query
stringlengths 11
185
| positive_passages
sequencelengths 1
11
| negative_passages
sequencelengths 0
30
|
---|---|---|
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงหรือไม่ ? | [
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[1] (/พระ-เชด-ตุ-พน-วิ-มน-มัง-คะ-ลา-ราม/[2]) หรือ วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด<b data-parsoid='{\"dsr\":[1544,1563,3,3]}'>ราชวรมหาวิหาร[3] และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทั้งยังเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง และทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551[4] และวันที่ 16 มิถุนายน 2554 ทางยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น เป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ"
] | [
"ด้านพระศาสนา พระองค์มีศรัทธาในบวรพุทธศาสนา โดยจะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวาระสำคัญ อาทิ เมื่อครั้งมีพระชนมพรรษา 25 ปี ได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์เท่ากับพระชนมพรรษาคือ 25 ชั่ง ถวายแก่พระอารามที่บูรพมหากษัตริย์ทรงสถาปนาไว้ คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัดอรุณราชวราราม, วัดราชโอรส, วัดเสนาศน์ และวัดนิเวศธรรมประวัติ พระอารามละ 5 ชั่ง[29]",
"นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร\" และภายในพระอารามยังได้เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร โดยนิตินัย ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกอีกครั้งที่กรุงพนมเปญ โดยพฤตินัย",
"ในการเสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกนั้น พระองค์ได้ประกอบพิธีทรงปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปในพระอารามที่สำคัญ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยเฉพาะที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารนั้น พระองค์เคยมีพระราชดำรัสกล่าวว่า \"ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง\" ดังนั้น เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต จึงได้นำพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์มาประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้[16]",
"กรมหลวงนรินทรเทวี มีพระสวามีชื่อหม่อมมุก ซึ่งต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ\nและเจ้านายที่สืบเชื้อสายจากพระองค์ ถือว่าอยู่ใน วังของพระองค์อยู่ติดกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) อีกทั้งขณะยังคงพระชนม์ชีพพระองค์ยังมิได้ทรงกรม ชาววังจึงเอ่ยพระนามว่า \"เจ้าครอกวัดโพธิ์\" (เจ้าครอก เป็นคำที่ใช้เรียกเจ้านายที่ยังไม่ได้ทรงกรม) ",
"บริเวณทางแยกนี้มีสถานที่สำคัญตั้งอยู่ทั้ง 4 มุมถนน ได้แก่ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (สวนเจ้าเชตุ) ซึ่งในอดีตใช้ชื่อกรมการรักษาดินแดน มีชื่อย่อว่า รด. เป็นที่มาของชื่อทางแยก เยื้องกันเป็นพระบรมมหาราชวัง ด้านท้ายวัง (พระตำหนักสวนกุหลาบ) และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ซึ่งมีถนนท้ายวังแบ่งเขตวัดกับวัง และมีสวนสราญรมย์อยู่อีกด้านหนึ่งของทางแยก",
"ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2479 ณ วัดตราชู ตำบลบ้านหม้อ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพระธรรมปิฎก (เผื่อน ติสฺสทตฺโต ป.ธ.9) ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอุปัชฌาจารย์ พระครูพรหมจริยคุณ (ดี ธมฺมปญฺโญ) ภายหลังเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระพรหมนคราจารย์ วัดแจ้งพรหมนคร อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูปลัดปิฎกวัฑฒน์ (ฟุ้ง ปุณฺณโก ป.ธ.3) ภายหลังเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมเสนานี วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า \"ติสฺสานุกโร\"\nพระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร) ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา ณ กุฏิคณะ ต.34 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 06.00 น.",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์[5] พระเจดีย์ที่สำคัญ คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว",
"ทรงทำนุบำรุงและสนับสนุนการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านวม กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แต่งตำราเรียนภาษาไทยขึ้นเล่มหนึ่งคือ หนังสือจินดามณี โปรดเกล้าฯ ให้ผู้รู้นำตำราต่างๆ มาจารึกลงในศิลาตามศาลารอบพุทธาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ปั้นตั้งไว้ตามเขามอและเขียนไว้ตามฝาผนังต่างๆ มีทั้งอักษรศาสตร์ แพทยศาสตร์ พุทธศาสนศึกษา โบราณคดี ฯลฯ เพื่อเป็นการเผยแพร่วิชาการสาขาต่าง ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุงสยาม",
"วังท้ายวัดพระเชตุพน เป็นกลุ่มวังที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ใกล้กับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ใกล้ปากคลองตลาด ต่อมาจากวังท้ายหับเผย",
"พระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดศาลาสี่หน้า (ปัจจุบันคือ วัดคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กทม.) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้สถาปนาวัดโพธาราม(วัดโพธิ์)ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส\" ให้อัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดศาลาสี่หน้ามาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร พร้อมทั้งถวายพระนามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร”",
"สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) บริหารการคณะสงฆ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดโสธรวราราม และในตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ตามประกาสสถาปนาสมณศักดิ์นั้นแล้ว นอกจากนี้ยังวิตกถึงวัดที่เป็นพระอารามหลวง ซึ่งชำรุดทรุดโทรมเป็นจำนวนมาก ปรารภในที่ประชุมพระสังฆาธิการของกรุงเทพมหานคร มีพระประสงค์จะให้วัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น สร้างกำแพงหรือรั้วกั้นเขตวัด เมื่อทุเลาจากการประชวรคราวแรก ได้เสด็จไปตรวจเยี่ยมวัดราชโอรสาราม และวัดชัยพฤกษมาลา ที่ได้ตั้งพระเถระไปเป็นเจ้าอาวาส ในขณะประชวรก็ยังมีพระบัญชาให้พระเถระผู้ใหญ่ออกตรวจเยี่ยมวัดแทนพระองค์",
"วิทยาลัยพณิชยการเชตุพน เป็นสถานศึกษาด้านพาณิชยกรรมและบริหารธุรกิจ ได้ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2500 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาน สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 และชื่อเดิมคือ โรงเรียนวัดพระเชตุพนตั้งตรงจิตรวิทยาลัย ปัจจุบันคือ \"วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพาณิชยการ\" สังกัดกองโรงเรียนพาณิชย์และอุตสาหกรรม กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่บริเวณสังฆาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ท่าเตียน ในการจัดตั้งนั้นเพื่อรับนักเรียนไม่มีที่เรียน โดยขอเช่าอาคารโรงเรียนตั้งตรงจิตรวิทยาลัย ในปีแรก โรงเรียนได้เปิดสอนเพียง 3 สาขาวิชา คือ แผนกพณิชยการ แผนกเลขานุการ และแผนกภาษาต่างประเทศ",
"ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ราว พ.ศ. 2375 ทรงให้วัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในปัจจุบัน) เป็นมหาวิทยาลัยของปวงชน ทรงให้เลือกสรรและปรับปรุง ตำรายาสมุนไพรรอบพระอาราม และทรงโปรดให้ปั้นรูปฤๅษีดัดตนซึ่งเป็นรูปหล่อด้วยสังกะสีผสมดีบุกเพิ่มเติม จนครบ 80 ท่า พร้อมโปรดให้เขียนโคลงอธิบายท่าเหล่านั้น แก้โรคนั้น จนครบ ๘๐ ท่า และจารึกสรรพวิชาการนวดไทยลงบนแผ่นหินอ่อน 60 ภาพ แสดงถึงจุดนวดอย่างละเอียดประดับบนผนังศาลาราย และบนเสาภายในวัดโพธิ์ ถือได้ว่าเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการนวดไทยไว้อย่างเป็นระบบ",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นวัดที่มีสิ่งก่อสร้างค่อนข้างแน่น เนื่องจากการบูรณะแบบใส่คะแนน (แข่งกันบูรณะ) ส่งผลให้มีอาคารและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพระพุทธรูปมากมายภายในวัดแห่งนี้ โดยสามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ",
"ถือเป็นราชประเพณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะถวายพุ่มเทียนแด่พระพุทธรูป และพระสงฆ์ ในพระราชกุศลเข้าพรรษา เป็นประจำทุกปี ตามพระอารามสำคัญต่างๆ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาจึงยังพอมีพุ่มเทียนตั้งถวายเป็นพุทธบูชาที่หน้าพระประธาน ให้พอได้เห็นได้ศึกษากันอยู่บ้างในปัจจุบัน",
"ทางเจ้าคณะปกครองได้ส่งพระสมุห์สด จนฺทสโร จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้กวดขันพระภิกษุสามเณรให้ปฏิบัติในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญได้มีการสอนสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมตั้งสำนักเรียนทั้งนักธรรมและบาลี สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น ทำให้พระภิกษุสามเณร และสาธุชนเข้ามาขอศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก วัดจึงเจริญขึ้นมาโดยลำดับ กลายเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม และเป็นศูนย์กลางการศึกษาบาลี ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ และได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์มาโดยลำดับ สมณศักดิ์สุดท้ายในพระราชทินนามที่ พระมงคลเทพมุนี แต่ผู้คนทั่วไปรู้จักและเรียกขานนามท่านว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ ในสมัยสมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส (ในกาลต่อมาท่านได้รับพระราชทานสถาปนาพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) วัดปากน้ำได้รับการปรับปรุงทัศนียภาพและบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งสำคัญ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ช่างได้เปลี่ยนสถาปัตยกรรมเครื่องบนเป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์เกือบทั้งอาราม แต่ตัวรากฐานและอาคารยังคงเป็นของโบราณแต่เดิมมา",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย โดยเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาแขนงต่าง ๆ จารึกลงบนศิลาจารึกหรือแผ่นศิลา รวมทั้งได้ปั้นฤๅษีดัดตน ประดับไว้ภายในบริเวณวัด ซึ่งอาจจะแบ่งความรู้ต่าง ๆ ออกได้เป็น 8 หมวด ได้แก่ หมวดประวัติการสร้างวัดพระเชตุพนฯ หมวดตำรายาแพทย์แผนโบราณ หมวดอนามัย หมวดประเพณี หมวดวรรณคดีไทย หมวดสุภาษิต หมวดทำเนียบ (จารึกหัวเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น) และหมวดพระพุทธศาสนา[12] โดยเมื่อเทียบในปัจจุบันอาจจะแบ่งออกเป็นคณะต่าง ๆ ดังนี้ คณะประวัติศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ (ไม่เป็นทางการ)[22]",
"นามวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนี้ ปรากฏในประกาศรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2411 ว่า \"วัดนี้แม้จะมีนามพระราชทานมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แต่ชื่อพระราชทานมีผู้เรียกแต่อยู่ในพระราชวัง คนยังเรียกว่าวัดโพธิ์กันทั้งแผ่นดิน\" และมีพระราชดำริว่า \"ชื่อพระราชทานเป็นชื่อตั้งไม่ปิดไม่แน่นจะคิดแปลงใหม่เห็นจะไม่ชนะ\"[7]",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า \"วัดโพธาราม\" หรือ \"วัดโพธิ์\" ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า \"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส\" เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช",
"นอกจาก อาคาร พระวิหาร พระเจดีย์ต่าง ๆ แล้ววัดโพธิ์ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง อาทิเช่น",
"กลบทบัวบานกลีบขยาย เป็นบทกลอนพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จารึกไว้ในวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) ดังที่รู้จักกันว่าจารึกวัดโพธิ์ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นบทกลอนสั้นๆ ตามขนบของกลอนกลบท เรียกว่า กลบทบัวบานกลีบขยาย เพื่อเป็นแบบสำหรับกุลบุตรกุลธิดาในชั้นหลังได้ศึกษาวรรณคดีไทยอย่างสะดวกและกว้างขวาง",
"ในแง่ของการท่องเที่ยวแล้ว วัดโพธิ์ได้รับความนิยมเที่ยวเป็นลำดับที่ 24 ของโลก ในปี พ.ศ. 2549 โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปีนั้นถึง 8,155,000 คน[6]",
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย[5] ซึ่งสามารถแบ่งพระเจดีย์ต่าง ๆ ได้ 4 ประเภท ได้แก่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล 4 องค์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเขตวัดโพธารามเดิม ส่วนที่ประดิษฐานในเขตพระอุโบสถนั้น ได้แก่ พระเจดีย์ราย 71 องค์ พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียวรวม 20 องค์ และพระเจดีย์ทรงปรางค์หรือพระมหาสถูป 4 องค์ รวมทั้งสิ้น 99 องค์ โดยพระเจดีย์ที่ประดิษฐานในเขตพระอุโบสถ มีรายละเอียดดังนี้",
"ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการจัดตั้งตลาดกลาง เพื่อเป็นสถานที่รองรับพ่อค้าแม่ค้าจากบริเวณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมือง ไม่ให้เกิดทัศนียภาพที่เสื่อมโทรมไปมากกว่านี้ รัฐบาลจึงจัดตั้งตลาดกลาง โดยตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาด พ.ศ. 2496 ขึ้น จึงทำให้มีการจัดตั้งองค์การตลาด เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ภายใต้การควบคุมดูแลของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 จึงได้มีการกำหนดให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ควบคุมดูแลแต่เพียงผู้เดียวปัจจุบันองค์การตลาด มีสาขาจำนวน 5 สาขา",
"พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงถือว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมาก และทรงถือเป็นพระราชประเพณี ที่จะทรงบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ทุกรัชกาล นอกจากนี้ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และการแพทย์",
"หลวงปู่มุม ยังเป็นหนึ่งในพระเถระผู้ร่วมประกอบพิธีพุทธาภิเษก พระกริ่งมหาราช ระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม - 4 ธันวาคม พ.ศ. 2512 ซึ่งวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่ทรงได้รับการเทิดทูนอย่างสูงสุดจากปวงชนชาวไทย โดยการถวายพระบรมราชสมัญญานาม มหาราช ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ",
"ยักษ์วัดโพธิ์นั้นตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป โดยมีสีกายเป็นสีแดงและสีเขียว ลักษณะคล้ายยักษ์ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ ลั่นถัน นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์[10]นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน นั่นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง 2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตน เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้ จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา[20]",
"1 หมวดหมู่:พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร หมวดหมู่:วัดไทยในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย หมวดหมู่:วัดในเขตพระนคร หมวดหมู่:ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา หมวดหมู่:มรดกโลกในประเทศไทย",
"พระเจดีย์ราย ประดิษฐานอยู่บริเวณโดยรอบของพระระเบียงชั้นนอกมีจำนวนทั้งสิ้น 71 องค์[15] สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเดิมมีพระราชประสงค์ให้เป็นให้เป็นที่บรรจุพระอัฐิของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยเคลือบสีและศิลาเขียว นับเป็นพระเจดีย์ที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพระเจดีย์อื่น ๆ พระเจดีย์รายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารนั้น ได้รับยกย่องว่าเป็นพระเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองที่งามที่สุดของยุครัตนโกสินทร์[16]"
] |
เครื่องโซนี เพลย์สเตชัน 2 วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อใด ? | [
"เพลย์สเตชัน 2 (English: PlayStation 2 Japanese: プレイステーション 2) หรือที่รู้จักกันในชื่อ พีเอสทู (PS2) เป็น เครื่องเล่นวิดีโอเกม ที่ผลิตโดย โซนี่คอมพิวเตอร์เอนเตอร์เทนเมนท์ พัฒนาต่อมาจากเพลย์สเตชัน การพัฒนาเริ่มต้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2542 และได้วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 และในสหรัฐอเมริกา วันที่ 26 ตุลาคม ปีเดียวกัน เพลย์สเตชัน 2 เป็นเครื่องเล่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่ง โดยปัจจุบันมียอดจำหน่ายมากกว่า 100 ล้านเครื่องทั่วโลก หลังจากที่มีการขาดตลาดในช่วงแรกที่วางจำหน่ายเพลย์สเตชัน 2 มีรูปทรง 2 แบบด้วยกันคือ"
] | [
"ในปี 1995 เครื่องเพลย์สเตชันของโซนี่และแซทเทิร์นของเซก้าก็ออกวางตลาด ทำให้สถาณภาพของจากัวร์ง่อนแง่นเข้าไปอีก ทางอาทาริพยายามเอาตัวรอดโดยให้สำภาษณ์ว่าเครื่องจากัวร์นั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องแซทเทิร์นและต่ำกว่าเครื่องเพลย์สเตชันเพียงนิดเดียว ซ้ำยังทำนายว่าเครื่องเพลย์สเตชันจะวางจำหน่ายในราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐ และถ้าเกิดเพลย์สเตชันจะขายในราคาที่ต่ำกว่านี้ ทางอาทริจะฟ้องร้องฐานกีดกันทางการค้า ซึ่งปรากฏว่าเครื่องเพลย์สเตชันวางขายในราคา 299 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางอาทาริก็ไม่เคยดำเนินการฟ้องศาลดังที่ให้สัมถาษณ์ไว้ ทางอาทาริกล่าวอ้างว่าเครื่องจากัวร์ของตนเหนือกว่าเครื่องเพลย์สเตชันเพราะเครื่องจากัวร์นั้นเป็นเครื่องเกม 64 บิท แต่คำกล่าวอ้างนั้นเป็นคำกล่าวอ้างเกินความจริง เพราะเครื่องจากัวร์นั้นไม่ได้ใช้ CPUแบบ 64 บิทอย่างแท้จริง แต่ใช้ CPU 32 บิท 2 ตัวทำงานร่วมกัน",
"ในเดือนพฤศจิกายน 2544 เอกซ์บอกซ์ได้วางจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือและขายหมดอย่างรวดเร็ว โดยการวางจำหน่ายในภูมิภาคนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยใน 3 เดือนแรกสามารถขายได้ 1.53 ล้านเครื่องซึ่งมากกว่ารุ่นถัดมาอย่างเอกซ์บอกซ์ 360 เช่นเดียวกับ เกมคิวบ์ เพลย์สเตชัน 3 วียูและแม้แต่ เพลย์สเตชัน 2 และวี",
"วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2556 โดยตัวเกมภาคนี้ยังคงผลิตเป็นเวอร์ชันสำหรับเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชัน 3 อยู่เช่นเดิม ยังไม่ได้ผลิตเป็นเวอร์ชันสำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 4 โดยตรงแต่อย่างใด (เครื่องเพลย์สเตชัน 4 เริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 แต่ในประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มวางจำหน่ายล่าช้าออกไปเป็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557)",
"บริษัทโคนามิ ได้ผลิตวิดีโอเกมเส้าหลิน สุดยอดพลังแห่งเพลงมวย สำหรับเครื่องเอกซ์บ็อกซ์, นินเทนโด ดีเอส, เพลย์สเตชัน พอร์เทเบิล และ เพลย์สเตชัน 2 โดยได้วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549",
"เพลย์สเตชันวิต้า () เป็นเครื่องเกมพกพาซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนท์ และเป็นเครื่องเล่นที่พัฒนามาจาก เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล โซนี่ได้วางจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ",
"เก็นโซซุยโคเด็น (ญี่ปุ่น: 幻想水滸伝, อังกฤษ: Suikoden) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2538 ในอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2539 และในยุโรปเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2540 ต่อมาได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เล่นได้บนเครื่องเซก้าแซทเทิร์นและนำออกจัดจำหน่ายเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2540 และสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ภายใต้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 95 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2541 เก็นโซซุยโคเด็น II (ญี่ปุ่น: 幻想水滸伝II, อังกฤษ: Suikoden II) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ในอเมริกาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2542 และในยุโรปเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เก็นโซซุยโคไกเด็น ฉบับที่ 1 - นักดาบแห่งฮาร์โมเนีย (ญี่ปุ่น: 幻想水滸外伝Vol.1 ハルモニアの剣士) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2543 เกมนี้เป็นเกมผจญภัย ผิดกับเกมสองเกมก่อน เก็นโซซุยโคไกเด็น ฉบับที่ 2 - การดวลที่คริสตัลแวลลีย์ (ญี่ปุ่น: 幻想水滸外伝Vol.2 クリスタルバレーの決闘) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2544 เป็นเกมผจญภัยเหมือนเก็นโซซุยโคไกเด็น ฉบับที่ 1 เก็นโซซุยโคเด็น การ์ดสตอรีส์ สำหรับเครื่องเกมบอยแอดวานซ์ จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2544 เป็นเกมอาร์พีจีที่มีการ์ดของตัวละครในเก็นโซซุยโคเด็นภาค 1 และ 2 เป็นองค์ประกอบหลัก เก็นโซซุยโคเด็น III (ญี่ปุ่น: 幻想水滸伝III, อังกฤษ: Suikoden III) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 และในอเมริกาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2545 เก็นโซซุยโคเด็น IV (ญี่ปุ่น: 幻想水滸伝IV, อังกฤษ: Suikoden IV) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ในอเมริกาเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2548 และในยุโรปเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 แรพโซเดีย (ญี่ปุ่น: Rhapsodia, อังกฤษ: Suikoden Tactics) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2548 ในอเมริกาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 และในยุโรปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ในอเมริกาและยุโรปนั้นจะใช้ชื่อว่า \"ซุยโคเด็น แท็กทิกส์\" (Suikoden Tactics) แทน เกมนี้เป็นเกมวางแผนการรบคล้าย ไฟนอลแฟนตาซี แท็กทิกส์ เก็นโซซุยโคเด็น I&II (ญี่ปุ่น: 幻想水滸伝I&II) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน พอร์เทเบิล จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เกมนี้รวมสองภาคแรกเข้าด้วยกันแล้วดัดแปลงให้เล่นได้บนเครื่องเพลย์สเตชัน พอร์เทเบิล เก็นโซซุยโคเด็น V (ญี่ปุ่น: 幻想水滸伝V, อังกฤษ: Suikoden V) สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 จัดจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 และในอเมริกาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549",
"เดอะคิงออฟไฟเทอส์ (ญี่ปุ่น: ザ・キング・オブ・ファイターズ ; อังกฤษ: The King of Fighters หรือในชื่อย่อว่า KOF) เป็นซีรีส์เกมแนวต่อสู้ของบริษัทเอสเอ็นเค ประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มออกวางจำหน่ายครั้งแรกบนเครื่องนีโอจีโอและเกมตู้ ในปี ค.ศ. 1994 และได้พัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เดอะคิงออฟไฟเทอส์ก็ได้ออกวางจำหน่ายในหลาย ๆ เครื่องเกมด้วยกันเช่น นีโอจีโอ CD, นีโอจีโอ พ็อคเก็ต, เกมบอย และ เกมบอย แอดวานซ์, เอ็นเกจ, เซก้า แซทเทิร์น, ดรีมแคสท์, เพลย์สเตชัน, เพลย์สเตชัน 2, เพลย์สเตชัน 3, เอ็กซ์บอกซ์ และ เอ็กซ์บอกซ์ 360 นอกจากนี้ยังมีซีรีส์ส เดอะคิงออฟไฟเทอส์: แม็กซิมั่ม อิมแพ็ค ซึ่งเป็นซีรี่ยส์ที่แตกแขนงมาจาก KOF ปกติด้วย",
"อันทิลดอว์น () เป็นวิดีโอเกมผจญภัยแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอด และเป็นละครเชิงโต้ตอบ (interactive drama) พัฒนาโดยซูเปอร์แมสซิฟเกมส์ และจำหน่ายโดยโซนี่คอมพิวเตอร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ สำหรับเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน 4 เติมกำหนดออกขายบนเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน 3 และรองรับคุณสมบัติเพลย์สเตชันมูฟ แต่เกมกลับมาเปิดตัวว่าจำหน่ายเฉพาะบนเครื่องเพลย์สเตชัน 4 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 เกมออกวางขายทั่วโลกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015",
"เพอร์โซนา 3 () เป็นเกมเล่นตามบทบาทสำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 เพอร์โซนา 3 เป็นภาคหนึ่งในชุด เพอร์โซนา ซึ่งเป็นชุดย่อยของเมกามิเทนเซย์ พัฒนาโดยบริษัทแอตลัส ออกวางจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ก่อนจะจำหน่ายในอเมริกาเหนือ ในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2550 โดยใช้ชื่อว่า Shin Megami Tensei: Persona 3 (ชินเมกามิเทนเซย์ เพอร์โซนา3) และวันที่29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551ในภาคพื้นยุโรปและออสเตรเลีย ในเวลาต่อมา แอตลัสยังได้จำหน่ายภาคเสริม เพอร์โซนา 3 FES ซึ่งได้ปรับระบบการเล่นและเพิ่มเนื้อหาใหม่เข้าไป ซึ่งภาค FESนี้ วางจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2550 ก่อนจะจำหน่ายในอเมริกาเหนือ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551 และในภาคพื้นยุโรปเมื่อวันที่17 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ภาคภาษาอังกฤษซึ่งจำหน่ายในอเมริกาเหนือยังแถมอาร์ตบุคและซาวแทร็คซีดีของเกมพร้อมกับเกมด้วย [1] ซึ่งเพอร์โซนา 3 ก็ได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกอย่างมากมาย[2] นอกจากนั้นยังมีภาครีเมคสำหรับเครื่องเพลย์สเตชันพอร์เทเบิลซึ่งมีกำนหดการวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 โดยภาครีเมคนี้จะเปลี่ยนเนื้อเรื่องเล็กน้อยและผู้เล่นสามารถเลือกตัวเอกเพศหญิงได้ ระบบต่อสู้จะมีลักษณะใกล้เคียงกับเพอร์โซนา 4 โดยผู้เล่นสามารถออกคำสั่งตัวละครทุกตัวและสั่งป้องกันตัวได้ ส่วนฉากแผนที่ในเมืองนั้นเปลี่ยนเป็นแบบแถบคำสั่งคล้ายกับเกมแนววิชวลโนเวล และหลังจากนั้นมีการพัฒนาเกมส์ Persona 4 Arena เกมต่อสู้ 2D ที่พัฒนาโดย Arc System Works ภายใต้การควบคุมโดย Atlus โดยเป็นเหตุการณ์ภายหลังจากจบเพอร์โซนา 3ไปแล้วสามปี โดยมีตัวละครจากเพอร์โซนา 3 ได้กับมามีบทบาทร่วมกับตัวละครจากเพอร์โซนา 4 ตัวเกมได้พัฒนาลงเกมตู้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2012 [3] ยังได้พัฒนาสำหรับเครื่อง เพลย์สเตชัน 3 และ Xbox 360 โดยวางจำหน่ายในญี่ปุ่นวันที่ 26 กรกฎาคม 2012 [4] และได้วางจำหน่ายภาคเสริมต่อมาในชื่อ Persona 4 Arena Ultimax โดยวางจำหน่ายในญี่ปุ่นวันที่ 28 สิงหาคม 2014 [5]",
"โทคิเมคิเมโมเรียล 2 () ซึ่งเป็นภาคต่อของซีรีส์เกมซิมูเลชันจีบสาวชื่อดัง โทคิเมคิเมโมเรียล ~forever with you~ จากซีรีส์ของเกมส์ โทคิเมคิเมโมเรียล พัฒนาโดยบริษัทโคนามิ โดยภาคนี้ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 โดยครั้งนี้กผลิตลงให้กับเครื่อง เพลย์สเตชัน เพียงเท่านั้น และถือเป็นภาคสุดท้ายสำหรับเครื่อง เพลย์สเตชัน อีกด้วย",
"เจสตาร์วิกตอรีวีเอส ( ) เป็นวีดีโอเกมแนวต่อสู้ ที่นำเอาตัวละครของมังงะในนิตยสาร \"โชเน็งจัมป์รายสัปดาห์\" มาสู้กัน ตัวเกมวางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่นโดย Bandai Namco Entertainment ในวันที่ 19 มีนาคม 2014 สำหรับ เพลย์สเตชัน 3 และ เพลย์สเตชันวิต้า และวางจำหน่ายอีกครั้งในฝั่งตะวันตกในชื่อ เจสตาร์วิกตอรีวีเอสพลัส () สำหรับ เพลย์สเตชัน 4, เพลย์สเตชัน 3, และ เพลย์สเตชันวิต้า, ตัวเกมออกวางจำหน่ายที่ยุโรปในวันที่ 26 มิถุนายน 2015 และ อเมริกาเหนือในวันที่ 30 มิถุนายน 2015",
"ในปัจจุบัน ไดนาสตีวอริเออร์กันดั้ม มีการวางจำหน่ายแล้วทั้งหมดสองภาค โดยภาคแรกนั้นเริ่มวางจำหน่ายสำหรับเพลย์สเตชัน 3และเอกซ์บอกซ์ 360 ต่อมาจึงมีการทำใหม่สำหรับเพลย์สเตชัน 2เฉพาะภาคภาษาญี่ปุ่นโดยใช้ชื่อว่ากันดั้มมุโซ สเปเชียลซึ่งเพิ่มตัวละคร \"มุฉะกันดั้มมาร์คทูว์\" และเนื้อเรื่องในโหมดออริจินัลของมุฉะกันดั้มและมุฉะกันดั้มมาร์คทูว์ ส่วนภาคสองนั้นมีการจำหน่ายบนเครื่องทั้งสามครบสองภาษา",
"ไฟนอลแฟนตาซี X (; ) เป็นเกมอาร์พีจี ในตระกูลไฟนอลแฟนตาซี ของสแควร์เอนิกซ์ เกมแรกบนเครื่องโซนี เพลย์สเตชัน 2 ไฟนอล แฟนตาซี X ออกวางจำหน่ายในปีค.ศ. 2001 นับว่าเป็นภาคที่ประสบความสำเร็จมากอีกภาคหนึ่ง โดยเป็นเกมที่ติดอันดับ 1 ใน 20 เกมที่ขายดีที่สุดตลอดและยังมียอดขายทั่วโลกจนถึงปัจจุบันสูงถึง 7.93 ล้านแผ่น โดยภาคนี้เริ่มต้นจากกลุ่มนักสู้ที่ออกเดินทางในโลกสฟีร่าเพื่อค้นหาวิธีกำจัดสัตว์ร้ายที่มีชื่อว่า ซิน",
"ทีเอ็นเอ อิมแพ็ค! เป็นวิดีโอเกมแรกของสมาคมTNA ที่ผลิตโดย Midway Studios in Los Angeles และวางจำหน่ายโดย มิดเวย์เกมส์ โดยนำตัวละครของนักมวยปล้ำ TNA มาต่อสู้กัน โดยภาคที่ได้วางจำหน่ายในรูปแบบ เพลย์สเตชัน 3 ,เพลย์สเตชัน 2 , เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล , วี และ เอกซ์บอกซ์ 360 โดยจำหน่ายเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 แม้ว่าเกมที่ขายได้ 1.5 ล้านหน่วย ปัญหาทางการเงินที่มิดเวย์เกมส์ป้องกันไม่ให้เกิดการพัฒนาที่มีการวางแผนและการเปิดตัวของภาคต่อ",
"ยอดขายของเอกซ์บอกซ์ในแต่ละเดือนนั้นทั้งหมดแทบจะตามหลังยอดขายของเพลย์สเตชัน 2 ยกเว้นในเดือนเมษายน 2547 ที่เอกซ์บอกซ์ขายดีกว่าเพลย์สเตชัน 2 ในสหรัฐอเมริกา แม้จะมียอดขายห่างจากเพลย์สเตชัน 2 เป็นอย่างมาก เอกซ์บอกซ์ถือว่าประสบความสำเร็จ (อย่างมากในทวีปอเมริกาเหนือ) มียอดขายในอันดับสองของเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นที่ 6 อย่างมั่นคง\nแม้จะมีการประชาสัมพันธ์อย่างหนักในประเทศญี่ปุ่นแต่ทว่ายอดขายในประเทศนี้ดูแย่เป็นอย่างมาก (460,000 เครื่องจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2554) นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าที่เอกซ์บอกซ์จะมีปัญหาในการต่อกรกับโซนีและนินเทนโดก่อนที่จะวางจำหน่ายในญี่ปุ่น โดยจะต้องแข่งกับของเล่นที่คล้ายกันและบางอย่างของเอกซ์บอกซ์ไม่เหมาะสำหรับสังคมในญี่ปุ่น (เช่นขนาดของเครื่อง) ทั้งยังขาดเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่องที่น่าสนใจสำหรับญี่ปุ่นเช่นเกมแนวสวมบทบาท โดยในสุดสัปดาห์ของ 14 เมษายน 2545 ยอดขายของเอกซ์บอกซ์ห่างจากคู่แข่งอย่างโซนีและนินเทนโดเป็นอย่างมากรวมทั้งยอดขายของ WonderSwan และ PSone. ในเดือนพฤศจิกายน 2545 หัวหน้าเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่นได้ลาออก นำไปสู่การหารือกันถึงอนาคตของเอกซ์บอกซ์ ที่มียอดขายเพียง 278,860 เครื่องนับตั้งแต่วางจำหน่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ในสุดสัปดาห์ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2547 เอกซ์บอกซ์ขายได้เพียง 272 เครื่อง ซึ่งแย่กว่าเพลย์สเตชันที่ขายได้มากกว่า 4 เท่า ที่เอกซ์บอกซ์ทำได้ แต่ทว่า ขายได้มากกว่าเกมคิวบ์ในสุดสัปดหาของวันที่ 26 พฤษภาคม 2545 แม้จะมีความพยายามของไมโครซอฟท์ แต่เกมที่น่าสนใจแนวญี่ปุ่นบางเกมที่เป็นเกมเฉพาะสำหรับเอกซ์บอกซ์ เช่น เดด ออร์ อไลฟ์ 3 หรือนินจาไกเด็นซึ่งมีส่วนอย่างมากต่อยอดขายเอกซ์บอกซ์ในญี่ปุ่น ",
"โพลีโฟนีดิจิตัล (Polyphony Digital) เป็นบริษัทพัฒนาและผลิตวิดีโอเกมชุดเกมแข่งรถ แกรนทัวริสโม (Gran Turismo) ให้กับเครื่องเล่นต่างๆของทางบริษัทโซนี ได้แก่ เพลย์สเตชัน เพลย์สเตชัน 2 พีเอสพี เพลย์สเตชัน 3 และ เพลย์สเตชัน 4",
"เพลย์สเตชัน 4 หรือ PS4 (English: PlayStation 4) เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมตระกูลเพลย์สเตชันรุ่นที่ 4 ของบริษัทโซนี่คอมพิวเตอร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เปิดตัวต่อจากเพลย์สเตชัน 3 ที่งานแถลงข่าวรอบสื่อมวลชนในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2013 และเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2013 ในทวีปอเมริกาเหนือ และต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2013 จึงวางจำหน่ายในยุโรปและออสเตรเลีย เพลย์สเตชัน 4 มีคู่แข่งที่สำคัญคือ Wii U ของนินเทนโด และ Xbox One ของไมโครซอฟท์ ทั้งนี้ ณ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 โซนี่ได้จำหน่ายเพลย์สเตชัน 4 ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 82.2 ล้านเครื่องทั่วโลก[7] เป็นเครื่องเล่นวีดีโอเกมยุคที่แปดที่ขายดีเป็นอันดับสองรองจากนินเท็นโด 3ดีเอส",
"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม คือวิดีโอเกมที่พัฒนาโดย EA's Bright Light Studio และผลิตโดย อิเลคโทรนิค อาร์ต วางจำหน่ายวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ก่อนภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม จะฉายในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552โดยตัวเกมวางหน่ายลงบนเครื่องต่างๆได้แก่ แมคโอเอสเท็น, ไมโครซอฟท์ วินโดวส์, นินเทนโดดีเอส, เพลย์สเตชัน 2, เพลย์สเตชัน 3, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล, วี, เอกซ์บอกซ์ 360 และ โทรศัพท์มือถือ",
"Devil May Cry ภาคแรก(วางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2544 สำหรับเครื่องเพลย์เสตชั่น 2) ภาคต่อมาคือ Devil May Cry 2 (วางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2546 สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2) , Devil May Cry 3: Dante's Awakening (สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 ในปี พ.ศ. 2548 และได้พัฒนาให้เล่นในคอมพิวเตอร์สำหรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ได้ในปี พ.ศ. 2549) และ Devil May Cry 4 และ devil may cry 0rigins: the legend of nitrisht (สำหรับเครื่องgamesbox dmc0o ver. และเครื่องclub1. และเครื่องger.playsfuns 3)และสุดท้ายคือ DmC devil may cry แถมมี DLC อีกดัวย",
"สำหรับเกมของ สึซึมิยะ ฮารุฮิ นั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 เกม เกมแรกคือ \"คำสัญญาของสึซึมิยะ ฮารุฮิ\" () พัฒนาโดย Namco Bandai Games วางจำหน่ายลงบนเครื่อง เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เกมที่สองคือ \"ความสับสนของสึซึมิยะ ฮารุฮิ\" () . พัฒนาโดย Banpresto วางจำหน่ายลงบนเครื่อง เพลย์สเตชัน 2 เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551 และมียอดขายวิดีโอเกมในญี่ปุ่นอันดับที่ 95 ประจำปี พ.ศ. 2551 ด้วย โดยยอดขายรวมทั้งหมด 139,425 ชุด เกมที่สามคือ \"จังหวะเร้าใจของสึซึมิยะ ฮารุฮิ\" () พัฒนาโดย Kadokawa Shoten วางจำหน่ายลงบนเครื่อง วี เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552 เกมที่สี่คือ \"โลกคู่ขนานของสึซึมิยะ ฮารุฮิ\" () วางจำหน่ายลงบนเครื่อง วี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552 และเกมที่ห้าคือ \"ลำดับของสึซึมิยะ ฮารุฮิ\" () วางจำหน่ายลงบนเครื่อง นินเทนโด ดีเอส เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 โดย 2 เกมหลังนี้พัฒนาโดย Sega, ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ทางคาโดคาว่า โชเต็น ได้วางจำหน่ายเกม \"The Day of Sagittarius III\" ลงใน App Store ของ Apple",
"เรซิเดนต์อีวิล 3: เนเมซิส () หรือชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ \"ไบโอฮาซาร์ด 3: เดอะลาสต์เอสเคป\" () เป็นวิดีโอเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอด และเป็นภาคต่อของเกม\"เรซิเดนต์อีวิล 2\" พัฒนาและจัดจำหน่ายโดยแคปคอม เกมออกจำหน่ายสำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน และต่อมาได้พ่วงเข้ากับเครื่องดรีมแคสต์ ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ และเกมคิวบ์ เกมยังมีให้ดาวน์ดหลดผ่านเพลย์สเตชัน เน็ตเวิร์กแพลตฟอร์ม เพื่อเล่นบนเครื่องเพลย์สเตชัน 3 และเพลย์สเตชันพอร์เทเบิล ",
"คอมมานด์ & คองเคอร์: เรดอเลิร์ท 3 เป็นเกมวางแผนการรบเรียลไทม์ ใน ประกาศเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 พัฒนาโดย อีเอ ลอสแอนเจลิส วางจำหน่ายแพลตฟอล์ม วินโดวส์\nเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 และวางจำหน่ายในยุโรปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เวอร์ชันคอนโซล ได้แก่เครื่อง เอกซ์บอกซ์ 360 และ เพลย์สเตชัน 3 ซึ่งในเวอร์ชันของเครื่องเพลย์สเตชัน 3 นั้นวางจำหน่ายช้ากว่าเครื่องอื่นๆ เนื่องจากระบบสถาปัตยกรรมของเครื่องเพลย์สเตชัน 3 ต่างจากเครื่องอื่นๆ ในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552 อีเอได้ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับการวางจำหน่ายของ \"คอมมานด์ & คองเคอร์: เรดอเลิร์ท 3 - อัลติเมต อิดิชัน\" ซึ่งเวอร์ชันของเครื่องเพลย์สเตชัน 3 โดยจะประกอบไปด้วยโบนัสต่างๆมากมาย มากกว่าในเวอร์ชันของเอกซ์บอกซ์ 360 และ พีซี โดยวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552 จากนั้นก็ยังประกาศเวอร์ชันของเครื่องแมคโอเอสอีกด้วย ซึ่งพอร์ตโดย TransGaming และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 ทาง อีเอ ลอสแอนเจลิส ได้ประกาศเกมภาคเสริมของ เรดอเลิร์ท 3 โดยใช่ชื่อว่า \"\" โดยวางจำหน่ายสำหรับแพล์ตฟอร์ม วินโดวส์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลด\nเมื่อสหภาพโซเวียตได้เข้าสู่ภาวะวิกฤตใกล้จะล่มสลาย ทำให้ผู้นำแห่งโซเวียตได้ใช้วิธีลับเพื่อให้มีอำนาจเหนือพันธมิตรอีกครั้ง คือการย้อนเวลาไปหาไอน์สไตน์ เพื่อให้เขาเป็นพวกเดียวกันกับโซเวียต แต่ความบังเอิญทำให้ไอน์สไตน์หายไปจากกาลเวลา จึงไม่มีใครสร้างเทคโนโลยีให้แก่พันธมิตร หลังจากได้กลับมาจากการย้อนเวลาทำให้สหภาพโซเวียตกลับมามีอำนาจอีกครั้ง แล้วบุกยึดยุโรปจนเหลือสหราชอาณาจักร ทางด้านพันธมิตรที่ได้ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯคนใหม่เริ่มใช้นโยบายใหม่ในการปราบปรามสหภาพโซเวียต ในขณะเดียวกันก็ได้ผู้เข้าร่วมสงครามนั่นก็คือ จักรวรรดิแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่ต้องการจะยึดครองโลกและคิดกำจัดทั้งพันธมิตรและสหภาพโซเวียต แล้วใครจะได้เป็นเจ้าโลก สหภาพโซเวียตหรือพันธมิตรหรือจักรวรรดิฯ",
"\"ไฟนอลแฟนตาซี X\" ได้รับทั้งคำชมเชยจากสื่อต่างๆ และยอดจำหน่ายที่สูง หลังจากวางจำหน่ายในญี่ปุ่นได้สี่วันก็สามารถจำหน่ายจากการสั่งจองล่วงหน้าได้มากกว่า 1.4 ล้านแผ่น จัดเป็นเกม Console RPG ที่จำหน่ายได้รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ สถิตินี้นับว่าเร็วกว่า \"ไฟนอลแฟนตาซี VII\" และ \"ไฟนอลแฟนตาซี IX\" เมื่อเปรียบเทียบที่ยอดจำหน่ายสี่วันหลังวางจำหน่ายเหมือนกัน และยังเป็นเกมสำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 เกมแรกที่สามารถจำหน่ายได้ถึงสี่ล้านแผ่น และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 ยังได้ถูกจัดอันดับเป็นเกมสำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 ที่ขายดีเป็นอันดับที่แปด เมื่อถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 ก็มียอดจำหน่าย 6.6 ล้านแผ่น นอกจากนี้ \"ไฟนอลแฟนตาซี X\" ยังได้รับรางวัลและการจัดอันดับอันดับจากสื่อต่างๆ ได้แก่",
"ドカポン王国IV~伝説の勇者たち~ (อาณาจักรโดกาปองที่ 4 - เหล่าผู้กล้าในตำนาน) วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2536 บนเครื่องเกมซูเปอร์แฟมิคอม ドカポン3・2・1~嵐を呼ぶ友情~ (โดกาปอง 3-2-1) วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2537 บนเครื่องเกมซูเปอร์แฟมิคอม ドカポン外伝~炎のオーディション~ วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2538 บนเครื่องเกมซูเปอร์แฟมิคอม ドカポン!怒りの鉄剣 (โดกาปอง! ดาบเหล็กแห่งความโกรธ) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 บนเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน ドカポンDX ~ わたる世界はオニだらけ ~ (โดกาปองเดลักซ์ มีแต่ยักษ์เท่านั้นที่ครอบครองโลก) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 บนเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน 2 และ เกมคิวป์ ドカポン・ザ・ワールド (โดกาปองรอบโลก) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 บนเครื่องเล่น เพลย์สเตชัน 2 ドカポンキングダム (โดกาปอง คิงดอม - Dokapon Kingdom) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 บนเครื่องเล่น เพลย์สเตชัน 2 และ นินเทนโด้ วี ドカポンジャーニー! ~なかよくケンカしてっ♪~ (โดกาปองผจญภัย -ทะเลาะวันละนิดจิตแจ่มใส-) วางจำหน่ายครั้งแรก ณ วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 บนเครื่องเล่น นินเทนโด้ DS",
"เพลย์สเตชัน 3 (อังกฤษ PlayStation 3, ญี่ปุ่น プレイステーション 3) ตัวย่อ PS3 เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมตระกูลเพลย์สเตชันรุ่นที่ 3 ของบริษัท โซนี่คอมพิวเตอร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ถือเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคที่ 7 ตัวเครื่องมีขนาด 12.8×3.9×10.8 นิ้ว (32.5×9.8×27.4 เซนติเมตร) ตัวเครื่องมีอย่างน้อย 3 สีให้เลือก คือสีดำ, สีขาว, และสีเงิน ตัวเครื่องที่ขายจะมีตัวเลือก 2 แบบที่แตกต่างกันในเรื่องของความจุฮาร์ดไดรฟ์ และช่องสัญญาณต่างๆ ขณะนี้ได้ออกวางจำหน่ายแล้ว โดยออกวางตลาดที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรก ในวันที่ 11 พ.ย. พ.ศ. 2549 ส่วนประเทศอื่นๆ วางตลาดในวันที่ 17 พฤศจิกายน โดยราคาอยู่ที่ US$499 (฿19,000) ในรุ่น 20 GB. และ US$599 (฿23,000) สำหรับรุ่น 60 GB. การออกแบบตัวเครื่องจะดูเรียบง่าย ทันสมัย มีรูปทรงโค้งมน น้ำหนักประมาณ 11 ปอนด์ (5 กิโลกรัม) ซึ่งหนักกว่า Xbox 360 ซึ่งราคาจำหน่ายในไทยสัปดาห์แรกหลังจากที่ออกขายที่ญี่ปุ่น ราคาอยู่ที่ประมาณ 38,000 บาท",
"กรันตูริสโม (; หรือเรียกย่อ ๆ ว่า GT) เป็นเกมจำลองการขับรถยนต์เสมือนจริง พัฒนาโดยบริษัท Polyphony Digital และจัดจำหน่ายโดย โซนี่คอมพิวเตอร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ โดย Gran Turismo ได้ทำลง เพลย์สเตชัน, เพลย์สเตชัน 2, เพลย์สเตชัน 3, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล, และ เพลย์สเตชัน 4 ตั้งแต่เกมชุดนี้ได้วางจำหน่ายในเดือนธันวาคมปี 1997 สามารถขายได้มากกว่า 56 ล้านชุดที่จำหน่ายทั่วโลกสำหรับ เพลย์สเตชัน, เพลย์สเตชัน 2, เพลย์สเตชัน 3 และ เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล ",
"แม้ว่าโดยปกติแล้วจะมีการวางจำหน่ายเกมซามูไรโชดาวน์ออกนอกประเทศญี่ปุ่น แต่เกมชุดนี้ก็ได้รับการประชาสัมพันธ์ระบบAtomiswave โดยมีบริษัทเซก้าเป็นผู้สนับสนุนในสหรัฐอเมริกา และเริ่มจัดจำหน่ายในระบบเพลย์สเตชัน 2 ที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2006 ส่วนทางฝั่งอเมริกาและยุโรปนั้น ได้เริ่มจัดจำหน่ายสำหรับเกมคอนโซลประจำบ้านตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม และ 29 มีนาคม ค.ศ. 2009 ตามลำดับ ในระบบเพลย์สเตชัน 2, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล และวี โดยเป็นส่วนหนึ่งของเกมชุดพิเศษซึ่งมีชื่อว่า\"ซามูไรโชดาวน์ แอนโธโลจี\" แม้การจำหน่ายในระบบเพลย์สเตชัน 2จะมีการเพิ่มตัวละครและเพิ่มสามรูปแบบการต่อสู้ไปพร้อมกัน แต่ในระบบเพลย์สเตชัน 2 นี้ก็ยังมีส่วนที่เหมือนกับระบบนีโอจีโอเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกรรมการ, สัตว์เลี้ยงผู้ช่วย ที่ต่างสามารถนำมาใช้เล่นได้ทั้งหมด และในเวอร์ชัน\"ซามูไรโชดาวน์ แอนโธโลจี\" ก็มีลักษณะที่เหมือนกันกับเวอร์ชันเพลย์สเตชัน 2 ทุกประการ โดยต่างกันตรงที่สามารถนำตัวละครพิเศษมาใช้ได้ตั้งแต่เริ่มโดยไม่ต้องกดสูตรลับแต่อย่างใด",
"ตัวเกมวางจำหน่ายในเครื่องเล่นเกมยุคที่หกทั้งสามระบบ ได้แก่ เพลย์สเตชัน 2, เอ็กซ์บ็อกซ์, เกมคิวบ์ รวมถึงคอมพิวเตอร์พีซี และมีความเป็นไปได้ว่านี่เป็นเกมสุดท้ายในเกมชุดโซนิคเดอะเฮดจ์ฮ็อกสำหรับเครื่องเล่นเกมยุคที่หก อย่างไรก็ดีทางเซก้าเคยให้สัมภาษณ์ว่าทางบริษัทยังคงจะสนับสนุยเพลย์สเตชัน 2 ต่อไปอีก 2 ปีด้วยเกมโซนิค อย่างไรก็ดียังไม่มีการยืนยันว่าจะมีเกมโซนิคใดถูกพัฒนาให้เพลย์สเตชัน 2 รวมทั้งอีกสองเครื่องที่เหลือด้วย ",
"บูลลี โดยประเทศในแถบยุโรป วางจำหน่ายในชื่อว่า Canis Canem Edit () เป็นวิดีโอเกมแนวโอเพนเวิลด์และประเภทแอ็คชั่นผจญภัย พัฒนาโดย Rockstar Vancouver วางจำหน่ายโดย Rockstar Games สำหรับเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน 2 ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2006 โดยวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2006 สำหรับเครื่อง เพลย์สเตชัน โดยภายหลังมีเวอร์ชันรีมาสเตอร์ , ที่รู้จักกันดีใน Scholarship Editon พัฒนาโดย Rockstar New England พัฒนาโดย Rockstar New England และวางจำหน่ายเมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552 สำหรับเครื่อง เอกซ์บอกซ์ 360 และ เครื่อง วี (เครื่องเล่นเกม) , และวางจำหน่าย 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552 สำหรับ ไมโครซอฟท์ วินโดว์ และล่าสุดปี 2559 บูลลี่ ได้ถูกนำมา remaster ใหม่อีกครั้ง ในวาระฉลองครบรอบ10ปีของเกม โดยใช้ชื่อว่า bully aniversary edition ในระบบ ios และ android ทั้งยังปรับกราฟริคให้สวยขึ้นกว่าเดิมตัวเกมอยู่ในเมืองสุมมตินามว่า Bullworth , โดยเนื้อเรื่องจะพูดถึงนักเรียนและความพยายามของเขาถึงการจัดการระบบของโรงเรียน , ความโอเพนเวิลด์ของตัวเกมทำให้ผู้เล่นสามารถโลดเล่นในเมือง Bullworth"
] |
ชัย ชิดชอบ แต่งงานกับใคร? | [
"นายเนวิน ชิดชอบ เกิดวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็นบุตรของชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ และนางละออง ชิดชอบ เป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องชาย 5 หญิง 1 (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชาย เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย) กำนันชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน ตั้งตัวมาจากธุรกิจโรงโม่หิน มีกิจการที่สำคัญคือ โรงโม่หินศิลาชัย"
] | [
"พ.ศ. 2544 นายกองตรี ชัย ชิดชอบ ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายกองโท ชัย ชิดชอบ[12] พ.ศ. 2552 นายกองโท ชัย ชิดชอบ ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายกองเอก ชัย ชิดชอบ[13]",
"นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เกิดเมื่อวันที่ ที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นบุตรของนายชัย ชิดชอบ กับนางละออง ชิดชอบ (น้องชายของนายเนวิน ชิดชอบ) สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2527 และปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2531",
"พรรคภูมิใจไทยได้ฟ้องร้องพรรคเพื่อไทย ในกรณีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ใส่ร้ายผู้สมัครของพรรคคือ เนวิน ชิดชอบ และ ชัย ชิดชอบ ด้าน แทนคุณ จิตต์อิสระได้ฟ้องร้องเรื่องนี้กับ การุณ โหสกุล เป็นการส่วนตัวเช่นตัวกัน นอกจากนี้ยังมีการยื่นฟ้องยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโดยนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษคอรัปชั่นทักษิณ ซึ่งยื่นฟ้องต่อดีเอสไอ ในกรณีที่ยิ่งลักษณ์ให้การเท็จต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ในการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 302 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์",
"1 ศยาม (ดิ่ง) รับบทโดย วีรภาพ สุภาพไพบูลย์\nชายหนุ่มรูปร่างสูง ล่ำสันผิวไม่ขาวมากหน้าตาคม อายุประมาณ 25-30 ลูกชายคุณเศก เป็นหนุ่มนักเรียนนอกแต่เรียนไม่จบ เนื่องจากเสียใจเรื่องคนรักที่ไปแต่งงานกับพ่อของตน \nดิ่งถูกเรียกตัวกลับมาอยู่บ้าน แต่ก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้เขาไม่สามารถอยู่บ้านได้ จึงหนีออกจากบ้าน และหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นผู้ชายเงียบขรึมมีความลับ รู้เท่าทันคน ฉลาด แต่จมจ่อม\nอยู่กับอดีต ตลอดเวลา ไม่โอ้อวด มีความเป็นสุภาพบุรุษ \n2 จิตรวรรณ (จี๊ด) รับบทโดย เขมนิจ จามิกรณ์\nสาวเปรี้ยว อายุประมาณ 20-25 จี๊ดลูกสาวของคุณเจตนาและคุณวันดี ผิวขาวใสรูปร่างหน้าตาดี กวนๆ มีความมั่นใจในตนเองสูง ภายนอกดูแข็งกระด้างตรงกันข้ามกับความรู้สึกจริงๆ\nที่เป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนชอบความเรียบง่ายค่อนข้างตรงกันข้ามกับบุคลิกภายนอกที่คนทั่วไปได้เห็น ชอบแสดงความรู้สึกที่ตรงกันข้าม ทำตัวเรียกร้องความสนใจเพราะขาดความ\nอบอุ่น มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง จนกระทั่งได้ใกล้ชิดและใช้เวลากับดิ่ง ดิ่งทำให้จี๊ดค่อยๆเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น \n3 เจตนา รับบทโดย ทูน หิรัญทรัพย์\nชายวัยกลางคน อายุประมาณ 50-55 เป็นพ่อของจี๊ด นักธุรกิจใหญ่ที่เวลาส่วนใหญ่จะทุ่มเทให้กับการทำงานจนขาดความสุขในชีวิตอีกทั้งภรรยาก็ไม่เข้าใจ แต่เป็นชายที่มีความรับผิดชอบดู\nแลครอบครัวและลูกสาวเป็นอย่างดี มีความเมตตา อารมณ์เย็นมีความอดทนต่อคำต่อว่าของภรรยาได้เป็นอย่างดี \n4 คุณนายวันดี รับบทโดย กชกร นิมากรณ์\nอายุประมาณ 45-50 แม่ของจี๊ด หญิงวัยกลางคน เป็นคนตระหนี่ ขี้บ่นเจ้าระเบียบ เจ้ากี้เจ้าการทุกเรื่อง วัดคุณค่าของคนที่ฐานะและในความใจแข็งก็แอบอ่อนไหวในบางครั้ง คิดมากกลัวสามี\nไปมีภรรยาน้อย จนแสดงอาการหึงหวง แต่สุดท้ายก็เข้าใจ และปรับตัว\n5 เศก รับบทโดย ไพโรจน์ สังวริบุตร\nอายุประมาณ 50-55 พ่อของดิ่ง เป็นชายสูงอายุยึดมั่นในความคิดของตนเอง ใจแข็ง ถือทิฐฐิไม่ยอมอ่อนให้ใคร แต่ภายใต้จิตใจที่เข้มแข็ง ก็มีความอ่อนโยนอยู่ภายใน มีเมียสาวอายุรุ่นลูกอย่างมารศรี",
"นพพร และ หม่อมราชวงศ์กีรติ พบกันครั้งแรก ที่สถานีรถไฟโตเกียว นพพรอายุ 22 ปี เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ริคเคียว ส่วนหม่อมราชวงศ์กีรติ หญิงวัย 35 มาฮันนีมูน กับ พระยาอธิการบดี สามีที่ อายุคราวพ่อ ท่านเจ้าคุณเป็น เพื่อนสนิทกับ พ่อของนพพร จึงขอร้องให้นพพร พาหม่อมราชวงศ์กีรติ เที่ยวญี่ปุ่นเพราะตัวท่าน เองแก่เกินกว่า จะไปไหนต่อไหนได้ หลายแห่ง แต่ก็ยังอยากให้หม่อมราชวงศ์กีรติสนุกกับการอยู่ญี่ปุ่น และนั่นเป็นโอกาสให้นพพร เด็กหนุ่มที่ไม่เคย รู้จักความรักมาก่อน ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้หญิงที่สวย สง่า กิริยาวาจาแช่มช้อยเป็นผู้ดี แม้เธอจะสูงวัยกว่า แต่ยิ่งใกล้ชิด นพพรก็ยิ่งหลงรักเทอดทูน หม่อมราชวงศ์กีรติ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเธอ แต่งงานแล้ว นพพรเฝ้าถามหม่อมราชวงศ์กีรติว่าทำไมเธอจึงแต่งงานกับ ชายวัยพ่อ ทั้ง ๆ ที่เธอทั้งสวย สง่างามมาก ฉลาด และฐานะเดิมก็ดีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งไม่ได้ถูกใครบังคับและไม่ได้รักเจ้าคุณด้วย ทุกครั้งที่นพพรถาม หม่อมราชวงศ์กีรติเลี่ยงที่จะตอบ จนวันหนึ่ง เขาพาเธอไปเที่ยว มิตาเกะ หม่อมราชวงศ์กีรติที่ตามปกติจะ วางตัวสง่างาม กลับกลายเป็นสาวน้อย ผู้ร่าเริงท่ามกลาง แมกไม้ และสาย และความหลัง ที่เป็นความลับ ของหม่อมราชวงศ์กีรติจึงถูกเปิดเผย และทุกครั้งที่นพพร ถามว่าหม่อมราชวงศ์กีรติรักเขาไหม คุณหญิงกีรติไม่เคยตอบตรงคำถามเลย ส่วนนพพรยืนยันว่า \"“ผมจะรักคุณหญิง ตราบชั่วฟ้าดินสลาย”\"",
"ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 298 คะแนน ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความเห็นชอบ 163 คะแนน และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 5 คะแนน (คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายชัย ชิดชอบ, นายสามารถ แก้วมีชัย และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่งและคนที่สอง) จึงถือได้ว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่านายสมชายได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี",
"16.42 น. นาย ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้ปีนรั้วสภาออกไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากมีอายุมากแล้ว โดยเจ้าหน้าที่พยายามประคองอุ้มนายชัยออกไปอย่างทุลักทุเล",
"ชัย ชิดชอบ (5 เมษายน พ.ศ. 2471 — ) เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน พรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคพลังประชาชน ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรแทนนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่โดนใบแดง [1] ก่อนหน้านี้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)หลายสมัย และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)จังหวัดบุรีรัมย์",
"ใจเดินทางไปเชียงใหม่ พาตัวดาวนิลกลับมาอยู่ที่บ้านสุศักดิ์ ดาวนิลเองก็ยอมมาเพื่อต้องการทำดีกับคุณหญิงลบล้างความผิด ความโกรธเกลียด เผื่อวิญญาณของย่าดาวและพ่อเด่นของเธอจะได้มีความสุข เมื่อหม่อมหลวงเชยพิมานเดินทางมาพักที่วังพิมาลาในกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ติดกับบ้านสุศักดิ์ คุณหญิงเดือนหมายมั่นว่าถ้าหลานสาวคนใดคนหนึ่งจะได้ลงเอยกับหม่อมหลวงผู้นี้ คฤหาสน์ที่เธออาศัยอยู่และติดจำนองกับวังพิมาลาก็คงกลับมาเป็นของเธอ จึงวางแผนหลานสาวทั้งสองแต่งตัวสวย ดาวรายเองก็กำลังคบกับ ฤทธี หวังสร้างเนื้อสร้างตัวก็คิดเปลี่ยนใจจากฤทธีเพื่อหวังรวยทางลัดตามคำสั่งของคุณหญิงยาย\nเมื่อใจพาดาวนิลมาถึง คุณหญิงเห็นว่าดาวนิลมีหน้าตาที่สวยน่ารัก จึงคิดกำจัดความสวยด้วยการทาตัวดำปี๋แล้วบอกใครต่อใคร ว่าดาวนิลเป็นคนใช้เพื่อเชยพิมานจะได้ไม่สนใจ เชยพิมาน ทรงกลด ตาชอบและนายสีเดินทางมาถึงวัง ตาชอบที่ตอนแรกว่าจะมาส่งหลานชายแล้วกลับบ้านนอกก็เปลี่ยนใจอยู่ยาว เพราะเกิดหมั่นไส้ไม่กินเส้นกับคุณหญิงเดือน ตาชอบใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าหนี้ทวงหนี้คุณหญิงและประกาศจะยึดบ้านสุศักดิ์ คุณหญิงก็แก้เกมด้วยการส่งหลานสาวทั้งสองจับเชยพิมานแต่งงานด้วยให้ได้เพื่อจะมีสิทธิ์ในทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลและบ้านสุศักดิ์จะได้ไม่ถูกยึด ตาชอบรู้เชิงปรกาศไม่ยอมรับหลายสาวคุณหญิงเป็นสะใภ้เด็ดขาดและสั่งบังคับหลานทั้งสองไม่ให้มีความรักกับหลานคุณหญิง สะใภ้ของตาชอบต้องเนสาวบ้านนอกเท่านั้น ไม่ใช่สาวกรุงเทพฯเด็ดขาด\nแต่ทรงกลดในคราบของเชยพิมานเกิดมีความรักกับดาวรุ่ง ทรงกลดมุ่งมั่นจะเอาชนะอคติของตาชอบให้ได้แต่ดาวรุ่งไม่ได้รักทรงกลด คนที่รักทรงกลดในคราบของเชยพิมานคือดาวราย แล้วดาวรายก็วางแผนพาทรงกลดในคราบของเชยพิมานเข้าโรงแรมโดยให้ฤทธีถ่ายวิดีโอไว้แบล็กเมล์ คุณหญิงเดือนจะเอาเรื่องทรงกลดให้แต่งงานกับดาวรายไม่อย่างนั้นจะเอาเป็นคดีความติดคุกเสียชื่อเสียงหม่อมหลวง ทรงกลดไม่ยอมแต่งเพราะเหตุผลเขารักดาวรุ่ง เรื่องจึงวุ่นวายมากขึ้นบีบคั้นทรงกลด เขาจึงเผยตัวว่าไม่ใช่หม่อมหลวงเชยพิมาน หม่อมหลวงตัวจริงคือนายแจ็คพี่เลี้ยงของเขาต่างหาก",
"ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 235 คะแนน ส่วนพลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินได้รับความเห็นชอบ 198 คะแนน และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 3 คะแนน (คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายชัย ชิดชอบ และ นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ส.ส. นครราชสีมา พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา) จึงถือได้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่านายอภิสิทธิ์ได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี",
"ชีวิตส่วนตัว นายชัย ชิดชอบ สมรสกับนางละออง ชิดชอบ มีบุตรชาย 5 คน หญิง 1 คน บุตรคือนายเนวิน ชิดชอบ เป็นประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายชัยชื่นชอบนักการเมืองชาวอิสราเอลคนหนึ่ง ที่ชื่อ โมเช่ ดายัน ถึงขนาดตั้งฉายาให้ตัวเองว่า \"ชัย โมเช่\"",
"แต่กระบวนการประกาศให้การแต่งการเป็นโมฆะก็ไม่ง่ายนัก และได้รับการบรรยายว่าเป็น “คดีที่น่าขยะแขยงที่สุดของสมัยนั้น” พระเจ้าหลุยส์มิได้ทรงใช้การแต่งงานภายในสายเลือดเดียวกัน (consanguinity) เป็นข้ออ้างซึ่งเป็นเหตุผลที่นิยมใช้เป็นข้ออ้างกันในสมัยนั้น แม้ว่าจะทรงสามารถหาพยานพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อกันโดยการแต่งงานของบรรดาพี่ๆ น้องๆ หลายคู่ และไม่ทรงสามารถใช้ข้ออ้างที่ว่าพระชนมายุต่ำกว่าที่ระบุไว้ในกฎหมาย (14 ปี) ที่จะต้องได้รับอนุญาตในการเสกสมรส ไม่มีใครทราบว่าพระองค์ประสูติเมื่อใด พระองค์เองตรัสว่ามีพระชนมายุ 12 ปี ผู้อื่นสันนิษฐานว่า 11 ถึง 13 ปี แต่ก็ไม่มีสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าทรงถูกบังคับให้ใช้เหตุผลอื่น",
"ทว่าเมื่อพ่อสามีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 996 รอแบร์ต์ทอดทิ้งพระองค์อย่างสมบูรณ์ ทรงปรารถนาที่จะอภิเษกสมรสกับอบร์ธาแห่งเบอร์กันดีแทนที่โรซาลา การแต่งงานดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นญาติที่ใกล้ชิดกันเกินไป รอแบร์ต์จึงแต่งงานครั้งที่สามในปี ค.ศ. 1003 กับกงสต็องส์แห่งอาร์ลส์ที่มีพระโอรสธิดาให้พระองค์เจ็ดคน",
"นายชัย ชิดชอบ เริ่มงานการเมืองจากการเมืองท้องถิ่น เป็นกำนันตำบลอิสาน อำเภอเมืองบุรีรัมย์ และทำธุรกิจโรงโม่หิน ชื่อโรงโม่หินศิลาชัย ที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มงานการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2500 โดยสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ [3] และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดบุรีรัมย์หลายสมัยติดต่อกัน ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2512 (อิสระ) , 2522 (พรรคประชาราษฎร์), 2526 (พรรคกิจสังคม), 2529 (พรรคสหประชาธิปไตย) , 2535/2 2538 (พรรคชาติไทย) , 2539 (พรรคเอกภาพ) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พ.ศ. 2548 (พรรคไทยรักไทย) และสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดบุรีรัมย์ พ.ศ. 2549 [4]และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 2[5]",
"เพลงนี้ว่าด้วยการแอบชอบใครสักคน หากได้ใกล้ชิด แม้เพียงสั้น ๆ ก็มีความสุข จนอยากจะ \"สแน็ป\" (บันทึกภาพ) ช่วงเวลานั้นเอาไว้",
"นายธนาธรแต่งงานกับ รวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ มีบุตรธิดารวมด้วยกัน 4 คน[31] แม้จะไม่มีเวลาใกล้ชิดกับลูกๆ มากนักตั้งแต่ยังเป็นนักธุรกิจจนถึงเมื่อตัดสินใจลงสู่สนามการเมือง แต่ทุกครั้งที่มีโอกาส ธนาธรจะชอบให้ลูกๆ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติรอบๆ ตัว เปิดโอกาสให้ ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง เขาชอบชวนเด็กๆ เล่นดินโคลน เล่นทราย ปีนต้นไม้ หรือแม้แต่ออกไปเล่นกลางสายฝน ความคิดของเขาคือ อยากให้เด็กๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ รู้จักและรักสิ่งแวดล้อม เกิดความสงสัยและตั้งคำถาม หาคำตอบ เขาจึงจำเป็นจำกัดการซื้อของเล่นของลูกๆ แต่จะให้อิสระเรื่องหนังสือมากกว่า[32]",
"ชื่อ \"เนวิน\" ตั้งตามชื่อของเนวี่น ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศพม่าในขณะนั้น ซึ่งกำนันชัยประทับใจมาก",
"นายชัย ชิดชอบ ใช้วุฒิการศึกษา ม.6 ถึง พ.ศ. 2539 ต่อมาเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กำหนดให้ ส.ส. ต้องจบปริญญาตรี นายชัย จึงสมัครเรียนต่อ ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาตรี สาขาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง",
"มีนามเดิมว่า เทียน นามสกุล วัณณาโภ เกิดปี พ.ศ. ๒๓๘๕ ปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ตำบลบางขุนเทียน จังหวัดพระนคร พื้นฐานครอบครัวมาจากทหารและพลเรือน เริ่มเรียนหนังสือที่บ้าน เมื่ออายุได้ ๘ ขวบจึงไปเรียนหนังสือไทยและหนังสือขอมกับพระที่วัดโพธิ์ พร้อมทั้งได้วิชามวยและเวทมนตร์คาถาป้องกันตัวมาด้วย ตอนเด็กออกจะเป็นนักเลง แต่ก็ไม่ข่มเหงใครก่อน ครั้นบิดาเสียอายุเมื่อเขาอายุได้ ๑๓ ปี มารดาได้แต่งงานใหม่ บิดาเลี้ยงเป็นคนดีมีศีลธรรม จึงได้ค่อยกล่อมเกลาให้เขามีนิสัยอ่อนโยนขึ้น ครั้นเป็นหนุ่มอายุได้ ๑๘ ปีก็ได้ทำงานล่องเรือค้าขายไปถึงสวรรคโลกและกำแพงเพชร ทำงานได้สักปีก็ได้งานในเรือกำปั่น ได้แล่นเรือไปถึงซัวเถา ฮ่องกง เอ้หมึง และเซี่ยงไฮ้ ถือได้ว่าเป็นช่วงสั่งสมประสบการณ์อันดียิ่ง จากนั้นจึงได้เข้าบวชเรียนที่วัดบวรนิเวศนานถึง ๔ พรรษา ได้มีโอกาสใกล้ชิดนักปราชญ์ของยุคอย่าง สมเด็จพระสังฆราช(สา) และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยที่ยังผนวช ก็เสด็จมาประทับที่วัดนี้บ่อยครั้ง เขาลาสิกขาบทเมื่ออายุเบญจเพศ แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบศึกษาหาความรู้จึงยังซื้อและเช่าหนังสือมาอ่าน และติดตามรับฟังข่าวสารบ้านเมืองอย่างสม่ำเสมอ ช่วงนี้เขาทำอาชีพค้าขาย เดินทางไปมาระหว่างหัวเมืองต่าง ๆ และได้คบหาสมาคมกับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเหล่าเจ้านายและผู้ดีหัวก้าวหน้า เทียนวรรณถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ สิริรวมอายุได้ ๗๓ ปี",
"นายชัย ชิดชอบ ได้กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งเมื่อมีอายุมากแล้ว จึงได้รับการเรียกขานเล่น ๆ จากสื่อมวลชน ว่า \"ปู่ชัย\" หรือ \"ลุงชัย\" และในปลายปี พ.ศ. 2552 ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาว่า \"ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์\" อันเนื่องจากการทำหน้าที่ประธานสภาฯที่มีลูกล่อลูกชนและมีมุกตลกแพรวพราวสร้างความสนุกสนานลดความตึงเครียดในที่ประชุมเสมอ[11]",
"นักแสดงสมทบ\nช่างกล้องหนุ่มมาดเซอร์สมญา “ปากหมาหน้าตี๋” จุดเด่นที่หน้าตี๋แต่ชื่อเวนิสเพราะได้รับการปฏิสนธินี่นั่น วัยเบญจเพส เวนิสเป็นคนพูดน้อยชกต่อยไม่ถนัด แต่ปากจัดกัดเจ็บ เวนิสขอเป็นช่างกล้องถ่ายสารคดีประจำให้เต็งมาแต่แรกเริ่ม แม้จะมือใหม่แต่ใจรักแถมเอาสปอนเซอร์หลักมาให้รายการอีกตะหาก เต็งเลยอ้าแขนรับทันที ทางบ้านของเวนิส มีธุรกิจท่องเที่ยวในนามบริษัท “ ดียิ่งขึ้น ทราเวล จำกัด” ป๊ากับม๊าอยากให้เวนิสเป็นไกด์ทำทัวร์กับพี่บ้าน แต่เวนิสไม่ชอบ อยากเป็นตากล้อง ช่างภาพ แนวนี้ มากกว่าเลยใช้บริษัททัวร์มาสนับสนุนรายการของเต็งเพื่อให้ได้งานทำ เวนิสแอบปิ๊ง”ทอย” แต่สุดท้ายเวนิสก็คบหากับลูกกวาดและได้แต่งงานกัน\nประสานงานสาวมาดทอมบอย เป็นคนคล่องแคล่ว ลุยๆ กระฉับกระเฉง เป๊ะในเรื่องงาน ทอยหนักเอาเบาสู้จนดูฮึด อึด ถึก กว่าผู้ชายเสียอีก แม้ลุ๊คของทอยจะเหมือนทอม แต่จริงๆ แล้วทอยก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความอิจฉา ร้ายลึก เจ้าแผนการซ่อนอยู่ ทอยอยากมีครอบครัวมีลูก และไม่แปลกที่ทอยจะแอบรักเจ้านายหนุ่มอย่างเต็ง แต่ทอยก็แอบซ่อนเอาไว้ลึกที่สุด แค่ได้อยู่ใกล้ชิดก็พอ แต่การเข้ามาในชีวิตเจ้านายของชิดดาว ทำให้ทอยอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป เธอจึงไปร่วมมือกับโต้ เพื่อให้โต้กันเต็งออกจากชิดดาว และยังยุยงใส่ร้ายให้กาโม่เกลียดชิดดาว และย้ายไปทำงานกับโต้ สุดท้ายเธอก็ท้องกับโต้\nแฟนหนุ่มมาดคมเข้มของชิดดาว รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นลูกเพื่อนแม่ของชิดดาว เลยสนิทสนมคุ้นเคยกันมาตั้งแต่วัยเด็ก โต้เป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ รูปร่าง หน้าตาดี เป็นนายแบบ นักแสดงหน้าใหม่ ใฝ่ฝันที่อยากจะรวย มีชื่อเสียง มีของดีๆแพงๆใช้ และมีความสมบูรณ์แบบ โต้เป็นคนมีนิสัยอารมณ์ร้อน ขี้โมโห เจ้าชู้เงียบ เจ้าเล่ห์ กะล่อน ปลิ้นปล้อน ปากหวานแต่ไม่จริงใจ กล้าได้กล้าเสีย ร้ายลึก เห็นแก่ตัว ชอบดูถูกคนอื่น ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่เคยยอมแพ้ใคร มีความเป็นหมาหวงก้างในตัวสูง และในความเป็นจริงแล้ว ความสัมพันธ์ของโต้กับชิดดาว เป็นความผูกพันมากกว่าความรัก และด้วยเหตุผลนี้เอง ในที่สุดโต้ก็แอบนอกใจชิดดาว ไปคบกับผู้จัดการดาราอย่างละออง เพื่อหวังความก้าวหน้าในวงการบันเทิง ซึ่งไม่ได้คิดจะจริงใจและจริงจังด้วยเลย และยังแอบไปมีความสัมพันธ์ลับๆกับหนมอบอีกด้วย และยังทำให้ทอยท้องด้วย\nพี่เลี้ยงเด็กร่วมเนิร์สเซอรี่ของชิดดาว และเป็นเพื่อนซี้ของทอย ทอยเรียกนางว่า “อีจิ้งจก” ลูกกวาดเป็นคนสนุกสนานร่าเริง อารมณ์ดี เข้าใจโลก ยอมรับและทำใจได้เพื่อความสุขของตัวเอง ไม่ชอบเครียด ไม่ชอบดราม่า ลูกกวาดชอบเวนิสแต่แรกเห็น และเป็นฝ่ายจีบก่อน ออกตัวแรงจนเวนิสแอบกลัว สุดท้ายลูกกวาดเธอก็คบหากับเวนิสและได้แต่งงานกัน\nน้องชายแท้ๆของเต็ง ต้นเรื่องความวุ่นวายทั้งหมดของชีวิตเต็ง..โต๊ดมีนิสัยของลูกคนเล็ก กระล่อน ขี้อ้อน เจ้าแผนการ แต่ก็ไม่ใช่เด็กเกเรอะไรออกแนวเจ้าเล่ห์แสนกลมากกว่า เป็นคนรักครอบครัว ลึกๆ จิตใจอ่อนโยนเพราะถูกอบรมเลี้ยงดูมาดี โต๊ดไปทำแฟนสาวที่เรียนต่อด้วยกันที่อเมริกาท้อง เลยต้องดอดกลับเมืองไทยมาคลอดลูกทิ้งไว้ให้พี่ชายเลี้ยง พ่อแท้ๆของกาโม่\nสาวสวยลูกคนรวยมีหน้ามีตาของสังคม อายุรุ่นเดียวกับโต๊ด พายเป็นเด็กหัวอ่อน พื้นฐานจิตใจดี ลึกๆขาดความมั่นใจในตัวเอง กลัวจนกลัวลำบากแต่ก็โหยหารักแท้ และต้องการสร้างครอบครับที่อบอุ่นเป็นของตนเอง เพราะครอบครัวตน พ่อแม่ทำงานและออกงานตลอดจนแทบไม่มีเวลาให้ อยู่กับพี่เลี้ยงเสียมากกว่า พายดันไปเจอรักแท้และท้องกับโต๊ดเพื่อนนักเรียนคนไทยที่ไปเรียนต่อด้วยกัน เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดหากพ่อแม่รู้ เธอหมดอนาคตแน่ เพราะถูกคาดโทษเอาไว้ว่าจะตัดขาดจากกองมรดกซึ่งเป็นสิ่งที่เธอกลัวที่สุด เธอและโต๊ดรักกันและไม่อยากทำแท้งเพราะกลัวบาปกรรม ทั้งคู่จึงตัดสินใจแอบกลับมาคลอดลูกที่เมืองไทยแล้วฝากพี่ชายโต๊ดเลี้ยงลูกไว้ก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไขกันเอาดาบหน้า แม่แท้ๆของกาโม่\nป้าของชิดดาวเป็นสาวใหญ่ไร้คู่ วัยสี่สิบกว่าๆ เจ้าของ “งามพิศ เนิร์สเซอรี่” งามพิศเป็นคนจุกจิก ปากจัด กัดเจ็บ เจ้าระเบียบกับพนักงาน แต่เป็นนางงามรักเด็กกับเด็กๆและผู้ปกครอง...ทุกอย่างสำหรับเด็กต้องเป๊ะ ได้คุณภาพ รักเด็กเหมือนลูกหลานตัวเอง เนิร์สเซอรี่ของนางจึงคุณภาพคับแก้ว แต่กับหนุ่มๆ ก็จะมุกแพราวพราว..งามพิศไม่ชอบให้ใครมาเรียกป้า นางกลัวความแก่ จนกระทั่งได้เจอลุงเต็งมาฝากเลี้ยงหลาน นางเลยอยากเป็นป้าขึ้นมาทันทีทันใด นางเป็นเจ้าของวลี “ลุงไม่ว่างจ้างป้า” กับ “ว้าย อยากโดนพิชิต”\nผู้จัดการดารา-แมวมอง ชื่อดัง เป็นสาวใหญ่ใจเปลี่ยว เซ็กซี่แบบมีระดับ มั่นใจตัวเองสูง ดูมีพลังในตัวเอง ละอองจะเป็นคนขี้เบื่อ เห่อใครเป็นพักๆ มีเด็กหนุ่มในสังกัดที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอยู่หลายคน ไม่ได้คิดจริงจังกับใคร ไม่จริงใจกับใคร หลอกใช้คนเพื่อผลประโยชน์ รักตัวเอง\nเป็นเพื่อนสนิทของเก่ง พี่เขยของชิดดาว รุ่นราวคราวเดียวกับเต็ง เป็นเจ้าของร้านเบเกอร์รี่ “ปั๊มขนม” ปั๊มเป็นหนุ่มหน้าตาดี สุภาพ อ่อนโยน มองโลกในแง่ดี อารมณ์ดี ใจเย็น รู้จักวางตัว เอาใจเก่ง จริงใจและรักชิดดาวมาก มากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ และพร้อมที่จะเสียสละ และหลีกทางให้ เมื่อรู้ว่าชิดดาวรักเต็งสุดหัวใจ สุดท้ายปั๊มก็รู้ว่าชิดดาวไม่ได้ชอบตน หลังจากนั้นก็ปิดกิจการร้านเบเกอร์รี่ไป\nลูกชายตัวผอมใส่แว่นของคุณชายกับคุณหญิง เพื่อนสนิทข้างบ้านของกาโม่วัยเดียวกับ”กาโม่” จงใจตั้งชื่อลูกว่า “หลวง” เพื่อให้ทุกคนเรียกว่าคุณหลวง...คุณหลวงเป็นเด็กเรียนดีได้ที่ 1 ของห้องเสมอ ลุ๊คเป็นเด็กเนิร์ดคงแก่เรียนแต่ก็แอบแสบแอบซนกว่ากาโม่ซะด้วยซ้ำ ก็คงเหมือนพ่อแม่ที่เป็นจอมสร้างภาพ พอลับหลังพ่อแม่ คุณหลวงคือตัวหัวโจก พากาโม่ซนซะมากกว่า \nภรรยาคุณชาย เพื่อนข้างบ้านเต็ง อายุสามสิบต้นๆ จอมสร้างภาพตัวแม่ ใช้แบรนด์เนมทุกอย่าง (ของปลอมซะเยอะ) รักลูกหวงลูกเหมือนไข่ในหิน เธอกับสามีเหมือนกระจกสะท้อนกันและกัน เพราะนิสัยเหมือนกันเด๊ะ คิดเห็นอะไรไปทางเดียวกันเสมอ สมแล้วที่เป็นผัวเมียกันน่าจะเป็นเนื้อคู่หนังคู่กัน ข้อดีก็มี สามีภรรยาคู่นี้ไม่ค่อยทะเลาะมีปากมีเสียงกันเพราะมักจะยอมๆกัน จงใจเปลี่ยนชื่อเล่นเป็น “หญิง” เพื่อให้ทุกคนเรียกตนว่า “คุณหญิง” เดิมชื่อ \"อ้อย\" และเป็นแม่ของคุณหลวง และไม่ค่อยชอบให้ลูกชายตนไปเล่นกับกาโม่\nเพื่อนข้างบ้านเต็ง อายุสามสิบกว่าๆ มีรายได้จากการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์และเป็นนายหน้าค้าที่ดิน เป็นจอมสร้างภาพ ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร คบเต็งตามมารยาท ไม่ชอบเห็นลูกใครดีกว่าลูกและครอบครัวตัวเอง จงใจเปลี่ยนชื่อเล่นเป็น “ชาย” เพื่อให้ทุกคนเรียกตนว่า “คุณชาย” เดิมชื่อ \"ปึ๊ด\" เป็นสามีของคุณหญิงและเป็นพ่อของคุณหลวง แต่สุดท้ายเสียชีวิตเพราะถูกมัดฆ่าตาย \nคนรับใช้ข้างบ้านแต่หลอกเต็งว่าเป็นหลานสาวเจ้าของบ้าน สอดรู้สอดเห็น หน้าเงิน ตอนแรกแอบชอบเต็งแต่พอรู้ว่าเต็งชอบชิดดาวก็เลยหันมาเป็นสปายให้แม่เต็ง สืบความลับในบ้านไปรายงานแลกกับเงินแทน และแอบชอบคนงานก่อสร้างที่ชื่อมัด แต่แท้จริงมัดแฟนของน้องหนูเป็นโจรร้ายและเธอเองก็มีส่วนร่วมให้มัดเข้ามาปล้นบ้านคุณชายและคุณหญิง\nพ่อของเต็งและโต๊ดเป็นคนอารมณ์ดี มีเหตุผล มีลักษณะประนีประนอม ตั้งรกรากอยู่ต่างจังหวัด ทำกิจการขายวัสดุก่อสร้างมาแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ อยากให้ลูกๆ สานธุรกิจของครอบครัวต่อ แต่เต็งไม่ชอบจริงๆ ก็ไม่อยากขัดใจเลยหันไปทุ่มเทที่โต๊ดแทนซึ่งโต๊ดก็พยายามหลบเลี่ยงอยู่ ลงทุนส่งโต๊ดไปเรียนต่อก็เพราะรับปากว่าจะกลับมาสานต่องานให้ที่บ้าน\nแม่ของเต็งและโต๊ดเป็นผู้หญิงสไตล์แม่บ้านแม่เรือน ทุ่มเทชีวิตเพื่อลูกเพื่อผัว ไม่ค่อยสนใจดูแลตัวเองอะไรมากมาย เป็นคนดุ เจ้าระเบียบมาก ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ กึ่งจะเป็นจอมบงการประจำบ้าน เป็นคนขี้น้อยใจขี้งอน คิดเองเออเองบ่อยๆ ชอบเล่นหวย ตีทุกสิ่งเป็นเลขได้หมด แถมแม่นมากเสียด้วย\nพี่สาวชิดดาว แต่งงานแล้ว ทำกิจการรีสอร์ท “ชิดจันทร์ใกล้ดาว” อยู่ที่เกาะเสม็ดกับสามี เป็นผู้หญิงเก่ง ลุยงาน หนักเอาเบาสู้ รักชิดดาวมาก เพราะเหลือกันอยู่แค่ 2 คนพี่น้อง พ่อแม่เสียหมดแล้วจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีลูกสาว1คนวัยไล่เลี่ยกับกาโม่ เป็นคนที่เข้าใจชิดดาวมากที่สุด และมีมุมมองชีวิตในแบบของตนแนะนำชิดดาวอยู่เสมอ\nสามีของชิดจันทร์ เพื่อนสนิทของปั๊ม เป็นแฟมมิลี่แมน รักครอบครัวมาก ตลก สนุกสนาน เฮฮา เลี้ยงลูกแบบเพื่อน เปิดรีสอร์ท และมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง มีความสามารถด้านการทำอาหารแบบหาตัวจับยาก จนร้านอาหารของรีสอร์ทได้รับความนิยม เป็นที่ล่ำลือจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในรสชาติของความอร่อย",
"ดร.เสน่ห์ ถิ่นแสน มีชื่อในกลุ่มล้มเจ้า ทำผิดคดีมาตรา112 โดยทำงานใกล้ชิดกับนายอเนก ชัยชนะ ในการก่อตั้งภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นองค์กรที่ถูกมองว่า ใกล้ชิดกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร แต่ ดร.เสน่ห์ ยืนยันตลอดว่า ไม่เคยได้รับเงินทองจากใคร หรือเป็นลูกน้องของใคร และเมื่อนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ลี้ภัยไปที่นครซานฟรานซิสโก ดร.เพียงดิน รักไทย มีบทบาทช่วยเหลือด้านการลี้ภัยในนามภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และการก่อตั้งองค์การเสรีไทยเพือสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ",
"ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาคนที่28 โดยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์หลายสมัย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย สุรศักดิ์ นาคดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ การุณ ใสงาม อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดบุรีรัมย์ โสภณ ซารัมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โสภณ เพชรสว่าง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหลายสมัย, อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม อธิวัฒน์ บุญชาติโฆษกพรรคความหวังใหม่ อดีตหัวหน้าพรรคประชาชาติไทย",
"§1190 §1 - ห้ามการซื้อขายเรลิกศักดิ์สิทธิ์โดยเด็ดขาด\n§1190 §2 - ห้ามย้ายเรลิกที่มีความสำคัญและวัตถุมงคลอื่นๆที่เป็นที่สักการะโดยมิได้มีการอนุญาตจากเขตมิสซัง\nตั้งแต่เริ่มแรกเรลิกใช้เป็นสิ่งเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างผู้มีความศรัทธาและความสำคัญกับพระเจ้า คริสต์ศาสนิกชนในยุคกลางมักเดินทางไปแสวงบุญตามสถานที่ที่เป็นของนักบวชศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เรลิกกลายเป็นธุรกิจใหญ่ นักแสวงบุญแสวงหาเรลิกเพื่อนำกลับไปไว้ที่บ้านเพื่อการสักการะ เพราะในสมัยนั้นการอยู่ใกล้ชิดสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญทางศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ (Brown, 89) ตามที่บรรยายไว้โดย อันเดร วอเชส์ (Andre Vauchez) ปลายสมัยยุคกลางว่า “ชนสามัญชอบมีนักบุญใกล้ชิดกับตัวเองตลอดเวลา” (Vauchez, 139) เมื่อซื้อหามาแล้วนักแสวงบุญสามารถสักการบูชาได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเดินทางไกลหรือเบียดกับใคร",
"พออินสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คุณนายศรีตรัง กับ พยนต์ พ่อกับแม่ของเธอก็ไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา เพราะกลัวว่าอินจะเป็นเหมือน วิวิต พี่ชายที่แหกคอกไปเรียนเมืองนอกแล้วไม่ยอมกลับบ้าน ครอบครัวของอินตีกรอบให้เธอจนอินไม่เป็นตัวของตัวเอง แถมยังถูกคนในมหาวิทยาลัยมองว่าเป็นคุณหนูไฮโซไม่เอาไหนอีก อินจึงสมัครเข้าชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท และ อาสาหาทุนให้ชมรมไปทำประโยชน์เพื่อลบคำสบประมาท ในที่สุดอินก็ได้ไปออกค่ายฯ กับเศาร์ ความใกล้ชิดทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้น สร้างความไม่พอใจให้กับคุณนายศรีตรัง และ พยนต์อย่างมาก ทั้งคู่จึงตัดสินใจส่งอินไปเรียนต่อเมืองนอกกลางคัน เพราะไม่ต้องการให้เศาร์ใกล้ชิดกับอินอีก จนเศาร์เรียนจบมหาวิทยาลัยกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดตัวเอง และขาดการติดต่อกับอินเพราะถูกกีดกันจากพ่อ และแม่ของเธอ ที่เมืองนอกอินพยายามส่งจดหมายมาหาเศาร์อยู่เสมอแต่เศาร์ไม่ตอบกลับ ทำให้เธอคิดว่าเศาร์คงแต่งงานกับไฉไล สาวสวยในหมู่บ้านที่ชอบเศาร์อยู่ อีกทั้ง ยายทอง กับ เฉลา ยายและแม่ของเศาร์ก็ชอบไฉไลมาก ถึงขั้นอยากได้ไฉไลมาเป็นหลานสะใภ้ \nเหมือนฟ้าลิขิตเศาร์ได้เจอกับอินอีกครั้ง เมื่ออินกลับจากเมืองนอก และมาช่วยพ่อทำงานที่บริษัทขณะเดียวกับที่พยนต์ต้องการสร้างภาพเพื่อจะลงเล่นการเมือง อินจึงอาสาเป็นตัวแทนบริษัทของพ่อมาแจกของชาวบ้านที่หมู่บ้านของเศาร์ ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง และปรับความเข้าใจกัน พออินกลับกรุงเทพฯ เธอพยายามหาข้ออ้างกับพ่อเพื่อจะกลับไปหาเศาร์ที่บ้านดงมะต้องอีกครั้ง อินกับเศาร์จึงได้เจอกันบ่อยขึ้นโดยไม่มีใครสงสัย \nในขณะที่ความรักของอินกับเศาร์กำลังไปได้สวย จู่ๆ ศรีตรังจะให้อินแต่งงานกับ หทัย ลูกชายของอัปสร เพื่อนสนิทให้ได้ เพราะได้แรงยุจาก อรัญชรา เลขาคนสนิท แต่อินก็หาทางบ่ายเบี่ยงจนได้ โดยมี ลุงหงวน คนขับรถคอยช่วยเหลือ \nศรีตรังให้หทัยคอยติดตามดูแลอินใกล้ชิด หทัยจึงต้องตามอินไปที่บ้านดงมะต้องด้วย ทำให้เศาร์เข้าใจผิดว่าหทัยเป็นแฟนอิน เศาร์จึงคิดที่จะตัดใจจากเธออีกครั้ง แต่ไม่นานความลับเรื่องที่หทัยเป็น เกย์ ก็ถูกเปิดเผย อินดีใจมากที่ไม่ต้องแต่งงานกับหทัย เธอรีบเดินทางไปบอกเรื่องนี้กับเศาร์ ทำให้เศาร์มั่นใจว่าอินก็มีใจให้เขาเหมือนกันเศาร์จึงกล้าบอกรักอิน \nพออินกลับมาที่บ้านเธอก็ได้เจอกับวิวิตพี่ชายที่ถูกพ่อเรียกตัวกลับเมืองไทย เพื่อให้มาช่วยดูแลธุรกิจ วิวิตทิ้งภรรยาฝรั่งแล้ว ควงสาวไทยแฟนใหม่กลับมาด้วย อินตกใจมากที่พี่สะใภ้คนใหม่ของเธอคือ แพท จนเธอตั้งท้องเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ ถึงคลี่คลาย\nส่วนที่บ้านดงมะต้องก็มีมหาเศรษฐีจากอเมริกาชื่อ ดาวเรือน มาพักอยู่เพราะชอบในความเป็นธรรมชาติ และ นิสัยใจคอของผู้คนที่หมู่บ้านมะต้อง ดาวเรือนตามหาลูกชายคนเดียวที่เธอเคยทิ้งไป โดยให้โชค นักสืบคนสนิทช่วยตามหาทุกที่แต่ก็ ไม่เจอ เธอจึงใช้เวลาว่างช่วยเหลือโครงการหมู่บ้านทุกอย่างโดยมีเศาร์ประสานงานให้ ดาวเรือนรู้สึกถูกชะตา และเอ็นดูเศาร์มากเป็นพิเศษ เมื่อเธอรู้ว่า เศาร์จะเข้ากรุงเทพฯ ไปหาอิน ดาวเรือนให้กำลังใจเศาร์ต่อสู้กับอุปสรรคความรักให้สำเร็จ แต่เรื่องยุ่งๆไม่จบแค่นั้น เพราะออมเพื่อนร่วมงานของอินก็ชอบเศาร์เหมือนกัน พอออมรู้ว่าอินกับเศาร์แอบคบกันเธอจึงเอาเรื่องของทั้งคู่ไปฟ้องศรีตรัง ทำให้ความรักของอินกับเศาร์ถูกกีดกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เศาร์มุ่งมั่นจะแต่งงานกับอินให้ได้ เศาร์จึงเข้าไปพบศรีตรัง และพยนต์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ก็โดนว่าที่พ่อตาปฏิเสธ และยื่นคำขาดว่าถ้าไม่มีสินสอดทองหมั้นพันล้าน!!! ไม่ต้องมาให้เห็นหน้า โอ้มายก๊อต..ต์!เรียกสินสอดมหาศาลขนาดนี้ลูกชาวนาจนๆ อย่างเศาร์จะหาเงินมาขออินแต่งได้ยังไง ?",
"ขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส. หนองบัวลำภู พรรคพลังประชาชน ได้เสนอ นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส. สกลนคร พรรคพลังประชาชน เป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แต่นายจุมพฏไม่เห็นชอบด้วย นายพิษณุจึงมีทีท่าจะเสนอคนอื่นแทน นายชัย ชิดชอบ จึงกล่าวขึ้นกลางที่ประชุมว่า \"จะเสนอใครถามเจ้าตัวก่อนดีกว่าว่าเขารับหรือไม่ เจ้าตัวไม่เอายังเสือกเสนออยู่อีก จะเสนอใครก็รีบเสนอ เสียเวล่ำเวลา\" ท่ามกลางความตกตะลึงของ ส.ส. ในที่ประชุม อย่างไรก็ดี ความหงุดหงิดของนายชัยเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มประชุมแล้ว เนื่องจากความไม่พร้อมเพรียงและความวุ่นวายของ ส.ส. ที่เข้าประชุม จนนายชัยต้องกดสัญญาณเรียกถึงหกครั้ง และสั่งให้นับองค์ประชุมอีกหลายครั้ง ทั้งนี้ ในวันต่อมา นายชัยก็ได้กล่าวขอโทษ ส.ส. สำหรับกรณีดังกล่าวอย่างสุภาพด้วยความรู้สึกผิด[7] [8] [9] [10]",
"นายชัย ชิดชอบ เกิดที่บ้านเพี้ยราม ตำบลเพี้ยราม อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนสุรวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์ [2]",
"คุณหญิงที่เห็นความไม่ลงลอยของหลานทั้งสาม ก็พยายามหาทางเชื่อมสัมพันธ์ สั่งให้นุชาพาขนุนไปซื้อของ สั่งให้พาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา แต่ทุกครั้งก็จะมีเรื่องให้ต้องผิดใจกัน รวมถึงเรื่องที่อนุชามาคอยป่วน เพราะไม่ชอบให้ใครมาใกล้ชิดนุชา ผู้เป็นเหมือนซุป'ตาร์ไอดอลในดวงใจของเธอ",
"นายชัย ชิดชอบ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 นายชัยได้ทำหน้าที่ประธานโดยได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ ขณะที่นายชัยจะคุกเข่าสดับพระบรมราชโองการฯ ก็เกิดล้มหัวคะมำ และเมื่อคุกเข่ารับฟังเสร็จแล้ว เมื่อจะลุกขึ้นก็ลุกไม่ขึ้น แต่นายชัยก็พยายามจะลุกให้ได้ จึงทำให้ล้มไปข้างหน้า จนนายนิสิต สินธุไพร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ที่มาร่วมในพิธีด้วย รีบเข้าไปพยุงนายชัยให้ยืนขึ้นเป็นปกติ และเดินกลับไปห้องประชุมได้และเรื่องนี้ก็ได้เป็นที่เล่าขานถึงความศักดิ์สิทธ์ของรัฐสภาในการคัดสรรผู้เหมาะสมที่จะบังลังก์[6]"
] |
ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำใช่หรือไม่? | [
"ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้"
] | [
"นัมมู (Nammu) คือมหาเทพีของชาวสุเมเรียน เป็นเทพีแห่งน้ำ ถือเป็นเทพผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง ในตำนานเล่าว่า มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมากมายในจักรวาลนี้ ไร้ระเบียบ กฎเกณฑ์ เหล่าเทพก็เลยต้องการให้มีมนุษย์มาควบคุมให้เกิดระเบียบ เหล่าเทพต้องการให้เทพเจ้าเอนกิ เทพแห่งปัญญาเป็นผู้สร้าง แต่เทพเจ้าเอนกิหลับอยู่ เทพเจ้านัมมูจึงปลุกและ ขอร้อง จึงเกิดมาเป็นมนุษย์ขึ้น มหาเทพีนัมมู มีโอรสและธิดาสององค์คือ เทพอัน เทพแห่งสวรรค์ และ เทพีคิ เทพีแห่งแผ่นดิน",
"บางท้องที่เชื่อว่าท่านเป็นเจ้าแห่งนาค ปกครองนาคที่ดูแลทรัพย์สมบัติเบื้องล่าง จึงถือเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งองค์หนึ่ง ในจีนและญี่ปุ่นถือเป็นเทพเจ้าแห่งโชค บางแห่งถือว่าท่านเป็นเทพแห่งการพักแรม ในอินเดียถือว่าท่านเป็นเทพองค์เดียวกับท้าวกุเวร",
"ฑากิณี ( \"ḍākinī\"; ; แบบวิลลี:\"mkha'-'gro-ma\"; พินอินทิเบต:\"Kandroma\"; ) เป็นเทพที่ปรากฏในความเชื่อของศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาลัทธิตันตระ โดยในศาสนาฮินดูถือว่าเป็นบริวารของเจ้าแม่กาลี ส่วนในลัทธิตันตระถือเป็นเทพผู้ช่วยของสิทธะ ฑากิณีมีหลายองค์ มีทั้งรูปปกติและรูปดุร้าย รูปปกติมี 6 องค์คือ พุทธฑากิณี วัชรฑากิณี รัตนฑากิณี ปัทมฑากิณี กรรมฑากิณี วิศวฑากิณี รูปดุร้าย คือ สวรวพุทธฑากิณี สิงหวักตรา มกรวักตรา วัชรวราหี และมีฑากิณีประจำฤดูกาล อีก 4 องค์คือ วสันตเทวี คิมหันตเทวี ศรัทเทวี และเหมันตเทวี",
"ในคัมภีร์พระเวท โสมถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เสมอเทพเจ้า เทพเจ้า น้ำโสม และต้นโสม อาจหมายถึง สิ่งอันเป็นหนึ่งเดียว หรืออย่างน้อยก็แยกความแตกต่างได้ยาก ลักษณะเช่นนี้ คล้ายกับคำว่า \"ambrosia\" ของกรีกโบราณ (มีรากศัพท์ร่วมกับคำว่า \"อมฤต\") ซึ่งเป็นสิ่งที่เทพเจ้าดื่ม และสิ่งที่ทำให้ผู้ดื่มกลายเป็นเทพเจ้า พระอินทร์และพระอัคนิ ถือว่าได้เสวยน้ำโสมอย่างบริบูรณ์ หากมนุษย์ได้ดื่มน้ำโสม ก็เชื่อว่าอาจจะได้รับความเป็นทิพย์เช่นเทพเจ้าด้วย",
"2. ลัทธิไศวะ เป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด พระศิวะเป็นเทพทำลายและสร้างสรรค์ด้วย สัญลักษณ์ อย่างหนึ่งแทนพระศิวะคือศิวลึงค์และโยนีก็ได้รับการบูชา เช่น องค์พระศิวะ นิกายนี้ถือว่าพระศิวะเท่านั้นเป็นเทพสูงสุดแม้แต่พระพรหม, พระวิษณุก็เป็นรองเทพเจ้าพระองค์นี้ นิกายนี้เชื่อว่า วิญญาณเป็นวิถีทางแห่งการหลุดพ้นมากกว่าความเชื่อในลัทธิภักดี นิกายนี้จะนับถือพระศิวะและพระนางอุมาหรือกาลีไปพร้อมกัน",
"ความเชื่อเรื่องพระวิษณุปรากฏมีพัฒนาการมายาวนาน ชาวทราวิฑเริ่มนับถือพระวิษณุก่อนในฐานะเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณทางการเกษตร[1] พอถึงสมัยพระเวท ชาวอารยันถือว่าพระวิษณุเป็นเทพชั้นรอง มีสถานะเป็นตัวแทนของพลังดวงอาทิตย์ เมื่อถึงสมัยพราหมณะพระวิษณุถูกยกย่องสูงขึ้นอีกในฐานะเทพผู้นำโชค แต่ยังไม่ถือเป็นมหาเทพ จนกระทั่งถึงสมัยปุราณะพระวิษณุจึงได้รับการยกย่องเป็นมหาเทพผู้รักษาคุ้มครองโลก และเชื่อว่าเป็นองค์เดียวกับพระนารายณ์ คัมภีร์วิษณุปุราณะและภาควตปุราณะซึ่งแต่งขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ได้พัฒนาบทบาทของพระวิษณุโดยการเชื่อมโยงวีรบุรุษในตำนานของชาวอินเดียหลายคน เช่น พระราม พระกฤษณะ พระโคตมพุทธเจ้า ว่าล้วนแต่เป็นปางอวตารของพระวิษณุเพื่อผดุงธรรมะบนโลก ในยุคนี้เองที่เกิดลัทธิไวษณพซึ่งถือว่าพระวิษณุคือพระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กว่ามหาเทพอื่น ๆ",
"ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือบั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา",
"ในวัฒนธรรม หนูยังมีความผูกพันกับมนุษย์มาเป็นเวลายาวนาน ในหลายวัฒนธรรม หลายเชื้อชาติ หลายความเชื่อ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีการค้นพบโครงกระดูกหนูอยู่เคียงข้างกับโครงกระดูกมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ชาวจีนในสมัยโบราณเชื่อว่า วันที่ 3 ของวันปีใหม่ เป็นวันที่หนูจะแต่งงานกัน ชาวจีนจะไม่นอนดึกจนเกินไป และจะโปรยเมล็ดข้าวและเกลือลงบนพื้นเพื่อเป็นอาหารของหนูด้วย ชาวฮินดูมีเทพเจ้าองค์หนึ่งที่เป็นเทพระดับสูง คือ พระพิฆเนศ ที่มีส่วนเศียรเป็นช้าง และได้ทรงหนูเป็นพาหนะ ดังนั้นชาวฮินดูจึงถือว่าหนูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หรือในนิทานพื้นบ้านของชาวเยอรมันเรื่อง \"Pied Piper of Hamelin\"",
"ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า ”พราหมณ์” ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล -จนถึงนิกายมหายาน - วัชรญาณ เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แลัวเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้",
"ยมานตกะ (ภาษาทิเบต:གཤིན་རྗེ་གཤེད་ Gshin-rje-gshed) เป็นเทพยิดัมหรือผู้ปกป้องธรรมในภาคดุร้ายองค์หนึ่งตามความเชื่อของชาวพุทธในทิเบต แปลว่า ที่ตายของพระยม หรือผู้ทำให้พระยมเกรงกลัว เชื่อกันว่าเป็นภาคดุของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เพื่อปราบพระยม และอาจสร้างขึ้นเพื่อลดทอนอำนาจของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะไศวนิกาย",
"เมื่อมีการเสียชีวิตก็จะมีพิธีกรรมทางศาสนา ชาวฮินดูเชื่อว่าเมื่อตายลงวิญญาณจะเป็นอิสระและจะกลับไปเกิดใหม่ หากจะเป็นอิสระได้ก็ต้องมีการฌาปนกิจศพให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะถือว่าเสร็จสิ้นพิธีการ เพราะการฌาปนกิจไม่ใช่แค่การกำจัดศพ แต่เป็นการส่งดวงวิญญาณให้กลับไปสู่เทพเจ้าและเป็นผีบรรพบุรุษคอยบันดาลพูนสุขแก่ลูกหลานบนโลก กระนั้นการฌาปนกิจแบบบาหลีนั้นค่าใช้จ่ายสูงนักเนื่องจากมีพิธีกรรมค่อนข้างซับซ้อน หลายครอบครัวจึงต้องฝังศพไว้ก่อนจนกว่าจะมีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่างานศพ ทั้งนี้ศพของนักบวชและชนชั้นสูงจะถูกเก็บไว้เหนือผืนดินไม่ให้ฝังไว้ใต้ดิน",
"พระอัศวิน (, สันสกฤต: अश्विन) เป็นเทพเจ้าตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู พระอัศวินเป็นเทพเจ้าฝาแฝดที่มีศีรษะเป็นม้า และมีร่างกายเป็นมนุษย์ องค์หนึ่งมีพระนามว่า นาสัตยอัศวิน (ความกรุณา) อีกองค์หนึ่งมีพระนามว่า ทัศรอัศวิน (ความรู้แจ้ง) เทียบได้กับเทพเจ้าตามเทพปกรณัมกรีก เช่น โฟบอส และ ดีมอส, ฮิปนอส และ ทานาทอส, แคสเตอร์ และ พอลลักซ์ เป็นต้น",
"เฮอร์เมทิคาเป็นวรรณคดีโบราณของอียิปต์ เชื่อกันว่าเขียนขึ้นโดยเทพเจ้าธอธซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์ไฮโรกลิฟ ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าองค์นี้เป็นองค์เดียวกับเทพเฮอร์มีสของตน จึงเรียกงานเขียนของเทพธอธว่าเฮอร์เมทิคา",
"สี่แยกราชประสงค์ () เป็นสี่แยกใจกลางกรุงเทพมหานคร เป็นจุดตัดของถนนเพลินจิตและถนนราชดำริ เป็นย่านศูนย์การค้าที่สำคัญซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานศาลเทพเจ้าต่างๆทั้งสิ้น 6 ศาลจนบางคนถึงกับเรียกสี่แยกนี้ว่า \"แยก 6 เทพ\" ซึ่งเทพทั้งหกองค์นั้นเป็นเทพเจ้าในศาสนาฮินดูทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท้าวมหาพรหมเอราวัณ จากคำขวัญของเขตปทุมวันที่ว่า \"บูชาท้าวมหาพรหม ชื่นชมวังสมเด็จย่า ศูนย์การค้ามากมี ลุมพินีสวนสาธารณะ ศิลปะมวยไทย สถานีรถไฟหัวลำโพง เชื่อมโยงรถไฟฟ้า สถานศึกษาเลื่องชื่อ นามระบือจุฬาลงกรณ์\" ล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแยกราชประสงค์นี้อย่างมาก รวมไปถึงการมีจุดเชื่อมโยงรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม เพราะสี่แยกราชประสงค์ อยู่ในบริเวณของสามสถานี ตั้งแต่สถานีราชดำริ สถานีสยาม และสถานีชิดลม",
"ในศิลปะของฮินดู มีภาพวาดเทพเจ้าโสมเป็นรูปโค หรือนก และบางครั้งก็เป็นตัวอ่อนมนุษย์ แต่ไม่ค่อยพบที่วาดเป็นมนุษย์ผู้ใหญ่ ในศาสนาฮินดูนั้น เทพโสม กำเนิดขึ้นเป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ และมีความเกี่ยวข้องกับปรโลก พระจันทร์ถือถ้วยที่เทพเจ้าใช้ดื่มน้ำโสม ด้วยเหตุนี้ โสมจึงเป็นบุคลาธิษฐานของเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ หรือพระจันทร์ นั่นเอง พระจันทร์ข้างขึ้น หมายถึงโสมกำลังสร้างตัวขึ้นใหม่ พร้อมทื่จะถูกดื่มอีกครั้ง ",
"ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า \"พราหมณ์\" ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล -จนถึงนิกายมหายาน - วัชรญาณ เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้",
"[[หมวดหมู่:วันที่ 3 ของงานกินเจ คณะผู้จัดการศาลเจ้า ต้อง เลี้ยงอาหารทหารเทพทั้ง 5 เหล่าทัพ \"เป้งสิน\" เนื่องจากการกินเจ จะต้องอัญเชิญเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่มาประทับทรง ทหารเทพก็จะมาคอยดูแลอารักขาประจำที่ศาลเจ้า ดังนั้นการจัดเลี้ยงก็จะมีอาหารเจนานาชนิดและผลไม้ตามฤดูกาล นอกจากนั้น ก็จะมีอาหารเลี้ยงม้าของเหล่าแม่ทัพต่างๆอีกด้วยเช่น หญ้า ถั่วเขียว ข้าวสาร ข้าวเปลือก และเกลือ ทหารทั้ง 5 เหล่าทัพ ซึ่งเป็นกองทัพองค์รักษ์ 1.กองทัพธงดำ มีกำลังพลทหาร 999,999 องค์ 2.กองทัพธงเขียว มีกำลังพลทหาร 888,888 องค์ 3.กองทัพธงแดง มีกำลังพลทหาร 777,777 องค์ 4.กองทัพธงขาว มีกำลังพลทหาร 666,666 องค์ 5.กองทัพธงเหลือง มีกำลังพลทหาร 555,555 องค์ พิธีเลี้ยงอาหารทหารเทพ จะมี 3 ครั้งด้วยกัน คือ ขึ้น 3 ค่ำ 6ค่ำ และ 9 ค่ำ เมื่อเสร็จพิธีก็จะส่งออกไปรักษาความสงบตามอาณาเขตของศาลเจ้า เทพเจ้าออกอวยพรลูกหลาน วันที่ 4 ของงานกินเจ เทพเจ้าออกอวยพรชาวเหนือคลอง และ วันที่ 5 เทพเจ้าออกอวยพรชาวตลาดเก่า และในตัวเมืองกระบี่ จะมีการจัดขบวนแห่ไปตามถนนต่างๆ ผู้มีจิตศรัทธาจะตั้งโต๊ะไว้หน้าบ้าน ซึ่งปูด้วยผ้าสีแดง มีกระถางธูป เทียน ดอกไม้ น้ำชา ข้าวสารผสมเกลือ (เกียมบี้) และผลไม้ต่างๆ นอกจากนั้นจะมีการเผาไม้หอม ( ไม้จันทน์ ) ให้ควันอบอวลไปทั่วบ้าน เทพเจ้าจะเข้ามาอวยพรขจัดปัดเป่าให้โชคดี และอยู่เย็นเป็นสุข สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การจุดประทัดให้ดังสนั่นทั่วทั้งบ้าน]]",
"ศาสนาฮินดูมีคติการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่ละองค์ต่างมีลัทธิบูชาโดยเฉพาะ แต่ละยุคสมัย ใช้ตำนานเชื่อมต่อที่แตกต่างกันไป ในแต่ละท้องถิ่นยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์หนึ่ง ๆ แตกต่างกันไปด้วย โดยทั่วไปเรียกเทพผู้ชายว่าเทวดา () และเทพผู้หญิงว่าเทวี ()",
"ในคติของศาสนาฮินดูให้ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า \"ธรณิธริตริ\" แปลว่า \"ผู้ค้ำจุนพระธรณี\" แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุก ๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้ ",
"ศาสนานี้นับถือเทพเจ้าหลายองค์ เรียกว่า \"พหุเทวนิยม\" เทพเจ้าแต่ละองค์ในแต่ละยุคสมัย มีบทบาท และตำนานต่างกันไป ในแต่ละท้องถิ่นยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์หนึ่งๆ แตกต่างกันไปด้วย โดยทั่วไปถือว่าชาวฮินดูเชื่อว่ามีเทพเจ้าสูงสุด ที่ได้อวตารแยกร่างออกมาเป็น 3 องค์ เรียกว่า \"ตรีมูรติ\" คือ",
"5. ลัทธิคณพัทยะ (Ganabadya) นิกายนี้นับถือพระพิฆเณศเป็นเทพเจ้าสูงสุด ถือว่าพระพิฆเนศเป็นศูนย์กลางแห่งเทพเจ้าทั้งหมดในศาสนา เชื่อว่าเมื่อได้บูชาพระพิฆเนศอย่างเคร่งครัด ก็เท่ากับได้บูชาเทพอื่นๆ ครบทุกพระองค์",
"เทพปกรณัมของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง",
"เอบิซุ (恵比須, 恵比寿, 夷, 戎, Ebisu) หรือ ฮิรูโกะ (蛭子, Hiruko) ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งการประมง, โชคลาภและการทำธุรกิจในความเชื่อของญี่ปุ่น พระองค์เป็นเทพเจ้าพระองค์เดียวที่เกิดจากความเชื่อท้องถิ่นโดยปราศจากอิทธิพลจากเทพเจ้าฮินดูในกลุ่มเจ็ดเทพเจ้าโชคลาภชิจิฟูกูจิง (七福神 Shichifukujin) เทพเอบิซุทรงเป็นพระโอรสของเทพไดโกกูเท็ง เทพแห่งความร่ำรวย เทพเอบิซุมักปรากฏในลักษณะชายร่างท้วม ใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข มักถือปลาหรือคันเบ็ด ในบางแห่งขี่ปลา สวมหมวกทรงแหลม โดยถือว่าปลา (Tai) นั้นหมายถึง โชคลาภ อาหาร ความอุดมสมบูรณ์ ความเหลือกินเหลือใช้ ความมั่งคั่ง ปลาที่ทรงถือนั้นมีชื่อว่า เอบิซูได (Ebisu Dai)",
"ชาวจ้วงนับถือเทพหลายองค์ และไม่ได้นับถือศาสนาหรือเทพเดียวกันอย่างเป็นเอกภาพ ชาวจ้วงถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างมี \"วิญญาณ\" ชาวจ้วงนับถือธรรมชาติ, บรรพบุรุษ และภาพสัญลักษณ์ เช่น หากจะจับปลาจับกุ้งก็จะต้องไหว้เทพเจ้าแม่น้ำก่อนทอดแห หรือหากจะตัดต้นไม้ต้องไหว้เทพเจ้าภูเขาหรือต้นไม้เสียก่อน เป็นต้น หากมนุษย์ทำการล่วงละเมิด เทพเจ้าก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ทันที ทำให้มนุษย์เกรงกลัวเทพเจ้า หากไปล่วงละเมิดต่อเทพเจ้าองค์ใดมา ก็ต้องรีบยกข้าวปลาอาหารและเหล้า เงินกระดาษและธูปไปไหว้ทันที เพื่ออ้อนวอนให้ยกโทษและคุ้มครองตน",
"โคอุสุภราชในความเชื่อของชาวฮินดูไม่เพียงแต่เป็นสัตว์พาหนะตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ยังได้รับการบูชาดุจดั่งเทพเจ้าองค์หนึ่ง ดังนั้น โคหรือวัวสำหรับชาวฮินดูจึงถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ชาวฮินดูจึงไม่ฆ่าโคและกินเนื้อวัว ในพิธีการมงคลแบบฮินดู พราหมณ์จะนำมูลโคมาเจิมหน้าผาก ถือว่าเป็นมงคลประการที่ 7 และในวิหารบูชาพระศิวะมักมีรูปปั้นโคอุสุภราชนี้ประดิษฐานที่กลางวิหารด้วย ด้วยถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งขององค์พระศิวะ",
"คุรุ ในภาษาสันสกฤตนั้นยังใช้หมายถึง \"พฤหัสบดี\" ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งตรงกับเทพเจ้าจูปิเตอร์ของชาวโรมันนั่นเอง ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูนั้น ดาว จูปีเตอร์/คุรุ/พฤหัสบดี ถือว่าเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ในภาษาต่างๆ ของอินเดีย คำว่า \"พฤหัสปติวาร\"(วันพฤหัสบดี) จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าว่า \"คุรุวาร\"(วันคุรุ) โดย \"วาร\" นั้นหมายถึงวัน",
"พระเวท () โดยทั่วไปถือว่าเป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หากกล่าวโดยเฉพาะลงไป หมายถึง บทสวดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความเชื่อของชาวอินโดอารยัน หรืออาจเรียกได้ว่าศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยมีการรวบรวมเป็นหมวดหมู่ในชั้นหลัง คำว่า “เวท” นั้น หมายถึง ความรู้ มาจากธาตุ “วิทฺ” (กริยา รู้) คัมภีร์พระเวท ประกอบด้วยคัมภีร์ 4 เล่ม ได้แก่ ฤคเวทใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า สามเวทใช้สำหรับสวดในพิธีกรรมถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์และขับกล่อมเทพเจ้า ยชุรเวทว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายัญและบวงสรวงต่าง ๆ และ อาถรรพเวท ใช้เป็นที่รวบรวมคาถาอาคมหรือเวทมนตร์",
"เทพเจ้าฮินดูมีหลายองค์ โดยทั่วไปเรียกเทพผู้ชายว่าเทวดา () ส่วนเทพผู้หญิงเรียกว่าเทวี ()",
"กาฮารีงัน () คือศาสนาพื้นเมืองของชาวดายะก์บนเกาะบอร์เนียวของประเทศอินโดนีเซีย โดย \"กาฮารีงัน\" นั้นมีความหมายว่าพลังแห่งชีวิตและความเชื่อ คือเชื่อในการมีอยู่เทพเจ้า ที่มีเทพเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียวตามหลักปรัชญาปัญจศีลของอินโดนีเซียข้อที่หนึ่ง ซึ่งกาฮารีงันเองก็รับอิทธิพลฮินดูจากชวามาช้านานแล้ว รัฐบาลจึงมองว่ากาฮารีงันไม่ใช่ศาสนา หากแต่ถือเป็นเพียงศาสนาฮินดูท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง และอาจเป็นเพราะศาสนาฮินดูเป็นหนึ่งในหกศาสนาที่รัฐบาลอินโดนีเซียให้การยอมรับอย่างเป็นทางการ กาฮารีงันมีเทศกาลที่สำคัญคือเทศกาลตีวะฮ์ (Tiwah) ที่จะมีการบูชายัญควาย วัว หมู และไก่ถวายแด่องค์เทพเจ้า"
] |
แคร์รี แมรี อันเดอร์วูด เกิดที่ไหน? | [
"อันเดอร์วูด เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1983 ที่เมืองมัสโคกี รัฐโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุตรสาวของ สตีเว่น และ แคโรล อันเดอร์วูด เธอเติบโตมากับฟาร์มของพ่อแม่ในเมืองชีโคตา รัฐโอคลาโฮมา[2] พ่อของเธอทำงานที่โรงเลื่อย ขณะที่แม่เธอเป็นครูสอนที่โรงเรียนประถม[3] เธอมีพี่สาวสองคน คือ แชนนา และ สเตฟานี[4][5] ในช่วงที่เธอยังเด็กนั้นเธอได้แสดงในรายการโชว์ความสามารถ รอบบินส์ เมมโมเรียล ทาเลนท์ โชว์ และเธอยังร้องเพลงที่โบสถ์ชุมชน (โบสถ์เฟริสต์ฟรีวิลแบปทิสต์) ด้วย[6] หลังจากนั้นเธอก็ได้เริ่มร้องเพลงที่งานต่าง ๆ ในชุมชนของเมืองชีโคตา[7]"
] | [
"เพื่อหารายได้ให้กับงานวิจัยมะเร็ง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 อันเดอร์วูดได้ร่วมงานกับ บียอนเซ่, มารายห์ แครี, แมรี เจ. ไบลจ์ และนักร้องหญิงคนอื่นอีกเพื่อบันทึกเพลง \"Just Stand Up!\" โดยรายได้นั้นจะนำไปให้ทาง Stand Up to Cancer (SU2C) [94] ซึ่งเพลงนี้ได้ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 11 ในบิลบอร์ดฮอต 100 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2009 อันเดอร์วูดได้ก่อตั้งมูลนิธิ Checotah Animal Town and School (C.A.T.S.) เพื่อหารายได้ให้กับเมืองเกิดของเธอ ในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2009 อันเดอร์วูดได้ไปเยี่ยมโรงเรียนมัธยมปลายชีโคตากับ รอบิน โรเบิร์ตส์ ผู้อ่านข่าวช่องเอ็นบีซี ซึ่งเธอได้ร้องเพลงกับเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งต่อหน้านักเรียนและคณะครู และได้บริจาคเครื่องดนตรีมูลค่ามากกว่า 117,000 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่โรงเรียน 3 แห่งในเมืองชีโคตา อันเดอร์วูดได้เล่นซอฟต์บอลในงานประจำปี City of Hope Celebrity Softball เพื่อการกุศลเป็นเวลาหลายปี ซึ่งงานนี้จัดที่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี และรายได้ที่รับนำไปให้งานวิจัยโรคที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิต[95] ในช่วงวันหยุดปีค.ศ. 2011 มูลนิธิ C.A.T.S. ของเธอ ได้บริจาคเงินจำนวน 350,000 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่โรงเรียนในเมืองชีโคตา[96] ในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2012 อันเดอร์วูดได้เขียนบล็อกในเว็บไซต์ของเธอว่าเธอได้ช่วยสุนัขที่ถูกปล่อยบนถนนทางหลวง โดยเธอเห็นสุนัข 2 ตัว บนถนนขณะที่เธอกำลังเดินทางไปบ้านพ่อแม่พร้อมกับสุนัขของเธอ (เอส กับ เพนนี) \"ฉันคิดว่าสุนัขถูกโยนทิ้งจากรถลงบนถนนทางหลวงโดยเจ้าของของมัน\" ตัวหนึ่งตายไปแล้วแต่เธอก็นำอีกตัว (เลือดไหลและไม่มีแรงอย่างมาก) เข้าไปในรถของเธอ เธอตั้งชื่อลูกสุนัขนั้นว่าสเตลลาและพามันไปหาหมอและดูแลมันเป็นอย่างดี ในเวลาไม่กี่วันเธอได้หาบ้านใหม่ให้กับสุนัข เธอเขียนว่า \"ฉันร้องไห้ตอนที่มันเดินออกจากประตูไป\"[97]",
"วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 สถานีวิทยุออตตาวา (105.3 CISS-FM) ระงับการเล่นเพลงของอันเดอร์วูดเพราะฟิชเชอร์โดนเทรดให้ทีมแนชวิลล์ เพรเดเตอร์ส แต่เนื่องจากการคุกคามของแฟนคลับในเฟซบุ๊ก ว่าจะไม่เปิดไปฟังสถานีดังกล่าว ต่อมาสถานีจึงเปลี่ยนแปลงมาเปิดเพลงของอันเดอร์วูดตามเดิม สถานีได้ออกมาขอโทษกับการกระทำ โดยตามคำแถลงการณ์บอกว่าเป็นแค่มุขตลกเท่านั้น การไม่เล่นเพลงของอันเดอร์วูดคือการอำลาฟิชเชอร์ให้โชคดีในแนชวิลล์[79][80] ฟิชเชอร์ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สถานีภายหลังว่า \"แคร์รีไม่ได้ทำอะไรในการย้ายหรือเทรดหรืออะไรทั้งนั้น การพูดแบบนั้นมันไม่เหมาะสม\" ทั้งเขาและอันเดอร์วูดผิดหวังที่สถานีทำแบบนั้น[81][82] อันเดอร์วูดได้รับเลือกจากนิตยสาร The Hockey News ให้เป็น 100 คนที่ทรงอิทธิพลในวงการฮอกกี้น้ำแข็ง โดยอยู่อันดับที่ 85[83]",
"อันเดอร์วูดถูกยกย่องโดยนิตยสารโรลลิงสโตน ให้เป็นนักร้องหญิงเสียงดีในยุคของเธอในทุกวงการเพลง ถูกยกย่องโดยนิตยสารไทม์ ให้เป็น 1 ใน 100 คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก และโดยนิตยสารบิลบอร์ด ให้ครองตำแหน่งราชินีแห่งเพลงคันทรี อันเดอร์วูดเป็นนักร้องคันทรีเดี่ยวคนเดียวในทศวรรษที่ 2000 ที่มีเพลงอันดับ 1 บนบิลบอร์ด</i>ฮอต 100 เป็นนักร้องคันทรีคนแรกและคนเดียวที่เปิดตัวด้วยอันดับ 1 บนฮอต 100 และมีอันดับ 1 ถึง 14 เพลง ซึ่งถือเป็นนักร้องหญิงที่มีอันดับ 1 มากที่สุดบนบิลบอร์ด</i>ฮอตคันทรีซองส์ ตั้งแต่ปี 1991 ถึงปัจจุบัน โดยทำลายสถิติในกินเนสส์</i>บุ๊คของเธอเองที่เคยได้ 10 เพลง เธอเป็นนักร้องคันทรีที่มียอดขายเพลงดิจิตอลมากที่สุดของ RIAA และเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการ<i data-parsoid='{\"dsr\":[3885,3903,2,2]}'>อเมริกัน ไอดอล</i>ที่ทำรายได้มากที่สุด อัลบั้ม Some Hearts ถูกจัดให้เป็นอัลบั้มคันทรีอันดับหนึ่งแห่งทศวรรษที่ 2000 โดย<i data-parsoid='{\"dsr\":[4007,4019,2,2]}'>บิลบอร์ด และเป็นนักร้องหญิงที่มีอันดับสูงสุดในรายชื่อนักร้องคันทรียอดเยี่ยมของ<i data-parsoid='{\"dsr\":[4089,4101,2,2]}'>บิลบอร์ด</i>แห่งทศวรรษที่ 2000",
"หมวดหมู่:นักร้องอเมริกัน หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐโอคลาโฮมา หมวดหมู่:ศิลปินสังกัดแอริสตาเรเคิดส์ หมวดหมู่:นักร้องเด็กชาวอเมริกัน",
"อันเดอร์วูดยืนยันว่าเธอเริ่มวางแผนอัลบั้มใหม่ในเดือนสิงหาคมปี 2013 และจะเริ่มต้นเตรียมงานในปี 2014 [64] อันเดอร์วูดบอกบิลบอร์ดว่า \"หลังเสร็จสิ้นจาก The Sound of Music ฉันรู้สึกเหมือนฉันสามารถที่จะทำงานหนักและเริ่มที่จะทำอัลบัมถัดไป\" อันเดอร์วูดยังบอกว่าเธอกำลังวางแผนที่จะทำทัวร์ไว้บ้างแล้ว ซึ่งอาจจะไม่อลังการเท่าทัวร์ก่อนหน้า เธอบอกว่า \"ฉันไม่ได้คิดถึงมันมากนักเพราะฉันไม่รู้ว่าอัลบั้มถัดไปจะเป็นแบบไหน แต่ฉันก็ชอบที่จะแค่ยืนบนนั้นและร้องเหมือนกัน ฉันอาจจะทำในแนวที่แตกต่างออกไป อะไรที่ง่าย ๆ ในทัวร์ถัดไป ฉันชอบพลังงานที่มีในคอนเสิร์ตเพลงร็อค\" อันเดอร์วูดร่วมฟีเจอร์ริงกับ Miranda Lambert ในอัลบั้ม Platinum ในเพลงที่มีชื่อว่า \"Somethin' Bad\" ซิงเกิลนี้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในชาร์ต Hot Country Songs กลายเป็นเพลงที่ 13 ของอันเดอร์วูดที่ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต ในปี ค.ศ. 2014 อันเดอร์วูดปล่อยอัลบั้มรวมเพลงฮิต Greatest Hits: Decade #1 ออกจำหน่ายในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2014 โดยมีซิงเกิลแรก Something in the Water ขึ้นอันดับหนึ่งบน Hot Country Songs กลายเป็นเพลงที่ 14 ของอันเดอร์วูดที่ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตในปีเดียวกัน",
"อันเดอร์วูดประกาศอัลบั้มใหม่ของเธอ โดยมีชื่อว่า Storyteller ออกจำหน่ายในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2015 มีซิงเกิลแรก Smoke Break",
"อัลบั้มอันดับหนึ่งอัลบั้มล่าสุด ลงวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2018 บนชาร์ต\"บิลบอร์ด\" 200 คืออัลบั้ม\"ครายพริตตี\" ของแคร์รี อันเดอร์วูด",
"\"เลิฟสตอรี\" เข้าชิงรางวัลพีเพิลส์ชอยส์อะวอดส์ สาขา \"คันทรียอดนิยม\" ในงานประกาศรางวัลพีเพิลส์ชอยส์อะวอดส์ ครั้งที่ 35 แต่พ่ายให้กับเพลง \"ลาสต์เนม\" (2008) ของแคร์รี อันเดอร์วูด เพลงได้เข้าชิงรางวัล \"เพลงยอดนิยม\" ในงานประกาศรางวัลนิกเคโลเดียนออสเตรเลียนคิดส์ชอยส์อะวอดส์ 2009 แต่พ่ายให้กับเพลง \"ไอก็อตตาฟิลิง\" (2009) ของเดอะแบล็กอายด์พีส์ และในงานประกาศรางวัลทีนชอยส์อะวอดส์ 2009 ก็มีผลรางวัลเหมือนกัน โดยพ่ายให้กับเพลง \"ครัช\" (2008) ของเดวิด อาร์ชูเลตา ซึ่งเข้าชิงรางวัล \"ชอยส์มิวสิก: เลิฟซอง\" ในปี ค.ศ. 2009 \"เลิฟสตอรี\" ได้เป็น \"เพลงคันทรีแห่งปี\" ประกาศโดยองค์กรเผยแพร่ดนตรี",
"ในฤดูร้อนปีค.ศ. 2004 อันเดอร์วูดได้ไปคัดเลือกในรายการอเมริกันไอดอลที่เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี หลังจากที่อันเดอร์วูดแสดงเพลง \"Could've Been\" ของ ทิฟฟานี ในรอบผู้หญิง 12 คนสุดท้าย ไซมอน คาวเวลล์ หนึ่งในกรรมการตัดสินได้บอกว่าเธอจะเป็นหนึ่งในตัวเก็งที่จะชนะการแข่งขัน และในรอบ 11 คนสุดท้ายวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2005 นั้น อันเดอร์วูดได้ร้องเพลงฮิตในยุค 80 เพลง \"Alone\" ของ ฮาร์ต ไซมอน คาวเวลล์ กล่าวทำนายไว้ว่าอันเดอร์วูดนั้นไม่เพียงจะชนะการแข่งครั้งนี้เท่านั้น แต่เธอจะกลายเป็นนักร้องที่มีงานเพลงขายดีกว่าผู้ชนะในฤดูกาลที่ผ่านมาทั้งหมด[14] อันเดอร์วูดนั้นเป็นผู้ชนะการแข่งขันหนึ่งในห้าที่ไม่เคยได้รับคะแนนการโหวตต่ำสุดสามอันดับ (ผู้ชนะอีกสี่คนคือ เคลลี คลาร์กสัน, เทย์เลอร์ ฮิกส์, จอร์ดิน สปาร์คส, และเดวิด คุก) โดยหนึ่งในผู้ผลิตรายการได้กล่าวว่าอันเดอร์วูดนั้นได้รับคะแนนท่วมท้น และผ่านเข้ารอบแต่ละรอบด้วยความง่ายดาย[15] ในช่วงการแข่งขันเธอมีฐานแฟนคลับที่ชื่อว่า “Carrie’s Care Bears” ในรอบสุดท้าย เธอร้องเพลงกับ ราสคัล แฟลตส์ ในเพลง \"Bless the Broken Road\" ในวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 แคร์รี อันเดอร์วูดได้กลายเป็นผู้ชนะรายการอเมริกันไอดอลฤดูกาลที่สี่ รางวัลที่เธอได้รับจากการชนะคือ การเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงซึ่งมีมูลค่าอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ได้ใช้เครื่องบินส่วนตัวเป็นเวลา 1 ปี และฟอร์ด มัสแตง 1 คัน[16]",
"อันเดอร์วูดเป็นคนรักสัตว์และรับประทานอาหารมังสวิรัติ เธอไม่ทานเนื้อสัตว์ตั้งแต่อายุ 13 ปี เพราะเธอทนไม่ได้ที่ต้องทานสัตว์ที่เธอเลี้ยง เธอได้รับการโหวตให้เป็น \"คนทานมังสวิรัติที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก (World's Sexiest Vegetarian) \" โดย PETA ในปีค.ศ. 2007 เป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกในปีค.ศ. 2005 ได้ตำแหน่งร่วมกับคริส มาร์ติน นักร้องนำวงโคลด์เพลย์[84] ในปีค.ศ. 2007 อันเดอร์วูดให้สัมภาษณ์กับ PETA ว่า \"ตั้งแต่ฉันเป็นเด็กฉันก็รักสัตว์มาตลอด [...] ถ้าคุณบอกฉันว่าฉันไม่สามารถร้องเพลงได้อีก ฉันคงบอกว่ามันแย่ แต่มันไม่ใช่ชีวิตของฉัน ถ้าคุณบอกฉันว่าฉันไม่สามารถยุ่งกับสัตว์ได้อีก ฉันคงอยากตาย\"[85] อันเดอร์วูดเป็นผู้สนับสนุนให้องค์กร Humane Society of the United States (HSUS) และได้ทำโฆษณาหลายตัวให้องค์กร[86] อันเดอร์วูดยังทำโฆษณา \"Protect Your Pets\" ให้องค์กร Do Something ด้วย[87]",
"รางวัลที่ แคร์รี อันเดอร์วูด ได้รับ",
"ในสัปดาห์ที่เก้าที่ออกจำหน่าย อัลบั้ม\"ดอทรี\" ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต\"บิลบอร์ด\" ในด้านยอดขาย คริส ดอทรีเป็นผู้เข้าแข่งขันรายกา\"รอเมริกันไอดอล\"ที่ประสบความสำเร็จที่สุดอันดับที่สาม รองจากเคลลี คลาร์กสัน และแคร์รี อันเดอร์วูด ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 50 วงได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงร็อกยอดเยี่ยมให้กับซิงเกิล \"อิตส์น็อตโอเวอร์\"",
"อันเดอร์วูดยอมรับการแต่งงานเพศเดียวกัน เธอบอกกับหนังสือพิมพ์ ดิอินดิเพนเดนท์ ของประเทศอังกฤษ ว่า \"ในฐานะคนแต่งงาน ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรที่ฉันไม่สามารถแต่งงานกับคนที่ฉันรักและอยากแต่งงานด้วยได้ ฉันนึกไม่ออกว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน ฉันคิดจริง ๆ ว่าเราควรมีสิทธิ์ที่จะรัก และรักอย่างเปิดเผย\" อันเดอร์วูดยังกล่าวต่อว่า \"โบสถ์ที่ฉันไปมีเกย์ที่เป็นมิตร เบื้องบนพระเจ้าอยากให้เรารักคนอื่น มันไม่ได้มีกฎ หรือ 'ทุกคนจะต้องเป็นอย่างฉันนะ' ไม่ เราทุกคนต่างกัน นั่นทำให้เราพิเศษ เราต้องรักกันและเป็นมิตรกัน ฉันไปตัดสินใครไม่ได้\"[98]",
"2005: American Idols LIVE! Tour 2005 2006: Carrie Underwood: Live 2006 2008: Love, Pain and the Whole Crazy Carnival Ride Tour (กับ คีธ เออร์บัน) 2008: Carnival Ride Tour 2010: Play On Tour 2012: Blown Away Tour 2016: Storyteller Tour: Stories in the Round",
"เว็บไซต์ มายสเปซ",
"ตอนอันเดอร์วูดอายุ 14 ปีได้มีคนจัดการให้เธอไปแนชวิลล์เพื่อคัดเลือกเข้าสังกัดแคปิทอลเรเคิร์ดส์[6] ในปีค.ศ. 1996 เธอได้รับการติดต่อสัญญาจากแคปิทอลเรเคิร์ดส์ แต่สัญญานั้นถูกยกเลิกเมื่อบริษัทค่ายเพลงเปลี่ยนแปลงการบริหาร อันเดอร์วูดพูดถึงเหตุการณ์นั้นว่า \"ฉันคิดจริงๆ ว่ามันดีกว่ามากเลยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉันคงยังไม่พร้อมในตอนนั้น ทุกสิ่งย่อมมีหนทางที่จะเป็น\"[8]",
"ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 อันเดอร์วูดหมั้นกับไมค์ ฟิชเชอร์ นักกีฬาฮอกกี้ทีมแนชวิลล์ เพรเดเตอร์ส (ตอนหมั้นอยู่ทีมออตตาวา เซเนเตอร์ส) พวกเขาเริ่มคบกันหลังจากที่เจอกันในคอนเสิร์ตของอันเดอร์วูดในช่วงปีค.ศ. 2008[71] อันเดอร์วูดและฟิชเชอร์ได้ปรากฏตัวด้วยกันครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชนในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 (ที่ Bell Sens Soiree งานการกุศลประจำปีของทีมเซเนเตอร์สในแมืองกาติโน ออตตาวา) [72] หลังจากที่ปรากฏตัวด้วยกันที่งาน CMT Awards ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 อันเดอร์วูดบอกผู้สื่อข่าวว่าฟิชเชอร์กำลังมีแผนสำหรับฮันนีมูนของเขาทั้งสองคนหลังงานแต่ง[73]",
"อันเดอร์วูดนับถือศาสนาคริสต์[65][66] และเธอรับประทานอาหารมังสวิรัติ ในปีค.ศ. 2006 อันเดอร์วูดได้แสดงในช่วงพักครึ่งของการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล ในวันขอบคุณพระเจ้าที่สนามกีฬาเท็กซัส ในเมืองเออร์วิง รัฐเทกซัส และได้เป็นเพื่อนกับโทนี โรโม ควอร์เตอร์แบ็ก แห่งทีมดัลลัส คาวบอยส์[67] และได้ไปร่วมงานวันเกิดของเขา เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 และวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 เขาได้ไปงาน Academy of Country Music Awards กับเธอ อันเดอร์วูดกับโรโมมีข่าวลือว่าคบกันตลอดปีค.ศ. 2007 ถึงแม้ว่าอันเดอร์วูดจะปฏิเสธข่าวลือนั้น แต่โรโมยืนยันบนเว็บไซต์ของเขาว่า \"ผมกำลังคบกับแคร์รี อันเดอร์วูดอยู่\" และยังบอกกับหนังสือพิมพ์อิลลินอยส์ว่าเขากำลังคบกับอันเดอร์วูดอยู่[68] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 อันเดอร์วูดเริ่มคบกับเชส ครอว์ฟอร์ด นักแสดงซีรีส์เรื่องกอสซิปเกิร์ล และในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2007 นิตยสารพีเพิลรายงานว่าทั้งคู่เดินจับมือกันในเมืองนิวยอร์ก[69] อย่างไรก็ดีทั้งคู่ก็ได้จบความสัมพันธ์ลงในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปีค.ศ. 2008[70]",
"วันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 อันเดอร์วูดและฟิชเชอร์ได้แต่งงานกันที่ The Ritz-Carlton Lodge, Reynolds Plantation ในเมืองกรีนส์โบโร รัฐจอร์เจีย โดยมีผู้ร่วมงานมากกว่า 250 คน ทั้งผู้เล่นในเอ็นเอชแอล, ทิม แมคกรอว์, เฟธ ฮิลล์, การ์ธ บรู๊กส์, ผู้เข้าแข่งขันอเมริกันไอดอล, พอลลา อับดุล, ไซมอน คาวเวลล์ และแรนดี แจ็คสัน[74][75] ทั้งคู่ให้คำพูดกับนิตยสารพีเพิลโดยลงชื่อ \"Mike & Carrie Fisher\" ว่า \"เราทั้งคู่คงไม่มีความสุขไปมากกว่าการที่เราได้พบกัน และแบ่งปันวันนี้กับเพื่อนและครอบครัวของเราซึ่งนั่นมีความหมายสำหรับเรามาก\" ตามนิตยสารพีเพิล Monique Lhuillier ได้ตัดชุดลายลูกไม้ให้กับอันเดอร์วูด และได้ออกแบบชุดให้กับเพื่อนเจ้าสาวอีกด้วย ในงานแต่งมีการเล่นเพลงคลาสสิกและคำอ่านของคัมภีร์ไบเบิลในท่อนที่ทั้งคู่ชอบ[76][77] อันเดอร์วูดสร้างความประหลาดใจให้ฟิชเชอร์โดยการนำแบรนดอน ฮีธหนึ่งในนักร้องที่ทั้งคู่ชอบมาร้องเพลง \"Love Never Fails\" ในการเต้นรำเพลงแรก[78]",
"อันเดอร์วูดปล่อยอัลบั้มที่สาม Play On เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2009[47] อัลบั้มนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 บน Billboard 200 และ Top Country Albums ขายไปได้กว่า 318,000 ก๊อปปี้ในสัปดาห์แรก เมื่อวางจำหน่ายกลายเป็นอัลบั้มที่มียอดขายมากที่สุดแห่งปีโดยศิลปินหญิง แต่ถูกทำลายสถิติโดย I Dreamed a Dream อัลบั้มของซูซานบอยล์เมื่อตอนสิ้นปีและหล่นไปอยู่อันดับที่สอง [48][49] อันเดอร์วูดร่วมแต่งเพลงกับนักร้องเพลงป๊อปอาร์เอนบี นักแต่งเพลง Ne-Yo สำหรับอัลบั้มนี้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในอัลบั้ม[50]",
"แคร์รี แมรี อันเดอร์วูด (English: Carrie Marie Underwood; เกิด 10 มีนาคม ค.ศ. 1983) เป็นนักร้องคันทรี, นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอเมริกา ซึ่งมีชื่อเสียงมาจากการชนะเลิศการประกวดรายการอเมริกันไอดอล ฤดูกาลที่ 4 ในปี ค.ศ. 2005 และกลายเป็นหนึ่งในนักร้องที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทุกวงการเพลง ความสำเร็จของเธอทำให้เธอได้เข้าเป็นสมาชิกแกรนด์โอลออปรีย์ ใน ปีค.ศ. 2008 และเข้ามาอยู่ในหอเกียรติยศดนตรีโอคลาโฮมา (Oklahoma Music Hall of Fame) ในปีค.ศ. 2009[1] เธอชนะรางวัลดนตรีหลายรางวัล รวมถึง 7 รางวัลแกรมมี, 17 รางวัลบิลบอร์ดมิวสิก, 11 รางวัลอะแคดามีออฟคันทรีมิวสิก และ 9 รางวัลอเมริกันมิวสิก",
"2005: Some Hearts 2007: Carnival Ride 2009: Play On 2012: Blown Away 2015: Storyteller",
"ผู้ชนะในฤดูกาลนี้คือ แคร์รี อันเดอร์วูด สาวจากโอคลาโฮมา ในฤดูกาลนี้มียอดโหวตรวมทั้งหมดประมาณ 500 ล้านโหวต เฉพาะในรอบสุดท้ายของฤดูกาลนั้นมีจำนวนโหวต 37 ล้านโหวต",
"การถ่ายทอดสดของเกมใน CBS ทำให้เข้าถึงผู้ชมในสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยประมาณ 106.5 ล้านคน ทำให้ซูเปอร์โบวล์มีคนดูมากที่สุด ในช่วงร้องเพลงชาติซึ่งร้องโดย แคร์รี อันเดอร์วูด และการแสดงช่วงพักครึ่งโดยวงร็อกชาวอังกฤษ เดอะฮู",
"อัลบั้ม Some Hearts เป็นอัลบั้มเปิดตัวของอันเดอร์วูด ออกวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 เข้าสู่ชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยยอดขาย 315,000 ชุด เปิดตัวที่อันดับ 1 ใน Hot Country Albums และ อันดับ 2 ใน Hot 200 Albums ยอดขายอย่างมากมายในสัปดาห์แรกของอัลบั้ม Some Hearts ทำให้เป็นการเปิดตัวที่สูงที่สุดของนักร้องคันทรีตั้งแต่เริ่มมีระบบ SoundScan มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1991 และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาของปีค.ศ. 2006 และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของอัลบั้มคันทรีในสหรัฐอเมริกาของปีค.ศ. 2006 และ ค.ศ. 2007 อัลบั้ม Some Hearts ได้รางวัล 7 แผ่นเสียงทองคำขาวโดย RIAA และเป็นอัลบั้มคันทรีเปิดตัวที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ SoundScan[17] เป็นอัลบั้มหญิงเดี่ยวเปิดตัวที่ขายดีที่สุดของวงการเพลงคันทรี จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของผู้เข้าแข่งขันอเมริกัน ไอดอล (นับเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา) [18] \"Inside Your Heaven\" ซิงเกิ้ลแรกของอันเดอร์วูด ปล่อยในเดือนมิถุนายน เปิดตัวที่อันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และ Canadian Singles Chart ซึ่งเป็นเพลงที่อยู่ในชาร์ตของแคนาดานานที่สุดของปีค.ศ. 2005 Inside Your Heaven เป็นซิงเกิ้ลเดียวของนักร้องคันทรีเดี่ยวในยุค 2000 ที่ขึ้นไปถึงอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ซึ่งขายไปได้เกือบ 1 ล้านก๊อปปี้ และได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำโดย RIAA และ 2 รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวโดย CRIA \"Jesus, Take the Wheel\" ซิงเกิ้ลที่สองของอัลบั้ม[19] ปล่อยสู่วิทยุในเดือนตุลาคมและขึ้นไปได้สูงสุดอันดับ 1 บน Billboard Hot Country Songs และอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน และสูงสุดอันดับ 20 บน Hot 100 เพลงนี้ขายไปได้มากกว่า 2 ล้านก๊อปปี้ และได้ 2 รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวโดย RIAA[20] \"Some Hearts\" ซิงเกิ้ลที่ 3[19] ของอันเดอร์วูด ปล่อยในเดือนตุลาคมแต่แค่คลื่นป็อบ \"Don't Forget to Remember Me\" ซิงเกิ้ลที่สี่ของเธอยังคงประสบความสำเร็จด้วยการขึ้นไปถึงอันดับ 2 บน Billboard Hot Country Songs chart ในฤดูใบไม้ร่วง เพลง \"Before He Cheats\" เพลงคันทรีซิงเกิลที่ 3 ของอันเดอร์วูด ได้ขึ้นไปถึงอันดับ 1 บน Billboard's Hot Country Songs เป็นเวลา 5 สัปดาห์ติดต่อกัน ซึ่งขึ้นไปได้สูงสุดอันดับ 8 ใน Billboard Hot 100 เป็นเพลงที่ขึ้นไปสู่ท็อปเท็นที่ช้าที่สุดของ Billboard Hot 100 และได้ทำลายสถิติก่อนหน้านี้ที่ทำไว้โดยวง Creed ที่ครองมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2000 ได้รางวัล 3 แผ่นเสียงทองคำขาว และเป็นเพลงคันทรีอันดับ 4 ที่ขายดีที่สุดของเพลงดิจิตอลตลอดกาล[21] ในวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 2007 อันเดอร์วูดได้ปล่อยเพลง \"Wasted\" ซึ่งขึ้นไปถึงอันดับ 1 บน Hot Country Songs Chart ขายได้เกือบ 1 ล้านก๊อปปี้ และได้ 1 รางวัลแผ่นเสียงทองคำโดย RIAA[22] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 \"Jesus Take the Wheel\" ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว ทำให้อันเดอร์วูดเป็นนักร้องคันทรีคนแรกที่มีสองเพลงที่ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว ร่วมกันกับเพลง \"Before He Cheats\" ซึ่งได้รับไปก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 2007[23] อันเดอร์วูดมีคอนเสิร์ตแรกของเธอเอง ชื่อว่า Carrie Underwood: Live 2006 ซึ่งจัดในแถบอเมริกาเหนือ",
"ในระหว่างการศึกษาชั้นมัธยมปลายอันเดอร์วูดเป็นเชียร์ลีดเดอร์, เล่นบาสเก็ตบอลและเล่นซอฟต์บอลด้วย[9] ในปีค.ศ. 2001 เธอจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายชีโคตา เธอเป็นนักเรียนที่จบการศึกษาด้วยคะแนนดีเยี่ยม[7] หลังจากจบการศึกษาเธอเลือกที่จะไม่เป็นนักร้องตามที่ฝัน เธอบอกว่า \"หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย ฉันก็ค่อนข้างจะล้มเลิกความฝันในการเป็นนักร้อง ฉันอยู่ในจุดในชีวิตที่ฉันต้องอยู่กับความเป็นจริง และเตรียมพร้อมกับอนาคตของฉันใน'โลกแห่งความจริง'\"[9] เธอได้เข้ารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอร์ทอิสเทิร์นสเตท ในเมืองแทลิควา รัฐโอคลาโฮมา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับสองในปีค.ศ. 2006 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน[10] เธอได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งในช่วงภาคฤดูร้อนในการทำงานให้กับ บ๊อบบี้ เฟรม ส.ส. รัฐโอคลาโฮมา[11] และเธอยังเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านขายพิซซ่า, ทำงานที่สวนสัตว์ และที่คลินิกสัตว์ด้วย[9] อันเดอร์วูดเป็นสมาชิกชมรม Sigma Sigma Sigma ซึ่งเป็นชมรมเกี่ยวกับผู้หญิง[12] ในช่วงสองปีระหว่างภาคฤดูร้อนเธอได้แสดงในงานของมหาวิทยาลัยใจกลางเมืองแทลิควา นอกจากนั้นเธอยังได้เข้าร่วมการแข่งขันประกวดนางงามของมหาวิทยาลัย และเธอได้รับรางวัลรองชนะเลิศของนางสาวเอ็นเอสยู ปีค.ศ. 2004[13]",
"ในเดือนธันวาคม ปี 2005 อันเดอร์วูดได้ถูกจัดให้เป็น Oklahoman of the Year โดย Oklahoma Today[24] ในเดือนธันวาคมปี 2006 อันเดอร์วูดได้ร่วมร้องเพลงกับ โทนี เบนเนต, ไมเคิล บูเบล และ จอช โกรแบน ในเพลง \"For Once in My Life\" ในรายการ The Oprah Winfrey Show[25] ในเดือนเดียวกันนั้นเธอได้สรรเสริญแก่ ดอลลี พาร์ตัน ด้วยการร้องเพลง \"Islands in the Stream\" ร่วมกับ เคนนี โรเจอร์ (ต้นฉบับของ พาร์ตัน และ โรเจอร์) ที่ Kennedy Center Honors ซึ่งให้เกียรติแก่พาร์ตันในปีนั้น อันเดอร์วูดได้แสดงกับ USO Christmas Tour ในประเทศอิรักในช่วงเทศกาลวันหยุดในปี 2006[26] อันเดอร์วูดยังได้แสดงคอนเสิร์ต Idol Gives Back 2007 โดยร้องเพลง \"I'll Stand By You\" ของ เดอะพรีเทนเดอร์ โดยในเวอร์ชันของเธอเปิดตัวที่อันดับ 6 บน Billboard's Hot 100 Songs ในปี 2007 เช่นเดียวกัน Victoria's Secret จัดให้อันเดอร์วูดเป็นนักดนตรีหญิงที่เซ็กซี่ที่สุด[27]",
"ไรอัน เบนจามิน เท็ดเดอร์ (Ryan Benjamin Tedder) (เกิด 26 มิถุนายน ค.ศ. 1979) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์, และนักแสดงชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักดีในฐานะนักร้องนำของวงดนตรีแนวป็อปร็อก วันรีพับบลิก แม้ว่าเขาตัวคนเดียวจะเป็นนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ให้กับนักร้องมากมาย เช่น อะเดล, บียอนเซ่, เบอร์ดี, มารูนไฟฟ์, เดมี โลวาโต, เอลลี โกลดิง, บี.โอ.บี, เคลลี คลาร์กสัน, เค'นาน, แคร์รี อันเดอร์วูด, เจนนิเฟอร์ โลเปซ, จอร์ดิน สปาร์กส, เลโอนา ลูวิส, เกวิน เดอกรอว์, เซบาสเตียน อินกรอสโซ, จิม คลาส ฮีโรส์, วันไดเรกชัน, เจมส์ บลันต์, ฟาร์อีสต์มูฟเมนต์, พอล โอกเคนโฟลด์ และเอลลา เฮนเดอร์สัน ",
"อันเดอร์วูดบอกว่าเธอมีความสนใจในกีฬา ในปีค.ศ. 2005 เธอได้ไปแสดงเพลง \"เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์\" ในเกม 4 ของรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอ ระหว่าง ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ กับ ดีทรอยต์ พิสตันส์[88] และในปีค.ศ. 2006 ในเกมรวมดาราเอ็นบีเอ[89] เธอยังได้แสดงเพลง \"เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์\" ในรอบชิงชนะเลิศเอ็นเอฟซี ระหว่าง ซีแอตเติล ซีฮอกส์ กับ คาโรไลนา แพนเทอร์ส ในปีค.ศ. 2006 เช่นกัน[90] และยังแสดงที่นาสคาร์[91] ในเกมรวมดาราเอ็มแอลบี ที่เมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพ็นซิลเวเนีย และ เกม 3 ของการแข่งเวิลด์ซีรีส์ ปีค.ศ. 2007 ระหว่าง บอสตัน เรดซอกซ์ กับ โคโลราโด ร็อคกีส์[92] เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 อันเดอร์วูดได้แสดงเพลงชาติในซูเปอร์โบวล์ XLIV[93]"
] |
มรกต มีสีอะไร? | [
"มรกต (สูตรเคมี: Be3Al2(SiO3)6) เป็นแร่รัตนชาติหรืออัญมณี สีเขียวเกิดจากธาตุโครเมียมและวานาเดียม มรกตจัดอยู่ในแร่ตระกูลเบริล ซึ่งเบริลเป็นแร่ที่มีหลายวาไรตี ได้แก่ แอควะมะรีน (aquarmarine) มีสีฟ้า โกลเดนเบริลหรือเฮลิโอดอร์มีสีเหลือง สีแดงเรียกเร็ดเบริล สีชมพูเรียกว่ามอร์แกไนต์ คุณภาพของมรกตอยู่ที่สีหากมีสีเขียวทั่วทั้งเม็ดก็จัดว่าคุณภาพสูง ส่วนตำหนินั้นมรกตธรรมชาติทุกชิ้นจะต้องมีทั้งสิ้น ลักษณะเป็นเส้น ริ้วสีขาว จุดสีดำ สีสนิม ฝ้าขาวขุ่นตามธรรมชาติ รอยริ้วที่ดูคล้ายรากผักชีเรียกว่า \"สวน\" (jardin)"
] | [
"คณะสีมรกต (สีเขียวโรงเรียนตราษตระการคุณร่วมกับโรงเรียนกีฬาจังหวัดตราด)\nคณะสีชฎารัตน์ (สีเหลืองโรงเรียนสตรีประเสริฐศิลป์)",
"งานเทศกาลมาฆปูรมีศรีปราจีน งานนี้จัดขึ้นที่วัดสระมรกต ในบริเวณโบราณสถานสระมรกต อำเภอศรีมโหสถ เป็นระยะเวลา 3 วัน ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาของทุกปี ในงานกิจกรรมหลักคือ การแสดงแสงสีเสียง การแสดงโขน ตลาดย้อนยุค รวมถึง การเข้าค่ายพุทธศาสน์และปลูกจิต สำนึกทางศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียน นักศึกษา ระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป การประชุมพระภิกษุและพระสังฆาธิการ ในจังหวัด การปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา กิจกรรมการเวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทคู่",
"ส่วนฉายาของสโมสร มีการเปิดลงคะแนนในเว็บไซต์สโมสร โดยฉายาที่ได้รับคะแนนสูงสุดคือ \"รถม้ามรกต\" ซึ่งสื่อถึงรถม้า สัญลักษณ์ของจังหวัดลำปาง ส่วนคำว่ามรกตนั้น มาจากสีประจำจังหวัดและพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นสีเขียว",
"วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556 เพชรมรกตเข้าแข่งขันคู่เอกรายการศึกวันมิตรชัย ซึ่งจัดขึ้น ณ เวทีมวยราชดำเนิน โดยเพชรมรกตเป็นฝ่ายชนะคะแนนติ่งทอง ช.โค้วยู่ฮะอีซูซุ ทั้งนี้ เพชรมรกตมีณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ เป็นหัวหน้าคณะ และมีค่าตัวปัจจุบันอยู่ที่ 65,000 บาท",
"โอปอลมีประกายสีแดงของทับทิม มีประกายสีม่วงของอแมทิสต์ และสีเขียวของมรกต รวมอยู่ภายในตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นที่ประทับใจต่อ Pliny the Elder (ค.ศ. 23-79) นักประวัติศาสตร์โรมัน และนักเขียนเอนไซโคปิเดียร์ เล่มแรกของโลกเป็นอย่างมาก ชาวโรมันถือว่า โอปอลเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความบริสุทธิ์ ในขณะที่ชาวกรีซเชื่อว่า ช่วยในการทำนาย ล่วงรู้อนาคต ในขณะที่ชาวอาหรับเชื่อว่า โอปอลตกจากสวรรค์ ในขณะฟ้าผ่าจึงทำให้มีสีหลากหลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่น่าเชื่อเลยว่า สีของโอปอลที่เห็นเกิดจากน้ำ 5-10% ที่ถูกขังในตัวโอปอล ในขณะที่แสงสีต่างๆ เกิดจากการเรียงตัวกันของซิลิกอนไดอ๊อกไซด์ รูปทรงกลม",
"พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนเนไฟรต์สีเขียวดังมรกต เป็นพระพุทธรูปสกุลศิลปะก่อนเชียงแสนถึงศิลปะเชียงแสน หลักฐานที่ตรงกันระบุว่าพบครั้งแรก ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ ตำบลเวียง เมืองเชียงราย (ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย) ในปี พ.ศ. 1977 (หรือ ค.ศ. 1434) ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิกเกิดกระเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต จึงกระเทาะปูนออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ ",
"ในปีพ.ศ. 1979 ณ เมืองเชียงราย เกิดอัสนีบาตฟาดใส่พระสถูปใหญ่ที่วัดพระแก้วจนพังครืนลงมา ต่อมาได้มีผู้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทององค์หนึ่ง จึงได้มีการเชิญเข้าไปไว้ในวัดนั้น กาลเวลาผ่านไป รักปิดทองที่ลงไว้เกิดหลุดลอกออกมาจนเห็นเป็นสีเขียวมรกต เมื่อเจ้าอาวาสมาพบเข้าจึงได้นำมาชำระขัดสี แล้วพบว่าพระพุทธรูปนั้นเป็นแก้วมรกตทั้งองค์ ท่านจึงดีใจเป็นล้นพ้นเลยนำมาจัดการให้สระสรงตามประเพณีนิยม จากนั้นปรากฏว่ามีผู้คนมาเคารพสักการะเป็นอันมาก",
"อัสนี () เป็นชื่อในรายชื่อพายุหมุนเขตร้อนในชุดที่ 3 ของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ส่งโดยประเทศไทย คำว่า \"อัสนี\" หมายถึงสายฟ้า ชื่อนี้ส่งมาทดแทนชื่อ มรกต (Morakot) ซึ่งเป็นชื่อของอัญมณีที่มีสีเขียว และถูกถอนไปในฤดูกาล พ.ศ. 2552 ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นชื่อมรกตนั้น เคยใช้ชื่อ หนุมาน (Hanuman) มาก่อนแต่โดนถอนไปเนื่องจากเหตุผลทางศาสนา",
"วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เพชรมรกตเข้าแข่งขันรายการศึกไพรอนันต์ ที่เวทีมวยลุมพินี โดยได้พบกับมานะศักดิ์ ปิ่นสินชัย ในฐานะคู่เอกของรายการที่ซึ่งทั้งคู่ยังไม่เคยพบกันมาก่อน รวมทั้ง ในวันที่ 17 สิงหาคม เพชรมรกตเข้าแข่งขันรายการศึกไพรอนันต์ ที่เวทีมวยลุมพินี โดยเป็นฝ่ายต่อน้ำหนักให้แก่เอกมงคล ไก่ย่างห้าดาวยิม ทั้งนี้ เพชรมรกตได้รับการกล่าวว่าเป็นนักมวยที่มีความสูงยาว และอยู่ในรูปแบบของมวยเข่า ซึ่งเพชรมรกตเป็นฝ่ายชนะคะแนนขาดในคู่เอกของรายการ และในวันที่ 11 กันยายน เพชรมรกตได้เข้าแข่งขันรายการศึกเพชรปิยะ ที่เวทีมวยลุมพินี โดยได้รับการพิจารณาว่ามีโอกาสชนะคู่ชกอย่างศักดิ์สุริยา ไก่ย่างห้าดาวยิม ซึ่งเป็นคู่ค้ำของรายการ และเพชรมรกตเป็นฝ่ายชนะคะแนนจากการแข่งขัน",
"เพชรมรกต ว.สังข์ประไพ มีชื่อจริงคือ นพดล ดรุณพันธ์ เป็นบุตรของนายสมบูรณ์ และนางหนู ดรุณพันธ์ เขาเริ่มชกมวยครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ขวบโดยใช้ชื่อ มาวิน ลูกแอนเจ็ด เข้าแข่งขัน จากนั้น เขาก็ได้รับวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพจากเทคโนโลยีบริหารธุรกิจ อุบลราชธานี วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554 เพชรมรกตเข้าแข่งขันชิงชัยรุ่น 105 ปอนด์กับวันชัย ส.กิตติศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ชนะเพื่อนร่วมค่ายของเพชรมรกตอย่างเดอะเล็ก ว.สังข์ประไพ มาแล้วครั้งหนึ่ง ต่อมา ในวันที่ 10 พฤษภาคม เพชรมรกตได้พบกับคู่ชกอย่างวันเฮง มีนะโยธิน ในรายการศึกเพชรยินดี ที่เวทีมวยลุมพินี โดยได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในมวยคู่เอกระดับสุดยอดของประเทศ และในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เพชรมรกตได้พบกับคู่ชกพนมรุ้งเล็ก เกียรติหมู่ 9 ซึ่งเป็นคู่เอกของรายการศึกดาวรุ่งพระบาท ในรุ่น 115 ปอนด์ ซึ่งก่อนการแข่งขันเพชรมรกตได้รับการพิจารณาว่าเป็นรองด้านกระดูกมวย",
"โตเกียวเมโทรสายนัมโบะกุ เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินการโดยโตเกียวเมโทร ความหมายของชื่อหมายถึง \"สายเหนือ-ใต้\" โดยวิ่งระหว่างสถานี (ชินะงะวะ) กับสถานี (คิตะ) เรียกในอีกชื่อว่า สาย 7 สีประจำเส้นทางคือสีเขียวมรกต (▉) ตัวย่อเส้นทางคือ \"N\"",
"ครั้งที่ 5 ในปี พ.ศ. 2557 ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ผลิตโดย เจเอสแอล นำแสดงโดย เคลลี่ ธนะพัฒน์, วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร, มรกต กิตติสาระ, รังสิต ศิรนานนท์",
"นกปักษาสวรรค์เล็กเป็นนกขนาดกลาง ยาวถึง 32 ซม. ลำตัวสีน้ำตาล-แดงเลือดหมู หลังส่วนบนสีเหลืองออกน้ำตาล กระหม่อมสีเหลือง ตัวผู้มีคอสีเขียวมรกต มีขนหางคู่ยาวประดับด้วยชุดขนด้านข้างสีเหลืองเข้มและค่อยๆจางออกไปข้างนอกจนเป็นสีขาว ตัวเมียสีเหลือดหมู หัวสีน้ำตาลเข้ม ลำตัวส่วนล่างสีออกขาว",
"คณะสีหยกมรกต (สีเขียวโรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคม)",
"จากสีสันลวดลายอันงดงามที่พาดผ่านบนตัวโอปอลนี้ ทำให้นักประวัติศาสตร์ ไพลนี (Pliny) ชื่นชมไว้ว่า มันคือศูนย์รวมความงามของเหล่าอัญมณี เพราะประกอบด้วยเปลวไฟสีแดงจากทับทิม ประกายสีม่วงเหมือนแอเมทิสต์ และสีเขียวน้ำทะเลจากมรกต",
"ในภาษาอังกฤษใหม่ คำว่า green (สีเขียว) มาจากคำภาษาอังกฤษกลางว่า \"grene\" จากรากศัพท์ภาษาเยอรมันเดียวกันกับคำว่าคำว่า \"grass\" และ \"grow\" สีเขียวเป็นสีของการปลูกหญ้าและใบไม้ ด้วยเหตุนี้สีเขียวจึงเป็นสีของฤดูใบไม้ผลิ ความเจริญเติบโต และธรรมชาติ สิ่งที่ให้สีเขียวมากที่สุดในธรรมชาติคือคลอโรฟิลล์ สารเคมีที่พืชสังเคราะห์ด้วยแสงและแปลงแสงอาทิตย์เป็นพลังงาน สิ่งมีชีวิตจำนวนมากใช้ประโยชน์จากสีเขียวเพื่ออำพรางตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมสีเขียว แร่หลายชนิดมีสีเขียว เช่น มรกต ซึ่งเป็นสีเขียวจากธาตุโครเมียม",
"มหานพรัตน ด้านหน้าเป็นดอกประจำยาม 8 ดอก ประดับ ทับทิม 1 มรกต 1 บุษราคัม 1 โกเมน 1 นิล 1 มุกดา 1 เพทาย 1 ไพฑูรย์ 1 ใจกลางเป็นเพชรรวมพลอย 9 อย่างด้านหลังลงยาสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน และอุณาโลมอยู่กลาง มีจุลมงกุฏประดับเพชรอยู่เบื้องบน ใช้ห้อยกับแพรแถบกว้าง 10 เซนติเมตร สีเหลืองขอบเขียว มีริ้วแดงและน้ำเงินคั่นระหว่างสีเหลืองและขอบสีเขียวนั้น สะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย ดารานพรัตน เป็นรูปดารา 8 แฉก ทำด้วยเงินจำหลักเป็นเพชรสร่ง กลางเป็นดอกประจำยามฝังพลอย 8 อย่าง ใจกลางเป็นเพชรเหมือนมหานพรัตน ใช้ประดับที่อกเสื้อด้านซ้าย แหวนนพรัตน ทำด้วยทองคำเนื้อสูง",
"น้ำตกตาดกวางสี มีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร เป็นน้ำตกหินปูน น้ำในน้ำตกจึงมีสีเขียวมรกต ภายในน้ำตกมีการจัดการท่องเที่ยวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีพื้นที่แบ่งออกเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร โดยไม่อนุญาตให้มีการปรุงอาหาร พื้นที่สำหรับเล่นน้ำ และมีการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ",
"เป็นปลาปอมปาดัวร์ชนิดหนึ่ง แม้จะมีชื่อว่าเขียว แต่ทว่าสีพื้นลำตัวของปลาปอมปาดัวร์เขียวมักออกไปทางโทนสีเขียวอมเหลือง และมีลักษณะที่แตกต่างจากปลาปอมปาดัวร์ชนิดอื่น ๆ ที่เห็นได้ชัดเจน คือ มีจุดสีแดงคล้ายสนิมขนาดเล็กขึ้นกระจายอยู่ตามลำตัว ซึ่งจุดเหล่านี้เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยในปลาปอมปาดัวร์เขียวโดยปลาแต่ละตัวอาจจะมีจำนวนจุด และการกระจายมากน้อยแตกต่างออกไปตามแต่ละตัว แต่อย่างน้อยจะต้องมีปรากฏลักษณะจุดเช่นนี้บริเวณรอบครีบทวารเสมอ โดยปลาตัวใดที่มีจุดดังกล่าวมากและเห็นชัดเจน โดยที่มีลวดลายสีเขียวมรกตขึ้นชัดเจนตามบริเวณแนวครีบหลังและครีบท้องด้วย จะเรียกว่า \"Red spotted green\"",
"มรกตนั้นมีหลายเฉดสี แหล่งที่สำคัญมากและโด่งดังไปทั่วโลกคือ มรกตจากโคลอมเบีย ซึ่งได้รับการยกย่องว่างามที่สุดในโลกราคามักสูงกว่าแหล่งอื่น ๆ และถูกกล่าวอ้างถึงบ่อย ๆ มีเหมืองสำคัญซึ่งผลิตมรกตสีต่างกันคือ เหมืองชิบอร์ (Chivor) มีมรกตสีเขียวสดอมเหลือง และเหมืองมูโซ (Muzo) ให้มรกตสีเขียวอมฟ้าคล้ายสีของน้ำทะเล การดูแลรักษาไม่ควรใส่ทำงานหนัก เพราะทนแรงกระแทกได้ไม่ดีนักมีความเปราะ หลีกเลี่ยงสารเคมี น้ำหอม และสเปรย์แต่งผม",
"เพชรดี หมายถึง เพชร แร่รัตนชาติสีขาว (Diamond) มณีแดง หมายถึง ทับทิม แร่รัตนชาติสีแดง (Ruby) เขียวใสแสงมรกต หมายถึง มรกต แร่รัตนชาติสีเขียว (Emerald) เหลืองใสสดบุษราคัม หมายถึง บุษราคัม แร่รัตนชาติสีเหลือง (แซฟไฟร์สีเหลือง) แดงแก่ก่ำโกเมนเอก หมายถึง โกเมน แร่รัตนชาติสีเลือดหมู (Garnet) สีหมอกเมฆนิลกาฬ หมายถึง แซฟไฟร์ แร่รัตนชาติสีน้ำเงิน(ไพลิน) (แซฟไฟร์สีน้ำเงิน) มุกดาหารหมอกมัว หมายถึง มุกดา หรือ จันทรกานต์ แร่รัตนชาติสีขาวขุ่นคล้ายสีหมอก มีลักษณะพิเศษมีเหลือบรุ้งสีออกฟ้าสีนวล (Moonstone) แดงสลัวเพทาย หมายถึง เพทาย แร่รัตนชาติสีแดงเข้ม (Hyacinth) เขียนอีกอย่างหนึ่งว่า (Yellow Zircon) (ซึ่งเป็นรัตนชาตชนิดเดียวกัน) สังวาลสายไพฑูรย์ หมายถึง ไพฑูรย์ เป็นอัญมณีหรือหินสีชนิดหนึ่งหรือแร่รัตนชาติ มีหลายสีเช่น สีเหลืองนวล สีเหลืองทอง สีน้ำผึ้ง สีเขียวแอปเปิล สีน้ำตาล ฯลฯ (Chrysoberyl-cat eye)",
"น้ำสีมรกตในทะเลสาบแห่งนี้มาจากการละลายของธารน้ำแข็งซึ่งอยู่เหนือทะเลสาบขึ้นไป ทะเลสาบแห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,750 เมตร มีพื้นน้ำขนาดกว่า 500 ไร่ ยาวกว่า 3 กิโลเมตร น้ำจากทะเลสาบนี้ไหลออกเป็นแม่น้ำโบว์",
"เป็นงูที่มีสีเขียวตลอดทั้งตัว มีลักษณะคล้ายกับงูกรีนแมมบาตะวันออก (\"D. angusticeps\") ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน (\"Dendroaspis\" spp.) แต่ว่าถูกจัดให้เป็นชนิดต่างกัน เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพที่ต่างกัน คือ มีความยาวที่มากกว่างูกรีนแมมบาตะวันออก กล่าวคือ มีความยาวโดยเฉลี่ย 1.8 เมตร และมีโทนสีของลำตัวหลากหลายแตกต่างกันมากกว่า กล่าวคือ มีทั้งสีเขียวมรกต, สีเขียวมะกอก หรือแม้แต่สีเขียวอมฟ้า อีกทั้งมีอุปนิสัยที่ดุร้ายก้าวร้าวกว่างูกรีนแมมบาตะวันออก อาศัยและหากินเป็นหลักบนต้นไม้",
"พระแก้วมรกตสร้างขึ้นในปี พุทธศักราช 500 โดยพระนาคเสนเถระ วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ในแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์) สมเด็จพระอมรินทราธิราช พร้อมกับพระวิสสุกรรมเทพบุตร ได้นำแก้วโลกาทิพยรัตตนายก อันมีรัตนายกดิลกเฉลิม 1000 ดวง สีเขียวทึบ (หยกอ่อน) นำมาจำหลักเป็นพระพุทธรูปถวายให้พระนาคเสน ถวายพระนามว่า พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต พระนาคเสนจึงได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงไปในพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต 7 พระองค์ คือพระโมลี พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย-ขวา และพระเพลาซ้าย-ขวา แต่เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานแล้วนั้น เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้น พระนาคเสนได้พยากรณ์ว่า พระแก้วองค์นี้ จะเสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ในเบญจประเทศ คือ ลังกาทวีป กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย ปะมะหละวิสัย และ สุวรรณภูมิ",
"คือกรอสซูลาร์โปร่งใสที่มีสีเขียว เขียวมรกต (Cr3+, V3+) คือกรอสซูลาร์ที่มีสีเหลืองอมส้ม ส้มอมแดง (Fe3+) บางครั้งเรียก ซินนามอนสโตน (Cinnamon stone) เพราะสีคล้ายอบเชย หรือกระวาน มีลักษณะเด่นคือมีสีส้ม ลักษณะทั่วไปดูคล้ายคลื่นความร้อน (Heat wave effect) ทำให้พลอยดูซึม ๆ โดยมีแหล่งกำเนิดที่ประเทศศรีลังกาหรือกรอสซูลาร์แบบโปร่งแสงที่เป็นเม็ดละเอียดเนื้อแน่น มีสีเขียว (Cr3+) เรียก “หยกทรานสเวิล” (Transvaal Jade) หรือ “หยกแอฟริกา” (African Jade) เพราะมีสีคล้ายหยก บางครั้งอาจพบมีสีแดง, ชมพู (Mn3+) ลักษณะเด่นที่พบในเนื้อแร่มักมีมลทินเป็นจุดดำ ๆ ของแร่โครไมต์ (Chromite) และแมกนีไทต์ (Magnetite) อาจมีรอยแตกเป็นเสี้ยน มีความวาวเป็นแบบขี้ผึ้ง แหล่งกำเนิดจะอยู่ที่แอฟริกาใต้ คานาดาชนิดที่สำคัญใน แอนดราไดต์ การ์เนต คือ",
"ใบ เป็นสีเขียวเข้ม หรือสีมรกต",
"มรกตคุณภาพดีหรือไม่ดีก็มีทั้งสิ้น แต่พิจารณาปริมาณและการวางตัวของตำหนิ (ต้องเลือกที่ไม่มีตำหนิต่อเนื่องราวมาจนถึงหน้าพลอย หรือจากขอบหนึงไปถึงขอบหนึ่ง เพราะจะมีผลต่อการนำไปใช้ อาจไม่คงทน) ซึ่งอาจจะมีผลกับการส่องประกายแสงออกมาจากมรกต หากมีมากไปพลอยจะดูทึบแสง ไม่มีประกายซึ่งมักได้รับการเจียระไนแบบหลังเบี้ยหรือหลังเต่า หากทึบจนตันแสงไม่ส่องผ่านเลยและมีสีเขียวซีดจะจัดเป็นมรกตคุณภาพต่ำที่สุด มรกตมีการทำเลียนแบบ สังเคราะและปรับปรุงคุณภาพ (อาบนำมันบ้าง ชุบสี ซ่านสี เคลื่อบสี แช่สารเคมีเฉพาะ) ดังนั้นจึงควรตรวจสอบก่อนการซื้อเพราะจัดเป็นพลอยที่มีราคาสูงมาก (ถ้าคุณภาพดีมากและขนาดใหญ่ด้วยแล้ว) บางกรณีนั้นแยกแทบไม่ออกด้วยตาเปล่าต้องส่งห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือช่วยตรวจสอบ",
"โค้งมงกุฎมีอิทธิพลมาจากมงกุฎแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และฝังด้วยเพชรแปดเม็ดที่เป็นสัญลักษณ์ของพระเยซู เพราะพระมหาจักรพรรดิถือกันว่าเป็นผู้แทนทางศาสนาฝ่ายฆราวาส บนโค้งเป็นมรกตสีน้ำเงินเขียวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ เป็นมรกตขัดที่มิได้เจียรนัย",
"เครื่องแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน ใช้การแต่งกายแบบยืนเครื่อง ซึ่งเป็นการแต่งกายจำลองเลียนแบบจากเครื่องทรงต้นของพระมหากษัตริย์แบบโบราณที่มีความสวยงามวิจิตรตระการตา แบ่งเป็น 5 ฝ่ายคือ ฝ่ายมนุษย์ เทวดา พระ นาง ฝ่ายยักษ์และฝ่ายลิง สำหรับบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่ง นอกจากนั้นตัวละครอื่น ๆ จะแต่งกายตามแต่ลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่น ฤๅษี กา ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ สวมหัวโขนซึ่งมีการกำหนดลักษณะและสีไว้อย่างเป็นระบบและแบบแผน ใช้สำหรับกำหนดให้ใช้เฉพาะกับตัวละคร สีของเสื้อเป็นการบ่งบอกถึงสีผิวกายของตัวละครนั้น ๆ เช่น พระรามกายสีเขียวมรกต พระลักษมณ์กายสีเหลืองบุษราคัม ทศกัณฐ์กายสีเขียวมรกต หนุมานกายสีขาวมุกดา สุครีพกายสีแดงโกเมน เป็นต้น แบ่งได้ 3 ประเภท คือ"
] |
ซัมเมอร์สแลม (2012) นี้จัดเป็นครั้งที่ เท่าไหร่? | [
"เฮลอินเอเซล (2012) เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ในปี 2012 ซึ่งจัดเป็นปีที่ 4 แล้ว สถานที่จัดคือ ฟิลิปส์ อารีนา ในเมือง แอตแลนตา, รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2012[1][2] ซึ่งจัดหลังจากศึก ไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2012)"
] | [
"ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 30 บร็อก เลสเนอร์ ได้เอาชนะ ดิอันเดอร์เทเกอร์ และหยุดสถิติไร้พ่ายของอันเดอร์เทเกอร์ในที่สุด ในซัมเมอร์สแลม (2014) เลสเนอร์ได้เอาชนะ จอห์น ซีนา และได้แชมป์ WWE World Heavyweight Championship ก่อนจะเสียแชมป์ให้กับ เซท โรลลินส์ ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 31 โดยใช้กระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์ เลสเนอร์ได้ขอสิทธิ์รีแมตช์ชิงแชมป์กับโรลลินส์ในแบทเทิลกราวด์ (2015) แต่ระหว่างแมตช์นั้น อันเดอร์เทเกอร์ ได้มาล้างแค้นเลสเนอร์ ทำให้ไม่ได้แชมป์ ในรอว์ วันที่ 20 กรกฎาคม ลิเลียน การ์เซีย ประกาศว่า เลสเนอร์ เป็นผู้ชนะ โดยการทำฟาล์ว คืนเดียวกันได้มีการประกาศว่า อันเดอร์เทเกอร์ จะเจอกับ เลสเนอร์ ในซัมเมอร์สแลม โดยครั้งนี้เป็นการปล้ำในศึกซัมเมอร์สแลมครั้งแรกของอันเดอร์เทเกอร์ ตั้งแต่ปี 2008 และเป็นการปล้ำ เพย์-เพอร์-วิว ครั้งแรก นอกจากเรสเซิลเมเนีย ตั้งแต่ แบรกกิ้ง ไรท์ส (2010)",
"ในรอว์ วันที่ 21 กรกฎาคม ทริปเปิลเอช ออกมาเพื่อประกาศว่าจะให้ใครชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวท WWE กับ จอห์น ซีนา ในซัมเมอร์สแลม พอล เฮย์แมน ออกมา และก็บอกว่าแผน A ของ ทริปเปิล เอช คือ แรนดี ออร์ตัน ดูจะไม่เวิร์คเท่าไหร่เพราะโดน โรแมน เรนส์ ตามล่าอยู่ ส่วนแผน B อย่าง เซท รอลลินส์ ก็โดน ดีน แอมโบรส ก่อกวนไม่เลิก ดังนั้นคงต้องใช้แผน C และ บร็อก เลสเนอร์ ก็ออกมา และก็ทำให้ ทริปเปิล เอช ไม่มีทางเลือกนอกจากรับข้อเสนอของเฮย์แมน ให้เลสเนอร์ ได้ชิงแชมป์กับซีนา ในซัมเมอร์สแลม",
"ในรอว์ ตอนที่ 1,000 วินซ์ แม็กแมน ประธานของ WWE ออกมาเปิดรายการ และได้เชิญกลุ่มดี-เจเนอเรชันเอ็กซ์ออกมา โดยมีทริปเปิลเอชกับชอว์น และตามด้วย โรด ด็อก, เอกซ์-แพก และบิลลี่ กัน ขับรถจี๊ปทหารตามออกมา ดี-เอกซ์ ออกมาพูดกันอยู่นานแดเมียน แซนดาวก็ออกมาขัดจังหวะ ชอว์นเลยจัดการใส่ Sweet Chin Music ต่อด้วย Pedigree ของทริปเปิลเอช ในรอว์ 6 สิงหาคม ชอว์นออกมาทักทายแฟนๆ ที่บ้านเกิด(แซนแอนโทนีโอ) จากนั้นก็พูดถึงการปะทะกันของทริปเปิลเอชกับบร็อก เลสเนอร์ ที่จะเจอกันในซัมเมอร์สแลม (2012) แต่เลสเนอร์ออกมาพร้อมกับ พอล เฮย์แมน เพื่อมาเถียงกับชอว์น จากนั้นทริปเปิล เอชก็ตามออกมา ทำให้เลสเนอร์ต้องหนีไป แต่ก่อนจาก เลสเนอร์ได้บอกว่าเอาไว้เจอกันในศึก ซัมเมอร์สแลม ส่วนชอว์นนั้นเราจะได้เจอกันก่อนหน้านั้น ในรอว์ต่อมา ชอว์นกับทริปเปิลเอชออกมาเพื่อเซ็นสัญญาปล้ำกับเลสเนอร์ ในซัมเมอร์สแลม แล้วเลสเนอร์กับเฮย์แมน ก็กลับไปหลังจากที่เซ็นกันเสร็จเรียบร้อย ชอว์นจะขับรถกลับบ้าน แต่โดนเฮย์แมน ขับรถมาขวางเอาไว้ แล้วเลสเนอร์ก็มาลากชอว์นลงจากรถแล้วก็อัดซะเละ เลสเนอร์แบกชอว์นกลับมาที่เวที แล้วก็จัดการด้วย F-5 ต่อด้วย คิมุระล็อก ทริปเปิล เอชวิ่งออกมาช่วย แต่เฮย์แมนสั่งห้าม ทริปเปิล เอชเข้ามาใกล้ ไม่อย่างนั้น เลสเนอร์จะหักแขนชอว์นซะ ทริปเปิล เอชไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่เลสเนอร์ก็หักแขนชอว์นอยู่ดี ทริปเปิล เอชรีบวิ่งเข้าไปช่วย แต่เลสเนอร์กับเฮย์แมน ก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ชอว์นดิ้นอยู่บนเวที ทริปเปิล เอชพยายามเข้าไปขอโทษแต่ ชอว์นก็ไล่ทริปเปิลเอชให้ไปไกลๆ ในซัมเมอร์สแลม ทริปเปิลเอชแพ้ให้กับเลสเนอร์ ในรอว์ 1 เมษายน 2013 ชอว์นออกมาเพื่อพูดให้กำลังใจ ทริปเปิล เอช ในการเดิมพันอาชีพการปล้ำของทริปเปิลเอช ในการเจอกับเลสเนอร์ ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 29 ในแมตช์ไม่มีกฏกติกา เลสเนอร์ กับ พอล เฮย์แมน ออกมาท้าทายทริปเปิลเอช และบอกว่าการที่ทริปเปิลเอชจะมาสู้กับเลสเนอร์ นั้นเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ และในเรสเซิลเมเนีย ทริปเปิลเอชก็ล้างแค้นเอาชนะไปได้สำเร็จ",
"ซัมเมอร์สแลม (2011) เป็นรายการ เพย์-เพอร์-วิว ของ WWE ในปี 2011 ซึ่งจัดเป็นปีที่ 24 แล้ว สถานที่จัดคือ Staples Center ใน Los Angeles, California เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซึ่งจัดเป็นปีที่ 3 แล้วติดต่อกัน หลังจากศึก มันนีอินเดอะแบงก์ (2011) ซึ่งซัมเมอร์สแลมก็ได้มีการโปรโมทแล้วหลายครั้งในช่วงของ เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 27",
"ซัมเมอร์สแลม (SummerSlam) เป็นศึกมวยปล้ำ ของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี โดยจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ซัมเมอร์สแลมกำเนิดขึ้นเป็นรายการ เพย์-เพอร์-วิว รายการที่ 3 ของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี โดยจักขึ้นครั้งแรกในปี 1988 จึงถูกเรียกให้เป็น 1 ใน Big Four ของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ซึ่ง Big Four นั้นประกอบไปด้วย รอยัลรัมเบิล, เรสเซิลมาเนีย, ซัมเมอร์สแลม และ เซอร์ไวเวอร์ ซีรีส์",
"ซัมเมอร์สแลม (2010) เป็นรายการ เพย์-เพอร์-วิว ของ WWE ในปี 2010 ซึ่งจัดเป็นปีที่ 23 แล้ว สถานที่จัดคือ Staples Center ใน Los Angeles, California เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ซึ่งเคยมาจัดเมื่อปีที่แล้ว",
"ในศึก โนเวย์เอาท์ (2012) ทริปเปิล เอช ออกมาพูดถึงเลสเนอร์ ว่าจะเสียเวลายื่นฟ้อง WWE ไปทำไมมาสู้กันเลยดีกว่า ในศึก ซัมเมอร์สแลม (2012) ในศึก รอว์ ตอนที่ 1,000 (23 กรกฎาคม 2012) ทริปเปิล เอช ออกมาเพื่อมาเจรจากับเลสเนอร์ แต่เป็น พอล เฮย์แมน ออกมาเพื่อบอกปฏิเสธแมตช์ในศึก ซัมเมอร์สแลม สเตฟานี แม็กแมน ออกมาเยาะเย้ยถากถางเฮย์แมน ทำให้เฮย์แมนโมโห บอกจะให้เลสเนอร์ มาทำลายทริปเปิล เอช ให้สิ้นซาก ในซัมเมอร์สแลม สเตฟานีคร่อมต่อยเฮย์แมนไม่ยั้งแล้วเลสเนอร์ ก็ออกมาเล่นงานอัด ทริปเปิล เอช แต่ ทริปเปิล เอช ต่อยสู้ แล้วก็อัดเลสเนอร์ ตกเวทีไป ในรอว์ (13 สิงหาคม 2012) เลสเนอร์ กับ เฮย์แมน ออกมาที่เวทีเพื่อมาเซ็นสัญญาปล้ำกับ ทริปเปิล เอช ในซัมเมอร์สแลม ชอว์น ไมเคิลส์ กับ ทริปเปิล เอช ก็ออกมาเซ็นสัญญา แล้วเลสเนอร์ กับเฮย์แมน ก็กลับไปหลังจากที่เซ็นกันเสร็จเรียบร้อย ชอว์นจะขับรถกลับบ้าน แต่โดนเฮย์แมนขับรถมาขวางเอาไว้ แล้วเลสเนอร์ ก็มาลากชอว์น ลงจากรถแล้วก็อัดซะเละ เลสเนอร์ แบกชอว์น กลับมาที่เวที แล้วก็จัดการด้วย F-5 ต่อด้วย คิมุระล็อก ทริปเปิล เอช วิ่งออกมาช่วย แต่เฮย์แมนสั่งห้าม ทริปเปิล เอช เข้ามาใกล้ ไม่อย่างนั้นเลสเนอร์ จะหักแขนชอว์น ทริปเปิล เอช ไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่เลสเนอร์ ก็หักแขนชอว์นอยู่ดี ทริปเปิล เอช รีบวิ่งเข้าไปช่วย แต่เลสเนอร์ กับเฮย์แมน ก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ในซัมเมอร์สแลม เลสเนอร์ ก็เป็นฝ่ายเอาชนะ ทริปเปิล เอช ไปได้สำเร็จ",
"ซัมเมอร์สแลม (2015) () เป็นการแสดงมวยปล้ำอาชีพแบบ เพย์-เพอร์-วิว (PPV) ของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 28 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2015 ณ สนาม บาร์เคลส์เซ็นเตอร์ ในเมืองบรุกลิน, นครนิวยอร์ก, รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นับว่าเป็นครั้งแรกที่ซัมเมอร์สแลม ย้ายออกมาจาก ลอสแอนเจลิส หลังจากปักหลักจัดขึ้นที่ ณ สนาม สเตเปิลส์เซ็นเตอร์ มาโดยตลอดเป็นเวลา 6 ปีติดต่อกัน",
"ซัมเมอร์สแลม (1992) () เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของเวิลด์ไวด์เรสต์ลิงเฟดดิเรชั่น ที่จัดหลังศึกใหญ่ เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 8 จัดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1992 ณ สนาม เวมบ์ลี้ สแทดซึม ในเมืองลอนดอน, ประเทศอังกฤษ",
"ในศึก รอว์ 1,000 (23 กรกฎาคม 2012) วินซ์ แม็กแมน ออกมาแนะนำ ดี-เจเนอเรชันเอ็กซ์ ทริปเปิล เอช ออกมาพร้อมกับ ชอว์น ไมเคิลส์ และตามด้วย โรด ด็อก, บิลลี่ กัน และ เอกซ์-แพ็ค ขับรถจี๊ปทหารตามออกมา ดี-เจเนอเรชันเอ็กซ์ เล่นตลกคาเฟ่กันอยู่นาน ทำให้ แดเมียน แซนดาว ออกมาขัดจังหวะ ชอว์น เลยจัดการ Sweet Chin Music ต่อด้วย Pedigree ของ ทริปเปิล เอช คืนเดียวกัน ทริปเปิล เอช ออกมาอีกครั้งเพื่อมาเจรจากับเลสเนอร์ แต่เป็น พอล เฮย์แมน ออกมาเพื่อบอกปฏิเสธแมตช์ในซัมเมอร์สแลม สเตฟานี ออกมาเยาะเย้ยถากถาง เฮย์แมน ทำให้ เฮย์แมน โมโห บอกจะให้เลสเนอร์ มาทำลาย ทริปเปิล เอช ให้สิ้นซาก ในซัมเมอร์สแลม สเตฟานี คร่อมต่อยเฮย์แมน ไม่ยั้งแล้ว เลสเนอร์ ก็ออกมา สเตฟานีหนีลงเวทีไป แต่ ทริปเปิล เอช ก็โดนเลสเนอร์ อัด ทริปเปิล เอช ต่อยสู้ แล้วก็อัดเลสเนอร์ ตกเวทีไป[43] ในรอว์ (13 สิงหาคม 2012) ทริปเปิล เอช กับ ชอว์น ไมเคิลส์ ออกมาเพื่อเซ็นสัญญาปล้ำกับเลสเนอร์ ในซัมเมอร์สแลม แล้ว เลสเนอร์ กับเฮย์แมน ก็กลับไปหลังจากที่เซ็นกันเสร็จเรียบร้อย ชอว์น จะขับรถกลับบ้าน แต่โดน เฮย์แมนขับรถมาขวางเอาไว้ แล้วเลสเนอร์ ก็มาลากชอว์นลงจากรถแล้วก็อัดซะเละ เลสเนอร์ แบกชอว์น กลับมาที่เวที แล้วก็จัดการด้วย F-5 ต่อด้วย คิมุระล็อก ทริปเปิล เอช วิ่งออกมาช่วย แต่ เฮย์แมน สั่งห้าม ทริปเปิล เอช เข้ามาใกล้ ไม่อย่างนั้น เลสเนอร์ จะหักแขนชอว์น ทริปเปิล เอช ไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่ เลสเนอร์ ก็หักแขนชอว์น อยู่ดี ทริปเปิล เอช รีบวิ่งเข้าไปช่วย แต่ เลสเนอร์ กับเฮย์แมน ก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ชอว์นดิ้นอยู่บนเวที ทริปเปิล เอช พยายามเข้าไปขอโทษ แต่ชอว์นก็ไล่ ทริปเปิล เอช ให้ไปไกลๆ[44] ในซัมเมอร์สแลม ทริปเปิล เอช ก็เป็นฝ่ายแพ้ให้กับเลสเนอร์[45][46]",
"ซัมเมอร์สแลม (1996) () เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของเวิลด์ไวด์เรสต์ลิงเฟดดิเรชั่น ที่จัดหลังศึกใหญ่ จัดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1996 ณ สนาม กันด์อารีนา ในเมืองคลีฟแลนด์, รัฐโอไฮโอ",
"ในศึกสแมคดาวน์ (27 กรกฎาคม 2012) อัลเบร์โต เดล รีโอ ได้เอาชนะ แดเนียล ไบรอัน, เรย์ มิสเตริโอ และ เคน ทำให้ เดล รีโอ ได้เป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 ในการชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวท กับ เชมัส ในศึก ซัมเมอร์สแลม (2012) ในศึกรอว์ (6 สิงหาคม 2012) เดล รีโอ จะต้องเจอกับ คริสเตียน สุดท้าย เดล รีโอ ก็เป็นฝ่ายเอาชนะ คริสเตียน มาได้สำเร็จ หลังแมตช์ เชมัส ได้มาขโมยรถเฟอร์รารีของเดล รีโอ ไปขับเล่น และเอารถกลับมาจอดในสภาพเละเทะไปทั้งคัน ในศึกสแมคดาวน์ (10 สิงหาคม 2012) บูเกอร์ ที ผู้จัดการทั่วไปของ สแมคดาวน์ ออกมาพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ เชมัส ขโมยรถของเดล รีโอ ไปขับจนเละเทะไปทั้งคัน จึงขอสั่งให้ เชมัส ออกมาขอโทษต่อแฟนๆ และขอโทษเดล รีโอ ด้วย เชมัส ก็ออกมาขอโทษต่อ บูเกอร์ ที ขอโทษแฟนๆ และขอโทษเดล รีโอ แต่เดล รีโอออกมาบอกว่าแค่นี้มันไม่จบหรอกนะ เพราะชั้นได้ไปแจ้งความไว้กับ สน.แซนแอนโทนีโอ เรียบร้อยแล้ว บูเกอร์ ที รีบบอกว่าถ้า เชมัส ถูกดำเนินคดี เขาก็จะขึ้นป้องกันแชมป์ในซัมเมอร์สแลม ไม่ได้ เชมัส รีบเสนอว่างั้นมาชิงแชมป์กันคืนนี้เลยเป็นไงล่ะ เดล รีโอ ก็ตอบตกลง คืนเดียวกัน เดล รีโอ ได้ชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวท เชมัส แต่ตำรวจออกมาจับ เชมัส ซะก่อน ความจริงแล้วเป็นตำรวจที่เดล รีโอ จ่ายเงินให้มาเล่นงาน เชมัส ทำให้ เชมัส ถูกรุมอัดซะน่วม เดล รีโอ จับ เชมัส ใส่ Cross ArmBreaker จนร้องลั่น",
"ในศึกรอว์ (12 สิงหาคม 2013) แมดด็อกซ์ออกมาและอธิบายว่าเขานับเร็วไปหน่อยเพราะเขาตื่นเต้นหลังจากที่ไม่ได้เป็นกรรมการมานานแล้ว เขาไม่ได้ตั้งใจ และอยากจะขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้งด้วยการเป็นกรรมการในแมตช์ซีนา กับไบรอัน ในซัมเมอร์สแลม คนดูโห่ทั้งสนาม แต่วินซ์ แม็กแมนยังประกาศให้แมดด็อกซ์เป็นกรรมการในซัมเมอร์สแลม ทริปเปิลเอช ออกมาขัดจังหวะ และ Pedigree ใส่แมดด็อกซ์เพื่อจะเป็นกรรมการในศึก ซัมเมอร์สแลม เอง",
"ทริปเปิลเอชออกมาเพื่อมาเจรจากับบร็อก เลสเนอร์ แต่เป็นพอล เฮย์แมน ผู้จัดการของเลสเนอร์ ออกมาเพื่อบอกปฏิเสธแมตช์ในซัมเมอร์สแลม (2012) สเตฟานี แม็กแมน ภรรยาของทริปเปิลเอช ออกมาเยาะเย้ยถากถางเฮย์แมน ทำให้เฮย์แมนโมโห บอกจะให้เลสเนอร์มาทำลายทริปเปิลเอชให้สิ้นซากในซัมเมอร์สแลม สเตฟานีคร่อมต่อยเฮย์แมนไม่ยั้งแล้วเลสเนอร์ก็ออกมาเล่นงานอัดทริปเปิลเอช แต่ทริปเปิลเอชต่อยสู้ แล้วก็อัดเลสเนอร์ตกเวทีไป",
"ซัมเมอร์สแลม (1997) () เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของเวิลด์ไวด์เรสต์ลิงเฟดดิเรชั่น ที่จัดหลังศึกใหญ่ จัดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1997 ณ สนาม Continental Airlines Arena ในเมืองEast Rutherford, New Jersey",
"ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 30 เลสเนอร์ได้เอาชนะดิอันเดอร์เทเกอร์ และทำลายสถิติของอันเดอร์เทเกอร์เป็น 21-1 ทำให้คนดูช็อกกันทั้งสนาม ในรอว์ 21 กรกฎาคม 2014 ทริปเปิลเอชออกมาเพื่อประกาศว่าจะให้ใครชิงแชมป์ WWEกับจอห์น ซีนาในซัมเมอร์สแลม (2014) เฮย์แมนออกมาและก็บอกว่าแผน A ของทริปเปิลเอชคือแรนดี ออร์ตัน ดูจะไม่เวิร์คเท่าไหร่เพราะโดนโรแมน เรนส์ตามล่าอยู่ ส่วนแผน B อย่างเซท โรลลินส์ก็โดนดีน แอมโบรสก่อกวนไม่เลิก ดังนั้นคงต้องใช้แผน C และเลสเนอร์ก็ออกมา ทำให้ทริปเปิลเอชไม่มีทางเลือกนอกจากรับข้อเสนอของเฮย์แมนให้เลสเนอร์ได้ชิงแชมป์กับซีนาในซัมเมอร์สแลม และเลสเนอร์ก็คว้าแชมป์ได้สำเร็จ ก่อนจะเสียแชมป์ให้เซท โรลลินส์ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 31 วันที่ 19 กรกฎาคม 2016 เลสเนอร์ได้ถูกดราฟท์ไปรอว์พร้อมกับเฮย์แมน ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 33 เลสเนอร์ได้คว้าแชมป์ยูนิเวอร์แซล WWE",
"ไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2012) เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิวมวยปล้ำอาชีพของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ในปี 2012 ซึ่งจัดเป็นปีที่ 5 แล้ว สถานที่จัดคือ ทีดี การ์เดน ในเมือง บอสตัน, รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2012 ซึ่งจัดหลังจากศึก ซัมเมอร์สแลม (2012)",
"ในศึกรอว์ (6 สิงหาคม 2012) ชอว์น ไมเคิลส์ ออกมาทักทายแฟนๆ ที่บ้านเกิด (แซนแอนโทนีโอ) จากนั้นก็พูดถึงการปะทะกันของ ทริปเปิล เอช กับ บร็อก เลสเนอร์ ที่จะเจอกันในซัมเมอร์สแลม แต่ เลสเนอร์ ออกมาพร้อมกับ เฮย์แมน เพื่อมาเถียงกับ ชอว์น จากนั้น ทริปเปิล เอช ก็ตามออกมา ทำให้เลสเนอร์ ต้องหนีไป แต่ก่อนจาก เลสเนอร์ ได้บอกว่าเอาไว้เจอกันในซัมเมอร์สแลม ส่วนชอว์น เราจะได้เจอกันก่อนหน้านั้น[6] ในศึกรอว์ (13 สิงหาคม 2012) เลสเนอร์ กับ เฮย์แมน ออกมาที่เวทีเพื่อมาเซ็นสัญญาปล้ำกับ ทริปเปิล เอช ในซัมเมอร์สแลม ชอว์น กับ ทริปเปิล เอช ก็ออกมาเซ็นสัญญา แล้ว เลสเนอร์ กับ เฮย์แมน ก็กลับไปหลังจากที่เซ็นกันเสร็จเรียบร้อย ชอว์น จะขับรถกลับบ้าน แต่โดนเฮย์แมน ขับรถมาขวางเอาไว้ แล้วเลสเนอร์ ก็มาลากชอว์น ลงจากรถแล้วก็อัดซะเละ เลสเนอร์ แบก ชอว์น กลับมาที่เวที แล้วก็จัดการด้วย F-5 ต่อด้วย คิมุระล็อก ทริปเปิล เอช วิ่งออกมาช่วย แต่ เฮย์แมน สั่งห้าม ทริปเปิล เอช เข้ามาใกล้ ไม่อย่างนั้น เลสเนอร์ จะหักแขนชอว์นซะ ทริปเปิล เอช ไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่เลสเนอร์ ก็หักแขน ชอว์น ไมเคิลส์ อยู่ดี ทริปเปิล เอช รีบวิ่งเข้าไปช่วย แต่เลสเนอร์ กับ เฮย์แมน ก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ชอว์นดิ้นอยู่บนเวที ทริปเปิล เอช พยายามเข้าไปขอโทษแต่ชอว์น ก็ไล่ ทริปเปิล เอช ให้ไปไกลๆ",
"ในรอว์ (14 พฤษภาคม 2012) ทริปเปิลเอช ออกมาที่เวทีบอกว่า บร็อก เลสเนอร์ มันทำตัวเหมือนเดิมตลอด เมื่อก่อนมันเป็นเด็กบ้านนอกตัวโตจากมินเนโซต้า มันกลายเป็นสตาร์ดัง แต่พอเริ่มมีคนมาท้าชิงเข้าหน่อยมันก็หนีไป มันไป UFC แต่ก็ถูกเขาอัดเอา พอเห็นว่าหนทางไม่ได้ง่ายมันก็เลยหนีออกมาอีก มันกลับมา WWE เพราะเห็นว่า จอห์น ซีนา กระจอก และมันคิดว่ามันจะเอาชนะซีนาได้ แต่สุดท้ายมันก็แพ้ พอล เฮย์แมน ออกมา และเอาเอกสารคดีความมาให้ทริปเปิล เอช เพราะ เลสเนอร์ ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากทริปเปิล เอช เป็นเงินหลายล้าน เพราะเดิมที จอห์น โลรีนายติส ได้เซ็นสัญญากับเลสเนอร์ ไว้แล้ว แต่ทริปเปิล เอช ฉีกมันทิ้ง ทริปเปิล เอช โมโหและบีบคอ เฮย์แมน แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อย แล้วฝากให้ เฮย์แมน ไปบอก เลสเนอร์ ด้วยว่าเขาจะต้องได้รับสิ่งที่เขาสมควรจะได้ ทริปเปิล เอชเดินจากไป แต่ เฮย์แมน ประกาศว่าเมื่อกี้ว่า ทริปเปิล เอชทำร้ายเขา ดังนั้นเขาจะฟ้องทริปเปิล เอช เป็นคดีที่สองด้วย เอาไว้เจอกันในศาลนะ[40] ในศึก โนเวย์เอาท์ (2012) ทริปเปิล เอช ออกมาพูดถึง บร็อก เลสเนอร์ ว่าจะเสียเวลายื่นฟ้อง WWE ไปทำไมมาสู้กันเลยดีกว่า ในศึก ซัมเมอร์สแลม (2012)[41] ในรอว์ (18 มิถุนายน 2012) ทริปเปิล เอช ออกมาบอกว่า บร็อก เลสเนอร์ ควรจะตอบรับข้อเสนอนี้ เพราะถ้าเขายอมมา ชั้นจะให้เขาทุกอย่าง ให้เป็นนายแบบโปสเตอร์ศึก ซัมเมอร์สแลม ด้วย พอล เฮย์แมน บอกว่า อย่าพยายามเกลี้ยกล่อมให้ยากเลย เลิกทำตัวเป็นนักมวยปล้ำซะทีเถอะ กลับบ้านไปเลี้ยงลูกดีกว่านะ ไปเล่นเป็นพระราชากับลูกนู่น คนอย่างแกไม่ใช่พระราชาอะไรทั้งนั้นในโลกของชั้นและเลสเนอร์ โกรธรึไง อยากจะต่อยชั้นมั้ยล่ะ ต่อยเลยสิ จะได้ฟ้องอีกคดีนึง ทริปเปิล เอช ต่อย เฮย์แมน จริงๆ แล้วก็บอกว่า ไปบอก เลสเนอร์ ด้วยว่าในซัมเมอร์สแลม มันจะต้องโดนแบบนี้[42]",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ซัมเมอร์สแลม รายชื่อรายการเพย์-เพอร์-วิวของดับเบิลยูดับเบิลยูอี",
"ซัมเมอร์สแลม (2012) (English: SummerSlam (2012)) เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ที่จัดหลังศึกใหญ่ มันนี่อินเดอะแบงค์ (2012) จัดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ณ สนาม สเตเปิลส์เซ็นเตอร์ ในเมือง ลอสแอนเจลิส, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา[1] โดยแสดงนักมวยปล้ำจาก รอว์ และ สแมคดาวน์ โดยจัดเป็นครั้งที่ 25 ของศึกซัมเมอร์สแลม",
"ซัมเมอร์สแลม (1989) () เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของเวิลด์ไวด์เรสต์ลิงเฟดดิเรชั่น ที่จัดหลังศึกใหญ่ เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 5 จัดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1989 ณ สนาม Meadowlands Arena ในเมืองEast Rutherford, New Jersey ,สหรัฐอเมริกา",
"ซัมเมอร์สแลม (2014) (อังกฤษ: SummerSlam (2014)) เป็นการแสดงมวยปล้ำอาชีพแบบ เพย์-เพอร์-วิว (PPV) ของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 27 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 ณ สนาม สเตเปิลส์เซ็นเตอร์ ในเมืองลอสแอนเจลิส, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นับว่าเป็นปีที่ 6 ของซัมเมอร์สแลมที่จัดติดต่อกันในสนามสเตเปิลส์เซ็นเตอร์",
"หมวดหมู่:ซัมเมอร์สแลม หมวดหมู่:มวยปล้ำอาชีพในปี พ.ศ. 2555 หมวดหมู่:มวยปล้ำในลอสแอนเจลิส (รัฐแคลิฟอร์เนีย)",
"เดอะไพรม์ไทม์เพลเยอส์ (Prime Time Players) ประกอบด้วย ไทตัส โอนีลและดาร์เรน ยัง เป็นทีมมวยปล้ำอาชีพของWWE เปิดตัวในสแมคดาวน์ (20 เมษายน 2012) ชนะดิอูโซส์ไปได้ ในโนเวย์เอาท์ (2012)ไพรม์ไทม์เพลเยอส์ได้ชนะแท็กทีม 4 เส้าไปชิงแชมป์แท็กทีม WWEกับโคฟี คิงส์ตันและอาร์-ทรูธ ในรอว์(16 กรกฎาคม 2012)ได้ชิงแชมป์แท็กทีมกับโคฟีและทรูธแต่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ ในซัมเมอร์สแลม (2012)ได้ชิงแชมป์กับโคฟีและทรูธอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ในเดือนสิงหาคม 2013 ไพรม์ไทม์เพลเยอส์ได้เปลี่ยนบทเป็นฝ่ายธรรมะ ในไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2013)ได้เข้าร่วมและชนะในแมตช์แท็กทีมเทอมอยล์เพื่อไปชิงแชมป์แท็กทีมกับเดอะชีลด์แต่ก็ไม่สำเร็จ ในสแมคดาวน์ 31 มกราคม 2014 หลังจากทั้งคู่แพ้แมตช์แท็กทีม โดยไทตัสยอมปล่อยให้ดาร์เรนโดนกดแบบง่ายๆ หลังแมตช์ไทตัสกับดาร์เรนจึงเถียงกัน ดาร์เรนเลยถามไทตัสว่านี่กำลังทำอะไร เราเป็นเหมือนพี่น้องเป็นครอบครัวไม่ใช่หรอ ไทตัสบอกว่า ไม่ เขาเบื่อหน่ายที่จะต้องมารู้ว่าเป็นไอ้ขี้แพ้แล้ว เขามาที่นี่เพื่อเป็นแชมป์ สิ่งเดียวที่ถ่วงเขาอยู่และเขาต้องกำจัดออกไปก็คือ ดาร์เรน ยัง ว่าแล้วไทตัสก็อัดดาร์เรนแบบไม่ยั้งจนนอนสลบด้านล่างเวที ทำให้ไพรม์ไทม์เพลเยอส์ต้องแตกทีมกัน ในปี 2015 ไพรม์ไทม์เพลเยอส์ได้กลับมารวมทีมกันอีกครั้ง ในมันนีอินเดอะแบงก์ (2015)ก็ได้คว้าแชมป์แท็กทีมร่วมกันสมัยแรกจากเดอะนิวเดย์ ก่อนจะเสียแชมป์คืนให้กับนิวเดย์ในซัมเมอร์สแลม (2015)ก่อนจะแตกทีมกันในปี 2016",
"คาลีได้เปิดตัวครั้งแรกในสแมคดาวน์ 7 เมษายน 2006 โดยมาลอบทำร้ายดิอันเดอร์เทเกอร์ ต่อมาในสแมคดาวน์ 20 กรกฎาคม 2007 คาลีได้คว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวทเป็นสมัยแรกได้จากการชนะแบทเทิลรอยัลชิงแชมป์ที่ว่างอยู่ ก่อนจะเสียแชมป์ให้บาทิสตาในซัมเมอร์สแลม (2007) ในซัมเมอร์สแลม (2010)คาลีได้เข้าร่วมปล้ำแท็กทีมคัดออก 7 ต่อ 7 เจอกับพวกเดอะเน็กซัส แต่ก่อนถึงซัมเมอร์สแลม คาลีได้ถูกกลุ่มเน็กซัสลอบทำร้ายจนไม่สามารถมาร่วมปล้ำได้ โดยหัวหน้าทีมอย่าง จอห์น ซีนาได้เลือกแดเนียล ไบรอัน อดีตสมาชิกเน็กซัสมาแทน และทีม WWE ก็เป็นฝ่ายชนะ",
"ในศึก โนเวย์เอาท์ (2012) ทริปเปิล เอช ออกมาพูดถึง บร็อก เลสเนอร์ ว่าจะเสียเวลายื่นฟ้อง WWE ไปทำไมมาสู้กันเลยดีกว่า ในซัมเมอร์สแลม[4] ในศึกรอว์ (18 มิถุนายน 2012) ทริปเปิล เอช ออกมาบอกว่า เลสเนอร์ ควรจะตอบรับข้อเสนอนี้ เพราะถ้าเขายอมมา ชั้นจะให้เขาทุกอย่าง ให้เป็นนายแบบโปสเตอร์ศึก ซัมเมอร์สแลม ด้วย เฮย์แมน บอกว่า อย่าพยายามเกลี้ยกล่อมให้ยากเลย เลิกทำตัวเป็นนักมวยปล้ำซะทีเถอะ กลับบ้านไปเลี้ยงลูกดีกว่านะ ไปเล่นเป็นพระราชากับลูกนู่น คนอย่างแกไม่ใช่พระราชาอะไรทั้งนั้นในโลกของชั้นและเลสเนอร์ โกรธรึไง อยากจะต่อยชั้นมั้ยล่ะ ต่อยเลยสิ จะได้ฟ้องอีกคดีนึง ทริปเปิล เอช ต่อย เฮย์แมน จริงๆ แล้วก็บอกว่า ไปบอกเลสเนอร์ ด้วยว่าในซัมเมอร์สแลม มันจะต้องโดนแบบนี้[5] ในศึก รอว์ ตอนที่ 1,000 (23 กรกฎาคม 2012) ทริปเปิล เอช ออกมาเพื่อมาเจรจากับ บร็อก เลสเนอร์ แต่เป็น พอล เฮเมน ออกมาเพื่อบอกปฏิเสธแมตช์ในศึก ซัมเมอร์สแลม (2012) สเตฟานี แม็กแมน ออกมาเยาะเย้ยถากถาง พอล เฮเมน ทำให้ พอล เฮเมน โมโห บอกจะให้ บร็อก เลสเนอร์ มาทำลาย ทริปเปิล เอช ให้สิ้นซาก ในศึก ซัมเมอร์สแลม สเตฟานี แม็กแมน คร่อมต่อย พอล เฮเมน ไม่ยั้งแล้ว บร็อก เลสเนอร์ ก็ออกมา สเตฟานี แม็กแมน หนีลงเวทีไป แต่ ทริปเปิล เอช ก็โดน บร็อก เลสเนอร์ อัด ทริปเปิล เอช ต่อยสู้ แล้วก็อัด บร็อก เลสเนอร์ ตกเวทีไป",
"ซัมเมอร์สแลม (1991) () เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของเวิลด์ไวด์เรสต์ลิงเฟดดิเรชั่น ที่จัดหลังศึกใหญ่ เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 7 จัดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1991 ณ สนาม เมดิสันสแควร์การ์เดน ในเมืองนครนิวยอร์ก, รัฐนิวยอร์ก ,สหรัฐอเมริกา",
"ในรอว์ วันที่ 28 กรกฎาคม สเตฟานี แม็กแมน ออกมาที่เวที และก็เชิญบรี เบลลา มาคุยกัน โดยสเตฟานี ขอร้องให้บรีถอนแจ้งความ และก็เสนอว่าจะเลิกกลั่นแกล้งนิกกี เบลลา และจะให้เธอไปพักร้อนด้วย แต่บรี เรียกร้องมากกว่านั้นคือให้จ้างเธอกลับมาทำงานด้วย และก็ขอปล้ำในซัมเมอร์สแลม เจอกับสเตฟานี สเตฟานีบอกว่าเธอไม่ได้ปล้ำมาสิบกว่าปีแล้วนะ เธอเป็นภรรยา เป็นแม่คน คงจะสู้ไม่ไหวหรอก บรีบอกว่างั้นไปเจอกันในศาลก็แล้วกัน ทำให้สเตฟานี แกล้งทำเป็นร้องห่มร้องไห้ก่อนจะยอมตอบตกลง แต่แล้วก็ตบหน้าบรี จนกลิ้งตกเวที ก่อนจะประกาศว่าจะเล่นงานบรีให้เละในซัมเมอร์สแลม จากนั้นทั้งคู่ก็ตบใส่กัน ทำให้ รปภ.ต้องออกมาช่วยกันห้าม",
"ซัมเมอร์สแลม (1998) () เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิว มวยปล้ำอาชีพของเวิลด์ไวด์เรสต์ลิงเฟดดิเรชั่น ที่จัดหลังศึกใหญ่ จัดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1998 ณ สนามเมดิสันสแควร์การ์เดน ในเมืองนครนิวยอร์ก, รัฐนิวยอร์ก"
] |
ภาษากงกณี ถูกค้นพบเมื่อใด? | [
"ภาษากงกณี(อักษรเทวนาครี: कोंकणी ; อักษรกันนาดา:ಕೊಂಕಣಿ; อักษรมาลายาลัม:കൊംകണീ ; อักษรโรมัน: Konknni) เป็นภาษากลุ่มอินโด-อารยัน โดยมีคำศัพท์จากภาษาดราวิเดียนปนอยู่ด้วย ได้รับอิทธิพลจากภาษาอื่นหลายภาษา ทั้งภาษาโปรตุเกส ภาษากันนาดา ภาษามราฐี ภาษาเปอร์เซีย และภาษาอาหรับ มีผู้พูดประมาณ 7.6 ล้านคน [1] [2]แต่เดิมเชื่อกันว่าภาษานี้เป็นภาษาถิ่นของภาษามราฐี แต่หลักฐานที่พบภาษากอนกานีเกิดก่อนภาษามราฐีนานมาก จารึกภาษากอนกานีพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1730 ขณะที่จารึกภาษามราฐีพบครั้งแรก เมื่อราว พ.ศ. 2100"
] | [
"การเข้ามาของโปรตุเกสทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากในหมู่ของชาวกอนกานี ชาวกอนกานีบางส่วนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และอิทธิพลทางศาสนาของโปรตุเกสทำให้ชาวกอนกานีบางส่วนอพยพออกไป การแบ่งแยกระหว่างชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูและคริสต์ทำให้ภาษากอนกานีแตกเป็นหลายสำเนียงยิ่งขึ้น",
"การแตกแยกเป็นส่วนๆของภาษากอนกานี ทำให้ไม่มีสำเนียงกลางที่เข้าใจระหว่างกันได้ การแพร่หลายของวัฒนธรรมตะวันตกในอินเดีย ชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูในกัวและบริเวณชายฝั่งของรัฐมหาราษฏระ ส่วนใหญ่ใช้ภาษามราฐีได้ด้วย ผู้นับถือศาสนาอิสลามหันไปใช้ภาษาอูรดู ปัญหาการติดต่อของชาวกอนกานีที่มีศาสนาต่างกัน และภาษากอนกานีไม่ได้เป็นภาษาสำคัญทางศาสนา ชาวกอนกานีมักติดต่อในกลุ่มที่นับถือศาสนาเดียวกันและหลีกเลี่ยงการติดต่อระหว่างกลุ่มที่มีศาสนาต่างกัน การอพยพของชาวกอนกานีไปยังบริเวณอื่นๆของอินเดียและทั่วโลก การขาดโอกาสที่จะเรียนภาษากอนกานีในโรงเรียน มีโรงเรียนที่สอนภาษากอนกานีไม่กี่แห่งในกัว ประชาชนที่อยู่นอกเขตที่ใช้ภาษากอนกานีไม่มีโอกาสได้เรียนภาษากอนกานีแม้ตะในแบบไม่เป็นทางการ ความนิยมของประชาชนที่นิยมพูดกับเด็กๆด้วยภาษาที่ใช้ทำมาหากิน ไม่ใช่ภาษาแม่ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ภาษาอังกฤษของเด็กดีขึ้น",
"ในขณะที่มีความเชื่อว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐีไม่ใช่ภาษาเอกเทศ สุนิต กุมาร จัตเตร์ชี ประธานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์แห่งชาติได้จัดการประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับข้อโต้แย้งนี้และได้บทสรุปเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ว่าภาษากอนกานีเป็นภาษาเอกเทศ [7]",
"การรวมของกัวเข้ากับอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2504 เป็นเวลาที่รัฐในอินเดียมีการจัดตัวใหม่ตามเส้นแบ่งทางภาษา มีความต้องการที่จะรวมกัวเข้ากับรัฐมหาราษฏระเพราะในกัวมีผู้พูดภาษามราฐีจำนวนมาก และภาษากอนกานีถูกจัดให้เป็นสำเนียงของภาษามราฐี ดังนั้นสถานะของภาษากอนกานีในฐานะภาษาเอกเทศหรือเป็นสำเนียงของภาษามราฐีจึงเป็นหัวข้อทางการเมืองในการรวมรัฐกัวด้วย",
"ภาษากอนกานีเป็นภาษาที่ใกล้ตายเพราะ",
"ต้นกำเนิดของภาษากอนกานีคือกลุ่มพราหมณ์สรสวัต ผู้อยู่ตามฝั่งแม่น้ำสรวสวตีในอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว จากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำเมื่อราว 1,357 ปีก่อนพุทธศักราช ทำให้มีการอพยพ กลุ่มผู้อพยพกลุ่มหนึ่งเข้ามาตั้งหลักแหล่งในบริเวณโคมันตัก คนกลุ่มนี้พูดภาษาปรากฤต(ภาษาเศารเสนี) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นภาษากอนกานี[4] ภาษากอนกานีเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดในหมู่ชาวโกกนาซึ่งถูกทำให้เป็นสันสกฤต ชนกลุ่มนี้ปัจจุบันอยู่ในทางเหนือของรัฐมหาราษฏระและทางใต้ของรัฐคุชราตแต่อาจจะมีต้นกำเนิดมาจากเขตกอนกาน ผู้อพยพชาวอารยันที่เข้าสู่กอนกานนำภาษาของคนในท้องถิ่นมาใช้และเพิ่มศัพท์จากภาษาปรากฤตและภาษาสันสกฤตเข้าไป [5]",
"ผู้อพยพชาวกอนกานีนอกกัวยังคงใช้ภาษากอนกานีและภาษามีความแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น มีการเขียนภาษากอนกานีด้วยอักษรเทวนาครีในรัฐมหาราษฏระ ในขณะที่ผู้พูดในรัฐกรนาฏกะเขียนด้วยอักษรกันนาดา",
"หลังจากอินเดียได้รับเอกราช กัวได้รวมเข้ากับอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2504 ได้เกิดข้อโต้แย้งในกัวเกี่ยวกับสถานะของภาษากอนกานีในฐานะภาษาเอกเทศและอนาคตของกัวว่าจะรวมเข้ากับรัฐมหาราษฏระหรือเป็นรัฐต่างหากต่อไป บทสรุปปรากฏว่ากัวเลือกเป็นรัฐต่างหากใน พ.ศ. 2510 ส่วนในด้านภาษา ภาษาที่มีการใช้มากภายในรัฐได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี ภาษามราฐี ส่วนภาษากอนกานียังไม่ได้รับการใส่ใจ",
"ภาษากอนกานีเป็นภาษาหลักในกัว เริ่มแรกเขียนด้วยอักษรพราหมี ต่อมาจึงเขียนด้วยอักษรเทวนาครี ใช้ในทางศาสนาและการค้ารวมทั้งในชีวิตประจำวัน",
"องค์กรวิชาการสาหิตยะในอินเดียยอมรับภาษากอนกานีในฐานะภาษาเอกเทศเมื่อ พ.ศ. 2518 และภาษากอนกานีที่เขียนด้วยอักษรเทวนาครีได้เป็นภาษาราชการของกัวใน พ.ศ. 2530",
"ภาษานี้แพร่ไปสู่เขตจนระหรือกรวลี (ชายฝั่งของการณตกะ) โกกัน-ปัตตะ (ชายฝั่งกอนกาน ส่วนของรัฐมหาราษฏระ) และรัฐเกราลาในช่วง 500 ปีหลัง การอพยพของชาวกอนกานีมีสาเหตุมาจากการปกครองกัวของโปรตุเกส",
"FrontNear-frontCentralNear-backBackClose i• •u ɪ• •ʊ e• •ɵ •o ɛ• ʌ•ɔ æ ɐ a• •ɒ Near‑closeClose‑midMidOpen‑midNear‑openOpen",
"การอพยพของชาวคริสต์และฮินดูเกิดเป็น 3 ระลอก การอพยพครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2103 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่โปรตุเกสเข้ามาปกครองกัว ครั้งที่ 2 เกิดเมื่อ พ.ศ. 2114 ในสงครามกับสุลต่านพิชปูร์ การอพยพครั้งที่ 3 เกิดขึ้นระหว่างสงครามในช่วง พ.ศ. 2226 - 2283 การอพยพในช่วงแรกเป็นผู้นับถือศาสนาฮินดู ส่วนสองครั้งหลัง ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์",
"จากการสำรวจในอินเดีย ผู้พูดภาษากอนกานีพูดได้หลายภาษา ใน พ.ศ. 2544 ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศมีผู้ใช้สองภาษา 19.44% และใช้สามภาษา 7.26% ในขณะที่เฉพาะผู้พูดภาษากอนกานี มีผู้ใช้สองภาษา 74.2% และใช้สามภาษา 44.68% ทำให้ชุมชนของชาวกอนกานีเป็นชุมชนของผู้ใช้หลายภาษาในอินเดีย เหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากการที่ขาดโรงเรียนที่สอนด้วยภาษากอนกานีเป็นภาษาแรกหรือภาษาที่สอง",
"สถานะของภาษากอนกานีจัดว่าน่าเป็นห่วง มีการใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการและภาษาทางสังคมในหมู่ชาวคริสต์ ในหมู่ชาวฮินดูนิยมใช้ภาษามราฐีมากกว่าและมีการแบ่งแยกระหว่างชาวคริสต์และชาวฮินดูมากขึ้น",
"การใช้หลายภาษาไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าภาษากอนกานีเป็นภาษาที่ไม่เกิดการพัฒนา ผู้พูดภาษากอนกานีที่ใช้ภาษามราฐีในกัวและมหราราษฏระเชื่อว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐี",
"ภาษากอนกานีพัฒนาขึ้นในบริเวณกอนกานซึ่งเป็นฉนวนแผ่นดินแคบๆระหว่างเขตภูเขาสหยทริและทะเลอาหรับทางฝั่งตะวันตกของอินเดีย โดยเฉพาะในโคมันตัก (ปัจจุบันคือกัว) ทฤษฎีเกี่ยวกับกำเนิดของภาษากอนกานีมีสองแบบคือ",
"ภาษกอนกานีใช้พูดทั่วไปในเขตกอนกาน ซึ่งรวมถึง กัว ชายฝั่งตอนใต้ของรัฐมหาราษฏระ ชายฝั่งของรัฐการณาฏกะ และรัฐเกราลา แต่ละท้องถิ่นมีสำเนียงของตนเอง การแพร่กระจายของผู้พูดภาษานี้มีสาเหตุหลักจากการออพยพของชาวกัวเพื่อหลบหนีการปกครองของโปรตุเกส",
"ปณชี (ภาษากงกณี: पणजी, , ) เป็นเมืองหลวงของรัฐกัว ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำมาณฑวี เป็นเมืองท่าบนฝั่งทะเลอาหรับ มีประชากร 65,000 คน และมีประชากรราว 100,000 คนในเขตมหานคร ",
"ภาษากอนกานีเขียนด้วยอักษณหลายชนิด ทั้ง อักษรเทวนาครี อักษรโรมัน (เริ่มสมัยอาณานิคมของโปรตุเกส) อักษรกันนาดา ใช้ในเขตมันกาลอร์ และชายฝั่งของรัฐการณาฏกะ อักษรอาหรับในหมู่ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เรียกว่า ภัทกาลี ชนกลุ่มนี้หันมานับถือศาสนาอิสลามในสมัยสุลต่านทิบบู อยู่ในเขตรัฐการณาฏกะ มีผู้เขียนด้วยอักษรมาลายาลัมกลุ่มเล็กๆในเกราลา แต่ปัจจุบันเริ่มหันมาใช้อักษรเทวนาครีแทน",
"ปัญหาทางด้านการใช้ระบบการเขียนหลายชนิดและสำเนียงที่ต่างกันกลายเป็นปัญหาสำคัญในการทำให้ภาษากอนกานีเป็นเอกภาพ การตัดสินใจให้ใช้อักษรเทวนาครีเป็นอักษรทางการและให้สำเนียงอันตรุซเป็นสำเนียงมาตรฐานทำให้มีข้อโต้แย้งตามมา สำเนียงอันตรุซเป็นสำเนียงที่ชาวกัวส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและต่างจากภาษากอนกานีสำเนียงอื่น และอักษรเทวนาครีมีการใช้น้อยเมื่อเทียบกับอักษรโรมันในกัวและอักษรกันนาดาในบริเวณชายฝั่งของรัฐกรนาฏกะ ชาวคริสต์คาทอลิกในกัวได้ใช้อักษรโรมันในการเขียนงานวรรณกรรมและต้องการให้อักษรโรมันเป็นอักษรทางการเทียบเท่าอักษรเทวนาครี",
"มีความพยายามที่จะฟื้นฟูภาษากอนกานีโดยเฉพาะความพยายามของเศนอย โคเอมพับ ที่พยายามสร้างความสนใจวรรณกรรมภาษากอนกานีขึ้นอีกครั้ง มีองค์ที่สนับสนุนการใช้ภาษากอนกานี เช่น กอนกาน ไทซ ยตระ ที่บริหารโดยมันเดล และองค์กรที่ใหม่กว่าอย่างเช่น วิศวะ กอนกานี ปาริศัด",
"ภาษากอนกานีมีสระพื้นฐาน 16 เสียง พยัญชนะ 36 เสียง เสียงกึ่งสระ 5 เสียง เสียงออกตามไรฟัน 3 เสียง เสียงระบายลม 1 เสียง และมีเสียงประสมจำนวนมาก ความแตกต่างของสระนาสิกเป็นลักษณะพิเศษของภาษากอนกานี",
"ภาษากอนกานีเป็นภาษาที่มีความหลากหลายในด้านการเรียงประโยคและรูปลักษณ์ของภาษา ไม่อาจจำแนกได้ว่าเป็นภาษาที่ใช้การเน้นเสียงหรือเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ [3] เป็นภาษาที่แยกเสียงสั้นยาวของสระเช่นเดียวกับภาษาในกลุ่มอินโด-อารยันอื่นๆ พยางค์ที่มีสระเสียงยาวมักเป็นพยางค์ที่เน้น",
"ในช่วงแรกของการเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส มิชชันนารีให้ความสำคัญกับการแปลคัมภีร์ศาสนาคริสต์เป็นภาษาท้องถิ่นทั้งภาษากอนกานีและภาษามราฐีจนกระทั่ง พ.ศ. 2227 โปรตุเกสห้ามใช้ภาษาถิ่นในเขตปกครองของตน ซึ่งถือว่าเป็นภาษาสำหรับศาสนาฮินดู ให้ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการแทน ทำให้การใช้ภาษากอนกานีลดลงและทำให้ภาษาโปรตุเกสมีอิทธิพลต่อภาษากอนกานีสำเนียงของชาวคริสต์มาก ส่วนชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูใช้ภาษามราฐีเป็นภาษาทางศาสนา และจากความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างภาษากอนกานีและภาษามราฐี ทำให้ชาวกอนกานีส่วนใหญ่พูดภาษามราฐีเป็นภาษาที่สองและปัจจุบันเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวฮินดูในกัวรวมทั้งชาวกอนกานีด้วย ชาวคริสต์ชั้นสูงใช้ภาษากอนกานีกับชนชั้นที่ต่ำกว่าและยากจน ส่วนในสังคมของตนใช้ภาษาโปรตุเกส",
"กลุ่มผู้รักภาษากอนกานีได้เรียกร้องให้ภาษากอนกานีเป็นภาษาประจำรัฐกัวใน พ.ศ. 2529 ในที่สุดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 รัฐกัวยอมรับให้ภาษากอนกานีเป็นภาษาราชการของรัฐ และได้รับการยอมรับให้เป็นภาษาประจำชาติของอินเดียเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2535",
"กลุ่มชนอื่นๆ ที่ใช้ภาษากอนกานีสำเนียงต่างๆ ได้แก่ชาวกอนกานมุสลิมในเขตรัตนกาลีและภัตกัล ซึ่งมีลักษณะของภาษาอาหรับเข้ามาปนมาก ชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้ภาษากอนกานีคือชาวสิททิสซึ่งมาจากเอธิโอเปีย[6]",
"ในกรนาฏกะที่มีผู้พูดภาษากอนกานีจำนวนมาก ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้ใช้อักษรกันนาดาเขียนภาษากอนกานีในโรงเรียนท้องถิ่นแทนอักษรเทวนาครี ในปัจจุบันไม่มีอักษรชนิดใดหรือสำเนียงใดเป็นที่เข้าใจหรือได้รับการยอมรับจากทุกส่วน การที่ขาดสำเนียงที่เป็นกลางและเข้าใจกันได้ทั่วไป ทำให้ผู้พูดภาษากอนกานีต่างสำเนียงกันต้องสื่อสารกันด้วยภาษาอื่น",
"มีการกล่าวอ้างมานานแล้วว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐีและไม่ใช่ภาษาเอกเทศ ซึ่งมีเหตุผลหลายประการ ได้แก่ ความใกล้เคียงระหว่างภาษามราฐีและภาษากอนกานี ความใกล้เคียงทางภูมิศาสตร์ระหว่างกัวและมหาราษฏระ อิทธิพลอย่างชัดเจนของภาษามราฐีต่อภาษากอนกานีสำเนียงที่ใช้พูดในรัฐมหาราษฏระ การที่ภาษากอนกานีมีวรรณกรรมน้อยและชาวกอนกานีที่นับถือศาสนาฮินดูจะใช้ภาษามราฐีเป็นภาษาที่สอง ทำให้งานเขียนของ Jose Pereira ใน พ.ศ. 2514 กล่าวว่าภาษากอนกานีเป็นสำเนียงของภาษามราฐี งานเขียนของ S. M. Katre ใน พ.ศ. 2509 ได้ใช้การศึกษาทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่และเปรียบเทียบสำเนียงของภาษากอนกานีหกสำเนียงได้สรุปว่าจุดกำเนิดของภาษากอนกานีต่างจากภาษามราฐี เศนอย โคเอมพับ ผู้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูภาษากอนกานี ได้ต่อต้านการใช้ภาษามราฐีในหมู่ชาวฮินดูและการใช้ภาษาโปรตุเกสในหมู่ของชาวคริสต์"
] |
ศาสนาพุทธ เริ่มต้นที่ประเทศอะไร? | [
"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากศาสนาหนึ่งของโลก รองจากศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนาพุทธคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันสถานที่นี้ เรียกว่า พุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือเถรวาทและมหายาน"
] | [
"ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2340 และอีก 19 ปีต่อมา อังกฤษได้ครองอำนาจแทนฮอลันดา ขยายอำนาจไปทั่วประเทศลังกา โดยรบชนะกษัตริย์แคนดี ได้ตกลงทำสนธิสัญญารับประกันสิทธิของฝ่ายลังกาและการคุ้มครองพระศาสนา ครั้นต่อมาได้เกิดกบฏขึ้น เมื่อปราบกบฏได้สำเร็จ อังกฤษได้ดัดแปลงสนธิสัญญาเสียใหม่ ระบบกษัตริย์ลังกาจึงได้สูญสิ้นตั้งแต่บัดนั้น ตั้งแต่อังกฤษเข้ามาปกครองลังกาตอนต้น พระพุทธศาสนาได้รับความเป็นอิสระมากขึ้น ด้วยสนธิสัญญาดังกล่าว ครั้นต่อมาภายหลังจากการปกครองของอังกฤษประมาณ 50 ปี พระพุทธศาสนาก็ถูกกีดกันและต่อต้านจากศาสนาคริสต์ รัฐถูกบีบจากศาสนาคริสต์ให้ยกเลิกสัญญาที่คุ้มครองพุทธศาสนา บาทหลวงของคริสต์ได้เผยแผ่คริสต์ศาสนาของตน และโจมตีพุทธศาสนาอย่างรุนแรง โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ นับตั้งแต่อังกฤษเข้าปกครองลังกามาเป็นเวลากว่า 300 ปี จนได้รับอิสรภาพเมื่อ พ.ศ. 2491 จากการที่พุทธศาสนาถูกรุกรานเป็นเวลาช้านานจากศาสนาคริสต์ ทำให้ชาวลังกามีความมุ่งมานะที่จะฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกาอย่างจริงจัง จนปัจจุบันประเทศศรีลังกา ได้เป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแหล่งข้อมูลอื่น",
"จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูก ผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว",
"ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีพลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก แต่ในเวลาเดียวกันก็มีกลุ่มศาสนาต่าง ๆ อยู่ในประเทศด้วยกัน ทั้งอิสลาม พุทธ ฮินดู และศาสนาอื่น ๆ บนเอกภาพที่หลากหลาย\nพระพุทธศาสนาในประเทศฟิลิปปินส์ เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจทางฝั่งมลายู ได้แผ่ขยายวัฒนธรรมมาถึงฟิลิปปินส์ในศตวรรษที่ 7 จนถึงศตวรรษที่ 13 แล้วมีชาวจีนโพ้นทะเล(อาจจะนับถือลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อด้วย) ในศตวรรษที่ 14 จนถึงศตวรรษที่ 20 และชาวญี่ปุ่น(อาจนับถือลัทธิชินโตด้วย) ที่อพยพตั้งรกรากในฟิลิปปินส์ ได้นำพระพุทธศาสนานิกายมหายานเข้ามาด้วย ในขณะที่ชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกซึ่งสเปนมาเผยแพร่เมื่อสมัยฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของสเปน และสมัยฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกา ก็ได้เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแทนต์ แต่ก่อนหน้านั้นศาสนาอิสลามก็ได้มาเผยแพร่และนิยมมากทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และต่อมาชาวอินเดีย-ปากีสถาน อพยพมาตั้งถิ่นฐานในฟิลิปปินส์ก็ได้นำศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เข้ามาด้วย ",
"พระพุทธศาสนาเริ่มต้นในประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่สมัยศรีวิชัย แต่ต่อมาชาวมลายูมุสลิมได้มาตั้งรกรากอยู่ และต่อมาก็มีชาวจีนโพ้นทะเลได้มาตั้งรกรากอยู่ที่สิงคโปร์ ได้นำพระพุทธศาสนาแบบมหายานมาเผยแผ่ด้วย และเป็นศาสนาที่แพร่หลายมากในประเทศนี้ \nในอดีตประเทศสิงคโปร์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย การแผ่ขยายของพุทธศาสนาจึงจะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย และส่วนใหญ่ชาวสิงคโปร์จะเป็นชาวจีนโพ้นทะเล พุทธศาสนาแบบมหายานจึงเจริญรุ่งเรืองและได้รับการประดิษฐานอย่างมั่นคง",
"ณัฐพล อยู่รุ่งเรืองศักดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เขียนไว้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ผ่านพระเครื่องไว้ว่า พระเครื่องมีความเป็นมาและวิวัฒนาการอันยาวนาน ก่อนจะมาเป็นพระเครื่องนั้นได้เกิดพระพิมพ์ขึ้นมาก่อน เมื่อบริบททางสังคมเปลี่ยนไป คติการสร้างพระพิมพ์ก็เปลี่ยนแปลงไปและเลือนหายไปในที่สุด พระพิมพ์บางส่วนกลายมาเป็นพระเครื่อง พระพิมพ์เป็นของเก่าแก่ที่ได้มีผู้ทำขึ้นตั้งแต่ตอนต้นพุทธศาสนา มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินเดีย การแผ่ขยายอิทธิพลทางพุทธศาสนาไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้พระพิมพ์ซึ่งเป็นประติมากรรมเนื่องในคติทางพุทธศาสนาได้แผ่กระจายไปยังดินแดนต่าง ๆ พร้อมกับคำสอน ความเชื่อทางพุทธศาสนา พระธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ รวมถึงวัตถุเนื่องในพุทธศาสนาด้วย",
"งานวันวิสาขบูชาโลก เป็นการจัดงาน เฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา วันสำคัญสากล ของสหประชาชาติ ภายใต้งาน คุณูปการของพระพุทธศาสนา ต่อสันติภาพโลก และการพัฒนาที่ยั่งยืน และจะพัฒนาพุทธศาสนา ให้เป็นศูนย์กลาง พระพุทธศาสนาโลก เริ่มต้นตามมติสหประชาชาติ ในปี พ.ศ. 2547 โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในปี 2548 และ 2549",
"แม้ในประเทศไทย จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับต้นพระศรีมหาโพธิ์เท่ากับชาวพุทธในศรีลังกา แต่ปรากฏตามความเชื่อในประเทศไทยว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พุทธคยา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำปีเกิดสำหรับผู้ที่เกิดปีมะเส็ง สำหรับชาวล้านนายังมีความเชื่ออีกว่า ต้นโพธิ์เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ช่วยขจัดความทุกข์ได้ จึงมีประเพณีถวายไม้ค้ำโพธิ์ และเครื่องประกอบพิธีกรรม ใต้ต้นโพธิ์ โดยผูกคติกับความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่ความหมายเดิมของการบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ตามคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา",
"นวยาน (เทวนาครี: नवयान, ) แปลว่า \"ยาน (พาหนะ) ใหม่\" เป็นนิกายหนึ่งในศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย ที่เกิดขึ้นจากการตีความศาสนาขึ้นใหม่ของภีมราว รามชี อามเพฑกร () ผู้มีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นทลิต (, \"มิควรข้องแวะ\") ในยุคที่อินเดียตกเป็นอาณานิคม เขาได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ กระทั่งในปี พ.ศ. 2478 เขามีความประสงค์เปลี่ยนศาสนาจากฮินดูไปนับถือศาสนาพุทธ อามเพฑกรได้ศึกษาคติและหลักธรรมคำสอนทางศาสนาเช่นจตุราริยสัจและอนัตตา ซึ่งเขาปฏิเสธความเชื่อเรื่องดังกล่าว แต่ได้นำคำสอนทางศาสนาไปตีความใหม่เรียกว่า นวยาน หรือ \"ยานใหม่\" แห่งพุทธศาสนา บางแห่งก็เรียกนิกายนี้ว่า ภีมยาน () ตามชื่อต้นของอามเพฑกรคือ \"ภีมราว\" ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2499 อามเพฑกรได้ประกาศละจากนิกายหีนยานและมหายาน รวมทั้งศาสนาฮินดู ทว่าเขาก็เสียชีวิตลงหลังการเปลี่ยนศาสนาจากฮินดูไปนับถือนวยานได้เพียงหกสัปดาห์",
"คำขยายดังกล่าวล้วนบ่งบอกถึงลักษณะสำคัญของเจดีย์ ที่มาของคำแสดงลักษณะของเจดีย์ดังกล่าว มีต้นเค้าคือพูนดินเหนือหลุมฝังศพ[43] พัฒนามาโดยก่อให้ถาวร เช่น พระมหาสถูปสาญจี ประเทศอินเดีย ครั้นพระพุทธศาสนาแพร่หลายออกมา รูปแบบของเจดีย์นั้นก็ติดมาเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศที่รับนับถือพระพุทธศาสนาด้วย เจดีย์ทรงระฆังมีคำแทนโดยใช้ เจดีย์ทรงลังกา หรือ เจดีย์แบบลังกา เพราะมีทรงระฆังที่เด่นชัดเหมือนกัน และสอดคล้องกับที่ทราบกันว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทย นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาว่าแพร่หลายมาจากลังกา[44] แต่หากเรียกเจดีย์ทรงระฆังก็จะไม่เป็นการเจาะจงว่าเกี่ยวข้องกับอิทธิพลศิลปะจากลังกา เพราะมีตัวอย่างอยู่มากมายที่แสดงให้เห็นว่า เจดีย์ทรงระฆังแบบสุโขทัย ล้านนา และกรุงศรีอยุธยา เป็นรูปแบบของท้องถิ่น โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับอิทธิพลศิลปะจากแหล่งอื่น นอกเหนือจากศิลปะลังกา เช่น ศิลปะพุกาม[45]",
"หลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส พระนโรดม สีหนุได้นำเสนอพุทธสังคมนิยม โดยเน้นความเสมอภาค ความเป็นอยู่ที่ดีของคนจน จนกระทั่งเข้าสู่ยุคของเขมรแดงที่ศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มีการทำลายวัด พระพุทธรูป เผาทำลายคัมภีร์ทางศาสนา มีการตีความศาสนาเพื่อรับใช้การปฏิวัติ หลังจากเขมรแดงสิ้นสุดอำนาจใน พ.ศ. 2522 สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชายังควบคุมพระสงฆ์อย่างเคร่งครัด พระสงฆ์ต้องเข้าอบรมลัทธิคอมมิวนิสต์แบบโซเวียต ยุบรวมธรรมยุติกนิกายกับมหานิกายเข้าด้วยกัน จนถึงสมัยราชอาณาจักรกัมพูชา พุทธศาสนาจึงได้ฟื้นตัวอีกครั้ง\nกัมพูชาได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูมากในช่วงเริ่มต้นของอาณาจักรฟูนันโดยมีฐานะเป็นศาสนาประจำรัฐ กัมพูชายังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางศาสนาฮินดูรวมทั้งนครวัด",
"ญี่ปุ่นปรากฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษรในฮั่นซู (บันทึกประวัติศาสตร์ฮั่น) ของจีน ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก ยะมะไตโกะกุ มีกาเผยแผ่ศาสนาพุทธ เข้าประเทศญี่ปุ่นจากอาณาจักรแพ็กเจ (เกาหลีปัจจุบัน) และได้รับอุปถัมภ์โดยเจ้าชายโชโตะกุ และการพัฒนาศาสนาพุทธญี่ปุ่นในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก แม้มีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ศาสนาพุทธได้รับการส่งเสริมจากชนชั้นปกครองและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นยุคอะซุกะ (ค.ศ. 592–710)",
"จักรวรรดิขแมร์ หรือ อาณาจักรเขมร หรือบางแหล่งเรียกว่า อาณาจักรขอม เป็นหนึ่งในอาณาจักรโบราณ เริ่มต้นขึ้น ราวพุทธศตวรรษที่ 6 โดยเริ่มจากอาณาจักรฟูนัน มีที่ตั้งอยู่ในบริเวณประเทศกัมพูชา โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ ประเทศไทย ลาว และบางส่วนของเวียดนามในปัจจุบัน นับเป็นอาณาจักรที่มีแสนยานุภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาได้อ่อนกำลังลงจนเสียดินแดนบางส่วนให้กับอาณาจักรสุโขทัยและแตกสลายในที่สุดเมื่อตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรขอมสืบทอดอำนาจจากอาณาจักรเจนฬา มีสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับอาณาจักรข้างเคียง เช่น อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรจามปา มรดกที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรขอมคือ นครวัด และ นครธม ซึ่งเคยเป็นนครหลวงเมื่อครั้งอาณาจักรแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด และยังมีลัทธิความเชื่อต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ศาสนาหลักของอาณาจักรนี้ได้แก่ ศาสนาฮินดู พุทธศาสนามหายาน และพุทธศาสนาเถรวาทซึ่งได้รับจากศรีลังกา เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13",
"การเข้ามาของพระพุทธศาสนาในประเทศเคนยา เริ่มต้นโดยผ่านกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล และชาวสิงหล (ลังกา) เนื่องจากชาวจีน และชาวสิงหลเข้าไปทำงานในไร่เกษตรกรรมของชาวอังกฤษเจ้าอาณานิคมในยุคนั้น ช่วงแรกๆของพุทธศาสนาในเคนยาจะเป็นชาวเอเชียกลุ่มแรกๆนี้ แต่ต่อมาในภายหลังชาวเคนยาจำนวนหนึ่งซึ่งนับถือลัทธิภูติผีปีศาจ ได้หันมานับพุทธศาสนาตาม แต่ก็เป็นชนกลุ่มเล็กๆซึ่งอาศัยอยู่แถบเมืองท่าทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศ ต่อมามีการประชุมศาสนา และสันติภาพโลกที่นครไนโรบี เมืองหลวงของประเทศเคนยา ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2527 ภายหลังได้มีการเผยแผ่พุทธศาสนามากขึ้นในแถบนี้ รวมถึงความพยายามที่จะจัดตั้งชมรมชาวพุทธเคนยาขึ้นมา มีการนิมนต์พระสงฆ์จาก ญี่ปุ่น จีน และไทย เพื่อให้เดินทางเข้ามาเผยแผ่ในประเทศ แต่ยังไม่ทันคืบหน้า ประเทศเคนยาได้ประสบปัญหาในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ รวมไปถึงชนพื้นเมืองบางกลุ่มที่ไม่เป็นมิตรกับคนต่างศาสนา การเผยแผ่จึงเป็นไปได้ยาก",
"ในปี พ.ศ. 2500 นี้ รัฐบาลได้กำหนดพิธีเฉลิมฉลองทั่วประเทศ มีการจัดสร้างพุทธมณฑล ขึ้น ณ ที่ดิน 2,500 ไร่ ระหว่างกรุงเทพ-นครปฐม แล้วสร้างพระมหาพุทธปฏิมาปางประทับยืนลีลาสูง 2500 นิ้ว ภาย ในบริเวณรอบองค์พระมีภาพจำลองพระพุทธประวัติ และมีพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนา ได้ปลูกต้นไม้ที่มีชื่อในพระพุทธศาสนา เช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร เป็นต้น สร้างพระพิมพ์ปางลีลาเป็นเนื้อชินและเนื้อผงจำนวน 4,842,500 องค์ พิมพ์พระไตรปิฎกแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยออกเผยแพร่ และบูรณะปูชนียสถานวัด วาอารามทั่วพระราชอาณาจักร อุปสมบทพระภิกษุจำนวน 2,500 รูป และนิรโทษกรรมแก่นักโทษ ประกวด วรรณกรรม ศิลปะทางพระพุทธศาสนา โดยเชิญผู้แทนพุทธศาสนิกชนทั่วโลกมาร่วมอนุโมทนา",
"ปัจจุบันนี้ ลัทธิชินโตถือให้เป็นลัทธิความเชื่อพื้นเมืองประจำประเทศญี่ปุ่น พิธีกรรมของลัทธิชินโตนี้มาจากวัฒนธรรมท้องถิ่นและธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นพิธีกรรมอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งศาสนาพุทธ และ ลัทธิขงจื๊อ กับ ลัทธิเต๋า รวมทั้งภายหลัง ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ได้เริ่มให้เข้ามาในดินแดนญี่ปุ่น ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 พิธีกรรมของลัทธิชินโตได้ถูกบันทึกและบัญญัติเป็นครั้งแรกในคัมภีร์โคะจิคิ () และจดหมายเหตุนิฮงโชะกิ () ในศตวรรษที่ 8 เพื่อตอบโต้ศาสนาที่มีระดับความพัฒนามากกว่าจากแผ่นดินใหญ่ อย่างไรก็ตาม งานเขียนในยุคแรกๆก็ยังมิได้บ่งบอกว่าเป็น ลัทธิชินโต แต่งานเขียนในสมัยต่อมาก็ได้บ่งชี้อย่างชัดเจน พร้อมขนบธรรมเนียบของสังคมเกษตรกรรมและเทศกาลประจำปีเข้าไปด้วย รวมไปถึงความเชื่อเรื่องเทพปกรณัมและการกำเนิดโลกต่าง ๆ ซึ่งเล่าถึงต้นกำเนิดของชนชาติญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะหมายถึงเชื้อสายยะมะโตะ () และอิสึโมะ () ในสมัยนั้น พุทธศาสนาได้แพร่จากจีนเข้าสู่ญี่ปุ่น และมีผสมผสานความเชื่อดั้งเดิม อย่างเช่น ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าในลัทธิชินโตและความเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น",
"นิตยสารพู่ทีซู่ (ต้นโพธิ์) ที่ชาวจีนโพ้นทะเลในฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ นิยมอ่านกันมาก นิตยสารนี้มีเนื้อหาธรรมะง่ายๆ เช่น สารคดี ปาฐกถา บทวิจารณ์ นิทานชาดก ปริศนาธรรม สอนพระพุทธศาสนาเบื้องต้น ข่าวพระพุทธศาสนารอบโลก และมีบทความภาษาอังกฤษด้วย เจ้าของนิตยสารเป็นหนุ่มอายุ 30 ปี ",
"โพเป็นต้นไม้ที่ได้รับการสักการะในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู, ศาสนาเชน และ พระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อว่า \"Sacred fig\" พระโคตมพุทธเจ้าก็ได้ตรัสรู้เมื่อนั่งอยู่ใต้ต้นโพเช่นกัน โดยต้นโพที่พระโคตมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นชื่อ \"ต้นพระศรีมหาโพธิ์\" ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่ที่ประเทศอินเดีย จึงเชื่อกันว่าโพเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข, ความสำเร็จ, อายุยืน และ ความโชคดี และเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดปราจีนบุรี",
"พุทธศาสนาในประเทศนิการากัว เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 19 มีการอพยพของชาวจีนโพ้นทะเลมาตั้งถิ่นฐานในประเทศนิการากัว ในปัจจุบันในประเทศนิการากัวมีชาวพุทธประมาณ 0.1% ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก และบางส่วนก็ได้หันไปนับถือศาสนาคริสต์ ",
"เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2559 พระวิศวภัทร ได้ทำความร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนทางพระพุทธศาสนามหายาน กับพระธรรมาจารย์หมิงเซิงมหาเถระ (明生大和尚) รองประธานสำนักพุทธศาสนาแห่งประเทศจีน ประธานสำนักพุทธศาสนา มณฑลกวางตุ้ง เจ้าอาวาสวัดกวงเซี้ยว (光孝寺) เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน โดยพระธรรมาจารย์หมิงเซิง ได้ตั้งชื่อสำนักและเขียนอักษรพู่กันจีนให้แก่มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัยว่า"大乘禪寺" แปลว่า อารามมหายาน เพื่อแกะสลักเหนือซุ้มประตู พร้อมกันนี้ได้มอบพระไตรปิฎก (ภาษาจีน) ประกอบด้วย 永樂北藏,大正藏,乾隆大藏經,卍續藏經,浄土藏 รวม 5 ชุด 129 กล่อง 1,448 เล่ม เพื่อไว้เป็นที่ศึกษา ค้นคว้า ในหอพระไตรฯ มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย และ ได้มอบ รูปหล่อพระสังฆนายกฮุ่ยเหนิงมหาเถระ (หรือ ท่านเว่ยหล่าง:六祖惠能) เนื้อทองเหลือง สูง 1.98 เมตร จากวัดกวงเซี้ยว เมืองกว่างโจ่ว ที่จัดสร้างขึ้นเพียง 3 องค์ (วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ท่านฮุ่ยเหนิง ได้ปลงผมใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ และได้นำเกศาบรรจุไว้ในสถูป 7 ชั้น ซึ่งปัจจุบันต้นโพธิ์ใหญ่และพระสถูปยังคงอยู่ และยังเป็นสถานที่พระอาจารย์โพธิธรรม หรือพระตั๊กม้อ ได้เคยพักอาศัยเมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน โดยรูปปฏิมานี้ ได้ปั้นและหล่อโดยช่างฝีมือ ชื่อ พ่านเคอ เป็น 1 ใน 4 ช่างปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน โดยได้อัญเชิญกลับสู่ประเทศไทย เพื่อเปิดให้สาธุชนได้เข้ากราบสักการะ ภายในหอบูรพาจารย์ มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย เมื่อวันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2559 ถือเป็นนิมิตหมายมงคล แห่งการเผยแผ่พระพุทธธรรมมหายาน สายฌาน (เซ็น) และบารมีธรรมแห่งพระบูรพาจารย์ จากต้นกำเนิดสู่ประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ พระธรรมาจารย์ฉางจั้งมหาเถระ (常藏大和尚) รองประธานสำนักพระพุทธศาสนาแห่งนครปักกิ่ง เจ้าอาวาสวัดหลิงกวง (วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว) นครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มอบสำเนาหนังสือพระไตรปิฎกทองคำ (趙城金藏)อายุกว่า 1,000 ปี จำนวน 150 เล่ม มาแล้ว ",
"ปลายพุทธศตวรรษที่11 พระภิกษุชาวอินเดียนามว่า พระวินีตรุจิ (อ่านว่า วิ-นี-ตะ-รุ-จิ) เดินทางเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และได้รับการนับถือว่าเป็นสังฆราชแห่งนิกายเธียน (เธียน เป็นคำเวียดนาม ได้แก่ ธยานะ หรือ ฉาน หรือ เซน) เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ฝับเหียน ศิษย์ชาวเวียดนามได้เผยแผ่พุทธธรรมอย่างมั่นคงสืบมา\nพ.ศ. 1363 (ยุคราชวงศ์ถังของจีน ปกครองเวียดนาม) พระภิกษุว่อง่อนถ่อง ประดิษฐานนิกายเธียนเป็นครั้งที่2 มีสถูปเจดีย์ 20องค์ และวัดหลายแห่ง มีพระภิกษุประมาณ 500รูป พระเถรานุเถระเป็นพหูสูตและเคร่งครัดในพระวินัย ประมาณพุทธศตวรรษที่15 เมื่อเวียดนามกู้อิสรภาพจากจีนได้สำเร็จ กษัตริย์เวียดนามหลายราชวงศ์ ได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเรื่อยมา เช่น...\nสมัย ราชวงศ์ดินห์ พระเจ้าจักรพรรดิทรงเลื่อมใสใน พระภิกษุง่อฉั่นหลู ซึ่งเป็นปราชญ์ด้านกวีนิพนธ์ และเชี่ยวชาญสมาธิ(Meditation)แบบนิกายเธียน จึงได้สถาปนาท่านให้เป็นประมุขแห่งคณะสงฆ์และเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ด้วย\nต่อมาใน ราชวงศ์เล (ตอนต้น) และ ราชวงศ์ไล พระภิกษุเป็นผู้รอบรู้ในพระพุทธศาสนาและวิชาการต่างๆ ได้รับความเคารพศรัทธามาก กษัตริย์พระองค์ที่2 แห่งราชวงศ์เล ได้ส่งคณะทูตไปประเทศจีน เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกมา และสนับสนุนให้ชาวเวียดนามหันมานับถือพระพุทธศาสนาแทนการนับถือผี แต่เมื่อถึงตอนปลายของราชวงศ์ การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ประชาชนจึงคลายความศรัทธา และไม่ได้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง\nต่อมา ในสมัยราชวงศ์ไล ราชวงศ์นี้มีอายุยาวนานถึง 215ปี (พ.ศ. 1553-1768) และพระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองที่สุด พระเจ้าไลทันต๋อง ได้ประดิษฐานนิกายเธียนอีกเป็นครั้งที่3\nกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ ทรงสนพระทัย ในการบำเพ็ญสมาธิมาก สละราชสมบัติให้พระราชธิดา แล้วออกผนวช\nสมัย ราชวงศ์ตรัน พระเจ้าตรันไทต๋อง ทรงนิพนธ์หนังสือว่าด้วยเรื่องสมาธิ หรือทางไปสู่ธยานะ และหลักธรรมค้นคว้า ฮือ-หลุก พระนัดดาของพระองค์ หลังขึ้นครองราชย์ได้ระยะหนึ่ง ก็สละราชสมบัติออกผนวช ณ วัดแห่งหนึ่งบนภูเขา สั่งสอนศิษย์เป็นจำนวนมาก จนชาวเวียดนามเหนือ ถือว่า พระองค์เป็นปฐมสังฆราชแห่งนิกายเวฬุวัน (หรือป่าไผ่)\nพ.ศ. 2426 เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส มีการควบคุมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยึดคัมภีร์ไปเผาทำลาย การรวมตัวของพุทธศาสนิกชนเพื่อประกอบพิธีจะต้องได้รับการอนุญาตจากทางการฝรั่งเศสก่อน ความเชื่อเรื่องผีสาง และลัทธิต่างๆ ก็เข้ามาในพระพุทธศาสนา เช่น หว่าเหา และเกาได๋\nพระพุทธศาสนา ได้รับผลกระทบจากสภาพความวุ่นวายทางการเมืองและสงครามเรื่อยมา สถาบันศาสนาก็ถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรม จนเป็นเหตุของการสร้างความตกตะลึงให้ชาวโลก ในปี พ.ศ. 2506 มีพระภิกษุและแม่ชีในเวียดนาม เผาตัวเองประท้วงฝ่ายปกครอง",
"กระแส<b data-parsoid='{\"dsr\":[19430,19512,3,3]}'>เรียกร้องให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย</b>ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นปีพุทธศักราช 2550 ชาวพุทธ ๗ องค์หลัก กล่าวคือ มหามกุฏราชวิทยาลัย, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก, ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย, คณะสงฆ์อณัมนิกาย, คณะสงฆ์จีนนิกาย, และ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ได้เริ่มต้นเรียกร้อง ต่อมา กลุ่มชาวพุทธได้ขยายเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 300 องค์กรทั่วประเทศและได้ผนึกกำลังกันเรียกร้องขึ้นมา",
"แม้จักมีการนับถือศาสนาพุทธในหมู่ชาวญี่ปุ่นอยู่ก่อนแล้ว โดยรับจากอินเดียผ่านจีนเข้ามายังญี่ปุ่นที่มีผู้นำมาถ่ายทอดจากแผ่นดินใหญ่ในช่วงก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ 10 เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นอย่างเป็นหลักเป็นฐานที่ชัดเจนอยู่ในบันทึกนิฮงโชคิพงศาวดารญี่ปุ่นซึ่งเขียนโดยอาลักษณ์",
"ส่วนในประเทศที่มีประชากรนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นศาสนาหลักอื่น ๆ เช่น ศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาในฐานะวันสำคัญของรัฐหรือวันหยุดราชการของประเทศ[61][62][62][63] และไม่นิยมปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาในวันนี้โดยให้ความสำคัญเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชาเลย แต่พุทธศาสนิกชนในประเทศเหล่านั้นก็ได้ถือวันนี้เป็นวันทางพระพุทธศาสนาตามปกติอยู่แล้ว เนื่องจากวันอาสาฬหบูชาเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 อันเป็นวันอุโบสถ หรือวันพระใหญ่ตามปกติของนิกายเถรวาท และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนวันเริ่มต้นเทศกาลเข้าพรรษาตามปฏิทินจันทรคติของพระสงฆ์เถรวาท พิธีปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนเถรวาทในประเทศเหล่านั้นจึงให้ความสำคัญในวันนี้ไปกับการเตรียมตัวเข้าจำพรรษาของพระสงฆ์ เช่น ในประเทศลาว วันนี้จะเป็นวันสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะไปทำบุญตักบาตรและมีการถวายเทียนพรรษาผ้าอาบน้ำฝนเป็นพิเศษ ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่พุทธศาสนิกชนจะจัดงานถวายเทียนพรรษาและผ้าอาบน้ำฝนแก่พระสงฆ์ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือวันเข้าพรรษาโดยตรง",
"พระพุทธศาสนาในประเทศอียิปต์เริ่มต้นขึ้น เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งมคธได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างอาณาจักร โดยอาณาจักรไกริน ซึ่งอยู่ใกล้กับอียิปต์ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย พร้อมกันนนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ส่งพระธรรมทูตมาเผยแผ่ด้วย ในบริเวณเมืองอเล็กซานเดรีย ของอียิปต์ด้วย แต่ก็สูญหายไป",
"โดยทั่วไปแล้ววัดในศาสนาพุทธทั้งสายเถรวาทและสายมหายานในประเทศต่างๆ นิยมแสดงธงฉัพพรรณรังสีตามแบบข้างต้นเป็นสัญลักษณ์ อย่างไรก็ตาม ในบางกลุ่มหรือบางสำนักเลือกใช้สีธงที่ต่างออกไปเพื่อเน้นแนวทางคำสอนแห่งสำนักของตนเองสำหรับในประเทศไทย ธงสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธที่ใช้โดยทั่วไปคือ ธงธรรมจักร อันหมายถึง ธรรมะที่นำไปสอนในที่ต่างๆ แล้วยังความสันติสุขให้เกิดขึ้นในที่นั้นๆ ลักษณะธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเหลืองแก่ ตรงกลางเป็นรูปพระธรรมจักรสีแดง ",
"เมื่อพระพุทธศาสนามหายานได้เข้าสู่ประเทศจีนในช่วงแรกคือสมัยก่อนราชวงศ์ถัง ในยุคนั้นรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรยังสร้างเป็นรูปบุรุษตามแบบพุทธศิลป์ของอินเดีย หากในกาลต่อมาช่างชาวจีนได้คิดสร้างเป็นรูปสตรีเพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อบุตร สะท้อนถึงความรู้สึกและความเชื่อของประชาชนพื้นถิ่นที่ห่างไกลแม่แบบซึ่งมาจากอินเดีย จนอาจจะเรียกได้ว่ากวนอิมในรูปลักษณ์ของสตรีเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในจีน และแพร่หลายมากกว่าปางอื่น ๆ กระทั่งแผ่ขยายเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย ทั้งนี้เพราะรูปลักษณ์ของฝ่ายหญิงแทนค่าในเรื่องความเมตตากรุณาได้ดี ในขณะที่รูปลักษณ์อย่างบุรุษเพศจะสะท้อนเรื่องคุณธรรมมากกว่าความเมตตา เมื่อพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าไปยังเกาหลี ญี่ปุ่นและเวียดนาม พุทธศาสนิกชนในประเทศนั้นก็พลอยสร้างรูปพระอวโลกิเตศวรเป็นสตรีตามแบบอย่างประเทศจีนไปด้วย โดยมิได้มีการนับถือแค่ประเทศพุทธมหายานที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น ในประเทศไทยเองก็มีการสร้างองค์พระโพธืสัตว์กวนอิมนี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศพุทธเถรวาทก็ตาม",
"พระพุทธศาสนาในประเทศเซเนกัล เริ่มต้นขึ้นเมื่อได้มีชาวเวียดนามอพยพเข้ามาในประเทศเซเนกัล และได้นำพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ในกลุ่มชาวพุทธทั้งหมดในเซเนกัลมีอยู่ประมาณ 0.01% ในจำนวนนี้ จะเป็นชาวเวียดนาม 99% พวกเขาจะสวดมนต์ \"Nam mô A Di Đà Phật\" เพื่อระลึกถึงพระอมิตาภะพุทธะ และชาวเวียดนามมีความเชื่อเกี่ยวกับ พระโพธิสัตว์และกวนอิมเป็นต้น",
"สถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา เกิดในบริเวณที่ตั้งของ กลุ่มพุทธสถานสารนาถ ภายในอาณาบริเวณของป่าอิสิปตนมฤคทายวัน 9 กิโลเมตรเศษ ทางเหนือของเมืองพาราณสี (เมืองศูนย์กลางทางศาสนาของศาสนาฮินดู) รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นกาสี ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล) สารนาถ จัดเป็นพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 (1 ใน 4 แห่งของชาวพุทธ) เหตุที่ได้ชื่อว่าสารนาถเนื่องมาจากสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงเริ่มต้นประกาศพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่มหาชนทั้งหลาย (บ้างก็ว่ามาจากศัพท์ว่า สารงฺค+นารถ = ที่อยู่ของสัตว์จำพวกกวาง) ภายในอาณาบริเวณสารนาถมี ธรรมเมกขสถูป เป็นพุทธสถานขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด เนื่องจากสันนิษฐานว่าบริเวณที่ตั้งของธรรมเมกขสถูป เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาประกาศพระสัจจธรรมเป็นครั้งแรกที่นี่",
"จักรวรรดิขแมร์ หรือ อาณาจักรเขมร หรือบางแหล่งเรียกว่า อาณาจักรขอม เป็นหนึ่งในอาณาจักรโบราณ เริ่มต้นขึ้น ราวพุทธศตวรรษที่ 6 โดยเริ่มจากอาณาจักรฟูนัน มีที่ตั้งอยู่ในบริเวณประเทศกัมพูชา โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ ประเทศไทย ลาว และบางส่วนของเวียดนามในปัจจุบัน นับเป็นอาณาจักรที่มีแสนยานุภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาได้อ่อนกำลังลงจนเสียดินแดนบางส่วนให้กับอาณาจักรสุโขทัยและแตกสลายในที่สุดเมื่อตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรเขมรสืบทอดอำนาจจากอาณาจักรเจนฬา มีสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับอาณาจักรข้างเคียง เช่น อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรจามปา มรดกที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรเขมรคือ นครวัด และ นครธม ซึ่งเคยเป็นนครหลวงเมื่อครั้งอาณาจักรแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด และยังมีลัทธิความเชื่อต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ศาสนาหลักของอาณาจักรนี้ได้แก่ ศาสนาฮินดู พุทธศาสนามหายาน และพุทธศาสนาเถรวาทซึ่งได้รับจากศรีลังกา เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13"
] |
ยาลดความอ้วน ปรากฎครั้งแรกเมื่อไหร่? | [
"ในศตวรรษที่ 2 ได้มีความพยายามครั้งแรกในการที่จะผลิตสารที่ใช้ในการลดน้ำหนัก โดยแพทย์ชาวกรีกชื่อ โซลานุส จาก อีฟีซุส, เขาได้สั่งยาน้ำที่มีฤทธิ์เป็น ยาระบาย และยาถ่าย, รวมทั้งการนวดโดยใช้ความร้อน, และการออกกำลังกาย. แม้จะผ่านมาเป็นพันปีสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นวิธีหลักที่ใช้ในการรักษาให้น้ำหนักลด. จนกระทั่งมาถึงปี 1920 - 1930 ได้มีการเปลี่ยนแปลงและมีแนวทางการรักษาใหม่เกิดขึ้น. จาการรักษาที่มีประสิทธิภาพในกลุ่มที่มี ภาวะพร่องฮอร์โมนไฮโปไธรอยด์, ฮอร์โมนไธรอยด์ กลายมาเป็นการรักษาภาวะโรคอ้วนที่เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้ป่วยยูไธรอยด์.ยากลุ่มนี้ให้ผลดี แต่จะผลทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนไธรอยด์สูงเกิน, เช่น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และ การนอนหลับยาก. 2, 4-ไดไนโตรฟรีนอล (ดีเอ็นพี) ถูกสร้างขึ้นในปี 1933 ; ซึงทำงานโดย แยก กระบวนการทางชีวภาพของ อ๊อกซิเดทีฟ pฟอสโฟรีเลชั่น ใน ไมโตคอนเดีย, ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการผลิตความร้อนแทนการสร้างพลังงาน เอทีพี อาการข้างเคียงที่สำคัญส่วนใหญ่ได้แก่ ความรู้สึกอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา, เหงื่อออกบ่อย ๆ. การได้รับยาเกินขนาด, อาการข้างเคียงที่พบน้อย คือ ภาวะอุณหภูมิในร่างการสูง จนทำให้เกิดเป็นอันตรายได้ ในปลายปี 1938 ได้มีการยกเลิกการใช้สาร ดีเอ็นพีเนื่องจาก FDA ได้ออกมาบังคับให้โรงงานหยุดการผลิต และถอนยาตัวนี้ออกจากตลาด.[11]"
] | [
"บีจิวเวลด์ 3 () เป็นเกมจับคู่ผลิตโดยป็อปแคปเกมส์ เป็นเกมที่ห้าในแฟรนชายส์ของ\"บีจิวเวลด์ \"เกมนี้มีสี่เกมใหม่ที่คล้ายกับสี่ด่านธรรมดาในบีจิวเวลด์ 1 และ 2\nโหมดนี้จะมีผีเสื้ออยู่ด่านล่างของกระดานและจะขึ้นไปหนึ่งครั้งตอนที่จับคู่ ถ้าทำให้เกิดช่องว่างด้านล่างผีเสื้อจะตกลงไปข้างล่าง ถ้าเกิดช่องว่างด้านบนจะหยุดไม่ให้ผีเสื้อไปต่อได้ เกมจะจบเมื่อมีผีเสื้อตัวหนึ่งถูกแมงมุมจับ ชนะด่าน 5 ในโหมดเซนเพื่อปลดล็อกโหมดนี้เกมนี้จะมีทอง, สมบัติ และคริสตัล ดินและหินจะมีอยู่ห้าแถวนับจากด้านล่าง การจับคู่จะทำลายดินและหินออกไป หินสามารถทำลายได้ แต่ต้องใช้การจับคู่สองครั้งหรือใช้การระเบิดอัญมณีพิเศษ หินที่แข็งมากจะต้องใช้การระเบิดเท่านั้น เกมจะเริ่มโดยมีเวลา 90 วินาที จะเพิ่ม 30 วินาทีถ้าเคลียร์บริเวณเส้น ถ้าเคลียร์ดินทั้งหมดจะเพิ่ม 90 วินาที หลังจากได้เวลาพิเศษแล้วกระดานจะเลื่อนลงจนกว่าจะมีดินอยู่ที่ห้าแถวล่าง เครื่องวัดความลึกจะเพิ่ม 10 เมตร ยิ่งลึกจะมีสมบัติล้ำค่ามากขึ้น แต่ทำลายหินยากขึ้น เกมจะจบเมื่อหมดเวลา ซึ่งจะทำให้เครื่องขุดพัง ชนะ 4 มินิเกมในโหมดภารกิจเพื่อปลดล็อกโหมดนี้โหมดนี้จะมีแท่งน้ำแข็งขึ้นจากข้างล่าง ผู้เล่นต้องหยุดแท่งน้ำแข็งก่อนถึงด้านบนของกระดาน ซึ่งจะทำให้กระดานแข็งและจบเกม. การจับคู่ด้านบนหรือล่างแท่งน้ำแข็งจะลดความสูง และการจับคู่แนวตั้งจะทำลายแท่งน้ำแข็งทันที ยิ่งจับคู่ถังจะเพิ่มขึ้น ถ้าเต็มจะเพิ่มโอกาสได้คะแนน (จาก X1 กลายเป็น X2) และแท่งน้ำแข็งจะลงข้างล่างหมด ถ้ามีแท่งน้ำแข็งถึงยอดจะมีหัวกะโหลกขึ้น เมื่อแท่งน้ำแข็งอันที่สองเริ่มขึ้น หัวกะโหลกจะแดงและเริ่มสั่น ถ้าแท่งน้ำแข็งไม่ลดลง ภายในไม่กี่วินาที กระดานจะแข็งและเกมก็จะจบ ต้องได้ 100,000 คะแนนในโหมดไลท์นิ่งเพื่อปลดล็อกโหมดนี้.โหมดนี้จะมีสไตล์แบบไพ่โปเกอร์ มีการ์ดห้าใบอยู่ด้านข้างพร้อมกับตารางคะแนน ทุกๆ คู่จะปรากฎบนการ์ด หลังจากจับคู่ห้าครั้งจะปรากฎแบบที่ผู้เล่นทำ เช่น อัญมณีห้าอันที่มีสีเดียวกันจะได้ไพ่ \"ฟลัช\" ซึ่งเป็นแบบที่ดีที่สุด การจับคู่ได้สองคู่จะปรากฎการ์ดอัญมณีใหญ่และเล็กแล้วเกมจะเลือกเองว่าอัญมณีไหนจะมีโอกาสได้คะแนนมากกว่า จับคู่อัญมณีเพลิงหรือดาวจะเพิ่มคะแนน และจับคู่กับไฮเปอร์คิวบ์จะเกิดการ์ดปริศนาที่จะเลือกสีที่มีโอกาสได้คะแนนมากที่สุด ถ้าเล่นไปเรื่อยๆ จะมีหัวกะโหลกตรงแบบที่ได้คะแนนต่ำที่สุด ถ้าผู้เล่นได้แบบอันนั้น จะมีเหรียญกะโหลกและโชคที่มีโอกาส 50% ที่จะจบเกม. ผู้เล่นสามารถลบกะโหลกได้ดดยเพิ่มบาร์ลบกะโหลก ยิ่งแบบที่ดีกว่าจะเพิ่มได้มากกว่า ถ้าเล่นไปเรื่อยๆ กะโหลกจะมีมากขึ้น ชนะด่าน 5 ในโหมดปกติเพื่อปลดล็อกโหมดนี้",
"อย่างไรก็ตาม น้ำหนักลดจากการใช้ยาไรโมนาแบนท์พบว่า ไม่ได้มีผลมากกว่าการใช้ยาลดน้ำหนักตัวอื่น ๆ [26] และเนื่องจากการคำนึงถึงความปลอดภัย และ ภาวะทางจิตที่อาจเกิดขึ้นได้ ยาตัวนี้จึงไม่ได้รับการยอมรัลให้ใช้ในสหรัฐอเมริกา หรือ แคนาดา ทั้งในการเป็นยารักษาภาวะโรคอ้วน และ ยาหยุดบุหรี่.",
"ทั้งนี้ ในเมตตสูตรบทหลังซึ่งปรากฏอานิสงส์ 11 ประการ มิได้ระบุถึงสถานที่แสดงพระสูตรไว้ แต่ในเมตตสูตรบทแรกได้ระบุไว้ว่า สมเด็จ \"พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี\" แล้วทรงตรัสพระสูตรนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเมื่อนำพระสูตรทั้ง 2 มารวมกันเป็นเมตตานิสังสสุตตปาฐะ เนื้อความจึงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น กล่าวคือ เมตตสูตรแรกปรากฎสถานที่แสดง แต่อานิสงส์มีเพียง 8 ประการ ขณะที่เมตตสูตรที่ 2 ไม่ปรากฎที่มา แต่มีเนื้อหากล่าวถึงอานิสงส์ 11 ประการ ขณะที่เมตตานิสังสสุตตปาฐะ ปรากฎสถานที่แสดงพระสูตรจากเมตตสูตรแรก และอานิสงส์ 11 ประการจากเมตตสูตรหลัง",
"การเปิดการ์ดในภาคนี้จะแตกต่างจากออนไลน์ 3 ตรงที่ว่าจะมีโมเดลนักฟุตบอลปรากฎตอนเปิดการ์ดซึ่งถ้าเปิดได้ผู้เล่นที่มีพลังมากกว่า 80 จะมีแอนิเมชั่นเปิดตัวของการ์ด(Walkout)ปรากฎขึ้นมาโดยจะปรากฎเสื้อทีม,เบอร์เสื้อ,ส่วนใบหน้าของนักเตะ เพื่อให้มีความลุ้นมากขึ้น ซึ่งการ์ดต่าง ๆ จะมีแตกต่างกันออกไปตามแพ็คต่าง ๆ",
"ข้อจำกัดของการศึกษายาลดความอ้วน คือ พวกเราไม่เข้าใจกลไกพื้นฐานการทำงานของระบบความอยากอาหารในสมอง และวิธีการปรับสมดุล. ความอยากอาหาร เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานที่ทำให้อยู่สิ่งมีชีวิตรอด. ยาที่ทำให้ความอยากอาหารลดลง จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เสียชีวิต และเกิดภาวะที่ไม่เหมาะสมทางคลินิกขึ้นได้",
"อาการทั่วไปจากการใช้ยาแบบยาอมได้แก่คลื่นไส้หรือรู้สึกคัน ส่วนยาแบบทาอาจมีปรากฎรอยแดงหรือรอยไหม้ สตรีมีครรภ์สามารถใช้ยานี้แบบรับประทานได้ แต่ยังไม่มีผลศึกษาอย่างจริงจังว่าแบบยาอมจะมีผลต่อทารกหรือไม่ ผู้ที่ตับมีปัญหาควรใช้ยานี้อย่างรอบคอบ",
"ยาลดความอ้วนบางตัวมีอาการข้างเคียงรุนแรง และอาจทำให้ตายได้, ยา เฟน-เฟน เป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดี. ยาเฟน-เฟนได้รับการรายงานจาก FDA ว่า ทำให้ผลการตรวจการทำงานของหัวใจผิดปกติ เกิดปัญหากับลิ้นหัวใจ และพบน้อยรายที่เกิดโรคลิ้นหัวใจ[40] หนึ่งในนี้ ซึ่งไม่ใช่รายแรก เป็นการเตือนจากท่านเซอร์ อาร์เธอร์ แมคแนลตี้, หัวหน้าของเมดิคอล ออฟฟิซ (ประเทษอังกฤษ). ในตอนต้นปี 1930 เขาเตือนให้มีการต่อต้านการใช้ ไดไนโตรฟีนอล ซึ่งเป็นยาที่ใช้ลดความอ้วน และการใช้ไธรอยด์ฮอร์โมนที่ไม่เหมาะสมในการลดน้ำหนัก.[41][42] อาการข้างเคียงที่พบจะมาจากกระบวนการเมตาบอลิสมของยา. ยาที่กระตุ้น โดยทั่วไปจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิด ภาวะความดันโลหิตสูง, หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และเต้นเร็ว ต้อหิน การติดยา, พักผ่อนได้น้อย, วุ่นวาย, และ นอนไม่หลับ.",
