ม และมีการแจ้งในส่วน \"จากใจสำนักพิมพ์\" ว่า บ.ก.บริหาร เขียนต่ออีก 100 กว่าหน้า เพื่อให้จบโดยความยินยอมของนักเขียน และมีการประกาศสิทธิ์โดยชอบธรรมของ ลาสต์ แฟนตาซี ทั้งหมด 15 เล่ม เป็นของสำนักพิมพ์กู๊ดมอร์นิ่งภายใน 5 ปีนับจากนี้",
"สำนักพิมพ์ได้ทำการเปิดตัวซูเปอร์แมนซึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบออกไปจากเดิมในผลงานชุด \"จักรวาลคู่ขนาน\" ทั้งสองจักรวาลซึ่งมีการจัดพิมพ์ในช่วงปี ค.ศ. 1960 และ ค.ศ. 1989 โดยฝีมือของนักเขียนการ์ตูนหลายๆคน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ ชาติกำเนิด ถิ่นที่อยู่ และ นิสัยใจคอ ของตัวละครเปลี่ยนแปลงไปด้วย มีผลงานมากมายที่ได้คิดบุคลิกขึ้นมาใหม่ให้กับซูเปอร์แมน ยกตัวอย่างเช่น ผลงานที่ชื่อว่า \"เดอะ เดธออฟซูเปอร์แมน\" ซึ่งซูเปอร์แมนได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาหลังจากได้ตายไปแล้วในสภาพที่มีถึง 4 บุคลิก จากนั้นแต่ละบุคลิกได้ทำการต่อสู้กันเพื่อพิสูจน์ว่าใครเหมาะสมที่จะได้เป็นซูเปอร์แมน[79] นอกเหนือจากนี้ ในกรณีของตัวละคร ไบซาร์โร่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1958 ก็เป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาเพื่อล้อเลียนซูเปอร์แมน [80] สมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวของซูเปอร์แมนนั้นก็จะมีคำว่า \"ซูเปอร์\" นำหน้าชื่ออยู่เสมอ เช่น ซูเปอร์เกิร์ล, ซูเปอร์ด๊อก และ ซูเปอร์วูแมน นอกจากผลงานของสำนักพิมพ์ดีซี นักเขียนชาวเยอรมัน \"อูเบอร์เมนไช\" ก็โด่งดังจากผลงานที่นำบุคลิกของซูเปอรแมนมานำเสนอในรูปแบบใหม่ ซึ่งการนำแนวคิดเกี่ยวกับซูเปอร์แมนมาใช้ในผลงานต่างๆก็ยังมีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ผลงานของ รอย โธมัส ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ มาร์เวล คอมิคส์' ตัวละครที่ชื่อว่าไฮเพอร์เรี่ยน นั้นก็ได้แนวคิดมาจาก ซูเปอร์แมน[81][82][83][84]",
"กรีนแลนเทิร์นคอร์ป () เป็นชื่อของกองกำลังผู้พิทักษ์จักรวาลที่ปรากฏในหนังสือคอมิกส์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ดีซีคอมิกส์\nสมาชิกขององค์กรนี้เรียกว่า กรีนแลนเทิร์น มีหน้าที่ต่อต้านภัยคุกคามต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ในจักรวาลและตรวจการอยู่ในอาณาเขตบริเวณของตนที่ได้รับมอบหมายที่เรียกว่า Sector\nโดยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของ เหล่าการ์เดียนออฟเดอะยูนิเวิร์ส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรกรีนแลนเทิร์นคอร์ปขึ้นมาเมื่อประมาณ 3 พันล้านปีก่อน",
"สปาย vs. สปาย () เป็นการ์ตูนขาวดำที่ได้รับการเปิดตัวในแมดแมกกาซีน #60 ฉบับเดือนมกราคม ค.ศ. 1961 และได้รับการตีพิมพ์ในฉบับออริจินอลโดยอีซีคอมิคส์ การ์ตูนดังกล่าวสร้างขึ้นโดย อันโตนิโอ โปรญัส",
"ในเริ่มแรก เจอร์รี ชีเกลและโจ ชูสเตอร์ จะเป็นคนจัดการและดูแลเนื้อเรื่องและภาพวาดก่อนนำไปตีพิมพ์ทั้งหมด อย่างไรก็ตามชูสเตอร์เริ่มมีอาการผิดปกติทางสายตาและประกอบกับการที่ตัวละครในเนื้อเรื่องที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานต้องหนักขึ้นไปด้วย สิ่งนี้ทำให้ชูสเตอร์ตัดสินใจสร้างสตูดิโอขึ้นมา เพื่อใช้ผลิตผลงานทางด้านศิลป์โดยเฉพาะ[25] และเขายังยืนยันว่าจะใช้สตูดิโอแห่งนี้วาดใบหน้าทุกๆหน้าของซูเปอร์แมน ส่วนภายนอกสตูดิโอนั้น แจ๊ค เบิร์นลีย์ เริ่มเข้ามาช่วยในการทำหน้าปกและเนื้อเรื่อง[26] จนถึงปี ค.ศ. 1941 นักวาดภาพที่มีชื่อว่า เฟร็ด เรย์ ก็ได้เข้ามาร่วมในการออกแบบหน้าปกของซูเปอร์แมนในบางฉบับ เช่น ซูเปอร์แมน ฉบับที่ 14 (กุมภาพันธ์ ค.ศ.1942) ที่ภายหลังกลายเป็นฉบับที่ทรงคุณค่าและมีการพิมพ์ซ้ำอยู่บ่อยครั้ง ต่อมาเวย์ บอร์ริ่งจึงได้เข้ามาทำงานในสตูดิโอของชูสเตอร์เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมของสตูดิโอที่จะต้องร่วมงานกับดีซีในปี ค.ศ. 1942 โดยจะต้องจัดพิมพ์ผลงานลงในนิตยสาร ซูเปอร์แมน และ แอคชั่น คอมิคส์[27] หลังจากนั้นอัล พลาสติโน่ ได้ถูกจ้างเข้ามาเพื่อทำงานต่อจากลายเส้นของ เวย์ บอร์ริ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วพลาสติโน่ได้สร้างลายเส้นในแบบของตัวเองขึ้นมาและกลายมาเป็นหนึ่งในนักวาดที่ดีที่สุดในยุค โกลด์ แอนด์ ซิลเวอร์ เอจ คอมิคส์[28]",
"ผู้ที่กลายมาเป็น“ซูเปอร์บอย”คนแรก ตัวละครถูกออกแบบโดย เจอร์รี่ ชีเกล (ปราศจาก โจ ชูสเตอร์) ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1938 แต่ความคิดนี้กลับถูกปฏิเสธจากนิตยสารดีแทคทีฟ คอมิคส์ทำให้ชีเกลได้เพิ่มรายละเอียดให้กับตัวละครนี้ในอีก2ปีให้หลังแต่ก็ถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธกลับมาเป็นครั้งที่สอง[1] จนกระทั่งการปรากฏตัวของโรบิน คู่หูของแบทแมน ซูเปอร์ฮีโร่วัยรุ่นที่โด่งดังไปทั่วประเทศและมีช่วงอายุที่ใกล้เคียงกับซูเปอร์บอย ทำให้ทางสำนักพิมพ์ดีแทคทีฟ คอมิคส์ตัดสินใจที่จะจัดพิมพ์ซูเปอร์บอยในปีค.ศ.1944 โดยหวังจะขยายฐานความนิยมของซูเปอร์แมนให้เพิ่มขึ้นด้วยการนำเสนอเรื่องราวที่ต่างออกไปซึ่งมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้อ่านที่เป็นเด็ก[2] ซูเปอร์บอยปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในนิตยสารมอร์ ฟัน คอมิคส์ ฉบับที่ 101 (ในปีค.ศ.1944 แต่หน้าปกพิมพ์ค.ศ.1945) แม้ว่าซูเปอร์บอยจะได้โจ ชูสเตอร์เข้ามาทำหน้าที่ในการวาดภาพ แต่เจอร์รี่ ชีเกลกลับไม่ได้มีส่วนร่วมในผลงานชิ้นนี้เนื่องจากถูกเรียกตัวเข้าร่วมกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 สิ่งนี้เองคือจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่จะเกิดขึ้นมาในภายหลังระหว่างสำนักพิมพ์, ชีเกล และ ชูสเตอร์[1]",
"บริษัทเป็นผู้บุกเบิกซอฟต์แวร์ระบบอรรถประโยชน์ของดอส การเปิดตัวของนอร์ตันยูทิลิตีในปี ค.ศ. 1982 รวมถึงเครื่องมืออันอีเรสของนอร์ตันเพื่อดึงข้อมูลที่ถูกลบออกจากดิสก์ดอส นอร์ตันวางตลาดโปรแกรม (ส่วนใหญ่เดินเท้า) ผ่านทางบริษัทผู้เผยแพร่ซอฟต์แวร์รายเดียวของเขา โดยทิ้งแผ่นพับเล็ก ๆ ไว้พร้อมกับบันทึกทางเทคนิคในการประชุมกลุ่มผู้ใช้และร้านคอมพิวเตอร์ กระทั่งทางสำนักพิมพ์เห็นแผ่นพับของเขา และเห็นว่าเขาสามารถเขียนเรื่องเทคนิคได้ ทางสำนักพิมพ์จึงเรียกเขาและถามว่าเขาต้องการเขียนหนังสือหรือไม่ ในที่สุด หนังสือเล่มแรกของนอร์ตันชื่อ อินไซด์เดอะไอบีเอ็ม พีซี: แอ็คเซสทูแอดวานซ์พีเจอส์แอนด์โปรแกรมมิง (เทคนิค)[3] ได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 โดยมีการตีพิมพ์หนังสือขายดีนี้ซ้ำถึงแปดครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1999[4] นอร์ตันยังได้เขียนคู่มือทางเทคนิคและหนังสือคอมพิวเตอร์เบื้องต้นหลายเล่ม เขาเริ่มเขียนคอลัมน์รายเดือนในปี ค.ศ. 1983 สำหรับนิตยสารพีซี แมกกาซีน[5] และต่อมาในนิตยสารพีซี วีค เช่นกัน ซึ่งเขาเขียนถึงปี ค.ศ. 1987 ในไม่ช้าเขาก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีอำนาจหลักในด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของไอบีเอ็ม"
] |
ญี่ปุ่น มีเมืองหลวงชื่ออะไร ? | [
"ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเมืองหลวง (首都 ชุโตะ หรือ 都 มิยะโกะ) มานับต่อนับ แต่ส่วนมากจะอยู่ในยุคโบราณ และจะอยู่ในภาคคันไซทั้งหมด ยกเว้นโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ เมืองหลวงที่ไม่ใช่เมืองโตเกียว ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศคือ เฮอังเกียว ซึ่งเป็นยุคที่ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมญี่ปุ่น มีการประดิษฐ์ตัวอักษรญี่ปุ่น โดยดัดแปลงมาจากตัวอักษรจีน ผู้คนเริ่มที่จะสวมใส่กิโมโน ซึ่งในยุคก่อนหน้านั้น ชาวญี่ปุ่นยังแต่งตัวแบบจีนอยู่"
] | [
"4. คำที่รับมาจากภาษาญี่ปุ่นซึ่งมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เช่น คำในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครองและเมืองหลวง, ชื่อแร่และชื่อธาตุ ฯลฯ ให้ใช้ตามประกาศครั้งล่าสุด",
"วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1932 ได้มีการประกาศสถาปนา \"รัฐแมนจู\" () ญี่ปุ่นได้ให้การรับรองประเทศแมนจูผ่านการลงนามในพิธีสารญี่ปุ่น-แมนจูกัว เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1932 เมืองฉางชุนซึ่งได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น \"ซิงกิง\" (; \"\"เมืองหลวงใหม่\"\") มีฐานะเป็นเมืองหลวงของรัฐใหม่แห่งนี้ ชาวฮั่นในแมนจูเรียได้รวมตัวกันเป็นกองทัพอาสาสมัครเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้รัฐใหม่ดังกล่าวจำเป็นต้องทำสงครามอันยื้ดเยื้ออีกหลายปีเพื่อสร้างความสงบภายในประเทศ",
"จังหวัดเกียวโต () เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่บนเกาะฮนชู โดยมีศักดิ์เป็นจังหวัดนคร () หนึ่งในสองจังหวัด (อีกจังหวัดหนึ่งคือโอซากะ) มีเมืองหลักชื่อเดียวกันคือเมืองเกียวโต มีความสำคัญเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น มีโบราณวัตถุมากมาย มีชื่อในการทำผ้าไหมและแพร",
"MNL ย่อมาจากชื่อเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ มะนิลา (MANILA) และตัวเลข \"48\" มาจากนามสกุลของ โคตาโระ ชิบะ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เอเคเอส โดยคำว่า \"ชิ\" และ \"บะ\" เป็นคำพ้องเสียงของภาษาญี่ปุ่น สามารถแปลความหมายได้เป็นเลข \"4\" และ \"8\" ",
"ดังกล่าวมาแล้วว่า อาณาบริเวณซึ่งเป็นไถหนานในปัจจุบันนั้นเดิมมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า \"ไต้หวัน\" ก่อนที่ชื่อนี้จะกลายเป็นคำเรียกดินแดนทั้งเกาะ ส่วนชื่อ \"ไถหนาน\" นั้นใช้เรียกท้องที่ดังกล่าวอย่างเป็นทางการแต่เมื่อใดไม่ปรากฏชัด ทว่า เมื่อญี่ปุ่นได้ครองไต้หวัน ญี่ปุ่นใช้ไถหนานเป็นเมืองหลวงของเกาะไต้หวัน และเปลี่ยนชื่อเมืองนี้ในภาษาตนเองหลายครั้ง ในปี 1895 ใช้ว่า \"ไทนังเก็ง\" (Tainanken) ในปี 1901 ใช้ \"ไทนันโช\" (Tainanchō) และในปี 1920 ใช้ \"ไทนันชู\" (Tainanshū) ช่วงนั้น ไถหนานประกอบด้วยท้องที่ที่ปัจจุบันเป็นเทศมณฑลเจียอี้ (; Chiayi County) และเทศมณฑลหยุนหลิน (; Yunlin County) นอกเหนือไปจากพื้นที่อื่น ๆ[8]",
"มณฑลเฮย์หลงเจียง (จีนตัวย่อ: 黑龙江省; จีนตัวเต็ม: 黑龍江省)ชื่อย่อ เฮย (黑)ชื่อ เฮยหลงเจียง มาจากชื่อแม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดในมณฑล มีเมืองหลวงชื่อว่า ฮาร์บิน ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศแมนจูกัว อดีตที่ประเทศถูกญี่ปุ่นเข้ายึดในปี พ.ศ. 2474 มณฑลเฮย์หลงเจียง มีประชากรประมาณ 39 ล้านคน มีเนื้อที่ 454,000 ตาราง ก.ม.\nมณฑลเฮย์หลงเจียงมีพื้นที่ติดต่อดังนี้ ",
"วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1932 ได้มีการประกาศสถาปนา \"รัฐแมนจู\" หรือ \"แมนจูกัว\" ญี่ปุ่นได้ให้การรับรองแมนจูกัวผ่านการลงนามในพิธีสารญี่ปุ่น-แมนจูกัว เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1932 เมืองฉางชุนซึ่งได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น \"ซิงกิง\" (\"\"เมืองหลวงใหม่\"\") มีฐานะเป็นเมืองหลวงของรัฐใหม่แห่งนี้ ชาวฮั่นในแมนจูเรียได้รวมตัวกันเป็นกองทัพอาสาสมัครเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้รัฐใหม่ดังกล่าวจำเป็นต้องทำสงครามอันยื้ดเยื้ออีกหลายปีเพื่อสร้างความสงบภายในประเทศ",
"ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า \"ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์\" จึงทำให้มักได้ชื่อว่า \"ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย\" ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะกรวยภูเขาไฟสลับชั้นซึ่งมีเกาะประมาณ 6,852 เกาะ เกาะใหญ่สุดคือ เกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศญี่ปุ่น และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 จังหวัดใน 8 ภูมิภาค โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และโอกินาวะเป็นจังหวัดใต้สุด ประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 127 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ชาวญี่ปุ่นเป็นร้อยละ 98.5 ของประชากรทั้งหมดของประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 9.1 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ",
"มองเกอ ข่าน ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากกูยัก ข่าน โอรสของโอเกได ข่าน และขึ้นเป็นมหาข่านในปี ค.ศ. 1251 เขาได้แต่งตั้งน้องชายของเขา กุบไล ข่าน ปกครองดินแดนที่มองโกลยึดครองในจีน ในระหว่างที่ปกครองดินแดนจีน กุบไล ข่านได้สร้างโรงเรียนสำหรับศึกษาลัทธิขงจื้อ ผลิตเงินกระดาษขึ้นมาใช้ นอกจากนี้กุบไล ข่านยังฟื้นฟูพิธีกรรมจีนและรับรองนโยบายที่กระตุ้นการเติบโตทางการเกษตรและเชิงพาณิชย์ เขาได้ประกาศให้เมืองไคปิงเป็นเมืองหลวงราชธานี ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ชื่อเมืองถูกเปลี่ยนเป็นแซนาดู\nจักรวรรดิมองโกลได้รุกรานญี่ปุ่นสองครั้ง ในปี ค.ศ. 1274 และ 1281 โดยมีเกาหลีและจีนเป็นแนวร่วม ในครั้งแรก ได้นำไพร่พลไปราวสองหมื่นนาย ญี่ปุ่นไม่อาจทัดทหารและยุทธวิธีการรบของมองโกลได้ และในภาวะเสียเปรียบของญี่ปุ่น แต่ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นขึ้นอย่างกะทันหัน พัดทำลายกองเรือของฝ่ายมองโกลอัปปางจนเกือบหมดสิ้น จนทหารมองโกล จีน และเกาหลี ต่างขวัญหนีดีผ่อ จมน้ำตายบ้าง ส่วนที่รอดชีวิตก็ถูกญี่ปุ่นประหารหรือเป็นเชลยมาก ชาวญี่ปุ่นจึงตั้งชื่อพายุนี้ว่า \"คะมิกะเซะ\" (วายุเทพ) ที่ช่วยปกป้องญี่ปุ่น",
"ที่มาของขนมโตเกียวนั้นไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่นอน บ้างก็ว่ามาจากขนมยะสึฮะชิ บ้างก็ว่าน่าจะมาจากขนมโดะระยะกิของญี่ปุ่น บ้างก็ว่ามาจากการที่ผู้ขายละเลงแป้งแล้วบีบแป้งเป็นเส้นคล้ายตัวอักษรญี่ปุ่นด้านข้าง ก่อนจะม้วนแป้ง แต่ที่มาที่เชื่อถือกันมากที่สุด เชื่อว่าในราว พ.ศ. 2510 ที่ห้างสรรพสินค้าไทยไดมารู ซึ่งเป็นกิจการห้างสรรพสินค้าของญี่ปุ่นมาเปิดดำเนินกิจการครั้งแรกในประเทศไทย ที่ย่านราชประสงค์ ห้างนี้เป็นที่นิยมมาก เพราะเป็นสถานที่แห่งแรกในประเทศไทยที่มีบันไดเลื่อนและเครื่องปรับอากาศ เชื่อว่าจุดกำเนิดของขนมโตเกียวมาจากการที่มีผู้ขายอยู่ที่ห้างแห่งนี้ โดยดัดแปลงมาจากขนมโดะระยะกิของญี่ปุ่น แล้วตั้งชื่อขนมของตนเองที่ทำขึ้นใหม่นี้ว่า \"ขนมโตเกียว\" เนื่องจากไทยไดมารูนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นรวมถึงอาหารด้วย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นแต่อย่างใด โดยที่คำว่า \"ได\" () หมายถึง \"ใหญ่\" และ \"มะรุ\" (マル) หมายถึง \"วงกลม\" รวมความหมายถึง \"วงกลมใหญ่\"",
"ญี่ปุ่นได้สร้างอารยธรรมใหม่ขึ้นพร้อมๆ กับการล่มสลายของนะระ โดยยุคถัดมาคือ ยุคเฮอัง (平安時代, \"เฮอังจิได\") เมื่อเมืองหลวงใหม่ซึ่งเลียนแบบเมืองหลวงของประเทศจีน \"เฮอังเกียว\" ได้รับการสถาปนาเมื่อปี พ.ศ. 1337 (ค.ศ. 794) การย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเฮอังเกียว นับเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยเฮอันซึ่งดำรงอยู่ยาวนาน รุ่งเรือง และยิ่งใหญ่ที่สุดสมัยหนึ่งของการพัฒนาการในประเทศญี่ปุ่น การติดต่อกับประเทศจีนหยุดชะงักลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 และอารยธรรมญี่ปุ่นเริ่มที่จะมีลักษณะและรูปแบบเป็นของตนเอง",
"ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ยุคนะระในปี พ.ศ. 1253 (ค.ศ. 710) เมื่อเมืองหลวงถาวรแห่งแรกของญี่ปุ่น เฮโจเกียวได้รับการสถาปนาขึ้นโดยสร้างตามแบบเมืองฉางอาน (เมืองซีอานในปัจจุบัน) เมืองหลวงของจีนในขณะนั้น มีราชวงศ์ของญี่ปุ่นเป็นผู้ปกครอง ราชวงศ์ญี่ปุ่นประทับอยู่ที่เมืองนะระโดยตลอดและขยายอำนาจไปทั่วประเทศทีละน้อยจนรวมประเทศเป็นปึกแผ่นได้ (ยกเว้นโอะกินะวะ และฮอกไกโด) หากแต่ว่าระบอบการปกครองในยุคนี้ใช้ตามแนวคิดแบบจีน ซึ่งเมื่อมาใช้กับญี่ปุ่นแล้ว ไม่เหมาะสมนัก และเกิดผลกระทบจากความไม่เหมาะสมนั้น และเกิดเป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ ผลสุดท้ายคือ ต้องขึ้นภาษีประชาชนอย่างหนัก ทำให้เฮโจเกียวเป็นเมืองหลวงได้ไม่นานนัก และเพื่อหนีอิทธิพลของพระในศาสนาพุทธที่มีอำนาจมาก เมืองหลวงเฮโจวเกียวจึงถูกย้ายไปยังนะงะโอะกะเกียวในปี พ.ศ. 1327 (ค.ศ. 784) และต่อมาที่เฮอังเกียวในปี พ.ศ. 1337 (ค.ศ. 794)",
"ภูมิภาคคินคิ หรือที่คนส่วนใหญ่จะเรียกกันในนามของภูมิภาคคันไซ หรือภาคกลางตอนใต้ของญี่ปุ่น ภูมิภาคคันไซแห่งนี้เป็นอีกภูมิภาคที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นอกเหนือจากภูมิภาคคันโตซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงโตเกียวเมืองหลวง ภูมิภาคคันไซนับเป็นภูมิภาคที่ความเจริญมาช้านานเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของญี่ปุ่นในยุคแรก ๆ ประวัติศาสตร์คือ เมืองนาระและเมืองเกียวโต เมืองหลวงทั้งสองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการบริหารประเทศญี่ปุ่นมานับพันปี มีพระราชวังที่ประทับองค์จักรพรรดิหรือพระราชวังอิมพีเรียล ณ เมืองเกียวโต ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงโตเกียว นอกจากจะเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นแล้ว ภูมิภาคแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของเมืองอุตสาหกรรมหลายแห่ง ได้แก่ นครโอซากะ ศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศเป็นเมืองใหญ่อันดับสามรองจากกรุงโตเกียวและโยโกฮามะ เมืองเกียวโตและนารา เมืองหลวงเก่าที่ยังคงอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุที่สำคัญและงดงามเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงเมืองโคเบะซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น",
"ในช่วงปีแรกๆ ของการครองราชย์ สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงเกียวโตไปอยู่ที่เมืองเอโดะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐบาลระบบศักดินาที่ผ่านมา และได้ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงเป็นโตเกียว ซึ่งแปลว่า \"เมืองหลวงตะวันออก\" มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ตลอดจนตั้งคณะรัฐมนตรี และสถาบันนิติบัญญัติระบบสองสภา ยกเลิกการแบ่งชนชั้นแบบเก่าของสมัยศักดินา ญี่ปุ่นทั้งประเทศทุ่มเทพลังงานและความกระตือรือร้นในการศึกษาและรับอารยธรรมตะวันตกมาใช้",
"เมืองหลวงเฮอังเกียว หรือเกียวโตะยังคงมีฐานะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมาอีกกว่า 600 ปี กระทั่งสิ้นสุดยุคเอะโดะในปี พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) และย้ายเมืองหลวงมาที่โตเกียวในอีก 2 ปีต่อมา",
"รัฐบาลเอโดะ () หรือ รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ () เป็นฝ่ายบริหารของประเทศญี่ปุ่นซึ่งใช้ระบอบศักดินา สถาปนาโดยโทกูงาวะ อิเอยาซุ มีผู้ปกครองสูงสุดเป็นโชกุน ซึ่งต้องมาจากตระกูลโทกูงาวะ เท่านั้น ในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นถูกปกครองโดยรัฐบาลโชกุนนั้น จะเรียกว่ายุคเอโดะ ตามชื่อเมืองเอโดะ ซึ่งรัฐบาลโชกุนสถาปนาให้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ ปัจจุบัน คือกรุงโตเกียว มีปราสาทเอโดะเป็นศูนย์กลางการปกครองตั้งแต่ ค.ศ. 1603 ถึง 1868 จนกระทั่งถูกจักรพรรดิเมจิล้มล้างไปในการฟื้นฟูเมจิ ",
"โตเกียวเคยเรียกว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[4606,4617,3,3]}'>เอโดะ</b>แปลว่าปากน้ำ [7] เมื่อกลายเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1868 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[4909,4922,3,3]}'>โตเกียว</b>แปลว่ากรุงตะวันออก (โท 東 \"ตะวันออก\", เกียว 京 \"กรุง\")[7] ในตอนต้นยุคเมจิบางครั้งเรียกโตเกียวว่าโทเก ซึ่งเป็นวิธีอ่านอีกแบบของตัวคันจิ แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว[8] นอกจากนี้โตเกียวยังมีอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งหมายถึงขนมที่ดังเป็นอย่างมากในเมืองไทย เนื่องจากชื่อมีความเหมือนขนมเมืองหลวงอย่างปักกิ่งอีกด้วย",
"จังหวัดอากิตะ () เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคโทโฮกุซึ่งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น มีเมืองหลวงชื่ออากิตะ",
"จังหวัดกุมมะ () เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น อยู่ในเขตคันโต บนเกาะฮนชู มีเมืองหลวงชื่อมาเอบาชิ",
"จังหวัดนาระ () เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในภาคคันไซ มีเมืองหลักจังหวัดในชื่อเดียวกันคือนาระ ซึ่งในอดีตเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 1,300 ปีก่อน ในเมืองนาระมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายอาทิ เช่น พระพุทธรูปไดบุตสึซึ่งเป็นพระพุทธหล่อองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกสร้างเมื่อ 1,200 ปีก่อน และยังมีวัดโฮรีว สิ่งก่อสร้างซึ่งทำด้วยไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลกเมื่อ ค.ศ. 1993 สร้างขึ้นโดยเจ้าชายโชโตกุ",
"ในอดีตโซลเป็นที่รู้จักในชื่อ วีรเย-ซ็อง (위례성; 慰禮城, สมัยแพ็กเจ) ฮันจู (한주; 漢州, สมัยชิลลา) นัมกย็อง (남경; 南京, สมัยโครยอ) ฮันซ็อง (한성; 漢城, สมัยแพ็กเจและโชซ็อน) ฮันยัง (한양; 漢陽, สมัยโชซ็อน) และ คย็องซ็อง หรือ เคโจ (경성; 京城, ระหว่างตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น) ชื่อโซลในปัจจุบันมีที่มาจากคำในภาษาเกาหลีที่มีความหมายว่า \"เมืองหลวง\" ซึ่งเชื่อว่ามาจากคำว่า \"ซอราบอล\" (서라벌; 徐羅伐) ซึ่งดั้งเดิมใช้อ้างถึง คย็องจู เมืองหลวงของอาณาจักรชิลลา",
"กวมเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ทางใต้สุดของหมู่เกาะมาเรียนา มีเมืองหลวงคือ ฮากัตญา (Hagåtña) เดิมเรียกว่า \"อากาญา\" (Agana) รายได้หลักของเกาะมาจากการท่องเที่ยว (โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น) และจากการเป็นฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกา สหประชาชาติจัดให้กวมอยู่ในรายชื่อดินแดนที่ไม่ได้ปกครองตนเองและมีประชากรทั้งเกาะประมาณ 173,000คน",
"โตเกียว () หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[3412,3431,3,3]}'>มหานครโตเกียว (; Tokyo Metropolis) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[3501,3512,3,3]}'>เอโดะ เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองไว้ด้วยกัน ทั้งนี้ เขตอภิมหานครโตเกียวจัดว่าเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรวมเขตปริมณฑลแล้วมีประชากรอาศัยอยู่ราว 35,237,000 คน [5]) เฉพาะในตัวเมืองโตเกียว 23 แขวงการปกครองพิเศษ มีประชากรในเขตเมืองประมาณ 12 ล้านคน[6] ถือเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ประชากรทั้งหมดของโตเกียวมีทั้งหมดกว่า 35 ล้านคน โตเกียวตั้งอยู่บริเวณภูมิภาคคันโตของญี่ปุ่น คำว่า \"โตเกียว\" หมายถึง \"นครหลวงตะวันออก\" ในโตเกียวยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงของสมเด็จพระจักรพรรดิ",
"IUJ ตั้งอยู่ที่เมือง มินามิ อุโอนุมา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางทิศใต้ของจังหวัดนิอิกาตะ จังหวัดชายทะเลทิศตะวันตกของญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 100 ก.ม. และห่างจากเมืองหลวงโตเกียวประมาณ 230 ก.ม. แต่ด้วยความก้าวหน้าด้านการคมนาคม การเดินทางจากมินามิ อุโอนุมา สถานีอุราสะ ไปถึงสถานีปลายทางโตเกียวด้วยรถไฟ shinkansen ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า โดยการเดินทางจาก IUJ ไปยังสถานีรถไฟ ธนาคาร โรงพยาบาล supermarket และสถานที่สำคัญอื่นๆ สามารถใช้บริการรถรับส่งของมหาวิทยาลัยที่ให้บริการทุกวันทำการ\nและเนื่องจาก IUJ ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นภูเขา จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่นที่ผู้คนจะหลั่งไหลมาเล่นสกีกันตามแหล่งท่องเที่ยวนับร้อยกว่าแห่งทั่วจังหวัดนิอิกาตะ รวมทั้งการแช่น้ำพุร้อนแบบญี่ปุ่นอันเลื่องชื่อ (Onsen) นอกจากนั้น นิอิกาตะได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่ผลิตข้าวและสาเกคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น",
"แต่เดิม เมืองนี้มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า เคียว (京) และ มิยาโกะ (都) หรือบางครั้งก็เรียกรวมว่า เคียวโนะมิยาโกะ (京の都)\nต่อมาในศตวรรษที่ 11 เปลี่ยนชื่อเป็น เกียวโต (มีความหมายว่า เมืองหลวง) ตามคำของภาษาจีนของเมืองหลวงที่อ่านว่า \"จุงตู\" (京都) แต่หลังจากที่เมืองเอโดะเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว (มีความหมายว่า \"เมืองหลวงตะวันออก\") ในปี ค.ศ. 1868 เมืองเกียวโตก็เปลี่ยนชื่อเป็น ไซเกียว (西京 มีความหมายว่า \"เมืองหลวงตะวันตก\") เป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็น เกียวโต ในเวลาต่อมา",
"จังหวัดชิมาเนะ () เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคชูโงกุบนเกาะฮนชู ลักษณะภูมิศาสตร์ของจังหวัดชิมาเนะเป็นที่ราบสลับหุบเขาสูงทิศเหนือติดกับทะเลญี่ปุ่น ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดยามางูจิ ทิศใต้ติดกับจังหวัดฮิโรชิมะ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดทตโตริ จังหวัดชิมาเนะมีเมืองหลวงชื่อเมืองมัตสึเอะ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชินจิโกะ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามยามเย็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ยังมีปราสาทมัตสึเอะปราสาทเก่าแก่โบราณ",
"พิธีสารญี่ปุ่น-แมนจูกัว (日満議定書) ได้ลงนามในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1932 ระหว่าง ญี่ปุ่นและรัฐแมนจูกัวสนธิสัญญายืนยันได้รับการยอมรับโดยญี่ปุ่นของรัฐแมนจูกัว ดังต่อไปนี้ การรุกรานแมนจูเรียในปี 1931 และการสถาปณาของรัฐแมนจูในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1932 เปลี่ยนชื่อเมืองฉางชุนเดิมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น \"ซิงกิง\" และยกระดับให้ซิงกิงเป็นเมืองหลวงของรัฐแมนจูกัว สนธิสัญญาที่กำหนดไว้นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงร่วมกันป้องกันให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถสร้างฐานทัพในแมนจูกัว จึงมีประสิทธิภาพและครอบครองประเทศ .\nด้านญี่ปุ่น พิธีสารลงนามโดย โนบูโยชิ มูโตะและในด้านแมนจูเรียโดย เจิ้ง เสี่ยวซู่",
"เฮโจเกียว หรือ เฮเซเกียว () เป็นเมืองหลวงโบราณของประเทศญี่ปุ่น อีกนัยหนึ่งก็คือเมืองหลวงในยุคนาระนั่นเอง ตั้งอยู่ใน จังหวัดนาระ ประเทศญี่ปุ่น มีรูปทรงเป็นแบบเวียง คือรูปทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้าตามแบบจีน หรือตามแบบที่นิยมสร้างกันในอาณาจักรล้านนาและพม่า ซึ่งเฮโจเกียวนี้ได้นำแบบแผนมาจากเมืองซีอานประเทศจีน เมืองหลวงของจีนในขณะนั้น",
"ทางาโจ () เป็นเมืองในจังหวัดมิยางิ ประเทศญี่ปุ่น ชื่อของเมืองได้มาจากชื่อปราสาททางะ ซึ่งในอดีตบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของจังหวัดมัตสึในอดีต"
] |
ธรณีแปรสัณฐานพบเกาะกลางมหาสมุทร รวมถึงร่องลึกกลางมหาสมุทรใช่หรือไม่ | [
"ธรณีแปรสัณฐาน (English: Geotectonic) เป็นการศึกษาด้านธรณีแปรสัณฐาน ที่นักธรณีวิทยาตั้งข้อสงสัยไว้หลายร้อยปีมาแล้วถึงลักษณะของพื้นผิวโลกที่มีลักษณะธรณีสัณฐานที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ บ้างก็เป็นลักษณะเทือกเขาสูงชัน บ้างก็เป็นที่ราบกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล หรือ ที่ราบในบางแห่งก็เป็นที่ราบไหล่ทวีปใกล้ชายฝั่งทะเล บ้างก็พบเกาะกลางมหาสมุทร รวมถึงร่องลึกกลางมหาสมุทร โดยในช่วงประมาณ ค.ศ. 1960 เมื่อ B.C. Heezen, H.H. Hess และ R.S. Dietz ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการแยกตัวของพื้นมหาสมุทร (Seafloor Spreading) กล่าวถึงการแยกตัวที่พื้นมหาสมุทรออกจากกันเป็นแนวยาวโดยมีแมกมาจากใต้ชั้นเปลือกโลกแทรกขึ้นมาเย็นตัวและแข็งตัว เกิดเป็นพื้นมหาสมุทรใหม่แล้วก็แยกจากกันออกไปอีกเรื่อยๆ นอกจากนั้นยังมีการพูดถึงการหดตัวของโลกอันเนื่องมาจากการสูญเสียพลังงานความร้อนทำให้การหดตัวเกิดขึ้นไม่เท่ากันในแต่ละบริเวณ บริเวณที่มีการหดตัวมากอาจเป็นเป็นร่องลึก อยู่ต่ำลงไป แต่บริเวณที่มีการหดตัวน้อยก็อาจเห็นเป็นเทือกเขาสูงได้เนื่องจากบริเวณโดยรอบมีการหดตัวที่มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงแนวร่องหุบเขาที่เกิดขึ้นได้ นักธรณีวิทยายังคงศึกษาถึงเหตุการณ์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง เช่น สนามแม่เหล็กโลกโบราณ ซากดึกดำบรรพ์ต่างๆที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้ปัจจุบันได้มีการกล่าวถึงทฤษฎีอยู่ 2 ทฤษฎี ที่จะมาอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ได้แก่"
] | [
"เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่แยกออกจากกัน ที่บริเวณแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว (Divergent Boundaries) หินหนืดร้อน (Hot Magma) จากชั้นแมนเทิลจะแทรกตัวขึ้นมาตามช่องว่างตามแนวรอยแตก เมื่อหินหนืดเย็นตัวก็จะกลายเป็นแผ่นเปลือกโลกใหม่ การแทรกตัวขึ้นมาของหินหนืดจะทำให้แนวแยกตัวนั้นสูงขึ้นกลายเป็นแนวเทือกเขากลางมหาสมุทร (Mid-Ocean Ridges) แสดงถึงขอบของแผ่นเปลือกโลกในมหาสมุทร เปลือกโลกใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องมีอัตราเร็วในการเกิดประมาณ 20 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อปี",
"เมื่อแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรสองแผ่นเคลื่อนที่ชนกันและการมุดตัว บริเวณที่มีการมุดตัวจะเกิดร่องลึกมหาสมุทร (Oceanic Trenches) และแนวหมู่เกาะภูเขาไฟ (Volcanic Island Chains)",
"จากผลกระทบของการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคทำให้แปซิฟิกหดตัวลงประมาณ 2.5 เซนติเมตรต่อปี วัดจากทั้งสามด้านโดยเฉลี่ยประมาณ 0.52 กิโลเมตรต่อปีซึ่งตรงกันข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ขยายใหญ่ขึ้น[4][5]",
"เราสามารถแบ่งแดนเทือกเขาออกเป็นเขตต่างๆ ตามลักษณะ โครงสร้าง วิทยาหิน และระดับการแปรสภาพของหิน โดยเขตตามประเภทเหล่านี้อาจเป็นบริเวณเดียวกันหรือซ้อนทับกันเป็นบางส่วน ดังนั้นการเรียกชื่ออย่างถูกต้องจะช่วยให้นักธรณีวิทยาเกิดความเข้าใจที่ตรงกันได้ ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นแดนเทือกเขาที่เกิดจากการชนกันระหว่างแผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปกับแผ่นเปลือกโลกภาคพื้นมหาสมุทรกล่าวโดยสรุปแล้วภูเขาหรือเทือกเขาเป็นผลจากกระบวนการที่เกี่ยวเนื่องกับธรณีแปรสัณฐาน (plate tectonic) แบบการเคลื่อนที่เข้าปะทะกันของแผ่นเปลือกโลก (plate convergence) ได้แก่ การชนกันของแผ่นทวีป (continental collision) และการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก (subduction) ซี่งโดยทั่วไปแล้วมักเป็นการมุดตัวของแผ่นมหาสมุทรลงใต้แผ่นเปลือกโลกเนื่องจากแผ่นมหาสมุทรมีความหนาแน่นมากกว่าจึงจมลงด้านล่างได้ง่ายกว่า การสร้างภูเขาประกอบด้วยกระบวนการทางธรณีวิทยาย่อยๆ อีกเช่น การเปลี่ยนลักษณะ (deformation) การเกิดหินแปร (metamorphism) การยกตัวของแผ่นเปลือกโลก (uplift) และการเกิดแผ่นดินไหว (seismic activity) เป็นต้น",
"อีกกระบวนการหนึ่งที่ได้ถูกเสนอขึ้นมาว่ามีผลต่อการเกิดแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรใหม่ที่บริเวณเทือกเขากลางสมุทรก็คือการหมุนวนของเนื้อโลก (mantle conveyor) อย่างไรก็ตามได้มีการศึกษาพบว่าส่วนด้านบนสุดของชั้นเนื้อโลกนั้นมีคุณสมบัติเป็นพลาสติกมากเกินไปที่จะทำให้เกิดการเสียดทานอย่างเพียงพอที่จะดึงแผ่นธรณีภาคชั้นนอกใต้มหาสมุทรให้เคลื่อนที่ตามไปได้ มากไปกว่านั้นการดันตัวขึ้นมาของหินหนืดที่ทำให้หินหนืดเกิดที่ใต้เทือกเขากลางสมุทรดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนของ 400 กิโลเมตรทางด้านบนเท่านั้น ตัวเลขความลึกนี้ได้มาจากข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนและจากรอยสัมผัสไม่ต่อเนื่องของคลื่นไหวสะเทือนที่ระดับความลึกประมาณ 400 กิโลเมตร การดันตัวขึ้นมาของเนื้อโลกในระดับตื้นบริเวณใต้เทือกเขากลางสมุทรดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่ากระบวนการดึงของแผ่นเปลือกโลกน่าจะมีอิทธิพลมากกว่า ทั้งนี้มีแผ่นเปลือกโลกที่ใหญ่ที่สุดของโลกบางแผ่นเช่นแผ่นอเมริกาเหนือที่กำลังเคลื่อนที่อยู่นั้นแต่กลับยังไม่ทราบว่าเกิดการมุดตัวที่ไหน ",
"ลาดตีนทวีป () เป็นบริเวณที่ต่อเนื่องจากลาดทวีปไปจนถึงพื้นท้องสมุทร (seabed) มีลักษณะเป็นที่ราบเรียบและอาจมีความชันเล็กน้อย และอาจมีบางส่วนลึกหรือเป็นที่สูงต่ำ เกิดจากการตกทับถมของตะกอนต่าง ๆ ที่พัดพามากับกระแสน้ำ บ้างปรากฏเป็นเขาก้นสมุทร (abyssal hill) ไม่สูงมาก พบได้ทั่วไป บางส่วนของลาดตีนทวีปนั้นก็มีความราบเรียบเท่ากันกับพื้นท้องมหาสมุทรที่เป็นพื้นที่ของมหาสมุทรนั้นมีลักษณะภูมิประเทศหลากหลายอันได้แก่ สันเขา ที่ราบสูง แอ่ง ภูเขา เช่น เทือกเขากลางสมุทรแอตแลนติก ซึ่งทอดยาวจากไอซ์แลนด์ลงมาเกือบถึงทวีปแอนตาร์กติก มีบางตอนสูงขึ้นมาเหนือน้ำทะเลกลายเป็นเกาะ เช่น หมู่เกาะอะโซร์สหรือหมู่เกาะฮาวาย ลักษณะภูมิประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ภูเขาใต้ทะเล พบที่พื้นท้องมหาสมุทร บางลูกมียอดตัด เรียกว่า เขายอดราบใต้สมุทร (guyout) พบมากบริเวณตอนกลางและด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างหมู่เกาะมาเรียนากับหมู่เกาะฮาวาย สำหรับยอดเขายอดราบใต้สมุทรนั้นมักอยู่ที่ระดับน้ำลึก 1,200–1,800 เมตร",
"แชลเลนเจอร์ดีป () เป็นจุดที่ลึกที่สุดในมหาสมุทรของโลกเท่าที่รู้จัก โดยมีระดับความลึก 10,911 เมตร ตั้งอยู่ทางปลายด้านใต้สุดของร่องลึกมาเรียนา ใกล้กับกลุ่มหมู่เกาะมาเรียนา แชลเลนเจอร์ดีปมีลักษณะเป็นแอ่งขนาดเล็กที่ก้นของร่องลึกใต้มหาสมุทรรูปดวงจันทร์เสี้ยวขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งร่องเหล่านี้ก็เป็นลักษณะภูมิประเทศที่ลึกผิดปกติใต้ท้องมหาสมุทรอยู่แล้ว แผ่นดินที่อยู่ใกล้กับแชลเลนเจอร์ดีปที่สุด คือ เกาะไฟส์ (ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะแย็พ) ห่างออกไป 289 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และกวม ห่างออกไป 306 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แอ่งดังกล่าวได้ชื่อตามเรือสำรวจราชนาวี เอชเอ็มเอส แชลเลนเจอร์ ซึ่งจัดการสำรวจใน ค.ศ. 1872-76 เป็นการบันทึกความลึกของมหาสมุทรเป็นครั้งแรก",
"พื้นที่ผิวทั้งหมดของโลกมีประมาณ 510 ล้านตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่าร้อยละ 70.8[100] หรือ 361.13 ล้านตารางกิโลเมตร อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลและปกคลุมด้วยน้ำมหาสมุทร[101] พื้นที่ใต้น้ำเหล่านี้มีทั้งที่เป็นไหล่ทวีป ภูเขา ภูเขาไฟ[73] ร่องลึกก้นสมุทร หุบเหวใต้ทะเล ที่ราบสูงพื้นสมุทร ที่ราบก้นสมุทร และระบบสันกลางมหาสมุทรที่ทอดตัวทั่วโลก พื้นที่ที่เหลืออีกราวร้อยละ 29.2 หรือ 148.94 ล้านตารางกิโลเมตร ไม่ถูกน้ำปกคลุม มีภูมิประกาศหลากหลายตามสถานที่ ได้แก่ ภูเขา พื้นที่แห้งแล ที่ราบ ที่ราบสูง และภูมิประเทศรูปแบบอื่น ธรณีแปรสัณฐานและการกร่อน การปะทุของภูเขาไฟ การเกิดอุทกภัย การผุพังอยู่กับที่ การเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็ง การเติบโตของพืดหินปะการัง และการพุ่งชนของอุกกาบาตเป็นกระบวนการที่เปลี่ยนโฉมผิวโลกอยู่เรื่อย ๆ ตามคาบเวลาทางธรณีวิทยา[102]",
"ที่ราบก้นสมุทร () เป็นที่ราบใต้น้ำตรงบริเวณก้นสมุทร โดยทั่วไปจะพบที่ความลึกระหว่าง 3,000 ถึง 6,000 เมตร และอยู่ระหว่างลาดตีนทวีปกับเทือกเขากลางสมุทร มีพื้นที่มากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นผิวโลก มันเป็นพื้นที่ ๆ แบนและราบเรียบที่สุดแต่ได้รับการศึกษาน้อยมาก ที่ราบเหล่านี้เป็นองค์ประกอบทางธรณีวิทยาที่สำคัญของแอ่งมหาสมุทร (องค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ เทือกเขากลางสมุทรที่ยกตัวขึ้น และเขาก้นสมุทรที่ขนาบข้าง) นอกจากองค์ประกอบเหล่านี้แล้ว โดยปกติแอ่งมหาสมุทร\"มีพลัง\" (เชื่อมโยงกับรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกที่เคลื่อนไหวอยู่) จะมีร่องลึกก้นสมุทรและเขตมุดตัวของเปลือกโลกรวมอยู่ด้วย",
"เทือกเขากลางสมุทร () คือแนวเทือกเขาใต้ทะเลโดยจะมีแนวร่องหุบที่รู้จักกันในนามของร่องแยก (rift) ที่สันของแนวเทือกเขาซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการธรณีแปรสัณฐาน รูปแบบของเทือกเขากลางสมุทรนี้เป็นลักษณะที่รู้จักกันว่าเป็นแนว “ศูนย์กลางของการแยกแผ่ขยายออก” ซึ่งเป็นการแผ่ขยายออกของแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร การยกตัวของพื้นมหาสมุทรเป็นผลเนื่องมาจากกระแสการพาความร้อน (convection currents) ซึ่งเป็นการดันตัวขึ้นมาของหินหนืดจากชั้นฐานธรณีภาคตามแนวที่อ่อนตัวของพื้นมหาสมุทรโดยการปะทุขึ้นมาในรูปของลาวา เกิดเป็นเปลือกโลกใหม่เมื่อเย็นตัวลง เทือกเขากลางสมุทรเป็นแนวขอบเขตรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกทางเทคโทนิกสองแผ่นและถือกันว่าเป็นแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว",
"ในค.ศ. 1620 ฟรานซิส เบคอน ได้ตั้งข้อสังเกต ถึงการที่สองฟากมหาสมุทรแอตแลนติกมีลักษณะสัณฐานวิทยาที่สอดคล้องกันต่อมา P.Placet 1668 พยายามอธิบายว่าสองฟากมหาสมุทรแอตแลนติกน่าจะเชื่อมกันมาก่อน แต่ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลใดสนับสนุน นอกจากอาศัยลักษณะคล้ายคลึงสอดคล้องกันของชายฝั่งมหาสมุทรเท่านั้น จากนั้นในปี 1858 Antonio Sniderได้อาศัยข้อมูลชั้นหินในยุค Carboniferous ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือมาเชื่อมโยงกันซึ่งสามารถสรุปได้ว่า ก่อนหน้านี้ทวีปทั้งหมดเคยเป็นทวีปผืนเดียวกันมาก่อน แล้วจึงค่อยๆ แยกออกจากกันในภายหลัง ในปี 1908 Frank B. Taylor ได้อธิบายถึงของการที่มหาทวีป 2 ทวีปซึ่งเคยวางตัวอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือและใต้แยกออกเป็นทวีปเล็กๆ และเคลื่อนที่มาในทิศเข้าหาเส้นศูนย์สูตร นั่นคือมหาทวีปลอเรเซีย (Laurasia) ซึ่งอยู่ทางเหนือและมหาทวีปกอนด์วานา (Gondwanaland) ซึ่งอยู่ทางใต้ โดยเป็นการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกไซอัลเท่านั้น ต่อมาในปี 1910 Alfred Wegene ได้สร้างแผนที่มหาทวีปใหม่ โดยอาศัยรูปร่างแผนที่ของ Snider และตั้งชื่อว่ามหาทวีปพันเจีย ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรพันธาลาสซา (Panthalassa) แล้วเกิดการแยกออกและเคลื่อนที่ไปอยู่ ณ ตำแหน่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยขณะเคลื่อนที่ก็เกิดเทือกเขาขึ้น ต่อมา Taylor ได้อธิบายว่ารอยชิ้นทวีปที่ขาดหล่นปรากฏเป็นเกาะแก่ง หรือรอยฉีกที่พบเป็นร่องลึกยังปรากฏอยู่บนพื้นมหาสมุทร",
"ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาเป็นแนวเขตที่แผ่นธรณีแปรสัณฐาน หรือที่เรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า \"Tectonic Plates\" สองแผ่นมาชนกัน ณ บริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) โดยแผ่นธรณีแปซิฟิก เป็นฝ่ายลอดลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา ก้นของร่องลึก ณ จุดนี้ที่มีชื่อเรียกว่า \"แชลเลนเจอร์ดีป\" (Challenger Deep) อยู่ลึกกว่าความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่บนแผ่นดิน ความลึกมากสุดของร่องที่วัดได้ ณ จุดนี้ ลึกมากถึง 10,911 เมตรจากระดับน้ำทะเล และหากวัดละติจูดและ ส่วนอ้วนจากแรงเหวี่ยงแถบเส้นศูนย์สูตร (equatorial bulge) จะได้ระยะของจุดลึกสุดของร่องได้ 6,366,400 เมตรจากจุดใจกลางของโลก ในขณะที่มหาสมุทรอาร์กติกซึ่งมีความลึกมากที่สุดประมาณ 4,500 เมตร แต่เมื่อวัดพื้นผิวก้นมหาสมุทรถึงจุดใจกลางโลกกลับได้ระยะ 6,353,000 เมตร ใกล้จุดใจกลางโลกมากกว่าร่องลึกบาดาลมาเรียนาถึง 13 กิโลเมตร",
"ค่าเฉลี่ยของการสูญเสียความร้อนจากโลกอยู่ที่ 87 มิลลิวัตต์ต่อตารางเมตร คิดรวมทั้งโลกจะสูญเสียความร้อนที่ 4.42 × 1013 วัตต์[89] พลังงานความร้อนบางส่วนจากแก่นถูกแมนเทิลพลูมส่งผ่านขึ้นมายังเปลือกโลก ซึ่งเป็นการพาความร้อนแบบหนึ่งที่เกิดจากการไหลขึ้นของหินอุณหภูมิสูง พลูมนี้สามารถทำให้เกิดจุดร้อนและทุ่งบะซอลท์[90] ความร้อนจากภายในโลกส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค โดยการไหลขึ้นของเนื้อโลกที่สัมพันธ์กับสันกลางมหาสมุทร หนทางการสูญเสียความร้อนสำคัญสุดท้ายคือการนำความร้อนผ่านธรณีภาคซึ่งปรากฏใต้มหาสมุทรเป็นส่วนใหญ่เพราะเปลือกโลกบริเวณนั้นบางมากกว่าแผ่นเปลือกทวีปมาก[91]",
"เมื่อแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรใหม่มีการเย็นตัวเป็นเวลากว่าสิบล้านปี ความหนาแน่นก็จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นจนมีความหนาแน่นมากกว่าชั้นหินหนืดที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นจึงมุดตัวลงไปใต้โลกเรียกว่า Subduction การมุดตัวนี้จะเกิดขึ้นในบริเวณแนวแผ่นเปลือกโลกลู่เข้าหากัน (Convergent Plate Boundaries) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกทั้งสองแผ่นมีการเคลื่อนที่เข้าชนกัน แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะเข้าชนและมุดตัวใต้แผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปที่ความหนาแน่นน้อยกว่า เมื่อแผ่นเปลือกโลกมุดตัวลงไปในโลก จะเกิดการบีบอัดและหลอมเป็นบางส่วน (Partially Melting) เนื่องจากอุณหภูมิและความดันที่สูงขึ้น ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟ ขึ้นเหนือบริเวณที่มีการมุดตัว โดยการเคลื่อนที่แบบ Convergence จะทำให้เกิดลักษณะธรณีสัณฐาน 3 แบบได้แก่",
"ขอบเขตรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกแบบลู่เข้าหากันมีความยาวทั้งหมดได้ถึง 50,000 กิโลเมตรทั้งหมดอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเป็นที่มาของการใช้คำว่า “ขอบเขตรอยต่อแบบแปซิฟิก” (pacific-type margin) แต่ก็พบได้ทางด้านตะวันออกของมหาสมุทรอินเดียด้วย และรวมถึงขอบเขตรอยต่อสั้นๆในมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บางครั้งร่องลึกก้นทะเลก็ถูกฝังกลบไม่แสดงลักษณะ แต่จากลักษณะโครงสร้างพื้นฐานแล้วก็ยังต้องเรียกว่าร่องลึกก้นทะเล ดังที่นำไปใช้กับโซนมุดตัวแคสคาเดีย มากรัน เลสเซอร์แอนตอลเลสด้านใต้ และร่องลึกก้นสมุทรคาลาเบรียล ร่องลึกก้นสมุทรจะอยู่ขนานไปกับแนวหมู่เกาะรูปโค้ง และโซนแผ่นดินไหวที่มีการเอียงเทลงไปใต้แนวหมู่เกาะรูปโค้งลึกลงไปได้ถึง 700 กิโลเมตรที่จัดให้เป็นขอบเขตรอยต่อแผ่นเปลือกโลกแบบลู่เข้าหากันเกิดเป็นโซนมุดตัวลึกลงไป ร่องลึกก้นสมุทรมีความเกี่ยวข้องกับการชนกันของแผ่นเปลือกโลกแต่มีความแตกต่างไปจากการชนกันระหว่างแผ่นเปลือกทวีป (ดังเช่นการชนกันระหว่างอินเดียกับเอเชียที่ทำให้เกิดเทือกเขาหิมาลัย) อันเกิดจากแผ่นเปลือกทวีปเคลื่อนที่เข้าไปในแนวมุดตัว เมื่อแผ่นเปลือกทวีปเคลื่อนที่ถึงบริเวณร่องลึกก้นสมุทรการมุดตัวก็จะสิ้นสุดลงและขอบของแผ่นเปลือกโลกแบบลู่เข้าหากันก็จะกลายเป็นแนวชนกันของแผ่นเปลือกโลกบนทวีป ลักษณะที่เทียบเคียงได้กับร่องลึกก้นสมุทรจะเกิดมีสัมพันธ์กับแนวชนกันที่เป็นร่องลึกหน้าเกาะ (foredeep) ที่มีการสะสมตัวของตะกอนและถือว่าเป็นแอ่งสะสมตะกอนหน้าแผ่นดิน อย่างเช่นที่พบในแม่น้ำแกงเกส และแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส",
"ร่องลึกก้นสมุทรเป็นลักษณะของขอบเขตระหว่างแผ่นเปลือกโลกที่โดดเด่นชัดเจน โดยเป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่เข้าหากันด้วยอัตราการลู่เข้าหากันที่แปรผันจากปีละไม่กี่มิลลิเมตรจนไปถึงสิบเซนติเมตรหรือมากกว่า ร่องลึกก้นสมุทรหนึ่งๆเป็นตำแหน่งที่แผ่นธรณีภาคชั้นนอกหนึ่งมีการโค้งมุดลงไปใต้แผ่นธรณีภาคชั้นนอกอีกแผ่นหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วร่องลึกก้นสมุทรจะขนานไปกับแนวหมู่เกาะรูปโค้ง (volcanic arc) และอยู่ห่างจากแนวหมู่เกาะรูปโค้งออกไปประมาณ 200 กิโลเมตร โดยทั่วไปร่องลึกก้นสมุทรจะมีความลึกประมาณ 3 ถึง 4 กิโลเมตรลงไปจากพื้นมหาสมุทรรอบข้าง ส่วนที่ลึกที่สุดอยู่ที่ร่องลึกชาลเลนเจอร์ของร่องลึกก้นสมุทรมาเรียน่าซึ่งมีความลึก 10,911 เมตรใต้ระดับทะเล แผ่นธรณีภาคชั้นนอกใต้มหาสมุทรจะเคลื่อนที่หายเข้าไปในร่องลึกก้นสมุทรด้วยอัตราประมาณ 10 ตารางเมตรต่อวินาที",
"ระหว่างทศวรรษที่ 1920 – 1930 เฟลิกซ์ แอนดรีส์ เวนิ่ง ไมเนสซ์ ได้พัฒนาเครื่องมือวัดแรงโน้มถ่วงโลกที่สามารถวัดค่าแรงโน้มถ่วงโลกในสภาพแวดล้อมใต้ทะเลที่เสถียรและได้ทำการวัดค่าแรงโน้มถ่วงเหนือร่องลึกก้นสมุทรด้วย จากค่าแรงโน้มถ่วงที่เขาวัดได้ชี้ชัดว่าร่องลึกก้นสมุทรเป็นบริเวณที่เว้าลึกลงไปในเนื้อโลก แนวคิดเรื่องลักษณะที่เว้าลึกลงไปตรงบริเวณร่องลึกก้นสมุทรถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยกริ๊กกส์ในปี 1939 ด้วยสมมุติฐานเทคโทยีน ซึ่งเขาได้พัฒนาแบบจำลองเปรียบเทียบมีรูปลักษณะเป็นรูปกลองคู่หมุนได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการปรับปรุงข้อมูลลักษณะพื้นผิวก้นทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านตะวันตกและทางด้านเหนือที่ทำให้เห็นแนวร่องลึกเป็นแนวยาวชัดเจนขึ้น ความพยายามในการวิจัยห้วงทะเลลึกมีการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการใช้เครื่องกำเนิดเสียงสะท้อนกันอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษที่ 1950 – 1960 ที่ช่วยยืนยันคุณประโยชน์ของคำศัพท์ในเชิงรูปลักษณ์สัณฐานนี้ มีการค้นพบร่องลึกก้นทะเลที่สำคัญๆ มีการเก็บตัวอย่างและมีการวัดความลึกได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ช่วงระยะเวลาของการสำรวจร่องลึกก้นทะเลได้บรรลุถึงจุดสุดยอดในปี 1960 ที่ทำให้ทราบถึงลักษณะที่ชัดเจนด้วยการดำดิ่งลงไปถึงก้นทะเลที่ร่องลึกชาลเลนเจอร์ หลังจากนั้นโรเบิร์ต ไดเอตซ์ และฮาร์รี เฮสส์ ได้สร้างสมมุติฐานการแยกแผ่ออกไปของแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร (seafloor spreading) ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 1960 และพัฒนาไปเป็นเพลตเทคโทนิกในช่วงปลายของทศวรรษจนทำให้คำว่า “ร่องลึกก้นสมุทร” ได้รับการนิยามอีกครั้งในเชิงเทคโทนิกและความหมายทางพื้นผิวก้นมหาสมุทร ",
"ก้นสมุทร () อาจเรียกว่า พื้นท้องมหาสมุทร หรือ ก้นสมุทร คือช่วงตอนกลางของมหาสมุทรและเป็นบริเวณที่ต่อเนื่องจากลาดตีนทวีปเป็นต้นไป เป็นอาณาเขตส่วนใหญ่ของพื้นที่ใต้ทะเลจึงมีขนาดกว้างขว้างมาก มีลักษณะภูมิประเทศหลากหลาย มีพื้นที่ราบเรียบเป็นส่วนใหญ่แต่มีส่วนสูงส่วนต่ำด้วยเช่นกัน ได้แก่ หุบผาชันใต้ทะเล เทือกเขากลางสมุทร ที่ราบสูง แอ่งมหาสมุทร ภูเขา เช่น เทือกเขามิดแอตแลนติก ซึ่งทอดจากไอซ์แลนด์ลงมาเกือบถึงทวีปแอนตาร์กติกา บางตอนสูงขึ้นมาเหนือน้ำเป็นเกาะ เช่น หมู่เกาะอะโซร์ส เกาะเล็ก ๆ อื่น ๆ สันเขานี้ยาวประมาณ 720 กิโลเมตร ส่วนแอ่งลึกบนพื้นท้องมหาสมุทรขนาดใหญ่นั้นก็คือบริเวณอ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน ทะเลแดง ระดับความลึกของน้ำบริเวณนี้จะลึกประมาณ 4,000-6,000 เมตร\nคืออาณาเขตหรือพื้นที่ส่วนใหญ่ของมหาสมุทรมีโครงสร้างจากปรากฏการณ์ทางกายภาพทั่วไปที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกและตะกอนจากแหล่งต่าง ๆ ที่กระแสน้ำพัดพามา โครงสร้างของพื้นท้องมหาสมุทรเริ่มต้นจากขอบทวีปโดยจะมีไหล่ทวีป ลาดทวีป ลาดตีนทวีป ลดลงมาตามความลาดชันเป็นชั้นลงไปในทะเลจนมาถึงที่ราบก้นสมุทร ซึ่งเป็นภูมิประเทศของก้นทะเลและพื้นที่หลักของทะเลนั้นเอง",
"มีอยู่ 2 กระบวนการคือ การดันของเทือกเขากลางสมุทร (ridge-push) และการดึงของแผ่นเปลือกโลก (slab-pull) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่แยกออกจากเทือกเขากลางสมุทรแต่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่แน่ชัดว่ากระบวนการไหนจะโดดเด่นกว่ากัน กระบวนการดันของเทือกเขากลางสมุทรนั้นเกิดขึ้นเมื่อน้ำหนักของเทือกเขาผลักส่วนที่เป็นแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรให้เคลื่อนที่ออกไปจากแนวสันกลางปรกติจะผลักจนไปมุดลงที่แนวร่องลึกก้นทะเล ที่แนวมุดตัวนี้กระบวนการดึงของแผ่นเปลือกโลกจะเกิดขึ้น กระบวนการนี้เกิดขึ้นง่ายๆเพียงน้ำหนักของแผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงไปนั้นได้เกิดการดึงลงไปด้านล่างด้วยน้ำหนักของมันและลากแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรด้านบนให้เคลื่อนที่ตามไปด้วย ",
"ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา () เป็นชื่อธรณีวิทยาทางทะเลของร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก และเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของเปลือกโลกเท่าที่ทราบกันในปัจจุบัน ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนามีตำแหน่งอยู่ที่ก้นมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และอยู่ในแนวตะวันออกและแนวใต้ของหมู่เกาะมาเรียนา ณ พิกัด 11° 21’ เหนือ และ 142° 12’ ตะวันออก ใกล้เกาะกวม",
"มีลักษณะเป็นแนวเทือกเขาเตี้ยวางตัวทอดยาวไปบนพื้นมหาสมุทรคล้ายกับเทือกเขาบนทวีป เทือกเขากลางสมุทรที่สำคัญได้แก่ Mid-Atlantic Ridge และ East Pacific Rise เป็นต้น กลางเทือกเขามีลักษณะพิเศษคือมีร่องลึกอันเกิดจากรอยเลื่อนทอดตัวตลอดความยาวของเทือกเขา โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับร่องหุบเขาที่ปรากฏอยู่บนแผ่นดินหลายแห่ง เช่น ร่องหุบเขาทางด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกา หรือร่องหุบเขาบริเวณแม่น้ำไรน์ในยุโรป เป็นต้น บนเทือกเขากลางสมุทรมีการยกตัวขึ้นมาของหินหลอมละลายที่ลึกลงไปในชั้นเนื้อโลกทำให้เกิดเป็นหินอัคนีพุจำพวก Basalt และ Ultramafic หินอัคนีพุเหล่านี้แสดงหลักฐานเป็นแถบบันทึกสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นขณะที่หินหลอมละลายกำลังเย็นตัว แถบบันทึกนี้แสดงให้เห็นว่าสนามแม่เหล็กโลกได้เกิดการกลับขั้วไปมาตลอดเวลา นอกจากนี้ยังพบว่าแถบบันทึกสนามแม่เหล็กโลกนี้ปรากฏอยู่บนหินที่ประกอบเป็นพื้นมหาสมุทรทั้งสองฟากของเทือกเขากลางสมุทรด้วย และพบว่ายิ่งห่างออกไปจากแนวกลางของเทือกเขาชุดหินจะมีอายุแก่ขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าหินเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่กลางเทือกเขาแล้วค่อยเคลื่อนที่ออกจากกันเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา จากการคำนวณการเคลื่อนที่ทำให้กำหนดความเร็วของการแยกตัวได้ว่าอยู่ระหว่าง 1 ถึง 15 เซนติเมตรต่อปี ดังนั้นเราสามารถระบุขอบของแผ่นเปลือกโลกในส่วนที่กำลังแยกตัวออกจากกันจากบริเวณเทือกเขากลางสมุทรได้",
"ชะวากทะเลสามารถจำแนกโดยอาศัยลักษณะทางธรณีสัณฐาน ออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ 4 ประเภท ดังนี้\nชะวากทะเลชนิดนี้ส่วนมากจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 6,000 ถึง 15,000 ปีที่ผ่านมา หรือในช่วงปลายของ Wisconsin glaciation (เป็นช่วงเวลาที่ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขี้นประมาณ 100 ถึง 130 เมตร) เมื่อระดับน้ำทะเลลดลงจึงได้มีการเกิดลักษณะชะวากทะเลเช่นนี้ขึ้น นอกจากนี้แล้วการทรุดตัวของบริเวณชายฝั่งยังช่วยให้เกิดชะวากทะเลแบบร่องน้ำจมตัวได้อีกด้วย โดยลักษณะเช่นนี้มักเกิดขึ้นในที่ราบต่ำ ขนาดกว้าง มีความลึกไม่มากนัก มักพบได้ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก สหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น Chesapeake Bay, Delaware Bay, Galveston Bay และ Tampa Bay\nชะวากทะเลชนิดนี้จะได้รับอิทธิพลของน้ำทะเลน้อยมาก เนื่องจากในบริเวณนั้นมีเกาะสันดอน (Barrier islands) หรือจะงอยทราย (Sand spit) เป็นตัวกั้นอิทธิพลจากน้ำทะเลเอาไว้ จะมีช่องแคบๆเท่านั้นที่ติดต่อกับน้ำทะเล โดยมากมักจะพัฒนาอยู่บนบริเวณชายฝั่งที่มีความมั่นคงทางธรณีแปรสัณฐานสูง และมีการสะสมตัวของตะกอนตามแนวชายฝั่ง แต่จะต้องมีอัตราของน้ำขึ้นน้ำลงไม่เกิน 4 เมตร และเกาะสันดอนที่เกิดร่วมกันนั้นมักจะเกิดขึ้นในบริเวณทะเลน้ำตื้นคือลึกไม่เกิน 5 ถึง 10 เมตร และมีกระแสที่มากระทำขนานกับแนวชายหาด โดยมากจะพบตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก สหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น Barnegat Bay นิวเจอร์ซีย์, Laguna Madre เทกซัส และ Pamlico Sound นอร์ทแคโรไลนา\nชะวากทะเลชนิดนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นร่องลึกเนื่องจากการกัดเชาะของธารน้ำแข็ง ร่องลึกดังกล่าวมีลักษณะเป็นรูปตัวยู บริเวณตื้นของชะวากทะเลชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นปากอ่าว และมักจะได้รับผลจากการไหลเวียนของกระแสน้ำขึ้นน้ำลงจากน้ำลึกไปยังน้ำตื้นบริเวณชะวากทะเล พบได้ตามแนวชายฝั่งของอะแลสกา ตะวันออกของแคนาดา กรีนแลนด์ ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และนอร์เวย์\nชะวากทะเลชนิดนี้เกิดจากการทรุดตัว หรือแผ่นดินถูกตัดจากทะเลโดยการเคลื่อนที่ของแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับรอยเลื่อน ภูเขาไฟ และแผ่นดินถล่ม น้ำท่วมจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในยุคโฮโลซีนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างชะวากทะเล ตัวอย่างเช่น อ่าวแซนแฟรนซิสโกที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกตามแนวรอยเลื่อนแซนแอนเดรอัส",
"แผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ผ่านซึ่งกันและกันในบริเวณแนวรอยเลื่อนแปรสภาพ (Transform Boundaries) มักพบในแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้แนวเทือกเขากลางมหาสมุทรเลื่อนเหลื่อมออกจากกัน บางบริเวณก็พบว่าตัดผ่านแผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปด้วย ในมหาสมุทรแนวดังกล่าวนี้มักจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวกำลังไม่มากอยู่เป็นประจำ ส่วนในภาคพื้นทวีปแนวดังกล่าวมักถูกจำกัดทำให้เกิดการสะสมพลังงานและก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเวลาต่อมาเมื่อเกิดการเลื่อนอย่างฉับพลัน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายได้ ดังเช่น รอยเลื่อนซานแอนเดียส",
"คำว่า “โอฟิโอไลต์” ใช้ครั้งแรกโดย Alexandre Brongniart เพื่อบ่งบอกถึงกลุ่มหินสีเขียว เช่น หินเซอเพนทีน (serpentinite) หินไดอะเบส (diabase) ในเทือกเขาแอลป์ (Alps) ต่อมา Steinmann ได้ใช้รวมถึงลาวารูปหมอน (pillow lava) และ หินเชิร์ต (chert) ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1950 ถึงต้นปี ค.ศ. 1960 การสำรวจความผิดปกติแถบสนามแม่เหล็ก (magnetic anomaly stripes) ของพื้นทะเล (seafloor) ซึ่งวางตัวขนานกับเทือกเขากลางมหาสมุทร (oceanic ridge) โดย Frederick Vine และ Drummond Matthews ได้บ่งบอกถึงหมวดหินใหม่ของเปลือกโลกใต้มหาสมุทรบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทร ประกอบกับการสำรวจแผ่นพนังหิน (sheeted dike) บริเวณ Troodos ophiolite ประเทศไซปรัส โดย Ian Graham Gass และคณะ พบว่าพนังหินดังกล่าวเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา 100% โดยไม่มีหินที่แก่กว่าปรากฏในบริเวณดังกล่าว ต่อมาMoores และ Vine ได้สรุปว่าแผ่นพนังหิน บริเวณ Troodos ophiolite ประเทศไซปรัส เกิดจากกระบวนการแยกตัวของพื้นมหาสมุทร (seafloor spreading) จากนั้น คำว่า “โอฟิโอไลต์” จึงเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในความหมายที่ว่า ชุดหินของเปลือกโลกใต้มหาสมุทรที่ถูกกระบวนการธรณีแปรสัณฐานนำขึ้นมาปรากฏบนแผ่นดิน \nจากการพบชุดหินโอฟิโอไลต์ตามแนวเทือกเขาหลายแห่ง เช่น เทือกเขาแอลป์ เทือกเขาหิมาลัย ทำให้โอฟิโอไลต์เป็นหัวใจสำคัญของทฤษฎีแผ่นธรณีแปรสัณฐาน (plate tectonic theory) ในปัจจุบัน",
"ทางช้างเผือกกำลังหมุนรอบศูนย์กลางความหนาแน่นของกาแล็กซี ดังนั้นดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนที่เป็นวงกลมภายใต้แรงโน้มถ่วงของกาแล็กซี ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางออกมาทางขอบด้านนอก โดยความเร็วโดยรวมของดาวฤกษ์อยู่ระหว่าง 210 ถึง 240 กิโลเมตรต่อวินาทีซึ่งดาวเคราะห์และดวงจันทร์ก็กำลังเคลื่อนที่ไปกับดวงอาทิตย์ด้วย นั้นหมายความว่าระบบสุริยะกำลังเคลื่อนที่อยู่ไปด้วยทฤษฎีการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคบอกเราว่าทวีปลอยอยู่บนกระแสการพาความร้อนภายในเนื้อโลก ทำให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ไปบนผิวของดาวเคราะห์ ด้วยความเร็วประมาณ 1 นิ้ว (2.54 เซนติเมตร) ต่อปีอย่างไรก็ตามความเร็วของการเคลื่อนที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยแผ่นที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดคือแผ่นมหาสมุทรแผ่นโคโคสที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 75 มิลลิเมตรต่อปี (3 นิ้วต่อปี) และแผ่นแปซิฟิกที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 52 - 69 มิลลิเมตรต่อปี (2.1 - 2.7 นิ้วต่อปี) ส่วนแผ่นที่เคลื่อนที่ช้าที่สุดคือ แผ่นยูเรเชีย ที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 21 มิลลิเมตรต่อปี (0.8 นิ้วต่อปี)เซลล์ของร่างกายมนุษย์มีโครงสร้างมากมายที่เคลื่อนที่ไปทั่วทั้งร่างกาย",
"เปลือกโลกใต้มหาสมุทรประกอบไปด้วยหินที่มีอายุอ่อนกว่าอายุของโลกมาก โดยชั้นเปลือกโลกทั้งหมดในแอ่งมหาสมุทรจะมีอายุอ่อนกว่า 200 ล้านปี เปลือกโลกมีการเกิดขึ้นใหม่ในอัตราคงที่ที่สันกลางสมุทร การเคลื่อนที่ออกจากเทือกเขากลางสมุทรทำให้ความลึกของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนที่ลึกที่สุดคือร่องลึกก้นสมุทร ขณะที่ชั้นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรเคลื่อนที่ออกจากสันกลางนั้น หินเพริโดไทต์ในชั้นเนื้อโลกที่อยู่ด้านใต้เกิดการเย็นตัวลงมีสภาพที่แข็งแกร่งขึ้น ชั้นเปลือกโลกและหินเพริโดไทต์ที่อยู่ด้านใต้นี้ทำให้เกิดธรณีภาคชั้นนอกใต้มหาสมุทร ",
"การขยายตัวของพื้นมหาสมุทร () เป็นหนึ่งในทฤษฏีพื้นฐานและสำคัญที่สุดทฤษฏีหนึ่งในวิชาธรณีวิทยา นั่นคือทฤษฏีการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค ทฤษฏีการขยายตัวของพื้นมหาสมุทรที่เสนอโดย Harry H.Hessเป็นทฤษฏีต่อยอดจากแนวคิดการเลื่อนไหลของทวีปของอัลเฟรด เวเจเนอร์ โดยทฤษฏีนี้ได้อธิบายถึงสาเหตุของการขยายตัวของพื้นมหาสมุทรว่าเกิดขึ้นจากกระแสวน (convection current) ในชั้นเนื้อโลกตอนบนหรือชั้นฐานธรณีภาค",
"ธรณีภาคของโลกแบ่งออกได้เป็นหลาย ๆ ส่วน เรียกว่าแผ่นธรณีภาค ซึ่งย้ายที่ตัดผ่านพื้นผิวตลอดเวลาหลายล้านปี ร้อยละ 71 ของพื้นผิวโลกปกคลุมด้วยน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมหาสมุทร[6] อีกร้อยละ 29 ที่เหลือเป็นแผ่นดินประกอบด้วยทวีปและเกาะซึ่งมีทะเลสาบ แม่น้ำและแหล่งน้ำอื่นจำนวนมากกอปรเป็นอุทกภาค บริเวณขั้วโลกทั้งสองปกคลุมด้วยน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติก และน้ำแข็งทะเลของแพน้ำแข็งขั้วโลก บริเวณภายในของโลกยังคงมีความเคลื่อนไหวโดยมีแก่นชั้นในซึ่งเป็นเหล็กในสถานะของแข็ง มีแก่นเหลวชั้นนอกซึ่งกำเนิดสนามแม่เหล็ก และชั้นแมนเทิลพาความร้อนที่ขับเคลื่อนการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค",
"ร่องลึกนี้ถูกพบที่ใต้มหาสมุทรใกล้ขอบของทวีป และมักพบว่ามีแนวเกาะภูเขาไฟรูปโค้งอยู่ด้านอยู่ใกล้ขอบทวีป หินภูเขาไฟที่เกิดขึ้นตามแนวเกาะภูเขาไฟนี้เป็นจำพวกหิน Andesite ซึ่งแตกต่างไปจากหินอัคนีที่เกิดบริเวณเทือกเขากลางสมุทรที่ส่วนใหญ่เป็นหิน Basalt นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังพบว่าเป็นบริเวณที่มีความร้อนสูงและมีการเกิดแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง พบว่าตำแหน่งจุดกำเนิดแผ่นดินไหว มีลักษณะเอียงเทลงไปจากแนวร่องลึกลงไปถึงชั้นฐานธรณีภาค ที่ประมาณความลึกถึง 700 กิโลเมตร เรียกแนวแผ่นดินไหวเอียงเทนี้ว่าเขตเบนนิออฟ (Benioff Zones) จากการศึกษากลไกการเกิดแผ่นดินไหวที่พบในที่ลึกพบว่ามีแผ่นดินไหวจำนวนหนึ่งน่าจะเกิดจากรอยเลื่อนที่มีลักษณะสอดคล้องกับการเอียงของ Benioff Zone โดยแสดงเป็นลักษณะของรอยเลื่อนย้อน ดังนั้นจึงเกิดเป็นสมมติฐานว่าบริเวณนี้แผ่นเปลือกโลกกำลังมุดตัวเอียงลง และถูกกลืนหายไปในชั้นฐานธรณีภาค ขณะเดียวกันแนวเกาะภูเขาไฟและเขตความร้อนพิภพสูงก็อธิบายว่าได้เกิดการหลอมตัวของแผ่นเปลือกโลกในที่ลึกจนกลายเป็นมวลหินหลอมเหลว ซึ่งมวลหินหลอมเหลวค่อยๆหาทางเคลื่อนที่ขึ้นข้างบนมาเย็นตัวเป็นมวลหินอัคนีทั้งหินอัคนีพุและหินอัคนีแทรกดัน นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงที่ขอบของแผ่นเปลือกโลกด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านน่าจะเกิดการเข้าชนกันทำให้เกิดการคดโค้งโก่งงอพร้อมกับรอยเลื่อนย้อนมากมายจนทำให้วัสดุถูกยกตัวขึ้นเป็นแนวแคบยาวขนานไปตามแนวชนกันของขอบแผ่นเปลือกโลกนั่นคือการเกิดเป็นแนวเทือกเขานั่นเอง"
] |
ภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่ประเทศญี่ปุ่นใช่หรือไม่ ? | [
"ภูเขาไฟฟูจิ (Fuji Mountain) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน ประเทศญี่ปุ่น ราว 4,231 เมตร ตั้งอยู่บริเวณ จังหวัดชิซุโอะกะ และ จังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของ โตเกียว พื้นที่โดยรอบ ประกอบด้วย ทะเลสาบฟูจิทั้งห้า อุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮะโกะเนะ-อิซุ และ น้ำตกชิระอิโตะ โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจาก โตเกียว ได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ยุคเอะโดะ"
] | [
"ภูเขาไฟฟูจิ 富士山 ภูเขาไฟฟูจิจากมุม ทะเลสาบโมะโตะซุ ความสูง3,776 เมตร (12,388 ฟุต)สถานที่ตั้งภูมิภาคชูบุ, ฮนชู, ประเทศญี่ปุ่นพิกัดภูมิศาสตร์Coordinates: ประเภทกรวยภูเขาไฟสลับชั้นระเบิดครั้งล่าสุดพ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707)ผู้ไต่ถึงยอดเป็นคนแรกในปี พ.ศ. 1206 โดยพระองค์หนึ่งวิธีไต่เขาที่ง่ายที่สุดเดิน",
"ทะเลสาบยามานากะ () เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ทะเลสาบทั้ง 5 บริเวณภูเขาไฟฟูจิ ตั้งอยู่ในจังหวัดยามานาชิ บริเวณทะเลสาบเหมาะแก่การประกอบกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น ล่องเรือ ตกปลา สกีน้ำ โต้คลื่น ว่ายน้ำ และชมทิวทัศน์ภูเขาไฟฟูจิ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ให้บริการกางเต้นท์ ทะเลสาบยามานากะเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ และเป็น 1 ในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 แห่งที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกันกับภูเขาไฟฟูจิ อุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ และน้ำตกชิราอิโตะภายใต้ชื่อ \"ฟุจิซัง - สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งบันดาลใจทางศิลปะ\" เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา",
"ภูเขาไฟฟูจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า \"ฟูจิไกโซ",
"การแข่งขันเอบียูโรบอตคอนเทสต์ในปี ค.ศ. 2002นั้น ถือเป็นปีแรกของการจัดการแข่งขันเอบียูโรบอตคอนเทสต์ ซึ่งทางเอบียูได้มอบหมายให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันครั้งแรก โดยทางเจ้าภาพนั้นได้กำหนดกติกาการแข่งขันและใช้ชื่อการแข่งขันนี้ว่า Reach for The Top of Mt.Fuji หรือชื่อภาษาไทยว่า พิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งประเทศไทยนั้นได้ส่งทีม MIMI ซึ่งเป็นทีมที่มาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและเป็นผู้ชนะในการแข่งขันหุ่นยนต์เอบียูชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันกับอีก 19 ทีม จาก 18 ประเทศ(ไม่รวมประเทศไทย) และในที่สุดทีม TELEMATIC จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีโฮจิมินซิตี้ ประเทศเวียดนาม ก็สามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันครั้งนี้ได้สำเร็จ",
"ฟูจิโนมิยะตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของจังหวัดชิซูโอกะ ในบริเวณที่ราบสูงเชิงเขาสลับเนินลูกระนาดขนาดเล็ก ตั้งอยู่ห่างจากภูเขาไฟฟุจิประมาณ 35 กิโลเมตร พื้นที่ส่วนมากของเมืองมีอาณาเขตติดกับเขตอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ เป็นเมืองหนึ่งที่นิยมเริ่มต้นในการเดินทางปีนภูเขาไฟฟูจิ",
"ทะเลสาบฟูจิทั้งห้าได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกันกับภูเขาไฟฟูจิ อุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ และน้ำตกชิราอิโตะภายใต้ชื่อ \"ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ\" เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556",
"ลู่แข่งนานาชาติฟูจิ เป็นสนามแข่งรถ ตั้งอยู่เชิงภูเขาไฟฟูจิ ในเขตตำบลโอยามะ จังหวัดชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นของโตโยต้ามอเตอร์หลังจากซื้อมาจากมิตซูบิชิ ในปี พ.ศ. 2543 ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่แข่งขันรถสูตรหนึ่งเจแปนกรังปรีซ์ NASCAR และโมโตจีพี หลังจากว่างเว้นการจัดแข่งขันรายการใหญ่นานถึง 29 ปี และได้รับการปรับปรุงเส้นทาง และผลักดันจากโตโยต้า แย่งชิงสถานะการเป็นเจ้าภาพจากสนามซูซูกะเซอร์กิตของฮอนด้ามอเตอร์",
"ผู้ให้กำเนิดรูปแบบของเท็ปปังยากิ คือร้านอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อ มิโซโนะ (Misono) ในปี ค.ศ. 1945 โดยนำเอาแนวคิดการปรุงอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก มาปรุงลงบนกระทะเท็ปปัง แล้วพบว่าอาหารขนิดนี้ได้รับความนิยมในหมู่ชาวต่างชาติมากกว่าชาวญี่ปุ่น ชาวต่างชาติชื่นชมกับทักษะการเตรียมอาหารของพ่อครัว ฝึมือการทำอาหาร และรู้สึกคุ้นเคยมากกว่าอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ร้านอาหารแห่งนี้โด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และทางร้านเองได้พัฒนาทักษะการเตรียมอาหารของพ่อครัวให้เพิ่มมากขึ้น เช่น การเรียงหัวหอมให้เป็นทรงภูเขาไฟฟูจิและจุดแอลกอฮอล์หรือสาเกให้ติดไฟ ทำให้เกิดภูเขาไฟหัวหอมที่มีเปลวไฟ",
"ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 37 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2545 ภายใต้ชื่อ \"ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ\" ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งที่ 13 และเป็น มรดกโลก แห่งที่ 17 ของ ประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้",
"ทะเลสาบโชจิ () เป็นหนึ่งในทะเลสาบฟูจิทั้งห้า ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดยามานาชิใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดเล็กที่สุดที่ลึกเป็นอันดับสามในบรรดาทะเลสาบฟูจิทั้งห้า โดยส่วนที่ลึกที่สุดมีความลึก 15.2 เมตร ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 900 เมตร พอ ๆ กับทะเลสาบอีกสองแห่งใกล้เคียงคือทะเลสาบโมโตซุและทะเลสาบไซ ซึ่งจากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่า ในอดีตทะเลสาบทั้งสามแห่งนี้เคยเป็นทะเลสาบเดียวกันมาก่อน ก่อนที่ในปี ค.ศ. 864-868 เกิดการปะทุขึ้นของภูเขาไฟฟูจิและลาวาไหลลงมาแยกทะเลสาบออกเป็นสามแห่ง ส้วนหนึ่งของธารลาวานั้นปัจุจุบันอยู่ในอาโอกิงาฮาระ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอีกว่า ทะเลสาบทั้งสามแห่งนี้ยังเหลือทางน้ำใต้ดินเชื่อมกันอยู่",
"ด้วยระยะทางที่ไม่ใกลจากเมืองหลวง ทำให้ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดของญี่ปุ่น ชุมชนที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้แก่โอดาวาระ ฟูจิ มินามิอาชิงาระ และนูมาซุ\nอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ แบ่งออกเป็น 4 บริเวณสำคัญ ดังนี้:\n1. บริเวณภูเขาไฟฟูจิ",
"ที่มาของกติกาการแข่งขันนั้นได้มาจากภูเขาไฟฟูจิ สถานที่ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากมาย ซึ่งผู้ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมทุกคนก็ล้วนที่อยากจะขึ้นไปสู่ยอดภูเขาไฟอันเลื่องชื่อนี้",
"เชื่อว่ามีผู้ปีนภูเขาไฟฟูจิครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้น ปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่างๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมายของญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูเขาไฟฟูจิ",
"อิคคิเดินทางกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายศึกกาแล็คเซี่ยนวอร์สและแย่งชิงเอาโกลด์คล็อธซาจิททาเรียสมาครอบครอง อิคคิปรากฏตัวในศึกกาแล็คเซี่ยนวอร์สและได้ต่อสู้เหล่าบรอนซ์เซนต์ โดยเฉพาะวูล์ฟ นาจิซึ่งเป็นคู่ต่อสู่ของอิคคิในศึกกาแล็คเซี่ยนวอร์ส โดยอิคคิสามารถล้มจาบุได้เพียงหมัดเดียว หลังจากนั้น อิคคิและเหล่าแบล็คเซนต์ได้ขโมยชุดโกลด์คล็อธซาจิททาเรียส ซึ่งพวกเซย่าสามารถชิงกลับคืนมาได้บางชิ้นส่วน อย่างไรก็ตาม พวกเซย่าก็ต้องตามไปเอาชุดโกลด์คล็อธซาจิททาเรียสอีก 5 ชิ้น ที่พวกอิคคิครอบครองอยู่ที่ใต้ภูเขาไฟฟูจิ หลังจากที่พวกเซย่ากำจัดเหล่าแบล็คโฟร์ลงแล้ว เฮียวกะได้พบกับอิคคิเป็นคนแรกแต่ก็โดนอิคคิโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม เฮียวกะก็สามารถแช่แข็งมือข้างขวาของอิคคิได้เช่นกัน หลังจากนั้น เซย่า ชิริว ชุน และเฮียวกะได้เข้าต่อสู้กับอิคคิพร้อมกัน และสามารถเอาชนะอิคคิได้ด้วยพลังแห่งมิตรภาพ อิคคิยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น ในขณะนั้น ใต้ภูเขาไฟฟูจิเกิดถล่มลง พวกเซย่าสามารถเดินทางออกมาจากใต้ภูเขาไฟโดยความช่วยเหลือของอาริเอส มู ส่วนอิคคินั้นเดินทางไปรักษาตัวที่เกาะคันนอน ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการรักษาตัวของเหล่าเซนต์",
"ฟูจิกาวางูจิโกะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดยามานาชิ บริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ ใกล้กับทะเลสาบคาวางูจิ หนุ่งในทะเลสาบฟูจิทั้งห้า",
"พวกไยบะออกตามหาลูกแก้วเทพมังกรไปทั่วประเทศญี่ปุ่น ทางด้านโอนิมารูก็รู้แล้วว่าพวกไยบะกำลังตามหาลูกแก้วเทพมังกรเพื่อมาปราบตนจึงทำการคืนชีพซามูไรผู้ชั่วร้ายในอดีตให้มาเป็นสมุนของตนเพื่อให้ไปจัดการพวกไยบะ พร้อมทั้งซ่อมแซมดาบวายุเทพที่เสียหายจากการต่อสู้กับไยบะในครั้งก่อนด้วย พวกไยบะต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมากมายจากการผจญภัยไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อตามหาลูกแก้วมังกร พวกไยบะได้ลูกแก้วมา 6 ลูกคือ ลูกแก้ววารี ลูกแก้วทอง ลูกแก้วอัคคี ลูกแก้วหลวงพ่อโต ลูกแก้วแห่งความมืด ลูกแก้วน้ำแข็ง ในการเดินทางพวกไยบะได้พรรคพวกเพิ่มมาอีกคนคือ ยางิว จูเบ มิตสึโยชิ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของมุซาชิ นอกจากนี้ไยบะได้ท่าไม้ตายใหม่จากการผจญภัยครั้งนี้คือ \"ดาบกงล้อลม\" เมื่อมาถึงลูกแก้วลูกสุดท้ายที่คาดว่าคือลูกแก้วเทพมังกร พวกไยบะต้องสู้กับสมุนของโอนิมารูผู้แข็งแกร่งอย่างบาโชแต่ก็สามารถเอาชนะมาได้ แต่ทว่าลูกสุดท้ายนั้นไม่ใช่ลูกแก้วเทพมังกร หากแต่เป็นลูกแก้วนำทางเพื่อนำไปสู่ลูกแก้วเทพมังกรที่ถูกผนึกรักษาไว้ที่ภูเขาไฟฟูจิอันเป็นที่ตั้งของประสาทลอยฟ้าโอนิมารูเช่นกัน ในขณะที่โอนิมารูนั้นได้ดาบวายุเทพที่ซ่อมแซมเสร็จแล้วและได้ฝึกท่าไม้ตายใหม่คือ \"ดาบพายุหมุน\" เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับไยบะ",
"ชูบุ ตั้งอยู่ตรงส่วนกลางของประเทศ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 21 ล้านคนใน 9 จังหวัด ซึ่งถึงแม้ว่าจะจัดอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน แต่มีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ รวมไปถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ในเขตโฮกูริกุ ประกอบไปด้วยสี่จังหวัดชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น อันได้แก่ นีงาตะ โทยะมะ อิชิกาวะ และฟูกูอิ เป็นเทือกเขาและที่ราบชายฝั่งทะเล มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว แต่ระยะเวลาสั้นกว่าภูมิภาคโทโฮกุและฮกไกโด ฤดูร้อนอากาศร้อนชื้นและเย็นสบายในฤดูใบไม้ผลิ พื้นที่ราบในเขตนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชูบุ และเป็นแหล่งปลูกข้าวที่มีคุณภาพแห่งใหญ่แห่งหนึ่ง พื้นที่สูงตอนกลางประกอบไปด้วยจังหวัดนางาโนะ กิฟุ และยามานาชิ ดินแดนแห่งเทือกเขาสูงทอดตัวเป็นแนวยาวไม่รู้จบ ที่ตั้งของเจแปนแอลป์หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นหลังคาของญี่ปุ่น เป็นเมืองตากอากาศบนเขาและแหล่งเล่นสกียอดนิยมแห่งหนึ่ง บนภูเขาอากาศหนาวเย็นตลอดปี ในฤดูร้อนบนเขามีแสงแดดอบอุ่น แต่ในขณะที่ทางเชิงเขาอากาศร้อนชื้น พื้นที่ทางตอนล่างประกอบไปด้วยจังหวัดไอจิและชิซูโอกะ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งด้านมหาสมุทรแปซิฟิก มีภูมิอากาศอบอุ่นสบาย มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ที่เมืองนาโงยะ จังหวัดไอจิ และภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาไฟที่สูงที่สุดและเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างเขตจังหวัดชิซูโอกะและยามานาชิ",
"หมวดหมู่:ภูเขาไฟในประเทศญี่ปุ่น หมวดหมู่:มรดกโลกในประเทศญี่ปุ่น หมวดหมู่:มรดกโลกทางวัฒนธรรม หมวดหมู่:ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ",
"ภายในอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ ซึ่งมีอาณาเขตอยู่รอบๆทะเลสาบอาชิ มีชื่อเสียงในด้านแหล่งสปาน้ำพุร้อนซึ่งเกิดจากความร้อนของภูเขาไฟ รวมทั้งยังมีทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิที่สวยงาม",
"รูปแบบของภูเขาไฟฟุจิและกิจกรรมที่ต่อเนื่องยาวนานในการเป็นแรงบันดาลใจ ได้กลายเป็นวิถีปฏิบัติทางศาสนาที่เชื่อมโยงผู้คนที่นับถือศาสนาชินโต พุทธศาสนา และธรรมชาติเข้าด้วยกัน ภูเขาไฟฟุจิยังมีอิทธิพลต่อศิลปินในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในการผลิตภาพเขียนที่มีลักษณะทางวัฒนธรรม ซึ่งทำให้ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทั้งนี้ภูเขาไฟฟุจิซึ่งมีความสูง 4,231 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ เป็นหนึ่งในทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น จากการที่เป็นภูเขาไฟที่มีรูปร่างสมมาตรและมีหิมะปกคลุมบริเวณยอดเขาตลอดทั้งปี ทำให้กลายเป็นจุดดึงดูดผู้คนมานานหลายร้อยปี",
"น้ำตกชิระอิโตะ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 1 ใน 100 น้ำตกในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น ในปี 1990 \nน้ำตกชิราอิโตะได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกันกับภูเขาไฟฟูจิ อุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ และทะเลสาบฟูจิทั้งห้าภายใต้ชื่อ \"ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ\"เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา",
"ฟูจิฟิล์ม โฮล์ดิงส์ คอร์ปอเรชัน หรือ ฟูจิฟิล์ม () ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2477 ในเมืองฮาโกะเนะซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ จึงนำมาตั้งเป็นชื่อบริษัท เริ่มต้นธุรกิจในญี่ปุ่นด้วยการผลิต ฟิล์มภาพยนตร์ ฟิล์มเอกซ์เรย์ ทำธุรกิจผลิตฟิล์ม กล้องถ่ายรูป โดยมีโรงงานเล็กๆ แห่งแรกที่เมือง อิชิการ่า เริ่มต้นจากพนักงานจำนวน 340 คน จนในปี พ.ศ. 2508 ได้เปิดสำนักงานสาขาในสหรัฐอเมริกาและขายผลิตภัณฑ์ไปทั่วโลก",
"อุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ () เป็นอุทยานแห่งชาติในประเทศญี่ปุ่น มีอาณาเขตครอบคลุมบริเวณจังหวัดยามานาชิ ชิซูโอกะ คานางาวะ และบริเวณตะวันตกของมหานครโตเกียว ประกอบไปด้วยสถานที่น่าสนใจ เช่น ภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบฟูจิทั้งห้า ฮาโกเนะ คาบสมุทรอิซุ และเกาะอิซุ",
"ทะเลสาบฟูจิทั้งห้า () เป็นชื่อเรียกพื้นที่บริเวณรอบฐานของภูเขาไฟฟูจิ ในจังหวัดยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,000 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ",
"โกเต็มบะ () เป็นเมืองในจังหวัดชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขาไฟฟูจิ ในปี ค.ศ. 2010 มีจำนวนประชากร 88,523 คน",
"กองพลที่สองเคลื่อนพลไปยังทิศตะวันออก ยึดป้อม , , , และสุดท้ายก็ถึง ที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำตูมาน\nที่นั่น กองพลญี่ปุ่นตั้งทัพพักผ่อนริมชายหาด นั่งชมเกาะภูเขาไฟ ณ เส้นขอบฟ้าที่พวกเขาเข้าใจว่าคือภูเขาไฟฟูจิ\nหลังการท่องเที่ยวพักผ่อน ญี่ปุ่นก็เริ่มนำเนินการตามแผนที่ตั้งไว้ในการเข้าปกครองดูแลมณฑล โดยยังยอมให้บางค่ายทหารเกาหลีมีนายทหารเกาหลีดูแลต่อไป",
"ทะเลสาบโมโตซุ () เป็นทะเลสาบที่อยู่ทางทิศตะวันตกมากที่สุดในบรรรดาทะเลสาบฟูจิทั้งห้า ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดยามานาชิ ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบโมโตซุถือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสามและมีความลึกที่สุดในบรรดาทะเลสาบฟูจิทั้งห้า ส่วนที่ลึกที่สุดลึกกว่า 121.6 เมตร ซึ่งทำให้ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบที่ลึกเป็นอันดับเก้าของประเทศญี่ปุ่น",
"ทะเลสาบทานูกิ () เป็นทะเลสาบใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใกล้กับเมื่อฟูจิโนมิยะ จังหวัดชิซุโอะกะ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ",
"อุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479 ในชื่อเดิมอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนะ ถือเป็นหนึ่งในสี่อุทยานแห่งชาติที่ตั้งขึ้นครั้งแรกของญี่ปุ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ได้รวมเกาะอิซุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน และเปลี่ยนชื่ออุทยานเป็นแบบในปัจจุบัน\nอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกันกับภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบฟูจิทั้งห้า และน้ำตกชิราอิโตะภายใต้ชื่อ \"ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ\"เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา "
] |
ราชอาณาจักรแฟรงก์ หรือ ฟรังเกีย สิ้นสุดลงเมื่อใด ? | [
"ราชอาณาจักรแฟรงก์[3] (English: Frankish Kingdom) หรือ ฟรังเกีย (English: Francia) เป็นดินแดนที่ตั้งถิ่นฐานและปกครองโดยชาวแฟรงก์ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 อาณาบริเวณเกิดจากการรณรงค์ที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่ชาร์ล มาร์แตล (Charles Martel) พระเจ้าเปแป็งพระวรกายเตี้ย[4] และชาร์เลอมาญ-- พ่อ, ลูก, และหลาน--มามั่นคงเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9"
] | [
"คำว่า abbot มีต้นกำเนิดมาจากอารามในอียิปต์และซีเรีย และต่อมาได้แพร่ไปทั่วดินแดนเมดิเตอร์เรเนียน จนนำไปใช้ในหลายภาษาว่าหมายถึง อธิการอาราม ในตอนแรกใช้เป็นคำนำหน้าชื่อของนักพรตโดยทั่วไป แต่ต่อมากฎหมายศาสนจักรให้ใช้เรียกเฉพาะบาทหลวงที่เป็นอธิการ คำว่า abbot ยังเคยใช้กับบาทหลวงในหลาย ๆ ตำแหน่ง เช่น ในราชสำนักของราชอาณาจักรแฟรงก์ มีตำแหน่ง Abbas palatinus (อธิการพระราชวัง) และ Abbas castrensis (อธิการค่าย) ซึ่งเป็นอนุศาสนาจารย์ประจำราชสำนักในราชวงศ์เมรอแว็งเฌียงและราชวงศ์การอแล็งเฌียง และกองทัพบกตามลำดับ ปัจจุบันมักใช้ในคณะนักบวชอารามิกในศาสนาคริสต์ตะวันตก ซึ่งมีสมาชิกเป็นบาทหลวงด้วย",
"ต่อมาโอโด เคานต์แห่งปารีส ได้รับเลือกโดยเหล่าขุนนางให้เป็นกษัตริย์คนใหม่ของเวสต์ฟรังเกีย และได้รับการสวมมงกุฎในเดือนต่อมา ถึงตอนนี้ เวสต์ฟรังเกียประกอบด้วยนิวสเตรียในฝั่งตะวันตก ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นสิทธิครอบครองของฟรังเกีย แคว้นที่อยู่ระหว่างแม่น้ำเมิซกับแม่น้ำเซน",
"ชาร์เลอมาญขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ใน ค.ศ. 768 หลังจากนั้นทรงประกอบพระกรณียกิจตามธรรมเนียมผู้นำนักรบของชาวแฟรงก์ด้วยการขยายอำนาจของอาณาจักร เริ่มด้วยการผูกมิตรกับชาวลอมบาร์ดทางตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการอภิเษกกับธิดากษัตริย์แห่งลอมบาร์ด ซึ่งจะทำให้พระองค์มีสิทธิเหนืออาณาเขตของพวกลอมบาร์ดด้วย แต่ต่อมาก็เกิดความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับพวกลอมบาร์ด พระมเหสีถูกขับออกจากราชอาณาจักรแฟรงก์ พวกลอมบาร์ดยังพยายามยึดกรุงโรมและควบคุมพระสันตะปาปา ชาร์เลอมาญจึงส่งกองทัพไปช่วยพระสันตะปาปาและมีชัยชนะเหนือพวกลอมบาร์ด ราชอาณาจักรแฟรงก์จึงทำหน้าที่คุ้มครองศาสนจักรที่กรุงโรมนับแต่นั้น และพระสันตะปาปาก็ให้การรับรองชาร์เลอมาญในฐานะ \"จักรพรรดิแห่งชาวโรมัน\" ในพิธีราชาภิเษกโดย สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 3 ที่มหาวิหารนักบุญเปโตรในกรุงโรม ในปี ค.ศ. 800 ซึ่งหมายถึงการยอมรับว่าชาร์เลอมาญมีฐานะเทียบเท่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันในสมัยโบราณและเป็นประมุขเหนือดินแดนอิตาลี ก่อนหน้านั้นชาร์เลอมาญยังทรงขยายดินแดนไปทางตะวันตกเฉียงใต้และสเปนต่อเนื่องจากสมัยพระบิดาและยึดครองเยอรมันใต้ (รัฐบาวาเรียในปัจจุบัน)",
"หลังจากสิ้นสุดยุคไวกิง สวีเดนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพคาลมาร์ ร่วมกับเดนมาร์กและนอร์เวย์ (ในช่วงเวลานี้ ฟินแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสวีเดน) สวีเดนได้ออกจากสหภาพในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 และได้รบสู้กับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะรัสเซีย และเดนมาร์กกับนอร์เวย์ที่ยังเป็นสหภาพอยู่ ซึ่งไม่ยอมรับการที่สวีเดนออกจากสหภาพ ในคริสศตวรรษที่ 17 สวีเดนได้ขยายเขตด้วยสงครามและกลายเป็นมหาอำนาจด้วยขนาด 2 เท่าของปัจจุบัน ถึงพ.ศ. 2457 สวีเดนได้สูญเสียพื้นที่ราชอาณาจักรรวมถึงฟินแลนด์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสวีเดน ตั้งแต่พ.ศ. 2457 นั้น สวีเดนอยู่ในภาวะสันติ โดยที่มีนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในช่วงสันติและเป็นกลางระหว่างสงคราม",
"เมื่อโคลวิสสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 511 ราชอาณาจักรถูกแบ่งให้กับพระโอรสทั้งสี่ของพระองค์ รูปแบบดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นซ้ำในช่วงศตวรรษต่อมาและทำให้ราชอาณาจักรแฟรงก์เป็นหนึ่งเดียวกันเพียงช่วงสั้นๆ ทว่ากษัตริย์เมรอวินเจียนชอบการรบราฆ่าฟันและหลายคนสิ้นพระชนม์ก่อนที่จะมีพระโอรสจึงทำให้ราชอาณาจักรไม่แตกออกจากกันอย่างถาวร แต่ผลที่ตามมาหลังการแบ่งคือกษัตริย์เมรอวินเจียนเริ่มต่อสู้กันเองมากกว่าจะต่อสู้กับศัตรูภายนอก ยกเว้นช่วงปี ค.ศ. 531 – 537 ที่ราชอาณาจักรแฟรงก์พิชิตอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลได้อีกครั้ง ราชอาณาจักรของชาวธูรินเจียนถูกทำลายและส่วนหนึ่งถูกพิชิตในปี ค.ศ. 531 ราชอาณาจักรของชาวเบอร์กันเดียนถูกพิชิตในปี ค.ศ. 532 – 534 และผลของการทำสงครามกับชาวออสโทรกอธของจักรพรรดิโรมันตะวันออกทำให้ชาวออสโทรกอธถูกบีบให้ยกส่วนที่เหลืออยู่ของอาเลมันนิกับโพรวองซ์ให้ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 536 – 537 แลกกับการเป็นกลางของชาวแฟรงก์ ในเวลาเดียวกันบาวาเรียถูกบีบให้ยอมรับอำนาจที่เหนือกว่าของชาวแฟรงก์และราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์สร้างความแข็งแกร่งในการควบคุมอากีแตนได้มากขึ้น",
"การต่อสู้กันเองในราชวงศ์และแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มชนรอบข้าง คือ ชาวเบรอตงกับชาวแกสคงทางตะวันตก, ชาวลอมบาร์ดทางตะวันออกเฉียงใต้ และชาวอาวาร์ทางตะวันออก ทำให้เกิดการปรับโครงสร้างของราชอาณาจักรแฟรงก์ แคว้นทางตะวันออกหลายแคว้นถูกรวมเข้ากับราชอาณาจักรออสเตรเชียที่มีเมืองหลวงอยู่ที่เม็ตซ์ ในทางตะวันตกเกิดนูสเตรียที่มีเมืองหลวงที่แรกอยู่ที่ซวยส์ซงส์และต่อมาย้ายมาเป็นปารีส ในทางใต้ราชอาณาจักรเบอร์กันดีที่มีเมืองหลวงอยู่ที่ชาลง-ซูร์-ซวนขยายขนาดใหญ่ขึ้น ",
"กษัตริย์เมรอวินเจียนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือโคลวิสที่ขึ้นครองบัลลังก์ในราวปี ค.ศ. 482 พระองค์ถูกบีบตั้งแต่ช่วงต้นรัชสมัยให้ต่อสู้กับผู้นำชาวแฟรงก์คู่แข่งที่ถูกพระองค์สังหารอย่างโหดเหี้ยม เศษสุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 486 เมื่อโคลวิสปราบซีอากริอุสที่เคยปกครองกอลตอนเหนือ พื้นที่ส่วนนั้นของราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ถูกเรียกว่าเนอุสเตรีย (ดินแดนใหม่) ตรงข้ามกับออสตราเชีย (ดินแดนตะวันออก) ที่เป็นอาณาเขตใจกลางดั้งเดิมของชาวแฟรงก์ ทว่าการพิชิตของโคลวิสไปไกลกว่านั้นมาก พระองค์โจมตีและปราบสมาพันธ์ชนเผ่าเจอร์มานิกอาเลมันนิในราวปี ค.ศ. 496 เพิ่มอาณาเขตขนาดใหญ่ให้กับอาณาจักรของตน อิทธิพลจากพระราชินีชาวเบอร์กันเดียน โคลทิลดา โน้มน้าวพระองค์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หลังทำสมรภูมิกับชาวอาเลมันนิ การตัดสินใจเข้าร่วมศาสนจักรคาทอลิกแทนที่จะเป็นนิกายอาเรียนของศาสนาคริสต์เหมือนกับชนชาวเจอร์มานิกคนอื่นๆ มีความสำคัญต่อโคลวิสอย่างมาก เนื่องจากทำให้พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชากรในราชอาณาจักรเพื่อนบ้านที่มองว่าชาวอาเรียนเป็นพวกนอกรีต",
"* หมวดหมู่:รัฐสิ้นสภาพในประเทศเยอรมนี หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ฟ หมวดหมู่:สิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 9",
"กษัตริย์เมรอวินเจียนไม่ได้เสียแค่อาณาเขตในช่วงยุคนี้ อำนาจของพวกเขาในพื้นที่ที่เหลืออยู่ของราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ก็ถูกลดลงเช่นกัน เป็นผลมาจากการมีกษัตริย์ที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ ตำแหน่งสมุหราชมณเฑียรถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลราชอาณาจักรจนกว่าพวกเขาจะถึงวัยที่สมควร แต่เมื่อมันกลายเป็นตำแหน่งถาวรและสืบทอดทางสายเลือด ผู้ครองตำแหน่งเหล่านี้ก็กลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์แม้แต่ในตอนที่มีกษัตริย์เป็นผู้ใหญ่ ในสมรภูมิที่เตอร์ตรีในปี ค.ศ. 687 สมุหราชมณเฑียรแห่งนูเอสเตรียกับเบอร์กันดีถูกปราบโดยผู้ที่มีตำแหน่งเดียวกันในออสตราเชีย เปแปงแห่งเฮริสตันที่ภายหลังปกครองราชอาณาจักรแฟรงก์ทั้งหมด",
"ในกรณีที่เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบให้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภาร่างรัฐธรรมนูญจะสิ้นสุดลง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันออกเสียงประชามติ และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป",
"ทว่าการต่อสู้กับชาวอาเลอมันนิไม่จบลงจนถึงปี ค.ศ. 502 เมื่ออาณาเขตทั้งหมดของพวกเขาถูกพิชิตโดยชาวแฟรงก์ ยกเว้นพื้นที่เล็กๆ ที่ได้รับการคุ้มกันจากชาวออสโทรกอธ ก่อนหน้านั้นบริตทานีถูกบีบให้สวามิภักดิ์แม้พวกเขาจะได้เอกราชที่สำคัญมาก็ตาม การพิชิตครั้งสุดท้ายของโคลวิสคืออากีแตนที่ได้มาจากชาววิซิกอธในปี ค.ศ. 507 การแทรกแซงจากชาวออสโทรกอธขัดขวางไม่ให้พิชิตราชอาณาจักรของชาววิซิกอธได้อย่างสมบูรณ์ การสู้รบยังส่งผลให้โคลวิสได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุลโรมันโดยจักรพรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งยิ่งเพิ่มความเกรียงไกรให้กับราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์และทำให้การอ้างสิทธิ์ในการเป็นทายาทของจักรวรรดิโรมันของพวกเขาได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น",
"จักรวรรดิการอแล็งเฌียงเป็นการเน้นถึงการที่สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 3 ทรงราชาภิเษกชาร์เลอมาญเป็นจักรพรรดิโรมันในปี ค.ศ. 800 ก่อนหน้านั้นชาร์เลอมาญและบรรพบุรุษของพระองค์เป็นประมุขของจักรวรรดิแฟรงก์ (พระอัยกาชาร์ล มาร์แตลเป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ) การราชาภิเกมิได้เป็นการประกาศการเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิใหม่ นักประวัติศาสตร์นิยมที่จะใช้คำว่า “กลุ่มราชอาณาจักรแฟรงก์” (\"Frankish Kingdoms\" หรือ \"Frankish Realm\") ในการเรียกดินแดนบริเวณที่ปัจจุบันคือเยอรมนีและฝรั่งเศสปัจจุบัน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9",
"ชาวแฟรงก์โดยดั้งเดิมแล้วคือสมาพันธ์ชนเผ่าเจอร์มานิกทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์ที่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 257 เริ่มรุกรานอาณาเขตของโรมัน พวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในสมาพันธ์ชนเผ่าเจอร์มานิกที่มีอยู่มากมายที่สร้างความเสียหายให้กับจักรวรรดิโรมันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 และสร้างความลำบากให้กับจักรพรรดิโรมันในการรับมือกับการโจมตี ทะเลไม่ได้ปลอดภัยจากการโจมตีของชาวแฟรงก์เนื่องจากพวกเขาเป็นโจรสมลัดที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน แต่ชาวแฟรงก์ยังมีอิทธิพลในทางบวกต่อโรมจากการผลิตทหารให้กับกองทัพโรมัน และในปี ค.ศ. 358 ชาวซาเลียนแฟรงก์ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิจูเลียนให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาเขตของโรมันที่อยู่ระหว่างแม่น้ำสเกลด์กับแม่น้ำเมิซได้ในฐานะฟอยเดราติ (พันธมิตร) ชาวแฟรงก์ตอบแทนด้วยการให้ความช่วยเหลือจักรวรรดิโรมันด้วยการให้กองทหารแลกกับเอกราชอย่างเด็ดขาดในพื้นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่",
"รัฐบาลของโดลต้องประสบกับปัญหา หลายคนพยายามที่จะฟื้นคืนสถาบันพระมหากษัตริย์รวมถึงการกบฏติดอาวุธเมื่อวันที่ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2438 คณะปฏิวัติ นำโดยรอเบิร์ต วิลเลียม วิลคอกซ์ และผู้สมรู้ร่วมคิดอื่น ๆ ถูกจับและถูกตัดสินประหารชีวิต ต่อมาสมเด็จพระราชินีนาถทรงสละราชสมบัติและสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อสาธารณรัฐฮาวายในเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่ภายใต้การจับกุมพระองค์เขียนว่า \"ข้าพเจ้าขอทำอย่างเต็มที่และยอมรับอย่างแจ่มแจ้งและประกาศว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐฮาวายเป็นเพียงรัฐบาลเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายของหมู่เกาะฮาวาย และช่วงปลายสถาบันพระมหากษัตริย์มาถึงในที่สุดและสิ้นสุดลงตลอดไป และไม่ขอให้ความถูกต้องตามกฎหมายหรือที่เกิดขึ้นจริงใด ๆ ที่มีผลบังคับใช้หรือผลใด ๆ\"",
"ราชวงศ์เมโรแว็งเฌียงเป็นราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรแฟรงก์ ก่อตั้งโดยพระเจ้าคลอวิสที่ 1 เมื่อพระองค์ขึ้นปกครองแคว้นกอทหรืออาณาจักรแฟรงก์ พระองค์หันไปนับถือศาสนาคริสต์และนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในอาณาจักร อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือของขุนนางตระกูลคาโรลินเจียน โดยเฉพาะชาร์ล มาร์แตลที่สามารถยกกองทัพไปต้านทานการรุกรานของชาวมุสลิมจากคาบสมุทรไอบีเรีย",
"ในอดีตนั้นตูร์แนเคยถูกเรียกว่า \"ตอร์นาคุม\" (Tornacum) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในยุคสมัยโรมันซึ่งเป็นสถานที่พักรถบนถนนโรมันซึ่งเริ่มจากโคโลญน์ไปยังบูลอญ-ซูร์-แมร์ โดยตัดข้ามผ่านแม่น้ำสเกลด์ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ในรัชสมัยของแม็กซีเมียน ได้มีการสร้างปราการขึ้นเพื่อป้องกันการรุกราน ต่อมาเมื่อโรมันได้ลดเขตแดนลงช่วงถนนโรมันสายนี้ทำให้ตกมาอยู่ในการปกครองของชาวซาเลียนแฟรงก์ในปีค.ศ. 432 ในรัชสมัยของพระเจ้าชิลเดอริคที่ 1 (พระบรมศพนั้นได้ฝังอยู่ที่ตูร์แนในปัจจุบัน) ตูร์แนได้กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจและเมืองหลวงของราชอาณาจักรแฟรงก์ ต่อมาในปีค.ศ. 486 พระเจ้าโคลวิสที่ 1ได้ย้ายเมืองหลวงจากตูร์แนไปยังปารีสแทน หลังจากการก่อตั้งเขตมุขมณฑลตูร์แนขึ้นมา อะเลอเทรุส ชาวตูร์แนโดยกำเนิดได้รับเลือกเป็นบิชอปองค์แรก ซึ่งปกครองดินแดนบริเวณกว้างของเขตลุ่มแม่น้ำเชลดท์ฝั่งตะวันตก ต่อมาในปีค.ศ. 862 พระเจ้าชาลส์ ผู้เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก และยังได้รับเลือกเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงมีพระบัญชาให้ตูร์แนเป็นเมืองศูนย์กลางของเคาน์ตีฟลานเดอร์ ",
"ฝรั่งเศสเป็นดินแดนที่เคยอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันมาก่อน โดยรู้จักกันในชื่อของชนเผ่า หรือแคว้นกอล ซึ่งเป็นกลุ่มชนเผ่าขนาดใหญ่ที่พูดภาษาเคลท์ ในช่วงท้ายก่อนที่จักรวรรดิโรมันจะล่มสลายลง ดินแดนกอลถูกรุกรานจากทั้งการโจมตีของกลุ่มอนารยชนและการอพยพของกลุ่มคนเร่ร่อน โดยเฉพาะชาวแฟรงก์เชื้อสายเจอร์มานิค พระมหากษัตริย์แฟรงก์นามว่า โคลวิสที่ 1 ได้ทรงรวบรวมดินแดนส่วนมากของกอลภายใต้การปกครองของพระองค๋ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 นับเป็นจุดเริ่มต้นของอิทธิพลชาวแฟรงก์ในภูมิภาคนี้ที่ดำเนินต่อไปอีกหลายร้อยปี อำนาจของแฟรงก์ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดในช่วงของพระเจ้าชาร์เลอมาญ ราชอาณาจักรฝรั่งเศสยุคกลางก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งทางทิศตะวันตกของจักรวรรดิการอแล็งเฌียงของชาร์เลอมาญ ซึ่งรู้จักกันในนาม ฟรังเกียตะวันตก และเพิ่มพูนอิทธิพลของตนขึ้นเรื่อยมาภายใต้การปกครองของตระกูลกาแปซึ่งก่อตั้งโดยอูก กาแปในปี ค.ศ. 987",
"การแบ่งราชอาณาจักรที่ดำเนินต่อไปในหมู่ชาวเมรอวินเจียนส่งผลให้ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์แตกออกเป็นสามส่วน นูเอสเตรียทางตะวันตก, ออสตราเชียทางตะวันออก และเบอร์กันดีทางใต้ พื้นที่รอบนอกอย่างบริตทาเนีย, อากีแตน, อาเลมันนิ, ธูรินเจีย และบาวาเรียมักพยายามกอบกู้เอกราชและการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างชาวเมรอวินเจียนทำให้พวกเขามีโอกาสทำแบบนั้นได้มากขึ้น ชาวธูรินเจียนได้รับเอกราชหลังการสิ้นพระชนม์ของดาโกแบร์ต์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 639 อากีแตนปฏิเสธที่จะยอมรับการปกครองของเมริวินเจียนหลังการฆาตกรรมชิลเดริกที่ 2 ในปี ค.ศ. 675 รัฐที่เป็นเอกราชอยู่แล้วอย่างบริตทานีกับบาวาเรียปลดปล่อยตนเองจากชาวแฟรงก์ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 7 สุดท้ายอาเลมันนิหาทางจนได้เอกราชมาในปี ค.ศ. 709 – 712 การพิชิตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันเทียบไม่ได้กับส่วนที่สูญเสียไป พื้นที่เล็กๆ ในเทือกเขาแอลป์ถูกพิชิตมาจากชาวลอมบาร์ดในปี ค.ศ. 575 และฟรีสแลนด์ตะวันตกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 689 แต่ชาวฟรีเชียนก็ทำเหมือนกับพื้นที่ที่อยู่รอบนอกแห่งอื่นๆ พยายามกอบกู้อิสรภาพกลับคืนมาหลายครั้ง",
"ธรรมเนียมของการแบ่งดินแดนของพ่อระหว่างลูกชายหมายความว่าดินแดนแฟรงก์ปกครองเป็นอย่างหลวม ๆ เป็นจักรวรรดิที่แบ่งย่อยเป็นส่วนย่อย ๆ (ราชอาณาจักร หรือ อนุราชอาณาจักร) ที่ตั้งและจำนวนอนุราชอาณาจักรก็ต่างกันไปตามเวลา แต่ฟรังเกียโดยทั่วไปมาหมายถึงบริเวณหนึ่งที่เรียกว่าออสเตรเชีย ที่มีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณแม่น้ำไรน์ และแม่น้ำเมิซ (Meuse) ทางตอนเหนือของยุโรป แต่กระนั้นบางครั้งก็จะครอบคลุมไปถึงนิวสเตรีย (Neustria) ทางเหนือของแม่น้ำลัวร์ และทางตะวันตกของแม่น้ำแซนในที่สุดบริเวณนี้ก็เคลื่อนมาทางปารีส และมาสิ้นสุดลงในบริเวณลุ่มแม่น้ำแซนรอบ ๆ ปารีส ที่ยังใช้ชื่ออีล-เดอ-ฟร็องส์ และเป็นชื่อในที่สุดก็กลายเป็นชื่อของราชอาณาจักรฝรั่งเศสทั้งราชอาณาจักร",
"หลังจากสิ้นสุดยุคไวกิง สวีเดนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพคาลมาร์ ร่วมกับเดนมาร์กและนอร์เวย์ (ในช่วงเวลานี้ ฟินแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสวีเดน) สวีเดนได้ออกจากสหภาพในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 และได้รบสู้กับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะรัสเซีย และเดนมาร์กกับนอร์เวย์ที่ยังเป็นสหภาพอยู่ ซึ่งไม่ยอมรับการที่สวีเดนออกจากสหภาพ ในคริสศตวรรษที่ 17 สวีเดนได้ขยายเขตด้วยสงครามและกลายเป็นมหาอำนาจด้วยขนาด 2 เท่าของปัจจุบัน ถึงพ.ศ. 2457 สวีเดนได้สูญเสียพื้นที่ราชอาณาจักรรวมถึงฟินแลนด์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสวีเดน ตั้งแต่พ.ศ. 2457 นั้น สวีเดนอยู่ในภาวะสันติ โดยที่มีนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในช่วงสันติและเป็นกลางระหว่างสงคราม",
"การพิชิตของชาร์เลอมาญนั้นใหญ่มากจนผู้คนมองว่าพระองค์ได้ฟื้นฟูจักรวรรดิโรมันตะวันตกกลับคืนมา หลังจากนั้นชาร์เลอมาญได้รับการราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิโดยพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 800 แต่ธรรมเนียมการแบ่งราชอาณาจักรกันในหมู่พระโอรสของกษัตริย์ของชาวแฟรงก์ทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวคงอยู่เพียงชั่วคราว ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ยังเป็นรัฐศักดินาร่วมกับการทำสงครามหาผลประโยช์ด้วยการปล้นประเทศเพื่อนบ้าน เมือราชอาณาจักรขยายอาณาเขตออกไป การปล้นหาผลประโยชน์ก็ลดลงพอๆ กับความจงรักภักดีของขุนนางในยามที่มองไม่เห็นโอกาสที่จะได้รางวัลมากมายจากการรับใช้ จึงทำให้จักรวรรดิของชาวแฟรงก์หลังการสิ้นพระชนม์ของชาร์เลอมาญในปี ค.ศ. 814 พังครืนภายใต้แรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก จนทำให้แตกออกเป็นรัฐศักดินาเล็กๆ จำนวนมากมาย",
"ราชอาณาจักรโรมัน (ละติน: Regnum Romanum) เป็นอาณาจักรที่มีผู้ปกครองเป็นกษัตริย์แห่งโรมซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรโรมันไม่เป็นที่ทราบแน่นอนเพราะไม่มีหลักฐานใดใดจากสมัยนั้นนอกจากประวัติศาสตร์ที่มาเขียนขึ้นภายหลังระหว่างสมัยสาธารณรัฐโรมันและในสมัยจักรวรรดิโรมันและส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาที่มาจากตำนาน แต่ประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรโรมันเริ่มด้วยการก่อตั้งกรุงโรมที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในปี 753 ก่อนคริสต์ศักราชและมาสิ้นสุดลงด้วยการโค่นราชบัลลังก์และการก่อตั้งสาธารณรัฐในปี 509 ก่อนคริสต์ศักราช",
"หลังการสิ้นพระชนม์ของพระนัดดาของชาร์ล คาร์โลมันที่ 2 เมื่อ 12 ธันวาคม ค.ศ. 884 ขุนนางเวสต์ฟังเกียเลือกพระปิตุลาของพระองค์ ชาร์ลผู้อ้วนพี ที่เป็นกษัตริย์ในอีสต์ฟรังเกีย (อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก) กับราชอาณาจักรอิตาลีอยู่แล้ว เป็นกษัตริย์ของตน พระองค์อาจได้รับการสวมมงกุฎ \"กษัตริย์แห่งกอล\" (\"เร็กซ์ อิน อัลเลีย\") เมื่อ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 885 ที่กร็องด์ รัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงเวลาเดียวหลังการสิ้นพระชนม์ของหลุยส์ผู้ศรัทธาที่ฟรังเกียทั้งหมดถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งภายใต้ผู้ปกครองคนเดียว ด้วยสามารถที่มีในฐานะกษัตริย์แห่งเวสต์ฟรังเกีย พระองค์น่าจะมอบยศตำแหน่งและอาจจะเครื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วย ให้แก่ผู้ปกครองกึ่งเอกเทศแห่งบริททานี อลันที่ 1 การรับมือกับชาวไวกิ้งที่ปิดล้อมปารีสใน ค.ศ. 885-86 ลดพระเกียรติภูมิของพระองค์ลงอย่างมาก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 887 พระนัดดาของพระองค์ อาร์นูล์ฟแห่งคารินเธียก่อปฏิวัติและยึดเอาตำแหน่งกษัตริย์แห่งอีสต์ฟรังเกียไป ชาร์ลเกษียณตัวเองและสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อ 13 มกราคม ค.ศ. 888",
"ราชอาณาจักรฝรั่งเศสมีต้นกำเนิดมาจากราชอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก ซึ่งเป็นรัฐด้านตะวันตกของจักรวรรดิการอแล็งเฌียงตามสนธิสัญญาแวร์เดิง และอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์การอแล็งเฌียงจนถึงปี ค.ศ. 987 พระเจ้าอูก กาแป จึงได้สถาปนาราชวงศ์กาเปเซียง ในขณะนั้นรัฐนี้ยังใช้ชื่อว่าฟรังเกีย และประมุขดำรงพระอิสริยยศเป็น \"พระมหากษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์\" () ต่อมาในปี ค.ศ. 1190 พระเจ้าฟิลิปที่ 2 จึงเปลี่ยนพระอิสริยยศเป็น \"พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส\" () ราชวงศ์วาลัวและราชวงศ์บูร์บงซึ่งเป็นมหาสาขาของราชวงศ์กาเปเซียงก็ได้ปกครองอาณาจักรต่อมาจนกระทั่งสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1792",
"ตระกูลกาแปมาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1328 เมื่อไม่มีพระราชโอรสองค์ใดในสามองค์ของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 ที่สามารถมีทายาทสืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศสได้ เมื่อพระเจ้าชาร์ลที่ 4 เสด็จสวรรคตราชบัลลังก์จึงตกไปเป็นของราชวงศ์วาลัวผู้สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากชาร์ลแห่งวาลัว พระราชโอรสองค์รองในพระเจ้าฟิลิปที่ 3 ต่อมาราชบัลลังก์ก็ตกไปเป็นของราชวงศ์บูร์บงและราชวงศ์ออร์เลอ็อง ทั้งสองราชวงศ์สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 9) ซึ่งต่างก็สืบเชื้อสายไม่ทางใดทางหนึ่งก็มาจาก \"อูก กาแป\"",
"เปแปงผู้ตัวเตี้ยสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 768 และทิ้งราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดของยุโรปตะวันตกไว้ให้พระโอรสสองคน ชาร์เลอมาญกับแกร์โลมอง แกร์โลมองสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 771 และชาร์เลอมาญใช้แหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ของราชอาณาจักรที่เป็นหนึ่งเดียวกันขยายอาณาเขตออกไปทุกทิศทุกทาง เมื่อชาวลอมบอร์ดคุกคามพระสันตะปาปาอีกครั้ง ชาร์เลอมาญบุกอิตาลีและตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ของชาวลอมบาร์ดในปี ค.ศ. 774 ทว่าราชรัฐชั้นเจ้าชายเบเนเวนโตของชาวลอมบาร์ดในอิตาลียอมรับการเป็นใหญ่เหนือกว่าของชาร์เลอมาญเพียงช่วงสั้นๆ แตกต่างกับการพิชิตอาณาจักรของชาวลอมบาร์ดที่ทำได้อย่างรวดเร็ว การปราบชาวแซ็กซันทางตะวันออกเฉียงเหนือ (ค.ศ. 772 – 804) นั้นยาวนานและนองเลือก เพื่อทำลายความคิดที่จะต่อต้านของชาวแซ็กซัน ชาร์เลอมาญสังหารหมู่พวกเขาเป็นพันๆ คนและเนรเทศชาวแซ็กซันออกจากพื้นที่ ทำให้ชาวแฟรงก์กับชาวสลาฟเข้ามาแทนที่ แคว้นจึงสงบลงในท้ายที่สุด บาวาเรียที่มักเป็นข้าราชบริพารที่ไว้ใจไม่ได้ถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 788 หลังดยุคของรัฐสมคบคิดกับชาวลอมบาร์ดและชาวอาวาร์ จักรวรรดิของชาวอาวาร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในฮังการีถูกบดขยี้ในปี ค.ศ. 791 – 796 ทำให้พื้นที่ของชาวสลาฟในยุโรปกลางยอมรับความเป็นใหญ่เหนือกว่าของชาร์เลอมาญ ฟรีสแลนด์ตะวันออกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 784 – 785 และบริตทานียอมรับอำนาจที่เหนือกว่าของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 799 การสู้รบกับชาวอาหรับไม่ค่อยประสบความสำเร็จแต่ชาร์เลอมาญก็หาทางขยายอิทธิพลไปจนถึงแม่น้ำเอโบรได้ในปี ค.ศ. 812 แม้ชาวอาหรับจะเอาคืนด้วยการยึดเกาะบาเลียริกในปี ค.ศ. 798",
"เมื่อเปแปงแห่งเฮริสตันตายในปี ค.ศ. 714 หลานชายวัย 6 ปีของเขา เธอโดลด์ กลายเป็นสมุหราชมณเฑียรคนใหม่ ตำแหน่งที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลราชอาณาจักรในยามที่กษัตริย์เป็นผู้เยาว์บัดนี้เติบโตขึ้นมามีอำนาจมากจนตัวเองสามารถถูกสืบทอดได้โดยคนที่ยังเป็นผู้เยาว์ แต่บุตรชายนอกกฎหมายของเปแปง ชาร์ลส์ มาร์แตล ไม่ยอมรับการถ่ายโอนอำนาจครั้งนี้และประกาศตนเป็นสมุหราชมณเฑียรและกลายเป็นผู้ปกครองคนแรกของราชวงศ์การอแลงเฌียงที่ริบอำนาจของชาวเมรอวินเจียนมาได้ หลายทศวรรษต่อมาสงครามเกิดขึ้นไม่ขาดเมื่อชาวการอแลงเฌียงพยายามพิชิตอาณาเขตที่เสียไปกลับคืนมาและรับมือกับการโจมตีจากชาวอาหรับ ที่การรุกรานของพวกเขาในปี ค.ศ. 732 ถูกขับไล่ออกไปในสมรภูมิที่ปัวติเยร์ส์ การต่อสู้เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้กับราชอาณาจักรนั้นยากลำบากแต่ก็ประสบความสำเร็จ ธูรินเจีย, อาเลมันนิ และบาวาเรียสุดท้ายก็ถูกปราบในปี ค.ศ. 744 บาวาเรียกรักษาเอกราชเก่าแก่ของตนไว้ได้แต่ยกพื้นที่ที่อยู่ตอนเหนือของแม่น้ำดานูบทั้งหมดให้ ชาวแฟรงก์ยึดอำนาจเหนือเกาะบาเลียริกในปี ค.ศ. 754 และพิชิตเซปติมาเนียมาจากชาวอาหรับในปี ค.ศ. 759 อากีแตนถูกพิชิตอีกครั้งในปี ค.ศ. 768 การสานสัมพันธไมตรีกับพระสันตะปาปานำไปสู่การสู้รบสองครั้งกับชาวลอมบาร์ดที่ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 754 และ 756 ในเวลาเดียวกันชาวการอแลงเฌียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของตนภายในราชอาณาจักของชาวแฟรงก์ และเปแปงผู้ตัวเตี้ยถอดกษัตริย์เมรอวินเจียนคนสุดท้ายออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 751 และทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นกษัตริย์",
"ชาวซาเลียนแฟรงก์ไม่ใช่ชนชาวแฟรงก์กลุ่มเดียวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาเขตของโรมัน ในราวปี ค.ศ. 430 ชาวแฟรงก์อีกกลุ่มได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ทางตะวันตกของอาณาเขตของชาวซาเลียนแฟรงก์ ชาวแฟรงก์กลุ่มดังกล่าวมาจากทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์และถูกเรียกว่าชาวริปูอาเรียนแฟรงก์ ครองพื้นที่ระหว่างแม่น้ำเมิซกับแม่น้ำไรน์ ชาวแฟรงก์กลุ่มที่ยังคงอยู่ในอาณาเขตดั้งเดิมของชาวแฟรงก์ทางตะวันอออกของแม่น้ำไรน์ ถูกเรียกว่าชาวแฟรงก์ตะวันออก ชนชั้นผู้นำของชาวแฟรงก์คือชาวซาเลียนแฟรงก์ กษัตริย์ของพวกเขารวมชาวแฟรงก์ทั้งหมดเข้าด้วยกันในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 5 กษัตริย์เหล่านี้เรียกตัวเองว่า เมรอวินเจียน เพราะพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเมรอเวช ที่ชาวแฟรงก์เชื่อกันว่าเป็นบุตรชายของสิ่งมีชีวิตจากสวรรค์",
"ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของจอนคยอนได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากแก่ราชสำนัก และยังเป็นการสิ้นสุดตำแหน่งเจ้ากรมมหาดเล็ก คงเหลือไว้แต่เพียงตำแหน่ง \"หัวหน้ามหาดเล็กสูงสุด\" ที่ทำหน้าที่ดูถวายงานใกล้ชิดพระราชาที่ไม่มีสิทธิและอิทธิพลในการสั่งการทหารคนใดในวัง"
] |
การแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ปี แรก จัดขึ้นที่ประเทศอะไร? | [
"การแข่งขันโอลิมปิกมีขึ้นที่ยุโรปเป็นครั้งแรก โดยกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ได้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1896 หลังจากที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกได้หยุดไปเป็นเวลานาน โดยจัดขึ้นที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ที่สนามกีฬา Olympic Stadium ซึ่งได้ถูกทำลายไปโดยทหารฝรั่งเศส"
] | [
"วอลเลย์บอลชายเวิลด์คัพ () เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลระหว่างประเทศโดยมีทีมชาติชายชุดใหญ่ร่วมเข้าแข่งในกลุ่มสมาชิกสหพันธ์วอลเลย์บอลระหว่างประเทศ (\"\"; FIVB) ซึ่งเป็นองค์กรกีฬาระหว่างประเทศ ในช่วงเริ่มต้นของการแข่งขันการแข่งขันได้จัดขึ้นหลังจากโอลิมปิกฤดูร้อน ยกเว้นในปี ค.ศ. 1973 เนื่องจากไม่มีการจัดการแข่งขันขึ้น แต่ตั้งแต่ปีใน ค.ศ. 1991 เวิลด์คัพได้มีการจัดแข่งขันขึ้นก่อนกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนโดย 2 ทีมที่ดีที่สุดจะได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ทีมชนะเลิศการแข่งขันครั้งล่าสุดคือทีมชาติสหรัฐ ซึ่งชนะเลิศเป็นสมัยที่ 2 ในการแข่งขันปี ค.ศ. 2015",
"ประเทศมาเลเซีย ได้เข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1956 (สหพันธรัฐมาลายาเข้าร่วมในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 และ โอลิมปิกฤดูร้อน 1960) จากนั้นประเทศประเทศมาเลเซียได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมตลอดทุกการแข่งขัน ยกเว้นใน โอลิมปิกฤดูร้อน 1980 ณ สหภาพโซเวียต ที่มาเลเซียได้ร่วมบอยคอตต์ระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ",
"โอลิมปิกฤดูร้อน 1964 หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 18 เป็นงานแข่งขันกีฬาหลายประเภทระหว่างประเทศจัดขึ้นในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 2 ถึง 18 ตุลาคม พ.ศ. 2507 โตเกียวได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1940 แต่เกียรตินี้ถูกส่งมอบแก่เฮลซิงกิเพราะการรุกรานจีนของญี่ปุ่น ก่อนจะถูกยกเลิกไปในที่สุดเพราะสงครามโลกครั้งที่สอง โอลิมปิกฤดูร้อนครั้งนี้เป็นโอลิมปิกครั้งแรกที่จัดในทวีปเอเชีย และเป็นครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้ถูกห้ามเข้าร่วมแข่งขันเพราะระบบการถือผิวในกีฬา อย่างไรก็ดี แอฟริกาใต้ได้รับอนุญาตให้เข้าแข่งขันพาราลิมปิกฤดูร้อน 1964 ซึ่งจัดในกรุงโตเกียวเช่นกัน และนับเป็นครั้งแรกที่แอฟริกาใต้เข้าแข่งขันพาราลิมปิก โตเกียวได้รับเลือกเป็นเมืองเจ้าภาพระหว่างสมัยประชุมคณะกรรมการโอลิมปิกสากลที่ 55 ในเยอรมนีตะวันตก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2502",
"กรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 28 ประจำปี ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) () เป็นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 25 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-29 สิงหาคม ค.ศ. 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ มีนักกีฬาร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 11,099 คน และเจ้าหน้าที่อีก 5,501 จาก 202 ประเทศ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่โอลิมปิกฤดูร้อน 1996 ที่ชาติสมาชิกในคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันครบทุกชาติ มีการมอบเหรียญรางวัล 301 รายการ ใน 28 ชนิดกีฬา",
"ทีมรวมชุดนี้ ใช้ธงโอลิมปิกและเพลงสรรเสริญของโอลิมปิก (Olympic Hymn) ในระหว่างการแข่งขันทั้งสอง โดยเฉพาะในพิธีเปิดการแข่งขันและพิธีมอบเหรียญรางวัล เนื่องจากแต่ละประเทศในทีม ยังไม่ได้การรับรองจากไอโอซี แม้ว่าที่บาร์เซโลนา จะมีความพยายามขอใช้ธงและเพลงชาติของแต่ละประเทศก็ตาม จนกระทั่งในโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 17 ที่ลิลฮัมเมอร์ของนอร์เวย์ในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) และโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 26 ที่แอตแลนตาของสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) นักกีฬาแต่ละชาติแยกเป็นทีมอิสระของตน เพื่อเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกทั้งสองเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ ชาติในทีมรวมทั้งหมด 12 ประเทศลงแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน ขณะที่มีเพียง 6 ชาติที่เข้าร่วมโอลิมปิกฤดูหนาว\n* ชาติในทีมรวมที่เข้าร่วมโอลิมปิกฤดูหนาว",
"วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 เป็นการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลในร่ม ประเภททีมชาย ที่จะจัดแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ณ รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล มีจำนวนชาติที่เข้าแข่งขันทั้งสิ้น 12 ทีมเป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลชาย จำนวน 12 ทีม ภายใต้การกำกับดูแลการแข่งขันโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ร่วมกับ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (เอฟไอวีบี) และนับเป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลในโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 7 สิงหาคม ถึง 21 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ที่ฌีนาซีอูดูมารากานังซิญญูในการแข่งขันหากผลว่ามีผลเท่ากันจะตัดสินตามลำดับดังนี้",
"กรีฑาซึ่งได้รับการจัดตั้งสามารถสืบย้อนไปได้ถึงกีฬาโอลิมปิกสมัยโบราณนับแต่ 776 ปีก่อนคริสตกาล และรายการแข่งขันกรีฑาสมัยใหม่ส่วนใหญ่มีสโสมรสมาชิกของสหพันธ์กรีฑานานาชาติ (IAAF) กรีฑาเป็นกระดูกสันหลังของโอลิมปิกฤดูร้อนสมัยใหม่ และการชุมนุมระหว่างประเทศชั้นนำอื่น ๆ รวมทั้ง การแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลก (IAAF World Championships) และการแข่งขันกรีฑาในร่มชิงแชมป์โลก (World Indoor Championships) และกรีฑาสำหรับผู้พิการทางกายแข่งขันกันที่ พาราลิมปิกฤดูร้อน และการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกของคณะกรรมการพาราลิมปิกระหว่างประเทศ (IPC Athletics\nชาย",
"กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน หรือ ซัมเมอร์โอลิมปิกเกมส์ (English: Summer Olympic Games) เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิดระหว่างประเทศ ซึ่งตามปกติจะมีการจัดแข่งขันทุกสี่ปี โดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee หรือ IOC) ในแต่ละครั้งจะมีการมอบเหรียญรางวัล ผู้ชนะเลิศได้เหรียญทอง อันดับสองได้เหรียญเงิน และอันดับสามได้เหรียญทองแดง การมอบเหรียญนี้เป็นประเพณีตั้งแต่ปี 1904 ต่อมามีการจัดแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว อันสืบเนื่องมาจากความสำเร็จของโอลิมปิกฤดูร้อน",
"สนามแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 และพาราลิมปิก 2012 เป็นสนามแข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งหมดที่ใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 20 หรือโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ",
"มหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 15 ประจำปี ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) จัดขึ้นที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เอมิล ซาโตเปก จากเชโกสโลวาเกียได้กลายเป็นดาวเด่นในหมู่นักกีฬาในปี 1952 เมื่อเขาได้ชัยชนะในการแข่งขันวิ่งระยะไกล 10,000 เมตร และ 50,000 เมตร รวมทั้งการแข่งขันวิ่งมาราธอน และภรรยาของเขาก็ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันพุ่งแหลน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สหภาพโซเวียตได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก รวมทั้งประเทศไทยก็เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกเช่นกัน",
"มหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 9 ประจำปี ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2471) เป็นมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกที่ทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ทำการย่นระยะเวลาการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกลงเหลือเพียง 17 วัน ก่อนหน้านั้นการแข่งขันจะกินเวลาเป็นเดือน การแข่งขันครั้งนี้ประเทศที่เป็นเจ้าภาพมีความหวังที่จะได้ชัยชนะในกีฬาฟุตบอล แต่ก็ต้องพลาดหวังเมื่ออุรุกวัยและอาร์เจนตินาได้เข้าชิงชนะเลิศ Paavo Nurmi ได้รับการยกย่องเป็นเจ้าแห่งการแข่งขันวิ่งระยะไกลอีกครั้งหนึ่ง ส่วนสหรัฐอเมริกาได้ครองเหรียญทองถึง 6 เหรียญจากทั้งหมด 11 เหรียญทองของการแข่งขันว่ายน้ำ โอลิมปิกครั้งนี้มีประเทศที่เริ่มฉายแววทางกีฬาเพิ่มขึ้นมาคือ ญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นโอลิมปิกครั้งแรกที่มีการจัดการแข่งขันกรีฑาหญิง",
"โอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2010 มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า โอลิมปิกเยาวชนสิงคโปร์ 2010 เป็นมหกรรมกีฬาระหว่างประเทศสำหรับเยาวชนซึ่งจัดขึ้นในนครรัฐสิงคโปร์ ตั้งแต่วันที่ 14 ถึง 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ในโอลิมเพียต (Olympiad) ที่ 29 เป็นการแข่งขันโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อนครั้งแรก ซึ่งเป็นเทศกาลกีฬาและวัฒนธรรมหลักจัดตามธรรมเนียมของกีฬาโอลิมปิก มีนักกีฬา 3,531 คน อายุระหว่าง 14 ถึง 18 ปี จากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ 204 แห่ง เข้าร่วมในการแข่งขัน 201 รายการ ใน 26 ชนิดกีฬา การตัดสินเลือกสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมีการประกาศเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 หลังการลงคะแนนเสียงของสมาชิกคณะกรรมการโอลิมปิกสากลทั้ง 105 คน",
"กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนประจำปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) หรืออย่างเป็นทางการว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 2 คือกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่จัดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เดิมทีได้มีความพยายามที่จะให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกขึ้นในกรีกเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่ ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ขึ้นมา ได้ยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่จะให้มีการแข่งขันเวียนไปตามประเทศต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมการแข่งขันกีฬา",
"นครลอสแอนเจลิสเคยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 และโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 นอกจากนี้จะเป็นครั้งที่สามของนครลอสแอนเจลิสในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน หากได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 หรือ โอลิมปิกฤดูร้อน 2028 นครลอสแอนเจลิสจะกลายเป็นเมืองแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในประเทศสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่โอลิมปิกฤดูหนาว 2002 ณ เมืองซอลต์เลกซิตี และเป็นเมืองแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันทั้งหมดสามครั้ง โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 นับเป็นวันครบรอบ 40 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 และวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 นับเป็นวันครบรอบ 92 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 ณ นครลอสแอนเจลิส นอกจากนี้วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2571 นับเป็นวันครบรอบปีที่ 44 ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 และวันที่ 30 กรกฎาคม 2028 เป็นวันครบรอบ 96 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 ณ นครลอสแอนเจลิส",
"การแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อยู่ในภายใต้การดูแลของโทมัส บัค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล นครรีโอเดจาเนโร ได้ถูกประกาศชื่อเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 31 ในการประชุมคณะกรรมการโอลิมปิกสากลครั้งที่ 121 ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552 นครรีโอเดจาเนโรนั้นเป็นเมืองแรกของทวีปอเมริกาใต้ที่จัดโอลิมปิกฤดูร้อน ซึ่งเป็นประเทศแรกในกลุ่มภาษาโปรตุเกสที่จัดโอลิมปิกฤดูร้อน และเป็นเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกที่จัดในฤดูหนาว (ซึ่งในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ได้เริ่มจัดการแข่งขันในวันที่ 15 กันยายน – ซึ่งอีก 5 วันถัดไป จะเป็นวสันตวิษุวัต ในซีกโลกใต้) รวมถึงเป็นเมืองแรกในรอบ 16 ปี และเป็นเมืองที่ 3 ที่เป็นเจ้าภาพในซีกโลกใต้",
"ประเทศฟิลิปปินส์ ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี ค.ศ.1924 นับเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมตลอดทุกการแข่งขัน ยกเว้นใน โอลิมปิกฤดูร้อน 1980 ณ สหภาพโซเวียต ที่ฟิลิปปินส์ได้ร่วมบอยคอตต์ระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ในปี1972,1988 และ 1992 ",
"คณะกรรมการโอลิมปิกของประเทศตองงานั้นก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1963 และได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากลในปี ค.ศ. 1984 ประเทศตองงาเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกในปี ค.ศ. 1984 ประเทศตองงาเคยได้รับ 1 เหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1996 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยในครั้งนั้น ปาเออา วอฟแฟรม นักกีฬามวยสากลสมัครเล่น ได้เหรียญเงิน ส่วนการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวนั้น ตองงาจะเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 ที่เมืองโซชิ ประเทศรัสเซีย เป็นครั้งแรก",
"การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกถือเป็นกิจกรรมที่มีการแข่งขันหลายกีฬาใหญ่ที่สุด มีการคว่ำบาตรอยู่ทั้งหมด 7 ครั้งของการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน การคว่ำบาตรครั้งแรกเกิดขึ้นในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 และการคว่ำบาตรครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 ประเทศโรดีเชียเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีสิทธิ์ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน เกิดเหตุเมื่อการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1972 คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติยกเลิกการให้ประเทศโรดีเชียเข้าร่วม เนื่องจากบางประเทศในกลุ่มแอฟริกันประท้วง",
"ประเทศเวียดนาม ได้เข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ.1952-1972 เป็นการเข้าร่วมการแข่งขันของเวียดนามใต้,1980-ปัจจุบัน เป็นการเข้าร่วมการแข่งขันของประเทศเวียดนาม) ซึ่งเวียดนามได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมตลอดทุกการแข่งขัน ยกเว้นใน โอลิมปิกฤดูร้อน 1976 ที่มอนทรีอัล และโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 ที่ ลอสแอนเจลิส",
"จักรวรรดิรัสเซียในโอลิมปิก เป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ตามประวัติศาสตร์แล้วรัสเซียเข้าร่วมแข่งขันในนามของหลายชาติด้วยกัน และจักรวรรดิรัสเชียเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1900 เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะหยุดไปและกลับเข้าร่วมแข่งขันอีกครั้งในโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 และ โอลิมปิกฤดูร้อน 1912 และหลังจากการปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 ก็ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันโอลิมปิกในนามสหภาพโซเวียต ในโอลิมปิกฤดูร้อน 1952",
"สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 27 กรกฎาคม และพาราลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงร่วมแสดงคู่กับแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์สั้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2012[158] ด้านพระราชบิดา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเคยเปิดการแข่งกันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 ส่วนพระปัยกา (ปู่ทวด) สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็ทรงเคยเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1976 ที่นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดามาแล้วครั้งหนึ่ง ด้านพระราชสวามี เจ้าชายฟิลิป ก็เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน[159] ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระประมุขแห่งรัฐพระองค์แรกที่ได้ทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้งใน 2 ประเทศ[160]",
"กีฬาจักรยานในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 เป็นการแข่งขันกีฬาจักรยานที่จะจัดขึ้นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ที่เมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 ถึง 21 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ครั้งนี้จักรยานถูกแบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท และ 18 รายการ เช่นเดียวกับกีฬาจักรยานในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 โดยแข่งขันภายใน 4 สนาม ดังนี้บราซิลเป็นประเทศเจ้าภาพ ได้รับโควต้าโดยไม่ต้องผ่านรอบคัดเลือกใด ๆ",
"ประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้ร่วมเดินสวนสนามภายใต้ธงรวมเกาหลีในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย, โอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ, โอลิมปิกฤดูหนาว 2006 ที่เมืองโตริโน ประเทศอิตาลี และในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2006 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันกีฬารายการดังกล่าว ทั้งสองประเทศจะแยกกันแข่งขันกีฬาในนามของชาติตนเอง ในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนั้นได้วินิจฉัยว่าทั้งสองประเทศต้องเข้าร่วมแข่งขันแยกกันตามประเทศของตน ทำให้ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งนี้ไม่มีการใช้ธงรวมเกาหลี ธงรวมเกาหลีจะนำกลับมาใช้อีกครั้งในโอลิมปิกฤดูหนาว 2018 และ เอเชียนเกมส์ 2018.",
"ประเทศสิงคโปร์ เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2491 เมื่อแยกตัวออกจากอาณานิคมช่องแคบและส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเรื่อยมาจนถึงกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พ.ศ. 2507 ซึ่งสิงคโปร์รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย หลังจากที่เป็นเอกราชจากมาเลเซียใน พ.ศ. 2508 สิงคโปร์ได้เข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกอีก และเข้าแข่งขันทุกครั้งยกเว้นกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พ.ศ. 2523 สิงคโปร์ไม่เคยเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว แต่ได้พยายามจะเข้าแข่งขันใน พ.ศ. 2557 โดยได้สร้างสนามสเกตน้ำแข็งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555",
"มหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 29 ประจำปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) (; ) เป็นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 29 จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง ฮ่องกง ชิงเต่า ชิงหวงเต่า เซี่ยงไฮ้ และเสิ่นหยาง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม (การแข่งขันฟุตบอลจัดขึ้นในวันที่ 6 สิงหาคม) ถึง 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ตามมาด้วยพาราลิมปิกฤดูร้อน 2008 ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน ถึงวันที่ 17 กันยายน การแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ถือเป็นการแข่งขันครั้งที่สามที่มีเจ้าภาพอยู่ในทวีปเอเชีย (ครั้งที่หนึ่ง ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2507 และครั้งที่สอง ณ โซล ประเทศเกาหลีใต้ พ.ศ. 2531) โดยพิธีเปิดได้เริ่มขึ้นในเวลา 20 นาฬิกา (8 นาฬิกาตอนกลางคืน) 8 นาทีตามเวลากรุงปักกิ่ง (19 นาฬิกา 8 นาที ตามเวลาแห่งประเทศไทย) โดยเลข 8 นี้เป็นเลขนำโชคของชาวจีนซึ่งเชื่อกันว่าเลข 8 เป็นเลขมงคลมากที่สุด เพราะออกเสียงคล้ายกับคำว่า \"ฟา\" (發/发) ที่หมายถึง \"ร่ำรวย\" 12 สิงหาคม 2551 - 31 ตุลาคม 2551",
"กีฬาโอลิมปิก (อังกฤษ: Olympic Games, ฝรั่งเศส: les Jeux olympiques, JO) หรือโอลิมปิกส์ (อังกฤษ: Olympics) สมัยใหม่ เป็นการแข่งขันระหว่างประเทศที่สำคัญ ทั้งกีฬาฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยมีนักกีฬาหลายพันคนเข้าร่วมการแข่งขันหลายชนิดกีฬา กีฬาโอลิมปิกถูกมองว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่สำคัญที่สุดของโลก โดยมีประเทศเข้าร่วมกว่า 200 ประเทศ ปัจจุบัน กีฬาโอลิมปิกจัดขึ้นทุกสองปี ผลัดกันระหว่างโอลิมปิกฤดูร้อนกับโอลิมปิกฤดูหนาว หมายความว่า โอลิมปิกฤดูร้อนและโอลิมปิกฤดูหนาวจะจัดห่างกันสี่ปี การสร้างสรรค์กีฬาโอลิมปิกได้รับแรงบันดาลใจจากกีฬาโอลิมปิกโบราณ ซึ่งจัดขึ้นในโอลิมเปีย กรีซ จากศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 บารอน ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง ก่อตั้งคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ใน พ.ศ. 2437 นับแต่นั้น ไอโอซีกลายเป็นองค์การดูแลกระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) โดยมีกฎบัตรโอลิมปิกนิยามโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ",
"กีฬาเทควันโด้ในโอลิมปิก () เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวเกาหลีที่มีการกระโดดเตะและหมุนตัวเตะเป็นเอกลักษณ์ ในปี ค.ศ. 1973 ได้มีการจัดแข่งขันเทควันโด้ชิงแชมป์โลกขึ้นเป็นครั้งแรก และเข้ามาเป็นกีฬาสาธิตในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 เมื่อเกาหลีใต้ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพที่โซล และโอลิมปิกครั้งที่ 25 โอลิมปิกฤดูร้อน 1992 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ส่วนที่แอตแลนต้าในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 นั้น ไม่มีการแข่งขันเทควันโด้ จนในโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เทควันโด้กลายเป็นกีฬาชิงเหรียญทองอย่างเต็มตัว",
"กีฬาวอลเลย์บอลในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลนานาชาติระดับเยาวชน อยู่ภายใต้การกำกับของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท วอลเลย์บอลในร่มประเภททีมหญิงและทีมชาย โดยจะหมุนเวียนจัดทุก ๆ สี่ปี วอลเลย์บอลได้รับการบรรจุเข้าเป็นรายการแข่งขันครั้งแรกในโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2010 ณ ประเทศสิงคโปร์ แต่ในการแข่งขันโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2014 วอลเลย์บอลในร่มถูกแทนที่ด้วยวอลเลย์บอลชายหาด",
"วอลเลย์บอลหญิงเวิลด์คัพ () เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลระหว่างประเทศโดยมีทีมชาติหญิงชุดใหญ่ร่วมเข้าแข่งในกลุ่มสมาชิกสหพันธ์วอลเลย์บอลระหว่างประเทศ (\"\"; FIVB) ซึ่งเป็นองค์กรกีฬาระหว่างประเทศ ในช่วงเริ่มต้นของการแข่งขันการแข่งขันได้จัดขึ้นหลังจากโอลิมปิกฤดูร้อน ยกเว้นในปี ค.ศ. 1973 เนื่องจากไม่มีการจัดการแข่งขันขึ้น แต่ตั้งแต่ปีใน ค.ศ. 1991 เวิลด์คัพได้มีการจัดแข่งขันขึ้นก่อนกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนโดย 2 ทีมที่ดีที่สุดจะได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ทีมชนะเลิศการแข่งขันครั้งล่าสุดคือทีมชาติจีน ซึ่งชนะเลิศเป็นสมัยที่ 2 ในการแข่งขันปี ค.ศ. 2015",
"รายชื่อประเทศที่ร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน จากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนในแต่ละครั้งได้ดังนี้"
] |
บริติช แอร์เวย์ เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักรที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด ? | [
"ในระหว่างนั้นสายการบินขนาดเล็กอื่นๆ ของอังกฤษ ก็เริ่มเปิดให้บริการเช่นกัน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2478 ก็ได้ควบรวมกิจการเข้าเป็น บริติช แอร์เวย์ จำกัด (British Airways Ltd.) และหลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลอังกฤษจึงได้แปรรูปกิจการ อิมพีเรียล แอร์เวย์ และ บริติช แอร์เวย์ จำกัด เข้ามาเป็นรัฐวิสาหกิจบริติช โอเวอร์ซี แอร์เวย์ คอร์ปปอเรชั่น (British Overseas Airways Corporation: BOAC) ในปีพ.ศ. 2482 และยังคงให้บริการเส้นทางบินระยะไกลอยู่ในช่วงหลังสงครามโลก ยกเว้นเพียงเส้นทางไปอเมริกาใต้ ที่ให้บริการโดย บริติช เซาท์ อเมริกัน แอร์เวย์ (British South American Airways) ซึ่งต่อมาในปีพ.ศ. 2492 ก็ได้ยุบรวมเข้ากับ BOAC ส่วนในเส้นทางภายประเทศและเส้นทางระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ให้บริการโดยสายการบินแห่งใหม่ บริติช ยูโรเปียน แอร์เวย์ (British European Airways: BEA)"
] | [
"โบอิง 777 เป็นอากาศยานแบบลำตัวกว้าง ใช้เครื่องยนต์ 2 ตัว มีพิสัยบินระยะไกล ผลิตโดยฝ่ายผลิตเครื่องบินพาณิชย์โบอิง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องบินเชิงพาณิชย์ลำแรกที่มีการออกแบบและพัฒนาบนคอมพิวเตอร์ทุกขั้นตอน โดยโปรแกรมเขียนภาพสามมิติ CATIA และมีสายการบินขนาดใหญ่อย่างยูไนเต็ดแอร์ไลน์, อเมริกันแอร์ไลน์, เดลต้า แอร์ไลน์, ออลนิปปอนแอร์เวย์, บริติช แอร์เวย์, เจแปนแอร์ไลน์, ควอนตัส และคาเธย์แปซิฟิก มีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องบินรุ่นนี้ ทำให้ 777 เป็นเครื่องบินที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทั้งนี้นับจนถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2550 มีเพียงควอนตัสเพียงสายการบินเดียวที่มีส่วนร่วมในการออกแบบ แต่ยังไม่เคยสั่งซื้อเครื่อง 777 เลย",
"หนึ่งในบุคคลของลำดับรายชื่อนี้ซึ่งเป็นที่ถกเถียงอย่างมากคือ อเลสเตอร์ โครว์ลีย์ นักรหัสยศาสตร์ ซึ่งผลงานของเขามีอิทธิพลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของลัทธินอกศาสนาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และต่อเจราลด์ การ์ดเนอร์ ผู้ก่อตั้งลัทธิเวทมนตร์คาถาการ์ดเนอร์ (Gardnerian Wicca) นอกจากนี้ยังปรากฏบุคคลที่ไม่ใช่ชาวบริติชรวมอยู่ในรายชื่อด้วย ได้แก่ นักดนตรีชาวไอริช (ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้รวมอยู่ในสหราชอาณาจักรและไม่ถือว่าเป็นชาวบริติชแล้ว) สองคน โบโน (สมาชิกวงยูทู) และบ็อบ เกล-ดอฟ อีกทั้งบุคคลที่ปรากฏในรายชื่ออีกหลายคนมาจากยุคที่ความเป็นบริติชยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยรายชื่อ 19 ลำดับแรกมีภูมิหลังมาจากอังกฤษ (แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว เซอร์เออร์เนส แช็กเคิลตัน และอาร์เธอร์ เวลสลีย์ ดยุกที่ 1 แห่งเวลลิงตัน จะมีภูมิหลังมาจากครอบครัวชาวแองโกล-ไอริชด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งในขณะนั้นไอร์แลนด์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร) ส่วนบุคคลที่มีภูมิหลังจากสกอตแลนด์และมีอันดับสูงสุดในรายชื่อคือ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง ในลำดับที่ 20 และจากเวลส์ได้แก่ โอไวน์ กลีนดูร์ ในลำดับที่ 23 ",
"บีเอ็มไอ (BMI British Midland Airways) คือสายการบินที่มีฐานอยู่ในสหราชอาณาจักร มีสำนักงานใหญ่อยู่ในโดนิงตัน ฮอลล์ ใกล้กับท่าอากาศยานอีสต์มิดแลนด์ มีจุดหมายปลายทางอยู่ในยุโรป สหรัฐอเมริกา แถบหมู่เกาะแคริบเบียน และประเทศซาอุดีอารเบีย ฐานปฏิบัติการของสายการบินอยู่ที่ท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์และท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ซึ่งเป็นที่ที่มีการจราจรทางอากาศของสายการบินนี้เข้า-ออกคิดเป็น 11%ของเที่ยวบินทั้งหมดของท่าอากาศยานแห่งนี้โดยมากกว่า 2000 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยทั่วไปรู้จักกันในชื่อบริติช มิดแลนด์ ในเดือนมกราคม 2550 บีเอ็มไอได้ซื้อสายการบินบริติช เมดิเตอร์เรเนียน แอร์ไลน์ ทำให้บีเอ็มไอสามารถที่ให้บริการในแถบแอฟริกาและแถบอาหรับได้ ",
"ฟาร์อีสเทิร์นแอร์ไลน์ (Far Eastern Airlines) เป็นอีกสายการบินหนึ่งที่เป็นส่วนก่อตั้ง ANA โดย FEA ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2495 ก่อนหน้า NH เพียงหนึ่งวัน แต่กระนั้นก็มิได้ทำการบินจนกระทั่งวันที่ 20 มกราคม 2497 ในเที่ยวบินขนส่งสินค้า ระหว่างโอซาก้าและโตเกียว และใช้เครื่อง de Havilland Dove และขยายเส้นทางจากโตเกียวสู่ คาโกชิม่า ",
"บีเอ ซิตีฟลายเออร์ () เป็นสายการบินลูกของบริติช แอร์เวย์ ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ และภาคพื้นทวีปยุโรป โดยมีท่าอากาศยานลอนดอนซิตีเป็นท่าอากาศยานหลัก\nบีเอ ซิตีฟลายเออร์ มีเครื่องบินประจำการอยู่ ณ มีนาคม พ.ศ. 2550 คือ",
"บริติช แอร์เวย์ ยังเคยเป็นให้บริการเครื่องบินคองคอร์ด มีเที่ยวบินทุกวันระหว่างฮีทโธรว์และนิวยอร์ก (จากเดิมที่ให้บริการไปบาห์เรน) โดยแรกเริ่มนั้นคอนคอร์ดมีต้นทุนในการให้บริการสูงเกินควร และได้รับคำวิจารณ์เชิงลบว่าเป็นการลงทุนที่เปล่าประโยชน์ แต่บริติช แอร์เวย์ ก็สามารถดึงความสนใจจากผู้โดยสารได้",
"เนื่องจากปัญหาทางการเมืองระหว่างจีนและไต้หวัน บริติช แอร์เวย์ จึงได้เปิดสายการบินลูกบริติช เอเชีย แอร์เวย์ ขึ้นในปี พ.ศ. 2538 มีฐานการบริการอยู่ที่ไต้หวัน สำหรับเส้นทางบินจากลอนดอนไปไทเป และได้เปลี่ยนเครื่องแบบให้เครื่องบินใหม่ โดยไม่ใช่ธงสหราชอาณาจักร แต่เปลี่ยนเป็นอักษรจีนแทน ซึ่งหลายสายการบินก็นำเอาวิธีการนี้ไปใช้ตามกัน เช่น แควนตัส ให้บริการในชื่อ ออสเตรเลีย เอเชีย แอร์เวย์ และเคแอลเอ็ม ให้บริการในชื่อ เคแอลเอ็ม เอเชีย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2544 บริติช เอเชีย แอร์เวย์ ก็หยุดกิจการเนื่องจากผลกำไรลดลง",
"ส่วนวีระ สมความคิด จากเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้กล่าวว่า \"มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในโครงการท่าอากาศยานทุกโครงการ ตั้งแต่ที่จอดรถ การประมูลราคาร้านค้าปลอดภาษี ระบบทำความเย็นของตัวอาคาร และระบบผลิตพลังงาน\" แต่เขาก็ยังไม่มีหลักฐานที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าวเลย ซึ่งข้อกล่าวหาดังกล่าวนำไปสู่การลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคมในสมัยรัฐบาลทักษิณคณะวิศวกรที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐประหารให้ดำเนินการตรวจสอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับท่าอากาศยานเป็นเรื่อง \"เล็กน้อย\" และ \"เกิดขึ้นได้ทั่วไป\" ส่วนโฆษกของสายการบิน บริติช แอร์เวย์ ได้ออกมากล่าวว่า \"ทุกอย่างเป็นปกติ\" และ \"เราไม่ได้ยินการฟ้องจากพนักงานแต่อย่างใด\"",
"เจ็ทเอเซีย แอร์เวย์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 โดยได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศจาก กรมการบินพลเรือน ของ ประเทศไทย ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 เนื่องจากความต้องการผู้ให้บริการเที่ยวบินแบบเช่าเหมาที่มีคุณภาพ ที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เจ็ทเอเซีย จึงถูกก่อตั้งขึ้นตามหลักการว่าด้วยความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และการบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม\nสำนักงานใหญ่ของ เจ็ทเอเซีย แอร์เวย์ ตั้งอยู่เลขที่ 999/9 ชั้น 29 อาคารสำนักงานเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยมีท่าอากาศหลักอยู่ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร\nคำแถลงภารกิจ\n“เพื่อให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และการบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยมสูงสุด ในราคาที่ดีที่สุดแก่บริษัทตัวแทนท่องเที่ยวและสายการบินในเอเซีย”\nวิสัยทัศน์\n“วางแผนการเติบโตของบริษัทฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในการขนส่งผู้โดยสารทางอากาศในภูมิภาคเอเซีย แปซิฟิก”",
"รายชื่อต่อไปนี้เป็นจุดหมายปลายของสายการบินบริติช แอร์เวย์ โดยที่ไม่ได้รวมจุดหมายปลายทางของสายการบินลูก และสายการบินแฟรนไชส์ (บีเอ คอนเนคท์, จีบีแอร์เวย์, บริติชเมดิเตอร์เรเนียน แอร์เวย์)",
"การเปลี่ยนแปลงฝูงบินที่มีเครื่องบินที่ไม่ใช่ของโบอิงมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะมาจากการควบรวมกิจการกับสายการบินอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การซื้อสายการบินบริติช ดาลโดเนียน แอร์เวย์ในช่วงปี พ.ศ. 2520 ซึ่งให้บริการเครื่องบินแมคดอนเนลล์ ดักลาส ดีซี-10 และแอร์บัส เอ 230 ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 (พ.ศ. 2533) บริติช แอร์เวย์ จึงได้เริ่มสั่งเครื่องแอร์บัส เอ 320/เอ 319เป็นจำนวนกว่า 100 ลำ เพื่อแทนที่เครื่องบินโบอิง 737",
"ในช่วงทศวรรษ 1990 (พ.ศ. 2533-2542) กล่าวได้ว่าบริติช แอร์เวย์ เป็นสายการบินที่มีผลกำไรมากที่สุดในโลก และได้เปิดสายการบินลูกดอยท์ช บีเอ ในปีพ.ศ. 2535 เพื่อให้บริการในเยอรมนี จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 ก็ได้ขายกิจการออกไป ในขณะนั้นดอยท์ช บีเอ เป็นสายการบินให้บริการเส้นทางภายในประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเยอรมนี เป็นรองเพียงลุฟต์ฮันซา ขนาดของฝูงบินประกอบด้วยเครื่องบินโบอิง 737 ถึง 16 ลำ",
"ได้มีการเปิดเที่ยวบินจากเดอร์บี้และวูลฟ์เอร์แฮมตันไปสู่เมืองเจอร์ซี่ย์ โดยใช้เครื่องบินดูกลาส ดีซี 3 เข้ามาใช้ ในปี 2498 วูลฟ์เวอร์ตันอาวิเอชั่น ได้รวมกิจการเป็นกิจการเดียวและได้ใช้ฐานเปลี่ยนมาเป็นท่าอากาศยานเบอร์นาตัน การบริการระหว่างประเทศนั้นจึงได้เกิดขึ้นในปีถัดไปโดยบินสู่เมืองออสเตนด์และเที่ยวบินสู่ภาคพื้นทวีปยุโรปได้เริ่มขึ้น บริษัททำข้อตกลงกับบริษัทโรส์รอยส์ซึ่งเป็นผู้ส่งชิ้นส่วนของเครื่องบินให้แก่ลูกค้าทั่วโลก ในปี 2502 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น เดอร์บี้ แอร์เวย์ โดยทำการบินตามกำหนดการของเที่ยวบินภายในประเทศของสหราชอาณาจักรจึงเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีนั้น",
"บริษัทเรดวิง แอร์คราฟท์ (Redwing Aircraft Company) เข้ามาซื้อที่สนามบินในปีพ.ศ. 2475 และเปิดเป็นโรงเรียนสอนการบิน สนามบินแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นที่ขึ้นบินเพื่อชมการแข่งขันอีกด้วย ในปีพ.ศ. 2476 สนามบินถูกขายให้กับนักลงทุนคนหนึ่งที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนให้เป็นท่าอากาศยาน และรัฐมนตรีที่ดูแลการคมนาคมทางอากาศก็ได้อนุญาตให้เปิดเส้นทางการบินพาณิชย์จากแกตวิกในปีถัดมา จนกระทั่งปีพ.ศ. 2479 ได้ให้บริการเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายหลายแห่งทั่วภาคพื้นทวีป มีการสร้างอาคารผู้โดยสารรูปวงกลมที่ชื่อว่า \"The Beehive\" ซึ่งมีรถไฟใต้ดินที่เชื่อมกับสถานีรถไฟแกตวิด ทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางจากสถานีวิคตอเรียไปยังอาคารผู้โดยสารได้โดยตรง มีอุบัติเหตุร้ายแรงถึง 2 ครั้งในปีพ.ศ. 2479 สร้างความสงสัยเรื่องความปลอดภัยของท่าอากาศยาน และปัญเรื่องหมอกและน้ำก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางรถไฟใต้ดินก็มักจะถูกน้ำท่วมหลังจากที่ฝนตกหนัก และเนื่องจากข้อจำกัดต่างๆ และความต้องการทางวิ่งที่ยาวขึ้น บริติช แอร์เวย์ จำกัด จึงย้ายการบินไปอยู่ที่ท่าอากาศยานครอยดอนในปีพ.ศ. 2480 แทน แกตวิกจึงได้เปลี่ยนมาเป็นสนามบินส่วนบุคคลอีกครั้ง และยังเป็นที่ฝึกนักบินของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร รวมทั้งเป็นที่สนใจของบริษัทซ่อมบำรุงอากาศยานอีกด้วย",
"ในปีพ.ศ. 2549 แกตวิกให้บริการ 200 จุดหมายปลายทาง จำนวนผู้โดยสารกว่า 34 ล้านคน เที่ยวบิน 263,363 เที่ยว โดยปกติแล้วที่ฮีทโธรว์จะไม่ได้ให้บริการเครื่องเช่าเหมาลำเป็นจำนวนมากนัก ผู้ให้บริการส่วนใหญ่จึงหันมาตั้งฐานบริการอยู่ที่แกตวิก และยังมีเที่ยวบินปกติของหลายสายการบินจากอเมริกาหันมาใช้บริการที่แกตวิก เนื่องจากติดขัดเรื่องข้อกำหนดเกี่ยวกับเส้นทางบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมายังฮีทโธรว์ นอกจากนี้แกตวิกยังเป็นท่าอากาศยานรองของ บริติช แอร์เวย์ และเวอร์จิ้น แอตแลนติก แอร์เวย์",
"สายการบิน เจ็ทเอเซีย แอร์เวย์ เน้นให้บริการเส้นทางบินระยะไกลไปยังท่าอากาศยานที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และให้บริการเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำ โดยมีเส้นทางบินประจำทุกวันจำนวนฝูงบินของสายการบินเจ็ทเอเซีย แอร์เวย์ วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555",
"สายการบินประจำชาติอื่น ๆ หลายแห่งก็ได้ให้บริการเส้นทางไปยังไทเปโดยใช้ชื่อและเครื่องแบบพนักงานอื่นแทน ตัวอย่างเช่น บริติชแอร์เวย์ไม่มีเส้นทางบินระหว่างลอนดอนกับไทเปเลย แต่ให้บริการโดยสายการบินลูกที่ชื่อ บริติชเอเชียแอร์เวย์ โดยมีตัวอักษรจีนบนหางเครื่องบินแทนรูปธงสหราชอาณาจักรที่บริติชแอร์เวย์ใช้ สายการบินแควนตัสของออสเตรเลียก็มีสายการบินลูกชื่อ ออสเตรเลียเอเชียแอร์ไลน์ ซึ่งมีเส้นทางบินระหว่างซิดนีย์และไทเป และในปัจจุบันก็ใช้วิธีบินร่วมกับอีวีเอแอร์ ซึ่งเป็นสายการบินสัญชาติไต้หวัน",
"บริติช แอร์เวย์ มีหุ้นอยู่ในสายการบินสัญชาติสเปน ไอบีเรีย อยู่ 10% โดยสัดส่วนหุ้นจาก 9 % เป็น 10% จากการซื้อหุ้นที่ถือโดยอเมริกันแอร์ไลน์ ทำให้บริติช แอร์เวย์สามารถแต่งตั้งกรรมการบอร์ดบริหารได้ 2 คน",
"สายการบินแห่งชาติอังกฤษก็ได้แปรรูปกิจการและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 ในสมัยรัฐบาลพรรคอนุรักษนิยม ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2531 ผลของบริติช แอร์เวย์ ส่งไปถึงการเข้าครอบครองกิจการสายการบินอันดับสองของอังกฤษ บริติช คาลโดเนียน (British Caledonian) และในปีพ.ศ. 2535 ได้ซื้อสายการบินแดนแอร์ (Dan-Air) ซึ่งมีฐานอยู่ที่แกตวิค",
"10 กันยายน พ.ศ. 2519 เที่ยวบินที่ 476 เครื่องบินทรีเดนท์ 3บี จากฮีทโธรว์ไปยังเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี และเครื่องบินดักลาส ดีซี 9 เที่ยวบินที่ 550 ของสายการบินไอเน็ก-เอเดรีย จากเมืองสปลิต ประเทศโครเอเชีย ไปยังเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนีตะวันตก เฉี่ยวชนกลางอากาศเหนือน่านฟ้าซาเกรบ ซึ่งก็คือประเทศยูโกสลาเวียในเวลาต่อมา ผู้โดยสารทั้งหมด 176 คน เสียชีวิต 24 มิถุนายน พ.ศ. 2525 เที่ยวบินที่ 9 เครื่องบิน โบอิง 747-200 City of Edinburgh บินผ่านกลุ่มเถ้าธุลีเหนือจากภูเขาไฟกาลังกัง เป็นเหตุให้เครื่องเกิดความเสียหายขนาดหนัก เครื่องยนต์ทั้ง 4 ตัวไม่ทำงาน นักบินสามารถนำเครื่องออกจากกลุ่มเถ้าธุลีได้ และสามารถติดเครื่องยนต์ได้อีกครั้ง (มีการล้มเหลวเพียงครั้งเดียว ขณะพยายามจะไต่ระดับขึ้นเหนือยอดเขา) และสามารถลงจอดฉุกเฉินที่กรุงจาการ์ตา ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2533 เที่ยวบินที่ 5390 เครื่องบินบีเอซี 1-11 ขณะเดินทางจากเบอร์มิงแฮมไปมาลากา ถูกกระแสลมกระแทกเข้าใส่ จนนักบินกระเด็นออกจากห้องบังคับเครื่องบินแต่ลูกเรือช่วยไว้ได้ทัน ผู้ช่วยนักบินสามารถนำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัยที่ท่าอากาศยานเซาท์แธมตัน 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 เที่ยวบินที่ 149 ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติคูเวต 4 ชั่วโมงหลังจากที่อิรักได้บุกเข้ายึดคูเวต ผู้โดยสารและลูกเรือถูกจับตัว และเครื่องบินถูกทำลาย 10 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เครื่องบินโบอิง 757 จากลอนดอนไปยังอัมสเตอร์ดัม บินผ่ากลางพายุ 2 ลูก โดนฟ้าผ่าลงที่ใต้หน้าต่างนักบินคนที่ 1 ริชาร์ด แอดค็อก ทำให้โดยกระแสไฟฟ้าช็อตขณะจับหน้าปัดแผงควบคุมและทำให้แผงควบคุมใช้การไม่ได้ จึงได้เปลี่ยนการควบคุมให้กับผู้ช่วยนักบิน ไมค์ แทร์รี่ เครื่องสามารถบินต่อไปและลงจอดได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุอีก ผู้โดยสารทั้งหมด 157 คนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ยกเว้ยเพียงนักบินที่ 1 เป็นแผลไฟไหม้ที่หน้าอก 29 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เที่ยวบินที่ 2069 จากท่าอากาศยานลอนดอนแกตวิคไปยังไนโรบี ถูกจี้เครื่องบินขณะบินเหนือน่าฟ้าซูดาน พอล มูโกนยี นักเรียนชาวเคนยาและมีอาการป่วยทางจิต บุกเข้าในห้องบังคับการบิน ลูกเรือทั้ง 3 คน พยายามห้ามมูโกนยีไว้ ระบบการบินอัตโนมัติไม่ทำงาน ทำให้เครื่องบินดิ่งลดระดับไปประมาณ 10,000 ฟุต ผู้โดยสารทั้ง 398 คน ในจำนวนนั้นรวมถึงนักดนตรีร็อคชาวอังกฤษ ไบรอัน เฟอร์รี่ และ เจอมีมา คาน ด้วย เหตุการณ์นี้นักบินสามารถควบคุมเครื่องเอาไว้ได้ทันและสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งสามารถจับตัวมูโกนยีใส่กุญแจมือไว้ได้ 5 กันยายน พ.ศ. 2544 เครื่องบินโบอิง 777-200 G-VIIK เกิดไฟไหม้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเดนเวอร์ เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เพลิงไหม้เกิดขณะที่เครื่องจอดอยู่ที่หลุมจอด กำลังระบายผู้โดยสารออกและเติมเชื้อเพลิงใหม่ ขณะเกิดเหตุมีนักบินและผู้ช่วงนักบินอีก 2 คน ลูกเรือ 13 คน และผู้โดยสารอีก 10 คน ยังอยู่บนเครื่องบิน แต่ไม่มีรายงานว่าได้รับบาดเจ็บ แต่หน่วยให้บริการภาคพื้นดินได้รับความเสียหายอย่างหนัก 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เกิดเหตุเครื่องยนต์เครื่องบินโบอิง 747-400ขัดข้อง และเสียหายภายในตัวเครื่อง หลังจากที่นำเครื่องขึ้นจากลอสแอนเจลิสเพื่อจะมุ่งหน้าไปฮีทโธรว์ โดยมีลูกเรือทั้งหมด 16 คน และผู้โดยสาร 351 คน นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่เสีย แต่ก็ยังไต่ระดับและตรวจสอบสมรรถภาพก่อนที่จะตัดสินใจบินต่อไป ตามมาตรการการบินของบริติช แอร์เวย์ ที่ใช้กับเครื่องบินแบบ 4 เครื่องยนต์ แต่เนื่องจากไม่สามารถทำความเร็วได้เท่ากับการใช้เครื่องยนต์ทั้ง 4 ตัว จึงได้เปลี่ยนเส้นทางการบินไปลงที่แมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร แทน ทั้งนี้องค์กรการบินสหรัฐอเมริกา (FAA) ได้ออกมาตำหนิการตัดสินใจของนักบิน และระเบียบวิธีการบินของบริติช แอร์เวย์ ว่าไม่เหมาะสม จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 หน่วนงานสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศของสหราชอาณาจักร ได้เสนอแนะให้หน่วยการที่ควบคุมการบินทั้งของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรได้ตรวจสอบและปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติและแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการตัดสินใจ ซึ่งก็ไม่มีหน่วยงานใดรับไปพิจารณา แต่องค์กรการบินสหรัฐอเมริกาก็ได้ออกมายอมรับการตัดสินใจของกรมการขนส่งทางอากาศของสหราชอาณาจักรในภายหลังว่าเหมาะสมแล้ว 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เครื่องบินลำเดิม G-BNLG ได้เกิดเหตุและต้องดับเครื่องยนต์อีกครั้ง ในเที่ยวบินจากสิงคโปร์ไปลอนดอน และนักบินก็ยังคงตัดสินใจบินต่อไปเช่นเดิม และครั้งนี้ก็ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆเกิดขึ้น 10 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ได้มีการยกเลิกเที่ยวบินหลายเที่ยวบินที่จะออกจากท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ เนื่องจากข่าวการลอบวางระเบิดเพื่อจะทำลายเครื่องบินที่จะบินไปยังสหรัฐอเมริกา บริติช แอร์เวย์ ได้ออกแถลงข่าวในภายหลังว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความมสูญเสียเป็นมูลค่าถึง 40 ล้านปอนด์ และทำให้ 1,280 เที่ยวบินถูกยกเลิกในช่วงวันที่ 10 ถึง 17 สิงหาคม 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 บริติช แอร์เวย์ ได้ประกาศพักการบินของเครื่องบินโบอิง 767 3 ลำ เพื่อตรวจหาหลักฐานและกัมมันตภาพรังสี คดีการตายของอเล็กซานเดอร์ ลิทวิเนนโก เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านั้น มีเครื่องบิน 2 ลำ ที่ตรวจสอบที่ฮีทโธรว์ ส่วนอีกลำตรวจสอบที่ท่าอากาศยานนานาชาติโดโมเดโดโวของมอสโก และมีข่าวปรากฏภายหลังว่าเครื่องบินที่จอดอยู่ที่มอสโก บินเครื่องเปล่ากลับมายังฮีโธรว์สำหรับการตรวจหลักฐาน ผลตรวจขั้นต้นไม่พบร่องรอยและกัมมันตภาพรังสีที่สำคัญบนเครื่องบิน 2 ใน 3 ลำ",
"บริติช แอร์เวย์ เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรสายการบิน วันเวิลด์",
"การบินเริ่มขึ้นในดูไบในปี ค.ศ. 1937 โดยครั้งแรกคือเมื่อครั้งที่เรือเหาะอิมพีเรียลแอร์เวย์ได้ให้บริการรายสัปดาห์ระหว่างสหราชอาณาจักรและปากีสถาน ซึ่งได้แวะลงจอดในอ่าวดูไบ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 ถึง 1950 เส้นทางเกือกม้าจากเดอร์บันไปยังซิดนีย์โดยผ่านทางอ่าวได้รับการก่อตั้งขึ้น ในช่วงท้ายของปี ค.ศ. 1944 ทางสายการบินบริติชโอเวอร์ซีแอร์เวย์คอร์ปอเรชัน (BOAC) ได้ออกปฏิบัติการเรือบิน 8 ลำต่อสัปดาห์ ส่วนในเดือนมกราคมปี ค.ศ. 1947 ได้มีการพบเรือบินชอร์ทเอมไพร์รุ่นซีคลาสล่าสุด ปฏิบัติการบินในเส้นทางเกือกม้าผ่านคาร์ทูม, ลักซอร์, ไคโร, คาลเลีย (ทะเลเดดซี), ฮับบานิยาห์ (ประเทศอิรัก), บาสรา, ประเทศบาห์เรน, ดูไบ, จีวานี ไปยังการาจี",
"สายการบินหลักของประเทศญี่ปุ่นมี 2 สายการบินคือ สายการบินออล นิปปอน แอร์เวย์ และ เจแปนแอร์ไลน์ และสายการบินอื่น ๆ เช่น สกายมาคร์แอร์ไลน์, สกายเน็ท เอเซีย แอร์เวย์, แอร์โด, สตาร์ไฟเยอร์, ฟูจิ ดรีม แอร์ไลน์, ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ และ เดลต้า แอร์ไลน์ โดยสายการบินส่วนใหญ่มักจะมาลงที่ท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะ",
"อนึ่ง เดินอากาศไทยมีรหัสลูกค้าของโบอิง บริษัทผลิตเครื่องบินในสหรัฐอเมริกาคือ P5 ส่วนรหัสเที่ยวบิน ซึ่งขึ้นทะเบียนกับ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Code) คือ TH หลังจากเดินอากาศไทยโอนกิจการไปรวมกับการบินไทย ต่อมากลายเป็นของสายการบิน บีเอคอนเน็กต์ (BA Connect) ในเครือบริติชแอร์เวย์ ของสหราชอาณาจักร แต่เมื่อปี พ.ศ. 2550 บริติชแอร์เวย์ขายกิจการบีเอคอนเน็กต์ ให้กับสายการบินฟลายบี (Flybe) ปัจจุบันรหัสเที่ยวบิน TH ตกเป็นของสายการบินรายา (Raya Airways) ของมาเลเซีย",
"ในปี พ.ศ. 2495 BOAC ให้บริการด้วยเครื่อง De Havilland Comet ไปยังโจฮานเนสเบิร์ก ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้ และมีบริการจัดเที่ยวบินพิเศษทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการบิน ในปีพ.ศ. 2513 BEA จึงต้องสู้ด้วยการตั้ง BEA Airtours จนกระทั่งปีพ.ศ. 2515 BOAC และ BEA ก็ควบรวมการบริหารโดยตั้งกรรมการบริติช แอร์เวย์ (British Airways Board) เข้ามาดูแลแต่ยังแยกกันดำเนินกิจการ ก่อนที่จะยุบรวมเข้าเป็นสายการบินเดียวกันคือ บริติช แอร์เวย์ ในปีพ.ศ. 2517 ภายใต้การดูแลของเดวิด นิโคลสัน ประธานกรรมการในขณะนั้น",
"บริติช แอร์เวย์ เริ่มให้บริการเครื่องบินความเร็วเหนือเสียงครั้งแรกของโลก คองคอร์ด ไปพร้อมๆกับสายการบินแอร์ฟรานซ์ ในปีพ.ศ. 2519",
"หลังจากอุบัติเหตุของเครื่องบินคอนคอร์ดของแอร์ฟรานซ์ และวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานพุ่งสูงขึ้น ยิ่งทำให้อนาคตของคองคอร์ดริบหรี่ลงไปอีก จึงได้มีแถลงการณ์ (ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2546) ว่าหลังจาก 24 ตุลาคม พ.ศ. 2546 จะเริ่มกระบวนการลดเที่ยวบินคองคอร์ดลง เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง เที่ยวบินคองคอร์ดสุดท้ายของบริติช แอร์เวย์ ออกจากฮีทโธรว์ไปบาร์บาดอส ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2546 บริติช แอร์เวย์ ยังเป็นเจ้าของเครื่องคองคอร์ดอยู่ทั้งหมด 8 ลำ โดยทำสัญญาเช้ายืมระยะยาวกับพิพธภัณฑ์ต่างๆในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และบาร์เบดอส",
"บริติช แอร์เวย์ ได้รับใบอนุญาตจาก กรมขนส่งทางอากาศของสหราชอาณาจักร ประเภท เอ อนุญาตให้ดำเนินกิจการขนส่งผู้โดยสาร สินค้า และไปรษณีย์ บนเครื่องบินที่มีขนาด 20ที่นั่ง หรือมากกว่านั้น บริติช แอร์เวย์ และ แอร์ฟรานซ์ เป็นเพียงสองสายการบินเท่านั้นที่ให้บริการเครื่องบินคอนคอร์ด และบริติช แอร์เวย์ ยังช่วยดำเนินการเครื่องคอนคอร์ดให้กับสายการบินบรานิฟ อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์เวย์ และสิงคโปร์แอร์ไลน์ ในช่วงระยะสั้นหนึ่งด้วย เป็นสายการบินที่ให้บริการเครื่องบินโบอิง 747-400 ขนาดใหญ่ที่สุดจำนวน 57 ลำ ถึงแม้ว่าเจแปนแอร์ไลน์จะเป็นผู้ให้บริการฝูงบินโบอิง รุ่น 747 ขนาดใหญ่ที่สุด แต่มีเครื่องรุ่น400เพียง 45 ลำ โดยทั่วไปแล้วบริติช แอร์เวย์ จะใช้รหัสเรียกชื่อสายการบินว่า \"Speedbird\" แต่เที่ยวบินภายในประเทศที่ระหว่างฮีทโธรว์และแกตวิค จะใช้รหัสเรียกชื่อว่า \"Shuttle\" และเฉพาะเที่ยวบินเหมาลำในช่วงคริสต์มาส จะใช้รหัสเรียกชื่อว่า \"Santa\" บริติช แอร์เวย์ ได้รับรางวัล สายการบินแห่งปี 2549 จาก World Airline Awards จัดโดย Skytrax บริติช แอร์เวย์ เป็นสายการบินหลักของการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน",
"บริติช แอร์เวย์ (อังกฤษ: British Airways) เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร และเป็นลำดับที่สามของทวีปยุโรป (ตามหลัง แอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม และ ลุฟต์ฮันซา) และมีเที่ยวบินจากยุโรปข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าสายการบินอื่นๆ"
] |
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร สิ้นพระชนม์เมื่อใด ? | [
"พระเจ้าจอร์จที่ 6 ([George VI of the United Kingdom]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help); 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 — 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรในราชวงศ์วินด์เซอร์ และเครือจักรภพอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1936 ถึงปี ค.ศ. 1952 เป็นจักรพรรดิอินเดียพระองค์สุดท้าย (จนกระทั่งปี ค.ศ. 1947) และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเสรีรัฐไอริชในทางนิตินัยพระองค์สุดท้าย (จนกระทั่งปี ค.ศ. 1949)"
] | [
"Family of Main Page 32.อเล็คซานเดอร์ สวอน16. เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา8. สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร17. สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร4. สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร18. สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก9. เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก19. เจ้าหญิงหลุยส์แห่งเฮสส์-คาสเซิล2. สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร20. ดยุกอเล็กซานเดอร์แห่งเวือร์ทเทมแบร์ก10. ดยุกฟรันซิสแห่งเทก21. เคาท์เตสโคลไดน์เรเดย์ ฟอน คิส-เรด5. เจ้าหญิงแมรีแห่งเทก22. เจ้าชายอดอลฟัส ดยุคแห่งแคมบริดจ์11. เจ้าหญิงแมรี อเดเลดแห่งแคมบริดจ์23. เจ้าหญิงออกัสตา แห่งเฮสส์-คาสเซิล1. สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 224. โธมัส ลีออน-โบวส์ ลอร์ดกลาสมิส12. โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 13 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น25. ชาร์ลอตต์ กริมสตีด6. โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น26. ออสวอลด์ สมิธ13. ฟรานซิส ดอรา สมิธ27. เฮนเรีตตา มิลเดรด ฮอดจ์สัน3. สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี28. ลอร์ดชาลส์ เบนทิงค์14. ชาลส์ วิลเลียม เฟรเดอริก คาเวนดิช-เบนทิงค์29. เลดีเบนทิงค์7. เซซิเลีย นีนา คาเวนดิช-เบนทิงค์30. เอ็ดวิน เบอร์นาบี15. แคโรไลน์ ลุยซา เบอร์นาบี31. แอนน์ แคโรไลน์ ซอลส์บรี",
"เจ้าชายอดอลฟัส ดยุคแห่งแคมบริดจ์ มีพระนามเต็มว่า อดอลฟัส เฟรเดอริค ประสูติเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2317 ณ พระราชวังบัคกิงแฮม พระราชโอรสพระองค์ที่เจ็ดในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร และสมเด็จพระราชินีชาร์ลอต เป็นพระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร และสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร",
"คู่อภิเษกสมรสที่เป็นสตรีทุกพระองค์มีสิทธิ์ที่จะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชินี แต่คู่อภิเษกสมรสที่เป็นบุรุษมีอยู่ 2 พระองค์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2251 ไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์พระราชสวามี คือคู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรบางพระองค์มิได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชินีเนื่องจากสิ้นพระชนม์หรือการหย่าร้างก่อนพระสวามีครองราชย์ การอภิเษกสมรสเป็นโมฆะ หรืออภิเษกสมรสหลังพระสวามีสละราชสมบัติ ตามกรณีดังต่อไปนี้:นอกจากนี้ยังปรากฏกรณีพิเศษ เช่น แคโรไลน์แห่งเบราน์ชไวก์ ที่ทรงแยกประทับจากพระสวามี พระเจ้าจอร์จที่ 4 เนื่องจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ แม้ว่าทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ทรงไม่มีพระสถานะใด ๆ ในราชสำนัก ทรงถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมพระราชพิธีราชาภิเษกของพระสวามีและรับการสวมมงกุฎเป็นสมเด็จพระราชินี ทำให้สาธารณชนออกมาประท้วง",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เสด็จสวรรคตเมื่อ 22 มกราคม ค.ศ. 1901 และเจ้าชายแห่งเวลส์ได้สืบราชบัลลังก์ต่อโดยมีพระนามว่า พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทำให้พระองค์เลื่อนขึ้นมาอยู่ในลำดับที่สามของการสืบราชสันตติวงศ์ในขณะนั้น",
"เจ้าหญิงวิกตอเรียทรงศึกษาในมาห์โลเฮาส์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ประสูติ โดยพระองค์ทรงมีความสืนทสนมกับ พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร พระเชษฐาเป็นอย่างมาก \nโดยพระองค์ต่างเป็นที่คาดการว่าทรงเป็นพระคู่หมั้นของ พระเจ้าคาลอสที่ 1 แห่งโปรตุเกส แต่ก็มิได้เสกสมรสกัน โดยพระนางไม่ทรงเสกสมรสกับผู้ใดตลอดพระชนม์ชีพ โดย อเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก พระราชมารดาทรงมีพระราชปรารภถึงพระราชธิดาว่า\nเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรประสบปัญหาเรื่องพระพลานามัยเป็นอย่างมากทั้งมีปัญหาเรื่อง ระบบประสาท ไมเกรน ซึมเศร้า และอีกหลายโรค โดยพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2478 พระชนมายุ 67 พรรษา โดยหลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2479 พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร พระเชษฐาก็ได้เสด็จสวรรคตลงด้วยพระชนมายุ 70 พรรษา",
"หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1936 พระเชษฐาก็ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 แต่ไม่ทันถึงปีพระเจ้าเอดเวิร์ดก็มีพระประสงค์ที่จะแต่งงานกับนางวอลลิส ซิมพ์สัน สตรีหม้ายชาวอเมริกัน แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางศาสนาสแตนลีย์ บอลด์วิน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรถวายคำแนะนำว่าการที่จะอภิเษกสมรสกับวอลลิส ซิมป์สันแล้วยังเป็นพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 จึงทรงสละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สัน เจ้าชายอัลเบิร์ตซึ่งเป็นดยุกแห่งยอร์กในขณะนั้นจึงทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่สามในราชวงศ์วินด์เซอร์ทรงพระนามสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ต่อจากพระเชษฐาซึ่งนักวิชาการได้สันนิษฐานว่าการใช้พระนามจอร์จนั้นเป็นกุศโลบายเพื่อให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนักในการเสวยราชสมบัติของพระองค์",
"เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ ออกัสตา แห่งเวลส์ (; 7 มกราคม ค.ศ. 1796 – 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1817) ทรงเป็นพระราชธิดาและบุตรพระองค์เดียวในเจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ (ต่อมาคือ พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร) กับเจ้าหญิงคาโรลีนแห่งเบราน์ชไวก์ หากว่าเจ้าหญิงทรงมีพระชนม์ชีพยืนยาวกว่าพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พระอัยกาและเจ้าชายจอร์จ พระราชบิดา พระนางอาจได้เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ แต่พระนางสิ้นพระชนม์เสียก่อนด้วยพระชนมายุ 21 พรรษา",
"พระเจ้าจอร์จที่ 6 ประสูติที่นิวยอร์กคอทเทจ ในตำหนักซานดริงแฮมในนอร์ฟลอค์ ในรัชสมัยของพระปัยยิกาคือสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชบิดาของพระองค์คือเจ้าชายจอร์จ ดยุกแห่งยอร์ก (ต่อมาคือพระเจ้าจอร์จที่ 5) เป็นพระโอรสองค์ที่สองของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ (ต่อมาคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร และ สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระมารดาของพระองค์คือดัสเชสแห่งยอร์ก (ต่อมาคือสมเด็จพระราชินีแมรี พระธิดาพระองค์ใหญ่และพระองค์เดียวของดยุกและดัสเชสแห่งเท็ค",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียประสูติในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1819 เป็นพระราชธิดาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์และสแตรธเอิร์น พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรกับพระนางชาร์ลอตต์แห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์ พระราชชนนีคือเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งซัคเซิน-โคบวร์ค-ซาลเฟลด์ พระปิตุลา 2 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ได้แก่ พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร และ พระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร",
"ลอร์ดเฟรเดอริก วินด์เซอร์ ()\nลอร์ดเฟรเดอริก วินด์เซอร์ เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2522 ณ โรงพยาบาลเซนต์แมรี กรุงลอนดอน เป็นพระโอรสคนใหญ่ใน เจ้าชายไมเคิลแห่งเคนต์ และ เจ้าหญิงไมเคิลแห่งเคนต์ เป็นพระนัดดาใน เจ้าชายจอร์จ ดยุกแห่งเคนต์ และพระราชปนัดดาใน สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร โดยปัจจุบันอยู่ในลำดับที่ 48 ในการสืบราชบัลลังก์ โดยเขาเป็นประธานในมูลนิธิ โซดิเออรฺ ออร์ และเป็นประธานโครงการการฝึกอบรมพัฒนาอาชีพแห่งสหราชอาณาจักร \nลอร์ดเฟรเดอริก พบกัน ชายาในอนาคตคือ โซฟี วิลเคลแมน ในวันวาเลนไทน์เมื่อปี พ.ศ. 2552 ต่อมา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมรสกันในวันที่ 12 กันยายน ปีเดียวกัน โดยทั้งคู่มีบุตรดังนี้\nในปี พ.ศ. 2559 ลอร์ดเฟรเดอริกได้รับแต่งตั้งจาก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้ากองกำลังทหารแห่งสหราชอาณาจักร",
"เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและพระมหากษัตริย์แห่งเจ็ดรัฐเครือจักรภพ เจ็ดรัฐ ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ ปากีสถาน และ ซีลอน พิธีราชาภิเษกของพระองค์ในปีถัดมาเป็นพิธีราชาภิเษกครั้งแรกที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ระหว่าง พ.ศ. 2499 ถึง 2535 จำนวนราชอาณาจักรของพระองค์แปรผันเมื่อดินแดนต่าง ๆ ได้รับเอกราชและบ้างกลายเป็นสาธารณรัฐ ปัจจุบัน นอกจากสี่ประเทศแรกที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ยังเป็นพระราชินีนาถแห่งจาเมกา บาร์เบโดส หมู่เกาะบาฮามาส เกรนาดา ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ตูวาลู เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ แอนติกาและบาร์บูดา เบลิซ และเซนต์คิตส์และเนวิส พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระชนมายุมากที่สุดของบริเตน เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐบริเตนที่ทรงราชย์นานที่สุด แซงหน้ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกของดยุกและดัชเชสแห่งยอร์ก (ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ) พระราชบิดาเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชบิดาของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระราชโอรสองค์โตทรงสละราชสมบัติ พระองค์จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งสหราชอาณาจักร",
"เจ้าชายริชาร์ด ดยุกแห่งกลอสเตอร์ (ริชาร์ด อเล็กซานเดอร์ วอลเตอร์ จอร์จ; ประสูติ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2487) ทรงเป็นสมาชิกองค์หนึ่งในราชวงศ์อังกฤษ โดยเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดยุกแห่งกลอสเตอร์ตั้งแต่พระบิดาสิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2517 และในปัจจุบันทรงอยู่ในอันดับที่สิบแปดของลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ\nเจ้าชายริชาร์ด ประสูติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ณ นอร์ทแฮมพ์ตัน เป็นพระโอรสพระองค์เล็กใน เจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งกลอสเตอร์ กับ เจ้าหญิงอลิซ ดัชเชสแห่งกลอสเตอร์ ทรงเป็นพระราชนัดดาใน สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร ",
"สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร () (12 สิงหาคม ค.ศ. 1762 – 26 มิถุนายน ค.ศ. 1830) เป็นพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์ฮาโนเวอร์ของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ และพระเจ้าแผ่นดินแห่งฮาโนเวอร์ แห่งราชอาณาจักรฮาโนเวอร์ ระหว่างวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1820 จนสวรรคตเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1830",
"สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 ณ ตำหนักซานดริงแฮม นอร์โฟลกในอังกฤษ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี และครองราชย์ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 ที่พระราชวังวินด์เซอร์ บาร์คเชอร์",
"สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 มิได้เป็นที่หวังว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินและทรงใช้เวลาสมัยแรกอยู่เบื้องหลังสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 พระเชษฐา ทรงรับราชการในราชนาวีระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังสงครามแล้วก็ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจต่าง ๆ ในสังคม ต่อมาเสกสมรสกับเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออนในปี ค.ศ. 1923 และมีพระราชธิดาสองพระองค์คือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน",
"เจ้าหญิงหลุยส์แห่งบริเตนใหญ่ สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์(7 ธันวาคม พ.ศ. 2267 - 19 ธันวาคม พ.ศ. 2294) พระนางเป็นพระราชธิดาองค์สุดท้องในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่กับคาร์โรไลน์แห่งอันสบาค สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร และทรงดำรงพระอิศริยยศสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ โดยทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก พระนางเป็นพระมเหสีพระองค์แรกในพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 จนกระทั่งพระนางสิ้นพระชนม์ พระนางทรงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเดนมาร์ก เนื่องจากทรงเป็นผู้อุปถัมภ์วงการศิลปะ การดนตรี การละครเดนมาร์กที่สำคัญพระองค์หนึ่ง และทรงพยายามนำพาเดนมาร์กสู่ความทันสมัย\nเจ้าหญิงหลุยส์แห่งบริเตนใหญ่ทรงประสูติในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2267 ณ พระตำหนักไลเชสเตอร์,ลอนดอน,ประเทศอังกฤษ เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 5 และทรงเป็นบุตรองค์สุดท้องใน เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่กับโซเฟีย โดโรเธียแห่งเซลล์ และพระมเหสีของพระองค์คือ มาร์เกรฟวีนคาร์โรไลน์แห่งอันสบาค ซึ่งเป็นพระราชธิดาใน จอร์จ เฟรเดอริก มาร์เกรฟแห่งบรานเดนบวร์ก-อันสบาคกับเจ้าหญิงเอเลโอนอร์ เอ็ดมูเทแห่งแซ็กซ์-ไอเซนาช พระชายาองค์ที่สอง ซึ่งทำให้พระนางมีศักดิ์เป็นพระนัดดาในอีเล็กเตอร์แห่งฮาโนเวอร์ เจ้าหญิงทรงเข้ารับพิธีศีลจุ่มในวันที่ 22 ธันวาคม ปีเดียวกัน ",
"ช่วงปี พ.ศ 2494 พระพลานามัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสื่อมถอยลงและบ่อยครั้งที่เจ้าหญิงต้องเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในครั้งที่เสด็จเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ขณะนั้นทรงพบปะกับประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ มาร์ติน คาร์เตริส ก็ได้จัดทำร่างพระราชดำรัสในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเผื่อกรณีที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตขณะเจ้าหญิงทรงอยู่ต่างประเทศ[52] ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2495 เตรียมเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์โดยเสด็จเยือนเคนยาก่อน ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 เมื่อเพิ่งเสด็จถึงบ้านพักที่ประทับซากานาลอดจ์ในเคนยา หลังจากที่คืนก่อนหน้าเสด็จไปประทับที่โรงแรมทรีท็อปส์ ข่าวการสวรรคตของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็มาถึงและดยุกแห่งเอดินบะระก็ได้ทรงแจ้งข่าวนี้แก่พระราชินีพระองค์ใหม่[53] มาร์ติน คาร์เตริส ได้ทูลถามถึงพระปรมาภิไธยที่จะทรงใช้ พระองค์ทรงเลือก \"เอลิซาเบธ\" เช่นเดิมแน่นอน[54] พระองค์ทรงประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพพระองค์ใหม่หลังจากที่ทรงเร่งรีบเสด็จกลับสหราชอาณาจักร[55] จากนั้นจึงเสด็จย้ายเข้าไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมพร้อมกับดยุกแห่งเอดินบะระ[56]",
"สมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวีย หรือทรงเป็นที่รู้จักในพระนาม พระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 คาราจอร์เจวิช (ภาษาเซอร์เบีย, ภาษาโครแอต, ภาษาบอสเนีย, ภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชีย: Petar II Karađorđević อักษรซีริลลิก: Петар II Карађорђевић) (6 กันยายน พ.ศ. 2466 - 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513) เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่สามและองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ก่อนหน้านี้เรียกว่าราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีนในช่วงก่อน พ.ศ. 2472 พระองค์เป็นพระโอรสพระองค์โตใน สมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย กับ เจ้าหญิงมาเรียแห่งโรมาเนีย พระบิดามารดาอุปถัมภ์ของพระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร กับ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออนแห่งสหราชอาณาจักร",
"พระราชโอรสที่สำคัญในพระเจ้าจอร์จที่ 3 ได้แก่ พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร พระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร และพระเจ้าแอนสท์ เอากุสท์ที่ 1 แห่งฮันโนเฟอร์ ส่วนพระราชนัดดาที่สำคัญ ได้แก่ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร และพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งฮันโนเฟอร์ อีกทั้งยังมีพระราชปนัดดาที่สำคัญคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าชายแอนสท์ เอากุสท์ มกุฎราชกุมารแห่งฮันโนเฟอร์",
"จอร์จ แลสเซิลส์ เอิร์ลที่ 7 แห่งฮาร์วุด ()\nจอร์จ แลสเซิลส์ เอิร์ลที่ 7 แห่งฮาร์วุด เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2466 ณ เชอร์เตนเฟรด เฮาส์ เป็นพระโอรสคนใหญ่ใน เจ้าหญิงแมรี พระราชกุมารีและเคาน์เตสแห่งแฮร์วูด และ เฮนรี แลสเซิลส์ เอิร์ลที่ 6 แห่งฮาร์วุด เป็นพระราชนัดดาคนแรกใน พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาได้เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ พระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ผู้เป็นพระมาตุลา โดยเมื่อเจริญวัย เขาได้กลายเป็น หทารบังคับบัญชาแห่งอังกฤษใน สงครามโลกครั้งที่สอง ",
"เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชธิดาองค์แรกในเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (ภายหลังขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6) กับเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งยอร์ก พระราชบิดาของพระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาคนสุดท้ายของขุนนางชาวสกอตแลนด์นามว่า โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น เจ้าหญิงเอลิซาเบธประสูติโดยการคลอดแบบผ่าท้องเมื่อเวลา 2.40 น. (ตามเวลากรีนิช) ของวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2469 ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นของพระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา (ตา) ในกรุงลอนดอน[1] ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมานิกายแองกลิคันจากคอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปแห่งยอร์ก ณ โบสถ์ส่วนพระองค์ภายในพระราชวังบักกิงแฮม[2][note 2] และได้รับพระนาม เอลิซาเบธ ตามพระราชมารดา, อะเล็กซานดรา ตามสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระปัยยิกา (ย่าทวด) ซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนการประสูติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ 6 เดือน และ แมรี ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา (ย่า)[3] เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชนัดดาหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี พ.ศ. 2472 ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงมีกำลังพระทัยและพระอาการดีขึ้น[4]",
"สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1762 ที่พระราชวังวินด์เซอร์ บาร์คเชอร์ สหราชอาณาจักร เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร และ สมเด็จพระราชินีชาร์ลอตต์แห่งสหราชอาณาจักร ทรงเสกสมรสกับเจ้าหญิงคาโรไลน์แห่งบรันสวิค ก่อนขึ้นครองราชย์สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อพระราชบิดา มีพระอาการหนักจากโรคที่ขณะนั้นไม่ทราบสาเหตุที่พระอาการคล้ายกับผู้เป็นโรคจิต แต่ในปัจจุบันเชื่อกันว่าทรงเป็นโรคพอร์ฟิเรีย (porphyria) ",
"พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร () เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรในราชวงศ์วินด์เซอร์ซึ่งทรงสถาปนาขึ้นจากราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทาสายอังกฤษ ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพแห่งอังกฤษ พระองค์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอินเดียและปฐมกษัตริย์เสรีรัฐไอร์แลนด์อีกด้วย พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติตั้งแต่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 ผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457 ถึง พ.ศ. 2461) จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2479",
"เจ้าชายจอห์นแห่งสหราชอาณาจักร () หรือพระนามเต็ม จอห์น ชาลส์ ฟรานซิส (; \"ประสูติ\": 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2448; \"สิ้นพระชนม์\": 18 มกราคม พ.ศ. 2462) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 5 ในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรกับสมเด็จพระราชินีแมรีแห่งเทก เจ้าชายจอห์นประสูติในขณะที่พระราชบิดามีพระยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ และรัชทายาทในราชบัลลังก์แห่งสหราชอาณาจักร ในปีพ.ศ. 2453 สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักรสวรรคต เจ้าชายจอร์จได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เจ้าชายจอห์นจึงอยู่ในลำดับที่ 5 ของลำดับการสืบราชสันตติวงศ์อังกฤษ",
"เดวิด อัลเบิร์ต ชาร์ลส์ อาร์มสตรอง-โจนส์, เอิร์ลที่ 2 แห่งสโนว์ดอน () พระโอรสในเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน กับอันโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์, เอิร์ลที่ 1 แห่งสโนว์ดอน เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 เขาเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ทั้งยังเป็นพระภาคิไนยใน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เขาอยู่ในลำดับโปเจียมพระราชวงศ์ฝ่ายหน้าเป็นคนที่ 10 เขาคือผู้สืบทอดตำแหน่งเอิร์ลแห่งสโนว์ดอน<\nเดวิด อาร์มสตรอง-โจนส์, ไวเคานต์ลินลีย์ เป็นพระโอรสคนใหญ่ใน เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน และ อันโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 ณ โรงพยาบาลพอร์ตแลนด์ เดวิด เป็นพระภาคิไนยในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และเป็นพระราชนัดดาใน สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร และถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 20 ในการสืบราชสันตติวงศ์แห่งราชบัลลังก์สหราชอาณาจักร",
"วันประสูติของพระองค์คือวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2438 ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของพระปัยกา เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี ครบ 34 ปี ซึ่งเป็นที่มาของพระนามของพระองค์ ซึ่งคือ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งยอร์ก โดยพระองค์มีชื่อเล่นที่เรียกกันในพระราชวงศ์ว่า \"เบอร์ตี้\" (Bertie) ในขณะนั้นทรงอยู่ในลำดับที่ 4 ของการสืบราชสันตติวงศ์ โดยต่อจากพระอัยกา พระบิดา และพระเชษฐา",
"ตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คโดยทั่วไปจะแต่งตั้งให้กับพระราชโอรสพระองค์ที่สองของพระประมุข การแต่งตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1927 และรวมเข้ากับราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2026 ดยุกทุกพระองค์หลังจากนั้นมีทั้งสิ้นพระชนม์โดยปราศจากทายาทหรือเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ ฉะนั้นตำแหน่งจึงมิได้ออกไปนอกราชวงศ์ รูปแบบการพระราชทานตำแหน่งดยุกให้พระราชโอรสพระองค์ที่สองในพระประมุขเป็นที่ไม่พอพระทัยแก่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 ซึ่งได้พระราชทานตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีให้พระอนุชา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 พระราชทานตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีนี้อีกกับพระราชโอรสพระองค์ที่สองซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนพระองค์ ตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีได้มีบทบาทอีกเป็นครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2327 เมื่อสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 พระราชทานตำแหน่งนี้ให้แก่พระราชโอรสพระองค์ที่สอง นับแต่นั้นมาตำแหน่งดยุกก็ได้มีการตั้งชื่อเป็น \"ยอร์ค\" มากกว่า \"ยอร์คและออลบานี\" ดยุกแห่งยอร์คพระองค์ปัจจุบันคือ เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2",
"ตามกฎหมายของสหราชอาณาจักร จุลมงกุฎเจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักร ถือเป็นสิ่งต้องห้ามมิให้นำออกจากสหราชอาณาจักรอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าในกรณีใดใดทั้งสิ้น แม้แต่การใช้ที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายนอกสหราชอาณาจักรก็ยังห้าม เช่น ในกรณีของมงกุฎใหม่ คือ มงกุฎแห่งอินเดีย ที่ต้องสร้างขึ้นสำหรับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เพื่อทรงในฐานะจักรพรรดิแห่งอินเดีย ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่เดลี (Delhi Durbar) เพราะมงกุฎอิมพีเรียลสเตทที่ใช้สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไม่สามารถนำออกนอกประเทศได้",
"เจ้าชายจอร์จ ดยุกแห่งเคนต์ ประสูติเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2445 ณ ยอร์ค คอทเทจ แซนดริงแฮม พระชนกคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร พระราชโอรสพระองค์ที่สองใน สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร และ สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระชนนีคือสมเด็จพระราชินีแมรี แห่งเท็คพระราชธิดาในเจ้าชายฟรานซิส ดยุกแห่งเท็ค และเจ้าหญิงแมรี อเดเลดแห่งแคมบริดจ์"
] |
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
"ทักษิณ ชินวัตร (เกิด 26 กรกฎาคม 2492) เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2549 เป็นพี่ชายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28 และ เป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะแห่งมหาวิทยาลัยทากุโชกุ เคยเป็นนักธุรกิจโทรคมนาคมและการสื่อสาร ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคมและการสื่อสารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[1] เจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน (ชั้นยศสูงสุดที่ นายกองใหญ่) อดีตข้าราชการตำรวจ (ชั้นยศสูงสุดที่ พันตำรวจโท) อดีตเจ้าของและประธานสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี อดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ปัจจุบันถือสัญชาติมอนเตเนโกร[2]"
] | [
"นายศักดิ์ เตชาชาญ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2544 แทนที่ นายโกเมน ภัทรภิรมย์ ที่ลาออก ทำให้นายศักดิ์ได้เข้าร่วมตัดสิน \"คดีซุกหุ้น\" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 โดยอยู่ในฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นความผิดและให้เหตุผลเหมือนกับตุลาการอีก 3 คนคือ นายกระมล ทองธรรมชาติ นายจุมพล ณ สงขลา และนายผัน จันทรปาน ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะแสดงบัญชีทรัพย์สินได้พ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เพียงแต่ยังรักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ ",
"เขาเป็นหนึ่งในทหารผู้ก่อการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 โดยขณะนั้น พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ในยศ พลโท (พล.ท.) และเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 ถูกมองว่าแม้จะเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10) เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวก แต่กลับไม่เข้าร่วมหรือเห็นดีเห็นชอบด้วยกับการกระทำของกลุ่ม จึงถูกมองว่าเป็นฝ่ายต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย จนถูกเรียกว่าเป็น ตท.10/1",
"คำสั่งสอนของของพระอิสระมุนี เคยเป็นที่เลื่อมใสของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา เป็นอย่างมาก พ.ต.ท.ทักษิณมักนำคำสอนของพระอิสระมุนีมากล่าวอ้างอิงกับสื่อมวลชน เช่นเดียวกับคำสอนของพุทธทาสภิกขุ และเคยเดินทางมาสนทนาธรรมกับพระอิสระมุนี นอกจากนี้เมื่อ พ.ศ. 2543 ยังให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย เข้าอุปสมบทและศึกษาพระธรรมกับพระอิสระมุนีอยู่ระยะหนึ่ง",
"จากนั้นเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่วงการการเมืองครั้งแรก ก็ด้วยการสนับสนุนของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง. โดยในปี 2537 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสังกัดพรรคพลังธรรมของพลตรี จำลอง อีกด้วย. พล.ต.จำลอง มีภาพของการเป็นผู้ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมา. จากนั้น พล.ต.จำลอง ก็ลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพ ฯ อีกสมัยในปี พ.ศ. 2539 แต่ทว่าคราวนี้ พล.ต.จำลอง ไม่อาจชนะการเลือกตั้งได้เหมือนเมื่ออดีต เมื่อเป็นฝ่ายพ่ายการเลือกตั้งไปอย่างขาดลอย โดยแพ้ให้แก่ นายพิจิตต รัตตกุล อดีตผู้สมัครด้วยกัน. จากนั้นมาบทบาททางการเมืองของ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองก็ค่อย ๆ ลดลง โดยเจ้าตัวได้ก่อตั้งโรงเรียนผู้นำ อบรมบุคลากรที่จะมีบทบาทเป็นผู้นำของสังคมต่อไปในอนาคตขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อย่างสมถะอยู่ที่นั่น[3] แต่เมื่อมีข่าวคราวเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พล.ต.จำลอง ก็ยังคงเป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่ เช่น คดีซุกหุ้น พล.ต.จำลอง ก็เป็นหนึ่งบุคคลที่เข้าร่วมฟังการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในห้องพิพากษาด้วย.",
"ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายโภคิน พลกุล ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 377 คะแนน ไม่เห็นชอบ 1 คะแนน (คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์) และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 116 คะแนน จึงถือได้ว่าพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี",
"บุคคลในทางการเมืองระดับประเทศของไทยที่ถูกกล่าวหา และถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงค์ตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้มีความผิดและรับโทษจำคุกคนแรกคือ นายรักเกียรติ สุขธนะ และยังมีนักการเมืองในระดับประเทศอีกหลายคนที่ถูกกล่าวหาและถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ นายวัฒนา อัศวเหม ต่างก็อยู่ระหว่างการหลบหนีโทษจำคุก",
"พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2493 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และปริญญาโท พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สมรสกับ ดร.สิริกร มณีรินทร์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร",
"ในทางการเมืองในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เสธ.แดง ก็ได้แสดงบทบาทของตนเองออกมา ในตอนแรกได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปัญหาการฆ่าตัดตอนในสงครามกวาดล้างยาเสพติด ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และการปล้นปืนขึ้น ซึ่งเสธ.แดงเห็นว่าไม่ถูกต้อง รวมทั้งในประเด็นที่ เสธ. แดงได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์[6]",
"พลเอกพิชาญเมธ สำเร็จหลักสูตรเตรียมทหาร รุ่นที่ 5 เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด พี่ชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นเพื่อนกับ นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย",
"ยกเลิกคำสั่งคณะปฏิรูปฯเรื่องห้ามการชุมนุมประท้วง แต่ยังไม่ยกเลิกกฎอัยการศึก [15] การสั่งห้ามคนขับรถแท็กซี่ และมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพเข้าร่วมการประท้วงคณะเผด็จการ/รัฐบาลทหาร สมัชชาคนจนหลายพันคนถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้าร่วมการประท้วงในกรุงเทพฯโดยอ้างว่าพวกเขาไม่มีใบอนุญาตให้เดินทางตามกฎอัยการศึก (ซึ่งยังมีผลครอบคลุม 30 กว่าจังหวัดในเวลานั้น) [16] สิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลนีสารสนเทศและการสื่อสาร ภายใต้รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์ประธานองคมนตรีถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ดังนั้น การปิดเว็บไซต์ที่มีข้อความวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเหมาะสม[17] รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ผลักดันกฎหมายที่ระบุว่า ผู้ที่พยายามเข้าเว็บไซต์ใดๆที่รัฐบาลได้เซ็นเซอร์ไว้หนึ่งหมื่นกว่าเว็บ จะต้องรับโทษตามกฎหมาย และเอาผิดผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ไม่เปิดเผยไอพีแอดเดรสของผู้ใช้แก่รัฐบาล[18] การปิดวิทยุชุมชนที่ต่อสายตรงสัมภาษณ์อดีตนายกฯพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ.ต.ท.ให้สัมภาษณ์หลังเกิดรัฐประหารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 โดยได้โทรทัศน์เข้ามาที่สถานีวิทยุชุมชนคลื่น 87.75FM และคลื่น 92.75FM วันต่อมา รัฐบาลทหาร กรมประชาสัมพันธ์ และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในได้เข้ามาตรวจสอบวิทยุชุมชนแห่งนี้ ทำให้วิทยุชุมชนนี้งดออกอากาศ[19] การก่อตั้งเครือข่ายสนับสนุนรัฐบาลทหารจำนวน 700,000 คนเพื่อสกัดกั้นผู้ประท้วงรัฐบาลทหาร ผบ.กอ.รมน. กล่าวว่า \"เราต้องสกัดกั้นผู้ประท้วงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้ามีผู้ประท้วงน้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร\"[20] วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 รัฐบาลทหารสั่งเซ็นเซอร์การแพร่ภาพการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทาง CNN ในประเทศไทย[21]",
"ทว่า เมื่อรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชเข้ามาบริหารประเทศได้ระยะเวลาหนึ่ง กลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า รัฐบาลแทรกแซงสื่อมวลชน รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม เช่นการย้ายข้าราชการในกระทรวงยุติธรรม อาทิ การย้ายสุนัย มโนมัยอุดม[6] อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำลังดำเนินคดีต่อทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ให้พ้นตำแหน่งอย่างเร่งด่วน พร้อมให้ตำรวจออกหมายจับสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.)[7] ในข้อหาหมิ่นประมาททักษิณ ชินวัตร และย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง[8] ซึ่งมีความใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตร มารักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ[5] และรัฐบาลยังประกาศอย่างชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 237 และมาตรา 309 ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวม 164 คน ได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม[9] ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการหลบเลี่ยงการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรคและต้องการยุบคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เพื่อตัดตอนคดีความที่กำลังดำเนินต่อทักษิณ ชินวัตร ครอบครัวและพวกพ้อง ตลอดจน ทำให้กระบวนการตรวจสอบนักการเมืองอ่อนแอลงจนไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายการเมืองได้[10][11]",
"ต่อมานายชนาพัทธ์ เป็นผู้นำของขบวนการภาคประชาชนที่ใช้ชื่อว่า กลุ่มประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ที่มีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย และต่อต้านผู้ที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร",
"หลังจากที่ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2544 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ทักษิณ ชินวัตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งมีความผิดตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มาตรา 295[67] ซึ่งเป็นความผิดที่จะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี คดีนี้ถูกเรียกว่า คดีซุกหุ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและภรรยาถือหุ้นในบริษัทเอกชนตามที่กฎหมายกำหนด แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับปกปิดความเป็นเจ้าของหุ้นโดยการโอนหุ้นที่มีอยู่ไปให้คนรับใช้ คนรถ คนสวนถือแทน[68] ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าวว่า (1) รัฐธรรมนูญไม่มีนิยามคำว่า \"ทรัพย์สินของตน\", (2) คำอธิบายแบบบัญชีฯ ไม่ชัดเจน, (3) การไม่แสดงทรัพย์สินที่ใช้ชื่อบุคคลอื่นถือแทน ซึ่งเดิมไม่กำหนดให้แสดง ไม่ถือเป็นความผิด, (4) ไม่จงใจไม่แสดงรายการทรัพย์สินที่ใช้ชื่อบุคคลอื่น, (5) ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องยื่นบัญชีฯ ก่อนการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งเพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 และ (6) ในหนังสือลับ ลงวันที่ 14, 24 และ 30 พฤศจิกายน 2543 ถึงประธานอนุกรรมการตรวจสอบฯ ผู้ถูกร้อง (ทักษิณ ชินวัตร) ชี้แจงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเหตุผลที่มิได้แสดงไว้ในบัญชีฯ โดยให้ถือการแจ้งรายการทรัพย์สินเพิ่มเติมเป็นส่วนหนึ่งของบัญชีฯ ที่ยื่นทั้งสามครั้งด้วย ในขณะที่นายกล้าณรงค์ จันทิก เลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ-ปปช. ชี้แจงว่า (1) แม้รัฐธรรมนูญจะไม่นิยามคำว่า \"ทรัพย์สินของตน\" ไว้ แต่เป็นที่เข้าใจได้, (2) คำอธิบายแบบบัญชีฯ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงคงมีสาระสำคัญเหมือนเดิม แต่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย เพื่อทำให้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น, (3) ไม่ปรากฏว่ามีรัฐมนตรีหรือผู้ยื่นบัญชีฯรายใด ยกเหตุไม่แสดงรายการทรัพย์สิน เพราะใช้ชื่อบุคคลอื่นถือแทน โดยอ้างว่าไม่เข้าใจคำอธิบายบัญชีฯ และ (4) แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 แต่ผู้ถูกร้องมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีฯตามรัฐธรรมนูญนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้บังคับ คือ วันที่ 11 ตุลาคม 2540 แล้ว[69] ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยด้วยเสียง 8 ต่อ 7 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีเจตนาในเรื่องดังกล่าว ท่ามกระแสกดดันจากสังคมมายังศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังได้รับความนิยมมากในขณะนั้น ควรได้รับโอกาสในการบริหารประเทศ[70] อย่างไรก็ตามก็มีอีกบางส่วนของสังคมที่เคลือบแคลงสงสัยในคำตัดสินของศาล และทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าแทรกแทรงกระบวนการยุติธรรม[71] จนมีการไปร้องเรียนเพื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ในเวลาต่อมา[72]",
"ในปี พ.ศ. 2547 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น.ต.ประสงค์ได้ทำการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างหนัก จนได้รับฉายาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า \"ปีศาจคาบไปป์\" เนื่องจากเป็นบุคคลที่ชอบสูบและคาบไปป์จนเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งต่อมา น.ต.ประสงค์ได้เข้าร่วมกับนักธุรกิจและนักการเมืองหลายคน อาทิ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์, นายเอกยุทธ อัญชันบุตร, พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม ก่อตั้งกลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ ขึ้นมาในกลางปีเดียวกันเพื่อทำการชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรขึ้นที่ท้องสนามหลวง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งหลังจากมีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นในต้นปี พ.ศ. 2549 สมาชิกในกลุ่มนี้หลายคนก็ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับทางกลุ่มพันธมิตรฯด้วย",
"ระหว่างที่ทำงานราชการอยู่นั้น ได้มีโอกาสทำงานเสริมโดยเป็นอาจารย์พิเศษตามมหาวิทยาลัยต่างๆ และได้ไปช่วยวางระบบโทรศัพท์มือถือให้แก่ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ทำให้ได้พบและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของกิจการ และด้วยความคิดเขาที่ว่า ถ้ายังรับราชการแบบนี้ ต้องทำงานเหนื่อยแน่นอน จึงได้ตัดสินใจลาออกมาจาก การสื่อสารแห่งประเทศไทย และมาอยู่กับ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ปัจจุบันคือ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตามคำชักชวนของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร",
"โว๊กว๊าก นำแสดงโดย สายัณห์ ดอกสะเดา รับบทเป็น \"โอ๊กอ๊าก\" ลูกชายของ \"เจ้าสัวรักสิน\" โดยนำนักแสดงหน้าเหมือนนักการเมืองจากรายการสภาโจ๊ก มาร่วมแสดงด้วย จึงเกิดเสียงวิจารณ์ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงล้อเลียน พานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค) บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จนมีข่าวว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ แสดงความไม่พอใจ และทำให้ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล อ้างเป็นเหตุในการเข้าตรวจสอบภาพยนตร์เรื่องนี้ เด๋อจึงเซ็นเซอร์บางฉากออกไป เพื่อแก้ปัญหายุ่งยาก และเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ดังกล่าว",
"ต่อมาปี พ.ศ. 2550 ลีเดียได้เขียนได้เขียนพ็อกเกตบุ๊กที่มีชื่อ \"ลีเดีย...เฮียร์ ไอ แอม\" แต่เธอได้ตกเป็นข่าวดังติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ในประเด็นที่ลีเดียสนิทสนมกับครอบครัวชินวัตร โดยในช่วงแรกเธอตกเป็นข่าวกับ โอ๊ค - พานทองแท้ ชินวัตร และต่อมาตกเป็นข่าวกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งความจริงเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ครอบครัวของลีเดียและครอบครัวของอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น มีความสนิทสนม และแนบแน่นกันมานานแล้ว จนมีบางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เธอสนิทสนมกับอดีตนายกฯ เป็นอย่างมาก แต่เธอก็ปฏิเสธมาโดยตลอด และกล่าวว่าอดีตนายกฯ เปรียบเสมือนเป็นพ่อคนที่ 2",
"พล.ต.ท.วินัย ได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจที่มีความสนิทสนมและเกี่ยวพันกับตระกูลชินวัตร เนื่องจากภริยามีศักดิ์เป็นหลานสาวของ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ขณะที่เกิดการรัฐประหารเกิดขึ้น พล.ต.ท.วินัย ซึ่งในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกองปราบฯ ได้รับคำสั่งทางสายโทรศัพท์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่นครนิวยอร์ก ให้นำกองกำลังเข้าทำการควบคุมตัว พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ถึงที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ อันเป็นบ้านพักส่วนตัว แต่ยังมิทันได้ดำเนินการ เนื่องมีกองกำลังทหารและรถถังเข้าอารักขาไว้หมดแล้ว และในคืนวันนั้น พล.ต.ท.วินัย เองก็ถูกควบคุมตัวด้วย",
"ในเหตุการณ์การขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น รัตนพลเป็นบุคคลฝ่ายที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยในเช้าวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2549 ที่ทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคลื่อนย้ายที่ชุมนุมจากมณฑลพิธีท้องสนามหลวงไปที่ทำเนียบรัฐบาล รัตนพลได้สวมหมวกทรงสูงที่ทำเอง เขียนข้อความสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ มาวิ่งไปมาบริเวณที่ชุมนุมเพื่อเรียกความสนใจด้วย และต่อมาได้เข้าร่วมชุมนุมกับทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. อีกหลายต่อหลายครั้ง\nสถิติการชก boxrec.com",
"นายกษิต ภิรมย์ เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่ได้รับความเชื่อถือจาก นายชวน หลีกภัย อย่างต่อเนื่อง\nปี 2537 นายกษิต ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตาได้ต้อนรับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ติดต่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการเมืองกับ\nนายกษิต จนกระทั่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน เมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2544 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงได้ให้นายกษิต ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงเพื่อไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี\nต่อมาเมื่อพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการบริหารราชการที่แตกต่างจากที่ได้เคยหารือกันไว้ ได้สัมผัสกับวิธีคิดและวิธีทำงานของพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ อย่างใกล้ชิด นายกษิต ภิรมย์ จึงเริ่มออกห่างจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และในเดือน พฤศจิกายน 2544 ได้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น",
"จุมพล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งจากผู้พิพากษาศาลฎีกา และเป็นตุลาการที่ได้เข้าร่วมตัดสิน \"คดีซุกหุ้น\" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 โดยอยู่ในฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นความผิดและให้เหตุผลเหมือนกับตุลาการอีก 3 คนคือ กระมล ทองธรรมชาติ ผัน จันทรปาน และศักดิ์ เตชาชาญ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะแสดงบัญชีทรัพย์สินได้พ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เพียงแต่ยังรักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่",
"การประท้วงทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง เป็นเหตุการณ์ในประเทศไทยที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ และมีการชุมนุมปราศรัยเพื่อขับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็นครั้งแรก และเริ่มขยายเป็นวงกว้างขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 ส่วนหนึ่งจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา ในการรณรงค์ขับนี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลาย ๆ กลุ่ม ในเรื่องกระบวนการและประเด็นในการขับ ส่วนในกลุ่มที่สนับสนุน ซึ่งประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคาราวานคนจน และขบวนรถอีแต๋นเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ได้รวมตัวชุมนุมเพื่อสนับสนุนให้นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย ผลจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่อดีตพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชนและพรรคชาติไทยไม่ได้ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค ยังคงได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (56.45% ในผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ) แต่ในบางพื้นที่ของเขตซึ่งไม่มีผู้สมัครอื่นลงแข่งนั้น ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไม่ออกเสียงและบัตรเสีย แต่ในท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ในวันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้มีกลุ่มเครือข่ายแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และอาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย ล่าชื่อกว่า 92 คน ปลุกกระแส \"ต้านทักษิณ\" และออกแถลงการณ์ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ยุติบทบาทจากการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งในการเสวนาโต๊ะกลมเรื่องการร่วมกันแก้ไขวิกฤตปัญหาของบ้านเมือง ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของแกนนำเครือข่ายการต่อต้าน การประท้วงขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากการก่อรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อนวันที่จะมีการชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายในวันที่ 20 กันยายน ขณะที่พ.ต.ท. ทักษิณชินวัตร กำลังเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก",
"ไกรศักดิ์ มีบทบาทในการผลักดันให้รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รื้อฟื้นคดีฆ่าตัดตอน 2,500 ราย ที่เกิดขึ้นในระหว่างการประกาศทำสงครามยาเสพติด ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เร่งคลี่คลายคดีฆ่าตัดตอนซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2546 ต่อมาได้รับแต่งตั้งจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2550 เป็นกรรมการอิสระตรวจสอบ ศึกษาและวิเคราะห์การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และการนำนโยบายไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียงและทรัพย์สินของประชาชน (คตน.) เพื่อตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่นำไปสู่การฆ่าตัดตอน 2,500 ราย โดยคณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ตรวจสอบ สอบสวน ศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์ของประชาชน รวมทั้งกำหนดมาตรการแก้ไข และเยียวยาผู้เสียหายจากมาตรการดังกล่าว",
"จตุพร เป็นอดีตโฆษกพรรคไทยรักไทย และอดีต ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อของพรรค แจ้งเกิดทางการเมืองจากการเป็นผู้นำนักศึกษาช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 เมื่อเกิดการปราบปรามผู้ชุมนุมที่ ถนนราชดำเนิน และผู้ชุมนุมย้ายไปปักหลักที่รามคำแหง โดยมีจตุพรขึ้นเวทีปราศรัยด้วย โดยร่วมกับเพื่อนๆ นักศึกษาอีกหลายคน เช่น อุสมาน ลูกหยี วัชระ เพชรทอง[1] นายจตุพร ทำงานการเมืองโดยมีกลุ่มนักศึกษารามคำแหง พรรคศรัทธาธรรมที่ตัวเองเป็นผู้ก่อตั้ง จึงมีชื่อที่รู้จักกันดีในสมัยเรียนว่า ตู่ ศรัทธาธรรม เป็นฐานกำลังคอยเคลื่อนไหว เช่น การให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร[2]การมอบดอกไม้ กกต. การเดินขบวนไปหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในสมัยที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนไหวขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี",
"นายผัน จันทรปาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2481 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งจากตุลาการศาลปกครองสูงสุด และเป็นตุลาการที่ได้เข้าร่วมตัดสิน \"คดีซุกหุ้น\" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 โดยอยู่ในฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นความผิดและให้เหตุผลเหมือนกับตุลาการอีก 3 คนคือ กระมล ทองธรรมชาติ จุมพล ณ สงขลา และศักดิ์ เตชาชาญ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะแสดงบัญชีทรัพย์สินได้พ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เพียงแต่ยังรักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่",
"สำหรับบทบาทที่เกี่ยวข้องทางด้านการเมือง เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา นักวิชาการ ผู้ชำนาญการประจำคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรหลายคณะ และยังได้รับการทาบทามจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งบุคคลแรกๆ ของแนวคิดในการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งต่อมาจึงเป็น 1 ใน 23 บุคคลที่ร่วมกันจัดตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2541 ก่อนที่จะแยกตัวออกมาเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกันในเวลาต่อมา และในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 ศ.ดร. ธีรภัทร์ เป็นหนึ่งในบรรดานักวิชาการที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร",
"เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุติบทบาททางการเมืองโดยเด็ดขาดทันที เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรตรวจสอบเข้ามาพิสูจน์ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่มีต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ เรียกร้องให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐคำนึงถึงศักดิ์ศรีว่ามิใช่ข้าพนักงานของบริษัทรัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรม การเดินขบวนเรียกร้อง จนกว่าจะขับทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ ไม่อยากให้มีการตะโกนไล่ แต่อยากเห็นคนไทยไม่ต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อพบเห็นก็รวมกลุ่มกันหัวเราะไล่ผู้นำดีกว่าการใช้ความรุนแรง ไม่สนับสนุนหรือซื้อสินค้าของบริษัท ห้างร้าน ที่เชื่อว่าสนับสนุนระบอบทักษิณ เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น ไทยแอร์เอเชีย เป็นต้น",
"ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล เริ่มเข้าสู่งานการเมือง โดยการชักชวนของทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคพลังธรรมและได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 สังกัดพรรคพลังธรรม ต่อมา ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล จึงเข้าร่วมกับทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และได้รับตำแหน่งเป็นโฆษกพรรคคนแรก (คณะกรรมการชุดที่ขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง) กระทั่งในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ผู้แทนการค้าไทย และต่อมาจึงได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ",
"คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายดังกล่าว โดยได้ผลสรุปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และบุตรี พินทองทา ชินวัตร ปราศจากความผิด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการได้พบว่าบุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ พานทองแท้ ชินวัตร ละเมิดกฎว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลและข้อเสนอการประมูลสาธารณะในการซื้อขายระหว่างปี พ.ศ. 2543-2545 นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบการโอนภายในโดยผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป แต่ก็ไม่พบการกระทำที่ผิดกฎ",
"กรณีตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ได้ขายหุ้นที่ครอบครองอยู่ทั้งหมดในกลุ่มบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ชินคอร์ป) ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด (เทมาเส็ก) หรือ กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ผ่านบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำนวน 1,487,740,000 หุ้น (49.595% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) มูลค่าหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 73,271,200,910 บาท ซึ่งเป็นการขายหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทย ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมไทย โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชี้แจงว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดที่ทำให้ การขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขยายตัวออกไปในวงกว้าง ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรในที่สุด เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549"
] |
ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเรียกว่าอะไร? | [
"ผู้สืบทอดในทางศาสนาพุทธ ได้แก่ พุทธบริษัท 4 อันหมายถึง พุทธศาสนิกชน พุทธมามกะ พุทธสาวก อันเป็นกลุ่มผู้ร่วมกันนับถือ ร่วมกันศึกษา และร่วมกันรักษาพุทธศาสนาไว้"
] | [
"โดยทั้งหมด การเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาของพระเจ้าเมนันเดอร์ถูกบรรยายไว้ในมิลินทปัญหาดูเหมือนว่าจะมีการเรียกใช้สัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในการสร้างเหรียญใกล้เคียงกับครึ่งหนึ่งของกษัตริย์ผู้สืบต่อจากพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์ทั้งหลายหลังจากที่พระเจ้าเมนันเดอร์ผู้ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้ปกครองแคว้นคันธาระ (นอกเหนือจากพระเจ้าเดมิตริอุส ที่ 3 ซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จัก)แสดงสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง",
"แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ที่นับถือศาสนาพุทธในเกาหลีเหนือได้รับการจัดการที่ดีกว่ากลุ่มที่นับถือศาสนาอื่นในประเทศ โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ที่มักจะถูกรังแกโดยทางการ ในขณะที่ศาสนาพุทธได้รับทุนจากรัฐบาลไปส่งเสริมศาสนา เนื่องจากศาสนาพุทธมีบทบาทสำคัญต่อวัฒนธรรมของเกาหลีเป็นอย่างมาก[24]",
"ชาวไทยในอียิปต์ซึ่งเป็นนักศึกษาทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม หากเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือเข้ามาประกอบอาชีพส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ในวัฒนธรรมไทยบางอย่างมีข้อแตกต่างกับวัฒนธรรมอาหรับ อาทิ การก้มหัวของไทยเป็นที่พึงรังเกียจของชาวอาหรับด้วยมองว่า ขี้ขลาด หรือเรียกว่า \"ยับบาน\" หรือความอ้วนซึ่งชาวอาหรับนั้นชอบ แต่หญิงไทยมักกลัวความอ้วน เป็นอาทิ",
"ยุคมหานคร เป็นยุคที่ นครวัต นครธม ที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ และอยู่ทางเหนือของเมืองเสียมราฐ เป็นเมืองหลวงของกัมพูชา เป็นยุคที่อารยธรรมของขอมเจริญรุ่งเรืองมาก มีศิลปะและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ทางด้านศาสนา ปรากฏ ว่าพุทธ-ศาสนาฝ่ายมหายานเจริญรุ่งเรืองพร้อมกับศาสนาพราหมณ์ ส่วนพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทคงเป็นที่นับถืออยู่ในหมู่ประชาชนทั่วไป ส่วนทางชั้นสูง หรือในราชสำนักนับถือพุทธศาสนาแบบมหายาน และถือลัทธิพราหมณ์ ในยุคนี้ได้มีธรรมเนียมถือศาสนาคนละอย่างระหว่างพระราชา กับ ปุโรหิต ถ้าพระราชาเป็นพุทธ ปุโรหิตเป็นพราหมณ์ หรือถ้าพระราชาถือพราหมณ์ ปุโรหิตถือพุทธ ถือเป็นประเพณีที่ยึดถือต่อกันมาหลายร้อยปี\nในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เริ่มแต่ปี พ.ศ. 1724 ทรงมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์เขมร ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนเจริญรุ่งเรืองที่สุด ทรงย้ายราชธานีไปที่ใดก็จะสร้างวัดวาอารามด้วย พระองค์ทรงเอาใจใส่ในกิจการพระพุทธศาสนามาก ทรงสร้างปราสาท และพระพุทธรูปจำนวนมากมาย ทรงสถาปนาปราสาทตาพรม เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ มีพระมหาเถระเป็นศาตราจารย์ใหญ่อยู่ถึง 18 องค์ และอาจารย์รองลงมาถึง 2,740 องค์ เป็นผู้สอน พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังทรงให้ราชกุมารไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา แล้วทรงผนวชที่วัดมหาวิหารในปลายยุคมหานคร ศาสนาพราหมณ์ และมหายานเสื่อมถอยลง คงเหลือแต่เถรวาทที่เจริญรุ่งเรือง และได้รับการนับถือจากคนทุกระดับ ตั้งแต่กษัตริย์ลงไป.\nยุคหลังพระนครถือว่าเป็นยุคมืดของกัมพูชาด้วยเหตุผล ของความอ่อนแอทางการเมือง ภายในทำให้กัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของไทย รัฐทางทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และเวียดนาม และทำให้กัมพูชาต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ทางการเมือง ในยุคหลังพระนครนี้ พุทธศาสนาแบบมหายานและศาสนาพราหมณ์ได้เสื่อมถอยลงไป คงเหลือแต่พุทธศาสนาเถรวาท และกษัตริย์ในยุคนี้จึงได้นับถือพระพุทธศาสนาเรื่อยมา กษัตริย์กัมพูชาได้ละทิ้งราชธานีมหานคร ไปสร้างราชธานีใหม่ที่เมือง สรีสันธอร์ ต่อมา พ.ศ. 1975 ได้ย้ายไปสร้างราชธานีใหม่ที่พนมเปญ จนถึงในปัจจุบัน ตั้งแต่การสร้างราชธานีใหม่ เป็นต้นมา เป็นเวลา 400 ปี ประเทศกัมพูชาตกอยู่ในภาวะวิกฤต ทางสังคมอย่างรุนแรง ประชาชนทุกข์ยากมาก บ้านเมืองยับเยิน พระศาสนาเสื่อมโทรมมาก เนื่องจากเกิดเรื่องภายใน มีการแย่งชิงราชสมบัติกัน ผู้คนล้มตายกันมากนครวัต นครธม ถูกปล่อยรกร้างอยู่ในป่า จนมี ชาวฝรั่งเศสไปพบเข้า ในปี พ.ศ. 2404 จึงได้ทำนุบำรุงรักษาอนุรักษ์ไว้ปี พ.ศ. 2384 พระเจ้าหริรักษ์รามาธิบดี ทรงเสวยราชย์ในกรุงอุดรเมียรชัย พระพุทธศาสนา กลับเจริญรุ่งเรืองอีก มีพระสงฆ์ชาวกัมพูชา เดินทางมาศึกษายัง กรุงเทพฯ กลับไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในเขมร พระมหาวิมลธรรม (ทอง) ได้จัดการศึกษาของสงฆ์ไทยตั้ง “ศาลาบาลีชั้นสูง” ในกรุงพนมเปญ ได้แก่พุทธิกวิทยาลัยในปัจจุบัน จากนั้นเขมรก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสเกือบ 100 ปี การศาสนาก็ไม่เจริญรุ่งเรือง ในปี พ.ศ. 2497 จึงได้เอกราชคืนมา และเรียกชื่อประเทศว่าอาณาจักรกัมพูชาพ.ศ. 2498 ",
"ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า ”พราหมณ์” ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล -จนถึงนิกายมหายาน - วัชรญาณ เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แลัวเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้",
"นวยาน (เทวนาครี: नवयान, ) แปลว่า \"ยาน (พาหนะ) ใหม่\" เป็นนิกายหนึ่งในศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย ที่เกิดขึ้นจากการตีความศาสนาขึ้นใหม่ของภีมราว รามชี อามเพฑกร () ผู้มีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นทลิต (, \"มิควรข้องแวะ\") ในยุคที่อินเดียตกเป็นอาณานิคม เขาได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ กระทั่งในปี พ.ศ. 2478 เขามีความประสงค์เปลี่ยนศาสนาจากฮินดูไปนับถือศาสนาพุทธ อามเพฑกรได้ศึกษาคติและหลักธรรมคำสอนทางศาสนาเช่นจตุราริยสัจและอนัตตา ซึ่งเขาปฏิเสธความเชื่อเรื่องดังกล่าว แต่ได้นำคำสอนทางศาสนาไปตีความใหม่เรียกว่า นวยาน หรือ \"ยานใหม่\" แห่งพุทธศาสนา บางแห่งก็เรียกนิกายนี้ว่า ภีมยาน () ตามชื่อต้นของอามเพฑกรคือ \"ภีมราว\" ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2499 อามเพฑกรได้ประกาศละจากนิกายหีนยานและมหายาน รวมทั้งศาสนาฮินดู ทว่าเขาก็เสียชีวิตลงหลังการเปลี่ยนศาสนาจากฮินดูไปนับถือนวยานได้เพียงหกสัปดาห์",
"จังหวัดสิงห์บุรีมีวัดในศาสนาพุทธ จำนวน 178 แห่ง โบสถ์คริสต์ 2 แห่ง วัดคริสต์ 1 แห่ง มัสยิด 2 แห่ง\nจำนวนผู้นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 98.80\nจำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 1.02\nจำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 0.18",
"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากศาสนาหนึ่งของโลก รองจากศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนาพุทธคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันสถานที่นี้ เรียกว่า พุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือเถรวาทและมหายาน",
"วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า \"พุทธชยันตี\" (Buddha Jayanti) เช่นใน ประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศไทย ประเทศพม่า ประเทศศรีลังกา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย",
"ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า \"พราหมณ์\" ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล -จนถึงนิกายมหายาน - วัชรญาณ เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้",
"ชาวฮ่อที่ยังนับถือผีบรรพชนนั้น จะมีซินแสหรือที่เรียกว่าสล่าเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่ออย่างชาวจีน นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์",
"ประมาณ พ.ศ. 283 หรือ 260 ปีก่อนคริสตกาลพระเจ้าอโศกทำสงครามทำลายล้างอย่างยืดเยื้อกับแคว้นกาลิงคะ(รัฐโอริศาในปัจจุบัน)พระองค์เอาชนะแคว้นกาลิงคะได้ซึ่งไม่เคยมีบรรพบุรุษของพระองค์ทำได้มาก่อนนักวิชาการบางคนบรรยายว่าพระองค์นับถือศาสนาเชนเหมือนบรรพบุรุษแต่ก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าพระองค์ยอมรับศาสนาพุทธตำนานบอกว่าพระองค์เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธหลังจากประสบพบเห็นกับคนตายที่มากมายในสงครามแคว้นกาลิงคะ พระองค์เองไม่รู้สึกยินดีกับความต้องการแห่งชัยชนะ พระเจ้าอโศกคำนึงคิดถึงสงครามแคว้นกาลิงคะ ซึ่งผลของสงครามมีคนตายมากกว่า 100,000 คน และ 150,000 คนถูกจับเป็นเชลยศึก สุดท้ายตายประมาณ 200,000 คน พระเจ้าอโศกเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธประมาณ 263 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ให้บันทึกพระบรมราชโองการไว้บนเสาศิลาเรียกว่าเสาอโศก และส่งสมณทูตเพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศศรีลังกาและเอเชียกลาง ให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานสำคัญในช่วงชีวิตของพระพุทธเจ้าขึ้นมากมายซึ่งเรียกว่าสังเวชนียสถาน",
"กล่าวคือ ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 (ประมาณ พ.ศ. 1500 เศษ) ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่เข้าสู่ปัตตานีและปาหัง ก่อนที่จะเข้าสู่มาละกา ในช่วงนั้นกษัตริย์หรือสุลต่านเมืองปัตตานีล้มป่วย ไม่มีหมอในปัตตานีรักษาได้ เกิดการตีฆ้องร้องป่าวหาผู้รักษามีแขกปาซายจากสุมาตราชื่อเช็กสะอิ หรือ เช็กซาฟียิดดิน ได้ขันอาสามารักษาสุลต่านแต่ขอคำมั่นสัญญาว่าถ้ารักษาหายแล้ว พระองค์จะต้องเข้ารีตนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อได้รักษาจนหายแต่เมื่อหายแล้วสุลต่านไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเลยป่วยหนักอีก กลับมารักษากันใหม่ขอคำสัญญากันอีกกลับไปกลับมาเช่นนี้ถึง 3 ครั้ง สุลต่านเลยต้องยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลามหมอผู้รักษาได้รับการแต่งตั้งเป็น ดาโต๊ะ สะรี ยารา ฟาเก้าฮ์ (ผู้รู้ทางศาสนายอดเยี่ยม)เมื่อเจ้าเมืองเปลี่ยนศาสนาใหม่ โอรส ธิดา ขุนนาง และชาวเมืองก็เริ่มเปลี่ยนศาสนาตามเป็นศาสนาอิสลามต่อจากนั้นก็เริ่มมีการทำลาย พระพุทธรูป พุทธสถาน เทวรูป และเทวาลัย อาณาจักรที่เคยนับถือพระพุทธศาสนาอยู่หลายปีจึงมีโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาน้อยเต็มที หรือแทบจะไม่มีเลย ก็มีพบบ้างกันที่ยะรังเมืองโบราณ ",
"(จีน: 伽藍, \"Qie Lan\", เวียดนาม: \"Già Lam\") - เรียกอีกอย่างว่า \"พระวิหารบาลโพธิสัตว์\" เป็นพระโพธิสัตว์ที่นับถือเฉพาะในความเชื่อแบบพุทธ-เต๋า ของจีน คำว่าสังฆารามโพธิสัตว์นั้นอ้างอิงถึงกลุ่มเทพที่ทำหน้าที่คุ้มครองวัดและพิทักษ์พุทธศาสนา แต่นามนี้มักจะถูกใช้อ้างอิงถึงกวนอู ผู้เป็นแม่ทัพในตำนานยุคสามก๊ก ซึ่งได้กลายเป็นเทพธรรมบาลด้วยการประกาศตนเป็นชาวพุทธและตั้งปณิธานในการคุ้มครองศาสนาไว้",
"ในประเทศอินโดนีเซีย ที่ปัจจุบันเป็นประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากที่สุด ก็ได้ให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชามาก เพราะเดิมนั้นพระพุทธศาสนาเคยเป็นศาสนาที่ชาวชวาหรืออินโดนีเซียนับถือมากที่สุด งานวิสาขบูชาในสมัยที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองคงเป็นพิธีใหญ่ แต่หลังพระพุทธศาสนาเสื่อมลงเนื่องจากการการเสื่อมของราชวงศ์ไศเลนทร์ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่นับถือพระพุทธศาสนา ผู้ปกครองต่อมาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม[78] งานวิสาขบูชาจึงไม่มีผู้สืบทอด ในปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย รัฐบาลเริ่มให้ความสำคัญกับชาวพุทธ โดยรัฐบาลประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งชาวพุทธส่วนใหญ่ในอินโดนีเซียนั้นเป็นคนอินโดนีเซียเชื้อสายจีนที่นับถือมหายาน ซึ่งมีชาวอินโดนีเซียส่วนหนึ่งที่นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาท การจัดงานวิสาขบูชาในระยะหลังจึงเป็นงานใหญ่ โดยศูนย์กลางจัดงานอยู่ที่พระมหาสถูปบุโรพุทโธ เกาะชวา ทุกปีประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียจะมาเป็นประธานเปิดงาน โดยเชิญผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลกมาร่วมงาน[79]",
"รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ระบุศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติ รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาของพลเมืองไทยทุกคน แต่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท กฎหมายห้ามกล่าวหมิ่นประมาทศาสนาพุทธรวมถึงพระสงฆ์ และคุ้มครองศาสนสถานและศาสนพิธีของศาสนาอื่น[149] ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า \"รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท [...] และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด\" ในช่วงปีหลังมีการเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย",
"ชาวกัมพูชา 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท มี 1% นับถือศาสนาคริสต์ นอกจากนั้นเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามและศาสนาดั้งเดิม ศาสนาพุทธเข้ามาสู่กัมพูชาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 10 และศาสนาพุทธนิกายเถรวาทได้เป็นศาสนาประจำรัฐตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ยกเว้นสมัยเขมรแดงครองอำนาจ",
"พุทธศาสนาในพม่าส่วนใหญ่เป็นนิกายเถรวาทมีผู้นับถือโดยประมาณ 89% ของประชากรภายในประเทศ[1][2] เป็นประเทศที่นับถือศาสนาพุทธมากที่สุดในแง่ของสัดส่วนพระสงฆ์ต่อประชากรและสัดส่วนของรายได้ที่ใช้ในศาสนา[3] พบการนับถือมากในหมู่ ชาวพม่า, ชาน, ยะไข่, มอญ, กะเหรี่ยง, และชาวจีนในพม่า พระภิกษุสงฆ์เป็นที่เคารพบูชาทั่วไปของสังคมพม่า ในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในประเทศพม่า ได้แก่ ชาวพม่า และ ชาน พุทธศาสนาเถรวาทมักเกี่ยวข้องกับการนับถือนัตและสามารถเข้าแทรกแซงกิจการทางโลกได้",
"พระพุทธศาสนา หรือ ศาสนาพุทธ (Pali: buddhasāsana พุทฺธสาสนา, Sanskrit: buddhaśāsana พุทธศาสนา) เป็นศาสนาที่มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง และตรัสสอนไว้เป็นหลักคำสอนสำคัญ มีพระสงฆ์ (ภิกษุ ภิกษุณี) สาวกผู้ตัดสินใจออกบวชเพื่อศึกษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอน ธรรม-วินัย ของพระบรมศาสดา เพื่อบรรลุสู่จุดหมายคือพระนิพพาน และสร้างสังฆะ เป็นชุมชนเพื่อสืบทอดคำสอนของพระบรมศาสดา รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย นอกจากนี้ในพระพุทธศาสนา ยังประกอบคำสอนสำหรับการดำรงชีวิตที่ดีงาม สำหรับผู้ที่ยังไม่ออกบวช (คฤหัสถ์ - อุบาสก และอุบาสิกา) ซึ่งหากรวมประเภทบุคคลที่ที่นับถือและศึกษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา แล้วจะจำแนกได้เป็น 4 ประเภท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือที่เรียกว่า พุทธบริษัท 4",
"วันวิสาขบูชาเคยถูกประกาศจากรัฐบาลห้ามจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาโดยเด็ดขาดในเวียดนามใต้ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งของผู้ปกครอง (ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา) ที่นับถือศาสนาคริสต์ มีการปราบปรามพระพุทธศาสนาอย่างหนัก กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และผู้ฝ่าฝืนต้องได้รับโทษถึงจำคุก[77] ปัจจุบันหลังจากกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียดนามใต้ถูกเวียดกง (เวียดนามเหนือ) ตีแตก และเวียดนามเหนือใต้ได้รวมเป็นประเทศเดียวกัน พระพุทธศาสนาก็ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเท่าใด ในปัจจุบันยังคงมีการจัดงานวิสาขบูชาบ้างจากชาวพุทธเวียดนาม ซึ่งเป็นงานที่ไม่ใหญ่โตเหมือนประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท",
"นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า กษัตริย์แคว้นนี้เคยนับถือพุทธศาสนามาก่อน แล้วจึงหันไปนับถือศาสนาอิสลามในหลังยุคเสนวงศ์ มีกษัตริย์ฮินดูนามว่า มาธุเสนะ ทรงให้อิสระแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา จนถึงยุคของพระเจ้าจันทรวงศ์ ซึ่งเป็นชาวพุทธ ได้ปกครองจิตตะกองในปี พ.ศ. 1772 และมีกษัตริย์พุทธอีกหลายพระองค์ ต่อมาปี พ.ศ. 1822 กษัตริย์ตรีปุระ พระนามว่า รัตนผา ได้ยึดครองจิตตะกอง ทำให้กษัตริย์องค์สุดท้ายต้องไปพำนักอยู่ในเทวคามภูเขาลูกหนึ่ง ปัจจุบันเรียกว่าเทวังปหารในจิตตะกอง และในพุทธศตวรรษที่ 10 กษัตริย์แคว้นอารากัน พระนามว่าไชยจันทร์ ได้ยึดเมืองจิตตะกองมีพระราชวังอยู่ที่จักรศาลาพระองค์ได้ทำนุบำรุงพุทธศาสนาด้วยวัดหลายแห่ง เช่น เทวัง จักรศาลา และรามู เป็นต้น",
"ปัจจุบันศาสนาพุทธได้เผยแผ่ไปทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันศาสนาพุทธ ได้มีผู้นับถือกระจายไปทั่วโลก ประมาณ 700 ล้านคน[10][11][12] ด้วยมีผู้นับถือในหลายประเทศ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาสากล[13]",
"ชาวอาหมไม่เคยสูญเสียการบูชาบรรพบุรุษ เพียงแต่หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุสูญเสียสถานะในการปกครองไปจึงกลายเป็นพวกนอกวรรณะ ปัญญาชนชาวอาหมที่เป็นผู้นำในการเลิกนับถือศาสนาฮินดูได้ทำให้พิธีการบูชาบรรพบุรุษเด่นชัดขึ้น พร้อมทั้งมีการจัดพิธีไหว้ผีเป็นประจำ โดยมีการตั้งหลักไฟ ซึ่งเป็นเสาไม้จุดรายรอบปะรำเล็กๆ ไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงพิธีบูชาบรรพบุรุษที่เรียกว่า เมด้ำเมผี ครั้งใหญ่ที่สุดในเมืองรังคปุระ แต่ชาวอาหมฮินดูบางส่วนอย่างเช่นในหมู่บ้านบอราโจโหกีจึงมีแนวโน้มหันไปนับถือศาสนาพุทธกันมากขึ้นเพื่อลดปัญหาเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีนายทนุราม โกกอย เป็นชาวไทอาหมคนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ โดยปฏิบัติศาสนกิจกันที่วัดทิสังปานี ในหมู่บ้านทิสังปานี ของชาวไทคำยัง",
"ศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ถูกครอบงำโดยลัทธิชินโตเป็นหลักซึ่งเป็นลัทธิเก่าแก่ของชนชาติญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในญี่ปุ่นแต่พุทธสถานเกือบทั้งหมดในญี่ปุ่นก็ได้รับอิทธิพลจากลัทธิชินโตอยู่ไม่น้อย จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2549 และ 2551 พบว่า ชาวญี่ปุ่นน้อยกว่าร้อยละ 40 ระบุว่าตนเองนับถือศาสนา โดยนับถือศาสนาพุทธ 34%, นับถือสำนักลัทธิชินโตราว 3.0-3.9% และราว 1.0-2.9% นับถือศาสนาคริสต์ ",
"จากการสำมะโนประชากรของจังหวัดจันทบุรีในปี พ.ศ. 2553 พบว่า ประชากรส่วนมากในจังหวัดจันทบุรีนับถือศาสนาพุทธคิดเป็นร้อยละ 97.95 รองลงมานับถือศาสนาคริสต์คิดเป็นร้อยละ 1.22 ศาสนาอิสลามคิดเป็นร้อยละ 0.40 ศาสนาฮินดูคิดเป็นร้อยละ 0.03 ศาสนาอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 0.23 และมีผู้ไม่นับถือศาสนาใด ๆ คิดเป็นร้อยละ 0.17[81] ในกลุ่มศาสนิกชนที่นับถือศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาพุทธส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล[81] ในส่วนของคริสต์ศาสนิกชนในจังหวัดจันทบุรีพบมากที่สุดในเขตเทศบาลเมืองจันทนิมิตโดยมีผู้นับถือศาสนาคริสต์ถึงร้อยละ 50 จากประชากรทั้งหมดในเขตเทศบาล[82]",
"ชาวคำตี่ส่วนใหญ่จะเป็นพุทธศาสนิกชนนับถือศาสนาพุทธ และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทุกบ้านจะมีห้องพระทุกเช้าและเย็นจะมีการสวดมนต์ ซึ่งชาวคำตี่จะเรียกว่า \"ไปพระ\" เกือบทุกหมู่บ้านของชาวคำตี่จะมีวัด หรือ จอง มีศาลาปฏิบัติธรรมมีกุฏิที่พักสำหรับพระสงฆ์ สามเณร และแม่ชี ชาวคำตี่จะเรียกพระว่า \"เจ้ามูล\" เรียกเณรว่า \"เจ้าซ่าง\" และเรียกแม่ชีว่า \"แม่ย่าชี\" ชาวคำตี่นิยมนำบุตรหลานบวชเรียนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพื่อศึกษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในแตกฉาน สามารถอ่านเทศน์ หรือสวดเป็นภาษาบาลีได้ ด้วยถือว่าวัดเป็นศูนย์กลางในการทำพิธีกรรม ประเพณี วัฒนธรรม และการเรียนรู้ พระจึงมีบทบาท และทำหน้าที่อย่างแท้จริง แต่ละรูปจะได้รับการฝึกฝนมายาวนาน ชาวคำตี่ในพม่าส่วนใหญ่จะนับถือพุทธศาสนา 99% ศาสนาดั้งเดิม-ผีสางนางไม้ 0.9% และศาสนาคริสต์ 0.1% ส่วนชาวคำตี่ในอินเดียนั้นนับถือพุทธศาสนา 66.64% ศาสนาฮินดู 24.59% และศาสนาคริสต์ 7.72%",
"ชื่อของชาวไทหย่าหรือไตหย่า ซึ่งแท้จริงแล้วคือชื่อเมืองหย่าในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของชาวไทกลุ่มนี้ จึงเรียกว่าไทหย่าหรือไตหย่า มีผู้กล่าวไว้เพื่อจะดึงดูดศาสนิกไว้ว่าเป็นคำที่พวกไทด้วยกันเรียกชาวไทพวกหนึ่งที่มิได้นับถือพระพุทธศาสนา ซ้ำอธิบายด้วยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาพบพวกนี้ ทรงเห็นว่าเป็นพวกกิเลสหนาและโของประเทศจีนง่เขลาจนไม่สามารถจะเข้าใจพุทธวจนะ เปรียบดังเหล่าเวไนยสัตว์ ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเป็นดอกบัวใต้น้ำลึกมาก ไม่สามารถที่จะโผล่ขึ้นมารับแสงดวงอาทิตย์ได้ เป็นพวกที่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่สามารถจะสอนได้ พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยไม่สอน คนไทพวกนี้จึงถูกเรียกว่า \"ไทหย่า\" เป็นพวกไม่มีศาสนาจนทุกวันนี้ ชาวไทหย่ายังนับถือศาสนาคริสต์อยู่ร้อยละ 96 นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 3 และไม่มีศาสนาอยู่ร้อยละ 1",
"พระพุทธศาสนาเถรวาทกับประเทศพม่ามีความผูกพันกันมาอย่างยาวนานต้องพานพบกับความเสื่อมและความเจริญ แต่ก็สามารถอยู่ในสังคมและวัฒนธรรมของพม่าเรื่อยมา มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดจนมีการศึกษาพระพุทธศาสนามาโดยตลอด แม้ว่าปัจจุบันพม่าจะไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนในอดีต คณะสงฆ์พม่าก็ยังมีอิทธิพลสำหรับประชาชน ดังจะเห็นได้จากการเป็นผู้นำในการเดินขบวนเรียกร้องความเป็นธรรมจากอำนาจรัฐ คณะสงฆ์พม่ายังได้สร้างความสัมพันธ์กับประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทจากทั่วโลก ดังเช่นในปีพุทธศักราช 2550 ได้มีการก่อตั้งสมาคมพระพุทธศาสนาเถรวาทนานาชาติขึ้น และได้ประชุมครั้งแรกระหว่างช่วงวันที่ 9–11 มีนาคม 2550 ที่เมืองย่างกุ้ง และประชุมที่เมืองสะกายเป็นครั้งที่สอง",
"ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย หรือบางครั้งอาจถูกเรียกว่า แขกมะหง่น[1], แขกมะหง่อน, แขกมห่น, แขกมะห่น หรือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[441,458,3,3]}'>แขกเจ้าเซ็น หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม โดยกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามชีอะฮ์ตั้งถิ่นฐานแถบฝั่งธนบุรี, เขตยานนาวา, เขตบึงกุ่ม, เขตสะพานสูง, เขตมีนบุรี และบางส่วนของจังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น[2] ส่วนกลุ่มที่หันไปนับถือศาสนาพุทธ คือ สกุลบุนนาค เป็นต้น",
"ผู้นับถือศาสนาพุทธที่ได้บวชเพื่อศึกษา ปฏิบัติตามคำสอน (ธรรม) และคำสั่ง (วินัย) และมีหน้าที่เผยแผ่พระธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่าภิกษุ ในกรณีที่เป็นเพศชาย และภิกษุณี ในกรณีที่เป็นเพศหญิง สำหรับผู้บวชที่ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ 20 ปี จะเรียกว่าเป็น สามเณร สำหรับเด็กชาย และ สามเณรีและสิกขมานา (สามเณรีที่ต้องไม่ผิดศีล 6 ข้อตลอด 2 ปี) สำหรับเด็กหญิง ลักษณะการบวชสำหรับภิกษุหรือภิกษุณี จะเรียกเป็นการอุปสมบท สำหรับสามเณรหรือสามเณรีและสิกขมานา จะเรียกเป็นการ บรรพชา คฤหัสถ์ชาย-หญิง ที่นับถือพระพุทธศาสนา เรียกว่าอุบาสก อุบาสิกา ตามลำดับ"
] |
เพชรพระอุมาเป็นบทประพันธ์ของใคร ? | [
"เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก[1] บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของนายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี[2] โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน[3]"
] | [
"ตลอดระยะเวลาที่เพชรพระอุมาได้รับการตีพิมพ์ฉบับรวมโดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ได้มีคำนิยมของ \"เพชรพระอุมา\" จากผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้ให้คำนิยมส่วนตัวแก่นวนิยายที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของนวนิยาย และเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของเมืองไทย ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนักอ่านหลาย ๆ รุ่น[14] ซึ่งได้รับความบันเทิง ความสนุกสนานจากการอ่านเพชรพระอุมา แม้เนื้อเรื่องจะมีความยาวเป็นอย่างมากก็ตาม",
"เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ ฉบับรวมเล่ม จำนวน 4 เล่ม และ เพชรพระอุมา ตอนมรกตนคร ฉบับรวมเล่ม จำนวน 18 เล่ม",
"ดูรายละเอียดคำนิยมเพชรพระอุมาเพิ่มเติมได้ที่ คำนิยมเพชรพระอุมา",
"ในเพชรพระอุมา พนมเทียนได้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการ ทักษะรวมทั้งศิลปะในการล่าสัตว์ของพรานจัน พรานบุญคำ รวมทั้งรพินทร์ ไพรวัลย์ ที่เต็มไปด้วยการหลอกล่อและชั้นเชิงระหว่างมนุษย์และสัตว์ วิธีการล่าสัตว์ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการล่าสัตว์ ที่ประกอบไปด้วยวิธีการปฏิบัติ ขนบประเพณีต่าง ๆ ในการเข้าป่า วิธีการล่าสัตว์ในนวนิยายเพชรพระอุมา มีดังนี้",
"ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา เป็นการรวบรวมตัวละครในเพชรพระอุมา ซึ่งเป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่พนมเทียนใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี มีตัวละครในการดำเนินเนื้อเรื่องในแต่ละภาคเป็นจำนวนมาก พนมเทียนได้กำหนดลักษณะนิสัยของตัวละครให้โลดแล่นมีชีวิตชีวา สร้างความสนุกสนานให้แก่นักอ่านจำนวนมาก ที่ต่างมีความผูกพันกับตัวละครต่าง ๆ ในเพชรพระอุมา",
"การเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอยในเพชรพระอุมา เป็นการรวบรวมรายละเอียดและทักษะในการล่าสัตว์และการแกะรอยในเพชรพระอุมา นำมาจากทักษะและประสบการณ์ในการเดินป่าของพนมเทียน เช่นศิลปะในการดำรงชีพ ศิลปะในการล่าสัตว์ รวมทั้งศิลปะในการแกะรอยสัตว์ในเชิงพราน นำมาผูกเสริมเติมแต่งให้แก่ตัวละครในเพชรพระอุมา ให้มีทักษะความสามารถและประสบการณ์ในการเดินป่า รวมทั้งการล่าสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหาร ซึ่งการล่าสัตว์แกะรอยนั้นเป็นศิลปะเก่าแก่สืบทอดกันมาในหมู่พรานป่าและพรานพื้นเมือง เช่นเคล็ดลับในการสะกดรอยสัตว์ การตามสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ การดูทางด่านของสัตว์ การนั่งห้างและการส่องสัตว์ การสังเกตทิศทางในการเดินป่าโดยใช้ต้นไม้และกิ่งไม้เป็นตำหนิป้องกันการหลงทาง การสังเกตท้องฟ้าและดวงดาว ฯลฯ โดยการล่าสัตว์แกะรอยในเพชรพระอุมา มีดังนี้",
"เส้นทางการเดินทางในการออกติดตามค้นหาบุคคลผู้สูญหายและขุมทรัพย์เพชรพระอุมา รวมทั้งระยะเวลาในการออกติดตามค้นหาซากเครื่องบินและระเบิดนิวเคลียร์ ตามระยะเวลาในบทประพันธ์ของพนมเทียนในช่วงของระยะเวลาในการเดินทางของเพชรพระอุมาภาคแรกคือ 147 วัน โดยแบ่งออกเป็นช่วงระยะเวลาทั้งหมด 4 ช่วงด้วยกันคือช่วงที่ 1 จำนวน 20 วัน นับตั้งแต่รพินทร์ ไพรวัลย์และคณะนายจ้าง ใช้ระยะเวลาในการเตรียมตัวก่อนเดินทาง ช่วงที่ 2 จำนวน 67 วัน นับตั้งแต่ในการเริ่มการเดินทางจากหนองน้ำแห้ง ช่วงที่ 3 จำนวน 42 วัน นับตั้งแต่คณะเดินทางออกจากหล่มช้าง และช่วงที่ 4 จำนวน 18 วัน นับตั้งแต่คณะเดินทางอยู่บริเวณถันพระอุมาและออกจากเมืองมรกตนคร และช่วงระยะเวลาในการเดินทางของเพชรพระอุมาภาคสมบูรณ์คือ 31 วัน[21]",
"การยิงสัตว์ในเพชรพระอุมา พนมเทียนได้นำเอาทักษะการใช้อาวุธปืนในการยิงสัตว์ สอดแทรกผ่านตัวละครในเพชรพระอุมาเช่นรพินทร์ ไพรวัลย์ พันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา วราฤทธิ์ หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย มาเรีย ฮอฟมัน แงซาย ที่ต่างมีทักษะและฝีมือในการยิงสัตว์ที่แตกต่างกัน สะท้อนให้เห็นลักษณะการยิงสัตว์ของพรานโดยเล็งจุดที่สำคัญของสัตว์ป่า โดยวิธีการยิงสัตว์ในเพชรพระอุมา",
"พรานเกิดและพรานเส่ย เป็นตัวละครในเพชรพระอุมาที่มีต้นแบบมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงรวมทั้งขื่อจริงคือ เกิดและเส่ย พนมเทียนนำมาจากลักษณะนิสัยของเกิดและเส่ย สองพรานเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพนมเทียน ที่ร่วมเดินป่าในแถบเหมืองห้วย เขตสุดของจังหวัดกาญจนบุรี และด้วยความที่ชื่อของเกิดและเส่ยเป็นชื่อแปลกและยากที่จะมีใครเหมือน ทำให้พนมเทียนจำได้อย่างแม่นยำ และนำเอาลักษณะเฉพาะบางส่วนของเกิดและเส่ย มาจำลองถ่ายทอดลงในตัวของพรานเกิด พรานเส่ย ซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยมีบทบาทเด่นเฉพาะตัวมากนัก โดยพนมเทียนนั้นกำหนดให้พรานเกิดและพรานเส่ยมีหน้าที่ \"แซวและกระเซ้าเหย้าแหย่\" บุญคำเล่น ตามประสาพรานเด็กหนุ่มพรานคู่ใจของรพินทร์ ไพรวัลย์",
"ในเพชรพระอุมา พนมเทียนได้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการ ทักษะรวมทั้งศิลปะในการล่าสัตว์ของพรานพื้นเมือง ได้แก่พรานจัน พรานบุญคำ พรานเกิด พรานเส่ย รวมทั้งรพินทร์ ไพรวัลย์ ที่เต็มไปด้วยการหลอกล่อและชั้นเชิงระหว่างมนุษย์และสัตว์ วิธีการล่าสัตว์ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการล่าสัตว์ ที่ประกอบไปด้วยวิธีการปฏิบัติ ขนบประเพณีต่าง ๆ ในการเข้าป่า วิธีการล่าสัตว์ในนวนิยายเพชรพระอุมา",
"คำนิยมเพชรพระอุมา เป็นการแสดงความคิดเห็นของผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิหลายท่าน ที่มีต่อนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมาจากสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ซึ่งการแสดงความนิยมต่อเพชรพระอุมานี้ เป็นการการันตีถึงผลงานการประพันธ์ของพนมเทียนและความเป็นสุดยอดของวรรณกรรมชิ้นเอกของเมืองไทย ซึ่งผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิที่ได้ให้เกียรติมาให้คำนิยมต่อเพชรพระอุมา มาจากหลายอาชีพและหน้าที่การงาน เช่น ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย ฯพณฯ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายเสนาะ เทียนทอง ดร.พิจิตต รัตตกุล",
"พนมเทียนเริ่มต้นการเขียนเพชรพระอุมาในปี พ.ศ. 2507 โดยตกลงทำข้อสัญญากับสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา (ซึ่งปัจจุบันสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ได้ยุติกิจการไปแล้ว) ในการเขียนนวนิยายแนวผจญภัยในป่าจำนวนหนึ่งเรื่อง โดยมีข้อกำหนดความยาวของนวนิยายเพียงแค่ 8 เล่มจบเท่านั้น แต่กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทำให้ต้องเขียนเพชรพระอุมาเพิ่มเติมต่อจนครบ 10 เล่ม และขอยุติการเขียนตามข้อสัญญา[6] แต่ทางสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยายังไม่อนุญาตให้พนมเทียนยุติการเขียน และได้ขอร้องให้เขียนเพิ่มเติมต่ออีก 5 เล่ม พร้อมกับบอกกล่าวถึงความนิยมของนักอ่านที่มีต่อเพชรพระอุมา ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนต้องมีการตีพิมพ์ซ้ำหลาย ๆ ครั้งด้วยกันในระยะปลาย ๆ ของเล่มที่ 10[6] จนสถิติการตีพิมพ์และการจัดจำหน่ายของนวนิยายเรื่องนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และได้รับการตอบรับจากนักอ่านหลาย ๆ รุ่นเป็นอย่างดีในการช่วยขัดเกลาเนื้อเรื่องของเพชรพระอุมา และแจ้งเตือนแก่พนมเทียนถึงชื่อตัวละครหรือสถานที่ที่ปรากฏในเพชรพระอุมาที่มีการผิดพลาด[7]",
"แม้จะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า เพชรพระอุมา ลอกเค้าโครงเรื่องมาจาก King Solomon's Mine หรือ สมบัติพระศุลี เนื่องจากความคล้ายคลึงกันของตัวละคร วัตถุประสงค์ในการเดินป่า รวมถึงแผนที่ลายแทงของทั้งสองเรื่อง ที่มีเนื้อความใกล้เคียงกันมาก วิทยานิพนธ์ของ สุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา ได้รายงานการศึกษาเชิงเปรียบเทียบสำหรับวรรณกรรมทั้งสองเรื่องนี้ ในบทคัดย่อปรากฏความตอนหนึ่งว่า \"นวนิยายผจญภัยเรื่อง เพชรพระอุมา เป็นนวนิยายที่มีลักษณะเป็นแบบฉบับของพนมเทียนเอง เนื่องจากการได้รับอิทธิพลนั้น เป็นการได้รับอิทธิพลแล้วนำอิทธิพลที่ได้รับนั้นมาสร้างสรรค์และขยายเรื่องราวการผจญภัยใน เพชรพระอุมา ให้สนุกสนานและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสบการณ์ในการเดินป่า และความรู้ในด้านต่างๆ ของตนเองเข้าไปได้อย่างเหมาะสม\" [18] ว.วินิจฉัยกุล ให้ความเห็นว่า \"...'เพชรพระอุมา' ภาค 1 เป็นงานที่สร้างยากกว่า King Solomon's Mines และมีลักษณะเฉพาะของตัวเองชัดมาก ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่า การที่สถาปนิกไทยใช้กระเบื้องมุงหลังคาและเสาปูนของฝรั่ง ตลอดจนหน้าต่างกระจกติดเครื่องปรับอากาศ มาสร้างบ้านไทย ก็หาได้ทำให้บ้านไทยนั้นกลายเป็นบ้านฝรั่งไปไม่ และยิ่งเมื่อใช้พื้นไม้สัก ฝาปะกน ฝาเฟี้ยมแบบไทย มีประตูที่มีธรณีประตูสูง มีหย่อง หรือแผ่นไม้สลักใต้หน้าต่าง มีคันทวยสลักค้ำชายคา นอกชานตั้งเขามอ และไม้ดัดตลอดจนอ่างปลาเงินปลาทอง มันก็กลายเป็นบ้านไทยประยุกต์ที่คนไทยคุ้นตากันนั่นเอง...\"[19]",
"ต่อมาได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ชวนะบุตร ในปี พ.ศ. 2518 จำนวน 22 เล่ม แบ่งเป็นตอน ๆ รวมทั้งสิ้น 5 ตอน ได้แก่ เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ จำนวน 5 เล่ม, ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม, ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม, ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 5 เล่ม และตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม และได้รับการตีพิมพ์เพชรพระอุมาภาคสมบูรณ์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ภายหลังจากพนมเทียนเขียนเพชรพระอุมาภาคแรกจบ โดยเริ่มเพชรพระอุมา ตอน จอมพราน ในวันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2519 ถึง วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2525 และได้นำภาคแรกมาตีพิมพ์ซ้ำจนจบในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2527 และตีพิมพ์ภาคสามของเพชรพระอุมา ตอน มงกุฎไพร ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 ถึง พ.ศ. 2533 โดยนิตยสารจักวาลปืน[13]",
"ดูบทความหลัก ตัวละครในเพชรพระอุมา และ ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา",
"เพชรพระอุมาออกวางจำหน่ายในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค เป็นแบบรายวันคือ 10 วัน ต่อหนังสือ 1 เล่ม และยังคงดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปจนถึงเล่มที่ 40 จนกระทั่งมีความยาวถึง 98 เล่ม เนื้อเรื่องก็ยังไม่สามารถจบลงได้[6] จนกระทั่งเพชรพระอุมาฉบับพ็อตเก็ตบุ๊คเล่มที่ 99 ได้ออกวางจำหน่ายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 จึงได้รับการตีพิมพ์ต่อเนื่องใน \"จักรวาลรายสัปดาห์\" ในปี พ.ศ. 2513 เป็นระยะเวลา 5 ปี และตีพิมพ์ต่อเนื่องใน \"หนังสือพิมพ์เดลินิวส์\" ในปี พ.ศ. 2518 เป็นระยะเวลาอีก 6 ปี พนมเทียนก็ยังไม่สามารถจบเรื่องราวการผจญกัยในป่าของเพชรพระอุมา จนกระทั่งได้รับการตีพิมพ์ต่อใน \"จักรวาลปืน\" ในปี พ.ศ. 2525 อีก 8 ปี เรื่องราวทั้งหมดจึงสามารถจบลงได้ในปี พ.ศ. 2533[6]",
"บทประพันธ์จากประสบการณ์ในการเดินป่าของผู้ประพันธ์มาเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่อง รวมทั้งความรู้ความสามารถในการเดินป่าและอาวุธปืนในการแกะรอยล่าสัตว์[30] ได้รับความสนใจจากนักศึกษาในการทำวิทยานิพนธ์คือ นางสาวสุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา และ นางสาวสริญญา คงวัฒน์ เพื่อนำเสนอถึงคุณค่าและสิ่งที่ได้รับจากนวนิยายเรื่องนี้เสนอต่อ มหาวิทยาลัยทักษิณ",
"เนื้อเรื่องเพชรพระอุมา เป็นเนื้อเรื่องทั้งหมดของนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมาจำนวน 48 เล่ม แบ่งเนื้อเรื่องเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 6 ตอน 24 เล่ม และภาคสมบูรณ์ จำนวน 6 ตอน 24 เล่ม",
"ในแต่ละตอนของเพชรพระอุมา ต่างมีคำนิยมที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประพันธ์ของพนมเทียน ความสนุนสนานของการดำเนินเรื่อง ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของการเดินป่า การใช้ภาษาในการตัดพ้อหรือพร่ำพรรณา ที่พนมเทียนสามารถท่ายถอดให้แก่ตัวละครทุกตัวในเพชรพระอุมา ให้มีชีวิตชีวาโลดแล่นจนเป็นที่รู้จักและผูกพันกับนักอ่านทุกรุ่นทุกสมัย ซึ่งคำนิยมเพชรพระอุมาจากผู้ทรงเกียรติและทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้แก่",