"แนวคิดพลขว้างระเบิดนั้นปรากฎครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิงของจีนซึ่งมีบันทึกว่าทหารจีนบนกำแพงเมืองจีนได้ขว้างลูกระเบิดใส่ข้าศึก สำหรับในยุโรปพบว่าพลขว้างระเบิดปรากฎครั้งแรกในสเปนและออสเตรีย และพลขว้างระเบิดก็ปรากฎอยู่ในอังกฤษเช่นกันในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ",
"มียาเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ใช้เป็นยาลดความอ้วน ได้แก่ ยาโอลิสแตท (เซนิคาล) ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์กร FDA ในการใช้ระยะยาว.[2][3] ยาจะลดการดูดซึมไขมันที่บริเวณลำไส้โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ไลเปซจากตับอ่อน ยาตัวที่ 2 คือ ยาไรโมนาแบนท์ (อะคอมเพลีย), จะออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของระบบเอ็นโดคานาบินอยด์. ยาตัวนี้พัฒนามาจากความรู้ที่ว่าผู้ที่สูบ กัญชา จะหิวบ่อย, ซึ่งจะต้องหาอาหารว่างรับประทานอยู่เรื่อย ๆ ยาตัวนี้ได้รับการรับรองให้ใช้รักษาภาวะโรคอ้วนในยุโรปแต่ไม่ได้รับการรับรองให้รักษาภาวะโรคอ้วนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเนื่องจากยังเป็นกังวลเรื่องของความปลอดภัย.[4][5] ในเดือนตุลาคม 2008 ตัวแทนจำหน่ายยาในประเทศทางยุโรป ได้เสนอว่าการขายยาไรโมนาแบนท์มีความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ.[6] ยาไซบูทามีน (เมริเดีย), ซึ่งจะออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเก็บกลับสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้มีสารสื่อประสาทเพิ่มขึ้นจึงมีผลทำให้ความอยากอาหารลดลง ได้ถูกถอนออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาแล้วในเดือนตุลาคม 2010 เนื่องจากมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ.[3][7]",
"ผู้ป่วยบางคนพบว่า การควบคุมอาหาร และ การออกกำลักาย เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้; สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้, ยาลดความอ้วนจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย. การสั่งยาลดน้ำหนัก บางครั้งจะประกอบไปด้วย ยากระตุ้น ซึ่งแนะนำให้ใช้เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และ นั่นเป็นข้อจำกัดที่ในกลุ่มผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการลดดน้ำหนักยาวนานหลายเดือนหรือหลายปี",
"\"วอริเออร์สออฟเฟต\"เป็นวิดีโอเกมแนวตีแม่งเลยที่มีเก้าด่าน แต่ละด่านประกอบด้วยกลุ่มคนจำนวนมาก รวมถึงผู้ขัดขวางที่เป็นพลหอก, พลธนู, จอมพลัง, มือปาระเบิด และบอสจากวุยก๊กอย่างน้อยหนึ่งคน โดยสามารถเล่นได้สูงสุดสามรายในเวลาเดียวกัน ซึ่งใช้ปุ่มสองปุ่ม ได้แก่ การโจมตีและการกระโดด ตัวละครทุกตัวมีการเคลื่อนไหวมาตรฐานตามแบบฉบับฉายด้านข้างของแคปคอม ศัตรูทั่วไปรวมทั้งทหารวุยก๊ก เช่น โจร, โจรสลัด, นักมวยปล้ำ, อ้ายอ้วน และขโมยจะโผล่ขึ้นมาจากทุกที่ ในตอนท้ายของแต่ละด่านจะมีขุนพลวุยก๊กเป็นบอสประจำด่าน เช่น ลิเตียน, แฮหัวตุ้น, เคาทู, เตียวเลี้ยว, โจหยิน และซิหลง ส่วนขุนพลที่มีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างลิโป้จะปรากฎตัวในฐานะบอสสุดท้าย หลังจากเอาชนะพวกเขาทั้งหมด ก็จะมีโจโฉที่พยายามหลบหนี เกมยังมีสองด่านโบนัสที่ต้องกดปุ่มรัว ๆ",
"ข้อสันนิษฐานที่ว่า พระนางซิทอามุนเป็นพระราชธิดาของฟาโรห์อเมนโฮเทปทร่สามกับพระนางทีเย พระนางซิทอามุนได้ปรากฎบนภาพสลักในหลุมฝังศพของ ยูยา กับ ทูยา ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของพระนางทีเย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเก้าอี้ที่มีชื่อว่าพระราชธิดาของฟาโรห์",
"นิตยสารฮ่องกงได้ออกมารายงานว่า จงเจียซิน เตรียมแต่งงานเร็วๆนี้ แต่ไม่ได้แต่งงานกับ Philip Ng ซึ่งคบหากันมานาน 8 ปี เนื่องจากทั้งคู่ได้เลิกกันไปตั้งแต่ต้นปี 2015 ที่ผ่านมา \nจงเจียซิน เตรียมแต่งงานกับแฟนใหม่ที่เพิ่งคบกันมา 1 ปี และเธอตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว!! ชายหนุ่มคนดังกล่าวเป็นหลานชายของอดีตเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในแวนคูเวอร์ มีอายุมากกว่าจงเจียซินหลายปี นิตยสารยังได้รายงานอีกว่า จงเจียซินตั้งครรภ์แล้ว และมีอายุครรภ์ถึง 5 เดือน เนื่องจากในการปรากฎตัวครั้งล่าสุดเธอดูอ้วนขึ้นอย่างมาก",
"ไรโมนาแบนท์ (เอคอมเพลีย) เป็นยาที่เพิ่งนำมาใช้ในการเป็นยาลดความอ้วน. ยาตัวนี้คือ สาร แคนาบินอยด์ (CB1) รีเซ็บเตอร์ แอนตาโกนิสต์ ซึ่งออกฤทธิ์ที่สมองโดยจะลดความอยากอาหาร.[26] และยาตัวนี้อาจมีผลเพิ่มอุณหภูมิในร่างการ ดังนั้นก็จะมีการเผาผลาญพลังงานเพิ่มมากขึ้นด้วย.[26]",
"ในอดีตที่ ประเทศสหรัฐอเมริกาแอมเฟตามีนถูก ใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิด ที่นิยมแพร่หลายเป็นยาดมแก้หวัด คัดจมูก ชื่อยาเบนซีดรีน (Ben zedrine) มีไส้กระดาษชุบด้วยน้ำยาบรรจุไว้ใน หลอดให้สูดดม แต่ก็มีผู้นำมาใช้ในทางที่ผิดเพื่อกระตุ้นร่างกาย และลดความอ้วน โดยนำไส้กระดาษซับมาจุ่มน้ำเพื่อละลายตัวยา แล้วนำมาใช้กินแทน ต่อมามีการผลิตแอมเฟตามีนอยู่มาในรูปยาเม็ดใช้กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน ไม่ต้องมีใบสั่งยาก็ซื้อหามาใช้ได้ ในขณะนั้นมีการโฆษณาสรรพคุณของ แอมเฟตามีนว่าสามารถรักษาโรคได้ถึง 39 โรค เช่น โรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคปวดศีรษะ เป็นต้นโดยไม่ได้ตระหนักถึงฤทธิ์ของยาที่ทำให้เสพติดกันมากนัก และมีประชาชนจำนวนมากที่นำมาใช้ในทางที่ผิด ในปี ค.ศ. 1939 สำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยาของสหรัฐอเมริกาประกาศให้ยาจำพวกแอมเฟตามีนเป็นยาควบคุมซึ่งต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์จึงจะซื้อได้ ทำให้การใช้ยาชนิดนี้ลดน้อยลงจากท้องตลาด และเริ่มมีการผลิตและจำหน่ายผิดกฎหมายอย่างแพร่หลาย และได้เข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย ในช่วงปี ค.ศ. 1967",
"เดือนมกราคม ค.ศ. 199 อ้วนเสี้ยวทำสงครามครั้งสุดท้ายกับกองซุนจ้านใน ยุทธการที่อี้จิง ผลปรากฎว่าเป็นฝ่ายอ้วนเสี้ยวได้ชัยชนะและสามารถยึดครองดินแดนภาคเหนือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและเต๊งไก๋ก็ถูกฆ่าตายในสงครามครั้งนี้หลังจากนั้นกองซุนจ้านจึงตัดสินใจฆ่าเมียและลูกและฆ่าตัวตายตามไปในที่สุด",
"ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2010 Jeremy ปรากฎตัวใน The Young and the Restless ด้วยตัวเขาเอง เขาเป็นที่รู้จักในฐานะเพื่อนสนิทของ CL หัวหน้า งวงของเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี 2ne1 เขาให้เสื้อผ้าเป็นของขวัญแก่เธอและผู้หญิงอื่นๆด้วย เขาปรากฎตัวใน 2NE1 TV Season 2 (เรียลริตี้โชว์ของชีวิต 2ne1 ระหว่างออกอัลบั้มใหม่ล่าสุดของพกเขา) กับ Will.i.am แห่ง The Black Eyed Peas ปรากฎตัวกับ 2ne1 เช่นกัน ในพฤศจิกายน 2010 O'live OnStyle Sytle Icon Awards ซึ่ง Scott จะปรากฎตัวในงานเพื่อมอบรางวัลให้ 2ne1 วงผู้หญิงที่ทันสมัยที่สุด",
"ยาลดความอ้วน หรือยาลดน้ำหนัก เป็นสารที่มีผลทางเภสัชวิทยา ซึ่งจะลด หรือ ควบคุมน้ำหนัก ยากลุ่มนี้จะเปลี่ยนแปลงหนึ่งในกระบวนการพื้นฐานของร่างกายมนุษย์, การควบคุมน้ำหนัก, โดยการเปลี่ยนแปลงทั้งความอยากอาหาร, หรือ การดูดซึมพลังงาน.[1] รูปแบบการรักษาหลัก ๆ สำหรับผู้ที่มี น้ำหนักเกิน และ อ้วน เป็นเรื่องวเฉพาะบุคคล แต่จะยังคงเป็นการ ควบคุมอาหาร และ การออกกำลังกาย.",
"การจำกัดอาหารและการออกกำลังกายเป็นหลักของการรักษาโรคอ้วน สามารถปรับปรุงคุณภาพอาหารได้โดยการลดการบริโภคอาหารพลังงานสูง เช่น อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง และโดยการเพิ่มการรับใยอาหาร อาจบริโภคยาลดวามอ้วนเพื่อลดความอยากอาหารหรือลดการดูดซึมไขมันเมื่อใช้ร่วมกันกับอาหารที่เหมาะสม หากอาหาร การออกกำลังกายและยาไม่ได้ผล การทำบอลลูนกระเพาะอาหาร (gastric ballon) อาจช่วยให้น้ำหนักลดได้ หรืออาจมีการผ่าตัดเพื่อลดปริมาตรกระเพาะอาหารและความยาวลำไส้ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและลดความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร",
"ประเทศจีนเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์ดินปืนขึ้นใช้ได้ และแนวคิดปืนใหญ่เริ่มปรากฎขึ้นในแผ่นดินจีน ในช่วงราชวงศ์ซ่ง หรือราวศตวรรษที่ 12 โดยปรากฎหลักฐานเป็นหนึ่งในรูปปั้นของงานแกะสลักหินแห่งต้าจู๋. อย่างไรก็ดี ปืนใหญ่ไม่ได้รับการผลิตขึ้นใช้จริงจนกระทั่งศตวรรษที่ 13. ในปีคริสต์ศักราช 1288 มีการบันทึกว่า กองทัพของราชวงศ์หยวนมีปืนใหญ่มือไว้ใช้ในการรบ. หลังจากนั้นเทคโนโลยีปืนใหญ่ก็เริ่มปรากฎตัวขึ้นในยุโรปในราวต้นศตวรรษที่ 14.",
"ราชวงศ์ () คือ ลำดับของผู้ปกครองจากตระกูลเดียวกัน มักปรากฎอยู่ในบริบทของระบบศักดินาและระบอบราชาธิปไตย แต่ในบางโอกาสก็ปรากฎอยู่ในระบอบสาธารณรัฐที่มีการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน ซึ่งตระกูลของผู้ปกครองที่สืบเชื้อสายติดต่อกันมาอาจเรียกว่า \"พระราชวงศ์\" และมีบรรดาศักดิ์เป็นราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ เจ้าชาย ขุนนางศักดินา หรืออื่น ๆ ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำหรือสมาชิกของตระกูลเกิดมาด้วยฐานันดรเช่นใด นักประวัติศาสตร์หลายคนยังพิจารณาประวัติศาสตร์ของรัฐอธิปไตยแห่ง เช่น อียิปต์โบราณ จักรวรรดิการอแล็งเฌียง หรือจักรวรรดิจีน ภายใต้กรอบแนวคิดของลำดับราชวงศ์ผู้ปกครอง ดังนั้นบริบทของ \"ราชวงศ์\" จึงสามารถใช้อ้างถึงยุคสมัยที่แต่ละตระกูลปกครอง ทั้งยังเป็นบริบทที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ แนวโน้ม และศิลปวัตถุของแต่ละยุคสมัยนั้น ๆ ได้ เช่น แจกันราชวงศ์หมิง ซึ่งบริบทของราชวงศ์มักจะถูกลดทอนลงจากการอ้างอิงคุณศัพท์ดังกล่าว",
"วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เขาถูกวิจารณ์อีกครั้งภายหลังที่เขาโพสต์ขอโทษ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องมาจากการส่อเสียดในรายการสายล่อฟ้าโดยปรากฎคำพูดออกรายการในขณะนั้นว่า ยิ่งลักษณ์ เอาอยู่ โดย นาย ศิริโชค เจตนาให้ผู้ชมเข้าใจคำว่า เอาอยู่ ในลักษณะที่หมิ่นประมาทว่า ยิ่งลักษณ์ กำลังมีเพศสัมพันธ์ อยู่ ณ โรงแรมโฟร์ซีซันส์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ ห้าหมื่นบาท และคดีกำลังเข้าสู่ศาลฎีกา ปรากฎว่า นายศิริโชคขอไกล่เกลี่ยเป็นการขอโทษผ่านเฟสบุ๊ค ภายหลัง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยื่นถอนฎีกาแล้ว ปรากฎว่า เขาลบข้อความขอโทษออกทันที ซึ่งได้รับคำวพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จนสุดท้ายเขาขอประกาศลงคำขอโทษไว้ 7 วัน",
"มีวัตถุทรงลูกบากศ์จัตุรัสขนาด 2 กิโลเมตรที่ไม่สามารถระบุโครงสร้างทางฟิสิกส์ได้ ปรากฎขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว และดูดกลืนเครื่องบินซึ่งมี โคจิโร ชินโด และชุน ฮานาโมริ สองเจ้าหน้าที่กระทรวงกิจการภายในกำลังโดยสารอยู่ ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังหาทางช่วยผู้โดยสารนั้นเอง ที่ด้านบนของลูกบากศ์ ชินโดก็ปรากฎตัวพร้อมกับชายนามว่า ยาฮาคุย ซาชูนีนา ที่อ้างตนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจากอวกาศ เรียกร้องการเจรจาโดยตรงกับรัฐบาลญี่ปุ่น ซาชูนีนาได้ชี้แจงว่ามาเพื่อต้องการชี้ทางมนุษยชาติ และได้มอบแหล่งพลังงานอนันต์ \"วาม\" ให้แก่มนุษยชาติ โดยให้รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้จัดการดูแลวาม รัฐบาลญี่ปุ่นแต่งตั้งชุน ฮานาโมริ เป็นทูตพิเศษมีอำนาจเทียบเท่านายกรัฐมนตรี ส่วนโคจิโร ชินโด ก็ขอลาออกจากกระทรวงเพื่อทำให้ที่เป็นผู้แทนฝ่ายต่างดาว อย่างไรก็ตามคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติให้ญี่ปุ่นส่งมอบวามทั้งหมดให้สหประชาชาติ มิเช่นนั้นสหประชาชาติจะดำเนินนโนบายขั้นรุนแรงต่อญี่ปุ่น",
"ยา อีเซนาไทด์ (ไบเอ็ทต้า) เป็นยาที่ออกฤทธิ์เนิ่น โดยเป็นยาที่มีโครงสร้างคล้าย ฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งลำไส้เล็กจะสร้างขึ้นเมื่อมีอาหารผ่านเข้ามา. ฤทธิ์อื่น ๆ ของฮอร์โมน GLP-1 คือ จะขยายเวลาที่ลำไส้จะว่างจากอาหารยาวนานขึ้น และท้ำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น.ผู้ป่วยโรคอ้วนบางคนมีภาวะพร่องฮอร์โมน GLP-1, และควบคุมอาหารเพื่อลดฮอร์โมน GLP-1 .[29] ไบเอ็ทตา เป็นยาที่เพิ่งมีการใช้ในการรักษา โรคเบาหวาน ชนิดที่ 2. ผู้ป่วยบางคน ไม่ทั้งหมด พบว่าพวกเขาน้ำหนักลดเมื่อใช้ยาไบเอ็ทต้า. ข้อเสียเปรียบของยาไบเอ็ทต้าคือจะต้องฉีดเข้าใต้ผิวหนัง วันละ 2 ครั้ง. และในผู้ป่วยบางคน ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้รุนแรง, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการรักษาเริ่มต้นซึ่งไบเอ็ทต้าถูกกำหนดให้ใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ยาที่เหมือนกันอีกตัว คือ ไซมิน ซึงเป็นยาใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน และ ได้มีการนำมาทดลองใช้รักษาภาวะโรคอ้วนในผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน.",
"ปี พ.ศ. 2480 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ในขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ \"พระพรหมมุนี\" และดำรงตำแหน่ง \"เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนารามวรวิหาร\" และ \"เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา\" ด้วยนั้น ได้ขอให้ พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) พิจารณาสร้างวัดป่ากรรมฐานขึ้นที่อำเภอพิบูลมังสาหาร ด้วยปรากฎว่า ญาติพี่น้องของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)ได้อพยพมาจากบ้านแคน ดอนมดแดง มาปักหลักตั้งถิ่นฐานที่บ้านโพธิ์ตาก อำเภอพิบูลมังสาหาร เป็นจำนวนมาก จึงต้องการให้พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) ไปตั้งสำนักวัดป่าอบรมจิตภาวนาให้ลูกหลานชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร เพื่อจะได้มีความรู้แลความเข้าใจในธรรมปฎิบัติด้านสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน ",
"เมื่อโหมดลับอันหนึ่งปลดล็อก ปุ่ม '?' จะปรากฎที่หน้าหลัก กดที่ปุ่มนั้นจะปรากฎโหมดลับที่ผู้เล่นปลดล็อก",
"ปรากฎการณ์ \"ไฟของนักบุญเอลโม\" เป็นที่รู้จักกันมาแต่สมัยกรีกโบราณ โดยนักเดินเรือชาวกรีกเรียกแสงประเภทนี้ว่า \"เฮเลแน\" () หากปรากฎเป็นแสงเดี่ยว ๆ แต่จะเรียกว่า คาสตอร์กับโพลีเดวเคส (Kastor and Polydeukes) หากเกิดขึ้นเป็นปรากฎการณ์แสงคู่ (ซึ่งเป็นชื่อของฝาแฝดผู้เป็นพี่น้องกับเฮเลน ราชินีของชาวสปาร์ตา)",
"ในอดีตที่ ประเทศสหรัฐอเมริกาแอมเฟตามีนถูก ใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิด ที่นิยมแพร่หลายเป็นยาดมแก้หวัด คัดจมูก ชื่อยาเบนซีดรีน (Ben zedrine) มีไส้กระดาษชุบด้วยน้ำยาบรรจุไว้ใน หลอดให้สูดดม แต่ก็มีผู้นำมาใช้ในทางที่ผิดเพื่อกระตุ้นร่างกาย และลดความอ้วน โดยนำไส้กระดาษซับมาจุ่มน้ำเพื่อละลายตัวยา แล้วนำมาใช้กินแทน ต่อมามีการผลิตแอมเฟตามีนอยู่มาในรูปยาเม็ดใช้กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน ไม่ต้องมีใบสั่งยาก็ซื้อหามาใช้ได้ ในขณะนั้นมีการโฆษณาสรรพคุณของ แอมเฟตามีนว่าสามารถรักษาโรคได้ถึง 39 โรค เช่น โรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคปวดศีรษะ เป็นต้นโดยไม่ได้ตระหนักถึงฤทธิ์ของยาที่ทำให้เสพติดกันมากนัก และมีประชาชนจำนวนมากที่นำมาใช้ในทางที่ผิด ในปี ค.ศ. 1939 สำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยาของสหรัฐอเมริกาประกาศให้ยาจำพวกแอมเฟตามีนเป็นยาควบคุมซึ่งต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์จึงจะซื้อได้ ทำให้การใช้ยาชนิดนี้ลดน้อยลงจากท้องตลาด และเริ่มมีการผลิตและจำหน่ายผิดกฎหมายอย่างแพร่หลาย และได้เข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย ในช่วงปี ค.ศ. 1967",
"ยาลดความอ้วนอีกตัวหนึ่งที่นำมาใช้ระยะยาวเป็นการพัฒนามาจากไนโนนิวคลิอิก แอซิด อินเตอร์ฟีเรนท์ (RNAi). การศึกษาทางพันธุกรรมในสัตว์ ได้แสดงให้เห็นว่าการลดลงของ ยีนส์ RIP140 ในหนู มีผลทำให้ขาดการสะสมของอาหารแม้ว่าหนูจะถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีไขมันสูง.[47] การทดลองถูกนำเสนอโดยศาสตราจารย์ มัลคอม ปาร์คเกอร์ แห่งวิทยาลัยอิมพิเรียล ได้แสดงให้เห็นว่า การทำให้ RIP 140 หยุดการทำงาน, นิวเคลียร์ฮอร์โมน โค - รีเพลสเซอร์ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเก็บสะสมของไขมัน มีผลต่อรูปลักษณะของสัตว์ทำให้เล็กลงตลอดชั่วชีวิต ซึ่งจะมีผลต้านทานต่อการกินอาหารที่จะทำให้อ้วนได้, และยังเพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกายด้วย . บริษัทCytRx ได้พัฒนาการรักษาโดยใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อต้านสาร RNAi tเพื่อใช้รักษาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2. สารนิวเคลียร์ฮอร์โมนรีเซฟเตอร์ โค-รีเพลสเซอร์ อีกตัว คือ SMRT, ได้มีการแสดงให้เห็นว่า ออกฤทธิ์มีผลต่อพันธุกรรมในหนู ดร.รัสเซล โนฟซิงเกอร์ และ ดร.โรนัล อีแซน แห่งสถาบันซอล์ค ได้แสดงให้เห็นว่า การขัดขวางการทำงานในระดับโมเลกุลระหว่างปฏิกิริยาของ SMRT และนิวเคลียร์ฮอร์โมนรีเซฟเตอร์ ที่อยู่ร่วมกัน จะเพิ่มความอ้วน และลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน.[48] การศึกษานี้ เป็นการนำเสนอยาใหม่ ที่ออกฤทธิ์ตรงตำแหน่งการทำปฏิกิริยากันระดับโมเลกุลระหว่างนิวเคลียร์ฮอร์โมนรีเซฟเตอร์ กับโคแฟกเตอร์ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ในการทำให้เกิดแนวทางการรักษาใหม่ที่จะพัฒนาไปสู่ความพยายามในการที่จะควบคุมน้ำหนัก"
] |
หลักการของการถ่ายภาพแบบคอลโฟคอลนั้นได้การจดสิทธิบัตรโดยใคร? | [
"หลักการทำงานของการถ่ายภาพแบบคอนโฟคอลนั้นได้รับการจดสิทธิบัตรเมื่อปี ค.ศ. 1957 โดย มาวิน มินสกี้ (Marvin Minsky) [2][3] การถ่ายภาพแบบคอนโฟคอลนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาข้อจำกัดต่างๆของกล้องจุลทรรศน์แสงฟลูออเรสเซ็นต์แบบมุมมองกว้าง (wide-field fluorescence microscope) ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิม โดยกล้องจุลทรรศน์แสงฟลูออเรสเซ็นต์แบบมุมมองกว้างนั้นจะใช้แสงฟลูออเรสเซ็นต์ความยาวคลื่นหนึ่งส่องไปบนทุกส่วนของชิ้นเนื้อตัวอย่าง และชิ้นเนื้อตัวอย่างนั้นจะสะท้อนแสงฟลูออเรสเซ็นอีกความยาวคลื่นหนึ่งมายังตัวรับแสง (photodetector) ดังนั้นตัวรับแสงจะรับแสงฟลูออเรสเซ็นที่สะท้อนมาทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแสงที่ไม่ได้อยู่ที่จุดโฟกัส ในทางตรงกันข้ามกันกล้องจุลทรรศน์แบบคอนโฟคอลใช้แหล่งกำเนิดแสงฟลูออเรสเซ็นแบบจุด (เกี่ยวข้องกับ Point Spread Function) และใช้เลนส์โฟกัสแสงไปบนชิ้นเนื้อตัวอย่างและรับแสงสะท้อนจากชิ้นเนื้อตัวอย่างมาผ่านรูขนาดเล็กเพื่อกำจัดแสงที่ไม่ได้อยู่บริเวณจุดโฟกัสก่อนที่แสงจะไปสู่ตัวรับแสง ดังนั้นจะมีแสงที่จุดโฟกัสเท่านั้นที่นำมาสร้างเป็นสัญญาณภาพ ด้วยเหตุนี้เองภาพที่ได้จึงมีความละเอียดสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความละเอียดของภาพทางด้านความลึก เนื่องจากแสงจากบริเวณที่ตื้นหรือลึกกว่าจุดโฟกัสจะถูกกำจัดโดยรูขนาดเล็กก่อนที่จะมาถึงตัวรับแสง แต่ถึงอย่างไรการใช้รูขนาดเล็กในการจำกัดแสงที่รับเข้ามาจะทำให้ภาพมีความเข้มของแสงลดลงตามไปด้วย ดังนั้นในการใช้กล้องคอนโฟคอลจึงจำเป็นต้องเพิ่มเวลาในการเปิดหน้ากล้องให้นานขึ้น เมื่อการรับแสงเป็นการรับแสงแบบทีละจุดจากจุดโฟกัส ดังนั้นการที่จะได้ภาพ 2 มิติ จำเป็นต้องทำการสแกนการรับภาพทางแนวราบทั้งชิ้นเนื้อตัวอย่างชิ้นเนื้อแล้วนำมาประกอบกันเป็นภาพ 2 มิติที่สมบูรณ์ ในทำนองเดียวกันถ้าต้องการสร้างภาพ 3 มิติ จำเป็นต้องมีการสแกนการรับภาพทั้งทางแนวราบและแนวดิ่ง หลังจากนั้นนำข้อมูลมาสร้างเป็นภาพ 3 มิติ ที่สมบูรณ์ ความละเอียดทางด้านความลึกของจุดโฟกัสของกล้องจุลทรรศน์แบบคอนโฟคอล หมายถึง ความหนาของบริเวณที่กล้องคอนโฟคอลยอมให้แสงผ่านเข้าไปยังตัวรับแสง ค่านี้ส่วนมากจะถูกกำหนดโดยผลลัพธ์ของความยาวคลื่นแสงหารด้วยค่าของรูรับแสงของเลนวัตถุ (Numerical Aperture, N.A.) ของกล้องจุลทรรศน์แบบคอนโฟคอลยกกำลังสองและคุณสมบัติทางแสงของชิ้นเนื้อ จากที่กล่าวมาการจำกัดแสงสะท้อนทางด้านความลึกของชิ้นเนื้อทำให้เราสามารถสร้างภาพ 3 มิติ โดยการเลื่อนจุดโฟกัสไปยังตำแหน่งต่างๆทั้งทางด้านแนวราบและแนวดิ่งนั่นเอง"
] | [
"ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 กูเกิลขอจดสิทธิบัตรในการให้ผู้ใช้กูเกิล กลาส (Google Glass) ทำท่าบิกฮาร์ตใส่สิ่งใด ๆ แล้วกูเกิล กลาส จะถ่ายภาพสิ่งนั้นพร้อมส่งภาพเข้าเครือข่ายสังคมในฐานะภาพที่บุคคลนั้น ๆ ชื่นชอบได้โดยอัตโนมัติ กลวิธีดังกล่าวเป็นการคิดค้นของเอ็นแกดเจ็ตทีม (Engadget team)",
"ในปี 1856 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ Hamilton Smith ได้จดสิทธิบัตรกระบวนการผลิตTintype process Smithสนใจงาน Daguerreotype เป็นอย่างมากจึงนำหลักการดาแกมาพัฒนา Tintypeเป็นที่นิยมมากตั้งแต่ปี 1856 ในช่วงสงครามโลกได้มีการถ่ายภาพแล้วส่งทางไปรษณีย์ไปหากันอย่างมาก ไปจนถึงปี 1950Tintype ได้เริ่ม หายไป เพราะการใช้ฟิมเริ่มเป็นที่นิยมมากกว่า แต่ในปัจจุบันยังมีช่างภาพที่ยังชอบและยังมีศิลปินนิยมอยู่ Tintype ( ทินไทพ์ tin ที่แปลว่าดีบุก ) มีอีกชื่อเรียกหนึ่งเรียกว่า ferrotype( เฟอร์โรไทพ์ ferro ที่แปลว่าเหล็ก) และ melainotype (มิเลนโนไทพ์ ) จริงๆแล้ว ชื่อเดิมคือ Melainotype ที่เรียกว่า Tintypes เพราะ วัสดุที่ใช้เป็นแผ่นดีบุก ภาษาอังกฤษแปลว่า tin",
"ในปี พ.ศ. 2427 เขาได้จดสิทธิบัตรฟิล์มแบบม้วนที่ใช้งานได้จริงซึ่งเขาได้คิดค้นขึ้น. ในปี พ.ศ. 2431 เขาได้ประดิษฐ์กล้องโกดักจนสมบูรณ์ นับว่าเป็นกล้องตัวแรกที่ออกแบบสำหรับใช้กับม้วนฟิล์มโดยเฉพาะ และในปี พ.ศ. 2435 เขาได้ก่อตั้งบริษัทอีสท์แมนโกดัก (Eastman Kodak Company) ขึ้นที่ เมืองรอเชสเตอร์ (Rochester) รัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นบริษัทแรก ๆ ที่ผลิตวัสดุการถ่ายภาพมาตรฐานทีละมาก ๆ บริษัทนี้ก็ยังได้ผลิตฟิล์มที่มีความยืดหยุ่นและโปร่งแสงซึ่งออกแบบโดยอีสต์แมนก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2432 ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์",
"เหตุผลของฝ่ายเห็นแย้งส่วนน้อยในศาล คล้ายกับที่พบในเสียงข้างมากที่เป็นฝ่ายตัดสินในคดี \"วิทยาลัยฮาร์วาร์ดกับกรรมาธิการสิทธิบัตรแคนาดา \" ที่สรุปว่า แม้ว่าบริษัทจะสามารถจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์และกระบวนการ แต่ก็ไม่สามารถจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตระดับสูงเช่นพืชทั้งต้น\nคือ \"สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับเซลล์พืช ไม่สามารถขยายผ่านจุดที่เซลล์แปรพันธุกรรมเริ่มเพิ่มจำนวนแล้วจำแนกออกเป็นเนื้อเยื่อพืชส่วนต่าง ๆ ซึ่ง ณ จุดนี้จะกลายเป็นข้อเรียกร้องกับทุก ๆ เซลล์ในพืช\"\nซึ่งเป็นการขยายสิทธิบัตรออกมากเกินไป นอกจากนั้นแล้ว สิทธิบัตรควรจะจำกัดอยู่ที่พืชต้นพันธุ์เท่านั้น และไม่ควรขยายไปถึงลูกหลาน",
"ปัจจุบันแมวไทยที่ปรากฏในตำราซึ่งยังหลงเหลืออยู่คือ วิเชียรมาศ, โกนจา, ขาวมณี และมาเลศถูกชาวต่างชาติจดสิทธิบัตรไปแล้ว แบ่งเป็น วิเชียรมาศจดโดยอังกฤษ ส่วนโกนจา, ขาวมณี และมาเลศจดโดยสหรัฐ คงเหลือแต่ศุภลักษณ์เท่านั้นที่ยังไม่มีชาติใดจดสิทธิบัตร",
"แม้ว่าจะมีการประดิษฐ์เกิดขึ้นมากมายเพราะเขา แต่ก็มีผู้มีบางคนโต้แย้งว่า ที่แท้แล้ววัตต์คิดค้นนวัตกรรมต้นฉบับเพียงอันเดียวจากสิทธิบัตรจำนวนมากที่เขาจด อย่างไรก็ตามไม่มีใครแย้งเรื่องที่นวัตกรรมเดียวนั้นเขาได้ประดิษฐ์จริง ก็คือ เครื่องสันดาปแยก (separate condenser) ซึ่งเป็นการฝึกหัดเพื่อเตรียมแนวความคิดที่สร้างชื่อแก่เขา เพราะเขาตั้งใจให้สิทธิบัตรเชื่อถือได้ในความปลอดภัย และทำให้แน่ใจได้ว่า ไม่มีใครได้ฝึกหัดและคิดค้นสิ่งประดิษฐ์นั้นได้อย่างเขา",
"เมื่อสามารถทำเหล้าได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในกระบวนการ เข้าข่ายข้างต้น เช่น สูตรลูกแป้ง ส่วนผสมของเหล้า เครื่องต้มกลั่น ก็สามารถจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ได้ ส่วนขวดหหรือภาชนะบรรจุ ก็จดสิทธิบัตรการออกแบบได้ ดังนี้แล้วผู้อื่นก็ไม่สามารถลอกเลียนความคิดของเราไปใช้ได้ \nการที่คนทำเหล้าในปัจจุบันใช้ขวดของเหล้าหรือเบียร์ของผู้อื่น นอกจากจะขาดความสง่างามแล้ว เจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นอาจฟ้องร้องได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบของเขา (ในกรณีที่เขาจดสิทธิบัตรการออกแบบขวดไว้) ทางที่ดีออกแบบขวดของเราเองดีกว่า ชื่อทางการค้าและเครื่องหมายการค้าก็ต้องออกแบบและจดทะเบียนให้เป็นเอกลักษณ์ของเราเองด้วย ต่อไปเมื่อ กฎหมายเกี่ยวกับความลับทางการค้าและสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สามารถบังคับใช้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ยังจะต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้อีกด้วย\nสรุปได้ว่า ถ้าจะทำเหล้า ก็ต้องคิดเรื่องคุณภาพและกฎหมายด้วยแล้วกัน",
"เอดิสันวางแผนที่จะใช้อุปกรณ์นี้แทนที่ตัวต้านทานในวงจรโวลต์มิเตอร์กระแสตรง สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวได้สิทธิบัตรในปี พ.ศ. 2427 ไม่มีใครนำอุปกรณ์นี้ไปใช้งานจริงในเวลานั้น แต่การจดสิทธิบัตรเอาไว้ก่อนนั้นเป็นเสมือนการปกป้องสิทธิ์ของตนเองเอาไว้ก่อน เราจึงเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอุปกรณ์ตัวนี้ว่า \"ปรากฏการณ์เอดิสัน\" (Edison effect)",
"กล้องดิจิตอล มีวิวัฒนาการจากเทคโนโลยีอะนาล็อกที่ใช้กับเครื่องอัดวิดีโอเทป หรือวีทีอาร์ ที่ใช้บันทึกภาพจากโทรทัศน์ แปลงข้อมูลเป็นกระแสไฟฟ้าดิจิตอล ไปบันทึกบนเทปแม่เหล็กห้องทดลอง บิงครอสบีที่มี นายจอห์น มูลลิน วิศวกร เป็นหัว หน้าทีมในปี 2494 (ค.ศ.1956) สร้าง สรรค์เทคโนโลยี วีทีอาร์ยุคแรกนี้ และพัฒนาต่อเป็นนวัตกรรมใหม่ ชื่อ วีอาร์ 1000 ใช้ในวงการโทรทัศน์อย่างแพร่หลาย โดยทีมงานของชาร์ลส์ พี. กินสเบิร์ก และบริษัท แอมเพ็กซ์ คอร์เปอเรชั่นทั้งกล้องที่ใช้ถ่ายทำรายการโทรทัศน์ กล้องวิดีโอ รวมทั้งกล้องดิจิตอล ใช้เทคโนโลยีซีซีดี (Charged Coupled Device) หรืออุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่ใช้แปลงสัญญาณแสงและสีเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อใช้บันทึกลงในวัสดุเก็บข้อมูลในยุคทศวรรษ 60 หรือราวปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซ่า ใช้ระบบดิจิตอลบันทึกภาพยานอวกาศบนพื้นผิวดวงจันทร์โดยส่งภาพดิจิตอลที่ได้กลับมายังพื้นผิวโลกและนาซ่าใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการตกแต่งภาพกระสวยอวกาศที่ส่งมาให้สวยเนียนขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็พัฒนาระบบดิจิตอลอย่างไม่หยุดยั้ง ในปี 2515 บริษัทเท็กซัส จดสิทธิบัตรกล้องอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องใช้ฟิล์มขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นในปี 2524 บริษัทโซนี่วางจำหน่ายกล้องดิจิตอลยี่ห้อ Mavica สำหรับเอกชนเป็นครั้งแรกของโลก\nข้อมูลที่ได้จากการถ่ายภาพ บันทึกลงในดิสก์ขนาดจิ๋วและนำไปต่อเชื่อมกับเครื่องอ่านวิดีโอเพื่อดูภาพในโทรทัศน์ หรือต่อเชื่อมกับเครื่องพิมพ์เพื่อพิมพ์ภาพสีสันสวยงามออกมา แต่กล้องมาวิคาไม่เป็นกล้องดิจิตอลพันธุ์แท้เพราะมีระบบถ่ายภาพแบบภาพนิ่งต่อมาบริษัทโกดัก เทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่แห่งวงการถ่ายรูป คิดค้นระบบแผงเซ็นเซอร์ตรวจจับภาพที่รับสัญญาณแสงและสีจากกล้องแล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณดิจิตอลเพื่อเก็บข้อมูล กล้องชนิดใหม่นี้เป็นที่นิยมสำหรับมืออาชีพและครัวเรือนจากนั้นในปี 2529 นักวิทยาศาสตร์จากโกดักคิดค้นระบบเซ็นเซอร์ ซึ่งมีความละเอียดภาพมากที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกและบันทึกความละเอียดภาพได้กว่า 1.4 ล้านพิกเซลและนำมาพิมพ์เป็นภาพดิจิตอลความละเอียดสูงขนาด 5x7 นิ้ว ",
"ยาซัลโฟนาไมด์ชนิดแรกของกลุ่มยานี้อย่าง พรอนโตซิล ถือเป็นยาปฏิชีวนะสังเคราะห์ชนิดแรกที่อยู่ในรูปแบบที่พร้อมออกฤทธิ์ได้ โดยยาดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1932–1933 โดยทีมนักวิจัยที่นำทีมโดย แกร์ฮาร์ด โดมักค์ ณ ห้องปฏิบัติการของบริษัทไบเออร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทไอ.จี.ฟาร์เบินในประเทศเยอรมนี[52][55][48] การค้นพบนี้ทำให้โดมักค์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ในปี ค.ศ. 1939[56] ส่วนซัลฟานิลาไมด์ซึ่งเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์ของพรอนโตซิลนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้จดสิทธิบัตร เนื่องจากสารดังกล่าวนั้นถูกใช้ในอุตสาหกรรมสีย้อมก่อนหน้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว[55] พรอนโตซิลเป็นยาปฏิชีวนะที่มีขอบเขตการออกฤทธิ์ค่อนข้างกว้าง โดยมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียแกรมบวกทรงกลม (cocci) ได้ดี แต่ไม่มีฤทธิ์ต่อวงศ์เอนเทอร์โรแบคทีเรียซีอี การค้นพบพรอนโตซิลนี้เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการแพทย์ที่ส่งผลเกิดการตื่นตัวในการคิดค้นพัฒนายาปฏิชีวนะอื่นตามมาเป็นอย่างมาก[57][58]",
"ข้อตัดสินของศาลเพิ่มความคุ้มครองให้กับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพในแคนาดา และได้กำหนดประเด็นที่ไม่ได้ทำให้ชัดในข้อตัดสินคดีหนูฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นคดีที่ศาลตัดสินว่า \"สิ่งมีชีวิตในระดับสูง (higher lifeform)\" เช่นสัตว์ หรือโดยปริยายคือพืช ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้\nซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้แคนาดาไม่เหมือนกับประเทศจี8 อื่น ๆ ที่ให้จดสิทธิบัตรได้\nในคดีบริษัทมอนซานโต้กับชไมเซอร์ ศาลกำหนดว่า การคุ้มครองยีนและเซลล์ที่จดสิทธิบัตร ขยายไปถึงยีนที่พบในพืชทั้งหมด แม้ว่าพืชโดยตนเองซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงจะไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้\nความเห็นข้างมากที่มีมูลฐานจากบรรทัดฐานคือเครื่องกล เป็นหลักการตัดสินของศาล ดั้งนั้น เรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของรัฐสภาแคนาดาที่จะแยกแยะระหว่างเครื่องกลและสิ่งมีชีวิตตามพิจารณาญาณของตน",
"ศาลพิจารณาประเด็นว่า การเพาะปลูกพืชแปรพันธุกรรมทั้ง ๆ ที่รู้ หรือควรจะรู้ เป็นการ \"ใช้\" เซลล์พืชอันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมอนซานโต้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่ได้ฉีดพืชด้วยยา Roundup และดังนั้น การมียีนเช่นนี้จึงไม่ได้มีประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นสำหรับเกษตรกร\nศาลตัดสินเห็นพ้องด้วยกับมอนซานโต้ โดยถือว่า การใช้ยีนและเซลล์ที่จดสิทธิบัตรของชไมเซอร์ เป็นเหมือนกับการใช้เครื่องยนต์ที่มีชิ้นส่วนที่จดสิทธิบัตร คือ \"ไม่สามารถแก้ตัวได้ว่า สิ่งที่ใช้ไม่ได้จดสิทธิบัตร เป็นเพียงแต่ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น\"\nศาลยังถือด้วยว่า โดยปลูกผักกาดแปรพันธุกรรมที่ทนต่อยา Roundup ชไมเซอร์ใช้หรือได้ ประโยชน์จากการรับประกันสืบเนื่องจากสิ่งประดิษฐ์\nนั่นก็คือ เขามีโอกาสเลือกใช้ยา Roundup กับพืชถ้ามีเหตุ\nซึ่งศาลพิจารณาว่า เหมือนกับการติดตั้งเครื่องสูบที่จดสิทธิบัตรบนเรือ คือ แม้ว่าจะไม่ได้ติดเครื่องสูบ แต่ก็มีโอกาสใช้ถ้ามีเหตุ",
"การพิมพ์พื้นนูน (Relief printing) เป็นการพิมพ์ที่ใช้หลักการให้ส่วนที่เป็นภาพบนแม่พิมพ์จะมีผิวนูนกว่าส่วนอื่น เพื่อรับหมึกแล้วถ่ายลงบนวัสดุใช้พิมพ์ การพิมพ์ประเภทนี้มี การพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ การพิมพ์เฟล็กโซกราฟี การพิมพ์พื้นลึก (Recess printing) เป็นการพิมพ์ที่ใช้หลักการให้ส่วนที่เป็นภาพบนแม่พิมพ์จะมีผิวลึกกว่าส่วนอื่น เพื่อขังหมึกไว้แล้วถ่ายลงบนวัสดุใช้พิมพ์ การพิมพ์ประเภทนี้มี การพิมพ์กราวัวร์ การพิมพ์แพด การพิมพ์พื้นราบ (Planographic printing) เป็นการพิมพ์ที่ใช้หลักการน้ำกับน้ำมันไม่รวมตัวกัน ผิวของแม่พิมพ์ชนิดนี้จะเสมอกันหมดโดยให้ส่วนที่เป็นภาพมีสภาพเป็นไขมันสามารถรับหมึกซึ่งเป็นน้ำมันเช่นกัน ส่วนที่ไม่เป็นภาพจะสามารถรับน้ำไว้ได้ ในการพิมพ์ จะคลึงแม่พิมพ์ด้วยเยื่อน้ำ เยื่อน้ำไม่ถูกกับไขจะไปเกาะเฉพาะส่วนที่ไร้ภาพ แล้วคลึงหมึกตาม หมึกไม่ถูกกับน้ำจะไปเกาะเฉพาะส่วนที่เป็นภาพ เมื่อนำวัสดุใช้พิมพ์ทาบบนแม่พิมพ์ก็จะเกิดภาพตามต้องการ การพิมพ์ประเภทนี้มี การพิมพ์หิน การพิมพ์ออฟเซ็ท การพิมพ์พื้นฉลุ (Stencil printing) เป็นการพิมพ์ที่ใช้หลักการให้หมึกผ่านทะลุส่วนที่เป็นภาพบนแม่พิมพ์ไปติดอยู่บนวัสดุใช้พิมพ์ ทำให้เกิดภาพ การพิมพ์ประเภทนี้มี การพิมพ์โรเนียว การพิมพ์ซิลค์สกรีน การพิมพ์ดิจิตอล (Digital printing) เป็นการพิมพ์ที่ใช้เครื่องพิมพ์ต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ โดยรับข้อมูลภาพจากคอมพิวเตอร์มาพิมพ์ การพิมพ์แบบถ่ายโอนความร้อน (Thermal transfer printing) ซึ่งใช้หลักการถ่ายความร้อนจากหัวพิมพ์ไปยังฟิล์มที่เคลือบด้วยหมึกพิมพ์ทำให้หมึกพิมพ์หลุดไปเกาะติดกับวัสดุใช้พิมพ์จนเกิดเป็นภาพ การพิมพ์แบบพ่นหมึก/อิงค์เจ็ท (Inkjet printing) ซึ่งใช้หลักการพ่นหยดหมึกเล็ก ๆ จากหัวพ่นไปสร้างเป็นภาพบนวัสดุใช้พิมพ์ การพิมพ์แบบไฟฟ้าสถิตย์ (Electrostatic printing) ซึ่งใช้หลักการควบคุมลำแสงสร้างภาพเป็นประจุไฟฟ้าบนกระบอกโลหะแล้วให้ผงหมึกไปเกาะบนกระบอกโลหะตามบริเวณที่มีประจุอยู่เกิดเป็นภาพที่ถูกถ่ายทอดไปเกาะติดบนวัสดุใช้พิมพ์อีกทีหนึ่ง",
"คดีระหว่างบริษัทมอนซานโต้แคนาดากับชไมเซอร์ () [2004] 1 S.C.R. 902, 2004 SCC 34 เป็นคดีบรรทัดฐานของศาลสูงสุดของประเทศแคนาดา เรื่องสิทธิของสิทธิบัตรสำหรับเทคโนโลยีชีวภาพ ระหว่างเกษตรกรผักกาดชาวแคนาดาคือ เพอร์ซี ชไมเซอร์ กับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการเกษตรมอนซานโต้\nศาลฯ นั่งพิจารณาปัญหาว่า พืชดัดแปรพันธุกรรมที่ปลูกโดยเจตนาของชไมเซอร์นั้นเป็น \"การใช้\" (use) เซลล์พืชดัดแปรพันธุกรรมที่จดสิทธิบัตรของมอนซานโต้หรือไม่ ศาลฯ มีคำวินิจฉัยชี้ขาดด้วยฝ่ายข้างมาก 5-4 ว่าเป็น คดีนี้ได้รับความสนใจจากชนทั่วโลก ที่เข้าใจผิดกันอย่างกว้างขวางว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าไร่ของเกษตรกรเกิดปนเปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยเมล็ดพันธุ์ที่จดสิทธิบัตร ทว่าเมื่อพิจารณาคดี ข้อเรียกร้องที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์จดสิทธิบัตรในแปลงที่ถูกปนเปื้อนในปี 2540 ก็ล้วนถูกถอนไปหมดแล้ว และศาลเพียงแต่พิจารณาเรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกในแปลงปี 2541 ซึ่งชไมเซอร์จงใจเก็บรวบรวมจากพืชผลแปรพันธุกรรมที่ได้อย่างไม่ได้ตั้งใจในปี 2540 แล้วปลูกโดยเจตนาในปีต่อมา และสำหรับพืชผลในปี 2541 ชไมเซอร์เองก็ไม่ได้พยายามสู้ความโดยอ้างว่าเกิดการปนเปื้อนโดยอุบัติเหตุเลย",
"อุปกรณ์ CCD ถูกคิดค้นในปีค.ศ. 1969 ที่ AT&T Bell Labs โดย วิลลาร์ด บอยล์ และ จอร์จ อี สมิธ ห้องปฏิบัติการกำลังทำงานเกี่ยวกับหน่วยความจำฟองเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อบอยล์และสมิธกำลังคิดเกี่ยวกับการออกแบบในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า\"อุปกรณ์'ฟอง'ประจุ\" ในโน้ตบุ๊คของพวกเขา. อุปกรณ์สามารถใช้เป็น shift register สาระสำคัญของการออกแบบคือความสามารถในการถ่ายโอนประจุไปตามพื้นผิวของสารกึ่งตัวนำจากตัวเก็บประจุคลังเก็บหนึ่งไปยังอีกคลังต่อไป แนวคิดนี้คล้ายคลึงกันในหลักการของ bucket-brigade device (BBD) ที่ถูกพัฒนา ที่ห้องปฏิบัติการวิจัยฟิลิปส์ในระหว่างปลายปี 1960s สิทธิบัตรครั้งแรก (4,085,456) ในการประยุกต์ใช้ CCD ในการถ่ายภาพถูกมอบให้กับ ไมเคิล Tompsett.",
"เครื่องจักรสองทาง (double acting engine) ที่ไอน้ำเข้ากระบอกสูบสองข้างในเครื่องเดียว ลิ้นควบคุมพลังงานไอน้ำ อุปกรณ์ควบคุมฝีจักรเหวี่ยงจากศูนย์กลาง (centrifugal governor) ที่ป้องกันไม่ให้มันหลุดออกจากกัน ซึ่งสำคัญมาก เครื่องจักรไอน้ำหลายสูบ (compound engine) สามารถเชื่อมต่อเครื่องจักรถึง 2 ตัวหรือมากกว่า เขาอ้างถึงวิธีใช้งานเครื่องจักรอย่างกว้างขวาง สิทธิบัตรมากกว่า 2 ใบ ได้รับอนุญาตเมื่อ (พ.ศ. 2324) (1781) และ (พ.ศ. 2325) (1782) ซึ่งรวมทั้ง เครื่องจักรโรตารีแบบวัตต์ การจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างจากข้อเหวี่ยงนี้สำคัญมาก เพราะเครื่องจักรที่ใช้แรงดันไอน้ำไปหมุนวงล้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้นแบบให้เกิดเครื่องจักรไอน้ำสำหรับงานในวงการอื่นตามมามากมาย หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์สำคัญที่วัตต์ภูมิใจที่สุดคือ ข้อต่อประสานสามคาน หรือ การเคลื่อนที่แบบคู่ขนาน (three-bar linkage หรือ Parallel motion) ทำให้การเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงสำหรับ ก้านกระบอกสูบ (cylinder rod) ที่เชื่อมกับ คานส่งกำลัง (connected rocking beam) และสุดที่ โค้งครึ่งวงกลม ผลงานนี้ได้จดสิทธิบัตรเมื่อ พ.ศ. 2327 (1784) เมื่อผลิตประกอบกับเครื่องจักร สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 5 เท่า เทียบกับเครื่องจักรของนิวโคเมนที่ใช้เชื้อเพลิงแบบเดียวกัน เครื่องจักรตีเหล็ก เมื่อ พ.ศ. 2327 (1784) [3] เครื่องจักรปั่นฝ้าย เมื่อ พ.ศ. 2328 (1785) [3] มาตรวัดแรงดันไอน้ำ (steam indicator diagram) ซึ่งชี้บอก ความดันในรูปกระบอกสูบ พร้อมกับ ปริมาตรของกระบอกสูบ ที่สเกลสวนทางกัน ซึ่งเขาเก็บเป็นความลับทางการค้า",
"ขั้นตอนวิธีนี้ได้จดสิทธิบัตรโดย MIT เมื่อพ.ศ. 2526 ในสหรัฐอเมริกา เป็น สิทธิบัตรหมายเลข 4,405,829 ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อ 21 กันยายน พ.ศ. 2543 เนื่องจากขั้นตอนวิธีได้พิมพ์แล้วก่อนที่จะจดสิทธิบัตร กฎหมายในส่วนอื่น ๆ ของโลกทำให้ไม่สามารถจดสิทธิบัตรที่อื่นได้ และในกรณีที่ผลงานของค็อกส์ได้เป็นที่รู้จักกันในสาธารณะ การจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯก็ไม่สามารถจะกระทำได้เช่นกัน Public Key : (e,n) ",
"คอตตอนจินกลสมัยใหม่เครื่องแรกประดิษฐ์ขึ้นโดยนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน เอลี วิทนีย์ ใน ค.ศ. 1793 และจดสิทธิบัตรใน ค.ศ. 1794 คอตตอนจินใช้ลวดแผ่นกับตะขอลวดประกอบกันเพื่อดึงฝ้ายผ่าน ขณะที่แปรงค่อย ๆ นำปุยฝ้ายที่หลวมออกเพื่อป้องกันการติดขัด คอตตอนจินอัตโนมัติที่ใหญ่และซับซ้อนกว่ายังคงเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมฝ้ายปัจจุบัน",
"แม้ว่า ข้อเหวี่ยง (crank) ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่มีเหตุผลเพื่อแปลงหนี้ของห้างหุ้นส่วนวัตต์แอนด์โบลตันที่ถูกเบียดบังเพราะการจดสิทธิบัตรสิ่งนี้ โดยผู้ถือหุ้น จอห์น สตีด และเพื่อน ก็เสนอแนะให้จดสิทธิบัตรแบบพ่วง (cross-licensing) กับเครื่องสันดาปภายนอก (external condensor) แต่วัตต์คัดค้านเสียงแข็ง (เพราะเป็นการเอาเปรียบผู้ใช้เครื่องจักรไอน้ำ) แล้วพวกเขาก็จดสิทธิบัตรจำกัดเพียง เฟืองสุริยะ (sun and planet gear) [2] เท่านั้น เมื่อ พ.ศ. 2324 (1781)",
"บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพมอนซานโต้ พัฒนาและจดสิทธิบัตรยีนทนยาฆ่าวัชพืชไกลโฟเสตสำหรับพืชวงศ์ผักกาด canola แล้วผลิตเมล็ดผักกาดที่มียีนจดสิทธิบัตรที่มีคุณสมบัติทนต่อไกลโฟเสต\nโดยบริษัทวางตลาดเมล็ดพันธุ์โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Roundup Ready Canola\nเกษตรกรที่ใช้ระบบการปลูกพืชเช่นนี้ สามารถควบคุมวัชพืชโดยใช้ยาฆ่าวัชพืช Roundup โดยไม่ทำพืชที่ทนยาให้เสียหาย\nผู้ที่ใช้ต้องเซ็นสัญญากับมอนซานโต้ ผู้กำหนดว่าต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุก ๆ ปี ราคาเมล็ดพันธุ์พืชจะรวมค่าธรรมเนียมอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตร\nบริษัทเริ่มวางตลาดในแคนาดาในปี 2539 และโดยปีต่อมา ก็กลายเป็น canola ที่ปลูกในแคนาดาถึง 25%",
"กล้องจุลทรรศน์แบบ confocal เป็นเทคนิคการถ่ายภาพแสงที่ใช้ในการเพิ่มความคมชัดของ micrograph และเพื่อสร้างภาพสามมิติโดยใช้รูเข็มอวกาศที่จะกำจัดแสงนอกจุดโฟกัสหรือแสงจ้าในชิ้นงานตัวอย่างที่มีความหนากว่าระนาบโฟกัส. เทคนิคนี้ได้รับความนิยมในชุมชนวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม. งานทั่วไปรวมถึงวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและการตรวจสอบสารกึ่งตัวนำ. หลักการของการถ่ายภาพ confocal ถูกคิดค้นและจดสิทธิบัตรโดย มาร์วิน มินสกี ในปี ค.ศ. 1957.[110]",
"หลักการถ่ายภาพเสร็จ ไทร่า และคณะกรรมการตัดสิน จึงได้ปรึกษาหารือว่า ใครจะได้เป็น 14คนสุดท้ายที่จะได้เป็นผู้เข้าแข่งขันตัวจริงในฤดูกาลนี้ ซึ่งการประกาศผล จะแตกต่างจากปีก่อนๆที่จะถูกเรียกมาทีละคน แต่ในครั้งนี้ จะถูกเรียกออกมาเป็นคู่ ก่อนที่บอกว่า ใครผ่านเข้ารอบ คนที่ไม่ผ่าน จะได้กลับไปเข้าไปรอถูกเรียกออกมาอีกครั้ง หลังจากเรียกมาถึง 12คนแล้ว อดัม และเดนเซล จึงถูกประกาศว่าทั้งคู่ ได้ผ่านเข้ารอบสู่ฤดูกาลนี้ ผู้เข้าแข่งขัน 8คนที่เหลือจึงต้องถูกส่งกลับบ้าน",
"หลักการของการถ่ายภาพแบบคอลโฟคอลนั้นได้การจดสิทธิบัตรโดย Marvin Minsky ในปี ค.ศ. 1957[2] แต่การพัฒนาการของการใช้แสงเลเซอร์นั้นใช้เวลาอีก 30 ปี จึงสามารถนำมาใช้กับกล้องจุลทรรศน์แบบคอลโฟคอล จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1980 กล้องจุลทรรศน์แบบคอนโฟคอลชนิดที่ใช้เลเซอร์ในการสแกนได้กลายเป็นเทคนิคอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยม โดยในปี ค.ศ. 1978 นั้น Thomas Cremer และ Christoph Cremer ได้ออกแบบกระบวนการใช้แสงเลเซอร์ในการสแกนแบบทีละจุดโดยใช้จุดโฟกัสของลำแสงเลเซอร์เพื่อให้ได้ภาพ 3 มิติ[3] โดยกล้องคอนโฟคอลที่ใช้แสงเลเซอร์ในการสแกนและใช้ตัวรับแสงเพื่อสร้างภาพ 3 มิติ ตัวแรกที่ถูกออกแบบนั้นได้ถูกใช้สำหรับถ่ายภาพวัตถุทางชีววิทยาซึ่งถูกเคลือบสารฟลูออเรสเซ็นต์ ในทศวรรตต่อมากล้องจุลทรรศน์แบบคอนโฟคอลทำงานด้วยแสงฟลูออเรสเซ็นได้ถูกพัฒนาอย่างจริงจังโดยกลุ่มนักวิจัย University of Amsterdam และ European Molecular Biology Laboratory (EMBL) และ องกรณ์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ",
"วอลเทอร์ เบนต์ลีย์ วุดเบอรี (Walter Bentley Woodbury; 26 มิถุนายน ค.ศ. 1834 – 5 กันยายน ค.ศ. 1885) เป็นนักประดิษฐ์และช่างภาพยุคบุกเบิกชาวอังกฤษ เขาเป็นหนึ่งในช่างภาพยุคแรกของออสเตรเลียและหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (ส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย) เขาจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพหลายชิ้น เขายังเป็นที่รู้จักกับผู้คิดนวัตกรรม กระบวนการถ่ายภาพวุดเบอรี (woodburytype photomechanical process)",
"การจัดทรานซิสเตอร์แบบนี้ เป็นผลงานการคิดค้นของซิดนีย์ ดาร์ลิงตัน (Sidney Darlington) แนวคิดในการเชื่อมต่อทรานซิสเตอร์ 2 หรือ 3 ตัวมาเป็นชิปตัวเดียวกันนั้น เขาได้จดสิทธิบัตรเอาไว้แล้ว แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงแนวคิดการจับรวมทรานซิสเตอร์จำนวนใดๆ มาไว้บนชิปเดียวกัน ซึ่งในกรณีนั้น ถือว่าครอบคลุมหลักการไอซีสมัยใหม่ทั้งหมด",
"ผู้ผลิตซอฟต์แวร์หลายรายกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิทธิบัตรของแฟ้มแบบ GIF ซึ่งจดโดย Unisys ทำให้มีการสร้างรูปแบบแฟ้มภาพชนิดใหม่ที่ชื่อว่า PNG (Portable Network Graphics) ขึ้นมาทดแทน อย่างไรก็ตามสิทธิบัตรของ GIF หมดอายุแล้วเมื่อ ค.ศ. 2003 และ GIF ยังเป็นที่นิยมใช้งานต่อไปจนถึงปัจจุบัน",
"เบลล์ได้จดสิทธิบัตรโทรศัพท์เป็นสิทธิของตนในสหรัฐอเมริกา วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 และเป็นเหตุอันน่าบังเอิญเหลือเกินที่ได้มีการจดสิทธิบัตร โดย เอลิช่า เกรย์ (Elisha Gray) ในวันเดียวกัน โดยเป็นการจดสิทธิบัตรภายหลังจากเบลล์เป็นเวลา 2 ชั่วโมง",
"เครื่องจักรปรุรูของ เฮนรี อาร์เชอร์ นั้นทำงานเป็นจังหวะ แต่ละจังหวะจะกดเข็มรูปวงกลมกลวง ที่เรียงต่อกันเป็นแนว ลงบนกระดาษเพื่อเจาะเป็นรูรูปวงกลม การเจาะแต่ละครั้งจะได้ฟันแสตมป์หนึ่งแนว วิลเลียม เบมโรส (William Bemrose) ได้จดสิทธิบัตรวิธีการปรุอีกแบบโดยทำงานแบบลูกกลิ้ง โดยเรียงเข็มให้อยู่รอบลูกกลิ้ง แล้วหมุนลูกกลิ้งให้เข็มกดลงบนแสตมป์เกิดเป็นรูตามแนวที่ลูกกลิ้งหมุนไป การปรุรูในปัจจุบันยังคงอาศัยหลักการสองแบบนี้",
"เครื่องถ่ายเอกสาร () เป็นขบวนการที่ใช้ในเครื่องถ่ายเอกสาร คิดค้นโดยนักฟิสิกส์ชื่อ เชสเตอร์ คาร์ลสัน ในปี พ.ศ. 2481 และได้จดสิทธิบัตรกระบวนการทำสำเนาอย่างง่าย ซึ่งได้เปลี่ยนโฉมงานในสำนักงานไปมาก คาร์ลสันเริ่มต้นจากการคิดค้นทำแบบพิมพ์สีเขียวและเอกสารอื่นๆ ในปี พ.ศ. 2481 เขาได้ค้นพบวิธีทำสำเนาอย่างหยาบโดยใช้ประจุไฟฟ้า (คล้ายกับไฟฟ้าสถิต) กระบวนการดังกล่าวเรียกว่า Xerography ซึ่งมาจากภาษากรีกสองคำ คือ Xerox และ graphics ซึ่งแปลว่า แห้ง และ พิมพ์ ตามลำดับ ดังนั้น Xerography จึงหมายถึงการพิมพ์แห้ง"
] |
สงครามครูเสดเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่? | [
"นักรบครูเสดประกอบด้วยหน่วยทหารแห่งโรมันคาทอลิกจากทั่วยุโรปตะวันตก และไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชารวม สงครามครูเสดชุดหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พุ่งเป้าต่อมุสลิมในเลแวนต์ (Levant) เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1095 ถึง 1291 นักประวัติศาสตร์ให้ตัวเลขสงครามครูเสดก่อนหน้านั้นอีกมาก หลังมีความสำเร็จในช่วงแรกอยู่บ้าง สงครามครูเสดช่วงหลังกลับล้มเหลว และนักรบครูเสดถูกบังคับให้กลับบ้าน ทหารหลายแสนคนกลายเป็นนักรบครูเสดโดยการกล่าวปฏิญาณ[3] สมเด็จพระสันตะปาปาให้การไถ่บาปบริบูรณ์ (plenary indulgence) แก่ทหารเหล่านั้น สัญลักษณ์ของนักรบเหล่านี้ คือ กางเขน คำว่า \"ครูเสด\" มาจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึง การยกกางเขนขึ้น ทหารจำนวนมากมาจากฝรั่งเศสและเรียกตนเองว่า \"แฟรงก์\" ซึ่งกลายเป็นคำสามัญที่มุสลิมใช้[4]"
] | [
"สงครามครูเสดครั้งที่ 4 สงครามครูเสดครั้งที่ 5 สงครามครูเสดครั้งที่ 6 สงครามครูเสดครั้งที่ 7 สงครามครูเสดครั้งที่ 8 สงครามครูเสดครั้งที่ 9",
"สงครามครูเสดชาวบ้าน () เป็นสงครามครูเสดที่เริ่มระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1096 ที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามครูเสดครั้งที่ 1 สงครามนี้บางทีก็เรียกว่า “สงครามครูเสดคนยาก” หรือ “สงครามครูเสดชาวนา” ",
"อาณาจักรครูเสดสี่อาณาจักรแรกก่อตั้งขึ้นในลิแวนต์ทันทีหลังจากสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ที่รวมทั้ง:ราชอาณาจักรซิลิเซีย (Armenian Kingdom of Cilicia) ตั้งมาก่อนที่สงครามครูเสดจะเริ่มแต่ได้รับการเลื่อนฐานะเป็นราชอาณาจักรโดยสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 และต่อมากลายเป็นอาณาจักรกึ่งตะวันตกของราชวงศ์ลูว์ซีญ็อง (Lusignan) ของฝรั่งเศส",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 4 () (ค.ศ. 1202-ค.ศ. 1204) เป็นสงครามครูเสด ครั้งที่สี่ที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1202 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1204 จุดประสงค์แรกของสงครามก็เพื่อยึดเยรูซาเลมคืนจากมุสลิม แต่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1204 นักรบครูเสดจากยุโรปตะวันตกก็เข้ารุกรานและยึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลที่เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ของอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์แทนที่ ซึ่งถือกันว่าเป็นวิกฤติการณ์สุดท้ายที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างคริสต์ศาสนจักรตะวันออกและตะวันตก (East-West Schism) ระหว่างอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ และ โรมันคาทอลิก",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 8 () (ค.ศ. 1270) สงครามครูเสดครั้งนี้เริ่มขึ้นโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1270 บางครั้ง “สงครามครูเสดครั้งที่ 8” ก็นับเป็นครั้งที่เจ็ด ถ้ารวมสงครามครูเสดครั้งที่ 5 และ ครั้งที่ 6 ของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เข้าเป็นครั้งเดียวกัน และสงครามครูเสดครั้งที่ 9 ก็นับเป็นครั้งเดียวกับครั้งที่ 8",
"อาณาจักรเอเดสสาเป็นอาณาจักรครูเสดอาณาจักรแรกที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1095-ค.ศ. 1099) และเป็นอาณาจักรแรกที่ล่ม สงครามครูเสดครั้งที่ 2 ได้รับการประกาศโดยสมเด็จพระสันตะปาปายูจีนที่ 3 และเป็นสงครามครูเสดครั้งแรกที่นำโดยพระมหากษัตริย์ยุโรปที่รวมทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าคอนราดที่ 3 แห่งเยอรมนี พร้อมด้วยการสนับสนุนของขุนนางสำคัญต่างๆ ในยุโรป กองทัพของทั้งสองพระองค์แยกกันเดินทางข้ามยุโรปไปยังตะวันออกกลาง หลังจากข้ามเข้าสู่ดินแดนของจักรวรรดิไบแซนไทน์ในอานาโตเลียแล้ว กองทัพทั้งสองต่างก็ได้รับความพ่ายแพ้ต่อเซลจุคเติร์ก แหล่งข้อมูลของคริสเตียนตะวันตก--โอโดแห่งดุยล์ (Odo of Deuil) และคริสเตียนซีเรียคอ้างว่าจักรพรรดิมานูเอลที่ 1 โคมเนนอสแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ทรงมีส่วนในความพ่ายแพ้ครั้งนี้โดยทรงสร้างอุปสรรคแก่การเดินหน้าของกองทัพทั้งสองโดยเฉพาะในอานาโตเลีย และทรงเป็นเป็นผู้สั่งการโจมตีของเซลจุคเติร์ก กองทัพที่ร่อยหรอที่เหลือของพระเจ้าหลุยส์และพระเจ้าคอนราดก็เดินทางต่อไปยังกรุงเยรูซาเลม และในปี ค.ศ. 1148 ก็เข้าโจมตีดามาสคัสตามคำแนะนำอันไม่สมควร สงครามครูเสดครั้งที่ 2 จบลงด้วยความล้มเหลวและชัยชนะของฝ่ายมุสลิม และเป็นสงครามที่นำไปสู่การเสียกรุงเยรูซาเลม และ สงครามครูเสดครั้งที่ 3 ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12",
"เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสไม่ทรงสามารถยึดตูนิสได้ในสงครามครูเสดครั้งที่ 8 เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งอังกฤษก็เสด็จไปเอเคอร์ เพื่อเข้าร่วมในสงครามครูเสดครั้งที่ 9 แต่เป็นสงครามที่ทางฝ่ายคริสเตียนพ่ายแพ้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพลังใจในการที่จะดำเนินการสงครามเหือดหายไป และเพราะอำนาจของมามลุค ในอียิปต์ขยายตัวมากขึ้น นอกจากนั้นผลของสงครามก็นำมาซึ่งการล่มสลายของที่มั่นต่างๆ ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนไปด้วยในขณะเดียวกัน",
"สงครามครูเสดมีจุดเริ่มต้นมาจากการเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากชาติในยุโรปของจักรพรรดิอเล็กซิอุสที่ 1 แห่งจักรวรรดิไบเซนไทน์ เพื่อร่วมกันต่อต้านการคุกคามของมุสลิมเติร์ก ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเข้าสู่ดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ และได้ยึดครองนครเยรูซาเลม ดินแดนอันศักดิ์สิทธิของชาวคริสต์ ข้อเรียกร้องดังกล่าวได้รับการยอมรับกันเป็นอย่างดีจากพระสันตปาปาเออร์บับที่ 2 (Urban II) พระองค์ได้ทรงเรียกร้องให้ผู้นำยุโรปในขณะนั้นร่วมมือกันขับไล่มุสลิมเติร์กออกจากนครเยรูซาเลม จักรพรรดิอเล็กซิอุสที่ 1 หาทราบไม่ว่า การเรียกร้องของพระองค์จะเป็น \"“การชักศึกเข้าบ้าน”\" และนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรของพระองค์เองในที่สุด\nในคริสต์ศตวรรษที่ 7 กาหลิบอูมาร์ (Umar) แห่งอียิปต์ได้ยึดครองนครเยรูซาเล็มจากชาวคริสเตียน ชาวคริสต์ในนครเยรูซาเลมถูกกลั่นแกล้งรังควาน ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1071 เซลจุกเติร์กได้เข้ายึดครองนครเยรูซาเลม และได้เริ่มรุกรานเข้ามายังอานาโตเลีย ดินแดนภายใต้การปกครองของไบเซนไทน์ ณ สมรภูมิเมือง Malazgirt สุลต่าน Alparslan ผู้นำชาวเติร์กเผ่าเซลจุกลามารถเอาชนะกองทัพของจัดรพรรดิโรมันนุสที่ 4 ของไบเซนไทน์ ชัยชนะครั้งนี้ได้เปิดทางให้ชาวเติร์กจากเอเชียกลางหลั่งไหลเข้าสู่อานาโตเลีย การรุกรานของชาวเติร์กทำให้จักรพรรดิอเล็กซิอุสที่ 1 แห่งอาณาจักรไบเซนไทน์ต้องร้องขอความช่วยเหลือไปยังพระสันตปาปาเออร์บันที่ 2 ซึ่งได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี สงครามครูเสดครั้งที่ 1 จึงเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1096 โดยมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อขับไล่เติร์กออกจากนครเยรูซาเลม สงครามครูเสดได้ยืดเยื้อต่อมาอีก 8 ครั้ง ก่อนที่จะยุติลงในปี ค.ศ. 1272 \nในระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 4 กองทหารครูเสดแทนที่จะพยายามบุกยึดนครเยรูซาเลมคืนจากมุสลิมเติร์ก กลับบุกเข้าปล้นนครคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1204 และได้แบ่งแยกดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ออกเป็นหลายส่วนเพื่อปกครองกันเอง เชื้อพระวงค์ในไบเซนไทน์ซึ่งเสด็จลี้ภัยไปอยู่ที่เมือง Nicaea ทางตะวันตกของอานาโตเลีย ต้องใช้เวลานานเกือบ 60 ปี จึงสามารถยึดนครคอนสแตนติโนเปิลกลับคืนมาได้ แต่อาณาจักรไบเซนไทน์ก็ตกอยู่ในสภาวะที่เสื่อมทรมอย่างหนัก ชนเชื้อสายเติร์กได้เข้าครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของอานาโตเลีย และสามารถยึดครองนครคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1453",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 3 หรือ สงครามครูเสดกษัตริย์() (ค.ศ. 1189-ค.ศ. 1192) เป็นสงครามครูเสดที่ฝ่ายผู้นำยุโรปพยายามกู้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากศอลาฮุดดีน (Salāh al-Dīn Yūsuf ibn Ayyūb). ",
"สงครามครูเสดนอร์เวย์ () (ค.ศ. 1107 - ค.ศ. 1110) เป็นสงครามครูเสดที่เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1107 และสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1110 หลังสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ที่นำโดยพระเจ้าซิเกิร์ดที่ 1 แห่งนอร์เวย์. พระเจ้าซิเกิร์ดที่ 1 เป็นพระมหากษัตริย์ยุโรปองค์แรกที่เข้าร่วมสงครามครูเสดที่เสด็จไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์และมิได้พ่ายแพ้ในยุทธการใดๆ ทั้งสิ้น ลักษณะการต่อสู้ของสงครามครั้งนี้คล้ายกับการปล้นสดมทำลายทรัพย์สินของไวกิงก่อนหน้านั้น แต่การกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำเพื่อคริสต์ศาสนาฉะนั้นจึงถือกันว่าเป็นสี่งที่ “ควรค่า”",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 9 () เป็นหนึ่งในสงครามครูเสดและเป็นสงครามครูเสดครั้งสุดท้าย ที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1271 – ค.ศ. 1272 เป็นสงครามที่ต่อสู้กันในตะวันออกใกล้ระหว่างฝ่ายผู้นับถือคริสต์ศาสนาและฝ่ายผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในสงครามครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ ที่เป็นผลทำให้สงครามครูเสดยุติลงในที่สุดและอาณาจักรครูเสดต่างๆ ในบริเวณลว้านก็สลายตัวไป",
"เนื่องจากสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเยรูซาเลม นครซึ่งไม่เคยอยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของคริสต์ศาสนิกชนมาถึง 461 ปี และกองทัพนักรบครูเสดปฏิเสธจะคืนดินแดนให้อยู่ในการควบคุมของจักรวรรดิไบแซนไทน์ สถานภาพของสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ว่าเป็นการป้องกันหรือการรุกรานโดยสภาพจึงยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 6 () (ค.ศ. 1228-ค.ศ. 1229) สงครามครูเสด ครั้งนี้เริ่มขึ้นเพียงเจ็ดปีหลังจากความล้มเหลวของสงครามครูเสดครั้งที่ 5 ",
"สงครามครูเสดมีสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างทางความเชื่อในศาสนาแต่ละศาสนา จนทำให้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งผู้เริ่มต้นคือชาวมุสลิมต้องการครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุงเยรูซาเลม นอกจากนั้นเหตุผลทางการเมืองก็เป็นอีกสาเหตุของสงครามด้วย เพราะในสมัยนั้นเศรษฐกิจในยุโรบตกต่ำ ผู้นำศาสนาในโรมันคาทอลิกเรืองอำนาจมาก และมีอำนาจเหนือกษัตริย์ และครอบครองทรัพย์สินมหาศาล ขนาดมีความเชื่อในตอนนั้นว่า ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่ทุกคนอยากให้บุตรชายของตนเป็นนักบวชเพื่อจะเป็นผู้นำศาสนา",
"สงครามครูเสดเด็ก () (ค.ศ. 1212) เป็นสงครามครูเสดที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1212",
"สงครามครูเสดตอนเหนือ () เป็นสงครามที่เกิดขึ้นโดย กษัตริย์เดนมาร์ก สวีเดน รวมถึงภาคีลิวอเนียน และคณะอัศวินทิวทัน ซึ่งร่วมกับเหล่าพันธมิตรต่อต้านชาวลัทธิเพกัน รอบ ๆ ดินแดนยุโรปภาคเหนือ ชายฝั่งตะวันออก และทางตอนใต้ของทะเลบอลติก สงครามครูเสดตอนเหนือนี้อาจรวมไปถึงการรบของสวิดิช และเยอรมันคาทอลิก ที่ต่อสู้กับชาวรัสเซีย ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ หลายสงครามนี้ถูกเรียกว่าเป็นครูเสดในยุคกลาง ",
"ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 คริสตศาสนิกชนเข้าร่วมการทัพเพื่อยึดคาบสมุทรไอบีเรียคืน ที่รู้จักกันในชื่อ เรกองกิสตา การทัพถึงจุดผลิกผันในปี ค.ศ. 1085 เมื่อกษัตริย์อัลฟอนโซแห่งเลอองและคาสเตล (Alfonso VI of León and Castile) เข้ายึดโตเลโด[11] ในเวลาเดียวกัน เอมิเรตแห่งซิซิลีถูกพิชิตโดยนอร์มัน โรเจอร์แห่งฮัวเตวิลล์ (Roger de Hauteville) ผู้เสี่ยงโชคใน ค.ศ. 1091[12] ยุโรปในช่วงเวลานี้ตกอยู่ในการดิ้นรนต่อสู้กับอำนาจต่างๆ หลายด้าน ใน ค.ศ. 1054 จากความพยายามนับศตวรรษของคริสตจักรลาตินที่จะถือสิทธิ์สูงสุดเหนืออัครบิดรแห่งจักรวรรดิตะวันออกนำไปสู่การแบ่งแยกคริสตจักรอย่างถาวรที่เรียกว่าศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก[13] จากการปฏิรูปเกรกอเรียน (Gregorian Reform) สันตะปาปานักปฏิรูปพยายามที่จะเพิ่มอำนาจและอิทธิพลเหนือฆราวาส เริ่มต้นราว ค.ศ. 1075 และต่อเนื่องไประหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ข้อขัดแย้งเรื่องการสถาปนาสมณศักดิ์คือการต่อสู้ทางอำนาจระหว่างคริสตจักรกับรัฐในยุโรปยุคกลางว่าคริสตจักรคาทอลิกหรือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะแต่งตั้งและสถาปนาสมณศักดิ์นักบวช[14][15] พระสันตะปาปาซ้อนคลีเมนต์ที่ 3 (Antipope Clement III) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาอีกองค์หนึ่งในช่วงเวลานี้และสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนต้นของการดำรงตำแหน่งสังฆราชของพระองค์ในการลี้ภัยออกจากโรม ผลที่ตามมาก็คือการนับถือศาสนาและความสนใจในเรื่องศาสนาเพิ่มมากขึ้นในหมู่ประชากรทั่วไปในยุโรปคาทอลิก และการโฆษณาชวนเชื่อทางศาสนาโดยองค์สันตะปาปาสนับสนุนสงครามอันชอบธรรมเพื่อเรียกคืนปาเลสไตน์จากชาวมุสลิม การร่วมในสงครามครูเสดถูกมองว่าเป็นรูปแบบของการสำนึกบาปที่สามารถชดเชยบาปได้[16]",
"เพราะกลับมาโดยที่ยังทำตามคำปฏิญาณไม่สำเร็จ สตีเฟนจึงถูกอาเดลากดดันให้เข้าร่วมสงครามครูเสดปี ค.ศ. 1101 หรือครูเสดของคนขี้ขลาดตาขาว เพราะผู้ร่วมรบหลายคนเข้าร่วมสงครามครูเสดครั้งนี้หลังหันหลังกลับมาจากสงครามครูเสดครั้งที่ 1 สตีเฟนไปถึงเยรูซาเล็มได้สำเร็จ แต่ครั้งนี้แทนที่จะกลับบ้านเพราะบรรลุเป้าหมายแล้ว เขากลับเลือกที่จะอยู่สู้ต่อ ในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1102 ระหว่างสงครามแห่งรัมลาครั้งที่ 2 สตีเฟนที่ 2 เคานต์แห่งบลัวส์ถูกจับกุมตัวหลังถูกปิดล้อมในหอคอยประจำเมืองและถูกตัดหัวตอนอายุ 57 ปี",
"ด้วยชัยชนะของกองทัพครูเสดดินแดนบางส่วนก็ได้ส่งคืนให้กับจักรพรรดิไบแซนไทน์ แต่บางส่วนแม่ทัพชาวมอร์แมนกลับไม่ยอมยกคืนให้ทั้งที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นั้นจักรพรรดิไบแซนไทน์เป็นผู้ที่เสียให้เกือบทั้งหมด ผ่านพ้นสงครามครูเสดครั้งที่ 1 พวกเติร์กก็ยังรุกรานอยู่เช่นเดิม จักรพรรดิองค์ต่อมาเห็นว่าชาวตะวันตกมีบทบาทจึงได้ดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับชาวตะวันตกเอาไว้ ต่อมาเกิดสงครามครูเสดครั้งที่ 2 กองทัพครูเสดต้องใช้ไบแซนไทน์เป็นทางผ่านทำให้ไบแซนไทน์ถูกกองทัพครูเสดบางกลุ่มเข้าปล้น",
"ซังกีได้ยกทัพเข้าตีนครเอเดสสาที่อยู่ภายใต้พวกครูเสดแตกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1114 จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดครั้งที่ 2",
"หลังจากความล้มเหลวของสงครามครูเสดครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1189-ค.ศ. 1192) แล้วทางยุโรปก็หมดความสนใจในการเข้าร่วมในการต่อต้านมุสลิมในสงครามครูเสดใหม่ เยรูซาเลมมาตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อัยยูบิด (Ayyubid dynasty) ผู้ปกครองซีเรียทั้งหมดและอียิปต์นอกจากเมืองสองสามเมืองริมฝั่งทะเลที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของนักรบครูเสดของราชอาณาจักรเยรูซาเลมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเคอร์ และในราชอาณาจักรบนเกาะไซปรัสที่ก็ก่อตั้งระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 3",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 9 บางครั้งก็รวมกับสงครามครูเสดครั้งที่ 8 ถือกันว่าเป็นสงครามครูเสดครั้งสุดท้าย และเป็นสงครามใหญ่สงครามสุดท้ายของยุคกลางในการที่ฝ่ายคริสเตียนพยายามยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 1 เป็นการสนองส่วนหนึ่งของคริสต์ศาสนิกชนต่อการพิชิตดินแดนโดยมุสลิม และมีสงครามครูเสดครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 9 ตามมา แต่สิ่งที่ได้มายืนยาวอยู่ไม่เกิน 200 ปี สงครามนี้ยังเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกสู่การเปิดการค้าระหว่างประเทศอีกหนในทางตะวันตกนับแต่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 5 () (ค.ศ. 1217-ค.ศ. 1221) เป็นสงครามครูเสดที่พยายามยึดเยรูซาเลมและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดคืนโดยเริ่มด้วยการโจมตีรัฐมหาอำนาจของอัยยูบิดในอียิปต์",
"สงครามครูเสดอเล็กซานเดรีย () (ค.ศ. 1365) เป็นสงครามครูเสดที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1365 ที่นำโดยปีเตอร์ที่ 1 แห่งไซปรัสในการอเล็กซานเดรียโดยแทบไม่มีสาเหตุทางศาสนา ซึ่งแตกต่างจากสงครามครูเสดครั้งอื่นๆ เพราะสงครามครั้งนี้เป็นสงครามที่มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจ",
"สงครามครูเสดครั้งที่ 2 () (ค.ศ. 1147-ค.ศ. 1149) เป็นสงครามครูเสด ครั้งสำคัญครั้งที่สองที่เริ่มจากยุโรปในปี ค.ศ. 1145 ในการโต้ตอบการเสียอาณาจักรเอเดสสาในปีก่อนหน้านั้น ",
"สงครามครูเสดภาคเหนือนี้ มีจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ มาจากการออกคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาเซเลสทีนที่ 3 ในปี ค.ศ. 1193 ซึ่งในความเป็นจริงแล้วครูเสดภาคเหนือนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ คือตั้งแต่ที่อาณาจักรสแกนดิเนเวีย และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ดำเนินการปราบปรามชาวลัทธิเพกันในดินแดนใกล้เคียง ",
"แต่รัฐครูเสดเหล่านี้อยู่ได้ร้อยกว่าปีก็เสียให้ชาวมุสลิมไปในที่สุด โดยเฉพาะสุลต่านศอลาฮุดดีนแห่งไคโร ยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนในค.ศ. 1291 ชาวยุโรปจึงถูกขับออกจากตะวันออกกลางไปในที่สุด สงครามครูเสดครั้งต่อ ๆ มา เปลี่ยนเป้าหมายไปอย่างสิ้นเชิง ใน ค.ศ. 1204 สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ลงเอยด้วยการยึดจักรวรรดิไบแซนไทน์ ตั้งจักรวรรดิละติน (Latin Empire) และรัฐครูเสดต่าง ๆ ในกรีซ หรือสงครามครูเสดตอนเหนือโดยอัศวินทิวทอนิก (Teutonic Knights) ปราบปรามชาวบอลติกอย่างโหดร้ายให้มาเข้ารีตศาสนาคริสต์",
"การพิชิตดินแดนคืนเริ่มขึ้นทันทีหลังจากที่ฝ่ายมุสลิมพิชิตคาบสมุทรได้เกือบทั้งหมด และเป็นสงครามที่ต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัยกว่าจะมาสิ้นสุดลง การก่อตั้งราชอาณาจักรอัสตูเรียส ภายใต้ เปเลเจียสแห่งอัสตูเรียส ในยุทธการที่หมู่บ้านโกบาดองกา ในปี ค.ศ. 722 เป็นชัยชนะครั้งสำคัญครั้งแรกในการพยายามพิชิตดินแดนคืน ชาร์เลอมาญทรงพิชิตดินแดนทางตะวันตกของเทือกเขาพิเรนีส และเซปทิเมเนีย (Septimania) และก่อตั้งเป็นฉนวนพรมแดนสเปน (Marca Hispanica) เพื่อใช้ในการป้องกันพรมแดนระหว่างฝ่ายจักรวรรดิแฟรงก์ และมุสลิม และหลังจากที่สงครามครูเสดได้เริ่มต้นขึ้นปรัชญาของการพิชิตดินแดนคืนก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของบริบท ของปรัชญาการทำสงครามเพื่อคริสต์ศาสนา แต่ตั้งแต่ก่อนสงครามครูเสดมาแล้วก็มีทหารจากดินแดนต่าง ๆ ในยุโรปที่เดินทางมายังไอบีเรียเพื่อร่วมในการพิชิตดินแดนคืน เพื่อเป็นการปฏิบัติอย่างผู้มีความศรัทธาในคริสต์ศาสนาหรือเพื่อเป็นการไถ่บาป"
] |
จังหวัดสุโขทัยมีทั้งหมดกี่อำเภอ? | [
"การปกครองแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ 86 ตำบล 843 หมู่บ้าน"
] | [
"ไทเลย เป็นชื่อเรียกคนเมืองเลย ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า คนเมืองเลยคือกลุ่มชนที่อพยพจากชายแดนตอนเหนืออาณาจักรสุโขทัย ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากไทหลวงพระบาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองเซไล (บ้านทรายขาว อำเภอวังสะพุง ปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2396 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านแห่ (บ้านแฮ่ปัจจุบัน) ได้ตั้งบ้านเรือนเรียกว่าเมืองเลย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองเลยก็รวมตัวกันเป็นเมืองใหญ่ โดยการรวมตัวของ อำเภอกุดป่อง อำเภอท่าลี่ ซึ่งขึ้นกับมณฑลอุดร อำเภอด่านซ้าย ซึ่งขึ้นกับมณฑลพิษณุโลก เมืองเชียงคาน ซึ่งขึ้นกับเมืองพิชัย อำเภอต่าง ๆ เหล่านี้จึงโอนขึ้นกับเมืองเลยทั้งหมดตั้งแต่ พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา",
"อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศไทยตั้งอยู่ที่ตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มีโบราณสถานทั้งหมด 283 แห่ง สำรวจค้นพบแล้ว 204 แห่ง รวมทั้งสุสานวัดชมชื่น และเตาสังคโลกโบราณ",
" อำนาจหน้าที่ เจ้าคณะอำเภอ (รวมถึงเจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาส) มีอำนาจหน้าที่การปกครองคณะสงฆ์ในอำเภอ ในเขตการปกครองของตน ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย และตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ฉบับแก้ไข พ.ศ. 2535 และกฎมหาเถรสมาคม ดังนี้\nการปกครองในระดับอำเภอในจังหวัดสุโขทัย มี 9 อำเภอคือ",
"อำเภอพิชัย เป็นอำเภอหนึ่งในจำนวน 9 อำเภอ ของจังหวัดอุตรดิตถ์ พิชัยเป็นเมืองสำคัญมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เคยเป็นเมืองลูกหลวงของกรุงสุโขทัย เมืองหน้าด่านในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเคยเป็นตัวจังหวัดเก่าอีกด้วย",
"วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ย้ายมาอยู่บริเวณสนามบินเก่า ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ส่วนบริเวณใต้วัดไทยชุมพลยกให้โรงเรียนอุดมดรุณี เมื่อโรงเรียนสุโขทัยวิทยาคมได้พัฒนาขึ้น สามารถช่วยเปิดสถาบันการศึกษาให้แก่จังหวัดสุโขทัย คือ\n1. พ.ศ. 2500 ก่อตั้งวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดสุโขทัย โดยโรงเรียนให้ใช้อาคารสถานที่จนกระทั่งวิทยาลัยพลศึกษาสร้างเสร็จ และย้ายออกจากโรงเรียนเมื่อ พ.ศ. 2523 \n2. พ.ศ. 2523 ให้วิทยาลัยนาฏศิลป์สุโขทัย ใช้อาคารสถานที่ จนวิทยาลัยนาฏศิลป์สุโขทัยสร้างเสร็จ จึงย้ายออกไปจากโรงเรียนเมื่อ พ.ศ. 2525 3. พ.ศ. 2525 เปิดโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ณ ตำบลยางซ้ายอำเภอเมืองสุโขทัย โดยเป็นสาขาของโรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม ปัจจุบันคือโรงเรียนยางซ้ายวิทยาคม นอกจากนี้โรงเรียนยังบริการส่วนราชการตลอดจนชุมชน ที่สำคัญคือ",
"พระครูสุวิชานวรวุฒิ มีนามเดิมก่อนบวชว่า ปี้ นามสกุล ชูสุข (คำว่า \"ปี้\" หมายถึง เงินตราสมัยโบราณ) เกิดเมื่อวันพุธที่ 15 ตุลาคม 2445 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ณ ตำบลลานหอย อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย \nการศึกษาแต่เดิมส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในวัด ที่มีพระ หรือฑิตที่ลาสิกขาไปเป็นผู้สอน หลวงพ่อปี้ ทินฺโน ในวัยเยาว์ คือเมื่ออายุประมาณ 12 ปี ทางครอบครัวบิดามารดา ได้นำไปฝากไว้กับพระอธิการหน่าย น้อยผล เจ้าอาวาสวัดเชิงคีรี ตำบลลานหอย อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย โดยเริ่มแรกได้เรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจเบื้องต้น ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอม หลวงพ่อปี้ ในวัยเยาว์มีความสามารถอ่านเขียนหนังสือไทยและหนังสือขอมได้เป็นอย่างดี จนเป็นที่พอใจของพระผู้สอน และทางครอบครัว ต่อมาเมื่ออายุได้ 16 ปี จึงได้กลับบ้านเพื่อไปประกอบอาชีพทางการเกษตรอันเป็นอาชีพของครอบครัว \nเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2475 หลวงพ่อปี้ ทินฺโน เมื่ออายุครบบวช 20 ปี จึงเข้ารับการอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดสังฆาราม ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย มีพระครูวินัยสาร (ทิม ยสฺทินโน)วัดราชธานี เจ้าคณะอำเภอเมืองสุโขทัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า ทินโน เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงคีรี ตำบลลานหอย อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย",
"อำเภอเมืองสุโขทัย อำเภอบ้านด่านลานหอย อำเภอคีรีมาศ อำเภอกงไกรลาศ อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสำโรง อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีนคร อำเภอทุ่งเสลี่ยม",
"ตำบลเมืองเก่า เป็นตำบลหนึ่งในเขตอำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย อันเป็นสถานที่ตั้งของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อันเป็นโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ทั้งในส่วนของศาสนา ความเชื่อ การเมืองการปกครองด้วยเช่นกัน",
"นอกจากเทศบาลเมืองอันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดจะมีชื่อเรียกตามชื่อจังหวัดแล้ว (ยกเว้นตัวจังหวัดที่เป็นเทศบาลนครแล้วจำนวน 22 จังหวัด และตัวจังหวัดสุโขทัยซึ่งมีชื่อว่า เทศบาลเมืองสุโขทัยธานี) เทศบาลเมืองที่ตั้งอยู่ในตัวอำเภอโดยทั่วไปมักมีชื่อตามชื่ออำเภอหรือตำบลที่เทศบาลตั้งอยู่ เช่น เขตเทศบาลเมืองสวรรคโลก ครอบคลุมเขตตำบลเมืองสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย แต่ก็มีบางแห่งที่ไม่ใช้ชื่ออำเภอหรือตำบลเป็นชื่อ เช่น เขตเทศบาลเมืองลัดหลวง ครอบคลุมเขตตำบลบางพึ่ง ตำบลบางจาก และตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ",
"ภายหลังในปี พ.ศ. 2482 ได้มีการจัดตั้งจังหวัดสุโขทัยขึ้น จึงได้ยกอำเภอสุโขทัยธานีเป็นศูนย์กลางของจังหวัด และได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมืองสุโขทัย ",
"พระราชประสิทธิคุณ นามเดิม ขาว สกุล มุ่งผล เกิดเมื่อวันเสาร์ สิงหาคม พ.ศ. 2424 ที่ตำบลไผ่ดำ อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง และมารดาได้เสียชีวิตแต่เยาวัยว์ เมื่อถึงวัยสมควรบิดาได้นำไปฝากเพื่อศึกษารับใช้พระในวัดมหาดไทย อำเภออ่างทองในขณะนั้น ซึ่งเป็นแบบแผนการศึกษาเดิมในครั้งอดีตที่เด็กจะไปศึกษาจากวัดผ่านการเป็นเด็กวัด บวชเป็นสามเณร และเป็นพระ จนกระทั่งได้มีโอกาสติดตามพระมาอยู่อาศัยในกรุงเทพฯ บวชเป็นสามเณร เข้าเรียนหนังสือที่วัดนวลนรดิศจบชั้น 3 จากนั้นจึงได้ลาสิกขามาช่วยบิดาและครอบครัวประกอบอาชีพ จนกระทั่งถึงวัยครบ 20 ปี จึงเข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และกลับไปจำพรรษาที่วัดอนงคาราม กรุงเทพ รับหน้าที่พิเศษคือช่วยสอนหนังสือขอม แก่นักเรียนและนักธรรม ต่อมาได้รับยศสมณศักดิ์เป็นฐานาที่สมุห์ ทำหน้าที่คอยรับเสด็จสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ วโรรสสมเด็จฯ โปรดมาก จึงได้ส่งพระทิม ให้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงอำเภอเมืองสุโขทัยระยะนั้น เพื่อดูแลงานการพระศาสนาต่างพระเนตรพระกัณห์ พระทิมเมื่อมาอยู่จังหวัดสุโขทัย ได้ร่วมกับประชาชนก่อตั้งโรงเรียนนักธรรมเพื่อให้การศึกษาแก่กุลบุตรชาวสุโขทัยในครั้งนั้น เมื่อมาอยู่จังหวัดสุโขทัยได้เจริญก้าวหน้าทั้งการงาน และสมณศักดิ์ โดยพระสมุห์ทิมเป็นพระครูประทวนได้ 8 เดือน ก็ได้รับตราตั้งเป็นอุปัชฌาย์และได้รับสัญญาบัตร เป็นพระครูวินัยสาร เจ้าคณะแขวงอำเภอเมือง และอำเภอกงไกรลาศ รวม 2 แห่ง เมื่อ พ.ศ. 2472 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย พ.ศ. 2490 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ 2508 เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย จนถึงมรณภาพ รวมสิริชนมายุ 89 ปี\nเป็นผู้รวบรวมศาสนวัตถุและจัดมอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย อาทิ",
"ทางรถไฟสายสวรรคโลก เป็นทางรถไฟสายรองในระบบรถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย แยกมาจากสายเหนือที่สถานีรถไฟชุมทางบ้านดารา ตำบลบ้านดารา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ผ่านสถานีรถไฟคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย มาสุดปลายทางที่สถานีรถไฟสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย",
"อำเภอเมืองสุโขทัย เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการ ศูนย์กลางธุรกิจ และวัฒนธรรมของจังหวัดสุโขทัย",
"ภาษาลาวเวียงจันทน์ ใช้ในประเทศลาว ท้องที่นครหลวงเวียงจันทน์ แขวงบอลิคำไซ และในประเทศไทยท้องที่จังหวัดชัยภูมิ หนองบัวลำภู หนองคาย (อำเภอเมืองหนองคาย ศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ โพนพิสัย โพธิ์ตาก สังคม(บางหมู่บ้าน) ) ขอนแก่น (อำเภอภูเวียง ชุมแพ สีชมพู ภูผาม่าน หนองนาคำ เวียงเก่า หนองเรือบางหมู่บ้าน) ยโสธร (อำเภอเมืองยโสธร ทรายมูล กุดชุม บางหมู่บ้าน) อุดรธานี (อำเภอบ้านผือ เพ็ญ บางหมู่บ้าน) ศรีสะเกษ (ในบางหมู่บ้านของอำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอขุขันธ์ และอำเภอขุนหาญ) ภาษาลาวเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงหลวงพระบาง ไชยบุรี อุดมไซ ในประเทศไทยท้องที่จังหวัดเลย อุตรดิตถ์ (อำเภอบ้านโคก น้ำปาด ฟากท่า) เพชรบูรณ์ (อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า น้ำหนาว) ขอนแก่น (อำเภอภูผาม่าน และบางหมู่บ้านของอำเภอสีชมพู ชุมแพ) ชัยภูมิ (อำเภอคอนสาร) พิษณุโลก (อำเภอชาติตระการและนครไทยบางหมู่บ้าน) หนองคาย (อำเภอสังคม) อุดรธานี (อำเภอน้ำโสม นายูง บางหมู่บ้าน) ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงเชียงขวาง หัวพัน ในประเทศไทยท้องที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และบางหมู่บ้านในจังหวัดสกลนคร หนองคาย(บางหมู่บ้านในอำเภอท่าบ่อ อำเภอศรีเชียงใหม่ และอำเภอโพธิ์ตาก) และยังมีชุมชนลาวพวนในภาคเหนือบางแห่งในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้น หนองคาย ภาษาลาวกลาง แยกออกเป็นสำเนียงถิ่น 2 สำเนียงใหญ่ คือ ภาษาลาวกลางถิ่นคำม่วน และถิ่นสุวรรณเขต ถิ่นคำม่วน จังหวัดที่พูดในประเทศไทย เช่น จังหวัดนครพนม สกลนคร บึงกาฬ (อำเภอเซกา บึงโขงหลง บางหมู่บ้าน) ถิ่นสุวรรณเขต จังหวัดที่พูดมีจังหวัดเดียว คือ จังหวัดมุกดาหาร ภาษาลาวใต้ ใช้ในประเทศลาวท้องที่แขวงจำปาศักดิ์ สาละวัน เซกอง อัตตะปือ จังหวัดที่พูดในประเทศไทย จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร ภาษาลาวตะวันตก (ภาษาลาวร้อยเอ็ด) ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ท้องที่ร้อยเอ็ด อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม หนองคาย(บางหมู่บ้าน) และบริเวณใกล้เคียงมณฑลร้อยเอ็ดของสยาม",
"ปัจจุบันจังหวัดกำแพงเพชรเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพราะมีโบราณสถานเก่าแก่ซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงหลายแห่งรวมอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2534จังหวัดกำแพงเพชรแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งออกเป็น 11 อำเภอ 78 ตำบล 823 หมู่บ้าน ซึ่งอำเภอทั้ง 11 อำเภอมีดังนี้\nจังหวัดกำแพงเพชรมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวม 90 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร, เทศบาลเมือง 3 แห่ง คือ เทศบาลเมืองกำแพงเพชร, เทศบาลตำบล 22 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 64 แห่ง โดยรายชื่อเทศบาลทั้งหมดแบ่งตามอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดกำแพงเพชรมีดังนี้ทางหลวงที่สำคัญในจังหวัดกำแพงเพชร ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) เชื่อมต่อไปยังจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดตาก, ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 115 เชื่อมต่อไปยังจังหวัดพิจิตร, และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 เชื่อมต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย",
"เทศบาลตำบลเขาแก้วศรีสมบูรณ์ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในเขตอำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของตำบลเขาแก้วศรีสมบูรณ์เทศบาลตำบลเขาแก้วศรีสมบูรณ์แบ่งเขตปกครองครอบคลุมพื้นที่ จำนวนทั้งหมด 11 หมู่บ้าน ประชากรในเทศบาลตำบลเขาแก้วศรีสมบูรณ์มีจำนวน 8,056 คน",
"งานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ อำเภอเมืองสุโขทัย งานวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อำเภอเมืองสุโขทัย งานสักการะพระแม่ย่าและงานกาชาด อำเภอเมืองสุโขทัย งานออกพรรษาแห่ตาชูชก อำเภอเมืองสุโขทัย งานมหาสงกรานต์กรุงเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย งานสงกรานต์เสื้อลายดอก ถนนข้าวตอกสุโขทัย อำเภอเมืองสุโขทัย งานแข่งขันเรือพายเทโวโรหณะ อำเภอเมืองสุโขทัย ประเพณีบวชนาคแห่ช้างหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย งานประเพณีแห่น้ำขึ้นโฮง อำเภอศรีสัชนาลัย งานประเพณีสรงน้ำโอยทานสงกรานต์ศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย งานนสมโภชพระธาตุเฉลียงและพระธาตุมุเตา(วัดพระปรางค์) อำเภอศรีสัชนาลัย งานย้อนอดีตศรีสัชนาลัยนุ่งผ้าไทยใส่เงินทองโบราณ อำเภอศรีสัชนาลัย งานของดีศรีสัชนาลัยและเทศกาลอาหาร อำเภอศรีสัชนาลัย งานประเพณีแห่กฐินทางน้ำ(เฮือซ่วง) อำเภอศรีสัชนาลัย งานประเพณีบุญบั้งไฟบ้านหาดสูง อำเภอศรีสัชนาลัย งานประเพณีออกพรรษาศรีสัชฯ-ท่าชัย อำเภอศรีสัชนาลัย งานหมากม่วงหมากปรางและงานของดีศรีสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก งานประเพณีสงกรานต์และเทศกาลอาหารเมืองสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก งานวันพิชิตยอดเขาหลวง อำเภอคีรีมาศ ประเพณีการทำขวัญผึ้ง อำเภอคีรีมาศ",
"ถนนในช่วงสุโขทัย–พิษณุโลก มีชื่อเรียกว่า ถนนสิงหวัฒน์ เริ่มต้นในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย มุ่งไปยังทิศตะวันออก บรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 125 หรือถนนเลี่ยงเมืองสุโขทัย จากนั้นผ่านอำเภอกงไกรลาศ เข้าสู่จังหวัดพิษณุโลก ผ่านอำเภอพรหมพิราม จากนั้นเข้าสู่อำเภอเมืองพิษณุโลก ตัดกับถนนวงแหวนรอบเมืองพิษณุโลกด้านทิศเหนือ หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 126 ที่แยกเลี่ยงเมือง (บ้านกร่าง) จากนั้นผ่านศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พิษณุโลก ศาลหลักเมืองพิษณุโลก ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก สิ้นสุดที่เชิงสะพานนเรศวรริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก ภายในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก",
"กรมป่าไม้ได้ประกาศให้ป่าเขาหลวงเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2512 หลังจากนั้นกรมป่าไม้มีหนังสือที่ กส 0706/2978 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2517 เรื่อง การเลือกพื้นที่เพื่อจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ ให้จังหวัดทุกจังหวัดประสานงานกับป่าไม้เขตดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ป่าไม้ในท้องที่แต่ละเขตว่าบริเวณใดบ้างเหมาะที่จะจัดเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาติ จากการสำรวจจังหวัดสุโขทัยได้มีหนังสือที่ สท 0009/1370 ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2517 ส่งสำเนาหนังสือจังหวัดที่ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานกับป่าไม้เขตตากมายังกรมป่าไม้ เพื่อให้พิจารณาจัดตั้งอุทยานแห่งชาติในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาหลวง ท้องที่อำเภอคีรีมาศ อำเภอบ้านด่านลานหอย และอำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เนื่องจากป่าแห่งนี้มีทรัพยากรที่สำคัญ น้ำตก ทิวทัศน์ที่สวยงามและมีปูชนียวัตถุ อันเป็นโบราณสถานสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี",
"บ้านสวนมีสถานะเป็นชุมชนและหน่วยการปกครองมาแต่ต้น ดังปรากฏหลักฐานเมื่อ พ.ศ. 2455 (รศ.130) เป็น ประกาศ บอกล่วงน่าจะแจกโฉนดสำหรับที่ดิน ใน(1) ทุ่งบ้านสวนเหนือ ตำบลบ้านสวนเหนือ อำเภอในเมือง (2) ในทุ่งบ้านสวนใต้ ตำบลบ้านสวนใต้ อำเภอในเมือง (3) ในทุ่งบ้านทุ่งหลวง ตำบลบ้านทุ่งหลวง อำเภอในเมือง (4) ในทุ่งบ้านท่าดินแดง ตำบลท่าดินแดง อำเภอในเมือง แขวงเมืองศุโขทัย เล่มที่ ๒๘ ตอน ๐ง ประกาศเมื่อ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2454 หน้า 2182 ปรากฏหน่วยการปกครองในเขตบ้านสวนว่า ประกาศกำหนดวันจะแจกสำหรับโฉนดที่ดิน ๑.ในทุ่งบ้านสวนเหนือ ตำบลบ้านสวนเหนือ อำเภอในเมือง ๒.ในทุ่งบ้านสวนใต้ ตำบลบ้านสวนใต้ อำเภอในเมือง ๓.ในทุ่งบ้านทุ่งหลวง ตำบลบ้านทุ่งหลวง อำเภอในเมือง ๔.ในทุ่งบ้านท่าดินแดง ตำบลท่าดินแดง อำเภอในเมือง แขวงเมือง ศุโขไทย ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2454) บ้านสวนจึงเป็นหน่วยการปกครองในระดับตำบลขึ้นกับแขวงศุโขไทย จังหวัดศุโขไทย ที่เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลพิษณุโลก โดยแยกการปกครองเป็น \"ตำบลบ้านสวนเหนือ\" และ \"ตำบลบ้านสวนใต้\" และเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอเมือง จังหวัดศุโขไทย (สะกดตามราชกิจจานุเบกษาปี พ.ศ. 2460) เดิมชื่อว่า อำเภอเมือง ซึ่งในปี พ.ศ. 2460 ในสมัยรัชกาลที่ 6 อำเภอนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอธานี จนเมื่อสมัยรัชกาลที่ 7 วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 ได้ยุบอำเภอธานีและเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอสุโขทัยธานี ขึ้นต่อจังหวัดสวรรคโลก ภายหลังในปี พ.ศ. 2482 ภายใต้การปกครองของคณะราษฎร์ อันมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นปีที่รัฐบาล ประกาศใช้รัฐนิยมฉบับที่ 1 อันมีสาระเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็น ไทย พร้อมประกาศจัดตั้งจังหวัดสุโขทัยอีกครั้ง ยกอำเภอสุโขทัยธานีเป็นศูนย์กลางของจังหวัด และได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมืองสุโขทัย ",
"พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสุโขทัยจะเป็นที่ราบลุ่ม ทางตอนเหนือและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นที่ราบสูง มีเขาหลวงเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุด วัดจากระดับน้ำทะเลมีความสูงประมาณ 1,200 เมตร โดยมีแนวภูเขายาวเป็นพืดทางด้านทิศตะวันตก ส่วนพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดจะเป็นที่ราบ มีแม่น้ำยมไหลผ่านจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ผ่านอำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ ช่วงที่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทัยยาวประมาณ 170 กิโลเมตร",
"ในปัจจุบันในฝ่ายคณะสงฆ์มหานิกายมี พระราชวิมลเมธี (บุญโรจน์ ป.ธ.9) วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย เป็น เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย",
"สุโขทัยธานี หรือ เทศบาลเมืองสุโขทัยธานี เป็นเทศบาลเมืองแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2480 และก่อตั้งสำนักงานเมื่อ พ.ศ. 2501 มีพื้นที่ 3.5 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำยม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลธานีทั้งตำบล เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดสุโขทัย",
"โรงเรียนศรีสำโรงชนูปถัมภ์ (Srisamrongchanupatham School) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 38 เป็นโรงเรียนประจำอำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2501 ณ ทุ่งคลองกระบาย (โรงเรียนอนุบาลศรีสำโรงในปัจจุบัน) ตำบลสามเรือน อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ก่อนที่จะย้ายมาตั้งอยู่ ณ บ้านเลขที่ 97 หมู่ที่ 6 ตำบลคลองตาล อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ในปัจจุบัน",
"จังหวัดสุโขทัยมีทางหลวงสำคัญ ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ซึ่งเป็นถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมต่อกับจังหวัดตากและจังหวัดพิษณุโลก, ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 เชื่อมต่อกับจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดแพร่, และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 102 เชื่อมต่อกับจังหวัดอุตรดิตถ์ การขนส่งทางราง มีสถานีรถไฟ 2 แห่ง ได้แก่ สถานีรถไฟสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก และสถานีรถไฟคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีทางรถไฟความเร็วสูงตัดผ่าน มีสถานี 2 แห่ง ได้แก่ สถานีรถไฟความเร็วสูงสุโขทัย และสถานีรถไฟความเร็วสูงศรีสัชนาลัย",
"เดิมอำเภอดังกล่าวเป็นเมืองเอกของจังหวัดศุโขไทย (สะกดตามราชกิจจานุเบกษาปี พ.ศ. 2460) เดิมชื่อว่า อำเภอเมือง ซึ่งในปี พ.ศ. 2460 อำเภอนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอธานี จนเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 ได้ยุบอำเภอธานีและเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอสุโขทัยธานี ขึ้นต่อจังหวัดสวรรคโลก ",
"อำเภอเมืองสุโขทัยตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้\nMap_Sukhothai.jpg\nอำเภอเมืองสุโขทัยแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 10 ตำบล 97 หมู่บ้าน ได้แก่\nท้องที่อำเภอเมืองสุโขทัยประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง ได้แก่",
"ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีประวัติความเป็นมานับแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สืบความจากหลักฐานการตั้งถิ่นฐานโดยมีวัดเป็นศูนย์ในอดีต พร้อมกับหลักฐานวัดร้างที่ขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากรที่มีประวัติเนื่องต่อกับชุมชนในอดีตล่วงมาจนถึงปัจจุบัน ตำบลบ้านสวนเป็นศูนย์การการเพราะปลูกข้าว \"คุณภาพ\" ที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของจังหวัดสุโขทัย อันเนื่องเป็นที่ลุ่มที่เหมาะแก่การทำเกษตร ",
"มาร์วิน บราวน์ (Marvin Brown) ศึกษาภาษาถิ่นของไทยและให้ความเห็นว่าภาษาไทยถิ่นใต้สำเนียงตากใบมีวิวัฒนาการมาจากภาษาสุโขทัยโดยตรง ในตากใบเองก็มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับเมืองเหนือ เช่น กรุงสุโขทัย จนทำให้ภาษามีเอกลักษณ์เฉพาะ ตำนานแรกเล่าว่าตากใบเคยอยู่ภายใต้การปกครองของสุโขทัย จึงมีขุนนางสุโขทัยเดินทางมาปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ จึงสันนิษฐานว่ามีกำแพง และวัง หรือวัดปรักหักพังที่บ้านโคกอิฐ และเมื่อขุนนางสุโขทัยเดินทางมาที่ตากใบแล้วย่อมมีบริวารตามมาหลายคน ด้วยเหตุนี้เอง วัฒนธรรมภาษาพูดเมืองเหนือจึงผสมผสานกับภาษาชาวตากใบ และวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น สถาปัตยกรรมในวัด ไม่ว่าจะเป็นวิหาร ศาลาการเปรียญ มีรูปแบบและศิลปะค่อนไปทางเหนือ ส่วนตำนานที่สองกล่าวถึงชาวสุโขทัยติดตามช้างเชือกสำคัญมาทางเมืองใต้ ในที่สุดมาตั้งหลักแหล่งที่ตากใบ เป็นที่น่าสังเกตว่ามีชื่อหมู่บ้าน และตำบลเกี่ยวข้องกับช้าง เช่น บ้านไพรวัลย์ มาจากคำว่า บ้านพลายวัลย์ (ปัจจุบันเป็นตำบลไพรวัน) สถานที่ช้างลงอาบน้ำ เดิมเรียก บ้านปรักช้าง ต่อมาเปลี่ยนเป็น ฉัททันต์สนาน ซึ่งเป็นชื่อวัดในหมู่บ้านนี้ เล่ากันว่ามีช้างสำคัญมาล้มที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ภายหลังเรียกว่า บ้านช้างตาย ปัจจุบันตั้งอยู่ในอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ปัจจุบันเรียกเป็นภาษามลายูว่า บ้านกาเยาะมาตี อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า เมื่อครั้งทัพไทยสมัยโบราณยกไปตีหัวเมืองมลายู มีคนไทยลงมาตั้งหมู่บ้านคอยต้อนรับกันเป็นทอดๆ จะเห็นว่าปัจจุบันมีบางหมู่บ้านที่มีชาวบ้านพูดจาคล้ายๆเสียงของชาวตากใบ เช่นที่อำเภอปะนาเระ อำเภอสายบุรี ในจังหวัดปัตตานี และชาวบ้านในอำเภอสุไหงปาดี และอำเภอแว้ง ในจังหวัดนราธิวาส ",
"สโมสรฟุตบอลจังหวัดสุโขทัย เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันลงแข่งขันในระดับไทยลีก โดยสโมสรลงแข่งขันในลีกสูงสุดของประเทศไทยเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2559 หลังจากคว้าอันดับ 3 ได้ในไทยลีกดิวิชัน 1 2558 และได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยลีก สโมสรยังเคยได้ตำแหน่งชนะเลิศร่วม ช้าง เอฟเอคัพ 2559 และได้สิทธิ์แข่งขัน เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ด้วย ในปี 2560\nสโมสรฟุตบอลจังหวัดสุโขทัย ได้เริ่มก่อตั้งและส่งทีมแข่งขันในฟุตบอลลีกระดับประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยมี จักรินทร์ เปลี่ยนวงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย (ในขณะนั้น) เป็นประธานสโมสร โดยลงทำการแข่งขัน ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 2552 โดยมีฉายาของทีมว่า \"ค้างคาวไฟ\" เนื่องจากใน จังหวัดสุโขทัย มีแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถพบ ค้างคาว ได้จำนวนมาก ณ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าถ้ำเจ้าราม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อำเภอทุ่งเสลี่ยม และ อำเภอศรีสำโรง โดยในระยะแรกสโมสรใช้นักฟุตบอลท้องถิ่นในจังหวัด ผสมกับ นักฟุตบอลจาก สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุโขทัย ซึ่งผลงานในปีแรก จบอันดับที่ 7 จาก 12 สโมสร โซนภาคเหนือ โดยผลงานในช่วงนั้น สโมสรจบในอันดันค่อนท้ายตารางเป็นส่วนใหญ่"
] |
เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสมีชื่อว่าอะไร? | [
"ปารีส (French: Paris /paˈʁi/ ปารี) เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส บนใจกลางแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ (Île-de-France หรือ Région parisienne (RP) ) ภายในกรุงปารีสมีประชากรประมาณ 2,167,994 คน[5] เขตเมืองปารีส (Unité urbaine) ซึ่งมีพื้นที่ขยายเกินขอบเขตอำนาจการปกครองของเมืองนั้น มีประชากรกว่า 9.93 ล้านคน (พ.ศ. 2547) [6] ในขณะที่เขตมหานครปารีส (Agglomération parisienne) มีประชากรเกือบ 12 ล้านคน[7]และเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป[8]"
] | [
"ปักกิ่ง หรือ เป่ย์จิง (จีน: , พินอิน: Běijīng) เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อย่อว่า จิง ตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ที่ราบหวาเป่ย์ ชื่อเดิมคือ จี่ (冀) สมัยวสันตสารท (春秋)และสมัยรณรัฐ (战国)เป็นเมืองหลวงของแคว้นเยียน สมัยราชวงศ์เหลียว เป็นเมืองหลวงรอง ชื่อ เยียนจิง เป็นเมืองหลวงของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิน หยวน หมิง ชิงจนถึง สาธารณรัฐจีน เคยใช้ชื่อจงตู ต้าตู เป่ย์ผิงและเป่ย์จิง โดยมีชื่อเรียกทั้งหมดกว่า 60 ชื่อ [4] เริ่มตั้งเป็นเมืองตั้งแต่ปี 1928 ปัจจุบัน แบ่งเป็น 16 เขตและ 2 อำเภอ เป็นนครที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง พื้นที่ทั่วกรุงปักกิ่งมีถึง 16,800 ตารางกิโลเมตร ถึงสิ้นปี ค.ศ. 2017 ทั่วกรุงเปย์จิงมีประชากร 21,107,000 คน[5] กรุงปักกิ่งเป็นศูนย์การเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษาและเขตชุมทางการคมนาคมทั่วประเทศจีนและก็เป็นเมืองท่อง เที่ยวที่มีชื่อดังทั้งในประเทศจีนและในโลก แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีกำแพงเมืองจีน พระราชวังโบราณ หอสักการะฟ้าเทียนถัน สุสานจักรพรรดิสมัยราชวงศ์หมิง วังพักร้อนอี๋เหอหยวนและภูเขาเซียงซาน เป็นต้น ปัจจุบันปักกิ่งเป็นเขตการปกครองพิเศษแบบมหานคร 1 ใน 4 แห่งของจีน ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับมณฑลหลังจากปักกิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 โดยเฉพาะหลังจากสมัย 80 ศตวรรษที่ 20 เมืองปักกิ่งได้พัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปัจจุบันนี้ปักกิ่งมีถนนที่สลับกัน ตึกสูงๆ โดยไม่เพียงแต่รักษาสภาพเมืองโบราณ และยังแสดงถึงสภาพเมืองที่ทันสมัย กลายเป็นเมืองใหญ่ของโลก",
"ลุยเซียนา (, ออกเสียง หรือ ) เป็นรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีลักษณะผสมผสานของวัฒนธรรมฝรั่งเศส ซึ่งในรัฐลุยเซียนามีการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาทางการของรัฐ ถึงแม้ว่าภาษาฝรั่งเศสจะมีใช้เพียงประมาณ 5% เมืองสำคัญของรัฐคือ นิวออร์ลีนส์ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในรัฐ ในขณะที่เมืองหลวงของรัฐคือ แบตันรูช ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียงในรัฐได้แก่ นิวออร์ลีนส์เซนต์และนิวออร์ลีนส์ฮอร์เนตส์",
"กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร กรุงมาดริด ประเทศสเปน อีกมุมหนึ่งของกรุงมาดริด กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี บาร์เซโลนา มิวนิก แฟรงก์เฟิร์ต เมืองที่ใหญ่ที่มั่งคั่งที่สุดของเยอรมนี กรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย กรุงลิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส กรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของประเทศสวีเดน ตึกคูนาร์ดในเมืองลิเวอร์พูล ของสหราชอาณาจักร เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี เอเธนส์ ประเทศกรีซ อิสตันบูล เมืองคาบเกี่ยว 2 ทวีป ในประเทศตุรกี อังการา เมืองหลวงปัจจุบันของประเทศตุรกี หอไอเฟลในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประตูบรันเดนบูร์กในกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมนี",
"พนมเปญ หรือ ภนุมปึญ (Khmer: ភ្នំពេញ ภฺนุํเพญ ออกเสียง: [pʰnum pɨɲ]; English: Phnom Penh) อีกชื่อหนึ่งคือ ราชธานีพนมเปญ เป็นเมืองหลวงของประเทศกัมพูชา และยังเป็นเมืองหลวงของนครหลวงพนมเปญด้วย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า ไข่มุกแห่งเอเชีย (เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1920 พร้อมกับเมืองเสียมราฐ) นับเป็นเมืองที่เป็นเป้าการท่องเที่ยวทั้งจากผู้คนในประเทศและจากต่างประเทศ พนมเปญยังมีชื่อเสียงในฐานะที่มีสถาปัตยกรรมแบบเขมรดั้งเดิมและแบบได้รับอิทธิพลฝรั่งเศส",
"โป () เป็นเมืองหลวงของจังหวัดปีเรเน-อัตล็องติกในแคว้นอากีแตน ประเทศฝรั่งเศส ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาพิเรนีสของฝรั่งเศส เดิมโปเป็นเมืองหลวงของบริเวณเบอาร์น (Béarn)",
"หมวดหมู่:เมืองหลวง หมวดหมู่:เมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป หมวดหมู่:จังหวัดในประเทศฝรั่งเศส หมวดหมู่:เมืองในแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ หมวดหมู่:ก่อตั้งในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล หมวดหมู่:มรดกโลกในประเทศฝรั่งเศส",
"ซินต์มาร์เติน (, ) เป็นประเทศองค์ประกอบ (constituent country) แห่งหนึ่งภายในราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ มีพื้นที่ครอบคลุมเฉพาะตอนใต้ของเกาะเซนต์มาร์ตินในทะเลแคริบเบียน ขณะที่พื้นที่อีกครึ่งทางตอนเหนือมีสถานะเป็นดินแดนโพ้นทะเลของประเทศฝรั่งเศส (มีชื่อว่า แซ็ง-มาร์แต็ง) ซินต์มาร์เตินมีประชากรประมาณ 37,000 คน บนเนื้อที่ 34 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงของดินแดนมีชื่อว่า ฟีลิปส์บืร์ค",
"รัฐโว () เป็นรัฐในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นรัฐที่มีประชากรมากสุดเป็นอันดับสาม และมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ในประเทศ รัฐโวตั้งอยู่ในภาครอม็องดีซึ่งใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักเนื่องจากมีพรมแดนทางตะวันตกติดกับแคว้นบูร์กอญ-ฟร็องช์-กงเตของประเทศฝรั่งเศส เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่สุดของรัฐคือโลซาน ซึ่งได้รับการกำหนดให้เป็น \"เมืองหลวงโอลิมปิก\" โดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล และยังเป็นที่ตั้งขององค์กรทางการกีฬาระหว่างประเทศหลายแห่ง รัฐโวมีประชากรทั้งสิ้น 725,944 คนในปี ค.ศ. 2011",
"เขตวัลลูน (; ; ) เรียกอีกอย่างว่า \"วาโลเนีย\" เป็นเขตการปกครองตามรัฐธรรมนูญของประเทศเบลเยียม ร่วมกับเขตฟลามส์และเขตเมืองหลวงบรัสเซลส์ มีเนื้อที่ 55% ของเนื้อที่ประเทศ แต่มีประชากรเป็นอันดับที่ 3 แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส แต่เขตวัลลูนก็มิได้รวมเข้ากับชุมชนฝรั่งเศสแห่งเบลเยียมเหมือนในกรณีของเขตฟลามส์ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับชุมชนฟลามส์ นอกจากนี้ในเขตวัลลูนยังมีประชาคมผู้ใช้ภาษาเยอรมัน ซึ่งอยู่ในทิศตะวันออกที่มีสภาแยกดูแลในด้านการศึกษาและวัฒนธรรมโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับเขตอื่น ๆ เขตวัลลูนมีสภาและรัฐบาลดูแลกิจการภายในเขต ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เมืองหลวงของเขตคือนามูร์ มีภาษาราชการคือภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมัน",
"อินโดจีนของฝรั่งเศส (, ) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สหภาพอินโดจีน () เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2430 โดยประกอบด้วยตังเกี๋ย อันนัม โคชินไชนา (ทั้งสามแห่งรวมกันเป็นประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) และกัมพูชา ต่อมาในปี พ.ศ. 2436 จึงได้รวมเอาลาวเข้ามา อินโดจีนมีไซ่ง่อนเป็นเมืองหลวงจนถึงปี พ.ศ. 2445 จึงได้ย้ายเมืองหลวงมาที่ฮานอย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง อินโดจีนถูกปกครองโดยฝรั่งเศสเขตวีชีและยังถูกญี่ปุ่นรุกรานด้วย ในต้นปี พ.ศ. 2489 เวียดมินห์ได้เริ่มต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส ซึ่งในภายหลังเรียกว่าสงครามอินโดจีน ส่วนทางใต้ได้มีการก่อตั้งรัฐเวียดนามซึ่งนำโดยจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย แห่งเวียดนาม และได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2492 แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 เวียดมินห์ก็ได้กลายเป็นรัฐบาลของเวียดนามเหนือตามอนุสัญญาเจนีวา โดยที่รัฐบาลของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ยังคงปกครองเวียดนามใต้อยู่",
"โวกลูซ (, ฟังเสียง; ) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในแคว้นพรอว็องซาลป์โกตดาซูร์ในประเทศฝรั่งเศส จังหวัดโวกลูซตั้งตามชื่อน้ำพุที่มีชื่อเสียงฟงแตน-เดอ-โวกลูซ ตัวจังหวัดตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส โดยมีอาวีญงเป็นเมืองหลวง",
"เขตทิมบักตู () เป็นเขตบริหารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมาลี และเป็นเขตที่กินพื้นที่ทะเลทรายสะฮารามากที่สุด โดยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงซึ่งเป็นเมืองโบราณอันมีชื่อเสียง ทิมบักตู หรือ ตงบุกตู ในภาษาฝรั่งเศส ที่ชาวยุโรปมองว่าเป็นเมืองที่ลึกลับและเข้าถึงได้ยาก",
"อาบูจา () เป็นเมืองหลวงของประเทศไนจีเรีย เป็นเมืองที่สร้างใหม่ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 80 กรุงอาบูจาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในแอฟริกาในด้านของการผังเมือง โดยใช้แนวคิดของการสร้างกรุงบราซีเลียเมืองหลวงของประเทศบราซิลเป็นแบบอย่าง ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองหลวงแทนที่นครเลกอสในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1991",
"ฮานอย หมายถึงตอนต้นของแม่น้ำ ตั้งอยู่ตอนต้นอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ลี้สถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 1553 โดยใช้ชื่อว่า ทังล็อง แปลว่า มังกรเหิน จนกระทั่ง พ.ศ. 2245 กษัตริย์ราชวงศ์เหงียนได้ย้ายเมือหลวงไปอยู่เมืองเว้เมื่อตกเป็นส่วนหนึ่ของอินโดจีนฝรั่งเศส ฮานอยจึงกลับมาเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการอีกครั้งใน พ.ศ. 2430 ภายหลังได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2489 ดินแดนเวียดนามแยกออกเป็นสองประเทศ โดยฮานอยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ เมื่อรวมประเทศใน พ.ศ. 2519 จึงเป็นเมืองหลวงหนึ่งเดียวของเวียดนามในปัจจุบัน",
"แกลร์มง-แฟร็อง (, ฟังเสียง) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดปุย-เดอ-โดมในแคว้นโอแวร์ญในประเทศฝรั่งเศส เมืองแกลร์มง-แฟร็องตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนมาทางด้านใต้ของฝรั่งเศส นที่ราบลีมาญ (Limagne) ในมาซิฟซ็องทราล (Massif Central) ที่ล้อมรอบด้วยบริเวณอุตสาหกรรม แกลร์มง-แฟร็องมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เดิมเป็นแนวภูเขาไฟที่เรียกว่าแนวภูเขาไฟเดอปุย (Chaîne des Puys) ปุย-เดอ-โดม (13 กิโลเมตรจากแกลร์มง-แฟร็อง) เป็นยอดที่สูงที่สูงที่สุดและเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของบริเวณนี้ ที่มองเห็นได้แต่ไกล",
"เมืองสิงห์ () เป็นเมืองที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อ เพราะอยู่ใกล้สิบสองปันนาในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ชาวไทลื้ออาศัยในพื้นที่ลุ่ม ส่วนบนเขตภูเขาเป็นที่อยู่ของชาวม้ง ชาวเย้า แต่เดิมเป็นเมืองเดียวกับเมืองเชียงแขง ในรัฐฉาน ประเทศพม่า แต่เมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคม ได้ตกลงแบ่งดินแดนกันโดยใช้แม่น้ำโขงเป็นแดน ฝั่งเชียงแขงจึงอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และรัฐฉานของพม่าในที่สุด ส่วนฝั่งเมืองสิงห์อยู่ในการปกครองของฝรั่งเศส และประเทศลาวในปัจจุบันในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1896 กองทัพของฝรั่งเศสนำโดย M. vacle ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับชาการหัวเมืองลาวภาคเหนือ และผู้แทนของจักรวรรดิอังกฤษ ภายใต้การนำของ Mr.Stirling ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับรัฐฉาน ได้พบปะกันในเมืองสิงห์ เพื่อพูดคุยเรื่องสนธิสัญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศสที่จัดขึ้นในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1896 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐเจ้าฟ้าไทลื้อขนาดเล็ก หลังจากนั้น มีการระบุเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงระหว่างอังกฤษและพม่ากับฝรั่งเศสและอินโดจีน ในวันที่ 11 พฤษภาคม กองกำลังอังกฤษที่ได้ประจำการอยู่ในเมืองสิงห์ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 1895 นั้นก็ได้ถอนกองกำลังออกไป หลังจากนั้นเพียง 2 อาทิตย์ เจ้าฟ้าสาลีหน่อก็ได้กลับมาจากเมืองหลวงน้ำทา ซึ่งเจ้าฟ้าได้ไปลี้ภัยในระหว่างที่อังกฤษเข้ามายึดครองเมืองสิงห์ เจ้าฟ้าสาลีหน่อได้เป็นเจ้าฟ้าเมืองสิงห์อีกครั้งหนึ่งภายใต้อำนาจของฝรั่งเศส เจ้าฟ้ารู้สึกเสียใจกับดินแดนที่ลดหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะว่าเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงฝั่งขวานั้น เช่น เมืองเชียงลาบ เมืองยู้ และเมืองหลวย ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าทั้งสองเมืองนั้นได้ตกไปเป็นของอังกฤษเสียแล้ว",
"เว้มีฐานะเป็นเมืองหลวงของประเทศจนถึงปี พ.ศ. 2488 เมื่อจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย แห่งเวียดนามทรงสละราชสมบัติ และมีการก่อตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขึ้นที่ฮานอย ทางตอนเหนือของเวียดนาม ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงได้รับการช่วยเหลือจากชาวฝรั่งเศสในอาณานิคม และทรงก่อตั้งเมืองหลวงใหม่ คือ ไซ่ง่อน ทางใต้ของประเทศ",
"สำหรับกรุงปารีสซึ่งเป็นเมืองหลวงนั้น เป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก กรุงปารีสมีพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงของโลก ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก และก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ออร์แซที่เน้นศิลปะในลัทธิประทับใจเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติฌอร์ฌ ปงปีดู ที่มุ่งเน้นศิลปะร่วมสมัย กรุงปารีสเป็นเจ้าของผลงานสถานที่สำคัญบางส่วนที่รู้จักมากที่สุดของโลก เช่น หอไอเฟล ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่มีผู้จ่ายเงินเพื่อเข้าชมมากที่สุดในโลก, ประตูชัยฝรั่งเศส, มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส, มหาวิหารซาเคร-เกอร์ ส่วนพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ก็ตั้งอยู่ในปาร์กเดอลาวีแล็ต กรุงปารีส ซึ่งนับเป็นหัวใจของศูนย์วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม (CCSTI) โดยเป็นศูนย์ส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาการต่าง ๆ และบริเวณใกล้กับกรุงปารีสยังมีพระราชวังแวร์ซาย ซึ่งเป็นอดีตพระราชวังของพระมหากษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศส ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน",
"แม็ส (, , ฟังเสียง) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองหลวงของแคว้นลอแรน เมืองหลักของจังหวัดโมแซลในประเทศฝรั่งเศส เมืองแม็สตั้งอยู่ทางตรงที่แม่น้ำโมแซลมาบรรจบกับแม่น้ำแซย์ และเป็นนครหลวงโบราณของอาณาจักรออสเตรเซียของราชวงศ์กาโรแล็งเชียง โดยมีมรดกทางวัฒนธรรมเป็นโบราณสถานซึ่งเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ของเมืองย้อนไปกว่า 3000 ปี รวมไปถึงศิลปกรรมในยุคที่ถูกยึดครองโดยจักรวรรดิเยอรมนีช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งปรากฏชัดบริเวณย่านจักรวรรดิ (Le quartier impérial) แม้ว่าในประวัติศาสตร์น็องซีจะเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรดยุคแห่งลอแรน แต่แม็สได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของแคว้นลอแรนที่ตั้งขึ้นใหม่ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 เพราะความที่เคยเป็นเมืองหลวงของโลทาริงเกีย",
"คอโมโรสประกอบไปด้วยเกาะเอ็นกาซิดจา (กรองด์ กอมอร์), เกาะเอ็มวาลี (โมเอลี), เกาะเอ็นซวานี่ (อ็องฌูอ็อง) และเกาะมาออเร่ (มายอตต์) ทั้งหมดนี้เป็นเกาะสำคัญในหมู่เกาะคอโมโรส ในขณะที่มีหมู่เกาะเล็กน้อยอีกมากมาย เกาะเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในภาษาคอโมเรียนของพวกเขาเอง แม้จะมีชื่อในภาษาต่างประเทศด้วยก็ตามจะใช้ชื่อในภาษาฝรั่งเศส (ในวงเล็บ) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือ โมโรนี่ ตั้งอยู่บนเกาะเอ็นกาซิดจา หมู่เกาะตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ในช่องแคบโมซัมบิก ระหว่างชายฝั่งแอฟริกัน (ใกล้โมซัมบิกและแทนซาเนีย) กับมาดากัสดาร์ ไม่มีพรมแดนที่อยู่บนแผ่นดิน",
"ระหว่างภารกิจการปลดปล่อยฝรั่งเศสนั้น ทหารอังกฤษและอเมริกันก็ได้ยกพลขึ้นผืนแผ่นดินใหญ่ที่ประเทศฝรั่งเศสในภารกิจ Operation Overlord หรือเป็นที่คุ้นหูในนาม \"การรบแห่งนอร์ม็องดี\" เดอ โกลก็สถาปนาแนวร่วมการปลดปล่อยฝรั่งเศสในผืนแผ่นดินใหญ่ฝรั่งเศส หลีกเลี่ยง รัฐบาลทหารสัมพันธมิตรเพื่อครอบครองดินแดน (AMGOT) เขาได้นั่งเครื่องบินจากประเทศแอลจีเรียมายังฝรั่งเศสก่อนการเป็นเสรีภาพของกรุงปารีส และได้เคลื่อนที่เข้าไปบริเวณแนวหน้าใกล้ ๆ เมืองหลวงพร้อมกับทหารสัมพันธมิตร เขาได้กลับไปยังกรุงปารีสในไม่ช้า และก็ได้กลับเข้าทำงานในกระทรวงระหว่างสงคราม และก็ได้ประกาศว่าสาธารณรัฐที่ 3 ยังคงอยู่ต่อไปและปฏิเสธการปกครองของวิชีฝรั่งเศส",
"เบลเยียมมีภาษาทางการ 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาดัตช์ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน โดยคาดว่า มีผู้พูดภาษาดัตช์เป็นภาษาหลักราว 60 เปอร์เซนต์ และประมาณ 40 เปอร์เซนต์สำหรับภาษาฝรั่งเศส โดยภาษาเยอรมันมีผู้พูดน้อยกว่า 1 เปอร์เซนต์[1] ผู้พูดภาษาดัตช์ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือของประเทศ โดยเป็นภาษาทางการของเขตฟลามส์และชุมชนฟลามส์ และหนึ่งในสองภาษาทางการของเขตเมืองหลวง ผู้พูดภาษาฝรั่งเศสกระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นภาษาทางการของชุมชนฝรั่งเศส อีกหนึ่งภาษาทางการของเขตเมืองหลวง และภาษาหลักของเขตวัลลูน ภาษาเยอรมันมีผู้พูดอยู่ในเขตชายแดนตะวันออกของประเทศ เป็นภาษาทางการในบางส่วนของวัลลูน ภาษาอื่น ๆ ที่มีผู้พูดในเบลเยียมได้แก่ ภาษาวัลลูน ภาษาปีการ์ ภาษาช็องเปอนัว และภาษาลอแร็ง",
"ตูลูซ () เป็นเทศบาลในจังหวัดโอต-การอน ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองหลวงของแคว้นมีดี-ปีเรเน ซึ่งติดกับประเทศสเปน แต่มีพรมแดนธรรมชาติ คือ เทือกเขาพิเรนีสคั่นไว้ ตูลูซเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สี่ของประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันมีประชากรอยู่ราว 1,300,000 คน เป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมการบินของโลก โดยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่และโรงงานของแอร์บัส นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของอินเทลภาคพื้นยุโรปตลอดจนหน่วยงานด้านอวกาศของฝรั่งเศส\nตูลูซ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองสำคัญแห่งอุตสาหกรรมการบิน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงงานแอร์บัส ผู้ผลิตเครื่องบินโดยสารรายใหญ่ระดับโลกของฝรั่งเศส ได้ชื่อว่าเป็น \"บ้านของแอร์บัส\" เนื่องจากเป็นที่อยู่อาศัยของพนักงานแอร์บัสมากกว่า 25,000 คน และยังเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตคองคอร์ด เครื่องบินความเร็วสูง และยังเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถไฟเตเฌเว รถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงระดับโลก อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสถาบันศึกษาอวกาศแห่งชาติตูลูซ ที่ได้ชื่อว่าเป็น \"นาซ่าแห่งยุโรป\" ที่มีพนักงานทำงานกว่า 10,000 คน อีกด้วย",
"นครบรัสเซลส์ (ฝรั่งเศส: \"Bruxelles-Ville\" หรือ \"Ville de Bruxelles\" , ดัตช์: \"Stad Brussel\" ) คือเขตเทศบาลที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองหลวงบรัสเซลส์ และยังถือเป็นเมืองหลวงของประเทศเบลเยียมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเบลเยียม",
"ลียง (; ; ) เป็นเมืองอยู่ทางตะวันออกตอนกลางของประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโรน และเมืองหลวงของแคว้นโอแวร์ญ-โรนาลป์ ตั้งอยู่ระหว่างปารีสกับมาร์แซย์ โดยอยู่ห่างจากปารีส 470 กิโลเมตร, ห่างจากมาร์แซย์ 320 กิโลเมตร, ห่างจากเจนีวา 160 กิโลเมตร, ห่างจากตูริน 280 กิโลเมตร และห่างจากมิลาน 450 กิโลเมตร ประชากรเมืองลียงมีชื่อว่า ลียงเน่ส์",
"ปารีสไม่ได้เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสหลังจากถูกโจมตีโดยพันธมิตรของประเทศอังกฤษคือพวกบูร์กงด์ (Burgondes) ในสงครามร้อยปี แต่ก็กลับมาเป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 1980 เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 (Charles VII, le Victorieux) สามารถยึดกรุงปารีสกลับคืนมา แม้ว่ากรุงปารีสเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7ก็ตัดสินใจที่จะประทับ ณ ปราสาทหุบเขาลัวร์ ต่อมาในช่วงสงครามศาสนาของฝรั่งเศส (Guerres de religion) กรุงปารีสเป็นฐานกำลังหลักของพวกคริสต์นิกายคาทอลิก โดยรุนแรงสุดในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมวันแซงต์-บาร์เตเลมี (Massacre de la Saint-Barthélemy) ในปี พ.ศ. 2115 ต่อในปี พ.ศ. 2137 พระเจ้าอองรีที่ 4 ได้ก่อตั้งราชสำนักในกรุงปารีสอีกครั้งหนึ่งหลังจากยึดเมืองมาจากพวกคาทอลิก ระหว่างสงครามกลางเมืองฟรงด์ (Fronde) ชาวปารีสได้ลึกฮือขึ้นประท้วงและก่อการจลาจล ซึ่งเป็นสาเหตุให้พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย หลบหนีออกจากกรุงปารีสในปี พ.ศ. 2191 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ย้ายราชสำนักอย่างถาวรไปยังแวร์ซายส์ในปี พ.ศ. 2225 ศตวรรษต่อมากรุงปารีสเป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติฝรั่งเศส มีการทลายคุกบัสตีย์ในปี พ.ศ. 2332 และล้มระบอบกษัตริย์ในปี พ.ศ. 2335",
"โอแซร์ () เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอียอนในแคว้นบูร์กอญ ประเทศฝรั่งเศส เมืองโอแซร์ตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศสระหว่างกรุงปารีสกับเมืองดีฌง โอแซร์เป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าและอุตสาหกรรมที่รวมทั้งการผลิตอาหาร การทำงานไม้ และแบตเตอรี นอกจากนั้นก็ยังมีความสำคัญในการผลิตเหล้าองุ่นที่มีชื่อเสียงที่รวมทั้งชาบลี",
"เปียงยาง () คือเมืองหลวงของประเทศเกาหลีเหนือ เป็นเขตแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศเกาหลีเหนือ ในอดีตนั้นเคยเป็นเมืองหลวงของหลายอาณาจักร เช่น ใน 2333 ปีก่อนคริสต์ศักราชนั้นเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโชซ็อนโบราณ ในสมัยนั้นมีชื่อว่าเมืองวังก็อมซ็อง ในปี ค.ศ. 427 ได้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโคกูรยอ มีชื่อว่าเมืองเปียงยาง จนถึงปี ค.ศ. 668 ที่อาณาจักรโคกูรยอล่มสลายลง",
"แอละแบมา มีชื่อเล่นว่า Yellowhammer หลังจากของรัฐแอละแบมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ \"หัวใจของ Dixie\" \"รัฐฝ้าย\" ต้นไม้รัฐเป็นไม้สนและ เมืองหลวงของเมืองแอละแบมาเป็นเมือง \"มอนต์กอเมอรี\"เมืองใหญ่ที่สุดของเมืองคือ\"เบอร์มิงแฮม\" ซึ่งเป็นเมืองที่มีการเติบโตเป็นเวลามากเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ ฮันต์สวิลล์ เมืองที่เก่าแก่ที่สุดคือมือถือก่อตั้งขึ้นโดยอาณานิคมฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1702 เป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส ลุยเชียนา.",
"อันเดอร์เลคต์ () หรือ อ็องแดร์แล็กต์ (ตามการออกเสียงในภาษาฝรั่งเศส) เป็นเทศบาลที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขตเมืองหลวงบรัสเซลส์ ติดต่อกับทางตะวันตกเฉียงใต้ของนครบรัสเซลส์ ครอบคลุมพื้นที่ 17.74 ตารางกิโลเมตรและประชากรกว่า 115,000 คน ในแต่ละปีจะมีเทศกาลงานออกร้านซึ่งได้รับการรับรองจากพระเจ้าวิลเลิมที่ 2 แห่งเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ พ.ศ. 2368 เป็นเทศกาลที่จัดการเฉลิมฉลองในหลายรูปแบบ รวมทั้งการแสดงของสัตว์ นิทรรศการกลางแจ้ง การแสดงดอกไม้ และขบวนแห่เพื่อเป็นเกียรติแด่นักบุญกาย ผู้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง นอกจากนี้อันเดอร์เลคต์ยังเป็นที่รู้จักจากแอร์.เอส.เซ. อันเดอร์เลคต์ ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงจากการแข่งขันทั้งในระดับทวีปและประเทศ"
] |
นกนางแอ่นแม่น้ำ เป็นนกตระกูลใด? | [
"นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา หรือ นกนางแอ่นเทียมคองโก (English: African River Martin) เป็นนกจับคอนหนึ่งในสองชนิดของวงศ์ย่อยนกนางแอ่นแม่น้ำในวงศ์นกนางแอ่น (Hirundinidae) เป็นนกขนาดกลาง มีขนสีดำ ตาสีแดง ปากอวบกว้างสีส้ม-แดง หางเหลี่ยม โครงสร้างต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่นคือ มีเท้าและขาแข็งแรง มีการเสนอให้แยกนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่พบในเอเชียที่เป็นนกสกุลเดียวกันออกเป็นอีกวงศ์ย่อย"
] | [
"แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ของชนิดแอฟริกาประกอบไปด้วย ป่าริมแม่น้ำ หรือเกาะที่มีตลิ่งทรายสำหรับทำรัง พื้นที่ทำรังของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรยังไม่ทราบแต่ถ้าแหล่งผสมพันธุ์วางไข่คล้ายคลึงกันจากความสัมพันธ์กับชนิดแอฟริกาก็จะเป็นหุบเขาที่มีแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลผ่านซึ่งมีตลิ่งทรายและเกาะสำหรับทำรัง และมีป่าให้นกบินจับแมลงกิน นางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาใช้ที่ราบชายฝั่งเป็นถิ่นอาศัยในฟดูหนาว บนพื้นฐานถิ่นอาศัยในฟดูหนาวเท่าที่ทราบซึ่งไม่ใช่แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรหากินในบริเวณพื้นที่เปิดโล่งใกล้แหล่งน้ำและเกาะคอนนอนตามพงอ้อหรือพืชน้ำในเวลากลางคืน",
"จากการตรวจสอบขั้นต้นยังไม่สามารถที่จะจำแนกนกชนิดนี้เข้ากับนกสกุลใด ๆ ของประเทศไทยได้ กิตติจึงได้เก็บตัวอย่างของตัวเบียน คือ เห็บ เหา และไร ของนกส่งไปให้สถาบันสมิธโซเนียนและพิพิธภัณฑ์บริติชช่วยตรวจและวิเคราะห์หาชนิดของนกดังกล่าว ผลก็คือมันมีเหาชนิดเดียวกับนกนางแอ่นแม่น้ำสกุล Pseudochelidon ซึ่งพบในแถบลุ่มน้ำคองโกของแอฟริกา และจากนั้นได้ทำการเปรียบเทียบลักษณะอวัยวะต่าง ๆ ภายในของนกตัวนี้กับตัวอย่างนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา (Pseudochelidoninal eurystominal) จึงลงความเห็นได้ว่านกตัวนี้จะต้องเป็นนกในสกุล Pseudochelidon อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่านกในสกุลนี้เคยมีเพียงชนิดเดียวคือนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา ดังนั้นนกที่ค้นพบที่บึงบอระเพ็ดนี้ นักปักษีวิทยาทั่วโลกจึงยอมรับว่าเป็นนกสกุล Pseudochelidon ชนิดใหม่ของโลก",
"นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกามีการกระจายพันธุ์ในวงแคบในหลายพื้นที่แต่สถานะภาพที่แท้จริงยังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรค้นพบในปี พ.ศ. 2512 และทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวมันน้อยมากจากตัวอย่างและหลักฐานเพียงเล็กน้อย ปัจจุบันไม่มีรายงานการพบในธรรมชาติแล้ว และแหล่งผสมพันธุ์วางไข่ก็ไม่เป็นที่ทราบ มันอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว แม้ว่าจะมีรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันในปี พ.ศ. 2547",
"นกนางแอ่นแม่น้ำอยู่ตรงกลางระหว่างนกนางแอ่นทั่วไปและนกจับคอนชนิดอื่น พวกมันมีปากอวบ เท้าใหญ่และขาแข็งแรงซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างจากนกหากินกลางอากาศชนิดอื่น มันมีอวัยวะส่วนที่ส่งเสียงมีขนาดใหญ่ และโครงสร้างที่แตกต่างกันของหลอดลม จากลักษณะของมันที่แตกต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่นและการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์ที่กว้างมากของนกนางแอ่นแม่น้ำทั้งสองแสดงว่าประชากรของกลุ่มสปีชีส์ได้แยกตัวออกจากเชื้อสายหลักของนกนางแอ่นตอนต้นของการวิวัฒนาการ และพวกมันอาจเป็นนกนางแอ่นชนิดที่โบราณที่สุด มันก็เหมือนนกนางแอ่นโบราณต้นเชื้อสายชนิดอื่นๆที่ทำรังในโพรงแทนที่จะทำหลุมรังหรือรังโคลน",
"นกนางแอ่นแม่น้ำ หรือ นกนางแอ่นเทียม () เป็นสกุลนกนางแอ่นในวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae ที่อยู่ในวงศ์นกนางแอ่น (Hirundinidae) ประกอบไปด้วย 2 สปีชีส์คือ นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา (\"Pseudochelidon eurystomina\") ที่พบในสาธารณรัฐคองโกและประเทศกาบอง และนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (\"Pseudochelidon sirintarae\") ที่พบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก เป็นนกนางแอ่นขนาดกลาง มีขนส่วนใหญ่เป็นสีดำ บินจับแมลงกินเป็นอาหาร พวกมันดูเหมือนจะใช้ชีวิตอยู่บนพื้นมากกว่านกนางแอ่นชนิดอื่น อาจเดินมากกว่าเกาะคอน และนกนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอาจหากินในเวลากลางคืน นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาทำรังบนตลิ่งทรายริมแม่น้ำโดยการขุดโพรงลงไป ส่วนแหล่งผสมพันธุ์วางไข่ของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรยังไม่ทราบ",
"เมื่อมีการค้นพบนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 กุสทัฟ ฮาร์ทเลาบ์ (Gustav Hartlaub) คิดว่ามันเป็นนกตะขาบและผู้แต่งหลังจากนั้นก็จัดวางมันอยู่ในวงศ์ของตนเองหรืออยู่ในวงศ์นกแอ่นพง จากการศึกษาทางกายวิภาคพบว่ามันเป็นญาติใกล้ชิดกับนกในวงศ์นกนางแอ่น แต่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างคือมีขาและเท้าแข็งแรงและมีปากอวบ สิ่งเหล่านี้แสดงว่าควรแยกมันออกเป็นวงศ์ย่อยต่างหาก นกนางแอ่นแม่น้ำทั้งสองชนิดจัดอยู่ในสกุลเดียวกันคือสกุล \"Pseudochelidon\" เพราะทั้งสองมีโครงสร้างที่คล้ายกัน แต่ บรูก เสนอว่านกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรควรแยกออกเป็นสกุล \"Eurochelidon\"",
"พฤติกรรมการผสมพันธุ์วางไข่เรารู้แค่เพียงพฤติกรรมของนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา มันทำรังเป็นอาณานิคมขนาดใหญ่ อาจมีมากถึง 800 ตัวในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายนเมื่อระดับน้ำในแม่น้ำลดลง คู่นกจะขุดโพรงลึก 1-2 เมตรบนตลิ่งทรายที่เปิดโล่ง ปลายสุดของโพรงจะมีรังทำด้วยกิ่งไม้และใบไม้ มันวางไข่ 2-4 ฟอง สีขาวไม่มีจุด มีพฤติกรรมการบินไล่กวดกันนอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมนี้บนพื้นดินด้วยแต่ยังไม่เป็นที่ทราบว่าทำเพื่ออะไร มันจะไม่ค่อยจับคอนในฤดูผสมพันธุ์แต่จะเดินบนพื้นดินแทน แม้ว่าจะมีการสมมุติว่านกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรจะมีพฤติกรรมการผสมพันธุ์วางไข่คล้ายนกชนิดแอฟริกาแต่ลักษณะของเท้าที่ต่างกันแสดงว่ามันอาจไม่ได้ใช้เท้าขุดโพรงเพื่อทำรัง",
"เมื่อตัวอย่างของนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาจากประเทศกาบองได้รับการจัดจำแนกครั้งแรกโดยนักสัตววิทยาชาวเยอรมัน กุสทัฟ ฮาร์ทเลาบ์ (Gustav Hartlaub) ในปี ค.ศ. 1861 มันไม่ได้ถูกระบุบเป็นนกนางแอ่น ฮาร์ทเลาบ์กลับจัดวางมันในวงศ์นกตะขาบ และผู้แต่งคนอื่นๆหลังจากนั้นก็จัดวางมันอยู่ในวงศ์ของมันเองหรือไม่ก็ในวงศ์นกแอ่นพง จากการศึกษากายวิภาคของนกชนิดนี้โดย เพอร์ซี โลว์ในปี ค.ศ. 1938 แสดงให้เห็นว่ามันเป็นญาติใกล้ชิดกับนกนางแอ่นแต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างเพียง พอที่จะแยกออกมาเป็นวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae\nชื่อสกุล \"Pseudochelidon\" มาจากภาษากรีกโบราณ คำหน้า \"ψευδο/pseudo\" แปลว่า \"ปลอม\" และคำหลัง \"χελιδον\"/\"chelidôn\" แปลว่า \"นกนางแอ่น\" เพื่อสะท้อนถึงความแตกต่างของมันจากนกนางแอ่นที่ \"แท้จริง\"",
"ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงจากทางธรรมชาติ เกิดจากการความแตกต่างของสภาพพื้นที่ และการใช้ชีวิตของการดำรงชีวิต เช่น นกนางแอ่น ในทะเล กับ นกนางแอ่น บนภาคพื้นที่อยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกันแต่ แตกต่างในการดำรงชีวิตและลักษณะของสภาพร่างกาย เป็นต้น",
"นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรกินแมลงเป็นอาหารเหมือนกับนกนางแอ่นชนิดอื่นรวมถึงพวกด้วงด้วย มันจับเหยื่อโดยการโฉบจับในอากาศ[2] จากขนาดและโครงสร้างปากที่พิเศษของนก มันอาจกินแมลงที่ตัวใหญ่กว่านกนางแอ่นชนิดอื่น[4] นกชนิดนี้มีลักษณะการบินที่ บินเรื่อย ลอยตัว ไม่รวดเร็วเท่านกนางแอ่นชนิดอื่น และก็เหมือนกับนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาที่ไม่ค่อยมีพฤติกรรมเกาะคอน[2] จากรูปทรงเท้าที่ผิดไปจากนกนางแอ่นชนิดอื่นและการที่พบโคลนที่เท้าในตัวอย่างหนึ่งของนกชนิดนี้แสดงว่านกชนิดนี้อาจจะอยู่บนพื้นมากกว่าเกาะคอน[12]",
"มีการกระจายพันธุ์ตามแม่น้ำคองโกและสาขารวมถึงแม่น้ำอูบองชี (Ubangi) ด้วย มันทำรังในโพรงบนตลิ่งทราย มีการกระจายพันธุ์ในวงจำกัดแม้จะถูกจับไปเป็นอาหารโดยคนในพื้นที่ มันเป็นนกอพยพ ในฤดูหนาวจะอพยพไปที่ราบชายฝั่งทางใต้ของประเทศกาบองและสาธารณรัฐคองโก แต่นกหลายตัวก็ยังคงผสมพันธุ์วางไข่ในเขตหนาวเย็น นกนางแอ่นชนิดนี้บินจับแมลงกินเป็นอาหาร และเดินบนพื้นมากกว่าจะเกาะคอน สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติจัดสถานะการอนุรักษ์เป็นยังไม่มีข้อมูล (DD) เพราะไม่มีข้อมูลของจำนวนประชากร",
"ทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายกัน แต่นกวัยอ่อนสีทึมกว่าและมีสีน้ำตาลคล้ำที่หัว การผลัดขนสู่่นกโตเต็มวัยจะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่อาศัยในฤดูหนาวและส่วนใหญ่จะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนตุลาคม นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาจะส่งเสียร้อง \"ชี ชี\" หรือคล้ายกันสั้นๆ และเมื่ออยู่เป็นฝูงจะร้อง เชียร์-เชียร์-เชียร์ เมื่ออยู่ระหว่างการอพยพจะส่งเสียงร้องคล้ายนกนางนวล นกบินได้เร็ว ดูแข็งแรงสลับกับการร่อน[3]",
"นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร หรือ นกนางแอ่นตาพอง (English: White-eyed River-Martin, ชื่อวิทยาศาสตร์: Pseudochelidon sirintarae หรือ Eurochelidon sirintarae) เป็นนกจับคอนหนึ่งในสองชนิดของสกุลนกนางแอ่นแม่น้ำในวงศ์นกนางแอ่น พบบริเวณบึงบอระเพ็ดในช่วงฤดูหนาวเพียงแห่งเดียวในโลก แต่อาจสูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523",
"ในกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการเก็บรังนกนางแอ่นขาย มีความเชื่อคล้ายคลึงกันว่า นกนางแอ่นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเสมือนของขวัญหรือสิ่งประทานจากพระผู้เป็นเจ้า ชาวไทยมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม เชื่อว่านกนางแอ่นเกิดจากหงาดเหงื่อของผู้นำศาสนานบีอิบรอฮีม และเชื่อว่านกนางแอ่นเป็นสัตว์ที่สามารถให้คุณหรือโทษได้ สอดคล้องกับความเชื่อของชาวพื้นเมืองบนเกาะปาลาวัน ในฟิลิปปินส์ ในชวากลางเชื่อว่า นกนางแอ่นเป็นสมบัติของเทพีนีโรโรดีคุล ในรัฐซาบาห์ ของมาเลเซีย เชื่อว่า นางนางแอ่นเป็นสิ่งที่ได้รับจากบรรพบุรุษและสถานที่ใดที่นกเข้าไปทำรังเสมือนกับผู้เป็นเจ้าของได้รับพรจากพระอัลเลาะห์",
"มีการลดจำนวนลงอย่างมากของประชากรนกนางแอ่นในบึงบอระเพ็ดจากหนึ่งแสนตัวในราวปี พ.ศ. 2513 เหลือเพียง 8,000 ตัวที่นับได้ในฤดูหนาวของปี พ.ศ. 2523-2524 แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจ แต่เหตุการณ์นี้คือการแสดงถึงการลดลงหรือเปลี่ยนถิ่นเนื่องมาจากการถูกรบกวน[4] สาเหตุอื่นที่ทำให้นกชนิดนี้ลดจำนวนลงประกอบด้วย จากการรบกวนบริเวณตลิ่งทรายแม่น้ำ การสร้างเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำ การแก้ไขอุทกภัย การประมง การตัดไม้ทำลายป่า และการเปลี่ยนแปลงถิ่นอาศัยเพื่อการเกษตร[13] อย่างน้อยนกนางแอ่นก็ยังชอบจับคอนตามพืชน้ำในบึงบอระเพ็ดมากกว่าตามไร่อ้อย แต่ก็ไม่ค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรในฝูงนกจับคอนเหล่านั้น[4]",
"แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรนั้นยังไม่มีการค้นพบ จึงไม่ทราบในชีววิทยาการขยายพันธุ์ของนกเลย แต่คาดกันว่ามันน่าจะคล้ายกับนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาโดยทำรังตามโพรงบริเวณตลิ่งทรายริมแม่น้ำ[10] วางไข่ชุดละ 2-3 ฟอง อาจเป็นในเดือนเมษายน-พฤษภาคมก่อนฝนจากมรสุมจะทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้น[2] แต่ความแตกต่างทางกายวิภาคของรูปร่างเท้าและขาทำให้รู้ว่ามันไม่สามารถขุดโพรงได้[11] ในฤดูหนาวพบว่ามันเกาะนอนอยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิดอื่น ๆ ที่เกาะอยู่ตามใบอ้อและใบสนุ่น[10] บางครั้งก็พบอยู่ในกลุ่มนกกระจาบและนกจาบปีกอ่อน",
"ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดโอกาสในการค้นพบคือมีการลดจำนวนลงอย่างมากของประชากรนกนางแอ่นในบึงบอระเพ็ดจากหนึ่งแสนตัวใน ราวปี ค.ศ. 1970 เหลือเพียง 8,000 ตัวที่นับได้ในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1980–1981 แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจ แต่เหตุการณ์นี้คือการแสดงถึงการลดลงหรือเปลี่ยนถิ่นเนื่องมาจากการถูกรบกวน สาเหตุอื่นที่ทำให้นกชนิดนี้ลดจำนวนลงประกอบด้วย จากการรบกวนบริเวณตลิ่งทรายแม่น้ำ การสร้างเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำ การแก้ไขอุทกภัย การประมง การตัดไม้ทำลายป่า และการเปลี่ยนแปลงถิ่นอาศัยเพื่อการเกษตร อย่างน้อยนกนางแอ่นก็ยังชอบจับคอนตามพืชน้ำในบึงบอระเพ็ดมากกว่าตามไร่อ้อย แต่ก็ไม่ค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรในฝูงนกจับคอนเหล่านั้น บึงบอระเพ็ดได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์เพื่อพยายามจะปกป้องนกชนิดนี้ แต่จากการสำรวจค้นหานกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่เหลือรอดซึ่งประกอบด้วยการสำรวจ ที่บึงบอระเพ็ดหลายครั้ง การสำรวจแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน และแม่น้ำวังในภาคเหนือของประเทศไทยปี ค.ศ. 1969 และการสำรวจของแม่น้ำในภาคเหนือของประเทศลาวในปี ค.ศ. 1996 กลับประสบความล้มเหลวในการค้นหานกชนิดนี้ มีการพบเห็นที่เป็นไปได้แต่ยังไม่มีการตรวจสอบว่าพบนกชนิดนี้ในปี ค.ศ. 2004",
"ขนาดประชากรของนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกายังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ตอนปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 สามารถพบเห็นได้บ่อยในท้องถิ่นและพบเห็นนกอพยพจำนวนมากในประเทศกาบอง แต่ไม่เป็นที่ทราบมากนักถึงจำนวนประชากรในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และไม่เป็นที่ทราบความถึงสัมพันธ์ของการผสมพันธุ์วางไข่ของนกในสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยคองโกกับการผสมพันธุ์วางไข่ในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งของประเทศ กาบองและสาธารณรัฐคองโก มีการพบฝูงนกถึง 15,000 ตัวในปี ค.ศ. 1997 ซึ่งถ้ารวมนกจาบคาสีกุหลาบ (Merops malimbicus) ด้วยแล้วจะมีนกถึง 100,000 ตัว เนื่องจากไม่มีรายละเอียด นกชนิดนี้จึงถูกจัดสถานะการอนุรักษ์เป็นยังไม่มีข้อมูล (DD) โดย IUCN ในคริสต์ทศวรรษ 1950 นกแอ่นแม่น้ำแอฟริกาโดนจับและรับประทานจำนวนมากในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกโดยคนท้องถิ่น และการกระทำเช่นนี้อาจกำลังเพิ่มขึ้น แม้อาณานิคมการผสมพันธุ์วางไข่ของนกบริเวณตลิ่งทรายริมแม่น้ำมีแนวโน้มที่จะถูกน้ำท่วม แต่ก็มีนกจำนวนหลายพันตัวมาผสมพันธุ์วางไข่บริเวณทุ่งหญ้าทางตะวันออกของเมืองแกมบา (Gamba) เมื่อปี ค.ศ. 2005",
"เป็นเวลาหลายปีที่นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาเป็นเพียงชนิดเดียวในสกุลและวงศ์ย่อยจนกระทั่งมีการค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (\"Pseudochelidon eurystomina\") โดยนักปักษีวิทยาชาวไทย กิตติ ทองลงยา ในปี ค.ศ. 1968 แม้ว่าผู้แต่งบางคนอย่างเช่น บรูค จะจัดวางนกชนิดนี้ไว้ในสกุล \"Eurochelidon\" ที่แยกออกมาต่างหากเพราะลักษณะที่เป็นมีนัยยะสำคัญแต่งจากชนิดแอฟริกา แต่ก็ยังอยู่ในวงศ์ย่อยเดียวกัน จากการศึกษาทางพันธุศาสตร์ยืนยันว่านกนางแอ่นแม่น้ำทั้งสองชนิดมากจากเครือบรรพบุรุษที่ต่างกันกับนกนางแอ่นในวงศ์ย่อย Hirundininae",
"นกอีกชนิดหนึ่งในสกุลเดียวกันคือนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (Pseudochelidon sirintarae) ที่พบเพียงแห่งเดียวในโลกคือบึงพอระเพ็ดในประเทศไทยและอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว ทั้งสองชนิดมีลักษณะเด่นที่แยกได้จากนกนางแอ่นอื่นๆหลายประการ ประกอบด้วย ขาและเท้าแข็งแรง ปากอวบ อวัยวะส่วนที่ส่งเสียงมีขนาดใหญ่ และโครงสร้างที่แตกต่างกันของหลอดลม[3] จากการศึกษาทางพันธุศาสตร์ยืนยันว่านกนางแอ่นแม่น้ำทั้งสองชนิดมาจากเครือบรรพบุรุษที่ต่างจากนกนางแอ่นในวงศ์ย่อย Hirundininae[7]",
"ช่วงผสมพันธุ์วางไข่นกมักจะไม่เกาะคอนแต่จะเดินบนพื้นแทน แต่เมื่อฤดูหนาวนกจะเกาะบนยอดไม้ สายไฟ และหลังคาบ้านเป็นปกติ มีพฤติกรรมการบินไล่กวดกันรวมถึงบนพื้นดินด้วย แต่พฤติกรรมไล่กวดกันนี้ยังไม่ทราบว่ามีไว้เพื่อสิ่งใด[3] นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาหากินเป็นฝูงเหนือแม่น้ำและป่า กินแมลงโดยเฉพาะมดมีปีกเป็นอาหาร[11]",
"นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นสมาชิกหนึ่งในสองของนกนางแอ่นแม่น้ำในวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae อีกชนิดหนึ่งคือนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา (Pseudochelidon eurystomina) ที่พบในลุ่มน้ำคองโกในทวีปแอฟริกา ทั้งสองชนิดมีคุณลักษณะพิเศษที่แยกนกทั้งสองชนิดออกจากนกนางแอ่นชนิดอื่น ประกอบไปด้วย เท้าและขาที่แข็งแรง และปากอวบ[2] จากลักษณะที่ต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่นและแยกไกลกันทางภูมิศาสตร์ของนกนางแอ่นทั้งสองชนิดแสดงว่านกเหล่านี้เป็นประชากรส่วนที่เหลือของกลุ่มสปีชีส์ที่แยกออกจากเชื้อสายหลักของนกนางแอ่นก่อนที่จะมีการวิวัฒนาการ[2]",
"นกนางแอ่นแอฟริการ้อง \"ชี ชี\" หรือ \"เชียร์-เชียร์-เชียร์\" เมื่อบินกันเป็นฝูง ระหว่างการอพยพจะส่งเสียงร้องห้าวคล้ายนกนางนวลและเสียงกรุ๋งกริ๋งคล้ายกระพรวน ไม่มีการบรรยายถึงเสียงร้องของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร",
"นกนางแอ่นทั้งสองชนิดเป็นนกขนาดกลาง ยาว 14-18 ซม. ขนสีดำคล้ายนกนางแอ่นส่วนใหญ่ มีหัวขนาดใหญ่ สีเหลือบฟ้า ลำตัวเจือสีเขียว ปีกสีน้ำตาล ทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายกัน นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมีขนหางคู่กลางมีแกนยื่นออกมาเป็นเส้นเรียวแผ่ตรงปลาย ตะโพกขาว ตาและวงขอบตาขาว และปากสีเหลือง นกนางแอ่นแอฟริกามีวงตาและปากสีแดง ไม่มีแต้มตรงตะโพก นกวัยอ่อนของทั้งสองชนิดคล้ายนกโตเต็มวัย แต่มีหัวสีน้ำตาล นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรไม่มีขนหางคู่กลางมีแกนยื่นออกมา",
"นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาออกหากินเป็นฝูงเหนือแม่น้ำและป่า บ่อยครั้งที่หากินไกลจากแหล่งน้ำ มันกินแมลงส่วนมากจะเป็นมดมีปีก บินได้แข็งแรงและเร็ว ร่อนบ้างบางครั้ง ในฤดูหนาวนกจะเกาะบนยอดไม้ สายไฟ และหลังคาบ้านเสมอๆ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรกินแมลงอาจรวมถึงพวกด้วงด้วยซึ่งเป็นอาหารที่จับได้ระหว่างการบิน ด้วยปากที่กว้างมันอาจกินแมลงตัวใหญ่กว่านกนางแอ่นชนิดอื่น นกชนิดนี้บินนุ่มนวล ลอยเรื่อย และไม่ค่อยเกาะคอนเหมือนนกชนิดแอฟริกา พฤติกรรมนี้สันนิษฐานจากรูปทรงเท้าที่ผิดไปจากนกนางแอ่นชนิดอื่นและการที่พบโคลนที่เท้าใน ตัวอย่างหนึ่งของนกชนิดนี้แสดงว่านกชนิดนี้อาจจะอยู่บนพื้นมากกว่าเกาะคอน ในฤดูหนาว พบมันเกาะคอนรวมกับนกนางแอ่นบ้านตามพืชจำพวกอ้อ พาเมลา ซี. รัสมูสเซน (Pamela C. Rasmussen) เสนอว่าด้วยดวงตาที่ใหญ่ผิดปกติ นกชนิดนี้อาจหากินเวลากลางคืนหรืออย่างน้อยก็ช่วงพลบค่ำหรือรุ่งเช้า ด้วยปัจจัยนี้จึงทำให้มันดูลึกลับและอธิบายได้บางส่วนว่าทำไมนกที่เหลือถึง ไม่พบเห็นมาเป็นเวลานานแล้ว แม้ว่าข้อเท็จจริงที่คาดว่าตัวอย่างแรกจับมาได้ขณะเกาะคอนในเวลากลางคืนในพง อ้ออาจจะขัดแย้ง แต่อาจเป็นไปได้ว่ามันไม่ได้ถูกจับขณะเกาะคอน หรือพฤติกรรมของมันอาจจะสามารถหากินได้ทั้งทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืน ขึ้นอยู่กับฤดูกาลหรือสภาวะแวดล้อม",
"ขนาดประชากรของนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกายังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ตอนปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 สามารถพบเห็นได้บ่อยในท้องถิ่นและพบเห็นนกอพยพจำนวนมากในประเทศกาบอง แต่ไม่เป็นที่ทราบมากนักถึงจำนวนประชากรในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และไม่เป็นที่ทราบความถึงสัมพันธ์ของการผสมพันธุ์วางไข่ของนกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกกับการผสมพันธุ์วางไข่ในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งของประเทศกาบองและสาธารณรัฐคองโก มีการพบฝูงนกถึง 15,000 ตัวในปี ค.ศ. 1997 ซึ่งถ้ารวมนกจาบคาสีกุหลาบ (Merops malimbicus) ด้วยแล้วจะมีนกถึง 100,000 ตัว และมีการพบนกสองสามร้อยตัวที่อุทยานแห่งชาติคอนเคาติ-โดลิ (Conkouati-Douli National Park) ในปี ค.ศ. 1996 แต่เนื่องจากไม่มีรายละเอียด นกชนิดนี้จึงถูกจัดเป็นยังไม่มีข้อมูล (DD) โดย IUCN[1]",
"นกนางแอ่นแม่น้ำทั้งสองชนิดอยู่กึ่งกลางระหว่างนกนางแอ่นทั่วไปและนกเกาะคอนอื่นๆ ขอบเขตของความแตกต่างจากนกนางแอ่นอื่นและการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์ที่กว้างมากของนกนางแอ่นทั้งสองแสดงว่าประชากรของกลุ่มสปีชีส์ได้แยกตัวออกจากเชื้อสายหลักของนกนางแอ่นตอนต้นของการวิวัฒนาการ[3] และพวกมันอาจเป็นสปีชีส์ของนกนางแอ่นที่โบราณที่สุด[8] มันก็เหมือนนกนางแอ่นโบราณต้นเชื้อสายอื่นๆที่ทำรังในโพรงแทนที่จะทำหลุมรังหรือรังโคลน[9]",
"เมื่อมีการค้นพบนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 กุสทัฟ ฮาร์ทเลาบ์ (Gustav Hartlaub) นักสัตวศาสตร์ชาวเยอรมันได้จัดจำแนกมันเป็นนกตะขาบในปี ค.ศ. 1861[2] และผู้แต่งคนอื่นๆหลังจากนั้นก็จัดวางมันอยู่ในวงศ์ของตนเองหรืออยู่ในวงศ์นกแอ่นพง จากการศึกษากายวิภาคของนกชนิดนี้โดย เพอร์ซี โลว์ในปี ค.ศ. 1938 แสดงให้เห็นว่ามันเป็นญาติใกล้ชิดกับนกนางแอ่นแต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างเพียงพอที่จะแยกออกมาเป็นวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae[3] [4] ชื่อสกุล Pseudochelidon (Hartlaub, 1861) มาจากภาษากรีกโบราณ คำหน้า ψευδο/pseudo แปลว่า \"ปลอม\" และคำหลัง χελιδον/chelidôn แปลว่า \"นกนางแอ่น\"[5] ชื่อชนิดสะท้อนถึงความคล้ายคลึงกันอย่างผิวเผินกับนกตะขาบสกุล Eurystomus[6]",
"นกนางแอ่นแม่น้ำทั้งสองชนิดมีพิสัยทางภูมิศาสตร์ของถิ่นอาศัยที่แยกออกจากกัน นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาผสมพันธุ์วางไข่ตลอดแม่น้ำคองโกและแม่น้ำอูบองชีในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มันเป็นนกอพยพฤดูหนาวในที่ราบชายฝั่งในทางตอนใต้ของประเทศกาบองและสาธารณรัฐคองโก เมื่อเร็วๆนี้มีการค้นพบรักของนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาบริเวณสันชายหาดและทุ่งหญ้าในพื้นที่ชายฝั่งที่อาศัยในฤดูหนาว นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรพบเพียงแหน่งเดียวจากพื้นที่อาศัยในฤดูหนาวที่บึงบอระเพ็ดในประเทศไทย ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ มันอาจเป็นนกอพยพ แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ยังไม่เป็นที่ทราบ แม้ว่าหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านในภาคเหนือของประเทศไทยหรือทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนนั้นอาจจะเป็นแหล่งผสมพันธุ์วางไข่ หรืออาจเป็นประเทศกัมพูชาหรือพม่า แต่ยังมีข้อสงสัยว่ามันจะเป็นนกอพยพทั้งหมดหรือไม่"
] |
บิดาแห่งฟิสิกส์คือใคร? | [
"กาลิเลโอ กาลิเลอี (Italian: Galileo Galilei; 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 - 8 มกราคม ค.ศ. 1642) เป็นชาวทัสกันหรือชาวอิตาลี ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย งานที่โดดเด่นเช่นการพัฒนาเทคนิคของกล้องโทรทรรศน์และผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญจากกล้องโทรทรรศน์ที่พัฒนามากขึ้น งานของเขาช่วยสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสอย่างชัดเจนที่สุด กาลิเลโอได้รับขนานนามว่าเป็น \"บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่\"[1] \"บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่\"[2] \"บิดาแห่งวิทยาศาสตร์\"[2] และ \"บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่\"[3]"
] | [
"เขาเกิดในครอบครัวที่ทำสาเก เต้าเจี้ยว และซอสถั่วเหลืองขายในหมู่บ้านโคซูงายะ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองโทโกนาเมะ) ทางชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรชิตะ ในจังหวัดไอจิ โดยเป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสี่คน โดยเขาได้รับการฝึกสอนจากบิดามาตั้งแต่ยังเยาว์วัยเพื่อสืบทอดกิจการครอบครัว อย่างไรก็ตามเขาพบว่าตัวเองนั้นชอบคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ จึงตัดสินใจไปศึกษาต่อและจบการศึกษาสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยหลวงโอซากะในปี 1944 และจึงเข้ารับราชการทหารในกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ยศนายเรือตรีระหว่างสงครามแปซิฟิก ซึ่งระหว่างรับราชการทหารนี้เอง ทำให้เขาได้รู้จักกับมาซารุ อิบูกะ ซึ่งทำงานอยู่ในคณะกรรมการการวิจัยกาลสงครามทหารเรือ",
"ท่านหญิงเริ่มจะเข้ามาอยู่ในวังเมื่องานรัชมังคลาภิเษก เสด็จในกรมพระบิดาต้องเสด็จเข้ามาจากอุบล ฯ เนื่องในงานนั้นท่านหญิงจึงตามเสด็จพระบิดามาในงานนั้นด้วย ในเวลานั้นท่านหญิงน่ารักน่าเอ็นดู\nเสียจริง ๆ เสด็จในกรมพระบิดาทรงเป็นผู้สนพระทัยในการแต่งกายของผู้หญิง ท่านช่างแต่งตัวสวยงามและแปลกตาผู้พบเห็น สมัยนั้นสตรีบรรดาศักดิ์ นอกจากเจ้าน้อยดารารัศมี (พระราชชายา)แล้ว ก็ไม่มีใครนุ่งถุง(ผ้าซิ่น) มีแต่ก๊กในกรมนี้แห่งเดียว ทรงช่างแต่งประทานลูกเมียท่านทุกคน บนเกศาก็ประดับดอกไม้สดบ้าง ดอกไม้ทองประกอบลูกปัดขาว เช่นทำเป็นดอกเกศเมือง งามน่าเอ็นดูมาก ผ้าถุงไหมเชิงทองเวลานั้นยังไม่มีใครแต่งวิธีนุ่งก็ยาวถึงข้อเท้าแบบแต่งราตรีสมัยนี้ ท่านใช้แพรหรือลูกไม้กว้าง ๆแต่พันเข้ารูปเป็นเสื้อเสร็จในตัว ไม่ต้องตัดเป็นชิ้นเป็นตะเข็บ เมื่อเสร็จแล้วดูงามมาก แต่จะต้องเป็นทรงในแบบเสื้อแจคเก็ต(jacket) ที่ไม่มีชายเอวคลุมนอกผ้าถุง แต่ให้กลายเป็นชายห้อยเข้าที",
"โดยพระเยซูเคยตรัสว่า \"ไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้\" ซึ่งในพันธสัญญาใหม่เรียกพระเจ้าว่า \"พระบิดา\" 245 ครั้ง และในบทข้าพเจ้าเชื่อซึ่งเป็นบทอธิษฐานที่สำคัญมากบทหนึ่งของคริสต์ศาสนิกชน ส่วนหนึ่งว่า \"ข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา\" แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดาและพระบุตรไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดเหตการณ์หนึ่งและไม่ได้อยู่ภายใต้กาลเวลา",
"คริสทีอัน ด็อพเพลอร์ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1803 บิดาของเขาเป็นช่างก่ออิฐ ด็อพเพลอร์ไม่ได้เจริญรอยตามบิดาเนื่องจากเขามีสุขภาพไม่แข็งแรง เขาเรียนปรัชญาที่ซาลซ์บูร์ก ก่อนจะเรียนต่อด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเวียนนา หลังเรียนจบ เขาทำงานที่มหาวิทยาลัยเทคนิคในปราก (ปัจจุบันอยู่ในเช็กเกีย) ในปี ค.ศ. 1842 ด็อพเพลอร์ออกหนังสือ \"On the colored light of the double stars and certain other stars of the heavens\" ที่พูดถึงปรากฏการณ์ด็อพเพลอร์ ซึ่งเขาใช้อธิบายถึงสีของระบบดาวคู่ ต่อมาในปี ค.ศ. 1847 ด็อพเพลอร์ย้ายไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และกลศาสตร์ที่สถาบันแห่งหนึ่งในราชอาณาจักรฮังการี (ปัจจุบันอยู่ในสโลวาเกีย) สองปีต่อมา เขาก็ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการสถาบันฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยเวียนนา ที่นั่นเขาได้มีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเกรเกอร์ เมนเดล",
"ในปี1952, George Gamow, หนึ่งในบิดาแห่งการค้นพบจักรวาลวิทยา ได้ตั้งชื่อช่วงก่อนเกิดบิกแบงว่ายุคออกัสทิเนียน, ภายหลังจากที่นักปราชญ์นามว่า Saint Augustine, เสนอว่าเวลาเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับจักรวาล ดังนั้นช่วงก่อนเกิดบิกแบงจึงไม่มีเวลา คำว่า \"ยุคออกัสทิเนียน\" หมายถึงแนวคิดที่ขัดแย้งกับความรู้ทางฟิสิกส์ในภาวะเอกฐาน ของ ความหนาแน่นที่มีค่าสูงขึ้นอย่างไม่จำกัดขณะที่เวลาในอดีตจำกัดอยู่ค่าหนึ่ง,จากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บอกว่าจะไม่มีสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งขัดแย้งกันแต่นักฟิสิกส์ยังพยายามที่จะข้ามพ้นข้อจำกัดนั้นโดยใช้ ทฤษฎีโน้มถ่วงเชิงควอนตัม ",
"ไม่มีการพยายามในการเขียนภาพพระบิดาในรูปของมนุษย์ในคริสต์สหัสวรรษแรก เพราะชาวคริสต์ยุคแรกถือตามพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัดว่า \"พระองค์จึงตรัสว่า \"เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้\" \" และ \"ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย\" ",
"กาลิเลโอเป็นผู้ริเริ่มการทดลองทางวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณซึ่งสามารถนำผลไปใช้ในการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ต่อได้โดยละเอียด การทดลองวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นยังเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพอยู่มาก เช่นงานของวิลเลียม กิลเบิร์ตเกี่ยวกับแม่เหล็กและไฟฟ้า พ่อของกาลิเลโอ คือวินเชนโซ กาลิเลอี เป็นนักดนตรีลูทและนักดนตรีทฤษฎี อาจเป็นคนแรกเท่าที่เรารู้จักที่สร้างการทดลองแบบไม่เป็นเชิงเส้นในวิชาฟิสิกส์ขึ้น เนื่องจากการปรับตั้งสายเครื่องดนตรี ตัวโน้ตจะเปลี่ยนไปตามรากที่สองของแรงตึงของสาย[15] ข้อสังเกตเช่นนี้อยู่ในกรอบการศึกษาด้านดนตรีของพวกพีทาโกเรียนและเป็นที่รู้จักทั่วไปในหมู่นักผลิตเครื่องดนตรี แสดงให้เห็นว่าคณิตศาสตร์กับดนตรีและฟิสิกส์มีความเกี่ยวพันกันมานานแล้ว กาลิเลโอผู้เยาว์อาจได้เห็นวิธีการเช่นนี้ของบิดาและนำมาขยายผลต่อสำหรับงานของตนก็ได้[16]",
"สสารควบแน่นโพส-ไอน์สไตน์ได้รับการพยากรณ์ว่ามีอยู่จริงโดยไอน์สไตน์ในปี ค.ศ. 1925 หลังจากที่ศึกษาผลงานของสัตเยนทระ นาถ โพส แต่ก็ไม่มีใครทำให้สสารดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริงจนกระทั่งถึงปี 1995 ซึ่งส่งผลให้การค้นพบดังกล่าวได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2001 ต้นฉบับงานเขียนของไอน์สไตน์ก็เพิ่งถูกค้นพบอีกครั้งในปี 2005 นี่เอง",
"โรเบิร์ต บอยล์ (; FRS; 25 มกราคม ค.ศ. 1627 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 1691) เป็นชาวแองโกล-ไอริช เป็นนักปรัชญาธรรมชาติ นักเคมี นักฟิสิกส์ และนักประดิษฐ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผลงานที่โดดเด่นของบอยล์คือ เป็นผู้คิดค้นกฎของบอยล์ ซึงอธิบายว่า ความสัมพันธ์เชิงสัดส่วนจะผกผันระหว่างความดันสัมบูรณ์และปริมาตรของก๊าซ ถ้าอุณหภูมิถูกทำให้คงที่ภายในระบบปิด (ทางฟิสิกส์)\nโรเบิร์ต บอยล์เกิดที่ปราสาทลิสมอร์ เคานตี้วอเตอร์ฟอร์ด ประเทศไอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2170 เป็นบุตรคนที่ 7 ในครอบครัวที่มีฐานะดี บิดาชื่อริชาร์ด บอยล์ มีฐานะร่ำรวยที่สุดของอังกฤษในสมัยนั้น และมีฐานันดรศักดิ์สูง คือ เอิร์กแห่งคอร์ก (Eark fo Cork) บิดาเป็นคนที่เลี้ยงดูบุตรอย่างเข้มงวดมาก ในตอนเด็กบอยล์มีความจำที่ดีมาก สามารถสนทนาภาษาละตินและฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่วตั้งแต่อายุ 8 ขวบ บิดาจึงส่งไปเรียนที่วิทยาลัยอีตัน และบอยล์ก็เรียนหนังสือเก่ง เมื่ออายุ 11 ขวบ บอยล์ถูกส่งไปเรียนต่อที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และใช้เวลาเรียนกับการเดินทาง เพื่อเพิ่มประสบการณ์ชีวิตในยุโรปนาน 6 ปี จึงเดินทางกลับเพราะได้ข่าวบิดาเสียชีวิตและครอบครัวกำลังแตกแยก เนื่องจากพี่น้องบางคนสนับสนุนกษัตริย์และบางคนสนับสนุน โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Oliver Cromwell) เมื่อกลับถึงอังกฤษ บอยล์เดินทางไปพำนักที่คฤหาสน์สตอลบริดจ์ในดอร์เซต ครั้นเมื่อพี่ชายชื่อโรเจอร์ และพี่สาว เลดี้ แรนเนอลาจ์ (Lady Ranelagh) เห็นบอยล์มีความสามารถทางภาษาจึงสนับสนุนให้เขาลองทำงานด้านวรรรกรรมกับกวี จอห์น มิลตัน แต่โดยไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือสนุก จึงหันไปสนใจวิชาเกษตรศาสตร์และเบนความสนใจไปทางด้านแพทยศาสตร์ จน",
"ในขณะนั้นเมื่อมีใครเอ่ยถึงออพเพนไฮเมอร์ ทุกคนจะนึกถึงชายวัย 38 ปี ผู้เป็นหัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ในโครงการแมนฮัตตัน ที่ได้รวบรวมนักฟิสิกส์ นักเคมี และวิศวกรระดับสุดยอดนับ 6,000 คน มาสร้างระเบิดปรมาณู เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยให้มาทำงานร่วมกันที่ลอสอาลาโมสในรัฐนิวเม็กซิโก อย่างลับสุดยอด คือ ไม่ให้ฝ่ายเยอรมนีรู้อย่างเด็ดขาด ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังสร้างระเบิดมหาประลัย และให้กองทัพนักวิทยาศาสตร์ทำงานร่วมกับกองทัพทหารอย่างใกล้ชิด อย่างหนัก และอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็ประจักษ์ว่าเขาคือ บุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถประคับประคองและประสานความแตกต่างระหว่างความคิดเห็น อย่างเสรีของบรรดานักการเมืองและนักวิชาการกับความลับของทหารได้ เช่น เวลา ฮันส์ เบเทอ ขัดแย้งกับเออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ และEdward Teller (บิดาของระเบิดไฮโดรเจน) เขาต้องเก่งพอที่จะตัดสินได้ว่า เทคนิคใดเหมาะสม และเป็นไปได้ หรือเวลาประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนขัดแย้งกับ J. Edgar Hoover แห่งเอฟบีไอ และนายพล Leslie Groves ผู้เป็นหัวหน้าโครงการแมนฮัตตัน เขาต้องถูกมะรุมมะตุ้มด้วยกระสุนวาจาจากบุคคลเหล่านี้ตลอดเวลาทำงาน และเขาก็ตระหนักว่า ถึงจะเป็นนักวิชาการที่เก่ง แต่อำนาจทางการเมืองก็เหนือกว่า ฉะนั้นเมื่อใดที่ทั้งสองข้างปะทะกัน นักวิชาการก็ต้องถอย",
"แต่ละชาติร่วมมือกันเพื่อต่อต้านนโปเลียน โดยบรรดารัฐเยอรมันได้เข้าร่วมด้วย เป็นเหตุให้คนหนุ่มผู้รักชาติอย่างเกออร์ค ซีม็อน โอห์ม พยายามที่จะเข้าไปเป็นทหารอาสาสมัครในกองทัพต่อต้านนโปเลียน แต่ถูกบิดาของเขาคัดค้านเพราะเห็นว่าความรู้ที่โอห์มมีจะมีประโยชน์แก่ประเทศชาติมากกว่าที่เขาจะไปออกรบทำศึก เมื่อโอห์มใคร่ครวญดูแล้วก็มีความเห็นตามคำแนะนำของบิดา เขาจึงกลับมาเป็นอาจารย์เช่นดังเดิม ค.ศ. 1817 โอห์มได้ศึกษาค้นคว้าและพิมพ์ผลงานของเขาออกเผยแพร่ ปรากฏว่าผลงานของโอห์มเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย จึงทรงแต่งตั้งให้โอห์มดำรงตำแหน่งอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์และวิชาฟิสิกส์ในโรงเรียนเยสุอิตแห่งโคโลญ",
"การหาเงินเลี้ยงชีพนั้นลำบาก บิดาของเราก็หามาอย่างนี้ ต่างไม่มีเวลาว่างกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่รีบหาให้มั่งมี ก็เป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีใครนับหน้าถือตา เข้าหมู่เพื่อนบ้านก็อับอาย ไม่เทียมหน้าเขา บุรพชนต้นสกุลก็ทำมาอย่างนี้เหมือนกัน จนถึงบิดาเราและตัวเราในบัดนี้ ก็คงทำอยู่อย่างนี้ ก็บัดนี้บุรพชนทั้งหลายได้ตายไปหมดแล้ว แม้เราก็จักตายเหมือนกัน เราจะมัวแสวงหาทรัพย์อยู่ทำไม ตายแล้วเอาไปไม่ได้ บวชดีกว่า ท่านบอกว่าเริ่มอธิษฐานมาตั้งแต่อายุ 19 ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อตกลงใจบวชไม่สึกแล้ว จิตคิดเป็นห่วงมารดาเกิดขึ้น จึงขะมักเขม้นทำงานสะสมทรัพย์ เพื่อให้มารดาเอาไว้ใช้เลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิต",
"การทดสอบของนักฟิสิกส์ ดร.ชอน คาร์ลสัน ที่เป็นการทดลองแบบอำพรางสองฝ่าย (double-blind) ที่โหร 28 คนตกลงที่จะจับคู่แผนภูมิการเกิด (natal chart) กับบทวิเคราะห์ลักษณะบุคลิกภาพทางจิตวิทยาที่ทำโดยการทดสอบแบบ California Psychological Inventory เป็นการทดสอบโหราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดการหนึ่ง[23][24] และผลงานทดลองได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อถือสูงคือ เนเจอร์[10]:67 การอำพรางทั้งสองด้าน เป็นการปิดไม่ให้ทั้งโหรและผู้ดำเนินการทดลองรู้ว่า แผนภูมิการเกิดและบทวิเคราะห์ทางจิตวิทยา เป็นของใครต่อของใคร เป็นวิธีกำจัดความเอนเอียงที่อาจจะเกิดได้ในการทดลอง[10]:67",
"นิวตันยังคงมีอิทธิพลต่อนักวิทยาศาสตร์มาตลอด เห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน (ซึ่งนิวตันเคยเป็นประธาน) เมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยถามว่า ใครเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อประวัติศาสตร์แห่งวิทยาศาสตร์มากกว่ากันระหว่างนิวตันกับไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์แห่งราชสมาคมฯ ให้ความเห็นโดยส่วนใหญ่แก่นิวตันมากกว่า[41] ปี พ.ศ. 2542 มีการสำรวจความคิดเห็นจากนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกปัจจุบัน 100 คน ลงคะแนนให้ไอน์สไตน์เป็น \"นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล\" โดยมีนิวตันตามมาเป็นอันดับสอง ในเวลาใกล้เคียงกันมีการสำรวจโดยเว็บไซต์ PhysicsWeb ให้คะแนนนิวตันมาเป็นอันดับหนึ่ง[42]",
"ดิแรกได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในบิดาของควอนตัวฟิสิกส์ เขาเขียนตำราเกี่ยวกับวิชาควอนตัมชื่อว่า The Principle of Quantum Mechanics ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1930 และยังคงถือเป็น \"คำภีร์ไบเบิล\" ของวิชากลศาสตร์ควอนตัมจนถึงปัจจุบัน ",
"หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ได้กล่าวถึงอุปนิสัย และพระจริยวัตรโดยรวมของพระองค์ไว้ ความว่า \"พระองค์หญิงเฉลิมเขตรมงคลมีพระรูปโฉมเหมือนสมเด็จพระบิดาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพระอัธยาศัยก็คล้ายกันเป็นอันมาก กล่าวคือไม่มีใครเกลียดและไม่มีศัตรู เพราะไม่เป็นภัยกับใครเลย ไม่มีการเล่นพวก ไม่ด่าว่าค่อนแคะผู้ใด ไม่ดูถูกเหยียดหยามผู้ใด มีแต่ความซื่อสัตย์สุจริตและตามพระทัยพระองค์เอง เช่นเด็กที่เป็น Spoiled Child มาตั้งแต่เกิดเพราะไม่เคยมีใครขัดใจเท่านั้น ถ้ามีสิ่งใดที่เสียก็เป็นเรื่องที่ท่านทำพระองค์ท่านเอง ไม่มีผู้ใดต้องมาเสียหายด้วย เช่น ทรงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก็เป็นเงินของท่านเอง ไม่ได้ไปหยิบยืมใครมาให้เขาสูญทรัพย์\"",
"เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Ernest Rutherford, 30 สิงหาคม พ.ศ. 2414 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2480) หรือในชื่อที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ลอร์ด รัทเทอร์ฟอร์ด ได้รับการยกย่องให้เป็น \"บิดา\" แห่งฟิสิกส์นิวเคลียร์ เขาเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีการโคจรของอะตอม ชื่อของเขาได้นำไปใช้เป็นชื่อธาตุที่ 104 คือ รัทเทอร์ฟอร์เดียม",
"วิลเฮ็ล์ม เอดูอาร์ท เวเบอร์เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1804 ที่เมืองวิทเทินแบร์ค เป็นหนึ่งในบุตรจำนวน 13 คนของไมเคิล เวเบอร์ ศาสตราจารย์ด้านเทววิทยาที่มหาวิทยาลัยวิทเทินแบร์ค มีเพียงบุตรชาย 4 คนและบุตรสาว 1 คนที่มีชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เวเบอร์มีพี่น้องที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เช่นกันคือ แอ็นสท์ ไฮน์ริช เวเบอร์ (ค.ศ. 1795–1878) และเอดูอาร์ท เวเบอร์ (ค.ศ. 1806–1871) หลังได้รับการศึกษาจากบิดา เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมาร์ติน ลูเทอร์แห่งฮัลเลอ-วิทเทินแบร์คและต่อมาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษด้านปรัชญาธรรมชาติที่มหาวิทยาลัยดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1831 เวเบอร์ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเงินตามคำแนะนำของคาร์ล ฟรีดริช เกาส์ ในปี ค.ศ. 1833 เวเบอร์และเกาส์ร่วมกันคิดค้นโทรเลขแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อใช้ติดต่อระหว่างหอดูดาวเกิททิงเงินและสถาบันฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยในระยะ 1 กิโลเมตร",
"กฤษฎา พรเวโรจน์ เกิดในกรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายคนเล็กจากพี่น้อง 3 คน (พี่สาว 2 คน) เขาเติบโตมาในครอบครัวจีน-มอญ บิดาของเขาเป็นคนจีนทำธุรกิจค้าขาย ส่วนมารดาเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ มารดาจะเลี้ยงแบบตามใจ ซึ่งแตกต่างจากบิดาที่พยายามจะฝึกให้เขารู้จักช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งเป็นเหตุให้เขาถูกส่งไปเรียนชกมวยตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมามีโรงเรียนที่เมืองนอกตอบรับมาพอดี เขาจึงตัดสินใจที่จะไปศึกษาต่อที่เมืองนอกเพราะไม่อยากโตขึ้นเป็นนักมวย หลังจาก 10 ปี ที่ใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา เขาเคยเป็นคุณครูรับจ้างสอนวิชาฟิสิกส์ รวมไปถึงการเป็นคนคุมห้องคอมพิวเตอร์และตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับเครื่อง",
"เพาลีเกิดในกรุงเวียนนา เป็นบุตรนักเคมีชื่อ ว็อล์ฟกัง โยเซฟ เพาลี กับ เบร์ตา คามิลลา ชูทซ์ ชื่อกลางของเขาตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่พ่อทูนหัวซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ ชื่อ แอนสท์ มัค ต้นตระกูลของเพาลีเป็นตระกูลชาวยิวที่มีชื่อเสียงในกรุงปราก ปู่ทวดของเพาลีคือ วูล์ฟ พาสเคเลส เป็นนักหนังสือพิมพ์เชื้อสายเชก-ยิว แต่บิดาของเพาลีเปลี่ยนศาสนาจากยิวไปเป็นโรมันคาทอลิกเพียงไม่นานก่อนแต่งงานในปี พ.ศ. 2442 มารดาของเพาลี หรือ เบร์ตา ชูทซ์ เติบโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูแบบโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นศาสนาของมารดาของเธอ แต่บิดา (เฟียร์ดริช ชูทซ์) เป็นนักเขียนชาวยิว เพาลีเติบโตมาในศาสนาโรมันคาทอลิก แต่ในภายหลังทั้งตัวเขาและบิดามารดาก็ออกจากศาสนานั้น ",
"เมื่อท่านอายุครบอุปสมบทแล้ว บิดาและมารดาของท่านปรารถนาให้ท่านบวชด้วยหวังพึ่งใบบุญ แต่ท่านก็ไม่ตอบรับ ทำให้บิดาและมารดาของท่านถึงกับน้ำตาไหล ท่านจึงกลับพิจารณาออกบวชอีกครั้ง ที่สุดจึงตัดสินใจออกบวชโดยท่านกล่าวกับมารดาว่า \"เรื่องการบวชจะบวชให้ แต่ว่าใครจะมาบังคับไม่ให้สึกไม่ได้นะ บวชแล้วจะสึกเมื่อไหร่ก็สึก ใครจะมาบังคับว่าต้องเท่านั้นปีเท่านี้เดือนไม่ได้นะ\" ซึ่งมารดาก็ตกลงตามที่ท่านขอ[3]",
"ในความพยายามของไอน์ชไตน์ที่จะรวมแรงพื้นฐานทั้งหมดเข้าในกฎเดียวกัน เขาได้ละเลยการพัฒนากระแสหลักในทางฟิสิกส์ไปบางส่วน ที่สำคัญคือแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจมากนักตราบจนอีกหลายปีผ่านไปหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน แนวทางพัฒนาฟิสิกส์กระแสหลักเองก็ละเลยแนวคิดของไอน์ชไตน์เกี่ยวกับการรวมแรงเช่นเดียวกัน ครั้นต่อมาความฝันของไอน์ชไตน์ในการรวมกฎฟิสิกส์ทั้งหลายเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อแนวทางศึกษาฟิสิกส์ยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทฤษฎีแห่งสรรพสิ่งและทฤษฎีสตริง ขณะที่มีความตื่นตัวมากขึ้นในสาขากลศาสตร์ควอนตัมด้วย",
"ในขณะนั้นเมื่อมีใครเอ่ยถึงเขา ทุกคนจะนึกถึงชายวัย 38 ปี ผู้เป็นหัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ในโครงการแมนฮัตตัน ที่ได้รวบรวมนักฟิสิกส์ นักเคมี และวิศวกรระดับสุดยอดนับ 6,000 คน มาสร้างระเบิดปรมาณู เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยให้มาทำงานร่วมกันที่ลอสอาลาโมสในรัฐนิวเม็กซิโก อย่างลับสุดยอด คือ ไม่ให้ฝ่ายเยอรมนีรู้อย่างเด็ดขาด ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังสร้างระเบิดมหาประลัย และให้กองทัพนักวิทยาศาสตร์ทำงานร่วมกับกองทัพทหารอย่างใกล้ชิด อย่างหนัก และอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็ประจักษ์ว่าเขาคือ บุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถประคับประคองและประสานความแตกต่างระหว่างความคิดเห็น อย่างเสรีของบรรดานักการเมืองและนักวิชาการกับความลับของทหารได้ เช่น เวลา ฮันส์ เบเทอ (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1967) ขัดแย้งกับเออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ (รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1939) และEdward Teller (บิดาของระเบิดไฮโดรเจน) เขาต้องเก่งพอที่จะตัดสินได้ว่า เทคนิคใดเหมาะสม และเป็นไปได้ หรือเวลาประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนขัดแย้งกับ J. Edgar Hoover แห่งเอฟบีไอ และนายพล Leslie Groves ผู้เป็นหัวหน้าโครงการแมนฮัตตัน เขาต้องถูกมะรุมมะตุ้มด้วยกระสุนวาจาจากบุคคลเหล่านี้ตลอดเวลาทำงาน และเขาก็ตระหนักว่า ถึงจะเป็นนักวิชาการที่เก่ง แต่อำนาจทางการเมืองก็เหนือกว่า ฉะนั้นเมื่อใดที่ทั้งสองข้างปะทะกัน นักวิชาการก็ต้องถอย[6]",
"ในด้านวรยุทธ ถ้าเทียบกับคนทั่วไปก็ถือว่านางมีวรยุทธที่สูงส่งอยู่ แต่ถ้าเทียบกับสภาพแวดล้อมที่นางอยู่ ถือว่านางยังมีวรยุทธด้อยกว่าที่ควรจะเป็น นางมีบิดามารดาและสามีเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงบู๊ บิดาเป็นถึงจอมยุทธฝีมือสูงล้ำยากจะหาใครเทียบเทียม มารดาเป็นประมุกพรรคกระยาจกมีวรยุทธเป็นเลศ มีท่านตาเป็นยอดคนรอบรู้วิชาหลากหลายแขนง และมีสามีคือเยลู่ฉี ที่ถ้าไม่นับเอี้ยก้วย ในจำนวนคนอายุเท่ากันหาใครมีพลังฝีมือเทียบเขาไม่ได้ แต่นางนอกจากมีภูมิปฏิภาณที่ค่อนไปทางบิดา แล้วยังมีใจร้อนรน เมื่อร่ำเรียนวิชาบู๊สัมผัสเพียงผิวเผินก็ยุติ ไม่ยอมทุ่มเทเข้าศึกษาค้นคว้า ทำให้แม้มีวิชาให้ร่ำเรียนมากมาย แต่ไม่สำเร็จในวิชาใดเลย",
"คาร์ล ชวาทซ์ชิลท์ (; 9 ตุลาคม ค.ศ. 1873 – 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1916) เป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน เป็นบิดาของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ มาร์ทีน ชวาทซ์ชิลท์ เป็นผู้คิด Schwarzschild solution ซึ่งใช้ประโยชน์จาก Schwarzschild coordinates และ Schwarzschild metric เป็นที่มาของรัศมีชวาทซ์ชิลท์ที่มีชื่อเสียง คือ ขนาดของขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำที่ไม่หมุนรอบตัวเอง",
"พระภิกษุนิกายเซน ทิก เญิ้ต หั่ญได้เขียนเกี่ยวกับศาสนาพุทธและวิทยาศาสตร์ไว้ว่า \nนีลส์ บอร์ นักฟิสิกส์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1922 ได้กล่าวไว้ว่า\nเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ นักปราชญ์ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี ค.ศ. 1950 ได้พรรณนาศาสนาพุทธว่าเป็นปรัชญาเชิงวิทยาศาสตร์และ speculative philosophy โดยกล่าวว่า\nส่วนนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู ดร. เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ใช้อุปมาเกี่ยวกับศาสนาพุทธเมื่ออธิบายหลักความไม่แน่นอน คือ\nส่วนนักวิทยาศาสตร์ชื่อเสียงก้องโลกผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1921 ดร. อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้ค้นคิดทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ และหลักการความสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน กล่าวถึงพุทธศาสนาว่า มีองค์แห่งจักรวาล (cosmic element) ที่มีกำลัง",
"ที่มาของความคิดที่นำแอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ สู่การนำเสนอสมการคลื่นของเขา เริ่มต้นตั้งแต่จุดกำเนิดของทฤษฎีควอนตัม (quantum theory) โดยบิดาแห่งฟิสิกส์ควอนตัม คือ มักซ์ พลังค์ (Max Planck) เมื่อปี ค.ศ.1900 ตามด้วยความคิดในวงการฟิสิกส์ควอนตัมต่อมา เรื่องความเป็นคลื่นและอนุภาคของทุกสิ่งที่มักจะเข้าใจกันว่า เป็นคลื่นหรือเป็นอนุภาคเพียงอย่างเดียว และสำคัญที่สุด คือการนำเสนอความคิดเรื่อง \"คลื่นอนุภาค\" (Particle Wave) โดยนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ หลุยส์ เดอ เบรย (Louis De Broglie) เมื่อปี ค.ศ.1923",
"พระเจ้าอีนญีโก อารีสตาแห่งปัมโปลนาคือปฐมกษัตริย์แห่งนาวาร์ซึ่งตอนนั้นมีชื่อว่าปัมโปลนา พระองค์เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งชาติ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในราวปี ค.ศ. 824 ไม่มีใครทราบชื่อพระมเหสีของพระองค์ แต่พระองค์มีพระโอรสธิดาหลายคน หนึ่งในนั้นคือพระเจ้าการ์เซีย อีนญีเกซที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระบิดาในปี ค.ศ. 851 หรือ ค.ศ. 852 ชื่อพระมเหสีของพระองค์ก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน แต่พระองค์เป็นบิดาของพระโอรสธิดาอย่างน้อยสามคน หนึ่งในนั้นคือพระเจ้าฟอร์ตูน การ์เซสที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์ในปี ค.ศ. 870 พระเจ้าฟอร์ตูน การ์เซสครองราชย์เป็นเวลา 30 ปี แต่ทรงเป็นพระมเหากษัตริย์คนสุดท้ายของราชวงศ์อินญิเกวซ พระมเหสีของพระองค์คือพระราชินีที่ได้รับการบันทึกชื่อคนแรกของปัมโปลนา ชื่อของพระองค์ปรากฏในเอกสารทางประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่ง ทรงมีพระนามว่าออเรีย ไม่มีใครทราบว่าบิดามารดาของพระองค์เป็นใคร ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันอย่างน้อยห้าคน พระเจ้าฟอร์ตูน การ์เซสถูกแทนที่โดยซันโช การ์เซสในปี ค.ศ. 905 และเกษียณตนเข้าสู่อาราม ทรงสิ้นพระชนม์ในอารามดังกล่าวในปี ค.ศ. 922",
"เฮนรี แอดดิงตัน เป็นบุตรของแอนโทนี แอดดิงตัน นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียง กับนางแมรี ไฮลีย์ จากตำแหน่งหน้าที่การงานของบิดาทำให้เขาเป็นเพื่อนกับวิลเลียม พิตต์ ตั้งแต่สมัยเยาวัย"
] |
เทอร์โมพลาสติกหมายถึงอะไร? | [
"เทอร์โมพลาสติก เป็นพลาสติกที่มีจุดหลอมเหลว และมีจุดอ่อนตัว (ต่างจากเทอร์โมเซ็ทพลาสติก) มีโครงสร้างแบบสายยาวหรือแบบสาขาสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก เทอร์โมพลาสติกจะเกิดการอ่อนตัวและหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อน และจะเกิดแข็งตัวเมื่อทำให้เย็นลง พลาสติกที่แข็งตัวแล้วสามารถนำมาหลอมซ้ำได้ ด้วยความร้อนเทอร์โมพลาสติก ดังนั้นเทอร์โมพลาสติกจึงเป็นวัสดุที่มีสมบัติเหมาะสม สำหรับการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เทอร์โมพลาสติกจะอ่อนตัว และหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อนและจะแข็งตัวเมื่อทำให้เย็นลง พลาสติกที่แข็งตัวแล้วสามารถนำมาหลอมซ้ำได้ ด้วยความร้อนเทอร์โมพลาสติก"
] | [
"พอลิสไตรีนเป็นพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติก คือหลอมเป็นของเหลวได้ โดยที่อุณหภูมิห้องจะอยู่ในสถานะของแข็ง แต่จะหลอมละลายเมื่อทำให้ร้อนและแข็งตัวเมื่อเย็นลง พอลิสไตรีนแข็งที่บริสุทธิ์จะไม่มีสี ใส แต่สามารถทำเป็นสีต่าง ๆได้ และยืดหยุ่นได้จำกัด",
"พลาสติกโดยทั่วไปแบ่งเป็นสองประเภทคือ ประเภทเทอร์โมเซต และประเภทเทอร์โมพลาสติก",
"กระบวนการฉีด (Injection molding) กระบวนการรีด (Extrusion molding) กระบวนการอัด (Compression molding) กระบวนการอัดส่ง (Transfer molding) กระบวนการเป่า (Blow molding) กระบวนการอัดขึ้นรูป (Thermoforming) กระบวนการรีดให้เป็นแผ่น (Calendaring) กระบวนการหล่อ (Casting) กระบวนการ Reaction Injection molding (RIM)",
"อารมณ์ (affect) ในที่นี้หมายถึงความรู้สึกเช่นความกลัว ความยินดีสนุกสนาน และความประหลาดใจ\nซึ่งมีอายุสั้นกว่า \"พื้นอารมณ์\" (mood) และเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้า\nเช่นการอ่านคำว่า \"มะเร็งปอด\" อาจจะทำให้รู้สึกสยอง \nหรืออ่านคำว่า \"ความรักของคุณแม่\" อาจทำให้รู้สึกถึงความรักและความอบอุ่น\nเมื่อเราใช้อารมณ์ (ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองทันทีโดยไม่ได้คิด) เพื่อตัดสินประโยชน์และความเสี่ยงของเรื่อง ๆ หนึ่ง เรากำลังใช้ฮิวริสติกโดยอารมณ์ \nการใช้ฮิวริสติกโดยอารมณ์สามารถอธิบายว่า ทำไมความสื่อสารที่กระตุ้นอารมณ์ จึงชักชวนใจได้ดีกว่าความที่แสดงความจริง\nมีทฤษฎีที่แข่งกันหลายอย่างเกี่ยวกับการตัดสินใจของมนุษย์ ซึ่งต่างกันในประเด็นว่า การใช้ฮิวริสติกถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผล (irrational) หรือไม่\nทฤษฎีแนว \"ความขี้เกียจทางประชาน\" เสนอว่า การใช้ฮิวริสติกเป็นทางลัดที่ช่วยไม่ได้เนื่องจากสมรรถภาพอันจำกัดของสมองมนุษย์\nส่วนทฤษฎีแนว \"การประเมินผลที่เป็นไปตามธรรมชาติ\" เสนอว่า สมองได้ทำการคำนวณผลที่ซับซ้อนอย่างรวดเร็วและเป็นไปโดยอัตโนมัติเป็นบางอย่างแล้ว\nและการตัดสินใจที่เหลือก็เลยใช้กระบวนการทางลัดเหล่านี้ แทนที่จะทำการคำนวณมาตั้งแต่เริ่มต้น\nแนวคิดเช่นนี้นำไปสู่ทฤษฎีที่เรียกว่า \"attribute substitution\" (การทดแทนลักษณะ)\nซึ่งเสนอว่า เราเผชิญหน้ากับปัญหาที่ซับซ้อน โดยวิธีตอบปัญหาคนละปัญหาแต่เกี่ยวเนื่องกัน โดยที่ไม่รู้ว่าตนกำลังใช้วิธีอย่างนี้ \nส่วนทฤษฎีแนวที่สามเสนอว่า ฮิวริสติกใช้ได้ดีเท่ากับกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อนกว่านี้ แต่ว่าทำได้เร็วกว่าโดยมีข้อมูลน้อยกว่า\nเป็นแนวคิดที่เน้น \"ความรวดเร็วและความมัธยัสถ์\" ของฮิวริสติก",
"ฮิวริสติก () อาจหมายถึง",
"ฮิวริสติก เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการค้นหาและการประดิษฐ์ มาจากภาษากรีกเช่นเดียวกับคำว่า \"ยูเรก้า\" (, εὑρισκω) ซึ่งหมายถึง ข้าพเจ้าพบแล้ว (\"I find\") การค้นพบฮิวริสติกเป็นผลมาจากความพยายามไตร่ตรองอย่างถึงที่สุด",
"พอลิไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl chloride; IUPAC: Polychloroethene) มีชื่อย่อที่ใช้กันทั่วไปว่า พีวีซี (PVC) เป็นเทอร์โมพลาสติกชนิดหนึ่ง",
"เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic) หรือเรซิน เป็นพลาสติกที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก ได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว สามารถเปลี่ยนรูปได้ พลาสติกประเภทนี้โครงสร้างโมเลกุลเป็นโซ่ตรงยาว มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่พอลิเมอร์น้อย มาก จึงสามารถหลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัดแรงมากจะไม่ทำลายโครงสร้างเดิม ตัวอย่าง พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีน มีสมบัติพิเศษคือ เมื่อหลอมแล้วสามารถนำมาขึ้นรูปกลับมาใช้ใหม่ได้ ชนิดของพลาสติกใน ตระกูลเทอร์โมพลาสติก ได้แก่",
"พลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติกจะตรงข้ามกับประเภทเทอร์โมเซต กล่าวคือเทอร์โมพลาสติกนี้สามารถเชื่อมได้ เนื่องจากเมื่อให้ความร้อน ตัวพลาสติกเกิดการหลอมเหลว และเกิดการแข็งตัวอีกครั้งเมื่อเย็นตัวลง ตัวอย่างของพลาสติกประเภทนี้ได้แก่ โพลีเอททิลีน โพลีโพรพิลีน โพลีสไตรีน พีวีซี เทฟลอน และสเปคตราลอน เป็นต้น",
"ยางฮีเวียพลัส เอ็มจี (Heveaplus MG) : ยางธรรมชาติที่มีการปรับสภาพโครงสร้างให้มีโครงสร้างโมเลกุลของเทอร์โมพลาสติกโดยโครงสร้างของยางเป็นสายโซ่หลัก (Backbone chain) และโครงสร้างของพอลิเมทธิลเมทาไครเลท (Polymethyl methacrylate) เป็นสายโซ่ที่มาต่อกับยางธรรมชาติ (Graft chain) เรียกว่า กราฟโคพอลิเมอร์\nยางธรรมชาติที่กราฟด้วยเมทธิลเมทาไครเลท มีชื่อทางการค้า คือ ฮีเวียพลัส เอ็มจี\nHeveaplus MG 30 คือ ยางธรรมชาติกราฟด้วยเมทธิลเมทาไครเลท 30 เปอร์เซนต์\nHeveaplus MG 49 คือ ยางธรรมชาติกราฟด้วยเมทธิลเมทาไครเลท 49 เปอร์เซนต์\nยางฮีเวียพลัส เอ็มจี สามารถเตรียมโดยเทคนิคแบบอิมัลชันพอลิเมอไรเซชัน โดยใช้น้ำเป็นตัวกลางในการทำปฏิกิริยา ซึ่งประกอบด้วยมอนอเมอร์ สารเริ่มต้นปฏิกิริยา (initiator) ส่วนใหญ่นิยมใช้ cumene hydroperoxide (CHP) และใช้ tetraethylene pentamine (TEP) เป็นสารกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยา และใช้สบู่เพื่อลดความตึงผิว (Surfactant) ทำให้เกิดเป็นอิมัลชันป้องกันน้ำยางสูญเสียสภาพ",
"หัวใจของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ห้าคือการล่องหน มีการออกแบบโครงสร้างและภายในของมันเพื่อลดการสะท้อนและถูกตรวจจับโดยเรดาร์ นอกจากนั้นแล้วเพื่อทำให้มันล่องหนขณะทำการต่อสู้ อาวุธหลักจึงถูกบรรทุกไว้ในห้องเก็บที่ใต้ท้องเครื่องบินและจะเปิดออกเมื่ออาวุธถูกยิง ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีล่องหนได้ก้าวหน้าจนสามารถใช้โดยไม่ต้องสูญเสียความสามารถในการบิน ในแบบก่อนนั้นเน้นไปที่การลดสัญญาณอินฟราเรด รายละเอียดของเทคนิคการลดสัญญาณเหล่านี้เป็นข้อมูลลับ แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการใช้รูปทรงพิเศษ วัสดุอย่างพลาสติกเทอร์โมเซทและเทอร์โมพลาสติก โครงสร้างผสมแบบพิเศษ วัสดุกันความร้อน สายตาข่ายที่ปิดบังส่วนหน้าของเครื่องยนต์และช่องระบายความร้อน และใช้วัสดุดูดซับเรดาร์ทั้งด้านนอกและด้านใน",
"พลาสติกที่ผ่านกระบวนการที่มีความร้อนหลายครั้งสามารถเสื่อมสภาพ หรือทางเทคนิคเรียกว่า Degradation ดังนั้นการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ควรใช้ผสมในอัตราส่วนที่พอเหมาะเท่านั้น และควรระวังเรื่องความสะอาดของวัตถุดิบและสิ่งเจือปน",
"ไมโครพลาสติก () คือชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กมากที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งปนเปื้อนลงไปในสิ่งแวดล้อม คำนี้ไม่ได้หมายถึงพลาสติกประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นพิเศษ แต่หมายถึงเศษพลาสชิกชนิดใด ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร (ตามนิยามของสำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา) ไมโครพลาสติกถูกนำเข้าสู่สิ่งแวดล้อมได้หลายช่องทาง ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า และกระบวนการอุตสาหกรรม เป็นต้น",
"พลาสติกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เทอร์โมพลาสติก และ เทอร์โมเซตติงพลาสติก",
"การเชื่อม (English: Welding) เป็นกระบวนการที่ใช้สำหรับต่อวัสดุ ส่วนใหญ่เป็นโลหะและเทอร์โมพลาสติก โดยให้รวมตัวเข้าด้วยกัน ปกติใช้วิธีทำให้ชิ้นงานหลอมละลาย และการเพิ่มเนื้อโลหะเติมลงในบ่อหลอมละลายของวัสดุที่หลอมเหลว เมื่อเย็นตัวรอยต่อจะมีความแข็งแรง บางครั้งใช้แรงดันร่วมกับความร้อน หรืออย่างเดียว เพื่อให้เกิดรอยเชื่อม ซึ่งแตกต่างกับการบัดกรีอ่อน และการบัดกรีแข็ง ซึ่งไม่มีการหลอมละลายของชิ้นงาน มีแหล่งพลังงานหลายอย่างสำหรับนำมาใช้ในการเชื่อม เช่น การใช้เปลวไฟแก๊สอ็อกซิเจน, การอาร์กโดยใช้กระแสไฟฟ้า, ลำแสงเลเซอร์, การใช้อิเล็คตรอนบีม, การเสียดสี, การใช้คลื่นเสียง เป็นต้น ในอุตสาหกรรมมีการเชื่อมในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่นการเชื่อมในพื้นที่โล่ง, พื้นที่อับอากาศ, การเชื่อมใต้น้ำ, การเชื่อมในพื้นที่อันตราย เช่น ถังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่, ภายในโรงงานผลิตสารเคมี และวัตถุไวไฟ การเชื่อมมีอันตรายเกิดขึ้นได้ง่าย จึงควรมีความระมัดระวังเพื่อป้องกันอันตราย เช่น เกิดจากกระแสไฟฟ้า, ความร้อน, สะเก็ดไฟ, ควันเชื่อม, แก๊สพิษ, รังสีอาร์ค, ชิ้นงานร้อน, ฝุ่นละออง",
"พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต () หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “เพท” (PET) เป็นพลาสติกเทอร์โมพลาสติก (หลอมที่อุณหภูมิสูงและแข็งตัวเมื่อเย็น)\nที่ผลิตขึ้นได้จากปฏิกิริยาเคมีระหว่างเอทิลีนไกลคอลกับไดเมทิลเทเรฟทาเลต หรือระหว่างเอทิลีนไกลคอลกับกรดเทเรฟทาลิก แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ไดเมทิลเทเรฟทาเลต\nในการทดลองกับสัตว์พบว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ก่อการกลายพันธุ์ และเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ สารเร่งปฏิกิริยาเคมีเช่น แอนติโมนีไตรออกไซด์ หรือแอนติโมนีไตรแอซีเตต",
"คุณสมบัติในการขนส่ง เป็นคุณสมบัติของอัตราการแพร่หรือโมเลกุลเคลื่อนไปได้เร็วเท่าใดในสารละลายของพอลิเมอร์ มีความสำคัญมากในการนำพอลิเมอร์ไปใช้เป็นเยื่อหุ้ม จุดหลอมเหลว คำว่าจุดหลอมเหลวที่ใช้กับพอลิเมอร์ไม่ใช่การเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลวแต่เป็นการเปลี่ยนจากรูปผลึกหรือกึ่งผลึกมาเป็นรูปของแข็ง บางครั้งเรียกว่าจุดหลอมเหลวผลึก ในกลุ่มของพอลิเมอร์สังเคราะห์ จุดหลอมเหลวผลึกยังเป็นที่ถกเถียงในกรณีของเทอร์โมพลาสติกเช่นเทอร์โมเซตพอลิเมอร์ที่สลายตัวในอุณหภูมิสูงมากกว่าจะหลอมเหลว พฤติกรรมการผสม โดยทั่วไปส่วนผสมของพอลิเมอร์มีการผสมกันได้น้อยกว่าการผสมของโมเลกุลเล็กๆ ผลกระทบนี้เป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่าแรงขับเคลื่อนสำหรับการผสมมักเป็นแบบระบบปิด ไม่ใช่แบบใช้พลังงาน หรืออีกอย่างหนึ่ง วัสดุที่ผสมกันได้ที่เกิดเป็นสารละลายไม่ใช่เพราะปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมเลกุลที่ชอบทำปฏิกิริยากันแต่เป็นเพราะการเพิ่มค่าเอนโทรปีและพลังงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มปริมาตรที่ใช้งานได้ของแต่ละส่วนประกอบ การเพิ่มขึ้นในระดับเอนโทรปีขึ้นกับจำนวนของอนุภาคที่นำมาผสมกัน เพราะโมเลกุลของพอลิเมอร์มีขนาดใหญ่กว่าและมีความจำเพาะกับปริมาตรเฉพาะมากกว่าโมเลกุลขนาดเล็ก จำนวนของโมเลกุลที่เกี่ยวข้องในส่วนผสมของพอลิเมอร์มีค่าน้อยกว่าจำนวนในส่วนผสมของโมเลกุลขนาดเล็กที่มีปริมาตรเท่ากัน ค่าพลังงานในการผสมเปรียบเทียบได้ต่อหน่วยปริมาตรสำหรับส่วนผสมของพอลิเมอร์และโมเลกุลขนาดเล็ก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของพลังงานอิสระในการผสมสารละลายพอลิเมอร์และทำให้การละลายของพอลิเมอร์เกิดได้น้อย สารละลายพอลิเมอร์ที่เข้มข้นพบน้อยกว่าที่พบในสารละลายของโมเลกุลขนาดเล็ก ในสารละลายที่เจือจาง คุณสมบัติของพอลิเมอร์จำแนกโดยปฏิกิริยาระหว่างตัวทำละลายและพอลิเมอร์ ในตัวทำละลายที่ดี พอลิเมอร์จะพองและมีปริมาตรมากขึ้น แรงระหว่างโมเลกุลของตัวทำละลายกับหน่วยย่อยจะสูงกว่าแรงภายในโมเลกุล ในตัวทำละลายที่ไม่ดี แรงภายในโมเลกุลสูงกว่าและสายจะหดตัว ในตัวทำละลายแบบธีตา หรือสถานะที่สารละลายพอลิเมอร์ซึ่งมีค่าของสัมประสิทธิ์วิเรียลที่สองเป็นศูนย์ แรงผลักระหว่างโมเลกุลของพอลิเมอร์กับตัวทำละลายเท่ากับแรงภายในโมเลกุลระหว่างหน่วยย่อย ในสภาวะนี้ พอลิเมอร์อยู่ในรูปเกลียวอุดมคติ การแตกกิ่ง การแตกกิ่งของสายพอลิเมอร์มีผลกระทบต่อคุณสมบัติทั้งหมดของพอลิเมอร์ สายยาวที่แตกกิ่งจะเพิ่มความเหนียว เนื่องจากการเพิ่มจำนวนของความซับซ้อนต่อสาย ความยาวอย่างสุ่มและสายสั้นจะลดแรงภายในพอลิเมอร์เพราะการรบกวนการจัดตัว โซ่ข้างสั้นๆลดความเป็นผลึกเพราะรบกวนโครงสร้างผลึก การลดความเป็นผลึกเกี่ยวข้องกับการเพิ่มลักษณะโปร่งใสแบบกระจกเพราะแสงผ่านบริเวณที่เป็นผลึกขนาดเล็ก ตัวอย่างที่ดีของผลกระทบนี้เกี่ยวข้องกับขอบเขตของลักษณะทางกายภาพของพอลิเอทิลีน พอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูงมีระดับการแตกกิ่งต่ำ มีความแข็งและใช้เป็นเหยือกนม พอลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ มีการแตกกิ่งขนาดสั้นๆจำนวนมาก มีความยืดหยุ่นกว่าและใช้ในการทำฟิล์มพลาสติก ดัชนีการแตกกิ่งของพอลิเมอร์เป็นคุณสมบัติที่ใช้จำแนกผลกระทบของการแตกกิ่งสายยาวต่อขนาดของโมเลกุลที่แตกกิ่งในสารละลาย เดนไดรเมอร์เป็นกรณีพิเศษของพอลิเมอร์ที่หน่วยย่อยทุกตัวแตกกิ่ง ซึ่งมีแนวโน้มลดแรงระหว่างโมเลกุลและการเกิดผลึก พอลิเมอร์แบบเดนดริติกไม่ได้แตกกิ่งอย่างสมบูรณ์แต่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเดนไดรเมอร์เพราะมีการแตกกิ่งมากเหมือนกัน การเติมพลาติไซเซอร์ การเติมพลาสติซิเซอร์มีแนวโน้มเพิ่มความยืดหยุ่นของพอลิเมอร์ พลาสติซิเซอร์โดยทั่วไปเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายกับพอลิเมอร์และเข้าเติมในช่องว่างของพอลิเมอร์ที่เคลื่อนไหวได้ดีและลดปฏิกิริยาระหว่างสาย ตัวอย่างที่ดีของพลาสติซิเซอร์เกี่ยวข้องกับพอลิไวนิลคลอไรด์หรือพีวีซี พีวีซีที่ไม่ได้เติมพลาสติซิเซอร์ใช้ทำท่อ ส่วนพีวีซีที่เติมพลาสติซิเซอร์ใช้ทำผ้าเพราะมีความยืดหยุ่นมากกว่า",
"นอกจากนี้เทอร์โมพลาสติกหลายชนิด ยังสามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยกระบวนการทางเคมี โดยการใช้สารละลายเคมี ทำให้ผิวหน้าของวัสดุอ่อนและเหลว จากนั้นนำไปกดเข้ากับอีกชิ้นงานหนึ่ง โมเลกุลของทั้งสองชิ้นจะผสมกัน และทำให้ชิ้นงานเชื่อมต่อกัน วิธีการนี้ใช้มากในการเชื่อมท่อ พีวีซี หรือ เอบีเอส หรือการเชื่อมระหว่างสไตรีนกับโพลีสไตรีน วิธีการนี้ไม่สามารถใช้กับพลาสติกที่มีความสามารถในการทนสารเคมีสูงได้ เช่นเทฟลอน โพลีเอททิลีน เป็นต้น",
"ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทนเกิดขึ้นเมื่อเราใช้ประเภทของบุคคลสิ่งของ ในการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคคลหนึ่ง ๆ หรือวัตถุหนึ่ง ๆ เช่นเมื่อจะตัดสินใจว่าคน ๆ หนึ่งเป็นผู้ร้ายหรือไม่ \nประเภท \"ผู้ร้าย\" จะมีรูปแบบตัวอย่าง ซึ่งเราจะใช้เปรียบเทียบกับบุคคลนั้น \nเพื่อจัดประเภทว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายหรือไม่\nวัตถุเปรียบเทียบจะมีความเป็นตัวแทนสูงสำหรับประเภทหนึ่ง ๆ ถ้าวัตถุมีลักษณะคล้ายกับรูปแบบตัวอย่างของประเภทนั้น ๆ\nดังนั้น เมื่อเราจัดประเภทวัตถุสิ่งของโดยใช้ความเป็นตัวแทน เราก็กำลังใช้ฮิวริสติกนี้\nความเป็นตัวแทน (Representativeness) ในที่นี้สามารถหมายถึง\nแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในปัญหาบางอย่าง ฮิวริสติกนี้ต้องอาศัยการใส่ใจในลักษณะเฉพาะอย่างเพียงบางอย่าง ของบุคคลหรือวัตถุนั้น ๆ\nโดยไม่ได้ใส่ใจว่า ลักษณะเฉพาะอย่างเหล่านั้น มีระดับความสามัญ (คือความชุก) ในประชากรทั่วไปแค่ไหน (ระดับความสามัญที่เรียกว่า อัตราพื้นฐานหรือ \"base rates\")\nดังนั้น เราอาจจะประเมินโอกาสที่สิ่งหนึ่ง ๆ จะมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนใคร ในระดับที่สูงเกินไป\nและอาจจะประเมินโอกาสที่สิ่งหนึ่ง ๆ มีคุณสมบัติที่สามัญ ในระดับที่ต่ำเกินไป\nนี้เรียกว่า เหตุผลวิบัติโดยอัตราพื้นฐาน (base rate fallacy)\nการประเมินความเป็นไปได้โดยตัวแทน อธิบายปรากฏการณ์นี้และวิธีการตัดสินใจของมนุษย์บางอย่าง ที่ไม่สอดคล้องกับกฎความน่าจะเป็นตามธรรมชาติ",
"คำว่า Collagen (คอลลาเจน) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกจากคำว่า “Kolla” ที่แปลว่า กาว โดยเมื่อก่อนได้มีการทำกาวโดยการนำหนังและเอ็นม้ามาเคี่ยวจนกลายเป็นกาว ตามหลักฐานที่พบมีการใช้งานกาวลักษณะนี้มากว่า 8000 ปีแล้ว โดยใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตเชือกและตะกร้าสานเพื่อให้มีความแข็งแรง และมีการใช้งานภายในครัวเรือนทั่วไป กาวชนิดนี้เมื่อแห้งแล้วสามารถทำให้อ่อนนิ่มได้อีกโดยการให้ความร้อน เพราะกาวจากสิ่งมีชีวิตเป็นเทอร์โมพลาสติก ชนิดหนึ่งจึงมีการใช้งานได้หลากหลายโดยเฉพาะการผลิกเครื่องดนตรีเช่น ไวโอลีน กีตาร์ แม้กระทั่งเมื่อมนุษย์สามารถผลิตพลาสติกสังเคราะห์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีการใช้งานกาวเจลาตินอยู่ทั่วไป",
"โมเดลนี้ ถือว่ายุคเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการปรับให้ กล้องวิว-มาสเตอร์ เป็นสินค้าประเภทของเล่น เน้นกลุ่มเป้าหมายเด็ก (จากเดิมที่กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่, ช่างภาพ, ผู้ที่ชื่นชอบดูภาพทิวทัศน์-สิ่งของ สามมิติ) ชาร์ลส แฮริสัน (Charles Harrison) เป็นผู้ออกแบบปรับโฉมวิว-มาสเตอร์ใหม่ ช่วงปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ.1958) รูปทรงกล้องกระทัดรัดเหมาะมือ น่าจับต้อง ดูเป็นมิตรใช้งานง่าย, มีการเปลี่ยนวัสดุจากเบคิไลต์ไปใช้เทอร์โมพลาสติก () ทำให้น้ำหนักเบา ทนทานขึ้น ปุ่มกดเป็นพลาสติกแต่ก้านคันสับยังเป็นโลหะ มีรุ่นย่อยมากมาย สีที่ติดตาคือ แดง-ขาว (สองสีดูโอโทน), สีเบจ, สีแดงล้วน, สีขาว (off-white) สีฟ้า และอีกสารพัดสี ในตลาดอเมริกามีการทำบรรจุภัณฑ์ใหม่ เป็นถังทรงกระบอกพิมพ์ภาพลวดลายสีสันสดใสดึงดูดใจเช่นกัน ทำให้สินค้าวิว-มาสเตอร์ โด่งดังขึ้นอีก ยอดขายถล่มทลาย โมเดลนี้จัดเป็นรุ่นมาตรฐานรุ่นหนึ่ง ผลิตจำหน่ายยาวนานกว่า 20 ปี บอดี้กล้องมีทั้งปัมป์โลโก้ซอว์เยอร์ส และโลโก้กาฟ ",
"ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทนเป็นหนึ่งในกลุ่มฮิวริสติก (คือกฎที่ใช้เพื่อทำการประเมินและการตัดสินใจ) ที่เสนอโดยนักจิตวิทยา แดเนียล คาฮ์นะมัน และอะมอส ทเวอร์สกี้ ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 มีการพรรณนาถึงฮิวริสติกว่าเป็น \"ทางลัดในการประเมิน ที่โดยทั่วไปช่วยให้เราไปถึงที่หมายได้ และอย่างรวดเร็ว แต่มีราคาคือบางครั้งส่งเราไปผิดที่\"[2] ฮิวริสติกมีประโยชน์เพราะว่าช่วยทำการตัดสินใจให้ง่ายขึ้นและไม่ต้องใช้ทรัพยากรทางสมองมาก[3] คำว่า \"ความเป็นตัวแทน\" (Representativeness) ในบทความนี้ใช้โดยสามารถหมายถึง[4][5][6]",
"อาคารเหล่านี้สร้างจากวัสดุเหล็กกล้าที่มีลักษณะคล้ายท่อ ส่วนมากมีรูปร่างหกเหลี่ยม ภายนอกส่วนที่หุ้มโลหะทำมาจากเทอร์โมพลาสติกชนิด ETFE ส่วนภายนอกนั้น กระจกเป็นสิ่งต้องห้ามในการเลือกนำมาติดตั้งเพราะน้ำหนักและอันตราย ส่วนลักษณะผนังนั้นทำจากวัสดุหลายชั้นของฟิล์ม ETFE ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต ซึ่งครอบคลุมทุกบริเวณ และขยายออกได้เพื่อป้องกันการสั่นสะเทือน นอกจากนี้ วัสดุ ETFE ต่อต้านความเครียด (ค่าความเครียดในทางฟิสิกส์,\" อ. \"Stains\"\" ) และยังทำให้ฝุ่นผงที่มาเกาะชะล้างออกไปได้อย่างง่ายดายเมื่อฝนตก หากต้องการทำความสะอาดสามารถใช้วิธีการไต่จากหลังคาลงมาทำความสะอาดได้ แม้ว่า ETFE สามารถมีรูรั่วได้โดยง่าย แต่สามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทป ETFE \nเทคโนโลยี ETFE จัดหาและติดตั้งโดยเวกเตอร์ โฟลเทก ผู้รับผิดชอบความคืบหน้าด้านวัสดุบุผนัง ในส่วนของเหล็ก และรูปแบบบุผนัง ออกแบบ, จัดหา และติดตั้งโดย มีโณ (สหราชอาณาจักร) พีซีแอล ผู้เข้าร่วมพัฒนาแผนด้านภูมิศาสตร์ และสถาปนิก นิโคลัส กริมชาว และทีมงาน ",
"โดยปกติแล้วการผลิตลูกโลกจะใช้การพิมพ์ลงในแผ่นกระดาษกอร์ (Gore) ที่มีลักษณะกระดาษรูปโค้งจันทร์เสี้ยวและนำมาติดลงบนวัตถุทรงกลมซึ่งส่วนมากจะเป็นไม้ หากลูกโลกนั้นมีกระดาษกอร์มาเท่าไหร่ผิวของลูกโลกก็จะเรียบเนียนมากเท่านั้น ในปัจจุบันลูกโลกส่วนมากใช้เทอร์โมพลาสติกในการผลิต ตั้งแกนโลกให้เอียงจากแนวตั้งฉากเป็นมุมประมาณ 23.5° เพื่อให้สามารถทำให้นึกภาพได้ง่ายขึ้นว่าฤดูกาลเปลี่ยนแปลงอย่างไร",
"ถ้าฮิวริสติกของ h สอดคล้องกับเงื่อนไข formula_7 สำหรับทุกเส้นเชื่อม x,y ในกราฟ (เมื่อ d หมายถึงความยาวของเส้น) จะเรียก h ว่าเป็นฮิวริสติกชนิดโมโนโทน หรือฮิวริสติดแบบเสถียร ซึ่งในกรณีดังกล่าวเอสตาร์สามารถมีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่าได้กับการใช้ขั้นตอนวิธีของเดสสตาร์แบบปรับแต่งให้ formula_8 ซึ่งไม่มีโหนดใด ๆ จะต้องถูกดำเนินการมากกว่าหนึ่งครั้ง นอกจากนี้เอสตาร์ยังสามารถปรับปรุงเป็นรูปทั่วไปของการค้นหาแบบสองทิศทางได้อีกด้วย",
"ระบบเรซิ่น หรือ ระบบถาดเรซิ่น ได้แก่ SLA (Stereolithography) หรือ DLP (Digital Light Processing) เป็นระบบที่ใช้การฉายแสงไปที่ตัววัสดุพอลิเมอร์ไวแสง (Photo Resin, Photopolymer)บรรจุในถาดที่เคลื่อนที่ขึ้นลงได้ เมื่อเรซิ่นถูกแสงจะแข็งตัวเฉพาะจุดที่โดนแสง จึงใช้หลักการแข็งตัวของเรซิ่นนี้ในการทำชิ้นงานให้เกิดรูปร่างขึ้นมา เมื่อทำให้เกิดรูปร่างขึ้นในชั้นหนึ่งๆแล้วเครื่องก็จะเริ่มทำให้แข็งเป็นรูปร่างในชั้นต่อๆไปโดยการเคลื่อนถาดลงไปทีละชั้น จนเกินเป็นชิ้นงานวัตถุที่จับต้องได้ \nระบบผงวัสดุ มีการพิมพ์ 2 รูปแบบคือ การพิมพ์ตัวยึดจับ (Binder) หรือ กาว ลงไปรวมผงวัสดุ เพื่อผสานยึดตัวเข้าด้วยกันเป็นรูปร่าง เมื่อสร้างเสร็จในชั้นหนึ่ง เครื่องพิมพ์จะเกลี่ยผงวัสดุมาทับเป็นชั้นบางๆในชั้นต่อไป ได้แก่ 3DP (Powder Bed and Inkjet Printer) เป็นระบบที่ใช้ผงยิปซั่ม+สี Ink Jet (Powder 3D Printer หรือ ColorJet Printing) เป็นระบบใช้ผงยิปซั่ม/ผงพลาสติก เป็นตัวกลางในการขึ้นชิ้นงาน โดยจะพิมพ์สีลงไปเป็นตัวยึดจับ\nการพิมพ์ด้วยการหลอมผงวัสดุ SLS (Selective Laser Sintering) หรือ SLM (Selective Laser Melting) วัสดุที่ใช้ได้แก่ ผงเทอร์โมพลาสติก, ผงโลหะ, ผงเซรามิก เป็นรูปแบบการพิมพ์ที่มีหลักการทำงานคล้ายระบบ SLA ต่างกันตรงแทนที่จะทำให้เรซิ่นแข็งตัวโดยการฉายแสง SLS จะใช้ความร้อนจากการฉายแสงเพื่อหลอมละลายทำให้ผงวัสดุหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน \nระบบอัดลามิเนตไม่เป็นที่แพร่หลาย มีหลักการคือ ใช้การตัดรูปกระดาษเคลือบพลาสติก, แผ่นฟิล์มโลหะ หรือแผ่นฟิล์มพลาสติก ด้วยมีดหรือเครื่องตัดด้วยเลเซอร์และติดกาวต่อกันเป็นชั้นๆ วัตถุที่พิมพ์ด้วยเทคนิคนี้อาจได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมโดยการตัดเฉือนหรือการเจาะหลังจากการพิมพ์",
"พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน พอลิโพรทิลีน พอลิไวนิลคลอไรด์ ไนลอน",
"ห้องปฏิบัติการโรงเรียนวิศวกรรม USC Viterbi ได้รายงานการผลิตขนาดใหญ่ของแผ่นฟิล์มแกรฟีนโปร่งใสมากจากไอสารเคมีสะสมในปี 2008 ในขั้นตอนนี้นักวิจัยได้สร้างแผ่น แกรฟีนบางเฉียบโดยตอนแรกเป็นการวางอะตอมของคาร์บอน ในรูปแบบของฟิล์มแกรฟีน บนแผ่นนิกเกิลจากก๊าซมีเทน แล้วพวกเขาก็วางชั้นป้องกันของเทอร์โมพลาสติคเหนือชั้น แกรฟีนและละลายนิกเกิลใต้อ่างน้ำกรด ในขั้นตอนสุดท้าย พวกเขาแนบแกรฟีนที่มีการป้องกันด้วยพลาสติกไปกับแผ่นโพลิเมอร์ที่มีความยืดหยุ่นมากซึ่งจากนั้นจะสามารถรวมตัวเข้าไปในเซลล์ OPV (photovoltaics graphene) แผ่นแกรฟีน/ลิเมอร์ถูกผลิตที่มีขนาด ใหญ่ถึง 150 ตารางเซนติเมตร และสามารถใช้ในการสร้างอาร์เรย์ที่มีความหนาแน่นของเซลล์ OPV มีความยืดหยุ่นได้ ในที่สุดมันก็อาจเป็นไปได้ที่จะสั่งแท่นพิมพ์เพื่อวางเซลล์แสงอาทิตย์ราคาไม่แพงให้ครอบคลุมพื้นที่กว้าง เหมือนเช่นการพิมพ์หนังสือพิมพ์บนหนังสือพิมพ์ (ม้วนต่อม้วน) ",
"มีนักจิตวิทยาทางสังคมผู้หนึ่ง ประยุกต์กฎฮิวริสติก 10 อย่างในโปรแกรมการจำลองคอมพิวเตอร์ที่เลือกค่าที่เป็นทางเลือกต่าง ๆ \nเขาสนใจว่า ฮิวริสติกแต่ละอย่างจะเลือกค่าสูงสุดหรือต่ำสุดของค่าที่คาดหมาย (expected value) บ่อยครั้งเท่าไร ในลำดับสถานการณ์ที่มีกำเนิดสุ่มและที่ต้องมีการตัดสินใจ\nแล้วพบว่า ฮิวริสติกโดยมากจะเลือกค่าสูงสุดแต่เกือบจะไม่เคยเลือกค่าต่ำสุด (ดูข้อมูลเพิ่มจากแหล่งอ้างอิง)"
] |
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามสร้างขึ้นในสมัยใด? | [
"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เดิมชื่อ วัดแหลม หรือ วัดไทรทอง ภายหลังได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร ซึ่งหมายถึง วัดของเจ้านาย ๕ พระองค์ที่ทรงร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างสวนดุสิตขึ้นพระองค์ทรงทำผาติกรรมสถาปนาวัดขึ้นใหม่และพระราชทานามว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๕"
] | [
"ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ใช้ศาลาสหทัยสมาคมเป็นที่ตั้งพระศพ ในเวลาตั้งพระศพศาลาแห่งนี้มีเกียรติรองจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทและพระที่นั่งทรงธรรมวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แม้ว่าศาลานี้จะอยู่ในพระบรมมหาราชวัง",
"ในปี พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมจนถึงคลองสามเสนเพื่อสร้างที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์ โดยพระราชทานนามว่า \"สวนดุสิต\"[2] (พระราชวังดุสิต ในปัจจุบัน) ซึ่งบริเวณที่ดินที่ทรงซื้อนั้นมีวัดโบราณ 2 แห่ง คือ วัดดุสิตซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรมโดยถูกใช้เป็นที่สร้างพลับพลา และวัดร้างอีกแห่งซึ่งจำเป็นต้องใช้ที่ดินของวัดสำหรับตัดเป็นถนน พระองค์จึงทรงกระทำผาติกรรม สร้างวัดแห่งใหม่เพื่อเป็นการทดแทนตามประเพณี โดยทรงเลือกวัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่ทรงสถาปนาตามพระราชดำริว่า การสร้างวัดใหม่หลายวัดยากต่อการบำรุงรักษา ถ้ารวมเงินสร้างวัดเดียวให้เป็นวัดใหญ่ และทำโดยฝีมือประณีตจะดีกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่น ๆ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง",
"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม มูลนิธิวัดเบญจมบพิตร (กองทุนสมโภชพระพุทธชินราช) คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร สมาคมนักเรียนเก่าเบญจมบพิตร ในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธินักเรียนเก่าเบญจมบพิตร มูลนิธิเบญจมเมตตาธรรม คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร องค์กรภาครัฐ เอกชน องค์กรท้องถิ่น และชุมชน ฯลฯ",
"พ.ศ. 2494 - เป็นเลขานุการสังฆนายก พ.ศ. 2509 - เป็นเจ้าคณะอำเภอบางเขน พ.ศ. 2510 - เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2516 - เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พ.ศ. 2530 - ได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาส ให้เป็นประธานกรรมการฝ่ายปกครองวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พ.ศ. 2534 - เป็นเจ้าคณะเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2535 - เป็นหัวหน้าคณะผู้พิจารณาวินิจฉัยชั้นต้น เขตจตุจักร พ.ศ. 2541 - เป็นเจ้าคณะเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2543 - เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม, เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2550 - ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม รูปที่ 5",
"พ.ศ. 2462 พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ขณะเป็น นายร้อยเอก นวล ปาจิณพยัคฆ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โดยมี พระธรรมวโรดม เป็นพระอุปัชฌาย์ และมี พระนิกรมนุนี และพระศรีวิสุทธิวงศ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า \"กนฺตวณฺโณ\" แปลว่า ผู้ที่มีเกียรติ มีผิวพรรณที่เป็นศิริมงคล ในขณะอุปสมบทอยู่นั้น ได้แต่งเรียงความแก้กระทู้ธรรม ซึ่งท่านได้แสดงความรู้ความสามารถในการแต่งเรียงความแก้กระทู้ธรรมได้อย่างงดงาม ซึ่งวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามได้รวบรวมผลงานของท่านจัดพิมพ์เป็นหนังสือไว้ด้วย",
"กล่าวได้ว่า พระพุทธวรญาณเป็นผู้ใกล้ชิดพระพรหมจริยาจารย์ (สมุท รชตวณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เป็นผู้รับสนองธุระและปฏิบัติงานคณะสงฆ์อย่างมิขาดตกบกพร่อง ขอรับแบ่งเบาภาระ ช่วยผ่อนงานพระเดชพระคุณให้เบาลง ตราบกระทั่งพระพรหมจริยาจารย์ละสังขารลงอย่างสงบ เมื่อช่วงปลาย พ.ศ. 2549 และผ่านเวลาไปเพียง 1 เดือนเศษ พระธรรมวโรดม (บุญมา คุณสมฺปนฺโน) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ได้มรณภาพอย่างกะทันหันอีกรูปหนึ่ง เปรียบประดุจร่มโพธิ์ใหญ่ 2 ต้น ของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ได้พังครืนลงมา ท่ามกลางความเศร้าสลดของคณะสงฆ์วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามและบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทั่วไป แต่ด้วยวิริยอุตสาหะเอาภารธุระในการงานพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง สร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่ศิษยานุศิษย์ชาวเบญจมบพิตรทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ ทำให้พระพุทธวรญาณได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่",
"พระอุโบสถของวัดไทยพุทธคยาจำลองแบบมาจากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมของสมัยรัตนโกสินทร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งการจำลองแบบจนดูเหมือนนี้ไม่ใช่เฉพาะภายนอก แต่ยังมีภายในที่เหมือนกันด้วย เช่น องค์พระประธานที่เป็นพระพุทธชินราช แกลประตู แกลหน้าต่าง เป็นต้น",
"หมวดหมู่:โรงเรียนวัด โรงเรียนในกรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:โรงเรียนชายในประเทศไทย หมวดหมู่:วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร หมวดหมู่:มัธยมวัดเบญจมบพิตร หมวดหมู่:เขตดุสิต หมวดหมู่:โรงเรียนที่สร้างขึ้นเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งรัชกาลที่ 5 ว หมวดหมู่:อาคารอนุรักษ์",
"พระพุทธวรญาณ (ทอง สุวณฺณสาโร) บรรพชาเป็นสามเณร ณ พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2479 โดยมีพระธรรมโกศาจารย์ (ปลด กิตฺติโสภโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 โดยมีพระพรหมมุนี (ปลด กิตฺติโสภโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมงคลวัตรกวี (ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสรภาณกวี) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระราชเวที เป็นพระอนุสาวนาจารย์",
"ถนนนครปฐมมีระยะทางเริ่มตั้งแต่ถนนศรีอยุธยาเขตดุสิต บริเวณวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร ไปทางทิศใต้เป็นถนนริมคลองเปรมประชากร ผ่านวัดเบญจมบพิตร ,โรงเรียนประถมวัดเบญจมบพิตร แล้วตัดกับถนนพิษณุโลก บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ และผ่านทำเนียบรัฐบาล สุดท้ายไปบรรจบกับถนนลูกหลวงเขตดุสิต บริเวณเชิงสะพานอรทัย คลองคลองผดุงกรุงเกษม เป็นถนนที่อยู่ในเขตดุสิตตลอดทั้งสาย ถนนนครปฐมรวมระยะทางได้ 0.668 กิโลเมตร ความกว้างถนน 23.00 เมตร",
"มีพระประสงค์ที่จะร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแหลม พร้อมทั้งทรงสร้างพระเจดีย์เรียงรายไว้หน้าวัด 5 องค์ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร หมายความว่า วัดของเจ้านาย 5 พระองค์[1]",
"เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมที่สวนต่อกับทุ่งนา หรือ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดแหลม เนื่องจากอาจมีต้นไทรอยู่ภายในวัด[1] ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด เมื่อ พ.ศ. 2369 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ขึ้น พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา ทรงเป็นแม่ทัพรักษาพระนคร โดยทรงตั้งกองบัญชาการทัพที่วัดแหลม หลังจากปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีก 4 พระองค์ คือ",
"เมื่อมีการจัดระเบียบพระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2458 วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร[5] ดังนั้น ชื่อวัดจึงมีสร้อยนามต่อท้ายด้วย \"ราชวรวิหาร\" ดังเช่นในปัจจุบัน",
"เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังวัด ในการนี้มีพระบรมราชโองการประกาศพระบรมราชูทิศถวายที่ดินให้เป็นเขตวิสุงคามสีมาของวัด พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดเบญจมบพิตร อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 และเพื่อแสดงลำดับรัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์[3] ต่อมา พระองค์ได้ถวายที่ดินซึ่งพระองค์ขนานนามว่า ดุสิตวนาราม ให้เป็นที่วิสุงคามสีมาเพิ่มเติมแก่วัดเบญจมบพิตร และโปรดฯ ให้เรียกนามรวมกันว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม[4]",
"วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มอบคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ให้แต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ให้แก่พระเทพกิตติเวที (ฉ่ำ ปุญฺญชโย) รองเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ให้เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม[11]",
"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฎร์",
"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร พระราชวังดุสิต ลานพระราชวังดุสิต พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สนามเสือป่า ทำเนียบรัฐบาล กองบัญชาการ กองทัพภาคที่ 1 กระทรวงศึกษาธิการ ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สวนสัตว์ดุสิต",
"กล่าวกันว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญาทรงประชวรกระเสาะกระแสะ พระพลานามัยไม่สู้สมบูรณ์มานาน ทรงพึ่งวิธีการรักษาทั้งแพทย์สมัยใหม่และไสยศาสตร์ แต่พระโรคหาคลายไม่ พระองค์ทรงหมั่นประกอบพระราชกุศลอยู่เสมอหวังให้หายจากพระอาการประชวร เช่น ทรงบริจาคเงินสำหรับสร้างกุฏิถวาย ณ วัดมกุฏกษัตริยารามและวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ทรงทำพิธีสะเดาะเคราะห์ด้วยพิธีการบำเพ็ญทานสลากท่วมหลังช้างตามวิธีไสยศาสตร์อย่างโบราณ ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เจ้ากรมราชพิธีกระทรวงวัง ความว่า \"\"อรทัยขอยืมช้างใส่ฉลาก จะขอให้มายืนที่ประตูศรีสุดาวงศ์ ให้จัดมาให้ตามประสงค์ จะยืนแห่งใดเมื่อใดให้พูดกับกรมมรุพงษ์\"\" ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินส่วนพระองค์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อโปรดให้จัดการพระศพ",
"หมวดหมู่:พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร วัด หมวดหมู่:สิ่งก่อสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา หมวดหมู่:วัดในเขตดุสิต หมวดหมู่:วัดไทยในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย หมวดหมู่:พิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพมหานคร",
"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร สมาคมนักเรียนเก่าเบญจมบพิตร ในพระบรมราชูปถัมภ์",
"เดิมพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปสำริดมิได้มีการลงรักปิดทองตั้งแต่แรกสร้าง ต่อมาในปี พ.ศ. 2146 สมเด็จพระเอกาทศรถได้เสด็จแปรพระราชฐานมายังเมืองพิษณุโลกและพระราชดำเนินมานมัสการ พร้อมทั้งโปรดให้มีการนำเครื่องราชูปโภคมาตีแผ่เป็นทองคำเปลวสำหรับปิดทองพระพุทธชินราช ครั้งนั้นจึงถือเป็นการลงรักปิดทองครั้งแรก ต่อมายังมีการลงรักปิดทองอีก 2 ครั้งใน พ.ศ. 2444 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการถวายสังวาลย์เพชรเป็นพุทธบูชาพร้อมกับการหล่อพระพุทธชินราช (จำลอง) เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร และ พ.ศ. 2547 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช",
"พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อจัดแสดงพระพุทธรูปทั้งในและนอกประเทศ",
"อุปสมบท วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 ตรงกับวันแรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีมะโรง ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมีพระพรหมมุนี (ปลด กิตฺติโสภโณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสรภาณกวี (คอน นนฺทิโย ป.ธ.3 ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระมงคลวัตรกวี) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระราชเวที (ดอกไม้ อตฺตรภทฺโท ป.ธ. 6) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์",
"นักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ต้องเข้าพิธีปฏิญาณตน และมอบตัวเป็นศิษย์องค์พระพุทธชินราช พระพุทธเจ้าหลวง และพระพุทธวรญาณ เจ้าอาวาสวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามเป็นประจำทุกปี",
"พ.ศ. 2442 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้นเป็นพระอารามหลวงประจำพระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระพุทธชินราชไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ดังข้อความในพระราชปรารภ \"เห็นพระพุทธลักษณะแห่งพระพุทธชินราชว่างาม หาพระพุทธรูปองค์ใดเปรียบมิได้ ครั้นเมื่อสร้างวัดเบญจมบพิตรขึ้น ได้พยายามหาพระพุทธรูปซึ่งจะเป็นพระประธาน ทั้งในกรุงแลหัวเมือง...ก็ไม่เป็นที่พอใจ จึงคิดเห็นว่าจะหาพระพุทธรูปองค์ใดให้สวยงามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว...\"",
"อย่างไรก็ตามต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่สืบหน่อมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ตรัสรู้ในประเทศไทยยังคงมีอยู่หลายต้น เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่วัดต้นศรีมหาโพธิ์ (ที่เชื่อว่านำเข้ามาปลูกสมัยทวาราวดี), วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร (ปลูกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นต้น",
"โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร เป็นโรงเรียนเดียวของประเทศไทยที่ใช้ชื่อคณะสีจากหน้าบันพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม",
"องค์ผู้อุปการะโรงเรียน คือ เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ทุกรูปตั้งแต่เมื่อครั้ง แรกสถาปนา",
"โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร (Mathayom Wat Benchamabophit School) ตั้งอยู่ในบริเวณวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ในเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ 42 ตารางวา อยู่ในเขตพระราชฐาน เป็นโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานครที่เปิดสอนเฉพาะนักเรียนชาย (โรงเรียนชายล้วน) [1] ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชกำเนิดเมื่อ ร.ศ.119 (พ.ศ. 2443) พระองค์ทรงกำหนดหลักสูตรแนวการสอนด้วยพระองค์เอง และเปิดสอนตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2444 มีนักเรียน 40 คน เป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์โดยตรงไม่ขึ้นตรงต่อกระทรวงธรรมการสมัยนั้น หลังจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระบรมวงศานุวงศ์ ชั้นผู้ใหญ่และเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ร่วมกันวางแผนปรับปรุงโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ที่สำคัญยิ่งก็คือ พระองค์ได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างอาคารถาวรเป็นตึกทรงยุโรปสถาปัตยกรรมแบบ Neo-Classic และทรงห่วงใยในเรื่องการก่อสร้างเป็นอย่างยิ่ง แม้ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องได้รับพระราชทาน บรมราชานุญาตทุกอย่าง โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรปัจจุบันเปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย"
] |
อัษรย่อของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คืออะไร? | [
"มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อังกฤษ: Chiang Mai University; อักษรย่อ: มช.) เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ[1] โดยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทยที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาค ตามโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2501 พร้อมทั้งได้มีการเรียกร้องให้ขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาออกสู่ภูมิภาค โดยขอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 นำโดยนายกีและนางกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม จังหวัดเชียงใหม่[2] ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552"
] | [
"ปี พ.ศ. 2507 เป็นปีแรกของการเปิดดำเนินการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีนักศึกษารุ่นแรกจำนวน 291 คน ศาสตราจารย์ นายแพทย์บุญสม มาร์ติน ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีที่รับผิดชอบดูแลนักศึกษามีความคิดที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีประเพณีที่แตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยอื่น และเป็นประเพณีที่น่าประทับใจ น่าจดจำไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ประกอบกับจังหวัดเชียงใหม่มีหนทางขึ้นดอยสุเทพ โดยครูบาศรีวิชัยเป็นผู้นำในการทำหนทางดังกล่าว นับว่าเป็นผลงานที่แสดงถึงความศรัทธาและความสามัคคีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากการปฐมนิเทศนักศึกษาในปีแรกแล้ว จึงได้ชักชวนนักศึกษารุ่นแรกทุกคนเดินขึ้นดอยสุเทพพร้อมกันด้วยความสามัคคี เพื่อนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ ด้วยความศรัทธาและแสดงถึงความเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างสมบูรณ์ ประเพณีดังกล่าวนี้นักศึกษารุ่นหลังยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาตราบจนทุกวันนี้และเป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประเพณีรับน้องขึ้นดอยเป็นประเพณีของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่จัดขึ้นประมาณต้นเดือนกรกฎาคมของทุกปี ตามประวัติแล้วประเพณีนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ลูกช้างเชือกใหม่ทุกคน และดอยสุเทพซึ่งวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ โดยในวันรับน้องขึ้นดอยนั้นแต่ละคณะจะจัดตั้งขบวนบริเวณหน้าศาลาธรรมตั้งแต่เช้าตรู่โดยริ้วขบวนจะประกอบไปด้วยเฟรชชีและพี่ๆแต่ละชั้นปีเดินขึ้นไปพร้อมกันโดยทุกคนจะแต่งกายแบบล้านนาทำให้มีสีสันสวยงามตื่นตาตื่นใจ",
"12 ธันวาคม 2555 ณ สนามหน้าคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่\n13 ธันวาคม 2555 ณ สนามหน้าคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่\n14 ธันวาคม 2555 ณ สนามหน้าคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่\n15 ธันวาคม 2555 ณ สนามหน้าคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่\n15 ธันวาคม 2555 ณ สนามหน้าคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่\n16 ธันวาคม 2555 สนามหน้าตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่",
"ในปีพ.ศ.2551 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้แยกตัวออกจากส่วนราชการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล จึงทำให้คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปลี่ยนสภาพจากส่วนงานราชการเป็นส่วนงานในกำกับของรัฐบาลในปัจจุบัน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้แบ่งส่วนงานออกเป็น4ส่วนงานหลัก ได้แก่",
"เป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 เมษายน และประกาศเป็นส่วนราชการเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2513 โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินการจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นการภายในตั้งแต่สมัยที่ศาสตราจารย์ ดร.บัวเรศ คำทอง เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้รับความร่วมมือและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ ศาสตราจารย์ ดร.อรุณ สรเทศน์ (คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้นซึ่งต่อมาท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) พร้อมทีมงาน ได้เข้ามาช่วยดำเนินการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่เริ่มต้นในหลายๆด้าน โดยการจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านมีส่วนเป็นอย่างมากในการวางแผน ก่อสร้างอาคารต่างๆ และช่วยร่างหลักสูตรตลอดจนได้จัดหาอุปกรณ์ละตำราการสอน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการจัดหาอาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิในการเรียนการสอนของนักศึกษา",
"ในปี พ.ศ. 2553-2555 ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีการสำรวจ และศึกษา เพื่อขยายวิทยาเขต เพื่อกระจายการศึกษาในท้องถิ่น ซึ่งพื้นที่ ที่เหมาะสมในการจัดตั้ง วิทยาเขต ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นวิทยาเขตแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ พื้นที่อำเภอจอมทอง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตจอมทอง ซึ่งเดิมนั้นเป็นพื้นที่ค่ายสำรวจของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 17 ไร่ โดยรอบเป็นพื้นที่ของเขตของกรมป่าไม้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ขอความอนุเคราะห์ในการขยายพื้นที่เพิ่มอีกนวน 450 ไร่ ซึ่ง การก่อตั้งวิทยาเขตจอมทอง อยู่ในระยะยังดำเนินการ ซึ่งหากสร้างเสร็จจะสามารถเปิดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของทางมหาวิทยาลัย",
"สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 1 (ช้างเผือก) เดินทางได้โดยรถสองแถว สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 2 (อาเขต) เดินทางได้โดยรถประจำทางสาย B1 ขาไป (อาเขต-สวนสัตว์เชียงใหม่) ขึ้นรถที่สถานีขนส่งอาเขต-ลงที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[10] สถานีรถไฟเชียงใหม่ เดินทางได้โดยรถประจำทางสาย B1 ขาไป (สถานีรถไฟ-สวนสัตว์เชียงใหม่) ขึ้นรถที่สถานีรถไฟเชียงใหม่-ลงที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[10] ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ เดินทางได้โดยรถประจำทางสาย B2 ขากลับ (ท่าอากาศยานเชียงใหม่-อาเขต) ขึ้นรถที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่-ลงที่วัดพระสิงห์ และเดินทางต่อโดยรถประจำทางสาย B1 (อาเขต-สวนสัตว์เชียงใหม่) ขึ้นรถที่วัดพระสิงห์-ลงที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[10]",
"สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าในการการประเมินครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2553) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการประเมินในระดับดีในสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาการประมง และสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่/ สัตวแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์/ สหเวชศาสตร์ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสาขาพยาบาลศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่[14] และในการประเมินครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการประเมินในระดับดีมากในสาขาวิชา Material Technology / Material และ Mining Engineering ภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์, สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสาขาพยาบาลศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่[15]",
"หลังจากได้รับการอนุมัติจัดตั้งโรงเรียนแพทย์เชียงใหม่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ก็ได้มีความเจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ เมื่อมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ได้มีการโอนคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ไปเป็นคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2508 หลังจากที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้มีการก่อตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว โดยสามารถลำดับเหตุการณ์ได้ดังนี้",
"\"สิงห์นครพิงค์\" เป็นตราสัญลักษณ์ประจำหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยมีความเป็นมาเนื่องจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ถูกก่อตั้งขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยที่ตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ในวิทยาเขตเวียงบัว อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระธาตุดอยสุเทพเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบชัยภูมิที่ตั้งมหาวิทยาลัยถูกล้อมด้วยชุมชนเมืองเชียงใหม่ จึงเป็นที่มาของคำว่านครพิงค์ หรือชื่อเดิมของเมืองเชียงใหม่ จึงเป็นที่มาทั้งหมดของ สิงห์นครพิงค์ หรือ สิงห์ชมพู",
"จนถึง พ.ศ. 2506 ได้เป็นคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2507 ทางราชการได้ขอโอนให้ไปรับราชการในตำแหน่ง รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณบดี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในพ.ศ. 2512-2514 เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และพ.ศ. 2514-2523 ได้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่",
"คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นคณะตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 ให้เป็นหน่วยราชการระดับคณะ ซึ่งนับเป็นคณะที่ 5 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และแต่งตั้งให้อาจารย์ ดร.สุขุม อัศเวศน์ เป็นคณบดีคนแรกของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยในปัจจุบันคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้แบ่งส่วนราชการเป็น 1 สำนักงานคณะ 3 ศูนย์ และ 4 ภาควิชา ได้แก่ ภาควิชากีฏวิทยาและโรคพืช ภาควิชาพืชศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและส่งเสริมเผยแพร่การเกษตร และภาควิชาสัตวศาสตร์และสัตว์น้ำ\nคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีรายนามคณบดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังต่อไปนี้\nหมายเหตุ : ปัจจุบันคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เปิดสอนหลักสูตร ดังนี้\nคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีรายนามผู้บริหารชุดปัจจุบัน ดังต่อไปนี้",
"นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เครื่องแบบนักเรียนอัสสัมชัญเปลี่ยนจากเสื้อราชประแตนมาเป็นเชิ้ตสีขาวปักอัษรย่อของโรงเรียนและหมายเลขประจำตัวสีแดงเหนือปากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ต่อมาได้ย้ายมาปักทางด้านขวาในระดับเดิมแทน และใช้กันจนทุกวันนี้",
"ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 3/2539 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2539 ในนามศูนย์บริการสุขภาพพิเศษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2540 เป็นต้นมา และเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสถานบริการสุขภาพพิเศษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2551 เป็นต้นมา ศูนย์ศรีพัฒน์ฯเป็นหน่วยงานหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้บริการทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในโดยคณาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคทุกสาขาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยเพื่อประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดในการวินิจฉัยโรครวมทั้งบริการอันอบอุ่นประทับใจ ที่มุ่งเน้นคุณภาพของการบริการที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ",
"มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เขตพื้นที่ภาคพายัพ (จอมทอง) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิทยาเขตจอมทอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหามงกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่",
"เดินทางตามถนนเชียงใหม่-ลำปาง ผ่านอุโมงค์ทางลอดข่วงสิงห์ จากนั้นเลี้ยวขวาบริเวณสามแยกหน้าวัดเจ็ดยอดโพธาราม เข้ามาประมาณ 1 กิโลเมตร มหาวิทยาลัยฯ ตั้งอยู่ตรงข้ามสำนักงานเทศบาลตำบลช้างเผือก เส้นทางนี้ไม่มีรถโดยสารประจำทางผ่าน หรืออีกเส้นทางหนึ่ง: มุ่งหน้าไปยังทางขึ้นดอยสุเทพหรือทางไปหาอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย โดยเดินทางผ่านหน้าวัดเจ็ดยอดตามถนนเชียงใหม่-ลำปาง ไปถึงสี่แยกไฟแดงรินคำ (ห้างสรรพสินค้า MAYA อยู่ทางขวามือ) จากนั้นเลี้ยวขวา ไปตามเส้นทางถนนห้วยแก้ว ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ ไปประมาณ 100 เมตร จะพบทางเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพเชียงใหม่ อยู่ทางขวามือ (ตรงข้ามกับสวนรุกขชาติเชียงใหม่) หรือถ้ามาจากเซ็นทรัล กาดสวนแก้ว มุ่งหน้าไปยังทางขึ้นดอยสุเทพหรือทางไปหาอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย โดยไปถึงสี่แยกไฟแดงรินคำ จากนั้นตรงไปตามเส้นทางถนนห้วยแก้ว ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ ไปประมาณ 100 เมตร จะพบทางเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพเชียงใหม่ อยู่ทางขวามือ (ตรงข้ามกับสวนรุกขชาติเชียงใหม่)",
"เมื่อรัฐบาลได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้นในปีพ.ศ.2508 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ได้ถูกโอนย้ายจากสังกัดของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ให้มาอยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แผนกวิชาการพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยจึงเปลี่ยนสถานะเป็นแผนกวิชาหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหลังจากนั้นในปีพ.ศ.2509 แผนกวิชาการพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยได้เปิดสอนในระดับปริญญตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต(การพยาบาล) ในปีพ.ศ.2511 แผนกวิชาพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยได้เปลี่ยนชื่อเป็นภาควิชาพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่",
"คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถาบันการศึกษาพยาบาลศาสตร์ในสังกัดของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกับโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่(โรงพยาบาลสวนดอก) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และใกล้กับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ และคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะพยาบาลศาสตร์ ได้จัดการเรียนการสอนหลักสูตรระดับประกาศนียบัตร ระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก ทั้งในหลักสูตรภาษาไทย(Regular programs) และหลักสูตรนานาชาติ(International programs) โดยปัจจุบัน มีนักศึกษาและศิษย์เก่าทั้งในประเทศไทยและจากต่างประเทศเข้ารับการศึกษาและสำเร็จการศึกษาจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่",
"มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพายัพ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น",
"โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2499 เป็นโรงพยาบาลในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่ง มีชื่อเดิมคือคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ก่อตั้งขึ้นในสังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) และเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งที่ 3 ของประเทศไทยต่อจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ หรือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยการนับจำนวนเตียง ปี พ.ศ. 2558 และมีความเป็นมาดังนี้",
"มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิทยาเขตจอมทอง โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์การศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หริภุญชัย ศาลาธรรม ประเพณีรับน้องขึ้นดอย ประเพณีรับน้องรถไฟ",
"วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้น โดยกำหนดให้เปิดสอนในปีการศึกษา 2507 และให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ม.ล.ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการเตรียมการจัดตั้ง วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 81 ตอนที่ 7 ลงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2507 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 วันเปิดเรียนวันแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างเป็นทางการ วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ",
"วัดฝายหิน ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้านฝายหิน เลขที่ 67 หมู่ 1 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดในความอุปถัมภ์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ หมู่บ้านฝายหิน ด้านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และถนนทางขึ้นสถานีส่งโทรทัศน์ช่อง 7 ทางเดียวกันกับทางขึ้นสวนสัตว์เชียงใหม่ด้านประตูหลัง วัดฝายหินเป็นวัดโบราณ เคยเป็นที่สถิตของพระอภัยสาระทะสังฆปาโมกข์ (ครูบาอุ่นเรือน โสภโณ) อดีตสังฆราชาแห่งล้านนา ในปี พ.ศ. 2512 ได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการโยกย้ายบ้านเรือนชาวบ้านรอบมหาวิทยาลัย วัดฝายหินจึงได้อยู่ในความอุปถัมภ์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา วัดแห่งนี้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งนี้วัดฝายหินยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ของคณาจารย์ นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยด้วย ปัจจุบันทางวัดได้อนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรทั้งจากประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีโอกาสได้ศึกษาพระพุทธศาสนา โดยได้เปิดสำนักเรียน ธรรม-บาลี และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา ทางวัดได้เปิดโรงเรียนแผนกสามัญศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยความร่วมมือระหว่างวัดฝายหิน และ โรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ วัดสวนดอก",
"หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่รับพระราชทานปริญญาบัตรของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถานที่จัดกิจกรรมรับน้องรวม ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ กิจกรรมเฟรชชีไนท์เป็นต้น",
"ศาลพระภูมิมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดตั้งศาลพระภูมิประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้นเมื่อ วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 บริเวณหน้าตึกมหาวิทยาลัยหรือศาลาธรรมในปัจจุบัน ซึ่งศาลพระภูมิของมหาวิทยาลัยเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของนักศึกษามหาวิทยาเชียงใหม่ สมัยหนึ่ง เคยมีผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำริให้โค่นศาลพระภูมินี้ทิ้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเป็นแกนนำ เพราะ ณ ที่นี้มีตำนานเก่าแก่โบราณเล่าขาน เคยมีนักศึกษาบางคนเห็นเจ้าที่โบกมือให้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมานับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2514 รายละเอียดเพิ่มเติมของเรื่องลึกลับนี้ สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ เรื่องลึกลับของวีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์ในฐานะศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งได้อ้างอิงและมีบันทึกเรื่องราวความลึกลับของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งหมดทุกแง่มุม",
"ปีพุทธศักราช 2540 หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมกับพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 31 (พ.ศ. 2540) จึงเป็นปีที่เริ่มใช้หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่พระราชทานปริญญาบัตร",
"\"สิงห์นครพิงค์\" เป็นตราสัญลักษณ์ประจำหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยมีความเป็นมาเนื่องจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ถูกก่อตั้งขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยที่ตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ในวิทยาเขตเวียงบัว อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระธาตุดอยสุเทพเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบชัยภูมิที่ตั้งมหาวิทยาลัยถูกล้อมด้วยชุมชนเมืองเชียงใหม่ จึงเป็นที่มาของคำว่านครพิงค์ หรือชื่อเดิมของเมืองเชียงใหม่ จึงเป็นที่มาทั้งหมดของ สิงห์นครพิงค์ หรือ สิงห์ชมพู",
"มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เขตพื้นที่พายัพ เชียงใหม่ เขตพื้นที่เชียงราย เขตพื้นที่ลำปาง เขตพื้นที่น่าน มหาวิทยาลัยราชภัฏ กลุ่มภาคเหนือ วิทยาเขตเชียงใหม่ วิทยาเขตเชียงราย วิทยาเขตลำปาง วิทยาเขตอุตรดิตถ์ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง",
"มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เริ่มเปิดสอนในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 โดยระยะแรกมีเพียง 3 คณะ ได้แก่ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ และพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯมาทรงประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 และในปีเดียวกันนี้เองที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับโอนคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มาสังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ในครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2509) จึงเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรพร้อมกับมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ณ หอประชุมแพทยาลัย มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2510) จัด ณ พลับพลาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งที่ 3-5 (พ.ศ. 2512 –2514 ) จัด ณ พลับพลาบริเวณสนามหน้าตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่",
"จากจุดเริ่มต้นการให้การรักษาทางทันตกรรมแก่ชาวเชียงใหม่ ในฐานะแผนกหนึ่งของโรงพยาบาลนครเชียงใหม่สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๒ มีการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ขึ้น แผนกทันตกรรม โดยมีทันตแพทย์หญิง ดร.ถาวร อนุมานราชธน เป็นหัวหน้าแผนก จึงมีฐานะเป็นแผนกทันตกรรม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ต่อมามีการโอนย้ายคณะแพทยศาสตร์เข้าสังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แผนกทันตกรรมจึงเปลี่ยนเป็นแผนกหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘"
] |
ภาวะไม่รู้ใบหน้า เกิดจากความผิดปกติด้านสมองใช่หรือไม่? | [
"ภาวะไม่รู้ใบหน้า หรือ ภาวะเสียการระลึกรู้ใบหน้า (English: prosopagnosia, ภาษากรีก prosopon = หน้า, agnosia = ไม่รู้) หรือ ภาวะบอดใบหน้า (English: face blindness) เป็นความผิดปกติของการรับรู้ใบหน้า โดยที่สมรรถภาพในการรู้จำใบหน้าเกิดความเสียหาย ในขณะที่การประมวลข้อมูลอื่นๆ ทางสายตาเช่นการแยกแยะวัตถุ และประสิทธิภาพในด้านความคิดอื่นๆเช่นการตัดสินใจ ไม่มีปัญหาอะไร ศัพท์นี้ดั้งเดิมหมายถึงอาการที่เกิดขึ้นที่เกิดจากความเสียหายในสมองอย่างรุนแรง (คือภาวะบอดใบหน้าเกิดภายหลัง) แต่ว่า แบบที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด (คือมีความผิดปกติในช่วงพัฒนา) ก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน และอาจจะเกิดขึ้นกับจำนวนประชากรถึง 2.5 %[1]"
] | [
"หลักฐานประเภทนี้สำคัญมากในการสนับสนุนทฤษฎีว่า อาจจะมีระบบการรับรู้ใบหน้าโดยเฉพาะในสมอง นักวิจัยโดยมากเห็นด้วยว่ากระบวนการรับรู้ใบหน้านั้นเป็นไปตามองค์ประกอบรวมๆ ไม่ใช่เป็นไปตามองค์ประกอบเฉพาะ ไม่เหมือนการรับรู้วัตถุอื่นๆ โดยมาก การรับรู้โดยองค์รวมของใบหน้าจึงไม่ต้องมีเซลล์ประสาทเป็นตัวแทนชัดแจ้ง (explicit representation) ของลักษณะเฉพาะต่างๆ เป็นต้นว่า ตา จมูก และปาก แต่การรับรู้ใบหน้าเป็นการพิจารณาใบหน้าโดยองค์รวม[7][8][9]",
"ภาวะบอดใบหน้าอาจจะมีเหตุมาจากรอยโรคในส่วนต่างๆ ของสมองกลีบท้ายทอยด้านล่าง (คือเขตรู้หน้าในสมองกลีบท้ายทอย) รอยนูนรูปกระสวย (เขตรับรู้หน้าในรอยนูนรูปกระสวย) และสมองกลีบขมับด้านหน้า[7] การสร้างภาพสมองด้วยโพซิตรอนอีมิสชันโทโมกราฟีและ fMRI แสดงว่า ในผู้ที่<i data-parsoid='{\"dsr\":[17863,17876,2,2]}'>ไม่มีภาวะ</i>ไม่รู้หน้า เขตเหล่านี้จะเริ่มทำงานโดยตอบสนองต่อใบหน้าโดยเฉพาะ[3] เขตต่างๆ ในสมองกลีบท้ายทอยด้านล่าง โดยหลักมีบทบาทในการประมวลผลขั้นต้นๆ ของระบบการรู้หน้า และเขตต่างๆ ในสมองกลีบขมับด้านหน้าประสานข้อมูลเกี่ยวกับใบหน้า เสียง และชื่อของบุคคลที่คุ้นเคย[7]",
"ภาวะเสียการระลึกรู้สีเหตุสมอง (cerebral achromatopsia) เป็นความผิดปกติทางการแพทย์มีอาการเป็นความไม่สามารถที่จะรับรู้สี\nและไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนพอในระดับแสงที่สูง\nภาวะเสียการระลึกรู้สีแต่กำเนิด (Congenital achromatopsia) มีอาการเหมือนกัน\nแต่เกิดเพราะอาศัยกรรมพันธุ์ เปรียบเทียบกับภาวะเสียการระลึกรู้สีเหตุสมอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความเสียหายในสมอง\nเขตหนึ่งในสมองที่มีขาดไม่ได้ในการแยกแยะสีก็คือ ITC",
"ภาวะสมองเสื่อม หรือ โรคสมองเสื่อม (, มาจากภาษาละติน \"de-\" \"ออกไป\" และ \"mens\" มาจาก \"mentis\" \"จิตใจ\") เป็นภาวะการเสื่อมถอยของหน้าที่การรับรู้อันเนื่องมาจากความเสียหายหรือโรคที่เกิดในสมองซึ่งมักเกิดจากการเสื่อมถอยไปตามอายุ แม้ว่าภาวะสมองเสื่อมจะเกิดขึ้นโดยปกติในประชากรผู้สูงอายุ แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ใหญ่ในทุกระยะ สำหรับกลุ่มอาการที่คล้ายคลึงกันอันเนื่องมาจากหน้าที่ของสมองผิดปกติในประชากรที่อายุน้อยกว่าวัยผู้ใหญ่จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ความผิดปกติในพัฒนาการ (developmental disorders)",
"ภาวะไม่รู้ใบหน้า (Prosopagnosia) หรือภาวะบอดใบหน้า (face blindness)\nเป็นความผิดปกติมีผลเป็นความไม่สามารถรู้จำหรือแยกแยะใบหน้าของคนต่าง ๆ \nและอาจจะเกิดขึ้นกับความเสียหายในการรู้จำวัตถุสิ่งของอื่น ๆ \nรวมทั้งสถานที่ รถยนต์ และอารมณ์ความรู้สึก (ของผู้อื่น) ",
"ภาวะบอดใบหน้าที่เกิดขึ้นภายหลัง สามารถเกิดขึ้นได้เพราะความเสียหายทางประสาท ที่มีเหตุเกี่ยวเนื่องกับโรคหลอดเลือดสมองหลายๆ อย่าง รวมทั้งเนื้อตายเพราะหลอดเลือดในสมองด้านหลัง (posterior cerebral artery infarct) และการตกเลือดในด้านล่างด้านใน (infero-medial) ของรอยต่อสมองกลีบขมับและสมองกลีบท้ายทอย (temporo-occipital junction) เหตุเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นทั้งสองซีกสมอง หรือเพียงสมองซีกเดียวก็ได้ แต่ถ้าเกิดที่ซีกสมองเดียว ก็มักจะเกิดขึ้นในซีกขวาเกือบทุกกรณี[3] ภาวะบอดใบหน้าที่เกิดขึ้นภายหลัง สามารถเกิดขึ้นได้เพราะความเสียหายทางประสาท ที่มีเหตุเกี่ยวเนื่องกับโรคหลอดเลือดสมองหลายๆ อย่าง รวมทั้งเนื้อตายเพราะหลอดเลือดในสมองด้านหลัง (posterior cerebral artery infarct) และการตกเลือดในด้านล่างด้านใน (infero-medial) ของรอยต่อสมองกลีบขมับและสมองกลีบท้ายทอย (temporo-occipital junction) เหตุเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นทั้งสองซีกสมอง หรือเพียงสมองซีกเดียวก็ได้ แต่ถ้าเกิดที่ซีกสมองเดียว ก็มักจะเกิดขึ้นในซีกขวาเกือบทุกกรณี[3]",
"จากงานของลูค์เชลลีและสปินน์เลอร์ ปี ค.ศ 2007[17] เฟร็ด ชายวัย 58 ปีผู้มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย ได้มาเพื่อการตรวจสอบทางประสาทและทางประสาทจิตวิทยา เพราะมีความผิดปกติในการรับรู้และในพฤติกรรม เขาได้ทำงานเป็นหัวหน้าของหน่วยงานเล็ก ๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับการวิจัยด้านพลังงานจนกระทั่งถึงเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ประวัติทางเวชศาสตร์และจิตเวชของเขาไม่มีอะไรผิดปกติ ... ภรรยาขอเฟร็ดรายงานว่า ภายใน 15 เดือนจากที่เริ่มมีอาการผิดปกติ เฟร็ดเริ่มเห็นเธอเป็นตัวปลอม ปรากฏการณ์นี้ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อหลังจากที่กลับมาบ้าน เฟร็ดถามเธอว่า วิลมาอยู่ที่ไหน หลังจากการตอบของเธอว่า เธออยู่ที่นี่ไง ที่ทำให้เฟร็ดแปลกใจ เขาก็ปฏิเสธอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า เธอไม่ใช่วิลมาภรรยาของเขา ผู้ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีในฐานะมารดาของบุตรของเขา และยังกล่าววิจารต่อไปอย่างปกติธรรมดาว่า วิลมาคงจะออกไปข้างนอก และเดี๋ยวคงจะกลับมาภายหลัง ... เฟร็ดมีความเสื่อมลงของการรับรู้อย่างต่อเนื่อง ที่เป็นไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว และนอกจากความเสื่อมทางการรับรู้แล้ว ก็ยังปรากฏอาการทางประสาทจิตวิทยา ที่มีความปั่นป่วนของการใช้ภาษาเป็นอาการเด่น ซึ่งบอกเป็นนัยถึงความผิดปกติทางกิจบริหารของสมองกลีบหน้า ความบกพร่องทางการรับรู้ของเขาไปสุดด้วยกลุ่มอาการที่เกิดจากความเสียหายอย่างรุนแรงและกว้างขวางของสมองส่วนหน้า",
"รอยโรคที่รอยต่อของสมองกลีบขมับและสมองกลีบท้ายทอย (temporo-occipital junction) ซีกซ้ายข้างเดียว ก่อให้เกิดภาวะไม่รู้วัตถุ แต่ไม่มีผลต่อกระบวนการรู้จำใบหน้า แต่ว่า เพราะว่ามีบางกรณีที่ถูกบันทึกว่า ความเสียหายต่อสมองข้างซ้ายซีกเดียวก่อให้เกิดภาวะบอดใบหน้า จึงมีการเสนอว่า ความบกพร่องของการรู้จำใบหน้า ที่เกิดจากความเสียหายในสมองซีกซ้ายข้างเดียว เป็นเพราะมีความผิดปกติ ที่เข้าไปห้ามกระบวนการค้นคืนความจำเกี่ยวกับข้อมูลของบุคคล ที่ปรากฏอยู่ในสายตานั้น[7]",
"ภาวะอัมพาตแบบเบลล์ () เป็นอาการอัมพาตของใบหน้าชนิดหนึ่งทำให้มีการทำงานผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 (เส้นประสาทเฟเชียล) จนควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ โรคหรือภาวะที่ทำให้มีใบหน้าชาเช่นนี้มีอีกหลายโรค ตั้งแต่เนื้องอกในสมอง โรคหลอดเลือดสมอง โรคไลม์ และอื่นๆ แต่หากไม่พบภาวะซึ่งเป็นสาเหตุได้จะถือว่าภาวะใบหน้าเป็นอัมพาตนั้นเกิดจากภาวะอัมพาตแบบเบลล์ ภาวะนี้ได้ชื่อตามนักกายวิภาคศาสตร์ชาวสก็อตชื่อชาร์ลส์ เบลล์ ซึ่งได้บรรยายภาวะนี้เอาไว้เป็นครั้งแรก อัมพาตแบบเบลล์เป็นโรคของเส้นประสาทเส้นเดียว (mononeuropathy) ที่พบบ่อยที่สุด และเป็นสาเหตุของภาวะเส้นประสาทเฟเชียลเป็นอัมพาตเฉียบพลันที่พบบ่อยที่สุดด้วย",
"ภาษาศาสตร์ประสาทวิทยา () เป็นการศึกษาสรีระของสมองและโครงสร้างของระบบประสาทโดยเฉพาะ ในส่วนที่สัมพันธ์กับการพัฒนาและการใช้ภาษา และศึกษาพยาธิสภาพทางสมองที่มีผลทำให้เกิดความบกพร่องหรือความผิดปกติทางภาษา ตลอดจนพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟูภาษาของบุคคลที่มีความบกพร่องดังกล่าว อาทิ ผู้ป่วยที่มีภาวะเสียการสื่อภาษา (aphasia) เป็นอาการที่สมองสั่งงานให้พูดออกมาด้วยความยากลำบาก คนไข้จะพูดไม่คล่อง พูดตะกุกตะกัก (อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์, 2537: 294) ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางการได้ยิน ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางการพูด (articulatory disorders) หรือมีความผิดปกติของอวัยวะในการพูดเนื่องจากกลไกการออกเสียงเสื่อม (dysarthria) ตลอดจนศึกษาภาวะความผิดปกติอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการทำงานของสมอง เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะเสียการเขียน (agraphia) ซึ่งเป็นผู้ที่อ่านได้แต่เขียนไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่มีภาวะเสียการอ่าน (alexia) นั่นคืออ่านไม่รู้เรื่อง แต่เขียนหรือคัดลายมือได้ หรือมีภาวะเสียการใช้คำ (anomia) หรือไม่สามารถหาคำที่มีความหมายเหมาะสมได้ คนไข้มีปัญหาการเลือกคำ การใช้คำขณะพูด การเข้าใจภาษาและการว่าซ้ำไม่มีปัญหา พูดคล่อง แต่ใช้คำเยิ่นเย้อ (อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์, 2537: 294) ผู้ที่ศึกษาทางด้านนี้ จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางสัทศาสตร์และภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบภาษาที่ใช้ในสังคมที่ตนจะศึกษาหรือฟื้นฟูแก้ไข",
"ภาวะบอดใบหน้า (คือไม่สามารถรู้จำใบหน้าได้) เกิดขึ้นจากความเสียหายของเขตรับรู้ใบหน้าในรอยนูนรูปกระสวย (fusiform face area) งานวิจัยที่ใช้การสร้างภาพโดยกิจแสดงให้เห็นว่า มีเขตเฉพาะบางเขตที่มีหน้าที่โดยเฉพาะเกี่ยวกับการรู้จำใบหน้า เรียกว่า \"เขตรับรู้ใบหน้าในรอยนูนรูปกระสวย\" ซึ่งอยู่ในรอยนูนรูปกระสวย (fusiform gyrus) ของสมองกลีบขมับ แต่ว่า เขตนี้ไม่ได้รับรู้ใบหน้าอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรู้จำวัตถุที่บุคคลมีความชำนาญอื่นๆ ด้วย ",
"ภาวะบอดใบหน้ามี 2 ประเภท ได้แก่ แบบที่เกิดภายหลัง และแบบที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด (คือมีความผิดปกติในช่วงพัฒนา) แบบที่เกิดภายหลัง เป็นผลของความเสียหายที่รอยต่อของสมองกลีบขมับและสมองกลีบท้ายทอย (occipito-temporal junction) (ดูสมุฏฐานและเขตสมองที่เกี่ยวข้อง) ที่มักจะพบในผู้ใหญ่ แบบนี้ยังแบ่งออกเป็นแบบวิสัญชาน (apperceptive) และแบบสัมพันธ์ (associative) ส่วนผู้มีภาวะแบบที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด จะมีการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์ของการรู้จำใบหน้า[4]",
"งานวิจัยเกี่ยวกับภาวะบอดใบหน้า เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับการรับรู้ใบหน้า เพราะภาวะบอดใบหน้าไม่ใช่เป็นโรคชนิดเดียว คือ คนไข้ต่างๆ กัน อาจจะมีความบกพร่องที่ต่างประเภทกันและต่างระดับกัน จึงมีการเสนอว่า การรับรู้ใบหน้าต้องอาศัยการประมวลผลหลายขั้นตอน และความบกพร่องในขั้นต่างๆ กัน อาจจะก่อให้เกิดความแตกต่างกันของอาการที่แสดงออกของคนไข้ภาวะบอดใบหน้า[6]",
"ข้อสังเกตที่ทำให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นพบในคนไข้ที่ชื่อว่า L.H. \nในงานวิจัยของ เอ็ตค็อฟ์ฟและคณะในปี ค.ศ. 1991\nคือ ชายวัย 40 ปีคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เมื่ออายุ 18 ปี\nและได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในสมอง\nหลังจากที่ฟื้นตัว L.H. ไม่สามารถรู้จำใบหน้าหรือแยกแยะใบหน้าได้\nไม่สามารถแม้แต่จะรู้จำใบหน้าของบุคคลคุ้นเคยที่รู้จักก่อนอุบัติเหตุ\nL.H. และคนไข้ภาวะไม่รู้ใบหน้าอื่น ๆ โดยปกติสามารถใช้ชีวิตที่เกือบเป็นปกติแม้ว่าจะประกอบด้วยภาวะนี้\nคือ L.H. ยังสามารถรู้จำวัตถุสามัญทั่ว ๆ ไป\nยังรู้จักความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรูปร่าง อายุ เพศ และความน่าชอบใจของใบหน้า\nแต่ว่า เพื่อแยกแยะบุคคลต่าง ๆ เขาต้องใช้ตัวช่วยที่ไม่เกี่ยวกับใบหน้าอื่น ๆ เช่น ความสูง สีผม และเสียง\nการสร้างภาพในสมองโดยเทคนิคที่ไม่ต้องอาศัยการเจาะการผ่าตัดพบว่า ภาวะไม่รู้ใบหน้าของ L.H. มีเหตุมาจากความเสียหายในสมองกลีบขมับซีกขวา ซึ่งประกอบด้วยรอยนูนกลีบขมับส่วนล่าง",
"งานศึกษาเรื่องโรค สภาวะไม่รู้หน้า (prosopagnosia) งานหนึ่งแสดงหลักฐานว่า ใบหน้าถูกประมวลผลโดยวิธีที่พิเศษ เป็นการศึกษากรณีของคนไข้ที่รู้จักโดยชื่อย่อว่า ซีเค ผู้มีสมองเสียหายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ และภายหลังเกิดมีภาวะเสียการระลึกรู้วัตถุ (object agnosia) ซีเคมีความลำบากในการรู้จำวัตถุ (object recognition) ในระดับขั้นพื้นฐาน รวมทั้งอวัยวะต่างๆ ของตน แต่สามารถรู้จำใบหน้าได้เป็นอย่างดี งานศึกษาหลังจากนั้นแสดงว่า ซีเคไม่สามารถรู้จำใบหน้าที่ถูกกลับหัวลงล่าง หรือว่ารูปใบหน้าที่ถูกบิดเบือนไป แม้ในกรณีที่คนปกติทั่วไปสามารถที่จะรู้จำใบหน้าเหล่านั้นได้ งานศึกษานี้ถูกถือเอาเป็นหลักฐานว่า FFA มีหน้าที่เฉพาะในการประมวลผลเกี่ยวกับใบหน้าที่อยู่ในแนวปกติ",
"ภาวะบอดใบหน้าบางครั้งเกิดขึ้นพร้อมกับความผิดปกติอย่างอื่น ที่เกี่ยวข้องกับเขตสมองที่อยู่ใกล้ๆ กับเขตรับรู้ใบหน้า ตัวอย่างเช่น[3]",
"ภาวะไม่รู้ใบหน้าแบบวิสัญชาน (English: apperceptive prosopagnosia) เป็นคำที่ใช้พรรณนากรณีภาวะบอดใบหน้าที่เกิดขึ้นภายหลัง ที่มีผลต่อกระบวนการประมวลผลในขั้นเบื้องต้นของระบบการรับรู้ใบหน้า เขตในสมองที่สันนิษฐานกันว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในภาวะไม่รู้ใบหน้าแบบวิสัญชาน ก็คือ รอยต่อของสมองกลีบขมับและสมองกลีบท้ายทอย (temporo-occipital junction) ในสมองซีกขวา[7]",
"ในบทความปี ค.ศ. 1990 ที่พิมพ์ใน วารสารจิตเวชศาสตร์แห่งประเทศอังกฤษ (British Journal of Psychiatry) นักจิตวิทยาเฮเด็น เอ็ลลิส และแอนดี้ ยัง ได้ตั้งสมมุติฐานว่า คนไข้อาการหลงผิดคะกราส์อาจจะมีภาวะตรงกันข้ามกันกับภาวะไม่รู้ใบหน้า คือว่า ในอาการหลงผิดคะกราส์ ความสามารถเหนือสำนึกเพื่อรู้จำใบหน้าไม่มีความเสียหาย แต่อาจจะมีความเสียหายในระบบที่ก่อให้เกิดความเร้าความรู้สึกโดยอัตโนมัติ (คือไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจ) ต่อใบหน้าที่มีความคุ้นเคย[20] ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่คนไข้สามารถรู้จำบุคคลได้ แต่กลับมีความรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติในบุคคลนี้ ในปี ค.ศ. 1997 เฮเด็น เอ็ลลิสและคณะ ได้พิมพ์ผลงานวิจัยในคนไข้ 5 คนที่มีอาการหลงผิดคะกราส์ ผู้ล้วนแต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท เอ็ลลิสได้รับรองยืนยันสมมุติฐานของตนว่า ถึงแม้ว่า คนไข้จะสามารถรู้จำใบหน้าโดยจิตเหนือสำนึก แต่กลับไม่แสดงความเร้าทางความรู้สึกที่ควรแสดง[21] คือ คนไข้แสดงความรู้สึกอัตโนมัติเหมือนกับเจอกับคนแปลกหน้า ส่วนงานวิจัยของยัง (ค.ศ. 2008) ได้ตั้งสมมุติฐานว่า คนไข้ที่มีโรคนี้สูญเสียความคุ้นเคย ไม่ใช่บกพร่องความคุ้นเคย[22]",
"มีความผิดปกติช่วงพัฒนาหลายอย่าง ที่สัมพันธ์กับโอกาสที่สูงขึ้น ที่บุคคลหนึ่งจะมีปัญหาในการรับรู้ใบหน้า ซึ่งบุคคลนั้นอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว กลไกความเป็นไปของความบกพร่องในการรับรู้เหล่านี้ยังไม่ปรากฏ รายการโรคที่มีองค์ประกอบเป็นภาวะบอดใบหน้ารวมทั้งความผิดปกติในการเรียนที่ไม่เกี่ยวกับคำพูด[16] โรคอัลไซเมอร์ โรคกลุ่มออทิซึมสเปกตรัม[17] อย่างไรก็ตาม โรคเหล่านี้ซับซ้อนมาก เพราะฉะนั้น อาจจะดีกว่าถ้าเราไม่ตั้งสมมุติฐานตามอำเภอใจ[18]",
"งานวิจัยเร็วๆ นี้ยืนยันว่า ความเสียหายต่อสมองซีกขวา ที่เขตรอยต่อของสมองกลีบขมับและสมองกลีบท้ายทอยที่กล่าวถึงนั้น เพียงพอที่จะก่อให้เกิดภาวะบอดใบหน้า คือ การสร้างภาพด้วย MRI ในคนไข้ภาวะบอดใบหน้า แสดงรอยโรคที่จำกัดอยู่ในสมองข้างขวา ในขณะที่การสร้างภาพด้วย fMRI แสดงว่าสมองซีกซ้ายทำงานเป็นปกติ[3]",
"ภาวะอัมพาตสมองใหญ่ หรือภาวะสมองพิการ () เป็นกลุ่มของโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติชนิดถาวรที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กตอนต้น อาจมีอาการและอาการแสดงแตกต่างกันไประหว่างผู้ป่วยแต่ละคน อาการที่พบบ่อยเช่น กล้ามเนื้อประสานงานบกพร่อง กล้ามเนื้อเกร็ง อ่อนแรง และสั่น อาจมีปัญหาอื่นร่วมเช่นความบกพร่องด้านการรับสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน การกลืน การพูด เป็นต้น ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะอัมพาตสมองใหญ่อาจกลิ้งตัว นั่ง คลาน เดินไม่ได้เร็วเท่าเด็กปกติที่อายุเท่ากัน ผู้ป่วยประมาณหนึ่งในสามมีอาการชักและความบกพร่องทางการรู้ร่วมด้วย อาการเหล่านี้แม้อาจตรวจไม่พบตั้งแต่แรก แต่จะไม่ทรุดลงเมื่อเวลาผ่านไป",
"ภาวะไม่รู้ใบหน้าเหตุพัฒนา (English: developmental prosopagnosia, ตัวย่อ DP) เป็นความบกพร่องในการรู้จำใบหน้าที่จะมีตลอดทั้งชีวิต ปรากฏอาการตั้งแต่ในวัยเด็ก และไม่สามารถสาวเหตุไปยังความเสียหายในสมองที่เกิดขึ้นภายหลัง งานวิจัยหลายงานค้นพบความบกพร่องของสมองโดยกิจของผู้มีภาวะนี้ อาศัยการตรวจโดยใช้คลื่นไฟฟ้าสมอง และโดยใช้ fMRI มีงานวิจัยที่บอกเป็นนัยว่าพันธุกรรมเป็นเหตุของภาวะนี้",
"ภาวะพบร่วม PHACE () ย่อมาจาก Posterior fossa malformation-hemangiomas-arterial anomalies-cardiac defects-eye abnormalities-sternal cleft and supraumbilical raphe association (สภาพวิรูปของสมองส่วน posterior fossa, เนื้องอกหลอดเลือด, ความผิดปกติของหลอดเลือดแดง, ภาวะหัวใจบกพร่อง, ความผิดปกติของตา, ช่องแยกกระดูกอก และรอยแยกเย็บเหนือสะดือ) เป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีภาวะผิดปกติหลายอย่าง\nมีการพบความสัมพันธ์ระหว่างการพบ hemangioma ขนาดใหญ่ที่ใบหน้าร่วมกับความผิดปกติของหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดใบหน้าตั้งแต่ ค.ศ. 1978 โดย Pascual-Castroviejo ซึ่งได้รายงานผู้ป่วยหญิง 7 รายซึ่งมี hemangioma ที่ใบหน้าและหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า hemangioma นี้สัมพันธ์กับความผิดปกติของสมอง โดยเฉพาะเซเรเบลลัม และโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดบางชนิด และความผิดปกติของหลอดเลือดที่เป็นมากที่สุดจะพบในด้านเดียวกันกับ hemangioma",
"ตาบอดครึ่งซีกด้านซ้าย คือการสูญเสียการมองเห็นทางด้านซ้าย ที่สัมพันธ์กับความเสียหายของสมองกลีบท้ายทอยด้านขวา ภาวะเสียการระลึกรู้สีเหตุสมอง คือความบกพร่องในการรับรู้สี ที่เกิดขึ้นเพราะรอยโรคในซีกสมองด้านหนึ่งหรือสองด้าน ที่รอยต่อของสมองกลีบขมับและสมองกลีบท้ายทอย (temporo-occipital junction) ภาวะงุนงนสับสนในภูมิลักษณ์ คือการสูญเสียความคุ้นเคยในสิ่งแวดล้อม และความยากลำบากในการใช้จุดสังเกตในภูมิประเทศ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับรอยโรคในส่วนหลังของรอยนูนรอบฮิปโปแคมปัส และส่วนหน้าของรอยนูนรูปลิ้น (lingual gyrus) ของซีกสมองขวา",
"คนโดยมากมีความสามารถจำกัดในการที่จะรับรู้คำพูดโดยอาศัยตาเพียงทางเดียว ยกเว้นบุคคลที่สามารถอ่านคำพูดจากปากได้[2] แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็คือความสามารถในการเข้าใจคำพูดในระดับที่เพิ่มขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงอึกทึก โดยอาศัยการเห็นท่าทางของผู้พูด[2] นอกจากนั้นแล้ว การเห็นการเปล่งเสียงยังสามารถเปลี่ยนการรับรู้เสียงแม้ที่ชัดเจนดี เมื่อการเปล่งเสียงที่เห็นนั้นแตกต่างจากคำพูดที่ได้ยิน[2] โดยปกติแล้ว เราเข้าใจการรับรู้คำพูดว่า เป็นการประมวลผลทางการได้ยิน[2] แต่ความหลงผิดที่ประสบในปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอัตโนมัติ และไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจโดยมาก[11] ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การรับรู้คำพูดนั้น ไม่ใช่อาศัยการได้ยินเพียงเท่านั้น[11] แต่ต้องอาศัยทางประสาทหลายทางที่ทำงานร่วม ๆ กันรวมทั้งการเห็น การถูกต้องสัมผัส (ใบหน้าที่กำลังพูด) และการได้ยิน สมองบ่อยครั้งไม่มีความตระหนักถึงทางประสาทของข้อมูลที่รับรู้[11] ดังนั้น สมองจึงไม่สามารถแยกแยะว่าคำพูดที่รับรู้นั้น มาจากการได้ยินหรือการเห็น[11]",
"หลักฐานแรก ๆ ที่อาจจะชี้เหตุที่ก่อให้เกิดอาการนี้ มาจากงานวิจัยของคนไข้บาดเจ็บทางสมองผู้เกิดมีภาวะไม่รู้ใบหน้า (prosopagnosia) ผู้ไม่มีการรับรู้ใบหน้าแบบเหนือสำนึก ถึงแม้ว่าจะสามารถรู้จำวัตถุทางตาประเภทอื่น ๆ ได้ แต่ว่า งานวิจัยปี ค.ศ. 1984 ของเบาเออร์กลับแสดงว่า ถึงแม้ว่าการรู้จำใบหน้าเหนือสำนึกจะบกพร่อง คนไข้ภาวะนี้กลับแสดงความเร้าทางประสาทที่เกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจ (วัดโดยการนำไฟฟ้าของผิวหนัง) เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคย[19] เป็นผลงานวิจัยที่บอกเป็นนัยว่า มีวิถีประสาทสองทางในการรู้จำใบหน้า คือวิถีเหนือสำนึกและวิถีใต้สำนึก",
"งานวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นด้วยอีกว่า ระดับการตอบสนองของเซลล์เหล่านี้\nไม่เปลี่ยนไปเพราะเหตุของสีหรือขนาด แต่ว่าเปลี่ยนไปตามรูปร่าง\nซึ่งนำไปสู่ข้อสังเกตที่น่าสนใจ\nคือว่า เซลล์เดี่ยว ๆ บางตัวเหล่านี้ มีบทบาทในการรู้จำใบหน้าและมือ\nนี้อาจจะชี้ถึงความเกี่ยวข้องกับภาวะไม่รู้ใบหน้าที่เป็นความผิดปกติทางประสาท\nและอธิบายถึงความที่มือเป็นจุดที่มนุษย์สนใจ\nงานวิจัยที่เกิดต่อจากงานนี้ ได้ทำการสำรวจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงบทบาทของ \"นิวรอนใบหน้า\" และ \"นิวรอนมือ\" ที่มีอยู่ใน ITC",
"ภาวะไม่รู้ใบหน้าแบบสัมพันธ์ (English: associative prosopagnosia) เป็นคำที่ใช้พรรณนากรณีภาวะบอดใบหน้าที่เกิดขึ้นภายหลัง ที่ไม่ทำลายกระบวนการประมวลผล แต่ก่อความเสียหายให้กับการเชื่อมต่อกันระหว่างกระบวนการรับรู้ใบหน้าขั้นเบื้องต้น กับข้อมูลต่างๆ ที่เรามีเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้น. สมองกลีบขมับด้านหน้าในสมองซีกขวาอาจจะมีบทบาทสำคัญในภาวะนี้[7]",
"กายภาพบำบัดในผู้ป่วยเด็ก ช่วยการตรวจหาปัญหาสุขภาพตั้งแต่แรกเริ่ม และใช้รูปแบบที่กว้างและหลากหลายในการรักษความผิดปกติในประชากรเด็ก นักกายภาพบำบัดเด็ก จะมีความชำนาญเป็นพิเศษในการวินิจฉัย ให้การรักษา และการจัดการในเด็กทารก เด็ก และวัยรุ่น เกี่ยวกับ ภาวะที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิดทั้งหลาย การพัฒนาการ ระบบกล้ามเนื้อประสาท ระบบกระดูก และภาวะโรคหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายหลังจากการคลอดแล้ว การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่ การเพิ่มทักษะเกี่ยวกับการควบคุมกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็ก การทรงตัวและความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงการแปลผลทางการรับรู้ การรับสัมผัส ผู้ป่วยส่วนหนึ่งของนักกายภาพบำบัดในเด็ก คือเด็กที่มีการพัฒนาการล่าช้า, สมองพิการแต่กำเนิด, Spina bifida (ความผิดปกติที่เกิดจากการสร้างหลอดประสาทที่ไม่สมบูรณ์), Torticollis"
] |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สิ้นพระชนม์เมื่อไหร่? | [
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต</b>เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 นาฬิกา ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช รัฐบาลประกาศไว้ทุกข์ถวายความอาลัยเป็นเวลา 1 ปี สำนักพระราชวังมีหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึง 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง คณะรัฐมนตรีมีมติประกาศให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตและวันหยุดราชการเพื่อให้ประชาชนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ[1] [2] และได้กำหนดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้นในวันที่ 25 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560[3] รวมถึงได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[4]"
] | [
"พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตรวจความพร้อมและซักซ้อมการยกนพปฎลมหาเศวตฉัตรประดับยอดพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อให้พระราชพิธีเป็นไปด้วยควาเรียบร้อย สมพระเกียรติ ตามที่กรมศิลปากร และกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จฯ ไปทรงยกนพปฎลมหาเศวตฉัตรประดับยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง",
"พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดเพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยรัฐบาลกำหนดวันพระราชพิธีระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 และได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[90]",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระศพบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยราชสักการะพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับขวดน้ำพระสุคนธ์จากคุณเพ็ญศรี เขียวมีส่วน ถวายสรงที่พระศพ แล้วทรงคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์และโถน้ำขมิ้นจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือนถวายสรงที่ตรงพระอุระพระศพ ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหวีพระเกศาพระศพขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วทรงหวีลงอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วทรงหักพระสางนั้นวางไว้ในพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่ จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระราชอาสน์ที่นอกพระฉาก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บรรดาราชนิกูล ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คณะองคมนตรี ได้ขึ้นไปยังพระที่นั่งพิมานรัตยา จากนั้นเจ้าพนักงานเชิญผ้าไตร 86 ไตร ถวายทรงจบ นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง กราบบังคมทูลพระกรุณาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงพระราชทานซองพระศรีบรรจุดอกบัวและธูปเทียนที่ปากพระโกศ แล้วทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ ทรงรับพระชฎาทองคำวางข้างพระเศียรพระศพ แล้วเสด็จออกไปประทับพระราชอาสน์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่พระโกศ ตำรวจหลวงเชิญพระโกศพระศพไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินตาม ตำรวจหลวงเชิญพระโกศพระศพขึ้นประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระลองทองใหญ่ ภายใต้เศวตฉัตร 5 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องสูงทองแผ่ลวด บังแทรก ชุมสาย ต้นไม้ทองเงิน ณ มุขตะวันตก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท",
"วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เวลา 17.09 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง ถึงยังพระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ในการถวายสรงน้ำพระศพ โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ เฝ้าฯรับเสด็จ เมื่อรถยนต์พระที่นั่งเทียบที่ประตูพระที่นั่งทรงธรรมแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯขึ้นสู่พระที่นั่งทรงธรรม และเสด็จฯเข้าภายในพระฉาก พระศพบรรทมอยู่บนพระแท่น โดยทรงชุดไทยจิตรลดาสีฟ้าอ่อน",
"ลำดับรูปรายพระนาม/รายนามเริ่มวาระสิ้นสุดวาระหมายเหตุพระสุธรรมวินิจฉัย (ชม วณิกเกียรติ)9 มิถุนายน พ.ศ. 248916 มิถุนายน พ.ศ. 2489เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเป็นการชั่วคราว[8]พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์)9 มิถุนายน พ.ศ. 248916 มิถุนายน พ.ศ. 2489เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเป็นการชั่วคราว[8]สงวน จูฑะเตมีย์9 มิถุนายน พ.ศ. 248916 มิถุนายน พ.ศ. 2489เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเป็นการชั่วคราว[8]พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร16 มิถุนายน พ.ศ. 2489[9]7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)คณะอภิรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490[10]23 มกราคม หรือ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ได้ให้อำนาจในการจัดตั้งคณะอภิรัฐมนตรี คณะฯ ประกอบด้วย 1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระชัยนาทนเรนทร 2. พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร 3. พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ 4. พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) 5. หลวงอดุลเดชจรัส (อดุล อดุลเดชจรัส) (บัตร พึ่งพระคุณ) คณะฯ ยุบเลิกไปเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มีผลบังคับใช้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร23 มิถุนายน พ.ศ. 2492[11]พ.ศ. 24924 มิถุนายน พ.ศ. 2493[12]7 มีนาคม พ.ศ. 2494ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สิ้นพระชนม์ขณะดำรงตำแหน่งพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร12 มีนาคม พ.ศ. 2494[13]19 ธันวาคม พ.ศ. 2495สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี22 ตุลาคม พ.ศ. 2499[14]5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระผนวช ซึ่งภายหลังได้มีการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี18 ธันวาคม พ.ศ. 2502[15]21 ธันวาคม พ.ศ. 2502ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐเวียดนาม8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503[16]16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย2 มีนาคม พ.ศ. 2503[17]5 มีนาคม พ.ศ. 2503ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหภาพพม่า14 มิถุนายน พ.ศ. 2503[18]พ.ศ. 2503ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในทวีปยุโรป11 มีนาคม พ.ศ. 2505[19]22 มีนาคม พ.ศ. 2505ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน20 มิถุนายน พ.ศ. 2505[20]27 มิถุนายน พ.ศ. 2505ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหพันธรัฐมาลายา17 สิงหาคม พ.ศ. 2505[21]13 กันยายน พ.ศ. 2505ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนนิวซีแลนด์และเครือรัฐออสเตรเลียพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (ประธานองคมนตรี)27 พฤษภาคม พ.ศ. 2506[22]8 มิถุนายน พ.ศ. 2506ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐจีน9 กรกฎาคม พ.ศ. 2506[23]14 กรกฎาคม พ.ศ. 2506ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี12 กันยายน พ.ศ. 2507[24]6 ตุลาคม พ.ศ. 2507ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนราชอาณาจักรกรีซ และสาธารณรัฐออสเตรีย15 กรกฎาคม พ.ศ. 2509 [25]กันยายน พ.ศ. 2509ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหราชอาณาจักร23 เมษายน พ.ศ. 2510[26]30 เมษายน พ.ศ. 2510ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนจักรวรรดิอิหร่าน6 มิถุนายน พ.ศ. 2510[27]พ.ศ. 2510ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดา",
"สปริงกรุ๊ป ได้จัดทำสมุดภาพเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ชุดสรรเสริญพระบารมี จำนวน 2 เล่ม เล่มแรกมีตอนเดียวคือ \"นพพระภูมิบาล\" ส่วนเล่มที่ 2 มี 4 ตอน คือ \"เอกบรมจักริน\" \"พระสยามินทร์\" \"พระยศยิ่งยง\" ซึ่งในสมุดภาพทั้งสองเล่มรวมสี่ตอนนี้จะเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และตอนพิเศษ \"ยงยศยงศักดา มหาวชิราลงกรณ\" ซึ่งเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รวมถึงยังได้รวบรวมเพลงสรรเสริญพระบารมีจำนวน 9 รูปแบบ มาไว้ในสมุดภาพเล่มที่ 2 ด้วย โดยผ่านการคัดสรรจากหน่วยงาน องค์กร และบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชแล้ว[106][107]",
"ในทุกๆ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา แม้พระราชกรณียกิจนี้จะเป็นภาระแก่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์มาก แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็มีพระราชกระแสรับสั่งให้คงพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยเอกชนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชทานแทนพระองค์",
"เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพล แปลกได้ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อขอให้ทรงสนับสนุนรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเตือนจอมพล แปลกว่าขอให้ลาออกจากตำแหน่งเสียเพื่อมิให้เกิดรัฐประหาร แต่จอมพล แปลกปฏิเสธ เย็นวันดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทันที และสองชั่วโมงหลังจากการประกาศยึดอำนาจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และได้มีโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระบรมราชโองการฉบับหลังมีความว่า",
"ด้านหน้า พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศจอมทัพ ฉลองพระองค์บรมราชภูษิตาภรณ์ ทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และสายสร้อยจุลจอมเกล้า ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่าง มีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีความห่วงใยประชาชนชาวไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าปัญหาในด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนนั้น เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังพระราชดำรัสที่ว่า \"ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือพลเมืองนั่นเอง\" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นห่วง และเอื้ออาทรต่อทุกข์สุขของพสกนิกรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะความทุกข์ของไพร่ฟ้าจากพยาธิภัย ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ทุกครั้ง พระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ ทั้งแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่างๆ และแพทย์อาสาสมัคร โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้รักษาผู้ป่วยไข้ได้ทันที นอกเหนือจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังได้ริเริ่มหลายโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้\nพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราโชวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ตอนหนึ่งว่า \nนับเป็นพระราชดำรัสที่แสดงถึงความตั้งพระทัยในการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของราษฎรอย่างแท้จริง ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยึดมั่นที่จะสืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนก \"พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย\" และสมเด็จพระบรมราชชนนี \"พระมารดาของการแพทย์ชนบท\" ในการที่จะให้ประชาชนชาวไทยได้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติสืบไป",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นผู้ที่ได้รับมอบถวายปริญญากิตติมศักดิ์มากเป็นสถิติโลกถึง 176 ฉบับ ใน พ.ศ. 2555 โดยทรงได้รับมอบถวายจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ชื่อพรรณไม้ ภูมิพลินทร์ หมายถึง \"พรรณไม้ที่เป็นศรีสง่าแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช\"",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญา ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ มากมาย โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของพสกนิกรเป็นหลัก ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์ทรงให้ทุกอย่างกับพสกนิกรและชาติบ้านเมือง ทรงงานอย่างหนักเสียสละประโยชน์สุขส่วนพระองค์ ตรากตรำพระวรกายอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เพียงเพื่อมุ่งหวังให้พสกนิกรทั่วราชอาณาจักรมีความสงบร่มเย็นและมีความกินดีอยู่ดี พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยนั้น...ใหญ่หลวงนัก สมดังที่ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า \"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม\"",
"วันเดียวกัน เวลา 21.42 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ยังมณฑลพระราชพิธีฯ เมื่อรถพระที่นั่งเทียบที่หน้าพระที่นั่งทรงธรรม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่เตาพระราชทานเพลิงทางทิศตะวันออกของพระจิตกาธาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเปลื้องผ้าคลุมหีบพระศพ และทรงสรงน้ำมะพร้าวแก้วที่หีบพระศพ เจ้าพนักงานเชิญหีบพระศพเข้าสู่เตา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงจุดดอกไม้จันทน์พระราชทานเพลิงพระศพ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดา และร้อยเอกจิทัศ ศรสงคราม พระนัดดา ถวายดอกไม้จันทน์ เสร็จแล้วสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานดอกไม้จันทน์ และถวายดอกไม้จันทน์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินลงจากพระเมรุขึ้นสู่พระที่นั่งทรงธรรม เจ้าพนักงานปิดฉากบังเตา พระวิสูตร และฉากบังเพลิง เพื่อถวายการพระราชทานเพลิงพระศพ จากนั้น คณะนักแสดงที่จะแสดงหน้าพระเมรุ เข้าถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และถวายบังคมพระศพตามลำดับ",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะพระศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดข ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์และโถน้ำขมิ้นจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือนพระราชทานสรงที่ตรงพระอุระพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับโถน้ำพระสุคนธ์ ถวายสรงที่พระบาทพระศพ แล้วทรงคมต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงหวีพระเกศาพระศพขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วทรงหวีลงอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วทรงหักพระสางนั้นวางไว้บนพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่ จากนั้นเสด็จประทับราบกับพระบรมวงศานุวงศ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และพระประยูรญาติกราบถวายบังคมพระศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯไปพระราชทานซองพระศรีบรรจุดอกบัวและธูปเทียนที่ปากพระโกศ แล้วทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ ทรงรับพระชฎาทองคำสวมพระเศียรพระศพ แล้วเสด็จฯออกไปประทับพระราชอาสน์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่พระโกศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯตามพระโกศ ตำรวจหลวงเชิญพระโกศพระศพขึ้นประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้าทอง 3 ชั้น ประกอบพระลองทองน้อย ภายใต้ฉัตรตาดทอง 5 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องสูง บังแทรก ชุมสาย ต้นไม้ทองเงิน",
"ส่วนทางฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลัง เปิดกองอำนวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (กอร.พระราชพิธี) ว่า เพื่อให้การบริหารจัดการด้านการรักษาความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกประชาชนในเรื่องเส้นทางการเดินทางเข้าพื้นที่เพื่อถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การถวายดอกไม้จันทน์ในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ฯลฯ ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว และมีความปลอดภัยขั้นสูงสุด ทางคณะอนุกรรมการฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการจราจร จึงได้จัดตั้งกองอำนวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขึ้น ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นหน่วยงานประสานงานให้กับหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน อาทิ กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม กรมประชาสัมพันธ์ การไฟฟ้าทั้ง 3 ฝ่าย การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าอากาศยาน กรมทางหลวง ในการดำเนินดังกล่าว โดยกองอำนวยการร่วมนี้จะปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 1 – 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560",
"วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยมีหม่อมหลวงบัวและหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการเป็นประจำ และในช่วงระยะเวลาที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่เฝ้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่สวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระยศในเวลานั้น) ได้ทรงรับเป็นธุระจัดการให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาในโรงเรียน Pensionnat Riante Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งของโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงหายจากอาการประชวรแล้ว ก็ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นการภายในเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492",
"การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร",
"การนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานเลื่อนชั้นยศพระโกศจากพระโกศกุดั่นน้อยเป็นพระโกศกุดั่นใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่สิ้นพระชนม์ ครั้นถึงวาระพระราชทานเพลิงพระศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดถวายพระโกศทองน้อยทรงพระศพและให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้นกางกั้นพระโกศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งถือเป็นกรณีพิเศษเพราะยังไม่เคยปรากฏการพระราชทานเลื่อนพระโกศถึงสองครั้งมาก่อน",
"เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จึงจัดขึ้น ณ วังสระปทุม โดยมีสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จฯ เป็นองค์ประธาน ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยในทะเบียนสมรสและโปรดให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรพร้อมทั้งสักขีพยานลงนามในทะเบียนนั้น หลังจากนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเสด็จออกในพระราชพิธีถวายน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทรงรดน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรขึ้นเป็น \"สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์\" พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ในการนี้ด้วย",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 นาฬิกา ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช หลังการสวรรคต มีประเทศต่างๆและองค์การระดับนานาชาติส่งสาส์นแสดงความเสียใจเป็นจำนวนมาก“ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นการสูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งและศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ที่ทรงทุ่มเทพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติ\nในสถานการณ์ที่เจ็บปวดและเศร้าโศกนี้ ข้าพเจ้าขอร่วมถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งขอแสดงความเสียใจไปยังสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถด้วย รวมทั้งพระราชวงศ์ไทยทั้งมวล – พระนามาภิไธย มุนีนาถ สีหนุ.”รวมทั้งสมเด็จพระอนุชนโรดม อรุณรัศมีแห่งกัมพูชา พระขนิษฐา (น้องสาว) ในพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี เสด็จไปทรงถวายสักการะและทรงลงพระนามถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา.",
"ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวม 28 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ โดยรายชื่อประเทศต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยือน มีตามลำดับดังนี้จากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็มิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก เพราะทรงเห็นว่าพระราชภารกิจภายในประเทศนั้นมีมากมาย อย่างไรก็ตาม หากประมุขหรือรัฐบาลของประเทศใดกราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยือน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชโอรส หรือพระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี รวมทั้งเพื่อทอดพระเนตรวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ",
"ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉิดโฉม ทรงประชวร พระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดให้พระองค์เจ้าเฉิดโฉมเสด็จออกจากพระบรมมหาราชวัง ไปเข้ารับการรักษาพยาบาลอยู่ที่ตึกปัญจมราชินี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเพียงสองวัน สิริพระชนมายุได้ 90 ปี และถือเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สิ้นพระชนม์เป็นลำดับหลังสุด",
"พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ระหว่างวันที่ 4 - 8 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493 ปรากฏบันทึกรายละเอียดไว้ ดังนี้",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายน้อยครั้ง พอล แฮนด์ลีย์เขียนใน \"เดอะคิงเนเวอร์สไมล์\" ว่าในปี พ.ศ. 2519 เมื่อรัฐสภาลงคะแนนเสียงเห็นชอบเพื่อขยายการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยสู่ระดับอำเภอ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธลงพระปรมาภิไธยกฎหมาย รัฐสภาไม่ยอมออกเสียงยกเลิกการยับยั้งของพระองค์ ในปี พ.ศ. 2497 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่รัฐสภาเห็นชอบสองครั้งก่อนทรงยินยอมลงพระปรมาภิไธย บางทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้ยับยั้งการตรากฎหมาย เช่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มาตรา 107 วรรค 2 ซึ่งบัญญัติว่า ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย แต่ก็ไม่ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งโดยตรง เพียงแต่มีพระราชกระแสท้ายร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ไม่ทรงเห็นด้วยกับมาตรา 107 วรรค 2 แห่งร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งขัดกับหลักที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งจะทำให้ประธานองคมนตรีอยู่ในสภาพเสมือนเป็นองค์กรทางการเมือง",
"เวลา 10.19 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคมจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พลับพลาพิธี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชา พระพุทธปฏิมาปางประจำรัชกาล สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประเคนพัดรองที่ระลึก พระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช แด่สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ 10 รูป แล้วประทับ พระราชอาสน์ ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปยัง พระที่นั่งชุมสาย ที่ตั้งเครื่องบวงสรวง บริเวณด้านหน้าพลับพลาพิธี ทรงแปรพระพักตร์สู่ปราสาทพระเทพบิดร และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจุดธูปเทียน เครื่องราชสักการะ บวงสรวง สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมแตร ดุริยางค์\nพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถประทับพระราชอาสน์ ที่มุขหน้าพลับพลาพิธี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ อ่านประกาศบวงสรวง ในขณะนั้น ผู้ที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททุกหมู่เหล่า ยืนประนมมือ แสดงคารวะบูชา ผินหน้าไปทาง พระที่นั่งชุมสาย เมื่อพระราชครูวามเทพมุนี อ่านประกาศบวงสรวง จบ โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมแตร ดุริยางค์ จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงประเคน จตุปัจจัยไทยธรรม แด่ สมเด็จพระราชาคณะ และ พระราชาคณะ เสร็จแล้ว ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายพระพรชัยมงคลคาถาพิเศษ ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เสร็จแล้ว พระสงฆ์ออกไปรับพระราชทานฉัน ที่ ตำหนักสวนบัวเปลว ภายใน พระที่นั่งวิมานเมฆ",
"พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จัดขึ้น ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 โดยวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นวันถวายพระเพลิง คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[1]",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯไปทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระโกศพระศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะพระศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ทรงกราบ แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 40 รูป สดับปกรณ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงคมไปที่หน้าพระโกศพระศพ ทรงคมไปยังพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชากระบะมุกที่หน้าพระแท่นเตียงพระสวดพระอภิธรรม ทรงคม เสด็จฯกลับ",
"หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[54907,55024,2,2]}'>งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[55044,55110,2,2]}'>งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฉบับประชาชน หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[55130,55214,2,2]}'>งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากหนังสือพิมพ์ ฉบับสื่อมวลชน หนังสือจดหมายเหตุและซีดี<i data-parsoid='{\"dsr\":[55241,55307,2,2]}'>บทเพลงแสดงความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หนังสือจดหมายเหตุ<i data-parsoid='{\"dsr\":[55327,55421,2,2]}'>กานท์กวีคีตการปวงประชา น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช",
"1 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1/2560 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยทรงรับเป็นที่ปรึกษาการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงรับเชิญเสด็จพระราชดำเนินในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการนี้ ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้รัฐบาลจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เช่น หน่วยแพทย์ อาหาร น้ำดื่ม รถสุขา และถังขยะให้มีความพร้อมพอเพียงสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกตลอดเวลา",
"ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขามีนโยบาย \"เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย\" โดยพยายามชูบทบาทของตนเองให้โดดเด่นกว่าพระมหากษัตริย์ และไม่สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ และควบคุมการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์"
] |
จังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่เท่าไหร่? | [
"จังหวัดพิษณุโลก เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางตอนบนของประเทศไทย มีประชากรในปี พ.ศ. 2558 จำนวน 863,404 คน[1] มีพื้นที่ 10,815.854 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 9 อำเภอ มีเทศบาลนครพิษณุโลกเป็นเขตเมืองศูนย์กลางของจังหวัดและเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับแขวงไชยบุรี ประเทศลาวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด"
] | [
"พบขึ้นอยู่ทั่วไปในพื้นที่ว่างเปล่า ริมคูน้ำ คันนา สภาพดินเหนียว ดินเหนียวปนลูกรังและดินร่วนปนเหนียว พื้นที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 31 เมตร เช่น เขตพื้นที่ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง เขื่อนลำแซะ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี (PC 029, PC 063, PC 069, PC 080, PC 248, SN 079, SN 106)",
"ส่วนนี้เป็นที่ตั้งหลักในปัจจุบันของมหาวิทยาลัย มีพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณทุ่งทะเลแก้ว ถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลกด้านเหนือ ตำบลพลายชุมพล อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ส่วนวังจันทน์ ประมาณ 7 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตก แต่เดิมนั้นเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ รกร้าง ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้ใช้ประโยชน์ได้ในปี พ.ศ. 2524",
"เขตพื้นที่พิษณุโลก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2496 โดยใช้ชื่อว่า \"โรงเรียนเกษตรกรรมพิษณุโลก\" ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก บนเนื้อที่ 572 ไร่ จัดการเรียนการสอนด้านเกษตรกรรม และสัตวศาสตร์เป็นหลัก เป็นที่รู้จักในนาม เกษตรบ้านกร่าง[8]",
"ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานกลาง จังหวัดปทุมธานี พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดปทุมธานี, นนทบุรี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, สิงห์บุรี, ชัยนาท และสมุทรปราการ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 2 สำนักงานกลาง จังหวัดชลบุรี พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, นครนายก และฉะเชิงเทรา ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 3 สำนักงานกลาง จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดนครราชสีมา, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ และยโสธร ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 สำนักงานกลาง จังหวัดขอนแก่น พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดขอนแก่น, เลย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, หนองคาย, บึงกาฬ, สกลนคร, นครพนม, มุกดาหาร, กาฬสินธุ์, ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 สำนักงานกลาง จังหวัดลำปาง พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดลำปาง, ลำพูน, เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน, เชียงราย, พะเยา, น่าน และแพร่ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 6 สำนักงานกลาง จังหวัดพิษณุโลก พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดพิษณุโลก, เพชรบูรณ์, พิจิตร, นครสวรรค์, อุทัยธานี, ตาก, กำแพงเพชร, สุโขทัย และอุตรดิตถ์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 สำนักงานกลาง จังหวัดนครปฐม พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดนครปฐม, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 สำนักงานกลาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดสุราษฎร์ธานี, ชุมพร, ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่ และนครศรีธรรมราช ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 สำนักงานกลาง จังหวัดสงขลา พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดสงขลา, สตูล, ตรัง และพัทลุง ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 สำนักงานกลาง จังหวัดยะลา พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดยะลา, นราธิวาส และปัตตานี",
"บัวตองเป็นพืชที่มักก่อความเสียหายต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะพื้นที่ต้นน้ำ พบบัวตองระบาดในพื้นที่สูงเกินระดับ 800 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางขึ้นไป พบระบาดมากในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ระบาดปานกลางในเชียงใหม่และเชียงราย ระบาดน้อยในพื้นที่จังหวัดลำปาง ลำพูน สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย",
"เหตุการณ์สุดพลิกผันกลางท้องฟ้าจากความระทึกสุดขั้วสู่ความกลัวสุดขีดตลอดเที่ยวบินเมื่อกลุ่มผู้โดยสารที่นำโดย “แบรด มาร์ติน” และ แอร์โฮสเตสสาว ต้องเผชิญหน้ากับอุบัติเหตุเหนือคาดฝันที่ส่งผลให้มีผู้โดยสารเสียชีวิต ก่อนที่ผู้โดยสารและลูกเรือแต่ละคนต้องประสบกับการจู่โจมของแรงอาฆาตเร้นลับซึ่งซ่อนตัวอยู่ในทุกพื้นที่ของเครื่องบินลำนี้ ยิ่งเครื่องบินทะยานใกล้โตเกียวมากขึ้นเท่าไหร่ ชีวิตของทุกคนในไฟลท์ “7500” ก็ยิ่งตกอยู่ในความหวาดผวามากขึ้นเท่านั้น ไร้ทางหนี ไม่ทีทางรอด หรือสุดท้ายเครื่องบินลำนี้กำลังจะต้องกลายเป็นสุสานบนน่านฟ้า!",
"เทศบาลนครพิษณุโลกตั้งอยู่ในอำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่ 18.26 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลในเมืองทั้งตำบล อยู่ในบริเวณตอนบนของภาคกลางของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือประมาณ 377 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ดังนี้พิษณุโลกมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีแม่น้ำน่านไหลผ่านกลางเมืองในแนวเหนือ–ใต้ แบ่งพื้นที่เทศบาลออกเป็นสองฝั่ง ได้แก่ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ มีพื้นที่ประมาณ 13 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งประกอบธุรกิจ การขนส่ง และการติดต่อสื่อสาร ส่วนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ มีพื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร เป็นย่านที่อยู่อาศัย สถานที่ราชการ และสถานศึกษา",
"ครั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สะพานข้ามแม่น้ำน่านหน้าวัดใหญ่ก็ถูกทิ้งระเบิด แต่ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่ถูกเป้าหมาย ทั้ง ๆ ที่ในอดีต เป็นสะพานไม้ที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก",
"โครงการเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพิษณุโลก เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำแควน้อยตอนล่างท้องที่ประสบปัญหาอุทกภัย รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำสำหรับการเพาะปลูกทั่วไปฤดูฝนและฤดูแล้ง ตลอดจนสำหรับการอุปโภค-บริโภค มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำที่ระดับกักเก็บ 61.39 ตารางกิโลเมตร ความจุอ่าง 769 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตร 155,166 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอวัดโบสถ์ อำเภอวังทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก และอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลกกั้นแม่น้ำแควน้อย",
"จังหวัดพิจิตร เป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางตอนบนระหว่างจังหวัดนครสวรรค์กับจังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่ประมาณ 4,531 ตารางกิโลเมตร มีประชากรในปี พ.ศ. 2560 จำนวน 541,868 คน จังหวัดพิจิตรมีแม่น้ำน่านและแม่น้ำยมไหลผ่าน และมีตัวเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน",
"อำเภอวังทองมีสภาพพื้นที่เป็นป่าเขา และมีเทือกเขาติดต่อกับพื้นที่เขาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทางอำเภอนครไทย จนถึงเขตอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ มีพื้นที่เป็นที่ราบสูง 3 ตำบล คือ ต.บ้านกลาง ต.แก่งโสภา และ ต.วังนกแอ่น นอกนั้นเป็นพื้นที่ราบ และราบลุ่ม มีพื้นที่ ติดต่อกับ อ.นครไทย คือ \"เขานกกระยาง\" ส่วนด้านที่ติดต่อกับ จ.เพชรบูรณ์ เรียกว่า \"ทุ่งแสลงหลวง\" ส่วนใหญ่ เป็นป่าสน ซึ่งประกาศเป็นวนอุทยานแห่งชาติในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี \nที่ตั้ง อำเภอวังทองปัจจุบัน ตั้งอยู่ติดถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก ห่างจากถนน 50 เมตร ห่างจากแม่น้ำแคววังทอง ประมาณ 200 เมตร ห่างจากศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ไปทางทิศตะวันออก 17 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้น 1,687.050 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขต",
"องค์การบริหารส่วนตำบลเนินมะปราง เป็นองค์กรส่วนปกครองท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในตำบลเนินมะปราง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก โดยรับผิดชอบพื้นทั้งหมดในตำบลเนินมะปราง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีทั้งหมด 9 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านใหม่ทองประเสริฐ หมู่ที่ 2 บ้านเนินมะปราง หมู่ที่ 3 หมู่บ้านหนองขอน หมู่ที่ 4 บ้านเนินกะบาก หมู่ที่ 5 บ้านเนินดิน หมู่ที่ 6 บ้านนา หมู่ที่ 7 บ้านดงงู หมู่ที่ 8 บ้านดงงูใหม่ หมู่ที่ 9 บ้านหนองขอนเหนือตำบลเนินมะปรางเป็นพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูน้ำหลาก มีภูมิประเทศเป็นเนินดินลูกรังสลับลำคลอง พื้นที่ทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วนของตำบลเป็นภูเขาหินประกอบไปด้วยแหล่งน้ำซับตามธรรมชาติ",
"ราชมงคลล้านนา สืบสานวัฒนธรรม เป็นด้านศิลปวัฒนธรรมที่จัดเป็นประจำทุกปีการศึกษา ในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักศึกษาตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ตลอดจนการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างนักศึกษาทั้ง 6 เขตพื้นที่ ซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ เริ่มกิจกรรมครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549 ที่จังหวัดลำปาง พ.ศ. 2550 ที่จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. 2551 ที่จังหวัดเชียงราย และ พ.ศ. 2552 ที่จังหวัดพิษณุโลก",
"เป็นการแข่งขันเล่นท่าทางต่างๆที่กรรมการกำหนดให้ทั้งหมด 25ท่าในประเภทของ Single A ซึ่งจะไล่ระดับความยากของท่าเล่นขึ้นไป โดยจะมีจุดหรือกรอบพื้นที่ เพื่อสำหรับแสดงท่าเล่นต่อกรรมการ ซึ่งผู็เล่นจะต้องเล่นท่าทางที่กรรมการกำหนดให้ในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้นไม่สามารถซ้อมท่าได้ หากต้องการจะตรวจสอบลูกหรือเชือกจะต้องออกจากจุดแสดงท่า โดยในการแข่งขัน ผู้เล่นจะต้องเล่นท่าที่กำหนดให้และเก็บเข้ามือให้สมบูรณ์ มีโอกาสพลาดได้เพียง 2ครั้งเท่านั้นตลอดการเล่น 25ท่า หากพลาดครั้งแรกที่ท่าใหนก็จะข้ามท่านั้นๆไป และพลาดครั้งที่สอง ก็จะจบการแข่งขัน ผู้ที่สามารถเล่นท่าได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ถ้ามีผู้ที่สามารถเล่นได้ถึง25ท่า จะวัดกันที่การพลาดครั้งแรกว่าพลาดก่อนในท่าลำดับที่เท่าไหร่ ผู้ที่พลาดในลำดับหลังจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าหากเล่นได้ครบ25ท่าโดยไม่พลาดหลายคน กรรมการจะมีท่าตัดสินโดยนับจำนวนครั้งในการทำท่า ผู้ที่ทำท่าได้จำนวนครั้งมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ",
"หลังจากที่เข้าร่วมอย่างไม่ค่อยเต็มในเท่าไหร่ เธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปและเต็มใจจะอยู่กับฝ่ายนี้ในท้ายที่สุด เธอประมือกับทีม X-Men เธอเคยลอบสังหาร วุฒิสมาชิกเคลลี่ ด้วยแต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายดีทุกครั้ง แต่ยิ่งเธอใช้พลังมากเท่าไหร่ จิตใจของโร้คก็ยิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่เธอต้องเข้าพบจิตแพทย์ ฟางเส้นสุดท้ายของเธอกับมิสทีคขาดสะบั้นลง เมื่อโร้คตาสว่างพบว่าแท้จริงแล้วนี่คือแผนร้าย ที่อีกฝ่ายตั้งใจหลอกใช้กันมาตลอด เธอจึงหันหน้าเข้าหาศาสตราจารย์ทเอ็กซ์ และพลพรรคเอ็กซ์ทีม ขอร้องให้เธอควบคุมพลังให้ได้เสียที",
"โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา (อักษรย่อ ป.ว.) เป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนในฝัน โรงเรียนดีประจำอำเภอบางระกำ ประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 (พิษณุโลก-อุตรดิตถ์) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ที่ หมู่ 17 ถนนพิษณุโลก-กำแพงเพชร ตำบลหนองกุลา อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก โดยพื้นที่จากความอนุเคราะห์ของกรมประชาสงเคราะห์",
"โครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD) ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร รับนักเรียนที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตพื้นที่บริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี และพะเยา โดยนิสิตแพทย์กลุ่มนี้จะทำการเรียนชั้นคลินิกที่ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก หรือศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ เมื่อจบการศึกษาแล้วจะต้องทำงานใช้ทุนในจังหวัดภูมิลำเนาของตนเองเป็นเวลา 3 ปี โครงการนี้จะดำเนินการเปิดรับสมัครในช่วงประมาณเดือนกันยายนของทุกปี ตามประกาศรับตรงประจำปีของมหาวิทยาลัยนเรศวร",
"วิทยาลัยพิษณุโลก ได้รับอนุญาตจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2545 โดยอนุญาตให้นางสาวณัฐภัสสร รักเลี้ยง จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาชื่อ \"วิทยาลัยพิษณุโลก\" ตั้งอยู่เลขที่ 639 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก บนเนื้อที่ 8 ไร่ โดยเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2547 รวม 3 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และสาขาวิชาการจัดการ มีนักศึกษาจำนวน 234 คน และได้เพิ่มสาขาวิชาที่เปิดสอนเรื่อยมา รวมถึงการจัดพื้นที่เพื่อรองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัย โดยจัดหาเนื้อที่เพิ่มเติมอีกจำนวน 92 ไร่ รวมเป็น 100 ไร่ในปัจจุบัน",
"หรือที่เรียกว่า \"มน.ใน\" ส่วนนี้เป็นสถานที่ตั้งแรกเดิมของมหาวิทยาลัย มีพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพิษณุโลก ณ เลขที่ 1 ถนนสนามบิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ในปัจจุบันคณะและหน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยได้ย้ายไปยังพื้นที่ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ปีการศึกษา 2535 คงเหลือแต่เพียงหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำโขง-สาละวินของสถานอารยธรรมศึกษาโขง-สาละวิน สถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน \"ไภษัชยศาลา\" คณะเภสัชศาสตร์ และศูนย์สุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยนเรศวร (สนามบิน) คณะแพทยศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงพื้นที่ส่วนใหญ่เพื่อเป็นที่ตั้งของโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร",
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ เดิมชื่อ โรงเรียนพิษณุโลกศึกษา ตั้งอยู่เลขที่ 289 หมู่ 5 ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัดแห่งที่ 3 ของจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้ทำการเปิดเรียนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2517 สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2511 ดร.ก่อ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมวิสามัญศึกษา (ต่อมาเป็นกรมสามัญศึกษา) ในขณะนั้นได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม โดยมีนายมานะ เอี่ยมสกุล เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมและได้ปรารภกับ นายมานะ เอี่ยมสกุล ว่าต้องการจะได้ที่ดินประมาณ 200 ไร่ เพื่อก่อตั้งวิทยาลัยชั้นสูงหรือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ขึ้นในจังหวัดพิษณุโลกอีกหนึ่งแห่ง ต่อมานายละเมียน อัมพวะสิริ นายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมในสมัยนั้น ได้ทราบจากนายประเสริฐ สิทธิชัย ผู้จัดการโรงงานพิษณุโลกองค์การทอผ้า ว่ามีพื้นที่ว่างเปล่าเป็นพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งกระทรวงกลาโหมควบคลุมดูแลอยู่ประมาณ 200 ไร่เศษ ตั้งอยู่ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นายมานะ เอี่ยมสกุล ได้แจ้งให้อธิบดีกรมสามัญศึกษาทราบ ต่อมากรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ติดต่อขอใช้พื้นที่ดังกล่าวจากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อเป็นสถานที่ก่อตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาอีกหนึ่งแห่ง อธิบดีกรมสามัญศึกษาได้แจ้งให้อาจารย์ใหญ่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ทราบว่า กรมสามัญศึกษาอนุมัติให้เปิดโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดพิษณุโลกบนพื้นที่ดังกล่าวอีกหนึ่งแห่ง และได้เปิดทำการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2517 โดยนายประสิทธิ์ มากลิ่น ดำรงตำแหน่งผู้บริหารคนแรกและได้เปิดรับนักเรียน ครั้งแรกระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 ห้อง 186 คน ครูอาจารย์จำนวน 7 คน โดยได้ฝากที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมก่อน ต่อมาในวันที่ 23 มิถุนายน 2518 นายประสิทธิ์มากลิ่น อาจารย์ใหญ่โรงเรียนพิษณุโลกศึกษาคนแรก ได้ทำการย้ายสถานที่เรียนจากโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม มาทำการเรียน ณ ที่อยู่ปัจจุบัน",
"รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่ เป็นละครโทรทัศน์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ บทประพันธ์ของ นุกูล บุญเอี่ยม, วัชระ ปานเอี่ยม บทโทรทัศน์โดย พิสุทธิ์ แพร่แสงเอี่ยม กำกับการแสดงโดย นุกูล บุญเอี่ยม ผลิตโดย บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัดออกอากาศทุกวันเสาร์–อาทิตย์ เวลา 11.00–11.45 น. ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย เคลลี่ ธนะพัฒน์, น้ำฝน โกมลฐิติ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย",
"ไชยบุรี (, \"ไซยะบูลี\") เป็นหนึ่งในแขวงของประเทศลาว ตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศ มีพื้นที่ติดกับประเทศไทยทางด้านจังหวัดเชียงราย, จังหวัดพะเยา, จังหวัดน่าน, จังหวัดอุตรดิตถ์, จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดเลย เคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามก่อนการเสียดินแดนเมื่อปี พ.ศ. 2447 ซึ่งมีผลให้แขวงนี้ไปขึ้นกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ",
"รับนักเรียนที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตพื้นที่บริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ และอุทัยธานี โดยนิสิตแพทย์กลุ่มนี้จะทำการเรียนชั้นคลินิกที่ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก หรือศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ เมื่อจบการศึกษาแล้วจะต้องทำงานใช้ทุนในจังหวัดภูมิลำเนาของตนเองเป็นเวลา 3 ปี โครงการนี้จะดำเนินการเปิดรับสมัครในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี",
"หรือที่เรียกว่า \"มน.นอก\" ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบันของมหาวิทยาลัย มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกไปทางใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร โดยตั้งอยู่ ณ เลขที่ 99 หมู่ 9 ถนนพิษณุโลก-นครสวรรค์ ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก แต่เดิมนั้นที่ดินบริเวณนี้เป็นที่ดินสาธารณะโดยชาวบ้านเรียกว่า \"ทุ่งหนองอ้อ - ปากคลองจิก\" เนื่องจากเคยเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่เต็มไปด้วยต้นอ้อ และมีต้นจิกปกคลุมไปทั่ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ทางมหาวิทยาลัยได้เข้าใช้พื้นที่และทำการปรับรูปที่ดินและถมหนองน้ำต่าง ๆ ซึ่งการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยนั้นอาศัยแผนแม่บท (Master Plan) ที่จัดทำขึ้นโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในปี พ.ศ. 2527",
"เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล อยู่ที่อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 พื้นที่ได้รับการประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มน้ำวังทองฝั่งซ้าย มีอาณาเขตครอบคลุมท้องที่ ตำบลเนินมะปราง ตำบลบ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก และตำบลบ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,775 ไร่ หรือ 2.84 ตารางกิโลเมตร",
"ทางตอนเหนือและตอนกลางเป็นเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูง โดยมีเขตภูเขาสูงด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งอยู่ในเขตอำเภอวังทอง อำเภอวัดโบสถ์ อำเภอเนินมะปราง อำเภอนครไทย และอำเภอชาติตระการ พื้นที่ตอนกลางมาทางใต้เป็นที่ราบ และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่ม โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำน่านและแม่น้ำยม ซึ่งเป็นแหล่งการเกษตรที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในเขตอำเภอบางระกำ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอเนินมะปราง และบางส่วนของอำเภอวังทอง",
"กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 37 หรือ \"พิษณุโลกเกมส์\" เป็นการแข่งขันกีฬาแห่งชาติของประเทศไทย จัดการแข่งขันที่จังหวัดพิษณุโลก ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับจัดมหกรรมกีฬาระดับชาติ รวมทั้งการที่ทำให้แขกผู้มาเยือนจังหวัดพิษณุโลกมีความสุขเกิดความประทับใจที่สุด จะอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาวแต่อากาศในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกก็มิได้หนาวจัด นอกจากนี้แล้วธรรมชาติต่างๆ ที่มีอยู่ในช่วงนี้จะมีความสมบูรณ์เต็มที่ จึงได้กำหนดจัด การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 37 ระหว่าง วันที่ 14 – 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551 มีการแข่งขัน 35 ชนิดกีฬา ชิงชัย 468 เหรียญทอง มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมการแข่งขัน 10,882 คน ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่จัดการแข่งขันจะอยู่ในช่วง วันกีฬาแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลกจะได้จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยอีกกิจกรรมหนึ่ง",
"โรงเรียนวังโพรงพิทยาคม ที่ตั้ง 455 หมู่ 4 ตำบลวังโพรง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 โทรศัพท์ 055-992427 โทรสาร 055-992427 เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เนื้อที่ 52 ไร่ เขตพื้นที่บริการตำบลวังโพรง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก มี นางหัทยา นุกองเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษาคนปัจจุบัน จำนวนนักเรียนในเขตพื้นที่บริการทั้งสิ้น 450 คน",
"อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว แต่เดิมเป็นวนอุทยานภูสอยดาว ได้สำรวจจัดตั้งเป็นวนอุทยานภูสอยดาว โดยสำนักงานป่าไม้เขตพิษณุโลก เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 มีพื้นที่เพียง 20,000 ไร่ จนกระทั่งปีงบประมาณ พ.ศ. 2535 กรมป่าไม้ได้จัดสรรงบประมาณให้สำนักงานป่าไม้เขตพิษณุโลกทำการสำรวจพื้นที่ เพิ่มเติมเพื่อผนวกเข้ากับพื้นที่เดิมของวนอุทยานภูสอยดาว ผลการสำรวจพื้นที่เพิ่มเติมในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ท้องที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และในเขตป่าไม้ถาวรตามป่าภูสอยดาวท้องที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ป่าภูสอยดาว ท้องที่อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ตามมติคณะรัฐมนตรีได้เนื้อที่รวม 48,962.5 ไร่ หรือ 78.34 ตารางกิโลเมตร"
] |
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นครองราชย์เมื่อใด ? | [
"ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังจากได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินแล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขณะที่มีพระชนมายุได้ 46 พรรษา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานยังวัดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา 3 วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า \"กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์\" หรือเรียกอย่างสังเขปว่า \"กรุงเทพมหานคร\""
] | [
"ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี รัฐบาลได้จัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2525 ในการนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันเฉลิมพระเกียรติพระองค์โดยถวายพระราชสมัญญา \"มหาราช\" ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ออกพระนามว่า \"พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช\"[10][11]",
"ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ 1 ว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[16516,16554,3,3]}'>พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรงสร้างอุทิศถวาย[8] และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เพิ่มพระปรมาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า \"พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก\"[7]",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจักรีบรมนาถฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. ๒๒๗๙ - พ.ศ. ๒๓๕๒ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๓๕๒) รัชกาลที่ ๑ แห่งราชจักรีวงศ์ พระราชสมภพเมื่อ วันพุธ เดือน 10 แรม ๕ ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา ๓ ยาม ตรงกับวันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๒๗๙ ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (พระนามเดิม \"ทองดี\") และพระอัครชายา (พระนามเดิม \"หยก\"หรือ ดาวเรือง)\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ (ตรงกับ วันเสาร์ เดือน ๕ แรม ๙ ค่ำ ปีขาล จัตราศก จุลศักราช ๑๑๔๔) ขณะมีพระชนมายุได้ ๔๕ พรรษา ปลาทอง ดร",
"หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1[9]",
"ในครั้งนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้เข้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกทัพไปช่วยป้องกันเมือง แต่เมื่อพระเจ้าปดุงยกทัพมาปราบปรามเมืองทั้งสามก็หันกลับเข้ากับทางพม่าอีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพฯ",
"หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และโปรดเกล้าสถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าพระยาสุรสีห์ ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ออกพระนามว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท)[1] ได้มีการย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังกรุงเทพมหานคร และโปรดเกล้าให้สร้างพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรสถานมงคลขึ้นในคราวเดียวกัน[2]",
"เจ้าจอมบุญนาก หรือมีสมญาว่า บุญนากสีดา เป็นพระสนมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เจ้าจอมบุญนากมีบิดาเป็นชาวจีน กับมารดาชาวญวน แต่ไม่ทราบว่าบิดามารดามีจากตระกูลใดหรือประกอบกิจอันใดมา เธอได้สนองพระเดชคุณเป็นที่พอพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นอย่างยิ่งจึงได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดถึง 10 ชั่ง แต่มิได้ให้ประสูติพระราชโอรสธิดาแต่อย่างใด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอยู่ร่วมสมัยและได้ทันเห็นเจ้าจอมบุญนากนี้ ได้ตรัสเล่าถึงเจ้าจอมท่านนี้ไว้ว่า ",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2325 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเดิม และไปครองพระอารามตามเดิมด้วย ทรงเห็นว่าเป็นผู้มีความสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต ควรแก่นับถือเคารพสักการบูชา ",
"วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมป้อมเพชร อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระอัยกาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ให้ชื่อว่าวัดทอง เป็นวัดของฝ่ายวังหน้า ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็โปรดเกล้าให้บูรณะวัดนี้ทั้งหมด จึงถือว่า วัดนี้เป็นวัดประจำราชวงศ์จักรี",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมทองคำ ซึ่งเป็นพระราชภาคิไนยขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าฝ่ายในพระองค์หนึ่ง ประทับ ณ พระตำหนักเขียวเบื้องหลังหมู่พระมหามณเทียรร่วมกับพระมารดา พระองค์ไม่มีเจ้ากรมต่างหาก แต่เป็นสังกัดในกรมพระยาเทพสุดาวดี จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้นเอง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นปีใด",
"เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น ท่านผู้หญิงนาคก็ไม่เคยเข้ามาอาศัยอยู่ในพระบรมมหาราชวังเลย แต่อาศัยอยู่ที่พระราชวังเดิมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฉิม พระราชโอรส และจะมาเยี่ยมพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวังแต่เพียงครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งจะออกจากวังก่อนประตูปิดทุกครั้งไป ทั้งนี้เธอไม่ยอมใช้ราชาศัพท์กับสามีหรือพระราชโอรสกับพระราชธิดาแต่อย่างใด แต่เรียกสามีว่าเจ้าคุณ เรียกพระราชโอรสว่า พ่อ และเรียกพระราชธิดาว่า แม่ โดยเธอยินดีที่จะใช้ภาษาสามัญ ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็มิได้สถาปนาเธอขึ้นเป็นพระบรมวงศานุวงศ์แต่อย่างใด ยังคงเป็น ท่านผู้หญิงนาค ตามเดิม ดังในธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยามปรากฏว่า",
"พ.ศ. 2325 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าขึ้นเป็นที่ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน ขึ้นเป็นที่ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลัง' องเชียงสือ (ญวน) และนักองค์เอง (เขมร) ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โปรดให้อาลักษณ์คัดนิทานอิหร่านราชธรรม",
"วังริมป้อมพระสุเมรุ เดิมเป็นวังของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าลา กรมหลวงจักรเจษฎา พระราชอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปัจจุบันถูกรื้อลงแล้ว เหลือแต้เพียงซุ้มประตูวังเท่านั้น\nวังริมป้อมพระสุเมรุ เดิมเป็นวังของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าลา กรมหลวงจักรเจษฎา พระราชอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าลา กรมหลวงจักรเจษฏา โดยแต่เดิมเป็นที่ประทับชั่วคราวของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาถโดยให้สร้างเป็นวังเพื่อเป็นที่ประทับตราบจนพระองค์สิ้นพระชนม์",
"พระราชกรณียกิจประการแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดทำเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ คือการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แทนกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากกรุงธนบุรีตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้การลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และการรักษาพระนครเป็นไปได้ยาก อีกทั้งพระราชวังเดิมมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถขยายได้ เนื่องจากติดวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารและวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ส่วนทางฝั่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีความเหมาะสมกว่าตรงที่มีพื้นแผ่นดินเป็นลักษณะหัวแหลม มีแม่น้ำเป็นคูเมืองธรรมชาติ มีชัยภูมิเหมาะสม และสามารถรับศึกได้เป็นอย่างดี",
"เจ้าจอมแว่นเป็นผู้มีความกล้าหาญ และมีศิลปะในการเพ็ดทูลเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่มีผู้ใดกล้านำขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) และหากเจ้าจอมแว่นเห็นว่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งสมควรและถูกต้องแล้ว ก็จะกราบทูลทันทีมิได้เกรงกลัวพระราชอาญา ความกล้าหาญของเจ้าจอมแว่นเป็นที่ประจักษ์เมื่อปี พ.ศ. 2339 คราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายจากการว่าราชการงานเมือง ขณะบรรทมหลับก็เกิดพระสุบินและทรงละเมอ ทำให้ข้าราชบริพารตกใจไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี เจ้าจอมแว่นจึงใช้ความหาญกล้าตัดสินใจกัดนิ้วพระบาท จนพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกพระองค์และตื่นพระบรรทม เจ้าจอมแว่นจึงได้รับความดีความชอบและเป็นที่โปรดปรานของพระองค์อย่างมาก และด้วยความจงรักภักดีสุจริตใจของเจ้าจอมแว่นนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหาราช (รัชกาลที่ 1) จึงไม่ทรงพิโรธ[17] ความกล้าหาญของเจ้าจอมแว่นอีกครั้งหนึ่งได้ปรากฏ ดังนี้",
"หอระฆัง ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของพระอุโบสถ สร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นใหม่โดยมีลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรมไทย ย่อมุมไม้สิบสอง (สี่ด้าน ด้านละสามมุม) ประดับด้วยเครื่องถ้วยชามแบบจีน เป็นลวดลายต่างๆวิจิตรพิสดารอย่างยิ่ง ปัจจุบันได้มีการบูรณะซ่อมแซมใหม่เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2549 ",
"เจ้าอนุวงศ์ทรงได้รับการเฉลิมพระนามตามจารึกประวัติศาสตร์ว่า สมเด็จบรมบพิตรพระมหาขัติยธิเบศไชยเชษฐา ชาติสุริยวงศ์องค์เอกอัครธิบดินทรบรมมหาธิปติราชาธิราช มหาจักรพรรดิ์ภูมินทรมหาธิปตนสากลไตรภูวนาถ ชาติพะโตวิสุทธิมกุตสาพาราทิปุลอตุลยโพธิสัตว์ขัติย พุทธังกุโลตรนมหาโสพัสสันโต คัดชลักขรัตถราชบุรีสีทัมมาธิราช บรมนาถบรมบพิตร จากการเฉลิมพระนามนี้ชี้ให้เห็นว่า นครเวียงจันทน์มีเจ้าผู้ปกครองแผ่นดินในฐานะพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงเอกราชมากกว่าที่จะอยู่ในฐานะเมืองขึ้นหรือเมืองส่วยอย่างที่นักวิชาการหลายท่านเข้าใจ นอกจากนี้ ในจารึกหลายหลักยังออกพระนามของพระองค์แตกต่างกันไป ดังนี้ เจ้าอนุวงศ์ เอกสารทางประวัติศาสตร์บางแห่งออกพระนามว่า เจ้าอนุรุธราช ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๓ ของสมเด็จพระเจ้าไชยเสฏฐาธิราชที่ ๓ (พระเจ้าสิริบุญสาร หรือ เจ้าองค์บุญ ครองราชย์ราว พ.ศ. ๒๒๙๔-๒๓๒๒) พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ที่ ๔ และพระมหากษัตริย์เอกราชแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์สุดท้าย ก่อนตกเป็นประเทศราชของกรุงธนบุรี สันนิษฐานว่าพระราชมารดาทรงเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา เจ้าอนุวงศ์ทรงเป็นพระราชนัดดาในเจ้าองค์ลอง พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ที่ ๒ (ครองราชย์ราว พ.ศ. ๒๒๗๓-๒๓๒๒) ส่วนเจ้าองค์ลองนั้นทรงเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ (หรือพระไชยองค์เว้) พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ที่ ๑ (ครองราชย์ราว พ.ศ. ๒๒๕๐-๒๒๗๓) เจ้าอนุวงศ์ทรงมีพระราชอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้าชั้นเอกโดยกำเนิด และมีลำดับในการสืบราชสันตติวงศ์ตามระบบเจ้ายั้งขะหม่อมทั้ง ๔ หรือระบบอาญาสี่ของลาวเป็นลำดับที่ ๓ (โดยนับจากพระเชษฐาสู่พระอนุชา) พระยศของพระองค์ต่างจากพระยศของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) แห่งกรุงเทพมหานครผู้เป็นคู่ปรับของพระองค์ ซึ่งมีพระยศเป็นพระองค์เจ้าโดยกำเนิด ความสัมพันธ์ของเจ้าอนุวงศ์กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ของสยาม ทรงเป็นไปอย่างสนิทแนบแน่นและเป็นความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติ เนื่องจากเจ้าคุณจอมเจ้าหญิงคำแว่น (เจ้าจอมแว่น หรือคุณเสือ) และเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงคำสุก (ทองสุก) พระราชนัดดาทั้งสองของพระองค์ ทรงเป็นเจ้าจอมพระสนมเอกและพระสนมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) และพระราชธิดาของเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงคำสุก (ทองสุก) คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดี หรือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงจันทบุรี ทรงเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ด้วย นักวิชาการทางประวัติศาสตร์และการเมืองบางท่านกล่าวว่า สถานะของพระองค์เมื่อครั้งประทับอยู่ ณ กรุงเทพมหานครนั้นเป็นเสมือนองค์ประกันความจงรักภักดีต่อกรุงสยามของกรุงเวียงจันทน์ เสมอสถานะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งประทับในกรุงหงสาวดีของพม่า",
"เดิมพระราชวังแห่งนี้มีอาณาเขต ตั้งแต่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ขึ้นมาจนถึงคลองเหนือวัดอรุณราชวราราม (คลองนครบาล) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) เข้าไปในเขตพระราชวังเดิม ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ได้ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งพระนคร โดยสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นเป็นที่ประทับ พระราชวังกรุงธนบุรี (พระราชวังเดิม) จึงได้ชื่อว่า \"พระราชวังเดิม\" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา",
"เมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสมรสกับคุณนาค ธิดาของคหบดีใหญ่ในตระกูลบางช้าง (ดู ณ บางช้าง) โดยมีพระราชโอรสสองพระองค์หนีราชภัยมาตั้งถิ่นฐานที่แขวงบางช้าง เมืองราชบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสงคราม) ต่อมาเมื่อขึ้นครองราชย์ แม้จะมิได้โปรดให้สถาปนายกย่องขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าท่านผู้หญิงนาค เอกภรรยาดั้งเดิมนั้นเองที่อยู่ในฐานะสมเด็จพระอัครมเหสี จึงพากันขนานพระนามว่า สมเด็จพระพันวษา หรือสมเด็จพระพรรษา ตามอย่างการขนานพระนามสมเด็จพระอัครมเหสีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตามสมเด็จพระพันวษาทรงมีอีกพระนามว่าสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชโอรส-ราชธิดา รวมทั้งสิ้น 42 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระพันวษา พระอัครมเหสี 10 พระองค์",
"วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ หรือ วันจักรี เป็นวันที่ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและมหาจักรีบรมราชวงศ์ ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี",
"พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พระราชสมภพ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 สวรรคต 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ครองราชย์ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 2 ในราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) พระราชสมภพเมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน เวลาเช้า 5 ยาม ซึ่งตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสวยราชสมบัติเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. 2352 - 2367 ขณะมีพระชนมายุได้ 42 พรรษา",
"วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย ",
"ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด",
"เมื่อถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตด้วยพระโรคชรา ขณะมีพระชนมายุได้ 73 พรรษา นับเวลาในการเสด็จครองราชย์ได้นานถึง 27 ปี สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล จึงได้เสด็จขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี",
"เจ้าจอมมารดาเจ้านางทองสุก มีนามเดิมว่า เจ้าหญิงคำสุกแห่งเวียงจันทน์ มีนามฉายาว่า เจ้านางเขียวค้อม ประสูติที่นครเวียงจันทน์ ถือกำเนิดในราชวงศ์เวียงจันทน์ เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าอินทวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ในสมัยตกเป็นประเทศราชของสยาม และเป็นพระราชนัดดา (หลานปู่และหลานอา) ในสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารและสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ พระมหากษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์ พระองค์ได้เสด็จตามพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มาจากนครเวียงจันทน์ พร้อมกับพระราชบิดาและพระบรมวงศานุวงศ์คือ เจ้านันทเสน เจ้าพรหมวงศ์ เจ้าอนุวงศ์ เจ้านางแก้วยอดฟ้า พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปรบชนะเมืองเวียงจันทน์ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เหตุการณ์ครั้งนั้นสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพร้อมทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ มาสู่ราชสำนักกรุงธนบุรีด้วย ",
"จากหลักฐานที่พบคือ ใบเสมาสมัยทวารวดี ลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ในขณะนั้นแต่อย่างใด ในส่วนของหลักฐานทางด้านพุทธศาสนาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าดินแดนที่ราบสูงแห่งนี้ ได้มีวัฒนธรรมอินเดียแพร่เข้ามาซึ่งเชื่อว่ามาจากแอ่งโคราช แล้วเผยแพร่มาสู่บริเวณลุ่มน้ำโขง\nสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พื้นที่จังหวัดอุดรธานีได้ปรากฏในประวัติศาสตร์ เมื่อราวปีจอ พ.ศ. 2117 เมื่อพระเจ้ากรุงหงสาวดี(บุเรงนอง)ได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยให้ไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคณหุต(เวียงจันทร์)โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทยยกมาถึงเมืองหนองบัวลำภู(จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบันเคยเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี)ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทร์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระประชวรด้วยไข้ทรพิษ จึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทร์ และที่เมืองหนองบัวลำภูนี้เองสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ\nเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2325 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ทรงทะนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญมาโดยตลอดซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวนั้นยังไม่ได้มีการจัดตั้งเมืองอุดรธานี ดังนั้นจึงยังไม่มีชื่อเมืองอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์ และพงศาวดารในเวลานั้น แต่ได้มีการกล่าวถึงเมืองหนองบัวลำภูในสมัยรัชกาลที่3พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวคือ",
"พ.ศ. 2279 20 มีนาคม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช</b>พระราชสมภพที่กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม ทองด้วง",
"พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถในการรบ ทรงเป็นผู้นำทัพในการทำสงครามกับพม่าทั้งหมด 7 ครั้งในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่",
"วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดระฆังโฆสิตาราม” นอกจากเป็นเพราะขุดพบระฆังที่วัดนี้และเพื่อฟื้นฟูแบบแผนครั้งกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดชื่อวัดระฆังเช่นกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “วัดระฆังโฆสิตาราม” เป็น “วัดราชคัณฑิยาราม” (คัณฑิ แปลว่าระฆัง) แต่ไม่มีคนนิยมเรียกชื่อนี้ ยังคงเรียกว่าวัดระฆังต่อมา",
"ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เกณฑ์ไพร่พล 20,000 นาย ยกทัพไปตีเมืองทวาย แต่สงครามครั้งนี้ไม่มีการรบพุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็ขาดแคลนเสบียงอาหาร รี้พลก็บาดเจ็บจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพ"
] |
แมนนี ปาเกียว เกิดวันที่เท่าไหร่ ? | [
"แมนนี ปาเกียว เกิดวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ที่เมืองบูคิดนอน ประเทศฟิลิปปินส์ มีชื่อเต็มว่า เอ็มมานูเอล ดาปิดราน ปาเกียว (Emmanuel Dapidran Pacquiao) ในครอบครัวที่ยากจนมากที่เมืองบูคิดนอน ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ โดยเป็นลูกชายคนที่ 2 ในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมด 4 คน ของ โรซาลิโอ และ ดิโอนิเซีย ปาเกียว ทั้งคู่แยกทางกันตั้งแต่ปาเกียวยังเล็ก ๆ ปาเกียวขึ้นชกมวยด้วยความยากจน ขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2538 ที่กรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ได้ค่าตัวครั้งแรก 100 เปโซ โดยส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัวตลอด[1]"
] | [
"แมนนี ปาเกียว (English: Manny Pacquiao) นักมวยสากล, นักบาสเกตบอล และนักการเมืองชาวฟิลิปปินส์ เจ้าของฉายา เดอะแพ็คแมน (The Pac Man) นับเป็นนักมวยสากลอาชีพคนแรกของโลกที่ได้เป็นแชมป์โลกถึง 8 รุ่น",
"บ๊อบบี้ ปาเกียว หรือ อัลเบอร์โต ดี ปาเกียว (Bobby Pacquiao) นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ เกิดเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2523 สถิติการชก 44 ครั้ง ชนะ 29 (น็อค 14) เสมอ 3 แพ้ 15 เป็นน้องชายของแมนนี่ ปาเกียว",
"ผลการชก ปรากฏว่า ปาเกียวเป็นฝ่ายเดินเข้าหาและออกหมัดเข้าใส่ ขณะที่เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เน้นการชกอยู่วงนอก และเต้นพลิ้วหลบหมัดของปาเกียวไปได้หลายครั้ง ในยกที่ 6 และ 8 ปาเกียวสามารถไล่เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เข้าไปที่มุมและรัดหมัดชุดใส่ได้ แต่ในยกต่อ ๆ มา เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กลับมาชกในรูปแบบเดิม เมื่อครบ 12 ยก ปาเกียวเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างเป็นเอกฉันท์ 118-110, 116-112 และ 116-112 [9] ซึ่งปาเกียวเชื่อว่า ตนน่าจะเป็นฝ่ายชนะมากกว่า [10] โดยหลังการชก ปาเกียวได้เปิดเผยว่า หัวไหล่ขวาของตนนั้นเกิดอาการกล้ามเนื้อฉีกขาดก่อนการชกราว 3 สัปดาห์ ทำให้ไม่สามารถออกหมัดขวาได้อย่างเต็มที่ และต้องเข้ารับการผ่าตัดหลังการชก ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพักรักษาตัวนานร่วมปี [11]",
"ในปี พ.ศ. 2550 แมนนี ปาเกียวได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในระดับเทศบาลของกรุงมะนิลา แต่ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งไปแบบขาดลอย[1] ต่อมาในกลางปี พ.ศ. 2553 ปาเกียวได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดซารังกานี ในการเลือกตั้งทั่วไป และได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ขาดลอยจากคู่แข่งเป็นอย่างมาก[13] ซึ่งปาเกียวมีความสนใจในการเมืองมานานแล้ว และยังเปรยหลายครั้งว่า หากได้เล่นการเมืองและได้รับเลือกตั้งอาจจะแขวนนวมเนื่องจากครอบครัวต้องการให้เลิกชกมวย[14]",
"(in English) อินไซด์ข่าวฮอต 5 ซูเปอร์สตาร์กีฬาโลกจากเอเชีย, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับที่ 21,345 วันที่ 22 มีนาคม 2551",
"ต่อมา แบรดลีย์ จึงได้มีโอกาสพิสูจน์ตนเองอย่างแท้จริงกับ แมนนี่ ปาเกียว นักมวยชาวฟิลิปปินส์ ผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกถึง 8 รุ่น ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2012 ในการชกครั้งนี้ แม้ปาเกียวจะไม่สามารถชกหรือน็อกแบรดลีย์ได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะชกได้อย่างจะแจ้ง และเมื่อครบ 12 ยก รูปการณ์ดูเสมือนว่าปาเกียวน่าจะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ แต่ปรากฏว่า กรรมการทั้ง 3 คนต่างให้คะแนนแบรดลีย์ชนะไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างหนัก ทำให้ทาง WBO ได้ให้กรรมการชุดใหม่ทั้งหมด 5 คน ชมเทปการชกของคู่นี้และให้คะแนนอีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้ กรรมการต่างให้คะแนนปาเกียวเป็นฝ่ายชนะไปอย่างเป็นเอกฉันท์ แต่ทว่าก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงผลการตัดสินไปได้ ",
"เม็ดเงิน ได้แชมป์โลกมาจากการเอาชนะน็อก แมนนี่ ปาเกียว นักมวยชาวฟิลิปปินส์ชื่อดังระดับโลก หลังจากปาเกียวได้แชมป์โลกในรุ่นฟลายเวท สภามวยโลก (WBC) มาอย่างไม่คาดฝันในปลายปี พ.ศ. 2541 ด้วยการเอาชนะน็อกยก 8 ฉัตรชัย สาสกุล เจ้าของตำแหน่งชาวไทยถึงในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งแชมป์โลกครั้งแรกของปาเกียว จากนั้นปาเกียวก็ป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกไว้ได้ครั้งหนึ่งด้วยการเอาชนะน็อก กาเบรียล มิรา นักมวยชาวเม็กซิกัน ได้ที่ประเทศฟิลิปปินส์",
"Template:สืบตำแหน่งTemplate:สืบตำแหน่งTemplate:สืบตำแหน่งTemplate:สืบตำแหน่งTemplate:สืบตำแหน่งTemplate:สืบตำแหน่งTemplate:สืบตำแหน่งTemplate:สืบตำแหน่ง",
"ป้องกันแชมป์WBOครั้งที่ 2, 8 พฤษภาคม 2554 ชนะคะแนน เชน มอสลีย์ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส United States ป้องกันแชมป์WBOครั้งที่ 3, 13 พฤศจิกายน 2554 ชนะคะแนน ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส United States เสียแชมป์WBO 4, 10 มิถุนายน 2555 แพ้คะแนน ทิโมธี แบรดลีย์ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส United States แชมป์รุ่นเวลเตอร์เวท WBO อินเตอร์เนชั่นแนล (2556) ชิง 24 พฤศจิกายน 2556 ชนะคะแนน แบรนดอน ริออส ที่ โคไทอารีนา เดอะเวเนเชี่ยนมาเก๊า, Macau แชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวท WBO สมัยที่ 2 (2557 - 2558) ชิง 13 เมษายน 2557 ชนะคะแนน ทิโมธี แบรดลีย์ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส United States ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1, 23 พฤศจิกายน 2557 ชนะคะแนน คริส อัลเกียรี ที่ โคไทอารีนา เดอะเวเนเชี่ยนมาเก๊า Macau ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 2, และชิงแชมป์ในรุ่นเดียวกันของ (WBA),(WBC),(เดอะ ริง),และ ไลเนียล 2 พฤษภาคม 2558 แพ้คะแนน ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส United States แชมป์รุ่นเวลเตอร์เวท WBO อินเตอร์เนชั่นแนล และ ไลเนียล(2559) ชิง 9 เมษายน 2559 ชนะคะแนน ทิโมธี แบรดลีย์ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส United States เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ ชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท WBO 10 พฤศจิกายน 2544 เสมอแบบเทคนิเกิ้ล ยก 6 กับ อะกาปิโต ซานเชซ ที่ รัฐแคลิฟอร์เนีย, United States ชิงแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวท WBA และ IBF 8 พฤษภาคม 2547 เสมอกับ ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส รัฐเนวาดา, United States ชิงแชมป์เงารุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวท WBC 19 มีนาคม 2548 แพ้คะแนน อีริค โมราเลส ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส เนวาดา, United States ชิงแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวท WBA, WBC, เดอะ ริงและ ไลเนียล 2 พฤษภาคม 2558 แพ้คะแนน ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส เนวาดา, United States ชกนัดพิเศษในรุ่นเวลเตอร์เวท 6 ธันวาคม 2551 ชนะน็อกยก 8 ออสการ์ เดอ ลา โฮยา ที่ สหรัฐ[16]",
"มาร์เกซ ถือเป็นนักมวยที่มีฝีมือระดับโลก เคยประฝีมือกับนักมวยระดับโลกหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ แมนนี่ ปาเกียว นักมวยชาวฟิลิปปินส์ เจ้าของแชมป์โลก 8 รุ่นคนแรกของโลก โดยทั้งคู่เคยพบกันทั้งหมด 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 มาร์เกซไม่เคยเอาชนะปาเกียวได้เลย โดยเป็นการเสมอ 1 ครั้ง และแพ้ 2 ครั้ง โดยเฉพาะในการชกครั้งที่ 3 ในปลายปี ค.ศ. 2011 มาร์เกซเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างขัดสายตาคนดูและแฟนมวยทั่วโลก ซึ่งมาร์เกซไม่เคยยอมรับผลการชกครั้งที่ผ่าน ๆ มา และยืนยันว่าตนไม่เคยแพ้ปาเกียวเลยสักครั้ง ",
"หมวดหมู่:นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์รุ่นฟลายเวท หมวดหมู่:นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวท หมวดหมู่:นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์รุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวท หมวดหมู่:นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์รุ่นซูเปอร์ไลท์เวท หมวดหมู่:นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์รุ่นไลท์เวท หมวดหมู่:นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์รุ่นเวลเตอร์เวท หมวดหมู่:นักการเมืองฟิลิปปินส์ หมวดหมู่:แชมป์ OPBF หมวดหมู่:แชมป์โลก WBC หมวดหมู่:แชมป์เงา WBC หมวดหมู่:แชมป์โลก IBF หมวดหมู่:แชมป์โลก WBO หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดบูกิดนอน หมวดหมู่:นักบาสเกตบอลชาวฟิลิปปินส์ หมวดหมู่:ผู้ฝึกสอนบาสเกตบอล",
"ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปาเกียวขึ้นชกป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกร่นเวลเตอร์เวทของ WBO โดยพบกับ ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ นักมวยชาวเม็กซิกันที่เคยพบกันมาก่อนหน้านี้แล้วถึง 3 ครั้ง แม้ปาเกียวจะเป็นฝ่ายที่เอาชนะไปได้ก่อนหน้าถึง 2 ครั้ง และเสมอหนึ่งครั้ง แต่ฝ่ายมาร์เกวซอ้างว่าตนเองต่างหากที่สมควรเป็นผู้ชนะ สำหรับผลการชกในครั้งนี้ ปรากฏว่าปาเกียวเป็นฝ่ายเดินเข้าหามาร์เกวซ แต่ถูกมาร์เกวซดักสวนกลับไปได้หลายครั้ง จนหมด 12 ยก สภาพการณ์น่าจะเป็นมาร์เกวซเป็นผู้ชนะคะแนน แต่เมื่อมีการประกาศคะแนนออกมาแล้ว ปรากฏว่ากรรมการทั้ง 3 ท่าน ให้มาร์เกวซเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ คือ 114-114 ,115-113 และ 116-112 ค้านสายตาแฟนมวยในสนามและทั่วโลกที่นั่งชมการถ่ายทอดผ่านหน้าจอโทรทัศน์เป็นอย่างมาก[3]",
"ต่อมาท้าวกุนติโภชได้จัดพิธีสยุมพรให้แก่พระธิดากุนตีกับท้าวปาณฑุแห่งกรุงหัสตินาปุระ และต่อมาไม่นานท้าวปาณฑุก็มีชายาอีกองค์หนึ่ง นามว่า \"พระนางมาทรี\" ในตอนแรกพระนางกุนตียังไม่ยอมรับในพระนางมาทรีเท่าไหร่ แต่เมื่อได้สนทนากันเห็นว่านางเป็นคนดีจึงยอมรับและรักนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง",
"ปาเกียวนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งเดิมเคยนับถือนิกายโรมันคาทอลิคมาก่อน[12] ชีวิตครอบครัว ปาเกียวสมรสกับจินกี้ จาโมร่า เมื่อปี พ.ศ. 2541 ขณะที่จินกี้อายุได้ 18 ปี ปาเกียวอายุ 19 ปี ปัจจุบันทั้งคู่มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 4 คน ปาเกียวเป็นนักมวยที่ไว้ผมยาวกว่านักมวยทั่วไป โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่าเนื่องจากชื่นชอบบรูซ ลี จึงไว้เลียนแบบ[1]",
"โปรวอดนิค็อฟ เคยเป็นคู่ซ้อมของแมนนี่ ปาเกียว แชมป์โลกระดับซูเปอร์สตาร์ 8 รุ่นชาวฟิลิปปินส์ รวมถึงเคยได้รับการฝึกจากเฟร็ดดี้ โรช เทรนเนอร์ของปาเกียวด้วย โปรวอดนิค็อฟสามารถแจ้งเกิดมีชื่อเสียงระดับโลกได้ เมื่อเป็นผู้ท้าชิงแชมป์โลกในรุ่นเวลเตอร์เวต (140 ปอนด์) ของ WBO ของ ทิโมธี แบรดลีย์ แชมป์โลกผิวสีชาวอเมริกัน ที่เคยเอาชนะคะแนนปาเกีัยวมาได้ ในไฟต์นี้โปรวอดนิค็อฟสามารถชกให้แบรดลีย์ลงไปกองกับพื้นเวทีได้ในยกแรก แต่ทว่ากรรมการกลับไม่มีการนับ และในยกที่ 2 ก็ไล่ถลุงแบรดลีย์จนย่ำแย่ แต่ทว่าในช่วงกลาง ๆ ยก แบรดลีย์หันมาใช้จังหวะการชกวงนอก ก่อนที่ยกสุดท้ายโปรวอดนิค็อฟจะชกให้แบรดลีย์ลงไปให้กรรมการนับ 8 แต่สามารถลุกขึ้นมาประคองเอาตัวรอดไปได้ ซึ่งผลตัดสินแบรดลีย์ชนะคะแนนไปแบบเอกฉันท์ 114-113, 114-113, 115-112 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2013 ",
"หลังจากนั้นปาเกียวก็ได้เดินทางไปชกมวยและใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา",
"ล่าสุด แมนนี ปาเกียว ได้เซ็นสัญญาชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ นักมวยที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งสถิติการชกยังไม่เคยเสมอหรือแพ้ใคร เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทั้งคู่ได้รับการจับตาและคาดหมายว่าควรจะได้ชกเพื่อพิสูจน์ฝีมือกันมานานแล้ว โดยกำหนดขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ที่เอ็มจีเอ็มการ์เดนอารีนา ในนครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าค่าตัวของทั้ง 2 น่าจะไม่น้อยกว่า 250 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8,000 ล้านบาท) สำหรับ เมย์เวทเทอร์ จูเนียร์ จะได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 60 ขณะที่ ปาเกียว จะยอมรับส่วนแบ่งที่น้อยกว่า คือ ร้อยละ 40 รวมทั้งยังมีรายได้สิทธิประโยชน์ด้านอื่นตามมาอีก เช่น ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดผ่านดาวเทียม [8]",
"ผลการชก ปรากฏว่า ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เป็นฝ่ายดักชกอยู่วงนอก ขณะที่ปาเกียวเป็นฝ่ายเดินออกหมัดเข้าหา และสามารถไล่เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ พิงเชือกแล้วรัวหมัดได้ในยกที่ 6 และยกที่ 8 เมื่อครบ 12 ยก เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์ 118-110, 116-112 และ 116-112 โดยเมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ยอมรับว่า แมนนี่ ปาเกียว เป็นคู่ชกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พบมา และได้ประกาศสละแชมป์ทั้งหมดที่ตนครองอยู่ในวันถัดมา เนื่องจากตั้งใจว่าจะชกอีกเพียงครั้งเดียวในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน ก็จะแขวนนวมไปในที่สุด แต่ก็พร้อมที่จะให้ปาเกียวแก้มืออีกครั้ง ",
"โดยเสียแชมป์โลกทั้ง 2 สถาบันนี้ให้แก่ ลามอนต์ ปีเตอร์สัน นักมวยชาวอเมริกันไปในปลายปี ค.ศ. 2011 โดยแพ้คะแนนไปอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ โดยในการข่านถูกตัดคะแนนไป 2 คะแนนด้วย แต่ต่อมาทางสมาคมมวยโลกได้มีมติคืนเข็มขัดแชมป์โลกให้แก่ข่าน เนื่องจากปีเตอร์สันไม่ผ่านการตรวจการใช้สารกระตุ้น ก่อนที่ข่านจะชกเดิมพันตำแหน่งแชมป์โลกในรุ่นเดียวกันนี้ กับ แดนนี่ การ์เซีย แชมป์ของสภามวยโลก (WBC) ซึ่งผลการชก ข่านเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอ การ์เซีย ไปในยกที่ 4 ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 ชนิดที่ข่านโดนกรรมการนับถึง 3 ครั้งด้วยกัน\nข่านมีเทรนเนอร์ คือ เฟรดดี โรช เทรนเนอร์คนเดียวกับของ แมนนี่ ปาเกียว ยอดนักมวยชาวฟิลิปปินส์ ผู้ซึ่งเป็นแชมป์โลก 8 รุ่นคนแรกของโลก และชกอยู่ในสังกัด \"โกลเด้นบอย โปรโมชั่น\" ของ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา โดยที่เดอ ลา โฮยา มีเป้าหมายที่จะประกบคู่ให้พบกับ ปาเกียว หรือ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ต่อไปในอนาคต ซึ่งสำหรับปาเกียวแล้ว ทั้งคู่เคยชกด้วยกันขณะที่ซ้อม ปรากฏว่าข่านเป็นฝ่ายไล่ชกปาเกียวอยู่เพียงฝ่ายเดียว",
"ต่อมาในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557 ปาเกียวได้มีโอกาสพบกับแบรดลีย์อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ปาเกียวมีความมุ่งมั่นมากที่จะเอาชนะแบรดลีย์ให้ได้ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า ปาเกียวในขณะนี้ไม่ใช่ปาเกียวคนเดิมอีกแล้ว เพราะทั้งน้ำหนักหมัด และจังหวะความเร็วที่เคยเป็นจุดเด่น ก็ลดลงเป็นอย่างมาก ผลการชกปรากฏว่า ปาเกียวเป็นฝ่ายชนะคะแนนแบบเป็นเอกฉันท์ต่อแบรดลีย์ด้วยคะแนน 118-110, 116-112 และ 116-112 ทำให้ได้กลับมาเป็นแชมป์โลกอีกครั้ง[6] [7]",
"ปัจจุบัน แมนนี ปาเกียว กลายเป็นนักมวยระดับโลก และเป็นนักมวยชาวเอเชียรายแรกที่ได้ครองแชมป์โลกถึง 8 รุ่น นับว่าเป็นแชมป์โลกชาวเอเชียคนแรกที่ทำได้ถึงเช่นนี้ เพราะโดยปกติจะไม่มีโอกาสของนักมวยชาวเอเชียถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับว่าเป็นนักมวยที่ดีที่สุดในโลกปอนด์ต่อปอนด์ มักได้รับการติดต่อให้ไปชกที่สหรัฐอเมริกาบ่อย ๆ มีค่าตัวไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท เคยปะทะฝีมือกับยอดนักมวยระดับโลกมาแล้วหลายคน ซ้ำยังเอาชนะได้อีกต่างหาก เช่น มาร์โก อันโตนิโอ บาร์เรร่า, อีริค โมราเลส, ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ, ออสการ์ เดอ ลา โฮยา, ริคกี้ ฮัตตัน, อันโตนิโอ มาร์การิโต เป็นต้น จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักกีฬาชาวฟิลิปปินส์ที่ชาวโลกรู้จักดีที่สุด และเป็นหนึ่งในชาวฟิลิปปินส์ที่ชาวโลกรู้จักดีที่สุดเทียบเท่าประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย เลยทีเดียว นอกจากนี้ ปาเกียวยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้เชิญธงชาติฟิลิปปินส์ ในพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แม้ว่าตัวปาเกียวเองจะไม่ได้ร่วมการแข่งขันด้วยก็ตาม",
"เกียวโตได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงครามโอนินในช่วง ค.ศ. 1467-1477 และไม่ได้รับการบูรณะจนล่วงเข้าสู่กลางทศวรรษที่ 16 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิได้บูรณะเมืองขึ้นมาอีกครั้งโดยการสร้างถนนสายใหม่กลางกรุงเกียวโตจนมีถนนเชื่อมเมืองฝั่งเหนือกับฝั่งใต้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมีผังเมืองแบบบล็อกสี่เหลี่ยมแทนที่ผังเมืองแบบโบราณ ฮิเดโยชิยังได้สร้างกำแพงดินขึ้นมาเรียกว่า โอโออิ (御土居) รอบเมือง ถนนเทรามาจิในกลางกรุงเกียวโตจึงเป็นศูนย์กลางของวัดพุทธเมื่อฮิเดโยชิเริ่มรวบรวมวัดให้เป็นปึกแผ่น ในสมัยเอโดะ เกียวโตก็เป็นหนึ่งในสามเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับนครเอโดะและนครโอซากะ",
"จากนั้น ในวันที่ 9 ธันวาคม ปีเดียวกัน ปาเกียวเปิดโอกาสให้มาร์เกวซชกล้างตาอีกรอบเป็นครั้งที่ 4 ปรากฏว่าปาเกียวเป็นฝ่ายโดนมาร์เกวซที่อยู่ในวัย 39 ปีแล้ว ชกลงไปนับ 8 ก่อนในยกที่ 4 จากนั้นปาเกียวได้นับ 8 คืนมาในยกที่ 5 และสามารถเรียกเลือดจากดั้งจมูกของมาร์เกวซได้ แต่ในปลายยกที่ 6 ปาเกียวขณะโถมตัวบุกเข้ามา โดนหมัดขวาสวนของมาร์เกวซเข้าเต็มคาง หน้าคว่ำลงไปนอนกับพื้นเวทีอย่างหมดสภาพ กรรมการยุติการชกทันที ทำให้ปาเกียวเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอไปในยกนี้ ด้วยเวลา 02.59 นาที ทำให้มาร์เกวซเอาชนะปาเกียวได้เป็นครั้งแรกในการชกของทั้งคู่ซึ่งในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 โดยถือว่าเป็นชัยชนะที่เด็ดขาดของมาร์เกวซ ขณะที่ปาเกียวนับเป็นการแพ้ติดต่อกันถึง 2 ครั้ง[5]",
"เม็ดเงิน ซึ่งเป็นนักมวยในสังกัดเดียวกับฉัตรชัย จึงได้ขึ้นชกที่เป็นเสมือนการล้างตาแทน และสามารถเอาชนะน็อกปาเกียวไปได้ในยกที่ 3 ในกลางปี พ.ศ. 2542 ซึ่งก่อนหน้านั้นปาเกียวได้สูญเสียแชมป์โลกไปแล้ว เพราะไม่อาจทำน้ำหนักให้อยู่พิกัด 112 ปอนด์ได้ หลังจากชั่งน้ำหนักมาแล้วถึง 5 ครั้ง",
"ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปาเกียวขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวตของ องค์กรมวยโลก (WBO) กับ มิเกล ค็อตโต้ นักมวยชาวเปอร์โตริโก การชกเป็นไปอย่างดุเดือดโดย ปาเกียว สามารถส่ง ค็อตโต้ ลงไปนอนให้กรรมการนับ 8 ได้ในยกที่ 2 และ 3 และหลังจากนั้นปาเกียวก็เป็นไล่ชก ค็อตโต้ อยู่ฝ่ายเดียวจนกรรมการยุติการชกในยกที่ 12 ทำให้ ปาเกียวสามารถคว้าเข็มขัดแชมป์โลกเส้นที่ 7 มาครองได้สำเร็จ และนับเป็นนักมวยคนแรกของโลกที่ได้แชมป์โลกมากถึง 8 รุ่น และถือว่าเป็นนักมวยอันดับหนึ่งของโลกเมื่อเทียบกันแล้วปอนด์ต่อปอนด์ในยุคปัจจุบัน",
"แมนนี ปาเกียว ถือเป็นนักมวยฟิลิปปินส์ที่ไม่เหมือนกับนักมวยฟิลิปปินส์รายอื่น ๆ ด้วยเป็นมวยทรหด หมัดหนักทั้งซ้ายและขวา จิตใจห้าวหาญไม่กลัวใคร และสภาพร่างกายแข็งแกร่ง โดยปาเกียวสามารถเอาชนะนักมวยไทยที่มีฝีมือเก่งกาจได้ถึง 2 คน คือ โชคชัย โชควิวัฒน์ และ ฉัตรชัย อีลิทยิม โดยเฉพาะฉัตรชัย เป็นการเอาชนะน็อกไปโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนด้วย ในประเทศไทย และยังเป็นผู้แย่งตำแหน่งแชมป์โลกในรุ่นฟลายเวทไปจากฉัตรชัย ถือเป็นแชมป์โลกครั้งแรกของปาเกียว อย่างไรก็ตาม ปาเกียวก็เสียตำแหน่งแชมป์ดังกล่าวคืนให้กับนักมวยชาวไทย ด้วยการแพ้น็อก เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม ไปเพียงยกที่ 3 ซึ่งเป็นการป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 2 ของปาเกียว โดยก่อนการชกปาเกียวมีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนักตัวอย่างมาก จนทำให้ต้องเสียตำแหน่งไปเมื่อไม่สามารถทำน้ำหนักให้อยู่ในพิกัดได้[2] ซึ่งเม็ดเงินถือเป็นนักมวยเพียง 1 ใน 5 คนที่สามารถเอาชนะปาเกียวได้ และเป็นเพียง 1 ใน 3 คนเท่านั้นที่สามารถน็อคปาเกียวลงได้",
"นอกจากนี้แล้ว แมนนี ปาเกียวยังชื่นชอบการเล่นบาสเกตบอลอีกด้วย โดยทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ฝึกสอนและผู้เล่นของทีมเกีย โซเรนตอส โดยปาเกียวได้ลงแข่งบาสเกตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557 โดยสวมเสื้อหมายเลข 17 ได้ทำการลงแข่งเป็นเวลา 10 นาที กับทีม แบล็ควอเตอร์ อีลิท ในลีกบาสเกตบอลอาชีพของฟิลิปปินส์ ซึ่งปาเกียวทำคะแนนได้ 1 คะแนนอีกด้วย[15]",
"สาวๆ เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการเรียนเต้นรำ สาวๆ จะได้เรียนรู้การเต้นแบบต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก เอมิเลียชื่นชอบและทำออกมาได้เป็นอย่างดีในขณะที่ดาโกต้าไม่ค่อยที่จะให้ความร่วมมือเท่าไหร่ โดยเธออ้างว่าเธอมาเพื่อเป็นนางแบบไม่ใช่มาเป็นแดนซ์เซอร์ ในวันต่อมาสาวๆ ได้ไปที่โรโทรัว เพื่อแข่งกันโพสท่าในลูกบอลขนาดยักษ์ สาวๆ ต่างก็พยายามทำกันอย่างทุลักทุเลและผู้ที่ทำออกมาได้อย่างพริ้วไหวและงดงามที่สุดคือคอร์ทเนย์ และรางวัลของเธอก็คือการไปนวดทำสปาสุดหรู",
"ต่อมา ปาเกียวเป็นฝ่ายแพ้คะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ต่อ ทิโมธี แบรดลีย์ นักมวยผิวสีชาวอเมริกัน อดีตแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ไลท์เวท ที่ทำน้ำหนักขึ้นมา และไม่เคยแพ้ใคร ด้วยคะแนน 113-115 ทั้ง 3 เสียง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555[4]"
] |
เครื่องบินขับไล่ เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล ผลิตครั้งแรกปีใด ? | [
"ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2524 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้แจ้งให้ทราบถึงโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่เพื่อมาสิ่งที่จะมาแทนที่เอฟ-111 อาร์ดวาร์ค คอนเซปท์คืออากาศยานที่สามารถทำภารกิจเข้าไปในแดนข้าศึกได้โดยปราศจากการสนับสนุนโดยเครื่องบินขับไล่คุ้มกันหรือการเข้ารบกวนสัญญาณ เจเนรัลไดนามิกส์เสนอเอฟ-16เอ็กซ์แอลในขณะที่แมคดอนเนลล์ ดักลาสเสนอแบบหนึ่งของเอฟ-15 อีเกิล ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็เห็นด้วยกับเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลของแมคดอนเนลล์ ดักลาส[1]"
] | [
"เอฟ-4 แฟนท่อม ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินขับไล่ป้องกันประจำกองบินสำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯ และได้เข้าประจำการครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2503 ในปีพ.ศ. 2506 ถูกใช้โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ให้ทำหน้าที่เครื่องบินขับไล่โจมตี เมื่อการผลิตสิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2524 แฟนทอม 2 จำนวน 5,195 ลำคือจำนวนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมา ทำให้เป็นเครื่องบินทางทหารของสหรัฐฯ ที่มีจำนวนมากที่สุด จนกระทั่งมีการสร้างเอฟ-15 อีเกิล เอฟ-4 ยังคงทำสถิติในการเป็นเครื่องบินขับไล่ที่มีระยะการผลิตยาวนานที่สุดคือ 24 ปี วัตกรรมของเอฟ-4 รวมทั้งเรดาร์พัลส์และการใช้ไทเทเนียมในการทำโครงสร้าง",
"มิตซูบิชิ เอฟ-15เจ/ดีเจ อีเกิล () เป็นเครื่องบินขับไล่สองเครื่องยนต์ของญี่ปุ่น พัฒนาโดยมีฐานมาจาก แมคดอนเนลล์ดักลาส เอฟ-15 อีเกิลของสหรัฐอเมริกา ผลิตขึ้นภายใต้สิทธิโดยมิตซูบิชิ เฮวี่ อินดัสทรีย์ส ประจำการในกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 เพื่อทดแทน เอฟ-104 สตาร์ไฟเตอร์ และ เอฟ-4 แฟนทอม 2",
"เอฟ-15เอช สไตรค์อีเกิล เป็นเอฟ-15อีรุ่นส่งออกให้กับกรีซในช่วงพ.ศ. 2533 ซึ่งถูกเลือกโดยกระทรวงกลาโหมและกองทัพอากาศของกรีซ[43] แต่รัฐบาลได้เลือกเอฟ-15แบบใหม่และมิราจ 2000-5 แทน[44]",
"แบบเหล่านี้เป็นการสร้างโครงสร้างจากเดิมที่มีอยู่แล้วหรือไม่ก็ดัดแปลงหรือสร้างขึ้นมาใหม่ตามทฤษฏี อย่างไรก็ตามการดัดแปลงเหล่านี้เป็นการใช้วัสดุผสมสร้างโครงสร้างเพื่อลดน้ำหนัก เพิ่มเชื้อเพลิงเพื่อระยะที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น เอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ทที่พัฒนาการมาจากเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ทและมิโคยัน มิก-29/มิโคยัน มิก-35 เครื่องบินเหล่านี้ใช้เรดาร์แบบใหม่ซึ่งพัฒนามาเพื่อยูโรไฟท์เตอร์ ไทฟูนและแดสซอลท์ราเฟล และ ยาส 39 อีกแบบก็คือเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล เป็นแบบโจมตีภาคพื้นดินของเอฟ-15 อีเกิลที่ได้รับโครงสร้างที่แข็งแกร่งขึ้นและเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ห้องนักบินที่ทันสมัย และระบบนำร่องและหาเป้าที่ยอดเยี่ยม ในยุคที่ 4.5 มีเพียงซูเปอร์ฮอร์เน็ท สไตรค์อีเกิล และราเฟลเท่านั้นที่เข้าทำการรบ",
"ปฏิบัติการดีนายไฟลท์ (Operation Deny Flight) เป็นการบังคับใช้เขตห้ามบินของสหประชาชาติเหนือบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเมื่อสถานการณ์ในบอลข่านเลวร้ายลงในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2536 หลังจากที่สภาความปลอดภัยของยูเอ็นได้ลงมติห้ามทั้งเครื่องบินและเครื่องบินปีกหมุนเข้ามาในเขตดังกล่าวนอกเสียจากได้รับการอนุญาตโดยยูเอ็น เอฟ-15อีจากฝูงบินรบที่ 492 และ 494 วางพลที่เอเวียโน่ในอิตาลี ในปลายปีพ.ศ. 2536 สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงและนาโต้ได้สั่งการเอฟ-15อีเข้าโจมตีเซอร์เบียโดยมีเป้าหมายเป็นสนามบินอับดิน่าในโครเอเทีย เอฟ-15อีจำนวนแปดลำติดอาวุธเป็นจีบียู-12 ได้เข้าโจมตีเอสเอ-6 ภารกิจถูกยกเลิกกลางคันเมื่อเอฟ-15อีไม่สามารถทำการโจมตีได้เนื่องมาจากความเข้มงวดของกฎในการเข้าปะทะ[15] ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นเอฟ-15อีถูกส่งไปทำลายที่ตั้งของเอสเอ-2 สองแห่งซึ่งได้เปิดฉากยิงใส่ซีแฮร์ริเออร์ของกองทัพเรือ[16] ภารกิจส่วนใหญ่ของเอฟ-15อีเป็นการเข้าโจมตีแนวหลังข้าศึกโดยห้ามมีการต่อสู้แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ต้องทำการยิง ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2538 ฝูงบินรบที่ 90 ได้เข้าร่วมกับฝูงบินเอฟ-15อีอื่นๆ อีกสองสองฝูงบิน ฝูงบินรบที่ 492 และ 494 ทำการบินเช่นนี้กว่า 2,500 ครั้งตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการดีนายไฟลท์ และ 2,000 ครั้งเป็นของฝูงบินรบที่ 492 เนื่องมาจากพวกเขาถูกวางพลนานกว่าฝูงบินที่ 494 ในวันที่ 30 และ 31 สิงหาคม เอฟ-15อีได้เข้าโจมตียานเกราะและเสบียงของเซอร์เบียรอบๆ ซาราเจโวด้วยจีบียู-10 และจีบียู-12 ในวันที่ 5 กันยายนมีการทิ้งจีบียู-12 เพิ่มและสี่วันหลังจากนั้นจีบียู-15 ถูกทิ้งเป็นครั้งแรกของเอฟ-15อีและในที่สุดก็มีอีก 9 ลูกถูกทิ้งลงใส่เป้าหมายป้องกันทางอากาศและกองกำลังบอสเนียน-เซิร์บรอบๆ บันจา ลูคา[16]",
"ระบบการต่อสู้ของสไตรค์อีเกิลผสมผสานกับทุกระบบตอบโต้ของเครื่องบินที่รวมทั้งเรดาร์เตือนภัย ตัวรบกวนเรดาร์ เรดาร์ และเครื่องปล่อยพลุ ทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับระบบการต่อสู้เพื่อสร้างการป้องกันที่ครอบคลุมต่อการตรวจจับและการติดตาม",
"ในวันแรกของสงครามกลุ่มของสไตรค์อีเกิลถูกไล่ล่าโดยมิก-23จำนวน 3 ลำและมิก-29จำนวน 2 ลำและมีโอกาสสองครั้งสำหรับเอฟ-15อีที่จะทำแต้มด้วยการสังหารข้าศึก เอฟ-15อีหนึ่งลำไล่ล่ามิก-92 และพยายามเข้าปะทะแต่ก็ยากที่จะจับเป้าความร้อนจากมิก-29 เพื่อทำการยิงเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ ขีปนาวุธถูกยิงในที่สุดแต่ก็พลาดเป้า ในเวลาเดียวกับเอฟ-15อีหลายลำพยายามเข้าปะทะมิก-29 ลำหนึ่งแต่ความผิดพลาดและโชคร้ายทำให้พวกเขาพลาดอีกครั้ง เอฟ-15อีลำหนึ่งบินผ่านเจ็ทของอิรักและเข้าโจมตีแต่นักบินก็ลังเลที่จะยิงเพราะเขาไม่รู้ว่าลูกหมู่ของเขาอยู่ที่ไหนและเขาก็หาตำแหน่งสำหรับขีปนาวุธไซด์ไวน์เดอร์ไม่ได้ ไม่นานหลังจากนั้นขีปนาวุธไร้ที่มาถูกปล่อยในบริเวณและไม่นานหลังจากนั้นมิกก็ตกลงสู่พื้นเมื่อนักบินอิรักเข้าปะทะกับเอฟ-15อี มิก-29 อีกลำถูกยิงตกโดยลูกหมู่ของตัวเองและเอฟ-15อีถูกเข้าใกล้โดยมิก-29 อีกลำแต่นักบินเลือกที่จะไม่เข้าปะทะเมื่อเอฟ-14 ทอมแคทของกองทัพเรือกำลังเข้ามาร่วม[8][9]",
"เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล ([F-15E Strike Eagle]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) เป็นเครื่องบินขับไล่ทุกสภาพอากาศสัญชาติอเมริกันที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเข้าไปในพื้นที่ของศัตรูที่อยู่ในระยะไกล มันเป็นการดัดแปลงมาจากเอฟ-15 อีเกิลซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่เหนือชั้น เอฟ-15อีได้พิสูจน์ความมีค่าของมันในปฏิบัติการดีเซิร์ทสตอร์มโดยทำการโจมตีเป้าหมายสำคัญ ต่อสู้ทางอากาศ และให้การสนับสนุนกับทหารราบในสงครามอ่าว เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลแตกต่างจากเอฟ-15 ทั่วไปตรงที่มันมีลายพรางที่เข้มกว่าและถังเชื้อเพลิงที่ติดอยู่ด้านข้างของเครื่องยนต์",
"เอฟ-15เอสจี (อดีตคือเอฟ-15ที) เป็นแบบหนึ่งของเอฟ-15อีถูกสั่งซื้อเป็นหลักโดยกองทัพอากาศสิงคโปร์ หลังจากช่วงเจ็ดปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินขับไล่อีกห้าแบบที่อยู่ภายใต้การพิจารณา เอฟ-15เอสจีถูกเลือกในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2548[39]",
"เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด (หรือเครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธี เครื่องบินจู่โจม และเครื่องบินโจมตี) เป็นเครื่องบินทางทหารที่มีหลากหลายบทบาทซึ่งสามารถทำการโจมตีได้ทั้งแบบอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้น เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดจำนวนมากถูกออกแบบมาให้เข้าต่อสู้ทางอากาศได้ในทันทีหลังจากที่โจมตีเป้าหมายบนพื้นดินแล้ว เครื่องบินต่อสู้หลายบทบาทในปัจจุบันถูกออกแบบให้ทำหน้าที่ได้อย่างหลากหลายมากขึ้นเนื่องจากงบประมาณที่จำกัดและพวกมันก็มักจะมีประโยชน์มาก ตัวอย่างเช่น เจียงดู เจ-10 เซียน เจเอช-7 เอฟ-4 แฟนทอม 2 เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล เอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอน เอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท ซุคฮอย ซู-34 มิราจ 2000 และพานาเวีย ทอร์นาโด",
"เพื่อขยายระยะทำการของมันเอฟ-15อีจึงมีถังเชื้อเพลิงที่ติดอยู่กับส่วนลำตัวของเครื่องบิน มันจะลดแรงฉุดได้มากกว่าถังเชื้อเพลิงที่มักอยู่ใต้ท้องแบบบเก่า พวกมันจะบรรจุเชื้อเพลิงได้ 2,800 ลิตรและมีจุดติดตั้งอาวุธทั้งหมดหกจุด อย่างไรก็ตามมันไม่เหมือนกับถังเชื้อเพลิงแบบเก่า ถังเชื้อเพลิงใหม่นี้ไม่สามารถปลดออกได้ดังนั้นการเพิ่มระยะทำการจึงต้องแลกด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ถังที่คล้ายคลึงกันสามารถติดตั้งบนเอฟ-15ซี/ดีและรุ่นอื่นๆ ได้ และกองทัพอากาศอิสราเอลใช้ทางเลือกนี้กับเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-15 เช่นเดียวกับเอฟ-15ไอของพวกเขา แต่มีเพียงเอฟ-15อีของสหรัฐฯ เท่านั้นที่ใช้ถังเชื้อเพลิงแบบใหม่นี้",
"ซุคฮอย ซู-30 () (นาโต้ใช้ชื่อรหัสว่าแฟลงเกอร์-ซี) เป็นเครื่องบินทางทหารสองเครื่องยนต์ที่สร้างโดยบริษัทการบินซุคฮอยของรัสเซียและเริ่มนำเข้ามาใช้ปฏิบัติการในปีพ.ศ. 2539 มันเป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีสองที่นั่งสำหรับภารกิจขัดขวางทางอากาศและพื้นดินในทุกสภาพอากาศ มันเทียบได้กับเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล",
"การทำงานของเครื่องบินขับไล่ชั้น 2 มัค พร้อมพิสัยไกลและขนาดบรรทุกเท่าเครื่องบินทิ้งระเบิด ได้กลายมาเป็นแม่แบบของเครื่องบินขับไล่รุ่นต่อๆ มา แฟนท่อมได้ถูกแทนที่โดยเอฟ-15 อีเกิลและเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในกองทัพเรือนั้น ถูกแทนที่โดยเอฟ-14 ทอมแคทและเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท ฮอร์เน็ทนั้นได้รับหน้าที่เป็นเครื่องบินขับไล่สองบทบาท",
"ในปี 1991 กองทัพอากาศสหรัฐ เป็นกองทัพแรกที่ได้รับจรวดนำวิถี เอไอเอ็ม-120เอ เข้าประจำการ ในปี 1992 ได้ถูนำมาใช้งานครั้งแรกในสงครามอ่าวเปอร์เซีย(Operation Desert Strom)โดยติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ แบบ เอฟ-15 ซี เป็นแบบแรกแต่ไม่เคยใช้ในการสู้รบ กองทัพอากาศสหรัฐประสบความสำเร็จในการรบทางอากาศกับจรวดนำวิถี แอมแรม ครั้งกับเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ดี รุ่น สองที่นั่ง นักบินใช้จรวดนำวิถี เอไอเอ็ม-120 เอ ยิงเครื่องบินขับไล่ แบบ มิก-25 ของกองทัพอากาศอิรัคซึ่งละเมิดเขตห้ามบิน (No-Fly Zone) ตกเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1992 ความสำเร็จครั้งที่สองเกิดขึ้นในอีกเดือนต่อมา เป็นเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 เช่นเดิม แต่เป็นรุ่น เอฟ-16 ซี ที่นั่งเดี่ยว ยิงเครื่องบินขับไล่ มิก-23 ตกเมื่อเดือนมกราคม 1993ในอีก 1 ปีต่อมาในสงครามบอสเนียนักบินเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ซี ของกองทัพอากาศสหรัฐ ใช้จรวดนำวิถีเอไอเอ็ม-120 เอ ยิงเครื่องบินฝึกไอพ่น แบบ เจ-21 ของทัพอากาศบอสเนียตกเนื่องจากบินละเมิดเขตห้ามบินซึ่งสหประชาชาติกำหนดขึ้น หลังจากความสำเร็จยิงเครื่องบินตก 3 เครื่อง จรวดนำวิถี เอไอเอ็ม-120 ได้ถูกขนามนามว่า\"สแลมเมอร์\"(Slammer) ในระหว่าง Operation Allied Force การรบทางอากาศเหนือน่านฟ้ากรุงโคโซโวนักบินเครื่องบินขับไล่กองทัพอากาศสหรัฐฯและชาติพันธมิตรที่กำลังส่งกำลังทางอากาศเข้าร่วมปฎิบัติการใช้จรวดนำวิถี เอไอเอ็ม-120 เอ ยิงเครื่องบินขับไล่ มิก-29 ของกองทัพอากาศเซอร์เบียตกรวม 6 เครื่อง โดยเป็นผลงานของนักบินเครื่องบินขับไล่ เอฟ-15 ซี จำนวน 4 เครื่อง นักบินเครื่องบินขับไล่เอฟ-16ซี และ เอฟ-16 เอเอ็ม ของกองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์คนละ 1 เครื่องมีข้อมูลแย้งว่าผลงานของ เอฟ-16 ซี อาจจะเป็นผลงานของพลยิงจรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยาน แบบ เอสเอ-7 ของทัพเซอร์เบียยิงเครื่องบินฝ่ายเดียวกัน",
"การเพิ่มความสามารถในการโจมตีหรือการออกแบบในช่วงแรกสำหรับบทบาทที่แตกต่างกันไปนั้นกลายเป็นอดีต บทบาทโจมตีถูกมอบหมายให้กับเครื่องบินโจมตีอย่างซุคฮอย ซู-24 และเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลหรือหากจะให้การสนับสนุนระยะใกล้ก็ตกเป็นของเอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 และซุคฮอย ซู-25",
"ในระหว่างที่กระบวนการเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 2ของล็อกฮีด มาร์ตินดำเนินไป กองทัพอากาศสิงคโปร์ได้สั่งซื้ออากาศยานอีก 12 ลำพร้อมกับอีก 8 ลำเพื่อมาแทนที่เอ-4เอสยูแบบเดิมของพวกเขา การซื้อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ที่นำมาแทนที่ที่มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเป็นการสั่งซื้อที่แพงที่สุดของกองทัพอากาศสิงคโปร์",
"ขณะที่เอฟ-15ซี/ดีส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยเอฟ-22 แร็พเตอร์แต่ก็ไม่มีการแทนที่ของเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลเป็นแบบล่าสุดของเอฟ-15 และมีความแข็งแกร่งกว่ารุ่นอื่นก่อนหน้าถึงเท่าตัว เอฟ-15อีถูกคาดหวังว่าจะยังคงประจำการอยู่ถึงพ.ศ. 2568[4] กองทัพอากาศในปัจจุบันกำลังมองหาเครื่องบินทิ้งระเบิดยุคใหม่ เป็นรุ่นที่ต้องเหนือกว่าสไตรค์อีกเกิล แบบเอของเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 2 ซึ่งคาดการว่าในที่สุดจะมาแทนที่อากาศยานจู่โจมมากมายอย่างเอฟ-16 และเอ-10 สามารถเข้ามาทำบทบาทของเอฟ-15อีได้อีกด้วย",
"เอฟ-15 เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอย่างกองทัพอากาศอิสราเอลและกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น และการพัฒนาของเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลได้ก่อให้เกิดเครื่องบินขับไล่โจมตีซึ่งได้เข้ามาแทนที่เอฟ-111 อย่างไรก็ตามมรการวิจารณ์จากกลุ่มมาเฟียเครื่องบินขับไล่ที่ว่าเอฟ-15 มีขนาดใหญ่เกินไปที่จะเหมาะกับการต่อสู้ที่ชุลมุน และแพงเกินไปที่จะจัดซื้อในจำนวนมากเพื่อแทนที่เอฟ-4 และเอ-7 จึงนำไปสู่โครงการแอลดับบลิวเอฟหรือเครื่องบินขับไล่น้ำหนักเบา ซึ่งก่อให้เกิดเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนและเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ทของกองทัพเรือ",
"เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว\nเครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง\nเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงในบางจุด เช่น การติดตั้งท่อรับการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ\nเครื่องบินขับไล่รุ่นสองที่นั่งซึ่งไม่ได้รับการผลิตจริง\nเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยวรุ่นปรับปรุง\nเครื่องบินขับไล่ที่สองที่นั่งรุ่นปรับปรุง\nเปลี่ยนเครื่องยนต์จากสองเครื่องยนต์เป็นเครื่องยนต์เดียว ต่อมาคือเอฟ-20\nรุ่นฝึกของกองทัพเรือสหรัฐ\nเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศสิงคโปร์\nเครื่องบินขับไล่สองที่นั่งได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศสิงคโปร์\nเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวและสองที่นั่งที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศไทย\nเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศบราซิล\nเครื่องบินขับไล่สองที่นั่งที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศบราซิล\nเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศชิลี\nเครื่องบินขับไล่สองที่นั่งที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศชิลี\nเครื่องบินขับไล่ลาดตระเวนถ่ายภาพ\nเครื่องบินขับไล่ลาดตระเวนถ่ายภาพปี พ.ศ. 2512 กองทัพอากาศไทยได้รับเอฟ-5 เอจากกองทัพสหรัฐอเมริกาจำนวน 5 เครื่องและเมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากสงครามเวียดนามจนกระทั่งกรุงไซง่อนถูกยึดครองโดยกองทัพเวียดนามเหนือ(NVA) นักบินเวียดนามใต้ได้นำเอฟ-5 อีจำนวน 3 เครื่องบินหนีจากสนามบิน ตัน ซอน นุทเวียดนามมาลงที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเอฟ-5 อีทั้ง 3 เครื่องนี้สหรัฐอเมริกาได้นำกลับไปด้วย",
"เจเนรัล ไดนามิกส์ เอฟ-16เอ็กซ์แอล() เป็นเครื่องบินขับไล่สาธิตเทคโนโลยีที่ออกแบบและสร้างโดยเจเนรัล ไดนามิกส์ โดยพัฒนาต่อจากเอฟ-16 ไฟทิงฟอลคอน เอฟ-16เอ็กซ์แอลมีลักษณะปีกเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม (Delta) F16เอ็กซ์แอลได้เข้าประกวดเครื่องบินขับไล่ให้กับกองทัพอากาศสหรัฐ แต่ได้พ่ายแพ้ให้กับเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล หลายปีหลังจากนั้นเครื่องต้นแบบทั้ง2ลำได้ถูกจัดเก็บไว้ที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด",
"กระทรวงกลาโหมของสิงคโปร์ในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เลือกการซื้อเอฟ-15เอสจีเพิ่มอีก 8 ลำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2548 พร้อมกับการซื้อนี้มีการสั่งซื้อเพิ่มอีสี่ลำทำให้มีเครื่องบินขับไล่ในรายการทั้งสิ้น 24 ลำ[40] การเปิดตัวครั้งแรกจองเอฟ-15เอสจีเกิดขึ้นในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551 การส่งเอฟ-15เอสจีจะเริ่มในไตรมาสที่สามของปี 2551 จนถึง 2554[41]",
"เอฟ-15อีเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ได้รับงานยากที่สุดในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ส่วนใหญ่แล้วเนื่องมาจากจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับเอฟ-16 เอฟ-15อีมักโจมตีฐานเก็บยุทธภัณฑ์ ที่ควบคุมและบัญชาการ และอาวุธต่อต้านอากาศยาน เอฟ-15อียังเข้ารบในการลาดตระเวนเหนืออิรักและยังทำงานร่วมกับเครื่องบินอื่นๆ อย่างเอฟ-15 เอฟ/เอ-18 และอีเอ-6บี โพรว์เลอร์ของกองทัพเรือเช่นเดียวกับเอฟ-16 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ",
"ความสามารถในการทำภารกิจโจมตีในแดนลึกของเอฟ-15อีแตกต่างจากจุดประสงค์ของต้นแบบเอฟ-15 เพราะเอฟ-15 ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินขับไล่เหนือชั้น[5] อย่างไรก็ตามโครงสร้างต้นแบบนั้นก็ได้พิสูจน์ถึงความหลากประโยชน์ซึ่งมากพอที่จะเป็นเครื่องบินขับไล่ ขณะที่ถูกออกแบบสำหรับโจมตีภาคพื้นดินเอฟ-15อีก็มีความร้ายกาจในการโจมตีแบบอากาศสู่อากาศของเอฟ-15 มาด้วย และสามารถป้องกันตัวเองได้จากอากาศยานของข้าศึก[6]",
"หลังจากสงครามอ่าวซึ่งเมืองของอิสราเอลถูกโจมตีโดยขีปนาวุธสกั๊ดที่ยิงมาจากอิรัก ทางรัฐบาลอิสราเอลตัดสินว่าต้องการอากาศยานจู่โจมพิสัยไกล ในปีพ.ศ. 2536 อิสราเอลได้ประกาศขอข้อมูลจากบริษัทอากาศยานใดๆ ก็ตามที่สนใจที่จะทำการผลิตเครื่องบินรบใหม่ให้กับอิสราเอล",
"วันที่ 22 มีนาคม การโจมตีของกำลังผสมดำเนินต่อไป และอากาศยานลิเบียที่บินมุ่งหน้าสู่เบงกาซีถูกโจมตี เครื่องบินขับไล่เจ็ต เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล ที่ปฏิบัติภารกิจทิ้งระเบิดลำหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุชนหลังยุทโธปกรณ์ประสบความล้มเหลว นักบินและนายทหารการอาวุธดีดตัวออกจากเครื่องและได้รับการช่วยเหลือโดยทีมกู้ภัยสหรัฐที่ถูกส่งเข้าไปโดยเฮลิคอปเตอร์ พลเรือนหกคนถูกยิงระหว่างการอพยพขณะที่พวกเขาวิ่งมาทักทายทหาร[144][145]",
"การบินครั้งแรกของเอฟ-15อีเกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2529[1] เอฟ-15อีลำแรกได้ถูกส่งให้กับกองบินที่ 405 ที่ฐานทัพอากาศลุคในเดือนเมษายนพ.ศ. 2531 \"สไตรค์อีเกิล\"ได้ปฏิบัติการครั้งแรกในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2532 ที่ฐานทัพอากาศเซย์เมอร์ จอห์นสันในทางเหนือของแคโรไลน่า[1]",
"เอฟ-15เคมีจุดเด่นมากมายที่เอฟ-15อีไม่มี อย่าง อินฟราเรดค้นหาและติดตาม ระบบหมวกเชื่อมต่อ และเรดาร์เอเอ็น/เอพีจี-63(วี)1 นอกจากนี้เอฟ-15เคยังสามารถใช้อาวุธได้มากมาย อย่าง ขีปนาวุธโจมตีพื้นดินจากระยะห่างและเอจีเอ็ม-84เอช เครื่องยนต์เจเนรัลอิเลคทริค เอฟ110-จีอี-129 ให้แรงขับ 29,400 ปอนด์สองเครื่อง",
"เอฟ-15 อีเกิล () เป็นเครื่องบินขับไล่สองเครื่องยนต์ทางยุทธวิธีทุกสภาพอากาศที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ครองความได้เปรียบทางอากาศ มันถูกพัฒนาให้กับกองทัพอากาศสหรัฐและได้ทำการบินครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515 มันเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่โดดเด่นที่สุดในสมัยใหม่ เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลเป็นแบบดัดแปลงสำหรับทำหน้าที่โจมตีทุกสภาพอากาศซึ่งได้เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2532 กองทัพอากาศสหรัฐฯ วางแผนที่จะใช้เอฟ-15 ไปจนถึงปีพ.ศ. 2568",
"ในปีพ.ศ. 2545 กองทัพอากาศเกาหลีได้เลือกเอฟ-15เคเข้าโครงการเครื่องบินขับไล่เอฟ-เอ็กซ์หลังจากมีการแข่งขันอย่างดุเดือดของเครื่องบินรบอีกสี่แบบคือ เอฟ-15เคจากโบอิง แดสซอล ราเฟลจากแดสซอล-เบอกวท ยูโรไฟท์เตอร์ไทฟูน และซู-35จากซุคฮอย อากาศยานทั้งหมด 40 ลำถูกสั่งซื้อพร้อมการส่งในปีพ.ศ. 2548[35]"
] |
ขนมขิง มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอะไร? | [
"หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกๆ ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับขนมขิงน้ำผึ้งที่ผสมเครื่องเทศ นั้นมีอายุราวๆ 350 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์โบราณมีขนมอบที่ใช้น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวาน และเป็นขนมที่ต้องใช้ในพิธีศพ ชาวโรมันมีขนมที่เรียกว่า พานุส เมลลิทุส (panus mellitus) ซึ่งก็คือขนมที่ทาหน้าด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปอบ ในสมัยก่อนนั้นต่างจากปัจจุบันคือ การรับประทานขนมขิงไม่เพียงเป็นที่นิยมเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น แต่รวมไปถึงในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ (เทศกาลฉลองการคืนชีพของพระเยซู) หรือช่วงเวลาอื่นๆด้วย ขนมขิงนั้นจัดเป็นหนึ่งในอาหารที่นิยมรับประทานในช่วงเวลาถือศีลอด และอาจเสิร์ฟพร้อมกับเบียร์ดีกรีสูง เป็นต้น"
] | [
"สูตรขนมขิงส่วนใหญ่จะมีปริมาณแป้งน้อยมาก ประมาณร้อยละ 10 ถึง 50 ของส่วนผสมเท่านั้น ตำรับอาหารเยอรมันส่วนมากมักประกอบด้วยแป้งสาลี ในขณะที่ตำรับอาหารฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรปตะวันออกกลับใช้ข้าวไรย์แทน ในปัจจุบันมีการนำเครื่องเทศหลักที่ใช้ในการอบขนมขิงมาผสมสำเร็จรูปโดยเรียกว่า เครื่องเทศขนมขิง",
"ขนมขิงที่ใช้ทำน้ำซอส ซึ่งในภาษาเยอรมันเรียกว่า โซเซนคูเคน (Soßenkuchen) หรือ โซเซนเลบคูเคน (Soßenlebkuchen) เป็นขนมขิงธรรมดาๆชนิดหนึ่ง มีอยู่ในบางภูมิภาคของเยอรมนี โดยจะมีการผลิตขนมขิงชนิดนี้ในทุกฤดูกาลเพื่อใช้ในการทำน้ำซอส",
"ชื่อเรียกว่า เฟฟเฟอร์คูเคน หรือขนมขิงพริกไทยนั้นมีมาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1296 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี และในศตวรรษที่ 14 ขนมอบชนิดนี้ก็เป็นที่รู้จักในเมืองนูเรมเบิร์กและบริเวณใกล้เคียง โดยผู้รับมาคือคณะพระนักบวช ต้นตำรับของเมืองนูเรมเบิร์กนี้มีที่มาจากอารามคริสตจักรที่เมืองไฮลส์บรอนน์ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ขนมขิงนั้นเป็นที่นิยมเนื่องจากไม่เสียง่ายและสามารถเก็บไว้รับประทานได้นาน เหล่านักบวชมักจะนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในช่วงเวลาอดอยากแร้นแค้น",
"ขนมขิงลายภาพก็คือขนมขิงที่มีการตัดหรือกดทับให้เป็นลาย ขนมขิงรูปแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 มีทั้งแบบดั้งเดิมที่มีรูปภาพทางศาสนา และหลังจากนั้นก็เริ่มมีแบบที่เป็นรูปภาพทั่วไป ในปัจจุบันขนมขิงลายภาพเหล่านี้เป็นที่แพร่หลายในนานาประเทศ และไม่ได้ผลิตเพียงแค่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอีกต่อไป ขนมขิงรูปหัวใจที่ตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่งนั้นค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันดี และซื้อหาได้ทั่วไปในงานรื่นเริง งานประจำปี และแม้กระทั่งบนแผงขายขนมในตลาดคริสต์มาส",
"การวิจัยถึงที่มาและความหมายของคำว่า เลบคูเคน (Lebkuchen) ซึ่งแปลว่าขนมขิงในภาษาเยอรมันนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แม้ว่าคำว่า เลบคูเคน จะมีการออกเสียงคล้ายกับคำว่า เลเบน (Leben) ที่หมายถึงชีวิต แต่ก็น่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย เพราะคาดว่าคำว่า เลบคูเคน มาจากคำภาษาละตินที่ว่า ลิบุม (libum) ซึ่งหมายถึง ขนมอบรูปร่างแบน หรือขนมเซ่นไหว้ มีการตีความทางศัพทมูลวิทยา (ศาสตร์แห่งที่มาของคำศัพท์) ว่าที่มาของคำดังกล่าวมาจากคำว่า ไลบ์ (Laib) ในภาษาชนเผ่าเจอร์มานิคโบราณ ซึ่งหมายถึงก้อนขนมปัง",
"นอกจากจะใช้น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานและมีเครื่องเทศจากโลกตะวันออกเป็นส่วนผสมแล้ว (โดยมากคือ อบเชย กานพลู โป๊ยกั๊ก หรือน้อยครั้งที่ใช้กระวาน ผักชี ขิง ลูกจันทน์เทศ) ขนมขิงยังแตกต่างจากขนมปังอื่นๆตรงที่ไม่มียีสต์เป็นส่วนผสมเลย การอบขนมขิงจะใช้เกลือจากเขากวางแดง (Hirschhornsalz) หรือสารโพแทสเซียม (หรืออาจใช้ทั้งสองอย่าง) แทนผงฟู ซึ่งสารเหล่านี้จะทำให้แป้งดิบที่ยังไม่ได้อบนั้นมีรสขมเล็กน้อย บ่อยครั้งที่มีการตกแต่งขนมขิงด้วยอัลมอนด์ ถั่ว ผงเปลือกส้ม ผงเปลือกมะนาว หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ช็อกโกแลต แป้งเป็นส่วนผสมหนึ่งที่ไม่ได้ใช้กับขนมขิงทุกประเภทเสมอไป ตัวอย่างเช่น ขนมขิงตำรับเมืองนูเรมเบิร์ก ซึ่งตามเกณฑ์คุณภาพแล้วจะไม่ใช้แป้งเลย หากแต่ใช้น้ำมันเมล็ดพืชแทน",
"ต้นดาหลา () เป็นพืชล้มลุกประเภทใบเลี้ยงเดี่ยวชนิดหนึ่งซึ่งมีดอกที่สวยงาม มีความนิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอก ที่อยู่ในวงศ์ขิง( Zingiberales) ซึ่งจัดเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับขิงและข่านั้นเอง ส่วนลำต้นดาหลาจะอยู่ใต้ดินที่พวกเราเรียกว่าเหง้าซึ่งเหง้าที่พูดถึงนี้จะเป็นจุดกำเนิดของหน่ออ่อนของทั้งต้นและดอกดาหลาต่อไป",
"ในภาษาไทย อาจเรียก ขนมขิง ว่า ขนมปังขิง ตามความคุ้นเคย เนื่องจากแปลตรงตัวมาจากคำภาษาอังกฤษที่ว่า Ginger bread (ginger หมายถึง ขิง และ bread หมายถึง ขนมปัง แปลเป็นภาษาไทยจึงได้คำรวมว่า ขนมปังขิง) แต่ขนมขิงเองมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากขนมปังที่เรารู้จักกันทั่วไป (bread) โดยสิ้นเชิง โดยเป็นขนมอบคนละรูปแบบกับขนมปัง (bread)",
"ในภาษาเยอรมัน สิ่งที่เรียกว่า บ้านขนมขิงพริกไทย หรือ เฟฟเฟอร์คูเคนฮอยส์เช็น (Pfefferkuchenhäuschen) ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า บ้านขนมปังกรอบ หรือ คนุสเปอร์ฮอยส์เช็น (Knusperhäuschen) ในนิทานเรื่องบ้านขนมปัง (นิทานเรื่องแฮนเซลกับเกรเทล) ก็ทำมาจากขนมขิงเช่นกัน บ้านขนมขิงเหล่านี้นอกจากจะเป็นที่แพร่หลายในประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันแล้ว ยังหาซื้อได้ในแถบยุโรปตะวันออกและประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอีกด้วย",
"ยฺเหวียนเซียว (), ทังยฺเหวียน () หรือ ขนมบัวลอยจีน เป็นขนมหวานที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมกับน้ำแล้วนำไปปั้นเป็นลูกกลม ๆ จากนั้นนำไปต้มแล้วเสิร์ฟในน้ำร้อน น้ำร้อนที่นิยมรับประทานได้แก่ น้ำขิง ลูกยฺเหวียนเซียวมีหลายขนาดซึ่งขึ้นอยู่กับผู้รับประทาน อาจสอดไส้หรือไม่สอดไส้ก็ได้ ไส้ที่นิยมรับประทานได้แก่ ไส้งาดำ ยฺเหวียนเซียวเป็นขนมที่นิยมรับประทานในช่วงเทศกาลโคมไฟ หรือเทศกาลอื่น ๆ เช่น งานแต่งงาน ในประเทศไทย ยฺเหวียนเซียวที่สอดไส้งาดำในน้ำขิง มักเรียกว่า \"ขนมบัวลอยน้ำขิง\"",
"ขนมขิงสูตรเฉพาะของเยอรมนีหลายตำรับเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ขนมขิงตำรับเมืองนูเรมเบิร์กและขนมขิงตำรับเมืองอาคเคน สูตรขนมขิงเฉพาะตามภูมิภาคต่างๆยังได้แก่ ขนมขิงตำรับรอสเนอร์ (Rosner Lebkuchen) จากเมืองวาลด์ซาสเซน (Waldsassen) ขนมขิงตำรับเบนท์ไฮม์เมอร์ มอพเพ็น (Bentheimer Moppen) ขนมขิงพริกไทยตำรับเมืองพุลสนิทซ์ หรือ พุลสนิทเซอร์ เฟฟเฟอร์คูเคน (Pulsnitzer Pfefferkuchen) ไนซ์เซอร์ คอนเฟคท์ (Neisser Konfekt) และ ขนมขิงถั่วพริกไทยแห่งรัฐเม็คเลนบูร์ก หรือ เม็คเลนบูร์กเกอร์ เฟฟเฟอร์นึซเซอ (Mecklenburger Pfeffernüsse)",
"คำเรียกขนมขิงในภาษาอังกฤษที่ว่า จินเจอร์เบรด (Gingerbread) นั้นใช้เป็นชื่อเรียกระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รูปแบบหนึ่งของบริษัทกูเกิล ในพิพิธภัณฑ์เครื่องเทศเก่าแก่ที่ใช้ในครัวเรือน (Museum Alte Pfefferküchlerei) ในเมืองไวซ์เซนแบร์ก (Weißenberg) รัฐแซ็กโซนีในเยอรมนี มีการจัดแสดงเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตขนมขิง ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.2003 ที่เมืองเอสลิงเกน (Esslingen) ริมฝั่งแม่น้ำเนคคาร์ (Neckar) ได้มีการอบขนมขิงที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้น ขนมขิงนี้เป็นรูปซานตาคลอส มีขนาดความยาว 10 เมตร และความกว้าง 4 เมตร ส่วนผสมที่ใช้คือแป้งขนมปัง 350 ก.ก. น้ำเชื่อม 180 ก.ก. และเครื่องเทศสำหรับทำขนมขิงทั้งหมด 8 ก.ก. และแต่งหน้าด้วยมาร์ซิพาน (อัลมอนด์และน้ำตาลบดรวมกันเป็นของเหลวเหนียวๆ) และน้ำตาลไอซิ่งชนิดหนืดหรือที่เรียกว่า ฟันเดินท์ (Fondant) ซึ่งทำให้ขนมขิงชิ้นนี้มีน้ำหนักรวมถึง 650 ก.ก. เลยทีเดียว",
"ขนมขิงตำรับรัสเซียที่มีชื่อในภาษารัสเซียว่า ปริยานิกี (ปริยานิกี หรือ Пряники เป็นคำเรียกแบบพหูพจน์ หากเป็นชิ้นเดียวจะเรียกว่า ปริยานิก หรือ Пряник) ประกอบด้วย แป้งสาลี น้ำตาล มาร์การีน เนย น้ำมัน น้ำ นม และเกลือ บางครั้งอาจใส่น้ำผึ้งและเครื่องเทศลงไปด้วยก็ได้ ขนมขิงตำรับนี้มักเสิร์ฟคู่กับชารัสเซีย",
"ขนมผิงมีต้นกำเนิดมาจากอาหารโปรตุเกส โดยหญิงลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น มารี กีมาร์ ที่เกิดในอาณาจักรอยุธยา หลังจากที่ทหารญี่ปุ่นชุดแรกได้เข้ามาเป็นทหารอาสาในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่นานมารี กีมาร์ ก็ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องต้น และได้ชื่อในภาษาไทยว่า \"ท้าวทองกีบม้า\" ได้สอนการทำขนมหวาน อาทิ ทองหยอด, ฝอยทอง และอีกหลาย ๆ อย่าง ให้กับผู้ที่ทำงานอยู่ใกล้ชิด และจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นขนมไทยหลากหลายอย่างรวมถึง ขนมผิงด้วย",
"ทุกวันนี้ขนมขิงจัดเป็นขนมอบยอดนิยมสำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสโดยมีชื่อเรียกและรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปมากมายตามแต่ละภูมิภาค มีทั้งขนมขิงทั้งแบบที่เคลือบและไม่เคลือบช็อกโกแลต ทั้งแบบที่มีถั่วต่างๆ และอัลมอนด์ มากหรือน้อยแตกต่างกันไป หรือแบบที่สอดไส้แยม เป็นต้น",
"ขนมอาลัว เป็นขนมหวานที่ทำจากแป้ง ผิวด้านนอกจะเป็นน้ำตาลแข็ง ด้านในเป็นแป้งหนืด มักทำเป็นอันเล็กๆ มีหลายสี มีกลิ่นหอมหวาน\nชื่ออาลัวมีความหมายว่าเสน่ห์ดึงดูดใจ\nอาลัวมีต้นกำเนิดมาจากประเทศโปรตุเกส ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยครั้งแรกโดยคุณท้าวทองกีบม้า หรือ เลดี้ฮอร์ เดอควีมาร์ ภริยาเจ้าพระยาวิชเยนทร์(ชาวกรีก)ซึ่งทำงานให้กับราชสำนักโปรตุเกส ภายหลังจึงมารับราชการในราชสำนักในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช\nขนมอาลัวยังแบ่งได้เป็นสองชนิด คือ อาลัวชาววัง และ อาลัวจิ๋ว\nอาลัวชาววังมีขนาดใหญ่กว่า และมีส่วนผสมของกะทิมากกว่าอาลัวจิ๋ว",
"ประเทศอื่นๆ ในยุโรปก็มีขนมขิงตำรับเฉพาะที่มีประวัติความเป็นมายาวนานเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ขนมขิงตำรับฝรั่งเศสแห่งเมืองดิโจ (Dijon) ขนมขิงตำรับคริสเตียนส์เฟลด์ (Christiansfeld) ของเดนมาร์ก หรือ ขนมขิงตำรับธอร์นเนอร์ คาทรินเช็น (Thorner Kathrinchen) จากเมืองธอร์นซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโตรันของโปแลนด์ตั้งแต่ ค.ศ. 1919 ตุ๊กตาขนมขิงและบ้านขนมขิงที่มาจากเมืองพาร์ดูบิซในสาธารณรัฐเช็กนั้นจะแต่งหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่งจำนวนมากเป็นพิเศษ",
"ขนมขิงตำรับเมืองธอร์นหรือที่รู้จักกันในชื่อ ธอร์นเนอร์ ฟลาสเตอร์ชไตน์เนอ (Thorner Pflastersteine) ก็มีชื่อเสียงเช่นกัน ขนมขิงตำรับนี้มาจากเมืองทางอาณาเขต ปรัสเซียตะวันตกที่ชื่อ ธอร์น ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเมืองโตรัน (Toruń) ของโปแลนด์มาตั้งแต่ปีค.ศ.1919 ขนมขิงตำรับนี้ยังมีอีกสองฉายา คือ คาทรินเช็น (Kathrinchen) ซึ่งมีที่มาจากชื่อโบสถ์ของนักบุญคาธารินาแห่ง อเล็กซานเดรีย และฉายาว่า ไนซ์เซอร์ คอนเฟคท์ (Neisser Konfekt) ซึ่งมีที่มาจากชื่อเมืองไนซ์เซ ในเขตซิเลเซียที่ถูกเยอรมนียึดครองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16",
"ขนมขิงเองก็เหมือนกับอาหารชนิดอื่นๆ ที่มีชื่อเรียกในภาษาเยอรมันแตกต่างกันออกไปตามแต่ละภูมิภาค ในทางตอนใต้ ตะวันตก และตอนเหนือของเยอรมนีจะใช้คำว่า เลบคูเคน (Lebkuchen) ขณะเดียวกันในภูมิภาคทางใต้และตะวันตกของเยอรมนีก็อาจพบชื่อเรียกขนมขิงที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ลาเบอคูเคน (Labekuchen) เล็คคูเคน (Leckkuchen) หรือ เลเบนส์คูเคน (Lebenskuchen) ในบางพื้นที่ของรัฐบาวาเรียและรัฐบาเดน-เวิร์ทเทมเบิร์กเรียกขนมขิงว่า มาเก็นโบรท (Magenbrot) แม้ว่าโดยรวมแล้วจะหมายถึงขนมอบรูปแบบที่ต่างออกไปก็ตาม ตรงกันข้ามกับทางตะวันออกของเยอรมนีที่เรียกขนมขิงกันว่า เฟฟเฟอร์คูเคน (Pfefferkuchen) หรือขนมขิงพริกไทย",
"ในสมัยก่อนขนมขิงซึ่งเรียกว่า เลบคัวเค (Lebkuoche) ในภาษาเยอรมันยุคกลาง จะอบโดยวางบนแป้นพิมพ์ในโรงอบขนมปังของโบสถ์ ซึ่งเป็นสถานที่อบขนมปังกลมที่เรียกว่า แผ่นศีล อยู่แล้ว ในตอนใต้ของเยอรมนีและประเทศออสเตรียจะเรียกขนมปังนี้ว่า เซลเทอ (Zelte) และเรียกคนอบขนมปังว่า เลบเซลเทอร์ (Lebzelter) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนทำขนมขิง หรือ เลบเซลเทอร์ ก็จัดอยู่ในกลุ่มสายอาชีพเดียวกันนั่นเอง",
"หนึ่งในขนมขิงลายภาพซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกก็คือ “เจ้ามนุษย์ขนมขิง หรือ จินเจอร์เบรดแมน (Gingerbread Man) ” จากประเทศแถบที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีรูปร่างเป็นคนแบบปั้นง่ายๆ โดยไม่มีรายละเอียดของมือและเท้า เจ้ามนุษย์ขนมขิงมีชื่อเรียกว่า “เพ็พพาร์คาคอร์ (pepparkakor) ” ในภาษาสวีเดน และ “เซแวร์นิเย โคซูลี (северные козули) ” ในภาษารัสเซีย เชื่อกันว่าเจ้ามนุษย์ขนมขิงนี้นำมาซึ่งโชคดีและความร่ำรวย",
"ขนมขิง หรือที่เรียกว่า ขนมขิงพริกไทย ขนมขิงเครื่องเทศ หรือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[1192,1211,3,3]}'>ขนมขิงน้ำผึ้ง เป็นขนมอบที่มีรูปแบบหลากหลาย และมักอบรับประทานกันโดยเฉพาะในช่วงหนึ่งเดือนก่อนเทศกาลคริสต์มาสและในเทศกาลคริสต์มาส",
"การคิดค้นผงฟูในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีบทบาทต่อวิวัฒนาการของขนมขิง ผงฟูทำให้ส่วนฐานที่เป็นแป้งนั้นพองฟูขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดขนมอบขึ้นหลายชนิดที่มีรสชาติและความเหนียวทั้งเหมือนและไม่เหมือนกับขนมขิงต้นแบบ ตัวอย่างเช่น ขนมขิงน้ำผึ้งและขนมขิงเครื่องเทศในรูปแบบต่างๆหลายชนิด",
"ในสวิตเซอร์แลนด์ ขนมขิงรูปซานตาคลอสเป็นที่นิยมแพร่หลาย บนชิ้นขนมขิงจะมีกระดาษรูปซานตาคลอสแปะอยู่โดยใช้น้ำยางกัมอารบิกซึ่งเป็นยางไม้ธรรมชาติเป็นกาวติด ประเพณีนี้มีมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่19 ขนมขิงตำรับสวิตเซอร์แลนด์ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือ ขนมขิงตำรับบาสเลอร์ เล็คเคอลี (Basler Leckerli) จากเมืองบาเซล และขนมขิงตำรับบิเบอร์ลี (Biberli) จากเทือกเขาแอพเพ็นเซล ขนมขิงที่มีความหลากหลายคล้ายๆ กันนี้ก็เป็นที่แพร่หลายไปทั่วในออสเตรียเช่นเดียวกับในเยอรมนี",
"ในเยอรมนีมีข้อกำหนดขั้นต่ำทางกฎหมายเกี่ยวกับคุณภาพและคุณลักษณะของขนมขิง โดยมีการกำหนดสูตรต้นตำรับเฉพาะต่างๆ เช่น ขนมขิงตำรับเอลิเซ (Elisenlebkuchen) ตามที่กฎหมายอาหาร สินค้าโภคภัณฑ์ และอาหารสัตว์ของเยอรมนีกำหนด ขนมขิงที่จะใช้ชื่อตำรับนี้ได้จะต้องมีอัลมอนด์ และ/หรือถั่วชนิดอื่นๆรวมกันอย่างน้อยร้อยละ 25 ของส่วนผสมทั้งหมด มวลรวมของส่วนผสมจะต้องประกอบด้วยผลิตภัณฑ์จากธัญพืชไม่เกินร้อยละ 10 หรือมีความเข้มข้นของธัญพืชเพียงแค่ร้อยละ 7.5 เท่านั้น ด้วยรายละเอียดอันพิถีพิถันทำให้ขนมขิงตำรับเอลิเซเป็นขนมอบชั้นเลิศตามมาตรฐานของกฎหมายอาหาร สินค้าโภคภัณฑ์ และอาหารสัตว์ของเยอรมนี และอนุญาตให้ใช้เพียงช็อกโกแลตที่มีคุณภาพสูงในการผลิต ห้ามใช้เนยโกโก้เทียมคุณภาพต่ำโดยเด็ดขาด",
"ชื่อเรียก เฟฟเฟอร์คูเคน (Pfefferkuchen) หรือขนมขิงพริกไทย มีที่มาจากยุคกลาง ในยุคที่เรียกเครื่องเทศจากต่างประเทศซึ่งใช้เป็นส่วนผสมในการอบขนมรวมกันว่า พริกไทย คำเรียกขนมขิงในภาษาอังกฤษที่ว่า จินเจอร์เบรด (gingerbread) หรือในภาษาฝรั่งเศสที่ว่า แปง เด ปีส (pain d’épices) รวมถึงคำว่า อิงแกวร์โบรท (Ingwerbrot: ขนมปังขิง) หรือ เกเวิร์ซโบรท (Gewürzbrot: ขนมปังเครื่องเทศ) ในภาษาเยอรมัน ล้วนสื่อความหมายที่บ่งถึงเครื่องเทศแห่งโลกตะวันออกได้อย่างชัดเจน ส่วนคำว่า โฮนิกโบรท (Honigbrot: ขนมปังน้ำผึ้ง) ในภาษาเยอรมัน นั้นก็สื่อถึงส่วนผสมหลักอย่างต่อไปของขนมขิงซึ่งก็คือ น้ำผึ้ง นั่นเอง",
"ขนมขิงในรูปแบบที่รู้จักกันในปัจจุบันมีต้นกำเนิดจากเมืองดิแนนท์ในเบลเยี่ยม จากนั้นชาวเมืองอาคเคนได้รับมาดัดแปลง (อ้างอิงจากประวัติขนมขิงตำรับเมืองอาคเคน หรือ Aachener Printen) และท้ายที่สุดคณะนักบวชในฝรั่งเศสก็รับขนมชนิดนี้มา และดัดแปลงอีกเล็กน้อย คณะแม่ชีในสมัยนั้นจะอบขนมขิงเพื่อใช้เป็นของหวาน",
"ที่เมืองตูลาได้พบว่ามีการนำขนมขิงปริยานิกีมาทำเป็นรูปร่างต่างๆ และเติมรสชาติที่แตกต่างกันออกไปมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นอย่างช้า ในปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ขนมขิงตั้งอยู่ที่เมืองนี้ด้วย ผู้เข้าชมจะมีโอกาสได้ลิ้มรสขนมขิงปริยานิกีที่อบมาสดๆ ใหม่ๆ",
"เนื่องจากการอบขนมขิงจำเป็นต้องใช้เครื่องเทศหายากจากแดนไกล เมืองต่างๆที่เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญจึงมีประเพณีการทำขนมขิงที่มีประวัติอันยาวนาน นอกจากเมืองนูเรมเบิร์กและพุลสนิทซ์แล้ว ยังรวมไปถึงเมืองเอาก์สบูร์ก โคโลญจน์ และบาเซลด้วย ที่เมืองมิวนิคมีรายชื่ออาชีพ “เลบเซลเทอร์ (Lebzelter) ” ในทะเบียนภาษีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1370 ซึ่งก็คือ คนทำขนมขิงนั่นเอง ที่เมืองนี้จะมีการทำขนมขิงให้เป็นรูปร่างต่างๆกัน และแต่งหน้าด้วยน้ำตาลหลากสี ในขณะที่ขนมขิงตำรับเมืองนูเรมเบิร์กจะตกแต่งด้วยอัลมอนด์และผงเปลือกมะนาว"
] |
แวร์ซาย สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอะไร? | [
"คำว่า แวร์ซาย สันนิษฐานว่ามาจากภาษาละติน versare หมายถึง การพลิกไปเรื่อยๆ ซึ่งนิยมใช้ในยุคกลางแทนความหมายของที่ที่ผ่านการไถหรือถางแล้ว (ที่ที่ถูก\"พลิก\"ซ้ำแล้วซ้ำอีกนั่นเอง)[2] นอกจากนี้ลักษณะของคำนี้ยังคล้ายคลึงกับภาษาละตินคำว่า seminare หมายถึงการหว่าน ซึ่งเป็นที่มาของภาษาฝรั่งเศสคำว่า semailles"
] | [
"\"2008 School Project History\" ได้สำรวจถึงคำถามที่ว่าเยอรมนีที่พรรณนาว่า \"ยอมรับผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย\" ในตำราเรียนประวัติศาสตร์ของเยอรมนีหลายเล่ม ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกว่าผู้แทนเยอรมนีได้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายอย่างอิสระ มากกว่าที่จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภายนอก",
"แวร์ซาย (French: Versailles) เป็นเมืองที่โด่งดังในฐานะที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังแวร์ซาย แวร์ซายเคยเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรฝรั่งเศสโดยพฤตินัยเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ นับจาก ค.ศ. 1682 ถึง 1789 โดยปัจจุบันนี้เมืองแวร์ซายได้เป็นชานเมืองที่ร่ำรวยของกรุงปารีส และยังคงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและตุลาการที่สำคัญ เมืองแวร์ซายตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของกรุงปารีส ห่างจากใจกลางเมืองมา 17.1 กิโลเมตร โดยสภาเมืองแวร์ซายมีหน้าที่ปกครองส่วนอีฟลินส์ จากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 2008 ที่ผ่านมา เมืองแวร์ซายมีประชากรทั้งสิ้น 88,641 คน[1] ลดลงจากที่เคยมีมากที่สุกถึง 94,145 คนในปี ค.ศ.1975",
"นอกจากนี้ภาษามราฐียังเป็นหนึ่งใน 18 ภาษาประจำชาติอย่างเป็นทางการของอินเดียด้วย โดยมีผู้ใช้เกือบร้อยล้านคน เฉพาะในรัฐมหาราษฏระ มีผู้ใช้ภาษามราฐีราว 90 ล้านคน ทั้งยังนับเป็นภาษาหนึ่งที่มีประวัติยาวนาน จารึกภาษามราฐีที่เก่าที่สุด พบครั้งแรกในรัฐกรณาฏกะ เป็นจารึก ของอินเดีย สันนิษฐานจารึกไว้เมื่อประมาณ 1,300 ปีที่แล้ว",
"พระราชวังแวร์ซาย (French: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่แวร์ซาย ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกรุงปารีส พระราชวังแวร์ซายเป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก",
"โดยคำว่า \"ชะมด\" ในภาษาไทย สันนิษฐานว่ามาจากคำในภาษาอาหรับว่า \"อัซซะบาด\" ()",
"ไรน์ลันท์ () เป็นชื่อทั่วไปที่ใช้เรียกดินแดนทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไรน์ ในเยอรมนีตะวันตก หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศสในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ไรน์ลันท์เป็นแคว้นที่มีประชากรพูดภาษาเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ ตั้งอยู่ทางตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำไรน์ ซึ่งเคยถึงผนวกเข้ากับอาณาจักรปรัสเซีย กษัตริย์แห่งปรัสเซียได้เปลี่ยนชื่อแคว้นใหม่ว่า มณฑลไรน์ (หรือ \"Rhenish Prussia\") หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาคตะวันตกของไรน์ลันท์ถูกยึดครองโดยกองทัพฝ่ายไตรภาคี ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาแวร์ซาย เยอรมนีได้รับไรน์ลันท์คืนเมื่อปี 1936",
"นอกจากนี้แวร์ซายยังเป็นที่รู้จักจากสนธิสัญญาที่สำคัญหลายฉบับที่ถูกลงนามในเมืองแวร์ซาย เช่น สนธิสัญญาปารีส (1783) ซึ่งยุติสงครามปฏิวัติอเมริกัน หรือสนธิสัญญาแวร์ซาย ซึ่งเป็นสนธิสัญญายุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง",
"ทายาทโดยสันนิษฐาน () คือทายาทผู้อยู่ในสายของผู้มีสิทธิในการรับราชบัลลังก์ หรือตำแหน่งขุนนางสืบตระกูลแต่เป็นตำแหน่งที่สามารถมีผู้มาแทนได้โดยการกำเนิดของ “ทายาทผู้มีสิทธิโดยตรง” (heir apparent) หรือ “ทายาทโดยสันนิษฐาน” คนใหม่ที่มีสิทธิมากกว่า ถ้าใช้สะกดด้วยตัวพิมพ์เล็กในภาษาอังกฤษก็จะหมายถึงผู้มีสิทธิที่จะได้รับบรรดาศักดิ์, ตำแหน่ง หรือทรัพย์สินนอกจากจะมีทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงหรือทายาทโดยสันนิษฐานมาแทนที่ ในทั้งสองกรณีตำแหน่งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายและ/หรือประเพณีที่จะเปลี่ยนผู้ที่มีสิทธิเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน",
"ศาลพระกาฬ หรือเดิมเรียกว่า ศาลสูง เนื่องจากศาลตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงที่อยู่สูงจากพื้นดิน เป็นศาสนสถานที่เป็นฐานศิลาแลงขนาดมหึมา สันนิษฐานกันว่าฐานศิลาแลงดังกล่าวเป็นฐานพระปรางค์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ หรือสร้างสำเร็จแต่พังถล่มลงมาภายหลังโดยมิได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม ศาลพระกาฬเป็นสิ่งก่อสร้างของขอม สืบเนื่องมาจากเมืองลพบุรีในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของขอมโบราณ ซึ่งได้กลายเป็นศูนย์กลางการปกครองของขอมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างไรก็ตามฌ็อง บวสเซอลิเยร์ ได้สันนิษฐานจากฐานพระปรางค์ที่สูงมากนี้ ว่าเขายังมิได้ข้อยุติว่าเป็นสถาปัตยกรรมขอมโบราณพุทธศตวรรษที่ 16 \"\"อาจเป็นฐานพระปรางค์จริงที่สร้างไม่เสร็จ หรือเสร็จแล้วแต่พังทลายลงมา\"\" ทั้งนี้มีที่ศาลสูงมีการค้นพบศิลาจารึกศาลสูงภาษาเขมร หลักที่ 1 และศิลาจารึกเสาแปดเหลี่ยม (จารึกหลักที่ 18) อักษรหลังปัลลาวะภาษามอญโบราณ จากกรณีจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่หักพังนั้น พบว่าเสานี้ถูกทุบทำลายให้ล้มพังอยู่กับที่มิได้เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น จึงสันนิษฐานว่าศาลพระกาฬอาจเคยเป็นศาสนสถานของนิกายเถรวาทมาก่อน ภายหลังถูกดัดแปลงเป็นเทวสถานในนิกายไวษณพของศาสนาฮินดูแทน",
"จากการที่สงขลาแข็งเมือง ทำให้พ่อค้าชาวอังกฤษเห็นช่องทางในการลดค่าภาษีที่จะต้องส่งให้แก่กรุงศรีอยุธยา เพียงแต่ให้ของกำนัล แก่เจ้าเมือง สิงขระ เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำการค้าขายในแถบนี้ได้แล้วดังบันทึกอันหนึ่ง ซึ่งเขียนโดยพ่อค้าชาวอังกฤษว่า “การตั้งคลังสินค้าขึ้นที่นี่ยังจะช่วยให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับห้างอีกด้วย เพราะที่นี่ไม่เก็บอากรขนอนเลย เพียงแต่เสียของกำนัลให้แก่ดาโต๊ะโมกอลล์ (เจ้าเมืองสงขลา) ก็อาจนำเงินสินค้าผ่านไปได้ โดยผลจากการประกาศแข็งเมือง และ ตั้งตนเป็นพระเจ้าสงขลาที่ 1 ของสุลต่านสุไลมัน (บุตรของดาโต๊ะโมกอล) จึงเสมือนการเปิดโอกาสให้เมืองสงขลาในระยะนี้เจิญถึงจุดสูงสุด ถึงขั้นมีการผลิตเงินตราขึ้นใช้เอง โดยมี คำว่า “สงขลา. เป็นภาษาไทยบนหรียญ ภาษายาวีสองคำ อ่านว่า นะครี-ซิงเกอร์ แปลว่านครสงขลา และมีภาษาจีนอีก ห้าคำ เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานในช่วงเวลาการผลิตเหรียญแต่สันนิษฐานจากภาษา แขก ที่ปรากฏบนเหรียญ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่เจ้าเมืองแขกปกครองสงขลาอยู่เกือบ 40 ปี ทำให้เรา และ สามารถคาดการณ์ถึงสภาพเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองของเมืองสงขลาในขณะนั้นได้",
"แนวคิดที่ต้องการรวมเอาดินแดนของออสเตรีย (เฉพาะส่วนที่มีประชากรผู้พูดภาษาเยอรมันเป็นภาษาแม่) เข้ากับเยอรมนีเป็น \"เยอรมนีใหญ่\" ยังคงปรากฎอยู่ในหมู่ประชาชนบางกลุ่มของทั้งสองประเทศ และได้รับการสนับสนุนขึ้นมาอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง และจากการล่มสลายของระบอบราชาธิปไตยในออสเตรีย-ฮังการีในปี พ.ศ. 2461 ที่ได้สถาปนารัฐหลงเหลือ (rump state) นามว่าสาธารณรัฐเยอรมันออสเตรียขึ้นมา ผู้สนับสนุนพยายามผลักดันเยอรมันออสเตรียให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐไวมาร์ อย่างไรก็ตามความพยายามนี้ถูกยับยั้งไว้ด้วยเงื่อนไขทั้งในสนธิสัญญาแซ็ง-แฌร์แม็ง-อ็อง-แล และสนธิสัญญาแวร์ซาย แม้พรรคการเมืองหลักของออสเตรียอย่างพรรคมหาประชาชนเยอรมัน (Greater German People's Party) และพรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrats Party) จะสนับสนุนแนวคิดนี้ก็ตาม",
"ชื่อของเพอร์ซิอัสยังขาดข้อสรุปทางนิรุกติศาสตร์ที่ชัดเจน ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นชื่อโบราณก่อนภาษากรีกจะเข้ามา แต่ก็มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะมีรากมาจากคำกริยากรีกว่า \"πέρθειν\" (perthein) แปลว่า ปล้นสะดม หรือ เข้าตีเมือง",
"อาสนวิหารแวร์ซาย () หรือชื่อเต็มว่า อาสนวิหารนักบุญหลุยส์แห่งแวร์ซาย () เป็นอาสนวิหารโรมันคาทอลิก เป็นที่ตั้งคาเทดราของมุขนายกประจำมุขมณฑลแวร์ซาย ตั้งอยู่ในเมืองแวร์ซาย ชานกรุงปารีส จังหวัดอีฟว์ลีน แคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ ประเทศฝรั่งเศส สร้างตามพระบัญชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส ในฐานะโบสถ์ประจำเขตแพริช ในสถาปัตยกรรมแบบโรโกโกอันวิจิตร เมื่อปี ค.ศ. 1754 เพื่ออุทิศแด่นักบุญหลุยส์แห่งฝรั่งเศส ต่อมาได้รับการยกฐานะเป็นอาสนวิหารแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศสโดยการเลือกของมุขนายก เพื่อเป็นที่ตั้งของมุขมณฑลแวร์ซายแทนโบสถ์แม่พระแห่งแวร์ซาย และได้รับพิธีเสกเมื่อปี ค.ศ. 1843 โดยการเสกได้ล่าช้ามาถึง 3 สมัยของมุขนายก",
"จากการที่สงขลาแข็งเมือง ทำให้พ่อค้าชาวอังกฤษเห็นช่องทางในการลดค่าภาษีที่จะต้องส่งให้แก่กรุงศรีอยุธยา เพียงแต่ให้ของกำนัล แก่เจ้าเมือง สิงขระ เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำการค้าขายในแถบนี้ได้แล้วดังบันทึกอันหนึ่ง ซึ่งเขียนโดยพ่อค้าชาวอังกฤษว่า \"การตั้งคลังสินค้าขึ้นที่นี่ยังจะช่วยให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับห้างอีกด้วย เพราะที่นี่ไม่เก็บอากรขนอนเลย เพียงแต่เสียของกำนัลให้แก่ดาโต๊ะโมกอลล์ (เจ้าเมืองสงขลา) ก็อาจนำเงินสินค้าผ่านไปได้\" โดยผลจากการประกาศแข็งเมือง และ ตั้งตนเป็นพระเจ้าสงขลาที่ 1 ของสุลต่านสุไลมัน (บุตรของดาโต๊ะโมกอล) จึงเสมือนการเปิดโอกาสให้เมืองสงขลาในระยะนี้เจิญถึงจุดสูงสุด ถึงขั้นมีการผลิตเงินตราขึ้นใช้เอง โดยมี คำว่า สงขลา. เป็นภาษาไทยบนหรียญ ภาษายาวีสองคำ อ่านว่า นะครี-ซิงเกอร์ แปลว่านครสงขลา และมีภาษาจีนอีก ห้าคำ เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานในช่วงเวลาการผลิตเหรียญแต่สันนิษฐานจากภาษา แขก ที่ปรากฏบนเหรียญ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่เจ้าเมืองแขกปกครองสงขลาอยู่เกือบ 40 ปี ทำให้เรา และ สามารถคาดการณ์ถึงสภาพเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองของเมืองสงขลาในขณะนั้นได้",
"ข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่ง คาดว่า \"โยโย่\" คือคำที่เพี้ยนเสียงมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสที่ว่า \"joujou\" แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็เป็นแต่เพียงการคาดเดาที่ไม่มีมูลเหตุอื่นชวนให้เป็นที่น่าเชื่อถือ",
"มีการสันนิษฐานถึงที่มาของคำว่า\"โยโย่\" อาจมาจากภาษาอิโลกาโนของฟิลิปปินส์ที่ว่า \"\"yóyo\"\" หรืออาจมาจากภาษาตากาล็อกซึ่งเป็นภาษาหลักของฟิลิปปินส์ อันมีความหมายว่า \"\"กลับมา กลับมา\"\"",
"สนธิสัญญาแวร์ซาย () เป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนกลุ่มประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางอื่น ๆ ได้มีการตกลงยกเลิกสถานภาพสงครามด้วยสนธิสัญญาฉบับอื่น แม้จะได้มีการลงนามสงบศึกตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แล้วก็ตาม การประชุมสันติภาพที่กรุงปารีสกินเวลานานกว่าหกเดือน จึงได้มีการสรุปสนธิสัญญาฯ",
"คำว่า ปรากฤต ในภาษาสันสกฤต นั้น หมายถึง ธรรมชาติ ปกติ ดั้งเดิม หรือท้องถิ่น ฯลฯ นักภาษาศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า ภาษาปรากฤต น่าจะหมายถึงภาษาที่มีวิวัฒนาการโดยธรรมชาติตามกระบวนการทางภาษา ซึ่งตรงข้ามกับภาษา สันสกฤต ที่หมายถึง ขัดเกลาแล้ว อันเป็นภาษาที่ได้รับการวางระเบียบกฎเกณฑ์โดยนักปราชญ์ ในแง่ของไวยากรณ์แล้ว ภาษาปรากฤตมีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษาสันสกฤตอย่างมาก ไม่มีทวิพจน์ มีการกน้อยกว่า และมีการแจกกริยาที่ง่ายกว่า และคำศัพท์ทั้งหมดในภาษาปรากฤตก็มาจากต้นกำเนิดในภาษาอินเดียโบราณ",
"คำว่า \"กระดาษ\" ในภาษาไทยสันนิษฐานว่าน่าจะทับศัพท์มาจากภาษาอาหรับและเปอร์เซียคือ กิรฏอส ในสมัยที่ชาวเปอร์เซียเข้ามาค้าขายในสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งภาษามลายูก็ได้ทับศัพท์จากสองภาษานี้เช่นเดียวกัน คือ kertas หมายถึง กระดาษ เช่นกัน ส่วน กิรฏอส ในภาษาอาหรับนั้น แม้ว่าจะมีใช้มาก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 6 แต่ก็เป็นคำที่ยืมมาจากภาษากรีก khartes ซี่งภาษาอังกฤษก็ได้ยืมคำนี้ไปใช้เป็น chart, card และ charter นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมอีกว่ามาจากภาษาโปรตุเกส cartas รูปพหูพจน์ของ carta แปลว่า จดหมาย แผนผัง เข้าใจว่าโปรตุเกสคงเป็นผู้นำกระดาษแบบฝรั่งเข้ามาก่อนในสมัยกรุงศรีอยุธยา",
"ภาษาเขมรตะวันตกมีความแตกต่างจากสำเนียงอื่น ด้วยยังรักษาการเปรียบต่างระหว่างเสียงพูดปรกติ (modal voice) กับเสียงพูดลมแทรก (breathy voice) ซึ่งสูญไปแล้วในภาษาเขมรสำเนียงอื่น นักภาษาศาสตร์สันนิษฐานกันว่าเคยมีปรากฏการณ์จัดตั้งหน่วยเสียงพูดลมแทรกขึ้นในภาษาเช่นว่านี้ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางเสียงของภาษาเขมร",
"ถะ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า pagoda มาจากคำว่า pagode ในภาษาโปรตุเกส ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า butkada ในภาษาเปอร์เซียที่แปลว่า \"เทวสถานที่มีเทวรูป\" บ้างก็สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า \"ผาโจวถะ\" () ซึ่งเป็นชื่อถะสำคัญแห่งหนึ่งในกวางโจวและชาวยุโรปที่มาเยือนจีนมักได้พบเห็น",
"ภาษาเซนทิเนล () เป็นภาษาที่สันนิษฐานกันว่าเป็นภาษาของชาวเซนทิเนลแห่งเกาะเซนทิเนลเหนือในหมู่เกาะอันดามัน ประเทศอินเดีย แต่เนื่องจากการขาดการติดต่อระหว่างชาวเซนทิเนลกับส่วนที่เหลือของโลกเป็นเวลาอย่างน้อยสามศตวรรษ เราจึงไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับภาษาของพวกเขาเลย และไม่มีทางที่เราจะทราบสถานะของภาษานี้ เนื่องจากชาวเกาะไม่อนุญาตให้คนภายนอกขึ้นเกาะ โดยแสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างยิ่งต่อผู้ที่พยายามจะเข้าไป",
"ข่าวการถอดถอนแนแกร์ออกจากตำแหน่งมาถึงยังกรุงปารีสในบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม ชาวปารีสส่วนมากสันนิษฐานว่าการถอดถอนดังกล่าวหมายถึงจุดเริ่มต้นของการรัฐประหารโดยฝ่ายอนุรักษนิยม ชาวปารีสฝ่ายเสรีนิยมยังรู้สึกกราดเกรี้ยวจากความกลัวที่ว่าการโยกกองทหารหลวงมาประจำการ ณ แวร์ซาย คือความพยายามในการล้มล้างสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติซึ่งประชุมกัน ณ แวร์ซาย ฝูงชนรวมตัวกันทั่วกรุงปารีส และรวมตัวกันมากกว่าหนึ่งหมื่นคนบริเวณพระราชวังหลวง กามิลล์ เดมูแล็งส์ ประสบความสำเร็จในการปลุกระดมฝูงชนด้วยการร้องป่าวประกาศว่า พลเมืองทั้งหลาย ไม่มีเวลาเหลืออีกต่อไปแล้ว การปลดแนแกร์คือเสียงระฆังมรณะแห่งเซนต์บาโทโลมิวสำหรับผู้รักชาติ! นี่คือคืนที่ชาวสวิสและเยอรมันทุกคนจะเดินทางจากช็องเดอมาร์เพื่อสังหารเราทุกคน สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ ก็คือการจับอาวุธขึ้นมา ![2] ซึ่งพลทหารสวิสและเยอรมันคือหนึ่งในกองกำลังทหารรับจ้างชาวต่างชาติที่มีสัดส่วนไม่น้อยในกองทัพราชอาณาจักรฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติ และถูกมองว่ามีแนวโน้มที่จะเข้าข้างฝ่ายสามัญชนน้อยกว่าพลทหารทั่วไปในกองทัพฝรั่งเศส ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ประมาณการกันว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนพลทหาร 25,000 นายในกรุงปารีสและแวร์ซายถูกโยกย้ายมาจากกองกำลังทหารต่างชาตินี้",
"ตระกูลภาษาเกาหลี คือตระกูลภาษาหนึ่งที่ประกอบด้วยภาษาเกาหลีสมัยใหม่และภาษาเครือญาติที่มีความใกล้เคียงอื่น ๆ ที่ปัจจุบันจัดเป็นภาษาสูญแล้ว นักภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่จัดให้ภาษาเกาหลีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นภาษาโดดเดี่ยว (Language isolate) ขณะที่นักภาษาศาสตร์จำนวนไม่น้อยจัดให้อยู่ในตระกูลภาษาอัลไต (Altaic languages) บ้างก็จัดอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific language family) นอกจากนี้ยังภาษาศาสตร์บางส่วนสันนิษฐานว่าภาษาเกาหลีนี้อาจมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน (Austronesian languages) ก็เป็นได้",
"ภาษาไทย หรือ ภาษาไทยกลาง เป็นภาษาราชการและภาษาประจำชาติของประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได สันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางส่วนเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต",
"ประติมากรรมไดแอนาแห่งแวร์ซายพบในอิตาลี เว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์สันนิษฐานว่าพบที่เนมี ซึ่งเป็นเทวสถานเก่าแก่ แต่แหล่งข้อมูลอื่นสันนิษฐานว่าพบที่คฤหาสน์เฮเดรียนที่ทิโวลี สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 4 พระราชทานแก่พระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส เป็นนัยยะอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงดียานแห่งปัวตีเยซึ่งเป็นพระสนม ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1550 พระเจ้าอ็องรีทรงนำไปตั้งเป็นประติมากรรมชิ้นเด่นของ \"Jardin de la Reine\" ทางตะวันตกของ \"Galerie des Cerfs\" ที่พระราชวังฟงแตนโบล ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นประติมากรรมโรมันหนึ่งในชิ้นแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งอย่างเด่นในฝรั่งเศส ",
"ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย เป็นงานรวบรวมงานทางภาษาและนิรุกติศาสตร์ของ จิตร ภูมิศักดิ์\nโดยผู้จัดพิมพ์ได้นำเรื่องส่วนมากในหนังสือ\"ภาษาและนิรุกติศาสตร์\" (ยกเว้น \"แชมพูไทย\" และภาคผนวก \"ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม\")\nพร้อมกับต้นฉบับส่วนอื่น ๆ ที่ตีพิมพ์กระจัดกระจายในวรรณสารต่าง ๆ ที่เพิ่งค้นพบ\nและต้นฉบับที่ยังไม่เคยตีพิมพ์มาก่อนเลย นำมาพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกัน แบ่งเป็นหมวด 4 หมู่ คือ \"หมวดไทย – เขมร\", \"หมวดศัพท์สันนิษฐาน\", \"หมวดการพิจารณาที่มาของศัพท์\", \"หมวดอักษรวินิจฉัย\"",
"ข้อ 231 ของสนธิสัญญาแวร์ซาย () หรือมักเรียกกันว่า ข้อกำหนดความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม () เป็นข้อแรกในภาค 8 ค่าปฏิกรรมสงคราม (Part VIII: Reparations) แห่งสนธิสัญญาแวร์ซาย ซึ่งข้อ 231 นี้มิได้ตั้งหัวเรื่องไว้ แต่มักเรียกกันอย่างนั้นตามกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีในภายหลัง",
"ต่อมาประติมากรรมไดแอนาก็ถูกนำไปตั้งไว้ในห้องภาพใหญ่ () ของพระราชวังแวร์ซาย โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และอีกก๊อบปี้หนึ่งทำขึ้นสำหรับคฤหาสน์มาร์ลี"
] |
สงครามเพโลพอนนีเซียน เป็นการต่อสู้ระหว่างใคร ? | [
"สงครามเพโลพอนนีเซียน หรือ สงครามเพโลพอนนีส (English: Peloponnesian War; 431–404 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นสงครามระหว่างจักรวรรดิเอเธนส์กับสันนิบาตเพโลพอนนีเซียนที่นำโดยสปาร์ตา[1] สงครามนี้ออกเป็นสามช่วง[2] โดยช่วงแรกเรียกว่า \"สงครามอาร์คีเดเมีย\" (Archidamian War) เป็นการรุกรานแอททิกาของกองทัพสปาร์ตา ในขณะที่ฝ่ายเอเธนส์ใช้กองเรือที่มีประสิทธิภาพโจมตีกลับ สงครามช่วงนี้จบลงในปีที่ 421 ก่อนคริสตกาล ด้วยสนธิสัญญาสันติภาพนิซิอัส แต่ต่อมาในปีที่ 415 ก่อนคริสตกาล เอเธนส์กลับยกทัพบุกซีรากูซาบนเกาะซิซิลี แต่ล้มเหลว ช่วงที่สามของสงคราม สปาร์ตาได้สนับสนุนให้มีการก่อกบฏขึ้นตามนครรัฐใต้อำนาจเอเธนส์ จนนำไปสู่ยุทธนาวีที่เอกอสพอทาไมที่เป็นจุดยุติสงครามในที่สุด[3] เอเธนส์ยอมแพ้สงครามในปีต่อมา"
] | [
"ในช่วงสิบปีแรกของสงครามคือ ปีที่ 431 – 421 ก่อนคริสตกาล กำลังรบสำคัญของเอเธนส์คือกองทัพเรือ ส่วนสปาร์ตาคือกองทัพบก ซึ่งในช่วงต้นของสงครามทั้งสองฝ่ายมีกำลังสูสีกัน ทว่าต่อมาเกิดโรคระบาดในเอเธนส์ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนหลายพันคน รวมทั้งเพริคลีส ผู้นำคนสำคัญของเอเธนส์ ซึ่งผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งคนใหม่ไม่มีความสามารถเทียบเท่า ทำให้ภายในเอเธนส์เกิดแตกแยกเป็นสองพรรค คือ พรรคประชาธิปไตยที่มีคลีออนเป็นผู้นำ กับ พรรคอนุรักษนิยมที่มีนิซิอัสเป็นผู้นำ",
"พรรคประชาธิปไตยได้ชัยในยุทธการที่สแปคทีเรีย จับเชลยชาวสปาร์ตาได้สามร้อยคน ทว่าต่อมา กลับพ่ายแพ้ที่แอมฟิโปลิส จึงทำให้พวกอนุรักษนิยมเข้ายึดอำนาจภายใน จากนั้นนิซิอัสจึงได้เจรจาสงบศึกกับสปาร์ตา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะสงบศึกกันแล้ว สองฝ่ายก็ยังคงรบกันเป็นระยะ และในปีที่ 419 ก่อนคริสตกาล เอเธนส์ก็ร่วมกับนครรัฐอื่น ๆ ทำสงครามกับสปาร์ตาที่แมนดิเนียและในปีต่อมา ฝ่ายสปาร์ตาก็ได้รับชัยชนะ",
"ประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียนถูกแบ่งออกเป็น 8 เล่มย่อย",
"แม้ว่าจะมีชื่อเสียงในด้านของนักประวัติศาสตร์ แต่นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่มีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับชีวิตของทิวซิดิดีส ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุดมาจากงานเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียนซึ่งได้บอกถึงสัญชาติ พื้นเพ และภูมิลำเนาของเขานั่นเอง ทิวซิดิดีสบอกให้เรารู้ถึงการต่อสู้ของตนเองในสงคราม การติดโรคระบาด และถูกเนรเทศโดยระบบประชาธิปไตย\nหลักฐานจากยุคสมัยกรีกโบราณ\nทิวซิดิดีสระบุว่าตนเองเป็นชาวเอเธนส์ บิดาชื่อโอโลรัสและมาจากเขตปกครองชาวเอเธนส์แห่งฮาลิมัส ทิวซิดิดีสรอดชีวิตจากโรคระบาดในเอเธนส์ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวเพริคลีส และชาวเอเธนส์อื่น ๆ อีกไปเป็นจำนวนมากมาย ทิวซิดิดีสบันทึกด้วยว่าเป็นเจ้าของเหมืองทองที่ Scapte Hyle (ตามตัวอักษร “Dug Woodland”) บริเวณเขตชายฝั่งทะเลของเมืองเทรซ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับเกาะ Thasos",
"สงครามเพโลพอนนีเซียน เป็นสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐของชาวเอเธนส์ (Athens) มหาอำนาจทางทะเลกับชาวสปาร์ตาชนชาตินักรบหลังจากสงครามกับพวกเปอร์เซียได้ไม่นาน",
"ผู้นำประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและคงยืนที่สุดก็คือเพริคลีส (Pericles)\nภายหลังการเสียชีวิตของเขา ระบอบประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์ก็ถูกปฏิวัติเปลี่ยนเป็นคณาธิปไตยอย่างสั้น ๆ 2 ครั้งท้ายสงครามเพโลพอนนีเซียน\nแล้วต่อมาจึงฟื้นฟูอีกแม้จะเปลี่ยนไปภายใต้การปกครองของยูคลีดีส (Eucleides) ปี 403-402 ก่อน ค.ศ.\nเป็นช่วงที่ได้รายละเอียดเกี่ยวกับการปกครองมากที่สุด ไม่ใช่ได้ในช่วงการปกครองของเพริคลีส\nต่อมาจึงถูกระงับอีกในปี 322 ก่อน ค.ศ. ภายใต้การปกครองของชาวมาเซโดเนีย\nแม้ภายหลังสถาบันของชาวเอเธนส์จะกลับคืนมาอีก แต่ความเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ ของระบอบก็เป็นเรื่องไม่ชัดเจน\nในปัจจุบัน รูปแบบบริสุทธิ์ของประชาธิปไตยโดยตรงมีอยู่เพียงแค่ในแคนทอนอัพเพินท์เซลล์อินเนอร์โรเดิน (Appenzell Innerrhoden) และแคนทอนกลารุส แห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ \nเทียบกับสมาพันธรัฐสวิสโดยรวมที่เป็นประชาธิปไตยกึ่งโดยตรง คือเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนที่มีกลไกทางประชาธิปไตยโดยตรงที่เข้มแข็ง\nความเป็นประชาธิปไตยโดยตรงของประเทศ จะบูรณาการด้วยโครงสร้างแบบสหพันธรัฐของรัฐบาลกลาง () \nเทียบกับประเทศตะวันตกโดยมากที่เป็นระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน",
"งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของทิวซิดิดีส ได้แก่ ประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน รับการแยกออกเป็นหนังสือจำนวน 8 เล่มหลังจากที่เขาเสียชีวิต งานชิ้นนี้เป็นความทุ่มเททางประวัติศาสตร์ของเขาที่จะบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์การเมืองและการสู้รบ ของมหาสงคราม 27 ปี ระหว่างนครเอเธนส์และพันธมิตร กับฝ่ายสปาร์ต้า เนื้อหาของบันทึกหยุดลงใกล้กับช่วงสิ้นสุดปีที่ 21 ของสงคราม และไม่ได้บรรยายไปถึงเหตุการณ์ในตอนท้ายของสงคราม (ส่วนที่เหลือของสงครามได้รับการบรรยายต่อจนจบในงานเขียนของ เซโนฟอน (Xenophone) นักการทหาร และนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก) มีเพียงข้อมูลที่ถูกร่างอย่างคร่าวๆ ระบุว่าการเสียชีวิตของทิวซิดิเดสเกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดหมาย และเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือถูกทำร้าย ทิวซิดิดีสเชื่อว่ามหาสงครามเพโลพอนนีซ ในตอนปลาย ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เป็นเหตุการณ์สำคัญในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าในบันทึกของชาวกรีกเอง หรือของชาติอื่น เขาจึงตั้งใจอุทิศบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้แก่โลกเพื่อให้เป็นประโยชน์ดั่งเช่น “สมบัติแก่อนุชนไปชั่วกาลสมัย\"",
"ทิวซิดิดีส (; , \"\"; ช่วง 460 – 395 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก และเป็นผู้เขียนเรื่องประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน (History of the Peloponnesian War) ซึ่งบรรยายถึงเหตุการณ์ และชนวนสาเหตุของมหาสงครามเพโลพอนนีเซียน ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางทหารระหว่างสปาร์ตากับเอเธนส์ในช่วงระหว่าง ปี 500 ถึง 411 ก่อนคริสต์ศักราช ตัวทิวซีดิดีสเองก็มีความเกี่ยวข้องกับสงครามนี้ในฐานะนักการทหารระดับแม่ทัพของเอเธนส์ และเคยนำทัพเอเธนส์รบในต่างแดนหลายครั้ง แต่ความล้มเหลวในสมรภูมิที่แอมฟิโปลิส ทำให้ท่านถูกเนรเทศตามกฎหมายของเอเธนส์ ทิวซิดิดีสได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์เชิงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากมาตรฐานที่เข้มงวดในเรื่องของการรวบรวมพยานหลักฐาน และการวิเคราะห์ในด้านเหตุและผล โดยปราศจากการอ้างอิงถึงความเกี่ยวข้อง หรือการแทรกแทรงจากเทพเจ้า ซึ่งจะพบได้จากสรุปใจความสำคัญในบทคำนำในงานเขียนของท่าน",
"เพื่อคานอำนาจกับเอเธนส์ ทางสปาร์ตาจึงได้ตั้งสันนิบาตเพโลพอนนีเซียน (Peloponnesian League) ขึ้น โดยมีตนเองเป็นผู้นำ และด้วยเหตุนี้ สปาร์ตาจึงกลายเป็นมหาอำนาจทางบก ส่วนเอเธนส์กลายเป็นมหาอำนาจทางทะเลและการแข่งขันระหว่างสองฝ่ายก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น",
"แนวคิดสัจจะนิยมอธิบายว่า ประเทศทั้งหลายย่อมพยายามทำการทุกอย่างเพิ่มพูนอำนาจของตน และจะกระทำการใดๆเพื่อคาน หรือยับยั้งอำนาจของรัฐอื่นที่อยู่ในข่ายที่อาจเป็นภัยก้าวร้าวต่อความมั่นคงของรัฐตน ด้วยเหตุนี้สงครามจึงอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อประเทศที่เคยทรงอำนาจมาก่อนเห็นว่ารัฐอีกรัฐหนึ่งกำลังขยายอำนาจคุกคามความมั่นคงของตนมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวิธีการอื่นที่จะหยุดการเพิ่มพูนทางอำนาจของรัฐที่ตนเห็นว่าเป็นปรปักษ์ได้ จากเหตุผลดังกล่าวทิวซิดิดีสจึงระบุว่าสาเหตุของสงครามเพโลพอนนีเซียน เกิดจากการถ่ายเทอำนาจระหว่างสองขั้วอำนาจหลักของนครรัฐกรีก คือ ฝ่ายสันนิบาตดีเลียนภายใต้การนำของเอเธนส์ฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายสันนิบาตเพโลพอนนีเซียนที่อยู่ภายใต้แสนยานุภาพทางทหารของสปาร์ตา (ซึ่งเป็นผู้นำทางการสงครามในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ) อีกฝ่ายหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างคือ ทิวซิดิดีสเชื่อว่าการขยายอำนาจของเอเธนส์จนขึ้มมาเป็นจักรวรรดิ์ทางทะเล ทำให้ฝ่ายสปาร์ตาตัดสินใจเข้าสู่สงครามกับเอเธนส์",
"เมื่อเปรียบเทียบกับนาฏศิลปินโศกนาฏกรรมอย่าง ซอโฟคลีส และยูริพิดีสแล้ว อริสโตฟานีสมีส่วนช่วยพัฒนาศิลปะการละครในยุคต่อไปมากกว่า ทั้งนี้เพราะซอโฟคลีส กับยูริพิดีส ถึงแก่กรรมลงในช่วงปลายสงครามเพโลพอนนีเซียน ทำให้ศิลปะของละครโศกนาฏกรรมหยุดพัฒนาไปเสีย แต่การละครสุขนาฏกรรมยังมีการวิวัฒนาการต่อมาเรื่อยๆ แม้หลังเอเธนส์จะพ่ายแพ้สงคราม ซึ่งสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการที่ปรมาจารย์ละครชวนหัวอย่างอริสโตฟานีส ยังมีชีวิตอยู่ต่อมานานพอที่จะช่วยศิลปินรุ่นหลังพัฒนาต่อยอดศิลปะแขนงนี้",
"ทิวซิดิดีสได้รับสมญานามว่า เป็นบิดาแห่งสำนักความคิดสัจนิยมทางการเมือง ซึ่งมองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาติว่า เป็นเรื่องที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอำนาจมากกว่าความชอบธรรม นอกจากนี้ทิวซิดิดีสยังแสดงความสนใจในเรื่องการใช้ประวัติศาสตร์ศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เพื่ออธิบายถึงพฤติกรรมในวิกฤตการณ์ดังเช่น การเกิดโรคระบาด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ดังเช่นกรณีของชาวเมเลียน) และสงครามกลางเมือง\nงานเขียนสำคัญจากยุคสมัยกรีกโบราณของท่าน ยังคงได้รับการศึกษาอย่างแพร่หลายในสถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง และบทสนทนาโบราณระหว่างทหารเอเธนส์กับผู้ปกครองชาวเมเลียน (The Melian Dialogue) ที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน ก็ยังทรงอิทธิพลต่องานเขียนในด้านทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาจนปัจจุบัน",
"ในปีที่ 414 ก่อนคริสตกาล หลังการพ่ายแพ้ที่ซีรากูซา เอเธนส์ได้ส่งกองทัพไปโจมตีลาโคเนีย ทว่าถูกแม่ทัพไลแซนเดอร์ของสปาร์ตาเอาชนะได้ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้อัลซิเบียดีสหมดอำนาจทางการเมือง ต่อมาทัพสปาร์ตาก็มีชัยชนะในการรบอีกครั้งที่เอกอสพอทาไม โดยสามารถทำลายทั้งทัพบกและทัพเรือของเอเธนส์ ทั้งจับเชลยได้ถึง 3,000 คน ทำให้นครเอเธนส์ต้องยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ในปีที่ 404 ก่อนคริสตกาล",
"หมวดหมู่:สงคราม หมวดหมู่:สงครามสมัยโบราณ หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับกรีซ หมวดหมู่:สงครามเกี่ยวข้องกับทวีปยุโรป",
"การพ่ายแพ้ในสงครามเพโลพอนนีเซียน ส่งผลให้เอเธนส์ถูกลดอำนาจลง กลายเป็นนครรัฐชั้นสอง ภายใต้อำนาจของสปาร์ตาและได้รับอนุญาตให้มีเรือรบได้เพียงสิบสองลำเท่านั้น ส่วนการปกครองก็เปลี่ยนเป็นคณาธิปไตย โดยยอมให้สปาร์ตามาตั้งป้อมค่ายได้และหากมีใครขัดขวางก็จะถูกขับไล่ออกจากเมือง ซึ่งแม้ว่าในภายหลัง เอเธนส์จะขับไล่อำนาจของสปาร์ตาออกไปได้และกลับมาปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง แต่เอเธนส์ก็ไม่อาจกลับมารุ่งเรืองได้อีกเลยและสปาร์ตาก็กลายเป็นผู้นำของนครรัฐกรีซทั้งปวงโดยเด็ดขาด",
"ยุคอาร์เคอิคของกรีซโบราณ เป็นยุคที่ชาวกรีกเพิ่งเริ่มประดิษฐ์อักษรไว้ถ่ายทอดความรู้ทางประวัติศาสตร์ และวรรณคดี และยังไม่ได้สร้างธรรมเนียมการเขียนงานทางประวัติศาสตร์ไว้อย่างเป็นแบบแผน ดังนั้นแม้ในปัจจุบันเราจะทราบถึงความเป็นไปของกรีซในยุคศตวรรษที่ 5 จากงานเขียนของทิวซิดิดีส ได้แก่ประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน แต่เราไม่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษรแบบนี้ตกทอดมาจากยุคอาร์เคอิกเลย บันทึกหลักฐานเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่สมัยนั้นตกทอดมาถึงเราจำนวนไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ในรูปของบทกวี (ที่หลงเหลือมาไม่ครบ) และจารึกบนแผ่นโลหะหรือแผ่นศิลาประดับหลุมศพ อย่างไรก็ดีในปัจจุบันการโบราณคดีได้ก้าวหน้าขึ้นมาก และนักโบราณคดีได้สามารถปะติดปะต่อภาพที่ขาดหายไปได้ในโลกของกรีซโบราณ จากข้อมูลโบราณคดีจากทั่วเมดิเตอร์เรเนียน และงานศิลปะที่ชาวโรมันเก็บสะสม หรือลอกเลียนแบบไว้",
"ในช่วงเวลานี้ เอเธนส์มีผู้นำคือ อัลซิเบียดีส ซึ่งเป็นคนฉลาดแต่เห็นแก่ตัวและไม่รักษาสัจจะ เขาเชื่อว่าตราบเท่าที่สงครามยังคงอยู่ ตัวเขาก็จะยังได้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงพยายามทุกอย่างที่จะสร้างความขัดแย้งขึ้น เช่น การขยายอำนาจเข้าสู่ซิซิลีเพื่อเตรียมการปราบปรามนครซีรากูซา ซึ่งหากทำสำเร็จ เขาก็จะมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นด้วย การกระทำดังนี้ ทำให้สปาร์ตาไม่พอใจเป็นอย่างมากและก่อให้เกิดสงครามครั้งใหม่ กองทัพเรือเอเธนส์ถูกโจมตีอย่างหนักที่ซีรากูซา เหล่าทหารถูกไล่ต้อนขึ้นบกและถูกบังคับให้เผาเรือของตน พวกแม่ทัพถูกจับและถูกสังหารเกือบหมด",
"สงครามเพโลพอนนีเซียน เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างสองนครรัฐมหาอำนาจของดินแดนกรีซโบราณ คือ นครรัฐเอเธนส์และนครรัฐสปาร์ตา โดยในช่วงเวลาดังกล่าว นครรัฐเอเธนส์มีกองทัพเรือที่เข้มแข็งที่สุดและถือว่าเป็นมหาอำนาจทางทะเล ในขณะที่นครรัฐสปาร์ตานั้น มีกองทัพบกที่เกรียงไกรยิ่งกว่านครรัฐใด ๆ เมื่อครั้งที่จักรพรรดิเซิร์กซีสมหาราชแห่งจักรวรรดิเปอร์เซียยกทัพเข้ารุกรานดินแดนกรีซ เอเธนส์และนครรัฐอื่น ๆ อีกหลายนครได้รวมตัวกันเป็นสันนิบาตดีเลียน (Delian League) โดยมีเอเธนส์เป็นผู้นำ ซึ่งหลังจากสงครามครั้งนั้นสิ้นสุดลงโดยเปอร์เซียล่าถอยกลับไปแล้ว สันนิบาตดังกล่าวก็ยังดำรงอยู่ โดยสมาชิกต้องส่งเงินบำรุงสันนิบาตไปยังเอเธนส์ ซึ่งเอเธนส์จะมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการใช้จ่ายเงินดังกล่าว",
"เพริคลีสเป็นนักพูดที่มีทักษะและไหวพริบมาก นอกจากนี้ยังเป็นรัฐบุรุษที่มีสเน่ห์และมีบารมีน่ายำเกรง เพราะมาจากตระกูลชนชั้นสูง เพริคลีสมักใช้ทักษะการพูด กล่าวตักเตือนให้ประชาชนของเอเธนส์มีความภาคภูมิใจในชาติ และมีความสามัคคีกัน ซึ่งจะเห็นได้จากเนื้อหาของสุนทรพจน์ไว้อาลัยของเพริคลีส (Pericles' Funeral Oration) ที่ให้ไว้ต่อชาวเอเธนส์เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตในปีแรกของมหาสงครามเพโลพอนนีเซียน กล่าวกันว่านครเอเธนส์เป็นประชาธิปไตยอยู่ได้อย่างมั่นคงก็เพราะมีนักการเมืองอย่างเพริคลีสเป็นผู้ชี้นำ เพริคลีสจึงไม่ได้เป็นเพียงนักการเมืองประชานิยมที่เก่งกาจ แต่ยังเป็นผู้นำทางจิตใจและทางศีลธรรมของชาวเอเธนส์ด้วย",
"การได้เป็นผู้นำสันนิบาตดีเลียน ทำให้อำนาจของเอเธนส์ในดินแดนกรีซเพิ่มขึ้น ประกอบกับเอเธนส์ประสบความสำเร็จในการค้าทางทะลจนเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ในขณะเดียวกัน สปาร์ตาซึ่งมีบทบาทสำคัญในสงครามกับเปอร์เซีย ก็จับตามองเอเธนส์อย่างไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้นครทั้งสองมีการแข่งขันกันมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเอเธนส์เป็นนครที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งให้เสรีภาพกับประชาชนมากกว่าสปาร์ตาที่ปกครองแบบเผด็จการทหาร ซึ่งหลังจากสงครามเปอร์เซียสิ้นสุดลง เอเธนส์ได้เผยแพร่แนวคิดประชาธิปไตยไปยังรัฐอื่น ๆ สร้างความไม่พอใจให้กับสปาร์ตาและนครรัฐที่ปกครองแบบเผด็จการอีกหลายนคร อีกทั้งความรุ่งเรืองของเอเธนส์ยังทำให้นครรัฐเหล่านี้เกิดความริษยาอีกด้วย",