"7 พระกาฬ เป็นภาพยนตร์ไทย ซึ่งดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ แสงเพชร เสนีย์บดินทร์ โดยเป็นเรื่องราวของสายลับที่ได้ปลอมตัวเป็นวายร้ายเข้าไปในองค์กรเพื่อหยุดยั้งแผนการที่จะทำลายประเทศไทยและสืบหาว่านายใหญ่ขององค์กรคือใคร กำกับโดย ชาลี อินทรวิจิตร นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฎร์, ประจวบ ฤกษ์ยามดี, รุจน์ รณภพ, แมน ธีระพล, อดุลย์ ดุลยรัตน์, อดินันท์ สิงห์หิรัญ, อนุชา รัตนมาลย์ ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510",
"เพชรพระอุมาได้สะท้อนภาพให้เห็นถึงลักษณะของการใช้อาวุธปืนสำหรับการล่าสัตว์ในแต่ละขนาดเช่น เสือ กวาง กระทิงหรือช้าง เป็นการสะท้อนความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้อาวุธปืนให้เหมาะกับขนาดของสัตว์ที่ล่า ผ่านทางตัวละครในเพชรพระอุมาจำนวน 4 ลักษณะ[26] ด้วยกันคือ",
"นางสาวสุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง \"นวนิยายแนวผจญภัย:จาก คิง โซโลมอน'ส มายน์ส ล่องไพร จนถึง เพชรพระอุมา (ภาคแรก)\" ในปี พ.ศ. 2541 นางสาวสริญญา คงวัฒน์ ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง \"วิเคราะห์ภาพสะท้อนเชิงพรานในนวนิยายเพชรพระอุมา ของพนมเทียน\"[31]",
"ตัวละครในเพชรพระอุมา เป็นรายละเอียดของตัวละครจากเพชรพระอุมา แยกตามตัวละครหลักและตัวละครรอง ตามแต่ปรากฏในแต่ละภาค ได้แก่ภาคแรกไพรมหากาฬ - แงซายจอมจักรา ในการออกติดตามค้นหาผู้สูญหายและภาคสมบูรณ์จอมพราน - มงกุฎไพร ในการออกติดตามหาเครื่องบิน บี 52 และระเบิดนิวเคลียร์",
"อาวุธปืนในเพชรพระอุมา เป็นการรวบรวมรายละเอียดของปืนที่ใช้ในเรื่องเพชรพระอุมา จากความรู้และทักษะความสามารถทางด้านอาวุธปืนของพนมเทียน ในการนำเอาอาวุธปืนประเภทต่าง ๆ และกระสุนที่ใช้จากประสบการณ์จริง มาผูกเสริมเติมแต่งให้แก่ตัวละครในเพชรพระอุมา รวมทั้งกำหนดลักษณะและผลของการใช้ของปืนแต่ละประเภท ซึ่งปืนที่ใช้ในเพชรพระอุมานั้น มีจำนวนมากมายหลากหลายขนาด รวมทั้งยี่ห้อและรุ่น เช่นปืนไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 โมเดล 70 ปืนลูกซอง ปืนสั้นกึ่งออโตแมติกหรือแม้แต่ปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ในการสงคราม รวมทั้งรายละเอียดและความรู้ทางด้านปืนของแต่ละกระบอก เช่น วิถีกระสุนในการปะทะเป้าหมาย แรงปะทะของปืน ฯลฯ อาวุธปืนที่ใช้ในเพชรพระอุมา มีดังนี้",
"เจาะลึกเบื้องหลังเพชรพระอุมา ก่อนเทียนจะถึงไฟ อินไซด์ เพชรพระอุมา ภาค 1 อินไซด์ เพชรพระอุมา ภาค 2 เพียงพิมพ์ดีดพูดได้ ลึกจากลิ้นชัก Issues of Gun สารพัดเรื่องของ ปืน",
"เว็บไซต์ชุมชนคนรักเพชรพระอุมา เว็บไซต์รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับ เพชรพระอุมา แหล่งรวมข่าวคราว ความเคลื่อนไหวของคนรักเพชรพระอุมา",
"โครงเรื่องของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้เค้าโครงเรื่องมาจากแนวความคิดของเรื่องคิง โซโลมอน'ส มายน์ส ของ เซอร์ฯ แฮกการ์ด ซึ่งเป็นเค้าโครงของการผจญภัยเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง[10] โดยก่อนหน้าที่พนมเทียนจะเขียนเพชรพระอุมาก็ได้มีการวางโครงเรื่องคร่าว ๆ ไว้เช่นเดียวกับงานเขียนอื่น ๆ ซึ่งโครงเรื่องคร่าว ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนวางเอาไว้เพียงเล็กน้อยโดยกำหนดให้เป็นเรื่องราวการผจญภัยในป่าของนายพรานผู้นำทางคนหนึ่งเท่านั้น[10]",
"สำหรับเครื่องเพชรชุดที่ทางการซาอุดิอาระเบียต้องการมากที่สุด คือ เพชรสีน้ำเงิน หรือ \"บลูไดมอนด์\" เนื่องจากเป็น \"เพชรอาถรรพณ์\" แม้กระทั่งช่างที่เจียระไนก็ต้องมีอันเป็นไปสาบสูญไปจากโลก จึงเป็นเพียงเพชรชุดเดียวที่มีอยู่ในโลก และไม่ว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียก็จะทรงจำได้เสมอ เพราะมีการทำตำหนิไว้ด้วยแสงอินฟราเรดอยู่ภายในใจกลางของเม็ด แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบ ซึ่งนายเกรียงไกรสารภาพกับนายโคจาว่า ได้โจรกรรมมาจริง แต่จำไม่ได้แน่ชัดว่าอยู่ในมือใครระหว่างพ่อค้าเพชรกับชุดจับกุม",
"เพชรพระอุมาเป็นนวนิยายที่มีความยาวทั้งสิ้น 48 เล่ม 12 ตอน แบ่งออกเป็นสองภาคคือภาคแรกและภาคสมบูรณ์ ภาคละ 24 เล่ม จำนวน 6 ตอน ซึ่งภาคแรกของเพชรพระอุมาได้แก่ ไพรมหากาฬ, ดงมรณะ, จอมผีดิบมันตรัย, อาถรรพณ์นิทรานคร, ป่าโลกล้านปีและแงซายจอมจักรา สำหรับภาคสมบูรณ์ได้แก่ จอมพราน, ไอ้งาดำ, จิตรางคนางค์, นาคเทวี, แต่ปางบรรพ์และมงกุฎไพร ซึ่งเค้าโครงเรื่องในภาคแรกและภาคสมบูรณ์ของเพชรพระอุมามีดังนี้"
] |
ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ เกิดที่ไหน ? | [
"มิยาโมโตะเกิดวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ที่เมืองโซโนเบะ (ปัจจุบันเป็นเมืองนันตัง) จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในวัยเด็กนั้นมิยาโมโตะชอบการวาดภาพและระบายสี รวมถึงการวาดภาพสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และในปี พ.ศ. 2513 เขาได้เขาเรียนที่วิทยาลัยศิลปะคานาซาวะ (金沢美術工芸大学) ในสาขาออกแบบอุตสาหกรรม ภายหลังจบการศึกษาเขาได้พบกับ ฮิโรชิ ยามาอูจิ ผู้บริหารของนินเทนโดในขณะนั้น ได้รับมิยาโมโตะเข้ามาฝึกงาน"
] | [
"ชิเงะรุ โจชิมะ () เป็นนักร้อง นักแสดง นักกีตาร์ และเป็น 1 ในสมาชิกของวง TOKIO ที่มีอายุมากที่สุด",
"การเป็นสมาชิคยูทูบ เรดทำให้ผู้ใช้สามารถดูวีดีโอในยูทูบได้โดยไม่มีโฆษณาผ่านทางเว็ปไซต์และแอพพลิเคชั่นมือถือ รวมไปถึงแอพพลิเคชั่น ยูทูบมิวสิค และยูทูบเกมมิ่ง ผ่านแอพพลิเคชั่น ผู้ใช้ยังสามารถบันทึกวีดีโอลงบนอุปกรณ์เพื่อดูออฟไลน์และเล่นเป็นเบื้องหลังอีกด้วย ยูทูบ เรดยังให้การเข้าถึงเนื้อหาพรีเมี่ยมซึ่งเป็นต้นฉบับที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนต่อสมาชิค เนื้อหาจะถูกสร้างและเผยแพร่โดยผู้สร้างและช่องที่ใหญ่ที่สุดของยูทูบ นอกจากนี้ยังให้การบริการฟังเพลงผ่านทาง กูเกิ้ล เพล มิวสิค อีกด้วย",
"การที่ทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิ ทำให้ปมนี้เป็นอันตกไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนายพลแมคอาเธอร์คิดว่า พระองค์มีแนวโน้มที่จะเป็นพันธมิตรที่จะทำให้สหรัฐได้รับประโยชน์ในอนาคต อีกส่วนคือการดำเนินการของชิเงะรุ โยะชิดะ นายกรัฐมนตรี ที่ขัดขวางความพยายามที่จะทำให้จักรพรรดิเป็นพระมหากษัตริย์ตามในแบบของยุโรป",
"เพลงที่มีในอัลบัม :\nมิจิชิลูบิ/เบียคุยะ~ทรูไลท์~",
"ดองกีคอง () เป็นคิงคองที่อาศัยอยู่ในบ้านต้นไม้ มีเพื่อนสนิทชื่อดิดดี้ คอง เป็นลิงแมงมุมใส่หมวกแก๊ปสีแดงซึ่งผนึกไว้โลโก้นินเท็นโด เป็นศัตรูของมาริโอและคิง เครูล ดองกีคองถูกสร้างขึ้นมาโดยชิเงะรุ มิยะโมะโตะ",
"ดองกีคอง()เป็นคิงคองที่อาศัยอยู่ในบ้านต้นไม้มีเพื่อนสนิทชื่อดิดดี้ คองเป็นลิงแมงมุมใส่หมวกแก้ปสีแดงจะมีโลโก้นินเท็นโดติดไว้ด้วย เป็นศัตรูของมาริโอและ คิง เครูล ดองกี(อังกฤษ: Donkey) หมายความว่าโง่ในภาษาไทย ดองกีคองโดนสร้างโดยชิเงะรุ มิยะโมะโตะ",
"มิยะโมะโตะ มุซะชิ () เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2127 ที่เมืองฮะริมะ (Harima) เป็นซามูไร ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากคนหนึ่ง ว่ากันว่าเขาไม่เคยสู้แพ้ใคร โดยการสู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา คือ การสู้กับ ซะซะกิ โคะจิโร และรวมถึงมีอยู่ครั้งหนึ่งมุซาชิเคยถูกลูกศิษย์ในสำนักของโยชิโอกะตามไล่ฆ่า เพราะมุซาชิได้สังหารเจ้าสำนักของโยชิโอกะตายถึง 3 คนและได้ฆ่าลูกศิษย์ของโยชิโอกะที่ตามฆ่าไปถึง 70 กว่าคนภายในเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน",
"เมื่อตอนเช้าของวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1931 ปืนใหญ่ได้ถูกติดตั้งไว้ที่ที่พักของนายทหารญี่ปุ่นทำการเปิดฉากระดมยิงใส่ที่ตั้งของทหารจีน เพื่อที่จะตอบโต้ทหารจีนตามข้อกล่าวหาในการรุกรานทางรถไฟ กองกำลังทางอากาศเพียงเล็กน้อยของจีนซึ่งนำโดยจาง เซวเหลียงถูกทำลาย ทหารจีนต้องถอนกำลังออกจากค่าย Beidaying ทหารญี่ปุ่นเพียงห้าร้อยนายโจมตีที่ตั้งของทหารจีนจำนวนเจ็ดพันนาย แต่เนื่องจากทหารจีนส่วนมากเป็นทหารใหม่หรือทหารเกณฑ์ จึงไม่อาจต้านทานทหารญี่ปุ่นซึ่งมีประสบการณ์เหนือกว่าได้เลย เมื่อเวลาผ่านไปถึงตอนเย็น ทหารจีนห้าร้อยนายเสียชีวิต ขณะที่ญี่ปุ่นเสียทหารไปเพียงสองนายเท่านั้น ขณะเดียวกันที่เมืองต้าเหลียน ผู้บัญชาการกองทัพควันตง นายพลชิเงะรุ ฮนโจ รู้สึกใจหายที่การรุกรานเกิดขึ้นโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเขา แต่ว่าเขาถูกโน้มน้าวโดยอิชิวะระและให้อนุญาตในภายหลัง เขาได้ย้ายกองบัญชาการใหญ่กองทัพควันตงไปยังมุกเดน และออกคำสั่งให้นายพลเซ็นจูโร ฮะยะชิ แห่งกองทัพที่ถูกเลือกของญี่ปุ่นในเกาหลีส่งกำลังเสริมมายังพื้นที่ เมื่อถึงเวลา 4.00 น. ของวันที่ 19 กันยายน มุกเดนถูกยึด และเครื่องบินของกองทัพที่ถูกเลือกก็สามารถลงจอดที่มุกเดนได้ จาง เซวเหลียง ซึ่งได้รับคำสั่งจากพรรคก๊กมินตั๋งให้ดำเนินนโยบายไม่ต่อต้าน ได้สั่งห้ามไม่ให้ทหารของเขาต่อสู้และวางอาวุธในกรณีที่ทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามา ทหารญี่ปุ่นจึงมุ่งหน้าสู่ชางชุน ตานตองและบริเวณรอบข้างอย่างง่ายดาย และแม้จะมีการต่อต้านจากกองกำลังท้องถิ่นในภายหลัง นครสำคัญในมณฑลเหลียวหนิง มณฑลจี๋หลินและมณฑลเฮย์หลงเจียงก็ถูกกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดได้ในเวลาเพียงห้าเดือนหลังจากกรณีมุกเดนเริ่มต้น",
"เพลงที่มีในอัลบัม :\nเคดส์ เบิดร์/มิจิชิลูบิ (อคุสติก เวอร์ชั้น)",
"ซูเปอร์มาริโอเวิลด์ () หรือชื่อเมื่อเริ่มออกจำหน่ายในญี่ปุ่นคือ ซูเปอร์มาริโอบราเธอส์ 4 () เป็นวิดีโอเกมแพลตฟอร์มที่พัฒนาและจำหน่ายโดยนินเท็นโด จำหน่ายแบบเกมแพ็กอิน (pack-in) สำหรับเครื่องเล่นซูเปอร์แฟมิคอม และเป็นเกมที่ห้าในวิดีโอเกมชุดซูเปอร์มาริโอ เกมพัฒนาโดยทีมนินเท็นโดอีเอดี นำโดยชิเงะรุ มิยะโมะโตะ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเกม",
"ชิเกะรุ อะมะชิ (4 มีนาคม ค.ศ. 1931 - 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1985) เป็นนักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น ซึ่งชิเกะรุแสดงภาพยนตร์มากถึง 120 เรื่อง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 ถึง ค.ศ. 1984",
"ทีมนินเท็นโดอาร์แอนด์ดี1 ของกุมเปอิ โยะโกะอิ นักสร้างเกมบอย ทำตามคำขอของผู้บริหารนินเท็นโด ฮิโระชิ ยะมะอุชิ ให้พัฒนาเกมมาริโอเกมหนึ่งลงเครื่องเล่นเกมใหม่ แรกเริ่มเป็นรุ่นพกพาของมาริโอ และเป็นเกมแรกที่ทำขึ้นโดยไม่มีความร่วมมือจากชิเงะรุ มิยะโมะโตะ ด้วยเหตุนั้น ทีมพัฒนาลดคุณสมบัติของเกมมาริโอลงให้เหมาะกับอุปกรณ์ และใช้บางคุณสมบัติที่ไม่สอดคล้องกับเกมในชุด ซูเปอร์มาริโอแลนด์ถูกคาดหวังว่าเป็นเกมที่แสดงจุดเด่นของเครื่องเล่นจนกระทั่งเกมเตตริส ที่ผลิตโดยนินเท็นโดอเมริกาออกจำหน่ายสำหรับเกมบอย เกมออกคู่กับเกมบอยครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น (เมษายน ค.ศ. 1989) และจำหน่ายทั่วโลกหลังจากนั้น \"ซูเปอร์มาริโอแลนด์\"ถูกจำหน่ายซ้ำพร้อมเปิดตัวเครื่องเล่นนินเท็นโด 3ดีเอส ผ่านคอนโซลเสมือน ใน ค.ศ. 2011 ซึ่งแสดงให้เห็นการปรับเปลี่ยนภาพให้เหมาะสมกับเครื่องเล่นด้วย",
"เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา อะลิงก์ทูเดอะแพสต์ หรือ (; ) เป็นเกมแอคชั่นแอดเวนเจอร์ที่พัฒนาและจัดจำหน่ายโดยนินเทนโดสำหรับเครื่องเล่นเกม ซูเปอร์แฟมิคอม เกมนี้เป็นภาคที่สามของซี่รีย์เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา ซึ่งจัดจำหน่ายในญี่ปุ่นในปี 1991 อเมริกาเหนือและยุโรปในปี 1992 โดยที่ชิเงะรุ มิยะโมะโตะและทีมงานเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาทั้งหมด",
"ชิเกะรุ อะโอะยะมะ (เกิด 27 เมษายน ค.ศ. 1969) เป็นนักวอลเลย์บอลชาวญี่ปุ่น เคยเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1992",
"มิยะโมะโตะยังไม่ค่อยมีผลงานการออกแสดงบนเวทีมากนัก และยังไม่มีมิวสิกวิดีโอเป็นของตัวเอง แต่จะเล่นสดแทน ทำให้ผู้ชมได้มองเห็นถึงความสามารถของเขา",
"ชุนอิชิ มิยะโมะโตะ () เป็นนักร้องและนักพากย์ชายชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2529 ที่จังหวัดโตเกียว กรุ๊ปเลือด A สังกัดค่าย tri-Arion สำหรับงานเพลง และค่าย ALP Music สำหรับงานพากย์",
"เดอะเลเจนด์ออฟเซลดา () เป็นเกมชุดประเภทแอ็กชันผจญภัยที่กล่าวถึงวีรบุรุษในตำนาน ริเริ่มโดยนักออกแบบเกมชาวญี่ปุ่น ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ (宮本 茂) พัฒนาและวางจำหน่ายโดยนินเทนโด (Nintendo) เกมชุดนี้เป็นการผสมผสานระหว่างเกมแอ็กชัน เกมผจญภัย เกมปริศนา เกมเล่นตามบทบาท (RPG) ในบางโอกาสก็มีการใช้เกมมุมมองด้านข้าง (platform) เกมสายลับ (stealth) หรือเกมแข่งขัน (racing) ประกอบอยู่ด้วย",
"เพกาซัส เซย์ย่า: มาซาฮิโระ นาคาอิ (SMAP) ดราก้อน ชิริว: สึโยชิ คุซานางิ (SMAP) ซิกนัส เฮียวงะ: คัตสึยูกิ โมริ (SMAP) อันโดรเมด้า ชุน: ชิงโง คาโทริ (SMAP) ฟินิกซ์ อิคคิ: โกโร่ อินางาคิ (SMAP) เจ้าสมุทรโปเซดอน / จูเลียน โซโล: ทาคุยะ คิมุระ (SMAP) อาริเอส มู: ชิเงะรุ โจชิมะ (TOKIO) เวอร์โก้ ชากะ: ไทจิ โคคุบุน (TOKIO) สกอร์เปี้ยน มิโร: มาซาฮิโระ มัตสึโอกะ (TOKIO) ทอรัส อัลเดบารัน: ทัตสึยะ ยามางุจิ (TOKIO) เลโอ ไอโอเรีย: ฮิโรมุ โคจิมะ (TOKIO) อาธีน่า: ชิโนบุ นากายามะ ซีดราก้อน คาน่อน: ทาเคชิ มายะ ไซเรน โซเรนต์: ยู ไดกิ เมอร์เมด เททิส: เมงุมิ ยูกิ",
"เคียว () หรือฉายาว่า เคียว นัยน์ตายักษ์ () เป็นตัวละครหลักในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง ซามูไรดีปเปอร์เคียว ถูกเรียกว่านักฆ่าพันศพเพราะได้สังหารศัตรูไปมากมายในสงครามที่ทุ่งเซคิงาฮาระ และพ่ายแพ้ให้กับมิบุ เคียวชิโร่ ถูกนำร่างที่แท้จริงไปซ่อนไว้และใช้ร่างร่วมกับเคียวชิโร่ สี่ปีต่อมาก็ได้ออกมาสู่เบื้องหน้าและตามหาร่างที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในทะเลป่าอาโอคิงาฮาระ",
"โยชิส์ไอส์แลนด์ได้รับการยกย่อง \"ทันที\" และ \"เป็นสากล\" จากข้อมูลของเว็บไซต์ไอจีเอ็น และเว็บไซต์รวมคะแนน เมทาคริทิก และขายได้มากกว่า 4 ล้านหน่วย นักวิจารณ์ทั้งร่วมสมัยและสมัยเก่าให้คำยกย่องในเรื่องภาพของเกม เสียง การออกแบบด่าน และการเล่น และกำหนดโยชิส์ไอส์แลนด์ให้เป็นชิ้นเอกและเกมแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดตลอดกาล เกมสร้างชื่อเสียงให้โยชิในฐานะตัวละคร และอาชีพการงานของมิยะโมะโตะ รูปแบบศิลปะที่โดดเด่นและลักษณะพิเศษของโยชิในเกมโยชิส์ไอส์แลนด์จะปรากฏในเกมชุดโยชิ ทั้งการปรากฏตัวเป็นเวลาสั้น ภาคแยก และภาคต่อ ได้แก่ \"โยชิส์สตอรี\" (1998) \"โยชิส์ไอส์แลนด์ดีเอส\" (2006) และ\"โยชิส์นิวไอส์แลนด์\" (2013) เกมแพลตฟอร์ม มาริโอ 2D สำหรับคอนโซลในบ้านเกมต่อมาคือ \"นิวซูเปอร์มาริโอบราเธอส์วี\" จำหน่ายใน 14 ปีต่อมา",
"ตัวละครหลักตั้งชื่อตามทะจิริเองว่า ซาโตชิ โดยเขาพรรณาให้เป็นตนเองในวัยรุ่น และตั้งอีกชื่อหนึ่งตามเพื่อนสนิท ต้นแบบ ที่ปรึกษา และนักพัฒนาของนินเท็นโด ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ ให้ชื่อตัวละครนั้นว่า ชิเงรุ เค็น ซุงิโมะริ ศิลปินและเพื่อนของทะจิริพัฒนาภาพวาดและแบบของโปเกมอน โดยทำงานกับทีมงานน้อยกว่าสิบคนเพื่อออกแบบโปเกมอนทั้งหมด 151 ตัว ซุงิโมะริตรวจสอบแบบครั้งสุดท้าย และวาดโปเกมอนออกมาในหลายมุมเพื่อช่วยให้ฝ่ายกราฟิกเรนเดอร์โปเกมอนให้ ดนตรีในเกมแต่งโดยจุนิชิ มาสุดะ โดยเขาใช้ประโยชน์จากช่องเสียงสี่ช่องของเกมบอยในการสร้างทำนองและเสียงประกอบ และ \"เสียงร้อง\" ของโปเกมอนที่จะได้ยินเมื่อเผชิญหน้ากับมัน เขากล่าวว่าชื่อฉากเปิดเกมคือ \"มอนสเตอร์\" ผลิตด้วยภาพฉากต่อสู้ที่มาจากความคิด ใช้สัญญาณรบกวนสีขาวเพื่อให้ฟังคล้ายดนตรีสวนสนามและเลียนแบบเสียงกลองเล็ก",
"ชุนอิชิ มิยะโมะโตะ () เป็นนักร้องและนักพากย์ชายชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2529 ที่จังหวัดโตเกียว กรุ๊ปเลือด A สังกัดค่าย tri-Arion สำหรับงานเพลง และค่าย ALP Music สำหรับงานพากย์",
"มะซะโตะ ซะไก เป็น โทะกุงะวะ อิเอะะซะดะ โชตะ มะสึดะ เป็น โทะกุงะวะ อิเอะะโมะจิ ทะเกะฮิโระ ฮิระ เป็น โทะกุงะวะ โยะชิโนะบุ ชิเงะรุ ไซกิ เป็น โทะกุงะวะ อิเอะะโยะชิ",
"ผู้ริเริ่มสร้างเกมเดอะเลเจนด์ออฟเซลดา ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ (宮本 茂) ได้รับแรงบันดาลใจจากช่วงชีวิตในวัยเด็กของเขา เขาเคยอาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาในเกียวโต[3] ซึ่งเขาสามารถเดินสำรวจป่าไม้ ทะเลสาบ ถ้ำ และหมู่บ้านในชนบทด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ ประสบการณ์อย่างหนึ่งที่เขาระลึกได้คือการค้นพบปากถ้ำในใจกลางของป่า หลังจากที่ลังเลอยู่นานเขาก็ได้เข้าไปในถ้ำและสำรวจถ้ำด้วยแสงสว่างจากตะเกียง ความทรงจำนี้เป็นสิ่งจูงใจให้กับผลงานของมิยะโมะโตะ ซึ่งการสำรวจถ้ำเป็นสาระหลักที่มักปรากฏในเกมชุดเป็นส่วนมาก (โดยแสงสว่างจากตะเกียงหรือคบเพลิง) นอกเหนือจากประสบการณ์ในวัยเด็กแล้ว ตำนานเทพเจ้าสแกนดิเนเวียและปุราณวิทยาของญี่ปุ่นก็ยังเป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญในการสร้างโครงเรื่องหรือการออกแบบสัตว์ประหลาด มิยะโมะโตะอ้างถึงการสร้างสรรค์ของเกมชุดนี้ว่าเป็นความเพียรพยายามที่จะทำ \"สวนขนาดย่อม\" ของเขาให้มีชีวิตชีวาเพื่อให้ผู้เล่นเกมได้เล่นในแต่ละภาค[4]",
"พรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่นถือกำเนิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2498 จากการรวมตัวของสองพรรคได้แก่ พรรคเสรีนิยม (Liberal Party; ) ซึ่งนำโดยนายโยะชิดะ ชิเงะรุ () และพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (Japan Democratic Party; ) ของนายฮะโตะยะมะ อิชิโร่ () ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันเป็นการรวมตัวกันของพรรคอนุรักษนิยมฝ่ายขวาขนาดใหญ่ทั้งสองพรรค เพื่อเป็นการต่อต้านพรรคฝ่ายซ้ายอื่นๆในญี่ปุ่นขณะนั้นเช่น พรรคสังคมนิยมญี่ปุ่น (Japan Socialist Party; ) หรือ พรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น (Japan Communist Party; ) ในสมัยต่อมาหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ของสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยว่า ในช่วงสงครามเย็น สำนักข่าวกรองกลางหรือ CIA ของสหรัฐอเมริกาได้ใช้เงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ในการทำให้พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้ง เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ลัทธิคอมมิวนิสต์รุ่งเรืองขึ้นในญี่ปุ่น",
"ชิเงะรุ มิยะโมะโตะได้เริ่มสัมภาษณ์เกี่ยวกับที่เขาต้องการมาริโอขี่สัตว์ที่เป็นสหายหลังจากความสำเร็จเกี่ยวกับเกมซูเปอร์มาริโอบราเธอร์ส ข้อจำกัดในแฟมิคอมเก็บความเป็นไปได้แต่ด้วยการพัฒนาซูเปอร์แฟมิคอมแล้วคู่หูสัตว์ของมาริโอก็โดนสร้างขึ้น โยชิโดนสร้างโดยชิเงะฟุมิ ฮิโนะนักออกแบบกราฟฟิค\nโยชิ ชิเงะฟุมิ ฮิโนะเอามาจากตัวละครในนินเทนโด ทามากอน มาจากเกมเดวิลเวิล์ดซึ่งลักษณะคล้ายๆโยชิ ทามากอนเป็นกิ้งก่าสีเขียวฟักออกมาจากไข่และสามารถกินศัตรูด้วยปากของเขาได้แล้วทำเสียงดังเมื่อมันฟักเหมือนที่โยชิทำในเกมซูเปอร์มาริโอเวิล์ดนอกจากนี้ตามด้วยทาเคชิ เทสึกะในหนังสือ\"ประวัติซูเปอร์มาริโอในปี 1985-2010\" แต่เดิมโยชิจะเป็นคุปปะและอานของโยชิควรจะเป็นกระดอง การออกแบบโยชิโดนเปลี่ยนแปลงและปรับแต่งระหว่างเกมมีมากกว่ากระบวนการของยุคซูเปอร์แฟมิคอมและยุคของนินเทนโด 64 ในการปรากฎตัวครั้งแรกของมัน โยชิคอยาว แขนเล็ก โยชิเตี้ยและอ้วนกว่าด้วยแขนที่ยาวกว่าและมือที่เหมือนกว่ามนุษย์ ในเกมโยชิ สตอรี่ โยชิโดนเติมวัดส่วนที่ตรงกว่านี้ และการออกแบบเกมโยชิ สตอรี่เหมือนกับการออกแบบทั่วไปโยชิที่ใช้ตั้งแต่ที่เคยเป็นมา\nในภาคซูเปอร์มาริโอเวิลด์โยชิปรากฎตัวแค่สี่สี สีเขียว สีแดง สีฟ้า และ สีเหลือง ด้วยเวทย์มนตร์ของบาวเซอร์ทำให้โยชิ ทั้งหมดยกเว้น โยชิสีเขียว และไข่เหล่านั้นโดนส่งไปให้คุปปะลิงส์เพื่อดูแลไข่ไม่ให้โดนชิงไปและเมื่อโยชิสีเขียวจะไปช่วยพวกเพื่อนๆของเขาแต่เขาโดนกับดักทำให้เขาเข้าไปในกล่องในเกาะโยชิ ในที่สุดมาริโอและลุยจิก็ปล่อยให้เขาเป็นอิสระโยชิสีเขียวได้เตือนพวกเขาว่าในเกาะโยชิอันตราย และทั้งสามก็ไปช่วยเพื่อนของโยชิและเจ้าหญิงพีชไปด้วยกัน โยชิสามารถใช้ลิ้นของเขากินศัตรูเกือบทุกตัวในเกมรวมไปถึงโยชิสามารถกินศัตรูที่มาริโอและลุยจิไม่สามารถล้มได้ ถ้าศัตรูโจมตีเขา เขาจะวิ่งหนีทิ้งมาริโอและลุยจิแต่ก็สามารถกลับไปขี่ได้อีกครั้งเมื่อมาริโอและลุยจิตามมันมันก็จะหยุดวิ่งและจะสามารถขี่ได้อย่างเดิม ในเกมโยชิไม่สามารถเข้าบ้านผีสิงได้ (ยกเว้นเรือผีสิง) ปราสาทของคุปปะลิงส์ และปราสาทของบาวเซอร์เพียงได้แค่รออยู่ข้างนอกรอมาริโอและลุยจิกลับมา โยชิสามารถกินกระดองของคุปปะได้เมื่อกินจะไม่สามารถกลืนได้แต่จะสามารถปล่อยมาอีกครั้งเป็นพลัง กินกระดองคุปปะสีแดงแล้วสามารถพ่นไฟ กินกระดองของคุปปะสีฟ้าแล้วสามารถบินได้ ยกเว้นกระดองของคุปปะสีเขียวซึ่งไม่ได้พลังอะไร",
"เพลงที่มีในอัลบัม :\nมิจิชิลูบิ/เบียคุยะ~ทรูไลท์~",
"มิยะโมะโตะยังไม่ค่อยมีผลงานการออกแสดงบนเวทีมากนัก และยังไม่มีมิวสิกวิดีโอเป็นของตัวเอง แต่จะเล่นสดแทน ทำให้ผู้ชมได้มองเห็นถึงความสามารถของเขา",
"มิยะโมะโตะ มุซะชิ เสียชีวิตในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2188 ในเมืองฮิโงะ (Higo) ด้วยวัย 61 ปี มิยะโมโตะ มุซะชินั้นได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดซามุไร ในยุคนั้นอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นต้นแบบในการใช้ดาบ 2 มือ",
"รูปแบบเกมที่เป็นเหมือนภาพวาดด้วยมือมีที่มาจากผู้ผลิตและสร้างมาริโอ ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ ที่เกลียดกราฟิกพรีเรนเดอร์ของคอมพิวเตอร์ของเกม\"ดองกีคองคันทรี\" หลังจากพัฒนาเกมสี่ปี \"โยชิส์ไอส์แลนด์\"ออกจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1995 และจำหน่ายทั่วโลกหลังจากนั้นสองเดือน เทคนิคพิเศษบางอย่างได้รับการปรับปรุงด้วยไมโครชิปซูเปอร์เอฟเอกซ์ 2 เกมออกจำหน่ายสำหรับเครื่องเล่นเกมบอยแอ็ดวานซ์ โดยมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยภายใต้ชื่อโยชิส์ไอส์แลนด์: ซูเปอร์มาริโอแอ็ดวานซ์ 3 เกมรุ่นนี้ถูกนำมาจำลองผ่านคอนโซลเสมือนวียูใน ค.ศ. 2014 และเป็น \"โปรแกรมตัวแทน\" ส่งเสริมสำหรับเครื่องเล่นนินเท็นโด 3ดีเอส ใน ค.ศ. 2011 โดยเฉพาะ"
] |
กลุ่มอาเซียนมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร? | [
"อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการลงนามใน ปฏิญญากรุงเทพฯ อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติ[4] หลังจาก พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศในปัจจุบัน กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น[5] เขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วยสามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558[6]"
] | [
"ผู้นำของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาเธร์ โมฮัมหมัดแห่งมาเลเซีย ตระหนักถึงความจำเป็นในการรวมกลุ่มประเทศกันอย่างจริงจัง โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2540 อาเซียนได้เริ่มตั้งก่อตั้งองค์การหลายแห่งในความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อาเซียนบวกสามเป็นองค์การแรกที่ถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตามด้วยการประชุมเอเชียตะวันออก ซึ่งมีอีกสามประเทศที่เข้าร่วมด้วย คือ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กลุ่มดังกล่าวมีแผนการที่เป็นรากฐานของประชาคมเอเชียตะวันออกในอนาคต ซึ่งร่างขึ้นตามอย่างของประชาคมยุโรปซึ่งปัจจุบันสิ้นสภาพไปแล้ว หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิอาเซียนขึ้น เพื่อศึกษาผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบของนโยบายดังกล่าว รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการร่างกฎบัตรอาเซียนในอนาคต",
"หมอกควันสร้างผลกระทบต่อความเสียหายทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันกลายเป็นปัญหาระหว่างชาติ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประสบปัญหาไฟป่าและหมอกควันเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ จึงได้เกิด \"ความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน - ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution\" อันมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ลด และติดตามตรวจสอบมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน อันเป็นผลเนื่องจากไฟบนพื้นดิน และ/หรือไฟป่า โดยอาศัยความพยายามร่วมกันในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ ข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศสมาชิก 6 ประเทศได้ให้สัตยาบันในความตกลงนี้ ซึ่งประเทศไทยพร้อมด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศได้ร่วมลงนามในข้อตกลงฯ นี้ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ณ กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และได้ดำเนินการให้สัตยาบันครบ 6 ประเทศเมื่อปลายปี พ.ศ. 2546 ส่งผลให้ข้อตกลงฯ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ประเทศที่ให้สัตยาบันทั้ง 9 ประเทศ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย พม่า สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์",
"ในด้านการลงทุน ทั้งเวียดนามและประเทศในกลุ่มอาเซียนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าไปลงทุนในเวียดนามโดยเวียดนามจะสามารถดูดซึมเทคนิค วิทยาการและเทคโนโลยีที่ผ่านมากับการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการร่วมทุน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการผลิตของเวียดนาม และขณะเดียวกัน นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศและประกาศกฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็ให้ความสนใจลพยายามแสวงหาโอกาสเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ทั้งนี้เพราะอาเซียนก็สนใจในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากเวียดนามเป็นตลาดใหญ่มีประชากรถึง 73 ล้านคน มีความสมบูรณ์ทางทรัพยาธรรมชาติ มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาถูก การมีเวียดนามเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นจะทำให้อาเซียนมีประชากรเพิ่มเป็น 420 ล้านคน และจะมีผลผลิตมวลรวมภายในถึง 500 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ อันจะทำให้อาเซียนมีศักยภาพในการขยายตัวกางเศรษฐกิจได้มากขึ้นไปอีก",
"หลักทรัพย์ Asean Stars ประกอบด้วยหุ้นที่มีขนาดใหญ่โดยพิจารณาจากมูลค่าของหลักทรัพย์ตามราคาตลาดและสภาพคล่องของหลักทรัพย์จำนวน 210 ตัวหรือ 30 หลักทรัพย์จากแต่ละตลาดหลักทรัพย์ โดย Asean Stars มีวัตถุประสงค์เพื่อรวมกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีความน่าสนใจของตลาดหลักทรัพย์แต่ละแห่ง (หุ้นบลูชิพ) ของตลาดหลักทรัพย์อาเซียน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนที่ไม่มีความคุ้นเคยในการลงทุนหุ้นของตลาดหลักทรัพย์อาเซียน สามารถเลือกหุ้นที่ต้องการได้ง่ายยิ่งขึ้น",
"ภารดาบัญชา แสงหิรัญ อธิการบดี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ กับ Mr. Zheng Yan Kang (Tsinghua University) และ Mr. Bai He Lin (China Railways) จัดตั้ง สถาบันวิจัยชิงหัว - เอแบค เพื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Tsinghua - ABAC AEC Research Institute) ณ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตสุวรรณภูมิ วัตถุประสงค์หลักของสถาบันวิจัยชิงหัว - เอแบค เพื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 1. เพื่อการแสวงหาความรู้ ความจริง เพื่อได้มาซึ่งปัญญาทางการตลาด การท่องเที่ยวและบริการ การพัฒนาองค์กร และด้านสังคมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2. เพื่อการสร้างความรู้โดยใช้กระบวนการ วิจัย วินิจฉัย เพื่อเป็นฐานรากแห่งปัญญา 3. เพื่อการนำความรู้ที่ได้ผ่านกระบวนการ กลั่นกรอง วิเคราะห์ สังเคราะห์เพื่อสร้างให้เป็นความรู้เชิงลึกและเชิงปฏิบัติการ 4. เพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดซึ่งปัญญาทางการตลาดที่เลือกเฟ้นสู่ผู้ประกอบการโดยมุ่งเป้าไปที่วิสาหกิจการขนาดกลางและย่อม และธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีความมุ่งมั่นจะพัฒนาตนเองสู่ความยั่งยืน",
"ในปี พ.ศ. 2550 กลุ่มอาเซียนได้เฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งกลุ่มอาเซียน และครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา[25] ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มอาเซียนตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีทุกฉบับกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ภายในปี พ.ศ. 2556 ไปพร้อมกับการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558[26][27] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน และยกระดับกลุ่มอาเซียนให้เป็นองค์การระหว่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553[28][29] นับเป็นเขตการค้าเสรีที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและมีมูลค่าจีดีพีคิดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก[30][31]",
"ตลาดหลักทรัพย์อาเซียน () เป็นตลาดในกลุ่มอาเซียน 7 แห่ง ประกอบด้วยตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ , สิงคโปร์, ไทย, โฮจิมินห์, และฮานอย โดยจะร่วมกันยกระดับหุ้นในอาเซียนให้เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะเพิ่มสภาพคล่องของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียน ด้วยการส่งเสริมธุรกรรมข้ามตลาด การเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการเข้าถึงตลาดหลักทรัพย์อาเซียนให้สะดวกและง่ายขึ้น และการออกผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ในอาเซียน ซึ่งความร่วมมือของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนจะเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดการลงทุนมายังภูมิภาค",
"มูลนิธิพระยาวุฒาธิคุณ (แพ ณ หนองคาย) และคุณหญิงบัวศรี ณ หนองคาย เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่จัดตั้งขึ้นโดยทายาทบุตรหลานผู้สืบสกุลจากพระยาวุฒาธิคุณ (แพ) และเครือญาติของผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล ณ หนองคาย จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการศึกษา ศิลปะ และวัฒนธรรม อาทิ การจัดเวทีเสวนาวิชาการเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการกำเนิดเมืองหนองคาย และเมืองหนองคายกับอาเซียน เนื่องในวาระการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนการช่วยเหลืองานการสาธารณกุศลต่างๆ เช่น บริจาคและสมทบทุนช่วยเหลือมูลนิธิมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร ประจำเดือน สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น",
"การประชุมสุดยอดอาเซียน[2] (English: ASEAN Summit) เป็นการประชุมประจำปีที่จัดขึ้นโดยสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) ภายใต้หัวข้อ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แนวทางในการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ ของเหล่าสมาชิก",
"กฎบัตรอาเซียน เป็นร่างสนธิสัญญาที่ทำร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรของสมาคม ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้",
"การสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเวียดนามมองว่าเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการปรับสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์และการปรับนโยบายต่างประเทศ การเข้ารวมกลุ่มอาเซียนจะทำให้เวียดนามมีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศจากสมาชิกต่างๆ อันจะมีส่วนเอื้ออำนวยและเร่งการพัฒนาของตนไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาดซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของการแข่งขันได้ในที่สุด เวียดนามให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและระบบเศรษฐกิจของโลก การเป็นสมาชิกของอาเซียนจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในเขตการค้าเสรีอาเซียน และนำเวียดนามไปสู่ความคุ้นเคยกับแนวทางปฏิบัติในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับโลก อันจะมีผลดีและเป็นปัจจัยประการหนึ่งที่จะผลักดันเวียดนามให้ก้าวไปสู้การเป็นสมาชิกของ APEC และ WTO ได้ในที่สุด ในฐานะของสมาชิกอาเซียน เวียดนามหวังที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการค้าและการลงทุนกับประเทศอาเซียนทั้งหลาย ขณะเดียวกันในขณะที่การค้าภายในกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว เวียดนามก็ได้ตระเตรียมและปรับทิศทางการส่งออกของตนที่จะไปสู่ตลาดอาเซียนนี้อย่างจริงจังมากขึ้น การนำเข้าของเวียดนามจากอาเซียนในขณะนี้เป็นครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมดของทั้งหมดของเวียดนาม และประมาณร้อยละ 30 ของการค้าทั้งหมดของเวียดนามที่มีกับอาเซียนนอกจากนี้ เวียดนามยังหวังว่าตนจะได้รับสิทธิพิเศษ GSP อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป และเวียดนามยังจะเป็นจุดส่งออกที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ",
"ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนเป็นการประชุมหลายฝ่ายอย่างเป็นทางการในภาคพื้นแปซิฟิก ในเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ประชุมดังกล่าวประกอบด้วย ประเทศสมาชิก 27 ประเทศ; ออสเตรเลีย บังกลาเทศ แคนาดา สาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพยุโรป อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ มองโกเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี รัสเซีย ติมอร์-เลสเต สหรัฐอเมริกา และศรีลังกา จุดประสงค์ของที่ประชุมเพื่อการปรึกษาหารือ นำเสนอความไว้วางใจและธำรงความสัมพันธ์ทางการทูตในกลุ่มสมาชิก ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนจัดการประชุมครั้งแรกในปี 2537[68][69]",
"ปฏิญญาอาเซียน (English: ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญากรุงเทพฯ (English: Bangkok Declaration) เป็นเอกสารในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 โดยในขณะนั้นมีสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซียและฟิลิปปินส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสกัดการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม โดยกำหนดหลักการเบื้องต้นของอาเซียน อย่างเช่น การร่วมมือกัน มิตรภาพและการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวต่อสถานการณ์ภายในประเทศสมาชิกทั้งหมด[1] วันดังกล่าวมีการจัดการเฉลิมฉลองเป็น วันอาเซียน[2]",
"ปี พ.ศ. 2559 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ASEAN Centre of Military Medicine: ACMM) ที่กรมแพทย์ทหารบก โดยมีนายเล เลือง มินห์ (H.E. Le Luong Minh) เลขาธิการอาเซียน รวมทั้งผู้บัญชาการระดับสูงของเหล่าทัพและผู้เกี่ยวข้อง ผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียนและผู้แทนรัสเซีย ในฐานะประเทศคู่เจรจาที่ให้การสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าว และนางสาวภาสพร สังฆสุบรรณ์ รองอธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง การเปิดศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนอย่างเป็นทางการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการประสานความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในด้านการแพทย์ทหารในภูมิภาคอาเซียน แสดงบทบาทเชิงรุกและความพร้อมของไทยในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์ในสถานการณ์ต่างๆ และให้สามารถสนับสนุนความร่วมมือในภูมิภาคได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ความมั่นคงทางทะเล การรักษาสันติภาพ การต่อต้านการก่อการร้าย การปฏิบัติการทุ่นระเบิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประสานความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในด้านการแพทย์ทหารในอาเซียนหน่วยเวชกรรมป้องกัน กองทัพบก",
"มหาวิทยาลัยพะเยากำหนดวัตถุประสงค์เป็น core purpose เน้นร่วมกันในการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งให้นิสิตอยู่และเรียน (Live and Learn) อย่างมีความสุข จบไปมีงานทำและเป็นคนดีของสังคม ดังนั้นวิทยาลัยการจัดการ กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยพะเยา จึงเพิ่มโอกาสการทำงานทั่วโลก โดยการส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่นิสิตทั้งด้านองค์ความรู้และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ นิสิตสามารถเลือกกลุ่มเรียนได้ทั้งกลุ่มเรียนที่ใช้ภาษาไทยเป็นสื่อการสอน และกลุ่มเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอนตามระดับความสามารถการใช้ภาษาของผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อมนิสิตเข้าสู่ตลาดแรงงานของประเทศ ของประชาคมอาเซียน และประชาคมโลก โดยวิทยาลัยการจัดการได้สร้างความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ในการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาเท่าเทียมกัน",
"ใน พ.ศ. 2535 มีการลงนามใช้แผนอัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากัน (Common Effective Preferential Tariff) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในฐานะที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อป้อนสินค้าสู่ตลาดโลก โดยอาศัยการเปิดเสรีด้านการค้าและการลดภาษีและอุปสรรคข้อกีดขวางทางการค้าที่มิใช่ภาษี รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าเสรี โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นโครงร่างสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ในปี พ.ศ. 2540 ข้อเสนอของมาเลเซียถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า การริเริ่มเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มระหว่างกลุ่มสมาคมอาเซียนและประเทศในเอเชียอีกสามประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้[18]",
"วัตถุประสงค์ ของกฎบัตรเป็นการประมวลบรรทัดฐาน (Norm) และค่านิยม (Value) ของอาเซียนที่สรุปได้ดังนี้",
"ตามแผนการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) สมาชิกในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียนจะร่วมกันยกระดับหุ้นในอาเซียนให้เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับ (Asset Class) จากผู้ลงทุนทั่วโลก โดยตลาดหลักทรัพย์สมาชิกมีเป้าหมายร่วมกันที่จะเพิ่มสภาพคล่องของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์สมาชิก ด้วยการส่งเสริมธุรกรรมข้ามตลาด การเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางเข้าถึงตลาดหลักทรัพย์อาเซียนให้สะดวกและง่ายขึ้น และการออกผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ในอาเซียน ทั้งนี้การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์อาเซียนในครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์สมาชิกได้ทำงานร่วมกับ ASEAN Capital Markets Forum: ACMF ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554 กลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียนได้เปิดตัวเว็บไซต์เพื่อส่งเสริมข้อมูลให้นักลงทุนทั้งในกลุ่มอาเซียนและทั่วโลกได้ทราบเกี่ยวกับความร่วมมือครั้งนี้ โดยมีกำหนดการดำเนินการร่วมกันของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558มูลค่าทางการตลาดของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีบริษัทรวมทั้งหมดกว่า 3,000 บริษัททั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน",
"มิสไทยแลนด์อาเซียน (อังกฤษ : Miss Thailand Asean) เป็นเวทีการประกวดนางงามระดับประเทศก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2012 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งผู้ชนะเลิศเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าประกวดมิสอาเซียน",
"ความประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มอาเซียนขึ้นมาเกิดจากความต้องการสภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อที่ผู้ปกครองของประเทศสมาชิกจะสามารถมุ่งความสนใจไปที่การสร้างประเทศ ความกังวลต่อการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ร่วมกัน ความศรัทธาหรือความเชื่อถือต่อมหาอำนาจภายนอกที่เสื่อมถอยลงในช่วงพุทธทศวรรษ 2500 รวมไปถึงความต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การจัดตั้งกลุ่มอาเซียนมีวัตถุประสงค์แตกต่างจากสหภาพยุโรป เพราะกลุ่มอาเซียนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นชาตินิยม[8]",
"แนวคิดเรื่องตลาดการบินเดียวเป็นความคิดเห็นที่เสนอโดยกลุ่มงานขนส่งทางอากาศอาเซียน ได้รับการสนับสนุนในการประชุมการขนส่งอย่างเป็นทางการของอาเซียน และได้รับการอนุมัติโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคมของรัฐสมาชิก ซึ่งจะนำไปสู่การจัดระเบียบน่านฟ้าเปิดในภูมิภาคภายในปี พ.ศ. 2558[51] โดยตลาดการบินเดียวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการคมนาคมทางอากาศระหว่างรัฐสมาชิกเป็นไปอย่างเสรี ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มอาเซียนจากการเติบโตของการเดินทางทางอากาศในปัจจุบัน และยังเป็นการเพิ่มการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนและการบริการให้กับรัฐสมาชิกทั้งหมด[51][52] เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ข้อจำกัดเสรีภาพทางอากาศที่สามและที่สี่ระหว่างเมืองหลวงของรัฐสมาชิกสำหรับบริการสายการบินจะถูกยกเลิก[53] ในขณะที่หลังจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 จะมีเสรีภาพบริการการบินในภูมิภาค[51][52] และภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 จะมีการเปิดเสรีเสรีภาพทางอากาศข้อที่ห้าระหว่างเมืองหลวงทั้งหมด[54]",
"นอกเหนือจากความร่วมมือช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกแล้ว อาเซียนยังมีวัตถุประสงค์ในการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มีการลงนามสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ทุกประเภทในภูมิภาค[19]",
"เมื่อประเทศไทยได้ร่วมกับสมาคมอาเซียนจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนโดยมีเป้าหมายหลักคือ การลดภาษีศุลกากรแก่สินค้าที่ขายระหว่างประเทศภาคีอาเซียนให้เหลือไม่เกินร้อยละ 5 รวมทั้งขจัดมาตรการกีดกันทางการค้าอื่นๆ ภายใน 15 ปี นับจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2536 กระทรวงการคลังก็ได้ประกาศลดอัตราศุลกากร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอัตราอากรสินค้าอุตสาหกรรม ที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียนให้เหลือไม่เกินร้อยละ 30 นับจากวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลดภาษีของไทย",
"ความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน () คือความตกลงทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ลงนามในปี ค.ศ. 2002 ระหว่างชาติสมาชิกในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการลดมลหมอกพิษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้",
"เขตการลงทุนร่วมมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนหมุนเวียนภายในอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยหลักการดังต่อไปนี้:[48]",
"วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือนั้น ทางสภามหาวิทยาลัยได้มีมติจัดตั้งวิทยาลัยนานาชาติ ตามแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายก้าวไกลสู่สากลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสอดรับกับที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) ในปี พ.ศ. 2558 โดย AEC มีเป้าหมายในการทำให้อาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเปิดเสรีทางการค้า ทั้งในด้านธุรกิจการซื้อขายสินค้าและบริการ ตลอดจนการลงทุนข้ามประเทศ แรงงาน และตลาดทุน ซึ่งหมายถึงความจำเป็นการในพัฒนากำลังคนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางด้านธุรกิจ และการค้าระหว่างประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ วิทยาลัยนานาชาติ มจพ. เน้นการผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและโลกโดยลำดับ โดยจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรนานาชาติ ด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาตรีใช้ภาษาอังกฤษในการจัดการเรียนการสอน วิทยาลัยนานาชาติ มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน คือ ผลิตบัณฑิตและสร้างองค์ความรู้และงานวิจัย ในด้านการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจโลจิสติกส์ ด้านการบัญชี ด้านนิเทศศาสตร์และการบริหารการตลาดระหว่างประเทศ ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และส่งเสริมความร่วมมือทางด้านวิชาการในการแลกเปลี่ยนอาจารย์ นักศึกษากับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ตอบสนองความต้องการกำลังคนภาคการผลิต และบริการในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และเป็นแหล่งสนับสนุนแหล่งข้อมูลและสารสนเทศ ตลอดจนเผยแพร่ความรู้เพื่อส่งเสริมการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องสู่สาธารณะ ",
"หมวด 1 วัตถุประสงค์และหลักการ – กล่าวถึงวัตถุประสงค์และหลักการ",
"การประชุมผู้บัญชาการทหารบก กลุ่มประเทศอาเซียน () เป็นกิจกรรมทางทหารของประเทศสมาชิกอาเซียน ที่จัดควบคู่ไปกับการทดสอบยิงปืนทางยุทธวิธีกองทัพบก กลุ่มประเทศอาเซียน เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2543 โดยพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบกไทยในขณะนั้น",
"เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2549 เนื่องในวาระครบรอบ 90 ปีของสมาคมฟุตบอลฯ ประกอบพิธีเปิด ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ อย่างเป็นทางการ ซึ่งในระยะแรกมีสำนักงาน 3 อาคาร สนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน ห้องฝึกอบรม และห้องเรียน พร้อมทั้งอุปกรณ์ฝึกซ้อมฟุตบอลอันทันสมัย นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้แก่ 11 ชาติของอาเซียน เข้าใช้ประโยชน์ในศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งนี้ ตามวัตถุประสงค์ของฟีฟ่าด้วย ต่อมา สมาคมฟุตบอลฯ จัดทำสนามฟุตบอลหญ้าเทียมเพิ่มเติม โดยประธานฟีฟ่า เซพพ์ บลัทเทอร์ เดินทางมาเป็นประธานเปิดศูนย์ฝึกแห่งนี้อีกครั้ง เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552"
] |
เหตุแฟนบอลสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมทำร้ายผู้ตัดสิน พ.ศ. 2553สโมสรฟุตบอลนครปฐมเตะกับสโมสรอะไร? | [
"เหตุแฟนบอลสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมทำร้ายผู้ตัดสิน พ.ศ. 2553 เป็นเหตุการณ์ที่แฟนบอลสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมทำร้ายผู้ตัดสิน ในการแข่งขันฟุตบอลในนัดที่รับการมาเยือนของสโมสรฟุตบอลจังหวัดศรีสะเกษระหว่างการแข่งขันเพลย์ออฟขึ้นไทยพรีเมียร์ลีก ผลปรากฏว่าเสมอกัน 0-0 ประตู เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ทางสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมถูกลงโทษปรับ 160,000 บาท และห้ามเข้าร่วมการแข่งขันของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี[1]"
] | [
" สโมสรนครปฐม ถูกสั่งห้ามลงแข่งขันทุกรายการของ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี จาก เหตุแฟนบอลสโมสรฟุตบอลนครปฐมทำร้ายผู้ตัดสิน พ.ศ. 2553",
"วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553 คณะพิจารณามารยาทและข้อประท้วง ที่มีพลตำรวจโทวรพงษ์ ชิวปรีชาเป็นประธาน ได้มีมติลงโทษสโมสรนครปฐม ตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจัดขึ้นทุกรายการเป็นเวลา 2 ปี ปรับรวมเป็นเงิน 160,000 บาท พร้อมทั้งห้ามธนากร ขำโขมะ กองหลังทีมนครปฐม ลงเล่น 1 นัด จากพฤติกรรมด่าทอผู้ตัดสินอย่างหยาบคาย[1] ด้านพรีเมียร์ลีกพร้อมในกรณีที่ต้องจัดโปรแกรมแข่งขันโดยมี 17 ทีม หากนครปฐมผ่านเข้าเล่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้า และหากพ้นกำหนดโทษแล้ว ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้อีก อาจลงโทษยุบทีมเพราะกระทำความผิดซ้ำซากได้[1]",
"ในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ในการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก 2553 รอบเพลย์ออฟระหว่างสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมกับสโมสรฟุตบอลจังหวัดศรีสะเกษ ได้เกิดเหตุแฟนบอลทำร้ายผู้ตัดสิน ซึ่งอภิสิทธิ์ได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยเขาได้ถูกกล่าวหาว่ารับเงินจากสโมสรฟุตบอลจังหวัดศรีสะเกษ แต่ทางอภิสิทธิ์ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้รับสินบนจากทีมดังกล่าว ในขณะที่แฟนบอลที่ได้รับการตั้งข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้ตัดสินที่มามอบตัวก็ปฏิเสธว่ามิได้ทำร้ายอภิสิทธิ์แต่อย่างใด ทั้งนี้ อภิสิทธิ์ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกฎกติกาการแข่งขัน หากการตัดสินผิดพลาดจริง ก็ยินดีให้ตรวจสอบตามขั้นตอนที่วางไว้ เพื่อเป็นการยกมาตรฐานวงการฟุตบอลให้สูงขึ้น",
"เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้ตัดสินกว่า 300 คนตามทะเบียนสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่ผู้ตัดสินทุกนัด โดยหากเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยจะไม่เดินทางไปทำหน้าที่[16]",
"ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ไชยา สะสมทรัพย์ ประธานสโมสรนครปฐม ประกาศอัดฉีด 1 ล้านบาท[2]",
"วันที่ 28 ธันวาคม วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริหารไทยพรีเมียร์ลีก กล่าวถึงการพิจารณาบทลงโทษทีมนครปฐมว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณามารยาทและวินัย โดยจะมีการประชุมสรุปหลักฐาน[13] วิชิตได้เปิดเผยถึงข้อสรุปที่จะเสนอแก่คณะกรรมการ โดยพบว่ามีการทำผิดหลายกรณี ได้แก่ นักฟุตบอลใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับผู้ตัดสิน และทำร้ายผู้ตัดสิน บทลงโทษเบื้องต้นคือ ปรับเจ้าหน้าที่ที่ทำร้ายผู้ตัดสิน 100,000 บาท และกองเชียร์ที่ก่อเหตุอีก 50,000 บาท[14]",
"ส่วนในกรณีที่มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไปตบกรรมการผู้ตัดสิน สาธิตให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบความจริงกันต่อไป[7]",
"“ผมหวังว่าจะเห็นพนักงานสอบสวน จะได้ชื่อผู้ทำกระทำความผิดทั้งหมด พร้อมกับต้องแจ้งความดำเนินคดีด้วย และหากต้องการให้มีการกล่าวโทษก่อน ผมก็จะขอกล่าวโทษในตอนนี้เลยเกี่ยวกับผู้กระทำความผิด และผมตนจะเดินทางไปตรวจสอบในสถานีตำรวจที่รับผิดชอบสนามกีฬามหาวิทยาเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตนครปฐม ซึ่งเป็นสถานที่แข่งขันด้วย[7]”",
"ไชยา สะสมทรัพย์ ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่าจะยุบทีม และหันไปทำทีมฟุตซอลลีกแทน และอาจให้ความสนใจกับฟุตบอล \"ลาวลีก\"[15] ส่วนทางวิชิต แย้มบุญเรือง ออกมาระบุว่า ทีมที่มีชื่อ \"นครปฐม\" ในชื่อสโมสร ไม่สามารถส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันฟุตซอลได้ เพราะเป็นการแข่งขันที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยรับรอง[15] ผลจากบทลงโทษดังกล่าวทำให้ลีกดิวิชั่น 1 เหลือเพียง 17 ทีม[15]",
"พรชัย โควสุรัตน์ อดีตประธานสโมสรฟุตบอลอุบลยูไนเต็ดไม่อยากโทษให้เป็นความผิดของใคร แต่เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในการบริหารงานของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จึงไม่ยอมร้องเรียนการกระทำของผู้ตัดสินตามกระบวนการ เรียกร้องให้แฟนบอลไม่ซื้อสินค้าของบริษัทที่ให้การสนับสนุนสมาคม เพื่อให้ทบทวนบทบาทของตนเอง หรือแสดงความรับผิดชอบต่อความตกต่ำของฟุตบอลไทย[21]",
"วันที่ 26 ธันวาคม สาธิต ปิตุเตชะ ประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำลายความนิยมในวงการฟุตบอล และแสดงความคิดเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พบเห็นเหตุการณ์จะต้องดำเนินคดีอาญากับผู้ที่ทำความผิดโดยไม่ต้องรอแจ้งความ ส่วนประเด็นที่ว่ากรรมการตัดสินด้วยความยุติธรรมหรือไม่ให้สมาคมฟุตบอลจัดการ[7]",
"ไทยลีกดิวิชัน 1 ฤดูกาล 2554 เป็นการแข่งขันฟุตบอล ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งที่ 14 นับตั้งแต่เริ่ม ฤดูกาล 2540 โดยเป็นลีกระดับที่สองรองจาก ไทยพรีเมียร์ลีก มีทีมเข้าร่วมการแข่งขัน 16 ทีม โดยหา 3 ทีมเลื่อนชั้นขึ้น ไทยพรีเมียร์ลีก และ 4 ทีมตกชั้นลงไป ลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2\nโดยหลังจากการที่ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ได้ประกาศที่จะเพิ่มจำนวนสโมสรที่เข้าร่วมแข่งขัน ทั้งในระดับ ไทยพรีเมียร์ลีก และ ดิวิชั่น 1 เป็น 18 ทีม และให้จัดการแข่งขันเพลย์ออฟเลื่อนชั้น ไปแล้วนั้น ซึ่งก็ได้จำนวนสโมสรครบ 18 ทีม แต่ว่าการที่ นครปฐม เอฟซี ถูกสั่งห้ามลงแข่งขันทุกรายการของ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี จาก เหตุแฟนบอลสโมสรฟุตบอลนครปฐมทำร้ายผู้ตัดสิน พ.ศ. 2553 ทำให้ลีกมีเพียง 17 สโมสร ทำให้ฝ่ายจัดการแข่งขันตัดสินใจให้มีการเพลย์ออฟ เพื่อหาสโมสรเล่นแทน สโมสรนครปฐม\nโดยผลการแข่งขันเป็น สระบุรี เอฟซี ที่สามารถเอาชนะ ระยอง เอฟซี 1 ประตูต่อ 0 ทำให้ สโมสรฯ เป็นทีมลำดับสุดท้าย และได้เลื่อนชั้นมาเล่นใน ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2554",
"ต่อมา ได้มีแฟนบอลนครปฐมที่มีส่วนในเหตุการณ์จำนวน 6 คนเข้าให้ปากคำกับทางตำรวจ ประกอบด้วย ฐานุพงษ์ รังสิไตรพงษ์, ชัยศิริ สกลพันธุ์, กิตติศักดิ์ ศรีมนทก, ยุมมาคาร คเกเคล, นิคม ทองหอม และวิศาล ลักษณ์ในธรรม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยยังไม่ได้รับหมายเรียกจากตำรวจ และพร้อมให้การในชั้นศาล[11] ซึ่งทั้งหกคนให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกายกรรมการอย่างที่ถูกกล่าหา โดยถูกตั้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ[12] ทำให้จนถึงขณะนี้มีผู้เข้ามาพบตำรวจแล้ว 7 ราย คงเหลือผู้ที่ถูกออกหมายเรียกอีก 3 ราย[11]",
"ด้านไชยา สะสมทรัพย์ ที่เตรียมแถลงข่าวที่บ้านพักในช่วงบ่ายของวันที่ 27 ธันวาคม ได้ตัดสินใจเลื่อนแถลงข่าว โดยส่งตัวแทนออกมาให้เหตุผลว่า ยังทำใจไม่ได้ และยังไม่พร้อมที่จะให้ข่าว[6] ต่อมา ได้มีการแถลงข่าว ยืนยันจะไม่ขอโทษผู้ตัดสินในเหตุการณ์ เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และผู้ตัดสินรายดังกล่าวตัดสินผิดพลาด อันนำไปสู่เหตุการณ์[12] โดยยืนยันว่าบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกและสมาคมผู้ตัดสินไม่เคยพัฒนาตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้เคยแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นในนัดที่นครปฐมเยือนศรีสะเกษแก่สมาคมผู้ตัดสินแล้ว ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด[17]",
"ทั้งสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมและสโมสรฟุตบอลจังหวัดศรีสะเกษอยู่ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลรอบเพลย์ออฟขึ้นไทยพรีเมียร์ลีก กลุ่ม เอ โดยทีมนครปฐม แข่งแล้ว 3 นัด มี 6 แต้ม และศรีสะเกษ แข่ง 2 นัด มี 4 แต้ม[2] ผลจากการแข่งขันรอบเพลย์ออฟ หากทีมใดเป็นผู้นำของกลุ่มก็จะได้สิทธิ์แข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้า ซึ่งทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยมีมติให้เพิ่มจำนวนทีมในการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีกจาก 16 ทีม เป็น 18 ทีม จึงมีการจัดการแข่งขันเพื่อหาอีก 2 ทีม โดยทีมแรกที่ได้รับสิทธิ์คือ สโมสรฟุตบอลทหารบก[3]",
"หลังจากที่มีบทลงโทษสโมสรฟุตบอลนครปฐมออกมาแล้ว ทำให้ผู้เล่นทีมนครปฐมหาทีมใหม่ต่อไป โดยธนากร ขำโขมะ ที่ได้รับบทลงโทษไปด้วยนั้น ได้เซ็นสัญญากับสโมสรฟุตบอลชัยนาท ร่วมกับภูวดล สุวรรณชาติด้วยแล้ว ส่วนผู้เล่นคนอื่นในทีม หลายคนยังตกงานอยู่[15] ส่วน วิมล จันทร์คำ โค้ชของทีมนครปฐม กล่าวว่าตนจะหยุดงานโค้ชไปเรียนต่อบี และเอ ไลเซนส์ เพื่อกลับมาทำหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น[15]",
"ใน พ.ศ. 2553 เกิดเหตุแฟนบอลสโมสรฟุตบอลนครปฐมทำร้ายผู้ตัดสิน พ.ศ. 2553 ไชยาได้ให้สัมภาษณ์ในกรณีดังกล่าวว่า จะไม่ขอโทษผู้ตัดสินในเหตุการณ์ เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และผู้ตัดสินรายดังกล่าวตัดสินผิดพลาด อันนำไปสู่เหตุการณ์ โดยยืนยันว่าบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกและสมาคมผู้ตัดสินไม่เคยพัฒนาตัวเอง เพราะในนัดที่นครปฐมเยือนศรีสะเกษก็ได้นำปัญหาในการแข่งขันนั้นแจ้งสมาคมผู้ตัดสินแล้วไม่มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด ",
"สโมสรศรีสะเกษจากข้อครหาว่าทีมศรีสะเกษซื้อตัวผู้ตัดสินฟุตบอลนัดดังกล่าว สมบัติ เกียรติสุรนนท์ ผู้จัดการทั่วไปของสโมสรศรีสะเกษ ได้ออกมายืนยันและกล้าสาบานว่าไม่มีการซื้อตัวผู้ตัดสินแต่อย่างใด และไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกรณีดังกล่าว แต่ได้แจ้งความกับสถานีตำรวจภูธรกำแพงแสนจากกรณีที่มีแฟนบอลได้รับบาดเจ็บ รถ และอุปกรณ์เชียร์ได้รับความเสียหาย[20]",
"หลังจบการแข่งขัน กองเชียร์นครปฐมนับร้อยคนได้เข้าไปรุมทำร้าย อภิสิทธิ์ อ้นรักษ์ ผู้ตัดสิน รวมทั้งผู้ช่วยผู้ตัดสินและผู้ประเมินการแข่งขัน โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นสารวัตรทหาร 10 นาย และตำรวจอีก 10 นายเท่านั้น เจ้าหน้าที่ต้องนำผู้ตัดสินหนีออกจากสนามทางฝั่งกองเชียร์ทีมศรีสะเกษ ผู้ตัดสินรายดังกล่าวได้รับบาดเจ็บตาขวาแตก ตาซ้ายบวม ใบหน้าช้ำ ได้นำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ให้เย็บประมาณ 10 เข็ม[2] แฟนบอลและเจ้าหน้าที่ทีมนครปฐมที่ไม่พอใจผลการตัดสินได้ไล่ทำร้ายร่างกายผู้ตัดสินและผู้เล่นทีมศรีสะเกษ ตลอดจนเข้าไปตะลุมบอนกับกองเชียร์ศรีสะเกษนานถึง 20 นาที[2] ทำให้แฟนบอลทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บรวมกว่า 50 คน[4] กองเชียร์ศรีสะเกษติดค้างอยู่ในสนามกีฬากว่าชั่วโมง[2] นอกจากนี้ยังมีชายคนหนึ่งชักปืนออกมากลางสนามอีกด้วย[6]",
"สโมสรฟุตบอลนครปฐม ยูไนเต็ด เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากจังหวัดนครปฐม ปัจจุบันเล่นอยู่ในระดับไทยลีก 4 เนื่องจากในการแข่งขันไทยลีก 2 ฤดูกาล 2560 ทางสโมสรถูกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยปรับตกชั้นไปสู่ไทยลีก 4 เนื่องจากไม่สามารถส่งเอกสารเกี่ยวกับคลับไลเซนซิงได้ตามเวลาที่กำหนด สนามเหย้า คือ สนามกีฬาโรงเรียนกีฬาเทศบาลนครนครปฐม เคยแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีก 2551 ซึ่งจบฤดูกาลในอันดับ 9 (สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร) ใน พ.ศ. 2553 เกิดเหตุอื้อฉาวเกี่ยวกับแฟนบอลทำร้ายผู้ตัดสิน",
" สโมสรนครปฐม ถูกสั่งห้ามลงแข่งขันทุกรายการของ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี จาก เหตุแฟนบอลสโมสรฟุตบอลนครปฐมทำร้ายผู้ตัดสิน พ.ศ. 2553",
"วิชิตระบุว่าบทลงโทษสูงสุด คือ การถอนสมาชิกภาพของสโมสร ซึ่งได้ส่งเป็นข้อเสนอให้สภากรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้พิจารณา พร้อมยืนยันว่าในฤดูกาลหน้า จะมีการแก้ไขระเบียบบทลงโทษให้รุนแรงยิ่งขึ้น โดยจะมีการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนำเสนอต่อสาธารณชนในช่วงงานฟุตบอล เอ็กซ์โป ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 มกราคมปีหน้า[14] ในภายหลังมีกลุ่มแฟนบอลศรีสะเกษมายื่นหนังสือและซีดีบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าว[14]",
"ด้านผู้ตัดสินได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรกำแพงแสน โดยอภิสิทธิ์ กล่าวว่า \"หนนี้ถือว่ารอดตายได้อย่างปาฏิหาริย์ เพราะคิดว่าตายแน่ ต้องขอบคุณกองเชียร์ศรีสะเกษที่เข้ามาช่วยไว้\"[2] ยืนยันว่าตนทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว",
"ต่อมา ใน พ.ศ. 2554 สโมสรฟุตบอลนครปฐมได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์โทษจาก 2 ปี เหลือ 1 ปี ซึ่งจนถึงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ทางสโมสรได้ยื่นหนังสือไปยังสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นครั้งที่สองแล้ว[19]",
"นอกจากนั้น วิชิต แย้มบุญเรือง ยังได้ออกกฎใหม่เพื่อความปลอดภัย คือ หากเกิดเหตุการณ์ที่แฟนบอลทำร้ายผู้ตัดสินหรือผู้เล่นคนใด จะโดนตัดสิทธิ์ถอนทีมทันที โดยไม่ต้องรอการประชุม[15]",
"วันที่ 26 ธันวาคม แฟนคลับสโมสรนครปฐมได้ออกแถลงการณ์ขอโทษแฟนบอลทีมศรีสะเกษผ่านเว็บไซต์ของสโมสร มีใจความว่า ปัญหาเกิดขึ้นจากการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน ขอให้แฟนบอลทีมศรีสะเกษและทุกทีมเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกเสียใจและอยากกล่าวคำว่า \"ขอโทษจากใจ ให้แฟนบอลศรีสะเกษ ทุกท่าน\"[16] วันที่ 27 ธันวาคม แฟนสโมสรนครปฐมได้ออกรายการเจาะข่าวเด่นทางช่อง 3 กล่าวขอโทษถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น[6] พร้อมยืนยันว่าผู้ที่ก่อเรื่องเป็นแฟนบอลพลัดถิ่น ไม่ใช่แฟนบอลนครปฐม ส่วนทางด้านไชยา สะสมทรัพย์และการ์ดไม่มีเจตนาอื่นนอกจากต้องการเข้าไปยุติเหตุการณ์เท่านั้น[10]",
"การแข่งขันนัดดังกล่าว จัดขึ้นที่สนามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553 โดยสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมรับการมาเยือนของสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ มีผู้เข้าชมการแข่งขันจำนวนหลายพันคน[3]",
"หมวดหมู่:ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 หมวดหมู่:ฟุตบอลในประเทศไทย",
"ส่วนเฉลิมศักดิ์ แก้วสุขแท้ กองหลังทีมนครปฐม ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แสดงความสะใจจากเหตุทำร้ายอภิสิทธิ์ อ้นรักษ์ ทั้งนี้ได้ประกาศว่า ตนและเพื่อนร่วมทีมไม่ผิด และผู้ตัดสินตัดสินไม่เป็นธรรม ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมา[18] โดยมีข้อความบางตอนว่า \"สะใจสุด ๆ สมควรโดนมานานและ อุตส่าออกสื่อไปนานแล้วนะ ว่านครปฐมมือปืนเยอะ …… ยังไม่ฟังอีก สะจัยสาตตตต\" และ \"ไม่รู้สึกต่อเหตุการณ์แต่อย่างใด และถ้าหากว่าถูกลงโทษ ก็จะย้ายทีม\"[8]"
] |
เฟอร์ริตินที่ไม่รวมเข้ากับธาตุเหล็กเรียกว่าอะไร? | [
"เฟอร์ริตินเป็นคอมเพล็กซ์โปรตีนรูปทรงกลมที่มีหน่วยย่อย 24 หน่วยและเป็น \"โปรตีนเก็บธาตุเหล็กในเซลล์\" หลักทั้งในโพรแคริโอตและยูแคริโอต โดยเก็บเหล็กในรูปแบบที่ละลายน้ำได้และไม่มีพิษ ส่วนเฟอร์ริตินที่ไม่รวมเข้ากับธาตุเหล็กก็จะเรียกว่า apoferritin"
] | [
"การขาดธาตุเหล็กเล็กน้อยสามารถป้องกันและแก้ไขโดยทานอาหารที่สมบูณ์ด้วยเหล็กและการทำอาหารในกระทะเหล็ก\nเนื่องจากธาตุเหล็กเป็นสิ่งจำเป็นต่อสัตว์และพืชโดยมาก จึงมีอาหารมากมายที่มีเหล็ก\nแต่แหล่งที่ดีของธาตุเหล็กจะเป็นแบบ heme-iron (cofactor ที่มีไอออนเหล็ก อยู่ตรงกลางวงแหวนอินทรีย์แบบ heterocyclic ที่เรียกว่า porphyrin ดูรูป) เพราะว่านี่ดูดซึมได้ง่ายที่สุด และยาและสารอาหารอื่น ๆ จะไม่สามารถขัดขวางการดูดซึมได้\nตัวอย่างอาหารที่มีเหล็กแบบนี้คือ เนื้อที่มีสีแดงเมื่อดิบ (เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ) เป็ดไก่ และแมลง",
"หน่วยย่อย H และ M ของเฟอร์ริตินในยูแคริโอต และหน่วยย่อยทั้งหมดของแบคทีเรียและอาร์เคีย (ซึ่งล้วนเป็นแบบ H) จะมี ferroxidase เป็นเอนไซม์เปลี่ยนเหล็กจากรูปแบบ Fe2+ (ferrous, di-iron) เป็น Fe3+ (ferric) ซึ่งจำกัดปฏิกิริยาที่เกิดระหว่าง Fe2+ กับไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ที่เรียกว่า Fenton reaction ซึ่งผลิตอนุมูลอิสระของไฮดรอกซิลที่มีอันตรายมาก การทำงานของ ferroxidase จะเกิดที่จุดยึด di-iron ที่ตรงกลางของหน่วยย่อย H แต่ละหน่วย[19][20] หลังจากกระบวนการออกซิเดชันของ Fe (II) ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Fe (III) จะอยู่ในสภาพไม่ค่อยเสถียร (metastable) ตรงกลางของ ferroxidase จนกระทั่ง Fe (II) เข้าไปแทนที่มัน[20][21] ซึ่งดูจะเป็นกลไกสามัญของเฟอร์ริตินในอาณาจักรสิ่งมีชีวิตทั้งสาม[19] เฟอร์ริตินแบบ L ไม่มีการทำงานของ ferroxidase แต่อาจมีหน้าที่ส่งอิเล็กตรอนผ่านกรงโปรตีน (protein cage)[22]",
"ระดับเฟอร์ริตินจะสูงขึ้นอย่างมากเมื่อมีการอักเสบหรือมะเร็ง ชีวพิษภายในตัว (Endotoxin) เป็นตัวเพิ่มการผลิตเฟอร์ริติน แต่ก็มีสิ่งชีวิต เช่น แบคทีเรียสกุล Pseudomonas ที่แม้จะมีชีวพิษภายในตัว ก็จะลดระดับเฟอร์ริตินอย่างสำคัญภายใน 48 ชม. แรกที่เกิดการอักเสบ ฉะนั้น โดยมากแล้ว เหล็กที่สะสมภายในร่างกายจะกันไม่ให้แก่สิ่งที่ก่อโรค ซึ่งช่วยขัดขวางเมแทบอลิซึมของมัน[23]",
"การทานอาหารมังสะวิรัติอาจทำให้มีระดับเฟอร์ริตินในเลือดต่ำเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก โดยพบใน 19% ของคนทานเจในงานศึกษาในประเทศไทยปี 2542[30]",
"ไลโซโซมเป็นตัวปล่อยเหล็กจากเฟอร์ริตินโดยหลักผ่านกระบวนการสลายเฟอร์ริติน[18]",
"เฟอร์ริตินสูงยังเป็นปฏิกิริยาช่วงติดโรค (acute-phase reactant) อย่างหนึ่ง ซึ่งบ่อยครั้งจะสูงขึ้นในโรคบางอย่าง ระดับ C-reactive protein ที่ปกติสามารถใช้กันระดับเฟอร์ริตินที่สูงเนื่องจากปฏิกิริริยาช่วงติดโรค",
"ในหอยทากบางชนิด โปรตีนส่วนมากในไข่จะเป็นเฟอร์ริติน[26] แต่จะเป็นเฟอร์ริตินที่ต่าง คือมีลำดับยีนต่างจากเฟอร์ริตินในตัว และผลิตในต่อมทางเดินอาหารส่วนกลาง (midgut glands) หลั่งออกใน hemolymph แล้วจึงส่งไปที่ไข่[26]",
"หมวดหมู่:เมแทบอลิซึมของเหล็ก หมวดหมู่:เมแทบอลิซึมของโลหะ หมวดหมู่:เหล็ก หมวดหมู่:การตรวจเลือด หมวดหมู่:พยาธิสภาพทางเคมี",
"การผลิตเหล็กจากแร่ เกี่ยวข้องกับการลดประสิทธิภาพการเกิดปฏิกิริยาในเตาหลอมระเบิด น้ำหล่อเย็นที่มีการปนเปื้อนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์แอมโมเนียและไซยาไนด์ การผลิตโค้กจากถ่านหินในพืช ยังต้องใช้น้ำเย็นและการใช้น้ำในการคัดแยกผลิตภัณฑ์ โดยการปนเปื้อนของน้ำเสียรวมถึงผลิตภัณฑ์ก๊าซเช่นเบนซีน, แนฟทาลีน, แอนทราซีน, ไซยาไนด์, แอมโมเนีย, ฟีนอล, ครีโซล พร้อมกับช่วงที่ซับซ้อนมากขึ้นของสารประกอบอินทรีย์ที่เรียกว่าไฮโดรคาร์บอน (PAH) การแปลงสภาพของเหล็กหรือเหล็กกล้าที่เป็นแผ่นลวดหรือแท่งต้องใช้ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงกลร้อนและกลเย็น ยังมีการใช้น้ำในขั้นตอนน้ำมันหล่อลื่นและน้ำหล่อเย็น สารปนเปื้อนรวมถึงน้ำมันไฮโดรลิค, ไขมันและอนุภาคของแข็ง การรักษาขั้นสุดท้ายของธาตุเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กก่อนที่จะขายต่อไปในการผลิตรวมถึงการดองในกรดแร่ที่แข็งแกร่งในการลบสนิมและเตรียมผิวสำหรับดีบุกหรือโครเมียมชุบหรือสำหรับการรักษาพื้นผิวอื่น ๆ เช่นการเคลือบผิว หรือตกแต่ง สองกรดที่ใช้กันทั่วไปมีกรดไฮโดรคลอริกและกรดซัลฟูริก น้ำเสียรวมถึงน้ำล้างที่เป็นกรดร่วมกับกรดของเสีย แม้ว่าพืชหลายชนิดมีการกู้คืนกรด (โดยเฉพาะผู้ที่ใช้กรดไฮโดรคลอริก) ซึ่งการต้มแร่กรดจากเกลือของเหล็กยังคงมีปริมาณของกรดเหล็กซัลเฟตหรือคลอไรด์เหล็กสูงมากที่จะถูกกำจัด น้ำเสียจากอุตสาหกรรมเหล็กจำนวนมากมีการปนเปื้อนด้วยน้ำมันไฮโดรลิคที่เรียกว่าเป็นน้ำมันที่ละลายน้ำได้",
"เฟอร์ริตินมีหน้าที่เก็บธาตุเหล็กในรูปแบบที่ไม่เป็นพิษ และขนส่งมันไปยังที่ที่ต้องการ[13] หน้าที่และโครงสร้างของเฟอร์ริตินจะแสดงออกต่าง ๆ กันในเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งโดยหลักคุมโดยปริมาณและเสถียรภาพของเอ็มอาร์เอ็นเอ (Messenger RNA, mRNA) และความเข้มข้นของ mRNA ยังแปรไปตามวิธีการที่เก็บและประสิทธิภาพในการถอดรหัสมัน[6]",
"การมีธาตุเหล็กเองเป็นตัวจุดชนวนหลักอย่างหนึ่งให้ผลิตเฟอร์ริติน[6] โดยมีข้อยกเว้นบ้าง (เช่น เฟอร์ริตินในไข่ของหอยฝาเดียว Lymnaea ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการมีธาตุเหล็ก)[9] ส่วนเหล็กที่เป็นอิสระ คือไม่ยึดกับเฟอร์ริติน จะเป็นพิษต่อเซลล์เนื่องจากเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดอนุมูลอิสระจากสารกลุ่ม reactive oxygen species ที่เกิดจากปฏิกิริยา Fenton Reaction[14] ดังนั้น สัตว์มีกระดูกสันหลังจึงได้วิวัฒนาการกลไกป้องกันที่ซับซ้อนเพื่อจับเหล็กในเนื้อเยื่อต่าง ๆ",
"ระดับเฟอร์ริตินต่ำก็พบในคนไข้กลุ่มอาการขาไม่เป็นสุข (restless legs syndrome) บางคน ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับภาวะเลือดจาง แต่เนื่องจากมีธาตุเหล็กน้อยแต่ยังไม่ถึงภาวะเลือดจาง[31][32]",
"ถ้าระดับเฟอร์ริตินต่ำ จะมีโอกาสเสี่ยงขาดธาตุเหล็ก ซึ่งนำไปสู่ภาวะเลือดจาง สำหรับภาวะเลือดจาง ระดับเฟอร์ริตินต่ำเป็นการทดสอบทางแล็บที่จำเพาะที่สุดต่อภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก (คือ ถ้าค่าต่ำพอ การมีเฟอร์ริตินต่ำแสดงว่าภาวะเลือดจางที่มี มีโอกาสเกิดจากการขาดธาตุเหล็กมากที่สุด)[28] แต่ว่า นี่ไม่ใช่เป็นการทดสอบที่ไว (คือการมีระดับปกติในเลือดไม่ได้แสดงว่าไม่ขาดธาตุเหล็ก) เนื่องจากระดับสามารถสูงขึ้นเนื่องจากการติดเชื้อหรือการอักเสบเรื้อรัง[29] และภาวะเหล่านี้อาจเปลี่ยนระดับเฟอร์ริตินที่ควรจะต่ำให้สูงจนถึงปกติ ดังนั้น การมีระดับเฟอร์ริตินต่ำให้ข้อมูลมากกว่าเมื่อมีระดับปกติ แต่ระดับเฟอร์ริตินต่ำก็อาจแสดงว่ามีโรคไทรอยด์ ขาดวิตามินซี หรือเป็นโรค celiac disease ได้ด้วย",
"ภายในเซลล์ เหล็กจะเก็บเป็นคอมเพล็กซ์โปรตีนโดยเป็น ferritin หรือ hemosiderin ส่วน Apoferritin จะเป็นเฟอร์ริตินที่เข้ายึดเหล็กที่เป็นอิสระ เมื่อเซลล์ใน reticuloendothelial (RE) system ซึ่งเป็นส่วนของระบบภูมิต้านทานสะสมเหล็กมากขึ้น โปรตีนที่สะสมจะรวมตัวกันเป็น hemosiderin เซลล์ใน RE สามารถดึงเอาเหล็กทั้งที่อยู่ในรูปแบบเฟอร์ริตินและ hemosiderin ได้ แต่ว่า จาก hemosiderin จะยากกว่า เมื่อคงตัว ระดับเหล็กในเลือดจะสัมพันธ์กับเหล็กที่สะสมในร่างกาย ดังนั้น การวัดเฟอร์ริตินในเลือดโดย FR5Rl เป็นการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่สะดวกที่สุดเพื่อประเมินปริมาณเหล็กที่สะสมในร่างกาย",
"ถ้าระดับเฟอร์ริตินสูง แสดงว่ามีการสะสมเหล็กเกิน หรือว่ามีปฏิกิริยาอักเสบอย่างฉับพลัน (acute inflammatory reaction) ที่มีการสร้างเฟอร์ริตินโดยไม่ได้มีเหล็กเกิน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อติดเชื้อ ระดับเฟอร์ริตินอาจสูงขึ้นโดยไม่ได้แสดงว่ามีเหล็กเกิน เฟอร์ริตินยังใช้เป็นตัวบ่งชี้โรคเหล็กเกินต่าง ๆ รวมทั้ง ภาวะเหล็กเกิน (hemochromatosis) และ hemosiderosis โรคสติลล์ที่เริ่มเป็นในผู้ใหญ่, porphyrias, hemophagocytic lymphohistiocytosis/macrophage activation syndrome ซึ่งล้วนแต่เป็นโรคที่อาจทำระดับเฟอร์ริตินให้สูง",
"เพราะว่าเหล็กเป็นธาตุที่สำคัญในกระบวนการ mineralization จึงมีเฟอร์ริตินในเปลือกของสิ่งมีชีวิตเช่นมอลลัสกา เพื่อควบคุมความเข้มข้นและการกระจายของเหล็ก และดังนั้น จึงมีอิทธิพลต่อสัณฐานและสีของเปลือกด้วย[15][16] มันยังมีบทบาทในของเหลว (haemolymph) ในตัวของมอลลัสกาชั้นพอลิพลาโคฟอรา ซึ่งทำหน้าที่ขนส่งเหล็กไปยัง radula (ส่วนที่คล้ายลิ้นใช้กินอาหาร) เพื่อกระบวนการ mineralization[17]",
"เฟอร์ริติน (English: Ferritin) เป็นโปรตีนในเซลล์ทั่วไปที่สะสมธาตุเหล็กและปล่อยมันอย่างเป็นระบบ โปรตีนนี้มีในสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมด รวมทั้งสาหร่าย แบคทีเรีย พืชชั้นสูง และสัตว์ ในมนุษย์ มันมีหน้าที่เป็นสารบัฟเฟอร์เพื่อไม่ให้ขาดเหล็กหรือมีเหล็กเกิน[3] และพบในเนื้อเยื่อโดยมากในรูปแบบของโปรตีนในไซโตซอล (ในไซโทพลาซึมของเซลล์) แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่อยู่ในเลือดโดยทำหน้าที่เป็นตัวขนส่งธาตุเหล็ก ระดับเฟอร์ริตินในเลือดยังเป็นตัวชี้ทางชีวภาพ (biomarker) ของปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย และดังนั้น จึงสามารถตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก (iron-deficiency anemia)[4]",
"ในเปลือกของเฟอร์ริติน ไอออนเหล็กจะอยู่ในรูปแบบผลึก (crystallite) ซึ่งจะคล้าย ๆ กับแร่ ferrihydrite คอมเพล็กซ์เฟอร์ริตินแต่ละหน่วยจะสามารถสะสมธาตุเหล็ก (Fe3+) ได้ประมาณ 4,500 ไอออน[6][9]",
"เหล็กกล้าเป็นโลหะผสมประกอบด้วยธาตุเหล็ก (iron) , คาร์บอน 0.2-1.7 หรือ 2.0% ไม่เกินกว่านี้โดยน้ำหนัก (C:1000-10,8.67Fe) ขึ้นกับเกรดที่ใช้งาน คาร์บอนเป็นธาตุที่มีผลอย่างมากต่อโลหะผสม แต่ธาตุอื่นๆที่นำมาใช้เช่น แมงกานีส, ทังสะเตน, คาร์บอนและธาตุอื่นๆทำหน้าที่ให้เกิดปฏิกิริยาการชุบแข็งในผลึกอะตอมของเหล็ก จากการเลื่อนไหลของโครงสร้างอื่นๆภายในเนื้อเหล็กกล้า จำนวนของธาตที่ผสมและรูปแบบของมันเป็นตัวควบคุมบทบาทในเหล็กกล้า (ธาตุตัวถูกละลาย ขั้นตอนการตกตะกอน) เช่น ความแข็ง ความเหนียว ความทนต่อแรงดึงของการมีผลต่อเหล็กกล้า เหล็กกล้าที่มีการเพิ่มคาร์บอนสามารถให้ความแข็งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเหล็กแต่ให้ความเปราะมากขึ้นด้วย การถูกละลายได้ของคาร์บอนในเหล็ก (iron) ในรูปแบบออสเตนไนต์ คือ 2.14% โดยน้ำหนัก การเกิดขึ้นที่ 1149 C คาร์บอนที่เข้มข้นมากกว่านี้หรืออุณหภูมิต่กว่านี้จะสร้างโครงสร้างเซีเมนไต์ (โครงสร้างเปราะ) โลหะผสมที่มีคาร์บอนมากกว่านี้ คือเหล็กหล่อที่ได้มาจากการหลอม (Cast iron) เพราะมันมีจุดหลอมต่ำ เหล็กกล้ามีความโดดเด่นจากเหล็กเหนียว (wrought iron) ซึ่งมีธาตุอื่นผสมเพียงเล็กน้อย 1-3% ของน้ำหนักโดยสแลก (slag) ในรูปแบบของอนุภาคขนาดเล็กในทุกทิศทาง การให้เกรนที่มีลักษณะโครงสร้างเหล็ก มันมีความต้านทานต่อสนิมมากกว่าเหล็กกล้าและเชื่อมได้ง่าย ในทุกวันนี้เราพูดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า เหมือนกับว่าเจาะจงเพียงเป็นอย่างเดียวกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ พวกมันได้เคยถูกแบ่งไว้เป็น 2 แบบ",
"ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง หน่วยย่อยจะเป็นแบบเบา (light, L, Ferritin light chain) และแบบหนัก (heavy, H, FTH1) โดยมีมวลโมเลกุลที่ 19kDa และ 21kDa ตามลำดับ ลำดับยีนของหน่วยย่อยทั้งสองมีกำเนิดโครงสร้างเดียวกัน (homologous) ประมาณ 50%[6] ส่วนสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกมีเฟอร์ริตินเพิ่มอีกแบบที่เรียกว่าแบบ \"M\"[9] ส่วนเฟอร์ริตินรูปแบบเดียวที่พืชและแบคทีเรียมีคล้ายกับแบบ H[9] มีเฟอร์ริตินอีกสองอย่างที่พบในหอยฝาเดียว Lymnaea โดยเฟอร์รินตินที่อยู่ในตัว (somatic) และในไข่ (yolk) จะต่างกัน (ดูรายละเอียดต่อไป)[9] มีรูปแบบอื่นอีกที่คล้ายกับที่พบในตัวของ Lymnaea ที่เกี่ยวกับการสร้างเปลือกของหอยนางรม[10] ในปรสิตสกุล Schistosoma มีรูปแบบสองอย่างที่ต่างกันระหว่างตัวเมียและตัวผู้[9] รูปแบบทั้งหมดที่กล่าวถึงแล้วมีลำดับหลักคล้ายกับรูปแบบ H ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง[9] ส่วนในแบคทีเรีย E. coli เฟอร์ริตินที่พบคล้ายกับแบบ H ของมนุษย์ที่ 20%[9]",
"เฟอร์ริตินในไมโทคอนเดรียมีบทบาทหลายอย่าง คือมีส่วนร่วมในการทำงานของ ferroxidase, ของการยึดไอออนธาตุเหล็ก (iron), ของ oxidoreductase, ของการยึดเหล็กแบบ ferric, ของการยึดไอออนโลหะ (metal ion binding) และของการยึดโลหะทรานซิชัน ในกระบวนการชีวภาพ มันยังมีส่วนร่วมในกระบวนการออกซิเดชัน-รีดักชัน ในการขนส่งไอออนเหล็กข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ และภาวะธำรงดุลของไอออนเหล็กภายในเซลล์",
"งานวิจัยปี 2544 แสดงว่าเฟอร์ริตินของไมโทคอนเดรีย (mitochondrial ferritin) เป็นสารตั้งต้นของโปรตีน (protein precursor) อย่างหนึ่ง และจัดเป็นโปรตีนที่จับกับโลหะภายในไมโทคอนเดรีย[11] หลังจากที่โปรตีนผ่านกระบวนการของไมโทคอนเดรียไปแล้ว ก็จะสามารถสร้างเป็นเปลือกเฟอร์ริตินที่ใช้การได้ โดยมีโครงสร้างขนาด 1.70 อังสตรอม วัดโดยการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction) โดยมี residue 182 แห่ง และ 67% ของโครงสร้างจะเป็นรูปวนก้นหอย (helical) กราฟ Ramachandran plot[12] แสดงว่า โครงสร้างของเฟอร์ริตินไมโทคอนเดรียเป็นรูปวนก้นหอยแบบ alpha โดยมี beta sheet น้อย และไม่เหมือนกับเฟอร์ริตินของมนุษย์ประเภทอื่น ๆ ยีนของมันปรากฏกว่าไม่มีส่วน intron",
"ปริมาณธาตุเหล็กทั้งหมดในร่างกายมีประมาณ 3.8 ก. ในชาย และ 2.3 ก. ในหญิง\nส่วนในน้ำเลือด เหล็กจะเวียนไปกับเลือดโดยยึดกับโปรตีน transferrin อย่างแน่น\nมีกลไกหลายอย่างที่ควบคุมเมแทบอลิซึมของเหล็กในมนุษย์ และป้องกันไม่ให้ขาด\nกลไกควบคุมหลักอยู่ในทางเดินอาหาร\nแต่ถ้าการสูญเสียเหล็กไม่สามารถชดเชยได้จากการทานอาหาร ภาวะขาดเหล็กก็จะเกิดขึ้นในที่สุด\nและถ้าไม่รักษา ก็จะลามไปเป็นภาวะโลหิตจางเหตุขาดธาตุเหล็ก (iron deficiency anemia)\nแต่ก่อนจะถึงภาวะโลหิตจาง ภาวะการขาดธาตุเหล็กโดยที่ยังไม่ถึงภาวะโลหิตจางเรียกว่า Latent Iron Deficiency (LID) หรือ Iron-deficient erythropoiesis (IDE)",
"ตามงานศึกษาปี 2547 คนไข้โรคเบื่ออาหารเหตุจิตใจ (anorexia nervosa) สามารถมีระดับเฟอร์ริตินที่สูงในช่วงขาดอาหารอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเหล็กออกสะสมในเลือด โดยจำนวนเม็ดเลือดแดงจะตกลง[34] ส่วนงานศึกษาปี 2556 เสนอว่า เนื่องจากความผิดปกติของเมแทบอลิซึมในโรคนี้ จึงอาจมีการหลั่ง isoferritin ออก นอกจากนั้นแล้ว เฟอร์ริตินยังมีหน้าที่สำคัญที่ไม่เกี่ยวกับการเก็บเหล็ก เช่นเป็นตัวป้องกันอันตรายที่เกิดจากออกซิเดชัน และระดับ isoferritin อาจทำให้ระดับเฟอร์ริตินที่วัดสูงขึ้น การวัดเฟอร์ริตินผ่านกระบวนการ immunoassay หรือ immunoturbidimeteric อาจจะจับค่า isoferritin เหล่านี้ซึ่งไม่ได้สะท้อนการเก็บสะสมเหล็กในร่างกายจริง ๆ[35]",
"กลุ่ม (Group) : โอลิวีน (Olivine)สูตรเคมี (Mg, Fe) SiO มี MgO 42.06% , FeO 18.75% , SiO 39.9% ธาตุแมกนีเซียมและเหล็กมีคุณสมบัติในการแทนที่กันได้ โดยที่โครงสร้างของผลึกไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าแมกนีเซียมและเหล็กมีคุณสมบัติในการแทนที่กันได้ ถ้าแมกนีเซียมไปแทนที่เหล็กจะได้สูตรเป็น MgSiO เรียกว่า ฟอร์สเตอไรต์ (forsterite) และถ้าเหล็กไปแทนที่แมกนีเซียมก็จะได้สูตรทางเคมีเป็น FeSiOเรียกว่า ฟายาไลต์ (fayalite) โดยปกติแล้ว โอลิวีนจะมีธาตุแมกนีเซียมมากกว่าเหล็ก เนื่องจาก ฟายาไลต์ (fayalite) เป็นโอลิวีนที่ประกอลไปด้วยเหล็กมาก ทำให้ดัชนีหักเหมีค่าสูง , หนัก และมีสีเข้มมากกว่า ฟอร์สเตอไรต์ (forsterite) ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะแยกความแตกต่างของแร่ที่มีทั้งธาตุเหล็กและแมกนีเซียม",
"พลอย หรือหินสี ที่สำคัญได้แก่ พลอยในตระกูลคอรันดัม ซึ่งประกอบด้วย Al2O3 โดยมี Al: O = 52.9: 47.1 โดยมวล การที่พลอยแต่ละชนิดมีสีต่างกันเป็นเพราะมีธาตุเจือปนที่ต่างกัน เช่นทับทิม มีสีแดง เพราะมี โครเมียม เจือปนอยู่ 0.1 – 1.25 โดยมวล บุษราคัม (แซฟไฟร์สีเหลือง) มี เหล็ก และไทเทเนียม เจือปน ไพลิน (แซฟไฟร์สีน้ำเงิน) มีสีน้ำเงินเพราะมี เหล็ก และ ไทเทเนียม เจือปน พลอยสาแหรก หรือสตาร์ มีรูไทล์ปนอยู่ในเนื้อพลอย พลอยในตระกูลควอทซ์ เช่น อเมทิสต์ ซิทริน อาเกต เป็นต้น เพชร เป็นธาตุคาร์บอนที่บริสุทธิ์ มีความแข็งแรงมากที่สุด เพชรที่ดีจะต้องไม่มีสี (ถ้ามีสีสวยงามในกลุ่ม เหลือง ชมพู ส้ม แดง น้ำเงิน จะมีราคาสูงกว่าเพชรสีขาวมากๆเรียกว่า Fancy Diamond(เพชรแฟนซี)",
"ระดับเฟอร์ริตินในเลือดสามารถวัดได้ในห้องปฏิบัติการโดยเป็นส่วนของการตรวจสอบเหล็กเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็กหรือไม่ ระดับเฟอร์ริตินในเลือดปกติจะมีสหสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณเหล็กที่ร่างกายสะสม แต่ว่า ระดับก็อาจจะสูงกว่าปกติในกรณีที่มีภาวะเลือดจางเหตุโรคเรื้อรัง (anemia of chronic disease) ที่เฟอร์ริตินสูงขึ้นโดยเป็นส่วนของ acute phase protein ที่เกิดจากการอักเสบ และไม่ใช่เป็นตัวชี้ว่ามีเหล็กเกิน",
"อัตราของระดับเหล็กในเลือดต่อ TIBC ซึ่งเรียกว่า iron saturation index หรือ transferrin saturation index เป็นการตรวจที่จำเพาะที่สุดเมื่อไม่ขาดธาตุเหล็ก ถ้าต่ำพอ\nคือ ระดับ iron saturation (หรือ transferrin saturation) < 5% หมายถึงการขาดเหล็กแทบเต็มร้อย แต่ระดับ 5% - 10% แสดงเพียงแค่ว่าอาจขาดเหล็กแต่ไม่ชัดเจน\nแต่ว่าการมี iron saturation >= 12% (โดยไม่ได้ตรวจอย่างอื่น) บอกว่ามีโอกาสน้อยที่จะมีภาวะนี้\nระดับปกติของหญิง (>12%) จะต่ำกว่าชาย (>15%) แต่นี้เพียงแค่ชี้ว่าหญิงมีระดับเหล็กน้อยกว่าชายในกลุ่มประชากร \"ปกติ\"",
"ปกติโลหะทรานซิชันอยู่ในสิ่งมีชีวิตเป็นธาตุปริมาณน้อยมาก โดยสังกะสีและเหล็กเป็นธาตุที่พบมากที่สุด โลหะเหล่านี้ใช้เป็นโคแฟกเตอร์ในโปรตีนบางตัว และมีความสำคัญต่อกัมมันตภาพของเอ็นไซม์อย่างคะแทเลสและโปรตีนพาออกซิเจนอย่างฮีโมโกลบิน โคแฟกเตอร์โลหะจับกับจุดจำเพาะในโปรตีนอย่างแน่น แม้โคแฟกเตอร์เอ็นไซม์สามารถดัดแปรได้ระหว่างคะแทไลสิส โคแฟกเตอร์เหล่านี้จะกลับสู่สถานะเดิมเสมอเมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยาที่เกิดคะแทไลสิสแล้ว สารอาหารรองโลหะรับเข้าสู่สิ่งมีชีวิตโดยตัวพาจำเพาะและจับกับโปรตีนเก็บอย่างเฟอร์ริตินหรือเมทัลโลไธโอนีนเมื่อไม่ใช้"
] |
แชคิล ราชอน โอนีล เกิดเมื่อไหร่ ? | [
"แชคิล ราชอน โอนีล (English: Shaquille Rashaun O'Neal) (เกิด 6 มีนาคม พ.ศ. 2515 ในเมืองนีวอร์ค รัฐนิวเจอร์ซีย์) เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า แชค (Shaq) เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง โอนีลเริ่มเล่นให้กับออร์แลนโด แมจิก ต่อมาเซ็นสัญญากับลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ก่อนจะถูกเทรดย้ายไปไมอามี ฮีท, ฟีนิกส์ ซันส์ และ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ ตามลำดับ มีชื่อเสียงเรื่องตัวใหญ่ด้วยความสูง 7 ฟุต 1 นิ้ว (2.16 ม.) หนัก 340 ปอนด์ (154 กก.) และใส่รองเท้าเบอร์ 22 (ของทางสหรัฐ) มีชื่อเล่นหลายชื่อ เช่น ดีเซล (Diesel) บิ๊กอริสโตเติล (Big Aristotle) ซูเปอร์แมน (Superman) และล่าสุดเมื่อได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจคือ ดอกเตอร์แชค (Doctor Shaq) ซึ่งส่วนใหญ่แชคเป็นคนตั้งเอง เขาเริ่มเล่นในเอ็นบีเอตั้งแต่อายุ 20 ปี และตลอดเวลาการเล่น 13 ปี สร้างผลงานที่เยี่ยมยอดและหลายคนถือว่าเขาเป็นเซ็นเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาทีเดียว"
] | [
"วันที่ 1 มิถุนายน 2011 แช็คประกาศรีไทร์ทางทวิตเตอร์ เราสามารถทำมันได้ ,19 ฤดูกาล ผมขอบคุณมาก นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากบอกคุณเป็นคนแรก ผมจะรีไทร์แล้ว รักและขอบคุณทุกคนนะ แล้วเราไว้คุยกัน",
"อนาคตของโอนีลยังคงคลุมเครือเมื่อฤดูกาลจบลง เขาจะกลายเป็นผู้เล่น ฟรีเอเจนท์ ในช่วงปิดฤดูกาล 2010 นี้",
"2 พฤศจิกายน วันเปิดฤดูกาล 2010-2011 แชคพลาดลงเล่น 5เกมแรก เนื่องจากอาการบาดเจ็บ และลงเล่นในเกมถัดไป",
"ฤดูกาล 2006–07 นี้ โอนีลทำคะแนนรวมตลอดอาชีพการเล่นถึง 25,000 คะแนน ถือเป็นผู้เล่นเอ็นบีเอคนที่ 14 ที่ทำได้ แต่ฤดูกาลนี้ก็เป็นฤดูกาลของโอนีลที่ทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมไม่ถึง 20 คะแนน",
"Blue Chips (1993) เล่นกับเพื่อนร่วมทีม แอนเฟอร์นี ฮาร์ดาเวย์ (Anfernee Hardaway) และ Nick Nolte Kazaam (1996) Good Burger (1997) Steel (1997) Freddy Got Fingered (2001)",
"หลังจากฤดูกาล 1995-96 ของเอ็นบีเอ (ตรงกับ พ.ศ. 2538-39) โอนีลเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ด้วยสัญญาเจ็ดปีมูลค่าสูงถึง 120 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เขาและโคบี ไบรอันต์ กลายเป็นคู่การ์ดและเซ็นเตอร์ที่เล่นได้ประสิทธิภาพที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ราบรื่นและเกิดเรื่องผิดใจกันบ่อยครั้ง",
"เมื่อแชคย้ายไปอยู่ไมอามี แชคเริ่มฝึกเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่สำรองของเมืองไมอามีบีช และเข้าสาบานตัวเป็นเจ้าหน้าที่เมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2548 แชคสนใจทำงานด้านสืบสวนสอบสวน สำหรับป้องกันอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับเด็ก",
"นอกสนาม แชคมีความสนใจงานในหน่วยงานตำรวจมาก โอนีลผ่านหลักสูตรโรงเรียนตำรวจของลอสแอนเจลิส และเป็นเจ้าหน้าที่สำรองของตำรวจท่าของลอสแอนเจลิส",
"Shaq Diesel (1993) Shaq Fu - Da Return (1994) The Best of Shaquille O'Neal (1996) You Can't Stop the Reign (1996) Respect (1998) Presents His Superfriends, Vol. 1 (2001)",
"ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2011 แช็คเกิดอาการบาดเจ็บอีกครั้งจนทำให้เขาพลาดเกมที่เหลือ",
"วันที่ 25 มิถุนายน 2009 ฟินิกส์ ซันส์ เทรด โอนีล ไปอยู่ทีม คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส แลกกับ ซาช่า แพบโลวิช, เบน วอลเลซ, เงิน 500,000 เหรียญ และ สิทธิ์ในการดร้าฟผู้เล่นในรอบสองของปี 2010 การมาที่คลีฟแลนด์นี้ โอนีล กล่าวว่า \"คำขวัญของผมง่ายมาก: ช่วยเดอะคิงคว้าแหวนแชมป์\" \"My motto is very simple: Win a Ring for the King,\" โดย The King นั้นหมายถึง เลอบรอน เจมส์",
"โอนีลเป็นคนที่ชู้ตลูกโทษแย่ที่สุดคนหนึ่งในเอ็นบีเอ ค่าเฉลี่ยตลอดการเล่นของเขาคือเพียง 53.1% ทีมตรงข้ามชอบใช้วิธีทำฟาวล์แชคโดยจงใจ เรียกกลยุทธนี้ว่า Hack-a-Shaq คิดและตั้งชื่อโดย ดอน เนลสัน โค้ชของดัลลัส แมฟเวอริกส์ แต่การชู้ตลูกโทษแย่ก็พบในผู้เล่นยิ่งใหญ่อีกหลายคนเช่น วิลท์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) การตั้งใจทำฟาวล์หรือ Hack-a-Shaq นี่เองที่ทำให้เกิดเอ็นบีเอตั้งกติกาขึ้นใหม่ว่า ห้ามจงใจทำฟาวล์ผู้เล่นที่ไม่ได้ถือบอล จนกว่าจะเหลือเวลาการแข่งขันต่ำกว่า 2 นาที ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นการทำฟาวล์ทางเทคนิค (Technical Foul) ทันที",
"แต่ในเกมฤดูกาลปกติที่ โอนีล เล่นรวม 28 เกม ทำได้เฉลี่ย 12.9 คะแนน 10.6 รีบาวด์ในปีแรกที่เล่นให้ซันส์[2] และได้เข้ารอบเพลย์ออฟ สาเหตุหนึ่งของการเทรดเอา โอนีล มา ก็เพื่อประกบกับ ทิม ดังแคน ของทีม ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ เมื่อพบกันตอนเพลย์ออฟ โดยเฉพาะเมื่อซันส์ต้องตกรอบในเพลย์ออฟในฤดูกาลที่แล้วเพราะดังแคน[3] โอนีล และ ฟีนิกส์ ซันส์ ก็ได้พบกับทีม ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ จริงๆ ในรอบแรกของเพลย์ออฟ แต่ก็แพ้ตกรอบอีกครั้งในการแข่ง 5 เกม ในการแข่งซีรีส์นี้ โอนีล ทำ 15.2 แต้ม 9.2 รีบาวด์ 1.0 แอสซิสต์ต่อเกม[2]",
"โอนีล เล่นไม่ดีในช่วงต้นฤดูกาล 2007–08 ทำคะแนน รีบาวด์ และ บล็อก เฉลี่ยต่ำสุดเท่าที่เคยเล่น บทบาทในการทำคะแนนของเขาลดลงมาก เขาพยายามชู้ตแค่ 10 ครั้งต่อเกม เที่ยบกับค่าเฉลี่ยตลอดอาชีพการเล่นที่ 17 อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการฟาล์ว มีช่วงหนึ่งที่ทำฟาล์วจนต้องออกจากการแข่งขันติดต่อกัน 5 เกม จากผลงานที่ได้ดีและมีปัญหาบาดเจ็บบ่อย โอนีล พลาดการเล่นในเกมรวมดาราเอ็นบีเอ ทำให้สถิติการเล่นเกมรวมดาราถึง 14 ปีติดต่อกันของ โอนีล ก็จบลงในฤดูกาลนี้",
"โอนีล ได้รับเลือกเป็นคนแรกของการดราฟในปี พ.ศ. 2535 โดยทีมออร์แลนโด แมจิก เขาเล่นที่นั่นเป็นเวลาสี่ปี โดยมีผลงานที่โดดเด่นจนได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (รุกกีออฟเดอะเยียร์) หลังจากนั้น เมื่อออร์แลนโด้ได้ตัวการ์ดหน้าใหม่ แอนเฟอร์นี ฮาร์ดอเวย์ (ฉายา \"เพนนี\") เข้ามาในทีม การประสานงานของแชคกับเพนนี่ช่วยกันสร้างทีมออร์แลนโดจากทีมท้ายตารางกลายมาเป็นทีมที่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้",
"หลังจากหมดสัญญาจากทีม แชคได้รับข้อเสนอต่อสัญญาจากออร์แลนโดจำนวนเงินถึง 115 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับได้รับการติดต่อจากทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ แต่สุดท้ายแชคก็ตกลงเซ็นสัญญาไปเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2539",
"หมวดหมู่:นักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน",
"เมื่อมีนาคม พ.ศ. 2548 เขาได้รับยศกิตติมศักดิ์ U.S. Deputy Marshal และเป็นโฆษกของสถาบัน Safe Surfin' และยังทำงานร่วมกับหน่วยที่มีชื่อเดียวกันเพื่อตามล่าผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อล่อลวงเด็กทางเพศ",
"วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2009 โอนีลชู้ต 45 แต้ม และรีบาวน์ 11 ครั้ง เป็นการทำคะแนน 40 แต้มหรือมากกว่าครั้งที่ 49 ของเขา ในเกมที่เอาชนะ โตรอนโต้ แร็พเตอร์ส 133-113 แต่ฤดูกาลนี้จบลง และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โอนีลเข้ามาเอ็นบีเอเมื่อปี 1992 ที่เขาไม่ได้เข้ารอบเพลย์ออฟ",
"วันที่ 3 เมษายน 2011 แช็คกลับมาลงเล่นอีกครั้งหลังจากพลาดไป 27 เกม เขาลงเล่นด้วยเพียง 5 นาทีก็เกิดอาการบาดเจ็บ และนั่นเป็นเกมสุดท้ายของเขาในฤดูกาลปกติ",
"Shaquille (2005) , รายการเรียลลิตีของช่อง ESPN",
"ฟีนิกส์ ซันส์ เทรดเอา โอนีล มาจากไมอามี ฮีท แลกกับ ชอน แมริออน (Shawn Marion) และ มาคัส แบงค์ส (Marcus Banks) โอนีล เล่นให้ซันส์เกมแรกในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 แข่งกับเลเกอร์ส ทีมเก่าของเขา และทำ 15 แต้ม 9 รีบาวด์ เลเกอร์สชนะด้วยคะแนน 130 ต่อ 124 โอนีลกล่าวกับผู้สื่อขาวหลังจบเกมว่า: \"ผมขอรับผิดจากการแพ้เกมนี้เพราะยังไม่เล่นเข้าขากับคนอื่น แต่ขอเวลาผมสี่หรือห้าวันแล้วผมจะทำให้ได้\" I will take the blame for this loss because I wasn't in tune with the guys [...] But give me four or five days to really get in tune and I'll get it.[1]",
"หลังจากเลเกอร์สพ่ายให้กับดีทรอยต์ พิสตันส์ในรอบสุดท้ายของเอ็นบีเอ โอนีล ผิดใจกับคำพูดของผู้จัดการทั่วไปของเลเกอร์ส มิทช์ คุปแชค (Mitch Kupchak) และยังมีเรื่องความขัดแย้งระหว่างแชคกับ โคบี้ ไบรอนท์ ที่ลุมๆดอนๆมาตลอด, โค้ชฟิล แจ็กสันไม่ต่อสัญญากับทีม รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของแชคกับทีมที่ทางเจ้าของทีมไม่ได้ให้ความสนใจ ทำให้โอนีลประกาศว่าเขาต้องการให้เทรด ตัวเขาย้ายออกจากทีม ซึ่งทางเลเกอร์สก็ตกลงเทรดโอนีลไปยังทีมไมอามี ฮีท แลกกับ ลามาร์ โอดอม (Lamar Odom) , ไบรอัน แกรนต์ (Brian Grant) , คารอน บัทเลอร์ (Caron Butler) และสิทธิ์ในการดราฟรอบแรก",
"ฤดูกาล 2006-07 ฮีท ประสบปัญหาการบาดเจ็บจากผู้เล่นหลัก แชคเจ็บเข่าขวา และไม่ได้ลงเล่นถึง 30 เกม ช่วงที่แชคหายไป ทีมมีปัญหาการเล่น แต่เมื่อแชคกลับมาเล่นอีกครั้ง เขาทำให้ทีมชนะ 7 ใน 8 เกมถัดมา แต่ ดเวน เหว็ด ก็มาบาดเจ็บหัวไหล่เคลื่อน นักวิจารณ์สงสัยว่าลำพังแชคสามารถแบกทีมให้เข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้หรือไม่ ซึ่งแชคก็ตอบข้อวิจารณ์โดยพาทีมให้ชนะเกมติดต่อกันและได้เล่นในเพลย์ออฟ ฮีท ได้พบกับ ชิคาโก บุลส์ ในรอบแรกแต่แพ้ 4 เกมรวดและตกรอบเพลย์ออฟ ถือเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ โอนีล ไม่สามารถเข้าสู่รอบสอง",
"เขาทำข้อมือหักทั้งสองข้างจากการไต่ระหว่างต้นไม้สองต้นเลียนแบบสไปเดอร์แมน ตัวการ์ตูนที่เขาชื่นชอบ นี่เป็นคำอธิบายหนึ่งว่าทำไมแชคถึงชู๊ตลูกโทษได้ไม่ดี",
"จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของเขาคือเรื่องน้ำหนัก โอนีลมักปรากฏตัวในแคมป์ฝึกซ้อมก่อนฤดูกาลด้วยน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ในช่วงสองสามปีสุดท้ายกับทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ เขาหนักประมาณ 350 ปอนด์ (160 กิโลกรัม) เมื่อแชคมีน้ำหนักตัวมากเกินไป เขามักมีปัญหาการบาดเจ็บโดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่โป้งเท้าข้างขวา เขามีอาการเจ็บปวดเรื้อรังที่ข้อต่อนิ้วโป้งเท้าขวาจากการวิ่ง กระโดด และดังก์ ด้วยน้ำหนักตัวที่สูงเป็นเวลามากกว่าสิบปี",
"เนสเล่ ครั้นช์ (Nestlé Crunch) Chattem Icy Hot Sleeve and Icy Hot Back Patch (แผ่นปิดแก้ปวดเมื่อย)",
"ผลงานของเขาดีขึ้นในฤดูกาล 2008-09 สำหรับโอนีล ครึ่งฤดูกาลแรก (41 เกม) เขาทำผลงานเฉลี่ย 18 แต้ม 9 รีบาวน์ และ 1.6 บล็อกต่อเกม ช่วยให้ทีมฟินิกส์ ซันส์มีสถิติ 23-18 อยู่ในอันดับ 2 ของดิวิชั่น เขาได้รับเลือกให้ติดทีมออลสตาร์อีกครั้งในปี 2009 และได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าร่วมกับอดีตเพื่อนร่วมทีม โคบี้ ไบรอันต์",
"แชคิล ราชอน (Shaquille Rashaun มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า นักรบน้อย) เป็นชื่อที่บิดาแท้ ๆ คือ โจเซฟ โทนี (Joseph Toney) เป็นคนตั้งให้ แต่โอนีลก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อมากนัก มารดาของเขา ชื่อ ลูซีลล์ โอนีล แฮริสัน (Lucille O'Neal Harrison) แต่งงานใหม่กับทหารอเมริกันชื่อ ฟิลิป แฮริสัน (Phillip Harrison) ซึ่งแชคเห็นเขาเป็นบิดาที่แท้จริง แชคได้ใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนหนึ่งในประเทศเยอรมนี ที่ที่พ่อ (ฟิลิป) ของเขาประจำการอยู่ และได้เรียนรู้วิธีการเล่นบาสเกตบอลที่นั่น"
] |
ศรีลังกาปกครองระบอบใด ? | [
"ศรีลังกา (Sinhala: ශ්රී ලංකා; Tamil: இலங்கை) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (Sinhala: ශ්රී ලංකා ප්රජාතාන්ත්රික සමාජවාදී ජනරජය; Tamil: இலங்கை ஜனநாயக சோசலிச குடியரசு) เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอนุทวีปอินเดีย ชื่อในอดีตได้แก่ ลังกา ลังกาทวีป สิงหลทวีป และ ซีลอน ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ในสมัยอาณานิคมจนถึง พ.ศ. 2517 มีพรมแดนทางทะเลติดต่อกับอินเดียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และมัลดีฟส์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้"
] | [
"การเรียกร้องให้มีการปกครองแบบรัฐสภา ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระบรมราชาธิบายว่าด้วยความสามัคคีแก้ความในคาถาที่มีโนอามแผ่นดิน” ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะอธิบายแนวความคิดอันเป็นพื้นฐานของพระราโชบายของพระองค์เกี่ยวกับการปรับปรุงการปกครองบ้านเมือง ทั้งเป็นการชี้แจงด้วยว่าเหตุใดพระองค์จึงยังไม่ทรงจัดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยให้เป็นไปตามแบบฉบับของประเทศในยุโรปโดยทันทีเช่น",
"สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (English: absolute monarchy) คือ ระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองและมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ ในระบอบการปกครองนี้ กษัตริย์ก็คือกฎหมาย กล่าวคือ ที่มาของกฎหมายทั้งปวงอยู่ที่กษัตริย์ คำสั่ง ความต้องการต่าง ๆ ล้วนมีผลเป็นกฎหมาย[1] กษัตริย์มีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและพลเมืองโดยอิสระ โดยไม่มีกฎหมายหรือองค์กรตามกฎหมายใด ๆ จะห้ามปรามได้ แม้องค์กรทางศาสนาอาจทัดทานกษัตริย์จากการกระทำบางอย่างและองค์รัฏฐาธิปัตย์ (กษัตริย์) นั้นจะถูกคาดหวังว่าจะปฏิบัติตามธรรมเนียม แต่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใด ๆ ที่จะอยู่เหนือกว่าคำชี้ขาดของรัฏฐาธิปัตย์ ตามทฤษฎีพลเมืองนั้น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มอบความไว้วางใจทั้งหมดให้กับพระเจ้าแผ่นดินที่ดีพร้อมทางสายเลือดและได้รับการเลี้ยงดูฝึกฝนมาอย่างดีตั้งแต่เกิด",
"ประเทศที่ใช้ระบอบระบอบกึ่งประธานาธิบดีได้แก่ ฝรั่งเศส รัสเซีย อียิปต์ มองโกเลีย ศรีลังกา โรมาเนีย ยูเครน โปรตุเกส แอลจีเรีย เป็นต้น\nระบอบประธานาธิบดีคือระบอบที่ตั้งให้ประมุขแห่งรัฐมีอำนาจสูงสุดอย่างเต็มที่ คณะรัฐบาลอยู่ใต้อำนาจของประมุขแห่งรัฐ เช่น สหรัฐ ประธานาธิบดีมีอำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนคณะรัฐบาล ในรัฐธรรมนูญของบางประเทศอาจให้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควบคู่ไปกับประธานาธิบดีได้ แต่ส่วนมากนายกรัฐมนตรีในระบอบประธานาธิบดีจะไม่มีอำนาจเท่ากับในระบอบรัฐสภา",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พ.ศ. 2453 นั้นกลุ่มปัญญาชนต่างก็มุ่งหวังว่า พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และคงได้ทรงเตรียมพระองค์ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสไว้ แต่ปรากฏว่ายังไม่มีพระราชดำริในเรื่องรัฐสภาและรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ในเวลาเดียวกันประเทศจีนมีการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์แมนจู เปลี่ยนการปกครองประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐเป็นผลสำเร็จ ทำให้ความคิดอยากจะได้ประชาธิปไตยมีมากขึ้น ประกอบกับความไม่พอใจในพระราชจริยาวัตรบางประการของพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาที่จะล้มล้างระบอบการปกครอง",
"มาตรา 5 ว่า เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตราบที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้",
"อิทธิพลของตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในศรีลังกา เริ่มจากโปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ตามลำดับ โดยมาทำการค้าตามเมืองท่าด้านตะวันตกของประเทศ และในปี พ.ศ. 2048 (ค.ศ. 1505) โปรตุเกสได้เข้ายึดครองพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลและปกครองประเทศก่อนที่ชาวดัตช์จะเข้าครอบครองดินแดนศรีลังกาในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) และต่อมาอังกฤษสามารถครอบครองศรีลังกาเป็นเมืองขึ้นในปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) ภายใต้อนุสัญญา Kandyan รวมเวลาที่ศรีลังกาตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติเกือบ 500 ปี และอังกฤษได้ใช้ศรีลังกาเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอินเดียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948)",
"ระบอบกึ่งประธานาธิบดีนั้นเกิดขึ้นครั้งแรก ณ ประเทศฝรั่งเศส ในสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 โดยมีชาร์ลส์ เดอ โกลล์ เป็นประธานาธิบดี ทั้งนี้เพราะไม่ว่าผู้ใดจะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ทำให้เกิดความวุ่นวาย มีข้อขัดแย้งมากและต้องยุบสภาบ่อย รัฐบาลหรือรัฐสภาต้องออกจากตำแหน่งและมีการเลือกตั้งใหม่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เสียงบประมาณ ดังนั้นนักรัฐศาสตร์และนักนิติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสจึงได้พัฒนารูปแบบการปกครองโดยผสมผสานกันระหว่างระบอบรัฐสภาและระบอบประธานาธิบดี ทั้งนี้ได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส พ.ศ. 2493 และมีการแก้ไขในปี พ.ศ. 2505 อีกด้วย",
"ประเทศซีลอนในเครือจักรภพ หรือ \"ซีลอน\" คืออดีตรัฐที่ดำรงสถานะก่อนหน้าสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ปกครองภายใต้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เป็นพระประมุข. ดินแดนอาณานิคมซีลอนที่มีสถานะเป็นอาณาจักรในเครือจักรภพ เมื่อ ค.ศ. 1948 ในปี ค.ศ. 1972 ภายหลังจากที่สิ้นสุดการปกครองของสหราชอาณาจักร. เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นสาธารณรัฐในเครือจักรภพส่งผลให้ข้าหลวงต่างพระองค์แห่งซีลอนคนสุดท้าย William Gopallawa ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี โดยเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ศรีลังกา. เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอนุทวีปอินเดีย .",
"หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้และอังกฤษกลับมาฟื้นฟูระบอบอาณานิคมในพม่า แต่ระบบการปกครองในพม่าถูกทำลาย มีเพียงเจ้าที่ดินในท้องถิ่นมีอำนาจและมีกลุ่มติดอาวุธจำนวนมาก กองทัพเอกราชพม่าของอองซานอยู่ในฐานะกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุด ในสภาพดังกล่าว ลอร์ดเมาท์แบตเทิร์นได้เสนอให้สร้างกองทัพขึ้นมาสองกลุ่มคือกองทัพของชาวพม่า และของกลุ่มที่ไม่ใช่ชาวพม่า และควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษ กองทัพดังกล่าวนั้นตั้งขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ. 2488 ประกอบด้วยกองพลทหารพม่า 4 กอง ทหารกะเหรี่ยง 2 กอง ทหารกะฉิ่น 2 กอง และทหารฉิ่น 2 กอง ความต้องการของอองซานที่ต้องการให้คงหน่วยทหารของเขาร่วมกับกองทัพใหม่ได้รับการยืนยันในการประชุมแคนดีเมื่อ 6-7 กันยายน พ.ศ. 2488 ที่ศรีลังกา",
"จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 มีบุคคลบางกลุ่มได้จัดให้มีการชุมนุมเรียกร้องการฟื้นฟูสถาปนา พระราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการีขึ้น ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อเวลา 9 นาฬิกา ต่อมาเวลา 18 นาฬิกาที่กรุงเวียนนา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสถาปนาพระราชวงศ์ให้กลับมาครองบัลลังก์ และยังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในออสเตรีย และฮังการีอีกด้วย การชุมนุมนี้มีขึ้น ณ ใจกลางกรุงเวียนนา โดยมีหัวข้อชุมนุมเรียกร้องเป็นภาษาเยอรมันว่า 89 Jahre Republik Sind Genug! แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า \"89 Years are enough for the Republic\" (แปล: \"89 ปี...มากพอแล้วสำหรับการเป็นสาธารณรัฐ\") การชุมนุมของบุคคลบางกลุ่มในทั้ง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนในรัฐสภาทั้งในออสเตรียและฮังการี และประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศต่างได้หารือกันอีกด้วย อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏว่าการชุมนุมดังกล่าวส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมที่เป็นรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 3 ปีเศษภายหลังการชุมนุมดังกล่าว ทั้งสาธารณรัฐออสเตรียและฮังการีต่างยังคงยึดมั่นในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและสาธารณรัฐไว้ได้อย่างมั่นคง และไม่มีทีท่าว่าประเทศทั้งสองซึ่งต่างก็เป็นรัฐอธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้ว จะหวนกลับมารวมกันเป็นประเทศเดียวกันอีกได้แต่ประการใด แม้จนกระทั่งเมื่อออทโท ฟอน ฮับสบวร์ค สิ้นพระชนม์ไปแล้วในปี พ.ศ. 2554 ก็ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่า ทั้งออสเตรียและฮังการีจะสามารถหวนกลับไปสู่การปกครองระบอบราชาธิปไตยได้อีกเลย",
"ศรีลังกาเป็นประเทศที่ประกอบด้วยประชากรหลายเชื้อชาติ ศาสนา แต่การเมืองภายในมีพรรคการเมืองที่สำคัญเพียง 2 พรรคของชนชาติสิงหล คือ SLFP (Sri Lanka Freedom Party) และพรรค UNP (United National Party) ที่แข่งขันช่วงชิงอำนาจทางการเมือง พรรคการเมืองอื่น ๆ ซึ่งเป็นพรรคของชนเชื้อสายทมิฬและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็นพรรคย่อยและมีความสำคัญน้อย นับแต่ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 (ค.ศ. 1948) จนถึงปัจจุบันพรรค SLFP และพรรค UNP ผลัดกันเป็นรัฐบาลมาโดยตลอด โดยทั้งสองพรรคดังกล่าวนิยมระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ต่างกันที่นโยบายเศรษฐกิจของพรรค SLFP มีลักษณะเป็นสังคมนิยม ในขณะที่พรรค UNP มีนโยบายเศรษฐกิจเสรี",
"สำหรับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ซึ่งตรงกับวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเป็นวันชาติในขณะนั้น โดยความประสงค์ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งการปกครองในยุคนั้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันในระยะต่อมาว่ามิได้เป็นวิธีการในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด",
"เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 มีบุคคลบางกลุ่มได้จัดให้มีการชุมนุมเรียกร้องการฟื้นฟูสถาปนา พระราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการี ขึ้น ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อเวลา 9 นาฬิกา ต่อมาเวลา 18 นาฬิกาที่กรุงเวียนนา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสถาปนาพระราชวงศ์ให้กลับมาครองบัลลังก์ และยังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในออสเตรีย และฮังการีอีกด้วย การชุมนุมนี้มีขึ้น ณ ใจกลางกรุงเวียนนา โดยมีหัวข้อชุมนุมเรียกร้องเป็นภาษาเยอรมันว่า 89 Jahre Republik Sind Genug! แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า 89 Years are enough for the Republic: 89 ปี...มากพอแล้วสำหรับการเป็นสาธารณรัฐ การชุมนุมของบุคคลบางกลุ่มในทั้ง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนในรัฐสภาทั้งในออสเตรียและฮังการี และประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศต่างได้หารือกันอีกด้วย อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏว่าการชุมนุมดังกล่าวส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมที่เป็นรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 3 ปีเศษภายหลังการชุมนุมดังกล่าว ทั้งสาธารณรัฐออสเตรียและฮังการีต่างยังคงยึดมั่นในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและสาธารณรัฐไว้ได้อย่างมั่นคง และไม่มีทีท่าว่าประเทศทั้งสองซึ่งต่างก็เป็นรัฐอธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้ว จะหวนกลับมารวมกันเป็นประเทศเดียวกันอีกได้แต่ประการใด แม้จนกระทั่งเมื่อออทโท ฟอน ฮับสบูร์ก สิ้นพระชนม์ไปแล้วในปี พ.ศ. 2554 ก็ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่า ทั้งออสเตรียและฮังการีจะสามารถหวนกลับไปสู่การปกครองระบอบราชาธิปไตยได้อีกเลย",
"อีกหนึ่งคำนิยามการเมืองที่ถือได้ว่าครอบคลุมและช่วยให้เห็นภาพความเกี่ยวพันของการเมืองกับบุคคลในสังคมได้แก่ ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2539, 3) ที่กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้และการใช้อำนาจทางการเมือง โดยที่อำนาจทางการเมืองหมายถึง อำนาจในการที่จะวางนโยบายในการบริหารประเทศหรือสังคม อำนาจที่จะแต่งตั้งบุคคลเพื่อช่วยในการนำนโยบายไปปฏิบัติ และ อำนาจที่จะใช้ข้าราชการ งบประมาณหรือเครื่องมืออื่น ๆ ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ แนวการมองการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ (Power Approach) ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปนี้ เป็นแนวทางการศึกษาหนึ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ทั่วไป ที่เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องหรือมีบริบทเกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน ก็มักให้คำนิยามของการเมืองว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ในเชิงการใช้อำนาจของรัฐาธิปัตย์ ต่อผู้อยู่ใต้อำนาจซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง โดยคำนิยามเช่นนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (development program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ จึงล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อนักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นความรู้หนึ่งที่ประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยสมควรสั่งสมให้แก่พลเมืองของรัฐ เพื่อประโยชน์เป็นพื้นฐานของการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย",
"สำหรับที่มานั้น วลีที่ว่า \"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข\" เพิ่งจะมีขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 2 ความว่า \"ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข\" ทั้งนี้ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ ได้ให้ความเห็นไว้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวร่างขึ้นภายใต้อิทธิพลของพลังอนุรักษนิยม ซึ่งขณะนั้นมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนทางการเมืองที่สำคัญ แต่การปรากฏขึ้นครั้งแรกนี้ ยังไม่ได้ยืนยันความเป็นชื่อเฉพาะของระบอบการปกครองแต่อย่างใด หากแต่การปรากฏขึ้นซ้ำในภายหลัง คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 และ พ.ศ. 2519 เป็นสองฉบับแรกที่ยืนยันความชอบธรรมของ \"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข\"สมศักดิ์ได้ให้ความเห็นไว้อีกว่า หน้าที่ (function) ของการยืนยันในสองฉบับมีความต่างกัน โดยฉบับ พ.ศ. 2511 เพื่อต่อต้านการเมืองและพรรคการเมืองสมัยใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น และฉบับ พ.ศ. 2519 เพื่อต่อต้านฝ่ายซ้าย",
"ความชอบธรรมทางการเมืองถือเป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการปกครอง ถ้าไร้ซึ่งความชอบธรรมแล้ว รัฐบาลจะ \"เข้าตาจนในการบัญญัติกฎหมาย\" (legislative deadlock) และอาจล่มสลายได้ในที่สุด แต่ในระบบการเมืองซึ่งมิได้ให้ความสำคัญแก่ความชอบธรรมนั้น ระบอบการปกครองที่มิใช่ของประชาชนสามารถดำรงอยู่ได้เพราะได้รับการอุ้มชูจากอภิชนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีอิทธิพลมาก ในปรัชญารัฐศาสตร์จีน นับแต่สมัยราชวงศ์โจวเป็นต้นมา รัฐบาลและผู้ปกครองจะมีความชอบธรรมต่อเมื่อได้รับอาณัติแห่งสวรรค์ (Mandate of Heaven) เมื่อใดที่ผู้ปกครองขาดอาณัติแห่งสวรรค์ เมื่อนั้นก็จะขาดความชอบธรรมและสิทธิที่จะปกบ้านครองเมือง",
"กรณีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยกล่าวหาว่ากระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 66 (2) และ (3) คณะตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏตามทางไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าสำหรับการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคมีกำหนดห้าปี ตั้งแต่วันมีคำสั่งยุบพรรคตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ข้อ 3 นั้น เห็นว่าการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมิใช่โทษทางอาญา เป็นเพียงมาตรการทางกฎหมายที่เกิดจากผลของกฎหมายที่ให้อำนาจในการยุบพรรคการเมืองที่กระทำการต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มิให้ผู้บริหารพรรคการเมืองที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีโอกาสที่จะกระทำการอันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายซ้ำอีกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และแม้สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชน แต่การมีกฎหมายกำหนดว่าบุคคลใดสมควรมีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้เหมาะสมแก่สภาพแห่งสังคม หรือเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในสังคมนั้นดำรงอยู่ย่อมมีได้ ประกาศ คปค. จึงมีผลบังคับย้อนหลังกับการกระทำอันเป็นเหตุยุบพรรคในคดีนี้ได้",
"ราชวงศ์ () คือ ลำดับของผู้ปกครองจากตระกูลเดียวกัน มักปรากฎอยู่ในบริบทของระบบศักดินาและระบอบราชาธิปไตย แต่ในบางโอกาสก็ปรากฎอยู่ในระบอบสาธารณรัฐที่มีการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน ซึ่งตระกูลของผู้ปกครองที่สืบเชื้อสายติดต่อกันมาอาจเรียกว่า \"พระราชวงศ์\" และมีบรรดาศักดิ์เป็นราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ เจ้าชาย ขุนนางศักดินา หรืออื่น ๆ ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำหรือสมาชิกของตระกูลเกิดมาด้วยฐานันดรเช่นใด นักประวัติศาสตร์หลายคนยังพิจารณาประวัติศาสตร์ของรัฐอธิปไตยแห่ง เช่น อียิปต์โบราณ จักรวรรดิการอแล็งเฌียง หรือจักรวรรดิจีน ภายใต้กรอบแนวคิดของลำดับราชวงศ์ผู้ปกครอง ดังนั้นบริบทของ \"ราชวงศ์\" จึงสามารถใช้อ้างถึงยุคสมัยที่แต่ละตระกูลปกครอง ทั้งยังเป็นบริบทที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ แนวโน้ม และศิลปวัตถุของแต่ละยุคสมัยนั้น ๆ ได้ เช่น แจกันราชวงศ์หมิง ซึ่งบริบทของราชวงศ์มักจะถูกลดทอนลงจากการอ้างอิงคุณศัพท์ดังกล่าว",
"ระบอบกึ่งประธานาธิบดีมีทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีมีอำนาจบริหารและเป็นประมุขของประเทศ รวมทั้งสามารถแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีได้\nในระบอบนี้ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสมบูรณ์และทรงสืบทอดอำนาจผ่านทางราชวงศ์กลุ่มผู้ปกครองในระบอบนี้จะปกครองประเทศเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน โดยผู้ปกครองสามารถเป็นบุคคลสามัญได้ \nประเทศเหล่านี้กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง และยังไม่สามารถถูกจำแนกอย่างชัดเจนได้",
"ในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2490 และ 2500 ชาวมัลดีฟส์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเพลงชาติมากขึ้น ถึงปี พ.ศ. 2515 ก่อนหน้าการเสด็จพระราชดำเนินเยือนมัลดีฟส์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเพียงเล็กน้อย รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์ได้แต่งตั้งให้บัณฑิต วัณณกุวัตตาวาดูเก ดอน อมระเทวา มาเอสโตรชาวศรีลังกา เป็นผู้ดำเนินการประพันธ์ทำนองเพลงชาติมัลดีฟส์ขึ้นใหม่อย่างเร่งด่วน โดยคงเนื้อร้องเดิมของจาเมเอล ดีดีไว้ แต่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเล็กน้อย โดยเน้นว่าประเทศนี้เป็นสาธารณรัฐ เนื่องจากมัลดีฟส์ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยยกเลิกระบอบกษัตริย์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2511 แล้ว เนื้อร้องและทำนองดังกล่าวนี้ได้ใช้เป็นเพลงชาติมัลดีฟส์สืบมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมแต่อย่างใดอีก",
"พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความต้องการของกลุ่มปัญญาชนทั้งข้าราชการและประชาชนที่ต้องการปกครองในแนวประชาธิปไตย พระราชดำริของพระองค์เกี่ยวกับประชาธิปไตยได้ปรากฏในจดหมายเหตุรายวัน\nว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีข้อดีในการที่อำนาจการปกครองประเทศไม่ตกอยู่กับบุคคลคนเดียว แต่ถ้าจะนำมาใช้ก็มีข้อจำกัด คือประชาชนไม่มีความรู้พอที่จะปกครองตนเองได้ ถ้าให้อำนาจในการตัดสินใจแทนผู้ปกครองแประเทศก็อาจจะเกิดผลร้ายต่อชาติ นอกจากนี้ในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรก็ไม่แน่เสมอไปว่า จะได้คนดีมีความรู้ความสามารถ เนื่องจากประชาชนไม่มีเวลามากพอที่จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน นอกจากนั้นพระองค์ยังมีพระราชวิจารณ์เกี่ยวกับระบบพรรคการเมืองว่า พรรคการเมืองใดทุนมากก็อาจจะล่อใจให้ประชาชนเลือกพรรคของตน อำนาจจึงตกเป็นของคนกลุ่มน้อย แทนที่จะอยู่ในมือของประชาชน และการที่พรรคการเมืองผลัดกันเข้ามาบริหารประเทศ ทำให้การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ไม่ติดต่อกัน การงานล่าช้า และชะงักงัน",
"โดยทั่วไปแล้วระบอบเก่าหมายถึงระบอบการปกครองใดใดที่มีลักษณะตามที่กล่าวแล้ว ระบอบเก่ารักษาลักษณะหลายประการของระบบเจ้าขุนมูลนายที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยเฉพาะในการใช้อภิสิทธิ์ของขุนนางและชนชั้นเจ้านายที่สนับสนุนโดยปรัชญาเทวสิทธิราชย์ ความแตกต่างอยู่ตรงที่อำนาจการปกครองที่เคยเป็นของเจ้าครองนครต่างๆ มาก่อนกลายเป็นอำนาจของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เพิ่มมากขึ้น",
"สาเหตุของการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นเพียงขบวนเล็กน้อย คือในปลาย พ.ศ. 2452 ได้มีการโบยหลังนายทหารสัญญาบัตรกลางสนามหญ้า ภายในกระทรวงกลาโหมท่ามกลางวงล้อมของนายทหารกองทัพบก ด้วยการบัญชาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทั้งนี้เพราะนายร้อยเอกโสม ได้ตามไปตีมหาดเล็กของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่มาทะเลาะวิวาทกับทหารบกที่หน้ากรมทหาร การโบยหลังนายร้อยเอกโสม ทำให้เกิดปฏิกิริยาเกิดขึ้นในหมู่ทหารบก และโดยเฉพาะนักเรียนนายร้อยทหารบก ครั้นต่อมา ใน พ.ศ. 2453 – 2454 นายทหารรุ่นที่จบจากโรงเรียนนายทหารบกในปลาย ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452) ได้เข้ารับราชการประจำกรมกองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักรแล้ว มีหลายคนที่เกิดความรู้สึกสะเทือนใจอย่างแรงกล้าจากการตั้ง \"กองเสือป่า\" คิดว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงสนับสนุนกิจการทหารบก และคิดต่อไปว่าการที่ประเทศไทยไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควรเพราะเป็นการปกครองด้วยคนคนเดียว นายทหารบกกลุ่มนี้คิดเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มการปฏิรูปประเทศพร้อม ๆ กัน แต่เหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงเจริญเกินหน้าประเทศไทยไปไกล คำตอบที่นายทหารบกกลุ่ม ร.ศ. 130 คิดได้คือประเทศญี่ปุ่นได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยใต้กฎหมาย ทั้งยังปลูกฝังให้พลเมืองรู้จักรักชาติ รักวัฒนธรรม รัฐบาลรู้จักประหยัดการใช้จ่ายในไม่ช้าก็มีการค้าไปทั่วโลก มีผลิตผลจากโรงงานอุตสาหกรรมของตนเอง มีการคมนาคมทั้งทางน้ำและทางบกภายในประเทศและนอกประเทศ และแผ่อิทธิพลทางการเมือง การทหาร การสังคมและวัฒนธรรมไปทั่วโลกได้อีกด้วย แต่ประเทศไทยไม่สามารถจะหยิบยกภาวะอันใดที่เป็นความเจริญก้าวหน้ามาเทียบเคียงกับประเทศญี่ปุ่นได้เลย เมื่อคำนึงถึงความล้าหลังของประเทศ และคิดว่าไม่ควรที่อำนาจการปกครองประเทศชาติจะอยู่ในมือของคนคนเดียว จึงทำให้นายทหารบกคิดปฏิวัติ",
"ความกดดันจากหนังสือพิมพ์ ทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะให้เตรียมตัวประชาชนทั่วไปให้มีความรู้พอสมควรที่จะมีระบอบรัฐสภาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระราชดำริของพระองค์ คือให้มี “Municipal Council”(สภาเทศบาล) “Local Government” (การปกครองท้องถิ่น) เป็นการสอนให้ประชาชนรู้จักการปกครองตนเองตั้งแต่ระดับท้องถิ่น นับเป็นการเตรียมการในการปูพื้นฐานประชาธิปไตยระดับฐานราก เรื่องนี้ได้มีกรรมการร่างพระราชบัญญัติเทศบาลเสร็จในปี พ.ศ. 2473 แต่ก็มิได้มีผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด",
"สำหรับในประเทศไทย วันรัฐธรรมนูญตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน ลักษณะสำคัญคือ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจาก พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริการราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาล ก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐ ซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ผู้ใดจะละเมิดมิได้",
"สุลต่าน หรือภาษาอาหรับเรียก สุลฏอน (English: Sultan, Arabic: سلطان Sulṭān) เป็นชื่อตำแหน่งในหมู่ชนอิสลาม ซึ่งมีความหมายในทางประวัติศาสตร์มากมาย รากคำมาจากภาษาอาหรับซึ่งมีความหมายว่า \"ความแข็งแกร่ง\" \"อำนาจ\" หรือ \"การปกครอง\" มาจากคำนามกริยาว่า سلطة sulṭah หมายถึง \"อำนาจ\" ต่อมาใช้เป็นชื่อตำแหน่งของผู้ปกครองประเทศมุสลิมซึ่งมีอำนาจปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ (ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังผู้ปกครองอื่นใดที่เหนือกว่า) บางครั้งก็ใช้เรียกผู้ปกครองแว่นแคว้นที่มีอำนาจภายในระบอบการปกครอง ต่อมายังพัฒนาความหมายไปอีกมากมายในหลายบริบท",
"การอภิเษกสมรสของเจ้านายฝ่ายใน ในสมัยก่อนไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยหลายพระองค์มิได้อภิเษกสมรสตลอดพระชนม์ชีพ เพราะไม่อาจเลือกคู่ครองเองได้ และจะต้องอภิเษกสมรสกับผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์สูงกว่า หรือเท่าเทียมกันเท่านั้น แต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทำให้โครงสร้าง และระบบระเบียบด้านต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยเจ้านายฝ่ายในมีสิทธิในการเลือกคู่ครองได้ โดยส่วนมากเป็นหม่อมเจ้าหญิง ได้กราบบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ เพื่อสมรสกับสามัญชน ตามที่กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475 มาตรา 4 กล่าวว่า \"\"เจ้าหญิงองค์ใด ถ้าจะทำการสมรสกับผู้อื่น ซึ่งมิใช่เจ้าในพระราชวงศ์ อันเป็นการไม่ต้องด้วยพระราชประเพณีนิยม ท่านว่าต้องกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เสียก่อน\"\"",
"การก่อการการกำเริบโดยประชาชน () เป็นคำศัพท์ทางการเมืองที่หมายถึง การลุกขึ้นต่อต้านอำนาจผู้ปกครองหรือภาครัฐอันกระทำโดยประชาชนที่พร้อมใจกันในประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นการต่อต้านในประเด็นที่ต่างกันออกไป เช่น การต่อต้านการสืบทอดอำนาจ การต่อต้านระบอบอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จ หรือการต้องการการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นต้น",
"รัฐธรรมนูญนิยม มีหลายความหมาย โดยส่วนใหญ่แล้วมักหมายถึงกลุ่มของแนวความคิด ทัศนคติ และรูปแบบพฤติกรรมที่สาธยายเกี่ยวกับหลักการที่การใช้อำนาจของรัฐมาจากกฎหมายสูงสุดและถูกจำกัดอำนาจด้วยกฎหมายสูงสุด \nรัฐธรรมนูญนิยม นิยาม รัฐธรรมนูญนิยม หรือ ระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutionalism) หมายถึง ความเชื่อทางปรัชญาความคิดที่นิยมหลักการปกครองรัฐด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ เป็นแนวความคิดที่มุ่งหมายจะใช้รัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร (written constitution) เป็นหลักในการกำหนดรูปแบบ กลไก และสถาบันทางการเมืองการปกครองต่างๆ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานของการบริหารงานภาครัฐในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุด (อมร จันทรสมบูรณ์, 2537: 9; Alexander, 1999: 16; Bellamy, 2007: 4-5; Sartori, 1962: 3) ที่มา แนวคิดนี้เริ่มก่อตัวขึ้นครั้งแรกในประเทศตะวันตก ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อต่อต้าน คัดค้านรูปแบบการเมืองการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolutism) ของประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปขณะนั้น จนมาปรากฏชัดเจนขึ้นหลังจากการประชุมเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1787 (McIlwain, 1977: 17) ซึ่งทำให้แนวคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้น แนวคิดเรื่องลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมนี้เมื่อเกิดขึ้นในขั้นต้น จึงไม่ได้มีความหมายกลางๆ แต่อย่างใด หากแต่มีความหมายที่โน้มเอียงไปในด้านการจำกัดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในขณะนั้น และเน้นหนักในการพยายามสร้างสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของพลเมืองภายในรัฐ โดยเรียกร้องให้มีการนำสิ่งที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” มาใช้เป็นหลักในการวางกรอบของประเด็นดังกล่าว จากลักษณะข้างต้นจึงทำให้ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมในประเทศตะวันตกนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยไปในที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สำหรับประเทศตะวันตกแล้ว หากจะมีรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยนั่นเอง (Bellamy, 2007: 93) ท่ามกลางกระแสเสรีประชาธิปไตยซึ่งยังคงเป็นกระแสหลักของประเทศส่วนใหญ่ในตะวันตก จึงได้ทำให้คำว่าลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมในปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายกลางๆ ที่มองรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือทางกฎหมายอย่างหนึ่ง ที่จะนำมาใช้วางโครงสร้างสถาบันทางการเมืองการปกครอง กำหนดแหล่งที่มาของอำนาจ การเข้าสู่อำนาจ และการใช้อำนาจของผู้ปกครองในทุกๆ ระบอบการปกครอง (McIlwain, 1977) โดยมิได้จำกัดอยู่แต่เพียงระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไป ดังจะเห็นได้จากในปัจจุบันนี้รัฐสมัยใหม่ “ทุกรัฐ” ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยหรือไม่ ต่างก็ล้วนแล้วแต่ยึดรูปแบบการปกครองของระบอบรัฐธรรมนูญนิยม (constitutionalism) ทั้งสิ้น กล่าวคือ ทุกๆ รัฐต่างก็มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการจัดวางอำนาจและโครงสร้างทางการเมืองของประเทศนั้นๆ (เสน่ห์, 2540: 17) โดยปัจจุบัน (พ.ศ. 2556) ประเทศที่สหประชาชาติให้การรับรองนั้นมีทั้งสิ้น 196 ประเทศ (แต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติเพียง 193 ประเทศ) ในขณะที่รัฐธรรมนูญที่เป็นทางการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในโลกนี้มีทั้งสิ้นกว่า 203 ฉบับ ทั้งนี้เพราะในรัฐโพ้นทะเลบางแห่งอย่างเช่น หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน (British Virgin Islands or BVI) ของอังกฤษ หรือ เกาะกรีนแลนด์ของเดนมาร์กนั้นต่างก็เป็นรัฐที่มีรัฐธรรมนูญเป็นของตนเองในฐานะเป็นดินแดนที่มีการปกครองตนเอง แม้ว่าอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (absolute territorial sovereignty) นั้นจะเป็นของประเทศเจ้าเอกราชก็ตาม ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย ประเทศไทยเองก็รับเอาลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมนี้เข้ามาใช้อย่างเป็นทางการภายหลังจากการเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับแรกของคณะราษฎร แม้ว่าขบวนการในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นจะสามารถสร้างระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นในประเทศไทยได้ แต่ผลจากการที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดจากการต่อสู้กันเฉพาะภายในกลุ่มชนชั้นนำบางส่วนของไทย ประกอบกับประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ถึงขนาดที่มีคนเข้าใจว่า “รัฐธรรมนูญ” เป็นชื่อของลูกชายนายทหารผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (ปรีดี, 2543) ทั้งนี้ก็เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือต่อสู้บนพื้นฐานของความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพและการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ อันจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยของปวงชน ดังเช่นที่ประชาชนชาติตะวันตกได้ต่อสู้ด้วยความยากลำเค็ญเพื่อก่อร่างสร้างระบอบรัฐธรรมนูญในประเทศของพวกเขา ดังนั้น ระบอบรัฐธรรมนูญของไทยที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 จึงสามารถก่อรูปได้ก็แต่เพียงหลักการในการจำกัดอำนาจผู้ปกครอง คือ พระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และทำให้แหล่งที่มาของอำนาจต้องอ้างอิงกับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ตามหลักการทุกประการ แต่จากการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้มากนักจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงจิตสำนึกให้เข้ากับรัฐธรรมนูญได้ แม้จะมีบทบัญญัติถึงหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไว้ในรัฐธรรมนูญก็ตาม จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญ และทำให้รัฐธรรมนูญขาดความศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายรัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จึงกลายเป็นผลลัพธ์และการรอมชอมจากการต่อสู้ของกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองกลุ่มต่างๆ ของไทย ซึ่งสามารถถูกฉีกทิ้งและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทนในภายหลังได้อย่างง่ายดาย (เสน่ห์, 2540: 31-35) อย่างไรก็ดี หลังจากเหตุการณ์การเรียกร้องให้มีการใช้รัฐธรรมนูญในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 ของขบวนการนิสิตนักศึกษาไทย ได้แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยเฉพาะในแง่ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า คนส่วนหนึ่งของสังคมได้เริ่มตระหนักรู้และเข้าใจความสำคัญของรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยสูงสุดของปวงชน และเป็นเครื่องมือที่จะนำไปใช้จำกัดอำนาจของผู้ปกครองจากการใช้อำนาจอันมิชอบ (abuse of power) ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถมีเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมที่ถูกรับรองไว้ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญได้อย่างถ้วนหน้า ซึ่งเป็นแก่นของระบอบรัฐธรรมนูญนั่นเอง (เสน่ห์, 2540: 316) จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทย ในฐานะที่เป็นแนวคิดที่จะสร้างกลไกทางกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย คือ จำกัดอำนาจผู้ปกครอง และสร้างเสรีภาพให้แก่พลเมืองให้มากที่สุด จึงทำให้แนวคิดนี้เติบโตออกไปจากเดิมมาก แม้ช่วงเวลาหลังจากการเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับยุคที่รัฐธรรมนูญมีลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยเพียงครึ่งใบก็ตาม และด้วยกระแสลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมที่เติบโตขึ้นจึงทำให้ท้ายที่สุดในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยก็สามารถประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ได้ชื่อว่าประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยกร่าง และจัดทำรัฐธรรมนูญมากที่สุดฉบับหนึ่ง ซึ่งถึงแม้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะสามารถนำมาบังคับใช้ได้แค่เพียง 9 ปีก่อนจะเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 แต่จะเห็นได้ว่าการฉีกรัฐธรรมนูญของคณะทหารในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้ได้เกิดกระแสต่อต้านคณะรัฐประหารที่ทำลายรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีของประเทศไทยที่ประชาชนเริ่มผูกโยงความสำคัญของตัวรัฐธรรมนูญเข้ากับการมีอยู่ของสิทธิและเสรีภาพของตนที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าเพียงแค่ตัวอักษรที่จารึกไว้ในกระดาษ หากแต่เป็นเจตนารมณ์ของตัวรัฐธรรมนูญที่คอยปกป้องสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของรัฐธรรมนูญทุกรัฐธรรมนูญในระบอบรัฐธรรมนูญ (every constitutionalism’s constitution) นั้นพึงมี\nความหมายของรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับของโลก เป็นความหมายที่ เดวิด เฟลล์แมน เมธีด้านรัฐศาสตร์และรัฐธรรมนูญแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ได้อธิบายไว้ว่า",
"ประเทศไทยเคยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิ์เด็ดขาดในการปกครองแผ่นดิน ดังคำกล่าวที่ว่า \"พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามนี้ ไม่ได้ปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใด ด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นที่ล้นพ้น ไม่มีข้อสั่งอันใดจะเป็นผู้บังคับขัดขวางได้\"[1]"
] |
สาวเรียวกังหัวใจเกินร้อยผลิตโดยบริษัทอะไร? | [
"อนิเมะนี้ บริษัทพีเอเวิกส์ ผลิต, ซะฮิโระ อันโด กำกับใหญ่, มะริ โอะกะดะ เขียนบท, คะนะมิ เซะกิงุชิ (Kanami Sekiguchi) กำกับการเคลื่อนไหวโดยสร้างตัวละครขึ้นจากแบบที่เมล คิชิดะ ร่างขึ้น, จิง อะเกะตะงะวะ (Jin Aketagawa) กำกับเสียง และชิโร ฮะมะงุชิ (Shirō Hamaguchi) ประพันธ์เพลงประกอบ[8]"
] | [
"\"สาวเรียวกังหัวใจเกินร้อย\" () เป็นอะนิเมะโทรทัศน์ซึ่งบริษัทพีเอเวิกส์ (P.A. Works) ผลิตออกฉายทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นในเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน 2554 ต่อมา บริษัทโพนีแคนยอน (Pony Canyon) จึงเผยแพร่เป็นดีวีดีและบลูเรย์เป็นชุด ๆ ชุดแรกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2554 ชุดสุดท้าย คือ ชุดที่หก จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้น",
"วันที่ 10 ธันวาคม 2554 บริษัทพีเอเวิกส์แถลงว่า ได้ดำเนินโครงการที่สองของอนิเมะนี้ โดยเป็นอนิเมะยาวชื่อ ฮะนะซะกุอิโระฮะโฮมสวีตโฮม เพื่อฉาย ณ โรงภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปี 2555[6][7] ครั้นวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 นิตยสาร กังงังโจเกอร์ ฉบับเดือนมิถุนายน 2555 ก็ได้ลงโฆษณาประชาสัมพันธ์อนิเมะโรงดังกล่าว และเว็บไซต์ผู้ถือสิทธิ์เผยแพร่ในต่างประเทศก็ได้ลงประกาศยืนยันข่าวนั้นด้วย ทว่า ยังมิได้กำหนดการฉายแต่ประการใด[22]",
"Directedbyมะซะฮิโระ อันโดWrittenbyมะริ โอะกะดะ (Mari Okada)Musicbyชิโร ฮะมะงุชิ (Shiroh Hamaguchi)Studioพีเอเวิกส์Released30 มีนาคม 2556",
"สาวเรียวกังหัวใจเกินร้อยHanasaku Iroha",
"อนิเมะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในทางบวกโดยทั่วกัน เว็บไซต์เมเนีย (Mania) ชื่นชมความสามารถของคะนะเอะ อิโต ในการพากย์เป็นโอะฮะนะ กับทั้งสรรเสริญความสวยงามและคุณภาพของภาพเคลื่อนไหว ตลอดจนการดำเนินเรื่องราว แต่กล่าวว่า อนิเมะเริ่มเรื่องมาทำนองซ้ำซากจำเจ[23]",
"อย่างไรก็ดี มีบางตอนใช้เพลงอื่นปิด คือ ตอนที่หกใช้เพลง \"สึกิกะเงะโทะบุรังโกะ\" (; \"ม้าโยกและจันทรา\"), ตอนที่แปดใช้เพลง \"ยุเมะจิ\" (; \"ทางฝัน\"), ตอนที่สิบเอ็ดใช้เพลง \"ไซโบคิวกุ\" (; \"ความทรงจำของเซลล์\") และตอนที่ยี่สิบสองใช้เพลง \"ไฮลีป\" (; \"ทะยาน\") วงนะโนะ.ริเปะร้องทั้งสี่เพลง[14]",
"อะนิเมะนี้ประกอบด้วยตอนทั้งสิ้นยี่สิบหกตอน สิบสามตอนแรกใช้เพลงเปิดชื่อ \"ฮะนะโนะอิโระ\" (Hana no Iro) วงนะโนะ.ริเปะ (nano.RIPE) ร้อง และใช้เพลงปิดชื่อ \"เฮซี\" (Hazy) วงสเฟียร์ (Sphere) ร้อง ครั้นตอนที่สิบสี่สืบไปใช้เพลงเปิดชื่อ \"โอะโมะกะเงะวาร์ป\" (Omokage Wāpu) วงนะโนะ.ริเปะร้อง และใช้เพลงปิดชื่อ \"ฮะนะซะกุอิโระฮะ\" วงแคล็มบน (Clammbon) ร้อง",
"ฮะนะซะกุอิโระฮะ: กรีนเกิลส์กราฟฟิตีHanasaku Iroha: Green Girls Graffiti",
"สถานที่สมมุติหลาย ๆ แห่งในอนิเมะนั้นอ้างอิงสถานที่จริง เป็นต้นว่า โรงแรมคิสซุอิมีน้ำพุร้อนยุวะกุ (Yuwaku Hot Spring) ในเมืองคะนะซะวะ จังหวัดอิชิกะวะ เป็นต้นแบบ[27] และสถานีรถไฟยุโนะชิงะได้แรงบันดาลใจจากสถานีรถไฟนิชิงิชิ (Nishigishi Station) เมืองนะนะโอะ จังหวัดอิชิกะวะ[20]",
"Directedbyมะซะฮิโระ อันโด (Masahiro Andō)Studioพีเอเวิกส์Original networkโตเกียวเอ็มเอกซ์Original run 3 เมษายน 2554 – 25 กันยายน 2554Episodes26 Manga",
"อนิเมะว่าด้วยโอะฮะนะ มะสึมะเอะ หญิงสาววัยสิบหกปี ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียวกับซะสึกิ มะสึมะเอะ มารดา แต่มารดาหนีหนี้สินตามคนรักไปและให้เธอไปอาศัยอยู่กับซุอิ ชิจิมะ ยายที่มิเคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน ยายของโอะฮะนะเป็นเจ้าสำนักโรงแรมและบ่อน้ำร้อนชื่อ \"คิสซุอิ\" () ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึงสมัยไทโช นางซุอิให้หลานทำงานที่โรงแรมเพื่อแลกค่าอยู่ค่ากิน ณ ที่นั้น โอะฮะนะพบว่า ตนเองไม่สามารถเข้ากับพนักงานหลาย ๆ คนได้ จึงท้อแท้เป็นอันมาก ทว่า เมื่อกำหนดใจไว้แล้วว่า จะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตตนให้ดีขึ้น ก็ได้พยายามปรับปรุงความสัมพันธ์กับคนทั้งปวงหมายจะไปสู่อนาคตที่ดีกว่านี้",
"ครั้นปลายปี 2554 พีเอเวิกส์ประกาศว่า ได้ดำเนินโครงการที่สองของอนิเมะนี้ โดยเป็นอนิเมะยาวเรียก ฮะนะซะกุอิโระฮะโฮมสวีตโฮม (Hanasaku Iroha Home Sweet Home) เพื่อฉาย ณ โรงภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปีถัดมา[6][7]",
"เนื้อหาว่าด้วยหญิงสาวคนซึ่งถูกมารดาส่งไปอยู่กับยายผู้เป็นเจ้าสำนักโรงแรมและบ่อน้ำร้อนเก่าแก่ โดยต้องทำงานเป็นบริกรในโรงแรมนั้นแลกที่อยู่ที่กิน กับทั้งต้องประเชิญและฟันฝ่าความกดดันตลอดจนอุปสรรคนานัปการเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างและไปสู่อนาคตที่ดีกว่าดังมุ่งหวัง อะนิเมะนี้ชี้ปัญหาหลายประการทางสังคม โดยเฉพาะปัญหาในวงครอบครัวและการทำงานที่นับวันผู้เยาว์จำต้องแบกรับมากขึ้นเนื่องจากการกระทำของผู้ใหญ่ โดยนำเสนอผ่านเนื้อเรื่องแนวตลก นาฏกรรม และวีรคติ เมื่อเผยแพร่แล้วก็ได้รับความนิยมเป็นอันมาก ทั้งเป็นโอกาสให้ฝ่ายบ้านเมืองญี่ปุ่นสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวด้วย",
"Writtenbyพีเอเวิกส์Illustratedbyจุง ซะซะเมะยุกิ (Jun Sasameyuki)Publishedbyบันไดวิชวล (Bandai Visual)Demographicเซเน็งMagazineเว็บคอมิกเก็กกิง (Web Comic Gekkin)Original run1 กรกฎาคม 2554 – 2 กรกฎาคม 2555Volumes2 Anime film",
"มีการใช้เพลงอีกสองเพลงประกอบวีดิทัศน์และอนิเมะประชาสัมพันธ์ ได้แก่ เพลง \"แพทริเชีย\" () กับเพลง \"ยุเมะจิ\" วงนะโนะ.ริเปะร้องทั้งสองเพลง และบริษัทแลนทิส (Lantis) จำหน่ายเป็นซิงเกิลเดียวกันตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2553[5][15][16][17][18]",
"หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวนาฏกรรม หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่สร้างจากภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ หมวดหมู่:พีเอเวิกส์ หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวเสี้ยวชีวิต หมวดหมู่:มังงะที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2553 หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนววีรคติ หมวดหมู่:มังงะที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2554 หมวดหมู่:อนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2554 หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวตลก หมวดหมู่:ภาพยนตร์อนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556",
"ฮะนะซะกุอิโระฮะโฮมสวีตโฮมHanasaku Iroha Home Sweet Home",
"สำหรับประเทศไทย บริษัทโรส มีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ แถลงเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2555 ในงานแคปซูลครั้งที่ 17 ที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ กรุงเทพมหานคร ว่า ได้รับอนุญาตให้นำอนิเมะนี้เข้ามาเผยแพร่ มีกำหนดจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายน 2555[2][11][12] แต่ภายหลังเลื่อนมาเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2555 โดยเปิดตัว ณ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 ในวันนั้นเอง[13]",
"อนิเมะสิบสามตอนแรกใช้เพลงเปิดชื่อ \"ฮะนะโนะอิโระ\" (; ดอกไม้หลากสี) วงนะโนะ.ริเปะ (nano.RIPE) ร้อง และใช้เพลงปิดชื่อ \"เฮซี\" (Hazy; พร่ามัว) วงสเฟียร์ (Sphere) ร้อง ครั้นตอนที่สิบสี่สืบไปใช้เพลงเปิดชื่อ \"โอะโมะกะเงะวาร์ป\" (; \"ตะกอนแห่งร่องรอย\") วงนะโนะ.ริเปะร้อง และใช้เพลงปิดชื่อ \"ฮะนะซะกุอิโระฮะ\" วงแคล็มบน (Clammbon) ร้อง[14]",
"อนึ่ง ในอนิเมะยังมีเพลงแทรกอีกสองเพลง คือ เพลง \"บมโบะริโยะรุ\" (; \"ค่ำคืนแห่งโคม\") คณะประสานเสียงเด็กซุงินะมิ (Suginami Children's Chorus Group) ร้อง กับเพลง \"เรย์ออฟไลต์\" (Ray of Light; ลำแสง) ไม่ปรากฏผู้ร้อง เพลงทั้งสองนี้กับเพลงอื่น ๆ อีกหกสิบเอ็ดเพลงที่ใช้ประกอบอนิเมะปรากฏอยู่ในอัลบัมชื่อ 'ฮะนะซะกุอิโระฮะ' ออริจินัลซาวด์แทร็ก () ซึ่งแลนทิสจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2554[19]",
"(in Japanese) (in English) (anime) at Anime News Network's encyclopedia",
"เนื้อหาว่าด้วยหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งถูกมารดาส่งไปอยู่กับยายผู้เป็นเจ้าสำนักโรงแรมและบ่อน้ำร้อนเก่าแก่ โดยต้องทำงานเป็นบริกรในโรงแรมนั้นแลกที่อยู่ที่กิน กับทั้งต้องประเชิญและฟันฝ่าความกดดันตลอดจนอุปสรรคนานัปการเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างและไปสู่อนาคตที่ดีกว่าดังมุ่งหวัง อนิเมะนี้ชี้ปัญหาหลายประการทางสังคม โดยเฉพาะปัญหาในวงครอบครัวและการทำงานที่นับวันผู้เยาว์จำต้องแบกรับมากขึ้นเนื่องจากการกระทำของผู้ใหญ่ โดยนำเสนอผ่านเนื้อเรื่องแนวตลก นาฏกรรม และวีรคติ เมื่อเผยแพร่แล้วก็ได้รับความนิยมเป็นอันมาก ทั้งเป็นโอกาสให้ฝ่ายบ้านเมืองญี่ปุ่นสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวด้วย",
"ฮะนะซะกุอิโระฮะHanasaku Iroha",
"คิราริ สาวใสหัวใจเกินร้อย หรือ คิราริ เรโวลูชั่น () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเขียนโดย อง นะกะฮะระจิ เริ่มลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Ciao ของสำนักพิมพ์ โชงะกุกัง ตั้งแต่วันที่ มีนาคม พ.ศ. 2547 จนจบ",
"Writtenbyพีเอเวิกส์ (P.A. Works)Illustratedbyเอโตะ ชิดะ (Eito Chida)Publishedbyสแควร์เอนิกซ์ (Square Enix)Demographicโชเน็งMagazineกังงังโจเกอร์ (Gangan Joker)Original runธันวาคม 2553 – ตุลาคม 2555Volumes5 Anime television series",
"เอโตะ ชิดะ (Eito Chida) ดัดแปลงอนิเมะนี้เป็นมังงะ ลงพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสาร กังงังโจเกอร์ (Gangan Joker) ของสำนักพิมพ์สแควร์เอนิกซ์ (Square Enix) ตั้งแต่ฉบับเดือนตุลาคม 2553 แล้วรวมเล่มจำหน่าย เล่มแรกเผยแพร่ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2554 เล่มถัดมาวันที่ 22 กรกฎาคม ปีเดียวกัน[21] ต่อมา จุง ซะซะเมะยุกิ (Jun Sasameyuki) เขียนมังงะภาคเสริมเรียก ฮะนะซะกุอิโระฮะ: กรีนเกิลส์กราฟฟิตี (Hanasaku Iroha: Green Girls Graffiti) มีมิงโกะเป็นตัวนาง ลงเผยแพร่ในนิตยสารออนไลน์ เว็บคอมิกเก็กกิง (Web Comic Gekkin) ของบริษัทบันไดวิชวล (Bandai Visual) ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554[21]",
"สาวเรียวกังหัวใจเกินร้อย[1][2] (; \"สีสันแห่งการผลิบาน\")[3] หรือเรียกโดยย่อว่า ฮะนะอิโระ (; \"สีสันดอกไม้\")[4] เป็นชื่ออนิเมะโทรทัศน์ชุดหนึ่งซึ่งมะซะฮิโระ อันโด (Masahiro Andō) กำกับ, มะริ โอะกะดะ (Mari Okada) เขียนเรื่อง, เมล คิชิดะ (Mel Kishida) ออกแบบตัวละคร และบริษัทพีเอเวิกส์ (P.A. Works) ผลิตเพื่อเฉลิมฉลองปีที่สิบแห่งกิจการของตน[5] โดยนำออกฉายทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นในเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน 2554 ต่อมา ได้รับการดัดแปลงเป็นมังงะลงพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารด้วย",
"ครั้นแล้ว จึงออกฉายทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นผ่ายเครือข่ายของโตเกียวเอ็มเอกซ์ (Tokyo MX) กับทั้งเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ บราซิล และโปรตุเกส สิบสี่ประเทศ ผ่านเว็บไซต์ครันชีโรล (Crunchyroll) ในเวลาเดียวกัน คือ ทุก ๆ วันอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ถึงวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน ปีเดียวกันนั้น[9][10] ต่อมา บริษัทโพนีแคนยอน (Pony Canyon) จึงเผยแพร่เป็นดีวีดีและบลูเรย์เป็นชุด ๆ ชุดแรกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2554 ชุดสุดท้าย คือ ชุดที่หก จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554[9]",
"ซากุระเควสต์ () เป็นอนิเมะโทรทัศน์ 25 ตอนจากประเทศญี่ปุ่น อำนวยการสร้างโดยพีเอเวิกส์ และกำกับโดย Soichi Masui อนิเมะโทรทัศน์ออกอากาศครั้งแรกในญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ถึงวันที่ 20 กันยายน 2017 อนิเมะได้รับการอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของ \"ซีรีส์เกี่ยวกับการทำงาน\" ของพีเอเวิกส์ ซึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนและงานของพวกเขาหลังจาก \"สาวเรียวกังหัวใจเกินร้อย\" และ \"ก๊วนสาวนักสร้างอนิเมะะ\""
] |
โหน่งมีภรรยาไหม? | [
"ชีวิตส่วนตัว โหน่ง ชะชะช่า สมรสกับ กัญญณัช เอี่ยมสุข หลังใช้ชีวิตคู่มาถึง 30 ปี และมีบุตรชายด้วยกันสองคน คือ \"บุหรี่\" นายศิวนาถ เอี่ยมสุข และ \"เดียร์\" นายกิตติภูมิ เอี่ยมสุข [1] ,[2]"
] | [
"\"ดูบทความหลักที่ ระเบิดเถิดเทิง\nภรรยาของอาโกว เจ้าของร้านชำ นิสัยโหดร้าย ปากจัด ทำให้ใคร ๆ ต่างเกรงกลัว และมักเบี้ยวค่าเช่าร้านกับประสิทธิ์เป็นประจำ เจ๊หม่ำได้สาบานกับอาโกว หากชกมวยแล้วชนะก็จะพาไปเที่ยวรอบโลก และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เจ๊หม่ำจึงจำต้องออกจากซอยเถิดเทิงพร้อมกับอาโกวไปเที่ยวรอบโลก แต่ทว่าอาโกวได้ทิ้งเจ๊หม่ำระหว่างทาง ทำให้เจ๊หม่ำเสียใจช็อคจนกลายเป็นคนบ้าอาละวาด สติไม่ดีที่สนามบินในเมืองไทยฝั่งขาเข้า และมักคิดเพ้อถึงอาโกว สามีของตนเอง ปัจจุบันรักษาอาการทางจิต อยู่ในโรงพยาบาลประสาทแห่งหนึ่ง ในตอน เจ๊หม่ำ คัมแบ๊ก เท่งโหน่งได้หาทางช่วยเหลือเจ๊หม่ำหนีออกจากโรงพยาบาลประสาท แต่สุดท้ายก็ถูกหมอจับเข้าไปในโรงพยาบาลเหมือนเดิม ในระเบิดเถิดเทิงตอน เจ๊หม่ำ รีเทิร์น มีชายที่ชื่อว่า หัก เขาต้องการขอมวลสารในซอยเถิดเทิงจากพ่อมหาไปให้หลวงพ่อ แต่เนื่องจากเขามีหน้าตาเหมือนเจ๊หม่ำมาก จึงถูกพ่อมหาใช้ให้แต่งตัวเป็นเจ๊หม่ำ เพื่อหลอกเฮียซ้งให้ออกจากซอยเถิดเทิง แต่สุดท้ายก็ถูกเฮียซ้งจับได้เสียก่อน",
"ไหมไทย เคยสมรสกับ มณีจันทร์ คำมูล มีบุตรหนึ่งคน และลงเอยด้วยการหย่าร้าง ต่อมาได้จดทะเบียนสมรสกับ วราพร เมืองนะศรี แต่หลังจากอยู่ด้วยกันเพียงสองปี วราพรก็เสียชีวิตลง ปัจจุบัน ไหมไทย สมรสกับ จันทร์นภา อินทร์โสภา ซึ่งขณะนั้นเธอเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 อายุ 16 ปี ซึ่งมีอายุห่างกับเขา 28 ปี เมื่อช่วงต้นปี พ.ศ. 2555 ด้วยเธอมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับภรรยาคนที่สองที่เสียชีวิตไป",
"ต่อมา หม่ำ จ๊กมก ได้ชักชวนให้มาร่วมเป็นนักแสดงรับเชิญในรายการระเบิดเถิดเทิง ของบริษัทเวิร์คพอยท์ฯ และด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่น คือมีศีรษะโล้นและรูปร่างอ้วนกลม กับวลีที่เป็นที่รู้จักกันดีที่ว่า “ฮะโหน่ง มาแว้ว” ทำให้โหน่งสามารถแจ้งเกิดเป็นนักแสดงตลกในวงการโทรทัศน์ได้ จนได้เป็นนักแสดงสมทบในช่วงแรกและเข้าร่วมเป็นหนึ่งในแก๊งสามช่า รายการ ชิงร้อยชิงล้าน Cha Cha Cha อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2542 ร่วมกับ หม่ำ จ๊กมก และ เท่ง เถิดเทิง ได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"โหน่ง ชะชะช่า\" กลายเป็นดารานักแสดงตลกชื่อดังจนถึงปัจจุบัน",
"5 ปีผ่านไป โหน่งได้เลิกกับแก้ว แล้วมาอาศัยอยู่กับเท่งและพ่อมหาแทน และพยายามลบคำสบประมาทที่ว่า \"อีกไม่นานก็ต้องง้อเมียกิน\" แต่ภายหลังกลับมาคืนดีกันโดยมีเงื่อนไขของผู้ใหญ่ว่าต้องการหลานของผู้ใหญ่และให้แก้วมีลูก ภายหลังได้หนีตามไปอยู่กับเท่ง ที่บ้านลั่นทุ่ง เมื่อมาถึงหมู่บ้านลั่นทุ่ง โหน่งยังคงรู้สึกคิดถึงแก้วอยู่และต้องมารับชะตากรรมที่เกิดจากการกระทำของเท่งที่ล่วงรู้ความลับของทองคำในพระพุทธรูป ทำให้โหน่งรู้สึกกลัวกับการที่หนีมาอยู่ที่หมู่บ้านลั่นทุ่ง อย่างไรก็ตามโหน่งได้ไปเดินทางไปยังประเทศอินเดียเป็นเวลา 5 วันเพื่อไปแสวงบุญโดยที่เท่งไม่รู้เรื่องและกลับมาในช่วงปีใหม่ ท้ายที่สุดโหน่งได้ตามเท่งกลับไปอยู่ที่ซอยเถิดเทิงเหมือนเดิม",
"หนังสือ: หะ โหน่งมาแว้ว โฆษณา: โออิชิ “รหัสโออิชิ ลุ้นรวยทุกชั่วโมง” (คู่กับ ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน และ เท่ง เถิดเทิง) โฆษณา: ขนมทอดกรอบ ตะวัน (ร่วมกับ หม่ำ จ๊กมก และ เท่ง เถิดเทิง) โฆษณา: my By CAT ชุด “ใช้ my แล้วมาต๊ะติ๊งโหน่ง” ปู พัทยา",
"เป็นพ่อของแก้วมักจะถูกแก้วขอเงินเพื่อเอาไปให้โหน่งและมักจะบังคับให้โหน่งแต่งงานกับแก้ว ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ที่สุพรรณบุรีโดยไม่มายุ่งกับโหน่งและแก้วแล้ว",
"เคาะดีญะฮ์วางใจให้กับนาฟีซาให้ถามมุฮัมหมัดว่าจะแต่งงานหรือไม่ เมื่อมุฮัมหมัดได้รอเพราะไม่มีเงินสินสอดให้กับภรรยา นาฟีซาจึงถามว่าเป็นไปได้ไหมถ้าจะแต่งงานกับภรรยาที่ดูแลตนเองได้ มุฮัมหมัดจึงตกลงที่จะไปพบกับเคาะดีญะฮ์ และหลังจากพบกันแล้วจึงปรึกษากับลุงของแต่ละฝ่าย และทั้งคู่ตกลงให้มุฮัมหมัดกับเคาะดีญะฮ์แต่งงานกัน",
"เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี มีนิสัยซื่อแต่โง่ หน้าตาขี้เหร่ แก้วแอบชอบและรักโหน่งมากเนื่องจากต้องการมีลูกกับโหน่งให้ได้ แต่โหน่งกลับไม่ชอบด้วยเพราะหน้าตาของแก้ว แต่ต่อมาโหน่งก็ยอมคบและแต่งงานกับแก้วเพราะจะได้เกาะเมียกิน",
"วากเนอร์ประพันธ์เรื่องนี้โดยได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องส่วนตัว เกี่ยวกับกับความผูกพันเชิงชู้สาวกับมาทิลเดอ เวเซินด็องค์ (Mathilde Wesendonck, ค.ศ. 1828–1902) ภรรยาของอ็อทโท เวเซินด็องค์ พ่อค้าผ้าไหมผู้สนับสนุนผลงานของวากเนอร์ ในขณะที่ตัววากเนอร์ก็ยังสมรสอยู่กับมินนา (Wilhelmine \"Minna\" Planer, ค.ศ. 1809–1866) ภรรยาคนแรก ต่อมาชีวิตสมรสของมินนากับวากเนอร์ก็จบลงเมื่อเธอค้นพบจดหมายรักที่วากเนอร์เขียนถึงมาทิลเดอ เธอตัดสินใจแยกกันอยู่กับวากเนอร์ใน ค.ศ. 1858 และหย่าขาดกันใน ค.ศ. 1862 หลังจากแต่งงานกันมากว่า 30 ปี",
"เท่ง โหน่ง ผจญภัย เป็นรายการวาไรตี้โชว์แต่ในช่วงแรกๆเป็นรายการแบบเรียลลิตี้โชว์แบบท่องเที่ยว เริ่มออกอากาศครั้งแรกในวันพุธที่ 13 มกราคม 2553 โดยออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 23.30 - 00.10 น.ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ผลิตรายการโดย บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)รายการเท่ง โหน่ง ผจญภัย เป็นรายการวาไรตี้โชว์แต่ในช่วงแรกๆเป็นรายการเรียลลิตี้โชว์แบบท่องเที่ยวที่จะพาที่ผู้ชมทางบ้านผจญภัยไปทั่วทั้งโลก ทำในสิ่งที่เคยไม่ทำมาก่อน อาทิเช่น กวาดกรงหลินปิง หรือ เป็นสจ๊วตบนเครื่องบิน ซี่งประเดิมเทปแรก โดย เท่ง โหน่ง ไปร่วมงานกีฬาสีโรงเรียนเก่า ร.ร.วัดมัชฌันติการาม ที่ตนเป็นศิษย์เก่า",
"\"เรียวตะ\" คือผู้ชายญี่ปุ่นที่ได้รับทุกสิ่งที่คู่ควรจากการทำงานหนัก และเชื่อเสมอว่าครอบครัวของเขาเดินอยู่บนเส้นทางที่เพียบพร้อม จนวันหนึ่งเขาและภรรยา \"มิโดริ\" ได้รับโทรศัพท์แจ้งผลตรวจเลือดจากโรงพยาบาล ผลตรวจชี้ชัดว่าลูกชายวัย 6 ขวบ \"เคตะ\" ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกเขา โรงพยาบาลให้เด็กผิดไป เรื่องราวอันอลวนอลเวงนี้จะจบลงเช่นไร",
"ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงถึงความมั่งคั่งของผู้เป็นแบบ ที่จะเห็นได้จากแต่งตัวอย่างหรูหราที่เป็นเสื้อผ้าสำหรับหน้าหนาวที่มีเสื้อคลุมทับแม้ว่าภายนอกจะเป็นหน้าร้อน ชายเสื้อโค้ทสั้นของสามีและเสื้อของภรรยาตกแต่งด้วยขนสัตว์ ซึ่งอาจจะเป็นขนสัตว์ที่มีราคาเช่นขนเซเบิล (sable) สำหรับชาย และเออร์มินสำหรับสตรี แต่อาร์นอลฟีนีใส่หมวกย้อมสีดำซึ่งเป็นหมวกที่ใช้สวมกันในหน้าร้อนในขณะนั้น เสื้อโค้ทสั้นอาจจะเป็นสีม่วงกว่าที่เห็นในปัจจุบันเพราะสีที่จางไป เนื้อผ้าที่ใช้ทำอาจจะเป็นกำมะหยี่ไหมซึ่งเป็นของที่มีราคาสูงอีกเช่นกัน เสื้อชั้นในเสื้อโค้ทเป็นเสื้อที่มีลายทอที่อาจจะเป็นดามาสค์ไหม เสื้อของภรรยามีกรุยจีบตกแต่งแขนเสื้ออย่างละเอียดเป็นชายยาวที่เรียกว่า dagging เช่นที่เห็นในภาพ เสื้อชั้นในก็มีชายที่แต่งด้วยขนสัตว์",
"ภารกิจครั้งนี้ทั้งสองจะต้องพบปะกับ นวล (ทศรส พ่วงรอด) นักฆ่าฝีมือดีทั้งในเรื่องการฆ่าคนตามใบสั่งพอ ๆ กับความเป็นเลิศในการเล่นมายากลที่เฮียเปี๊ยกส่งมาให้จัดการปิดปากแพะอย่างเท่งโหน่ง หลังเสร็จสิ้นภารกิจ รวมไปถึง หมวดน้ำตาล (จิรดา โยฮารา) พร้อม จ่าแมน (อิศรา อิศรางกูร ณ อยุธยา) คู่หูและหน่วยปฏิบัติการพิเศษชุดใหญ่จากกรมตำรวจ เพื่อเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของเท่งและโหน่งที่กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อจัดการกับเฮียเปี๊ยกและเฮียสี่",
"ผีแม่ม่ายป้ายแดง คนปีมะ (รับเชิญ) บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม (2547) ลูกน้องทรงพล ฟอร์มาลินแมน รักเธอเท่าฟ้า (2547) รับบท เสนาะ สายล่อฟ้า (ภาพยนตร์) (2547) รับบท ตุ่น เอ๋อเหรอ (2548) รับบท สำรวย เสือภูเขา (2548) รับบท ด่างลี คนหอนขี้เรื้อน ในคืนเดือนเสี้ยว (2548) รับบท แฟร้งค์ โหน่ง เท่ง นักเลงภูเขาทอง (2549) รับบท น้อยโหน่ง เท่ง โหน่ง คนมาหาเฮีย (2550) รับบท โหน่ง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2550) (รับเชิญ) หม่ำ เดียว หัวเหลี่ยม หัวแหลม (2551) รับบท ยาม ว้อ หมาบ้ามหาสนุก (2551) รับบท พรานจ้อน 32 ธันวา (2552) รับบท โจ โป๊ะแตก (2553) มือปืนดาวพระเสาร์ (2553) รับบท ตี๋ ไรเฟิ้ล คู่กับ คริส หอวัง เท่ง โหน่ง จีวรบิน (2554) หมาแก่ อันตราย (2554) แคท อ่ะ แว้บ! (2558) ไทยแลนด์ โอนลี่ (2560)",
"เท่ง โหน่ง คนมาหาเฮีย เป็นภาพยนตร์ไทยแนวตลก ออกฉายเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เป็นผลงานการกำกับชิ้นแรกของ เท่ง เถิดเทิง และโหน่ง ชะชะช่า และทั้งสองยังแสดงนำอีกด้วย",
"อินุงามิ ซาเฮ เจ้าของธุรกิจผลิตผ้าไหมและผู้นำบริษัทอินุงามิ อดีตเด็กขอทานเร่ร่อนไร้ที่อยู่ ได้รับความช่วยเหลือจาก โนโนมิยา ไดนิ และ ฮารุโยะ ผู้เป็นภรรยา ซาเฮได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากไดนิจนเติบใหญ่ เคารพนับถือไดนิเป็นผู้มีพระคุณต่อตนเองอย่างสูงสุด ภายหลังซาเฮออกจากบ้านโนโนมิยา เพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตผ้าไหมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง กิจการของซาเฮเจริญรุ่งเรืองตามลำดับกลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ ซาเฮมีภรรยาสามคนและมีบุตรสาวต่างมารดาด้วยกันจำนวนสามคน คือ อินุงามิ มาซุโกะ อินุงามิ ทาเคโกะ และ อินุงามิ อุเมโกะ ซาเฮที่แก่ชราไม่ยอมวางมือจากผู้นำบริษัทอินุงามิ และไม่ยอมมอบตำแหน่งให้แก่บุตรสาวหรือลูกเขยคนใดคนหนึ่งในตระกูล ก่อนเสียชีวิตด้วยวัยแปดสิบเอ็ดปี สมาชิกทุกคนในตระกูลอินุงามิ มาร่วมดูใจซาเฮที่บ้านตระกูลอินุงามิ หนึ่งในนั้นมี โนโนมิยา ทามาโยะ หลานสาวบุญธรรมซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับอินุงามิ ซาเฮ รวมอยู่ด้วย เคียวโซ ฟูรุดาเทะ ทนายความประจำตระกูลอินุงามิ แจ้งให้สมาชิกทุกคนทราบถึงพินัยกรรมตระกูลที่ซาเฮได้ทำไว้ โดยที่ไม่มีใครในตระกูลทราบล่วงหน้ามาก่อน",
"ลูกน้องเท่ง เป็นคู่หูคู่ใจและทำอะไร ๆ ด้วยกันอยู่เสมอ มีวลีติดปากว่า \"ฮะโหน่งมาแว้ว!\" ปัจจุบันได้แต่งงานกับแก้ว คู่หมั้นที่หมั้นกันหลายปี กำลังหาทางเลิกกับแก้วให้ได้ แต่ทุกวันนี้ยังต้องขอเงินจากเมียใช้ประจำ เดิมทีเป็นนักเลง แต่หันมาเอาดีเป็นช่างตัดผมข้างร้านขายหนังสือของเฉื่อย ต่อมาได้เป็นลูกบุญธรรมของตุ่ม เมียเก่าของเท่ง เท่งจึงเป็นทั้งพ่อบุญธรรมและลูกพี่ ต่อมาโหน่งทำอาชีพเป็นนักแสดงตัวประกอบ แต่ชอบอวดว่าเป็นนักแสดงชื่อดัง บางครั้งโหน่งก็มีอาการเกย์แตกชอบพูดแทะโลมเท่ง เช่น \"เท่งโตเร็วนะเราน่ะ\" แล้วก็ลวนลาม บางครั้งก็ต่อยท้องเท่งพาขึ้นห้อง หรือไม่ก็จะลวนลามลูกเกลี้ยง โดยจะพูดว่า \"เกลี้ยงโตเร็วดีนี่\" หรือแอบดูลูกเกลี้ยงอาบน้ำ โดยเท่งมักจะพูดว่า \"เฮ้ย นั่นหลานนะไอ้นี่หลานก็ไม่เว้น\" โหน่งมักจะหาทางจับบัวไรทำเมีย แต่ก็ไม่สำเร็จ",
"ภรรยาเก่าของเท่ง เป็นเศรษฐีนีประจำซอยเถิดเทิง เพื่อนสนิทของคุณนายสะอาด หลังจากที่คุณนายสะอาดเข้าโรงพยาบาลและย้ายออกจากซอยเถิดเทิงไปในเวลาต่อมา ทำให้ตุ่มไม่ได้มีโอกาสพบปะคุณนายสะอาดเลยสักครั้ง แม้จะเป็นเศรษฐีนีเหมือนกับคุณนายสะอาด แต่นิสัยใจดีและมีเหตุผลในการตัดสินใจที่รอบคอบกว่า\nแต่เดิม ตุ่มได้เข้ามาซอยเถิดเทิงมาเพื่อเก็บค่าเช่าที่ในซอยเถิดเทิงแทนคุณนายสะอาดผู้เป็นเพื่อนสนิท ต่อมาได้ช่วยเหลือคนในซอยเถิดเทิง ทำให้หน้าที่ในการทวงหนี้ค่าเช่าที่ของตุ่มลดน้อยลงและหันมาทำกิจการแทนคือเปิดร้านตัดผมชื่อ ตุ่มบาร์เบอร์ แต่มีโหน่งมาตัดผมให้ ต่อมาได้ร่วมหุ้นกับเต่าเปิดร้านเต่าซาลอนขี้น\nตุ่มหลงรักเท่งตั้งแต่ที่ตุ่มเข้ามาในซอยเถิดเทิงใหม่ๆ และได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่ทั้งสองได้อยู่กินกันมานานทำให้มักจะต่อล้อต่อเถียงทะเลาะด้วยกันอยู่ตลอดเวลา จนสุดท้ายต้องมีอันหย่าร้างกันไปเพราะความไม่เอาไหนของเท่ง ตุ่มออกจากซอยเพื่อจะไปเซอร์ไพร์สเจอเต่าที่อเมริกาแต่ดันไปผิดที่จนเวลาต่อมาตุ่มได้เดินทางที่อเมริกาเพื่อเจอเต่าในที่สุด ปัจจุบันแต่งงานใหม่อยู่ที่ยุโรป",
"ปมไหม () เป็นละครโทรทัศน์ในลักษณะภาพยนตร์กึ่งสารคดี นำเสนอเรื่องราวของจิม ทอมป์สัน ชาวสหรัฐอเมริกา ผู้หลงใหลในวัฒนธรรมไทย เข้ามาตั้งรกราก เปิดกิจการผ้าขายไหมไทยอยู่ที่เมืองไทย เขาหายสาบสูญไประหว่างการท่องเที่ยวกับเพื่อนและภรรยาที่ประเทศมาเลเซีย",
"การกล่าวอ้าง: คุณเลิกทำร้ายภรรยาของคุณหรือยัง ปัญหาที่เกิด: ไม่ว่าผู้ตอบจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ก็จะนำไปสู่การยอมรับผิดว่าเคยทำร้ายภรรยาเหมือนกัน การตอบอย่างไม่หลงกลอาจตอบว่า ผมไม่เคยทำร้ายภรรยา การกล่าวอ้าง: เธอยังลอกข้อสอบอยู่ใช่ไหม ปัญหาที่เกิด: ไม่ว่าผู้ตอบจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ก็จะนำไปสู่การยอมรับผิดว่าเคยลอกข้อสอบ การตอบอย่างไม่หลงกลอาจตอบว่า ผมไม่เคยลอกข้อสอบ",
"เท่ง โหน่ง จีวรบิน เป็นภาพยนตร์ไทย เดิมชื่อ \"พระเท่งนักเลงโหน่ง\" เริ่มออกฉายวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 อำนวยการผลิตโดยสหมงคลฟิล์ม โดย เท่ง เถิดเทิง รับหน้าที่กำกับภาพยนตร์ และแสดงนำร่วมกับ โหน่ง ชะชะช่า ภาพยนตร์ทำรายได้ 65.32 ล้านบาท",
"หลังได้เหรียญทองแล้ว วิจารณ์ก็ได้แขวนนวมทันที โดยนำเงินรางวัลที่ได้เปิดร้านขายผ้าไหมร่วมกับภรรยาคือ จุฬาพร พลฤทธิ์ (เก๋) และได้มีผลงานการแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง \"สมิงบ้านไร่\" ทางช่อง 3 ในเวลาเย็น โดยแสดงร่วมกับภรรยาด้วย ปัจจุบัน วิจารณ์ยังรับราชการตำรวจอยู่ โดยมียศเป็น พันตำรวจโท (พ.ต.ท.) ดำรงตำแหน่ง สารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจภูธรเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์",
"ส่วนทางด้านของแรนดี ออร์ตันจะเจอกับซีเอ็ม พังก์ ตามคำสั่งของผู้จัดการทั่วไปของรอว์ โดยออร์ตันจะเจอกับสมาชิกกลุ่มเดอะเน็กซัสในทุกสัปดาห์ โดยถ้าออร์ตันแพ้ กลุ่มเน็กซัสจะมีสิทธิ์ในการยืนคุมด้านล่างเวที แต่ถ้าชนะ กลุ่มของเน็กซัสจะถูกแบนในแมทซ์ที่จะต้องเจอในเรสเซิลเมเนีย โดยเริ่มจากการเจอไมเคิล แมคกิลลิคัตตี ประเดิมเป็นสัปดาห์แรก ต่อด้วยเดวิด โอทังกา สัปดาห์ที่สอง ถึงแม้จะโดนเล่นงานก่อนหน้าที่จะแมทซ์ก็ตาม แต่ว่าออร์ตันก็สามารถชนะได้ และสัปดาห์ที่ 3 ได้เจอกับเมสัน ไรอัน แต่ก็ชนะได้อีก โดยสรุปก็คือกลุ่มของนิวเน็กซัสจะถูกแบนในการปล้ำของออร์ตันและพังก์ สัปดาห์ที่ 4 พวกกลุ่มนิวเน็กซัสไม่มาก็จริง แต่ออร์ตันก็ต้องปล้ำกับเรย์ มิสเตริโอ แต่การปล้ำยังไม่จบ พังก์ก็ขู่ว่าจะไปทำร้ายไปหาภรรยาของออร์ตันบนรถ จนออร์ตันต้องออกจากเวที เพื่อไปที่ลาดจอดรถ แต่ถึงลานจอดรถแล้ว พังก์ก็ลอบทำร้ายที่ขา จากด้านหลัง จนภรรยาของออร์ตันต้องมาดูอาการ หลายคนสงสัยว่า ผู้หญิงที่ออกมาจากรถบัสที่บอกว่าเป็นภรรยาของออร์ตัน นั้นใช่ตัวจริงไหม คำตอบคือไม่ใช่ เป็นแค่คนที่จ้างให้มารับบทเท่านั้น",
"พร้อมกันนั้น ยังได้ทำโปสเตอร์ เผยแพร่ความคิด ที่เริ่มต้นด้วยประโยคว่า \"ถ้าชีวิตนี้สามารถเป็น \"เจ้าของนิตยสาร\" ได้สักเล่ม คุณสนใจไหม?\" ไปติดตามร้านอาหาร สถาบันศึกษา และแหล่งชุมชนทั่วไป ฟังดูเป็นเรื่องจริงที่เหลือเชื่อ เพราะภายในเวลา เพียงสองเดือน หลังจากส่งจดหมาย เชิญชวนออกไป เงินทุนที่ต้องการก็ครบถ้วน จนต้องปิดรับหุ้นก่อนกำหนด ทุกวันนี้ a day มีจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 2,500 หุ้น ได้เงินไปร่วม 2.5 ล้านบาท จากผู้ร่วมทุน 459 ท่าน คอนเซ็ปท์ของ a day คือ \"หนังสือของความคิดสร้างสรรค์\" หนังสือช่างคิด ที่อ่านแล้วให้ความคิด ให้แรงบันดาลใจ ให้ความประทับใจ นิตยสาร a day ฉบับแรก ที่วางจำหน่าย เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2543 ก็ขายดีมากจนต้องพิมพ์ถึง 2 ครั้ง บรรณาธิการ a day ถูกเปลี่ยนตัวอย่างน้อย 3 คน เริ่มตั้งแต่ โหน่ง วงศ์ทนง, วชิรา รุธิรกนก และทรงกลด บางยี่ขัน วาระการเป็น บก.คนละ 3-4 ปี เปลี่ยนเพื่อความสดใหม่ ",
"เท่ง โหน่ง คนมาหาเฮีย (2550) ร่วมกับ โหน่ง ชะชะช่า เท่ง โหน่ง จีวรบิน (2554) ร่วมกับ สมิทธิ์ ทิมสวัสดิ์ [3] แคท อ่ะ แว้บ! (2558) ร่วมกับ นฤบดี เวชกรรม",
"โหน่ง เท่ง นักเลงภูเขาทอง เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกของ เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ร่วมกับ สหมงคลฟิล์ม โดยร่วมก่อตั้งบริษัท หัวฟิล์ม ท้ายฟิล์ม โดยนำ เท่ง เถิดเทิง และ โหน่ง ชะชะช่า ดาวตลกชื่อดังเป็นพระเอก กำกับภาพยนตร์โดย พาณิชย์ สดสี ออกฉายครั้งแรกวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2549 ภาพยนตร์ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ในส่วนรางวัลกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ประจำปี 2549",
"ต่อมาแก้วกลับมาเปิดร้านขายของซึ่งเป็นร้านเดิมของเจ๊หม่ำและเฮียซ้ง เนื่องจากโหน่งนำโฉนดหอพักไปกู้เงินเฮียซ้งแล้วไม่มีเงินไปใช้หนี้\nปัจจุบัน แก้วเลิกกับโหน่ง เนื่องจากต้องการให้โหน่งมีความสุขและเป็นเจ้าของร้านกาแฟหน้าปากซอย (ร้านเจ๊หม่ำเดิม) ในระเบิดเถิดเทิง รุ่น3 นั้น เมื่อโหน่งรู้ว่าแก้วกำลังจะแต่งงานใหม่โดยที่พ่อของแก้วพาลูกเขยคนใหม่มาโหน่งจึงได้พิสูจน์ให้พ่อของแก้วอีกครั้งว่าตนไม่ได้ทิ้งแก้วและยังรักแก้วอยู่จนทำให้พ่อของแก้วกลับมาใจอ่อนอีกครั้งและยอมรับโหน่งเป็นลูกเขยอีกครั้งจนในที่สุดโหน่งและแก้วกลับมารักดังเดิม",
"ดร.บัญชา ชุตินัยนา (ธวัธชัย สัจจกุล) เป็นนักธุรกิจเจ้าของกิจการเครื่องสำอาง และอาหารเสริมแบบขายตรง บัญชาเป็นคนเจ้าระเบียบมีวินัยในการดำเนินชีวิต การแต่งกายเนี๊ยบ มีภรรยาคนปัจจุบันชื่อ สาวิตรี (เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) สาวสังคมชั้นสูง มีบุตร 2 คน คนที่ 1 ก็คือหนอน ที่เกิดจากภรรยาคนแรกซึ่งเป็นพยาบาลชื่อ มาลี (ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) ส่วนคนที่ 2 ชื่อ แพรไหม (เมย์ - กุณฑีรา สัตตบงกช) เกิดจากภรรยาคนปัจจุบันชื่อสาวิตรี บัญชาอยากให้แพรไหมเป็นตัวแทนของสาวรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพและความสวยงาม สาวิตรีและบัญชาจึงพยายามทุกทาง ที่จะผลักดันให้ได้รับตำแหน่งนางสาวสยาม ในขณะเดียวกัน บัญชาก็เป็นแกนนำในการรณรงค์ต่อต้านคนอ้วน เจ้าของสโลแกน \"อย่าอ้วน ไม่ดี\"\nหนอนเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาเก่าคือมาลี ที่มีพฤติกรรมการเลี้ยงดูที่ตรงกันข้าม หนอนจึงเป็นเด็กอ้วนตั้งแต่เด็ก ซึ่งบัญชาโกรธมากที่มาลีตามใจลูก จนขาดระเบียบวินัยในการกิน และด้วยความทะเยอทะยานของบัญชา ทำให้ในที่สุดทั้งสองจึงแยกทางกัน โดยบัญชาได้แต่งงานใหม่กับสาวิตรี ทิ้งหนอนให้อยู่กับยายที่ลำพูน และเมื่อมาลีเสียชีวิต หนอนก็อยู่กับยายมาตลอด วันหนึ่งขณะอยู่ที่ร้านทำผม หนอนเห็นข่าวบัญชาทางทีวี ส่งเสริมแพรไหมและแอนตี้คนอ้วน โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า บัญชามีลูกอ้วนมากอย่างเธอ หนอนจึงเกิดความคิดที่จะเอาชนะใจพ่อ ซึ่งไม่ได้พบหน้ากันเลยตั้งแต่แยกทางกับแม่\nหนอนตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อประกวดธิดาช้าง ด้วยความมุ่งมั่น โดยที่ผีเสื้อก็ไม่อาจทัดทานได้ เมื่อบัญชาเห็นข่าวทางทีวี และจำได้ว่านั่นคือหนอนลูกสาวของตน จึงสั่งการให้ลูกน้องคนสนิท ให้ไปขัดขวางการประกวดทุกวิถีทาง แต่ทุกครั้งที่โดนกลั่นแกล้ง ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นส่งเสริมให้หนอน และการประกวดธิดาช้าง ยิ่งโด่งดังขึ้นไปทุกที ด้านแพรไหม ถึงแม้จะไม่อยากเข้าประกวด แต่ต้องทำเพราะไม่กล้าขัดใจพ่อ-แม่ เธอถูกเลี้ยงดูมาแบบทำทุกอย่างตามตาราง โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารแบบจำกัด เพื่อรักษารูปร่าง เธอจึงมีสภาพจิตใจที่เก็บกดอย่างมาก และในการประกวดครั้งนี้ แพรไหมถูกวางตัวให้เป็น ก็ยิ่งสร้างความกดดันให้เธอมากขึ้น\nการประกวดของทั้ง 2 เวทีดำเนินต่อไป และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับแพรไหม เมื่อหนอนทราบข่าว เธอจึงต้องตัดสินใจว่า จะเลือกช่วยชีวิตน้องสาวคนเดียวของเธอ หรือเลือกตำแหน่งอันทรงคุณค่าจากเวทีอันมีเกียรติ ที่เธอต้องต่อสู้เพื่อแสดงให้พ่อเห็นว่า เธอสามารถทำได้ แม้จะมีรูปร่างอ้วนก็ตาม เธอจะเลือกความต้องการของจิตใจแบบไหน พ่อผู้ให้ชีวิตจะมองข้ามสรีระภายนอก และหันกลับไปมองถึงจิตใจอันดีงามของเธอหรือไม่ ร่วมเป็นกำลังใจให้เธอเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ให้ได้ใน ธิดาช้าง",
"เท่งโหน่งวิทยาคม เป็นรายการประเภทวาไรตี้โชว์ ผลิตโดย บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ออกอากาศครั้งแรก 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557\nแต่เดิมออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20:30 - 21:30 น. และปัจจุบันออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 12:30 - 13:30 น.เมื่อ แพร พิมพ์ลดา ได้ยุติหน้าที่พิธีกรรายการไป ก็มีพิธีกรหญิงสลับสับเปลี่ยนมาทำหน้าที่แทนแพร ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง และปัจจุบันเหลือเพียงเท่งและโหน่ง ที่ดำเนินรายการจนถึงปัจจุบัน",
"เท่งได้เดินทางออกจากซอยเถิดเทิงไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นเวลา 5 ปี โดยนั่งเครื่องบินไป พร้อมความหวังที่จะหอบเงินกลับมาบ้านของตน แต่เท่งก็คว้าน้ำเหลว กลับมาซอยเถิดเทิงด้วยความผิดหวัง แถมยังนั่งเรือหางยาวกลับมาอีก เท่งอยู่ซอยเถิดเทิงไม่นานนัก เขาก็ออกจากซอยเถิดเทิงไปอยู่ที่บ้านลั่นทุ่ง เพื่อหนีหนี้ที่ทำเช็ค 5 ล้านบาทหายไป\nโหน่งได้อยู่กันกับแก้วมานาน แต่สุดท้ายต้องมีอันเลิกรากันไป โหน่งเลยมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเท่งและพ่อมหาแทน และพยายามลบคำสบประมาทที่ว่า \"อีกไม่นานก็ต้องง้อเมียกิน\" แต่ภายหลังเขาก็กลับมาคืนดีกับแก้ว โดยมีเงื่อนไขของผู้ใหญ่ว่าต้องการหลานของผู้ใหญ่และให้แก้วมีลูก ภายหลังโหน่งได้หนีจากซอยเถิดเทิงไปอยู่กับเท่ง ที่บ้านลั่นทุ่ง\nแก้วได้ใช้ชีวิตกับโหน่งมา แต่สุดท้ายต้องยอมเลิกกับโหน่ง เพราะต้องการให้โหน่งมีความสุขที่ได้เลิกจากเธอ แก้วได้ปรับปรุงร้านเจ๊หม่ำเป็นร้านกาแฟโดยมีเธอเป็นเจ้าของร้าน แต่เมื่อโหน่งรู้ว่าแก้วกำลังจะแต่งงานใหม่โดยที่พ่อของแก้วพาลูกเขยคนใหม่มาโหน่งจึงได้พิสูจน์ให้พ่อของแก้วอีกครั้งว่าตนไม่ได้ทิ้งแก้วและยังรักแก้วอยู่จนทำให้พ่อของแก้วกลับมาใจอ่อนและยอมรับโหน่งเป็นลูกเขยอีกครั้ง จนในที่สุดโหน่งและแก้วกลับมารักกันดังเดิม\nเวลาผ่านไปนานพ่อมหามีอายุมากขึ้น และเป็นโรคขี้ลืมอย่างหนัก ทักคนผิดเป็นประจำ เช่น เมื่อเท่งกลับมาจากซาอุฯหลังจากไปทำงานที่นั่นมา 5 ปี พ่อมหาได้เจอเท่งเป็นครั้งแรก กลับทักเท่งและบ่นว่าทำไมเขาถึงไปซื้อก๋วยเตี๋ยวนาน เป็นต้น พ่อมหาได้ออกจากซอยเถิดเทิง ตามเท่งโหน่งมาที่บ้านลั่นทุ่ง อันเนื่องมาจากพ่อมหามีส่วนเกี่ยวข้องกับทองคำที่ซ่อนอยู่ในพระพุทธรูป \nลูกเกลี้ยงเป็นลูกชายของเท่ง เขาเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 มีนิสัยขี้เล่นเหมือนพ่อ เป็นรุ่นน้อง (น้องรหัส) ของบีน จึงมาช่วยงานที่บริษัทจัด Event ของบีน ลูกเกลี้ยงได้แอบชอบลูกกบ เนื่องจากประทับใจที่ลูกกบคอยช่วยเหลือเมื่อครั้งที่ถูกขังในห้องเก็บของที่วัด แล้วถูกแมงป่องต่อย เคยคบกับลูกกบแต่โดนเท่งสั่งให้กินกุ้ง ปัจจุบันได้ออกจากซอยเถิดเทิงไปด้วยความผิดหวัง\nเพื่อนสนิทของน้ำใส แอบชอบบีนเมื่อแรกเห็น โดยเธอจะมาช่วยงานที่บริษัทของบีนเสมอ เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ปัจจุบันได้ออกจากซอยเถิดเทิงไป\nเด็กสาวจากเชียงใหม่ เป็นพื่อนร่วมรุ่นของลูกเกลี้ยงและรุ่นน้องของบีนที่มหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมชั้นปีของลูกเกลี้ยง แอบชอบบีน พ่อแม่มีฐานะร่ำรวย เข้ามาเรียนในกรุงเทพตั้งแต่ชั้น ม.ต้น เป็นคนซุ่มซ่าม และช่วยงานบีนที่บริษัทเสมอ ปัจจุบันได้ออกจากซอยเถิดเทิงไป\nน้าสาวของบีน เป็นคนนิสัยดีซึ่งเท่งชอบตั้งแต่แรกเห็น แต่ฟ้าไม่ชอบเท่ง นิสัยจะเปลี่ยนเมื่อได้ดื่มเหล้า ปัจจุบันได้ออกจากซอยเถิดเทิงไป\nลูกจ้างที่มาทำงานเฮเลนที่ไปโชว์อยู่ที่อเมริกา 1 เดือน ปรากฏตัวครั้งแรก ในบทคนขายกระทง ในตอน\"ลอย ๆ กระทง\" ปัจจุบันประสบได้ออกจากซอยไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ\nลูกจ้างของแก้ว มีนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็น ปัจจุบันได้ออกจากซอยไปเพราะเฮเลนได้พบรักกับสามีมาจากอเมริกา และได้ไปอยู่กับสามีที่ประเทศอเมริกาเช่นเดียวกัน\nรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของเกลี้ยงมาเช่าบ้านในซอยเถิดเทิงเพื่อเปิดบริษัทจัดอีเวนท์ต่าง ๆ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว เมื่อพ่อเสียชีวิตลง แม่ก็แต่งงานใหม่ ทำให้บีนไม่ถูกกับพ่อเลี้ยง เป็นเหตุให้มีปัญหากับแม่อยู่เนืองๆ จนเกือบแตกหัก เมื่อบีนโดนรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย บีนเลยตัดสินใจย้ายออกจากบ้านมาเปิดบริษัทจัด event ของตัวเอง เพื่อพิสูจน์ให้แม่ได้เห็นว่า ถึงจะเรียนไม่จบ ก็ประสบความสำเร็จได้ บีนจึงมาเช่าที่เปิดบริษัทในซอยระเบิดฯ เพราะมีลูกเกลี้ยงเป็นรุ่นน้องที่คณะแนะนำ มีนิสัย กล้าคิด กล้าทำ กล้าแหกกฎเกณฑ์เก่า ๆ ตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์เป็นเลิศ จนบางครั้งก็เตลิดไปสุดกู่ รักแม่ แต่ก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ได้ เสียตรงที่กลัวกระเทยเป็นชีวิตจิตใจ เขาแอบชอบน้ำใสอยู่ แต่ไม่กล้าเปิดเผย เพราะเห็นน้ำใสทำตัวเป็นแม่สื่อให้เพ้นท์กับตนเอง เลยคิดว่าน้ำใสคงจะไม่มีใจ บีนเคยเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ปี 4 แต่โดนรีไทร์ออกซะก่อน ปัจจุบันบีนไปเรียนต่อที่อเมริกา ในตอน แผนรัก แผนลวง บีนได้ล้มป่วยอย่างหนัก ทำให้บีนต้องเข้าโรงพยาบาลและหยุดเรียนโดยด่วน"
] |
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสียชีวิตเมื่อไหร่? | [
"สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (พระนามเดิม: หม่อมเจ้ารำเพย; 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2377 - 9 กันยายน พ.ศ. 2404) เป็นพระมเหสีพระองค์ที่สองในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
] | [
"300px|thumbnail|right|พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์",
"นับตั้งแต่พระราชโอรสองค์เล็กประสูติ พระองค์ก็ประชวรมากแต่ก็ตรัสว่า \"ไม่เป็นอะไรมากหรอก\" แม้จะทรงกาสะ (ไอ) มากก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของพระองค์ไว้ดังนี้",
"วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร",
"สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2355 - 29 เมษายน พ.ศ. 2382) ต้น เป็นสมเด็จพระชนกในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (สมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ",
"Family of Main Page 16. (=24.) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก8. (=12.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย17. (=25.) สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี4. (=6.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. (=26.) เจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน9. (=13.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี19. (=27.) สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์2. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว20. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว10. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์21. เจ้าจอมมารดาทรัพย์5. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี22. บุศย์ (ชาวบางเขน)11. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา23. แจ่ม1. Main Page24. (=16.) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช12. (=8.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย25. (=17.) สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี6. (=4.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว26. (=18.) เจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน13. (=9.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี27. (=19.) สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์3. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง14. หลวงอาสาสำแดง (แตง)7. สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา15. ท้าวสุจริตธำรง (นาค)",
"โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้รับการสถาปนาจาก องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2428 ในช่วงแรกของการจัดตั้งโรงเรียนนั้น โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทำการเรียนการสอน พ.ศ. 2438 สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงดำริที่จะสร้างตึกเรียนสำหรับวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น เพื่ออุทิศพระราชกุศล สนองพระเดชพระคุณแห่งองค์ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระชนนี และเพื่ออุทิศพระกุศลแก่ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ ตึกเรียนหลังแรกนี้ได้รับการออกแบบให้มีศิลปะเป็นแบบโกธิคซึ่งถือว่าเป็นอาคารศิลปะโกธิคยุคแรกและมีที่เดียวในประเทศไทยโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ออกแบบ และในการนี้ พระยาโชฏึกราชเศรษฐี ได้บริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้างตึกอาคารเรียนขึ้นด้านข้างของตึกเรียนหลังแรกอีกด้วย",
"หมวดหมู่:พระภรรยาในรัชกาลที่ 4 หมวดหมู่:ราชสกุลศิริวงศ์ หมวดหมู่:สมเด็จพระบรมราชินีของไทย หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายมอญ หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย หมวดหมู่:เสียชีวิตจากวัณโรค",
"สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งหมด 4 พระองค์ คือ",
"สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2377 เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ต้นราชสกุลศิริวงศ์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาทรัพย์)[1] พระชนนีคือหม่อมน้อย[2][3] สตรีชาวบางเขนที่มีเชื้อสายอำมาตย์รามัญกับไทย[4] เป็นธิดาคนหนึ่งของนายบุศย์ ชาวบางเขน[4][5] ซึ่งไม่ปรากฏวงศ์ตระกูล กับคุณแจ่ม[6] หลานสาวของอำมาตย์มอญ คือพระยารัตนจักร (หงส์ทอง สุรคุปต์)[4] (สมิงสอดเบา หัวเมืองหน้าครัวมอญ) คุณม่วงมารดาของคุณแจ่มเป็นน้องสาวต่างมารดาของเจ้าจอมมารดาป้อม ในรัชกาลที่ 1, เจ้าจอมเพ็ง ในรัชกาลที่ 2 และเจ้าจอมมารดาเอม ในรัชกาลที่ 2[7] บางแหล่งข้อมูลก็ว่า คุณแจ่มเป็นธิดาของพระยารัตนจักร[8]",
"สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี)พระอัครชายา (หยก)สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี(1) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (2279-2325-2352)กรมพระศรีสุดารักษ์สมเด็จพระศรีสุราลัย(2) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (2310-2352-2367)สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี(3) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (2330-2367-2394)(4) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (2347-2394-2411)พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (2351-2394-2408)กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา(5) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (2396-2411-2453)สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก(6) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (2424-2453-2468)สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี(7) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (2436-2468-2478-2484)(8) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (2468-2478-2489)(9) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (2470-2489-2559)สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ(10) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (2495-2559–)",
"พระองค์มีเจ้าพี่เจ้าน้องต่างมารดา 8 องค์[9][10][11]",
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อ พ.ศ. 2419 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 25 พรรษาพอดี พระองค์จึงโปรดฯ ให้สถาปนา วัดเทพศิรินทราวาส ขึ้นเพื่อทรงเฉลิมพระเกียรติ และทรงอุทิศพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์",
"ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชชนนีขึ้นเป็น<i data-parsoid='{\"dsr\":[7517,7549,2,2]}'>กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์[20] และในรัชกาลที่ 6 ทรงสถาปนาพระบรมอัฐิเป็น สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี[2]",
"หม่อมเจ้ารำเพย (17 กรกฎาคม พ.ศ. 2377 - 6 มกราคม พ.ศ. 2395) พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ (6 มกราคม พ.ศ. 2395 - 25 ธันวาคม พ.ศ. 2411) ประกาศรัชกาลที่ 4 ออกพระนามว่า สมเด็จพระนางนาถราชเทวี ประกาศรัชกาลที่ 4 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2405) ออกพระนามว่า พระนางเธอพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ และ สมเด็จพระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ออกพระนามว่า สมเด็จพระนางรำเพยภมราภิรมย์ กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ (25 ธันวาคม พ.ศ. 2411 - รัชกาลที่ 6) สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (รัชกาลที่ 6 - ปัจจุบัน)",
"หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา หรือ พระชนนีน้อย เป็นหม่อมในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ และเป็นพระราชมารดาในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี",
"ดอกรำเพย หมายถึง พระนามเดิมของ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี คือ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์",
"Family of Main Page 16. (=24.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย8. (=12.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว17. (=25.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว18. (=26.) สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์9. (=13.) สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี19. (=27.) หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์20. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว10. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี21. เจ้าจอมมารดาเอมน้อย5. พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา22. แส้11. เจ้าจอมมารดาจีน23.1. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล24. (=16.) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย12. (=8.) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว25. (=17.) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี6. สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช26. (=18.) สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์13. (=9.) สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี27. (=19.) หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา3. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล28. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)14. เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)29. ท่านผู้หญิงกลิ่น บุนนาค7. หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา30.15. ท่านผู้หญิงอิ่ม สุรวงศ์ไวยวัฒน์31.",
"สีเขียว เป็นสีประจำวันพฤหัสบดี ตามตำราพิชัยสงคราม (สวัสดิรักษา) ซึ่งวันพฤหัสบดีนั้นเป็นวันประสูติของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 4 และยังเป็นสีของใบรำเพยอีกด้วย",
"ช่อดอกรำเพย หมายถึง พระนามแห่งองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์” พระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงสร้างพระอารามและโรงเรียนเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระ บรมราชชนี ทำเครื่องหมายดอกรำเพยไว้เพื่อให้คนรุ่นหลัง รู้ไว้ว่าพระนามเทพศิรินทร์นี้ได้มาจากพระองค์ท่าน เป็นพระนามมหามงคลยิ่งควรรักษาไว้ให้ดี",
"เจ้าจอมมารดาทรัพย์ เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระชนนีในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ และเป็นพระอัยยิกาในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระอิสสริยยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ มีพระชนมายุได้ 8 พรรษา สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีได้เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2404 พระองค์เจ้าละม่อมก็ได้ทรงเลี้ยงดูพระองค์ พร้อมด้วยพระขนิษฐา และพระอนุชา ทุกพระองค์",
"พระราชานุสาวรีย์ ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์",
"พงศาวลีของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี 16. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช8. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย17. สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี4. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว18. พระยานนทบุรีศรีมหาอุทยาน (บุญจัน)9. สมเด็จพระศรีสุลาไลย19. เพ็ง นนทบุรีศรีมหาอุทยาน2. สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์20. ไม่ปรากฏพระนาม (หม่อมเจ้าราชสกุลกรุงศรีอยุธยา)10. พระอักษรสมบัติ (ทับ)21. ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ)5. เจ้าจอมมารดาทรัพย์22. พระยาพัทลุง (ทองขาว)11. ผ่อง ณ พัทลุง23. ปล้อง พัทลุง1. สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี24.12.25.6. บุศย์ (ชาวบางเขน)26.13.27.3. หม่อมน้อย ศิริวงศ์ ณ อยุธยา28.14.29.7. แจ่ม30. พระยารัตนจักร (หงส์ทอง สุรคุปต์)15. ม่วง สุรคุปต์31. สตรีชาวบางเขนไม่ปรากฏนาม",
"อีกฉบับหนึ่ง ทรงบรรยายถึงการสิ้นพระชนม์ไว้อย่างละเอียดดังนี้",
"พระองค์เจ้าละม่อมเป็นพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกับสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ซึ่งเป็นพระบิดาในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระองค์เจ้าละม่อมจึงทรงมีศักดิ์เป็นพระปิตุจฉา (อาหญิง) ของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี",
"การลดธงครึ่งเสาเพื่อแสดงความไว้อาลัยต่อการสูญเสียบุคคลสำคัญของประเทศครั้งแรกในสยามเกิดขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อคราวสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีสวรรคต (ขณะดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระนางรำเพยภมราภิรมย์ สิ้นพระชนม์) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2404 บรรดาฝรั่งลดธงลงครึ่งเสา 3 วัน",
"พระองค์ทรงร่วมกับสมเด็จเจ้าฟ้ามาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา พระเชษฐภคินีของพระองค์บริจาคทุนทรัพย์สร้างเครื่องใช้สำหรับ \"ตึกเยาวมาลย์อุทิศ\" โรงเรียนเทพศิรินทร์ นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนม์ได้ 28 พรรษา เสมอด้วยพระชนมพรรษาแห่งสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี สมเด็จพระอัยยิกาเจ้าของพระองค์ พระองค์จึงทรงได้สร้าง \"ตึกนิภานภดล\" ถวายแก่วัดเทพศิรินทราวาส สำหรับเป็นโรงเรียนสอนปริยัติธรรมเพื่ออุทิศพระกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี",
"หม่อมเจ้าวราทิวัต จักรพันธุ์ ประสูติเมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 พระองค์เป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี และเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ กับหม่อมราชวงศ์สว่าง ศิริวงศ์",
"โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้มีแนวคิดว่าน่าจะมีรูปเคารพของพระองค์ไว้บูชานั้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 และได้สำเร็จเป็นผลใน ปี พ.ศ. 2541 โดยอัญเชิญประดิษฐาน ณ บริเวณมุขด้านหน้า อาคารเทิดพระเกียรติ เพื่อเป็นเครื่องแสดงถึงความจงรักภักดี และความกตัญญู กตเวที ที่ชาวเทพศิรินทร์ทุกคนมีต่อสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี และยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงเกียรติยศอันสูงสุดของชาวเทพศิรินทร์ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นในการนำพระนามาภิไธยของพระองค์มาเป็นชื่อของสถานศึกษา โดยเมื่อวันที่ 9 กันยายน ของทุกๆปี อันเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ ได้เวียนมาบรรจบครบ ทางโรงเรียนเทพศิรินทร์ อันประกอบด้วย คณะผู้บริหาร คณะครู นักเรียนเก่า นักเรียนปัจจุบัน และบุคลากรของโรงเรียน ได้จัดพิธีวางพวกมาลา และถวายราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ โดยเรียกวันนี้ว่า \"วันแม่รำเพย\""
] |
คิม ฮย็อนจุงเกิดวันที่เท่าไหร่? | [
"(; เกิด 6 มิถุนายน 1986) เป็นนักแสดงชาวเกาหลีใต้และเป็นสมาชิกวงSS501 . คิม ฮย็อน-จุง เป็นที่รู้จักกันดีในบทบาทของเขาในฐานะ ยุน จี ฮู(Yoon Ji Hoo) ในละครเกาหลีปี 2009 เรื่อง Boys Over Flowers ซึ่งทำให้คิมได้รับรางวัล PaekSang Arts Awards และละครเกาหลีในปลายปี 2010 เรื่อง แกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารักในบทบาท Baek Seung Jo"
] | [
"ประกายดาว ช่างภาพสาวสุดฮอต เกิดความรู้สึกอยากมีลูกแต่ไม่อยากมีสามี ด้วยความรักเด็กและนิสัยสุดบ้าบิ่นของเธอ ปฏิบัติการตามล่าหาสเปิร์มจึงเริ่มขึ้น แต่งานนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับประกายดาว เพราะเป้าหมายอันดับหนึ่งของเธอคือ มรว.จันทรภานุหรือคุณชายจันทร์ ไฮโซแถวหน้าที่เพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง เจ้าของฉายาเดทเดียวดับ และอันดับสองก็คือ พงจันทร เพลย์บอยไฮโซที่ควงสาวแทบไม่ซ้ำหน้า ประกายดาวต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะเข้าถึงตัวคุณชายจันทร์ แต่ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ หัวใจที่ปิดล็อกมานานแสนนานก็ยิ่งหวั่นไหว เป้าหมายทั้งสองของเธอก็ดูท่าว่าจะทนเสน่ห์ของแปลกไม่ไหวซะด้วย แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ก็ย่อมมีอุปสรรคมากมาย แล้วสาวมั่นอย่างประกายดาวจะทำอย่างไรดี",
"จุ๊บหลอกๆ อยากบอกว่ารัก () เป็นละครซีรีส์เกาหลีโดยมีเนื้อเรื่องมาจากการ์ตูนยอดนิยมในญี่ปุ่นเรื่อง Itazura Na Kiss โดย Tada Kaoru . นำแสดงโดย จุง โซ มิน รับบทเป็น โอ ฮา นิ และ คิม ฮย็อนจุง รับบทเป็น เบค ซึง โจ เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2010 ถึง 21 ตุลาคม 2010 รวมทั้งหมด 16 ตอน เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2010 ได้มีเพื่มอีก 7 ตอน \"Playful Kiss รุ่น Special Edition\" ซึ่งปล่อยตัวใน ยูทูบ และมีการปล่อยชุดภาค 1 DVD ภายใต้ชื่อ Mischievous Kiss เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2011",
"คิม ฮยัง-กี เกิดวันที่ 9 สิงหาคม 2543 ได้เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี 2549 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Hearty Paws เป็นเรื่องแรก ต่อมาได้ละครเรื่อง Salt Doll เป็นเรื่องแรก รับบทเป็น มิน ฮานา \nฮยัง-กีกำลังศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนมัธยมยงอินฮงชอน ประเทศเกาหลีใต้",
"คิม ฮงโด (; ) จิตรกรผู้มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งในช่วงปลาย ราชวงศ์โชซอน เจ้าของนามปากกา ดันวอน(단원,檀園) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1745",
"วงซิงถือเป็นวงดนตรีที่มีความเปลี่ยนแปลงเรื่องของสมาชิก และแนวเพลงเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ วงซิงยุคแรก ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 หนุ่ม คือ เควิ่น (วู ซองฮย็อน), มารุมีร์(คิม คีบ็อม), ยูเมะ (คิม ยองกยอง) และ ชอน ฮเยซ็อง (Cheon Hye Sung) ซึ่งพวกเขาได้ออกซิงเกิลแรกในปี พ.ศ. 2549 ในชื่อ In Your Hands จนไดด้รับความนิยมมากและได้รับฉายาว่า เป็น \"SG Wannabe รุ่นเด็ก\"",
"มีผมที่ยาวขึ้น ไม่มีคิ้ว มีนัยน์ตาเป็นสีฟ้า และมีสายฟ้ารอบตัว เป็นร่างที่พัฒนามาจากซุปเปอร์ไซย่า 2 โดยร่างนี้เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนัก โดยจะมีพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นจากเดิม 400 เท่า เป็นร่างที่ใช้พลังงานมากและร่างกายจะได้รับภาระอย่างหนัก จึงไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ โดยจะปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงที่สู้กับจอมมารบู",
"ซูเปอร์โนวา () หรือ โชชินซอง ในภาษาเกาหลี (ฮันกึล: 초신성; ฮันจา: 超新星) เป็นบอยแบนด์สัญชาติเกาหลีใต้ ประกอบด้วยสมาชิก 6 หนุ่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้แก่ จอง ยุน-ฮัก (หัวหน้าวง), คิม ซอง-เจ, คิม กวาง-ซู, ซง จี-ฮยอก, ปาร์ก กอน-อิล และยุน ซอง-โม ผ่านการปลุกปั้นและฝึกฝนจากผู้มีชื่อเสียงแถวหน้าของอุตสาหกรรมเพลงเกาหลี ที่สร้างสรรค์ผลงานจนเกิดศิลปินชั้นเยี่ยมประดับวงการเพลงแดนกิมจิ อันได้แก่ คิม จง-ชาน, คิม วาน-ซอน, ยุน ซาง, คิม มิน-อู, โจ ซอง-โม รวมไปถึง SG Wannabe, Seeya, FT Island และศิลปินคุณภาพอีกมากมาย ",
"กองพลที่หนึ่งของโคนิชิ กินะกะเดินทางขึ้นไปทางเหนือมุ่งหน้าไปยังเมืองเปียงยางตามเป้าหมายที่ได้รับมา และระหว่างทางก็เข้ายึดเมืองปยองซาน, โซฮุง, ปุงซาน, ฮวางจู และชุงฮวา เอาไว้ได้\nและกองพลที่หนึ่งก็พบแล้วรวมพลกับกองพลที่สามของคุโรดะ นะกะมะสะที่ชุงฮวา\nหลังจากสนธิกำลังกันแล้ว กองพลทั้งสองก็รุกคืบต่อไปยังเปียงยางที่ตั้งอยู่หลังแม่น้ำแทดง\nที่เปียงยาง ฝ่ายโชซ็อนวางกำลังทหาร 10,000 นาย เพื่อรับมือกับทหารญี่ปุ่นที่มีกำลังมากกว่าสามเท่า และมีนายทหารหลายนายอยู่บัญชาการทัพ รวมถึงนายพลลี อี และนายพล คิม มยองวอน\nโดยแผนการเตรียมตัวของฝั่งโชซ็อนคือการทำลายเรือที่ญี่ปุ่นอาจจะนำมาใช้ข้ามแม่น้ำได้",
"คิม ฮโย-ย็อน (; ) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ฮโยย็อน (Hyoyeon) เกิดวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1989 เป็นหนึ่งในสมาชิก[[เกิร์ลกรุปเกาหลีใต้ [[เกิลส์เจเนอเรชัน]] ในตำแหน่งนักเต้นหลัก นักร้องสนับสนุน และเป็นแร็ปเปอร์หลักของวง ฮโยย็อนเข้าสู่สังกัด[[เอสเอ็มเอ็นเตอร์เทนเม้นท์]] จากการออดิชั่นเมื่อปี ค.ศ. 2000 ฝึกได้ 7 ปี 1 เดือนจึงได้เดบิวต์ ในสังกัด 2000 เอสเอ็มแคสติงซิสเต็ม ทั้งนี้ ฮโยย็อนมีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นคือการเต้น โดยเธอสามารถเต้นได้ทุกแนว และมีความสามารถพิเศษคือ การเต้น, ภาษาจีน, การร้องเพลง, การแร็ป\n[[หมวดหมู่:คริสต์ศาสนิกชนชาวเกาหลีใต้]]\n[[หมวดหมู่:สมาชิกของเกิลส์เจเนอเรชัน]]\n[[หมวดหมู่:บุคคลจากอินชอน]]\n[[หมวดหมู่:ไอดอลเกาหลีใต้]]\n[[หมวดหมู่:นักร้องหญิงชาวเกาหลีใต้]]",
"มาถึงวันนี้สี่หนุ่มมาแรงที่เลือกใช้ชื่อวงเท่ๆ ว่า \"PRINCE\" (พริ้นซ์) ก็เริ่มถูกจับตาตั้งแต่ยังไม่ออกอัลบั้มไปซะแล้ว กับซิงเกิ้ลฮอตติดชาร์ทเพลง \"จับตาดูให้ดีดี\"'กับวลีเด็ดที่ล่าสุดแฟนเพลงร้องตามกันได้กระหึ่มคอนเสิร์ต \"จับตาดูให้ดีดี ให้ดีดี ว่าเขาเป็นยังไง เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเขารักเธอเท่าไหร่ อยากฝากเท่านี้\"'",
"ปี 2004 คิม แร-ว็อน กลับมากับงานละครเรื่อง Say 'I Love You' To Me ทางสถานีโทรทัศน์ MBC โดยได้รับบทเป็น Kim Byung-Soo ชายหนุ่มที่ใสซื่อและอ่อนต่อโลก หลังจากนั้นเมษายนภาพยนตร์แนวตลกสุดน่ารักเรื่อง My Little Bride ที่เขาได้ร่วมแสดงกับ Moon Geun-Young จากภาพยนตร์เรื่อง A Tale of Two Sisters ก็เข้าฉายที่เกาหลี ในภาพยนตร์เรื่อง My Little Bride เป็นเรื่องราวของครอบครัว 2 ครอบครัวที่ พ่อ แม่ ของแต่ละครอบครัว เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน และได้ให้สัญญาระหว่างกันไว้ว่า ถ้าครอบครัวพวกเขามีลูกเมื่อไหร่ จะให้ลูกๆของพวกเขานั้นแต่งงานกัน เพื่อจะให้ครอบครัว 2 ครอบครัวนี้สนิทกันยิ่งขึ้น ซึ่งบทลูกๆของ 2 ครอบครัวนี้นำแสดงโดย คิม แร-ว็อน และ Moon Geun-Young แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าลูกๆของพวกเขานั้น ไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าที่ควรนัก",
"คิมถูกคุมขังที่บ้านพักอีกครั้งหนึ่งหลังจากกลับมาโซล แต่การกลับมาครั้งนี้ของเขาก็กลับมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านอีกครั้ง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2530 ช็อน ดู-ฮวัน พ่ายแพ้ต่อความต้องการของสาธารณชน และอนุญาตให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบทางตรงได้ คิม แดง-จุง และผู้นำฝ่ายค้านคนอื่นๆ เช่น คิม ย็อง-ซัม นั้นในขั้นต้นได้มีการตกลงกันว่าจะร่วมกันส่งผู้สมัครลงเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างผู้นำฝ่ายค้านสองคน ทำให้คิม แด-จุง แยกตัวออกจากพรรคประชาธิปไตยเพื่อการรวมชาติ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก และก่อตั้งพรรคสันติภาพและประชาธิปไตยขึ้น เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ผลจากการนี้ทำให้พรรคฝ่ายค้านเกิดการตัดคะแนนกันเองในสองพรรค เป็นผลให้อดีตนายพล โน แท-อู ผู้สืบทอดอำนาจของ ช็อน ดู-ฮวัน ชนะคะแนนเสียงด้วยคะแนนเพียง 36.5% โดย คิม ย็อง-ซัม ได้ไป 28% และคิม แด-จุง ได้ไป 27%",
"รักฉบับใหม่หัวใจ 4 ดวง ( เกาหลี - 꽃 보 다 남 자 ) (อังกฤษ - Boys Over Flowers) เป็นละครโทรทัศน์ซีรีส์เกาหลีใต้นำแสดงโดย คู เฮซอน, ลี มินโฮ, คิม ฮย็อนจุง , คิมบอม, คิม จุน จาก T-Max และคิม โซอึน.ซีรีส์เรื่องนี้เริ่มฉายออกอากาศในเกาหลีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2009 ทางช่อง KBS2 และสิ้นสุดออกอากาศเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2009 รวมทั้งหมด 25 ตอน\nBoys Over Flowers ได้ดัดแปลงมาจาก Hana Yori Dango (ญี่ปุ่น -より花男子) ที่เขียนโดย โยโกะ คามิโอะ (Yoko ซีรีส์ในใต้หวันได้แก่ Metero Garden, Metero Rain Kamio) ได้มีการนำเนื้อเรื่องมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และ Metero Garden II และ ในญี่ปุ่นได้แก่ Hana yori Dango, Hana yori Dango Returns และในเกาหลีได้แก่ Boys Over Flowers ซึ่งเป็นการ์ตูนยอดฮิตในญี่ปุ่น โดยหัวหน้ากลุ่ม F4 ในการ์ตูน คือ โดเมียวจิ แต่ในเวอร์ชันเกาหลีมีชื่อว่า “กู จุน พโย”",
"อิจิโกะที่มักจะช่วยเหลือเหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ตามส่วนต่างๆของเมืองที่เขาอยู่นั้นตลอด แต่วันหนึ่งเขาได้พบกับเหล่าวิญญาณร้ายที่เรียกว่า \"ฮอลล์โลว์ (Hollow) \" ซึ่งเข้าโจมตีวิญญาณตนหนึ่งในเมือง จนเขาเกือบจะโดนลูกหลงไปด้วย แต่เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากยมทูตจาก \"โซลโซไซตี้\" นาม คุจิกิ ลูเคีย และหลังจากนั้นเขาได้ก็พบกับลูเคียอีกครั้งที่บ้านของเขา โดยมาเตือนว่าครอบครัวของเขาจะได้รับอันตราย และยังไม่ทันจะขาดคำ ฮอลล์โล่ตนหนึ่งก็เข้าโจมตีครอบครัวของเขาเพราะต้องการพลังวิญญาณของอิจิโกะ ลูเคียที่เข้าช่วยก็พลาดท่า จนเธอต้องถ่ายทอดพลังยมทูตของเธอให้กับอิจิโกะส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือ\nหากแต่อิจิโกะได้เอาพลังยมทูตทั้งหมดของเธอไปทำให้เขากลายเป็นยมทูตคนใหม่ไปและสามารถช่วยทุกคนรอดพ้นวิกฤติไปได้\nลูเคียที่สูญเสียพลังยมทูตทั้งหมด กลายเป็นร่างมนุษย์ธรรมดา จึงต้องคอยสนับสนุนอิจิโกะที่อยู่บนโลกจนกว่าพลังของตนกลับมา โดยอิจิโกะยิ่งได้ต่อสู้กับฮอลล์โล่ว์มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจถึงความเป็นไปของมนุษย์ในหลายๆด้านมากยิ่งขึ้น ",
"บิดา: คิม อิล-ซ็อง มารดา: คิม จ็อง-ซุก พี่น้อง: คิม มัน-อิล (มารดาเดียวกัน) คิม กย็อง-ฮี (มารดาเดียวกัน) สมรสกับ ชัง ซ็อง-แท็ก คิม กย็อง-ซุก (ต่างมารดา) คิม พย็อง-อิล (ต่างมารดา) คิม ย็อง-อิล (ต่างมารดา) คิม กย็อง-จิน (ต่างมารดา) ภรรยา: ฮง อิล-ช็อน (ค.ศ. 1942 - ?) บุตรสาวคนแรก: คิม ฮเย-กย็อง (ค.ศ. 1968 - ปัจจุบัน) ภรรยานอกสมรส: ซ็อง ฮเย-ริม (ค.ศ. 1937 - 2002) บุตรชายคนแรก: คิม จ็อง-นัม (ค.ศ. 1971 - 2017) ภรรยา: คิม ยอง-ซุก (ค.ศ. 1947 - ?) บุตรสาวคนที่ 2: คิม ซอล-ซ็ง (ค.ศ. 1974 - ปัจจุบัน) บุตรสาวคนที่ 3: คิม ชุน-ซ็ง (ค.ศ. 1975 - ปัจจุบัน) ภรรยา: โค ย็อง-ฮี (ค.ศ. 1953 - ค.ศ. 2004) บุตรชายคนที่ 2: คิม จ็อง-ชอล (ค.ศ. 1981 - ปัจจุบัน) บุตรชายคนที่ 3: คิม จ็อง-อึน (ค.ศ. 1983 - ปัจจุบัน) บุตรสาวคนที่ 4: คิม ยอ-จ็อง (ค.ศ. 1987 - ปัจจุบัน) ภรรยา: คิม อ็ก (ค.ศ. 1964 - ปัจจุบัน)",
"คิม อกเกิดในปี 2507 บิดาชื่อคิม ฮโย เจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรคแรงงานแห่งเกาหลีเหนือ เธอสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเปียงยาง (Pyongyang University) นอกจากนี้เธอเคยนักดนตรีมาก่อนด้วยเคยเป็นนักเปียโนหลักของมหาวิทยาลัยดนตรีและนาฏศิลป์เปียงยาง (Pyongyang University of Music and Dance) ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 เธอจึงทำงานเป็นเลขานุการิณีของคิม จ็อง-อิล เธอดำรงตำแหน่งผู้อวยการคณะกรรมการของกระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือ เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 คิม อกไปเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เพื่อพบแพทย์",
"พิธีเปิดเริ่มจากกระบวนเรือจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมแข่งขัน นำนักกีฬาเข้าสู่บริเวณสถานที่จัดแสดง สำหรับเรือของประเทศไทย มีโขนเรือเป็นรูปครุฑ และมีพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามอยู่กลางลำเรือ ส่วนในพื้นที่แสดง มีการติดตั้งจอภาพผลึกเหลว (แอลซีดี) ลักษณะคล้ายใบเรือสำเภาจีน จำนวน 8 จอ โดยพิธีอย่างเป็นทางการเริ่มในเวลา 20.00 น. (8 นาฬิกากลางคืน) ตามเวลาท้องถิ่น โดยการจุดพลุที่หอคอยกวางตุ้ง (หอส่งสัญญาณโทรทัศน์และทัศนียแห่งกว่างโจว) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงอันดับเจ็ดของโลก จากนั้นจึงเป็นการคลี่จอแอลซีดีแบบโปร่งใสพับได้ออก ต่อด้วยการเชิญธงชาติจีนขึ้นสู่ยอดเสา ต่อมาจึงเป็นการแสดงในพิธีเปิด 4 ชุด ซึ่งสื่อให้เห็นว่านครกว่างโจวเป็นเมืองท่าที่สำคัญของจีน การแสดงที่สำคัญคือ การขับร้องเพลงโดย จาง จื่ออี๋ นักร้องและนักแสดงชาวจีน, หลาง หล่าง นักเปียโนชาวจีน, คิม ฮย็อนจุง นักร้องชาวเกาหลี เป็นต้น และการแสดงกายกรรม 4 มิติ ร่วมกับภาพบนจอแอลซีดีทั้งแปด โดยมีนักแสดงกายกรรมจำนวน 180 คนโยงกับลวดสลิง และดึงขึ้นไปสูงจากพื้น 80 เมตร ซึ่งใช้ผู้เชิดจำนวนกว่า 1,000 คน",
"ในเรื่อง The King and I (บันทึกรัก คิม ชอ-ซ็อน สุภาพบุรุษมหาขันที) ปี 2007 คิม ชอ-ซ็อนเป็นพระสหายสนิทกับ พระเจ้าซองจง และ พระมเหสีแจฮยอน (ยุนโซฮวา) และได้เป็นเจ้ากรมมหาดเล็กในรัชสมัย องค์ชายยอนซันกุน\nท่านเป็นบุตรชายคนเดียวของ คิมจามยอง หัวหน้าองครักษ์ในรัชสมัย พระเจ้าดันจง หัวหน้าผู้ก่อการกบฏต่อ พระเจ้าเซโจ กับโอซังกุง\nแม่นมใน องค์ชายชาซาน เมื่อบิดาของเขาก่อการไม่สำเร็จและถูกฆ่าตาย มารดาจึงอุ้มท้องเขาเข้าป่าและคลอดที่นั่น\nต่อมาได้เข้ามาเป็นมหาดเล็ก เพราะความช้ำใจในความรักที่มีต่อพระมเหสีแจฮอน (ยุนโซฮวา) และได้เป็นมหาดเล็กคนสนิทของพระเจ้าซองจง และได้เป็นเจ้ากรมมหาดเล็กในรัชกาลองค์ชายยอนซันกุน เนื่องจากเป็นบุตรบุญธรรมของโช-ชิคยอม(ประวัติศาสตร์บันทึกชื่อไว้ว่า จอนคยอน) เจ้ากรมมหาดเล็กคนก่อนหน้า ต่อมาคิม ชอ-ซ็อนได้พบกับ โอซังกุง มารดาผู้ให้กำเนิดอีกครั้ง เมื่อได้เป็นเจ้ากรมมหาดเล็กแล้ว",
"งานวิจัยเกี่ยวกับการบาดเจ็บในศิลปะป้องกันตัว พบว่า แม้ว่าอาการบาดเจ็บในแต่ละวิชาจะแตกต่างกัน แต่อัตราการบาดเจ็บไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ อาการบาดเจ็บในไอกิโดส่วนใหญ่เกิดที่เส้นเอ็น และมีรายงานว่า พบกรณีเสียชีวิตสองสามราย จากการโดน \"\"ชิโฮนาเกะ\"\" ในรุปแบบการ รับน้องสไตล์ญี่ปุ่น Japanese-style เฮซซิง ",
"ฉากร่ายรำของฮง รา-ออนในตอนที่ 4 คิม ยู-จ็องได้ฝึกซ้อมการร่ายรำนานถึง 2 เดือน เพื่อถ่ายทำฉากรำเดี่ยวของฮง รา-ออน และเนื่องจากฉากดังกล่าวเป็นฉากที่จะทำลายกรอบพื้นฐานของตัวละครฮง รา-ออนที่ปลอมตัวมาเป็นขันทีมากที่สุด คิมจึงได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับยุน มี-ย็อง ผู้กำกับฉากรำ เพื่อให้ภาพออกมาโดยมีทั้งความเป็นผู้หญิงและความเป็นอิสระของรา-ออนอยู่ในตัวทั้งคู่",
"ฮง รา-ออน แสดงโดย คิม ยู-จ็อง และ คิม จี-ย็อง (แสดงเป็นรา-ออนตอนเด็ก): อายุ 18 ปี เป็นที่รู้จักในชื่อ ฮง ซัม-นม เธอเป็นคนดังที่ใคร ๆ ก็ชื่นชอบ แต่พลัดพรากกับมารดาตั้งแต่ยังเด็ก เธอปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อทำมาหากิน โดยเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านความสัมพันธ์ แต่ก็มีเหตุให้ต้องเป็นขันทีของอี ย็อง[6][7]",
"การถ่ายภาพในสัปดาห์นี้ สาวๆจะต้องถ่ายทอด กีฬาโอลิมปิกในสมัยโบราณ ให้ออกมาเป็นแฟชั่นชั้นสูง โดยสาวๆแต่ละคนได้ชนิดกีฬาที่แตกต่างกันดังนี้\nในห้องตัดสิน ภาพของ แอลลิสัน ได้รับการตอบรับที่ดี แต่ถูกตำหนิว่า ใช้เวลานานมากเกินไป กว่าจะถ่ายภาพออกมาได้ดี ลิซ่า ถูกวิจารณ์ว่า ภาพของเธอดูมีพลังงานที่ดี แต่ การแสดงออกยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แองเจลี ต้องตกเป็นสองคนสุดท้ายร่วม กับ โดมินิค เนื่องจาก โดมินิค ถ่ายภาพในครั้งนี้ออกมาได้แย่ และบุคลิกของเธอ ยังดูไม่โดดเด่นเพียงพอ กับ แองเจลี ที่คณะกรรมการ ไม่แน่ใจว่าเธอ จะทนต่อภายใต้แรงกดดัน ของในวงการนี้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ภาพที่แข็งแกร่ง กับ บุคลิกที่โดดเด่น ได้ช่วยเธอไว้ ทำให้ โดมินิค เป็นผู้ที่ต้องถูกคัดออกเป็นตอนที่รวบรวมบทสรุป ภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จากทั้งสิบตอนแรกของฤดูกาล ได้แก่ การโต้เถียงกันระหว่าง บีอังก้าและแองเจลี เกี่ยวกับเรื่องรายชื่อการใช้โทรศัพท์ภายในบ้าน ซึ่งต่อมา พวกเธอก็สามารถทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้, สาวๆตั้งคำถามเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในแบบสาวประเภทสองของ ไอซิส, บีอังก้าและคามิลล์ ทะเลาะกันในเรื่องของการใช้โทรศัพท์, แอลลิสันและอเล็กซานเดรีย ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของพวกเธอสมัยก่อนที่เคยเป็น คนดีมาก กับ คนที่ดูแข็งกร้าวแต่อ่อนไหวง่าย, บรีตำหนิบีอังก้าว่าไม่ช่วยทำความสะอาดภายในบ้านพัก, แองเจลี หลงไหลกับก้นที่สวยงามของ คิม คาร์เดเชียน, การแสดงตลกไปมาภายในบ้านพักของลิซ่า, การไปเที่ยววันแรกของการเดินทางไปถึงเกาะ ซันโดรีนี ในประเทศกรีซ, สาวๆได้ฉลองวันเกิดครบรอบ 22ปีให้กับลอร่า, การนวดผ่อนคลายแบบกรีกของแองเจลี และลอร่า(เป็นส่วนหนึ่งของการชนะการแข่งขันชิงรางวัลของลอร่า ในตอนที่10)",
"มิเลแบ่งการเขียนภาพ “โอฟีเลีย” เป็นสองขั้น: ขั้นแรกเขียนภูมิทัศน์และขั้นที่สองเขียนตัวโอฟีเลีย เมื่อพบฉากที่ต้องการแล้วมิเลก็นั่งเขียนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฮอกสมิลล์—ไม่ไกลจากที่พักของเพื่อนร่วมกลุ่มนิยมแบบก่อนราฟาเอล วิลเลียม โฮลแมน ฮันท์ เพียงไม่เท่าไหร่—11 ชั่วโมงต่อวัน, หกวันต่อหนึ่งสัปดาห์ เป็นเวลากว่าห้าเดือนในปี ค.ศ. 1851",
"คิม ยุน-ซ็อง แสดงโดย ช็อง จิน-ย็อง และ อี ฮโย-ซ็อง (แสดงเป็นยุน-ซ็องตอนเด็ก): อายุ 19 ปี ยุน-ซ็องเติบโตมาพร้อมกับอี ย็องและเคยเป็นเพื่อนสนิทของอีย็องมาก่อน เขาเป็นนักวิชาการ เกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง เขาเป็นหลานชายของคิม โจ-ซุน และตกหลุมรักฮง รา-ออน",
"ตามข้อมูลของผู้แปรพักตร์ ฮวาง จางยอบ ระบบรัฐบาลเกาหลีเหนือได้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและเป็นเอกาธิปไตยมากขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 ภายใต้คิม จ็อง-อิลกว่าที่เคยเป็นในสมัยบิดาของเขา ฮวางอธิบายตัวอย่างหนึ่งว่า แม้คิม อิล-ซ็องจะกำหนดให้รัฐมนตรีภักดีต่อเขา แต่เขายังมองหาคำแนะนำระหว่างการตัดสินใจ แต่คิม จ็อง-อิลต้องการการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์และความตกลงจากรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่พรรคโดยไม่ต้องการคำแนะนำหรือการประนีประนอม และเขามองความเห็นต่างเพียงเล็กน้อยใด ๆ จากความคิดของเขาว่าเป็นสัญญาณถึงความไม่ภักดี ตามข้อมูลของฮวาง คิม จ็อง-อิลกำหนดทุกเรื่องด้วยตัวเองแม้รายละเอียดเล็กน้อยของกิจการรัฐ เช่น ขนาดของบ้านสำหรับเลขาธิการพรรคและการส่งของขวัญไปให้ผู้ใต้บัญชาของเขา[22]",
"คิม ซ็อง-ฮวัน (; เกิด 15 ธันวาคม ค.ศ. 1986) เป็นนักฟุตบอลชาวเกาหลีใต้ ปัจจุบันเขาเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับให้กับสโมสรฟุตบอลการท่าเรือในไทยลีก",
"เพื่อนร่วมหน่วยของอัสรัน มีนิสัยใจร้อน ไม่ค่อยเชื่อฟังเพื่อนร่วมทีมเท่าไหร่ เป็นคู่แข่งของอัสรัน อิซาคบังคับ GAT-X102 ดูเอล และในศึกครั้งหนึ่ง อิซาคโดนมีดของ สไตรค์ จึงทำให้เกิดรอยแผลที่หน้าและแค้นนักบินสไตร์คมาก แต่ในที่สุดก็เข้าร่วมกับฝ่ายอาร์คแองเจิ้ลในสงครามที่ยาคินดูเอ้",
"โอฮานิ (จูง โซ มิน) สาวน้อยจอมทึ่มเธอได้แอบรักกับนักเรียนชายที่แสนจะอัจฉริยะชื่อ เบค ซึง โจ (คิม ฮย็อนจุง) โอฮานิ จึงตัดสินใจที่จะสารภาพรักผ่านจดหมาย แต่ถูกปฏิเสธโดย เบคซึงโจ และบอกกับเธอว่าเขาเกลียดผู้หญิงที่ทึ่มที่สุด\nพ่อของฮานิได้ซื้อบ้านใหม่ ฮานิจึงชวนเพื่อนเธอมาฉลองที่บ้านใหม่เธอและขณะที่พูดคุยหลอกล้อกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น เรื่องที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นบ้านของ ฮานิ ได้แตกร้าวและพังทลายลงมาเหตุการณ์นี้โด่งดังไปทั่วโดยที่ไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดเพราะอะไร เพื่อนของพ่อฮานิเมื่อทราบข่าวก็ได้ติดต่อให้ครอบครัวของฮานิมาพักอาศัยอยู่กับตน\nฮานิ กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโรงเรียน จุนกู ออกเรี่ยไรเงินเพื่อแสดงพลังแห่งความรักช่วยเหลือ ฮานิ ที่กำลังเดือดร้อน ในตอนนั้น ซึงโจ เดินผ่านมาพอดี จุนกู จึงบอกให้ ซึงโจ ช่วยบริจาคให้กับ ฮานิ ด้วย ซึงโจ จึงช่วยบริจาคด้วยความไม่เต็มใจนัก ฮานิ ปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือนั้นแถมยังต่อว่า ซึงโจ ทั้งคู่จึงท้าทายกัน โดยในการสอบครั้งหน้า ฮานิ จะต้องทำคะแนนขึ้นไปติด 1 ใน 50 อันดับนักเรียนแถวหน้าของโรงเรียนให้ได้ ถ้าเธอทำได้ ซึงโจ จะยอมแบกเธอเดินทั่วโรงเรียน",
"สกายมีชื่อเต็มคือ ฮานึล \"สกาย\" คิม เขามีพื้นเพมาจากประเทศเกาหลีใต้และเกิดในแทกู ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982 และใน ค.ศ. 2006 เขาก็กลายเป็นพลเมืองออสเตรเลีย เขามีส่วนสูงที่ 183 เซนติเมตร (72 นิ้ว) และน้ำหนัก 95 กิโลกรัม (210 ปอนด์) ส่วนพ่อและพี่ชายของเขาต่างก็เป็นนักยิงธนูเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เขาได้แต่งงานกับเพื่อนนักยิงธนูชื่อ จุง ฮยอน-อก ที่เขาได้พบเมื่อช่วงทำการฝึกยิงธนูใน ค.ศ. 2000 ",
"โปรดิวเซอร์/นักประพันธ์ ยู ย็อง-จิน ย็อง-อู คิม เคนจี ซง กวัง-ชิก ฮิตช์ไฮเกอร์ คังตะ เลย์ นักแต่งเพลง (เนื้อภาษาเกาหลี) เคนจี มิสฟิต ย็อง-อู คิม ยู ย็อง-จิน JQ โจ ยุน-คย็อง นักแต่งเพลง (เนื้อภาษาจีน) หลิว หยวน หวัง หยาจุน โจว เหว่ยเจี๋ย หลิน ซินเอี๋ย T-Crash โจวมี่ นักออกแบบท่าเต้น เกรกอรี่ ฮวัง ชิม แจ-ว็อน ชิน ซู-จ็อง มิฮอว์ค แบ็ก ริโนะ นะกะโซะเนะ แคสเปอร์ นักเปียโน ซง กวัง-ชิก"
] |
สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เปิดทำการครั้งแรกเมื่อใด ? | [
"สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เกิดขึ้นจาก บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (English: Bangkok Entertainment Company Limited; ชื่อย่อ: บีอีซี.; BEC ปัจจุบันเข้าเป็นบริษัทในกลุ่มบีอีซีเวิลด์) ซึ่งวิชัย มาลีนนท์ ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 ลงนามในสัญญาดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์ ร่วมกับบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2511 โดยมีอายุสัญญา 10 ปี ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2513-25 มีนาคม พ.ศ. 2523"
] | [
"ทีวี ธันเดอร์ ถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่สมพงษ์ วรรณภิญโญ อดีตเป็นหนึ่งในผู้บริหาร คีตา เรคคอร์ดส ได้ขายกิจการต่อให้คุณแสงชัย อภิชาติวรพงษ์ ไปทำต่อในชื่อ คีตา เอนเตอร์เทนเมนท์ เมื่อคุณสมพงษ์ได้เงินจากการขายคีตาก็นำเงินจำนวนนี้มาเปิดบริษัทใหม่ โดยมีความมุ่งหวังที่จะสร้างสรรค์ความสุขทุกรูปแบบให้กับคนไทยผ่านสื่อโทรทัศน์ นับจากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2536 เพียง 4 รายการ ปัจจุบันมีสตูดิโอเป็นของตนเอง และผลิตรายการหลากหลายรูปแบบมากกว่า 200 รายการ ทั้งละคร, ซิทคอม, เกมโชว์, ควิซโชว์, สารคดี, วาไรตี้โชว์, และทอล์คโชว์ โดยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยหลายแห่งคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี,สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี, สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เป็นต้น",
"กล่าวโดยสรุปคือ ระหว่างปี พ.ศ. 2513-2517 ในระบบแพร่ภาพ 525 เส้นต่อภาพ 30 ภาพต่อวินาที (เป็นภาพขาวดำทั้งหมด) ไทยทีวีสีช่อง 3 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 2, ไทยทีวีช่อง 4 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 4/11/12, ททบ.7 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 7, ช่อง 7 สี รับชมทางช่องสัญญาณที่ 9 ส่วนระบบแพร่ภาพ 625 เส้นต่อภาพ 25 ภาพต่อวินาที ไทยทีวีสีช่อง 3 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 3 เป็นภาพสี, ททบ.7 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 5 เป็นภาพขาวดำ, ช่อง 7 สี รับชมทางช่องสัญญาณที่ 7 เป็นภาพสี, ไทยทีวีช่อง 4 รับชมทางช่องสัญญาณที่ 9 เป็นภาพขาวดำ นอกจากนี้ ทั้งสี่ช่องยังมีคลื่นวิทยุซึ่งจัดสรรไว้ สำหรับกระจายเสียงภาษาต่างประเทศ ในภาพยนตร์หรือรายการจากต่างประเทศ โดยไทยทีวีช่อง 4 ใช้สถานีวิทยุ ท.ท.ท. ความถี่เอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิร์ตซ์ และมีระบุในสัญญากับ บจก.บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ยกคลื่นความถี่เอฟเอ็ม 105.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ของสถานีวิทยุ ท.ท.ท. ให้แก่ไทยทีวีสีช่อง 3 เพื่อใช้ในการนี้ ส่วน ททบ.7 ใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก (ว.ทบ.) ความถี่เอฟเอ็ม 94.0 เมกะเฮิร์ตซ์ และมีระบุในสัญญากับ บจก.กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ยกคลื่นความถี่เอฟเอ็ม 103.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ของ ว.ทบ.ให้แก่ช่อง 7 สี เพื่อใช้ในการนี้",
"รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส่วนภูมิภาค กรมประชาสัมพันธ์ เอ็นบีทีเวิลด์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส",
"สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (ชื่อสากล: HS-TV 3[4]) เป็นสถานีโทรทัศน์เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ออกอากาศโดยใช้ช่องความถี่ต่ำ ในระบบวีเอชเอฟ คือช่อง 2 ถึงช่อง 4 โดยในระยะเริ่มแรก ใช้เครื่องส่งโทรทัศน์สีขนาด 25 กิโลวัตต์ จำนวนสองเครื่องขนานกัน รวมกำลังส่งเป็น 50 กิโลวัตต์ อัตราการขยายสายอากาศ 13 เท่า กำลังออกอากาศที่ปลายเสาอยู่ที่ 650 กิโลวัตต์ เสาอากาศเครื่องส่งมีความสูง 250 เมตร ความถี่คลื่นอยู่ระหว่าง 54-61 เมกะเฮิร์ตซ์ ใช้ระบบ ซีซีไออาร์ พาล (CCIR PAL) 625 เส้น เป็นแห่งแรกของไทย โดยส่งออกอากาศทางช่องสัญญาณที่ 3 ซึ่งสามารถให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งหมด 18 จังหวัดเท่านั้น คิดเป็นร้อยละ 20.64 ของพื้นที่ประเทศไทย[2][3] นับเป็นสถานีโทรทัศน์สีแห่งที่สองของไทย ต่อจากสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7",
"ต่อมาช่วงกลางปี พ.ศ. 2556 ไทยทีวีสีช่อง 3 เปลี่ยนระบบควบคุมการออกอากาศเป็นดิจิทัล และตั้งแต่เวลา 10:10 น. วันที่ 17 ตุลาคม ปีเดียวกัน ไทยทีวีสีช่อง 3 เปลี่ยนระบบออกอากาศเป็นดิจิทัล รวมถึงตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557 ทุกรายการที่ออกอากาศ ในทั้ง 3 ช่องระบบดิจิทัล ของไทยทีวีสีช่อง 3 ถ่ายทำด้วยระบบดิจิตอล ภาพคมชัดสูง พร้อมทั้งปรับสัดส่วนภาพที่ออกอากาศ จากเดิม 4:3 เป็น 16:9 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็เริ่มใช้กับไทยทีวีสีช่อง 3 ในระบบแอนะล็อกด้วย ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ปีเดียวกัน",
"นวนิยายชุด บ้านไร่ปลายฝัน ได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2553 โดยตั้งชื่อว่า ละครชุด\"4 หัวใจแห่งขุนเขา\"เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 40 ปี สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ประกอบด้วย ธาราหิมาลัย ดวงใจอัคนี ปฐพีเล่ห์รัก และ วายุภัคมนตรา จะออกอากาศทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เริ่ม 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3",
"เมื่อปี พ.ศ. 2524 ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยอนุมัติของ นายวิชัย มาลีนนท์ และผู้บริหารสถานีฯ ได้จัดกิจกรรมให้ผู้ชมร่วมเสนอคำขวัญประจำสถานีฯ ทว่าไม่มีคำขวัญใดที่ได้รับการคัดเลือก ทั้งนี้ ในอีกสามปีต่อมา นายวิชัย พร้อมด้วยผู้บริหารไทยทีวีสีช่อง 3 นำคำขวัญ ซึ่งได้มาจากการเสนอของผู้ชมในครั้งแรก มารวมเข้ากับแนวคิดของพนักงานเจ้าหน้าที่ของสถานีฯ จนกระทั่งได้คำขวัญว่า คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่อง 3 โดยนำมาเผยแพร่ออกอากาศครั้งแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2527 เนื่องในโอกาสที่สถานีฯ มีอายุครบ 15 ปี ในวันที่ 26 มีนาคม ปีเดียวกันนั้น",
"ฝ่ายข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นหน่วยงานย่อยของบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ผู้ดำเนินงาน สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อสมท ซึ่งทำหน้าที่ผลิตข้อมูลข่าวสารทุกประเภท ในรูปของเนื้อหาข่าว และภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอ หรือภาพนิ่งในบางกรณี เพื่อสนับสนุนกับรายการโทรทัศน์ ประเภทข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน ทั้งส่วนที่ผลิตเอง และส่วนที่ให้บริษัทเอกชนเช่าเวลาผลิต ภายใต้ตราสินค้า \"ครอบครัวข่าว 3\" ในช่วงเวลาต่างๆ ที่กำหนดไว้ในผังรายการ ทางไทยทีวีสีช่อง 3",
"รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 บีอีซี เวิลด์ มิสไทยแลนด์เวิลด์ บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ครอบครัวข่าว 3 เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ครอบครัวข่าวเช้า เรื่องเด่นเย็นนี้ ข่าววันใหม่ ช่อง 3 แฟมิลี ช่อง 3 เอสดี วิทยุครอบครัวข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส",
"การจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์ไทย เป็นความร่วมมือกันระหว่างสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ได้แก่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี, สถานีโทรทัศน์เอ็มคอตเอชดี, สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ และ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (ชื่อเดิมคือสถานีโทรทัศน์ไอทีวีและสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี) เพื่อจัดระดับความเหมาะสมของรายการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ชมสามารถเลือกดูได้ว่ารายการใดที่มีความเหมาะสมต่อตัวเองและคนรอบข้าง อาทิเช่น รายการใดที่เด็กควรดู รายการที่ผู้ใหญ่ควรให้ความแนะนำ หรือรายการที่ไม่เหมาะสมต่อเด็กและเยาวชน",
"สาระแน แปซิฟิค ได้ผลิตรายการต่างๆ เป็นจำนวนกว่า 20 รายการ ทั้งเกมโชว์ วาไรตี้โชว์ รายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี, สถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ ทีวี, สถานีโทรทัศน์จีเอ็มเอ็มแชนเนล, สถานีโทรทัศน์ช่องวัน และสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, ไลน์ทีวี ปัจจุบันสาระแน แปซิฟิคมีรายการโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 4 รายการ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ วาไรตี้โชว์ และวาไรตี้คอเมดี้โชว์ ออกอากาศทางช่อง 9MCOT HD ช่องไทยรัฐทีวี HD ช่อง 8 และช่อง7 HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา)",
"ในสมัยนั้นในช่วงที่มีการแข่งขันในด้านละครจักรๆ วงศ์ๆ มีคู่แข่งทั้ง 7 ช่องรายการ เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี, และ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มักจะแข่งขันกันที่เวลา ฐานการรับชม และการออกอากาศเป็นส่วนใหญ่ ในปัจจุบันนี้ ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 9 ช่อง 11 ช่อง NBT ไอทีวี ทีไอทีวี และ ไทยพีบีเอส ยุติการออกอากาศละคร จักร์ๆ วงศ์ๆ แล้วสาเหตุมาจากฐานการรับชมมีน้อย",
"รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก กองทัพบกไทย ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส",
"ฝ่ายข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มดำเนินงานเป็นครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2529 หลังจากที่ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) อนุมัติให้ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินการผลิตรายการข่าวได้ด้วยตนเอง โดยก่อนหน้านั้น อ.ส.ม.ท.ผลิตรายการข่าวประจำวัน เพื่อออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 และไทยทีวีสีช่อง 3 ไปพร้อมกัน ในเวลา 20:00-20:45 น. ภายใต้ชื่อ \"ข่าวร่วม 3-9 อ.ส.ม.ท.\" ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524",
"บริษัทฯ เริ่มผลิตรายการโทรทัศน์ประเภทวาไรตี้โชว์ คือรายการสาระแนโชว์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นรายการแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 ต่อมาได้ขยายการผลิตรายการในหลากหลายรูปแบบ และหลายสถานี เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ ทีวี, สถานีโทรทัศน์จีเอ็มเอ็มแชนเนล, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี , สถานีโทรทัศน์ช่องวันและ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 มาโดยตลอดเป็นระยะเวลา 17 ปี เช่นเกมโชว์, ทอล์คโชว์, วาไรตี้โชว์ และรายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยบางรายการจะมีผู้ผลิตรายการรายอื่น เช่น กันตนา กรุ๊ป จันทร์ 25 ,ดี.ด็อกคิวเมนทารี่ และมีเดีย สตูดิโอ และมีบริษัทด้านสื่อต่างๆ ทั้ง สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ค่ายเพลง ภาพยนตร์ เป็นต้น",
"ไฮโซบ้านนอก ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2548 เป็นที่กล่าวถึงกันอย่างมาก เนื่องจากพฤติกรรมของ คชาภา ตันเจริญ (มดดำ) ซึ่งเป็นคนเปิดเผยและค่อนข้างตรง ทำให้บางครั้งเรื่องราวเกิดขึ้นเพียงคนๆ เดียว เช่น เกือบเผาบ้าน หรือแม้แต่วีนใส่ทีมงาน และอีกอย่าง เนื่องด้วยไฮโซบ้านนอก เป็น เรียลลิตีโชว์แบบเฟค (ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริง แต่ทีมงานกับผู้เข้าแข่งขัน ต่างรู้เรื่องราวกันเป็นอย่างดีโดยที่ผู้ชมทางบ้านไม่รู้ว่า นี่คือ การสมรู้ร่วมคิดกันของทีมงานกับผู้เข้าแข่งขัน) ทำให้ถูกวิจารณ์และทำให้ความหมายของคำว่า เรียลลิตีโชว์ ในไทย แปลความหมายผิดเพี้ยนไปจากเดิม รายการตัวจริง ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2549 ค้นหาพิธีกรโทรทัศน์ The Arsenal Dream ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2549 (วันอาทิตย์ เวลา 13.00 น.โดยประมาณ) เนื่องจากได้เวลาในช่วงบ่าย ประกอบกับการขาดเรื่องประชาสัมพันธ์ ทำให้เรตติ้งรายการไม่กระเตื้องขึ้น Thailand Next Top Model ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2548 ผู้ที่ซื้อลิขสิทธิ์ก็คือ ซอนญ่า คูลลิ่ง มีการกล่าวถึงเรื่องการดำเนินเกมส์ที่ขาดสีสัน ด้านอารมณ์ ทำให้ผู้เข้าแข่งขันมีลักษณะไปในทางเดียวกัน กล่าวคือ ไม่มีความริษยาหรือโกรธแค้นกลั่นแกล้งกัน ทำให้ความนิยมของรายการไม่กระเตื้องขึ้น ส่วนในด้านผลงานของผู้แข่งขันหลังจบเกมส์ ทาง BEC Tero ไม่ได้ประชาสัมพันธ์หรือป้อนงานให้ ทำให้ไม่สามารถติดตามผลงานได้ว่าพวกเธอมีผลงานในวงการบันเทิงในด้านใดบ้าง M Thailand ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปลายปี พ.ศ. 2548 ถึง ต้นปี พ.ศ. 2549 (วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 22.00 น. โดยประมาณ) มีการกล่าวถึงกันมาก เนื่องจากว่ากันว่ารูปแบบรายการได้ลอกเนื้อหามาจาก Thailand's Perfect Man โดยทาง BEC Tero ได้ชิงตัดหน้าขโมยความคิด นำมาทำเป็นรูปแบบเกมส์เรียลลิตีโชว์ก่อน และอีกสาเหตุหนึ่งมาจาก การวิจารณ์ผู้เข้าแข่งขันในรอบคัดเลือก จนไปสร้างความกดดันให้คนดูและผู้เข้าแข่งขัน รวมไปถึง การใช้ไอเดียของรายการ Manhunt ในการซ่อนทีมงานไปปะปนในหมู่ผู้เข้าแข่งขัน ทำให้ถูกพูดถึงในแง่การวิจารณ์เป็นอย่างมากและด้วยการดำเนินรายการของ BEC Tero ที่ไม่มีการโต้แย้งของผู้เข้าแข่งขัน ทำให้เรตติ้งรายการค่อนข้างทรงตัวจนจบการแข่งขัน ส่วนในด้านผลงานของผู้แข่งขันหลังจบเกมส์ เนื่องด้วยทาง BEC Tero ไม่ได้ประชาสัมพันธ์หรือป้อนงานให้กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ นอกจากผู้ชนะเลิศของรายการ ทำให้ไม่สามารถติดตามผลงานของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ได้ว่าใครไปมีอาชีพในวงการบันเทิงในด้านใดบ้าง Thailand's Perfect Man ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในปี พ.ศ. 2549 (ต้นเดือนกุมภาพันธ์-ปลายเดือนมิถุนายน ทุกวันอังคาร เวลา 23.00 น.) และทาง Chic Channel ของ UBC หลังจากที่ M Thailand ได้ชิงตัดหน้าออกอากาศไปก่อน ทำให้ Thailand's Perfect Man (TPM) ที่ดำเนินบริหารงานโดย เมทินี กิ่งพโยม ได้นำรายการไปเสนอทางไอทีวี และได้ปรับเนื้อหาของเกมส์ จนมีความลงตัวในหลายด้านๆ และไม่มีการสร้างความกดดันให้กับคนดูมากเกินไป แต่ถึงกระนั้นเรตติ้งของรายการก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น จนกระทั่งได้นำการเดินแบบในชุดว่ายน้ำมานำเสนอ จนทำให้เรตติ้งของรายการเพิ่มขึ้นประกอบกับความขัดแย้งของผู้เข้าแข่งขันในช่วงการแข่งขัน ทำให้เนื้อหามีความน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ส่วนในด้านผลงานของผู้แข่งขันหลังจบเกมส์ ได้มีการประชาสัมพันธ์ติดต่อจากสปอนเซอร์หลัก (ธนาคารไทยพาณิชย์, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, กันตนา ฯลฯ) ทำให้มีงานป้อนเข้ามาเป็นระยะ ซึ่งเป็นการดำเนินงานของ เมทินี กิ่งพโยม อัจฉริยะข้ามคืน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มออกอากาศในปี พ.ศ. 2549 จนถึงต้นปี พ.ศ. 2551 Eco Challenge คนเก่ง เกมนักขับ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในปี พ.ศ. 2549 ดำเนินการผลิตโดย กันตนา (ออกอากาศต่อจาก Thailand's Perfect Man ประมาณ 1 เดือน ทุกวันอังคาร เวลา 23.00 น.) รูปแบบของรายการได้ใช้รูปแบบของรายการเซอร์ไวเวอร์ ผสมกับเทคนิคการขับรถยนต์ในสถานการณ์ทุกรูปแบบ แต่เนื่องจากรูปแบบรายการที่ไม่ชัดเจนและใช้รูปแบบของเซอร์ไวเวอร์ มากถึง 70% ทำให้เรตติ้งรายการไม่กระเตื้องขึ้น ซึ่งผู้ชนะได้รับรถยนต์มิตซูบิชิ และเงินรางวัล 1 ล้านบาท (รายการเป็นรูปแบบเดียวกับทางฝั่งอเมริกาที่เป็นคนเดียวกันกับที่ทำรายการ Survivor และ Eco Challenge) ซีซ่า ทางสายฝันสู่ดวงดาว ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2549 โดยมี มณีนุช เสมรสุต (ครูอ้วน) เป็นผู้บริหารรายการ รายการเป็นรูปแบบแข่งขันร้องเพลงสำหรับเด็ก ทำดีให้พ่อดู เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ ตามติดชีวิตนักล่าฝันจากรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ในซีซั่นที่ 1 ถึง 3 ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อสังคม 12 โครงการ โดยแบ่งผู้ปฏิบัติภารกิจตามสายรหัส V1-V12 ของแต่ละซีซั่น พร้อมทั้งอาสาสมัครบุคคลทั่วไปที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ความดี เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ออกอากาศซีซี่นที่ 1 พ.ศ. 2550 ในตอน 12 V 12 ความดีเพื่อพ่อ และออกอากาศซีซั่นที่ 2 พ.ศ. 2552 ในชื่อตอน เรียนรู้ชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง โดยนักล่าฝันจากรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ในซีซั่นที่ 4 ถึง 6 โดยแบ่งนักล่าฝันเป็นรุ่น 3 รุ่น เพื่อเดินทางไปเรียนรู้งานในทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง 4 วัน 3 คืน ณ สถานที่ๆทีมงานกำหนด The Singer ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2550 เป็นรายการรูปแบบแข่งขันร้องเพลง โดยมี พุทธธิดา ศิระฉายา เป็นผู้บริหารรายการ อัจฉริยะยกบ้าน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในปี พ.ศ. 2551 ซูเปอร์สตาร์ ที่สุดแห่งดาว เป็นรายการเรียลลิตีฟอร์มยักษ์ เป็นการแข่งขันของเหล่าดารา เปิดเผยเบื้องหลังที่มาของการแสดงทุกรูปแบบ ดาราที่เข้าแข่งขันจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทีม เพื่อแข่งขันใน 10 หัวข้อการแสดง โดยการฝึกสอนจากเทรนเนอร์ที่เป็นที่สุดของทุกแขนง ออกอากาศซีซั่นแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 The Master ออกอากาศ 24 ชั่วโมงทาง ทรูวิชั่นส์ ช่อง 18 และมีรายการไฮไลท์ประจำวัน และคอนเสิร์ตทุกวันเสาร์ที่ช่อง 19 ทรูอินไซด์ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2552 เป็นเวลา 1 เดือน รูปแบบรายการเป็นการแข่งขันร้องเพลงและแสดงโชว์ แข่งขันเป็นทีม ทีมละ 5 คน โดยผู้เข้าแข่งขันมาจากตำแหน่งผู้ชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดับหนึ่งของรายการ ทรู อคาเดมี่ แฟนเทเชีย ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 1-5 และได้มีการโหวตคัดเลือกผู้แข่งขันนักล่าฝันคนอื่นๆเพิ่มเติมผ่านระบบ SMS รายการนี้จะเน้นการทำงานเบื้องหลังของศิลปิน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้ประสบการณ์ในการทำงาน คิดและวางแผนโชว์ที่จะเกิดขึ้นในทุกคืนวันเสาร์ด้วยตนเอง ร่วมกับสมาชิกในทีม และทีมเบื้องหลัง และผู้ชนะรายการเพียงหนึ่งเดียวจากผล Popular Vote จะได้ตำแหน่ง สุดยอดเดอะมาสเตอร์ สุภาพบุรุษบอยแบนด์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 The Trainer ปั้นฝันสนั่นเวที รายการเรียลลิตีโชว์สำหรับเด็ก ออกอากาศทาง ช่อง 9 เดือนพฤษภาคม ปี 2552 - ปัจจุบัน ล้านฝันสนั่นโลก ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 The Voyager เกมเดินทางในต่างแดน</b>ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 Teen Superstar เกิดมาเป็นดาว คือรายการ ซุปเปอร์สตาร์ ที่สุดแห่งดาว แต่ได้เปลี่ยนรูปแบบรายการใหม่ ค้นหาเยาวชน ผู้ชนะ ชาย 2 หญิง2 จะมาจากการโหวดของประชาชน ซึ่งก็คือ ชายและหญิง 2 คนแรก จะได้มีโอกาสไปเป็นศิลปินในประเทศเกาหลี และอีกสองคนจะได้เป็นศิลปินในประเทศไทย ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ประมาณเดือนธันวาคม ปี 2553 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 - ปัจจุบัน เดอะวอยซ์ไทยแลนด์ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - ปัจจุบัน เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ ซีซั่นที่ 1 เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ (English: The Comedian Thailand) เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ มีจุดประสงค์เพื่อค้นหา \"เอนเตอร์เทนเนอร์\" เป็นตัวแทนถ่ายทอดศาสตร์ตลกและศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อรับรางวัลมากมายพร้อมกับโอกาสที่จะได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ออกอากาศ ช่อง ทรูวิชั่นส์ (ถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมง) ถ่ายทอดสดการประกวด ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 – 21 เมษายน 2556 เดอะวอยซ์ คิดส์ ไทยแลนด์ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 27 เมษายน พ.ศ. 2556 - ปัจจุบัน เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ ซีซั่นที่ 2 เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ (English: The Comedian Thailand) เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ มีจุดประสงค์เพื่อค้นหา \"เอนเตอร์เทนเนอร์\" เป็นตัวแทนถ่ายทอดศาสตร์ตลกและศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อรับรางวัลมากมายพร้อมกับโอกาสที่จะได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ออกอากาศ ช่อง ทรูวิชั่นส์ (ถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมง) ถ่ายทอดสดการประกวด ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 26 มกราคม พ.ศ. 2557 - 13 เมษายน พ.ศ. 2557 เดอะวินเนอร์อีส ไทยแลนด์ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน เดอะเฟซไทยแลนด์(4 ตุลาคม พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน) เรียลลิตี้โชว์รายการเรียลลิตีเพื่อค้นหาสุดยอดนางแบบ โดยจะมีการแบ่งนางแบบออกเป็น 3 ทีมตามทีมของเมนเทอร์ของตนเอง เนลท์ให้โอกาสประเทศไทยเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผลิตรายการโดย บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เดอะเฟซเมนไทยแลนด์(29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน) เรียลลิตี้โชว์รายการเรียลลิตีเพื่อค้นหาสุดยอดนายแบบ โดยจะมีการแบ่งนายแบบออกเป็น 3 ทีมตามทีมของเมนเทอร์ของตนเอง ซึ่งเป็นการต่อยอดจากรายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ผลิตรายการโดย บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) The Mask Singer หน้ากากนักร้อง (6 ตุลาคม พ.ศ.2559 - ปัจจุบัน) เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์เพื่อค้นหาบุคคลในวงการบันเทิงที่มีความสามารถในการร้องเพลงมาเข้าร่วมประกวด โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องใส่ชุดหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนของตัวเองไว้ ซึ่งเป็นรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจาก ประเทศเกาหลีใต้ ผลิตรายการโดย เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ซูเปอร์เท็น (7 มกราคม พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน) เป็นรายการประกวดในรูปแบบที่จะค้นหา<b data-parsoid='{\"dsr\":[16130,16154,3,3]}'>อัจฉริยะพันธุ์จิ๋ว ผลิตรายการโดย บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ (4 มิถุนายน พ.ศ.2560 - ปัจจุบัน) เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์เพื่อค้นหาผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเชฟ แต่มีใจรักที่จะทำอาหารและมีความสามารถที่จะไปเป็นเชฟได้ โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องผ่านโจทย์การทำอาหารทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีมในแต่ละสัปดาห์ รายการ Topchef รายการแข่งทำอาหารของ Chef ชื่อดัง",
"ในยุคแรกของการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์ทั่วโลก มักเกิดปัญหาความไม่เสถียร ของสัญญาณการออกอากาศ หรือปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง สำหรับในประเทศไทย เจ้าหน้าที่เทคนิคจะเตรียมสไลด์ภาพดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยตราสัญลักษณ์ของสถานีฯ รวมถึงอาจมีชื่อย่อหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้เช่าสัมปทานและคลื่นความถี่ พร้อมทั้งแถบบันทึกเสียง ประกาศขออภัยผู้ชมไว้อยู่เสมอ ทั้งนี้ สำหรับไทยทีวีสีช่อง 3 ญาดา ยมกานนท์ เป็นผู้ประกาศตามแถบบันทึกเสียงดังกล่าว โดยมีใจความว่า \"สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ต้องขออภัยท่านผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากกระแสไฟฟ้าขัดข้อง จึงทำให้การออกอากาศต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ... และต่อจากนี้ไป ขอเชิญท่านผู้ชม ติดตามชมรายการต่าง ๆ ของทางสถานีฯ ได้ตามปกติค่ะ\"",
"สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นช่องโทรทัศน์ที่มีรายการต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงละครที่มีมากมายหลายเรื่องและหลายช่วงเวลา เมื่อมีละครเรื่องหนึ่งจบหรืออวสานไปก็จะมีละครเรื่องใหม่มาออกอากาศแทน โดยละครแต่ละเรื่องจะมีนักแสดงนำและบทละครที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ละครทางช่อง 3 ที่อวสานไปเมื่อประมาณ 1 ปี ถึง 3 ปีที่แล้ว จะถูกนำมาออกอากาศอีกครั้งในช่วงเวลาตอนบ่ายในวันจันทร์ถึงศุกร์ด้วย\nต่อไปนี้เป็นรายชื่อละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ถึงปัจจุบัน ส่วนละครตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2539 จะถูกซ่อนทั้งหมดในบทความเนื่องจากบทความนี้ยาวมากๆ อาจทำให้ไม่สะดวกต่อการอ่านบทความ",
"รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายนามผู้ประกาศข่าวและผู้รายงานข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย สถานีวิทยุไทยพีบีเอสออนไลน์ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย",
"เกมวัดดวง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2545 - 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553) อี-เม้าท์ ทางช่อง 7 สี (พ.ศ. 2546 - 2553) ไฟว์ ไลฟ์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2546 - 2549) เปรี้ยวปาก ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (พ.ศ. 2547 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2555) กิ๊กกะไบท์ ทางไอทีวี (พ.ศ. 2547 - 2549) เดอะ โหวต ทางไอทีวี (พ.ศ. 2547 - 2549) คิทเช่น สเน็ค ทางไอทีวี (พ.ศ. 2548 - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2549) ทีเด็ดจัง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2549) รู้จริงปะ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (พ.ศ. 2549 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2555) ฆ่าโง่ ทางไอทีวี (พ.ศ. 2549 - 2550) ตาสว่าง ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (31 มกราคม พ.ศ. 2551 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552) โคลนนิ่งซิงกิ้งคอนเทสต์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 The Hunt (พ.ศ. 2553) สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ สะบัดช่อ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (พ.ศ. 2553 - 2555) เกมเผาขน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (2 มกราคม พ.ศ. 2554 - 29 มกราคม พ.ศ. 2555) เดอะ จ๊อบ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (3 มกราคม - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) เฮ สเตชัน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (4 มกราคม - กันยายน พ.ศ. 2554) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 1 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (6 มีนาคม พ.ศ. 2554 - 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554) เทค มี เอาท์ไทยแลนด์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 - ปัจจุบัน) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 2 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (3 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 2 กันยายน พ.ศ. 2555) The Naked Show โทรทัศน์ ทางจีเอ็มเอ็มวัน ก๊วนคึกระทึกล้าน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (5 มกราคม พ.ศ. 2556 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556) The Snake เกมงูซ่า ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 27 มีนาคม 2557) ใครคือใคร Identity Thailand ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และ เวิร์คพอยท์ทีวี (7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 3 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 25 สิงหาคม 2556) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 4 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (15 มิถุนายน พ.ศ. 2557 - 31 สิงหาคม 2557) Social Nake's World ยอดมนุษย์ออนไลน์ ทางเวิร์คพอยท์ทีวี แบไต๋ไฮเทค Daily 5 Live ทางคมชัดลึก ทีวี, Dude TV, ทรูวิชันส์ 72 ซูเปอร์บันเทิง, เนชั่น แชนแนล (27 มิถุนายน พ.ศ. 2556) 3 แยก TV ทาง GMM ONE (7 กันยายน พ.ศ. 2556 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557) SME ตีแตก ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 - 26 กันยายน พ.ศ. 2558) เกมวัดดวง2015 ทาง จีเอ็มเอ็มแชนเนล (2558) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 5 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 - 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558) The Price is Right Thailand ราคาพารวย ทางช่อง ทรูโฟร์ยู (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน) Tonight's The Night คืนสำคัญ ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (5 มีนาคม พ.ศ. 2559 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560) รายการโจ๊ะ ทางช่องวัน ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-15.00น. (3 เมษายน พ.ศ. 2559 - 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559) เรื่องเล่าเช้านี้ ช่วง ครอบครัวบันเทิง วันจันทร์ - วันอังคาร ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (25 เมษายน พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 6 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (12 มิถุนายน พ.ศ. 2559 - 4 กันยายน พ.ศ. 2559) Singer Auction เสียงนี้มีราคา ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (2 เมษายน พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน) บัลลังก์เสียงทอง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560) The Unicorn สตาร์ทอัพ พันล้าน ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (2 มิถุนายน - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560) พิธีกรบนเวทีการประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ประจำปี 2561 (รอบตัดสิน) จากห้องอัลทรา ARENA ศูนย์การค้า SHOW DC เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ถ่ายทอดสดทางช่อง 9 เวลา 22.07-00.00 น. คู่กับ สาวิตรี โรจนพฤกษ์ (จูน) Bao Young Blood ดนตรีสร้างคุณค่าชีวิต ซีซั่นที่ 4 ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน) Show me the money Thailand ทาง True4u (24 เมษายน พ.ศ. 2561) ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่นที่ 7 ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (6 สิงหาคม พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน) THE ROOM ห้องวัดใจ ทางจีเอ็มเอ็ม 25 (เร็วๆ นี้)",
"ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557 กสทช.ลงมติเพิกถอนโทรทัศน์ระบบแอนะล็อก จากส่วนที่ให้บริการเป็นการทั่วไป จึงต้องยุติการออกอากาศ ผ่านระบบโทรทัศน์ดาวเทียม และเครือข่ายโทรทัศน์ทางสายเคเบิล ตามที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน เป็นต้นไป[6] โดยทางไทยทีวีสีช่อง 3 อาศัยความในประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 27 ประกอบกับ ความในสัญญาสัมปทาน โทรทัศน์ระบบแอนะล็อก ซึ่งทำไว้กับ อสมท จนถึงปี พ.ศ. 2563 เพื่อรักษาสิทธิในการ ออกอากาศต่อไปตามเดิม[7] วันต่อมา (3 กันยายน) กสทช.ทำหนังสือถึง ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ ผ่านระบบดาวเทียมและสายเคเบิล ให้งดการแพร่ภาพ ไทยทีวีสีช่อง 3 ในระบบแอนาล็อก โดยกำหนดเวลาภายใน 15 วัน พร้อมทั้งเสนอ ความช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อทำให้ไทยทีวีสีช่อง 3 นำสัญญาณจากช่องในระบบแอนะล็อก มาออกอากาศคู่ขนาน ทางช่องในระบบดิจิทัลได้[8] ไทยทีวีสีช่อง 3 นำความขึ้นร้องต่อศาลปกครอง ชั้นต้นวินิจฉัยให้ กสทช.กับผู้บริหารไทยทีวีสีช่อง 3 เปิดการเจรจากัน แต่ไม่ได้ข้อยุติ ศาลปกครองสูงสุดจึงเข้าไกล่เกลี่ย โดยทำข้อตกลงให้บีอีซี-มัลติมีเดีย นำสัญญาณภาพและเสียงทั้งหมด ของไทยทีวีสีช่อง 3 ในระบบแอนะล็อก ไปออกอากาศด้วยภาพคมชัดสูง ทางช่องหมายเลข 33 ของตนในระบบดิจิทัล ภายในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557[9]",
"ทีวี ธันเดอร์ ได้ผลิตรายการต่างๆ เป็นจำนวนกว่า 200 รายการ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์ เกมโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ ละครซิทคอม ละครยาว และเรียลลิตี้โชว์ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี, สถานีโทรทัศน์ทรูโฟร์ยู, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี และสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี โดยปัจจุบันมีรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวนทั้งหมด 5 รายการ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ ควิซโชว์ วาไรตี้โชว์ และเรียลลิตี้โชว์ ทางช่อง 3 HD ช่อง 5 ช่องทรูโฟร์ยู ช่องไทยรัฐทีวี HD และช่อง PPTV HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา รายการที่ขายลิขสิทธิ์ลงแอปพลิเคชัน LINE TV เน้น \"ตัวเอน\")",
"รายชื่อละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี ข่าวช่อง 7 เอชดี 7 สีคอนเสิร์ต บิ๊กซินีม่า มวยไทย 7 สี มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ไทยซุปเปอร์โมเดลคอนเทสต์ มิสทีนไทยแลนด์ แชมป์กีฬา 7 สี สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เอ็มคอตเอชดี สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส",
"หลังจากนั้นไม่นาน ภาพสัญญาณก็ดับไปอีก แต่หากรับชมผ่านระบบยูเอชเอฟ ช่อง 32 ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง จะมีภาพตราสัญลักษณ์ของสถานีฯ ส่วนล่างของจอ ระบุข้อความ \"สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3\" และมีเสียงดังปี๊บอยู่ตลอดเวลา [14] แต่หากชมผ่านดาวเทียมไทยคม ระบบซี-แบนด์ ซึ่งไทยทีวีสีช่อง 3 ออกอากาศอยู่ในสองความถี่คือ ดาวเทียมไทยคม 2 ที่ความถี่ 3967/H/4550 ซึ่งปรากฏภาพเช่นเดียวกับการรับชมผ่านระบบยูเอชเอฟ และดาวเทียมไทยคม 5 ที่ความถี่ 3803/V/4551 ซึ่งไม่มีสัญญาณ ปรากฏเป็นสีดำ จากนั้นในเวลา 21.15 น. สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ในขณะนั้น) รายงานข่าวว่า ในวันที่ 20 พฤษภาคม ไทยทีวีสีช่อง 3 จะงดการออกอากาศชั่วคราว เป็นเวลา 1 วัน",
"กันตนา ได้ผลิตรายการโทรทัศน์หลายประเภทเช่น เกมโชว์ ควิซโชว์ ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ เรียลลิตี้โชว์ สารคดี วาไรตี้คอเมดี้โชว์ รายการเพลง รายการเด็ก และละคร เป็นจำนวนกว่า 200 รายการ เพื่อนำเสนอออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี(ภายหลังใช้ชื่อว่า สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี และปัจจุบันคือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส) และสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ปัจจุบันกันตนา กรุ๊ปมีรายการโทรทัศน์และละครที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 14 รายการ ออกอากาศทางช่อง 5 HD ช่อง 7 HD ช่อง 3 HD ช่อง 9 MCOT HD ช่อง 3 SD และช่องไทยรัฐทีวี HD (รายการที่กำลังออกอากาศอยู่ เน้น ตัวหนา รายการที่ออกอากาศหรือขายลิขสิทธิ์ในแอปพลิเคชัน LINE TV หรือ iflix เน้น \"ตัวเอียง\")",
"บริษัทเริ่มทำการผลิตรายการโทรทัศน์ประเภทเกมโชว์ นั่นคือรายการ \"\"ศึกน้ำผึ้งพระจันทร์\"\" ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เป็นรายการแรกภายในปี พ.ศ. 2553 ต่อมาได้ขยายรูปแบบการผลิตรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ประเภทต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบและหลากหลายสถานี เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, ช่องไทยรัฐทีวี, ช่องทรูโฟร์ยู, ช่องวัน และช่องพีพีทีวี มาโดยตลอดเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี โดยมีเนื้อหาและรูปแบบรายการที่หลากหลาย เช่น เกมโชว์, ควิซโชว์, เรียลลิตี้โชว์, เกมโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน, ทอล์คโชว์, วาไรตี้โชว์, ละครโทรทัศน์ และละครซิทคอม ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมทุกเพศทุกวัย และยังได้รับรางวัลในหลากหลายสาขาในประเทศ รวมทั้งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลและได้รับรางวัลต่าง ๆ จากสถาบันต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เช่น รางวัลเมขลา, รางวัลโทรทัศน์ทองคำ และรางวัลโทรทัศน์แห่งเอเชีย (เอเชียนเทเลวิชั่นอวอร์ดส์) อีกด้วย",
"เมื่อปี พ.ศ. 2511 ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ในขณะนั้น ได้แก่ไทยทีวีช่อง 4 ของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด (ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) และ ททบ.7 (ปัจจุบันคือ ททบ.5) กับช่อง 7 สี ของกองทัพบก ได้ประชุมร่วมกันและมีมติว่า แต่ละสถานีฯ ควรจะได้รวมตัวกันขึ้น เพื่อปรึกษาหารือ และดำเนินการจัดการในเรื่องต่าง ๆ อันจะเกิดประโยชน์ร่วมกันกับทุกสถานีฯ จึงก่อตั้งองค์กรชื่อว่า \"โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย\" เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปีดังกล่าว โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบด้วยผู้อำนวยการของช่องโทรทัศน์ทั้ง 4 เป็นกรรมการ และมอบให้ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่ก่อตั้ง ซึ่งต่อมาสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวร นับแต่ก่อตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2513 ต่อมามีช่องโทรทัศน์ เข้าเป็นสมาชิกสมทบคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และไทยพีบีเอส (เดิมคือสถานีโทรทัศน์ไอทีวี และสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี)",
"เธอมีผลงานงานเรื่องแรกคือ บ้านทรายทอง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี 2543 ต่อด้วยภาพยนตร์ที่ทำให้เธอโด่งดังคือเรื่อง ผีสามบาท หลังากนั้นก็มีผลงานละครมากมาย เช่น กระตุกหนวดเสือ ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ไฟสิ้นเชื้อ ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นางฟ้าไร้ปีก ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และอีกมากมาย นอกจากนี้เธอยังมีงานถ่ายแบบนิตยสารแนวเซ็กซี่ ภาพนิ่ง โฆษณา และงานพิธีกรต่างๆ\nด้านชีวิตส่วนตัวเคยคบหาดูใจกับ \"ป๋อม\" ชาญชัย นิ่มพูลสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดังจากภาพยนตร์เรื่อง สตรีเหล็ก แต่ปัจจุบันได้เลิกรากันแล้ว เธอมีงานสุดท้ายคือการถ่ายแบบแนวเซ็กซี่ แต่ไม่เปรี้ยงเท่าไหร่ ก่อนที่พักหลังจะห่างหายจากวงการบันเทิงไปทำธุรกิจส่วนตัว",
"การส่งกระจายเสียงวิทยุในระบบเอฟเอ็มครั้งแรก ดำเนินการโดยสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยสังกัดกรมประชาสัมพันธ์เมื่อปี พ.ศ. 2494 ส่วนการแพร่ภาพวิทยุโทรทัศน์ในระบบวีเอชเอฟครั้งแรก ดำเนินการโดย\"สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4\" ของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยออกอากาศทางช่อง 4 ระบบขาวดำ และการแพร่ภาพวิทยุโทรทัศน์สี ในระบบวีเอชเอฟครั้งแรก ดำเนินการโดย\"สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7\" ซึ่งบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ได้รับสัมปทานจากกองทัพบกไทย เมื่อปี พ.ศ. 2510 โดยออกอากาศทางช่อง 7 ในย่านความถี่ที่ 3",
"สืบเนื่องจากเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 สรรพสิริ วิรยศิริ ซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการผู้จัดการ บจก.ไทยโทรทัศน์ นำกล้องภาพยนตร์ออกถ่ายทำข่าวบริเวณท้องสนามหลวง โดยเฉพาะส่วนหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงที่สุด แล้วกลับไปล้างฟิล์มและตัดต่อด้วยตนเอง เพื่อนำออกเป็นรายงานข่าว ทั้งทางไทยทีวีสีช่อง 9 และวิทยุ ท.ท.ท. อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง จึงทำให้เขา, ราชันย์ ฮูเซ็น และลูกน้องอีกสองสามคน ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งใน บจก.ไทยโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 9 และวิทยุ ท.ท.ท. กอปรกับประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก เป็นผลให้คณะรัฐมนตรีลงมติยุบเลิก บจก.ไทยโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 แล้วจึงมีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อังกฤษ: The Mass Communication Organisation of Thailand ชื่อย่อ: อ.ส.ม.ท.; M.C.O.T.) ให้เป็นรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 26 มีนาคม โดยให้รับโอนกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ของ บจก.ไทยโทรทัศน์ คือสถานีวิทยุ ท.ท.ท. และสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 เพื่อดำเนินงานต่อไป ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ปีเดียวกัน ซึ่งถือเป็นวันสถาปนา อ.ส.ม.ท."