"เพริคลีส (; \"\"เป-ริ-แคลส\"\" ; ราว 495 – 429 ก่อนคริสตกาล)เป็นรัฐบุรุษ นักปราศัย และนายพล ที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลอย่างสูง แห่งนครรัฐเอเธนส์ ในช่วงยุครุ่งเรืองของนครรัฐเอเธนส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กรีกทำสงครามสู้รบกับเปอร์เซีย (ดู \"สงครามกรีก-เปอร์เซีย\") และ ในช่วงมหาสงครามเพโลพอนนีเซียน",
"เพริคลีสสืบเชื้อสายทางฝ่ายแม่มาจากตระกูลแอลคมีโอนิดีที่มีอิทธิพลและทรงอำนาจ โดยเป็นหลานตาของ ไคลสธีนีส รัฐบุรุษผู้สถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้กับชาวเอเธนส์ เพริคลีสเป็นนักการเมืองที่อิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อนครเอเธนส์ ท่านมีส่วนอย่างมากในการสร้างอัตลักษณ์และความเจริญให้กับเอธนส์ใช่วงยุครุ่งเรือง ทิวซิดิดีสนักประวัติที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับท่าน ขนานนามเพริคลีสว่าเป็น \"พลเมืองหมายเลขหนึ่งของเอเธนส์\" เพริคลีสเปลี่ยนสันนิบาตดีเลียน (League of Delian) ให้กลายเป็นจักรวรรดิทางทะเลที่มีศูนย์กลางที่เอเธนส์ และเป็นผู้นำของชาวเอเธนส์จนถึงช่วงสองปีแรกของมหาสงครามเพโลพอนนีเซียน ในช่วงระหว่างปี 461 ถึง 429 ก่อนคริสตกาล เพริคลีสนำนครเอเธนส์รุ่งเรืองจนสู่ขีดสูงสุด ท่านส่งเสริมการพัฒนางานศิลปะ วรรณกรรม และวิทยาการความรู้สาขาต่างๆ จนผลักดันให้เอเธนส์กลายเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมและการศึกษาของโลกกรีซโบราณ เพริคลีสริเริ่มโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่มากมายจนเปลี่ยนเอเธนส์ให้กลายเป็นนครที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมหินอ่อนที่อลังการ รวมไปถึงวิหารพาร์เธนอน ซึ่งยังปรากฏให้เห็นบนอะโครโพลิสของเอเธนส์มาจนปัจจุบัน โปรเจกต์ก่อสร้างเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงามยิ่งใหญ่อลังการ และช่วยปกป้องตัวเมืองจากศัตรู แต่ยังสร้างงานให้กับประชากรเอเธนส์ ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในชื่อ \"ยุคสมัยของเพริคลีส\" ",
"ในศตวรรษนี้นครรัฐเอเธนส์มีความโดดเด่นที่สุด เพราะเอเธนส์ทิ้งงานเขียนทั้งทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และวรรณคดีไว้มากกว่านครรัฐกรีกโบราณอื่นทั้งหมด จึงอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในปีที่ 508 ก่อนค.ศ. เมื่อไคลส์ธีนีส (Cleisthenes) ร่วมมือกับสปาร์ตาโค่น ฮิปปิอัส ทรราชคนสุดท้ายของเอเธนส์ลงจากอำนาจ และสามารถร่วมมือกับสภาห้าร้อยคน (); สภา\"บูแล\") ชิงอำนาจมาจากไอซากอรัส (Isagoras) ได้ และเริ่มปฏิรูปเอเธนส์ แต่ถ้ามองให้กว้างออกไปทั่วทั้งแผ่นดินกรีซ ก็อาจพูดได้ว่าการก่อกบฏไอโอเนีย เมื่อปีที่ 500 ก่อนค.ศ. มีความสำคัญในฐานะเหตุการณ์ที่กระตุ้นให้จักรวรรดิเปอร์เซียเปิดฉากรุกรานกรีซในปีที่ 492 ก่อนค.ศ. ทัพของเปอร์เซียถูกพิชิตในปีที่ 492 ก่อนค.ศ. แต่อีกทศวรรษต่อมาเปอร์เซียก็ยกทัพกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง (ในปีที่ 481-479 ก่อนค.ศ.) ทว่าก็ล้มเหลวอีกแม้ว่าจะสามารถเดินทัพเข้าครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรีซได้ และได้ชัยชนะทั้งในยุทธการที่เทอร์โมพิลี และยุทธนาวีที่อาร์เตมิเซียม หลังจากเสร็จศึกกับเปอร์เซียแล้ว สันนิบาตดีเลียนก็ถูกสถาปนาขึ้นภายใต้อิทธิพลครอบงำ (hegemon) ของเอเธนส์ และถูกเอเธนส์ใช้เป็นเครื่องมือสร้างอำนาจและความมั่งคั่ง ความไม่รู้จักพอของเอเธนส์ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นในบรรดานครรัฐพันธมิตร ซึ่งล้วนถูกเอเธนส์ใช้กำลังทหารเข้ากำหราบ แต่พลวัตทางอำนาจของเอเธนส์ทำให้สปาร์ตาตื่นขึ้นมา และนำมาซึ่งสงครามเพโลพอนนีเซียน ในปีที่ 431 ก่อนค.ศ. สงครามดำเนินไปในสมรภูมิทั่วทั้งโลกอารยธรรมของกรีซเป็นเวลาเกือบ 30 ปี โดยมีการสงบศึกเพียงช่วงสั้นๆ จนในที่สุดเอเธนส์ก็ถูกพิชิตลงอย่างเด็ดขาด ในปีที่ 404 ก่อนค.ศ. เรื่องราวในศตวรรษที่ 5 ก่อนค.ศ. ของกรีซในยุคคลาสสิกก็ปิดฉากลง ด้วยความวุ่นวายทางการเมืองของเอเธนส์หลังจากนั้น",
"ในสมัยคลาสสิกของกรีซโบราณ (508-322 ก่อนค.ศ.) เอเธนส์ (Ancient Greek: Ἀθῆναι [a.tʰɛ̂ː.nai̯]) เป็นศูนย์กลางของชุมชนเมืองในนครรัฐเอเธนส์ ตั้งอยู่ในแอตติกา ประเทศกรีซ เอเธนส์เป็นชาติผู้นำแห่งสันนิบาตดีเลียน ในสงครามเพโลพอนนีซ ระหว่างสันนิบาตดีเลียน และสันนิบาตเพโลพอนนีเซียน ซึ่งนำโดยสปาร์ตา ไ",
"ประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน (; ) เป็นงานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งบรรยายถึงเหตุการณ์การสู้รบ และการเมืองระหว่างประเทศในระหว่างสงครามเพโลพอนนีเซียน (431 - 404 ปีก่อนคริสตศักราช) ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่าง ฝ่ายสันนิบาตเพโลพอนนีสภายใต้การนำของ สปาร์ตา และฝ่ายสันนิบาตดีเลียนภายใต้การนำของเอเธนส์ ที่กินเวลายาวนานถึง 30 ปี และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของนครเอเธนส์ ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของสันนิบาตดีเลียน และเป็นจุดสิ้นสุดยุครุ่งเรืองของเอเธนส์ งานนิพนธ์นี้ถูกประพันธ์ขึ้นโดย ทิวซิดิดีส นักประวัติศาสตร์ และนักการทหารชาวเอเธนส์ ผู้มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้โดยตรงในฐานะแม่ทัพ บันทึกเหตุการณ์ความขัดแย้งของทิวซิดิดีส ถือเป็นงานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญระดับคลาสสิคมาแต่โบราณ และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในฐานะงานวิชาการทางประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงชิ้นแรกของอารยธรรมตะวันตก ",
"จุดแตกหักของทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้นจากการที่นครคอรินธ์ซึ่งเป็นสมาชิกของสันนิบาตเพโลพอนนีเซียนเริ่มสร้างฐานการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแข่งกับนครเอเธนส์ จนต่อมาในปีที่ 431 ก่อนคริสตกาล คอรินธ์ก็เกิดข้อพิพาทกับนครคอร์ซิราซึ่งอยู่ในสันนิบาตดีเลียน เอเธนส์ในฐานะผู้นำของสันนิบาตจึงเข้ามาช่วยคอร์ซิรา ขณะที่คอรินธ์ขอความช่วยเหลือไปยังสปาร์ตา จนในที่สุดก็ลุกลามเป็นสงครามระหว่างเอเธนส์กับนครรัฐอื่น ๆ ในสันนิบาตเพโลพอนนีเซียน",
"อริสโตฟานีสมีชีวิตผ่านช่วงเวลาที่เอเธนส์ประสบวิกฤติทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งหายนะจากสงครามเพโลพอนนีเซียน (ซึ่งเอเธนส์เป็นฝ่ายแพ้) การปฏิวัติของกลุ่มคณาธิปไตยสองครั้ง และการกู้คืนระบอบประชาธิปไตยสองครั้ง โสเครตีสถูกพิพากษาในข้อหาอาชญากรรมทางความคิด และยูริพิดีสต้องเนรเทศตัวเองไปตายที่เมืองอื่น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เชื่อว่าแม้งานของอริสโตฟานีสจะแดกดันหรือเสียดสีเรื่องการเมืองอยู่เป็นนิตย์ แต่ตัวท่านนักประพันธ์เองคงจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในทางการเมืองมากนัก ",
"เอเธนส์ (, \"Athênai\", ]: \"อะแธไน\") ในสมัยคลาสสิกของกรีซโบราณ (508-322 ก่อนค.ศ.) เป็นศูนย์กลางของชุมชนเมืองในนครรัฐเอเธนส์ ตั้งอยู่ในแอตติกา ประเทศกรีซ เอเธนส์เป็นชาติผู้นำแห่งสันนิบาตดีเลียน ในสงครามเพโลพอนนีซ ระหว่างสันนิบาตดีเลียน และสันนิบาตเพโลพอนนีเซียน ซึ่งนำโดยสปาร์ตา ไคลส์ธีนีสเป็นผู้ก่อตั้งประชาธิปไตยขึ้นในเอเธนส์ ในปีที่ 508 ก่อนค.ศ. หลังจากโค่นอำนาจเผด็จการของไอซากอรัสลงได้ ระบอบการปกครองนี้อยู่ได้อย่างมั่งคงต่อมาถึง 180 ปี จนกระทั่งหลังพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคต เมื่อแอนติปาเตอร์นำทัพมาเกโดนีอากำหราบการลุกฮือของนครรัฐกรีก ในสงครามลาเมียน และยกเลิกระบอบประชาธิปไตยในเอเธนส์ เอเธนส์ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจภายใต้การนำของรัฐบุรุษเพริคลีส ในระหว่างทศวรรษที่ 440 และ 430 ก่อนค.ศ.",
"สำหรับเนื้อเรื่องในภาคโอดิสซีเรื่องราวจะเกิดในช่วง 431 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 400 ปีก่อนเหตุการณ์ในภาคออริจินส์โดยสมมุติเหตุการณ์ให้อยู่ในช่วง สงครามเพโลพอนนีเซียน ซึ่งเป็นการปะทะกันระหว่าง 2 รัฐที่ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณอย่าง สปาร์ตา และ เอเธนส์ โดยผู้เล่นจะได้สวมบทเป็นทหารรับจ้างที่พลัดหลงและถูกเก็บมาเลี้ยงและต้องทำการเลือกว่าจะสู้ให้กับฝั่งสปาร์ตาหรือเอเธนส์และต้องสืบหาเบาะแสการหายตัวไปของ มายรินี แม่ของตัวเอกรวมถึงน้องของตัวเอกที่พลัดตกจากหน้าผาในพิธีบูชายัญตั้งแต่ยังเป็นทารกอีกทั้งยังถูกตามล่าจากลัทธิที่มีชื่อว่า ลัทธิคอสมอส เพื่อให้ได้รู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าทำไมตัวเอกถึงถูกตามล่าตัวเอกจึงต้องทำการกำจัดสมาชิกของลัทธิทีละคนเพื่อสาวไปถึงเจ้าลัทธิที่เป็นบอสใหญ่"
] |
ประเทศอินโดนีเซีย เป็นเกาะหรือไม่ ? | [
"ในทางภูมิศาสตร์ หมู่เกาะมลายูเป็นหนึ่งในบริเวณที่มีภูเขาไฟมีพลังมากที่สุดในโลก ผืนดินที่ยกตัวขึ้นในบริเวณนี้ทำให้เกิดภูเขาที่สวยงามอย่างยอดเขาปุนจักจายาที่จังหวัดปาปัวในอินโดนีเซีย ความสูงถึง 5,030 เมตร (16,024ฟุต) บนเกาะนิวกินี อีกทั้งยังเป็นสถานที่เดียวที่สามารถพบธารน้ำแข็งได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่บริเวณที่สูงเป็นอันดับสองอย่างยอดเขากีนาบาลูในรัฐซาบะฮ์ของมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียว ซึ่งมีความสูง 4,095 เมตร (13,435ฟุต) ภูเขาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือยอดเขาคากาโบราซี โดยมีความสูงถึง 5,967 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพม่า และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ขณะเดียวกันอินโดนีเซียนั้นถูกจัดว่าเป็นหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (จัดโดย CIA World Factbook)"
] | [
"ชาวพุทธในอินโดนีเซียช่วงนี้ ไม่ได้มีบทบาทเด่นๆใดๆเลย และกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ภายใต้ชาวมุสลิม ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ และเป็นเช่นนี้เรื่อยๆจนถึงยุคฮอลันดาปกครอง และได้รับเอกราช ชาวอินโดนีเซียพุทธนั้นส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกของเกาะชวา เกาะบาหลี เกาะบังกา-เกาะเบลิตุง และบางส่วนของเกาะสุมาตรา",
"การขนส่งระบบรางในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่จะอยู่บนเกาะชวาซึ่งมีรถไฟสายหลักอยู่ 2 สาย ส่วนในเกาะสุมาตราจะมีสายรถไฟที่ไม่เชื่อมต่อกันถึง 5 สาย ซึ่งจะมีในจังหวัดอาเจะฮ์, จังหวัดสุมาตราเหนือ (พื้นที่รอบเมืองเมดัน), จังหวัดสุมาตราตะวันตก (พื้นที่รอบเมืองปาดัง), จังหวัดสุมาตราใต้ และจังหวัดลัมปุง สำหรับรถไฟทางไกลในอินโดนีเซีย ดำเนินการโดยรัฐวิสาหกิจบริษัท รถไฟอินโดนีเซีย จำกัด ส่วนรถไฟชานเมืองในจาการ์ตาดำเนินการโดยบริษัท รถไฟชานเมืองอินโดนีเซีย จำกัด",
"ภาษามาดูรา (Madura language) เป็นที่ใช้พูดบนเกาะมาดูรา ในประเทศอินโดนีเซีย และเกาะอื่นๆ เช่นเกาะกาเงียน เกาะซาปูดี และทางตะวันออกของชวาตะวันออก พบในสิงคโปร์ด้วย อยู่ในกลุ่มย่อยซุนดา ของภาษากลุ่มมาลาโย-โพลีเนเซียตะวันตก ตระกูลอสสโตรนีเซียน เคยเขียนด้วยอักษรชวา ปัจจุบันเขียนด้วยอักษรละติน มีผู้พูด 13,600,000 คนในอินโดนีเซีย (พ.ศ. 2543) ภาษานี้มีรากศัพท์เหมือนกับภาษากาเงียน 75% และเข้าใจกันได้ยาก ภาษานี้มีหลายสำเนียง สำเนียงซูเมเนบ จัดเป็นสำเนียงมาตรฐาน สำเนียงบังกาลนที่พูดในสุราบายา เป็นสำเนียงที่ใช้ทางการค้ามากที่สุด เป็นสำเนียงที่ใช้ในเมืองและได้รับอิทธิพลจากภาษาอินโดนีเซียมาก และผู้พูดภาษานี้ใช้ภาษาอินโดนีเซียด้วย แปลไบเบิลเป็นภาษานี้ใน พ.ศ. 2537",
"ประเทศอินโดนีเซียมีเกาะหลัก 5 เกาะคือ นิวกินี, ชวา, กาลีมันตัน, ซูลาเวซี และสุมาตรา เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะสุมาตรา ส่วนเกาะชวาเป็นเกาะที่เล็กที่สุดในบรรดาเกาะหลักทั้ง 5 เกาะ แต่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรกว่า 200 ล้านคนอาศัยอยู่บนเกาะนี้และเป็นที่ตั้งกรุงจาการ์ตาซึ่งเป็นเมืองหลวง หมู่เกาะเหล่านี้อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก ชายฝั่งของประเทศอินโดนีเซียยาวประมาณ 2,600 กิโลเมตร และมีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ปาปัวนิวกีนี และติมอร์-เลสเต",
"ประเทศสมัยใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดห้าประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกาะ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักร รัฐกลุ่มเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตามพื้นที่ คือ อินโดนีเซีย กลุ่มเกาะที่มีเกาะมากที่สุดอยู่ในทะเล Archipelago ในฟินแลนด์",
"หมู่เกาะอินโดนีเซียประกอบด้วยเกาะมากกว่า 15,000 คน เนเธอร์แลนด์เข้ามาปกครองเป็นอาณานิคมในราวพุทธศตวรรษที่ 24 และจัดตั้งหน่วยการปกครองที่เป็นเอกภาพ แนวชายแดนปัจจุบันของอินโดนีเซียก่อตั้งขึ้นตามอาณานิคมที่ขยายตัวในพุทธศตวรรษที่ 25 หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึง พ.ศ. 2488 ผู้นำขบวนการชาตินิยมบนเกาะชวาประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย แต่ไม่ใช่ทุกพื้นที่และประชาชนทุกคนในพื้นที่ประเทศอินโดนีเซียปัจจุบันที่ยอมรับสาธารณรัฐอินโดนีเซียที่เป็นรัฐเดี่ยว ขบวนการต่อต้านสาธารณรัฐอินโดนีเซียกลุ่มแรกๆเกิดที่หมู่เกาะโมลุกกะใต้ซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านการทหารจากเนเธอร์แลนด์ กลุ่มกบฏโมลุกกะใต้เริ่มจากสนธิสัญญาในยุคหลังอาณานิคมที่ต้องการจัดการปกครองในรูปสหพันธ์ ข้อตกลงระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอินโดนีเซียในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2492 ถูกยกเลิก และได้ประกาศจัดตั้งรัฐเอกราชสาธารณรัฐโมลุกกะใต้ เพื่อหวังสถานะการปกครองตนเอง ผู้นำโมลุกกะต้องการให้แต่ละรัฐที่ปกครองตนเองมารวมตัวกันเป็นสหพันธ์",
"บอร์เนียว () หรือ กาลีมันตัน () เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากเกาะกรีนแลนด์ (อันดับ 1) และเกาะนิวกินี (อันดับ 2) มีประเทศ 3 ประเทศอยู่ในเกาะบอร์เนียว คือ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย อยู่บริเวณใจกลางกลุ่มเกาะมลายูและประเทศอินโดนีเซีย ในทางภูมิศาสตร์ เกาะบอร์เนียวเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้",
"หมู่เกาะตาเลาด์ (Talaud Islands) เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะซูลาเวซี ประเทศอินโดนีเซีย แต่เป็นหมู่เกาะที่อยู่ทางเหนือสุดทางทิศตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย หมู่เกาะมีประชากร 83,441 คน จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2010",
"เกาะชวา (อินโดนีเซีย: Pulau Jawa, ชวา: Pulo Jawa) เป็นชื่อเดิมของหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง จาการ์ตา เป็นเกาะที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และมีประชากรมากกว่าทวีปออสเตรเลียและแอนตาร์กติกา (รายชื่อเกาะตามจำนวนประชากร) มีเนื้อที่ 132,000 ตารางกิโลเมตร ประชากร 127 ล้านคน และมีความหนาแน่นประชากร 864 คนต่อกม.² ซึ่งถ้าเกาะชวาเป็นประเทศแล้วจะมี ความหนาแน่นประชากรเป็นปันดับ 2 รองจากประเทศบังคลาเทศ ยกเว้นนครรัฐที่มีขนาดเล็ก",
"การขนส่งทางอากาศในอินโดนีเซียมีอยู่ค่อนข้างมาก เพราะใช้เชื่อมต่อระหว่างเกาะต่าง ๆ พันเกาะของอินโดนีเซีย ช่วงปี ค.ศ. 2009-2013 มีผู้โดยสารใช้บริการขนส่งทางอากาศเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยเพิ่มจาก 59,384,362 คน ไปเป็น 85,102,827 คน",
"ในประเทศอินโดนีเซีย มีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 300 ชนเผ่า โดย 95% เป็นชาวอินโดนีเซีย โดยกำเนิด\nชาวชวา เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนมากเกือบๆ 52% ของสัดส่วนประชากร ชาวชวามีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะชวา แต่มีชาวชวามากกว่าล้านคน ไปตั้งถิ่นฐานตามหมู่เกาะต่างๆในประเทศอินโดนีเซีย เพราะการอพยบเคลื่อนย้าย นอกจากชาวชวาแล้ว ยังมีชาวซุนดา, มลายู และชาวมาดูรา เรียงตามลำดับสัดส่วนขอประชากร ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะแยกย่อยไปอีกเป็นจำนวนมากใน เกาะกาลีมันตัน และเกาะนิวกินี มีเพียงร้อยคน ต่อสัดส่วนจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ",
"อินโดนีเซียมีทางน้ำที่ใช้สัญจรได้ถึง 21,579 กิโลเมตร (ข้อมูลปี ค.ศ. 2005) ซึ่งครึ่งหนึ่งอยู่ในภูมิภาคกาลีมันตัน และอีกครึ่งหนึ่งอยู่บนเกาะสุมาตราและเกาะปาปัว ทางน้ำเป็นทางสัญจรหลักของผู้คนบนเกาะกาลีมันตันและเกาะปาปัวซึ่งมีระบบถนนที่ยังไม่ค่อยดีจะดีนัก ต่างจากเกาะชวาและเกาะสุมาตราซึ่งเป็นเกาะที่มีการพัฒนาสูง ประเทศอินโดนีเซียติดอันดับที่ 7 ในด้านประเทศที่มีทางน้ำยาวที่สุดในโลก",
"กรณีพิพาทเกาะซีปาดันและลีฆีตันเป็นความขัดแย้งระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย โดยทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน บริเวณเกาะซีปาดันและเกาะลีฆีตัน ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 10.4 และ 7.4 เฮกตาร์ ฝ่ายอินโดนีเซียอ้างว่าเกาะนี้เป็นของอินโดนีเซียตามข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ เมื่อ พ.ศ. 2434 เกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนบริเวณกาลิมันตัน ซึ่งกำหนดเขตแดนของทั้งสองประเทศที่เกาะเซบาติก ทำให้เกาะทั้งสองอยู่ในเขตของอินโดนีเซีย ส่วนมาเลเซียกล่าวอ้างว่าเกาะทั้งสองอยู่ในอำนาจของมาเลเซียเพราะตกทอดมาจากสมัยสุลต่านซูลูครองอำนาจ และตกทอดไปยังสเปน จากนั้น อังกฤษมารับช่วงต่อตั้งแต่ พ.ศ. 2421",
"ภาษาบาหลี เป็นภาษาท้องถิ่นของเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ใช้พูดในเกาะชวา เกาะบาหลีและเกาะลอมบอก มีผู้พูด 3.8 ล้านคน คิดเป็น 2.1 % ของประชากรอินโดนีเซียทั้งประเทศ โดยที่ชาวบาหลีส่วนใหญ่จะพูดภาษาอินโดนีเซียเป็นภาษาที่สอง เขียนด้วยอักษรบาหลีและอักษรละติน เป็นภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน ใกล้เคียงกับภาษาซาซักและภาษากัมเบอราในเกาะซุมบาวา มีการแบ่งระดับชั้นภายในภาษา",
"ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียคือคาบสมุทรมลายู (เป็นจุดสิ้นสุดของเอเชียแผ่นดินใหญ่) และมีหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียเป็นจุดสิ้นสุดอาณาเขตของทวีปเอเชียซึ่งรวมเกาะเล็กเกาะน้อยที่เป็นหมู่เกาะร้างของประเทศอินโดนีเซียด้วยแต่สำหรับเกาะนิวกินีนั้นถือว่าเป็นเกาะของทวีปออสเตรเลีย ถึงแม้ทวีปออสเตรเลียจะอยู่ใกล้กับทวีปเอเชียมากแต่ก็ถือว่าเป็นอีกทวีปนึงเนื่องจากทั้งสองทวีปนี้อยู่บนเปลือกโลกคนละแผ่นกันส่วนหมู่เกาะของประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลียนั้นก็ถือว่าเป็นหมู่เกาะของโอเชียเนีย",
"ภาษาอินโดนีเซียเป็นทำเนียบภาษามาตรฐานของภาษามลายูเรียว ซึ่งแม้จะมีชื่อเรียกเช่นนั้นแต่ก็ไม่ใช่ภาษามลายูที่เป็นสำเนียงท้องถิ่นของหมู่เกาะเรียว แต่หมายถึงภาษามลายูคลาสสิกที่ใช้ในราชสำนักของรัฐสุลต่านมะละกา จากเดิมที่มีผู้ใช้กันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา ภาษามลายูได้กลายเป็นภาษากลางในบริเวณหมู่เกาะที่เป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันมาหลายร้อยปี จารึกเกอดูกันบูกิตเป็นหลักฐานที่เก่าที่สุดที่ใช้ภาษามลายูโบราณซึ่งเป็นภาษาราชการในสมัยจักรวรรดิศรีวิชัย ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา ภาษามลายูโบราณได้มีการใช้ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย เห็นได้จากจารึกสมัยศรีวิชัย และจารึกอื่น ๆ ตามบริเวณชายฝั่ง เช่นที่เกาะชวา การติดต่อค้าขายโดยชาวพื้นเมืองในเวลานั้นเป็นสื่อกลางในการแพร่กระจายของภาษามลายูโบราณในฐานะภาษาทางการค้า และกลายเป็นภาษากลางที่มีผู้ใช้อย่างแพร่หลายในบริเวณหมู่เกาะ",
"ชาวอินโดนีเซียที่นับถือพุทธศาสนานิกายมหายานอยู่นั้นจะมีอยู่บนเกาะชวาได้แก่ ชาวชวา (นับถือพุทธศาสนาร้อยละ 1) และชาวซุนดา และจะมีชาวบาหลีบนเกาะบาหลี ซึ่งบางคนก็นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบพื้นเมืองควบคู่กันไป และมีชาวซาซะก์บางคนที่นับถือศาสนาพุทธ และลัทธิวตูตลู ซึ่งเป็นศาสนาอิสลาม ที่รวมกับความเชื่อแบบฮินดู-พุทธ อยู่บ้างบนเกาะลอมบอก รวมไปถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่อาศัยบนเกาะชวา ทุกๆปี ศาสนิกชนเหล่านี้จะมาประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาที่บุโรพุทโธ ที่เมืองมุนตีลาน ที่อินโดนีเซียนี้ได้จัดตั้งสมาคมเพื่อสอนพระพุทธศาสนาแก่เยาวชน มีการบรรยายธรรม ปฏิบัติสมาธิ ออกวารสาร เช่น วารสารวิปัสสนา และวารสารธรรมจารณี ซึ่งการปกครองดูแลศาสนิกชนในอินโดนีเซียจะขึ้นกับพุทธสมาคมในอินโดนีเซีย มีสำนักงานใหญ่ในกรุงจาการ์ตา มีสาขาย่อย 6 แห่ง",
"เตอร์นาเต () เป็นเกาะในหมู่เกาะโมลุกกะ ทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่นอกฝั่งตะวันตกของเกาะที่ใหญ่กว่า คือ เกาะฮัลมาเฮรา เช่นเดียวกันเกาะบริเวณใกล้เคียง เกาะมีภูเขาไฟรูปกรวย เกาะแห่งนี้เคยเป็นเกาะที่ผลิตกานพลูแห่งเดียวของโลก ทำให้สุลต่านกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในอินโดนีเซีย ",
"วันเวลา - สถานที่เกิด 26 สิงหาคม พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883) - ภูเขาไฟกรากะตัวระเบิด 16 สิงหาคม พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - รอบอ่าวโมโร (เมืองโคตาบาโต) ประเทศฟิลิปปินส์ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - หมู่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - หมู่เกาะเมินตาวัย ประเทศอินโดนีเซีย 11 เมษายน พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) - หมู่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ขนาด 8.9 และ 8.3 ประเทศไทยสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็ก และไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย 28 กันยายน พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) - เกาะซูลาเวซี ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย",
"หลังการประกาศเอกราชของสาธารณรัฐอินโดนีเซียในปี พ.ศ. 2493 ได้มีความต้องการแยกตัวออกจากสาธารณรัฐอินโดนีเซียโดยจัดตั้งสาธารณรัฐโมลุกกะใต้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอยู่ภายใต้การนำของ Ch. Soumokil (อดีตอัยการสูงสุดของรัฐอินโดนีเซียตะวันออก) และได้รับการสนับสนุนโดยสมาชิกชาวโมลุกกะของกองกำลังพิเศษของเนเธอร์แลนด์ การขาดแคลนการสนับสนุนจากท้องถิ่น การเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงถูกทำลายโดยกองทหารอินโดนีเซียและโดยข้อตกลงพิเศษกับกองกำลังของเนเธอร์แลนด์ที่ถูกย้ายกลับประเทศ การเริ่มต้นใหม่ของการย้ายถิ่นฐานในอินโดนีเซียของประชากรชาวชวาไปยังเกาะรอบนอก (รวมถึงมาลูกู) ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ พ.ศ. 2503 ถูกเชื่อว่าทำให้เอกราชและประเด็นทางศาสนา-การเมืองถูกสั่นคลอน เกิดมีความรุนแรงทางชนชาติบนเกาะต่าง ๆ และการก่อกบฏโดยกลุ่มรัฐบาลพลัดถิ่นของโมลุกกะใต้ตั้งแต่นั้นมา",
"อาหารอินโดนีเซีย () เป็นอาหารทีมีความหลากหลายทางด้านรูปลักษณ์และสีสันเพราะประกอบด้วยประชากรจากเกาะต่าง ๆ ที่มีคนอยู่อาศัยประมาณ 6,000 เกาะจากทั้งหมด 18,000 เกาะ มีอาหารเฉพาะถิ่นจำนวนมาก และได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ทำให้อาหารอินโดนีเซียมีความหลากหลายตามพื้นที่และมีอิทธิพลจากต่างชาติที่หลากหลาย อินโดนีเซียมีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางการค้ามาแต่อดีต มีเทคนิคและส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ และได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ตะวันออกกลาง จีน และท้ายที่สุดคือยุโรป พ่อค้าชาวสเปนและโปรตุเกสได้นำผลิตภัณฑ์จากโลกใหม่เข้ามาก่อนที่ชาวดัตช์จะเข้ามายึดครองหมู่เกาะเกือบทั้งหมดเป็นอาณานิคม หมู่เกาะโมลุกกะหรือมาลูกูของอินโดนีเซียได้รับสมญาว่าหมู่เกาะเครื่องเทศ ซึ่งเป็นแหล่งของเครื่องเทศ เช่น กานพลู จันทน์เทศ วิธีการปรุงอาหารหลัก ๆ ของอินโดนีเซียได้แก่ ผัด ย่าง ทอด ต้ม และนึ่ง อาหารอินโดนีเซียที่เป็นที่นิยมได้แก่ นาซีโกเร็งหรือข้าวผัด กาโดกาโด สะเต๊ะ และโซโต ซึ่งเป็นอาหารที่มีลักษณะเฉพาะและถือเป็นอาหารประจำชาติ",
"การขนส่งในอินโดนีเซีย มีกระจายอยู่ในเกาะกว่า 1,000 แห่งของประเทศ แต่เกาะที่มีปริมาณการขนส่งที่หนาแน่นที่สุดคือเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย มีการขนส่งครบทุกรูปแบบ โดยที่มีมากที่สุดคือ ถนน มีครอบคลุมทั่วทั้งประเทศกว่า 437,759 กิโลเมตรในปี ค.ศ. 2008 ส่วนการขนส่งระบบราง มีเฉพาะในเกาะชวาและเกาะสุมาตรา การขนส่งทางทะเล เนื่องจากเป็นประเทศหมู่เกาะ จึงเป็นศูนย์การขนส่งทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่ง โดยในแต่ละเกาะ จะมีเมืองท่าอย่างน้อย 1 แห่ง ส่วนการขนส่งทางแม่น้ำ พบได้ในสุมาตราตะวันออกและกาลีมันตัน และการขนส่งทางอากาศ มีสายการบินให้บริการมากมาย และมีท่าอากาศยานครอบคลุมทั่วประเทศ",
"อินโดนีเซีย (Indonesian: Indonesia) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Indonesian: Republic of Indonesia) เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรอินโดจีนกับทวีปออสเตรเลีย และระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียวหรือกาลีมันตัน (Kalimantan), ประเทศปาปัวนิวกินีบนเกาะนิวกินีหรืออีรียัน (Irian) และประเทศติมอร์-เลสเตบนเกาะติมอร์ (Timor)",
"การเจรจาว่าด้วยหนี้ในประเทศและหนี้ต่างประเทศของการปกครองอาณานิคมหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ยืดเยื้อออกไป โดยต่างฝ่ายต่างเสนอการคำนวณของตนและโต้แย้งว่าสหรัฐอินโดนีเซียควรรับผิดชอบต่อหนี้ที่เนเธอร์แลนด์ก่อไว้หลังยอมจำนนต่อญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1942 หรือไม่ โดยเฉพาะผู้แทนอินโดนีเซียรู้สึกขุ่นเคืองที่ต้องครอบคลุมสิ่งที่เห็นว่าเป็นราคาการปฏิบัติทางทหารของเนเธอร์แลนด์ต่ออินโดนีเซีย ท้ายที่สุด จากการเข้าแทรกแซงของสมาชิกสหรัฐอเมริกาของคณะกรรมาธิการอินโดนีเซียสหประชาชาติ (UN Commission on Indonesia) ฝ่ายอินโดนีเซียจึงตระหนักว่าการตกลงจ่ายหนี้ส่วนของเนเธอร์แลนด์จะเป็นราคาที่พวกเขาจะต้องจ่ายเพื่อให้ได้รับการถ่ายโอนอธิปไตย วันที่ 24 ตุลาคม ผู้แทนอินโดนีเซียตกลงว่าอินโดนีเซียจะรับภาระหนี้รัฐบาลหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ประมาณ 4,300 ล้านกิลเดอร์ดัตช์",
"ในประเทศอินโดนีเซีย มีภาษาพูดมากกว่า 700 ภาษา ส่วนมากเป็นภาษาในตระกูลภาษาออสโตรนีเชียน และมีอยู่บางส่วนที่พูดภาษาที่ใช้เฉพาะในเกาะนิวกินี ซึ่งมีมากมายหลายตระกูลภาษา โดยภาษาราชการของประเทศ คือ ภาษาอินโดนีเซีย (หรือที่เรียกกันทั่วๆไปว่า บาฮาซาอินโดนีเซีย) ซึ่งผันแปรมาจากภาษามลายูแบบตลาด ที่ใช้กันเป็นภาษากลาง ในบรรดาหมู่เกาะต่างๆ โดยมีคำศัพท์ในภาษาท้องถิ่นของอินโดนีเซียปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งภาษาชวา ภาษาซุนดา และภาษามีนังกาเบา ภาษาอินโดนีเซีย ใช้กันเป็นพื้นฐาน ในวงการพานิช บริหารรัฐกิจ การศึกษา และสื่อมวลชน ส่วนมากผู้ที่พูดภาษาอินโดนีเซีย สามารถพูดภาษาอื่นๆได้อีกด้วย เช่น ชาวชวา ที่พูดภาษาชวาเป็นภาษาแม่ งานเขียน และสื่อสิ่งพิมพ์ ใช้ภาษาอินโดนีเซีย มากที่สุด",
"จังหวัดชวาตะวันออก (, ย่อว่า Jatim, ) เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะชวา ยังรวมถึงเกาะมาดูราที่เชื่อมกับเกาะชวาโดยสะพานที่ยาวที่สุดในอินโดนีเซียที่ชื่อสะพานซูรามาดู และรวมถึงหมู่เกาะกาเงอันและหมู่เกาะมาซาเล็มบูที่ตั้งอยู่ทางตะวันออและเหนือ ตามลำดับ เมืองหลวงของจังหวัดคือ ซูราบายา เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซียและเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ บาญูวางีเป็นอำเภอที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดชวาตะวันออก และใหญ่ที่สุดของเกาะชวา",
"ซาบัง () เป็นนครที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ (เกาะเวะฮ์) และเกาะเล็ก ๆ อีกหลายเกาะนอกชายฝั่งทางทิศเหนือของเกาะสุมาตรา หมู่เกาะเหล่านี้ได้รวมกันเป็นนครในจังหวัดอาเจะฮ์ ประเทศอินโดนีเซีย ศูนย์กลางการปกครองตั้งอยู่บนเกาะเวะฮ์ 17 กม. ทางเหนือของบันดาอาเจะฮ์ นครครอบคลุมพื้นที่ 153 ตร.กม. และจากการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2010 มีประชากร 30,653 คน จากการประมาณการณ์ในเดือนมกราคม 2014 มีประชากร 32,271 คน ซาบังยังเป็นเมืองทางเหนือสุด และตะวันตกสุดของประเทศอินโดนีเซีย",
"อินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 1,826,440 ตารางกิโลเมตร มีประมาณ 17,000 เกาะ พื้นที่กว่า 70% ไม่มีผู้คนอาศัย มีภูเขาสูงตามเทือกเขาที่มีความสูงมากอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ตามบริเวณเขามักมีภูเขาไฟและมีที่ราบรอบเทือกเขา ชายเกาะมีความสูงใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล ทำให้มีที่ราบบางแห่งเต็มไปด้วยหนองบึงใช้ประโยชน์ไม่ได้",
"นิวกินีของเนเธอร์แลนด์ (; ) เป็นชื่อเรียกภูมิภาคปาปัวตะวันตกในช่วงที่มีฐานะเป็นดินแดนโพ้นทะเลของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ พ.ศ. 2492 ถึง พ.ศ. 2505 (ก่อนปี พ.ศ. 2492 ดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์) หลังจากที่อินเดียตะวันออกได้รับเอกราชเป็นประเทศอินโดนีเซียก็ได้เรียกร้องดินแดนส่วนนี้ด้วย แต่เนเธอร์แลนด์ไม่ยินยอมโดยอ้างว่า ชนพื้นเมืองบนเกาะนิวกินีเป็นคนละกลุ่มชาติพันธุ์กับประชากรบนเกาะอื่น ๆ ของอินโดนีเซีย จึงไม่ควรถูกผนวกเข้ากับรัฐอินโดนีเซียที่ตั้งขึ้นใหม่ ส่วนอินโดนีเซียอ้างว่านิวกินีของเนเธอร์แลนด์อยู่ในขอบเขตดินแดนทางธรรมชาติของตน จึงพยายามใช้มาตรการทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศกดดัน รวมทั้งขู่จะบุกยึดครองโดยได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ทำให้เนเธอร์แลนด์ยอมถอนตัวออกไปในที่สุด สหประชาชาติได้เข้ามาบริหารดินแดนนี้ชั่วคราวก่อนจะโอนให้อินโดนีเซียในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2506",
"เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่ประมาณ 4,000,000ตารางกิโลเมตร (1.6ล้านตารางไมล์) มีประชากรมากกว่า 628 ล้านคนในปี พ.ศ. 2558 โดยกว่าหนึ่งในห้า (125ล้านคน) อยู่บนเกาะชวาของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีความหนาแน่นที่สุดในโลก ด้วยความที่ประเทศอินโดนีเซียมีประชากรถึง 230 ล้านคน ทำให้เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมากเป็นอันดับ 4 ของโลก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนาที่จะแตกต่างไปในแต่ละประเทศ มีชาวจีนโพ้นทะเล 30ล้านคน อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ โดยที่เด่นชัดที่สุดคือที่เกาะคริสต์มาส, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และไทย รวมถึงชาวฮั้วในเวียดนาม"
] |
DNAคืออะไร? | [
"กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (English: deoxyribonucleic acid) หรือย่อเป็น ดีเอ็นเอ เป็นกรดนิวคลีอิกที่มีคำสั่งพันธุกรรมซึ่งถูกใช้ในพัฒนาการและการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเท่าที่ทราบ (ยกเว้นอาร์เอ็นเอไวรัส) ส่วนของดีเอ็นเอซึ่งบรรจุข้อมูลพันธุกรรมนี้เรียกว่า ยีน ทำนองเดียวกัน ลำดับดีเอ็นเออื่น ๆ มีความมุ่งหมายด้านโครงสร้าง หรือเกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้ข้อมูลพันธุกรรมนี้ ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอและโปรตีนเป็นหนึ่งในสามมหโมเลกุลหลักที่สำคัญในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทราบ"
] | [
"เครื่องหมายดีเอ็นเอ (DNA Marker) หมายถึง ลำดับเบสช่วงหนึ่งของดีเอ็นเอที่ใช้เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ความเป็นเอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต โดยอาจมีตำแหน่งบนโครโมโซม ในนิวเคลียส (nuclear DNA) หรือใน ออร์แกเนลล์ (mitochondria DNA หรือ chloroplast DNA) และสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้ พืชแต่ละชนิดแต่ละสายพันธุ์ มีการจัดเรียงตัวของนิวคลีโอไทด์ในโมเลกุลของดีเอ็นเอที่เป็นเอกลักษณ์ ความแตกต่างหรือโพลีมอร์ฟิซึม การใช้ดีเอ็นเอเป็นเครื่องหมายในการบ่งบอกความแตกต่างของสิ่งมีชีวิต สามารถทำได้โดยการเปรียบเทียบลักษณะของดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ โดยเทคนิคทางอณูชีววิทยา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า(polymorphisms) ของลำดับเบสในโมเลกุลของดีเอ็นเอนี่เอง ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมีความแตกต่างกัน และสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องหมายโมเลกุลได้ “ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ” (DNA Fingerprinting) ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้น หมายถึง แบบแผนดีเอ็นเอที่จำเพาะของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ นั่นเอง สามารถนำมาตรวจสอบความแตกต่างหรือโพลีมอร์ฟิซึมของสิ่งมีชีวิตหรือสายพันธุ์พืชที่ต้องการตรวจสอบได้",
"ในสารละลายที่เป็นกรด ( pH = 3 ) ในแฮลกอฮอล์หรือในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว ( nonpolar solvent ) DNA สามารถตกตะกอนได้เนื่องจากโมเลกุลมีขนาดใหญ่มากเมื่อไปทำการเซดิเมนต์ โดยใช้แรงเหวี่ยงสูงๆ ในสารละลายที่มีความหนาแน่นต่างกัน (density gradient) สามารถหาความหนาแน่นของ DNA ได้ ความหนาแน่นที่ได้จากวิธีนี้ เรียกว่าความหนาแน่นสำหรับการลอยตัว ( buoyant density ) จากการทดลองพบว่า DNA เส้นเดี่ยวมีความหนาแน่นมากกว่า DNA เส้นคู่ และ DNA ที่มีปริมาณเบสกวานีนกับไซโตซีนสูงมีค่าความหนาแน่นสำหรับการลอยตัวสูงด้วย เนื่องจากเพราะ กวานีนกับไซโทซีนแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไฮโดรเจนถึงสามพันธะ ขณะที่ไทมีนและอะดีนีนแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโฮโดรเจนเพียงสองพันธะ",
"ไดอะตอมไมต์สามารถสกัดเอา DNA ออกมา ในสารเคมีเข้มข้นสูง เมื่อเทียบกับสารจำพวกซิลิเกตอื่นๆ ไดอะตอมสามารถสกัดออกมาได้ทั้ง DNA RNA และสารจำพวกโปรตีน ",
"จีโนมของมนุษย์คือชุดของข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของมนุษย์ ข้อมูลนี้อยู่ในลำดับดีเอ็นเอ(DNA) ซึ่งกระจายอยู่บนโครโมโซม 23 คู่ในนิวเคลียสของเซลล์แต่ละเซลล์ รวมทั้งในโมเลกุล DNA อีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในไมโตคอนเดรีย ข้อมูลในจีโนมของมนุษย์มีทั้ง DNA ส่วนที่จะถูกถอดรหัสเป็นโปรตีน (coding DNA) และส่วนที่จะไม่ถูกถอดรหัสเป็นโปรตีน (noncoding DNA) ครึ่งหนึ่งหรือส่วนที่เป็นแฮพลอยด์ของจีโนมมนุษย์ (พบในเซลล์ไข่หรือเซลล์อสุจิ) มีจำนวนสามพันล้านคู่เบส ในขณะที่จีโนมทั้งหมดหรือดิพลอยด์ของจีโนม (พบในเซลล์โซมาติกทั่วไป) มีจำนวนคู่เบสดีเอ็นเอเป็น 2 เท่า",
"ในกระบวนการถอดรหัสนั้น เอนไซม์ RNAP จะช่วยสังเคราะห์สาย RNA โดยอาศัยสาย DNA เป็นแม่แบบ โดยเริ่มต้นจาก RNAP จะจับเข้ากับสาย DNA ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งแบบหลวมๆ หลังจากนั้นเอนไซม์นี้จะเคลื่อนที่ไปตามสาย DNA เมื่อตรวจพบตำแหน่งบนสายที่เรียกว่าโปรโมเตอร์ (promoter) เอนไซม์ RNAP จะยึดตัวแน่นเข้ากับสาย DNA และคลายเกลียวของ DNA เฉพาะบริเวณนั้นออกจากกันเป็น DNA สายเดี่ยว 2 สาย ทั้งนี้เพื่อให้เบสของแต่ละสายที่จับกันด้วยพันธะไฮโดรเจนแยกออกจากกัน หลังจากนั้น RNAP จะเลือกสายใดสายหนึ่งเป็นสายต้นแบบ (template strand) เพื่อเริ่มต้นทำการสังเคราะห์สาย RNA",
"รูปร่างของ DNA ในสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทแตกต่างกัน เช่น เซลล์โพรคาริโอต ไวรัส แบคทีเรีย รวมทั้งคลอโรพลาสต์และไมโทคอนเดรีย ที่มี DNA เป็นวงแหวนเกลียวคู่ ส่วนในยูคาริโอต มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่อยู่ในนิวเคลียส เรียก nuclear DNA อยู่ในรูปเกลียวคู่ปลายเปิด และชนิดที่อยู่ในไมโทคอนเดรียเรียก Mitochondrial DNA มีลักษณะเป็นวงแหวนเกลียวคู่ และขดตัวเป็นเกลียวคู่ยิ่งยวด ในพืชพบ DNA ทั้งในนิวเคลียสและคลอโรพลาสต์",
"โมเลกุลของเอนไซม์ RNA polymerase ในเซลล์โพรแคริโอต หรือสิ่งมีชีวิตจำพวกแบคทีเรีย จะมีส่วนประกอบ (subunit) ที่เรียกว่า ซิกมาแฟกเตอร์ (sigma factor หรือเขียนแทนด้วยอักษรกรีกว่า σ factor) ทำหน้าที่ในการตรวจจับตำแหน่งของโปรโมเตอร์บนสาย DNA เมื่อตรวจพบแล้ว โมเลกุลของ RNAP จะยึดเข้ากับสาย DNA เพื่อเริ่มทำการถอดรหัส หลังจากนั้นซิกมาแฟกเตอร์จะหลุดออกไป ทั้งนี้ เอนไซม์ RNAP จะทำงานต่อไปจนเสร็จสิ้นการถอดรหัสที่ตำแหน่งเทอร์มิเนเตอร์ หลังจากนั้น RNAP จะปล่อยตัวออกจากสาย DNA และเข้าจับกับซิกมาแฟกเตอร์อิสระเพื่อที่จะได้สามารถเริ่มต้นทำการถอดรหัสได้อีกครั้ง",
"ลดอุณหภูมิลงอย่างช้าๆและใส่ไพร์เมอร์ (Primer, short dna)ลงไปในระบบ เพื่อให้เกิด การเข้าคู่กันของเบส(Complementary base pair)ระหว่าง Primer กับ Template DNA อุณหภูมิที่ใช้อยู่ในช่วง 37-60oc",
"งานวิจัยหนึ่งเสนอว่า การเก็บความจำระยะยาวในมนุษย์อาจจะมีการรักษาไว้โดยกระบวนการ DNA methylation (เป็นกระบวนการชีวเคมีที่เติมกลุ่ม Methyl หนึ่งลงใน cytosine DNA nucleotides หรือ adenine DNA nucleotides)\nหรือผ่านตัวพรีออน",
"Probe ถูกเตรียมขึ้นโดยการ cloning บางส่วนของยีนที่สนใจเข้าไปใน vector ที่มี promoter SP6, T7 or T3 ซึ่งจะถูกจดจำจาก DNA dependent RNA polymerase Probe สามารถเตรียมให้มี radioactive โดยใช้ radioactive UTPs ในการเตรียม ดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอที่ไม่สามารถจับได้ด้วย probe (uncomplemented DNA หรือ RNA) จะถูกตัดโดย nuclease ซึ่งหากเป็น DNA probe จะถูกตัดโดย S1 nuclease แต่ถ้าเป็น RNA probe สามารถเลือกใช้ single-strand-specific ribonuclease ตัวใดก็ได้ โดยอาร์เอ็นเอที่ถูกจับด้วย probe (probe-mRNA complement) สามารถตรวจหาได้โดยใช้ autoradiography",
"แยก Double Helical DNA (Native DNA) ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิอย่างช้าๆจนกลายเป็น Single Stranded DNA (Denatured DNA) อุณหภูมิที่ใช้อยู่ในช่วง 90-95oc",
"ในขั้นตอนทรานสคริปชั่นสิ่งจำเป็นต้องใช้คือ DNA เพียงหนึ่งเส้นจากสองเส้นคู่ที่ไขว้กัน ซึ่งเรียกว่า เกลียวรหัส (coding strand) ทรานสคริปชั่นเริ่มที่เอนไซม์ อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรส (RNA polymerase) เชื่อมต่อกับ DNAตรงตำแหน่งเฉพาะซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เรียกว่า โปรโมเตอร์ (promoter) ขณะที่ อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรส เชื่อมต่อกับโปรโมเตอร์ แถบเกลียว DNA ก็จะเริ่มคลายตัวและแยกออกจากกัน",
"Watsan และ Crick พบว่าโครงสร้างตามธรรมชาติของ DNA ในเซลล์ทุกชนิดเป็นเกลียวคู่ซึ่งมีโครงสร้างที่เสถียรที่สุด โดยมีเบสอยู่ด้านในระหว่างสายของ DNA ทั้ง 2 ในลักษณะที่ตั้งฉากกับแกนหลักและวางอยู่ในระนาบเดียวกัน การที่เบสวางอยู่ในสภาพเช่นนี้ทำให้เบสระหว่างอะดีนีนและไทมีนสามารถเกิดพันธะได้ 2 พันธะ และเบสระหว่างกวานีนกับไซโทซีนเกิดได้ 3 พันธะ ซึ่งการเข้าคู่กันนี้ถ้าสลับคู่กันจะทำให้พลังงานที่ยึดเหนี่ยวไม่เหมาะสมกับการเข้าคู่ เพื่อเกิดเกลียวคู่ของ DNA",
"ในการสังเคราะห์สาย RNA เอนไซม์ RNAP จะค่อยๆ เคลื่อนไปบน DNA สายต้นพร้อมกับคลายเกลียวสาย DNA ไปด้วย ระหว่างนั้น RNAP จะนำไรโบนิวคลีโอไทด์ที่มีเบสที่เข้าคู่กับเบสบนหน่วยย่อยของ DNA สายต้นแบบเข้ามาเชื่อมต่อกันทีละโมเลกุลจนเป็นสาย RNA (ส่วนสาย DNA บริเวณที่ RNAP เคลื่อนที่ผ่านไปแล้วจะกลับมาเป็นเกลียวคู่ตามเดิม) เมื่อ RNAP เคลื่อนไปถึงบริเวณของสาย DNA ที่เรียกว่า เทอร์มิเนเตอร์ (terminator) การสังเคราะห์จะหยุดลง เอนไซม์ RNAP จะแยกตัวออกจากสาย DNA ส่วนสาย RNA ที่สังเคราะห์ได้จะหลุดออกมา",
"เริ่มแรกส่วน glycoprotein ที่ผิวของไวรัสจะจับกับโปรตีนบนเม็ดเลือดขาวอย่างจำเพาะและหลอมรวม envelope เข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดขาวของ host ทำให้ capsid หลุดเข้าสู่ cytoplasm ของ host หลังจากนั้น RNA และเอนไซม์ต่าง ๆ ของ virus จะหลุดออกมาจาก capsid เมื่อเข้ามาสู่ cytoplasm แล้วเอนไซม์ Reverse transcriptase จะเปลี่ยน RNA ของไวรัสให้เป็น DNA โดยใช้ Nucleoside(หรือ nucleotides) ของ host เอง หลังจากนั้น DNA ของไวรัสจะรวมกับ DNA ของ host โดยเอนไซม์ integrase แล้วจะมีการกระตุ้นให้เกิดการ translation ในตำแหน่งที่ DNA ของไวรัสแทรกตัวอยู่ออกมาเป็นโปรตีนสายยาว ๆ ที่ทำหน้าที่ไม่ได้ของไวรัส หลังจากนั้นเอนไซม์ protease จะเข้ามาตัดโปรตีนสายยาวนี้ ทำให้ได้โปรตีนที่พร้อมจะประกอบเป็นตัวไวรัสตัวใหม่ขึ้น",
"ในชีววิทยาโมเลกุลและชีวเคมีนั้น รีเวิร์สแทรนสคริปเทส () เป็นเอนไซม์ DNA polymerase ที่ถอดรหัส single-stranded RNA ให้เป็น double-stranded DNA นอกจากนั้นยังช่วยสร้าง double helix DNA หลังจากที่ RNA ถูก reverse transcribed ให้เป็น single stranded cDNA แล้วด้วย",
"ด้านนอกสุดเป็นเปลือกหุ้มเรียกว่า envelope มีโครงสร้างแบบ lipid bilayer ซึ่งเป็น plasma membrane ของ host cell และมี envelope glycoprotein กระจายอยู่ลักษณะเป็นปุ่มยื่นออกมาโดยรอบเรียกว่า surface protein (gp 120) ส่วน core ประกอบด้วย capsid protein (gp 24) และมี RNA โดย RNA จะเป็น 2 copies ที่เหมือนกันอยู่ในไวรัสตัวเดียวกัน นอกจากนี้ภายใน capsid ยังประกอบด้วยเอนไซม์ต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่ Reverse transcriptase(ทำหน้าที่เปลี่ยน RNA ของไวรัสเป็น DNA), integrase (ทำหน้าที่รวม DNA virus เข้ากับ DNA host) และ protease(ทำหน้าที่ตัดสายโปรตีนเพื่อให้เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ของไวรัส)",
"Chromatin is the complex of DNA and protein found in the eukaryotic nucleus, which packages chromosomes. The structure of chromatin varies significantly between different stages of the cell cycle, according to the requirements of the DNA.",
"การทดลองเฮอร์ชีย์–เชส () เป็นชุดของการทดลองที่ทำขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1952 โดยอัลเฟรด เฮอร์ชีย์และมาร์ธา เชส ซึ่งช่วยยืนยันว่า DNA คือสารพันธุกรรม แม้นักวิทยาศาสตร์จะรู้จัก DNA มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1869 แต่ในสมัยนั้นก็ยังเชื่อกันว่าสารพันธุกรรมที่เก็บข้อมูลในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนั้นเป็นโปรตีน ในการทดลองนี้ เฮอร์ชีย์และเชสได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อแบคเทริโอเฟจเข้าเกาะแบคทีเรียแล้ว DNA ของแบคเทริโอเฟจจะถูกส่งเข้าไปในแบคทีเรีย แต่โปรตีนที่เป็นเปลือกหุ้มนั้นไม่ถูกส่งเข้าไป",
"Robert Olby; 'Wilkins, Maurice Hugh Frederick (1916–2004), Oxford Dictionary of National Biography, online edn, Oxford University Press, Jan 2008 Robert Olby; \"Francis Crick: Hunter of Life's Secrets\", Cold Spring Harbor Laboratory Press, ISBN 978-0-87969-798-3, published in August 2009. John Finch; 'A Nobel Fellow On Every Floor', Medical Research Council 2008, 381 pp, ISBN 978-1-84046-940-0; this book is all about the MRC Laboratory of Molecular Biology, Cambridge Robert Olby; \"The Path to The Double Helix: Discovery of DNA\"; first published in October 1974 by MacMillan, with foreword by Francis Crick; ISBN 0-486-68117-3; the definitive DNA textbook, revised in 1994, with a 9 page postscript. Horace Freeland Judson, \"The Eighth Day of Creation. Makers of the Revolution in Biology\"; CSHL Press 1996 ISBN 0-87969-478-5. Watson, James D. The Double Helix: A Personal Account of the Discovery of the Structure of DNA; The Norton Critical Edition, which was published in 1980, edited by Gunther S. Stent:ISBN 0-393-01245-X. Chomet, S. (Ed.), D.N.A. Genesis of a Discovery, 1994, Newman- Hemisphere Press, London; NB a few copies are available from Newman-Hemisphere at 101 Swan Court, London SW3 5RY (phone: 07092 060530). Maddox, Brenda, Rosalind Franklin: The Dark Lady of DNA, 2002. ISBN 0-06-018407-8. Sayre, Anne 1975. Rosalind Franklin and DNA. New York: W.W. Norton and Company. ISBN 0-393-32044-8. Wilkins, Maurice, The Third Man of the Double Helix: The Autobiography of Maurice Wilkins ISBN 0-19-860665-6. Crick, Francis, 1990. What Mad Pursuit: A Personal View of Scientific Discovery (Basic Books reprint edition) ISBN 0-465-09138-5 Watson, James D., The Double Helix: A Personal Account of the Discovery of the Structure of DNA, Atheneum, 1980, ISBN 0-689-70602-2 (first published in 1968) Krude, Torsten (Ed.) DNA Changing Science and Society: The Darwin Lectures for 2003 CUP 2003, includes a lecture by Sir Aaron Klug on Rosalind Franklin's involvement in the determination of the structure of DNA. Ridley, Matt; \"Francis Crick: Discoverer of the Genetic Code (Eminent Lives)\" was first published in June 2006 in the US and then in the UK September 2006, by HarperCollins Publishers; 192 pp, ISBN 0-06-082333-X; this short book is in the publisher's \"Eminent Lives\" series. \"Light Is A Messenger, the life and science of William Lawrence Bragg\" by Graeme Hunter, ISBN 0-19-852921-X; Oxford University Press, 2004. \"Designs For Life: Molecular Biology After World War II\" by Soraya De Chadarevian; CUP 2002, 444 pp; ISBN 0-521-57078-6; it includes James Watson's \"well kept open secret\" from April 2003! Tait, Sylvia & James \"A Quartet of Unlikely Discoveries\" (Athena Press 2004) ISBN 1-84401-343-X",
"ต่อไปเป็นกระบวนการที่สองที่เรียกว่า อีลองเกชั่น (elongation) อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรสจะเคลื่อนตัวตลอดแนวแถบเกลียว DNA เพื่อสำเนารหัส DNAและได้เป็นแถบเกลียวรหัสที่เรียกว่าเมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ (messengerRNA หรือ mRNA)นิวคลิโอไทด์ ซึ่งมีรหัสข้อมูลตรงข้ามกับ DNA",
"ใส่ DNA polymerase ลงไปในระบบ เพื่อให้เกิดการสังเคราะห์ DNA สายใหม่ อุณหภูมิที่ใช้อยู่ในช่วง 72-75oc",
"การจำลองตัวเองของดีเอ็นเอ (DNA replication) เป็นกระบวนการทางชีววิทยาที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเพื่อจำลองดีเอ็นเอของตนเอง กระบวนการนี้เริ่มจากดีเอ็นเอสายเดี่ยวสร้างดีเอ็นเออีกสายที่เป็นคู่สมของตนจนกลายเป็นดีเอ็นเอเกลียวคู่ กระบวนการเป็นแบบกึ่งอนุรักษ์ (semiconservative replication) มีการตรวจสอบความถูกต้องของกระบวนการเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์\nการจำลองตัวเองในยูคาริโอตมีความซับซ้อนกว่า โดยจุดเริ่มต้นนั้นจะมีโปรตีนที่จดจำตำแหน่งนี้โดยเฉพาะเข้ามากระตุ้นให้ดีเอ็นเอคลายตัว DNA polymerase มีหลายชนิด โดยในนิวเคลียสใช้ DNA polymerase α และ DNA polymerase δ โดย DNA polymerase α ทำหน้าที่คล้าย DNA polymerase III ในโปรคาริโอต DNA polymerase δ ทำหน้าที่คล้ายหน่วยเบตาของ DNA polymerase III และ DNA polymerase ε ทำหน้าที่คล้าย DNA polymerase I ในโปรคาริโอต การสิ้นสุดเรพลิเคชันในยูคาริโอต เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โครงสร้างพิเศษที่เรียกเทโลเมียร์ที่ตอนปลายของโครโมโซม",
"เป็นที่รู้กันดีว่ายาปฏิชีวนะในกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์อย่างนีโอมัยซินนั้นมีความสามารถจับกับอาร์เอ็นเอสายคู่ได้ด้วยความจำเพราะที่ค่อนข้างสูง[24] โดยค่าคงที่การแตกตัว (dissociationconstant,Kd) ของนีโอมัยซินต่อตำแหน่ง A-site บนอาร์เอ็นเออยู่ที่ช่วงประมาณ109M−1[25] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีการค้นพบนีโอมัยซินมาเป็นระยะเวลามากกว่า50ปี กลไกการจับกับดีเอ็นเอของนีโอมัยซินนั้นก็ยังไม่สามารถทราบได้แน่ชัดเท่าใดนัก โดยพบว่านีโอมัยซินนั้นมีผลเพิ่มการคงสภาพทางความร้อนของTriple-stranded DNA โดยไม่มีผลหรือมีผลบ้างเล็กน้อยต่อการคงสภาพของ B-DNA duplex[26] นอกจากนี้นีโอมัยซินยังมีความสามารถจับกับโครงสร้างอื่นที่คล้ายกับโครงสร้างA-DNAได้ ซึ่ง triplex DNA ก็เป็นหนึ่งในโครงสร้างเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นีโอมัยซินยังสามารถเข้าจับเป็นสารประกอบเชิงซ้อนกับสารพันธุกรรมระหว่างการก่อตัวสายผสมสามสายของDNAและRNA (DNA:RNA hybrid triplex formation) ได้[27]",
"During mitosis, microtubules grow from centrosomes located at opposite ends of the cell and also attach to the centromere at specialized structures called kinetochores, one of which is present on each sister chromatid. A special DNA base sequence in the region of the kinetochores provides, along with special proteins, longer-lasting attachment in this region. The microtubules then pull the chromatids apart toward the centrosomes, so that each daughter cell inherits one set of chromatids. Once the cells have divided, the chromatids are uncoiled and DNA can again be transcribed. In spite of their appearance, chromosomes are structurally highly condensed, which enables these giant DNA structures to be contained within a cell nucleus (Fig. 2).",
"โมเลกุลของ DNA มีลักษณะยาวมากเมื่อเทียบกับเส้นผ่าศูนย์กลาง มีผลทำให้สารละลายของ DNA มีความข้นเหนียวอย่างมาก แม้จะมี DNA ในปริมาณความเข้มข้นต่ำ ๆ",
"ในพันธุศาสตร์ complementary DNA หรือ cDNA คือ ดีเอ็นเอที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นโดยใช้เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) เป็นต้นแบบโดยอาศัยเอนไซม์ reverse transcriptase และ DNA polymerase\ncDNA มักใช้สำหรับ clone ยีนของยูคาริโอตเข้าไปในโปรคาริโอต เมื่อนักวิทยาศาสตร์ต้องการให้มีการแสดงออกของโปรตีนที่ปกติจะไม่มีการแสดงในเซลล์นั้น พวกเขาสามารถนำ cDNA เข้าไปยังเซลล์ตัวรับ (recipient cell) ซึ่งจะทำให้เซลล์สามารถให้ (code) โปรตีนชนิดนั้นได้ นอกจากนี้ cDNA ยังสามารถสร้างขึ้นโดย retrovirus เช่น HIV-1, HIV-2, Simian Immunodeficiency Virus ซึ่งสามารถเข้าไปแทรกตัว (integrate) เข้าไปยัง host เพื่อสร้าง provirus อีกด้วย",
"การหาลำดับ DNA คือกระบวนการที่ทำขึ้นเพื่อหาลำดับของนิวคลีโอไทด์ในโมเลกุล DNA อย่างแม่นยำ ได้แก่ A(adenine) G(guanine) C(cytosine) และ T(thymine) ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิกที่ทำให้การหาลำดับ DNA ทำได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ทางชีววิทยาและการแพทย์อย่างรวดเร็วก้าวกระโดด",
"ยีนอยู่บนโครโมโซมที่มีอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นยูคาริโอต และอยู่บน DNA ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นโพรแคริโอต เนื่องจากยีนเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโครโมโซม ดังนั้นยีนขึ้นอยู่บนโครโมโซม",
"DNA () พบในนิวเคลียสของเซลล์และไวรัสบางชนิด เป็นสารพันธุกรรม ในธรรมชาติส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปเกลียวคู่ (Double stranded DNA) DNA ที่อยู่ในเซลล์มีจำนวนมากมักมีโครโมโซมเรียงตัวกันเป็นคู่หรือดิพลอยด์ มักพบบริเวณภายในนิวเคลียสของเซลล์"
] |
สุจิตต์ วงษ์เทศ เกิดเมื่อใด ? | [
"สุจิตต์ วงษ์เทศ (20 เมษายน พ.ศ. 2488 - ปัจจุบัน) นักเขียนรางวัลศรีบูรพา ประจำปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันเป็นนักเขียนประจำในเครือมติชน เขียนเป็นประจำในคอลัมน์ \"สยามประเทศไทย\" ในหนังสือพิมพ์มติชน และผู้บรรยาย องค์ปาฐกถาพิเศษด้านศิลปะวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ประจำปี พ.ศ. 2545 (แต่ได้ขอปฏิเสธรางวัลและค่าตอบแทน)"
] | [
"สำหรับประวัติของอาหารชนิดนี้ ไม่มีหลักฐานแน่นชัดที่บอกถึงจุดกำเนิดของอาหารชนิดนี้ แต่อาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศได้เขียนถึง \"ต้มยำกุ้ง\" ไว้ว่า\n“เมื่อรับข้าวเจ้าจากอินเดียเข้ามาพร้อมกับการค้าทางทะเลอันดามันและศาสนาพราหมณ์-พุทธทำให้ “กับข้าว”เปลี่ยนไปเริ่มมี “น้ำแกง” เข้ามาหลากหลาย ทั้งแกงน้ำข้นใส่กะทิแบบอินเดียกับแกงน้ำได้แบบจีน“",
"D.G.E. Hall. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, [ม.ป.ป.]. สุจิตต์ วงษ์เทศ. คนไทยมาจากไหน?. กรุงเทพฯ: มติชน, 2548. จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และ ลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. กรุงเทพฯ: ศยาม, 2519.",
"นายสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นกวีร่วมสมัยที่ร่วมสร้างสรรค์วัฒนธรรมทางวรรณศิลป์ของไทยผู้หนึ่ง บทกวีของนายสุจิตต์ วงศ์เทศ ปรับประยุกต์ขนบวรรณศิลป์พื้นบ้านมาสะท้อนและวิพากษ์วิจารณ์วิถีชีวิตของผู้คน สังคม และการเมืองร่วมสมัย ด้วยท่วงทำนองเรียบง่ายแต่เฉียบคม นายสุจิตต์ วงษ์เทศ พิสูจน์ให้เห็นว่ากวีนิพนธ์สามารถสื่อเนื้อหาทางสังคมและการเมืองร่วมสมัยได้อย่างทรงพลัง นายสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นปฏิภาณกวีผู้เชี่ยวชาญในการด้นกลอนเสภา อีกทั้งผสมผสานมรดกทางวรรณศิลป์ของไทยตั้งแต่วรรณคดีโบราณ เพลงพื้นบ้านต่าง ๆ ประวัติศาสตร์ โบราณคดีและตำนาน เพื่อนำมาเสนอเรื่องราวร่วมสมัย กวีนิพนธ์จำนวนมากนำเสนอวิถีชีวิตของสามัญชนชาวไทยที่ยากลำบาก แต่ก็ยังต่อสู้ดิ้นรนและมีความรักประเทศชาติและผืนแผ่นดิน จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ประจำปี พ.ศ. 2545",
"ไทยน้อยไทยใหญ่ ไทยสยาม แต่งร่วมกับศรีศักร วัลลิโภดม กรุงเทพฯ มาจากไหน แต่งร่วมกับศรีศักร วัลลิโภดม ฯลฯ หนังสือเรียนสังคมศึกษา แต่งร่วมกับศรีศักร วัลลิโภดม และพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ลาว 10 ปี หลังปฏิวัติ แต่งร่มกับชาญวิทย์ เกษตรศิริ",
"สุจิตต์ วงษ์เทศให้คำอธิบายว่าศาลพระกาฬในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้เป็นแบบอย่างในการสร้างเทวสถานโบสถ์พราหมณ์และเสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารในกรุงเทพมหานครด้วย",
"เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2515 เดินทางกลับมาทำงานที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันตามเดิม แล้วออกมาพร้อมกับนายขรรค์ชัย บุนปาน และนายเสถียร จันทิมาธร ไปทำงานที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายวันระยะหนึ่ง แล้วร่วมกับนายขรรค์ชัย บุนปาน ก่อตั้ง<b data-parsoid='{\"dsr\":[5377,5397,3,3]}'>โรงพิมพ์พิฆเนศ กระทั่งหลัง 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จึงเริ่มออกหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายสัปดาห์ ซึ่งต่อมาเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[5490,5511,3,3]}'>ประชาชาติรายวัน โดยนายสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นบรรณาธิการในระยะแรก แต่ถูกสั่งปิดในระยะต่อมา จึงไปช่วยก่อตั้งสำนักพิมพ์การเวกจัดพิมพ์หนังสือต่าง ๆ ออกจำหน่าย จากนั้นได้ก่อตั้งโรงพิมพ์เรือนแก้วเป็นของตัวเอง ออก<b data-parsoid='{\"dsr\":[5707,5737,3,3]}'>หนังสือการะเกดรายสัปดาห์ ก็เลิกล้มไปอีก จนกระทั่ง พ.ศ. 2522 ริเริ่มทำนิตยสารศิลปวัฒนธรรมรายเดือน ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากผู้อ่านกว้างขวาง จึงรับหน้าที่บรรณาธิการเรื่อยมา จนภายหลังได้มอบหมายให้นายฐากูร บุนปาน ทำหน้าที่นี้แทน ขณะเดียวกันก็เขียนบทความแนวประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมในนามจริง สุจิตต์ วงษ์เทศ และใช้นามปากกา \"ทองเบิ้ม บ้านด่าน\" ไปพร้อม ๆ กับงานร้อยกรอง ด้วยความรักในกาพย์ กลอน นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ยังคงสร้างผลงานกวีนิพนธ์ร่วมสมัยสะท้อนสภาพสังคมเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นบทกลอนสั้น ๆ ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันประจำทุกวันอาทิตย์จนถึงปัจจุบัน",
"อย่างไรก็ตามได้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีตัวตนจริงของนางนพมาศ มีนักประวัติศาสตร์หลายท่าน อาทิ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, นิธิ เอียวศรีวงศ์ และสุจิตต์ วงษ์เทศ เห็นว่าเรื่องนางนพมาศนั้นเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้นเอง",
"สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เสนอในบทความ \"คนไทยไม่ได้มาจากไหน\" ว่า คนไทยได้อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยเกิดจากการรวมตัวกันของแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนเป็นประเทศเดียวกัน เนื่องจากวัฒนธรรมพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน และการที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียเหมือนกัน โดยถือว่าคนที่พูดภาษาที่คล้ายคลีงกันเป็นบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดพัฒนาการมาเป็นคนไทยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ประชาชนเหล่านี้ไม่ค่อยมีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติ แต่เน้นไปทางแว่นแคว้นมากกว่า",
"สุจิตต์ เป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 6 คน สมรสกับศาสตราจารย์ ปรานี วงษ์เทศ (สกุลเดิม: เจียรดิษฐ์อาภรณ์) เมื่อ พ.ศ. 2514 มีบุตร 2 คน",
"มุกหอม วงศ์เทศ นักเขียนชาวไทย เป็นบุตรสาวคนโตของสุจิตต์ วงษ์เทศและปราณี วงษ์เทศ จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทเรื่อง \"The sound of a society and the fury of the Ivory Tower: reflections on the Ram Khamhaeng controversy\" (1999) ซึ่งศึกษาข้อถกเถียงเกี่ยวกับศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ \"Intellectual might national Myth: A forensic investigation of the Ram Khamhaeng Controversy\" โดยสำนักพิมพ์มติชน",
"ท้าวอินทรสุเรนทร หรือสะกดว่า อินทรสุเรนทร์ หรือ อินสุเรน สุจิตต์ วงษ์เทศได้สันนิษฐานว่าเป็นสนมจากราชวงศ์สุพรรณภูมิ ตัวแทนของทิศตะวันตก ด้วยแคว้นสุพรรณภูมิตั้งอยู่ทางตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานจากคำว่า \"อินทร์\" ซึ่งแพร่หลายในแคว้นสุพรรณภูมิ เช่นพระมหากษัตริย์ที่มาจากสุพรรณภูมิก็ว่า สมเด็จพระอินทราชา หรือ เจ้านครอินทร์, เจ้าเมืองเพชรบุรีและชัยนาทซึ่งอยู่ในปริมณฑลของแคว้นสุพรรณภูมิก็มีตำแหน่งว่า ออกพระศรีสุรินทฤๅไชย และออกพระสุรบดินสุรินทฤๅไชย ตามลำดับ ก็จะเห็นได้ว่ามาจากคำ \"สุร+อินทร\" เหมือนกัน ",
"สุจิตต์ วงษ์เทศ นามปากกา ทองเบิ้ม บ้านด่าน",
"ขุนเดช เป็นบทประพันธ์ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ในปี พ.ศ. 2512 เป็นการรวมเรื่องสั้น เคยสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์มาแล้วรวม 3 ครั้ง และในครั้งที่ 3 ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2555 ทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้นำกลับมาทำเป็นละครโทรทัศน์อีกครั้ง ซึ่งได้ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2555 - 28 มิถุนายน 2555 ผลิตโดย บริษัท พอดีคำ จำกัด",
"Van Vliet, Jeremias, \"Description of the Kingdom of Siam\" (L.F. Van Ravenswaay trans.) (1692). Liberman, Victor, \"Strange Parallel Southeast Asia in Global Context c. 800 - 1830, Vol. 1: Integration on the Mainland\" (Cambridge Univ. Press, 2003). โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ. นิโกลาส์ แชรแวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) , แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร:ก้าวหน้า, 2506 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด).พระนคร:คลังวิทยา, 2507 บาทหลวงตาชารด์, แปล สันต์ ท. โกมลบุตร. จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, 2517 สุจิตต์ วงษ์เทศ. อักษรไทยมาจากไหน?. กรุงเทพฯ:มติชน, 2548. ISBN 974-323-547-7 เซอร์จอห์น เบาริง, แปล นันทนา ตันติเวสส์. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสยามกับต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, 2527 บังอร ปิยะพันธุ์. ลาวในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2541. ISBN 974-86304-7-1 สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?. กรุงเทพฯ:มติชน, 2548. ISBN 974-323-436-5",
"หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดปราจีนบุรี หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย หมวดหมู่:ศิลปินแห่งชาติ หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยศิลปากร หมวดหมู่:บุคคลจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จ.ภ.",
"เมื่อเรียนจบปริญญาตรี เมื่อพ.ศ. 2513 ได้เข้าทำงานกับ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ทำงานแทนบรรณาธิการเกือบทุกอย่างประมาณ 1 ปี จึงขอลาไปสหรัฐอเมริกา 1 ปีเศษ ทำงานเขียนหนังสืออย่างเดียว มีผลงานรวมเรื่องสั้นพิมพ์เผยแพร่ในช่วงนี้ชุดหนึ่ง ชื่อ มุกหอมบนจานหยก เรื่องที่ส่งกลับมาลงพิมพ์ในสยามรัฐรายวัน และเรื่องที่เขียนให้นายสุทธิชัย หยุ่น แปลเป็นภาษาอังกฤษลงในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นนั้น ได้รวมพิมพ์ชื่อ เมดอิน ยูเอสเอ และ โง่เง่าเต่าตุ่นเมดอิน ยูเอสเอ ช่วงที่อยู่สหรัฐอเมริกาได้แต่งงานกับนางสาวปรานี เจียรดิษฐ์อาภรณ์ (รองศาสตราจารย์ปรานี วงษ์เทศ) ซึ่งกำลังศึกษาปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา",
"มีการกล่าวถึง \"ท้าวศรีจุฬาลักษณ์\" ใน\"โคลงกำสรวลสมุทร\" และ \"โคลงทวาทศมาส\" ถือเป็นนางในนิราศที่ได้รับเกียรติยกย่องอย่างสูง สุจิตต์ วงษ์เทศสันนิษฐานว่าเป็นพระราชนิพนธ์กษัตริย์อยุธยาพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ ว่าน่าจะเป็นของสมเด็จพระบรมราชาที่ 3",
"นายสุจิตต์ วงษ์เทศ นับเป็นกวีที่มีผลงานโดดเด่นด้วยการนำรูปแบบของร้อยกรองพื้นบ้าน มาปรับให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน มีผลงานหลากหลายอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 40 ปี ได้แก่",
"สุรชัยเกิดที่อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2491 ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายเขมร เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของนายยุทธและนางเล็ก จันทิมาธร มีชื่อเล่นว่า \"หงา\" ซึ่งเป็นภาษาเขมรมีความหมายถึง เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่น่ารัก (มีชื่อเดิมว่า องอาจ จันทิมมาธร แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สุรชัย ตามชื่อของสุรชัย ลูกสุรินทร์ นักมวยไทยที่มีชื่อเสียงที่สุรชัยชื่นชอบ) \nอูซ้บ (น้าหงา\nบิดารับราชการเป็นครูใหญ่โรงเรียนรัตนบุรี ดังนั้นจึงเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านของสุรชัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ ที่เมื่อโตขึ้นมาได้เข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อเรียนต่อในด้านศิลปะที่วิทยาลัยช่างศิลป์ และได้รู้จักกับนักคิด นักเขียนคนอื่น ๆ ที่ต่อมากลายมาเป็นนักเขียนชั้นแนวหน้าคนอื่น ๆ ของประเทศ เช่น สุวรรณี สุคนธา, สุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นต้น ซึ่งการเป็นนักเขียนของสุรชัยเริ่มต้นขึ้นที่นี่",
"กรณีนี้ สุจิตต์ วงษ์เทศ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ให้ความเห็นว่า บุคคลที่เป็นไทยสยามในทุกวันนี้ ไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ หากแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการผสมกับกลุ่มชนพื้นเมืองและต่างถิ่น โดย สุจิตต์ ให้ความเห็นว่า หากจะศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ต้องเลาะเส้นเขตแดนออกจากแผนที่เสียก่อน เพราะในอดีต ผู้คนมีการติดต่อสัญจรถึงกันโดยตลอด และเกิดพัฒนาการทางสังคมสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น ไทยสยามจึงไม่ใช่ชาติพันธุ์ที่บริสุทธิ์ ที่อพยพลงมาจากเทือกเขาอัลไต หรือยูนนาน หรือหมู่เกาะทะเลใต้ อย่างที่นักวิชาการสายชาตินิยม หรือตำราเรียนสังคมศึกษา กล่าวไว้",
"สุจิตต์ วงษ์เทศ เริ่มสนใจงานเขียนมาตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ด้วยการชักชวนของนายขรรค์ชัย บุนปาน เพื่อนร่วมห้องซึ่งทำหนังสือประจำห้องอยู่ก่อนแล้วด้วยใจรักและด้วยความสนุกร่วมกับนายเรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ เพื่อนในชั้นเรียนอีกคนหนึ่ง ชักชวนกันเขียนกลอน ช่วงนั้นได้อ่านหนังสือของไม้ เมืองเดิม เกิดความชอบใจสำนวนโวหาร จึงคิดเขียนกลอนที่แตกต่างจากกลอนรักที่นิยมเขียนกันทั่วไป คือ เขียนกลอนแนวลูกทุ่งสะท้อนสภาพสังคมวัฒนธรรมในขณะนั้น จนมีผลงานรวมพิมพ์เป็นเล่ม ร่วมกับผลงานของนายขรรค์ชัย บุนปาน ชื่อ นิราศ เมื่อ พ.ศ. 2507 โดยสุจิตต์ เขียนนิราศเมืองนนท์ ส่วนกลอนลูกทุ่ง เขียนร่วมกัน ต่อมา พ.ศ. 2508 เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ คนบาป ซึ่งเป็นปฐมบทของพฤติกรรม \"ขุนเดช\" ผู้หวงแหนโบราณวัตถุและโบราณสถาน ลงพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2509 ทำให้มีกำลังใจเขียนเรื่องสั้นต่ออีกมาก จน พ.ศ. 2511 มีรวมเรื่องสั้นเล่มแรกร่วมกับนายขรรค์ชัย บุนปาน ชื่อ ครึ่งรักครึ่งใคร่ และโด่งดังมากใน พ.ศ. 2512 จากผลงานร้อยกรองร่วมกับนายขรรค์ชัย บุนปาน ชื่อ กูเป็นนิสิตนักศึกษา และรวมเรื่องสั้นของตนเอง ชื่อ ขุนเดช กับนวนิยายขนาดสั้น หนุ่มหน่ายคัมภีร์ ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกว้างขวาง โดยเฉพาะรวมเรื่องสั้นชุดขุนเดช มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์อีกด้วย ในช่วงที่เรียนคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร นอกจากจะประพันธ์ร้อยกรองและเรื่องสั้นกับเพื่อนๆ นักเขียนกลุ่ม \"หนุ่มเหน้าสาวสวย\" จนโด่งดังแล้ว ยังได้ไปทำนิตยสารช่อฟ้า ที่มีนายสำราญ ทรัพย์นิรันดร์ เป็นบรรณาธิการ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ เคยรับหน้าที่บรรณาธิการ<b data-parsoid='{\"dsr\":[3990,4010,3,3]}'>วารสารโบราณคดี และได้ทำงานที่<b data-parsoid='{\"dsr\":[4025,4047,3,3]}'>โรงพิมพ์กรุงสยาม รับจ้างพิสูจน์อักษร ออกแบบปก จัดทำรูปเล่มและทำงานการพิมพ์อื่น ๆ เกือบทุกอย่าง ทำให้รอบรู้และมีรายได้ส่งเสียตัวเองและน้องสาวที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ด้วย เนื่องจากนายสุจิตต์ วงษ์เทศ เคยอ่านวรรณคดีโบราณ เช่น ทวาทศมาส ยวนพ่าย กำสรวลโคลงดั้น ฯลฯ มามาก จึงได้รับการขอร้องจากอาจารย์ให้เป็นผู้สอนวิชาภาษาและวรรณคดีไทยในคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 และสอนต่อเนื่องมาจนจบการศึกษาแล้วก็ยังกลับไปสอนอีกระยะหนึ่ง",
"คนเรา เคยเชื่อกันว่ากาพย์เป็นคำประพันธ์ที่ดัดแปลงมาจากฉันท์ แต่สำหรับ กาพย์ฉบัง นี้ไม่ปรากฏว่ามาจากฉันท์ชนิดใด และไม่เหมือนกาพย์ชนิดใดในตำรากาพย์ ขณะที่สุจิตต์ วงษ์เทศ ระบุว่ากาพย์ฉบังเป็นฉันทลักษณ์เขมร โดย ฉบัง มีรากจากคำเขมรว่า “จฺบำง” หรือ “จํบำง” (ไทยใช้ว่า จำบัง) แปลว่า รบ, สงคราม แต่กวีเขมรบรรยายฉากสงคราม, เคลื่อนทัพ, สู้รบ ด้วยฉันทลักษณ์ที่เขมรเรียกบทพํโนล(ปุมโนล) แล้วไทยเรียกฉบัง",
"สุจิตต์ วงษ์เทศ เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดต้นโพธิ์ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี จนจบชั้นประถมปีที่ 4 จากนั้นได้ย้ายตามลูกของลุงที่บวชเป็นพระมาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม กรุงเทพมหานคร แล้วเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 ที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ กรุงเทพมหานคร แล้วไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 แผนกวิทยาศาสตร์ ที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ต่อมาได้ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 จากนั้นได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร จนสำเร็จปริญญาตรีใน พ.ศ. 2513 โดยใช้เวลาศึกษาถึง 7 ปี จากระยะเวลา 4 ปี ของหลักสูตรการศึกษา[1] ซึ่งสุจิตต์เล่าว่าตนเองนั้นสอบตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งอาจารย์ถึงกับเบื่อหน่าย และนั่นเองเป็นเหตุที่ทำให้สุจิตต์มีความรู้แน่นและลึกมากๆเกียวกับประวัติศาสตร์ไทย โบราณคดี ถึงแม้จะศึกษาถึงเพียงแค่ปริญญาตรีเท่านั้น",
"สุจิตต์ วงษ์เทศ ศิลปินแห่งชาติ ได้วิเคราะห์และตีความเรื่องพระอภัยมณีไว้ในหนังสือ สุนทรภู่ เกิดวังหลัง ผู้ดีบางกอก มหากวีกระฎุมพี มีวิชารู้เท่าทันโลกและชีวิต ว่า พระอภัยมณีเป็นวรรณคดีการเมืองที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในขณะนั้น แต่สุนทรภู่ใช้กลวิธีแต่งเป็นนิทานกลอนปกปิดไว้อย่างแนบเนียน สามารถเห็นได้จากการที่ตัวละครเอกของเรื่องอย่างพระอภัยมณีที่ใช้ปี่ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งหมายความว่าให้แก้ปัญหาด้วยสติปัญญาและสันติภาพนั่นเอง[13]",
"สุจิตต์ วงษ์เทศ เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2488 ที่บ้านด่าน ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ (โคกปีบ) จังหวัดปราจีนบุรี บิดาชื่อ สำเภา วงษ์เทศ เป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านด่าน มารดาชื่อลิ้นจี่ วงษ์เทศ",
"ณรงค์ จันทร์เรือง ในกลุ่ม \"หนุ่มเหน้าสาวสวย\" มีสมาชิกในกลุ่ม เช่น ขรรค์ชัย บุนปาน สุจิตต์ วงษ์เทศ สุวรรณี สุคนธา",
"หลังออกจากป่า ได้ร่วมกับ นายขรรค์ชัย บุนปาน นายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร และ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน โดยดำรงตำแหน่งบรรณาธิการอำนวยการ หนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด รวมทั้งมีตำแหน่งบริหารในหนังสือฉบับอื่นๆ ในเครือ และเป็นคอลัมนิสต์เขียนบทวิเคราะห์การเมือง คอลัมน์ \"วิภาคแห่งวิพากษ์\" ในมติชนรายวัน หน้า 3 โดยใช้นามปากกาที่ไม่เปิดเผย",
"ธีรยุทธ บุญมี เกิดในครอบครัวที่ยากจน มีบิดาเป็นทหาร เขารับศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยชื่อนายฉิม บุญมี มารดาชื่อนางสมจิตร บุญมี มีนิสัยรักการอ่านมาแต่เด็ก หัวดี และเรียนเก่ง มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ ด้วยความสนใจเขาได้เขียนนิยายวิทยาศาสตร์ส่งนิตยสารอย่างวิทยาสารและชัยพฤกษ์ตอนอยู่ ม.ศ. 4-5 เขารู้จักกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เช่น ศ.ดร. ระวี ภาวิไล ซึ่งเป็นรุ่นพี่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และ ศ.ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต และได้มีโอกาสสนทนากับนักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง ส่วนด้านงานเขียนเขาก็สนิทสนมคลุกคลีกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ และ เสถียร จันทิมาธร ซึ่งเป็นนักเขียนแถวสยามรัฐ",
"ผลงานแต่งร่วมกับผู้อื่น ได้แก่"
] |
มหาลัยออกฟอร์ดตั้งอยู่ที่ประเทศใด ? | [
"มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (English: University of Oxford หรือ Oxford University) หรือเรียกอย่างง่าย ๆ ว่า ออกซฟอร์ด เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยซึ่งตั้งอยู่ในเมืองออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานประวัติการก่อตั้งที่แน่นอน แต่มีหลักฐานว่าได้เริ่มสอนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1096[1] ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดที่ยังเปิดสอนเป็นอันดับสอง[1][11] ออกซฟอร์ดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1167 เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 2 ทรงห้ามมิให้นักศึกษาชาวอังกฤษไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปารีส[1] ภายหลังจากการพิพาทระหว่างนักศึกษาและชาวเมืองออกซฟอร์ดในปี ค.ศ. 1206 นักวิชาการบางส่วนได้หนีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่เมืองเคมบริดจ์ ซึ่งพวกเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ขึ้น[12] ทั้งสอง\"มหาวิทยาลัยโบราณ\"มักจะถูกเรียกว่า\"ออกซบริดจ์\""
] | [
"เมื่อสุลต่านสุลัยมานเสด็จสวรรคตจักรวรรดิออตโตมันเป็นจักรวรรดิที่มีอำนาจทางการทหารอย่างที่ไม่มีประเทศใดเทียบได้ การเศรษฐกิจที่รุ่งเรือง และแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาล ดินแดนที่ทรงได้รับจากชัยชนะที่เข้ามาอยู่ในการปกครองของพระองค์คือเมืองสำคัญ ๆ ของศาสนาอิสลาม รวมทั้ง เมกกะ เมดินา เยรูซาเลม ดามัสกัส และ แบกแดด) ; เมืองในบริเวณคาบสมุทรบอลข่าน ไปจนถึงออสเตรียปัจจุบัน; และทางตอนเหนือของแอฟริกาเหนือ การขยายดินแดนของพระองค์ในยุโรปทำให้จักรวรรดิออตโตมันเข้ามามีอำนาจในยุโรปซึ่งเป็นการสร้างความสมดุลของประเทศมหาอำนาจในบริเวณนั้น อำนาจทางทหารของพระองค์มีความแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ประเทศในยุโรปหวาดกลัวต่อการรุกรานของพระองค์",
"ก่อนที่พระนโรดม สีหนุ ทรงพยายามกู้เอกราชได้เสด็จมาเยือนประเทศไทย ได้มีโอกาสเสด็จทอดพระเนตรกิจการด้านการศึกษา ได้เสด็จเยือนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งต่อมาทางมหาลัยได้ถวายดุษฎีรัฐศาสตร์ ให้พระสีหนุ อีกทั้งพระองค์ยังได้สร้างโครงการแลกเปลี่ยนโดยนำชาวกัมพูชาเข้ามาศึกษาในมหาลัยของไทยทั้งสองอย่างต่อเนื่อง",
"หลังจากที่เขาได้รับ สถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ไอเซนมานยังได้รับสถาปัตยกรรมมหาบัณฑิต(สาขาการวางแผนและการอนุรักษ์) จากมหาลัยโคลัมเบีย รวมถึง ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต และ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต จากมหาลัย แคมบริดจ์ และปริญญากิตติมศักดิ์ จากมหาลัยไซราครูซ ในปี 2007 ปัจจุบัน ปีเตอร์ ไอเซนมาน จัดสัมมนาทางทฤษฎี แล้วสตูดิโอห้องปฏิบัติการออกแบบชั้นสูง ณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาลัยเยล \nไปเซนมานเปนญาติของสถาปนิก ริชาร์ด ไมเออร์ (ทั้งคู่เป็นสมาชิกของกลุ่ม นิวยอร์ก ไฟฟ์)",
"ในวัยเด็ก ปีเตอร์ ไอเซนมาน ได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยม โคลัมเบีย ใน เมเปิ้ลวูดส์ นิวเจอร์ซีย์ ก่อนที่จะค้นพบความสนใจในสถาปัตยกรรม เมื่อเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี ในมหาลัยคอร์เนลล์ โดยสละเวลาและการเป็นนักว่ายน้ำของมหาลัยเพื่อจะใช้เวลากับสถาปัตยกรรม ",
"อีวา พิกฟอร์ด เกิดใน ลอสแอนเจลิส, แคลิฟอร์เนีย เธอเข้าเรียนโรงเรียนประถมที่ Raymond Avenue, และเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียน วอชิงตัน, เธอเข้าเรียนมหาลัยที่ คลากแอตแลนต้า มหาลัยในแอตแลนต้า, จอร์เจีย แต่อย่าไรก็ตามเธอก็จะไปเรียนต่อในไม่ช้า หลังจากได้เป็นผู้ชนะเลิศรายการ อเมริกาส์เน็กซ์ท็มเดล",
"นอกจากการสนับสนุนในด้านศิลปะแล้วสุลต่านสุลัยมานเองก็ยังทรงเป็นกวีผู้มีความสามารถและทรงพระราชนิพนธ์ได้ทั้งในภาษาเปอร์เซียและภาษาตุรกีโดยทรงใช้นามปากกาว่า “Muhibbi” (คนรัก) ข้อเขียนของพระองค์บางข้อกลายมาเป็นสุภาษิตที่เป็นที่รู้จักกัน เช่น “ทุกคนมีความประสงค์ที่จะหมายความอย่างเดียวกัน แต่ต่างคนต่างก็มีเรื่องราวที่ต่างกัน” เมื่อพระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1543 สุลต่านสุลัยมานก็ทรงประพันธ์เลขอักษร (chronogram) ที่สะเทือนอารมณ์เพื่อเป็นเกียรติแก่ปีนั้น: “ยุพราชผู้ไม่มีผู้ใดเท่าเทียม สุลต่านเมห์เหม็ดของข้า” พระนิพนธ์ที่ทรงเป็นภาษาตุรกีที่เทียบเท่ากับปี ฮ.ศ. 950 ที่เทียบเท่ากับปี ค.ศ. 1543 อันเป็นปีสิ้นพระชนม์ของพระราชโอรส นอกจากงานประพันธ์ของพระองค์แล้วก็ยังมีงานประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของนักประพันธ์อื่น ๆ เช่นฟูซูลิ และ บาคี นักประวัติศาสตร์วรรณกรรม อี. เจ. ดับเบิลยู. กิบบ์ตั้งข้อสังเกตว่า “ไม่มีสมัยใด แม้แต่ในตุรกีเอง ที่มีการส่งเสริมสนับสนุนการกวีเท่ากับในรัชสมัยของสุลต่านพระองค์นี้” บทเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของพระองค์คือ:\nในทางสถาปัตยกรรมสุลต่านสุลัยมานก็ทรงเป็นผู้มีชื่อเสียงในการเป็นผู้อุปถัมภ์สิ่งก่อสร้างใหญ่โตหลายแห่งภายในจักรวรรดิ พระองค์ทรงทำให้อิสตันบุลกลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมอิสลามโดยการทรงอุปถัมภ์โครงการต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างสะพาน มัสยิด พระราชวัง และสิ่งก่อสร้างอื่น สิ่งก่อสร้างชิ้นเอกหลายชิ้นสร้างโดยมิมาร์ ซินานสถาปนิกประจำราชสำนักผู้มีอิทธิพลที่ทำให้สถาปัตยกรรมของจักรวรรดิออตโตมันเจริญถึงจุดสุดยอด ซินานรับผิดชอบในการสร้างสิ่งก่อสร้างกว่าสามร้อยแห่งทั่วจักรวรรดิรวมทั้งงานชิ้นเอกสองชิ้น มัสยิดสุลัยมาน และมัสยิดเซลิม—มัสยิดสร้างในเอเดร์เนในรัชสมัยของสุลต่านเซลิมที่ 2 พระราชโอรสของพระองค์ นอกจากนั้นสุลต่านสุลัยมานก็ยังทรงบูรณปฏิสังขรณ์โดมทองแห่งเยรูซาเลมในกรุงเยรูซาเลม, กำแพงเมืองเยรูซาเลมซึ่งเป็นกำแพงเมืองเก่าเยรูซาเลมในปัจจุบัน กะอ์บะฮ์ในมักกะฮ์ และทรงสร้างสิ่งก่อสร้างชุดในดามัสกัส",
"ไฮน์ริค ฮาร์เรอร์ เกิดเมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 ในประเทศเยอรมนี เขาเรียนด้านภูมิศาสตร์ที่มหาลัยคาร์ลฟรานเซินส์ (Karl-Franzens University) และต่อมาเมื่อนาซีเยอรมนีขยายอำนาจเข้าสู่ออสเตรีย เขาได้ร่วมเป็นสมาชิกหน่วยทหาร SA และไปปฏิบัติการที่ประเทศปากีสถาน และถูกจับโดยทหารอังกฤษนำไปคุมขังที่ค่ายในประเทศอินเดีย",
"อะห์มัด อุมัร ฮาเช็ม () เป็นบุคคลสำคัญในศาสนาอิสลามชาวอียิปต์ เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 เป็นอาจารย์สอนภาควิชาอัลฮาดิษ (วจนะพระศาสดามูฮัมมัด) แห่งมหาลัยอัลอัซฮัร และยังดำรงตำแหน่งสภาวิจัยอิสลาม สำเร็จการศึกษาคณะศาสนศาสตร์จากมหาลัยอัลอัซฮัร ในปี ค.ศ.1961 ได้รับใบอนุญาตด้านวิชาการสากลในปี ค.ศ.1967 แล้วจึงได้รับตำแหน่งผู้ช่วยคณะฮาดิษ สำเร็จปริญญาโท และปริญญาเอกคณะวิชาฮาดิษจากมหาลัยอัลอัซฮัร แล้วจึงเป็นอาจารย์สอนภาควิชาฮาดิษในปี ค.ศ.1983 หลังจากนั้นได้ดำรงตำแหน่ง คณบดีคณะศาสนศาสตร์ มหาลัยอัลอัซฮัร สาขาซากอซี้ก(الزقازيق) ในปี ค.ศ.1987 หลังจากนั้นยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาลัยอัลอัซฮัร ในปี ค.ศ.1987",
"เมื่อสุลต่านสุลัยมานทรงจัดการเรื่องอำนาจเกี่ยวกับเขตแดนการปกครองในยุโรปได้แล้ว พระองค์ก็ทรงหันไปสนพระทัยต่อความไม่สงบที่เกิดจากราชวงศ์ชีอะฮ์ซาฟาวิยะห์ของจักรวรรดิเปอร์เซีย ซึ่งมีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่สำคัญต่อการก่อให้เกิดความตึงเครียด เหตุการณ์แรกก็ได้แก่เมื่อชาห์ทาห์มาสพ์ที่ 1 ทรงสั่งให้สังหารข้าหลวงเมืองแบกแดดที่จงรักภักดีต่อสุลต่านสุลัยมานและแต่งตั้นคนของตนเองขึ้นแทนที่ และเหตุการณ์ที่สองข้าหลวงของบิทลิสหันไปสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายซาฟาวิยะห์ ซึ่งเป็นผลให้สุลต่านสุลัยมานมีพระราชโองการให้มหาเสนาบดีปาร์กาลิ อิบราฮิม ปาชานำกองทัพไปยังทวีปเอเชียในปี ค.ศ. 1533 อิบราฮิม ปาชาสามารถยึดบิทลิสคืนมาได้ และเข้ายึดครองทาบริซ โดยปราศจากการต่อต้าน ในปี ค.ศ. 1534 กองทัพของสุลต่านสุลัยมานก็เดินทางมาสมทบกับกองทัพของอิบราฮิม ปาชาและเดินทางต่อไปยังจักรวรรดิเปอร์เชีย แต่แทนที่จะประสบกับการสงครามแบบประจันหน้าแบบต่อสู้กันตัวต่อตัว ฝ่ายเปอร์เซียหันไปใช้วิธีรังควานกองทัพของจักรวรรดิออตโตมันระหว่างการเดินทัพระหว่างที่ออตโตมันต้องเผชิญกับภูมิประเทศที่ลำบากต่อการเดินทาง เมื่อสุลต่านสุลัยมานและอิบรอฮิมเข้าเมืองแบกแดดในปีต่อมา แม่ทัพของแบกแดดก็ยอมแพ้ซึ่งเป็นการทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นผู้นำในบรรดาประเทศกลุ่มอิสลามและเป็นผู้สืบการปกครองต่อจากจักรวรรดิอับบาซียะห์",
"พระมหาบุญมี เป็นพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านทำงานสอนพุทธศาสนาในโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์, จัดรายการวิทยุธรรมะ และได้รับนิมนต์ให้เดินทางไปร่วมประชุมนานาชาติที่ต่างประเทศหลายครั้ง เช่น ประเทศฟินแลนด์ ประเทศสเปน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศมาเลเซีย ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ประเทศกัมพูชา เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังเคยได้รับนิมนต์ให้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาในประเทศญี่ปุ่นหลายปี ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารพระภิกษุสามเณรน้ำทองสิกขาลัย วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล",
"ทีนี้เล่าต่อไปว่า เพราะเหตุใดสุลัยมานจึงเป็น ‘สุลต่าน’ ( ‘สุลต่าน’ หมายถึงเจ้าหรือกษัตริย์ครองบ้านเมืองแว่นแคว้น ส่วน ‘กาหลิบ’ มีฐานะสูงส่งกว่า เป็นตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์เป็นใหญ่ที่สุดของศาสนาด้วยเป็นกษัตริย์ด้วย)",
"ปาร์กาลิ อิบราฮิม ปาชาเป็นพระสหายของสุลต่านสุลัยมานมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ อิบราฮิมเดิมนับถือคริสต์ศาสนา และเมื่อยังเด็กได้รับการศึกษาในโรงเรียนในพระราชวังภายใต้ระบบ “Devşirme” ที่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กคริสเตียนผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามให้เป็นนายทหาร เมื่ออิบราฮิมเข้ารับราชการสุลต่านสุลัยมานทรงแต่งตั้งให้เป็นนายเหยี่ยวหลวง (Falconer) และต่อมาก็ทรงเลื่อนตำแหน่งขึ้นให้เป็นเจ้ากรมห้องพระบรรทม ในที่สุดอิบราฮิม ปาชาได้รับเลื่อนให้เป็นมหาเสนาบดีในปี ค.ศ. 1523 และผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทุกกองทัพในที่สุด และยังพระราชทาน “Beylerbey of Rumelia” ให้แก่ปาชาด้วยซึ่งเท่ากับเป็นการมอบอำนาจให้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในดินแดนตุรกีต่าง ๆ ในยุโรปและในการเป็นแม่ทัพในยามสงครามที่จะเกิดขึ้น ตามคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 อิบราฮิมทูลห้ามไม่ให้สุลต่านสุลัยมานเลื่อนฐานะของตนให้สูงส่งนักเพราะกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ตนเอง แต่สุลต่านสุลัยมานก็ประทานสัญญาว่าภายในรัชสมัยของพระองค์แล้วอิบราฮิมก็จะไม่ถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น",
"มหา'ลัยไสยเวท () เป็นละครโทรทัศน์แฟนตาซีสัญชาติอเมริกาที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2558 ออกอากาศในปี พ.ศ. 2560 นำแสดงโดย เจสัน ราล์ฟ ออกอากาศในประเทศไทยทางช่อง โมโนพลัส ออกอากาศตอนจบในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560",
"เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ () เป็นโรงละครสำหรับแสดงละครเวที ตั้งอยู่ชั้น 4 ศูนย์การค้าเอสพละนาด รัชดาภิเษก ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ใช้สำหรับละครเวที คอนเสิร์ต การแสดง การประชุม และกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ด้วยความจุ 1,512 ที่นั่ง โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไปทรงเปิดโรงละครอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2550\nเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์สร้างขึ้นจากการร่วมทุนของซีเนริโอ (เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ในปัจจุบัน) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไปทรงเปิดโรงละครอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2550",
"ปีเดียวกันนั้นเอง คณะกรรมการชำระพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นพิจารณาอีกครั้ง โดยตรวจสอบจากเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น พจนานุกรมอีสาน-กลาง ฉบับมหาวิทยาลัยขอนแก่น-สหวิทยาลัยอีสาน, สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ ของ ปรีชา พิณทอง ฯลฯ ปรากฏว่า ไม่มีที่ใดในภาษาอีสานสะกด \"หลับใหล\" ว่า \"หลับไหล\" มีแต่พจนานุกรมของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสสฺมหาเถระ) ข้างต้นฉบับเดียวเท่านั้นที่อ้างว่าเทียบมาจากพจนานุกรมภาษาลาว ราชบัณฑิตยสถานจึงได้สืบค้นพจนานุกรมภาษาลาว พบว่า ในภาษาลาวก็สะกด \"หลับใหล\" ด้วยสระ ใ ไม้ม้วน เหมือนในภาษาไทย โดยให้ความหมายว่า \"ละเมอ\" หรือ \"เอิ้นหรือฮ้องในเวลานอนหลับหรือในเวลาตื่นตกใจจนหลงสติ\" มิได้สะกดอย่างสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสสฺมหาเถระ) แต่ประการใด ที่สุด ราชบัณฑิตยสถานจึงมีมติว่า ชื่อโรคนี้ให้เขียน \"ใหลตาย\" โดยวินิจฉัยว่า \"ใหล\" มาจาก \"หลับใหล\"",
"มหา'ลัย มอนส์เตอร์ () เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันแนวตลก 3 มิติอเมริกันในปี 2013 ที่ผลิตโดย พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ และจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส กำกับโดย แดน สแกนลอน และผู้ผลิตโดย โคไร รา เป็นภาพยนตร์ที่ 14 ที่ผลิตโดยพิกซาร์และเป็นภาพยนตร์ที่ต่อจากภาคบริษัทรับจ้างหลอน (ไม่) จำกัด ในปี 2001",
"มหาลัยเที่ยงคืน เป็นภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ-คอมเมดี สร้างโดยเอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ กำกับโดย กฤษดา คณิวิชาภรณ์, ปิยะบุตร อธิสุข, คณิน กุลสุมิตราวงศ์ มีกำหนดเข้าฉาย 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559",
"สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม อัลมูซาอีอัซซานาวียะฮ์ จังหวัดชีบิลกุม และเข้ารับการศึกษาต่อทางการทหาร ณ มหาลัยอัลฮัรบียะฮ์ จากนั้นจึงเข้ารับการศึกษาต่อวิชาการบินจากมหาลัยเญาวียะฮ์ ในปี ค.ศ. 1964 จึงเขารับการศึกษาทางการทหารระดับสูงจากวิทยาลัยทหารมิคาอิล ฟรุนซ์ สหภาพโซเวียต",
"มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ( อ่านว่า \"สแตนเฟิร์ด\") มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า มหาวิทยาลัยลีแลนด์สแตนฟอร์ดจูเนียร์ (Leland Stanford Junior University) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ตั้งอยู่ที่เมือง สแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อยู่ห่างจากซานฟรานซิสโกประมาณ 60 กม. (37 ไมล์) สแตนฟอร์ดตั้งอยู่ในศูนย์กลางของซิลิคอนแวลลีย์ในเคาน์ตีซานตาคลารา และมหาวิทยาลัยอยู่ในบริเวณเมืองพาโลอัลโต มหาวิทยาลัยก่อตั้งในปี พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1891) โดยเริ่มโครงการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2429 (ค.ศ. 1885) ",
"เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2559 พระวิศวภัทร ได้ทำความร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนทางพระพุทธศาสนามหายาน กับพระธรรมาจารย์หมิงเซิงมหาเถระ (明生大和尚) รองประธานสำนักพุทธศาสนาแห่งประเทศจีน ประธานสำนักพุทธศาสนา มณฑลกวางตุ้ง เจ้าอาวาสวัดกวงเซี้ยว (光孝寺) เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน โดยพระธรรมาจารย์หมิงเซิง ได้ตั้งชื่อสำนักและเขียนอักษรพู่กันจีนให้แก่มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัยว่า"大乘禪寺" แปลว่า อารามมหายาน เพื่อแกะสลักเหนือซุ้มประตู พร้อมกันนี้ได้มอบพระไตรปิฎก (ภาษาจีน) ประกอบด้วย 永樂北藏,大正藏,乾隆大藏經,卍續藏經,浄土藏 รวม 5 ชุด 129 กล่อง 1,448 เล่ม เพื่อไว้เป็นที่ศึกษา ค้นคว้า ในหอพระไตรฯ มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย และ ได้มอบ รูปหล่อพระสังฆนายกฮุ่ยเหนิงมหาเถระ (หรือ ท่านเว่ยหล่าง:六祖惠能) เนื้อทองเหลือง สูง 1.98 เมตร จากวัดกวงเซี้ยว เมืองกว่างโจ่ว ที่จัดสร้างขึ้นเพียง 3 องค์ (วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ท่านฮุ่ยเหนิง ได้ปลงผมใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ และได้นำเกศาบรรจุไว้ในสถูป 7 ชั้น ซึ่งปัจจุบันต้นโพธิ์ใหญ่และพระสถูปยังคงอยู่ และยังเป็นสถานที่พระอาจารย์โพธิธรรม หรือพระตั๊กม้อ ได้เคยพักอาศัยเมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน โดยรูปปฏิมานี้ ได้ปั้นและหล่อโดยช่างฝีมือ ชื่อ พ่านเคอ เป็น 1 ใน 4 ช่างปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน โดยได้อัญเชิญกลับสู่ประเทศไทย เพื่อเปิดให้สาธุชนได้เข้ากราบสักการะ ภายในหอบูรพาจารย์ มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย เมื่อวันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2559 ถือเป็นนิมิตหมายมงคล แห่งการเผยแผ่พระพุทธธรรมมหายาน สายฌาน (เซ็น) และบารมีธรรมแห่งพระบูรพาจารย์ จากต้นกำเนิดสู่ประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ พระธรรมาจารย์ฉางจั้งมหาเถระ (常藏大和尚) รองประธานสำนักพระพุทธศาสนาแห่งนครปักกิ่ง เจ้าอาวาสวัดหลิงกวง (วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว) นครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มอบสำเนาหนังสือพระไตรปิฎกทองคำ (趙城金藏)อายุกว่า 1,000 ปี จำนวน 150 เล่ม มาแล้ว ",
"เดอะซิมส์ 2 มหาลัยวัยฝัน () เป็นภาคเสริมตัวแรกของเกมส์เดอะซิมส์ 2 พัฒนาขึ้นโดย บริษัทเกมส์ Maxis ออกวางจำหน่ายช่วงต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 ในเดอะซิมส์ 2 มหาลัยวัยฝันนี้ชาวซิมส์วัยรุ่นจะสามารถไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเกมได้ ซึ่งมี 3 แห่งให้เลือก และเข้าสู่วัยมหาลัย ชาวซิมส์จะมีการเรียน การสอบปลายภาค มีผลการเรียนหรือเกรด ซึ่งจะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในมหาลัยของชาวซิมส์",
"วง ไนน์ตี้เอท ดีกรีส์ (98 Degrees) ได้ก่อตั้งที่เมือง แคนตั้น, รัฐ โอไฮโอ้ โดยเกิดจากการชักชวนของ เจฟ ทิมมอนด์ ซึ่งเขาได้ตัดสินใจที่ลาออกจากมหาลัยเพื่อจะเป็นนักร้อง เขาเคยศึกษาจิตวิทยา ที่มหาลัย เคนท์ เตท ซึ่งอยู่ในรัฐบ้านเกิดของเขา แต่ก็ลาออกกลางคัน และเขาก็ได้วางแผนที่จะเป็นนักกีฬาฟุตบอลในทีม NFL อีกด้วย ในปี 1995 เขาได้ร้องเพลงที่โรงเรียนกบเพื่อนอีกสามคน และได้รับเสียงตอบรับดีมากจากเพื่อนๆผู้หญิงเกี่ยวกับเสียงของเขา และหลังจากวันนั้นมาไม่นานเขาก็ได้ลาออกจากโรงเรียนของเขา และมุ่งหน้าสู่เมือง ลอส แองเจิลลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเข้าได้พูดไว้เมื่อปี 2004 \"มันเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วมาก ผมมองกลับไป แต่ผมก็ยังเด็กและโง่เขลามาก ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน\" ต่อจากนั้นมาเขาได้เจออดีตนักเรียนของโรงเรียนการแสดงและสร้างสรรค์ซึ่งเขาได้เรียนจบจากที่นี้ \"นิค ลาชเชย์\" ซึ่ง ณ ขณะนั้น เขากำลังเข้าเรียนที่มหาลัยไมอามี่ เพื่อที่จะศึกษาเกี่ยวกับเวชศาสตร์การกีฬา และหลังจากนั้น นิคก็ได้บินมาเมืองลอส เองเจิ้ลลิส หลังจากเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เพื่อตัดสินใจที่จะตั้งวงบอยแบด์ขึ้นมา นิค แนะนำว่าควรจะแนะนำเพื่อนของเขาเข้าร่วมวง คือ จัสติน เจฟเฟ่ ซึ่งเป็นนักเรียนโบราณคดีจากมหาลัยแฟ่งซินซินแนทิ ซึ่งเขาได้เคยเรียนโรงเรียนการแสดงและเคยร้องเพลงประสานเสียงที่สวนสนุก คิงส์ ไอซ์แลนด์ มาก่อน และร้องโคเวอร์วงอื่นๆ และสมาชิคคนสุดท้ายที่ได้ร่วมวงคือน้องชายของนิค ชื่อว่าดริว ซึ่งเขาได้เคยทำงานเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินมาก่อน หลังจากที่ถูกปฏิเสธชื่อวงที่พวกเขาตั้ง (เช่น Just Us, Next Issue, และ Verse Four) และวงได้ตัดสินใจใช้ชื่อ ไนน์ตี้เอท ดีกรีส์ ตามคำแนะนำของผู้จัดการของเขา พาริส ดีจอน",
"เจ้าหญิงฟาราห์นาซ ปาห์ลาวี ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนพิเศษนีอาวารานในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน โรงเรียนอีเธล วอล์กเกอร์ ในเมืองซิมส์เบอร์รี รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา และวิทยาลัยอเมริกันไคโร กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981-1982 พระองค์ได้ศึกษาต่อในวิทยาลัยเบนนิงตัน ในเมืองเบนนิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เจ้าได้รับปริญญาด้านสังคมสงเคราะห์จากมหาวิทยาโคลัมเบีย ใน ค.ศ. 1986 และปริญญาสาขาจิตวิทยาเด็กจากมหาวิทลัยเดียวกันในปี ค.ศ. 1990 ",
"มหาลัยสยองขวัญ เป็นภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญที่ออกฉายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552 นำแสดงโดย ปานวาด เหมมณี, แอนนา รีส, อาชิรญาณ์ ภีระพัภร์กุญช์ชญา, ภัณฑิลา ฟูกลิ่น, อธิศ อมรเวช กำกับโดยบรรจง สินธนมงคลกุล และสุทธิพร ทับทิม มีเนื้อเรื่องของผีสี่เรื่องจากต่างมหาลัยมาต่อรวมกันเป็นเรื่องเดียว ภาพยนตร์ทำรายได้ 29.8 ล้านบาท",
"ภายหลังจบการศึกษาธเนศได้เข้าทำงานที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเข้าศึกษาระดับปริญญาโทที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แต่ได้เลิกเรียนกลางคัน ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า \"ไม่ชอบอาจารย์ที่สอน\" การที่เขาเลิกเรียนกลางคันนั้นทำให้เขาใช้ชีวิตล่องลอย และเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อและแม่ของเขาทะเลาะกัน ดังนั้นพ่อของเขาจึงส่งเขาให้ไปเรืยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาจึงได้เข้าศึกษาระดับปริญญาโทสาขาสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ประเทศสหรัฐอเมริกา M.S. (Sociology), University of Wisconsin Madison, U.S.A. โดยหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเขาคือ \"Grumsci Historism\" เมื่อจบการศึกษาธเนศได้กลับมายังประเทศไทยเพื่อสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่แรก แต่โดนปฏิเสธโดยทางมหาลัยให้เหตุผลว่าเพราะเขามารยาทไม่ดี ไม่ทักทายสวัสดีผู้ใหญ่ตามขนบธรรมเนียมไทย ต่อมาเขาก็ได้สมัครเป็นอาจารย์ จนได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเวลา 5 ปี ก่อนจะเดินไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกสาขาทฤษฎีการเมืองและสังคมที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า \"เรียนตามแฟน\" โดยในตอนแรกนั้นเขาได้รับทุนที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แต่เขาเลือกที่จะไม่ไปเพราะแฟนเขาไม่ได้ทุนนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็เรียนที่อังกฤษส่วนแฟนไปเรียนที่อเมริกาแทนที่จะเป็นตามที่ตกลงกัน โดยเขาให้เหตุผลว่า \"การอยู่ด้วยกัน (ตัวติดกัน) ทำให้เบื่อหน่ายกันเร็ว\" หลังจากได้ศึกษาในปริญญาเอกก็เกิดปัญหาการทำวิทยานิพนธ์ หัวข้อวิทยานิพนธ์ของเขาคือ \"Talking Foucault Comically\" ซึ่งวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ไม่ได้เป็นวิชาการในแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะรัฐศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ อันเนื่องมาจากเขาพบว่าแนวคิดของตัวเองไม่ได้จำกัดเฉพาะทางสังคมศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งยิ่งทำให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นนักคิดที่ไม่ได้จำกัดกรอบใด พูดให้ถึงที่สุดก็คือเขามีความเป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) อันเป็นความคับแคบและข้อจำกัดของระบบการศึกษาที่ไม่ให้คิดข้ามกรอบในสาขาที่ตนเองศึกษาอยู่และมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์นั้นก็เป็นมหาวิทยาลัยอนุรักษ์นิยมจนเกินไป สุดท้ายวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาไม่ได้รับการพิจารณาให้สอบป้องกันดุษฎีนิพนธ์ เพราะเหล่าอาจารย์เห็นว่าไม่ตรงสาขาวิชาใด เพราะเป็นสหวิทยาการ มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและต้องการให้แก้ไขให้ตรงกับสาขา ทำให้ธเนศสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทแทน M.Phil (Social & Political Theory), University of Cambridge, England[1] ธเนศได้กลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2560",
"เกิดที่หมู่บ้านซาลีมอัชชัรกียะฮ์ จังหวัดซูฮาจ ประเทศอียิปต์\nจบการศึกษาในระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร คณะวจนะศาสดาและอรรถาธิบายกุรอาน ปี ค.ศ. 1966 ด้วยคะแนนประเมินผลอันดับดีเยี่ยม ได้รับมอบหมายให้เป็นอาจารย์สอนคณะศาสนศาตร์ ประเทศลิเบีย เป็นเวลา 4 ปี ได้รับตำแหน่งเป็นคณบดีคณะศึกษาศาสตร์อิสลาม แห่งมหาลัยอิสลามียะฮ์ ณ นครมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เคยดำรงตำแหน่งมุฟตีผู้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นปัญหาทางศาสนาอิสลามแห่งสาธารณรัฐอิยิปต์ ครั้นปี ค.ศ.1996 จึงได้รับตำแหน่งอธิการบดีแห่งมหาลัยอัลอัซฮัร",
"ปาร์กาลึ อีบราฮิม พาชาเป็นมหาเสนาบดี (Grand Vizier) คนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งโดยสุลต่านสุลัยมานแห่งจักรวรรดิออตโตมัน ในปี ค.ศ. 1523 ปาร์กาลิรับตำแหน่งต่อจากพีรี เมห์เมด พาชา (Piri Mehmed Pasha) ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยพระราชบิดาของสุลต่านสุลัยมานสุลต่านเซลิมที่ 1 และดำรงตำแหน่งอยู่ 13 ปี ปาร์กาลิเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับสุลต่านสุลัยมานเป็นอันมากและเป็นผู้ที่มีอำนาจเท่าเทียมกับอัครเสนาบดีคนอื่นอีกเพียงคนสองคนในจักรวรรดิ แต่ในปี ค.ศ. 1536 ปาร์กาลิก็โดนไส่ร้ายป้ายสี และในที่สุดก็ถูกสังหารโดยสุลต่านทั้งที่เคยทรงให้คำมั่นสัญญาไว้ก่อนหน้านั้นว่าจะไม่ทรงยอมให้ถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น",
"โซจิ อิซุมิ ได้ศึกษาต่อที่มหาลัยในอเมริกา University of Central Arkansas และได้รับทุนการศึกษาจากทางมหาลัยเนื่องจากเค้าได้ทำลายสถิติการพุ่งแหลนของมหาลัย เขาได้รับการฝึกฝนจาก United States ARMY ROTC และมีประสบการณ์การฝึกฝนต่างๆมากมาย รวมถึงได้สำเร็จการฝึกฝนทางด้าน Emergency Medical Technician training และ Advanced Life-support training ของญี่ปุ่น",
"\"ดาวมหาลัย\" เป็นเพลงลูกทุ่ง หมอลำ ขับร้องโดยสาวมาด เมกะแดนซ์ ประพันธ์เนื้อเพลงโดยครูเพลง สัญลักษณ์ ดอนศรี และดนตรีโดยสรพงศ์ เตนากุล สังกัดท็อปไลน์ ไดมอนด์ ผลงานจากอัลบั้ม \"ดาวมหาลัย\" เป็นเพลงเสียดสีสังคม เนื้อเพลงกล่าวถึงหญิงสาวบ้านนอกจากภาคอีสานที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านหนองใหญ่ แล้วเข้าศึกษาต่อในกรุงเทพมหานครจึงเกิดทัศนคติว่าตนเองดีเด่นเป็นดาวมหาลัยและนิยมสังคมเมือง ไม่เห็นคุณค่าของความเป็นสังคมชนบทโดยมีทีท่ารังเกียจสังคมชนบทซึ่งเป็นกำพืดเดิม ซึ่งท้ายที่สุดหญิงสาวดังกล่าวก็ถูกมารดาของตนลงโทษ",
"ภาคเสริมบางตัวได้เพิ่มละแวกเพื่อนบ้านย่อย ที่ชาวซิมส์สามารถแวะไปเที่ยวได้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ เดอะซิมส์ 2 มหาลัยวัยฝัน เพิ่มพื้นที่ที่เป็นมหาวิทยาลัย ซึ่งมีให้เฉพาะชาวซิมส์ที่เป็นวัยมหาลัยเท่านั้น ชาวซิมส์สามารถอาศัยอยู่ในบ้านพัก หอพัก หรือสมาคมกรีกในพื้นที่นั้นได้ เดอะซิมส์ 2 ทริปซ่าส์ เพิ่มพื้นที่ที่เป็นสถานที่พักร้อน ซึ่งชาวซิมส์สามารถพักอาศัยอยู่ในโรงแรมหรือบ้านพักตากอากาศได้ เราอาจสร้างมันขึ้นมาเองหรือเล่นจากที่มากับเกมก็ได้"
] |
สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ มีสำนักงานใหญ่อยู่ทีไหน? | [
"สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. เป็นหน่วยงานของรัฐ ประเภทองค์การมหาชน จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) พ.ศ. 2548 ปัจจุบัน สทศ. มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 128 อาคารพญาไทพลาซ่า ชั้น 35-36 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400"
] | [
"การสอบเอ็นทรานซ์ (Entrance Examination) เป็นส่วนหนึ่งของระบบคัดเลือกเข้าอุดมศึกษากลาง CUAS การสอบเอ็นทรานซ์เป็นการวัดความรู้เป็นหลัก โดยสำนักทดสอบกลาง ทบวงมหาวิทยาลัย ต่อมาคือ สำนักทดสอบกลาง สกอ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ในปัจจุบัน) ",
"องค์กร, หน่วยงานราชการ\nกองทัพบก, กองทัพอากาศ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงพลังงาน, สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง, กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ, กรมสุขภาพจิต, สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, กรมประชาสัมพันธ์, สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, สถาบันดำรงราชานุภาพ, วิทยาลัยปกครอง, สถาบันการประชาสัมพันธ์, กรมทรัพยากรน้ำบาดาล, กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, กรมอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่, สำนักงานอัยการสูงสุด, สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน, การเคหะแห่งชาติ, สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(สกย.), การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การทางพิเศษแห่งประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร, สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ, สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ, การไฟฟ้าแห่งผลิตแห่งประเทศไทย, การไฟฟ้านครหลวง, องค์การเภสัชกรรม, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, ศูนย์อาเซียนศึกษา, สภากาชาดไทย \nองค์กร, หน่วยงานเอกชน\nกลุ่ม ปตท., บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน), บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด, บริษัท สยามไวเนอรี่ จำกัด, Asia Business Connect Asia Business Forum Asia Dyna Forum (ADF), Business & Manufacturing Network Media (BMN), The Executive Alliance, สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย, สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย, สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย, สมาคมประชาสัมพันธ์ไทย, สมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย, สมาคมบริหารงานจัดซื้อและซัพพลายเชนแห่งประเทศไทย, ชมรมประชาสัมพันธ์ธนาคารไทย \nสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย\nจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดล, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, มหาวิทยาลัยราชมงคลรัตนโกสินทร์, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มหาวิทยาลัยเกริก, มหาวิทยาลัยรังสิต",
"สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) จัดตั้งขึ้นเป็นองค์การมหาชนเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรและบุคลากรได้สูงสุด มีความเป็นอิสระและหน้าด้าที่ขึ้นอยู่กับสายการบริหารของหน่วยงานที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบการจัดการศึกษาจึงมีความเป็นกลาง เป็นสถาบันที่มีการกำหนดหลักการ นโยบาย มาตรการและเป้าหมาย โครงสร้างการบริหาร และการดำเนินกิจการ ความสัมพันธ์กับรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บุคลากร การเงิน การตรวจสอบ และการประเมินผลที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งสถาบันเพื่อบริหารจัดการและดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษา วิจัย และให้บริการ ทางด้านการประเมินผลทางการศึกษาและทดสอบทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาในระดับชาติและนานาชาติ",
"ปีการศึกษา 2554 มีนักเรียน นักศึกษาที่มีผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ทางด้านอาชีวศึกษา Vocational National Education Test (V-NET) ดีเด่น และได้รับรางวัลจากสำนักความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาตามลำดับ ดังนี้",
"9 วิชาสามัญ หรือเดิม 7 วิชาสามัญ เป็นข้อสอบสำหรับเข้าคณะแพทยศาสตร์ ในระบบ กสพท. และการสอบรับตรงร่วมกันสำหรับคณะทั่วไปในสถาบันส่วนใหญ่[4] ข้อสอบประกอบด้วยรายวิชาทั้ง 9 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ 1, คณิตศาสตร์ 2, วิทยาศาสตร์พื้นฐาน, ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา, ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทยและ สังคมศึกษา O-NET: Ordinary National Educational Test (การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน) เป็นการสอบความรู้รวบยอดปลายช่วงชั้นที่ 1 - 3 ของชั้น ป.6 ม. 3 และ ม. 6 ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร โดยเดิมมี 8 วิชา แต่ต่อมาในปีการศึกษา 2558 ได้ลดลงเหลือ 5 วิชาได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ[5] V-NET: Vocational National Educational Test (การทดสอบการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา) ซึ่งจัดสอบให้กับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 I-NET: Islamic National Educational Test (การทดสอบมาตรฐานอิสลามศึกษา) ระดับตอนต้น ตอนกลาง และ ตอนปลาย ซึ่งจัดสอบให้กับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในปีสุดท้ายของหลักสูตรอิสลามศึกษาตอนต้น ตอนกลาง และ ตอนปลาย ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควบคู่วิชาสามัญ N-NET: Non-Formal National Education Test การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน[6] B-NET: Buddhism National Educational Test การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านพระพุทธศาสนา[7] การทดสอบสมรรถนะครู สำหรับครู",
"สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) เรียกโดยย่อว่า \"สทศ\" ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า \"National Institute of Educational Testing Service (Public Organization)\" เรียกโดยย่อว่า \"NIETS\" จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2548 ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2548 ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ",
"จัดการบริหารทดสอบทางการศึกษาระดับชาติให้ได้มาตรฐาน พัฒนาข้อสอบให้สามารถวัดได้ทุกมาตรฐานการศึกษาอย่างมีมาตรฐาน ดำเนินการให้มีการนำผลการทดสอบไปใช้ให้เกิดประโยชน์ วิจัยและพัฒนาให้มีระบบการทดสอบทางการศึกษาให้ครบทุกมาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียนในทุกระดับและทุกประเภทการศึกษา ศึกษาวิจัยเรื่องรูปแบบข้อสอบและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับโปรแกรม และเทคนิคการสร้างข้อสอบและมาตรฐานการวัดรูปแบบต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลและข้อความรู้ เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณชน ทบทวนกฎหมาย ข้อบังคับและมติต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริง ทันสมัย และเอื้อต่อการปฏิบัติงาน สนับสนุนและส่งเสริมให้สถานศึกษาและทุกระดับสถานศึกษาและต้นสังกัดมีโปรแกรมการทดสอบและประเมินผลผู้เรียนตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้บริการการทดสอบแก่บุคลากรและหน่วยงานต่าง ๆ เป็นศูนย์กลางข้อมูลการทดสอบทางการศึกษา สนับสนุน และให้บริการผลการทดสอบแก่หน่วยงานต่างๆ ตลอดจนความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้อย่างมีมาตรฐานระดับสากล",
"การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ () เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์รวบยอดของผู้เรียนที่ต้องการวัดผ่านการจัดการทดสอบในระดับชาติ โดยมีสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นผู้ดำเนินการออกข้อสอบและจัดสอบทั่วประเทศ โดยที่ในอดีตมีการจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสูงอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้แบบทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และแบบทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) มาใช้แทน ",
"เมื่อจบมัธยม 6 แล้ว สุรัฐ คิดอยากจะเป็นนักเรียนนายเรือก่อน แต่การทดสอบเพื่อเข้าศึกษาในนั้น มีการทดสอบว่ายน้ำ โดยลอยคอ 6 นาที ซึ่งสุรัฐทำไม่ได้ จึงได้เปลี่ยนไปสมัครเป็นครูโรงเรียนประชาบาลบางบ่อ พักหนึ่ง เมื่อทางโรงเรียนเตรียมปริญญา มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และ การเมือง ( ต.ม.ธ.ก. )ประกาศรับสมัครนักเรียนเข้าศึกษา สุรัฐ จึงไปสมัคร และเรียนจนจบ นับเป็นรุ่นที่ 4 ของสถาบันนี้ จากนั้นได้ไปเข้าทำงาน เป็นเลขานุการ ของ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ และทำงานในโรงแรมรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งเลขานุการโรงแรม ( รัตนโกสินทร์ ) และ ภาพยนตร์ ของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ",
"องค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) องค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติเฉพาะ คุรุสภา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)",
"ระบบ Admission กลาง โดยผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกต้องผ่านกระบวนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (A-Net) โดยจะนำผลการทดสอบดังกล่าวมาเลือกคณะและสาขาวิชาต่างๆ ของมหาวิทยาลัยได้ตามความต้องการโดยผ่านทางการคัดเลือกของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา",
"การทดสอบทางการศึกษาได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสามัญ ซึ่งมีการกล่าวถึงปัญหาข้อสอบที่มีความกำกวม บางข้อเกินกว่าหลักสูตรกำหนด รวมไปถึงปัญหาข้อสอบผิดและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นปัญหาที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กำลังเร่งแก้ปัญหาอยู่ในปัจจุบัน",
"ดร.ชาคร วิภูษณวนิช ประธานกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ[8] รศ.ดร.จอมพงศ์ มงคลวนิช ดร.ศิริพรรณ ชุมนุม รศ.ดร.อารยา จาติเสถียร ดร.วราภรณ์ สีหนาท ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรรมการและเลขานุการ",
"เอสไอไอทีเปิดสอนทั้งในระดับอุดมศึกษาและบัณฑิตศึกษาโดยเน้นการศึกษาแบบใช้การวิจัยเป็นตัวนำ อาจารย์ประจำทั้งหมดมีวุฒิอย่างน้อยระดับปริญญาเอก ในการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อปี 2550 เอสไอไอทีเป็นคณะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงแห่งเดียวของประเทศที่ได้รับการจัดระดับสูงสุด \"ดีมาก\" จากทั้ง 3 ตัวชี้วัด สถาบันฯ เป็น 1 ในสถาบันอุดมศึกษา 4 แห่งของประเทศ ที่ได้รับมอบทุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อสนับสนุนนักเรียนที่สนใจศึกษาต่อทางด้านวิทยาศาสตร์ในระดับอุดมศึกษา โดยทุนนี้จะมอบให้แก่นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์ (โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย) เพื่อศึกษาต่อและทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัยของสวทช. สถาบันเป็นสมาชิกของเครือข่าย LAOTSE ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำในเอเชียและยุโรป ตามกรอบความร่วมมืออาเซม",
"คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ทำการเรียนการสอน ณ 2 วิทยาเขต คือคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ในสังคมปัจจุบัน กฎหมายมีความจำเป็นที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ การดำเนินธุรกิจทุกสาขาอาชีพ ตลอดจนชีวิตประจำวันของทุกคน ประกอบจากการรวบรวมข้อมูลการศึกษาในหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ในสถาบันการศึกษาภาครัฐส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) พบว่านิสิต นักศึกษา ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาในจังหวัดทางภาคใต้ คิดเป็นอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้เห็นว่า กฎหมายเป็นที่นิยมของคนภาคใต้ ทั้งนี้นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีผลบังคับใช้และผลจากการปฏิรูประบบราชการในกระบวนการยุติธรรม ทำให้มีการจัดตั้งหน่วยงานราชการ และองค์กรอิสระด้านกฎหมายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการบุคลากรทางด้านกฎหมายสูงขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา กรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นต้น รวมถึงบุคลากรสายอาจารย์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาอีกหลายสถาบันได้เล็งเห็นความสำคัญ และริเริ่มจัดตั้งคณะนิติศาสตร์ ประกอบกับอัตราค่าตอบแทนทางวิชาชีพที่ค่อนข้างสูง เช่น ผู้พิพากษา ตุลาการ อัยการ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บุคลากรในภาครัฐและเอกชนสนใจและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนสายงานไปสู่วิชาชีพดังกล่าว และเมื่อพิจารณาแหล่งที่ตั้งของมหาวิทยาลัยทักษิณ จังหวัดสงขลา แล้ว ยังพบว่า เป็นศูนย์รวมของหน่วยงานราชการในกระบวนการยุติธรรมหลายแห่ง อันได้แก่ ศาลจังหวัดสงขลา ศาลปกครองสงขลา สำนักงานอัยการจังหวัดสงขลา เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 สำนักงานอธิบดีอัยการเขต 9 สำนักงานตำรวจภูธรภาค 9 ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนการสอนในภาคปฏิบัติให้แก่นิสิต โดยการศึกษาดูงานและฝึกงานในหน่วยงานดังกล่าวข้างต้นได้อีกด้วย",
"นอกจากศูนย์หลักที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยแล้ว ยังมีศูนย์เอไอทีเวียดนามที่ตั้งกระจายอยู่ตามเมืองสำคัญในประเทศเวียดนาม ได้แก่ กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ซิตี และเกิ่นเทอ ซึ่งเป็นศูนย์หลักในประเทศเวียดนามทั้ง 3 แห่ง และยังมีสำนักงานย่อยกระจายในเมืองต่างๆอีก 4 แห่ง โดยศูนย์เอไอทีเวียดนามนั้นก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ภายใต้ข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลเวียดนาม ทำให้เป็นสถาบันการศึกษานานาชาติแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม",
"ในส่วนของโรงพยาบาลของรัฐแบ่งเป็น สังกัดกรุงเทพมหานคร 11 แห่ง(ไม่นับคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช) สังกัดกระทรวงสาธารณสุข 5 แห่ง สังกัดกระทรวงศึกษา 2 แห่ง สังกัดกระทรวงกลาโหม 5 แห่ง สังกัดสำนักงานแพทย์ใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 แห่ง สังกัดกระทรวงยุติธรรม 1 แห่ง สังกัดโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย 1 แห่ง สังกัดสภากาชาดไทย 1 แห่ง สังกัดมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ 1 แห่ง สังกัดสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ 1 แห่ง สถาบันจิตเวชสังกัดกรุงเทพมหานคร 1 แห่ง สถาบันจิตเวชสังกัดรัฐบาล 1 แห่ง ",
"มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เดิมคือ \"โรงเรียนเทคนิคพระนครเหนือ\" ซึ่งเป็นวิทยาลัยในสังกัด กองโรงเรียนพาณิชย์ กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ที่ถนนประชาราษฎ์สาย 1 แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร\nในปัจจุบันคณะฯได้เปิดรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) โดยผ่านกระบวนการสอบของสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โดยผ่านการสอบคัดเลือกตรง เพื่อเข้ามาศึกษาในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต 4 ปี (วศ.บ.) ในสาขาต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการรับนักศึกษาโควต้าและผู้มีความสามารถพิเศษด้านต่างๆเช่น ด้านหุ่นยนต์และสิ่งประดิษฐ์ เป็นต้น ส่วนในระดับบัณฑิตศึกษาก็จะมีสาขาวิชาที่ต่อเนื่องสูงขึ้นไปจากระดับปริญญาตรีในทุกสาขาวิชาเพื่อเป็นการเสริมสร้างงานวิจัยและสร้างองค์ความรู้ด้านวิชาการให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป",
" วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ แรกเริ่มก่อตั้งโดยมีดำริของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) จัดตั้งสถาบันการศึกษาด้านวิชาชีพการประมงขึ้นโดยมีหน่วยงานร่วมพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ กรมประมง สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ",
"เพื่อบริหารจัดการและดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษา วิจัย พัฒนา และให้บริการทางการประเมินผลทางการศึกษาและทดสอบทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาในระดับชาติและระดับนานาชาติ",
"ปัจจุบันเอสไอไอทีขยายการศึกษาเป็นสองวิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตธรรมศาสตร์รังสิต และวิทยาเขตบางกะดี ทั้งสองวิทยาเขตอยู่ในพื้นที่กลุ่มวิสาหกิจเทคโนโลยีกรุงเทพตอนบนตามแผนยุทธศาสตร์ของสวทช. ซึ่งในพื้นที่ประกอบไปด้วยสถาบันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญจำนวนมาก เช่น อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) (รวมถึงศูนย์วิจัยแห่งชาติในสังกัดอีก 4 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ, ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ, ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ), สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), เทคโนธานี, เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค), องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.), สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย รวมถึงเขตอุตสาหกรรมไฮเทค และสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง. โดยเอสไอไอทีได้ร่วมมือและแลกเปลี่ยน ทั้งด้านการสอน วิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยี กับหน่วยงานเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ",
"ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำระบบ วิธีการทดสอบ และพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลตามมาตรฐานการศึกษา ดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการจัดการศึกษา และการทำลายการศึกษาระดับชาติ ตลอดจนให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทดสอบทั้งระดับเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ดำเนินการเกี่ยวกับการทำลายการศึกษา บริการสอบวัดความรู้ความสามารถและการสอบวัดมาตรฐานวิชาการและวิชาชีพ เพื่อนำผลไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเทียบระดับ และการเทียบโอนผลการเรียนที่มาจากการศึกษาในระบบเดียกับ หรือการศึกษาผ่านระบบ ดำเนินการเกี่ยวกับศึกษาวิจัย และเผยแพร่นวัตกรรมเกี่ยวกับการทำลายการศึกษา ตลอดจนเผยแพร่เทคนิคการวัดและประเมินผลการศึกษา เป็นศูนย์กลางข้อมูลการทดสอบทางการศึกษา ตลอดจนสนับสนุน และให้บริการผลการทดสอบแก่หน่วยงานต่างๆ ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาและส่งเสริมวิชาการด้านการทดสอบและประเมินผลทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านการทดสอบและประเมินผล ด้านการติดตามและประเมินผลคุณภาพบัณฑิต รวมทั้งการให้การรับรองมาตรฐานของระบบ วิธีการ เครื่องมือวัดของหน่วยงานการประเมินผลและทดสอบทางการศึกษา เป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการทดสอบทางการศึกษาทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ",
"ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) มีดังนี้",
"เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2532 กระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติให้ใช้ที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์ข้างต้นเป็นสถานที่ตั้งและโครงการได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และคณะรัฐมนตรี ในการประชุมศึกษา โดยมีมติเห็นชอบด้วยกับโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร และอนุมัติให้บรรจุโครงการ ฯ เข้าไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร ในสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ",
"สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นสถาบันการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของรัฐ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระทัยในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นพิเศษ เมื่อราว พ.ศ. 2503 ได้ทรงปรารภกับ นายเดวิด รอกกิเฟลเลอร์ ถึงเรื่องที่จะปรับปรุงการสถิติของชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ และในที่สุดได้มีการจัดทำโครงการเสนอรัฐบาล โดยให้ตั้ง Graduate Institute of Development Administration (GIDA) ขึ้น ต่อมา รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาจัดตั้งสถาบันสอนวิชาการบริหารเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ โดยได้นำโครงการ GIDA มาศึกษา และได้เสนอมติของที่ประชุมคณะกรรมการต่อคณะรัฐมนตรีว่าควรจะตั้ง สถาบันพัฒนาการบริหาร (Institute of Development Administration) โดยดำเนินการสอนในขั้นปริญญาโทและเอก การศึกษาฝึกอบรม และการวิจัย ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2509 ด้วยความช่วยเหลือเบื้องต้นจาก กรมวิเทศสหการ มูลนิธิฟอร์ด และ Midwest University Consortium for International Affairs (MUCIA) โดยโอนคณะรัฐประศาสนศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งานฝึกอบรมส่วนหนึ่งของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ งานฝึกอบรมและงานสอนส่วนหนึ่งของสำนักงานสถิติแห่งชาติ มาเป็นกิจกรรมหนึ่งของสถาบันสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์มีอธิการบดีมาแล้ว 13 คน ดังรายนามต่อไปนี้\nสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดสอนเฉพาะหลักสูตรในระดับบัณฑิตศึกษา ประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญาโท และปริญญาเอก โดยมีหน่วยงานที่จัดการเรียนการสอน และหน่วยงานสนับสนุน ดังนี้",
"ตั้งแต่เริ่มแรกของการจัดตั้ง คณะฯ ได้ยึดถือเป็นนโยบายในการผลิตวิศวกรที่มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการวิศวกรรมศาสตร์พื้นฐาน (engineering sciences) และมีทักษะในเชิงปฏิบัติ กล่าวคือสามารถนำทฤษฎีไปประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาทางวิศวกรรมในปัญหาจริงได้อย่างมีประสิทธิผล\nในปัจจุบันคณะฯได้เปิดรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โดยผ่านการสอบคัดเลือกตรงและรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) โดยผ่านกระบวนการสอบของสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อเข้ามาศึกษาในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต 4 ปี (วศ.บ.) ในสาขาต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการรับนักศึกษาโควต้าและผู้มีความสามารถพิเศษด้านต่างๆเช่น ด้านหุ่นยนต์และสิ่งประดิษซ์ เป็นต้น ส่วนในระดับบัณฑิตศึกษาก็จะมีสาขาวิชาที่ต่อเนื่องสูงขึ้นไปจากระดับปริญญาตรีในทุกสาขาวิชาเพื่อเป็นการเสริมสร้างงานวิจัยและสร้างองค์ความรู้ด้านวิชาการให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป\nคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับต่างประเทศมาตลอด อาทิ ความร่วมมือรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันมาตั้งแต่ปี 2524 และปี 2527 คณะฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในเยอรมันโดยการสนับสนุนทางการเงินจากสหภาพยุโรปในการพัฒนา ภาควิชาวิศวกรรมเคมีและกระบวนการในปี 2532 คณะฯ ได้ร่วมมือมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศสภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากสหภาพยุโรปในโครงการพัฒนาห้องปฏิบัติการวิจัยด้านการสันดาปในภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลและในปลายปี 2534 โครงการความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาและวิจัยในฝรั่งเศสก็ได้เริ่มขึ้นเพื่อยกระดับมาตรฐานทางวิชาการด้านวิศวกรรมเครื่องกลโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ในปัจจุบันคณะวิศวกรรมศาสต์ร์ก็ยังมีความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ในการจัดการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับบัณฑิตศึกษา\nตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมาคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการพัฒนาการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ เช่น การประเมินผลการเรียนการสอน การส่งเสริมการวิจัย ของบุคลากรคณะวิศวกรรมศาสตร์ กิจกรรม 5 ส. การประกันคุณภาพ และตั้งแต่ปี 2543 คณะฯ ก็ได้เริ่มกิจกรรมในการจัดการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ร่วมกับอุตสาหกรรมในโครงการ \"สหกิจศึกษา\"",
"สทศ. มีการบริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ รายชื่อต่อไปนี้มีผลตั้งแต่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ประกอบด้วย",
"หม่อมหลวงจักรานพคุณ ทองใหญ่: นักวิชาการเกษตร นักเขียนชาวไทย รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย: อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น รองศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์: ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ศาสตราจารย์ ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ: นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2545, ศาสตราจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์: นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2554, ศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว: นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติปี 2544, คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.สุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์: ผู้อำนวยการ สสวท., รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.สมชาติ โสภณรณฤทธิ์: นักวิจัยไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล UNESCO Science Prize 2003 ศาสตราจารย์ ดร.ละออศรี เสนาะเมือง: กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ กระทรวงสาธารณสุข[36] ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ: ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)",
"กรมธรรมการ (หน่วยงานในสมัยที่เป็นกระทรวงธรรมการ) กรมศึกษาธิการ (หน่วยงานในสมัยที่เป็นกระทรวงธรรมการ) กรมมหาวิทยาลัย ต่อมายกฐานะเป็นทบวงมหาวิทยาลัย ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรมวิชาการ ปัจจุบันลดฐานะเป็น สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมอาชีวศึกษา ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ปัจจุบันถูกยุบรวมเข้ากับกรมสามัญศึกษา เป็น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมสามัญศึกษา ปัจจุบันถูกยุบรวมเข้ากับสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) เป็นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมวิสามัญศึกษา มีหน้าที่จัดการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1-5 ภายหลังยุบรวมกับกรมสามัญศึกษา กรมการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ภายหลังถูกยุบรวมเป็นสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรมการฝึกหัดครู กรมพลศึกษา ปัจจุบันย้ายไปสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ภายหลังเปลี่ยนเป็นสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.) ปัจจุบันคือสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 39 แห่ง กรมการศาสนา เดิม ออกเป็น 2 ส่วน คือ กรมการศาสนาสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมศิลปากร ปัจจุบันย้ายไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เดิมคือกองวัฒนธรรมสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันกรมส่งเสริมวัฒนธรรมสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ปัจจุบันคือ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ปัจจุบันย้ายไปสังกัดกระทรวงพาณิชย์"
] |
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพี่น้องกี่คน ? | [
"พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดารวม 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ และสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช"
] | [
"เจ้าจอมพิศว์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2413 ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเมีย ณ บ้านหน้าวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ธนบุรี เป็นธิดาอันดับที่ 2 ของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) และท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ (สกุลเดิมชูโต) มีพี่น้อง \n5 คน คือ",
"อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีพระกรุณาด้วยทรงเห็นว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน ประกอบกับก่อนหน้านี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยมีพระราชกระแสเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ความว่า \"\"...ถ้าเจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในกระบวนพี่น้องทั้งหมด จะมีพระองค์หญิงหนึ่งองค์ และพระองค์ชายอีกหนึ่งองค์ ทรงกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ ขอให้ไว้ชีวิตพระองค์เจ้าพี่น้องทั้งสองพระองค์ด้วย...\"\" ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชทานอภัยโทษเฆี่ยน 90 ที (3 ยก) กับโทษประหารเสียด้วย แต่โปรดเกล้าให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์, อวิญญาณกทรัพย์ เข้าเป็นของหลวงสำหรับซ่อมแซมพระอารามและสิ่งก่อสร้างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้ ทั้งถอดยศพระองค์เจ้าให้เป็นหม่อมเรียกอย่างสามัญชน และให้จำสนม (คุกฝ่ายใน) นอกจากนั้นให้ทำตามลูกขุนผู้พิจารณาปรับโทษ ดังปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 มีข้อความตอนหนึ่งว่า",
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระภรรยาเจ้า 9 พระองค์ และมีพระสนม 144 คน รวม 153 พระองค์/คน คือ \nพระองค์มีพระราชโอรส 32 พระองค์ มีพระราชธิดา 44 พระองค์ และมีพระราชบุตรที่ตก 21 พระองค์ รวม 97 พระองค์ คือ",
"ในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2463 หลังจากที่ทรงพบปะกับหม่อมเจ้าวรรณวิมลเพียงไม่กี่วัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ให้พระธิดาทั้งหลายของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ดังนี้ภายหลังจึงสถาปนาหม่อมเจ้าวัลลภาเทวี ขึ้นเป็น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระคู่หมั้น เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2463 พร้อมพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้า และมีพระบรมราชโองการ ขณะที่ได้รับสถาปนาเป็นพระคู่หมั้นนั้น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมีพระชันษา 28 ปี ส่วนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา 40 พรรษา และการสถาปนานี้ก็เพื่อจะได้สมพระเกียรติยศสำหรับจะได้กระทำพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในภายหน้า",
"พระมงคลเทพมุนี มีนามเดิมว่า สด มีแก้วน้อย เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2427 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ฉศก จ.ศ. 1246 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านสองพี่น้อง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่สองของนายเงินและนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 5 คน",
"พระเกี้ยว หรือ จุลมงกุฎ เป็นศิราภรณ์ประดับพระเกศาหรือพระเศียรของพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ และเป็นพิจิตรเลขาประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพราะ พระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น คือ \"จุฬาลงกรณ์\" ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับศีรษะ หรือ จุลมงกุฎ ซึ่งมีความหมายเชื่อมโยงกับพระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั่นคือ \"มงกุฎ\" อีกทั้ง พระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีหมายความว่า \"พระจอมเกล้าน้อย\" อีกด้วย เมื่อพระนามาภิไธยเดิมและพระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความหมายว่าพระเกี้ยว หรือจุลมงกุฎ จึงได้ใช้พระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎวางบนเบาะ เป็นพิจิตรเลขาประจำรัชกาลของพระองค์ที่พื้นที่ 108 ไร่ 2 งาน 22 ตารางวา เปิดสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวนนักเรียน 863 คน ",
"ไม่กี่วันต่อมาเมื่อความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ได้เสด็จออกสั่งเรื่องความผิดในวังคราวนี้ ดังปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 ความว่า ",
"รายนามเจ้าเมืองศรีนครลำดวน, เจ้าเมืองขุขันธ์, ข้าหลวงกำกับราชการ, ผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์รายนามวาระการดำรงตำแหน่ง1. พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (พระยาขุขันธ์ภักดี-พระไกรภักดีศรีนครลำดวน-หลวงแก้วสุวรรณ หรือตากะจะ) ผู้ก่อตั้งเมือง เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรก พ.ศ. 2302 – 2321 (รัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย – รัชกาลพระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงธนบุรี)2. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (หลวงปราบ/เชียงขัน) เจ้ามืองขุขันธ์พ.ศ. 2321 – 2325 (รัชกาลพระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงธนบุรี)3. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวบุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2325 – 2369 (รัชกาลสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช – รัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)4. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (พระสังฆะ บุตรเจ้าเมืองสังฆะ) เจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2369 – พ.ศ. 2393 (รัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)5. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวใน หรือ พระยาภักดีภูธรสงคราม) เจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2393 (รัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)6. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวนวล หรือ พระแก้วมนตรี) เจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2393 (รัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)7. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวกิ่ง หรือ พระภักดีภูธรสงคราม) เจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2393 – พ.ศ. 2395 (รัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว – รัชกาลสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) 8. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าววัง หรือ พระวิชัย) เจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2395 – พ.ศ. 2426 (รัชกาลสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว – รัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) 9. พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวปัญญา ขุขันธิน ต้นสกุล ขุขันธิน นามสุกลพระราชทาน [21]) เจ้าเมืองขุขันธ์ และผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์(คนแรก)พ.ศ. 2426 – พ.ศ. 2450 (รัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) หลวงเสนีย์พิทักษ์ ข้าหลวงกำกับราชการเมืองขุขันธ์(คนที่ 1) ปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2428 – พ.ศ. 2431 (รัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)พระยาบำรุงบุรประจันต์ (ท้าวจันดี หรือ พระรัตนโกศา) ข้าหลวงกำกับราชการเมืองขุขันธ์(คนที่ 2) ปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2432 – พ.ศ. 2435 (รัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)พระศรีพิทักษ์ (ท้าวหว่าง) ข้าหลวงกำกับราชการเมืองขุขันธ์(คนที่ 3) ปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าเมืองขุขันธ์พ.ศ. 2436 – พ.ศ. 2450 (รัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)",
"พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย ประสูติเมื่อวันพุธ เดือน 6 แรม 1 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2381 มีพระนามเดิมว่า \"หม่อมเจ้าแฉ่ ศิริวงศ์\" เป็นพระธิดาองค์ที่หกในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ต้น (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาทรัพย์) ประสูติแต่หม่อมกิ่ม ศิริวงศ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม แซ่จิ๋ว) มีพระพี่น้องร่วมพระบิดา รวม 8 พระองค์ หนึ่งในนั้นคือสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้นพระองค์จึงเป็นพระมาตุจฉาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว",
"หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา (เดิม : คุณแม้น บุนนาค) เกิดวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2409 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านเป็นธิดาคนเล็กของ เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ สมุหพระกลาโหม ในสมัยรัชกาลที่ 5 กับท่านผู้หญิงอิ่ม และ เป็นหลานสาวของ สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คุณแม้นมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน โดยพี่หญิงของท่านสองคนได้เป็นเจ้าจอมมารดาในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ และ เจ้าจอมมารดาโหมด",
"ชาวซิกข์เดินทางจากรัฐปัญจาบเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเข้ามาทางมาเลเซีย โดยผ่านภาคใต้ หรือมาทางบกโดยผ่านจากพม่า หลายคนเข้ามาเป็นพลตระเวน (ตำรวจ) แต่ส่วนใหญ่นิยมทำการค้า คนไทยจึงเรียกกันติดปากว่า แขกขายผ้า ชาวซิกข์ที่เปิดเป็นล่ำเป็นสันอยู่ที่บ้านหม้อ สมัยนั้นเรียก ร้านแขก เมื่อการค้าเจริญขึ้น จึงได้ชักชวนญาติพี่น้องเข้ามามากขึ้น และรวมกลุ่มตั้งแหล่งทำกินที่พาหุรัด เมื่อพาหุรัดแออัด ชาวซิกข์จึงหาที่อยู่ใหม่แถบ ท่าพระ บางแค สุขุมวิท หรือคลองตัน และที่สี่แยกบ้านแขกในเฉพาะซอยสารภี 2 ถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ นอกจากขายผ้า ชาวซิกข์ นิยมปล่อยเงินกู้ หรือขายของเงินผ่อนด้วย",
"เจ้าจอมก๊กออ หรือ เจ้าจอมพงศ์ออ ทั้งห้าคนเป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) เจ้าเมืองเพชรบุรี กับท่านผู้หญิงอู่ สุรพันธ์พิสุทธิ์ (สกุลเดิม วงศาโรจน์) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 14 คน และพี่น้องร่วมบิดารวม 62 คน โดยมีสตรีเข้าถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 7 คน ซึ่งเป็นเจ้าจอมก๊กออ 5 คน ได้แก่",
"พระครูอาคมวิสุทธิ์ (หลวงพ่อคง สุวัณโณ) ท่านมีนามเดิมว่า คง นามสกุล ฑีฆายุ เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2445 ตรงกับปีที่ 34 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โยมบิดาชื่อ นายส้อง โยมมารดาชื่อ นางโอง นามสกุล ฑีฆายุ ท่านเป็นบุตรคนหัวปี มีพี่น้องชายหญิงทั้งหมด 11 คน ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม",
"พระญาณสิทธาจารย์ หรือ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ท่านเกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 น. ตรงกับปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 10 คน ท่านเป็นคนที่ 5",
"เจ้าจอมเอี่ยม บุนนาค (12 พฤษภาคม พ.ศ. 2416 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2495) เป็นเจ้าจอมพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพี่น้องหนึ่งในห้าคนในเจ้าจอมก๊กออ มีพระเจ้าลูกเธอที่ตกพระโลหิต ยังไม่เป็นพระองค์ จำนวน 2 พระองค์",
"พระยาพิจารณาปฤชามาตย์ฯ เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2412 ที่บ้านเดิม ริมถนนสีลม จังหวัดพระนคร เป็นบุตรหลวงอุปการโกษากร (เวท วัชราภัย) มารดาของท่านคือ ท่านปั้น ณ สงขลา ธิดาเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ลำดับที่ 6 มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 7 คน ดังนี้",
"เจ้าจอมจันทร์ ถวายตัวเป็นพระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมกับเจ้าจอมเยื้อนและเจ้าจอมถนอม พี่น้องร่วมบิดา ได้รับพระราชทานเงิน 5 ชั่ง ผ้าลายและแพรห่ม 2 สำรับตามประเพณี ซึ่งท่านได้รับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณจนตลอดรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเจ้าจอมจันทร์มากเป็นพิเศษ ทรงโปรดใช้สอยและให้ตามเสด็จอยู่เป็นเนืองนิตย์ จนกระทั่งพ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้น 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ฝ่ายใน แก่เจ้าจอมจันทร์ พร้อมกันกับเจ้าจอมเอิบ พระสนมเอกที่พระองค์ทรงโปรดมากอีกท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นเจ้าจอมเพียง 1 ใน 4 ท่านที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ (อีก 3 ท่านคือเจ้าจอมเอี่ยม, เจ้าจอมเอิบ และเจ้าจอมเอื้อน) และเป็นเพียงท่านเดียวที่มิใช่เจ้าจอมก๊กออ",
"หลวงปู่ดูลย์ ถือกำเนิด ณ บ้านปราสาท ตำบลเฉนียง อำเภอเมืองสุรินทร์ เมื่อวันอังคารแรม 2 ค่ำ เดือน 11 ปีกุน ตรงกับวันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2430 เป็นปีที่ 20 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โยมบิดาของท่านชื่อ นายแดง โยมมารดาชื่อ นางเงิม นามสกุล ดีมาก หลวงปู่มีพี่น้อง 5 คน คนแรกเป็นหญิงชื่อ กลิ้ง คนที่สองคือตัวหลวงปู่เอง ชื่อ ดูลย์ คนที่สามเป็นชายชื่อ เคน คนที่สี่และห้าเป็นหญิงชื่อ รัตน์ และ ทอง พี่น้องทั้ง 4 คนของท่านมีชีวิตจนถึงวัยชรา และทุกคนเสียชีวิตก่อนที่จะมีอายุถึง 70 ปี มีเพียงหลวงปู่เท่านั้นที่ดำรงอายุขัยอยู่จนถึง 96 ปี",
"หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2431 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เป็นบุตรของนายปา และนางปัตต์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวมทั้งหมด 7 คน หลวงปู่ตื้อ เป็นลูกคนที่ 5 ในญาติทั้งหมดของหลวงปู่ตื้อ นับเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกับวัดมาก มีความฝักใฝ่ต่อพระพุทธศาสนา ถ้าลองสังเกตให้ดี ในบรรดาญาติของท่าน ถ้าเป็นชายล้วน แต่ก็มาบวชเป็นพระภิกษุ แต่ถ้าเป็นผู้หญิง ก็ยอมสละบ้านเรือน มาบวชชีพราหมณ์จนหมด",
"พระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์กรุงสยามมาก โดยเฉพาะรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อครั้งพระองค์เสด็จประพาสประเทศยุโรปทั้ง 2 ครั้ง พระยาชัยสุนทร (เก) ได้นำบุตรภริยาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ดื่มน้ำพระพิพัฒสัตยาเพื่อส่งเสด็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ในความจงรักภักดีของพระยาชัยสุนทร (เก) มาก ทรงเคยตรัสเกี่ยวกับพระยาชัยสุนทร (เก) ว่า เป็นเจ้าเมืองรูปงาม ผิวขาว ร่างบอบบาง ทรงโปรดฯ เรียก อ้ายพระยาน้อย ซึ่งเป็นนามที่ทำให้พระยาชัยสุนทร (เก) ปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น พระยาชัยสุนทร (เก) ได้เล่าให้บรรดาบุตรหลานฟังเสมอมา และมักอบรมสั่งสอนให้บุตรหลานทุกคนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้ากรุงสยามทุกพระองค์ หากบุตรหลานคนใดได้มีโอกาสรับราชการ ก็ขอให้บุตรหลานทุกคนได้ปฏิบัติหน้าที่ของคนไทยด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ อย่าได้ฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นอันขาด และขอให้ทุกคนถือว่า คนกาฬสินธุ์คือญาติพี่น้องของเราทุกคน",
"เจ้าจอมมารดาสุด ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบุตรีของพระยาสุรินทราราชเสนี (จั่น สุกุมลจันทร์) กับคุณหญิงกลิ่น สุรินทรราชเสนี (สกุลเดิม รักตประจิต) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2394 ท่านมีพี่น้องที่ได้รับราชการฝ่ายในด้วยกันคือเจ้าจอมมารดาสุด เคยรับราชการฝ่ายในเป็นเจ้าจอมอยู่งานในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ",
"หลักฐานแห่งความ \"โปรดรักใคร่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง\" นั้น มีปรากฏอยู่เนือง ๆ ดังเช่น พระมเหสีพระองค์นี้ น่าจะทรงเป็น \"เมีย\" คนแรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์โคลงพระราชทานให้ พระราชนิพนธ์นั้นมีว่า\nเนื่องจากตามโบราณราชประเพณี พระมเหสีเทวี พระราชวงศ์ฝ่ายใน รวมถึงสนมกำนัลทั้งปวงจะประทับหรือนั่งเรือพระที่นั่งลำเดียวกับพระมหากษัตริย์มิได้ แต่ในคราวที่เสด็จประพาสบางปะอิน เมื่อพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีฯ ทรงเตรียมการเรือพระที่นั่งเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงพอดี พระราชเทวีจึงจำต้องรีบเสด็จออกไป ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสงสาร มีรับสั่งให้พระนางเจ้าฯ พระราชเทวีเสด็จกลับมาประทับภายในเรือพระที่นั่งองค์เดียวกัน จัดเป็นครั้งแรกที่มีพระราชวงศ์ฝ่ายในได้ประทับร่วมเรือลำเดียวกับพระมหากษัตริย์",
"หลวงปู่ดี ท่านเกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2416 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านทุ่งสมอ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรของคุณพ่อเทศ และคุณแม่จันทร์ เอกฉันท์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน ท่านเป็นลูกคนที่ 7 บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2434 ณ วัดทุ่งสมอ โดยมีท่านอาจารย์รอดซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของท่าน เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชเป็นสามเณรอยู่เป็นเวลาอยู่ 6 เดือนก็ลาสิกขาบท ต่อมาเมื่อมีอายุครบเกณฑ์จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. 2437 ณ วัดทุ่งสมอ โดยมีพระครูวิสุทธิรังษี (ช้าง) วัดบ้านทวน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์รอด วัดทุ่งสมอ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ",
"เจริญใจ สุนทรวาทิน หรือชื่อที่รู้จักโดยทั่วไปว่า “อาจารย์เจริญใจ” เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2458 เป็นบุตรีของพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) กับคุณหญิงเสนาะดุริยางค์ (เรือน) เกิด ณ บ้านย่านคลองบางไส้ไก่ ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร บิดาเป็นนักดนตรีไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพี่น้องร่วมมารดาทั้งหมด 4 คน คือ เลียบ เลื่อน เชื้อ และเจริญ (นามเดิม) และมีพี่น้องต่างมารดาจำนวน 2 คน คือ ช้าและเชื่อง ในจำนวนพี่น้องทั้ง 6 คนนั้น มีพี่สาวคือ เลื่อน สุนทรวาทิน (ผลาสินธุ์) เป็นนักร้องเพลงไทยที่มีชื่อเสียง เมื่อแรกเกิดได้ไม่นาน บิดาได้นำทองคำบริสุทธิ์ฝนให้กินวันละหยดเป็นเวลา 3 วัน และได้ตั้งชื่อว่า “เจริญ” ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็น “เจริญใจ” ในภายหลัง และมีชื่อเรียกในหมู่พี่น้องว่า “เล็ก” เนื่องจากเป็นลูกคนสุดท้อง",
"ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะปฏิรูปประเทศไทยให้เจริญทัดเทียมกับประเทศตะวันตก ปัจจัยที่จะนำไปสู่จุดหมายได้คือ คน เงิน และการบริหารที่ดี มีพระราชดำริว่า หนทางแห่งความก้าวหน้าของชาติจะมีมาได้ก็ต้องอาศัยการศึกษาเป็นปัจจัย จึงทรงตั้งพระราชหฤทัยเด็ดเดี่ยวว่า เยาวชนรุ่นใหม่ทั้งของราชวงศ์และบุตรขุนนางจะต้องได้รับการศึกษาอย่างดีกว่ารุ่นพระองค์เอง ในระยะแรกอิทธิพลของประเทศตะวันตกที่มีต่อประเทศไทยคือ ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ หม่อมเจ้าเจ๊ก นพวงศ์ กับพระยาชัยสุรินทร์ (หม่อมราชวงศ์เทวหนึ่ง สิริวงศ์) ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษเป็นพวกแรก นับว่าเป็นครั้งแรกที่ทรงส่งนักเรียนหลวงไปเรียนถึงยุโรป ต่อมาก็ส่งพระราชโอรสและนักศึกษาไปศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเดนมาร์ก และประเทศรัสเชีย ก่อนหน้านั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคัดเลือกหม่อมเจ้า 14 คน ไปเรียนหนังสือที่สิงคโปร์ 2 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2413 - พ.ศ. 2415 ในโอกาสที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปสิงคโปร์ในปี พ.ศ. 2413 นั่นเป็นการเตรียมคนที่จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาพระราชภาระในการปรับปรุงประเทศ การเตรียมปัจจัยการเงินเป็นการเตรียมพร้อมประการหนึ่ง ถ้าขาดเงินจะดำเนินกิจการใดให้สำเร็จสมความมุ่งหมายคงจะเป็นไปได้ยาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า การจัดการเงินแบบเก่ามีทางรั่วไหลมาก พวกเจ้าภาษีนายอากรไม่ส่งเงินเข้าพระคลังครบถ้วนตามจำนวนที่ประมูลได้ พระองค์จึงทรงจัดการเรื่องการเงินของแผ่นดินหรือการคลังทันทีที่พระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ มีอำนาจในการปกครองแผ่นดินเต็มที่ เริ่มด้วยให้ตราพระราชบัญญัติตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ จ.ศ. 1235 (พ.ศ. 2416) มีพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติในปี จ.ศ. 1237 (พ.ศ. 2418) เพื่อจะได้ใช้จ่ายทุนบำรุงประเทศ ต่อมาทรงให้จัดทำงบประมาณจัดสรรเงินให้แต่กระทรวงต่าง ๆ เป็นสัดส่วน",
"ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี พระราชโอรสที่ประสูติแต่พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ต่อไป โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า \"ลูกแม่กลางกับลูกแม่เล็ก ให้นึกว่าเหมือนแม่เดียวกัน เรียกพี่เรียกน้องในการสืบสันตติวงศ์\"[16] พร้อมทั้งสถาปนาพระอิสริยยศของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ในฐานะเป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นพระยศพระอัครมเหสีเช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี พระองค์จึงไม่ยอมเสด็จไปก่อนสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีโดยพระราชทานเหตุผลว่า สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีเป็นพระราชชนนีของมกุฏราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตัดสินว่า \"แม่กลางกับแม่เล็กไม่ใช่คนอื่นพี่น้องกันแท้ ๆ แม่กลางเป็นพี่ไปหน้าตามอายุแล้วกัน\"[16]",
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนแพทย์ขึ้น ณ โรงศิริราชพยาบาล โดยมีชื่อว่า โรงเรียนแพทยากร นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้สร้างโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลขึ้น ในบริเวณโรงศิริราชพยาบาล นับเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย ในปัจจุบัน คือ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล\nพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดตึกโรงเรียนแพทย์ และพระราชทานนามโรงเรียนแพทยากรใหม่ว่า โรงเรียนราชแพทยาลัย ในโอกาสนั้นโปรดเกล้าฯ พระราชทานประกาศนียบัตรให้แพทย์รุ่นที่ 8 จำนวน 9 คน และพยาบาลรุ่นแรก จำนวน 10 คน\nในปี พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐาน โรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้าเป็นคณะหนึ่งของมหาวิทยาลัย มีชื่อว่า คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล",
"การที่ชาวยองเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นจำนวนมาก ในระยะแรก กลุ่มเจ้าเจ็ดตนที่ปกครองเมืองลำพูนได้ยินยอมให้เจ้าเมืองยองและญาติพี่น้องมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งแตกต่างจากเจ้าเมืองอื่น ๆ ที่อพยพมาในคราวเดียวกัน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2444–2445 ได้มีการสำมะโนประชากรในเมืองลำพูนเป็นครั้งแรกในสมัยของของเจ้าอินทยงยศโชติ เจ้าผู้ครองนครลำพูนลำดับที่ 9 พบว่ามีประชากรทั้งหมด 199,934 คน ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้คนที่อพยพมาจากเมืองยองและเมืองอื่นที่อยู่ใกล้เคียง",
"พระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) เป็นบุตรชายคนโตของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองคนสุดท้าย กับ คุณหญิงสอิ้ง คฑาธรธรณินทร์ (อภัยภูเบศร) พระยาอภัยภูเบศรมีพี่น้องร่วมครรภ์เดียวกัน ดังนี้\nต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระอภัยพิทักษ์ และในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2487 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์แก่ พระอภัยพิทักษ์ โดยได้รับพระราชทานทินนามตามบิดาและได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าสืบตระกูล และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่คุณพระอภัยพิทักษ์กับคุณหญิงเล็ก บุนนาค(ในขณะนั้นคุณหญิงถึงอนิจกรรมแล้ว) เนื่องในวโรกาสอภิเษกสมรสกับคุณสุวัทนา บุตรีคนโต",
"รายนามเจ้าเมือง, ข้าหลวงกำกับราชการ, ผู้ว่าราชการเมืองศีร์ษะเกษรายนามวาระการดำรงตำแหน่ง1. พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น หรือ พระภักดีภูธรสงคราม) ผู้ก่อตั้งเมือง เจ้าเมืองท่านแรก (อดีตปลัดเมืองขุขันธ์ ผู้กราบบังคมทูลขอแยกมาตั้งเมืองศรีสะเกษ บริเวณบ้านโนนสามขาสระกำแพง เมื่อ พ.ศ. 2325) พ.ศ. 2325 – 2328 (รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมัยกรุงรัตนโกสินทร์)2. พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) เจ้าเมืองศรีสะเกษ (พ.ศ. 2328 ย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านพันทาเจียงอี คือที่ตั้งตัวเมืองจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน)พ.ศ. 2328 – พ.ศ. 2368 (รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช-รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) 3. พระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองศรีสะเกษพ.ศ. 2368 – พ.ศ. 2424 (รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว-รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) 4. พระยาวิเศษภักดี (ท้าวโท หรือ พระพรหมภักดี) เจ้าเมืองศรีสะเกษพ.ศ. 2424 – พ.ศ. 2437 (รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) หลวงจำนงยุทธกิจ(อิ่ม)และ ขุนไผทไทยพิทักษ์(เกลื่อน) (คณะข้าหลวงเมืองศรีสะเกษ ปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าเมืองศรีสะเกษ)พ.ศ. 2433 – พ.ศ. 2443 (รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)5.พระภักดีโยธา(เหง้า) ผู้ว่าราชการเมืองศรีสะเกษ (คนแรก)พ.ศ. 2443 – พ.ศ. 2450 (รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)"
] |
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เข้าวงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อไหร่? | [
"ศรัณยูเป็นพระเอกที่มีช่วงการครองความนิยมยาวนานที่สุดอีกคนหนึ่งของประเทศไทย ด้วยข้อได้เปรียบของการไม่จำกัดการรับงานในช่องใดช่องหนึ่ง ทำให้มีผลงานหลากหลายต่อเนื่องทุกช่องละครเลยทีเดียว ศรัณยูเริ่มผลงานในวงการบันเทิงครั้งแรกประมาณปี พ.ศ. 2524 โดยได้รับการชักชวนให้ถ่ายแบบนิตยสารดิฉัน และมีผลงานเดินแบบ จากนั้นศรัณยูจึงได้มีผลงานพิธีกรรายการโทรทัศน์ เสียงติดดาว และ ยิ้มใส่ไข่[6] หลังสำเร็จการศึกษา ศรัณยูมีผลงานนำแสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรกทันทีในปี 2526 ที่อาจไม่มีใครทราบเนื่องจากไม่ได้ออกอากาศ คือเรื่อง เลือดขัตติยา ซึ่งดัดแปลงจากบทประพันธ์สุดคลาสสิคของ ทมยันตี สร้างโดย รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ศรัณยู รับบท อโณทัย คู่กับ วาสนา สิทธิเวช รับบท ดารา ร่วมด้วย นพพล โกมารชุน อุทุมพร ศิลาพันธ์ และภิญโญ ทองเจือ แม้ว่าจะกำหนดวันเวลาออกอากาศทางช่อง 3 ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ 21.00น.แล้วแต่ก็ไม่ได้รับอนุมัติให้ออกอากาศด้วยมีเนื้อหาที่อาจกระทบต่อความมั่นคง[9]"
] | [
"2535: อัลบั้ม ครั้งหนึ่ง ศรัณยู วงษ์กระจ่าง 2538: อัลบั้ม รวมเพลงประกอบละคร มนต์รักลูกทุ่ง ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 2 2539: อัลบั้ม หัวใจลูกทุ่ง ศรัณยู วงษ์กระจ่าง 2544: อัลบั้ม เพลงประกอบละคร นายฮ้อยทมิฬ ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 2 193 วัน รำลึก 7 ตุลา รำลึก",
"ในปี 2533 ด้วยความโด่งดังของศรัณยู ทางฝั่งช่อง 5 จึงได้นำละครเก่าเก็บที่ถ่ายทำไว้ตั้งแต่ปี 2531 ของศรัณยูคือ คนขายคน แต่ชื่อเรื่องไม่ผ่านกบว. มาลงจอโทรทัศน์ในชื่อเรื่องใหม่คือ เธอคือดวงดาว ออกอากาศ 19 สิงหาคม - 21 ตุลาคม 2533",
"ปัจจุบัน ศรัณยูเป็นผู้จัดละครและผู้กำกับการแสดง ผลิตละครโทรทัศน์ ในนาม \"สามัญการละคร\" มีผลงานการกำกับละครเรื่อง \"สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย\" (2556), หัวใจเถื่อน (2557), รอยรักแรงแค้น (2558) และล่าสุดเรื่อง บัลลังก์หงส์ (2559)",
"ปี 2536 ศรัณยูกลับสู่ช่อง 7 หลังจากห่างหายไป 5 ปี ด้วยการประชันบทบาทกับนางเอกยอดฝีมือ สินจัย เปล่งพานิช และ ปรียานุช ปานประดับ ในละครรีเมคยอดนิยม น้ำเซาะทราย โดยรับบท ภีม ประการพันธ์ หนุ่มนักปรึกษาด้านกฎหมายที่มีปัญหาครอบครัว ในส่วนของช่อง 3 ศรัณยูมีละครเรื่อง อยู่กับก๋ง คู่กับ เพชรี พรหมช่วย ออกอากาศในปีนี้",
"ในส่วนของงานผู้จัดละคร ศรัณยูเริ่มงานใหม่กับช่อง 8 ประเดิมด้วยละครเรื่องแรก ดงผู้ดี [32][33][34][35] ในปีเดียวกันศรัณยูและภรรยา หัทยา วงษ์กระจ่าง ยังเป็นแขกรับเชิญเซอร์ไพรส์ในบทพ่อแม่สุดเท่ที่ยอมรับและเข้าใจในตัวตนของลูกชายในละคร ไดอารีตุ๊ดซีส์ เดอะซีรีส์ ซีซั่น 2 ตอนอวสาน (ตอนที่ 12) ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 29 เมษายนทางช่อง GMM25 อีกด้วย ครึ่งปีหลังศรัณยู ร่วมงานแถลงข่าวรับบทในละคร Club Friday the Series 9 รักครั้งหนึ่ง ที่ไม่ถึงตาย ตอน \"รักที่ไม่มีจริง\" ร่วมกับ รฐา โพธิ์งาม และ ธนา สุทธิกมล ออกอากาศทางช่อง GMM25[36]",
"ศรัณยู เป็นนักแสดง พิธีกร ผู้กำกับการแสดงละครและภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการบันเทิงของไทย ก่อนจะเข้ามาในวงการบันเทิง ประกอบอาชีพเป็นสถาปนิกมาก่อน แต่เนื่องจากอาชีพสถาปนิกในเวลานั้น ยังไม่เป็นที่นิยมอย่างในปัจจุบัน ซึ่งศรัณยูได้ร่วมกิจการการแสดงโดยแสดงละครของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เมื่อยังเป็นนักศึกษาอยู่แล้ว เมื่อจบออกมามีผลงานชิ้นแรกทางโทรทัศน์ โดยแสดงเป็นตัวประกอบในรายการเพชฌฆาตความเครียด ทางช่อง 9 ในปี พ.ศ. 2527 โดยแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นพี่ที่เป็นศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นเดียวกัน เช่น ปัญญา นิรันดร์กุล, เกียรติ กิจเจริญ, วัชระ ปานเอี่ยม เป็นต้น",
"MAN OF ‘มัฆวานรังสรรค์’ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง: สู่ฝันอันสูงสุด, นิตยสาร Mars, พฤศจิกายน 2551 ประวัตินิสิตเก่าดีเด่น คณะสถาปัตย์จุฬาฯ นิตยสารดาราภาพยนตร์ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑",
"การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในปี 2549 ของ ศรัณยู ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากส่งผลกระทบต่องานละครโทรทัศน์และงานพิธีกรรายการโทรทัศน์[25] อย่างไรก็ตามเขายังคงมีผลงานภาพยนตร์ ละครเวที และผลงานในบทบาทผู้กำกับและผู้จัดอย่างต่อเนื่อง",
"ศรัณยู เกิดที่ตำบลกระดังงา อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นน้องชายแท้ๆ ของ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ มีพี่น้อง 4 คน แต่ว่าใช้คนละนามสกุลกัน เนื่องจากในวัยเด็กศรัณยูได้ถูกป้าขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมจึงใช้นามสกุลของป้า",
"ปี 2549 ศรัณยูกลับรับบทเด่นในละครโทรทัศน์อีกครั้งในละครค่าย เอ็กแซ็กท์ เรื่อง ลอดลายมังกร คู่กับ บุษกร พรวรรณะศิริเวช ทางช่อง 5 ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2549 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549",
"ผลงานละครโทรทัศน์ออกอากาศเรื่องแรกของศรัณยูจึงเป็นผลงานละครของ มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช เรื่อง เก้าอี้ขาวในห้องแดง ออกอากาศ 9 กุมภาพันธ์ 2527 ทางช่อง 3 จากบทประพันธ์ในชื่อเดียวกันของ สุวรรณี สุคนธา ซึ่งเป็นเรื่องราวรักสามเศร้าและปัญหาชีวิตวัยรุ่น ร่วมกับ นพพล โกมารชุน มยุรา ธนบุตร อุทุมพร ศิลาพันธ์ และ ยุรนันท์ ภมรมนตรี เก้าอี้ขาวในห้องแดง เป็นละครที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจากเนื้อหา ฝีมือการแสดง และรูปแบบที่นำสมัย เกิดกระแสนิยมเหล่านักแสดง เสื้อผ้า ทรงผมของนักแสดงหลัก เพียงเรื่องแรกก็ทำให้ศรัณยูมีชื่อเสียงในวงกว้าง[6] ในปีเดียวกัน ศรัณยูมีผลงานละครโทรทัศน์กับช่อง 7 โดย ดาราวิดีโอ เรื่อง บ้านสอยดาว จากบทประพันธ์ของ โบตั๋น ออกอากาศ 28 กันยายน 2527 - 26 มกราคม 2528 โดยรับบท เอื้อตะวัน ร่วมด้วย มยุรา ธนบุตร อุทุมพร ศิลาพันธ์ และ ธงไชย แมคอินไตย์ จากนั้นมีผลงานต่อเนื่องกับช่อง 7 ปี 2528 กับเรื่อง ระนาดเอก ออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 21.00น. แม้จะเป็นละครเกี่ยวกับดนตรีไทย แต่มีการผูกเรื่องได้สนุกสนานกับการประชันกันของบรมครูทางระนาด 2 สาย จากรุ่นบรมครูถ่ายทอดมาสู่รุ่นศิษย์ ละครเรื่องนี้สร้างชื่อให้ ศรัณยู ได้แจ้งเกิดในวงการละคร พร้อมกับนางเอก สินจัย หงษ์ไทย ที่ลงละครเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ความดังของละครเรื่องนี้เล่ากันว่า พวกปี่พาทย์ที่ทำงานศพตามวัดต่างๆถ้าคืนไหนมีงานประโคมก็จะต้องตั้งโทรทัศน์ไว้ข้างวงดนตรีเลยทีเดียว[10] จากนั้นในปีเดียวกัน ช่อง 7 ได้ให้ ศรัณยู รับบทคู่กับนางเอกยอดนิยม มนฤดี ยมาภัย เป็นครั้งแรกในละครค่าย ดาราวิดีโอ เรื่อง มัสยา ออกอากาศ 25 ตุลาคม 2528 - 1 มีนาคม 2529 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอันมาก ด้วยความพีคของตอนอวสานทำให้ช่องขยายวันออกอากาศจากศุกร์-เสาร์เป็น ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์",
"ศิวัฒน์เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการถ่ายโฆษณา GSM 1800 เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ชั้นปีที่ 3 มีโมเดลลิ่งมาติดต่อ จากนั้นก็มีงานแสดงละครเรื่องแรกคือ สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย โดยการชักนำของ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง รับบทเป็นเพื่อนพระเอก สำหรับผลงานละครที่สร้างชื่อเสียงคือเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก จากนั้นได้แสดงเรื่อง อุ่นไอรัก หลังคาแดง ต่อมาได้รับบทนำในละคร รักสุดขั้ว และผลงานละครอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แม่คุณ..ทูนหัว เขาหาว่าหนูเป็นเจ้าหญิง เพลงดินกลิ่นดาว คมแฝก รักติดลบ ปิ่นมุก สวรรค์สร้าง โบ๊เบ๊ รุกฆาต ลิลลี่สีกุหลาบ ฯลฯ นอกจากนี้เขายังเคยแสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง มีอาการ ของ นิ้ง-เปี่ยมปีติ หัถกิจโกศล สังกัดค่าย อาร์.เอส. และยังเป็นดีเจ คลื่น 93.5 EFM อีกด้วยช่องเวิร์คพอยท์",
"และกลับเข้าสู่วงการอีกครั้งด้วยละครเรื่องแรก สุภาพบุรุษ..ลูกผู้ชาย จากการชักชวนของ ศรัณยู-หัทยา วงษ์กระจ่าง และภาพยนตร์คือ ทวิภพ ส่วนงานละครและภาพยนตร์มีตามมาอีกหลายเรื่อง มหาอุตม์, โอปปาติก, ซุ้มมือปืน, ทับตะวัน, สี่แผ่นดิน, ตามรอยพ่อ, สุดรัก สุดดวงใจ, รักเธอทุกวัน , บ่วงรักกามเทพ , ไฟอมตะ เป็นต้น",
"ละคอนถาปัด มีมาตั้งแต่ปี 2517 ในบางปีที่พอมีกำลังก็ทำกันหลายเรื่อง การแสดงที่โด่งดังที่สุดคือเรื่อง สามก๊ก ซึ่งได้เปิดการแสดงไปร้อยกว่ารอบด้วยกัน นักแสดงและบุคคลในวงการบันเทิงหลายคน เริ่มจากการแสดงละคอนถาปัด เช่น ปัญญา นิรันดร์กุล, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง, ภิญโญ รู้ธรรม และบรรดาเหล่าซูโม่จากรายการเพชฌฆาตความเครียด ",
"ปี 2533 ศรัณยูเปิดปีด้วยภาพยนตร์เรื่อง เล่นกับไฟ รับบทคู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส เป็นครั้งที่ 2 ออกฉายปลายเดือน เมษายน 2533 สำหรับงานละครโทรทัศน์ถือเป็นปีทองของ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เพราะเขาได้มีผลงานละครโทรทัศน์กับทางช่อง 3 ถึง 5 เรื่องในปีเดียว ศรัณยูโด่งดังมากจนทำให้ช่อง 3 อนุมัติให้เขาและเพื่อนๆ กลุ่มซูโม่สำอาง ได้แก่ ซูโม่ตู้ กิ๊ก ซูโม่ตุ๋ย ปัญญา นิรันดร์กุล และดารารับเชิญมากมาย มาสร้างละครตลกล้อเลียนหนังจีนเรื่อง โหด เลว อ้วน ออกอากาศ 1 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม 2533 โดยรับบทคู่กับ เพ็ญ พิสุทธิ์ แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องค่อนข้างสับสนจึงถูกตัดจบในที่สุด ต่อมา ศรัณยู ได้รับบทคู่ ลลิตา ปัญโญภาส ครั้งแรกทางละครโทรทัศน์เรื่อง วนาลี ออกอากาศ 21 กันยายน - 7 ธันวาคม 2533 (เวลา 20.50-21.50 น.) ละครโด่งดังเป็นพลุแตก วนาลีประสบความสำเร็จเป็นอันมาก ส่งผลให้ ศรัณยู-ลลิตา เป็นดาราคู่ขวัญและมีคนเรียกร้องให้แสดงคู่กันอีก วนาลียังได้นำเพลงอมตะของ ม.ร.ว.ถนัดศรี และ รวงทอง \"วนาสวาท\" มาเป็นเพลงประกอบละคร โดยมีเวอร์ชันที่ขับร้องโดย ศรัณยู กับ รัญญา ศิยานนท์",
"ปี 2547 ศรัณยูเป็นผู้กำกับและเขียนบทโทรทัศน์ในละคร เรื่อง หลังคาแดง ทางช่อง 7 นำแสดงโดย ดนุพร ปุณณกันต์ และ จีรนันท์ มะโนแจ่ม โดยศรัณยูเองได้รับบท นายแพทย์สินเงิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลผู้ป่วยจิตเวช ด้วย เนื่องจากไม่ค่อยประสบความสำเร็จในด้านยอดผู้ชม ทำให้ช่องตัดให้จบเร็วขึ้น",
"ด้านชีวิตครอบครัว สมรสกับศรัณยู วงศ์กระจ่าง มีบุตรสาวฝาแฝด ชื่อ ศุภรา และศิตลา ความเชื่อส่วนตัวนับถือศาสนาคริสต์",
"ศรัณยู วงศ์กระจ่าง (ชื่อเล่น: ตั้ว) มีชื่อจริงว่า นรัณยู วงษ์กระจ่าง (เปลี่ยนมาจาก ศรัณยู วงศ์กระจ่าง)[1] เกิดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2503 ที่ตำบลกระดังงา อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม[2]",
"ปี 2539 ศรัณยู รับบทคู่กับนางเอกดัง สุวนันท์ คงยิ่ง ในละคร ด้วยแรงอธิษฐาน ค่ายดาราวิดีโอ ออกอากาศ 26 กรกฎาคม 2539 - 29 กันยายน 2539 ซึ่งเป็นเรื่องราวของนางเอกที่ตายไปพร้อมความเข้าใจผิด และเกิดใหม่กลับมาแก้แค้นพระเอก ด้วยแรงอธิษฐานประสบความสำเร็จด้วยดี ในปีเดียวกัน ศรัณยู มีผลงานนำแสดงภาพยนตร์เรื่อง เรือนมยุรา โดยรับบท คุณพระนาย คู่กับ นุสบา วานิชอังกูร",
"ต่อมาได้เข้าทำงานในแวดวงบันเทิง ด้วยการเป็นนักแสดงและผู้จัดฉากและผู้ช่วยผู้กำกับละครเวทีเรื่องต่าง ๆ อาทิ \"สู่ฝันอันสูงสุด\" ที่กำกับการแสดงโดย ยุทธนา มุกดาสนิท และนำแสดงโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ในปี พ.ศ. 2529 และเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ 2 ให้ภาพยนตร์เรื่อง \"หลังคาแดง\" กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิท นำแสดงโดย ธงไชย แมคอินไตย์ และ จินตหรา สุขพัฒน์ ในปี พ.ศ. 2530",
"ปี 2554 ศรัณยู มีผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง คนโขน โดยค่าย สหมงคลฟิล์ม นำแสดงโดย นิรุตติ์ ศิริจรรยา สรพงศ์ ชาตรี และ เพ็ญพักตร์ ศิริกุล",
"สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย เป็นละครโทรทัศน์ไทยจากบทประพันธ์ของศรัณยู วงษ์กระจ่าง สร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2546 เขียนบทโทรทัศน์โดย เมจิก อีฟ กำกับการแสดงโดยศรัณยู วงษ์กระจ่าง นำแสดงโดย ตะวัน จารุจินดา, วรนุช วงษ์สวรรค์, ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์, มาติกา อรรถกรศิริโพธิ์ และนำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2556 ผลิตโดย บริษัท สามัญการละคร จำกัด ของศรัณยู วงษ์กระจ่าง เขียนบทโทรทัศน์และกำกับการแสดงโดยศรัณยู วงษ์กระจ่าง นำแสดงโดยศรัณย์ ศิริลักษณ์, ธัญญะสุภางค์ จิรปรีชานนท์, ปิยพันธ์ ขำกฤษ, ณัฐชา นวลแจ่ม, ศุภมร โคร์นิน ร่วมด้วยตฤณ เศรษฐโชค, ศรุต วิจิตรานนท์, อาภาศิริ นิติพน, ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์, แวร์ โซว และพิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7",
"ปีถัดมา 2556 ศรัณยูกลับมาทำงานร่วมกับช่อง 7 อีกครั้ง โดยหยิบยกผลงานบทประพันธ์ของเขาเองเรื่อง สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย มารีเมคเวอร์ชันใหม่ นำแสดงโดย ศรัณย์ ศิริลักษณ์ และ ธัญญะสุภางค์ จิรปรีชานนท์",
"ศรัณยู สมรสกับ หัทยา เกตุสังข์ นักแสดงและดีเจชื่อดัง โดยเข้าพิธีหมั้น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2537 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระตำหนักสวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2537 ตามด้วยงานฉลองพิธีสมรสในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2537[6] ทั้งคู่มีบุตรสาวฝาแฝด ชื่อ ศุภรา วงษ์กระจ่าง (ชื่อเล่น: ลูกหนุน) และ ศีตลา วงษ์กระจ่าง (ชื่อเล่น: ลูกหนัง)[45]",
"ในบรรดาผู้ชมคอนเสิร์ต 20 ปี คาราบาว มีบุคคลสำคัญและดารานักแสดงเข้าร่วมชม อาทิ ฉัตรชัย เปล่งพานิช , สินจัย เปล่งพานิช , ศรัณยู วงษ์กระจ่าง , หัทยา วงษ์กระจ่าง และ กร ทัพพะรังสี ซึ่งเป็นแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์บนเวทีคอนเสิร์ตด้วย",
"ปลายปี 2549 ศรัณยู นำแสดงและกำกับภาพยนตร์แนว psychological thriller เรื่อง อำมหิตพิศวาส ร่วมกับ บงกช คงมาลัย ตะวัน จารุจินดา และปรางทอง ชั่งธรรม[26] จากนั้นเขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ชื่อเสียงระดับนานาชาติเรื่อง 13 เกมสยอง",
"ปี 2550 ศรัณยูรับบท สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา ในปีเดียวกัน ศรัณยู กลับมาร่วมงานกับ เอ็กแซ็กท์ อีกครั้ง โดยรับบท กษัตริย์อาเหม็ด ในละครเวที ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล ซึ่งเป็นละครเวทีเปิดโรงละครใหม่ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ด้วยความนิยมจึงมีการเปิดการแสดงถึง 53 รอบ",
"ปี 2534 และแล้วละครที่แฟนๆต่างตั้งตารอคอยกับการกลับมาอีกครั้งของคู่ขวัญ ศรัณยู-ลลิตา ในผลงานของ วรายุฑ มิลินทจินดา ในเรื่อง วนิดา ออกอากาศ 10 กรกฎาคม - 11 ธันวาคม 2534 เวลา 21.05-22.05 น. เรื่องราวของการแต่งงานที่ไม่เต็มใจของ พันตรีประจักษ์ มหศักดิ์ หรือ ใหญ่ กับลูกสาวคหบดีอย่าง วนิดา เพื่อชดใช้แทนหนี้ที่น้องชายก่อไว้ ในเรื่องนี้ศรัณยูยังเป็นผู้ร่วมเขียนบทโทรทัศน์ในนามปากกา รัญดาศิริ ซึ่งเป็นามปากกาของ รัญ คือ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ดา คือ ดาลัด คุปตะเวทิน และ ศิริ คือ พงษ์ศิริ อินทรชัย เหมือนเช่นเคย ศรัณยู ได้ขับร้องเพลงประกอบละครวนิดาไว้ 3 เพลง คือ บุพเพสันนิวาส ยามรัก และ ยามชัง วนิดาเวอร์ชันศรัณยู-ลลิตา โด่งดังและสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมเป็นอันมาก",
"บัลลังก์หงส์ เป็นละครโทรทัศน์ จากบทประพันธ์ของ \"กานติมา\" สร้างครั้งแรกในปี พ.ศ. 2559 เขียนบทโทรทัศน์โดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง กำกับการแสดงโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง นำแสดงโดย พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ , ภัทรเดช สงวนความดี , วีรคณิศร์ กานต์วัฒนกุล , เพ็ญพักตร์ ศิริกุล , รัญดภา มันตะลัมพะ , พีรกร โพธิ์ประเสริฐ , พรรัมภา สุขได้พึ่ง , ฐิตินันท์ สุวรรณถาวร , อนิสา นูกราฮา ฯลฯ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ออกอากาศทุกวันจันทร์–อังคาร เวลา 20:30 น. เริ่มวันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559 - วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559"
] |
ทองคำเปลวทำมาจากอะไร ? | [
"ทองคำเปลว (English: Gold leaf) คือทองที่ได้รับการตีแผ่จนเป็นแผ่นที่บางมาก ทองคำเปลวมักจะใช้สำหรับการปิดทอง (gilding) หรือปิดบนองค์พระพุทธรูปหรือสิ่งสักการะ ทองคำเปลวทำจากทอง โดยมีสีต่างๆ เกิดขึ้นตามองค์ประกอบของโลหะชนิดอื่นๆ ที่ผสมในกระบวนการผลิตทองคำเปลว มีตั้งแต่ 96.5%, 99% ไปจนถึง 99.99%"
] | [
"ดาราทอง หรือ ทองเอกกระจัง เป็นขนมไทยชนิดหนึ่ง มีส่วนประกอบหลักคือขนมทองเอก (ทำจากแป้งสาลี ไข่แดง กะทิ และน้ำตาล) ปั้นเป็นทรงกลมแป้นเล็กน้อย บากให้เป็นร่อง ๆ คล้ายผลมะยมหรือผลฟักทอง แล้วนำไปวางบนจานแป้งเล็ก ๆ ที่ติดขอบด้วยเมล็ดแตงโมกวาดน้ำเชื่อม (กวาดให้น้ำตาลแห้งเกาะเมล็ดเป็นหนาม) จากนั้นประดับยอดด้วยแผ่นทองคำเปลวที่กินได้ ",
"ถนนตีทองสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นถนนสายสั้น ๆ เชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนบำรุงเมือง ซึ่งเป็นถนนที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนสายนี้ตัดผ่านย่านของชุมชนที่มีอาชีพทำทองคำเปลว จึงเรียกว่า \"ถนนตีทอง\" โดยบรรพบุรุษของชาวชุมชนนั้นเป็นชาวลาวที่อพยพมาจากเวียงจันทร์และหลวงพระบาง ตั้งแต่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์",
"ผู้รับใช้มีปีกแห่งรัตติกาลมีชื่อเป็นสมญานาม ผู้รับใช้ที่ระบุชื่อใน\"ศุกร์รัตติกาล\" ได้แก่ \nเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในโรงงานทำทองคำเปลว พลเมืองที่นี่จะใช้นามสกุล \"ทองแผ่น\" กันหมด หน้าที่ของพวกเขาคือหลอมทองและตีทองให้แบนเพื่อนำไปปิดตัวอักษร ตีเป็นแผ่นสำหรับจารึก และทองรูปอื่นๆ ความต้องการทองคำเปลวที่โรงงานต้องผลิตได้ทุกวันคือสี่พันคืบ อยู่ใต้การควบคุมของย่ำรุ่งของวันศุกร์เป็นลำดับแรก และเอลิบาเซ็ธเป็นลำดับที่สองคนผลักกระดาษทำงานอยู่ในท่าเรือและคลอง สวมชุดที่ทำจากกระดาษที่มีตัวอักษรเผื่อตกน้ำจะได้ไม่จม มีหน้าที่ขนส่งผู้โดยสารและบันทึกไปยังที่ต่างๆ ในบ้านเบื้องกลางโดยคลอง เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ขับเคลื่อนทางน้ำมีเกียรติสูงส่ง ซึ่งเป็นสมาคมพิเศษของคนผลักกระดาษไม่ขึ้นตรงต่อชั้นไหนๆ ของบ้านเบื้องกลาง เป็นอาชีพหนึ่งที่ผู้รับใช้ที่ถูกกินเครื่องแบบโดยพินัยกรรมส่วนที่ห้ามักมาทำงานเป็นพลเมืองที่อยู่บนที่ราบสูงบนสุด ส่วนใหญ่ตกมาจากบ้านเบื้องบน มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์แต่ก็เจ้าเล่ห์มากนักรบของบ้านเบื้องบน สวมรองเท้าหนังเทียมขึ้นเงากับกางเกงลายตาราง และแต่งตัวแบบแปลกๆ เช่น ใส่เอี๊ยมเปิดกระดุม และหมวกเบเร่ต์เอียงเป็นมุมเดียวกันทั้งหมด อาวุธของพวกเขาเป็นมีดปลายแหลมเล่มยาวซึ่งบรรจุแกนสุญญะเข้มข้น ทำให้อาวุธนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว เพราะสุญญะจะกัดกินอาวุธไปจนหมด นักรบเหล่านี้สามารถทำการรบบนท้องฟ้าได้ โดยติดปีกซึ่งมีแสงสว่างเหมือนดวงดาว พวกเขาได้รับคำสั่งให้ลงมายึดประตูฟ้า ซึ่งจะเป็นการขัดขวางการทำงานของแพ และกลุ่มผู้รับใช้แห่งรัตติกาลของบ้านเบื้องกลาง รวมไปถึงช่วยส่งกำลังหนุนจากบ้านเบื้องบนไปยังส่วนอื่นๆ ต่อไป อยู่ภายใต้การควบคุมของย่ำรุ่งของวันเสาร์เป็นนักรบที่ห้าวหาญที่สุดของบ้านเบื้องบน พวกเขาล้วนสวมเสื้อนอกสีดำตัวยาวสมัยศตวรรษที่ 19 สวมวิกผมยาวลงแป้งจนแข็ง มีอาวุธเป็นดาบซึ่งรูปร่างเหมือนปลายปากกาหมึกซึมซึ่งมีความใหญ่และยาวมาก ซูซี่บอกว่าพวกเขาสามารถดูดเอาตับไตไส้พุงออกมาได้เพียงแค่มองตามทีได้ยินเขาเล่ากันมา แต่ว่าพวกเขาทั้งหมดเสียชีวิตพร้อมกับย่ำค่ำของวันเสาร์ พ่ายแพในการชิงกุญแจดอกที่ห้าของปลอมจากคนเป่าปี่และเด็กของคนเป่าปี่ของเขา อยู่ภายใต้การควบคุมของย่ำค่ำของวันเสาร์ทำหน้าที่ล้างระหว่างหูเด็กของคนเป่าปี่ (อย่างไรก็ตามการล้างระหว่างหูหนูเติบโตไม่ประสบความสำเร็จ) พวกเขามาจากบ้านเบื้องบน และรับใช้วันเสาร์เลอเลิศ ผู้ดูแลห้องน้ำเป็นส่วนหนึ่งของผู้ตรวจสอบบัญชีภายใน (แต่ไม่ใช่ผู้ตรวจสอบบัญชีภายในทั้งหมดจะเป็นผู้ดูแลห้องน้ำทุกคน) ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของย่ำค่ำของวันเสาร์ การล้างระหว่างหูเด็กของคนเป่าปี่เป็นแผนการของวันเสาร์เพื่อการป้องกันไม่ให้เด็กของคนเป่าปี่คนใดกลายเป็นทายาทผู้ทรงสิทธิ์เด็ดขาดเนื่องจากเด็กของคนเป่าปี่ก็เป็นผู้รู้ตายเหมือนกัน พินัยกรรมสามารถเลือกใครคนใดคนหนึ่งเป็นทายาทผู้ทรงสิทธิ์ก็ได้ เป็นเด็กของคนเป่าปี่ที่ทำงานอยู่ในบ้านเบื้องบน ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายลูกบาศก์ห้องทำงานของพลเมือง ลิงหยอดน้ำมันมีหน้าที่หลายอย่าง ไม่ใช่หยอดน้ำมันอย่างเดียว แต่ทำทั้งขันสกรู ทำราง ฯลฯ รวมถึงการสร้างเส้ากระทุ้ง หัวหน้าของลิงหยอดน้ำมันแห่งกองซ่อมบำรุงโซ่และแรงเคลื่อนที่ยี่สิบเจ็ดมีชื่อว่า อาลีส (Alyse) พลเมืองหน้าเศร้าที่สอบตกจากการเรียนเวทมนตร์ พวกเขามีร่มประจำตัวเป็นร่มสีหม่นที่ถูกแมลงกัดแหว่งไปหมด พวกเขาเป็นพลเมืองมีลำดับความสำคัญต่ำสุด มีหน้าที่คอยจับตาดูเด็กของคนเป่าปี่ตลอดเวลา อยู่ภายใต้การควบคุมของยามเที่ยงของวันเสาร์",
"ภาพเหมือนของพระเจ้าเฮนรีเป็นภาพเหมือนที่เป็นเอกลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ยุโรปในยุ่คนั้น พระองค์ทรงวางท่าให้เขียนโดยปราศจากเครื่องยศศักดิ์ต่างๆ เช่นพระขรรค์, มงกุฎ หรือ คทาในการแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์เช่นที่ทำกันตามปกติ เพียงแต่ทรงวางพระองค์อย่างแสดงความสง่าและความมีอำนาจ พระองค์ทรงยืนด้วยพระวรกายที่สูงสง่าอย่างมีผู้มีความมั่นใจในตนเอง พระเนตรทอดตรงมายังผู้ดูภาพ พระชงฆ์กาง และพระกรอยู่ข้างพระองค์ในท่าที่ท้าทาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือถุงพระหัตถ์ อีกข้างอยู่เหนือกริชที่ห้อยอยู่จากบั้นพระองค์ เครื่องแต่งและฉากรอบพระองค์จัดอย่างหรูหราวิจิตร ภาพต้นฉบับใช้ทองคำเปลวในการตกแต่งเพื่อเน้นความหรูหรา สิ่งที่น่าสนใจคือรายละเอียดของการปักด้ายดำ (Blackwork Embroidery) พระเจ้าเฮนรีทรงเครื่องเพชรพลอยต่างๆ ที่รวมทั้งพระธำมรงค์ขนาดใหญ่หลายวง และสร้อยพระศอสองสาย ถุงคลุมของสงวน (codpiece) ชิ้นใหญ่และเครื่องหนุนพระพาหายิ่งช่วยในการส่งเสริมความเป็นชายผู้มีอำนาจของพระองค์มากขึ้น",
"ลายรดน้ำ เป็นลวดลายหรือภาพ รวมไปถึงภาพประกอบลายต่าง ๆ ที่ปิดด้วยทองคำเปลวบนพื้นรัก โดยขั้นตอนการทำสุดท้ายคือการเอาน้ำรด ให้ปรากฏเป็นลวดลาย จึงกล่าวได้ว่า “ลายรดน้ำ” คือ ลายทองที่ล้างด้วยน้ำ",
"มีบันไดทางขึ้นไปยังลานเนินเขาเชียงกุตระสี่ทาง ในแต่ละทางขึ้นมีรูปปั้นคล้ายสิงโตมีชื่อเรียกว่าชินเต ประดับไว้เป็นคู่หน้าทางขึ้นเพื่อปกปักรักษาองค์เจดีย์ตามความเชื่อ ทางทิศตะวันออกและทางใต้มีร้านขายธูปเทียน ทองคำเปลว หนังสือ และวัตถุมงคลต่าง ๆ",
"พระแม่มารีทองแห่งเอสเซิน () เป็นประติมากรรมของพระแม่มารีและพระบุตรที่มีแกนที่สลักจากไม้แล้วปิดด้วยทองคำเปลว พระแม่มารีทองแห่งเอสเซินเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติของมหาวิหารเอสเซินที่เดิมเป็นแอบบีเอสเซินในนอร์ดไรน์-เวสต์ฟาเลนในเยอรมนี และตั้งแสดงอยู่ในมหาวิหาร",
"บริเวณหลายบริเวณในภาพใช้ทองคำเปลวและเงินในการตกแต่ง ทองใช้ในการตกแต่งบังเหียนซึ่งยังคงดูใหม่ ส่วนเงินใช้ตกแต่งเสื้อเกราะซึ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนที่ทำให้กลายเป็นสีเทาหรือดำ ภาพทุกภาพได้รับความเสียหายจากกาลเวลาและการซ่อมแซมสมัยต้น และบางส่วนก็หายไป",
"ดิน ตะไคร่น้ำแห้ง ที่ใบเสมารอบพระอุโบสถวัดสวนตาล และทองคำเปลวบนองค์พระพุทธรูป พระเจ้าทองทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชา ถูกนำมาเป็นมวลสารใช้สร้างพระสมเด็จจิตรลดา\nและสรงน้ำ จัดขึ้นเป็นประจำในเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 13 เมษายน ทุกปี",
"(อังกฤษ: The Guild of Gilding and Illumination) ประกอบด้วยพลเมืองทั้งหมดที่ทำงานอยู่ในทุ่งราบ มีหน้าที่เกี่ยวกับการปิดทอง เช่น หลอมทอง ตีทอง ปิดทอง เป็นต้น สถานที่ทำงานหลักคือโรงงานทำทองคำเปลว ซึ่งมีระบบการป้องกันที่ดี สถานที่อื่นๆ เช่น หอปกหน้าเป็นเลิศ อาคารของกิจกรรมนักวาดอักษรและฐานช่างริบบิ้น โดยมีที่พักผ่อนของพลเมืองอยู่ที่เมืองออเรียนเบิร์ก อยู่ห่างจากสถานที่ต่างๆ เท่ากันพอดี ควบคุมโดยย่ำรุ่งของวันศุกร์",
"ปัจจุบันนี้รูปหล่อของหลวงพ่อปานก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส ที่กุฏิของท่านซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง ซึ่งปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม ทองคำเปลวที่รูปหล่อก็มีคนนำไปปิดที่หน้าผากเพื่อรักษาโรค เป็นต้น",
"สมัยแห่งความก้าวหน้า (Progressive Era) เป็นสมัยที่สหรัฐมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในสหรัฐ แต่เป็นสมัยที่มีปัญหาทางสังคมสูง สมัยนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สมัยแห่งทองคำเปลว (Gilded Age) ตามวรรณกรรมของมาร์ค ทเวน (Mark Twain) เรื่อง \"The Gilded Age: A Tale of Today.\" ซึ่งเปรียบความเจริญก้าวหน้าของสหรัฐในสมัยนั้นว่าเสมือนเป็นทองคำเปลวฉาบหน้าซ่อนเร้นปัญหาความเสื่อมโทรมไว้ภายใน ",
"เมื่อได้หัวหุ่นที่ประดับลวดลายต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการการปั้นรักตีลาย โดยการใช้รักตีลายพิมพ์เป็นลวดลายละเอียด สำหรับประดับตามตำแหน่งบนกะโหลกที่ติดลวดลายประดับไว้แล้ว ใช้รักน้ำเกลี้ยงทาทับส่วนที่ทำเป็นลวดลายต่าง ๆ ที่ต้องการให้เป็นสีทองคำ ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทแล้วนำทองคำเปลวมาปิดทับให้ทั่ว ประดับกระจกหรือพลอยกระจกเพื่อให้เกิดประกายแวววาม กระจกที่ใช้เรียกว่ากระจกเกรียง ปัจจุบันหายากมาก ช่างทำหัวโขนจึงเลือกใช้พลอยกระจกประดับแทน จากนั้นเป็นการระบายสีและเขียนส่วนละเอียด ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำหัวโขน มักนิยมใช้สีฝุ่นผสมกาวกระถินหรือยางมะขวิด ที่มีคุณสมบัติสดใสและนุ่มนวล ในขั้นตอนของการการระบายสีและเขียนรูปลักษณ์บนใบหน้าของหัวโขน ช่างทำหัวโขนจะต้องลงสีตามแบบแผนอันเกี่ยวเนื่องกับชาติเชื้อเผ่าพงศ์ของหัวโขนนั้น ๆ ให้ถูกต้องอีกด้วย",
"ในปัจจุบันมีการนำทองคำวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้งานแทนทองคำเปลวที่ทำจากทองคำแท้เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่า โดยจะสังเกตความแตกต่างได้ง่ายเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ หากทองคำเปลวไม่ติดนิ้วมือและเป็นรอยขาด ลักษณะเป็นแผ่นบางๆแตกเป็นชิ้นๆ แสดงว่าเป็นทองคำวิทยาศาสตร์ และถ้าหากใช้นิ้วมือขยี้ทองคำเปลวแล้วติดมือแสดงว่าเป็นทองคำแท้ ข้อสังเกตอีกหนึ่งประการทองคำเปลวที่ผลิตจากทองคำแท้จะมีสีที่แวววาวกว่าทองคำเปลววิทยาศาสตร์",
"ชั้น 3 ของสมาคมธรรมประทีปนั้นเป็นห้องพระใหญ่ ซึ่งสามารถจุจำนวนสมาชิกได้เกินกว่า 100 ที่นั่ง ห้องพระชั้น 3 นี้จะใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆทุกพิธีของสมาคม อาทิเช่น พิธีรับพระ-รับศีล พิธีแต่งงาน พิธีโทบะ หรือการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเช้า-เย็น รวมไปถึง การสวดมนต์เพื่อสันติสุขโลก(โชได) อีกด้วย และยังเป็นห้องสำหรับศึกษาธรรมอีกด้วย ในห้องพระชั้น 3 นี้มีตู้พระขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมไปถึงโงะฮนซนองค์ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยประดิษฐานอยู่ (ไม่นับรวมสมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย) ภายในตู้พระ(บุตสึดัน, Altar) สีทองขนาดใหญ่ ทำจากทองคำเปลว ที่ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในการเปิด-ปิดตู้พระด้วยรีโมทซึ่งผู้นำสวดจะเป็นผู้กดเพื่อเปิด-ปิด สมาชิกไม่มีสิทธิที่จะเปิด-ปิดด้วยตนเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า โงะฮนซนจะต้องถูกเก็บรักษาอย่างดีภายในไคดันที่สะอาดบริสุทธิ์",
"การออกแบบภายใน มีรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ออกแบบโดย รศ.ดร. ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นท้องพระโรงในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการประดับด้วยเสาสดุมภ์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างทางเดิน ลงลายกระเบื้องเป็นดอกพิกุล ปลายเสาประดับด้วยบัวจงกลปิดทองคำเปลว พื้นและผนังจำลองมาจากกำแพงเมือง ประดับด้วยเสาเสมาของพระบรมมหาราชวัง เพดานเป็นลายฉลุแบบดาวล้อมเดือน ปิดทองคำเปลว นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการ แสดงวัตถุโบราณที่ขุดพบ เช่น ฐานรากของพระราชวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี",
"พระธาตุไจทีโย หรือ พระธาตุอินทร์แขวน (, ; , ) เป็นเจดีย์ที่จาริกแสวงบุญของพุทธศาสนิกชน ตั้งอยู่ในรัฐมอญ ประเทศพม่า เป็นพระเจดีย์ขนาดเล็ก () สร้างขึ้นบนก้อนหินแกรนิตที่ปิดด้วยทองคำเปลวโดยผู้ที่นับถือศรัทธา",
"งานโมเสกเป็นศิลปะตกแต่งบนพื้นราบโดยใช้ชิ้นหินหรือแก้วหลากสีฝังบนปูน งานโมเสกทองจะใช้การแปะแผ่นทองคำเปลวลงบนแผ่นกระจกใส และฝังด้านที่เป็นแผ่นทองคำเปลวลงบนปูน สีทองที่เห็นก็จะเป็นสีทองที่ลอดมาจากกระจกทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการขีดข่วนหรือการร่อน การใช้โมเสกสีทองมักจะใช้ในการสร้างฉากหลังของตัวรูปแบบที่ทำให้ภาพดูสว่างเรือง การฝังโมเสกทำได้บนพื้นผิวที่ราบเท่ากันที่แบนหรือโค้งที่มักจะใช้ในการตกแต่งเพดานโค้งหรือโดม คริสต์ศาสนสถานที่ตกแต่งด้วยโมเสกแทบทั้งสถานจะดูเหมือนเป็นห้องที่อาบด้วยภาพและลวดลายไปทั้งห้อง",
"ในปี พ.ศ. 2555 กรมศิลปากร ร่วมกับวัดราชนัดดารามวรวิหาร จัดโครงการบูรณะโลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม โดยการปิดทองคำเปลวบนยอดทั้ง 37 ยอด โดยเริ่มดำเนินการจากชั้นบนสุดลงมา คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2560",
"หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่ สิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 มีการบำเพ็ญกุศลพระศพที่ศาลา 10 วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร นับเป็นพระอนุวงศ์พระชันษายืนที่ทรงสิ้นชีพิตักษัยในรัชกาลที่9 ซึ่งก่อนหน้านี้หม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด จักรพันธุ์ สิ้นชีพิตักษัยก่อนหม่อมเจ้าทองคำเปลวเพียง 2 สัปดาห์ ปัจจุบันคงมีพระอนุวงศ์ไม่กี่พระองค์ที่ยังทรงพระชนม์",
"หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่ ประสูติเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2455 เป็นพระโอรสลำดับที่ 22 ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ลำดับที่ 9 ที่ประสูติในหม่อมนวม ทองใหญ่ ณ อยุธยา มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดา 8 พระองค์ คือ",
"ห้องอำพัน (, \"Yantarnaya komnata\", ) ตั้งอยู่ภายในพระราชวังแคทเธอรีนที่หมู่บ้านซาร์สโคเยอเซโลไม่ไกลจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นห้องที่ผนังที่ทำด้วยอำพันทั้งห้องตกแต่งด้วยทองคำเปลวและกระจก ความงามของห้องนี้ทำให้บางครั้งได้รับสมญาว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์ที่แปดของโลก”",
"สิ่งที่เด่นอีกอย่างหนึ่งคือชั้นแท่นบูชา (Retable) แบบบาโรกที่เป็นไม้ทาทองที่สร้างปี ค.ศ. 1678 ไม่นานหลังจากการรื้อฟื้นอาราม ที่เป็นภาพ “แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์” สมบัติอื่นของอาราม ก็ได้แก่ “แม่พระและพระกุมาร” และ เรลิกที่เป็นแขนที่ทำด้วยไม้หุ้มด้วยเงินและทองคำเปลว",
"อย่างไรก็ตามทองคำเปลวได้ถูกนำมาใช้ในด้านต่างๆ เช่น ใช้ในทางการแพทย์ ด้านความสวยความงาม และถูกนำมาใช้ในการประกอบอาหาร เป็นต้น",
"หมวดหมู่:ทองคำ หมวดหมู่:วัสดุสำหรับงานศิลปะ หมวดหมู่:ส่วนประกอบของอาหาร",
"เทคนิคการเขียนเป็นจิตรกรรมสีฝุ่นเทมเพอรา โดยการบดรงควัตถุกับไข่แดงและทาบนสารเคลือบบางๆ ฉากหลังและรายละเอียดตกแต่งฝังด้วยทองคำเปลว และบางบริเวณก็มีการบากเข้าไปในผิวรูปส่วนที่เป็นทองเล็กน้อยเพื่อเพิ่มคุณลักษณะของภาพ แผงที่เป็นภาพพระแม่มารีและพระบุตร เครื่องแต่งกายเป็นสีน้ำเงินทั้งหมด ซึ่งมาจากรงควัตถุที่ทำจากหินมีค่าลาพิส ลาซูไล ฉลองพระองค์ของพระเจ้าริชาร์ดเป็นสีแดงชาดซึ่งเป็นสีที่มีค่าอีกสีหนึ่ง สีบางสีในภาพเปลี่ยนไปจากสีเดิม เช่นดอกกุหลาบบนผมของเทวดาเดิมเป็นสีชมพูแก่ และลานหญ้าที่กวางนอนบนภาพด้านนอกสีคร่ำกว่าเมื่อแรกเขียน",
"สีทอง หรือ ออร์ () เป็นภาษามุทราศาสตร์ (Heraldry) ที่บรรยายลักษณะของผิวตรา (Tincture) ที่เป็นสีทอง ที่อยู่ในกลุ่มผิวตราสีอ่อนที่เรียกว่ากลุ่ม “โลหะ” ถ้าเป็นการแกะพิมพ์ (engraving) “ทอง” ก็จะเป็นลายประที่เป็นจุดห่างจากกันเท่าๆ กัน “ออร์” มักจะปรากฏเป็นสีเหลือง แต่บางทีก็ใช้ทองคำเปลวถ้าเป็นภาพในหนังสือวิจิตร ",
"ในสมัยโบราณนั้นได้มีการนำทองคำเปลวมาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มาประดับไว้ด้านบนของขนมทองเอก โดยใช้วิธีการวางแผ่นทองคำเปลววางไว้บนแม่พิมพ์ก่อนเทขนมทองเอกลงในแม่พิมพ์ แต่ปัจจุบันไม่มีการนำทองคำเปลวมาตกแต่งขนมทองเอก เนื่องจากทองคำเปลวเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้รับประทาน",
"ชั้นล่างสุดซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นสถานที่ตั้งของสมาคมวิชาชีพปิดทองประดับหน้าหนังสือ โรงงานสำคัญที่สุดคือโรงงานปิดทอง แล้วยังมีหอปกหน้าเป็นเลิศและอาคารอื่น ๆ รวมไปถึงเมืองพักผ่อนคือเมืองออเรียนเบิร์ก ซึ่งห่างจากโรงงานในระยะทางที่เท่ากัน ทุ่งราบเป็นที่ราบไหล่เขาซึ่งอยู่ต่ำที่สุด แถมยังไม่มีการดูแลทำให้อากาศพัง ทุ่งราบจึงตกอยู่ในความหนาวเย็นและไม่มีดวงอาทิตย์ตลอดหลายพันปี น้ำในคลองหลวงใหญ่อย่างยิ่งก็กลายเป็นน้ำแข็งแผ่จากตลิ่งเข้ามายังตรงกลาง มีระหัดวิดน้ำขนาดยักษ์สำหรับให้เครื่องตีทองแห่งโรงงานทำทองคำเปลว"
] |
เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร ประพันธ์โดยใคร ? | [
"เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร หรือ โมะโนะโนะเกะฮิเมะ () เป็นภาพยนตร์อนิเมะแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ ที่เขียนและกำกับโดยฮะยะโอะ มิยะซะกิแห่งสตูดิโอจิบลิ โมะโนะโนะเกะ () ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นคำที่ใช้เรียกภูตผีปีศาจ ภาพยนตร์เรื่องนี้เผยแพร่ในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม และ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ตามลำดับ"
] | [
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ได้รับอันดับที่ 488 จาก 500 ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล (ใน พ.ศ. 2551) ของเอมไพร์แมกกาซีน[19]",
"โรเจอร์ เอเบิร์ต จัดให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในอันดับที่หกในรายชื่อภาพยนตร์ที่ดีที่สุดสิบเรื่องแห่งปี พ.ศ. 2542 [2] โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ยังเคยเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้สูงสุดในญี่ปุ่น ซึ่งถูกทำลายสถิติลงด้วยภาพยนตร์เรื่องไททานิคในหลายเดือนถัดมา[3] ปัจจุบันโมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อนิเมะที่ทำรายได้สูงที่สุดอันดับสี่ในญี่ปุ่น รองลงมาจาก เซ็น โทะ ชิฮิโระ โนะ คะมิกะกุชิ (Spirited Away) ใน พ.ศ. 2544 ฮารุ โนะ ยุโงะคุชิโระ (Howl's Moving Castle) ใน พ.ศ. 2547 และ โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย ใน พ.ศ. 2551 ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานของมิยะซะกิทั้งสิ้น",
"ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นและประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ในประเทศเหล่านี้มีการตีความกันอย่างกว้างขวางว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่บอกเล่าในรูปแบบตำนานโบราณของญี่ปุ่น มิราแมกซ์ แห่ง ดิสนีย์ ได้ซื้อสิทธิ์การจัดจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาไปและต้องการจะตัดภาพยนตร์ให้เหมาะกับผู้ชมในสหรัฐอเมริกา (สำหรับการจัดเรตติ้ง PG) อย่างไรก็ตามมิยะซะกิไม่อนุญาตและในที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เผยแพร่ในอเมริกาโดยไม่มีการตัดต่อโดยได้รับการจัดเรตติ้ง PG-13 Miramax ได้ลงทุนมหาศาลในการสร้างเสียงภาษาอังกฤษของภาพยนตร์โดยใช้นักพากย์ที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ดีเมื่อถึงเวลาฉายในโรงภาพยนตร์ปรากฏว่าไม่มีการโฆษณาเท่าที่ควร ทำให้จัดฉายในโรงภาพยนตร์ที่จำนวนไม่มากในเวลาอันสั้น ซึ่งต่อมาดิสนีย์ประกาศว่าภาพยนตร์เรื่องทำเงินจากการฉายในโรงได้ไม่ดี ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดออกจำหน่าวนรูปแบบ DVD ในสหรัฐอเมริกา แต่มิราแม็กซ์ประกาศว่าจะมีเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น แฟนที่คลังไคล้ภาพยนตร์จึงต่อต้าน ด้วยกลัวว่าจะขายไม่ดีมิราแมกซ์จึงต้องจ้างคนแปลซับไตเติ้ล และทำให้ DVD ออกช้ากว่ากำหนดไปเกือบสามเดือน เมื่อ DVD ออกมาในที่สุดก็ปรากฏว่าสามารถขายดีอย่างมาก",
"อะชิตะกะกลับไปยังโลหะนครแต่พบว่าเมืองกำลังถูกโจมตีและเอะโบะชิกำลังออกไปล่าชิชิกะมิ เขาสัญญากับชาวเมืองว่าจะจำเอะโบะชิกลับมา ระหว่างทางยักกุรุถูกยิงแต่อะชิตะกะพบหมาป่าเผ่าโมะโระในซากหมูป่า จึงฝากยักกุรุไว้ที่โลหะนครและขี่หมาป่าตามไป เมื่อเขาพบเอะโบะชิก็รีบเตือนว่าเมืองกำลังถูกโจมตีแต่เธอก็ไม่ถอยกลับ โอคโคะโตะกลายร่างเป็นปีศาจใกล้สระน้ำของชิชิกะมิ ซังพยายามยับยั้งไว้แต่ไม่สำเร็จและติดอยู่ในจมูกของหมูป่ายักษ์ที่มีหนอนน่าเกลียดชอนไช ซังกำลังจะต้องคำสาปอย่างเดียวกับที่อะชิตะกะได้รับจากนะโกะ อะชิตะกะเข้าช่วยเหลือซังแต่ถูกสลัดกระเด็นตกน้ำไป โมะโระต่อสู้กับโอคโคะโตะเพื่อช่วยซังและมอบเธอให้กับอะชิตะกะ ชิชิกะมิเข้ามาเอาชีวิตของโมะโระและโอคโคะโตะไป ทั้งสองจึงสิ้นลมอย่างสงบ",
"มิยะซะกิไม่ต้องการให้อะชิตะกะเป็นพระเอกทั่วไป:[12] เขาบอกว่าเอะโบะชิมีประวัติที่น่าเศร้า แม้ว่ามันจะไม่ได้กล่าวถึงโดยตรงในภาพยนตร์ เอะโบชิมีบุคลิกภาพที่แช็งแกร่งและมั่นคง เห็นได้จากการที่เธอปล่อยให้อะชิตะกะไปมาอย่างเสรีในเมืองของเธอโดยไม่มีผู้ติดตาม แม้ว่าจุดประสงค์การมาเยือนของเขาไม่แน่ชัด เอะโบชิไม่เคยยอมรับพระราชอำนาจแห่งพระจักรพรรดิในเมืองของเธอเลย นี่เป็นมุมมองที่ก้าวหน้ามากสำหรับสมัยนั้นและทัศนะคติที่เธอยอมสละทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความฝันเป็นทัศนะที่ไม่ธรรมดาในผู้หญิงยุคนั้น[12]",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์ย้อนยุคซึ่งมีฉากอยู่ในปลายยุคมุโระมะจิของญี่ปุ่น แต่แต่งเติมด้วยองค์ประกอบจากจินตนาการลงไปจำนวนมาก เนื้อเรื่องกล่าวถึงอะชิตะกะซึ่งเป็นคนภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติที่ดูแลป่าและผู้คนของโลหะนครซึ่งใช้ทรัพยากรจากป่า ในเรื่องนี้มิได้แสดงถึงฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่วที่เด่นชัด และจุดยืนของผู้สร้างภาพยนตร์ก็เปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่มีชัยชนะของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ชัดเจน มีเพียงความหวังที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติจะดำเนินเป็นวัฎจักรต่อไป[1]",
"เมื่อมิยะซะกิสร้างจิโกะ เขาไม่แน่ใจว่าจะสร้างให้เป็นสายลับของรัฐบาล นินจา นักบวช หรือ \"คนที่ดีมาก\" ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะใส่องค์ประกอบของทุกกลุ่มที่กล่าวมาลงไป[12]",
"มีการอ้างอิงถึงโคดามะในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการของญี่ปุ่น เช่น มังงะหรืออนิเมชั่นเรื่อง \"GeGeGe no Kitarō\" และ\"เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร\" ในปี ค.ศ. 1997",
"มิยะซะกิใช้เวลาถึง 16 ปีในการผูกเรื่องและสร้างตัวละครของโมะโนะโนะเกะฮิเมะ โครงเรื่องและการแต่งกายที่คล้ายกันอาจพบได้ในมังงะเรื่อง The Journey of Shuna ใน ค.ศ. 1983 ของมิยะซะกิ เนื่อเรื่องและตัวละครได้เปลี่ยนแปลงอย่างมากระหว่างขั้นวางแผนสร้างภาพยนตร์ โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้หลังจากมิยะซะกิและทีมงานไปเที่ยวป่าเก่าแก่แห่งเกาะยุคุชิมะ แต่มิยะซะกิก็ยังเขียนโครงเรื่องไม่เสร็จสมบูรณ์กระทั่งได้เริ่มสร้างภาพยนตร์ไปแล้ว แผนผังโครงตอนจบเพิ่งจะเสร็จสิ้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนวันฉายรอบปฐมทัศน์ในญี่ปุ่น[5]",
"หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น หมวดหมู่:สตูดิโอจิบลิ หมวดหมู่:อนิเมะ หมวดหมู่:ภาพยนตร์โดยมิราแม็กซ์ หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ",
"ชาวโลหะนครต้อนรับอะชิตะกะอย่างอบอุ่น เอะโบะชิ ผู้นำของเมืองนี้เล่าว่า นะโกะหมูป่ายักษ์ที่เป็นต้นเหตุนำเขามาที่นี้เคยเป็นเทพเจ้าประจำป่าแห่งนี้ แต่เอะโบะชิยิงนะโกะทำให้คุ้มคลั่งกลายร่างเป็นปีศาจ เมื่อทราบเรื่องแขนขวาของอะชิตะกะก็มีความคลั่งแค้นจะฆ่าเอะโบะชิ เขาต้องใช้มือซ้ายระงับไว้ คนโรคเรื้อนที่เอะโบะชิชุบเลี้ยงไว้เพื่อประดิษฐ์ปืนร้องขอชีวิตของเอะโบะชิ และรับรองว่านางเป็นคนดี เป็นผู้ดูแลพวกเขามาโดยตลอดโดยมิได้รังเกียจ เอะโบะชิยังซื้อหญิงโสเภณีมาทำงานเพื่อปลดปล่อยหญิงเหล่านั้นจากซ่อง ระหว่างที่เอะโบะชิพาอะชิตะกะชมเมืองอยู่นั่นเอง ซังก็ลอบเข้ามาในเมืองเพื่อสังหารเอะโบะชิ อะชิตะกะเข้าขัดขวางโดยแสดงให้ทุกคนเห็นว่าความแค้นนี่แหละเป็นเหตุให้เขาต้องเขาสาปและใช้พลังจากแขนนั้นหยุดยั้งการต่อสู้ของทั้งสอง ทั้งสองสลบไปเพราะโดนอะชิตะกะทุบ อะชิตะกะตัดสินใจพาซังออกไปจากเมือง แม้จะถูกยิงทะลุอกอะชิตะกะก็ยังดึงดันใช้พลังจากแขนที่ต้องคำสาปเปิดประตูเมืองขี่ยักกุรุนำซังที่หมดสติออกไปยังป่าได้โดยมีหมาป่าสองตัวติดตามไป แต่ในที่สุดอะชิตะกะก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวร่วงลงจากหลังยักกุรุ",
"ซังทราบว่าพวกหมูป่าภายใต้ผู้นำคือโอคโคะโตะเทพเจ้าหมูป่ากำลังเตรียมแผนโจมตีหมู่บ้านถลุงเหล็ก ส่วนเอะโบะชิก็เตรียมการที่จำทำลายชิชิกะมิเช่นกัน มีความเชื่อกันว่าศีรษะของชิชิกะมิให้ความเป็นอมตะแก่ผู้ครอบครอง จิโกะซึ่งแท้จริงแล้วเป็นพ่อค้า-คนเก็บของป่าล่าสัตว์ ต้องการจะมอบศีรษะชิชิกะมิให้แก่พระจักรพรรดิ เพื่อให้ทรงใช้พระราชอำนาจปกป้องโลหะนครจากไดเมียวที่อยากเข้ามาช่วงชิงความมั่งคั่งในเมือง เอะโบะชิก็รู้ดีอยู่ว่าซามูไรอาจใช้โอกาสบุกยึดโลหะนครได้ในช่วงที่ออกไปล่าชิชิกะมิ แต่เธอก็ดึงดันที่จะออกไปล่าชิชิกะมิกับจิโกะ คนของจิโกะทำหลุมพรางสำหรับหมู่ป่า และยิงโอคโคะโตะด้วยลูกเหล็กพิษชนิดเดียวที่ใช้กับนะโกะ โอคโคะโตะจึงต้องเข้าป่าไปหาชิชิกะมิเพื่อหวังว่าจะได้รับการรักษา",
"มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม ค.ศ. 1984 ลาพิวต้า พลิกตำนานเหนือเวหา ค.ศ. 1986 โทโทโร่เพื่อนรัก ค.ศ. 1988 แม่มดน้อยกิกิ ค.ศ. 1989 พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน ค.ศ. 1992 เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร ค.ศ. 1997 มิติวิญญาณ ค.ศ. 2001 (ชนะรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ค.ศ. 2002) ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ ค.ศ. 2004 (ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ค.ศ. 2005) โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย ค.ศ. 2008 อาริเอตี้ มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว ค.ศ. 2010 ป๊อปปี้ ฮิลล์ ร่ำร้องขอปาฏิหาริย์ ค.ศ. 2011 ปีกแห่งฝัน วันแห่งรัก ค.ศ. 2013",
"ซังไม่พอใจที่อะชิตะกะเข้ามาขัดขวางและสั่งสอนเธอมิให้ต่อสู่กับมนุษย์แต่ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยความโกรธเธอเกือบจะฆ่าอะชิตะกะ ขณะที่เธอกำลังจะลงดาบอะชิตะกะก็พูดว่าเธอสวย ทำให้เธอตกใจและทิ้งดาบลง ในที่สุดซังตัดสินใจนำอะชิตะกะไปหาชิชิกะมิซึ่งรักษาแผลที่อกของเขาแต่มิได้ถอนคำสาป อะชิตะกะพักฟื้นอยู่ในถ้ำหมาป่าโดยมีซังดูแลเขาอย่างดี กระทั่งเขี้ยวใบไม้ป้อนให้อะชิตะกะด้วยปาก โมะโระซึ่งได้รับพิษจากบาดแผลที่เอะโบะชิยิงในการต่อสู้คราวก่อนเตือนอะชิตะกะว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะนำซังออกจากเผ่าหมาป่า หากไม่มีป่าซังก็ต้องตาย ในที่สุดเมื่ออะชิตะกะหายดีเขาฝากกริชแก้วให้หมาป่านำไปมอบแก่ซัง ซึ่งเมื่อเธอได้เห็นก็รับไว้โดยไม่ลังเล",
"ภูมิทัศน์ที่ปรากฏในภาพยนตร์ได้แรงบันดาลใจมากจาป่าโบราณแห่งเกาะยะกุ ในคิวชู และภูเขาแห่งเทือกเขาชิระคะมิ ทางตอนเหนือของฮอนชู[13]",
"ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อนิเมะชันที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ดีภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จทางการเงินเท่าที่ควรในสหรัฐอเมริกา โดยมียอดรายได้ได้ทั้งสิ้น 2,298,191 ดอลลาร์สหรัฐนช่วงแปดสัปดาห์แรก[21]",
"ระหว่างทางอะชิตะกะผ่านหมู่บ้านที่ถูกซามูไรรุกราน เขาจำเป็นต้องป้องกันตัวเพราะถูกขวางทางและถูกโจมตี แขนที่ต้องคำสาปได้แสดงพลังเหนือธรรมชาติ ทำให้ลูกธนูของเขาตัดแขนขาหรือศีรษะมนุษย์ได้ เมื่อถึงเมืองถัดไปอะชิตะกะได้พบกับจิโกะนักบวชพเนจร จิโกะและอะชิตะกะค้างแรมด้วยกัน จิโกะรู้ว่าอะชิตะกะเป็นชาวเอะมิชิเพราะเห็นกวางแดง ธนูหิน และชามที่เขาใช้ เขาบอกอะชิตะกะว่าเขาอาจพบกับสิ่งที่ตามหาได้ในป่าของเทพเจ้ากวาง \"ชิชิกะมิ\" ในภูเขาทางตะวันตกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้าสัตว์ป่าขนาดยักษ์ จิโกะยังบอกอีกด้วยว่าป่านั้นเป็นแดนหวงห้ามที่มนุษย์ไม่อาจรุกล้ำ",
"อะชิตะกะเจ้าชายองค์สุดท้ายแห่งเอะมิชิต่อสู้กับปีศาจหมูป่ายักษ์ที่รุกเข้ามา เขาจำต้องยิงธนูฆ่าปีศาจเพื่อปกป้องหมู่บ้าน ระหว่างการต่อสู้เขาได้รับบาดเจ็บที่แขน มิโกะเฒ่าประจำหมู่บ้านทำนายว่าแผลที่แขนขวาต้องคำสาปและจะขยายไปทำให้ถึงแก่ชีวิตในที่สุด อะชิตะกะบอกว่ายอมรับผลที่ตามมาได้ตั้งแต่ชักคันธนูขี้นแล้ว เขาตัดสินใจเดินทางไปยังดินแดนทางตะวันตกเพื่อตามหาที่มาของหมูป่า และหาสาเหตุที่ทำให้เทพเจ้าหมูป่ากลายร่างเป็นปีศาจ ซึ่งอาจมีทางช่วยแก้ไขคำสาปได้แทนที่จะอยู่รอความตาย อะชิตะกะตัดมวยผมออกต่อหน้าที่ประชุมเป็นสัญลักษณ์ของการจากไปอย่างถาวรและตายจากสังคมที่เขาอยู่[4] อะชิตะกะได้รับกริชแก้วจากเด็กสาวในหมู่บ้านไว้แล้วขี่ยักกุรุกวางแดงคู่ใจของเขาออกจากหมู่บ้านไปในกลางดึก",
"มิยะซะกิตรวจเซลราว 144,000 เซลด้วยตนเอง[7] และในจำนวนนี้เขาได้วาดแก้ไขเซลราว 80,000 เซล[8][9]",
"อะชิตะกะ Ashitaka - Voiced by: Yōji Matsuda(Japanese); Billy Crudup (English) ซัง San - Voiced by: Yuriko Ishida(Japanese); แคลร์ เดนส์ (English) โมะโระ Moro - Voiced by: Akihiro Miwa(Japanese); จิลเลียน แอนเดอร์สัน (English) ท่านหญิงเอะโบะชิ Lady Eboshi - Voiced by: ยูโกะ ทะนะกะ(Japanese); Minnie Driver (English) จิโกะ Jigo/Jiko Bou - Voiced by: Kaoru Kobayashi(Japanese); Billy Bob Thornton (English) โทะคิ Toki - Voiced by: Sumi Shimamoto(Japanese); Jada Pinkett Smith (English) โอคโคะโทะ Okkoto/Okkotonushi - Voiced by: Hisaya Morishige(Japanese); Keith David (English) กอนซะ Gonza - Voiced by: Tsunehiko Kamijō(Japanese); John DiMaggio (English) โคโระคุ Kohroku - Voiced by: Masahiko Nishimura(Japanese); John DeMita (English) คะยะ Kaya - Voiced by: Yuriko Ishida(Japanese); ทารา สตรอง (English) หญิงโลหะนคร Iron Town Women - Voiced by: Takako Fuji(Japanese); Sherry Lynn และ Tress MacNeille (English) เพลงของผู้หญิงแห่งทะทะระ Tatara's Women Song - Voiced by: (Japanese); Jennifer Cihi, Leslie Ishii และ Mary Elizabeth McGlynn (English)",
"สตูดิโอจิบลิได้ก่อตั้งใน ค.ศ. 1985 โดยผู้กำกับอย่างฮายาโอะ มิยาซากิ ร่วมกับผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและพี่เลี้ยงอย่าง อิซาโอะ ทากาฮาตะ และ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานมายาวนานอย่าง โทชิโอะ ซูซึกิ จุดเริ่มต้นทั้งหมดต้องย้อนไปปี ค.ศ. 1984 ภาพยนตร์เรื่อง \"มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม\" ซึ่งได้รับความนิยมจากมังงะที่ตีพิมพ์ต่อเนื่องในนิตยสารอะนิเมจ (Animage) ของ โทคุมะ โชเท็น หลังจากบทดั้งเดิมถูกปฏิเสธ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการอำนวยการสร้างโดย ท็อปคราฟต์ (Topcraft) และความสำเร็จของภาพยนตร์กระตุ้นให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มจิบลิ โทคุมะเป็นบริษัทแม่ของสตูดิโอจิบลิ และให้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์กับ ดิสนีย์ ในการจัดจำหน่ายทั่วโลกถึง 8 เรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น \"เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร\" หรือ \"สปิริเต็ดอะเวย์\" ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของมิยะซะกิ \"Howl's Moving Castle\" นำเค้าโครงเรื่องมาจากหนังสือของนักเขียนชาวอังกฤษ ชื่อ Diana Wynne Jones ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในหลายๆ ประเทศ รวมทั้ง แคนาดา และสหรัฐอเมริกา นักประพันธ์เพลงอย่าง โจ ฮิไซชิ จะเป็นผู้แต่งเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์ในสตูดิโอจิบลิของมิยะซะกิทุกเรื่อง",
"ดีวีดีที่เผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร มีซาวด์แทรกทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น และซับไตเติ้ลทั้งสองภาษา และมีการแปลตามตัวอักษรมากขึ้น",
"ใกล้กับภูเขาทางตะวันตกมีเมืองโลหะนคร คนในเมืองตัดไม้จากป่ามาใช้หลอมแร่เหล็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการต่อสู้กับสัตว์ป่าที่ต้องการปกป้องถิ่นอาศัยของตน การต่อสู้ครั้งหนึ่งมีหมาป่ายักษ์สามตัว นำโดยเทพเจ้าหมาป่าโมะโระ ลอบโจมตีชาวบ้านที่กำลังขนข้าว นอกจากหมาป่าสามตัวมีซัง เด็กหญิงที่โมะโระเลี้ยงไว้ติดตามมาด้วย ชาวเมืองเรียกเด็กหญิงนี้ว่า \"เด็กหญิงหมาป่า\" หรือ \"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ\" (แปลว่า ปีศาจที่สร้างความรำคาญ หรือ ผีร้ายที่คอยก่อกวน) การต่อสู้ครั้งนี้ทั้งโมะโระและชาวบ้านต่างบาดเจ็บ วันต่อมาอะชิตะกะเดินทางมาถึงก็ได้พบผู้บาดเจ็บสลบอยู่สองคนในลำธาร ขณะที่เขาลากทั้งสองขึ้นจากน้ำก็เห็นซังกำลังรักษาแผลให้โมะโระ เมื่อซังหันมาอะชิตะกะจึงแนะนำตัวและถามหาชิชิกะมิ ซังและกลุ่มหมาป่ามิได้โต้ตอบและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว อะชิตะกะนำชาวบ้านกลับคืนสู่หมู่บ้านถลุงเหล็กผ่านป่าที่เต็มไปด้วยวิญญาณต้นไม้ขนาดเล็กที่เรียกว่าโคะดะมะ ระหว่างทางเขายังได้เห็นชิชิกะมิ (เทพเจ้าแห่งชีวิตและความตาย ซึ่งเป็นกวางคิรินในเวลากลางวัน และเป็นเงาเดินได้ในเวลากลางคืน) เดินผ่านไป แผลที่ต้องคำสาปของเขาตอบสนองกับสิ่งที่เห็นอย่างรุนแรงจนเขาต้องกดแขนข้างนั้นลงในน้ำ",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ เป็นภายยนตร์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2540 ทำรายได้ 11.3 พันล้านเยน[15] โดยนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ให้ความคิดเห็นในเชิงบวกต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ อาทิเช่น ได้รับคะแนน 93% \"Certified Fresh\" บนเว็บ Rotten Tomatoes Leonard Klady แห่งนิตยสาร Variety ได้เขียนคำวิจารณ์เชิงบวกเมื่อได้ชม an early release of the picture.[16] ในรายการ Roger Ebert & The Movies โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ได้รับ two thumbs up จาก Harry Knowles และ Roger Ebert.[17] Ebert ยังจัดอันดับภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ได้รับดาวสี่ดวงจากทั้งหมดสี่ดวงและใส่ภาพยนตร์เรื่องนี้ลงรายชื่อสิบภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปีของเขา[18]",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ยังอยู่ในรายการภาพยนตร์อเนิเมชันที่ดที่สุด 50 เรื่องของ เทอร์รี่ กิลเลียม[20]",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อนิเมะที่แพงที่สุดที่เคยมีการจัดสร้างมา ด้วยต้นทุนทั้งสิ้นราว 2.35 พันล้านเยน[9][10][11]",
"at Studio Ghibli (Japanese) on IMDb at The Big Cartoon DataBase at AllMovie at Box Office Mojo at Rotten Tomatoes (anime) at Anime News Network's encyclopedia",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะวาดด้วยมือเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางส่วนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยประมาณห้านาทีในภาพยนตร์ [6] การใช้คอมพิวเตอร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ออกแบบมาให้เข้ากับการทำภาพยนตร์อนิเมะแบบ cell ซึ่งเป็นวิธีการดั้งเดิมในสร้างภาพยนตร์อนิเมะ นอกจากนี้อีกประมาณ 10 นาทีของภาพยนตร์ยังใช้สีดิจิตอล ซึ่งเป็นเทคนิคที่สตูดิโอจิบลิได้ใช้ในภาพยนตร์เรื่องอื่นต่อไป ส่วนที่เหลือของภาพยนตร์ใช้สีจริงทั้งสิ้น ผู้ผลิตภาพยนตร์ตกลงยินยอมใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจะทำภาพยนตร์ให้เสร็จตามกำหนดปฐมทัศน์ในญี่ปุ่น[5]",
"ภาพยนตร์ในฉบับภาษาอังกฤษเผยแพร่เหมือนต้นฉบับในญี่ปุ่นโดยไม่มีการตัดต่อเพราะมิยะซะกิดึงดันอย่างแข็งขัน[14] เฉพาะซาวด์แทรกเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง เสียงภาษาอังกฤษแปลโดย Neil Gaiman ผู้แต่ง The Sandman การปรับปรุงส่วนใหญ่เป็นการให้ความหมายคำเฉพาะในวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่คนนอกทวีปเอเชียอาจเข้าใจได้ยาก รวมถึงชื่อเฉพาะเช่น Jibashiri และ Shishigami ในภาษาญี่ปุ่นถูกเปลี่ยนเป็น Mercenary และ Forest Spirit ในภาษาอังกฤษ เพราะคำเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จักของผู้ชมนอกญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์ เช่น ไมเคิล แอทคินสัน, มร.สโนบิซ กล่าวว่าการแปลเช่นนี้ทำให้เนื้อหาของภาพยนตร์อ่อนลง"
] |
มหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตัน ก่อตั้งเมื่อไหร่? | [
"มหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตันก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2405 ในฐานะสถาบันฮาร์ตเลย์ ตามชื่อของเฮนรี โรบินสัน ฮาร์ตเลย์ (Henry Robinson Hartley, พ.ศ. 2320-2393) ทายาทธุรกิจค้าไวน์[4] ก่อนที่ฮาร์ตเลย์จะวายชนม์ เขาได้เขียนพินัยกรรมสั่งให้นำมรดกจำนวน 103,000 ปอนด์สำหรับใช้เป็นทุนประเดิมตั้งสถาบันศึกษา ณ บ้านของเขาซึ่งตั้งที่ใจกลางเมืองเซาท์แฮมป์ตัน"
] | [
"มหาวิทยาลัยประกอบด้วยพื้นที่ทำการสอน (วิทยาเขต) 6 แห่ง โดย 4 แห่งอยู่ในเมืองเซาท์แฮมป์ตัน 1 แห่งในเมืองวินเชสเตอร์[33] และอีก 1 แห่งที่ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีศูนย์วิจัย อุทยานวิทยาศาสตร์ และหอพักนักศึกษากระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ ในเมือง",
"เขาย้ายออกจากเซาแทมป์ตันในปี2003 โดยไปร่วมทีมลิเวอร์พูลในช่วงสั้นๆ และย้ายกลับไปเล่นให้วูลฟ์แฮมป์ตันอีกครั้งในเดือนมกราคม ปี 2004",
"มหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตัน (University of Southampton, ชื่อย่อ UoS หรือ Soton) เป็นสถาบันอุดมศึกษาเน้นวิจัยในสหราชอาณาจักร มีที่ตั้งในเมืองเซาท์แฮมป์ตัน และเมืองวินเชสเตอร์ จังหวัดแฮมป์เชอร์[1] มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของกลุ่มรัสเซล ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัยอันดับต้นของสหราชอาณาจักร",
"ตามประวัติแล้ว สถาบันมักจะริเริ่มการร่วมมือกันทางงานวิจัยและการศึกษา กับองค์กรการศึกษา อุตสาหกรรม และรัฐ ในปี ค.ศ. 1946 อธิการบดีคอมป์ตัน, ศาสตราจารย์สาขาการบริหารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจอร์จส โดรีอ็อท, และประธาน Massachusetts Investor Trust เมอร์ริล์ล กริสส์โวลด์ ก่อตั้งบริษัท American Research & Development Corp ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน (venture capital) อเมริกันเป็นบริษัทแรก (ในประเทศ) ในปี ค.ศ. 1948 อธิการบดีคอมป์ตันก่อตั้งโปรแกรมการประสานงานกับอุตสาหกรรมเอ็มไอที (MIT Industrial Liaison Program)",
"ที่สโมสรแห่งนี้ เขาลงเล่นภายใต้การคุมทีมของกอร์ดอน สตราคัน อดีตกองกลางทีมชาติสกอตแลนด์ ผู้ซึ่งทำให้เขาเรียกฟอร์มการเล่นอันสุดยอดกลับคืนมาได้ และนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาเล่นได้ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้ง โดยเขาลงเล่นให้กับสโมสรนัดแรกเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1999 ในนัดที่เปิดสนามไฮฟีลด์โรด พบกับสโมสรเซาท์แฮมป์ตัน (แพ้ 0-1) และยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกได้ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 1999 ค.ศ. โดยเป็นการยิงประตูชัยให้สโมสรเปิดบ้านเฉือนชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 1-0[3] โดยเขายิงประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลแรกของเขาได้ รวม 6 ประตู",
"มหาวิทยาลัยที่ใช้ชุดครุยดุษฎีบัณฑิตตามแบบของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้แก่ มหาวิทยาลัยบริสตอล (เสื้อสีแดง แขนและสาบหน้าสีม่วง) มหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตัน (เสื้อสีแดงเลือดหมู แขนและสาบหน้าสีฟ้า) มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (เสื้อสีแดง แขนและสาบหน้าสีม่วง รอยต่อประดับแถบสีเหลือง) มหาวิทยาลัยเหล่านี้กำหนดให้ใช้หมวกทรงอ่อนแบบทิวดอร์สำหรับปริญญาเอกแทนที่จะเป็นหมวกแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่บัณฑิตก็สามารถสวมหมวกแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้ในโอกาสอันควร",
"ในสหรัฐอเมริกาพยายามเลี้ยงปลาเทราต์เชิงการค้าเมื่อ ค.ศ. 1853 (พ.ศ. 2396) ปลาเรนโบว์เทราต์ถูกพบครั้งแรกในทวีปอเมริกาเหนือและขยายการเพาะเลี้ยงไปทั่วโลก โรงเพาะพันธุ์ปลาแห่งแรกในทวีปอเมริกาเหนือสร้างอยู่บนเกาะดิลโด ประเทศแคนาดาเมื่อ ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432) ในญี่ปุ่นโรงเพาะฟักกุ้งทะเลและฟาร์มกุ้งแห่งแรกถูกสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502 ) และเข้าสู่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งเชิงการค้า อุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาแซลมอนในยุโรปและอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาดุกอเมริกันเริ่มต้นพร้อมกันในทศวรรษที่ 60 สหรัฐอเมริกาเข้ามามีส่วนร่วมในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำช่วงปลายศตวรรษที่ 20 การเพาะปลูกในน้ำนับเป็นปรากฏการณ์ร่วมสมัย สัตว์น้ำจำนวน 430 ชนิดถูกนำมาเพาะเลี้ยงตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 และสัตว์น้ำจำนวน 106 ชนิดเริ่มเพาะเลี้ยงตั้งแต่ ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) การประมง พัฒนาเป็นศาสตร์ที่มีการศึกษา ค้นคว้าวิจัยอย่างกว้างขวางวิทยาศาสตร์การประมงเกิดจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การเพิ่มพูนความรู้บนพื้นฐานวิชาชีววิทยาสัตว์น้ำ มีการเรียนการสอนวิชาการประมงในระดับมหาวิทยาลัยทุกภูมิภาคทั่วโลก มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านการประมง เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีมหาวิทยาลัยการประมงแห่งชาติญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทะเลแห่งโตเกียว ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีมหาวิทยาลัยการประมงเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยการประมงดาเลียน ประเทศอินเดียมีมหาวิทยาลัยสัตวศาสตร์และวิทยาศาสตร์การประมงมหาราชตรา ประเทศเวียดนามมีมหาวิทยาลัยเกษตรและป่าไม้โฮจิมินห์ ประเทศออสเตรเลียมีมหาวิทยาลัยแห่งทัสมาเนีย ประเทศโปแลนด์มีมหาวิทยาลัยแห่งวอร์เมียและมาซูรี ประเทศอังกฤษมีสถาบันการประมงระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแห่งฮัลล์ มหาวิทยาลัยแห่งเซาท์แฮมตัน ประเทศโปรตุเกสมีมหาวิทยาลัยอาร์โซเรส ประเทศแคนาดามีมหาวิทยาลัยแห่งบริติชโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยแห่งโทรอนโต มหาวิทยาลัยแห่งเกาะแวนคูเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกามีมหาวิทยาลัยออเบิร์น มหาวิทยาลัยอาร์คันซอส์ไพน์บลัฟฟ์ มหาวิทยาลัยเท็กซัส มหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน มหาวิทยาลัยแห่งเทนเนสซี มหาวิทยาลัยแห่งฟลอริดา มหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตา มหาวิทยาลัยแห่งฮาวาย มหาวิทยาลัยแห่งอลาสกา แฟร์แบงก์ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐมิชิแกน มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอเรกอน มหาวิทยาลัยแห่งรัฐเซาท์ดาโกตา มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโคโลราโด",
"ครั้นแล้วเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2457 ริชาร์ด ฮอลเดน (Richard Haldane) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (Lord Chancellor) ในขณะนั้นได้กระทำพิธีเปิดวิทยาลัยอุดมศึกษาซึ่งเพิ่งย้ายจากใจกลางเมือง ชื่อของวิทยาลัยได้เปลี่ยนจากเดิมเป็นวิทยาลัยอุดมศึกษาเซาท์แฮมป์ตัน หกสัปดาห์จากนั้นวิทยาลัยถูกใช้เป็นที่พยาบาลทหารซึ่งบาดเจ็บจากการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนต้องงดการเรียนการสอน ด้วยความจำกัดด้านสถานที่นั้นเอง ก็ทำให้กระทรวงกลาโหมต้องสร้างเพิงไม้ไว้ท้ายตึกของวิทยาลัย หลังสงครามเพิงไม้ได้ถูกบริจาคให้แก่วิทยาลัย พร้อม ๆ กับการย้ายที่ตั้งออกจากใจกลางเมืองอย่างสมบูรณ์",
"แฮมป์เชอร์ หรือ แฮมป์เชียร์ (, ; ย่อ Hants) หรือ “มณฑลเซาท์แธมพ์ตัน” บางครั้งก็เคยเรียกว่า “เซาท์แธมป์ตันเชอร์” หรือ “แฮมป์ตันเชอร์”",
"สโมสรฟุตบอลวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ () เป็นสโมสรฟุตบอลจากเมืองวุลเวอร์แฮมป์ตันในเวสต์มิดแลนส์ ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1877 มักเรียกย่อว่า วุลฟส์ ปัจจุบันแข่งขันอยู่ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ",
"มหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนในคณะแพทยศาสตร์และคณะสหเวชศาสตร์ ทั้งในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ณ โรงพยาบาลกลางเซาท์แฮมป์ตัน (Southampton General Hospital) โดยร่วมมือกับสำนักบริการสุขภาพแห่งชาติ",
"ครั้นแล้ว ณ วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2495 หลังจากที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองขึ้นครองราชสมบัติแทนพระชนก (สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่หก) ซึ่งเสด็จสวรรคตไปเมื่อราวสองเดือนก่อน ก็ทรงตราพระราชบัญญัติให้วิทยาลัยอุดมศึกษาเซาท์แฮมป์ตันยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในรัชกาลสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง[10] มหาวิทยาลัยประกอบด้วยคณะวิชาทั้งสิ้น 6 คณะ ได้แก่ คณะศิลปศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะครุศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์ โดยมีเจอราลด์ เวลเลสเลย์ (Gerald Wellesley) ดยุคแห่งเวลลิงตันเป็นนายกสภา ต่อมาในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 มหาวิทยาลัยจัดพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สอบได้ตามหลักสูตรเป็นครั้งแรก กิจการของมหาวิทยาลัยเจริญรุดหน้าขึ้นตามลำดับ มีการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ คณะสมุทรศาสตร์ หอพักที่มหาวิทยาลัยมีอยู่ที่ถนนเกลนแอร์และถนนเวสเซกส์ก็ได้ขยายเพื่อรองรับจำนวนนักศึกษาที่มากขึ้นอีกด้วย",
"เชน แพทริก ลอง () เกิดวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1987 เป็นนักฟุตบอลชาวไอริช เล่นตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าในพรีเมียร์ลีก ให้กับสโมสรฟุตบอลเซาท์แฮมป์ตันและฟุตบอลทีมชาติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ เขาลงแข่งในนามทีมชาติไอร์แลนด์ใน ยูโร 2012 โดยได้รับการกล่าวถึงว่า \"เป็นกองหน้าตัวเป้าที่แข็งแกร่ง ไม่ทำเรื่องโง่ ๆ\"",
"เวย์น ไมเคิล บริดจ์ () เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1980 เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ โด่งดังในตำแหน่งแบ็คซ้าย สมัยที่เล่นให้กับสโมสรเซาท์แฮมป์ตันในพรีเมียร์ลีก โดยติดทีมชาติอังกฤษและได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2002 รวมทั้งพาสโมสรเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ในปี 2003 ก่อนจะได้ตำแหน่งรองแชมป์",
"มหาวิทยาลัยนอเตอร์เดม () เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนโรมันคาทอลิกของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่เมืองนอเตอร์เดม (ที่เป็นเมืองเฉพาะของมหาวิทยาลัย อยู่บริเวณเมืองเซาท์เบนด์) ในรัฐอินดีแอนา ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2385 ",
"เนื่องจากวิทยาเขตไฮฟิลด์คับแคบ มีที่จอดรถน้อย ส่งผลให้มหาวิทยาลัยย้ายคณะมนุษยศาสตร์ไปยังที่ตั้งใหม่ คือวิทยาเขตอเวนิว (Avenue) ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนเทศบาลทอนตัน (Taunton College) ที่ทางเทศบาลเมืองเซาท์แฮมป์ตันขายให้มหาวิทยาลัยในราคา 2 ล้านปอนด์เมื่อ พ.ศ. 2536[36] ปัจจุบันอาคารโรงเรียนอยู่ในสภาพดี นอกจากนี้มหาวิทยาลัยได้ซ่อมสร้างต่อเติมอาคารใหม่ รวมถึงอาคารโบราณคดีมูลค่าสองล้านเจ็ดแสนปอนด์ด้วย[37]",
"วิทยาลัยศิลปกรรมวินเชสเตอร์ (Winchester School of Art) ก่อตั้งเมื่อราว ๆ พ.ศ. 2500 ต่อมาได้สมทบเข้าเป็นส่วนงานของมหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. 2539 เพื่อทำการเรียนการสอนและวิจัยในด้านศิลปะ สิ่งทอ รวมถึงการออกแบบ",
"ต่อมาปีเตอร์รีดย้ายมาเล่นให้สโมสรเซาธ์แฮมป์ตันในช่วงสั้นๆภายใต้การคุมทีมของเอียน แบรนฟุตโดยลงเล่นแค่ 7 นัด และย้ายไปเล่นให้กับสโมสรน็อตต์ส เคาน์ตี้และสโมสรบิวรี่ก่อนจะเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการ",
"นะบีล บิน ฏอลิบลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของสโมสรทอตนัมฮอตสเปอร์เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2013 ในพรีเมียร์ลีกนัดที่ชนะสโมสรเซาท์แฮมป์ตัน 3–2 โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาเล่นแทนมูซา แดมเบเล ในนาทีที่ 50 ",
"ในช่วงที่มีชีวิต เขาได้รับเกียรติยศต่าง ๆ อาทิ รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2470 เหรียญทองมัตเตอุชชี พ.ศ. 2476 เหรียญฮิวก์ราชวิทยสมาคมอังกฤษ และเหรียญเบนจามิน แฟรงคลิน พ.ศ. 2483[38] รวมถึงมีการนำชื่อของเขาไปตั้งเป็นชื่อสถานที่ต่าง ๆ อาทิ หลุมอุกกาบาตคอมป์ตันบนดวงจันทร์[39] ห้องปฏิบัติการวิจัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์[40] หอพักคอมป์ตันของมหาวิทยาลัยฯ[41] เซ็นต์หลุยวอล์กออฟเฟม (St Louis Walf of Fame)[42] และห้องปฏิบัติการรังสีแกมมาที่นาซ่า[43]",
"มหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตันถือกำเนิดจากสถาบันฮาร์ตเลย์ (Hartley Institute) ซึ่งตั้งในปี พ.ศ. 2405 ตามชื่อของเฮนรี ฮาร์ตเลย์ ในย่านใจกลางเมืองเก่าเซาท์แฮมป์ตัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2445 สถาบันฮาร์ตเลย์ได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัยอุดมศึกษาภายใต้การกำกับของมหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้สอบได้ตามหลักสูตรจะได้รับปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยลอนดอน[2] ครั้นสถาบันพัฒนาจนมีความก้าวหน้าก็ได้มีพระราชบัญญัติให้แยกตัวออกเป็นมหาวิทยาลัยอิสระเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2495 นับเป็นมหาวิทยาลัยแรกที่มีสถานภาพอิสระในรัชกาลสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง[3]",
"พ.ศ. 2545 ปรับปรุงขยายสโมสรนักศึกษา[12][13] พ.ศ. 2547 ศูนย์กีฬาจูบิลี (Jubilee Sport Centre) สร้างเพื่อฉลองครบรอบห้าสิบปีนับจากการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัย[14][15] พ.ศ. 2548 อาคารหอสมุดฮาร์ตเลย์ และอาคารสำนักบริการนักศึกษา[16][17][18] พ.ศ. 2549 อาคารโบราณคดี ณ คณะมนุษยศาสตร์[19][20] พ.ศ. 2550 อาคารครุศาสตร์-อิเล็กทรอนิกส์[21][22][23] และสถาบันวิจัยวิทยาการพัฒนายีน ที่โรงพยาบาลกลางเซาท์แฮมป์ตัน[24] พ.ศ. 2551 อาคารเมาท์แบทเทน ซึ่งเป็นอาคารภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์และวิทยาการคอมพิวเตอร์[25][26] อนึ่งอาคารนี้สร้างทดแทนของเดิมที่ไฟไหม้[27][28] พ.ศ. 2553 อาคารวิทยาศาสตร์สุขภาพ[29][30][31] พ.ศ. 2557 ศูนย์ความเป็นเลิศด้านทางทะเล ร่วมกับบริษัทลอยด์รีจิสเตอร์ (Lloyd's Register)",
"รถบัสยูนิลิงก์มี 4 สาย ในระยะแรกมี 2 สาย คือ U1 เดินระหว่างสนามบินเซาท์แฮมป์ตันถึงท่าเรือเซาท์แฮมป์ตัน และ U2 เดินระหว่างศาลาว่าการเมืองและตำบลบาสเสต (Bassett) ในเวลาต่อมาได้มีการเพิ่มรถอีกสองสายคือ U6 เดินระหว่างโรงพยาบาลกลางเซาท์แฮมป์ตันกับท่าเรือ และ U9 เดินระหว่างมหาวิทยาลัยและหมู่บ้านทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิตเชน (River Itchen)",
"ต่อมาเขายิงประตูแรกในเสื้อของวิลลาได้ ในวันที่ 24 กันยายน ในพรีเมียร์ลีกนัดที่บุกไปชนะสโมสรเซาท์แฮมป์ตัน ถึงสนามเซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-1 โดยการแข่งขันนัดดังกล่าวเป็นนัดแรกที่เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ก่อนจะได้เป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง",
"อาร์เทอร์ คอมป์ตัน เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2435 เป็นบุตรคนที่ของเอเลียส คอมป์ตัน (Elias Compton) และโอเทลเลีย แคเทอรีน คอมป์ตัน (Otelia Catherine Compton) (สกุลเดิม ออกซเพอร์เกอร์ (Augspurger)) [1] โดยเอเลียสผู้เป็นบิดา ได้เคยเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยวูสเตอร์ ส่วนคาร์ล คอมป์ตัน (Karl Compton) พี่ชายของอาร์เทอร์ ได้ปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2455 และเป็นอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ระหว่างปี พ.ศ. 2473 - 2491 พี่ชายคนรอง วิลสัน คอมป์ตัน (Wilson Compton) ได้รับปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2456 และได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตต ยิ่งไปกว่านั้น มารดาตระกูลคอมป์ตันเป็นแม่ดีเด่นประจำปี 2475 ของสหรัฐอเมริกาด้วย[2] ในส่วนน้องสาว แมรี คอมป์ตัน (Mary Compton) สมรสกับศาสนาจารย์ซี เฮอร์เบิร์ต ไรซ์ (C Herbert Rice) ครูใหญ่โรงเรียนคริสเตียนลาฮอร์[3]",
"ศูนย์สมุทรศาสตร์แห่งชาติ ณ เมืองเซาท์แฮมป์ตัน (National Oceanography Centre, Southampton; NOCS) เป็นพื้นที่ทำการสอนและวิจัยส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ท่าเรือเซาท์แฮมป์ตัน ห่างจากวิทยาเขตไฮฟิลด์ราว 5 กิโลเมตร ภายในศูนย์ฯ มีภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกและทางทะเล รวมถึงศูนย์วิจัยของสภาวิจัยวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Environment Research Council) ด้วย[38] Five of the National Oceanography Centre's research divisions are based on the campus.[38] พื้นที่ศูนย์สมุทรศาสตร์เดิมทีเป็นพื้นที่ของท่าเรือ โดยได้เริ่มวางแผนงานราว พ.ศ. 2532 และก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2537 แม้จะประสบปัญหาการตัดงบประมาณเพราะความไม่แน่ใจว่าศูนย์วิจัยแห่งชาติกับมหาวิทยาลัยจะเข้ากันได้ดี[39] ครั้นสร้างเสร็จ เจ้าชายฟิลิป พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองทรงประกอบพิธีเปิดศูนย์ฯ เมื่อ พ.ศ. 2539",
"หลังสร้างชื่อเสียงกับเซาท์แฮมป์ตัน เวย์น บริดจ์ย้ายไปเล่นให้กับทีมอื่นๆในพรีเมียร์ลีกอย่างเชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี, เวสต์แฮม ยูไนเต็ดและซันเดอร์แลนด์ โดยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 1 สมัยร่วมกับเชลซี",
"มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) หรือในชื่อว่า ยูเอสซี (USC) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่เก่าแก่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งอยู่ที่เมืองลอสแอนเจลิส ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มหาวิทยาลัยก่อตั้งในปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) โดยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาต่างชาติมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยในปี พ.ศ. 2559 มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 10,000 คน จากจำนวนนักศึกษาประมาณ 40,000 คน ",
"เอิร์นชอว์ ใช้เวลาลงสนาม 7 นัด จึงสามารถยิงประตูแรกให้กับต้นสังกัดใหม่ได้สำเร็จโดยเป็นการยิงคนเดียว 2 ประตู ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 นัดที่พบกับสโมสรเซาท์แฮมป์ตัน และเขาสามารถยิงแฮตทริกได้อีกครั้งแต่คราวนี้เกิดขึ้นในระดับพรีเมียร์ลีก ในนัดที่พบกับชาร์ลตัน แอธเลติก เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2005 ทำให้เขาสร้างสถิติเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ยิงแฮตทริกได้ทั้ง 4 ดิวิชันของลีกอาชีพอังกฤษ อีกทั้งประตูสำคัญของเขาที่ยิงให้กับทีมยังช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาล 2004–2005 โดยเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรในฤดูกาลนั้นด้วยผลงานการยิง 14 ประตู ในทุกรายการ และเป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก 11 ประตู"
] |
พระไตรปิฎก แบ่งออกเป็นกี่หมวด? | [
"พระไตรปิฎก (Pali: Tipiṭaka; Sanskrit: त्रिपिटक) เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคำสอนของพระโคตมพุทธเจ้า[1] ไตรปิฎก แปลว่า ตะกร้า 3 ใบ เพราะเนื้อหาแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ คือ"
] | [
"พระธรรมนั้นแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ คำสอนที่เกี่ยวเนื่องกับ ชีวิตประจำวันของ ผู้คนทั่วไป เรียกว่าพระสูตร และคำสอนที่เป็น หัวข้อธรรมล้วน ๆ เช่น ขันธ์ 5 ปัจจยาการ 12 เป็นต้นเรียกว่าพระอภิธรรม ส่วนวินัยสำหรับพระ ภิกษุและภิกษุณี ได้แก่กฎระเบียบข้อปฏิบัติ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน พุทธบริษัทได้ ร่วมกันรวบรวม พระสูตร พระอภิธรรม และพระวินัย จัดเข้าเป็นหมวดหมู่ได้ 84,000 หมวด รวมเรียกว่า พระไตรปิฎก",
"งานสังคายนาพระไตรปิฎกในครั้งนี้ นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2 ของราชอาณาจักรไทย กระทำเมื่อปี พ.ศ. 2331 โดยนำพระไตรปิฎก ที่รวบรวมบรรดาพระไตรปิฎกฉบับที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ ตรวจชำระแล้วแปลงเป็นอักษรขอม จารึกลงลานประดิษฐานไว้ ณ หอพระมณเทียรธรรม และสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ ไว้ศึกษาทุกพระอารามหลวง เมื่อตอนต้นรัชกาล มาตรวจชำระ โดยอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะให้ดำเนินการ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ 218 รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ 32 คน ทำการสังคายนาที่วัดนิพพานาราม แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น 4 กอง ดังนี้ การชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ใช้เวลา 5 เดือน ได้จารึกพระไตรปิฎกลงลานใหญ่ แล้วปิดทองทึบ ทั้งปกหน้าปกหลัง และกรอบ เรียกว่า ฉบับทอง ทำการสมโภช แล้วอัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุก ตั้งไว้ในหอพระมณเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม",
"จากการศึกษาของเสถียร โพธินันทะ ได้แบ่งหมวดหมู่ของพระไตรปิฎกภาษาจีน ดังต่อไปนี้",
"เมื่อพระสารีบุตรทราบถึงเรื่องราวปัญหาของศาสนาเชน ก็ได้แสดงวิธีสังคายนาไว้เป็นตัวอย่างต่อหน้าที่ประชุมคณะสงฆ์ โดยรวบรวมข้อธรรมต่างๆ ให้อยู่ตามลำดับหมวด ตั้งแต่หมวดหนึ่ง ไปจนถึงหมวดสิบ เมื่อพระสารีบุตรแสดงธรรมจบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานสาธุการแก่หลักธรรมที่พระสารีบุตรแสดงไว้",
"พระไตรปิฎกภาษาบาลี แบ่งหมวดมิจฉาทิฏฐิไว้หลายแบบ เช่น สักกายทิฏฐิ 20 ในนกุลปิตาสูตร ทิฏฐิ 62 ในพรหมชาลสูตร และนิยตมิจฉาทิฏฐิ 3 ในสามัญญผลสูตร เป็นต้น",
"คัมภีร์ขันธกะ หรือ ขันธกะ เป็นคัมภีร์หนึ่งในพระวินัยปิฎกเถรวาท มีเนื้อหาครอบคลุมพระไตรปิฎกเล่มที่ 4 ถึง 7 ว่าด้วยบทบัญญัติต่าง ๆ เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ รวมถึงขนบธรรมเนียม พิธีกรรม สังฆกรรม วัตรปฏิบัติ อาจาระ มารยาท และความประพฤติโดยทั่วไปของพระสงฆ์ เพื่อประโยชน์คือความงามในด้านอาจาระเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสงฆ์ ขันธกะ จัดเป็นพระวินัยฝ่าย อภิสมาจาริกาสิกขา ซึ่งไม่ได้เป็นสิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ การจัดแบ่งดังกล่าวเป็นการแบ่งของสมาคมบาลีปกรณ์ของอังกฤษ ซึ่งแบ่งพระวินัยปิฎกออกเป็นสามหมวดคือ สุตตวิภังค์, ขันธกะ และปริวาร",
"หมวดหมู่:อภิธานศัพท์ศาสนาพุทธ หมวดหมู่:พระสูตรในพระไตรปิฎกเถรวาท",
"สารบบเว็บไม่ใช่เสิร์ชเอนจิน และไม่แสดงรายการเว็บเพจจากคำหลัก (keyword) แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สารบบเว็บจะแสดงรายการเว็บไซต์ตามหมวดหมู่และหมวดหมู่ย่อย ซึ่งการจัดหมวดหมู่นี้แบ่งตามประเภทของเว็บไซต์ทั้งเว็บ มากกว่าการแบ่งทีละหน้าหรือการแบ่งโดยกลุ่มของคำหลัก เว็บไซต์ต่างๆ มักจำกัดให้จัดอยู่ในหมวดหมู่เพียงไม่กี่หมวดหมู่เท่านั้น สารบบเว็บมักอนุญาตให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเพิ่มรายชื่อเว็บไซต์ได้โดยตรง และมีผู้แก้ไขกลั่นกรองข้อมูลเพิ่มเติมอีกชั้นหนึ่ง",
"นับแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา มีการจัดทำบัญชีรายชื่อพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นประจักษ์พยานของความยิ่งใหญ่ของกระบวนการแปล และการจัดระเบียบวรรณกรรมทางศาสนาของทิเบต จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 14 บูตน (Bu ston) พระนิกายสะจะ (Sakya) แห่งอารามชาลู ได้ทำการสำรวจและรวบรวม รวมถึงจัดทำบัญชีพระคัมภีร์เป็นครั้งสุดท้าย\nทั้งนี้ การจัดหมวดหมู่ ครั้งสำคัญเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 13 โดย จัมกักพักชี (Jam-gag pak-shi) นักบวชผู้มีสายเลือดราชนิกูลมองโกล ได้ร่วมกับอาจารย์ของท่าน ค้นคัมภีร์ต่างๆ ทุกเล่มที่มีอยู่ในทิเบตมารวบรวมไว้ จัดทำบัญชี และจัดหมวดหมู่ออกเป็น 2 ส่วนสำคัญ ซึ่งในเวลาต่อมาเป็นแม่แบบให้กับการจัดหมวดหมู่พระไตรปิฎกทิเบตออกเป็น 2 กลุ่มดังที่เห็นในปัจจุบัน ",
"ในพระไตรปิฎก นอกจากจะเป็นที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังได้จัดหมวดหมู่คำสอนเหล่านั้นให้เป็นระเบียบพร้อมๆ กันไปด้วย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการท่องจำ ความง่ายต่อการแบ่งหน้าที่รักษา และความไม่ลำบากในการศึกษาค้นคว้า ",
"พระไตรปิฎกทิเบต หมายถึงคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่ได้รับการแปล และเขียนขึ้นในภาษาทิเบต ทั้งนี้ คำว่า พระไตรปิฏกที่ใช้ในบริบทนี้ มิได้หมายความว่า พุทธศาสนาแบบทิเบตแบ่งพระธรรมวินัยออกเป็น 3 หมวดหมู่ หรือ 3 ตะกร้า ตามธรรมเนียมของฝ่ายเถรวาท แต่เป็นการใช้คำว่าพระไตรปิฎกเพื่อเรียกคัมภีร์ทางพุทธศาสนาโดยรวม ที่พุทธศาสนาฝ่ายทิเบต หรือนิกายวัชรยานใช้ศึกษาพระธรรมวินัย อันประกอบด้วยพุทธวจนะ และปกรณ์ที่รจนาโดยพระคันถรจนาจารย์ต่างๆ ",
"กันจูร์ มีการจัดหมวดหมู่ที่ไม่เหมือนพระไตรปิฎกภาษาบาลี และภาษาจีน หรืออาจกล่าวได้ว่า ทั้ง 3 ฉบับมีการจัดหมวดหมู่ที่แตกต่างกันแทบจะโดยสิ้นเชิง ในส่วนของพากย์ภาษาทิเบตนั้น ในชั้นแรกมีการจัดหมวดหมู่โดย อัญเชิญพระสูตรฝ่ายมหายานขึ้นนำก่อน ตามด้วยพระสูตรฝ่ายเถรวาท ทั้งนี้ ในส่วนพระสูตรฝ่ายมหายานนั้น นำโดยพระสูตรหลักก่อน อาทิ พระสูตรปรัชญาปารมิตา ตามด้วยพระสูตรสายอวตังสกะ และพระสูตรสายรัตนกูฏ ติดตามด้วยพระสูตรปกิณกะ และปิดท้ายด้วยคัมภีร์ฝ่ายตันตระ และพระวินัย จากนั้นจึงตามด้วยพระสูตรฝ่ายเถรวาท การจัดพระสูตรในลักษณะนี้ ปรากฏขึ้นครั้งแรก ในการทำบัญชีพระคัมภีร์ครั้งแรกเมื่อราวศตวรรษที่ 7 เรียกว่าบัญชีดันการ์มะ (lDan kar ma) ",
"หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา ในยุคก่อนจะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ใช้วิธีท่องจำ (มุขปาฐะ) โดยใช้วิธีการแบ่งให้สงฆ์หลาย ๆ กลุ่มรับผิดชอบท่องจำในแต่ละเล่ม เป็นเครื่องมือช่วยในการรักษาความถูกต้องของหลักคำสอน จวบจนได้ถือกำเนิดอักษรเขียนที่เลียนแบบเสียงเกิดขึ้นมาซึ่งสามารถรักษาความถูกต้องของคำสอนเอาไว้ได้แทนอักษรภาพแบบเก่าที่รักษาความถูกต้องไม่ได้ จึงได้มีการบันทึกพระธรรมและพระวินัยเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นภาษาบาลี รักษาไว้ในคัมภีร์เรียกว่า \"พระไตรปิฎก\" ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น 3 หมวดหลัก ได้แก่",
"1.ชาดกนิบาต ชาดกในนิบาต หรือที่เรียกว่า นิบาตชาดก หมายถึงชาดกทั้ง 547 เรื่องที่มีอยู่ในคัมภีร์ขุททกนิกายของพระสุตตันตปิฎก ในพระไตรปิฎกภาษาบาลี นิบาตชาดกแต่งเป็นคาถาคือฉันทลักษณ์ล้วนๆโดยจะมีการแต่งขยายความเป็นร้อยแก้วคือรูปแบบคาถาสุภาษิต เหตุที่เรียกว่า นิบาตชาดก ก็เพราะว่า ชาดกในพระไตรปิฎกนี้จะถูกจัดหมวดหมู่ตามจำนวนคาถา มีทั้งหมด ๒๒ หมวด หรือ ๒๒ นิบาต นิบาตสุดท้ายคือ นิบาตที่ ๒๒ ประกอบด้วยชาดก ๑๐ เรื่อง หรือที่เรียกว่า \"ทศชาติชาดก\" ",
"คัมภีร์มหาวรรค หรือ มหาวรรค คือหมวดหมู่หนึ่งในคัมภีร์ขันธกะ อันเป็นคัมภีร์ที่สองในพระวินัยปิฎกเถรวาท ตามการจัดแบ่งของสมาคมบาลีปกรณ์ มหาวรรค มีเนื้อหาครอบคลุมพระไตรปิฎกเล่มที่ 4-5 มีเนื้อหาว่าด้วยหลักในการประพฤติในด้านขนบธรรมเนียมเพื่ออาจาระที่เหมาะสมของพระสงฆ์ โดยรวมหลักสิกขาบทในคัมภีร์มหาวรรคเรียกว่า สิกขาบทฝ่ายอภิสมาจาร หรือ สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์",
"โดยรายละเอียดของปฐมสังคายนาและการสังคายนาครั้งที่สอง มีกล่าวถึงในพระวินัยปิฎก จุลลวรรค แม้ในวินัยปิฎกจะไม่กล่าวถึงคำว่าพระไตรปิฎกในการปฐมสังคายนา และการสังคายนาครั้งที่สองเลย แต่ในสมันตัปปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถาอธิบายวินัยปิฎกนั้น บอกว่าการจัดหมวดหมู่คำสอนของพระพุทธศาสนา ให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างพระไตรปิฎกนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนาแล้ว",
"ธรรมขันธ์ () หมายถึง กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมเข้าเป็นหมวดใหญ่ มี ๕ คือ สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ; กำหนดหมวดธรรมในพระไตรปิฎกว่ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ สุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์",
"ในที่นี้เป็นตัวอย่างพระสูตรที่มีเนื้อหาตรงหรือใกล้เคียงกับธัมมจักกัปปวัตนสูตรพระสูตรหนึ่ง ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาจีน คือ ธรรมจักรสูตร ซึ่งแปลเป็นฉบับย่อ อยู่ในหมวดเอโกตตราคม ของพระไตรปิฎกภาษาจีน ซึ่งหมวดเอโกตราคม หมายถึงอังคุตรนิกาย ของพระไตรปิฎกภาษาบาลี ",
"โดยรายละเอียดของปฐมสังคายนาและการสังคายนาครั้งที่สอง มีกล่าวถึงในพระวินัยปิฎก จุลลวรรค[4] แม้ในวินัยปิฎกจะไม่กล่าวถึงคำว่าพระไตรปิฎกในการปฐมสังคายนาและการสังคายนาครั้งที่สองเลย แต่ในสมันตัปปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถาอธิบายวินัยปิฎกนั้น บอกว่าการจัดหมวดหมู่คำสอนของพระพุทธศาสนาให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างพระไตรปิฎกนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนาแล้ว",
"พระไตรปิฎกมีจุดเริ่มต้นมาจากการจัดรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า ออกเป็นหมวดหมู่ และซักซ้อมทบทวนกันจนลงตัว ในระยะแรก พระไตรปิฎกถ่ายต่อกันมาโดยการท่องจำปากเปล่า จนกระทั่งราว พ.ศ. 460 จึงมีการจารึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาสืบทอดมาพร้อมกับพระไตรปิฎก จากสมัยพุทธกาลจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 2,500 ปี พระไตรปิฎกบาลีของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เก่าแก่ที่สุด ดั้งเดิมที่สุด สมบูรณ์ที่สุด และถูกต้องแม่นยำที่สุด ที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน",
"อย่างไรก็ตาม จำนวนคัมภีร์ในพระไตรปิฎกจีนพากย์นี้ มีการชำระกันหลายครั้งหลายคราว จำนวนคัมภีร์กับจำนวนผูกเปลี่ยนแปลงไม่เสมอกันทุกคราว ในหนังสือว่าด้วยสารัตถะความรู้จากการศึกษพระไตรปิฎกแต่งครั้งราชวงศ์หมิง ได้แบ่งหมวดพระไตรปิฎก เพื่อสะดวกแก่การศึกษาดังนี้",
"ในสารบบของพระไตรปิฎกภาษาจีน ปรากฏพระสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องหรือเหมือนกับธัมมจักกัปปวัตนสูตรอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งพากย์ภาษาสันสกฤตและภาษาจีน เนื้อหามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หรือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักอ้างถึงพระสูตรในหมวดอาคมะ หรือหมวดอาคม ซึ่งเป็นการรวบรวมพระสูตรฝ่ายเถรวาทไว้ แต่ก็ปรากฏในพระสูตรมหายานหมวดอื่นๆ เช่นกัน แต่โดยรวมแล้วเมื่อจะเอ่ยถึงธัมมจักกัปปวัตนสูตรในพระไตรปิฎกภาษาจีนจะใช้คำว่า 转法轮经 ",
"เมื่อเริ่มต้นคัมภีร์ปรมัตถโชติกา ผู้รจนาได้ทำการกำหนด หรือแจกแจงหัวข้อหรือหัวเรื่องต่าง ๆ ในขุททกปาฐะเสียก่อน โดยแจกแจงตั้งแต่หมวดใหญ่ของพระไตรปิฎกคือพระสุตตันตปิฎก (พระสูตร) ต่อมาพระสุตตันตปิฎกจัดหมวดรองออกเป็น 5 นิกาย กล่าวคือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย ทั้งนี้ ขุททกนิกาย เป็นที่รวมเป็นที่อยู่ของหมวดธรรมเล็ก ๆ จำนวนมาก แบ่งออกเป็น ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก นิทเทส ปฏิสัมภิทา อปทาน พุทธวงศ์ จริยาปิฎก ดังนี้ และในขุททกปาฐะยังแบ่งย่อยออกเป็น 9 ประเภท คือ สรณะ สิกขาบท ทวัตติงสาการ กุมารปัญหา (สามเณรปัญหา) มงคลสูตร รตนสูตร ติโรกุฑฑสูตร นิธิกัณฑสูตร และเมตตสูตร ",
"คัมภีร์สุตตวิภังค์ หรือ วิภังค์ เป็นคัมภีร์หนึ่งในพระวินัยปิฎกเถรวาท มีเนื้อหาครอบคลุมพระไตรปิฎกเล่มที่ 1 ถึง 3 ว่าด้วยสิกขาบทในพระปาติโมกข์ของพระภิกษุสงฆ์และพระภิกษุณีสงฆ์ ซึ่งเป็นอาทิพรหมจาริยกาสิกขา การจัดแบ่งดังกล่าวเป็นการแบ่งของสมาคมบาลีปกรณ์ของอังกฤษ ซึ่งแบ่งพระวินัยปิฎกออกเป็นสามหมวดคือ สุตตวิภังค์, ขันธกะ และปริวาร",
"หมวดหมู่:ธรรมหมวด 4 หมวดหมู่:พระสูตรในพระไตรปิฎกเถรวาท หมวดหมู่:ทีฆนิกาย",
"หมวดหมู่:พระไตรปิฎกมหายาน",
"พระไตรปิฎกภาษาบาลี หรือ พระบาลี (; ; เทวนาครี: त्रिपिटक; ) เป็นพระไตรปิฎกของนิกายเถรวาท คำว่าพระไตรปิฎกมาจากภาษาบาลี \"ติปิฏก\" แปลว่า ตะกร้าสามใบ หรือคำสอนสามหมวด (\"ติ\" หมายถึง สาม \"ปิฏก\" \nหมายถึง ตำรา คัมภีร์ หรือกระจาด) สันนิษฐานว่าที่มาของคำว่าพระไตรปิฎกน่าจะมาจากการที่พระภิกษุจดจารึกคัมภีร์ใส่ลงในใบตระกูลปาล์มและใส่ลงในตะกร้า ถ้าอาศัยหลักฐานทางวิชาการ เชื่อว่าไตรปิฎกเป็นชื่อที่ใช้กันมาก่อนจะสังคายนาครั้งที่ 3 เพราะมีการใช้คำพูดว่า \"ไตรปิฎก\" ในประวัติศาสตร์ยุคพระเจ้าอโศกก่อนการสังคายนาครั้งที่ 3 จึงเชื่อได้ว่าหลังสังคายนาครั้งที่ 2 พระสงฆ์มีการแยกพระอภิธรรมออกจากพระสูตรแล้วเมื่อสังคายนาครั้งที 3 จึงแยกอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจริง ซึ่งคำสอนสามหมวดนี้ ได้แก่ ",
"ในเวลาต่อมาการจัดหมวดหมู่ในกันจูร์เปลี่ยนไป โดยในช่วงศตวรรษที่ 14 - 15 มีการจัดหมวดหมู่ออกเป็นพระวินัย (Dul ba ), พระสูตร (mDo) และคัมภีร์ตันตระ (rGyud) การแบ่งในทำนองนี้ ทำให้กันจูร์ มีลักษณะคล้ายกับพระไตรปิฏกไปโดยปริยาย เพียงแต่เปลี่ยนจากพระอภิธรรม เป็น คัมภีร์ตันตระ ",
"คัมภีร์จูฬวรรค หรือ จูฬวรรค (คัมภีร์จุลวรรค หรือ จุลวรรค) แปลว่า หมวดเล็ก คือหมวดหมู่ที่สองในคัมภีร์ขันธกะ อันเป็นคัมภีร์ที่สองในพระวินัยปิฎกเถรวาท ตามการจัดแบ่งของสมาคมบาลีปกรณ์ จูฬวรรค มีเนื้อหาครอบคลุมพระไตรปิฎกเล่มที่ 6-7 มีเนื้อหาว่าด้วยหลักโดยเบ็ดเตล็ดในการประพฤติในด้านขนบธรรมเนียมเพื่ออาจาระที่เหมาะสมของพระสงฆ์ รวมไปถึงส่วนสังฆกรรมประเภทนิคหกรรมของพระสงฆ์ด้วย โดยรวมหลักสิกขาบทในคัมภีร์จูฬวรรคเรียกว่า สิกขาบทฝ่ายอภิสมาจาร หรือ สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์"
] |
เมืองมิลานอยู่อิตาลีใช่หรือไม่ ? | [
"มิลาน (English: Milan) หรือ มีลาโน (Italian: Milano) เป็นเมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดียและเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี (Lombardy) เมืองมิลานมีประชากรประมาณ 1,308,500 คน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2547) โดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน ([La Grande Milano]error: {{lang}}: text has italic markup (help)) มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเคลต์ คำว่า \"Mid-lan\" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ"
] | [
"ลอมบาร์เดีย (), ลุมบาร์ดีอา (ลุมบาร์ตตะวันตก: ) หรือ ลอมบาร์ดี () เป็นแคว้นหนึ่งในยี่สิบแคว้นของประเทศอิตาลี มีเมืองหลักคือมิลาน (มีลาโน) ประชากร 1 ใน 6 ของอิตาลีอาศัยอยู่ในแคว้นนี้ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 1 ใน 5 ของอิตาลีผลิตขึ้นในแคว้นนี้ ลอมบาร์เดียใช้ภาษาอิตาลีเป็นภาษาราชการ ถึงแม้ว่าจะมีภาษาท้องถิ่นอันเก่าแก่ต่าง ๆ มากมาย (ภาษาลุมบาร์ตตะวันออกและลุมบาร์ตตะวันตก) และยังมีผู้พูดภาษาเอมีเลียในจังหวัดมันโตวา, ปาวีอา และเครโมนา จุดหมายปลายทางสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมประกอบด้วยเมืองทางประวัติศาสตร์ เช่น มิลาน, เบรชชา, มันโตวา, ปาวีอา, เครโมนา, แบร์กาโม และมีทะเลสาบการ์ดา, โคโม, มัจโจเร และอีเซโอ",
"ฟรันโก บาเรซี () เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1960 ที่เมืองตราวาลยีโต ประเทศอิตาลี เป็นอดีตนักฟุตบอล และโค้ชทีมเยาวชน เขาเล่นในตำแหน่งสวีปเปอร์โดยเล่นอยู่ในสโมสรเอซี มิลาน ในเซเรียอา ตลอดอาชีพของเขา ในปี ค.ศ. 1999 เขาได้รับลงคะแนนให้เป็นผู้เล่นเอซี มิลานแห่งศตวรรษ จากผู้งานในการเป็นกองหลังที่ดีที่สุดในรุ่นของเขา",
"เป็นที่น่าประหลาดใจ เมื่อมีคนพบว่าชื่อของเขา \"Verdi\" เป็นตัวอักษรย่อของคำว่า \"Vittorio Emanuele Re D’Italia\" (วิคเตอร์ เอ็มมานูเอล กษัตริย์แห่งอิตาลี) ในช่วงเวลาที่ชาวเมืองมิลาน (ซึ่งยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย) ได้เริ่มหันมาสนับสนุนความพยายามรวมชาติอิตาลีของวิคเตอร์ เอ็มมานูเอล กลุ่มแนวร่วมหลบหนีเข้าเมืองได้เริ่มคบคิดที่จะให้กษัตริย์ Sardaigne บุกมิลาน เนื่องจากการกดขี่ของชาวออสเตรียนั้นรุนแรงเกินไป กลุ่มคนเหล่านี้ได้เริ่มการปลุกระดมที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า « Viva VERDI » (« V.E.R.D.I. จงเจริญ ») แวร์ดีทราบเรื่องการนำชื่อของเขาไปใช้ ซึ่งโดยหลักแล้วเขาควรจะห้าม แต่เขาก็ไม่ได้ห้าม เรื่องราวอื่น ๆ ที่เกี่ยวพันกับการเมืองของแวร์ดีได้ถูกนำเสนอในบทอุปรากรเรื่อง \"I Lombardi\"",
"เบรชชา () เป็นเมืองและเทศบาลในแคว้นลอมบาร์เดีย ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่เชิงเขาแอลป์ มีประชากรราว 197,000 คน เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของแคว้นลอมบาร์เดีย รองจากเมืองหลวงของแคว้น เมืองมิลาน เมืองนี้เป็นเมืองโบราณของพวกเคลติก เป็นที่ตั้งของอาณานิคมโรมันเมื่อ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช และหลังจากการปกครองของโรมัน ถูกพวกกอททำลาย ต่อมาตกเป็นของแคว้นลอมบาร์ดีใน ค.ศ. 412 ได้รับอิสระระหว่าง ค.ศ. 936-1426 จนถูกชาวเวนิสเข้ายึดครองในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และต่อมาฝรั่งเศสและออสเตรีย เข้ายึดครองตามลำดับ จนกระทั่งได้รวมเข้ากับอิตาลี ในปี ค.ศ. 1860",
"ประธานสหพันธ์จักรยานสมัครเล่นนานาชาติ (F.I.A.C.) ได้แก่ Adriano Rodoni ชาวเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ปัจจุบันมีประเทศต่างๆ ที่เมืองสมาชิกของ F.I.A.C. จำนวน 130 ประเทศ",
"โนวารา () เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโนวารา ในแคว้นปีเยมอนเต ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี ทางตะวันตกของเมืองมิลาน มีประชากรราว 105,000 คน เป็นเมืองมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของแคว้นปีเยมอนเต รองจากเมืองตูริน เป็นเมืองมีเส้นทางจราจรสำคัญ เชื่อมเมืองมิลานกับตูริน และจากเจนัวไปยังสวิตเซอร์แลนด์",
"พื้นที่ต่างๆของภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของยุโรป (อ้างอิงจาก UNEP-WCMC) :หมายเหตุ: กรุงโรมเมืองหลวงของอิตาลีเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศหากพิจารณาเฉพาะเมือง (มหานครมิลานเป็นเขตปริมณฑลที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี)",
"ในปี 2002-2003 ทีมลาซิโอที่มีปัญหาทางการเงินจึงจำเป็นต้องขายนักเตะที่สำคัญ หนึ่งในนั้นก็มี เนสตา อยู่ด้วย ลาซิโอตัดสินใจขายเนสตาให้กับมิลาน หลังจากที่ เนสตาย้ายไปอยู่กับเอซี มิลาน แล้วก็มีส่วนช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จมากขึ้น ด้วยการพาทีม เอซี มิลาน ได้แชมป์ลีกเซเรียอาในฤดกาล 2003-2004 ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ และ โคปาอิตาเลีย\nปัจจุบันเนสตายังคงค้าแข้งอยู่กับเอซี มิลาน และเป็นกองหลังตัวสำคัญในทีมชาติอิตาลีแต่แทบไม่มีส่วนช่วยให้ทีมชาติอิตาลีเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก ปี ค.ศ. 2006 เนื่องจากในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ เนสตา มีอาการบาดเจ็บจึงได้เป็นตัวสำรองซึ่งทดแทนโดย มาร์โค มาเตรัสซี แต่เนสตาก็มีส่วนช่วยให้ทีมชาติอิตาลีผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่นบอลโลกในรอบสุดท้ายได้",
"ดยุคลุโดวิโก ซฟอร์ซา แห่งมิลาน ต้องการเป็นใหญ่ในอิตาลี จึงอัญเชิญพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 ให้บุกยึดคาบสมุทรอิตาลี พระเจ้าชาร์ลส์เองก็ทรงต้องการอ้างสิทธิ์ของพระองค์ต่อบัลลังก์ราชอาณาจักรเนเปิลส์ จึงทรงกรีฑาทัพเข้าสู่อิตาลีใน ค.ศ. 1494 บรรดาเจ้าเมืองน้อยใหญ่ทั้งหลายไม่อาจต้านทานทัพของพระเจ้าชาร์ลส์ได้ จนทรงยึดเมืองเนเปิลส์ได้ แต่บรรดาเมืองต่างในอิตาลีและจักรพรรดิแมกซิมิเลียนไม่ต้องการให้ฝรั่งเศสขยายอำนาจจึงตีทัพพระเจ้าชาลส์หนีกลับไปฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ทรงเคียดแค้นดยุคลุโดวิโกที่ทรยศพระเจ้าชาร์ลส์เข้าพวกอิตาลี ใน ค.ศ. 1499 จึงทรงยกทัพยึดแคว้นลอมบาร์ดี (มิลาน) ปีต่อมา ค.ศ. 1500 ทรงร่วมมือกับพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งสเปน บุกยึดอาณาจักรเนเปิลส์ แต่เมื่อยึดได้แล้วกลับตกลงแบ่งส่วนกันไม่ได้ จนพระเจ้าหลุยส์ถูกทัพสเปนตีพ่ายแพ้ บรรดาเมืองต่างๆในอิตาลีก็รวมกันเป็นสันนิบาตต่อต้านอีก พระเจ้าหลุยส์จึงทรงถอยกลับ",
"โกโม () เป็นเมืองในแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี เป็นเมืองเอกของจังหวัดโกโม ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โกโมเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ ทิศเหนือของเมืองอยู่ติดกับทะเลสาบโกโม โกโมเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งรวมชิ้นงานศิลปะชื่อดัง, มีโบสถ์, พิพิธภัณฑ์, สวน, โรงละคร, วังเก่าอยู่มากมาย โดยในปี 2013 โกโมมีจำนวนผู้มาพำนักค้างคืนถึง 215,000 คน ถือเป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดเป็นอันดับสี่ของแคว้นลอมบาร์เดียรองจากมิลาน, แบร์กาโม และเบรชชา การโดยสารรถไฟจากเมืองมิลานมายังเมืองโกโมใช้เวลาเพียง 36 นาที",
"กริสเตียน อับบีอาตี () เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1977 ในเขต อับเบียทีกรัสโซ เมือง มิลาน เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลี ปัจจุบันเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน ใน เซเรียอา ลีกฟุตบอลสูงสุดของ อิตาลี ในตำแหน่ง ผู้รักษาประตู",
"การแต่งงานของเวอร์จินแมรี () เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยราฟาเอล จิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลีที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เบรราในเมืองมิลานในประเทศอิตาลี",
"รถไฟใต้ดินมิลาน () เป็นระบบขนส่งมวลชนในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ดำเนินการโดย Azienda Trasporti Milanesi เป็นระบบรถไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในอิตาลี ประกอบไปด้วย 4 เส้นทาง ระยะทางทั้งสิ้น 101 สถานี มีผู้โดยสาร 1.15 ล้านคนต่อวัน โดยเส้นทางแรก เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1964 ทำให้เป็นเมืองที่มีระบบรถไฟฟ้าเป็นแห่งที่สอง ต่อจากกรุงโรม",
"หมวดหมู่:แคว้นลอมบาร์เดีย หมวดหมู่:เมืองในประเทศอิตาลี หมวดหมู่:มิลาน",
"สโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน () หรือที่เรียกย่อว่า อินเตอร์นาซีโอนาเล หรือ อินเตอร์มิลาน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1908 ตั้งอยู่ในเมืองมิลานในเขตลอมบาร์ดี ประเทศอิตาลี โดยเป็นสโมสรเดียวที่ไม่เคยตกชั้นจากเซเรียอา นับตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุดในปี ค.ศ. 1929 และปัจจุบันเป็นสมาชิกในกลุ่มฟุตบอล จี-14 สีเสื้อประจำสโมสรคือสีน้ำเงินและสีดำลายทาง แล้วเป็นคู่แข่งร่วมเมือง เอซีมิลาน",
"ความคืบหน้าอย่างรวดเร็วของการเดินทัพของฝรั่งเศส และความรุนแรงในการโจมตีเมืองต่างๆ ทำให้รัฐต่างๆ ในอิตาลีต่างก็เกิดความประหวั่น ลุโดวิโค สฟอร์ซาผู้คาดการณ์ว่าพระเจ้าชาร์ลส์จะกลับมาทรงอ้างสิทธิในมิลานหลังจากที่ทรงได้เนเปิลส์แล้วจึงหันไปหาสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 ผู้ทรงอยู่ในระหว่างการแข่งอำนาจกับฝรั่งเศสและรัฐต่างๆ ในอิตาลีเพื่อแสวงหาฆราวัสจักรให้พระราชโอรสทั้งหลายได้ครอง พระสันตะปาปาจึงทรงก่อตั้งสหพันธ์ทที่ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นปรปักษ์กับฝรั่งเศส ที่รวมทั้งพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอนผู้ที่เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอิตาลีด้วย, สมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, ลุโดวิโคแห่งมิลาน และสาธารณรัฐเวนิส สหพันธ์ที่ก่อตั้งขึ้นเรียกว่า \"สหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 1495\" (Holy League) หรือ \"สหพันธ์เวนิส\" อังกฤษเข้าร่วมในปี ค.ศ. 1496 สหพันธ์ดังกล่าวเป็นสหพันธ์แรกของการรวมกลุ่มเช่นที่ว่า ที่เป็นการรวมตัวกันของรัฐต่างๆ ในการต่อต้านศัตรูร่วมกัน เมื่อก่อตั้งขึ้นแล้วสหพันธ์ก็รวบรวมกองกำลังขึ้นภายใต้การนำของทหารรับจ้าง ฟรานเชสโคที่ 2 กอนซากา พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสผู้ไม่ทรงต้องการที่จะติดอยู่ในเนเปิลส์จึงเดินทัพขึ้นเหนือไปยังลอมบาร์ดี พระองค์ทรงปะทะกับกองทัพของสหพันธ์ในยุทธการฟอร์โนโวเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1495 พระเจ้าชาร์ลส์ทรงสามารถถอยทัพหลบหนีไปได้แต่ก็ทรงต้องทิ้งทรัพย์สมบัติที่ทรงยึดมาได้ระหว่างสงครามไปแทบทั้งหมดก่อนที่จะเสด็จกลับถึงฝรั่งเศส พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อนที่จะสามารถรวบรวมกำลังกลับไปยังอิตาลีได้อีก",
"มูรีนโยมีผลกระทบกับวงการฟุตบอลอิตาลีอย่างรวดเร็วผ่านความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างเขากับสื่อมวลชนของอิตาลี รวมไปถึงความบาดหมางของเขากับโค้ชดัง ๆ ในเซเรียอา อาทิเช่น การ์โล อันเชลอตตี ซึ่งขณะนั้นอยู่กับมิลาน Luciano Spalletti จากโรมา และ เกลาดีโอ รานีเอรี ของยูเวนตุส ระหว่างการแถลงข่าวในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2009 มูรีนโยดูถูกโค้ชคู่แข่งสองคนแรกว่าทีมของพวกเขาจะจบฤดูกาลโดยไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น และยังกล่าวหาผู้สื่อข่าวอิตาลีว่าทำตัวเป็น \"โสเภณีทางปัญญา\" (intellectual prostitution) ให้กับคนทั้งสอง[48] การพูดจาโวยวายต่อหน้าสื่อมวลชนนี้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่อง \"การไม่ได้รับเกียรติยศ\" (zero titles) ซึ่งมูรีนโยออกเสียงผิดเป็น เซรู ทิทูลี (zeru tituli) (การออกเสียงที่ถูกต้องในภาษาอิตาลี ควรเป็น เซโร ทิโทลี (zero titoli)) ต่อมาคำพูดนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางโดยนักข่าวฟุตบอลในอิตาลี นอกจากนั้นคำ ๆ นี้ยังกลายเป็นวลีที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยแฟนคลับในการเฉลิมฉลองสคูเดตโตครั้งที่ 17 ของอินเตอร์มิลานในช่วงท้ายของฤดูกาล[49][50] แม้กระทั่งไนกี้ก็ยังเลือกใช้คำ ๆ นี้ในการออกตัวเสื้อฉลองแชมป์เซเรียอาของอินเตอร์มิลาน[51] หลังจากการแข่งขันโคปปาอิตาเลียนัดชิงชนะเลิศในเดือนพฤษภาคมสิ้นสุดลงแฟนคลับของลาซีโอ (คู่แข่งข้ามเมืองของโรมา) ซึ่งชนะการแข่งขันก็ยังได้สวมเสื้อทีเขียนว่า \"Io campione, tu zero titoli\" (ฉันเป็นแชมป์ คุณไม่ได้เกียรติยศใด ๆ)[52] อ้างถึงคำพูด \"เซรู ทิทูลี\" ของมูรีนโย",
"สโมสรฟุตบอลมิลาน (Italian: Associazione Calcio Milan) หรือ เอซี มิลาน (A.C. Milan) เรียกสั้น ๆ ว่า มิลาน (ภาษาอิตาลีออกเสียงว่า มีลาน) หรือที่ฉายาในสื่อไทยเรียกว่า ปีศาจแดง-ดำ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในเมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์ดี้ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1899 และเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในวงการฟุตบอลของยุโรปและของโลก โดยได้แชมป์ระดับเมเจอร์รวมทั้งหมดถึง 46 รายการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี เช่นเดียวกับ ยูเวนตุส และอินเตอร์ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม จี-14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปอีกด้วย",
"ทางตอนเหนือของอิตาลีมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย ประเทศอิตาลีมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมากอันดับหนึ่งของโลก เมืองหลวงของประเทศอิตาลีคือกรุงโรม และเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นเมืองมิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และเวนิส และภายในประเทศอิตาลียังมีประเทศแทรกอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน",
"ลอเรนโซ บุฟฟอน () เกิดเมื่อวันที่19 ธันวาคม ค.ศ. 1929 ที่ เมียอาโน่ในเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี) อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติอิตาลี โดยรับใช้ชาติไปทั้งสิ้น 16 นัด ในระดับสโมสร เขาเล่นให้กับอินเตอร์ มิลาน3 ฤดูกาลด้วยกัน รวมทั้งสิ้น 89 นัด ได้แชมป์สคูเด็ตโต้ (ลีกสูงสุด) 1 สมัยในปีสุดท้ายที่เข้าอยู่กับสโมสร (1962-1963) หลังจากนั้นเขายังเคยเล่นให้กับคู่ปรับร่วมเมืองอย่างมิลานอีกด้วย",
"ตราสัญลักษณ์ของ Alfa Romeo ได้ถูกใช้อย่างต่อเนื่องถึง 5 ศตวรรษ ออกแบบโดย Romano Cattaneo ช่างศิลป์ชาวอิตาลี โดยใช้ตราประจำตระกูล Visconti ซึ่งเป็นตระกูลดั้งเดิมของเมืองมิลาน โดยทางขวาเป็นรูปของ Biscione ซึ่งเป็นชื่อของงูพิษตัวใหญ่ในตำนาน (ไม่ใช่มังกร) มีการอ้างอิงว่าตราสัญลักษณ์ที่เห็นนี้มาจากป้ายบนแขนเสื้อของชาวอาหรับที่ถูกบรรพบุรุษของตระกูล Ottone Visconti ปลิดชีวิตในระหว่างสงครามครูเซด หรืออาจจะเป็นชายคนนึงที่ถูกกลืนกินโดยงูยักษ์แต่ได้ถูกช่วยเหลือตามตำนานของ Theoderic the Great ซึ่งปรากฏอยู่ในกวี Virginal ส่วนทางซ้ายมือเป็นรูปกางเขนสีแดงบนพื้นขาวเป็นตราสัญลักษณ์ประจำเมืองมิลาน",
"จักรวรรดิรัสเซียล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1917 จากการปฏิวัติรัสเซีย ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์บอลเชวิกขึ้นสู่อำนาจภายใต้การนำของวลาดีมีร์ เลนิน ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแนวรบด้านตะวันออก ทำให้กองทัพออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมันเคลื่อนทัพปะทะแนวหน้าของอิตาลีได้ง่ายขึ้น เสียงคัดค้านการทำสงครามภายในอิตาลีมีมากขึ้นในขณะที่สภาพเศรษฐกิจและสังคมย่ำแย่ลงเรื่อยๆ อันเป็นผลจากความตึงเครียดของสงคราม ผลประโยชน์จากสงครามเกิดขึ้นกับเมืองหลักๆ ในขณะที่ชนบทของอิตาลีกำลังสูญเสียรายได้[61] จำนวนแรงงานชายในภาคเกษตรกรรมลดลงจาก 4.8 ล้านคนเหลือเพียง 2.2 ล้านคน แม้กระนั้นอิตาลีก็ยังสามารถรักษาระดับการผลิตไว้ได้ที่ร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับระดับการผลิตในช่วงก่อนสงครามอันเนื่องมาจากแรงงานทดแทนจากผู้หญิง[62] นักนิยมสันติภาพและกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายหันไปสนับสนุนพรรคบอลเชวิกและสนับสนุนการเจรจากับแรงงานชาวเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีเพื่อที่จะยุติสงคราม และเพื่อนำมาซึ่งการปฏิวัติบอลเชวิก อวันติ! (ก้าวหน้า!) ของพรรคสังคมนิยมอิตาลีประกาศว่า \"ปล่อยให้ชนชั้นล่างได้ต่อสู้ในสงครามของตน\"[63] บรรดาสตรีผู้นิยมฝ่ายซ้ายในเมืองทางภาคเหนือต่างนำการประท้วงเรียกร้องการแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงและเรียกร้องให้ยุติการทำสงคราม[64] เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1917 ในมิลาน นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์รวมกลุ่มกันและเกี่ยวข้องในการก่อความไม่สงบซึ่งเรียกร้องการสิ้นสุดลงของสงคราม ความไม่สงบเช่นการปิดโรงงานและการขัดขวางระบบคมมนาคมสาธารณะ[65] กองทัพอิตาลีจึงถูกบีบให้เข้าสู่เมืองมิลานพร้อมรถถังและปืนกลในการเผชิญหน้ากับนักสังคมนิยมและนักอนาธิปไตยนิยมผู้ซึ่งต่อสู้ด้วยความรุนแรงจนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม เมื่อกองทัพอิตาลีสามารถควบคุมความวุ่นวายของเมืองไว้ได้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 50 คนรวมถึงนายทหารเสียชีวิต 3 นาย และมากกว่า 800 คนถูกจับกุม[65]",
"ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตไทยประเทศอิตาลีที่กรุงโรม และมีสถานกงสุลใหญ่ประจำประเทศไทย 5 แห่ง คือ ที่เมืองตูริน เจโนวา มิลาน นาโปลี และคาตาเนีย[6] และที่มีสถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทยที่กรุงเทพ",
"อัครมุขมณฑลมิลาน () เป็นอัครมุขมณฑลโรมันคาทอลิกที่มีอาณาเขตครอบคลุมเมืองมิลาน มอนซา เลกโก และวาเรเซ ในประเทศอิตาลี ",
"ท่าอากาศยานมิลาโนมัลเปนซา (Aeroporto internazionale Milano-Malpensa) ตั้งอยู่ที่เมืองวาแรส ในแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี รองรับการจราจรทางอากาศของเมืองมิลาน เป็นท่าอากาศยานที่มีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศใช้บริการมากที่สุดของอิตาลี แต่ในส่วนของจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งหมดจะเป็นรองท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟิอูมิชิโน",
"ซานตามารีอาเดลเลกราซีเอ (, \"พระแม่มารีแห่งพระหรรษทาน\") เป็นโบสถ์และคอนแวนต์ของคณะดอมินิกัน ตั้งอยู่ที่เมืองมิลานในประเทศอิตาลี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1980",
"อันโตนีโอ กัสซาโน () เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1982 เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลี ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรอินเตอร์ มิลานในลีกเซเรีย อา ได้รับฉายาว่า \"เพชรเม็ดงามแห่งกรุงบารี่\" เคยเล่นให้กับ บารี่,โรม่า, เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน โดยสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม คาสซาโนเป็นนักฟุตบอลพรสวรรค์สูงมาก สามารถครองบอลได้อย่างเหนียวแน่น และเรียกฟาวล์จากคู่แข่งได้มากมาย โดยเฉพาะการทำเกมทางกราบ อีกทั้งยังสามารถจ่ายบอลได้คมและแยบยลติดระดับต้นๆของทำเนียบนักบอลอิตาลี คาสซาโนเป็นกองหน้าที่ไม่หวงบอล เขาไม่เคยคิดจะทำประตูแบบฝืนๆแต่มักจะจ่ายถวายพานให้เพื่อนร่วมทีมเจาะตาข่ายโดยง่ายดายมากกว่า จากจุดนี้เองทำให้มีข้อครหาว่าจุดอ่อนในฐานะกองหน้าของคาสซาโนคือ \"การทำประตูได้น้อยเกินไป\"คาสซาโนแจ้งเกิดกับ\"บารี่\"ทีมทางใต้ของประเทศอิตาลี ซึ่งหลังจากโชว์ฟอร์มได้ไม่นาน \"สโมสรฟุตบอลโรมา\" ทีมยักษ์ใหญ่ในอิตาลีก็ดึงตัวมาทันที ซึ่งทั้งความสามารถและลีลาอันบรรเจิดของเขา ทำให้ถูกสื่อมวลชนนำมาเปรียบเทียบกับนักเตะรุ่นพี่ \"ฟรันเชสโก ตอตตี\" ทันที คาสซาโน เป็นนักเตะอารมณ์ศิลปิน ไม่เคยเกรงใจใคร และสามารถปล่อยอารมณ์รุนแรงได้ทุกครั้งที่มีอะไรมาสะกิดต่อมโมโห แต่เขาก็ไม่ใช่นักเตะที่เล่นฟุตบอลสกปรกแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเป็นนักบอลที่ทำฟาวส์น้อยมาก ถ้าเทียบกับชื่อเสียงในเรื่องความห่ามของเขา\nบารี่",
"ในตอนแรกนั้น อาร์ชดยุกมัคซีมีลีอานทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี จนถึงปีพ.ศ. 2402 ซึ่งถูกจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ พระเชษฐาทรงปลดพระองค์ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากทรงกริ้วที่พระองค์ทรงใช้นโยบายเสรีนิยม ในการปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่ทรงเป็นเพียงอุปราช หลังจากที่ทรงถูกปลดจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ก็เกิดอุปสรรคใหญ่ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ, จักรวรรดิออสเตรีย และ ราชอาณาจักรอิตาลี โดยออสเตรียเสียสิทธิ์การครอบครองดินแดนของอิตาลี ส่วนพระองค์และพระชายาก็ทรงย้ายไปประทับไปอยู่ในพระตำหนักส่วนตัว ปราสามมิราแมร์ ในเมืองทรีเอสต์",
"ตุ๊กตาดัลเป็นหนึ่งในตุ๊กตาที่เป็นระบบข้อต่อ ที่ทางบริษัท จุน แพลนนิ่งจัดจำหน่าย โดยวางคาแร็กเตอร์ของตุ๊กตาดัลให้เป็นน้องสาวของตุ๊กตาแทยัง และยังเป็นคู่ปรับกับตุ๊กตาพิวลิป ซึ่งเป็นคนรักของพี่ชาย ซึ่งเกิดเดือนกุมภาพันธ์ ที่โซล ประเทศเกาหลีใต้ เติบโตในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เกิดในครอบครัวที่พ่อมีอาชีพเป็นเจ้าของร้านขายเครื่องดนตรีสุดหรู สัญชาติอังกฤษ แม่มีอาชีพเป็นสถาปนิก สัญชาติเกาหลี เธอจึงเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-เกาหลี สัญชาติเกาหลี เธอเป็นคนอ่อนไหวและบอบบาง มีนิสัยค่อนข้างดื้อ ชอบเข้าสังคม และหวงพี่ชายมาก ชอบรับประทานอาหารเกาหลี ปัจจุบันอาศัยอยู่ ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ศึกษาที่โรงเรียน Korean School และเป็นสมาชิกของชมรมเทนนิส เธอเป็นที่รู้จักในโรงเรียนของเธอ ยามว่างเธอมักจะวาดรูปและนำรูปที่วาดขึ้นแสดงในบล็อกของเธอ ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่นักเรียนและแฟนคลับมากมาย เธอมีเพื่อนสนิทชื่อพยอล (Byul) ชื่อตามภาษาเกาหลี แปลว่า ดวงดาว "
] |
ใครคือเจ้าของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี? | [
"วินซ์ แม็กแมน มีฐานะเป็นเจ้าของสมาคม และยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัท และ สเตฟานี แม็กแมน ลาเวสค์ รองประธานกรรมการบริหารฝ่าย Creative Writing (ทีมเขียนบท). ใน WWE ตระกูลแมคแมน ถือหุ้นประมาณ 70% ในบริษัท และมีเปอร์เซนต์การออกเสียงในที่ประชุมใหญ่บริษัทถึง 96%"
] | [
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เน็ตเวิร์ค () เป็นช่องโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ต ออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง เดิมทีทางดับเบิลยูดับเบิลยูอี ได้ประกาศว่าดับเบิลยูดับเบิลยูอี เนตเวิร์กจะเปิดใช้บริการในปี 2012 แต่มีเหตุต้องเลื่อนออกไป จนล่าสุดทางดับเบิลยูดับเบิลยูอี ได้ประกาศอีกครั้งว่าดับเบิลยูดับเบิลยูอี เน็ตเวิร์คจะเปิดให้ใช้บริการวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2014 ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรก ทั้งนี้ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เน็ตเวิร์คมีคิวจะเปิดให้บริการในต่างประเทศต่อไป ไม่ว่าจะเป็น สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, ฮ่องกง, เม็กซิโก, สเปน, ตุรกี และกลุ่มประเทศแถบนอร์ดิก ช่วงสิ้นปี 2014 หรือต้นปี 2015 นี้",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี (วิดีโอเกมซีรีส์) เป็นชุดของวิดีโอเกมเกี่ยวกับมวยปล้ำอาชีพ ที่พัฒนาโดย ยูกี และเผยแพร่โดย ทีเอชคิว เกมในชุดจะขึ้นอยู่ในสมาคมมวยปล้ำอาชีพ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี และลักษณะแมทช์การปล้ำต่างๆ ของมวยปล้ำอาชีพ ตุ๊กตุ่นและตัวอักษรที่เล่นอยู่บนพื้นฐานของโปรแกรม ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ชื่อเดิมหลังจากที่รายการโทรทัศน์ของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี สแมคดาวน์ ชุดถูกเปลี่ยนชื่อในที่สุดเพื่อเพิ่มการแสดงทางโทรทัศน์ของอื่น ๆ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ที่สำคัญ ในศึก รอว์ ในปี ค.ศ. 2011 ทีเอชคิว ประกาศว่าชุดจะเป็นที่รู้จักกันในขณะนี้เป็นเพียง ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี '12",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี แบทเทิลกราวด์ เป็นศึกใหญ่ของ WWE ที่จัดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 6 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2013 และได้เปลี่ยนมาจัดแทนรายการดับเบิลยูดับเบิลยูอี โอเวอร์เดอะลิมิต ตามปฏิทินรายการเพย์-เพอร์-วิวของดับเบิลยูดับเบิลยูอี ,ในปี ค.ศ. 2014 ได้ย้ายมาจัดในเดือนกรกฎาคมตามปฏิทินรายการเพย์-เพอร์-วิวของดับเบิลยูดับเบิลยูอี",
"รายชื่อรายการเพย์-เพอร์-วิวของดับเบิลยูดับเบิลยูอี () หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ศึกใหญ่ เป็นรายชื่อรายการเพย์-เพอร์-วิวที่จัดโดยดับเบิลยูดับเบิลยูอี (WWE) ในแต่ละเดือนดับเบิลยูดับเบิลยูอีจะจัดรายการดังกล่าว 1 หรือ 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะมีระยะเวลา 3 ชั่วโมงและมีการแข่งขันมวยปล้ำประมาณ 6 - 12 คู่ รายการเพย์-เพอร์-วิวทำรายได้ให้ดับเบิลยูดับเบิลยูอีเป็นจำนวนมาก",
"ไซเบอร์ซันเดย์ (2007) (Cyber Sunday (2007)) เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิวมวยปล้ำอาชีพของเวิลด์เรสต์ลิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ (WWE) จัดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ณ สนามเวอริซอน เซ็นเตอร์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรายการในลำดับรายการไซเบอร์ซันเดย์ครั้งที่ 3 โดยแสดงนักมวยปล้ำจากรอว์ ,สแมคดาวน์ และอีซีดับเบิลยู (ดับเบิลยูดับเบิลยูอี) ในรายการนี้มีการแข่งขันปล้ำกัน 7 รายการด้วยกัน โดยศึกนี้จะเปิดโอกาศให้คนดูจากทางบ้านสามารถโหวตใครจะเจอกับใคร แมทช์ไหนได้",
"ทีมดับเบิลยูดับเบิลยูอี เป็นกลุ่มนักมวยปล้ำของสมาคม เวิลด์เรสต์ลิงเฟเดเรชั่น/เอ็นเตอร์เทนเมนต์ หรีอ ดับเบิลยูเอฟ/อี กลุ่มนี้ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อ ดิแอลไลแอนซ์ (ดับเบิลยูซีดับเบิลยู และ อีซีดับเบิลยู) มาบุก ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ เมื่อปี ค.ศ. 2001",
"เวิลด์ เฮฟวี่เวท แชมเปียนชิพ เป็นเข็มขัดระดับโลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเวิลด์ เรสต์ลิง เอ็นเตอร์เทนเมนต์ (WWE) โดยเป็นเข็มขัดระดับโลกเส้นที่ 3 ที่ได้ใช้งานในดับเบิลยูดับเบิลยูอีเมื่อปี ค.ศ. 2002 ภายหลังจากการซื้อกิจการสมาคมที่ล้มละลายอย่าง เวิลด์ แชมเปียนชิพ เรสต์ลิง (WCW) และเอ็กซ์ตรีม แชมเปียนชิพ เรสต์ลิง (ECW) และยกเลิกสถานะดับเบิลยูซีดับเบิลยู เวิลด์ เฮฟวี่เวท แชมเปียนชิพ (WCW World Heavyweight Championship) โดยนำมารวมกับดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ แชมเปียนชิพ (WWF Championship) กลายเป็นเข็มขัดเดี่ยว ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ อันดิสพิวเต็ด แชมเปียนชิพ (WWF Undisputed Championship) ซึ่งกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของสแมคดาวน์ ภายหลังการขยายค่าย ส่งผลให้รอว์ไม่มีเข็มขัดระดับโลกไว้ในครอบครอง ทำให้ เอริค บิชอฟฟ์ อดีตผู้บริหารและเจ้าของดับเบิลยูซีดับเบิลยู ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของรอว์ในขณะนั้น นำเวิลด์ เฮฟวี่เวท แชมเปี้ยนชิพออกมาใช้งาน ในปัจจุบัน ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของ สแมคดาวน์",
"วิลเลียม อัลวิน มูดดี () (10 เมษายน ค.ศ. 1954 – 5 มีนาคม ค.ศ. 2013) เป็นผู้จัดการมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน ทำงานกับสมาคม ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ในชื่อว่า พอล แบเรอร์ () และ เพอร์ซีวัล พริงเกิล ที่ 3 () เป็นเจ้าของกระปุกสถิตวิญญาณที่เขาถืออยู่ตลอดเวลา และเป็นผู้จัดการของ ดิอันเดอร์เทเกอร์ และ เคน ปัจจุบันได้เข้าสู่ หอเกียรติยศดับเบิลยูดับเบิลยูอี ประจำปี 2014",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เมนอีเวนต์ เป็นรายการโทรทัศน์กีฬาเพื่อความบันเทิง ผลิตโดยดับเบิลยูดับเบิลยูอี และออกอากาศทางช่องไอออน เทเลวิชัน ในเครือข่ายของสหรัฐอเมริกา โดยรวมนักมวยปล้ำอาชีพจากสมาคมดับเบิลยูดับเบิลยูอี และจะเสริมรายการหลักของดับเบิลยูดับเบิลยูอี ได้แก่ รอว์ และสแมคดาวน์ กับเนื้อหาตรงพิเศษและเบื้องหลังฉาก",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K15 () เป็นวิดีโอเกมมวยปล้ำอาชีพที่ผลิตโดย Yuke's และ Visual Concepts และจัดจำหน่ายโดย 2K Sports ในรูปแบบเพลย์สเตชัน 3 ,เพลย์สเตชัน 4 ,เอกซ์บ็อกซ์ 360 ,เอกซ์บ็อกซ์วัน และไมโครซอฟท์ วินโดวส์ โดยภาคนี้เป็นภาคต่อจากดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K14 และเป็นวีดิโอเกมที่ 2 ในซีรีส์ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K",
"ในปี 2001 ดิแอลไลแอนซ์ (ดับเบิลยูซีดับเบิลยู และ อีซีดับเบิลยู) มาบุก ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ เลยทำให้ในศึก เซอร์ไวเวอร์ ซีรีส์ (2001) ได้มีการปล้ำแทคทีม 10 คน แบบอิลิมิเนชั่น (สมาชิกฝั่งไหนถูกจับกด/ยอมแพ้ จะต้องถูกคัดออก) ระหว่าง ทีมดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ปะทะ ดิแอลไลแอนซ์ โดยสมาชิกของ ทีมดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ มี แชมป์โลก WCW เดอะ ร็อค, คริส เจอริโค, บิ๊กโชว์, ดิอันเดอร์เทคเกอร์ และ เคน สมาชิกของ ดิแอลไลแอนซ์ มี เจ้าของ WCW เชน แม็กแมเฮิน, แชมป์โลก WWF \"สโตนโคล\" สตีฟ ออสติน, แชมป์ฮาร์ดคอร์ ร็อบ แวน แดม, เคิร์ต แองเกิล และ บูเกอร์ ที สุดท้าย ทีมดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ก็สามารถเอาชนะ ดิแอลไลแอนซ์ ไปได้ และ วินซ์ แม็กแมน ออกมาปรบมือให้กับ เดอะ ร็อค (เดอะ ร็อค สามารถกด \"สโตนโคล\" สตีฟ ออสติน เป็นคนสุดท้าย และทำให้ ทีมดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ เอาชนะ ดิแอลไลแอนซ์ ไปได้)",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี โอเวอร์เดอะลิมิต () เป็นรายการเพย์-เพอร์-วิวมวยปล้ำอาชีพ ของ WWE จัดขึ้นครั้งแรก ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 ที่โจหลุยส์ อรินา ดีทรอยต์ มิชิแกน ซึ่งมาแทนรายการดับเบิลยูดับเบิลยูอี จัดจ์เมนท์เดย์ ในปี ค.ศ. 2013 รายการที่มาแทนศึกโอเวอร์เดอะลิมิตคือ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี แบทเทิลกราวด์ ซึ่งในตอนแรกโอเวอร์เดอะลิมิตจะจัดในเดือนตุลาคม",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เฟทัลโฟร์เวย์ () เป็นรายการมวยปล้ำอาชีพเพย์-เพอร์-วิวของดับเบิลยูดับเบิลยูอี ประจำต้นเดือนมิถุนายน ที่ดำเนินการฉายตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 โดยจะเป็นแมทช์การปล้ำประเภทสี่เส้า ในปี ค.ศ. 2011 รายการนี้ได้ถูกยุบและเปลี่ยนรายการมาเป็น ดับเบิลยูดับเบิลยูอี แคปิเทล พูนิชเมนท์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 ทางดับเบิลยูดับเบิลยูอี ได้ประกาศว่า ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ไฟเทอร์โฟร์เวย์ จะกลับมาในศึกเพย์-เพอร์-วิว แทนดับเบิลยูดับเบิลยูอี แคปิเทล พูนิชเมนท์",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เพย์แบ็ค เป็นศึกใหญ่ของ WWE ที่จัดขึ้นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2013 และได้เปลี่ยนมาจัดแทนรายการดับเบิลยูดับเบิลยูอี โนเวย์เอาท์",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K17 () เป็นวิดีโอเกมมวยปล้ำอาชีพที่ผลิตโดย Yuke's และ Visual Concepts และจัดจำหน่ายโดย 2K Sports ในรูปแบบเพลย์สเตชัน 3 ,เพลย์สเตชัน 4 ,เอกซ์บ็อกซ์ 360 ,เอกซ์บ็อกซ์วัน และไมโครซอฟท์ วินโดวส์ โดยภาคนี้เป็นภาคต่อจากดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K16 และเป็นวีดิโอเกมที่ 4 ในซีรีส์ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K18 () เป็นวิดีโอเกมมวยปล้ำอาชีพที่ผลิตโดย Yuke's และ Visual Concepts และจัดจำหน่ายโดย 2K Sports ในรูปแบบเพลย์สเตชัน 4 ,เอกซ์บ็อกซ์วัน ,ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ และนินเท็นโดสวิตช์ โดยภาคนี้เป็นภาคต่อจากดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K17 และเป็นวีดิโอเกมที่ 5 ในซีรีส์ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K โดยเป็นครั้งที่ 2 ที่จำหน่ายในรูปแบบนินเท็นโด นับตั้งแต่ครั้งแรกในภาค ดับเบิลยูดับเบิลยูอี '13",
"ในช่วงก่อนเริ่มรายการเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 32 เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 2016 ลิตา นักมวยปล้ำหอเกียรติยศดับเบิลยูดับเบิลยูอี ได้ออกมาแนะนำเข็มขัดแชมป์หญิงเส้นใหม่พร้อมกับประกาศว่าในแมตช์สามเส้าระหว่าง ชาร์ลอตต์ แชมป์, เบกกี ลินช์ และซาชา แบงส์ หากใครสามารถเอาชนะในแมตช์นี้ก็จะได้ครอบครองเข็มขัดเส้นใหม่ไปทันที ปรากฏว่าชาร์ลอตต์สามารถเอาชนะคู่ปล้ำทั้ง 2 ได้สำเร็จทำให้เธอได้ครอบครองเข็มขัดเส้นใหม่นี้เป็นคนแรก",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี '13 เป็นวิดีโอเกมมวยปล้ำอาชีพ ที่ผลิตโดย ยูกี โดยนำตัวละครของนักมวยปล้ำ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี มาต่อสู้กัน โดยภาคที่ได้วางจำหน่ายในรูปแบบ เพลย์สเตชัน 3, วี และเอกซ์บอกซ์ 360 โดยจำหน่ายเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2012 โดยภาคนี้เป็นภาคที่ 2 ของวิดีโอเกมของดับเบิลยูดับเบิลยูอี ต่อจากภาคดับเบิลยูดับเบิลยูอี '12 โดยเกมนี้จะเน้นในยุคแอตติจู๊ดของดับเบิลยูดับเบิลยูอี",
"เวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป ได้ถูกเผยโฉมเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2002 และทริปเปิลเอช ก็ได้เป็นแชมเปียนคนแรกเมื่อวันที่ 2 กันยายน เข็มขัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาภายหลังจากบร็อก เลสเนอร์ คว้าดับเบิลยูดับเบิลยูอี อันดิสพิวเต็ด แชมเปียนชิปไปครอง และเซ็นสัญญากับผู้จัดการทั่วไปของสแมคดาวน์ ในขณะนั้นคือ สเตฟานี แม็กแมน โดยจะป้องกันเข็มขัดให้กับสแมคดาวน์เท่านั้น ซึ่งทิ้งให้รอว์ไม่มีเข็มขัดระดับโลกไว้ในครอบครอง จึงเป็นเหตุให้เอริก บิสชอฟฟ์ ผู้จัดการทั่วไปของรอว์ในขณะนั้น ยกเลิกสถานะไร้ข้อโต้แย้ง (Undisputed) ของเข็มขัดดังกล่าวและเผยโฉม \"เวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป\" และประกาศให้เข็มขัดนี้เป็นเข็มขัดระดับโลกหลักของรอว์ เข็มขัดใหม่นี้มีลักษณะเป็น 'เข็มขัดทองขนาดใหญ่' ซึ่งเป็นเข็มขัดที่เคยนำออกมาใช้ก่อนหน้านี้ในชื่อ เอ็นดับเบิลยูเอ เวิลด์เฮฟวี่เวท แชมเปียนชิป () และ ดับเบิลยูซีดับเบิลยู เวิลด์เฮฟวี่เวท แชมเปี้ยนชิพ () ในเวลาต่อมา บิสชอฟฟ์ได้มอบเข็มขัดนี้แก่ทริปเปิลเอช เนื่องจากเป็นคู่ท้าชิงดับเบิลยูดับเบิลยูอี อันดิสพิวเต็ด แชมเปียนชิป ของบร็อก เลสเนอร์คนต่อไป และยังได้กล่าวว่าทริปเปิลเอชเป็นแชมเปียนคนสุดท้ายที่ได้ครองเข็มขัดทองขนาดใหญ่ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ดับเบิลยูดับเบิลยูอี อันดิสพิวเต็ด แชมเปียนชิป (เดิมมีเข็มขัดสองเส้นในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเข็มขัดทองขนาดใหญ่) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2003 ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบแผ่นโลหะของเข็มขัดโดยเอาตราดับเบิลยูดับเบิลยูอี มาวางไว้ตรงกลางด้านบนของแผ่น",
"โน เวย์ เอาท์ เป็นศึกใหญ่เพย์-เพอร์-วิวมวยปล้ำอาชีพของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอีประจำเดือนกุมภาพันธ์ ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1998 ในชื่อของ โน เวย์ เอาท์ ออฟ เทกซัส: อิน ยัวร์ เฮาส์ และในปี ค.ศ. 2000-ค.ศ. 2009 โดยมีรูปแบบการปล้ำในกรงเหล็กอิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ในปี ค.ศ. 2010รายการที่มาแทนคืออิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ ในปี ค.ศ. 2012 ทาง ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ได้ประกาศว่า ดับเบิลยูดับเบิลยูอี โน เวย์ เอาท์ จะกลับมาในเดือนมิถุนายน",
"ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 โดย วินซ์ แม็กแมน ได้ออกมาประกาศในรายการ อีซีดับเบิลยู (ดับเบิลยูดับเบิลยูอี) เป็นตอนสุดท้าย ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรายการโทรทัศน์โดยยุบรายการ อีซีดับเบิลยู (ดับเบิลยูดับเบิลยูอี) และในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ได้ถูกเปลี่ยนรายการแทน คือ ดับเบิลยูดับเบิลยูอีเอ็นเอ็กซ์ที [29] หลังจากมีการชิงแชมป์โลก ECW เป็นแมทช์สุดท้ายระหว่าง คริสเตียน กับ อีซีคีล แจ็กสัน[30][31]",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ซูเปอร์โชว์-ดาวน์ (WWE Super Show-Down) เป็นการแสดงมวยปล้ำอาชีพแบบ เพย์-เพอร์-วิว (PPV) และรายการของ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เน็ตเวิร์ค จัดโดย ดับเบิลยูดับเบิลยูอี สำหรับค่ายรอว์ และ สแมคดาวน์ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2018 ณ. สนามคริกเก็ตเมลเบิร์น ในเมืองเมลเบิร์น, รัฐวิกทอเรีย, ประเทศออสเตรเลีย",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ได้ใช้ศัพท์ \"เวิลด์ แชมเปียนชิป\" หรือ \"เวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป\" โดยทั่วไปสำหรับเข็มขัดระดับโลกทุกเส้นที่ถูกรับรอง ไม่ใช่เพียงเฉพาะเข็มขัด \"เวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป\" เส้นนี้เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ชื่อ เวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป สามารถก่อความสับสนและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเข็มขัดเส้นก่อนได้ แม้ว่าได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ทริปเปิล เอช เป็นผู้ครองเข็มขัดเส้นนี้เป็นคนแรก ซึ่งในคำแถลงได้กล่าวถึง ริก แฟลร์ ในฐานะเวิลด์ เฮวีเวต แชมเปียนเดิม ในขณะที่ ริก แฟลร์ เองถูกจัดโดย ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ให้เป็น \"เวิลด์ เฮวีเวต แชมเปียน 16 สมัย\" โดยยังไม่เคยครองเข็มขัดเวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป นี้เลย แต่เป็นการนับที่เขาได้ครองเข็มขัด เอ็นดับเบิลยูเอ เวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป, ดับเบิลยูซีดับเบิลยู เวิลด์เฮฟวี่เวท แชมเปี้ยนชิพ และ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี แชมเปียนชิป โดยรวมทั้งสิ้น 16 สมัยต่างหาก",
"เวิลด์เฮวีเวตแชมเปียนชิป เป็นกรรมสิทธิ์ของรอว์ จนกระทั่งวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2005 สืบเนื่องมาจากผลการจับฉลาก ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ดราฟท์ 2005 เมื่อจอห์น ซีนา เจ้าของแชมป์ดับเบิลยูดับเบิลยูอี แชมเปียนชิป ถูกย้ายไปอยู่ค่ายรอว์ พร้อมด้วยเข็มขัด ดับเบิลยูดับเบิลยูอี แชมเปียนชิป ซึ่งทำให้เข็มขัดระดับโลกหลักทั้งสองเส้นอยู่ในกรรมสิทธิ์ของรอว์ ทีโอดอร์ ลอง ผู้จัดการทั่วไปของสแมคดาวน์ พยายามนำเข็มขัดระดับโลกเส้นที่ 3 เรียกว่า \"สแมคดาวน์ แชมเปียนชิป\" มาใช้ แต่ก็ไม่จำเป็นต่อไปเมื่อบาทิสตา เจ้าของแชมป์เวิลด์ เฮวีเวต แชมเปียน ถูกย้ายไปสแมคดาวน์ พร้อมกับเข็มขัดที่ครองในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2005 เข็มขัดดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของสแมคดาวน์ ถึง 3 ปีเต็ม จนกระทั่งวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2008 เมื่อซีเอ็ม พังก์ ผู้ถือสัญญา มันนี่อินเดอะแบงค์ ซึ่งเป็นนักมวยปล้ำสังกัดรอว์ ได้ใช้โอกาสยื่นสัญญาท้าชิงเอดจ์ เวิลด์ เฮวีเวต แชมเปียน ในขณะนั้น (เป็นนักมวยปล้ำสังกัดสแมคดาวน์) และสามารถครองแชมป์ได้ จึงทำให้เข็มขัดนี้กลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของรอว์อีกครั้งหนึ่ง",
"ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 โดย วินซ์ แมคแมน ได้ออกมาประกาศในรายการ อีซีดับเบิลยู (ดับเบิลยูดับเบิลยูอี) เป็นตอนสุดท้าย ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรายการโทรทัศน์โดยยุบรายการ อีซีดับเบิลยู (ดับเบิลยูดับเบิลยูอี) และในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ได้ถูกเปลี่ยนรายการแทน คือ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เอ็นเอ็กซ์ที ให้เหลือเพียง 2 ค่ายระหว่างรอว์ กับ สแมคดาวน์",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี เฮลอินเอเซล เป็นรายการ เพย์-เพอร์-วิวของมวยปล้ำอาชีพ ของสมาคม WWE จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ที่ Newark, New Jersey เป็นรายการที่มาแทนดับเบิลยูดับเบิลยูอี โนเมอร์ซี่ ในช่วงต้นเดือนตุลาคมตามปฏิทินรายการ เพย์-เพอร์-วิวของ WWE ในปี ค.ศ. 2012 รายการนี้ถูกย้ายไปในปลายเดือนตุลาคม และให้มีศึกเดียวในเดือนตุลาคม ในปี ค.ศ. WWE ได้วางผังรายการดับเบิลยูดับเบิลยูอี แบทเทิลกราวด์ ไว้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ไลฟ์ฟรอมเมดิสันสแควร์การ์เดน () เป็นรายการพิเศษของมวยปล้ำอาชีพ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ที่จัดขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2015 และออกอากาศทางช่อง WWE Network",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี รอว์ 25 ปี () เป็นรายการตอนพิเศษ ที่ออกอากาศสดในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2018 ทางช่องUSA Network ในสหรัฐอเมริกา ของการเฉลิมฉลอง 25 ปีของ \"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี รอว์\"",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี แซเทอร์เดย์มอร์นิง สแลม เป็นรายการโทรทัศน์กีฬาเพื่อความบันเทิง ผลิตโดยดับเบิลยูดับเบิลยูอี และออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 25 สิงหาคม 2012 ทางช่องเดอะซีดับเบิลยู ในเครือข่ายของสหรัฐอเมริกา โดยรวมนักมวยปล้ำอาชีพจากสมาคมดับเบิลยูดับเบิลยูอี และจะเสริมรายการหลักของดับเบิลยูดับเบิลยูอี",
"ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K14 () เป็นวิดีโอเกมมวยปล้ำอาชีพที่ผลิตโดย Yuke's และ Visual Concepts และจัดจำหน่ายโดย 2K Sports ในรูปแบบเอกซ์บ็อกซ์ 360 และเพลย์สเตชัน 3 โดยจำหน่ายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ในทวีปอเมริกาเหนือ และวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ในทวีปยุโรป โดยภาคนี้เป็นภาคต่อจากดับเบิลยูดับเบิลยูอี '13 และเป็นวีดิโอเกมแรกในซีรีส์ดับเบิลยูดับเบิลยูอี 2K"
] |
ใครเป็นผู้นำทัพฝ่ายพม่า ในสงครามอะแซหวุ่นกี้? | [
"สงครามอะแซหวุ่นกี้ เป็นสงครามระหว่างอาณาจักรธนบุรีและพม่าครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2318 - กันยายน พ.ศ. 2319 โดยทางฝั่งพม่ามี อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพใหญ่วัย 72 ปีเป็นผู้นำทัพ ส่วนทางฝั่งกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำทัพด้วยพระองค์เอง [1]"
] | [
"การรบครั้งนี้ทำให้ต้าชิงต้องสูญเสียฟู่เหิง กับอาหลีกุ่นแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพด้วยไข้มาเลเรีย หลังจากนั้น 20 ปี เมื่อพระเจ้ามังระสิ้นไปแล้วราชวงค์คองบองและจีนก็ได้ฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ในยุคของพระเจ้าปดุงหลังพระองค์ทรงพ่ายแพ้ต่อกรุงรัตนโกสินทร์ถึง2ครั้ง โดยพม่ายอมส่งบรรณาการให้แก่อาณาจักรต้าชิง แลกกับการที่จีนยอมรับราชวงค์คองบองของพม่าพระเจ้ามังระทราบว่าขณะนี้ทางอยุธยากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ราชธานีแห่งใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นนั้นคือกรุงธนบุรี แต่ในช่วงเวลานี้ภัยคุกคามจากต้าชิงสำคัญกว่ามาก เพราะหากพลาดพลั้งนั้นหมายถึงการล่มสลายของอาณาจักรคองบองที่พระองค์เพียรสร้างขึ้น ดั่งเช่นอาณาจักรพุกามที่ถูกกองทัพมองโกลทำลายล้างในอดีต หลังจากจบศึกกับต้าชิง พระองค์ประเมินแล้วว่าอาณาจักรของพระองค์บอบช่ำเกินกว่าจะทำศึกต่อไปได้อีก พระองค์จึงทรงให้ไพร่พลได้พักฟื้นถึง 5 ปี ในระหว่างพักพื้นนั้นก็ได้มีการตระเตรียมเสบียงอาหารเอาไว้ เพื่อใช้สำหรับทำศึกกับอาณาจักรที่พึ่งก่อตั้งอย่างกรุงธนบุรี หลังเตรียมการเป็นอย่างดีในปี พ.ศ. 2318 พระเจ้ามังระได้ให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ลงมาทำศึกด้วยตนเอง อะแซหวุ่นกี้ได้นำทัพ 35,000 นาย พิชิตหัวเมืองต่างๆมาได้ตลอดทางรวมแล้วมีกำลังพลมากกว่า 50,000 นาย จนสามารถตีเมืองพิษณุโลกแตกและเตรียมรวมทัพมุ่งสู่กรุงธนบุรี อีกเส้นพระองค์ได้ให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพไปปราบปรามหัวเมืองทางเหนือจนสามารถยึดเชียงใหม่ได้เตรียมนำกองทัพลงไปสมทบกับอะแซหวุ่นกี้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่อีกทางหนึ่ง ส่วนทัพทางใต้ก็สามารถตีเมืองกุย เมืองปราณได้สำเร็จพร้อมนำทัพบุกเข้ากรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง แต่แล้วในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 ราชสำนักอังวะได้แจ้งข่าวมาถึงอะแซหวุ่นกี้ ว่าพระเจ้ามังระได้เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าจิงกูจากษัตริย์องค์ใหม่จึงมีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับกรุงอังวะในทันที ",
"พ.ศ. 2318 แม่ทัพอะแซหวุ่นกี้ของพม่ายกทัพมาตีหัวเมืองเหนือ เป็นสงครามอะแซหวุ่นกี้ที่มีขนาดใหญ่มาก อะแซหวุ่นกี้เป็นผู้เชี่ยวชาญศึก ส่วนฝ่ายไทยนั้นมีเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช (บุญมา) ในการครั้งนี้พม่ายกพลมา 30,000 คนเข้าล้อมเมืองพิษณุโลกอีก 5,000 คนล้อมเมืองสุโขทัย ส่วนเมืองพิษณุโลกมีพลประมาณ 10,000 คน สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพไปช่วย ต่อมาอะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับไปเอง เนื่องจากพระเจ้ามังระสวรรคต กองทัพพม่าส่วนที่ตามไปไม่ทันจึงถูกจับ[47]",
"มะฮาตีฮะตูระ (แปลงเป็นไทย มหาสีหสุระ, Burmese: မဟာသီဟသူရ, ; ราวพุทธศักราช 2263-2325) เอกสารไทยเรียก อะแซหวุ่นกี้ เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพพม่าช่วง พ.ศ. 2311–2319 กล่าวได้ว่า เขาคือนักยุทธศาสตร์ทางทหารที่ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่ง มีชื่อในประวัติศาสตร์พม่าว่า เป็นผู้พิชิตสงครามจีน–พม่าช่วง พ.ศ. 2308–2312 เขาก้าวขึ้นเป็นขุนศึกชั้นนำในรัชกาลของพระเจ้าอาลองบูรา (อลองพญา) คราวที่พระองค์ทำสงครามผนวกดินแดนพม่าช่วง พ.ศ. 2295–2300 ภายหลัง เขาได้บัญชากองทัพพม่าในกรุงศรีอยุธยา ล้านนา หลวงพระบาง และมณีปุระ",
"โดยเฉพาะการบุกครั้งที่3ของจีนนั้นสร้างความลำบากให้แก่กองทัพพม่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากหมิงรุ่ยเป็นผู้เจนจบในพิชัยสงครามเขาเคลื่อนกองทัพอย่างระมัดระวังตลอดการทำศึก นั้นทำให้แม้แต่อะแซหวุ่นกี้เองก็ยากที่จะใช้กลอุบายเอาชนะเขาได้ ในขณะนั้นเองพระเจ้ามังระได้ตัดสินใจ ส่งกองกำลังพิเศษของพระองค์ออกไปทัพหนึ่ง นำโดยเนเมียวสีหตู, เต็งจามินกองมีจุดประสงค์เพื่อทำสงครามกองโจรกับหมิงรุ่ย ซึ่งทั้ง2 ก็สามารถทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง แม้เขาจะมีกองทัพไม่ถึง1พันนาย แต่ก็สามารถปั่นป่วนกองทัพนับหมื่นของหมิ่งรุ่ยจนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้สะดวก อีกทั้งยังสามารถตัดกำลังบำรุงของฝ่ายจีนที่ส่งมากจากแสนหวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกองทัพของหมิงรุ่ยที่บุกลึกเข้ามาเริ่มอดอาหาร นั้นทำให้ผลของสงครามเริ่มเปลี่ยนไป ชื่อเสียงของเนเมียวสีหตู, เตงจามินกอง และพระเจ้ามังระที่พลิกสถานการณ์ให้ฝ่ายอังวะในครั้งนั้นจึงเป็นที่เลื่องลือขึ้นมา ก่อนที่อะแซหวุ่นกี้และพระเจ้ามังระจะรวมกำลังกันเผด็จศึกต้าชิงได้อย่างเด็ดขาดในยุทธการเมเมียว",
"ในการบุกครั้งที่3ของจีนนั้นสร้างความลำบากให้แก่กองทัพพม่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากหมิงรุ่ยเป็นผู้เจนจบในพิชัยสงครามเขาเคลื่อนกองทัพอย่างระมัดระวังตลอดการทำศึก นั้นทำให้แม้แต่อะแซหวุ่นกี้เองก็ยากที่จะใช้กลอุบายเอาชนะเขาได้ ในขณะนั้นเองพระเจ้ามังระได้ตัดสินใจส่งกองกำลังพิเศษของพระองค์ออกไปทัพหนึ่ง นำโดยเตนจามินคองมีจุดประสงค์เพื่อทำสงครามกองโจรกับหมิงรุ่ย ซึ่งเตนจามินคองก็สามารถทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง แม้เขาจะมีกองทัพไม่ถึงหนึ่งพันนาย แต่ก็สามารถปั่นป่วนกองทัพนับหมื่นของหมิ่งรุ่ยจนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้สะดวก อีกทั้งยังสามารถตัดกำลังบำรุงของฝ่ายจีนที่ส่งมากจากแสนหวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกองทัพของหมิงรุ่ยที่บุกลึกเข้ามาเริ่มอดอาหาร นั้นทำให้ผลของสงครามเริ่มเปลี่ยนไป ชื่อเสียงของเตนจามินคองและพระเจ้ามังระที่พลิกสถานการณ์ให้ฝ่ายอังวะในครั้งนั้น จึงเป็นที่เลื่องลือขึ้นมา สุดท้ายอะแซหวุ่นกี้ที่เตรียมกองทัพไว้อยู่แล้วจึงได้ช่องนำกองกำลังที่ซุ่มไว้เข้ายึดแสนหวีคืนได้ และยกทัพลงมาช่วยพระเจ้ามังระตีกระหนาบหมิงรุ่ยจนเอาชนะไปได้ในยุทธการเมเมียว",
"พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านตะวันตกของหมู่พระวิหารและระเบียงคต ทำให้เมื่อมีการศึกสงครามโดยเฉพาะในศึกอะแซหวุ่นกี้ พ.ศ. 2318 เมื่ออะแซหวุ่นกี้และทัพพม่าสามารถตีเมืองพิษณุโลกได้ จึงเผาทำลายพระราชวังจันทน์กับพระวิหารประธานด้านตะวันออกที่ประดิษฐานพระอัฏฐารสเท่านั้น พระพุทธชินราชและพระวิหารที่ประดิษฐานไม่ได้โดนเผาทำลายไปด้วย",
"เมื่อพระเจ้าจิงกูจามีตำแหน่งที่มั่นคงแล้ว ได้ทำสิ่งที่ทำให้แม่ทัพนายกองแห่งราชวงค์คองบองตกใจเป็นอย่างยิ่ง คือพระองค์ได้ทำการถอดยศอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพคู่บารมีของพระเจ้ามังระพระบิดาของพระองค์ลง และเนรเทศไปอยู่เมืองสะกายทั้งที่แม่ทัพเฒ่าผู้นี้ยกทัพกลับมาปกป้องตำแหน่ง และรักษาอำนาจในการปกครองสูงสุดให้แก่พระองค์จนมีความมั่นคง เหตุก็อาจเนื่องมาจากทรงระแวงอะแซหวุ่นกี้ที่มีอำนาจ และบารมีทางการทหารมากเกินไป หรืออีกนัยหนึ่งคือต้องการแสดงพระราชอำนาจให้ผู้คนทั้งแผ่นดินเห็นว่า ใครคือผู้กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน",
"แม้อะแซหวุ่นกี้จะสามารถพิชิตเมืองพิษณุโลกได้ แต่ก็ชื่นชมแม่ทัพศัตรูเป็นอย่างมากที่สามารถมองแผนการของเขาออกแทบทุกอย่าง ตามบันทึกในพงศาวดารฝ่ายไทย (ฝ่ายเดียว) เล่าว่าโดยก่อนหน้านั้นฝั่งสยามและฝั่งพม่าได้หยุดพักรบ และอะแซหวุ่นกี้ได้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี พร้อมกับทำนายว่าในภายภาคหน้าจะได้เป็นกษัตริย์โดยมีเนื้อหาดังนี้ “อะแซหวุ่นกี้ให้ล่ามถามเจ้าพระยาจักรีว่าอายุเท่าใด เจ้าพระยาจักรีให้บอกไปว่าอายุได้ 30 เศษ แล้วจึงให้ถามอายุอะแซหวุ่นกี้บ้าง บอกมาว่าอายุได้ 72 ปี อะแซหวุ่นกี้พิจารณาดูรูปลักษณะเจ้าพระยาจักรีแล้วสรรเสริญว่า ท่านนี้รูปก็งาม ฝีมือก็เข้มแข็ง อาจสู้รบเราผู้เป็นผู้เฒ่าได้ จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแท้” แล้วให้เอาเครื่องม้าทองสำรับ 1 กับสักหลาดพับ 1 ดินสอแก้ว 2 ก้อน น้ำมันดิน 2 หม้อมาให้เจ้าพระยาจักรี ๆ ก็ให้ของตอบแทนตามสมควร",
"อะแซหวุ่นกี้ล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่ 4 เดือน สุดท้ายสามารถตัดขาดกำลังบำรุงของกรุงธนบุรีได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ภายในเมืองพิษณุโลกขาดแคลนเสบียงอาหาร เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์เห็นแล้วว่าไม่อาจต้านศึกนี้ได้อีกต่อไป จึงนำกำลังทหารและผู้คนตีฝ่าวงล้อมไปตั้งมั่นที่บ้านมุงดอนชมพู แขวงเมืองเพชรบูรณ์ ทำให้อะแซหวุ่นกี้สามารถนำกองทัพบุกเข้าไปในเมืองพิษณุโลกได้สำเร็จ แต่ก็ขาดแคลนเสบียงอาหารเช่นเดียวกัน เนื่องจากเจ้าพระยาทั้งสองก็หาทางตัดเสบียงของกองทัพพม่ามาโดยตลอด แต่เนื่องจากเส้นทางลำเลียงเสบียงทางด่านแม่ละเมา ตาก สุโขทัยยังอยู่ในการดูแลของพม่า ทำให้อะแซหวุ่นกี้ยังสามารถทำศึกได้ต่อไปได้ แต่ก็ต้องเสียเวลาจัดเตรียมเสบียงอาหารอยู่หลายวัน ก่อนมุ่งสู่กรุงธนบุรีต่อไป [5]",
"ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2319 ทางกรุงอังวะ ได้มีข่าวแจ้งมายังอะแซหวุ่นกี้ว่าพระเจ้ามังระได้เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าจิงกูจา กษัตริย์พระองค์ใหม่จึงมีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับกรุงอังวะ ทางด้านอะแซหวุ่นกี้เมื่อทราบข่าวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจะเห็นได้จากครั้งนั้นอะแซหวุ่นกี้มีคำสั่งให้ม้าเร็ว 3 หน่วย วิ่งไปบอกกองทัพทั้ง 3 สายที่ไหล่บ่าสู่กรุงธนุบุรีว่าให้รีบถอนกำลังทั้งหมดกลับมาทันที แต่ม้าเร็วแจ้งทันแค่ 2 กองทัพ อีกหนึ่งกองทัพไปไกลแล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงมีคำสั่งให้ประหารม้าเร็วหน่วยนั้นเสีย จากนั้นเร่งกองทัพทั้งกลางวันกลางคืนกลับสู่กรุงอังวะ ทิ้งกองทัพอีก 1 กองที่เหลือไว้ในกรุงธุนบุรีโดยไม่รอ ทำให้กองทัพที่ตกค้างอยู่ถูกกองทัพสยามตีแตกพ่ายไป",
"ในขณะที่เนเมียวสีหบดีกำลังทำสงครามอยู่กับอยุธยาอยู่นั้น กองทัพต้าชิงของจักรพรรดิเฉียนหลงได้เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะเข้าทำลายกรุงอังวะ เนื่องจากมีปัญหาข้อพิพาทแถวชายแดนมานาน ในระยะแรกของการบุกครั้งที่1 และ2 พระเจ้ามังระยังให้เนเมียวสีหบดีทำสงครามในอยุธยาต่อไป โดยสงครามกับจีนพระองค์จะทรงจัดการเอง ต่อมาภายหลัง ในการบุกครั้งที่3กองทัพต้าชิงส่งทัพใหญ่มา เนเมียวสีหบดีที่พิชิตอยุธยาลงได้แล้วเร่งเดินทางกลับมาช่วยกรุงอังวะรับศึกต้าชิงทันที แต่ยังไม่ทันกลับมาถึงอะแซหวุ่นกี้ก็สามารถพิชิตกองทัพต้าชิงได้แล้ว ส่วนในการบุกครั้งที่4ของต้าชิง เนเมียวสีหบดีได้เดินทางกลับมาถึงกรุงอังวะ โดยมีส่วนสำคัญในการช่วยอะแซหวุ่นกี้ตีกระหนาบต้าชิงจนจะได้ชัยชนะอยู่แล้ว แต่แม่ทัพใหญ่อะแซหวุ่นกี้ก็ได้ตัดสินใจจบสงครามที่ไม่มีประโยชน์ครั้งนี้ลง ด้วยการเจรจาสงบศึกได้ลงนามในสนธิสัญญากองตนในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2312 อันเป็นการยุติสงครามจีน-พม่าลง",
"กองทัพพม่าพยายามเข้าตีค่ายไทยหลายครั้ง แต่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ได้ช่วยป้องกันเมืองเป็นสามารถ ทั้งที่ทหารน้อยกว่าแต่ไม่สามารถชนะกันได้ อะแซหวุ่นกี้ถึงกับกล่าวยกย่องแม่ทัพฝ่ายไทย เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบข่าวอะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพใหญ่มาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย จึงทรงยกทัพใหญ่ขึ้นไปช่วยทันที ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ทราบข่าวว่ากองทัพไทยมาตั้งค่ายเพื่อช่วยเหลือเมืองพิษณุโลก จึงแบ่งกำลังพลไปตั้งมั่นที่วัดจุฬามณีฝั่งตะวันตก อะแซหวุ่นกี้เห็นว่าถ้าชักช้าไม่ทันการณ์จึงสั่งให้ทัพพม่าที่กรุงสุโขทัยไปตีเมืองกำแพงเพชร ส่วนกองทัพเมืองกำแพงเพชรไปตีเมืองนครสวรรค์ และสั่งให้กองทัพพม่าอีกกองทัพหนึ่งยกไปตีกรุงธนบุรี การวางแผนของอะแซหวุ่นกี้เช่นนี้ เป็นการตัดกำลังฝ่ายไทยไม่ให้ช่วยเมืองพิษณุโลกและต้องการให้กองทัพไทยระส่ำระสาย",
"แผนการขั้นต่อไปของอะแซหวุ่นกี้คือส่งเนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือเมื่อคราวมาตี กรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น โปสุพลา และโปมะยุง่วน นำทัพจากเมืองเชียงแสนยกมาตีเมืองเชียงใหม่ ทางด้านพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อทราบข่าวจึงได้ส่งเจ้าพระยาจักรี รวมถึงเจ้าพระยาสุรสีห์ที่ยกกองทัพจากหัวเมืองเหนือขึ้นไปช่วยเชียงใหม่ก่อนแล้ว ครั้นไปถึงกองทัพพม่ากลับไม่สู้ โดยแสร้งตั้งทัพดูเชิง พอทัพไทยจะสู้ก็ถอย ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งจากนั้นจึงถอนกำลังกลับไปยังเมืองเชียงแสน เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จึงเตรียมทัพเพื่อหมายจะพิชิตเมืองเชียงแสน ในระหว่างที่กำลังเตรียมทัพมุ่งไปยึดเชียงแสนนั้นเองสงครามตีเมืองพิษณุโลกก็เกิดขึ้นพร้อมๆกัน โดยอะแซหวุ่นกี้นำทัพใหญ่ 30,000 นายเข้าทางด่านแม่ละเมาไปเมืองตาก มุ่งต่อไปยังเมืองสุโขทัยแล้วให้กองทัพหน้าลงมาตั้งที่บ้านกงธานี ส่วนทัพหลวงตั้งพักที่เมืองสุโขทัย เมื่อเจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ทราบข่าว ก็รู้ในทันทีว่าเป็นแผนของอะแซหวุ่นกี้ที่ดึงกองทัพของฝ่ายกรุงธนบุรีเอาไว้แถวเชียงใหม่ แล้วมุ่งไปยึดเมืองพิษณุโลกในขณะที่การป้องกันอ่อนแอที่สุด เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ จึงเร่งนำกองทัพที่จะไปตีเชียงแสน มุ่งหน้าสู่พิษณุโลกในทันที เพราะหากเสียเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งสุดท้ายไปนั้น กองทัพมหาศาลของพม่าจะไหล่บ่าลงมาได้พร้อมๆกัน ซึ่งกรุงธนบุรีไม่มีกำแพงเมืองและปราการธรรมชาติที่เหมาะแก่การตั้งรับเท่ากรุงศรีอยุธยา [1][2]",
"ยังไม่ทันที่จะได้รบตัดสินแพ้ชนะกัน อะแซหวุ่นกี้ต้องยกทัพกลับอังวะอย่างกะทันหัน เมื่อทางกรุงอังวะแจ้งข่าวพระเจ้ามังระสวรรคต อะแซหวุ่นกี้จึงต้องนำทัพกลับไปปกป้องพระเจ้าจิงกูจาราชบุตรพระเจ้ามังระ เพื่อป้องกันเหตุความวุ่นวายที่อาจจะมีเนื่องจากอยู่ในช่วงผลัดแผ่นดิน ซึ่งเหล่าบรรดาขุนนางและเสนาอำมาตย์ต่างแตกออกเป็นพวกๆ ให้การสนับสนุนเชื้อพระวงศ์คนละพระองค์ ส่วนอะแซหวุ่นกี้ต้องกลับไปปกป้องราชบุตรของพระเจ้ามังระที่พระองค์ฝากฝังไว้ ครั้งนั้นอะแซหวุ่นกี้มีคำสั่งให้ม้าเร็ว3หน่วย วิ่งไปบอกกองทัพทั้ง3สายที่ไหล่บ่าสู่กรุงธนุบุรีว่าให้รีบถอนกำลังทั้งหมดกลับมาทันที แต่ม้าเร็วแจ้งทันแค่2กองทัพ อีกหนึ่งกองทัพไปไกลแล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงมีคำสั่งให้ประหารม้าเร็วหน่วยนั้นเสีย จากนั้นเร่งกองทัพทั้งกลางวันกลางคืนกลับสู่กรุงอังวะ ทิ้งกองทัพอีก1กองที่เหลือไว้ในกรุงธุนบุรีโดยไม่รอ",
"สงครามครั้งนี้เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเริ่มจากสงครามบางแก้ว ที่เมืองราชบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2317 หลังจากที่ทัพของ พระเจ้ากรุงธนบุรี นำทัพ 15,000 นายไปป้องกันกองทัพพม่าด้วยพระองค์เอง ทรงสามารถล้อมทัพของงุยอคงหวุ่น หรือฉับกุงโบ่ หนึ่งในแม่ทัพที่เคยมาตี กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2310 ไว้ได้นานถึง 47 วันก่อนที่งุยอคงหวุ่นจะยอมแพ้ทำให้ทางฝั่งกรุงธนบุรีสามารถจับเชลยได้มากตามที่ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ได้บันทึกเอาไว้ว่าทางกรุงธนบุรีได้เชลยมากถึง 1,328 คนจากทหารทั้งหมด 3,000 คน ทางด้านอะแซ่หวุ่นกี้ที่อยู่ เมืองเมาะตะมะ เมื่อทราบข่าวว่าทัพหน้าที่ส่งไปพ่ายแพ้ก็มิได้ส่งกองทัพลงไปช่วย เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้สูญเสียกำลังไพร่พลไปมากกว่านี้ โดยกองทัพนี้เป็นกองทัพที่อะแซหวุ่นกี้แบ่งมาเพื่อกวาดต้อนผู้คนเสบียง รวมไปถึงหยั่งเชิงดูการป้องกันของฝ่ายกรุงธนบุรีในเส้นทางนี้ และสร้างความสับสนในเส้นทางการบุก ส่วนอะแซหวุ่นกี้นำทัพใหญ่ 30,000 นายยังรั้งรออยู่ไม่มีความเคลื่อนไหว",
"ในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2318 พระเจ้ามังระ ได้มีบัญชาให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกลงมาตีกรุงธนบุรี ซึ่งทางอะแซ่หวุ่นกี้ได้ใช้เส้นทางด้านด่านแม่ละเมา แขวงเมืองตาก ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่ พระเจ้าบุเรงนอง เคยใช้เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ถึง 2 ครั้งเข้าตีกรุงธนบุรีโดยมี เนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ที่เคยเข้าตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2310 เป็นรองแม่ทัพซึ่งอะแซหวุ่นกี้ได้ให้เนเมียวสีหบดีคุมกองทัพอีกด้านอยู่แถวเมืองเชียงแสน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนกองทัพของเจ้าพระยาจักรี แต่เจ้าพระยาจักรีทราบในทันทีว่าเป็นแผนลวงจึงนำทัพกลับมาป้องกันเมืองพิษณุโลกในทันที ส่วนกองทัพของอะแซหวุ่นกี้พยายามบุกเข้ายึด เมืองพิษณุโลกเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่น แต่เจ้าพระยาจักรีซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลกที่ต่อมาคือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เร่งนำกองทัพลงมาป้องกันเมืองพิษณุโลกได้ทันเวลา . [3]",
"ศึกกรุงธนบุรีครั้งนี้อะแซหวุ่นกี้วัย 72 ปีได้เดินทางมาถึงเมืองพิษณุโลกแล้ว แต่ไม่อาจเอาชัยได้โดยง่ายนักเนื่องจากในขณะนั้นพระเจ้าตากสิน ได้ส่งพระยาจักรี และพระยาสุรสีห์มาป้องกันเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองใหญ่ด่านสุดท้ายเอาไว้ ซึ่งการต่อสู้ก็เป็นไปอย่างดุเดือดแม้พระยาจักรีจะทรงใช้การแบ่งกำลังทหารแต่งเป็นกองโจรคอยดักซุ่มตัดเสบียงอาหารเป็นที่ได้ผลในช่วงแรก แต่ด้วยประสบการณ์ของแม่ทัพเฒ่าผู้นี้ก็ทำให้สามารถรับมือได้ทุกครั้ง เมื่อการรบไม่อาจหักเอาได้ด้วยกำลังอะแซหวุ่นกี้ก็ได้ใช้แผนเมื่อครั้งสยบกองทัพต้าชิงนั้นคือหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทัพที่แข็งแกร่ง ทำเพียงตรึงเอาไว้ และหาทางตัดเสบียงอาหาร กล่าวคือเมื่อเจอกองทัพของพระยาจักรี ก็ไม่ส่งทัพใหญ่เข้าปะทะด้วยตรงๆ แต่ให้ทหารเข้าปะทะเพื่อตรึงไว้เท่านั้น จากนั้นก็แต่งกองโจรคอยดักปล้นเสบียงอาหารและตัดกำลังเสริมที่จะเข้ามาช่วยพิษณุโลก สุดท้ายการรบระหว่างอะแซหวุ่นกี้ กับพระยาจักรีก็จบลง แอแซหุว่นกี้สามารถเข้ายึดพิษณุโลกได้แต่ก็ไม่สามารถรุกต่อได้ในทันที ต้องเสียเวลาหาเสบียงอาหารอยู่หลายวัน เนื่องจากเจ้าพระยาจักรีได้แต่งทัพซุ่มมาตัดเสบียงแม่ทัพเฒ่าผู้นี้เอาไว้ตลอดการศึก นับเป็นการสู้รบที่อะแซหวุ่นกี้ทั้งแปลกใจและชื่นชมแม่ทัพศัตรูผู้นี้มาก เมื่อพิชิตเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวใจหลักในแผนป้องกันของกรุงธนบุรีได้แล้ว อะแซหวุ่นกี้จึงได้แบ่งกองทัพออกเป็น3สายกวาดต้อนผู้คนและเสบียงไหล่บ่าลงมาพร้อมๆกัน ส่วนอะแซหวุ่นกี้เป็นทัพหลวงคอยหนุนทัพต่างๆอีกที ในขณะนี้กองทัพทุกสายพร้อมแล้วที่จะมาบรรจบที่กรุงธนบุรี อีกทางด้านหนึ่งพระเจ้ามังระ ก็ส่งเนเมียวสีหบดียกทัพเข้ายึดหัวเมืองทางเหนือได้ราบคาบ ส่วนทัพทางใต้ก็สามารถยึดเมืองกุย เมืองปราณเอาไว้ได้แล้วเช่นกัน ทั้ง2ทัพเตรียมมุ่งสู่กรุงธนบุรีอีกทางหนึ่ง ขณะนั้นสถานการของกรุงธนบุรีวิกฤตมากเนื่องจากหัวเมืองใหญ่เมืองสุดท้ายอย่างพิษณุโลกแตกแล้ว ทั้งทัพใหญ่ของเนเมียวสีหบดีอีกสายก็ตีเชียงใหม่แตกแล้ว อีกทั้งทัพทางใต้ก็ตีมาถึงเมืองเพรชบุรีแล้วเช่นกัน และกำลังจะไหลบ่าลงมารวมกับทัพของอะแซหวุ่นกี้อีก แต่แล้วเหตุการณ์เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นเมื่อมีข่าวด่วนจากรุงอังวะใจความว่า พระเจ้ามังระเสด็จสวรรคตแล้ว",
"สงครามสิ้นสุดลงด้วยการเจรจาและบรรลุสนธิสัญญากองตน โดยยึดเอาแนวเขตพรมแดนเดิม โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างชัยชนะในสงครามครั้งนี้ และสงครามครั้งนี้ยังทำให้พระเกียรติยศของพระเจ้ามังระเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังจากก่อนหน้านี้กองทัพของพระองค์ก็สามารถพิชิตอยุธยาได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมถึงอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพฝ่ายพม่าเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา ก่อนที่จะมีบทบาทสำคัญต่อมาอีกหลายครั้งในภายหลังทั้งทางด้านการเมืองและการศึกสงคราม",
"สงครามจีน-พม่า เริ่มขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2308 มีเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพม่ากับจีนในเรื่องหัวเมืองไทใหญ่ ซึ่งกองทัพพม่าได้ยกเข้าดินแดนไทใหญ่และรุกคืบไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากจีน แต่จีนก็ยังไม่ส่งกำลังมาช่วยโดยรอเวลาที่เหมาะสมอยู่และเวลานั้นก็มาถึงเมื่อจีนเห็นพม่ากำลังทำศึกติดพันอยู่กับอยุธยา จึงเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกำราบพม่าลง แต่การณ์ก็ไม่ได้เป็นไปดังนั้นเมื่อกองทัพของพม่าที่นำโดย อะแซหวุ่นกี้, เนเมียวสีหตู, บาลามินดิน และเนเมียวสีหบดีที่กลับมาช่วยในภายหลังนั้นกลับเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะต่อกองทัพต้าชิงอันเกรียงไกร ทำให้แม่ทัพของราชวงค์ชิงอย่าง หลิวเจ้าแม่ทัพกองธงเขียว(บุกครั้งที่1) หยางอิงจวี่แห่งกองธงเขียว(บุกครั้งที่2) รวมถึงพระนัดดาหมิงรุ่ยแห่งกองธงเหลือง(ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้) ขุนพลเอกแห่งราชวงค์ชิงผู้พิชิตมองโกลและเติร์ก (บุกครั้งที่ 3) ต้องฆ่าตัวตายหนีความอัปยศ",
"เมื่อบิดาเสียชีวิต พระยาอภัยรณฤทธิ์ (หมัด) ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยายมราช และมีส่วนร่วมในราชการสงครามอีกหลายครั้ง เช่น รบกับอะแซหวุ่นกี้ที่เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2318 โดยท่านเป็นผู้คุมทัพหลวงตามขึ้นไปหลังจากเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ยกไปตั้งรับที่พิษณุโลก ทัพของท่านถูกพม่าโอบเข้าด้านหลังตีค่ายแตก แต่ท่านชิงค่ายคืนได้ เมื่อเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ตีหักออกจากเมืองพิษณุโลกไปตั้งมั่นที่เพชรบูรณ์ ประกอบกับอะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับเพราะปัญหาภายในอังวะ พระยายมราชเป็นผู้คุมทัพไปตามทัพพม่าถึงด่านแม่ละเมา ยิงทหารพม่าล้มตายและจับเป็นเชลยได้มาก",
"หลังทรงทราบข่าวความพ่ายแพ้ของหมิงรุ่ย จักรพรรดิเฉียนหลงทรงตกพระทัยและกริ้วยิ่งนัก จึงทรงมีรับสั่งเรียกตัวองค์มนตรีฟู่เหิงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของหมิงรุ่ย นักการทหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าชิงกลับมารับตำแหน่ง พร้อมด้วยแม่ทัพแมนจูอีกหลายนายเช่น เสนาบดีกรมกลาโหมอากุ้ย, แม่ทัพใหญ่อาหลีกุ่น, รวมทั้งเอ้อหนิงสมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว ให้มารวมตัวกันเพื่อเตรียมบุกพม่าเป็นครั้งที่สี่ นับเป็นการรวมตัวกันของเสนาบดีระดับสูงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในยุคของพระองค์ โดยอาศัยกำลังทั้งจากทัพแปดกองธงและกองธงเขียว การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด โดยฝ่ายจีนพยายามอย่างมากในการเข้ายึดเมืองกองตนอันเป็นจุดยุทธศาสตร์แต่บาลามินดินก็ยังสามารถต้านเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาดใจ ส่วนอีกด้านหนึ่งกองทัพจีนก็รุกคืบได้ช้ามาก เนื่องจากอะแซหวุ่นกี้ได้ส่งเนเมียวสีหตูคอยทำสงครามจรยุทธปั่นป่วนแนวหลังของต้าชิงเอาไว้ ทำให้ต้าชิงต้องพะวงหลังตลอดการศึก ถึงอย่างนั้นอะแซหวุ่นกี้เองก็มีกำลังไม่มากพอที่จะเอาชนะต้าชิงได้ในตอนนี้ ",
"ในการรบป้องกันเมืองพิษณุโลกในครั้งนี้ เป็นการต่อสู้แถวค่ายรอบเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ มีการโอบล้อมและต่างฝ่ายต่างหาทางตัดเสบียงกันเป็นหลัก ทางฝ่ายเจ้าพระยาจักรีที่แม้จะมีทหารน้อยกว่าแต่ก็สามารถต่อสู้กับแม่ทัพเฒ่าอย่างอะแซหวุ่นกี้ได้อย่างสูสี แต่ด้วยประสบการณ์ของแม่ทัพอะแซหวุ่นกี้จึงเปลี่ยนแผนการรบ กล่าวคือเมื่อการรบไม่อาจหักเอาได้ด้วยกำลังอะแซหวุ่นกี้ก็ได้ใช้แผนเมื่อครั้งสยบกองทัพต้าชิง นั้นคือหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทัพที่แข็งแกร่ง ทำเพียงตรึงเอาไว้และหาทางตัดเสบียงอาหาร กล่าวคือเมื่อเจอกองทัพของเจ้าพระยาจักรี ก็ไม่ส่งทัพใหญ่เข้าปะทะด้วยตรงๆ แต่ให้ทหารเข้าปะทะเพื่อตรึงไว้เท่านั้น จากนั้นก็แต่งทัพย่อยคอยดักปล้นเสบียงอาหารและตัดกำลังเสริมที่จะเข้ามาช่วยพิษณุโลก ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อทรงทราบว่าเจ้าพระยาทั้งสองถูกกองทัพพม่าล้อมเอาไว้ จึงทรงคุมกองทัพหนุนขึ้นไปช่วยแต่ก็ถูกตีสกัดเอาไว้หลายครั้ง ถึงอย่างนั้นกองทัพพม่าก็ไม่อาจเอาชนะกองทัพหนุนของพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ ทำให้อะแซหวุ่นกี้ถูกตรึงไว้แถวพิษณุโลก",
"\"ข้าพระองค์เป็นทหาร หลักการใช้ทหารที่ข้าพระองค์ยึดถือมาตลอดก็คือ เมื่อเป็นฝ่ายรุกจงบุกตะลุยอย่างแหลมคมและหนักแน่นปานขุนเขา ยามนำทัพ แม่ทัพจงควบม้านำหน้าทหารสู่สมรภูมิ\" นี่คือหนึ่งในคำพูดที่ฟู่เหิงแห่งตระกูลฟู่ฉ่าได้กล่าวเอาไว้ เขาคือยอดนักการทหารที่ดีที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น โดยครั้งนี้ฟู่เหิงเป็นผู้คุมกำลังผสมอันเกรียงไกรของต้าชิงที่ประกอบด้วยทัพแปดกองธง, ทัพฮั่นกองธงเขียว, ทัพไทใหญ่ และทัพเรือฮกเกี้ยน โดยเขาเป็นผู้นำทัพทางบกเข้าโจมตีอาณาจักรอังวะของพม่าอย่างดุเดือด ผสานกับอากุ้ยที่นำทัพเรือ แต่ในครั้งนี้ต้าชิงเองก็ต้องมาเจอกับยอดนักการทหารของพม่าซึ่งสามารถต้านทานกองทัพต้าชิงเอาไว้ได้ในทุกสมรภูมิ อีกทั้งยังใช้ทั้งธรรมชาติและชัยภูมิได้อย่างสมบูรณ์แบบจนสุดท้ายกองทัพต้าชิงต้องตกอยู่ภายใต้วงล้อมของพม่า แต่ถึงอย่างนั้นฟู่เหิงก็ไม่ได้หวาดหวั่นและยังคงนำทหารไปเผชิญหน้ากับกองทัพอังวะอย่างองอาจเพื่อไม่ให้ทหารที่เหลือเสียขวัญไปมากกว่านี้ สมเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่แห่งต้าชิงแม้รู้ว่าครั้งนี้อาจต้องตายก็ตามที แต่จนแล้วจนรอดอะแซหวุ่นกี้ก็ไม่ได้สั่งทหารเข้าโจมตีทำแต่เพียงล้อมเอาไว้ อีกด้านหนึ่งอากุ้ยก็สามารถโน้มน้าวแม่ทัพต้าชิงทั้งหลายให้เห็นด้วยกับการเจรจาเนื่องจากเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย เพราะต่างฝ่ายก็สูญเสียมามากเกินพอแล้ว สุดท้ายก็มีการลงนามในสนธิสัญญากองตน เป็นการปิดฉากสงครามจีน-พม่าลงในวันที่ ลงในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2312 ",
"ตามบันทึกในพงศาวดารฝ่ายไทย (ฝ่ายเดียว) เล่าว่า อะแซหวุ่นกี้วัย 72 ปี ชืนชมเจ้าพระยาจักรีท่านนี้มากที่สามารถมองแผนการของเขาออก และต่อสู้ได้อย่างกล้าหาญจนเป็นที่น่าเกรงขามของกองทัพพม่า จึงได้เกิดการพักรบหนึ่งวันเพื่อดูตัว เมื่อได้พบอะแซหวุ่นกี้ก็ยิ่งแปลกใจขึ้นไปอีก เพราะแม่ทัพที่ต่อสู้กับเขาอย่างสูสียังเป็นเพียงแม่ทัพหนุ่ม จึงได้สรรเสริญเจ้าพระยาจักรีว่าภายหน้าจะได้เป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งต่อมาเจ้าพระยาจักรีก็คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือรัชกาลที่ 1 และเนินดินที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี อยู่ที่หน้าสำนักงานเทศบาลเมืองพิษณุโลกในปัจจุบัน (ปัจจุบันราชการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 บนเนินนี้)[7][8]",
"เป็นการรบกับพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น ก่อนหน้าที่จะสถาปนากรุงธนบุรี ไทยชนะ\nเป็นการรบพม่ากันที่บางกุ้ง เขตแดนระหว่างเมืองสมุทรสงครามกับราชบุรี ไทยสามารถขับพม่าออกไปได้\nรบกับพม่าครั้งพม่าตีเมืองสวรรคโลก ไทยสามารถตีแตกไปได้\nเป็นการรบกับพม่าเมื่อฝ่ายไทยยกไปตีนครเชียงใหม่ครั้งแรก แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากขาดเสบียง\nรพกับพม่าเมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งแรก โปสุพลา แม่ทัพยกทัพไปช่วยเมืองเวียงจันทน์รบกับหลวงพระบาง ขากลับแวะตีเมืองพิชัย แต่ไม่สำเร็จ ไทยชนะ\nพม่ายกมาตีเมืองพิชัย ครั้งที่ 2 แต่พม่าตีไม่สำเร็จ พระยาพิชัย ได้วีรกรรม พระยาพิชัยดาบหัก\nรบกับพม่าเมื่อไทยยกไปตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ผลปรากฏว่า กองทัพไทยชนะ ยึดนครเชียงใหม่กลับจากพม่าได้ เพราะชาวล้านนาออกมาสวามิภักดิ์กับไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงแต่งตั้งให้ พระยาจ่าบ้าน เป็น พระยาวิเชียรปราการ ปกครองนครเชียงใหม่ พระยากาวิละ ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์กาวิละ ปกครองนครลำปาง และ พระยาลำพูน เป็น พระยาวัยวงศา ปกครองเมืองลำพูน การครั้งนี้จึงได้ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และ น่าน กลับมาเป็นของไทย\nเป็นการรบกับพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสว่า ในขณะเดินทัพ อย่าให้ผู้ใดแวะบ้านเรือนเด็ดขาด แต่ พระยาโยธา ขัดรับสั่งแวะเข้าบ้าน เมื่อพระองค์ทรงทราบ พระองค์พิโรธ ทรงตัดศีรษะพระยาโยธาด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง และนำศีรษะไปประจารที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ พม่าสู้ไม่ได้แตกทัพไป\nเป็นการรบกับพม่า เมื่อครั้งอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองเหนือ เป็นสงครามที่ใหญ่มาก อะแซหวุ่นกี้เป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญศึก มีอัธยาศัยสุภาพ ส่วนทางด้านฝ่ายไทยนั้น มี เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และ เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช (บุญมา) ในการครั้งนี้พม่ายกพลมา 30,000 คน เข้าล้อมเมืองพิษณุโลก อีก 5,000 คน ล้อมเมืองสุโขทัย ส่วนเมืองพิษณุโลกมีพลประมาณ 10,000 คน เท่านี้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพไปช่วย และในที่สุดอะแซหวุ่นกี้ต้องยกทัพกลับ เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินพม่าสวรรคต กองทัพพม่าส่วนที่ตามไปไม่ทันจึงถูกกองทัพทหารจับ\nเป็นการรบกับพม่าที่เชียงใหม่ พระเจ้าจิงกูจาโปรดให้เกณฑ์ทัพพม่ามอญ 6,000 คน ยกมาตีเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2319 พระยาวิเชียรปราการได้พิจารณาแลเห็นว่า นครเชียงใหม่ไม่มีพลมากมายขนาดที่จะว่าป้องกันเมืองได้ จึงให้ประชาชนพลเรือนอพยพลงมาอยู่ที่เมืองสวรรคโลก สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้า ให้พระยาสุรสีห์คุมกองทัพเมืองเหนือขึ้นไปสมทบกองกำลังพระยากาวิละ เจ้าเมืองนครลำปาง ยกไปตีเมืองเชียงใหม่คืนสำเร็จ และทรงให้นครเชียงใหม่เป็นเมืองร้างถึง 15 ปี จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้ฟื้นฟูใหม่",
"อะแซหวุ่นกี้ได้พิจารณาถึงผลได้ผลเสียของสงครามที่ยาวนานครั้งนี้อย่างถูกต้อง เพราะถึงแม้ในการบุกของกองทัพต้าชิงครั้งที่ 4 จะถูกกองทัพพม่าตีกระหนาบเอาไว้แล้ว แต่หากทำลายกองทัพนี้ไปจักรพรรดิเฉียนหลงก็คงจะส่งกองทัพใหญ่มาอีกแน่ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปด้วยอัตตราส่วนของจำนวนประชากรที่ต้องสูญเสียเมื่อเทียบกันแล้ว พม่าไม่อาจเทียบกับอาณาจักรต้าชิงได้เลย ดังนั้นการเจรจาสงบศึกจึงเกิดขึ้นที่เมืองกองตน ในวันที่ 13 ธันวาคม 2312 และเซ็นสัญญาสงบศึกในวันที่ 22 ธันวาคม 2312 โดยเป็นการตัดสินใจโดยพลการของอะแซหวุ่นกี้ กับฟู่เหิงแม่ทัพใหญ่แห่งต้าชิง แม้จะยังไม่ได้รับพระราชานุญาติจากพระเจ้ามังระ และจักรพรรดิเฉียนหลงก็ตาม",
"ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าในสมัยกรุงธนบุรี จะปรากฏในรูปของความขัดแย้ง การทำสงคราม โดยไทยเป็นฝ่ายตั้งรับการรุกรานของพม่า หลังจากได้รับเอกราช ต้องทำสงครามกับพม่าถึง 9 ครั้ง ส่วนใหญ่พม่าเป็นฝ่ายปราชัย\nครั้งสำคัญที่สุด คือ ศึกอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองเหนือ พ.ศ. 2318 ครั้งนั้นเจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ 1) และเจ้าพระยาสุรสีห์ สองพี่น้องได้ร่วมกันป้องกันเมืองพิษณุโลกอย่างสุดความสามารถ แต่พม่ามีกำลังไพร่พลเหนือกว่าจึงตีหักเอาเมืองได้",
"ถึงแม้อาณาจักรอยุธยาจะถูกทำลายแต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงสถาปนาศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาใหม่ที่กรุงธนบุรี พระเจ้ามังระจึงทรงส่งแม่ทัพคนใหม่มา คือ อะแซหวุ่นกี้ นำทัพใหญ่เข้ามาปราบปรามฝ่ายธนบุรีในปี พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกี้สามารถตีหัวเมืองพิษณุโลกแตกและกำลังจะยกทัพตามลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็ต้องยกทัพกลับเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามังระในปี พ.ศ. 2319 จากนั้นก็เกิดการแย่งชิงราชสมบัติราว 4–5 ปี ก่อนที่จะกลับมามีความมั่นคงขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยของพระเจ้าปดุง พระองค์ทรงยกทัพเข้าตีดินแดนยะไข่ได้สำเร็จ ซึ่งไม่เคยมีกษัตริย์พม่าพระองค์ใดทำได้มาก่อน ทำให้พระองค์เกิดความฮึกเหิม ยกกองทัพใหญ่มา 9 ทัพ 5 เส้นทาง ที่เรียกว่า สงครามเก้าทัพ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ",
"พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพพม่าผู้ชำนาญการรบ ได้วางแผนยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย ตีได้เมืองตาก เมืองสวรรคโลก บ้านกงธานี และมาพักกองทัพอยู่ที่กรุงสุโขทัย ขณะนั้นเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์กำลังยกกองทัพขึ้นไปตีเชียงแสน เมื่อทราบข่าวข้าศึก จึงรีบยกทัพกลับมารับทัพพม่าที่เมืองพิษณุโลก ก่อนที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตั้งค่ายล้อมเมืองพิษณุโลก"
] |
ผู้กำกับ ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม คือใคร? | [
"รักแห่งสยาม เป็นภาพยนตร์ไทย กำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นำแสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, มาริโอ้ เมาเร่อ และ วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก และการค้นหาตัวตน ผ่านมุมมองของเด็กชายสองคน โดยมีสยามสแควร์เป็นสถานที่เชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งการถ่ายทำเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากสยามสแควร์เป็นสถานที่ซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายทำ"
] | [
"ภาพยนตร์ชีวิตเรื่อง รักแห่งสยาม ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2550 กำกับโดยชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง เป็นหนังรักหลายรูปแบบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวที่มีปัญหาหนัก[56] ซึ่งหนังเรื่องนี้หลังออกฉายได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งตามเว็บบอร์ด[57] รวมถึงกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงทั้งแง่บวกและแง่ลบ[56]",
"ภาคภูมิได้เป็นผู้กำกับครั้งแรกกับภาพยนตร์เรื่อง \"ฟอร์มาลีนแมน รักเธอเท่าฟ้า\" (2547) กับสหมงคลฟิลม์กับภาพยนตร์แนวระทึกขวัญเรื่อง \"รับน้องสยองขวัญ\" (2548) และในปี 2550 กับภาพยนตร์ \"วิดีโอคลิป\" ในปี 2553 กับเรื่อง \"ใคร...ในห้อง\" นำแสดงโดยสินจัย เปล่งพานิช ปีพ.ศ. 2555 เรื่อง ชอบกดLIKEใช่กดLOVE นำแสดงโดย มอส ปฏิภาณ,ออม สุชาร์ , อัทธ์ อังกูร เรื่องผีเข้าผีออกในปีพ.ศ.2556 และภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่กำกับเป็นสามมิติของประเทศChina เรื่องThe miror 3D ในปีพ.ศ.2558 ",
"รางวัลที่ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามได้รับ รางวัลแรกคือ รางวัลหนังแห่งปี พ.ศ. 2550 จากนิตยสารไบโอสโคป ด้วยเหตุผล \"ท้าทายสังคม ทั้งในแง่ประเด็นหนัง การนำเสนอ ที่สะท้อนภาพสังคมไทยในยุคนี้ รวมถึงความกล้าในการทำหนังรักดราม่าความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง ที่หาดูได้ยากในตลาดหนังไทยยุคปัจจุบัน\" และได้รับรางวัลร่วมกับหนังอีก 3 เรื่อง อย่าง \"Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์\", \"มะหมา 4 ขาครับ\" และ\"แสงศตวรรษ\" ซึ่งการมอบรางวัลไบโอสโคปอวอร์ดสนี้มีการมอบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 การมอบรางวัลคมชัดลึกอวอร์ดครั้งที่ 5 \"รักแห่งสยาม\" ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และยังคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) ทางด้านการแจกรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 17 ภาพยนตร์ \"รักแห่งสยาม\" ได้รับ 3 รางวัลคือ รางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์),รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม",
"ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ \"รักแห่งสยาม\" พูดถึงมาริโอ้ว่า ที่รับเลือกมาริโอ้มาเล่น \"รักแห่งสยาม\" นอกเหนือจากเรื่องหน้าตาแล้ว \"เขามีดีกว่านั้น ดูจากแววตาแล้ว เขาไม่ใช่คนเลื่อนลอย ทำหน้าหล่อไปวันๆ ... เขารักครอบครัว เขาเป็นคนจริงใจ ใสซื่อ เหมือนแก้วน้ำใบใหญ่ ๆ ใส่อะไรลงไปก็ได้\" ส่วนผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง \"ฝัน-หวาน-อาย-จูบ\" ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล พูดถึงมาริโอ้ว่า \" เขามีความซื่อสัตย์ต่อความคิดของตัวเองมาก ซื่อสัตย์กับคนที่เขาทำงานด้วยมาก ๆ\"",
"และอีกแบบคือ ดีวีดีบ็อกซ์เซ็ต (DVD boxed set) ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่าจะผลิตตามจำนวนสั่งจอง ประกอบด้วย ดีวีดี 3 แผ่น (แผ่นที่ 1 \"การสูญเสีย\nและการจากลา\" , แผ่นที่ 2 \"ตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง\" , แผ่นที่ 3 \"Special Features\") และของแถมพิเศษ (ตุ๊กตาไม้ซันตาคลอส,CD เพลงประกอบภาพยนตร์,โน้ตเพลง กันและกัน, ซองจดหมายจากจูน ,โปสการ์ดจากภาพยนตร์) ซึ่งระบบภาพและเสียงเช่นเดียวกับดีวีดีฉบับธรรมดา และในส่วนดีวีดีเบื้องหลังพิเศษ จะมีส่วน Video Commentary เป็นภาพพิเศษที่มีบรรยากาศการชมภาพยนตร์ พร้อมผู้กำกับและนักแสดง, ส่วนฉากที่ถูกตัดออกทั้งหมด สามารถเลือกเสียงบรรยายจากผู้กำกับได้, ส่วนเบื้องหลังการถ่ายทำ ภาพส่วนตัวที่ผู้กำกับเก็บเอาไว้ ระหว่างการทำงาน, ส่วน Storyboard Comparison เปรียบเทียบงานออกแบบมุมกล้องจากภาพเขียนสตอรี่บอร์ด โดยเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ กับภาพจริง, ส่วน Character Introduction แนะนำนักแสดง, ส่วนเทปบันทึกภาพการแสดงคอนเสิร์ต Premiere Concert “รักแห่งสยาม” และบทสัมภาษณ์ผู้กำกับเกี่ยวกับการเขียนเพลงและการเลือกใช้เพลงประกอบภาพยนตร์เพลงต่าง ๆ",
"ฉากโรงเรียนซึ่งในเรื่องคือโรงเรียนชื่อ \"เซนต์นิโคลัส\" เป็นโรงเรียนที่สมมติขึ้นมา ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับที่ตัวเอกและเพื่อนในภาพยนตร์สั้นเรื่อง \"12\" (หนังภาคก่อนเรื่อง 13 เกมสยอง) จากภาพยนตร์เรื่องก่อนของผู้กำกับ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล โดยใช้สถานที่ถ่ายทำคือ โรงเรียนอัสสัมชัญและโรงเรียนเซนต์จอห์น[13]",
"ออกัส () เป็นวงดนตรีชาวไทย ก่อตั้งขึ้นเพื่อร่วมแสดงเป็นวงดนตรีชื่อเดียวกัน ในภาพยนตร์ไทยเรื่อง \"รักแห่งสยาม\" (2550) ซึ่งชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นผู้จัดการวง และมีสมาชิกทั้งหมด 13 คน ออกอัลบั้มเพลงมาแล้วสองชุด ในช่วงต้นและปลายปี พ.ศ. 2551",
"ส่วนรางวัลจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่มอบให้ภาพยนตร์เรื่อง \"รักแห่งสยาม\" เช่น อันดับ 1 หนังกระแสร้อนแห่งปี 2550 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ รางวัลสุดยอดแห่งปี 2007 จากผู้อ่านนิตยสารฟลิกส์ ในสาขาหนังไทย และ ดาราหญิง (สินจัย เปล่งพานิช), รางวัลจากนิตยสารเอนเตอร์เทน ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) , รางวัลจากนิตยสารแฮมเบอร์เกอร์ 3 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช)",
"\"รักแห่งสยาม\" ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 5 สูงสุด 8 รางวัล จากสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม,นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช), นักแสดงประกอบชาย (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี), นักแสดงประกอบหญิง (พิมพ์พรรณ บูรณพิมพ์ และ กัญญา รัตนเพชร)และ ภาพยนตร์ที่มีนักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม ซึ่งคว้าไปได้ 2 รางวัลคือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช)",
"ในด้านการกำกับภาพ นิตยสารบีเควิจารณ์ไว้ว่า \"ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ทำได้ไม่ดีเรื่องการกำกับภาพ ผู้กำกับเสนอภาพที่น่าเบื่อด้วยมุมกล้องแบบตรงๆ และการให้แสงที่ไม่แน่นอนจากบ้านถึงโรงเรียน จากสตูดิโอถึงสยามสแควร์ ขาดอารมณ์สื่อและทิศทางของภาพ\"[41] แต่ในทางกลับกัน นิตยสารสตาร์พิกส์กลับชมว่า \"หนังสามารถทำให้คนดูได้เห็นถึงอารมณ์อันหลากหลายของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นสุขสดใสหรือทุกข์หม่นเศร้า นอกเหนือจากจะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแล้ว ยังมี “โชว์” เป็นของแถมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากแสดงความหวังที่ผึ้งไต่ขึ้นจากแก้วน้ำ หรือการถ่ายลองเทคในสยามสแควร์โดยตามตัวละครวัยรุ่นแทบทั้งเรื่อง ซึ่งเดินสวนกันไปมาจากทุกทิศ\"[7]",
"ส่วนแบบที่เป็นดีวีดีบ็อกซ์เซ็ต (DVD boxed set) ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่าจะผลิตตามจำนวนสั่งจอง ประกอบด้วย ดีวีดีภาพยนตร์ฉบับ Director's Cut จำนวน 2 แผ่น (ดีวีดี 5 และดีวีดี 9), ดีวีดีเบื้องหลังพิเศษ 1 แผ่น (ดีวีดี 9), โปสการ์ด จำนวน 10 ใบ, โน้ตเพลงกันและกัน, จดหมายรักแห่งสยาม และซีดีเพลงประกอบภาพยนตร์ทุกเพลงรวมทั้งเพลงบรรเลง, ตุ๊กตาไม้[90] ซึ่งระบบภาพและเสียงเช่นเดียวกับดีวีดีฉบับธรรมดา และในส่วนดีวีดีเบื้องหลังพิเศษ จะมีส่วน Video Commentary เป็นภาพพิเศษที่มีบรรยากาศการชมภาพยนตร์ พร้อมผู้กำกับและนักแสดง, ส่วนฉากที่ถูกตัดออกทั้งหมด สามารถเลือกเสียงบรรยายจากผู้กำกับได้, ส่วนเบื้องหลังการถ่ายทำ ภาพส่วนตัวที่ผู้กำกับเก็บเอาไว้ ระหว่างการทำงาน, ส่วน Storyboard Comparison เปรียบเทียบงานออกแบบมุมกล้องจากภาพเขียนสตอรี่บอร์ด โดยเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ กับภาพจริง, ส่วน Character Introduction แนะนำนักแสดง, ส่วนเทปบันทึกภาพการแสดงคอนเสิร์ต Premiere Concert “รักแห่งสยาม” และบทสัมภาษณ์ผู้กำกับเกี่ยวกับการเขียนเพลงและการเลือกใช้เพลงประกอบภาพยนตร์เพลงต่าง ๆ[91] ทั้งนี้ ผู้จัดจำหน่ายกำหนดรับสินค้าในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551 (เลื่อนจากเดิม 28 มีนาคม) [92]",
"ในการประกาศผู้เข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 ประจำปี 2550 ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม ได้เข้าชิง 11 รางวัล (13 รายชื่อ) จากสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล),นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล),นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช), สมทบชายยอดเยี่ยม (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี),สมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ และ กัญญา รัตนเพชร),บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล),กำกับภาพยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล), ลำดับภาพยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, ลี ชาตะเมธีกุล), กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (กิตติ เครือมณี) และสำหรับรางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ครั้งที่ 6 หรือ รางวัลผลงานบันเทิงยอดเยี่ยมที่จัดโดยสมาคมนักข่าวบันเทิง ภาพยนตร์ \"รักแห่งสยาม\" ได้เข้าชิงสูงสุด 9 สาขาใน 10 รายชื่อ ซึ่งได้รับรางวัลไป 6 รางวัล",
"อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 สังกัดแฮปปี้โฮม ซึ่งได้ผู้กำกับภาพยนตร์ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล รับตำแหน่งเป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้มนี้อีกด้วย ทั้งทำหน้าที่ แต่งเนื้อร้อง ทำนอง ออกแบบการร้อง[80] และขับร้องเองด้วยในเพลง \"กันและกัน\" และ \"Ticket\"",
"ส่วนรางวัลจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่มอบให้ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม เช่น อันดับ 1 หนังกระแสร้อนแห่งปี 2550 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์[68] รางวัลสุดยอดแห่งปี 2007 จากผู้อ่านนิตยสารฟลิกส์ ในสาขาหนังไทย และ ดาราหญิง (สินจัย เปล่งพานิช),[69] รางวัลจากนิตยสารเอนเตอร์เทน ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) [70], รางวัลจากนิตยสารแฮมเบอร์เกอร์ 3 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) [71]",
"เป็นภาพยนตร์จากการกำกับและเขียนบทโดย ทรนง ศรีเชื้อ ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าผู้กำกับจอมซาดิสต์ ที่มีชื่อเสียงมาจากภาพยนตร์แนวอีโรติค เป็นภาพยนตร์ในแนววิทยาศาสตร์และพิบัติภัยด้วยทุนสร้าง 160 ล้านบาท เป็นเรื่องแรกของไทย ใช้เวลาถ่ายทำนาน 3 ปี โดยเป็นการถ่ายทำในสตูดิโอเป็นหลัก โดยมีการสร้างสตูดิโอสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะขึ้นที่บริเวณเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งทาง ทรนง ศรีเชื้อ ผู้สร้างและผู้กำกับหวังจะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต อีกทั้งเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกด้วยที่กำหนดบทให้นายกรัฐมนตรีเป็นตัวละครเอกและมีบทบาทสำคัญในเรื่อง นอกจากนี้แล้วตัวละครสำคัญอย่าง ดร.สยาม ที่รับบทโดย สุเชาว์ พงษ์วิไล ยังได้แบบอย่างมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริง คือ สมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ที่เคยทำนายล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 แต่ไม่มีใครเชื่อ",
"นอกจากนี้ ในการประกาศผลผู้ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล \"เฉลิมไทย อวอร์ด\" ครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นรางวัลที่สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอตคอม ได้เสนอชื่อและร่วมลงคะแนนเพื่อเลือกภาพยนตร์แห่งปีในสาขาต่างๆ รักแห่งสยามได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 9 รางวัล (13 รายชื่อ) ได้แก่ เพลงจากภาพยนตร์ไทยแห่งปี (กันและกัน) ดนตรีประกอบภาพยนตร์แห่งปี บทภาพยนตร์ไทยแห่งปี นักแสดงสมทบหญิงในภาพยนตร์ไทยแห่งปี (กัญญา รัตนเพชร และพิมพ์พรรณ บูรณพิมพ์) นักแสดงสมทบชายในภาพยนตร์ไทยแห่งปี(ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี)นักแสดงนำหญิงในภาพยนตร์ไทยแห่งปี (สินจัย เปล่งพานิช)นักแสดงนำชายในภาพยนตร์ไทยแห่งปี (มาริโอ้ เมาเร่อ และวิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล) งานกำกับภาพยนตร์ไทยแห่งปี และภาพยนตร์ไทยแห่งปี โดยการลงคะแนนจะเริ่มในวันที่ 28 มกราคม 2550 ",
"ในปี พ.ศ. 2550 มีคนติดต่อเข้ามาและส่งบทสั้นๆ ภาพยนตร์ \"รักแห่งสยาม\" มาให้ดู มาริโอ้จึงลองไปทดสอบการแสดง จนได้รับบทตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง \"รักแห่งสยาม\" ของชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งชูเกียรติให้ความเห็นที่รับมาริโอ้มาเล่นเพราะ ชอบแววตา สามารถสื่ออารมณ์ผ่านแววตาได้ดี สำหรับด้านการแสดงก่อนหน้านั้นก็เคยเรียนการแสดงมาบ้าง ที่สมาคมผู้กำกับ แล้วพอได้มาเล่นก็ต้องไปเวิร์คชอปกับนักแสดงอื่น ภาพยนตร์เรื่องนี้ มาริโอ้ รับบทเป็น \"โต้ง\" เด็กชายวัยรุ่น ชั้น ม.6 ที่กำลังมีความสับสนกับการเลือกทางเดินในชีวิต ในระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ มาริโอ้ยังได้ทำผลงานเพลงใต้ดิน แนวฮิปฮอป ร่วมกับพี่ชายของเขา มาร์โค เมาเร่อ ในนาม PsyCho & Lil’Mario กับอัลบั้มแรก PsyCho & Lil’Mario:Dem Crazy Boyz สังกัดเอ็นวายยูคลับ ออกวางขายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เป็นอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษล้วน โดยมาริโอ้ทำหน้าที่เป็นไฮพ์แมน (hypeman) ในอัลบั้มนี้ ซึ่งเคยได้ขึ้นร้องโชว์ในงานแฟตเฟสติวัลอีกด้วย\nหลังจากภาพยนตร์เรื่อง \"รักแห่งสยาม\" ออกฉาย ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกระทู้มากมายตามเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ หรือตามเว็บบอร์ดยอดฮิตของอีกหลายๆ เว็บไซต์ รวมถึงมีการตั้งคำถามขึ้นว่า มาริโอ้เป็นเหมือนในหนังหรือไม่ มาริโอ้ให้คำตอบว่า \"ชอบผู้หญิงแน่นอน\" มาริโอ้ก็พูดถึงฉากที่มีคนพูดถึงมากนี้ว่า \"เป็นฉากที่ยากฉากหนึ่ง แต่ก็ทำทุกอย่างให้มันเต็มที่\"",
"รางวัลแรกที่ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม ได้รับไปคือรางวัลหนังแห่งปี 2550 จากนิตยสารไบโอสโคป ด้วยเหตุผล \"ท้าทายสังคม ทั้งในแง่ประเด็นหนัง การนำเสนอ ที่สะท้อนภาพสังคมไทยในยุคนี้ รวมถึงความกล้าในการทำหนังรักดราม่าความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง ที่หาดูได้ยากในตลาดหนังไทยยุคปัจจุบัน\"[63] และได้รับรางวัลร่วมกับหนังอีก 3 เรื่อง อย่าง Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์, มะหมา 4 ขาครับ และแสงศตวรรษ ซึ่งการมอบรางวัลไบโอสโคปอวอร์ดสนี้มีการมอบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546[26][64] การมอบรางวัลคมชัดลึกอวอร์ดครั้งที่ 5 รักแห่งสยาม ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และยังคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช) [65] ทางด้านการแจกรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 17 ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม ได้รับ 3 รางวัลคือ รางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์),รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม[66] และอีกงานแจกรางวัลคือรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 16 ได้รับรางวัลไปอีก 6 รางวัลคือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล), ผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช),ผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์),บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม[67]",
"กระแสตอบรับที่ดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงมีกิจกรรมเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ โดยกลุ่มผู้ชมที่ชื่นชอบในภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ได้ส่งหนังสือถึง บริษัท สหมงคลฟิล์มฯ เพื่อขอให้นำฟิล์มภาพยนตร์ รักแห่งสยาม มาฉายเป็นรอบพิเศษ ที่โรงภาพยนตร์สกาล่า สยามสแควร์ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ในรอบเวลา 20.00 น. ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยครั้งนัก โดยในการฉายภาพยนตร์รอบพิเศษนี้ มีผู้ชมเกือบเต็มความจุของโรง คือ 900 ที่นั่ง[59]",
"นอกจากนี้ ในการประกาศผลรางวัลสตาร์พิกส์ไทยฟิล์มสอวอร์ดส ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสารสตาร์พิกส์ รักแห่งสยามยังได้รับรางวัลมากถึง 9 รางวัล จากรางวัลทั้งหมด 12 รางวัล ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (มาริโอ้ เมาเร่อ) นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช)นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี) บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) กำกับภาพยอดเยี่ยม (จิตติ เอื้อนรการกิจ) ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (กิตติ เครือมณี)และภาพยนตร์ยอดนิยม",
"คุ้งอาจจะมีชะตากรรมเป็นถึงไอดอลของโรงเรียน ถ้าจะไม่มีกรรมมาบังให้คุ้งดันมีฝาแฝดชื่อ เค น้องชายที่ทั้งเรียนเก่งกว่า ที่สำคัญเคยังเป็นมือกีตาร์ของวงโรงเรียนที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเข้าประกวด Hot Wave Music Award ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความฮ็อตของเค จะทำให้คุ้งกลายเป็นแค่ \"ฝาแฝดเค\" ในสายตาของทุกคน ในปีสุดท้ายของชีวิตมัธยมปลาย เมื่อวงของเค ลงสมัคร Hot Wave โดยมีเอิญเข้าร่วมในฐานะนักร้องนำ เป็ดและคุ้งจึงจับมือกันปฏิวัติตัวเองฟอร์มวง SuckSeed ขึ้นมา หาญกล้าท้าแข่งเพื่อพิสูจน์ให้คนที่พวกเขาทั้งรักทั้งอยากเอาชนะได้เห็นว่า พวกเขาไม่ใช่แค่ “ตัวห่วย” อย่างที่ใครๆ คิดหมู ชยนพ บุญประกอบ ผู้กำกับน้องใหม่ ค่าย จีทีเอช เผยว่า \"“เดิมที SuckSeed เป็นภาพยนตร์สั้นที่ผมทำสมัยเรียนที่นิเทศ จุฬาฯ แล้วปีต่อมามีรุ่นน้องเอาบางส่วนจากเรื่องของผมมาใส่ในหนัง เหมือนเป็นภาค2 แล้วปีถัดมาก็มีวง suck seed ออกมาอีกภาคหนึ่ง ซึ่งพี่เก้ง-จิระ มะลิกุล ได้มาดูงานทุกปี เห็นแล้วประทับใจก็เลยชวนทีมงานทั้งหมดที่ทำหนังทั้ง 3 ภาคมาคุยกัน แล้วเลือกทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา วันที่พี่เก้ง ตัดสินใจติดต่อผมให้มากำกับเรื่องนี้ ยอมรับว่าคิดอยู่นาน เพราะผมทำงานประจำอยู่แล้ว คือเป็นสจ๊วต แต่เมื่อย้อนคิดว่า เป้าหมายแรกของการเรียนนิเทศ คือเราอยากทำหนัง แต่ตอนนั้น พี่เก้ง ซึ่งเป็นไอดอลของผม พูดไว้ว่า “ถ้าอยากทำหนังให้ไปใช้ชีวิตก่อน จะไปทำอะไรก็ได้ อย่าเพิ่งรีบกระโจนเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ แล้วผมก็มีตัวอย่างจากพี่ๆ ผู้กำกับแฟนฉัน อาทิ พี่เดียว-วิชชพัชร์ โกจิ๋ว ไปฉายหนัง ไปอเมริกา แต่ละคนเหมือนไปผจญภัย เพื่อจะได้มีเรื่องราวมาเล่า ผมจึงเลือกเป็นสจ๊วต ยอมรับว่าเป็นงานที่มั่นคง และมีความสุข สนุกกับงาน แต่ผมก็ไม่อยากละทิ้งความฝัน ฝันของผมคือได้ทำหนังกับพี่เก้ง กับค่าย จีทีเอช โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ เมื่อคนที่ผมเคารพที่สุดอย่างพี่เก้ง ยังเชื่อมั่นในตัวผม ผมก็ควรจะเชื่อมั่นในตัวเอง ก้าวออกมากำกับหนังเรื่องแรกในชีวิต SuckSeed ห่วยขั้นเทพ ภาพยนตร์ร็อควัยรุ่น รักวัยเรียน ที่ผมอยากให้ผู้ชมได้รู้สึก นึกถึงความทรงจำ หรือเพลงบางเพลงที่มีพลังทำให้เราตะโกนแหกปาก กระโดดโลดเต้น หลั่งน้ำตา และสะเทือนใจกับความทรงจำเก่าๆของเรากับใครบางคน ”\"",
"ในส่วนของนักวิจารณ์ นันทขว้าง สิรสุนทร นักวิจารณ์ชื่อดัง ได้กล่าวถึงการเล่าเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า \"การเลือกเรื่องแบบนี้มาเล่า ทำให้คนดูทั่วไปเข้าถึงและง่ายที่จะรู้สึกอะไรไปกับหนัง แต่ รักแห่งสยาม ไม่ได้แตะเรื่อง Gender (เพศ) ใดๆ หากแต่มุ่งไปที่น้ำหนักของ Self-discover (การค้นพบตัวเองและยอมรับ) โดยใช้ Coming-of-age (การสูญเสียและเรียนรู้ความจริง)\"[36] อภินันท์ บุญเรืองพะเนา จากผู้จัดการรายสัปดาห์ พูดในทำนองเดียวกันว่า \"รักแห่งสยาม เป็นหนังในสไตล์ Road Movie กับ Coming-of-age ค่อนข้างคล้ายคลึงกันก็คือ การที่หนังมักจะหยิบยื่นสถานการณ์ยุ่งยากบางอย่างให้ตัวละครต้องเผชิญและผ่านพ้นไปให้ได้ เพื่อก้าวไปสู่ “การเรียนรู้” (Enlightenment) บทเรียนใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและความคิดของตัวละครไปตลอดกาล\"[37] วิมลศักดิ์ ปัญชรมาศจากนิตยสารแฮมเบอร์เกอร์วิจารณ์ว่า \"ผู้กำกับวางจังหวะหนังอย่างมีชั้นเชิงทั้งในด้านอารมณ์ขันอยู่ในตำแหน่งที่พอดี การเล่าเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป หนังสามารถเรียงร้อยตัวละครหลายคนที่ทับซ้อนกันอยู่ ไม่ขาดไม่เกินเหมือนการต่อภาพจิ๊กซอว์จนเป็นภาพที่สมบูรณ์\"[38]",
"การประชาสัมพันธ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มมีการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลของภาพยนตร์ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2550[27] หลังจากนั้นจึงเป็นกิจกรรมเดินสายของทางทีมนักแสดงและผู้กำกับ โดยเริ่มจากการออกบูธขายของที่ระลึกและมีวงออกัสแสดงเพลงจากอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ ในงานแฟตเฟสติวัล ครั้งที่ 7 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 10-11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550[28] และยังมีกิจกรรมการกุศลร่วมกันคือในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 นักแสดงและผู้กำกับเรื่อง<i data-parsoid='{\"dsr\":[19886,19901,2,2]}'>รักแห่งสยาม</i>นำโดย กบ ทรงสิทธิ์, นก สินจัย และ พลอย เฌอมาลย์ ร่วมกันทำกระปุกออมสินรูปหัวใจ ในรูปแบบเปเปอร์มาร์เช่ต์ ให้คนดูหนังได้บริจาค เพื่อนำไปช่วยรักษาโรคหัวใจให้เด็ก ๆ ผู้ยากไร้ที่มูลนิธิเด็กโรคหัวใจในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์[29] ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ทำบุญไปด้วย",
"นอกจากนี้ ในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ชูเกียรติยังตั้งใจเทิดทูนผู้กำกับชาวโปแลนด์ที่ชื่อ คริสซ์ตอฟ เคียสลอฟสกี้ ในฉากผึ้งไต่แก้วน้ำ ที่ตั้งใจถ่ายให้เหมือนแบบช็อตต่อช็อตในภาพยนตร์เรื่อง The Decalogue และนอกจากนั้นถ้าสังเกตดี ๆ ในภาพยนตร์ในส่วนของห้องนอนโต้งมีโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Heaven ที่เป็นหนังที่เคียสลอฟสกี้เขียนบทก่อนตาย[26]",
"ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล หรือมะเดี่ยว ผู้กำกับภาพยนตร์และเขียนบทภาพยนตร์ เริ่มเขียนบทครั้งแรกตอนสมัยเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมะเดี่ยวเองมีความคุ้นเคยกับสยามสแควร์ เนื่องด้วยเป็นสถานที่ที่ไปเป็นประจำ ได้เห็นคู่รัก วัยรุ่นมากมาย แม้กระทั่งคนวัยทำงานหรือครอบครัวก็ตาม จึงเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนบทและใช้สยามสแควร์เป็นฉากหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ใช้เวลาถึง 4 ปีในการเขียนบท[5] ซึ่งตัวละคร เรื่องราว ต่างๆ มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของตัวผู้กำกับเอง เขาหยิบยกเรื่องของพ่อแม่ พี่สาว และเรื่องส่วนตัว ขึ้นและขยายเรื่องส่วนตัวไปสู่เรื่องสากลที่คนทั่วไปร่วมรับรู้ได้[6] จนประมาณปี 2548 ชูเกียรติและสุกัญญา วงศ์สถาปัตย์ พยายามหาเงินทุนเพื่อสร้างหนัง ถึงขนาดไปขายหนังที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทุนจะให้เงินมาแต่งบต่ำมาก ชูเกียรติกลัวจะเสียบทไป จึงพับโครงการไว้และไปทำ 13 เกมสยอง ก่อน จนนายทุนยอมให้ทำในที่สุด[7] โดยให้งบเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท แล้วไปปิดที่ 17 ล้านบาท ซึ่งงบค่อนข้างไปลงอยู่ที่ฉากคอนเสิร์ต และค่าตัวนักแสดงนำ[8]",
"ณัฐพล รัตนิพนธ์ ชื่อเล่น บอล นักแสดงชาวไทย เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2524 จบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสยาม และเรียนต่อปริญญาโทจาก มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี คณะ รัฐศาสตร์ เริ่มเข้าวงการบันเทิงเป็นตัวประกอบ เดินไปเดินมาจนผู้กำกับเห็นว่า เด็กคนนี้น่ารักดี เลยให้โอกาสมาเล่นละคร จนถึงวันนี้ก็เล่นมาเกือบ 10 เรื่อง และมีผลงานพิธีกรต่างๆเช่นรายการ TV Guide ช่อง 5 รายการ Young MEA Dec Mission ช่อง NBT เป็นต้น และมีผลงานด้านละคร ผลงานเด่น บ้านทรายทอง ช่อง 3 และ ผ่าโลกบันเทิง ช่อง 7 จนมีผลงานละครต่อเนื่องและเป็นนักแสดงสตั้นแมนมีฝีมือทำให้ใครๆก็รู้จัก บอล ณัฐพล รัตนิพนธ์ นักแสดงและภาพยนตร์ชาวไทย",
"และในปีพ.ศ. 2554 อั้มก็ได้มีงานแสดงภาพยนตร์ อีกครั้ง ชื่อเรื่อง \"30 กำลังแจ๋ว\" รับบทเป็น \"จ๋า\" คู่กับ ภูภูมิ พงศ์ภาณุ กำกับภาพยนตร์โดย สมจริง ศรีสุภาพ ผลิตโดยเอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ ซึ่ง คิง สมจริง ผู้กำกับ กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกอั้ม มารับบทนี้ว่า \"\"อั้ม คือนางเอกที่ใช่มากๆ สำหรับเรื่องนี้ เพราะส่วนตัวผมเห็น อั้ม ในหลายบทบาท อั้ม มีศักยภาพทางการแสดงสูงมาก เค้าน่าจะทำบทบาทนี้ให้มีความลึกซึ้ง โรแมนติก และ กินใจได้ด้วยบทบาทการแสดงของเขา และ ด้วยความเป็นตัวเขาก็สื่อถึงผู้หญิงอายุ 30 ออกมาได้ชัดเจนนะ อั้ม เขาก็มีครบหมดทุกมุม เรียกว่าครบเครื่องน่ะ ผมชอบทุกคาแรกเตอร์ของเขานะไม่ว่าจะมีรัก เลิกรัก อย่างเวลาที่เขามีความรักนะเขาจะสวยสุดๆ เวลาที่มีอุปสรรคถึงเขาจะมีความเศร้าแต่เขาก็ยังเข้มแข็ง คุณว่าไหมล่ะนาทีนี้ถ้าใครพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องนึกถึง อั้ม พัชราภา เท่านั้น\"\" รวมทั้งจันทิมา เลียวศิริกุล หนึ่งในผู้บริหารของค่าย M๓๙ ในฐานะโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เปิดเผยว่า \"\"เริ่มต้นที่พัฒนาบทคือพี่คิงนำเสนอว่าผู้หญิงที่อยู่ในหัวเลยคือ อั้ม พัชราภา เพราะว่าผู้หญิงในเรื่องค่อนข้างที่จะเก่ง แล้วก็ไม่ค่อยจะมีปัญหากับการสนใจสังคม รู้จักตัวเอง รู้จักใจตัวเอง แต่เมื่อถึงเวลาตัดสินใจแล้ว จะเลือกใช้สมองหรือใช้หัวใจ มั่นใจมาก อั้มเพอร์เฟ็กต์กับคำว่าผู้หญิงเก่งและรู้จักตนเองและเชื่อว่าอั้มเล่นได้เพราะว่าอั้มเก่งมาก\"\"",
"ทางผู้ใหญ่ในสหมงคลฟิล์ม ได้คิดที่จะมีโครงการที่จะรวมกันทำหนังของผู้กำกับหลาย ๆ คน โดยมีแนวความคิดเดียวกัน และหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง \"รักแห่งสยาม\" จะได้แตกแนวความคิดนี้ออกมา จากนั้นผู้กำกับทั้ง 4 คนจึงได้มานั่งคุยกันโดยจะทำหนังคนละมุมมองกัน ชูเกียรติซึ่งมีเรื่องอยู่ในหัวชัดเจนอยู่แล้ว ที่อยากทำเป็นเรื่อง ความฝัน แนวแฟนตาซี (ธีมคือ Musical romance) ส่วน ปรัชญา อยากจะพูดเรื่องความรักที่มีมิติและเป็นมุมมองความรักที่โตที่สุดใน 4 เรื่อง ที่เกี่ยวกับสมองและความรู้สึก (ธีมคือ Magical romance) ส่วนอายมีธีมคือ Chemical romance และจูบมีธีมคือ Physical romance ด้วยความบังเอิญที่ชื่อเรื่องของแต่ละผู้กำกับเป็นพยางค์เดียวกันหมด จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่อง \"ฝัน-หวาน-อาย-จูบ\"",
"รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ รักแห่งสยามได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ,ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล), นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล), นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย เปล่งพานิช),สมทบชายยอดเยี่ยม (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี), สมทบหญิงยอดเยี่ยม (กัญญา รัตนเพชร์ และ เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ,กำกับภาพยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม,บันทึกเสียงยอดเยี่ยม,ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (กันและกัน และ คืนเป็นนิรันดร์) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลไป 3 รางว้ลจากเวทีนี้",
"ต่อมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ มีผลงานมากมาย อาทิ \"ถุยชีวิต\" (พ.ศ. 2521), \"นักสู้ภูธร\" ในปีเดียวกัน, \"ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก\" (พ.ศ. 2522) และที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือ \"แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู\" ในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งได้รับรางวัลตุ๊กตาทองสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลอื่น ๆ รวมทั้งหมด 5 รางวัล และยังคงมีผลงานออกมาเป็นระยะๆ เช่น \"บางระจัน\" (พ.ศ. 2543),โหมโรง(พ.ศ. 2547), \"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ\" (พ.ศ. 2550), \"รักสยามเท่าฟ้า\" (พ.ศ. 2551), \"2022 สึนามิ วันโลกสังหาร\" (พ.ศ. 2552) ผลงานละครโทรทัศน์ได้แก่ \"สุสานคนเป็น\" (พ.ศ. 2545) \"ธิดาวานร 2\" (พ.ศ. 2552) และ \"เงาพราย\" (พ.ศ. 2554) ผลงานละครเรื่องสุดท้ายคือเรื่อง ขุนกระทิง และผลงานภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายคือเรื่อง ขุนพันธ์ (พ.ศ. 2559)"
] |
ตำบลบางแก้ว อาชีพหลักของประชาชนคืออะไร? | [
"ปัจจุบันมีประชากรในเขตความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้ว 4,999 คน หรือ 1,339 ครัวเรือน อาชีพหลักของประชาชนคือเกษตรกร (ทำนา ทำประมง เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และนาเกลือ[2]"
] | [
"โรงเรียนวัดราษฎร์ศรัทธา ตั้งอยู่ในพื้นที่ของบ้านนาบัว หมู่ 6 ตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยมีการจัดการเรียนการสอนในระดับก่อนประถมศึกษาและประถมศึกษา\nในอดีตพื้นที่ทุ่งบางแก้วตามที่ทางราชการเรียกนั้น เป็นที่ลุ่ม มีต้นบัวขึ้นอยู่เยอะตามหนองน้ำลำคลอง การสัญจรใช้เรือเป็นสำคัญ ประชาชนในพื้นที่จึงได้เรียกทุ่งบางแก้วว่า นาบัว หรือ บ้านนาบัว ภายหลังต่อมาประชาชนชาวบ้านนาบัวและพื้นที่ใกล้คียงได้พร้อมใจกันสร้างวัดบริเวณรอยต่อ 2 อำเภอ ตรงฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแยกตีนคุ (เป็นคลองสองสายมาตัดกัน เรียกตามตีนคุที่เป็นไม้ตัดกันที่อยู่ใต้ก้นกระบุง) ด้วยความสำคัญทางเรือเป็นหลัก การส่งลูกหลานไปเรียนจึงต้องไปเรียนโรงเรียนที่ตำบลโพพระ ซึ่งอยู่ห่างไกล ทางราชการจึงได้จัดตั้งโรงเรียนประชาบาล แห่งที่ 2 ของตำบลขึ้น ซื่อ โรงเรียนประชาบาล 2 ตำบลบางแก้ว",
"ตลาดสดในเทศบาลตำบลบ้านต๋อม มีจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ตลาดมณีรัตน์ และตลาดสดเทศบาลตำบลบ้านต๋อม อาชีพหลักของประชาชน คือ ทำนา ทำสวน ทำไร่ ค้าขายรับราชการ อาชีพเสริมหัตถกรรม และรับจ้างทั่วไป เจียระไนพลอย ผลิตภัณฑ์ OTOP ของตำบลบ้านต๋อม เช่น แชมพูครีมนวดผมสมุนไพร ครีมสมุนไพรมะขาม เป็นต้น",
"เป็นที่ราบลุ่มเป็นส่วนใหญ่อยู่ทางตอนกลางและทางตะวันออกของตำบล ส่วนท่างด้านตะวันตกของตำบลเป็นสันทราย ชายหาดเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของประชาชนในพื้นที่อย่างหนาแน่น โดยทางทิศตะวันตกจะติดกับป่าพรุ อาชีพหลักของตำบลปท่าเรือ ได้แก่ การประมง ทำสวน ทำนา เลี้ยงสัตว์ ส่วนอาชีพเสริม ได้แก่ ก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป สานกระจูด",
"ประวัติความเป็นมาของสุนัขไทยบางแก้ว จากข้อมูลที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้ว ตำบลท่านางงาม และบ้านชุมแสงสงคราม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของสุนัขไทยบางแก้วนั้นอยู่ที่วัดบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็นป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า หมาจิ้งจอก และหมาใน ",
"เขตเทศบาลตำบลพระลับมีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 36 ตารางกิโลเมตร หรือ 22,500 ไร่ ร้อยละ 80 เป็นพื้นที่การเกษตร ประชาชนประกอบอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก มีพื้นที่การปกครอง 19 หมู่บ้าน ดังนี้\nจำนวนครัวเรือน 8,124 ชาย 10,723 หญิง 11,464 รวม 22,187",
"ปัจจุบันมีตำบลบัวงามมีประชากรทั้งสิ้น 12,442 คน หรือ 3,879 ครัวเรือน อาชีพหลักของประชาชน คือ เกษตรกร (ทำนา ทำไร่-สวน และการปศุสัตว์)",
"ลักษณะการประกอบอาชีพของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านกรวดปัญญาวัฒน์ โดยทั่วไปประกอบอาชีพเกษตรกร และรับจ้าง ในพื้นที่ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม ",
"ตามคำบอกเล่าสืบทอดกันมา ตำบลบ้านเกาะ หมายถึง บริเวณวัดป่ากิ่วในปัจจุบัน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ในบริเวณนั้นเป็นพื้นที่นา เป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของอำเภอพรหมคีรี ประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก จึงเป็นที่เรียกขานกันมาว่า “บ้านเกาะ” จึงเป็นที่มาของตำบลบ้านเกาะ ในปัจจุบัน และมีการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบของสภาตำบลบ้านเกาะ ต่อมายกฐานะจากสภาตำบลบ้านเกาะ เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเกาะ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 ปัจจุบันองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเกาะ เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลขนาดเล็ก (ชนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก)",
"สิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์โดดเด่นของภูมิปัญญา คือ ไม้กวาดดอกหญ้า กลุ่มอาชีพทำไม้กวาดดอกหญ้า ตำบลคำเขื่อนแก้ว ปลาร้า แจ่วบอง ปลาส้ม กลุ่มอาชีพสตรีบ้านคำกลาง ตำบลฝางคำ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลาส้มแม่พุก บ้านแหลมสวรรค์ ตำบลนิคมลำโดมน้อย ",
"ตำบลมะขามคู่ เป็นตำบลหนึ่งอยู่ในอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ทิศเหนือ ติดตำบลพนานิคม ทิศตะวันออก ติด ตำบลนิคมพัฒนา ทิศตะวันตก ติด ตำบลเขาไม้แก้ว ทิศใต้ ติด ตำบลสำนักท้อน มีพื้นที่ 108 ตร.กม. มีประชากร 10,100 คน ประกอบด้วย 7 หมู่บ้าน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ทำไร่ และทำโรงงานอุตสาหกรรม มีถนนหลักสาย 36 และ 3375 ตัดผ่าน นายกเทศมนตรีปัจจุบันชื่อ นายมนูญ วงษ์ประยูร",
"ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่เขตตำบลสิ ทำนาเป็นอาชีพหลัก นอกฤดูกาลทำนามีการปลูกพืชสวนครัวชนิดต่างๆ ได้แก่ ผักชีฝรั่ง ผักคื่นฉ่าย ผักชี พริก และอื่นๆ สัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นไก่พื้นเมือง วัว ควาย และสุกร เลี้ยงไว้เพื่อบริโภคและจำหน่าย เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัว นอกจากนี้ มีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปประกอบอาชีพในต่างจังหวัด การรับจ้างทั่วไปและรับราชการเส้นทางหลัก คือการคมนาคมทางรถยนต์ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2111 (พยุห์-ไพรบึง-ขุนหาญ) เส้นทางดังกล่าวนี้เชื่อมระหว่างตัวจังหวัดศรีสะเกษกับเขตเทศบาลตำบลสิ โดยจากตัวจังหวัดศรีสะเกษ มาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 221 (ศรีสะเกษ-เขาพระวิหาร) ถึงอำเภอพยุห์ เป็นระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาที่สี่แยกพยุห์ เข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2111 เพื่อมายังอำเภอขุนหาญ และเทศบาลตำบลสิ โดยจากสี่แยกดังกล่าวผ่านอำเภอไพรบึงและเขตเทศบาลตำบลไพรบึงจนถึงเขตเทศบาลตำบลสิ เป็นระยะทางประมาณ 41 กิโลเมตร รวมระยะทางจากตัวจังหวัดศรีสะเกษถึงเทศบาลตำบลสิประมาณ 62 กิโลเมตรได้รับบริการจากสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอขุนหาญ ประชาชนในเขตเทศบาลส่วนใหญ่มีการใช้ไฟฟ้าในการให้แสงสว่างและหุงต้ม ประมาณร้อยละ 99 และบางส่วนยังต้องการขยายไฟฟ้าให้ทั่วถึง",
"ประชากรในเทศบาลตำบลเขาแก้วศรีสมบูรณ์ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม",
"วิทยาลัยเทคนิคสระแก้ว อำเภอวัฒนานคร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว อำเภออรัญประเทศ วิทยาลัยการอาชีพวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น โรงเรียนไฮเทค-เทคโนโลยี สถาบันเอกชน ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว โรงเรียนเทคโนโลยีสระแก้ว สถาบันเอกชน ตั้งอยู่ที่ตำบลศาลาลำดวน อำเภอเมืองสระแก้ว",
"เดิมวัดปราสาทสิทธิ์ อยู่ในพื้นที่ตำบลดอนไผ่ ซึ่งเป็นมีลักษณะพื้นที่เป็นโคกสูง ประชาชนสวนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ คือ ชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ชาวบ้านจึงมักเรียกว่า วัดดอนไผ่ หรือวัดหลักห้า ซึ่งวัดหลักห้านั้นเรียกตามเสาหลักเขต หลักที่ 5 ที่ปักอยู่ริมคลองดำเนินสะดวก บริเวณหน้าวัดนั่นเอง แต่มีชื่อทางราชการว่า วัดปราสาทสิทธิ์ ในปัจจุบัน จะรู้จักกันในชื่อวัดหลักห้า หรือวัดปราสาทสิทธิ์ ตั้งอยู่ในเขต ตำบลประสาทสิทธ์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ซึ่งตำบลประสาทสิทธิ์ปัจจุบันได้แยกพื้นที่ออกมาจากตำบลดอนไผ่ และมีอาณาเขตติดต่อกับ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร",
"ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย รับจ้าง โดยอาชีพเกษตรกรรมส่วนใหญ่อยู่นอกเขตเทศบาลและมีการประกอบอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่เป็นอาชีพพื้นบ้าน รายได้เฉลี่ย 69,836.50 บาท/คน/ปี การประกอบอาชีพเป็นไปตามสภาพของครัวเรือน ยังไม่มีการลงทุนในเชิงพาณิชย์ในด้านของการบริหาร จัดการ\nเนื่องจากพื้นที่ในเขตเทศบาล มีพื้นที่น้อย และไม่มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ถือว่าเป็นรายได้หลักของครัวเรือน",
"ประชากรในเขตเทศบาลตำบลปะลุรู ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น สวนยาง สวนผลไม้ บางส่วนค้าขาย และรับจ้างทั่วไป โดยเทศบาลตำบลปะลุรู ได้มีการส่งเสริมการพัฒนาอาชีพของประชาชน สนับสนุนกิจการตลาดเพื่อให้ประชาชนมีงานทำ ส่งเสริมการกระจายรายได้ของประชาชนอย่างทั่วถึง โดยมีศูนย์กลางการค้าขนาดเล็กแบบตลาดนัดชุมชน ซึ่งจะมีทุกวันพฤหัสบดี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางสำหรับซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคและวัสดุเครื่องใช้ทางการเกษตรซึ่งมีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และตลาดสดเทศบาลตำบลปะลุรูซึ่งจะให้บริการเป็นประจำทุกวัน",
"แรกเริ่มเกิดจากนโยบายทางด้านกีฬาของประเทศไทย ที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในด้านการกีฬา และพัฒนาวงการฟุตบอลอาชีพของไทย ซึ่งจังหวัดมุกดาหารได้เริ่มก่อตั้งทีมสโมสรฟุตบอลเป็นของตัวเอง ลงทะเบียนกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในชื่อเริ่มแรกว่า สโมสรฟุตบอลจังหวัดมุกดาหาร ต่อมาได้มีการร่วมมือด้านกีฬากับแขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น สโมสรฟุตบอลมุกดาหาร-สะหวันนะเขต (Mukdahan-Savannakhet Football Club) โดยมีฉายาในขณะนั้นว่า แก้วมุกดา (The Perfume Flower Trees) ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง และชื่อมีความคล้องจองกับสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ยุคใหม่ของจังหวัดคือ หอแก้วมุกดาหารหรือหอแก้วมุกดาหารเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก คือ หอสังเกตการณ์ที่มีความสูง 65.50 เมตร สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2539 ในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 ครบ 50 ปี) ทีมสโมสรฟุตบอลมุกดาหาร-สะหวันนะเขตมีการเปลี่ยนโลโก้สัญลักษณ์ จากสัญลักษณ์หลักที่เป็นรูปหอแก้วมุกดาหาร เป็นรูปสัญลักษณ์ของ พญานาค ซึ่งเป็นตำนานตามความเชื่อท้องถิ่นของจังหวัด",
"โดยมีหมู่บ้านตอนแรก 9 หมู่บ้าน\nชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีวัด 17 แห่ง และ โรงเรียนระดับพื้นฐาน9 โรง โรงเรียนมัธยมศึกษา 1 โรง มีโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่ง มีเส้นทางคมนาคมหลักคือ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2256) ด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้น หมู่ที่ 15 หมู่บ้านทรัพย์สมบูรณ์ ประชาชนส่วนมากประกอบอาชีพค้าขายปัจจุบันตำบลห้วยบงแบ่งการปกครองออกเป็น 25 หมู่ คือ",
"ลักษณะภูมิประเทศ\nสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม มีลำคลองที่ไหลผ่าน ได้แก่ คลองระแหง คลองมหาโยธา คลองพระอุดม\nคลองลาดหลุมแก้ว คลองลัดตามุ้ย และคลองลัดตาเขียน ซึ่งเป็นลำน้ำแหล่งสำคัญที่ประชาชนใช้ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตร \nทิศเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของลำธารสาธารณะ ตรงที่บรรจบกับฝั่งใต ของคลองมหาโยธา จากหลักเขตที่ 1 เลียบตามฝั่งใต้ของคลองมหาโยธา ไปทางทิศตะวันออก ถึงฝั่งตะวันตกของคลองลาดหลุมแก้ว ตรงที่บรรจบคลองมหาโยธาซึ่งเป็นหลักเขตที่ 2 ทิศตะวันออก จากหลักเขตที่ 2 เลียบตามฝั่งตะวันตกของคลองพระอุดม ไปทางทิศใต้ถึงฝั่งเหนือของคลองหลุมแก้ว ตรงที่บรรจบกับคลองพระอุดม ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 3",
"เทศบาลตำบลนาสาร อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอพระพรหม ประมาณ 4 ก.ม. ห่างจากจังหวัดนครศรีธรรมราช 15 ก.ม. อาชีพหลักของประชาชน ทำสวน/ทำไร่ และอาชีพเสริม ปลูกมันเทศ, ทำขนมแห้ง, ทำสวนผลไม้, เลี้ยงโค, ทำนา ",
"ตำบลบ้านไร่ มาจากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุในตำบลหลาย ๆ คน เล่าว่า เมื่อประมาณหลายร้อยปีมาแล้ว ประชาชนได้ย้ายถิ่นฐานมาจากอำเภอกงไกรลาศ มาจับจองที่ทำกินแหล่งใหม่ ในบริเวณที่ราบลุ่ม ริมฝั่งแม่น้ำน่านทั้ง 2 ฝั่ง ประกอบอาชีพเกษตรกร ทำไร่ ทำนา เป็นอาชีพหลัก จึงเป็นที่มาของตำบลบ้านไร่\nตำบลบ้านไร่อยู่ในเขตอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอระยะห่างจาก อำเภอประมาณ 9 กิโลเมตร ",
"ประชากรในตำบลวังหิน ๔,๕๔๘ คน แยกเป็น ชาย ๒,๒๖๒ คน หญิง ๒,๒๘๖ คน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนาเป็นหลัก เลี้ยงสัตว์ และปลูกผักสวนครัว",
"แบ่งเขตการปกครอง เป็น 6 หมู่บ้าน\nประกอบด้วยหมู่บ้าน หมู่ 1 นาแก้ว , หมู่ 2 นาแก้ว , หมู่ 3 นาแก้วน้อย , หมู่ 4 บ้านกอก , หมู่ 5 บ้านกอก , หมู่ 6 บ้านกอกสภาพทั่วไปของตำบล :\nลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มประชากรประกอบอาชีพทางการเกษตรและค้าขาย เช่น ทำนา ทำไร่ ตำบลบ้านกอกตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 5 บ้านกอก และอยู่ห่างจากอำเภอเขื่องใน 16 กม. และห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานี 56 กม.\nทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลโนนรัง",
"ชุมชนชาวหลักห้า เป็นชื่อเรียกของชุมชน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณหลักเขตที่ 5 ริมฝั่งคลองดำเนินสะดวก ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร บางส่วนและติดกับเขตตำบลประสาทสิทธิ์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตนี้มักเรียกชื่อ วัด หรือโรงเรียน ตามชื่อเสาหลักเขตที่ปักอยู่ริมคลองดำเนินสะดวก เช่น เรียกวัดปราสาทสิทธิ์ ว่าวัดหลักห้า เป็นต้น แต่เดิมตำบลประสาทสิทธิ์ รวมอยู่กับตำบลดอนไผ่ บางครั้งชาวบ้านอาจเรียกวัดประสาทสิทธิ์ว่าวัดดอนไผ่ \nชุมชนชาวหลักห้าส่วนใหญ่มีชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาชีพหลักได้แก่เกษตรกรรม เช่น\nการทำสวนองุ่น สวนส้ม แก้วมังกร มะม่วง มะพร้าวน้ำหอม ชมพู่ทับทิมจันทร์ และสวนผักต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย ในสมัยอดีต หน้าวัดปราสาทสิทธิ์ จะมีพ่อค้าแม่ขายน้ำพืชผลเกษตรกรรม มาจำหน่าย หรือแลกเปลี่ยนกัน จนกลายเป็นตลาดนัดทางน้ำ บางก็เรียกว่าตลาดน้ำหลักห้า หรือตลาดน้ำปากคลองบัวงาม แต่ปัจจุบันเมื่อมีถนนตัดผ่าน การเดินทางสัญจรทางรถยนต์มีมากขึ้น การเดินทางไปค้าขายทางรถมีความสะดวกเป็นอย่างมาก ตลาดน้ำหลักห้าจึงได้ซบเซาลงไปตามลำดับ กระทั่งปัจจุบัน จะมีพ่อค้าแม่ขายที่พายเรือจำหน่ายสินค้าจำนวนน้อยมาก",
"โดยการสืบสานปณิธานพ่อหลวงสร้างศูนย์เรียนรู้บัวหลวงตามรอยพ่อหลวงอยู่อย่างพอเพียงแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนผู้สนใจในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงและเขตปริมณฑลได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมและทัศนศึกษาเพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพของแต่ละพื้นที่ในแต่ละครัวเรือน ศูนย์เรียนรู้บัวหลวงตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 5 ตำบลหนองสามวัง อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้ก่อสร้างมาได้ประมาณปีเศษโดยภายในศูนย์นั้นปลูกไม้ยืนต้นและพืชล้มรุกหลากหลายพันธุ์ชนิดซึ่งตอนนี้เราก็พร้อมแล้วที่จะรับนักท่องเที่ยวซึ่งเรามีผลไม้อยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นส้มเขียวหวาน ขนุน ข้าวโพด ดอกมะลิ ฝรั่งไร้เมล็ด ผักบุ้ง ผักกระเฉด ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว พริก และพืชผักสวนครัวอีกมากมาย \nเมื่อนักท่องเที่ยวได้เข้ามาเที่ยวชมเราจะจัดบุคลากรบรรยายให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวสามารถนำความรู้เหล่านี้กลับไปเพาะปลูกผักสวนครัวในบ้านที่มีพื้นที่น้อยซึ่งสามารถประหยัดรายได้ให้อีกทางหนึ่งซึ่งนอกจากจะมาเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติแล้วยังสามารถทำให้นักท่องเที่ยวนั้นได้มีทักษะความรู้ในการประกอบอาชีพเพิ่มรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวตามแนวทางการพัฒนาด้านการส่งเสริมอาชีพและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนนายอนุกูล ฯ ยังกล่าวเสริมต่ออีกว่าโครงการดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีโดยนายชาญ พวงเพ็ชร์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีมอบนโยบายให้นายสาคร อำภิน รองนายกจัดสรรงบประมาณจัดสร้างศูนย์เรียนรู้ดังกล่าวเพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพต่างๆเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวตามแนวทางการพัฒนาด้านการส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนทั้ง 7 อำเภอได้แก่อำเภอเมือง อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรี อำเภอลำลูกกา อำเภอหนองเสือโดยได้นำชาวบ้านทั้ง 7 อำเภอไปศึกษาดูงานตามแนวพระเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและการจัดโครงการดังกล่าวนี้ขึ้นเพื่อให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้บนวิถีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมทั้งช่วยลดปัญหาการว่างงานของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี โดยการเชิญชวนประชาชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีศึกษาดูงานที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงในหมู่ที่ 7ต.หนองสามวัง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานีเพื่อพัฒนาศักยภาพของประชาชนในเขตจังหวัดปทุมธานีตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงรวมทั้งมุ่งส่งเสริมการประกอบอาชีพของประชาชนและได้เรียนรู้วิถีชีวิตโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนและการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรในจังหวัดปทุมธานีในการศึกษาดูงานพร้อมทั้งท่องเที่ยวทัศนศึกษาในครั้งนี้เพื่อนำกลับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันรวมทั้งนำความรู้ต่างๆจากการศึกษาดูงานแล้วพร้อมทั้งเที่ยวชมนำกลับไปทำในด้านเกษตรปลูกใช้ในครัวเรือนได้อีกต่อไปสำหรับโครงการท่องเที่ยวดังกล่าวนี้เป็นโครงการนำร่อง เพื่อให้พ่อ แม่ พี่น้อง ที่เข้ามาเที่ยวชมศูนย์เรียนรู้ทุ่งบัวหลวงตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำกลับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ในการทำเกษตรแบบพอเพียงและสามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนได้เป็นอย่างดี",
"หลวงปู่ขาว อนาลโย นามเดิมชื่อ ขาว โคระถา เกิดวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ปีชวด ที่บ้านบ่อชะเนง ตำบลหนองแก้ว อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันขึ้นกับตำบลหนองแก้ว อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ) บิดาชื่อ พั่ว โคระถา มารดาชื่อ รอด โคระถา มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน ท่านเป็นคนที่ 4 ทำอาชีพหลักของครอบครัว คือ ทำนาและค้าขาย ต่อมาท่านได้สมรสกับนางมี โคระถา เมื่อ พ.ศ. 2452 ขณะอายุได้ 20 ปี มีบุตรด้วยกัน 3 คน ใช้ชีวิตคู่ได้ 11 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา นอกจากหลวงปู่ขาวแล้วยังมีผลผลิตทางธรรมจากบ้านบ่อชะเนงและเป็นญาติกับหลวงปู่ขาว อีก ๒ รูป คือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร กรุงเทพมหานคร และพระราชปรีชาญาณมุนี (หลอม มหาวิริโย ป.ธ.๗) เจ้าอาวาสวัดบ่อชะเนง และเจ้าคณะจังหวัดอำนาจเจริญ (รูปปัจจุบัน) ",
"พ.ศ. 2529 เป็นปีที่พระพยอมรับกิจนิมนต์มากทำให้ทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ของคนระดับกลางลงมา ซึ่งต้องยอมรับว่าบุคคลเหล่านี้มีพฤติกรรมหลงใหล ใฝ่ต่ำเรื่องเพศ เรื่องเหล้า เมายา ไม่มีสมองที่จะคิดพัฒนาใด ๆ เท่าที่ควรทำให้พระพยอมตัดสินใจที่จะช่วยบุคคลเหล่านี้ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระพยอมจึงได้รวบรวมทุนทรัพย์ส่วนตัวซึ่งมีไม่มากนักนำมาใช้พัฒนาบริเวณวัด และหาทุนซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงต่อออกไปอีก เพื่อทำเป็นมูลนิธิสวนแก้ว ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการบริหารงานช่วยสังคม ปัญหาของสังคมทุกวันนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างฐานะ อาชีพ ความรู้ และโอกาส ซึ่งพระสงฆ์ควรจะมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหานี้ด้วย ด้วยปณิธานที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเผยแพร่ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักการใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ท่านจึงได้จัดตั้งมูลนิธิสวนแก้วขึ้น ในปี พ.ศ. 2529",
"เมืองห้วยบง หรือ ตลาดห้วยบง เป็นส่วนหนึ่งในตำบลห้วยบงของอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา โดยแยกปัจจุบันครอบคลุมหมู่ที่ 1 ,15 และบางส่วนของหมู่ที่ 20 ของตำบลห้วยบง ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีวัด 1 แห่ง คือวัดห้วยบง และ โรงเรียนประถมศึกษา1 โรง คือ โรงเรียนบ้านห้วยบงโรงเรียนมัธยมศึกษา 1 โรง คือ โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ มีโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่ง มีเส้นทางคมนาคมหลักคือ (ถนนชัยบาดาล-ด่านขุนทด) ด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้น หมู่ที่ 15 หมู่บ้านทรัพย์สมบูรณ์ ประชาชนส่วนมากประกอบอาชีพค้าขาย",
"อาชีพหลักของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโพนโก ซึ่งได้แก่ อาชีพเกษตรกรรม ซึ่งประชาชนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีประมาณ ร้อยละ 95 (ทำนา) และเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรแล้วจะว่างงาน ซึ่งทำให้มีการอพยพแรงงานชั่วคราวไปทำงานต่างถิ่น เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว โดยแรงงานส่วนใหญ่จะอพยพเข้ากรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคตะวันออกในช่วงเดือน มกราคม ถึง เดือน พฤษภาคม "
] |
ใครเป็นผู้ก่อตั้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา? | [
"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา กำเนิดขึ้นจากพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า หลังจากพระองค์เสด็จประพาสและประทับพักฟื้น ณ พระตำหนัก ตำบลบางพระ จังหวัดชลบุรี ในปี พ.ศ. 2441 ในการนี้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้จัดสร้างเรือนไม้ยื่นลงในทะเลตำบลศรีราชา เพื่อเป็นพระตำหนักแห่งใหม่และเชิญเสด็จจากตำบลบางพระมาประทับที่นี่ แต่พระตำหนักเรือนไม้ดังกล่าวอยู่ในน้ำ คับแคบและไม่แข็งแรง ราว 1 ปีหลังสร้างเสร็จ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าจึงทรงพระดำริเลือกหาพื้นที่บนชายฝั่งตำบลศรีราชาสำหรับสร้างพระตำหนัก จนกระทั่งพระองค์พอพระทัยพื้นที่บริเวณเนินเขาชายทะเลด้านทิศใต้ของพระตำหนักไม้เดิม พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์และเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีถวายความเห็น ต่อมามีพระกระแสรับสั่งให้จัดสร้างพระตำหนักใหญ่ 3 ชั้นขึ้นหลังหนึ่งสำหรับเป็นที่ประทับและเรือนหลังย่อมๆอีก 4-5 หลัง[2]"
] | [
"ระหว่างที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าประทับอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ มีข้าราชบริพารและเจ้าหน้าที่รักษาพระองค์เป็นจำนวนมากที่เจ็บป่วย ประชาชนในเขตตำบลนี้ย่อมต้องเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน ด้วยพระทัยเต็มไปด้วยการกุศลสาธารณะจึงทรงมีดำริให้สร้างสถานพยาบาลขึ้นในบริเวณใกล้เคียงพระตำหนักของพระองค์ ในช่วงก่อตั้งมีพระบำบัดสรรพโรค(หมอเอช. อาดัมสัน) เป็นผู้ช่วยในการวางแผนผังการก่อสร้าง โดยสร้างเป็นเรือนหลังคามุงจาก 2 ชั้นขึ้นก่อน 1 หลัง แล้วเพิ่มขึ้นอีก 4 หลังเป็นกลุ่มอาคารเดียวกันยื่นลงไปในทะเล การก่อสร้างสถานพยาบาลใหม่นี้แล้วเสร็จในต้นเดือน กันยายน พ.ศ. 2445[3]",
"หลังจากนั้น หลวงพ่อทอง ท่านเริ่มอาพาธเป็นโรคปอดติดเชื้อ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ จนถึงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลาประมาณ 11.10น. หลวงพ่อทอง ปญฺญาทีโป ได้มรณภาพอย่างสงบ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ด้วยอาการปอดติดเชื้อ สิริอายุ 94 ปี พรรษาที่ 68",
"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เป็นโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุดในสังกัดสภากาชาดไทย ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกและสถาบันสมทบเพื่อการผลิตแพทย์ให้กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2445 ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ริมชายฝั่งทะเลอ่าวไทย สร้างขึ้นตามพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า[1]",
"สภากาชาดไทยเห็นถึงปัญหาความขาดแคลนแพทย์ในระดับภูมิภาคของประเทศไทย จึงรับนโยบายผลิตแพทย์เพิ่มของรัฐบาล ตามแผนลงทุนเสริมสร้างโครงสร้างสาธารณสุขแห่งชาติ พ.ศ.2549-2552 ตามมติการประชุมคณะกรรมการสภากาชาดไทย ครั้งที่ 293 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงเป็นองค์ประธานการประชุม ได้มีมติอนุมัติโครงการร่วมผลิตแพทย์ชั้นคลินิก(นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4-6) ระหว่างโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา[10]",
"ในปีการศึกษา 2553 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา รับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน 9 จังหวัดต่อไปนี้ ได้แก่ ชลบุรี สมุทรปราการ นครนายก ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว จำนวน 48 คน เข้าเป็นนิสิตแพทย์รุ่นที่ 4 โดยที่ นิสิตกลุ่มแรก จำนวน 32 คนจะไปศึกษาชั้นคลินิกที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และกลุ่มที่ 2 อีก 16 คนจะไปศึกษาชั้นคลินิกที่ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดยการเลือกสถานที่ศึกษาระดับคลินิก เป็นการตกลงกันเองระหว่างนิสิต",
"พระองค์ทรงเป็นผู้นำชักชวนสตรีไทย ให้เลิกการคลอดบุตรในลักษณะที่ต้องอยู่ไฟมาใช้วิธีการพยาบาลแบบสากล ที่สุขสบายและได้ผลดีกว่า นอกจากนี้พระองค์ยังมีพระราชดำริจัดตั้งสภาอุณาโลมแดงและได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2436 เพื่อเป็นศูนย์กลางบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ซึ่งต่อมาภายหลังที่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส เรื่องเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อ พ.ศ. 2436 อันนำมาซึ่งการบาดเจ็บให้กับทหารและราษฎรจำนวนมาก สภาอุณาโลมแดง ได้เป็นศูนย์กลางในการบรรเทาทุกข์ลงอย่างมาก หลังจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว สภาอุณาโลมแดง จึงใช้ชื่อว่า สภากาชาดสยาม ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทยในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรแรกในประเทศไทย[38] ทั้งนี้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) เป็นสภาชนนี และพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกา ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสืบต่อมารวมเวลาถึง 26 ปี[39] อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ แก่โรงพยาบาลหลายแห่งทั้งใน กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด",
"ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลด้านกายภาพทั้งเงินค่าก่อสร้าง ค่าซ่อมแซม รวมถึงค่าใช้สอยประจำโรงพยาบาลจำพวก ค่าเวชภัณฑ์ ค่าครุภัณฑ์ ค่าอาหารเลี้ยงคนเจ็บไข้ ตลอดจนเงินเดือนแพทย์และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ เป็นเงินส่วนพระองค์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทั้งสิ้น พระองค์พระราชทานตลอดมาทุกปี เป็นเงินราวปีละ 15,000 บาท ภายหลังได้เพิ่มเป็น 20,000 บาท ตลอดพระชนมายุ ต่อจากนั้นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพระราชทานเงินส่วนนี้เสมอมาทุกปี เพื่อเป็นที่รำลึกถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โรงพยาบาลได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา\"[6]",
"หมวดหมู่:สภากาชาดไทย หมวดหมู่:คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมวดหมู่:โรงพยาบาลในประเทศไทย หมวดหมู่:สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ไทย",
"พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา อธิบดีกรมพยาบาล กระทรวงธรรมการ เสด็จประกอบพิธีเปิดสถานพยาบาลนี้ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2445 มีชื่อเรียกในขณะนั้นว่า “โรงพยาบาลศรีมหาราชา” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าพระราชทานนามโรงพยาบาลนี้ว่า “โรงพยาบาลสมเด็จ”[4]",
"แรกเริ่มสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงฝากโรงพยาบาลสมเด็จสมเด็จนี้ไว้ในสังกัดโรงพยาบาลศิริราช จนถึงปี พ.ศ. 2461 พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้โรงพยาบาลนี้ไปอยู่ภายในการกำกับดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[7] ภายใต้กระทรวงธรรมการ(กระทรวงศึกษาธิการ) 10 ปีให้หลังในเดือนเมษายน พ.ศ. 2471 จึงโปรดเกล้าฯให้โอนโรงพยาบาลจากกระทรวงธรรมการไปสังกัดสภากาชาดไทย เป็นโรงพยาบาลแห่งที่สองของสภากาชาดไทยแต่มีอายุมากกว่าโรงพยาบาลแห่งแรกคือโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ถึง 12 ปี[8]",
"ต่อมาวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ได้มีพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลง เรื่องความร่วมมือในการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ระหว่างสภากาชาดไทยและมหาวิทยาลัยบูรพา ในข้อตกลงความร่วมมือการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทร่วมกันโดยยืนยันเป็นพันธะร่วมกัน ที่จะรับผิดชอบดำเนินการร่วมมืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาการแพทย์ การสาธารณสุขของประเทศ และประชาชนในชนบทเป็นสำคัญ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ได้จัดพิธีมอบเสื้อกาวน์และปฐมนิเทศนิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา ชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 1 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่นิสิตแพทย์รุ่นแรกได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาล อย่างเป็นทางการ[11]",
"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นคลินิก(นิสิตแพทย์ชั้นปี 4-6) ตามหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ใน 1 หลักสูตร คือ",
"ในปี พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จฯ ประพาสจังหวัดเชียงใหม่และเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ในปี พ.ศ. 2472 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้เสด็จเปิดตึก ณ เชียงใหม่ ซึ่งพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พร้อมด้วยเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้เป็นองค์ประธานบริจาคทรัพย์ในการสร้างเพื่อใช้เป็นอาคารผู้ป่วยนอก ต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ได้เสด็จเปิดตึกสูติกรรม ซึ่งได้บริจาคโดย หลวงอนุสารสุนทร และนางคำเที่ยง ชุติมา",
"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา",
"พระองค์ทรงสนับสนุนโรงศิริราชพยาบาล ในปี พ.ศ. 2431 ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เรื่อยมาตราบจนพระองค์เสด็จสวรรคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระราชโอรสธิดาไปถึงจำนวน 6 พระองค์ ส่งผลให้พระองค์ทรงพระประชวรและเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระองค์ที่พระตำหนักศรีราชา ซึ่งพระองค์ทรงให้จัดสร้างสถานพยาบาลขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลสมเด็จ” ปัจจุบัน คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และพระองค์ยังทรงริเริ่มหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อให้การรักษาแก่ประชาชนที่อยู่ห่างไกลอีกด้วย นอกจากนี้ ยังพระราชทานทุนส่งแพทย์พยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศเพื่อพัฒนาวงการแพทย์ไทยอย่างต่อเนื่อง[38]",
"มหาวิทยาลัยบูรพา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า",
"นอกจากนี้พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งองค์สภาชนนีสภาอุณาโลมแดง อันเป็นชื่อของสภากาชาดไทยเมื่อครั้งแรกตั้งในต้นรัชกาลที่ 5 เป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว และองค์สภานายิกา สภากาชาดไทย พระองค์ที่ 2 และทรงสร้างสถานพยาบาลขึ้น ปัจจุบัน คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสภากาชาดไทย",
"จากความทรุดโทรมของตัวโรงพยาบาลที่ยื่นลงไปในทะเล ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการใช้งานอีกทั้งความทรุดโทรมนี้ไม่คุ้มค่าที่จะซ่อมแซม นายบัวหรือขุนปราณเขตต์นครซึ่งเป็นผู้ดูแลโรงพยาบาล กราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เพื่อขอย้ายโรงพยาบาลขึ้นไปตั้งบนบกทางด้านหนือของเขาพระตำหนัก(คือที่ตั้งโรงพยาบาลปัจจุบันนี้) พระองค์ทรงเห็นชอบด้วยและได้พระราชทานเงินเป็นค่าก่อสร้างในการย้ายนี้ประมาณสองหมื่นบาทเศษ โดยเริ่มสร้างโรงพยาบาลบนบกในปี พ.ศ. 2451 ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง หลังแรกเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ 2 ชั้น ชั้นล่างสำหรับทำการตรวจโรคและชั้นบนเป็นที่ทำการ หลังที่สองและสามเป็นเรือนไม้สำหรับผู้ป่วย หลังที่สี่เป็นเรือนไม้ยาวชั้นเดียวยกพื้นสำหรับเป็นที่อยู่ของเจ้าหน้าที่ หลังที่ห้าเป็นบ้านพักแพทย์ผู้ปกครองโรงพยาบาล 1 หลัง อยู่บริเวณหน้าเรือนพักผู้ป่วย เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ย้ายคนเจ็บไข้จากเรือนในน้ำมาอยู่ในที่นี้เมื่อ พ.ศ. 2452[5]",
"หมอเอ้ก คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ (ชื่อเล่น: เอ้ก) แพทย์ประจำบ้านสาขาจักษุวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อดีตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รักดี เวนเจอร์/คราวด์ฟันดิ้ง จำกัด และอดีตนักแสดงและนายแบบ",
"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา มีศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก(ศพค.) จัดตั้งอยู่ในโรงพยาบาลทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนและฝึกปฏิบัติทางการแพทย์ให้กับนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4-6 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำหน้าที่สถาบันพี่เลี้ยง[9]",
"ปริญญาตรีสถาบันอุดมศึกษา หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา",
"นายแพทย์คณวัฒน์ เข้ารับพระราชทานปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 จากนั้นเป็นแพทย์ใช้ทุน ประจำโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ก่อนกลับมาศึกษาต่อด้านจักษุวิทยา ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย",
"พระตำหนักศรีราชาเป็นที่ประทับระหว่างพักฟื้นจากพระอาการประชวร เดิมเป็นพระตำหนักที่สร้างอยู่ริมทะเลต่อมาเมื่อพระตำหนักทรุดโทรมลง จึงทรงให้จัดสร้างพระตำหนักใหม่บริเวณเนินเขา และใน พ.ศ. 2486 กรุงเทพประสพภัยทางอากาศจากสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์จึงเสด็จมาประทับที่ตำหนักศรีราชาอีกระยะหนึ่ง ปัจจุบัน พระตำหนักศรีราชา เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา",
"ใช้ระยะเวลาในการศึกษาตลอดหลักสูตรรวม 6 ปี ดังนี้",
"โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2518 โดยบริษัท Llewelyn-Davies Weeks Forester-Walkers and Bor. แห่งประเทศอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบ และบริษัท Kingston Reynolds Thom & Allardice Limited (KRTA) แห่งประเทศนิวซีแลนด์เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง และเป็นที่ปรึกษาการวางแผนผังออกแบบสร้างคลังเลือดกลาง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินวางศิลาฤกษ์อาคารโรงพยาบาล ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ชื่อว่าโรงพยาบาลศรีนครินทร์ (SRINAGARIND HOSPITAL) โรงพยาบาลแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2521 และเริ่มเปิดบริการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ในปัจจุบัน",
"ระดับชั้นสถานที่ศึกษาสังกัดระยะทางระหว่างสถานที่ศึกษา ระดับชั้นเตรียมแพทยศาสตร์และชั้นปรีคลินิก (ชั้นปี 1 - 3) ระดับชั้นคลินิก (ชั้นปี 4 - 6) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย มหาวิทยาลัยบูรพา สภากาชาดไทย ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตรบนเส้นทางถนนสุขุมวิท จากมหาวิทยาลัยบูรพาถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา",
"พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงอุปการะกิจการเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย อาทิ สมาคม องค์กร และชุมนุมซึ่งบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เช่นเมื่อครั้งทรงเจริญพระชันษา 60 ปี ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2508 ได้ทรงจัดงานฉลองพระชันษา ณ วังรื่นฤดี มีเจ้านายพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ตลอดจนพระอนุวงศ์ ข้าราชบริพาร และผู้จงรักภักดีเสด็จและเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เป็นอาทิ การนั้นได้มีผู้ถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัยเป็นจำนวนมากจึงได้ทรงสมทบเพิ่มเติมและประทานแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยจนสามารถสร้างอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกและห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทางด้านสวนลุมพินีได้ 1 หลัง แต่มิได้โปรดให้ใช้พระนามของพระองค์เป็นนามตึก หากแต่ได้พระราชทานนามว่า “ตึกมงกุฎ-เพชรรัตน” โอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดตึก ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 ด้วย นอกจากนี้ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ทรงได้รับมรดกคือที่ดินและบ้านของพระบุพการี ณ จังหวัดปราจีนบุรี ก็ทรงพระกรุณาประทานกรรมสิทธิ์ให้แก่ทางราชการ เมื่อทางราชการได้ใช้สถานดังกล่าวสร้างโรงพยาบาลก็ไม่ใช้พระนามของพระองค์เป็นนามโรงพยาบาลแห่งนี้ หากแต่โปรดพระราชทานทานนามว่าโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อเป็นเกียรติแก่พระบรรพบุรุษ ",
"กาชาด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สถานเสาวภา สถานีเอื้อน อนามัย จังหวัดเพชรบุรี ยุวกาชาด โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ",
"โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เดิมชื่อว่า โรงพยาบาลสมเด็จ เป็นโรงพยาบาลที่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงจัดสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2445 ทางโรงพยาบาลได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์ของพระองค์ขึ้นภายในโรงพยาบาล นอกจากนี้ อาคารต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาลนั้นยังได้รับพระราชทานนามตามพระนามของพระองค์ ได้แก่ ตึกพระพันวัสสา ตึกสว่างวัฒนา ตึกศรีสวรินทิรา ตึกบรมราชเทวี ตึกอัยยิกาเจ้า และตึกศรีสมเด็จ[43] นอกจากนี้ ภายในโรงพยาบาลยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ ณ ตึกพระพันวัสสา เพื่อจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชประวัติ และเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพระองค์[44]"
] |
วันเดอร์เกิลส์ เป็นวงหญิงล้วนใช่ไหม ? | [
"อัน โซ-ฮี (; 27 มิถุนายน พ.ศ. 2535 – ) หรือชื่อในการแสดงว่า โซฮี (Sohee) เป็นไอดอล นักร้อง นักแสดง นักเต้น นางแบบ และพิธีกรชาวเกาหลีใต้ มีชื่อจากการเป็นสมาชิกวงดนตรีหญิงล้วนวันเดอร์เกิลส์ของค่ายเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์"
] | [
"ในปีพ.ศ. 2544 วงพาวเวอร์แพทได้ออกอัลบั้มชุดที่สองติดต่อกันมา คืออัลบั้ม \"POWER POP\" กับสังกัดUp^G ในเครือGMM Grammy เปิดตัวด้วยเพลง \"หลุดปากใช่ไหม\"",
"ต่อไปนี้รายชื่อผลงานเพลงของวง มิสเอ (miss A)วงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกาหลีใต้",
"เอส.อี.เอส (; ) เป็นวงดนตรีเกาหลีใต้ที่มีสมาชิกวงเป็นหญิงล้วน มีสมาชิกทั้งสิ้น 3 คนคือ บาดา, ยูจีน และ ชู โดยถือว่าวงนี้เป็นวงดนตรีหญิงล้วนวงแรกที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเกาหลีโดยทางวงออกอัลบั้ม ทั้งสิ้น 7 อัลบั้มก่อนที่จะแยกวงไปในปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)",
"ก่อนที่จะเปิดตัวในนามวงทูพีเอ็ม เขาเคยเป็นแดนเซอร์ตัวแทนให้ท็อปแห่งวงบิ๊กแบงซึ่งต้องเต้นคู่กับยูบินแห่งวงวันเดอร์เกิลส์ เพราะท็อปเป็นลมก่อนการโชว์ชุดพิเศษในงาน 2007 MBC Music Awards",
"แองจี้ส์ (อังกฤษ: Angies) วงดนตรีเกิร์ลกรุปหญิงล้วนชาวไทย ที่มีผลงานกับค่าย Polygram โด่งดังจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และเป็นที่ฮือฮาเพราะกระแสที่วงแองจี้ส์ก๊อปลุค Spice Girls กลุ่มศิลปินหญิงจากอังกฤษ",
"ที-สเกิ๊ต () มาร์, จอย, กิ๊ฟ วงดนตรีหญิงล้วนจากคีตา เรคคอร์ดส หรือ คีตา เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ เริ่มมีผลงานเพลงในปี พ.ศ. 2538 ออกอัลบั้มเพียงสองชุด เป็นที่รู้จักอย่างมากกับเพลง ไม่เท่าไหร่, เจ็บแทนได้ไหม, ฟ้องท่านเปา, เรื่องมันเศร้า, ปวดร้าว เป็นต้น",
"โชโจไต () ; () เป็นวงดนตรีป็อบทริโอหญิงล้วน จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียงสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น และประเทศแถบเอเชียในช่วง ค.ศ. 1984 ถึง ค.ศ. 1989 ควบคู่ไปกับวงชายล้วน ชื่อ โชเนนไต (Shonentai) () ที่โด่งดังในช่วงเวลาเดียวกัน",
"ด้วยความหลงใหลในดนตรีของราโมนส์ และในโอกาสครบรอบ 30 ปีของวง วงโชเนน ไนฟ์ วงสามหญิงล้วนจากโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1981 ได้ร่วมจัดทำอัลบั้ม \"Osaka Ramones\" ซึ่งเป็นการโคเวอร์เพลงทั้งหมด 13 เพลงโดยวง",
"วีนัส บัตเตอร์ฟลาย (Venus Butterfly) กลุ่มศิลปินหญิงล้วนซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 คน คือ โหน่ง, เหน่ง, เคธี่, ตาล และอ๋อม Venus Butterfly คือชื่อวงดนตรีหญิงล้วนที่เล่นเพลงร็อก มีจุดกำเนิดเมื่อแปดปีก่อน เมื่อ 'โหน่ง – พิมพ์ลักษณ์ กมลเพชร' ได้รับเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงในงานการกุศลที่มหาวิทยาลัยซึ่งเธอศึกษาอยู่จัดขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากขึ้นไปครวญเพลงคลอดนตรีตามลำพัง เธอจึงเอ่ยปากชวน 'เคที่ – คทรีนา กลอส' เพื่อนสนิทให้ขึ้นไปแจมด้วยกัน และความรู้สึกสนุกก็ลากไกลไปถึงระดับที่ต้องการจะฟอร์มวงดนตรีหญิงล้วนขึ้นไปแสดงบนเวทีเลยทีเดียว",
"หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวไว้ใน งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย ว่า \"\"ที่เรียกว่าชาวไทเหนือนั้นไม่มีอะไรที่แตกต่างกับไทพวกอื่นมากนัก แต่พวกนี้ชอบอยู่สูงมากกว่าไทพวกอื่น และเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ หญิงไทเหนือชอบใส่เสื้อเพียงรัดอก และเสื้อสั้น แต่ก็ไม่ใช่ของคุณภาพเลว อาจเป็นไหมหรือแพรก็ได้ ผู้หญิงทำงานเลี้ยงไหมและทอผ้า ย้อมผ้ามาก และรู้จักให้สีกลมกลืนกันดี พวกนี้นับถือพระพุทธศาสนาแต่มีวัดและพระน้อยเต็มที เป็นพวกอ่อนโยนแต่ไม่ชอบการค้า ชอบแต่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ข้อเสียของไทพวกนี้คือติดฝิ่นมาก เพราะได้ตัวอย่างมาจากพวกแม้วและเย้า ซึ่งใกล้ชิดกันเสมอ\"\"",
"ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผลงานเพลงของวันเดอร์เกิลส์ (Wonder Girls) วงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกาหลีใต้",
"พ.ศ. 2543 ซาซ่าได้มีผลงานเพลงอัลบั้มชุดที่สอง คือ ซาซ่า ซีทู (Zaza Z2) ซึ่งเปิดตัวมาด้วยเพลงสนุกสนานอย่าง โอ๊ย...เข้าทาง ที่ดูโตขึ้นมาจากอัลบั้มแรก ในอัลบั้มนี้ มีเพลงที่ฮิตที่สุดของวงซาซ่านั่นก็คือเพลง เลือกได้ไหม โดยแก้วเป็นผู้ร้องนำ และยังมีพิมแสดงเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโออีกด้วย นอกจากนี้ อัลบั้มนี้ยังมีเพลงฮิตหลายเพลง ทั้งเพลง ข้อสอบ โดยน้ำหวาน, เข้าใจใช่ไหม โดยพิม และอย่าวัดด้วยสายตา โดยแก้ว",
"ต่อไปนี้เป็นผลงานของวง Girl's Day(เกิร์ลเดย์)เป็นวงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกหลีใต้",
"ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผลงานเพลงของ เอพิงก์ (A Pink) วงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติเกาหลีใต้",
"ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 บับเบิ้ล เกิร์ลส์ ได้ร่วมกับเกิร์ลกรุ๊ปวงจากค่ายเดียวกัน คือวง ซาซ่า ออกอัลบั้ม Surprise มีเพลงดังอย่าง Surprise และ อยู่ได้ไหม จนมาถึงอัลบั้มชุดที่สองอัลบั้ม \"Hey Boy!\" ก็มีเพลงดังอย่าง Hey Boy! , ไม่ต้องมาอีกใช่ไหม และเพลง หลีกทาง เป็นต้น",
"พ็อปพิวเลดี () เป็นวงดนตรีหญิงล้วนสัญชาติไต้หวัน มีสมาชิกห้าคน ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 และสังกัดฮิมอินเตอร์เนชันนัลมิวสิก (HIM International Music) ชื่อวงย่อมาจาก \"popular lady\" แสดงถึงความประสงค์ของหญิงสาวกลุ่มนี้ที่จะแสวงหาชื่อเสียงลาภยศโดยใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือ",
"ในวงขับร้องประสานเสียงแบบสี่แนว SATB เสียงอัลโต ถือเป็นโทนเสียงสูงเป็นที่สองจากสี่ระดับ (ประกอบด้วย โซปราโน, (คอนทรา)อัลโต, เทเนอร์ และเบส) โดยโทนเสียงต่ำสุดของนักร้องหญิง บางครั้งเรียกว่า คอนทราลโต (contralto) มาจากการประสมคำว่า contra และ alto แต่หากเป็นวงขับร้องประสานเสียงแบบหญิงล้วน ซึ่งมักนิยมร้องแบบสองแนว SA หรือสามแนว SSA เสียงอัลโตจะเป็นเสียงนักร้องหญิงที่โทนเสียงต่ำที่สุดในวง",
"อัลบั้ม \"3 7 21.5\" อัลบั้มเดียวของวง XL Step เป็นแนวฮิพฮอพ และ R&B มีวงผิวดำจากอเมริกามาร่วมแจมร้องแร็พด้วย ชื่อวง AOC คุณภาพของงานจัดว่าเข้าขั้น \"ดีมาก\" ทั้ง 10 เพลงถือว่าฟังได้หมด ถึงจะเป็นอัลบั้มเดียว แต่ขอบอกว่าโด่งดังไม่น้อยเลย เป็นอัลบั้มที่เพลงเร็วคึกคัก เพลงช้าก็สุดซึ้ง เพลงทั้งหมดแต่งโดยเชษฐา ยารสเอก และเอ ณัฐพงศ์ มงคลธรรม ใช้คอร์ดแปลกๆ นิดนึง แต่ฟังเข้าหูไม่เลว ไม่ว่าจะเป็น ชายในฝัน, แค่หนึ่งคืน, กุลสตรี, Shock, เคยรักฉันบ้างไหม, เหนื่อยใจ, ใช่...Angel, อย่าถามเลย, Honey (Tonights The Night) และ เพราะเธอมีฉัน ",
"จากความมุ่งหมายที่ต้องการให้โรงเรียนดนตรีศศิลิยะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง วงคีตกวีจึงถือกำเนิด โดยมีเขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ และอัสนี โชติกุลเป็นผู้เขียนคำร้อง ในการนี้ เรวัติ พุทธินันทน์ อดีตสมาชิกของ The Impossible และ Oriental Funk ได้ก้าวเข้ามามีส่วนร่วม ภายใต้การอำนวยการผลิตโดยดนู ฮันตระกูล และได้ใช้ชื่อชุดว่า\"เรามาร้องเพลงกัน\" การรวมตัวกันในครั้งนั้น เป็นการนำเสนอ และแสดงออกทางด้านความนึกคิดต่าง ๆ ผ่านบทเพลง ไปจนถึงอุดมการณ์ของชีวิตทาง สังคม และปรัชญา แรงจูงใจแห่งความสำนึกของชุมชนโลกกว้างที่มุ่งไปทางสันติภาพในช่วงเวลาของสงครามเวียดนาม การเรียกร้อง แสวงหาสันติภาพ รวมไปถึงขบวนการฮิปปี้ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อดนตรีของพวกเค้า บทเพลงที่กลั่นกรองสู่สังคมจึงไม่ใช่แค่ความไพเราะ หรือโก้เก๋เท่านั้น ดนตรีที่ปั้นแต่งพร้อมกับอุดมการณ์จึงทำให้เนื้อหาค่อนข้างจะฟังยากอยู่หลายปี ดนู ฮันตระกูล ได้เริ่มก่อตั้งวงดนตรีไหมไทย เมื่อปี พ.ศ. 2530 ไหมไทยถือเป็นรูปแบบดนตรีเครื่องสาย 12 ชิ้น และพิณฝรั่ง ซึ่งเป็นวงดนตรีทีบรรเลงและขับร้องได้หวานซึ้ง นิ่มนวล ยึดถือธรรมชาติวัฒนธรรมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนของวง และในปีเดียวกัน 2530 ก็มีผลงานเพลงชุดแรก คือ ชีพจรลงเท้า และเขมรไทรโยกออกสู่สังคม ไหมไทยได้ร่วมงานกับ จรัล มโนเพ็ชร ออกเพลงชุด ลำนำแห่งขุนเขา โดยนำ เอาเพลงที่จรัล มโนเพชรแต่งมาร่วมร้องออกลักษณะพื้นเมืองเหนือ จนกระทั่งมาถึงงานเพลงชุด เงาไม้ ใน ปี 2532 ไหมไทย ได้เพิ่มนักร้องหญิงคือ สุภัทรา อินทรภักดี สร้างเพลงร้องและประสานเสียง คือเป็นมิติใหม่เต็มรูปแบบของไหมไทย ปัจจุบันวงไหมไทย ได้กลายเป็นวงแซมเบอร์ ออร์เคสตร้า ขนาดใช้ 32 คนใช้เครื่องดนตรีสากลบรรเลงตามแบบฉบับวงดนตรีชั้นนำทางประเทศตะวันตก วงไหมไทยได้สรรสร้างบทเพลงมากมายให้กับวงการเพลงบ้านเรา แต่อาจจะรับรู้กันไม่กว้างขวางนัก เนื่องจากมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และไม่ได้เขียนเพลงแบบอย่างที่นิยมตามตลาดไทยในขณะนี้",
"โดยซาซ่า มีผลงานอัลบั้มเต็มถึง 5 ชุด ในระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ยังมีอัลบั้มที่ออกคู่กับศิลปินท่านอื่น และโปรเจกต์พิเศษอีกมากมาย โดยซาซ่ามีผลงานเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงมากมาย ได้แก่เพลง รู้ตัวมั๊ย, นอนไม่หลับ, เธอคงไม่รู้, รัก ไม่รัก,โอ๊ย...เข้าทาง, เลือกได้ไหม, เข้าใจใช่ไหม, ข้อสอบ, อย่าวัดด้วยสายตา, ใจละลาย, น่าจะเข้าใจ, เคยไปทำเธอตอนไหน,เอะอะก็ไม่คิด, จบไปได้แล้ว, เหรอ, ความเดิมตอนที่แล้ว, ความผิดติดตัว, หวานใจ, คำขอครั้งสุดท้าย และเพลง เสียงจากคนใกล้ตัว เป็นต้น",
"ตำนานสาวปีกฉีกกลับมาเป็นที่ร่ำลือกันอีกครั้งในต้นพุทธทศวรรษที่ 2500 ว่ากันว่า เด็กบางคนเมื่อเดินอยู่ลำพังในยามวิกาลอาจพบหญิงสาวคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อป้องกันมิให้คนอื่นติดโรคของตัวไปด้วยเป็นต้น ครั้นแล้ว หญิงนั้นจะหยุดเดินและถามเด็กว่า \"ฉันสวยไหม\" ถ้าเด็กบอกปัด หญิงนั้นจะล้วงกรรไกรออกมาตัดปากเด็กจนถึงแก่ความตาย ถ้าเด็กตอบรับ หญิงนั้นจะปลดหน้ากากอนามัยออก และยิ้มให้เด็กชมดู เผยให้เห็นปากที่ถูกแหวะจนถึงใบหูมีโลหิตท่วม ซึ่งเรียก \"รอยยิ้มแบบแกล็สโกว\" (Glasgow smile) แล้วถามเด็กนั้นอีกว่า \"แล้วตอนนี้ฉันสวยไหม\" ถ้าเด็กว่าไม่ หญิงนั้นจะล้วงกรรโกรมาตัดกายเด็กเป็นสองท่อน ถ้าว่าใช่ หญิงนั้นจะมอบความสวยงามให้แก่เด็กนั้นบ้างโดยเอากรรไกรตัดปากเด็กจนถึงใบหูเสีย เด็กไม่อาจวิ่งหนีหญิงคนนั้นพ้นได้ เพราะหญิงสาวจะปรากฏต่อเด็กอีกจนกว่าจะได้ประทุษร้ายเด็กนั้น",
"เอส.เอช.อี () เป็นวงหญิงล้วนจากไต้หวัน ประกอบด้วยสมาชิก เอลล่า (Ella), ฮีบี้ (Hebe) และ เซลิน่า (Selina) ชื่อของวงมาจากอักษรตัวแรกของชื่อสมาชิกในวง ตั้งแต่ออกผลงานอัลบั้มชุดแรก \"Dorm\" (2001) เอส.เอช.อี มีผลงานมาแล้ว 12 อัลบั้มกับยอดขายรวมกว่า 15 ล้านชุด และมีทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ไปแล้วสองครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งของการทัวร์คอนเสิร์ตจะใช้เวลาทั้งหมดราวๆ 1 ปี ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณ 8-10 รอบทั่วเอเชีย อาทิไต้หวัน จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฯลฯ [ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่ 3 ชื่อว่า She is the one โดยเริ่มต้นขึ้นแล้วที่ฮ่องกง ]นอกจากนี้ทางวงยังมีซีรีส์ดราม่า 8 เรื่อง เป็นพิธีกรรายการวาไรตี้ 2 รายการ และ มีเพลงประกอบดราม่า6 เรื่อง 10 เพลง เอส.เอช.อี ยังมีผลงานโฆษณาให้บริษัทต่าง ๆ เฉลี่ยปีละประมาณ16-20ตัว รวมถึง โคคา-โคล่า 7-11 และ เวิลด์ออฟวอร์คราฟต์ S.H.E เป็นกลุ่มศิลปินหญิงที่นับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด ได้รับรางวัลมาแล้วมากกว่าสามร้อยรางวัล และจากความสำเร็จของ เอส.เอช.อี นี้เองจึงทำให้ค่ายเพลงอื่นในไต้หวันได้เริ่มก่อตั้งวงหญิงล้วนขึ้นมา",
"ปรียวิศว์ นิลจุลกะ หรือ \"ปาล์ม Instinct\" (12 ตุลาคม พ.ศ. 2520) สำเร็จการศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนไผทอุดมศึกษา และอุดมศึกษาในคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกจิตรกรรม จาก มศว.ประสานมิตร เริ่มต้นทางดนตรี โดยเป็น 1 ในสมาชิกวง \"Girl\" ในตำแหน่งนักร้องนำ มีผลงานร่วมกับวงด้วยกัน 3 อัลบั้ม โดยเพลงที่ได้รับความนิยมคือ เปลือง,สบายดีใช่ไหม,ข้องใจ หลังจากวง Girl ได้แยกย้ายกันไป \"ปาล์ม\" กับ \"ปอ\" ได้ตั้งวงดนตรีขึ้นใหม่ ในชื่อ Instinct ออกผลงานเพลงในอัลบั้มพิเศษรวมศิลปินสังกัดมอร์มิวสิก อัลบั้ม More Cattle โดยวง Instinct มีเพลง \"ขออยู่คนเดียว\" กับ \"โปรดส่งใครมารักฉันที\" ซึ่งกลับมาได้รับความนิยมอย่างสูงอีกครั้ง หลังจากภาพยนตร์เรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ นำไปใช้เป็นเพลงประกอบในภาพยนตร์ ซึ่งเป็นผลงานการแต่งคำร้องของเขาเองด้วย",
"วันเดอร์เกิลส์ (; English: Wonder Girls) เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติเกาหลีใต้ ก่อตั้งวงโดย JYP Entertainment[1][2] ไลน์สมาชิกในกลุ่มครั้งสุดท้ายประกอบด้วย ยูบิน, เยอึน, ซ็อนมี และ ฮเยริม สมาชิกก่อนหน้า ฮย็อนอา ออกจากวงในช่วงปลายปี 2007 โซฮี และ ซ็อนเย ออกจากวงอย่างเป็นทางการในปี 2015[3]",
"แบดซ์ (อังกฤษ: Badz) เป็นวงดนตรีร็อคหญิงล้วน ภายใต้สังกัด จีโนม เร็คคอร์ด (ในเครือ อาร์เอส) เจ้าของเพลงฮิต \"ไม่ขอเป็นคนสุดท้าย\"\nการรวมตัวกันตั้งวงดนตรีหญิงทริโอ ในนามของ BADZ มี ฝาแฝดอย่าง “พลอย ธัญญา จันทร์โอชา” และ “น้องเพลิน นิฏฐา จันทร์โอชา” โดยสาวเพลินรับหน้าที่เล่นเบส พลอยเล่นกีตาร์ และ ได้ นิค นิติญา อ่ำสกุล ร้องนำ แนวดนตรีและแฟชั่นการแต่งตัวที่มีกลิ่นอายของความเป็นพังก์อยู่นิดๆ",
"ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ตอง ภัครมัยได้ร่วมกับกลุ่มนักร้องในสังกัดกับวง \"Seven\" ที่ทำร่วมกับ 6 ศิลปินหญิง ได้แก่ ใหม่ เจริญปุระ, มาช่า วัฒนพานิช, หฤทัย ม่วงบุญศรี, นัท มีเรีย, นิโคล เทริโอ และเสาวลักษณ์ ลีละบุตร เปิดตัวด้วยเพลงรวมศิลปินอย่าง \"ความรักทั้งเจ็ด\" ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงเป็นอย่างมาก และยังสร้างปรากฏการณ์แฟชั่นเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์ ซึ่งเพลงเดี่ยวที่ตองร้องคือ \"อกหักใช่ไหม\"\nในปีเดียวกันหลังจากอัลบั้ม Seven ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ยังได้มีผลงานอัลบั้มชุดที่ 2 ตามมาในปีเดียวกันคือ \"Seven Vol.1 และ Vol.2\" เปิดตัวด้วยเพลง \"อกหักใช่ไหม\" และเพลงเดี่ยวที่ได้ร้องนั้นคือเพลง \"บอกแล้วให้ระวัง\" ",
"เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ (; ) เป็นบริษัทตัวแทนศิลปิน ค่ายเพลง มีชื่อตามผู้ก่อตั้ง ปาร์ก จิน-ยอง บริษัทเป็นที่รู้จักในฐานะผลิตศิลปินชื่อดังอย่าง ปาร์ก จิ ยูน, เรน, กลุ่มศิลปิน จี.โอ.ดี. และวงหญิงล้วนวันเดอร์เกิลส์ มีสตูดิโอและสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเปิดทำการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 และกำลังขยายสาขาไปทั่วโลกโดยเปิดทำการในสาขาประเทศจีนในชื่อ JYP Beijing Center จากรายงานของ \"โคเรียนไทม์ส\" และเว็บไซต์การเงิน Chaebul.com ระบุข้อมูลไว้ว่า เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ มีรายได้ 16.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2006 และ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 6 เดือนแรกของปี 2007 และยังคงเป็นอันดับ 1 ในปี 2008 ในสาขาบริษัทบันเทิง จากรายงานระบุว่า เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นบริษัทบันเทิงอิสระที่มีมูลค่ามากที่สุดในเกาหลี",
"อีเทอร์นอล () เป็นวงดนตรีอังกฤษหญิงล้วนแนวอาร์แอนด์บี ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1992 เคยได้รับรางวัลโมโบ ประกอบด้วยสมาชิกพี่น้อง อีสเตอร์และเวอร์นี เบนเนตต์ ร่วมด้วยเคลเล ไบรอันและหลุยส์ เนิร์ดดิง และเป็นหึ่งในวงหญิงล้วยที่ประสบความสำเร็จที่สุดวงหนึ่งในสหราชอาณาจักรตลอดกาล และยังประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ วงมีเพลงติดท็อป 20 อยู่ 15 เพลงในระหว่างปี ค.ศ. 1933-99 มีเพลงแรกคือ \"Stay\" ที่ติดท็อป 20 ในสหรัฐอเมริกา ทั่วโลกอีเทอร์นอลมียอดขายมากกว่า 10 ล้านชุด",
"ปี พ.ศ. 2549 ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 5 \"Inside\" มีเพลงดังอย่าง \"ใช่ฉันหรือเปล่า\" และ \"กะลา (ใช่ไหม)\"",
"Yes or No อยากรัก ก็รักเลย ถูกจัดอยู่ในเรต 4 “น 15+” ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป \nพายมีปัญหากับเพื่อนร่วมห้องในหอพักจึงต้องย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับคิม แรกทีเดียวนั้นพายรังเกียจที่คิมมีพฤติกรรมคล้ายทอม ทั้งหน้าตาและอากัปกิริยาคล้ายผู้ชาย จึงลากเทปสีแดงกั้นเขตในห้อง ห้ามมิให้คิมล่วงล้ำข้ามไปถึงตัวพาย คิมปฏิเสธว่าตนเองมิใช่ทอมและถามว่าทอมคืออะไร คิมบอกพายว่ายังไม่เคยชอบใครไม่ว่าหญิงหรือชาย และพูดต่อไปว่าถ้าเราชอบใครสักคน ชอบที่จะอยู่กับเขา ชอบที่จะเล่นกับเขา แต่เขาดันเป็นผู้หญิง เราก็กลายเป็นทอมเลยใช่หรือเปล่า แล้วความเป็นเราจะเปลี่ยนไปไหม เราก็ยังเป็นคนเดิม แต่จะมีใครมองเห็นบ้างไหมนอกจากจะตราหน้าว่าเราเป็นทอม"
] |
มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งโดยใคร ? | [
"มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เดิมคือ \"โรงเรียนประณีตศิลปกรรม สังกัด กรมศิลปากร\" เปิดสอนวิชาจิตรกรรมและประติมากรรมให้แก่ข้าราชการและนักเรียนในสมัยนั้นโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ศิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ Corrado Feroci) ชาวอิตาลีซึ่งเดินทางมารับราชการในประเทศไทยในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น และได้เจริญเติบโตเป็นลำดับเรื่อยมา จนกระทั่งได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น \"มหาวิทยาลัยศิลปากร\" เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486[1] คณะจิตรกรรมและประติมากรรม ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์) ใน พ.ศ. 2498 จัดตั้งคณะสถาปัตยกรรมไทย (ซึ่งต่อมาได้ปรับหลักสูตรและเปลี่ยนชื่อเป็น คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) และ คณะโบราณคดี หลังจากนั้นได้จัดตั้ง คณะมัณฑนศิลป์ ขึ้นในปีต่อมา"
] | [
"เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยดำรงตำแหน่ง 3 วาระเป็นท่านแรก และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ณ พระราชวังสนามจันทร์ โดยตั้งคณะอักษรศาสตร์ขึ้นเป็นคณะวิชาแรก แล้วจึงมีคณะอื่น ๆ ขึ้นมาตามลำดับดังที่ปรากฏในปัจจุบัน ท่านจึงเป็นเป็นผู้มีส่วนพัฒนามหาวิทยาลัยให้ก้าวหน้า ทำให้เกิดการขยายตัวทางการศึกษาหลายสาขาวิชา มหาวิทยาลัยมีความรำลึกถึงพระคุณของ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้ วันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปีเป็น \"วันหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล\" และได้จัดกิจกรรมในวันดังกล่าวเพื่อรำลึกถึงพระคุณท่านที่มีต่อมหาวิทยาลัยศิลปากรมาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 อันเป็นปีที่เปิดอนุสาวรีย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์",
"คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 5 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นคณะวิชาแรกของมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์",
"\"คณะดุริยางคศาสตร์\" เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2541 ภายใต้ชื่อ \"โครงการจัดตั้งคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร\" โดยดำริของ ตรึงใจ บูรณสมภพ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยความร่วมมือจากบุคคลในวงการดนตรีหลายท่าน นับเป็นคณะวิชาลำดับที่ 10 ของมหาวิทยาลัยศิลปากร มีผู้อำนวยการคนแรก คือ แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ศิลปินแห่งชาติ",
"นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยศิลปากรมีนายกคณะกรรมการและนายกสภามหาวิทยาลัยมาแล้ว 12 คน ดังรายนามต่อไปนี้",
"ศูนย์สันสกฤตศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร (; อักษรย่อ: SSC) มีฐานะเป็นหน่วยงานของ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 มีภารกิจหลักในการส่งเสริม ให้ความรู้ และจัดการเรียนการสอนภาษาสันสกฤต และวิชาที่เกี่ยวข้องให้แก่นักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก",
"คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 8 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2528",
"คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 4 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2499",
"คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 10 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2541",
"คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาแรกของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร มีรากฐานมาจากหลักสูตรจิตรกรรมและประติมากรรมของโรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง (ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร) มีคณะจิตรกรรมและประติมากรรมเป็นคณะวิชาเดียวของมหาวิทยาลัยศิลปากร",
"คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 3 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2498",
"ศาสตรจารย์คอร์ราโดได้วางหลักสูตรวิชาจิตรกรรมและประติมากรรขึ้นพร้อมกับก่อตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้น สังกัดกรมศิลปากร ภายหลังได้รวมโรงเรียนเข้ากับโรงเรียนนาฏยดุริยางคศาสตร์และเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง” และพัฒนาการเรียนการสอนเรื่อยมา จนในปี พ.ศ. 2485 กรมศิลปากรได้แยกจากกระทรวงศึกษาธิการไปขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในขณะนั้นโดย ฯพณฯจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้นคือ พระยาอนุมานราชธน ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร และตราพระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 โดยจัดตั้งคณะจิตรกรรมและประติมากรรม ขึ้นเป็นคณะวิชาแรก ซึ่งศาสตราจารย์คอร์ราโดก็ได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยควบคู่ไปกับตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนอีกด้วย",
"คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 7 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นคณะวิชาแรกของมหาวิทยาลัยศิลปากรที่เปิดสอนด้านวิทยาศาสตร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2514",
"นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยศิลปากรมีผู้อำนวยการและอธิการบดีมาแล้ว 19 คน ดังรายพระนามและรายนามต่อไปนี้",
"มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ตระหนักถึงอิทธิพลของโลกาภิวัฒน์ที่มีบทบาทเพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อสังคมในยุคปัจจุบัน จึงได้ก่อตั้ง \"วิทยาลัยนานาชาติ\" ขึ้นใน พ.ศ. 2546 เพื่อนำเสนอหลักสูตรที่มีคุณภาพและที่ดำเนินการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ",
"คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 2 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2498",
"คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 6 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นคณะวิชาลำดับที่ 2 ของมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2513ก่อตั้งคณะศึกษาศาสตร์ขึ้นเป็นคณะวิชาลำดับที่ 6 ของมหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นคณะวิชาลำดับที่ 2 ของวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลิตบัณฑิตทางการศึกษาที่จะประกอบวิชาชีพผู้สอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา",
"เป็นหนึ่งในศูนย์รวมใจของชาวศิลปากร สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่บริเวณลานอนุสาวรีย์ศิลป์ พีระศรี หลังตึกกรมศิลปากร",
"สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล บุคคลสำคัญของโลกและศิลปินแห่งชาติ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ก่อตั้งวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ตั้งอยู่บริเวณหน้าคณะศึกษาศาสตร์ ทางทิศเหนือของสำนักงานอธิการบดี",
"ซานตาลูชีอา (Santa Lucia) เป็นเพลงพื้นเมืองของประเทศอิตาลี แต่งขึ้นในราวศตวรรษที่ 19 เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อชมความงามของชายหาดที่มีชื่อเสียงของเมืองเนเปิลส์ นอกจากนี้ เพลงซานตาลูชีอา ยังเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย สืบเนื่องจาก ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นชาวอิตาลี ซึ่งมีชื่อเดิมว่า \"คอร์ราโด เฟโรชี\" (Corrado Feroci) และชอบร้องเพลงนี้บ่อย ๆ เวลาทำงาน[9] ศิลปากรนิยม คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ได้นำทำนองเพลงซานตาลูชีอา มาใส่เนื้อร้องภาษาไทย กลิ่นจัน เป็นเพลงที่มาจากคณะอักษรศาสตร์ เวลาผ่านไป เพลงกลิ่นจันก็แพร่หลายไปทั่วมหาวิทยาลัย",
"คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 11 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นคณะวิชาแรกของมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2544",
"\"คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร\" จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2528 และเปิดรับนักศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2529 นับเป็น คณะเภสัชศาสตร์ ลำดับที่ 6 ของประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณ พระราชวังสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม โดยมี ประโชติ เปล่งวิทยา ดำรงตำแหน่งคณบดีในสมัยนั้น นับเป็นคณบดีผู้ประศาสน์การ ผู้ก่อตั้งคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนองต่อความต้องการในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนในสายงานเภสัชกรรมและสายงานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมถึงการพัฒนาให้เกิดภารกิจเชิงรุกในการให้บริการด้านเภสัชศาสตร์",
"บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร () มีฐานะเป็นคณะวิชาของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2515 ทำหน้าที่ดำเนินการจัดการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีของทุกคณะวิชาในมหาวิทยาลัย",
"นอกจากนี้ เพลงซานตาลูชีอา ยังเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย สืบเนื่องจากศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านเป็นชาวอิตาลี ซึ่งมีชื่อเดิมว่า คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) และชอบร้องเพลงนี้บ่อย ๆ เวลาทำงาน หลังจากนั้น คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ได้นำทำนองเพลงนี้ มาใส่เนื้อร้องภาษาไทย โดยใช้ชื่อเพลงว่า \"ศิลปากรนิยม\"",
"คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 12 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2545",
"คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 13 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2546",
"วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร (; อักษรย่อ: SUIC) เป็นคณะวิชาลำดับที่ 14 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2546",
"\"โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร\" ก่อตั้งขึ้นจากความคิดริเริ่มของ มาลี อติแพทย์ คณบดี คณะศึกษาศาสตร์ และรักษาการในตำแหน่งรองอธิการบดี เมื่อ พ.ศ. 2516 และเปิดรับนักเรียนเข้าเรียนในปีการศึกษา 2517 โดยใช้อาคารไม้บริเวณโรงเรียนเกษตรกรรมเดิมซึ่งอยู่ทางด้านประตูเพชรเกษมเป็นที่ทำการ ปีแรกรับนักเรียน 2 ชั้น คือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (มศ.1) ชั้นละ 2 ห้อง หลักสูตรที่ใช้ได้สร้างขึ้นเองโดยคณาจารย์ของคณะศึกษาศาสตร์พระพิฆเนศวร ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากรใช้ตราสัญลักษณ์เช่นเดียวกับ มหาวิทยาลัยศิลปากร พระพิฆเนศวร คือเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการและการประพันธ์ ประทับบนเมฆ พระหัตถ์ขวาบนถือตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนถือปาศะ (เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างถือครอบน้ำ ประทับบนลวดลายกนก โดยด้านล่างมีอักษรว่า \"โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร\"",
"โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร (; อักษรย่อ: สาธิต มศก. – DSU) เป็นโรงเรียนสหศึกษา เปิดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา มีฐานะเป็นหน่วยงานของ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2516 เพื่อเป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพของนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์",
"คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาลำดับที่ 9 ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2534"
] |
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมรสกับใคร ? | [