] |
ดินแดน ตะวันออกไกลหมายถึงอะไร? | [
"ตะวันออกไกล (English: Far East) ในความหมายที่จำกัดหมายถึงพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยประเทศทางด้านตะวันออกของทวีปเอเชีย ได้แก่ และ ไซบีเรีย แต่ในความหมายที่กว้างขึ้นมักหมายรวมถึงอาเซียนและบางส่วนของเอเชียใต้"
] | [
"ขณะนั้นญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในชาติที่มีอำนาจมากที่สุดในตะวันออกไกลหรือเอเชียแปซิฟิก และในปี ค.ศ. 1914 ก็ก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่1 เคียงข้างอังกฤษ ญี่ปุ่นเข้ายึดดินแดนใต้อาณัติของเยอรมนีคือ เกาโจว (Kiaochow) และจากนั้นก็เรียกร้องให้จีนยอมรับอิทธิพลทางการเมืองของญี่ปุ่นและดินแดนที่ได้รับจากการเข้าสู่สงครามด้วยข้อเรียกร้อง21ข้อ (Twenty-one Demands) ในปี ค.ศ 1915 การประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงปักกิ่งในปี ค.ศ. 1919 รวมทั้งแนวความคิดของฝ่ายพันธมิตร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา) ทำให้ญี่ปุ่นยอมยกเลิกส่วนใหญ่ของข้อเรียกร้องดังกล่าว และส่งมอบ เกาโจว (Kiaochow) คืนให้แก่จีนในปีค.ศ. 1922",
"ในปี ค.ศ. 1939 กองทัพญี่ปุ่นพยายามที่จะขยายดินแดนไปทางภาคตะวันออกไกลของสหภาพโซเวียตจากแมนจูเรีย แต่กองทัพญี่ปุ่นปราชัยยับเยินต่อกองทัพผสมโซเวียต-มองโกเลียภายใต้การบัญชาการของนายพลเกออร์กี จูคอฟ ทำให้ญี่ปุ่นยุติการขยายตัวไปยังดินแดนทางตอนเหนือ และทั้งสองประเทศได้ดำรงรักษาสันติภาพอันไม่มั่นคงจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1945",
"เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่ได้เกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างรัสเซีย ญี่ปุ่นและจีน ตามดินแดนซึ่งในปัจจุบันเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ทางรถไฟสายจีนตะวันออก () เป็นทางรถไฟที่เชื่อมระหว่างแมนจูเรียและภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย และทางรถไฟที่แยกไปทางทิศใต้ของทางรถไฟสายจีนตะวันออกนั้น หรือที่เรียกกันว่า ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ ได้กลายมาเป็นจุดสำคัญที่นำไปสู่สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น และต่อมาได้นำไปสู่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และสงครามชายแดนโซเวียต-ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ความขัดแย้งที่ได้ขยายออกไปนั้น อย่างเช่น ความขัดแย้งจีน-โซเวียต (1929) และกรณีมุกเดน ในปี ค.ศ. 1931",
"CEFEO ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1945 แทนที่กองกำลังรบนอกประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นตะวันออกไกล (\"Forces Expéditionnaires Françaises d'Extrême-Orient\", FEFEO) มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนนายพลกิลเบ ซาบัตเต ผู้บัญชาการกองพลอาณานิคม \"กองกำลังฝรั่งเศสอินโดจีน\" (\"Forces Françaises d'Indochine\") ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ในไซ่ง่อน และกลุ่มต่อต้านของฝรั่งเศสเสรีกลุ่มเล็ก ๆ คอร์ปเลเดอเดอีนเตอเวนซียง ซึ่งได้ต่อสู้กับกลุ่มกองทัพรบนอกประเทศทางใต้ญี่ปุ่น ระหว่างการทัพอินโดจีนฝรั่งเศสที่สอง หลังจากการปลดปล่อยฝรั่งเศสและการล่มสลายของนาซีเยอรมนีในยุโรป ทางการฝรั่งเศสต้องการ \"ปลดปล่อย\" กองทัพฝ่ายอักษะชุดสุดท้ายที่ยังยึดครองดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมไปถึงจักรวรรดิเวียดนาม ซึ่งเพิ่งจะถูกก่อตั้งใหม่เป็นอาณานิคมญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1945 เลอแลกได้รับเสนอชื่อเป็นผู้บัญชาการของ CEFEO เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน เลอแลกได้ย้ายอำนาจบัญชาการกองพลยานเกราะที่ 2 หน่วยทหารที่มีชื่อเสียงผู้ซึ่งปลดปล่อยกรุงปารีสในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 ให้แก่พันเอกดีโอ เลอแลกได้รับอำนาจบัญชาการกองกำลังฝรั่งเศสตะวันออกไกล (\"Forces Françaises en Extrême-Orient\") เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม",
"ยูคอน () เป็นดินแดนทางตะวันตกสุดและเป็นดินแดน ใน 3 ดินแดนที่เล็กที่สุดของประเทศแคนาดา ตั้งชื่อตามแม่น้ำยูคอน ซึ่งคำว่ายูคอนมีความหมายว่า \"แม่น้ำใหญ่\" ในภาษา Gwich’in ดินแดนนี้ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1898 ในชื่อดินแดนยูคอน ",
"ปิตราปัฟลัฟสค์-คัมชัตสกี (Russian: Петропа́вловск-Камча́тский) เป็นเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียวบนคาบสมุทรคัมชัตคาและเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของคัมชัตคาไครทางตะวันออกไกลของรัสเซีย มีประชากรราว ๆ 180,000 คนหรือกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในดินแดนคัมชัตคาไครทั้งหมด",
"ระหว่างยุคแห่งการสำรวจสเปนก็เริ่มไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในหมู่เกาะแคริบเบียนและผู้พิชิต (conquistador) ก็เริ่มโค่นจักรวรรดิท้องถิ่นที่พบเช่นจักรวรรดิแอซเท็คและจักรวรรดิอินคา ต่อมาคณะสำรวจก็ขยายดินแดนของจักรวรรดิสเปนตั้งแต่บริเวณที่เป็นแคนาดาปัจจุบันในทวีปอเมริกาเหนือไปจนจรดเตียร์ราเดลฟวยโกทางตอนใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ การเดินทางสำรวจของสเปนเป็นการเดินทางรอบโลกที่เริ่มโดยเฟอร์ดินันด์ มาเจลลันในปี ค.ศ. 1519 และจบลงด้วย Juan Sebastian Elcano ในปี ค.ศ. 1522 ซึ่งเป็นการสำรวจสมตามความตั้งใจของโคลัมบัสในการพยายามหาเส้นทางไปยังเอเชียโดยการเดินทางไปทางตะวันตก ซึ่งทำให้สเปนหันมาสนใจในตะวันออกไกล โดยการก่อตั้งอาณานิคมในเกาะกวม, ฟิลิปปินส์ และเกาะใกล้เคียง ระหว่าง “ยุคทองของสเปน” (Siglo de Oro) จักรวรรดิสเปนประกอบด้วยเนเธอร์แลนด์, ลักเซมเบิร์ก, เบลเยียม, ส่วนใหญ่ของอิตาลี, บางส่วนของเยอรมนี, บางส่วนของฝรั่งเศส, ดินแดนในแอฟริกา, เอเชีย และ โอเชียเนีย และดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกา เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 สเปนก็ครอบครองดินแดนที่กว้างใหญ่ที่สุดกว่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้น",
"บรรพบุรุษของกุบไลข่านเคยผิดหวังที่จะพิชิตคาบสมุทรเกาหลีมาก่อนในช่วงปี พ.ศ. 1761 (ค.ศ. 1218) สมัยจอมทัพเจงกิลข่าน และในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 1774 ถึง พ.ศ. 1776 เคยส่งทหารไปพิชิตดินแดนตะวันออกไกล แม้ว่าจะประสบความสำเร็จมีอำนาจเหนือดินแดนส่วนใหญ่ของเกาหลี แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้เบ็ดเสร็จ ในปี พ.ศ. 1776 (ค.ศ. 1233) พระเจ้าโกจงแห่งราชวงศ์โครยอได้เสด็จหนีกองทัพมองโกลไปยังเกาะคังฮวา ใกล้ฝั่งตะวันตกของแผ่นดินเกาหลี",
"ดินแดนฮาบารอฟสค์ () เป็นเขตการปกครองของประเทศรัสเซีย โดยตั้งอยู่ในทางภูมิศาสตร์คือใน ภูมิภาคตะวันออกไกลของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของเขตสหพันธ์ตะวันออกไกล โดยมีศูนย์กลางการบริหารคือ ฮาบารอฟสค์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนนี้และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย (รองจาก วลาดีวอสตอค) ดินแดนฮาบารอฟสค์ เป็นเขตการปกครองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของรัสเซีย และและใหญ่เป็นอันดับที่ 21 ของโลก โดยมีประชากรทั้งหมด 1,343,869 คน (2010 Census)",
"รูห์น (Rhûn) เป็นดินแดนที่ห่างไกลออกไป ทางตะวันออกของมิดเดิลเอิร์ธ มีเพียงทางตะวันตกของดินแดนรูห์นเท่านั้น ที่ปรากฏในแผนที่ เป็นดินแดนของมนุษย์ที่เรียกตนเองว่า อีสเตอร์ลิง (Easterlings) ชาวอิสเตอร์ลิงอยู่ภายใต้อาณัติของมอร์กอธจนกระทั่งถึงเซารอนมาโดยตลอด และพวกเขาก็เป็นศัตรูของมนุษย์ทางตะวันตกมาทุกยุคทุกสมัย สภาพและความเป็นไปในดินแดนรูห์นมีข้อมูลน้อยมาก ทางตะวันตกติดกับมอร์ดอร์ และดินแดนตะวันตก (Wilderland) ซึ่งหมายถึงดินแดนทางตะวันออกของเทือกเขามิสตี้นั่นเอง และมี ทะเลสาบรูห์น (Sea of Rhun) เป็นพรมแดนกั้นอยู่ ทิศใต้ติดกับดินแดนคานด์ (Khand) และไกลออกไปคือ ดินแดนฮารัด (Harad) ",
"คอโมโรสเป็นสถานีทางการค้าที่สำคัญของบรรดาพ่อค้าที่จะเดินทางไปค้าขายยังตะวันออกไกลหรืออินเดียมาโดยตลอดจนกระทั่งได้มีการเปิดใช้คลองสุเอซ ซึ่งได้ช่วยลดการจราจรทางน้ำในเขตช่องแคบโมซัมบิกได้อย่างมาก สินค้าธรรมชาติที่ส่งออกส่วนใหญ่ก็คือ มะพร้าว วัว ควายและกระดองเต่า ผู้ตั้งรกรากชาวฝรั่งเศส บริษัทจากฝรั่งเศสหรือแม้แต่พ่อค้าชาวอาหรับผู้มั่งคั่งได้วางรากฐานเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรมซึ่งกินพื้นที่ในการเพาะปลูกเพื่อส่งออกกว่า 1 ใน 3 หลังจากการผนวกดินแดนฝรั่งเศสก็ได้เปลี่ยนเกาะมายอต ให้กลายเป็นดินแดนอาณานิคมเพื่อการปลูกน้ำตาล และไม่นานทุกเกาะก็ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นดินแดนเพื่อการเพาะปลูกพืชส่งออกเช่นกัน พืชเหล่านั้น เช่น กระดังงา วานิลลา กาแฟ ต้นโกโก้ สับปะรด เป็นต้น [16]",
"นอกจากนี้ยังมีการตีความว่า สีทั้งสามในธงชาติแสดงถึงการจัดลำดับชั้นทางสังคมในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย โดย สีขาวหมายถึงพระเจ้า สีน้ำเงินหมายถึงพระเจ้าซาร์ (จักรพรรดิ) สีแดงหมายถึงพลเมืองทั้งหมด หรือในอีกทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งแพร่หลายโดยทั่วไป เป็นการตีความว่าสีทั้งสามหมายถึงดินแดนรัสเซียส่วนต่างๆ กล่าวคือ สีขาวหมายถึงเบลารุส (แปลว่า รัสเซียขาว) สีน้ำเงินหมายถึงยูเครน หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ มาโลรอสเซีย (แปลว่า รัสเซียน้อย) และสีแดง หมายถึงดินแดนรัสเซียใหญ่ (Great Russia)",
"ภายใต้การบังคับบัญชาของ Vasily Blyukher จอมพลแห่งแนวตะวันออกไกล ซึ่งได้เรียกกำลังหนุนเข้าสู่พื้นที่ และหลังจากการรบหลายครั้งระหว่างวันที่ 2 สิงหาคม จนถึงวันที่ 9 สิงหาคม กองทัพโซเวียตก็สามารถขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกไปจากดินแดนโซเวียตได้สำเร็จ",
"สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 7 ทรงอนุญาตให้ตั้งคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีสขึ้นในปี ค.ศ. 1660 เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่มิชชันนารีประกาศข่าวดีในดินแดนตะวันออกไกล คณะมิชชันนารีกลุ่มนี้ได้เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในอาณาจักรอยุธยาตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้ตั้งมิสซังสยามขึ้นมีสถานะเป็นเขตผู้แทนพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1662 โดยมีมุขนายกหลุยส์ ลาโน เป็นผู้แทนพระสันตะปาปาประมุขมิสซังสยามองค์แรก ",
"ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การแสดงดนตรีแจซในญี่ปุ่นได้หยุดชะงักลงชั่วคราวเนื่องด้วยการกดดันจากฝ่ายทหารของจักรพรรดิญี่ปุ่น แต่พอสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว แนวดนตรีจากต่างประเทศ ทั้งบูกี-วูกี แมมโบ บลูส์ และคันทรี ก็ต่างตบเท้าทยอยเข้ามาสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่างไม่ขาดสาย โดยผู้ที่นำเข้าดนตรีเหล่านี้ก็คือทหารของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปทำงานในญี่ปุ่นและกลุ่มเครือข่ายตะวันออกไกล ",
"บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล (, , ) เป็นวรรณกรรมบันทึกประสบการณ์ของการเดินทางไปยังตะวันออกไกลระหว่าง ค.ศ. 1271 ถึง ค.ศ. 1298 ที่เขียนโดยมาร์โค โปโลและรุสติเชลโล ดา ปิซาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 หนังสือนี้เรียกกันเล่นๆ ว่า “เรื่องฝอยล้านเรื่อง” (Il Milione) หรือ “หนังสือตื่นตา” (The Book of Wonders) บันทึกการเดินทางไปยังดินแดนต่างรวมทั้งเอเชีย, เปอร์เชีย, จีน และ อินโดนีเซีย ที่บางครั้งก็เรียกว่า “บรรยายดินแดนตะวันออก” (Oriente Poliano) หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มสำคัญและเป็นหนังสือที่แพร่หลายในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 13 มาร์โค โปโลอ้างว่าได้กลายเป็นคนสำคัญในราชสำนักของกุบไล ข่าน แต่นักวิชาการในสมัยปัจจุบันโต้แย้งกันถึงระดับความเที่ยงตรงของเนื้อหา ว่ามาร์โค โปโลได้ท่องเที่ยวไปยังราชสำนักจริงหรือเพียงแต่เล่าจากปากคำของนักเดินทางผู้อื่น “บันทึกการเดินทางของมาร์โค” เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสร่วมกับนักเขียนนวนิยายรักรุสติเชลโล ดา ปิซา (Rustichello da Pisa) ที่กล่าวว่าเขียนจากคำบอกเล่าของมาร์โค โปโลเมื่อเป็นนักโทษอยู่ด้วยกันในเจนัว",
"เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ดังกล่าว หมายถึงดินแดนของรัฐภาคี ตลอดจนไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะของรัฐภาคี \"ดินแดน\" หมายถึงดินแดนทางบก แหล่งน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต น่านน้ำหมู่เกาะ ก้นทะเล ตลอดจนใต้ดินดังกล่าวและน่านฟ้าเหนือดินแดนด้วย",
"ฝรั่งเศสได้เข้าไปลงหลักปักฐานผลประโยชน์ของตนทั้งทางด้านศาสนาและทางด้านการค้าในอินโดจีนตั้งแต่ในศตวรรษที่ 17 แต่ความพยายามที่จะประสานผลประโยชน์ทั้งสองด้านเข้าด้วยกันเพื่อสถาปนาเขตอิทธิพลของฝรั่งเศสขึ้นนั้นไม่สามารถเป็นไปได้ เนื่องจากจะต้องเผชิญหน้ากับอังกฤษที่กำลังแข็งแกร่งเฟื่องฟู แผ่อำนาจไล่ล่าอาณานิคมอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ขณะที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายปราชัยอยู่ในยุโรปในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ต่อมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 กลุ่มเคร่งศาสนาได้กลับฟื้นคืนสู่อำนาจอีกครั้งในฝรั่งเศสอันเป็นช่วงที่เรียกกันว่า \"จักรวรรดิที่ 2\" (the Second Empire) สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ทำให้ความสนใจต่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศสในตะวันออกไกลมีกระแสเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อเกิดกระแสต่อต้านศาสนาคริสต์ขึ้นในดินแดนตะวันออกไกล เช่น การจับกุม กลั่นแกล้งและสังหารชาวคริสต์ ฯลฯ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงกลายเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ฝรั่งเศสก้าวเข้าแทรกแซงฝ่ายบริหารของชนถ้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1856 จีนสั่งประหารชีวิตมิชชันนารีฝรั่งเศสที่ไปเผยแพร่ศาสนาอยู่ในดินแดนทางใต้ของจีน และในปี ค.ศ. 1857 จักรพรรดิเวียดนามซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาวิกฤติในประเทศ ได้พยายามทำลายอิทธิพลของต่างชาติในเวียดนามโดยการสั่งประหารชีวิตบิชอปชาวสเปนแห่งตังเกี๋ย (Tonkin) ฝรั่งเศสซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์นโปเลียนที่ 3 ตัดสินใจว่า ถ้าฝรั่งเศสไม่เข้าไปช่วย ศาสนาคาทอลิกจะถูกจำกัดให้สูญหายไปจากดินแดนตะวันออกไกล พระองค์จึงร่วมมือกับอังกฤษทำสงครามกับจีน เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ไปจนถึงปี ค.ศ. 1860 พร้อมกับทำสงครามยึดเวียดนามด้วย และในปี ค.ศ. 1860 ฝรั่งเศสก็เข้ายึดครองไซง่อนไว้ได้",
"ดินแดนแทรก () หมายถึง ส่วนใด ๆ ของรัฐที่ถูกดินแดนของรัฐอื่นล้อมไว้ทั้งหมด ดินแดนส่วนแยก () คือ ส่วนของรัฐที่ถูกแยกทางภูมิศาสตร์จากส่วนหลักโดยดินแดนโดยรอบ ดินแดนส่วนแยกหลายแห่งยังเป็นดินแดนแทรกด้วย บางทีคำว่า ดินแดนแทรก ใช้อย่างไม่เหมาะสมหมายความถึงดินแดนที่ถูกรัฐอื่นล้อมไว้บางส่วน ตัวอย่างประเทศที่เป็นดินแดนแทรก คือ ซานมารีโนและเลโซโท ตัวอย่างดินแดนส่วนแยกมีสาธารณรัฐปกครองตนเองนาคีชีวันและกัมปีโอเนดีตาเลีย (Campione d'Italia) ซึ่งกัมปีโอเนดีตาเลียยังเป็นดินแดนแทรกด้วย",
"ความต้องการที่จะขยายดินแดนไปทั่วโลกของโปรตุเกสเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อนักสำรวจเริ่มดินทางไปสำรวจทางฝั่งทะเลของแอฟริกาในปี ค.ศ. 1419 หลังจากที่ได้รับชัยชนะต่อเมืองเซวตา (Ceuta) ทางตอนเหนือของแอฟริกาในปี ค.ศ. 1415 โปรตุเกสใช้ความก้าวหน้าล่าสุดทางการเดินเรือ, การเขียนแผนที่ และเทคโนโลยีทางทะเลเช่นการใช้เรือคาราเวล (Caravel) ในการแสวงหาเส้นทางการค้าขายเครื่องเทศซึ่งเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดในยุคนั้น ในปี ค.ศ. 1488 บาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เดินทางรอบแหลมกูดโฮปสำเร็จ และในปี ค.ศ. 1498 วาสโก ดา กามาก็เดินทางรอบอินเดีย ขณะที่การสำรวจเหล่านี้เป็นการแสดงถึงอำนาจของโปรตุเกสในต่างประเทศแต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสำรวจก็เพื่อเป็นการขยายเส้นทางการค้าที่เน้นการแสวงหาเส้นทางใหม่ไปยังตะวันออกไกล โดยไม่ต้องเดินทางผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจของฝ่ายปฏิปักษ์โดยเฉพาะจักรวรรดิออตโตมัน",
"คำว่า \"ดินแดนไม่รู้จัก\" (Unknown Regions)นี้ส่วนใหญ่หมายถึงบริเวณกว้างใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ (บางครั้งใช้ในความหมายว่าบริเวณนอกเหนือจากจานกาแลกซี) ระหว่างบาคูรากับดินแดนของเดนจักรวรรดิซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนของสถาบันเรืองอำนาจชิส ดินแดนไม่รู้จักนี้มีดาวฤกษ์อยู่ประมาณไม่กี่พันล้านดวงจากสี่แสนล้านดวงทั่วกาแลกซี ด้วยสาเหตุบางอย่างที่ยังไม่ปรากฏชัดทำให้ยังไม่มีเส้นทางไฮเปอร์สเปซที่ใช้งานได้เข้าถึงบริเวณนี้ คำว่า \"ดินแดนไม่รู้จัก\" นี้ยังนับรวมถึงบริเวณที่ยังไม่ได้รับการสำรวจในบริเวณหนาแน่นเช่นเนบิวลา, กระจุกดาวทรงกลม และกาแลกติกเฮโล จักรวรรดิกาแลกติกได้ส่งกลุ่มนักสำรวจจำนวนมากไปสำรวจและยึดครองดินแดนในเขตไม่รู้จักนี้ พ้นจากขอบของดินแดนนี้ไปมีความปั่นป่วนในไฮเปอร์สเปซที่สุดเขตกาแลกซีอยู่",
"ไซบีเรีย (, ) ถูกครอบครองโดยชนเผ่าเร่ร่อนหลากหลายกลุ่มแตกต่างออกไป เช่น Yenets, the Nenets, the Hun และ the Uyghurs Khan of Sibir ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ได้เข้าครอบครองแล้วตั้งชื่อว่า Khagan ใน Avaria ในปี ค.ศ. 630 จนต่อมา พวกมองโกลได้เข้ายึดครองในช่วงศตวรรษที่ 13 และในที่สุด ได้กลายมาเป็น Siberian Khana อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของมองโกลในภูมิภาคตะวันออกเริ่มลดลง จนในศตวรรษที่ 16 กลุ่มแรกที่เข้ามาในเขตนี้คือพวกพ่อค้า และกลุ่มคอสแซก จากนั้นกองทัพซาร์ก็เริ่มเข้ามาสร้างป้อมปราการในเขตตะวันออกไกล เมืองหลายเมืองก็ถูกสร้างขึ้นเช่น Mangazeva Tara เป็นต้น และในช่วงกลางศตวรรษที่17 จักรวรรดิรัสเซียก็ได้ขยายดินแดนไปจรดถึงชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ",
"ในทางประวัติศาสตร์ ชาติมหาอำนาจในยุโรปเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรียกดินแดนแถบนี้และกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกว่าตะวันออกไกลเนื่องจากอยู่ห่างไกลจากอาณาจักรของตนไปทางทิศตะวันออก",
"การใช้คำว่า “พลัดถิ่น” ที่กว้างกว่าความหมายเดิมวิวัฒนาการมาจากนโยบายการขับไล่ประชากรขนานใหญ่ของอัสซีเรียในดินแดนที่พิชิตได้ เพื่อเป็นการไม่ให้ผู้ถูกไล่กลับมาอ้างสิทธิในดินแดนของตน ในสมัยกรีซโบราณ คำว่า “διασπορά” แปลว่า “การหว่าน” และใช้เป็นคำที่หมายถึงประชากรของนครรัฐที่มีอิทธิพลผู้อพยพไปตั้งหลักแหล่งยังดินแดนที่พิชิตได้โดยมีจุดประสงค์ในการยึดเป็นอาณานิคมเพื่อรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจักรวรรดิ",
"ยูโกสลาเวีย, ที่ใช้ในภาษาไทยนั้นทับศัพท์จากปริวรรตเป็นอักษรละตินว่า \"Jugoslavija\", โดยการแยกคำดังนี้ jug (ภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชีย \"j\" ปริวรรตเป็นอักษรภาษาอังกฤษตรงกับ \"y\") และ slavija. คำแปลในภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชีย ภาษามาซิโดเนีย, และ ภาษาสโลวีเนีย คำว่า \"jug\" หมายถึง \"ทิศใต้\", ส่วนคำว่า \"slavija\" (\"สลาเวีย\") หมายถึง (\"ดินแดนสลาฟ\"). คำว่า \"Jugoslavija\" \"หมายถึง\" \"สลาฟ-ใต้\" หรือ \"ดินแดนแห่งชาวสลาฟตอนใต้\". เป็นการรวมตัวของ 6 ชนชาติในดินแดนสลาฟใต้ ซึ่งประกอบด้วย: ชาวโครเอเชีย, ชาวมาซิโดเนีย, ชาวมอนเตรเนโกร, ชาวบอสเนีย, ชาวเซิร์บ และ ชาวสโลวีน. ยูโกสลาเวีย ได้ประกาศใช้เป็นชื่อประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1945 จนถึง ค.ศ. 1992.",
"ดินแดนปรีมอร์สกี () เป็นเขตการปกครองของประเทศรัสเซีย โดยตั้งอยู่ในทางภูมิศาสตร์คือใน ภูมิภาคตะวันออกไกลของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของเขตสหพันธ์ตะวันออกไกล โดยมีศูนย์กลางการบริหารคือ วลาดีวอสตอค ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนนี้และใหญ่ที่สุดของภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย ดินแดนปรีมอร์สกีมีประชากรทั้งหมด 1,956,497 คน (สำมะโนประชากร ณ ปี 2010) ",
"ในอดีตดินแดนปรีมอร์สกีเป็นของแมนจูเรีย ก่อนจะถูกยกให้กับจักรวรรดิรัสเซีย โดย ราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1860 โดยเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคที่รู้จักกันในชื่อ \"แมนจูเรียนอก\" ซึ่งเป็นอาณาบริเวณของ แคว้นปรีมอร์สกายา ในช่วงสงครามกลางเมืองรัสเซียดินแดนนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐตะวันออกไกล ก่อนจะเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต โดยผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายรูปแบบจนเป็นดินแดนรูปแบบปัจจุบันในปี ค.ศ. 1938 ดินแดนปรีมอร์สกียังเป็นที่ตั้งของ กองเรือแปซิฟิก (Russian Pacific Fleet) ของกองทัพเรือรัสเซีย",
"สงครามครูเสดใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นสาเหตุในการยึดคืนเพราะเป็นดินแดนที่มีความหมายต่อพันธสัญญาใหม่ ในปัจจุบันดินแดนบริเวณนี้เป็นดินแดนของความขัดแย้งระหว่างอาหรับและอิสราเอล",
"พลเรือเอกโทโง ได้ตระหนักอย่างดีถึงความเคลื่อนไหวของรัสเซียภายหลังจากเสียดินแดนพอร์ตอาเธอร์ไป ว่ากองเรือรัสเซียกำลังพยายามไปเทียบท่าที่ท่าเรือรัสเซียอื่นๆในตะวันออกไกล ตลอดจนวลาดิวอสต็อก ระหว่างนี้ นายพลโทโงได้เริ่มวางแผนการรบ และซ่อมบำรุงเรือรบต่างๆ เพื่อเตรียมรับกับการมาเยือนของกองเรือบอลติก"
] |
อำนาจ รื่นเริง เกิดเมื่อไหร่? | [
"อำนาจ รื่นเริง (ชื่อเล่น: เพชร; เกิดวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี) เป็นนักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย และอดีตนักมวยไทยระดับแชมป์เวทีลุมพินี และเป็นอดีตแชมป์โลกในรุ่นฟลายเวท (112 ปอนด์) ของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF)"
] | [
"ในประเทศจีน ซึ่งไม่มีสิงโตเป็นสัตว์พื้นเมือง แต่ก็รับเอาสิงโตมาจากเปอร์เซีย ก็มีการเชิดสิงโต เป็นการละเล่นประกอบในพิธีมงคลหรือรื่นเริงต่าง ๆ เพราะมีความเชื่อว่า สิงโตเป็นสัตว์ใหญ่ที่สัตว์ต่าง ๆ เกรงขาม จึงมีพลังอำนาจในการขับไล่สิ่งอัปมงคลได้",
"ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 อำนาจเทิร์นโปรขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกด้วยวัย 35 ปี ในสังกัดเกียรติกรีรินทร์โปรโมชั่น โดยขึ้นชกกับ ริโน่ ยูครู นักมวยอินโดนีเซีย ร่วมรายการเดียวกับ แท่งทอง เกียรติทวีสุข ชกเพื่อคัดเลือกตัวไปชิงแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท IBF กับ มาทูเบ ซินยาบี นักมวยชาวแอฟริกาใต้ ที่ จังหวัดนครราชสีมา ผลปรากฏว่า อำนาจสามารถเอาชนะน็อกได้ในยก 4 ต่อจากนั้น ทำสถิติชกชนะรวดต่อเนื่องจนได้ชิงแชมป์ IBF ASIA รุ่นฟลายเวทที่ว่างกับ ไมเคิล โรดริเกวซ นักมวยชาวฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ปรากฏว่า อำนาจชนะคะแนน ได้แชมป์ IBF ASIA ในรุ่นฟลายเวทไปครอง ต่อจากนั้นก็ป้องกันแชมป์ไว้ได้ 3 ครั้ง",
"En}} is only for use in File namespace. Use {{lang-en}} or {{en icon}} instead. on Facebook",
"การชั่งน้ำหนักบนกำแพงเมืองจีน ซึ่งมีความกดอากาศต่ำ ทำให้ยากต่อการทำน้ำหนักให้เท่าพิกัด ตาชั่งที่ใช้ในการชั่งน้ำหนัก อาจมีความคลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากการขนย้าย",
"ทั้งนี้ ฝ่ายอำนาจและคาซิเมโร ต่างก็สอบน้ำหนักก่อนเดินทางมาชั่งน้ำหนักแล้ว โดยใช้เวลาเดินทางถึงสองชั่วโมง ด้วยสาเหตุสองประการข้างต้น ทาง IBF จึงมีคำสั่งให้ผลการชั่งน้ำหนักครั้งแรกเป็นโมฆะ และสั่งให้ชั่งน้ำหนักกันใหม่ในเวลาเช้าก่อนวันชกที่โรงแรมนูโอ ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของ IBF โดยตั้งพิกัดให้ไม่เกิน 10 ปอนด์ [19] [20]",
"อำนาจเริ่มหัดมวยสากลสมัครเล่นภายในเรือนจำเมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้เหรียญทองกีฬาราชทัณฑ์ 2 ปีซ้อน แล้วได้เหรียญทองรายการชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่คว้าเหรียญทองจากการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทยได้ทั้งที่เจ้าตัวยังต้องโทษอยู่ในเรือนจำ จนกระทั่งได้รับการดึงตัวให้เข้ามาซ้อมร่วมทีมชาติในทันทีที่พ้นโทษ และเส้นทางชีวิตก็พลิกจากมุมมืดสู่ความสดใสทันที เพราะช่วงนั้นเป็นจังหวะที่ สุบรรณ พันโนน นักมวยมือหนึ่งทีมชาติไทยมีปัญหาบาดเจ็บจนต้องถอนตัวจากทีมชาติ จึงทำให้อำนาจได้กลายเป็นนักมวยทีมชาติตัวจริงทันที และยึดตำแหน่งเอาไว้อย่างเหนียวแน่น",
"ต่อมาอำนาจต้องเข้าไปรับโทษในเรือนจำนาน 18 เดือน จากคดีวิ่งราวกระเป๋า[2] ซึ่งทำไปเพราะถูกตัดขาดจากหัวหน้าคณะ ทำให้ไม่สามารถขึ้นชกมวยได้ และเป็นฝ่ายอำนาจเองที่สำนึกผิดเข้าไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ[4]",
"ก่อนการแข่งขัน อำนาจได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ว่าเป็น 1 ใน 100 นักกีฬาที่น่าจับตามองในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้[6] ในรอบแรกอำนาจเอาชนะ แจ็ค วิลลี่ นักมวยปาปัวนิวกินีไปได้ 14-2 หมัด ในรอบสองเอาชนะ เนสตัน มอนเตโร่ จากโดมินิกัน ขาดลอย 7-3 หมัด แต่ในรอบชิงเหรียญทองแดงอำนาจเป็นฝ่ายแพ้ให้กับ เซอร์ดัมบา ปูเรฟดอร์จ นักมวยมองโกเลีย (ต่อมาได้ชิงเหรียญทองแต่แพ้ให้กับ โจว ซื่อหมิง) ไป 3-5 หมัด ซึ่งการชกครั้งนี้ได้รับการวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าอำนาจชกแล้วคะแนนไม่ขึ้น พร้อมทั้งมีการตั้งข้อกังขาเรื่องการให้คะแนนของกรรมการด้วย[7]",
"อำนาจเริ่มต้นชกมวยไทยตั้งแต่อายุได้เพียง 7 ขวบ ก่อนจะย้ายไปหลายค่ายสุดท้ายซ้อมที่ค่าย ป.บูรพา โดยใช้ชื่อว่า \"เพชร ต.บางแสน\" หรือ \"เพชร ป.บูรพา\" โดยประสบความสำเร็จได้แชมป์รุ่นฟลายเวท เวทีลุมพินี จากการเอาชนะ แดนสยาม เกียรติรุ่งโรจน์ และป้องกันตำแหน่งไว้ได้หนึ่งครั้ง ก่อนจะเสียแชมป์ในการป้องกันตำแหน่งครั้งต่อมา ค่าตัวสูงสุดของอำนาจในการชกมวยไทยอยู่ที่ 100,000-120,000 บาท[3]",
"เมื่อ อำนาจ รื่นเริง แชมป์โลกในรุ่นฟลายเวท IBF จะป้องกันตำแหน่งกับรองแชมป์โลกอันดับ 1 แม็ควิลเลี่ยม อาร์โรโย่ นักมวยชาวเปอร์โตริโก ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 ที่จังหวัดนครราชสีมา ทางทีมงานของอำนาจก็ได้ว่าจ้างจาโรให้เดินทางมาเป็นคู่ซ้อมของอำนาจด้วยเป็นเวลา 21 วัน",
"ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558 คาชิเมโรขึ้นชิงแชมป์โลกในรุ่นฟลายเวท IBF ภาคบังคับ กับ อำนาจ รื่นเริง เจ้าของตำแหน่งชาวไทย ที่อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก ผลการชก ปรากฏว่า คาชิเมโรถูกนับ 8 ไปถึง 2 ครั้งในยกที่ 2 และยกที่ 7 เมื่อครบ 12 ยก จึงเป็นฝ่ายแพ้อำนาจไปอย่างเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 116-110, 113-112 และ 115-110 โดยหลังการชกครั้งแล้ว ทางฝ่ายคาซิเมโรได้ร้องเรียนไปยัง IBF ขอให้มีการจัดชกใหม่ โดยเห็นว่าฝ่ายตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการชกครั้งนี้ เนื่องจากอำนาจได้ใช้การเหวี่ยงและกอดรัดแบบมวยไทยหลายครั้งอีกทั้งกรรมการห้ามบนเวทีก็ไม่ได้ห้ามปราม แต่ทางฝ่าย IBF ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากรรมการทำหน้าที่อย่างเป็นธรรมแล้ว และมีมติว่าไม่ต้องชกใหม่",
"ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2557 ได้แชมป์โลกในรุ่นฟลายเวท ของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ด้วยการชิงแชมป์ว่าง ด้วยการเอาชนะคะแนน ร็อคกี้ ฟูเอนเตส นักมวยชาวฟิลิปปินส์ ไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 117-111, 116-112 และ 116-112 ที่จังหวัดนครราชสีมา[13] ซึ่งหลังการชกครั้งนี้อำนาจได้รับการยกย่องจากที่ประชุม IBF ที่แอตแลนติกซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ให้เป็นนักมวยยอดเยี่ยมของทวีปเอเชียด้วย[14] โดยทุกครั้งที่อำนาจจะชกจะทำการฝึกซ้อมภายในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก[3]",
"ในรอบที่สอง อำนาจขึ้นชกในมุมน้ำเงิน พบกับ โซฟิยาน อูมิอา นักมวยชาวฝรั่งเศส ที่อายุน้อยกว่าและช่วงชกได้เปรียบกว่า อำนาจเป็นฝ่ายถูกนับ 8 ถึง 2 ครั้งในยกที่ 2 และเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอไปในยกที่ 3 ตกรอบเป็นคนแรกของทีมมักมวยไทย[12]",
"อำนาจ ถือเป็นนักมวยที่มีพรสวรรค์และทักษะลีลาดี สามารถปรับทักษะจากมวยไทยมาเป็นมวยสากลสมัครเล่นได้อย่างรวดเร็ว เคยสร้างชื่อเสียงมาแล้วด้วยการสามารถเอาชนะ โจว ซื่อหมิง (เจ้าของเหรียญทองในรุ่นไลท์ฟลายเวท โอลิมปิก 2008 และโอลิมปิก 2012 และแชมป์มวยสากลสมัครเล่นโลก 3 สมัย) นักมวยชาวจีนในรายการคิงส์คัพ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ก่อนจะเดินทางไปคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันเวิลด์แชมเปี้ยนชิพที่สหรัฐอเมริกามาได้สำเร็จ ซึ่งนั่นก็ทำให้อำนาจได้รับรางวัล \"นักกีฬาหน้าใหม่ยอดเยี่ยม สยามกีฬาอวอร์ดส์\" มาครองได้อย่างน่าทึ่ง [5]",
"ดูบทความหลักที่: กีฬามวยสากลสมัครเล่นในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016",
"และอำนาจก็ทำได้สำเร็จเมื่อขึ้นชกเพียง 2 ครั้ง ก็ได้สิทธิไปแข่งขันโอลิมปิก โดยในรอบที่ 2 สามารถเอาชนะ คาร์มีเน ตอมมาโซเน นักมวยชาวอิตาลีไปได้ ด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ 0-3 โดยถือเป็นนักมวยไทยคนที่ 5 และคนสุดท้ายที่ได้สิทธิ์ในการแข่งขันโอลิมปิกคราวนี้ [9]",
"เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ที่ความรู้สึกของใครซักคน (หรืออาจจะทั้งคู่) ก้าวข้ามนิยามคำว่าเพื่อนไปมากกว่านั้นเมื่อไหร่ ก็มักจะมีสัญญาณ (Sign) อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น อาทิเช่น คิดถึงอยากบอกให้รู้ (แต่ไม่กล้าบอก) สบตามองหน้ากันแล้วหวั่นไหว หัวใจเต้นด้วยจังหวะที่ไม่เหมือนเดิม อ่อนไหว อยากเทคแคร์เอาใจใส่ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้รู้ไว้เถอะว่า หัวใจได้ยึดอำนาจการปกครองสมองไปเรียบร้อย (รักประหาร) ",
"ในรุ่นนี้ นักชกชาวไทยที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาคือ อำนาจ รื่นเริง",
"อำนาจ รื่นเริง ถือเป็นนักมวยที่ไม่ได้มีหมัดหนัก หรือเป็นมวยในรูปแบบเดินหน้าเข้าปะทะ แต่เป็นนักมวยที่ชกแบบจังหวะฝีมือ ถนัดในการชกวงนอก รอจังหวะบวกและป้องกันตัวด้วยการดึงตัวโยกหลบหรือผวาเข้ากอดและล็อกแขนของคู่ต่อสู้จนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ซึ่งการชกในรูปแบบนี้ มักทำให้อำนาจเสี่ยงต่อการถูกตักเตือนหรือถูกตัดคะแนนบ่อย ๆ เนื่องจากถือเป็นจังหวะฟาวล์ แต่ก็ถือได้ว่ามีรูปแบบการชกที่คล้ายคลึงกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ อดีตแชมป์โลกชาวอเมริกันชื่อดังผู้ไม่เคยแพ้ใคร",
"หลังจากเสียแชมป์โลกมวยสากลอาชีพไปแล้วไม่นาน อำนาจได้เข้าค่ายฝึกซ้อมด้วยตนเองต่อที่จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นบ้านของภรรยา อำนาจได้ตัดสินใจหวนกลับมาชกมวยสากลสมัครเล่นอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายอยู่การติดทีมชาติเข้าแข่งขันโอลิมปิก 2016 ที่ประเทศบราซิล ทั้งนี้เพราะสหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นนานาชาติ (AIBA) ได้เปลี่ยนกติกาให้นักมวยสากลอาชีพ สามารถเข้าร่วมชกในรายการแข่งขันของมวยสากลสมัครเล่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากสถาบันมวยสากลอาชีพต่าง ๆ ก็ตาม โดยเข้าร่วมการแข่งขันคัดตัวที่โฮเซมาเรียบาร์กัสโดม รัฐบาร์กัส ประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งถือเป็นการคัดตัวรอบสุดท้าย โดยเป็นการคัดเลือกในโควต้านักมวยสากลอาชีพ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2559 และได้เลื่อนน้ำหนักขึ้นเป็นรุ่นไลท์เวท เนื่องจากไม่สามารถทำน้ำหนักให้อยู่ในพิกัดฟลายเวทได้อีกแล้ว[8]",
"อำนาจมีความต้องการจะพบกับ โจว ซื่อหมิง ซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าที่ได้หันมาชกมวยสากลอาชีพเช่นเดียวกันหลังจบโอลิมปิก 2012 ก่อนที่จะแขวนนวมไปในที่สุด[15]ซึ่งอำนาจเคยชนะ โจว ซื่อหมิง ได้ 1 ครั้ง และแพ้ไป 2 ครั้ง โดยทั้งคู่มีกำหนดชกกันที่โคไทอารีนา ภายในเดอะเวเนเชี่ยนมาเก๊า เขตปกครองพิเศษมาเก๊า ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558[16] โดยถือเป็นรายการใหญ่ที่จัดโดย บ๊อบ อารัม โปรโมเตอร์ระดับโลกชาวอเมริกัน ในชื่อรายการว่า \"โชว์ดาวน์แอตแซนด์\" (Showdown at Sands) ผลปรากฏว่าอำนาจเป็นฝ่ายดักชก และสามารถเอาชนะคะแนนไปได้อย่างขาดลอยด้วยคะแนน 116-111 ของกรรมการทั้ง 3 เสียง แม้จะเป็นฝ่ายโดนนับ 8 ในยกที่ 2 จากจังหวะที่ทั้งคู่กอดรัดกันก็ตาม อีกทั้งระหว่างช่วงพักยกให้น้ำ อำนาจยังเป็นฝ่ายยืนอีกด้วย โดยไม่ขอนั่งเหมือนกับการชกกับ คาซูโตะ อิโอกะ ที่ประเทศญี่ปุ่น[17]",
"โจว ซื่อหมิง ได้ขึ้นชกชิงแชมป์โลกครั้งแรกในรุ่นฟลายเวท ของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) กับ อำนาจ รื่นเริง เจ้าของตำแหน่งชาวไทย ซึ่งเคยเป็นคู่ปรับเก่ากันมาก่อนสมัยชกมวยสากลสมัครเล่น ที่เดอะเวเนเชียนมาเก๊า ในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2015 โดยเป็นรายการใหญ่ภายใต้ชื่อรายการว่า \"โชว์ดาว์แอตแซนด์\" (Showdown at Sands) ซึ่งทั้งคู่ในการชกมวยสากลสมัครเล่นเคยพบกันทั้งหมด 3 ครั้ง และโจว ซื่อหมิง เป็นฝ่ายเอาชนะอำนาจไปได้ 2 ครั้ง และแพ้ 1 ครั้ง ผลการชกปรากฏว่า อำนาจเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์เมื่อครบ 12 ยก ด้วยคะแนน 116-111 จากกรรมการทั้ง 3 ท่าน ถึงแม้ว่าโจว ซื่อหมิง จะได้นับ 8 อำนาจในช่วงยกที่ 2 ก็ตาม ทำให้ โจว ซื่อหมิง แพ้เป็นครั้งแรกในการชกมวยสากลอาชีพ ทำให้มีสถิติชก 7 ครั้ง ชนะ 6 ครั้ง แพ้ 1 ครั้ง เป็นการชนะน็อก 1 ครั้ง",
"ในรอบชิงชนะเลิศกับ ลินดอลโฟ เดลกาโด กราซา นักมวยชาวเม็กซิกัน อำนาจเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอไปก่อนขึ้นยกที่ 2 เนื่องจากขอยอมแพ้ จากการมีอาการเจ็บที่หัวไหล่ซ้าย จึงได้เหรียญเงิน [10]",
"ในการป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 6 กับ จอห์นเรียล คาซิเมโร นักมวยชาวฟิลิปปินส์ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเป็นการชกในการประชุมประจำปีของ IBF เป็นครั้งแรกในทวีปเอเชียด้วย ซึ่งอำนาจเคยเอาชนะมาแล้วในการป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 4 ปรากฏว่าอำนาจไม่สามารถลดน้ำหนักให้อยู่ในพิกัด 112 ปอนด์ได้ตามกำหนด โดยมีพิธีการชั่งน้ำหนักตัวกันบนกำแพงเมืองจีน อำนาจทำน้ำหนักครั้งสุดท้ายได้ถึง 116.11 ปอนด์ ทำให้ต้องเสียแชมป์โลกไปเนื่องจากเหตุนี้ (แต่คาซิเมโรก็ทำน้ำหนักไม่ผ่านเช่นกัน โดยชั่งครั้งสุดท้ายได้ 113.10 ปอนด์) และยังต้องโดนปรับเงินประมาณ 20,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 700,000 บาท) เนื่องจากน้ำหนักเกินอีกด้วย (กำหนดอัตราปอนด์ละ 5,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 175,000 บาท) [18] แต่ภายหลัง ทาง IBF สั่งเรียกประชุมเร่งด่วน พบว่า การชั่งน้ำหนักเกิดความผิดปกติใน 2 ประเด็น ดังนี้",
"ศุภัชญา รื่นเริง หรือชื่อเล่น ต้อง เป็นนักแสดง และดีเจชาวไทย เคยเป็นนักแสดงในสังกัดอาร์เอส โปรโมชั่น\nศุภัชญา รื่นเริง (ชื่อเล่น : ต้อง) เกิดวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2526 เป็นนักแสดง และดีเจชาวไทย เข้าสู่วงการจากการประกวด Panasonic Star Challenge จากนั้นได้เป็นนักแสดงภายใต้สังกัดอาร์เอส โปรโมชั่น และเริ่มต้นจากการแสดงมิวสิควีดีโอ",
"และเมื่อชั่งใหม่ ปรากฏว่าทั้งคู่ชั่งได้ 122 ปอนด์ (เท่ากับพิกัดน้ำหนักในรุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท) เกินจากพิกัดน้ำหนักในรุ่นฟลายเวท 10 ปอนด์ แต่เป็นไปตามกติกาของ IBF ที่กำหนดให้น้ำหนักได้ไม่เกิน 10 ปอนด์ของรุ่น การชกป้องกันตำแหน่งจึงเป็นไปตามปกติ[21]",
"อำนาจในวัยเด็กไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาเพราะไม่มีหลักฐานรับรองการเกิดว่าเป็นคนไทยจนกระทั่งอายุ 16 ปีจึงได้สัญชาติไทย (บางข้อมูลระบุว่าอำนาจเกิดจริงเมื่อ พ.ศ. 2520[1]) อำนาจเป็นเด็กกำพร้าไม่มีทั้งพ่อและแม่ จึงถูกเลี้ยงดูมาโดยผู้เป็นยาย[2]",
"แต่เมื่อขึ้นชกกัน ในยกที่ 4 อำนาจพลาดโดนหมัดฮุกซ้ายของคาซิเมโรเข้าเต็มหน้าในจังหวะบวก ถูกนับ 8 และเมื่อลุกขึ้นมาก็ทำท่าว่าจะเอาตัวรอดผ่านพ้นยกนี้ไปได้แล้ว แต่ปรากฏว่าก็ถูกหมัดซ้ายตัดลำตัวลงไปนอนกับพื้นเวทีอีก กรรมการนับไม่ถึง 10 ก็โบกมือยุติการชกไปทันที เสียตำแหน่งแชมป์โลกในการป้องกันครั้งที่ 6 นี้ไปอย่างไม่คาดฝัน[22]",
"ในรอบแรก หรือรอบ 32 คน อำนาจขึ้นชกในมุมแดง พบกับ อิกนาซิโอ เปร์ริน นักมวยชาวอาร์เจนตินา อำนาจเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 3-0 เสียง ด้วยคะแนน 30-27, 29-28 และ 30-27[11]"
] |
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เข้าร่วมพรรคประชาธิปัตย์เมื่อไหร่? | [
"นายอภิรักษ์เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรธุรกิจหลายแห่ง ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมือง เริ่มจากการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนาม พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี พ.ศ. 2547 การลงคะแนนเลือกตั้งมีขึ้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติเป็นเอกฉันท์ ประกาศให้ นายอภิรักษ์ เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2547 หลังได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมานายอภิรักษ์ได้รับเลือกตั้งให้เป็น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551 นายอภิรักษ์ได้ยุติการทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครชั่วคราว พร้อมกับได้ตั้ง ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ รักษาการแทน เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) แจ้งข้อกล่าวหาว่ามีความผิดกรณีซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นการชี้มูลความผิดหรือส่งเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลแล้ว[2] และในวันที่ 12 เมษายน ปีเดียวกัน ได้กลับมาทำงานอีกครั้งเนื่องจากครบวาระการพักงาน โดยเริ่มงานแรกคือ การสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ ที่ท้องสนามหลวง เนื่องในงานเทศกาลสงกรานต์ของกรุงเทพมหานคร"
] | [
"นายอภิรักษ์มีปู่คือ พันโทจมื่นศักดิ์สงคราม (นายร้อยเอกนายไกรพลแสน) รับราชการในกรมทหารรักษาวังของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ ในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างระบบราชการ เพื่อลดจำนวนคนจากหน่วยงานต่าง ๆ ลง ปู่จึงลาออกจากราชการ มาเก็บค่าเช่าจากที่ดินและตึกแถว",
"ในช่วงที่นายอภิรักษ์ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายอภิรักษ์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการทำโครงการสำคัญต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนกรุงเทพฯ อาทิ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้าบีทีเอส), การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การพัฒนาคุณภาพการศึกษา, การวางผังพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน",
"ส่วนทางตระกูลจามรมานของมารดานายอภิรักษ์ มีต้นตระกูลคือ พระยานิติศาสตร์ไพศาล ที่เป็น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเป็น คณบดีคนแรกของ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์",
"นายอภิรักษ์ สมรสกับ นางปฏิมา โกษะโยธิน (สกุลเดิม พงศ์พฤกษทล) มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน คือ อนรรฆ โกษะโยธิน (พี)",
"เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีจึงมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ คนใหม่เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้วยคะแนนเสียง 911,441 คะแนน (38.20%)",
"ในปี พ.ศ. 2553 นายอภิรักษ์ได้ลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในเขต 2 กรุงเทพมหานคร แทนที่ นายสมเกียรติ ฉันทวานิช ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส. ไปด้วยเหตุถือครองหุ้นส่วนของบริษัทไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2550[4] ซึ่งนายสมเกียรติก็ไม่ขอลงสมัครอีกเนื่องจากอายุมากแล้ว ทางพรรคจึงได้มีมติเลือกนายอภิรักษ์ให้ลงสมัครแทน และนายอภิรักษ์ก็ได้รับคะแนน 71,072 คะแนน ชนะ นายพงษ์พิสุทธิ์ จินตโสภณ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ 30,506 คะแนน[5] และได้รับการรับรองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร[6] ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 8[7] และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อีกสมัย",
"ตลอดการทำงานด้วยความตั้งใจจนครบวาระ 4 ปี นายอภิรักษ์ได้สร้างผลงานโดดเด่นมากมาย ด้วยประสบการณ์ด้านการบริหาร และผลงานการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้นายอภิรักษ์ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนโหวตเกือบ 1 ล้านคะแนน",
"พรรคเพื่อไทยมีมติส่ง นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในแกนนำของ นปช. ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีมติส่ง นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ เป็นตัวแทนของพรรคลงสมัคร",
"ในส่วนงานการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งทั่วไป ในปี พ.ศ. 2544 และเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร\nมีผลงานการแสดงครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2550 ในภาพยนตร์ไทยเรื่อง \"พลอย\" จากการกำกับของ เป็นเอก รัตนเรือง ด้วยการรับบทเป็น \"วิทย์\" สามีที่มีปัญหาครอบครัวกับภรรยาในเรื่อง คือ \"แดง\" (แสดงโดย ลลิตา ปัญโญภาส) และในปี พ.ศ. 2553 จากเรื่อง \"อินทรีแดง\" ด้วยการรับบท \"ดิเรก\" นายกรัฐมนตรีที่ทะเยอทะยานทำได้ทุกอย่างเพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมือง จากการกำกับของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง",
"นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ร่วมงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัยที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2547-2551 และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายกษิต ภิรมย์) และได้ลาออกในเวลาต่อมา เพื่อลงสมัครในการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 (แทนนายทิวา เงินยวง) ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เอาชนะนายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย และได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553",
"นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เริ่มได้รับฉายาว่า \"หล่อเล็ก\" ในช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพในปี พ.ศ. 2547 ในการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2547 นั้น นายอภิรักษ์จับได้เบอร์ 1 นายอภิรักษ์ ใช้แคมเปญในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่า \"กรุงเทพ 360 องศา\" ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯอยู่นั้น นายอภิรักษ์ได้จัดรายการ \"พบผู้ว่า กทม.\" เป็นประจำทุกวันพุธ เวลา 20.00 - 21.00 น. ทางคลื่นวิทยุ จส.100 โดยเปิดสายให้ผู้ฟังโทรเข้าไปพูดคุยได้ สามารถรับฟังได้ทางอินเทอร์เน็ต ในการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2551 นั้น นายอภิรักษ์จับได้เบอร์ 5 ซึ่งมีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ในการรับสมัครเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 2 ปี พ.ศ. 2553 นายอภิรักษ์จับได้เบอร์ 2 ซึ่งมีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553",
"นายชนินทร์ ทำงานในสภา กทม. นานถึง 12 ปี แม้จะอยู่พรรคประชากรไทย แต่ได้ร่วมทำงานกับ ส.ก. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในการทำงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ต่อมาเมื่อพรรคประชากรไทยลดบทบาททางการเมืองลง จึงได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ และได้ร่วมงานกับ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในตำแหน่ง โฆษกกรุงเทพมหานคร และ ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร",
"ต่อมาในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ซึ่งตรงกับวันลอยกระทง หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดในคดีนี้ นายอภิรักษ์ได้แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งในเวลา 15.30 น. ทั้ง ๆ ที่กฎหมายมิได้มีผลบังคับให้ต้องทำถึงขนาดนั้น แต่นายอภิรักษ์ระบุว่าต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่การเมืองไทย ทั้งนี้ให้มีผลในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 หลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสร็จสิ้น[3]",
"นายอภิรักษ์ได้ประกาศลาออกในกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐได้แจ้งผิดกรณีรถดับเพลิง[11]",
"ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และอดีตที่ปรึกษาและโฆษก กทม.สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน พร้อมกับการเป็นสื่อมวลชนอิสระ นักเขียนอิสระ ผลงานได้แก่ \"ฝันให้ไกลไปให้ถึง ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน\", \"เบื้องลึก เบื้องหลังรัฐบาลโอบามาร์ค\" และ \"ชีวิตที่เลือกได้ พ.ต.อ.สวัสดิ์ จำปาศรี\"",
"ผลงานด้านการต่างประเทศ นายอภิรักษ์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับกรุงเทพฯเป็นอย่างมาก ด้วยการสร้างความสัมพันธ์อันดีและทำการแลกเปลี่ยนความคิดในการพัฒนากรุงเทพฯร่วมกับเมืองหลวงสำคัญ ๆ ทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง, แต้จิ๋ว, โซล, ฟุกุโอกะ, ฮานอย, ลิเวอร์พูล, วอชิงตัน ดี.ซี., บริสเบน เป็นต้น นายอภิรักษ์ยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้บรรยายกิตติมศักดิ์ในงานสัมมนาระดับโลกมากมาย อาทิ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN 100 Leadership Forum) ในปี พ.ศ. 2542 ณ ประเทศสิงคโปร์ และในปี พ.ศ. 2544 ณ ประเทศเวียดนาม รวมถึงการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม (C40 Cities Climate Summit) ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา",
"พรรคไทยพอเพียงส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งครั้งแรก\nในการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่12 ธันวาคม พ.ศ. 2553 โดยทางพรรคได้ส่ง\nนายจำรัสซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคลงรับเลือกตั้งปรากฏว่านายจำรัสได้คะแนนมาเป็นอันดับ 3 พ่ายแพ้ต่อนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน จาก พรรคประชาธิปัตย์",
"นอกจากนี้นายอภิรักษ์ยังมีทีมที่ปรึกษาอีก 8 คน คือ ศ.ดร.ตรึงใจ บูรณสมภพ ศ.ภิชาน ไกรฤทธิ์ บุญยเกียรติ นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย ดร.สุขพัฒน์ ทองเพ็ง ดร.ผุสดี ตามไท นายพรวุฒิ สารสิน นางทิชา ณ นคร นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์",
"ซึ่งต่อมาในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำตัดสินให้นายอภิรักษ์พ้นข้อกล่าวหาในคดีรถดับเพลิงเนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีผลก่อนหน้าที่จะเข้ารับตำแหน่งแล้ว และได้มีการดำเนินการเพียรพยายามรักษาผลประโยชน์ของกทม. จนได้รับผลประโยชน์คืนให้กับกทม.อีก 250 ล้านบาท",
"เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ตามข้อบังคับพรรค และ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2554 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่อีกครั้ง โดยนายชำนิได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และ นายจุติ ไกรฤกษ์",
"นายอภิรักษ์มีฉายาจากสื่อมวลชนว่า \"หล่อเล็ก\" คู่กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีฉายาว่า \"หล่อใหญ่\" และต่อมามีนักการเมืองพรรคเดียวกันได้รับฉายาทำนองนี้อีกเช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคที่ได้รับฉายา \"หล่อโย่ง\" และ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล รองโฆษกพรรคที่มีฉายาว่า \"หล่อจิ๋ว\"",
"นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน (30 มีนาคม พ.ศ. 2504 —) เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์, อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 สมัย",
"นางปวีณา หงสกุล ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ทั้งสิ้น 6 สมัย (2531-2549) และดำรงตำแหน่งที่สำคัญทางการเมือง อาทิ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลการท่องเที่ยว) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคหญิงคนแรกของพรรคชาติพัฒนา \nนางปวีณาเคยลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ในสังกัดพรรคชาติพัฒนา ได้เบอร์ 5 และครั้งที่ 2 คือ ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 โดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ได้เบอร์ 7 อันเป็นเบอร์เก่าของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่า ฯ คนก่อน ในการหาเสียงคราวนี้นางปวีณาใช้สีชมพูเป็นสีประจำตัว ซึ่งมีความหมายถึงความอ่อนหวานของผู้หญิง แต่ นางปวีณาต้องพบกับคู่แข่งคนสำคัญจากพรรคประชาธิปัตย์คือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ก่อนการลงคะแนน ความนิยมของทั้งคู่คี่สูสีกันมาก จนกระทั่งผลการเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่า นางปวีณาได้คะแนนเสียงเป็นอันดับที่ 2 มีคะแนนเสียงมากถึง 6 แสนกว่าคะแนน ",
"รองศาสตราจารย์ บรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย กรรมการในคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตร\nต่อสิ่งแวดล้อม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช อดีตหัวหน้าพรรคถิ่นไทย อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบชุมชนเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหญิง (ในสมัย ดร.พิจิตต รัตตกุล) และในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน โดยเข้ารับตำแหน่งรองผู้ว่าฝ่ายโยธาครั้งที่สอง แทน ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ในเมื่อต้นปี 2549",
"นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เกิดวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2504[1] ที่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จึงทำให้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เกิดในยุคกึ่งพุทธกาล (พ.ศ. 2500) นายอภิรักษ์มีชื่อเล่นว่า \"ต้อม\" เป็นบุตรคนโตของ นายบุญลักษณ์ โกษะโยธิน และ นางอมรา โกษะโยธิน (สกุลเดิม จามรมาน) มีน้องสาว 1 คนคือ อภิสรา โกษะโยธิน (ทำงานที่ ธนาคารนครหลวงไทย)",
"นายโกวิทย์ ธารณา เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคมวลชน ซึ่งนำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แต่ต่อมาได้เป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร 2 สมัย ในปี พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2537 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2538, พ.ศ. 2539 พ.ศ. 2550 (3 สมัย) เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่ากรุงเทพมหานคร (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (นายสุทัศน์ เงินหมื่น) ที่ปรึกษากรรมาธิการตำรวจ ที่ปรึกษากรรมาธิการงบประมาณ ที่ปรึกษากรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ กรรมาธิการกฎหมายยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน กรรมาธิการ ปปส. และ ปปง. กรรมาธิการงบประมาณ ปี พ.ศ. 2538 พ.ศ. 2544 ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อีกสมัย",
"รุ่นถัดมาคือบิดาของนายอภิรักษ์ ที่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยรับราชการ ที่กรมชลประทาน ก่อนจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ในขณะที่ลุงของนายอภิรักษ์คือ พันเอกพิเศษทำนุ โกษะโยธิน รับราชการเป็นทหารจนเกษียณอายุ ส่วนป้า ของนายอภิรักษ์ คือ ร้อยเอกหญิงกานดา โกษะโยธิน เคยเป็นอาจารย์ในโรงเรียนเตรียมทหารจนได้ยศร้อยเอกหญิงนำหน้าชื่อ ก่อนจะย้ายไปเป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่",
"เมื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี จึงมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551 โดยมีผู้สมัครเปิดตัวกันหลายคน เช่น ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ และนางลีนา จังจรรจา ในนามผู้สมัครอิสระ ทั้งนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์มีมติให้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 อีกด้วย โดยนายอภิรักษ์ได้ยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551 โดยให้ นายพงษ์ศักดิ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน",
"ต่อมา ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ได้ถอนตัวไปเนื่องจากอ้างถึงผลสำรวจว่าคะแนนนิยมยังห่างจากนายอภิรักษ์มาก และการเปิดรับสมัครวันแรก มีขึ้นในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 ทั้งนี้มีผู้สมัครหลายรายได้ไปยื่นสมัครเช่น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์, นางลีนา จังจรรจา เป็นต้น ในขณะเดียวกัน นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับสมัครเลือกตั้งในสังกัดพรรคพลังประชาชน ในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 ด้วย"
] |
กาลิเลโอ กาลิเลอี เกิดที่ไหน? | [
"เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นบุตรคนโตในจำนวนบุตร 6 คนของวินเชนโซ กาลิเลอี นักดนตรีลูทผู้มีชื่อเสียง มารดาชื่อ จูเลีย อัมมันนาตี เมื่อกาลิเลโออายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองฟลอเรนซ์ แต่กาลิเลโอต้องพำนักอยู่กับจาโกโป บอร์กีนิ เป็นเวลาสองปี[5] เขาเรียนหนังสือที่อารามคามัลโดเลเซ เมืองวัลลอมโบรซา ซึ่งอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 34 กิโลเมตร[5] กาลิเลโอมีความคิดจะบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปิซาตามความต้องการของพ่อ กาลิเลโอเรียนแพทย์ไม่จบ กลับไปได้ปริญญาสาขาคณิตศาสตร์มาแทน[6] ปี ค.ศ. 1589 เขาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปิซา เมื่อถึงปี ค.ศ. 1591 บิดาของเขาเสียชีวิต กาลิเลโอรับหน้าที่อภิบาลน้องชายคนหนึ่งคือ มีเกลัญโญโล เขาย้ายไปสอนที่มหาวิทยาลัยแพดัวในปี ค.ศ. 1592 โดยสอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์ และดาราศาสตร์ จนถึงปี ค.ศ. 1610[4] ในระหว่างช่วงเวลานี้ กาลิเลโอได้ทำการค้นพบที่สำคัญมากมาย ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (เช่น จลนศาสตร์การเคลื่อนที่ และดาราศาสตร์) หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (เช่น ความแข็งของวัตถุ และการพัฒนากล้องโทรทรรศน์) ความสนใจของเขายังครอบคลุมถึงความรู้ด้านโหราศาสตร์ ซึ่งในยุคสมัยนั้นมีความสำคัญไม่แพ้คณิตศาสตร์หรือดาราศาสตร์ทีเดียว[7]"
] | [
"กาลิเลโอ กาลิเลอี (Italian: Galileo Galilei; 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 - 8 มกราคม ค.ศ. 1642) เป็นชาวทัสกันหรือชาวอิตาลี ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย งานที่โดดเด่นเช่นการพัฒนาเทคนิคของกล้องโทรทรรศน์และผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญจากกล้องโทรทรรศน์ที่พัฒนามากขึ้น งานของเขาช่วยสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสอย่างชัดเจนที่สุด กาลิเลโอได้รับขนานนามว่าเป็น \"บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่\"[1] \"บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่\"[2] \"บิดาแห่งวิทยาศาสตร์\"[2] และ \"บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่\"[3]",
"ปี ค.ศ. 1939 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ Pontifical Academy of Sciences หลังจากทรงขึ้นรับตำแหน่งไม่กี่เดือน โดยเอ่ยถึงกาลิเลโอว่าเป็น \"วีรบุรุษแห่งงานค้นคว้าวิจัยผู้กล้าหาญที่สุด ... ไม่หวั่นเกรงกับการต่อต้านและการเสี่ยงภัยในการทำงาน ไม่กลัวเกรงต่อความตาย\"[58] ที่ปรึกษาคนสนิทของพระองค์ ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เลย์เบอร์ เขียนไว้ว่า \"สมเด็จปิอุสที่ 12 ทรงระมัดระวังมากที่จะไม่ปิดประตูสำหรับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ พระองค์กระตือรือร้นในเรื่องนี้มาก และทรงเสียพระทัยอย่างยิ่งกับกรณีที่เกิดขึ้นกับกาลิเลโอ\"[59]",
"จาก catholic.net ที่เว็บไซต์มหาวิทยาลัยไรซ์ จำลองสิ่งที่กาลิเลโอน่าจะเคยเห็นในอดีต จากสารานุกรมปรัชญา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บทความจากสมาพันธ์คาทอลิก catholicleague.org",
"ปี ค.ศ. 1619 กาลิเลโอมีเรื่องยุ่งยากในการโต้เถียงกับคุณพ่อออราซิโอ กราสซี ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์แห่งวิทยาลัยเกรกอเรียนในลัทธิเยซูอิด เหตุเนื่องมาจากความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับธรรมชาติของดาวหาง เมื่อกาลิเลโอตีพิมพ์เผยแพร่ อิลซัจจาโตเร (Italian: Il Saggiatore) ในปี ค.ศ. 1623 เป็นการวางหมากสุดท้ายในการโต้แย้ง เรื่องก็ลุกลามเป็นข้อวิวาทใหญ่โตเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติโดยทั่วไป เพราะใน อิลซัจจาโตเร บรรจุแนวคิดมากมายของกาลิเลโอว่าวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องของวิทยาศาสตร์ควรดำเนินการอย่างไร หนังสือนี้ต่อมาเป็นที่อ้างอิงถึงในฐานะคำประกาศแนวคิดวิทยาศาสตร์ของกาลิเลโอ[29][4]",
"การค้นพบทางดาราศาสตร์ของกาลิเลโอและงานวิเคราะห์ที่สนับสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส เป็นผลงานเกียรติยศที่โด่งดังตลอดกาล รวมถึงการค้นพบดวงจันทร์ใหญ่ที่สุด 4 ดวงของดาวพฤหัสบดี (ไอโอ, ยูโรปา, แกนิมีด และ คัลลิสโต) ซึ่งได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาว่า ดวงจันทร์กาลิเลียน หลักการและสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์อื่น ๆ อีกมากมายก็ตั้งชื่อตามเขา เช่น ยานอวกาศกาลิเลโอ ซึ่งเป็นยานสำรวจอวกาศลำแรกที่เข้าสู่วงโคจรของดาวพฤหัสบดี ระบบดาวเทียมสำรวจโลกกาลิเลโอ วิธีการแปลงค่าจากระบบ inertial ไปเป็นกลศาสตร์ดั้งเดิมก็ได้ชื่อว่า การแปลงกาลิเลียน และหน่วยวัด กัล (Gal) ซึ่งเป็นหน่วยวัดความเร่งที่ไม่ได้อยู่ในระบบเอสไอ",
"มีงานเขียนเกี่ยวกับผลงานหลายชิ้นของกาลิเลโอที่ปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็น \"เทคโนโลยี\" ซึ่งแตกต่างไปจากวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์หรือศาสตร์อื่น ๆ แนวคิดนี้แตกต่างจากแนวคิดของอริสโตเติลที่มองผลงานฟิสิกส์ของกาลิเลโอทั้งหมดเป็น Techne หรือ ความรู้ที่มีประโยชน์ ซึ่งตรงข้ามกับ Episteme หรือปรัชญศาสตร์ที่ศึกษาถึงสาเหตุการเกิดสิ่งต่าง ๆ",
"แม้กาลิเลโอจะเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด[8] แต่เขากลับมีลูกนอกสมรส 3 คนกับมารินา แกมบา เป็นลูกสาว 2 คนคือ เวอร์จิเนีย (เกิด ค.ศ. 1600) กับลิเวีย (เกิด ค.ศ. 1601) และลูกชาย 1 คนคือ วินเชนโซ (เกิด ค.ศ. 1606) เนื่องจากลูกสาวทั้งสองเป็นลูกนอกสมรส จึงไม่สามารถแต่งงานกับใครได้ ทางเลือกเดียวที่ดีสำหรับพวกเธอคือหนทางแห่งศาสนา เด็กหญิงทั้งสองถูกส่งตัวไปยังคอนแวนต์ที่ซานมัตตีโอ ในเมืองอาร์เชตรี และพำนักอยู่ที่นั่นจวบจนตลอดชีวิต[9] เวอร์จิเนียใช้ชื่อทางศาสนาว่า มาเรีย เชเลสเต เธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1634 ร่างของเธอฝังไว้กับกาลิเลโอที่สุสานบาซิลิกาซานตาโครเช ลิเวียใช้ชื่อทางศาสนาว่า ซิสเตอร์อาร์แคนเจลา มีสุขภาพไม่ค่อยดีและป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ ส่วนวินเชนโซได้ขึ้นทะเบียนเป็นบุตรตามกฎหมายในภายหลัง และได้แต่งงานกับเซสตีเลีย บอกกีเนรี[10]",
"การศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีความเร่งคงที่ ซึ่งสอนกันอยู่ทั่วไปในระดับมัธยมศึกษาและเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาฟิสิกส์ก็เป็นผลงานของกาลิเลโอ รู้จักกันในเวลาต่อมาในฐานะวิชาจลนศาสตร์ งานศึกษาด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญของกาลิเลโอได้แก่ การใช้กล้องโทรทรรศน์สังเกตการณ์คาบปรากฏของดาวศุกร์ การค้นพบดาวบริวารของดาวพฤหัสบดี ซึ่งต่อมาตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่เขาว่า ดวงจันทร์กาลิเลียน รวมถึงการสังเกตการณ์และการตีความจากการพบจุดดับบนดวงอาทิตย์ กาลิเลโอยังมีผลงานด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ซึ่งช่วยพัฒนาการออกแบบเข็มทิศอีกด้วย",
"กาลิเลโอไม่เชื่อทฤษฎีของโยฮันเนส เคปเลอร์ นักคิดร่วมสมัยกับเขา ที่เสนอว่า ดวงจันทร์เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง เขากล่าวว่าทฤษฎีนี้เป็น \"นิยายไร้สาระ\"[32] กาลิเลโอยังไม่ยอมรับแนวคิดเรื่องวงโคจรแบบวงรีของเคปเลอร์[34] เขาคิดว่าวงโคจรของดาวเคราะห์ควรจะเป็น \"วงกลมสมบูรณ์แบบ\"",
"ใน Sidereus Nuncius กาลิเลโอบันทึกว่าเขาสรุปเรื่องนี้ได้ในวันที่ 11 มกราคม แต่จากบันทึกการสังเกตการณ์อื่น ๆ ของกาลิเลโอที่ไม่ได้ตีพิมพ์ พิจารณาแล้วกาลิเลโอไม่น่าจะสรุปได้ก่อนวันที่ 15 มกราคม",
"กาลิเลโอเป็นผู้ริเริ่มการทดลองทางวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณซึ่งสามารถนำผลไปใช้ในการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ต่อได้โดยละเอียด การทดลองวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นยังเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพอยู่มาก เช่นงานของวิลเลียม กิลเบิร์ตเกี่ยวกับแม่เหล็กและไฟฟ้า พ่อของกาลิเลโอ คือวินเชนโซ กาลิเลอี เป็นนักดนตรีลูทและนักดนตรีทฤษฎี อาจเป็นคนแรกเท่าที่เรารู้จักที่สร้างการทดลองแบบไม่เป็นเชิงเส้นในวิชาฟิสิกส์ขึ้น เนื่องจากการปรับตั้งสายเครื่องดนตรี ตัวโน้ตจะเปลี่ยนไปตามรากที่สองของแรงตึงของสาย[15] ข้อสังเกตเช่นนี้อยู่ในกรอบการศึกษาด้านดนตรีของพวกพีทาโกเรียนและเป็นที่รู้จักทั่วไปในหมู่นักผลิตเครื่องดนตรี แสดงให้เห็นว่าคณิตศาสตร์กับดนตรีและฟิสิกส์มีความเกี่ยวพันกันมานานแล้ว กาลิเลโอผู้เยาว์อาจได้เห็นวิธีการเช่นนี้ของบิดาและนำมาขยายผลต่อสำหรับงานของตนก็ได้[16]",
"กาลิเลโอ ได้รับเลือกให้เป็นสัญลักษณ์สำคัญบนเหรียญที่ระลึกขนาด 25 ยูโร ในชุดเหรียญที่ระลึกปีดาราศาสตร์สากล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2009 เพื่อเป็นการระลึกถึงโอกาสที่กาลิเลโอสร้างกล้องโทรทรรศน์ของเขาครบรอบ 400 ปี ด้านหน้าของเหรียญเป็นภาพครึ่งตัวของกาลิเลโอกับกล้องโทรทรรศน์ ด้านหลังเป็นภาพวาดภาพหนึ่งของกาลิเลโอที่วาดผลการสังเกตการณ์ดวงจันทร์ ขอบเงินรอบ ๆ เหรียญนี้เป็นภาพกล้องโทรทรรศน์อื่น ๆ ได้แก่ กล้องโทรทรรศน์ของไอแซก นิวตัน, กล้องของหอดูดาว Kremsmünster Abbey, กล้องโทรทรรศน์วิทยุ, และกล้องโทรทรรศน์อวกาศ",
"ข้อโต้แย้งและข้อสรุปของกราสซีถูกวิจารณ์ในงานเขียนต่อเนื่องที่ออกมา คือ \"ปาฐกถาว่าด้วยดาวหาง\" (Discourse on the Comets) [31] ตีพิมพ์ในชื่อของลูกศิษย์คนหนึ่งของกาลิเลโอ คือทนายชาวฟลอเรนซ์ชื่อมาริโอ กุยดุชชี แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเขียนโดยกาลิเลโอเอง[29] กาลิเลโอกับกุยดุชชีไม่ได้เสนอทฤษฎีที่แน่ชัดอย่างไรเกี่ยวกับธรรมชาติของดาวหาง[29] แต่ก็ได้เสนอการคาดเดาบางประการซึ่งปัจจุบันเรารู้แล้วว่าเป็นการคาดเดาที่ผิด",
"วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1992 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีกาลิเลโอ และทรงยอมรับอย่างเป็นทางการว่าโลกมิได้ติดแน่นตรึงอยู่กับที่ ตามผลที่ได้จากการศึกษาของ Pontifical Council for Culture[61][62] เดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 ทางสำนักวาติกันได้เสนอการกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอโดยสร้างอนุสาวรีย์ของเขาเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของวาติกัน[63] เดือนธันวาคมปีเดียวกัน ในกิจกรรมการเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ของกาลิเลโอ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงเอ่ยยกย่องคุณูปการของกาลิเลโอที่มีต่อวงการดาราศาสตร์[64]",
"ถ้าทฤษฎีนี้ถูกต้อง ก็จะมีช่วงเวลาน้ำขึ้นเพียงวันละ 1 ครั้ง กาลิเลโอกับเหล่านักคิดร่วมสมัยต่างคิดถึงความสำคัญข้อนี้ เพราะที่เวนิสมีช่วงเวลาน้ำขึ้นวันละ 2 ครั้ง ห่างกันประมาณ 12 ชั่วโมง แต่กาลิเลโอละเลยความผิดปกตินี้เสียโดยถือว่าเป็นผลจากสาเหตุรอง ๆ อีกหลายประการ เช่นลักษณะรูปร่างของทะเล ความลึกของทะเล และปัจจัยอื่น ๆ[32] การที่กาลิเลโอตั้งสมมุติฐานลวงเพื่อโต้แย้งป้องกันแนวคิดของตัวเองนี้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แสดงความเห็นว่ากาลิเลโอได้พัฒนาให้ \"ข้อโต้แย้งมีเสน่ห์\" และยอมรับมันโดยไม่คำนึงถึงความปรารถนาในข้อพิสูจน์ทางฟิสิกส์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของโลก[33]",
"จากบันทึกประวัติกาลิเลโอที่เขียนโดยศิษย์ผู้หนึ่งของเขา คือ วินเชนโซ วีวีอานี ได้ระบุถึงการทดลองของกาลิเลโอในการปล่อยลูกบอลที่สร้างจากวัสดุเดียวกัน แต่มีมวลแตกต่างกัน ลงมาจากหอเอนปิซา เพื่อทดสอบดูระยะเวลาที่ใช้ในการตกลงมาว่ามีความเกี่ยวข้องกับมวลของพวกมันหรือไม่ ผลจากการทดลองนี้ขัดแย้งกับความเชื่อที่อริสโตเติลเคยสั่งสอนมา ที่ว่าวัตถุซึ่งหนักกว่าจะตกลงมาเร็วกว่าวัตถุเบา โดยมีสัดส่วนแปรผันตรงกับน้ำหนัก[43] เรื่องราวการทดลองนี้เป็นที่เล่าขานกันอย่างมาก แต่ไม่มีบันทึกใดที่ยืนยันว่ากาลิเลโอได้ทำการทดลองนี้จริง ๆ นักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่ามันเป็นเพียงการทดลองในความคิด แต่ไม่ได้ทำจริง ๆ[44]",
"ความขัดแย้งระหว่างกาลิเลโอกับกราสซีสร้างความบาดหมางกับพระเยซูอิดหลายคนอย่างไม่อาจลบล้างได้ ทั้งที่หลายคนก็เคยมีใจโอนเอียงเห็นด้วยกับความคิดของกาลิเลโอมาก่อน[29] ในเวลาต่อมา กาลิเลโอกับเพื่อนของเขาเชื่อว่ากลุ่มพระเยซูอิดเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการที่เขาถูกลงโทษจากศาสนจักร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานเพียงพอสำหรับเหตุผลข้อนี้ก็ตาม[4]",
"อ่านเพิ่มเติมใน Langford (1966, pp.133–134), และ Seeger (1966, p.30) เป็นตัวอย่าง. เดรค (1978, p.355) มีความเห็นว่า ตัวละคร Simplicio จำลองมาจากนักปรัชญาผู้สนับสนุนอริสโตเติล คือ Lodovico delle Colombe และ Cesare Cremonini ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระสันตะปาปาเออร์บันเลย เขายังเห็นว่าการที่กาลิเลโอเอาคำโต้แย้งของพระสันตะปาปาไปใส่เป็นบทพูดให้แก่ simplicio เป็นด้วยความจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ (เดรค, 1953, p.491). แม้กระทั่ง Arthur Koestler ผู้เคยด่าว่ากราดเกรี้ยวกับกาลิเลโอในหนังสือ The Sleepwalkers (1959) ก็ยังบันทึกไว้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันยังไม่อยากเชื่อว่ากาลิเลโอตั้งใจให้ Simplicio ล้อเลียนพระองค์ ทรงกล่าวว่า \"นี่ไม่มีทางเป็นไปได้\" (1959, p.483)",
"อย่างไรก็ดี โซโทมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งและพัฒนารายละเอียดของทฤษฎีดังที่ปรากฏในทฤษฎีการตกของวัตถุของกาลิเลโอ เช่น เขามิได้พิจารณาเรื่องของวัตถุที่ตกอยู่ภายใต้ความเร่งอื่นใดดังเช่นสุญญากาศ เหมือนอย่างที่กาลิเลโอได้พิจารณาไว้ด้วย",
"ตามมาตรฐานความนึกคิดในยุคของเขา กาลิเลโอคิดอยู่หลายครั้งที่จะเปลี่ยนมุมมองของเขาต่อผลการสังเกตการณ์ นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ พอล เฟเยอราเบนด์ ได้บันทึกว่าวิธีทำงานของกาลิเลโออาจเป็นไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็โต้แย้งด้วยว่าวิธีการของกาลิเลโอได้ผ่านการพิสูจน์ในเวลาต่อมาด้วยผลงานที่ได้รับ งานชิ้นสำคัญของเฟเยอราเบนด์คือ Against Method (1975) ได้อุทิศเพื่อวิเคราะห์การทำงานของกาลิเลโอโดยใช้งานวิจัยด้านดาราศาสตร์ของเขาเป็นกรณีศึกษาเพื่อสนับสนุนแนวคิดนอกคอกในกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเฟเยอราเบนด์เอง เขาบันทึกว่า \"พวกอริสโตเติล... ชอบแต่จะใช้ความรู้จากประสบการณ์ ขณะที่พวกกาลิเลโอชอบจะศึกษาทฤษฎีที่ยังไม่เป็นจริง ไม่มีคนเชื่อ และบางทีก็ถูกล้มล้างไปบ้าง ข้าพเจ้ามิได้ตำหนิพวกเขาเรื่องนั้น ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าชมชอบคำกล่าวของนีลส์ บอร์ ที่ว่า 'นี่ยังไม่บ้าพอ'\"[19] เพื่อจะทำการทดลองของเขาได้ กาลิเลโอจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานของความยาวและเวลาขึ้นมาเสียก่อน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการวัดค่าในแต่ละวันและแต่ละสถานที่ทดลองได้อย่างถูกต้อง",
"ผลจากการปรับปรุงกล้องโทรทรรศน์โดยกาลิเลโอ กาลิเลอี โดยการเพิ่มกำลังขยายขึ้นเป็น 20 เท่า เขาสามารถมองเห็นเทหฟากฟ้าได้ชัดเจนกว่าที่เคยเห็นโดยกล้องโทรทรรศน์เดิม ทำให้กาลิเลโอค้นพบดาวจันทร์ของกาลิเลโอได้ในช่วงราวเดือนธันวาคม พ.ศ. 2152 ถึง เดือนมกราคม พ.ศ. 2153",
"วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 พระคาร์ดินัลโยเซฟ รัทซิงเงอร์ (ต่อมาเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) กล่าวปาฐกถาที่ซาปีเอนซา มหาวิทยาลัยแห่งโรม โดยทรงให้ความเห็นบางประการต่อคดีกาลิเลโอว่าเป็นกำเนิดของสิ่งที่พระองค์เรียกว่า \"กรณีอันน่าเศร้าที่ทำให้เราเห็นถึงความขลาดเขลาในสมัยกลาง ซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แสดงในปัจจุบัน\"[60] ทรงอ้างถึงมุมมองของผู้อื่นด้วย เช่นของ พอล เฟเยอร์ราเบนด์ นักปรัชญา ซึ่งกล่าวว่า \"ศาสนจักรในยุคของกาลิเลโอถือว่าตนอยู่ใกล้ชิดกับเหตุผลมากกว่ากาลิเลโอ จึงเป็นผู้ทำการพิจารณาด้านศีลธรรมและผลสืบเนื่องทางสังคมที่เกิดจากการสอนของกาลิเลโอด้วย คำตัดสินโทษที่มีต่อกาลิเลโอนั้นมีเหตุผลพอ ยุติธรรม การเปลี่ยนแปลงคำตัดสินจะพิจารณาได้ก็แต่เพียงบนพื้นฐานของการเห็นต่างทางการเมืองเท่านั้น\"[60] แต่พระคาร์ดินัลมิได้ให้ความเห็นว่าตนเห็นด้วยหรือไม่กับคำกล่าวนี้ ท่านเพียงแต่กล่าวว่า \"การเอ่ยคำขอโทษอย่างหุนหันพลันแล่นต่อมุมมองเช่นนี้คงเป็นความเขลาอย่างมาก\"[60]",
"หน่วยวัดอัตราเร่งในระบบซีจีเอส: กัล (Gal) แอ่งบนดวงจันทร์ และ แอ่งบนดาวอังคาร[66] เทอร์โมมิเตอร์กาลิเลโอ จำนวนกาลิเลโอ หน่วยวัดในสาขากลศาสตร์ของไหล ระบบสำรองที่นั่งกาลิเลโอ ยานอวกาศกาลิเลโอ ดาวเทียมนำร่องกาลิเลโอ",
"พระคาร์ดินัลเบลลาร์ไมน์ได้เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1615 ว่า ระบบของโคเปอร์นิคัสไม่มีทางเป็นไปได้โดยปราศจาก \"ข้อมูลทางฟิสิกส์อย่างแท้จริงว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้โคจรรอบโลก แต่เป็นโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์\"[32] กาลิเลโอศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง เพื่อหาข้อมูลทางฟิสิกส์ที่จะพิสูจน์การเคลื่อนที่ของโลก ทฤษฎีนี้มีความสำคัญต่อกาลิเลโอมากจนเขาเกือบจะตั้งชื่อบทความ เรียงความเรื่องระบบหลักสองระบบ เป็น เรียงความเรื่องน้ำลงและการไหลของทะเล[32] สำหรับกาลิเลโอ ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเกิดจากการเคลื่อนตัวขึ้นและลงของน้ำทะเลไปจากตำแหน่งของผิวโลก ซึ่งจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเนื่องจากการที่โลกหมุนตัวไปรอบ ๆ แกนและเคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ กาลิเลโอเผยแพร่งานเขียนเกี่ยวกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเมื่อปี ค.ศ. 1616 โดยอุทิศแด่พระคาร์ดินัลออร์สินิ[32]",
"ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผลงานเขียนของกาลิเลโอ แสดงชื่อในภาษาอิตาลีเป็นหลัก",
"กาลิเลโอ มีความผิดฐาน \"ต้องสงสัยอย่างรุนแรงว่าเป็นพวกนอกรีต\" โดยมีสาเหตุสำคัญคือการแสดงความเห็นว่าดวงอาทิตย์อยู่นิ่งที่ศูนย์กลางจักรวาล ส่วนโลกมิได้อยู่ที่ศูนย์กลางแต่เคลื่อนไปรอบ ๆ ความเห็นนี้ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ กาลิเลโอจะต้อง \"เพิกถอน สาปแช่ง และจงชัง\" ต่อแนวคิดเหล่านั้น[53] กาลิเลโอต้องโทษคุมขัง ในเวลาต่อมาโทษนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการคุมตัวอยู่แต่ในบ้าน หนังสือ Dialogue กลายเป็นหนังสือต้องห้าม นอกจากนี้ยังมีการกระทำอื่นที่มิได้มาจากการไต่สวน แต่งานเขียนอื่น ๆ ของกาลิเลโอกลายเป็นงานต้องห้ามไปด้วย รวมถึงงานอื่นที่เขาอาจจะเขียนขึ้นในอนาคต[54]",
"ท่าอากาศยานนานาชาติกาลิเลโอ กาลิเลอี () เป็นท่าอากาศยานที่ตั้งอยู่ในเมืองปิซา อิตาลี เป็นหนึ่งในท่าอากาศยานหลักของแคว้นทัสกานี โดยอีกแห่งหนึ่งคือท่าอากาศยานเปเรโตลาในฟลอเรนซ์ ท่าอากาศยานแห่งนี้ตั้งชื่อตามกาลิเลโอ กาลิเลอี นักวิทยาศาสตร์ชาวเมืองปิซาที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในย่านซานจุสโต ห่างจากสถานีรถไฟกลางไม่ถึง 2 กิโลเมตร ค่อนข้างใกล้กับศูนย์กลางของเมือง",
"ปี ค.ศ. 1612 เกิดการต่อต้านแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปี ค.ศ. 1614 คุณพ่อโทมาโซ คัคชินิ ประกาศขณะขึ้นเทศน์ในโบสถ์ซานตามาเรียโนเวลลา กล่าวประณามแนวคิดของกาลิเลโอที่หาว่าโลกเคลื่อนที่ ว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต กาลิเลโอเดินทางไปยังโรมเพื่อต่อสู้ข้อกล่าวหา แต่ในปี ค.ศ. 1616 พระคาร์ดินัลโรแบร์โต เบลลาร์มีโน ได้มอบเอกสารสั่งห้ามกับกาลิเลโอเป็นการส่วนตัว มิให้เขาไปเกี่ยวข้องหรือสอนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัสอีก ระหว่างปี 1621 ถึง 1622 กาลิเลโอเขียนหนังสือเล่มแรกของเขา คือ \"อิลซัจจาโตเร\" (Italian: Il Saggiatore; หมายถึง นักวิเคราะห์) ต่อมาได้รับอนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่ได้ในปี ค.ศ. 1623 กาลิเลโอเดินทางกลับไปโรมอีกครั้งในปี ค.ศ. 1630 เพื่อขออนุญาตตีพิมพ์หนังสือ \"Dialogue Concerning the Two Chief World Systems\" (บทสนทนาว่าด้วยโลกสองระบบ) ต่อมาได้พิมพ์เผยแพร่ในฟลอเรนซ์ในปี 1632 อย่างไรก็ดี ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น เขาได้รับคำสั่งให้ไปให้การต่อหน้าศาลศาสนาที่กรุงโรม",
"แม้ในยุคของกาลิเลโอ การประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์เพื่อการทดลองฟิสิกส์ยังเป็นเรื่องใหม่ล้ำสมัยมาก แต่กระบวนการคณิตศาสตร์เหล่านั้นกลับกลายเป็นมาตรฐานไปแล้วในยุคปัจจุบัน วิธีวิเคราะห์และพิสูจน์โดยมากอ้างอิงกับทฤษฎีสัดส่วนของ Eudoxus ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มที่ 5 ในชุดหนังสือ The Elements ของยุคลิด เป็นทฤษฎีที่เพิ่งปรากฏขึ้นในช่วงหนึ่งศตวรรษมานี้เอง แต่ในช่วงยุคสมัยของกาลิเลโอ วิธีการที่นิยมกันมากที่สุดคือพีชคณิตของเรอเน เดส์การตส์"
] |
ใครค้นพบพลังงานไฟฟ้าคนแรก ? | [
"ไมเคิล ฟาราเดย์ (English: Michael Faraday) (22 กันยายน ค.ศ. 1791 – 25 สิงหาคม ค.ศ. 1867) เป็นนักเคมีและนักฟิสิกส์ ชาวอังกฤษ เป็นผู้คิดค้นไดนาโมในปี ค.ศ. 1821"
] | [
"การทดลองของฟาราเดย์ในปี 1831 เปิดเผยว่าเส้นลวดที่เคลื่อนที่ตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กจะพัฒนาความต่างศักย์ขึ้นระหว่างปลายทั้งสอง เมื่อทำการวิเคราะห์กระบวนการนี้ต่อไปจึงพบในสิ่งที่เรียกว่าการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาสามารถระบุหลักการที่ปัจจุบันนี้เรียกว่ากฎของการเหนี่ยวนำของฟาราเดย์ ที่ความต่างศักย์ที่ถูกเหนี่ยวนำในวงปิดหนึ่งจะเป็นสัดส่วนกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของฟลักซ์แม่เหล็กที่ผ่านลูป การใช้ประโยชน์จากการค้นพบนี้เปิดโอกาสให้เขาในการประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าตัวแรกในปี 1831 ในเครื่องนี้เขาเปลี่ยนพลังงานกลของจานทองแดงที่กำลังหมุนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า[45] จานของฟาราเดย์ไม่มีประสิทธิภาพและนำไปใช้เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในทางปฏิบัติไม่ได้ แต่มันแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยพวกที่ติดตามการทำงานของเขา",
"สาธารณูปโภคไฟฟ้าทั่วทั้งภูมิภาคจะมีการเชื่อมต่อระหว่างกันหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ประโยชน์ที่หลากหลาย ประการแรกคือความจริงที่ว่าสาธารณูปโภคไฟฟ้าให้ประโยชน์จากธรรมชาติ ของมันในการเป็นระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่และมีการเชื่อมต่อกัน ช่วยให้เกิดการประหยัดจากขนาด ประการที่สอง สาธารณูปโภคสามารถดึงพลังงานจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองจากภูมิภาคที่แตกต่างกันเพื่อให้แน่ใจว่าพลังงานที่ได้จะต่อเนื่องและที่เชื่อถือได้และ ทำให้โหลดของพวกเขามีความหลากหลาย การเชื่อมต่อกันยังช่วยให้ภูมิภาคมีการเข้าถึงพลังงานราคาถูกจำนวนมากโดยได้รับพลังงานจากแหล่งจ่ายที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ภูมิภาค หนึ่งอาจจะผลิตไฟฟ้าพลังน้ำราคาถูกในช่วงฤดูน้ำมาก แต่ในฤดูกาลที่น้ำน้อย พื้นที่อื่นอาจจะผลิตไฟฟ้าพลังงานลมได้ถูกกว่า ช่วยให้ทั้งสองภูมิภาคในการเข้าถึงแหล่งพลังงานราคาถูกจากอีกภูมิภาคหนึ่งในช่วงเวลาที่ต่างกันของปี สาธารณูปโภคเพื่อนบ้านใกล้เคียงยังช่วยให้คนอื่น ๆ ได้รักษาความถี่ของระบบโดยรวม และยังช่วยในการจัดการการถ่ายโอนที่ผูกพันกันระหว่างสาธารณูปโภคของภูมิภาค",
"ต่อมาปี 1884 นาย Thomas Parker ได้คิดค้นรถไฟฟ้าครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เขาได้ออกแบบ แบตเตอรี่ที่มีความจุไฟฟ้าสูง สำหรับใช้ในรถไฟฟ้าของเขา นอกจากนั้นเขาได้สนใจในการสร้างรถที่มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงสูง เพื่อลดควันและมลพิษในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ",
"เขาเริ่มสนใจเกี่ยวกับเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า เขาทดลองเรื่อง อำนาจแม่เหล็กให้เป็นพลังงานไฟฟ้าอยู่หลายครั้ง จนการทดลองหนึ่ง เขาพันขดลวด 2 ขดในวงแหวนอันเดียวกัน โดยต่อปลายทั้งสองของขดลวดหนึ่งเข้ากับ กัลวานอมิเตอร์ และต่อขดลวดที่เหลือกับแหล่งจ่ายไฟและปิดเปิดสวิตซ์ให้กระแสไฟฟ้าผ่านเข้าในขดลวด เขาสังเกตเห็นว่า กัลวานอมิเตอร์ ที่ต่อกับอีกขดหนึ่งนั้นขยับ แสดงว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลในขดที่ 2 ทั้งที่ไม่ได้จ่ายไฟเข้าขดนั้นเลย จากการทดลองนี้เขาพัฒนาเป็นหม้อแปลงไฟฟ้าในเวลาต่อมา เขายังค้นพบเส้นแรงแม่เหล็กจากการ ทดลองเทผงตะไบเหล็ก ลงบนกระดาษที่อยู่บนแม่เหล็ก",
"การคิดค้น\nเริ่มจากแบตเตอรี่ที่สามารถประจุไฟใหม่ได้ ในรถไฟฟ้า คิดค้นได้หลังปี 1859 ค้นคิดโดยนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส Gaston Plante ได้คิดค้นแบตเตอรี่ชนิด ตะกั่ว-กรด ",
"สสารในชีวิตประจำวันจะประกอบด้วยอะตอม ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสันนิษฐานว่ามันเป็นอนุภาคมูลฐานของสสาร คำว่า \"อะตอม\" แปลว่า \"แบ่งไม่ได้\" ในภาษากรีก แม้ว่าการมีอยู่ของอะตอมยังคงเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงประมาณปี 1910 อย่างที่นักฟิสิกส์ชั้นนำบางคนถือว่าโมเลกุลเป็นภาพลวงตาทางคณิตศาสตร์ และถือว่าสสารอย่างสุดขั้วที่สุดจะประกอบด้วยพลังงาน ในไม่ช้า มีการค้นพบว่าอะตอมประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย เมื่อเริ่มทศวรรษที่ 1930 อิเล็กตรอนและโปรตอนได้ถูกค้นพบ พร้อมกับโฟตอนซึ่งเป็นอนุภาคของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงเวลานั้น การค้นพบล่าสุดของกลศาสตร์ควอนตัมได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของแนวคิดของอนุภาค อย่างเช่นอนุภาคเดี่ยวดูเหมือนจะสามารถขยายสนามได้อย่างที่คลื่นสามารถทำได้ (ทวิภาคของอนุภาคกับคลื่น ()) ข้อความที่ขัดแย้งยังคงหลีกเลี่ยงคำอธิบายที่น่าพอใจ",
"เควซาร์ถูกคิดว่าเป็นวงแหวนก๊าซของหลุมดำมวลยวดยิ่ง เพราะว่าไม่มีวัตถุอื่นใดที่ค้นพบแล้วจะมีพลังงานมากพอที่จะแผ่พลังงานได้มาก เควซาร์สามารถที่จะแผ่ออกผ่านสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า รวมไปถึงรังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา และสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลเนื่องจากความสว่างที่มีค่ามาก ประมาณ 5 และ 25% ของเควซาร์เป็นกลุ่มเมฆวิทยุ ที่เรียกอย่างนี้เพราะว่าการแผ่ของคลื่นวิทยุมีกำลังมาก",
"ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าแบบขดลวดเหนี่ยวนำ (coilgun) (หรือ ปืนเกาส์ มีความเกี่ยวข้องกับ คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ ผู้ที่ได้คิดค้นกำหนดรายละเอียดทางคณิตศาสตร์ของผลลัพธ์เกี่ยวกับแม่เหล็กที่ใช้โดยเครื่องเร่งแม่เหล็ก) เป็นชนิดของเครื่องเร่งวัตถุที่ใช้เป็นลูกปืน (projectile) ที่ประกอบไปด้วยหนึ่งขดลวดตัวนำไฟฟ้าหรือมากกว่านั้นเพื่อใช้เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการกำหนดค่าของมอเตอร์เชิงเส้นเพื่อที่จะช่วยในการเร่งความเร็วกระสุนปืนที่ทำจากสารเฟอร์โรแม็กเนติค (ferromagnetic) หรือเรียกว่าการเหนี่ยวนำทางแม่เหล็กไฟฟ้า ให้เคลื่อนที่ออกไปจากปากกระบอกปืนด้วยความเร็วสูง ในเกือบทุกการกำหนดค่าของปืนแม่เหล็กไฟฟ้าแบบขดลวดเหนี่ยวนำนี้, ขดลวดและกระบอกปืนจะถูกจัดเรียงบนแกนร่วมอันเดียวกัน",
"การ ค้นพบตัวนำยวดยิ่ง ที่มีอุณหหภูมิวิกฤตสูงกว่าจุดเดือดของไนโตรเจนเหลว นำมาซึ่งการตื่นตกใจครั้งใหญ่ในวงการฟิสิกส์เป็นอย่างมาก เพราะยังไม่มีใครที่สามารถค้นพบและระบุได้ชัดเจนมาก่อน และเนื่องจากตัวนำยวดยวดยิ่งเป็นสารที่มีความต้านทานไฟฟ้าเป็นศูนย์ที่อุณหภูมิ ต่ำกว่าอุณหภูมิวิกฤต และไนโตรเจนเหลวเป็นสารหล่อเย็นที่มีราคาถูก โดย ไนโตรเจนเหลวจะมีราคาประมาณ 1,000 บาทต่อ 100 ลิตร คิดแล้วก็ประมาณลิตรละ 10 บาท ส่วนน้ำดื่มที่ขายเป็นขวดๆละ 1 ลิตรราคาก็เกือบ 10 บาท ดั้งนั้นอาจกล่าวได้ว่าสำหรับประเทศไทยไนโตรเจนเหลว มีราคาถูกพอๆกับน้ำเปล่า และเมื่อมีการใช้งานมากขึ้นราคาก็จะถูกลงได้อีก ดังนั้นจะมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะใช้ตัวนำยวดยิ่งทำสายไฟในอุปกรณ์ไฟฟ้าและจะไม่มีการสูญเสียพลังงานให้ กับความต้านทานทำให้ได้เครื่องใช้ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่จะมีการสูญเสียพลังงานและค่าใช้จ่ายให้กับไนโตรเจนเหลวแทน และเนื่องจากตัวนำยวดยิ่งยังมีสมบัติอื่นอีก เช่น การลอยตัวนิ่งเหนือแท่งแม่เหล็ก ซึ่งมีการนำไปประยุกต์ทำรถไฟฟ้าได้แล้ว ทำให้ตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิสูงเป็นสารที่ได้รับความสนใจมากๆ",
"ข้อดีของรถพลังงานไฟฟ้าที่เหนือกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในรวมถึงการลดการใช้มลพิษทางอากาศ เพราะมันไม่ปล่อยไอเสียมาจากท่อไอเสีย ในหลายกรณี การลดแก๊สเรือนกระจกโดยรวมเป็นจำนวนมากและการปล่อยควัน (ขึ้นกับเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า) และใช้น้ำมันน้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุให้คำนึงถึงราคาน้ำมันอ่อนตัวและอุปทานหยุดชะงักในหลายประเทศ แต่การประยุกต์ใช้รถพลังงานไฟฟ้าอย่างแพร่หลายต้องประสบกับอุปสรรคและข้อจำกัดมากมาย เช่น ราคาที่สูงกว่า ขาดโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จพลังงาน (นอกจากการชาร์จตามที่อยู่อาศัย) และความกังวลพิสัย (ความกลัวที่เกิดในคนขับว่าพลังงานไฟฟ้าที่เก็บในแบตเตอรี่จะหมดก่อนจะถึงที่หมาย เนื่องจากพิสัยที่มีจำกัดในรถพลังงานไฟฟ้า) ",
"วิศวกรรมกำลังไฟฟ้า () หรือที่เรียกว่า วิศวกรรมระบบไฟฟ้า เป็นสาขาย่อยของ วิศวกรรมพลังงาน และ วิศวกรรมไฟฟ้า ที่เกี่ยวข้องกับ การผลิตไฟฟ้า, การส่งกำลังไฟฟ้า, การกระจายกำลังไฟฟ้า, การใช้ให้เป็นประโยชน์ () และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับระบบดังกล่าวจะรวมถึง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า, มอเตอร์ และ หม้อแปลงไฟฟ้า แม้ว่าสาขานี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับปัญหาของ ไฟ AC สามเฟส - ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการจัดส่งและการจัดจำหน่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั่วโลกสมัยใหม่ - ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่สำคัญของสาขานี้จะเกี่ยวข้องกับการแปลงระหว่าง กำลังไฟ AC และ DC และการพัฒนาระบบกำลังพิเศษเช่นที่ใช้ในยานอากาศหรือสำหรับเครือข่ายไฟฟ้าระบบราง วิศวกรรมกำลังไฟฟ้าดึงส่วนใหญ่ของฐานทฤษฎีของมันจากวิศวกรรมไฟฟ้าและในขณะที่วิศวกรกำลังไฟฟ้าบางคนอาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นวิศวกรพลังงาน, วิศวกรพลังงานมักจะไม่มีพื้นหลังทางทฤษฎีของวิศวกรรมไฟฟ้าที่จะเข้าใจวิศวกรรมกำลังไฟฟ้าได้",
"นักร่วมทุน จอห์น ดัวร์ แก้ข้อกล่าวหาว่าเซิร์ฟเวอร์พลังงานของบลูมมีราคาถูกกว่าและสะอาดกว่ากริด (ไฟฟ้า)[1][35]. ผู้เชี่ยวชาญที่ Gerson Lehrman Group เขียนว่า, ถ้าการสูญเสียในสายส่งกระแสไฟฟ้าของวันนี้อยู่ที่ประมาณ 7% และโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซขนาดยูทิลิตี้มีประสิทธิภาพที่ 33-48%, เซิร์ฟเวอร์พลังงานบลูมจะมีประสิทธิภาพถึงสองเท่าของโรงไฟฟ้าใช้ก๊าซ[2]. นิตยสารฟอร์จูนระบุว่า \"บลูมยังไม่ได้บอกค่าใช้จ่ายของบลูมบ๊อกว่าเป็นเท่าไรในการดำเนินการต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง\" และประมาณการว่าก๊าซธรรมชาติมากกว่าก๊าซชีวภาพที่จะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลัก[36]. ผู้สื่อข่าว AP โจนาธาน Fahey ในนิตยสารฟอร์บเขียน: \"พวกเราจะตกหลุมนี้อีกครั้งจริงหรือ? ทุกๆบริษัทเทคโนโลยีสะอาดในโลกบอกว่าพวกมันสามารถผลิตพลังงานสะอาดด้วยราคาถูก, ยังไม่มีใครทำได้สักคน. เงินอุดหนุนหรือฉันทานุมัติของรัฐบาลทำให้อุตสาหกรรมทั่วโลกทำอะไรได้ไม่มีข้อจำกัด. ส่งมันให้กับบลูม, บริษัทได้มีการจัดการที่จะเจาะเข้าไปในเครื่องเหลือเชื่อเหมือนไม่มีบริษัทเทคโนโลยีสะอาดอื่นๆในความทรงจำ\"[37].",
"ชาร์ลส์ Merz แห่งห้างหุ้นส่วนที่ปรึกษา Merz & McLellan ได้สร้างสถานีพลังงาน Neptune Bank ใกล้ Newcastle upon Tyne ในปี 1901 และ ในปี 1912 ได้พัฒนาให้เป็นระบบพลังงานแบบบูรณาการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ในปี 1905 เขาพยายามที่จะใช้อิทธิพลต่อรัฐสภาเพื่อรวมความหลากหลายของแรงดันไฟฟ้าและความถี่ในอุตสาหกรรมการจำหน่ายไฟฟ้าของประเทศแต่ มันทำไม่ได้จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่รัฐสภาเริ่มที่จะรับความคิดนี้อย่างจริงจัง ด้วยการแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการรัฐสภา ในการแก้ไขปัญหา ในปี 1916 Merz ได้ชี้ให้เห็นว่าสหราชอาณาจักรสามารถใช้ขนาดเล็กที่เล็กของประเทศเพื่อประโยชน์ของตน โดยการสร้างกริดการกระจายอย่างหนาแน่น เพื่อป้อน อุตสาหกรรมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การค้นพบของเขานำไปสู่รายงานของวิลเลียมสันประจำปี 1918 ซึ่งมีผลในการสร้างราชบัญญัติการจำหน่ายไฟฟ้าปี ค.ศ. 1919 การเรียกเก็บเงินเป็นขั้นตอนแรกที่ไปสู่ระบบไฟฟ้าแบบบูรณาการ",
"ในเดือนมีนาคม 2011 เหตุฉุกเฉินนิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิม่า I และการปิดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆในโรงงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นทำให้เกิดคำถามในหมู่นักวิจารณ์บางคนเกี่ยวกับอนาคตของการฟื้นฟู[226][227][228][229][230]. Platts ได้รายงานว่า \"วิกฤตที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima ของญี่ปุ่นได้ย้ำเตือนประเทศชั้นนำต่างๆที่ใช้พลังงานให้ตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์ที่มีอยู่ของพวกเขาและตั้งข้อสงสัยกับความเร็วและขนาดของแผนการขยายทั่วโลก\"[231]. ในปี 2011 ซีเมนส์เดินออกจากภาคพลังงานนิวเคลียร์ตามหลังภัยพิบัติที่ Fukushima และการเปลี่ยนแปลงที่สืบเนื่องของนโยบายพลังงานของเยอรมันและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานของรัฐบาลเยอรมันที่วางแผนจะใช้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน[232]. จีน, เยอรมัน, สวิตเซอร์แลนด์, อิสราเอล, มาเลเซีย, ไทย, สหราชอาณาจักร, อิตาลี[233] และฟิลิปปินส์ ได้ทบทวนโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา. อินโดนีเซียและเวียดนามยังคงวางแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์[234][235][236][237]. ประเทศต่างๆเช่นออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เดนมาร์ก, กรีซ, ไอร์แลนด์, ลัตเวีย, Liechtenstein, ลักเซมเบิร์ก, โปรตุเกส, อิสราเอล, มาเลเซีย, นิวซีแลนด์ และนอร์เวย์ยังคงคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์. หลังการเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ฟูกูชิม่า I, สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศได้ลดลงครึ่งหนึ่งของประมาณการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ที่สร้างในปี 2035[238].",
"ในการตอบคำถามว่าใครเป็นผู้ประดิษฐ์หลอดไส้ นักประวัติศาสตร์โรเบิร์ต ฟรีเดล และพอล อิสราเอล ทำรายการนักประดิษฐ์หลอดไส้ 22 คน ก่อนโจเซฟ สวอน และโทมัส เอดิสัน พวกเขาสรุปว่ารุ่นของเอดิสันนั้นล้ำหน้ากว่าของคนอื่น เพราะองค์ประกอบสามปัจจัย ได้แก่ (1) วัสดุเปล่งแสงที่มีประสิทธิภาพ, (2) สุญญากาศที่สูงกว่าที่คนอื่น ๆ สามารถทำสำเร็จ และ (3) ความต้านทานไฟฟ้าที่สูงซึ่งทำให้การแจกจ่ายพลังงานจากแหล่งกลางทำงานได้อย่างประหยัด",
"พลังงานที่ว่านี้ไม่สามารถจะทำให้สูญสลายไปได้ เว้นแต่ว่าจะแปรเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของพลังงานในรูปแบบอื่น ยกตัวอย่างเช่นและยังมีพลังงานอีกหลายรูปแบบที่เราสามารถนำมาใช้ได้แต่ยังไม่ได้นำมาใช้หรือยังไม่ได้คิดค้นขึ้นมา เช่น พลังงานจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบฟิวชั่น เป็นต้นพลังงาน (energy) คือความสามารถทำงานได้ในช่วงเวลาหนึ่ง หรือระยะทางหนึ่ง เช่นเราเปิดไฟแสงสว่าง 100 วัตต์ทิ้งไว้ 24 ชม หมายความว่า เราใช้พลังงานไป 100x24=2400 วัตต์-ชม หรือ 2.4 kWh หรือ 2.4 หน่วยไฟฟ้า คือต้องมีหน่วยบอกเวลาหรือระยะทางเสมอ",
"เพื่อตั้งบริการตราเวลาแบบกระจายโดยใช้เครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ บิตคอยน์ใช้ระบบพิสูจน์ว่าได้ทำงาน (proof-of-work system)\nงานบริการเช่นนี้บ่อยครั้งเรียกว่า การขุดหาบิตคอยน์ (bitcoin mining)\nค่าแฮชที่เป็นค่าพิสูจน์จะต้องค้นพบ ไม่ใช่อะไรที่สามารถรู้ล่วงหน้าได้\nเป็นงานที่ใช้พลังงานมาก\nค่าไฟฟ้าอาจเป็นค่าใช้จ่ายถึง 90% ของผู้ขุดหาเหรียญ\nศูนย์ข้อมูลในจีน ซึ่งออกแบบเพื่อขุดหาเหรียญบิตคอยน์โดยหลัก คาดว่าจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 135 เมกะวัตต์",
"โดยโลหะที่ทดลองเพิ่มเติมเหล่านี้มีค่าอุณหภูมิวิกฤต เท่ากับ 3.69, 7.26 และ 9.2 เคลวิน ตามลำดับ ในการค้นพบตัวนำยวดยิ่งยุคแรกๆ ค่าอุณหภูมิวิกฤตของสารค่อนข้างต่ำโดยไม่เกิน 10 เคลวิน และเรียกตัวนำยวดยิ่งกลุ่มนี้ว่าตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิต่ำ (Low Temperature Superconductors) หรือ ตัวนำยวดยิ่งแบบดั้งเดิม (Conventional Superconductors)\nเมื่อตัวนำยวดยิ่งที่ไร้สภาพต้านทานไฟฟ้า จะทำให้กระแสที่ให้เข้าไปไม่มีการสูญเสียพลังงานเมื่อเวลาผ่านไป เรียกกระแสไฟฟ้านี้ว่า กระแสไฟฟ้ายืนยง (Persistent Current) หรือกระแสไฟฟ้ายวดยิ่ง (Supercurrent) ",
"และแม้แต่ในปัจจุบัน เครื่องจักรไอน้ำหรือกลไกที่ถูกพัฒนาขึ้นจากเครื่องจักรไอน้ำยังคงปรากฏซ่อนอยู่ในเครื่องจักรเครื่องกลแทบทุกประเภท เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน จนถึง กระบอกสูบในรถยนต์ หรือในเครื่องบินในปัจจุบันนั้นมีการค้นพบรูปแบบใหม่ๆในการนำเครื่องจักรไอน้ำไปใช้งาน การค้นพบครั้งล่าสุดถูกค้นพอโดนลูกชายของโทมัส นิวโครแมน โดยชื่อที่ใช้ในการค้นพบคือ อเล็กซ์ซี่ นิวโครแมน ซึ่งถูกค้นพบเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 สิ่งที่ได้ค้นพบในวันนั้นคือการนำเครื่องจักรไอน้ำไปใช้เป็นระเบิดไอน้ำซึ่งรัศมีการระเบิดมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 1.5 กิโลเมตร. ต่อมาได้นำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้แทนพลังงานไฟฟ้าแต่เนื่องจากการใช้เครื่องจักรไอน้ำผลิตกระแสไฟฟ้านั้นสิ้นเปลืองทรัพยากรเป็นอย่างมากจึงมีการประกาศเลิกใช้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2538",
"สถาบันวิจัย INET ทำทีมโดย ศาตราจารย์ คุโบตะได้ ค้นพบ ว่า อีกไม่นาน ปีศาจต่างมิติที่เรียกตนเอง ว่า เนจิเรเซีย จะมาโจมตีโลกมนุษย์ ทีมงานวิจัยจึงค้นคว้าและประดิษฐ์ อาวุธ และ ชุดเพิ่มพลัง โดยอาศัย เกมบังหน้า มีชื่อทีมว่า เมกะเรนเจอร์ และคอยดูว่าใครที่เล่นเกมเมกะเรนเจอร์ ได้ เก่ง ก็จะนำคนนั้น มาเป็น เมกะเรนเจอร์ (โดยใช้เกมเป็น แบบทดสอบผู้มีคุณสมบัติ ) และแล้ว เนจิเรเซียก็ บุกมาโจมตี พอดี",
"หลักการที่อยู่เบื้องหลังผลิตผลของแรงทางกลของมอเตอร์ก็คือการมีปฏิสัมพันธ์กันของกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่มีอยู่ในตัวมอเตอร์ กฎของแอมแปร์ถูกค้นพบโดย อ็องเดร-มารี อ็องแปร์ (André-Marie Ampère) ในปี 1820 การเปลี่ยนแปลงพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานกลโดยวิธีการทางแม่เหล็กไฟฟ้าได้ถูกแสดงให้เห็นโดย ไมเคิล ฟาราเดย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษในปี 1821 ลวดแขวนอย่างอิสระถูกจุ่มลงในแอ่งของปรอทซึ่งมีสารแม่เหล็กถาวร (PM) ได้ถูกนำมาวางไว้",
"นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนได้เริ่มเรียกร้องให้มีการปลดระวางโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่นรวมทั้ง Amory Lovins ผู้ซึ่งอ้างว่า \"ญี่ปุ่นยากจนในเรื่อง\"เชื้อเพลิง\" แต่ร่ำรวยที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่สำคัญทั้งหมดในด้าน\"พลังงาน\"หมุนเวียนที่สามารถตอบสนองความต้องการพลังงานระยะยาวทั้งหมดของญี่ปุ่นด้วยต้นทุนและความเสี่ยงที่ต่ำกว่าแผนในปัจจุบัน อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นสามารถทำได้เร็วกว่าใคร \"ถ้า\"ผู้กำหนดนโยบายของญี่ปุ่นรับทราบและอนุญาตให้ทำ\" เบนจามิน เค Sovacool ยืนยันว่าญี่ปุ่นน่าจะได้ใช้ประโยชน์ในรากฐานพลังงานหมุนเวียนของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีทั้งหมด \"324 GW ของศักยภาพที่สามารถทำได้ในรูปแบบของกังหันลมบนบกและนอกชายฝั่ง (222 GW), โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ (70 GW), กำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มเติม (26.5 GW), พลังงานแสงอาทิตย์ (4.8 GW) และสารตกค้างทางการเกษตร (1.1 GW)\" ทัศนคติจะต้องมีที่นี่เช่นกัน เพื่อจัดหาความต้องการพลังงานทั้งหมดของญี่ปุ่นด้วยลมที่ 2.5 W/m และปฏิบัติงาน / ของเวลา มันต้องการ 127.3 ล้าน คูณด้วย 7,847.8 kWh/ปี ซึ่งจะต้องมีฟาร์มลมที่ครอบคลุม 5 หมื่นล้าน/365 m หรือประมาณ 140,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 40% ของพื้นที่ญี่ปุ่นที่ 377,944 km สวนพลังงานแสงอาทิตย์ของเยอรมนีในบาวาเรียผลิตประมาณ 5 W/m ของพื้นที่ ดังนั้นจึงต้องการพื้นที่ 70,000 กิโลเมตร",
"เจมส์ เพรสคอต จูล () นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ เป็นผู้ค้นพบธรรมชาติของความร้อนและความสัมพันธ์กับพลังงานกล ซึ่งก่อให้เกิดหลักการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งนั่นก็คืออุณหพลศาสตร์ และเขายังได้ค้นพบความสัมพันธ์ของความต้านทานไฟฟ้าและความร้อนที่ปล่อยออกมา ซึ่งนั้นคือ กฎของจูล ต่อมาชื่อของเขาได้ถูกตั้งให้เป็นชื่อหน่วยของงานและพลังงาน ในระบบหน่วยเอสไอ",
"โดยโลหะที่ทดลองเพิ่มเติมเหล่านี้มีค่าอุณหภูมิวิกฤต เท่ากับ 3.69, 7.26 และ 9.2 เคลวิน ตามลำดับ ในการค้นพบตัวนำยวดยิ่งยุคแรกๆ ค่าอุณหภูมิวิกฤตของสารค่อนข้างต่ำโดยไม่เกิน 10 เคลวิน และเรียกตัวนำยวดยิ่งกลุ่มนี้ว่าตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิต่ำ (Low Temperature Superconductors) หรือ ตัวนำยวดยิ่งแบบดั้งเดิม (Conventional Superconductors)\nเมื่อตัวนำยวดยิ่งที่ไร้สภาพต้านทานไฟฟ้า จะทำให้กระแสที่ให้เข้าไปไม่มีการสูญเสียพลังงานเมื่อเวลาผ่านไป เรียกกระแสไฟฟ้านี้ว่า กระแสไฟฟ้ายืนยง (Persistent Current) หรือกระแสไฟฟ้ายวดยิ่ง (Supercurrent) ",
"นิวเคลียร์ฟิชชันของธาตุหนักถูกค้นพบเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1938 โดยชาวเยอรมัน นายอ็อตโต ฮาห์นและผู้ช่วยของเขา นายฟริตซ์ Strassmann และได้รับการอธิบายในทางทฤษฎีในเดือนมกราคมปี 1939 โดยนาง Lise Meitner และหลานชายของเธอ นายอ็อตโต โรเบิร์ต Frisch. Frisch ได้ตั้งชื่อกระบวนการนี้โดยการเปรียบเทียบกับฟิชชันทางชีวภาพของเซลล์ที่มีชีวิต มันเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน () อย่างหนึ่งซึ่งสามารถปลดปล่อยพลังงานจำนวนมากในรูปของทั้งรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าและพลังงานจลน์ของชิ้นส่วนย่อยที่แตกออก (ความร้อนที่ให้กับวัสดุที่เป็นกลุ่มในขณะที่ปฏิกิริยาการแบ่งแยกเกิดขึ้น) เพื่อให้การหลอมสามารถผลิตพลังงานขึ้นมาได้ พลังงานยึดเหนี่ยวนิวเคลียสโดยรวมขององค์ประกอบที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นลบน้อยกว่า (พลังงานที่สูงขึ้น) กว่าพลังงานขององค์ประกอบช่วงเริ่มต้น",
"แม้ว่าแรงที่อ่อนแอและแรงแม่เหล็กไฟฟ้าจะปรากฏต่อเราค่อนข้างแตกต่างกับพลังงานในชีวิตประจำวันก็ตาม ทั้งสองแรงนี้ก็ถูกตั้งเป็นทฤษฏีเพื่อที่จะรวมกันเป็นแรงเดียวที่เรียกว่าเรงไฟฟ้าอ่อนแอ () ที่พลังงานสูง เห็นได้ชัดว่าคำทำนายนี้ได้รับการยืนยันจากการตรวจวัดพื้นที่หน้าตัดสำหรับการกระจายอิเล็กตรอน-โปรตอนแบบพลังงานสูงที่เครื่องทดลองการชนของเครื่องเร่งอนุภาคเยอรมันชื่อว่า Hadron Elektron Ring Anlage (HERA) ที่ Deutsches Elektronen-Synchrotron (English German Electron Synchrotron) (DESY) ความแตกต่างทั้งหลายที่พลังงานต่ำเป็นผลมาจากมวลที่สูงมากของ W และ Z โบซอน, ซึ่งเป็นผลมาจากกลไกของฮิกส์. ด้วยกระบวนการของ'การแตกออกแบบสมมาตรที่เกิดขึ้นเอง' ฮิกส์เลือกทิศทางหนึ่งที่พิเศษในพื้นที่ไฟฟ้าอ่อนแอที่จะทำให้อนุภาคไฟฟ้าอ่อนแอสามตัวมีน้ำหนักมาก (โบซอนอ่อนแอทั้งหลาย) และทำให้ตัวหนึ่งยังคงปราศจากมวล (โฟตอน) ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2012 หลังจากหลายปีของการค้นหาด้วยการทดลองเพื่อหาหลักฐานของการดำรงอยู่ของมัน, ฮิกส์โบซอนได้รับการประกาศว่าสามารถสังเกตได้ที่เครื่องทดลองการชนแฮดรอนขนาดใหญ่ () ของ CERN นายปีเตอร์ ฮิกส์ เป็นคนแรกที่ค้นพบการดำรงอยู่ของฮิกส์โบซอนได้ปรากฏตัวที่การประกาศนั้น เชื่อกันว่าฮิกส์โบซอนมีมวลประมาณ 125 GeV 'คุณค่าทางสถิติ'ของการค้นพบนี้ถูกรายงานว่า 5 ซิกมา ซึ่งหมายถึงความเชื่อมั่นอยู่ที่ประมาณ 99.99994% ในฟิสิกส์ของอนุภาค นี้เป็นระดับของคุณค่าที่จำเป็นในการขึ้นป้ายอย่างเป็นทางการว่าการสังเกตที่ได้จากการทดลองเป็น'การค้นพบ' การวิจัยในคุณสมบัติต่าง ๆ ของอนุภาคที่ถูกค้นพบใหม่มีการดำเนินการต่อไป",
"อาเลสซานโดร เป็นผู้บุกเบิกการผลิตไฟฟ้าและพลังงานซึ่งเป็นเครดิตในฐานะ ผู้ประดิษฐ์แบตเตอรี่ไฟฟ้าและผู้ค้นพบก๊าซมีเทน เขาได้คิดค้นกองเชื้อเพลิงในปี ค.ศ. 1799 และได้รายงานผลการทดลองของเขาในปี ค.ศ. 1800 ในจดหมายฉบับที่สองถึงประธานาธิบดีแห่งราชสมาคมด้วยการประดิษฐ์นี้ Volta พิสูจน์ให้เห็นว่ากระแสไฟฟ้าสามารถเกิดขึ้นได้ทางเคมีและหักล้างทฤษฎีที่แพร่หลายว่ากระแสไฟฟ้าถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์เท่านั้น สิ่งประดิษฐ์ของ Volta กระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นทางวิทยาศาสตร์และนำไปสู่การทดลองอื่น ๆ ที่นำไปสู่การพัฒนาด้านไฟฟ้าเคมีในที่สุด",
"ในตอนนั้น เออร์สเตด ไม่ได้ให้คำอธิบายของปรากฏการณ์อันนั้นให้เป็นที่น่าพอใจได้ และก็ไม่ได้พยายามที่จะนำเสนอปรากฏการณ์ในรูปแบบของคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตาม อีกสามเดือนต่อมา เขาก็เริ่มค้นคว้าหาสาเหตุอย่างจริงจัง ไม่นานเขาก็พิมพ์สิ่งที่เขาค้นพบ พิสูจน์ว่ากระแสไฟฟ้าสร้างสนามแม่เหล็กเมื่อมีกระแสไหลผ่านเส้นลวด คำว่า เออร์สเตด จึงเป็นหน่วยวัดการเหนี่ยวนำของแม่เหล็ก ถูกตั้งให้เป็นเกียรติแก่เขาในฐานะมีคุณูปการต่อวิชาการด้านทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า\nการค้นพบของเออร์สเตดมีผลทำให้มีการค้นคว้าในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์กันอย่างมากมายในเรื่อง พลศาสตร์ไฟฟ้า หรืออิเล็กโทรไดนามิกส์ (electrodynamics; การปฏิสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและแม่เหล็ก) สาขานี้มีอิทธิพลต่อนักฟิสิกซ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ อ็องเดร-มารี อ็องแปร์ ที่พัฒนารูปแบบทางคณิตศาสตร์แบบเดียวเพื่อแสดงอำนาจแม่เหล็กระหว่างตัวนำหลายตัวที่มีกระแสไหลผ่าน การค้นพบของเออร์สเตดยังเป็นก้าวสำคัญในการทำให้กรอบความคิดเกี่ยวกับพลังงานเป็นหนึ่งเดียว\nการเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ไมเคิล ฟาราเดย์ นำไปใช้ ขยายเพิ่มเติมโดยเจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ และสร้างสูตรบางส่วนขึ้นมาโดยโอลิเวอร์ เฮฟวีไซด์ และไฮน์ริช เฮิร์ตซ์ เป็นความสำเร็จอย่างสำคัญสำหรับฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 ผลที่ตามมาไปไกลมาก หนึ่งในนั้นก็คือความเข้าใจในธรรมชาติของแสง ไม่เหมือนกับสิ่งที่นำเสนอในทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า แสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่น ๆ ในปัจจุบันถูกมองว่าอยู่ในรูปของปริมาณที่แน่นอน เป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่รังสีออกไปด้วยตัวเองในรูปคลื่นแกว่งไปมาซึ่งถูกเรียกว่าโฟตอน ความถี่ในการแกว่งที่ต่างกันทำให้รูปแบบการแผ่อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน จากคลื่นวิทยุที่มีความถี่ต่ำสุด ไปจนถึงความถี่ขนาดกลางที่เป็นแสงมองเห็นได้ และความถี่สูงสุดเป็นรังสีแกมมา",
"ในปี 1887 ไฮน์ริช เฮิร์ตซ์[17]:843–844[18] ค้นพบว่าขั้วไฟฟ้าที่เรืองแสงด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเลตจะสร้างประกายไฟฟ้าได้ง่ายมาก ในปี 1905 อัลเบิรต ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์เอกสารที่อธิบายข้อมูลการทดลองจากผลกระทบโฟโตอิเล็กตริกเมื่อการเป็นผลลัพธ์ของพลังงานแสงที่กำลังถูกนำส่งในแพกเกตที่แปลงเป็นปริมาณที่ไม่ต่อเนื่อง เป็นการใส่พลังงานให้กับอิเล็กตรอน การค้นพบนี้นำไปสู่การปฏิวัติควอนตัม ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1921 สำหรับ \"การค้นพบกฎของผลกระทบโฟโตอิเล็กตริก\"[19] ผลกระทบโฟโตอิเล็กตริกยังถูกใช้ในโฟโตเซลล์อย่างที่สามารถพบได้ในเซลล์แสงอาทิตย์อีกด้วยและเซลล์นี้มักจะถูกใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อการพานิชย์",
"การแสวงหาพลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้าได้เริ่มทันทีหลังจากการค้นพบในต้นศตวรรษที่ 20 ที่ธาตุกัมมันตรังสี, เช่นเรเดียม, ปล่อยพลังงานออกมาจำนวนมหาศาลตามหลักการของความเท่าเทียมกันของมวลกับพลังงาน(English: mass–energy equivalence). อย่างไรก็ตาม วิธีการใช้ประโยชน์จากพลังงานดังกล่าวก็ยังทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ, เพราะธาตุที่มีกัมมันตรังสีอย่างเข้มข้น, โดยธรรมชาติของพวกมัน, มีอายุสั้น (การปลดปล่อยพลังงานสูงมีความสัมพันธ์กับครึ่งชีวิตสั้น). อย่างไรก็ตาม ความฝันของการใช้ประโยชน์ \"พลังงานปรมาณู\" ค่อนข้างเข้มแข็ง, แม้ว่าจะถูกเมินเฉยจากบิดาของฟิสิกส์นิวเคลียร์เช่น Ernest Rutherford ว่าเป็นแค่ \"แสงจันทร์\" [25]. อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้เปลี่ยนแปลงไปในปลายปี 1930s เมื่อมีการค้นพบนิวเคลียร์ฟิชชัน."
] |
การ์ตูนเรื่อง เซนต์เซย์ย่า ออกอากาศครั้งแรกเมื่อไหร่? | [
"เซนต์เซย์ย่าถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของอะนิเมะ และออกฉายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2529 โดยบริษัท โตเอแอนิเมชัน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจนได้ออกอากาศติดต่อกันนานเกือบ 3 ปี นอกจากนี้ยังได้แพร่ภาพทางโทรทัศน์ในประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศ ทั้งในแถบเอเชียด้วยกัน เช่น ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีการนำเซนต์เซย์ย่ามาออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยใช้ชื่อว่า \"เซย่า เทพบุตรหมัดดาวหาง\" จากนั้นก็ได้ออกอากาศซ้ำอีกในปี พ.ศ. 2547 ทางสถานีโทรทัศน์ยูบีซี (ทรูวิชั่นส์ ในปัจจุบัน) และมีการนำออกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดย บริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด ด้วย นอกจากนี้เซนต์เซย์ย่ายังได้รับการดัดแปลงเป็นสื่อในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ภาพยนตร์ ละครเวที เกม และของเล่นต่าง ๆ"
] | [
"เซนต์เซย์ย่าได้รับการสร้างเป็นอะนิเมะ โดยบริษัทโตเอแอนิเมชัน และออกอากาศทางสถานีทีวีอาซาฮี ทุกวันเสาร์ เวลา 19.00 - 19.30 น. ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2529 ถึง 1 เมษายน พ.ศ. 2532[23] มีความยาวตอนละ 20 นาทีโดยประมาณ[24] เซนต์เซย์ย่าฉบับโทรทัศน์นั้น แบ่งเป็น 5 ภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาค 1 เซนต์แห่งอาธีน่า (ตอนที่ 1-22) ภาค 2 นักรบเกราะเงิน (ตอนที่ 23-40) ภาค 3 ปราสาท 12 ราศี (ตอนที่ 41-74) ภาค 4 อัศวินแห่งแอสการ์ด (ตอนที่ 75-99) และภาค 5 เจ้าสมุทรโปเซดอน (ตอนที่ 100-114) รวม 114 ตอนจบ โดยเนื้อเรื่องหลักนั้นนำมาจากฉบับหนังสือการ์ตูน แต่ได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเข้าไป โดยเฉพาะภาค \"อัศวินแห่งแอสการ์ด\" นั้นเป็นภาคที่แต่งขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในเซนต์เซย์ย่าฉบับหนังสือการ์ตูน นอกจากนี้ชุดคล็อธของเซนต์บางคน เช่น เหล่าบรอนซ์เซนต์ ยังมีความแตกต่างจากฉบับหนังสือการ์ตูน",
"ในประเทศไทย \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ แซงก์ทัวรี่\" ได้รับลิขสิทธิ์และวางจำหน่ายโดย บริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด ส่วน \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ อินเฟอร์โน\" และ \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ เอลิเชียน\" ได้รับลิขสิทธิ์และวางจำหน่ายโดย DEX",
"เลโอ เรกูลัส เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่องเซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส ซึ่งเป็นโกลด์เซนต์ประจำราศีสิงห์และผู้ดูแลปราสาทราชสีห์ 1 ใน 12 ปราสาทในแซงค์ทัวรี่",
"เซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส () เป็นเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบหนังสือการ์ตูนอย่างเป็นทางการอีกภาคหนึ่ง แต่งเนื้อเรื่องโดย มาซามิ คุรุมาดะ วาดภาพโดย ชิโอริ เทชิโรงิ เนื้อเรื่องกล่าวถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งก่อน เช่นเดียวกับภาค Next Dimension ซึ่งทั้ง 2 ภาคนี้มีเนื้อเรื่องที่ขนานกัน แต่มีความสัมพันธ์กันเพียงแค่บางส่วน ปัจจุบันภาคนี้ในญี่ปุ่นตีพิมพ์ออกมาแล้ว 114 ตอน ส่วนฉบับรวมเล่มออกมาถึงเล่ม 13 และได้รับการสร้างเป็นโอวีเอโดย TMS ในปี 2552",
"อาธีนาและเซนต์แห่งอาธีน่า เป็นตัวละครจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง เซนต์เซย์ย่า ซึ่งเซนต์แห่งอาธีน่าเป็นเซนต์ประจำกลุ่มดาวทั้ง 88 มีหน้าที่ปกป้องอาธีนา โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ บรอนซ์เซนต์ ซิลเวอร์เซนต์ และโกลด์เซนต์ แต่ในบรรดานั้นก็มีเซนต์บางคนที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มดาวทั้ง 88 รวมไปถึงเซนต์ที่ไม่มีกลุ่มดาวประจำตัวอย่าง สตีลเซนต์ แบล็กเซนต์ และโกสต์เซนต์ด้วย",
"เพกาซัส เท็มมะ (LS)หรือเพกาซัสเท็มมะ เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่องเซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดสเป็นเซนต์ประจำกลุ่มดาวเพกาซัสและตัวเอกในภาคนี้ และเป็นตัวเอกเช่นเดียวกับภาค Next Dimension แต่มีเนื้อเรื่องที่แตกต่างกัน",
"นอกจากฉบับที่ออกฉายทางโทรทัศน์แล้ว เซนต์เซย์ย่า ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย จนถึงปัจจุบัน เซนต์เซย์ย่าฉบับภาพยนตร์ออกฉายแล้วจำนวน 5 ภาค โดยภาคสงครามเทพีอีริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำ เป็นฉบับภาพยนตร์ที่มีการออกฉายเป็นภาคแรกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 และฉบับภาพยนตร์ล่าสุด คือ ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์ ซึ่งออกฉายเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547[24] อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องของฉบับภาพยนตร์ใน 4 ภาคแรก ได้แก่ ภาคสงครามเทพีเอริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำ ภาคสงครามเทพเจ้าโอดีนแห่งแอสการ์ด ภาคสงครามสุริยเทพอาเบล และภาคสงครามครั้งสุดท้าย ความทะเยอทะยานของลูซิเฟอร์นั้นไม่ได้แต่งขึ้นโดยมะซะมิ คุรุมะดะ เรื่องราวและตัวละครต่าง ๆ จึงอาจจะมีความขัดแย้ง และไม่ต่อเนื่องกับรายละเอียดของเซนต์เซย์ย่าฉบับหนังสือการ์ตูน แต่ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์นั้น เป็นฉบับภาพยนตร์ภาคเดียวที่แต่งขึ้นโดยมะซะมิ คุรุมะดะ เป็นการเกริ่นถึงเรื่องราวภายหลังจากสงครามศักดิ์สิทธิ์กับฮาเดสเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีการคาดหมายว่า การที่มะซะมิ คุรุมะดะ แต่งภาพยนตร์ฉบับนี้ขึ้นมานั้น เขาอาจจะแต่งเซนต์เซย์ย่าในภาคต่อไป คือ ภาคสวรรค์ หรือ Tenkai hen ขึ้นมาในภายหน้านั่นเอง[24] เซนต์เซย์ย่าฉบับภาพยนตร์นั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้",
"มาซามิ คุรุมาดะ () เกิด 6 ธันวาคม พ.ศ. 2496 เป็นนักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักในฐานะผู้แต่งเรื่อง เซนต์เซย์ย่า จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์",
"สำหรับประเทศไทย เซนต์เซย์ย่าเคยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยใช้ชื่อว่า \"เซย่า เทพบุตรหมัดดาวหาง\" ซึ่งได้ออกอากาศซ้ำหลายครั้งทางช่อง 3 ต่อมาในปี พ.ศ. 2547 ก็ได้มีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกครั้งทางสถานีโทรทัศน์ยูบีซี หรือ ทรูวิชั่นส์ ในปัจจุบัน และออกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดยบริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด จำนวน 57 แผ่นจบ[25] ต่อมาได้มีการผลิตและออกวางจำหน่ายอีกครั้งในรูปแบบ DVD โดย DEX คาดว่าจะมีจำนวน 23 แผ่นจบ[26]",
"ปี พ.ศ. 2545 เซนต์เซย์ย่า ถูกนำมาสร้างเป็นอะนิเมะอีกครั้งในรูปแบบโอวีเอ โดยนำเอาเนื้อเรื่องฉบับการ์ตูนตั้งแต่เล่มที่ 19 -28 มาสร้างและออกฉายทางสถานีโทรทัศน์เคเบิล สกายเพอร์เฟกต์ทีวี โดยใช้ชื่อว่า \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ แซงก์ทัวรี่\" ซึ่งเป็นเรื่องราวในช่วงแรกของภาคเจ้านรกฮาเดส มีความยาว 13 ตอน ต่อมา ในปี พ.ศ. 2548 ทางโตเอแอนิเมชันก็สร้างภาคต่อตามมาในชื่อว่า \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ อินเฟอร์โน\" ครึ่งแรกมีความยาว 6 ตอน ส่วนครึ่งหลัง สร้างขึ้นและออกอากาศในช่วงปลายปี พ.ศ. 2549 โดยมีความยาว 6 ตอนเช่นเดียวกัน สำหรับภาคสุดท้าย \"เซนต์เซย์ย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ เอลิเชียน\" ก็มีความยาว 6 ตอน และออกอากาศในเดือนมีนาคม - สิงหาคม พ.ศ. 2551[33] ซึ่งถือเป็นการปิดฉากภาคฮาเดสอย่างสมบูรณ์",
"อาโรน เป็นตัวละครจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องเซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดสโดยเป็นร่างทรงของฮาเดส",
"เซนต์เซย์ย่า โอเมก้า (聖闘士星矢Ω(セイントセイヤオメガ)เซนโตะเซยะโอเมก้า) เป็นอนิเมะทีวีซีรีส์เซนต์เซย์ย่า ผลิตโดย โตเอะ แอนิเมชัน ออกอากาศทางช่อง ทีวีอาซาฮี ของญี่ปุ่นเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2555 ทุกเช้าวันอาทิตย์เวลา 6:30 น. กำกับโดย ฮาตาโนะ โมริโอะ",
"ดูเพิ่ม เซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส เซนต์เซย์ย่าฉบับหนังสือการ์ตูนชุดแรกนั้น มาซามิ คุรุมาดะ เป็นผู้แต่งเซนต์เซย์ย่าและวาดลายเส้นด้วยตัวเอง เขาตั้งใจที่จะให้เซนต์เซย์ย่าเป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง[15] โดยเซนต์เซย์ย่าเริ่มลงตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ สำนักพิมพ์ชูเอฉะ[17] และออกจำหน่ายเป็นหนังสือฉบับรวมเล่ม รวมทั้งสิ้น 28 เล่มจบ ซึ่งสามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาคแซงค์ทัวรี่ ภาคโปเซดอน และภาคฮาเดส ในประเทศไทย เซนต์เซย์ย่าได้ตีพิมพ์เล่มแรก เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2543 และเล่มสุดท้ายสำหรับการตีพิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549[18] โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ชูเอฉะเพื่อจัดทำเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย[15]",
"ในประเทศไทย ออกอากาศทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี ทุกเช้าวันเสาร์-อาทิตย์เวลา 9:00 น., เอ็มคอตแฟมิลี และ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม การ์ตูนคลับแชนแนล.\nผลิตออกมาในรูปแบบดีวีดี โดย ดรีม เอกซ์เพรส (เดกซ์)",
"จูเลี่ยน โซโล ( หมายถึง \"เจ้ามหาสมุทร\" หรือ \"จักรพรรดิแห่งมหาสมุทร\") เป็นตัวละครการ์ตูนญี่ปุ่นจากเรื่องเซนต์เซย์ย่า เขาเป็นทายาทมหาเศรษฐีแห่งตระกูลโซโล ผู้ดำเนินกิจการทางทะเลมาหลายชั่วอายุคน ผู้เป็นร่างจุติของ เจ้าสมุทรโปเซดอน ซึ่งโปเซดอนจะเลือกใช้ร่างของคนในตระกูลโซโลเท่านั้นในการลงมาจุติในทุกยุคทุกสมัย ",
"และจากการถูกนำไปแพร่ภาพในหลายๆ ประเทศ ทำให้ชื่อเรื่อง เซนต์เซย์ย่า ได้รับการตั้งขึ้นใหม่ตามภาษาและวัฒนธรรมของบางประเทศ เช่น ช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์กในสหรัฐอเมริกาใช้ชื่อว่า \"Knights of the Zodiac\" ภาษาฝรั่งเศสใช้ชื่อว่า \"Les Chevaliers du Zodiaque\" ภาษาอิตาลีใช้ชื่อว่า \"I Cavalieri dello zodiaco\" ภาษาโปรตุเกสใช้ชื่อว่า \"Os Cavaleiros do Zodíaco\" ภาษาโปแลนด์ใช้ชื่อว่า \"Rycerze Zodiaku\" เป็นต้น",
"นอกจากฉบับหนังสือการ์ตูนที่มีการรวมเล่มออกมาแล้วดังที่กล่าวมา มาซามิ คุรุมาดะ ยังได้แต่ง \"เซนต์เซย์ย่า Next Dimension\" ขึ้นมาอีกภาค และเป็นผู้วาดลายเส้นเอง โดยเซนต์เซย์ย่าในภาคนี้ได้กล่าวถึงเหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างพวกเซย์ย่าและฮาเดส ซึ่งทำให้ฮาเดสนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 243 ปีก่อน ว่าเขาได้เคยพบกับเซนต์เพกาซัสมาก่อนแล้วนั่นเอง ในประเทศญี่ปุ่น เซนต์เซย์ย่า Next dimension ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกลงในลงนิตยสารการ์ตูน โชเน็นแชมเปี้ยน ฉบับที่ 22-23 และตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารฉบับเดียวกันเป็นระยะ ๆ[22] สำหรับในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันพิมพ์ออกมาทั้งหมดในไทยถึงเล่มที่ 5 เล่ม (เป็น 4 สีทั้งเล่ม ราคาเล่มละ 150 บาท) ปัจจุบันที่ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นๆออกถึงเล่ม 10 (ส่วนในไทยคาดว่าจะ..ไม่ได้พิมพ์ต่อแล้ว...)",
"บัจจุบันถือว่าทางวิบูลย์กิจได้ถือสิทธิของการ์ตูนญี่ปุ่นไว้เป็นจำนวนมาก และหลายเรื่องก็เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักอ่านการ์ตูนชาวไทย เช่น ข้าชื่อโคทาโร่, โคนัน, GTO, คุณครูจอมเวทย์ เนกิมะ, ล่าอสูรกาย, เซนต์เซย์ย่า, จอมคนแดนฝัน เป็นต้น แต่ผลงานการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายสูงสุดได้แก่ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน",
"เซนต์เซย์ย่า Next Dimension ศึกถล่มอเวจี () เป็นชื่อของหนังสือการ์ตูน เป็นภาคเสริมของเซนต์เซย์ย่า ซึ่งแต่งและวาดขึ้นโดยมาซามิ คุรุมาดะ โดยได้แต่งออกมาเป็นภาพ4สี เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงเมื่อ240ปีก่อนในช่วงสงครามศักดิ์สิทธ์ มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับเซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดสในช่วงศตวรรษที่18 ปัจจุบันภาคนี้ในญี่ปุ่นตีพิมพ์ออกมาแล้ว 9 เล่มด้วยกัน ส่วนในประเทศไทยได้ตีพิมพ์ในภาพ4สีเช่นกับญี่ปุ่น ปัจจุบันตีพิมพ์ทั้งหมด5เล่ม",
"เพกาซัส เซย์ย่า () ตัวละครเอกจากการ์ตูนเรื่องเซนต์เซย์ย่า เซย์ย่าเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา อยากรู้อยากเห็น มีนิสัยครื้นเครง กระฉับกระเฉง เลือดร้อน และเป็นผู้นำกลุ่ม มีความกล้าหาญพร้อมจะเผชิญหน้ากับศัตรู",
"นอกจาก เซนต์เซย์ย่า Episode G แล้ว มาซามิ คุรุมาดะ ยังได้แต่งเซนต์เซย์ย่าตอนใหม่อีก ได้แก่ เซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส โดยมีชิโอริ เทชิโรงิ เป็นผู้วาดลายเส้น ซึ่งเทชิโรงิได้กล่าวความรู้สึกเมื่อได้รับทราบว่าตนเองจะได้เป็นผู้วาดเซนต์เซย์ย่าภาคนี้ว่า \"ในตอนที่มีการพูดถึงงานนี้ ฉันถึงกับร้องไห้ออกมาและก็โทรศัพท์ไปหาเพื่อน เนื่องจากรู้ว่าตนเองจะได้เขียนเรื่องเซนต์เซย์ย่า แถมคุณคุรุมาดะยังมาหาด้วยตัวเองเลยด้วย ในชีวิตฉันคงจะไม่มีงานใดพิเศษสุดเท่ากับงานชิ้นนี้อีกแล้ว\"[21] สำหรับเนื้อหาของตอนนี้จะกล่าวถึงเหตุการณ์สงครามศักดิ์สิทธิ์ระหว่างอาธีน่ากับฮาเดสเมื่อ 243 ปีก่อน โดยได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2550 สำหรับในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์อาคิตะเพื่อจัดทำเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย[21]",
"หลังจากประสบความสำเร็จจากเซนต์เซย์ย่าชุดแรกแล้ว มาซามิ คุรุมาดะ ได้แต่ง \"เซนต์เซย์ย่า Episode G\" ขึ้นมา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ของเหล่าโกลด์เซนต์กับพวกไททัน โดยระยะเวลาของภาคนี้จะย้อนกลับไป 7 ปี นับจากยุคของเซย์ย่า โดยมี เลโอ ไอโอเลีย โกลด์เซนต์ราศีสิงห์ เป็นตัวเอกของเรื่อง ความหมายของ G ในตอนนี้นั้น คือ Gold saint นั่นเอง[19] ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องของเซนต์เซย์ย่าในตอนนี้จะแต่งขึ้นโดยมาซามิ คุรุมาดะ แต่ผู้ที่วาดลายเส้นนั้น คือ เมกุมุ โอคาดะ จึงทำให้ลายเส้นของภาคนี้ต่างออกไปจากภาคที่แล้ว ส่วนสาเหตุในการเปลี่ยนผู้วาดนั้นไม่ทราบอย่างแน่ชัด ซึ่งเมกุมุ โอคาดะได้กล่าวถึงการที่เขารับหน้าที่ในการวาดลายเส้นสำหรับเซนต์เซย์ย่า Episode G ว่า เขารู้สึกดีใจมาก เพราะนึกไม่ถึงว่านักเขียนคนอื่นจะได้เขียน และนับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เขียนการ์ตูนโดยไม่ต้องคิดพลอตเรื่อง[20] อย่างไรก็ตาม ลายเส้นของเมกุมุ โอคาดะก็ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นลายเส้นที่ออกแนวผู้หญิงมาก แต่ด้วยเนื้อหาและลายเส้นที่วาดได้ละเอียดก็ทำให้ภาคนี้ได้รับความนิยมที่ดีขึ้น[19] เซนต์เซย์ย่า Episode G ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2546 สำหรับในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์อาคิตะ เพื่อจัดทำเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย[20] ปัจจุบัน (เม.ย. 2551) ตีพิมพ์ออกมาแล้วเป็นจำนวน 4 เล่ม",
"เซนต์เซย์ย่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ตีพิมพ์ออกมาในช่วงยุคทองของนิตยสารจัมป์รายสัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการ์ตูนดังๆ ในยุค'80 ตีพิมพ์อยู่หลายเรื่อง เช่น ดราก้อนบอล ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ คินนิคุแมน โรงเรียนลูกผู้ชาย และซิตี้ฮันเตอร์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มนักรบเด็กหนุ่มห้าคน (เซนต์) ซึ่งต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตนเองเป็นอาวุธ ในโลกร่วมสมัยที่มีบรรยากาศของเทพปกรณัมกรีก เด็กหนุ่มทั้งห้าคนนี้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ปกป้อง คิโดะ ซาโอริ ผู้เป็นอวตารของเทพีเอเธนา เทพีแห่งปัญญาและสงคราม และต่อสู้กับทัพศัตรูแห่งความชั่วร้าย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากทั้งผู้ชมที่เป็นผู้ชายและผู้หญิง ต่อมาเมื่อถูกสร้างเป็นอะนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ ก็มีกระแสตอบรับที่ดีจนได้ออกอากาศติดต่อกันนานเกือบ 3 ปี ส่งผลให้สินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับเซนต์เซย์ย่า เช่น วิดีโอภาพยนตร์การ์ตูน ซอฟต์แวร์เกม หุ่นฟิกเกอร์และหุ่นเหล็กในรูปแบบต่างๆ ที่ผลิตโดยบริษัทบันไดในช่วงนั้น ได้รับความนิยมและขายดีเป็นอย่างมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ[2][3][4] ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันยังได้มีการผลิตของเล่นที่เรียกว่า เซนต์คลอธมิธ ซึ่งเป็นเหมือนกับหุ่นแอคชันฟิกเกอร์รุ่นปรับปรุงใหม่ออกมาวางจำหน่ายอีกด้วย",
"นอกจากนี้ เซนต์เซย์ย่า ยังได้สร้างอิทธิพลให้แก่การ์ตูนญี่ปุ่นในยุคต่อมาอย่าง ซามูไรทรูปเปอร์ ที่สร้างโดยซันไรส์ ในปี พ.ศ. 2531 และชูราโตะยอดองครักษ์ ที่สร้างโดยทัตสึโนะโกะโปร ในปี พ.ศ. 2532 ซึ่งแนวเรื่องของผลงานทั้ง 2 ที่กล่าวมา ต่างก็เน้นในด้านการต่อสู้และมิตรภาพของเหล่าเด็กหนุ่มที่สวมชุดเกราะ โดยรูปแบบของเกราะจะแยกชิ้นส่วนมาประกอบเข้ากับร่างกายเช่นเดียวกับในเรื่องเซนต์เซย์ย่า[4][5]",
"หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง",
"ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากในประเทศไทยแล้ว เซนต์เซย์ย่ายังได้ไปแพร่ภาพทางโทรทัศน์ในประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ ทั้งในแถบเอเชียด้วยกัน เช่น ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และอีกฟากของทวีปอย่างแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา รวมไปถึงลาตินอเมริกา โดยถึงแม้ว่าในแถบยุโรปจะมีความเข้มงวดเกี่ยวกับฉากต่อสู้ที่มีความรุนแรงในเรื่อง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เซนต์เซย์ย่าเสื่อมความนิยมลงแต่อย่างใด เพราะหลังจากที่แพร่ภาพจบชุด ยังถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกหลายครั้ง ส่วนที่ประเทศเม็กซิโกในแถบละตินอเมริกา ก็ได้มีการแพร่ภาพเรื่องเซนต์เซย์ย่าถึง 14 ครั้งด้วยกัน[4]",
"ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 ได้มีข่าวออกมาว่า เซนต์เซย์ย่า ภาคศึกเจ้านรกฮาเดส เดอะแชปเตอร์อินเฟอร์โน ที่กำลังจะออกอากาศทางช่องเคเบิล สกายเพอร์เฟกต์ทีวี ในเดือนธันวาคม จะมีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เสียงตัวละครหลักทั้ง 6 ได้แก่ เซย์ย่า ชิริว เฮียวกะ ชุน อิคคิ และซาโอริ เป็นนักพากย์ชุดใหม่ทั้งหมด[35] ซึ่งแม้ว่าในขณะนั้น ข่าวจะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้แก่แฟน ๆ ของเซนต์เซย์ย่าเป็นอย่างมาก จนเกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก โดยมีแฟนๆ จากทั้งในและต่างประเทศเข้าไปโพสต์ข้อความลง BBS ในโฮมเพจของ โทรุ ฟุรุยะ ผู้พากย์เสียงเซย์ย่าคนเดิม เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการเรียกร้องให้ทางผู้สร้างพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนตัวนักพากย์อีกครั้ง โดยให้ความเห็นว่า อย่างน้อยถ้าจะเปลี่ยน ก็จะน่าจะเปลี่ยนหลังจากที่ภาคฮาเดสจบชุดไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเปิดเว็บไซต์รวบรวมรายชื่อผู้ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนนักพากย์ในครั้งนี้อีกด้วย[36] แต่ในที่สุดทางเว็บไซต์ของโตเอแอนิเมชัน ก็ได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าจะเปลี่ยนตัวนักพากย์ตัวละครหลักทั้ง 6 คนจริง ๆ",
"เซนต์เซย์ย่า () เป็นชื่อของหนังสือการ์ตูน ซึ่งแต่งขึ้นโดย มาซามิ คุรุมาดะ ซึ่งใช้กลุ่มดาวม้าบินมาเป็นตัวเอกของเรื่อง เนื่องจากม้าบินกำลังอยู่ในท่าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ตรงกับภาพลักษณ์ของตัวเอกที่เขาได้คิดไว้นั่นเอง โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม 5 คนที่เรียกว่า เซนต์ (saint) ต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตนเองเป็นอาวุธเพื่อปกป้องคิโดะ ซาโอริ ผู้เป็นอวตารของเทพีอะธีนา และต่อสู้กับทัพศัตรูแห่งความชั่วร้าย ในโลกร่วมสมัยที่มีบรรยากาศของเทพปกรณัมกรีก",
"รายละเอียดของตัวละครจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง เซนต์เซย์ย่า"
] |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีรายได้จากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราในอัตราเท่าไหร่ต่อปี? | [
"สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีมีรายได้จากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี"
] | [
"ทันตแพทย์กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ (เกิด 14 สิงหาคม พ.ศ. 2508) อดีตผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) อดีตผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 พร้อมกับนั่งเก้าอี้ประธานองค์กรสร้างเสริมสุขภาพนานาชาติ (The International Network of Health Promotion Foundations: INHPF) ในวาระปีพ.ศ. 2553 - 2555 ทั้งนี้ ทพ. กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันโครงการและกิจกรรมปลอดเหล้าและบุหรี่ให้เป็นรูปธรรม อาทิโครงการงดเหล้าเข้าพรรษา ซึ่งต่อมาผลสืบเนื่องจากโครงการนี้ ทำให้ต่อมา มีการกำหนดให้วันเข้าพรรษาเป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติในเวลาต่อมา โครงการสวดมนต์ข้ามปี รวมทั้งการรณรงค์ลดการบริโภคน้ำตาลในเด็ก และมาตรการคุ้มครองเด็กและเยาวชนอื่น ๆ จนกระทั่งสร้างความตระหนักด้านสุขภาวะรอบด้านแก่สาธารณชนอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และในปัจจุบันกำลังขยายกิจกรรมที่เกี่ยวข้องไปยังประเทศเพื่อนบ้าน",
"ร่วมผลักดันให้มีการประกาศนโยบายสาธารณะเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน 10 เรื่อง ดังนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการสื่อสร้างสรรค์ เพื่อทำหน้าที่ให้เกิดสื่อสร้างสรรค์ต่อสุขภาวะของสังคม คณะรัฐมนตรีมีมติให้มีวาระเด็กและเยาวชน ปี 2550 เพื่อให้เกิดการพัฒนาเด็กและเยาวชนใน 5 ประเด็นและให้ 5 กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการ กรมประชาสัมพันธ์กำหนดแนวทางให้ผู้ประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ดำเนินการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อวิทยุโทรทัศน์ กระทรวงสาธารณสุขกำหนดนโยบายห้ามแจกตัวอย่างนมผสมแก่ทารกหลังคลอดในโรงพยาบาลทั่วประเทศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานประกาศนโยบายโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม มหาเถรสมาคมมีมติให้วัดทุกวัดทั่วประเทศจัดงานเทศกาลและงานต่าง ๆ ในวัด โดยปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กองทัพไทยมีนโยบายและแผนแม่บทการสร้างเสริมสุขภาพกำลังพล โดยให้ทุกเหล่าทัพจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับแผนแม่บทและให้มีการดำเนินการตามแผน คณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการควบคุมการตลาดขนมเด็ก รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 61 เรื่องการตั้งองค์การอิสระผู้บริโภคและในมาตรา 30 และ 54 เรื่องสิทธิผู้พิการ สำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประกาศมาตรฐานตู้ทำน้ำเย็นและห้ามโรงเรียนใช้ตู้ทำน้ำเย็นที่บัดกรีด้วยตะกั่ว",
"อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ได้มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ระบบการกำกับธุรกิจประกันวินาศภัยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยต้องนำกรอบการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (Risk-Based Capital Framework) มาใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 จึงทำให้ IPRB เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการให้การสนับสนุนงานทางด้านเทคนิค ตลอดจนการวิเคราะห์ต่าง ๆ ต่อทั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจประกันวินาศภัยและภาคธุรกิจประกันวินาศภัย โดยปัจจุบัน IPRB ได้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณเงินสำรองประกันภัย การพัฒนาแบบจำลองในการคำนวณเงินกองทุนตามความเสี่ยง รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยให้แก่ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยด้วย จึงอาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ปัจจุบัน IPRB หรือสำนักงานอัตราเบี้ยประกันวินาศภัยนั้นเปรียบเสมือนศูนย์บริการด้านเทคนิคและคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งเข้ามาเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจประกันวินาศภัยไทย เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว",
"คณะกรรมการมีผล 17 ตุลาคม 2560[6]",
"กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หมวดหมู่:องค์การมหาชน หมวดหมู่:กองทุน หมวดหมู่:สุขภาพ หมวดหมู่:องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2544",
"GotoKnow.org ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า KnowledgeVolution ซึ่งเป็นระบบการจัดการความรู้ระดับองค์กร (Open-Source Web-Based Enterprise Knowledge Management System) ชิ้นแรกของประเทศไทย ที่พัฒนาโดยทีมงาน UsableLabs และ โดยเริ่มแรกของการพัฒนานั้น ได้รับการสนับสนุนหลักจาก มูลนิธิสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) สถาบันกองทุนวิจัยแห่งชาติ (สกว.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)",
"ดำเนินการโดย คณะกรรมการประเมินผล ซึ่ง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 มาตรา 38 ให้มีอำนาจหน้าที่ประเมินผลด้านโยบายและการกำหนดกิจการของกองทุน ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน รายงานผลพร้อมข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการ",
"ต่อมามีการคำสั่งให้กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน 7 รายพ้นสภาพจากตำแหน่ง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 1/2559[9]",
"ในปี พ.ศ. 2559 ขณะที่เฟิร์สกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เฟิร์สได้รับเลือกเป็น School Idol ประจำเดือนมกราคมในรายการรถโรงเรียน และในปีเดียวกัน เฟิร์สได้ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง ภาพยนตร์ที่ผลิตโดยเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานคร (ยทก.) ร่วมกับชมรมหนังสั้นและการถ่ายภาพโรงเรียนประชาราษฎร์บำเพ็ญ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.)",
"คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ฉบับแรก และอนุมัติให้ใช้งบประมาณเท่าที่จำเป็นในวงเงิน 9.5 ล้านบาท",
"คณะกรรมการบริหารแผน ปัจจุบันมี 7 คณะ มีบทบาทในการพัฒนาแผน กำกับดูแลให้การดำเนินงานตามแผนแต่ละด้านที่รับผิดชอบบรรลุเป้าหมาย คณะอนุกรรมการเฉพาะด้าน ได้แก่ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาสำนักงานกองทุน คณะอนุกรรมการนโยบายทางการเงิน คณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะอนุกรรมการสารสนเทศ คณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากร เป็นต้น",
"คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดวาระหลักประจำปีขึ้นเป็นครั้งแรก โดยในปีแรกใช้ประเด็น “60 ปี 60 ล้านความดีเริ่มที่เยาวชน” สนับสนุนให้สถานที่ราชการเป็นเขตปลอดบุหรี่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ โดยดำเนินงานในหน่วยราชการนำร่อง 29 หน่วยงาน เปิดตัวสถานีโทรทัศน์เพื่อเด็ก เยาวชนและครอบครัว \"ETV \" ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายตามโรงเรียนทั่วประเทศจำนวน 20,000 แห่ง และครอบครัวที่เปิดรับเคเบิลท้องถิ่นทั่วประเทศกว่า 2 ล้านครัวเรือน",
"กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน 7 ราย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ้นสภาพจากตำแหน่ง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 1/2559 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่งตั้ง นาย ชำนาญ พิเชษฐพันธ์ เป็นรองประธานกรรมการคนที่สอง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 2/2559 หลังจากนั้นมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้แต่งตั้ง ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ เป็นผู้จัดการกองทุน และแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน 7 ราย[40]วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 คณะรัฐมนตรีอนุมัติ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน 7 ราย[41]และอนุมัติการลาออกของ นาย ชำนาญ พิเชษฐพันธ์ จากตำแหน่งรองประธานกรรมการคนที่สอง[42]",
"สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส) เป็นหน่วยงานในสังกัดของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย โดยได้รับทุนสนับสนุนโครงการจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคมไม่ใช่หน่วยงานให้ทุนสนับสนุนกิจกรรม (granting agency) ",
"สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ชื่อย่อ: สสส.) เป็นองค์การมหาชน[1] อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นโดย พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 เพื่อเป็นองค์กรหลัก ซึ่งทำหน้าที่ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ โดยมุ่งหมายให้คนไทย มีสุขภาพกาย จิต ปัญญา และสังคมที่ดี ด้วยการกระตุ้นให้เกิด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเชื่อ และสภาพแวดล้อม ให้เอื้ออำนวยต่อคุณภาพชีวิต อันจะช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทย ทั้งนี้ ทุนอุดหนุนของ สสส. โดยส่วนมากได้มาจาก เงินที่รัฐจัดเก็บจากผู้ผลิตและนำเข้าสุราและยาสูบ ในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีที่ต้องชำระ[2] สสส.ถือเป็นองค์กรด้านสุขภาพรูปแบบใหม่ ที่สอดคล้องกับมติของสมัชชาสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (World Health Assembly Resolution 12.8: Health Promotion and Health Life-Style) ขององค์การอนามัยโลก (WHO)",
"ปีการศึกษา 2552 ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการแผนที่สุขภาพเพื่อเพิ่มพื้นที่ดี ลดพื้นเสี่ยงรอบโรงเรียน ปีที่ 2 ของสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)",
"ดำเนินการโดย ภาคีเครือข่าย ซึ่งแม้กฎหมายจะไม่ระบุโดยตรงว่าเป็นโครงสร้างของ สสส. แต่ภาคีเครือข่ายการสร้างเสริมสุขภาพ ถือเป็นผู้ปฏิบัติงานที่แท้จริงของโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายยังมีบทบาทในการร่วมคิด ร่วมเรียนรู้ ร่วมพัฒนาอย่างกัลยาณมิตร และร่วมลงทุนในบางกรณีด้วยเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมายซึ่งมีประชาชนเป็นผู้รับประโยชน์สุดท้ายร่วมกัน",
"คณะอนุกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งขึ้นเพื่อมอบหมายงาน ได้แก่",
"ในการแข่งขันในครั้งนี้ทางเจ้าภาพตั้งงบประมาณไว้ราว 60 ล้านบาท โดยมีผู้ให้การสนับสนุนการแข่งขันในครั้งนี้เป็นอย่างดีจากภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และภาคเอกชน ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัท โรงงานฟุตบอลล์ไทย สปอร์ตติ้งกู๊ดส์ จำกัด เป็นต้น โดยได้รับการสนับสนุนเป็นเงินสดกว่า 35 ล้านบาท[11][12][13]",
"กระทรวงสาธารณสุขปรับเปลี่ยนคำเตือนบนซองบุหรี่เป็นรูปภาพ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 25 มีนาคม 2548 องค์การอนามัยโลกเชิญ สสส.เป็นที่ปรึกษาให้แก่ประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในการจัดตั้งองค์กรลักษณะเดียวกัน โครงการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา มีผู้งดดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 48.9 และประชาชน ร้อยละ 84.1 รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้ ประชาชน 229,979 คนร่วมลงนามปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เห็นชอบประกาศห้ามเติมน้ำตาลในนมสำหรับทารกและเด็กเล็ก การแข่งขันกีฬาระดับชาติทุกรายการประกาศ ตัวเป็น \"กีฬาปลอดแอลกอฮอล์\" และ 14 สมาคมกีฬายุติการรับทุนอุปถัมภ์จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีจำนวนลดลง โดยในปี 2547 มีผู้ดื่ม ร้อยละ 32.7 ลดลงจากปี 2546 ที่มีจำนวนผู้ดื่ม ร้อยละ 38.6 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมผลักดันให้กระทรวงสาธารณสุขประกาศห้ามโฆษณาบุหรี่ ณ จุดขายสำเร็จ และมีผลบังคับใช้เป็นประเทศที่ 3 ในโลก ภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอัตราเพิ่มอย่างต่อเนื่องเปลี่ยนเป็นอัตราลดลงในปีงบประมาณ 2548 ขณะที่ภาษีสรรพสามิตยาสูบลดลง ร้อยละ 6.8 โดยอัตราภาษียังคงเดิม ผลักดันให้การทำสุหนัตของเด็กชายไทยเข้าอยู่ในสิทธิประโยชน์ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมสนับสนุนกระทรวงศึกษาธิการประกาศให้สถานศึกษาเป็นเขตปลอดทั้งการจำหน่ายและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วประเทศ ร่วมผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศนโยบายเพิ่มชั่วโมงพลศึกษาในหลักสูตรจากสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง เป็น 2 ชั่วโมง สื่อโฆษณารณรงค์ของสสส. ได้รับรางวัลดีเด่นจากการตัดสินผลงานโฆษณาต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศรวม 26 รางวัล",
"ทั้งหมดพ้นสภาพในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559",
"คณะกรรมการกองทุน มีบทบาทควบคุมดูแลการดำเนินกิจการกองทุนในระดับนโยบายและกำหนดงบประมาณในภาพรวม รวมทั้งออกกฎระเบียบข้อบังคับที่สำคัญในการดำเนินงาน",
"รักษาการผู้จัดการกองทุน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ เป็นผู้บริหารสูงสุดและเป็นผู้จัดการกองทุนในปี พ.ศ. 2559 รองผู้จัดการกองทุน ผู้อำนวยการสำนัก และเจ้าหน้าที่ มีบทบาทหน้าที่ในการนำนโยบายมาดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์การสนับสนุนภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมพัฒนาและดำเนินกิจกรรม ตลอดจนการพัฒนาระบบและวิธีปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพ สนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถของบุคลากร และภาคีเครือข่าย ตลอดจนส่งเสริมให้มีการจัดการความรู้ และรวบรวมจัดเก็บบทเรียน ผลงานวิชาการ รวมทั้งเผยแพร่และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความรู้ดังกล่าว เพื่อเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ขององค์กร",
"ร่วมสร้าง นโยบาย กฎหมาย และมาตรการ สร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ และระดับท้องถิ่น 36 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นนโยบายด้านการลดปัจจัยเสี่ยงหลัก ที่ผ่านการพิจารณาจากฝ่ายนิติบัญญัติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 (ตุลาคม 2550 - กันยายน 2551) จำนวน 19 เรื่อง ระบบบริการเพื่อสนับสนุนการเลิกสูบบุหรี่และบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในรูปของศูนย์ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ และระบบบริการบำบัดของภาครัฐ เอกชน และชุมชน ได้รับการพัฒนาสมรรถนะสู่การให้บริการแก่ประชาชนทั่วประเทศ ผลงานศึกษาวิจัยด้านการสร้างเสริมสุขภาพที่เกิดขึ้นจากโครงการที่ สสส. สนับสนุน เพิ่มขึ้นจาก 40 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2550 เป็น 168 เรื่อง หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า ศูนย์วิจัยเรื่องยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ที่ สสส. สนับสนุนให้จัดตั้งขึ้น ได้ร่วมมีบทบาทในการจัดประชุมวิชาการระดับชาติ และระดับนานาชาติ เพื่อนำเสนอข้อมูลใหม่ด้านการป้องกันปัจจัยเสี่ยงหลักทั้ง 3 เรื่อง ดังกล่าวขึ้นเป็นประจำทุกปี เครือข่ายสนับสนุนการลดปัจจัยเสี่ยงหลักทั้ง 4 ประการ ขยายตัวกว้างขวางยิ่งขึ้น และได้รับการพัฒนาสมรรถนะให้เป็นผู้เฝ้าระวังความเสี่ยง และผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านการสร้างเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง การรณรงค์เพื่อสร้างกระแสสังคมและค่านิยมสนับสนุนการลดปัจจัยเสี่ยงหลักทั้ง 4 ประการ ดำเนินต่อเนื่องโดยผ่านสื่อทุกแขนงตลอดทั้งปี",
"ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา โดยมีผลงานในการริเริ่มให้มีการจัดตั้งองค์กรสนับสนุนและพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพ เมื่อปี พ.ศ. 2539 จนเป็นที่มาของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในปัจจุบัน และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งต่อมาถูกปรับไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2540 ก่อนจะสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน",
"18 มกราคม 2559 นาย ชำนาญ พิเชษฐพันธ์ เป็นรองประธานกรรมการ คนที่สอง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 2/2559[3] 23 มกราคม 2559 ที่ประชุมสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แต่งตั้ง ผู้จัดการกองทุนได้แก่ ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ 8 มีนาคม 2559 มติคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการจำนวน 7 ราย[4]วันเดียวกัน นาย ชำนาญ พิเชษฐพันธ์ ขอลาออกจากตำแหน่งรองประธานกรรมการ คนที่สอง[5]",
"ด้านนโยบายและการกำกับดูแล ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ",
"สำหรับการบริหารจัดการ GotoKnow.org นั้น ในช่วง 3 ปีแรกของการดำเนินงานได้รับการสนับสนุนงบประมาณในพัฒนาระบบและบริหารจัดการจากสถาบันส่งเสริมการจัดกาความรู้เพื่อสังคม (สคส.) อีกทั้งในช่วงก่อนหมดทุนในปีที่ 3 ได้มีการรับเงินบริจาคจากสมาชิก GotoKnow.org เพื่อสมทบทุน \"กองทุนเพื่อการบริหารจัดการ GotoKnow.org / Learners.in.th\" และ ณ ปัจจุบัน GotoKnow.org ได้รับการสนับสนุนหลักจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเป็นทุนสนับสนุนในการพัฒนาระบบและบริหารจัดการเป็นระยะเวลา 3 ปี",
"ทั้งนี้ ทพ. กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานองค์กรสร้างเสริมสุขภาพนานาชาติ (The International Network of Health Promotion Foundations: INHPF) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลา 2 ปี คือพ.ศ. 2553 - 2555 ด้วยผลงานโดดเด่นของ สสส. ในการผลักดันนโยบายด้านสร้างเสริมสุขภาพในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นกองทุนสร้างเสริมสุขภาพแรกในเอเชียที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เก็บเพิ่มจากภาษีสรรพสามิตบุหรี่และสุรา สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องลดการสูบบุหรี่ และความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรจนกลายต้นแบบในระดับนานาชาติ"
] |
ยัน ฟัน ไอก์เขียนภาพ "ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี" ในปี ค.ศ.ใด? | [
"ยัน ฟัน ไอก์เขียนภาพ \"ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี\" ในปี ค.ศ. 1434 เป็นภาพที่เชื่อกันว่าเป็นภาพเหมือนของโจวันนี อาร์นอลฟีนี (Giovanni Arnolfini) พ่อค้าจากเมืองลุกกาในอิตาลีและภรรยาในห้องที่อาจจะเป็นที่บ้านที่พำนักอยู่ในเมืองบรูชในฟลานเดอส์ เป็นภาพที่ถือกันว่าเป็นภาพที่มีความเป็นต้นตอและความซับซ้อนมากที่สุดภาพหนึ่งของจิตรกรรมตะวันตก ฟัน ไอก์ลงชื่อและวันที่ว่าวาดในปี ค.ศ. 1434 ต่อมาหอศิลป์แห่งชาติแห่งลอนดอนซื้อภาพเขียนนี้ในปี ค.ศ. 1842"
] | [
"ในปี ค.ศ. 1652 ถึงปี ค.ศ. 1654 ฟัน โคเยินจำต้องขายงานเขียนและงานกราฟิกที่สะสมไว้ และต้องย้ายไปอยู่บ้านที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1656 ขณะที่มีหนี้สินจำนวนถึง 18,000 กิลเดอร์ดัตช์ ทำให้ภรรยาหม้ายต้องขายภาพเขียนและเครื่องเรือนที่ยังคงเหลือ การเป็นหนี้สินของฟัน โคเยินอาจจะมีผลต่อโอกาสความก้าวหน้าทางอาชีพของยัน สเตน ลูกศิษย์และลูกเขยซึ่งย้ายออกจากเดอะเฮกในปี ค.ศ. 1654",
"ม้วนหนังสือและหนังสือบนโต๊ะหน้าเวอร์จินแมรีเป็นสัญลักษณ์ของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ และบทบาทของแมรีและพระเยซูเป็นการทำให้คำพยากรณ์ในอดีตกลายมาเป็นความจริง ดอกลิลีในแจกันบนโต๊ะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพรหมจารีของแมรี สิงโตที่ตกแต่งบนแขนเก้าอี้อาจจะเป็นเป็นเครื่องหมายที่ระบุความสำคัญของที่นั่ง ที่อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของบัลลังก์แห่งปัญญา (Throne of Wisdom) หรือบัลลังก์ของโซโลมอน ซึ่งพบในภาพเขียนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนทางศาสนาหรือไม่เช่นใน \"ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี\" (Arnolfini Portrait) ของฟัน ไอก์ การจัดที่สำหรับซักล้างทางด้านหลังของภาพเป็นการจัดที่แปลกกว่าการตกแต่งภายในโดยทั่วไปที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการมีอ่างพิสซีนา (piscina) สำหรับนักบวชล้างมือระหว่างพิธีมิสซา โต๊ะสิบหกเหลี่ยมอาจจะหมายถึงประกาศกฮีบรูสิบหกคน และโดยทั่วไปแล้วโต๊ะจะหมายถึงแท่นบูชา โดยมีผู้ทำพิธีเป็นเทวดาเกเบรียลที่แต่งตัวอย่างนักบวช ภาพเขียนนี้ก็เช่นเดียวกับภาพ \"การประกาศของเทพ\" ของยัน ฟัน ไอก์ ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ซับซ้อนที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการประกาศของเทวดาเกเบรียลกับพิธีมิสซาของศีลศักดิ์สิทธิ์ (Sacraments) ของศีลมหาสนิท (Eucharist) [5] แมรีนั่งบนพื้นเพื่อเป็นการแสดงความถ่อมตัว รอยพับบนเสื้อตรงเข่าเล่นกับแสงที่ดูเหมือนดวงดาวที่อาจจะเป็นนัยเปรียบเทียบว่าพระองค์เป็นดาราแห่งดารา",
"ตั้งแต่นั้นมาก็มีการโต้แย้งกันในหัวข้อนี้ นักประวัติศาสตร์ศิลปะเอ็ดวิน ฮอลล์กล่าวว่าเป็นภาพที่แสดงการหมั้นหมายไม่ใช่การแต่งงาน ส่วนมาร์กาเรต ดี. แคร์รอลล์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะอีกคนหนึ่งโต้ว่าเป็นภาพเขียนที่แสดงการตกลงทางธุรกิจระหว่างสามีและภรรยาในบทความชื่อ \"ในนามของพระเจ้าและผลประโยชน์: \"ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี\" โดยยัน ฟัน ไอก์\" ที่เขียนในปี ค.ศ. 1993",
"ยัน โยเซฟส์โซน ฟัน โคเยิน (; 13 มกราคม ค.ศ. 1596 - 27 เมษายน ค.ศ. 1656) เป็นจิตรกรชาวดัตช์คนสำคัญของยุคทองของเนเธอร์แลนด์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ยัน ฟัน โคเยินมีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมภูมิทัศน์ โดยมีผลงานเป็นจำนวนมาก เท่าที่ทราบเป็นจำนวนถึงราวพันสองร้อยภาพ ",
"ภาพเหมือนตนเองของจิตรกรรมศิลปินร่วมสมัยและศิลปินสมัยใหม่มักจะแสดงลักษณะเด่นตรงที่เป็นการสื่อเรื่องราวที่ไม่เฉพาะแต่เรื่องราวของชีวิตของตัวศิลปินเอง บางครั้งเรื่องราวในภาพก็จะลม้ายแฟนตาซีหรือ การเล่นบท และ เป็นเรื่องที่สร้างขึ้น นอกจากเดียโก เบลัซเกซ (ในภาพเขียน \"Las Meninas\"), แร็มบรันต์, ยัน เดอ ไบร, กุสตาฟว์ กูร์แบ, ฟินเซนต์ ฟัน โคค และ ปอล โกแก็งแล้ว ภาพเหมือนตนเองของศิลปินคนอื่น ๆ ที่เผยถึงความซับซ้อนก็รวมทั้งปีแยร์ บอนาร์, มาร์ก ชากาล, ลูเซียน ฟรอยด์, อาร์ชีล กอร์คี, แอลิซ นีล, ปาโบล ปีกัสโซ, ลูคัส ซามาราส, เจนนี ซาวิลล์, ซินดี เชอร์แมน, แอนดี วอร์ฮอล และ กิลเบิร์ตและจอร์จ\nภาพเหมือนตนเองเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่ชื่อเสียงของตนเองของศิลปิน โดยเฉพาะสำหรับจิตรกรภาพเหมือน ดือเรอร์ไม่มีความสนใจในการเขียนภาพเหมือนขายเท่าใดนักแต่ก็ใช้ภาพเหมือนตนเองอันไม่เหมือนผู้ใดในการโฆษณาตนเองในฐานะจิตรกร งานเขียนทางการค้าส่วนใหญ่ในช่วงที่ประสบความสำเร็จของแร็มบรันต์เป็นการเขียนภาพเหมือนเช่นเดียวกันอันโตนี ฟัน ไดก์ และ โจชัว เรย์โนลด์ส ซึ่งภาพที่เขียนก็เป็นเจตนาที่ใช้ในการเผยแพร่ชื่อเสียง เมื่อสถาบันจัดการแสดงภาพเขียนกันขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ศิลปินหลายคนต่างก็พยายามสร้างภาพเหมือนตนเองที่สร้างความประทับตาให้แก่ผู้ชม เช่นในการแสดงนิทรรศการภาพเหมือน \"Rebels and Martyrs\" ของหอศิลป์แห่งชาติ, ลอนดอนเมื่อไม่นานมานี้ ตัวอย่างของการโฆษณาตนเองของคริสต์ศตวรรษที่ 21 คืองานเขียนภาพเหมือนตนเองทุกวันโดยอาร์โนด์ พรินสเตท์, ผู้สร้างความโด่งดังเมื่อประกาศว่าจะเขียนภาพเหมือนของตนเองวันละภาพ แต่ก็มีจิตรกรอีกมากที่เขียนภาพเหมือนของตนเองโดยไม่มีจุดประสงค์ในการเผยแพร่ตนเองแต่อย่างใด",
"\"ดูบทความหลักที่ พระแม่มารีและพระบุตร\"\nพระแม่มารีและพระบุตรอ่านหนังสือ () เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยยัน ฟัน ไอก์ จิตรกรชาวดัตช์คนสำคัญของงานจิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ วิกตอเรีย เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ยัน ฟัน ไอก์เขียนภาพ \"พระแม่มารีและพระบุตรอ่านหนังสือ\" เสร็จในปี ค.ศ. 1433 ",
"บนกรอบเคยมีตัวอักษรบ่งว่าฮือเบิร์ต ฟัน ไอก์ ผู้ \"เหนือกว่าผู้ใด\" (\"maior quo nemo repertus\") เป็นผู้เริ่มเขียนภาพ และยัน ฟัน ไอก์ เรียกตนเองว่า \"ช่างเขียนมือรอง\" (\"arte secundus\") เป็นผู้เขียนเสร็จในปี ค.ศ. 1432 แต่กรอบที่แกะสลักอย่างสวยงามรอบบานพับถูกทำลายระหว่างการปฏิรูปคริสตจักร สันนิษฐานกันว่าส่วนที่สูญหายไปอาจจะรวมทั้งกลไกที่ใช้ปิดเปิดบานพับซึ่งอาจจะรวมทั้งดนตรีประกอบด้วย ",
"ภาพนี้เป็นภาพที่เชื่อกันอยู่เป็นเวลานานว่าเป็นภาพเหมือนของโจวันนี อาร์นอลฟีนี และโจวันนา เชนามี (ภรรยา) ภายในห้องแบบเฟลมิช แต่ในปี ค.ศ. 1997 ก็เป็นที่ทราบว่าอาร์นอลฟีนีและเชนามียังไม่แต่งงานกันในปี ค.ศ. 1447 ซึ่งเป็นเวลาสิบสามปีหลังจากปีที่ระบุว่าเป็นปีที่เขียนภาพและหกปีหลังจากที่ฟัน ไอก์ เสียชีวิตไปแล้ว ในปัจจุบันจึงเชื่อกันว่าเป็นภาพเขียนของลูกพี่ลูกน้องของโจวันนี ดี อาร์รีโก ที่ชื่อโจวันนี ดี นีโกลาโอ อาร์นอลฟีนี และภรรยา ที่อาจจะเป็นภรรยาคนที่สองที่ไม่มีเอกสารระบุ หรือตามทฤษฎีที่เสนอเมื่อไม่นานมานี้ว่าเป็นภรรยาคนแรกที่ชื่อคอสสแตนซา เทรนทาผู้ที่เสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1433[2] ตามทฤษฎีนี้ก็ทำให้ภาพนี้กลายเป็นภาพอนุสรณ์แสดงให้เห็นภาพของผู้ที่ยังมีชีวิตคนหนึ่งและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วอีกคนหนึ่ง โจวันนี ดี นีโกลาโอ อาร์นอลฟีนีเป็นพ่อค้าชาวอิตาลีที่เดิมมาจากเมืองลุกกาผู้มาตั้งถิ่นฐานในเมืองบรูชอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1419[3] อาร์นอลฟีนีเป็นแบบสำหรับภาพเหมือนอีกภาพหนึ่งที่เขียนโดยฟัน ไอก์ที่ปัจจุบันอยู่ที่เบอร์ลิน ที่ทำให้สันนิษฐานกันว่าอาจจะเป็นเพื่อนกับจิตรกร[4]",
"ในการเขียนภาพเหมือน เบาตส์ขยายลักษณะการเขียนจากวิธีการเขียนภาพเหมือนที่ก่อตั้งโดยโรเบิร์ต กัมปิน, ยัน ฟัน ไอก์, โรเคียร์ ฟัน เดอร์ไวเดิน และเปตรึส คริสตึส ภาพ \"ภาพเหมือนชาย\" ที่เขียนในปี ค.ศ. 1462 ที่หอศิลป์แห่งชาติ ลอนดอน เป็นภาพแรกที่ผู้เป็นแบบแสดงหน้าสามในสี่และฉากหลังที่เป็นทิวทัศน์ที่มองเห็นจากหน้าต่าง งานอีกชิ้นหนึ่งที่น่าจะเป็นงานของเบาตส์คือ \"ภาพเหมือนชาย\" ที่พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน ซึ่งใบหน้าคล้ายกับตัวแบบบางคนในจิตรกรรมแผง \"ความยุติธรรม\" ที่เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1470-1475 ภาพเหมือนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเบาตส์ก็เช่นงานที่หอศิลป์แห่งชาติในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และที่แอนต์เวิร์ป แต่ก็ยังเป็นงานที่ยังเป็นปัญหาในการสันนิษฐาน",
"หมวดหมู่:จิตรกรรมในคริสต์ทศวรรษ 1430 หมวดหมู่:ยัน ฟัน ไอก์ หมวดหมู่:จิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก หมวดหมู่:จิตรกรรมสีน้ำมัน หมวดหมู่:ภาพชีวิตประจำวัน หมวดหมู่:งานสะสมของหอศิลป์แห่งชาติ (ลอนดอน)",
"อันโตน ฟัน ไดก์เกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งที่แอนต์เวิร์ปในประเทศเบลเยียมปัจจุบัน และเป็นผู้มีความสามารถทางการเขียนมาตั้งแต่ต้น ภายในปี ค.ศ. 1609 ก็ได้เข้าศึกษาการเขียนภาพกับแฮ็นดริก ฟัน บาเลิน (Hendrick van Balen) และเป็นช่างเขียนอิสระเมื่อปี ค.ศ. 1615 ตั้งโรงฝึกงานร่วมกับยัน เบรอเคิล ผู้ลูก (Jan Brueghel the Younger) เพื่อนรุ่นน้อง เมื่อมีอายุได้ 15 ปี อันโตน ฟัน ไดก์ก็เป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงแล้วจากที่เห็นได้จาก \"ภาพเหมือนตนเอง\" ที่เขียนเมื่อปี ค.ศ. 1613-1614 อันโตนได้รับเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมช่างนักบุญลูกาแห่งแอนต์เวิร์ป ในฐานะช่างเขียนอิสระเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1618.",
"ในปี ค.ศ. 1934 เออร์วิน พานอฟสกี (Erwin Panofsky) พิมพ์บทความชื่อ \"\"การแต่งงานของอาร์นอลฟีนี\" โดย ยัน ฟัน ไอก์\" ใน \"นิตยสารเบอร์ลิงตัน\" กล่าวว่าลายเซ็นอันใหญ่โตของฟัน ไอก์บนผนังของด้านหลังและสิ่งอื่นในภาพก็เพื่อเป็นบ่งว่าเป็นเอกสารทางกฎหมายที่เป็นการบันทึกการสมรส[6]",
"ภาพนี้ก็เช่นเดียวกับภาพเหมือนอื่น ๆ ที่ฟัน ไอก์เขียนเป็นการเขียนที่แสดงความคมและรายละเอียดของการศึกษาเส้น แต่มิได้คำนึงถึงความคิดหรืออารมณ์ของผู้เป็นแบบ โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าภาพเขียนภาพนี้เป็นภาพเหมือนตนเองของฟัน ไอก์เองแต่ก็ไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ เครื่องแต่งกายของผู้เป็นแบบก็ดูจะเหมาะสมกับฐานะทางสังคมของชนชั้นฟัน ไอก์ และคำขวัญที่ปรากฏก็เป็นคำขวัญส่วนตัว ซึ่งนอกจากที่ปรากฏบนภาพนี้แล้วก็ปรากฏบนภาพเขียนทางศาสนาอีกสองภาพ, อีกสองภาพที่ทราบว่าเป็นงานก็อปปี และภาพเหมือนของภรรยาเท่านั้น แต่ก็ไม่มีภาพใดที่มีคำขวัญที่เด่นชัดเท่าภาพนี้",
"ศิลปินบางคนวางรูปของตนเองท่ามกลางกลุ่มคนในภาพเช่นงานเขียนของยัน ฟัน ไอก์ในภาพ \"ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี\" ที่มีอิทธิพลต่อภาพ \"นางสนองพระโอษฐ์\" โดย เดียโก เบลัซเกซ ต่อมาการเขียนภาพเหมือนของกลุ่มหรือครอบครัว หรือกลุ่มสมาคม ก็ค่อยมาเป็นสิ่งที่ทำกันโดยทั่วไปมากขึ้น",
"รอซีเยเดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1859 อันเป็นช่วงเวลาที่การทดลองการถ่ายภาพสมัยแรก ๆ กำลังเริ่มต้นในเกาะคีวชู โดยเฉพาะที่นางาซากิ เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของรังงากุ (องค์ความรู้ที่ต่อยอดจากวิทยาการตะวันตก) และเป็นเมืองที่แพทย์ 2 คน ได้แก่ ยัน กาเริล ฟัน แด็นบรุก และเย. แอ็ล. เซ. โปมเปอ ฟัน เมร์เดอร์โฟร์ต เป็นกำลังสำคัญในการถ่ายทอดความรู้แก่นักศึกษาชาวญี่ปุ่น ไม่เฉพาะวิชาการแพทย์ แต่ยังรวมถึงวิชาเคมีและวิชาการถ่ายภาพอีกด้วย แต่ทั้งฟัน แด็นบรุก และโปมเปอ ฟัน เมร์เดอร์โฟร์ต ต่างก็ไม่ใช่ช่างภาพผู้มีประสบการณ์ ความพยายามถ่ายภาพส่วนมากก็ล้มเหลว ถึงกระนั้น พวกเขาก็ได้สอนการถ่ายภาพด้วยกระบวนการกระจกเปียกให้แก่เคไซ โยชิโอะ, ฟูรูกาวะ ชุมเป, คาวาโนะ เทโซ, มาเอดะ เก็นโซ, อูเอโนะ ฮิโกมะ, โฮริเอะ คูวาจิโร เป็นต้น",
"เมื่ออายุได้ 27 ปีฮัลส์ก็ได้เป็นสมาชิกของสมาคมช่างนักบุญลูกา และเริ่มทำงานเป็นช่างซ่อมศิลปะสำหรับเทศบาลเมือง ฮัลส์ซ่อมภาพในงานสะสมขนาดใหญ่ที่กาเริล ฟัน มันเดอร์ บรรยายในหนังสือ \"หนังสือจิตรกรรม\" () ที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 1604 งานที่เด่นคืองานของเคร์ตเคิน โตต ซินต์ ยันส์ (Geertgen tot Sint Jans), ยัน ฟัน สโคเริล (Jan van Scorel) และยัน โมสตาร์ต (Jan Mostaert) ที่แขวนอยู่ที่วัดเซนต์จอห์นในฮาร์เลม งานซ่อมภาพเขียนเป็นงานที่เมืองฮาร์เลมเป็นผู้จ่ายค่าจ้าง เพราะงานเขียนทางศาสนาทั้งหมดถูกยึดหลังจากเกิดการทำลายรูปเคารพ แต่งานเขียนทั้งหมดมิได้เป็นของเมืองฮาร์เลมอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปี ค.ศ. 1625 หลังจากที่ผู้อาวุโสของเมืองตัดสินความเหมาะสมของภาพที่จะเป็นเจ้าของ งานที่เหลือถูกตัดสินว่าเป็นโรมันคาทอลิกเกินไปและถูกขายให้แก่กอร์เนลิส กลาสส์ ฟัน วีริงเงิน (Cornelis Claesz van Wieringen) สมาชิกสมาคมช่างเขียนด้วยกัน โดยมีข้อแม้ว่าต้องนำออกจากเมือง เมื่อไม่มีงานเขียนมากนักที่จะต้องซ่อม ฮัลส์จึงต้องเริ่มอาชีพใหม่เป็นช่างเขียนภาพเหมือน",
"กรอบดั้งเดิมของภาพก็ยังคงอยู่ (กรอบด้านตั้งอันที่จริงแล้วเป็นไม้ชิ้นเดียวกับภาพ) และมีคำจารึกว่า \"\" (ยัน ฟัน ไอก์สร้างฉันเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1433) ด้านล่างและด้านบนมีคำขวัญ \"\" (ฉันทำเท่าที่จะทำได้) ที่ปรากฏบนภาพเขียนอื่น ๆ ของฟัน ไอก์ ที่จะเขียนเป็นภาษากรีกทุกครั้งและเป็นคำพ้องกับชื่อ ภาพนี้ก็เช่นเดียวกับภาพอื่นที่ตัวอักษรเขียนให้ดูโค้ง ",
"นักประวัติศาสตร์ศิลปะมักซีมีลียาน มาร์เตินส์เสนอว่าเป็นภาพเขียนที่ตั้งใจจะให้เป็นของขวัญต่อตระกูลอาร์นอลฟีนีในอิตาลี ที่แสดงความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งของคู่บ่าวสาวในภาพ มาร์เตินส์มีความรู้สึกว่าเป็นเหตุผลที่อาจจะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกในภาพ เช่นการที่อาร์นอลฟีนีและภรรยาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวขณะที่เป็นหน้าร้อนที่มีต้นเชอร์รีออกผลอยู่นอกหน้าต่าง และสาเหตุที่ฟัน ไอก์ลงชื่อตัวใหญ่โตกลางภาพเขียนว่า \"ยาน เดอ ไอก์อยู่ที่นี่ ค.ศ. 1434\"",
"ยัน ฟัน ไอก์ ทุกขกิริยาของพระเยซู",
"ภาพเหมือนตนเอง () คือภาพเหมือนของศิลปินเองผู้อาจจะวาด เขียนด้วยสี ถ่ายภาพ หรือแกะสลักด้วยตนเอง แม้ว่าศิลปินจะสร้างภาพเหมือนของตนเองมาแต่โบราณ แต่ก็ไม่ได้ทำกันอย่างแพร่หลาย หรือบอกได้ว่าเป็นภาพเหมือนของศิลปินเองจริง ๆ หรือวาดเป็นบุคคลหัวใจของภาพมาจนกระทั่งเมื่อต้นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในกลางคริสต์ทศวรรษ1400 กระจกที่มีคุณภาพดีขึ้นและราคาถูกลงทำการเขียนภาพเหมือนบนจิตรกรรมแผง จิตรกร ประติมากร และช่างแกะพิมพ์มีการทำกันมากขึ้น ตัวอย่างแรกก็ได้แก่ \"ภาพเหมือนของชายคนหนึ่ง (ภาพเหมือนตนเอง?)\" ที่เขียนโดยยัน ฟัน ไอก์ ของปี ค.ศ. 1433 ซึ่งเป็นภาพเหมือนตนเองภาพแรกที่มีหลักฐานให้เห็น อีกภาพหนึ่งที่ฟัน ไอก์เขียนเป็นภาพของภรรยา นอกจากนั้นฟัน ไอก์ก็ยังเป็นสมาชิกของกลุ่มที่เริ่มจะรับงานเขียนภาพเหมือนโดยทั่วไป ที่เริ่มจะเป็นงานจ้างที่นิยมกันในบรรดาชาวดัตช์ผู้มีอันจะกิน แต่ก็มิได้มาเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปจนกระทั่งมาถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเมื่อผู้คนมีฐานะมั่งคั่งมากขึ้น และความสนใจในการใช้ตัวแบบเป็นหัวข้อของการเขียนมีเพิ่มมากขึ้น",
"มาเอดะ เก็นโซ () (ค.ศ. 1831–1906) เป็นช่างภาพชาวญี่ปุ่นจากทางเหนือของเกาะคีวชู เขาศึกษาการถ่ายภาพที่นะงะซะกิจจากยัน กาเริล ฟัน แด็นบรุกและเย. แอ็ล. เซ. โปมเปอ ฟัน เมร์เดอร์โฟร์ต ต่างก็ไม่ใช่ช่างภาพผู้มีประสบการณ์ ความพยายามถ่ายภาพส่วนมากก็ล้มเหลว ถึงกระนั้น พวกเขาก็ได้สอนการถ่ายภาพด้วยกระบวนการกระจกเปียกให้แก่มะเอะดะและนักเรียนคนอื่น ๆ รวมถึง ฟูรูกาวะ ชุมเป, คาวาโนะ เทโซ, อูเอโนะ ฮิโกมะ และ โฮริเอะ คูวาจิโร จนเมื่อช่างภาพชาวสวิส ปีแยร์ รอซีเย เดินทางมาถึงญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1858 กับภารกิจถ่ายภาพให้กับบริษัท \"เนเกรตตีและแซมบรา\" (\"Negretti and Zambra\") มะเอะดะได้รับคำแนะนำให้มาช่วยเหลือเขาและเรียนรู้การถ่ายภาพเพิ่มเติม มะเอะดะรวมถึงนักเรียนคนอื่นได้ช่วยดูแลรอซีเยระหว่างที่อยู่ในนะงะซะกิ รอซีเยได้ถ่ายภาพพระ ขอทาน ผู้ชมซูโม่ และที่อยู่ของชาวต่างชาติ รวมถึงภาพถ่ายของอาเล็กซันเดอร์ ฟ็อน ซีบ็อลท์ และซามูไร",
"จิตรกรคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งและคนที่เขียนภาพเหมือนตนเองมากที่สุดคนหนึ่งคือฟินเซนต์ ฟัน โคคผู้เขียนภาพเหมือนตนเองด้วยกันทั้งหมด 37 ภาพระหว่าง ค.ศ. 1886 จนถึง ค.ศ. 1889 สิ่งที่น่าสังเกตของภาพเหมือนของฟัน โคคคือจะไม่มีภาพใดเลยที่จิตรกรจะมองตรงมายังผู้ชมภาพ แม้ว่าจะเป็นภาพที่จ้องตรงไปข้างหน้าแต่ก็ดูเหมือนว่าฟัน โคคจะมีจุดสนใจอื่น ภาพเขียนเหล่านี้ใช้สีที่เข้มข้น บางรูปก็เป็นภาพที่มีผ้าพันแผลรอบหู ซึ่งมาจากความเชื่อที่ว่าฟัน โคคตัดหูตนเอง ",
"วันเกิดของยัน ฟัน ไอก์ไม่เป็นที่ทราบ หลักฐานแรกที่แสดงชื่อของยัน ฟัน ไอก์มาจากศาลของดยุกจอห์นที่ 3 แห่งบาวาเรีย-ชเตราบิงที่เดอะเฮก ลงปี ค.ศ. 1422 กล่าวถึงค่าจ้างฟัน ไอก์ในฐานะช่างเขียนประจำสำนัก ซึ่งชึ้ให้เห็นว่าฟัน ไอก์ต้องเกิดก่อน ค.ศ. 1395 หรือก่อนหน้านั้น นักวิชาการสันนิษฐานอายุจากภาพเหมือนตนเองว่าอาจจะเป็นก่อน ค.ศ. 1395",
"ฟัน ไอก์เขียนภาพบนผิวที่เหมือนกับผิวที่สะท้อนโดยการทาสีเคลือบใสหลายชั้น สีที่สว่างที่ใช้ในภาพช่วยทำให้เน้นความเป็นจริงมากขึ้นและแสดงถึงสิ่งต่าง ๆ ในภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งของอาร์นอลฟีนี ฟัน ไอก์ใช้ประโยชน์ของการแห้งที่ช้าของสีน้ำมัน (เมื่อเทียบกับสีฝุ่น) ในการผสานสีที่ใช้วิธีที่เรียกว่า \"wet-in-wet\" คือเขียนสีใหม่บนสีเก่าที่ยังไม่แห้งเพื่อที่จะให้ได้แสงและเงาที่ต้องการและทำให้เพิ่มความเป็นสามมิติของภาพเพิ่มขึ้น ฟัน ไอก์เขียนรายละเอียดต่าง ๆ อย่างบรรจง และใช้ทั้งการใช้ทั้งแสงที่ส่องตรงและแสงที่กระทบกระจายสาดบนวัตถุต่าง ๆ ในภาพ มีผู้เสนอว่าฟัน ไอก์ใช้กระจกขยายในการเขียนรายละเอียดที่มีขนาดเล็กมากในภาพเช่นเงาบนลูกประคำแต่ละเม็ดที่ห้อยอยู่ข้างกระจกโค้งนูนบนผนังในฉากหลัง",
"หลังจากดยุกจอห์นที่ 3 เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1425 ฟัน ไอก์ก็ไปทำงานกับฟิลิปที่ 3 ดยุกแห่งเบอร์กันดี ฟัน ไอก์อาศัยอยู่ที่ลีลหนึ่งปี ก่อนที่จะย้ายไปบรูชที่ซึ่งเขาตั้งหลักแหล่งจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1441 หลักฐานหลายฉบับที่พิมพ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 กล่าวถึงกิจการต่าง ๆ ที่ฟัน ไอก์ทำระหว่างที่เป็นช่างเขียนในสำนักของฟีลิป นอกจากจะเป็นช่างเขียนแล้ว ฟัน ไอก์ยังถูกส่งตัวไปทำงานอื่น ๆ โดยฟีลิปด้วย นอกจากจะเขียนภาพเหมือนสองภาพของอิซาเบลลาแห่งโปรตุเกสซึ่งฟัน ไอก์เขียนให้ฟีลิปในฐานะเป็นผู้แทนคนหนึ่งที่ไปขอตัวอิซาเบลลาในปี ค.ศ. 1428-1429 แล้วก็ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับงานเหล่านั้นเท่าใดนัก",
"ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี (English: Arnolfini Portrait), การแต่งงานของอาร์นอลฟีนี (English: The Arnolfini Wedding) หรือ ภาพเหมือนของโจวันนี อาร์นอลฟีนี และภรรยา (Dutch: Portret van Giovanni Arnolfini en zijn vrouw; English: Portrait of Giovanni Arnolfini and his Wife) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันบนไม้โอ๊กที่เขียนโดยยัน ฟัน ไอก์ จิตรกรเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร",
"ฉากแท่นบูชาเกนต์ ส่วนหนึ่งของบานพับภาพที่เกนต์ ภาพเหมือนของมาร์กาเรต ฟัน ไอก์ พระแม่มารีและพระบุตร ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี",
"โรเบิร์ต กัมปินเขียนภาพ \"ฉากแท่นบูชาเมรอด\" ระหว่างปี ค.ศ. 1425 ถึงปี ค.ศ. 1428 แต่บ้างก็เชื่อว่าเขียนโดยผู้ติดตามหรือเป็นงานก๊อบปี้จากงานดั้งเดิมของกัมปิน[1] ในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตันให้คำบรรยายภาพนี้ว่าเขียนโดย \"โรเบิร์ต กัมปิน และผู้ช่วย\"[2] \"ฉากแท่นบูชาเมรอด\" ถือกันว่าเป็นภาพเขียนที่งดงามที่สุดของสมัยเนเธอร์แลนด์เริ่มแรกในนิวยอร์กและในทวีปอเมริกาเหนือ จนกระทั่งการมาถึงของภาพ \"การประกาศของเทพ\" โดยยัน ฟัน ไอก์ \"ฉากแท่นบูชาเมรอด\" กลายเป็นงานเขียนที่มีชื่อที่สุดของฟัน ไอก์ ที่อาจจะเป็นเพราะฟัน ไอก์ใช้สร้างเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นภายในที่อยู่อาศัยโดยมีภูมิทัศน์เมืองลิบ ๆ ที่เห็นจากหน้าต่าง",
"งานเขียนของเดอ ไบร ได้รับอิทธิพลจากบาร์โตโลเมอึส ฟัน เดอร์แฮ็ลสต์ และฟรันส์ ฮัลส์ ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นงานเขียนภาพเหมือน และจะเป็นภาพเหมือนกลุ่ม และมีความเชี่ยวชาญในการวางตัวแบบเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ซึ่งทำให้เป็นภาพเขียนแบบที่เรียกว่าภาพเหมือนเชิงประวัติศาสตร์ ที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า หรือภาษาอังกฤษว่า \"historicised portrait\" ในบรรดางานชิ้นสำคัญก็ได้แก่งานชื่อ \"งานเลี้ยงของคลีโอพัตรา\" โดยใช้สมาชิกในครอบครัวเป็นตัวแบบรวมทั้งตนเองด้วย ในปัจจุบันภาพเขียนนี้ภาพแรกที่เขียนในปี ค.ศ. 1652 เป็นส่วนหนึ่งของงานสะสมศิลปะหลวงของพระราชวงศ์อังกฤษ และภาพเดียวกันที่เขียนในปี ค.ศ. 1669 เป็นของพิพิธภัณฑ์ศิลปะในนิวแฮมป์เชียร์ ภาพที่สองเป็นภาพที่แสดง \"ภาวะเวทนา\" (pathos) เพราะบุคคลในภาพเกือบทั้งหมดเป็นภาพของผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคระบาดระหว่างปี ค.ศ. 1663 ถึง ค.ศ. 1664 \nในปี ค.ศ. 1689 เดอ ไบรก็ถูกประกาศล้มละลายในฐานะพลเมืองฮาร์เลมจนต้องย้ายไปอัมสเตอร์ดัมและไปเสียชีวิตที่นั่น"
] |
สีประจำของ มหาวิทยาลัยศิลปากรคือสีอะไร? | [
"\"สีเขียวเวอร์ริเดียน\" หรือที่เรียกตามสีไทยโทนว่า \"สีเขียวตั้งแช\"[7] เป็นสีของน้ำทะเลระดับลึกที่สุด แต่ในระยะแรกก่อตั้งมหาวิทยาลัยได้กำหนดใช้สีเขียว ซึ่งเป็นสีพื้นป้ายมหาวิทยาลัยป้ายแรก แต่ช่วงนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ใช้สีเขียวเป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเช่นกัน จึงมีแนวคิดที่จะสร้างความแตกต่าง และเนื่องจากนักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ นิยมพารุ่นน้องปี 1 ไปทำกิจกรรมรับน้องที่เกาะเสม็ด จึงได้มีโอกาสชื่นชมสีของน้ำทะเลใส และได้นำมาเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสีที่บ่งบอกถึงความสร้างสรรค์ของชาวศิลปากร"
] | [
"เสื้อครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยเป็นเสื้อคลุม ผ้าโปร่งสีขาว ผ่าอกตลอดรอบขอบและที่ต้นแขนกับปลายแขน มีแถบสีทองและฟ้าเข้มทาบทับด้วยแถบทองบริเวณอกเสื้อทั้งสองข้างมีวงมีตรามหาวิทยาลัย ปริญญาตรี และเส้นมีการจัดสีพื้นกับสีประจำคณะ สีของเส้นที่แสดงระดับของวุฒิคือ ปริญญาตรี 1 เส้น ปริญญาโทและเอกใช้ 2 และ 3 เส้น ตามลำดับนั้นเนื่องจากมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ขึ้นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2548 แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เสนอว่าควรกำหนดให้มีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นรูปมงกุฎสีทองซึ่งเป็นตราพระสัญลักษณ์ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ส่วนบนเป็นมงกุฎสีทอง ส่วนกลางมีอักษรย่อพระนาม กว.สีฟ้าน้ำทะเล ส่วนล่างเป็นโบว์สีทองวงซ้อนพับกัน ภายในแถบโบว์มีชื่อ\"มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์\"สีฟ้าน้ำทะเล ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระวินิจฉัยและพระราชทานอนุญาต เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549 และสภามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการและต่อมาจึงได้ประกาศ \"พระราชกฤษฎีกากำหนดตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2551\" โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายโดยสมบูรณ์",
"ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือ ต้นมะพร้าว สีประจำมหาวิทยาลัย ได้แก่ สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีเทา - ทอง",
"สีประจำมหาวิทยาลัยคือ สีน้ำเงินและสีส้ม โดยมีสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยคือชาวอินเดียนแดง",
"ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม “สถาบันราชภัฏ” แทนชื่อ \"วิทยาลัยครู\" มีผลให้ \"วิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี\" เปลี่ยนชื่อเป็น\"สถาบันราชภัฏสุราษฎร์ธานี\" และยกฐานะเป็น \"มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี\" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา และเคยมีโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยภาคใต้ตอนบน โดยเป็นการยุบรวมมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานีเข้าด้วยกัน แต่ก็มีการยกเลิกโครงการไป\nพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานนาม “ราชภัฏ” ซึ่งหมายความว่าปราชญ์ของพระราชาและพระราชทานตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ให้สถาบันราชภัฏได้อัญเชิญมาเป็นตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย\nตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี\nมีลักษณะเป็นวงรีสองวงซ้อนกัน โดยวงรีวงนอกเป็นเส้นเดี่ยว ส่วนวงรีวงในเป็นเส้นคู่ ภายใต้วงรีด้านในมีตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศประกอบด้วยวงจักร กลางวงจักรมีอักขระเป็นอุหรือเลข ๙ รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งออกโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ตั้งอยู่บนพระที่นั่งอัฐทิศ แปลความหมายว่าทรงมีพระบรม เดชานุภาพในแผ่นดิน ระหว่างวงรีทั้งสองด้านบนเป็นอักษรภาษาไทยมีรูปทรงอักษรเป็นแบบล้านนาและอักษรขอมว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ด้านล่างเป็นอักษรภาษาอังกฤษ รูปทรงเป็นแบบอักษรโรมัน แบบ Gothic หรือตัวอักษรแบบ Old English ความว่า SURATTHANI RAJABHAT UNIVERSITY ความหมายของชุดอักษรไทยและอังกฤษดังกล่าวแทนค่าถึงความรู้สึกในการสื่อสารร่วมสมัยและแสดงความสูงส่งแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สีของตราประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีมี 5 สี โดยมีความหมาย ดังนี้\nสีน้ำเงิน แทนค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ให้กำเนิด และพระราชทานนาม “มหาวิทยาลัยราชภัฏ”\nสีเขียว แทนค่าแหล่งที่ตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏซึ่งอยู่ในแหล่งธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม\nสีทอง แทนค่าความเจริญรุ่งเรืองทางภูมิปัญญา\nสีส้ม แทนค่าความรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ก้าวไกลในมหาวิทยาลัยราชภัฏ\nสีขาว แทนค่าความคิดอันบริสุทธิ์ของนักปราชญ์แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช",
"กลิ่นสีและกาวแป้ง เป็นภาพยนตร์ไทย จากบทประพันธ์ของ พิษณุ ศุภนิมิตร เกี่ยวกับชีวิตนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร กำกับภาพยนตร์โดย เปี๊ยก โปสเตอร์ ออกฉายเมื่อวันที่ 2 เมษายน ปี พ.ศ. 2531 ปัจจุบันเรื่อง\"กลิ่นสีและกาวแป้ง\" เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ในโปรเจกต์ The Legend Collection ที่รีมาสเตอร์ภายใต้การดูแลของบริษัท BKP",
"สัตว์นำโชค คือ แมวโคราช อยู่ในท่าวิ่งชูคบเพลิงแสดงถึงการเตรียมพร้อมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและชาวจังหวัดนครราชสีมา ในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาครั้งนี้ ตัวแมวสวมเสื้อกีฬาสีแสด ซึ่งเป็นสีประจำจังหวัดนครราชสีมาและสีประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีตัวอักษร “SUT” ซึ่งเป็นอักษรย่อของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ขนแมวสีเทาเงินและดวงตาเป็นประกายสีเขียวสุกใส สื่อถึงความมีเชาวน์ปัญญาและสุขภาพที่ดี อันแทนความหมายได้กับการแข่งขันกีฬาของปัญญาชน",
"\"เพลงเลือดนก\" เป็นเพลงที่มีชื่อเดียวกันกับสีประจำคณะ โดยได้ถูกแต่งเนื้อร้องและทำนองขึ้นตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคณะของนักศึกษาในสมัยนั้น และด้วยความช่วยเหลือของนักศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จึงทำให้เป็นเพลงที่มีความไพเราะ แสดงถึงความมุ่งมั่นในจุดหมาย ความสมานสามัคคีได้อย่างดี อีกทั้งยังมีท่าประกอบการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นที่จดจำได้ดียิ่งขึ้นถึงแม้เนื้อเพลงยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และชื่อคณะในเพลงยังคงเป็น \"เทคโนโลยีอุตสาหกรรม\" เช่นเดิม แต่นักศึกษาก็ยังคงนำเพลงนี้เป็นเพลงประจำคณะ ด้วยเข้าใจว่าชื่อนั้นไม่สำคัญเท่าความหมายและอุดมการณ์ที่มีมา ถึงแม้จะมีเพลงอีกจำนวนมากมายที่เกิดขึ้น แต่เพลงประจำคณะก็ย่อมมีเพียงเพลงเดียว",
"มหาวิทยาลัยกำหนดให้ ต้นปาริชาตหรือต้นทองหลางลายเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีใบเป็นสีเขียวและเส้นใบเป็นสีทอง ตรงกับสีเขียว-ทองซึ่งเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย",
"ต้นประดู่แดง เป็นไม้เนื้อแข็งซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของสถาบัน กิ่งมีลักษณะโน้มลงแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นไม้ป่าแสดงถึงความสามารถของบัณฑิตที่สามารถดำรงคงอยู่ได้อย่างอดทนแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ดอกมีสีแดงเข้มเหมือนหมากสุก ซึ่งตรงกับสีประจำมหาวิทยาลัย และจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันสถาปนาสถาบันคือ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ของทุกปี\nเปรียบคล้ายกับนักศึกษาในชั้นปีสุดท้ายที่ใกล้จะสำเร็จการซึ่งตรงกับต้นประดู่แดงที่กำลังจะออกดอก เป็นดอกประดู่แดงทีมีความสวยงามและทน\nสีแดงหมากสุก : สีแสดเป็นสีประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่สถาบันอัญเชิญมาเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย และสีดำ",
"เป็นเรื่องราวชีวิตสนุกๆของนักศึกษา ภายในคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร สร้างจากบทประพันธ์ ตอนต่อมา ของ พิษณุ ศุภนิมิตร ในชื่อ \"กลิ่นสีและทีแปรง\"",
"ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีสัญลักษณ์ คือ สิงห์ม่วงในโล่กลมโบราณ ซึ่งสื่อความหมายถึง โล่กลมโบราณ อันหมายถึง สัญลักษณ์ที่นำมาจากตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยนเรศวร สื่อถึงการเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยนเรศวรและสีม่วง คือ สีประจำวันพระบรมราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และยังเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกทั้งยังเป็นสีประจำจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนเรศวรอีกด้วย",
"มหาวิทยาลัยที่ใช้ครุยดุษฎีบัณฑิตตามแบบของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยลีดส์ (เสื้อด้านนอกสีเขียวแก่ ด้านในสีเขียวอ่อน ตามรอยเย็บประดับแถบสีแดงชาด) มหาวิทยาลัยแองเกลียรัสกิน (เสื้อสีน้ำเงิน สาบหน้าและด้านในสีเหลืองทอง) มหาวิทยาลัยบรูเนลลอนดอน (เสื้อสีแดงด้านในสีขาบ ผ้าคล้องคอด้านนอกสีแดงด้านในสีขาบ ตะเข็บเป็นแถบสีขาว) และมหาวิทยาลัยบอร์นมัท (เสื้อสีน้ำเงิน สาบหน้าสีเหลืองทอง ผ้าคล้องคอขอบนอกสีขาว)\nมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดกำหนดให้มีเสื้อประจำวิทยฐานะสำหรับนักศึกษาที่กำลังเรียน และนักศึกษาที่สำเร็จหลักสูตรแล้วแยกกัน ",
"ทำด้วยผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสี ตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 0.5 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำขนาด 2 เซนติเมตร ตรงกึ่งกลางติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีเงิน ขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาด ตอนหน้าอกทั้งสองข้าง สำรดที่ต้นแขน เช่นเดียวกับสำรดรอบขอบ แต่ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำ ตรงกึ่งกลาง ห่างจากขอบ 0.5 เซนติเมตร ติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย จำนวน 3 เส้น แต่ละเส้นคั่นด้วยแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร โดยเว้นระยะระหว่างแถบ 0.5 เซนตเมตร",
"มหาวิทยาลัยทักษิณมีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเป็นรูปตำราการศึกษา 3 เล่ม สีเทา (สีประจำมหาวิทยาลัย) สะท้อนปรัชญาของมหาวิทยาลัย “ปัญญา จริยธรรม และการพัฒนา” ล้อมรอบด้วยอักษรสีฟ้า (สีประจำมหาวิทยาลัย) เป็นภาษาไทย “มหาวิทยาลัยทักษิณ” และภาษาอังกฤษ “THAKSIN UNIVERSITY” ซึ่งหมายถึงมหาวิทยาลัยแห่งภาคใต้ ด้านบนเหนือรูปตำราการศึกษาเป็นมงกุฎเปล่งรัศมีสีฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศและเกียรติยศ ด้วยในปีพุทธศักราช 2539 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตภาคใต้ ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ตรงกับวโรกาสอันเป็นมหามงคลสมัยปีกาญจนาภิเษก ในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 50 ปี",
"ตราประจำมหาวิทยาลัย ใช้สัญลักษณ์ เจดีย์ทรงล้านช้าง หมายถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภายในมีดอกบัวหลวงประดิษฐานอยู่บนแท่นรองรับของเส้น 3 เส้น ดอกบัวมีสีกลีบบัว อันหมายถึงสัญลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี และเส้น 3 เส้นที่เป็นฐานรองรับดอกบัวนั้น หมายถึงแม่น้ำสายสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ แม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล ลักษณะของดอกบัวเป็นประเภทบัวเหนือน้ำที่พร้อมจะ เบ่งบาน ให้ความดีงามแก่มหาชนได้ชื่นชม ส่วนกลีบดอกบัวด้านล่างสองกลีบ หมายถึง คุณธรรมและปัญญาอันเป็นเปลือกหุ้มสถาบันสำหรับดอกตูมสามกลีบหมายถึง องค์พระรัตนตรัย สีน้ำเงิน ที่เป็นขอบเส้นของตรามหาวิทยาลัยนั้นมีความ หมายถึง ความมั่นคงแข็งแรงและสีเหลืองสดที่เป็นพื้น หมายถึง สีประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ได้แก่ ต้นกันเกรา เป็นไม้สูงประมาณ 25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ใบดกหนาทึบ สีเขียวแก่เป็นมัน ดอกสีเหลืองอมแสด ออกดอกที่ช่อปลายกิ่ง มีกลิ่นหอมเย็นระรื่นอยู่ 7 วัน จากนั้นจะมีกลิ่นเหม็น ไม้กันเกราสื่อความหมายถึงเครื่องป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ และทำให้เสาเรือนมั่นคง ต้นกันเกราเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี เป็นต้นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่พบมากใน บริเวณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก “มันปลา” ภาคใต้ เรียก“ตำเสา”ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็น ช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีเหลือง อักษรย่อ คือ ม.อบ.",
"ตราสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ออกแบบโดยปิติ ประวิชไพบูลย์ นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดอกจามจุรีซึ่งเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย โดยนำแฉกรัศมีของพระเกี้ยวมาเรียงเป็นดอกจามจุรี 3 ดอกในแนวตั้งจากใหญ่ขึ้นไปเล็กมีลักษณะคล้ายกับพระเกี้ยวอันสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย และยังสามารถอ่านได้เป็นตัวเลข 38 อันเป็นครั้งของการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ โดยเลือกใช้สีชมพูอันเป็นสีประจำมหาวิทยาลัยไล่เฉดสีจากอ่อนขึ้นไปเข้มสื่อความหมายถึงความรุ่งเรืองของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่พร้อมจะต้อนรับนักกีฬาทุกสถาบันในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย และดอกจามจุรีทั้ง 3 ยังสื่อถึงการรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของน้ำใจนักกีฬาด้วย[18] นอกจากนี้ บริเวณปลายดอกบนสุด จะแทรกด้วย สีฟ้า เขียว เหลือง แดง และชมพู โดยมีความหมายรวมกันเป็นคำว่า SPORT ซึ่งมีความหมายดังนี้ S</u>uccess (ความสำเร็จ) แทนด้วย สีเขียว, P</u>eace (ความสันติ) แทนด้วย สีฟ้า, O</u>riginal (ความเป็นต้นแบบ) แทนด้วย สีเหลือง, R</u>elationship (ความสัมพันธ์) แทนด้วย สีชมพู และ T</u>eamwork (การทำงานเป็นหมู่คณะ) แทนด้วย สีแดง[19]",
"สีเลือดหมู เป็นสีประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และใช้เป็นสีประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกสถาบัน เพลงแรงเลือดหมู เป็นเพลงประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ธงประจำคณะ เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเลือดหมู ตรงกลางมีดวงตราพระสิทธิธาดา (ตรามหาวิทยาลัย) ใต้ดวงตรามีชื่อคณะตามแนวโค้งของดวงตรา ขอบธงประดับด้วยพู่สีเหลือง ต้นไผ่ ต้นไม้ประจำคณะ และต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์",
"เพลงของคณะโบราณคดีนั้นถูกแต่งไว้มากกว่า 20 เพลง เพื่อใช้ในกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ เช่น การชนช้างหรือการเข้าค่ายคณะ เป็นต้น แต่เพลงที่ได้รับการยอมรับและถือเป็นเพลงประจำคณะคือเพลง \"แววมยุรา\" ซึ่งถูกแต่งโดย พิเศษ สังข์สุวรรณ ศิษย์เก่าคณะโบราณคดี เพลงแววมยุราถูกแต่งขึ้นในช่วงที่เรียกว่าเป็นช่วงวิกฤตของคณะก็ว่าได้ เนื่องจากในช่วง พ.ศ. 2513 มีแนวโน้มจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยศิลปากรว่าต้องการให้คณะโบราณคดีถูกยุบไปรวมกับ คณะอักษรศาสตร์ ซึ่งก็ถูกหลายฝ่ายค้านไว้ โดยเฉพาะนักศึกษาคณะโบราณคดีที่ได้ออกมาคัดค้านอย่างชัดเจน จึงเป็นที่มาของเพลงแววมยุราที่ในเพลงมีการแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่คณะโบราณคดีถูกมองข้ามและไม่ได้รับการเหลียวแลหรือเห็นค่าพิเศษ สังข์สุวรรณยังได้เปรียบเปรยดอกแววมยุราซึ่งเป็นดอกของผักตบชวา ที่แม้ผักตบชวาจะล่องลอยไปตามน้ำอย่างไร้ค่าแต่เมื่อผลิดอกสีม่วงและอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ทุกคนก็จะเห็นค่าของมัน เฉกเช่นเดียวกับชาวคณะโบราณคดีที่ในตอนนั้นไม่ได้รับความเห็นค่า แต่หากสามัคคีและช่วยกันผ่านวิกฤตไปด้วยกันก็จะเป็นดอกแววมยุราที่งดงาม และดอกแววมยุรายังมีสีม่วงเฉกเช่นเดียวกับสีคณะโบราณคดีอีกด้วย",
"ที่มาของสีสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนั้น จากหลักฐานและบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แต่เดิมมหาวิทยาลัยใช้ \"สีเขียวอมฟ้า\" เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ดังจะเห็นได้จาก ปกเสื้อครุยของบัณฑิตรุ่นแรก ๆ ที่เป็นสีเขียวอมฟ้า และจากเพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัย ที่ยังคงมีเนื้อร้องว่า \"ธงเขียวเชิดให้เด่นไกลนานเนาว์\" มาจนถึงปัจจุบัน",
"สีประจำมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ คือ สีฟ้าสีทอง ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือดอกพิกุล",
"สีประจำมหาวิทยาลัยทักษิณ สืบเนื่องมาจากสีประจำวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา คือสีเทา-ฟ้า",
"สีน้ำเงิน ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สีเขียว ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สีม่วง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร สีแดงเลือดนก ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ สีน้ำเงินเทอร์ควอยส์ (น้ำเงินทะเล) ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก สีทอง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ สีน้ำตาลทอง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา สีเหลือง ( ) เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สีแสด ( )เป็นสีประจำ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน",
"จามจุรี เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมพระราชทานต้นจามจุรีแก่มหาวิทยาลัย จำนวน 5 ต้น ซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากวังไกลกังวล ทรงปลูกด้วยพระองค์เอง บริเวณด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรี ทรงเน้นว่าดอกสีชมพูเป็นสัญลักษณ์สูงสุดอย่างหนึ่งของจุฬาฯ ทรงเล่าว่าทรงปลูกต้นไม้ที่พระตำหนักไกลกังวล จามจุรีงอกขึ้นที่บริเวณต้นไม้ซึ่งทรงปลูกไว้ จึงทรงถือว่าทรงปลูกจามจุรีเหล่านั้นด้วย เมื่อจามจุรีโตขึ้นแล้วเห็นว่าควรเข้ามหาวิทยาลัยเสียที สถานที่เรียนนั้นไม่มีที่ใดเหมาะเท่าจุฬาฯ[59] สีชมพู เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้เสนอว่าชื่อของมหาวิทยาลัย คือ พระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันอังคารและโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สีชมพูเป็นสีประจำพระองค์ จึงสมควรอัญเชิญสีประจำพระองค์เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นเกียรติและสิริมงคล[60][61]",
"ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาใช้ \"สีม่วง\" และ \"สีแสด\" เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยการเปลี่ยนแปลงสีประจำมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อเป็นเกียรติกับสองบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย เนื่องจากสีม่วงเป็นสีประจำวันเสาร์ และสีแสดเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี",
"เป็นครุยพื้นผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ต้นแขนกับปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสีตามสีประจำ มหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีแดงชาด ติดแถบสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 3 เซนติเมตร ทั้งสองข้างโดยติดห่างจากขอบสักหลาดสีแดงชาด 0.5 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีทองขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาดตอนหน้าอกทั้งสองข้าง และมีสร้อยทำด้วยโลหะสีทองพร้อมด้วยเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยตามแบบที่สภามหาวิทยาลัยกำหนดระหว่างตรามหาวิทยาลัยทั้งสองข้าง ยึดติดกับครุยประมาณร่องหัวไหล",
"ทำด้วยผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสี ตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 0.5 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำขนาด 2 เซนติเมตร ตรงกึ่งกลางติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีเงิน ขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาด ตอนหน้าอกทั้งสองข้าง สำรดที่ต้นแขน เช่นเดียวกับสำรดรอบขอบ แต่ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีดำ ตรงกึ่งกลาง ห่างจากขอบ 0.5 เซนติเมตร ติดทับด้วยสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย จำนวน 3 เส้น แต่ละเส้นคั่นด้วยแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร โดยเว้นระยะระหว่างแถบ 0.5 เซนตเมตร",
"เป็นครุยพื้นผ้าโปร่งสีขาว มีสำรดรอบขอบและที่ต้นแขนกับปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาดสีขาว มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทับบนริมทั้งสองข้าง เว้นระยะ 0.5 เซนติเมตร มีแถบสักหลาดสีตามสีประจำ\nมหาวิทยาลัย ขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 0.5 เซนติเมตร มีแถบทอง ขนาด 1 เซนติเมตร ตอนกลางมีพื้นสักหลาดสีแดงชาด ติดแถบสักหลาดสีตามสีประจำมหาวิทยาลัย ขนาด 3 เซนติเมตร ทั้งสองข้างโดยติดห่างจากขอบสักหลาดสีแดงชาด 0.5 เซนติเมตร และมีตรามหาวิทยาลัยทำด้วยโลหะสีทองขนาดสูง 4 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรดบนสักหลาดตอนหน้าอกทั้งสองข้าง และมีสร้อยทำด้วยโลหะสีทองพร้อมด้วยเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยตามแบบที่สภามหาวิทยาลัยกำหนดระหว่างตรามหาวิทยาลัยทั้งสองข้าง ยึดติดกับครุยประมาณร่องหัวไหล\nเช่นเดียวกับครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย แต่ไม่มีสร้อย",
"ปัจจุบันการทอซิ่นทิวมุกจกดาว ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นใหม่โดยมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และในภาคเอกชนคือ บ้านคำปุน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมชั้นดีของเมืองอุบล ได้มีการทอขึ้นมาเพื่อสืบทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาวอุบลอย่างต่อเนื่อง โดยการเลือกสรร วัสดุชั้นดี เช่น ไหมคำจากฝรั่งเศส เป็นต้น ในปีพ.ศ. 2553 อาจารย์ ดร.คำล่า มุสิกา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และผศ.ดร.วิศปัตย์ ชัยช่วย อาจารย์ประจำคณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ร่วมกันรื้อฟื้นการทอซิ่นทิวมุกจกดาวแบบโบราณขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนั้นได้ทดลองทอซิ่นทิวมุกจกดาวสีม่วงขึ้นอีกจำนวนหนึ่งด้วย",
"ติ๊ก กลิ่นสี มีชื่อจริงว่า ชาญณรงค์ ขันฑีท้าว (เกิด 17 กันยายน พ.ศ. 2504) เป็นนักแสดง เริ่มเป็นที่รู้จัก จากภาพยนตร์เรื่อง \"กลิ่นสีและกาวแป้ง\" (2531) จบการศึกษาจาก คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร"
] |
สหศึกษา หมายถึงอะไร? | [
"สหกิจศึกษา หรือ โคออป (English: co-op) เป็นรูปแบบการผสมผสานระหว่างความรู้ที่ใช้ในห้องเรียน กับการทำงานที่ใช้ประสบการณ์จริง โดยรูปแบบทั่วไปคือการให้นักศึกษาไปทำงานจริงในระหว่างภาคเรียนการศึกษา ขณะเดียวกันก็มีการให้คะแนนและมีหน่วยกิตให้ โดยจะแตกต่างกับการฝึกงานที่นักศึกษาจะใช้เวลาในช่วงปิดเทอมไปทำงาน"
] | [
"โรงเรียนไทรน้อย () เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาแบบสหศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งโดยพระมงคลนนทเขต เจ้าอาวาสวัดไทรใหญ่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่อยู่เลขที่ 127 หมู่ที่ 5 ถนนเทศบาล 8 ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี โรงเรียนไทรน้อยเดิมเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำอำเภอ ประเภทสหศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2507 โดยได้รับความเมตตาจากพระมงคลนนทเขต ที่ดินจำนวน 15 ไร่ 2 งาน",
"โรงเรียนชายประจำจังหวัด: โรงเรียนสุราษฎร์ธานี (ปัจจุบันเป็นสหศึกษา) โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด: โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา (ปัจจุบันเป็นสหศึกษา) โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด: โรงเรียนเมืองสุราษฎร์ธานี",
"โรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประเภทสหศึกษาที่ได้เริ่มก่อตั้งโดย นายสมยศ เจริญโสภา อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนคนแรก ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์โรงเรียนสตรีวัดระฆัง เห็นว่าบริเวณโรงเรียนสตรีวัดระฆังคับแคบมาก เพราะมีเนื้อที่เพียง 2 ไร่ 2 งาน 79 ตารางวา จึงได้ติดต่อกับ อาจารย์พรพรรณ ยรรยงสถิตย์ โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย ภรรยาของ พ.ท.ยิ่งยุทธ ยรรยงสถิตย์ ผู้ตรวจการเคหะแห่งชาติเพื่อขอที่ดินในบริเวณการเคหะชุมชนธนบุรี ถนนธนบุรี-ปากท่อ กิโลเมตรที่ 8.5 ซึ่งพอจะยกให้แก่ โรงเรียนสตรีวัดระฆังได้ จึงได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันระหว่างโรงเรียนสตรีวัดระฆังและเจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาติซึ่งมีมติที่ประชุมให้ยกที่ดินการเคหะแห่งชาติ จำนวน 12 ไร่ ให้แก่โรงเรียนสตรีวัดระฆังเพื่อก่อสร้างเป็นโรงเรียนสตรีวัดระฆังแห่งที่ 2 และให้รับทั้งชายหญิง โรงเรียนสตรีวัดระฆังจึงได้แจ้งให้กรมสามัญศึกษา ได้ขอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาประเภทสหศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนบางขุนเทียนวิทยา",
"ในปีแรกเปิดสอน 8 ห้องเรียน มีนักเรียน 280 คน แบ่งเป็นนักเรียนชาย 140 คน และนักเรียนหญิง 140 คน เป็นโรงเรียนัธยมแบบประสมและเป็นสหศึกษาคือรับทั้งชายทั้งหญิงมาเรียนรวมกัน โดยในสมัยนั้น การจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาจะแยกนักเรียนชายให้เรียนในโรงเรียนประจำ จังหวัดชาย (โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน), นักเรียนหญิงเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดหญิง (โรงเรียนกัลยาณวัตร) โรงเรียนสหศึกษาคือมีนักเรียนชายและหญิงเรียนรวมกัน ส่วนโรงเรียนมัธยมแบบประสม หมายถึง การเปิดสอนในหลักสูตรที่กว้าง หลากหลาย มีวิชาให้เลือกเรียนได้ตามความรู้ความสามารถที่ตนถนัด (TO EACH HIS OWN ABILITY) มีทั้งวิชาสามัญ วิชาศิลป-ปฏิบัติ(วิชาชีพ) เมื่อจบมัธยมต้นแล้วสามารถจะนำไปศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้",
"โรงเรียนบางกะปิ เป็นโรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลายแห่งแรกของเขตบางกะปิ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2498 ปัจจุบันเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ แบบสหศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ",
"ในช่วงแรกของการก่อตั้งโรงเรียน ทางโรงเรียนมีจุดประสงค์ที่จะให้โรงเรียนเทพศิรินทร์อนุสรณ์เป็นโรงเรียนชายล้วน ตามอย่างที่โรงเรียนเทพศิรินทร์เป็น แต่ว่าทางรัฐบาลสมัยนั้น ต้องการให้สร้างโรงเรียนในลักษณะของสหศึกษา กล่าวคือเป็นโรงเรียนที่เรียนกันระหว่างนักเรียนชายและนักเรียนหญิง จึงทำให้โรงเรียนเทพศิรินทร์อนุสรณ์ จัดตั้งขึ้นมาในรูปแบบของโรงเรียนสหศึกษาในที่สุด",
"โรงเรียนศรียาภัย (; ชื่อย่อ: ศ.ภ. – SP) เป็นโรงเรียนรัฐบาลประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11 (สุราษฎร์ธานี–ชุมพร) (สังกัดเดิมคือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต 1) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โดยชื่อโรงเรียนมีที่มาจากนามสกุลของ \"คุณย่าชื่น ศรียาภัย\" คหปตานีชาวไชยา ผู้บริจาคเงินสร้างอาคารหลังแรก เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายแบบสหศึกษา อดีตเป็นโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดชุมพร คู่กับโรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา ปัจจุบันทั้ง 2 โรงเรียนได้กลายเป็นโรงเรียนสหศึกษา และโรงเรียนศรียาภัยเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดเช่นเดิม ผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบันคือ ดร.สุรินทร์ เนียมสุวรรณ",
"โรงเรียนแวงน้อยศึกษา เป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 3 เปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2517 โดยรับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา(เดิม) ตอนต้น แบบสหศึกษาจำนวน 2 ห้องเรียน จำนวน 63 คน โดยอาศัยเรียนอยู่ที่อาคารการศึกษาผู้ใหญ่วัดสุวรรณาราม มีนายสมควร จิตแสงรักษาการครูใหญ่\nปัจจุบันโรงเรียนแวงน้อยศึกษาตั้งอยู่หมู่ที่ 12 บ้านศรีเมือง ตำบลแวงน้อย อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น มีเนื้อที่ 45 ไร่ 95 ตารางวา เขตพื้นที่ให้บริการ 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลแวงน้อย ตำบลท่าวัด ตำบลทางขวาง และตำบลละหานนา โดยเปิดสอนในระดับช่วงชั้นที่ 3 และ 4 แบบ สหศึกษา นักเรียนเดินทางไปกลับ จำนวน 25 ห้องเรียน 984 คน",
"โรงเรียนบุญวัฒนา โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด",
"โรงเรียนปราณีเนาวบุตร เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนสหศึกษา ในสังกัดสำนักงานบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่บริเวณตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาลศึกษา ประถมศึกษาต้นและปลาย และมัธยมศึกษาตอนต้น แบบสหศึกษา\nเป็นผู้ได้รับรางวัลเด็กดีศรีสมุทรปราการ ในปี 2556 จากโรงเรียนป้อมนาคราชสวาทยานนท์ ในงานวันเด็กแห่งชาติ ณ โรงเรียนราชประชาสมาสัย ฝ่ายมัธยม รัชดาภิเษก ในพระบรมราชูประถัมธ์\nเป็นผู้เรียนดีมีระเบียบวินัยดีเลิศ\nเป็นนักฬาการแข่งขันชกมวยสมัครเล่นปี 2552 ณ ลานพิธีชกมวย กรุงเทพมหานคร ปัจบันได้เข้าการศึกษาในโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว",
"โรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา (; ชื่อย่อ: ส.อ. – SA) เป็นโรงเรียนรัฐบาลประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11 (สุราษฎร์ธานี–ชุมพร) (สังกัดเดิมคือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต 1) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่บริเวณถนนพิศิษฐ์พยาบาล ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายแบบสหศึกษา อดีตเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดชุมพร คู่กับโรงเรียนศรียาภัย ปัจจุบันทั้ง 2 โรงเรียนได้กลายเป็นโรงเรียนสหศึกษา และโรงเรียนสอาดเผดิมวิทยาเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดเช่นเดิม ผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบันคือ นายวินัย กรานมูล",
"โรงเรียนนวมินทราชูทิศ กรุงเทพมหานคร เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประเภทสหศึกษา ตั้งอยู่เลขที่ 115 หมู่ 11 ซอยนวมินทร์ 163 (อมรวิวัฒน์) ถนนนวมินทร์ แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร เป็นโรงเรียนสหศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2528 โดยกระทรวงศึกษาธิการ มี นายกนก จันทร์ขจร เป็นผู้อำนวยการท่านแรก",
"โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ (อังกฤษ: Phimanphitthayasan School) เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ตั้งอยู่ 2 ถนนสตูลธานี ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล เป็นโรงเรียนสหศึกษา เปิดรับนักเรียนประจำทั้งระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ถือว่าเป็นโรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลง โรงเรียนต้นแบบโรงเรียนในฝัน โรงเรียนดีใกล้บ้าน โรงเรียนมาตรฐานสากล โรงเรียนแกนนำ 46 ICT และอีกทั้งโรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOC) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งชาติ ตนกู ปุตรา ปาดัง มัตซิรัต, ลังกาวี, รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน\nโรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ได้ประกาศจัดตั้งเมื่อ วันที่11 มีนาคม 2510 โดยโครงการปรับปรุงโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดสตูล ตามประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับใหม่) พุทธศักราช 2520 จัดเป็นโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาแห่งที่ 2 ของจังหวัดสตูลเปิดเป็นโรงเรียนแบบสหศึกษา",
"โรงเรียนเลยพิทยาคม (English: Loei Pittayakom School), (อักษรย่อ: ล.พ.ค, L.P.K) หรือเรียกอย่างย่อว่า เลยพิทย์ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษประจำจังหวัดเลย ประเภทโรงเรียนสหศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 19 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ ณ ถนนเลย-ด่านซ้าย บ้านนาหนอง ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย 42000 สถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2515 โดยการรวมกันของโรงเรียนสโมสรวิทยาลัย (โรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัด) และโรงเรียนสตรีเลย (โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด) ปัจจุบัน เปิดสอนระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแบบสหศึกษา",
"โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เป็นโรงเรียนรัฐบาลสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 222 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา เป็นโรงเรียนมัธยมสหศึกษา ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2435 \nเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษประเภทสหศึกษา แต่เดิมโรงเรียนนี้เคยเป็นโรงเรียนประจำมณฑลปราจีน",
"โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย (ย่อ: ป.ร., P.R.C.) เป็นโรงเรียนสหศึกษาของเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 3 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่เขต 1 สังกัดสำนักงานพันธกิจการศึกษา มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โรงเรียนก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2430 ในชื่อ \"โรงเรียนชายวังสิงห์คำ\" โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามโรงเรียนเป็น \"โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย\" ซึ่งมีความหมายว่า \"โรงเรียนของเจ้าชาย\" เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2449",
"โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย (อักษรย่อ: ย.ว., Y.R.C.) เป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกของภาคเหนือ และโรงเรียนสหศึกษาของรัฐบาลประจำจังหวัดเชียงใหม่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 (เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นสถานศึกษาในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โรงเรียนก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2432 โดยมีชื่อแรกตั้งว่า \"โรงเรียนเมืองนครเชียงใหม่\" และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยศยศเป็น สมเด็จพระยุพราชในรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานนามโรงเรียนใหม่ว่า \"โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย\" ซึ่งมีความหมายว่า \"โรงเรียนของสมเด็จพระยุพราช (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร)\" ",
"โรงเรียนวัดทรงธรรม เป็นโรงเรียนรัฐบาลประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 (ฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งตั้งอยู่ในพระอารามหลวงที่มีนามว่า \"วัดทรงธรรมวรวิหาร\" ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีพื้นที่ของโรงเรียนทั้งหมด ประมาณ 4 ไร่เศษ โดยเจ้าพระคุณอุดมวิจารณ์ (พระใบฎีกากลั่น สีละเตชะ หรือ กลั่น นพคุณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดทรงธรรมวรวิหาร ได้ทำหนังสือต่อท่านขุนประพจน์ เนติประวัตร นายเวรการโรงเรียน ขอนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าลูกเธอฯ อธิบดีกรมการศึกษา ทรงทราบเป็นโรงเรียนเชลยศักดิ์ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2438 (ร.ศ. 114) โดยพระอุดมวิจารณ์เป็นผู้เริ่มก่อตั้ง ซึ่งดำรงตำแหน่งครูใหญ่คนแรก และพระใบฎีกาลั่น เป็นครูสอน ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนนี้เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายแบบสหศึกษาคำว่า “ทรงธรรม” เป็นราชาศัพท์ แปลว่า ฟังเทศน์ หรือ ฟังธรรม แต่คำว่า “ธรรม” คนไทยโดยทั่วๆ ไป มักใช้ในความหมายว่า “ความดี” หรือ “คำสอนที่ดี” เช่น คำสอนของพระพุทธเจ้า โรงเรียนจึงได้ให้ความหมายของคำว่า “ทรงธรรม” ว่า “ทรงไว้ซึ่งความดี” เพื่อให้นักเรียนโรงเรียนวัดทรงธรรมทุกคนทรงไว้ซึ่งความดี 3 ประการ คือ\nซึ่งความดี 3 ประการข้างต้น จึงนำไปสู่ปรัชญาของโรงเรียนวัดทรงธรรมที่ว่า เรียนดี งานดี ประพฤติดี",
"โรงเรียนสุวรรณคูหาพิทยาสรรค์ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 19 (เลย -หนองบัวลำภู) ตั้งอยู่เลขที่ 433 หมู่ 4 ตำบลสุวรรณคูหา อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นโรงเรียนสหศึกษา จัดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ม.1 - ม.6 ) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีเนื้อที่ทั้งหมด 100 ไร่ ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการเรียนการสอน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2518 โดยอาศัยอาคารเรียนโรงเรียนบ้านกุดผึ้ง ตำบลบ้านโคก อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดอุดรธานี (อดีต) โดยมีนายสมิท จันทยุทธ รักษาการในตำแหน่งครูใหญ่ ต่อมาทางราชการย้ายกิ่งอำเภอสุวรรณคูหามาตั้งที่ บ้านหนองกุง ตำบลบ้านโคก อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดอุดรธานี โรงเรียนได้ย้ายจากบ้านกุดผึ้ง มาอยู่ที่โรงเรียนสุวรรณคูหาพิทยาสรรค์จนถึงปัจจุบัน สำหรับชื่อ สุวรรณคูหาพิทยาสรรค์นั้น มีความหมายว่า แหล่งสร้างสรรค์ความรู้แห่งสุวรรณคูหา หรือ แหล่งสร้างสรรค์ความรู้แห่งแดนถ้ำทอง (สุวรรณคูหา แปลว่า ถ้ำทอง)",
"เมื่อ พ.ศ. 2457 โรงเรียนประจำจังหวัดชลบุรี(บุรพการ) และโรงเรียนอุดมพิทยากรรวมเป็นโรงเรียนเดียวกัน เรียกว่า โรงเรียนประจำจังหวัดชลบุรี เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาที่บุรพการ และระดับประถมศึกษาที่อุดมพิทยากร ต่อมาชาวชลบุรีได้ร่วมกันบริจาคสมทบทุนสร้างโรงเรียนประจำจังหวัดชลบุรีที่โรงเรียนอนุบาลชลบุรีในปัจจุบัน แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2460 ได้ย้ายนักเรียนทั้งสองโรงเรียนมาเรียนรวมกันเป็นเอกเทศ เปิดการเรียนการสอนแบบสหศึกษา โรงเรียนได้พัฒนาทั้งทางด้านการจัดการศึกษา ปริมาณนักเรียนและอาคารสถานที่ตลอดมาจนกระทั่งทางราชการสั่งให้แยกนักเรียนเป็นชายและหญิง เมื่อ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2474 สหศึกษาจึงเลิกไป แต่โรงเรียนสตรียังไม่มีสถานที่จึงอาศัยเรียนร่วมกันไปก่อน และแยกออกไปเป็น โรงเรียนชลกันยานุกูล เมื่อ วันที่ 10 กันยายน 2479 โรงเรียนได้เติบโตมาโดยตลอดโดยเฉพาะด้านปริมาณนักเรียนสถานที่โรงเรียนคับแคบไป จึงย้ายโรงเรียนไปตั้งที่ใหม่บริเวณศูนย์การค้าวรพรต",
"จากการที่โรงเรียนมงฟอร์ตเริ่มรับนักเรียนหญิงในระดับชั้นประถมในปี พ.ศ. 2551 ทำให้โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัยเป็นโรงเรียนชายล้วนแห่งสุดท้ายของเชียงใหม่\nปัจจุบันโรงเรียนมงฟอร์ตได้เปิดสอนทั้งหมด 12 ชั้นปี 4 ช่วงชั้น (ป.1-ป.3, ป.4-ป.6, ม.1-ม.3 และ ม.4-ม.6) โดยในระดับช่วงชั้นที่ 4 เรียนในระบบสหศึกษา (ชาย-หญิงเรียนรวมกัน) โดยนักเรียนชายล้วนรุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา พ.ศ. 2556 โรงเรียนมีจำนวนครูรวม 2 แผนกกว่า 400 คนและนักเรียนรวม 2 แผนกกว่า 5,000 คน และในปัจจุบัน ช่วงชั้นที่ 1 ก็เริ่มมีการเรียนในระบบสหศึกษาเช่นเดียวกันกับช่วงชั้นที่ 4",
"อาคารเรียนบนที่ดินแห่งใหม่นี้ได้สร้างขึ้นเป็นหลังแรกเมื่อ พ.ศ. 2496 ชื่อ \"อาคารเลิศสิน\" (ปัจจุบันรื้อแล้ว) และได้ย้ายนักเรียนชายทั้งหมดมาอยู่ในที่ตั้งใหม่เมื่อ พ.ศ. 2498 ใช้ชื่อว่า โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ส่วนสถานที่เดิมรับเฉพาะนักเรียนหญิง โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ภายหลังจึงได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแบบสหศึกษาได้เมื่อ พ.ศ. 2523 และเปิดรับนักเรียนในแบบสหศึกษาทั้งหมด (ทั้งมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย) เมื่อ พ.ศ. 2534\nโรงเรียนนาวังศึกษาวิชมีอาคารเรียน 8 หลัง โรงอาหาร 1 หลัง หอประชุม 1 หลัง และสถานที่ต่างๆ ดังนี้",
"โรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัด: โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด: โรงเรียนสุรนารีวิทยา โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด: โรงเรียนบุญวัฒนา โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด: โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์",
"\"โรงเรียนห้วยสักวิทยาคม\" (อักษรย่อ: หส.ว.) ปี 2524 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนมัธยมขึ้นในพื้นที่ ชื่อว่า โรงเรียนห้วยสักวิทยาคม เป็นโรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดเชียงราย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ในระยะแรกใช้อาคารเรียนชั่วคราวที่ โรงเรียนบ้านโป่งฮึ้ง ต่อมาได้ย้าย มาทำการเรียนการสอนที่ 204 ถนนเชียงราย - เทิง ตำบลห้วยสัก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2524 และถือเอาวันที่ 9 ธันวาคม เป็นวันสถาปนาโรงเรียน\nปัจจุบัน จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษารูปแบบสหศึกษา เปิดสอน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จากการพัฒนาทุกๆ ด้าน ของโรงเรียน ทำให้ในปีการศึกษา 2552 โรงเรียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการออกกำลังกายและกีฬา ระดับทอง ของสำนักงานส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็น 1 ใน 20 โรงเรียนมัธยม ทั่วประเทศ",
"โรงเรียนสหศึกษาชุมพร อำเภอเมืองชุมพร",
"โรงเรียนวังน้ำคู้ศึกษา (; ย่อ: ว.ศ.) เป็นโรงเรียนสหศึกษา ก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 จัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 บ้านบางขวัญม้า ตำบลวังน้ำคู้ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก\nโรงเรียนวังน้ำคู้ศึกษา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 โดยการนำของนายยงยุทธ คนตรง นายอำเภอเมืองพิษณุโลกในขณะนั้นร่วมกับประชนชนใน ตำบลวังน้ำคู้และตำบลวัดพริก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ร่วมกันบริจาคเงิน จำนวน 210,644 บาท เพื่อสร้างโรงเรียนขึ้น โดยได้นำเงินจำนวนนี้มาก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราวตามแบบของ กรมสามัญศึกษา จำนวน 7 ห้องเรียน ป้ายชื่อโรงเรียน ห้องน้ำ 2 หลัง หลังละ 4 ห้อง บ่อน้ำบาดาล เสาธงชาติ และครุภัณฑ์อื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เปิดทำการสอน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2519 โดยมีนายสิทธิเดช นรัตถรักษาผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นเป็นประธานในพิธีเปิด มีนักเรียนรุ่นแรกจำนวน 92 คน มีนายธงชัย จักกาบาตร์เป็นครูใหญ่คนแรก และมีครูน้อยอีก 3 คน ปัจจุบันจัดการเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย โดยมีผู้บริหารคือ นายสันติชัย หนูเผือก ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา\nสัญลักษณ์ของโรงเรียนวังน้ำคู้ศึกษาเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นสัญลักษณ์หมายถึงความอุดมสมบูรณ์แห่งปัญญา และการขจัดความโง่เขลา เปรียบเสมือนพระแม่ธรณี ที่ได้เป็นพยานสำคัญในการปราบมาร ก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า",
"เมื่อได้รับการบริจาคที่ดินในปี พ.ศ. 2521 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนโดยใช้ชื่อว่า \"'โรงเรียนสายปัญญารังสิต\" เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2522 และดำเนินก่อสร้างอาคารเรียนถาวรหลังแรกในปี พ.ศ. 2523 และได้เปิดการเรียนการสอนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 จำนวนนักเรียนทั้งหมด 126 คนในแบบสหศึกษา ตามที่รัฐบาลสนับสนุนให้สร้างโรงเรียนในลักษณะของสหศึกษา โดยมีนายอนันต์ ตรีนิตย์ เป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียน ในปี พ.ศ. 2527 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนสายปัญญารังสิต ตามคำเรียกของชาวรังสิต และต่อมา จึงได้เปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นครั้งแรกจำนวน 2 ห้องเรียน ",
"โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี () (อักษรย่อ: บ.ช., B.J.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประจำจังหวัดราชบุรี ปัจจุบันมีอายุ 131 ปี ( 6 มกราคม 2562 ครบ 132 ปี )สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ที่ผ่านมาโรงเรียนเปิดรับสหศึกษาเฉพาะนักเรียน มัธยมศึกษาตอนปลาย ในปีการศึกษา 2544 เริ่มเปิดรับสหศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นปีแรก",
"โรงเรียนวังทองพิทยาคมเดิมชื่อ \"โรงเรียนวังทอง\" เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประเภทสหศึกษา เปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2499 โดยอาศัยศาลาการเปรียญวัดบึงพร้าวเป็นอาคารเรียนชั่วคราว มี \"นายโชติ ครุธดิลกานันท์\" เป็นครูใหญ่คนแรก\nชื่อโรงเรียน วังทองพิทยาคม อักษรย่อ ว.พ.\nเครื่องหมายประจำโรงเรียน วิมาน ความหมาย \"เป็นที่สิงสถิตย์ของเทพยดา นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองไม่เสื่อมคลาย\"\nสีประจำโรงเรียน เขียว ขาว ",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี เดิมคือโรงเรียนศรีปทุมพิทยาคาร เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่และเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัดอุบลราชธานี แห่งที่ 3 ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และ มัธยมศึกษาตอนปลาย แบบสหศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา เขต 29 (อุบลราชธานี - อำนาจเจริญ) ได้เข้าร่วมเป็นโรงเรียนในเครือเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 และได้รับการอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียนศรีปทุมพิทยาคาร เป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี จัดเป็นโรงเรียนในเครือเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในลำดับที่ 15ธรรมจักร คือ คุณธรรม \nรัศมี คือ ความเจริญงอกงาม \nดอกบัว คือ จังหวัดอุบลราชธานี\nแดง หมายถึง ความเข้มแข็งจริงจัง\nน้ำเงิน หมายถึง ความยิ่งใหญ่ อดทน"
] |
ศาสนาคริสต์ มีกี่นิกาย ? | [
"คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ด้วยเหตุนี้ คริสตชนจึงมักเรียกพระเยซูว่า \"พระคริสต์\" หรือ \"พระเมสสิยาห์\"[3] ศาสนาคริสต์ปัจจุบันแบ่งเป็นสามนิกายใหญ่ คือ โรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และโปรเตสแตนต์ ซึ่งยังแบ่งนิกายย่อยได้อีกหลายนิกาย เขตอัครบิดรโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์แยกออกจากกันในช่วงศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก (East–West Schism) ใน ค.ศ. 1054 และนิกายโปรเตสแตนต์เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก[4]"