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เป็นเวลา 63 ปีเศษ ระหว่างปี พ.ศ. 2380-2444 (ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5) พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2362 ณ พระราชวังเค็นซิงตัน กรุงลอนดอน โดยเป็นพระธิดาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์และสแตรเธิร์น พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร กับ เจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งซัคเซิน-โคบูร์ก-ซาลเฟลด์ พระองค์ได้เสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 พระบรมราชปิตุลา ในปี พ.ศ. 2380 ขณะมีพระชนมพรรษา 18 พรรษา ต่อมาได้ราชาภิเษกสมรสกับ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา (ฟรันซ์ ออกุสต์ คาร์ล อัลเบิร์ต เอมานูเอล; 26 สิงหาคม พ.ศ. 2362 - 14 ธันวาคม พ.ศ. 2404) ซึ่งต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าชายพระราชสวามี (Prince Consort) พระญาติชั้นที่หนึ่งทางฝ่ายพระมารดา ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2383 ณ พระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน และประสูติพระราชโอรสและธิดาทั้งสิ้น 9 พระองค์ในระหว่างปี พ.ศ. 2383-2400 ชีวิตสมรสที่แสนสุขมีอันต้องสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2404 เมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีสิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคไข้รากสาดน้อย หรือไทฟอยด์ (และอาจเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารร่วมด้วย) เมื่อพระชนมายุ 42 พรรษา ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปจนตลอดพระชนม์ชีพ ด้วยความโทมนัสและสูญเสียที่ยากจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้ พระองค์จึงทรงจมอยู่กับความเศร้าโศกและฉลองพระองค์ไว้ทุกสีดำตลอดรัชกาล อีกทั้งยังทรงหลีกเลี่ยงการปรากฏพระองค์ในที่สาธารณะและแทบจะไม่เสด็จฯ มาประกอบพระราชกรณียกิจที่กรุงลอนดอนเป็นเวลาหลายปี แต่ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับอยู่ที่พระราชวังวินด์เซอร์ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของพระองค์กับพระสวามี จนเป็นที่มาของพระราชสมัญญา แม่ม่ายแห่งวินด์เซอร์ (Widow of Windsor)"
] | [
"สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของสวีเดนและเสวยราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2516) เป็นพระราชนัดดาในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต และสมเด็จพระราชาธิบดีกุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟ พระองค์ทรงเป็นพระโอรสพระองค์เล็กและพระองค์เดียวในเจ้าชายกุสตาฟ อดอล์ฟแห่งสวีเดน ดยุกแห่งวาสเตอร์บ็อตเติน เจ้าหญิงอิงกริดแห่งสวีเดน พระธิดาพระองค์เดียวในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต (พระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) และสมเด็จพระราชาธิบดีกุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟ อภิเษกสมรสเมื่อในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 กับ สมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดริคที่ 9 แห่งเดนมาร์ก (เสวยราชย์ พ.ศ. 2490-2515) และเป็นพระชนนีในสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์ก (เสวยราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2515) เคานต์ คาร์ล โยฮัน เบอร์นาด็อตแห่งวิสบอร์ก (31 ตุลาคม พ.ศ. 2459 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555) พระโอรสพระองค์เล็กในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต และสมเด็จพระราชาธิบดีกุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟ เป็นพระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่สิ้นพระชนม์เป็นพระองค์สุดท้าย",
"เจ้าหญิงเฮเลนา (เฮเลนา ออกัสตา วิกตอเรีย) เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สามในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี ประสูติเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2389 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2466 พระองค์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2409 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังวินด์เซอร์ กับ เจ้าชายคริสเตียนแห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์-ซอนเดอร์บูร์ก-ออกุสเท็นบูร์ก (ฟรีดริช คริสเตียน คาร์ล ออกุสต์; 22 มกราคม พ.ศ. 2374 - 28 ตุลาคม พ.ศ. 2460 พระโอรสในเจ้าชายคริสเตียน ดยุกแห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์-ซอนเดอร์บูร์ก-ออกุสเท็นบูร์ก) มีพระโอรส 2 พระองค์และพระธิดา 2 พระองค์ซึ่งเจริญพระชนม์เป็นผู้ใหญ่ และมีพระโอรสอีก 2 พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อแรกประสูติ เจ้าหญิงเฮเลนาและเจ้าชายคริสเตียนไม่มีพระราชนัดดาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีพระนัดดานอกสมรสจำนวนหนึ่งคน ซึ่งเสียชีวิตโดยไม่มีทายาทสืบสกุล เช่นเดียวกับพระบรมวงศานุวงศ์อังกฤษพระองค์อื่นๆ ที่มีพระอิสริยยศของเยอรมัน (เช่น เจ้าชายหลุยส์แห่งบัทเทนแบร์ก) เจ้าหญิงเฮเลนา เจ้าชายคริสเตียน และพระธิดาสองพระองค์ได้สละพระอิสริยยศแห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์ในปี พ.ศ. 2460 เมือจักรวรรดิอังกฤษและเยอรมันเป็นปฏิปักษ์กันในสงครามโลกครั้งที่ 1",
"เจ้าชายอัลเบิร์ต (สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2404) ทรงพระชนม์ชีพจนได้เห็นพระธิดาพระองค์เดียว (เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี) จากบรรดาพระธิดาทั้งหมดอภิเษกสมรสในปี พ.ศ. 2401 และพระนัดดาสองพระองค์ประสูติ (เจ้าชายวิลเฮล์ม ในปี พ.ศ. 2402 และเจ้าหญิงชาร์ล็อต พระขนิษฐาในปี พ.ศ. 2403) ในขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมีพระชนม์ชีพยืนยาวจนได้เห็นการประสูติไม่เพียงแค่พระราชนัดดาทั้งหมด แต่ยังรวมถึงพระราชปนัดดาส่วนใหญ่จากทั้งหมด 88 พระองค์ด้วย (จำนวนสามใน 56 พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อแรกประสูติ และหนึ่งในพระราชปนัดดาจำนวน 29 พระองค์เป็นลูกนอกสมรส)",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าชายอาร์เธอร์ → เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต → เจ้าชายกุสตาฟ อดอล์ฟ → พระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าชายอาร์เธอร์ → เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต → เจ้าหญิงอิงกริด → พระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 2 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าชายอาร์เธอร์ → เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต → เคานต์ คาร์ล โยฮัน เบอร์นาด็อต",
"จอมพลเรือ หลุยส์ อเล็กซานเดอร์ เมานต์แบ็ตเทน มาควิสแห่งมิลฟอร์ดเฮเวน () หรือพระนามเดิมคือ เจ้าชายหลุยส์ อเล็กซานเดอร์ แห่งบัทเทนแบร์ก เป็นทหารเรือชาวอังกฤษและเจ้าชายเยอรมันสัญชาติอังกฤษ พระองค์เสกสมรสกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 → เจ้าหญิงม็อดแห่งเวลส์ → พระราชาธิบดีโอลาฟที่ 5 → พระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าหญิงเบียทริซ → พระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียแห่งสเปน → เคานต์แห่งบาร์เซโลนา → พระราชาธิบดีควน การ์โลสที่ 1",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมีพระราชนัดดาทั้งสิ้น 42 พระองค์ (เป็นชายจำนวน 20 พระองค์ และเป็นหญิงจำนวน 22 พระองค์) จากพระราชโอรสและธิดาแปดพระองค์ โดยจำนวนสองพระองค์ (พระโอรสพระองค์เล็กในเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา และในเจ้าหญิงเฮเลนา) สิ้นพระชนม์ในขณะอยู่ในพระครรภ์ ส่วนอีกสองพระองค์ (เจ้าชายจอห์นแห่งเวลส์ และ เจ้าชายฮาราลด์แห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์-ซอนเดอร์บูร์ก-ออกัสเต็นบูร์ก) สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เมื่อแรกประสูติ ทั้งนี้พระราชนัดดาพระองค์แรกคือ สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี (พระราชสมภพเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2402) พระโอรสพระองค์แรกในเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระราชินีนาถวิกตอเรีย ส่วนพระราชนัดดาพระองค์สุดท้ายคือ เจ้าชายมอริสแห่งบัทเทนแบร์ก (ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2434) พระโอรสพระองค์เล็กในเจ้าหญิงเบียทริซ พระราชธิดาพระองค์เล็กและสิ้นพระชนม์ชีพเป็นพระองค์สุดท้ายในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชนัดดาที่สิ้นพระชนม์เป็นพระองค์สุดท้ายคือ เจ้าหญิงอลิซ เคานเตสแห่งแอธโลน (พระอิสริยยศเดิมคือ เจ้าหญิงอลิซแห่งอัลบานี ประสูติเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2426 พระธิดาในเจ้าชายเลโอโพลด์ ดยุกแห่งอัลบานี) ซึ่งสิ้นพระชนม์ด้วยโรคชรา (97 พรรษา) ในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2524 เป็นเวลาเกือบแปดสิบปีหลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระอัยยิกา",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และเจ้าชายอัลเบิร์ตมีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสิ้น 9 พระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่อภิเษกสมรสกับพระราชวงศ์ต่างๆ ในทวีปยุโรป และมีพระโอรสและธิดา มีเพียงเจ้าหญิงหลุยส์ ดัชเชสแห่งอาร์ไจล์ที่ไม่ได้อภิเษกสมรสกับเชื้อพระวงศ์ และไม่มีพระโอรสพระธิดา สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และเจ้าชายอัลเบิร์ตมีพระราชนัดดาทั้งสิ้น 42 พระองค์ ซึ่งบางพระองค์ก็ได้เสวยราชสมบัติเป็นพระประมุขหรือเป็นพระมเหสีในราชวงศ์ต่างๆ ของทวีปยุโรป ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี (27 มกราคม พ.ศ. 2402 - 4 มิถุนายน พ.ศ. 2484) พระโอรสในเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร (3 มิถุนายน พ.ศ. 2408 - 20 มกราคม พ.ศ. 2479) พระราชโอรสในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 สมเด็จพระราชินีม็อดแห่งนอร์เวย์ (26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2412 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481) พระราชธิดาในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 สมเด็จพระราชินีโซฟีแห่งกรีซ (14 มิถุนายน พ.ศ. 2413 - 13 มกราคม พ.ศ. 2475) พระธิดาในเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (6 มิถุนายน พ.ศ. 2415 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461) พระธิดาในเจ้าหญิงอลิซ สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย (29 ตุลาคม พ.ศ. 2418 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2481) พระธิดาในเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียแห่งสเปน (24 ตุลาคม พ.ศ. 2430 - 15 เมษายน พ.ศ. 2512) พระธิดาในเจ้าหญิงเบียทริซ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และเจ้าชายอัลเบิร์ตมีพระราชปนัดดาทั้งสิ้น 88 พระองค์ ซึ่งบางพระองค์ได้เสวยราชสมบัติเป็นพระประมุขหรือเป็นพระมเหสีในราชวงศ์ต่างๆ ของทวีปยุโรป ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 2 แห่งกรีซ (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 - 1 เมษายน พ.ศ. 2490) พระโอรสในเจ้าหญิงโซฟีแห่งปรัสเซีย สมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งกรีซ (1 สิงหาคม พ.ศ. 2436 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2463) พระโอรสในเจ้าหญิงโซฟีแห่งปรัสเซีย สมเด็จพระราชาธิบดีคาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย (15 ตุลาคม พ.ศ. 2436 - 4 เมษายน พ.ศ. 2496) พระโอรสในเจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร (23 มิถุนายน พ.ศ. 2437 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2515) พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร (14 ธันวาคม พ.ศ. 2438 - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 5 สมเด็จพระราชาธิบดีพอลที่ 1 แห่งกรีซ (14 ธันวาคม พ.ศ. 2444 - 6 มีนาคม พ.ศ. 2510) พระโอรสในเจ้าหญิงโซฟีแห่งปรัสเซีย สมเด็จพระราชาธิบดีโอลาฟที่ 5 แห่งนอร์เวย์ (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2446 - 17 มกราคม พ.ศ. 2534) พระโอรสในเจ้าหญิงม็อดแห่งเวลส์ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธแห่งกรีซ (11 ตุลาคม พ.ศ. 2437 – 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499) พระธิดาในเจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ สมเด็จพระราชินีมาเรียแห่งยูโกสลาเวีย (8 มกราคม พ.ศ. 2443 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2504) พระธิดาในเจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ สมเด็จพระราชินีอิงกริดแห่งเดนมาร์ก (28 มีนาคม พ.ศ. 2453 - 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543) พระธิดาในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งคอนน็อต พระประมุขหรือพระมเหสีในราชวงศ์ต่างๆ ของทวีปยุโรปทั้งที่ยังทรงครองราชสมบัติและมิได้ทรงอยู่ในราชสมบัติ ล้วนทรงสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (21 เมษายน พ.ศ. 2469) และ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (10 มิถุนายน พ.ศ. 2464) สมเด็จพระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์ (21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480) สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์ก (16 เมษายน พ.ศ. 2483) สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน (30 เมษายน พ.ศ. 2489) สมเด็จพระราชาธิบดีควน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน (5 มกราคม พ.ศ. 2481) (สละราชสมบัติ) และ สมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน (2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481) สมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ (2 มิถุนายน พ.ศ. 2483) และ สมเด็จพระราชินีแอนน์-มารีแห่งกรีซ (30 สิงหาคม พ.ศ. 2489) สมเด็จพระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 แห่งโรมาเนีย (25 ตุลาคม พ.ศ. 2464 - 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560) สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 แห่งสเปน (30 มกราคม พ.ศ. 2511) ในสายลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และอีกจำนวนเกือบ 530 คนแรก ล้วนสืบสายพระโลหิตมาจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่มีพระชนมายุยืนยาวตั้งแต่ 90 พรรษาขึ้นไป มีดังนี้",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ตมีพระอัยกาพระองค์เดียวกันคือ เจ้าชายฟรานซิส ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์ก-ซาลเฟลด์ ซึ่งเป็นพระบิดาในเจ้าชายแอร์นส์ที่ 1 ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา (พระบิดาในเจ้าชายอัลเบิร์ต) และเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งซัคเซิน-โคบูร์ก-ซาลเฟลด์ (พระมารดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และพระขนิษฐาในเจ้าชายแอร์นส์ที่ 1 ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา)",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี → สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 → พระเจ้าจอร์จที่ 5 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าหญิงอลิซ → สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา",
"เจ้าหญิงอลิซแห่งอัลบานี พระธิดาในเจ้าชายเลโอโพลด์ (และเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) อภิเษกสมรสในปี พ.ศ. 2447 กับ เจ้าชายอเล็กซานเดอร์แห่งเท็ค พระอนุชาในสมเด็จพระราชินีแมรี่ และดำรงพระอิสริยยศเป็น เคานเตสแห่งแอธโลน เมื่อพระสวามีทรงได้รับการสถาปนาเป็นเอิร์ลแห่งแอธโลนในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2460 พระองค์เป็นพระราชนัดดาที่ดำรงพระชนม์ชีพเป็นพระองค์สุดท้ายในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (97 พรรษา) นอกจากนี้เจ้าหญิงยังทรงเป็นพาหะของโรคฮีโมฟิเลีย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากพระบิดาและส่งผ่านไปยังพระโอรสสองพระองค์",
"เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ไม่เพียงเป็นพระชนนีในพระราชนัดดาพระองค์แรกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียคือ สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี เท่านั้น แต่ยังเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ในพระราชปนัดดาพระองค์แรกด้วยคือ เจ้าหญิงฟีโอดอราแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน (19 พฤษภาคม พ.ศ. 2422 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2488) พระธิดาองค์เดียวในเจ้าหญิงชาร์ล็อตแห่งปรัสเซีย (พระราชนัดดา (หญิง) พระองค์แรกในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) และในพระราชปนัดดาหญิงพระองค์สุดท้ายที่สิ้นพระชนม์คือ เลดี้ แคทเธอรีน แบรนด์แรม (พระอิสริยยศเดิมคือ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งกรีซและเดนมาร์ก; 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2456 - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550) พระธิดาพระองค์สุดท้ายในเจ้าหญิงโซฟีแห่งปรัสเซีย (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ) พระขนิษฐาในเจ้าหญิงชาร์ล็อต หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ในปี พ.ศ. 2550 ขณะมีพระชันษา 94 ปี พระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งยังทรงพระชนม์เป็นพระองค์สุดท้ายคือ เคานต์ คาร์ล โยฮัน เบอร์นาด็อตแห่งวิสบอร์ก (พระอิสริยยศเดิมคือ เจ้าชายคาร์ล โยฮันแห่งสวีเดน ดยุกแห่งดาลาร์นา; 31 ตุลาคม พ.ศ. 2459 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555) ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์สุดท้ายในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งคอนน็อต พระธิดาในเจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อต พระราชโอรสพระองค์ที่สามในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทั้งนี้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษา 95 ปี สายพระโลหิตรุ่นพระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2422 (ปีประสูติของเจ้าหญิงฟีโอดอราแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน) จึงได้สิ้นสุดลงตามไปด้วย",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าชายอัลเฟรด → พระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย → สมเด็จพระราชาธิบดีคาโรลที่ 2 → พระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าชายอัลเฟรด → พระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย → พระราชินีเอลิซาเบธแห่งกรีซ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าชายอัลเฟรด → พระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย → พระราชินีมารีแห่งยูโกสลาเวีย → พระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2",
"เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก (Princess Victoria Eugenie of Battenberg; \"พระนามเต็ม\" วิกตอเรีย ยูจีนี จูเลีย เอนา; 24 ตุลาคม พ.ศ. 2430 - 15 เมษายน พ.ศ. 2512) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีมเหสีในพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 แห่งสเปน และพระราชนัดดาพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย นอกจากนี้สมเด็จพระราชาธิบดีควน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน ยังเป็นพระราชนัดดาของพระองค์อีกด้วย",
"การสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ได้ทำให้พระมหากษัตริย์ทรงไร้พระราชนัดดาที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยพระโอรสองค์เล็กสุดที่ทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้นมีพระชนมายุมากกว่า 40 พรรษาแล้ว หนังสือพิมพ์ได้ปลุกเร้าให้พระโอรสของพระมหากษัตริย์ที่ยังไม่ทรงเสกสมรสให้รีบเสกสมรส ดังเช่นกรณี พระโอรสองค์ที่สี่ของพระมหากษัตริย์คือ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์และสแตรเธิร์น ทรงประทับอยู่ที่บรัสเซลส์ ซึ่งพระองค์ทรงประทับอยู่กับจูลี เดอ แซงต์-ลอว์แรงต์ พระสนม เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดทรงรีบเร่งปลดพระสนมและทรงสู่ขอเสกสมรสกับพระเชษฐภคินีในเจ้าชายเลโอโปลด์ คือ วิกตอเรีย เจ้าหญิงม่ายแห่งไลนิงเง็น พระธิดาของทั้งสองพระองค์คือ เจ้าหญิงอเล็กซานดรินา วิกตอเรียแห่งเคนต์ ทรงได้เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรในที่สุด (ปีค.ศ. 1837) หลังจากนั้นเจ้าชายเลโอโปลด์ทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม ทรงเป็นที่ปรึกษาทางไกลแก่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระนัดดา และทรงรับประกันความปลอดภัยให้พระนางอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและก็อตธา พระนัดดาอีกองค์ของพระองค์",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าหญิงอลิซ → สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา (เจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์)",
"ก่อนการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในปี พ.ศ. 2444 มีพระราชโอรสและธิดาจำนวนสามพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว (เจ้าหญิงอลิซ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2421, เจ้าชายเลโอโพลด์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2427 และเจ้าชายอัลเฟรด ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2443) และตามมาด้วยการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2444 นอกจากการสิ้นพระชนม์ขณะยังทรงพระเยาว์ของพระราชนัดดาจำนวนสี่พระองค์ สมเด็จพะราชินีนาถวิกตอเรียดำรงพระชนม์ยืนยาวกว่าพระราชนัดดาหลายพระองค์ ได้แก่",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าหญิงอลิซ → เจ้าชายแอร์นส์ ลุดวิก แกรนด์ดยุกแห่งเฮสส์และไรน์ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → เจ้าชายอัลเฟรด → เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา",
"พระราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Descendants of Queen Victoria) เป็นเรื่องราวของการสืบสายพระโลหิตของพระราชโอรสและธิดาทั้งหมด 9 พระองค์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร (อเล็กซานดรินา วิกตอเรีย; 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2362 - 22 มกราคม พ.ศ. 2444 เสวยราชสมบัติ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2380) โดยมีพระราชนัดดา 42 พระองค์ และพระราชปนัดดา (เหลน) 88 พระองค์ แต่ละพระองค์จึงเป็นทั้งพี่น้องกันหรือพระญาติชั้นที่หนึ่งซึ่งกันและกัน (first cousin) และด้วยการอภิเษกสมรสเข้าไปยังราชสำนักต่างๆ ในทวีปยุโรป พระองค์จึงทรงมีผลกระทบต่อโชคชะตาของราชวงศ์ยุโรปอย่างมาก ทรงมีความเกี่ยวข้องทางสายพระโลหิตและการอภิเษกสมรสกับราชวงศ์สเปน เยอรมนี กรีซ รัสเซีย โรมาเนีย ยูโกสลาเวีย นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก จึงทำให้ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า สมเด็จย่าแห่งยุโรป (Grandmother of Europe)",
"พระราชพิธีกาญจนาภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย () จัดขึ้นในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2430 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียครองสิริราชสมบัติครบปีที่ห้าสิบ ซึ่งได้มีการทูลเชิญพระมหากษัตริย์และเจ้าชายจากประเทศต่าง ๆ ในยุโรปจำนวน 50 พระองค์ เสด็จ ฯ มาร่วมเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย ",
"สมเด็จพระราชาธิบดีคาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย พระราชโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์และสมเด็จพระราชินีมารี (และพระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) เป็นพระราชชนกในสมเด็จพระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 แห่งโรมาเนีย (ลื่อในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย พระราชธิดาพระองค์ที่สอง (และพระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) อภิเษกสมรสระหว่างปี พ.ศ. 2465 - 2478 กับ สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 2 แห่งกรีซ (ครองราชย์ พ.ศ. 2465-2466 และ พ.ศ. 2478-2490) พระโอรสในเจ้าหญิงโซฟีแห่งปรัสเซีย (พระธิดาในเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี) เจ้าหญิงมารีแห่งโรมาเนีย พระราชธิดาพระองค์ที่สาม (พระราชปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) อภิเษกสมรสวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2465 กับ สมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย (เสวยราชย์ พ.ศ. 2464-2478) และพระชนนีในสมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวีย (ครองราชย์ พ.ศ. 2478-2488 และเป็นลื่อในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย)",
"เจ้าหญิงเบียทริซ (เบียทริซ แมรี่ วิกตอเรีย ฟีโอดอรา) พระราชธิดาพระองค์ที่ห้าและองค์เล็กในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี ประสูติเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2400 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 ณ โบสถ์เซนต์มิลเดร็ด เมืองวิปปิงแฮม ใกล้ตำหนักออสบอร์น เกาะไว้ท์ กับ เจ้าชายเฮนรีแห่งบัทเทนแบร์ก (เฮนรี มอริส; 5 ตุลาคม พ.ศ. 2401 - 20 มกราคม พ.ศ. 2439 พระโอรสในเจ้าชายอเล็กซานเดอร์แห่งเฮสส์และไรน์) มีพระโอรส 3 พระองค์ พระธิดา 1 พระองค์ (สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียแห่งสเปน) พระภาคิไนย 5 พระองค์ (พระองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์ในพระครรภ์) และพระภาติกา 3 พระองค์ ในฐานะพระราชนัดดาผ่านทางเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก สมเด็จพระราชาธิบดีควน การ์โลสแห่งสเปน จึงเป็นพระราชปนัดดาในเจ้าหญิงเบียทริซ และลื่อในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียอีกด้วย",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (ซึ่งเสวยราชสมบัติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2380 และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2381) ทรงราชาภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2383 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน (เจ้าชายอัลเบิร์ตได้สิ้นพระชนม์เป็นเวลาสิบสี่ปีครึ่งก่อนที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2419)",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย → พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 → พระเจ้าจอร์จที่ 5 → พระเจ้าจอร์จที่ 6 → สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2",
"“มงกุฎเพชรพระราชินีนาถวิกตอเรีย” เป็นมงกุฏที่สร้างขึ้นตามพระบรมราชโองการของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ในปีค.ศ. 1870 และเป็นมงกุฎที่มีความสำคัญต่อพระองค์มากที่สุด เมื่อเสด็จสวรรคตก็มิใช่มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดหรือมงกุฎอิมพีเรียลสเตท ที่เป็นมงกุฏที่ได้วางบนหีบพระบรมศพแต่เป็น “มงกุฎเพชรพระราชินีนาถวิคตอเรีย” ของพระองค์เอง",
"สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงอยู่ในราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ แม้บางคนจะให้ราชสกุล d'Este หรือ Welf กับพระองค์ แต่ก็มิทรงจำเป็นต้องใช้ราชสกุลเหล่านี้ (เชื้อสายพระองค์อื่นในราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ได้ใช้ราชสกุลฮันโนเฟอร์ในประเทศอังกฤษ) ส่วนพระราชสวามีของพระองค์ทรงอยู่ในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาและหลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ราชวงศ์นี้ได้ครองราชสมบัติอังกฤษด้วยตัวบุคคลคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระราชโอรสและรัชทายาทในราชบัลลังก์ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของพวกผู้ดีและเชื้อพระวงศ์ ภรรยาจะไม่ได้รับการเป็นสมาชิกในบ้านของสามี แต่ยังคงเป็นของบ้านตนเองอยู่ ดังนั้นสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียจึงมิได้ทรงอยู่ในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ในฐานะทรงเป็นสตรีสมรสแล้ว นักวงศ์วานวิทยาได้กำหนดราชสกุลของพระองค์เป็น ฟอน เว็ตติน (von Wettin) ซึ่งอิงหลักฐานจากสำนักงานตราประจำราชตระกูลแห่งอังกฤษ (College of Arms) ดังนั้นบางครั้งพระองค์ทรงเป็นรู้จักว่า อเล็กซานดรินา วิกตอเรีย ฟอน เว็ตติน ราชสกุลเดิม ฮันโนเฟอร์",
"510 บุคคลแรกในรายชื่อของสายลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษในปัจจุบันสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระเป็นพระอัยยิกาเมื่อพระชนมพรรษา 39 พรรษา และพระปัยยิกาเมื่อพระชนมพรรษา 59 พรรษา พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพยาวนานกว่าพระราชโอรสและธิดาสามในเก้าพระองค์ ในอีกเจ็ดเดือนจะเป็นพระองค์ที่สี่ (คือ เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี พระราชธิดาองค์โต ซึ่งสิ้นพระชนม์ด้วยมะเร็งในกระดูกสันหลังเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1901 สิริพระชนมายุ 60 พรรษา) พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพยาวนานกว่าพระราชนัดดาสิบเอ็ดในสี่สิบสองพระองค์ พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพยาวนานกว่าพระราชปนัดดาสามในแปดสิบแปดพระองค์ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2552 มีพระราชปนัดดาซึ่งยังทรงพระชนม์ชีพพระองค์สุดท้ายของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย คือ เคานต์ คาร์ล โยฮัน เบอร์นาด็อต (ประสูติ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1916 ขณะนี้มีพระชนมายุ 93 พรรษา) สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นพระราชินีนาถแห่งแคนาดาพระองค์แรกโดยทางพฤตินัย ดินแดนในปกครองแห่งแคนาดา (The Dominion of Canada) ได้สถาปนาขึ้นมาในช่วงรัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทำให้เป็นพระประมุขแห่งแคนาดาพระองค์แรก สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นพระราชินีนาถแห่งออสเตรเลียพระองค์แรกในทางพฤตินัยจากการรวมตัวเป็นสหพันธรัฐเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1901 จนกระทั่งถึงการเสด็จสวรรคตของพระองค์ในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1901 การกระทำสิ่งแรกหลังจากเสวยราชสมบัติแล้วคือ การย้ายพระแท่นบรรทมออกจากห้องของพระชนนี ในทุกวันเป็นเวลาสี่สิบปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายพระราชสวามี สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงรับสั่งให้วางฉลองพระองค์ต่าง ๆ ของเจ้าชายใหม่ทุกครั้งบนพระแท่นบรรทมในห้องชุดของพระองค์ที่ปราสาทวินด์เซอร์ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเริ่มประเพณีการสวมชุดสีขาวของเจ้าสาวในวันแต่งงาน ก่อนหน้าการอภิเษกสมรสของพระองค์ เจ้าสาวจะใส่ชุดที่สวยที่สุดโดยไม่มีสีที่เฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ ในปี ค.ศ. 1860 พระองค์เป็นพระประมุขอังกฤษพระองค์แรกที่ทรงฉายพระรูป โดยช่างภาพคือ โจเบซ เอ็ดวิน มายาล พระองค์ทรงแซงหน้าพระเจ้าจอร์จที่ 3 พระอัยกาธิราชในฐานะที่เป็นพระประมุขอังกฤษซึ่งมีพระชนม์ชีพยืนยาวที่สุดเมื่อมีพระชนมพรรษา 81 พรรษา 240 วันเมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1901 เพียงสามวันก่อนการเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพสามในสี่ส่วนเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดของประมุขอังกฤษพระองค์ใด ๆ นับแต่การคืนสู่ระบอบกษัตริย์ในปี ค.ศ. 1560 เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามีทรงนำต้นคริสต์มาสเข้ายังราชสำนักและก็ไม่ช้าได้กลายเป็นต้นแบบนำไปใช้แก่พสกนิกรของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระองค์ทรงถนัดพระหัตถ์ซ้ายและทรงได้ถ่ายทอดพันธุกรรมการถนัดมือซ้ายไปสู่พระราชสันตติวงศ์อีกหลายพระองค์ ซึ่งรวมไปถึงเจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ พระมหากษัตริย์ในอนาคตอีกด้วย",
"เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน (; ; \"พระนามเต็ม\" วิกตอเรีย อิงกริด อลิซ เดซิเร; 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 — ) เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งในราชบัลลังก์สวีเดน หากเมื่อเสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์ พระองค์จะทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถลำดับที่สี่ของประเทศ (ต่อจาก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 1 สมเด็จพระราชินีนาถคริสตินา และสมเด็จพระราชินีนาถอุลริคา เอเลโอนอรา) ทั้งนี้พระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นพระญาติใน เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก กับ เจ้าชายเปาโลส มกุฎราชกุมารแห่งกรีซ ",
"เจ้าชายอัลเฟรด ประสูติที่ปราสาทวินด์เซอร์,เมืองเบอร์กไชร์ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2387 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชโอรสพระองค์ที่สองและพระองค์ที่สี่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และ เจ้าชายอัลเบิร์ต แห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา เป็นพระอนุชาใน เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระวรราชกุมารี , สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 และ เจ้าหญิงอลิซ"
] |
มังกร เป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีนหรือไม่ ? | [
"มังกรจีน (อักษรจีนตัวเต็ม: 龍; อักษรจีนตัวย่อ: 龙; พินอิน: lóng; ฮกเกี้ยน: เล้ง; ไทยถิ่นเหนือ: ลวง) เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง"
] | [
"การเชิดมังกรมักจะจัดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ของจีน (ตรุษจีน) มังกรจีนเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และพวกเขาเชื่อว่ามังกรจะนำความโชคดีมาให้กับผู้คน ฉะนั้นยิ่งเชิดมังกรระยะเวลานานมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะนำความโชคดีมาให้ชุมชนมากขึ้น. มังกรถูกเชื่อว่าเป็นผู้ที่มีคุณสัมบัติที่ประกอบด้วย พลังอันยิ่งใหญ่ ความสง่างาม ความอุดมสมบูรณ์ สติปัญญา และสิริมงคล. ลักษณะของมังกรมีทั้งความน่ากลัว และมีขนาดใหญ่ แต่มันก็มีความเมตตา ดังนั้นจึงถูกนำไปกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจกษัตริย์ การเคลื่อนไหวแบบที่สืบทอดกันมาเป็นการแสดงถึงอำนาจและความสง่างามของมังกร",
"ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า \"เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง\" ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย",
"ชาวจีนจะมีการบวงสรวงมังกรเป็นพิเศษที่นี่ทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน ศาลเจ้าและแท่นบูชามังกรยังคงปรากฏให้เห็นตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำในหลาย ๆ ส่วนของจีนและดินแดนตะวันออกไกล เพราะมังกรจีนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำ โบสถ์กลางน้ำในประเทศญี่ปุ่นกลายมาเป็นแหล่งแวะพักที่ได้รับความนิยมของผู้แสวงบุญซึ่งสวดอ้อนวอนต่อมังกร ตำนานของชาวจีนตำนานหนึ่งบันทึกไว้ว่า มังกรจีนเพศผู้และเพศเมียเคยแต่งงานกับมนุษย์และลูกหลานของมังกรจีนก็กลายมาเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จักรพรรดิญี่ปุ่นที่ชื่อ ฮิโรฮิโตะ สืบสาวต้นตระกูลของตนเองย้อนหลังไปจนถึง 128 รุ่น ซึ่งก็คือ เจ้าหญิง Fruitful Jewel ลูกสาวของราชามังกรแห่งท้องทะเลลึก จักรพรรดิของหลายประเทศในเอเชียอ้างว่าตนเองก๋มีบรรพบุรุษเป็นมังกร ซึ่งก็ทำให้มีความคิดที่ว่าทุกสิ่งที่ใช้จะต้องประดับด้วยมังกรเช่น บัลลังก์มังกร เสื้อคลุมมังกร เตียงมังกร เรือมังกร การที่ชาวจีนถือว่าจักรพรรดิเป็นมังกรเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ชาวจีนมีความเชื่อว่าจักรพรรดินั้นสามารถทำให้ตนเองกลายเป็นมังกรได้",
"ลักษณะของมังกรจีน สัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าที่จีนให้ความเคารพนับถือ ลักษณะของมังกรเกิดจากจินตนาการโดยการรวมเอาลักษณะของสัญลักษณ์เผ่าต่างๆมารวมกัน มีความแตกต่างกันตามคติความเชื่อถือและการประดิษฐ์ของช่าง มีกาลเทศะและวาสนาแตกต่างกันไปตามความเชื่อของคตินิยมแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งว่ากันว่ามังกรของจีนนั้นมี 9 ท่า 9 สี คำว่า หลง ในภาษาจีนกลางหมายถึงมังกรที่มีลักษณะดังนี้",
"เป็นมังกรที่ใช้สำหรับสลักบนประตูคุก เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของเหล่านักโทษ มังกรปิกันเป็นมังกรที่รักในการใช้พละกำลัง เป็นการแสดงความดุร้าย ซึ่งนักเลงมักจะนิยมสักมังกรชนิดนี้ไว้ที่บริเวณแขน หน้าอกและบริเวณกลางหลัง บางคนก็สักไว้ที่หน้าขาและที่อื่น ๆ นักเลงพวกนี้มักจะสักมังกร \"คุก\" และเรียกขานกันว่า พวก ตั้วหลักเล้ง จะใช้เป็นสัญลักษณ์",
"พ.ศ. 2442 หวัง ยิรง (Wang Yirong) นักวิชาการจากปักกิ่ง พบสัญลักษณ์คล้ายอักษรบนกระดูกมังกร(กระดูกสัตว์ที่ชาวบ้านคิดว่าเป็นกระ ดูกมังกร)ที่เขาได้รับจากเภสัชกร ในเวลานั้น กระดูกมังกรซึ่งมักเป็นซากฟอสซิลของสัตว์ ยังใช้ในการแพทย์แผนจีน กระดูกสัตว์เหล่านั้นพบมาก ในซากปรักหักพังของเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ซัง ทางเหนือของมณฑลเหอหนาน",
"มังกรสวรรค์ หรือเทียนหลง มีชื่อเรียกว่า มังกรฟ้า เป็น มังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็จะเป็นพาหนะของเทพเจ้าเทวาในลัทธิเต๋า คนจีนมีความเชื่อกันว่า มังกรเทียนหลงนี้เป็นมังกรที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสรวงสรรค์ และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฮ่องเต้อีกด้วย",
"มังกรจริง ๆ ในปัจจุบันก็คือซากของไดโนเสาร์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งกลายเป็นหิน ไข่ไดโนเสาร์ถูกค้นพบในหลายพื้นที่ในประเทศจีน ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีไดโนเสาร์มากที่สุดในโลกในสมัยโบราณใช้ในการประกอบเป็นยาสมุนไพร เรียกกันว่า \"ยากระดูกมังกร\" ส่วนไข่ของมังกรจีนนั้นในสมัยเฉียนหลง ถือเอาไข่มังกรจีนเป็นเครื่องรางประจำราชสำนักภายในพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อมาเมื่อพระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็ตกทอดมาจากประเทศจีนมาอยู่ที่ประเทศไทย",
"เอี้ยก้วย (อังกฤษ:Yang Guo ,จีนตัวเต็ม: 楊過; จีนตัวย่อ: 杨过; พินอิน: Yáng Guò) เป็นตัวละครในนิยายกำลังภายใน บทประพันธ์โดย กิมย้ง ที่นำเอาประวัติศาสตร์จีนช่วงหนึ่งซึ่งตรงกับราชวงศ์ซ้องใต้ (หนานซ้อง-น่ำซ้อง) หรือประมาณ พ.ศ. 1669-1822 ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัย มาผูกปมเข้ากับบทประพันธ์ ให้ชื่อเรื่องตามภาษาจีนว่า จอมยุทธคู่อินทรีเทพยดา (หรือจอมยุทธจ้าวอินทรีหรือจอมยุทธเทพอินทรี แล้วแต่ผู้แปล) กิมย้งได้ผูกเรื่องให้เชื่อมโยงต่อจากเรื่องจอมยุทธล่าอินทรี (มังกรหยกภาค 1) แต่คนไทยรู้จักเรื่องจอมยุทธคู่อินทรีเทพยดาในชื่อมังกรหยกภาค 2 ทั้งที่เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับมังกรหรือหยก ที่เป็นเช่นนี้มีผู้สันนิษฐานว่า อาจเพราะผู้แปลฉบับภาษาไทยท่านแรกเห็นว่าเป็นนิยายจีน มังกรเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำชาติที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ส่วนหยกเป็นหินประดับที่มีค่าในความรู้สึกนึกคิดของชาวจีน",
"มังกรเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิจีน แต่การใช้มังกรเป็นลวดลายประดับบนเสื้อนั้นเป็นการแสดงถึงความสูงต่ำของตำแหน่ง ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้",
"หลังปี ค.ศ. 1759 ได้มีการกำหนดสัญลักษณ์ไว้อย่างแน่ชัด คือ จักรพรรดิ ขุนนางชั้นอัครมหาเสนาบดี เสนาบดี และราชบุตรเขยพระองค์แรก เจ้าชายพระองค์แรก รูปมังกรจะมี 4 เล็บ อัครมหาเสนาบดีที่โปรดปรานจะได้รับการพิจารณาเพิ่มเล็บมังกรเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามการกำหนดชั้นฐานะก็มีเรื่องของสีเสื้อเข้ามาเกี่ยวด้วย สีของเสื้อที่จะใช้กับลายมังกรมีอยู่ 3 สีคือ",
"ม้าน้ำเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับของประชาคมคนหูหนวกในประเทศญี่ปุ่น โดยตามตำนานของญี่ปุ่น มังกรนั้นไม่มีหูและหูหนวก หูของมังกรตกลงไปในมหาสมุทร ซึ่งหูเหล่านั้นกลายเป็นม้าน้ำ อดีต\"หูมังกร\"เหล่านี้ จึงได้รับการนำเสนอกราฟิกเป็นม้าน้ำในฐานะตราสัญลักษณ์และตัวนำโชคของสหพันธ์คนหูหนวกแห่งประเทศญี่ปุ่น และกราฟิกเครื่องหมายนี้ยังพบในตราสัญลักษณ์อื่น ๆ ของประชาคมคนหูหนวก ตัวอย่างเช่น ภาพกราฟิกม้าน้ำของสหพันธ์คนหูหนวกแห่งประเทศญี่ปุ่นได้รับการจดทะเบียนเป็นตราสัญลักษณ์ขององค์กรคนหูหนวกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง ดังเช่น สหพันธ์คนหูหนวกแห่งกรุงโตเกียว และสมาคมเทเบิลเทนนิสคนหูหนวกแห่งประเทศญี่ปุ่น",
"ประวัติของการกำหนดธงชาติจีนในยุคราชวงศ์ชิงสามารถสืบย้อนไปได้ราวปี ค.ศ. 1856 ในเวลานั้นได้เกิดกรณีเรือแอโรว์ ซึ่งมีสาเหตุจากเรือสินค้าจีนได้ชักธงเรือของต่างประเทศ (อังกฤษ) ขึ้นท้ายเรือของตน เนื่องจากในเวลานั้นประเทศจีนยังไม่มีธงสัญลักษณ์ของชาติอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี ค.ศ. 1862 กะลาสีเรือของจักรพรรดินาวีต้าชิงและราชนาวีอังกฤษได้รบกันในแม่น้ำแยงซีเกียง เพื่อเป็นการตอบสนองคำชี้แจงของราชนาวีอังกฤษในเรื่อการไม่อาจแยกแยะเรือของจีนออกจากเรือของชาติอื่นได้ เจ้าชายก่ง (ก่งชินหวัง - 恭親王) จึงกระตุ้นให้เจิง กว๋อฟาน (曾國藩) สร้างธงราชการสำหรับรัฐบาลราชวงศ์ชิงขึ้น และแนะนำให้ใช้ธงมังกรพื้นเหลือง ซึ่งมีใช้อยู่ในแปดกองธงของแมนจู และ กองทัพต้าชิง ในเวลานั้น เจิง กว๋อฟานจึงเอาแบบธงดังกล่าวซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มาตัดออกมุมหนึ่งให้เป็นรูปสามเหลี่ยมเพื่อให้แตกต่างจากธงเดิม และได้ใช้ในราชการระหว่าง ค.ศ. 1862 - 1889 โดยเป็นการเฉพาะในวงราชการและกองทัพเรือจีนเท่านั้น เรือของพลเรือนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ และ ไม่มีการกำหนดให้ธงนี้เป็นธงชาติแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามในโอกาสทางการทูตหรือการแสดงนิทรรศการนานาชาติ ก็ได้มีการใช้ธงรูปสามเหลี่ยมดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์แทนประเทศจีนเช่นกัน ภายหลังจึงได้แก้แบบให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในปี ค.ศ. 1890 และใช้สืบมาจนกระทั่งสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ชิง",
"ตราสัญลักษณ์ของสถานีเป็นมังกร เพื่อสื่อถึงย่านไชน่าทาวน์ ถนนเยาวราชและวัดมังกรกมลาวาส และใช้สีแดงตกแต่งภายในเนื่องมาจากเป็นสีมงคลของชาวจีน ส่วนกระเบื้องหัวเสาใช้\nลวดลายของประแจจีนบุพื้นสีทอง สลับกับกระเบื้องลายดอกบัว",
"มังกรกลายมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของผู้คนชาวจีน ในรูปของเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ อย่างที่ชาวโลกได้รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Sheng Chi มังกรจีนคือผู้ที่ยอมสละชีวิตและพลังของตนออกมาในรูปของฤดูกาลของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ มังกรจีนเป็นผู้นำน้ำมาจากฝน ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ สายลมจากทะเลและผืนดินจากโลก มังกรเป็นตัวแทนของพลังที่ยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ พลังอำนาจสูงสุดของโลก บางครั้งเราอาจพบมังกรจีนในรูปสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการปกป้องและคุ้มครอง พวกมันถูกยกย่องให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พวกมันมีสามารถอาศัยอยู่ในทะเล บินขึ้นไปถึงสวรรค์ และขดตัวบนพื้นดินในรูปของภูเขา ในหมู่ของสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายทั้งหลาย มังกรสามารถปัดเป่าวิญญาณที่ชั่วร้าย ปกป้องผู้บริสุทธิ์และทำให้ผู้ที่ถือเครื่องหมายของพวกมันรอดพ้นจากพยันตรายต่างๆ นานาได้ มังกรจีนถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความโชคดีสูงสุด",
"มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า ch’ih muh แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า po-shan ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้(ปัจจุบัน ประเทศทางตะวันตก ก็เพิ่งเจอ วัตถุลึกลับบางอย่างสามารถลอยในอากาศได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ) ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร",
"มังกรวิญญาณเฉียนหลง หรือหลีเฉี่ยวหลง เป็นมังกรที่บันดาลให้เกิดลมฝนเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตรและมนุษยชาติของชาวจีน แต่โบราณ มังกรหลีเฉี่ยวหลงนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย",
"อย่างไรก็ตาม มังกรที่พบในตำนานของทางยุโรปและของทางเอเชียนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกันในแง่สัญลักษณ์ โดยเฉพาะคติของจีนที่มักจะถือว่า มังกรนั้นคือเทพเจ้า และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ (ซึ่งเป็นสมมติเทพ) แต่ทางยุโรปนั้นมักจะถือมังกรเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย (อันเป็นคติที่สืบทอดมาจากความหวาดกลัวงูของชาวยุโรป)",
"โดยปกติแล้ว หงส์เป็นนกที่มนุษย์ไม่ใช้เป็นอาหาร แต่จะเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามได้ โดยมักเลี้ยงตามสระน้ำต่าง ๆ ตามสวนสาธารณะหรือสถานที่ต่าง ๆ เพราะหงส์ถือเป็นสัตว์ที่มนุษย์ถือว่า มีความสวยสง่างาม ท่วงท่าอ่อนช้อย โดยเฉพาะเมื่อว่ายน้ำ ช่วงคอที่ยาวระหง จะโค้งงอเป็นรูปตัว S อีกทั้งยังถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความงามต่าง ๆ เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีคู่เดียวไปตลอดชีวิต ได้มีการใช้หงส์ในสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น นิทานปรัมปราต่าง ๆ หรือในอุปรากรสวอนเลค ที่นิยมนำมาประกอบการแสดงบัลเลต์ หรือในความเชื่อของชาวจีน หงส์ถือเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ฮองเฮา เคียงข้างกับมังกร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย ประจำองค์ฮ่องเต้ และยังจัดว่าเป็น 1 ใน 4 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองโลกมนุษย์และสวรรค์ด้วย ถือเป็นสัตว์อมตะ ไม่มีวันตาย และหงส์ยังถือเป็นพาหนะของพระพรหม ซึ่งถือเป็น 1 ในตรีมูรติตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ในประเทศพม่า หงส์เป็นต้นตำนานของการกำเนิดเมืองหงสาวดี และเป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ตองอู ",
"ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์จักรพรรดิที่ปกครองประเทศจีนลำดับสุดท้าย สถาปนาเมื่อ ค.ศ. 1644 และถูกโค่นล้มด้วยการปฏิวัติซินไฮ่ในปี ค.ศ. 1912 ลักษณะของธงดังที่ปรากฏข้างต้นนี้เป็นแบบที่ใช้อยู่ระหว่าง ค.ศ. 1890 - 1912 โดยดัดแปลงจากธงสีเหลืองของกองทัพแปดกองธง ทั้งนี้ สีเหลืองเป็นสีของจักรพรรดิจีนตั้งแต่สมัยโบราณ อนึ่งยังเป็นสีที่หมายถึงชนเผ่าแมนจูด้วย ส่วนมังกรห้าเล็บเป็นสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจของจักรพรรดิ",
"ลายรูปปู่เหลา ชาวจีนมักปั้นเป็นหูของระฆัง หรือทำเป็นลายสลักอยู่บนยอดสุดของฆ้องหรือระฆัง สื่อให้เห็นลักษณะที่ชอบร้องเสียงดังของมังกรจีน เวลาที่ถูกปลาวาฬจู่โจม อันเป็นศัตรูตัวสำคัญ ลายรูปจิวหนิว เป็นลายที่สลักอยู่บนก้านบิดของซอสำหรับทดสอบเสียง ลายรูปปาเซีย เป็นรูปสลักบนยอดหินจารึก แสดงถึงว่ามังกรจีนชนิดนี้ชอบในวรรณคดี เป็นเครื่องหมายแสดงแทนเต่าทั้งเพศผู้และเพศเมีย ซึ่งก้มหัวลงต่ำแสดงถึงความเศร้าโศก และยังถูกนำไปทำเป็นฐานของเสาหิน หรือรูปสลักสำหรับหลุมฝังศพ เป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ เป็นสัตว์ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความเข้มแข็งอดทน ลายรูปปู-เซีย เป็นรูปสลักที่อยู่ก้นของอนุสาวรีย์หิน มีความหมายถึงให้ช่วยแบกรับน้ำหนักที่มากไว้ ลายรูปเจ้าเฟิง เป็นรูปลักษณะที่อยู่บนชายคาโบสถ์วิหาร เพื่อสะท้อนความที่มังกรจีนนั้นพอใจต่ออันตรายทั้งหลาย ลายรูปฉี-เหวิน เป็นลายรูปที่สลักอยู่บนคานสะพาน เนื่องจากเป็นมังกรที่ชอบน้ำ จึงถูกสลักไว้บนยอดจั่วของอาคารเพื่อป้องกันไฟ มังกรจีนชนิดนี้ชอบจ้องมองออกไปข้างนอก ดังนั้นสัญลักษณ์ของมังกรจึงเป็นรูปปลายกหางขึ้นฟ้า ลายรูปส้วน-นี่ เป็นลายรูปที่อยู่บนยอดอาสนะของพระพุทธรูป มีนิสัยชอบพักผ่อน ตำราบอกไว้ว่าเป็นพวกเดียวกับซีจู หรือสัญลักษณ์รูปสิงโต ลายรูปไย่จู เป็นรูปลายที่สลักอยู่บนด้ามดาบ เพราะเป็นมังกรที่ชอบการฆ่าฟัน ลายรูปปี๋-กัน เป็นลายรูปที่สลักอยู่ตามประตูคุก เพราะเป็นมังกรที่ชอบขึ้นศาลต่อสู้คดี ทะเลาะวิวาท มีพละกำลัง ความเข้มแข็ง และดุร้ายมาก เป็นสัตว์ที่มีเกล็ดและมีเขาหนึ่งเขา",
"มังกรจีนเป็นสัตว์เทพเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์ตามความเชื่อของชาวจีน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของชนชาติจีน ชาวจีนทั่วโลกต่างหยิ่งทะนงในการที่พวกตนนั้น สืบสายเลือดมาจากมังกร (Lung Tik Chuan Ren) ชาวจีนเชื่อกันว่ามังกรนั้นเป็นเทพเจ้าในตำนานที่จะนำมาซึ่งอายุยืนยาว ความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภวาสนา และจากสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ ตำนานมังกรของจีนได้ซึมซาบเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวจีนโบราณ และกลายมาเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนตราบจนถึงทุกวันนี้ มังกรจีนได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ ความดีงาม และอำนาจบารมี",
"ตำนานมังกรจีนโบราณมีอายุยาวนานกว่า 4,000 ปี ซึ่งลักษณะรูปร่างของมังกรจีนนั้น สุดแล้วแต่นักวาดรูปจะจินตนาการเสริมแต่งออกมา การขายจินตนาการของนักวาดรูปจะเขียนมังกรออกมาโดยยึดลักษณะรูปแบบที่เล่าต่อ ๆ กันมาคือ มังกรจีนจะมีลักษณะลำตัวที่ยาวเหมือนงู มีเกล็ดสีเขียว นัยน์ตาสีแดง มีหนวดและเขาอย่างละคู่ มีขา 4 ขาและกงเล็บที่แข็งแรง มังกรจีนโบราณถูกยกย่องว่าเป็นสัตว์เทพเจ้าซึ่งชาวจีนเคารพนับถือ เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าในลัทธิเต๋า ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์ มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ของจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มังกรบางตัวจะถือไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า ครั้งหนึ่งคนเคยคิดว่าไข่มุกคือไข่ของมังกร มังกรบางชนิดวางไข่ในน้ำไหล",
"มังกรจีนโดยเฉพาะมังกร 5 เล็บจะถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิหรือฮ่องเต้แห่งประเทศจีน โดยมีหงส์เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดินี เนื่องมาจากตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า หงส์เป็นพาหนะของพระแม่ซิหวั่งหมู่ ซึ่งเป็นเจ้าแม่ผู้ปกครองภูเขาคุนหลุน ซึ่งถ้าเทียบตามศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เขาคุนหลุนก็คือเขาพระสุเมรุของไทย ตามนิทานแล้วเจ้าแม่ซิหวั่งหมู่เป็นผู้ปกครองสวรรค์ฝั่งตะวันตกคู่กับเง็กเซียนฮ่องเต้ที่ปกครองสวรรค์ฝั่งตะวันออก เหมือนกับที่องค์จักรพรรดิเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองแต่องค์ฮองเฮาเป็นผู้ปกครองวังหลัง คอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในด้านต่าง ๆ",
"ฉลองพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินจีนตอนพิธีราชาภิเษก เป็นผ้าปักไหมสีสันต่าง ๆ เป็นรูปมังกร 5 เล็บอยู่ตรงกลางด้านหน้า ข้างบนตัวมังกรเป็นกลุ่มดาว 3 ดวงที่ฮ่องเต้ต้องบวงสรวง ข้างขวาของตัวมังกรเป็นอักษรคำว่า \"ฮก\" หมายถึงความสุข ข้างซ้ายของตัวมังกรเป็นรูปขวานโบราณหมายถึงอำนาจ ในความเป็นจริงแล้ว องค์จักรพรรดิของจีนนอกจากจะเป็นผู้นำของประเทศแล้ว ยังเป็นผู้นำในทางศาสนาอีกด้วย ดังจะเห็นจากที่พระเจ้าแผ่นดินจะเป็นผู้นำในการทำพิธีต่าง ๆ ซึ่งตามคติโบราณที่ว่าแต่เดิมมังกรนั้นก็คือมนุษย์หรือเกิดมาจากมนุษย์(ดังที่กล่าวมาแล้วในเรื่องการกำเนิดมังกร) และรูปลักษณ์ของเทพเจ้าโบราณก็มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งมังกร มังกรจึงถูกนำมาเปรียบให้เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์จีนนั่นเอง",
"ในหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวกันไว้ว่า มังกรนั้นได้ถือกำเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนไว้เป็นผืนเดียวกัน โดยพระองค์ได้ทรงสร้างจินตนาการรูปมังกรขึ้นมา จากการรวมสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าเผ่าต่าง ๆ ได้รวมกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอึ่งตี่สิ้นอายุไข ก็มีมังกรจากฟ้าลงมารับพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์ โดยบางตำราได้กล่าวว่าพระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ในเวลาต่อมา เพราะเหตุนี้ชาวจีนจึงถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง",
"ในตำนานยุโรป มังกรเป็นสัตว์อันตรายและน่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ มังกรจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย การฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์. มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ทั้งที่มีตัวตนจริง ๆ และในตำนานต่าง ๆ เช่น กษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งมีนามสกุลว่า Pendragon มีความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' และมงกุฎของกษัตริย์อาเธอร์ ก็เป็นรูปมังกร ส่วนในตำนานจีน มังกรเป็นสัตว์มงคลและมีสถานะเป็นเทพเจ้า เสื้อคลุมมังกร 5 เล็บเป็นเครื่องทรงของที่กษัตริย์สามารถใช้ได้เท่านั้น ส่วนเครื่องทรงที่มีรูปมังกร 4 เล็บจะเป็นชุดสำหรับขุนนาง และ 3 เล็บสำหรับประชาชนทั่วไป",
"นอกจากนี้มังกรมีความสามารถที่จะอยู่ในทะเล บินขึ้นไปยังสวรรค์ และขดตัวบนพื้นในรูปของภูเขา มังกรจีนสามารถปัดเป่าวิญญาณพเนจรชั่วร้าย ปกป้องผู้บริสุทธิ์ และให้ความปลอดภัยกับทุกคนที่ถือสัญลักษณ์ของเขามังกรจีนเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจและคุณงามความดี ความองอาจและความกล้าหาญ ความเป็นวีรบุรุษและความอุตสาหะ และความสูงส่งและความศักดิ์สิทธิ์ และนอกจากนี้ มังกรจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี ความเป็นมงคล และความมั่งคั่งอีกด้วย",
"ความเชื่ออย่างแปลกประหลาดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมังกรของคนจีน คือการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้างหมูและม้า ซึ่งถือว่าสัตว์เหล่านี้เป็นเชื้อสายของมังกรเช่นกัน คนจีนใช้มังกรเป็นสัตว์สัญลักษณ์แทนปีมะโรงซึ่งจะแตกต่างกับคนไทยที่ใช้พญานาค บางท่านกล่าวว่าปีนักษัตรเกิดสมัยพระพุทธเจ้า จีนคือผู้ที่คิดค้นแรกเริ่มตั้งแต่ราว 2,700 ปีมาแล้ว หรือภายหลังราชวงศ์โจวตะวันออกเล็กน้อย หลักฐานที่ยืนยันการคิดริเริ่มของจีนปรากฏอยู่บนแจกันสำริด ที่จัดแสดงอย่างถาวรอยู่ในพิพิธภัณฑสถานพระราชวังแห่งชาติไทเป ประเทศไต้หวัน ภายในห้องแสดงสำริดโบราณ การผสมข้ามสายพันธุ์ของมังกรนั้น ลูกหลานของมังกรได้แก่ ม้ามังกรในวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณีของไทยและเขมร ส่วนหมูและช้างนั้นภาคเหนือของประเทศไทยนั้น นับเป็นปีนักษัตรคือ ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน ทางภาคเหนือใช้ช้างแทนสัตว์สัญลักษณ์ปีกุน ซึ่งไม่ใช่หมู"
] |
กัลโชเซเรียอาคือลีกฟุตบอลในอิตาลีใช่หรือไม่ ? | [
"กัลโชเซเรียอา (อิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนชิป หรือกัมปีโอนาโต หรือสกูเดตโต) เป็นชื่อของลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศอิตาลี ที่เริ่มทำการแข่งขันกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1898 ซึ่งเจนัว เป็นสโมสรแรกที่คว้าแชมป์ได้ ในขณะที่โดยรวมแล้ว ยูเวนตุสเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยได้แชมป์ไปถึง 34 สมัย รองลงมาเป็นมิลาน กับอินเตอร์ ที่ได้แชมป์ 18 สมัยเท่ากัน ซึ่งสโมสรที่คว้าแชมป์ได้ทุก ๆ 10 สมัย จะได้รับสัญลักษณ์ดาวสีทอง ติดอยู่ด้านบนของสัญลักษณ์ทีมบนเสื้อ 1 ดวง ดังนั้น ยูเวนตุส จึงมี 3 ดาวติดอยู่ด้านบนของสัญลักษณ์ทีมบนเสื้อ ขณะที่อินเตอร์มิลาน และมิลาน มีทีมละ 1 ดาว"
] | [
"จารีตอันยาวนานของสโมสรฟุตบอลอังกฤษในเรื่องนักฟุตบอลของทีมคือ แต่ละสโมสรจะส่งตัวแทนค้นหาเยาวชนที่มีความสามารถทางการเล่นฟุตบอลเพื่อนำมาฝึกหัดพัฒนาทักษะ โดยให้ลงเล่นตั้งแต่ในทีมระดับเยาวชน สมัครเล่น หรือทีมสำรอง ผู้ที่มีความโดดเด่นจะได้รับคัดเลือกให้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ซึ่งลงแข่งในฟุตบอลลีก หากจะมีการซื้อตัวผู้เล่น ก็มักจะมาจากสโมสรในดิวิชันหนึ่ง (เดิม) ซื้อตัวผู้เล่น ดาวรุ่ง จากดิวิชันที่ต่ำกว่าหรือจากสโมสรสมัครเล่นนอกลีก มีน้อยมากที่ซื้อนักฟุตบอลต่างชาติ (ไม่นับรวม สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์) ต่างจากสโมสรฟุตบอลอาชีพทางยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสโมสรฟุตบอลในอิตาลีและสเปน ซึ่งมักจะได้รับฉายาว่า เจ้าบุญทุ่ม บ่อยครั้งที่สโมสรฟุตบอลจากสองประเทศนี้จ่ายเงินมหาศาล จนถึงขั้นสร้างสถิติโลกในการซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติเพียงหนึ่งคน",
"ระวิ โหลทอง นักธุรกิจสื่อมวลชนและกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามสปอร์ตซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ซึ่งริเริ่มนำเสนอกีฬาฟุตบอลอังกฤษในประเทศไทย และขยายไปสู่ฟุตบอลลีกดังของโลก เช่นเซเรียอา ของอิตาลี, บุนเดสลีกาของเยอรมนี และลาลีกาของสเปน ระวิเริ่มงานจากการเป็นผู้สื่อข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าข่าวกีฬา ก่อนจะลาออกตั้งแต่ พ.ศ. 2516 เพื่อทำธุรกิจหนังสือพิมพ์กีฬาของตัวเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ระวิเป็นผู้เสนอให้ปรับปรุงระบบการแข่งขันฟุตบอลในประเทศไทย ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก่อตั้งการแข่งขันระบบลีกสูงสุดในชื่อไทยลีก (ปัจจุบันคือ ไทยพรีเมียร์ลีก) ปัจจุบันระวิดำรงตำแหน่งเจ้าของสโมสรฟุตบอลเมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด",
"สโมสรฟุตบอลใน กัลโช่ เซเรีย อา และกัลโช่ เซเรีย บีถูกบริหารโดยเลกา กัลโช่แต่เนื่องจากมีปัญหาการทุจริตและการล้มบอลมากมายทำให้บรรดาทีมชั้นนำอย่าง ยูเวนตุส,เอซี มิลานและ อินเตอร์ มิลาน ได้ตัดสินใจประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยผลสรุปของการประชุมในครั้งนั้นคือ ทีมในกัลโช่ เซเรีย อาจะแยกตัวออกจากเลกา กัลโช่เพื่อออกมาเปิดลีกใหม่เป็นของตัวเองซึ่งหลังจากนั้น 19 ทีมในลีกกัลโช่ เซเรีย อาในฤดูกาล 2009-10 ก็ตกลงใจเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้จึงตัดสินใจยื่นขอถอนตัวออกจาก เลกากัลโช่ หรือฟุตบอลลีกอย่างเป็นทางการยกเว้นทีมเลชเชเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากถ้าทุกทีมในลีกกัลโช่ เซเรีย อาแยกออกมาเปิดลีกใหม่จะทำให้ทุกทีมในลีกเซเรียบีและซึ่งล้วนแต่เป็นทีมเล็กๆนั้นพลอยขาดรายได้และล้มละลายไปแต่ทั้ง 19 ทีมในลีกกัลโช่ เซเรีย อาก็ได้ออกแถลงการณ์ในการแยกตัวมาเปิดลีกใหม่เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2009 ว่าลีกใหม่ของอิตาลีนั้นจะทำการเปิดตัวในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 ซึ่งก็คือ 1 เดือนก่อนการเปิดฤดูกาล 2010-11 จึงทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอิตาลีที่มีอายุยาวนานถึง 80 ปีต้องยุติลง",
"วัลเตร์ อาเลคันโดร การ์กาโน เกบารา () เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1984 เป็นนักฟุตบอลชาว อุรุกวัย ปัจจุบันเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลนาโปลีในเซเรียอา ประเทศอิตาลี และฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัยในตำแหน่งกองกลางตัวรับ และยังเป็นรองกัปตันทีมคนปัจจุบันของนาโปลี",
"สโมสรแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 ในชื่อสโมสรฟุตบอลฟูจิตสึ เข้าร่วมลีกสมัครเล่น JSL ดิวิชัน 1 ครั้งแรกในปี 1977 แต่ตกชั้นไปในลีกล่างมาตลอด เมือ่ปี 1997 สโมสรยกระดับมาเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"ฟรอนตาเล\" ซึ่งมีความหมายว่า ด้านหน้า (frontal) ในภาษาอิตาลี และในที่สุด ได้ขึ้นมาลีกสูงสุดอีกครั้งในปี 2000 ที่ได้สัมผัสเกมเจลีกเป็นครั้งแรก สโมสรเข้าใกล้ความสำเร็จมากที่สุดในปี 2006 ที่รองแชมป์ในเจลีก ดิวิชัน 1 และได้เข้าร่วมการแข่งขันเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกในปี 2007 และผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มไปได้",
"นอกจากนี้แล้ว พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ยังทำสถิติมูลค่าการซื้อขายนักฟุตบอลในแต่ละทีมต่าง ๆ สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยเพียงแค่ในการซื้อขายรอบแรก (ก่อนถึงวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2014 เวลา 22.00 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนิช) โดยมีมูลค่ารวมกันถึง 835 ล้านปอนด์ ซึ่งนอกจากจะทำลายสถิติสูงสุดของการซื้อขายรอบแรกที่เคยทำไว้เมื่อฤดูกาลก่อน คือ 630 ล้านปอนด์ เพียงเฉพาะยอดการซื้อขายเฉพาะแค่รอบแรกครั้งนี้ ยังมากกว่าสถิติซื้อขายทั้ง 2 รอบของฤดูกาลก่อนที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ คือ 760 ล้านปอนด์ อีกด้วย โดยทีมที่ทำสถิติซื้อตัวนักฟุตบอลสูงสุด คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในราคาเกือบ 150 ล้านปอนด์ อีกทั้งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ซื้อตัวอังเคล ดี มารีอา นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินามาจากเรอัลมาดริดในลาลีกาของสเปน ด้วยค่าตัวเกือบถึง 60 ล้านปอนด์ นับว่าเป็นสถิติสูงสุดของการซื้อขายตัวนักฟุตบอลของวงการฟุตบอลอังกฤษ นอกจากนี้แล้วภาพโดยรวมยังถือว่า ใช้จำนวนเงินซื้อขายนักฟุตบอลแพงกว่าลีกอื่น ๆ ในทวีปยุโรปด้วยกัน (เช่น ลาลีกาของสเปน หรือเซเรียอาของอิตาลี) ถึงเกือบเท่าตัว",
"จัมเปาโล ปัซซีนี () เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1984 เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลี เริ่มต้นอาชีพกับอาตาลันตา ก่อนย้ายไปฟิออเรนตินา และ ซามพ์โดเรีย ปัจจุบันเล่นให้กับ เอซี มิลาน ในเซเรียอา ลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศ อิตาลี",
"อาจกล่าวได้ว่าในขณะนี้ พรีเมียร์ลีกเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ดึงดูดนักฟุตบอลชั้นดีให้มาประกอบวิชาชีพไม่ต่างจากเซเรียอาของประเทศอิตาลี หรือลาลีกาของประเทศสเปน ตัวชี้วัดคุณภาพที่ดีที่สุดคือนักฟุตบอลที่เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ มีจำนวน 101 คนที่เล่นฟุตบอลในอังกฤษ และปัจจุบันมีนักฟุตบอลต่างชาติในพรีเมียร์ลีกมากกว่า 290 คน[2][3][4][5]",
"สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี () หรือ เอฟเฟอีจีชี () เป็นสมาคมฟุตบอลในประเทศอิตาลี ดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีก เซเรียอา รวมถึงฟุตบอลทีมชาติอิตาลี มีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงโรม ก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1898",
"ปริเมราดิบิซิออน () ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ลาลิกา หรือเรียกว่า ลาลิกา ซันตันเดร์ ด้วยเหตุผลด้านผู้สนับสนุน เป็นระบบการแข่งขันลีกฟุตบอลอาชีพลีกสูงสุดในประเทศสเปน ลาลิกาได้รับการยอมรับว่าเป็นลีกฟุตบอลที่เข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป ใกล้เคียงกับเซเรียอาของประเทศอิตาลี และพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ",
"หมวดหมู่:นักฟุตบอลชาวอิตาลี หมวดหมู่:นักฟุตบอลทีมชาติอิตาลี หมวดหมู่:ผู้เล่นในเซเรียอา หมวดหมู่:ผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล หมวดหมู่:บุคคลจากปาแลร์โม หมวดหมู่:ผู้เล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 หมวดหมู่:ผู้เล่นในฟุตบอลโลก 2014 หมวดหมู่:กองหน้าฟุตบอล หมวดหมู่:บุคคลที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน หมวดหมู่:ผู้เล่นในลีกเอิง",
"กริสเตียน อับบีอาตี () เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1977 ในเขต อับเบียทีกรัสโซ เมือง มิลาน เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลี ปัจจุบันเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน ใน เซเรียอา ลีกฟุตบอลสูงสุดของ อิตาลี ในตำแหน่ง ผู้รักษาประตู",
"ในฤดูกาล 2011-2012 เขาเป็นนักเตะพียงคนเดียวที่ไม่ได้เป็นชาวอิตาลีแล้วได้รับตำแหน่งกัปตันทีมในลีกเซเรีย อา ซาเนตติถูกบันทึกว่าเป็นนักเตะที่ไม่ใช่ชาวอิตาลีที่ได้ลงเล่นสนามมากที่สุดให้กับสโมสรในประเทศอิตาลี อย่างทางการ 858 แมตช์ โดยทั้งหมดเขาลงเล่นให้อินเตอร์มิลาน และตลอดอาชีพนักเตะอาชีพ เขาได้ลงเล่นกว่า 1123 แมตช์ เป็นลงเพียง โรแชริโอ เซนี(1200) และปีเตอร์ ชิลตัน(1362)",
"หมวดหมู่:ฟุตบอลในประเทศอิตาลี หมวดหมู่:ฟุตบอลลีกสูงสุด",
"ในปี 2009 เกิดการเปลี่ยนแปลงในลีกครั้งใหญ่อีกครั้ง เริ่มจากการมี 4 สโมสรเข้าร่วมรายการเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ต่อด้วยการมีทีมตกชั้นเพิ่มเป็น 3 ทีม นอกจากนี้ ด้วยกฎใหม่ของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย เจลีกจึงต้องตั้งกฎให้มีผู้เล่นต่างชาติได้เพียง 4 คน แต่ต้องมี 1 คนที่มาจากชาติสมาชิกของสมาพันธ์ (ที่ไม่ใช่ญี่ปุ่น) นอกจากนั้น ยังมีการบังคับใช้ระบบไลเซนส์ของสโมสรเจลีกเพื่อตั้งมาตรฐานการอยู่ในลีกอาชีพสูงสุด",
"สโมสรฟุตบอลเอมโปลี เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอิตาลี ตั้งอยู่ที่เมืองเอมโปลี บริเวณย่านชานเมืองฟลอเรนซ์ สโมสรก่อตั้งในปี ค.ศ. 1920 จนถึงปัจจุบัน เอมโปลีได้เข้าแข่งขันในลีกไปแล้ว 83 ฤดูกาล แบ่งเป็นลีกระดับที่สาม 50 ฤดูกาล, เซเรียบี 20 ฤดูกาล และเซเรียอา 13 ฤดูกาล ผลงานที่ดีที่สุดในการแข่งขันระดับทวีปยุโรปคือการเข้าร่วมแข่งขันยูฟ่าคัพเมื่อฤดูกาล 2007–08",
"ในระดับสโมสร ฮิเดโตชิเริ่มเล่นให้กับทีมเบลมาเรฮิรัตสึกะในลีกญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็ย้ายไปเล่นให้กับทีมชั้นนำในลีกอิตาลี ได้แก่ เปรูจา โรมา ปาร์มาโบโลญญา และฟีออเรนตีนา และต่อมาได้ย้ายมาเล่นให้กับโบลตันวอนเดอเรอส์ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ในปี ค.ศ. 2005 กระทั่งหลังจบฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี เขาสร้างความประหลาดใจให้กับวงการฟุตบอลด้วยการประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ในวัยเพียง 29 ปี เนื่องจากหมดความท้าทายในการเล่นฟุตบอล ทั้งที่ยังสามารถเล่นได้อีกหลายปีและไม่ได้มีอาการบาดเจ็บหนักแต่อย่างใด",
"ฮัมบัวร์เกอร์ชปอร์ท-แฟร์ไอน์ () หรือรู้จักกันในชื่อ ฮัมบัวร์เกอร์ เอ็สเฟา () เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพประจำเมืองฮัมบวร์คในประเทศเยอรมนี มีฉายาในภาษาไทยว่า สิงห์เหนือ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1887 เคยได้แชมป์บุนเดสลีกา ถึง 6 สมัย, เดเอฟเบโพคาล 3 สมัย, เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ 3 สมัย, เดเอฟเบลีกาโพคาล 2 สมัย และยังเคยได้ครองแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย ในฤดูกาล 1982-83 ด้วยการชนะสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสจากอิตาลีไป 1-0 โดยได้ประตูชัยจากเฟลิกซ์ มากัท ตั้งแต่นาทีที่ 8 ปัจจุบันฮัมบูร์กเล่นอยู่ในบุนเดสลีกา ลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศเยอรมนี",
"เซเรียบี เป็นลีกฟุตบอลอันดับ 2 ของอิตาลีก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1929 พร้อมกับ เซเรียอา ต่อมาในฤดูกาล 2010-11 เซเรียบีหรือลีกดิวิชัน 2 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เลกา เซเรีย บี หรือดิวิชั่น 1 เนื่องจากสโมสรใน กัลโช เซเรีย อา ได้แยกตัวไปตั้งลีกใหม่",
"เลกากัลโช่ก่อตั้งขึ้นในชื่อ เลกานาซิโอนาเล (\"Lega Nazionale\", \"National League\") เมื่อ ค.ศ. 1946 หลังจากสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมื่อ ค.ศ. 1960 หลังจากที่ลีกฟุตบอลของอิตาลีมีสถานะเป็นลีกอาชีพเต็มตัว",
"เลกานาซีโอนาเลโปรเฟวซีโอนิสตีเซเรียอา () หรือ พรีเมียร์ลีก อิตาลี องค์กรผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพของ ประเทศอิตาลี ที่ถือกำเนิดขึ้นในฤดูกาล 2010-11 ซึ่งเกิดจากแนวความคิดของยอดทีมฟุตบอลของอิตาลีเช่น ยูเวนตุส,เอซี มิลาน,อินเตอร์ มิลาน ,โรม่า,ลาซิโอ เป็นต้นต้องการจะแยกตัวออกมาเพื่อเปิดลีกใหม่เป็นของตนเองโดยแยกตัวออกจากเซเรียบีและซีอย่่างสิ้นเชิงโดยยึดรูปแบบการ บริหารแบบเดียวกับ พรีเมียร์ลีก ของอังกฤษคือให้เหล่าสโมสรที่เล่นอยู่ในลีก ใหม่นี้บริหารงานกันเองโดย 19 สโมสรที่เล่นอยู่ในกัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาล 2008-09 ที่ผ่านมาต่างเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ยกเว้นทีมเลชเช ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้เนื่องจากจะทำให้สโมสรฟุตบอลในเซเรียบีที่ไม่ค่อยมีเงินทุนและ เลกากัลโช่ ซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งขันไม่ค่อยสนใจพลอยล้มละลายกันเป็นทิวแถว",
"ดานีเอเล เด รอสซี () เกิดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1983 ที่กรุงโรม เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลี ปัจจุบันเล่นอยู่กับสโมสรฟุตบอลโรมาในลีกกัลโชเซเรียอา ประเทศอิตาลี ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ เขาเคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก กับทีมชาติอิตาลี ในปี 2006 และเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ เซเรียอา ในปีเดียวกัน ก่อนจะได้รางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของอิตาลีในปี 2009",
"สโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2542 โดยเริ่มเล่นในโปรวินเชียลลีก ใน พ.ศ. 2547 สโมสรจบฤดูกาลโดยอยู่กลางตารางของลีก ในปีต่อมา สโมสรจบฤดูกาลในสามอันดับแรก และได้รับสิทธิ์เข้าไปเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก ติดต่อกันใน พ.ศ. 2548-49 โดยใน พ.ศ. 2549 สโมสรได้รับสิทธิ์เข้าไปเล่นในลีกสูงสุดของประเทศไทย โดยเป็นทีมสำรองลำดับที่สองของสโมสรฟุตบอลการท่าเรือแห่งประเทศไทย สโมสรนครปฐมไม่ได้นำมาซึ่งเฉพาะความเป็น \"ทีมภูมิภาค\" ในลีกเท่านั้น แต่ยังมีกระแสแฟนบอลที่เดินทางไปเชียร์ทั้งนัดเยือนและนัดเหย้า สโมสรนครปฐมเป็นอีกทีมหนึ่งเช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลจังหวัดชลบุรีและสโมสรฟุตบอลจังหวัดสุพรรณบุรีที่แข่งขันในระดับพรีเมียร์ลีก โดยไม่ใช่ทีมจากกรุงเทพมหานคร",
"ในฤดูกาล 2006-07 ผลงานของอาร์เซนอลและฟาเบรกัส ถึงแม้ว่าอาร์เซนอลจะพ่ายแพ้อีกครั้งให้กับสโมสรฟุตบอลเชลซี ในลีกคัพ[30] แต่อย่างไรก็ตาม ฟาเบรกัสก็ได้แจ้งเกิดในฐานะหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้กับทีม เขาได้ร่วมเล่นในทุกนัดของลีก[14][31] ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2006-07 เขาทำคะแนนให้กับอาร์เซนอล 3–0 ชนะสโมสรฟุตบอลดินาโมซาเกร็บในรอบคัดเลือก[32] ในพรีเมียร์ลีก เขาเป็นตัวจ่ายบอลทำประตู 13 ครั้ง ซึ่งถือว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในลีก[14][31] เมื่อจบฤดูกาลเขาได้รับรางวัลส่วนตัว อาทิ รางวัลโกลเดนบอย มอบโดยหนังสือพิมพ์อิตาลีที่ชื่อ TuttoSport จัดโดยแบบสำรวจของผู้อ่านจากทั่วยุโรป[33] เขายังได้รับรางวัล ทีมแห่งปีจากยูฟ่า ร่วมกับทีมในปี 2006[34] และยังเป็นผู้เล่นพรีเมียร์ลีกแห่งเดือนมกราคม ค.ศ. 2007[35] นอกจากนั้นเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง ทั้งรางวัลนักฟุตบอลและนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ แต่ทั้ง 2 รางวัล ผู้ได้รับไปในปีนั้นคือคริสเตียโน โรนัลโด จากสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[36] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 เขาได้เป็นผู้แหล่งอาร์เซนอลประจำฤดูกาล ด้วยคะแนน 60%[37]",
"ในปี 2009 เกิดการเปลี่ยนแปลงในลีกครั้งใหญ่อีกครั้ง เริ่มจากการมี 4 สโมสรเข้าร่วมรายการเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ต่อด้วยการมีทีมตกชั้นเพิ่มเป็น 3 ทีม นอกจากนี้ ด้วยกฎใหม่ของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย เจลีกจึงต้องตั้งกฎให้มีผู้เล่นต่างชาติได้เพียง 4 คน แต่ต้องมี 1 คนที่มาจากชาติสมาชิกของสมาพันธ์ (ที่ไม่ใช่ญี่ปุ่น) นอกจากนั้น ยังมีการบังคับใช้ระบบไลเซนส์ของสโมสรเจลีกเพื่อตั้งมาตรฐานการอยู่ในลีกอาชีพสูงสุด",
"หลังจากย้ายไปอินเตอร์มิลานซึ่งเป็นสโมสรในลีกเซเรียอาในปี ค.ศ. 2008 ภายในสามเดือนมูรีนโยก็ได้สร้างเกียรติให้กับสโมสรอิตาลีแห่งนี้โดยพาทีมชนะการแข่งขันอิตาเลียนซูเปอร์คัพ และจบฤดูกาลด้วยการครองแชมป์ลีกเซเรียอา ในฤดูกาล 2009-10 อินเตอร์มิลานกลายเป็นสโมสรแรกของอิตาลีที่สามารถทำเทรบเบิล โดยชนะเซเรียอา อิตาลีคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งอินเตอร์มิลานไม่สามารถชนะการแข่งขันหลังสุดนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 เขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกห้าคนที่สามารถทำให้สโมสรฟุตบอลสองทีมสามารถครองถ้วยยุโรป[6] โดยอีกสี่คนที่เหลือคือ แอนสท์ ฮัพเพิล, อ็อทท์มาร์ ฮิทซ์เฟ็ลท์, ยุพพ์ ไฮน์เคส และการ์โล อันเชลอตตี และได้รับรางวัลผู้ฝึกยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าในปี ค.ศ. 2010[7] จากนั้นเขาเซ็นสัญญากับเรอัลมาดริดในปี ค.ศ. 2010 และนำทีมชนะโกปาเดลเรย์ในฤดูกาลแรก ในปีต่อมาเขายังพาทีมครองแชมป์ลาลีกา ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้ฝึกคนที่ห้าถัดจากทอมิสลัฟ อีวิช, แอนสท์ ฮัพเพิล, โจวันนี ตราปัตโตนี และเอริก เคเริตส์ ที่ได้สามารถเอาชนะลีกฟุตบอลได้อย่างน้อยในสี่ประเทศคือ โปรตุเกส อังกฤษ อิตาลี และสเปน[8][9] หลังจากออกจากเรอัลมาดริดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 มูรีนโยกลับไปอังกฤษเพื่อจัดการเชลซีเป็นครั้งที่สองซึ่งในระหว่างนั้นก็สามารถพาทีมชนะลีกคัพได้อีกครั้ง แต่การทำงานกับเชลซีก็มาถึงจุดสิ้นสุดในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2015 หลังจากมีผลงานย่ำแย่ทำให้เชลซีเกือบตกชั้น[10]",
"อังเดร์ซง ลูอีส จี อาเบรว โอลีเวย์รา () หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ แอนเดอร์สัน () เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1988 เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกให้กับสโมสรฟุตบอลฟิออเรนตินา ในกัลโชเซเรียอาของอิตาลี และฟุตบอลทีมชาติบราซิล",
"อันโตนีโอ กัสซาโน () เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1982 เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลี ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรอินเตอร์ มิลานในลีกเซเรีย อา ได้รับฉายาว่า \"เพชรเม็ดงามแห่งกรุงบารี่\" เคยเล่นให้กับ บารี่,โรม่า, เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน โดยสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม คาสซาโนเป็นนักฟุตบอลพรสวรรค์สูงมาก สามารถครองบอลได้อย่างเหนียวแน่น และเรียกฟาวล์จากคู่แข่งได้มากมาย โดยเฉพาะการทำเกมทางกราบ อีกทั้งยังสามารถจ่ายบอลได้คมและแยบยลติดระดับต้นๆของทำเนียบนักบอลอิตาลี คาสซาโนเป็นกองหน้าที่ไม่หวงบอล เขาไม่เคยคิดจะทำประตูแบบฝืนๆแต่มักจะจ่ายถวายพานให้เพื่อนร่วมทีมเจาะตาข่ายโดยง่ายดายมากกว่า จากจุดนี้เองทำให้มีข้อครหาว่าจุดอ่อนในฐานะกองหน้าของคาสซาโนคือ \"การทำประตูได้น้อยเกินไป\"คาสซาโนแจ้งเกิดกับ\"บารี่\"ทีมทางใต้ของประเทศอิตาลี ซึ่งหลังจากโชว์ฟอร์มได้ไม่นาน \"สโมสรฟุตบอลโรมา\" ทีมยักษ์ใหญ่ในอิตาลีก็ดึงตัวมาทันที ซึ่งทั้งความสามารถและลีลาอันบรรเจิดของเขา ทำให้ถูกสื่อมวลชนนำมาเปรียบเทียบกับนักเตะรุ่นพี่ \"ฟรันเชสโก ตอตตี\" ทันที คาสซาโน เป็นนักเตะอารมณ์ศิลปิน ไม่เคยเกรงใจใคร และสามารถปล่อยอารมณ์รุนแรงได้ทุกครั้งที่มีอะไรมาสะกิดต่อมโมโห แต่เขาก็ไม่ใช่นักเตะที่เล่นฟุตบอลสกปรกแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเป็นนักบอลที่ทำฟาวส์น้อยมาก ถ้าเทียบกับชื่อเสียงในเรื่องความห่ามของเขา\nบารี่",
"อูดีเนเซกัลโช () หรือรู้จักในชื่อ อูดีเนเซ เป็นสโมสรฟุตบอลใน ประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ใน แคว้นปกครองตนเองฟรีอูลี-เวเนเซียจูเลีย ปัจจุบันเล่นอยู่ในลีก เซเรียอา สโมสรก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1896 ซึ่งอูดิเนเซเป็นสโมสรฟุตบอลอันดับที่สองที่เก่าแก่ที่สุดใน ประเทศอิตาลี โดยเป็นรองจาก สโมสรฟุตบอลเจนัว ",
"เลกาเซเรียบีก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 หรือ 1 อาทิตย์ภายหลังจากที่ เซเรียอา และ เซเรียบี ได้แยกตัวออกจาก เลกากัลโช่ หรือ ฟุตบอลลีกของอิตาลีทำให้เลกากัลโช่สิ้นสุดลงและในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 เลกาเซเรียบีได้เข้าร่วม สมาคมฟุตบอลลีกอาชีพยุโรป"
] |
นิวตรอน คืออะไร ? | [
"นิวตรอน (English: neutron) เป็น อนุภาคย่อยของอะตอม ตัวหนึ่ง มีสัญญลักษณ์ n หรือ n0 ที่ไม่มี ประจุไฟฟ้า และมีมวลใหญ่กว่ามวลของ โปรตอน เล็กน้อย โปรตอนและนิวตรอนแต่ละตัวมีมวลประมาณหนึ่งหน่วย มวลอะตอม โปรตอนและนิวตรอนประกอบกันขึ้นเป็น นิวเคลียส ของหนึ่งอะตอม และทั้งสองตัวนี้รวมกันเรียกว่า นิวคลีออน[1] คุณสมบัติของพวกมันถูกอธิบายอยู่ใน ฟิสิกส์นิวเคลียร์"
] | [
"การกระตุ้นนิวตรอน () เป็นกระบวนการที่ นิวตรอน ไปเหนี่ยวนำให้เกิดกัมมันตภาพรังสีในวัสดุ และจะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของอะตอมจับยึดนิวตรอนอิสระ กลายเป็นนิวเคลียสที่หนักกว่าและเข้าสู่สภาวะกระตุ้น นิวเคลียสที่ถูกกระตุ้นมักจะสลายตัวทันทีโดยการเปล่ง รังสีแกมมา หรือเปล่งอนุภาคเช่น อนุภาคบีตา อนุภาคแอลฟา ผลผลิตฟิชชัน และนิวตรอน (ในนิวเคลียร์ฟิชชัน) ดังนั้นกระบวนการของการจับยึดนิวตรอน แม้ว่าจะหลังจากการสลายตัวระดับกลางใด ๆ มักจะส่งผลให้เกิดผลผลิตจากการกระตุ้นที่ไม่เสถียร นิวเคลียสกัมมันตรังสีดังกล่าวสามารถแสดงครึ่งชีวิตในพิสัยตั้งแต่เศษส่วนขนาดเล็กของหนึ่งวินาทีจนถึงหลายปี",
"ระดับอุณหภูมิของนิวตรอน () หรือ พลังงานนิวตรอน () จะแสดง พลังงานจลน์ ของ นิวตรอนอิสระ มีหน่วยเป็น อิเล็กตรอนโวลท์ คำว่า \"อุณหภูมิ\" ถูกใช้เพราะนิวตรอนร้อน(), นิวตรอนความร้อน () และนิวตรอนเย็น () ถูก หน่วง ในตัวกลางหนึ่งที่มีอุณหภูมิระดับหนึ่ง จากนั้นการกระจายพลังงานของนิวตรอนจะถูกปรับให้เป็นไปตาม การกระจายตัวแบบแมกซ์เวลล์-โบลส์แมนน์ หรือ Maxwellian distribution ที่เรียกว่าการเคลื่อนที่เชิงความร้อน () ในเชิงปริมาณ อุณหภูมิยิ่งสูง พลังงานจลน์ของนิวตรอนอิสระก็ยิ่งมาก พลังงานจลน์, ความเร็ว และ ความยาวคลื่นของนิวตรอน มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปตาม ความสัมพันธ์ของเดอเบรย () ",
"ต้นกำเนิดนิวตรอน () หมายถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ปลดปล่อยนิวตรอนออกมา ไม่จำกัดแค่เครื่องกลไกที่ใช้สร้างนิวตรอนเท่านั้น ตัวแปรต่าง ๆ ของต้นกำเนิดนิวตรอนนั้นขึ้นกับ พลังของนิวตรอนที่ปล่อยออกมาจากต้นกำเนิด อัตราการปลดปล่อยนิวตรอนของต้นกำเนิด ขนาดของต้นกำเนิด ราคาการดูแลรักษาต้นกำเนิด และ ข้อบังคับทางราชการที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิด อุปกรณ์นี้มีใช้ในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ วิศวกรรม เวชกรรม อาวุธนิวเคลียร์ การสำรวจปิโตรเลียม ชีววิทยา เคมี พลังงานนิวเคลียร์ และ อุตสาหกรรมอื่น ๆ",
"ภายในนิวเคลียส โปรตอนและนิวตรอนจะยึดเหนี่ยวอยู่ด้วยกันด้วย แรงนิวเคลียร์ และนิวตรอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของนิวเคลียส นิวตรอนถูกผลิตขึ้นแบบทำสำเนาในปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิวชั่น และ นิวเคลียร์ฟิชชัน พวกมันเป็นผู้สนับสนุนหลักใน การสังเคราะห์นิวเคลียส ขององค์ประกอบทางเคมีภายในดวงดาวผ่านกระบวนการฟิวชัน, ฟิชชั่นและ การจับยึดนิวตรอน",
"นิวเคลียร์ฟิชชั่น. เครื่องปฏิกรณ์พลังงานเชิงพาณิชย์ทั้งหมดจะใช้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่น. โดยทั่วไปจะใช้ยูเรเนียมและผลิตผลของมันซึ่งได้แก่พลูโตเนียมเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์, แม้ว่าวัฏจักรเชื้อเพลิงทอเรียมก็สามารถนำมาใช้ได้. เครื่องปฏิกรณ์ฟิชชั่นสามารถแบ่งออกหยาบๆเป็นสองระดับชั้น, ขึ้นอยู่กับพลังงานของนิวตรอนที่รักษาปฏิกิริยาลูกโซ่ฟิชชั่น: 'เครื่องปฏิกรณ์ความร้อน' (เป็นชนิดที่พบมากที่สุดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์) ใช้นิวตรอนที่วิ่งช้าหรือนิวตรอนความร้อนเพื่อรักษาสภาวะการฟิชชั่นของเชื้อเพลิงของพวกมัน. เครื่องปฏิกรณ์เกือบทั้งหมดในปัจจุบันเป็นประเภทนี้. เครื่องเหล่านี้จะติดตั้งวัสดุที่เป็นตัวหน่วงนิวตรอน (English: neutron moderator) ที่จะทำให้นิวตรอนช้าลงจนกระทั่ง'อุณหภูมินิวตรอน'ของพวกมันจะ thermalized, นั่นคือ, จนกระทั่งพลังงานจลน์ของพวกมันเคลื่อนเข้าสู่พลังงานจลน์เฉลี่ยของอนุภาคโดยรอบ. นิวตรอนร้อนมีหน้าตัดนิวเคลียร์ (ความน่าจะเป็น)ที่ใหญ่กว่ามากๆ ของการเกิดฟิชชั่นบนนิวเคลียสที่มีคุณสมบัติทำฟิชชั่นได้ เช่นยูเรเนียม-235, พลูโตเนียม-239, และพลูโตเนียม-241, และความน่าจะเป็นที่ค่อนข้างต่ำกว่าของ'การจับนิวตรอน'โดยยูเรเนียม-238 (U-238) เมื่อเทียบกับนิวตรอนที่เร็วกว่าที่มาเป็นผลแต่เดิมมาจากการฟิชชั่น, เป็นการยอมให้สามารถใช้ยูเรเนียมสมรรถนะต่ำหรือเชื้อเพลิงยูเรเนียมธรรมชาติด้วยซ้ำ. ตัวหน่วงนิวตรอนมักจะเป็นตัวหล่อเย็นอีกด้วย, ปกติจะเป็นน้ำความดันสูงเพื่อเพิ่มจุดเดือด. อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกล้อมรอบด้วยอ่างปฏิกรณ์ (English: reactor vessel), เครื่องมือเฝ้าดูและควบคุมเครื่องปฏิกรณ์, โลห์ป้องกันรังสี, และอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 'เครื่องปฏิกรณ์นิวตรอนเร็ว'ใช้'นิวตรอนเร็ว'เพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชันในเชื้อเพลิงของพวกมัน. พวกมันไม่ได้มีตัวหน่วงนิวตรอน, แต่ใช้สารหล่อเย็นที่มีตัวหน่วงน้อย. การรักษาปฏิกิริยาลูกโซ่ให้คงไว้ต้องใช้เชื้อเพลิงที่เป็นวัสดุฟิชชั่นมีสมรรถนะสูงมาก (ประมาณ 20% หรือมากกว่า) อันเนื่องมาจากความน่าจะเป็นที่ค่อนข้างต่ำของการฟิชชั่นเมื่อเทียบกับการจับนิวตรอนโดย U-238. เครื่องปฏิกรณ์เร็วมีศักยภาพในการผลิตของเสียแบบ transuranic น้อยเพราะ actinides ทุกตัวจะสามารถทำฟิชชั่นได้ด้วยนิวตรอนเร็ว[22], แต่พวกมันจะสร้างยากกว่าและการดำเนินงานมีราคาแพงกว่า. โดยรวม เครื่องปฏิกรณ์เร็วจะถูกใช้น้อยกว่าเครื่องปฏิกรณ์ความร้อนในการใช้งานส่วนใหญ่. สถานีพลังงานช่วงต้นบางสถานีเป็นเครื่องปฏิกรณ์เร็วเช่นเดียวกับบางหน่วยเรือลากจูงรัสเซีย. การสร้างต้นแบบเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (ดู fast breeder หรือเครื่องปฏิกรณ์ generation IV) นิวเคลียร์ฟิวชัน. พลังงานฟิวชั่นเป็นเทคโนโลยีการทดลอง, โดยทั่วไปมีไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง. ในขณะที่มันไม่เหมาะสำหรับการผลิตไฟฟ้า, ตัวทำปฏิกิริยาฟิวชั่นแบบ Farnsworth-Hirsch ถูกใช้ในการผลิตรังสีนิวตรอน.",
"พิษนิวตรอน () (หรือที่เรียกว่า ตัวซับนิวตรอน หรือ พิษนิวเคลียร์) เป็นสารที่มีภาคตัดขวางของการดูดซับนิวตรอนขนาดใหญ่ เพื่อใช้ในงานเช่นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ในการใช้งานทั่วไปการดูดซับนิวตรอนมักจะเป็นผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตามวัสดุที่ดูดซับนิวตรอนได้ หรือที่เรียกว่ายาพิษ จะถูกสอดอย่างเจตนาเข้าไปในบางชนิดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อลดระดับการเกิดปฏิกิริยาที่สูงของโหลดที่เกิดจากเชื้อเพลิงสดเริ่มต้นของพวกมัน บางส่วนของยาพิษเหล่านี้จะหมดสิ้นลงเมื่อพวกมันดูดซับนิวตรอนในระหว่างการดำเนินงานของเครื่องปฏิกรณ์ ขณะที่ส่วนอื่นของยาพิษจะค่อนข้างคงที่",
"นิวตรอนอิสระหรือนิวตรอนอิสระใด ๆ ของนิวเคลียสเป็นรูปแบบหนึ่งของ การแผ่รังสีจากการแตกตัวเป็นไอออน ดังนั้นมันจึงเป็นอันตรายต่อชีวภาพโดยขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับ[7] สนาม \"พื้นหลังนิวตรอน\" ขนาดเล็กในธรรมชาติของนิวตรอนอิสระจะมีอยู่บนโลก ซึ่งเกิดจากมิวออนรังสีคอสมิก และจากกัมมันตภาพรังสีตามธรรมชาติขององค์ประกอบที่ทำฟิชชันได้ตามธรรมชาติในเปลือกโลก[8] แหล่งที่ผลิตนิวตรอนโดยเฉพาะเช่นเครื่องกำเนิดนิวตรอน, เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการวิจัยและแหล่งผลิตนิวตรอนแบบสปอลเลชัน (English: Spallation Source) ที่ผลิตนิวตรอนอิสระสำหรับการใช้งานในการฉายรังสีและในการทดลองการกระเจิงนิวตรอน",
"ซากที่เหลืออยู่ของแกนกลางจะประกอบไปด้วยนิวตรอนทั้งดวง เรียกว่า ดาวนิวตรอน ซึ่งมีความหนาแน่นสูงมาก ดาวนิวตรอนทั่วไปมีขนาดราว 10-20 กิโลเมตร แต่มีมวลเท่ากับดวงอาทิตย์ทั้งดวง เนื้อสารของดาวนิวตรอน 1 ช้อนชา มีมวลถึง 120 ล้านตัน แกนกลางนี้เข้าสู่สมดุลใหม่ จากแรงดันดีเจนเนอเรซีของนิวตรอน \nแต่ในบางกรณีที่ดาวฤกษ์มีมวลสูงมาก คือมากกว่า 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เศษซากจากซูเปอร์โนวาจะตกกลับลงไปบนดาวนิวตรอน จนดาวนิวตรอนมีมวลเกินกว่า 3 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ซึ่งเกินขีดจำกัดของดาวนิวตรอน ทำให้ดาวนิวตรอนยุบตัวลงกลายเป็น หลุมดำ",
"นิวตรอน\"เย็น\" นิวตรอน\"ความร้อน\" นิวตรอน\"ร้อน\"และการแผ่รังสีจากนิวตรอนมักจะถูกใช้ในสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำจากการกระเจิงนิวตรอน ในที่ซึ่งรังสีจะถูกใช้ในลักษณะที่คล้ายกันกับที่มีการใช้รังสีเอกซ์สำหรับการวิเคราะห์สารควบแน่น (English: condensed matter) นิวตรอนจะถูกใช้เสริมกับการวิเคราะห์ดังกล่าวในแง่ของความแตกต่างของอะตอมโดยภาคตัดขวาง (ฟิสิกส์)ที่มีการกระเจิงที่แตกต่างกัน; ความไวต่อแม่เหล็ก; ช่วงพลังงานสำหรับเครื่องวิเคราะห์สเปคตรัมแบบนิวตรอนที่ไม่ยืดหยุ่น (English: inelastic neutron spectroscopy); และการเจาะลึกลงไปในสสาร",
"นิวตรอนจะยึดเหนี่ยวตามปกติอยู่กับ นิวเคลียสของอะตอม และไม่ได้มีอยู่ฟรีอย่างอิสระได้นานในธรรมชาติ นิวตรอน ที่ไม่ถูกยึดเหนี่ยวจะมี ครึ่งชีวิต เพียงประมาณ 10 นาที การปลดปล่อยนิวตรอนจากนิวเคลียสต้องการพลังงานที่มากกว่า พลังงานยึดเหนี่ยว ของนิวตรอน ซึ่งโดยปกติจะเท่ากับ 7-9 MeV สำหรับ ไอโซโทป ส่วนมาก แหล่งกำเนิดนิวตรอน จะสร้างนิวตรอนอิสระโดยปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่หลากหลาย รวมทั้ง นิวเคลียร์ฟิชชัน และ นิวเคลียร์ฟิวชัน ไม่ว่าแหล่งกำเนิดของนิวตรอนจะเป็นอย่างไร พวกมันจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับพลังงานหลาย MeV",
"ในเครื่องปฏิกรณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ส่วนมากเป็นเครื่องปฏิกรณ์ความร้อนและใข้ตัวหน่วงนิวตรอนในการลดความเร็วนิวตรอน จนกว่ามันจะเข้าใกล้พลังงานจลน์โดยเฉลี่ยของอนุภาคโดยรอบ นั่นคือเพื่อลดความเร็วของนิวตรอนให้ความร้อนนิวตรอนต่ำลง นิวตรอนไม่มีประจุไฟฟ้าช่วยให้พวกมันทะลวงลึกลงไปถึงเป้าหมายและใกล้กับนิวเคลียสได้ ดังนั้น การกระจายนิวตรอนโดยแรงนิวเคลียร์ บางนิวไคลด์จึงมีการกระจายขนาดใหญ่",
"ในระดับแรกของการควบคุมในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทุกเครื่อง, กระบวนการของการปล่อยนิวตรอนที่ล่าช้าจากจำนวนของไอโซโทปฟิชชันที่อุดมด้วยนิวตรอนเป็นกระบวนการทางกายภาพที่สำคัญ นิวตรอนที่ล่าช้าเหล่านี้มีอยู่ประมาณ 0.65% ของนิวตรอนทั้งหมดที่ผลิตในปฏิกิริยาฟิชชั่น, กับส่วนที่เหลืออยู่ (ที่เรียกว่า \"prompt neutron\") ที่ถูกปล่อยออกทันทีเมื่อเกิดฟิชชัน ผลผลิตจากฟิชชั่นที่ผลิตนิวตรอนล่าช้ามีครึ่งชีวิตในการสลายตัวของพวกมันโดยการปล่อยนิวตรอนที่หลากหลายจากมิลลิวินาทีจนถึงเวลาหลายนาที. การรักษาเครื่องปฏิกรณ์ให้อยู่ในโซนของห่วงโซ่ปฏิกิริยาที่นิวตรอนล่าช้าเป็นสิ่ง'จำเป็น'เพื่อให้บรรลุสภาวะมวลวิกฤต, เปิดช่วงเวลาให้อุปกรณ์เครื่องกลหรือมนุษย์ผู้ประกอบการที่จะมีเวลาในการควบคุมปฏิกิริยาลูกโซ่ใน \"เวลาจริง\"; มิฉะนั้นเวลาระหว่างความสำเร็จของวิกฤตและนิวเคลียร์หลอมละลายเป็นผลมาจากไฟกระชากแบบเอ็กโปเนนเชียลจากปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ปกติ, จะสั้นเกินไปที่จะยอมให้มีการแทรกแซง.",
"เนื่องจากแคลิฟอร์เนียมเป็นแหล่งนิวตรอนที่มีประสิทธิภาพสูงมาก จึงใช้ประโยชน์ใน neutron moisture gages และใน well-logging (การวิเคราะห์หาปริมาณน้ำและชั้นของ น้ำมัน) ใช้เป็นแหล่งนิวตรอนในการสำรวจโลหะ เช่น ทองคำหรือเงิน เป็นต้น ด้วยความที่เป็นตัวปล่อยนิวตรอนที่ดีมาก ปล่อยนิวตรอน 139 ล้านนิวตรอนต่อนาที จึงเหมาะในการตั้งต้นปฏิกิริยานิวเคลียร์บางอย่างอีกด้วย",
"การกระเจิงนิวตรอน () เป็นการกระเจิงของนิวตรอนอิสระโดยสสาร อาจหมายถึงกระบวนการทางฟิสิกส์หรือเทคนิคในการทดลองที่ใช้กระบวนการนี้สำหรับตรวจสอบวัสดุ การกระเจิงนิวตรอนที่เป็นกระบวนการทางฟิสิกส์นั้นมีความสำคัญแแแบบดั้งเดิมในด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ การกระเจิงนิวตรอนที่เป็นเทคนิคการทดลองจะถูกใช้ในสาขาผลึกศาสตร์, ฟิสิกส์, เคมีฟิสิกส์, ชีวฟิสิกส์, และการวิจัยวัสดุ มันถูกใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการวิจัยและแหล่งกำเนิดนิวตรอนแบบการแตกเป็นเสี่ยง (ฟิสิกส์)ที่ผลิตการแผ่รังสีจากนิวตรอนที่มีความเข้มข้นเพียงพอ การหักเหนิวตรอน (การกระเจิงแบบยืดหยุ่น) จะถูกใช้สำหรับการกำหนดโครงสร้าง การกระเจิงนิวตรอนแบบไม่ยืดหยุ่นจะถูกนำมาใช้สำหรับการศึกษาด้านการสั่นสะเทือนของอะตอมและการกระตุ้นอื่น ๆ",
"การเกิดมหานวดาราไม่ได้ให้ผลแค่กลายเป็นดาวนิวตรอนสถานเดียวเท่านั้น ณ จุดสิ้นอายุขัยของดาวมวลมากจะระเบิดมวลส่วนใหญ่ของดาวออกไป แต่ถ้ามวลส่วนหนึ่งตกกลับมายังดาวนิวตรอนที่ยังเหลืออยู่ตรงกลาง ในกรณีของดาวฤกษ์ที่มีมวลเริ่มต้นมากกว่า 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ (ค่าทางแบบจำลองคณิตศาสตร์) เศษซากดาวที่ตกกลับลงมายังดาวนิวตรอนจะมีมวลมากพอที่จะทำให้ดาวนิวตรอนมีมวลเพิ่มขึ้นเกินกว่า 3 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ได้ ซึ่งเกินกว่าลิมิตดาวนิวตรอน ความดันดีเจนเนอเรซีของนิวตรอนจึงไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ได้อีกต่อไป ดาวนิวตรอนจะถูกยุบตัวลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่มีแรงใดๆ ในจักรวาลที่จะต้านทานการยุบตัวได้ ชัยชนะเด็ดขาดจึงเป็นของแรงโน้มถ่วง คือดาวนิวตรอนจะยุบตัวลงเป็นหลุมดำ (Black Hole) ซึ่งเป็นวัตถุที่มีขนาดเป็นศูนย์มวลเป็นอนันต์ นอกจากนี้ยังมีอีกทางหนึ่งที่ดาวฤกษ์สามารถกลายเป็นหลุมดำได้คือ แกนเหล็กของดาวมวลมากที่สิ้นอายุขัยสามารถยุบตัวลงผ่านลิมิตดาวนิวตรอนกลายเป็นหลุมดำได้โดยตรง ในกรณีนี้ จะไม่เกิดปรากฏการณ์มหานวดาราอีกเลย (เกิดขึ้นในดาวที่มีมวลเริ่มต้นหลายสิบเท่าของมวลดวงอาทิตย์)",
"เมื่อมีพันธะกับนิวเคลียส ความไม่เสถียรของนิวตรอนเดี่ยวจะถูกนิวเคลียสทำให้เสถียร ถ้าโปรตอนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดปฏิกิริยากับโปรตอนตัวอื่น ๆ ในนิวเคลียสเอง แม้ว่านิวตรอนจะไม่เสถียร นิวตรอนก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธะ สาเหตุนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมโปรตอนเสถียรที่อยู่ในอวกาศจึงเปลี่ยนสภาพเป็นนิวตรอนเมื่อเกิดพันธะภายในนิวเคลียส",
"นิวเคลียสประกอบด้วยโปรตอนจำนวน Z ตัว โดยที่ Z จะเรียกว่า เลขอะตอม และนิวตรอนจำนวน N ตัว โดยที่ N คือ เลขนิวตรอน เลขอะตอมใช้กำหนดคุณสมบัติทางเคมีของอะตอม และเลขนิวตรอนใช้กำหนด ไอโซโทป หรือ นิวไคลด์[2] คำว่าไอโซโทปและนิวไคลด์มักจะถูกใช้เป็นคำพ้อง แต่พวกมันหมายถึงคุณสมบัติทางเคมีและทางนิวเคลียร์ตามลำดับ เลขมวล ของอะตอมใช้สัญลักษณ์ A จะเท่ากับ Z+N ยกตัวอย่างเช่น คาร์บอนมีเลขอะตอมเท่ากับ 6 และคาร์บอน-12 ที่เป็นไอโซโทปที่พบอย่างมากมายของมันมี 6 นิวตรอนขณะคาร์บอน-13 ที่เป็นไอโซโทปที่หายากของมันมี 7 นิวตรอน องค์ประกอบบางอย่างจะเกิดขึ้นเองในธรรมชาติโดยมีไอโซโทปที่เสถียรเพียงหนึ่งตัว เช่นฟลูออรีน (ดู นิวไคลด์ที่เสถียร) องค์ประกอบอื่น ๆ จะเกิดขึ้นโดยมีไอโซโทปที่เสถียรเป็นจำนวนมาก เช่นดีบุกที่มีสิบไอโซโทปที่เสถียร แม้ว่านิวตรอนจะไม่ได้เป็นองค์ประกอบทางเคมี มันจะรวมอยู่ใน ตารางของนิวไคลด์[3]",
"ดาวนิวตรอน () เป็นซากที่เหลือจากยุบตัวของการระเบิดแบบซูเปอร์โนวาชนิด II,Ib หรือ Ic และจะเกิดเฉพาะดาวฤกษ์มวลมากมีส่วนประกอบเพียงนิวตรอนที่อะตอมไร้กระแสไฟฟ้า (นิวตรอนมีมวลสารใกล้เคียงโปรตอน) และดาวประเภทนี้สามารถคงตัวอยู่ได้ด้วยหลักการกีดกันของเพาลีเกี่ยวกับแรงผลักระหว่างนิวตรอน",
"นิวตรอนในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะมีการแบ่งประเภทโดยทั่วไปเป็นนิวตรอนช้า (นิวตรอนความร้อน) หรือเป็น นิวตรอนเร็ว ขึ้นอยู่กับพลังงานของมัน นิวตรอนความร้อนจะมีการกระจายพลังงาน (การกระจายแบบ Maxwell-Boltzmann) ที่คล้ายกับกันก๊าซที่อยู่ในภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์ แต่จะถูกจับยึดได้ง่ายโดยนิวเคลียสของอะตอมและเป็นวิธีการเบื้องต้นที่องค์ประกอบทั้งหลายจะมีการกลายพันธ์ของอะตอม",
"การใช้รังสีนิวตรอนอีกประการหนึ่งคือการตรวจสอบของนิวเคลียสเบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฮโดรเจนที่พบในโมเลกุลของน้ำ เมื่อนิวตรอนเร็วชนกับนิวเคลียสเบา มันจะสูญเสียส่วนใหญ่ของพลังงานของมัน โดยการวัดอัตราที่นิวตรอนช้าจะวิ่งกลับมาที่หัววัดหลังจากที่สะท้อนออกจากนิวเคลียสของไฮโดรเจน หัววัดนิวตรอนอาจสามารถกำหนดเนื้อหาของน้ำในดิน",
"นิวตรอนความร้อนทั้งหลายสำหรับนิวไคลด์ชนิดเดียวกันจะมีภาคตัดขวางในการดูดซับนิวตรอนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันและมักจะมีขนาดที่ใหญ่กว่านิวตรอนเร็วมาก เพราะฉะนั้นพวกมันจึงมักจะสามารถถูกดูดซับได้ง่ายกว่าโดยนิวเคลียส ผลก็คือทำให้เกิดไอโซโทปที่หนักกว่าและมักจะไม่เสถียรของสารเคมี (การกระตุ้นนิวตรอน)",
"นิวตรอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ ในทศวรรษหลังจากที่นิวตรอนที่ถูกค้นพบในปี 1932[4] นิวตรอนถูกนำมาใช้เพื่อให้เกิดการกลายพันธ์ของนิวเคลียส (English: nuclear transmutation) ในหลายประเภท ด้วยการค้นพบของ นิวเคลียร์ฟิชชัน ในปี 1938[5] ทุกคนก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า ถ้าการฟิชชันสามารถผลิตนิวตรอนขึ้นมาได้ นิวตรอนแต่ละตัวเหล่านี้อาจก่อให้เกิดฟิชชันต่อไปได้อีกในกระบวนการต่อเนื่องที่เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์[6] เหตุการณ์และการค้นพบเหล่านี้นำไปสู่เครื่องปฏิกรณ์ที่ยั่งยืนด้วยตนเองเป็นครั้งแรก (Chicago Pile-1, 1942) และอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรก (ทรินิตี้ 1945)",
"เพื่อให้บรรลุปฏิกิริยาลูกโซ่ฟิวชั่นที่มีประสิทธิภาพ นิวตรอนที่ถูกผลิตในระหว่างฟิชชันจะต้องถูกจับยึดโดยนิวเคลียสที่ทำฟิชชันได้ จากนั้นก็ทำการแยกนิวเคลียสออก แล้วก็ปลดปล่อยนิวตรอนมากขึ้นไปอีก ในการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์แบบฟิชชันส่วนมาก เชื้อเพลิงนิวเคลียร์จะไม่ถูกกลั่นให้ดีพอที่จะสามารถที่จะดูดซับนิวตรอนเร็วที่จะยืดยาวปฏิกิริยาลูกโซ่ฟิชชันให้ดำเนินการต่อไป และเนื่องจากมีการลดลงของ ภาคตัดขวาง ของนิวตรอนพลังงานสูง ดังนั้น ตัวหน่วงนิวตรอน จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อชะลอความเร็วของนิวตรอนเร็วลงไปที่ความเร็วของนิวตรอนความร้อนเพื่อที่จะเปิดให้มีการดูดซึมที่เพียงพอ ตัวหน่วงนิวตรอนที่พบบ่อยได้แก่ แกรไฟท์, น้ำเบา (น้ำทั่วไป), และน้ำหนัก เครื่องปฏิกรณ์ไม่กี่ตัว (เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบนิวตรอนเร็ว) และ อาวุธนิวเคลียร์ ทั้งหมดจะต้องพึ่งพานิวตรอนเร็ว ซึ่งจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในการออกแบบและในเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้ องค์ประกอบของสาร เบริลเลียม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเนื่องจากความสามารถของมันในการทำหน้าที่เป็นตัวเบี่ยงเบนนิวตรอนหรือเลนส์ มันยอมให้มีการใช้วัสดุฟิสไซล์ในปริมาณที่น้อยกว่าและเป็นเบื้องต้นของการพัฒนาทางเทคนิคที่นำไปสู่การสร้าง ระเบิดนิวตรอน",
"นิวตรอนเร็วสามารถทำให้เป็นนิวตรอนความร้อนได้โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการหน่วง กระบวนการนี้ถูกกระทำโดย ตัวหน่วงนิวตรอน ในเครื่องปฏิกรณ์โดยทั่วไป น้ำหนัก, น้ำเบา หรือ แกรไฟต์ จะถูกใช้ในการหน่วงนิวตรอนนิวตรอนเย็นยิ่งยวด () เป็นนิวตรอนอิสระที่สามารถถูกเก็บไว้ในกับดักที่ทำจากวัสดุบางชนิด",
"เมื่อดาวฤกษ์มวลมากเกิดซูเปอร์โนวาและกลายเป็นดาวนิวตรอน ส่วนแก่นของมันจะได้รับโมเมนตัมเชิงมุมมา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงรัศมีจากใหญ่ไปเล็กนั้นจะทำให้ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะหมุนรอบตัวเองช้าลงทีละน้อย ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของดาวนิวตรอนที่มีการบันทึกได้นั้นอยู่ระหว่าง 700 รอบต่อวินาทีไปจนถึง 30 วินาทีต่อรอบ ความเร่งที่พื้นผิวอยู่ที่ 2*10 ถึง 3*10 เท่ามากกว่าโลก ด้วยเหตุนี้ดาวนิวตรอนจึงสามารถส่งคลื่นวิทยุออกมาเป็นช่วงหรือพัลซาร์ และกระแสแม่เหล็กออกมาปริมาณมหาศาล การที่ดาวนิวตรอนสามารถส่งคลื่นวิทยุออกมาเป็นช่วงๆ นั้นทำได้อย่างไร ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ แม้ว่าจะมีการวิจัยเรื่องนี้มานานกว่า 40 ปีแล้วก็ตามในดาราจักรของเรานั้นเราพบเพียงไม่กี่สิบดวงเท่านั้น เรายังพบอีกว่า ดาวนิวตรอนน่าจะเป็นต้นกำเนิดของ แสงวาบรังสีแกมมา ที่มีความสว่างมากกว่าซูเปอร์โนวา หลายเท่า อีกทั้งดาวนิวตรอนยังมีความหนาแน่นรวมถึงนำหนักของดาวนิวตรอนที่มากกว่าดวงดาวบางดวงอีกด้วย(แก้ไขโดยเนติ) ",
"นิวตรอนส่วนใหญ่ในเครื่องปฏิกรณ์เป็น \"prompt neutrons\" ซึ่งเป็นนิวตรอนที่ถูกผลิตขึ้นโดยตรงจากปฏิกิริยาฟิชชัน นิวตรอนเหล่านี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ดังนั้นพวกมันจึงมีแนวโน้มที่จะหลุดลอดเข้าไปในตัวหน่วงก่อนที่จะถูกจับไว้ได้ โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 13 ไมโครวินาทีสำหรับนิวตรอนที่จะชะลอตัวลงโดยตัวหน่วงเพียงพอที่จะช่วยให้ปฏิกิริยาเป็นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะยอมให้การสอดใส่ของตัวดูดซับนิวตรอนไปมีผลต่อเครื่องปฏิกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ผลก็คือเมื่อเครื่องปฏิกรณ์ถูกสแครม พลังงานจากเครื่องปฏิกรณ์จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเกือบจะทันทีทันใด อย่างไรก็ตามปริมาณเล็กน้อย (ประมาณ 0.65%) ของนิวตรอนในเครื่องปฏิกรณ์ที่ให้พลังงานทั่วไปจะมาจากการสลายกัมมันตรังสีของผลผลิตจากฟิชชัน \"นิวตรอนล่าช้า\"เหล่านี้ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาที่ความเร็วต่ำกว่า จะจำกัดอัตราความเร็วในการปิดเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์",
"ปฏิกิริยาทั้งหลายที่เกิดกับนิวตรอนต่างๆมีความสำคัญในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และอาวุธนิวเคลียร์ ในขณะที่ปฏิกิริยานิวตรอนที่รู้จักกันดีคือการกระเจิงของนิวตรอน (), การจับยึดนิวตรอนและนิวเคลียร์ฟิชชั่น สำหรับบางนิวเคลียสเบา (โดยเฉพาะ'นิวเคลียสแปลกแปลก') ปฏิกิริยากับนิวตรอนความร้อนส่วนใหญ่จะเป็นปฏิกิริยาแบบถ่ายโอน ดังนี้:",
"การแผ่รังสีจากนิวตรอน () เป็น การแผ่รังสีโดยการแตกตัวเป็นไอออน ชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกลุ่มนิวตรอนอิสระที่เป็นผลมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันหรือปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ปฏิกิริยาดังกล่าวจะทำให้มีการปลดปล่อยนิวตรอนอิสระจากอะตอม นิวตรอนอิสระเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับนิวเคลียสของอะตอมอื่น ๆ เพื่อก่อตัวเป็นไอโซโทปใหม่ซึ่งอาจเป็นผลให้มีการผลิตรังสี",
"นิวตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยานิวเคลียร์หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นการจับยึดนิวตรอนมักจะมีผลมาจากการกระตุ้นนิวตรอนซึ่งกระตุ้นให้เกิดกัมมันตภาพรังสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ของนิวตรอนและพฤติกรรมของพวกมันมีความสำคัญในการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และอาวุธนิวเคลียร์ การเกิดฟิชชันขององค์ประกอบเช่นยูเรเนียม-235 และพลูโตเนียม-239 เกิดจากการดูดซึมนิวตรอนของพวกมัน",
"การหักเหนิวตรอน () หรือ กระเจิงนิวตรอนแบบยืดหยุ่น () เป็นการประยุกต์ใช้การกระเจิงนิวตรอนในการกำหนดโครงสร้างของอะตอมและ/หรือโครงสร้างทางแม่เหล็กของวัสดุ ตัวอย่างที่จะทำการตรวจสอบจะถูกวางอยู่ในลำแสงของนิวตรอนความร้อนหรือนิวตรอนเย็นเพื่อสร้างรูปแบบการหักเหที่จะบอกข้อมูลของโครงสร้างของวัสดุนั้น เทคนิคนี้จะคล้ายกับการหักเหของรังสีเอกซ์แต่เนื่องจากคุณสมบัติการกระเจิงที่แตกต่างกันของพวกมัน นิวตรอนและรังสีเอกซ์จึงให้ข้อมูลที่เสริมกัน"
] |
ช็อกเหตุพิษติดเชื้อ สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ? | [
"ช็อกเหตุพิษติดเชื้อ[1] หรือ เซ็ปติก ช็อก[2] (English: Septic shock) คือภาวะช็อกชนิดหนึ่ง ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ มีสาเหตุมาจากเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อลดลงและการขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อลดลง ซึ่งเป็นผลจากการติดเชื้อที่รุนแรงและภาวะพิษเหตุติดเชื้อ แม้ว่าเชื้อโรคนั้นจะกระจายไปทั่วร่างกายหรือจำกัดอยู่เฉพาะในบางตำแหน่งของร่างกาย[3] ภาวะนี้ทำให้เกิดกลุ่มอาการการทำหน้าที่ผิดปกติของหลายอวัยวะและเสียชีวิตได้[3] ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้คือเด็ก ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง และในผู้สูงอายุ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ไม่สามารถจัดการกับการติดเชื้อได้มีประสิทธิภาพเท่าผู้ใหญ่ปกติ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยช็อกเหตุพิษติดเชื้อต้องได้รับการรักษาในหน่วยอภิบาล อัตราเสียชีวิตจากช็อกเหตุพิษติดเชื้อคือประมาณร้อยละ 25 ถึง 50[3]"
] | [
"ภาวะที่เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอซึ่งเป็นผลร่วมกันจากหลอดเลือดขยายตัวอย่างมาก การบีบตัวของหัวใจล้มเหลว และภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายส่งผลให้ระบบอวัยวะหลายระบบล้มเหลว ได้แก่ ตับ ไต และระบบประสาทกลาง หากการติดเชื้อที่ดำเนินอยู่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้",
"อัตราเสียชีวิตจากภาวะพิษเหตุติดเชื้อประมาณร้อยละ 40 ในผู้ใหญ่ และร้อยละ 25 ในเด็ก และจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหากไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานานกว่า 7 วัน[13]",
"อิกนาซ ฟิลิปป์ เซมเมลไวสส์ (1 กรกฎาคม 1818 - 13 สิงหาคม 1865) เป็นแพทย์ชาวฮังการีเชื้อสายรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิกการทำหัตถการปลอดเชื้อ โดยพบว่าเราสามารถลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อหลังคลอดได้อย่างมาก เพียงให้มีการล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อในหน่วยตรวจสูติศาสตร์ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีภาวะติดเชื้อหลังคลอดหรือไข้หลังคลอดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมักเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต โดยมีอัตราการตายอยู่ที่ 10-35%",
"กลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย ช็อกเหตุพิษติดเชื้อ กลุ่มอาการการทำหน้าที่ผิดปกติของหลายอวัยวะ เวชบำบัดวิกฤต",
"ไข้เด็งกี (English: Dengue fever) หรือในประเทศไทยนิยมเรียกว่า ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อซึ่งระบาดในเขตร้อน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และมีผื่นลักษณะเฉพาะซึ่งคล้ายกับผื่นของโรคหัด ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะมีอาการรุนแรง จนกลายเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[903,926,3,3]}'>ไข้เลือดออกเด็งกี (Dengue hemorrhagic fever) ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งทำให้มีเลือดออกง่าย มีเกล็ดเลือดต่ำ และมีการรั่วของพลาสมา หรือรุนแรงมากขึ้นเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[1072,1103,3,3]}'>กลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อก (Dengue shock syndrome) ซึ่งมีความดันโลหิตต่ำอย่างเป็นอันตรายได้",
"ช็อกหมายถึงการลดลงของเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อทำให้อวัยวะสำคัญทำงานผิดปกติ ช็อกเหตุพิษติดเชื้อเป็นชนิดย่อยหนึ่งของช็อกจากการกระจายเลือด (distributive shock) ผลจากการหลั่งไซโตไคน์ออกมาเป็นจำนวนมากจากการตอบสนองต่อการอักเสบทำให้มีหลอดเลือดขยายตัวอย่างมากมาย สภาพการซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอยเพิ่มขึ้น ความต้านทานหลอดเลือดทั่วร่างกายลดลง และทำให้ความดันโลหิตต่ำในที่สุด ภาวะความดันโลหิตต่ำส่งผลให้ความดันการกำซาบในยังเนื้อเยื่อลดลงและทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน และท้ายที่สุดร่างกายจะพยายามชดเชยภาวะความดันโลหิตจนเกิดภาวะหัวใจห้องล่างขยายตัวและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ",
"ภาวะพิษเหตุติดเชื้อรุนแรง (Severe sepsis) เกิดเมื่อภาวะพิษเหตุติดเชื้อทำให้อวัยวะทำงานผิดปกติ เช่น ภาวะหายใจล้มเหลว ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดหรือความผิดปกติทางโลหิตวิทยาอื่นๆ การสร้างปัสสาวะลดลง หรือระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง แต่หากอวัยวะทำงานล้มเหลวนั้นได้แก่ ความดันโลหิตต่ำ หรือเลือดเลี้ยงอวัยวะไม่เพียงพอ (ซึ่งทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดแล็กติก เป็นต้น) จะเรียกภาวะนี้ว่าช็อกเหตุพิษติดเชื้อ (หรือเซ็ปติก ช็อก)",
"ในสหรัฐอเมริกา ภาวะพิษเหตุติดเชื้อเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองในหน่วยอภิบาลที่ไม่ใช่หน่วยอภิบาลโรคหลอดเลือดหัวใจ และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบมากอันดับที่ 10 ในทั้งหมดจากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (อันดับที่หนึ่งคือโรคหัวใจ) [24] ภาวะพิษเหตุติดเชื้อพบได้บ่อยและอันตรายมากขึ้นในผู้สูงอายุ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยวิกฤต[25] ภาวะนี้เกิดขึ้นร้อยละ 1-2 ของผู้ป่วยที่รับในโรงพยาบาลและเป็นร้อยละ 25 ของการครองเตียงในหน่วยอภิบาล ภาวะนี้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในหน่วยอภิบาลทั่วโลก และมีอัตราเสียชีวิตตั้งแต่ร้อยละ 20 สำหรับภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ร้อยละ 40 สำหรับภาวะพิษเหตุติดเชื้อรุนแรง และมากกว่าร้อยละ 60 สำหรับภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ",
"โรคนิวโมคอคคัส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “สเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี” ซึ่งทำให้มีอัตราการเกิดโรคปอดบวมสูง ชื่อของเชื้อนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1881 ต่อมาได้มีการค้นพบยาเพนนิซิลิน ที่ใช้รักษาโรคนี้ได้เป็นอย่างดีในปี 1940 แต่ในระยะหลังเชื้อเกิดอาการดิ้อยาชนิดนี้ และยาปฏิชีวนะชนิดอื่นๆด้วย ทำให้ยากต่อการรักษา เชื้อนิวโมคอคคัส สามารถพบได้ทุกแห่ง ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในโพรงจมูกและคอของคนทั่วไป บางคนอาจจะมีเชื้อนี้แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งเรียกว่าพาหะ เชื้อสามารถแพร่กระจายสู่บุคคลอื่นได้ เหมือนโรคไข้หวัด โดยการ ไอ จาม หรือทางอื่นๆที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายออกมาเป็นละออง สิ่งสำคัญที่เป็นตัวการในการติดเชื้อส่วนใหญ่คือ มือ ดังนั้น การล้างมือบ่อยๆก็เป็นการป้องกันได้อีกทางหนึ่ง ชื้อนิวโมคอคคัส สามารถทำให้เกิดโรคที่เป็นอันตรายต่างๆได้ อาทิเช่น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคปอดบวม โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายมากในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เป็นต้น กลุ่มบุคคลส่วนใหญ่ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อนี้จะเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ที่ตัดม้ามออกหรือม้ามทำงานผิดปกติ ",
"สเตอรอยด์ขนาดต่ำ (ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone)) นาน 5-7 วันอาจช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น[9][10] การใช้รีคอมบิแนนท์ โปรตีน ซี (drotrecogin alpha) เพื่อรักษาภาวะพิษเหตุติดเชื้อ จากการทบทวนวรรณกรรมโดยองค์กรความร่วมมือคอเครนพบว่าไม่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และไม่แนะนำให้ใช้เพื่อรักษา[11] อย่างไรก็ตามก็มีงานทบทวนวรรณกรรมอื่นที่แสดงว่าการใช้รีคอมบิแนนท์ โปรตีน ซี อาจมีประสิทธิผลในผู้ป่วยที่รุนแรงมาก[12]",
"ในระยะวิกฤต อาจเกิดภาวะต่อมหมวกไตส่วนนอกทำงานไม่เพียงพอ (adrenal insufficiency) และเนื้อเยื่อไม่ตอบสนองต่อคอร์ติโคสเตอรอยด์ ซึ่งภาวะนี้มีชื่อเรียกว่า critical illness–related corticosteroid insufficiency[15] การรักษาด้วยคอร์ติโคสเตอรอยด์อาจได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีช็อกเหตุพิษติดเชื้อ (septic shock) และกลุ่มอาการหายใจลำบากในผู้ใหญ่ (acute respiratory distress syndrome; ARDS) ร้ายแรงในระยะแรก ในขณะที่การรักษาด้วยคอร์ติโคสเตอรอยด์ในผู้ป่วยที่มีตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) หรือปอดบวมรุนแรงนั้นยังไม่ให้ผลชัดเจน[15] คำแนะนำเหล่านี้มีที่มาจากการศึกษาซึ่งแสดงประโยชน์จากการให้ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ขนาดน้อยเพื่อรักษาผู้ป่วยช็อกเหตุพิษติดเชื้อ และเมทิลเพรดนิโซโลน (methylprednisolone) ในผู้ป่วย ARDS[16][17][18][19][20][21] อย่างไรก็ตามวิธีการระบุว่าผู้ป่วยมีภาวะคอร์ติโคสเตอรอยด์ทำงานไม่เพียงพอยังคงเป็นปัญหา ภาวะนี้ควรสงสัยในผู้ป่วยที่ไม่ค่อยตอบสนองต่อการช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนด้วยสารน้ำและสารกระตุ้นการหดตัวกล้ามเนื้อหลอดเลือด (vasopressors) การทดสอบโดยกระตุ้นด้วย ACTH (ACTH stimulation testing หรือ Cort-stim test) นั้นไม่แนะนำให้ทำเพื่อยืนยันการวินิจฉัย[15] วิธีการยุติการให้กลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoid) นั้นยังมีความหลากหลาย ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าควรจะค่อยๆ ปรับลดขนาดยาลงทีละน้อยหรือสามารถหยุดให้ได้เลยทันที",
"ภาวะพิษเหตุติดเชื้อส่วนมาก (ราวร้อยละ 70) เกิดจากแบคทีเรียรูปแท่งแกรมลบที่ผลิตสารชีวพิษภายในตัว (endotoxin-producing Gram-negative bacilli) สารชีวพิษภายในตัวดังกล่าวนี้คือไลโปโพลีแซคคาไรด์ (lipopolysaccharides; LPS) ที่ผนังเซลล์แบคทีเรีย ซึ่งประกอบด้วยแกนเป็นกรดไขมันที่มีพิษชื่อว่า ไลปิด เอ (lipid A) ที่พบได้ในแบคทีเรียแกรมลบทั่วไป และเปลือกโพลีแซคคาไรด์เชิงซ้อน (เช่น โอ แอนติเจน (O antigen)) ที่แตกต่างกันในแต่ละสปีชีส์ นอกจากนี้โมเลกุลของผนังเซลล์แบคทีเรียแกรมบวกและฟังไจก็อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อได้",
"ร้อยละ 35 ของผู้ป่วยช็อกเหตุพิษติดเชื้อมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ร้อยละ 15 เกิดจากทางเดินหายใจ ร้อยละ 15 เกิดจากหลอดสวนต่างๆ ที่ออกสู่ผิวหนัง (เช่นหลอดสวนเข้าหลอดเลือดดำ) และมากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ป่วยทั้งหมดเกิดขึ้นเองไม่ทราบสาเหตุ",
"สปอร์แอนแทรกซ์สามารถผลิตแบบ in vitro (นอกร่างกาย) และใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ แอนแทรกซ์ไม่แพร่โดยตรงจากสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อไปยังอีกคนหรือตัวหนึ่ง แต่แพร่โดยสปอร์ สปอร์เหล่านี้สามารถส่งผ่านได้โดยเสื้อผ้าหรือรองเท้า ร่างกายของสัตว์ที่มีแอนแทรกซ์อยู่ในช่วงที่ตายสามารถเป็นแหล่งสปอร์แอนแทรกซ์ได้\nเชื้อแอนแทรกซ์สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ผ่านลำไส้ (การกิน) ปอด (การหายใจ) หรือผิวหนัง ซึ่งช่องทางแต่ละช่องทางจะทำให้เกิดอาการของโรคที่แตกต่างกัน แม้โดยทั่วไปแล้วผู้ติดเชื้อจะถูกกักกันแยกโรค แต่โดยปกติเชื้อนี้จะไม่ติดต่อจากคนสู่คน แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิต ตัวเชื้อแบคทีเรียแอนแทรกซ์อาจเป็นแหล่งของการติดเชื้อได้ ดังนั้นการจัดการร่างจึงต้องมีกระบวนการระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อ โรคแอนแทรกซ์ที่ติดผ่านการหายใจหากไม่ได้รับการรักษาจนถึงขั้นแสดงอาการ มักเป็นอันตรายถึงชีวิต",
"มีกลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย (systemic inflammatory response syndrome; SIRS) ซึ่งต้องประกอบด้วยสิ่งตรวจพบอย่างน้อย 2 ข้อดังต่อไปนี้ อัตราหายใจเร็ว มากกว่า 20 ครั้งต่อนาที หรือจากการวัดแก๊สในเลือดพบ ความดันย่อยของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (PaCO2) น้อยกว่า 32 มิลลิเมตรปรอท บ่งถึงภาวะหายใจเกิน ปริมาณเม็ดเลือดขาว < 4,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร หรือ > 12,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร อัตราหัวใจเต้น > 90 ครั้งต่อนาที อุณหภูมิกาย มีไข้ > 38.0 องศาเซลเซียส หรือ ภาวะตัวเย็นเกิน < 36.0 องศาเซลเซียส มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ภาวะพิษเหตุติดเชื้อต้องประกอบด้วยหลักฐานของการติดเชื้อซึ่งอาจได้แก่การเพาะเชื้อจากเลือดขึ้นผลบวก อาการแสดงของปอดอักเสบจากเอกซเรย์ปอด หรือมีผลทางรังสีวิทยาหรือทางห้องปฏิบัติการแสดงถึงการติดเชื้อ มีอาการแสดงของการทำงานของอวัยวะล้มเหลว (end-organ dysfunction) เช่น ไตวาย ตับวาย การเปลี่ยนแปลงระดับความรู้ตัว หรือค่าแลกเตทในซีรัมสูงขึ้น การวินิจฉัยช็อกเหตุพิษติดเชื้อต้องมีความดันโลหิตต่ำที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา ซึ่งแสดงว่าการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะรักษาความดันโลหิตเอาไว้ได้",
"กระบวนการของการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราทำให้มีอาการและอาการแสดงที่หลากหลาย ประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยช็อกเหตุพิษติดเชื้อพบเชื้อแบคทีเรียรูปแท่งแกรมลบซึ่งผลิตชีวพิษภายในตัว (endotoxins) แต่จากอุบัติการณ์ของ Staphylococcus aureus ที่ดื้อต่อเมทิซิลลิน (Methicillin-resistant Staphylococcus aureus, MRSA) และการใช้หลอดสวนหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ ทำให้เชื้อแบคทีเรียรูปกลมแกรมบวกเป็นสาเหตุได้บ่อยใกล้เคียงกับแบคทีเรียรูปแท่ง การเรียงลำดับความรุนแรงของโรคกลุ่มนี้คร่าวๆ ได้แก่ ภาวะแบคทีเรียหรือเชื้อราในเลือด ภาวะเลือดเป็นพิษ ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ภาวะพิษเหตุติดเชื้อรุนแรงหรือกลุ่มอาการภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ช็อกเหตุพิษติดเชื้อ ช็อกเหตุพิษติดเชื้อที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา กลุ่มอาการการทำหน้าที่ผิดปกติของหลายอวัยวะ และเสียชีวิตตามลำดับ",
"สำหรับการเลือกสารกระตุ้นการหดตัวกล้ามเนื้อหลอดเลือด (vasopressors) พบว่า นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) ให้ผลเหนือกว่าโดพามีน (dopamine) ในภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ[7] แต่ยาทั้งสองชนิดก็ยังถูกระบุให้เป็นยาที่ควรเลือกใช้เป็นอันดับแรกในแนวทางการรักษา[7]",
"หมวดหมู่:ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หมวดหมู่:เวชบำบัดวิกฤต หมวดหมู่:สาเหตุการเสียชีวิต",
"Early Goal Directed Therapy (EGDT) เป็นแนวทางการปฏิบัติอย่างเป็นระบบเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืน ที่ได้รับการยืนยันแล้วในการรักษาภาวะพิษเหตุติดเชื้อที่รุนแรงและช็อกเหตุพิษติดเชื้อ พัฒนาโดยนายแพทย์ E. Rivers จากโรงพยาบาลเฮนรี ฟอร์ดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแนวทางนี้ต้องเริ่มตั้งแต่ในหน่วยฉุกเฉิน ทฤษฎีกล่าวว่าควรใช้วิธีการจัดการแก้ไขความผิดปกติตามลำดับขั้นโดยให้มีการขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่ออย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยไปถึงเป้าหมายทางสรีรวิทยาคือปรับ preload afterload และการบีบตัวของหัวใจเหมาะสม[12] จากการทบทวนวรรณกรรมระบบเชิงปริมาณ (meta-analysis) เร็วๆ นี้แสดงว่า EGDT มีผลลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยภาวะพิษเหตุติดเชื้อ[13] ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) ยังคงมีข้อโต้แย้งต่อแนวทางดังกล่าวบ้าง และกำลังมีการทดลองอีกหลายแห่งเพื่อพยายามแก้ปัญหาดังกล่าว[14]",
"ภาวะเลือดมีแบคทีเรียอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้หลายอย่าง เช่น ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อการมีแบคทีเรียในเลือดอาจทำให้เกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ หรือลุกลามเป็นภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ ซึ่งมีอัตราการตายสูง เชื้อแบคทีเรียในเลือดอาจแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อในส่วนอื่นๆ ได้ เช่น เยื่อบุหัวใจอักเสบ หรือกระดูกและไขกระดูกอักเสบ ซึ่งมักเกิดตามมาจากการมีแบคทีเรียในเลือด ในกรณีที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ อาจมีการให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หรือการป้องกันด้วยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันได้",
"ในมนุษย์ นิยามของภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อต้องประกอบด้วยเกณฑ์วินิจฉัยดังต่อไปนี้",
"ภาวะพิษเหตุติดเชื้อมีอุบัติการณ์ทั่วโลกมากกว่า 20 ล้านรายต่อปี และมีอัตราเสียชีวิตจากช็อกเหตุพิษติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 70 แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว[14]",
"ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ช็อก กลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย",
"การอักเสบ () เป็นการตอบสนองทางชีวภาพที่ซับซ้อนของเนื้อเยื่อหลอดเลือดต่อสิ่งกระตุ้นที่เป็นอันตราย เช่นเชื้อโรค เซลล์ที่เสื่อมสภาพ หรือการระคายเคือง ซึ่งเป็นความพยายามของสิ่งมีชีวิตที่จะนำสิ่งกระตุ้นดังกล่าวออกไปและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย การอักเสบไม่ใช่อาการของการติดเชื้อ แม้ว่าการอักเสบหลายๆ ครั้งก็เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ เพราะว่าการติดเชื้อนั้นเกิดจากจุลชีพก่อโรคภายนอกร่างกาย แต่การอักเสบคือการตอบสนองของร่างกายเพื่อต่อต้านจุลชีพก่อโรคหรือต่อปัจจัยอื่นๆ เช่น การบาดเจ็บ สารเคมี สิ่งแปลกปลอม หรือภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง",
"เมื่อมีเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสเข้ามาในกระแสเลือดทำให้เกิดภาวะเลือดมีแบคทีเรีย (bacteremia) หรือภาวะเลือดมีไวรัส (viremia) หากเชื้อนั้นมีความรุนแรงหรือผู้รับเชื้อมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะกลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย (systemic inflammatory response syndrome; SIRS) ภาวะพิษเหตุติดเชื้อจากนิยามคือภาวะเลือดมีแบคทีเรียร่วมกับ SIRS นั่นเอง หากภาวะพิษเหตุติดเชื้อนี้ดำเนินมากขึ้นจนอวัยวะสำคัญทำงานผิดปกติ เช่น ไตวาน ตับวาย การเปลี่ยนแปลงระดับความรู้ตัว หรือหัวใจผิดปกติ เราจะเรียกภาวะนี้ว่าภาวะพิษเหตุติดเชื้อรุนแรง (severe sepsis) และหากภาวะพิษเหตุติดเชื้อรุนแรงแย่ลงไปจนถึงจุดที่ความดันโลหิตต่ำโดยไม่สามารถรักษาได้ด้วยการให้สารน้ำอย่างเดียว จะเข้ากับเกณฑ์ของช็อกเหตุพิษติดเชื้อ การติดเชื้อที่อาจชักนำให้เกิดภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อเช่นปอดอักเสบ ภาวะเลือดมีแบคทีเรีย โรคถุงยื่นของลำไส้อักเสบ (diverticulitis) กรวยไตอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และพังผืดอักเสบมีเนื้อตาย (necrotizing fasciitis)",
"จากศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา (Center for Disease Control, CDC) ช็อกเหตุพิษติดเชื้อนับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับที่ 13 ในสหรัฐอเมริกา และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่หนึ่งในหน่วยอภิบาล ซึ่งในทศวรรษหลังนี้มีอัตราการเสียชีวิตจากช็อกเหตุพิษติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการมีอุปกรณ์และหัตถการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องมากขึ้น และมีผู้ป่วยสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสถานพยาบาลระดับทุติยภูมิ เช่น บ้านพักคนชรา มีอัตราของภาวะแบคทีเรียในเลือดเป็น 2-4 เท่าของสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ และร้อยละ 75 ของจำนวนดังกล่าวเป็นการติดเชื้อในโรงพยาบาล",
"ภาวะแทรกซ้อนจากตับแข็งที่พบบ่อยคือภาวะท้องมาน ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการสูญเสียคุณภาพชีวิต เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และผลเสียในระยะยาว ภาวะแทรกซ้อนอื่นที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตคือโรคสมองที่เกิดจากตับ (hepatic encephalopathy) และการมีเลือดออกจากหลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร (esophageal varices) ตับแข็งนั้นเมื่อเกิดแล้วมักไม่สามารถกลับเป็นปกติได้ การรักษาจึงมักมุ่งไปที่การยับยั้งการดำเนินโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน หากเป็นมากอาจมีทางเลือกในการรักษาเพียงทางเดียวคือการผ่าตัดเปลี่ยนตับ",
"การรักษาภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อมีหลักการดังต่อไปนี้",
"ในภาวะช็อกเหตุพิษติดเชื้อ คือกรณีที่มีระดับ LPS สูงก็มีการกระตุ้นไซโตไคน์และสารตัวกลางเช่นเดียวกับในภาวะปกติแต่มีระดับสูงและรุนแรงกว่า ทำให้หลอดเลือดขยายตัวทั่วร่างกาย (ความดันโลหิตต่ำ) กดการบีบตัวของหัวใจ การกระตุ้นและการบาดเจ็บของเซลล์เยื่อบุโพรงโดยทั่วเป็นเหตุให้เกิดการยึดเกาะของเม็ดเลือดขาวกับเซลล์เยื่อบุโพรงทั่วร่างกาย และเกิดการทำลายหลอดเลือดฝอยถุงลมในปอด การกระตุ้นระบบการแข็งตัวของเลือดอย่างมากมายทำให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (disseminated intravascular coagulation; DIC)"
] |
จังหวัดราชบุรีอยู่ในภูมิภาคใดของประเทศไทย? | [
"ราชบุรี เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตก โดยเป็นศูนย์กลางในด้านอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น มะพร้าว ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วง และการปศุสัตว์ของประเทศ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในด้านพลังงานของประเทศในปัจจุบัน โดยมีเมืองราชบุรีเป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และการคมนาคมในภูมิภาค ทิศเหนือติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ทิศใต้ติดต่อจังหวัดเพชรบุรี ทิศตะวันออกติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดนครปฐม และทิศตะวันตกติดต่อประเทศพม่า"
] | [
"ธรรมทูตซาเลเซียนทั้งหมดได้เริ่มเรียนภาษาไทย เรียนรู้ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีไทย และสิ่งอื่น ๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการแพร่ธรรม ท่านเหล่านั้นต้องประสบกับปัญหาเรื่องอาหาร อากาศ และสภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากประเทศอิตาลีบ้านเกิดอย่างสิ้นเชิง แต่ท่านเหล่านั้นก็ได้ต่อสู้อุปสรรคเหล่านี้ด้วยพลังแห่งความรักในการรับใช้เยาวชนตามจิตตารมณ์ของคุณพ่อบอสโก วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1929 (พ.ศ. 2472) พระคุณเจ้าแปโร ประมุขมิสซังลกรุงเทพฯ ได้มอบให้คณะซาเลเซียนดูแลเขตมิสซังราชบุรี และในวันที่ 30 มิถุนายน ปีเดียวกัน บาทหลวงกาเอตัน ปาซอตตี ได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองเขตมิสซังราชบุรีและต่อมาอีก 12 ปี คือในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ท่านจึงได้รับการอภิเษกเป็นมุขนายกมิสซังราชบุรีอย่างเป็นทางการ เขตมิสซังราชบุรีนั้นเริ่มตั้งแต่จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรีแล้วลงไปจนสุดแดนภาคใต้ คณะซาเลเซียนทำหน้าที่ดูแลกิจการของโบสถ์ โรงเรียน และการอภิบาลสัตบุรุษของมิสซัง ซึ่งนับว่าเป็นภารกิจที่ท้าทายและยิ่งใหญ่สำหรับธรรมทูตซาเลเซียนในยุคนั้น",
"พระเทพญาณมงคล นามเดิม เสริมชัย พลพัฒนาฤทธิ์ ฉายา ชยมงฺคโล อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เจ้าสำนักและอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี ผู้จัดการโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีประจำจังหวัดราชบุรี ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี ประธานศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแห่งประเทศไทย (ศปท.) ประธานศูนย์ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ ประจำวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม (ศสค.) Director, Wat Luang Phor Sodh Buddhist Meditation Institute, an Affiliated Institution of the World Buddhist University",
"แต่ขณะเดียวกันชุมชนชาวไทยเชื้อสายเขมรในหลายจังหวัดแถบภาคกลางของประเทศที่ตกอยู่ในวงล้อมที่รอบล้อมไปด้วยภาษาไทยกลาง ทำให้ภาษาเขมรในถิ่นนั้นได้รับอิทธิพลของภาษาไทย โดยชุมชนเชื้อสายเขมรหลายชุมชนเลิกการใช้ภาษาเขมร โดยสงวนไว้เฉพาะคนเฒ่าคนแก่ ไม่เผยแพร่ต่อลูกหลาน อย่างเช่นในชุมชนชาวไทยเชื้อสายเขมรในจังหวัดราชบุรี ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ (ฉบับหอสมุดแห่งชาติ) ก็ได้กล่าวถึงการกวาดต้อนเขมรจากเมืองโพธิสัตว์ เสียมราฐและพระตะบองมาไว้ที่ราชบุรี เขมรเหล่านี้ไม่ใช่เขมรลาวเดิมเพราะมีภาษาพูดที่แตกต่างกัน เขมรกลุ่มนี้ใช้ภาษาพูดเช่นเดียวกับเขมรในประเทศกัมพูชา โดยตั้งบ้านเรือนในเขตอำเภอเมืองราชบุรี, อำเภอโพธาราม และอำเภอปากท่อ แต่ปัจจุบันพบผู้พูดภาษาเขมรประมาณ 8-10 คน มีอายุระหว่าง 70-80 ปี แต่ไม่ได้ใช้ภาษาเขมรสื่อสารกับลูกหลาน เพียงแต่นึกศัพท์ได้เป็นคำๆ หรือพูดคุยกับคนรุ่นเดียวกันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นเดียวกันกับชุมชนชาวไทยเชื้อสายเขมรในจังหวัดนครปฐมซึ่งมีอยู่ตั้งแต่ปากคลองเจดีย์บูชาสะพานรถไฟเสาวภา วัดแค ไปจนถึงวัดสัมปทวน เรียงรายไปตลอดริมแม่น้ำท่าจีน ประมาณ 1 กิโลเมตรประมาณ 30 ครอบครัว แต่มีผู้ใช้ภาษาเขมรเฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น",
"สโมสรฟุตบอลราชบุรี มิตรผล เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากจังหวัดราชบุรี ปัจจุบันเล่นในไทยลีก",
"ในช่วงแรกมิก้าเป็นผู้เล่นตัวจริงของสโมสรด้วยตำแหน่งแบ็คขวา และลงสนามอย่างต่อเนื่อง โดยเขาช่วยให้สโมสรที่เพิ่งเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก เริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม้แพ้ทีมใดในลีกถึง 7 นัดติดต่อกัน โดยมิก้า ชูนวลศรี ทำประตูในลีกให้สุพรรณบุรี เอฟซี ได้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2013 จากการโหม่งลูกเตะมุม ทำให้ทีมบุกมาขึ้นนำสโมสรราชบุรี-มิตรผล เอฟซี 1–0 ก่อนจะจบลงด้วยผลเสมอ 1–1 ที่สนามกีฬากลางจังหวัดราชบุรี[24]",
"จังหวัดราชบุรี เป็นจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก จากการประมาณในไตรมาสแรกในปี 2553 ของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ราชบุรีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด(GPP) คิดเป็นมูลค่า 120,200 ล้านบาท[2] มากเป็นอันดับ 17 ของประเทศ และมีรายได้ต่อประชากร (GPP PER CAPITA) สูงถึง 144,062 บาท เป็นอันดับที่ 13 ของประเทศ จังหวัดราชบุรีมีการลงทุนทางอุตสาหกรรมถึง 1,100 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนมากกว่า 100,000 ล้านบาท เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคมีธุรกิจการค้าประเภทสินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตร เป็นโครงสร้างหลักทางเศรษฐกิจ โดยมีศูนย์กลางตลาดผักผลไม้ในภูมิภาค โดยเป็นหนึ่งในตลาดกลางสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุด แห่งหนึ่งของประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีตลาดสดและตลาดนัดในท้องที่ต่าง ๆ ควบคู่กับการเลี้ยงปศุสัตว์ และโรงงานอาหารสัตว์ ที่มีมากในเขตอำเภอปากท่อ และอำเภอโพธาราม และยังมีอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น โดยจังหวัดราชบุรีเป็น 1 ใน 14 จังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศไทยศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญจะกระจายอยู่ใน พื้นที่เมืองใหญ่ ได้แก่ เมืองราชบุรี และเมืองบ้านโป่ง เป็นต้น โดยเป็นที่ตั้ง ศูนย์ และสำนักงานสาขาในเขตภูมิภาค ของบริษัทชั้นนำหลายๆ แห่ง เช่น ปตท. โตโยต้า เป็นต้น อีกทั้งเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เฉลี่ยปีละประมาณ 5-6 % ทำให้มีการลงทุนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เช่น ศูนย์การค้า โครงการที่อยู่อาศัย บริษัท ห้างร้านต่างๆ เป็นต้น",
"จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงใหม่ และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 129 กิโลเมตร มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ทิศเหนือ จรดจังหวัดตากและจังหวัดอุทัยธานี ทิศใต้ จรดจังหวัดราชบุรี ทิศตะวันออก จรดจังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐม ทิศตะวันตก จรดประเทศพม่า\nความเป็นมาของกาญจนบุรี เท่าที่มีการค้นพบหลักฐานนั้น ย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อมีการค้นพบเครื่องมือหินในบริเวณบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี ล่วงมาถึงสมัยทวารวดี ซึ่งมีหลักฐานคือซากโบราณสถานที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี เป็นเจดีย์ลักษณะเดียวกับจุลประโทนเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งค้นพบโบราณวัตถุ เช่น พระพิมพ์สมัยทวารวดีจำนวนมาก สืบเนื่องต่อมาถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-18 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบคือปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะแบบขอม สมัยบายน\nกาญจนบุรียังปรากฏในพงศาวดารเหนือว่า กาญจนบุรีเป็นเมืองขึ้นของสุพรรณบุรีในสมัยสุโขทัย ครั้นมาถึงสมัยอยุธยา กาญจนบุรีก็มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำสงครามระหว่างกองทัพไทยกับพม่า จนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ เดิมตัวเมืองกาญจนบุรีเดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า (บริเวณเขาชนไก่ในปัจจุบัน) ภายหลังจนถึง พ.ศ. 2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นการถาวร ณ เมืองกาญจนบุรีใหม่โดยตั้งอยู่ ณ ตำบลปากแพรก อันเป็นสถานที่บรรจบของแม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย โดยตัวเมืองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลองกับแม่น้ำแควใหญ่ ซึ่งมีความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์และด้านการค้า โดยเริ่มก่อสร้างเมืองเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2374 และสำเร็จในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 และได้แยกออกจากสุพรรณบุรีนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า \"แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 10 เส้น 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม\" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็นพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯ ว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วน",
"ก่อตั้งขึ้น ณ ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 1,200 ไร่ ในปี พ.ศ. 2538 ตามนโยบายการขยายโอกาสอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาค โดยผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี (หม่อมราชวงศ์กำลูนเทพ เทวกุล) และ ร้อยตำรวจโทเชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ พร้อมด้วยประชาชนใน อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ให้การสนับสนุนการจัดตั้งวิทยาเขต",
"การเดินทาง\nการเดินทางมาเที่ยวชมน้ำตกไทยประจัน จากกรุงเทพมหานคร เดินทางไปจังหวัดราชบุรีได้โดยทางรถยนต์ตามถนนเพชรเกษม หรือทางถนนธนบุรี-ปากท่อ และทางรถไฟจากสถานีหัวลำโพงถึงสถานีรถไฟราชบุรี ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร จากจังหวัดราชบุรีเดินทางโดยรถยนต์ไปตามถนนเพชรเกษม ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3206 ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าบ้านไทยประจัน ระยะทาง 5 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน เส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางลาดยางตลอดเส้นทาง",
"สนามกีฬากลางจังหวัดราชบุรี หรือรู้จักกันในชื่อ ดรากอนอารีนา เป็นสนามกีฬากลางของจังหวัดราชบุรี ปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลจังหวัดราชบุรีและกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 34 สโมสรฟุตบอลใน ไทยพรีเมียร์ลีก มีความจุทั้งหมด 15,000 ที่นั่ง",
"ภาคตะวันตก เป็นภูมิภาคหนึ่งของประเทศไทยในระบบการแบ่งแบบ 6 ภูมิภาคตามคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติ และเป็นภูมิภาคย่อยของภาคกลางของระบบการแบ่งแบบ 4 ภูมิภาค (ซึ่งรวมภาคตะวันออก และภาคตะวันตก) ภาคตะวันตกมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่าทางทิศตะวันตก ติดต่อกับภาคเหนือทางทิศเหนือ ติดต่อกับภาคกลางทางทิศตะวันออก และติดต่อกับภาคใต้ทางทิศใต้ ภาคตะวันตกประกอบไปด้วยจังหวัดเพียง 5 จังหวัด แม้ว่าจะจัดรวมอยู่ในภาคตะวันตก แต่ในภูมิภาคนี้ยังมีความหลากหลาย ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ซึ่งแตกต่างกันค่อนข้างมาก",
"คำเมือง (Northern Thai: ) [กำเมือง]) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ภาษาถิ่นภาคพายัพ[1] เป็นภาษาถิ่นของชาวไทยวนทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ซึ่งเป็นอาณาจักรล้านนาเดิม ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, อุตรดิตถ์, แพร่, น่าน, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา และยังมีการพูดและการผสมภาษากันในบางพื้นที่ของจังหวัดตาก, สุโขทัย และเพชรบูรณ์ ปัจจุบันกลุ่มคนไทยวนได้กระจัดกระจายและมีถิ่นที่อยู่ในจังหวัดสระบุรี, จังหวัดราชบุรี และอำเภอของจังหวัดอื่นที่ใกล้เคียงกับราชบุรีอีกด้วย",
"รถไฟชานเมืองในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นระบบรถไฟชานเมืองขนาดใหญ่ในประเทศไทย ให้บริการในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล, จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, จังหวัดสระบุรี, จังหวัดลพบุรี, จังหวัดสุพรรณบุรี, จังหวัดราชบุรี, จังหวัดฉะเชิงเทรา, จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสมุทรสงคราม ดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย รหัสเลขขบวนรถส่วนใหญ่จะเป็นเลขสามหลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 3 และ4(471-480) และใช้ทางวิ่งร่วมกับรถไฟทางไกลและรถไฟสินค้า ทางส่วนใหญ่เป็นทางคู่",
"หลังจากที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็น \"การเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรกและครั้งเดียวของไทย\" โดยจังหวัดราชบุรีมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรก คือ นายกิมเส็ง (โกศล) สินธุเสก",
"กอบกุล นพอมรบดี (หรือนามสกุลเดิม ศักดิ์สมบูรณ์) (13 ตุลาคม พ.ศ. 2502 — 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2549) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี พรรคไทยรักไทย และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดคนแรกของจังหวัดราชบุรี เป็นลูกพี่ลูกน้องของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นบุตรีของกำนันเล็ก และนางน้ำเงิน ศักดิ์สมบูรณ์ สมรสกับนายมานิต นพอมรบดี มีบุตรธิดาทั้งหมด 3 คน นางกอบกุลเสียชีวิตโดยถูกคนร้ายยิงด้วยอาวุธปืนหลังชนะการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2549นางกอบกุล นพอมรบดี ลงสมัครสมาชิกสภาจังหวัดราชบุรี เขตอำเภอเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2538\nต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้รับตำแหน่งรองประธานสภาจังหวัด และต่อมาได้รับตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี\nเข้าสู่สายการเมืองโดยการลงสมัคร ส.ส.ราชบุรี ในนามพรรคชาติพัฒนา เมื่อปี พ.ศ. 2544 ภายหลังได้ยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย ในเวลาต่อมา\nนางกอบกุลได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธาน กรรมาธิการกิจการเด็ก สตรีและผู้สูงอายุและผู้ช่วยโฆษกคณะกรรมาธิการการตำรวจ ปี พ.ศ. 2548\nนางกอบกุลเป็น เป็น ส.ส.ที่ทำงานหนัก ทุ่มเทและใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ฐานเสียงแน่น ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ราชบุรี สมัยที่ 2 ในนามพรรคไทยรักไทย และผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. พ.ศ. 2549 ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ราชบุรี เขต 1 ด้วยคะแนน 39,697 คะแนน ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ",
"เขากระโจม: ตั้งอยู่ในตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง ห่างจากตัวเมืองราชบุรี 80 กิโลเมตรเป็นพื้นที่ที่สูงที่สุดในจังหวัดราชบุรีประมาณ 1,045 เมตรจากระดับน้ำทะเลการเดินทางสู่ยอดเขาต้องใช้พาหนะขับเคลื่อน 4 ล้อสองข้างทางยังเป็นป่าเขาที่สภาพสมบูรณ์เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติและพบกล้วยไม้ป่าหลากหลายอยู่ทั่วไป ทัศนียภาพโดยรวมคล้ายป่าทางภาคเหนือ บนจุดสูงสุดเป็นเส้นแบ่งเขตแดนประเทศไทยกับประเทศพม่ามีลานกว้างสำหรับกางเต็นท์พักแรมสามารถชมวิวทิวทัศน์ได้รอบบริเวณ ระหว่างทางมีน้ำตกผาแดงจุดพักชมวิวและทางเดินศึกษาธรรมชาติที่สวยงาม",
"การเตรียมความพร้อมสำหรับร่วมศึกลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ของทีม \"กุ้งจอมเก๋า\" พะเยา เอฟซี \"โค้ชเรศ\" อิศเรศ เบียดตะคุ เผยว่า ตอนแรกนั้นทางจังหวัดไม่มีแนวความคิดที่จะส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันแต่อย่างใด แต่เมื่อเวลางวดเข้ามา กระแสของการแข่งลีกภูมิภาคเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ และได้เห็นจังหวัดอื่นทางภาคเหนือส่งทีมกันอย่างคึกคัก ทำให้ทาง อมร อายุปัน ผู้อำนวยการการกีฬาแห่งประเทศไทย มีแนวคิดที่จะสร้างทีมขึ้นมาบ้าง เพื่อให้ชาวพะเยาได้เชียร์ทีมบ้านเกิด เลยส่งทีมสมัครเข้าฟาดแข้ง และได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก วรวิทย์ ปิงเมือง ประธานชมรมฟุตบอลพะเยา ที่เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานสโมสร พร้อมทั้งเชิญ นาวาเอก นฤธรรม สุรักขกะ อดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย รับตำแหน่งผู้จัดการทีม พร้อมทั้งได้ \"โค้ชหมี\" สุรศักดิ์ ตังค์สุรัตน์ ซึ่งสร้างผลงานพาทีมเมืองทองฯ ยูไนเต็ด ขึ้นมาเล่นไทยลีกมาแล้ว เป็นที่ปรึกษาทีม สำหรับในฤดูกาลนี้ถือสโมสรทำการเปลี่ยนแปลงเยอะมากทั้งนักเตะที่ดึงเข้ามาใหม่และเฮดโค้ชคนใหม่คือ นายตฤณ เย็นที่ ซึ่งเคยเป็นอดีตเฮดโค้ชสโมสรธำรงไทยและสตาฟฟ์โค้ชอีกหลายสโมสรมาก่อน สำหรับงบประมาณในการทำทีมฤดูกาล 2012 นี้นั้น สำหรับงบประมาณตั้งไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 3 ล้าน",
"วิทยาเขตสุพรรณบุรี จัดตั้งขึ้นเป็นวิทยาเขตในสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยแนวความคิดของนายบรรหาร ศิลปอาชา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี (ในขณะนั้น) ได้เสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งวิทยาเขต สังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมในภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งจังหวัดสุพรรณบุรี มีเส้นทางในการคมนาคมที่สะดวกและติดต่อกับจังหวัดที่มีความเจริญด้านอุตสาหกรรม เช่น กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท และเพื่อเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาออกสู่ชนบท",
"ปี พ.ศ. 2538 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ดำเนินการขยายพื้นที่การศึกษาของมหาวิทยาลัยไปยังภูมิภาค ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 โดยให้มหาวิทยาลัย/สถาบัน 10 แห่ง ขยายวิทยาเขต/ขยายพื้นที่การสอนไปยังภูมิภาคในพื้นที่ 11 จังหวัด คือ จังหวัดหนองคาย พะเยา จันทบุรี แพร่ ตรัง ชุมพร สุราษฎร์ธานี สกลนคร กาญจนบุรี ราชบุรี และปราจีนบุรี ในครั้งนี้มหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้เสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแม่โจ้ - แพร่ เพื่อรับผิดชอบภาระหน้าที่ในการจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา โดยการกระจายโอกาสทางการศึกษาไปยังจังหวัดแพร่และจังหวัดใกล้เคียง",
"สโมสรวอลเลย์บอลราชบุรี (หรือ สโมสรวอลเลย์บอลศมานันท์ ราชบุรี ตามชื่อผู้สนับสนุน) เป็นสโมสรวอลเลย์บอลอาชีพในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดราชบุรี โดยทีมนี้เข้าแข่งขันในวอลเลย์บอลไทยแลนด์ลีก",
"แม้จะไม่มีถนนที่สะดวกสบายในสหภาพพม่า เช่นเดียวกับประเทศไทย แต่การค้าระหว่าง 2 ประเทศ ที่มีพรมแดนติดต่อกัน จาก จ.เชียงราย ถึง จ.ระนอง ในปี 2546 ที่ผ่านมา ก็มีมูลค่ารวมถึง 57,716 ล้านบาท โดยไทยเป็ยฝ่ายขาดดุลการค้าอยู่ถึง 33,675 ล้านบาท และมูลค่าการค้าขายระหว่างไทย-พม่า ก็ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวมา กขึ้น ท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหภาพพม่านั่นเอง โดย จ.ราชบุรี แม้จะมีพรมแดนติดต่อกับพม่า แต่ก็ไม่มีมูลค่าการค้าขายระหว่างกันเกิดขึ้นเลย นับตั้งแต่การปิดจุดผ่านแดนเพื่อนำเข้าไม้จากพม่า เมื่อปี 2535 เป็นต้นมา สำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปยังสหภาพพม่าในปี 2546 คือ อุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งมีมูลค่าทั้งสิ้น 2,802 ล้านบาท ส่วนสินค้าส่งออกที่สำคัญของสหภาพพม่า มายังประเทศไทย ในปี 2546 คือ เชิ้อเพลิง ซึ่งมีมูลค่าถึง 44,272 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การสร้างถนนจาก จ.ราชบุรี สู่ทะเลอันดามัน จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการค้าระหวางประเทศไทยกับสหภาพพม่าอย่างมหาศาล โดยเฉพาะนักธุรกิจชาวไทยที่มีสินค้าต่างๆ ทุกชนิดพร้อมที่จะส่งออก แต่ก็จำกัดด้วยเส้นทางคมนาคม ที่จะนำสินค้าเข้าสู่เมืองสำคัญในสหภาพพม่า ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางสาย จ.ราชบุรี สู่ทะเลอันดามัน จะสามารถร่นระยะทางที่จะขนสินค้าไปสู่อินเดีย และยุโรป ได้อีกด้วย โดยคาดว่า หากได้รับการผลักดันอย่างจริงจังจากรัฐบาลทั้งสองประเทศแล้ว โครงการนี้จะสร้างผลประโยชน์ให้กับไทยและสหภาพพม่า",
"วัดเกาะศาลพระ: ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรีประมาณ 10 กม. มีเนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ วัดเก่าแก่แห่งนี้ไม่ปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใดแต่พอสันนิษฐานได้จากศิลปะลวดลายไทยที่ซุ้ม ประตูและหน้าบันอุโบสถหลังเก่าว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายหรือต้นรัตนโกสินทร์ โบราณสถานโคกวิหาร:: ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะศาลพระ มีลักษณะเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ โบราณวัตถุที่พบส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นรูปใบหน้าบุคคลและเศียรพระพุทธรูปและเทวดา โบสถ์คริสต์พระหฤทัยวัดเพลง: ตั้งอยู่ริมคลองแควอ้อมมีอายุกว่า 100 ปี",
"ในประเทศไทยนั้นมีการเริ่มทดลองเลี้ยงแกะในภูมิภาคที่มีอากาศหนาวและมีพื้นที่ใกล้เคียงกับภูมิประเทศของออสเตรเลีย เช่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดราชบุรี เป็นต้น โดยเป็นการเลี้ยงในการท่องเที่ยวและตัดขนเป็นหลัก",
"โอ่งมังกร มีลักษณะเป็นลวดลายมังกรจากตำรารอบโอ่งมีทั้งแบบที่วาดด้วยสีหรือปั้นขึ้นรูปนูนต่ำออกจากผิวโอ่ง ขนาดความสูงส่วนใหญ่ประมาณ 0.5 เมตรถึง 1.5 เมตร เดิมทีเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้าจากทางประเทศจีนแต่ภายหลังได้มีการทดลองทำขึ้นภายในประเทศเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้โอ่งมังกรภายในประเทศและแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เป็นไปด้วยความลำบากในช่วงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โอ่งมังกรที่ผลิตในไทยช่วงเริ่มแรกนั้นดำเนินการผลิตโดยพ่อค้าชาวจีนคือนายฮง แซ่เตี่ยและนายจือเหม็ง แซ่อึ้งซึ่งรวมหุ้นกันเป็นเงินจำนวน 3,000 บาทตั้งโรงงานผลิตขนาดเล็กในปี พ.ศ. 2476 ที่จังหวัดราชบุรีเนื่องจากพบว่าดินที่จังหวัดราชบุรีที่มีสีแดงสามารถใช้ปั้นโอ่งได้ โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณหน้าสนามบินตรงข้ามโรงเรียนอนุบาลราชบุรี เดิมที่แน้นผลิตอ่าง, ไห และกระปุก แต่ต่อมาโอ่งมีความต้องการมากขึ้นจึงได้เพิ่มกำลังการผลิต",
"กีฬาจตุรมิตรเบญจมราชูทิศแห่งประเทศไทย () เป็นการแข่งขันกีฬาที่จัดขึ้นทุกปีของประเทศไทย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้กับโรงเรียนเบญจมราชูทิศทั้ง 4 แห่ง โดยให้มีการจัดการแข่งขันขึ้นเป็นประจำทุกๆปี จัดขึ้นโดยโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ทั้ง 4 โรงเรียนในประเทศไทย คือ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ, โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี, โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี และโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี ได้ร่วมกันจัดขึ้น",
"โรงพยาบาลราชบุรี เป็นโรงพยาบาลศูนย์ มีขนาด 1,000 เตียง (ไม่รวม ICU) ตั้งอยู่เลขที่ 85 ถนน สมบูรณ์กุล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ให้บริการดูแลสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา เป็นโรงพยาบาลตติยภูมิระดับสูง มีแพทย์เฉพาะทางแต่ละสาขาวิชา และแพทย์เฉพาะทางย่อย เป็นศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ในแถบภาคตะวันตกของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นสถาบันผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท มีการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ของโรงพยาบาลเอง ที่ผ่านมา มีแพทย์จบการศึกษาไปแล้ว หลายรุ่น และทำงานอยู่ในหลายๆ จังหวัดในภูมิภาคนี้ ปัจจุบันมีแพทย์ประจำ 145 คนและบุคลากรอื่นรวมกันกว่า 900 คน ",
"รถยนต์ ใช้เส้นทาง สายเก่าสายเพชรเกษม ทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านบางแค- อ้อมน้อย - อ้อมใหญ่ - นครชัยศรี - นครปฐม - ราชบุรี หรือใช้เส้นทางสายใหม่ เส้นทางหลวงหมายเลข 338 จากกรุงเทพ - พุทธมณฑล - นครชัยศรี เข้าถนนเพชรเกษมบริเวณอำเภอนครชัยศรีก่อนถึงตัวเมืองนครปฐมประมาณ 16 กิโลเมตรจากนั้นใช้ถนนเพชรเกษมตรงไปตัวเมืองราชบุรี รถโดยสารประจำทาง</b>บริษัท ขนส่งจำกัดมีบริการเดินรถจากสถานีขนส่งสายใต้ ไปจังหวัดราชบุรีทุกวัน วันละหลายเที่ยวใช้เวลา รถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทยมีบริการรถไฟออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพง และสถานีรถไฟธนบุรี (บางกอกน้อย) ทุกวันใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง (ตั้งแต่เวลา 00.50-21.50 น.. อำเภอบ้านคา 58 กม.",
"จังหวัดราชบุรี มีเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 เขต (พ.ศ. 2554) และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ 5 คน จากทั้งหมด 375 คนทั่วประเทศในสภาผู้แทนราษฎรไทย",
"เขตมิสซังราชบุรี ชาวคาทอลิกเรียกว่าสังฆมณฑลราชบุรี เป็นมุขมณฑลโรมันคาทอลิกในประเทศไทย มีพื้นที่ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดสมุทรสงคราม"
] |
ฆาตกรจักรราศี หรือ ฆาตกรโซดิแอก มีผู้ต้องสงสัยหรือไม่ ? | [
"สองช่วงตึกจากที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดอน ฟูค ก็ได้รับฟังการแจ้งเหตุของวัยรุ่นทั้งสามจากวิทยุตำรวจเช่นกัน เขาพบเห็นชายผิวขาวเดินไปตามทางเท้าแล้วก้าวขึ้นบันไดหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ฝากทางเหนือของถนน การพบเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นหลังได้รับแจ้งเหตุเพียง 5 - 10 นาทีเท่านั้น คู่หูที่นั่งมาด้วย เอริค ซีล์ม ไม่เห็นชายคนดังกล่าว ทั้งคู่ไม่ได้เอะใจกับชายผู้นั้นเลยเนื่องจากวิทยุตำรวจสั่งการให้เขาคอยมองหาชายผิวดำในบริเวณนั้น ทั่งคู่จึงขับรถตำรวจเลยชายผู้นั้นไปโดยไม่ได้หยุดรถ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุดอนได้รับการบอกเล่าโดยเจ้าหน้าที่เพลลิเซตติว่าที่จริงแล้วเรากำลังมองหาชายผิวขาวไม่ใช่ชายผิวดำ ดอนจึงรู้ทันทีว่าพวกเขาคลาดกับคนร้ายไปเสียแล้ว ดอนจึงสรุปว่าคนร้ายเดินกลับเส้นทางเดิมที่เขานั่งรถมาและหนีไปทางเพรสซิดิโอ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจสอบรถแท้กซี่คันดังกล่าวแต่มันถูกทำความสะอาดไว้โดยคนร้ายแล้ว รอยนิ้วมือที่พบเพียงเล็กน้อยก็ไม่ตรงกับผู้ใดเลย วัยรุ่นทั้งสมติดตามตำรวจไปยังสถานีตำรวจเพื่ออธิบายลักษณะของคนร้าย ก่อนจะกลับไปอีกครั้งเพื่อให้การใหม่ คนร้ายถูกสันนิษฐานว่าอายุระหว่าง 35 - 45 ปี นักสืบบิล อาร์มสตรอง และ เดฟ ทอสชี รับเข้ามาดูแลการสืบสวนนี้ด้วยตัวเอง กรมตำรวจซานฟรานซิสโกสืบสวนและตั้งรายชื่อผู้ต้องสงสัยได้กว่า 2,500 คนตลอดช่วงหนึ่งปีนั้น"
] | [
"วันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1970 เขาได้ส่งจดหมายอีกฉบับมาที่ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ เขาระบุในจดหมายว่า \"หวังว่าพวกคุณคงมีความสุขกับตัวเอง เมื่อฉันจุดระเบิดของฉัน\" ตามมาด้วยสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทประจำตัวเขา ด้านหลังยังมีคำขู่ที่จะใช้รถโดยสารเป็นตัวระเบิดกำกับไว้ด้วย หนังสือพิมพ์ออกตีพิมมพ์รายละเอียดของมันทั้งหมด นอกจากนี้เขายังต้องการให้ผู้คนสวมใส่กระดุมโซดิแอกอีกด้วย",
"3 มีนาคม ค.ศ. 2007 บัตรอวยพรวันคริสต์มาสของบริษัทอเมริกันกรีททิง ถูกส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ ประทับตราไปรษณียากรลงปี ค.ศ. 1990 ในเมืองยูเรกา, รัฐแคลิฟอร์เนีย พึ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้จากเอกสารภาพถ่ายโดยผู้ช่วยบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ แดเนียล คิง ภายในซองจดหมายประกอบด้วยบัตรอวยพรและภาพจากการถ่ายเอกสารเป็นรูปของกุญแจสองอันของกรมไปรษณีย์สหรัฐฯ ลายมือบนหน้าซองคล้ายคลึงกับลายมือของโซดิแอกแต่ถูกโต้แย้งโดยผู้ตรวจสอบเอกสาร ลอยด์ คันนิงแฮม ว่าทั้งหมดไม่ใช่ของโซดิแอก อีกทั้งบนหน้าซองไม่มีที่อยู่ติดต่อกลับและสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทของเขาเหมือนเช่นเคย ทางหนังสือพิมพ์ได้ส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดให้แก่สถานีตำรวจวัลเลโฮเพื่อทำรอตรวจพิสูจน์ต่อไป",
"ฆาตกรจักรราศี (English: Zodiac Killer) หรือ ฆาตกรโซดิแอก คือฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อเหตุในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1960 ในแถบพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย (สันนิษฐานว่ารวมถึงเขตรัฐเนวาดา) ซึ่งทางการไม่สามารถระบุถึงตัวตนที่แท้จริงและแรงจูงใจของเขาได้มาจนถึงปัจจุบัน นามว่า โซดิแอก หรือ จักรราศี ถูกประดิษฐ์ขึ้นใช้โดยตัวเขาเอง เขาแทนตัวเองด้วยชื่อนี้ในทุกจดหมายที่เขาส่งถึงกรมตำรวจซานฟรานซิสโกและถูกนำออกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักเขาในนามดังกล่าว ซึ่งในจดหมายประกอบด้วยรหัสลับสี่ชุด สามในสี่ชุดนี้ยังไม่มีบุคคลได้สามารถถอดได้จนถึงปัจจุบัน",
"จากผู้เสียชีวิตในเหตุฆาตกรรมที่ได้รับการสงสัยว่าอาจเชื่อมโยงถึงโซดิแอก ไม่มีผู้ใดในรายชื่อนี้ที่ได้รับการยืนยัน",
"จดหมายฉบับวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1978 ที่ในขั้นต้นให้ถือว่าเป็นจดหมายฉบับที่โซดิแอกเขียนขึ้นจริง แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือนผู้ส่งก็เขียนกลับมาอีกว่าเป็นเพียงการเล่นตลกเท่านั้น เดฟ ทอสชี นักสืบสวนคดีฆาตกรรมของกรมตำรวจซานฟรานซิสโกที่พยายามไขคดีของโซดิแอกตั้งแต่คดีที่เพรสซิดิโอไฮท์เป็นต้นมา ถูกเชื่อว่าเป็นผู้ปลอมแปลงจดหมายนั้นขึ้นมาเอง โดยนักเขียน อาร์ตีด โมพิน เป็นผู้กล่าวหาที่เชื่อว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับจดหมายที่เขาได้รับในปี ค.ศ. 1976 จากผู้ที่ชื่นชอบโซดิแอกเขียนขึ้นเพื่อทำให้เป็นข่าว ซึ่งจดหมายฉบับปี ค.ศ. 1976 นี้เองที่เขาก็เชื่อว่าเขียนโดยเดฟ ทอชชี ต่อมาเดฟ ทอชชี ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ปลอมแปลงจดหมายของโซดิแอกและท้ายที่สุดก็พ้นจากข้อกล่าวหา ผู้ที่เขียนจดหมายฉบับวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1978 ยังคงไม่ได้รับการพิสูจน์และยืนยัน",
"โซดิแอกฆาตกรรมเหยื่อในท้องที่ วัลเลโฮ ทะเลสาบเบอรีเอสซา และนครซานฟรานซิสโก ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1968 - ตุลาคม ค.ศ. 1969 (สันนิษฐานว่าตั้งแต่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1963 - ค.ศ. 1972) โดยเป็นชาย 4 คน หญิง 3 คน ทั้งหมดอายุระหว่าง 16 - 29 ปี และได้รับการยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเหยื่อของโซดิแอกจริง ซึ่งจำนวนของเหยื่อที่นอกเหนือจาก 7 คนนี้ ถูกระบุเพิ่มเติมเข้าไปจากการสืบสวนที่ค้นพบความเชื่อมโยงของรูปแบบและลักษณะของเหยื่อที่ตรงกับ 7 คนก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีหลักฐานใดที่แน่ชัดพอจะพิสูจน์ถึงความเชื่อมโยงของเหยื่อที่เหลือได้",
"ในจดหมายฉบับวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1970 ที่ส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์โซดิแอกกล่าวอ้างรับผิดชอบต่อกรณีของแคธลีน จอห์นส์ ว่าเขาเป็นผู้กระทำเอง จดหมายถูกส่งมา 4 เดือนหลังจากเกิดเหตุ ส่วนในฉบับวันที่ 24 มิถุนายน เขายังถอดความจากบทเพลงของ \"เดอะมิกาโด\" แล้วใส่เนื้อเพลงของเขาเอง ในเนื่อเพลงมีใจความเกี่ยวกับแผนที่เขาจะทรมานต่อ \"ทาส\" ของเขาบน \"สวรรค์\" เขาลงท้ายด้วยสัญลักษณ์เดิมแต่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมว่า \" = 13 SFPD = 0\" และประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งท้ายคือ \"โปรดอย่าลืม รหัสลับที่ภูเขาดิอาโบลมีความสัมพันธ์กับมุมที่เกิดระหว่างเส้นรัศมี 2 เส้นของวงกลมขนาด +# นิ้ว ตลอดความยาวของเส้นรัศมี 2 เส้น\" ในปี ค.ศ. 1981 การตรวจสอบข้อความดังกล่าวถูกสรุปโดยแกเรธ เพนน์ นักวิจัยคดีโซดิแอกที่ค้นพบการที่เส้นรัศมีสองเส้นมาทำมุมกัน และพบว่าเส้นรัศมีนั้นชี้ไปยังจุด 2 จุดที่เขาก่อเหตุขึ้น",
"7 สิงหาคม ค.ศ. 1969 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปที่ ซานฟรานซิสโกเอ็กแซมิเนอร์ ด้วยคำขึ้นต้นจดหมายที่ว่า \"Dear Editor This is the Zodiac speaking\" คำแปล: \"ถึงบรรณาธิการ นี้คือถ้อยแถลงของโซดิแอก\" ที่ซึ่งต่อมาเขาใช้เป็นคำขึ้นต้นจดหมายกับทุกฉบับที่เขาส่งมา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปในที่สุด และวันนั้นเองที่เขาเริ่มแทนตัวเองด้วยชื่อ \"โซดิแอก\" เนื้อความในจดหมายจงใจที่จะตอบคำท้าทายของหัวหน้าสารวัตตำรวจ สน.วัลเลโฮ ที่ซึ่งท้าทายให้เขาเล่าถึงรายละเอียดของฆาตกรรม เขาจึงเล่าถึงขั้นตอนและวิธีการฆ่าเดวิด, เบตตีและดาร์ลีน ในจดหมายยังกล่าวถึงรายละเอียดของฆาตกรรมซึ่งไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน เช่นเดียวกับข้อความที่โซดิแอกส่งถึงตำรวจว่า \"they will have me\" 8 สิงหาคม ค.ศ. 1969 โดนัลด์ และ เบททีย์ ฮาร์เดิน จากเมืองซาลินาส, มอนเทอรีเคาท์ตี, รัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถถอดรหัสชุดหนึ่งของโซดิแอกที่ตีพิมพ์บนหนังสือพิมพ์ได้[2] โดยที่ไม่พบชื่อของฆาตกรปรากฏในชุดรหัส ใจความดังนี้",
"(สัญลักษณ์ หมายถึงตัวโซดิแอกเอง ส่วน SFPD ย่อมาจาก San Francisco Police Department ซึ่งหมายถึงกรมตำรวจซานฟรานซิสโกนั่นเอง)",
"ในปี ค.ศ. 1970 โซดิแอกยังคงติดต่อและสื่อสารกับสาธารณชนและตำรวจผ่านทางไปรษณีย์และออกตีพิมพ์บนหน้าหนังสือพิมพ์ ในจดหมายที่ประทับตราไปรษณียากรของวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1970 เขาได้เขียนบนจดหมายว่า \"My name is ___\" แล้วตามด้วยรหัสลับ 13 ตัว เขายังกล่าวอีกว่าไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการวางระเบิดที่สถานีตำรวจในนครซานฟรานซิสโกเมื่อไม่นานมานี้ (เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1970) แต่กล่าวต่อว่า \"นี้เป็นอีกหนึ่งความน่ายินดีที่สามารถฆ่าตำรวจได้ มันน่ายินดีกว่าการแค่ทำร้ายเพราะตำรวจมันสามารถยิงเรากลับได้\" เขายังวาดแผนภาพแสดงวิธีที่เขาจะประกอบระเบิดขึ้นเองซึ่งเขาอ้างว่าจะนำมันไปใช้ระเบิดโรงเรียน ด้านล่างแผนภาพเขาทิ้งท้ายว่า \" = 10 SFPD = 0\"",
"14 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากโซดิแอก ในฉบับนี้มีชิ้นส่วนชายเสื้อของพอล สไตน์แนบมาด้วย และนั้นเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้ก่อเหตุที่เพรสซิดิโอไฮท์ ในจดหมายยังมีคำขู่ระบุว่าเขาจะยิงรถโรงเรียน เวลา 2.00 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1969 บุคคลนิรนามอ้างตัวว่าเป็นโซดิแอกโทรศัพท์ไปยังกรมตำรวจโอคแลนด์ ว่าเขาต้องการหนึ่งในนักกฎหมายชื่อดังระหว่าง เอฟ. บี เบย์ลี หรือ เมลวิน เบลลิ ให้ไปออกรายการทอล์คโชว์ของ จิม ดันบาร์ ในช่วงเช้า ปรากฏว่า เอฟ. บี เบย์ลี ไม่สามารถไปร่วมรายการได้ เมลวินจึงได้ไปออกอากาศในช่วงเช้าของวันนั้นแทน เขาร้องขอให้ผู้ชมคอยติดตามการถ่ายทอดสด ในที่สุดบุคคลนิรนามโทรศัพท์เข้ามาในรายการหลายครั้ง เขาอ้างว่าตัวเขาชื่อแซม เมลวินจึงนัดพบเขาผ่านรายการที่เมืองดาลี แต่ชายคนดังกล่าวกลับไม่ปรากฏตัวออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซึ่งเคยได้ยินเสียงของโซดิแอกได้ฟังเสียงของ \"แซม\" และสรุปว่าเสียงของแซมไม่ใช่เสียงของโซดิแอก นั้นทำให้ตำรวจเชื่อว่าผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาในรายการไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง การโทรศัพท์เข้ามาอีกครั้งในภายหลังถูกดักฟังและแกะรอยโดยเจ้าหน้าที่ จนพบว่ามันถูกโทรเข้ามาจากโรงพยาบาลนาปาโดยผู้ป่วยโรคจิต วันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 โซดิแอกส่งจดหมายมาและภายในมีรหัสลับมาอีกชุดมีตัวสัญลักษณ์ทั้งหมด 340 ตัว 9 พฤศจิกายน วันถัดมาเขาได้ส่งจดหมายมาอีกฉบับมีความยาวทั้งหมด 7 หน้า ในเนื้อความระบุว่า วันที่เขาฆาตกรรม พอล สไตน์ เขาอ้างว่าหลังเขาเดินออกมาจากจุดเกิดเหตุมีตำรวจสองคนหยุดและพูดคุยกับเขาเป็นเวลา 3 นาที โดยซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ได้ตัดส่วนหนึ่งของจดหมายแล้วออกตีพิมพ์ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ซึ่งฉบับนั้นยังตีพิมพ์คำกล่าวอ้างของโซดิแอกด้วย ในวันนั้นเอง ดอน ฟูค ได้จดบันทึกอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ส่วนรหัสลับชุดนั้นไม่เคยมีผู้ใดถอดมันออกเลย",
"เว็บไซต์ของสถานีตำรวจวัลเลโฮยังคงรับคำแนะนำในการสอบสืนคดีของโซดิแอกอยู่ คดียังคงเปิดในพื้นที่สถานีตำรวจนาปาและริเวอร์ไซด์",
"ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ยังได้รับจดหมายอีกฉบับประทับตราลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 ที่ส่งถึงบรรณาธิการ ภายในเป็นรหัสลับที่กล่าวถึงกองทัพเสรีเพื่อการเกื้อกูล (อังกฤษ: Symbionese Liberation Army) ที่สะกดออกมาเป็นภาษานอร์สโบราณที่แปลว่า \"ฆ่า\" แต่อย่างไรก็ตามลายมือที่ใช้ในจดหมายฉบับดังกล่าวไม่ตรงกับลายมือของโซดิแอก",
"กลับมาวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1971 เป็นเวลาเกือบ 4 เดือนหลังจากบทความเกี่ยวกับเชอร์รีของพอล เอเวอร์รี่ โซดิแอกส่งจดหมายไปยังหนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทม์ ในเนื้อความโซดิแอกกล่าวชื่นชมตำรวจแทนที่จะเป็นพอลกับการค้นพบความเชื่อมโยงที่ริเวอร์ไซด์ เขาระบุต่อว่า \"But they are only finding the easy ones, there are a hell of a lot more down there\" คำแปล: \"แต่พวกเขาพบแค่ชิ้นง่าย ๆ ยังมีอีกมากมายที่นั้น\" ความเชื่อมโยงระหว่าง เชอร์รี โจ เบทส์, ริเวอร์ไซด์และโซดิแอก ยังคงเหลือไว้เป็นปริศนา พอล เอเวอร์รี่ และสำนักงานตำรวจริเวอร์ไซด์ลงความเห็นว่าโซดิแอกอาจจะไม่ได้เป็นผู้กระฆาตกรรมเชอร์รี แต่ยอมรับว่าจดหมายที่ถูกส่งมาในคดีของเชอร์รีเขาอาจนำไปอวดอ้างว่าเป็นผลงานของเขา",
"วันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1970 ในจดหมายที่ประทับตราไปรษณียากร เขาระบุว่าเขาผิดหวังที่ไม่มีใครสวมใส่กระดุมโซดิแอกเลย และระบุต่อว่า \"ฉันยิงชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ด้วยปืนจุดสามแปดนิ้ว\" ซึ่งคาดว่าน่าจะหมายถึงคดีของ ร.น. ริชารด เรดทิช ที่เกิดเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน เวลา 5.25 น. ขณะริชาร์ดกำลังเขียนตั๋วจอดรถในบริเวณที่เขารับผิดชอบอยู่ คนร้ายยิงเขาที่หัวด้วยปืนพกขนาด 0.38 นิ้ว ริชาร์ดเสียชีวิตในอีก 15 ชั่วโมงต่อมา กรมตำรวจซานฟรานซิสโกปฏิเสธความเกี่ยวข้องของคดีนี้กับโซดิแอกและยังคงจับผู้ร้ายที่ก่อเหตุไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน ในจดหมายยังแนบแผนที่บริเวณโดยรอบอ่าวซานฟรานซิสโกที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทผลิตแผนที่ฟิลิปส์ 66 ยังมีรูปของภูเขาดิอาโบลซึ่งบนรูปนั้นเขาทำเครื่องหมายวงกลมขีดกากบาทเช่นเดิมแต่บนสุดของสัญลักษณ์นั้นเขาเขียนหมายเลข 0, 3, 6 และ 9 ไล่ลงมาตามลำดับเสมือนเป็นหน้าปัดนาฬิกา เขาบอกว่าเลข 0 เปรียบเสมือนทิศเหนือ และบอกว่ามันจำชี้ทางไปสู่จุดที่เขาฝังระเบิดไว้แต่ตำรวจตรวจพบว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขายังทิ้งท้ายด้วยว่า \" = 12 SFPD = 0\"",
"แม้โซดิแอกจะอ้างในจดหมายที่ส่งไปยังสำนักหนังสือพิมพ์ว่าเขาได้ฆาตกรรมเหยื่อทั้งหมด 37 คน แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันเหยื่อเพียง 7 คนเท่านั้น มีเหยื่อเพศชาย 2 คนในรายชื่อนี้เท่านั้นที่รอดชีวิต เหยื่อที่ได้รับการยืนยันทั้งหมดได้แก่",
"ค.ศ. 2002 - กรมตำรวจซานฟรานซิสโกเปรียบเทียบดีเอ็นเอจากซองจดหมายที่ได้รับจากโซดิแอกกับอาร์เธอร์ ลีห์ อัลเลน ผู้ต้องสงสัยหลัก ผลปรากฏว่าไม่ตรงกัน เมษายน ค.ศ. 2004 - กรมตำรวจซานฟรานซิสโกจัดคดีของโซดิแอกให้เป็น \"คดีที่หาข้อสรุปไม่ได้\" ค.ศ. 2007 - บุตรบุญธรรมของ แจค เทอร์แรนซ์ อ้างว่าพ่อของเขาคือโซดิแอก กรมตำรวจซานฟรานซิสโกจึงรื้อคดีมาสืบสวนใหม่และส่งหลักฐานทั้งหมดไปยังสถานีตำรวจวัลเลโฮเพื่อสืบสวนต่อไป คดียังคงเปิดในท้องที่ สน.วันเลโฮ มาจนปัจจุบัน ค.ศ. 2009 - เดโบราห์ เปเรซ อ้างว่าบิดาของเธอ กาย วอร์ด เฮนด์ริคสัน คือโซดิแอก อย่างไรก็ตามในภายหลังเธอออกมาอ้างว่าเธอคือลูกนอกสมรสของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ตำรวจจึงไม่ให้ความเชื่อถือต่อคำกล่าวอ้างของเธอ ค.ศ. 2009 - ดีเอ็นเอของ ริชาร์ด โจเซฟ กายโกว์สกี (ดิค ไกค์) ถูกส่งไปวิเคราะห์ที่กรมตำรวจซานฟรานซิสโก",
"วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1970 นักข่าวหนังสือพิมพ์ของซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ พอล เอเวอร์รี่ (นักข่าวผู้ที่คอยติดตามคดีของโซดิแอกมาตั้งแต่ต้น) ได้รับการ์ดวันฮาโลวีนซึ่งถูกเขียนไว้บนการ์ดด้วยอักษรตัว \"Z\" ตามด้วยสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทของโซดิแอก และมีข้อความว่า \"Peek-a-boo, you are doomed\" คำแปล: \"พีคอะบู (เสียงเหนี่ยวไกปืน), คุณจบเห่แน่\" คำขู่ดังกล่าวทำให้เขากังวลอย่างมากและเนื้อความในจดหมายก็ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์เช่นเคย หลังจากนั้นไม่นาพอลได้รับจดหมายนิรนามที่บอกเล่าว่ามีความเหมือนกันของลักษณะการฆาตกรรมของโซดิแอกกับลักษณะฆาตกรรมที่เกิดกับ เชอร์รี โจ เบทส์ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน ในมหาวิทยาลัยประจำเมือง ริเวอร์ไซด์เคาท์ตี, เขตมหานครลอสแอนเจลิส ห่างออกไปทางใต้มากกว่า 400 ไมล์จากซานฟรานซิสโก เขารายงานการค้นพบนี้ลงบนหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1970",
"ในคืนวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1970 สเตตไลน์, รัฐเนวาดา ดอนนา ลาส เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงแรมซาฮาราทาโฮคาสิโน ดอนนาเสร็จสิ้นการทำงานเวลาประมาณ 2.00 น. ตามบันทึกที่บอกว่าเธอรักษาผู้ป่วยคนสุดท้ายเวลา 1.40 น. และไม่มีผู้ใดพบเห็นเธอออกไปจากที่ทำงาน เช้าวันต่อมาชุดเครื่องแบบและรองเท้าของเธอถูกพบในถุงกระดาษในห้องทำงานของเธอ และยังพบเศษดินที่อธิบายไม่ได้บนชุดและรองเท้า รถยนต์ของเธอถูกพบที่อพาร์ตเมนของเธอโดยที่อพาร์ตเมนไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ วันต่อมาเจ้าของอพาร์ตเมนและเจ้านายของเธอต่างก็ได้รับโทรศัพท์จากชายนิรนามที่กล่าวอย่างอวดอ้างว่าดอนนาออกไปจากเมืองระหว่างที่กลับไปเยี่ยมครอบครัว สำนักงานตำรวจและสำนักงานนายอำเภอสืบสวนคดีของเธอในฐานะบุคคลสูญหายและสันนิษฐานว่า \"เธอเพียงแค่จากไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยตัวของเธอเอง\" ต่อมาไม่มีผู้พบเห็นดอนนาอีกเลย จากคำใบ้ที่ส่งมากับจดหมายเกี่ยวกับบริเวณในเซียร์ราคลับ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบและขุดคนบริเวณที่กล่าวอ้างไว้แต่พบเพียงแว่นกันแดดเท่านั้น ปัจจุบันไม่มีหลักฐานใดที่แน่ชัดพอจะเชื่อมโยงการหายตัวไปของดอนนา ลาสกับฆาตกรโซดิแอกได้",
"7 ตุลาคม ค.ศ. 1970 ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ได้รับการ์ดขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ที่โซดิแอกวาดสัญลักษณ์ ด้วยเลือด เนื้อความในการ์ดเป็นข้อความจากจดหมายที่เขาส่งมาซึ่งเขาตัดมันมาจากที่หนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ตีพิมพ์ โดยรอบการ์ดถูกเจาะเป็นรูทั้งหมด 13 รู นักสืบบิล อาร์มสตรอง และ เดฟ ทอชชี ลงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การ์ดจะถูกส่งมาจากโซดิแอกจริง",
"อาร์เธอร์ ลีห์ อัลเลน คือผู้ต้องสงสัยหลักเพียงคนเดียวของคดีนี้ที่ตำรวจให้การรับรอง อาร์เธอร์ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าเขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีฆาตกรรมหลายคดี อีกทั้งรอยนิ้วมีของเขาก็ไม่ตรงกับรอยนิ้วมือที่โซดิแอกทิ้งไว้บนรถแท็กซี่ในคดีฆาตกรรมพอล สไตน์ ในปี ค.ศ. 1992 หลังการก่อเหตุผ่านไปเป็นเวลา 23 ปี ไมเคิล เรนัลต์ แมกกู เหยื่อของฆาตกรโซดิแอกที่รอดชีวิตมาได้ระบุชี้ชัดว่ารูปพรรณของอาร์เธอร์ใกล้เคียงกับคนร้ายที่ยิงเขาในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 มากที่สุด ไมเคิลยืนยันกับทางตำรวจจากการที่ตำรวจให้ดูรูปถ่ายในใบขับขี่ปี ค.ศ. 1968 ของอาร์เธอร์ หลังทนทุกข์ทรมานจากโรคเบาหวานในที่สุดอาร์เธอร์ ลีห์ อัลเลน ก็เสียชีวิตด้วยภาวะไตวายในปี ค.ศ. 1992 ในปี ค.ศ. 2002 ดีเอ็นเอจากน้ำลายของโซดิแอกที่ได้จากตราไปรษณียากรบนซองจดหมายที่ส่งมาถูกนำไปตรวจสอบกับดีเอ็นเอของอาร์เธอร์ และดีเอ็นเอของเพื่อนสนิทเก่าของอาร์เธอร์ ดอน เชนีย์ ผู้ซึ่งให้การกับทางตำรวจว่าอาร์เธอร์อาจเป็นโซดิแอก ผลการตรวจสอบดีเอ็นเอปรากฏว่าดีเอ็นเอจากซองจดหมายไม่ตรงกับดีเอ็นเอของทั้งสอง แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถยืนยันแน่ชัดได้ว่าดีเอ็นเอจากซองจดหมายเป็นของโซดิแอกจริง",
"22 มีนาคม ค.ศ. 1971 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ หัวจดหมายระบุส่งถึงพอล เอเวอร์รี่ ซึ่งเชื่อกันว่าถูกส่งมาจากโซดิแอก จดหมายกล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของ ดอนนา ลาส อายุ 25 ปี เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1970 จดหมายถูกเขียนขึ้นจากการนำตัวอักษรต่าง ๆ จากแผ่นโฆษณาหรือนิตยสารมาแปะเป็นถ้อยคำ ในจดหมายระบุเจาะจงถึงคำบนป้ายโฆษณาของฟอร์เรสต์ไพน์คอนโดมิเนียมดังนี้ \"Sierra Club\", \"Sought Victim 12\", \"peek through the pines\", \"pass Lake Tahoe areas\" และ \"around in the snow.\" ตามด้วยสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทลงท้าย",
"วันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1969 หนึ่งปีพอดีกับที่ เดวิด ฟาราเดย์ และ เบตตี ลู เจนเซน ถูกยิงเสียชีวิตโดยฆาตกร โซดิแอกส่งจดหมายไปยังบ้านของนักกฎหมายเมลวิน เบลลิ ในจดหมายยังมีเศษชิ้นส่วนเสื้อของพอล สไตน์แนบมาด้วย เนื้อความระบุถึงการขอความช่วยเหลือจากเมลวิน",
"ต่อมาซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ได้รับจดหมายที่ประทับตราลงวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1974 ใจความกล่าวยกย่องและชื่นชมภาพยนตร์เรื่อง \"แบดแลนด์ส\" ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการฆาตกรรม โดยเขากล่าวว่าเป็น \"เกียรติภูมิแห่งฆาตกร\" และบอกให้ตีพิมพ์โฆษณาเกี่ยวกับภาพยนตร์ลงบนหนังสือพิมพ์ และลงชื่อว่า \"A citizen\" ทั้งลายมือ, วิธีการเขียนและการใช้ถ้อยคำที่แดกดันทั้งหมดล้วนมีลักษณะตรงกับของโซดิแอกในช่วงปี ค.ศ. 1969 - ค.ศ. 1972 เป็นอย่างมาก",
"ธันวาคม ค.ศ. 1966 มีการค้นพบบทกลอนที่ถูกสลักไว้ด้านล่างโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยว่า \"Sick of living/unwilling to die\" คำแปล: \"เบื่อที่จะอยู่/ไม่เต็มใจที่จะตาย\" ซึ่งลักษณะการใช้ภาษาและลายมือคล้ายคลึงกับของโซดิแอกที่เขาเขียนมาทางจดหมายระหว่างปี ค.ศ. 1969 - ค.ศ. 1972 เป็นอย่างมาก และถัดลงมามันถูกสลักด้วยอักษรย่อ \"rh\" ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นชื่อของคนร้าย เชอร์วูด เมอร์ริล ผู้ตรวจสอบคดีชั้นแนวหน้าของรัฐแคลิฟอร์เนียให้ความเห็นไว้ว่า บนกลอนดังกล่าวถูกเขียนโดยโซดิแอก วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1967 ครบรอบ 6 เดือนของเหตุฆาตกรรม โจเซฟ โจ เบทส์ ผู้เป็นบิดา, ตำรวจและสำนักพิมพ์ริเวอร์ไซด์เพรสอินเตอร์ไพรส์ ได้รับจดหมายที่แทบจะเหมือนกันซึ่งลายมือมีลักษณะถูกเขียนหวัด ๆ ฉบับของสำนักพิมพ์และตำรวจมีข้อความว่า \"Bates had to die there will be more\" คำแปล: \"เบทส์จำเป็นต้องตายและมันจะมีมากกว่านี้\" และด้านล่างมีอักษรที่เขียนแบบลวก ๆ พอจะมองเห็นเป็นตัว \"Z\" ส่วนฉบับของโจเซฟเขียนว่า \"She had to die there will be more\" คำแปล: \"เธอจำเป็นต้องตายและมันจะมีมากกว่านี้\" โดยปราศจากอักษร \"Z\" ด้านล่าง",
"หลังจากจดหมายฉบับที่มีเนื้อหาอ้างความรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของดอนนา ลาส โซดิแอกก็หยุดส่งจดหมายติดต่อกับสาธารณชนไปเป็นเวลาเกือบ 3 ปี จดหมายที่ประทับตราลงวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1974 ถูกส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลซึ่งยืนยันว่าโซดิแอกเป็นผู้เขียนขึ้น ข้างในกล่าวชื่นชมนวนิยายสยองขวัญเรื่อง ดิ เอกซอร์ซิสต์ ว่าเป็น \"the best saterical comidy [sic]\" ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ และยังประกอบด้วยบทกวีท่อนหนึ่งของ เดอะ มิกาโด อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์ปริศนาที่อธิบายไม่ได้กำกับไว้ด้านล่าง นอกจากนี้ยังมีคะแนนที่เขียนไว้ด่านล่างว่า \"Me = 37 SFPD = 0\" (SFPD หมายถึงกรมตำรวจซานฟรานซิสโก)",
"มีการถกเถียงเป็นวงกว้างเกี่ยวกับการลักพาตัวแคธลีน ผู้ที่สนับสนุนเธอเชื่อว่าคนร้ายพยายามจะฆ่าสองแม่ลูกขณะขับรถวนเวียนไปมา แต่เอกสารรายงานของตำรวจปฏิเสธความเชื่อนั้น ส่วนข่าวของแคธลีนที่พิมพ์โดยพอล เอเวอร์รี่ แห่งหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ รายงานว่าขณะที่เธอซ่อนตัวอยู่ในดงหญ้าคนร้ายทิ้งรถไว้และใช้ไฟฉายออกตามหาเธอ แต่เธอเล่าว่าชายคนดังกล่าวไม่ได้ก้าวออกมาจากรถยนต์ของเขาเลย และยังมีความเชื่อที่โต้แยงกันเกี่ยวกับสถานที่ที่แคธลีนจอดรถของเธอทิ้งเอาไว้ บางเชื่อว่ามันถูกย้ายตำแหน่งก่อนจะเผา แต่บางคนเชื่อว่ามันอยู่ตรงตำแหน่งนั้นตั้งแต่แรก นอกจากนี้สาธารณชนยังตั้งคำถามว่าเธออาจจะเป็นหนึ่งในเหยื่อของฆาตกรโซดิแอกอีกคนหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่สงสัยกันเป็นเวลาหลายปี",
"เรื่องราวของฆาตกรจักรราศีได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในชื่อเรื่อง โซดิแอก ตามล่า รหัสฆ่า ฆาตกรอำมหิต (ZODIAC) ในปี ค.ศ. 2007 นำแสดงโดย เจค จิลเลนฮอล, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, มาร์ค รัฟฟาโร กำกับการแสดงโดย เดวิด ฟินเชอร์[6]",
"ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ยังคงได้รับจดหมายอย่างต่อเนื่อง ฉบับต่อมาลงวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1974 กล่าวหาว่า มารโค สปิเลลนิ นักคอลัมน์นิสต์ ว่าเป็นโซดิแอกและลงชื่อด้วยคำว่า \"the Red Phantom (red with rage)\" ข้อสันนิษฐานที่ว่าจดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นโดยโซดิแอกเองยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน",
"หนังสือพิมพ์วัลเลโฮไทม์เฮรัลด์ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972 ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ของบิล เบเคอร์ นักสืบจากสำนักงานนักสืบนายอำเภอซานตาบาบารา ที่ให้ทฤษฎีและตั้งข้อสงสัยว่าการฆาตกรรมคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งในซานตาบาบาราว่าอาจเป็นอีกคดีหนึ่งของโซดิแอก"
] |
เจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์สุดท้ายสิ้นสุดลงเมื่อใด ? | [
"พระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) นามเดิมว่า ท้าวเก เป็นเจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 12 (พ.ศ. 2433–2437)[1] หรือเป็นเจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์สุดท้ายก่อนปฏิรูปการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. 2444) เป็นผู้ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนามสกุล ณ กาฬสินธุ์ และนับได้ว่าเป็นต้นตระกูล ณ กาฬสินธุ์ แห่งจังหวัดกาฬสินธุ์ในปัจจุบันด้วย[2]"
] | [
"ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)[9] ครั้งหนึ่ง พระยาชัยสุนทร (เก) ได้เดินทางไปตรวจราชการที่เมืองภูแล่นช้าง และได้พบพระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งหล่อด้วยทองสำริด เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงาม ศิลปะสกุลช่างเวียงจันทน์ ประดิษฐานที่วัดนาขาม บ้านนาขาม เมืองภูแล่นช้าง ซึ่งเป็นวัดร้างมาแต่โบราณ ชาวบ้านไม่ได้เอาใจใส่พระพุทธรูปและปล่อยให้สิม (พระอุโบสถ) ผุพังไปตามสภาพกาล มีดินถมพระพุทธรูปจมมิดฐานแอวขัน (ฐานบัลลังก์) พระยาชัยสุนทร (เก) จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์นั้นมาประดิษฐาน ณ เมืองกาฬสินธุ์ ปัจจุบันพระพุทธรูปได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์",
"ผังเมือง พื้นที่อำเภอโพนทอง เมื่อรวมกับ อำเภอหนองพอก เป็นรูปหัวใจ ราชกิจจานุเบกษา ระบุว่ามีการตั้งเป็นอำเภอโพนทอง เมื่อ พศ 2462 ซึ่งเป็นชื่อ ถนน ที่มีไปรษณีย์ตั้งอยู่ คือ ถนน พ.ศ. 2462 คำว่า หัวใจ ในภาษาจีน คือคำว่า ซิม ในสมัยนั้น การออกแบบถนน และผังเมืองให้เป็นระบบระวังภัย\nมีมานานแล้วซึ่งต้องใช้กระดาษและแพรพรรณจำนวนมหาศาล นามสกุลหลักๆของอำเภอโพนทอง ซึ่งได้แก่ ตระกูล พลเยี่ยม และตระกุลตั้ง มีเครือญาติกับชาวอำเภอเมืองร้อยเอ็ด ซึ่งสอดคล้องกับการที่เมือง กมลาไสย ต้องโอนมาขึ้นกับ ร้อยเอ็ด แทน หัวเมืองกาฬสินธุ์ และย้ายกลับไปขึ้นกับกาฬสินธุ์เหมือนเดิม สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ ว่าหัวเมือง ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่น เป็นเชื้อสายพระเจ้าสิริบุญสาร บิดาของเจ้าอนุวงศ์ทั้งสิ้น\nการที่เจ้าอนุวงศ์เดินทัพไปถึงโคราช และกองหน้าไปถึงสระบุรีนั้น อาจจะเป็นกลศึก เพื่อนำไปบังคับให้ องค์ชายฉี ของราชวงชิงที่เดินทางมาถึงสยามซ่อนตัว เพราะบรรดาญาติๆของเจ้าอนุวงศ์ไม่เอาด้วย และกลศึกนี้ บังคับให้เจ้าอนุวงศ์แข็งเมืองจริงๆเพราะต้องรอนแรมเดินทางไกลมาเพียงหมู่เดียวเพราะได้รับคำสั่งให้ยกกำลังทหารมาช่วย สยาม ซึ่งเกิดความผิดพลาดสู่หลุมพรางครั้งแล้วครั้งเล่า และผู้ที่ดูแลเมืองโคราชเป็นหญิง และไม่มีข้อมูลว่าหน่วยสอดแนมที่เดินทางถึงสระบุรีนั้นเป็นอย่างใด ซึ่งสระบุรีนั้นเป็นหัวเมืองทางทหารชนิดนึงเป็นเมืองอาณาบริเวณบริวารของบางกอก เจ้าอนุวงศ์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ลาว อาจจะเนื่องจาก เติบโตเป็นตัวประกันในบางกอก ซึ่งมีชื่อถนน อนุวงศ์ ที่เยาวราช อยู่เป็นปรากฏ\nและอาจจะเป็นการเกณฑ์แรงงานเหมืองทองจากลาว มาทำเหมืองทองแดง ซึ่งค้นพบสายแร่ในหัวเมืองโคราช ส่งผลให้เมืองบริเวณที่มีสายแร่ มีเสียงเหน่อ กว่าคนอีสานทั่วไป และตามประวัติศาสตร์ก็มีการอพยพชาวลาวจากบางกอกไปที่จังหวัดพิจิตรเพื่อทำเหมืองทอง ดังเช่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์",
"\"...พระราษฎรบริหารเจ้าเมืองกมลาสัยได้ลำดับพงศาวดารเมืองกาฬสินธุ์และเมืองกมลาสัยและเมืองขึ้นไว้สำหรับบ้านเมืองต่อไป เดิมปู่ย่าตายายเจ้านายได้สืบตระกูลต่อ ๆ มานั้นตั้งบ้านเรือนอยู่หนองหานพระเจดีย์เชียงชุมที่เป็นเมืองเก่า ครั้นอยู่มาจะเป็นปีใดไม่กำหนดครั้งนั้นพระครูโพนเสม็ดเจ้าอธิการวัดที่เรียกว่าพระอรหันตาพายสร้อยได้ต่อยอดพระธาตุพนม และเมื่อเกิดเหตุต่าง ๆ ได้พาครอบครัวพวกเจ้านายท้าวเพี้ยราษฎรยกไปตั้งทะนุบำรุงอยู่ ณ เมืองจำปามหานครที่เป็นเมืองเก่าร้างอยู่ ซึ่งโปรดฯ ตั้งเป็นเมืองนครจำปาศักดิ์เดี๋ยวนี้นั้น ตั้งเจ้าสร้อยศรีสมุทซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเมืองเวียงจันทน์นั้นขึ้นเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ ครั้นอยู่มาช้านานหลายชั่วก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นต่าง ๆ เจ้านายท้าวเพี้ยจึงพร้อมกันพาครัวบุตรภรรยาบ่าวไพร่กลับคืนหนีมาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ที่หนองหานพระเจดีย์เชียงชุมตำบลบ้านผ้าขาวพรรณาตามเดิม แต่ครอบครัวผู้คนยังค้างอยู่เมืองนครจำปาศักดิ์ก็ยังมาก ครั้นต่อมาภายหลังจะปีและศักราชหลวงเท่าใดไม่มีกำหนดแจ้ง ครั้งนั้นพระยาโสมพะมิต พระยาอุปชา เมืองแสนฆ้อนโปง เมืองแสนหน้าง้ำ ๔ คน เป็นผู้ใหญ่พากันควบคุมท้าวเพี้ยบ่าวไพร่บุตรภรรยาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่บ้านผ้าขาวพรรณาและหนองหานพระเจดีย์เชียงชุมซึ่งเป็นเมืองสกลนครเดี๋ยวนี้ มีท้าวเพี้ยบ่าวไพร่รวมประมาณสัก ๕,๐๐๐ เศษ รับราชการทำส่วยผ้าขาวขึ้นกับเมืองเวียงจันทน์ ครั้นอยู่มาพระยาอุปชากับเมืองแสนฆ้อนโปงถึงแก่กรรมไปแล้ว เจ้าเมืองเวียงจันทน์คิดก่อเหตุเกิดวิวาทบาดหมางขึ้นกับพวกพระยาโสมพะมิต เมืองแสนหน้าง้ำ ๆ อพยพพาครัวบุตรภรรยาท้าวเพี้ยบ่าวไพร่ประมาณ ๒,๐๐๐ เศษ หนีลงมาบรรจบอยู่ด้วยกับพวกพระวอที่แตกหนีอพยพครอบครัวมาแต่หนองบัวลำภูมาตั้งอยู่ ณ บ้านแจละแม ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเมืองอุบลราชธานี แต่พระยาโสมพะมิตนั้นอพยพพาครัวบุตรภรรยาท้าวเพี้ยบ่าวไพร่ประมาณสัก ๓,๐๐๐ เศษ ไปตั้งอยู่ริมน้ำปาวที่เรียกว่าแก่งสำโรง แล้วพระยาโสมพะมิตลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระยาโสมพะมิตเป็นที่พระยาชัยสุนทรเจ้าเมือง ขนานนามแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมืองกาฬสินธุ์ แต่ ณ วันปีจอ จัตวาศก (จุ) ลศักราช ๑๑๖๔ พระยาชัยสุนทรโสมพะมิตเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ชรา มีอายุสัก ๗๐ ปีเศษ หลงลืมสติจึงมอบราชการเมืองให้กับท้าวหมาแพงบุตรของพระยาอุปชานั้นเป็นผู้ว่าราชการเมืองกาฬสินธุ์ต่อมา แล้วพระยาชัยสุนทรโสมพะมิตกับท้าวหมาแพงผู้รับว่าราชการเมืองต่างนั้นปรึกษาพร้อมกันทำแผนที่เมืองกาฬสินธุ์ แบ่งเขตแดนต่อกันกับเมืองเวียงจันทน์ตั้งแต่แม่น้ำลำพองข้างเหนือมาตกชีข้างตะวันตก ตะวันออกนั้นตั้งแต่น้ำลำพองตัดลัดไปห้วยสายบาทไปถึงห้วยไพรจาน ไปเขาภูทอกซอกดาวตัดไปบ้านผ้าขาวพรรณาบ้านเดิม ยอดลำน้ำสงครามตกแม่น้ำโขง เขตฝ่ายตะวันออกต่อแดนเมืองนครพนมและเมืองมุกดาหาร ผ่าเขาภูพานตัดมายังภูเขาหลักทอดยอดยัง ๆ ตกแม่น้ำลำน้ำชีเป็นเขตข้างใต้ ข้างตะวันตกแม่น้ำลำน้ำชีต่อแดนเมืองร้อยเอ็ดและต่อแดนเมืองยโสธรแต่ยังไม่ได้ตั้งเป็นเมืองเป็นบ้านสิงห์โคกสิงห์ท่าอยู่ แล้วส่งแผนที่ลงไปทูลเกล้าฯ ถวาย...พระยาโสมพะมิตเป็นเจ้าเมืองกาฬสินธุ์อยู่ได้สามปีก็ถึงแก่กรรม ครั้นถึง ณ ปีขาล อัฐศก ศักราช ๑๑๖๘ ปี ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้า ฯ ตั้งท้าวหมาแพงขึ้นเป็นพระยาชัยสุนทรเจ้าเมืองกาฬสินธุ์...\"",
"อนุสาวรีย์พระยาชัยสุนทร ( เจ้าโสมพะมิตร ) (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) วัดกลาง (พระอารามหลวง ชนิดสามัญ) (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) วัดศรีบุญเรือง (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) วัดป่ามัชฌิมาวาส (ตำบลลำพาน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์) เขื่อนลำปาว (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) สวนสะออน (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) หาดดอกเกด (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) พระพุทธสถานภูปอ (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) พิพิธภัณฑ์ของดีเมืองกาฬสินธุ์ (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ) ฟ้าแดดสงยาง (อำเภอกมลาไสย) พระธาตุยาคู (อำเภอกมลาไสย) ใบเสมาบ้านก้อม (อำเภอกมลาไสย) โนนสาวเอ้ (อำเภอกมลาไสย) หมู่บ้านพัฒนาวัฒนธรรมผู้ไทยบ้านโคกโก่ง (อำเภอกุฉินารายณ์) น้ำตกตาดสูง (อำเภอกุฉินารายณ์) พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นผู้ไท (อำเภอกุฉินารายณ์) น้ำตกตาดทอง (อำเภอเขาวง) เครือข่ายอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน บ้านโพนสวรรค์ (อำเภอเขาวง) พระธาตุพนมจำลอง (อำเภอห้วยเม็ก) พิพิธภัณฑ์สิรินธร (พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ภูกุ้มข้าว) (อำเภอสหัสขันธ์) พระพุทธไสยาสน์ถ้ำภูค่าว (อำเภอสหัสขันธ์) พุทธสถานภูสิงห์ (อำเภอสหัสขันธ์) แหลมโนนวิเศษ (อำเภอสหัสขันธ์) หลวงพ่อบันดาลฤทธิ์ผล (อำเภอสหัสขันธ์) พระพุทธอนันตคีรีประดิษฐาน ณ วนอุทยานภูพระ (อำเภอท่าคันโท) ศูนย์วัฒนธรรมชาวผู้ไทยบ้านโพน (ศูนย์วิจิตรแพรวาบ้านโพน) (อำเภอคำม่วง) สะพานเทพสุดา (สะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศ) (อำเภอหนองกุงศรี) ผาเสวย (อำเภอสมเด็จ) วัดป่าบ้านนาขาม เดิมเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ดำ ปัจจุบันได้อัญเชิญพระองค์ดำไปประดิษฐานที่วัดกลาง จ.กาฬสินธุ์ (อำเภอนาคู) พิพิธภัณฑ์วัดกลางภูแล่นช้าง (อำเภอนาคู) ถ้ำเสรีไทย (อำเภอนาคู) พุทธสถานหลวงปู่ใหญ่ (อำเภอดอนจาน) พระแสนเมือง (หลวงปู่พระแสน) ประดิษฐาน ณ วัดป่ายางเครือ (บ้านเชียงเครือ ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์) พระเทพ (หลวงปู่พระเทพ) ประดิษฐาน ณ วัดป่ายางเครือ (บ้านเชียงเครือ ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์) วัดป่ายางเครือ วัดโบราณ ประดิษฐานหลวงปู่พระแสนและหลวงปู่พระเทพ (บ้านเชียงเครือ ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์) เมืองเชียงเครือ/นครยางเครือ เมืองขอมโบราณ ปกครองโดย พญาเชียงเครือ ราชโอรสในพญาเชียงโสม แห่งเมืองเชียงโสม มีพี่น้อง ได้แก่ พญาจันทราช (พญาเชียงโสม) พญาธรรม พญาเชียงสง พญาเชียงสา พญาเชียงสร้อย /เมืองเชียงเครือเป็นเมืองยุคเดียวกันกับเมืองฟ้าแดดสงยาง มีความเจริญรุ่งเรืองราวพุทธศวรรษที่ 12-16 ( ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์) น้ำตกผานางคอย,น้ำตกผาระแงง (อำเภอนาคู) อ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบน อ่างวังคำ (อำเภอเขาวง) วัดป่าโพนวิมาน (วัดป่าพุทธบุตร) พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ฟอสซิลปลาโบราณ (อำภอเขาวง)",
"เมื่อ พ.ศ. 2437 เมื่อพระยาชัยสุนทร (ท้าวเก) เป็นเจ้าเมือง มีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองแบบให้เจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร มาเป็นรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล มีมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยุบเป็นอำเภอ คือ เมืองกาฬสินธุ์ เป็นอำเภออุทัยกาฬสินธุ์",
"พระนรินทรสงคราม (ทองดี) เจ้าเมืองจัตุรัสองค์ที่ ๖ (องค์สุดท้าย) เป็นบุตรในพระนรินทรสงคราม (บุญเฮ้า) เจ้าเมืองจัตุรัสองค์องค์ที่ ๕ เป็นนัดดา (หลานลุง) ในพระยานรินทรสงคราม (เสา) เจ้าเมืองจัตุรัสองค์ที่ ๔ เป็นนัดดา (หลานปู่) ในพระยานรินทรสงคราม (บุตร) เจ้าเมืองจัตุรัสองค์องค์ที่ ๓ เป็นปนัดดา (เหลนทวด) ในพระยานรินทรสงคราม (ทองคำ) เจ้าเมืองจัตุรัสองค์ที่ ๒ และเจ้าเมืองหนองบัวลุ่มภู พระยานรินทรสงคราม (ทองคำ) เป็นบุตรในพระนรินทรสงคราม (จารย์คำ) เจ้าเมืองสี่มุมองค์แรกผู้สร้างเมืองสี่มุม (เมืองจัตุรัส) จึงนับว่าพระนรินทรสงคราม (จารย์คำ) และพระยานรินทรสงคราม (ทองคำ) เป็นปฐมบรรพบุรุษตระกูลลาวัณบุตรแห่งอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ในภาคอีสานของประเทศไทย[13]",
"ก่อน พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ.116 ยกเลิกระบบการปกครองแบบเก่า ต่อมา กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอีสาน เสด็จตรวจราชการถึงเมืองกาฬสินธุ์ พบว่าเจ้าเมืองกำลังว่างอยู่ จึงกราบทูลขอตั้งท้าวเกเมื่อครั้งดำรงบรรดาศักดิ์เป็นที่พระสินธุ์ประชาธรรมให้เป็นที่พระยาชัยสุนทรเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ และให้เมืองกมลาไสยมาขึ้นอยู่กับเมืองกาฬสินธุ์เช่นเดิม[3] ต่อมาไม่นาน จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระสินธุ์ประชาธรรม (เก) เป็นที่ พระยาชัยสุนทร เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ ต่อมา เมื่อสยามยุบตำแหน่งเจ้าเมืองหรือระบบการปกครองแบบคณะอาญาสี่ลง จึงโปรดฯ ให้ พระยาชัยสุนทร (เก) ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองกาฬสินธุ์ท่านแรก[4] ในปี พ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นสมัยที่พระยาชัยสุนทร (เก) ปกครองเมืองกาฬสินธุ์อยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งการปกครองหัวเมืองลาวตะวันออกออกเป็น 4 กอง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายสุดจินดา (เลื่อน) เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองกาฬสินธุ์ เมืองกมลาไสย และเมืองภูแล่นช้าง เมืองดังกล่าวจัดอยู่ในหัวเมืองลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อมาในปี พ.ศ. 2437 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลลาวกาวและเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอีสาน จากนั้นราว พ.ศ. 2437-2444 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาชัยสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางสุ)[5] ปกครองเมืองกาฬสินธุ์ต่อมาจากพระยาชัยสุนทร (เก) ต่อมาในปี พ.ศ. 2443 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หัวเมืองกาฬสินธุ์ขึ้นอยู่กับบริเวณร้อยเอ็ด[6] จากนั้นรัฐบาลสยามได้จัดการเปลี่ยนการปกครองจากการให้เจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มาจัดการปกครองให้มีภาค จังหวัด อำเภอ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด บรรดาหัวเมืองต่างๆ ให้ยุบเป็นอำเภอ คือ เมืองกาฬสินธุ์ เป็นอำเภออุทัยกาฬสินธุ์ จนกระทั่งถึงวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2456 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะจังหวัดร้อยเอ็ดขึ้นเป็นมณฑล ยกฐานะอำเภออุทัยกาฬสินธุ์ขึ้นเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้จังหวัดกาฬสินธุ์มีอำนาจปกครองอำเภอ คือ ให้อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอกมลาไสย อำเภอยางตลาด ขึ้นกับจังหวัดกาฬสินธุ์ และให้จังหวัดกาฬสินธุ์ขึ้นต่อมณฑลร้อยเอ็ด ให้พระภิรมย์บุรีรักษ์เป็นปลัดมณฑลประจำจังหวัดกาสินธุ์ และขุนชัยศรีทรงยศ (ศรี ฆารสินธุ์) เป็นนายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์[7] ถือเป็นอันสิ้นสุดระบบอาญาสี่ที่เคยปกครองเมืองกาฬสินธุ์มาอย่างยาวนานถึงสองร้อยกว่าปี และเป็นการยุติบทบาทของเจ้านายจากราชวงศ์เวียงจันทน์ที่ทรงปกครองเมืองกาฬสินธุ์มายาวนานมากถึง 12 องค์[8]",
"วัดหัวข่วง ตั้งอยู่บนถนนมหาพรหม ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เป็นวัดที่มีความสำคัญในเขตหัวแหวนเมืองน่าน อยู่ติดหอคำ หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน และคุ้มอดีตเจ้าเมืองน่าน ไม่ปรากฏว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยใด สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยล้านนาตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ 20-22 มีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามภายในพระวิหาร มีพระพุทธรูปปางมารวิชัย ลักษณะพุทธศิลป์แบบท้องถิ่นล้านนา สกุลช่างเมืองน่าน ฝีมือประณีตงดงาม โดยมีหลักฐานว่าเกี่ยวกับประวัติการบูรณะครั้งแรกใน พ.ศ. 2425 โดยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าเมืองน่าน และต่อมาปี พ.ศ. 2472 ในสมัยเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองน่าน องค์สุดท้าย",
"เล่าลือกันว่า เมื่อพระยาชัยสุนทร (เก) ได้พบพระพุทธรูปหลวงพ่อองค์ดำแล้ว ก็มีความปรารถนาที่จะนำไปประดิษฐานไว้ที่หอโฮงการเจ้าเมือง (โฮงหรือจวนสำเร็จราชการ) ที่เมืองกาฬสินธุ์ เพื่อเป็นการเสริมบารมีแก่ตน แต่ชาวบ้านในละแวกนั้นไม่ต้องการให้นำหลวงพ่อองค์ดำไปจากหมู่บ้าน เนื่องจากชาวบ้านมีความเคารพนับถือและเลื่อมใสศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อองค์ดำมาแต่โบราณ พระยาชัยสุนทร (เก) จึงได้นำช้างทรง 5 เชือก มาอัญเชิญพระพุทธรูปออกไปให้สมฐานะผู้ปกครองเมือง ทำให้ชาวบ้านยอมถวายหลวงพ่อองค์ดำแก่พระยาชัยสุนทร (เก) ด้วยความไม่เต็มใจ เมื่อพระยาชัยสุนทร (เก) นำหลวงพ่อองค์ดำไปประดิษฐานที่หอโฮงการก็ทำเกิดเหตุอาเพศหลายประการแก่ตน อาทิ พ่อตาผู้เป็นบิดาของหม่อมห้ามถึงแก่กรรมด้วยโรคแปลกประหลาด แม่ยายผู้เป็นมารดาของหม่อมห้ามถึงแก่กรรม เกิดการทะเลาะวิวาทกันระหว่างนางสนมและหม่อมห้ามของพระองค์ เกิดไฟไหม้หอโฮงการ และพระองค์เองก็มีเหตุตกจากหลังช้างทรงจนได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น อาเภทเหล่านี้เป็นเหตุให้หลวงพ่อองค์ดำประดิษฐาน ณ หอโฮงการเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ได้เพียง 1 ปีเศษ ต่อมาพระยาชัยสุนทร (เก) จึงได้อัญเชิญไปถวายไว้เพื่อสืบทอดพระวรพุทธศาสนาและประดิษฐานที่วัดกลางพระอารามหลวง ซึ่งในขณะนั้นอาชญาคูอ้มดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ แต่ได้ไปจำพรรษาที่วัดเหนือและต่อมาได้จำพรรษาที่วัดกลาง จนถึงสมัยของพระครูสุขุมวาทวรคุณ (สุข สุขโณ) จึงได้นำหลวงพ่อองค์ดำประดิษฐานไว้ที่กุฎิเพื่อป้องกันการสูญหาย แต่ทว่าด้วยชื่อเสียงของหลวงพ่อองค์ดำทำให้ชาวบ้านต้องมาสักการะบูชา พระครูสุขุมวาทวรคุณ (สุข สุขโณ) จึงนำหลวงพ่อองค์ดำไปแห่รอบเมืองเพื่อขอฝนเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวเมืองกาฬสินธุ์ เป็นเหตุให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลทำให้ชาวบ้านเรียกหลวงพ่อองค์ดำอีกนามหนึ่งว่า หลวงพ่อซุ่มเย็น ต่อมา ชาวเมืองกาฬสินธุ์เรียกขานนามว่า พระพุทธสัมฤทธิ์นิรโรคันตราย[11]",
"จนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยครอบครัวมาตั้งบ้านเมืองดูแลรักษาองค์พระธาตุเชิงชุม จนมีผู้คนมากขึ้นแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านธาตุเชิงชุมเป็น เมืองสกลทวาปี โดยแต่งตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์เป็นพระธานี เจ้าเมืองสกลทวาปีคนแรก ต่อมาปี พ.ศ. 2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าเมืองสกลทวาปีไม่ได้เตรียมกำลังป้องกันเมือง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพมาตรวจราชการเห็นว่าเจ้าเมืองกรมการไม่เอาใจใส่ต่อบ้านเมือง ปล่อยให้ข้าศึก (ทัพเจ้าอนุวงศ์) ล่วงล้ำไปเมืองนครราชสีมาได้โดยง่าย จึงสั่งให้นำตัวพระธานีไปประหารชีวิตที่หนองทรายขาว พร้อมกับกวาดต้อนผู้คนในเมืองสกลทวาปีไปอยู่ที่เมืองกบินทร์บุรีบ้าง เมืองประจันตคามบ้าง ให้คงเหลือรักษาองค์พระธาตุเชิงชุมแต่เพียงพวกเพี้ยศรีคอนชุม ตำบลธาตุเชิงชุม บ้านหนองเหียน บ้านจานเพ็ญ บ้านอ่อมแก้ว บ้านธาตุเจงเวง บ้านพราน บ้านนาคี บ้านวังยาง และบ้านพรรณา รวม 10 ตำบล เพื่อให้เป็นข้าปฏิบัติพระธาตุเชิงชุมเท่านั้น ",
"โดยผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้เป็นองค์แรกคือ เจ้าหญิงโอกุ พระราชธิดาใน จักรพรรดิเท็มมุ จักรพรรดิองค์ที่ 40 เมื่อ พ.ศ. 1216 ขณะพระชนมายุเพียง 12 พรรษาภายหลังจากที่พระองค์รอดชีวิตจาก สงครามจินชิน จากนั้นจึงมีเจ้าหญิงที่มาดำรงตำแหน่งไซโออีกหลายพระองค์จนกระทั่งถึง ยุคราชสำนักเหนือ-ใต้ ระบบไซโอจึงสิ้นสุดลงซึ่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งไซโอเป็นองค์สุดท้ายคือ เจ้าหญิงซะชิโกะ พระราชธิดาใน จักรพรรดิโกะ-ไดโงะ เมื่อ พ.ศ. 1876",
"ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 สายกาฬสินธุ์–ช่องจอม เป็นทางหลวงแผ่นดินสายหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง-ตอนล่าง โดยเริ่มจากเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยผ่านอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอจังหาร อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอจตุรพักตรพิมาน และอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด และ อำเภอท่าตูม อำเภอจอมพระ อำเถอเขวาสินรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ แล้วไปสิ้นสุดที่ด่านพรมแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ชายแดนประเทศกัมพูชา\nทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 เริ่มต้นที่เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตัดผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ที่ทางแยกสงเปลือย และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 แนวใหม่ที่บ้านหนองโพธิ์ จากนั้นจะตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2367 และ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2116 ที่อำเภอกมลาไสย จากนั้นจะข้ามแม่น้ำชีและเข้าสู่เขต จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ อำเภอจังหาร และเข้าสู่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด โดยก่อนเข้าเมืองจะตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 232ซึ่งเป็นถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด เส้นทางช่วงนี้เป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจรและ 4 ช่องจราจรในบางช่วง โดยช่วงอำเภอจังหารถึงอำเถอเมืองร้อยเอ็ดจะมีขนาด 4 ช่องจราจรตลอดสาย",
"วงษาภักดี ณ กาฬสินธุ์ หนูไชยะ ณ กาฬสินธุ์ ไชยสิทธิ ต้นสกุลคือท้าวเฉลิม ท้าวเฉลิมเป็นบุตรของท้าวเบ้า เป็นหลานของท้าวราชวงษา เป็นเหลนของเจ้าพระยากำแหงมหึม (หมาฟอง) เป็นโหลนของท้าวเมืองแสนฆ้อนโปง ไชยศิริ ต้นสกุลคือท้าวสมศรี ท้าวสมศรีเป็นบุตรของท้าวพานคำ เป็นหลานของท้าวรส เป็นเหลนของท้าวสุวรรณเกษ เป็นโหลนของท้าวเมืองแสนฆ้อนโปง ทองทวี ต้นสกุลคือท้าวเปลี่ยน ท้าวเปลี่ยนเป็นบุตรของท้าวดี เป็นหลานของท้าวทอง เป็นเหลนของพระยาไชยสุนทร (หมาเจียม) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เป็นโหลนของท้าวเมืองแสนหน้าง้ำ อาษาไชย ต้นสกุลคือท้าวทา ท้าวทาเป็นบุตรของท้าวดี เป็นหลานของท้าวทอง เป็นเหลนของพระยาไชยสุนทร (หมาเจียม) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์เป็นโหลนของท้าวเมืองแสนหน้าง้ำ ศิริกุล ต้นสกุลคือขุนแก้วไกรสร ขุนแก้วไกรสรเป็นบุตรของท้าวโง่น เป็นหลานของท้าวบัว เป็นเหลนของพระยาไชยสุนทร (จารย์ละ) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เป็นโหลนของท้าวเมืองแสนหน้าง้ำ บริหาร ต้นสกุลคือพระราษฎรบริหาร (เกษ) เจ้าเมืองกมลาไสยองค์แรก (เดิมเป็นที่ราชวงษ์เมืองกาฬสินธุ์) พระราษฎรบริหาร (เกษ)เป็นบุตรของท้าวโคตร เป็นหลานของเจ้าหญิงหวดกับเจ้าฮวดเมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นเหลนของท้าวอุปชา เป็นโหลนของเจ้าองค์ไชยในสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ (พระไชยองค์เว้) วงศ์กาฬสินธุ์ ต้นสกุลคือพระยาไชยสุนทร (หล้า) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ พระยาไชยสุนทร (หล้า)เป็นบุตรของเจ้าอุปฮาต (หมาป้อง) เป็นหลานของพระยาไชยสุนทร (โสมพะมิตร) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ กับพระนางหล้าสร้อยเทวี ศรีกาฬสินธุ์ ต้นสกุลคือพระละคอน พระละคอนเป็นบุตรของเจ้าอุปฮาต (หมาป้อง) เป็นหลานของพระยาไชยสุนทร (โสมพะมิตร) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ กับพระนางหล้าสร้อยเทวี พิมพะนิตย์ ต้นสกุลคือท้าวธิติษา ท้าวธิติษาเป็นบุตรของเจ้าอุปฮาต (หมาป้อง) เป็นหลานของพระยาไชยสุนทร (โสมพะมิตร) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ กับพระนางหล้าสร้อยเทวี พูลวัฒน์ ต้นสกุลคือท้าวพรหมจักร ท้าวพรหมจักรเป็นบุตรของเจ้าอุปฮาต (หมาป้อง) เป็นหลานของพระยาไชยสุนทร (โสมพะมิตร) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ กับพระนางหล้าสร้อยเทวี อักขราสา ต้นสกุลคือท้าวพรหมจักร ท้าวพรหมจักรเป็นบุตรของเจ้าอุปฮาต (หมาป้อง) เป็นหลานของพระยาไชยสุนทร (โสมพะมิตร) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ กับพระนางหล้าสร้อยเทวี วงศ์กมลาไสย , วงศ์กาไสย ต้นสกุลคือท้าวหมาปุย ท้าวหมาปุยเป็นบุตรของเจ้าอุปฮาต (หมาป้อง) เป็นหลานของพระยาไชยสุนทร (โสมพะมิตร) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ กับพระนางหล้าสร้อยเทวี สินธุศิริ ต้นสกุลคือ........./........ ปู่อินทิแสง บุตร อุ๋ บาล บง ทุมมา[13]",
"เจ้ายองโพ เป็นราชโอรส องค์เล็กในพระเจ้ากึมวา และเป็นพระอนุชาโดยสายพระโลหิต ใน พระเจ้าแทโซ \nเสด็จขึ้นเป็น เจ้าผู้ครองเมืองพูยอ สืบต่อจาก พระเจ้าแทโซกษัตริย์องสุดท้าย ในฐานะเจ้าประเทศราชของอาณาจักรโกคูรยอ จากการสถาปนาของพระเจ้าแดมูซิน\nซึ่งในรัชสมัยของ พระองค์ นั้น ทรงอยู่ในความดูแลของโกคูรยอ มาโดยตลอด และมิได้ทรง คิดที่จะรวบรวมแผ่นดินโดยประการใด\nซึ่งในรัชสมัยของพระองค์ นั้น หัวเมืองพูยอ ยังคงตั้งมั่นอยู่ได้ดังเดิม เพียงแต่เป็นเมืองประเทศราชเท่านั้น\nพระองค์ มีราชโอรส ทรงพระนามว่า เจ้าโทจิน ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพ คนสำคัญในสมัยของ พระเจ้าแทโซ และเคยเป็นเพื่อนคนสนิทของพระเจ้าแดมูซิน เป็นผู้ที่หลงรัก ท่านหญิงยอนซึ่งเป็นพระมารดาขององค์ชายโฮดง\nซึ่งต่อมาโทจินได้ เสียชีวิตลง จากสงคราม พูยอกับโกคูรยอ\nเมื่อเจ้ายองโพ สิ้นพระชนม์ลง โดย ไม่มี ทายาทสืบต่อ จึงทำให้ หัวเมืองพูยอ ได้ล่มสลายลง อย่างจริงจัง \nนับแต่นั้นมา เมืองพูยอ จึงกลายเป็นหัวเมืองหนึ่งของโกคูรยอไปในที่สุด",
"เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) มีอายุ ๑๙ ปี ได้เข้ารับราชการรับหมายตั้งเป็นที่ ท้าวสุริยภักดี ตำแหน่งนายกอง กรมการเมืองสกลนคร ต่อมา พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร ต่อมา พ.ศ. ๒๔๒๐ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่ พระยาประจันตประเทศธานี ศรีสกลานุรักษ์ อรรคเดโชชัยอภัยพิริยากรมพาหุ เจ้าเมืองสกลนครองค์สุดท้าย ด้วยหัวเมืองสกลนครนั้นเป็นเมืองเอกและเป็นเมืองใหญ่เจ้าเมืองจึงมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ภายหลังจากปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ แล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสกลนครคนแรก อนึ่ง ราชทินนามคำว่า ประจันต และ ประเทศธานี นั้นมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่ในชายแดน โดยเป็นราชทินนามประจำของเจ้าเมืองสกลนครมาตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้านายวงศ์เมืองกาฬสินธุ์เข้ามาปกครองสกลนครก่อนเจ้านายวงศ์เมืองมหาชัยกองแก้ว",
"พระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์กรุงสยามมาก โดยเฉพาะรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อครั้งพระองค์เสด็จประพาสประเทศยุโรปทั้ง 2 ครั้ง พระยาชัยสุนทร (เก) ได้นำบุตรภริยาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ดื่มน้ำพระพิพัฒสัตยาเพื่อส่งเสด็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ในความจงรักภักดีของพระยาชัยสุนทร (เก) มาก ทรงเคยตรัสเกี่ยวกับพระยาชัยสุนทร (เก) ว่า เป็นเจ้าเมืองรูปงาม ผิวขาว ร่างบอบบาง ทรงโปรดฯ เรียก อ้ายพระยาน้อย ซึ่งเป็นนามที่ทำให้พระยาชัยสุนทร (เก) ปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น พระยาชัยสุนทร (เก) ได้เล่าให้บรรดาบุตรหลานฟังเสมอมา และมักอบรมสั่งสอนให้บุตรหลานทุกคนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้ากรุงสยามทุกพระองค์ หากบุตรหลานคนใดได้มีโอกาสรับราชการ ก็ขอให้บุตรหลานทุกคนได้ปฏิบัติหน้าที่ของคนไทยด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ อย่าได้ฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นอันขาด และขอให้ทุกคนถือว่า คนกาฬสินธุ์คือญาติพี่น้องของเราทุกคน",
"ณ กาฬสินธุ์ เป็น 1 ใน 21 นามสกุล ณ พระราชทานครั้งแรกของประเทศไทย นามสกุลพระราชทานลำดับที่ 1190 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) พระราชทานแก่พระยาไชยสุนทร (เก) หรือพระยาชัยสุนทร (เก) กรมการพิเศษเมืองกาฬสินธุ์ กระทรวงมหาดไท มณฑลร้อยเอ็จ อดีตเจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์สุดท้าย ทรงพระราชทานเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2457 พระปัยกา (ทวด) ชื่อพระไชยสุนทร (หมาสุ่ย) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 3 พระอัยกา (ปู่) ชื่อพระยาไชยสุนทร (หนูม้าว) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 8 บิดาชื่อราชบุตร (งวด) เชื้อเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เขียนเป็นอักษรโรมันว่า na Kalasindhu ตามประกาศพระราชทานนามสกุลครั้งที่ 15 เล่มที่ 31 หน้าที่ 64 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร รับพระบรมราชโองการ[12]",
"ถนนช่วงยางตลาด–สมเด็จ มีชื่อเรียกว่า ถนนถีนานนท์ เดิมเป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 213 โดยมีเส้นทางเริ่มจากสี่แยกอำเภอยางตลาด ผ่านอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ แต่ไม่ได้เข้าเมืองกาฬสินธุ์ แล้วไปสิ้นสุดที่สี่แยกสมเด็จ อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 มีเส้นทางแยกออกไปทางขวา รวมระยะทางทั้งสิ้น 56 กิโลเมตร",
"พ.ศ. 2313 เป็นเมืองขึ้นของสยามประเทศ จนถึงรัชสมัยเจ้าพิริยเทพวงษ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ 22 ปีพ.ศ. 2445 ได้เกิดความไม่สงบขึ้นในเมืองนครแพร่ โดยพวกไทใหญ่หรือเงี้ยวได้ทำการก่อจลาจลในเมืองนครแพร่เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2445 จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เจ้าหลวงนครแพร่ถูกกล่าวหาว่าคบกับพวกเงี้ยว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ถอดจากยศตำแหน่ง ริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมดคืน พระองค์จึงไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และได้พำนักอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพิราลัยในปี พ.ศ. 2455 แม้จนสุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าหลวงถึงจะทรงพิโรธการเรียกร้องความไม่เป็นธรรมของเจ้าหลวงเมืองแพร่อย่างไรพระองค์ก็ทรงออกมาปกป้องว่า เจ้าหลวงพิริยะเทพวงษ์นั้น แม้จะกลับมาชิงบ้านเมืองคืนจริง ก็ไม่ใช่ความคิดของเจ้าหลวงแต่เป็นนโยบายของฝรั่งเศส พระองค์ทรงให้เจ้านายทายาทเจ้าหลวงอยู่อย่างสงบสุขด้วยเจ้านายราชวงศ์จักรีที่ทรงวางใจคือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มือขวาของพระองค์นั่นเอง ส่วนเจ้านายที่ถูกคาดโทษพระองค์ก็ให้ทำหน้าที่ปราบโจรผู้ร้ายชดใช้ จึงถือเป็นการสิ้นสุดเจ้าผู้ครองนครแพร่",
"พระยาชัยสุนทร (เจ้าโสมพะมิต) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 1 พระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) เป็นเจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 11 พระธิเบศรวงศา (กอ) เจ้าเมืองกุดสิมนารายณ์ คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์ พระราษฏรบริหาร (เกษ) เจ้าเมืองกระมาลาไสย (กมลาไสย) คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์ พระพิชัยอุดมเดช เจ้าเมืองภูแล่นช้าง คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์ พระสุวรรณภักดี เจ้าเมืองท่าขอนยาง คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์ พระศรีสุวรรณ เจ้าเมืองแซงบาดาล คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์ พระประชาชนบาล เจ้าเมืองหัสขันธ์ คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์ พระปทุมวิเศษ เจ้าเมืองกันทรวิชัย คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์",
"ปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ตอนกาฬสินธุ์–นาไคร้ มีเส้นทางเริ่มต้นบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ที่ตำบลหลุบ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ทางทิศตะวันตกของเมืองกาฬสินธุ์ ผ่านไปทางใต้ของตัวเมือง ไปสิ้นสุดบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ที่บ้านนาไคร้ ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์",
"พระยาชัยสุนทร (โสมพะมิตร) หรือพระยาไชยสุนทร เดิมพระนามว่า เจ้าโสมพะมิตร หรือ ท้าวโสมพะมิตร ในเอกสารพื้นเมืองเวียงจันทน์ออกพระนามว่า ท้าวโสมบพิตร ส่วนพงศาวดารเมืองกาฬสินธุ์และเมืองกมลาสัยออกพระนามว่า พระยาสมพมิษ ทรงเป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองกาฬสินธุ์ (กาละสินธ์ หรือ กาลสิน) พระองค์แรกและทรงเป็นเจ้าผู้สร้างเมืองกาฬสินธุ์ ปัจจุบันคือจังหวัดกาฬสินธุ์ในภาคอีสานของประเทศไทย เดิมรับราชการในราชสำนักนครเวียงจันทน์เป็นที่พญาโสมพะมิตร ภายหลังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ของสยามให้เป็นเจ้าเมืองกาฬสินธุ์พระองค์แรกในฐานะเมืองประเทศราช พระยาชัยสุนทร (โสมพะมิตร) ทรงเป็นต้นสกุล วงศ์กาฬสินธุ์ ศรีกาฬสินธุ์ พิมพะนิตย์ พูลวัฒน์ อักขราสา และสกุล วงศ์กมลาไสย หรือ วงศ์กาไสย อีกทั้งทรงเป็นพระราชเชษฐาในเจ้าเมืองแสนฆองโปง ต้นสกุลพระราชทาน ณ กาฬสินธุ์ แห่งจังหวัดกาฬสินธุ์อีกด้วย",
"ในช่วงบั้นปลายของเจ้าพระอัคร์บุตร (บุญมี) นั้นทรงใช้ชีวิตอย่างสงบ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศลาว โดยเจ้านายทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมิได้ปลดพระองค์ออกจากตำแหน่งพระอัคร์บุตรแต่ประการใด พระองค์ไม่ปรารถนาจะกลับไปประทับอยู่ ณ อำเภอธาตุพนมซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์จากมา เป็นเหตุให้โฮง (เรือน) ที่ดิน และทรัพย์สินทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงของพระองค์ตกเป็นของอนุชาและบุตรหลานของอนุชาทั้งหมด หลังจากถึงแก่กรรมแล้วทายาทบุตรหลานทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงได้จัดพิธีพระศพอย่างเรียบง่าย เนื่องด้วยเป็นช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองของลาว โดยมีทายาทบุตรหลานจากอำเภอธาตุพนมบางส่วนเดินทางไปร่วมงาน และไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการเชิญพระอัฐิของพระองค์กลับคืนมาก่อธาตุเจดีย์ยังธาตุพนมแต่ประการใด เจ้านายเมืองธาตุพนมองค์หนึ่งที่เดินทางเข้าร่วมพิธีศพของพระองค์คือ เจ้าพระอุปฮาชา (เฮือง รามางกูร) ผู้เป็นอนุชาร่วมพระบิดามารดา หลังเสร็จสิ้นงานพระศพ เจ้าพระอุปฮาชา (เฮือง รามางกูร) ได้นำตัวท้าวสุวัณณคำมีซึ่งเป็นบุตรท่านสุดท้ายของเจ้าพระอัคร์บุตร (บุญมี) กลับมาเลี้ยงดูและรับเป็นบุตรบุญธรรมยังอำเภอธาตุพนมด้วย",
"พระยาชัยสุนทร (โสมพะมิตร) ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางหล้าสร้อยเทวีแห่งนครเวียงจันทน์ เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ในสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ (พระไชยองค์เว้) พระราชบิดาของพระองค์พระนามว่า เจ้าองค์ไชย ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ (พระไชยองค์เว้) พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างพระองค์ที่ ๓๖ และพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเวียงจันทน์พระองค์ที่ ๑ ปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนาราชวงศ์เวียงจันทน์ ฝ่ายพระมารดาของพระยาชัยสุนทร (โสมพะมิตร) นั้นเป็นพระนัดดาในเจ้าผ้าขาว (เจ้าปะขาว) ผู้สร้างเมืองผ้าขาวและเมืองพันนา (เมืองพนาง) ในจังหวัดสกลนคร สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ (พระไชยองค์เว้) ทรงเป็นพระราชนัดดา (หลานอา) ในพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างพระองค์ที่ ๓๒ และเป็นพระราชนัดดา (หลานปู่) ในพระเจ้าต่อนคำพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างพระองค์ที่ ๓๑ ฝ่ายเจ้าผ้าขาว (เจ้าปะขาว) นั้นทรงเป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์เช่นเดียวกัน ดังนั้น พระยาชัยสุนทร (โสมพะมิตร) จึงเป็นเจ้าผู้ปกครองเมืองกาฬสินธุ์และเป็นเจ้านายฝ่ายหัวเมืองลาว-อีสานที่สืบเชื้อสายจากราชวงศ์เวียงจันทน์อีกสายหนึ่ง",