] | [
"74.1% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 4.6% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์, ประชากรจำนวนประมาณ 180,000 คน นับถือนิกายคริสต์นิกายออโธด็อกส์, ประชากรจำนวนประมาณ 8,140 คนนับถือนิกายยิว, ประชากรจำนวนระหว่าง 15,000-338,998 คนนับถือศาสนาอิสลาม (ประเทศเริ่มมีศาสนาอิสลามมาตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1912), ประชากรจำนวนมากกว่า 10,000 คนนับถือศาสนาพุทธ และประชากรจำนวน 20,000 คนเลือกที่จะไม่นับถือศาสนาใด ยึดหลักความเป็นกลาง (จากผลสำรวจในปีพุทธศักราช 2544 หรือปีคริสต์ศักราช 2001)",
"อัครทูตสวรรค์ () ในนิกายโรมันคาทอลิก หรือ หัวหน้าทูตสวรรค์ ในนิกายโปรเตสแตนต์ หมายถึงทูตสวรรค์ระดับสูง มีที่มาจากคำในภาษากรีก αρχάγγελος (\"arch- + angel\") พบในความเชื่อของหลายศาสนาทั้งศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ในศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ส่วนมากถือเหมือนกันว่า อัครทูตสวรรค์ประกอบด้วย \"มีคาเอล\" และ \"กาเบรียล\" ส่วนหนังสือโทบิตได้นับรวม \"ราฟาเอล\" เป็นอัครทูตสวรรค์ด้วย แต่หนังสือเล่มนี้เป็นที่ยอมรับเข้าในสารบบคัมภีร์ไบเบิลเฉพาะในคริสตจักรโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์เท่านั้น ส่วนคริสตจักรในนิกายโปรเตสแตนต์ไม่ยอมรับ ",
"ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 94) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก (ร้อยละ 0.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6)",
"ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีพลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก แต่ในเวลาเดียวกันก็มีกลุ่มศาสนาต่าง ๆ อยู่ในประเทศด้วยกัน ทั้งอิสลาม พุทธ ฮินดู และศาสนาอื่น ๆ บนเอกภาพที่หลากหลาย\nพระพุทธศาสนาในประเทศฟิลิปปินส์ เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจทางฝั่งมลายู ได้แผ่ขยายวัฒนธรรมมาถึงฟิลิปปินส์ในศตวรรษที่ 7 จนถึงศตวรรษที่ 13 แล้วมีชาวจีนโพ้นทะเล(อาจจะนับถือลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อด้วย) ในศตวรรษที่ 14 จนถึงศตวรรษที่ 20 และชาวญี่ปุ่น(อาจนับถือลัทธิชินโตด้วย) ที่อพยพตั้งรกรากในฟิลิปปินส์ ได้นำพระพุทธศาสนานิกายมหายานเข้ามาด้วย ในขณะที่ชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกซึ่งสเปนมาเผยแพร่เมื่อสมัยฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของสเปน และสมัยฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกา ก็ได้เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแทนต์ แต่ก่อนหน้านั้นศาสนาอิสลามก็ได้มาเผยแพร่และนิยมมากทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และต่อมาชาวอินเดีย-ปากีสถาน อพยพมาตั้งถิ่นฐานในฟิลิปปินส์ก็ได้นำศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เข้ามาด้วย ",
"ศาสนาคริสต์ในช่วงแรกถือเป็นนิกายหนึ่งของศาสนายูดาห์เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1[5][6] โดยถือกำเนิดขึ้นในชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออกของตะวันออกกลาง (ปัจจุบัน คือ อิสราเอลและปาเลสไตน์) ไม่นานก็แผ่ขยายไปยังซีเรีย เมโสโปเตเมีย เอเชียไมเนอร์ และอียิปต์ ศาสนาคริสต์มีขนาดและอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษ และจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 ได้กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติจักรวรรดิโรมัน[7] ระหว่างสมัยกลาง ดินแดนยุโรปที่เหลือส่วนมากรับศาสนาคริสต์แล้ว แต่บางภูมิภาค เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ เอธิโอเปีย และบางส่วนของอินเดีย คริสตชนยังถือเป็นศาสนิกชนกลุ่มน้อย[8][9] หลังยุคสำรวจ ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปยังทวีปอเมริกา ออสตราเลเซีย แอฟริกาใต้สะฮารา และส่วนที่เหลือของโลกผ่านงานมิชชันนารีและการล่าอาณานิคม",
"ในวัยเยาว์เธอเคยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก[6] ครั้นจำเริญวัยขึ้นจึงหันไปนับถือศาสนาพุทธ[7] ซึ่งช่วงต้นปี พ.ศ. 2555 เธอกล่าวถึงทัศนคติที่มีต่อศาสนาว่า \"พลอยเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธ แต่นับถือศาสนาคริสต์ด้วยครึ่งหนึ่ง ซึ่งพลอยจะขอเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเท่านั้น พลอยไม่เชื่อเรื่องดวง พลอยเป็นคนที่เชื่อในตัวเองมากกว่า...\"[8] แต่ภายในปี พ.ศ. 2555 นั้นเองเธอได้หันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์[9][10]",
"ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเข้ามาสู่กัมพูชาเมื่อราว พ.ศ. 2203 การเผยแพร่เป็นไปอย่างช้าๆ ใน พ.ศ. 2515 คาดว่ามีผู้นับถือศาสนาคริสต์ในกัมพูชาราว 20,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนิกายโรมันคาทอลิก ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2513 ก่อนจะมีการขับไล่ชาวเวียดนาม มีขาวคริสต์ในกัมพูชาที่เป็นชาวเวียดนามประมาณ 50,000 คน แต่หลังจากนั้น ชาวคริสต์ที่เหลืออยู่ในเวียดนามมักมีเชื้อสายยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส ในขณะที่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ของมิชชันนารีจากสหรัฐเพิ่มมากขึ้นหลังจากจัดตั้งสาธารณรัฐเขมร โดยเฉพาะการเผยแพร่ในหมู่ชาวเขมรบนและชาวจาม ",
"ชาวฟีจีส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ร้อยละ85% รองลงมานับถือศาสนาอิสลาม คริสต์นิกายโปรแตสแตนด์ คริสต์นิกายฟีจีออร์โธดอกซ์ ร้อยละ 52% ศาสนาฮินดู ร้อยละ 14 % ศาสนาสิกข์ 0.9% และ ไม่นับถือศาสนา ร้อยละ 5 %ตามลำดับ",
"โบสถ์นิกายแบบติสต์ในตรีปุระเริ่มก่อตั้งโดยมิชชันนารีชาวนิวซีแลนด์เมื่อราว พ.ศ. 2483 จนกระทั่ง พ.ศ. 2523 มีชาวตรีปุระไม่กี่พันคนที่เปลี่ยนศาสนา จนหลังการจลาจลทางเชื้อชาติระหว่าง พ.ศ. 2523 – 2532 จำนวนผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์มีมากขึ้น แนวร่วมกู้ชาติแห่งตรีปุระก่อตั้งใน พ.ศ. 2532 โดยความช่วยเหลือของนิกายแบบติสต์ และต่อมาขบวนการนี้ได้พัฒนามาเป็นกองกำลังกบฏติดอาวุธ",
"ประชากรชาวตองงาส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ โดยมีประชากรชาวตองงานับถือร้อยละ 64.9 ในนิกายโปรเตสแตนต์นั้นส่วนใหญ่แล้วนับถือ Free Wesleyan Church รองลงมาคือ Free Church of Tonga นิกายอื่นในศาสนาคริสต์ที่มีการนับถือรองลงมาคือมอร์มอน ร้อยละ 16.8 โรมันคาทอลิก ร้อยละ 15.6 ศาสนาอื่น ๆ ร้อยละ 1.1 และพบว่ามีประชากรร้อยละ 0.03 ที่ไม่นับถือศาสนา",
"ศิลปะคริสเตียน () เป็นคำที่หมายถึงจักษุศิลป์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อแสดงความหมาย, ขยายความ และแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลักของศาสนาคริสต์ นิกายของศาสนาคริสต์เกือบทุกนิกายใช้ศิลปะคริสเตียนแต่จะมากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่กฎบัตรของแต่ละนิกาย แต่โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นสื่อชนิดใดหัวเรื่องการสร้างก็จะคล้ายคลึงกันคือจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซูจากพันธสัญญาใหม่ หรือบางครั้งก็รวมเรื่องราวจากพันธสัญญาเดิม นอกนั้นการเขียนเรื่องนักบุญหรือผู้มีความสำคัญต่อศาสนาก็เป็นที่นิยมกันโดยเฉพาะในนิกายโรมันคาทอลิก, นิกายแองกลิคัน และนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์",
"ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก คิดเป็นร้อยละ 80 นอกจากนี้ยังนับถือคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์, คริสต์อิสระ และศาสนาอิสลาม",
"ศาสนาหลักคือ ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก โดยมีผู้นับถือ 80% ของประชากรทั้งหมด ชาวคริสต์ส่วนที่เหลือก็นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ",
"ผลสำรวจโดยองค์กรของคริสต์ศาสนาในนิกายต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2558 พบว่าคริสต์ศาสนิกชนในประเทศไทย มีจำนวนทั้งหมด 814,508 คน คิดเป็น 1.2712% ของประชากร 64,076,033 คน โดยแบ่งเป็น นิกายโปรเตสแตนต์ 444,372 คน (0.6935%) นิกายโรมันคาทอลิก 369,636 คน (0.5769%) นอกจากนี้ยังมีนิกายมอรมอน 20,730 คน",
"ทบิลีซีมีประชากร 1,093,000 คน\nประชากรของเมืองนี้มีความหลากหลาย เนื่องจากทบิลีซีเป็นที่อยู่ของผู้คนต่างวัฒนธรรม ต่างศาสนา และต่างชาติพันธุ์มาช้านาน แม้ว่าชาวทบิลีซีส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ แต่เมืองนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในโลกนี้ ที่สุเหร่ายิวและสุเหร่ามุสลิมตั้งอยู่ถัดจากกัน และมีโบสถ์เมเตคี (Metekhi) ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร",
"ข้อสังเกต: รายนามนิกายหรือคริสตจักรในบทความนี้เป็นรายการที่ไม่สมบูรณ์แต่เป็นรายนามที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยวางพื้นฐานกว้างถึงความสัมพันธ์ของนิกายหรือคริสตจักรหลักๆ ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ประมาณกันว่านิกายหรือคริสตจักรในศาสนาคริสต์มีด้วยกันกว่า 38,000 นิกาย[1] นิกายหลายนิกายไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสำคัญว่าเป็นนิกายที่เป็นเอกลักษณ์ รายนามบนหน้านี้เป็นรายนามที่มีบทความในวิกิประกอบ (ในวิกิภาษาอังกฤษและอื่นๆ) เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นนิกายที่มีความสำคัญพอที่จะกล่าวถึง",
"ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2000 ประชากรกว่า 87.9% นับถือศาสนาคริสต์ ในจำนวนนี้ 78.4% นับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และประมาณ 8% นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในปี ค.ศ. 1990 ปรากฏว่าจำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์ลดลง ในส่วนของศาสนาอิสลามและไม่นับถือศาสนาเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว",
"การทำลายรูปเคารพของจักรวรรดิโรมันที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์เมื่อจักรวรรดิโรมันเมื่อมาเปลี่ยนเป็นคริสต์ศาสนา ในนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ในยุคไบเซนไทน์ก็มีการทำลายรูปเคารพของนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์เอง การทำลายรูปเคารพของศาสนาอื่น ๆ ในเมืองมักกะฮ์โดยนบีมูฮัมหมัดผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม ในยุโรประหว่างการปฏิรูปศาสนาก็มีการทำลายรูปเคารพหลายครั้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างนิกายโปรเตสแตนต์และนิกายโรมันคาทอลิก ผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ก็จะทำลายรูปเคารพทั้งของนิกายโรมันคาทอลิกและของนิกายโปรเตสแตนต์เอง ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็มีการทำลายรูปเคารพของคริสต์ศาสนสถานและของสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ เช่นวังของเจ้านาย ระหว่างการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1905 ก็มีการทำลายรูปเคารพทางศาสนาและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ โดยทั่วไป ระหว่างและหลังจากที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจในประเทศจีน โดยเฉพาะระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรมก็มีการทำลายรูปเคารพทางศาสนาและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ กันอย่างแพร่หลายทั้งในเขตปกครองตนเองทิเบตและในบางบริเวณในประเทศจีน นอกเหนือจากที่กล่าวนี้แล้วการทำลายรูปเคารพเกิดขึ้นอึกหลายครั้งเช่นระหว่างการปฏิวัติชาวนา หรือ สงครามกลางเมืองอังกฤษ หรือ สงครามสามสิบปีในยุโรป กรณีการทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ของกลุ่มตาลีบันซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองอิสลาม",
"มิชชันนารีและผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ก็มักตกเป็นเป้าของการเบียดเบียน เป็นที่มาให้เกิดมรณสักขีในศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก แม้แต่ระหว่างนิกายในศาสนาคริสต์เองก็ยังเบียดเบียนกันเพราะกล่าวหาคริสต์ศาสนิกชนนิกายอื่นว่าเป็นพวกนอกรีต เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่มีการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์",
"จากการสำรวจปี ค.ศ. 2014 ผู้ใหญ่ 70.6% ระบุตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน[268] ลดลงจาก 73% ในปี 2012[269] โปรเตสแตนต์นิกายต่าง ๆ คิดเป็น 46.5% ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด[270] ศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์ที่รายงานทั้งหมดในปี 2014 มี 5.9%[270] ศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ ศาสนายูดาห์ (1.9%), ศาสนาอิสลาม (0.9%), ศาสนาฮินดู, (0.7%) ศาสนาพุทธ (0.7%)[270] การสำรวจยังรายงานว่าชาวอเมริกัน 22.8% ระบุตัวเองว่าอไญยนิยม, อเทวนิยมหรือไม่มีศาสนา เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 1990[270][271][272] นอกจากนี้ยังมีชุมชน ยูนิทาเรียนยูนิเวอร์แซลิสต์, ศาสนาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, ศาสนาเชน, ลัทธิชินโต, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ดรูอิด, พื้นเมืองอเมริกัน, วิคะ, มนุษยนิยม, และเทวัสนิยม[273]",
"พระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีเหนือนั้นไม่สามารถที่จะรู้สถานการณ์ได้ เพราะประเทศเกาหลีเหนือปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนา ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองในประเทศเกาหลีใต้มากกว่า แต่ในประเทศเกาหลีใต้มีการขัดแย้งระหว่างนิกายโชเก (นิกายถือพรหมจรรย์) และนิกายแทโก (นิกายไม่ถือพรหมจรรย์) แก่งแย่งวัดกัน ในช่วงนั้นกลุ่มมิชชันนารีจำนวนมากได้มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในช่วงแรกมีแต่กลุ่มวัยรุ่น แต่ภายหลัง ไม่ว่าวัยรุ่นหรือวัยไหน ๆ ก็หันมานับถือศาสนาคริสต์กันขนานใหญ่ ศาสนาพุทธจึงตกต่ำลง จน นิกายโชกายต้องหาวิธีให้ชาวเกาหลีมองเห็นว่าพระพุทธศาสนามีความสำคัญก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ชาวเกาหลี มีทัศนคติที่ดี แก่พระพุทธศาสนา เนื่องจากพระสงฆ์มีการติดต่อกับชาวบ้านน้อยมาก ในการตีพิมพ์คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ก็ต้องยืมคำของศาสนาคริสต์ คือ ไบเบิลของพระพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาบ้างแล้ว\nในปัจจุบันคณะสงฆ์ในประเทศเกาหลี ถือว่าเป็นคณะสงฆ์ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนานั่นเอง กิจการที่พระสงฆ์เกาหลีใต้สนใจ และทำกันอย่างเข้มแข็งจริงจังที่สุดคือ การศึกษา ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในด้านการศึกษานอกจากจะมีโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำหรับสอนพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร และสามเณรี (สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณี) แล้ว คณะสงฆ์เกาหลีใต้ยังมีสถานศึกษาฝ่ายสามัญระดับต่าง ๆ ที่เปิดรับนักเรียนชายหญิงโดยทั่วไปด้วย ซึ่งสถาบันเหล่านี้มีคฤหัสถ์ (บุคคลทั่วไป) เป็นผู้บริหาร แต่อยู่ในความควบคุมดูแลของคณะกรรมาธิการฝ่ายการศึกษาของคณะสงฆ์ สถานศึกษาเหล่านี้แยกประเภทได้ดังนี้",
"ชาวฟินแลนด์ประมาณร้อยละ 83 นับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรัน[35][37] และมีส่วนหนึ่ง (ร้อยละ 1.1) นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกส์ สองนิกายนี้เป็นศาสนาประจำชาติของฟินแลนด์ นอกจากนี้ ศาสนาอื่นๆที่มีนับถือในฟินแลนด์ได้แก่นิกายโปรเตสแทนท์อื่นๆ คาทอลิก อิสลาม และยูดาย นอกเหนือจากประชากรร้อยละ 14.7 ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา (เช่นการเข้าโบสถ์) นั้นน้อยกว่าที่เป็นตามตัวเลขนี้พอสมควร ชาวฟินแลนด์ส่วนใหญ่จะเคยเข้าโบสถ์น้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่จะเป็นงานพิธีต่างๆเช่นการแต่งงาน[38]",
"ในศาสนายูดาห์ ซึ่งเดิมโมเสสได้รับแผ่นศิลาพระโอวาทจากพระยาห์เวห์บนภูเขาซีนาย โดยหลักฐานใหม่ค้นพบว่า ตามความจริงแล้วแผ่นศิลาได้กำหนดข้อบัญญัติ 10 ประการนี้เป็นรายบรรทัด ซึ่งเป็นสารบบบัญญัติที่พบได้ในแบบนิกายโปรเตสแตนต์ นิกายออร์ทอดอกซ์ และศาสนายูดาห์ใช้ในปัจจุบัน จึงสรุปได้ว่า ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (สมัยก่อนการปฏิรูปศาสนา) และศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (ส่วนใหญ่) เรียงสารบบข้อบทบัญญัติเป็นแบบเดียวกัน คือแบบเซปตัวจินต์ แต่เมื่อมีการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ จึงทำให้นิกายโรมันคาทอลิก โยกย้ายพระบัญญัติใหม่ตามรูปแบบของนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป เพื่อให้เกิดความแตกต่างและเป็นผลจากการเมืองศาสนาในกรุงโรมสมัยนั้น",
"หนึ่งในสี่ของประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียออร์ทอดอกซ์ ในกลุ่มประชาชนที่มีเชื้อสายรัสเซีย, ยูเครน และเบลารุสเซีย[7] นอกจากนี้ยังมีนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์[5] มีโบสถ์คริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ 3,258 แห่ง, โบสถ์นิกายโรมันคาทอลิก 93 แห่ง และโบสถ์ของนิกายโปรเตสแตนต์กว่า 500 แห่ง ทั้งนี้วันคริสต์มาสของนิกายออร์ทอดอกซ์ได้เป็นวันหยุดราชการของประเทศเช่นกัน[4] นอกจากนี้ยังมีศาสนาอื่น ๆ เช่น ยูดาห์, บาไฮ, ฮินดู, พุทธ เป็นอาทิ[5]",
"ในภาษาอังกฤษเรียกคริสต์ศาสนาทุกนิกายเหมือนกันว่า \"คริสเตียน\" ซึ่งแปลตรงตัวว่า \"คริสต์ศาสนิกชน\" แต่ในประเทศไทย มักเรียกคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกว่า \"คริสตัง\" และเรียกนิกายโปรเตสแตนต์ว่า \"คริสเตียน\" เนื่องจากนิกายโรมันคาทอลิก เข้ามาเผยแพร่ตั้งแต่ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยบาทหลวงชาวโปรตุเกส ซึ่งในภาษาโปรตุเกสคำว่าคริสต์ศาสนิกชนออกเสียงว่า \"คริสตัง\" ชาวไทยจึงติดปากเรียกผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกว่า \"คริสตัง\"",
"มนุษย์ได้แบ่งศาสนาคริสต์ให้เป็นนิกายต่าง ๆ ซึ่งแปรไปตามพื้นที่, วัฒนธรรม และความคิดของตน นิกายที่สำคัญมี 3 นิกายคือ",
"กิจกรรมของมิชชันนารีอเมริกันนิกายโปรเตสแตนต์เพิ่มขึ้นในกัมพูชา โดยเฉพาะในกลุ่มชาวจามและชนเผ่าต่างๆหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2513 และการก่อตั้งสาธารณรัฐเขมร มีรายงานว่ามีผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ 2,000 คนใน พ.ศ. 2505 และใน พ.ศ. 2525 มีรายงานว่ายังมีหมู่บ้านชาวคริสต์ในกัมพูชา แต่ไม่ได้รายงานเรื่องจำนวน รวมทั้งนิกายของพวกเขา ใน พ.ศ. 2523 มีชาวเขมรที่นับถือศาสนาคริสต์ลงทะเบียนเป็นผู้อพยพในค่ายผู้อพยพในประเทศไทยมากกว่าจำนวนที่เคยมีรายงานใน พ.ศ. 2513 ใน พ.ศ. 2530 คาดการณ์ว่าเหลือชาวคริสต์ในกัมพูชาไม่กี่พันคน ปัจจุบันมีชาวคริสต์ที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกในกัมพูชาราว 20,000 คน คิดเป็น0.15% ของประชากรทั้งหมด",
"แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาลเบลารุส กล่าวว่า ในประเทศมีประชากร 58.9% ที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง (ตรวจสอบเมื่อเดือน พฤศจิกายน ปีค.ศ. 2011) ภายใน 58.9% นั้น โดยมากนับถือศาสนาคริสต์นิกายต่าง ๆ ซึ่งในทั่วทั้งประเทศ มีประชากร 82% ที่นับถือ คริสต์ศาสนาคริสตจักรออร์ทอดอกซ์[1]ส่วนผู้ที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก โดยมากอาศัยอยู่ในบริเวณทิศตะวันออกของประเทศ บางเขตแดนมีผู้คนนับถือคริสต์ศาสนาคริสตจักรโปรเตสแตนท์ (ซึ่งเป็นคริสตจักรที่กำเนิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขตแดนเบลารุสได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสวีเดน) [2] ในประเทศ มีชนกลุ่มน้อยนับถือศาสนาต่าง ๆ อีกด้วย ได้แก่ คริสต์ศาสนาคริสตจักรกรีกคาทอลิก ศาสนายูดาห์ อิสลาม และ ลัทธินอกศาสนาใหม่ (Neopaganism) มีประชากรจำนวนมากที่ได้เปลี่ยนแปลงศาสนาของตนในช่วงเวลาที่ประเทศเบลารุสได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย โดยประชากรโดยมากได้เปลี่ยนจากศาสนาคริสต์แบบกรีกคาทอลิกเป็นคาทอลิกแบบรัสเซีย",
"นิกายในศาสนาคริสต์ (English: Christian denominations) คือการแบ่งสาขาของศาสนาคริสต์ตามแนวปรัชญาและหลักการปฏิบัติ ในแต่ละนิกาย (denomination) ก็แบ่งย่อยเป็นคริสตจักร (church) รายการข้างล่างนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น"
] |
เซลล์ไฟฟ้าเคมี คิดค้นโดยใคร ? | [
"อาเลสซานโดร จูเซปเป อันโตนิโอ อนาสตาซิโอ โวลตา (Italian: Alessandro Giuseppe Antonio Anastasio Volta; 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1745 — 5 มีนาคม ค.ศ. 1827) เป็นนักฟิสิกส์ชาวลอมบาร์ดี ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าคิดค้นแบตเตอรี (เซลล์ไฟฟ้าเคมี) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1800"
] | [
"ช่องไอออนโดยมากเปิดให้ไอออนโดยเฉพาะ ๆ ข้าม บางอย่างเปิดปิดโดยศักย์ไฟฟ้า (voltage gated) ซึ่งหมายความว่าจะอยู่ในสภาพเปิดปิดขึ้นอยู่กับความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าข้ามเยื่อ บางอย่างเปิดปิดทางเคมี (chemically gated) ซึ่งหมายความว่าจะอยู่ในสภาพเปิดปิดโดยอาศัยปฏิสัมพันธ์ทางเคมีกับของเหลวที่อยู่ระหว่างเซลล์",
"โวลต์ (สัญลักษณ์ : V) คือหน่วยอนุพันธ์ในระบบเอสไอของความต่างศักย์ไฟฟ้า ปริมาณที่กำกับด้วยหน่วยโวลต์นั้นคือผลการวัดความเข้มของแหล่งจ่ายไฟฟ้าในแง่ที่ว่าจะสร้างพลังงานได้เท่าใดที่ระดับกระแสค่าหนึ่ง ๆ โวลต์ซึ่งเป็นชื่อของหน่วยนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ อาเลสซันโดร วอลตา (พ.ศ. 2288–2370) ผู้คิดค้นแบตเตอรี่เคมีชนิดแรกที่เรียกว่าเซลล์โวลตาอิก (Voltaic Pile)",
"ไฟฟ้าเคมีได้เป็นส่วนสำคัญในการผลิตไฟฟ้าเสมอ จากสิ่งประดิษฐ์ช่วงเริ่มต้นของเซลล์ซ้อนของโวลตา เซลล์ไฟฟ้าเคมีได้วิวัฒนาการไปเป็นแบตเตอรีชนิดต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งเซลล์การชุบด้วยไฟฟ้าและเซลล์อิเล็กโทรไลต์ อะลูมิเนียมสามารถผลิตขึ้นมาได้ในปริมาณมหาศาลก็ด้วยวิธีนี้ และอุปกรณ์เคลื่อนที่จำนวนมากได้รับพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แบบที่ชาร์จไฟใหม่ได้",
"เซลล์เชื้อเพลิงชนิดนี้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้า โดยอาศัยปฏิกิริยาทางไฟฟ้าเคมี ตามปฏิกิริยารีดอกซ์ โดยที่ขั้วอิเล็กโทรด ของเซลล์ไฟฟ้าชนิดนี้ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาแพลตทินัม(Pt)และขั้วอิเล็กโทรไลท์ใช้โพลิเมอร์แข็ง คือ แนฟฟิออน(Nafion(R)) เป็นเยื่อเลื่อกผ่านประจุ สารตั้งต้นของเซลล์เชื้อเพลิงแบบเยื่อแลกเปลี่ยนโปรตอน ใช้ กาซไฮโดรเจน และ ออกซิเจน(หรือ อากาศ) โดยกาซไฮโดรเจนจะแตกตัวบนพื้นผิวตัวเร่งปกิกิริยาที่ด้านแอโนด ให้ผลิตภัณท์คือ โปรตอน และ อิเล็กตรอน ตามปฏิกิริยาออกซิเดชั่น แต่ในเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้แนฟฟิออนเป็นเยื่อเลือกผ่านนี้ เฉพาะอิออนที่มีประจุบวกเท่านั้นจึงจะผ่านได้ ดังนั้นในที่นี้โปรตรอนจึงถูกเลือกให้เคลื่อนที่ผ่านไปยังขั้วแคโทด ส่วนอิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ไฟฟ้าเคมีไปยังขั้วแคโทด โดยผ่านภาระทางไฟฟ้า หรือ โหลด (Load)และเป็นที่รู้กันดีว่าไฟฟ้าเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ดังนั้นเราก็จะได้แสงสว่างจากไฟฟ้าที่ผลิตได้ หากโหลดนั้นคือหลอดไฟฟ้า เมื่ออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปยังขัวแคโทดถือว่าครบวงจร จากนั้นอิเล็กตรอน โปรตอน และก๊าซออกซิเจน ตามปฏิกิริยารีดักชั่น ก็จะรวมตัวกัน กลายเป็นน้ำ ดังนั้นเซลล์เชื้อเพลิงชนิดนี้จึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม",
"ด้วยวิธีนี้เขาได้ค้นพบชุดเคมีไฟฟ้าและกฎหมายว่าแรงดึงดูด (emf) ของเซลล์ไฟฟ้าประกอบด้วยอิเล็กตรอนคู่ที่แยกจากกันโดยอิเลคโตรไลท์ คือความแตกต่างระหว่างศักย์ไฟฟ้าของขั้วไฟฟ้าทั้งสอง ( อิเล็กโทรไลต์ทั่วไปให้ศูนย์ emf สุทธิ ) นี่อาจเรียกว่ากฎไฟฟ้าเคมีของโวลต้า",
"ในปีค.ศ. 1800 เนื่องจากความไม่เข้ากันของ Galvanic ทำให้ Galvani และ Volta ได้ทำการคิดค้น voltaic ขึ้นมาซึ่งเป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง Volta ได้กำหนดให้คู่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของโลหะที่แตกต่างกันในการผลิตไฟฟ้าคือสังกะสีและทองแดง ตอนแรกเขาทดลองกับแต่ละเซลล์ในชุดแต่ละเซลล์เป็นถ้วยไวน์ที่เต็มไปด้วยน้ำเกลือที่ขั้วไฟฟ้าทั้งสองต่างถูกจุ่มลง กอง voltaic แทนถ้วยกับกระดาษแข็งแช่ในน้ำเกลือ.",
"แบตเตอรี่แปลงพลังงานเคมีให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง แบตเตอรี่ประกอบด้วยเซลล์แบบโวลตาได้มากกว่าหนึ่งเซลล์ แต่ละเซลล์ประกอบด้วยสอง ครึ่งเซลล์ ที่เชื่อมต่อเรียงกันเป็นแถวโดยสารอิเล็กโทรไลต์ที่เป็นสื่อกระแสไฟฟ้าที่มีไอออนที่มีประจุลบ () และไอออนที่มีประจุบวก () ครึ่งเซลล์หนึ่งตัวจะมีอิเล็กโทรไลต์และขั้วลบ (อิเล็กโทรดที่แอนไอออนวิ่งเข้าหา); อีกครึ่งเซลล์หนึ่งจะมีอิเล็กโทรไลต์และขั้วบวก (อิเล็กโทรดที่แคทไอออนวิ่งเข้าหา Redox ปฏิกิริยา Redox เป็นตัวให้พลังงานกับแบตเตอรี่ แคทไอออนจะลดลง (อิเล็กตรอนมีการเพิ่ม) ที่แคโทดระหว่างการชาร์จประจุ ในขณะที่แอนไอออนจะถูกออกซิไดซ์ (อิเล็กตรอนจะถูกลบออก) ที่ขั้วบวกระหว่างการชาร์จ ในระหว่างการดีสชาร์จกระบวนการจะเป็นตรงกันข้าม ขั้วไฟฟ้าทั้งสองไม่ได้สัมผัสกัน แต่เชื่อมต่อทางไฟฟ้าโดย อิเล็กโทรไลต์ เซลล์บางตัวใช้อิเล็กโทรไลต์แตกต่างกันสำหรับแต่ละครึ่งเซลล์ ตัวคั่นช่วยให้ไอออนไหลระหว่างครึ่งเซลล์ แต่จะช่วยป้องกันการผสมของอิเล็กโทรไลต์ทั้งสองด้าน",
"แบตเตอรี่ไหลมีความคล้ายคลึงด้านเทคนิคกับทั้งเซลล์เชื้อเพลิงและเซลล์สะสมไฟฟ้าเคมี (ความสามารถในการเปลี่ยนกลับทางด้านเคมีไฟฟ้า). ในขณะที่มันมีข้อได้เปรียบทางเทคนิคเช่นถังของเหลวที่อาจแยกได้และอายุยืนยาวเกือบไม่จำกัดเหนือกว่าแบตเตอรีแบบชาร์จไฟได้ธรรมดาส่วนใหญ่, การใช้งานในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วมีประสิทธิภาพน้อยกว่าและต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนมากกว่า. ชนิดใหม่กว่าของแบตเตอรี่ไหลกำลังมีการพัฒนาเพื่อให้สามารถจัดเก็บพลังงานจำนวนมากได้, เนื่องจากการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานโดยรวมของระบบ (มีค่าเป็น MWh) โดยทั่วไปต้องใช้เพียงการเพิ่มขึ้นของขนาดของอ่างเก็บสารเคมีที่เป็นของเหลวเท่านั้น.",
"เซลล์ไฟฟ้าเคมีประกอบด้วยสองครึ่งเซลล์ แต่ละ\"ครึ่งเซลล์\"ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้าและอิเล็กโทรไลต์อย่างละหนึ่งตัว สองครึ่งเซลล์อาจใช้อิเล็กโทรไลต์เดียวกันหรือต่างกัน ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์อาจเกี่ยวข้องกับทั้งอิเล็กโทรไลต์และขั้วไฟฟ้าและ/หรือกับสารภายนอก (เช่นในเซลล์เชื้อเพลิงที่อาจใช้แก๊สไฮโดรเจนเป็นตัวทำปฏิกิริยา) ในเซลล์ไฟฟ้าเคมีเต็มรูปแบบ สารละลายในหนึ่งครึ่งเซลล์จะสูญเสียอิเล็กตรอน (ออกซิเดชัน) ให้กับขั้วไฟฟ้าของมันในขณะที่สารละลายในอีกหนึ่งครึ่งเซลล์ได้อิเล็กตรอนเพิ่ม (รีดักชัน) จากขั้วไฟฟ้าของมัน",
"แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้, หรือเรียกว่า storage battery หรือ accumulator, เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง. มันประกอบด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมีหนึ่งชุดหรือมากกว่า, และเป็นต้วสะสมพลังงานประเภทหนึ่ง. มันเป็นที่รู้จักกันในนาม 'เซลล์รอง' เพราะปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีของมันเป็นแบบไฟฟ้าย้อนกลับ. แบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟได้มาในรูปทรงและขนาดที่แตกต่างกัน, ตั้งแต่เซลล์ขนาดกระดุมจนถึงระบบเมกะวัตต์ที่เชื่อมต่อเพื่อรักษาเสถียรภาพของเครือข่ายการกระจายไฟฟ้า. ส่วนผสมของสารเคมีที่แตกต่างกันหลายอย่างถูกนำมาใช้โดยทั่วไป, ได้แก่ ตะกั่ว-กรด, นิกเกิลแคดเมียม (NiCd), นิกเกิลเมททัลไฮไดรด์ (NiMH), ลิเธียมไอออน (Li-ion), และพอลิเมอลิเธียมไอออน (Li-ion polymer).",
"ในกรณีที่เป็นแบตเตอรี่ การแยกตัวของประจุที่ก่อให้เกิดความต่างแรงดันระหว่างขั้วทั้งสองสามารถทำสำเร็จได้โดยปฏิกิริยาเคมีที่ขั้วไฟฟ้าที่จะแปลงพลังงานเคมีให้เป็นพลังงานศักย์แม่เหล็กไฟฟ้า เซลล์ไฟฟ้าอาจคิดว่าเป็นการมี \"ปั๊มประจุ\" ที่มีขนาดเท่าอะตอมที่แต่ละขั้วไฟฟ้า นั่นคือ",
"แบตเตอรีที่โวลตาผลิตได้รับยกย่องเป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมีเซลล์แรก ประกอบด้วยสองอิเล็กโทรด อันหนึ่งทำจากสังกะสี อีกอันหนึ่งทำจากทองแดง อิเล็กโทรไลต์เป็นกรดซัลฟิวริกผสมน้ำหรือน้ำเกลือเข้มข้นทะเลรูปหนึ่ง อิเล็กโทรไลต์มีอยู่ในรูป 2H+ และ SO42− สังกะสีซึ่งมีศักยะอิเล็กโทรต (electrode potential) สูงกว่าทองแดงและไฮโดรเจน ทำปฏิกิริยากับซัลเฟต (SO42−) ซึ่งมีประจุลบ ไอออนไฮโดรเจน (โปรตอน) ซึ่งมีประจุบวกจับอิเล็กตรอนจากทองแดง ก่อให้เกิดฟองแก๊สไฮโดรเจน H2 ทำให้แท่งสังกะสีเป็นอิเล็กโทรตลบและแท่งทองแดงเป็นอิเล็กโทรดบวก ฉะนั้น มีสองปลาย และกระแสไฟฟ้าจะไหลหากเชื่อมต่อกัน ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์โวตาอิกนี้เป็นดังนี้",
"นิวรอนส่งสัญญาณผ่านจุดประสานประสาททางเคมี (chemical synapse) และจุดประสานประสาททางไฟฟ้า (electrical synapse) ในกระบวนการที่เรียกว่าการสื่อประสาท (neurotransmission) หรือการสื่อผ่านไซแนปส์ (synaptic transmission) กระบวนการหลักที่จุดชนวนให้เซลล์ปล่อยสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ก็คือศักยะงาน (action potential) ซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าวิ่งผ่าน และสร้างโดยอาศัยความต่างศักย์ของเยื่อหุ้มเซลล์/เยื่อหุ้มเซลล์ที่เร้าได้ด้วยไฟฟ้า โดยเกิดในลักษณะเป็นคลื่นของการลดขั้ว (depolarization)",
"นิวรอนทั้งหมดสามารถเร้าได้โดยกระแสไฟฟ้า โดยรักษาศักย์ไฟฟ้าที่ต่างกันระหว่างภายในภายนอกเซลล์ข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ โดยใช้ปั๊มไอออน (หรือ ion transporter) บวกกับช่องไอออนที่ฝังอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์เพื่อรักษาความเข้มข้นของไอออนต่าง ๆ (เช่น โซเดียม โพแทสเซียม คลอไรด์ และแคลเซียม) ในระดับที่ต่างกันระหว่างภายในภายนอกเซลล์ ความเปลี่ยนแปลงของความต่างศักย์ไฟฟ้าข้ามเยื่อหุ้มเซลล์อาจเปลี่ยนการทำงานของช่องไอออนที่เปิดปิดโดยศักย์ไฟฟ้า (Voltage-gated ion channel) ถ้าศักย์ต่างเปลี่ยนมากพอ ก็จะมีผลเป็นศักยะงาน (action potential) ที่ยิงแบบเกิดหรือไม่เกิด (all-or-none) และเป็นพัลส์ไฟฟ้าเคมีที่วิ่งไปอย่างรวดเร็วทางแอกซอนของเซลล์ แล้วจบลงด้วยการส่งสัญญาณข้ามเซลล์ที่จุดประสานประสาท (โดยเซลล์ประสาทต่อไปอาจส่งสัญญาณต่อ)",
"เซลล์กัลวานี หรือ เซลล์วอลตา (English: Galvanic cell หรือ Voltaic cell) เป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่ตั้งชื่อตาม ลุยจิ กัลวานี หรือ อาเลสซานโดร โวลตาตามลำดับ เซลล์นี้จะให้พลังงานไฟฟ้าจากปฏิกิริยารีดอกซ์ที่เกิดขึ้นเองภายในเซลล์ โดยทั่วไปมันจะประกอบด้วยโลหะที่ต่างกันสองชนิดเชื่อมต่อกันด้วยสะพานเกลือ หรือสองครึ่งเซลล์ที่คั่นด้วยเยื่อที่มีรูพรุน",
"เซลล์เชื้อเพลิง () เป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานเคมีจากเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งให้เป็นกระแสไฟฟ้าผ่านทางปฏิกิริยาเคมีของไอออนของไฮโดรเจนประจุบวกกับอ๊อกซิเจนหรือตัวทำอ๊อกซิเดชันอื่น เซลล์เชื้อเพลิงแตกต่างจากแบตเตอรี่ที่ว่ามันต้องการแหล่งจ่ายเชื้อเพลิงและอ๊อกซิเจนหรืออากาศอย่างต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืนของปฏิกิริยาเคมี ในขณะที่ในแบตเตอรี่สารเคมีภายในจะทำปฏิกิริยาต่อกันเพื่อผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้า (emf) เซลล์เชื้อเพลิงสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องนานเท่าที่เชื้อเพลิงและอ๊อกซิเจนหรืออากาศยังคงถูกใส่เข้าไป ไม่เหมือนกับแบตเตอรี่ที่จะหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าถ้าสารเคมีหมดอายุการใช้งาน ",
"ศักย์ของเซลล์สามารถทำนายได้โดยการใช้ศักย์ของขั้วไฟฟ้า (แรงดันไฟฟ้าของแต่ละครึ่งเซลล์) ศักย์ของครึ่งเซลล์เหล่านี้จะถูกกำหนดเทียบกับแรงดัน 0 โวลต์ที่มอบหมายให้กับขั้วไฟฟ้าไฮโดรเจนมาตรฐาน () (ดูตารางที่ศักย์มาตรฐานของขั้วไฟฟ้า) ความแตกต่างในแรงดันไฟฟ้าระหว่างศักย์ขั้วไฟฟ้าทั้งสองจะสามารถคาดการณ์ถึงศักย์ที่จะทำการวัด เมื่อคำนวณค่าความแตกต่างของแรงดันไฟฟ้า เราต้องเขียนสมการปฏิกิริยาครึ่งเซลล์ขี้นใหม่ก่อนเพื่อหาสมการอ๊อกซิเดชัน-รีดักชันที่สมดุลข้อสังเกต ศักย์ของเซลล์จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อปฏิกิริยาจะถูกคูณด้วยค่าคงที่",
"แบตเตอรี่ () เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วย เซลล์ไฟฟ้าเคมี หนึ่งเซลล์หรือมากกว่า ที่มีการเชื่อมต่อภายนอกเพื่อให้กำลังงานกับอุปกรณ์ไฟฟ้า แบตเตอรี่มี ขั้วบวก () และ ขั้วลบ () ขั้วที่มีเครื่องหมายบวกจะมีพลังงานศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าขั้วที่มีเครื่องหมายลบ ขั้วที่มีเครื่องหมายลบคือแหล่งที่มาของอิเล็กตรอนที่เมื่อเชื่อมต่อกับวงจรภายนอกแล้วอิเล็กตรอนเหล่านี้จะไหลและส่งมอบพลังงานให้กับอุปกรณ์ภายนอก เมื่อแบตเตอรี่เชื่อมต่อกับวงจรภายนอก สาร อิเล็กโทรไลต์ มีความสามารถที่จะเคลื่อนที่โดยทำตัวเป็นไอออน ยอมให้ปฏิกิริยาทางเคมีทำงานแล้วเสร็จในขั้วไฟฟ้าที่อยู่ห่างกัน เป็นการส่งมอบพลังงานให้กับวงจรภายนอก การเคลื่อนไหวของไอออนเหล่านั้นที่อยู่ในแบตเตอรี่ที่ทำให้เกิดกระแสไหลออกจากแบตเตอรี่เพื่อปฏิบัติงาน ในอดีตคำว่า \"แบตเตอรี่\" หมายถึงเฉพาะอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ แต่การใช้งานได้มีการพัฒนาให้รวมถึงอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์เดียว",
"แหล่งที่มาของแรงเคลื่อนไฟฟ้าอาจจะคิดได้ว่าเป็นชนิดหนึ่งของ\"ปั้มประจุ\"ที่ทำหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายประจุบวกจากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำผ่านตัวมันเองไปยังจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าที่สูงกว่า ... โดยวิธีการทางเคมี, ทางกลไกหรือทางอื่น ๆ แหล่งที่มาของแรงเคลื่อนไฟฟ้าจะทำงาน \"dW\" บนประจุนั้นเพื่อที่จะเคลื่อนย้ายประจุไปยังขั้วที่มีศักยภาพสูง แรงเคลื่อนไฟฟ้า \"ℰ\" ของแหล่งที่มาจะถูกกำหนดให้เป็นงาน \"dW\" ที่ทำบนประจุ \"dq\" ดังนั้น \"ℰ\" = \"dW/dq\"\nราวปี 1830 ไมเคิล ฟาราเดย์ระบุว่าปฏิกิริยาในแต่ละรอยต่อสองรอยต่อระหว่างขั้วไฟฟ้ากับสารอิเล็กโทรไลต์จะให้ \"EMF\" สำหรับเซลล์ไฟฟ้า นั่นคือ ปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นตัวขับเคลิ่อนกระแสและไม่ได้เป็นแหล่งที่มาของพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่ติดไว้แต่แรก ในกรณีของวงจรเปิด การแยกตัวของประจุจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งสนามไฟฟ้าจากประจุที่ถูกแยกตัวมีปริมาณเพียงพอที่จะหยุดปฏิกิริยา หลายปีก่อนหน้านี้ อาเลสซานโดร โวลตา ผู้ที่วัดความต่างศักย์ของจุดสัมผัสระหว่างโลหะกับโลหะ (ขั้วไฟฟ้ากับอิเล็กโทรด) ของเซลล์ของเขา เขาได้ให้ความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้องที่ว่าจุดสัมผัสเพียงอย่างเดียว (โดยไม่คำนึงถึงปฏิกิริยาทางเคมี) เป็นต้นกำเนิดของ EMF",
"ตัวกระตุ้นเชิงเคมี ตัวอย่างเช่นกลิ่น มีการตรวจจับโดยหน่วยรับความรู้สึกของเซลล์ที่บ่อยครั้งจับคู่กับประตูไอออนที่มีหน้าที่ถ่ายโอนสารเคมีเป็นสัญญาณไฟฟ้า กรณีหนึ่งก็คือเซลล์ประสาทรับกลิ่น (Olfactory receptor neuron) คือ เมื่อสารมีกลิ่นเข้าไปยึดกับหน่วยรับกลิ่นของเซลล์ ศักย์ของเยื่อหุ้มเซลล์ก็ลดลงเปิดประตูไออนบวกที่ไม่เลือกขนาดไอออน ซึ่งเริ่มกระบวนการถ่ายโอนสารเคมีเป็นสัญญาณไฟฟ้า นอกจากนั้นแล้ว หน่วยรับกลิ่นคู่กับจีโปรตีนในเยื่อหุ้มเซลล์สามารถก่อให้เกิดกระบวนการที่สองที่เปิดประตูไออนบวก ทำให้สัญญาณไฟฟ้าของเซลล์มีกำลังมากขึ้น เป็นการขยายสัญญาณของกลิ่น",
"ศักย์ของเซลล์สามารถมีช่วงประมาณศูนย์ถึง 6 โวลต์ เซลล์ที่ใช้อิเล็กโทรไลต์ที่ผสมน้ำมักจะจำกัดศักย์ของเซลล์ไว้ที่น้อยกว่าประมาณ 2.5 โวลต์ เพราะส่วนผสมสำคัญเพื่อทำออกซิเดชันและรีดักชันที่มีประสิทธิภาพมากในการผลิตศักย์เซลล์ที่สูงขึ้นจะมีแนวโน้มที่จะทำปฏิกิริยากับน้ำ ศักย์ของเซลล์ที่สูงขึ้นมีความเป็นไปได้กับเซลล์ที่ใช้ตัวทำละลายอื่นแทนน้ำ ยกตัวอย่างเช่นเซลล์ลิเธียมที่มีแรงดันไฟฟ้า 3 โวลต์ที่มีอยู่ทั่วไป",
"หลักการของเซลล์เคมีไฟฟ้า คือ การเปลี่ยนจากพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยนำขั้วไฟฟ้า คือ ทองแดง และแผ่นสังกะสีจุ่มในสารซัลฟิวริกเจือจาง ขั้วไฟฟ้าทั้งสองจะทำปฏิกิริยากับสารละลายแล้วเกิดการแตกตัว โดยสังกะสีจะแตกตัวให้อิเล็กตรอนมากกว่าทองแดง ทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่จากขั้วสังกะสีไปสู่ขั้วทองแดง ขั้วสังกะสีจะเป็นขั้วไฟฟ้าลบและมีศักย์ไฟต่ำ ส่วนขั้วทองแดงจะเป็นขั้วไฟฟ้าบวกและมีศักย์ไฟฟ้าสูง ดังนั้นจะทำให้มีกระแสอิเล็กตรอนเคลื่อนที่จากขั้วสังกะสีไปสู่ขั้วทองแดง จึงเกิดกระแสไฟฟ้า",
"ปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเอง (spontaneous) สามารถใช้เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าได้เช่นในเซลล์เคมีไฟฟ้า (electrochemical cell) หรือ แบตเตอรี่ (battery) และ เซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) ตัวอย่างในเซลล์เชื้อเพลิง ก๊าซออกซิเจน (O) และไฮโดรเจน (H) จะรวมตัวกันเกิดเป็นน้ำ (HO) ความร้อนและพลังงานไฟฟ้า (electrical energy) ในทางกลับกันอิเล็กโตรไลสิส (electrolysis) ของน้ำเกิดเป็นก๊าซออกซิเจนและไฮโดรเจนเกิดขึ้นเองไม่ได้\n(non-spontaneous electrochemical reactions) ต้องใช้แรงดันไฟฟ้า (voltage) ช่วย",
"การคำนวณเหล่านี้จะมีพื้นฐานบนสมมติฐานที่ว่าปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดอยู่ในภาวะสมดุล เมื่อมีกระแสไหลในวงจร สภาวะสมดุลจะไม่ประสบความสำเร็จและมีศักย์ของเซลล์มักจะลดลงตามกลไกต่างๆ เช่นการพัฒนาของศักย์เกิน[9] นอกจากนี้เนื่องจากปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์กำลังผลิตไฟฟ้า ความเข้มข้นของอิเล็กโทรไลต์จะเปลี่ยนและแรงดันไฟฟ้าของเซลล์จะลดลง ผลที่ตามมาของการพึ่งพาอุณหภูมิของศักย์มาตรฐานคือว่าแรงดันไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นโดยเซลล์กัลวานีก็ขึนอยู่กับอุณหภูมิเช่นกัน",
"ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด ครึ่งเซลล์แรกจะประกอบด้วยโลหะแข็งชนิดหนึ่ง (เรียกว่าขั้วไฟฟ้า) ที่จุ่มอยู่ในสารละลายชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยไอออนบวก หรือแคตไอออน (cation) (พร่องอิเล็กตรอน) ของโลหะที่ทำเป็นขั้วไฟฟ้า อีกครึ่งเซลล์หนึ่งจะประกอบด้วยโลหะแข็งอีกชนิดหนึ่งทำเป็นขั้วไฟฟ้าที่จุ่มอยู่ในสารละลายอีกชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยไอออนลบ หรือแอนไอออน (anion) (อิเล็กตรอนเกิน) ของโลหะที่ทำเป็นขั้วไฟฟ้านั้นเช่นกัน ทั้งสองครึ่งเซลล์จะเชื่อมถึงกันเพื่อความสมดุลของประจุจากไอออนทั้งสองแบบ ในสาระสำคัญ ภายในครึ่งเซลล์แรกจะเกิดออกซิเดชัน (oxidation) ระหว่างขั้วไฟฟ้ากับสารละลาย ทำให้สายละลายพร่องอิเล็กตรอน โดยอิเล็กตรอนที่พร่องไปสะสมที่ขั้วไฟฟ้า ภายในครึ่งเซลล์หลังจะเกิดรีดักชัน (reduction) ระหว่างขั้วไฟฟ้ากับสารละลาย ทำให้สารละลายได้รับอิเล็กตรอนเพิ่ม ทำให้ขั้วไฟฟ้าพร่องอิเล็กตรอน (เรียกว่าโฮล) ดังนั้นเมื่อเชื่อมสองครึ่งเซลล์เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเซลล์สมบูรณ์ ปฏิกิริยาโดยรวมจึงเรียกว่าปฏิกิริยารีดอกซ์ เพื่อให้เกิดความสมดุลทางเคมี สภาวะที่สมดุลสามารถเขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ดังต่อไปนี้ (เมื่อ \"M\" เป็นไอออนบวกของโลหะ ซึ่งหมายถึงอะตอมที่มีประจุไม่สมดุลเนื่องจากการ การสูญเสียของอิเล็กตรอน \"n\" ตัว)",
"เซลล์ไฟฟ้าเคมี () เป็นอุปกรณ์ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากปฏิกิริยาเคมีหรือช่วยอำนวยความสะดวกในการทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีผ่านการการใช้พลังงานไฟฟ้า ตัวอย่างหนึ่งที่ใช้ร่วมกันของเซลล์ไฟฟ้าเคมีเป็นเซลล์มาตรฐาน 1.5 โวลต์ที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการใช้งานของผู้บริโภค อุปกรณ์ชนิดนี้รู้จักกันว่าเป็นเซลล์กัลวานีเดี่ยว แบตเตอรี่จะประกอบด้วยเซลล์สองตัวหรือมากกว่าเชื่อมต่อกันแบบอนุกรมหรือแบบขนาน",
"แม้ว่าแบตเตอรี่ในช่วงต้นต้นจะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับวัตถุประสงค์ด้านการทดลองก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้วแรงดันไฟฟ้าของพวกมันมีความผันผวนและพวกมันก็ไม่สามารถให้กระแสขนาดใหญ่ได้เป็นระยะเวลาอย่างต่อเนื่อง ส่วน เซลล์ของนีลล์ ที่คิดค้นได้ในปี 1836 โดยนักเคมีชาวอังกฤษ จอห์น เฟรเดอริก นีลล์ เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าในทางปฏิบัติครั้งแรก และกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นแหล่งพลังงานสำหรับเครือข่าย โทรเลขไฟฟ้า เซลล์ของนีลล์ประกอบด้วยหม้อทองแดงที่เติมเต็มด้วยสารละลาย คอปเปอร์ซัลเฟต ที่แช่ด้วยภาชนะ ดินเผา เคลือบที่เติมเต็มด้วย กรดกำมะถัน และขั้วไฟฟ้าสังกะสี",
"แต่ละครึ่งเซลล์มีแรงดันไฟฟ้าลักษณะเฉพาะ () สสารที่เป็นทางเลือกสำหรับแต่ละครึ่งเซลล์มีหลากหลาย พวกมันจะให้ความต่างศักย์ที่แตกต่างกัน แต่ละปฏิกิริยาจะดำเนินการเพื่อการสมดุลทางเคมีระหว่างสถานะออกซิเดชันที่แตกต่างกันของไอออน: เมื่อเกิดความสมดุล เซลล์จะไม่สามารถให้แรงดันไฟฟ้าสูงสุดอีกต่อไป ในครึ่งเซลล์ที่กำลังเกิดออกซิเดชัน ยิ่งความสมดุลเข้าใกล้กับไอออน/อะตอมที่มีสถานะออกซิเดชันในเชิงบวกมากเท่าไร ศักย์ไฟฟ้าที่ปฏิกิริยานี้จะสร้างให้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในทำนองเดียวกันในปฏิกิริยารีดักชัน ยิ่งความสมดุลเข้าใกล้กับไอออน/อะตอมที่มีสถานะออกซิเดชันในเชิง\"ลบ\"มากเท่าไร ศักย์ไฟฟ้าที่ปฏิกิริยานี้จะสร้างให้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น",
"แรงดันไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นระหว่างขั้วไฟฟ้าของเซลล์จะขึ้นอยู่กับการปลดปล่อยพลังงานของปฏิกิริยาเคมีของขั้วไฟฟ้าและอิเล็กโทรไลต์ของมัน เซลล์แบบ อัลคาไลน์ และแบบ สังกะสีคาร์บอน มีปฏิกิริยาเคมีแตกต่างกัน แต่มี EMF ประมาณเดียวกันที่ 1.5 โวลต์; ในทำนองเดียวกัน เซลล์แบบ NiCd และแบบ NiMH จะมีเคมีที่แตกต่างกัน แต่มี EMF ประมาณเดียวกันที่ 1.2 โวลต์ การเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าเคมีที่สูงในปฏิกิริยาของสารประกอบ ลิเธียม จะเป็นผลให้เซลล์ลิเธียมมี EMF ที่ 3 โวลต์หรือมากกว่า"
] |
ธงไชย แมคอินไตย์ เริ่มเข้าวงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อไหร่? | [
"ระหว่างที่ธงไชยทำงานอยู่แผนกต่างประเทศของธนาคารกสิกรไทย สาขาท่าพระ ธงไชยยังทำงานอื่น ๆ เพื่อหารายได้พิเศษเพื่อช่วยเหลือครอบครัว อาทิ ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา รวมถึงเป็นพนักงานเปิดประตูในดิสโก้เธคชื่อ ฟามิงโก ในโรงแรมแอมบาสเดอร์[18] ที่นั่นเองทำให้ธงไชยได้รู้จักกับผู้จัดละคร วรายุฑ มิลินทจินดา ซึ่งเป็นแขกของโรงแรม ธงไชยร่วมร้องเต้นสร้างความบันเทิงให้กับแขกจนวรายุฑชักชวนธงไชยให้มาเล่นละครเรื่อง น้ำตาลไหม้ (พ.ศ. 2526) โดยมีอดุลย์ ดุลยรัตน์เป็นผู้ช่วยสอน ละครเรื่องนี้เป็นละครเรื่องแรกของธงไชย ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยมรางวัลเมขลา ส่งผลให้ธงไชยเป็นที่รู้จักและมีการกล่าวขานในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ที่มีความสามารถ ต่อมาเขาได้ร่วมงานละครเวทีกับภัทราวดี มีชูธน หนึ่งในนั้นคือคอนเสิร์ตคืนหนึ่งกับภัทราวดี (พ.ศ. 2527) และในส่วนของงานในวงการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ บ้านสีดอกรัก (พ.ศ. 2527)[18] ในระหว่างถ่ายทำเขาประสบอุบัติเหตุโดยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ"
] | [
"ธงไชย แมคอินไตย์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า \"พี่เบิร์ด\" เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบ 30 ปี ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทย โดยสร้างปรากฏการณ์ในวงการบันเทิงประเทศไทย ด้วยผลตอบรับทางด้านละครที่มีเรตติ้งสูงสุด มียอดจำหน่ายอัลบั้มสูงสุด ตลอดจนจำนวนรอบและรายได้จากการจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตสูงสุดของประเทศ โดยผลงานที่สร้างชื่อเสียงที่สุดของเบิร์ดในแต่ละด้านสรุป ดังนี้ \nด้านการแสดง เบิร์ดแสดงภาพยนตร์ไทยทั้งหมด 7 เรื่อง โดยก้าวสู่การเป็นพระเอกภาพยนตร์อย่างเต็มตัว ในปี 2528 จากภาพยนตร์ เรื่อง \"ด้วยรักคือรัก\" ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างสูงในยุคนั้น โดยประกบคู่กับนักร้องดังแห่งยุค \"อัญชลี จงคดีกิจ\" ส่วนด้านละครที่สร้างชื่อเสียงที่สุด ในปี 2533 ละครคู่กรรม ออกอากาศทางช่อง 7 สร้างประวัติศาตร์ละครที่มีเรตติ้งสูงสุดของไทย เรตติ้ง 40 จากการสวมบทบาทเป็น \"โกโบริ\" ประกบคู่ครั้งแรกกับ กมลชนก โกมลฐิติ ทำให้เบิร์ดได้รับรางวัลใหญ่ในยุคนั้นทั้ง 2 รางวัล คือ รางวัลเมขลา และรางวัลโทรทัศน์ทองคำ นอกจากนั้นยังเป็นศิลปินคนแรกที่รับบทบาทเดียวกันในเรื่องเดียวกันอีกครั้ง ในภาพยนตร์ คู่กรรม ปี 2538 ",
"ธ ธง เป็นอัลบัมของธงไชย แมคอินไตย์ ออกวางแผงจำหน่ายในปี พ.ศ. 2537 ในสังกัดแกรมมี่ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำนวน 12 เพลง โดยมียอดจำหน่ายเกิน 1 ล้านตลับ เป็นอัลบั้มใหม่ในรอบ 3 ปี นับจากอัลบัมพริกขี้หนูในปี 2534 หลังจากที่เบิร์ดหยุดพักงานในวงการบันเทิง 2 ปี โดยอัลบั้ม ธ ธง มีเพลงเด่นคือ \"เธอผู้ไม่แพ้\", \"เหนื่อยไหม\" เป็นต้น จากความสำเร็จของอัลบัมดังกล่าว ทำให้เพลง \"เหนื่อยไหม\" ได้รางวัลประพันธ์คำร้องยอดเยี่ยมจากงานประกาศผลรางวัลพระพิฆเนศทอง จากความสำเร็จของอัลบัมดังกล่าวทำให้เบิร์ดจะมีคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม \"คอนเสิร์ต ธ ธง กับ เธอ (นั่นแหละ)\" จำนวน 2 รอบแล้ว และคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 6 โดยใช้ชื่อตอนว่าอยากเห็นท้องฟ้าเป็นอย่างในฝัน จำนวน 16 รอบ จำนวนผู้ชม 32,000 คน รายชื่อเพลงในอัลบั้ม ธ ธง มีดังนี้",
"ธงไชย แมคอินไตย์ เกิดวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2501[17] ที่ย่านสลัมบางแค ฝั่งธนบุรี มีชื่อภาษาอังกฤษว่า \"อัลเบิร์ต แมคอินไตย์\" (Albert McIntyre) หรือเรียกชื่อเล่นว่า \"เบิร์ด\" เป็นบุตรคนที่ 9 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน ของเจมส์ (จิมมี่) แมคอินไตย์ นายแพทย์ลูกครึ่งสกอต-มอญ และอุดม แมคอินไตย์ ครอบครัวของเขาค่อนข้างยากจน ในวัยเด็กธงไชยช่วยเหลือครอบครัวโดยการช่วยพับถุง ขายเรียงเบอร์ เก็บกระป๋องนมขาย และเย็บงอบ เป็นต้น นอกจากนั้นยังหารายได้จากการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กที่สลัมบางแคซึ่งมีรายได้ 5 ถึง 10 บาท แล้วแต่จะบริจาค[18] โดยธงไชยเล่าถึงแง่คิดชีวิตวัยรุ่นตอนที่อาศัยอยู่สลัมบางแคว่า \"สอนและให้เราสอบผ่านให้ได้ทุกวัน การเรียนรู้และการแบ่งแยกความคิดไปในทางที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างพร้อม คนเราจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับตัวเราเท่านั้น\"[19] เขาชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ได้เข้าร่วมประกวดในเวทีงานวัดต่าง ๆ และเคยได้รางวัล โดยฝึกร้องและสอนกันเองในครอบครัว[20] จากฝีมือการเล่นดนตรีของพี่น้อง 7 คน จึงรวมตัวเล่นดนตรีมีชื่อวงว่า \"มองดูเลี่ยน\"[18]",
"พริกขี้หนู เป็นอัลบั้ม ของธงไชย แมคอินไตย์ ออกวางแผงจำหน่ายในปี พ.ศ. 2534 ในสังกัดแกรมมี่ เอนเตอร์เทนเม้นท์ โปรดิวเซอร์โดย สมชาย กฤษณะเศรณี จำนวน 11 เพลง ซึ่งมียอดจำหน่ายเกิน 3 ล้านตลับ และถูกจัดให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของทศวรรษ (ปี 1990 - 1999) เป็นยอดจำหน่ายสูงสุดอีกอัลบั้มของธงไชย โดยสื่อบันเทิงได้ยกให้เป็นปรากฏการณ์ \"เบิร์ดฟีเวอร์\" อีกครั้งของเขา โดยมีเพลงเด่นอาทิเพลง พริกขี้หนู อย่าต่อรองหัวใจ ขออุ้มหน่อย เป็นต้น ซึ่งเป็นอัลบั้มดังที่ทำออกมาต่อเนื่องจากบูมเมอแรง จากความสำเร็จของอัลบั้มดังกล่าว ทำให้มีการจัดคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มพริกขี้หนู ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ย้ายมาจัดที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก เพื่อรองรับจำนวนผู้ชมที่เพิ่มขึ้นถึง 2 รอบ และต่อเนื่องในปีเดียวกันด้วย คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 5 โดยใช้ชื่อตอน ความสุข ความทรงจำ ไม่มีที่สิ้นสุด จำนวน 29 รอบ จำนวนผู้ชม 58,000 คน ซึ่งมีจำนวนรอบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และเป็นคอนเสิร์ตทิ้งท้ายก่อนเบิร์ดขอหยุดพักงานในวงการบันเทิงชั่วคราว 2 ปี(นับจากปลายปี 2534- 2536) เช่นเดียวกับอัลบั้มพริกขี้หนูเป็นอัลบั้มทิ้งท้ายในช่วงดังกล่าวก่อนที่จะมีอัลบั้มใหม่ที่ห่างกันถึง 3 ปี สำหรับรายชื่อเพลง",
"ผลงานเพลงอัลบั้มแรกของธงไชย แมคอินไตย์ คือ \"หาดทราย สายลม สองเรา\" ปี พุทธศักราช 2529 ส่งผลให้เบิร์ดเป็นขวัญใจของคนไทยทุกเพศทุกวัย และมีผลงานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันสามารถทำยอดขายอัลบั้มมากกว่า 25 ล้านชุด ติดระดับแนวหน้าของเอเชีย โดยเฉพาะอัลบั้ม \"ชุดรับแขก\" เป็นอัลบั้มที่ทำสถิติยอดจำหน่ายสูงสุดของไทย 5 ล้าน ตลับ(ซึ่งยังไม่นับรวมวีซีดี ดีวีดีบันทึกภาพคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบในปีเดียวกัน) โดยผลงานในวงการเพลงถือเป็นงานหลักของเบิร์ดซึ่งได้รับตอบรับอย่างดีมาโดยตลอด อีกทั้งได้รับเกียรติให้ขับร้องเพลงเทิดพระเกียรติ และเพลงพิเศษเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ",
"ในปี พ.ศ. 2534 หนังสือพิมพ์เอกชน ยกให้ธงไชยเป็นศิลปินที่ \"แบบอย่างดีและกตัญญูที่สุด\"[20] โดยธงไชยได้รับ \"รางวัลลูกกตัญญู\" จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์[115] ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อธงไชย แมคอินไตย์ พบว่า ภาพลักษณ์ที่ทำให้เขายังครองความเป็นซูเปอร์สตาร์ในลำดับแรกคือ \"ด้านความกตัญญู\"[16] และในปี พ.ศ. 2550 เขาได้รับ \"รางวัลยอดกตัญญู\" จากกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับ ชมรมลูกกตัญญู เป็นต้น โดยภายหลังจากที่อุดม แมคอินไตย์ มารดาของธงไชยเสียชีวิต หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ซึ่งธงไชยเรียก \"ท่านพ่อ\" ได้ประทานพระเมตตาด้วยเห็นว่าธงไชยเป็นคนมีความกตัญญูอย่างแท้จริง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ทรงกรุณารับธงไชย เป็นเสมือนบุตรบุญธรรม[116]",
"เจนี่เข้าสู่วงการบันเทิงจากการมีแมวมองมาติดต่อเมื่อครั้งเธอยังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา มีผลงานแรกในมิวสิกวิดีโอเพลง \"Only You\" ของเจอาร์-วอย, \"หากเป็นฉัน\" ของเอกซ์, \"รักเธอหมดหัวใจ\" ของเรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ และ \"จะเอาจากไหน\" ของธงไชย แมคอินไตย์ และมีผลงานโฆษณาสบู่ล้างหน้า ดร.มนตรี, เคเอลิปแคร์, ลอรีเอะ และเรนองที",
"\"เสียดาย\" เป็นซิงเกิลแรกของธงไชย แมคอินไตย์ จากอัลบั้ม \"ธ.ธง\" (2536) ประพันธ์เนื้อร้องโดย สีฟ้า (นิ่ม สีฟ้า) แต่งทำนองและเรียบเรียงโดย กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา ",
"ธงไชยมีผลงานที่สร้างชื่อเสียงยาวนานไม่ต่ำกว่า 30 ปีในวงการบันเทิง[7] มีสตูดิโออัลบั้มเดี่ยวที่มียอดจำหน่ายเกินล้านตลับมากที่สุด 7 ชุด[8] โดยอัลบั้มชุดรับแขก มียอดจำหน่ายมากกว่า 5 ล้านชุด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย[9][10] และการแสดงคอนเสิร์ตของเขามียอดผู้ชมรวมจากการจำหน่ายบัตรของต้นสังกัดสูงที่สุด[11] โดยเฉพาะคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ มีผู้ชมสูงสุดของประเทศไทย[12][13] จากชื่อเสียงที่ยาวนานสมาคมผู้สู่ข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยให้ฉายาธงไชย \"ดาวค้างกรุ\" (ปี พ.ศ. 2548)[14] และ \"ป๋าพันปี\" (ปี พ.ศ. 2550)[15] และส่วนหนึ่งจากการสำรวจความนิยมของธงไชย โดยมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ปี พ.ศ. 2545) ภาพลักษณ์ที่สำคัญของเขา คือ ความกตัญญู ความสามารถในการร้องเพลง การพัฒนาตนเอง ความสามารถในการให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม และการเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นต้น[16]",
"ในปี พ.ศ. 2529 ธงไชยได้รับเกียรติให้เป็นพิธีกรบนเวทีการประกวดนางสาวไทย รอบตัดสิน ปี 2529–2530 และเขายังเป็นพิธีกรคู่แรกในรายการถ่ายทอดสด 7 สีคอนเสิร์ต คู่กับมยุรา ธนะบุตร ซึ่งกลายเป็นพิธีกรคู่ขวัญจากความเป็นธรรมชาติ สนุกสนานของทั้งคู่[30] ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้ดำเนินรายการดีเด่นชาย รางวัลเมขลา ประจำปี พ.ศ. 2529 \"[31] และในปีเดียวกันธงไชยมีอัลบั้มแรก หาดทราย สายลม สองเรา โดยเพลง \"ผ่านมา ผ่านไป\" เป็นซิงเกิลแรกที่เขาเข้าบันทึกเสียง[18] สำหรับเพลงที่เป็นซิงเกิลแรกที่เผยแพร่ผ่านสื่อ และแจ้งเกิดเขาในวงการเพลงคือ เพลง \"ด้วยรักและผูกพัน\" \"ฝากฟ้าทะเลฝัน\"[32] \"บันทึกหน้าสุดท้าย\" เป็นต้น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง จากความสำเร็จของอัลบั้มดังกล่าวได้มีการนำเพลงดังในอัลบั้มไปใช้ประกอบในภาพยนตร์ ด้วยรักและผูกพัน ที่ถ่ายทำในต่างประเทศ ธงไชยจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำและก้าวสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว โดยมีพรพิชิต พัฒนถาบุตรเป็นผู้จัดการส่วนตัว[33] นอกจากนี้ ธงไชยมีคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มแรกชื่อว่า \"คอนเสิร์ต สุดชีวิต ธงไชย\" และในปีนั้นยังมีการจัดคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 1 ถือเป็นการบุกเบิกทำคอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศไทยของแกรมมี่[18]",
"รางวัลประเภทบุคคล นักร้องยอดนิยมจากการประกาศรางวัล Billboard Viewer's Choice Awards 1997 ณ สหรัฐ ซึ่งเป็นคนแรกของทวีปเอเชีย รางวัลนักร้องยอดนิยมจากสื่อบันเทิงต่าง ๆ เช่น จากสมาคมนักข่าวบันเทิง งานสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ธงไชยได้รับ 2 ครั้งคน จากหนังสือพิมพ์สยามดารา งานสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ ธงไชยได้รับ 2 ครั้ง จากนิตยสาร Oops จากนิตยสาร<i data-parsoid='{\"dsr\":[86264,86275,2,2]}'>ทีวีพูล งานท็อปอวอร์ด ธงไชยได้รับถึง 6 ครั้ง จากสมาคมนักข่าวบันเทิง เป็นต้น",
"อยากบอกรัก เป็นเพลงซิงเกิลของ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ในปี พ.ศ. 2554 จากอัลบั้ม \"อาสาสนุก\" ผลิตออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2553 ประพันธ์คำร้องโดย กสิ นิพัฒน์ศิริผล แต่งทำนองและเรียบเรียงโดย จักรกฤษณ์ มัชนาโส ",
"ความทรงจำใหม่ หัวใจเดิม เป็นละครโทรทัศน์ไทย เค้าโครงบทประพันธ์เรื่องมาจาก อิสริยะ จารุพันธ์, ณัฐิยา ศิรกรวิไล บทโทรทัศน์โดย ณัฐิยา ศิรกรวิไล, ศุภชัย สิทธิอำพรพรรณ กำกับการแสดงโดย อิสริยะ จารุพันธ์ ผลิตโดย บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และ บริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) นำแสดงโดย ธงไชย แมคอินไตย์, คัทลียา แมคอินทอช ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 20:25-21:25 น. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541-6 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ละครพิเศษเพื่อเป็นของขวัญให้กับแฟนเพลงของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ช่วงอัลบั้ม ธงไชย เซอร์วิส จำนวน 9 ตอน ",
"รางวัลที่ได้รับของ ธงไชย แมคอินไตย์ ในวงการบันเทิงประเภทรางวัลทางด้านดนตรี ละคร ภาพยนตร์ รวมทั้งรางวัลส่งเสริมภาพลักษณ์ และรางวัลอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลงาน ที่ได้รับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 - ปัจจุบัน",
"สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยได้ให้ฉายากับธงไชย คือ \"ดาวค้างกรุ\" ในปี พ.ศ. 2548 และ \"ป๋าพันปี\" ในปี พ.ศ. 2550 เนื่องจากไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปียังคงดังทนดังนานเหมือนเดิม เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับวงการบันเทิง[14][15] นอกจากนั้นสื่อมวลชนยังให้สมญาณามกับเขาอีกมากมาย เช่น ซุปเปอร์สตาร์ตลอดกาล[172] ดาวค้างฟ้าขวัญใจมวลชน[173] เป็นต้น",
"ธงไชย แมคอินไตย์ (เกิด 8 ธันวาคม พ.ศ. 2501) เป็นนักร้อง นักแสดงชาวไทย ได้รับขนานนามว่าเป็น \"ซูเปอร์สตาร์เมืองไทย\"[1][2] แรกเข้าวงการบันเทิงเป็นนักแสดงสมทบ ต่อมาได้รับบทพระเอก โดยภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาที่สุดเรื่อง ด้วยรักคือรัก[3] ส่วนละครที่สร้างชื่อเสียงที่สุดของเขาคือบท \"โกโบริ\" ในละครคู่กรรม[4] ด้านวงการเพลงซึ่งเป็นอาชีพหลักเขาเริ่มต้นจากการประกวดร้องเพลงของสยามกลการ ต่อมาเป็นนักร้องในสังกัดบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทย[5] มียอดจำหน่ายอยู่ในระดับแนวหน้าของทวีปเอเชียยอดรวมกว่า 25 ล้านชุด[6]",
"ในช่วงแรกที่เข้าวงการบันเทิง ธงไชยรับเกียรติให้เป็นผู้ดำเนินรายการ 7 สีคอนเสิร์ต ซึ่งเป็นรายการคอนเสิร์ตถ่ายทอดสด เขาได้รางวัลผู้ดำเนินรายการดีเด่นชาย จากงานประกาศผลรางวัลเมขลา ปี พ.ศ. 2529[157] และในฐานะนักพากย์ เขาพากย์เสียง \"พี่เบิร์ด\" ซึ่งเป็นการ์ตูนแอนนิเมชั่นเรื่องแรกของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ได้ธงไชยเป็นต้นแบบ ในเรื่อง เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์ เขาได้รางวัลร่วมกับทีมงาน รางวัลทีมพากย์การ์ตูนดีเด่น จากงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้น[158]",
"ในปี พ.ศ. 2548 มีอัลบั้มวอลุม วัน ซึ่งมีเพลงดังคือเพลง \"โอ้ละหนอ...My Love\" และเพลง \"ไม่แข่งยิ่งแพ้\" เขาได้รับรางวัลนักร้องยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัล ท็อปอวอร์ด ครั้งที่ 5 รางวัลนักร้องชายยอดนิยม จากงานประกาศผลรางวัล Oops! Awards รางวัลศิลปินไทยแห่งปี จากการประกาศผลรางวัลเฉลิมไทยอวอร์ด ครั้งที่ 3 นอกจากนั้นมิวสิกวิดีโอเพลง \"โอ้ละหนอ...My Love\" ได้รับรางวัลมิวสิกวีดีโอยอดเยี่ยมแห่งปีจากงานประกาศผลรางวัล FAT award 2006 และรางวัลมิวสิกวิดีโอยอดนิยม จากงานประกาศผลรางวัลแชนแนลวีไทยแลนด์มิวสิกวิดีโออวอร์ดส ครั้งที่ 5[62] และจากผลสำรวจเอแบคโพล เพลงโอ้ละหนอ...My Love เป็นเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี[63] ธงไชยมีคอนเสิร์ตใหญ่ Volume 1 คอนเสิร์ต โอ้ละหนอ...My Love และธงไชยได้รับฉายาจากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยว่า ดาวค้างกรุ หมายความว่า นักร้องเก่าที่ยังเชิดหน้าชูตาให้วงการบันเทิง[14] และจากผลสำรวจที่สุดของวงการบันเทิงและกีฬาปี พ.ศ. 2548 ของเอแบคโพล และผลสำรวจที่สุดแห่งปีของสวนดุสิตโพลพบว่าเขาอยู่ในลำดับแรกของนักร้องชายที่ประชาชนชื่นชอบที่สุด[63]",
"นันทิดา' 27/นันทิดา แก้วบัวสาย (2527)ฉันเป็นฉันเอง/ฐิติมา สุตสุนทร (2527)วันอาทิตย์/บาราคูดัส (2527)ผู้ชายเฉิ่มเฉิ่ม/ทูน หิรัญทรัพย์ (2527)คำก้อน/โซดา (2528)หนุ่มดอยเต่า/นกแล (2528)เต๋อ 2/เรวัต พุทธินันทน์ (2528)ชายน้ำ/พญ.พันทิวา สินรัชตานันท์(2529)เรามีเรา/ฐิติมา สุตสุนทร (2529)หาดทราย สายลม สองเรา/ธงไชย แมคอินไตย์ (2529)อุ๊ย/นกแล (2529)เต๋อ 3/เรวัต พุทธินันทน์ (2529)เมื่อวันฟ้าสวย/นันทิดา แก้วบัวสาย (2529)สบาย สบาย/ธงไชย แมคอินไตย์ (2530)สิบล้อมาแล้ว !/นกแล (2530)คนที่รู้ใจ/ฐิติมา สุตสุนทร(2530)ชอบก็บอกชอบ/เรวัต พุทธินันทน์ (2530)รับขวัญวันใหม่/ธงไชย แมคอินไตย์ (2530)พ.ศ. 2501/ธงไชย แมคอินไตย์ (2531)กีตาร์โต๊ะ/วสันต์ โชติกุล และ อีสซึ่น (2531)ส.ค.ส./ธงไชย แมคอินไตย์ (2531)เรวัต พุทธินันทน์ 2531ขึ้นโต๊ะ/วสันต์ โชติกุล (2535)นินจา/คริสติน่า อากีล่าร์ (2534)",
"มนัสวีร์ กฤตตานุกูล (มักเขียนผิดเป็น มนัสวี กฤตานุกูลย์) ชื่อเล่น หลิว เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 เป็นนักแสดงและนางแบบชาวไทย เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อพ.ศ. 2537 จากการเป็นแดนเซอร์ให้กับนักร้องชื่อดัง หลายท่าน อาทิ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์, นัท มีเรีย, ทาทา ยัง เป็นต้น",
"ภาพยนตร์เรื่อง \"ด้วยรักคือรัก\" ถือเป็นภาพยนตร์ที่มีกระแสตอบรับอย่างสูง เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติก ที่ได้นักร้องดังแห่งยุคอย่าง อัญชลี จงคดีกิจ มาประกอบคู่กับ ธงไชย แมคอินไตย์ ซึ่งกลายเป็นคู่ขวัญทางจอเงินระดับคลาสสิกอีกคู่หนึ่งของวงการหนังไทย โดยฉากความรักระหว่าง พระนาง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ในโรงด้วย เสียงกรี๊ด และ แสงแฟลชจากการถ่ายภาพในขณะชมภาพยนตร์ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยผลจากผลงานภาพยนตร์ และเพลงประกอบภาพยนตร์ ส่งผลให้เกิดกระแส \"อัญชลีฟีเวอร์\" เป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของวงการบันเทิงไทยในกลางยุค 80 และแจ้งเกิดเบิร์ด ธงไชยในยุคนั้น ก่อนที่เบิร์ดจะมีอัลบั้มเต็มของตนเองในปีถัดไป ซึ่งใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์รักโรแมนติกเรื่องใหม่ของเบิร์ด เรื่องด้วยรักและผูกพัน",
"ในการเข้าสู่วงการบันเทิง เต็มฟ้าเคยขึ้นร้องเพลงคู่กับแหวน ฐิติมา ในคอนเสิร์ตครบรอบ 25 ปี รวมทั้งได้แสดงในงานคอนเสิร์ตใหญ่ของ ธงไชย แมคอินไตย์ ชื่อการแสดงว่า \"คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด แฟนซีแฟนซน\" ไปจนถึงการแสดงมิวสิกวิดีโอเพลง \"Look Like Love\" ของ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ในปี พ.ศ. 2554 เป็นผลงานในวงการบันเทิงอย่างเป็นทางการ และมีผลงานการถ่ายแบบนิตยสารต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2555 เต็มฟ้าได้แสดงละคร บ่วงรัก เรื่องแรกในบทนางเอกคู่กับ ธนทัต ชัยอรรถ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก นอกจากนี้ยังมีผลงานละครอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่อง เรือนเสน่หา และ เรื่อง อีสา และผลงานภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๖ อวสานหงสา ปัจจุบันกำลังแสดงละครเรื่อง สลักจิต คู่กับ ศรราม เทพพิทักษ์ ทางช่องวัน",
"ธงไชยศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดนิมมานรดี ระหว่างนั้นก็รับเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือครูในกิจกรรมร้องรำทำเพลงต่าง ๆ เสมอ และเป็นคนร่าเริง กล้าแสดงออก ต่อมา ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนปัญญาวรคุณ เป็นเชียร์ลีดเดอร์รุ่นแรกของโรงเรียน[21] เขาสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาการจัดการ ที่วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี[22] ทั้งนี้ภายหลังจากเขาเข้าวงการบันเทิง และประสบความสำเร็จในอาชีพ ในปี พ.ศ. 2545 ธงไชยได้รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์[23] คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สำหรับผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีสากล และประสบความสำเร็จในอาชีพ",
"อยู่คนเดียว เป็นเพลงของ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ และเป็นซิงเกิลแรกในปี พ.ศ. 2554 จากอัลบั้ม \"อาสาสนุก\" ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย หมู Muzu และเรียบเรียงโดย หมู Muzu กับเรืองฤทธิ์ เอกะหิตานนท์ ผลิตออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2553",
"อาบน้ำ เป็นเพลงจากอัลบั้มและซิงเกิลที่ 3 ของ ธงไชย แมคอินไตย์ ในอัลบั้ม \"สไมล์คลับ\" (2544) ประพันธ์คำร้องโดย นวฉัตร แต่งทำนองโดย อนันต์ เธียรธรรมจักร์ และเรียบเรียงโดย ณรงค์ เดชะ",
"\"บทความนี้เนื้อหาเกี่ยวกับผลงานของธงไชย แมคอินไตย์ สำหรับบทความหลักดูที่\" ธงไชย แมคอินไตย์\nผลงานของ ธงไชย แมคอินไตย์ ในวงการบันเทิงเริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงสมทบละครเรื่องแรก \"น้ำตาลไหม้\" ปี 2526 จากนั้นมีผลงานในหลากหลายบทบาทอย่างต่อเนื่อง ทั้งละคร และภาพยนตร์ โดยได้รับการตอบรับอย่างสูงจากภาพยนตร์ เรื่อง \"ด้วยรักคือรัก\" ปี 2528 ซึ่งได้รับบทเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่องแรกประกบกับนักร้องดังแห่งยุค \"อัญชลี จงคดีกิจ\" \nจนกระทั่งก้าวเข้าสู่วงการเพลงเต็มตัวปี 2529 กลายเป็นศิลปินนักร้องขวัญใจประชาชนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่นั้นมา ระหว่างนั้นยังมีผลงานละคร ซึ่งสร้างสถิติเรตติ้งสูงสุดตลอดกาล ละครเรื่อง \"คู่กรรม\" ปี 2533 นอกจากนั้นยังมีผลงานโฆษณา ซึ่งทางต้นสังกัดพิถีพิถันในเรื่องของการรับงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงงานถ่ายแบบนิตยสาร และการออกรายการ ซึ่งไม่มุ่งเน้นในเรื่องของปริมาณ แต่เน้นในเรื่องคุณภาพ ความเชื่อมั่น เพื่อให้ได้ผลตอบรับที่ดีที่สุดของผู้บริโภค เป็นอีกภาพลักษณ์ที่สำคัญของซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของไทย ",
"ในปี พ.ศ. 2547 ธงไชยออกอัลบั้มพิเศษ เบิร์ด-เสก เฉลิมฉลองวาระจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ครบรอบ 20 ปี โดยมียอดจำหน่ายสูงสุดแห่งปีมากกว่า 2 ล้านชุด ต้นสังกัดจัดให้เป็น “อัลบั้มพิเศษที่ดีที่สุดแห่งยุค”[59] โดยมีเพลงดัง คือ \"อมพระมาพูด\" ซึ่งร่วมร้องกับนักร้องแนวร็อก เสกสรรค์ ศุขพิมาย[60] จากผลสำรวจที่สุดของวงการบันเทิงและกีฬา ปี พ.ศ. 2547 ของเอแบคโพล และผลสำรวจที่สุดแห่งปีของสวนดุสิตโพลพบว่าเขาอยู่ในลำดับแรกของนักร้องชายที่ประชาชนชื่นชอบที่สุด และเป็นนักร้องนักแสดงที่ชื่นชอบและยึดเป็นแบบอย่างมากที่สุด จากผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์[61]",
"ธงไชยภายหลังจากเข้าวงการบันเทิงและประสบความสำเร็จอย่างสูงประกอบกับยังครองความโสด เขากลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากสื่อทั้งในแง่บวก และข่าวลือในแง่ลบ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาไม่พยายามออกไปไหน โดยไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ผู้บริหารบริษัทฯ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเขาได้กล่าวไว้ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพมารดาของธงไชยส่วนหนึ่งว่า “เขากลายเป็นคนสาธารณะแล้ว เขาไม่มีชีวิตส่วนตัว การประพฤติปฏิบัติตัวของเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อได้ทั้งในแง่บวกและลบเสมอ ซึ่งในแง่ลบตัวเองพอจะทนได้ แต่เป็นห่วงแม่ เพราะแม่จะกังวล สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเก็บตัวเงียบ เงียบเพื่อไม่ให้เป็นข่าวใดๆ เลย”[134] การใช้ชีวิตของธงไชยในช่วงที่อยู่ในวงการบันเทิง จึงมีผู้จัดการ พรพิชิต พัฒนถาบุตร เป็นผู้ดูแลเรื่องส่วนตัวทุกเรื่อง[33] และมีบุษบา ดาวเรือง เป็นผู้ดูแลในเรื่องงานของเขาตลอดตั้งแต่ในยุคแรก[135][136] สำหรับด้านการใช้จ่ายของธงไชย มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทแกรมมี่ช่วยทำบัญชีรายรับ รายจ่าย โดยพรพิชิต ผู้จัดการส่วนตัวเล่าตอนหนึ่งเกี่ยวกับธงไชยว่า “ถ้าอยู่เมืองไทย เขาไม่ค่อยมีเวลาและโอกาสที่จะไปไหนตามลำพัง จนบางทีเขาก็ตามสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ทัน เขาไม่เคยเดินซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า นอกจากเวลาไปเมืองนอก\"[137]",
"ในปี พ.ศ. 2554 ธงไชยได้รับรางวัลศิลปินคุณธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จากสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย[117] ในปี พ.ศ. 2555 ได้รับประทานโล่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ในวโรกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชนมายุ 99 พรรษา จัดโดยสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และในปีเดียวกันได้รับรางวัลบุคคลที่มีหัวใจโพธิสัตว์ ซึ่งทำประโยชน์เพื่อสังคม โดยแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน[118] ในปี พ.ศ. 2556 ได้รับประทานโล่รางวัล คนดี คิดดี สังคมดี ตามรอยพระยุคลบาท งานประทานโล่รางวัลเกียรติยศ พระกินรี ครั้งที่ 3 โดยสมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สว.นท.)[119] และในปีเดียวกันได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติบุคคลซึ่งเป็นเพชรน้ำงามที่สุด งานดาราเดลี่ เดอะ เกรท อวอร์ดส์ ครั้งที่ 2 สำหรับศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด เป็นแบบอย่างที่ดีของคนในวงการบันเทิงของประชาชน ในปี พ.ศ. 2557 ได้รับรางวัลเกียรติยศศิลปินผู้ทรงคุณค่าต่อวงการบันเทิงและทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ จากงานมอบรางวัลดาวเมขลา จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย (สบท.)[120] เป็นต้น"
] |
นิวตรอนคืออะไร ? | [
"นิวตรอน (English: neutron) เป็น อนุภาคย่อยของอะตอม ตัวหนึ่ง มีสัญญลักษณ์ n หรือ n0 ที่ไม่มี ประจุไฟฟ้า และมีมวลใหญ่กว่ามวลของ โปรตอน เล็กน้อย โปรตอนและนิวตรอนแต่ละตัวมีมวลประมาณหนึ่งหน่วย มวลอะตอม โปรตอนและนิวตรอนประกอบกันขึ้นเป็น นิวเคลียส ของหนึ่งอะตอม และทั้งสองตัวนี้รวมกันเรียกว่า นิวคลีออน[1] คุณสมบัติของพวกมันถูกอธิบายอยู่ใน ฟิสิกส์นิวเคลียร์"
] | [
"การกระตุ้นนิวตรอน () เป็นกระบวนการที่ นิวตรอน ไปเหนี่ยวนำให้เกิดกัมมันตภาพรังสีในวัสดุ และจะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของอะตอมจับยึดนิวตรอนอิสระ กลายเป็นนิวเคลียสที่หนักกว่าและเข้าสู่สภาวะกระตุ้น นิวเคลียสที่ถูกกระตุ้นมักจะสลายตัวทันทีโดยการเปล่ง รังสีแกมมา หรือเปล่งอนุภาคเช่น อนุภาคบีตา อนุภาคแอลฟา ผลผลิตฟิชชัน และนิวตรอน (ในนิวเคลียร์ฟิชชัน) ดังนั้นกระบวนการของการจับยึดนิวตรอน แม้ว่าจะหลังจากการสลายตัวระดับกลางใด ๆ มักจะส่งผลให้เกิดผลผลิตจากการกระตุ้นที่ไม่เสถียร นิวเคลียสกัมมันตรังสีดังกล่าวสามารถแสดงครึ่งชีวิตในพิสัยตั้งแต่เศษส่วนขนาดเล็กของหนึ่งวินาทีจนถึงหลายปี",
"ระดับอุณหภูมิของนิวตรอน () หรือ พลังงานนิวตรอน () จะแสดง พลังงานจลน์ ของ นิวตรอนอิสระ มีหน่วยเป็น อิเล็กตรอนโวลท์ คำว่า \"อุณหภูมิ\" ถูกใช้เพราะนิวตรอนร้อน(), นิวตรอนความร้อน () และนิวตรอนเย็น () ถูก หน่วง ในตัวกลางหนึ่งที่มีอุณหภูมิระดับหนึ่ง จากนั้นการกระจายพลังงานของนิวตรอนจะถูกปรับให้เป็นไปตาม การกระจายตัวแบบแมกซ์เวลล์-โบลส์แมนน์ หรือ Maxwellian distribution ที่เรียกว่าการเคลื่อนที่เชิงความร้อน () ในเชิงปริมาณ อุณหภูมิยิ่งสูง พลังงานจลน์ของนิวตรอนอิสระก็ยิ่งมาก พลังงานจลน์, ความเร็ว และ ความยาวคลื่นของนิวตรอน มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปตาม ความสัมพันธ์ของเดอเบรย () ",
"ต้นกำเนิดนิวตรอน () หมายถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ปลดปล่อยนิวตรอนออกมา ไม่จำกัดแค่เครื่องกลไกที่ใช้สร้างนิวตรอนเท่านั้น ตัวแปรต่าง ๆ ของต้นกำเนิดนิวตรอนนั้นขึ้นกับ พลังของนิวตรอนที่ปล่อยออกมาจากต้นกำเนิด อัตราการปลดปล่อยนิวตรอนของต้นกำเนิด ขนาดของต้นกำเนิด ราคาการดูแลรักษาต้นกำเนิด และ ข้อบังคับทางราชการที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิด อุปกรณ์นี้มีใช้ในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ วิศวกรรม เวชกรรม อาวุธนิวเคลียร์ การสำรวจปิโตรเลียม ชีววิทยา เคมี พลังงานนิวเคลียร์ และ อุตสาหกรรมอื่น ๆ",
"ภายในนิวเคลียส โปรตอนและนิวตรอนจะยึดเหนี่ยวอยู่ด้วยกันด้วย แรงนิวเคลียร์ และนิวตรอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของนิวเคลียส นิวตรอนถูกผลิตขึ้นแบบทำสำเนาในปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิวชั่น และ นิวเคลียร์ฟิชชัน พวกมันเป็นผู้สนับสนุนหลักใน การสังเคราะห์นิวเคลียส ขององค์ประกอบทางเคมีภายในดวงดาวผ่านกระบวนการฟิวชัน, ฟิชชั่นและ การจับยึดนิวตรอน",
"นิวเคลียร์ฟิชชั่น. เครื่องปฏิกรณ์พลังงานเชิงพาณิชย์ทั้งหมดจะใช้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่น. โดยทั่วไปจะใช้ยูเรเนียมและผลิตผลของมันซึ่งได้แก่พลูโตเนียมเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์, แม้ว่าวัฏจักรเชื้อเพลิงทอเรียมก็สามารถนำมาใช้ได้. เครื่องปฏิกรณ์ฟิชชั่นสามารถแบ่งออกหยาบๆเป็นสองระดับชั้น, ขึ้นอยู่กับพลังงานของนิวตรอนที่รักษาปฏิกิริยาลูกโซ่ฟิชชั่น: 'เครื่องปฏิกรณ์ความร้อน' (เป็นชนิดที่พบมากที่สุดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์) ใช้นิวตรอนที่วิ่งช้าหรือนิวตรอนความร้อนเพื่อรักษาสภาวะการฟิชชั่นของเชื้อเพลิงของพวกมัน. เครื่องปฏิกรณ์เกือบทั้งหมดในปัจจุบันเป็นประเภทนี้. เครื่องเหล่านี้จะติดตั้งวัสดุที่เป็นตัวหน่วงนิวตรอน (English: neutron moderator) ที่จะทำให้นิวตรอนช้าลงจนกระทั่ง'อุณหภูมินิวตรอน'ของพวกมันจะ thermalized, นั่นคือ, จนกระทั่งพลังงานจลน์ของพวกมันเคลื่อนเข้าสู่พลังงานจลน์เฉลี่ยของอนุภาคโดยรอบ. นิวตรอนร้อนมีหน้าตัดนิวเคลียร์ (ความน่าจะเป็น)ที่ใหญ่กว่ามากๆ ของการเกิดฟิชชั่นบนนิวเคลียสที่มีคุณสมบัติทำฟิชชั่นได้ เช่นยูเรเนียม-235, พลูโตเนียม-239, และพลูโตเนียม-241, และความน่าจะเป็นที่ค่อนข้างต่ำกว่าของ'การจับนิวตรอน'โดยยูเรเนียม-238 (U-238) เมื่อเทียบกับนิวตรอนที่เร็วกว่าที่มาเป็นผลแต่เดิมมาจากการฟิชชั่น, เป็นการยอมให้สามารถใช้ยูเรเนียมสมรรถนะต่ำหรือเชื้อเพลิงยูเรเนียมธรรมชาติด้วยซ้ำ. ตัวหน่วงนิวตรอนมักจะเป็นตัวหล่อเย็นอีกด้วย, ปกติจะเป็นน้ำความดันสูงเพื่อเพิ่มจุดเดือด. อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกล้อมรอบด้วยอ่างปฏิกรณ์ (English: reactor vessel), เครื่องมือเฝ้าดูและควบคุมเครื่องปฏิกรณ์, โลห์ป้องกันรังสี, และอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 'เครื่องปฏิกรณ์นิวตรอนเร็ว'ใช้'นิวตรอนเร็ว'เพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชันในเชื้อเพลิงของพวกมัน. พวกมันไม่ได้มีตัวหน่วงนิวตรอน, แต่ใช้สารหล่อเย็นที่มีตัวหน่วงน้อย. การรักษาปฏิกิริยาลูกโซ่ให้คงไว้ต้องใช้เชื้อเพลิงที่เป็นวัสดุฟิชชั่นมีสมรรถนะสูงมาก (ประมาณ 20% หรือมากกว่า) อันเนื่องมาจากความน่าจะเป็นที่ค่อนข้างต่ำของการฟิชชั่นเมื่อเทียบกับการจับนิวตรอนโดย U-238. เครื่องปฏิกรณ์เร็วมีศักยภาพในการผลิตของเสียแบบ transuranic น้อยเพราะ actinides ทุกตัวจะสามารถทำฟิชชั่นได้ด้วยนิวตรอนเร็ว[22], แต่พวกมันจะสร้างยากกว่าและการดำเนินงานมีราคาแพงกว่า. โดยรวม เครื่องปฏิกรณ์เร็วจะถูกใช้น้อยกว่าเครื่องปฏิกรณ์ความร้อนในการใช้งานส่วนใหญ่. สถานีพลังงานช่วงต้นบางสถานีเป็นเครื่องปฏิกรณ์เร็วเช่นเดียวกับบางหน่วยเรือลากจูงรัสเซีย. การสร้างต้นแบบเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (ดู fast breeder หรือเครื่องปฏิกรณ์ generation IV) นิวเคลียร์ฟิวชัน. พลังงานฟิวชั่นเป็นเทคโนโลยีการทดลอง, โดยทั่วไปมีไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง. ในขณะที่มันไม่เหมาะสำหรับการผลิตไฟฟ้า, ตัวทำปฏิกิริยาฟิวชั่นแบบ Farnsworth-Hirsch ถูกใช้ในการผลิตรังสีนิวตรอน.",
"พิษนิวตรอน () (หรือที่เรียกว่า ตัวซับนิวตรอน หรือ พิษนิวเคลียร์) เป็นสารที่มีภาคตัดขวางของการดูดซับนิวตรอนขนาดใหญ่ เพื่อใช้ในงานเช่นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ในการใช้งานทั่วไปการดูดซับนิวตรอนมักจะเป็นผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตามวัสดุที่ดูดซับนิวตรอนได้ หรือที่เรียกว่ายาพิษ จะถูกสอดอย่างเจตนาเข้าไปในบางชนิดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อลดระดับการเกิดปฏิกิริยาที่สูงของโหลดที่เกิดจากเชื้อเพลิงสดเริ่มต้นของพวกมัน บางส่วนของยาพิษเหล่านี้จะหมดสิ้นลงเมื่อพวกมันดูดซับนิวตรอนในระหว่างการดำเนินงานของเครื่องปฏิกรณ์ ขณะที่ส่วนอื่นของยาพิษจะค่อนข้างคงที่",
"นิวตรอนอิสระหรือนิวตรอนอิสระใด ๆ ของนิวเคลียสเป็นรูปแบบหนึ่งของ การแผ่รังสีจากการแตกตัวเป็นไอออน ดังนั้นมันจึงเป็นอันตรายต่อชีวภาพโดยขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับ[7] สนาม \"พื้นหลังนิวตรอน\" ขนาดเล็กในธรรมชาติของนิวตรอนอิสระจะมีอยู่บนโลก ซึ่งเกิดจากมิวออนรังสีคอสมิก และจากกัมมันตภาพรังสีตามธรรมชาติขององค์ประกอบที่ทำฟิชชันได้ตามธรรมชาติในเปลือกโลก[8] แหล่งที่ผลิตนิวตรอนโดยเฉพาะเช่นเครื่องกำเนิดนิวตรอน, เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการวิจัยและแหล่งผลิตนิวตรอนแบบสปอลเลชัน (English: Spallation Source) ที่ผลิตนิวตรอนอิสระสำหรับการใช้งานในการฉายรังสีและในการทดลองการกระเจิงนิวตรอน",
"ซากที่เหลืออยู่ของแกนกลางจะประกอบไปด้วยนิวตรอนทั้งดวง เรียกว่า ดาวนิวตรอน ซึ่งมีความหนาแน่นสูงมาก ดาวนิวตรอนทั่วไปมีขนาดราว 10-20 กิโลเมตร แต่มีมวลเท่ากับดวงอาทิตย์ทั้งดวง เนื้อสารของดาวนิวตรอน 1 ช้อนชา มีมวลถึง 120 ล้านตัน แกนกลางนี้เข้าสู่สมดุลใหม่ จากแรงดันดีเจนเนอเรซีของนิวตรอน \nแต่ในบางกรณีที่ดาวฤกษ์มีมวลสูงมาก คือมากกว่า 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เศษซากจากซูเปอร์โนวาจะตกกลับลงไปบนดาวนิวตรอน จนดาวนิวตรอนมีมวลเกินกว่า 3 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ซึ่งเกินขีดจำกัดของดาวนิวตรอน ทำให้ดาวนิวตรอนยุบตัวลงกลายเป็น หลุมดำ",
"นิวตรอน\"เย็น\" นิวตรอน\"ความร้อน\" นิวตรอน\"ร้อน\"และการแผ่รังสีจากนิวตรอนมักจะถูกใช้ในสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำจากการกระเจิงนิวตรอน ในที่ซึ่งรังสีจะถูกใช้ในลักษณะที่คล้ายกันกับที่มีการใช้รังสีเอกซ์สำหรับการวิเคราะห์สารควบแน่น (English: condensed matter) นิวตรอนจะถูกใช้เสริมกับการวิเคราะห์ดังกล่าวในแง่ของความแตกต่างของอะตอมโดยภาคตัดขวาง (ฟิสิกส์)ที่มีการกระเจิงที่แตกต่างกัน; ความไวต่อแม่เหล็ก; ช่วงพลังงานสำหรับเครื่องวิเคราะห์สเปคตรัมแบบนิวตรอนที่ไม่ยืดหยุ่น (English: inelastic neutron spectroscopy); และการเจาะลึกลงไปในสสาร",
"นิวตรอนจะยึดเหนี่ยวตามปกติอยู่กับ นิวเคลียสของอะตอม และไม่ได้มีอยู่ฟรีอย่างอิสระได้นานในธรรมชาติ นิวตรอน ที่ไม่ถูกยึดเหนี่ยวจะมี ครึ่งชีวิต เพียงประมาณ 10 นาที การปลดปล่อยนิวตรอนจากนิวเคลียสต้องการพลังงานที่มากกว่า พลังงานยึดเหนี่ยว ของนิวตรอน ซึ่งโดยปกติจะเท่ากับ 7-9 MeV สำหรับ ไอโซโทป ส่วนมาก แหล่งกำเนิดนิวตรอน จะสร้างนิวตรอนอิสระโดยปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่หลากหลาย รวมทั้ง นิวเคลียร์ฟิชชัน และ นิวเคลียร์ฟิวชัน ไม่ว่าแหล่งกำเนิดของนิวตรอนจะเป็นอย่างไร พวกมันจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับพลังงานหลาย MeV",
"ในเครื่องปฏิกรณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ส่วนมากเป็นเครื่องปฏิกรณ์ความร้อนและใข้ตัวหน่วงนิวตรอนในการลดความเร็วนิวตรอน จนกว่ามันจะเข้าใกล้พลังงานจลน์โดยเฉลี่ยของอนุภาคโดยรอบ นั่นคือเพื่อลดความเร็วของนิวตรอนให้ความร้อนนิวตรอนต่ำลง นิวตรอนไม่มีประจุไฟฟ้าช่วยให้พวกมันทะลวงลึกลงไปถึงเป้าหมายและใกล้กับนิวเคลียสได้ ดังนั้น การกระจายนิวตรอนโดยแรงนิวเคลียร์ บางนิวไคลด์จึงมีการกระจายขนาดใหญ่",
"ในระดับแรกของการควบคุมในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทุกเครื่อง, กระบวนการของการปล่อยนิวตรอนที่ล่าช้าจากจำนวนของไอโซโทปฟิชชันที่อุดมด้วยนิวตรอนเป็นกระบวนการทางกายภาพที่สำคัญ นิวตรอนที่ล่าช้าเหล่านี้มีอยู่ประมาณ 0.65% ของนิวตรอนทั้งหมดที่ผลิตในปฏิกิริยาฟิชชั่น, กับส่วนที่เหลืออยู่ (ที่เรียกว่า \"prompt neutron\") ที่ถูกปล่อยออกทันทีเมื่อเกิดฟิชชัน ผลผลิตจากฟิชชั่นที่ผลิตนิวตรอนล่าช้ามีครึ่งชีวิตในการสลายตัวของพวกมันโดยการปล่อยนิวตรอนที่หลากหลายจากมิลลิวินาทีจนถึงเวลาหลายนาที. การรักษาเครื่องปฏิกรณ์ให้อยู่ในโซนของห่วงโซ่ปฏิกิริยาที่นิวตรอนล่าช้าเป็นสิ่ง'จำเป็น'เพื่อให้บรรลุสภาวะมวลวิกฤต, เปิดช่วงเวลาให้อุปกรณ์เครื่องกลหรือมนุษย์ผู้ประกอบการที่จะมีเวลาในการควบคุมปฏิกิริยาลูกโซ่ใน \"เวลาจริง\"; มิฉะนั้นเวลาระหว่างความสำเร็จของวิกฤตและนิวเคลียร์หลอมละลายเป็นผลมาจากไฟกระชากแบบเอ็กโปเนนเชียลจากปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ปกติ, จะสั้นเกินไปที่จะยอมให้มีการแทรกแซง.",
"เนื่องจากแคลิฟอร์เนียมเป็นแหล่งนิวตรอนที่มีประสิทธิภาพสูงมาก จึงใช้ประโยชน์ใน neutron moisture gages และใน well-logging (การวิเคราะห์หาปริมาณน้ำและชั้นของ น้ำมัน) ใช้เป็นแหล่งนิวตรอนในการสำรวจโลหะ เช่น ทองคำหรือเงิน เป็นต้น ด้วยความที่เป็นตัวปล่อยนิวตรอนที่ดีมาก ปล่อยนิวตรอน 139 ล้านนิวตรอนต่อนาที จึงเหมาะในการตั้งต้นปฏิกิริยานิวเคลียร์บางอย่างอีกด้วย",
"การกระเจิงนิวตรอน () เป็นการกระเจิงของนิวตรอนอิสระโดยสสาร อาจหมายถึงกระบวนการทางฟิสิกส์หรือเทคนิคในการทดลองที่ใช้กระบวนการนี้สำหรับตรวจสอบวัสดุ การกระเจิงนิวตรอนที่เป็นกระบวนการทางฟิสิกส์นั้นมีความสำคัญแแแบบดั้งเดิมในด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ การกระเจิงนิวตรอนที่เป็นเทคนิคการทดลองจะถูกใช้ในสาขาผลึกศาสตร์, ฟิสิกส์, เคมีฟิสิกส์, ชีวฟิสิกส์, และการวิจัยวัสดุ มันถูกใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการวิจัยและแหล่งกำเนิดนิวตรอนแบบการแตกเป็นเสี่ยง (ฟิสิกส์)ที่ผลิตการแผ่รังสีจากนิวตรอนที่มีความเข้มข้นเพียงพอ การหักเหนิวตรอน (การกระเจิงแบบยืดหยุ่น) จะถูกใช้สำหรับการกำหนดโครงสร้าง การกระเจิงนิวตรอนแบบไม่ยืดหยุ่นจะถูกนำมาใช้สำหรับการศึกษาด้านการสั่นสะเทือนของอะตอมและการกระตุ้นอื่น ๆ",
"การเกิดมหานวดาราไม่ได้ให้ผลแค่กลายเป็นดาวนิวตรอนสถานเดียวเท่านั้น ณ จุดสิ้นอายุขัยของดาวมวลมากจะระเบิดมวลส่วนใหญ่ของดาวออกไป แต่ถ้ามวลส่วนหนึ่งตกกลับมายังดาวนิวตรอนที่ยังเหลืออยู่ตรงกลาง ในกรณีของดาวฤกษ์ที่มีมวลเริ่มต้นมากกว่า 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ (ค่าทางแบบจำลองคณิตศาสตร์) เศษซากดาวที่ตกกลับลงมายังดาวนิวตรอนจะมีมวลมากพอที่จะทำให้ดาวนิวตรอนมีมวลเพิ่มขึ้นเกินกว่า 3 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ได้ ซึ่งเกินกว่าลิมิตดาวนิวตรอน ความดันดีเจนเนอเรซีของนิวตรอนจึงไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ได้อีกต่อไป ดาวนิวตรอนจะถูกยุบตัวลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่มีแรงใดๆ ในจักรวาลที่จะต้านทานการยุบตัวได้ ชัยชนะเด็ดขาดจึงเป็นของแรงโน้มถ่วง คือดาวนิวตรอนจะยุบตัวลงเป็นหลุมดำ (Black Hole) ซึ่งเป็นวัตถุที่มีขนาดเป็นศูนย์มวลเป็นอนันต์ นอกจากนี้ยังมีอีกทางหนึ่งที่ดาวฤกษ์สามารถกลายเป็นหลุมดำได้คือ แกนเหล็กของดาวมวลมากที่สิ้นอายุขัยสามารถยุบตัวลงผ่านลิมิตดาวนิวตรอนกลายเป็นหลุมดำได้โดยตรง ในกรณีนี้ จะไม่เกิดปรากฏการณ์มหานวดาราอีกเลย (เกิดขึ้นในดาวที่มีมวลเริ่มต้นหลายสิบเท่าของมวลดวงอาทิตย์)",
"เมื่อมีพันธะกับนิวเคลียส ความไม่เสถียรของนิวตรอนเดี่ยวจะถูกนิวเคลียสทำให้เสถียร ถ้าโปรตอนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดปฏิกิริยากับโปรตอนตัวอื่น ๆ ในนิวเคลียสเอง แม้ว่านิวตรอนจะไม่เสถียร นิวตรอนก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธะ สาเหตุนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมโปรตอนเสถียรที่อยู่ในอวกาศจึงเปลี่ยนสภาพเป็นนิวตรอนเมื่อเกิดพันธะภายในนิวเคลียส",
"นิวเคลียสประกอบด้วยโปรตอนจำนวน Z ตัว โดยที่ Z จะเรียกว่า เลขอะตอม และนิวตรอนจำนวน N ตัว โดยที่ N คือ เลขนิวตรอน เลขอะตอมใช้กำหนดคุณสมบัติทางเคมีของอะตอม และเลขนิวตรอนใช้กำหนด ไอโซโทป หรือ นิวไคลด์[2] คำว่าไอโซโทปและนิวไคลด์มักจะถูกใช้เป็นคำพ้อง แต่พวกมันหมายถึงคุณสมบัติทางเคมีและทางนิวเคลียร์ตามลำดับ เลขมวล ของอะตอมใช้สัญลักษณ์ A จะเท่ากับ Z+N ยกตัวอย่างเช่น คาร์บอนมีเลขอะตอมเท่ากับ 6 และคาร์บอน-12 ที่เป็นไอโซโทปที่พบอย่างมากมายของมันมี 6 นิวตรอนขณะคาร์บอน-13 ที่เป็นไอโซโทปที่หายากของมันมี 7 นิวตรอน องค์ประกอบบางอย่างจะเกิดขึ้นเองในธรรมชาติโดยมีไอโซโทปที่เสถียรเพียงหนึ่งตัว เช่นฟลูออรีน (ดู นิวไคลด์ที่เสถียร) องค์ประกอบอื่น ๆ จะเกิดขึ้นโดยมีไอโซโทปที่เสถียรเป็นจำนวนมาก เช่นดีบุกที่มีสิบไอโซโทปที่เสถียร แม้ว่านิวตรอนจะไม่ได้เป็นองค์ประกอบทางเคมี มันจะรวมอยู่ใน ตารางของนิวไคลด์[3]",
"ดาวนิวตรอน () เป็นซากที่เหลือจากยุบตัวของการระเบิดแบบซูเปอร์โนวาชนิด II,Ib หรือ Ic และจะเกิดเฉพาะดาวฤกษ์มวลมากมีส่วนประกอบเพียงนิวตรอนที่อะตอมไร้กระแสไฟฟ้า (นิวตรอนมีมวลสารใกล้เคียงโปรตอน) และดาวประเภทนี้สามารถคงตัวอยู่ได้ด้วยหลักการกีดกันของเพาลีเกี่ยวกับแรงผลักระหว่างนิวตรอน",
"นิวตรอนในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะมีการแบ่งประเภทโดยทั่วไปเป็นนิวตรอนช้า (นิวตรอนความร้อน) หรือเป็น นิวตรอนเร็ว ขึ้นอยู่กับพลังงานของมัน นิวตรอนความร้อนจะมีการกระจายพลังงาน (การกระจายแบบ Maxwell-Boltzmann) ที่คล้ายกับกันก๊าซที่อยู่ในภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์ แต่จะถูกจับยึดได้ง่ายโดยนิวเคลียสของอะตอมและเป็นวิธีการเบื้องต้นที่องค์ประกอบทั้งหลายจะมีการกลายพันธ์ของอะตอม",
"การใช้รังสีนิวตรอนอีกประการหนึ่งคือการตรวจสอบของนิวเคลียสเบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฮโดรเจนที่พบในโมเลกุลของน้ำ เมื่อนิวตรอนเร็วชนกับนิวเคลียสเบา มันจะสูญเสียส่วนใหญ่ของพลังงานของมัน โดยการวัดอัตราที่นิวตรอนช้าจะวิ่งกลับมาที่หัววัดหลังจากที่สะท้อนออกจากนิวเคลียสของไฮโดรเจน หัววัดนิวตรอนอาจสามารถกำหนดเนื้อหาของน้ำในดิน",
"นิวตรอนความร้อนทั้งหลายสำหรับนิวไคลด์ชนิดเดียวกันจะมีภาคตัดขวางในการดูดซับนิวตรอนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันและมักจะมีขนาดที่ใหญ่กว่านิวตรอนเร็วมาก เพราะฉะนั้นพวกมันจึงมักจะสามารถถูกดูดซับได้ง่ายกว่าโดยนิวเคลียส ผลก็คือทำให้เกิดไอโซโทปที่หนักกว่าและมักจะไม่เสถียรของสารเคมี (การกระตุ้นนิวตรอน)",
"นิวตรอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ ในทศวรรษหลังจากที่นิวตรอนที่ถูกค้นพบในปี 1932[4] นิวตรอนถูกนำมาใช้เพื่อให้เกิดการกลายพันธ์ของนิวเคลียส (English: nuclear transmutation) ในหลายประเภท ด้วยการค้นพบของ นิวเคลียร์ฟิชชัน ในปี 1938[5] ทุกคนก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า ถ้าการฟิชชันสามารถผลิตนิวตรอนขึ้นมาได้ นิวตรอนแต่ละตัวเหล่านี้อาจก่อให้เกิดฟิชชันต่อไปได้อีกในกระบวนการต่อเนื่องที่เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์[6] เหตุการณ์และการค้นพบเหล่านี้นำไปสู่เครื่องปฏิกรณ์ที่ยั่งยืนด้วยตนเองเป็นครั้งแรก (Chicago Pile-1, 1942) และอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรก (ทรินิตี้ 1945)",
"เพื่อให้บรรลุปฏิกิริยาลูกโซ่ฟิวชั่นที่มีประสิทธิภาพ นิวตรอนที่ถูกผลิตในระหว่างฟิชชันจะต้องถูกจับยึดโดยนิวเคลียสที่ทำฟิชชันได้ จากนั้นก็ทำการแยกนิวเคลียสออก แล้วก็ปลดปล่อยนิวตรอนมากขึ้นไปอีก ในการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์แบบฟิชชันส่วนมาก เชื้อเพลิงนิวเคลียร์จะไม่ถูกกลั่นให้ดีพอที่จะสามารถที่จะดูดซับนิวตรอนเร็วที่จะยืดยาวปฏิกิริยาลูกโซ่ฟิชชันให้ดำเนินการต่อไป และเนื่องจากมีการลดลงของ ภาคตัดขวาง ของนิวตรอนพลังงานสูง ดังนั้น ตัวหน่วงนิวตรอน จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อชะลอความเร็วของนิวตรอนเร็วลงไปที่ความเร็วของนิวตรอนความร้อนเพื่อที่จะเปิดให้มีการดูดซึมที่เพียงพอ ตัวหน่วงนิวตรอนที่พบบ่อยได้แก่ แกรไฟท์, น้ำเบา (น้ำทั่วไป), และน้ำหนัก เครื่องปฏิกรณ์ไม่กี่ตัว (เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบนิวตรอนเร็ว) และ อาวุธนิวเคลียร์ ทั้งหมดจะต้องพึ่งพานิวตรอนเร็ว ซึ่งจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในการออกแบบและในเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้ องค์ประกอบของสาร เบริลเลียม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเนื่องจากความสามารถของมันในการทำหน้าที่เป็นตัวเบี่ยงเบนนิวตรอนหรือเลนส์ มันยอมให้มีการใช้วัสดุฟิสไซล์ในปริมาณที่น้อยกว่าและเป็นเบื้องต้นของการพัฒนาทางเทคนิคที่นำไปสู่การสร้าง ระเบิดนิวตรอน",
"นิวตรอนเร็วสามารถทำให้เป็นนิวตรอนความร้อนได้โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการหน่วง กระบวนการนี้ถูกกระทำโดย ตัวหน่วงนิวตรอน ในเครื่องปฏิกรณ์โดยทั่วไป น้ำหนัก, น้ำเบา หรือ แกรไฟต์ จะถูกใช้ในการหน่วงนิวตรอนนิวตรอนเย็นยิ่งยวด () เป็นนิวตรอนอิสระที่สามารถถูกเก็บไว้ในกับดักที่ทำจากวัสดุบางชนิด",
"เมื่อดาวฤกษ์มวลมากเกิดซูเปอร์โนวาและกลายเป็นดาวนิวตรอน ส่วนแก่นของมันจะได้รับโมเมนตัมเชิงมุมมา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงรัศมีจากใหญ่ไปเล็กนั้นจะทำให้ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะหมุนรอบตัวเองช้าลงทีละน้อย ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของดาวนิวตรอนที่มีการบันทึกได้นั้นอยู่ระหว่าง 700 รอบต่อวินาทีไปจนถึง 30 วินาทีต่อรอบ ความเร่งที่พื้นผิวอยู่ที่ 2*10 ถึง 3*10 เท่ามากกว่าโลก ด้วยเหตุนี้ดาวนิวตรอนจึงสามารถส่งคลื่นวิทยุออกมาเป็นช่วงหรือพัลซาร์ และกระแสแม่เหล็กออกมาปริมาณมหาศาล การที่ดาวนิวตรอนสามารถส่งคลื่นวิทยุออกมาเป็นช่วงๆ นั้นทำได้อย่างไร ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ แม้ว่าจะมีการวิจัยเรื่องนี้มานานกว่า 40 ปีแล้วก็ตามในดาราจักรของเรานั้นเราพบเพียงไม่กี่สิบดวงเท่านั้น เรายังพบอีกว่า ดาวนิวตรอนน่าจะเป็นต้นกำเนิดของ แสงวาบรังสีแกมมา ที่มีความสว่างมากกว่าซูเปอร์โนวา หลายเท่า อีกทั้งดาวนิวตรอนยังมีความหนาแน่นรวมถึงนำหนักของดาวนิวตรอนที่มากกว่าดวงดาวบางดวงอีกด้วย(แก้ไขโดยเนติ) ",
"นิวตรอนส่วนใหญ่ในเครื่องปฏิกรณ์เป็น \"prompt neutrons\" ซึ่งเป็นนิวตรอนที่ถูกผลิตขึ้นโดยตรงจากปฏิกิริยาฟิชชัน นิวตรอนเหล่านี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ดังนั้นพวกมันจึงมีแนวโน้มที่จะหลุดลอดเข้าไปในตัวหน่วงก่อนที่จะถูกจับไว้ได้ โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 13 ไมโครวินาทีสำหรับนิวตรอนที่จะชะลอตัวลงโดยตัวหน่วงเพียงพอที่จะช่วยให้ปฏิกิริยาเป็นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะยอมให้การสอดใส่ของตัวดูดซับนิวตรอนไปมีผลต่อเครื่องปฏิกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ผลก็คือเมื่อเครื่องปฏิกรณ์ถูกสแครม พลังงานจากเครื่องปฏิกรณ์จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเกือบจะทันทีทันใด อย่างไรก็ตามปริมาณเล็กน้อย (ประมาณ 0.65%) ของนิวตรอนในเครื่องปฏิกรณ์ที่ให้พลังงานทั่วไปจะมาจากการสลายกัมมันตรังสีของผลผลิตจากฟิชชัน \"นิวตรอนล่าช้า\"เหล่านี้ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาที่ความเร็วต่ำกว่า จะจำกัดอัตราความเร็วในการปิดเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์",
"ปฏิกิริยาทั้งหลายที่เกิดกับนิวตรอนต่างๆมีความสำคัญในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และอาวุธนิวเคลียร์ ในขณะที่ปฏิกิริยานิวตรอนที่รู้จักกันดีคือการกระเจิงของนิวตรอน (), การจับยึดนิวตรอนและนิวเคลียร์ฟิชชั่น สำหรับบางนิวเคลียสเบา (โดยเฉพาะ'นิวเคลียสแปลกแปลก') ปฏิกิริยากับนิวตรอนความร้อนส่วนใหญ่จะเป็นปฏิกิริยาแบบถ่ายโอน ดังนี้:",
"การแผ่รังสีจากนิวตรอน () เป็น การแผ่รังสีโดยการแตกตัวเป็นไอออน ชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกลุ่มนิวตรอนอิสระที่เป็นผลมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันหรือปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ปฏิกิริยาดังกล่าวจะทำให้มีการปลดปล่อยนิวตรอนอิสระจากอะตอม นิวตรอนอิสระเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับนิวเคลียสของอะตอมอื่น ๆ เพื่อก่อตัวเป็นไอโซโทปใหม่ซึ่งอาจเป็นผลให้มีการผลิตรังสี",
"นิวตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยานิวเคลียร์หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นการจับยึดนิวตรอนมักจะมีผลมาจากการกระตุ้นนิวตรอนซึ่งกระตุ้นให้เกิดกัมมันตภาพรังสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ของนิวตรอนและพฤติกรรมของพวกมันมีความสำคัญในการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และอาวุธนิวเคลียร์ การเกิดฟิชชันขององค์ประกอบเช่นยูเรเนียม-235 และพลูโตเนียม-239 เกิดจากการดูดซึมนิวตรอนของพวกมัน",
"การหักเหนิวตรอน () หรือ กระเจิงนิวตรอนแบบยืดหยุ่น () เป็นการประยุกต์ใช้การกระเจิงนิวตรอนในการกำหนดโครงสร้างของอะตอมและ/หรือโครงสร้างทางแม่เหล็กของวัสดุ ตัวอย่างที่จะทำการตรวจสอบจะถูกวางอยู่ในลำแสงของนิวตรอนความร้อนหรือนิวตรอนเย็นเพื่อสร้างรูปแบบการหักเหที่จะบอกข้อมูลของโครงสร้างของวัสดุนั้น เทคนิคนี้จะคล้ายกับการหักเหของรังสีเอกซ์แต่เนื่องจากคุณสมบัติการกระเจิงที่แตกต่างกันของพวกมัน นิวตรอนและรังสีเอกซ์จึงให้ข้อมูลที่เสริมกัน"
] |
ใครเป็นผู้คนพบทฤษฎี การตอบสนองโดยสู้หรือหนี? | [
"การตอบสนองโดยสู้หรือหนี หรือ การตอบสนองแบบสู้หรือหนี (English: fight-or-flight response, hyperarousal, acute stress response) เป็นปฏิกิริยาทางสรีรภาพที่เกิดตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นอันตราย เสี่ยงต่อถูกทำร้าย หรือเสี่ยงต่อชีวิต[1] โดยมี ศ. นพ. วอลเตอร์ แบรดฟอร์ด แคนนอนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวถึงไอเดียนี้เป็นคนแรกในปี พ.ศ. 2472[2] ทฤษฎีของเขาแสดงว่า สัตว์ (และมนุษย์) มีปฏิกิริยาต่อภัยด้วยการทำงานในระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งช่วยเตรียมสัตว์ให้สู้หรือหนี[3]"
] | [
"พฤติกรรมตอบสนองต่อความเครียดของสัตว์เพศหญิงที่เพิ่มการรอดชีวิตของลูกจะทำให้ค่าความเหมาะสมของสัตว์สูงขึ้น และดังนั้น เป็นพฤติกรรมที่มีโอกาสตกทอดไปสู่ลูกผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ\nเมื่อมีภัย การป้องกันและปลอบลูกในขณะที่หนีหายเข้าไปในสิ่งแวดล้อมอาจเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของทั้งแม่และลูก\nเมื่อเผชิญหน้ากับความเครียด หญิงมักตอบสนองโดยดูแลลูก ซึ่งช่วยลดระดับความเครียด\nงานศึกษาปี 2532 แสดงว่า ในวันที่งานเครียดมาก หญิงจะตอบสนองโดยดูแลลูกเพิ่มขึ้น\nและโดยเปรียบเทียบกัน พ่อมีโอกาสไม่ยุ่งกับครอบครัวหรือว่าหาเรื่องกับสมาชิกในบ้านมากขึ้นในเย็นวันนั้น\nนอกจากนั้นแล้ว การถูกต้องทางกายระหว่างแม่กับลูกหลังเหตุการณ์ที่เป็นภัย จะช่วยลดการทำงานของสมองบริเวณแกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล (ซึ่งมีหน้าที่ตอบสนองต่อความเครียด) และลดความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเทติก (ซึ่งโดยทั่วไปเป็นส่วนให้เกิดการตอบสนองโดยสู้หรือหนี)",
"การคุมสีหน้า (expressive suppression) เป็นตัวอย่างการควบคุมการตอบสนอง เป็นการห้ามการแสดงอารมณ์\nที่มีหลักฐานว่าสามารถลดการแสดงสีหน้า ความรู้สึกดีในใจ อัตราหัวใจเต้น และการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก (ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการตอบสนองแบบสู้หรือหนี และการควบคุมภาวะธำรงดุล)\nแต่ว่า งานวิจัยแสดงผลไม่ชัดเจนว่าวิธีนี้มีประสิทธิผลในการลดอารมณ์เชิงลบหรือไม่\nและแสดงว่า การคุมสีหน้าอาจมีผลเชิงลบทางสังคม สัมพันธ์กับการลดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความยากลำบากเพิ่มขึ้นในการสร้างความสัมพันธ์",
"ตัวกระตุ้นภายในมักจะเป็นองค์ประกอบของระบบการธำรงดุล (homeostatic control system) ของร่างกาย ส่วนตัวกระตุ้นภายนอกสามารถก่อให้เกิดการตอบสนองแบบทั่วระบบของร่างกาย เช่นการตอบสนองโดยสู้หรือหนี (fight-or-flight response) การจะตรวจพบตัวกระตุ้นได้นั้นขึ้นอยู่กับระดับของตัวกระตุ้น คือต้องเกินระดับกระตุ้นขีดเริ่มเปลี่ยน (absolute threshold) ถ้าสัญญาณนั้นถึงระดับกระตุ้นขีดเริ่มเปลี่ยน ก็จะมีการส่งสัญญาณนั้นไปยังระบบประสาทกลาง ซึ่งเป็นระบบที่รวบรวมสัญญาณต่าง ๆ และตัดสินใจว่าจะตอบสนองต่อตัวกระตุ้นอย่างไร แม้ว่าร่างกายโดยสามัญจะตอบสนองต่อตัวกระตุ้น แต่จริง ๆ แล้ว ระบบประสาทกลางเป็นผู้ตัดสินใจในที่สุดว่า จะตอบสนองต่อตัวกระตุ้นนั้นหรือไม่",
"ระบบประสาทซิมพาเทติกเริ่มที่ไขสันหลังและทำหน้าที่หลักคือก่อความเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพที่เกิดขึ้นในช่วงการตอบสนองโดยสู้หรือหนี ส่วนประกอบของระบบประสาทนี้ ใช้สารสื่อประสาทและส่งสัญญาณให้ปล่อยสารสื่อประสาทนอร์เอพิเนฟรินในปฏิกิริยานี้[8]",
"ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกเริ่มจากไขสันหลังและ medulla oblongata โดยทำงานร่วมกับระบบประสาทซิมพาเทติก และทำหน้าที่หลักคือก่อการตอบสนองแบบ \"พักและย่อยอาหาร\" แล้วคืนสภาพร่างกายไปสู่ภาวะธำรงดุลหลังจากตอบสนองแบบสู้หรือหนี ระบบนี้ใช้สารสื่อประสาทและส่งสัญญาณให้ปล่อยสารสื่อประสาท acetylcholine[8]",
"ระบบประสาทอิสระเป็นระบบควบคุมที่ทำงานใต้จิตสำนึกและควบคุมอัตราหัวใจเต้น การย่อยอาหาร อัตราการหายใจ การตอบสนองของรูม่านตา การถ่ายปัสสาวะ และอารมณ์เพศ เป็นระบบหลักที่ควบคุมการตอบสนองแบบสู้หรือหนี ที่อำนวยโดยส่วนประกอบสองอย่าง[7] ดังที่จะกล่าวต่อไป",
"ปัจจัยทางการรู้คิดในช่วงการตอบสนองดูเหมือนจะเป็นในเชิงลบโดยมาก รวมทั้ง การใส่ใจในสิ่งเร้าเชิงลบ ความรู้สึกถึงสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบลบ และการระลึกถึงคำพูดเชิงลบได้อย่างซ้ำ ๆ[21] และอาจจะมีความคิดเชิงลบที่เฉพาะเจาะจงโดยสัมพันธ์กับอารมณ์ที่มักมีในปฏิกิริยาแบบเดียวกัน[22]",
"โดยเฉพาะก็คือ สมองส่วน adrenal medulla ซึ่งเป็นส่วนของต่อมหมวกไตจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ทางฮอร์โมนมีผลเป็นการหลั่งสารประกอบอินทรีย์แบบโมโนอะมีนคือ catecholamines โดยเฉพาะนอร์เอพิเนฟรินและอีพิเนฟริน (คือ อะดรีนาลีน)[4] นอกจากนั้นแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงหลักคือเอสโตรเจน ฮอร์โมนเพศชายหลักคือเทสโทสเตอโรน และฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อเครียดคือคอร์ติซอล กับทั้งสารสื่อประสาทโดพามีนและเซโรโทนิน ก็ยังมีอิทธิพลต่อการตอบสนองต่อความเครียดของสัตว์อีกด้วย[5]",
"แบบจำลองการประมวลข้อมูลทางสังคม (social information processing) เสนอปัจจัยหลายอย่างที่กำหนดพฤติกรรม ภายในสภาพแวดล้อมคือสถานการณ์ทางสังคมและความคิดที่มีอยู่ก่อน[25] การตีความว่ามีการมุ่งร้าย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยทางการรู้คิดสำคัญที่สุดที่สัมพันธ์กับการตอบสนอง[26]",
"ในช่วงปฏิกิริยา ความรุนแรงทางอารมณ์ที่เกิดจากสิ่งเร้าจะเป็นตัวกำหนดธรรมชาติและความรุนแรงของการตอบสนองทางพฤติกรรมด้วย[18] บุคคลที่ไวปฏิกิริยาทางอารมณ์สูงอาจมีแนวโน้มต่อความวิตกกังวลและความก้าวร้าว ซึ่งแสดงผลที่ตามมาของการมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่สมควรในช่วงการตอบสนองแบบสู้หรือหนี[19][20]",
"แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล การรับมือ (จิตวิทยา)",
"ปฏิกิริยาเฉียบพลันต่อความเครียด โรควิตกกังวล โรคกลัว",
"ตัวเมียและตัวผู้มักจะรับมือกับสถานการณ์ก่อความเครียดอย่างแตกต่างกัน ตัวผู้มีโอกาสตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยความก้าวร้าว คือการสู้ สูงกว่า ในขณะที่ตัวเมียมีโอกาสสูงกว่าที่จะหนี หันหน้าไปหาสัตว์อื่นเพื่อให้ช่วย หรือพยายามปลดชนวนสถานการณ์ ที่เรียกว่าการดูแลและผูกมิตร (tend and befriend) คือเมื่อเครียด แม่มีโอกาสสูงเป็นพิเศษที่จะตอบสนองแบบป้องกันลูก และผูกมิตรกับผู้อื่นเพื่อร่วมมือกันตอบสนองต่อภัยที่ปรากฏ[30]",
"โดยทั่วไปแล้ว งานศึกษาชี้ว่า หญิงมักจะใช้การรับมือโดยเพ่งที่อารมณ์ และมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดโดยดูแลลูกและหาเพื่อน (tend-and-befriend) เทียบกับชายที่มักใช้การรับมือเพ่งที่ปัญหา และมีปฏิกิริยาแบบสู้หรือหนี (fight-or-flight) ซึ่งอาจเป็นเพราะมาตรฐานสังคมสนับสนุนให้ชายเป็นตัวของตัวเองมากกว่า และสนับสนุนให้หญิงเกื้อกูลกันมากกว่า ทฤษฎีอีกอย่างที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ก็คือเป็นเรื่องทางพันธุกรรม แต่ระดับอิทธิพลที่ปัจจัยทางพันธุกรรมเทียบกับทางสังคมมีต่อพฤติกรรม ก็ยังไม่มีข้อยุติ[28]",
"การเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพเมื่อตอบสนองแบบสู้หรือหนีเกิดขึ้นเพื่อให้กำลังและความเร็วกับร่างกายโดยคาดว่าจะมีการสู้หรือวิ่งหนี การเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพมีหน้าที่โดยเฉพาะ ๆ รวมทั้ง[14][15]",
"การใช้ยาเสพติดเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนการตอบสนอง โดยสามารถเปลี่ยนการตอบสนองทางกายต่อเหตุการณ์ที่สร้างอารมณ์ เช่น สุรามีฤทธิ์ระงับประสาทและความวิตกกังวล\nและยาเบต้า บล็อกเกอร์สามารถมีผลต่อระบบประสาทซิมพาเทติก (ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการตอบสนองแบบสู้หรือหนี และการควบคุมภาวะธำรงดุล)",
"การตอบสนองเช่นนี้รู้แล้วว่าเป็นระยะแรกของกลุ่มอาการปรับตัวทั่วไป (General Adaptation Syndrome) ที่ควบคุมการตอบสนองต่อความเครียดของสัตว์มีกระดูกสันหลังและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ[6]",
"ภัยจากสัตว์อีกตัวหนึ่งไม่ได้มีผลเป็นปฏิกิริยาสู้หรือหนีทันทีทุกครั้ง อาจจะมีช่วงเวลาที่รู้สึกตัวเพิ่มขึ้น เป็นช่วงที่สัตว์ตีความพฤติกรรมของสัตว์อื่น พฤติกรรมเช่น การถอดสี ขนตั้ง การแข็งตัว เสียง และท่าทางอื่น ๆ จะแสดงถึงสถานะและความตั้งใจของสัตว์แต่ละตัว อาจจะมีเหมือนกับระยะการต่อรอง ซึ่งตามด้วยการสู้หรือหนี แต่ก็อาจจะกลายเป็นการเล่นกัน การผสมพันธุ์ หรือไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ยกตัวอย่างเช่น การเล่นของลูกแมว แม้ว่าลูกแมวแต่ละตัวจะแสดงการตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเทติก แต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายแก่กันจริง ๆ",
"การดูแลและหาเพื่อน () เป็นพฤติกรรมของสัตว์บางชนิดรวมทั้งมนุษย์ เพื่อตอบสนองต่อภัยโดยป้องกันหรือดูแลเลี้ยงลูก (tend) และโดยหาพวกหรือกลุ่มสังคมเพื่อช่วยป้องกันให้กันและกัน (befriend)\nมีสมมติฐานว่าพฤติกรรมนี้เป็นการตอบสนองปกติของหญิงต่อความเครียด เหมือนกับที่การตอบสนองหลักของชายเป็นแบบสู้หรือหนี\nเป็นแบบจำลองทางทฤษฎีที่ตั้งขึ้นโดย ดร. เช็ลลีย์ เทย์เลอร์ และคณะวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส และกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในวารสารวิชาการ \"Psychological Review\" พิมพ์ในปี พ.ศ. 2543",
"ตัวอย่างของการตอบสนองต่อความเครียดที่พบในสัตว์ ก็คือม้าลายที่กำลังกินหญ้าอยู่ ถ้ามันเห็นสิงโตกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อฆ่า การตอบสนองต่อความเครียดก็จะเริ่มทำงาน การหนีจำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อมาก โดยได้รับการสนับสนุนจากระบบอื่น ๆ ของกาย การทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติกทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นโดยเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง",
"การตอบสนองโดยสู้หรือหนี (Fight-or-flight response) คือ เมื่อร่างกายประสบกับตัวกระตุ้นภายนอกที่อาจจะมีอันตราย ต่อมหมวกไตก็จะปล่อยอีพีเนฟรีน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่นทำเส้นเลือดให้ตีบ ขยายม่านตา ทำหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น ทำการหายใจให้เร็วขึ้น และเพิ่มการสันดาปของน้ำตาลกลูโคส การตอบสนองทากายภาพทั้งหมดเหล่านี้รับรองพฤติกรรมในสัตว์ที่อาจทำให้พ้นจากภัย ไม่ว่าจะตัดสินใจเพื่ออยู่สู้ หรือเพื่อหนีหลบอันตราย",
"การเพิ่มการไหลของโลหิตไปยังกล้ามเนื้อโดยส่งไปจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย การเพิ่มความดันโลหิต อัตราหัวใจเต้น น้ำตาลและไขมันในเลือด เพื่อให้พลังงานเพิ่มขึ้นแก่ร่างกาย การจับลิ่มของเลือดทำงานได้เร็วขึ้นเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากถ้าเกิดบาดเจ็บในช่วงการตอบสนอง การเพิ่มความตึงตัวของกล้ามเนื้อเพื่อให้ความเร็วและกำลังเพิ่มแก่ร่างกาย",
"ทฤษฎีพื้นฐานของแรงถูกพัฒนาจากการรวมกันของแนวคิดที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ไอแซก นิวตัน ได้ตั้ง ทฤษฎีโน้มถ่วงสากล จะเป็นแรงที่ตอบสนองต่อวัตถุให้ตกลงมาสู้พื้นโลก ด้วยแรงดึงดูดระหว่างมวลของโลกกับดวงจันทร์ และแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล ไมเคิล ฟาราเดย์ และ เจมส์ เคิร์ก แม๊กซ์เวล สาธิตให้เห็นว่าแรงไฟฟ้า และแรงแม่เหล็ก สามารถรวมเป็นแรงเดียวกันได้ผ่าน ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า ",
"ในสภาพแวดล้อมของการตอบสนองแบบสู้หรือหนี จะมีการควบคุมอารมณ์ล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด และควบคุมระดับความตื่นตัวทางอารมณ์[16][17]",
"ในสมอง ปฏิกิริยาเริ่มที่อะมิกดะลา ซึ่งจุดชนวนการตอบสนองในไฮโปทาลามัส ปฏิกิริยาเบื้องต้นจะตามด้วยการทำงานของต่อมใต้สมอง (pituitary gland) และการปล่อยฮอร์โมน Adrenocorticotropic hormone (ACTH)[9] โดยมีต่อมหมวกไตที่เริ่มทำงานเกือบพร้อมกันและปล่อยฮอร์โมนอีพิเนฟริน (อะดรีนาลีน) การปล่อยสารเคมีต่าง ๆ เหล่านี้มีผลเป็นการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเพิ่มความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และระงับระบบภูมิคุ้มกัน[10] การตอบสนองเบื้องต้นนี้และปฏิกิริยาต่อ ๆ มา เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มพลังงานที่มี ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออีพิเนฟรินเข้ายึดกับเซลล์ตับซึ่งผลิตกลูโคสต่อมา[11] นอกจากนั้นแล้ว การไหลเวียนของคอร์ติซอลยังเปลี่ยนกรดไขมันเป็นพลังงาน ซึ่งตระเตรียมกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเพื่อการตอบสนอง[12] ส่วนฮอร์โมนกลุ่ม Catecholamine เช่น อีพิเนฟริน หรือนอร์เอพิเนฟริน (นอร์อะดรีนาลีน) อำนวยปฏิกิริยาทางกายแบบฉับพลันต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับการเตรียมตัวใช้กล้ามเนื้ออย่างรวดเร็วรุนแรง ปฏิกิริยารวมทั้ง[13]",
"จิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychology) อธิบายว่า สัตว์บรรพบุรุษต้องมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าที่เป็นภัยอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเวลาเตรียมตัวเองทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้น การตอบสนองแบบสู้หรือหนีจึงเป็นกลไกให้สัตว์สามารถตอบสนองต่อภัยชีวิตอย่างรวดเร็ว[27][28]",
"สัตว์ตอบสนองต่อภัยด้วยวิธีที่ซับซ้อนหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น หนูจะพยายามหนีเมื่อเกิดภัย แต่จะสู้ถ้าจนตรอก สัตว์บางชนิดจะยืนอยู่นิ่ง ๆ เพื่อที่สัตว์ล่าเหยื่อจะไม่เห็นมัน สัตว์หลายประเภทจะแข็งตัวและแกล้งตายเมื่อถูกตัวโดยหวังว่าสัตว์ล่าเหยื่อจะเลิกสนใจ และสัตว์อื่น ๆ ก็มีวิธีป้องกันตัวอย่างอื่น ๆ สัตว์เลือดเย็นบางประเภทเปลี่ยนสีได้อย่างรวดเร็วเพื่ออำพรางตัวเอง[29]",
"การตอบสนองเหล่านี้เริ่มจากการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก แต่เพื่อให้เข้ากับแบบจำลองสู้หรือหนี แนวคิดเรื่องการหนีต้องขยายรวมทั้งการหนีจากการถูกจับ ไม่ว่าจะโดยทางกายหรือโดยแฝงตัว ดังนั้น อาจจะหนีไปสู่อีกสถานที่หนึ่งหรือว่าเพียงแค่หายตัวอยู่ตรงนั้น และบ่อยครั้ง ทั้งการสู้การหนีจะเกิดรวมกันในสถานการณ์หนึ่ง ๆ การสู้หรือหนียังปรากฏว่ามีสองข้าง คือ สัตว์อาจจะสู้หรือหนีต่อต้านอะไรบางอย่างที่เป็นภัย เช่นสิงโตหิว หรือสู้หรือหนีไปยังอะไรที่ต้องการ เช่นไปสู่ฝั่งเพื่อความปลอดภัยจากแม่น้ำที่กำลังหลากมา",
"หมวดหมู่:ระบบประสาท หมวดหมู่:ความกลัว หมวดหมู่:ทฤษฎีจิตวิทยา"
] |
เพลงลูกทุ่ง เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ? | [
"ส่วนคำว่า \"เพลงลูกทุ่ง\" อาจารย์จำนง รังสิกุล คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2507[2] เพลงลูกทุ่งมีความชัดเจนจากเพลงลูกกรุงโดยประกอบ ไชยพิพัฒน์ จัดรายการเพลงสถานีไทย โทรทัศน์ ใช้ชื่อรายการว่า \"เพลงลูกทุ่ง\"[3]"
] | [
"ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2520–2528 วงการเพลงลูกทุ่งและลูกกรุงได้กำเนิด นักร้องเป็นจำนวนมาก วงดนตรีเพลงลูกทุ่งได้เข้าสู่ระบบทุนมากขึ้น มีการแสดงเพลงลูกทุ่งมีการประกวดประชันการเต้นและเครื่องแต่งกายของหางเครื่องประกอบด้วย นักแต่งเพลงแนวลูกทุ่งในช่วงเวลานี้ เช่น ชลธี ธารทอง ฉลอง ภู่สว่าง คัมภีร์ แสงทองวิเชียร คำเจริญ ชัยพร เมืองสุพรรณ สุชาติ เทียนทอง ชวนชัย ฉิมพะวงศ์ ดอย อินทนนท์ ดาว บ้านดอน ฯลฯ",
"จากนั้นภูษิต ภู่สว่าง จึงไปร่วมกับโฆษิต นพคุณ ตั้งวงเป็นเวลากว่า 4 ปี ในช่วงนั้นเขาก็ได้เพลงของครูเพลงหลายท่านมาร้อง แต่ปรากฏว่าดวงของเขาไม่ถูกกับเพลงของครูเพลงท่านใดนอกจากเพลงของครูฉลอง ภู่สว่างเพียงคนเดียว ทำให้เพลงของเขาไม่ได้รับความนิยม ชื่อเสียงจึงซบเซา และต้องยุบวงไปในที่สุด และได้ไปเป็นนักร้องอยู่กับวงลูกทุ่งหลายวงเช่นเพลิน พรมแดน, พุ่มพวง ดวงจันทร์ และ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ",
"เพลงลูกทุ่งโดยส่วนมากจะใช้ภาษาชาวบ้าน ภาษาที่ใช้ในเพลงลูกทุ่งจึงเป็นภาษาพื้น ๆ แบบชาวบ้านทั่วไป ง่ายต่อการเข้าใจ สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของชาวชนบท เนื่องจากผู้ที่ฟังเพลงลูกทุ่งมักเป็นชาวบ้านและชาวชนบท กอปรทั้งผู้แต่งเพลงลูกทุ่งส่วนใหญ่มักมีพื้นเพมาจากชนบท มีการศึกษาน้อย",
"ในปัจจุบัน ธุรกิจลูกทุ่งมีฐานที่กว้างมากในตลาดวงการเพลง เป็นตลาดใหญ่ มีทั้งค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ เป็นจำนวนมาก การแข่งขันก็มากขึ้นเรื่อยๆ โดยสัดส่วนของเงินในตลาดเพลงลูกทุ่งครอง คาดการณ์น่าจะอยู่ที่ ปีละ 1,000-1,500 ล้านบาท เฉพาะธุรกิจเพลงอย่างเดียวไม่รวมกับธุรกิจข้างเคียงอื่นๆ โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ภาคอีสาน 50% ภาคเหนือและภาคกลาง 35% และภาคใต้ 15% และสัดส่วนการแบ่งตลาด มีแกรมมี่ โกลด์ ครองส่วนแบ่งการตลาดเพลงลูกทุ่งทั่วประเทศ 65% ส่วนอาร์สยาม 19% และอื่นๆ 16%[23] สำหรับตลาดรวมของธุรกิจในปี 2549 มูลค่าตลาดประมาณ 7,100 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9 จากปี 2548 และหากเปรียบเทียบกับตลาดเพลงอื่นแล้ว เพลงไทยสากลเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 45 รองลงมาคือเพลงลูกทุ่ง ร้อยละ 30 และเพลงสากล ร้อยละ 20[24]",
"ในปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2541 มีศิลปินลูกทุ่งหน้าใหม่เข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งของค่ายเพลงหน้าใหม่[13] ตลาดเพลงลูกทุ่งเป็นตลาดใหญ่ เพลงลูกทุ่งได้รับความนิยมอีกครั้ง เนื่องมาจาก ได้มีการทำละครมนต์รักลูกทุ่งของอาร์เอส และฮิตติดตลาด ต่อมากับการกลับเข้ามาแจ้งเกิดของ ก๊อต จักรพรรณ์ อาบครบุรี กับอัลบั้มเพลงที่นำเพลงเก่ามาทำใหม่ เพลงลูกทุ่งชุดสองที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักฟังเพลงรุ่นใหม่ในกรุงเทพฯ และการเกิดขึ้นของเพลงลูกทุ่งในคลื่นเอฟเอ็ม นำทีมบริหารโดย วิทยา ศุภพรโอภาส นอกจากนี้ยังมีศิลปินแนวสตริงและแนวเพื่อชีวิตหลายคนที่หันมาทำเพลงลูกทุ่งทดแทนการอิ่มตัวที่จะสามารถอยู่ในวงการอย่าง ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง ต้อม เรนโบว์ เทียรี่ เมฆวัฒนา เป็นต้น[14]",
"ในช่วงปี 2531-2535 เป็นช่วงที่ซบเซาสำหรับวงการเพลงลูกทุ่ง เพราะช่วงนี้เพลงสตริงสมัยใหม่ และวัฒนธรรมทางดนตรีจากต่างชาติ เข้าหลั่งไหลทะลักมา ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ สำหรับวงการเพลงสตริง แต่เพลงลูกทุ่ง กลับไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ๆ จนกระทั่ง มีบทเพลง ๆ หนึ่ง ที่ทำให้ลูกทุ่งฟื้นคืนชีพใหม่ และสง่างามมาได้คือ \"สมศรี 1992\" ของ \"ยิ่งยง ยอดบัวงาม\" เลยเกิดกระแสเพลงลูกทุ่งลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง ในปี 2535 และช่วงเวลาเดียวกัน ก็เกิดเพลงผสมผสาน ลูกทุ่ง+สตริง มาในสมัยนี้ แต่เรียกเพลงสไตล์นี้ว่า \"เพลงร่วมสมัย\" เพราะยังติดคำร้องลูกทุ่ง แต่ทำนอง และดนตรี จะออกเหมือนเพลงจีน ๆ คำร้อง สไตล์เมียน้อย เมียเก็บ เช่นเพลง \"ทางใหม่\" ของ \"นิตยา บุญสูงเนิน\" แต่ดูโดยรวมลักษณะ ก็ไม่ใช่เพลงลูกทุ่ง และไม่ใช่เพลงสตริงวัยรุ่น และปี 2538-2542 เพลงลูกทุ่ง เริ่มมีการผสมผสานหลากหลายมากขึ้น จนสไตล์ แท้ ๆ แบบลูกทุ่งชาวบ้าน แทบเลือนหายไป",
"ส่วนคำว่า \"เพลงลูกทุ่ง\" อาจารย์จำนง รังสิกุล คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 เพลงลูกทุ่งมีความชัดเจนจากเพลงลูกกรุงโดยประกอบ ไชยพิพัฒน์ จัดรายการเพลงสถานีไทย โทรทัศน์ ใช้ชื่อรายการว่า \"เพลงลูกทุ่ง\"",
"ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดังระดับตำนานของประเทศไทย และอยู่ในวงการมานานหลายสิบปี โดยสร้างผลงานเพลงออกมามากมายนับไม่ถ้วน จวบจนถึงปัจจุบันก็ยังคงผลิตผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง ในจำนวนนั้นเป็นเพลงดังที่ฮิตติดหูมากมาย นอกจากนั้นก็ยังมีความเชี่ยวชาญด้านเพลงพื้นเมืองภาคกลางชนิดหาตัวจับได้ยาก และได้สร้างผลงานเพลงประเภทนี้ออกมามากกว่าศิลปินเพลงพื้นบ้านคนใด ",
"หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ในวงการเพลงเกิดวงดนตรีแนวที่เรียกว่า “เพลงเพื่อชีวิต” ส่วนเพลงลูกทุ่งก็อยู่ในยุคเพลงเพื่อชีวิตเช่นกัน เนื้อหาเพลงลูกทุ่ง ได้สอดแทรกเนื้อหาเพลงเพื่อชีวิต โดยในยุคนั้นมีเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตเป็นจำนวนมาก นักร้องเพลงลูกทุ่งมักกล่าวถึงชีวิตชนบทและความยากจนข้นแค้นอยู่แล้ว เนื้อหาจะเน้นปัญหาชาวไร่ชาวนาและกรรมกรให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น เพลงลูกทุ่งในยุคนั้นเช่น เพลงข้าวไม่มีขาย หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เสียนาเสียนาง เราคนจน โอ้ชาวนา ฯลฯ",
"ในปี 2532 สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้จัดงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทย ครั้งแรก ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นช่วงที่วงการเพลงลูกทุ่งเริ่มซบเซา ซึ่งปรากฏว่ามีบรรดานักฟังเพลงลูกทุ่งมาชมกันมากเป็นประวัติการณ์จนต้องจัดให้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และในปีถัด ๆ ไปสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ก็ได้สนับสนุนเพลงลูกทุ่งไทยมาโดยตลอด และได้จัด งานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2 ในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งในปีนี้ เพลง ส้มตำ ถือเป็นเพลงเกียรติยศ ที่นักร้องลูกทุ่งนำมาขับขานในโอกาสการจัดงาน กึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2 เพลงลูกทุ่งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ และได้อัญเชิญมาขับร้องด้วยการบันทึกเสียงโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์ และถูกอัญเชิญขับร้องใหม่โดย สุนารี ราชสีมา ในงานนี้ด้วย[35] และในปี พ.ศ. 2534 ได้จัดโครงการจัดทำโครงการส่งเสริมเพลงลูกทุ่งไทยด้วยการประกวดขับร้องเพลงลูกทุ่งไทย สืบสานคุณค่าวัฒนธรรมไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 จัดให้มีการประกาศผลงานเพลงลูกทุ่งดีเด่นส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และ ในวันที 15 กันยายน พ.ศ. 2542 นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ในขณะนั้น ได้จัดงาน 60 ปีเล่าขานตำนานลูกทุ่งไทยขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย[36]",
"สุรพล สมบัติเจริญ ได้ทำให้เพลงลูกทุ่งอยู่ในความนิยม ในช่วงปี พ.ศ. 2506–2513 จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเพลงลูกทุ่ง ได้เกิดการแข่งขัน และยังมีนักร้องลูกทุ่งเกิดขึ้นใหม่หลายคน ต่อมาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เพลงลูกทุ่งก็อยู่ในยุคเพลงเพื่อชีวิต เนื้อหาเพลงลูกทุ่ง ได้สอดแทรกเนื้อหาเพลงเพื่อชีวิต โดยในยุคนั้นมีเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น ระหว่าง พ.ศ. 2520–2528 วงดนตรีเพลงลูกทุ่งได้เข้าสู่ระบบทุนมากขึ้น มีการแสดงเพลงลูกทุ่งมีการประกวดประชันการเต้นและเครื่องแต่งกายของหางเครื่องประกอบ จนในปัจจุบัน มีศิลปินลูกทุ่งหน้าใหม่เข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งของค่ายเพลงหน้าใหม่ ตลาดเพลงลูกทุ่งเป็นตลาดใหญ่ เพลงลูกทุ่งได้รับความนิยมอีกครั้ง และมีการมอบรางวัลทางดนตรีลูกทุ่งอยู่หลายรางวัล",
"สำหรับธุรกิจเพลงลูกทุ่งในปัจจุบันถือเป็นตลาดใหญ่ มีทั้งค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ เป็นจำนวนมาก โดยสัดส่วนของเงินในตลาดเพลงลูกทุ่งครอง คาดการณ์น่าจะอยู่ที่ ปีละ 1,000-1,500 ล้านบาท โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ภาคอีสาน 50% ภาคเหนือและภาคกลาง 35% และภาคใต้ 15% และสัดส่วนการแบ่งตลาด มีแกรมมี่ โกลด์ ครองส่วนแบ่งการตลาดเพลงลูกทุ่งทั่วประเทศ 65% ส่วนอาร์สยาม 19% และอื่นๆ 16% ซึ่งธุรกิจเพลงลูกทุ่งได้ขยายไปสู่ธุรกิจใกล้เคียงอย่างสื่อวิทยุ โทรทัศน์และภาพยนตร์",
"ในช่วงปี พ.ศ. 2513–2515 ในวงการเพลงลูกทุ่งเองก็มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ทั้งยังเกิดการแข่งขันระหว่างเพลงลูกกรุงและเพลงลูกทุ่งสูง นักแต่งเพลงพยายามสร้างเอกลักษณ์ประจำตัวของนักร้องแต่ละคน มีนักร้องเพลงลูกทุ่งบางคนได้สู่บทบาทการแสดงภาพยนตร์ บางคนถึงแสดงเป็นตัวเอกโดยเฉพาะในภาพยนตร์เพลง ภาพยนตร์บางเรื่องนำเพลงลูกทุ่งมาประกอบเป็นเพลงเอก อย่างเช่นเรื่องมนต์รักลูกทุ่ง ประสบความสำเร็จ ทำรายได้เป็นอย่างดี นำแสดงโดยพระเอกขวัญใจในยุคนั้นคือ มิตร ชัยบัญชา เพลงเอกชื่อเดียวกับภาพยนตร์ประพันธ์โดย ไพบูลย์ บุตรขัน ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักร้องเพลงลูกทุ่งร่วมแสดงด้วย ได้แก่ บุปผา สายชล โดยขับร้องเพลงดังในภาพยนตร์ชื่อ สาวคอยคู่",
"หางเครื่องที่เป็นการนำมาจากวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งไม่น่าจะเข้ากันได้กับการแสดงเพลงลูกทุ่ง แต่ในแง่ธุรกิจผู้ที่อยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งต่างยอมรับว่าหางเครื่องเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้ชมชื่นชอบกับการชมหางเครื่องประกอบการแสดงเพลงลูกทุ่ง หางเครื่องในปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เพลงลูกทุ่งต่างจากลูกกรุง ผู้ชมก็ตื่นตาตื่นใจกับเสื้อผ้าและลีลาการเต้นของหางเครื่อง[19]",
"สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ยังได้มอบรางวัลศิลปินแห่งชาติในสาขาต่าง ๆ โดยในหมวดหมู่ศิลปะการแสดง ที่มอบให้กับการดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน ซึ่งรวมถึงในหมวดหมู่ย่อยดนตรีไทย ได้รวมเพลงลูกทุ่ง[37] ผู้ที่ได้รับรางวัลได้แก่ นาวาตรีพยงค์ มุกดา (เพลงไทยสากล-เพลงลูกทุ่ง ประพันธ์) (2534),นางผ่องศรี วรนุช (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง) (2535),นายสมเศียร พานทอง (ชาย เมืองสิงห์) (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง ประพันธ์) (2538),นายไวพจน์ สกุลนี (ไวพจน์ เพชรสุพรรณ) (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง ประพันธ์) (2540),นายชัยชนะ บุญนะโชติ (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง) (2541),นายชิน ฝ้ายเทศ (ชินกร ไกรลาศ) (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง) (2542),นายสมนึก ทองมา (ชลธี ธารทอง) (เพลงลูกทุ่ง-ประพันธ์) (2542),นายวิเชียร คำเจริญ (ลพ บุรีรัตน์) (นักแต่งเพลงลูกทุ่ง) (2548), นายประยงค์ ชื่นเย็น (ดนตรีไทยลูกทุ่ง-เรียบเรียงเสียงประสาน) (2552)[38] นายสมส่วน พรหมสว่าง (เพลิน พรหมแดน) (ดนตรีลูกทุ่ง) (2555)",
"เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการเพลงลูกทุ่งด้วย เพราะเริ่มผสมดนตรีแบบไทยสากลในเพลงลูกทุ่งเล็กน้อย โดยก่อนหน้านั้นลูกทุ่งมีแบบแผนรูปแบบเครื่องดนตรีชัดเจน \nผู้นิยมเพลงสตริง รับได้เป็นปกติ ส่วนผู้นิยมเพลงลูกทุ่งเอง ช่วงแรกยังมีความเห็นขัดแย้ง แต่เมื่อเผยแพร่สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มเป็นที่นิยม และยอมรับในที่สุด \nและในภายหลัง แนวเพลงลูกทุ่งประยุกต์นี้ กลายเป็นกระแสความนิยมที่พบได้มาก ในผลงานของศิลปินรุ่นต่อมา ทั้งค่ายเพลงนี้และค่ายเพลงอื่น ในลักษณะที่ค่อย ๆ ผสมความเป็นไทยสากลมากขึ้นไปอีก ",
"หลังจากทางค่ายได้ปิดตัวลง มาร์ได้หันไปรับงานแสดงละครและภาพยนตร์เรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสทำงานเพลงอีกครั้งโดยเป็นแนวลูกทุ่ง กับค่าย ทริปเปิ้ล เอ็นเอนเตอร์เทนเม้นท์ ในอัลบั้ม “ลูกทุ่งสาวป็อปแดนซ์” มีเพลงดัง “มาแล้วจ๊ะ” ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งที่เราพอใจ เป็นงานเพลงเดี่ยวหลังจากที่เราหายไปนาน แล้วก็เปลี่ยนสไตล์เปลี่ยนแนวเพลงด้วยถึงจะเป็นลูกทุ่งแต่มาร์ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นสตริงไว้ ซึ่งหลายคนก็อาจจะยังไม่รับเพราะเขาคิดว่าลูกทุ่งก็น่าจะลูกทุ่งไปเลย สตริงก็สตริงไป เพียงแต่เราอยากจะปลุกกระแสขึ้นมาใหม่ว่าจริงๆ ลูกทุ่งก็มีกลิ่นไอสตริงเข้ามาได้ด้วย",
"ระหว่างที่ทำงานร้องเพลงอยู่ที่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีแมวมองมาพบเขา จึงชักชวนมาเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียง โดยหนึ่งในแมวมองที่ว่านั้นก็คือไพฑูรย์ ขันทอง หรือ ดาร์กี้ ขี้เมา ตลก และครูเพลงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเจ้าของผลงานประพันธ์เพลง \" รักน้องเมีย \" , \"ชวนน้องแต่งงาน\"ของ ยอดรัก สลักใจ และ\" มีเมียเด็ก\" ของพรศักดิ์ ส่องแสง ผลงานชุดแรกในชีวิตการเป็นนักร้องอาชีพของสมมาส ราชสีมา คือ \" จดหมายจากลูก \" และ ผลงานสร้างชื่อ ที่จุดประกายความดังของเขาก็คือเพลง \"จดหมายจากลูก\" และ \" จำใจชั่ว\" ซึ่งเป็นเพลงแรกที่เขาบันทึกเสียง\nสมมาส ราชสีมา เป็นนักร้องลูกทุ่งชายที่มีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ เขาอยู่ในวงการเพลงมาหลายปี และผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาโด่งดังมาจากเพลง \" จำใจชั่ว \" สมมาส ราชสีมา ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับ สุนารี ราชสีมานักร้องลูกทุ่งหญิงชื่อดังแห่งวงการลูกทุ่งไทยแต่อย่างใด",
"ขุนวิจิตรมาตราบันทึกไว้ในหนังสือเรื่องของละครและเพลง ว่าเพลงลูกทุ่งเป็นวงดนตรีแบบสากลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปีหรือสองปี ลักษณะเพลงลูกทุ่งในระยะเริ่มแรก มาจากการร้องรำทำเพลงของไทยดั้งเดิม อาทิ แหล่เทศน์ สวดคฤหัสถ์ จำอวด ลิเก (ทรงเครื่อง) ลิเกลูกบท (ไม่แต่งเครื่อง) ลิเกบันตน ลำตัด เพลงขอทาน เพลงพื้นเมืองบางเพลง ฯลฯ โดยเพลงลูกทุ่งนำมาดัดแปลงแล้วใส่ดนตรีแบบสากล เป็นลักษณะเพลงแบบใหม่[1]",
"ชาย เมืองสิงห์ มีชื่อจริงว่า สมเศียร พานทอง เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง นักร้อง-นักแต่งเพลงลูกทุ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2538 ชาย เมืองสิงห์ เป็นนักร้องที่มีลีลาการร้องเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และแต่งเพลงได้เหมือนน้ำตกที่ไหลพรั่งพรูจากหน้าผาไม่มีวันเหือดแห้ง เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ ชาย เมืองสิงห์ คือ “เพลงมาลัยดอกรัก”และอีกมากมายหลายเพลง นอกจากนั้นเขาก็ยังได้ประพันธ์เพลงลูกทุ่งเอาไว้ประมาณ 1,000 เพลง ซึ่งก็มีทั้งที่เอาไว้สำหรับขับร้องเองและให้ผู้อื่นร้องมากกว่า และหลายเพลงก็ติดอันดับยอดนิยม เพลงลูกทุ่งของชาย เมืองสิงห์ มีเสน่ห์และแสดงความเป็นลูกทุ่งที่ชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ด้วยการผสมผสานเสียงดนตรีไทยและดนตรีพื้นบ้าน กลายเป็นเพลงลูกผสมพันทางที่ฟังสนุกสนานกลมกลืนได้อย่างไพเราะ ด้วยความเป็นอัจฉริยะและความรู้ความสามารถ ทำให้ได้รับการขนานนามให้เป็น “ลูกทุ่งสามสมัย” คือ คงความยอดนิยมไว้ได้ทุกยุคทุกสมัย ชาย เมืองสิงห์ ได้รับรางวัลเกียรติคุณในฐานะศิลปินดีเด่นหลายรางวัล มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับในวงการลูกทุ่งเป็นอย่างยิ่ง",
"ส่วนสาระของคำร้องในเพลงลูกทุ่งนั้นมีคุณค่าเกี่ยวกับสังคมไทยและวิถีชีวิตของชาวชนบทไทยอย่างกว้างขวาง เพลงลูกทุ่งสะท้อนให้เห็นความผูกพันอันแนบแน่นของชาวชนบทกับขนบธรรมเนียมประเพณี ความยึดมั่นในพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องบุญกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีรวมที่เพลงลูกทุ่งกล่าวถึง ได้แก่ สงกรานต์ เข้าพรรษา การอุปสมบท ออกพรรษา การทอดกฐิน การทอดผ้าป่า ลอยกระทง การหมั้น การแต่งงาน ตลอดจนงานศพ ส่วนขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นที่ปรากฏในเพลงลูกทุ่ง ได้แก่ การถวายขวัญข้าว การเล่นเพลงพื้นบ้าน การเล่นกลองยาว งานบุญพระเวศ บุญบั้งไฟ งานชักพระ",
"รายการชิงช้าสวรรค์ เป็นรายการนำเสนอรูปวัฒนธรรมเพลงลูกทุ่งโดยมีการประกวดร้องเพลงและวงดนตรีลูกทุ่งระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนทั่วประเทศไทย ด้านสื่อวิทยุ เดิมทีเพลงลูกทุ่งออกอากาศโดยคลื่นเอเอ็ม เพราะสามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลมาก จนในปี 2540 ได้เกิดสถานีวิทยุเอฟเอ็มขึ้นคือสถานีลูกทุ่งเอฟเอ็ม แนวความคิดในการจัดรายการวิทยุเพลงลูกทุ่งจึงเริ่มเปลี่ยนไป ลูกทุ่งเอฟเอ็มเป็นสถานีวิทยุเพลงลูกทุ่ง 24 ชั่วโมง โดยใช้วิธีรูปแบบไม่ให้ดูเชย ดูทันสมัย มีลักษณะรายการเหมือนเอ็มทีวี แต่เป็นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งต่อมาคลื่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนมีการจัดมอบรางวัลมาลัยทองคำขึ้นในปี 2544 และมีการเกิดมาของสถานีลูกทุ่งบนหน้าปัดเอฟเอ็มขึ้นอีกอย่าง ลูกทุ่งมหานคร[24] ที่มีรูปแบบรายการโดยเน้นให้ดีเจเป็นเพื่อนกับคนฟัง ซึ่งฐานคนฟังคลื่นลูกทุ่งมหานคร มีคนฟังนาทีละ 300,000 คน จากทั่วประเทศในเครือข่ายของ อ.ส.ม.ท. โดยเน้นช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืน ตี3 และ ตี5 เพราะมีกลุ่มคนฟังที่ส่งของ ขับรถ ชาวสวนที่ตื่นแต่เช้า เป็นต้น[26]",
"มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2545 ผลงานร่วมสร้างของ สหมงคลฟิล์ม และ ลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. และเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของบัณฑิต ทองดี โดยเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์ของวงการเพลงลูกทุ่ง และภาพยนตร์ไทย ที่รวบรวมไว้มากที่สุด ตั้งแต่นักร้อง นักแต่งเพลง นักจัดรายการลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม. รวมถึงบุคคลที่อยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งไทย กว่า 200 ชีวิต มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน และบทเพลงทั้งที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้นและที่เคยได้รับความนิยมก่อนหน้านั้น กว่า 30 เพลง มาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมทั้งบทเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นโดยเฉพาะอีก 1 เพลง ",
"นพพร ซิลเวอร์โกลด์ ผู้ก่อตั้งคือ ชาตรี ชินวุฒิ หรือชื่อในวงการคือ พนม นพพร ค่ายเพลงนี้เป็นที่รู้จักในวงการเพลงลูกทุ่ง มีเพลงหลากหลายแนวเช่น ลูกทุ่ง,ลูกทุ่งอีสาน,ลูกทุ่งเพิ่อชีวิต แต่ส่วนใหญ่มักผลิตผลงานเพลง ลูกทุ่ง และ ลูกทุ่งหมอลำ ค่ายเพลงค่ายนี้มักเป็นที่รู้จักสำหรับแฟนเพลงลูกทุ่งเป็นอย่างดี เพราะเป็นค่ายเดียวที่ผลิตงานเพลงลูกทุ่งแท้ๆ และเป็นมาตรฐานที่สุด ศิลปินที่สร้างชื่อเสียงในค่ายนพพรให้เป็นที่รู้จักและโด่งดังได้แก่ แมงปอ ชลธิชา,อร อรดี,พิมพ์ ญาดา,สาลี่ ขนิษฐา,ชล อภิชาติ เป็นต้นการขายเทปทำลายสถิติค่ายคือ ชุด ตามหาสมชาย ของ แมงปอ ชลธิชา ด้วยยอดเทปสูงกว่า 1 ล้านตลับ ปัจจุบัน ค่ายเพลงแห่งนี้ปิดกิจการลงแล้ว",
"ในกรณีไม่ทราบชื่อและสกุลจริงของศิลปินรายใด จะจัดเรียงด้วยชื่อเล่นหรือชื่อในวงการเพลงไปก่อนจนกว่าจะหาข้อมูลชื่อและสกุลจริงได้",
"ท็อปฮิต ลูกทุ่งมาตรฐาน เป็นโครงการสตูดิโออัลบั้มของนักร้องลูกทุ่งหลายคนที่สังกัดประจำและเฉพาะกิจของค่ายอาร์เอส มีผลงานออกวางจำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2533 - พ.ศ. 2538 โดยศิลปินนักร้องคนแรกของโครงการนี้คือ สันติ ดวงสว่าง ต่อด้วย ยอดรัก สลักใจ, สายัณห์ สัญญา , ศรเพชร ศรสุพรรณ, รังษี เสรีชัย, นคร มีโชคชัย, พรทิพย์ แสงอุทัย เป็นต้น โดยเพลงในอัลบั้ม ระยะแรกเป็นการนำเพลงเก่าของนักร้องคนอื่นหรือของตัวเองมาบันทึกเสียงและขับร้องใหม่ ต่อมาจึงมีการออกอัลบั้มเป็นเพลงใหม่ทั้งหมด หรือในบางอัลบั้มอาจมีเพลงเก่าปะปนอยู่ด้วย โดย สันติ ดวงสว่าง เป็นนักร้องที่มีอัลบั้มของโครงการนี้มากที่สุด ประมาณ 24 ชุด\nและในปี พ.ศ. 2545 โครงการนี้อาร์เอสนำกลับมาอีกครั้ง เพิ่มคำว่า \"โครงการใหม่\" ไปเป็น \"ท็อปฮิต ลูกทุ่งมาตรฐาน โครงการใหม่\" ในโครงการใหม่นี้ มีนักร้องแค่ไม่กี่คน แม้แต่ สันติ ดวงสว่าง และ ยอดรัก สลักใจ ที่เคยมีผลงานมีโครงการที่แล้วและประสบความสำเร็จมาแล้ว และยังมีผลงานกับทางอาร์เอสอยู่ ก็ไม่ได้เข้าร่วมโครงการครั้งใหม่นี้แต่อย่างใด ผลงานแรกของค่ายนี้ ยังไม่แน่ชัดว่า ศิลปินไหนเป็นเบอร์แรก เท่าพอค้นเจอและที่ทราบมี เอกชัย ศรีวิชัย และ อังคนางค์ คุณไชย แต่ทว่าโครงการนี้อยู่ได้ปีเดียว เพราะไม่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขาย ไม่นานอาร์เอสก็เปิดค่าย อาร์สยาม ขึ้นมาเพราะต้องการสร้างเพลงแนวของลูกทุ่งอย่างเดนชัด",
"นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงของตลาดเพลงลูกทุ่ง ทำให้สินค้าหลายประเภทต่างปรับกลยุทธ์ หาช่องทางทางด้านธุรกิจ อีกทั้งหน้าตาของเพลงทุ่งที่มีทิศทางที่ดูทันสมัยขึ้น ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจะมีสินค้าอุปโภคบริโภคที่เจาะกลุ่มตลาดล่าง ราคาถูก ต้องการขายในปริมาณมากๆ ซึ่งเพลงลูกทุ่งสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี จริงๆ แล้วรูปแบบที่เกิดกับเพลงลูกทุ่งนั้น ไม่แตกต่างจากวงการเพลงสตริงเลย คือมีเจ้าของสินค้าสนับสนุนศิลปินอยู่ แต่สำหรับตลาดเพลงลูกทุ่ง สินค้าจะมีความหลากหลายกว่า และเจาะกลุ่มลูกค้าคนละแบบ",
"ขุนวิจิตรมาตราบันทึกไว้ในหนังสือเรื่องของละครและเพลง ว่าเพลงลูกทุ่งเป็นวงดนตรีแบบสากลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปีหรือสองปี ลักษณะเพลงลูกทุ่งในระยะเริ่มแรก มาจากการร้องรำทำเพลงของไทยดั้งเดิม อาทิ แหล่เทศน์ สวดคฤหัสถ์ จำอวด ลิเก (ทรงเครื่อง) ลิเกลูกหมด (ไม่แต่งเครื่อง) ลิเกบันตน ลำตัด เพลงขอทาน เพลงพื้นเมืองบางเพลง ฯลฯ โดยเพลงลูกทุ่งนำมาดัดแปลงแล้วใส่ดนตรีแบบสากล เป็นลักษณะเพลงแบบใหม่",
"เมื่อปลายปี พ.ศ. 2507 เพลงลูกทุ่งเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นนับตั้งแต่ ประกอบ ไชยพิพัฒน์ นักจัดรายการเพลงทางสถานีไทยโทรทัศน์ได้ตั้งชื่อรายการว่า “เพลงลูกทุ่ง” และต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 มีการจัดงานแผ่นเสียงทองคำพระราชทานในครั้งที่สอง ได้มีการพิจารณาการมอบรางวัลเพลงลูกทุ่งเพิ่ม โดยได้กำหนดความหมายของเพลงประกวดประเภท ค. (ลูกทุ่งหรือพื้นเมือง) ไว้ว่า คือ \"เพลงที่มีลีลาการบรรเลงตลอดจนเนื้อร้อง ทำนองเพลงและการขับร้องไปในแนวเพลงพื้น จะเป็นทำนองเพลงผสมหรือดัดแปลงมาจากทำนองเพลงไทยภาคต่าง ๆ ซึ่งเรียกเพลงประเภทนี้ว่า “ลูกทุ่ง” \"[8] ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการมอบรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานในฐานะนักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม โดย สมยศ ทัศนพันธ์ ได้รับรางวัลจากเพลง “ช่อทิพย์รวงทอง”[9]"
] |
อินเทอร์เน็ต ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ ? | [
"ความคิดเรื่องนี้ในครั้งแรก ๆ ปรากฏขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 หากแต่การนำแนวคิดเหล่านี้ไปปฏิบัติได้จริงนั้นเริ่มขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 เทคโนโลยีซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่นั้นได้เริ่มแพร่หลายออกไปทั่วโลก ในคริสต์ทศวรรษ 1990 การมาถึงของเวิลด์ไวด์เว็บได้ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป"
] | [
"อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง () หรือ ไอโอที (IoT) หมายถึงเครือข่ายของวัตถุ อุปกรณ์ พาหนะ สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งของอื่นๆ ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ และการเชื่อมต่อกับเครือข่าย ฝังตัวอยู่ และทำให้วัตถุเหล่านั้นสามารถเก็บบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งทำให้วัตถุสามารถรับรู้สภาพแวดล้อมและถูกควบคุมได้จากระยะไกลผ่านโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถผสานโลกกายภาพกับระบบคอมพิวเตอร์ได้แนบแน่นมากขึ้น ผลที่ตามมาคือประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อ IoT ถูกเสริมด้วยเซ็นเซอร์และแอคชูเอเตอร์ซึ่งสามารถเปลี่ยนลักษณะทางกลได้ตามการกระตุ้น ก็จะกลายเป็นระบบที่ถูกจัดประเภทโดยทั่วไปว่าระบบไซเบอร์-กายภาพ (cyber-physical system) ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีอย่าง กริดไฟฟ้าอัจริยะ (สมาร์ตกริด) บ้านอัจฉริยะ (สมาร์ตโฮม) ระบบขนส่งอัจฉริยะ (อินเทลลิเจนต์ทรานสปอร์ต) และเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ตซิตี้) วัตถุแต่ละชิ้นสามารถถูกระบุได้โดยไม่ซ้ำกันผ่านระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัว และสามารถทำงานร่วมกันได้บนโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าเครือข่ายของสรรพสิ่งจะมีวัตถุเกือบ 50,000 ล้านชิ้นภายในปี 2020 มูลค่าตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 80 พันล้านเหรียญ",
"เครือข่ายซ้อนทับเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เสมือนที่ถูกสร้างขึ้นทับบนเครือข่ายอื่น โหนดในเครือข่ายซ้อนทับจะถูกลิงค์เข้าด้วยกันแบบเสมือนหรือแบบลอจิก ที่ซึ่งแต่ละลิงค์จะสอดคล้องกับเส้นทางในเครือข่ายหลักด้านล่าง ที่อาจจะผ่านการลิงค์ทางกายภาพหลายลิงค์ โทโพโลยีของเครือข่ายซ้อนทับอาจ (และมักจะ) แตกต่างจากของเครือข่ายด้านล่าง. เช่น เครือข่ายแบบ peer-to-peer หลายเครือข่ายเป็นเครื่อข่ายซ้อนทับ พวกมันจะถูกจัดให้เป็นโหนดของระบบเสมือนจริงของลิงค์ที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเป็นภาพซ้อนทับบนเครือข่ายโทรศัพท์.",
"เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 ITU เรียกร้องให้มีการปรึกษาหารือสาธารณะบนเอกสารร่างก่อนหน้าการประชุม มีการอ้างว่า ข้อเสนอจะอนุญาตให้รัฐบาลจำกัดหรือบล็อกสารสนเทศที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตและสร้างระบอบการกำกับการสื่อสารอินเทอร์เน็ตทั่วโลก รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้ที่รับและส่งสารสนเทศต้องระบุตนเอง นอกจากนี้ยังให้รัฐบาลปิดอินเทอร์เน็ตได้หากมีความเชื่อว่าอินเทอร์เน็ตอาจแทรกแซงกิจการภายในของัฐอื่นหรือาสารสนเทศที่ละเอียดอ่อนอาจถูกแบ่งปันได้",
"ความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ต () หรือ การจัดระเบียบรูปแบบของการออนไลน์ การสนับสนุนอิเล็กทรอนิกส์ ความเคลื่อนไหวทางโลกไซเบอร์, E-campaigning และ E-activism คือการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล เว็บไซต์ และโปสการ์ด โดยการเคลื่อนไหวของประชาชนและการส่งข้อมูลท้องถิ่นผู้ชมจำนวนมาก เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่ใช้ก่อให้เกิดการระดมทุนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุมชน, lobbying และการจัดการ",
"เวย์แบ็กแมชชีน () เป็นบันทึกดิจิตอลของเวิลด์ไวด์เว็บ และข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต ที่สร้างขึ้นโดยอินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์ องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก จัดตั้งขึ้นโดย บรูว์สเตอร์ เคล และ บรูซ กิลเลียต และมีการเก็บรักษาข้อมูลจากอเล็กซาอินเทอร์เน็ต บริการนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูหน้าเว็บรุ่นที่จัดเก็บไว้ในเวลาต่าง ๆ ได้ ซึ่งที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์เรียกว่า \"ดัชนีสามมิติ\"",
"การปฏิรูปการตีพิมพ์วารสารทางวิชาการ () หมายถึง การสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงของการสร้างและการแจกจ่ายวารสารวิชาการ ในยุคอินเทอร์เน็ตและการกำเนิดของ ตั้งแต่เริ่มใช้อินเทอร์เน็ต คนได้รณรงค์เพื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียน ผู้แจกจ่ายแบบดั้งเดิม และผู้อ่าน โดยการอภิปรายส่วนใหญ่ได้มุ้งเน้นทางด้านการใช้ประโยชน์จากความสามารถของอินเทอร์เน็ตในการแจกจ่ายเอกสารและสิ่งตีพิมพ์อย่างทั่วถึง ",
"บรอดแบนด์เคลื่อนที่เป็นศัพท์ทางการตลาดสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านเสาโทรศัพท์มือถือไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์, ไปโทรศัพท์มือถือ (เรียกว่า \"เซลล์โฟน\" ในอเมริกาเหนือและแอฟริกาใต้) และไปอุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ ที่ใช้โมเด็มแบบพกพา. บริการบางอย่างของโทรศัพท์มือถือช่วยให้อุปกรณ์มากกว่าหนึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยใช้การเชื่อมต่อแบบเซลลูลาร์เซลล์เดียวโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า tethering โมเด็มอาจจะถูกสร้างไว้ในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป, ในแท็บเล็ต, ในโทรศัพท์มือถือและในอุปกรณ์อื่น ๆ หรืออาจเพิ่มเข้าไปในอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้คาร์ดในเครื่องพีซี, โมเด็ม USB และที่ USB sticks หรือ dongles หรือโมเด็มไร้สายแยกส่วน",
"เมื่อมกราคม 2005, ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จำนวนสูงถึง 10 % ได้ เปลี่ยนมาใช้บริการโทรศัพท์แบบดิจิทัลนี้ ในเดือนเดียวกัน บทความของนิวสวีคชี้ให้เห็นว่า โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตอาจจะ \"สิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป\" ในปี 2006 บริษัทหลายแห่งให้บริการ VoIP กับผู้บริโภคและธุรกิจ\nจากมุมมองของลูกค้า, ระบบโทรศัพท์ IP ใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบนด์วิธสูง และต้องการอุปกรณ์สถานที่ลูกค้า () หรือ CPE ที่มีลักษณะพิเศษในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต, หรือผ่านเครือข่ายข้อมูลส่วนตัวอื่นๆที่ทันสมัย จริงๆแล้ว อุปกรณ์ของลูกค้าอาจจะเป็นเพียง อะแดปเตอร์โทรศัพท์แอนะล็อก ( ATA ) ซึ่งใช้เชื่อมต่อเครื่องโทรศัพท์แบบอนาล็อกแบบเก่าเข้ากับอุปกรณ์เครือข่าย IP, หรืออาจเป็นเครื่องโทรศัพท์ไอพีที่มีเทคโนโลยีเครือข่ายและอินเตอร์เฟซที่สร้างขึ้นในชุดตั้งโต๊ะ ที่ทำงานเหมือนโทรศัพท์ที่คุ้นเคยแบบเดิม ",
"เทคโนโลยีผู้บริโภคราคาไม่แพง และการเข้าถึงที่กว้าง อินเทอร์เน็ตได้สร้างการกระจายอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ในขณะที่ตลาดองค์กรสื่อชอบระยะเวลานานผูกขาดในการกระจายสื่อ อินเทอร์เน็ตเกิดมากมาย เพื่อผลิตสื่อ และลู่ทางใหม่เพื่อส่งข้อมูลให้กับผู้ชม",
"อินเทอร์เน็ตได้เปิดพรมแดนใหม่แห่งการโฆษณาและทำให้เกิดยุค \"ดอตคอม\" เฟื่องฟูในทศวรรษที่ 1990 บริษัทต่าง ๆ อาศัยเงินจากการโฆษณาเพียงอย่างเดียวโดยเสนอทุกอย่างตั้งแต่คูปองไปจนถึงบริการอินเทอร์เน็ต ในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 กูเกิลและบริษัทอีกจำนวนหนึ่งได้นำเสนอกลยุทธ์การโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา แทนที่จะโฆษณาทุกอย่างโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ทำให้เกิดกระแสการสร้างโฆษณาแบบอินเทอร์แอคทีฟอย่างมากมาย",
"ทางไมโครซอฟท์อ้างว่าวินโดวส์แนชวิลล์น่าจะเพิ่มคุณลักษณะการรวมตัวกันของอินเทอร์เน็ตให้กับเดสก์ท็อปของวินโดวส์ 95 และวินโดวส์เอ็นที 4.0 รวมทั้งสร้างคุณสมบัติใหม่ในอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ 3.0 ซึ่งถูกปล่อยออกก่อนวินโดวส์แนชวิลล์ประมาณสองสามเดือน คุณสมบัติใหม่คือเอาโปรแกรมจัดการแฟ้มและเบราว์เซอร์มารวมกัน มีความสามารถในการเปิดเอกสารไมโครซอฟท์ ออฟฟิศจากภายในอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์โดยใช้เทคโนโลยี ActiveX และวิธีการที่จะวางเว็บเพจแบบเคลื่อนที่อย่างโดยตรงบนเดสก์ท็อปบนพื้นหลังแบบคงที่",
"ผู้ใช้ที่ถูกเซ็นเซอร์อาจสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยกับคอมพิวเตอร์ในประเทศที่มีกฎหมายอ่อนกว่าผ่านเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (วีพีเอ็น) แล้วชมดูอินเทอร์เน็ตเหมือนกับอยู่ในประเทศนั้น \nบริการบางแห่งมีค่าใช้จ่ายประจำเดือน\nบางแห่งฟรีแต่มีโฆษณา",
"ในโลกอนาคตปี 20XX คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ได้ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยเครือข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถซ่อมแซมปรับปรุงแก้ไขได้อย่างง่าย ผู้คนมากมายใช้ PET(ย่อมาจากPersonal Terminal) ในการท่องอินเทอร์เน็ต PET ยังสามารถใช้เชื่อมต่อ(plug in) เข้าไปในทุกอย่างที่มีพอร์ตสำหรับรองรับได้อีก แต่ทว่าในอินเทอร์เน็ตนั้นก็มีไวรัสอยู่ทั่วไปจึงต้องมีโปรแกรม นาวิเกชั่น(Navigation) หรืออาจเรียกได้อีกอย่างคือ เน็ตนาวิ อินสตอล(Net Navi Install) อยู่ข้างในคอยช่วยในการกำจัดไวรัสทั้งหลายระหว่างที่กำลังเล่นอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเล่น เน็ตแบทเทิล(Net Battle) ระหว่างกันโดยใช้ แบทเทิลชิป(Battle Chip) ต่างๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมองอิเล็คทรอนิคส์ของศตวรรษที่ 21 และ PET plug in เข้าไปแก้ไขระบบที่เสียหายทั้งที่เกิดจากไวรัสและระบบขัดข้องได้ แต่ว่าอาจจะมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่นการส่ง เน็ตนาวิ(NetNavi) ไปทำลายระบบคอมพิวเตอร์หรือก่อกวน ซึ่งจะมี เน็ตแบลเทิลเลอร์(Netbattler) คอยแก้ไขปัญหาที่เกิดจากไวรัสเหล่านี้ นับว่าเป็นเครื่องที่ใช้ประโยชน์มากมายหลายอย่าง และยังแฝงไปด้วยโทษถ้ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิด ได้มีกลุ่มองค์กรกลุ่มหนึ่งชื่อว่า \"World Three\" ทำการก่อกวน Internet โดยการส่งไวรัสเข้าไป หรือส่งไวรัสไปทำลายระบบต่างๆ รบกวนชีวิตของชาวเมืองทั่วไป ฮิคาริ ยูอิจิโร่ ได้ทำการสร้าง เน็ตนาวิ ที่มีจิตใจเหมือนคน สามารถมีความรู้สึกนึกคิดได้เองขึ้น โดยมีความลับในการสร้างแอบแฝงอยู่ ซึ่งก็คือ ร็อกแมน เอ็กเซ่ (Rockman.EXE) โดยเขาได้สร้างให้กับลูกชายของเขานั่นเองซึ่งก็คือ ฮิคาริ เน็ตโตะ ต่อมานอกจาก World Three แล้วยังมีองค์กรชั่วร้ายเพิ่มมาอีกกลุ่ม นั่นก็คือ Gospel ",
"การ์ตูนภาพนี้สร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์ของอินเทอร์เน็ต ครั้งหนึ่งเคยเป็นโดเมนเฉพาะของวิศวกรและอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐบาล ต่อมาอินเทอร์เน็ตกลายเป็นหัวข้ออภิปรายในนิตยสารเกี่ยวกับความสนใจทั่วไปอย่าง \"เดอะนิวยอร์กเกอร์\" มิตช์ เคเพอร์ ผู้ก่อตั้งโลตัสซอฟต์แวร์และนักกิจกรรมอินเทอร์เน็ตยุคแรก ให้ความเห็นในบทความหนึ่งในนิตยสาร\"ไทม์\" เมื่อปี 2536 ว่า \"สัญลักษณ์ที่แท้จริงที่บอกว่าความสนใจที่เป็นที่นิยมได้ถึงระดับมวลชนมาถึงแล้วในฤดูร้อนนี้ เมื่อเดอะนิวยอร์กเกอร์พิมพ์ภาพการ์ตูนที่แสดงสัตว์มีเขี้ยวสองตัวที่ชำนาญคอมพิวเตอร์\"",
"ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 สถาบันวิทยบริการ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทย[119] ที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง[120][121] สร้างความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและองค์ความรู้ทุก ๆ แขนงแก่บุคลากร นิสิต และประชาชนทั่วไปที่สนใจอีกทั้งเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญของการศึกษาวิจัยในองค์กร[122] ด้วยการเข้าถึงของอินเทอร์เน็ต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงสามารถขยายบริหารทางวิชาออกไปได้อย่างกว้างขวาง อาทิ",
"ขณะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต อภิษฎามีชื่อเสียงจากการเป็นนางแบบบนเวทีจริงและนางแบบนิตยสาร และเป็นนางแบบทางอินเทอร์เน็ต หรือทื่เรียก \"เน็ตไอดอล\" ด้วย โดยได้รับกล่าวขานว่ามีผมสวย เพราะขณะนั้นเธอยืดผมตรง และทำให้การยืดผมได้รับความนิยมในประเทศไทยมากขึ้น ต่อมา เธอได้แสดงผลงานแสดงมิวสิกวีดิโอเพลง \"เธอเป็นคนอย่างนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่\" ของวง PINK ที่เดี๋ยวนี้เลิกวงไปแล้ว ซึ่งทำให้เธอได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จึงได้แสดงมิวสิกวีดิโอเพลง \"อย่าบอกว่ารักเขา\" ของ อ้อน ในเวลาไล่เลี่ยกันอีก และก็ทำให้เธอเป็นที่จดจำอย่างรวดเร็ว เธอจึงได้เข้าวงการบันเทิงจริง ๆ ครั้งแรกด้วยการแสดงเป็นนางเอกละครโทรทัศน์เรื่อง \"ยายตัวแสบกับนายทรนง\" ซึ่งออกอากาศทางช่อง 3 ใน พ.ศ. 2545 และเธอก็ได้แสดงภาพยนตร์หลายเรื่องตามมาด้วย",
"ซอฟต์แวร์เกมออนไลน์ เริ่มในช่วงต้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในปี 1975 Will Crowther สร้าง Colossal Cave Adventure บน คอมพิวเตอร์ DEC PDP-10 เมื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเติบโต ทำให้จำนวนของผู้ใช้และเกมส์ที่เล่นหลายคนเพิ่มขึ้นด้วย ในปี 1978 Roy Trubshaw นักศึกษามหาวิทยาลัย Essex ประเทศอังกฤษ สร้างเกมส์ MUD (Multi-User Dungeon) และ MUDs อื่นๆอีกมากมายก็ถูกสร้างขึ้น แต่ยังคงสร้างบนตอมพิวเตอร์จนถึงปลายศตวรรษ 1980 เมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่มี dial-up โมเด็มในบ้าน เริ่มเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้งานระบบ multi-line Bulletin Board และผู้ให้บริการออนไลน์ ต่อมา MUDs ได้พัฒนาเป็น การแชทออนไลน์, การแชร์วีดีโอ และ การโทรผ่านอินเทอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาในอนาคต ผลการศึกษาของ MITRE แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของเสียง และข้อความสนทนา และแบ่งปันภาพถ่ายนั้นเพื่อความเข้าใจร่วมกัน",
"ตามเว็บไซต์เกี่ยวกับแห่งหนึ่ง \"กล่าวอย่างง่ายที่สุดคือ มันสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเข้ารหัสลับ เป็นการเชื่อมต่อที่พิจารณาได้ว่าเป็นอุโมงค์ ระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ที่ดำเนินงานโดยผู้ให้บริการวีพีเอ็น\"\nมันช่วยให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตป้องกันการสื่อสารไร้สาย หลีกเลี่ยงการจำกัดผู้ใช้โดยภูมิภาคหรือการเซ็นเซอร์เนื้อความ หรือเป็นเหมือนการใช้พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันการระบุที่อยู่ของผู้ใช้ได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ดี ระบบบริการอินเทอร์เน็ตบางอย่างอาจจำกัดการให้บริการต่อผู้ที่สื่อสารผ่านระบบวีพีเอ็นที่รู้จัก เพื่อไม่ให้สามารถหลีกเลี่ยงการจำกัดให้บริการโดยภูมิภาคของระบบได้",
"การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ในวันนี้คือผ่าน LAN มักจะเป็น LAN ขนาดเล็กมากที่มีเพียงหนึ่งหรือสองอุปกรณ์ที่ต่อกัน และในขณะที่แลนเป็นรูปแบบสำคัญของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต สิ่งนี้สร้างคำถามถึงวิธีการและอัตราการส่งข้อมูลที่ LAN จะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทั่วโลก เทคโนโลยีที่อธิบายไว้ด้านล่างจะถูกใช้เพื่อทำการเชื่อมต่อเหล่านี้",
"บรรพตนิวส์มีแผนการทำธุรกิจในสื่อทางอินเทอร์เน็ตในปี 2559 โดยการเปิดเผยของ ด.ช.สุทิวัส ศรีนุช ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหาร สำนักพิมพ์บรรพต ระบุว่าจะใช้เงินรวมทั้งสิ้น 5000 บาท เพื่อลงทุนทำธุรกิจในสื่อทางอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการสร้างเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ การสั่งซื้ออุปกรณ์ การเตรียมบุคลากร สถานที่ และการรองรับการออกอากาศผ่านวิทยุอินเทอร์เน็ตอีกด้วย",
"อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน",
"ไมเคิลเป็นผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตในประเทศเบลเยียม เคยทำงานเป็นที่ปรึกษาทางด้านอินเทอร์เน็ต, เคยเป็นนักวิเคราะห์สารสนเทศให้กับ หน่วยงานสารสนเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Information Agency) , เคยเป็นผู้จัดการสารสนเทศให้กับบริติช ปิโตรเลียม (ที่ที่เขาสร้างหนึ่งในศูนย์สารสนเทศเสมือนแห่งแรกขึ้น) และเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารของนิตยสารภาษาดัชต์ เวฟ (Wave) ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับสังคมดิจิทัลเล่มแรกของยุโรป ",
"แม้ว่าการเชื่อมต่อกับ LAN อาจให้อัตราข้อมูลที่สูงมากภายใน LAN แต่ความเร็วในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่แท้จริงจะถูกจำกัดโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) LAN อาจมีทั้งแบบใช้สายและไร้สาย อีเทอร์เน็ต บนสายเกรียวคู่และ Wi-Fi เป็นสองเทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่ใช้ในการสร้างระบบแลนในวันนี้ แต่ ARCNET, Token ring, LocalTalk, FDDI, และเทคโนโลยีอื่น ๆ เคยถูกนำมาใช้ในอดีตที่ผ่านมา",
"เครื่องที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นระบบวิศวกรรมโทรคมนาคม ได้แก่ เครือข่ายโทรศัพท์ทั่วโลก อีกระบบหนึ่งของวิศวกรรมโทรคมนาคมคือ อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์ที่ล้ำหน้า และเป็นความจริงไม่น้อยที่ว่า อินเทอร์เน็ตจะมาแทนที่งานของเครือข่ายโทรศัพท์ ทางด้านกายภาพ ระบบเหล่านี้จะทำงานประสานโดยมองไม่เห็นความแตกต่าง",
"การตลาดบนอินเทอร์เน็ต () หรืออาจใช้ว่า i-marketing, web-marketing, Digital Marketing, \"การตลาดออนไลน์\" (online-marketing) หรือ \"การตลาดอิเล็กทรอนิกส์\" (e-Marketing) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียดของการทำการตลาด E-Marketing จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้E-Marketing เป็นส่วนผสมแนวความคิดทางการตลาด และทางเทคนิค รวมเข้าไว้ด้วยกันทั้งด้าน การออกแบบ (Design) , การพัฒนา (Development) , การโฆษณาและการขาย (Advertising and Sales) เป็นต้น (ตัวอย่างกิจกรรมได้แก่ Search Engine Marketing , E-mail Marketing, Affiliate Marketing, Viral Marketing ฯลฯ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจและลูกค้า เนื่องจากระบบทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถสนับสนุนการร้องขอข้อมูลของลูกค้า การจัดเก็บประวัติ และพฤติกรรมของลูกค้าเอาไว้ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ส่งผลต่อ การเพิ่มและรักษาฐานลูกค้า (Customer Acquisition and Retention) และอำนวยประโยชน์ในการประกอบธุรกิจอย่างครบถ้วน",
"โครงการสารานุกรมอินเทอร์เน็ต เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สามารถเข้าถึงได้ผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ แนวคิดที่จะสร้างสารานุกรมเสรีโดยการใช้อินเทอร์เน็ตมีตั้งแต่ข้อเสนออินเตอร์พีเดียในปี พ.ศ. 2536 อันเป็นโครงการสารานุกรมบนอินเทอร์เน็ตที่ทุกคนสามารถให้การสนับสนุนเนื้อหาได้ แต่โครงการนั้นไม่เคยพ้นขั้นตอนวางแผนและถูกไล่ตามทันโดยการปะทุของเวิลด์ไวด์เว็บ การถือกำเนิดของเสิร์ชเอนจินคุณภาพสูง และการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่มีอยู่เดิม",
"Sandor Vegh ได้แบ่งความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ตออกเป็น 3 ประเภทคือ ความตระหนักการโฆษณา, องค์กรระดม และการกระทำปฏิกิริยาอินเทอร์เน็ตเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับกิจกรรมอิสระหรือ E – activists โดยเฉพาะที่มีข้อความอาจใช้เคาน์เตอร์ที่สำคัญโดยเฉพาะเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็นในการรายงานความโหดร้ายสู่โลกภายนอก ผู้สร้างความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ตยังสามารถส่งการร้องทุกข์ผ่านทาง E-petitions ที่จะส่งไปยังรัฐบาลและประชาชนและองค์กรเอกชนเพื่อประท้วงต่อต้านและกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงนโยบายในด้านบวกจากการค้าอาวุธการทดสอบสัตว์ มากมายไม่หวังผลกำไรและองค์กรการกุศลใช้วิธีการเหล่านี้ส่งอีเมลร้องเรียนไปยังผู้ที่รายชื่ออีเมลของพวกเขาถามคนที่จะผ่านพวกเขา",
"ราล์ฟตะลุยโลกอินเทอร์เน็ต () หรือ ราล์ฟตะลุยโลกอินเทอร์เน็ต วายร้ายหัวใจฮีโร่ 2 () เป็นภาพยนตร์ประเภทคอมพิวเตอร์แอนิเมชันสามมิติแนวตลก ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2561 อำนวยการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์และจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 57 ของวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง \"ราล์ฟ วายร้ายหัวใจฮีโร่\" ในปี พ.ศ. 2555 ภาพยนตร์กำกับโดยริช มัวร์ และฟิลล์ จอห์นสตัน เขียนบทภาพยนตร์โดยฟิลล์ จอห์นสตัน และพาเมลา ริบอน อำนวยการสร้างโดย จอห์น แลสเซตเตอร์, คริส วิลเลียมส์ และเจนนิเฟอร์ ลี นักพากย์เสียงตัวละครหลักได้แก่ จอห์น ซี. เรลลีย์, แซราห์ ซิลเวอร์แมน, Jack McBrayer, Jane Lynch และ Ed O'Neill กลับมารับบทบาทเดิมจากภาพยนตร์ภาคแรก รวมถึง Alan Tudyk ซึ่งกลับมาพากย์เสียงตัวละครใหม่ พร้อมด้วยนักพากย์เสียงตัวละครเพิ่มเติมได้แก่ กัล กาด็อต, Taraji P. Henson, Bill Hader และ Alfred Molina",
"การส่งข้อมูลที่เป็นเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) จะมีการเข้ารหัสแพ็กเก็ตก่อนการส่ง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับข้อมูล และส่งข้อมูลไปตามเส้นทางที่สร้างขึ้นเสมือนกับอุโมงค์ที่อยู่ภายในเครือข่ายสาธารณะ (Public Network) นั่นก็คือเครือข่าย อินเทอร์เน็ต นั่นเอง เครือข่ายส่วนตัวเสมือนสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้ VPN จะช่วยให้คุณสามารถส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการส่งข้อมูลในแต่ละครั้ง",
"แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม(Social Network) ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ ไฮไฟฟ์ และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก"
] |
แคลเซียมคาร์บอเนต เขียนเป็นสูตรเคมีได้อย่างไร ? | [
"แคลเซียมคาร์บอเนต (English: Calcium carbonate) เป็นสารประกอบมีสูตรเคมีคือ CaCO3"
] | [
"แคลเซียมไบคาร์บอเนต หรือ แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต () เป็นสารประกอบที่อยู่ในสารละลายเท่านั้น ถ้าสารละลายระเหยจะเกิดปฏิกิริยาดังนี้",
"หินอ่อนเกิดจากแคลเซียมคาร์บอเนต(หินปูน)ที่สะสมอยู่ในท้องทะเลหรือมหาสมุทรมาก่อน กระทั่งเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นในบริเวณดังกล่าว คือที่ๆ เคยเป็นทะเลหรือมหาสมุทรกลับกลายเป็นภูเขาขึ้นมา และที่ๆ เคยเป็นบกเป็นภูเขามากลับ กลายเป็นทะเล รวมถึงผ่านกระบวนการทางธรณี เช่น เกิดมีแมกมาไหลออกมา และพอดีหินที่สะสมไว้ในทะเลไปโดนกับแมกมาเข้า สำคัญคือแมกมานั้นเต็มไปด้วยความร้อน ความดัน และก๊าซ จึงทำให้แคลเซียมคาร์บอเนต(หินปูน)ละลาย แล้วตกผลึก เกิดเป็นหินอ่อนขึ้นมาได้ในที่สุด แต่ในกรณีที่เกิดการหลอมละลาย แล้วตกผลึกไม่หมดทีเดียว ก็จะเกิดหินปูนคล้ายหินอ่อน และจะพบพวกซากเปลือกหอยทะเลต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่รวมกับตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนต",
"อะลูมิเนียมไฮดรองไซด์ (Aluminium hydroxide) (Amphojel®, AlternaGEL®) แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium hydroxide) (Phillips’® Milk of Magnesia) อะลูมิเนียมคาร์บอเนต (Aluminium carbonate) gel (Basajel®) แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium carbonate) (Tums®, Titralac®, Calcium Rich Rolaids®) โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) (Bicarbonate of soda) ไฮโดรทัลไซต์ (Hydrotalcite) (Mg6Al2 (CO3) (OH) 16 · 4 (H2O) ; Talcid®) อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์และ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์(Maalox®, Mylanta®)",
"ลิเทียมโบรไมด์ (Lithium bromide) เป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี LiBr เตรียมได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างลิเทียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรโบรมิก ได้ลิเทียมโบรไมด์, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ตามสมการ: ",
"กระบวนการ Causticization จะดำเนินการอย่างทั่วไปในอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษพร้อมกับทำการโอน 94% ของคาร์บอเนตไอออนจากโซเดียมไปยังแคลเซียมไอออนบวก ต่อมาตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนตจะถูกกรองจากสารละลายและการย่อยสลายความร้อนเพื่อผลิตแก๊ส CO ปฏิกิริยาการเผาให้แตกตัวเป็นเพียงปฏิกิริยาดูดความร้อนในกระบวนการและแสดงให้เห็นตามสมการต่อไปนี้ :",
"หมวดหมู่:สารประกอบแคลเซียม หมวดหมู่:คาร์บอเนต หมวดหมู่:ยาลดกรด หมวดหมู่:เกลือแร่",
"เป็นกระบวนการให้ความร้อนกับสารที่เป็นผง เพื่อให้วัสดุเกิดการแยกส่วน เกิดการเปลี่ยนเฟส หรือเพื่อขับไล่องค์ประกอบของสารตั้งต้นที่ไม่ต้องการออกไป เช่น การทำให้คาร์บอนไดออกไซด์หลุดออกจากโครงสร้าง หรือการทำให้น้ำระเหยอออกไป ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่ใช้ในการแยกแคลเซียมคาร์บอเนต (หินปูน) ให้เป็นแคลเซียมออกไซด์ (ปูนขาว) โดยเป็นกระบวนการหนึ่งในการผลิตปูนซีเมนต์ โดยผลผลิตที่ได้จากการให้ความร้อนแบบนี้จะถูกเรียกว่า แคลไซต์ (Calcite) โดยส่วนใหญ่จะทำการเผาที่อุณหภูมิ 950 องศาเซลเซียส",
"น้ำปูนใส เป็นชื่อสามัญของสารละลายเจือจางของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)) น้ำปูนใสบริสุทธิ์จะใสไม่มีสี มีกลิ่นดินเล็กน้อยและมีรสขมแบบด่าง ชื่อภาษาอังกฤษคือ limewater ซึ่งมาจากไลม์ อนินทรีย์วัตถุของแคลเซียมที่มีคาร์บอเนต ออกไซด์และไฮดรอกไซด์เป็นหลัก และไม่เกี่ยวข้องกับ lime ที่หมายถึงมะนาว",
"เดิมนั้นการผลิตโซเดียมคาร์บอเนตทำโดยกระบวนเคมีที่เรียกว่า กระบวนการเลอบลังก์ (Leblanc process) ซึ่งค้นพบโดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ นิโคลาส เลอบลังก์ ในปี พ.ศ. 2334 (ค.ศ. 1791) โดยใช้ โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) กรดซัลฟูริก (กรดกำมะถัน) แคลเซียมคาร์บอเนต (หินปูน) และถ่าน แต่กรดไฮโดรคลอริค (กรดเกลือ) ที่เกิดจากกระบวนการนี้ ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ และแคลเซียมซัลไฟด์ ที่เหลือจากกระบวนการทำให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม แต่เนื่องจากโซเดียมคาร์บอเนตเป็นสารเคมีพื้นฐานในอุตสาหกรรมหลายชนิด ทำให้มีการผลิตโซเดียมคาร์บอเนตโดยกรรมวิธีนี้ และเป็นกรรมวิธีหลักมาจนถึงช่วงปี พ.ศ. 2423 - 2433 (ช่วง ค.ศ. 1880 - 1890) หลังการค้นพบกระบวนการโซลเวย์ กว่า 20 ปี โรงงานผลิตแคลเซียมคาร์บอเนตที่ใช้กระบวนการ เลอบรังค์แห่งสุดท้ายปิดลงในช่วงปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920)",
"สตรอนเชียมออกไซด์ () หรือ สตรอนเชีย () เกิดขึ้นเมื่อทำปฏิกิริยากับสตรอนเชียม โดยมีสูตรเคมีว่า SrO การเผาไหม้สตรอนเชียมในผลลัพธ์ของอากาศในส่วนผสมของสตรอนเชียมออกไซด์ และสตรอนเทียมไนตริด นอกจากนี้ยังมีรูปแบบจากการสลายตัวของสตรอนเชียมคาร์บอเนต (SrCO) มันเป็นออกไซด์ขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรง",
"เมื่ออยู่ในกระเพาะจะเกิดปฏิกิริยาดังนี้",
"ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO, lime) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว และส่วนที่เป็นสารแขวนลอยคือ น้ำปูนไลม์ (Milk of lime)",
"แคลเซียมไฮดรอกไซด์ () เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมีคือ Ca(OH) ลักษณะเป็นผลึกไม่มีสีหรือผงสีขาว ได้จากการเจือจางแคลเซียมออกไซด์กับน้ำ สารละลายอิ่มตัวของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ รู้จักในชื่อน้ำปูนใส",
"ผู้ปฏิสังขรณ์ล้างผิวภาพด้วยน้ำยาหลายอย่าง และเมื่อใดที่สามารถใช้น้ำกลั่นในการเอาสิ่งสกปรกหรือละลายยางที่ละลายน้ำได้ก็จะใช้ การเขียนเสริม (Retouching) หรือเขียนใหม่ (Repainting) ที่ทำไว้ระหว่างการบูรณะก่อนหน้าก็ถูกลอกหรือลบออกด้วยน้ำยาเจลาตินต่อเนื่องกันหลายครั้งและล้างด้วยน้ำกลั่น ส่วนที่มีสิ่งสกปรกที่เกิดจากการตกผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนตก็ใช้น้ำยาไดเม็ทธิลฟอร์มาร์ไมด์ (dimethylformamide) ทำความสะอาด ขั้นสุดท้ายก็คือการเคลือบด้วยน้ำยาจากอคริลิคพอลิเมอร์ (acrylic polymer) อ่อน ๆ เพื่อผสานและรักษาผิวภาพจากความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต",
"เปลือกหอยประกอบด้วยสารจำพวกแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือเป็นสารอื่น ๆ เช่น แคลเซียมฟอสเฟต, แมกนีเซียมคาร์บอเนต, แมกนีเซียมฟอสเฟต, แมกนีเซียมซิลิเกต, โปรตีนประเภทคอนไคโอลิน เปลือกหอยแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ\nเปลือกหอยมีรูปร่างของเปลือกไม่เหมือนกัน แตกต่างออกไปตามแต่ละชั้น, อันดับ, วงศ์, สกุล และชนิด เช่น หอยแปดเกล็ด หรือ ลิ่นทะเล มีเปลือกขนาดเล็กจำนวน 8 แผ่น เรียงซ้อนเหลื่อมกันคล้ายกระเบื้องมุงหลังคาจากหัวถึงท้ายตัว ส่วนหอยฝาชีโบราณมีเปลือกรูปคล้ายฝาชี ส่วนที่เป็นยอดแหลมเยื้องไปทางด้านหน้า",
"CaCO3 + 2HCl →CaCl2 + H2O + CO2 (gas)",
"แคลเซียมฟลูออไรด์ () เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมีคือ CaF ลักษณะเป็นของแข็งผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น ได้จากแร่ฟลูออไรต์ แคลเซียมฟลูออไรด์บริสุทธิ์ได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างแคลเซียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรฟลูออริก ตามสมการ:",
"คาร์บอเนต ไม่ละลายในน้ำ แต่สามารถทำปฏิกิริยากับน้ำและ คาร์บอนไดออกไซด์แล้วกลายเป็นแคลเซียมไบคาร์บอเนต (ซึ่งมีสูตรเคมีคือ Ca (HCO3) 2) แคลเซียมไบคาร์บอเนตละลายในน้ำได้เล็กน้อย",
"ปฏิกิริยานี้มีความสำคัญมากในการเกิดหินงอก หินย้อย คอลัมน์ภายในถ้ำ น้ำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศผ่านลงไปตามหินปูน (limestone) หรือแคลเซียมคาร์บอเนตอื่น แคลเซียมคาร์บอเนตบางส่วนจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไบคาร์บอเนตซึ่งละลายน้ำได้ดีมาก ต่อมาเมื่อน้ำแห้ง แคลเซียมไบคาร์บอเนตจะเปลี่ยนไปเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งละลายน้ำได้น้อยจะแยกตัวออกมาเกาะเป็นหินงอกหินย้อย อุณหภูมิมีความสำคัญต่อปฏิกิริยามาก เพราะเมื่ออุณหภูมิสูง คาร์บอนไดออกไซด์จะแยกตัวออกจากสารละลายแคลเซียมไบคาร์บอเนตเร็วขึ้น",
"แคลไซต์ (Calcite) เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) เป็นองค์ประกอบหลักของหินปูนและหินอ่อน โดโลไมต์ (Dolomite) ซึ่งเป็นแร่คาร์บอเนตอีกประเภทหนึ่งที่มีแมงกานีสผสมอยู่ CaMg(CO3) 2 แร่คาร์บอเนตทำปฏิกิริยากับกรดเป็นฟองฟู่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา",
"แคลไซต์ () เป็นแร่คาร์บอเนตและเป็นแร่ที่เสถียรที่สุดในกลุ่มแร่ที่มีสูตรโครงสร้างเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ส่วนแร่อื่นที่มีสูตรโครงสร้างเดียวกัน ได้แก่ อราโกไนท์ (Aragonite) และ วาเทอร์ไรต์ (Vaterite) โดยอราโกไนท์จะเปลี่ยนไปเป็นแคลไซต์ที่อุณหภูมิ 470 องศาเซลเซียส ส่วนวาเทอร์ไรต์นั้นไม่เสถียร",
"เปลือกของหอยทะลมีรูปทรงที่หลากหลาย และมีสีสันสวยงาม โดยมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทรายไปจนถึง 1 เมตร ขึ้นอยู่กับหอยทะเลชนิดนั้นๆ เปลือกของหอยทะเลมีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญคือ แคลเซียมคาร์บอเนต และมีสารประกอบอื่นๆเป็นส่วนประกอบ เช่น แคลเซียมฟอสเฟต แมกนีเซียมฟอสเฟต โปรตีนประเภทคอนไคโอลิน เป็นต้น",
"ในธรรมชาติพบในรูปดังนี้:",
"เป็นการหมุนเวียนของคาร์บอนผ่านระบบโครงสร้างของโลกทั้งในแผ่นดิน มหาสมุทรและหินปูน องค์ประกอบสำคัญของหินปูนคือแคลเซียมคาร์บอเนต หินปูนเป็นแหล่งสะสมคาร์บอนที่สำคัญของพื้นโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและการกัดเซาะจะชะแคลเซียม ซิลิกา และคาร์บอนออกจากหินปูนดังสมการ",
"แร่ธาตุต่าง ๆ และวัสดุคลัายแร่ผูกติดกับ CO แบบผกผัน ที่พบบ่อยส่วนใหญ่ แร่ธาตุเหล่านี้เป็นออกไซด์และ CO มักจะถูกผูกติดกันเป็นคาร์บอเนต คาร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับปูนขาว (แคลเซียมออกไซด์) ประกอบกันอยู่ในรูปของหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) ในกระบวนการที่เรียกว่าการวนลูปคาร์บอเนต แร่ธาตุอื่น ๆ ได้แก่ serpentinite, แมกนีเซียมซิลิเกตไฮดรอกไซ และฟันม้าโอลิวีน Molecular sieves ยังคงทำงานในหน้าที่นี้อีกด้วย",
"แคลเซียมไบคาร์บอเนตจะเกิดก็ต่อเมื่อน้ำมีคาร์บอนไดออกไซด์ในสารละลาย (หรือเรียกว่า กรดคาร์บอนิก) ทำปฏิกิริยากับแคลเซียมคาร์บอเนต ",
"นอกจากนี้ เปลือกฝาของแบรคิโอพอดถ้าไม่ประกอบด้วยสารแคลเซี่ยมฟอสเฟตก็เป็นสารแคลเซียมคาร์บอเนต ขณะที่เปลือกฝาของหอยกาบคู่ทั่วไปจะประกอบด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต และท้ายสุดที่แบรคิโอพอดไม่เหมือนกับหอยกาบคู่ก็คือ แบรคิโอพอดบางกลุ่มมีเปลือกฝาเป็นปีกคล้ายครีบยื่นออกไปและรวมถึงมีหนามบนพื้นเปลือกฝา",
"คอปเปอร์(II) คาร์บอเนต () เป็น สารประกอบ สีฟ้าเขียว (สูตรเคมีเป็นดังนี้ CuCO) ส่วนใหญ่มักจะเกิดเป็น ปาตินา (patina) บนผิวที่สัมผัสอาการของ ทองเหลือง, ทองสัมฤทธ์, และ ทองแดง สีสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตั้งแตน้ำเงินสดใสไปเป็นสีเขียวเพราะอาจมีส่วนผสมของคอปเปอร์(II)คาร์บอเนตในหลายสถานะของ ไฮเดรชัน มันถูกใช้ประโยชน์ในการทำสี (pigment) ในงานศิลป์ และบางประเภทของเครื่องสำอาง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นพิษต่อมนุษย์",
"สตรอนเชียมฟลูออไรด์ () เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมีคือ SrF เป็นของแข็งผลึกสีขาว พบในแร่สตรอนชิโอฟลูออไรต์ สามารถเตรียมได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างสตรอนเชียมคลอไรด์กับแก๊สฟลูออรีน หรือสตรอนเชียมคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรฟลูออริก สตรอนเชียมฟลูออไรด์มีคุณสมบัติเป็นสภาพนำไอออนยวดยิ่งเช่นเดียวกับแคลเซียมฟลูออไรด์และแบเรียมฟลูออไรด์https://web.archive.org/20051214052733/http://www.newmet.co.uk:80/Products/koch/strontium.php"
] |
ริสึโกะ คาวาอิ เกิดเมื่อไหร่ ? | [
"รีวจิ คาวาอิ (河合 竜二(Kawai Ryūji, เกิดวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1978)) เป็นนักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันลงเล่นให้สโมสรฟุตบอลคอนซาโดเล ซัปโปโระ[1]"
] | [
"นะริซะดะ เกิดที่ เอะโดะ ต่อมาได้ไปรับใช้ \"สึนะโยะชิ\" ที่ แคว้นทะเตะบะยะชิ โดยเป็นขุนนางที่ปรึกษาคู่กับ ยะนะงิซะวะ โยะชิยะสึ เมื่อโชกุนคนที่ 4 โทะกุงะวะ อิเอะสึนะ พี่ชายต่างมารดาของสึนะโยะชิถึงแก่อสัญกรรมลง สึนะโยะชิจึงได้รับเลือกเป็นโชกุนคนที่ 5 นะริซะดะจึงได้เข้ารับใช้ที่ ปราสาทเอะโดะ และได้ยกบุตรสาวคือ มะกิโนะ ยะสึโกะ เข้าไปเป็นบ้านเล็กของโชกุนสึนะโยะชิ",
"หมวดหมู่:บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ หมวดหมู่:บุคคลจากโตเกียว หมวดหมู่:นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น หมวดหมู่:กองกลางฟุตบอล หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลฮกไกโดคอนซาโดเลซัปโปะโระ",
"เกิดวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1970 กรุ๊ปเลือด A นักชกรุ่นเฟเธอร์เวท สังกัดค่ายคาวาอิ คู่แข่งคนแรกของอิปโปในศึกทัวร์นาเมนต์ระดับ A เป็นนักชกจอมเทคนิคที่มีความเร็วสูงจนได้ฉายาว่า ดาวสายฟ้า (CV:ยานาดะ คิโยยูกิ)",
"· เอล (ญี่ปุ่น: エル \"Eru\") เอรุเป็นคาแรกเตอร์ตัวที่สองของอุตาอุ เป็นคาแรกเตอร์ที่เกิดมาพร้อมความคิดด้านสว่างของเธอ หล่อนชอบอุตาอุมาก ทั้งๆ ที่อุทาอุก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ เอรุเคยหนีออกมา และบังเอิญเกิดอุบัติเหตุกับอามุ ทำให้หล่อนต้องอยู่กับอามุเป็นการชั่วคราว แต่ก็ยังบ่นพร่ำเพ้อว่า \"หล่อนยังไงก็รักอุตาอุ แต่ต้องมาอยู่กับศัตรู\" หล่อนเคยแปลงเป็นคาแรกเตอร์กับอามุ ชื่อ \"อามุเล็ต แองเจิ้ล\" แต่การแปลงเป็นคาแรกเตอร์กับคนอื่นทำให้ใช้พลังงานมากเกินกว่าที่จะเป็น ตอนแรกๆเอรุทำให้อามุต้องอายอยู่หลายครั้งตอนเปลื่ยนกับเธอ แต่ในที่สุดที่อุทาอุนั้นยอมรับเธอ เมื่อใช้ร่างจำแรงกับอุทาอุ ชื่อ \"Seraphic Charm\" โดยมีปีกที่สวยงามอยู่กลางหลัง และท่าที่สำคัญคือการร้องเพลงกล่อมเด็ก ซึ่งทำให้ทุกอย่างสงบนิ่ง และเคยนำไปใช้เปลี่ยนแปลงบัทสึทามะให้กลับเป็นไข่แห่งจิตใจดังเดิม",
"ร้อยโท ฮีวงะ มาโกโตะ (日向 マコト) เป็นเจ้าหน้าที่ประจำแผนกสั่งการ ศูนย์บัญชาการเนิร์ฟ เขาเป็นพวกบ้าหนังสือ และมักจะเอาการ์ตูนมาอ่านเวลาว่าง\nร้อยโทหญิง อิบุกิ มายะ (伊吹 マヤ) เจ้าหน้าที่ประจำแผนกสั่งการ ศูนย์บัญชาการเนิร์ฟ เธอมีความชื่นชมในตัว ดร. อาคางิ ริสึโกะมาก และมักจะเรียกริสึโกะว่า \"รุ่นพี่\" เสมอ\nร้อยโท อาโอบะ ชิเงรุ (青葉 シゲル) เจ้าหน้าที่ประจำแผนกสั่งการ ศูนย์บัญชาการเนิร์ฟ เขามักจะนำกีตาร์ขึ้นมาเล่นในเวลาว่าง",
"แฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย () เป็น การ์ตูนญี่ปุ่น ที่วาดโดย ริสึโกะ คาวาอิ นักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น เรื่องราวเกี่ยวกับความน่ารักของเหล่าแฮมสเตอร์หลากหลายตัว โดยมีแฮมทาโร่เป็นตัวชูโรง ต่อมาได้สร้างเป็นอนิเมะ ออกฉายในประเทศญี่ปุ่น และอีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก",
"วันหนึ่งม้าของเคานต์ไฮน์ริชได้ลื่นน้ำแข็งจนเสียหลักล้มลงหน้าร้านของครอบครัวมิตสึโกะ เมื่อเธอเห็นเช่นนั้นจึงได้เข้ามาช่วยเหลือเคานต์ไฮน์ริช ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ทูตหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก เคานต์ไฮน์ริชจึงได้เสนอกับเจ้าของร้านให้หญิงสาวผู้นี้เข้าไปทำงานในห้องรับแขกของสถานทูตได้ เมื่อทั้งสองได้ใกล้ชิดกันยังให้เกิดเป็นความรักท่ามกลางเสียงคัดค้านจากบิดาของฝ่ายหญิง แต่ทั้งสองก็ลักลอบสมรสกันในปี พ.ศ. 2435 ซึ่งนำไปสู่การนิราศจากญี่ปุ่นในอีก 18 ปีต่อมา",
"อัลบั้มชุดนี้ยังเป็นชุดสุดท้ายที่ มิยางิ จุนโกะ กับ ไมเคิ่ล คาวาอิ เป็นสมาชิกวง",
"ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1997 คาซึฮิโกะ คุโรคาวะ ผู้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการของนิตยสารโชงะคุนิเน็งเซ (小学二年生) ในสมัยนั้น ได้เสนอความคิดว่า น่าจะเอาแฮมสเตอร์ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาเป็นตัวเอกการ์ตูนบ้าง ประจวบกับที่ตัวผู้แต่ง ริสึโกะ คาวาอิ เองก็เลี้ยงแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว การ์ตูนที่มีตัวเอกเป็นแฮมสเตอร์อย่างเรื่อง แฮมทาโร่ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา",
"อิคาริ เก็นโด (碇 ゲンドウ) หรือนามสกุลเดิมคือ โรกุบุนงิ เป็นผู้บัญชาการของเนิร์ฟ เป็นบิดาของอิคาริ ชินจิ รับผิดชอบงานด้านการพัฒนาอีวานเกเลียน และดำเนินแผนพัฒนามนุษยชาติให้เป็นไปตามที่เซเล่ต้องการ อย่างไรก็ตาม เก็นโดก็มีแผนการณ์ของตัวเองที่อยู่เหนือความคาดหมายของเซเล่\nศาสตราจารย์ ฟุยูสึกิ โคโซ (冬月 コウゾウ) เป็นรองผู้บัญชาการของเนิร์ฟ อดีตเขาเป็นอาจารย์ประจำวิชาอภิปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเคียวโตะ ตัวเขาได้สนใจในงานวิจัยและทฤษฎีของอิคาริ ยูอิ (ภรรยาของเก็นโด) และกลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของยูอิ ต่อมายูอิจึงแนะนำเขาให้รู้จักกับเก็นโด ภายหลัง 2nd impact เขากับเก็นโดได้เดินทางไปยังซากของทวีปแอนตาร์กติกา เขาไม่เห็นด้วยที่เก็นโดจะไปทำงานให้กับองค์กรประหลาดที่ชื่อว่าเซเล่หลังเขาทราบว่า เซเล่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง 2nd impact เก็นโดได้พาเขาไปชมจีโอฟร้อนท์และฐานบัญชาการเนิร์ฟที่กำลังก่อสร้าง และเอ่ยปากชวนเขามาทำงานด้วยในตำแหน่งรองผู้บัญชาการ\nคะสึรางิ มิซาโตะ (葛城 ミサト) เป็นหัวหน้าฝ่ายยุทธการของเนิร์ฟ รับผิดชอบการออกปฏิบัติการของอีวานเกเลียน, การป้องกันเมืองนีโอโตเกียว-03 และการกำจัดเทวทูต เธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของคณะสำรวจและวิจัยประจำฐานปฏิบัติการที่สอง สหประชาชาติ ที่ทดลองกับร่างของอดัมจนเกิด 2nd impact ซึ่งเธอได้สูญเสียบิดาในคราวนั้น นอกจากนี้เธอยังรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองของ อิคาริ ชินจิ และ โซรีว อะสึกะ และเธอยังมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับคาจิ เรียวจิ\nดร. อาคางิ รึสึโกะ (赤木 リツコ) เป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิคและวิจัยของเนิร์ฟ รับผิดชอบในการพัฒนาอีวานเกเลียน, อุปกรณ์สนับสนุนอีวานเกเลียน และดูแลซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เมไจทั้งสามเครื่องของศูนย์บัญชาการ ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่จำลองพฤติกรรมและวิธีคิดมาจากมารดาของเธอ ริสึโกะเป็นเพื่อนสนิทกับทั้งมิซาโตะและคาจิตั้งแต่สมัยเรียน ",
"หลังการเสียชีวิตของสามีในปี พ.ศ. 2449 มิตสึโกะในวัย 33 ปี ได้เรียนรู้กฎหมายและเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการที่ดินที่เป็นของครอบครัว ทั้งยังได้อบรมบุตรธิดาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หนึ่งในบุตรของเธอ ริชาร์ด นีโคเลาส์ ได้เป็นผู้ก่อตั้งขบวนการ \"Pan-Europa\"",
"ที-สแควร์ () คือวงดนตรีแนวแจ๊สฟิวชันจากประเทศญี่ปุ่น ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เดิมชื่อวงว่า เดอะสแควร์ (The Square) ก่อตั้งวงโดย มาซาฮิโระ อันโดะ ในปี 1976 ขณะที่เขาศึกษาอยู่ในวิทยาลัย โดยออกผลงานอัลบั้มชุดแรกชุด \"Lucky Summer Lady\" ในปี 1978 โดยมีสมาชิกแรกเริ่มคือ ทาเคชิ อิโต้ (Sax) ,คิโยฮิโกะ เซมบ้า (เพอร์คัสชั่น) , ยูจิ มิคุริยะ (กีต้าร์) , ยูจิ นากามูระ (เบส) , ไมเคิ่ล เซนจิ คาวาอิ (กลอง) , มิยางิ จุนโกะ (เปียโน) และ ชิโร่ ซางิสึ (คียบอร์ด) หลังจากออกอัลบั้ม Midnight Lover มาในปีเดียวกัน Mikuriya ก็ออกจากวงไป สมาชิกของวงจึงเหลือหกคน (ซางิสึเป็นเพียง Support Member จนถึงชุด Make Me A Star) หลังจากทำชุด Make Me A Star ในปี1979 อัลบั้มชุด Rockoon ก็ได้ ยุน อาโอยาม่า ก็เข้ามาเป็นมือกลองแทน คาวาอิ และได้คุเมะ ไดซากุ อดีตมือคียบอร์ดวง Prism เข้ามาแทน จุนโกะ",
"เคาน์เตสมิตสึโกะแห่งคูเดินโฮเวอ-คาแลร์กี (; 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2417 — 27 สิงหาคม พ.ศ. 2484) หรือนามเดิมว่า มิตสึ อาโอยามะ () เป็นสตรีญี่ปุ่นคนแรกที่อพยพเข้าไปยังยุโรป และเป็นภริยาของเคานต์ไฮน์ริชแห่งคูเดินโฮเวอ-คาแลร์กี นักการทูตชาวออสเตรีย และเป็นมารดาของริชชาร์ท นิคโคเลาส์ ฟ็อน คูเดินโฮเวอ-คาแลร์กี นักการเมืองของประเทศออสเตรีย",
"มิตสึโกะเป็นบุตรคนที่สามของครอบครัวซึ่งตระกูลซามูไรและเปิดกิจการร้านขายของเก่าในกรุงโตเกียว จนกระทั่งปี พ.ศ. 2434 เคานต์ไฮน์ริชแห่งคูเดินโฮเวอ-คาแลร์กี นักการทูตชาวออสเตรียได้มาประจำการที่ญี่ปุ่น และมักเข้ามาในร้านของครอบครัวนี้อยู่เสมอ ๆ ",
"เซอร์ไพรส์กันสุด ๆ เมื่อ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ซึ่งเป็นต้นแบบภาพยนตร์เรื่อง วัยรุ่นพันล้าน ได้ควงเจ้าสาวแสนสวย มิ้นท์ ประภัสสร วิริยะกิจนุกูล อดีตมิสคาวาอิ ปี 2007 เข้าพิธีวิวาห์ที่ศรีพันวา จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2556 โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างสวยงามและชื่นมื่นสุด ๆ",
"ผู้สร้าง - ฮาจิเมะ ยาทาเตะ, โยชิยูกิ โทมิโนะ ผู้เขียนบท - โยสุเกะ คุโรดะ ออกแบบตัวละคร - ยุน โคงะ, มิจิโนริ จิบะ ออกแบบหุ่นยนต์ & เครื่องจักร - คาเนะทาเกะ เอบิคาวะ, ทากายูกิ ยานาซะ, คุนิโอะ โอคาวาระ, เซอิจิ นากาทานิ ดนตรีประกอบ - เคนจิ คาวาอิ กำกับศิลป์ - ทาเคชิ ซาโต้ (KUSANAGI) ควบคุมการบันทึกเสียง - มาซาฟุมิ มิมะ ผู้กำกับ - เซจิ มิซึชิมะ ผลิตแอนิเมชัน - ซันไรส์",
"เกียบัน Type-G (เกียบัน ไทป์จี) / จูมอนจิ เงคิ (十文字 撃) เกียบันรุ่นใหม่ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลกต่อจากตำรวจอวกาศรุ่นก่อนๆ ในอดีตเคยเป็นนักบินอวกาศของ SARD เกียบัน / อิจิโจจิ เร็ตสึ (一条寺 烈) แสดงโดย โอบะ เคนจิ (大葉 健二) เกียบันรุ่นแรก ชาลีบัน / เฮียวกะ ไค (日向 快) ไชเดอร์ / คาราซุมะ ชู (烏丸 舟) โอคุมะ โทยะ (大熊 遠矢) คาวาอิ อิทสึคิ (河井 衣月) ผู้บัญชาการ โคม (コム長官) เลขานุการ เอรินะ (エリーナ秘書官) เชอร์รี่ (シェリー) ผู้ช่วยของเงคิ เป็นลูกสาวของมีมี่",
"(in Japanese) at J.League(in Japanese)",
"มีสมมติฐานมากมายเกี่ยวกับที่มาของชื่อเมืองนาริตะ บางคนกล่าวว่ามีที่มาจากตัวอักษรคำว่า \"กลายเป็น\" (\"นาริ\") และ \"นาข้าว\" (\"ทะ\") บางคนกล่าวว่าชื่อเมืองมีที่มาจากเสียงดังสนั่น (\"นาริ\") ของฟ้าผ่าในบริเวณนี้ บางคนกล่าวว่า \"นาริ\" มีที่มาจากคำที่เลิกใช้ไปแล้วที่มีความหมายว่า \"อุดมสมบูรณ์\" หรือบางคนอาจกล่าวว่า \"นาริ\" มีที่มาจากคำว่า \"วิถีการดำรงชีวิต\" (\"นาริวาอิ\")",
"ทางด้านครอบครัวซุซุกิ มุสึโกะได้รับตั๋วรถไฟจากครอบครัวซุซุกิเป็นของขวัญวันคริสต์มาส เพื่อให้เธอได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่อะโอะโมะริ แต่เธอไม่ยอมเดินทางกลับ เพราะน้อยใจและเชื่อว่าที่บ้านไม่มีใครต้องการเธออีก แต่หลังจากที่โทะโมะเอะได้นำจดหมายแสดงความห่วงใยที่แม่ของมุสึโกะส่งให้ครอบครัวซุซุกิ มาให้เธอได้อ่าน เธอจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปพบครอบครัวด้วยความสุข",
"ทางด้านครอบครัวซุซุกิ โนะริฟุมิไม่พอใจมุสึโกะที่ไม่มีความสามารถในการซ่อมรถอย่างที่เธอเขียนไว้ในใบสมัครงาน มุสึโกะก็แสดงความไม่พอใจกับขนาดอู่ของเขาที่เล็กกว่าที่เธอหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้โนะริฟุมิโมโหมาก แต่หลังจากที่โทะโมะเอะและอิปเปให้เขาอ่านใบสมัครงานอีกครั้ง เขาก็พบว่าเธอซ่อมได้เพียงรถจักรยานเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกผิดที่ไม่ตรวจสอบให้ดีและขอโทษมุสึโกะ ทางด้านมุสึโกะก็ให้อภัยและขอโทษที่เธอหวังมากเกินไป จากนั้นมา มุสึโกะก็ค่อย ๆ ปรับตัวและใช้ชีวิตเสมือนสมาชิกครอบครัวซุซุกิคนหนึ่ง",
"อาโอดะ ยาสุชิ (おおだ靖夫) มารุยามะ มาซาโอะ (丸山正雄) โอโนะ ทัตสึยะ (小野達矢) ชิราอิ คัตสึยะ (白井勝也) ริน ทาโร่ (りんたろう) ฮิราตะ โทชิโอะ (平田敏夫) คาวาจิริ โยชิอากิ (川尻善昭) คอน ซาโตชิ (今敏) อาซากะ โมริโอะ (浅香守生) ฮาตะ มาซามิ (波多正美) คาซึงาอิ ฮิโรยูกิ (春日井浩之) เดซากิ โอซามุ (出崎統) สุงิโนะ อาคิโอะ (杉野昭夫) ซาโต้ ยูโซ (佐藤雄三) นากาฮาระ คิโยทากะ (中原清隆) โอฮาชิ มานาบุ (大橋学) ซาคาอิ อาคิโอะ (さかいあきお) มัตสึโอะ โค (松尾衡) ทานากะ ฮิโรยูกิ (田中洋之) โก โทชิฮารุ (郷敏治) คิตะโอะ มาซารุ (北尾勝) จิดามะ นาโอโกะ (児玉尚子) โอโนะ ฮารุเอะ (大野春恵) ฮาชิโมโตะ เคน (橋本賢) คาโดโมโตะ ยูริโกะ (角本百合子) นิอิคาวะ โนบุมาสะ (新川信正) อารากิ เท็ตสึโร่ (荒木哲郎) ซากุระอิ คุนิฮิโกะ (桜井邦彦) อิชิอิ คุมิ (石井久美) ฮามาดะ คุนิฮิโกะ (濱田邦彦) วาตานาเบะ คาซึโอะ (渡辺和夫) ทาซากิ ซาโตชิ (田崎聡) ชิชิโดะ จุน (宍戸淳) ยามางุจิ จิน (山口仁) โองาตะ ฮารุโทชิ (尾形治敏) คิมูระ โยชิโกะ (木村佳史子) เทราอุจิ ซาโตชิ (寺内聡) ฟูจิตะ มาริโกะ (藤田まり子) ฟูจิตะ ชิเงรุ (藤田しげる) ทามาอิ คิมิโกะ (玉井公子) โมริโมโตะ โคจิ (森本晃司) โนดะ ทาคุโอะ (野田卓雄) โทมิซาวะ คาซึโอะ (富沢和雄) นากามูระ ริวทาโร่ (中村隆太郎) ฟุคุชิมะ อาสึโกะ (福島敦子) คาเนโมริ โยชิโนริ (兼森義則) ทาเคอิ มาซากิ (竹井正樹) โคอิเคะ ทาเคชิ (小池健) โฮโซดะ มาโมรุ (細田守) อุราฮาตะ ทัตสึฮิโกะ (浦畑達彦)",
"การลาออกของจุนโกะ และ คาวาอิ ทำให้ ที-สแควร์ได้สมาชิกทดแทนคือ คุเมะ ไดซากุ และ จุน อาโอยาม่า ซึ่งเพิ่งออกจากวง PRISM ซึ่งเป็นวงแนวแจ๊สฟิวชั่นชื่อดังอีกวงของญี่ปุ่น การมาและบทบาทของไดซากุ ช่วยเปลี่ยนแปลงซาวนด์ของที-สแควร์ ให้กลายเป็นวงฟิวชั่นที่เข้าหาตลาดมากขึ้น ซินธิไซเซอร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น อัลบั้มชุดนี้เป็นชุดแรกที่มีเพลงร้องอยู่สามเพลงคือ REALLY LOVE, COME BACK และ IT'S HAPPENING AGAIN ซึ่งแต่งร่วม และร้องโดย ลินดา เฮนดริค",
"มาเอบาชิ () เป็นเมืองหลักของจังหวัดกุมมะ ประเทศญี่ปุ่น มีขนาดพื้นที่ทั้งสิ้น 311.64 ตารางกิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1892 โดยซามูไรนามว่า มากูบะ คาวาอิ ในปี ค.ศ. 2010 มีจำนวนประชากรประมาณ 344,871 คน",
"การเข้าเป็นสมาชิกเริ่มจากการตัดสินใจของชิสึโกะ ผู้เป็นมารดา เนื่องจากมารดาได้ป่วยโรคหลอดเลือดอุดตัน ต่อมาได้รับการชักชวนคิดอยู่ประมาณ 1 ปีก็ได้เข้าศรัทธา ทุกคนในครอบครัวก็ได้เข้าศรัทธาพร้อมกัน เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 นอกจากนั้นยังได้จัดประชุมที่บ้าน ได้มีโอกาสพบจึเนะซาบุโร่ มาคิงุจิ นายกสมาคมโซคา งัคไก ท่านแรก",
"เมจิกไนท์ เรย์เอิร์ธ ได้ถูกสร้างเป็นอนิเมะ ออกอากาศครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2537 ทางสถานีโยมิอุริทีวี จากนั้นในปี 2540 ก็ได้ถูกสร้างเป็นโอวีเอ ความยาว 3 ตอนจบ โดยเปลี่ยนผู้ออกแบบตัวละครจาก อาสึโกะ อิชิดะ มาเป็น เมงุมิ คาโดโนโซโนะ และได้ มิจิทากะ คิคุจิ มาเป็นผู้ออกแบบหุ่นยนต์ ",
"ไอ อีจิมะ (; 31 ตุลาคม พ.ศ. 2515 — 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551) มีชื่อจริงว่า มัตสึเอะ โอกูโบะ () บางแห่งว่า \"มิตสึโกะ อิชิอิ\" เป็นนักแสดงภาพยนตร์เอวีชาวญี่ปุ่น เกิดที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีชีวิตยากลำบากตั้งแต่วัยเด็ก ถูกข่มขืนตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนต้องทำแท้ง จึงหนีออกจากบ้านไปทำงานในร้านคาราโอเกะ เป็นนักเต้นเปลือย เป็นนางแบบถ่ายรูปในนิตยสาร และแสดงในรายการโทรทัศน์สำหรับผู้ใหญ่",
"เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ใน จักรพรรดิจุนโตะกุ ที่ประสูติแต่ ริสึโกะ ธิดาของ คุโจ โยะชิสึเนะ",
"ลิตเทิลวิตช์แอคาดีเมีย ดำเนินเรื่องไปที่สถาบันเวทมนตร์ลูนาโนวา (Luna Nova Magical Academy(ルーナノヴァ魔法学校,Rūna Nova Mahō Gakkō)) ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับหญิงสาวที่ต้องการฝึกฝนเพื่อเป็นแม่มด โดยมีหญิงสาวชื่อคาการิ อาสึโกะ หรือ อักโกะ ได้รับแรงบันดาลใจจากแม่มดชื่อ ไซน์นี ชาริออท ในการเข้าเรียนสถานบันเวทมนตร์แห่งนี้ ทว่าเธอไม่มีพลังเวทมนตร์เลยจึงต้องดิ้นรนอย่างหนัก ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเธอค้นพบกับ ไซน์นีร็อด พลังเวทมนตร์ที่เป็นของตกทอดมาจาก ชาริออท"
] |
สิงโต มีอายุขัยประมาณเท่าไหร่? | [
"สิงโต (English: Lion) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมว สิงโตมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera leo มีขนาดลำตัวใหญ่ ขนาดไล่เลี่ยกับเสือโคร่งทั่วไป (P. tigris) ซึ่งเป็นสัตว์ในสกุล Panthera เหมือนกัน จัดเป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองมาจากเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) พื้นลำตัวสีน้ำตาล ไม่มีลาย ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนสร้อยคอยาว ขนปลายหางเป็นพู่ ชอบอยู่เป็นฝูงตามทุ่งโล่ง มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม (550 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า มักทำหน้าที่ล่าเหยื่อ มีน้ำหนักประมาณ 180 กิโลกรัม (400 ปอนด์) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและประเทศอินเดีย ในป่าธรรมชาติ สิงโตมีอายุขัยประมาณ 10-14 ปี ส่วนสิงโตที่อยู่ในกรงเลี้ยงมีอายุยืนถึง 20 ปี"
] | [
"ขยายพันธุ์ในช่วงฤดูฝน ตัวผู้จะส่งเสียงเรียกตัวเมีย ภายหลังการผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะนำไข่ซึ่งมีทั้งสีขาวและสีดำ ประมาณ 1,000-1,500 ฟอง ปล่อยลงสู่ผิวน้ำ ไข่จะฟักเป็นลูกอ๊อดในเวลา 2 วัน ใช้เวลาพัฒนาเหมือนตัวเต็มวัย 1 ปี และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 10 ปี",
"ขนาดโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ จะมีขนาดเท่าลูกกอล์ฟ มีอายุขัยเต็มที่ราว 1 ปี วงจรชีวิตเริ่มต้นจากมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่ว เป็นหมึกมี 8 หนวด โดยหนวดเส้นที่ขาดไปจะสามารถงอกใหม่ได้ ในเวลากลางวัน หมึกสายวงน้ำเงินมักพักหลบอยู่ตามโพรงหินหรือเปลือกหอย แล้วจะออกหากินในเวลากลางคืน ชอบเคลื่อนที่ไปตามพื้นหน้าดินเพื่อหาอาหารมากกว่าที่จะว่ายน้ำเช่นหมึกชนิดอื่น",
"ลักษณะเมื่อแรกเกิด กระดองจะเป็นสีเขียว เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำ เท้าทั้ง 4 ข้างมีพังผืดใช้ว่ายน้ำได้ดี ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต โดยที่ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียเล็กน้อย กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ ผสมพันธุ์กันในน้ำระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน จากนั้นในเดือนสิงหาคม ตัวเมียจะขึ้นมาวางไข่ในหาดทราย ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 60-75 วัน อายุเมื่อพร้อมที่จะผสมพันธุ์ประมาณ 2 ปี และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี",
"ช้างนับเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ใช้เวลาการตั้งครรภ์ถึง 22 เดือน ซึ่งนับว่านานที่สุดในบรรดาสัตว์บกทุกชนิด ช้างแรกเกิดมีน้ำหนักเฉลี่ย 120 กิโลกรัม มีอายุขัยอยู่ระหว่าง 50 ถึง 70 ปี แต่ช้างอายุมากที่สุดที่เคยบันทึกไว้มีอายุถึง 109 ปี ช้างขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกไว้อาศัยอยู่ในแองโกลาในปี ค.ศ. 1956 ซึ่งมีน้ำหนักถึง 11,000 กิโลกรัม ความสูงวัดถึงไหล่ 3 เมตร สูงกว่าช้างแอฟริกาเพศผู้ทั่วไปถึงหนึ่งเมตร ส่วนช้างที่มีขนาดเล็กที่สุดนั้น มีขนาดประมาณเท่ากับลูกวัวหรือหมูตัวใหญ่ ๆ เป็นสปีชีส์ก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งเคยอาศัยอยู่บนดาวอังคารเกาะครีตระหว่างสมัยไพลสโตซีน จากการสังเกตการณ์ ช้างเพศผู้ที่มีสุขภาพดีนั้นไม่มีนักล่าตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่าสิงโตจะล่าลูกช้างหรือช้างที่อ่อนแอบ้าง อย่างไรก็ตาม ช้างถูกคุกคามโดยการบุกรุกที่อยู่อาศัยของมนุษย์และการล่า",
"นกเรเวน () เป็นชื่อสามัญของนกจำพวกหนึ่ง ในวงศ์นกกา (Corvidae) สกุลกา (\"Corvus\") มีขนาดตัวใหญ่กว่านกกา โดยมีความยาวลำตัว 69 เซนติเมตร (22-27 นิ้ว) หนัก 0.69-1.63 กิโลกรัม (1.5-3.6 ปอนด์) มีอายุขัยระหว่าง 10-15 ปี เคยพบนกเรเวนที่มีอายุมากที่สุดที่ได้การบันทึกเอาไว้ มีอายุประมาณ 40 ปี โดยมากแล้วนกเรเวนจะใช้เรียกนกในสกุล \"Corvus\" ที่มีขนาดใหญ่และพบทางซีกโลกทางเหนือและซีกโลกตะวันตก",
"นกเลิฟเบิร์ดเป็นนกปากขอขนาดเล็ก ที่มีสีสันสดใส มีความยาวเต็มที่ประมาณ 5-6 นิ้ว โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกาฝั่งตะวันออก และเกาะมาดากัสการ์ซึ่งเป็นแถบที่อบอุ่นถึงค่อนข้างร้อน มีอายุขัยประมาณ 10-15 ปี นกเลิฟเบิร์ดมีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์และเลือกคู่ได้แล้วจะอยู่กับคู่ของตัวเองไปตราบจนตาย อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ",
"ฟิชเชอร์จัดอยู่ในสกุลหมาไม้ (\"Martes\" spp.) มีความยาวลำตัวและส่วนหัวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 32-40 นิ้ว หางยาว 13-16 นิ้ว น้ำหนัก 1.3-5.4 กิโลกรัม มีอายุขัยประมาณ 10 ปี ทั้งในธรรมชาติและสถานที่เลี้ยง",
"หนูหริ่งบ้านจัดเป็นหนูที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่ทั้งตัวผู้และตัวเมียประมาณ 30-40 กรัม มีขนสีน้ำตาลอ่อนตลอดทั้งลำตัว ส่วนท้องสีขาว ไม่มีขนที่หาง ขาหน้ามี 4 นิ้ว ขาหลังมี 5 นิ้ว ตัวเมียมีเต้านม 10 เต้า มีอายุขัยประมาณ 1.5-3 ปี",
"กล้องดูดาวขนาดใหญ่มาก (Very Large Telescope) ของหอดูดาวยุโรปใต้ ประมาณการอายุของดาวดวงนี้ไว้ที่ประมาณ 13,200 ล้านปี ทำให้มันเป็นวัตถุที่มีอายุมากที่สุดเท่าที่มีการค้นพบในดาราจักรในปัจจุบัน และเกือบจะมีอายุเก่าแก่เท่ากับอายุโดยประมาณของเอกภพ (13,700 ล้านปี จากการประมาณการของ WMAP) HE 1523-0901 เป็นดาวดวงแรกที่ใช้การประมาณการอายุด้วยเทคนิคตรวจสอบการเสื่อมสลายของธาตุกัมมันตรังสียูเรเนียมและทอเรียม โดยการตรวจวัดธาตุที่ตรวจจับนิวตรอน เชื่อกันว่า มันเกิดขึ้นมาจากเศษซากดาวฤกษ์ยุคแรกโดยตรง ซึ่งหมดอายุขัยและระเบิดเป็นซูเปอร์โนวานับแต่ยุคแรกๆ ของประวัติศาสตร์เอกภพ",
"อาหารหลัก ได้แก่ ใบไม้, ผลไม้, ดอกไม้และสัตว์ที่มีขนาดเล็ก อาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวที่มีลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยชะนีเซียมังแต่ละฝูงมีสมาชิกประมาณ 3-5 ตัว แต่ตัวผู้จะเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างไปจากชะนีชนิดอื่น ที่ตัวเมียจะเป็นฝ่ายดูแลลูก ในสถานที่เลี้ยงมีอายุขัยประมาณ 35 ปี",
"ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้เป็นบริวารแห่งท้าวมหาพรหม\nพรหมโลกชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรก เป็นพรหมชั้นล่างสุด ตั้งอยู่เบื้องบนสูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึง 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ คือไกลจากมนุษยโลกจนไม่สามารถนับได้ ซึ่งหากเอาก้อนศิลาขนาดเท่าปราสาทเหล็ก (โลหปราสาท) ทิ้งลงมาจากชั้นนี้ ยังใช้เวลาถึง 4 เดือนจึงจะตกถึงแผ่นดิน พระพรหมในที่นี้มีคุณวิเศษ โดยเคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแสนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย มีอายุแห่งพรหมประมาณส่วนที่ 3 แห่งมหากัป (1 ใน 3 แห่งมหากัป)",
"ตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 1.5 ปี ขณะที่ตัวเมีย 2 ปี มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 13 ปี ปัจจุบันนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง ",
"นกแคสโซแวรีใต้เป็นนกที่มีขนสีดำปกคลุมลำตัวทั้งหมด ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน แต่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย หลังจากผสมพันธุ์แล้ว นกตัวเมียจะวางไข่ที่พื้นดินประมาณ 5-6 ฟอง จากนั้นจะปล่อยให้ตัวผู้เป็นฝ่ายกกและเลี้ยงดูลูกนก ตัวผู้จะเลี้ยงดูลูกจนกระทั่งอายุได้ 9 เดือน นกแคสโซแวรีใต้มีอายุขัยประมาณ 50 ปี หรือมากกว่านั้น",
"นิลกายเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 18 เดือน ซึ่งหลังผสมพันธุ์แล้ว มีระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 8 เดือน ออกลูกคราวละ 2 ตัวหรือมากได้ถึง 3 ตัว น้ำหนักตัวเมื่อเกิดใหม่ราว 13–16 กิโลกรัม มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 21 ปี",
"เกรตเดนมีลักษณะสง่างาม รูปร่างใหญ่โตแข็งแรง มีมัดกล้ามเนื้อที่สวยงาม น้ำหนักของเพศผู้ประมาณ 54-90 กก. ส่วนเพศเมียหนักประมาณ 45-68 กก. ความสูงโดยประมาณ 76-100 ซม. ลักษณะขนสั้นเกรียนติดหนัง เส้นเล็ก นิ่ม เป็นเงา สีขนมีตั้งแต่แบบสีลูกวัว (Fawn) ลายเสือ (Brindle) สีบลู (Blue) สีดำ (Black) สีฮาเลควิน (Harlequin) หรือสีบอสตัน (Bostons) ส่วนสีอื่น ๆ นอกจากนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในการประกวดสุนัข มีอายุขัยประมาณ 7-10 ปี",
"ตุ่นมักจะมีลูกครอกละ 2-7 ตัว ลูกอ่อนที่เกิดใหม่จะยังไม่ลืมตา และขนจะเริ่มงอกเมื่อมีอายุได้สัก 10 วัน และลืมตาในเวลาต่อมา และจะออกจากรังเมื่อมีอายุได้ราว 5 สัปดาห์ มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 3 ปี ",
"สิงโตอินเดียตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 ปี ซึ่งมากกว่าสิงโตในทวีปแอฟริกา และจะออกลูกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนเมษายน และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 16–18 ปี ในตัวผู้ และตัวเมีย 17–18 ปี พบมากที่สุดคือ 21 ปี ถือว่ามากกว่าสิงโตทวีปแอฟริกา",
"พังพอนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 2 ปี ยกเว้นในบางชนิดที่สามารถตั้งท้องเมื่ออายุได้เพียง 9 เดือน มีระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 45-105 วัน ออกลูกครั้งละ 2-4 ตัว มีอายุขัยประมาณ 10 ปี มีรายงานว่าพังพอนในสถานที่เลี้ยงบางตัวมีอายุยืนถึง 17 ปี",
"ทารันทูล่ามีขนาดแตกต่างหลากหลายออกไป ตั้งแต่ 2.5 เซนติเมตร จนถึง 33 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 160 กรัม (แต่โดยเฉลี่ยประมาณ 6 นิ้ว หรือ 15 เซนติเมตร) จัดเป็นแมงมุมที่มีอายุขัยยาวนานกว่าแมงมุมจำพวกอื่น โดยมีอายุยาวนานถึง 15-20 ปี ",
"ขนาดเมื่อโตเต็มที่ในตัวผู้จะมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม ในตัวเมีย 33 กิโลกรัม มีความสูงวัดจากเท้าจนถึงหัวไหล่ประมาณ 85 เซนติเมตรจนถึง 1 เมตร ความยาวลำตัวประมาณ 1.5-1.6 เมตร ความยาวหาง 25-30 เซนติเมตร มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 10-12 ปี ",
"มีขนาดความยาวได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักเต็มที่ได้ถึง 5 กิโลกรัม แต่ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 40-50 เซนติเมตร มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 15 ปี แพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในหลายพื้นที่ของโลก ในอ่าวไทยอยู่รวมกันเป็นฝูงตามชายฝั่งทะเลน้ำตื้นและปากแม่น้ำ กินอาหาร โดยไล่ล่าปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า",
"มีลักษณะเด่นชัดมากที่ปรากฏในสิงโตเพศผู้และเพศเมียคือมีขนกระจุกที่ปลายหาง ในสิงโตบางตัว ขนกระจุกจะปกปิด\"เงี่ยงกระดูก\"หรือ\"ปุ่มงอก\"ซึ่งยาวประมาณ 5 มม.ซึ่งเกิดจากส่วนสุดท้ายของกระดูกหางรวมตัวกัน สิงโตเป็นสัตว์ตระกูลแมวเพียงชนิดเดียวที่มีขนกระจุกที่ปลายหาง หน้าที่ของขนกระจุกและเงี่ยงกระดูกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เมื่อแรกเกิดลูกสิงโตจะไม่มีขนกระจุกนี้ ขนกระจุกจะเริ่มเกิดขึ้นมาเมื่อมีอายุประมาณ 5½เดือน และสังเกตเห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 7เดือน[34]",
"นกเงือกดิน เป็นนกเงือกที่มีขนาดใหญ่ ตัวขนาดเท่าไก่งวง เป็นนกเงือกที่มีนิ้วตีนสั้นทู่จึงไม่เหมาะแก่การใช้ชีวิตหรือหากินบนต้นไม้ จึงลงมาหากินและใช้ชีวิตบนพื้นดินเป็นหลัก มีจะงอยปากใหญ่ ขาค่อนข้างยาวกว่านกเงือกจำพวกอื่น รวมถึงมีอายุขัยโดยเฉลี่ยสูงกว่านกชนิดอื่นด้วย เป็นนกเงือกที่มีสีลำตัวสีดำหรือเข้ม มีถุงใต้คอสีแดงเป็นจุดเด่น",
"ขนาดโตเต็มที่สามารถยาวได้ถึง 47 เซนติเมตร (18.5 นิ้ว) ในขณะที่ยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีความยาวสั้นกว่า 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร) มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 10 ปี ",
"มีอายุขัยโดยปกติในธรรมชาติจะอยู่ประมาณ 3 ปี และมีอายุยืนมากที่สุดในป่าประมาณ 10 ปี ในที่เลี้ยงมีอายุอยู่ได้นานถึง 18 ปี ",
"สมัยที่พระพุทธสิกขีทศพลที่ 1 ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงออกผนวช เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่น ปี จึงได้ทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน",
"แก็สโทรทริชา มีแผนร่างกายที่เรียบง่าย บริเวณศีรษะมีสมองและอวัยวะประสาทสัมผัสและลำตัวมีลำไส้เล็กและอวัยวะสืบพันธุ์ พวกมันมีต่อมกาวที่พวกมันสามารถยึดตัวเองกับพื้นผิว และขนตากับพื้นที่ที่พวกมันย้ายไปรอบ ๆ พวกมันกินเศษซาก, ดูดอนุภาคอินทรีย์ พวกมันเติบโตอย่างรวดเร็วและมีอายุขัยเพียงไม่กี่วัน ถึงแม้จะมีอยู่หลายสายพันธุ์แต่ล้วนอายุสั้นเท่ากันหมด",
"ช้างเอเชีย () จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิด \"Elephas maximus\" ในวงศ์ Elephantidae มีขนาดเล็กกว่าช้างแอฟริกา รวมทั้งมีใบหูขนาดเล็กกว่า มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 60 ปี ซึ่งถือได้ว่ามีอายุยืนกว่าช้างแอฟริกา ",
"มีหางขนาดสั้นยาวเพียง 2 เซนติเมตรเท่านั้น (1 นิ้ว) ทำให้แลดูคล้ายลิงไม่มีหาง ลำตัวมีความยาวประมาณ 44 เซนติเมตร (17 นิ้ว) จนถึง 60 เซนติเมตร (24 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 3.6 ถึง 10.4 กิโลกรัม นับเป็นลิงประเภทลิงกังที่มีขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 20 ปี"
] |
เมืองหลวงของอังกฤษคือเมืองอะไร? | [
"ลอนดอน (English: London, English pronunciation:/ˈlʌndən/(listen) ลันเดิน) เป็นเมืองหลวงของประเทศอังกฤษ และสหราชอาณาจักร และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรป [1]"
] | [
"ฮาร์เกซา () เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโซมาลีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ยังมีข้อพิพาทเรื่องเอกราช ตั้งอยู่ใน ภูมิภาค กัลบีด วอคูยี ในดินแดนโซมาลิแลนด์ เขตปกครองตนเอง ของโซมาเลีย เมืองนี้เป็นเป็นเมืองหลวงของอาณานิคม อังกฤษโซมาลิแลนด์ อารักขา 1941-1960 เมื่อได้รับเอกราชเป็น ของรัฐโซมาลิแลนด์ และสหรัฐกับ อิตาเลียนโซมาลิแลนด์ ในรูปแบบ สาธารณรัฐโซมาเลีย",
"แอสมารา () เป็นเมืองหลวงของประเทศเอริเทรีย มีประชากร 579,000 คน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,325 เมตร (7,628 ฟุต) มีอุตสาหกรรมสิ่งทอ เมืองนี้อยู่ใต้การปกครองของอียิปต์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อมาใน ค.ศ. 1889 ถูกอิตาลีเข้ายึดครอง ตั้งแต่ ค.ศ. 1936-1941 เป็นเมืองหลวงของอาณานิคมอิตาลีในแอฟริกาตะวันออก เป็นเมืองหลักของจังหวัดอิตาเลียนอีสต์แอฟริกา ระหว่าง ค.ศ. 1936-1941 หลังจากนั้นถูกอังกฤษเข้ายึดครองถึง ค.ศ. 1952",
"โรมาเนียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 40 จังหวัด (judet หรือ County ในภาษาอังกฤษ) กับ 1 เมืองหลวง (municipui หรือ municipalityในภาษาอังกฤษ) และเขตการเกษตร ซึ่งอยู่รอบชานเมืองหลวง ชื่อว่า Ilfov หรือ Agricultural Sector มี 260 เมือง ซึ่งมี 57 เทศบาลเมือง การจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามหลักแห่งการปกครองตนเอง และการกระจายอำนาจการบริการสาธารณะ (Public Services)",
"บอมเบย์ (Bombay) หรือมุมไบ เป็นเมืองท่าที่สำคัญทางฝั่งทะเลอาหรับของอินเดีย และเป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2230 – 2503 คำว่าบอมเบย์เป็นทั้งชื่อเมืองและชื่อรัฐที่เมืองบอมเบย์เป็นศูนย์กลาง โดยใน พ.ศ. 2230 บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษได้ใช้เมืองบอมเบย์เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ และสถาปนาเขตปกครองของตนเองขึ้น เมื่ออินเดียได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2490 บอมเบย์ยังมีฐานะเป็นรัฐของอินเดีย จน พ.ศ. 2503 จึงแบ่งรัฐบอมเบย์ออกเป็นสองส่วนตามภาษาที่ใช้ คือบริเวณที่ใช้ภาษาคุชราตตั้งเป็นรัฐคุชราต และส่วนที่ใช้ภาษามราฐีตั้งเป็นรัฐมหาราษฏระ โดยบอมเบย์เป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ คำว่าบอมเบย์จึงหมายถึงชื่อเมืองเพียงอย่างเดียว",
"เมืองหลวง หรือ ราชธานี คือ เมืองหลักที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาล คำในภาษาอังกฤษ capital มาจากภาษาละติน caput หมายถึง \"หัว\" และอาจเกี่ยวข้อง เนินเขาแคปิทอไลน์ เนินเขาที่สูงที่สุดในโรมโบราณ ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์และศาสนา",
"สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ภายหลังนั้นได้ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่กรุงเดลี แต่พระโอรสของพระองค์ ออรังเซพ ได้ย้ายกลับไปที่อัคบาราบัด โดยจับคุมตัวองค์จักรพรรดิไว้ในป้อมจนสวรรคต ซึ่งอัคบาราบัดก็ยังเป็นเมืองหลวงในขณะนั้นจนสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซพ ได้ย้ายเมืองหลวงไปที่ \"ออรังกาบัด\" (Aurangabad) ในเดคคาน เมื่อปีค.ศ. 1653 จากนั้นต่อมาเป็นยุคปลายของจักรวรรดิโมกุล เมืองจึงได้ตกอยู่ในอิทธิพลของชาวมราฐา และถูกเรียกชื่อใหม่ว่า \"อัคระ\" ก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ หรือบริติชราช",
"บริเวณเจียงหนานยังมีความสำคัญด้านที่มีเมืองหลวงของราชวงศ์จีนโบราณอยู่หลายสมัย เช่น ในยุคสามก๊ก เมืองเจียงเย่ (ปัจจุบันคือ เมืองหนานจิง) เป็นเมืองหลวงของง่อก๊ก ในช่วงศตวรรษที่ 3 มีชาวจีนจากตอนเหนือของประเทศย้ายมายังเจียงหนานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 10 มีการก่อต้งอาณาจักรอู๋เย่ว์ (Wuyue; 吳越) โดยจักรพรรดิเฉียนหลิว (อังกฤษ: Qian Liu; จีนตัวย่อ: 钱镠; พินอิน: Qián Liú) ทำให้บริเวณเจียงหนานได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากยุคนั้นมาจนปัจจุบัน \nในช่วงปลายรัชสมัยของราชวงศ์หยวน เจียงหนานถูกแย่งชิงโดยกลุ่มกบฏสองฝ่าย คือระหว่างฝ่ายจูหยวนจาง หรือต่อมาคือ หงหวู่ตี้ หรือสมเด็จพระจักรพรรดิหงหวู่ (อังกฤษ: Hongwu Emperor; จีน: 洪武帝; พินอิน: \"Hóngwǔ\" \"หงหวู่ตี้\" ) แห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองหนานจิง (หรือนานกิง) และกลุ่มของจางซื่อเฉิง (อังกฤษ: Zhang Shicheng; จีน: 张士诚; พินอิน: \"Zhāng Shìchéng\") ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในเมืองซูโจวของแคว้นอู๋ หลังจากการต่อสู้แย่งชิงยาวนานนับสิบปี หมิงไท่จู่ (หรือ จูหยวนจาง (朱元璋; เป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระจักรพรรดิหงหวู่)) จึงสามารถเข้าโจมตีและยึดครองเมืองซูโจวจากกลุ่มของจางซื่อเฉิงได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1367 และรวบรวมเจียงหนานเข้าด้วยกัน ในภายหลังจูหยวนจางได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ และทรงใช้พระนามว่า หมิงไท่จู่ (明太祖) หรือสมเด็จพระจักรพรรดิหงหวู่ ในวันปีใหม่จีน (20 มกราคม) ในปี ค.ศ. 1368 เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งราชวงศ์หมิง หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ทรงยกทัพขับไล่ชาวมองโกลทางตอนเหนือของจีนได้สำเร็จ เมืองหนานจิงจึงเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์หมิงจากนั้นมา จนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 15 เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิหย่งเล่อ (Yongle) กษัตริย์พระองค์ที่สามแห่งราชวงศ์หมิงทรงมีพระราชดำริให้ย้ายเมืองหลวงจากหนานจิงไปยังเมืองปักกิ่ง",
"กบฏไท่ผิงเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิงระหว่าง ค.ศ. 1850 – 1864 เป็นกบฏชาวนาครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์จีน เริ่มก่อการในอำเภอกุ้ยผิง ภูมิภาคปกครองตนเองก่วงซี หรือกวางสี หลังจากนั้นไดเข้ายึดครองพื้นที่หลายมณฑล จนสามารถตั้งเมืองหลวงขึ้นที่เมืองนานกิง หรือหนานจิง (อังกฤษ: Nanjing; จีน: 南京; พินอิน: \"Nánjīng\") เมืองหลวงของมณฑลเจียงซูในปัจจุบัน มีอุดมการณ์ในการก่อตั้ง \"\"ประเทศสวรรค์เปี่ยมสันติ (ไท่ผิงเทียนกั๋ว; 太平天国)\"\" สถานที่ตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองซูโจวในปัจจุบันจึงมีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์จีนในศตวรรษที่ 19 ",
"ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 มีพระราชประสงค์ที่จะตั้งยอร์คเป็นเมืองหลวงของอังกฤษแต่ก่อนที่จะสำเร็จพระองค์ก็ทรงถูกถอดจากการเป็นพระมหากษัตริย์เสียก่อน หลังจากสงครามดอกกุหลาบ ยอร์คก็กลายเป็นที่ตั้งของสภาแห่งภาคเหนือ (Council of the North) และมีฐานะที่ยอมรับกันว่าเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือ จนกระทั่งหลังจากการฟื้นฟูราชวงศ์เท่านั้นที่ความสำคัญทางการเมืองของยอร์คเริ่มลดถอยลง ภาคยอร์กเป็นหนึ่งในภาคคริสตจักรในคริสตจักรแห่งอังกฤษเช่นเดียวกับภาคแคนเทอร์เบอรี",
"ภูมิประเทศของอังกฤษส่วนมากประกอบด้วยเขาเตี้ยๆ และที่ราบ โดยเฉพาะทางตอนกลางและตอนใต้ของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ทางเหนือและทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่สูง วินเชสเตอร์เป็นเมืองหลวงเก่าของอังกฤษกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นลอนดอนใน พ.ศ. 1609 ปัจจุบัน ลอนดอนเป็นเขตมหานครใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรและพื้นที่เมืองใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรปเมื่อวัดด้วยเกณฑ์ส่วนใหญ่ ประชากรอังกฤษมีอยู่ราว 51 ล้านคน คิดเป็น 84% ของประชากรสหราชอาณาจักร และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน ภาคตะวันออกเฉียงใต้และเขตเมืองขยายในภาคมิดแลนด์ส ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและยอร์กเชอร์ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19",
"กังต็อกมีชื่อเสียงทางด้านเป็นสถานที่แสวงบุญของชาวพุทธหลังจากที่ได้ก่อสร้างวัดเอนเชย์ ในปี ค.ศ. 1840 และ ในปี ค.ศ. 1894 ผู้ปกครองชาวสิกขิม โชกยัล ทูต็อบ นัมกยัล (Thutob Namgyal) ได้ย้ายเมืองหลวงมายังกังต็อก และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กังต็อกกลายเป็นจุดหยุดพักเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างลาซาในทิเบตกับเมืองอื่น ๆ อย่าง โกลกาตา (ขณะนั้นคือ กัลกัตตา) ในบริติชอินเดีย ต่อมาหลังจากอินเดียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1947 สิกขิมเลือกที่จะเป็นประเทศอิสระที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมีกังต็อกเป็นเมืองหลวง ในปี ค.ศ. 1975 หลังจากรวมกับสหภาพอินเดีย กังต็อกเป็นเมืองหลวงของรัฐที่ 22 ของอินเดีย",
"โกลกาตาเคยเป็นเมืองหลวงของอินเดียในสมัยการปกครองของอังกฤษ จึงทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษาสมัยใหม่ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง (จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการย้ายเมืองหลวงไปนิวเดลี) โดยถือเป็นเมืองหนึ่งที่มีระบบระบายน้ำเก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยมีอายุกว่า 150 ปี อย่างไรก็ตาม โกลกาตาประสบกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเป็นเวลานานติดต่อกันหลายปีหลังจากอินเดียได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2490 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา การฟื้นฟูและการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้นำไปสู่ความเจริญเติบโตของเมืองอย่างเต็มที่ แต่ก็เช่นเดียวกับเมืองใหญ่แห่งอื่น ๆ ในอินเดีย โกลกาตาต้องเผชิญกับปัญหาเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน ปัญหามลภาวะ ปัญหาการจราจรติดขัด เป็นต้น นอกจากนี้ โกลกาตายังมีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์การปฏิวัติ ตั้งแต่การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย ไปจนถึงขบวนการฝ่ายซ้ายและสหภาพการค้าต่าง ๆ อีกด้วย ",
"หมวดหมู่:นครในสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:เมืองในมณฑลเมอร์ซีย์ไซด์ หมวดหมู่:เมืองในอังกฤษ หมวดหมู่:เมืองในสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:มรดกโลกในสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:เมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป",
"เมืองสิงห์ () เป็นเมืองที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อ เพราะอยู่ใกล้สิบสองปันนาในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ชาวไทลื้ออาศัยในพื้นที่ลุ่ม ส่วนบนเขตภูเขาเป็นที่อยู่ของชาวม้ง ชาวเย้า แต่เดิมเป็นเมืองเดียวกับเมืองเชียงแขง ในรัฐฉาน ประเทศพม่า แต่เมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคม ได้ตกลงแบ่งดินแดนกันโดยใช้แม่น้ำโขงเป็นแดน ฝั่งเชียงแขงจึงอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และรัฐฉานของพม่าในที่สุด ส่วนฝั่งเมืองสิงห์อยู่ในการปกครองของฝรั่งเศส และประเทศลาวในปัจจุบันในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1896 กองทัพของฝรั่งเศสนำโดย M. vacle ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับชาการหัวเมืองลาวภาคเหนือ และผู้แทนของจักรวรรดิอังกฤษ ภายใต้การนำของ Mr.Stirling ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับรัฐฉาน ได้พบปะกันในเมืองสิงห์ เพื่อพูดคุยเรื่องสนธิสัญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศสที่จัดขึ้นในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1896 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐเจ้าฟ้าไทลื้อขนาดเล็ก หลังจากนั้น มีการระบุเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงระหว่างอังกฤษและพม่ากับฝรั่งเศสและอินโดจีน ในวันที่ 11 พฤษภาคม กองกำลังอังกฤษที่ได้ประจำการอยู่ในเมืองสิงห์ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 1895 นั้นก็ได้ถอนกองกำลังออกไป หลังจากนั้นเพียง 2 อาทิตย์ เจ้าฟ้าสาลีหน่อก็ได้กลับมาจากเมืองหลวงน้ำทา ซึ่งเจ้าฟ้าได้ไปลี้ภัยในระหว่างที่อังกฤษเข้ามายึดครองเมืองสิงห์ เจ้าฟ้าสาลีหน่อได้เป็นเจ้าฟ้าเมืองสิงห์อีกครั้งหนึ่งภายใต้อำนาจของฝรั่งเศส เจ้าฟ้ารู้สึกเสียใจกับดินแดนที่ลดหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะว่าเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงฝั่งขวานั้น เช่น เมืองเชียงลาบ เมืองยู้ และเมืองหลวย ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าทั้งสองเมืองนั้นได้ตกไปเป็นของอังกฤษเสียแล้ว",
"หลายสิ่งหลายอย่างได้นำชื่อของวอชิงตันไปตั้ง ชื่อของวอชิงตันถูกนำไปตั้งเป็นชื่อเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เมืองหลวงของโลกที่ใช้ชื่อของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (อีกเมืองหนึ่งคือ มอนโรเวีย เมืองหลวงของประเทศไลบีเรีย) รัฐวอชิงตัน เป็นเพียงรัฐเดียวที่ใช้ชื่อนี้หลังจากตั้งประเทศ (แมริแลนด์, เวอร์จิเนีย, เซาท์แคโรไลนา, นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระนามพระราชวงศ์อังกฤษ) มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน และ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์",
"ย่างกุ้งกลายเป็นเมืองหลวงพม่าของอังกฤษหลังจากที่อังกฤษยึดพม่าตอนบนได้ในสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 3 เมื่อปี 2428 และตั้งแต่ทศวรรษที่ 1890 เป็นต้นมา ประชากรและการค้าในย่างกุ้งเติบโตขึ้นอย่างรุ่งเรืองซึ่งเป็นผลให้เมืองขยายออกไปทางเหนือจรดรอยัลเลกหรือทะเลสาบกันดอจี (Kandawgyi) และทะเลสาบอินยา (Inya Lake) นอกจากนี้อังกฤษยังได้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โรงพยาบาลย่างกุ้ง (Rangoon General Hospital) และวิทยาลัย ซึ่งก็คือ มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง (Rangoon University) ในปัจจุบัน ",
"รูอ็อง () ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแซน เป็นอดีตเมืองหลวงของนอร์ม็องดีทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของแคว้นโอต-นอร์ม็องดี (นอร์ม็องดีบน) เดิมรูอ็องเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมั่งคั่งที่สุดของยุคกลาง ที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานที่รับผิดชอบในการเก็บภาษีของนอร์มองดีในยุคกลาง และเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์แองโกล-นอร์มันที่ปกครองทั้งอังกฤษและบริเวณส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 15 รูอ็องเป็นเมืองที่โจนออฟอาร์กถูกเผาทั้งเป็นในปี ค.ศ. 1431",
"เมืองวินเชสเตอร์ (ภาษาอังกฤษ: Winchester) เป็นเมืองหลวงของมลฑลแฮมป์เชอร์ในภาคการปกครองตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ วินเชสเตอร์ตั้งอยู่กลางนครวินเชสเตอร์ซึ่งเป็นเมืองเทศบาลมณฑลที่ตั้งอยู่ระหว่างทางตะวันตกของเซาท์ดาวน์ตามฝั่งแม่น้ำอิตเค็น วินเชสเตอร์มีเนื้อที่ 4.8 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจสำมโนประขากรในปี ค.ศ. 2001 วินเชสเตอร์มีประชากรทั้งหมดประมาณ 40,000 คน ",
"หมวดหมู่:เมืองหลวง หมวดหมู่:เมืองในสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:เมืองในอังกฤษ หมวดหมู่:สันนิบาตฮันเซียติก",
"เฮริฟอร์ดเชอร์ หรือ เฮริฟอร์ดเชียร์ (, ฟังเสียง) เป็นมณฑลในอังกฤษในสหราชอาณาจักร ที่ตั้งอยู่ทางภาคมิดแลนด์สตะวันตกของอังกฤษโดยมีเฮริฟอร์ดซึ่งเป็นเมืองมหาวิหารเป็นเมืองหลวง",
"เชชเชอร์ () เป็นมณฑลในอังกฤษในสหราชอาณาจักร ที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่นครเชสเตอร์ แม้ว่าเมืองใหญ่ที่สุดจะเป็นวอร์ริงตัน ",
"จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ เมืองตรินโคมาลีมีอายุมากกว่า 2,500 ปี เริ่มต้นจากการตั้งรกรากโดยเกี่ยวข้องกับวัดโกเนสวาราม ในยุคก่อนสมัยใหม่ ถือเป็นเมืองหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย เป็นเมืองท่าเรือทางทะเลที่สำคัญและมีการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคโบราณเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรตะวันออกของประเทศวันนี ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ปัลวะ ราชวงศ์โจฬะ ราชวงศ์พันด์ยัน ส่วนเขตเมืองตรินโคมาลีก็ได้สร้างเมืองป้อมปราการขึ้นมาหลังจากที่โปรตุเกสมีชัยเหนืออาณาจักรแจฟฟ์นา โปรตุเกสได้ยึดครองในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวฮอลันดาและชาวฝรั่งเศสผลัดเปลี่ยนกันครอบครองหลายครั้งก่อนตกเป็นของอังกฤษใน ค.ศ. 1795 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นฐานทัพเรือสำคัญของอังกฤษในตะวันออกไกล หลังจากอังกฤษสูญเสียสิงคโปร์ให้แก่ญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ. 1942 ต่อมาใน ค.ศ. 1957 อังกฤษยกฐานทัพให้แก่ศรีลังกา",
"เจนไน (; ) หรือชื่อเดิม มัทราส () เป็นเมืองหลวงของรัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ริมชายฝั่งโคโรมันเดล (โจฬมณฑล) ของอ่าวเบงกอล ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ มีพื้นที่ 181.06 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากรประมาณ 7.5 ล้านคน (พ.ศ. 2550) จึงทำให้เป็นกลุ่มเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ เจนไนตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยชาวอังกฤษซึ่งได้พัฒนาเมืองนี้ให้เป็นเมืองหลักและฐานทัพเรือ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็กลายเป็นศูนย์กลางการบริหารที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในฐานะเมืองหลวงของเขตมัทราส (Madras Presidency)",
"เบลีซซิตี () เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศเบลีซ มีประชากรอย่างไม่เป็นทางการจำนวน 80,000 คน หรือมากกว่านั้น ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำเบลีซบนชายฝั่งทะเลแคริบเบียน เป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศ มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม มีเรือสำราญจอดนอกชายฝั่ง เมืองนี้ถูกทำลายเกือบทั้งหมดจากเฮอร์ริเคนแฮตตีในปี ค.ศ. 1961 เคยเป็นเมืองหลวงของบริติชฮอนดูรัสซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนจะย้ายเมืองหลวงไปที่กรุงเบลโมแพน",
"นอริช (, , สะกดอ่าน: Nor-rich) เป็นนครที่ตั้งอยู่ในนอร์โฟล์คในอีสต์แองเกลียในภาคตะวันออกของอังกฤษในอังกฤษ เป็นเมืองบริหารส่วนภูมิภาคและเมืองหลวงของนอร์โฟล์ค ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 นอริชเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นที่สองของอังกฤษรองจากลอนดอน ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ และเป็นที่ตั้งของมหาวิหารนอริช",
"กรุงปักกิ่ง มีชื่อเมืองหลายชื่อ คำว่า ปักกิ่ง หรือ เป่ย์จิง</b>หมายถึง เมืองหลวงทางทิศเหนือ (มาจากอักษรจีน 北 ที่แปลว่าเหนือ และ 京 ที่แปลว่าเมืองหลวง) กรุงปักกิ่ง ใช้ตัวย่อภาษาอังกฤษคือ BJ",
"อาบีจาน หรือ อาบิดจาน (อังกฤษและ, \"อาบีจ็อง\") เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศโกตดิวัวร์ (ไอวอรีโคสต์) เป็นศูนย์กลางทางการเงินและธนาคารของประเทศ (ปัจจุบันกรุงยามุสซุโกรเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของประเทศ) มีอุตสาหกรรมผลิตเบียร์ สบู่ ส่งกล้วย โกโก้ กาแฟ เป็นสินค้าออก มีท่าเรือที่สร้างขึ้น ในปี ค.ศ. 1951 และมหาวิทยาลัยซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1963 นอกจากนั้นยังเป็นเมืองที่นิยมพูดภาษาฝรั่งเศสมากที่สุดในแอฟริกาตะวันตกอีกด้วย",
"ภุพเนศวรเป็นเมืองหลวงแทนเมืองคุตตักเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1949 สองปีหลังจากที่อินเดียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ เมืองสมัยใหม่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมันอ็อทโท เคอนิกส์แบร์เกอร์ ในปี 1946 ที่ยังออกแบบเมืองชัมเศทปุระและจัณฑีครห์ด้วย ภุพเนศวรถือเป็นหนึ่งในเมืองสมัยใหม่ที่ได้รับการวางผังเมืองแรกสุดของอินเดีย ภุพเนศวร",
"นอตทิงแฮม ( \"นอตทิงเงิม\") เป็นนครและเมืองหลวงของมณฑลนอตทิงแฮมเชอร์ในภาคการปกครองมิดแลนด์สตะวันออกของอังกฤษ และเป็นหนึ่งในกลุ่มเมืองใหญ่หลักของอังกฤษ",
"นอร์ทธัมเบอร์แลนด์ (ภาษาอังกฤษ: Northumberland) เป็นมณฑลในอังกฤษในสหราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหราชอาณาจักรอังกฤษ ทางด้านตะวันตกติดกับมณฑลคัมเบรีย, ด้านใต้กับเคานติเดอแรม, ด้านตะวันออกเฉียงใต้มณฑลไทน์และเวียร์ และทางเหนือติดกับสกอตแลนด์ ด้านตะวันออกเป็นฝั่งทะเลเหนือที่ยาวเกือบ 80 ไมล์ นอร์ทธัมเบอร์แลนด์มีประชาชนรวมทั้งสิ้นประมาณ 310,600 คนในเนื้อที่ 5013 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ไทน์และเวียร์แยกไปเป็นมณฑลอิสระในปี ค.ศ. 1974 ศูนย์กลางการปกครองก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองมอร์เพ็ธทางด้านตะวันออกของมณฑล แต่ทั้งเมืองมอร์เพ็ธและอาร์นวิคต่างก็อ้างตนเป็นเมืองหลวงของมณฑล (county town)"
] |
Subsets and Splits