"พระยาชัยสุนทร (เก) เป็นบุตรของท้าวฮวด (งวด) ตำแหน่งเจ้าราชบุตรเมืองกาฬสินธุ์ เป็นนัดดา (หลานปู่) ในพระยาไชยสุนทร (หนูม้าว) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เป็นปนัดดา (เหลนทวด) ในพระไชยสุนทร (หมาสุ่ย) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ พระไชยสุนทร (หมาสุ่ย) เป็นพระราชโอรสในเจ้าโสมพะมิต เจ้าเมืองกาฬสินธุ์พระองค์ที่ 1 ผู้ก่อตั้งเมืองกาฬสินธุ์ กับพระนางหล้าสร้อยเทวีแห่งนครเวียงจันทน์ หลักฐานบางแห่งกล่าวว่า ราชบุตร (ฮวด) ผู้เป็นพระบิดาของพระยาชัยสุนทร (เก) นั้นสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองแสน (ฆ้อนโปง) กรมการขื่อเมืองฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่แห่งนครเวียงจันทน์ในอดีต คนทั่วไปรู้จักพระองค์ในพระนามเมืองแสนฆ้องโปง ทรงเป็นพระราชอนุชาในพระยาชัยสุนทร (โสมพะมิต) พระยาชัยสุนทร (โสมพะมิต) และเมืองแสนฆ้องโปง ทรงเป็นพระโอรสในเจ้าองค์ไชยและมีพระมารดาเป็นพระธิดาในเจ้าผ้าขาว ซึ่งเป็นเจ้านายในราชวงศ์เวียงจันทน์ ผู้ก่อตั้งเมืองผ้าขาวและเมืองพันนา เจ้าองค์ไชยทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 (พระไชยองค์เว้) พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างพระองค์ที่ ๓๖ หลังย้ายราชธานีมายังนครเวียงจันทน์ในสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ ดังนั้น พระยาชัยสุนทร (เก) จึงสืบเชื้อสายจากราชวงศ์เวียงจันทน์ผ่านทางตระกูลเจ้าผู้ปกครองเมืองกาฬสินธุ์ อนึ่ง ราชทินนนามว่า พระยาไชยสุนทร นี้เป็นราชทินนามสำหรับเจ้าผู้ครองเมืองกาฬสินธุ์",
"หลวงพ่อองค์ดำนี้ตามประวัติกล่าวว่า เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาได้ปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี) ได้กวาดต้อนประชาชนชาวผู้ไทมาจากอาณาจักรล้านช้างฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์มีบ่อคำแดงอยู่มากในแถบบริเวณเมืองสุวรรณเขต ประชาชนชาวผู้ไทกลุ่มหนึ่งได้อพยพไปอยู่ที่เมืองภูแล่นช้างแล้วตั้งเป็นหมู่บ้าน ปัจจุบันคือตำบลนาขาม อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมาอาชญาคูกิวซึ่งเป็นพระเถระที่ได้รับการยกย่องนับถือและเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกกวาดต้อนมา ได้นำทองแดงและทองคำที่ได้มาจากเมืองสุวรรณเขตมาด้วย ต่อมาอาชญาคูกิวจึงได้หล่อพระพุทธรูปองค์หนึ่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2353 โดยมีช่างจากทางล้านนาโบราณที่เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ แต่ว่าทองแดงมีจำนวนไม่มากพออาชญาคูกิวจึงเดินทางกลับไปนำทองแดงมาเพิ่มอีกครั้ง ภายหลังเมื่อหล่อพระพุทธรูปสำเร็จแล้ว ปรากฏว่าองค์พระพุทธรูปทำปฏิกิริยาออกซิ-เดชั่นกับออกซิเจนในอากาศเกิดเป็นสนิมสีดำเกาะทั่วองค์พระพุทธรูป เมื่อขัดสนิมออกแล้วจึงเห็นสีทองแดง เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็กลับเกิดเป็นสีดำเช่นเดิม ชาวบ้านจึงขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า หลวงพ่อองค์ดำ ต่อมาชาวบ้านได้นำไปประดิษฐานที่วัดนาขาม บ้านนาขาม หลวงพ่อองค์ดำมีพุทธลักษณะเป็นปางซำนะมาร (ปางมารวิชัย) ขัดสมาธิราบ วัสดุทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 41 เซนติเมตร ฐานสูง 37 เซนติเมตร สูงจากฐานถึงยอดพระเมาลี 75 เซนติเมตร ที่ฐานมีจารึกอักษรธรรมลาว (โตธัมม์) สมัยหลวงพระบางความว่า สังกราช ราชาได้ฮ้อย ๗๒ ตัว ปีกด สะง้า เดือน ๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วัน ๕ มื้อ ฮ่วงเหม่า นักขัตตะฤกษ์ อีกหน่วยซื่อว่า ปุสสยะ สังเฆ สะมะดี มีเจ้าครูนาขาม (กิว) เป็นเค้าเป็นเจ้าอธกศรัทธา ทายก อุปสก อุปาสิกา พ่ำพร้อม น้อมนำมายังตัมพะโลหาเป็นเอกศรัทธา สร้าง พระพุทธรูปองค์นี้ไว้ให้ได้เป็นที่ไหว้และบูชาแก่คนและเทวดา ตาบต่อเท่า ๕๐๐๐ วัสสา นิพพาน ปัจจโย โหติ นิจจัง ธุวัง ธุวัง[10]",
"พระปราณีศรีมหาพุทธบริษัท หรือ อาชญาหลวงปรานี นามเดิมว่า ท้าวเมฆ หรือ ท้าวเมฆทองทิพย์ เป็นเจ้าเมืองพนม (เมืองธาตุพนม) อันเป็นเมืองกัลปนาหรือเมืองพุทธศาสนานครองค์ที่ ๓ หรือองค์สุดท้ายจากราชวงศ์เวียงจันทน์ เมื่อครั้งธาตุพนมยังเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตล้านช้างเวียงจันทน์ ก่อนตกเป็นประเทศราชของราชอาณาจักรสยาม เป็นเจ้าขุนโอกาส (ขุนโอกลาษ) ผู้รักษากองข้าอุปัฏฐากพระบรมมหาธาตุเจ้าเจดีย์พระนม (พระธาตุพนม วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร) องค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์เวียงจันทน์ ภายหลังทรงถูกลดบทบาททางการปกครองลงและด้วยปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองกับกลุ่มเจ้านายเมืองธาตุพนมซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิด จึงเสด็จหนีจากธาตุพนมไปประทับยังเมืองเซบั้งไฟทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงหลังการสิ้นสุดของราชวงศ์เวียงจันทน์ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑) ก่อนที่ตำแหน่งเจ้าเมืองหรือขุนโอกาสจะถูกลดฐานะไปเป็นนายกอง ทรงสืบเชื้อสายเจ้านายผู้ปกครองเมืองธาตุพนมจากฝ่ายพระมารดา โดยมีศักดิ์เป็นพระนัดดา (หลานดา) ในเจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร) เจ้าเมืองและขุนโอกาสเมืองธาตุพนมพระองค์แรก และสืบเชื้อสายฝ่ายพระบิดาจากเจ้านายในราชวงศ์ศรีโคตรบูรแห่งเมืองนครพนม สายพระบรมราชากิติศักดิ์เทพฤๅยศ ทศบุรีศรีโคตรบูรหลวง (มัง มังคละคีรี) ",
"เดิมอยู่ที่โบสถ์วัดนาขาม ตำบลนาคู อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ญาคูนาขามหรือญาคูกิว ร่วมกับอุบาสก อุบาสิกา จัดสร้างขึ้นในปีมะเมีย เดือน 2 ขึ้น 15 ค่ำ วันพฤหัสบดี จ.ศ. 172 ต่อมาพระยาชัยสุนทร (เก)ได้อัญเชิญมาจากบ้านนาขามโดยใส่หลังช้างมาประดิษฐานในโฮงเจ้าเมือง และต่อมาได้อัญเชิญมาประดิษฐานในวิหารวัดกลาง (ปัจจุบันเป็นหอพระ) สมัยนั้น ญาคูอ้มเป็นเจ้าอาวาส ต่อมาพระครูสุขุมวาทวรคุณ (สุข สุขโณ)(สมณศักดิ์ขณะนั้น) เป็นเจ้าอาวาสได้อัญเชิญมาประดิษฐานบนกุฎีของท่าน ทุกปีในวันสงกรานต์ ชาวเมืองกาฬสินธุ์ได้อัญเชิญหลวงพ่อองค์ดำแห่รอบเมืองเพื่อให้ชาวเมืองกาฬสินธุ์ได้สรงน้ำ ปรากฏว่ามีฝนตกทุกครั้งไป ชาวเมืองกาฬสินธุ์จึงเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า หลวงพ่อชุ่มเย็น\nต่อมา พระวิเชียรกวี (ปราชญ์ อกฺกโชโต)(สมณศักดิ์ขณะนั้น) เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์และคณะกรรมการวัดพร้อมด้วยผู้มีจิตศรัทธา บริจาคเงินสมทบทุนในการก่อสร้างพระวิหารฯ ได้วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2546 โดยมีพระธรรมปริยัติโมลี เจ้าคณะภาค 9 วัดทินกรนิมิต เป็นประธาน และได้อัญเชิญหลวงพ่อองค์ดำขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิหารนี้ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 12 ปีมะแม จ.ศ. 1365 ซึ่งมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) กรรมการมหาเถรสมาคมเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก วัดสระเกศ เป็นประธานในพิธีเปิดพระวิหารนี้",
"ช่วงปี พ.ศ. 2484 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากกรณีพิพาทอินโดจีน ประเทศไทยได้รับดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสบางส่วนคืนจากฝรั่งเศส โดยนำท้องที่การปกครองเมืองจำปาศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 รวมไปถึงดินแดนประเทศกัมพูชาปัจจุบัน ได้แก่พื้นที่ส่วนหนึ่งของจังหวัดสตึงแตรงและพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดพระวิหาร ยกขึ้นเป็นจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ โดยมีเจ้ายุติธรรมธร (หยุย ณ จำปาศักดิ์) เป็นผู้ครองนคร แต่เมื่อสงครามสิ้นสุด ไทยในฐานะผู้แพ้สงครามต้องส่งดินแดนดังกล่าวคืนให้แก่ฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อประเทศลาวได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2497 จึงได้รวมอาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 อาณาจักรขึ้นเป็นราชอาณาจักรลาว พื้นที่ดังกล่าวจึงได้ยกขึ้นเป็นแขวงจำปาศักดิ์ของประเทศลาวมาจนถึงปัจจุบัน โดยเจ้าครองนครองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรจำปาศักดิ์ ก่อนการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์"
] |
พระไตรปิฎกภาษาจีน ถูกเขียนขึ้นโดยใคร? | [
"การรวบพระไตรปิฎกจีนอย่างเป็นระบบครั้งแรก เป็นผลงานของพระต้าวอัน (道安) ในปีค.ศ. 374 โดยท่านได้ขจัดทำบัญชีรายชื่อคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่ได้รับการอัญเชิญมายังแผ่นดินจีนเป็นครั้งแรก และเป็นแนวทางให้กับการรวบรวมเป็นพระไตรปิฎกพากย์จีนฉบับสมบูรณ์ในเวลาต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง[1]"
] | [
"สิ่งพิมพ์ชิ้นแรกของโลกคือ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ที่ถูกค้นพบที่ถ้ำตุนหวง มณฑลกานซู ประเทศจีน เป็นพระสูตรที่พิมพ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง แต่แม้จะมีเทคโนโลยีการพิมพ์มาตั้งแต่ครั้งนั้น การพิมพ์พระไตรปิฎกจะเริ่มขึ้นในช่วงหลังจากนั้นมาก คือในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งได้พัฒนากระบวนการพิมพ์ให้มีความก้าวหน้าขึ้น กล่าวคือมีการใช้ระบบเรียงพิมพ์ตัวอักษร แทนที่การแกะแม่พิมพ์ไม้ทั้งแผ่น ทั้งนี้ พระไตรปิฎกฉบับตัวพิมพ์ฉบับต่างๆ มีดังต่อไปนี้",
"จากการศึกษาของเสถียร โพธินันทะ ได้แบ่งหมวดหมู่ของพระไตรปิฎกภาษาจีน ดังต่อไปนี้",
"ต่อมาในปีพ.ศ. 2486 มีการสร้าง<b data-parsoid='{\"dsr\":[26054,26087,3,3]}'>พระไตรปิฎกฉบับผู่ฮุ่ย (普慧藏) ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ผู้รวบรวมไม่อาจสร้างจนสำเร็จได้ หลังจากนั้น การสร้างพระไตรปิฏกในจีนขาดช่วงไป",
"หอพระไตรปิฏกฉบับมหายาน ซึ่งเป็นหอพระไตรปิฏกสำคัญที่สุดของโลก คือ เป็นสถานที่ประดิษฐานพระไตรปิฎกภาษาบาลี พระไตรปิฎกภาษาจีน และพระไตรปิฎกภาษาทิเบต ซึ่งสิ่งล้ำค่าที่สุดในนี้คือพระไตรปิฏกฉบับจักรพรรดิเหลียงอู่ ซึ่งในโลกนี้มีแค่ 3 ที่เท่านั้นที่มีการเก็บรักษาอยู่จนถึงปัจจุบัน",
"10. พระไตรปิฎกฉบับหงฝ่า (弘法藏) (เสถียร โพธินันทะเรียกฉบับ “ห่งหวบจั๋ง”) เป็นพระไตรปิฎกภาษาจีนอย่างเป็นทางการฉบับแรกที่พิมพ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน ครั้งแผ่นดินพระเจ้าหยวนซื่อจู่ฮ่องเต้ (元世祖) หรือ กุบไลข่าน ศักราชจื้อหยวน (至元) ปีที่ 14 (พ.ศ. 1820) มีพระราชโองการให้ชำระพิมพ์ขึ้น ถึง พ.ศ. 1837 จึงแล้วเสร็จ มี 1,654 คัมภีร์ 7,182 ผูก ฉบับนี้เคยคิดกันว่าหายสาบสูญไปจนแล้ว จนกระทั่งมีการค้นพบในกรุงปักกิ่ง เมื่อปลายศตวรรษที่ 20[18]",
"ส่วนพระไตรปิฎกพากย์จีน ฉบับไทโช (大正新脩大藏經) ที่รวบรวมขึ้นที่ญี่ปุ่น ยังมีการรวมเอาข้อเขียนในภาษาญี่ปุ่นโบราณเกี่ยวกับพุทธศาสนาเอาไว้ด้วย",
"รวมการชำระรวบรวมพระไตรปิฎกฉบับเขียน 15 ครั้ง",
"ในยุคโบราณนั้น โลกยังไม่ปรากฏเทคโนโลยีการพิมพ์ แต่ด้วยความที่ชาวจีนเป็นผู้ประดิษฐ์กระดาษขึ้นในศตวรรษที่ 2 ทำให้การเผยแพร่ความรู้ และศาสนาเป็นไปอย่างกว้างขวางไม่น้อย ซึ่งกระดาษนี่เองที่มีส่วนในการส่งเสริมให้พุทธศาสนาเฟื่องฟูในแผ่นดินจีน โดยในชั้นต้นนั้น มีการจารึกพระธรรมวินัยในกระดาษด้วยการเขียนลายมือก่อน โดยได้รับการอุปถัมภ์จากจักรพรรดิพระองค์ต่างๆ เรื่อยมา",
"3. ผู้บันทึก ได้แก่ผู้คอยจดคำแปลของล่ามลงเป็นอักษรจีน ถ้าประธานแตกฉานใน อักษรศาสตร์จีนดีก็ไม่ต้อง เพราะเขียนเองได้",
"18. พระไตรปิฎกฉบับชิงจั้ง (清藏) หรือฉบับชิงหลง – ฉบับหลวงราชวงศ์ชิง (清龙藏) (เสถียร โพธินันทะเรียกฉบับเล่งจั๋ง) แผ่นดินพระเจ้าชิงซื่อจง (清世宗) หรือรัชสมัยยงเจิ้ง (雍正) ปีที่ 13 (พ.ศ. 2178) มีพระราชโองการให้ชำระพิมพ์ที่กรุงปักกิ่ง มาแล้วบริบูรณ์ในแผ่นดินพระเจ้าเฉียนหลง ปีที่ 3 (พ.ศ. 2281) จึงเรียกกันในอีกชื่อว่า เฉียนหลงป่านต้าฉังจิง (乾隆版大藏经) มีจำนวน 7,168 ผูก 1,669 คัมภีร์ สร้างจากแม่พิมพ์ไม้จำนวนทั้งสิ้น 79,036 ชิ้น ปัจจุบันอยู่ที่กรุงปักกิ่ง นับเป็นพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับสุดท้ายที่ได้รับการอุปถัมภ์การจัดสร้างโดยราชสำนัก[26]",
"พระไตรปิฎกภาษาบาลี ใช้ในนิกายเถรวาท พระไตรปิฎกภาษาจีน ใช้ในนิกายมหายาน พระไตรปิฎกภาษาทิเบต ใช้ในศาสนาพุทธแบบทิเบต",
"นอกจากนี้ ในหนังสือประมวลสารัตถะพระไตรปิฎก แต่งครั้งราชวงศ์หยวน ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ได้บอกจำนวนคัมภีร์ในพระไตรปิฎกจีนพากย์ไว้ดังนี้",
"ทั้งนี้ ยังมีข้อยกเว้น คือพระไตรปิฎกฉบับซีเซี่ย หรือ Mi Tripitaka (蕃大藏經) ที่ได้รับการศึกษาและเผยแพร่โดยนาย เอริก กรินสเตด (Eric Grinstead) ผู้ที่ตีพิมพ์ฉบับนี้ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อปี 1971 ในชื่อ พระไตรปิฏกฉบับทังกุต (The Tangut Tripitaka) ทั้งนี้ ทังกุต (Tangut) เป็นชนชาติเชื้อสายทิเบต-พม่า อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ระหว่างปีค.ศ. 1038 - 1227 ชนชาตินี้ได้สถาปนาราชวงศ์ซีเซี่ย (西夏) หรืออาณาจักรไป๋เกาต้าเซี่ยกั๋ว (白高大夏國) คาบเกี่ยวกับราชวงศ์ซ่ง และราชวงศ์เหลียว ทั้ง 3 อาณาจักรนี้ แม้สถาปนาโดยคนต่างเชื้อชาติกัน แต่กับเนื่องเป็นหนึ่งในราชวงศ์ทางการตามประวัติศาสตร์จีนโบราณ อีกทั้ง ทั้ง 3 ราชวงศ์ยังอุปถัมภ์ศาสนาพุทธอย่างยิ่งยวดไม่แพ้กัน ผิดกันเพียงแต่ว่า ชาวซ่งและชาวเหลียว ใช้ภาษาและอักษรจีนในการจารึกพระไตรปิฎก ขณะที่ชาวซีเซี่ยใช้ภาษาของตนเองในการจารึก[4]",
"พระไตรปิฎกภาษาจีน (Chinese:大藏經 Dàzàngjīng ต้าจั้งจิง) เป็นพระไตรปิฎกที่รวบรวมเอาคัมภีร์ทั้งของทั้งสามนิกายคือ ๑.ฝ่ายนิกายหินยานเรียกส่วนนี้ว่าอาคม ๒. คัมภีร์ของฝ่ายมหายาน และ ๓.บางส่วนของวัชรยาน พระไตรปิฏกนี้ใช้เหมือนกันทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เพียงแต่มีสำเนียงต่างกัน เรียกในสำเนียงญี่ปุ่นว่า \"ไดโซเคียว\" ในสำเนียงเกาหลีเรียกว่า \"แทจังคยอง\" และในสำเนียงเวียดนามเรียกว่า \"ไดตังกิง\"",
"ผิดกันเพียงแต่ว่า ชาวซ่ง ชาวเหลียว และชาวหยวน ใช้ภาษาและอักษรจีนในการจารึกพระไตรปิฎก ขณะที่ชาวซีเซี่ยใช้ภาษาของตนเองในการจารึก เป็นภาษาที่คล้ายกับภาษาทิเบต แต่ใช้อักษรคล้ายจีน หากมีความซับซ้อนในเชิงการผสม ปัจจุบันมีนักวิชาการพยายามรื้อฟื้นภาษาทังกุตขึ้นมาเพื่อใช้งานด้านวิชาการ และมีการเผยแพร่สิ่งพิมพ์สมัยซีเซี่ยดังเช่น พระไตรปิฎกฉบับซีเซี่ยฉบับนี้",
"ในที่นี้เป็นตัวอย่างพระสูตรที่มีเนื้อหาตรงหรือใกล้เคียงกับธัมมจักกัปปวัตนสูตรพระสูตรหนึ่ง ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาจีน คือ ธรรมจักรสูตร ซึ่งแปลเป็นฉบับย่อ อยู่ในหมวดเอโกตตราคม ของพระไตรปิฎกภาษาจีน ซึ่งหมวดเอโกตราคม หมายถึงอังคุตรนิกาย ของพระไตรปิฎกภาษาบาลี ",
"การใช้อักษรโรมันเพื่อจัดพิมพ์เสียงบาลีในพระไตรปิฎกบาลีทำให้เกิดความสะดวกและประสิทธิภาพในการพิมพ์พระไตรปิฎกในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นความพยายามในยุคแรก ๆ ของการศึกษาเสียงบาลีที่พิมพ์ด้วยอักษรโรมัน มิใช่เป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมการออกเสียงของชาติต่าง ๆ ในทวีปยุโรปที่ใช้อักษรโรมันในภาษาของตน เช่น การเขียนบาลีเป็นอักษรโรมันว่า me เป็นเสียงสระบาลีว่า [meː] มิใช่ออกเสียงว่า [miː] ในภาษาอังกฤษ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นในการออกเสียงบาลีที่เขียนด้วยอักษรโรมันในพระไตรปิฎก จึงมีความจำเป็นต้องใช้อักษรที่เป็นสากลและมีระบบการออกเสียงกลางที่นานาชาติยอมรับ ได้แก่ สัทอักษรสากล มากำกับการพิมพ์เสียงบาลีในพระไตรปิฎกบาลีอักษรโรมัน เพื่อให้ประชาชนชาวโลกทั่วไปสามารถออกเสียงบาลีได้ตรงกับที่สืบทอดมาในพระไตรปิฎก",
"รายชื่อพระสูตรในพระไตรปิฎกภาษาจีน (ฉบับเกาหลี)",
"ในสารบบของพระไตรปิฎกภาษาจีน ปรากฏพระสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องหรือเหมือนกับธัมมจักกัปปวัตนสูตรอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งพากย์ภาษาสันสกฤตและภาษาจีน เนื้อหามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หรือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักอ้างถึงพระสูตรในหมวดอาคมะ หรือหมวดอาคม ซึ่งเป็นการรวบรวมพระสูตรฝ่ายเถรวาทไว้ แต่ก็ปรากฏในพระสูตรมหายานหมวดอื่นๆ เช่นกัน แต่โดยรวมแล้วเมื่อจะเอ่ยถึงธัมมจักกัปปวัตนสูตรในพระไตรปิฎกภาษาจีนจะใช้คำว่า 转法轮经 ",
"อย่างไรก็ตาม จำนวนคัมภีร์ในพระไตรปิฎกจีนพากย์นี้ มีการชำระกันหลายครั้งหลายคราว จำนวนคัมภีร์กับจำนวนผูกเปลี่ยนแปลงไม่เสมอกันทุกคราว ในหนังสือว่าด้วยสารัตถะความรู้จากการศึกษพระไตรปิฎกแต่งครั้งราชวงศ์หมิง ได้แบ่งหมวดพระไตรปิฎก เพื่อสะดวกแก่การศึกษาดังนี้",
"พรหมชาลสูตร ในพระไตรปิฎกภาษาจีนของฝ่ายมหายาน ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพรหมชาลสูตร ในสีลขันธวรรค ของทีฆนิกาย พระไตรปิฎกภาษาบาลี ของเถรวาท พรหมชาลสูตรของฝ่ายมหายาน เรียกว่า ฟั่นวั่งจิง (梵網經) ในสารบบพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับไทโช อยู่ในลำดับที่ 1418 หรือ CBETA T24 No. 1484 ส่วนในสารบบพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับเกาหลี อยู่ในลำดับที่ K 527พระสูตรนี้ได้รับการแปลจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนโดยพระกุมารชีพ โดยท่านแปลเมื่อวันที่ 12 เดือน 6 ปีที่ 7 แห่งรัชสมัยจักรพรรดิฉินเหวินหวน หรือ พ.ศ. 949 มีชื่อเต็มในภาษาจีนว่า 梵網經廬舍那佛說菩薩心地戒品第十 แต่มักเรียกโดยสังเขปว่า 梵網經",
"ในที่นี้เป็นพระสูตรต่างๆ ในพระไตรปิฎกภาษาจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับธัมมจักกัปปวัตนสูตร บางส่วนเป็นภาษาสันสกฤต และอยู่นอกสารบบ บางส่วนปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาทิเบต ดังนี้ เช่น",
"พระถังซัมจั๋ง เดินทางกลับจีนพร้อมทั้งนำพระไตรปิฎกฉบับภาษาสันสกฤตกลับมาด้วย ท่านเดินทางถึงเมืองหลวงของจีนคือ เมืองฉางอาน ในปี พ.ศ. 1188 ในสมัย พระเจ้าถังไท่จง พระองค์ทรงเป็นปราชญ์ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงทรงอุปถัมภ์การแปลพระไตรปิฎก จากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีน และ พระเจ้าถังไท่จงได้ทรงอาราธนาพระถังซัมจั๋งให้เขียนบันทึกการเดินทางไปอินเดีย จึงปรากฏหนังสือเรื่อง ต้าถังซีวีจี้ ในรัชกาลต่อมาพระเจ้าถังเกาจง พระองค์ทรงรับอุปถัมภ์งานแปลพระไตรปิฎกต่อ พระถังซัมจั๋งดำเนินงานต่อไปจนมรณภาพในปี พ.ศ. 1207",
"ในสมัยแผ่นดินจักรพรรดิเหลียงอู่ (梁武帝) แห่งราชวงศ์เหลียง เมื่อ พ.ศ. 1061 มีพระราชโองการให้ ชำระรวบรวมพระไตรปิฎกเท่าที่แปลแล้ว และพวกปกรณ์วิเศษ ได้จำนวนรวม 1,433 คัมภีร์ จำนวนผูกได้ 3,741 ผูก ต่อมาในสมัยวงศ์เว่ย (ยุคราชวงศ์เหนือใต้) มีชำระพระไตรปิฎกพากย์จีนครั้งหนึ่ง สมัยวงศ์เป่ยฉี (ยุคราชวงศ์เหนือใต้) มีการชำระอีกครั้ง ต่อมาในสมัยราชวงศ์สุยมีการชำระ 3ครั้ง จวบจนถึงสมัยวงศ์ถัง พุทธศาสนารุ่งเรืองยิ่ง มีการชำระพระไตรปิฎกถึง 9 ครั้ง ดังนี้",
"นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบพระไตรปิฎกที่ใช้ภาษาท้องถิ่นในแว่นแคว้นทางตะวันตกของแผ่นดินจีน หรือแผ่นดินซียู้ (西域) ปัจจุบันอยู่ในแถบเขตปกครองตนเองพิเศษซินเจียง แต่เดิมนั้นแว่นแคว้นเหล่านี้มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 8 นั้น พุทธศาสนาเฟื่องฟูมาก จึงมักใช้ภาษาตนเองในการบันทึกพระธรรม ในเวลาต่อมาแว่นแคว้นตะวันตกรับศาสนาอิสลาม พระคัมภีร์ต่างๆ จึงสาบสูญไปมาก แต่ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีการค้นพบพระไตรปิฏกภาษาของชาวซียู้ ที่ถ้ำตุนหวง เรียกขานกันอย่างไม่เป็นทางการว่า พระไตรปิฎกตุนหวง[5]",
"2. พระไตรปิฎกฉบับชี่ตาน หรือคี่ตาน (契丹大藏經) (เสถียร โพธินันทะเรียกฉบับ “เคอร์ตานจั๋ง”) พิมพ์โดยพระราชโองการกษัตริย์ราชวงศ์เหลียว ซึ่งเป็นชาวเผ่าเคอร์ตาน หรือ คี่ตาน นับเป็นเผ่าเตอร์กพวกหนึ่ง ปกครองดินแดนของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน รวมถึงดินแดนทั้งหมดของประเทศมองโกเลียในปัจจุบันพระไตรปิฎกพิมพ์ ด้วยอักษรจีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ 15 จำนวน 6,006 ผูก 1,373 คัมภีร์ บัดนี้ต้นฉบับสาบสูญกันหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม มีการสลักบางส่วนของพระไตรปิฎกลงในศิลา ประดิษฐาน ณ อารามอวิ๋นจู (云居寺)ในกรุงปักกิ่ง นอกจากนี้ บางส่วนยังหลงเหลืออยู่ในพระไตรปิฎกฉบับเกาหลี (Tripitaka Koreana) และนักวิชาการบางส่วน โดยเฉพาะชาวเกาหลี ยกย่องว่า ฉบับราชวงศ์เหลียว หรือคี่ตาน มีความครบถ้วนสมบูรณ์กว่าฉบับราชวงศ์ซ่ง[10]",
"ภาษาที่ใช้ในพระไตรปิฎกพากย์จีน ส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีนโบราณ (古文) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันระหว่างปลายยุครณรัฐ หรือยุคชุนชิว (春秋时代) ระหว่างศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล จนถึงสมัยราวงศ์ฮั่น (汉朝) หรือในช่วงศตวรรษที่ 3 ภาษาจีนโบราณใช้ในวงวรรณคดีมาจนถึงยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ภาษาโบราณนี้มีความแตกต่างจากภษาจีนยุคปัจจุบันค่อนข้างมาก ทั้งในด้านสำเนียงการออกเสียง และไวยากรณ์ จำเป็นต้องอาศัยการศึกษาเฉพาะด้าน และคู่มือเอกเทศ จึงจะสามารถเข้าใจได้",
"พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมิได้ปฏิเสธพระไตรปิฎกดั้งเดิม หากแต่ถือว่าอาจยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเกิดมีแนวคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นโลกุตรสภาวะ ไม่อาจดับสูญ ที่ชาวโลกคิดว่าพระพุทธองค์ดับสูญไปแล้วนั้นเป็นเพียงภาพมายาของรูปขันธ์ แต่ธรรมกายอันเป็นสภาวธรรมของพระองค์เป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังดำรงอยู่ต่อไป มหายานถือว่ามนุษย์ทุกคนมี พุทธธาตุ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสอวิชชาบดบังธาตุพุทธะจึงไม่ปรากฏ หากกิเลสอวิชชาเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มหายานมีแนวคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถที่จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ และสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ หากฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยบารมีทั้ง 10 ประการ พระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายานจึงมีมากมาย แม้พระพุทธเจ้าก็มีปริมาณที่ไม่อาจคาดคำนวณได้ และพระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมโปรดสรรพสัตว์เช่นเดียวกับจริยาของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก ในพุทธศาสนามหายานจึงมีคัมภีร์สำคัญระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เพื่อให้เหมาะสมกับจริตและอินทรีย์ของสรรพสัตว์แต่ละจำพวก อีกทั้งเพื่อเป็นกุศโลบายในการสั่งสอนพุทธธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อเจตจำนงจะเกื้อกูลสรรพชีวิตทั้งมวลให้ถึงพุทธรรมและบรรลุความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ คัมภีร์ของมหายานดั้งเดิมเขียนขึ้นด้วยภาษาสันสกฤต แต่ก็มิใช่สันสกฤตแท้ หากเป็นภาษาสันสกฤตที่ปะปนกับภาษาปรากฤตตลอดจนภาษาบาลีและภาษาท้องถิ่นอื่นๆ เรียกว่าภาษาสันสกฤตทางพุทธศาสนา คัมภีร์เหล่านี้กล่าวในฐานะเป็นพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าบ้าง คำสอนพระโพธิสัตว์บ้าง หรือแม้แต่ทวยเทพต่างๆ โดยมีเนื้อหาหลากหลาย สันนิษฐานว่าพระสูตรปรัชญาปารมิตา เป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และได้มีการเขียนพระสูตรขึ้นต่อมาอีกอย่างต่อเนื่องจนถึงสมัยคุปตะ พระสูตรบางเรื่องก็เกิดขึ้นในประเทศจีน และในหมู่คณาจารย์ของมหายานเองก็เขียนคัมภีร์ที่แสดงหลักปรัชญาอันลึกซึ้งของตน เรียกว่าศาสตร์ซึ่งเทียบได้กับอภิธรรมของฝ่ายเถรวาท ที่มีชื่อเสียงคือ มาธยมกศาสตร์, โยคาจารภูมิศาสตร์, อภิธรรมโกศศาสตร์, มหายานศรัทโธตปาทศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ในประเทศต่างๆ ที่นับถือมหายาน ก็มีการรจนาคัมภีร์ขึ้นเพื่อสั่งสอนหลักการของตนเองอีกเป็นอันมาก คัมภีร์ของมหายานจึงมีมากมายเท่าๆกับความหลากหลายและการแตกแยกทางความคิดในหมู่นักปราชญ์ของมหายาน",
"ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประพจน์ อัศววิรุฬหการ หรือที่รู้จักกันในนาม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประพจน์ อัศววิรุฬหการ เกิดที่จังหวัดอุทัยธานี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวรรณคดีบาลีและภาษาสันสกฤต พระไตรปิฎกฉบับภาษาจีน และพระพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเป็น กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา เถรวาท, พระพุทธศาสนามหายาน, ภาษาบาลี, ภาษาสันสกฤต, พระไตรปิฎกภาษาจีน, พระพุทธศาสนาในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, อิทธิพลความเชื่อทางศาสนาและปรัชญาในอินเดียที่มีต่อวรรณคดีไทย"
] |
จักรพรรดิโชวะ เริ่มขึ้นปีใด ? | [
"สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ () หรือพระนามตามชื่อรัชสมัย คือ จักรพรรดิโชวะ () (29 เมษายน 2444 - 7 มกราคม 2532) (裕仁) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 124 ของญี่ปุ่น ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2532 (63 ปี)"
] | [
"ส่วนบรรดาผู้วิพากษ์วิจารณ์การตีความของฝ่ายตะวันตก ซึ่งรวมถึงสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะด้วยนั้น อภิปรายว่า การปฏิเสธความเป็นสมมติเทวะไม่ใช่ประเด็นของพระราชหัตถเลขา ฝ่ายนี้เห็นว่า เนื่องจากพระราชหัตถเลขาเกริ่นเอาเนื้อความจากโองการห้าข้อของพระเจ้าเมจิมาทุกถ้อยคำ พระราชหัตถเลขาจึงเป็นเครื่องแสดงว่า พระราชประสงค์ที่แท้จริงของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ คือ การให้โลกได้รับรู้ว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยเมจิแล้ว มิใช่เพิ่งมาเป็นเมื่อถูกตะวันตกยึดครองแผ่นดินแต่ประการใด สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะได้ทรงขยายความข้อนี้เมื่อทรงให้สัมภาษณ์ ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2520 ว่า พระองค์มีพระราชหฤทัยปรารถนาจะให้ปวงชนชาวญี่ปุ่นไม่ลืมเลือนความทระนงในชาติตน การตีความทำนองนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากข้อเท็จจริงที่ว่า พระราชหัตถเลขาได้รับการเผยแพร่พร้อมอรรถกถาของนายกรัฐมนตรีคิจูโร ชิเดะฮะระ ซึ่งพรรณนาแต่เรื่องประชาธิปไตยที่มีมาตั้งแต่สมัยเมจิเพียงประการเดียว โดยมิได้เอื้อนเอ่ยถึงการบอกสละความเป็นสมมติเทวะของพระมหากษัตริย์เลย",
"สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะเสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังอะโอะยะมะ ในกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 29 เมษายน ปีเมจิที่ 34 (ค.ศ.1901,พ.ศ. 2444) เป็นพระราชโอรสองค์โตในเจ้าชายโยะชิฮิโตะ มกุฎราชกุมาร (ภายหลังคือจักรพรรดิไทโช) และเจ้าหญิงซะดะโกะ มกุฎราชกุมารี (ภายหลังคือจักรพรรดินีเทเม)[1] โดยทรงราชทินนามขณะทรงพระเยาว์ ว่า เจ้ามิชิ (迪宮) ในปี พ.ศ. 2451 ทรงเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนประถมชูอิง",
"พระราชวังเกียวโตเป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นหลังสุดในนครเกียวโต โดยตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครหลวงเก่า เฮอังเกียว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทดแทนพระราชวังเดิมคือ พระราชวังหลวงเฮอัง () ทีมีขนาดใหญ่กว่าและมีสภาพทรุดโทรม ซึ่งพระราชวังเดิมนี้ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของพระราชวังเกียวโตในปัจจุบัน พระราชวังเกียวโตถูกลดบทบาทและความสำคัญไปมากในช่วงการปฏิรูปเมจิ ที่มีการย้ายนครหลวงไปยังโตเกียวในปี ค.ศ. 1869 อย่างไรก็ตามภายหลังจากนั้น จักรพรรดิไทโช และ จักรพรรดิโชวะ ก็ยังทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่พระราชวังแห่งนี้",
"นายกรัฐมนตรีในรัชกาลของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ",
"ในตอนต้นรัชสมัยของพระองค์ จักรวรรดิญี่ปุ่นในขณะนั้น ได้กลายเป็นชาติมหาอำนาจของโลกแล้ว ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก จักรพรรดิฮิโระฮิโตะทรงดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐของจักรวรรดิญี่ปุ่นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น ในรัชสมัยของพระองค์ ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทำให้ในห้วงเวลานั้น จักรวรรดิญี่ปุ่นแผ่อำนาจและดินแดนไปทั่วเอเชียบูรพาโดยที่ไม่มีชาติใด ๆ จะสามารถต้านทาน ภายหลังสงครามสิ้นสุดลงบนความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น พระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรสงครามดังเช่นผู้นำคนอื่น ๆ ของชาติฝ่ายอักษะ และภายหลังสงคราม พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของรัฐใหม่ในการกอบกู้ประเทศชาติที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม ในตอนปลายรัชกาล ประเทศญี่ปุ่นก็สามารถกลับมายืนหยัดในฐานะชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก",
"ในด้านพระวรกาย เจ้าชายฮิโระฮิโตะมิได้มีพระวรกายที่น่าประทับใจแก่ผู้พบเห็นแต่อย่างใด เพราะสายพระเนตรสั้น จึงต้องทรงฉลองพระเนตรตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และเหล่ามหาดเล็กก็ต้องคอยทูลให้เปลี่ยนท่าทางพระวรกายอยู่เสมอ เพราะพระบุคลิกภาพของพระองค์ไม่ค่อยงดงามนัก นอกจากนี้ยังทรงเป็นเด็กเรียนรู้ช้า มักจะมีปัญหาแม้กระทั่งกลัดกระดุมเครื่องแบบนักเรียน ต้องพึ่งการฝึกซ้อมร่างกาย, ทรงม้า, ว่ายน้ำ และวิธีออกกำลังกายอื่นๆ อีกมากเพื่อช่วยปรับเปลี่ยนพระบุคลิกภาพให้ดีขึ้น แต่ก็ยังทรงพระวรกายเล็กอยู่เช่นเดิมแม้เมื่อเจริญพระชันษาแล้ว",
"Family of Main Page 8.โอะซะฮิโตะ, สมเด็จพระจักรพรรดิโคเม4.มุสึฮิโตะ, จักรพรรดิเมจิ9.พระสนมโยะชิโกะ นะกะยะมะ2.โยะชิฮิโตะ, สมเด็จพระจักรพรรดิไทโช10. ทะกะมิสึ ยะนะงิวะระ5. พระสนมนะรุโกะ ยะนะงิวะระ11. อุตะโนะ ฮะเซะงะวะ1.ฮิโระฮิโตะ, สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ 12.เจ้าชายคุโจ ฮิซะตะดะ, ผู้สำเร็จราชการ6.เจ้าชายคุโจ มิชิตะกะ แห่งฟุจิวะระ13. ท่านหญิงสึเนะโกะ คะระฮะชิ3.ซะดะโกะ คุโจ, สมเด็จพระจักรพรรดินีเทเม14. โยะริโอะกิ โนะมะ7. ท่านหญิงอิกุโกะ โนะมะ15.?",
"\"ใครๆก็ว่าโทโจไม่ดี แต่จะหาใครดีไปกว่านี้ได้อีกไหมในเมื่อมันไม่มีคนที่เหมาะสมกว่า ยังจะมีทางเลือกอื่น นอกจากร่วมงานกับคณะของโทโจหรือ\"",
"สุสานหลวงมุซะชิ ( , ) สุสานหลวงของ จักรพรรดิญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ในเมือง ฮะชิโอจิ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของ กรุงโตเกียว โดยชื่อของสุสานหลวงมาจากชื่อของแคว้นศักดินาโบราณในญี่ปุ่นคือ แคว้นมุซะชิ ซึ่งสุสานหลวงแห่งนี้เป็นที่ฝังพระบรมศพของ จักรพรรดิไทโช และ จักรพรรดิโชวะ รวมถึง จักรพรรดินีเทเม และ จักรพรรดินีโคจุง จักรพรรดินีในจักรพรรดิไทโชและจักรพรรดิโชวะ",
"พระสนมนารูโกะเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2486 สิริอายุได้ 84 ปี ในรัชสมัยจักรพรรดิโชวะ โดยมีการปลงศพ ณ วัดยูเท็งจิ ย่านนากาเมงูโระ เขตเมงูโระ กรุงโตเกียว",
"ราชวงศ์ญี่ปุ่นเป็นราชาธิปไตยแบบสืบสายโลหิตสืบต่อกันมาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก[2] ในนิฮงโชะกิ หนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในคริสต์ศตวรรษที่แปด กล่าวว่า จักรวรรดิญี่ปุ่นถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ 660 ปีก่อนคริสตกาล โดยจักรพรรดิจิมมุ จักรพรรดิพระองค์ปัจจุบัน คือ จักรพรรดิอะกิฮิโตะ ผู้เสด็จสู่พระราชบัลลังก์เบญจมาศนับแต่พระบรมราชชนก จักรพรรดิโชวะ (ฮิโระฮิโตะ) สวรรคตใน พ.ศ. 1989",
"สถานที่สำคัญในเมืองนี้คือสวนอนุสรณ์โชวะ สวนสาธาณะที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ บนพื้นที่ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งสนามบินทาจิกาวะ",
"สมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ทรงตั้งความหวังไว้กับประเทศญี่ปุ่นไว้สูง โดยในพระราชโองการฉบับแรกแห่งรัชสมัยที่ทรงประกาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2469 มีข้อความว่า",
"ใน ค.ศ. 1922 ซัปโปโระถูกจัดเป็นเมือง โดยในช่วงกลางของรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ เทศกาลหิมะซัปโปโระครั้งที่ 1 ได้ถูกจัดขึ้น และในปี ค.ศ. 1971 สำนักงานเมืองซัปโปโระถูกจัดตั้งขึ้น",
"เจ้าชายโทชิฮิโตะ ทรงมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศในสมัยที่สมเด็จพระจักรพรรดิไทโชประชวร และจักรพรรดินีเทเม พระขนิษฏาของพระองค์สำเร็จราชการแทน ทรงมีส่วนร่วมในการคัดค้านการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง จนเกิดการทะเลาะกับพระจักรพรรดิโชวะ\nเจ้าชายโทะชิฮิโตะ ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระมาตุลาจนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 58 พรรษา ณ ปราสาทฟุจิวะระ กรุงโตเกียว ว่ากันว่าพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์เนื่องจากทรงประกาศคัดค้านการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเปิดเผย ส่งผลให้ผู้ที่สนับสนุนการเข้าร่วมสงครามไม่พอใจจึงวางแผนปลงพระชนม์พระองคด้วยยาพิษเสีย ซึ่งเรื่องนียังไม่มีผลสรุปที่แน่ชัดว่าแท้ที่จริงแล้วคนปลงพระชนม์เป็นใคร แล้วพระองค์ถูกปลงพระชนม์จริงหรือไม่ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ทำให้ สมเด็จพระจักรพรรดินีเทเมกริ้ว และสงสัยอย่างยิ่ง ส่งผลให้พระองค์ออกต่อต้านสงครามจนเกิดการทะเลาะกับสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ พระโอรสของพระองค์เองขึ้น แต่บางคนก็คาดว่าพระองค์ประชวรและสรรคตด้วยโรคชรา",
"วันสีเขียว (, ) เป็นวันหยุดราชการในประเทศญี่ปุ่น มีที่มาจากการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ซึ่งตรงกับวันที่ 29 เมษายนของทุกปีระหว่างสมัยโชวะ ในปี 2532 หลังสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นพระองค์ปัจจุบัน ขึ้นเสวยราชย์ วันดังกล่าวจึงเปลี่ยนชื่อจาก \"วันพระบรมราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิ\" เป็น \"วันสีเขียว\" วันดังกล่าวเป็นวันที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติและขอบคุณพร ชื่อ \"วันสีเขียว\" ยังเป็นการยอมรับความรักต่อพืชของสมเด็จพระจักรพรรดิยามสงครามซึ่งก่อให้เกิดการโต้แย้งโดยไม่ออกพระนามของพระองค์โดยตรง อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ วันดังกล่าวถูกมองว่าเป็นเพียงอีกวันที่ยืดเทศกาลวันหยุดสัปดาห์ทองญี่ปุ่น",
"ครั้นแรกพระราชสมภพ เจ้าฟ้าชายนะรุฮิโตะ ได้ดำรงพระราชอิสริยยศเป็น เจ้าชายฮิโระ () และได้ดำรงพระราชอิสริยยศนั้นมาจนถึงปี พ.ศ. 2534 จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร เป็นเวลาสองปีภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ พระราชอัยกาของพระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2532",
"9 มกราคม พ.ศ. 2475 จักรพรรดิฮิโระฮิโตะ รอดจากการลอบสังหารอย่างหวุดหวิด จากการขว้างระเบิดมือของ ลี บงชาง นักเคลื่อนไหวเพื่อปลดแอกเกาหลี ในกรุงโตเกียว หรือที่เรียกกันว่า เหตุการณ์ซะกุระดะมง อีกกรณีที่น่าสังเกตคือการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี อินุไก สึโยะชิ โดยทหารเรือระดับล่างในปีเดียวกัน เหตุการณ์นี้เองตามมาด้วยการที่สี่ปีต่อมา กลุ่มนายทหารรักษาพระองค์ระดับล่างที่มีแนวคิดแบบชาตินิยม หรือ โคโดฮะ ไม่พอใจเหล่านายทหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล ในหลายๆ เรื่อง อาทิ การทุจริตในรัฐบาล ผลประโยชน์แก่เหล่าพวกพ้อง มีความพยายามทำรัฐประหาร ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479 ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม เหตุการณ์ 26 กุมภาพันธ์[5]",
"จักรพรรดินีโคจุง (; 6 มีนาคม พ.ศ. 2446 – 16 มิถุนายน พ.ศ. 2543) พระนามเดิม เจ้าหญิงนะงะโกะแห่งคุนิ () เป็นพระจักรพรรดินีอัครมเหสีในจักรพรรดิโชวะ และเป็นพระราชมารดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ถือเป็นจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น รวม 63 ปีเต็ม ",
"อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาได้ถอดพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ออกจากฐานันดรศักดิ์เป็นสามัญชน",
"สมเด็จพระจักรพรรดินีนะงะโกะ ได้ทรงให้การประสูติกาลเจ้าหญิงหลายพระองค์ตลอดเวลากว่าสิบปี ในการครองคู่กับสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ทำให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาเกี่ยวกับการสืบทอดราชบัลลังก์ จนในปี พ.ศ. 2476 สมเด็จพระจักรพรรดินีนะงะโกะได้ให้พระประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกคือมกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะสมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นพระจักรพรรดินีแห่งประเทศญี่ปุ่นพระองค์แรกที่เสด็จเยือนต่างประเทศ โดยได้เสด็จเยือนทวีปยุโรปเมื่อปี พ.ศ. 2514 เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2518 ",
"ทั้งนี้จะมีการมอบเหรียญเกียรติยศสองครั้งต่อปี คือทุก ๆ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ (วันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ) และ 3 พฤศจิกายน (วันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ)",
"ยุคโชวะ () คือการนับช่วงยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในรัชกาลของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ (ฮิโระฮิโตะ)รัชกาลเดียว เริ่มต้นขึ้นในค.ศ. 1926 และสิ้นสุดใน ค.ศ. 1989 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 62 ปี 14 วัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงรัชกาลที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น",
"ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระบรมอัยกา สมเด็จพระจักรพรรดิมุสึฮิโตะ (เมจิ) เมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 พระราชบิดาของพระองค์ เจ้าชายโยะชิฮิโตะ ก็ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็น \"สมเด็จพระจักรพรรดิโยะชิฮิโตะ\" (ไทโช) ทำให้พระองค์กลายเป็นองค์รัชทายาทตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ญี่ปุ่น[2] ในขณะเดียวกัน ก็ทรงเข้ารับราชการในกองทัพบกและกองทัพเรือในยศเรือตรี ในตำแหน่งนายธง และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นสายสะพาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2457 ทรงได้รับการเลื่อนยศให้เป็นร้อยโทแห่งกองทัพบก และเรือตรีแห่งกองทัพเรือ สองปีต่อมา ก็ถูกเลื่อนยศขึ้นเป็น พันโท และ นาวาเอก ในปีเดียวกันนี้เอง พระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น \"มกุฎราชกุมาร\" ตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างเป็นทางการ เมื่อ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457",
"ในปี พ.ศ. 2463 พระองค์ได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็นพลโทแห่งกองทัพบก และ พลเรือโทแห่งกองทัพเรือ ต่อมา พ.ศ. 2464 เจ้าชายฮิโระฮิโตะได้ใช้เวลาหกเดือน ในการเสด็จประพาสยุโรป ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินเยือน สหราชอาณาจักร, สาธารณรัฐฝรั่งเศส, ราชอาณาจักรอิตาลี, ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และ เบลเยียม นับเป็นมกุฎราชกุมารญี่ปุ่นพระองค์แรกที่เสด็จเยือนต่างประเทศ ซึ่งภายหลังการกลับจากยุโรป ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการพระองค์ จากการที่ที่พระราชบิดาทรงพระประชวรทางพระจิต",
"โมะริฮิโระ เสกสมรสกับเจ้าหญิงชิเงโกะ เจ้าหญิงเทรุ (; 6 ธันวาคม พ.ศ. 2468 – 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2504) พระราชธิดาในสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ กับสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง ขณะที่เจ้าหญิงเทะรุมีพระชันษาได้ 13 ปี และทั้งสองต่างเป็นพระประยูรญาติสนิททั้งฝ่ายพระชนกและชนนี ทั้งสองมีพระโอรส-ธิดาด้วยกัน 5 พระองค์ (ภายหลังทั้งหมดได้ถูกถอดจากฐานันดรศักดิ์) ได้แก่",
"ตอนต้นรัชสมัยโชวะนั้น เป็นยุคสมัยที่ญี่ปุ่น กำลังประสบกับวิกฤตการณ์การเงิน ในขณะที่อำนาจของกองทัพก็มีมากขึ้นภายในรัฐบาล ด้วยการแทรกแซงทั้งวิธีการตามกฎหมายและนอกกฎหมาย กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้กุมอำนาจทางการเมืองอย่างเด็ดขาดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2443 ซึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2464-2487 ก็มีอุบัติเหตุทางการเมืองมากถึง 64 ครั้ง",
"ฮิโระ ซางะ () (16 มิถุนายน พ.ศ. 2457 - 20 มิถุนายน พ.ศ. 2530) ทรงเป็นธิดาของ ขุนนางซาเนโตะ ซางะ และเป็นพระญาติกับสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ พระองค์ทรงอภิเษกสมรสในปีพ.ศ. 2481 กับเจ้าชายผู่เจี๋ย พระอนุชาในจักรพรรดิผู่อี๋ หลังจากทรงอภิเษกสมรสแล้วทรงได้รับการระบุพระนามไว้ว่า อ้ายซินเจว๋หลัว ฮิโระ (愛新覺羅•浩) หรือ อ้ายซินเจว๋หลัว ฮ่าว ตามภาษาแมนจู และ ไอชิงกากูระ ฮิโระ ตามสำเนียงญี่ปุ่น หลังจากการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิผู่อี๋ในปี พ.ศ. 2510 พระสวามีของพระนางได้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์แมนจูกัว ทำให้พระนางทรงดำรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งแมนจูกัว อย่างไม่เป็นทางการ",
"ขณะเดียวกัน ก็ทรงกังวลเกี่ยวกับปัญหาในการลำเลียงเสบียงและเชื้อเพลิงไปให้กับกองกำลังญี่ปุ่นที่กำลังรบอยู่ในสมรภูมิที่ห่างไกลมาตุภูมิ \"ชัยชนะที่ได้มาออกจะเร็วไปหน่อย\" พระองค์จึงมักจะทรงเตือนผู้นำทหารบกและทหารเรือให้ปรับปรุงการทำงานระหว่างสองกองทัพให้ประสานงานได้ดีขึ้น เพราะสภาพที่เป็นอยู่นั้นจัดว่าไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง และยังทรงเตือนให้สองกองทัพ เลิกใช้วิธีเหมือนเล่นการเมืองพาทะเลาะกันเรื่องการเคลื่อนย้ายฝูงบินเสียที เมื่อทรงได้รับรายงานเกี่ยวกับความปราชัยครั้งสำคัญของญี่ปุ่นเช่นที่ ยุทธนาวีมิดเวย์ จึงมีแต่พระราชดำรัสให้ผู้นำทหารทั้งหลายทำงานของตนให้ดีที่สุดในการปฏิบัติครั้งหน้า โดยแทบจะมิได้ทรงแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาอีก ราวกับทรงปลงเสียแล้ว"
] |
อัญมณีคือตระกูลหินหรือไม่ ? | [
"อัญมณี คือ มวลของแข็งที่ประกอบไปด้วยแร่ชนิดเดียวกัน หรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติ โดยจะประกอบขึ้นจาก สาร อินทรีย์ หรือ อนินทรีย์ก็ได้ เนื่องจากองค์ประกอบของเปลือกโลกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบซิลิกอนไดออกไซด์ ดังนั้นเปลือกโลกส่วนใหญ่มักเป็นแร่ตระกูลซิลิเกต นอกจากนั้นยังมีแร่ตระกูลคาร์บอเนต เนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพื้นดินและมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตอาศัยคาร์บอนสร้างธาตุอาหารและร่างกาย แพลงตอนบางชนิดอาศัยซิลิกาสร้างเปลือก เมื่อตายลงทับถมกันเป็นตะกอน หินส่วนใหญ่บนเปลือกโลกจึงประกอบด้วยแร่ต่างๆ"
] | [
"บีจิวเวลด์ 3 () เป็นเกมจับคู่ผลิตโดยป็อปแคปเกมส์ เป็นเกมที่ห้าในแฟรนชายส์ของ\"บีจิวเวลด์ \"เกมนี้มีสี่เกมใหม่ที่คล้ายกับสี่ด่านธรรมดาในบีจิวเวลด์ 1 และ 2\nโหมดนี้จะมีผีเสื้ออยู่ด่านล่างของกระดานและจะขึ้นไปหนึ่งครั้งตอนที่จับคู่ ถ้าทำให้เกิดช่องว่างด้านล่างผีเสื้อจะตกลงไปข้างล่าง ถ้าเกิดช่องว่างด้านบนจะหยุดไม่ให้ผีเสื้อไปต่อได้ เกมจะจบเมื่อมีผีเสื้อตัวหนึ่งถูกแมงมุมจับ ชนะด่าน 5 ในโหมดเซนเพื่อปลดล็อกโหมดนี้เกมนี้จะมีทอง, สมบัติ และคริสตัล ดินและหินจะมีอยู่ห้าแถวนับจากด้านล่าง การจับคู่จะทำลายดินและหินออกไป หินสามารถทำลายได้ แต่ต้องใช้การจับคู่สองครั้งหรือใช้การระเบิดอัญมณีพิเศษ หินที่แข็งมากจะต้องใช้การระเบิดเท่านั้น เกมจะเริ่มโดยมีเวลา 90 วินาที จะเพิ่ม 30 วินาทีถ้าเคลียร์บริเวณเส้น ถ้าเคลียร์ดินทั้งหมดจะเพิ่ม 90 วินาที หลังจากได้เวลาพิเศษแล้วกระดานจะเลื่อนลงจนกว่าจะมีดินอยู่ที่ห้าแถวล่าง เครื่องวัดความลึกจะเพิ่ม 10 เมตร ยิ่งลึกจะมีสมบัติล้ำค่ามากขึ้น แต่ทำลายหินยากขึ้น เกมจะจบเมื่อหมดเวลา ซึ่งจะทำให้เครื่องขุดพัง ชนะ 4 มินิเกมในโหมดภารกิจเพื่อปลดล็อกโหมดนี้โหมดนี้จะมีแท่งน้ำแข็งขึ้นจากข้างล่าง ผู้เล่นต้องหยุดแท่งน้ำแข็งก่อนถึงด้านบนของกระดาน ซึ่งจะทำให้กระดานแข็งและจบเกม. การจับคู่ด้านบนหรือล่างแท่งน้ำแข็งจะลดความสูง และการจับคู่แนวตั้งจะทำลายแท่งน้ำแข็งทันที ยิ่งจับคู่ถังจะเพิ่มขึ้น ถ้าเต็มจะเพิ่มโอกาสได้คะแนน (จาก X1 กลายเป็น X2) และแท่งน้ำแข็งจะลงข้างล่างหมด ถ้ามีแท่งน้ำแข็งถึงยอดจะมีหัวกะโหลกขึ้น เมื่อแท่งน้ำแข็งอันที่สองเริ่มขึ้น หัวกะโหลกจะแดงและเริ่มสั่น ถ้าแท่งน้ำแข็งไม่ลดลง ภายในไม่กี่วินาที กระดานจะแข็งและเกมก็จะจบ ต้องได้ 100,000 คะแนนในโหมดไลท์นิ่งเพื่อปลดล็อกโหมดนี้.โหมดนี้จะมีสไตล์แบบไพ่โปเกอร์ มีการ์ดห้าใบอยู่ด้านข้างพร้อมกับตารางคะแนน ทุกๆ คู่จะปรากฎบนการ์ด หลังจากจับคู่ห้าครั้งจะปรากฎแบบที่ผู้เล่นทำ เช่น อัญมณีห้าอันที่มีสีเดียวกันจะได้ไพ่ \"ฟลัช\" ซึ่งเป็นแบบที่ดีที่สุด การจับคู่ได้สองคู่จะปรากฎการ์ดอัญมณีใหญ่และเล็กแล้วเกมจะเลือกเองว่าอัญมณีไหนจะมีโอกาสได้คะแนนมากกว่า จับคู่อัญมณีเพลิงหรือดาวจะเพิ่มคะแนน และจับคู่กับไฮเปอร์คิวบ์จะเกิดการ์ดปริศนาที่จะเลือกสีที่มีโอกาสได้คะแนนมากที่สุด ถ้าเล่นไปเรื่อยๆ จะมีหัวกะโหลกตรงแบบที่ได้คะแนนต่ำที่สุด ถ้าผู้เล่นได้แบบอันนั้น จะมีเหรียญกะโหลกและโชคที่มีโอกาส 50% ที่จะจบเกม. ผู้เล่นสามารถลบกะโหลกได้ดดยเพิ่มบาร์ลบกะโหลก ยิ่งแบบที่ดีกว่าจะเพิ่มได้มากกว่า ถ้าเล่นไปเรื่อยๆ กะโหลกจะมีมากขึ้น ชนะด่าน 5 ในโหมดปกติเพื่อปลดล็อกโหมดนี้",
"มิสแกรนด์ตาก () เป็นการประกวดนางงามของจังหวัดตาก ดำเนินการประกวดโดยกองประกวดมิสแกรนด์ตาก จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 การประกวดมิสแกรนด์ตากมีจุดประสงค์เพื่อคัดเลือกตัวแทนสาวงาม เข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ โดยผู้ดำรงตำแหน่งมิสแกรนด์ตากคนปัจจุบัน คือ ณิชารีย์ อ้วนสะอาด ได้รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน แม่สอด ตาก\n2018: ชุดที ลอ ซู ได้แรงบันดาลใจมาจาก น้ำตกทีลอซู ที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ ติด1ใน6น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ชุดมีจุดเด่นคือรูปทรงของผาหินที่เรียงรายตามชั้นผาหินประดับตกแต่งด้วยอัญมณีอันมีค่าต่างๆอย่างลงตัว สายน้ำที่ไหลลงมาตามชั้นผาหินจนเกิดเป็นสายชลธารที่สวยงาม",
"ไข่ทำจากโลหะมีค่าหรือหินแข็งตกแต่งด้วยอัญมณีและการลงยา คำว่า “ไข่ฟาแบร์เช” มีความหมายเดียวกับความหรูหรา และถือกันว่าเป็นงานอัญมณีชั้นหนึ่ง “ไข่ฟาแบร์เช” ของราชวงศ์รัสเซียถือว่าเป็นกลุ่มงานศิลปะชิ้นเอก (objets d'art) ที่ได้รับการจ้างชิ้นสุดท้าย",
"หินเปลือกโลก ซากดึกดำบรรพ์ในประเทศไทย อัญมณี",
"หยก (Jade) คือชื่อที่ใช้เรียกหินซึ่งเป็นอัญมณีอันล้ำค่ามากชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะชาวจีนถือว่าหยกเป็นเจ้าแห่งหินมีค่าทั้งมวล",
"คืนนั้นทะเกะโตะริ โนะ โอะกินะก็ทูลเจ้าชายแต่ละพระองค์ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่คะงุยะฮิเมะขอให้แต่ละองค์ต้องทรงนำกลับมา เจ้าชายองค์แรกต้องไปทรงนำบาตรหินของพระโคตมพุทธเจ้ามาจากอินเดียกลับมาให้ องค์ที่สองต้องทรงนำกิ่งไม้ประดับอัญมณีจากเกาะเกาะโฮไรในประเทศจีน[4] องค์ที่สามต้องทรงไปนำเสื้อคลุมของหนูไฟจากเมืองจีนกลับมาให้ องค์ที่สี่ต้องทรงไปถอดอัญมณีจากคอมังกรมาให้ และองค์ที่ห้าต้องทรงไปหาหอยมีค่าของนกนกนางแอ่นกลับมา",
"ไซบอดี้ อาวุธโบราณในยุคอดีตที่พบในโบราณสถานบนเกาะกางเขนใต้ ผู้ที่จะขับได้ จำเป็นต้องมีสัญลักษณ์ซึ่งตรงกับ 1 ในไซบอดี้ทั้ง 22 ตน โดยแต่ละตัวจะมีรูปแบบการต่อสู้ต่างกันอย่างบางตัวเปลี่ยนตัวเองเป็นอาวุธบางตัวใช้อาวุธซึ่งแต่ละชิ้นจะมีชื่อต่างกันบางชิ้นเป็นชื่ออัญมณีบางชิ้นเป็นชื่อสถานที่ โดยสัญลักษณ์ที่ว่าจะได้รับการสืบทอดกันมาในตระกูลประจำสัญลักษณ์นั้นๆ เช่น ทาคุโตะ, สุงาตะ, วาโกะ แต่ในภายหลัง สมาพันธ์คิราโบชิ สามารถคิดค้นสร้างห้องควบคุม \"โลงไฟฟ้า\" และวิจัยเกี่ยวกับ \"สัญลักษณ์ประดิษฐ์\" ขึ้น ทำให้ผู้ไม่มีสัญลักษณ์ หรือสัญลักษณ์หายไป สามารถแอพพริวอยเซ่กับไซบอดี้ได้ถึงเฟส 2 เนื่องจากผนึกของมิโกะทั้ง 4 ทิศ ทำให้ไซบอดี้ขยับได้เฉพาะในช่วงซีโร่ไทม์เท่านั้น ในโลกปกติ ไซบอดี้จะเป็นเพียงรูปปั้นหินในโบราณสถาน ยกเว้นแต่เพียงทาวเบิร์นที่ไม่ปรากฏว่าอยู่ที่ใดกันแน่",
"อาชีพการทำเครื่องประดับของพาโลม่า พิแคสโซ่ เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2511 เมื่อครั้งที่เธอเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าในกรุงปารีส สร้อยคอหินจากแม่น้ำไนล์บางชิ้น เธอก็ได้ออกแบบมาจากหินที่ถูกซื้อมาจากตลาดนัด ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับความชื่นชมว่าเป็นผลงานที่เกิดจากความตั้งใจโดยเหล่านักวิจารณ์ นับว่าเป็นผลงานแรกๆที่ประสบความสำเร็จจนได้รับการจดเป็นหลักสูตรในด้านการออกแบบเครื่องประดับ หนึ่งปีต่อมา พิแคสโซ่ ได้นำเสนอผลงานชิ้นแรกให้กับเพื่อนของเธอ ซึ่งเป็นเจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง อีฟ แซง ลอเรน ซึ่งได้ตัดสินให้ผลงานการออกแบบเครื่องประดับของเธอเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นของเขา และในปี พ.ศ. 2514 เธอก็ได้ทำงานที่บริษัทเครื่องประดับและอัญมณีของกรีกที่ชื่อว่า โซโลตัส",
"โอปอล (English: Opal) เป็นอัญมณีในตระกูลควอตซ์ (Quartz) เช่นเดียวกับแอเมทิสต์ซึ่งเป็นอัญมณีประจำราศีกุมภ์ มีค่าความแข็งที่ 6 - 7 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้วและยางสน มีหลายสีด้วยกัน เช่น สีขาว แดง เหลือง เขียว ม่วง ดำ แต่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ โอปอลไฟ",
"โมรา หรือ อาเกต () (SiO) เป็นอัญมณีที่มี หลายสี ที่นิยม คือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือฟ้าในเนื้อหิน ในทางอุตสาหกรรมใช้สำหรับตกแต่งทำเป็นเครื่องประดับเนื่องจากคุณสมบัติของหินที่ต้านทานกรด และมีความแข็งสูง",
"ภายในกรุที่เก็บผอบหินทรงสถูปพบสมบัติล้ำค่าหลายชนิดเช่น อัญมณี, เครื่องประดับ, เพชรพลอย, จารึกดินเผา, และพระพุทธรูปทองคำ, เงิน, ทองเหลือง, หิน พระพุทธรูปจำนวนทั้งหมดภายในและภายนอกผอบราวกว่า 700 องค์ จารึกดินเผาบางส่วนกล่าวถึงการรักษาธรรมและเรื่องราวทางพุทธศาสนา",
"พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล (พระหยกเชียงราย) เป็นพระพุทธรูปที่มีพระพุทธลักษณะแบบเชียงแสน แกะสลักจากหินหยกชนิดที่ดีที่สุดของประเทศแคนาดา ปางสมาธิ ฐานเขียง พระโมลีเป็นต่อมกลม ขนาดหน้าตักกว้าง 49.7 เซนติเมตร สูง 65.9 เซนติเมตร ฐานแกะสลักด้วยหินหยกสีเขียวเป็นรูปบัวสูงประมาณ 1 ศอก เป็นฐานบัวศิลปะเชียงแสน เครื่องทรงสร้างด้วยอัญมณีและทองคำ แบบเครื่องทรงแบบเชียงแสน ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย",
"จากการศึกษาซากและโครงกระดูกที่หลงเหลือ นักชีววิทยาต่างดาวไดค้นพบว่าจาว่านั้นมีลักษะณะผอม เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกหนู มีใบหน้าที่หดเล็ก และดวงตาสีเหลือง ใบหน้าของพวกเขาถูกคลุมโดยผ้าคลุมเพื่อให้เกิดความชุ่มชื้นพร้อมกับหินอัญมณีสีส้มที่ขัดแล้วติดไว้กับผ้า อัญมณีเหล่านี้จะปกป้องตาที่อ่อนไหวของจาว่าจากแสงแดด จาว่านั้นมีวิธีดมกลิ่นที่แปลกซึ่งก็คือจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมเพื่อรักษาความชุ่มชื่นนั่นเอง กลิ่นนั้นจะบอกข้อมูลของแต่ละคนอย่างเช่น กลุ่ม สุขภาพ อารมณ์ หรือแม้แต่อาหารมื้อสุดท้ายที่ทานเข้าไป กลิ่นนี้จะดึงดูดฝูงแมลงเข้ามาในผ้าคลุมของพวกเขา จาว่ายังคุณสมบัติพิเศษเพื่อช่วยในการอยู่รอด อย่างเช่น การมองเห็นในเวลากลางคืน ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง และระบบย่อยอาหารที่มีประสิทธิภาพ อุณหภูมิร่างกายของพวกเขาจะอยู่ที่ 45ºเซลเซียส (112 ฟาเรนไฮต์) ทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวกับจาว่าและมนุษย์ทรายก็คือการที่พวกเขาอาจมาจากสายพันธุ์เดียวกันซึ่งนั่นก็คือคุมัมกาห์",
"สร้อยคอ คือวัตถุเครื่องประดับที่ใช้สวมใส่รอบลำคอ มักจะเป็นผลิตมาจากโลหะ และมักจะติดอยู่กับจี้หรือวัตถุห้อยระย้า สร้อยคออาจผลิตจากผ้า หรือในอาจผลิตได้จากหิน (โดยเฉพาะหินอัญมณี) เศษไม้ และ/หรือเปลือกหอยรูปแบบและขนาดต่าง ๆ ",
"เจ้าแสนหลวง เจ้าผู้ปกครองนครเชียงรัฐ ซึ่งเป็นนครรัฐอิสระที่อยู่ทางเหนือของประเทศไทยได้หมั่นหมาย เจ้าหญิงแสงฝาง ธิดาเพียงคนเดียวของตนกับ ภรต ราชเสนา บุตรชายคนโตของตระกูลราชเสนา ซึ่งเป็นตระกูลนักการทูต โดยมี \"ศิลามณี\" ซึ่งเป็นอัญมณีล้ำค่าที่เป็นของคู่บ้านคู่เมืองของเชียงรัฐ เป็นของหมั้น โดยที่เจ้าแสนหลวงได้มอบศิลามณีให้แก่ตระกูลราชเสนาไปเพื่อใช้ในการหมั้นหมายของบุตรทั้งคู่เมื่อเติบโตขึ้น",
"ที่บาซิลิกาซานมาร์โค งานที่มีชื่อเสียงฉากแท่นบูชาทองซานมาร์โค (Pala d'Oro) เป็นฉากแท่นบูชาที่ทำติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีฉะนั้นลักษณะงานจึงมีทั้งอิทธิพลของศิลปะไบแซนไทน์และศิลปะกอธิค ฉากแท่นบูชาทองทำด้วยทองคำฝังด้วยเอนนาเมล, อัญมณี และ ไข่มุก งานสลักหินแข็งและงานแกะอัญมณีถือกันว่าเป็นงานที่มีคุณค่าในสมัยโบราณที่ใช้ช่างทองผู้มีฝีมือเป็นผู้ทำ ในสมัยบาโรกการใช้สื่อผสมก็เจริญถึงจุดสูงสุดเมื่อมีการสร้างแท่นบูชาจากงานฝังหินประดับ (Pietra dura) และหินอ่อน, ไม้และโลหะ ที่มักจะมีจิตรกรรมสีน้ำมันประกอบด้วย งานบางชิ้นก็ออกมาเหมือนงานลวงตาที่ทำให้ผู้ดูเกิดความรู้สึกว่าได้เห็นมโนทัศน์",
"หลังการประชุมและหารือผู้นำทางศาสนา 15 คน จึงมีมติให้เปิดผอบต่อหน้าทุกคนในคณะกรรมการ การเปิดผอบมีการระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผอบหินถูกเปิดพบว่าภายในมีผอบสีทองซ้อนอีกชั้นหนึ่ง เป็นผอบลักษณะคล้ายกับผอบหินภายนอก เป็นทรงสถูปลักษณะคล้ายเจดีย์ ฝีมือปราณีต แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสในศาสนา โคลนบางส่วนได้ซึมมาด้านข้างและฐานชั้นนี้ เมื่อล้างและร่อนด้วยตะแกรงจึงพบหินมีค่า ทอง และอัญมณีรอบฐานชั้นนี้ ผอบชั้นที่สองถูกเปิดภายในพบสถูปทองคำบริสุทธิ์ขนาดเล็กตั้งอยู่บนถาดเงิน และข้างสถูปทองคำมีรูปหินแกะสลักสูง 4½ นิ้ว เป็นฝีมือโบราณขั้นสูง",
"พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในหุบเขาเล็งกงในเประก์ ซึ่งมนุษย์ใช้เครื่องมือหินและตกแต่งด้วยอัญมณี",
"นักบวชต่างก็เกรงกลัวว่าร่างของแบ็กกิตจะถูกขโมย เพื่อป้องกันความระแวงดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นหีบหินอ่อนของแบ็กกิตจึงถูกนำไปตั้งไว้ภายในคริพท์ของมหาวิหาร นอกจากนั้นนักบวชก็ยังสร้างผนังหินหน้าที่บรรจุศพ บนผนังมีช่องสองช่องที่ผู้แสวงบุญสามารถลอดหัวเข้าไปจูบโลงหินได้ ในปี ค.ศ. 1220 กระดูกของแบ็กกิตก็ถูกย้ายไปยังที่บรรจุที่ทำด้วยทองฝังอัญมณีบนแท่นบูชาเอก ที่บรรจุตั้งอยู่บนแท่นสูงที่รองรับด้วยเสา ตามปกติแล้วแคนเทอร์เบอรีก็เป็นเมืองสำคัญสำหรับการจาริกแสวงบุญอยู่แล้วแต่หลังจากการเสียชีวิตของเบ็คเค็ท ผู้แสวงบุญก็ทวีจำนวนขึ้นเป็นอันมากอย่างรวดเร็ว",
"หินบะซอลต์ (Basalt) เป็นหินอัคนีพุ เนื้อละเอียด เกิดจากการเย็นตัวของลาวาที่มีความหนืดน้อย มีปริมาณซิลิกาอยู่ในช่วง 45-52 เปอร์เซ็นต์ มีสีเข้มเนื่องจากประกอบด้วยแร่ไพร็อกซีนเป็นส่วนใหญ่ อาจมีแร่โอลิวีนปนมาด้วย เนื่องจากเกิดขึ้นจากแมกมาใต้เปลือกโลก หินบะซอลต์หลายแห่งในประเทศไทยเป็นแหล่งกำเนิดของอัญมณี (พลอยชนิดต่างๆ) เนื่องจากแมกมาดันผลึกแร่ซึ่งอยู่ลึกใต้เปลือกโลก ให้โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นผิว",
"ด้วยสายเลือดของตระกูลโทซากะ ทำให้รินมีความเชี่ยวชาญในการแปรรูปพลังเวทย์และถ่ายทอดไปบรรจุไว้ในสิ่งของต่างๆ ด้วยเพราะว่าการที่จอมเวทย์คนนีง จะปลดปล่อยพลังเวทย์จำนวนมากออกมานั้นจะเป็นไปได้ยากเพราะมีข้อจำกัดทางร่างกายของจอมเวทย์คนนั้นๆ รินจึงทำการเก็บสะสมพลังเวทย์เหล่านั้นไว้ในอัญมณีทุกวันเป็นกิจวัตร ยามใดที่เธอต้องการใช้พลังเวทย์ปริมาณมากๆ เธอจะนำอัญมณีเหล่านั้น\nมาใช้ ซึ่งถ้าใช้อัญมณีเหล่านั้นโจมตี ความรุนแรงของมันก็จัดอยู่ในระดับ A ได้เลยทีเดียว",
"ในยุคโบราณตอนปลายและต้นยุคกลางสิ่งของอันมีความสำคัญมากเช่นหีบบรรจุวัตถุมงคล (Reliquary) มักจะตกแต่งอย่างเต็มที่ด้วยอัญมณีที่เป็นการตกแต่งในลักษณะที่ในปัจจุบันจะจำกัดใช้แต่ในการตกแต่งมงกุฎ และเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือ เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ กางเขนดังกล่าวอาจจะทำออกมาในรูปของภาพเขียน, โมเสก, งาช้างแกะสลัก และ วัสดุอื่นๆ และมักจะมีปลายแขนกางเขนเป็นแฉก แต่สัดส่วนระหว่างแนวตั้งและแนวนอนก็ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์ประกอบซึ่งก็แตกต่างกันออกไปเป็นอันมาก เครื่องห้อย (Pendilia) หรือเครื่องตกแต่งแบบแขวนหรือห้อยก็อาจจะแขวนจากแขนกางเขน โดยเฉพาะจากตัวอักษร แอลฟาและโอเมกาที่เป็นทอง ลักษณะของกางเขนดังกล่าวพบบนชิ้นส่วนของโลงหินจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 4 ปลายแขนกางเขนที่เป็นแฉกก็มีมาตั้งแต่งานที่พบชิ้นแรกๆ",
"ทับทิม หรือ มณี ,รัตนราช,ปัทมราช () เป็นรัตนชาติชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในตระกูลคอรันดัม(Corundum)เช่นเดียวกับบุษราคัม ไพลิน เขียวส่องและ Fancy shappire มีความแข็งรองจากเพชร เป็นที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับมาก เพราะมีสีสวยและมีความแข็งแกร่งเปล่งประกายจับตา เป็นที่นิยมมากกว่าอัญมณีสีแดงชนิดอื่นๆ มนุษย์รู้จักทับทิมมานาน กษัตริย์มักนำมาประดับมงกุฏและสวมใส่ออกขณะรบ เป็นที่แพร่หลายมากๆในชมพูทวีป ทับทิมในภาษาสันสกฤตโบราณคือ \"ratanraj\" หมายถึงเจ้าแห่งอัญมณีทั้งปวง จนทับทิมถูกขนานนามว่าอัญมณีแห่งราชา ในประเทศไทยนั้นถือว่าทับทิมเป็นอัญมณีหนึ่งในนพรัตน์ โดยธรรมชาตินั้นทับทิมมักมีเนื้อขุ่น ตำหนิมากบางชิ้นทึบแสงดูไม่สวยงามดังนั้นทับทิมในท้องตลาดส่วนใหญ่ผ่านการเพิ่มคุณภาพด้วยความร้อนมาแทบทั้งสิ้น สีที่นับว่าหายากและราคาแพงมหาศาลคือ สีแดงสดแบบเลือดนกพิราบเนื้อใสสะอาดสมบูรณ์แบบทั้งสัดส่วนและประกายขนาด 3-4กะรัตอาจจะมีราคาสูงกว่า 7 หลัก ถ้าสูงกะรัตกว่านี้จะหายากมากๆราคาอาจถึง 8หลักเลยทีเดียว สีแดงอมชมพูก็เป็นที่นิยมอย่างมากส่วนใหญ่มาจากพม่า มีราคาสูงมาก นอกจากนั้นทับทิมยังมีการเกิดปรากฏการณ์สตาร์ มีลักษณะสาแหรกเนดาว 6 แฉกอยู่กลางพลอย ชนิดนี้ก็มีราคาสูงจะเจียระไนทรงหลังเต่า หลังเบี้ยแต่ควรระวังของปลอม ปัจจุบันมีการทำ \"ดาวปลอม\"ด้วยการดิฟิวชั่น ข้อสังเกตคือของธรรมชาติจะไม่มีเส้นแฉกดาวคมชัดและเห็นยาวไม่จนถึงก้น ลักษณะขาดาวอาจเลือนๆและดูเหมือนอยู่ลึกลงไปในพลอย ก้นพลอยอาจไม่มีการเจียระไนแต่โกลนไว้เฉยๆก็ได้ ทับทิมที่มีความงาม ประกายดีและสะอาดจะถูกเจีนระไนแบบเหลี่ยมประกาย ส่วนที่มีตำหนิมักเจียระไนแบบหลังเต่าหรือหลังเบี้ย",
"สีและความเป็นมันเงาของอีเลโอไลน์(elaeolite) (ชื่อที่กำหนดโดย MH Klaproth ในปี1809, จากคำภาษากรีกสำหรับน้ำมันและหิน; ภาษาเยอรมันใช้ชื่อว่า Fettstein) เพราะว่าจากมีอยู่จำนวนมากล้อมรอบของแร่ธาตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นออไจน์(augite) หรือHornblend(ฮอร์นเบลนด์) บางครั้งพวกแร่เหล่านี้ก่อให้เกิดการแวบวับคลายลักษณะตาของแมวตาและไพฑูรย์และอีเลโอไลน์(elaeolite) เมื่อมีสีเขียวหรือสีแดงที่เข้มและการแสดงของแถบแสงที่ต่างกัน ในบางครั้งเป็นถูกตัดทำเป็นพื้นผิวนูนของอัญมณีและหินสี",
"ชาวตะวันตกเชื่อกันว่าโอปอลเป็นหินแห่งโชคลาง มีความเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ สามารถบอกเหตุล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุดีหรือเหตุร้าย โอปอลยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง เพราะมันเต็มไปด้วยสายรุ้งแห่งความหวัง ผู้ที่สวมใส่อัญมณีชนิดนี้จะสมหวังในสิ่งที่ต้องการ ชาวอาหรับเชื่อว่าโอปอล คือ อัญมณีที่ตกลงมาจากสวรรค์",
"ความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างจอมโจรคิดกับตัวละครในยอดนักสืบจิ๋วโคนัน คือความสัมพันธ์กับตระกูลสึสึกิ ตามท้องเรื่องปรากฏว่าจอมโจรคิดโจรกรรมสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของตระกูลไปหลายครั้ง เช่น อัญมณีแบล็กสตาร์ ไข่อิมพีเรียลอีสเตอร์ของฟาเบลเจ และรองเท้า \"เล็บสีม่วง\" เป็นต้น สึสึกิ โซโนโกะ ซึ่งเป็นบุตรสาวในตระกูลสึสึกิเองมีความคลั่งไคล้ในจอมโจรคิดเป็นอย่างมาก และมักจะเชียร์จอมโจรคิดให้ประสบความสำเร็จในการโจรกรรมอยู่ร่ำไป เป็นต้น ",
"รัตนชาติ</b>หรือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[57,72,3,3]}'>หินอัญมณี (English: gemstone) เป็นกลุ่มประเภทของแร่ประเภทหนึ่ง โดยหมายถึง แร่หรือหินบางชนิด หรืออินทรียวัตถุธรรมชาติที่นำมาเจียระไน ตกแต่ง หรือแกะสลัก เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ มีความงาม ทนทาน และหายาก โดยปกติแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เพชร และพลอย ซึ่งหมายถึง อัญมณีทุกชนิดยกเว้นเพชร หากผ่านการตกแต่งหรือเจียระไนแล้ว เรียกว่า อัญมณี นอกจากนี้ สารประกอบที่ได้จากสิ่งมีชีวิตที่อาจจัดเป็นรัตนชาติได้แก่ ไข่มุก และปะการังและอำพัน",
"สร้อยคอเป็นหนึ่งในอัญมณีที่สำคัญมาตั้งแต่ยุคสมัยอารยธรรมโบราณ ว่ากันว่า จุดกำเนิดของสร้อยคอนั้น มีอายุเก่าแก่คราวเดียวกับยุคหิน เมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว ในอดีต มนุษย์เคยนำสัตว์จำพวกหอยและหมึก (mollusk) มาทำเป็นสร้อยคอใส่กัน เมื่อเวลาผ่านไป สร้อยคอที่ทำจากหิน กระดูกสัตว์ เปลือกหอย และฟันสัตว์ก็เริ่มเป็นที่นิยม หลังจากมีการค้นพบธาตุโลหะต่าง ๆ มนุษย์ก็นำโลหะทองคำ เงิน และโลหะอื่น ๆ มาทำเป็น ที่สวยสะดุดตาใส่กันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย",
"ทรัพยากรสำคัญของลาว ได้แก่ ไม้ ดีบุก ยิปซัม ตะกั่ว หินเกลือ เหล็ก ถ่านหินลิกไนต์ สังกะสี ทองคำ อัญมณี หินอ่อน น้ำมัน และแหล่งน้ำผลิตไฟฟ้า"
] |
อิเล็กตรอนคืออะไร? | [
"อิเล็กตรอน (English: electron) (สัญลักษณ์ e-) เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ ไม่มีใครรู้จักส่วนประกอบหรือโครงสร้างพื้นฐานของมัน; ในคำกล่าวอื่น ๆ เช่น คาดกันโดยทั่วไปว่ามันจะเป็นอนุภาคที่เป็นมูลฐาน อิเล็กตรอนมีมวลที่เป็นประมาณ 1/18636 เท่าของโปรตอน โมเมนตัมเชิงมุมภายใน (สปิน) ของอิเล็กตรอนเป็นค่าครึ่งจำนวนเต็มในหน่วยของ ħ ซึ่งหมายความว่ามันเป็น เฟอร์เมียน (fermion) ปฏิยานุภาคของอิเล็กตรอนเรียกว่าโพซิตรอน มันเป็นเหมือนกันกับอิเล็กตรอนยกเว้นแต่ว่าจะมีค่าประจุไฟฟ้าและอื่น ๆ ที่มีลักษณะตรงกันข้าม เมื่ออิเล็กตรอนชนกันกับโพซิตรอน อนุภาคทั้งสองอาจกระจัดกระจายออกจากกันและกัน หรือถูกประลัย (annihilate)โดยสิ้นเชิง การผลิตคู่ (หรือมากกว่านั้น) เกิดขึ้นจากโฟตอนรังสีแกมมา อิเล็กตรอน ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของตระกูลอนุภาคเลปตอน (lepton) มีส่วนร่วมในแรงโน้มถ่วง มีปฏิสัมพันธ์กับแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงแบบอ่อน อิเล็กตรอนเช่นเดียวกับสสารทั้งหมด มีคุณสมบัติทางกลศาสตร์ควอนตัมของทั้งคู่อนุภาคและคลื่น วิ่งอยู่รอบๆ นิวเคลียสตามระดับพลังงานของอะตอมนั้นๆ โดยส่วนมากของอะตอม จำนวน อิเล็กตรอน ในอะตอมที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีเท่ากับจำนวน โปรตอน เช่น ไฮโดรเจนมีโปรตอน 1 ตัว และอิเล็กตรอน 1 ตัว ฮีเลียมมีโปรตอน 2 ตัว และอิเล็กตรอน 2 ตัว"
] | [
"ทฤษฎีอิเล็กตรอนสมัยปัจจุบัน อธิบายถึงการเกิดรังสีเอกซ์ว่า ธาตุประกอบด้วยอะตอมจำนวนมากในอะตอมแต่ละตัวมีนิวเคลียสเป็นใจกลาง และมีอิเล็กตรอนวิ่งวนเป็นชั้น ๆ ธาตุเบาจะมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่น้อยชั้น และธาตุหนักจะมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่หลายชั้น เมื่ออะตอมธาตุหนักถูกยิงด้วยกระแสอิเล็กตรอน จะทำให้อิเล็กตรอนที่อยู่ชั้นในถูกชนกระเด็นออกมาวิ่งวนอยู่รอบนอกซึ่งมีภาวะไม่เสถียรและจะหลุดตกไปวิ่งวนอยู่ชั้นในอีก พร้อมกับปล่อยพลังงานออกในรูปรังสี ถ้าอิเล็กตรอนที่ยิงเข้าไปมีพลังงานมาก ก็จะเข้าไปชนอิเล็กตรอนในชั้นลึก ๆ ทำให้ได้รังสีที่มีพลังงานมาก เรียกว่า ฮาร์ดเอกซเรย์ (hard x-ray) ถ้าอิเล็กตรอนที่ใช้ยิงมีพลังงานน้อยเข้าไปได้ไม่ลึกนัก จะให้รังสีที่เรียกว่า ซอฟต์เอกซเรย์ (soft x-ray)",
"หลังจากที่อิเล็กตรอนจากกระบวนการการแปลงภายในถูกปล่อยออกมา อะตอมจะถูกทิ้งไว้แต่ตำแหน่งที่ว่างในหนึ่งของเปลือกอิเล็กตรอนขอวมัน ซึ่งมักจะเป็นเปลือกชั้นใน หลุมนี้จะถูกเติมเต็มด้วยอิเล็กตรอนจากหนึ่งในเปลือกที่สูงขึ้นและส่งผลให้รังสีเอกซ์ลักษณะเฉพาะ หรือ Auger อิเล็กตรอน หนึ่งตัวหรือมากกว่า จะถูกปล่อยออกมาเป็นอิเล็กตรอนที่เหลืออยู่ในอะตอมไหลลงไปเพื่อแทนตำแหน่งที่ว่าง",
"โมเลกุลคือกลุ่มของอะตอมที่ยึดเข้าด้วยกันด้วยพันธะทางเคมี และพันธเหล่านี้จะประกอบด้วยแรงไฟฟ้าระหว่างอิเล็กตรอน (ลบ) กับโปรตอน (บวก) โมเลกุลที่อยู่แยกกันเป็นตัวตนที่ถาวร แต่เมื่อโมเลกุลที่ต่างกันถูกนำเข้ามารวมกัน บางชนิดของโมเลกุลสามารถที่จะขโมยอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่น เป็นผลให้เกิดการแยกประจุ การกระจายเหล่านี้ของประจุจะเกิดขึ้นใหม่พร้อมกันกับการเปลี่ยนแปลงในพลังงานของระบบ และโครงสร้างของอะตอมในโมเลกุล การได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มจะถูกเรียกว่า \"รีดักชัน\" (reduction) และการสูญเสียอิเล็กตรอนไปจะถูกเรียกว่า \"ออกซิเดชัน\" ปฏิกิริยาที่มีการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนดังกล่าว (ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับแบตเตอรี่) จะเรียกว่าปฏิกิริยารีดักชัน-ออกซิเดชันหรือปฏิกิริยารีดอกซ์ ในแบตเตอรี่ ขั้วหนึ่งจะประกอบด้วยวัสดุที่ได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มจากตัวละลายและอีกชั้วหนึ่งจะเสียอิเล็กตรอนอันเนื่องมาจากแอตทริบิวต์พื้นฐานของโมเลกุลเหล่านี้ พฤติกรรมที่เหมือนกันจะสามารถเห็นได้ในตัวอะตอมมันเองและความสามารถของพวกมันในการขโมยอิเล็กตรอนจะถูกเรียกว่าเป็น electronegativity ของพวกมัน",
"ในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบสะท้อน () เช่นเดียวกับใน TEM ลำแสงอิเล็กตรอนตกลงบนพื้นผิว แต่แทนที่จะใช้การส่องผ่าน (ใน TEM) หรืออิเล็กตรอนทุติยภูมิ (ใน SEM) ลำแสงที่สะท้อนของอิเล็กตรอนที่กระจายอย่างยืดหยุ่นจะถูกตรวจพบ เทคนิคนี้จะมักจะเชื่อมต่อเข้ากับการเลี้ยวเบนของอิเล็กตรอนพลังงานสูงสะท้อน () และเครื่องสเปกโทรสโกปีแบบสะท้อนการสูญเสียพลังงานสูง () การแปรเปลี่ยนอีกประการหนึ่งคือกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนพลังงานต่ำแบบขั้วหมุน () ซึ่งจะใช้สำหรับการมองหาจุลภาคของโดเมนแม่เหล็ก",
"หิมะถล่มทาวน์เซนด์ () เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างไอออนบวกและอิเล็กตรอนอิสระเนื่องจากการกระทบของไอออน มันเป็นปฏิกิริยาที่ลดหลั่นที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กตรอนในภูมิภาคที่มีสนามไฟฟ้าที่สูงพอสมควรในตัวกลางที่เป็นก๊าซที่สามารถถูกทำให้แตกตัวเป็นไอออนได้เช่นอากาศ หลังเหตุการณ์แตกตัวเป็นไอออนแต่เดิม อย่างเช่นเนื่องจากการแผ่รังสีโดยการแตกตัวเป็นไอออน ไอออนประจุบวกจะลอยไปที่แคโทด ในขณะที่อิเล็กตรอนอิสระจะลอยไปยังแอโหนดของอุปกรณ์ ถ้าสนามไฟฟ้ามีความแข้มพอเพียง อิเล็กตรอนอิสระอาจได้รับพลังงานเพียงพอที่จะปลดปล่อยอิเล็กตรอนต่อไปอีกในการชนครั้งต่อไปกับโมเลกุลอื่น ทั้งสองอิเล็กตรอนอิสระนั้นจะเดินทางไปยังแอโหนดและได้รับพลังงานที่เพียงพอจากสนามไฟฟ้าที่จะทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนจากการกระทบเมื่อมีการชนครั้งต่อไปเกิดขึ้น; และเกิดขึ้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นี้เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่อย่างมีประสิทธิภาพของการผลิตอิเล็กตรอนและจะขึ้นอยู่กับอิเล็กตรอนอิสระที่ได้รับพลังงานที่เพียงพอระหว่างการชนกันที่จะรักษาสภาวะหิมะถล่มให้ยั่งยินต่อไป",
"ออบิทัล เป็น[ฟังก์ชัน]]ทางคณิตศาสตร์ที่อธิบายคลื่นเหมือนพฤติกรรมของทั้ง อิเล็กตรอนหนึ่งหรือคู่ของอิเล็กตรอนในอะตอม ฟังก์ชันนี้สามารถใช้เพื่อคำนวณโอกาสในการหาอิเล็กตรอนของอะตอมใด ๆ หน้าที่เหล่านี้อาจเป็นกราฟสามมิติของสถานที่ที่น่าจะพบอิเล็กตรอน ระยะจึงอาจดูได้โดยตรงที่พื้นที่ทางกายภาพกำหนดโดยฟังก์ชันที่อิเล็กตรอน โดยที่ orbitals atomic เป็นควอนตัมเป็นไปได้ของอิเล็กตรอนแต่ละบุคคลในกลุ่มอิเล็กตรอนรอบอะตอม เดียวตามที่อธิบายโดยฟังก์ชันโคจร",
"นิวไคลด์ลูกสาว (ผลผลิตที่ได้จากการสลาย) ถ้ามันอยู่ในสภาวะกระตุ้น มันก็จะเปลี่ยนผ่านไปอยู่ในสภาวะพื้น () ของมัน โดยปกติ รังสีแกมมาจะถูกปล่อยออกมาระหว่างการเปลี่ยนผ่านนี้ แต่การปลดการกระตุ้นนิวเคลียร์อาจเกิดขึ้นโดยการแปลงภายใน () ก็ได้เช่นกัน\nหลังการจับยึดอิเล็กตรอนรอบในโดยนิวเคลียส อิเล็กตรอนรอบนอกจะแทนที่อิเล็กตรอนที่ถูกจับยึดไปและโฟตอนลักษณะรังสีเอกซ์หนึ่งตัวหรือมากกว่าจะถูกปล่อยออกมาในกระบวนการนี้ การจับยึดอิเล็กตรอนบางครั้งยังเป็นผลมาจาก Auger effect ได้อีกด้วย ซึ่งในกระบวนการนี้อิเล็กตรอนจะถูกดีดออกมาจากเปลือกอิเล็กตรอนของอะตอมเนื่องจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างอิเล็กตรอนด้วยกันของอะตอมนั้นในกระบวนการของการแสวงหาสภาวะของอิเล็กตรอนพลังงานที่ต่ำกว่า",
"แอโหนด (anode) เป็นขั้วไฟฟ้าที่เกิดออกซิเดชันกับสารละลายของมัน (สูญเสียอิเล็กตรอน); ในเซลล์กัลวานี แอโหนดเป็นขั้วไฟฟ้าลบเนื่องจากเมื่อเกิดออกซิเดชัน สารละลายสูญเสียอิเล็กตรอนหลุดออกมาทิ้งไว้เกาะอยู่บนขั้วไฟฟ้า[7] จากนั้นอิเล็กตรอนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะโยกย้ายไปที่แคโทด (cathode) อย่างไรก็ตามในการแยกสลายด้วยไฟฟ้า (English: electrolysis) กระแสไฟฟ้าจะกระตุ้นให้อิเล็กตรอนไหลไปในทิศทางตรงกันข้าม ดังนั้น แอโหนดจะเป็นขั้วบวก และคำกล่าวที่ว่า แอ</u>โหนด ดึงดูด แอน</u>ไอออน จึงเป็นจริง (ไอออนประจุลบจะไหลไปยังแอโหนด ในขณะที่อิเล็กตรอนถูกขับไล่ออกผ่านเส้นลวด) ขั้วไฟฟ้าโลหะ A เป็นแอโหนด แคโทด เป็นขั้วไฟฟ้าที่เกิดรีดักชันกับสารละลายของมัน (ได้รับอิเล็กตรอน); ในเซลล์กัลวานี แคโทดเป็นขั้วบวก เพราะสารละลายจะได้รับอิเล็กตรอนมากขึ้น อิเล็กตรอนเหล่านี้มาจากขั้วไฟฟ้าโลหะ B ทำให้ขั้วไฟฟ้าโลหะ B พร่องอิเล็กตรอน[7] และก็มีแนวโน้มมากขึ้นสำหรับไอออนในน้ำสารละลายจะลดลงไปอีกจากอิเล็กตรอนที่เข้ามาจากแอโหนด อย่างไรก็ตามในการแยกสลายด้วยไฟฟ้า แคโทดจะเป็นขั้วลบ และจะดึงดูดไอออนบวกจากสารละลาย ในสถานการณ์เช่นนี้คำกล่าวที่ว่า แค</u>โทด ดึงดูด แคต</u>ไอออน จึงเป็นจริง (ไอออนโลหะที่มีประจุบวกและที่ถูกออกซิไดซ์จะไหลไปที่แคโทดในขณะที่อิเล็กตรอนเดินทางผ่านเส้นลวด) ขั้วไฟฟ้าโลหะ B เป็นแคโทด",
"โดยปกติอิเล็กตรอนนำไฟฟ้าในโลหะนั้นอยู่ในแถบนำไฟฟ้า (conduction band) อิเล็กตรอนเหล่านี้สามารถเคลื่อนที่ในแถบนำไฟฟ้าได้อย่างอิสระ โดยอิเล็กตรอนจะไม่หลุดออกจากโลหะที่อุณหภูมิห้อง ทั้งนี้เนื่องจากแรงดึงดูดระหว่างนิวเคลียสซึ่งมีประจุบวกกับอิเล็กตรอนภายในโลหะ ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนกับว่าอิเล็กตรอนอยู่ภายในโลหะโดยมีกำแพงศักย์ (potential barrier) กั้นอยู่ที่ผิวโลหะ ระดับพลังงานสูงสุดที่มีอิเล็กตรอนคือระดับแฟร์มี (fermi level) ",
"ในตารางธาตุมาตรฐาน ธาตุจะถูกเรียงตามเลขอะตอม (จำนวนโปรตอนในนิวเคลียสของอะตอม) ที่เพิ่มขึ้น คาบใหม่จะมีได้ก็ต่อเมื่อวงอิเล็กตรอนใหม่มีอิเล็กตรอนอยู่ในวงอย่างน้อยหนึ่งตัว หมู่จะกำหนดตามการจัดเรียงอิเล็กตรอนของอะตอม ธาตุที่มีจำนวนอิเล็กตรอนเดียวกันในวงอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดจะถูกจัดให้อยู่ในหมู่เดียวกัน (เช่น ออกซิเจน กับซีลีเนียม อยู่ในหมู่เดียวกันเพราะว่าพวกมันมีอิเล็กตรอน 4 ตัวในวงอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดเหมือนกัน) โดยทั่วไป ธาตุที่สมบัติทางเคมีคล้ายกันจะถูกจัดในหมู่เดียวกัน ถึงแม้จะเป็นในบล็อก-f ก็ตาม และธาตุบางตัวในบล็อก-d มีธาตุที่มีสมบัติเหมือนกันในคาบเดียวกันเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำนายสมบัติทางเคมีของธาตุเหล่านั้น ถ้ารู้ว่าธาตุรอบ ๆ นั้นมีคุณสมบัติอย่างไร[3]",
"หลังการจับยึดอิเล็กตรอน เลขอะตอมจะลดลงไปหนึ่งหน่วย จำนวนนิวตรอนจะเพิ่มขึ้นไปหนึ่งหน่วย และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในมวลอะตอม การจับอิเล็กตรอนง่าย ๆ เกิดในอะตอมที่เป็นกลางเนื่องจากการสูญเสียอิเล็กตรอนในเปลือกอิเล็กตรอนจะถูกทำให้สมดุลโดยการสูญเสียประจุนิวเคลียร์บวก อย่างไรก็ตามไอออนบวกอาจเกิดจากการปล่อยอิเล็กตรอนแบบ Auger มากขึ้น",
"วงโคจรอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดของอะตอมในสภาวะที่ไม่ได้รวมกัน รู้จักกันในชื่อว่า วงโคจรเวเลนซ์ อิเล็กตรอนที่อยู่ในวงโคจรนี้จะเรียกชื่อว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน จำนวนของเวเลนซ์อิเล็กตรอนหาได้จากพฤติกรรมของแรงยึดเหนี่ยวกับอะตอมอื่น ๆ เพราะอะตอมมีแนวโน้มจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับอะตอมอื่น ๆ ในลักษณะที่คอยเติมเต็ม (หรือทำให้ว่าง) วงโคจรเวเลนซ์ชั้นนอกสุด [98] ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอนเดี่ยวระหว่างอะตอมเป็นการประมาณการที่มีประโยชน์สำหรับพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างอะตอมที่มีอิเล็กตรอนในวงโคจรเกินมา 1 ตัว กับอีกอะตอมหนึ่งที่ขาดอิเล็กตรอนในวงโคจรไป 1 ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ และเกลือไอออนทางเคมีอื่น ๆ อย่างไรก็ดี ธาตุหลายชนิดปรากฏว่ามีเวเลนซ์หลายตัว หรือมีแนวโน้มที่จะมีจำนวนอิเล็กตรอนในสารประกอบที่แตกต่างกันเป็นจำนวนไม่เท่ากัน ดังนั้นพันธะเคมีระหว่างธาตุเหล่านี้จึงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนหลายรูปแบบซึ่งมีการเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอนมากกว่า 1 ตัว ตัวอย่างเหล่านี้รวมไปถึงธาตุคาร์บอนและสารประกอบอินทรีย์อื่น ๆ [99]",
"เปลือกแต่ละชั้นจะสามารถมีจำนวนแน่นอนของอิเล็กตรอนเป็นค่าหนึ่งเท่านั้น เช่น ชั้นที่ 1 มีอิเล็กตรอนได้ 2 ตัว, ชั้นที่ 2 มีอิเล็กตรอนได้ 8 ตัว (2+6), ชั้นที่ 3 มีอิเล็กตรอนได้ 18 ตัว (2+6+10) และเรื่อยไป สูตรทั่วไปก็คือชั้นพลังงานที่ \"n\" จะมีอิเล็กตรอนได้เป็นจำนวน 2(\"n\") ตัว เนื่องจากอิเล็กตรอนนั้นถูกดึงดูดไว้กับนิวเคลียสด้วยแรงทางไฟฟ้า ดังนั้นอิเล็กตรอนของอะตอมหนึ่งๆ จะอยู่ในวงโคจรชั้นนอกก็ต่อเมื่อวงชั้นในมีอิเล็กตรอนเต็มแล้ว อย่างไรก็ดีมิได้เป็นกฎตายตัวเสมอไป อะตอมอาจมีชั้นพลังงานด้านนอก 2 หรือ 3 ชั้น โดยที่มีอิเล็กตรอนไม่เต็มตามจำนวนสูงสุดก็ได้ ดูคำอธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่อิเล็กตรอนดำรงอยู่ในชั้นพลังงานเหล่านี้ได้ที่ การจัดเรียงอิเล็กตรอน",
"การจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถจัดธาตุในตารางธาตุได้ เพราะจากซ้ายไปขวาตามคาบ อิเล็กตรอนจะเพิ่มขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอน (วงที่ 1 วงที่ 2 และอื่น ๆ) แต่ละวงก็ประกอบไปด้วยวงย่อยหนึ่งวงหรือมากกว่านั้น (มีชื่อว่า s p d f และ g) เมื่อเลขอะตอมของธาตุมากขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงย่อยตามกฎของแมนเดลัง เช่นการจัดเรียงอิเล็กตรอนของนีออน คือ 1s2 2s2 2p6 ด้วยเลขอะตอมเท่ากับ 10 นีออนมีอิเล็กตรอน 2 ตัวในวงอิเล็กตรอนแรก และมีอิเล็กตรอนอีก 8 ตัวในวงอิเล็กตรอนที่สอง โดยแบ่งเป็นในวงย่อย s 2 ตัวและในวงย่อย p 6 ตัว ในส่วนของตารางธาตุ เมื่ออิเล็กตรอนตัวหนึ่งไม่สามารถไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนที่สองได้แล้ว มันก็จะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนใหม่ และธาตุนั้นก็จะถูกจัดให้อยู่ในคาบถัดไป ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้เป็นธาตุไฮโดรเจน และธาตุในหมู่โลหะแอลคาไล[24][25]",
"ธาตุในคาบเดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกันในรัศมีอะตอม พลังงานไอออไนเซชัน สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน และอิเล็กโทรเนกาติวิตี จากซ้ายไปขวา ส่วนใหญ่รัศมีอะตอมของธาตุจะค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากธาตุที่อยู่ถัดไปมีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้อิเล็กตรอนอยู่ใกล้นิวเคลียสมากขึ้น[17] และผลจากการที่รัศมีอะตอมลดลง ทำให้พลังงานไอออไนเซชันเพิ่มขึ้น จากซ้ายไปขวา เนื่องจากอะตอมของธาตุนั้นมีพันธะระหว่างอิเล็กตรอนที่แน่นขึ้น ทำให้ต้องใช้พลังงานที่มากขึ้นในการดึงอิเล็กตรอนออก ส่วนอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกันกับพลังงานไอออไนเซชัน เพราะมีแรงดึงของนิวเคลียสที่กระทำต่ออิเล็กตรอนมากขึ้น[14] ส่วนสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน ธาตุโลหะ (ฝั่งซ้ายในตารางธาตุ) โดยส่วนใหญ่จะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนน้อยกว่าธาตุอโลหะ (ฝั่งขวาในตารางธาตุ) ยกเว้นแก๊สมีตระกูลซึ่งไม่มีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน[18]",
"ในเคมีและฟิสิกส์อะตอม สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน () ของอะตอมหรือโมเลกุลคือค่าที่แสดงถึงปริมาณพลังงานที่ \"ถูกปล่อยออกมา\" เมื่ออิเล็กตรอนถูกเพิ่มเข้าไปในอะตอมหรือโมเลกุลที่เป็นกลางทางไฟฟ้า ในสถานะแก๊สเพื่อทำให้เกิดไอออนประจุลบ\nในฟิสิกส์ของแข็ง คำนิยามของ \"สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน\" จะแตกต่างออกไป โดยสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนในความหมายของฟิสิกส์ของแข็ง คือ พลังงาน \"ที่ได้รับ\" จากอิเล็กตรอนที่กำลังเคลื่อนที่ออกจากสุญญากาศ",
"จากประมาณ 1,920 แม้ก่อนที่แอดเวนต์ของกลศาสตร์ควอนตัมสมัยใหม่ที่หลักการ aufbau หลักการก่อสร้าง () ที่ atoms ถูกสร้างขึ้นของคู่อิเล็กตรอน, จัดในรูปแบบซ้ำง่ายของการเพิ่มจำนวนคี่ (1,3,5,7 ..) , เคยถูกใช้โดย นีลส์ บอร์ และอื่นๆเพื่อสรุปสถานะของสิ่งที่ต้องการ orbitals atomic ภายในกำหนดค่าอิเล็กตรอนรวม atoms ซับซ้อน. ในคณิตศาสตร์ของฟิสิกส์อะตอมก็ยังมักจะอำนวยความสะดวกเพื่อลดการทำงาน อิเล็กตรอนของระบบที่ซับซ้อนเป็นชุดของ orbitals atomic ง่าย. แม้ว่าอิเล็กตรอนแต่ละ multi-อะตอมอิเล็กตรอนไม่แคบไปหนึ่งหนึ่ง \"หรือสองอิเล็กตรอน orbitals atomic\" ในภาพ idealized ข้างต้นยังคลื่นอิเล็กตรอนแบบการทำงานอาจจะแตกลงชุดซึ่งยังคงแบกสำนักพิมพ์ ของ atomic orbitals; ประหนึ่งว่าในความรู้สึกบางเมฆอิเล็กตรอนของอะตอมหลายอิเล็กตรอนคือบางส่วน ยังคง \"ประกอบด้วย\" ของ orbitals atomic แต่ละที่มีเพียงหนึ่งหรือสองอิเล็กตรอน. Physicality ของมุมมองนี้จะแสดงที่ดีที่สุดในลักษณะซ้ำของสารเคมีและการทำงานทางกายภาพ ขององค์ประกอบผลซึ่งในธรรมชาติสั่งเรียกจากศตวรรษที่ 19 เป็นตารางธาตุของธาตุ. ในการสั่งซื้อช่วงซ้ำ 2, 6, 10 และ 14 ธาตุในตารางธาตุตรงกับจำนวนของอิเล็กตรอนที่ครอบครองชุดสมบูรณ์ s, p, d และ f orbitals atomic ตามลำดับ",
"การจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถจัดธาตุในตารางธาตุได้ เพราะจากซ้ายไปขวาตามคาบ อิเล็กตรอนจะเพิ่มขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอน (วงที่ 1 วงที่ 2 และอื่น ๆ) แต่ละวงก็ประกอบไปด้วยวงย่อยหนึ่งวงหรือมากกว่านั้น (มีชื่อว่า s p d f และ g) เมื่อเลขอะตอมของธาตุมากขึ้น อิเล็กตรอนจะเข้าไปอยู่ในวงย่อยตามกฎของแมนเดลัง เช่นการจัดเรียงอิเล็กตรอนของนีออน คือ 1s 2s 2p ด้วยเลขอะตอมเท่ากับ 10 นีออนมีอิเล็กตรอน 2 ตัวในวงอิเล็กตรอนแรก และมีอิเล็กตรอนอีก 8 ตัวในวงอิเล็กตรอนที่สอง โดยแบ่งเป็นในวงย่อย s 2 ตัวและในวงย่อย p 6 ตัว ในส่วนของตารางธาตุ เมื่ออิเล็กตรอนตัวหนึ่งไม่สามารถไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนที่สองได้แล้ว มันก็จะเข้าไปอยู่ในวงอิเล็กตรอนใหม่ และธาตุนั้นก็จะถูกจัดให้อยู่ในคาบถัดไป ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้เป็นธาตุไฮโดรเจน และธาตุในหมู่โลหะแอลคาไล\nรัศมีอะตอมของธาตุแต่ละตัวมีความแตกต่างในการทำนายและอธิบายในตารางธาตุ ยกตัวอย่างเช่น รัศมีอะตอมทั่วไปลดลงไปตามหมู่ของตารางธาตุจากโลหะแอลคาไลถึงแก๊สมีตระกูล และจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วจากแก๊สมีตระกูลมายังโลหะแอลคาไลในจุดเริ่มต้นของคาบ ถัดไป แนวโน้มเหล่านี้ของรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีและทางกายภาพของธาตุอื่น ๆ) สามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีวงอิเล็กตรอนของอะตอม พวกมันมีหลักฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม\nอิเล็กตรอนในวงย่อย 4f ซึ่งจะถูกเติมเต็มตั้งแต่ซีเรียม (ธาตุที่ 58) ถึงอิตเตอร์เบียม (ธาตุที่ 70) เนื่องด้วยอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นแค่ในวงเดียว จึงทำให้ขนาดอะตอมของธาตุในแลนทาไนด์มีขนาดที่ไม่แตกต่างกัน และอาจจะเหมือนกับธาตุตัวถัด ๆ ไป ด้วยเหตุนี้ทำให้แฮฟเนียมมีรัศมีอะตอม (และสมบัติทางเคมีอื่น ๆ) เหมือนกับเซอร์โคเนียม และแทนทาลัม มีรัศมีอะตอมใกล้เคียงกับไนโอเบียม ลักษณะแบบนี้รู้จักกันในชื่อการหดตัวของแลนทาไนด์ และผลจากการหดตัวของแลนทาไนด์นี้ ยังเห็นได้ชัดไปจนถึงแพลตทินัม (ธาตุที่ 78) และการหดตัวที่คล้าย ๆ กัน คือการหดตัวของบล็อก-d ซึ่งมีผลกับธาตุที่อยู่ระหว่างบล็อก-d และบล็อก-p มันเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าการหดตัวของแลนทาไนด์ แต่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน\nพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 เป็นพลังงานที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนตัวแรกออกจากอะตอม พลังงานไอออไนเซชันลำดับที่สอง เป็นพลังงานที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนตัวที่สองออกจากอะตอม ซึ่งจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เช่น แมงกานีส มีพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 คือ 738 กิโลจูล/โมล และลำดับที่สอง คือ 1450 กิโลจูล/โมล อิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้อะตอมจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานมากในการดึงมันออกจาก อะตอม พลังงานไอออไนเซชันจะมีการเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาของตารางธาตุ\nพลังงานไอออไนเซชันจะมีมากที่สุดเมื่อต้องการดึงอิเล็กตรอนออกจากธาตุใน หมู่แก๊สมีตระกูล (ซึ่งมีอิเล็กตรอนครบตามจำนวนที่มีได้สูงสุด) ยกตัวอย่างแมกนีเซียมอีกครั้ง แมกนีเซียมจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไอออไนเซชันสองลำดับแรก เพื่อดึงอิเล็กตรอนออกให้มันมีโครงสร้างคล้ายแก๊สมีตระกูล และ 2p มันจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไอออไนเซชันลำดับที่สามสูงกว่า 7730 กิโลจูล/โมล ในการดึงอิเล็กตรอนตัวที่สามออกจากวงย่อย 2p ของการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่คล้ายนีออนของ Mg ความแตกต่างนี้ยังมีในอะตอมของแถวที่สามตัวอื่น ๆ อีกด้วย\nอิเล็กโทรเนกาติวิตีเป็นแรงดึงดูดของอะตอมที่ใช้ดึงอิเล็กตรอนเข้ามา อิเล็กโทรเนกาติวิตีของอะตอมอะตอมหนึ่ง เป็นผลมาจากเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น และระยะห่างจากนิวเคลียสถึงวาเลนซ์อิเล็กตรอน ยิ่งมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากเท่าไร ความสามารถที่จะดึงดูดอิเล็กตรอนก็มากขึ้นเท่านั้น แนวคิดถูกเสนอครั้งแรกโดยไลนัส พอลลิง ใน พ.ศ. 2475 โดยทั่วไป อิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาตามคาบ และลดลงจากบนลงล่างตามหมู่ เพราะเหตุนี้ ฟลูออรีนจึงเป็นธาตุที่มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงที่สุด และซีเซียมมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีน้อยที่สุด อย่างน้อยธาตุเหล่านั้นก็ยังมีข้อมูลที่สามารถใช้ยืนยันได้\nแต่ถึงกระนั้นธาตุบางตัวยังไม่เป็นไปตามกฎนี้ แกลเลียมและเจอร์เมเนียมมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากกว่าอะลูมิเนียมและซิลิกอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการหดตัวของบล็อก-d ธาตุในคาบที่ 4 ในส่วนของโลหะแทรนซิชัน มีรัศมีอะตอมที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะว่าอิเล็กตรอนในวงย่อย 3d ไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนิวเคลียร์ของธาตุ และขนาดอะตอมที่เล็กลงยังทำให้มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงขึ้นอีกด้วย\nสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนเป็นพลังงานที่คายออกมาหรือดูดกลืน เมื่อเพิ่มอิเล็กตรอนให้แก่อะตอมไปเป็นไอออนประจุลบ ธาตุส่วนใหญ่คายพลังงานความร้อนเมื่อรับอิเล็กตรอน โดยทั่วไป อโลหะจะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าโลหะ คลอรีน มีแนวโน้มในการเกิดไอออนประจุลบสูงที่สุด สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของแก๊สมีตระกูลยังไม่สามารถหาค่าได้ ดังนั้น พวกมันอาจจะไม่มีประจุลบ\nสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนทั่วไปจะเพิ่มขึ้นตามคาบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเติมเต็มวงเวเลนซ์ของอะตอม อะตอมของธาตุหมู่ 17จะคายพลังงานออกมามากกว่าอะตอมของธาตุในหมู่ 1 ในการดึงดูดอิเล็กตรอน เนื่องด้วยความง่ายในการเติมเต็มวงวาเลนซ์และความเสถียรในหมู่ของธาตุ สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนคาดว่าจะลดลงจากบนลงล่าง เนื่องด้วยอิเล็กตรอนตัวใหม่จะต้องเข้าไปในออร์บิทัลที่อยู่ห่างจาก นิวเคลียสมากขึ้น ด้วยความที่อิเล็กตรอนเชื่อมของนิวเคลียสน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้มันปล่อยพลังงานไม่มาก ถึงกระนั้น ในหมู่ของธาตุ ธาตุสามตัวแรกจะผิดปกติ ธาตุที่หนักกว่าจะมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมากกว่าธาตุที่เบากว่า และในวงย่อย d และ f สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนจะไม่ได้ลดลงตามหมู่ไปเสียทั้งหมด ดังนั้นการที่สัมพรรคภาพลดลงตามหมู่จากบนลงล่างนี้ จะเกิดขึ้นได้ในอะตอมของธาตุหมู่ 1 เท่านั้น ",
"แม้จะมีการเปรียบเทียบอย่างเห็นได้ชัดในดาวเคราะห์ซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งอิเล็กตรอนไม่สามารถอธิบายอนุภาคของแข็งและ orbitals ปรมาณูเพื่อไม่ค่อยหากเคยคล้ายรูปไข่เส้นทางของดาวเคราะห์. การเปรียบเทียบความแม่นยำมากขึ้นอาจจะมีของขนาดใหญ่และมักจะผิดปกติ บรรยากาศรูป (อิเล็กตรอน) กระจายทั่วดาวเคราะห์ค่อนข้างเล็ก (นิวเคลียสอะตอม). Orbitals อะตอมตรงอธิบายรูปบรรยากาศเฉพาะเมื่อมีอิเล็กตรอนเดียวอยู่ในอะตอมนี้. เมื่ออิเล็กตรอนมากขึ้นจะเพิ่มอะตอมเดียวอิเล็กตรอนเพิ่มเติมมักจะเท่าเทียม กันกรอกปริมาณพื้นที่รอบนิวเคลียสเพื่อให้เก็บผล (บางครั้ง termed เมฆอิเล็กตรอนของอะตอม \"\") มีแนวโน้มไปโซนทรงกลมทั่วไปของความน่าจะอธิบายที่อิเล็กตรอนของอะตอมจะพบ",
"ลูกโซ่ของการขนส่งอิเล็กตรอน (, ย่อ: ETC) เป็นคู่ของการขนส่งอิเล็กตรอนระหว่างตัวให้อิเล็กตรอน (เช่น NADH) กับตัวรับอิเล็กตรอน (เช่น O) ด้วยการขนส่งโปรตอน (H) ข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ ความแตกต่างทางศักย์ไฟฟ้าเคมีของโปรตอนอันเกิดจากการขนส่งโปรตอนข้ามเยื่อนี้ ใช้ในการผลิตพลังงานเคมีในรูปของอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (ATP) ลูกโซ่ของการขนส่งอิเล็กตรอนเป็นกลไกของเซลล์ที่ใช้เพื่อดึงพลังงานจากแสงอาทิตย์ในปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสง และจากปฏิกิริยารีดอกซ์ อาทิ ออกซิเดชันของน้ำตาล (การหายใจระดับเซลล์)",
"ในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของกลศาสตร์ควอนตัมสำหรับกระบวนการการแปลงภายใน, wavefunction ของอิเล็กตรอนที่เปลือกชั้นใน (ปกติจะเป็น \"s\" อิเล็กตรอน) จะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อของ นิวเคลียส ซึ่งหมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่แน่นอนของการค้นหาอิเล็กตรอนภายในนิวเคลียส เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ อิเล็กตรอนอาจเชื่อมไปยังสภาวะของพลังงานที่ถูกกระตุ้นของนิวเคลียสและใช้พลังงานจากการเปลี่ยนผ่านนิวเคลียสโดยตรง โดยปราศจากรังสีแกมมาช่วงกลางที่ถูกผลิตในครั้งแรก พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนที่ถูกปล่อยออกมาจะเท่ากับพลังงานการเปลี่ยนผ่านในนิวเคลียส, ลบด้วยพลังงานยึดเหนี่ยวของอิเล็กตรอนที่ยึดเหนี่ยวเข้ากับอะตอม",
"พลังงานไอออไนเซชัน (, IE) คือค่าพลังงาน ที่ใช้ในการดึงให้อิเล็กตรอนวงนอกสุด (เวเลนซ์อิเล็กตรอน) หลุดออกจากอะตอมหรือโมเลกุลที่อยู่ในสถานะก๊าซปริมาณพลังงานที่น้อยที่สุดที่สามารถทำให้อะตอมหรือโมเลกุลปลดปล่อยอิเล็กตรอน ค่าพลังงานไอออไนเซชันจะบ่งบอกว่าอะตอมหรือไอออนนั้นสามารถเสียอิเล็กตรอนได้ง่ายหรือยาก หรือในอีกมุมหนึ่งเป็นการบ่งบอกระดับพลังงานของอิเล็กตรอนวงนอกสุดของอะตอมหรือไอออนนั้นว่ามีความเสถียรมากเพียงใด โดยทั่วไปค่าพลังงานไอออไนเซชันจะมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อพยายามที่จะทำให้อิเล็กตรอนตัวต่อไปถูกปลดปล่อยออกมา เนื่องจากการผลักกันของประจุอิเล็กตรอนมีค่าลดลงและการกำบังของอิเล็กตรอนชั้นวงในมีค่าลดลง ซึ่งทำให้แรงดึงดูดระหว่างนิวเคลียสและอิเล็กตรอนมีค่ามาขึ้น อย่างไรก็ตามค่าที่เพิ่มขึ้นอาจไม่เพิ่มเท่าที่ควรจะเป็นในกรณีที่เมื่อปลดปล่อยอิเล็กตรอนตัวนั้นแล้วส่งผลให้เกิดการบรรจุเต็มหรือการบรรจุครึ่งในระดับชั้นพลังงาน เนื่องจากทั้งสองกรณีมีเสถียรภาพเป็นพิเศษ",
"Klystrons ขยายสัญญาณโดยการแปลงพลังงานจลน์ในลำแสงอิเล็กตรอน DC เป็นพลังงาน คลื่นความถี่วิทยุ. ลำแสงอิเล็กตรอนถูกผลิตโดย thermionic cathode(เม็ดของวัสดุที่มีฟังก์ชันการทำงานต่ำถูกทำให้ร้อน), และถูกเร่งโดยขั้วไฟฟ้าแรงดันสูง (โดยทั่วไปที่หลายสิบกิโลโวลต์). จากนั้น ลำแสงนี้จะผ่านเข้าไปในตัวสะท้อนคลื่นที่เป็นโพลง (). พลังงาน RF จะถูกป้อนเข้าที่อินพุทของ cavity ที่ความถี่หรือใกล้ความถี่ resonant ของมันเพื่อผลิตแรงดันไฟฟ้าที่จะมีผลกับลำแสง. สนามไฟฟ้าจะทำให้อิเล็กตรอนมัดรวมกัน: นั่นคืออิเล็กตรอนที่ผ่านไปในระหว่างสนามไฟฟ้าที่ตรงข้ามกันจะถูกเร่งและอิเล็กตรอนที่ตามมาจะมีการชะลอตัว, ทำให้ลำแสงอิเล็กตรอนที่วิ่งอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้อัดกันแน่นที่ความถี่ของอินพุต. เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของมัดอิเล็กตรอน, klystron อาจมีตัวมัด ()เพิ่มเติม. ลำแสงจะผ่านท่อ\"drift\" ในที่ซึ่งอิเล็กตรอนที่เร็วกว่าจะวิ่งไปทันตัวที่วิ่งช้ากว่า, ทำให้เกิดการ \"อัดแน่น\", จากนั้น พวกมันจะผ่านไปที่ช่อง \"จับ\". ในขาออกของช่อง\"จับ\", แต่ละมัดของอิเล็กตรอนจะเข้าสู่ cavity ในเวลาที่อยู่ในวงจรเมื่อสนามไฟฟ้าตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวของอิเล็กตรอน, ทำให้พวกมันชะลอตัวลง. ดังนั้น พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนจะถูกแปลงเป็นพลังงานศักย์ของสนาม, เป็นการเพิ่มแอมพลิจูดของ oscillation. การ oscillation ที่ถูกกระตุ้นในช่องจับจะถูกเชื่อมโยงออกมาผ่านสายโคแอค หรือท่อนำคลื่น. ลำแสงอิเล็กตรอนที่ใช้ไปและมีพลังงานลดลงจะถูกจับเอาไว้โดยขั้วไฟฟ้าสะสม ()",
"ใน klystron แบบสองโพรง, ลำอิเล็กตรอนถูกฉีดโดย resonant cavity. ลำอิเล็กตรอน, ที่ถูกเร่งโดยที่มีศักย์บวก, ถูกบัวคับให้เดินทางผ่าน \"หลอด drift\" ทรงกระบอก ในเส้นทางตรงโดยสนามแม่เหล็กตามแนวแกน. ในขณะที่ผ่านโพรงแรก, ลำอิเล็กตรอนจะถูกปรับความเร็วโดยสัญญาณ RF ที่อ่อนแอ. ในกรอบการเคลื่อนไหวของลำอิเล็กตรอน, การปรับความเร็วจะเทียบเท่ากับการสั่นของพลาสม่า (). การสั่นของพลาสม่าเป็นการสั่นอย่างรวดเร็วของอิเล็กตรอนที่มีอยู่อย่างหนาแน่นในสื่อตัวนำ เช่น พลาสมาหรือโลหะ. (ความถี่จะขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นนิดหน่อยเท่านั้น) ดังนั้นในช่วงหนึ่งส่วนสี่ของระยะเวลาหนึ่งของความถี่พลาสม่า, การปรับความเร็วจะถูกแปลงเป็นการปรับความหนาแน่น เช่น การมัดแน่นของอิเล็กตรอน. ขณะที่มัดอิเล็กตรอนกำลังวิ่งเข้าห้องที่สอง, พวกมันก่อให้เกิดคลื่นนิ่ง()ที่ความถี่เดียวกันกับสัญญาณอินพุท. สัญญาณที่เกิดในห้องที่สองนี้มีกำลังมากกว่าในห้องแรก. เมื่อหลอดถูกป้อนพลังงาน, แคโทดปล่อยอิเล็กตรอนซึ่งจะถูกโฟกัสให้อยู่ในรูปลำอิเล็กตรอนโดยแรงดันบวกระดับต่ำในกริดควบคุม. จากนั้นลำแสงจะถูกเร่งความเร็วโดยแรงดัน DC บวกที่สูงมาก ซึ่งเป็นแรงดันจ่ายด้วยขนาดที่เท่ากันไปที่กริดตัวเร่ง()และกริดตัวมัด(). กริดตัวมัดจะเชื่อมต่อกับ cavity resonator ที่จะนำแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับขึ้นไปขี่อยู่บนแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง. แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับมีการผลิตการสั่นภายใน cavity ที่จะเริ่มต้นทำงานขึ้นเองเมื่อหลอดได้รับพลังงาน. การสั่นในตอนต้นเกิดขึ้นจากสนามแม่เหล็กจากการสุ่มและความไม่สมดุลของวงจรที่เกิดขึ้นเมื่อวงจรได้รับพลังงาน. การสั่นภายใน cavity จะผลิตสนามไฟฟ้าสถิตที่สั่นระหว่างกริดตัวมัดด้วยกันที่ความถี่เดียวกันกับความถี่ธรรมชาติของ cavity. ทิศทางของสนามจะเปลี่ยนแปลงไปตามความถี่ของ cavity. การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สลับกัน เร่งและชะลอตัวอิเล็กตรอนในลำแสงที่กำลังวิ่งผ่านกริดทั้งหลาย. พื้นที่ที่อยู่หลังกริดตัวมัดเรียกว่า \"พื้นที่ลอย\"(). อิเล็กตรอนจะอัดแน่นในบริเวณนี้เมื่ออิเล็กตรอนที่ถูกเร่งแซงอิเล็กตรอนที่ชะลอความเร็ว.",
"ไม่เหมือนกับแบบ TEM ที่อิเล็กตรอนของลำแสงไฟฟ้าแรงสูงจะเก็บภาพของชิ้นงาน, ลำแสงอิเล็กตรอนของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) ไม่ได้เก็บภาพที่สมบูรณ์ของชิ้นงานได้ตลอดเวลา SEM จะผลิตภาพโดยตรวจสอบชิ้นงานโดยใช้ลำแสงอิเล็กตรอนที่โฟกัสให้กราด(สแกน)ไปทั่วพื้นที่สี่เหลี่ยมของชิ้นงาน (เหมือนการสแกนจอภาพ CRT ()) เมื่อลำแสงอิเล็กตรอนมีปฏิสัมพันธ์กับชิ้นงาน มันจะสูญเสียพลังงานตามความหลากหลายของกลไก พลังงานที่หายไปจะถูกแปลงเป็นรูปแบบทางเลือกอื่นเช่นความร้อน การปล่อยอิเล็กตรอนทุติยภูมิพลังงานต่ำและอิเล็กตรอนสะท้อนกลับพลังงานสูง การปล่อยแสง (cathodoluminescence) หรือการเปล่งรังสีเอกซ์ พลังงานทั้งหมดเหล่านี้เป็นสัญญาณของข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของพื้นผิวของชิ้นงาน เช่นรูปร่างและองค์ประกอบของมัน ภาพที่แสดงโดย SEM จะแปลความเข้มที่แตกต่างใดๆของสัญญาณเหล่านี้ให้เป็นภาพที่อยู่ในตำแหน่งที่สอดคล้องกับตำแหน่งของลำแสงบนชิ้นงานตอนที่สัญญาณถูกสร้างขึ้น ในภาพ SEM ของมดที่แสดงทางด้านขวา ภาพถูกสร้างขึ้นมาจากสัญญาณที่ผลิตโดยเครื่องตรวจจับอิเล็กตรอนทุติยภูมิซึ่งเป็นโหมดการสร้างภาพปกติหรือทั่วไปใน SEMs ส่วนใหญ่",
"การประลัยอิเล็กตรอน-โพซิตรอนเกิดขึ้นเมื่ออิเล็กตรอน (e) และโพซิตรอน (e), ปฏิยานุภาคของอิเล็กตรอน) เข้าปะทะกัน ผลจากการปะทะกันคือการประลัยของอิเล็กตรอนและโพซิตรอนและมีการสร้างโฟตอนรังสีแกมมาหรืออนุภาคพลังงานสูงอื่น ๆ",
"ทฤษฎีการผลักของคู่อิเล็กตรอน () เสนอขึ้นโดย โรนัลด์ กิลเลสพาย และ ประเทศซิดนีย์ ไนโฮล์ม ในปี พ.ศ. 2500 เพื่อใช้เป็นแบบจำเลยเพื่อทำนายโหรศาสตร์ของโมเลกุลของสารประกอบโคตวย ซึ่งศึกษาโดยใช้คุณสมบัติทางไฟฟ้าของอิเล็ก(ไม่เล็ก)ตรอนคู่ร่วมพันธะและอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวโดยใช้จำนวนกลุ่มอิเล็กตรอนรอบอะตอมกลาง (Stearic number) ซึ่งประกอบด้วยอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ทฤษฎีนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทฤษฎีกิลเลสพาย-ไนโฮล์ม หรือในบางครั้งก็เรีกกันว่า \"เวสเปอร์\" เพื่อความสะดวกในการเรียก ซึ่งโครงสร้างในการพิจารณานั้นก็มาจากสูตรโครงสร้างของลิวอิสแล้วมาจำลองให้เป็นรูปแบบสามมิติ โดยที่ต้องให้อิเล็กตรอนรอบอะตอมกลางผลักกันให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการผลักกันของกลุ่มอิเล็กตรอนที่เป็นไปได้มีทั้งหมด 3 แบบคือ การดูดกันระหว่างอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวด้วยกัน, การผลักกันของอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวกับอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ และการผลักกันของอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะด้วยกัน ซึ่งโมเลกุลจะหลีกเลี่ยงการผลักกันของกลุ่มอิเล็กตรอน แต่ว่าอิเล็กตรอนต่างก็มีประจุลบ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิดการผลักกันของอิเล็กตรอน โมเลกุลจึงต้องพยายามให้อิเล็กตรอนที่มีอยู่ในโมเลกุลนั้นผลักกันให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งพบว่าการผลักกันของอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวด้วยกันจะมีการส่งแรงทางไฟฟ้ากระทำต่อกันมากที่สุด เนื่องจากอิเล็กตรอนนั้นจะถูกดูดเข้ามาใกล้กับนิวเคลียสของอะตอมกลางมากที่สุด ซึ่งส่งผลให้เกิดการผลักกันรุนแรงมากที่สุด รองลงมาคือการผลักกันระหว่างอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวกับอิเล็กตรอนร่วมพันธะ และการผลักกันระหว่างอิเล็กตรอนร่วมพันธะด้วยกัน",
"อิเล็กตรอนที่ถูกดึงดูดอยู่ภายในอะตอมหนึ่ง ๆ จะมีพลังงานศักย์ซึ่งแปรผกผันกับระยะห่างของมันจากนิวเคลียส ค่านี้วัดได้จากขนาดของพลังงานที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้อิเล็กตรอนนั้นหลุดออกจากอะตอม โดยปกติใช้หน่วยวัดเป็น อิเล็กตรอนโวลต์ (eV) ในแบบจำลองกลศาสตร์ควอนตัม อิเล็กตรอนที่มีพันธะจะสามารถครอบครองสถานะจำนวนหนึ่งรอบนิวเคลียส แต่ละสถานะนั้นสอดคล้องกับระดับพลังงานที่เฉพาะเจาะจง ระดับพลังงานที่ต่ำที่สุดของอิเล็กตรอนเรียกว่า สภาวะพื้น (ground state) ส่วนอิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานที่สูงกว่าจะเรียกว่าอยู่ในสภาวะกระตุ้น (excited state) [90]",
"กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน (TEM) เป็นรูปแบบเดิมของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน มันใช้ลำแสงอิเล็กตรอนไฟฟ้าแรงสูงในการสร้างภาพ ลำแสงอิเล็กตรอนถูกผลิตโดยปืนอิเล็กตรอนที่ทั่วไปแล้วได้ติดตั้งแคโทดที่มีไส้หลอดเป็นทังสเตนเพื่อเป็นแหล่งที่มาของอิเล็กตรอน ลำแสงอิเล็กตรอนถูกเร่งความเร็วโดยขั้วบวกปกติที่ 100 กิโลอิเล็กตรอนโวลท์ (kev) (40-400 kev) เมื่อเทียบกับแคโทด จากนั้นลำแสงจะถูกโฟกัสโดยเลนส์ไฟฟ้าสถิตและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและส่องผ่านชิ้นงานที่มีบางส่วนที่โปร่งใสกับอิเล็กตรอนและบางส่วนกระจายลำแสงออกไป เมื่อลำแสงอิเล็กตรอนผ่านพ้นออกมาจากชิ้นงานมันจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของชิ้นงานออกมาด้วยซึ่งจะมีการขยายโดยระบบเลนส์ใกล้วัตถุ () ของกล้องจุลทรรศน์นั้น การเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ในข้อมูลนี้ (\"ภาพ\") อาจสามารถดูได้โดยการฉายภาพอิเล็กตรอนที่ถูกขยายแล้วนี้ลงบนหน้าจอดูเรืองแสงที่เคลือบด้วยวัสดุสารเรืองแสงหรือ scintillator เช่นสังกะสีซัลไฟด์ หรืออีกทางเลือกหนึ่งภาพสามารถถูกบันทึกได้แบบการถ่ายรูปโดยการฉายแสงอิเล็กตรอนโดยตรงลงบนแผ่นฟิล์มถ่ายรูป หรือสารเรืองแสงความละเอียดสูงอาจต่อเข้ากับตัวรับแสงของกล้องถ่ายรูปที่ใช้ CCD (อุปกรณ์ถ่ายเทประจุ) ด้วยระบบเลนส์ออปติคอลหรือตัวนำแสงแบบใยแก้ว ภาพที่จับได้โดย CCD อาจจะแสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์"
] |
ทักษิณ ชินวัตร เกิดเมื่อไหร่ ? | [
"ทักษิณ ชินวัตร (เกิด 26 กรกฎาคม 2492) เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2549 เป็นพี่ชายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28 และ เป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะแห่งมหาวิทยาลัยทากุโชกุ เคยเป็นนักธุรกิจโทรคมนาคมและการสื่อสาร ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคมและการสื่อสารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[1] เจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน (ชั้นยศสูงสุดที่ นายกองใหญ่) อดีตข้าราชการตำรวจ (ชั้นยศสูงสุดที่ พันตำรวจโท) อดีตเจ้าของและประธานสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี อดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ปัจจุบันถือสัญชาติมอนเตเนโกร[2]"
] | [
"หลังจากความสำเร็จในการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้ตัดสินใจนำบริษัทในกลุ่มชินวัตรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในระหว่างปี 2533 – 2537 อาทิ",
"ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นญาติของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากสุมาลี โตวิจักษณ์ชัยกุล น้าของสุรพงษ์ แต่งงานกับเสถียร ชินวัตร อาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เคยสมรสกับอัญชลี โตวิจักษณ์ชัยกุล มีบุตร 2 คน คือ ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล และศุภิสรา โตวิจักษณ์ชัยกุล ",
"ทักษิณ ชินวัตร หมวดหมู่:ทักษิณ ชินวัตร",
"เดิมเขาเคยเป็นผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร อย่างแข็งขัน แต่ต่อมาเป็นผู้นำขบวนการต่อต้านทักษิณ ช่วงต้น พ.ศ. 2549 สนธิเป็นหนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่นำการชุมนุมขับทักษิณ ชินวัตรจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนยุติบทบาทหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งโค่นรัฐบาลทักษิณ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 สนธิออกนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกครั้งในการประท้วงขับทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง หลังรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเข้าฝ่ายทักษิณชนะการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป โดยนำกลุ่มพันธมิตรฯ ปะทะกับกำลังความมั่นคง ตลอดจนยึดทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ สนธิเป็นผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์อยู่บ้าง และยุติการประท้วงของกลุ่มหลังอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี",
"จึงเห็นได้ว่าการยุบสภาเป็นเกมการเมืองของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการหนีการตรวจสอบว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือไม่ และทำให้ประชาชนหลงประเด็น เพราะประเด็นมิใช่การกล่าวหาว่าพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรโกงการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้แต่ไม่มีหลักฐาน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบหรือไม่ หรือมีการใช้อำนาจโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ซึ่งการแก้ปัญหาในประเด็นนี้ต้องใช้กระบวนการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เห็นอยู่แล้วว่าถ้าจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตนจะชนะการเลือกตั้ง เพราะประชาชนจำนวนมากเสพติดนโยบายประชานิยมของพันตำรวจโททักษิณ\"",
"นายพายัพ ชินวัตร (เกิด 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) เป็นผู้ดูแลภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ น้องชายคนเดียวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร",
"วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2546 วีไอเอฟสละสิทธิ์การซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ในราคาพาร์ให้บุตรสาวสองคนของทักษิณ ทั้งที่ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น มีวาระให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย เป็นเหตุให้วีไอเอฟต้องเสียผลประโยชน์ จากส่วนต่างของราคาหุ้น ต่อมาใน พ.ศ. 2547 บจก.วินมาร์คขายหุ้นบริษัทของครอบครัวชินวัตร 5 แห่ง ให้พิณทองทา ชินวัตร และบริษัทของครอบครัวชินวัตรอื่นอีก 2 บริษัทรวมเป็นเงิน 18.8 ล้านดอลลาร์ โดย บจก.วินมาร์คไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุน ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสงสัยว่า บจก.วินมาร์ค วีไอเอฟ โอจีเอฟ และโอดีเอฟ อาจเป็นนิติบุคคลอำพรางการถือหุ้น (นอมินี) ของทักษิณและครอบครัว[96] อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าความเป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตร กับความวุ่นวายของคดีความที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเอสซีแอสเสทหรือไม่ ยิ่งลักษณ์ตอบว่า \"90% ของลูกค้าที่เข้าชมโครงการ รับรู้อยู่แล้วว่าธุรกิจเราเป็นของใครตั้งแต่ทำมา เพิ่งมีลูกค้าเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ขอเงินคืน หลังจากที่รู้ว่าเราเป็นใคร เพราะไม่มั่นใจว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร\"[97]",
"แพทองธาร ชินวัตร (ชื่อเล่น: อุ๊งอิ๊งค์; เกิด: 21 สิงหาคม พ.ศ. 2529) บุตรสาวคนสุดท้อง ของดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ",
"พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2493 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และปริญญาโท พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สมรสกับ ดร.สิริกร มณีรินทร์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร",
"ในทางการเมืองในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เสธ.แดง ก็ได้แสดงบทบาทของตนเองออกมา ในตอนแรกได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปัญหาการฆ่าตัดตอนในสงครามกวาดล้างยาเสพติด ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และการปล้นปืนขึ้น ซึ่งเสธ.แดงเห็นว่าไม่ถูกต้อง รวมทั้งในประเด็นที่ เสธ. แดงได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์[6]",
"ทว่า เมื่อรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชเข้ามาบริหารประเทศได้ระยะเวลาหนึ่ง กลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า รัฐบาลแทรกแซงสื่อมวลชน รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม เช่นการย้ายข้าราชการในกระทรวงยุติธรรม อาทิ การย้ายสุนัย มโนมัยอุดม[6] อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำลังดำเนินคดีต่อทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ให้พ้นตำแหน่งอย่างเร่งด่วน พร้อมให้ตำรวจออกหมายจับสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.)[7] ในข้อหาหมิ่นประมาททักษิณ ชินวัตร และย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง[8] ซึ่งมีความใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตร มารักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ[5] และรัฐบาลยังประกาศอย่างชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 237 และมาตรา 309 ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวม 164 คน ได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม[9] ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการหลบเลี่ยงการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรคและต้องการยุบคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เพื่อตัดตอนคดีความที่กำลังดำเนินต่อทักษิณ ชินวัตร ครอบครัวและพวกพ้อง ตลอดจน ทำให้กระบวนการตรวจสอบนักการเมืองอ่อนแอลงจนไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายการเมืองได้[10][11]",
"นคร มาฉิมกลับมาปรากฏเป็นข่าวอีกครั้งเมื่อนครโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวขอโทษ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งตรงกับวันเกิดของ ทักษิณ โดยได้กล่าวยอมรับว่าเป็นส่วนในการล้มล้างรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสอง และกล่าวถึงกลุ่มสมคบคิดเพื่อล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้มีความพยายามจากพรรคประชาธิปัตย์ในการออกมาตอบโต้และกล่าวหาว่านครเอาความเท็จมานำเสนอ ",
"ร.ต.อ.ปุระชัย คัดค้านที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีมติเห็นชอบ \"ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ….\" ที่พยายามช่วยเหลือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นความผิด โดยยืนยันว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ควรที่ต้องรับโทษตามกฎหมายคดีทุจริตคอรัปชันก่อน ถึงจะมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับการอภัยโทษความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อรัฐ",
"เยาวลักษณ์ ชินวัตร เกิดวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นบุตรคนโตของนายเลิศ ชินวัตร กับนางยินดี ชินวัตร มีน้อง 9 คน ได้แก่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร), นางเยาวเรศ ชินวัตร (สมรสกับนายวีระชัย วงศ์นภาจันทร์), นางปิยนุช (สมรสกับนายสง่า ลิ้มพัฒนาชาติ), นายอุดร ชินวัตร, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (สมรสกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์), นายพายัพ ชินวัตร (สมรสกับนางพอฤทัย จันทรพันธ์), นางมณฑาทิพย์ (สมรสกับนายแพทย์สมชัย โกวิทเจริญกุล), นางทัศนีย์ ชินวัตร และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สมรสกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร) ",
"ระหว่างที่ทำงานราชการอยู่นั้น ได้มีโอกาสทำงานเสริมโดยเป็นอาจารย์พิเศษตามมหาวิทยาลัยต่างๆ และได้ไปช่วยวางระบบโทรศัพท์มือถือให้แก่ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ทำให้ได้พบและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของกิจการ และด้วยความคิดเขาที่ว่า ถ้ายังรับราชการแบบนี้ ต้องทำงานเหนื่อยแน่นอน จึงได้ตัดสินใจลาออกมาจาก การสื่อสารแห่งประเทศไทย และมาอยู่กับ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ปัจจุบันคือ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตามคำชักชวนของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร",
"สมัยที่สมยศดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมยศได้มีบทบาทชักนำประชาคมธรรมศาสตร์ออกมาเรียกร้องให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ปที่สะท้อนให้เห็นว่า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน โดยสมยศได้กล่าวปาฐกถาแสดงความเห็นในกรณีดังกล่าวว่า หลังจากที่ฝ่ายต่าง ๆ เตรียมตรวจสอบความไม่โปร่งใสของรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ทำให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ใชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร และกำหนดการเลือกตั้งใหม่อย่างกระชั้นชิดเกินไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนได้กลับเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอีกครั้ง เขากล่าวว่า",
"การประท้วงทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง เป็นเหตุการณ์ในประเทศไทยที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ และมีการชุมนุมปราศรัยเพื่อขับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็นครั้งแรก และเริ่มขยายเป็นวงกว้างขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 ส่วนหนึ่งจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา ในการรณรงค์ขับนี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลาย ๆ กลุ่ม ในเรื่องกระบวนการและประเด็นในการขับ ส่วนในกลุ่มที่สนับสนุน ซึ่งประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคาราวานคนจน และขบวนรถอีแต๋นเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ได้รวมตัวชุมนุมเพื่อสนับสนุนให้นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย ผลจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่อดีตพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชนและพรรคชาติไทยไม่ได้ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค ยังคงได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (56.45% ในผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ) แต่ในบางพื้นที่ของเขตซึ่งไม่มีผู้สมัครอื่นลงแข่งนั้น ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไม่ออกเสียงและบัตรเสีย แต่ในท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ในวันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้มีกลุ่มเครือข่ายแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และอาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย ล่าชื่อกว่า 92 คน ปลุกกระแส \"ต้านทักษิณ\" และออกแถลงการณ์ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ยุติบทบาทจากการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งในการเสวนาโต๊ะกลมเรื่องการร่วมกันแก้ไขวิกฤตปัญหาของบ้านเมือง ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของแกนนำเครือข่ายการต่อต้าน การประท้วงขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากการก่อรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อนวันที่จะมีการชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายในวันที่ 20 กันยายน ขณะที่พ.ต.ท. ทักษิณชินวัตร กำลังเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก",
"ทักษิณ ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรคนที่สอง ในจำนวน 10 คนของนายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร ธิดาของเจ้าจันทร์ทิพย์ (ณ เชียงใหม่) ระมิงค์วงศ์[29] ผู้เป็นธิดาในเจ้าไชยสงคราม (สมพมิตร ณ เชียงใหม่)",
"ระบอบทักษิณ () เป็นคำที่นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์บางส่วนนิยามการปกครองประเทศไทยในสมัยที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพื้นฐานเป็นประชานิยม มีคนยากจนจำนวนมากได้ประโยชน์จากนโยบายต่าง ๆ นำไปสู่ความนิยมจนเป็นฐานเสียงในการเลือกตั้ง ทำให้ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งทุกครั้ง จนสามารถบริหารประเทศได้ด้วยเสียงของพรรคเดียว บ้างก็เรียกแบบการปกครองนี้ว่า \"ทักษิณาธิปไตย\" \"ระบบเผด็จการโดยเสียงข้างมาก\" และ \"ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์จากการเลือกตั้ง\" ซึ่งบางส่วนมาจากคำจำกัดความของระบอบทักษิณ ซึ่งได้เป็นการเพิ่มความชอบธรรมให้กับการขับไล่ทักษิณ ชินวัตรให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2548-2549",
"จากกรณีการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ทำให้บุคคลบางกลุ่มที่ต่อต้านทักษิณ และที่เห็นว่าทักษิณหลีกเลี่ยงภาษี ร่วมกันแสดงท่าทีขับไล่ทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงการเข้าร่วมชุมนุมประท้วง ที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทักษิณจัดขึ้นนานมาแล้ว จนเมื่อเกิดการขายหุ้นดังกล่าว ตามที่สนธิ ลิ้มทองกุลคาดการณ์ไว้แล้ว ส่งผลให้มีผู้ร่วมชุมนุมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด",
"นายผัน จันทรปาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2481 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งจากตุลาการศาลปกครองสูงสุด และเป็นตุลาการที่ได้เข้าร่วมตัดสิน \"คดีซุกหุ้น\" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 โดยอยู่ในฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นความผิดและให้เหตุผลเหมือนกับตุลาการอีก 3 คนคือ กระมล ทองธรรมชาติ จุมพล ณ สงขลา และศักดิ์ เตชาชาญ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะแสดงบัญชีทรัพย์สินได้พ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เพียงแต่ยังรักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่",
"เที่ยวบินนี้มีบุคคลสำคัญหลายคนเดินทางไปด้วย รวมทั้งพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และพานทองแท้ ชินวัตร บุตร ซึ่งจะเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ หลังเกิดเหตุ พันตำรวจโท ทักษิณ แถลงว่า การระเบิดนี้เป็นการก่อวินาศกรรมเพื่อหวังลอบสังหารตนเอง โดยฝีมือของผู้เสียผลประโยชน์ชาวต่างชาติ (ว้าแดง) เนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล หลังจากที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานของไทยตรวจพบหลักฐานที่เชื่อว่าอาจเป็นร่องรอยของระเบิดซีโฟร์หรือเซมเท็กซ์ (Semtex) ",
"นับตั้งแต่การเคลื่อนไหวต่อต้าน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พานทองแท้ก็ถูกโจมตีและเผยแพร่ข่าวลือด้านลบมาโดยตลอดโดยกลุ่มผู้ต่อต้านทักษิณ พานทองแท้เริ่มมีบทบาททางการเมืองเด่นชัดนับจากปี 2555 จากกรณีการกล่าวหาว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนีทหาร และจากนั้นพานทองแท้ก็ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยการจ้างคอลัมนิสต์เขียนผ่านทางเฟสบุ๊คของตัวเอง และเป็นประเด็นในสื่อกระแสหลักเรื่อยมา หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เขาถูกทหารควบคุมตัว ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่\nและปรากฏข้อมูลในเอกสารคำร้องฝากขังกลุ่มแอดมินเพจ “เรารักพล.อ.ประยุทธ์” ระบุว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เงินสนับสนุน",
"เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุติบทบาททางการเมืองโดยเด็ดขาดทันที เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรตรวจสอบเข้ามาพิสูจน์ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่มีต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ เรียกร้องให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐคำนึงถึงศักดิ์ศรีว่ามิใช่ข้าพนักงานของบริษัทรัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรม การเดินขบวนเรียกร้อง จนกว่าจะขับทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ ไม่อยากให้มีการตะโกนไล่ แต่อยากเห็นคนไทยไม่ต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อพบเห็นก็รวมกลุ่มกันหัวเราะไล่ผู้นำดีกว่าการใช้ความรุนแรง ไม่สนับสนุนหรือซื้อสินค้าของบริษัท ห้างร้าน ที่เชื่อว่าสนับสนุนระบอบทักษิณ เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น ไทยแอร์เอเชีย เป็นต้น",
"ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล เริ่มเข้าสู่งานการเมือง โดยการชักชวนของทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคพลังธรรมและได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 สังกัดพรรคพลังธรรม ต่อมา ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล จึงเข้าร่วมกับทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และได้รับตำแหน่งเป็นโฆษกพรรคคนแรก (คณะกรรมการชุดที่ขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง) กระทั่งในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ผู้แทนการค้าไทย และต่อมาจึงได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ",
"วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ของทักษิณ ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นของ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ที่ครอบครองอยู่ทั้งหมด ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จำกัด (พีทีอี) ซึ่งทักษิณชี้แจงว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่กลับมีบุคคลบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายที่ว่าด้วยการขายหุ้นในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกรณีดังกล่าว รวมทั้งการไม่ต้องเสียภาษีรายได้จากผลกำไรในการขายหุ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นจุดสำคัญที่ทำให้กระแสการขับทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขยายตัวออกไปในวงกว้าง",
"กรณีตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ได้ขายหุ้นที่ครอบครองอยู่ทั้งหมดในกลุ่มบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ชินคอร์ป) ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด (เทมาเส็ก) หรือ กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ผ่านบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำนวน 1,487,740,000 หุ้น (49.595% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) มูลค่าหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 73,271,200,910 บาท ซึ่งเป็นการขายหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทย ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมไทย โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชี้แจงว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดที่ทำให้ การขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขยายตัวออกไปในวงกว้าง ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรในที่สุด เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549",
"เมื่อปี พ.ศ. 2549 วีระได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กรณีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำความผิดตามกฎหมาย ปปช. มาตรา 100 ซึ่งต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ให้จำคุกพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี",
"พานทองแท้ ชินวัตร ชื่อเล่น: โอ๊ค (2 ธันวาคม พ.ศ. 2522) นักธุรกิจชาวไทย สมาชิกพรรคเพื่อไทย บุตรชายของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย กับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา มีน้องสาวสองคน คือพินทองทา และแพทองธาร"
] |
แม่น้ำโขงอยู่ในกรุงเทพฯ ใช่หรือไม่? | [
"แม่น้ำโขง (Burmese: မဲခေါင်မြစ်; Lao: ແມ່ນ້ຳຂອງ; Khmer: ទន្លេដ៏ធំ; Vietnamese: Mê Kông) มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมาลัย เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง และ หิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบตในบริเวณตอนเหนือของประเทศทิเบตและบริเวณมณฑลชิงไห่ของประเทศจีน ไหลผ่านบริเวณที่ราบสูงทิเบต และ มณฑลชิงไห่ ประเทศจีน ผ่านประเทศจีน ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และออกสู่ทะเลจีนใต้ที่ประเทศเวียดนาม มีความยาวทั้งหมด 4,880 กิโลเมตร เป็นความยาวในประเทศจีน 2,130 กิโลเมตร ช่วงที่แม่น้ำไหลผ่านมณฑลยูนนาน ประเทศจีนมีชื่อเรียกว่า แม่น้ำหลานชาง หรือ หลานชางเจียง (จีนตัวย่อ: 澜沧江, จีนตัวเต็ม: 瀾滄江) หมายถึง<b data-parsoid='{\"dsr\":[2088,2108,3,3]}'>แม่น้ำล้านช้าง และเมื่อไหลผ่านเข้าเขตประเทศพม่าและประเทศลาว เรียกว่า แม่น้ำของ รวมถึงคำเมืองล้านนาก็เรียก น้ำของ เช่นกัน ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า แม่น้ำโขง"
] | [
"ตามหลังจีนและอินเดีย ยังมีประเทศขนาดเล็กแถวสองที่มีการขาดดุลน้ำอย่างมากเช่นกัน ได้แก่ อัลจีเรีย อียิปต์ อิหร่าน เม็กซิโกและปากีสถาน สี่ประเทศในจำนวนนี้ได้นำเข้าธัญพืชคิดเป็นสัดส่วนมาก มีเพียงปากีสถานเท่านั้นที่ยังพึ่งพาตนเองในขอบเขต แต่ด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นในอัตรา 4 ล้านคนต่อปี อีกไม่นานปากีสถานก็จะต้องหันไปพึ่งธัญพืชจากตลาดโลกเช่นกัน[32][33] ตามรายงานภูมิอากาศของสหประชาชาติ ธารน้ำแข็งหิมาลัยซึ่งเป็นแหล่งน้ำในฤดูแล้งที่สำคัญของแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ แม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำแยงซี แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวินและแม่น้ำเหลือง อาจหายไปเมื่อถึง ค.ศ. 2035 เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นและความต้องการของมนุษย์เพิ่มขึ้น[34] ในภายหลังได้มีการเปิดเผยว่า แหล่งข้อมูลที่ใช้โดยรายงานภูมิอากาศของสหประชาชาติอ้างตัวเลข ค.ศ. 2350 มิใช่ ค.ศ. 2035[35] มีประชากรอย่างน้อย 2.4 พันล้านคนอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มระบายน้ำของแม่น้ำที่มีต้นน้ำอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย[36] อินเดีย จีน ปากีสถาน อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ เนปาล และพม่าอาจประสบอุทกภัยที่เกิดหลังภัยแล้งอย่างรุนแรงในทศวรรษที่จะถึงนี้[37] เฉพาะในอินเดียประเทศเดียว แม่น้ำคงคาเป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคและเกษตรกรรมแก่ประชากรมากกว่า 500 ล้านคนแล้ว[38][39]",
"จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองพิชัยได้เป็นเมืองสำคัญขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เพราะเมื่อเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เป็นขบถ กองทัพจากกรุงเทพฯ ยกขึ้นไปปราบปราม และโปรดให้เลิกอาณาเขตศรีสัตนาคนหุตไม่ให้มีดังแต่ก่อน เมืองพิชัยได้หัวเมืองขึ้นหลายเมือง ขยายเขตแดนออกไปถึงแม่น้ำโขง ต้องตรวจตรารักษาการทางเมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดจนเมืองหลวงพระบาง",
"การเสียชีวิตของมัสซีทำให้โอกุสต์ ปาวีเป็นกงสุลฝรั่งเศสคนใหม่ ในเดือนมีนาคม 2436 ปาวีเรียกร้องให้สยามอพยพที่มั่นทางทหารทั้งหมดบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง ใต้คำม่วน โดยอ้างว่าดินแดนนั้นเป็นของเวียดนาม เพื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องเหล่านี้ ฝรั่งเศสส่งเรือปืน \"\"ลูแตง\"\" มายังกรุงเทพฯ ซึ่งผูกเรืออยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยาติดกับสถานอัครราชทูตฝรั่งเศส",
"ประมาณปี พ.ศ. ๒๒๖๐ พวกส่วยซึ่งอยู่ในอัตปือแสนแป ใกล้ๆ กับนครจำปาศักดิ์ คงจะเป็นพวกทหารในบังคับบัญชาของหัวหน้าเผ่าลาวอีกเผ่าหนึ่ง ชื่อ ขุนเจือง (มิใช่ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง) คนเผ่านี้เป็นเผ่านักรบ ชอบอิสระ ไม่ชอบให้เผ่าอื่นใดมาครอบครอง การรบส่วนมากใช้ช้าง เพราะพวกนี้มีความชำนาญในเรื่องช้างมาก ถึงกลับใช้หลังช้างเป็นที่อยู่และเป็นพาหนะด้วย ต่อมาเมื่อขุนเจืองสิ้นชีพลง อำนาจของส่วยก็เสื่อมลงไปด้วย พวกส่วยจึงหาทางหนีจากที่เดิมไปหาที่อยู่ใหม่ (บางฉบับว่าหนีเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑) พวกส่วยได้มุ่งหน้าสู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ณ บริเวณอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ในปัจจุบัน ที่ตรงนี้เป็นที่แม่น้ำมูลไหลลงสู่แม่น้ำโขง (แต่ปากแม่น้ำมูลตอนนี้อยู่ในเขตประเทศลาว) พวกส่วยข้ามโขงมาจากฝั่งใต้ของแม่น้ำมูล เพื่อนำกองคาราวานข้าม เลือกได้บริเวณกว้างที่สุดแต่น้ำตื้น คือ ที่อำเภอพิบูลมังสาหาร แม่น้ำตอนนี้ส่วยเรียกว่า “กะชัญปื้ด” (งูใหญ่) แต่เพี้ยนมาเป็น “แก่งสะพือ” เมื่อข้ามแม่น้ำมูลได้แล้ว ชาวส่วยได้ข้ามมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ คงจะเดินทางข้ามแม่น้ำมูลจนมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง คือ ลำโดม (ภาษาส่วยเรียกว่า โตมะ ท่าน้ำ) กองคาราวานได้มุ่งหน้ามาถึงเขตอำเภอวารินชำราบ ในปัจจุบันเป็นชื่อตำบลหนึ่งว่า “โกนจอ” (ลูกหมา) และจนมาถึงตำบลหนึ่งเรียกว่า “จะละแมะ” (อีเห็น) แต่บางท่านอธิบายว่า คำนี้อาจจะเพี้ยนมาจากคำว่า “แจะละแม” ซึ่งแปลว่าลองชิมดูซิ (การเอามือไปแตะเกลือหรือน้ำตาล หรือ เอาอาหารอื่นใดมาแตะที่ลิ้นภาษาถิ่นอิสานเรียกว่า แจะ) สถานที่ที่มีชื่อต่างๆ เหล่านี้ เข้าใจว่าจะเป็นที่พักอยู่นานพอสมควร คำส่วยจึงตกอยู่ที่นั้น จากที่กองคาราวานได้เปลี่ยนเส้นทางสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้สู่จังหวัดขุขันธ์ คือศรีสะเกษ ในปัจจุบันมาถึงตำบลเจียงอี (ช้างป่วย) ในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ คงได้หยุดพักนานพอสมควร ต่อจากนั้นได้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยได้แยกกันออกเป็นหลายพวก แต่ละพวกมีหน้าที่ควบคุมมา และตั้งถิ่นฐาน ดังนี้",
"ทะเลสาบเขมร หรือ โตนเลสาบ ( \"บึงทนฺเลสาบ\") เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บริเวณตรงกลางของประเทศกัมพูชา มีพื้นที่ ประมาณ 7,500 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 7 เท่า ความลึกโดยเฉลี่ย อยู่ที่ 10 เมตร และเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ทำให้โตนเลสาบขยายตัวออกกว้างมากถึง 6 เท่า ทะเลสาบเขมรเกิดจากแม่น้ำโขง ซึ่งแม่น้ำโขงไหลผ่านมีความยาวถึง 500 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ กำปงธม กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมราฐ เป็นทะเลสาบที่มีปลาน้ำจืดชุกชุมมากแห่งหนึ่งประมาณ 300 ชนิด จึงมีชาวกัมพูชาเป็นจำนวนมากที่ประกอบอาชีพประมงในบริเวณทะเลสาบแห่งนี้",
"จนกระทั่งมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เปิดประตูเขื่อนปากมูลขึ้นทั้ง 8 บาน เป็นระยะเวลา 1 ปี ทางคณะนักวิจัยไทบ้าน ได้ลงพื้นที่ศึกษาและสำรวจชนิดปลาที่พบในแม่น้ำมูลเป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2544 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 พบว่ามีชนิดปลาเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่าเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำมูลและสาขาของแม่น้ำโขงในบริเวณใกล้เคียงกัน 265 ชนิด ซึ่งเป็นปลาที่อพยพจากแม่น้ำโขง 134 ชนิด โดยเป็นปลาจากต่างถิ่น (ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น) 7 ชนิด และหลายชนิดเป็นปลาอพยพที่ต้องเดินทางไกลเป็นพันกิโลเมตรจากดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ในเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิด อาทิ ปลาไหลหูขาว, ปลากะพงขาว เพื่อเจริญเติบโต",
"\"ฝ่ายเขตแดนในระหว่างเมืองหลวงพระบางข้างฝั่งขวาแม่น้ำโขง แลเมืองพิชัย กับเมืองน่านนั้น เขตแดนตั้งต้นแต่ปากน้ำเฮียงที่แยกจากแม่โขง เนื่องไปตามกลางลำน้ำแม่เฮียง จนถึงที่แยกปากน้ำตาง เลยขึ้นไปตามลำน้ำตางจนบรรจบถึงยอดภูเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกแม่โขง แลดินแดนน้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงที่แห่งหนึ่งที่ภูเขาแดนดิน ตั้งแต่ที่นี้ เขตแดนต่อเนื่องขึ้นไปทางทิศเหนือตามแนวยอดเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกแม่โขงแลดินแดนน้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยา จนบรรจบถึงปลายน้ำควบแล้ว เขตต่อแดนเนื่องไปตามลำน้ำควบจนบรรจบกับแม่น้ำโขง\"",
"หน้าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงถือเป็นดินดอนสามเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม โดยเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงธิเบตแล้วไหลมาทางทิศใต้ผ่าน 7 ประเทศ ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ที่บริเวณนี้ โดยบริเวณที่เกิดการสะสมตัวของตะกอนในลักษณะของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นพบว่าแม่น้ำโขงมีการแตกออกเป็นสาขาย่อยๆ หลายสาขา ",
"ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ถือเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม โดยเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงทิเบตแล้วไหลมาทางทิศใต้ผ่าน 7 ประเทศ ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ที่บริเวณนี้ โดยบริเวณที่เกิดการสะสมตัวของตะกอนในลักษณะของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นพบว่าแม่น้ำโขงมีการแตกออกเป็นสาขาย่อย ๆ หลายสาขา ",
"ปลาหมูอารีย์เป็นปลาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นปลาหมูชนิดที่มีสีสันสวยงามมากที่สุด และสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างเต็มที่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากถิ่นที่อยู่ไม่กว้างขวาง โดยพบเฉพาะลุ่มแม่น้ำแม่กลองแถบจังหวัดราชบุรีและลุ่มแม่น้ำสาละวินในจังหวัดกาญจนบุรี ในต่างประเทศพบที่แม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงบริเวณเมืองปากเซ ประเทศลาวเท่านั้น แม้ว่าจะมีรายงานเพิ่มต่อมาในปี พ.ศ. 2532 ว่าพบในลำน้ำว้า จังหวัดน่านด้วยก็ตาม แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ปลาหมูอารีย์ หากแต่เป็นปลาหมูน่าน (\"A. nigrolineata\") ซึ่งเป็นปลาหมูในสกุลเดียวกัน และมีลักษณะและสีสันคล้ายคลึงกัน สำหรับปลาหมูอารีย์ที่พบในลุ่มแม่น้ำน่านจะพบในเขตจังหวัดพิษณุโลกและบึงบอระเพ็ดด้วย",
"ลักษณะสำคัญของแม่น้ำโขงคือ มีตลิ่งที่สูงชันมากทั้งสองฝั่ง ไหลเลี้ยวเลาะไปตามไหล่เขา กระแสน้ำจะไหลจากทางเหนือลงสู่ทางใต้ตลอดทั้งปี ระดับน้ำในฤดูฝนกับฤดูแล้งจะมีความแตกต่างกันอย่างมาก ความเร็วของกระแสน้ำขึ้นอยู่กับแต่ละฤดูกาล ดินในแม่น้ำโขงเป็นดินทราย มีเกาะแก่งน้อยใหญ่กว่าหนึ่งร้อยแห่งเรียงรายตลอดแม่น้ำ การที่แม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศเช่นเดียวกับแม่น้ำดานูบในยุโรป ทำให้บางคนเรียกว่าแม่น้ำนานาชาติ และทำให้ได้รับการขนานนามว่า แม่น้ำดานูบตะวันออก",
"แม่น้ำโขงในกัมพูชาไหลลงไปทางใต้ โดยเริ่มจากชายแดนลาว-กัมพูชา ที่ตำแหน่งใต้เมืองกระแจะ แล้วไหลไปทางตะวันตก 50 กิโลเมตร แล้วจึงไหลต่อลงไปทางใต้จนถึงพนมเปญ ช่วงก่อนถึงเมืองกระแจะน้ำไหลแรงมาก แต่หลังจากกำปงจามไปน้ำจะไหลช้า และเกิดน้ำท่วมในเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ในพนมเปญมีบริเวณที่เรียกจัตุรมุข ซึ่งแม่น้ำโขงไหลมาจากตะวันออกเฉียงเหนือลงไปทางใต้ มีน้ำจากทะเลสาบเขมรไหลมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ มารวมกับแม่น้ำโขง และมีแม่น้ำบาสักไหลแยกจากแม่น้ำโขงเพื่อไปลงทะเลจีนใต้ การไหลของน้ำในทะเลสาบขึ้นกับฤดูกาล กันยายนถึงตุลาคม น้ำจากแม่น้ำโขงจะไหลเข้าทะเลสาบ ทะเลสาบจะขยายกว้างขึ้น เมื่อถึงฤดูแล้ง น้ำในแม่น้ำโขงลดระดับลง น้ำจะไหลออกจากทะเลสาบลงสู่แม่น้ำโขง แหล่งน้ำหลักของประเทศกัมพูชา มีดังนี้",
"บริเวณเมืองเมืองตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ไหลย้อนขึ้นและไหลลง ชาวเมืองเรียกบริเวณนี้ว่า \"โขงโค้ง\" ทางตอนกลางของเมืองมีแม่น้ำลาบ ไหลผ่านลงไปแม่น้ำโขง หากนั่งเรือจากเชียงแสนขึ้นไปราว 82 กม. ตลอดฝั่งลำน้ำโขงบริเวณเมืองเชียงลาบจะพบหินมหัศจรรย์ ซึ่งเป็นหิน 7 สีตลอดสองฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในแม่น้ำโขงที่เมืองเชียงลาบ และถือว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์",
"เครือข่ายสถาบันการศึกษาและวิจัยในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง () คือเครือข่ายด้านการศึกษาและการวิจัยในลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีจุดมุ่งหมายที่ส่งเสริมกิจกรรมทางด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยร่วมกัน ทรัพย์สินทางปัญญา และการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวกับประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเน้นที่ประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีและการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจเป็นหลัก",
"ดินแดนลาวทั้งหมดก็เปลี่ยนไปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ประเทศฝรั่งเศส จากการใช่เล่ห์เหลี่ยมของโอกุสต์ ปาวี กงสุลฝรั่งเศส โดยการใช้เรือรบมาปิดอ่าวไทยเพื่อบังคับให้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมทั้งดินแดนอื่น ๆ ลาวถูกรวมเข้าเป็นอินโดจีนของฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2436",
"แม่น้ำโขงนับเป็นแม่น้ำสายที่ยาวเป็นอันดับที่ 10 ของโลก และเป็นแม่น้ำที่มีความหลากหลายของชนิดปลามากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากแม่น้ำแอมะซอนในทวีปอเมริกาใต้ และแม่น้ำคองโกในทวีปแอฟริกา\nหลังจากมีการสร้างและเปิดใช้เขื่อนปากมูลขึ้นในปี พ.ศ. 2537 พบว่ามีชนิดปลาที่พบในแม่น้ำมูล ซึ่งเป็นลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขงลดลงมาก เนื่องจากเป็นผลกระทบของการสร้างเขื่อน ซึ่งในเรื่องนี้ชาวบ้านพื้นถิ่นได้คัดค้านและประท้วงมาโดยตลอด",
"ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของโฮจิมินห์ซิตี โดยมีการสะสมตัวของตะกอนเกิดเป็นรูปร่างคล้ายรูปสามเหลี่ยมซึ่งกินพื่นที่เป็นบริเวณกว้าง กล่าวคือพื้นที่บางส่วนของจังหวัดเตี่ยนยางทางทิศตะวันออกถึงจังหวัดอันยางและจังหวัดเกียนยางทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยถ้ามองสัดส่วนที่กว้างขึ้นเราจะพบว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้นตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม ",
"ชื่อเดิมตามศิลาจารึกว่า \"เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี\" นั้นหมายถึงเมืองที่มีชัยชนะและอุดมสมบูรณ์ ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่า ในสมัยที่ตั้งเมืองนั้นมีการทำสงครามระหว่างกรุงเทพฯ - เมืองเวียงจันทน์ - ญวนอยู่บ่อยๆ สำหรับเรื่องความอุดมสมบูรณ์นั้นเล่ากันว่า ไชยบุรีเป็นเมืองที่ \"ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว\" อย่างอุดมสมบูรณ์เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำสงครามจึงจับปลา ได้อย่างสะดวก และไม่ได้พูดเกินความจริงเลยว่า สมัยเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมา ปลาในแม่น้ำโขงแม่น้ำสงครามมีมาก ขนาดที่เพียงแต่พายเรือเลียบไปตาม ริมฝั่งน้ำในเวลา ประมาณ 1 ทุ่มเป็นต้นไปโดยพายไปเบาๆ พอไปถึงจุดใดจุดหนึ่งแล้วก็กระทึบเรือ หรือขย่มเรือให้มีเสียงดังก็มีปลา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาสร้อย) ตกใจแล้วกระโดดเข้าไปในเรือเองเป็นจำนวนมาก ทำอย่างนี้ไปประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็ได้ปลาเหลือใช้แล้ว แจกญาติพี่น้อง แต่ภายหลังมาเปลี่ยนเป็น \"ไชยบุรี\" นั้นก็เพราะว่า ค่านิยมในเรื่องภาษา หรือการใช้ภาษาในท้องถิ่นนี้ ไม่ชอบพุดคำยาวๆ เช่น \n\"เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี\" ก็ใช้เพียงคำ หัว กับ ท้าย ส่วนกลางตัด ดังนั้นจึงเหลือเพียง \"ไชยบุรี\" เท่านั้น เพราะเรียกง่ายและจำง่าย ",
" พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์เป็นขบถต่อกรุงเทพฯ ได้กวาดต้อนผู้คนไปอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตั้งเมืองขึ้นใหม่ชื่อ เมืองหลวงปุงลิง ทิ้งเมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี เป็นเมืองร้าง ต่อมาได้สวามิภักดิ์ต่อเจ้าแผ่นดินญวนคือ เจ้าฟ้าสามกวนหลวง จึงแต่งตั้งให้ท้าวพระปทุมเป็นเจ้าเมืองปุงลิงแทน และให้ท้าวจารย์ญาเป็นอุปฮาด ท้าวจันทร์ศรีสุราช (โสม) เป็นราชวงค์ และท้าวปุเป็นราชบุตร",
"ภายหลังสงครามโลกสงบ ในวันที่ 30 ตุลาคม ทางราชการได้รื้อฟื้นคดีสังหารเสรีไทยสองนายขึ้น โดยพ.ต.โผน อินทรทัต พ.ต.บุญมาก เทศบุตร และ ร.อ.อานนท์ ณ ป้อมเพชร ร่วมเดินทางไปที่แม่น้ำโขง เขตอำเภอเชียงแมน จังหวัดล้านช้าง พร้อมด้วยอดีตนายอำเภอเชียงแมน นายยุทธ หนุนภักดี และตำรวจจากส่วนกลางประมาณ 9 นาย ไปยังจุดที่ พ.ต.การะเวก, พ.ต.สมพงษ์ และพ่อค้าที่ชื่อนายบุญช่วย ถูกตำรวจไทยฆาตกรรม เพื่อสืบสวนสอบสวนค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น และได้นำอัฐิของ พ.ต.การะเวก ศรีวิจารณ์ กลับกรุงเทพฯด้วย ส่วนพ.ต.สมพงษ์ ศัลยพงษ์ ถูกยิงทิ้งและจมหายไปในแม่น้ำโขง หาศพไม่เจอ",
"ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า แม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค 2 ตน จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พญานาคแห่งแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ด (จุด) บั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลายเป็นประเพณีทุกปี",
"หลวงพ่อพระใส จัดสร้างขึ้นโดย พระราชธิดาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่ง ล้านช้าง ทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระสุก พระเสริม และพระใส, ส่วนพระสุกนั้นได้จมลงที่แม่น้ำโขงขณะอัญเชิญลงมายังกรุงเทพ บริเวณที่พระสุกจมลงชาวบ้านจึงเรียกว่า \"เวินพระสุก\" ยังปรากฏมาจนปัจจุบันนี้ ส่วนพระเสริมนั้นได้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดปทุมวนาราม",
"ความขัดแย้งดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อข้าหลวงใหญ่อินโดจีนฝรั่งเศส ฌอง เดอ ลาแนสซัง ส่งโอกุสต์ ปาวีเป็นกงสุลมายังกรุงเทพฯเพื่อนำลาวมาอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส รัฐบาลในกรุงเทพฯ ซึ่งเชื่ออย่างผิด ๆ ว่ารัฐบาลอังกฤษจะสนับสนุน ปฏิเสธจะยกดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง กลับเสริมการแสดงตนทางทหารและการปกครองแทน",
"โขงเจียมมีเขตแดนทางตะวันออกติดแม่น้ำโขง เป็นที่ซึ่งแม่น้ำมูลไหลลงมาบรรจบบริเวณท้ายวัดโขงเจียม (วัดบ้านด่านเก่า) บริเวณที่แม่น้ำทั้งสองสายมาจดกันทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า น้ำสองสี โดยน้ำที่ไหลจากน้ำโขงจะมีสีขาวขุ่น ส่วนน้ำที่มาจากลำน้ำมูลมีลักษณะใสหรือสีเขียวอมฟ้าเล็กน้อย บางครั้งจะเรียกกันว่า \"โขงสีปูน มูลสีคราม\"",
"เนื่องจากแม่น้ำโขงไหลผ่านอำเภอต่างๆ เกือบทุกอำเภอ จึงก่อให้เกิดประโยชน์ในการเกษตรกรรม ราษฎรได้อาศัยแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราษฎรที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะได้รับประโยชน์มากกว่าราษฎรที่อยู่ลึกเข้าไปจากแม่น้ำโขง นอกจากนี้สำนักงานพลังงานแห่งชาติได้จัดตั้งสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ในพื้นที่ 9 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 82 สถานี เพื่อทำการสูบน้ำจากแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำอื่น ๆ ขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรกรรม",
"แม่น้ำโขงนับเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดกำเนิดจากที่ราบสูงทิเบต และมีจุดกำเนิดร่วมกับอีก 2 แม่น้ำ คือ แม่น้ำแยงซี และ แม่น้ำสาละวิน ไหลผ่านถึง 7 ประเทศ จนกระทั่งไหลไปออกทะเลจีนใต้ที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่เวียดนาม มีลำน้ำสาขาต่าง ๆ มากมาย รวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำอีกจำนวนมาก เช่น แม่น้ำมูล, แม่น้ำชี, แม่น้ำสงคราม, หนองหาน, ทะเลสาบเขมร ",
"อำเภอบุ่งคล้าตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาของสองประเทศคือภูวัวของประเทศไทยและภูงูของประเทศลาวที่มีแม่น้ำโขงไหลกั้น โดยที่ฝั่งประเทศลาวยังมีแม่น้ำกระดิ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงเยื้องกับบ้านบุ่งคล้า แม่น้ำกระดิ่งเป็นแม่น้ำที่ใสสะอาด เมื่อไหลลงสู่แม่น้ำโขงตรงบริเวณที่มาบรรจบกันจะทำให้เกิดเป็นแม่น้ำสองสีที่มีความสวยงามมากในหน้าแล้ง",
"ปัจจุบันพบว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีความกว้างของดินดอนสามเหลี่ยมใหญ่ที่สุดที่หนึ่งของโลกและกินพื้นที่ 39,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นสัดส่วนโดยมากของพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม พื้นที่ของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำนั้นขึ้นกับแต่ละฤดู เพราะปริมาณน้ำไม่เท่ากัน จากการศึกษาพบว่าบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้นมีการพัดพาของน้ำมาประมาณ 470 ลูกบากศ์กิโลเมตรต่อปี ซึ่งน้ำที่ไหลมาในบริเวณนี้ได้พัดพาตะกอนมาตกสะสมประมาณ 790,000-810,000 ตารางกิโลเมตรต่อปี ",
"เมื่อกองทัพเชียงใหม่สมัยพระเจ้ากาวิละ นำโดยเจ้าอุปราชธัมมลังกา และเจ้าคำฝั้น ได้ยกกองทัพขึ้นไปกวาดต้อนผู้คนจากเมืองยองและเมืองใกล้เคียง โดยเฉพาะหัวเมืองต่าง ๆ ทางตอนบนที่เคยมีความสัมพันธ์กันในด้านสังคมและวัฒนธรรมมาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูน และเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2348 ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของพระเจ้ากาวิละโดยการสนับสนุนของกรุงเทพฯ เพื่อฟื้นฟูบ้านเมืองต่าง ๆ ในล้านนา เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามและการยึดครองของพม่า เมืองเชียงแสนซึ่งเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายที่พม่าได้ใช้เป็นฐานกำลังสำคัญในการควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ในดินแดนทางตะวันออกบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางได้ถูกกองทัพของเจ้ากาวิละตีแตกในปี พ.ศ. 2347",
"ปรีดี พนมยงค์ และ 4 รัฐมนตรีอีสาน+1. บรรณาธิการร่วมกับ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และ หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์, 2544 “แม่น้ำโขง: จาก “ประตูหลัง” จีน-ยูนนาน ถึง “ประตูหลัง” อุษาคเนย์.” ใน ชาญวิทย์ และ อัครพงษ์ ค่ำคูณ. แม่น้ำโขง: จากต้าจู – ล้านช้าง – ตนเลธม ถึง กิ๋วล่อง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2549, หน้า 123-230. “ธรรมศาสตร์ ‘ตลาดวิชา’ ท่าพระจันทร์.” ใน จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์. ฉบับธรรมศาสตร์ 75 ปี. ฉบับที่ 13 (มิถุนายน 2552), หน้า 9-25"
] |
ใครเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทนิสสัน? | [
"มาสุจิโร ฮาชิโมะโตะ ได้ตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ไคชินชา ซึ่งแปลว่าบริษัทผลิตรถยนต์ที่ดี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ที่ตำบลอะซะบุในโตเกียว เป็นบริษัทผลิตรถยนต์บริษัทแรกของญี่ปุ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2457 บริษัทไคชินชาได้ผลิตรถยนต์รุ่นแรกชื่อว่า \"ดัต\" (DAT)[3][1][2]"
] | [
"นอกจากการเป็นนักดนตรีแล้ว เขายังเป็นโปรดิวเซอร์เพลง และร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ชื่อ แฮนด์เมดฟิล์มส งานของเขาในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ เขาร่วมงานกับผู้คนหลากหลายอย่าง มาดอนน่า และสมาชิกของกลุ่มมอนตี้ ไพธอน ด้านชีวิตส่วนตัวเขาแต่งงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกกับนางแบบ แพตตี บอยด์ ในปี 1966 และเลขาบริษัทค่ายเพลงที่ชื่อ โอลิเวีย ทรินิแดด อาเรียส ในปี 1978 ที่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ชื่อ ดานี แฮร์ริสัน เขายังเป็นเพื่อนสนิทกับอีริก แคลปตัน และอีริก ไอเดิล เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปอดเมื่อปี 2001",
"ศิษย์เก่าได้ตั้งหรือช่วยตั้งบริษัทที่น่าสนใจหลายบริษัทรวมทั้งบริษัทอินเทล (โดยโรเบิร์ต นอยซ์), บริษัทแมคดอนเนลล์ดักลาส (โดยเจมส์ แม็คดอนเนลล์ และโดนัลด์ ดักลาส), บริษัท Texas Instruments (โดยซีซิล กรีน), บริษัท 3Com (โดยโรเบิร์ต เม็ตคาล์ฟ), บริษัทควอลคอมม์ (โดย Andrew Viterbi), บริษัท Bose (โดย ศ.Amar Bose), บริษัท เรย์เธียน โดยรองอธิการบดีแวเนวาร์ บุช, บริษัท Koch Industries (โดยเฟร็ด คอช), บริษัท Rockwell International (โดยวิลลาด ร็อกเว็ลล์), บริษัท Genentech (โดยโรเบิร์ต สวอนสัน), บริษัท Dropbox (โดยดรู ฮูสตัน), และ บริษัท Campbell Soup (โดยจอห์น ดอร์เแรนซ์) หนังสือพิมพ์ประเทศอังกฤษ \"The Guardian\" ได้พิมพ์ข้อความไว้ว่า\nศิษยเก่าของที่เป็นผู้นำสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษารวมทั้ง อธิการบดีซูบรา ซูเรชของมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน, อธิการบดีจอห์น เมดาของโรงเรียนดีไซน์โรดไอแลนด์, อธิการบดี Joseph Aoun ของมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทอร์น, รองอธิการบดีอะดิล นาจัมของมหาวิทยาลัยวิทยาการจัดการแห่งลาฮอร์ (Lahore University of Management Sciences) ประเทศปากีสถาน, อธิการบดีหญิงเชอร์ลีย์ แจ็คสันของสถาบันโพลิเทคนิคเรนส์ซเลียร์, อธิการบดี Suh Nam-pyo ของสถาบันชั้นสูงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกาหลี, คณบดีเพอร์เวซ ฮูดพอยของคณะฟิสิกส์ที่ Quaid-e-Azam University แห่งประเทศปากีสถาน, อดีตอธิการบดีเดวิด แซกซอนของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์, อดีตอธิการบดีลอเร็นซ์ ซัมเมอร์สของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, Provost ราแม็ต ชูเรชีของสถาบันเทคโนโลยีนิวยอร์ก, อดีตอธิการบดีวิลเลียม โบรดีของมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์, อดีตอธิการบดีลาร์รี บาคาวของมหาวิทยาลัยทัฟส์, อดีตอธิการบดีอัลเบิร์ต ซีโมนของสถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์, อดีตอธิการบดี (และผู้ก่อตั้งสถาบัน) ยูเฮนิโอ ซาดาของสถาบันเทคโนโลยีและการศึกษาระดับสูงมอนเตร์เรย์, อดีตอธิการบดีมาร์ติน จิชของมหาวิทยาลัยเพอร์ดู, และอดีตอธิการบดีมาร์แชล ฮานของเวอร์จิเนียเทค",
"หลังจากการยกเลิกการผลิต 300ZX ก็มีกระแสเรียกร้องล้นหลามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กลับมาผลิต Z อีกครั้ง อีกทั้งการยกเลิกรถสปอร์ตรุ่นนี้ ยังทำให้นิสสันสูญเสียภาพลักษณ์ของการเป็นยี่ห้อรถที่ผู้คนหลงใหลใฝ่ฝัน (Image Leader) ตกต่ำกลายเป็นภาพลักษณ์ที่เชื่องช้า ไม่น่าสนใจ นิสสันตกอยู่ในสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่ ซึ่งในสมัยนั้น มีรถญี่ปุ่นอีก 2 ยี่ห้อที่อยู่ในสภาวะขาดทุนเช่นเดียวกัน คือ มิตซูบิชิและอีซูซุ แต่นิสสันได้รับการช่วยเหลือ จากการที่บริษัทรถฝรั่งเศส ชื่อเรโนลต์ (Renault) ได้เข้าซื้อหุ้นนิสสัน 44.4% ทำให้ Carlos Ghosn จากเรโนลต์ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO นิสสัน เขาตัดสินใจจะให้นิสสันกลับมาผลิต Z อีกครั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีของ Carlos Ghosn ในฐานะ CEO",
"บริษัทนิสสันมอเตอร์จำกัด (อังกฤษ: Nissan Motor Company Ltd ญี่ปุ่น: 日産自動車株式会社) มักเรียกสั้น ๆ ว่า นิสสัน (/ˈniːsɑːn/ หรือ UK: /ˈnɪsæn/) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่น มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิชิกุ เมืองโยโกฮาม่า โดยนิสสันได้จำหน่ายรถยนต์ภายใต้ยี่ห้อนิสสัน อินฟินิทีและดัตสัน พร้อมกับรถยนต์ที่ถูกปรับแต่งสมรรถนะชื่อว่านิสโม บริษัทนิสสัน ฯ ได้เข้าร่วมกลุ่มบริษัทที่ทรงพลังของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ไซบัสสึ ในชื่อนิสสันกรุ๊ป",
"ครอบครัวโคฟแนนต์ซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกฝาแฝดชื่อ เจสัน กับ จูเลีย ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองคิลมอร์โคฟ ในคฤหาสน์บนหน้าผาชื่ออาร์โก มีคนดูแลบ้านชราชื่อเนสเตอร์ เมื่อพ่อแม่ต้องไปลอนดอนเพื่อธุระ เจสันกับจูเลีย ได้รู้จักกับริก แบนเนอร์ ทั้งสามได้สำรวจคฤหาสน์และพบประตูที่เปิดไม่ได้กับข้อความลับที่แปลไม่ออกในร่องหน้าผา อีกทั้งเรื่องราวอันเป็นปริศนาของยูลิสซิส มัวร์ เจ้าของคนก่อน กับท่าทางลับลมคมในของเนสเตอร์ และโอบลิเวีย นิวตัน กับมานเฟร็ด ผู้ซึ่งอยากได้คฤหาสน์อาร์โก ในที่สุดทั้งสามสามารถเปิดประตูนั้นได้ด้วยกุญแจรูปสัตว์สี่ดอก เข้าไปยังถ้ำที่มีเรือจอดอยู่ซึ่งไม่สามารถขยับได้จนกระทั่งเจสันนึกแดนดินที่ต้องไป เรือจึงแล่นออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คืออียิปต์ ขณะเดียวกันโอบลิเวีย นิวตันได้เปิดประตูแบบเดียวกันกับในคฤหาสน์ด้วยกุญแจรูปสัตว์ เมื่อเด็กมาถึงอียิปต์ก็ตระหนักถึงการผญจภัยซึ่งเพิ่งเริ่มต้นและปริศนามากมาย ใครคือยูลิสซิส มัวร์ เนสเตอร์กุมความลับอะไรไว้ สิ่งที่โอบลิเวีย นิวตันต้องการคืออะไร ประตูกับกุญแจรูปสัตว์ที่แท้จริงคืออะไร ติดตามได้ใน\"ยูลิสซิส มัวร์ ประตูสู่กาลเวลา\"",
"สำหรับ NISMO เป็นชื่อย่อของ Nissan Motorsports ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ซึ่งตลอดระยะเวลา 32 ปีที่ผ่านมา นิสสันได้ใช้แบรนด์ นิสโม ในการทำกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยม เช่น การกวาดชัยชนะถึง 9 รายการในการแข่งขันระดับโลกเมื่อปี 2558 รวมถึงการแข่งขันรายการซุปเปอร์จีที ที่นิสสันสามารถคว้าแชมป์ทั้งรุ่น GT500 และ GT300 นิสโมมีส่วนสำคัญในการสร้างแบรนด์ของนิสสันให้แข็งแกร่ง ในฐานะแบรนด์ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ตื่นเต้น เร้าใจ โดยหน้าที่หลักของนิสโมคือ พัฒนาเทคโนโลยีและสมรรถนะสำหรับกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ต และพัฒนา Road Cars หรือรถยนต์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยการนำประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และเทคโนโลยีจากสนามแข่ง มาใช้ในการพัฒนาสมรรถนะรถของนิสสันมีความเหนือชั้นขึ้นไปอีก ทั้งด้านการดีไซน์ การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ การควบคุมรถ และสมรรถนะ",
"พ.ศ. 2503 ยูทากะ คาตายามา พนักงานบริษัทนิสสัน ได้เดินทางออกจากญี่ปุ่น ไปสำรวจตลาดในภาคพื้นตะวันตก ในสหรัฐอเมริกา เขาพบว่า รถญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้น ชาวอเมริกันประเมินค่าเป็นเพียงรถยนต์ชั้น 2 เท่านั้น (3 ผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ในอเมริกาขณะนั้น (Big 3) ได้แก่ GM, Ford และ ไครส์เลอร์) แม้บริษัทนิสสันอเมริกาจะถูกตั้งขึ้นในปีเดียวกัน ในช่วงแรกที่ยังไม่มีงบประมาณพอจะตั้งโชว์รูม ต้องหาตัวแทนจำหน่าย แต่ไม่สามารถหาได้ กลุ่ม Big3 และนักธุรกิจรายใหญ่ ปฏิเสธและดูถูกนิสสันอย่างเย็นชา จนต้องใช้เตนท์รถมือสองเป็นตัวแทนจำหน่าย คาตายามา ใช้วิธีปรับปรุงบริการหลังการขายให้มีความทั่วถึง จนเริ่มได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากขึ้น",
"นิสสัน ซันนี่ เป็นรถขนาดเล็กของบริษัทนิสสัน เริ่มการผลิตใน พ.ศ. 2509-2547 และมีนิสสัน ทีด้าและนิสสัน อัลเมร่า เข้ามาทดแทน ในช่วงที่มีการผลิต ซันนี่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับ โตโยต้า โคโรลล่า, ฮอนด้า ซีวิค และ มิตซูบิชิ แลนเซอร์",
"ผู้คิดค้นคือ ทันตแพทย์ชาวนิวออร์ลีนส์ ชื่อว่า เลวี่ สเปียร์ พาร์มมี่ (Levi Spear Parmly)เมื่อปี พ.ศ. 2358 โดยแนะนำคนไข้ให้ใช้ไหมทำความสะอาดฟัน แต่ไม่ได้วางจำหน่าย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2425 บริษัท คอดแมนแอนด์ เชิร์ตเลฟต์ (Codman and Shutleft Company)ได้ผลิตจำหน่าย แต่บริษัทจอห์นสัน แอน จอห์นสัน เป็นผู้จดสิทธิบัตร",
"นิสสันประเทศไทย ก่อตั้งโดยนายถาวร พรประภา ในกลุ่มของสยามกลการ โดยนิสสันไทยได้รับความไว้วางใจจากนิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์นิสสัน นอกประเทศญี่ปุ่นรายแรกของโลก",
"ที่มาของแอปพลิเคชัน Whoscall นั้น มาจากการรวมตัวทางความคิดระหว่างสามผู้ก่อตั้ง จึงเกิดเป็น Gogolook ที่ในขณะนั้นทั้งสามได้ปลีกตัวจากงานประจำของพวกเขาเพื่อตรวจสอบและรวบรวมความคิดที่หลากหลาย จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากมีสายเรียกเข้าแปลก ๆ โทรเข้ามาขณะประชุมกันอยู่ ทั้งสามจึงพยายามเซิร์ชหาว่าเป็นใครบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้พวกเขาทั้งหมดเกิดข้อสงสัยว่า ถ้าเป็นแอปพลิเคชันเพื่อตรวจสอบแบบนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่\nWhoscall รุ่นแรกถูกปล่อยในเดือนสิงหาคม ปี 2010 และไม่นานก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น หลังจาก นายเอริก ชมิดต์ ประธานบริหารของบริษัท Google ได้กล่าวถึง Whoscall ว่า \"แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า Whoscall บอกคุณได้ว่าใครโทรมา ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมาจากประเทศไต้หวันด้วย\"\nในตอนนั้นเองที่ทั้งสามผู้ก่อตั้งได้ตัดสินใจออกจากงานประจำของพวกเขา เพื่อทุ่มเทกับการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างจริงจัง และได้เกิดเป็น บริษัท Gogolook จำกัด ในปี 2012 \nบริษัทได้รับการสนันสนุนอย่างต่อเนื่องจาก Trinity Investment Corp. และนักลงทุนมากมาย ",
"ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1698 บริษัทได้เริ่มการสำรวจเป็นครั้งแรก นำโดยวิลเลียม แพทเทอสัน ผู้ซึ่งหวังจะก่อตั้งอาณานิคมในดาเรียน (บนคอคอดปานามา) อันเป็นสถานที่ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดการค้าระหว่างยุโรปและตะวันออกไกลได้",
"ในปี พ.ศ. 2556 นิสสัน เป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่อันดับที่หกของโลกตามหลังโตโยต้า เจเนอรัลมอเตอร์ส โฟล์คสวาเกนกรุ๊ป ฮุนไดมอเตอร์กรุ๊ป และฟอร์ดมอเตอร์[8] หลังจากที่รวมบริษัทกันแล้วกับเรโนลต์ เรโนลต์–นิสสันจึงเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสี่ของโลก โดยนิสสันเป็นแบรนด์รถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่นในประเทศจีน รัสเซียและเม็กซิโก[9]",
"โฉมนี้ เคยนำมาขายในไทยอย่างเป็นทางการ โดยเป็นที่รู้จักของคนไทยในชื่อ นิสสัน ซันนี่ นีโอ ช่วงปี พ.ศ. 2543-2549 เป็นตลาดที่ 2 ต่อจากญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2543 และถูกนำไปดัดแปลงเป็น Almera Sedan สำหรับตลาดยุโรป Pulsar Sedan ในออสเตรเลีย และ Sunny Almera ในประเทศไทย เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2545 ใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร แต่มียอดขายไปได้เรื่อยๆ ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากการเปิดตัว Toyota Corolla Altis สำหรับตลาดเอเชีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2544 ในตลาดไต้หวัน และเปิดตัวในไทยในงาน Bangkok Motor Show 2001 เริ่มขายจริงเมื่อเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ทำให้ตลาดกลุ่มนี้มีการแข่งขันกันอย่างลุกเป็นไฟ และทำให้รถยนต์ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อที่อยู่ในตลาดช่วงนั้น รวมถึง Sunny Neo กลายเป็นรถยนต์ที่เชย และล้าสมัยไปเพียงชั่วข้ามคืน มียอดขายพอประคองตัวให้อยู่รอดได้เท่านั้น และยังทำให้ยอดขายของนิสสันในไทยในช่วงนั้นเริ่มถดถอย เนื่องจากบริษัทแม่ต้องการเข้ามาทำตลาดเอง แต่สยามกลการ ในฐานะผู้ถือสิทธิ์การผลิต นำเข้าและจำหน่ายนิสสันไม่ยอม ทำให้บริษัทแม่ตัดการช่วยเหลือ และสนับสนุนรถรุ่นใหม่ๆ มาทำตลาด ทั้ง X-Trail รุ่นแรกและ Navara สูญเสียโอกาสในการทำตลาดช้าไปหลายปี ในที่สุด หลังจากเจ้าสัวถาวร พรประภาถึงแก่อนิจกรรมไปได้พักใหญ่ การเจรจากับทางญี่ปุ่นลงตัว นิสสันจึงเข้ามาเพิ่มทุนในสยามกลการ 7.6 พันล้านบาท พร้อมก่อตั้ง Siam Nissan Automobile ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Nissan Motors Thailand ในปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน",
"สปิตเซอร์เกิดและเติบโตในเขตบรองซ์ (The Bronx) ของเมืองนิวยอร์กซิตี้ เป็นบุตรชายของเจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์ เบอร์นาร์ด สปิตเซอร์ (Bernard Spitzer) และแอนน์ สปิตเซอร์ (Anne Spitzer) ศาสตราจารย์วิชาวรรณกรรมอังกฤษ เขาเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) และเข้าศึกษากฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด (Harward Law School) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ที่ซึ่งเขาได้พบภรรยาในอนาคต ซิลด้า วอลล์ (Silda Wall) ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Children for Children (เด็กเพื่อเด็ก) หลังจากได้รับปริญญากฎหมายหลักสูตร Juris Doctor สปิตเซอร์จึงเข้าทำงานในบริษัทกฎหมาย พอลล์, เวสส์, ริฟคินด์, วอร์ตัน แอนด์ แกร์ริสัน (Paul, Weiss, Rifkind, Wharton & Garrison)",
"นิสสัน มาร์ช (Nissan March) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ นิสสัน ไมครา (Nissan Micra) เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก (Subcompact Car) รุ่นหนึ่งที่ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นชื่อ นิสสัน มีรูปทรงแบบ Hatchback (ท้ายกุด ไม่มีกระโปรงหลัง) ซึ่งในปัจจุบัน คนไทยหลายๆ คน เริ่มรู้จัก นิสสัน มาร์ช ในฐานะของรถอีโคคาร์ (Ecocar) ที่ประหยัดน้ำมันมาก (ประมาณ 20-25 กิโลเมตรต่อลิตร)",
"จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน () เป็นบริษัทข้ามชาติใน อุตสาหกรรมยา, เครื่องมือแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1886 หุ้นสามัญของบริษัทฯ เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) และเป็นบริษัทนหนึ่งใน 500 ของบริษัทระดับโลกจัดอันดับโดย ฟอร์จูน 500 (Fortune 500) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองนิวบรันสวิค รัฐนิวเจอร์ซีย์ มี บริษัทสาขา (subsidiary) ประมาณ 200 บริษัทซึ่งเปิดดำเนินการอยู่ในมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก และมีสินค้าของบริษัทฯวางจำหน่ายอยู่มากกว่า 175 ประเทศทั่วโลก",
"แมททัสเป็นผู้คิดค้นตำว่าฮาเก้น-ดาส ซึ่งออกเสียงตามแบบภาษาเดนิช ทั้งนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงและเพื่อยกย่องการปฏิบัติต่อชาวยิวในประเทศเดนมาร์กเป็นอย่างดีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นอกจากนั้นเขายังได้รวมเอาแผนที่ประเทศเดนมาร์กไว้ในป้ายตราสินค้าแบบแรกๆ อีกด้วย \nอย่างไรก็ตามชื่อฮาเก้น-ดาสไม่ได้มาจากภาษาเดนิช มันไม่มีทั้งเครื่องหมายบนสระในภาษาเยอรมัน (‘) และ ทวิอักษร (อักษรคู่ที่ออกเสียงเดี่ยว) ทั้งยังไม่มีความหมายหรือประวัติของคำในภาษาใดก่อนมันจะถูกคิดขึ้นมา \nแมททัสรู้สึกว่าเดนมาร์กเป็นที่รู้จักดีในเรื่องของผลิตภัณฑ์จากนม และมีภาพลักษณ์ในเชิงบวกในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1999 ดอริส เฮอร์ลี่ ลูกสาวของแมททัสกล่าวกับสารคดีของสถานีโทรทัศน์ PBS ถึงการคิดค้นชื่อแบรนด์ของพ่อเธอว่า เขานั่งบนโต๊ะในห้องครัวและพูดคำต่างๆซึ่งไม่มีความหมายเป็นเวลาหลายชั่วโมง กระทั่งเขาค้นพบคำที่รวมกันแล้วเขาชอบมากที่สุด โดยเหตุผลที่เขาเลือกใช้วิธีนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อที่มีเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร \nในปี 1980 บริษัทฮาเก้น-ดาส ล้มเหลวในการฟ้องร้อง Frusen Gladje ผู้ผลิตไอศกรีมสัญชาติอเมริกันซึ่งก่อตั้งในปีเดียวกันกับฮาเก้น ดาส ในกรณีที่ Frusen ใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ต่างชาติที่ลักษณะคล้ายกัน \nวลี Frusen Gladje ที่พูดโดยปราศจากสำเนียงที่คมชัด จะมีความหมายในภาษาสวีเดนว่า หวานเย็น (frozen delight)\nในปี 1985 Frusen Gladje ถูกขายให้กับคราฟท์ เจเนรัล ฟู้ดส์ ซึ่งโฆษกหญิงของบริษัทคราฟท์กล่าวว่า คราฟท์ได้ขายใบอนุญาตของ Frusen Gladje ให้กับบริษัทยูนิลีเวอร์ในปี 1993 แต่โฆษกยูนิลีเวอร์อ้างว่าใบอนุญาตของ Frusen Gladje ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง ภายหลังจากนั้นมาก็ไม่มีการปรากฏของ Frusen Gladje อีกเลย",
"ปีก่อนหน้านี้ เมืองไครสต์จัดเป็นเมือง 1 ใน 2 เมืองที่เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมหนักของนิวซีแลนด์ เช่น บริษัทแอนเดอร์สัน ผู้ผลิตงานเหล็กสำหรับสร้างสะพาน อุโมงค์และเขื่อนพลังงานไฟฟ้าในช่วงแรกๆของการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบันนี้การผลิตส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์หลอดไฟ ไฟฟ้าโดยมีตลาดหลักอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียโดยมีบริษัทผู้บุกเบิกจากตระกูลสจ๊วต ซึ่งมีพนักงานเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้าที่โรงงานผลิตเสื้อขนาดใหญ่ได้ย้ายฐานการผลิตไปแถบเอเซีย เมืองไครสต์เชิร์ชมีโรงงานผู้ผลิตรองเท้าถึง 5 โรงงานแต่ก็ยกเลิกผลิตและใช้วิธีนำเข้าจากต่างประเทศแทน ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมที่เน้นทางเทคโนโลยีเป็นหลักได้เติบโตมากขึ้นในไครสต์เชิร์ช \"แองกัส เทส\" ผู้ก่อตั้งอิเลคทรอนิกส์เทส(ผู้ผลิตมือถือและสัญญาณวิทยุ) ส่วนบริษัทอื่นที่มีการหมุนเวียนหลังจากนี้ก็มีบริษัสวิตซ์เทคของนายเดนิส แชปแมน โดยแชปแมนถือเป็นผู้ดูแลบริษัทอิเลคทรอนิกส์เทสด้วย. ในส่วนบริษัซอฟต์แวร์ กิล ซิมสัน ผู้ก่อตั้งบริษัท LINC ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Jade ต่อมาบริษัทเหล่านี้ได้ผันมาเป็นคณะไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยทางด้านวิศวกรรมแห่งแคนเทอเบอรี่ รวมไปถึง \"Pulse data\" ได้พัฒนากลายเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ที่เรานำไปใช้ได้ (อุปกรณ์ช่วยในการอ่านและคอมพิวเตอร์สำหรับคนตาบอดที่มีข้อจำกันในการมองเห็น) และการสื่อสารแบบ CES(การเข้ารหัสข้อมูล) ผู้ค้นพบ \"Pulse data\" ได้ย้ายจากมหาวิทยาลัยทางด้านวิศวกรรมแห่งแคนเทอเบอรี่ไปทำงานที่บริษัทวอร์มาลย์เมื่อพวกเขาได้สร้างบริษัท \"Pulse data\" โดยบริหารการจัดการผ่านตัวกลางที่ทำหน้าที่ดูแลแทนพวกเขา",
"นิสสัน เทียน่า เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางของบริษัทนิสสัน เริ่มมีการผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546 โดยมีชื่ออื่นในการส่งออกเช่น นิสสัน แม็กซิมา และ นิสสัน เซฟิโร่ (เป็นการยืมชื่อมาใช้ เซฟิโร่ตัวจริงเลิกผลิตไปแล้ว เทียน่า เป็นรุ่นต่อของเซฟิโร่ ส่วนแม็กซิมา เป็นรถนิสสันอีกรุ่นหนึ่ง ขายในสหรัฐอเมริกา) ในบางประเทศ นอกจากนี้ เทียน่ายังมีการใช้รูปแบบเดียวกับ นิสสัน อัลติม่า วางขายในทวีปอเมริกาเหนือและญี่ปุ่น",
"ไทสัน เดิมเป็นผู้อ่านนิตยสารมวยโลก ที่ชื่นชอบในกีฬามวยสากล ในเครือของบริษัทสยามสปอร์ต ต่อมานิตยสารมวยโลกได้มีการก่อตั้งแฟนคลับ และดำเนินกิจกรรมร่วมกัน ไทสันจึงขอฝึกซ้อมกับทางค่าย ส.จาตุรงค์ ของ สุชาติ ธีระวุฒิชูวงศ์ เทรนเนอร์ของ สมาน ส.จาตุรงค์ อดีตแชมป์โลกในรุ่นไลท์ฟลายเวท ของสภามวยโลก (WBC) และสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) และขึ้นชกจริง ต่อมาได้แชมป์ขององค์กรมวยโลก (WBO) เอเชีย ในรุ่นเฟเธอร์เวท แต่ก็ถูกปลดในเวลาต่อมาไม่นาน และก็ต้องเลิกชกมวยไปเพราะมีปัญหาส่วนตัว คือ สายตาสั้นขั้นรุนแรง",
"นิสโม (Nismo ย่อจาก Nissan Motorsport International Limited; () เป็นบริษัทย่อยของนิสสัน ในการจัดการเรื่องการปรับแต่งสมรรถนะรถยนต์ นิสโมก่อตั้งเมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2527 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น",
"ต่อมาในปี พ.ศ. 2314 จอห์นสันได้รับเบี้ยยังชีพจากราชสำนักทำให้เขาสามารถเข้าสู่แวดวงของสมาคมบรรณโลกและกลายเป็นบุคคลสำคัญในสังคม โดยเฉพาะสมาคมนักอักษรศาสตร์ที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2307 ในปีถัดมา จอห์นสันเริ่มตีพิมพ์งานชุดเช็คสเปียร์ ปี พ.ศ. 2315 ได้เริ่มงานออกหนังสือเล่มเล็กเกี่ยวกับการเมือง พ.ศ. 2315 ได้ออกเดินทางกับ\"เจมส์ บอสเวลล์\"ไปทัศนาจรสก็อตแลนด์และกลับมาเริ่มเขียนหนังสือเรื่อง \"“ชีวิตของกวี”\" (Lives of the Poets) ระหว่าง พ.ศ. 2322-24)\nชื่อเสียงของจอนห์สันในด้านความเป็นนักสนทนาในยุคนั้นได้บดบังชื่อเสียงในความสามารถด้านอักษรศาสตร์ของเขาเองเกือบหมดสิ้น หากไม่มี เจมส์ บอสเวลล์ นักเขียนชาวสก็อตผู้เป็นเพื่อนสนิทเป็นผู้เปิดเผยผลงานในสมาคมนักอักษรศาสตร์ของเขาในหนังสือชีวประวัติ \"\"Life of Samuel Johnson\"\" ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2324 ก็คงไม่มีใครทราบถึงความสามารถที่แท้จริงของเขา",
"ในช่วงนั้น บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (สยามกลการในยุคนั้น) ได้มีการนำมาร์ชรุ่นแรกเข้ามาขายในประเทศไทยด้วย แต่ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ด้วยเพราะมาร์ชในประเทศไทยได้ตัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกออกมากเกินกว่าที่ลูกค้าจะยอมรับได้ มาร์ชในญี่ปุ่นมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากกว่า ดูน่าขับมากกว่า ในขณะที่โตโยต้า สตาร์เล็ต ให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาเยอะกว่าและดูปราดเปรียวกว่า เพราะเป็นโมเดลเชนจ์ที่เปิดตัวตามหลัง March 3 ปี แต่ประเทศไทยเพิ่งนำมาขายจึงหมดโอกาสกวาดยอดขายก่อน Starlet จะเข้ามา หรือแม้แต่ซูซูกิ คัลตัส ที่บริษัทในเครือสยามกลการซึ่งก็คือสยามอินเตอร์เนชั่นแนล คอร์เปอเรชั่น (ปัจจุบันคือ ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย) นำเข้ามา จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน มีทั้งเข็มวัดรอบสวยหรู เบาะสวยหรู มีสปอยเลอร์ ดูน่าเร้าใจมากกว่าอีกทั้งในช่วงนั้นรถที่คนไทยนิยมมากที่สุด คือรถเก๋งซีดานขนาดเล็ก เช่น มิตซูบิชิ แลนเซอร์, โตโยต้า โคโรลล่า, ฮอนด้า ซีวิค, นิสสัน ซันนี่ ฯลฯ เพราะมีความคุ้มค่าลงตัวที่สุด (บรรทุกได้หลายคน ใช้ได้ทั้งเป็นรถครอบครัวและรถส่วนตัว และไม่สิ้นเปลืองน้ำมันมากนัก) อีกทั้งคนไทยในสมัยนั้นมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อรถท้ายกุด ด้วยเกรงว่าผู้โดยสารที่เบาะหลังจะได้รับอันตรายได้ง่ายหากถูกชนท้ายเพราะไม่มีกระโปรงหลังคอยกั้น ทำให้ยอดขาย นิสสัน มาร์ชในประเทศไทยมีเพียง 30 คันต่อเดือนเท่านั้น (ทั่วประเทศ) ขณะที่ซันนี่ทำยอดขาย 200 คันต่อเดือน ส่วนสตาร์เล็ตชะตากรรมก็ไม่ต่างจากมาร์ช ถึงขั้นเชิญสื่อมวลชนไปเยี่ยมโรงงานและให้ทดลองขับก่อนวางจำหน่าย ทำยอดขายแค่ 50 คันต่อเดือนเท่านั้น หลังจากนั้นจึงแผ่วปลายลงไป จนบริษัทนิสสันในประเทศไทยหรือสยามกลการต้องยุติการขายมาร์ชอย่างเป็นทางการลง ใน พ.ศ. 2530 ก่อนที่จะมาเปิดตัวมาร์ชรุ่นที่ 4 อีกครั้งในปัจจุบัน นับจากนั้นนิสสันก็ไม่มีแผนประกอบรถเล็กวางจำหน่ายในไทยอีกเลย จนกระทั่ง Toyota กับ Honda ได้เปิดตัว Soluna และ City เพื่ออุดช่องว่างรถเล็กราคา 3-4 แสนบาท ในขณะที่ Corolla และ Civic ราคาแตะ 6 แสนบาทแล้ว ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้บรรดารถเล็กจากเกาหลีที่เคยได้รับความนิยมต้องม้วนเสื่อกลับไป และนิสสันเองอยากจะบุกตลาดรถเล็กบ้าง ทั้งๆ ที่ตัวเองประสบความล้มเหลวในตระกูล NV ซึ่งเป็นโครงการทำรถเล็กเพื่อตลาด ASEAN แต่เนื่องจากในสมัยนั้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเจอปัญหา ทำให้เป็นการนำ Sunny California และ Wingroad มาประกอบขายในไทย ในชื่อ NV-A แต่เนื่องจากราคาไม่ถูกจริงนัก และมีการเปิดเสรีรถนำเข้าแล้ว อีกทั้งคนไทยไม่นิยมรถ Station Wagon นัก จึงต้องมีการดัดแปลงเป็นรถกระบะหัวตั๊กแตน ในชื่อ NV Pickup (NV-B) ที่ทำยอดขายใช้ได้ และยังมีข่าวลือว่าสยามกลการจะดัดแปลง NV-A เป็นรถซีดานขนาดเล็กเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในสมัยนั้น และตั้งราคาไว้ที่ 299,000 บาท ซึ่งไม่มีใครเชื่อ เพราะไม่น่าเป็นไปได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ หลังจากนั้นภาพลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของนิสสันก็ค่อยๆ เลือนหายไปเพราะไม่มีรถเล็กอุดช่องว่าง จนกระทั่งเปลี่ยนมือไปสู่ยุคของพรเทพ พรประภา ความคิดที่จะทำรถเล็กก็ไม่เป็นรูปเป็นร่างซักที จนกระทั่งช่วงเปิดตัว Sunny NEO เมื่อเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2543 ตอกย้ำว่ารถเล็กนั้นโตยากทั้งๆ ที่ผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจมาได้ไม่นานนัก แต่จากการโหมกระหน่ำของ Toyota Soluna Vios และ Honda City ทำให้ตลาดรถยนต์นั่งขยายตัวเร็วมากจนทำให้นิสสันยากที่จะขยับขยายยอดขายให้ใกล้เคียงคู่แข่งได้ เนื่องจากในสมัยนั้นนิสสันมีรถยนต์นั่งเพียงแค่ Sunny NEO และ Cefiro ทำตลาดเท่านั้น ทำให้นิสสันไม่สามารถครอบครองยอดขายอันดับ 3 รองจากอีซูซุได้อีกเลยจนถึงปัจจุบัน เมื่อคู่แข่งโกยฐานระดับล่างก็เท่ากับว่าสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งกว่านิสสันจนยากที่จะปฏิเสธ แต่ในสมัยนั้นหลังจากส่ง Carlos Ghosn มาบริหารตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ก็ไม่มีแผนที่จะทำรถเล็กเพื่อตลาด ASEAN เนื่องจากบริษัทแม่ในญี่ปุ่นบีบบังคับให้สยามกลการขายหุ้นอย่างเบ็ดเสร็จจึงไม่มีรถใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด จนกระทั่งเข้ามาบริหารเองได้ในปี พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบัน",
"บริษัทดัทสัน ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทนิสสันตั้งแต่ปี 2477 แต่แม้จะเปลี่ยนชื่อไปแล้ว รถของนิสสัน ยังคงชื่อดัทสันไว้ในบางประเทศ โดยที่ตัวรถเป็นตัวเดียวกันกับรถที่ใช้ชื่อนิสสัน แต่จะใช้ชื่อใดขึ้นอยู่กับประเทศที่ขาย (รวมทั้งประเทศไทย ที่เคยใช้ชื่อ ดัทสัน มาก่อน) สำหรับชื่อดัทสันจะใช้สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ส่วนแต่นิสสันจะใช้สำหรับรถยนต์ขนาดกลางและใหญ่ ในปี พ.ศ. 2528 นิสสัน ได้ยกเลิกชื่อดัทสัน เปลี่ยนมาใช้ชื่อนิสสันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เพื่อลดความสับสนและสร้างแบรนด์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแบรนด์ในทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย",
"นิสสัน สกายไลน์ (อังกฤษ: Nissan Skyline / ญี่ปุ่น: 日産・スカイライン \"Nissan Sukairain\") เป็นรุ่นรถยนต์ขนาดกลาง รถสปอร์ต ของบริษัทนิสสัน โดยเริ่มผลิตครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จากบริษัทพรินซ์มอเตอร์ หลังจากนั้นก็ถูกรวมเข้ากับนิสสันในปี 2509",
"ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 นิสสันเป็นส่วนหนึ่งของเรโนลต์–นิสสัน–มิตซูบิชิอัลไลแอนซ์ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนระหว่างนิสสันของญี่ปุ่น มิตซูบิชิมอเตอร์สของญี่ปุ่นและเรโนลต์ของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2556 เรโนลต์ถือหุ้นที่สามารถออกเสียงได้ของนิสสัน 43.4% ในขณะที่นิสสันถือหุ้นที่ไม่สามารถออกเสียงได้ของเรโนลต์ 15% จาก พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2560 คาร์ลอส กอนได้ดำรงตำแน่งซีอีโอทั้งสองบริษัท ในเดือนกุมภาพันธ์ กอนได้ประกาศลดขั้นลงจากซีอีโอในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560 เป็นเพียงตำแหน่งประธานบริษัท[7]",
"ในปัจจุบัน นิสสันประเทศไทยบริหารในนามบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย)จำกัด หรือชื่อเดิม บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด โดยดำเนินธุรกิจจำหน่าย ประกอบรถยนต์นิสสัน ภายใต้การบริหารของนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในสยามนิสสัน",
"สโมสรฟุตบอล โยโกฮามะ เอ็ฟ มารินอส (ญี่ปุ่น:横浜F・マリノス, อังกฤษ: Yokohama F. Marinos) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่เข้าร่วมการแข่งขันเจลีก ระดับดิวิชัน 1 ของประเทศญี่ปุ่น โดยเคยคว้าแชมป์เจลีกได้ 3 สมัย และเป็นรองแชมป์ 2 สมัย นับเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จในระดับเจลีก สโมสรมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองโยโกฮามะ ก่อตั้งโดยบริษัทนิสสัน มอเตอร์ส",
"นิสสัน โน้ต () เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็กมาก () ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทรถยนต์นิสสัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 และเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อต้นปี พ.ศ. 2560"
] |
อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เสียชีวิตเมื่อไหร่? | [
"อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) เกิดในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1755 และเสียชีวิตในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1804 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุคคลหนึ่งในคณะผู้ก่อตั้งของประเทศสหรัฐ (The Founding Fathers) นักเศรษฐศาสตร์ นักปรัชญาการเมือง เขาเป็นคนเรียกให้มีการประชุมที่เมืองฟิลาเดลเฟีย (the Philadelphia Convention) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศใหม่ เป็นนักกฎหมายรัฐธรรมนูญคนแรก เป็นคนเขียนเอกสารของพวกอเมริกันนิยม (Federalist Papers) และเป็นผู้ตีความเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่สำคัญ (Constitutional interpretation) แฮมิลตันเสียชีวิตเนื่องจากการดวลปืนกับ อะรอน เบอร์ (Aaron Burr) ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1804"
] | [
"แฮมิลตัน ได้เสนอให้รัฐนิวยอร์ก ที่ Burr ได้ชัยชนะให้กลุ่มเจฟเฟอร์สัน ควรจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในบางเขต แต่ John Jay ผู้ซึ่งได้ลาออกจากการเป็นประธานศาลสูง และมารับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ได้เขียนในจดหมายตอบข้อเสนอว่า แม้จะเป็นข้อเสนอโดยพรรค แต่เขาจะไม่ปฏิบัติตาม และไม่ตอบจดหมายจาก แฮมิลตัน",
"อนุสาวรีย์ แฮมิลตัน ที่ตั้งอยู่ในโถงที่ United States Capitol rotunda ในกรุงวอร์ชิงตัน ดีซี",
"แฮมิลตัน แม้เป็นฝ่ายกำลังทหารต่อสู้กับอังกฤษ แต่ชื่นชอบระบบการปกครองและแนวทางแบบอังกฤษ ส่วนเจฟเฟอร์สัน ในฐานะทำงานการทูตและการต่างประเทศ ได้เห็นและชื่นชอบระบบของฝรั่งเศส",
"อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เกิดที่เมือง Nevis และได้รับการศึกษาในเขตที่เรียกว่า “นิวอิงแลนด์” ซึ่งเป็นเขตตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐในปัจจุบัน เป็นเขตที่ชาวอังกฤษมาก่อตั้งชุมชนอาณานิคมใหม่ขึ้นในทวีปอเมริกา",
"อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ในขณะนั้นได้เข้าทำงานเป็นเสมียนห้างธุรกิจด้านนำเข้าและส่งออกสินค้า ชื่อ Beekman and Cruger ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับทาง New England ในขณะนั้นเขาได้รับอนุเคราะห์จากญาติ ชื่อ Peter Lytton และเมื่อ Peter ได้ฆ่าตัวตาย อเล็กซานเดอร์ เองก็แยกทางจากพี่ของเขา คือ James โดย James ได้ฝึกงานเป็นช่างไม้ในท้องที่นั้น ส่วน อเล็กซานเดอร์ ได้รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมโดยพ่อค้าจาก Nevis ชื่อ Thomas Stevens มีหลักฐานบางประการบ่งว่า Stevens อาจเป็นพ่อแท้ๆตามสายเลือดของ แฮมิลตัน เพราะลูกชายของเขาอีกคน คือ Edward Stevens ซึ่งได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของ อเล็กซานเดอร์ มีหน้าตาคล้ายกันมาก และทั้งคู่ต่างเก่งภาษาฝรั่งเศส และมีความสนใจในหลายๆอย่างคล้ายกัน อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน คงทำงานเป็นเสมียน ยังคงเป็นนักอ่านที่จริงจัง พัฒนาตนเองทางด้านการเขียน และแสวงหาโอกาสของชีวิตนอกเกาะเล็กๆนั้น จดหมายฉบับแรกของ แฮมิลตัน ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ชื่อ Royal Danish-American Gazette พรรณนาถึงพายุเฮอริเคนที่ทำลายเมือง Christiansted ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1772 ชาวเมืองและชุมชนของเขาได้ประทับใจในความสามารถนี้และได้รวบรวมเงินเป็นทุน ส่งเสียให้ แฮมิลตัน น้อยนี้ได้มีโอกาสศึกษาต่อใน New England ที่มีความเจริญมากกว่า แฮมิลตัน ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมในขณะนั้น (grammar school) ที่เมือง Elizabethtown, ในรัฐ นิวเจอร์ซี, อันเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ.1772.",
"หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในคริสต์ทศวรรษ 1750 หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2300 หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2347 หมวดหมู่:นักการเมืองอเมริกัน หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายสกอตแลนด์ หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐนิวยอร์ก",
"ในช่วงเดือนมิถุนายน ได้มีกลุ่มทหารอื่นๆจาก Lancaster, เพนซิลวาเนีย ได้ยื่นจดหมายเรียกร้องให้มีการจ่ายเงินเดือนที่ค้างไว้ และเมื่อพวกเขาเริ่มเดินขบวนไปยัง Philadelphia สภาฯได้สั่งให้ แฮมิลตัน และคนอื่นๆอีก 2 คน ได้เข้าหยุดฝูงชน แฮมิลตัน ได้ขอกำลังทหารพราน (Militia) จากสภาบริหารสูงสุดแห่ง เพนซิลวาเนีย แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ แฮมิลตัน ได้สั่งให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีสงคราม William Jackson ให้เข้าไปหยุดฝูงชน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ",
"ในปีค.ศ. 1765 เพราะกิจการธุรกิจของครอบครัว จึงทำให้ James ต้องอพยพครอบครัวไปอยู่ที่ Christiansted, St. Croix และทำให้เขาต้องละทิ้งครอบครัว ทั้งแม่และลูกสองคนไว้ตามลำพัง Rachel ต้องช่วยตัวเองและลูกๆ ทำร้านค้าขนาดเล็กที่ Christiansted และในระยะต่อมาเธอได้ติดโรคไข้รุนแรง ทำให้เสียชีวิตในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1768 ทำให้ อเล็กซานเดอร์ เป็นเด็กกำพร้าโดยปริยาย อันเป็นผลกระทบต่อจิตใจของเขาที่นับว่ารุนแรง แม้ในมาตรฐานของเด็กในยุคศตวรรษที่ 18 นั้น ในการตัดสินเกี่ยวกับมรดก ทำให้พี่น้องต่างมารดาของเขาได้รับมรดกไป ของหลายอย่างในครอบครัวต้องมีการประมูลกันออกไป แต่มีส่วนที่เป็นหนังสือนั้นญาติๆได้ช่วยกันประมูล และมอบให้ อเล็กซานเดอร์ ด้วยเหตุว่าเขาเป็นคนสนใจศึกษาเล่าเรียน ในหลายปีต่อมา อเล็กซานเดอร์ ได้รับจดหมายแจ้งการตายของพี่น้องต่างมารดาของเชา และได้มีเงินส่วนหนึ่งมีเงินส่วนหนึ่งที่ไม่มากนักให้มาด้วย",
"ใน ปี ค.ศ. 1776 แฮมิลตัน ได้เข้าเรียนในหลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา (college-preparatory program) กับ Francis Barber ที่เมือง Elizabethtown, ในรัฐ นิวเจอร์ซี ในช่วงดังกล่าว เขาได้รับอิทธิพลจากปัญญาชนนักปฏิวัติชื่อ William Livingston.[ตามประวัติ แฮมิลตัน อาจได้สมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยแห่ง นิวเจอร์ซี ในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันคือ Princeton University แต่ไม่ได้รับโอกาส เพราะทางสถาบันเห็นว่าเขามีพื้นฐานมาแบบกวดวิชา แฮมิลตัน ได้ตัดสินใจเข้าเรียนที่ King's College ซึ่งในปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง New York City ขณะที่ศึกษาอยู่ที่ King's College เขาและเพื่อนร่วมชั้นได้จัดตั้งสมาคมนักเขียนและนักโต้วาที ซึ่งได้กลายเป็นสมาคมชื่อ Philolexian Society แห่งมหาวิทยาลัย Columbia ในปัจจุบัน",
"เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 11 กรกฎาคม 1804 โดย อะรอน เบอร์ และ แฮมิลตัน ได้เดินทางโดยเรือคนละลำจากเมืองแมนฮัตตัน เพื่อข้ามไปยังแม่น้ำฮัดสัน ที่เมืองนิวเจอร์ซีย์ เมื่อถึงที่หมายแล้ว เบอร์ได้ลั่นไกใส่แฮมิลตัน (หลักฐานบางประการกล่าวว่า แฮมิลตันยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วกระสุนตกลงมาโดนต้นไม้) จนได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งเวลา 2.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยผู้สังเกตการณ์ได้พยุงร่างที่บาดเจ็บของแฮมิลตันไว้ที่บ้านพักของ วิลเลียม บายาร์ด เพื่อนสนิทของเขา จนกระทั่งครอบครัว พี่น้อง และผองเพื่อนเขาเข้ามาเยี่ยมได้ไม่นาน ในเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แฮมิลตันก็เสียชีวิตลงเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว หลังจากการเสียชีวิตของแฮมิลตัน เบอร์ ก็ถูกถอดออกจากการชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีโดย ทอมัส เจฟเฟอร์สัน",
"ในปี ค.ศ. 1791 แฮมิลตัน ได้มีเรื่องอื้อฉาวขึ้นกับ Maria Reynolds หญิงที่มีสามีแล้ว และ James Reynolds ผู้สามีได้นำความนี้มาดัดหลัง แฮมิลตัน เพื่อเรียกร้องเงิน และขู่ว่าจะบอก Elizabeth ภรรยาของ แฮมิลตัน เมื่อ James ได้ถูกจับด้วยทำผิดกฎหมายการปลอมแปลง เขาได้นำความนี้ไปบอกแก่สมาชิกหลายคนของพรรค Democratic-Republican ที่ชัดเจนที่สุดคือ James Monroe และ Aaron Burr และขู่ว่าจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมดนี้แก่สาธารณะ ทั้งสองได้เข้าพบ แฮมิลตัน และบอกว่า James Raynolds อาจนำเรื่องส่วนตัวนี้เปิดเผยอันจะทำให้สถานะของ แฮมิลตัน ในคณะรัฐมนตรีของ วอชิงตัน ได้เสื่อมเสียไป แฮมิลตัน ได้ตัดสินใจเปิดเผยเรื่องของเขากับ Maria Reynolds อย่างหมดเปลือก และยืนยันว่าเขาไม่เคยทำผิดในหน้าที่ของบ้านเมือง และเมื่อมีข่าวลือมากขึ้น แฮมิลตัน ได้พิมพ์คำสารภาพเรื่องส่วนตัวของเขา ทำให้ครอบครัวของเขาและผู้ให้การสนับสนุนทั้งหลายตระหนกและตกใจในรายละเอียด ในคำสารภาพนั้น และสิ่งนี้ได้ทำให้ชื่อเสียงของ แฮมิลตัน ได้รับความกระทบกระเทือนไปตลอดชีวิตการงานของเขาในระยะต่อมา",
"สำหรับคนอื่น รวมถึง James Madison เป็นส่วนที่ต้องการให้มีมาตรการทางการเงินที่จะให้รัฐบาลกลาง (Federal government) มีความเป็นอิสระในการจัดการด้านการเงิน และในเรื่องดังกล่าว Madison ได้ร่วมกับ แฮมิลตัน ในการผลักดันให้มีการจัดเก็บภาษีเข้าสู่รัฐบาลกลางได้ร้อยละ 5 จากการนำสินค้าเข้าในทุกรายการ ภาษีนี้ไม่เคยไดรับการอนุมัติอย่างเต็มที่ และดังนั้นจึงยังไม่ได้เป็นกฎหมาย แฮมิลตัน และ Madison ยังได้ร่วมกันผลักดันให้รัฐบาลกลางสามารถมีกฎหมายที่ต้องอยู่เหนือกฎหมายของ แต่ละรัฐ (Individual states)",
"แฮมิลตัน ได้ผลักดันให้เกิดระบบโรงกษาปณ์ (United States Mint) ธนาคารแห่งชาติ (first national bank) และเพื่อให้สามารถมีอำนาจบังคับด้านการเสียภาษี จึงได้มีหน่วยงานที่เรียกว่า Revenue Cutter Service ทำหน้าที่โดยมีกองเรือติดอาวุธ มีหน้าที่สมบูรณ์ในการตรวจจับผู้ลักลอบน้ำเข้าหรือส่งออกสินค้า โดยหลีกเลี่ยงหรือหนีภาษี ในระยะต่อมา หน่วยงานนี้ได้เปลี่ยนเป็น United States Coast Guard ซึ่งในช่วงแรกมีหน้าที่ในการบังคับการดำเนินการด้านภาษีสินค้าน้ำเข้าและส่ง ออก ระบบที่นำเสนอโดย แฮมิลตัน ลดความสับสนของระบบการเงิน สร้างเสถียรภาพ ทำให้ประเทศมีเครื่องมือที่จะใช้ในการค้าขายทั้งภายในและระหว่างประเทศ สร้างความั่นใจให้กับนักลงทุนด้วยการมีพันธบัตรรับประกันโดยรัฐบาลกลาง (Government bonds)",
"The New York Post จัดเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดเป็นอันดับ ที่ 13 ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพิมพ์ติดต่อเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน ในประวัติศาสตร์หลังจากที่ได้มีการก่อตั้งโดย อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน มีการหยุดำเนินการเป็นระยะด้วยปัญหาแรงงาน ปัจจุบันหนังสือพิมพ์ดังกล่าวเป็นเจ้าของโดยกลุ่มของมหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย ชื่อ Rupert Murdoch จัดเป็นหนังสือพิมพ์ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 10 ของสหรัฐ ปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ที่ 1211 ถนนที่เรียกว่า Avenue of the Americas, ในเกาะ Manhattan เมืองนิวยอร์ก",
"แฮมิลตัน เมื่อลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Secretary of the Treasury) ที่ทรงอำนาจในปี ค.ศ.1795 นั้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเขาต่อการทำงานการเมืองให้กับประเทศได้ถดถอยลง เขาได้กลับไปทำงานด้านกฎหมาย และยังมีความใกล้ชิดกับ วอชิงตัน ทั้งในฐานะที่ปรึกษาและเป็นเพื่อน เขายังมีบทบาทในด้านการเขียนงานให้กับ วอชิงตัน และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับคณะรัฐมนตรีที่มาปรึกษากับเขา",
"ใน ครั้งนั้นฝ่าย Federalists หลายคนต่อต้านเจฟเฟอร์สัน และสนับสนุน Burr แต่ แฮมิลตัน ลังเลที่จะดำเนินการดังนั้น โดยได้ให้คะแนนไปที่เจฟเฟอร์สัน โดยให้สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งในฝ่าย Federalists งดออกเสียงที่ไปเท่ากันที่ 36 คะแนน ทำให้เจฟเฟอร์สัน ได้รับเลือกป็นประธานาธิบดี แทนที่จะเป็น Burr ที่เป็นดังกล่าว เพราะแม้ แฮมิลตัน จะไม่ชอบเจฟเฟอร์สัน และมีความเห็นไม่ลงรอยกันในหลายๆกรณี แต่เขาเห็นว่า “Jefferson เป็นคนซื่อสัตย์” ดังนั้น Burr จึงกลายเป็นรองประธานาธิบดี และเมื่อในระยะต่อมา Burr ไม่ได้ถูกขอให้ลงชิงตำแหน่งร่วมกับเจฟเฟอร์สัน อีก เขาจึงกลับไปสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กในปี ค.ศ. 1804 ในนามตัวแทนของกลุ่ม Federalists โดยฝ่ายตรงข้ามคือตัวแทนพรรคเจฟเฟอร์สันian คือ Morgan Lewis แต่ต้องพ่ายแพ้ไปด้วยกำลังส่วนหนึ่งที่หนุนหลังโดย แฮมิลตัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Burr กับ แฮมิลตัน ได้ผูกใจเจ็บต่อกันไปตลอดชีวิต",
"ด้วยความที่สมาชิกตัวแทนจากรัฐนิวยอร์กอีกสองคน อันได้แก่ Lansing และ Yates ได้ถอนตัวไป แฮมิลตัน จึงเป็นเพียงคนเดียวจากรัฐนิวยอร์กที่ได้ร่วมลงนามในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ",
"ส่วน Samuel Livermore จาก New Hampshire หวังว่าควรจะมีการสกัดพวกเก็งกำไร และทำให้ภาระเสียภาษีลดลง โดยมีการจ่ายเพียงบางส่วนของเงินพันธบัตรที่รัฐบาลได้ค้ำประกันไปแล้ว ความไม่เห็นด้วยระหว่าง Madison และ แฮมิลตัน ได้กลายเป็นความเห็นที่แตกต่างระหว่างฝ่ายเจฟเฟอร์สัน และ แฮมิลตัน ที่ได้ยืดยาวไปสู่ส่วนอื่นๆที่มีการเสนอต่อรัฐสภา (Congress) ฝ่าย แฮมิลตัน ได้เป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้สนับสนุนให้มีรัฐบาลกลางที่แข็งแรง (Federalists) และฝ่ายเจฟเฟอร์สัน ถือเป็นฝ่าย “สาธารณรัฐ (Republicans) ความ แตกต่างระหว่าง แฮมิลตัน และเจฟเฟอร์สัน นั้นเป็นความแตกต่างกันทั้งทางด้านแนวคิด การดำเนินการ และพื้นฐานดั้งเดิม แฮมิลตัน เป็นฝ่ายที่ต้องปฏิบัติงานที่เขาประสบกับความขัดสนของกองทัพที่ไม่สามารถได้ รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ และขณะเดียวกันต้องเริ่มกองทัพที่มีแต่เด็กหนุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกฝนทางการ ทหารมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายรัฐสภา ที่มีตัวแทนมาจากทางรัฐแต่ละรัฐที่เป็นผู้มีพื้นฐานจากชนชั้นสูง มีการศึกษา มีฐานะทางครอบครัวที่ดี และไม่ได้เป็นฝ่ายไปรบในสงคราม ไม่ได้เห็นปัญหาทีได้เกิดขึ้นในภาคสนาม แฮมิลตัน เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ฉลาด เรียนมาสูง สู้ชีวิตจากครอบครัวที่ยากจน ปากกัดตีนถีบ แต่เจฟเฟอร์สัน เป็นคนฉลาดอย่างมากเช่นกัน เรียนมาสูง คิดอย่างปรัชญา แต่ไม่ได้ลงปฏิบัติในสนามรบเหมือนกับ George วอชิงตัน หรือ แฮมิลตัน",
"แฮมิลตัน เป็นลูกที่เกิดนอกสมรสของนาง Rachel Faucett lavien อันมีเชื้อสายในราชวงศ์ Huguenot ของฝรั่งเศส กับ James A. Hamilton อันเป็นบุตรคนที่ 4 ของชาวสก๊อต ชื่อว่า laird อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน แห่ง Grange, Ayrshire. เขาเกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1755 หรืออาจเป็นปี ค.ศ. 1757 แม้นักประวัติศาสตร์ในยุคต่อมามีความเห็นว่าน่าจะเป็นปี ค.ศ.1955 แฮมิลตัน อาจพยายามแจ้งว่าเขาเกิดปี ค.ศ. 1757 เพื่อทำให้อายุน้อย เพราะในชั้นเรียน หากแจ้งว่าอายุมากก็จะดูแตกต่างจากเพื่อนร่วมห้องในรุ่นเดียวกัน และบางครั้งเขาอ้างว่าเกิดปี ค.ศ.1955 เพราะในขณะที่เขาต้องการทำงานหลังจากที่มารดาของเขาเสียชีวิต ในช่วงชีวิตของเขาไม่เคยได้พูดถึงอายุจริง เป็นลักษณะอายุประมาณการตลอด แม่ของ แฮมิลตัน ได้เลิกกับ Johann Michael Lavien แห่ง St. Croix เพื่อหนีจากชีวิตการแต่งงานที่ไม่มีความสุข แม่และเขาได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิด คือที่ Nevis ที่ซึ่งเธอได้รับมรดกจากบิดาของเธอ แม่ของ แฮมิลตัน มีลูกสองคน คือ James, Jr., และ อเล็กซานเดอร์ เพราะ James ผู้พ่อ และ Rachel ไม่เคยได้แต่งงานกันอย่างถูกกฎหมาย ทางศาสนา คือ Church of England จึงปฏิเสธ อเล็กซานเดอร์ ที่จะได้เป็นสมาชิกของโบสถ์ และทำให้เขาไม่ได้รับการศึกษา ด้วยเหตุดังกล่าว อเล็กซานเดอร์ น้อยนี้จึงต้องรับการศึกษาแบบครูสอนพิเศษ และเรียนร่วมกับชั้นเรียนที่เป็นของศาสนาในนิกายยิว อเล็กซานเดอร์ ได้เลือกเรียนเสริมจากห้องสมุดของครอบครัว ซึ่งมีหนังสืออยู่ 34 เล่ม รวมทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับกรีกและโรมัน",
"ในการสิ้นสุดของการประชุม แฮมิลตัน ก็ยังไม่พอใจกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายนัก แต่ก็ร่วมลงนาม ส่วนที่ว่าด้วยความเป็นสหพันธรัฐ (Confederation) ได้มีการปรับเปลี่ยนไปมากพอสมควร และเขาได้ผลักดันให้ตัวแทนจากรัฐได้ร่วมลงนามด้วย",
"ในระยะแรกของการประชุม สุนทรพจน์ของ แฮมิลตัน มีลักษณะความเป็นระบบกษัตริย์ แสดงความดุดันเผ็ดร้อน แต่มีผลต่อการประชุมไม่มากนัก ข้อเสนอของเขาคือการให้ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสมาชิกของรัฐสภามาจากการเลือกตั้ง แต่ให้อยู่ในตำแหน่งได้จนตลอดชีวิตขึ้นอยู่กับคามประพฤติ และการจะถอดถอนให้เป็นเรื่องของการคอรัปชั่นและการใช้อำนาจอย่างผิดๆ แผนงานของเขาเน้นไปที่เสรีภาพแห่งสาธารณรัฐ (liberties of a republic) ซึ่งเป็นตัวป้องกันระบบความสับสนยุ่งเหยิง และในอีกด้านหนึ่งคือการไม่ปล่อยให้มีเผด็จการเข้าครองอำนาจ แนวคิดของเขาไว้ใจประชาชนและเชื่อในสติปัญญาของประชาชนน้อย สำหรับการลงคะแนนเสียงของรัฐสภาให้ใช้การลงคะแนนลับ เพื่อให้สมาชิกสามารถได้ลงมติได้อย่างเสรี และการแสดงความคิดเป็นไปอย่างกว้างขวาง และด้วยความที่เสนอให้วาระการดำรงตำแหน่งของผู้อยู่ในอำนาจเป็นไปตลอดชีวิต ทำให้คนในยุคต่อๆมามองเขาว่ามีลักษณะเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราช (Monarchial) และหลายๆฝ่ายมองเขาว่าเป็นพวกที่นิยมระบบกษัตริย์",
"แฮมิลตัน เป็นคนทำงานมีประสิทธิภาพ ภายในหนึ่งปี เขาได้ส่งรายงาน 5 เรื่องที่สำคัญและเป็นรากฐานดังต่อไปนี้",
"ในช่วงปี ค.ศ 1801 เมื่อเขาหมดบทบาทในรัฐบาลกลาง แฮมิลตันได้หันมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์เป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่ม Federalist ที่มีชื่อว่า New-York Evening Post. ในช่วงดังกล่าว ได้มีการกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้งระหว่างเขาและรองประธานาธิบดี อารอน เบอร์ จนในที่สุดมีการท้าดวลปืนกัน ซึ่งเป็นผลให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักและเสียชีวิตในวันต่อมา หลังจากสงครามในปี ค.ศ. 1812 กับประเทศอังกฤษ ฝ่ายที่เป็นปฏิบักษ์ของเขาในยุคต่อมา ก็หันมาใช้นโยบายของเขา คือสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบรัฐบาลกลาง คนเหล่านี้ได้แก่ เมดิสัน และ อัลเบิร์ต กัลแลติน มีการจัดทำโปรแกรมของรัฐบาลกลางขึ้น อันได้แก่ การให้มีธนาคารแห่งชาติ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง การมีระบบภาษี การมีกองทัพบก กองทัพเรือที่ดำเนินการโดยรัฐบาลกลาง และแนวนโยบายที่เขาเสนอก็ยังมีบทบาทต่อมาจนถึงรัฐบาลสหรัฐในยุคปัจจุบัน",
"Adams ไม่ชอบวิธีการของ แฮมิลตัน และอิทธิพลของเขาที่มีต่อ วอชิงตัน และเห็นว่า แฮมิลตัน เป็นคนมักใหญ่ไฝ่สูง ส่วน แฮมิลตัน มองว่า Adams เป็นคนอารมณ์ไม่คงเส้นคงวา วางใจไม่ได้กับการทำงานกับประธานาธิบดี วอชิงตัน แต่การได้ Adams เป็นประธานาธิบดียังดีกว่าได้เจฟเฟอร์สัน ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามอย่างชัดเจน",
"แฮมิลตัน ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะที่เรื่องส่วนตัวของ เขาได้รับการสอบสวน เขาได้ยื่นใบลาออกในวันที่ 1 ธ้นวาคม ค.ศ. 1794 และมีผลในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1795",
"จาก จดหมายติดต่อของเขา เขาต้องการกลับมามีบทบาทในกองทัพ เขาฝันว่าหากกลับมามีอำนาจ รัฐบาลจะต้องมีกำลัง โดยไม่มีบทบาทของฝ่ายผู้ยึดถือในแนวทางของเจฟเฟอร์สัน แต่ Adams ซึ่งไม่ได้ต้องการทำสงครามมากมายอย่างที่ แฮมิลตัน ต้องการ ได้สกัดแผนดังกล่าวที่จะไม่ให้เกิดสงคราม และได้เปิดเจรจากับฝรั่งเศส Adams เมื่อเป็นประธานาธิบดีได้ใช้สิทธิที่จะคงคณะรัฐมนตรีของ วอชิงตัน ยกเว้นในประเนที่เขาพบว่าในปี ค.ศ. 1800 ที่เมื่อ วอชิงตัน ได้เสียชีวิตแล้ว เขาได้เชื่อ แฮมิลตัน มากกว่าตัวของเขาเอง และได้ปลดหลายคนออก",
"ใน การเลือกต้ง ปี ค.ศ. 1800 แฮมิลตัน ได้ทำงานที่จะไม่เอาชนะฝ่ายตรงกันข้าม คือตัวแทนจากฝ่าย Democratic-Republican แต่รวมไปถึงตัวแทนของฝ่ายเขาเองในขณะนั้น คือ John Adams ในเดือนกันยายน เขาได้เขียนแผ่นปลิว กล่าวหาบุคลิกภาพของ John Adams ในการทำงานเป็นประธานาธิบดีของประเทศ เป็นการวิจารณ์ Adams อย่างเสียๆหายๆ แม้ในที่สุดเขาจะสนับสนุน Adams แต่จดหมายดังกล่าวได้ไปอยู่ในมือของกลุ่ม Democratic-Republican และได้มีการนำไปพิมพ์เผยแพร่ต่อ ซึ่งมีผลกระทบต่อ Adams ในฐานะเป็นตัวแทนของกลุ่ม Federalists และทำให้ชัยชนะไปตกอยู่กับมือของกลุ่ม Democratic-Republican Party ที่นำโดยเจฟเฟอร์สัน ในการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1800 และได้ทำลายโอกาสตำแหน่งของ แฮมิลตัน ในกลุ่มของ Federalists ในเวลาต่อมา",
"ใน ครั้งแรก แฮมิลตัน โกรธและได้กล่าวหาว่า Monroe ได้นำเรื่องส่วนตัวของเขาเปิดเผยต่อสาธารณะ จนระดับท้า Monroe เพื่อดวลปืนตัดสินกัน แต่ Aaron Burr ได้เข้าขวางและหว่านล้อม แฮมิลตัน ว่า Monroe ไม่รู้เรื่องและไม่ได้เกี่ยวข้องในการกล่าวหานั้น และด้วยอารมณ์ร้อนของ แฮมิลตัน ได้ท้าอีกหลายๆคนเพื่อดวลปืนในช่วงการทำงานในชีวิตของเขา",
"ในสถานการณ์สำคัญหนึ่ง วอชิงตัน ได้ส่ง แฮมิลตัน ไปพบนายพล Horatio Gates เพื่อต่อรองการโอนคนของ Gates ไปสู่ วอชิงตัน ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจและทำให้เกิดเหตุการณ์ใกล้กับการล้มล้างอำนาจของ วอชิงตัน ที่เรียกว่า \"Conway Cabal\" อันประกอบด้วย Conway, Gates, และคนอื่นๆ ได้วิพากษ์ วอชิงตัน และมีความพยายามที่จะปลดเขาออกจากเป็นผู้บัญชาการกองทัพฝ่ายภาคพื้นทวีป และโดยไม่ใช่ความผิดของ แฮมิลตัน จดหมายดังกล่าวที่มีถึงรัฐสภาได้เปิดเผยสู่สาธารณะ วอชิงตัน โกรธมากและเรียกให้ต้องมีการชี้แจง เพื่อหลีกเลี่ยงจากเรื่องนี้ Gate แก้ตัวว่า แฮมิลตัน ได้ขโมยเอกสารของเขาไปในขณะเรียกกำลังพล แต่เหตุการณ์ปรากฏว่า แฮมิลตัน ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่ประการใด แต่คำกล่าวนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจกันเป็นส่วนตัวระหว่าง แฮมิลตัน กับ Gates และ แฮมิลตัน ได้แสดงให้เห็นความสวามิภักดิ์ของเขาต่อ วอชิงตัน ตลอดเวลาต่อมา"
] |
ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร ออกฉายครั้งแรกเมื่อไหร่? | [
"เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร หรือ โมะโนะโนะเกะฮิเมะ () เป็นภาพยนตร์อนิเมะแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ ที่เขียนและกำกับโดยฮะยะโอะ มิยะซะกิแห่งสตูดิโอจิบลิ โมะโนะโนะเกะ () ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นคำที่ใช้เรียกภูตผีปีศาจ ภาพยนตร์เรื่องนี้เผยแพร่ในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม และ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ตามลำดับ"
] | [
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ได้รับอันดับที่ 488 จาก 500 ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล (ใน พ.ศ. 2551) ของเอมไพร์แมกกาซีน[19]",
"โรเจอร์ เอเบิร์ต จัดให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในอันดับที่หกในรายชื่อภาพยนตร์ที่ดีที่สุดสิบเรื่องแห่งปี พ.ศ. 2542 [2] โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ยังเคยเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้สูงสุดในญี่ปุ่น ซึ่งถูกทำลายสถิติลงด้วยภาพยนตร์เรื่องไททานิคในหลายเดือนถัดมา[3] ปัจจุบันโมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อนิเมะที่ทำรายได้สูงที่สุดอันดับสี่ในญี่ปุ่น รองลงมาจาก เซ็น โทะ ชิฮิโระ โนะ คะมิกะกุชิ (Spirited Away) ใน พ.ศ. 2544 ฮารุ โนะ ยุโงะคุชิโระ (Howl's Moving Castle) ใน พ.ศ. 2547 และ โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย ใน พ.ศ. 2551 ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานของมิยะซะกิทั้งสิ้น",
"ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นและประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ในประเทศเหล่านี้มีการตีความกันอย่างกว้างขวางว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่บอกเล่าในรูปแบบตำนานโบราณของญี่ปุ่น มิราแมกซ์ แห่ง ดิสนีย์ ได้ซื้อสิทธิ์การจัดจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาไปและต้องการจะตัดภาพยนตร์ให้เหมาะกับผู้ชมในสหรัฐอเมริกา (สำหรับการจัดเรตติ้ง PG) อย่างไรก็ตามมิยะซะกิไม่อนุญาตและในที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เผยแพร่ในอเมริกาโดยไม่มีการตัดต่อโดยได้รับการจัดเรตติ้ง PG-13 Miramax ได้ลงทุนมหาศาลในการสร้างเสียงภาษาอังกฤษของภาพยนตร์โดยใช้นักพากย์ที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ดีเมื่อถึงเวลาฉายในโรงภาพยนตร์ปรากฏว่าไม่มีการโฆษณาเท่าที่ควร ทำให้จัดฉายในโรงภาพยนตร์ที่จำนวนไม่มากในเวลาอันสั้น ซึ่งต่อมาดิสนีย์ประกาศว่าภาพยนตร์เรื่องทำเงินจากการฉายในโรงได้ไม่ดี ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดออกจำหน่าวนรูปแบบ DVD ในสหรัฐอเมริกา แต่มิราแม็กซ์ประกาศว่าจะมีเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น แฟนที่คลังไคล้ภาพยนตร์จึงต่อต้าน ด้วยกลัวว่าจะขายไม่ดีมิราแมกซ์จึงต้องจ้างคนแปลซับไตเติ้ล และทำให้ DVD ออกช้ากว่ากำหนดไปเกือบสามเดือน เมื่อ DVD ออกมาในที่สุดก็ปรากฏว่าสามารถขายดีอย่างมาก",
"มิยะซะกิไม่ต้องการให้อะชิตะกะเป็นพระเอกทั่วไป:[12] เขาบอกว่าเอะโบะชิมีประวัติที่น่าเศร้า แม้ว่ามันจะไม่ได้กล่าวถึงโดยตรงในภาพยนตร์ เอะโบชิมีบุคลิกภาพที่แช็งแกร่งและมั่นคง เห็นได้จากการที่เธอปล่อยให้อะชิตะกะไปมาอย่างเสรีในเมืองของเธอโดยไม่มีผู้ติดตาม แม้ว่าจุดประสงค์การมาเยือนของเขาไม่แน่ชัด เอะโบชิไม่เคยยอมรับพระราชอำนาจแห่งพระจักรพรรดิในเมืองของเธอเลย นี่เป็นมุมมองที่ก้าวหน้ามากสำหรับสมัยนั้นและทัศนะคติที่เธอยอมสละทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความฝันเป็นทัศนะที่ไม่ธรรมดาในผู้หญิงยุคนั้น[12]",
"ยามสายฝนโปรยปราย (, ) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นความยาว 46 นาที กำกับโดย มาโกโตะ ชิงไก มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Gold Coast Film ที่ออสเตรเลีย เมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2556 และได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในญี่ปุ่น เมื่อ 31 พฤษภาคม ปีเดียวกัน นอกจากนี้ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องนี้ ยังได้รับการกล่าวขานและเสียงชื่นชมอย่างมาก ในเรื่องความสวยงามและรายละเอียดของกราฟิก ซึ่งพื้นหลังส่วนใหญ่ของอะนิเมะ คืออุทยานหลวงชินจุกุ สวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางกรุงโตเกียว",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์ย้อนยุคซึ่งมีฉากอยู่ในปลายยุคมุโระมะจิของญี่ปุ่น แต่แต่งเติมด้วยองค์ประกอบจากจินตนาการลงไปจำนวนมาก เนื้อเรื่องกล่าวถึงอะชิตะกะซึ่งเป็นคนภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติที่ดูแลป่าและผู้คนของโลหะนครซึ่งใช้ทรัพยากรจากป่า ในเรื่องนี้มิได้แสดงถึงฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่วที่เด่นชัด และจุดยืนของผู้สร้างภาพยนตร์ก็เปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่มีชัยชนะของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ชัดเจน มีเพียงความหวังที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติจะดำเนินเป็นวัฎจักรต่อไป[1]",
"เมื่อมิยะซะกิสร้างจิโกะ เขาไม่แน่ใจว่าจะสร้างให้เป็นสายลับของรัฐบาล นินจา นักบวช หรือ \"คนที่ดีมาก\" ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะใส่องค์ประกอบของทุกกลุ่มที่กล่าวมาลงไป[12]",
"มีการอ้างอิงถึงโคดามะในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการของญี่ปุ่น เช่น มังงะหรืออนิเมชั่นเรื่อง \"GeGeGe no Kitarō\" และ\"เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร\" ในปี ค.ศ. 1997",
"มิยะซะกิใช้เวลาถึง 16 ปีในการผูกเรื่องและสร้างตัวละครของโมะโนะโนะเกะฮิเมะ โครงเรื่องและการแต่งกายที่คล้ายกันอาจพบได้ในมังงะเรื่อง The Journey of Shuna ใน ค.ศ. 1983 ของมิยะซะกิ เนื่อเรื่องและตัวละครได้เปลี่ยนแปลงอย่างมากระหว่างขั้นวางแผนสร้างภาพยนตร์ โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้หลังจากมิยะซะกิและทีมงานไปเที่ยวป่าเก่าแก่แห่งเกาะยุคุชิมะ แต่มิยะซะกิก็ยังเขียนโครงเรื่องไม่เสร็จสมบูรณ์กระทั่งได้เริ่มสร้างภาพยนตร์ไปแล้ว แผนผังโครงตอนจบเพิ่งจะเสร็จสิ้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนวันฉายรอบปฐมทัศน์ในญี่ปุ่น[5]",
"หมวดหมู่:การ์ตูนญี่ปุ่น หมวดหมู่:สตูดิโอจิบลิ หมวดหมู่:อนิเมะ หมวดหมู่:ภาพยนตร์โดยมิราแม็กซ์ หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ",
"เดิมชื่อภาษาอังกฤษของภาพยนตร์นี้คือ Rapunzel แต่ก่อนออกฉายเล็กน้อยได้เปลี่ยนเป็น Tangled ภาพยนตร์นี้ฉายในโรงภาพยนตร์ระบบสามมิติเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2553 ส่วนในประเทศไทย ฉายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 นอกจากนี้เคยทำเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่น บาร์บี้ ในชื่อตอนว่า Barbie as Rapunzel (บาร์บี้ เจ้าหญิงราพันเซล) เมื่อปี 2545 สร้างโดย แมทเทล และ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ อินเตอร์เนชันแนล[5] การจัดสร้างภาพยนตร์ใช้เวลาถึงหกปี และแอลเอไทมส์รายงานว่า ใช้ทุนไปราว ๆ สองร้อยหกสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ใช้จ่ายเงินไปมากที่สุดทีเดียว[6]",
"มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม ค.ศ. 1984 ลาพิวต้า พลิกตำนานเหนือเวหา ค.ศ. 1986 โทโทโร่เพื่อนรัก ค.ศ. 1988 แม่มดน้อยกิกิ ค.ศ. 1989 พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน ค.ศ. 1992 เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร ค.ศ. 1997 มิติวิญญาณ ค.ศ. 2001 (ชนะรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ค.ศ. 2002) ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ ค.ศ. 2004 (ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ค.ศ. 2005) โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย ค.ศ. 2008 อาริเอตี้ มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว ค.ศ. 2010 ป๊อปปี้ ฮิลล์ ร่ำร้องขอปาฏิหาริย์ ค.ศ. 2011 ปีกแห่งฝัน วันแห่งรัก ค.ศ. 2013",
"ภูมิทัศน์ที่ปรากฏในภาพยนตร์ได้แรงบันดาลใจมากจาป่าโบราณแห่งเกาะยะกุ ในคิวชู และภูเขาแห่งเทือกเขาชิระคะมิ ทางตอนเหนือของฮอนชู[13]",
"ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อนิเมะชันที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ดีภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จทางการเงินเท่าที่ควรในสหรัฐอเมริกา โดยมียอดรายได้ได้ทั้งสิ้น 2,298,191 ดอลลาร์สหรัฐนช่วงแปดสัปดาห์แรก[21]",
"ระหว่างทางอะชิตะกะผ่านหมู่บ้านที่ถูกซามูไรรุกราน เขาจำเป็นต้องป้องกันตัวเพราะถูกขวางทางและถูกโจมตี แขนที่ต้องคำสาปได้แสดงพลังเหนือธรรมชาติ ทำให้ลูกธนูของเขาตัดแขนขาหรือศีรษะมนุษย์ได้ เมื่อถึงเมืองถัดไปอะชิตะกะได้พบกับจิโกะนักบวชพเนจร จิโกะและอะชิตะกะค้างแรมด้วยกัน จิโกะรู้ว่าอะชิตะกะเป็นชาวเอะมิชิเพราะเห็นกวางแดง ธนูหิน และชามที่เขาใช้ เขาบอกอะชิตะกะว่าเขาอาจพบกับสิ่งที่ตามหาได้ในป่าของเทพเจ้ากวาง \"ชิชิกะมิ\" ในภูเขาทางตะวันตกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้าสัตว์ป่าขนาดยักษ์ จิโกะยังบอกอีกด้วยว่าป่านั้นเป็นแดนหวงห้ามที่มนุษย์ไม่อาจรุกล้ำ",
"อะชิตะกะเจ้าชายองค์สุดท้ายแห่งเอะมิชิต่อสู้กับปีศาจหมูป่ายักษ์ที่รุกเข้ามา เขาจำต้องยิงธนูฆ่าปีศาจเพื่อปกป้องหมู่บ้าน ระหว่างการต่อสู้เขาได้รับบาดเจ็บที่แขน มิโกะเฒ่าประจำหมู่บ้านทำนายว่าแผลที่แขนขวาต้องคำสาปและจะขยายไปทำให้ถึงแก่ชีวิตในที่สุด อะชิตะกะบอกว่ายอมรับผลที่ตามมาได้ตั้งแต่ชักคันธนูขี้นแล้ว เขาตัดสินใจเดินทางไปยังดินแดนทางตะวันตกเพื่อตามหาที่มาของหมูป่า และหาสาเหตุที่ทำให้เทพเจ้าหมูป่ากลายร่างเป็นปีศาจ ซึ่งอาจมีทางช่วยแก้ไขคำสาปได้แทนที่จะอยู่รอความตาย อะชิตะกะตัดมวยผมออกต่อหน้าที่ประชุมเป็นสัญลักษณ์ของการจากไปอย่างถาวรและตายจากสังคมที่เขาอยู่[4] อะชิตะกะได้รับกริชแก้วจากเด็กสาวในหมู่บ้านไว้แล้วขี่ยักกุรุกวางแดงคู่ใจของเขาออกจากหมู่บ้านไปในกลางดึก",
"มิยะซะกิตรวจเซลราว 144,000 เซลด้วยตนเอง[7] และในจำนวนนี้เขาได้วาดแก้ไขเซลราว 80,000 เซล[8][9]",
"สตูดิโอจิบลิได้ก่อตั้งใน ค.ศ. 1985 โดยผู้กำกับอย่างฮายาโอะ มิยาซากิ ร่วมกับผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและพี่เลี้ยงอย่าง อิซาโอะ ทากาฮาตะ และ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานมายาวนานอย่าง โทชิโอะ ซูซึกิ จุดเริ่มต้นทั้งหมดต้องย้อนไปปี ค.ศ. 1984 ภาพยนตร์เรื่อง \"มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม\" ซึ่งได้รับความนิยมจากมังงะที่ตีพิมพ์ต่อเนื่องในนิตยสารอะนิเมจ (Animage) ของ โทคุมะ โชเท็น หลังจากบทดั้งเดิมถูกปฏิเสธ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการอำนวยการสร้างโดย ท็อปคราฟต์ (Topcraft) และความสำเร็จของภาพยนตร์กระตุ้นให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มจิบลิ โทคุมะเป็นบริษัทแม่ของสตูดิโอจิบลิ และให้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์กับ ดิสนีย์ ในการจัดจำหน่ายทั่วโลกถึง 8 เรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น \"เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร\" หรือ \"สปิริเต็ดอะเวย์\" ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของมิยะซะกิ \"Howl's Moving Castle\" นำเค้าโครงเรื่องมาจากหนังสือของนักเขียนชาวอังกฤษ ชื่อ Diana Wynne Jones ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในหลายๆ ประเทศ รวมทั้ง แคนาดา และสหรัฐอเมริกา นักประพันธ์เพลงอย่าง โจ ฮิไซชิ จะเป็นผู้แต่งเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์ในสตูดิโอจิบลิของมิยะซะกิทุกเรื่อง",
"ดีวีดีที่เผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร มีซาวด์แทรกทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น และซับไตเติ้ลทั้งสองภาษา และมีการแปลตามตัวอักษรมากขึ้น",
"ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก Japanese Academy Awards ครั้งที่ 21 ภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยม, แอนิเมชันยอดเยี่ยม และรางวัล Japanese Movie Fans' Choice จาก Mainichi Movie Competition ครั้งที่ 52 ภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยม และรางวัล Readers' Choice จากเทศกาล Asahi Best Ten Film Festival รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก The Agency for Cultural Affairs แกรนด์ไพร์ส ในประเภทแอนิเมชัน จากงาน มีเดียอาร์ทเฟสติวอล ครั้งที่ 1 ผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาล ทาคาซากิฟิล์มเฟสติวอล ภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยม จาก The Association of Movie Viewing Groups มูฟวี่อะวอร์ด จาก Mainichi Art Award ครั้งที่ 39 ผู้กำกับยอดเยี่ยม จาก Tokyo Sports Movie Award Nihon Keizai Shinbun Award for Excellency จาก Nikkei Awards for Excellent Products/Service Theater Division ได้รับจาก Asahi Digital Entertainment Award MMCA สเปเชียล ได้รับจาก Multimedia Grand Prix 1997 ผู้กำกับยอดเยี่ยม และ Yujiro Ishihara Award จาก Nikkan Sports Movie Award รางวัลความสำเร็จพิเศษ ได้รับจาก The Movie's Day รางวัลพิเศษ จาก Houchi Movie Award รางวัลพิเศษ</b>จาก Blue Ribbon Award รางวัลพิเศษ จากเทศกาล โอซาก้าฟิล์มเฟสติวอล รางวัลพิเศษ จาก Elandore Award รางวัลด้านวัฒนธรรม จาก Fumiko Yamaji Award Grand Prize และ Special Achievement Award จาก Golden Gross Award First Place ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี จาก \"Pia Ten\" ครั้งที่ 26 First Place จาก Japan Movie Pen Club ในฐานะ 5 ภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยม ปี 1997 First Place จาก 1997 Kinema Junpo Japanese Movies Best 10 (Readers' Choice) Second Place จาก 1997 Kinema Junpo Japanese Movies Best 10 (Critics' Choice) ผู้กำกับยอดเยี่ยม จาก 1997 Kinema Junpo Japanese Movies (Readers' Choice) First Place จาก Best Comicker's Award First Place จาก CineFront Readers' Choice Nagaharu Yodogawa Award; RoadShow ผู้แต่งเพลงยอดเยี่ยม และ Best Album Production จาก Japan Record Award ครั้งที่ 39 รางวัลยอดเยี่ม จาก Yomiruri Award for Film/Theater Advertisement",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ เป็นภายยนตร์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2540 ทำรายได้ 11.3 พันล้านเยน[15] โดยนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ให้ความคิดเห็นในเชิงบวกต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ อาทิเช่น ได้รับคะแนน 93% \"Certified Fresh\" บนเว็บ Rotten Tomatoes Leonard Klady แห่งนิตยสาร Variety ได้เขียนคำวิจารณ์เชิงบวกเมื่อได้ชม an early release of the picture.[16] ในรายการ Roger Ebert & The Movies โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ได้รับ two thumbs up จาก Harry Knowles และ Roger Ebert.[17] Ebert ยังจัดอันดับภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ได้รับดาวสี่ดวงจากทั้งหมดสี่ดวงและใส่ภาพยนตร์เรื่องนี้ลงรายชื่อสิบภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปีของเขา[18]",
"แอนิเมชั่นแต่ละเรื่องในยุคแรกๆนั้นจะดัดแปลงจากภาพยนตร์เงียบ ที่ยุโรปในปี 1908 แอนิเมชันก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในโลก นั่นก็คือเรื่อง Fantasmagorie ของ Emile Courtet ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ส่วนภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยาวเรื่องแรกของโลก นั่นก็คือ Satire du Pt Irigoyen ของอาร์เจนตินา ในปี 1917 และตามด้วย The Adventure of Prince Achmed\nในขณะเดียวกัน ที่สหรัฐฯ ก็มีการเริ่มต้นพัฒนาด้านแอนิเมชันซึ่งหนังในช่วงแรกๆก็มี Koko the Clown และ แมวฟิลิกซ์ ในปี 1923 วอลต์ ดิสนีย์ ก็ถือกำเนิดขึ้นด้วย\nหลังจากที่วอล์ท ดิสนี่ย์ได้กำเนิดขึ้น ก็ทำให้เกิดยุคทองหนังแอนิเมชันของดิสนี่ย์ในช่วงระยะเวลาถึง20ปีเลยทีเดียว ในปี1928 มิกกี้ เมาส์ก็ถือกำเนิดขึ้น ตามด้วย พลูโต กู๊ฟฟี่ โดนัลด์ ดั๊ก เป็นต้น และในปี 1937 สโนว์ไวท์และคนแคระทั้ง7 ก็เป็นแอนิเมชั่นเรื่องยาวเรื่องแรกของ ดิสนี่ย์ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และทยอยมีแอนิเมชันเรื่องอื่นๆตามมา เช่น หุ่นไม้พินอคคิโอ, แฟนเทเชีย ,ดัมโบ้, กวางน้อย...แบมบี้ , อลิซท่องแดนมหัศจรรย์, ปีเตอร์ แพน จากนั้นก็มีการตั้งสตูดิโอของ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส,MGM และ UPA\nในช่วงปี 1960 หลังจากที่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นประสบความสำเร็จ ก็ก่อให้เกิดธุรกิจแอนิเมชันบนจอโทรทัศน์ขึ้นมา ซึ่งมีทั้งการ์ตูนของดิสนีย์ และการ์ตูนพวกฮีโร่ทั้งหลายแหล่อย่าง ซูเปอร์แมน แบทแมน ฯลฯ และในขณะเดียวกัน ก็มีการศึกษาการทำแอนิเมชั่น3มิติอีกด้วย\nเวลาก็ได้ล่วงมาถึง ช่วงปี 1980 ภาพยนตร์ของดิสนีย์ก็ถึงคราวซบเซา แต่ทว่าในปี 1986 The Great Mouse Detective ก็เป็นแอนิเมชั่นเรื่องแรกของโลก ที่นำเอา 3D แอนิเมชั่นมาใช้ด้วย ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แอนิเมชั่นของดิสนีย์กลับมา ได้รับความนิยมใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทั้ง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร,อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ ,เดอะ ไลอ้อน คิง ในปี 1995 ภาพยนตรแอนิเมชั่น3มิติเรื่องแรกของโลก อย่าง ทอย สตอรี่ ก็ถือกำเนิดขึ้น และ ทำให้มีการสร้างสรรงานแอนิเมชัน3มิติอีกหลายๆงานต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึง มีการทำแอนิเมชันเพื่อจับกลุ่มคนดูที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย อย่างเช่น เดอะซิมป์สัน ,เซาท์พาร์ก และมีการยอมรับแอนิเมชั่นจากประเทศอื่นๆมากขึ้นอีกด้วย",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะ ยังอยู่ในรายการภาพยนตร์อเนิเมชันที่ดที่สุด 50 เรื่องของ เทอร์รี่ กิลเลียม[20]",
"ส่วนที่ญี่ปุ่นนั้น การพัฒนาแอนิเมชั่นนั้น ก็มีประวัติศาสตร์มายาวนาน สันนิษฐานว่า น่าจะเริ่มต้นประมาณปี 1900 บนฟิลม์ขนาด35มม. เป็นแอนิเมชันสั้นๆเกี่ยวกับทหารเรือหนุ่มกำลังแสดงความเคารพ และใช้ทั้งหมด 50 เฟรมเลย ส่วน เจ้าหญิงหิมะขาว ก็เป็นแอนิเมชันเรื่องแรกของทางญี่ปุ่น ก็สร้างในปี 1917\nจนมาถึงปี 1958 แอนิเมชั่นเรื่อง นางพญางูขาว(Hakujaden) ก็เป็นแอนิเมชั่นเรื่องแรกที่เข้าฉายในโรง และจากจุดนั้นเอง แอนิเมชันญี่ปุ่นก็มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจาก",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นภาพยนตร์อนิเมะที่แพงที่สุดที่เคยมีการจัดสร้างมา ด้วยต้นทุนทั้งสิ้นราว 2.35 พันล้านเยน[9][10][11]",
"at Studio Ghibli (Japanese) on IMDb at The Big Cartoon DataBase at AllMovie at Box Office Mojo at Rotten Tomatoes (anime) at Anime News Network's encyclopedia",
"โมะโนะโนะเกะฮิเมะวาดด้วยมือเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางส่วนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยประมาณห้านาทีในภาพยนตร์ [6] การใช้คอมพิวเตอร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ออกแบบมาให้เข้ากับการทำภาพยนตร์อนิเมะแบบ cell ซึ่งเป็นวิธีการดั้งเดิมในสร้างภาพยนตร์อนิเมะ นอกจากนี้อีกประมาณ 10 นาทีของภาพยนตร์ยังใช้สีดิจิตอล ซึ่งเป็นเทคนิคที่สตูดิโอจิบลิได้ใช้ในภาพยนตร์เรื่องอื่นต่อไป ส่วนที่เหลือของภาพยนตร์ใช้สีจริงทั้งสิ้น ผู้ผลิตภาพยนตร์ตกลงยินยอมใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจะทำภาพยนตร์ให้เสร็จตามกำหนดปฐมทัศน์ในญี่ปุ่น[5]",
"ภาพยนตร์ในฉบับภาษาอังกฤษเผยแพร่เหมือนต้นฉบับในญี่ปุ่นโดยไม่มีการตัดต่อเพราะมิยะซะกิดึงดันอย่างแข็งขัน[14] เฉพาะซาวด์แทรกเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง เสียงภาษาอังกฤษแปลโดย Neil Gaiman ผู้แต่ง The Sandman การปรับปรุงส่วนใหญ่เป็นการให้ความหมายคำเฉพาะในวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่คนนอกทวีปเอเชียอาจเข้าใจได้ยาก รวมถึงชื่อเฉพาะเช่น Jibashiri และ Shishigami ในภาษาญี่ปุ่นถูกเปลี่ยนเป็น Mercenary และ Forest Spirit ในภาษาอังกฤษ เพราะคำเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จักของผู้ชมนอกญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์ เช่น ไมเคิล แอทคินสัน, มร.สโนบิซ กล่าวว่าการแปลเช่นนี้ทำให้เนื้อหาของภาพยนตร์อ่อนลง",
"แอนิเมชั่น ก็มีความหมายที่แปลได้โดยตรงคือ ความมีชีวิตชีวา มาจากรากศัพท์จากคำว่า anima ซึ่งแปลว่าจิตวิญญาณ หรือมีชีวิต แต่ต่อมา แอนิเมชันก็มีความหมายตามที่เราๆท่านๆเข้าใจกันในปัจจุบันนี้ ก็คือ การสร้างภาพเคลื่อนไหวได้ หรือ ภาพการ์ตูนที่เคลื่อนไหวได้ ส่วนแอนิเมชันในความหมายเชิงภาพยนตร์ก็คือ กระบวนการการฉายรูปเฟรมภาพออกมาทีละเฟรม หรือสร้างด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิค หรือ ทำด้วยการวาดมือ และทำซ้ำการเคลื่อนไหวทีละน้อยๆซึ่งจะแสดงทีละภาพในอัตราความเร็ว มากกว่าหรือเท่ากับ16ภาพ ต่อ 1 วินาที(ปัจจุบัน 24เฟรม ต่อ 1 วินาที --NTSC) ส่วน อนิเมะ ก็เป็นคำอีกคำหนึ่งที่ใช้กันบ่อยๆนั้น ก็เป็นคำที่ ญี่ปุ่น เรียกแอนิเมชันกันแบบย่อๆ แต่ต่างกับแอนิเมชันของฝรั่ง เพราะ แอนิเมชันจะเน้นการเล่าเรื่องมากกว่าภาพเคลื่อนไหว ความเป็นมาของแอนิเมชันในแต่ละพื้นที่ของโลกก็มีพัฒนาการที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละท้องที่มีพัฒนาการดังนี้"
] |
อุณหพลศาสตร์ คืออะไร? | [
"อุณหพลศาสตร์ (/อุน-หะ-พะ-ละ-สาด/ หรือ /อุน-หะ-พน-ละ-สาด/) หรือ เทอร์โมไดนามิกส์ (English: thermodynamics; มาจากภาษากรีก thermos = ความร้อน และ dynamis = กำลัง) เป็นสาขาของฟิสิกส์ ที่ศึกษาความสัมพันธ์เกี่ยวกับ ความร้อน อุณหภูมิ งาน และพลังงาน ในช่วงแรกการศึกษาอุณหพลศาสตร์เกิดจากการศึกษาเรื่องเครื่องจักรความร้อน ต่อมาในภายหลัง นักวิทยาศาสตร์ได้ตระหนักว่า อุณหพลศาสตร์ครอบคลุมถึงกระบวนการการเปลี่ยนแปลงมหาศาล ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งในโลกตลอดจนทั้งจักรวาล เช่น การทำนายถึงจุดกำเนิดและดับสูญของจักรวาลด้วยกฎข้อที่ 2 ของอุณหพลศาสตร์ และการบ่งบอกทิศทางของเวลา (direction of time) ด้วยการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี อุณหพลศาสตร์เป็นสาขาหลักทางฟิสิกส์นับแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา"
] | [
"หมวดหมู่:ฟิสิกส์ หมวดหมู่:หลักการสำคัญของฟิสิกส์",
"สำหรับในระบบปิด (ระบบที่ไม่ยอมให้เกิดการถ่ายเทมวลสาร) ขอบเขตของระบบเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ในขณะที่ระบบเปิด (ยอมให้มีการถ่ายเทมวลสาร) ขอบเขตมักจะมาจากการสร้างในจินตนาการ",
"Malcolm Longair. Theoretical Concepts in Physics: An Alternative View of Theoretical Reasoning in Physics, 2nd edition. Cambridge University Press, 2003. (รายละเอียดของกฎทั้ง 4 ข้อ และ เรื่องของการ์โน และจูล) Ronald Lane Reese. University Physics. Brooks Cole, 1999. (รายละเอียดของกฎทั้ง 4 ข้อ) George Gamow. Biography of Physics. Harper & brothers, 1961. (see also Dover edition, 1988) (เรื่องของ แบล็ก รัมฟอร์ด และการ์โน) Alan Lightman. Great Ideas in Physics. McGraw-Hill, 1992. (เรื่องของฟ็อน ไมเออร์ และ การ์โน ) Thomas Crump. A Brief History of Science: As Seen Through the Development of Scientific Instruments. Carroll & Graf Publishers, 2002. (เรื่องของเคลวิน) Charles Ruhla. The Physics of Chance: from Blaise Pascal to Niels Bohr. Oxford University Press, 1992. (เรื่องของแมกซ์เวลล์ บ็อลทซ์มัน) Cathy Cobb, Harold Goldwhite. Creations of Fire: Chemistry's Lively History from Alchemy to the Atomic Age. Plenum Pr, 1995. (เรื่องราวของกิ๊บส์) รศ. เทพจำนงค์ แสงสุนทร. เอกสารประกอบการสอน: กฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์. 2005. (อุณหพลศาสตร์ vs. กลศาสตร์สถิติ)",
"กล่าวถึงกฎทรงพลังงาน โดยอธิบายได้ดังนี้",
"ถ้าระบบ A และ B อยู่ในภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์ และระบบ B และ C อยู่ในสภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์แล้ว ระบบ A และ C จะอยู่ในภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์ด้วยเช่นกัน",
"S = k ∗ l o g [ W ] {\\displaystyle S=k*log[W]\\,}",
"ข้อจำกัดอีกประการหนึ่งก็คือ อุณหพลศาสตร์ไม่สามารถบอกได้ว่า งาน ที่เกิดขึ้นจริงในระบบจะมีค่าเท่าใด บอกได้แต่เพียงว่างานที่เกิดขึ้นได้มากที่สุดจะมีค่าเท่าใด ทั้งนี้เนื่องจากงานที่เกิดขึ้นได้มากสุดเกิดจากกระบวนการผันกลับได้ ในขณะที่กระบวนการที่เกิดขึ้นจริงเป็นกระบวนการผันกลับไม่ได้",
"ที่ออสเตรีย ลูทวิช บ็อลทซ์มัน ประทับใจงานของแมกซ์เวลล์เป็นอย่างมาก และได้นำแนวคิดเรื่องอะตอมและทฤษฎีความน่าจะเป็นไปพัฒนาต่อจนสามารถสร้างนิยามใหม่ของเอนโทรปีในระดับจุลภาคได้ ดังนี้",
"เครื่องจักรความร้อน เครื่องจักรนิรันดร์",
"นั่นคือการเปลี่ยนแปลงเอนโทรปีของระบบมีคุณสมบัติเป็นฟังก์ชันเพิ่มทางเดียว (monotonically increasing) โดยเราพิจารณาเอนโทรปีเป็นฟังก์ชันของเวลา. จากคุณสมบัตินี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเราสามารถพิจารณาเอนโทรปีในการระบุทิศทางของเวลาได้",
"ไม่มีเครื่องจักรความร้อนใด ๆ ที่จะให้ประสิทธิภาพ 100 % (เคลวิน-พลังค์)",
"H 2 ( g ) + 1 / 2 O 2 ( g ) − − − − > H 2 O ( l ) {\\displaystyle H_{2}(g)+1/2O_{2}(g)---->H_{2}O(l)}",
"กล่าวถึงอุณหภูมิศูนย์องศาสัมบูรณ์ โดยอธิบายได้ดังนี้",
"เมื่อพิจารณาจากสมการสมดุลพลังงานในระบบอุณหพลศาสตร์ จะได้ระดับของพลังงานจำนวนหนึ่งที่เรียกชื่อว่า Thermodynamic potential ซึ่งสามารถวัดได้จากระบบ พลังงานที่สำคัญ 5 ตัวได้แก่",
"กล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปีหรือพลังงานเสียในระบบอิสระ โดยอธิบายได้หลายแบบดังนี้",
"นั่นคือภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์มีคุณสมบัติถ่ายทอด (transitive) ได้นั่นเอง",
"2. Parm Suksakul (2003). A Pity Boy. 0895643421",
"กล่าวถึงภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์ โดยอธิบายได้ดังนี้",
"สำหรับในเครื่องยนต์ ขอบเขตเคลื่อนที่ไม่ได้คือการที่ลูกสูบถูกยึดตรึง อันเป็นช่วงที่กระบวนการปริมาตรคงที่เกิดขึ้น และในเครื่องยนต์เดียวกัน การเคลื่อนที่ของขอบเขตคือการเคลื่อนที่ขึ้น-ลงของลูกสูบนั่นเอง",
"อย่างไรก็ตามอุณหพลศาสตร์ดั้งเดิมมีข้อดีตรงที่ ทฤษฎีนี้เป็นอิสระต่อทฤษฎีอะตอม ไม่ว่าทฤษฎีอะตอมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม เรายังสามารถใช้อุณหพลศาสตร์ในการอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติในระดับมหภาคได้เสมอ",
"เอนโทรปีของระบบอิสระไม่มีทางที่จะลดลงในกระบวนการใดๆ (ทั่วไป)",
"เอนโทรปีของสารสนเทศ ที่พัฒนาต่อมาจากแนวความคิดดั้งเดิมของ แชนนอน นั้นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ เอนโทรปี ของ อุณหพลศาสตร์",
"ความร้อนจากแหล่งที่มีอุณหภูมิต่ำ ไม่สามารถถ่ายเทไปยังแหล่งที่มีอุณหภูมิสูงกว่าได้ โดยธรรมชาติ (เคลาซีอุส)",
"หลังจากนั้น เคลวินได้นิยามกฎข้อที่ 2 อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1874 (ดูนิยามกฎข้อที่ 2 ของเคลวินในหัวข้อถัดไป)",
"ระบบอุณหพลศาสตร์ (Thermodynamics system) คือส่วนหนึ่งของจักรวาลที่เรากำลังพิจารณาอยู่ โดยเราจะต้องกำหนดขอบเขตของระบบ (ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตจริงหรือขอบเขตในจินตนาการ) ให้ชัดเจน ส่วนอื่น ๆ ของจักรวาลที่ไม่อยู่ในระบบเรียกว่า สิ่งแวดล้อม ระบบอุณหพลศาสตร์ที่สำคัญมี 3 ประเภท คือ",
"เอนโทรปี ทัศนศิลป์ ธรณีศิลป์ ศิลปะสมัยใหม่ อุณหพลศาสตร์ ลัทธิจุลนิยม ศิลปะเชิงแนวคิด ศิลปะตะวันตก ศิลปะเฉพาะที่ ภูมิศิลป์ แอนดี โกลด์สเวิร์ทธี แนนซี โฮลต์ ศิลปะจัดวาง",
"จากการพิจารณาพลังงานเสรีของน้ำพบว่ามีค่าน้อยกว่าของไฮโดรเจนและออกซิเจน ดังนั้นปฏิกิริยานี้ควรจะเกิดขึ้นได้ แต่จากการทดลองที่อุณหภูมิปกติพบว่าไม่เกิดปฏิกิริยา ในความเป็นจริงปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดช้ามาก จนสังเกตไม่ได้ ถ้าเราใส่ตัวเร่งปฏิกิริยาลงไปก็จะได้น้ำตามสมการ",
"เมื่ออุณหภูมิสัมบูรณ์ลู่เข้าศูนย์ เอนโทรปีของระบบจะลู่เข้าค่าคงที่",
"พลังงานของระบบที่เปลี่ยนแปลงในกระบวนการอะเดียแบติก (กระบวนการที่ไม่มีการถ่ายเทความร้อน) จะไม่ขึ้นกับวิถีทางหรือทิศทางของงานที่กระทำต่อระบบในกระบวนการนั้น ๆ การเปลี่ยนแปลงจะขึ้นอยู่กับสถานะเริ่มต้นและสถานะสุดท้ายเท่านั้น"
] |
ราชวงศ์จักรีเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่? | [
"ราชวงศ์จักรี เป็นราชวงศ์ที่ปกครองราชอาณาจักรสยามต่อจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจนถึงปัจจุบัน โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พระนามเดิม ทองด้วง ทรงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยา) ทรงสถาปนาราชวงศ์โดยการปราบดาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2325 ยุคของราชวงศ์นี้ เรียกว่า \"ยุครัตนโกสินทร์\""
] | [
"ตรามหาจักรีและสายสร้อย ตราจุลจักรี ดาราจักรี",
"หลังจากนั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้มีการตราพระราชบัญญัติของเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ขึ้นใหม่ โดยลดจำนวนเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์เหลือ 25 สำรับ สำหรับพระมหากษัตริย์ 1 สมเด็จพระบรมราชินี 1 และพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ 23 สำรับ รวมทั้ง ยกเลิกตำแหน่งต่าง ๆ เช่น มหาสวามิศราธิบดี มหาสวามินี ซึ่งพระราชบัญญัติเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พ.ศ. 2484 นี้ เป็นพระราชบัญญัติของเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์ที่ใช้จนถึงปัจจุบัน[2]",
"ราชวงศ์จักรี ณ อยุธยา พระราชสกุลวงศ์ในรัชกาลปัจจุบัน ลำดับพระปฐมวงศ์ในพระบรมราชวงศ์จักรี นามสกุลพระราชทาน",
"สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก \"จะกล่าวถึงเจ้านายจำพวกซึ่งเป็นปฐมเป็นต้นแซ่ต้นสกุลเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์แลเจ้าราชินิกุลที่เรียกนามว่า คุณ ว่า หม่อม มีบรรดาศักดิ์เนื่องในพระบรมราชวงศ์นี้ ซึ่งบัดนี้เป็นจำพวกต่างๆอยู่ จะให้รู้แจ้งว่าเนื่องมาแต่ท่านผู้ใด พระองค์ใด เป็นเดิมแต่แรกตั้งกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยานี้มา พึงรู้โดยสังเขปว่าบุรุษนารีมีบรรดาศักดิ์ ซึ่งเรียกว่าเป็นจำพวกเจ้า คือเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ทั้งปวงนั้น ล้วนปฏิพัทธ์พัวพันสืบต่อลงมาแต่องค์<b data-parsoid='{\"dsr\":[2386,2414,3,3]}'>สมเด็จพระมหาไปยกาธิบดี คือ องค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระเจ้าหลวงของพระบาทสมเด็จพระปรโมรุถชามหาจักรีบรมนาถ ซึ่งปรากฏพระนามในบัดนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งเป็นปฐมบรมอัครมหาราชาธิราชในพระบรมมหาราชวัง\"",
"ปัจจุบัน มีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ดังต่อไปนี้",
"หมวดหมู่:ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2425 มหาจักรีบรมราชวงศ์",
"เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์จัดเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติสูงสุด ก่อนที่จะมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์[3] ปัจจุบัน มหาจักรีบรมราชวงศ์จัดเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติเป็นลำดับที่สอง รองจากราชมิตราภรณ์ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานแด่ประมุขของต่างประเทศเท่านั้น[4]",
"เจ้าหญิงปรางพระองค์นี้มีพระนามเรียกกันในพระราชวังเมืองนครฯว่าทูลกระหม่อมฟ้าหญิงเล็ก เป็นเจ้าจอมมารดาพระสนมเอกที่มีความสำคัญต่อราชวงศ์กรุงธนบุรีและราชวงศ์จักรีอย่างยิ่ง ในฐานะที่มีพระประสูติกาลพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งต่อมาได้มีบทบาทสำคัญต่อราชวงศ์จักรีและประเทศชาติ ทั้งในส่วนขององค์พระราชโอรสและบุตรธิดาของท่าน",
"พระปฐมวงศ์ใน พระบรมราชวงศ์จักรี",
"เจ้านายพระชันษายืนในราชวงศ์จักรี เป็นการรวบรวมรายพระนามเจ้านายในราชวงศ์จักรีตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า ซึ่งมีพระชันษายืนนับตั้งแต่ 90 ปีขึ้นไปอันเคยมีเป็นสูงสุดลงจน 60 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นต้นเขตของ \"อายุยืน\" เรียงเป็นลำดับกันตามพระชันษา โดยได้อ้างอิงเนื้อหาตามหนังสือชื่อ \"\"เจ้านายพระชันษายืนในพระราชวงศ์จักรี\"\" พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2474 ในการจัดงานครั้งหนึ่งโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้มีการพิมพ์อีกครั้งและปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาจากเดิมเมื่อ พ.ศ. 2486 เพื่อถวายฉลองพระชันษาครบ 60 ปี ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร และครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2530 ได้มีการจัดพิมพ์ใหม่และปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันจากครั้งที่แล้วโดยมูลนิธิดำรงราชานุภาพ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในพระบรมราชวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา โดยมีเนื้อหาเป็นรายพระนามเจ้านายในราชวงศ์จักรี นับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี พระบรมราชชนนี พระราชโอรส พระราชธิดา และพระราชนัดดาในวังหลวงและวังหน้า ซึ่งเป็นเจ้านายพระชันษายืนตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป",
"เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (English: The Most Illustrious Order of the Royal House of Chakri) มีอักษรย่อว่า ม.จ.ก. เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี[1] ซึ่งพระมหากษัตริย์จะพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ที่สืบเนื่องโดยตรงในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหรือผู้ซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์ดังกล่าวได้เสกสมรส นอกจากนี้ ยังสามารถพระราชทานแก่ประมุขของต่างประเทศด้วย[2]",
"ด้วยความจงรักภักดีที่ทรงถวายต่อพระบรมราชวงศ์จักรี อย่างไม่สั่นคลอน กอปรกับเป็นพระบิดาในเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งนับว่าเป็นการถวายพระเกียรตินับเนื่องเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ในพระบรมราชวงศ์จักรี และเป็นพระเจ้าประเทศราชเพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้รับพระราชทานและยกย่องพระเกียรติยศดังกล่าว",
"ตรามหาจักรีบรมราชวงศ์นี้ มีพระมหากษัตริย์เป็นประธานแห่งเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์ และพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งสิ้น 71 สำรับ โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่",
"พระกุลเชษฐ์ คือพระบรมวงศ์ที่ทรงดำรงฐานะสูงสุด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ\nในที่นี้จะเรียงลำดับพระกุลเชษฐ์ในราชวงศ์จักรี โดยเรียงลำดับตามพระชันษา",
"วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ หรือ วันจักรี เป็นวันที่ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและมหาจักรีบรมราชวงศ์ ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี",
"เมื่อปี พ.ศ. 2425 ในโอกาสครบรอบการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีมาเป็นเวลาครบ 100 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานนามเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ว่า \"เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์\" หรือเรียกอย่างย่อว่า \"ตรามหาจักรีบรมราชวงศ์\" สำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ที่สืบเนื่องโดยตรงในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก",
"พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาล พระราชลัญจกรประจำรัชกาล ลำดับพระปฐมวงศ์ในพระบรมราชวงศ์จักรี ราชสกุลวงศ์ในราชวงศ์จักรี กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข พระยศเจ้านายไทย",
"จึงนับได้ว่า สมเด็จพระมหาไปยกาธิบดี หรือ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เป็นพระมหาชนกพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี และเป็นเจ้านายแห่งราชวงศ์จักรีพระองค์แรกอย่างแท้จริง โดย พระมหาสังข์เดิม ซึ่งเป็นพระมหาสังข์ที่ใช้บรรจุพระบรมอัฐของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งปัจจุบันใช้รดน้ำในพระราชพิธีมงคลให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น",
"พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรี และเป็นประมุขราชวงศ์จักรี มีที่ประทับอย่างเป็นทางการคือพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร",
"นอกจากนั้น เจ้านายในพระราชวงศ์ทิพย์จักรยังได้อภิเษกสมรสกับพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์จักรีหลายพระองค์ พระองค์ที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ เจ้าศรีอโนชา พระอัครชายา และเจ้าดารารัศมี พระราชชายา ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสองพระราชวงศ์ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ถือเป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พระราชอาณาจักรล้านนาเดิมได้เข้ารวมกับสยามประเทศอย่างสมบูรณ์",
"ชื่อของราชวงศ์จักรีมีที่มาจากบรรดาศักดิ์ \"เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์\" ตำแหน่งสมุหนายก ซึ่งเป็นตำแหน่งทางราชการที่พระองค์เคยทรงดำรงตำแหน่งมาก่อนในสมัยกรุงธนบุรี คำว่า \"จักรี\" นี้พ้องเสียงกับคำว่า \"จักร\" และ \"ตรี\" ซึ่งเป็นเทพอาวุธของพระวิษณุ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระแสงจักรและพระแสงตรีไว้ 1 สำรับ และกำหนดให้ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรีสืบมาจนถึงปัจจุบัน",
"อนึ่งตามพระราชบัญญติเครื่องราชอิสริยภรณ์มีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พ.ศ. ๒๔๓๖ ไดกำหนดให้มีเจ้าพนักงานสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน 3 ตำแหน่งคือ ลัญจกราภิบาล , เลขานุการ และ มุรทานุการ",
"นายเซ็น หรือ แชร์บะห์เรน ท่านเกิดราว (พ.ศ. 2388) - (ธันวาคม พ.ศ. 2468) รวมอายุ 80 ปีกว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี และเสียชีวิตในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี ลำดับที่ 7 แห่งราชอาณาจักรสยาม",
"มหาจักรีบรมราชวงศ์ อาจหมายถึง",
"เจ้าศรีอโนชา หรือ เจ้ารจจา (บ้างออกนามว่า เจ้าศิริรดจา, เจ้าศิริรจนา หรือเจ้าสัจา) พระอัครชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทแห่งราชวงศ์จักรี และพระขนิษฐาในพระเจ้ากาวิละ เจ้าศรีอโนชาทรงมีบทบาทในการปราบพระยาสรรค์ในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบในตอนปลายสมัยกรุงธนบุรี ถือเป็นเจ้านายฝ่ายในจากเมืองเหนือที่มีบทบาทในการเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างราชวงศ์จักรีกับราชวงศ์ทิพย์จักร",
"เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์จัดเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติสูงสุด ก่อนที่จะมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช[3] ปัจจุบัน มหาจักรีบรมราชวงศ์จัดเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติเป็นลำดับที่สอง รองจากราชมิตราภรณ์ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานแด่ประมุขของต่างประเทศเท่านั้น แต่เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์ยังจัดเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดที่พระราชวงศ์จะได้รับพระราชทาน[4]",
"หลังจากสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว ด้วยความสัมพันธ์ในฐานะพระญาติระหว่างราชวงศ์จักรีและราชวงศ์ทิพย์จักร เนื่องด้วยเจ้าศรีอโนชา พระขนิษฐาในพระเจ้ากาวิละ ได้เป็นพระอัครชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กอปรกับพระเจ้ากาวิละและเจ้านายฝ่ายเหนือได้ถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีมาแต่ก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงสู้ขับไล่ข้าศึกพม่าให้พ้นแผ่นดินล้านนา ขยายขอบขัณฑสีมาอาณาจักรออกไปอย่างกว้างใหญ่ ได้กวาดต้อนผู้คนและสิ่งของจากหัวเมืองน้อยใหญ่ที่หนีภัยสงครามในช่วงที่พม่ายึดครอง และทรงสร้างบ้านแปงเมืองอาณาจักรล้านนาใหม่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามพระยากาวิละขึ้นเป็น \"พระบรมราชาธิบดี\" เป็นพระเจ้าประเทศราชปกครองเมืองเชียงใหม่และ 57 หัวเมืองล้านนา",
"เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ออกแบบโดยเสวกเอก หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย[5] มีชั้นสายสะพายเพียงชั้นเดียว แบ่งออกเป็นฝ่ายหน้า (บุรุษ) และ ฝ่ายใน (สตรี) สำหรับพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีนั้น จะมีลักษณะเช่นเดียวกับที่พระราชทานแก่ฝ่ายหน้าและฝ่ายใน แต่ตรามหาจักรี สายสร้อย และดาราจักรีนั้นจะประดับเพชรทั้งหมด ม.จ.ก. 1 สำรับ ประกอบด้วย[2]",
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชลัญจกรประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ขึ้นสำหรับประทับข้อพระราชบัญญัติ คำประกาศ ตราตั้งคำสั่ง และหนังสือสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์[1] โดยมีลักษณะดังนี้"
] |
สงครามกลางเมืองหมายถึงอะไร? | [
"สงครามกลางเมือง (English: civil war) เป็นสงครามภายในกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม, สัญชาติ หรือสังคมแบบเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อแย่งชิงอำนาจหรือดินแดน สงครามกลางเมืองอาจนับเป็นการปฏิวัติ (Revolution) ได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ภายในสังคมนั้นหลังจากสิ้นสุดสงคราม นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มยังได้นับรวมเอาการจลาจล (Insurgency) เป็นสงครามกลางเมืองประเภทหนึ่งด้วยถ้ามีการสู้รบระหว่างกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันความแตกต่างระหว่าง \"สงครามกลางเมือง\", \"การปฏิวัติ\" และ \"การจลาจล\" นั้นไม่ชัดเจนนัก ขึ้นอยู่กับบริบทในการใช้งาน"
] | [
"นายพลแบร็กซ์ตัน แบร็กก์ นำฝ่ายสมาพันธรัฐเข้ารุกรานรัฐเคนทักกีครั้งที่สอง แต่จบลงด้วยชัยชนะที่ไม่มีความหมายในยุทธการเพอร์รีวิลล์ โดยแบร็กก์ต้องหยุดการรุกรานเคนทักกีและถอนกำลัง เพราะไม่มีแรงสนับสนุนจากทางสมาพันธรัฐ การทัพสโตนส์ริเวอร์สิ้นสุดลง เมื่อกองทัพของแบร็กก์พ่ายให้กับ พลตรีวิลเลียม โรสครานส์ในยุทธการสโตนส์ริเวอร์รัฐเทนเนสซี ",
"ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1937 รัฐสภาได้กำหนดให้การค้าอาวุธกับสเปนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย รัฐบัญญัติว่าด้วยความเป็นกลางแห่งปี 1937 ได้รับการลงนามในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน โดยต่ออายุของรัฐบัญญัติสองฉบับก่อนหน้าไปอีกโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด และขยายข้อยกเว้นไปจนถึง ห้ามค้าอาวุธให้แก่ผู้ร่วมสงครามกลางเมืองด้วย รวมไปถึงมีคำสั่งห้ามมิให้เรือของสหรัฐทำการขนส่งผู้โดยสารหรือสินค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศที่เข้าร่วมสงคราม",
"สงครามกลางเมืองซูดาน หมายถึงความขัดแย้งอย่างน้อย 3 ความขัดแย้ง:\nนอกจากนี้อาจหมายถึงความขัดแย้งภายในอื่นๆในซูดานและเซาท์ซูดาน:\nรวมถึงความขัดแย้งระหว่างซูดานและเซาท์ซูดานหลังแยกออกจากกัน:",
"กองทัพโซเวียต หรือ กองทัพสหภาพโซเวียต มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า กองทัพแห่งสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต () หมายถึง กองกำลังทหารของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (1917–1922) และสหภาพโซเวียต (1922–1991) นับแต่การเริ่มต้นหลังสงครามกลางเมืองรัสเซียสิ้นสุดกระทั่งล่มสลายในเดือนธันวาคม 1991 ",
"สงครามกลางเมืองอเมริกาเป็นสงครามอุตสาหกรรมที่แท้จริงครั้งแรก ๆ ของโลก มีการใช้ทางรถไฟ โทรเลข เรือกลไฟ และอาวุธซึ่งผลิตเป็นจำนวนมากอย่างกว้างขวาง แบบของสงครามเบ็ดเสร็จ ซึ่งนายพลเชอร์แมนพัฒนาขึ้นในรัฐจอร์เจีย และการสงครามสนามเพลาะรอบปีเตอร์สเบิร์กเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในทวีปยุโรป สงครามครั้งนี้ยังเป็นสงครามที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ทหารเสียชีวิตกว่า 620,000 นาย และพลเรือนเสียชีวิตไม่ทราบจำนวน นักประวัติศาสตร์ จอห์น ฮัดเดิลสตัน ประเมินยอดผู้เสียชีวิตว่า ชายรัฐฝ่ายเหนืออายุระหว่าง 20–45 ปีเสียชีวิตไป 10% และชายรัฐฝ่ายใต้อายุระหว่าง 18–40 ปีเสียชีวิตไป 30% ชัยของฝ่ายเหนือหมายถึงจุดจบของสมาพันธรัฐและทาสในสหรัฐ และเสริมอำนาจแก่รัฐบาลกลาง ปัญหาทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจและเชื้อชาติของสงครามมีอิทธิพลต่อยุคบูรณะ ซึ่งดำเนินไปจนถึงปี 1877",
"พระนโรดม สีหนุได้สั่งให้จับกุมพ่อค้าคนกลางชาวจีน ที่เกี่ยวข้องกับการค้าข้าวผิดกฎหมาย ต่อมา ลน นลถูกบีบให้ลาออก พระนโรดม สีหนุพยายามให้ฝ่ายซ้ายเข้ามาถ่วงดุลกับฝ่ายอนุรักษนิยม วิกฤตที่เกิดขึ้นได้ผ่านพ้นไป แต่ทำให้มีประชาชนหลบลงใต้ดินไปรวมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์มากขึ้น ซึ่งพระนโรดม สีหนุเรียกกลุ่มนี้ว่าเขมรแดง ส่วนลน นลกลายเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการปราบปรามอันเหี้ยมโหด",
"ตราแผ่นดินของตองงา ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อพ.ศ. 2418 ออกแบบโดยพระเจ้าจอร์จ ตูปูที่ 1 หลังจากสงครามกลางเมืองของตองงา มีความหมายดังต่อไปนี้",
"หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลเผด็จการทหารซึ่งเป็นพรรครัฐบาลภายใต้ Constantine Karamanlis นำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกต้องตามกฎหมายของเคและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งรับประกันเสรีภาพทางการเมืองสิทธิของแต่ละบุคคลและการเลือกตั้งเสรี ในปี 1981 ในการเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในประวัติศาสตร์กรีกรัฐบาลกลางซ้ายของขบวนการสังคมนิยมชาวกรีก (PASOK) ได้รับอนุญาตจำนวนของทหารผ่านศึก DSE ที่ได้รับความคุ้มครองในประเทศคอมมิวนิสต์เพื่อกลับไปยังกรีซและกอบกู้นิคมอุตสาหกรรมอดีตของพวกเขาที่มาก ช่วยในการลดผลกระทบของสงครามกลางเมืองในสังคมกรีก การบริหาร PASOK ยังเสนอเงินบำนาญของรัฐเพื่ออดีตสมัครพรรคพวกของความต้านทานต่อต้านนาซี; Markos Vafiadis ได้รับเลือกตั้งเป็น honorarily เป็นสมาชิกคนหนึ่งของกรีกรัฐสภาภายใต้ธงของ PASOK",
"ในปี 1998 ดินแดนที่อยู่ติดกันกับโซมาลีแลนด์ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเองเช่นกัน โดยใช้ชื่อว่ารัฐพุนต์แลนด์ของโซมาเลีย ซึ่งก็ไม่ได้การรับรองจากนานาชาติเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม พุนต์แลนด์มิได้หมายแยกตัวเป็นเอกราชเต็มรูปแบบเหมือนกับโซมาลีแลนด์ เพียงต้องการรักษาเสถียรภาพและบริหารพัฒนาในพื้นที่ พร้อมเข้าร่วมฟื้นฟูเสถียรภาพและความมั่นคงของโซมาเลียหากสามารถยุติความขัดแย้งที่มีอยู่ได้",
"สงครามกลางเมืองอังกฤษครั้งนี้ต่างกับสงครามกลางเมืองอังกฤษของอังกฤษอื่นๆ ตรงที่มิใช่เพียงแต่จะเป็นสงครามที่แก่งแย่งระหว่างผู้นำที่แท้จริงของประเทศ แต่ยังเป็นสงครามที่คำนึงถึงการเลือกระบบการปกครองของบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ นักประวัติศาสตร์บางคนจัดสงครามกลางเมืองอังกฤษว่าเป็น “การปฏิวัติอังกฤษ” งานเขียนเช่นสารานุกรมบริตานิกา ฉบับ ค.ศ. 1911 กล่าวถึงสงครามกลางเมืองอังกฤษว่าเป็น “การปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่” นักประวัติศาสตร์ลัทธิมาร์กซเช่นคริสโตเฟอร์ ฮิลล์ (Christopher Hill) มักจะนิยมใช้คำว่า “การปฏิวัติอังกฤษ” (English Revolution) แทนการใช้คำว่า “สงครามกลางเมืองอังกฤษ” ในการกล่าวถึงสงครามครั้งนี้",
"สันติภาพอเมริกัน () เป็นคำที่ใช้หมายถึงมโนทัศน์สันติภาพโดยสัมพัทธ์ในซีกโลกตะวันตกและโลกในเวลาต่อมาเริ่มตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการมีอำนาจสูงสุดของสหรัฐ แม้คำนี้ใช้ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นหลัก แต่เคยมีใช้ด้วยความหมายและยุคสมัยต่าง ๆ เช่น ยุคหลังสงครามกลางเมืองในทวีปอเมริกาเหนือ และในภูมิภาคทวีปอเมริกาตั้งแต่เริ่มคริสต์ศตวรรษที่ 20",
"ชนชั้นกลางส่วนใหญ่และชาวกัมพูชาที่มีการศึกษายอมรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบใหม่เพราะหมายถึงการได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐและมีกองทหารสหรัฐเข้ามาในประเทศ พระนโรดม สีหนุที่เดินทางไปยังปักกิ่งได้ประกาศผ่านทางวิทยุเรียกร้องให้ประชาชนที่สนับสนุนพระองค์ออกมาประท้วง ซึ่งมีผู้ประท้วงออกมาในหลายจังหวัดแต่ที่รุนแรงที่สุดคือจังหวัดกำปงจาม ในวันที่ 29 มีนาคม ฝูงชนได้ฆ่าลน นิล น้องชายของลน นลและตัดเอาตับไปปรุงอาหาร มีผู้ประท้วงให้สีหนุกลับมาในพนมเปญราว 40,000 คน ก่อนที่จะสงบลง และกลายเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ",
"ในช่วงศตวรรษที่ 19 นักเศรษฐศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการขึ้นลงของราคาสินค้ามีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงมูลค่าพื้นฐานหรือค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้า (2) การเปลี่ยนแปลงราคาของซึ่งก็คือแร่โลหะที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินนั้นๆเช่น ทองคำ หรือ เงิน และ (3) \"การลดค่าของสกุลเงิน\" ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของปริมาณเงินตรากับปริมาณของโลหะสำรองที่เงินตรานั้นๆสามารถนำไปแลกได้ หลังจากมีการใช้บัตรธนาคาร (ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์) อย่างแพร่หลายในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา คำว่า \"ภาวะเงินเฟ้อ\" จึงเริ่มมีความหมายตรงกับการลดค่าของสกุลเงิน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของบัตรธนาคารได้แซงปริมาณของโลหะที่บัตรธนาคารนั้นๆสามารถทำไปแลกได้ ในสมัยนั้น \"ภาวะเงินเฟ้อ\" จึงหมายถึงการลดค่าของสกุลเงินแทนที่จะหมายถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า",
"สงครามกลางเมืองอังกฤษครั้งที่ 1 () \n(ค.ศ. 1642 ถึงปี ค.ศ. 1646) เป็นสงครามกลางเมืองสงครามแรกในสามสงครามกลางเมืองอังกฤษ สงครามกลางเมืองอังกฤษเป็นสงครามต่อเนื่องฝ่ายรัฐสภา และฝ่ายกษัตริย์นิยมที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1642 ถึงปี ค.ศ. 1651 ",
"ทฤษฎีของฝ่ายวิกถูกคัดค้านโดยทฤษฎีของลัทธิมาร์กซที่เป็นที่นิยมกันในคริสต์ทศวรรษ 1940 ที่ตีความหมายของสงครามกลางเมืองอังกฤษว่าเป็นสงครามของการปฏิวัติของชนชั้นกลาง ตามความเห็นของนักประวัติศาสตร์มาร์กซคริสโตเฟอร์ ฮิลล์:",
"วันที่ 23 มีนาคม นาโตเริ่มบังคับใช้การปิดล้อมทางทะเลต่อลิเบีย โดยมีเรือรบและอากาศยานลาดตระเวนทางเข้าสู่น่านน้ำลิเบีย เรือและอากาศยานปฏิบัติการในเขตน่านน้ำสากล และไม่ได้เข้าไปในเขตน่านน้ำลิเบีย เรือใช้การเฝ้าตรวจเพื่อพิสูจน์พฤติการณ์การเดินเรือในพื้นที่ กองกำลังนาโตทำงานเพื่อห้ามเรือและอากาศยานบรรทุกอาวุธหรือทหารรับจ้าง ขณะที่ทำงานกับองค์กรการเดินเรือทะเลสากล เพื่อรับประกันว่าการเดินเรือเอกชนและพาณิชย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายไปยังลิเบียดำเนินต่อไป[178]",
"คำว่า Ambulance มีรากศัพท์จาก ภาษาละตินว่า \"\"ambulare\"\" แปลว่า \"เดินหรือเคลื่อนไปเรื่อย ๆ\" ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการแพทย์ในระยะแรกเป็นกรณีที่ผู้ป่วยถูกเคลื่อนย้ายหรือเข็นไป โดยความหมายเดิมหมายถึงโรงพยาบาลเคลื่อนที่ที่ติดตามกำลังพลไปในการรบ ในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกัน ใน ค.ศ. 1870 พาหนะที่ใช้ขนผู้บาดเจ็บไปจากสมรภูมิจะเรียกว่าดู้พยาบาลในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย โรงพยาบาลสนามก็ยังถูกเรียกว่าเป็นรถพยาบาล รวมถึงในสงครามเซอร์เบีย-ตุรกี ค.ศ. 1876 แม้ตู้พยาบาลจะถูกเรียกว่าเป็นรถพยาบาลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1854 ในสงครามไครเมียก็ตาม",
"พม่า, อินเดีย และยูโกสลาเวีย ได้รับการเชิญแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม เกาหลีใต้ไม่ได้รับการเชิญเนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับเป็นสัมพันธมิตรรวมทั้งประเทศไทย จีน ไต้หวัน และจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้รับการเชิญเนื่องจากอยู่ระหว่างสงครามกลางเมือง ยังไม่สามารถตัดสินว่าใครจะเป็นตัวแทนประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมาย",
"วิกฤตการณ์ลิเบีย หมายถึงความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ในลิเบีย เริ่มขึ้นด้วยการประท้วงและการเดินขบวนครั้งใหญ่ทั่วประเทศจากกระแสอาหรับสปริงเพื่อต่อต้านรัฐบาลของมูอัมมาร์ กัดดาฟี แล้วลุกลามกลายเป็นสงครามกลางเมืองลิเบียครั้งที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ฝ่ายกบฏสามารถควบคุมหัวเมืองและนครชายฝั่งได้หลายแห่ง โดยที่ฝ่ายที่สนับสนุนกัดดาฟียังคงควบคุมเมืองชายฝั่งบ้านเกิดของกัดดาฟี เซิร์ทและเมืองบานีวาลิคทางตอนใต้ของกรุงตริโปลี วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554 กองกำลังฝ่ายกบฏเข้ายึดครองกรุงตริโปลีได้อย่างเบ็ดเสร็จ และสามารถขับไล่กัดดาฟีกับผู้สนับสนุนจนต้องถอยร่นออกไปยังที่มั่นแห่งสุดท้ายคือเมืองเซิร์ท สงครามกลางเมืองระหว่างสองฝ่ายดำเนินมาถึงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ที่เมืองเซิร์ท ขบวนรถของกัดดาฟีและผู้ติดตามถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธของนาโต้ระหว่างการหลบหนี ผู้ติดตามถูกสังหารระหว่างการสู้รบ ขณะที่กัดดาฟีในสภาพบาดเจ็บสาหัสถูกควบคุมตัวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนมูตัสซิมบุตรชายของกัดดาฟีและอาบู บาค์ร ยูนิส อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ก็ถูกสังหารเสียชีวิตในวันเดียวกัน",
"หลังจากสงครามกลางเมืองอเมริกันการพัฒนาเพิ่มอย่างการใช้ปืนเล็กยาวที่ใช้แมกกาซีน ปืนกล และระเบิดแรงสูงจากปืนใหญ่ได้นำจุดจบมาสู่รูปขบวนแบบหนาแน่นในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มันหมายถึงในทางปฏิบัติแล้วทหารราบไม่จำเป็นต้องปะทะกับศัตรูจากระยะไกลในสมรภูมิอีกต่อไป ปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนพลังสูงในตอนนั้นไม่ต้องใช้ในระยะประชิดอีกแล้วในสงครามปัจจุบัน ผู้นำทางทหารและบริษัทผู้ผลิตอาวุธได้เริ่มทำอาวุธใหม่เพื่อสงครามยุคใหม่",
"พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษได้ทรงพิจารณาแล้วว่าการมีพระโอรสเป็นทายาทสำคัญมากเนื่องจากราชวงศ์ทิวดอร์เป็นราชวงศ์ใหม่และการมีพระราชโอรสเป็นลักษณะถูกต้องตามกฎหมาย และอังกฤษเคยมีกษัตริย์ที่เป็นสตรีมาแล้วคือ จักรพรรดินีมาทิลดาพระราชธิดาในพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษทำให้บ้านเมืองวุ่นวายและเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ซึ่งความพินาศของสงครามกลางเมืองก็มีให้เห็นแล้วในสงครามดอกกุหลาบ",
"คำว่า Bando nacional —ส่วนใหญ่เป็นคำว่า rojos (สีแดง) เพื่อความหมายถึงฝ่ายภักดี —ได้ถูกพิจารณาถือโดยผู้เขียนบางคนเป็นคำที่เชื่อมโยงด้วยโฆษณาชวนเชื่อของฝ่าย ดังนั้นในแวดวงวิชาการมักจะวงเล็บคำว่า กบฏ (Bando sublevado) ตามที่ต้องการ ตลอดในช่วงสงครามกลางเมือง คำว่า ฝ่ายชาตินิยมมักจะถูกใช้เป็นส่วนใหญ่โดยสมาชิกและผู้สนับสนุนของฝ่ายกบฏ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้ใช้คำว่า fascistas (ฟาสซิสต์) หรือ facciosos (สมาชิกพรรค) เพื่อเรียกถึงฝ่ายนั้น",
"ในช่วง พ.ศ. 2515 – 2516 ทั้งในและนอกประเทศกัมพูชาเชื่อว่าสงครามเป็นเรื่องความขัดแย้งของคนต่างชาติ และไม่มีผลต่อธรรมชาติของคนเขมร ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2516 ยังไม่มีความกังวลในกลุ่มของรัฐบาลถึงท่าทีของเขมรแดงที่ไม่ต้องการเจรจาสันติภาพและความรุนแรงที่ฝังลึกในสังคมผู้นำของเขมรแดง การคงอยู่ของเขมรแดงในฐานะส่วนหนึ่งของรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาพลัดถิ่นนั้นเป็นเรื่องที่ต้องหลบซ่อน ในพื้นที่ปลดปล่อยจะเรียกว่า\"\"อังการ์\"\" ซึ่งเป็นภาษาเขมรหมายถึงองค์กร",
"อาเดลาแห่งนอร์ม็องดี () เป็นพระธิดาของพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษกับมาทิลดาแห่งฟลานเดอร์ส์ ประสูติราวปี ค.ศ. 1167 อาจจะในนอร์ม็องดี พระองค์เป็นมารดาของพระเจ้าสตีเฟนแห่งอังกฤษที่ต่อสู้ในสงครามกลางเมืองอันยาวนานที่รู้จักกันในขื่อ ช่วงอนาธิปไตยของอังกฤษ เพื่อแย่งชิงบัลลังก์อังกฤษกับลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 1 ของตนเอง จักรพรรดินีมาทิลดา บุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษ",
"ในประวัติศาสตร์สหรัฐ รัฐทาส หมายถึง รัฐของสหรัฐที่ความเป็นทาสชอบด้วยกฎหมาย และรัฐเสรี หมายถึง รัฐที่ห้ามความเป็นทาสหรือกำลังเลิกทาสตามกฎหมาย ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ความเป็นทาสชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งจักรวรรดิบริติช ความเป็นทาสมีอยู่ในอาณานิคมบริติชทุกแห่งในทวีปอเมริกาเหนือ ในสิบสามอาณานิคม ความแตกต่างระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีเริ่มระหว่างการปฏิวัติอเมริกา (ปี 1775–1783) ความเป็นทาสกลายเป็นประเด็นแตกแยกและเป็นสาเหตุหลักของสงครามกลางเมืองอเมริกา การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งที่ 13 ซึ่งมีการให้สัตยาบันในปี 1865 เลิกความเป็นทาสทั่วทั้งสหรัฐ และข้อแตกต่างระหว่างรัฐเสรีและรัฐทาสยุติ",
"ฝ่ายกบฏส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากพลเรือน อย่างเช่น ครู นักเรียนนักศึกษา ทนายความ และพนักงานน้ำมัน ตลอดจนทหารอาชีพที่แปรพักตร์จากกองทัพลิเบียอย่างไม่ได้คาดหมายและเข้าร่วมกับฝ่ายกบฏ[91][92] รัฐบาลกัดดาฟีได้ยืนยันหลายครั้งว่าในกลุ่มกบฏนั้นประกอบด้วยนักรบอัลกออิดะฮ์ด้วย[93] ผู้บัญชาการหารนาโต พลเรือเอกสตัฟริดิส กล่าวว่า รายงานข่าวกรองได้รายงานว่า กิจกรรมอัลกออิดะฮ์ \"แวบหนึ่ง\" ปรากฏในกลุ่มกบฏ แต่ก็ได้กล่าวเสริมว่ายังไม่มีข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะยืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอัลกออิดะฮ์หรือกลุ่มก่อการร้ายอย่างสำคัญ[94][95] ฝ่ายกบฏปฏิเสธว่าพวกตนไม่ได้เป็นสมาชิกของอัลกออิดะฮ์[96]",
"เฮนรีพิสูจน์ให้เห็นว่าทรงเป็นกษัตริย์ผู้แข็งแกร่ง ในช่วงสงครามกลางเมืองบารอนหลายคนได้สร้างปราสาทขึ้นมาแบบผิดกฎหมาย เฮนรีให้พวกเขารื้อถอนออก อีกทั้งเฮนรียังได้ปฏิรูปกฎหมาย พระองค์แต่งตั้งผู้พิพากษาขึ้นมาให้เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อไต่สวนคดีผิดกฎหมายร้ายแรง",
"ขณะเกิดสงครามกลางเมืองในฟาเลนา ฮาสวาร์เองต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือกับเจ้าชายแห่งฟาเลนาและหมายรวมถึงเจ้าหญิงลิมสเลียด้วยเช่นกัน แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก นอกจากการให้กำลังใจเพียงอย่างเดียว แม้แต่ในวันขึ้นครองราชย์ของเจ้าหญิงลิมสเลียเองก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงโอกาสที่เจ้าชายเข้ามาชวนเธอไปเป็นพวก ฮาสวาร์จึงไม่ปฏิเสธในการออกเดินทางไปกับเจ้าชายเลย",
"สงครามโบะชิง สงครามฮุสไซต์ (Hussite wars) (ราว ค.ศ. 1419–1437) - โบฮีเมีย สงครามดอกกุหลาบ (Wars of the Roses) (ราว ค.ศ. 1455–1485) - อังกฤษ สงครามศาสนาของฝรั่งเศส (ค.ศ. 1562-1598) - สงครามระหว่างชาวฝรั่งเศสผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และ ชาวฝรั่งเศสผู้ที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ สงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642-1651) สงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ. 1861-1865) สงครามกลางเมืองรัสเซีย (ค.ศ. 1918-1922) สงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ (ค.ศ. 1922-23) สงครามกลางเมืองจีน (ค.ศ. 1928–1937, ค.ศ. 1945–1949) สงครามกลางเมืองสเปน (ค.ศ. 1936-1939)"
] |
ข้อมูล คืออะไร? | [
"ข้อมูล คือค่าของตัวแปรในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ ที่อยู่ในความควบคุมของกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ ข้อมูลในเรื่องการคอมพิวเตอร์ (หรือการประมวลผลข้อมูล) จะแสดงแทนด้วยโครงสร้างอย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นโครงสร้างตาราง (แทนด้วยแถวและหลัก) โครงสร้างต้นไม้ (กลุ่มของจุดต่อที่มีความสัมพันธ์แบบพ่อลูก) หรือโครงสร้างกราฟ (กลุ่มของจุดต่อที่เชื่อมระหว่างกัน) ข้อมูลโดยปกติเป็นผลจากการวัดและสามารถทำให้เห็นได้โดยใช้กราฟหรือรูปภาพ ข้อมูลในฐานะมโนทัศน์นามธรรมอันหนึ่ง อาจมองได้ว่าเป็นระดับต่ำที่สุดของภาวะนามธรรมที่สืบทอดเป็นสารสนเทศและความรู้ ข้อมูลดิบ หรือ ข้อมูลที่ยังไม่ประมวลผล เป็นศัพท์อีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้อง หมายถึงการรวบรวมจำนวนและอักขระต่าง ๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามปกติในการประมวลผลข้อมูลเป็นระยะ และ ข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว จากระยะหนึ่งอาจถือว่าเป็น ข้อมูลดิบ ของระยะถัดไปก็ได้ ข้อมูลสนามหมายถึงข้อมูลดิบที่รวบรวมมาจากสภาพแวดล้อม ณ แหล่งกำเนิด ที่ไม่อยู่ในการควบคุม ข้อมูลเชิงทดลองหมายถึงข้อมูลที่สร้างขึ้นภายในสภาพแวดล้อมของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์โดยการสังเกตและการบันทึก"
] | [
"Holographic Storage เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสงเลเซอร์เขียนข้อมูลลงไปในเนื้อของวัตถุ ดังนั้นที่เห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจนคือ ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีพื้นที่ในการเขียนมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับการเขียนข้อมูลที่พื้นผิวระนาบ ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นเชิงสมการจะเห็นว่าเมื่อใช้ Holographic Storage ปริมาณข้อมูลที่เขียนได้จะเป็นสัดส่วนกับกำลังสามของวัตถุ แต่ถ้าเป็นการเขียนข้อมูลบนพื้นผิวในแนวระนาบจะได้เพียงกำลังสอง ประโยชน์อย่างหนึ่งในการใช้แสงเลเซอร์คือความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล เนื่องจากความเร็วของแสงเมื่อเปรียบเทียบการอุปกรณ์เครื่องกลที่ใช้เป็นหัวอ่านข้อมูลแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ Holographic Storageสามารถสืบค้นข้อมูลโดยใช้ข้อมูลเป็นกุญแจในการค้นหา นอกจากนี้ในขณะที่แม่เหล็กและออปติคอลมีการจัดเก็บข้อมูลในแบบเชิงเส้น แต่การจัดเก็บแบบโฮโลแกรมนั้นมีความสามารถในการบันทึกและอ่านนับล้านบิตในแบบขนาน ทำให้อัตราการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงกว่าการจัดเก็บแบบออปติคอลในปัจจุบัน กลไกการอ่านข้อมูล",
"\"ฐานข้อมูลโครงสร้าง\" ดำรงอยู่ได้โดยอาสาสมัครผู้ส่งข้อมูลและภาพประกอบเข้ามาในเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูล ข้อมูลแต่ละหัวข้ออ้างอิงไปยังนิตยสารทางวิชาการและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ผู้ก่อตั้งนิโคลัส ยานบวร์กเป็นวิศวกรสร้างสะพานชาวเยอรมัน-ฝรั่งเศสผู้ก่อตั้งฐานข้อมูลขึ้นในปี ค.ศ. 1998 หลังจากสร้างโฮมเพจที่คล้ายคลึงกันขณะที่เป็นอาจารย์ผู้ช่วยอยู่ที่แผนกวิศวกรรมโยธาที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในสหรัฐอเมริกา \"ฐานข้อมูลโครงสร้าง\" ใช้พื้นฐานจากฐานข้อมูล \"archINFORM\" ที่ถือกันว่าเป็นผู้ริเริ่มโครงการฐานข้อมูลออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต",
"การแบ่งกลุ่มข้อมูลแบบเคมีนได้ถูกนำไปใช้ในขั้นตอนฟีเจอร์เลิร์นนิ่ง (Feature learning) ทั้งในการเรียนรู้แบบมีผู้สอน (supervised learning) การเรียนรู้แบบกึ่งมีผู้สอน (semi-supervised learning) และการเรียนรู้แบบไม่มีผู้สอน (unsupervised learning)\nขั้นตอนในการปฏิบัติเริ่มจากการสร้างกลุ่มข้อมูลจำนวน k กลุ่มด้วยการแบ่งกลุ่มข้อมูลแบบเคมีนโดยใช้ข้อมูลสอน (training data) หลังจากนั้นจึงโปรเจกต์ข้อมูลอินพุทไปยังฟีเจอร์สเปซใหม่ โดยใช้แมทริกส์โปรดัคระหว่างข้อมูลและตำแหน่งของศูนย์กลางของแต่ละกลุ่มข้อมูล ระยะห่างระหว่างข้อมูลอินพุทและศูนย์กลางของแต่ละกลุ่มข้อมูล ฟังก์ชันที่ชี้ข้อมูลอินพุทถึงจุดศูนย์กลางของกลุ่มข้อมูลที่ใกล้ที่สุด หรือสมูทฟังก์ชันของระยะห่างระหว่างข้อมูลและศูนย์กลางของกลุ่มข้อมูลเป็นต้น ",
"แถวคอย หรือ คิว () เป็นแบบชนิดข้อมูลนามธรรมที่มีลักษณะการเรียงลำดับข้อมูล การดำเนินการในแถวคอยจะแบ่งเป็น การเพิ่มข้อมูลไปที่ส่วนหลังสุดของแถวคอย และการดึงข้อมูลออกจากส่วนหน้าสุดของแถวคอย เข้าออกในลักษณะการเข้าก่อนออกก่อน (First In First Out: FIFO) ในโครงสร้างข้อมูลลักษณะเข้าก่อนออกก่อนนี้ ข้อมูลแรกสุดที่ถูกเพิ่มเข้าไปในแถวคอยจะเป็นข้อมูลแรกที่ถูกดึงออก ซึ่งก็เท่ากับว่า ความจำเป็นที่ว่า เมื่อมีข้อมูลหนึ่งถูกเพิ่มเข้ามาแล้ว ข้อมูลที่ถูกเพิ่มก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะต้องถูกดึงออกก่อนที่ข้อมูลใหม่จะถูกใช้งาน คล้ายกับการเข้าแถวซื้อของในชีวิตประจำวัน",
"โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในระบบติดต่อระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล เพื่อจัดการและควบคุมความถูกต้อง ความซ้ำซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ภายในฐานข้อมูล ซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่หน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่มดีเอ็มแอล (DML) หรือ ดีดีแอล (DDL) หรือจะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับข้อมูลจะถูกดีบีเอ็มเอสนำมาแปล (คอมไพล์) เป็นการปฏิบัติการ (Operation) ต่างๆ ภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลภายในฐานข้อมูลต่อไป สำหรับส่วนการทำงานตางๆ ภายในดีบีเอ็มเอสที่ทำหน้าที่แปลคำสั่งไปเป็นการปฏิบัติการต่างๆ กับข้อมูลนั้น ประกอบด้วยส่วนการปฏิบัติการดังนี้\nระบบจัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน",
"ฐานข้อมูล \"ฐานข้อมูลโครงสร้าง\" มีข้อมูลสามภาษา อังกฤษ, ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ฐานข้อมูลได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากการโฆษณา และ ข้อมูลในฐานข้อมูลของบริษัทและผลิตภัณฑ์ ฐานข้อมูลมีข้อมูลด้วยกันทั้งสิ้นกว่า 100,000 หน้าโดยใช้ภาษาโปแกรมColdFusion และระบบจัดการฐานข้อมูล \"MySQL\" ",
"การใช้ ข้อมูลผู้เข้าร่วมรายบุคคล หรือ ข้อมูลคนไข้รายบุคคล ( ตัวย่อ IPD)\nเป็นวิธีการทำงานวิเคราะห์อภิมานแบบหนึ่งที่เก็บข้อมูลแต่ละรายการโดยเป็นรายบุคคลจากงานศึกษาต่าง ๆ ที่กำลังวิเคราะห์\nเพราะสามารถทำได้อย่างแม่นยำและกลมกลืนกันมาก จึงทำให้นักวิจัยสามารถลดของการทดลองได้มากที่สุด และจึงพิจารณาว่า เป็นของงานวิเคราะห์อภิมาน\nเทียบกับงานวิเคราะห์อภิมานอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ข้อมูลผู้ป่วยแต่ละราย แต่ใช้ข้อมูลรวม (aggregate data, AD)\nแม้การวิเคราะห์ข้อมูลรวมจะใช้มานานกว่า แต่การเก็บข้อมูลแบบรายบุคคลก็นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ\nงานวิเคราะห์อภิมานเช่นนี้มักจะเป็นโครงการใหญ่โดยมีประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกัน และมีข้อจำกัดน้อยกว่าในเรื่องข้อมูลที่มีให้ใช้และคุณภาพข้อมูลที่สามารถใช้\nคณะกรรมการบรรณาธิการวารสารการแพทย์นานาชาติ () ได้ระบุว่า การเผยแพร่ข้อมูลผู้เข้าร่วม/อาสาสมัครเป็นรายบุคคล (แต่ตัดข้อมูลระบุบุคคล) เพื่อให้ใช้ร่วมกันเป็นเรื่องจำเป็นทางจริยธรรม",
"ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยนำเทคโนโลยีการโปรแกรมเชิงวัตถุเข้ามาใช้ ระบบฐานข้อมูลแบบนี้มีความเหมาะสมกับงานฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลซึ่งค่อนข้างซับซ้อนและมีขนาดใหญ่ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลเก็บภาพลักษณ์ (Image) หรือภาพกราฟิกส์ (Graphics) ฐานข้อมูลเก็บข้อมูลการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ต้องเก็บตัวเลขทศนิยมเป็นจำนวนมาก ฐานข้อมูลของข้อมูลทางภูมิศาสตร์ หรือฐานข้อมูลมัลติมีเดียเป็นต้น ดังนั้น การโปรแกรมเชิงวัตถุจึงมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาฐานข้อมูลเหล่านี้เนื่องจากคุณสมบัติต่างๆ ของโปรแกรมเชิงวัตถุ เช่น วัตถุ คลาส ตัวสร้างชนิด () หลักนามธรรมของข้อมูล (Encapsulation) ลำดับชั้นและกรรมพันธุ์ของชนิดข้อมูล () วัตถุที่มีโครงสร้างซับซ้อน () และตัวดำเนินการที่ทำงานได้กับข้อมูลหลายชนิด () เป็นต้น",
"ซิปเปอร์ () เป็นโครงสร้างข้อมูลชนิดหนึ่งหรืออาจเรียกว่าเป็นวิธีการที่สามารถใช้แสดงข้อมูลที่เราสนใจอยู่พร้อมกับรายการของข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ภายในโครงสร้างข้อมูลเดียวกัน กล่าวคือ ในการเข้าถึงข้อมูลใด ๆ ภายในโครงสร้างข้อมูลนี้จะต้องระบุทั้งข้อมูลที่เราสนใจและที่อยู่ของข้อมูลซึ่งก็คือรายการของข้อมูลที่อยู่ในวิถีจากข้อมูลนั้นไปยังรากหรือตอนต้นของรายการและจากข้อมูลนั้นไปยังใบหรือปลายสุดของรายการ อีกทั้งเมื่อเราเข้าถึงข้อมูลที่เราสนใจได้แล้วเรายังเปลี่ยนจุดสนใจไปยังข้อมูลที่อยู่รอบ ๆ ข้อมูลที่เราสนใจได้ด้วยหรืออาจใช้คำสั่งอย่างอื่น เช่น เพิ่ม เปลี่ยน หรือลบข้อมูล โดยคำสั่งส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพการทำงานเป็น O(1) แนวคิดนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย Gérard Huet เมื่อปี 1997 โดยตั้งชื่อตามการทำงานของโครงสร้างข้อมูลนี้ที่เปรียบเสมือนซิปที่เราสามารถรูดขึ้นลงได้",
"แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลวิธีการค้นแบบเลขคู่แล้วกลวิธีการค้นแบบฟีโบนัชชีจะมีการตรวจสอบตำแหน่งของข้อมูลโดยใช้การกระจายตัวที่น้อยกว่า ทำให้เกิดข้อได้เปรียบเมื่อใช้กลวิธีการค้นแบบฟีโบนัชชีกับข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ในแหล่งเก็บข้อมูลไม่มีรูปแบบ ซึ่งเวลาในการใช้ค้นตำแหน่งของข้อมูลที่ต้องการในแหล่งข้อมูลดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของข้อมูลที่ได้มีการเข้าถึงครั้งล่าสุด ยกตัวอย่างแหล่งข้อมูลแบบไม่มีรูปแบบอาธิเช่น แถบบันทึก ที่ซึ่งเวลาในการเข้าถึงข้อมูลใดๆในแถบแม่เหล็กจะขึ้นอยู่กับระยะทางระหว่างข้อมูลนั้นกับข้อมูลที่หัวของแถบแม่เหล็กกำลังอ่านอยู่ ทั้งนี้กลวิธีการค้นแบบฟีโบนัชชียังมีข้อได้เปรียบในการค้นข้อมูลในแคช (Cache) หรือแรม (Ram) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลแบบไม่มีรูปแบบอีกด้วยเช่นกัน",
"การซื้อขายถูกให้ความหมายด้วยภาษาบทคำสั่งที่คล้ายฟอร์ธ (Forth)[39]:ch. 5 การซื้อขายประกอบไปด้วย ข้อมูลเข้า และ ข้อมูลออก เมื่อผู็ใช้ส่งบิตคอยน์ ผู้ใช้กำหนดที่อยู่และจำนวนบิตคอยน์ที่จะส่งไปยังที่อยู่นั้นในข้อมูลออก เพื่อป้องกันการใช้ซ้อน ข้อมูลเข้าแต่ละข้อมูลต้องอ้างอิงกลับไปยังข้อมูลออกอันก่อนที่ยังไม่ได้ใช้ในบล็อกเชน[41] การใช้ข้อมูลเข้าหลายข้อมูลเปรียบเสมือนการใช้เหรียญหลายเหรียญในการซื้อขายด้วยเงินสด ในเมื่อการซื้อขายสามารถมีข้อมูลออกหลายข้อมูล ผู้ใช้สามารถส่งบิตคอยน์ให้กับหลายผู้รับในการซื้อขายหนึ่งครั้ง ผลรวมของข้อมูลเข้า (จำนวนเหรียญที่ใช้จ่าย) สามารถมีจำนวนมากกว่าจำนวนจ่ายทั้งหมด เช่นเดียวกับการซื้อขายด้วยเงินสด ในกรณีนี้ ข้อมูลออกเสริมถูกใช้เพื่อทอนให้กับผู้จ่าย[41] จำนวนซาโตชิที่ถูกป้อนเข้าและไม่ถูกบันทึกสำหรับการซื้อขายออกกลายเป็นค่าธรรมเนียมการซื้อขาย[41]",
"2. ฐานข้อมูลหลายมิติ ( multidimentional database) ข้อมูลที่จัดเก็บในฐานข้อมูลหลายมิติอาจมาจากฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ หรือระบบงานปัจจุบันโดยจะแปลง\nการจัดเก็บข้อมูลเสียใหม่ โดยมีโครงสร้างการจัดเก็บแบบ array โดยทั่วไปแล้วฐานข้อมูลหลายมิติจะยอมให้สิทธิการเขียนข้อมูลลงในฐานข้อมูล ในช่วงเวลาหนึ่งเพียงคนเดียว แต่อนุญาตให้หลาย ๆ คน เข้าค้นหาข้อมูลในเวลาเดียวกัน หรือมิฉะนั้นก็อนุญาตให้ค้นหาข้อมูลเพียงอย่างเดียว",
"กองซ้อนมีจุดเด่นในการจัดการการเข้า-ออกของข้อมูล ใช้เก็บข้อมูลที่ต้องการจัดเรียงเป็นระบบ โดยพิจารณาข้อมูลที่มาใหม่ๆก่อน จึงทำให้สะดวกต่อการจัดการข้อมูลซึ่งต้องการเรียงลำดับใหม่ หรือการย้อนกลับไปจากข้อมูลใหม่ไปข้อมูลเก่า เช่น subroutine,การเรียงลำดับนิพจน์\nการทำงานของกองซ้อนนั้นไม่ซับซ้อน เนื่องจากไม่ต้องมีการไล่พิจารณาสมาชิกทุกตัว เป็นเพียงแต่การพิจารณาข้อมูลบนสุดของกองซ้อน จึงทำให้ความเร็วในการทำงานของกองซ้อนเป็นค่าคงที่ (O(1))\nการสร้างกองซ้อนอาจใช้แถวลำดับประกอบกับจำนวนเต็ม ที่เก็บดัชนีของข้อมูลบนสุดของกองซ้อน (Stack Pointer หรือ Top of Stack)หรือใช้รายการโยงโดยการเก็บข้อมูลที่ใหม่ๆบนตัวแรกสุดของรายการ\nการเก็บข้อมูลใหม่เข้าในกองซ้อนเรียกว่า PUSH ทำได้โดยการเพิ่มค่าดัชนีบนสุดของกองซ้อนไปหนึ่ง (increment)และเก็บข้อมูลใหม่ไว้ในดัชนีนั้น หรือเพิ่มเข้าไปที่ตัวแรกสุดของรายการโยง การนำข้อมูลตัวบนสุดของกองซ้อนออกเรียกว่า POP ทำได้โดยการคืนค่าข้อมูลที่เก็บไว้ในแถวลำดับ ดัชนีบนสุดและลดค่าดัชนีบนสุดลงมาอีกหนึ่ง(decrement) หรือเอาตัวแรกสุดของรายการโยงออก สำหรับ การหาตัวบนสุด(Top)นั้นก็ได้มาจากการคืนค่าข้อมูลในดัชนีบนสุดหรือข้อมูลตัวแรกสุดของรายการโยงนั้นเอง",
"ดรักแบงก์ (DrugBank) เป็นฐานข้อมูลทางการแพทย์รวมเรื่องราวเกี่ยวกับยาจัดทำโดยมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา (University of Alberta) โดยเน้นใช้งานให้เป็นแหล่งข้อมูลทางชีวสารสนเทศศาสตร์ (bioinformatics) และเคมีสารสนเทศศาสตร์ (cheminformatics) เชื่อมโยงรายละเอียดของตัวยา เช่นข้อมูลทางเคมี เภสัชวิทยาแลเภสัชกรรม ฐานข้อมูลปัจจุบันดูแลโดย เดวิด วิชาร์ต (David Wishart) ปัจจุบันมีข้อมูลมากกว่า 4,800 ข้อมูล ประกอบด้วยนอกจากนี้มีข้อมูลลำดับโปรตีน อีก 15,000 ตัวที่เชื่อมโยงไปยังข้อมูลยาเหล่านั้น ยาแต่ละตัวประกอบไปด้วยข้อมูลมากกว่า 80 รายการ โดยกว่ากึ่งหนึ่งเกี่ยวกับข้อมูลทางยาและเคมีและอีกครึ่งเกี่ยวกับเป้าหมายยา (drug target) หรือข้อมูลโปรตีน",
"สิ่งที่ได้จากการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาประมวลผล เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์ สารสนเทศ จึงหมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ทันเวลา และอยู่ในรูปที่ใช้ได้ สารสนเทศที่ดีต้องมาจากข้อมูลที่ดี การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศจะต้องมีการควบคุมดูแลเป็นอย่างดี เช่น อาจจะมีการกำหนดให้ผู้ใดบ้างเป็นผู้มีสิทธิ์ใช้ข้อมูลได้ ข้อมูลที่เป็นความลับจะต้องมีระบบขั้นตอนการควบคุม กำหนดสิทธิ์ในการแก้ไขหรือการกระทำกับข้อมูลว่าจะกระทำได้โดยใครบ้าง นอกจากนี้ข้อมูลที่เก็บไว้แล้วต้องไม่เกิดการสูญหายหรือถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจ การจัดเก็บข้อมูลที่ดี จะต้องมีการกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้มีลักษณะง่ายต่อการจัดเก็บ และมีรูปแบบเดียวกันอย่างมีระบบ ข้อมูลแต่ละชุดควรมีความหมายและมีความเป็นอิสระในตัวเอง นอกจากนี้ไม่ควรมีการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อนเพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองเนื้อที่เก็บข้อมูล",
"ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องเปิดเผยการเก็บข้อมูลใด ๆ อย่างชัดเจน ประกาศเหตุผลและความมุ่งหมายอันชอบด้วยกฎหมายสำหรับการประมวลผลข้อมูล ว่าจะเก็บข้อมูลนานเท่าใด และมีการแบ่งข้อมูลนั้นกับบุคคลภายนอกหรือนอก EU หรือไม่ ผู้ใช้มีสิทธิขอสำเนาพกพาได้ของข้อมูลที่ผู้ประมวลผลข้อมูลเก็บรวบรวมในรูปแบบร่วม และมีสิทธิลบข้อมูลของตนภายใต้พฤติการณ์บางอย่าง กำหนดให้ทางการสาธารณะและธุรกิจซึ่งมีกิจกรรมกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำหรือเป็นระบบเป็นหลักว่าจ้างเจ้าพนักงานคุ้มครองข้อมูลซึ่งรับผิดชอบต่อการจัดการให้เป็นไปตาม GDPR ธุรกิจต้องรายงานการละเมิดข้อมูลใด ๆ ภายใน 72 ชั่วโมงหากมีผลเสียต่อภาวะเฉพาะบุคคลของผู้ใช้",
"การแบ่งกลุ่มข้อมูลแบบเคมีนมีการทึกทักเอาว่าลำดับของจุดข้อมูลแต่ละจุดในเซ็ตข้อมูลอินพุทนั้นไม่มีผลต่ออัลกอริทึม การกรองข้อมูลแบบสองฝ่าย () นั้นเหมือนกับการแบ่งกลุ่มข้อมูลของเคมีนด้วยตรงที่ว่ามันมีการเก็บรักษาเซ็ตของข้อมูลในขณะที่มีการแทนที่ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยในแต่ละการวนซ้ำ อย่างไรก็ตามการกรองข้อมูลแบบสองฝ่ายจำกัดการคำนวณของค่าเฉลี่ย (แบบ kernel weighted)ให้รวมถึงเพียงแค่จุดข้อมูลที่ใกล้ในลำดับของข้อมูลอินพุท ด้วยเหตุนี้การกรองข้อมูลแบบสองฝ่ายจึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับปัญหาเช่นการขจัดสัญญาณรบกวนในรูปภาพ (image denoising) ซึ่งการเรียงตัวของพิกเซลในภาพนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง",
"แบบจำลองข้อมูลได้กำหนดโครงสร้างของข้อมูลอย่างชัดเจน แอพลิเคชันปกติของแบบจำลองข้อมูล รวมถึงแบบจำลองฐานข้อมูล การออกแบบของระบบสารสนเทศ และการทำให้ข้อมูลสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ โดยปกติแบบจำลองข้อมูลถูกระบุในภาษาแบบจำลองข้อมูล",
"โครงสร้างข้อมูลเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการรับและเก็บข้อมูล ณตำแหน่งใด ๆ ในหน่วยความจำ ซึ่งระบุโดยแอดเดรส (สตริงของบิตซึ่งสามารถเบในหน่วยความจำและจัดการได้โดยโปรแกรม ดังนั้นเรคคอร์ดและอาร์เรย์เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ตั้งบนพื้นฐานการคำนวณแอดเดรสของรายการข้อมูลโดยใช้การดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ในขณะที่โครงสร้างข้อมูลแบบเชื่อมโยง เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของารเก็บแอดเดรสหน่วยความจำของรายการข้อมูลซึ่งอยู๋ในโครงสร้างของมันเอง โครงสร้างข้อมูลหลายชนิด สร้างขึ้นโดยใช้หลักการทั้งสองประการ หรือการดำเนินการ โครงสร้างขอมูลบางชนิดรวมวิธีทั้งสองด้วยวิธีการที่ยาก เช่น โครงสร้างข้อมูลแบบ XOR linking\nการดำเนินการของโครงสร้างข้อมูล มักต้องารการเขียนเซตของฟังก์ชัน หรือเซตของการดำเนินการ (procedures) ซึ่งสร้างและดำเนินการกับอินสแตนท์ของโครงสร้างนั้น ประสิทธิภาพของโครงสร้างข้อมูล ไม่สามารถวิเคราะห์โดยการแยกการดำเนินการออก การสังเกตกระตุ้นแนวคิดเชิงทฤษฎีของชนิดข้อมูลนามธรรม โครงสร้างข้อมูลซี่งถูกนิยามโดยอ้อมจากการดำเนินการที่กระทำกับมัน และคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ของการดำเนินการเหล่านั้น ",
"การแบ่งกลุ่มแบบมีนชิฟท์นั้นเป็นอัลกอริทึมที่คงจำนวนของข้อมูลในเซ็ตไว้ให้มีขนาดที่เท่ากับจำนวนข้อมูลอินพุทเริ่มต้น ในจุดเริ่มต้นของอัลกอริทึมนั้นเซ็ตของข้อมูลนี้เกิดจากการคัดลอกมาจากเซ็ตข้อมูลอินพุท หลังจากนั้นในแต่ละการวนซ้ำข้อมูลในเซ็ตนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยค่าเฉลี่ยของจุดข้อมูลที่อยู่ในเซ็ตที่อยู่ภายในระยะทางที่กำหนดจากจุดข้อมูลจุดนั้น ในทางกลับกันการที่การแบ่งกลุ่มข้อมูลแบบเคมีนจำกัดการอัปเดตข้อมูลนี้ให้อยู่ที่ข้อมูล k จุดและเปลี่ยนค่าของแต่ละจุดใน k จุดนี้ด้วยค่าเฉลี่ยของจุดข้อมูลทุกจุดที่ในเซ็ตข้อมูลอินพุทที่อยู่ใกล้กับจุดจุดนั้นที่สุดเมื่อเทียบกับจุดอื่นใน k จุด การแบ่งกลุ่มแบบมีนชิฟท์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการแบ่งกลุ่มแบบเคมีนนั้นเรียกว่า likelihood mean shift ซึ่งในอัลกอริทึมนี้มีการแทนที่ค่าของเซ็ตข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยของจุดข้อมูลทั้งหมดในเซ็ตอินพุทที่มีระยะห่างภายในระยะทางที่กำหนดไว้จากเซ็ตนั้นๆ การแบ่งกลุ่มแบบมีนชิฟท์นั้นมีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งเหนือการแบ่งกลุ่มข้อมูลแบบเคมีนซึ่งคือการที่การแบ่งกลุ่มแบบมีนชิฟท์นั้นไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดจำนวนของกลุ่มข้อมูลเพราะว่าการแบ่งกลุ่มแบบมีนชิฟท์นั้นจะหาจำนวนของกลุ่มข้อมูลที่จำเป็นโดยอนิมัติ แต่อย่างไรก็ตามการแบ่งกลุ่มแบบมีนชิฟท์นั้นใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าการแบ่งกลุ่มแบบเคมีนมาก",
"บัพเฟอร์วงกลม () เป็นโครงสร้างข้อมูลประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการจัดการข้อมูลในรูปแบบวงกลม แต่ขนาดหรือความจุของข้อมูลจะต้องจำกัดไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ หลักการทำงานส่วนใหญ่จะเป็นการเก็บข้อมูลแบบตามลำดับ จนข้อมูลเต็มก็จะทำการเพิ่มข้อมูลไปใหม่ โดยใช้หลักการ FIFO (FIRST IN FIRST OUT) หรือ มาก่อนก็ออกก่อนจะขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูลทั้งหมด ดังนั้นสรุปได้ว่า Big(o) = O(n) จะได้ว่า Best Case คือ ขนาดของข้อมูลมีน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย และ Worst Case คือ ขนาดของข้อมูลมีมากที่สุด",
"แทนที่จะโยงต่อกันด้วยโหนดตัวเดียวแบบในรายการแบบโยง วีลิสต์ใช้การโยงของก้อนข้อมูล (memory block) ซึ่งประกอบด้วยอาเรย์ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้หลายตัวมาโยงต่อกัน โดยมีฐาน (base) เป็นตัวชี้ (pointer) ไปยังก้อนข้อมูลก่อนหน้า และมีออฟเซ็ต (offset) เป็นตัวอ้างอิงตำแหน่งปัจจุบันของข้อมูลที่เทียบจากรายการ และตำแหน่งล่าสุด (last used) ซึ่งเทียบตำแหน่งของข้อมูลจากอาเรย์ปัจจุบันที่ข้อมูลตัวนั้นอยู่ นอกจากนี้ในก้อนข้อมูลยังมีตัวแปรเก็บขนาดสูงสุดของอาเรย์ปัจจุบัน และทุกๆครั้งที่ข้อมูลเต็มก้อนข้อมูลอันเก่า เมื่อเพิ่มก้อนข้อมูลใหม่ ก้อนข้อมูลใหม่จะมีขนาดเป็น r เท่าของก้อนข้อมูลเดิม และก้อนข้อมูลก่อนๆจะมีขนาดลดลงเป็น r เท่า\nในการเพิ่มข้อมูลเข้าที่ตำแหน่งหน้าสุดของวีลิสต์ (ตำแหน่งสุดท้ายของรายการ) จะต้องตรวจสอบว่าอาเรย์ของข้อมูลในก้อนข้อมูล (memory block) ปัจจุบันนั้นเต็มรึยัง ถ้าไม่เต็มก็เพิ่มข้อมูลลงในตำแหน่งถัดไป และเพิ่มค่าของตำแหน่งล่าสุด (last used) ในก้อนข้อมูลปัจจุบัน ถ้าอาเรย์ของข้อมูลเต็มแล้วต้องทำการสร้างก้อนข้อมูลตัวใหม่ที่มีอาเรย์เป็นขนาด r เท่าของก้อนข้อมูลตัวเดิม แทรกเข้าไปที่ตำแหน่งหน้าของก้อนข้อมูลตัวก่อน (ตำแหน่งท้ายสุดของรายการ) และให้ออฟเซ็ต (offset)ของก้อนข้อมูลตัวล่าสุดเก็บตำแหน่งสุดท้ายของรายการจากก้อนข้อมูลอันก่อน ",
"องค์ประกอบของหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ทางกายภาพ ประกอบด้วยเลขที่อยู่และหน่วยเก็บข้อมูลไบต์หรือเวิร์ด ข้อมูลดิจิทัลมักจะถูกเก็บในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เช่นตารางหรือฐานข้อมูลเอสคิวแอล และโดยทั่วไปสามารถแทนด้วยข้อมูลคู่กุญแจ-ค่าแบบนามธรรม ข้อมูลสามารถถูกจัดการให้เป็นโครงสร้างข้อมูลได้หลายชนิด อาทิ แถวลำดับ กราฟ วัตถุ ฯลฯ และโครงสร้างข้อมูลสามารถเก็บข้อมูลได้หลายประเภท เช่น จำนวนตัวเลข สายอักขระ หรือแม้แต่โครงสร้างข้อมูลอื่น ข้อมูลถูกส่งผ่านเข้าและออกคอมพิวเตอร์ผ่านทางอุปกรณ์รอบข้าง",
"โดยปกติแล้ว ฐานข้อมูลในองค์กรทั่วไปจะมีลักษณะที่ค่อนข้างทันต่อเหตุการณ์ เช่น ฐานข้อมูลพนักงานก็จะเก็บเฉพาะพนักงานในปัจจุบัน จะไม่สนใจข้อมูลพนักงานเก่า ๆ ในอดีต ซึ่งอาจจะมีข้อมูลอะไรบางอย่าง ที่มีประโยชน์สำหรับผู้บริหาร ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพและคุณลักษณะต่าง ๆ ขององค์กร. นอกจากนี้ ฐานข้อมูลแต่ละอันมักถูกออกแบบมาใช้เก็บข้อมูลเฉพาะด้าน จึงมีข้อมูลเฉพาะบางส่วนขององค์กรเท่านั้น ฉะนั้นคลังข้อมูลจึงถูกออกแบบมา เพื่อรวบรวมข้อมูลในทุกส่วนของทั้งบริษัท ทั้งเก่าและใหม่ไว้ด้วยกัน ไม่มีการลบทิ้งข้อมูลเก่า ๆ ที่ไม่จริงในปัจจุบัน",
"ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ได้รับความนิยมในการใช้งานเป็นอย่างมาก แต่ยังมีข้อจำกัดเมื่อนำไปใช้งานกับข้อมูลที่มีความซับซ้อนมาก จึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีของแบบจำลองนี้ให้ดีขึ้น โดยนำเทคโนโลยีการโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming Technique) มาใช้ร่วมด้วย และเรียกระบบฐานข้อมูลแบบใหม่นี้ว่าระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงวัตถุ-สัมพันธ์ () ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งต้องการที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่น งานสื่อประสม ข้อมูลทางการแพทย์ [เช่น ฟิล์มเอกซเรย์ (X - rays) ภาพลักษณ์เอ็มอาร์ไอ (MRI Imaging) งานแผนที่ ข้อมูลเกี่ยวกับอวกาศ และข้อมูลด้านการเงินซึ่งนับวันจะมีความซับซ้อนขึ้นเป็นอย่างมาก เป็นต้น ผู้ผลิตระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ตระหนักดีว่า ลักษณะของข้อมูลที่ผู้ใช้ ต้องการจัดเก็บลงในฐานข้อมูลนั้นมีความหลากหลายมาก การพัฒนาระบบให้สามารถทำงานได้กับชนิดของข้อมูลเพิ่มมากขึ้นนั้น เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะจะมีชนิดของข้อมูลแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ดังนั้น วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็คือ พัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลให้มีศักยภาพในการขยายความสามารถในการใช้งานกับชนิดของข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งการขยายประสิทธิภาพตรงจุดนี้ควรที่จะนำเทคโนโลยีการโปรแกรมเชิงวัตถุมาใช้ด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีข้อได้เปรียบใน",
"ลักษณะการทำงานของเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (Virtual Private Network) เป็นเครือข่ายที่มีเส้นทางทำงานอยู่ในเครือข่ายสาธารณะ ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่ายส่วนตัวจึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก\nเครือข่ายส่วนตัวเสมือนจะมีการส่งข้อมูลในรูปแบบแพ็กเก็ตออกมาที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีการเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) ก่อนการส่งข้อมูลเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับข้อมูลและส่งข้อมูลผ่านอุโมงค์ (Tunneling) ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นจากจุดต้นทางไปถึงปลายทางระหว่างผู้ให้บริการ VPN กับผู้ใช้บริการการเข้ารหัสข้อมูลนี้เอง เป็นการไม่อณุญาตให้บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล สามารถอ่านข้อมูลได้จนสามารถที่จะส่งไปถึงปลายทาง และมีเพียงผู้รับปลายทางเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสข้อมูลและนำข้อมูลไปใช้ได้\nองค์กรส่วนใหญ่ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมีไฟร์วอลล์อยู่แล้วเพียงแค่เพิ่มซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับการเข้ารหัสข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องเข้าไปยังตัวไฟร์วอลล์ก็สามารถดำเนินงานได้ทันที Firewall-Based VPN มีส่วนคล้ายกับรูปแบบของซอฟต์แวร์และมีการเพิ่มประสิทธิภาพเข้าไปในไฟร์วอลล์ แต่ประสิทธิภาพก็ยังด้อยกว่าฮาร์ดแวร์ เป็นรูปแบบ VPN ที่นิยมใช้แพร่หลายมากที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นรูปแบบที่ดีที่สุด สนับสนุนการทำงานบนระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย บางผลิตภัณฑ์สนับสนุน Load Balancing รวมทั้ง IPsec\nTunneling คือการสร้างอุโมงค์เสมือนเพื่อส่งข้อมูลผ่านอุโมงค์นี้เพื่อออกสู่เน็ตเวิร์คมี 2 แบบ",
"3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relational model)\nเป็นลักษณะการออกแบบฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว () ของตารางจะแทนเรคอร์ด () ส่วน ข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ () ซึ่งเป็นขอบเขตของข้อมูล () โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีการวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ตารางประวัติพนักงาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติพนักงาน ตารางแผนก และตารางข้อมูลโครงการ\nการออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์",
"การทำงานจะคล้ายกับการกรอง โดยตะแกรงที่ใช้กรองจะมีอยู่หลายช่อง ในที่นี้ขอเรียกว่าช่องหมายเลข 1,2,3...,10 โดยการตรวจสอบว่าข้อมูลตัวนั้นจะไหลผ่านตัวกรองช่องไหน เราจะใช้ฟังก์ชันแฮชซึ่งใช้เวลาในการทำงานคงตัว ดังนั้นการค้นหาจึงใช้เวลาคงตัว O(1) และตัวกรองแต่ละช่องจะมีขนาดเพียง 1 บิต(บันทึกแค่ว่าเคยมีข้อมูลไหลผ่านรึยัง? ถ้าเคยเป็น 1 ไม่เคยเป็น 0)\nเราจะนำข้อมูลนั้นไปผ่านเครื่องกรอง แล้วทำการบันทึกไว้ว่าช่องไหนที่ข้อมูลนั้นไหลผ่าน เช่น ถ้าเราเพิ่ม A แล้วพบว่า A ไหลผ่านช่องหมายเลข 1,2,5 ได้ ก็บันทึกไว้ว่าช่องหมายเลข1,2,5 เคยมีข้อมูลไหลผ่านแล้ว\nถ้ามีการลบข้อมูลออก เราจะไม่สามารถแก้ข้อมูลที่ตัวกรองได้ เพราะตัวกรอง 1 ช่องอาจมีข้อมูลไหลผ่านหลายตัว ไม่รู้ว่าตัวไหนบ้าง(จริง ๆ แล้วเราสามารถแก้ข้อมูลของตัวกรองได้ โดยการหยิบข้อมูลทุกตัวมาเข้าเครื่องกรองใหม่อีกรอบ โดยหยิบมาทีละตัว แต่เสียเวลานานมาก) ดังนั้นวิธีนี้จึงไม่เหมาะกับการใช้งานที่มีการลบข้อมูลออกบ่อย ๆ\nเราจะนำข้อมูลนั้นไปผ่านเครื่องกรอง แล้วตรวจสอบว่าช่องที่ข้อมูลนี้สามารถไหลผ่านได้ เคยถูกข้อมูลตัวอื่นไหลผ่านมาก่อนรึเปล่า? ถ้ายังไม่เคย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าข้อมูลที่เรากำลังค้นนั้น ไม่ได้อยู่ในที่เก็บข้อมูลของเรา เช่น ถ้าเราค้น B แล้วพบว่าไหลผ่านช่องหมายเลข 2,5,7 ได้ เราก็ไปตรวจสอบช่องหมายเลข 2,5,7 ว่าเคยมีข้อมูลไหลผ่านรึยัง? ถ้ามีอันใดอันหนึ่งไม่เคยมีข้อมูลไหลผ่าน ก็ตอบได้เลยว่า \"ค้นไม่เจอ\" แต่ถ้าทุกช่องที่ B ไหลผ่านเคยมีข้อมูลไหลผ่านมาแล้วก็แปลว่า \"ค้นเจอ\"",
"การออกแบบฐานข้อมูล () มีความสำคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล (DBMS) ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล โครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูล ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งวิธีการสร้างฐานข้อมูลได้ 3 ประเภท"
] |
ใครเป็นผู้ออกแบบ เอเอช-64 อาปาเช่? | [
"ข้อเสนอดังกล่าวมีบิษัทผู้ผลิตยอมรับทั้งสินห้าบริษัทด้วยกัน คือ เบลล์ โบอิง เวอร์ทอล (ทำงานร่วมกับกรัมแมน) ฮิวส์ ล็อกฮีด และซิคอร์สกี้ ในปีพ.ศ. 2516 กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ได้ทำการเลือกเบลล์และฮิวส์ [4]"
] | [
"เอเอช-64 อาปาเช่ ([AH-64 Apache]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) (ออกเสียงในภาษาอังกฤษ สำเนียงอเมริกันว่า อ่า-พ้า-ชี่ แต่ชื่อเรียกในภาษาไทยที่รับรู้กันโดยทั่วไปคือ อาปาเช่ [1]) เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีสองเครื่องยนต์ สี่ใบพัด พร้อมล้อสามล้อ และห้องนักบินแบบเรียงเดียวสำหรับสองที่นั่ง อาปาเช่ถูกพัฒนาในชื่อ โมเดล 77 โดยฮิวจ์ส เฮลิคอปเตอร์สให้กับโครงการของกองทัพบกสหรัฐเพื่อแทนที่เอเอช-1 คอบรา มันได้ทำการบินครั้งแรกในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2518 เอเอช-64 มีจุดเด่นที่ปืนกล เอ็ม230 ขนาด 30 ม.ม. คาลิเบอร์ที่จมูกของมัน เอเอช-64 ยังใช้เอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์และไฮดรา 70 สี่ตำแหน่งบนปีกทั้งสองข้าง เอเอช-64 ยังมีระบบการอยู่รอดที่ดีเยี่ยมสำหรับเครื่องบินและลูกเรือในการต่อสู้ เช่นเดียวกับในกรณีที่มันตกเพื่อช่วยเหลือนักบิน",
"กองทัพอากาศคูเวตได้สั่งซื้อเอเอช64ดีจำนวน 16 ลำในปีพ.ศ. 2547[42] พร้อมกับมีเอเอช-64ดีจำนวน 6 ลำใช้งานในเดือนมกราคมพ.ศ. 2551[41]",
"ในพ.ศ. 2524 เอเอช-64เอสามลำก่อนการสร้างถูกยื่นให้กับกองทัพบกสหรัฐฯ ให้ทำการทดสอบครั้งที่สอง การทดสอบของกองทัพบกนั้นสมบูรณ์แต่ก็ได้ทำารตัดสินใจให้พัฒนาเครื่องยนต์ ที700-จีอี-701 แบบใหม่ที่ให้กำลัง 1,690 แรงม้า[4] ในช่วงท้ายพ.ศ. 2524 เอเอช-64 ถูกตั้งชื่อว่า\"อาพาชี่\"ตามเผ่าพื้นเมืองของอเมริกัน ฮิวส์ถูกนำเข้าผลิตอย่างเต็มรูปแบบในปีพ.ศ. 2525[4] ในปีพ.ศ. 2526 เฮลิคอปเตอร์ทำการผลิตครั้งแรกถูกนำเสนอที่ฮิวส์ในรัฐอริโซน่า ในพ.ศ. 2527 ฮิวส์ เฮลิคอปเตอร์ถูกซื้อโดยแมคดอนเนลล์ ดักลาสด้วยเงินจำนวน 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[7] เฮลิคอปเตอร์ตอ่มากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทโบอิงด้วยผู้ประสานงานของโบอิงและแมคดอนเนลล์ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2540 ในปี 2529 ราคาที่เพิ่มขึ้นหรือบานปลายของเอเอช-64 คือ 7.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และราคาประมาณอยู่ที่ 13.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [7]",
"รุ่นที่ก้าวหน้าอย่าง<b data-parsoid='{\"dsr\":[19189,19219,3,3]}'>เอเอช-64ดีอาปาเช่ลองโบว์</b>ติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบอาวุธที่พัฒนา หัวใจของการพัฒนาที่เหนือกว่าแบบเอก็คือเรดาร์ทรงโดมแบบเอเอ็น/เอพีจี-78 ที่ติดตั้งอยู่ที่ด้านบนของใบพัดหลัก ด้วยตำแหน่งที่สูงขึ้นของเรดาร์ทรงโดมทำให้การตรวจจับวิถีโค้งของขีปนาวุธจากศัตรูได้ในขณะที่มันซ่อนตัวอยู่หลังสิ่งกีดขวาง นอกเหนือจากนั้นโมเดมวิทยุผสมผสานกับเซ็นเซอร์ซึ่งทำให้อาพาชี่แบบบดีนั้นมีข้อมูลของเป้าหมายร่วมกับเอเอช-64ดีลำอื่นได้หากลำหนึ่งมองไม่เห็นเป้าหมาย สิ่งนี้ทำให้กลุ่มของอาปาเช่สามารถเข้าปะทะศัตรูจำนวนมากได้โดยเปิดเผยเพียงแค่เรดาร์ทรงโดมของเอเอช-64ดีลำใดลำหนึ่ง",
"ในเดือนกันยายนพ.ศ. 2546 กรีซได้สั่งซื้อเอเอช-64ดีจำนวน 12 ลำโดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 675 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมทั้งอาวุธและอื่นๆ) โดยตกลำละ 56.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิงคโปร์ได้ซื้อเอเอช-64ดี ลองโบว์อาปาเช่ทั้งสิ้น 20 ลำในระหว่างพ.ศ. 2542 และพ.ศ. 2544 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ซื้อเอเอช-64เอทั้งสิ้น 30 ลำในปีพ.ศ. 2534 และ 2537 ซึ่งพวกมันในตอนนี้ได้พัฒนาเป็นเอเอช-64ดี[28] คูเวตได้สั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ลองโบว์จำนวน 16 ลำ[29] ประเทศอื่นๆ ที่มีอาปาเช่ก็ได้แก่อียิปต์ ญี่ปุ่น และซาอุดิอาระเบีย[30]",
"อกุสต้าเวสท์แลนด์ อาพาชี่ () เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีเอเอช-64ดี อาพาชี่ลองโบว์ของโบอิงที่ผลิตขึ้นมาภายใต้ใบอนุญาตให้กับกองทัพบกอังกฤษ เฮลิคอปเตอร์แปดลำแรกถูกสร้างขึ้นโดบโบอิง อีก 59 ลำที่เหลือประกอบโดยเวสท์แลนด์ เฮลิคอปเตอร์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอกุสต้าเวสท์แลนด์) โดยใช้ส่วนประกอบจากโบอิง สิ่งที่มันมีแตกต่างจากเอเอช-64ดีคือเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ ระบบอิเลคทรอนิกป้องกันแบบใหม่ และกลไลใบพัดที่ททำให้รุ่นนี้สามารถทำหน้าที่ได้จากบนเรือ เฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้ได้รับชื่อว่า\"ดับบลิวเอเอช-64\" ที่ตั้งโดยเวสท์แลดน์ เฮลิคอปเตอร์ มันใช้อีกชื่อหนึ่งว่า\"อาพาชี่ เอเอช มาร์ค1\" (\"Apache AH Mk 1\") หรือ\"อาพาชี่ เอเอช1\" โดยกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร ",
"กองทัพอากาศสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ได้รับเอเอช-64เอจำนวน 30 ลำในปี 2548[32] ทางกองทัพมีเอเอช-64เอจำนวน 12 ลำและเอเอช-64ดีจำนวน 14 ลำในเดือนมกราคมปี 2551[41]",
"กองทัพอากาศซาอุดิอาระเบียมีเอเอช-64เอจำนวน 12 ลำ พวกมันจะถูกพัฒนาให้เป็นเอเอช-64ดี ลองโบว์ในปีพ.ศ. 2553[43]",
"สหราชอาณาจักรใช้อาปาเช่ลองโบว์รุ่นดัดแปลงที่เรียกว่าเวสท์แลนด์ ดับบลิวเอเอช-64 อาปาเช่และถูกเรียกว่าอาปาเช่ เอเอช มาร์ค1 โดยกองทัพบกอังกฤษ เวสท์แลนด์ได้สร้างดับบลิวเอเอช-64จำนวน 67 ลำ[22] ภายใต้ใบอนุญาตจากโบอิงที่แทนที่เครื่องยนต์ด้วยโรลส์-รอยซ์ที่ทรงพลังกว่า ใบพัดที่พับได้วำหรับการปฏิบัติการในกองทัพเรือเป็นอีกการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำให้อาปาเช่ของอังกฤษสามารถทำงานร่วมกับปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกได้โดยบินออกจากเรือที่บรรทุกมันมา เวสท์แบนด์อาปาเช่ได้เข้ามาแทนที่เวสท์แลนด์ลิงซ์ เอเอช7 ในฐานะเฮลิคอปเตอร์จู่โจมของกองทัพบกอังกฤษ ดับบลิวเอเอช-64 ในปัจจุบันถูกวางพลในอัฟกานิสถานที่ซึ่งพวกมันทำหน้าที่โดดเด่นในการสนับสนุนกองกำลังของสหราชอาณาจักรและรัฐบาลร่วมในทางตอนใต้ของประเทศ[23] ดับบลิวเอเอช-64 อาปาเช่ของอังกฤษใช้เรดาร์ควบคุมการยิงของลองโบว์ในอัฟกานิสถานโดยกล่าวว่ามันช่วยเพิ่มความระวังต่อสถานการณ์[24]",
"ในปฏิบัติการดีเซิร์มสตอร์มเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2534 เอเอช-64เอจำนวนแปดลำที่นำทางโดยเอ็มเอช-53 เพฟโลว์สี่ลำ ถูกใช้เพื่อทำลายที่มั่นเรดาร์ของอิรักเพื่อทำให้เครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถเข้าไปในอิรักได้โดยไม่ถูกตรวจจับ[4] นี่เป็นการโจมตีครั้งแรกของดีเซิร์มสตอร์ม[4] อาปาเช่บรรทุกจรวดแบบไฮดรา 70 เฮลไฟร์ และถังเชื้อเพลิงสำรอง[14] ในช่วง 100 ชั่วโมงของสงครามบนพื้นมีเอเอช-64 ทั้งสิ้น 277 ลำเข้าร่วม อาปาเช่ได้ทำลายรถถังกว่า 500 คัน ยานเกราะขนบุคคลและยานพาหนะอื่นๆ จำนวนมากในปฏิบัติการดีเซิร์ทสตอร์ม[4]",
"ด้วยทุนจากสภาในปลายปี 2534 ส่งผลในโครงการพัฒนาเอเอช-64เอเป็นเอเอช-64บี+ ทุนอีกมากเปลี่ยนแผนไปพัฒนาเอเอช-64ซี รุ่นซีนั้นมีความคล้ายคลึงกับลองโบว์ยกเว้นเรดาร์ขนาดใหญ่และเครื่องยนต์แบบใหม่ อย่างไรก็ดีในปีพ.ศ. 2536 รุ่นซีก็ถูกระงับ[4]",
"ดูที่เวสท์แลนด์ ดับบลิวเอเอช-64 อาปาเช่",
"เอเอช-64เอเข้าสู่ช่วงที่สองของโครงการ ขั้นตอนนี้มีเพื่อสร้างเอเอช-64 ก่อนการผลิตสามลำ และพัฒนาวายเอเอช-64เอต้นแบบสองลำและสำหรับทดสอบภาคพื้นดินหนึ่งลำ[6] อาวุธและระบบเซ็นเซอร์ยังถูกรวมและทำการทดสอบไปด้วย[4] มันยังรวมทั้งขีปนาวุธเฮลไฟร์แบบใหม่[6]",
"กองทัพบกเลือกเอเอช-64 แทนที่จะเป็นเบลล์ วายเอเอช-63 ในปีพ.ศ. 2519 ทำให้ฮิวจ์ส เฮลิคอปเตอร์สนั้นรางวัลเป็นสัญญาในการสร้าง ในปีพ.ศ. 2525 กองทัพบกยืนยันการผลิตเต็มรูปแบบ แมคดอนเนลล์ ดักลาสยังทำการผลิตและพัฒนาต่อหลังจากที่ซื้อบริษัทฮิวจ์ส เฮลิคอปเตอร์สมาจากซัมมา คอร์เปอร์เรชั่นในปีพ.ศ. 2527 ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 235 เอเอช-64ดี อาปาเช่ลองโบว์</b>ลำแรกได้ทำการบินและการผลิตครั้งแรกนั้นก็ถูกส่งให้กับกองทัพบกในปีพ.ศ. 2540 ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2540 โบอิงและแมคดอนเนลล์ ดักลาสรวมเข้าด้วยกันเพื่อกลายเป็นบริษัทโบอิง คอมพานี ในปัจจุบันโบอิงได้ทำการผลิตเอเอช-64 ต่อไป",
"แต่ละบริษัทสร้างเฮลิคอปเตอร์ต้นแบบและเข้าสู่โปรแกรมทดสอบการบิน แบบ 77/วายเอเอช-64เอของฮิวส์เริ่มทำการบินครั้งแรกในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2518 ในขณะที่แบบ 409/วายเอเอช-61เอของเบลล์ทำการบินในวันที่ 1 ตุลาคม[4] หลังจากประเมินผลการทดสอบกองทัพบกได้เลือกวายเอเอช-64เอของฮิวส์ในปีพ.ศ. 2519 เหตุผลที่เลือกวายเอเอช-64เอยังรวมทั้งใบพัดหลักสี่ใบที่ทนทานกว่าและความไม่เสถียรของวายเอเอช-63[5]",
"กองทัพบกสหรัฐฯ มีเอเอช-64 จำนวน 698 ลำในเดือนมกราคมพ.ศ. 2551[41]",
"ในปีพ.ศ. 2534 หลังจากปฏิบัติการดีเซิร์มสตอร์มเอเอช-64บีเป็นการพัฒนาจากเอเอช-64เอจำนวน 254 ลำ การพัฒนารวมทั้งใบพัดแบบใหม่ ระบบจีพีเอส ระบบนำร่อง และวิทยุแบบใหม่ สภาได้อนุมัติเงินจำนวน 82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเริ่มการพัฒนาอาปาเช่ รุ่นบี โครงการบีถูกยกเลิกในปี 2535[4] วิทยุ การนำร่อง และจีพีเอสได้ถูกนำไปติดตั้งในอาปาเช่แบบเอในเวลาต่อมา",
"อาปาเช่ถูกใช้ต่อสู้ครั้งแรกในการรุกรานปานามาเมื่อพ.ศ. 2532 เอเอช-64เอ อาปาเช่และเอเอช-64ดี อาปาเช่ลองโบว์มีบทบาทสำคัญในสงครามในตะวันออกกลางซึ่งรวมทั้งสงครามอ่าวเปอร์เซีย ปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอมในอัฟกานิสถาน และปฏิบัติการปลดปล่อยอิรัก อาปาเช่ถูกพิสูจน์ว่าเป็นนักล่ารถถังชั้นยอดและยังได้ทำลายยานเกราะนับร้อยซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกองทัพอิรัก",
"ญี่ปุ่นได้สั่งซื้อเอเอช-64ดีจำนวน 50 ลำ[32] พวกมันจะถูกสร้างภายใต้ใบอนุญาตโดยอุตาหกรรมฟูจิด้วยการส่งเฮลิคอปเตอร์ลำแรกให้กับญี่ปุ่นในปี 2549 [33][34] หลังจากที่เริ่มการส่งในปี 2548[35] อาพาชี่ที่สร้างโดยฟูจิจะใช้ชื่อว่า<i data-parsoid='{\"dsr\":[16572,16590,2,2]}'>เอเอช-64ดีเจบี[33]",
"กองทัพกรีกมีเอเอช-64เอจำนวน 20 ลำและเอเอช-64ดีจำนวน 12 ลำในการสั่งซื้อเมื่อปี 2548[32] กรีซมีเอเอช-64เอจำนวน 20 ลำและเอเอช-64ดีจำนวน 8 ลำในปี 2551[41]",
"เอเอช-64ดีของอเมริกันปัจจุบันบินในอิรักและอัฟกานิสถานโดยปราศจากเรดาร์ระยะไกลเนื่องจากไม่มีภัยคุกตามของยานเกราะต่อกองกำลังของรัฐบาลร่วม[20] อาปาเช่ส่วนมากที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักสามารถทำภารกิจต่อไปได้และบินกลับฐานอย่างปลอดภัย ตัวอย่างเช่น อาปาเช่ 33 ลำที่ใช้ในการโจมตีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2546 มี 30 ลำที่ได้รับความเสียหายจากการยิงของอิรักจนไม่สามารถซ่อมเแซมได้แต่มีเพียงลำเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถบินกลับฐาน[18] เมื่อถึงปี 2551 มีเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ 11 ลำที่ถูกยิงตกโดนศัตรูตลอดทั้งสงครามและอีก 15 ลำตกในอิรักเพราะสาเหตุอื่น",
"กองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์ได้รับเอเอช-64ดีจำนวน 30 ลำเมื่อปีพ.ศ. 2548[32] พร้อมกับมีเอเอช-64ดีจำนวน 29 ลำในปี 2551[41]",
"กองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์ได้สั่งซื้อเอเอช-64ดี อาปาเช่จำนวน 30 ลำเมื่อปีพ.ศ. 2539[25] เอเอช-64ดีของเนเธอร์แลนด์นั้นไม่ใช้ลองโบว์ การใช้งานครั้งแรกของพวกเขาเกิดขึ้นในแอฟริกา พวกมันยังถูกวางพลร่วมกับเอเอช-64 ของสหรัฐฯ ในการเข้าสนับสนุนกองกำลังของนาโต้ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ในปี 2547 เอเอช-64 ของเนเธอร์แลนด์ถูกวางพลในกองกำลังผสมที่อิรัก[26] ในเวลาเดียวกันอาปาเช่ของเนเธอร์แลนด์ถูกวางพลที่คาบูลเพื่อช่วยเหลือกองทัพอากาศอิสราเอล ในเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2549 เนเธอร์แลนด์ได้ช่วยกองกำลังนาโต้ในอัฟกานิสถานด้วยการเพิ่มทหารขึ้นเป็น 1,400 นายและเอเอช-64 ก็ถูกส่งไปสนับสนุนเช่นกัน[27]",
"เอเอช-64 มีขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์แบบเจเนรัลอิเลคทริค ที700 สองเครื่องพร้อมกับท่อไอเสียทั้งสองด้าน อาปาเช่มีใบพัดหลักสี่ใบและใบพัดหางสี่ใบ ลูกเรือจะนั่งเรียงตามหลังกันโดยมีนักบินนั่งอยู่ด้านหลังเหนือนักบินผู้ช่วยหรือพลปืนที่อยู่ด้านหน้า ห้องนักบินและถังเชื้อเพลิงจะหุ้มด้วยเกราะที่ทำให้มันยังสามารถบินได้ถึงแม้ถูกยิงด้วยกระสุนขนาด 23 ม.ม.[11][12]",
"ในช่วงกลางถึงปลายปีพ.ศ. 2523 แมคดอนเนลล์ ดักลาสศึกษาแบบพัฒนาของ\"เอเอช-64บี\"ที่มีห้องนักบินแบบใหม่ ระบบควบคุมการยิงใหม่ และการพัฒนาอื่นๆ ในปี 2531 ได้มีการลงทุนเข้าโครงการพัฒนาเพื่อพัฒนาเซ็นเซอร์และอาวุธและระบบดิจิตอลต่างๆ อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้วก็ปรากฏตัว มันถูกตัดสินใจยกเลิกโครงการพัฒนา สิ่งนี้นำไปสู่เอเอช-64ดี อาปาเช่ลองโบว์ที่ดีกว่าในช่วงกลางถึงปลายปี 2533[8]",
"รุ่นอื่นจำนวนมากได้ถูกดัดแปลงมาจากทั้งเอเอช-64เอและเอเอช64ดีสำหรับการส่งออก ทางอังกฤษได้สร้างเวสท์แลนด์ ดับบลิวเอเอช-64 อาปาเช่ที่มีพื้นฐานมาจากเอเอช-64ดีพร้อมกับระบบมากมายที่แตกต่างออกไปและรวมทั้งเครื่องยนต์ที่ใหม่และทรงพลังยิ่งขึ้น",
"กองทัพอากาศอิสราเอลมีเอเอช-64เอจำนวน 37 ลำและเอเอช64ดีจำนวน 11 ลำในคลังแสงเมื่อเดือนมกราคมปี 2551[41]",
"กองทัพอากาศสิงคโปร์มีเอเอช-64ดีจำนวน 18 ลำในเดือนมกราคมพ.ศ. 2551[41]",
"กองทัพอากาศอียิปต์ได้สั่งซื้อเอเอช-64เอจำนวน 36 ลำในปีพ.ศ. 2538 และถูกพัฒนาให้เป็นเอเอช-64ดีในปีพ.ศ. 2548[32] อียิปต์มีเอเอช-64ดีในปฏิบัติการ 35 ลำเมื่อเดือนมกราคมพ.ศ. 2551[41]",
"กองทัพอากาศอิสราเอลใช้อาปาเช่เพื่อทำการโจมตีเป้าหมายมากมายด้วยขีปนาวุธนำวิถี เอเอช-64เอได้โจมตีและทำลายค่ายทหารบางส่วนของกลุ่มเฮซบอลลาห์ในเลบานอนเมื่อพ.ศ. 2533 เป็นการโจมตีในหลายสภาพอากาศและทั้งวันทั้งคืน ในอัล-อาซ่า อินทิฟาด้า กองทัพอิสราเอลได้ใช้อาปาเช่เพื่อสังหารกลุ่มผู้นำฮามาสอย่างอาห์เมด ยาซินและแอดนัน อัลกูลด้วยขีปนาวุธนำวิถี ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและเลบานอนในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมเมื่อปีพ.ศ. 2549 มีเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ของกองทัพอากาศอิสราเอลสองลำชนกันทำให้นักบินหนึ่งคนเสียชีวิตและอีกสามคนบาดเจ็บสาหัส อีกอุบัติเหตุหนึ่งคือเอเอช-64ดี ลองโบว์ของกองทัพอิสราเอลตกที่สังหารนักบินสองคนเนื่องมาจากการขัดข้องทางทคนิค[21]"
] |
วชิราวุธวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่? | [
"พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกำเนิดโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2453 เพื่อให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นสถาบันที่ให้การศึกษาอย่างแท้จริงแก่กุลบุตรชาวไทย และเป็นเสมือนพระอารามหลวงประจำรัชกาล ซึ่งมิได้โปรดฯ ให้สร้างขึ้น เพราะมีพระราชดำริว่า ในรัชสมัยของพระองค์พระอารามหลวงต่างๆ มีอยู่มากแล้ว หากจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอารามหลวงขึ้นอีกก็จะเป็นพระราชภาระในการปฏิสังขรณ์อีกโดยมิควร ประกอบกับในรัชสมัยของพระองค์นั้นการศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไป มิได้อยู่กับวัดดังเช่นกาลก่อน นักเรียนต้องการครูบาอาจารย์ที่เป็นคฤหัสถ์ เพื่อทำการอบรมสั่งสอน[1] ดังนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนขึ้นตามแบบโรงเรียนรัฐบาลของประเทศอังกฤษ และพระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า \"โรงเรียนมหาดเล็กหลวง\"[2]"
] | [
"ผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนคือ มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ขณะท่านมีบรรดาศักดิ์เป็น \" พระยาสุขุมนัยวินิต \" ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จการมณฑลนครศรีธรรมราช และเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยในเดือนมกราคม พุทธศักราช 2439 ในวาระโอกาสวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เจ้าพระยายมราชได้ขอพระราชทานพระนามของพระองค์ในขณะนั้นมาเป็นนามของโรงเรียน ว่าโรงเรียน \"มหาวชิราวุธ\" ปัจจุบันเป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ และลูกมหาวชิราวุธทุกคนที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ ต่างมีความรักภาคภูมิใจในสถาบัน และภูมิใจใน ตราวชิราวุธ อันเป็นลัญจกรประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์อันเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสถาบัน",
"ผู้บังคับการ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงสุดในการดูแลจัดการวชิราวุธวิทยาลัย เป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร และครูใหญ่ รวมทั้งผู้รับใบอนุญาตผู้จัดการโรงเรียน ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ต้องเป็นผู้ที่ผ่านพระบรมราชานุมัติจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว",
"รวม 3 สมัยแรกมีอายุตั้งแต่เปิดโรงเรียนจนปิดทำการรวม 28 ปี มีชาวราชวิทย์รวม 28 รุ่น และถูกโอนไปรวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เป็นวชิราวุธวิทยาลัย เป็นเวลา 38 ปี มีการก่อตั้งสมาคม ชื่อ สมาคมราชวิทยาลัยฯ เมื่อปี พ.ศ. 2474 เหตุที่ไม่ใช่คำว่าสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนราชวิทยาลัย เพราะตอนขอจดทะเบียนโรงเรียนราชวิทยาลัยถูกโอนไปรวมแล้ว(ได้รับโปรดเกล้าฯอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อปีพ.ศ. 2554)",
"ผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนคือ มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ขณะท่านมีบรรดาศักดิ์เป็น \" พระยาสุขุมนัยวินิต \" ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จการมณฑลนครศรีธรรมราช และเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยในเดือนมกราคม พุทธศักราช 2439 ในวาระโอกาสวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เจ้าพระยายมราชได้ขอพระราชทานพระนามของพระองค์ในขณะนั้นมาเป็นนามของโรงเรียน ว่าโรงเรียน \"มหาวชิราวุธ\" ปัจจุบันเป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ และลูกมหาวชิราวุธทุกคนที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ ต่างมีความรักภาคภูมิใจในสถาบัน และภูมิใจใน ตราวชิราวุธ อันเป็นลัญจกรประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์อันเป็นมิ่งมงคลยิ่งของสถาบัน",
"ปนัดดา เข้าประกวดนางสาวไทยหลังจากเป็นอาจารย์ได้ 1 เทอม และได้ตำแหน่งนางสาวไทยในปี พ.ศ. 2543 หรือ ปี ค.ศ. 2000 ซึ่งนับเป็นปีแรกของการประกวดนางสาวไทย ที่เป็นความร่วมมือของสมาคมนักเรียนเก่า วชิราวุธวิทยาลัย กับทางไอทีวี ซึ่งจัดการถ่ายทอดสดผ่านทางไอทีวี โดยแต่เดิมนั้นการประกวดนางสาวไทย เป็นความร่วมมือของสมาคมนักเรียนเก่า วชิราวุธวิทยาลัย กับทางช่อง 7 โดยจัดการถ่ายทอดสดผ่านทางช่อง 7 ซึ่งในการประกวดนางสาวไทย ในปี 2543 นี้ ทาง วชิราวุธวิทยาลัย ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการกำหนดนิยามของการประกวดนางสาวไทยว่า \"ทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย\" โดยจะมอบตำแหน่ง \"ทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย แก่ผู้ชนะเลิศการประกวดนางสาวไทยปี 2543 อีก 1 ตำแหน่ง และในปี 2543 เป็นต้นมาการประกวดนางสาวไทย ไม่มีการประกวดโดยการสวมใส่ชุดว่ายน้ำ ซึ่ง ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ได้ชื่อเป็นนางสาวไทยคนแรก ที่เป็นทั้งนางสาวไทยและทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทยพร้อมกัน ซึ่งเธอยังได้ตำแหน่ง ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน อีกหนึ่งตำแหน่งด้วย\nในสมัยมัธยม โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) เธอได้เป็นนางนพมาศและถือป้ายงานกีฬา 5 พระเกี้ยว ปี 2534 และเป็นนางนพมาศกรุงเทพมหานคร ถ้วย พล.ตรี จำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปี 2534",
"อาคารมหาวชิราวุธ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารมหาวชิราวุธ วชิรพยาบาล อาคารเทพวารวดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารวชิรมงกุฎ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อาคารวชิรมงกุฎ วชิราวุธวิทยาลัย ประตูอัศวพาหุ วชิราวุธวิทยาลัย ประตูเยาวราช วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งตามพระอิศริยศในขณะนั้น สมเด็จพระบรมโอสาธิราชฯ ทั้งสร้างถวายพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช (พระเยาวราช พระยุพราช ) สวนรื่นฤดี สถานที่ปลูกพลับพลาที่ประทับ ครั้นเสด็จมาก่อตั้งและเปิดค่ายวชิราวุธ จังหวัดนครศรีธรรมราช",
"เดิมแต่แรกนั้น ในสมัยที่ ยังเป็น โรงเรียนราชวิทยาลัย ได้มีการจัดกีฬาหน้าพระที่นั่ง กับโรงเรียนในสังกัดกรมมหาดเล็ก(เป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2459 ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 33 หน้า 1109) ทุกๆ ปีจะมีการแข่งกีฬาหน้าพระที่นั่ง ในวันแข่งขันกีฬาประจำปีนั้นทั้งครูและนักเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ทุกคนจะต้องไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อมกัน ณ สนามโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ( วชิราวุธวิทยาลัย ในปัจจุบัน ) เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นยุคสมัยที่การเงินของประเทศอยู่ในภาวะคับขัน เศรษฐกิจตกต่ำ จึงได้ทรงตัดทอนรายจ่ายในพระราชสำนัก และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยไปรวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ให้เป็น โรงเรียนเดียวกัน ซึ่งโปรดพระราชทานนามนามให้ใหม่ว่า วชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ 16 เมษายน พุทธศักราช 2469 เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบไป",
"สรุปผลการแข่งขัน ทีม ภปร. ราชวิทยาลัย ชนะ 16 ครั้ง ทีมวชิราวุธวิทยาลัยชนะ 8 ครั้ง เสมอ 2 ครั้ง",
"การแข่งขันรักบี้ฟุตบอลประเพณีราชวิทยาลัย - วชิราวุธวิทยาลัย เป็นการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลประเพณีและการแปรอักษรของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา เพื่อชิงถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างโรงเรียนชายล้วนเก่าแก่ 2 สถาบันของประเทศไทย ได้แก่ โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ หรือ สนามกีฬากองทัพบก เพื่อเป็นการเชื่อมความสามัคคีของครูอาจารย์ นักเรียนทั้งฝ่ายนักกีฬาและฝ่ายกองเชียร์ และยังรวมไปถึงกลุ่มนักเรียนเก่าทั้งสองสถาบัน ให้มีความ Esprit de Corp ( มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า จิตวิณญาณของคณะ ) และความสามัคคีระหว่างพี่น้องทั้งสองสถาบัน โดยเงินรายได้ที่ได้จากการแข่งขันจะสมทบทุนการกุศลหมด ",
"หนึ่งในประเพณีของวชิราวุธวิทยาลัย คือ การร้องเพลงในงานสำคัญต่างๆ รวมถึงเพลงเชียร์กีฬา โดยเพลงที่มักจะได้ยินบ่อยๆ มีดังนี้",
"สถาบันที่ครูได้ถ่ายทอดวิชาดนตรีไว้ให้ ได้แก่ วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย",
"ลำดับรายนามตำแหน่งระยะเวลาดำรงตำแหน่ง1พระโอวาทวรกิจ (เหม ผลพันธิน)อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง17 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 - 8 กันยายน พ.ศ. 24552พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร ศรเกตุ)อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง8 กันยายน พ.ศ. 2455 - 11 เมษายน พ.ศ. 24583พระยาบริหารราชมานพ (ศร ศรเกตุ)ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง11 เมษายน พ.ศ. 2458 - 26 มีนาคม พ.ศ. 24604พระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ)ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง26 มีนาคม พ.ศ. 2460 - 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 24695พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน)ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 - 16 เมษายน พ.ศ. 24766พระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ)ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย4 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 - 1 สิงหาคม พ.ศ. 24787พระพณิชยสารวิเทศ (ผาด มนตธาตุผลิน)ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย1 สิงหาคม พ.ศ. 2478 - 1 มกราคม พ.ศ. 24868มหาอำมาตย์ตรี พระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย1 มกราคม พ.ศ. 2486 - 28 ธันวาคม พ.ศ. 25189ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยาผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 - 30 มิถุนายน พ.ศ. 253910ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิชผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย30 มิถุนายน พ.ศ. 2539 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 255011ดร.สาโรจน์ ลีสวรรค์ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 - 8 มิถุนายน พ.ศ. 255912ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุรวุธ กิจกุศลผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย9 มิถุนายน พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน",
"ราชวิทยาลัยยามสิ้นชื่อ ถือกำเนิดสมาคม เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับราชสมบัติสืบต่อมาเป็นรัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นยุคสมัยที่การเงินของประเทศอยู่ในภาวะคับขัน เศรษฐกิจตกต่ำ จึงได้ทรงตัดทอนรายจ่ายในพระราชสำนัก และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยไปรวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง โปรดให้ย้ายนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์(ค้นว้าล่าสุดจากทะเบียนของวชิราวุธวิทยาลัยมีถึง19หรือ20คน) และ ครูชาวต่างประเทศบางคนที่ยังไม่หมดสัญญาจ้าง ไปสมทบกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งโปรดพระราชทานนามนามให้ใหม่ว่า วชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ 16 เมษายน พุทธศักราช 2469 เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติแด่ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบไป",
"ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการฯ ได้พิจารณาเห็นว่า ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับกรรมการอำนวยการ ประกอบกับเป็นผู้ที่ทราบกิจการของวชิราวุธวิทยาลัยด้วยดีตลอดมา คณะกรรมการอำนวยการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในตำแหน่งนายกกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุมัติให้ ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยสืบแทนพระยาภะรตราชาที่ถึงอนิจกรรม แต่ในเวลานั้นศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ยังคงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพระราชวังอยู่ ราชเลขาธิการจึงได้หารือไปยังสำนักพระราชวัง เมื่อสำนักพระราชวังตอบรับว่า การดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยไม่ขัดหรือเป็นผลเสียแก่การปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการพระราชวังแต่อย่างใด ราชเลขาธิการจึงได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุมัติให้ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย มาตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 ตลอดระยะเวลาที่ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยติดต่อกันมา 4 วาระ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2539 นั้น ท่านได้สืบทอดการจัดการอบรมนักเรียนตามแนวทางที่พระยาภะรตราชาได้เคยปฏิบัติไว้ แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมแก่ยุคสมัยไปบ้าง เช่น มีการปรับเวลาเรียนจากวันละ 5 ชั่วโมงเป็น 6 คาบเรียนตามมาตรฐานของกระทรวงศึกษาธิการ ปรับเวลาเลิกเรียนในตอนบ่ายจาก 13.00 น. เป็น 13.30 น. มีการจัดสร้าง \"ครัวรวม\" เพื่อประกอบอาหารจัดเลี้ยงนักเรียนทุกคณะแทนการให้แต่ละคณะเป็นผู้ประกอบจัดเลี้ยงซึ่งได้ปฏิบัติติดต่อกันมาช้านานการกันเอง ในส่วนของการบริหารงานโรงเรียนในสมัยที่ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นผู้บังคับการนั้น ได้มีการเชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารการศึกษาจากภาควิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาศึกษาและนำเสนอโครงสร้างการบริหารงานของวชิราวุธวิทยาลัยต่อคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยได้พิจารณาอนุมัติให้เริ่มทดลองใช้โครงสร้างใหม่นั้นแทนโครงสร้างการบริหารงานเดิมที่ใช้กันมาแต่ครั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง โครงสร้างการบริหารงานใหม่ที่คณะกรรมการอำนวยการฯ ได้อนุมัติให้เริ่มใช้งานมาตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 นั้น เมื่อได้ทดลองใช้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็ได้พบความไม่เหมาะสมบางประการ เฉพาะอย่างยิ่งการแบ่งซอยหน่วยงานในแต่ละฝ่ายที่แยกย่อยเกินความจำเป็น จึงได้มีการปรับโครงสร้างให้กระชับขึ้นโดยยุบรวมหน่วยงานย่อยๆ ที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกันเข้าด้วยกันจัดเป็นแผนก และมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบงานในแต่ละแผนกมาตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 นอกจากนั้นในสมัยที่ศาตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยอยู่นั้น วิทยาการแขนงต่างๆ ได้พัฒนาก้าวหน้าไปเป็นอันมาก เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในแวดวงการศึกษา ท่านผู้บังคับการ ศาตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ก็ได้ริเริ่มให้วชิราวุธวิทยาลัยจัดซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จำนวน 10 ชุด มาใช้ในการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 เป็นครั้งแรกเมื่อปีการศึกษา 2532 แล้วจึงจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมพร้อมกับขยายการสอนไปยังระดับชั้นอื่นๆ รวมทั้งเริ่มนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ประมวลผลในงานธุรการของโรงเรียน สิ่งที่ศาตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ได้ริเริ่มไว้ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย คือ การจัดตั้งงานแนะแนวการศึกษาขึ้นในฝ่ายวิชาการ โดยท่านเห็นความจำเป็นที่ว่า โรงเรียนประจำนั้นนอกจากผู้กำกับคณะ และครูผู้สอนจะต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตน ปัญหาชีวิต พฤติกรรมการปรับตัวและปัญหาอื่นๆ แล้ว สมควรที่จะมีหน่วยงานด้านการแนะแนวขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านต่างๆ ของนักเรียน และยังเป็นหน่วยงานที่จะส่งเสริมให้นักเรียนมีแนวทางที่จะศึกษาต่อในระดับสูงต่อไปอีกด้วย",
"อดิศัย โพธารามิก หรือ ดร.อดิศัย โพธารามิก จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จาก โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย พ.ศ. 2500 \nก่อตั้ง บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล และได้งานโครงการโทรศัพท์ต่างจังหวัด 1.5 ล้านเลขหมาย โครงการสื่อสารภายในประเทศด้วยดาวเทียม (TDMA) ระบบสื่อสารเพื่อบริการธุรกิจผ่านดาวเทียม (ISBN) และเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ โดยมีตำแหน่งเป็นซีอีโอของ ทีทีแอนด์ทีและจัสมิน",
"พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ชื่อ \"เปรม\" นั้น พระรัตนธัชมุนี (แบน คณฺฐาภรโณ) เป็นผู้ตั้งให้ ส่วนนามสกุล \"ติณสูลานนท์\" พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2462 เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ กับนางวินิจทัณฑกรรม (ออด ติณสูลานนท์) มีพี่น้องคือ\nพล.อ.เปรม สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา สงขลา ในหมายเลขประจำตัว 167 และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2480 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า (โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2477 ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)",
"ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ทดลองจัดการประกวด \"นางงามวชิราวุธ\" ขึ้นในงานวชิราวุธานุสรณ์ ซึ่งเป็นงานที่สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ องค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ อีกวัตถุประสงค์คือ เพื่อสร้างความบันเทิง แก่ประชาชนผู้มาเที่ยวงาน ส่วนสถานที่จัดงานคือบริเวณพระราชอุทยานสราญรมย์ จากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ จุดมุ่งหมายของการจัดประกวด นางสาวไทย ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการใช้ตำแหน่งนางสาวไทย เป็นสื่อเผยแพร่ชื่อเสียง ให้แก่ประเทศ และ ใช้รูปแบบของการเข้าร่วมประกวดนางงาม ระดับชาติทำให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในปี พ.ศ. 2507 คณะกรรมการการจัดงานวชิราวุธานุสรณ์ ได้มีการเปลี่ยนชื่อการประกวดมาเป็นการประกวด \"นางสาวไทย \"",
"สำหรับการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลประเพณี ราชวิทยาลัย - วชิราวุธวิทยาลัย ครั้งที่ 22 จัดขึ้น พ.ศ. 2554 โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นเจ้าภาพ สำหรับสถิติที่ผ่านมาของทั้งสองทีมพบกันมาแล้ว 19 ครั้ง ปรากฏว่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ชนะไปได้ 12 ครั้ง วชิราวุธ ชนะ 6 ครั้ง และเสมอกัน 1 ครั้ง",
"ดำรงตำแหน่งกรรมการในมูลนิธิ และโครงการต่างๆ เช่น ประธานมูลนิธิดำรงราชานุภาพ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี กรรมการมูลนิธิบุรฉัตรมูลนิธิ , กรรมการอำนวยการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยตั้งแต่ พฤศจิกายน 2551 - พฤศจิกายน 2557และ 2560 จนถึงปัจจุบัน, ดำรงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยด้านการบริหาร ตั้งแต่ มิถุนายน 2551 จนถึง 2560, ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ตั้งแต่ กรกฎาคม 2561",
"เพชร มาร์ มีชื่อจริงว่า พิทรี่ วิคเตอร์ เอดวาร์ด มาร์ เป็นโปรดิวเซอร์และนักดนตรีชาวไทยและคอมเมนเตเตอร์ประจำรายการ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ลูกครึ่งไทย-สก๊อตแลนด์ เป็นบุตรของสจ๊วต และวี มาร์ บิดาเป็นผู้ก่อตั้งวงปี่สก๊อตโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และมารดาเป็นผู้มีชื่อเสียงแวดวงไฮโซ ",
"โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ สงขลา สำนักงานศึกษาธิการเขต เขตการศึกษา 3 จังหวัดสงขลา โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โรงเรียนปาดังศึกษา อ.สะเดา จังหวัดสงขลา โรงเรียนพิชัยรัตนาคาร จังหวัดระนอง วิทยาลัยเทคนิคระนอง จังหวัดระนอง โรงเรียนป่าบอนพิทยาคม กิ่งอำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง โรงเรียนบ้านควนโพธิ์ อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง",
"งานรักบี้ฟุตบอลประเพณีราชวิทย์-วชิราวุธ",
"วชิราวุธวิทยาลัย เป็นโรงเรียนประจำชายล้วน สถาปนาขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างโรงเรียนแก่กุลบุตรชาวไทยแทนการสร้างพระอารามซึ่งมีอยู่มากแล้วนั้น ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้มีพระบรมราชโองการให้รวมโรงเรียนมหาดเล็กหลวง กรุงเทพ และโรงเรียนราชวิทยาลัยเข้าด้วยกัน โดยให้นักเรียนย้ายมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงกรุงเทพ พร้อมทั้งได้พระราชทานนามโรงเรียนขึ้นใหม่ว่า “วชิราวุธวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนสืบต่อไป",
"วชิราวุธวิทยาลัยมีตึกที่พักนักเรียน เรียกว่า \"คณะ\" เป็นเสมือนบ้านของนักเรียน แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ คณะเด็กโต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม แบ่งออกเป็น ๖ คณะ คือ คณะผู้บังคับการ คณะดุสิต คณะจิตรดา คณะพญาไท คณะจงรักภักดี คณะศักดิ์ศรีมงคล ส่วนคณะเด็กเล็กสำหรับนักเรียนชั้นประถม แบ่งออกเป็น ๓ คณะ คือ คณะสนามจันทร์ คณะนันทอุทยาน และ คณะสราญรมย์ นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังส่งเสริมให้นักเรียนได้เล่นกีฬาต่าง ๆ เช่น รักบี้ฟุตบอล แบดมินตัน นอกจากนี้ ยังมีการจัดการแข่งขันรักบี้ประเพณีกับมาเลย์ คอลเลจ (Malay College Kuala Kangsar) จากประเทศมาเลเซีย เป็นประจำทุก ๆ ปี",
"ในรัชกาลปัจจุบันเมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2502 ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะสนองพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นพระบรมชนกนาถ และ พระราชสวามี จึงทรงต้องพระประสงค์จะอุปถัมภ์กิจการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้ ดังนั้นพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี จึงทรงรับวชิราวุธวิทยาลัยไว้ในพระอุปถัมภ์ โดยจะทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อบำรุงวชิราวุธวิทยาลัย และทรงเสด็จพระดำเนินมาบำเพ็ญพระกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี จะเสด็จสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ก็ยังทรงพระราชทานเงินเพื่อบำรุงไว้เช่นเดิมจนถึงปัจจุบัน",
"วชิราวุธวิทยาลัยส่งเสริมให้นักเรียนได้เล่นกีฬา รวมทั้ง มีการจัดการแข่งขันกีฬาภายในทุกปี โดยมีการแบ่งประเภทกีฬาออกเป็นภาคการศึกษา ดังนี้",
"หอสมุดภะรตราชา เป็นอาคารชั้นเดียว ซึ่งพระยาภะรตราชาได้บริจาคทุนทรัพย์จำนวน 200,000 บาท สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหอสมุดวชิราวุธวิทยาลัย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดหอสมุดเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2506 และต่อมาในคราวฉลองหนึ่งศตวรรษชาตกาลพระยาภะรตราชา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2529 คณะนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยนำโดย พล.ต.ต.จักร จักษุรักษ์ ได้พร้อมกันบริจาคทุนทรัพย์ก่อสร้างอาคารหอสมุดไปทางทิศตะวันออกของอาคารเดิมเพิ่มเติมอีก 1 หลัง พร้อมทั้งทำทางเชื่อมต่ออาคารทั้งสองเข้าด้วยกัน และได้ขออนุญาตขนานนามอาคารหอสมุดทั้งส่วนเก่าและที่ต่อเติมใหม่นั้นว่า “หอสมุดภะรตราชา” เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านพระยาภะรตราชาสืบมาแต่บัดนั้น",
"ในระหว่างที่ ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพระราชวังและผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยพร้อมกันนั้น ท่านได้มอบหมายให้ครูจิต พึ่งประดิษฐ์ รองผู้บังคับการเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในโรงเรียนแทน แต่ทุกวันตอนเช้าก่อนที่จะไปปฏิบัติงานประจำที่สำนักพระราชวัง ท่านจะแวะมาปฏิบัติหน้าที่ที่วชิราวุธวิทยาลัยทุกวัน ตราบจนเกษียณอายุราชการจากตำแหน่งเลขาธิการพระราชวังเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 แล้วจึงได้มาปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยเต็มเวลา และได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2522",
"รับการศึกษาชั้นประถมที่ โรงเรียนราชินี และมาต่อชั้นมัธยมศึกษาและเตรียมอุดมศึกษา ที่วชิราวุธวิทยาลัยและโรงเรียนเทพศิรินทร์ แล้วเดินทางไปศึกษาต่อที่ โรงเรียน จีลอง แกรมมา สกูล จบการศึกษาด้านวิศวกรรมเครื่องกล เมลเบิร์น เทคนิคอล คอลเลจ ประเทศออสเตรเลีย ศึกษาวิชาตำรวจและสายตรวจวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา ศึกษาวิชาบรรเทาสาธารณภัยที่ประเทศอังกฤษ 2 ปี ก่อนเข้ารับราชการตำรวจเมื่อปี 2498 โดยเป็นตำรวจสังกัดกองตำรวจยานยนต์ สมัย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ต่อมาในปี 2503 ได้ย้ายมาสังกัดกองตำรวจดับเพลิง ได้เลื่อนยศเป็น ร.ต.อ. ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกช่าง จนขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจดับเพลิง เมื่อปี 2516 และเป็น ผช.ผบช.น. อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งรถวิทยุสายตรวจนครบาล และรถวิทยุตำรวจทางหลวง ก่อตั้งอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยและลูกเสือดับเพลิง และก่อตั้งหน่วยดับเพลิงของประชาชน 111 สถานี รวมถึงเป็นประธานผู้ก่อตั้งสโมสรกีฬาราชประชา และดำรงตำแหน่งนายกสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัย แห่งประเทศไทย ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี อย่างต่อเนื่องมาหลายวาระตั้งแต่ ปี 2533 ได้สร้างราชประชาสปอร์ตชูเล่ย์ สำหรับเก็บตัวนักกีฬา และศูนย์ฝึกดับเพลิงและกู้ภัยที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา",
"การรับน้องภายใต้ระบบอาวุโสด้วยหลักการโซตัส (SOTUS) เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อมีการตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงหรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน และเมื่อมีการก่อตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนซึ่งกลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อมา ก็มีการนำเอาระบบโซตัสเข้าไปใช้ ตั้งแต่ 23 กันยายน 2445"
] |
อเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์ เกิดที่จังหวัดใด ? | [
"คาลเดอร์ผู้เกิดที่ลอว์ตันในรัฐเพนซิลเวเนียในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่22 กรกฎาคม ค.ศ. 1898 มาจากครอบครัวที่เป็นศิลปิน อเล็กซานเดอร์ สเตอร์ลิง คาลเดอร์ บิดาของคาลเดอร์เป็นประติมากรผู้มีชื่อเสียงผู้สร้างงานประติมากรรมสำหรับติดตั้งในที่สาธารณะหลายชิ้นส่วนใหญ่ในฟิลาเดลเฟีย ส่วนปู่ประติมากร อเล็กซานเดอร์ มิลน์ คาลเดอร์ เกิดที่สกอตแลนด์และอพยพมาฟิลาเดลเฟียในปี ค.ศ. 1868 งานที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ของวิลเลียม เพนน์บนหอตึกเทศบาลเมืองฟิลาเดลเฟีย นาเนตต์ เลเดอเรอร์ คาลเดอร์มารดาของคาลเดอร์เป็นจิตรกรภาพเหมือนอาชีพผู้ได้รับการศึกษาจากสถาบันฌูเลียนและซอร์บอร์นในกรุงปารีสราวระหว่างปี ค.ศ. 1888 ถึงปี ค.ศ. 1893 ต่อมานาเนตต์ย้ายไปอยู่ที่ฟิลาเดลเฟียเมื่อไปพบกับอเล็กซานเดอร์ สเตอร์ลิง คาลเดอร์ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฟิลาเดลเฟีย[5] บิดามารดาของคาลเดอร์สมรสกันเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1895 พี่สาวคนโตมาร์กาเร็ต หรือ เพ็กกี้ คาลเดอร์เกิดในปี ค.ศ. 1896 ต่อมาเมื่อสมรสก็เปลี่ยนชื่อเป็น มาร์กาเร็ต คาลเดอร์ เฮย์ส และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์[6]"
] | [
"ประติมากรรม “ฟลามิงโก” สร้างโดยอเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์มีความสูง 16 เมตร เป็นงานที่จ้างโดยกรมการบริหารทั่วไปแห่งสหรัฐอเมริกา (General Services Administration) และได้รับการเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1974 แม้ว่าคาลเดอร์จะลงชื่อว่าสร้างในปี ค.ศ. 1973",
"เมื่อ “เอช. เอฟ. อเล็กซานเดอร์” จอดที่ท่าซานฟรานซิสโกคาลเดอร์ก็จะเดินทางขึ้นไปอเบอร์ดีนที่รัฐวอชิงตันไปเยึ่ยมพี่สาวกับพี่เขยเค็นเนธ เฮย์ส คาลเดอร์สมัครงานเป็นผู้คุมเวลาที่ค่ายโค่นไม้ ภูมิทัศน์ป่าเขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คาลเดอร์เขียนจดหมายไปถึงบ้านไปขอสีและแปรง ไม่นานหลังจากนั้นคาลเดอร์ก็ตัดสินใจย้ายกลับไปนิวยอร์กเพื่อไปพยายามสร้างตัวเป็นศิลปิน",
"ในปี ค.ศ. 1928 คาลเดอร์ก็จัดงานแสดงศิลปะของตนเองที่หอแสดงภาพในนครนิวยอร์ก และในปี ค.ศ. 1934 คาลเดอร์ก็มีงานแสดงโดยลำพังตนเองในพิพิธภัณฑ์เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาที่สมาคมเรอเนสซองซ์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก",
"ในปี ค.ศ. 1929 คาลเดอร์ก็มีงานแสดงประติมากรรมลวดโดยลำพังของตนเองในปารีสที่ห้องแสดงภาพบิลลิเอต์ จิตรกร ฌูลส์ ปาส์แซง เพื่อนของคาลเดอร์จากคาเฟส์ มงต์ปาร์นาส เป็นผู้เขียนบทนำให้",
"คาลเดอร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1976 ไม่นานหลังจากการเปิดแสดงนิทรรศการผลงานย้อนหลังที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันวิทนีย์ ขณะที่ยังทำโครงการทาสีเรือบินลำที่สามชื่อ “Tribute to Mexico”",
"ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1922 คาลเดอร์ทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงในห้องเครื่องของเรือขนส่งผู้โดยสาร “เอช. เอฟ. อเล็กซานเดอร์” ขณะที่เรือแล่นออกจากซานฟรานซิสโกไปยังนครนิวยอร์ก คาลเดอร์ได้มีโอกาสทำงานบนดาดฟ้าเรือตามริมฝั่งกัวเตมาลาและได้มีโอกาสได้เป็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นทางหนึ่งและพระจันทร์ตกอีกซีกหนึ่งของฟากฟ้าตรงข้ามที่คาลเดอร์บรรยายไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติว่า:",
"เราแล่นรถไฟบนรางไม้ที่ยึดไว้ด้วยเข็มแหลม; เจ้าก้อนเหล็กก็แล่นลงไปตามทางลาดแข่งกับรถ เราถึงกับจุดไฟในรถบางตู้ด้วยเทียน[13]",
"ในปี ค.ศ. 1987 ครอบครัวคาลเดอร์ก็ได้ก่อตั้งมูลนิธิคาลเดอร์ขึ้น ที่ไม่แต่เพียงเป็นองค์การตัวแทนอย่างเป็นทางการของคาลเดอร์ แต่ยังเป็นองค์การในการ “บริหารโครงการ, ร่วมมือจัดงานแสดง และตีพิมพ์งาน[ของคาลเดอร์] และให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ เช่นประวัติ, การรวบรวมงาน และ การบูรณปฏิสังขรณ์งานของคาลเดอร์” ด้วย[20] ผู้แทนเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ของคาลเดอร์ในสหรัฐอเมริกาสำหรับมูลนิธิคาลเดอร์คือสมาคมสิทธิของศิลปิน (Artists Rights Society)[21]",
"ในปี ค.ศ. 1909 เมื่อเรียนอยู่ชั้นสี่คาลเดอร์ก็สลักรูปสุนัขและเป็ดจากแผ่นทองเหลืองเป็นของขวัญวันคริสต์มัสสำหรับบิดามารดา ประติมากรรมที่ทำเป็นสามมิติและเป็นจลนศิลป์ที่เคลื่อนไหวได้ เพราะจะเคลื่อนไหวเมื่อแตะเบาๆ งานประติมากรรมเหล่านี้มักจะได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นตัวอย่างผลงานสมัยแรกที่แสดงถึงแนวความสามารถของคาลเดอร์[11]",
"ในปี ค.ศ. 1966 คาลเดอร์ตีพิมพ์งาน “อัตชีวประวัติด้วยภาพ” (Autobiography with Pictures) โดยความช่วยเหลือของลูกเขย จีน เดวิดสัน",
"คาลเดอร์ได้รับปริญญาจากสถาบันเทคโนโลยีสตีเฟนส์ในปี ค.ศ. 1919 ในช่วงเวลาสองสามปีต่อมาคาลเดอร์ก็ทำงานเกี่ยวกับการวิศวกรรมอยู่หลายหน้าที่ที่รวมทั้งเป็นวิศวกรไฮดรอลิคส์และคนเขียนแบบสำหรับบริษัทนิวยอร์กเอดิสัน แต่คาลเดอร์ก็ไม่พอใจกับหน้าที่ใดที่ทำ",
"ในปี ค.ศ. 2003 เป็นเวลาเกือบ 30 หลังจากการเสียชีวิตของคาลเดอร์ งานไม่มีชื่อของคาลเดอร์ขายได้ในราคา 5.2 ล้านเหรียญสหรัฐโดยคริสตีส์[22]",
"ประติมากรรม ลัทธิเหนือจริง ประติมากรรมจลดุล",
"ในปี ค.ศ. 1927 คาลเดอร์ย้ายกลับไปยังสหรัฐอเมริกา ไปออกแบบของเล่นที่ทำด้วยไม้แบบผลักหรือดึงที่เคลื่อนไหวได้สำหรับเด็กที่ได้รับการผลิตระดับอุตสาหกรรมโดยบริษัทผลิตภัณฑ์กูลด์ที่วิสคอนซิน",
"ในปี ค.ศ. 1912 สเตอร์ลิง คาลเดอร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ทำการแทนของแผนกประติมากรรมของการแสดงนิทรรศการนานาชาติปานามาแปซิฟิกในซานฟรานซิสโก[14] คาลเดอร์เริ่มแสดงงานประติมากรรมในนิทรรศการที่จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1915 ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในระดับไฮสกูลระหว่างปี ค.ศ. 1912 ถึงปี ค.ศ. 1915 ครอบครัวคาลเดอร์ก็ย้ายไปมาระหว่างนิวยอร์กกับแคลิฟอร์เนีย ในบ้านที่อยู่ใหม่แต่ละที่บิดามารดาก็จะยกห้องใต้หลังคาไว้ให้เป็นห้องทำงานของคาลเดอร์ ในตอนปลายของสมัยเด็กคาลเดอร์พักอยู่กับเพื่อนในแคลิฟอร์เนียขณะที่บิดามารดาย้ายกลับไปนิวยอร์ก เพื่อจะได้เรียนจบได้ที่โรงเรียนมัธยมโลเวลล์ในซานฟรานซิสโก คาลเดอร์จบการศึกษาในปี ค.ศ. 1915",
"ฟลามิงโก () เป็นประติมากรรมที่สร้างโดยอเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์ประติมากรคนสำคัญชาวอเมริกันที่ตั้งอยู่ที่จตุรัสเฟดเดอรัลในเมืองชิคาโกในรัฐอิลลินอยส์ในสหรัฐอเมริกา",
"ผมเรียนการพูดจากมุมปากและไม่สามารถจะแก้ได้มาตั้งแต่บัดนั้น[15]",
"อเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์ หรือ แซนดี้ คาลเดอร์ (English: Alexander Calder หรือ Sandy Calder) (22 กรกฎาคม ค.ศ. 1898 - 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1976) เป็นประติมากรของขบวนการลัทธิเหนือจริงคนสำคัญของสหรัฐอเมริกาของคริสต์ศตวรรษที่ 20 คาลเดอร์มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้ริเริ่มการสร้าง “ประติมากรรมจลดุล”[1][2] (mobile sculpture) นอกจากประติมากรรมจลดุลแล้วคาลเดอร์ก็ยังสร้างงานที่เป็น “ประติมากรรมศักยดุล”[3] หรือ “ประติมากรรมสถิต”[4] (stabile), จิตรกรรม, ภาพพิมพ์หิน, ของเล่น, พรมทอแขวนผนัง และ เครื่องประดับด้วย",
"“Cirque Calder” เป็นงานที่ทำให้เห็นถึงความสนใจของคาลเดอร์ในทั้งประติมากรรมลวด และ จลนศิลป์[16] และยังคงใช้ความรู้ทางวิศวกรรมในการสร้างดุลยภาพของประติมากรรมและใช้ในการพัฒนาประติมากรรมที่ที่ดูชองป์เรียกว่า “ประติมากรรมจลดุล” หรือ “Mobile” ซึ่งเป็นคำพ้องในภาษาฝรั่งเศสว่า “Mobile” และ “Motive” คาลเดอร์ออกแบบตัวละครในละครสัตว์ที่ห้อยลงมาด้วยเส้นด้าย แต่การผสมระหว่างสิ่งที่คาลเดอร์ทดลองเพื่อที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นประติมากรรมนามธรรมแท้ๆ เกิดขึ้นหลังจากเมื่อคาลเดอร์ไปเยี่ยม ปิเอต์ มงดริออง เมื่อคาลเดอร์เริ่มสร้างงาน “จลนศิลป์” ขึ้นเป็นชิ้นแรกโดยใช้เครื่องไขและระบบการดึงด้วยรอก",
"คาลเดอร์เข้าเล่นในทีมฟุตบอลในปีแรกที่เป็นนักศึกษาและทำการฝึกกับทีมไปจนตลอดสี่ปี แต่ไม่ได้ลงเล่นแข่งขัน นอกจากฟุตบอลแล้วคาลเดอร์ก็ยังเล่นลาครอสที่ดูจะมีความสำเร็จมากกว่า และเป็นสมาชิกของสมาคมภราดรภาพเดลทา เทา เดลทา คาลเดอร์มีความสามารถในวิชาคณิตศาสตร์",
"ในปี ค.ศ. 1902 เมื่ออายุได้สี่ปีคาลเดอร์ก็เป็นแบบเปลือยให้กับประติมากรรม “The Man Cub” ที่สร้างโดยบิดาที่ในปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน ในปีเดียวกันคาลเดอร์ก็สร้างงานหนึ่งในงานชิ้นแรกๆ เสร็จเป็นช้างที่ทำด้วยดินเหนียว[7]",
"เมื่อมาถึงปลายปี ค.ศ. 1931 คาลเดอร์ก็หันไปทำงานประติมากรรมที่อ่อนช้อยขึ้นที่มาจากการเคลื่อนไหวของอากาศภายในห้อง จากงานนี้ก็เป็นกำเนิดของ “ประติมากรรมจลดุล” ของคาลเดอร์ที่แท้จริง ในขณะเดียวกันคาลเดอร์ทำการทดลองการสร้าง “ประติมากรรมสถิตเชิงนามธรรม” ที่รับน้ำหนักตัวเองได้ที่ฮันส์ อาร์พเรียกว่า “ประติมากรรมศักยดุล” (stabile) เพื่อแยกจาก “ประติมากรรมจลดุล”",
"คาลเดอร์และลุยซาย้ายกลับสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1933 เพื่อมาตั้งหลักแหล่งมีครอบครัวในฟาร์มเฮาส์ที่ซื้อไว้ที่ร็อกซเบอร์รี, คอนเนตทิคัต (บุตรีคนแรกแซนดราเกิดในปี ค.ศ. 1935 และลูกสามคนที่สองแมรีในปี ค.ศ. 1939) คาลเดอร์ยังคงทำการแสดง “Cirque Calder” และเริ่มทำงานร่วมกับมาร์ธา แกรมในการออกแบบฉากบัลเลต์และสร้างเวทีเคลื่อนที่สำหรับการแสดง “Socrate” โดยเอริค ซาตีในปี ค.ศ. 1936.",
"ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง คาลเดอร์พยายามอาสาสมัครเป็นทหารเรือแต่ถูกปฏิเสธ คาลเดอร์จึงทำงานประติมากรรมต่อ แต่ความที่โลหะเป็นสิ่งที่ขาดแคลนระหว่างสงครามคาลเดอร์จึงหันไปสร้างงานที่ทำงานแกะไม้แทนที่",
"ในปี ค.ศ. 1975 คาลเดอร์ได้รับงานจ้างจากบีเอ็มดับเบิลยูให้เขียนBMW 3.0 CSLที่กลายมาเป็นยานยนตร์คันแรกในโครงการ “รถศิลปะบีเอ็มดับเบิลยู” (BMW Art Car)",
"ขณะที่พำนักอยู่ในปารีสคาลเดอร์ก็พบและเป็นเพื่อนกับจิตรกรอาวองการ์ดหลายคนที่รวมทั้งโคอัน มีโร, ฌอง อาร์พ และ มาร์เซล ดูชองป์ เมื่อไปเยี่ยมห้องศิลป์ของปิเอต์ มงดริอองในปี ค.ศ. 1930 มงดริอองก็สร้างความ “ประหลาดใจ” ในคาลเดอร์หันมารับศิลปะนามธรรม",
"คาลเดอร์ได้รับการจ้างให้ออกแบบงานประติมากรรมเพราะความที่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก ช่องว่างที่ล้อมรอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ที่มีลักษณะที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมทำให้คาลเดอร์ออกแบบงานที่มีลักษณะเป็นโค้งขนาดใหญ่ที่ราวกับกับมีพลัง (dynamic) “ฟลามิงโก” เป็นงานชิ้นแรกที่สนับสนุนโดยเงินทุนจากกรมการบริหารทั่วไปแห่งสหรัฐอเมริกาภายใต้โครงการ “เปอร์เซ็นต์เพื่อศิลปะ” (Percent for Art) ซึ่งเป็นจัดเปอร์เซ็นต์จากงบประมาณแผ่นดินสำหรับเป็นทุนในการสร้างศิลปะเพื่อสาธารณชน คาลเดอร์เปิดงาน “ฟลามิงโก” เมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1973 ที่สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ประติมากรรมได้รับการมอบให้แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1974 ในเวลาเดียวกันกับที่คาลเดอร์เปิดงานประติมากรรมจลดุล “Universe” ที่หอวิลลิส ซึ่งเป็นวันที่ได้รับการประกาศว่าเป็น “วันอเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์”",
"ในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1929 ขณะที่เดินทางจากปารีสไปยังนิวยอร์ก คาลเดอร์ก็พบลุยซา เจมส์เหลนของนักประพันธ์อเมริกัน เฮนรี เจมส์ และนักปรัชญา วิลเลียม เจมส์ ทั้งสองสมรสกันในปี ค.ศ. 1931",
"จากแอริโซนาครอบครัวคาลเดอร์ย้ายไปอยู่ที่แพซาดีนาในรัฐแคลิฟอร์เนีย ห้องใต้หลังคาของบ้านกลายเป็นห้องทำงานประติมากรรมห้องแรกของคาลเดอร์ เมื่อได้รับเครื่องมือชุดแรก คาลเดอร์ใช้เศษลวดทองแดงที่พบตามถนนและลูกปัดจากตุ๊กตาของพี่สาวในการทำเครื่องประดับ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1907 มารดาก็นำคาลเดอร์ไปชมเทศกาลพาเหรดดอกไม้ประจำปีแห่งแพซาดีนา (Tournament of Roses Parade) ที่คาลเดอร์ได้ดูการแข่งรถม้าสี่ตัว เหตุการณ์ดังว่าต่อมากลายมาเป็นผลงานละครสัตว์ของคาลเดอร์[10]"
] |
สวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตั้งอยู่บนเนื้อที่? | [
"สวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 20 เอเคอร์ (81,000 ตารางเมตร) ประกอบด้วยเครื่องเล่น 3 ตัว กับร้านค้าและร้านอาหารที่สมมุติเป็นหมู่บ้านฮอกส์มี้ด โดยนักท่องเที่ยวที่คาดหวังอยู่ระหว่างอายุ 7-67 ปี และคาดว่าจะได้รายได้ราว 235-265 ดอลลาร์สหรัฐ[1]"
] | [
"เนื่องจากเครื่องเล่นนี้มีเสียงดังมาก ทางสวนสนุกเกรงว่าจะไปรบกวนการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่ใกล้เคียง บนรางรถไฟจึงมีการเติมทรายเพื่อลดปริมาณเสียง และจะก่อสร้างกำแพงขนาดใหญ่เพื่อกั้นเสียงอีกด้วย",
"ฮอร์ครักซ์ () เป็นหนึ่งในวัตถุเวทมนตร์ในวรรณกรรมเยาวชนชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ โดย เจ. เค. โรวลิ่ง หนึ่งในวัตถุศาสตร์มืดที่ถูกสร้างมาเพื่อรักษาความเป็นอมตะของเจ้าของไว้ \nแนวคิดของฮอร์ครักซ์ ปรากฏครั้งแรกในตอน \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม\" \nและการแสวงหาและทำลายฮอร์ครักซ์ของโวลเดอมอร์ก็เป็นประเด็นหลักของเนื้อเรื่องในสองเล่มสุดท้ายของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้แก่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม\" และ\"แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต\"",
"ส่วนวันที่ 18 มิถุนายน ตามกำหนดการเป็นวันเปิดสวนสนุกแก่สาธารณชนอย่างแท้จริง งานนี้จัดขึ้น ณ ซุ้มทางเข้าหมู่บ้านฮอกส์มี้ด มีดาราภาพยนตร์ที่มาเมื่อวันที่ 16 ก่อนมาร่วมงานทุกคน เพื่อมาดึงผ้าสีขาวที่มีโลโก้ของสวนสนุกและยูนิเวอร์แซลฯ เจมส์และโอลิเวอร์ เฟลส์ป ได้จุดดอกไม้ไฟของฟิลิบัสเตอร์ขนาดใหญ่หลังการเปิดม่าน ในโอกาสนี้ เด็กๆ ผู้โชคดีได้เข้าชมสวนสนุกร่วมกับนักแสดง[3]",
"ในส่วนของโปรแกรมส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการ \"อินฟินิตัส 2010\" จัดกิจกรรมพิเศษให้กับแฟนๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์ 100 คนเที่ยวชมสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ส่วน Celebrity Apprentices ได้ทำรายการพิเศษ Muggles and Wizards เพื่อโปรโมตงานเปิดตัวสวนสนุกแห่งนี้ โดยนำแบบจำลอง 3 มิติของสวนสนุกมาให้ชมด้วย[1]",
"ในภาคที่ 7 แฮร์รี่ได้สัญญากับรอนว่าจะเลิกพบจินนี่เพื่อไม่ให้ความหวังแก่เธอ ซึ่งตลอดทั้งเล่ม แฮร์รี่ทำได้แค่เฝ้ามองดูเธอ แต่ในท้ายที่สุดหลังจากโค่นโวลเดอมอร์ลงได้ แฮร์รี่ก็ได้แต่งงานกับเธอ และ 19 ปีต่อมาทั้งสองก็มีลูกด้วยกันสามคนคือ เจมส์ ซีเรียส พอตเตอร์ อัลบัส เซเวอร์รัส พอตเตอร์ และ ลิลี่ ลูน่า พอตเตอร์ ดังนั้นกล่าวได้ในท้ายที่สุดว่าจินนี่เป็นนางเอกเรื่องนี้ (ในทางที่จริงแล้ว..แฮร์รี่ไม่ควรที่จะยุติความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจินนี่ เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนคิดว่าแฮร์รี่นั้นโหดร้ายและไม่ยอมสละเวลาเพื่อความรัก)",
"สายการบินเวอร์จิน แอตแลนติก แอร์เวย์ส (ลอนดอน) ได้โปรโมตการท่องเที่ยวในสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยการติดสติ๊กเกอร์โลโก้ หรือโลโก้เจ็ต (logojet) \"โลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์\" กับเครื่องบินโบอิ้ง 747-443 ของสายการบินตนเอง[8]",
"เดวิด เฮย์แมน และ บริษัทของเขา เฮย์เดย์ฟิล์มส์ อำนวยสร้างให้กับภาพยนตร์ทุกเรื่องใน โลกเวทมนตร์ ขณะที่ คริส โคลัมบัส และ มาร์ค แรดคลิฟฟ์ ทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน\", เดวิด บาร์รอน ทำหน้าที่อำนวยการสร้าง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์\" จนถึง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2\" และ โรว์ลิง อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์สองเรื่องสุดท้ายของ ภาพยนตร์ชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ภาพยนตร์ชุด \"สัตว์มหัศจรรย์\" ทั้งสองเรื่องนั้นอำนวยการสร้างโดย เฮย์แมน, โรว์ลิง, สตีฟ โคลฟส์ และ ไลโอเนล วิแกรม ภาพยนตร์ถูกเขียนและกำกับโดยหลายคน มีนักแสดงในภาพยนตร์จำนวนมาก โดยมีนักแสดงนำ ได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ต กรินต์, เอ็มมา วอตสัน และ เอดดี เรดเมน นอกจากนี้ยังมีอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์วางจำหน่ายด้วย แฟรนไชส์นี้ยังประกอบไปด้วย ละครเวที, สิ่งพิมพ์ดิจิทัล, ค่ายเกมส์ และ สวนสนุก ",
"สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้มีการขยายสาขาไปเปิดยังต่างประเทศ ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556[140] นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซล ฮอลลีวูด ใกล้กับเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง ณ ขณะนี้อยู่ภายใต้การก่อสร้างและมีกำหนดเปิดตัวในปีพ.ศ. 2559 [141]",
"แฮร์รี่ เจมส์ พอตเตอร์</b>เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 (วันเดือนเดียวกับผู้แต่ง เจ. เค. โรว์ลิ่ง ได้เขียนให้แฮร์รี่เกิดวันเดียวกันกับเธอแต่คนละปี) เป็นลูกชายคนเดียวของเจมส์ พอตเตอร์และลิลี่ พอตเตอร์ เป็นตัวละครเอกในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์",
"เฮอร์ไมโอนี่เป็นเพื่อนสนิทของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ และรอน วีสลีย์ ที่โรงเรียนพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ เฮอร์ไมโอนี่และแฮร์รี่ พบกันครั้งแรกในหนังสือภาคแรก บนรถด่วนที่จะไปฮอกวอตส์โดยเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาถามหาคางคกของเนวิลล์ ลองบัตท่อม",
"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ คือหนังสือเล่มที่สองของหนังสือชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ที่แต่งโดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง เป็นเรื่องของชีวิตของแฮร์รี่ในการเรียนปีที่สองในโรงเรียนฮอกวอตส์ ปีนี้มีข้อความลึกลับปรากฏขึ้นบนกำแพงทางเดิน เตือนว่า \"ห้องแห่งความลับ\" ถูกเปิดแล้ว และ \"ทายาทของสลิธีริน\" จะออกสังหารเด็กนักเรียนที่ไม่ได้มาจากครอบครัวสายเลือดเวทมนตร์ และมีเหตุประหลาดที่ทำให้คนในโรงเรียนหลายคนกลายเป็นหิน ตลอดปีนี้ทั้งแฮร์รี่ และเพื่อนของเขาได้แก่รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ต้องออกสอบสวนสาเหตุของเหตุร้ายในครั้งนี้",
"\"โลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์\" (English: The Wizarding World of Harry Potter) เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของ สวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ (English: Harry Potter Theme Park) เป็นสวนสนุกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ (Islands of Adventure) ในยูนิเวอร์แซล ออร์แลนโด รีสอร์ต เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เป็นความร่วมมือระหว่างค่าย วอร์เนอร์บราเธอร์ส กับยูนิเวอร์แซล และได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจาก เจ. เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียนนวนิยายชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยภายในสวนสนุกประกอบด้วย ฮอกวอตส์ หมู่บ้านฮอกส์มี้ด กระท่อมแฮกริด และรถไฟเหาะมังกร มีกำหนดเปิดในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553",
"ซิเรียสเป็นคนรักสนุก ใจร้อน และวู่วามตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น ทำให้เขาเข้ากันกับเจมส์ พอตเตอร์ได้ดี เพราะมีนิสัยชอบแกล้งคนเหมือนกัน และถ้ามีโอกาสเขามักจะสาป เซเวอร์รัส สเนป ศัตรูอันดับหนึ่งของเขาอยู่เสมอ ทำให้สเนปแค้นใจมากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อแฮร์รี่เข้ามาเรียนในฮอกวอร์ตจึงถูกสเนปซึ่งเคียดแค้นซีเรียสและพ่อของเขากลั่นแกล้งและหาเรื่องจับผิดอยู่เสมอ ซิเรียส แบล็กเป็น แอนนิเมจัส ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมายร่วมกับเพื่อนของเขาสองคน คือ เจมส์ พอตเตอร์ และ ปีเตอร์ เพติกรูว์ ซึ่งซิเรียสสามารถแปลงร่างเป็นสุนัขตัวใหญ่สีดำ ฉายาว่า เท้าปุย ซิเรียส แบล็กหนีออกจากบ้านเมื่ออายุสิบห้าปี และถูกตัดออกจากตระกูล ได้มีการกล่าวถึงซิเรียส แบล็กครั้งแรกในภาค \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษอาซคาบัน\" เขาเป็นเพื่อนสนิทของเจมส์ พอตเตอร์ และเป็นพ่อทูนหัวของแฮร์รี่ ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกรฆ่าเพื่อนของตัวเอง และทรยศบอกที่ซ่อนของครอบครัวพอตเตอร์แก่โวลเดอมอร์ ทำให้ติดคุกอัซคาบัน แต่แหกคุกได้สำเร็จ แฮร์รี่ได้รู้ความจริงและช่วยให้ซิเรียสหนีไปได้ เขาได้ให้สถานที่คือบ้านเลขที่ 12 กริมโมลด์เพลสของตระกูลแบล็กเป็นกองบัญชาการของภาคี ซิเรียส แบล็กได้ไปช่วยเหลือแฮร์รี่ ภายหลังที่เขาถูกโวลเดอมอร์หลอกล่อให้มาที่กระทรวงเวทมตร์ แต่ซิเรียสได้ถูกเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เป็นผู้เสพความตายฆ่าตาย",
"ผลของเวทมนตร์: ใช้เสกลงบนกระดาษและปากกาขนนก เพื่อตรวจจับการกระทำใด ๆ ที่เป็นการโกงข้อสอบขณะเขียนคำตอบ ตัวอย่างการใช้: กล่าวถึงในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และแฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ ซึ่งร่ายบนปากกาขนนกและกระดาษข้อสอบที่ฮอกวอตส์",
"วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอได้ทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส และ เจ. เค. โรว์ลิ่ง ในการสร้างสวนสนุก แฮร์รี่ พอตเตอร์ขึ้นบนพื้นที่ของยูนิเวอร์แซล ออร์แลนโด รีสอร์ต [2] โดยทางสวนสนุกเริ่มเคลียร์พื้นที่ในปลายปี พ.ศ. 2550 และเริ่มก่อสร้างเมื่อต้นปี พ.ศ. 2551",
"หลังจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต วางแผงได้ไม่นานนัก ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการวางแผนและทำแบบแปลนการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยจำลองสถานที่ต่าง ๆ ในวรรณกรรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เกี่ยวกับสถานที่ในโลกเวทมนตร์เช่น ฮอกวอตส์และหมู่บ้านฮอกส์มี้ด เป็นต้น สวนสนุกแห่งนี้วางแผนการสร้างโดย จิม ฮิล มีแบบจำลองปราสาทฮอกวอตส์ รวมไปถึงหมู่บ้านฮอกส์มีดส์อีกด้วย ผู้สร้างสวนสนุกยังได้เชิญ เจ. เค. โรว์ลิง ให้มาร่วมทำการเนรมิตสวนสนุกแห่งนี้ เพื่อทำให้เหมือนกับสถานที่ในหนังสือของเธอให้มากที่สุด ซึ่งโรว์ลิงก็ตอบตกลง สวนสนุกตั้งอยู่ในไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ซึ่งเป็นเกาะรวมเครื่องเล่นแนวผจญภัยของยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ท โดยได้ใช้ชื่อว่าอย่างเป็นทางการว่าโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์และเปิดให้เข้าชมในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553[135] โดยมีทั้งนักแสดงจากภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พอตเตอร์), ไมเคิล แกมบอน (ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์), รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) แมทธิว ลิวอิส (เนวิลล์ ลองบัตท่อม) และทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย) รวมถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง และผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ 3 ภาคแรกอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย",
"การก่อสร้างสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทางสวนสนุกได้เชิญทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์มาช่วยในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ภายใต้การควบคุมของสจ๊วต เครก หัวหน้าฝ่ายออกแบบงานศิลป์ และยังได้เจนี เทมิเม หัวหน้าฝ่ายเครื่องแต่งกาย กับอะแมนดา ไนต์ หัวหน้าฝ่ายเมกอัป เป็นผู้ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม ให้กับพนักงานและผู้คนที่อยู่ในรูปภาพ โดยมี เจ. เค. โรว์ลิ่งเป็นที่ปรึกษาเพื่อให้แน่ใจว่างานประพันธ์ของเธอถูกถ่ายทอดออกมาเป็นอย่างดี อาทิ การเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานของสวนสนุก และการทดลองชิมบัตเตอร์เบียร์",
"หมวดหมู่:แฮร์รี่ พอตเตอร์ หมวดหมู่:สวนสนุก",
"และด้วยความสำเร็จของสวนสนุกที่สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้มากกว่าร้อยละ 36 ทางผู้สร้างจึงได้ริเริ่มโครงการที่สอง เป็นการสร้างส่วนขยายของสวนสนุกโดยการได้ทำการสร้างขึ้นในสวนสนุกยูนิเวอร์แซล ฟลอริดา ในส่วนของโครงการที่สองได้มีการสร้างสถานที่ในโลกเวทมนตร์อย่างตรอกไดแอกอน ประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ รวมถึงธนาคารกริงก็อตส์[136] ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของเครื่องเล่นว่า<i data-parsoid='{\"dsr\":[81222,81267,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์กับการหลบหนีจากกริงก็อตส์ และยังรวมไปถึงสถานนีรถไฟของรถด่วนขบวนพิเศษฮอกวอตส์ซึ่งสร้างเชื่อมกับไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวก[137][138] โดยในส่วนของสถานีรถไฟได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 และตามด้วยการเปิดตัวของตรอกไดแอกอนในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556[139]",
"วิลเลี่ยมส์ได้กลับมาร่วมงานกับโคลัมบัสอีกครั้ง ในปี ค.ศ.2001 ในผลงานภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Sorcerer's Stone) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายอังกฤษชื่อดังที่ประพันธ์โดย เจ.เค. โรว์ลิง (J.K. Rowling) วิลเลี่ยมส์ทำดนตรีในภาคต่ออีกสองภาค คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ (Harry Potter and the Chamber of Secrets) ใน ค.ศ.2002 กับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (Harry Potter and the Prisoner of Azkaban) ใน ค.ศ.2004 ในปี ค.ศ.2005 วิลเลี่ยมส์จำเป็นต้องปฏิเสธที่จะทำดนตรีประกอบให้กับภาคต่อของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เนื่องจากวิลเลี่ยมส์ กำลังทำดนตรีประกอบให้กับหนังเรื่องอื่นอยู่ ซึ่งในปีนั้นเอง วิลเลี่ยมส์มีงานทำดนตรีให้กับภาพยนตร์ถึง 4 เรื่อง (ขณะนั้นวิลเลี่ยมส์อายุ 73 ปี) ตั้งแต่ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคที่ 4 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี (Harry Potter and the Goblet of Fire) เป็นต้นมา จนถึงภาคสุดท้ายในปี ค.ศ.2011 วิลเลี่ยมส์ก็ไม่ได้กลับมาทำดนตรีประกอบให้อีกเลย แต่เพลง Hedwig's theme ที่วิลเลี่ยมส์ประพันธ์ขึ้น ก็ได้ถูกใช้เป็นเพลงธีมหลักในทุกภาคของแฮร์รี่ พอตเตอร์",
"วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552 ทางสวนสนุกกำหนดวันกำหนดเปิดสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์จะมีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2553 ล่วงมาถึงวันที่ 25 มีนาคม ปีต่อมา ทางสวนสนุกได้ประกาศเป็นที่แน่นอน ว่ามีกำหนดเปิดสวนสนุกในวันที่ 18 มิถุนายน รายละเอียดของสวนสนุกปรากฏอยู่ในดีวีดีและบลู-เรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม",
"เมื่อค่ำคืนของวันที่ 16 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่นของรัฐฟลอริดา สวนสนุกมีการเปิดตัวสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างเป็นทางการ แม้ก่อนหน้านั้นสวนสนุกจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแล้วก็ตาม โดยมีนักแสดงจากภาพยนตร์ ได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พอตเตอร์), บอนนี่ ไรท์, เจมส์และโอลิเวอร์ เฟลส์ป, ไมเคิล แกมบอน (ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์), รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) แมทธิว ลิวอิส (เนวิลล์ ลองบัตท่อม) วอร์วิก เดวิส (ศาสตราจารย์ฟลิตวิก) และทอม เฟลตัน รวมถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง และผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ 3 ภาคแรกอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย",
"ในงานเปิดตัวของสวนสนุก บอนนี่ ไรท์ (จินนี่ วีสลีย์) ทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย) กับฝาแฝดเจมส์และโอลิเวอร์ เฟลส์ป (เฟร็ดกับจอร์จ วีสลีย์) ได้ตอบรับคำเชิญและจะมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย และมีแนวโน้มว่า เจ. เค. โรว์ลิ่ง ก็อาจจะมาด้วยเช่นกัน[1]",
"การท้าทายจากมังกร (Dragon Challenge) เป็นรถไฟเหาะความเร็วสูงสำหรับผู้ที่ต้องการความท้าทาย โดยเอาเครื่องเล่นที่ชื่อ \"Dueling Dragons\" มาเปลี่ยนโฉมใหม่ เป็นเครื่องเล่นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภารกิจที่หนึ่งในถ้วยอัคนี ตั้งอยู่ทางด้านขวาของสวนสนุก ผู้ที่ต้องการเล่นเครื่องเล่นนี้จะต้องเข้าทางหมู่บ้านฮอกส์มี้ด ถัดจากสถานีรถไฟ",
"หลังจากนั้น นักแสดง ผู้บริหารสวนสนุก และแขกทุกคนได้เปิดสวนสนุกด้วยการโบกไม้กายสิทธิ์และร่ายคาถา \"ลูมอส\" เสียงดัง เพื่อเปิดตัวปราสาทฮอกวอตส์ด้วยแสง สี เสียง หมอก และดอกไม้ไฟหลายลูก รวมทั้งฉายภาพต่างๆ จากภาพยนตร์ลงบนหน้าผา อันเป็นการสิ้นสุดพิธีเปิดสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์",
"ความต้องการอย่างสูงในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้ นิวยอร์กไทมส์ ตัดสินใจเปิดอันดับหนังสือขายดีอีก 1 ประเภทสำหรับวรรณกรรมเด็กโดยเฉพาะเมื่อปี พ.ศ. 2543 ก่อนการวางจำหน่าย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และหนังสือของโรว์ลิงก็อยู่บนอันดับหนังสือขายดีนี้ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง 79 สัปดาห์ โดยที่ทั้งสามเล่มแรกเป็นหนังสือขายดีในประเภทหนังสือปกแข็งด้วย[87] การจัดส่งหนังสือชุด ถ้วยอัคนี ต้องใช้รถบรรทุกของเฟดเอกซ์กว่า 9,000 คันเพื่อการส่งหนังสือเล่มนี้เพียงอย่างเดียว[88] วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 ร้านหนังสือ บาร์นส์แอนด์โนเบิล ประกาศว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต ได้ทำลายสถิติหนังสือจองผ่านเว็บไซต์โดยมียอดจองมากกว่า 500,000 เล่ม[89] เมื่อนับรวมทั้งเว็บของบาร์นส์แอนด์โนเบิล กับอเมซอนดอตคอม จะเป็นยอดจองล่วงหน้ารวมกันมากกว่า 700,000 เล่ม[88] แต่เดิมสถิติการพิมพ์หนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.8 ล้านเล่ม[88] แต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ ทำลายสถิตินี้ด้วยยอดพิมพ์ครั้งแรก 8.5 ล้านเล่ม และต่อมาก็ถูกทำลายสถิติลงอีกด้วย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม ที่ 10.8 ล้านเล่ม[90] ในจำนวนนี้ได้ขายออกไป 6.9 ล้านเล่มภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากวางจำหน่าย ส่วนในอังกฤษได้ขายออกไป 2 ล้านชุดภายในวันแรก[91] อย่างไรก็ตามหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ก็ได้ทำลายสถิติก่อนหน้าลง ด้วยยอดขายกว่า 11 ล้านเล่ม ในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการจำหน่าย[4] โดยมียอดสั่งจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์อเมซอนและร้านหนังสือบาร์นส์แอนด์โนเบิลกว่า 1 ล้านเล่ม[92]",
"Gimmee Jimmy's Cookie ของสหรัฐอเมริกา เปิดช่องทางส่งเสริมการขาย โดยให้ลูกค้าลุ้นรางวัลไป<i data-parsoid='{\"dsr\":[15206,15239,2,2]}'>ยูนิเวอร์แซล ออแลนโด้ รีสอร์ต รวมถึงสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ โดยคุกกี้ทุกๆ หนึ่งปอนด์ที่ซื้อจะได้หนึ่งสิทธิ์ในการลุ้นรางวัล ซึ่งหนึ่งสิทธิ์ไปได้ 2 คน รายได้ทั้งหมดนำเข้ากองทุน Habitat for Humanity, Sarasota, Inc.[9]",
"เอลเลน เดเจนาราส นักแสดงหญิงและพิธีกรรายการ The Ellen Show ได้พาเด็กชาย 2 คนชื่ออเล็กซ์กับนิโคลัสเที่ยวชมสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในช่วง Ellen Experiences ต่อมาได้ถูกโพสต์ลงในยูทูป ความยาวประมาณหกนาที[7]",
"หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์สจำนวนแปดภาค โดยเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มที่เจ็ด ผู้สร้างได้แบ่งออกเป็นสองตอน ภาพยนตร์ชุด<i data-parsoid='{\"dsr\":[5767,5787,2,2]}'>แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตสินค้าควบคู่กันอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้ชื่อยี่ห้อแฮร์รี่ พอตเตอร์มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เนื้อหาที่ไม่ได้เปิดเผยในหนังสือได้เริ่มเผยแพร่ในรูปแบบอีบุ๊กผ่าน \"พอตเตอร์มอร์\"[11] ได้มีการต่อยอดความสำเร็จของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปในหลายรูปแบบ อาทิเช่น สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์, สตูดิโอทัวร์ในลอนดอน, ภาพยนตร์ภาคแยกซึ่งดัดแปลงมาจากเนื้อหาของหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ และภายหลังได้มีการดัดแปลงแฮร์รี่ พอตเตอร์สู่รูปแบบละครเวที ใช้ชื่อว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป เปิดการแสดงในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ เมืองลอนดอน โดยบทละครเวทียังได้ถูกพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบราวน์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกันที่ตีพิมพ์นิยายผู้ใหญ่ของโรว์ลิ่งภายใต้ชื่อ โรเบิร์ต กัลเบรธอีกด้วย[12]"
] |
อินเตอร์เน็ตไร้สายคืออะไร? | [
"แลนไร้สาย (English: wireless LAN) หรือ WLAN คือ เทคโนโลยีที่เชื่อมอุปกรณ์ตั้งแต่สองตัวขึ้นไปเข้าด้วยกัน โดยใช้วิธีการกระจายแบบไร้สาย (ส่วนใหญ่แล้ว จะใช้คลื่นวิทยุแบบกระจายความถี่ หรือ OFDM(English: Orthogonal Frequency Division Multiplex) และโดยปกติแล้ว จะมีการเชื่อมต่อผ่านทาง Access Point (AP) เพื่อเข้าไปยังโลกอินเทอร์เน็ต แลนไร้สายทำให้ผู้ใช้สามารถนำพาหรือเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปยังพื้นที่ใดก็ได้ที่มีสัญญาณของแลนไร้สาย และยังสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้ตามปกติ WLANs ที่ทันสมัยส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานมาจากมาตรฐาน IEEE 802.11 ที่ถูกวางตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์ Wi-Fi. ครั้งหนึ่ง WLANs เคยถูกเรียกว่า LAWN (local area wireless network) โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ[1]"
] | [
"ส่วนติดต่อผู้ใช้ ฟรอนท์โรลไม่มีฟังก์ชันบางอย่างเหมือน iTunes รวมถึงการให้เรทติ้ง, การตรวจสอบยอดเงินในบัญชี, การเพิ่มเงินในบัญชี, การซิงค์ที่จากคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่อง, สนับสนุน(วิทยุทางอินเตอร์เน็ต) เต็มรูปแบบ, และเกมส์.",
"ปริมณฑลสาธารณะในงานของฮาเบอร์มาสนั้นได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นช่วงที่เครือข่ายการสื่อสารไร้สาย หรือ อินเตอร์เน็ตนั้นเพิ่งถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทางสาธารณะเป็นช่วงแรกๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงในทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่สาธารณะให้กลายเป็นพื้นที่ๆไร้พรมแดน และไม่จำกัดขนาดภายใต้สังคมในยุคโลกาภิวัตน์ (globalization) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสของเครือข่ายสังคม (social network) ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ซึ่งเป็นพื้นที่ชนิดใหม่ที่สามารถก้าวข้ามกาลเวลา และสถานที่ ยังผลให้การปฏิสัมพันธ์ของผู้คนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งในระดับโลก (global) ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเป็นจำนวนมากได้อย่างที่มิเคยปรากฏขึ้นมาก่อน สิ่งเหล่านี้นี่เองที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ที่ปัจเจกบุคคลสามารถติดต่อสื่อสารในระดับ “มวลชน” กับพลเมืองคนอื่นๆ ในโลกได้ในคราวเดียว",
"ยูทูบ เรด () คือ บริการที่เก็บค่าธรรมเนียมจากสมาชิกที่ยูทูบได้มอบให้กับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา โดยให้การดูวีดีโอในยูทูบได้โดยปราศจากโฆษณา ดาวน์โหลดวีดีโอมาเก็บไว้เพื่อดูออฟไลน์เวลาไม่มีอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงการเล่นวีดีโอเบื้องหลังในโทรศัพท์ การเข้าถึงเนื้อหาใหม่ๆที่ไม่เคยมีทีอื่น และการเข้าถึงเพลงโดยไม่มีโฆษณาในเดือนพฤศจิกายน ปีพ.ศ. 2557 ยูทูบ เรด ให้การฟังเพลงออนไลน์โดยไม่มีโฆษณาจากค่ายเพลงบนยูทูบและกูเกิ้ล เพล มิวสิค การบริการนั้นถูกเปิดตัวอีกรอบด้วยชื่อ ยูทูบ เรด เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปีพ.ศ. 2558 โดยเพิ่มขอบเขตเพื่อให้การเข้าถึงโดยปราศจากโฆษณาแก่วีดีโอทั้งหมดในยูทูบ ไม่ใช่เพียงแค่ดนตรีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาพรีเมี่ยมซึ่งถูกจัดทำขึ้นในความร่วมมือกับผู้ทำและคนดังในยูทูบ",
"ส่วนควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental controls) จะอนุญาตให้ผู้ปกครองจำกัดสิทธิ์เด็กในปกครองในการเข้าถึงสื่อทางอินเตอร์เน็ต ผ่านทาง Restrictions setting ส่วน individual services สามารถในการปิดได้ (อย่างเช่น, เพื่อลดความซับซ้อนในการใช้งาน), และ icons สามารถในการจัดโดยการลากแปะได้แบบ \"à la\" iOS. มีเดียอินเตอร์เน็ตถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ \"Internet Photos\", \"YouTube\", \"Podcasts\", และ \"Purchase and Rental\" ในแต่ล่ะกลุ่มจะถูกควบคุมโดยส่วนควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental control) ด้วย \"Show\", \"Hide\" และ \"Ask\" เพื่อแสดงหน้าจอการกรอกตัวเลขรหัส 4 หลัก ในได้เพิ่ม movies, TV shows, music และ podcasts ให้สามารถควบคุมโดยระดับความเหมาะสมในการรับชม (Rating)",
"บริษัท ยังมีการใช้เทคนิคความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ต เพิ่มการสนับสนุนสำหรับสาเหตุของ ตาม Christopher Palmeri กับ BusinessWeek Online บริษัท เว็บไซต์ ที่มีเจตนาที่จะบวกมีผลต่อภาพลักษณ์ของตัวเองเพื่อให้ความดันลบในคู่แข่งที่ มีผลต่อความคิดเห็นภายในกลุ่มเลือกและผลักดันการเปลี่ยนแปลงนโยบาย",
"19 กรกฎาคม ค.ศ. 2018 ลูคัสฟิล์มได้แถลงข่าวที่งานคอมิกคอนซานดิเอโกว่าภาพยนตร์การ์ตูนชุดนี้จะได้รับการผลิตต่ออีก 12 ตอน เพื่อเป็นการจบเรื่องราวของภาพยนตร์การ์ตูนชุดนี้ โดยจะออกฉายทางช่องรายการทางอินเตอร์เน็ตของดิสนีย์",
"คิงออฟโปรเรสต์ลิง () เป็นรายการมวยปล้ำอาชีพของ นิวเจแปนโปรเรสต์ลิง (NJPW) เริ่มครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012 โดยจัดทุกเดือนตุลาคม ศึกนี้ยังออกอากาศในระดับนานาชาติด้วยเช่นกันทางช่องอินเตอร์เน็ตเพย์-เพอร์-วิว (iPPV) ต่อมาในปี ค.ศ. 2015 ได้ถูกย้ายไปอยู่ในช่องเว็บไซต์สตรีมมิ่งอินเทอร์เน็ตทั่วโลกของ NJPW คือ NJPW World สร้างสรรค์โดย Bushiroad บริษัทแม่หลักที่ซื้อ NJPW ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2012",
"ชาวอินเตอร์เน็ตยกรูล 34 ให้กลายเป็นมีม และสื่อลามกทางอินเตอร์เน็ต โดยรวมกับแฟนฟิกชั่น, สแลชฟิกชั่น และเฮนไต",
"ในปี 2008 มีสำนักงานการบริการการติดต่อสื่อสารระดับท้องถิ่นมากกว่า 52000 แห่ง ที่คอยให้บริการด้านคมนาคมในชนบท มีสายโทรศัพท์ในอิหร่านมากกว่า 24 ล้านสาย มีอัตราการขยายร้อยละ 33.66 อิหร่านมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 43 ล้านคนเป็นข้อมูลบันทึกในตะวันออกกลางแม้ว่าระดับความแรงของอินเตอร์เน็ตจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำก็ตาม อิหร่านติดหนึ่งในห้าประเทศที่ ณ.ตอนนี้อัตราการเจริญเติบโตไปถึงร้อยละ 20 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในการขยายการสื่อสารโทรคมนาคมทางไกล เพราะอิหร่านมีสำนักงานบริการการติดต่อสื่อสารระดับท้องถิ่นอย่างกวางขวางทำให้ได้รับประกาศนียบัตรพิเศษจากยูเนสโก ในปลายปี 2009 การสื่อสารโทรคมนาคมอิหร่านมีรายได้ 9.2 ล้านดอลลาร์และถูกรู้จักในฐานะตลาดใหญ่อันดับสี่ของภูมิภาค และคาดว่าจะมีรายได้ถึงร้อยละ 6.9 กับรายได้ 12.9 ดอลลาร์ในปี 2014 ",
"ในปี 2004 การอภิปรายของผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี ในสหรัฐอเมริกา Carol Darr ผู้อำนวยการสถาบันการเมืองประชาธิปไตยและอินเทอร์เน็ต ที่มหาวิทยาลัย George Washington ในรัฐวอชิงตัน.ดี.ซี กล่าวว่าผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อดึงดูดสนับสนุน \"พวกเขาทั้งหมดมีความสามารถพิเศษ นอกรีต และลุกลาม ให้อินเทอร์เน็ตมีการโต้ตอบและต้องมีการยืนยันในส่วนของผู้ใช้ให้ตรงข้ามกับการตอบสนองจากผู้ใช้ passive TV มันไม่น่าแปลกใจที่ผู้สมัครจะต้องมีคนที่คนต้องการสัมผัสและโต้ตอบกับ",
"เอียน ราฟเฟอร์ตี้ เด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปด ได้ตัดสินใจออกเดินทางไปพร้อมกับ แลนส์ และเฟลิเซีย เพื่อนของเขา เพื่อที่จะได้ทำความฝันของเขาให้เป็นจริง ด้วยการเสียความบริสุทธ์ให้กับสาวฮ๊อตที่เขาเจอทางอินเตอร์เน็ต",
"ไม่มีใครรู้ว่า รูล 34 เกิดจากอะไร แต่มีหลักฐานว่า รูล 34 เกิดขึ้นครั้งแรกใน4chanเมื่อปี 1993 หลังจากนั้นในปี 2003 เว็บโคมิกได้ให้นิยามว่า \"รูล 34: มีงานลามกแน่นอน ไม่มีข้อยกเว้น\" หลังจากนั้น รูล 34 ถูกบัญญัติในเออร์เบินดิกชันแนรีเมื่อปี 2006",
"ความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ต () หรือ การจัดระเบียบรูปแบบของการออนไลน์ การสนับสนุนอิเล็กทรอนิกส์ ความเคลื่อนไหวทางโลกไซเบอร์, E-campaigning และ E-activism คือการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล เว็บไซต์ และโปสการ์ด โดยการเคลื่อนไหวของประชาชนและการส่งข้อมูลท้องถิ่นผู้ชมจำนวนมาก เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่ใช้ก่อให้เกิดการระดมทุนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุมชน, lobbying และการจัดการ",
"การเขียนวิจารณ์หนังของตนเองโดยใช้ชื่ออื่นมีมาก่อนยุคอินเตอร์เน็ต แต่ก็นับว่าเป็นหุ่นเชิดได้ โดยมีตัวอย่างจากผู้มีชื่อเสียง เช่น วอล์ท วิธแมน แอนโนที เบอร์เกส และเบนจามิน แฟรงคลิน",
"สื่อสตรีมของแอร์พอร์ตเอ็กเพรสสามารถใช้ Apple's Remote Audio Output Protocol (RAOP), เป็นโพรโตคอลหนึ่งใน RTSP/RTP ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของแอปเปิล การใช้ WDS-bridging, แอร์พอร์ตเอ็กเพรสสามารถให้การทำงานแอร์เพลย์ (อย่างเช่น การติดต่ออินเตอร์เน็ต แชร์ไฟล์ และ การแชร์การพิมพ์ เป็นต้น)ในระยะทางไกลได้ถึง 10 ไคลเอนต์ทั้งการสื่อสารถ่าน สาย และไร้สาย",
"กฎข้อที่ 34 () เป็นอินเทอร์เน็ตมีมที่เกี่ยวกับงานลามกในอินเตอร์เน็ต",
"บางครั้งกฎข้อที่ 34 จะมีคำว่า \"ไม่มีข้อยกเว้น\" และเชื่อมโยงไปยังกฎข้อที่ 35 เช่น:",
"กฎนี้เป็นกฎธรรมดาที่เป็นกระแสในอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างเช่น:",
"ความวิตกกังวลจะถูกกระตุ้นจากการทำมือถือหาย สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีหรือแบตเตอรี่หมด อาการของโรครวมไปถึงการใช้มือถือมากเพื่อกันตัวเองจากการสนทนากับผู้อื่น และมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมากกว่าหนึ่งเครื่อง พกสายชาร์จตลอดเวลาและกังวลว่ามือถือจะหาย อาการอาจรวมไปถึงการลดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นแบบต่อหน้าและชอบการสื่อสายผ่านเทคโนโลยี ไม่ปิดมือถือเวลานอนทั้งยังวางไว้ใกล้มือตลอดเวลา คอยเช็คมือถือตลอดเพื่อไม่ให้พลาดการรับสายหรือข้อความ โนโมโฟเบียอาจส่งผลให้เกิดการอาการเจ็บศอก มือ และคอเนื่องจากใช้มือถือบ่อย ๆ",
"ในขณะที่รูล 34 เริ่มเป็นกระแส ทางเดอะเดลีเทลิกราฟได้จัดให้รูล 34 เป็นอันดับ 3 จาก 10 อันดับกฎของอินเตอร์เน็ตในปี2009",
"แซมสัน อบิออย (25 มีนาคม ค.ศ. 1991 – 28 กรกฎาคม ค.ศ. 2017) เคยเป็นโปรแกรมเมอร์ คอมพิวเตอร์ และผู้ประกอบการอินเตอร์เน็ต. ในปี ค.ศ. 2013 แซมสัน อบิออยได้ก่อตั้ง pass.ng เพื่อช่วยนักเรียน และฝึกฝนการสอบระดับชาติ",
"แอปเปิลทีวีวิดีโอสตรีมต่อผ่านสาย HDMI (Type A) ไปยังช่อง HDMI ของโทรทัศน์ ระบบเสียงสนับสนุนผ่านทางเส้นใยนำแสง (optical) หรือช่อง HDMI ในอุปกรณ์ยังมีช่อง Micro-USB ที่สงวนไว้สำหรับการปรับปรุงอุปกรณ์และการตรวจสอบ อุปกรณ์ยังสามารถต่อ Ethernet หรือ Wi-Fi เพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์สำหรับการรับดิจิตอลคอนเทนท์จากอินเตอร์เน็ตและเครือข่าย แอปเปิลทีวีเองไม่มีการต่อ ระบบเสียงและ ภาพ หรือสายแบบอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นเพื่อรองรับ ภาพ เสียง หรือสายเคเบิ้ลอื่นๆที่เป็นต่อการใช้งานต้องการเพิ่มเติม ในแอปเปิลทีวีรุ่นก่อน ไฟล์ข้อมูลสามารถโอนย้ายโดยตรงจากเครื่องแอปเปิลทีวีไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นโดยการซิงค์ เมื่อคอนเทนท์ถูกเก็บไว้ที่ฮาร์ดไดร์ของแอปเปิลทีวีแล้ว การต่ออินเตอร์เน็ตก็จำไม่เป็นต้องใช้งานในการดูคอนเทนท์นั้นๆ. ซึ่งจะไม่ได้พบในแอปเปิลทีวีรุ่นหลังๆที่ไม่มีฮาร์ดไดร์ในเครื่อง",
"เมื่อเราเตอร์หลายตัวถูกใช้ในเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างกัน, เราเตอร์แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ address ปลายทางโดยใช้โพรโทคอลการกำหนดเส้นทางแบบไดนามิก เราเตอร์แต่ละตัวจะสร้างตารางแสดงรายการเส้นทางที่พอใจ ระหว่างสองระบบบนเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน เราเตอร์มีอินเตอร์เฟซทางกายภาพสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ประเภทแตกต่างกัน (เช่นสายทองแดง, ใยแก้วนำแสงหรือการส่งไร้สาย) นอกจากนี้ยังมีเฟิร์มแวร์สำหรับเครือข่ายการสื่อสารที่มีมาตรฐานของโพรโทคอลแตกต่างกัน อินเตอร์เฟซแต่ละเครือข่ายจะใช้ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์นี้โดยเฉพาะเพื่อให้สามารถส่งแพ็กเก็ตข้อมูลไปข้างหน้าจากระบบการส่งผ่านโพรโทคอลหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่ง",
"ปอลอทีวี () เป็นสถานีโทรทัศน์ภาษาโปแลนด์ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เพลงโดยเฉพาะค่ายแลมอนเรเคิดส์ ทดลองออกอากาศผ่านอินเตอร์เน็ตเมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2011 และเปิดตัวเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2011",
"7) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนับสนุนการวางระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต พร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์",
"คอรีย์ ดอกโตโรว์ ได้บอกว่า \"รูล 34 มักจะเป็นเว็บไซต์รูปภาพที่ดูแปลกตา, น่าสนใจ และแปลกประหลาด...\"",
"Sandor Vegh ได้แบ่งความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ตออกเป็น 3 ประเภทคือ ความตระหนักการโฆษณา, องค์กรระดม และการกระทำปฏิกิริยาอินเทอร์เน็ตเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับกิจกรรมอิสระหรือ E – activists โดยเฉพาะที่มีข้อความอาจใช้เคาน์เตอร์ที่สำคัญโดยเฉพาะเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็นในการรายงานความโหดร้ายสู่โลกภายนอก ผู้สร้างความเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ตยังสามารถส่งการร้องทุกข์ผ่านทาง E-petitions ที่จะส่งไปยังรัฐบาลและประชาชนและองค์กรเอกชนเพื่อประท้วงต่อต้านและกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงนโยบายในด้านบวกจากการค้าอาวุธการทดสอบสัตว์ มากมายไม่หวังผลกำไรและองค์กรการกุศลใช้วิธีการเหล่านี้ส่งอีเมลร้องเรียนไปยังผู้ที่รายชื่ออีเมลของพวกเขาถามคนที่จะผ่านพวกเขา",
"Sunstein กล่าวกับนิตยสาร \"นิวยอร์กไทมส์\" ว่า \"การสนทนาจะเกี่ยวกับกลยุทธ์หรือม้าแข่ง...ปัญหาหรือว่าไม่ดีผู้สมัครอื่น ๆ และจะดูเหมือนการอภิปราย ยังไม่ได้เช่นนี้ควรจะเซ็นเซอร์ แต่สามารถเพิ่มความเผ็ดร้อน, ลัทธิหัวรนแรงเพิ่มขึ้นและทำให้ความเข้าใจยากขึ้น\"",
"มหาวิทยาลัยบอลล์สเตต ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตไร้สายทั่วมหาวิทยาลัยมากที่สุดในปี พ.ศ. 2548 โดยทำการสำรวจโดยบริษัทอินเทล",
"เครื่องพิมพ์ส่วนมากเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป และเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลเครื่องพิมพ์หรือในเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่จะเป็นสายยูเอสบี เครื่องพิมพ์บางชนิดที่เรียกกันว่าเครื่องพิมพ์เครือข่าย(Network Printer) อินเตอร์เฟซที่ใช้มักจะเป็นแลนไร้สายและ/หรืออีเทอร์เน็ต "
] |
โดกาปอง ถูกผลิดเป็นครั้งแรกโดยบริษัทอะไร? | [
"โดกาปอง ถูกผลิดเป็นครั้งแรกโดยบริษัท แอสมิค-เอส และบริษัท สตริง (Sting) ประเทศญี่ปุ่น ลักษณะส่วนใหญ่ของเกมนี้มักจะเน้นไปที่วัยเด็กเป็นหลัก เพราะลักษณะรูปภาพจะเน้นออกไปทางสีสันที่น่ารัก ๆ"
] | [
"ภายในเกมจะมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้",
"เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ ผู้เล่นจะเลือกว่าจะให้ใครโจมตีก่อน โดยมีบัตรเลือกโจมตี 2 ใบ ให้ผู้เล่นสลับแล้วเปิดบัตร โดยจะมีข้อความบอกว่าใครจะเป็นฝ่ายโจมตีก่อน ถ้าได้ข้อความเป็น 先攻 สีแดง หมายความว่าผู้เล่นจะได้โจมตีก่อน แต่ในทางกลับกัน ถ้าได้ข้อวามเป็น 後攻 สีฟ้า หมายความว่าผู้เล่นจะได้ป้องกันก่อน",
"Priest > HighPriest > Exorcist\nเป็นอาชีพที่เน้นหนักไปทางค่าของHP มีความสามารถในการฟื้นฟูHP\nความสามารถของ Priest มีโอกาสฟื้นฟูHPเล็กน้อยหากได้รับความเสียหาย\nความสามารถของ HighPriest มีโอกาสฟื้นฟูHPจำนวนมากหากได้รับความเสียหาย\nความสามารถของ Exorcist มีโอกาสฟื้นฟูHPจนเต็มหากได้รับความเสียหาย และยังสามารถแก้สถานะผิดปกติต่างๆทันที",
"Mage > Archmage > Necromancer\nเป็นอาชีพที่เน้นหนักไปทางค่าของMG สามารถใช้หนังสือเวทมนตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ\nความสามารถของ Mage N/A\nความสามารถของ ArcMage N/A\nความสามารถของ Necromancer โจมตีใส่ผู้เล่นด้วยเวทมนตร์ที่รุนแรง ,Ability สุ่มสาปเวทมนตร์ซึ่งสร้างความปั่นป่วนอย่างมากใส่ศัตรู",
"การเล่นโดกาปองจะมีหมวดเนื้อเรื่องเป็นหมวดหลัก ผู้เล่นที่เล่นในหมวดเนื้อเรื่องนั้น จะมีเงื่อนไขจากพระราชาให้ไปทำภารกิจต่าง ๆ โดยที่ผู้เล่นจะเป็นผู้กล้าที่จะต้องทำภารกิจให้บรรลุตามเงื่อนไข ครอบครองหมู่บ้านต่าง ๆ และปราบศัตรูต่าง ๆ เพื่อกอบโกยทรัพย์สินต่าง ๆ ที่คิดเป็นเงินให้มากที่สุด แต่ต้องระวังการกลั่นแกล้งจากผู้เล่นอื่น ๆ หรือหัวหน้าศัตรู (บอส) ที่คอยขัดขวางการเล่นได้ ผู้เล่นที่ร่วมเล่นสามารถกลั่นแกล้ง ขัดขวางสิ่งต่าง ๆ จากผู้เล่นกันเองได้ เพื่อชิงความเป็นหนึ่งในผู้กล้าที่สามารถครอบครองทรัพย์สินที่คิดเป็นเงินได้มากที่สุดนั่นเอง",
"อุตสาหกรรมการเกษตร ถือเป็นเศรษฐกิจหลักของเมืองไครต์เชิร์ช เมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมบนฐานของประเทศเกษตรกรรมมายาวนาน พีจีจี ไวส์สัน คือ ผู้นำธุรกิจเกษตรในนิวซีแลนด์มีฐานธุรกิจอยู่ที่เมืองไครสต์เชิร์ชซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของไพน์กูลด์กินเนสส์(พีจีจี) เพราะเป็นบริษัทที่มีหุ้นเดิมและมีสถานีให้บริการในเกาะใต้. บริษัทช่วยนำเทคนิคการเลี้ยงกวางในต่างประเทศและพีจีจี ไวส์สันได้กระจายธุรกิจไปยังต่างประเทศรวมถึงธุรกิจฟาร์มโคนมในอุรุกวัย ส่วนธุรกิจเกษตรอื่นๆในไครสต์เชิร์ชมีมอลต์สกัด การพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชและการตกแต่งพันธุกรรม การผลิตขนสัตว์และเนื้อสัตว์แปรรูป และเทคโนโลยีชีวภาพย่อยๆโดยใช้ผลิดผลจากเนื้อสัตว์เป็นหลัก. ธุรกิจการรีดนมและผลิตภัณฑ์นมเติบโตดีและผลิตภัณฑ์มีมูลค่าสูงในตลาดโลก ระบบชลประทานช่วยให้ปลูกพืชในพื้นดินแห้งแล้งได้ และมีการใช้แรงงานเพิ่มขึ้นทำให้หยุดการลดลงของประชากรในชนบท ฟาร์มเลี้ยงและปลูกพืชส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนรูปแบบไปทำธุรกิจรีดนมและผลิตภัณฑ์นม การเปลี่ยนแปลงของบริษัทธุรกิจเกษตรเหล่านี้ทำให้เกษตรกรหลายท่านได้ย้ายจากทางใต้ของเกาะเหนือมาสู่แหล่งฐานการผลิตนม เช่น บริเวณโซนทารานากิ และโซนไวกาโต",
"หลังจากนั้น จะเป็นการเลือกท่าต่อสู้ โดยที่ผู้เล่นจะต้องเดาว่า ฝ่ายตรงข้ามจะออกท่าโจมตีหรือป้องกันแบบใด สำหรับคำสั่งการต่อสู้ทั้งสองฝ่ายจะมี 4 คำสั่งให้เลือกตามตารางนี้",
"อาชีพในเกม เริ่มต้นคือ Mage Priest Theif Fighter และยังสามารถupgradeอาชีพนั้นได้โดยเมื่อเราทำการต่อสู้กับมอนเตอร์ จะมีโอกาสสุ่มได้ดาว 1 ดวง เมื่อครบ 5 ดาว\n(สามารถCheck ดาวของอาชีพได้โดยคำสั่งOption แล้วดูข้อมูลของตัวละคร จะปรากฏดาวในช่อง Job)ก็สามารถupgradeอาชีพขั้นสูงต่อไปได้ ดังนี้",
"ผู้เล่นในเกมโดกาปองนั้นถือเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[7744,7757,3,3]}'>ผู้กล้า</b>ในเกม ระบบของผู้เล่นเป็นระบบค่าพลังแบบเกมภาษา ซึ่งประกอบไปด้วย",
"ระบบการเล่นของภาคนี้ตัวละครจะเดินทางในทวีปต่างๆบนโลกของเรา เช่น เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และนอกจากนี้ยังมีดินแดนลึกลับ โดยเริ่มจากทวีปเอเชียเป็นทวีปแรก \nโดยการผ่านไปยังทวีปอื่นๆได้นั้น จำเป็นจะต้องปราบบอสตามเนื้อเรื่องของทวีปนั้นให้สำเร็จเสียก่อน จึงจะสามารถผ่านไปยังทวีปต่อไปได้",
"โดกาปอง (English: Dokapon ; () เป็นเกมภาษาแบบเล่นกระดาน ซึ่งใช้ผู้เล่น 3 ถึง 4 คนของการเล่นเกมนี้ และเป็นเกมที่เรียกความสนุกสนานและเสียงหัวเราะให้ผู้เล่นในโลกแห่งแฟนตาซี ที่ชิงความเป็นหนึ่งในการครอบครองสมบัติ ด้วยการออกผจญภัยปราบศัตรูต่าง ๆ ในเกม พร้อมทั้งเล่นร่วมกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่ร่วมผจญภัยอีกด้วย",
"เกมโดกาปองในแต่ละภาคจะมีลักษณะการเล่นและองค์ประกอบคล้าย ๆ กัน วิธีการเล่นหลัก ๆ จะเป็นเหมือนแบบเล่นกระดานซึ่งเป็นช่องให้ผู้เล่นเดินด้วยการโยนลูกเต๋าแล้วเดินตามจำนวนเลข แต่ในโดกาปองนี้จะใช้การเดินด้วยการหมุนเข็มทิศแล้วเดินตามเลขที่ปรากฏ หยุดช่องไหนจะได้พบเหตุการณ์ต่าง ๆ จากช่องนั้น สำหรับวิธีการเล่นเบื้องต้นจะเป็นดังนี้",
"อโดนิรัมจัดสันเกิดที่รัฐแมสซาซูเซตส์ในปี 1788 เขาเป็นบุตรชายของศิษยาภิบาลคณะคองกริเกชันนัล ได้เข้าศึกษาในอีกสามปีต่อมาเมื่อจบการศึกษา จัดสันกลับไปยังบ้านเกิด และได้เปิดสถาบันการศึกษาและผลิดตำราสองเล่ม แต่เขาก็ไม่มีความสุข ได้เดินทางไปท่องโลกมุ่งสู่เมืองนิวยอร์กเพื่อเป็นนักเขียน",
"อยู่ในสายความสามารถอันตรายมีอลิซคำสาป มีเซนส์จับคลื่นผู้ชายหล่อหรือผู้ชายที่หลุยส์หมายปองที่ตนเรียกว่า เรดาร์จับคลื่นผู้ชายหล่อ เป็นคนทำตราสาปให้กับอันโด\nหลงรักอันโด(และผู้ชายที่หน้าตาดี)ที่สำคัญเป็นตุ๊ด อลิซของหลุยส์แพ้ให้กับอลิซของโยจัง(เพราะอลิซวิญญาณร้ายของโยจังจะดูดอลิซคำสาปของหลุยส์)\nหากโดนควันอลิซของหลุยส์จะถูกตีตรา (แบบอันโด)และจะไม่สามารถหนีหลุยส์ได้อีก",
"ภายในเกมโดกาปองจะมีช่องเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนี้",
"เกมโดกาปองมีต้นกำเนิดการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นมาให้ผู้เล่นมากกว่าสองคนเล่นร่วมกันได้ ในส่วนนี้จะระบุชื่อเกมพร้อมกับรายละเอียดคร่าว ๆ ของเกมโดกาปองในแต่ละภาค โดยมีพื้นฐานการเล่นทั้งหมดในบทความนี้ สำหรับรายชื่อภาคต่าง ๆ ในโดกปองมีตามรายละเอียดด้านล่างนี้ [1]",
"หมวดหมู่:วิดีโอเกมแอ็กชัน หมวดหมู่:วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท",
"Iทุกครั้งที่เราเดินลงช่องสีเทาปกติ จะมีโอกาสที่จะเจอบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆดังนี้\n2.นกส่งสารจะอาสาสุ่มเก็บเงินกำไรจะเมืองที่เรายึด 1 เมืองมาให้เราทันที โดยแลกกับค่าเดินทางเล็กน้อย",
"โดกาปองรอบโลก (ドカポン・ザ・ワールド / Dokapon The World)",
"การต่อสู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เล่นไปหยุดอยู่บนช่องธรรมดา (ช่องที่ทำให้ต่อสู้หรือพบเหตุการณ์พิเศษ) เมื่อไม่พบเหตุการณ์พิเศษจะมีศัตรูออกมาให้ผู้เล่นได้ต่อสู้ แต่ถ้ามาหยุดอยู่กับผู้เล่นด้วยกันเองจะต้องต่อสู้กับผู้เล่นทันที การต่อสู้ในเกมโดกาปองจะมีลักษณะและขั้นตอนดังนี้",
"ลักณะการจบการต่อสู้แต่ละครั้งก็จะมีเงื่อนไขแตกต่างกัน การชนะก็จะเกิดจากการโจมตีแล้วชนะ การแพ้จะเกิดขึ้นเมื่อ ตาย ยอมแพ้ หรือถอนตัวออกจากากรต่อสู้ สำหรับลักษณะผลการต่อสู้จะเป็นดังนี้",
"ในจังหวัดสตูล โรงเรียนสตูลวิทยา(สว.) ถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในด้านกีฬาเป็นอย่างมาก เป็นสถาบันที่เป็นตัวแทนด้านกีฬาเยาวชนของจังหวัดสตูลมาอย่างช้านาน กีฬาที่โดดเด่นของโรงเรียนแห่งนี้คือ ฟุตบอล วอลเล่ย์บอลและกรีฑา ในด้านกีฬาฟุตบอล รร. สว. ถือเป็นแหล่งผลิดนักกีฬาฟุตบอลชั้นนำให้กับจังหวัดสตูลและประเทศชาติอย่างไม่ขาดสาย นักกีฬาเหล่านี้ได้แก่ น้อย สะอาดแก้ว, อาหมาด ดีนายัง, ศิลา โดยพิลา, เรน เตบสัน, พิเชษฐ์ สาดีน, ทอป สมใจ, สมปอง สอเหลบ, อดิศักดิ์ กานู, อนันต์ ยาง๊ะ, และไชยา นัครี ภายใต้การบ่มเพาะและดูแลของอาจารย์ อนิรุทธ์ กอมะด้วยความเสียสละและทุ่มเท ผลผลิตของสถาบันแห่งนี้ในยุคแล้วยุคเล่ายังคงมุ่งสร้างความประทับใจและความภูมิใจให้กับจังหวัดสตูลและทีมชาติไทยจวบจนทุกวันนี้",
"ในระหว่างการทำภารกิจในหมวดเนื้อเรื่อง อาจพบเหตุการณ์พิเศษต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ อย่างเช่น เหตุการณ์บนพื้นที่ เหตุการณ์ประจำสัปดาห์ และกิจกรรมพิเศษ ที่สร้างสีสันและความสนุกสนานภายเกมนี้",
"ลักษณะของเกมเป็นเกมภาษาที่สร้างขึ้นมาตามจินตนาการในโลกแบบแฟนตาซี โดยมีหมวดเนื้อเรื่องที่พระราชาไปขอร้องผู้กล้า 3 - 4 คน (ซึ่งเป็นผู้เล่น) ไปปราบศัตรูที่ออกมาสร้างความปั่นป่วนในอาณาจักร ถ้าสามารถเอาชนะศัตรูจะได้ครอบครองทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น เงิน หมู่บ้าน หรืออะไรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเงิน โดยมีวัตถุประสงค์หลักว่า ผู้ที่ครอบครองทรัพย์สินซึ่งคิดเป็นเงินได้มากที่สุด ก็จะเป็นผู้ชนะของเกม ทำให้ภายในเกมมีการกลั่นแกล้งกันเองระหว่างผู้เล่นด้วยกัน เพราะถือว่าผู้กล้าที่ร่วมเดินทางเป็นคู่แข่งที่จะต้องแข่งขันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งในโดกาปอง</b>ภาคนั้น ๆ",
"หมายเหตุ การโจมตีแบบปกติหรือท่าไม้ตายนั้น จะมีอัตราความแม่นยำที่เป็นเงื่อนไขว่าโจมตีโดนหรือโจมตีพลาด ผู้เล่นที่มีค่าความเร็ว (SP) มากกว่าจะมีโอกาสโจมตีได้อย่างแม่นยำสูง ผู้ที่มีความเร็วต่ำกว่า จะมีโอกาสการโจมตีพลาดได้ โดยปรากฏคำว่า \"MISS\"",
"ドカポン王国IV~伝説の勇者たち~ (อาณาจักรโดกาปองที่ 4 - เหล่าผู้กล้าในตำนาน) วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2536 บนเครื่องเกมซูเปอร์แฟมิคอม ドカポン3・2・1~嵐を呼ぶ友情~ (โดกาปอง 3-2-1) วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2537 บนเครื่องเกมซูเปอร์แฟมิคอม ドカポン外伝~炎のオーディション~ วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2538 บนเครื่องเกมซูเปอร์แฟมิคอม ドカポン!怒りの鉄剣 (โดกาปอง! ดาบเหล็กแห่งความโกรธ) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 บนเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน ドカポンDX ~ わたる世界はオニだらけ ~ (โดกาปองเดลักซ์ มีแต่ยักษ์เท่านั้นที่ครอบครองโลก) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 บนเครื่องเล่นเพลย์สเตชัน 2 และ เกมคิวป์ ドカポン・ザ・ワールド (โดกาปองรอบโลก) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 บนเครื่องเล่น เพลย์สเตชัน 2 ドカポンキングダム (โดกาปอง คิงดอม - Dokapon Kingdom) วางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 บนเครื่องเล่น เพลย์สเตชัน 2 และ นินเทนโด้ วี ドカポンジャーニー! ~なかよくケンカしてっ♪~ (โดกาปองผจญภัย -ทะเลาะวันละนิดจิตแจ่มใส-) วางจำหน่ายครั้งแรก ณ วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 บนเครื่องเล่น นินเทนโด้ DS",
"Dokapon ภาคนี้เป็นภาคที่มีอาชีพหลายอาชีพมาก ได้แก่ Novice, Fighter, Mage, Priest, Knight, Archmage, Necromancer, Sword Master, High Priest, Exorcist, Thief, Ninja, Dancer, Wrestler, Carpenter, Nurse, Alien, Queen, Devil man, Cyborg, ",
"(in Japanese) (in Japanese)",
"โดกาปองรอบโลก () วางจำหน่ายเมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547\nเป็นเกมในซีรีส์ Dokapon โดยกราฟิกในเกมภาคนี้ ตัวละครต่างๆจะเป็นลักษณ์ 2D คล้ายๆเหมือนตัววาดละครต่างลงกระดาษแล้วตัดให้เป็นรูปร่างของตัวละครนั้นๆ"
] |
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชสมบัติเมื่อใด ? | [
"ในวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 จึงรับบรมราชาภิเษก เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า \"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานารถมหาสมมตวงษ์ อดิศัยพงษวิมลรัตน์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทรสูรสันตติวงษวิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหารอดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ บุริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุตสมบัติ เสนางคนิกรรัตน์อัศวโกศล ประพนธปรีชามัทวสมาจาร บริบูรณ์คุณสารสยามาทินครวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเสวตฉัตราดิฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศรามาธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤไทย อโนปไมยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว\"[19]"
] | [
"ในปี พ.ศ. 2452 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ว่าจ้าง บริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน สร้างตึกเพื่อใช้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อจะใช้เป็นที่ประทับแรมของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกรณีที่พระองค์เสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรีอีก แต่พระองค์เสด็จสรรคตเสียก่อนในปีพุทธศักราช 2453 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2455 ตึกหลังนี้ได้ใช้รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์อีกหลายพระองค์ เมื่อท่านถึงแก่อสัญกรรมตึกหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาถึงพระยาอภัยวงศ์วรเศรฐ และถวายเป็นของทูนพระขวัญ ในวันอภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 (พระนามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์ ทรงมีศักดิ์เป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานบ้านและที่ดินทั้งหมดเป็นสิทธิ์ขาดแก่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี",
"ตั้งแต่ พ.ศ. 2449 ได้รับราชการเป็นมหาดเล็กในสังกัดกระทรวงวัง ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ และได้ฝึกดนตรีเพิ่มเติมจากพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) จนได้รับพระราชทานรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในการตีฆ้องวงเล็ก เมื่อตามเสด็จไปภาคใต้ เมื่อ พ.ศ. 2452 ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งหลวงสิทธิ์นายเวร เมื่อ พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน น.ส. เอื้อน ศิลปีเป็นคู่สมรส และได้เลื่อนเป็นพระยาภูมีเสวิน เมื่อพ.ศ. 2468",
"ลำดับรูปรายพระนาม/รายนามระยะการดำรงตำแหน่งหมายเหตุ1100px สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2416ผู้สำเร็จราชการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ครองราชสมบัติครั้งที่ 1)2สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี 7 เมษายน พ.ศ. 2440[1] - 16 ธันวาคม พ.ศ. 2440ผู้สำเร็จราชการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ซึ่งภายหลังได้รับการสถาปนา เฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง3สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร 27 มีนาคม พ.ศ. 2450[2] - 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450ผู้สำเร็จราชการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ซึ่งภายหลังได้ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พ.ศ. 2453 นั้นกลุ่มปัญญาชนต่างก็มุ่งหวังว่า พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และคงได้ทรงเตรียมพระองค์ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสไว้ แต่ปรากฏว่ายังไม่มีพระราชดำริในเรื่องรัฐสภาและรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ในเวลาเดียวกันประเทศจีนมีการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์แมนจู เปลี่ยนการปกครองประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐเป็นผลสำเร็จ ทำให้ความคิดอยากจะได้ประชาธิปไตยมีมากขึ้น ประกอบกับความไม่พอใจในพระราชจริยาวัตรบางประการของพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาที่จะล้มล้างระบอบการปกครอง",
"เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ทรงมีพระชนม์และถึงพิราลัยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๖ พร้อมกับพระศพของพระขนิษฐภคินีคือ เจ้าจอมมารดาดวงคำ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)",
"พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดสร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ครบรอบวันสถาปนาโรงเรียน 96 ปี ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งโรงเรียนได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทาน ชื่อ \"โรงเรียนวัดสุทธิวราราม\" จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว",
"พระองค์ทรงปฏิบัติราชการโดยพระวิริยะอุตสาหะ ปรากฏพระเกียรติคุณและสติปัญญาจนสามารถรับราชการสำคัญสนองพระเดชพระคุณต่างพระเนตรพระกรรณได้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการให้เลื่อนกรมขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468[7] ก่อนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคตเพียงไม่กี่วัน",
"ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายกอยู่นั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะโปรดพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์รูปใด ก็จะทรงปรึกษากับสมเด็จพระมหาสมณเจ้าก่อนทุกครั้ง ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงให้พระสงฆ์ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาเสนอความคิดเห็นได้",
"แต่ในการเสด็จประทับแรมในแต่ละครั้งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมักเกิดปัญหานานัปการสำหรับข้าราชบริพาร ได้แก่ น้ำจืดที่หายาก รถไฟที่เสียบ่อยการเดินทางใช้เวลานาน และแมลงวันหัวเขียวที่มีจำนวนมากต้องคอยไล่มิให้รบกวนในหลวงตลอดเวลา ในการเสด็จประทับแรมครั้งสุดท้าย มีมหาดเล็กคนหนึ่งบริภาษอย่างกระซิบกระซาบว่า \"หาดเจ้าสำราญ แต่ข้าราชบริพารเบื่อ\" แม้จะทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ก็มิทรงถือโทษโกรธแต่อย่างใดเพียงแต่เสด็จกลับก่อนกำหนด และมีพระราชดำรัสด้วยว่า \"ไม่อยากจะเข้าไปรบกวนความสนุกสบายของเขา\" ภายหลังทางจังหวัดเพชรบุรีจึงกราบบังคมทูลพบพื้นที่ตากอากาศแห่งใหม่ที่ตำบลห้วยทรายเหนือ มีน้ำจืดเพียงพอ จึงโปรดเกล้าให้สร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ณ ที่แห่งนั้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2467 พระตำหนักหาดเจ้าสำราญจึงถูกทิ้งร้างไป ทางรถไฟก็ถูกรื้อถอนไปหลังจากนั้น",
"ขวัญแก้ว วัชโรทัย เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2471 เป็นบุตรของพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (ก๊าด วัชโรทัย) และท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร มีศักดิ์เป็นหลานน้าในสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ชื่อ แก้วขวัญ-ขวัญแก้ว เป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว",
"เมื่อ พ.ศ. 2452 พระองค์ประชวรด้วยโรคพระหทัยโตขณะที่ยังทรงรับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังจึงได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่ทรงขอ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ด้วยพระโรคที่พระองค์เป็นอยู่นั้นไม่เอื้ออำนวยให้พระองค์ทรงสามารถรับราชการในตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ได้ แต่พระองค์ก็ยังคงรับราชการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงออกแบบงานต่าง ๆ ตามพระราชประสงค์ เช่น พระโกศพระบรมอัฐิและพระวิมานทองคำลงยาราชาวดีสำหรับประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการเลื่อนกรมสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัตติวงษ์ขึ้นเป็นกรมพระ มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า[5] สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ มหามกุฏพงศ์นฤบดินทร ปรมินทรานุชาธิเบนทร์ ปรเมนทรราชปิตุลา สวามิภักดิ์สยามวิชิต สรรพศิลปสิทธิวิทยาธร สุรจิตรกรศุภโกศล ประพนธปรีชาชาญโบราณคดี สังคีตวาทิตวิธีวิจารณ์ มโหฬารสีตลัธยาศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณานุวัติ ขัตติยเดชานุภาพบพิตร",
"เหตุการณ์ที่เป็นเหตุสำคัญในการลดพระอิสริยยศเห็นจะเป็นเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงซ้อมละครเรื่องพระร่วง ที่พระที่นั่งสโมสรเสวกมาตย์ ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ครั้งนั้น ในบทบาทการแสดงต้องมีการแตะเนื้อต้องตัว เจรจาตอบโต้ และผลักไสกันระหว่างนายมั่น (แสดงโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับสาวใช้ของนางจันทร์ (แสดงโดยคุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ (พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี)) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ผู้ร่วมแสดงทุกคนแสดงอย่างสมจริง ภาพนั้นคงไม่สบพระทัยของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ผู้ประทับทอดพระเนตรการซ้อมอยู่ชั้นบน จึงเกิดเหตุการณ์ฮาป่าขึ้น คือสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีทรงกระทืบพระบาท และโปรดให้ข้าหลวงของพระองค์ โห่ฮาและใช้เท้าตบพื้นพระที่นั่ง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่เบื้องล่าง แสดงให้เห็นว่าพระองค์ ไม่ทรงพอพระทัย เป็นอันตะลึงงันกันไปทั้งโรงละคร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหยุดการซ้อม และเสด็จขึ้นทันที",
"วังสวนสุนันทา เป็นเขตพระราชฐานภายในบริเวณของพระราชวังดุสิต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนพระอิริยาบถแทนการเสด็จประพาสหัวเมือง พระองค์มีพระราชประสงค์ให้สวนนี้มีลักษณะเป็นสวนป่า[17] จึงโปรดเกล้าฯ ให้หาพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลที่ดีและหาได้ยากนานาชนิดมาปลูกไว้ในสวนแห่งนี้ด้วย ที่มาของชื่อสวนแห่งนี้มาจากชื่อสวนของพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งมีชื่อว่า \"สุนันทาอุทยาน\"[18] และพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี พระมเหสีซึ่งเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักขึ้นเพื่อเตรียมไว้เป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายใน แต่เนื่องจากพระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน การสร้างจึงยังไม่แล้วเสร็จตามพระราชประสงค์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์จึงโปรดให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จ[19]",
"ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาประทับที่พระที่นั่งวิมานเมฆใน พ.ศ. 2468 แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชายาได้เสด็จไปประทับที่พระตำหนักสวนนกไม้ซึ่งเดิมเป็นพระตำหนักที่ประทับในสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระที่นั่งวิมานเมฆจึงไม่มีเจ้านายพระองค์ใดเสด็จมาประทับอีก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปีที่ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงขอพระบรมราชานุญาตบูรณะพระที่นั่งวิมานเมฆ เพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันพระที่นั่งวิมานเมฆเป็นเขตพระราชฐานในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ จึงมีการเปลี่ยนแปลงคำนำพระนามพระบรมวงศานุวงศ์ตามรัชกาล ดังนั้น พระองค์จึงมีพระอิสริยยศที่ \"พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา\" ",
"พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกำเนิดโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2453 เพื่อโรงเรียนแห่งนี้เป็นสถาบันที่ให้การศึกษาอย่างแท้จริงแก่กุลบุตรชาวไทย และเป็นเสมือนพระอารามหลวงประจำรัชกาล และพระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า \"โรงเรียนมหาดเล็กหลวง\"[94] ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามโรงเรียนให้ใหม่ว่า “วชิราวุธวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนสืบต่อไป[95]",
"ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงถวายสมณุตมาภิเษกตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 นับแต่นั้นก็ยังไม่มีพระเถระรูปใดในฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ได้ดำรงสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ เนื่องจากสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตอยู่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชดำริจะตั้งพระพิมลธรรม (ยัง เขมาภิรโต) วัดโสมนัสวิหาร เป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะใหญ่ผู้ช่วยคณะธรรมยุติกนิกาย สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสได้ทรงนิพนธ์ราชทินนามถวายว่าสมเด็จพระธรรมวีรวงศ์ แต่พระพิมลธรรมกลับไม่ค่อยชอบ สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสจึงทรงแก้ไขใหม่เป็น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ และเป็นธรรมเนียมสืบมาให้ถวายเฉพาะแก่สมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุตที่ชำนาญด้านการเทศนา",
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ได้ทรงพระราชดำริว่าสถานที่ในพระบรมมหาราชวังชั้นในคับแคบ ไม่เหมาะสมจะเป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน จึงโปรดให้สร้างพระตำหนักและตึกในบริเวณสวนสุนันทาขึ้นอีกหลายหลัง แล้วโปรดให้เป็นที่ประทับของพระมเหสี เจ้าจอมมารดา เจ้าจอมและพระราชธิดาใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 32 ตำหนัก รวมทั้งอาคารที่พักของบรรดาข้าราชบริพาร โดยมีสมเด็จพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา ได้เสด็จมาประทับ ณ ตำหนักสายสุทธานพดล (ตึก 27) ตั้งแต่ พ.ศ. 2467 ถึง พ.ศ. 2472 (สิ้นพระชนม์ ณ ตำหนักที่ประทับสวนสุนันทา) เนื่องจากในสมัยนั้นบรรดาขุนนาง ข้าราชการ ผู้มีบรรดาศักดิ์นิยมนำบุตรี และหลานของตนมาถวายตัวต่อสมเด็จพระวิมาดาเธอฯ เป็นจำนวนมาก สมเด็จพระวิมาดาเธอฯ จึงทรงให้สร้าง \"โรงเรียนนิภาคาร\" ขึ้นภายในสวนสุนันทา สอนตามหลักสูตรการศึกษาในสมัยนั้น รวมทั้งอบรมจริยา มารยาท การฝีมือ ให้เป็นกุลสตรี",
"ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัดให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”",
"สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เงินตราที่ใช้ในช่วงต้นรัชกาลยังคงเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาจึงทรงให้กรมกระสาปน์สิทธิการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดเงินราคาหนึ่งบาท ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหลังเป็นรูปไอราพตออกใช้หมุนเวียน",
"ในรัชกาลปัจจุบันเมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2502 ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะสนองพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นพระบรมชนกนาถ และ พระราชสวามี จึงทรงต้องพระประสงค์จะอุปถัมภ์กิจการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้ ดังนั้นพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี จึงทรงรับวชิราวุธวิทยาลัยไว้ในพระอุปถัมภ์ โดยจะทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อบำรุงวชิราวุธวิทยาลัย และทรงเสด็จพระดำเนินมาบำเพ็ญพระกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี จะเสด็จสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ก็ยังทรงพระราชทานเงินเพื่อบำรุงไว้เช่นเดิมจนถึงปัจจุบัน",
"วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตภายหลังเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 โดยก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า \"พระราชดำริทรงเห็นว่า เจ้านายซึ่งจะสืบพระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ พระเจ้าลูกยาเธอก็ได้ พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดีพร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะรักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร\" ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรคต จึงได้มีการประชุมปรึกษาเรื่องการถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งในที่ประชุมนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมนั้นมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังนั้น พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา[6] โดยในขณะนั้น มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้น จึงได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะมีพระชนมพรรษครบ 20 พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า[5]",
"เดิมนักเรียนจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นยังไม่มีเครื่องหมายใดที่แสดงว่าเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเข็มรูปพระเกี้ยวทำด้วยโลหะเงินสำหรับประดับเสื้อขึ้น เรียกว่า \"\"เข็มโรงเรียนข้าราชการพลเรือน\"\" หรือ \"\"เข็มบัณฑิต\"\" (\"เข็มวิทยฐานะ\" ในปัจจุบัน) โดยผู้มีสิทธิที่จะประดับเข็มนี้ได้ ได้แก่",
"ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่ผู้ใดที่มีความประสงค์จะศึกษาขั้นสูงก็สามารถเข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้สังกัดอยู่ในกระทรวงธรรมการ[34] ซึ่งเป็นไปตามพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่ผู้มาร่วมงานพระราชพิธีวางศิลาพระฤกษ์ตึกบัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบัน) เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2458 เวลา 16 นาฬิกา 7 นาที ดังนี้",
"คำว่า \"เพาะช่าง\" ได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวาระที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงเรียนเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2456 สืบเนื่องมาจากงานเฉลิมพระชนมพรรษา ในการที่โรงเรียนเพาะช่างได้รับพระราชทานกำเนิดจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ก็เพราะพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงห่วงใยในศิลปะการช่างของไทยจะถูกอิทธิพลของศิลปวัฒนธรรมต่างชาติ โดยเฉพาะศิลปวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่หลายเข้าครอบงำ อาจถึงคราวเสื่อมสูญได้ จึงมีพระราชประสงค์จะทำนุบำรุงศิลปะการช่างของไทยให้พัฒนาถาวรสืบไป ปัจจุบันเพาะช่างได้เปิดหลักสูตรการสอนในระดับปริญญาตรี 4 ปี ทั้งภาคปกติและภาคสบทบ มีทั้งหมด 4 กลุ่มวิชา คือ ศิลปประจำชาติ ศิลปหัตถกรรม วิจิตรศิลป์ และออกแบบ โดยสังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเพาะช่างคนปัจจุบันคือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์บรรลุ วิริยาภรณ์ประภาสดังนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงสืบทอดพระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถต่อมา ประจวบกับบรรดาข้าราชการในกระทรวงธรรมการ ได้เรี่ยไรกันสร้างอาคารเรียน 2 ชั้นขึ้น ในโรงเรียนหัตถกรรมราชบูรณะเป็นถาวรวัตถุ อุทิศเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอาคารเรียน และพระราชทานว่า \"โรงเรียนเพาะช่าง\" ",
"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (1 มกราคม พ.ศ. 2423 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 6 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ปีฉลู รวมพระชนมายุ 45 พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติรวม 15 ปี",
"ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี โปรดให้สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎพระราชโอรสซึ่งต่อมาได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ เพื่อกราบทูลขอวัดเขมาเป็นวัดสำหรับกฐินในสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี จากนั้นได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์บูรณปฏิสังขรณ์วัดเขมาและมีการฉลองใน พ.ศ. 2371 ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณปฏิสังขรณ์เพื่อฉลองพระคุณสมเด็จพระบรมราชชนนี แล้วพระราชทานนามเพิ่มว่า วัดเขมาภิรตาราม",
"สะพานสร้างเสร็จในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2469 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่าสะพานพระราม 6 ซึ่งหมายถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 และโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีเปิดสะพานให้ขบวนรถไฟเดินผ่านข้ามเป็นปฐมฤกษ์ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2469 (นับอย่างปัจจุบันต้องปี พ.ศ. 2470 แล้ว) ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยใช้รถจักรไอน้ำ \" บอลด์วิน \" ล้อแบบแปซิฟิก หมายเลข 226 ทำขบวนเสด็จ",
"พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนให้มีการจัดตั้งหอวชิราวุธานุสรณ์ ในบริเวณหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพื่อรวบรวมข้อมูลพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ตลอดจนบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและจัดตั้งมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อช่วยเหลือกิจการของหอวชิราวุธานุสรณ์[40][38]",
"เมื่อผลัดแผ่นดิน พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีฯ ก็ทรงเป็นเช่นเดียวกันกับกับพระมเหสีเทวีพระองค์อื่นๆ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ โศกสลด และปลีกพระองค์ออกจากพระบรมมหาราชวังมานับตั้งแต่นั้น โดยพระองค์พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขัตติยกัลยาวดี กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ได้เสด็จออกมาประทับที่วังบางขุนพรหมซึ่งรัชกาลที่ 5 พระราชทานให้เป็นวังที่ประทับของพระราชโอรส คือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต แต่เนื่องจากทรงเป็นเจ้านายฝ่ายในที่ดำรงพระอิสริยยศสูง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมโขลน และกรมวังจัดคนส่วนหนึ่งมาปฏิบัติถวายการรับใช้อยู่ที่วังนั้น เสมือนหนึ่งยังคงประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังทุกประการ และสมเด็จเจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ฯ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร พระราชธิดาพระองค์เดียวนั้นได้สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 6 นี้เอง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี ซึ่งทรงเป็น \"เสด็จอธิบดี\" ว่าราชการอยู่ในพระบรมมหาราชวังก็ได้เสด็จออกมาประทับยังวังบางขุนพรหมเพื่อปลอบโยนพระราชหฤทัยพระพี่นางฯในครั้งนั้นด้วย\nนอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีพระบรมราชโองการให้แปลพระนามาภิไธยเป็นภาษาอังกฤษว่า \"Her Majesty Queen Sukumalmarsri, Royal Consort of His Majesty King Chulalongkorn\" ทั้งนี้ มิได้มีพระบรมราชโองการเปลี่ยนแปลงพระอิสริยยศในทางราชการแต่อย่างใด จึงยังทรงดำรงพระยศเป็นพระนางเจ้าฯ พระราชเทวีจนตลอดรัชกาลที่ 6"
] |
เทพพิทักษ์จอมยุ่ง เนียลโกะ เป็นเรื่องที่ได้รางวัล อะไร? | [
"เทพพิทักษ์จอมยุ่ง เนียลโกะ เป็นนิยายไลท์โนเวล จากประเทศญี่ปุ่น เนื้อเรื่องโดย มันตะ ไอโซระ วาดภาพประกอบโดย โคอิน ตีพิมพ์โดยGAบุงโกะ ปัจจุบันมีการเผยแพร่แล้วทั้งหมด 8 เล่ม ลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเป็นของรักพิมพ์ พับลิชชิ่ง เทพพิทักษ์จอมยุ่ง เนียลโกะ เป็นเรื่องที่ได้รางวัล GAบุงโกะไทโช ครั้งที่1[1] และGAแม็กกาซีนก็ได้เริ่มตีพิมพ์เรื่องนี้ตั้งแต่ฉบับที่2[2] เนื้อหาของเรื่องนั้นเป็นแนวตลกแบบตลกเจ็บตัว(slapstick)ผสมกับเลิฟคอมมีดี โดยหลักๆแล้วจะล้อเลียนงานประพันธ์ชุดตำนานคธูลู แต่ก็มีผสมส่วนที่ล้อเลียนอนิเมะหรือมังงะอย่างโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษและโทคุซัทสึโดยเฉพาะมาสค์ไรเดอร์เดนโอและมาสค์ไรเดอร์ดีเคดเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์มากขึ้น[3] โดยในประเทศไทย ฉบับอนิเมะทั้ง 2 ภาค TIGA เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์"
] | [
"มาฮิโระ ยาซากะ นักเรียนธรรมดาได้พบกับสาวน้อยลึกลับซึ่งช่วยเขาจากสัตว์ประหลาดในยามราตรี สาวน้อยคนนั้นอ้างว่าตนคือเนียร์ลาโธเทปและเธอมาเพื่อคุ้มครองมาฮิโระจากเหล่ามนุษย์ต่างดาวที่จ้องเล่นงานเขาอยู่ จึงต้องเข้ามาอาศัยในบ้านของมาฮิโระ อย่างเต็มใจ รวมไปถึงเหล่า คทุกกา และฮัสเทอร์",
"ลูฮี ซิสตัน (ルーヒー・ジストーン) พากย์เสียงโดย - มาริโกะ โคดะ ชาวเผ่าคธูลิ เป็นนักพัฒนาเกมของบริษัทรุลูเยห์แลนด์ มีผมเหมือนหนวดหมึกและเกลียดชังชาวเผ่าฮัสเทอร์มาก หลังจากถูกบริษัทไล่ออกก็ได้เปิดแผงขายทาโกะยากิระหว่างทางไปโรงเรียนของมาฮิโระ รวมทั้งยังรับงานแสดงเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ด้วย",
"หัวหน้าใหญ่ (大首領) คนขององค์กร ไชลด์การ์ด และเป็นหัวหน้าของอิสึรุกิจากอนาคตและคิดทำลายโลกเนื่องจากวัฒนธรรมความบันเทิงของโลกนั้นขัดกับกฎหมายคุ้มครองเยาวชนแห่งอวกาศในอนาคต",
"นัคโกะ (ナッ子) ตัวละครเฉพาะในภาคการ์ตูนสี่ช่อง เป็นไนท์กอนท์ที่กลายร่างเป็นเด็กผู้หญิงและติดอยู่บนโลกหลังจากที่นอเดนส์พ่ายแพ้ไปแล้ว",
"ทุลโกะ (ツル子) พากย์เสียงโดย - ซากิ ยามาคิตะ ตัวละครเฉพาะในภาค W เป็นมนุษย์ดาวอูทุล-เฮเออร์ เป็นหนึ่งในเซอเคิลจตุรเทพที่เขียนโดจินชิแนวยาโออิซึ่งมีมาฮิโระเป็นตัวเอก และยังเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มเมดคอสเพลย์ \"หน่วยพริตตีพริตตีเบลเมด\"อีกด้วย",
"โยริโกะ ยาซากะ (八坂頼子) พากษ์เสียงโดย - คิคุโกะ อิโนอุเอะ (ดราม่าซีดี), อะยะ ฮิซะกะวะ (ภาคโทรทัศน์ พ.ศ. 2555) แม่ของมาฮิโระ ไม่ทราบอายุ แต่ดูสาวมากสำหรับคนที่มีลูกเป็นนักเรียนมัทยมปลายแล้ว แท้จริงแล้วเธอเป็นนักล่าสัตว์ประหลาดที่ออกไปทำงานทุกปีในวาระคล้ายวันแต่งงาน ชอบเล่นวิดีโอเกมและมักซื้อเครื่องเกมรุ่นเก่ากลับมาฝากลูกชายเสมอ ความสามารถในการใช้ส้อมเป็นอาวุธของมาฮิโระนั้นก็ได้มาจากแม่นี่เอง",
"อิสึรุกิ (イス動) มนุษย์ต่างดาวเผ่ายิธเธียนจากอนาคต ใช้วิทยาการสลับร่างกับมนุษย์โลกเพื่อยึดอุตสาหกรรมบันเทิง ใช้ร่างของโยอิจิเป็นตัวประกัน แต่ก็หันมาช่วยพวกเนียลโกะเมื่อทราบว่าจริงๆแล้วหัวหน้าของตนเป็นพวกไชลด์การ์ด",
"กุทาทัน (グタタン) พากย์เสียงโดย - ชิโอริ มิคามิ ตัวละครเฉพาะในภาคโทรทัศน์พ.ศ. 2555 เป็นเด็กหญิงจากดาวกาทาโนทอ",
"ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 ได้สร้างภาคใหม่อีกครั้งโดยซีเบค โดยครั้งนี้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกับภาคไลท์โนเวลและฉายทางโทรทัศน์ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555 ถึง วันที่ 25 มิถุนายน ของปีเดียวกัน ความยาวทั้งหมด 12 ตอน และในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556 ก็ได้เริ่มฉายภาคใหม่คือ ไฮโยเระ! เนียลโกะซัง W",
"เนียร์ลาโธเทป / เนียลโกะ (ニャルラトホテプ / ニャル子) พากย์เสียงโดย - คานะ อะสึมิ เด็กสาวผมเงิน เป็นตัวเอกของเรื่อง มีนิสัยป่าเถื่อนและโหดร้ายเป็นจุดเด่น เธอเป็นสมาชิกของสหพันธ์อวกาศ องค์กรคุ้มครองดาวเคราะห์ ทำหน้าที่คุ้มครองมาฮิโระจากมนุษย์ต่างดาว ชอบอนิเมะและเกมของมนุษย์โลกมากโดยเฉพาะมังงะจนเรียกได้ว่าเป็นโอตาคุ นอกจากนั้นยังมีความรู้ไร้สาระเกี่ยวกับภาพยนตร์เก่าๆเป็นอย่างดีอีกด้วย อาศัยอยู่กับมาฮิโระและไปโรงเรียนเดียวกันโดยใช้ชื่อปลอมว่าเนียร์ลาโธเทป ยาซากะ เธอเลือกที่จะมาคุ้มครองมาฮิโระเองโดยให้เหตุผลว่าเป็นรักแรกพบ เนื่องจากเป็นชาวเผ่าเนียร์ลาโธเทปจึงสามารถแปลงร่างเป็น<b data-parsoid='{\"dsr\":[4150,4169,3,3]}'>ฟุลฟอร์ซฟอร์ม</b>ที่คล้ายกับฮีโร่ในโทคุซัทสึเพื่อต่อสู้กับศัตรูได้ เธอยังเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แบบมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย (ท่าถนัดก็คิอ ขว้างระเบิดมือ) บางครั้งจะใช้อาวุธคล้ายกับชะแลง ในตำนานคธูลูนั้น ไนอาลาโธเทปเป็นเทพที่มีร่างแปลงมากมาย แต่ในเรื่องนี้ ชื่อเนียร์ลาโธเทปเป็นชื่อของเผ่ามนุษย์ต่างดาวและไนอาลาโธเทปในตำนานคธูลูก็เป็นคนละคนกับเนียลโกะ",
"นอเดนส์ (ノーデンス) พากย์เสียงโดย - บิน ชิมาดะ หัวหน้าของเหล่าไนท์กอนท์และเป็นคนที่หมายตามาฮิโระอยู่ เป็นชาวเผ่านอเดนส์ซึ่งปกติแล้วจะเป็นมิตรกับมนุษย์ แต่ตัวนี้เนียลโกะบอกว่าเป็นพวกไม่รักดี นอเดนส์นั้นจ้องจะลักพาตัวมาฮิโระ เนื่องจากโปรดิวเซอร์ละครของอุบโบซาธลาเน็ตเวิร์คต้องการสนองความนิยมของหนังสือการ์ตูนแนวบอยเลิฟของโลกและต้องการตัวมาฮิโระไปร่วมแสดงด้วย จริงๆแล้วดูเหมือนว่านอเดนส์จะเป็นแค่สมาชิกชั้นล่างขององค์การร้ายนี้เท่านั้น",
"ไฮโยเระ! เนียลโกะซัง วางจำหน่ายเมื่อ23 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ไฮโยเระ! เนียลโกะซัง EX ~ดรีมมี ดรีมเมอร์~ วางจำหน่ายเมื่อ25 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ไฮโยเระ! เนียลโกะซัง DX ~วินเทอร์วอร์ส~ วางจำหน่ายเมื่อ24 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ไฮโยเระ! เนียลโกะซัง GX ~เฟทัลแอทแทรคชัน~ วางจำหน่ายเมื่อ25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554",
"เนียลโอะ (ニャル夫) พากย์เสียงโดย - ไดสุเกะ ฮิราคาวะ (ดราม่าซีดี), ทะเกะชิ คุซะโอะ (ภาคโทรทัศน์ พ.ศ. 2555) ชาวเผ่าเนียร์ลาโธเทปอีกคน เป็นพี่ชายของเนียลโกะ เป็นคนที่มีผลการเรียนย่ำแย่ผิดกับน้องสาวจนกระทั่งหนีออกจากบ้านไป (ซึ่งเป็นผลมาจากที่เคยถูกเนียลโกะฟาดลูกบอลใส่ตอนเล่นเกทบอลอวกาศ) เขากลับมาต่อสู้กับเนียลโกะเพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวเองเหนือกว่าเนียลโกะแล้วหลังจากฝึกฝนอย่างหนักจนสามารถแปลงร่างเป็นฟุลฟอร์ซฟอร์มได้ ในที่สุดก็ถูกจับกุมไป",
"ในผลงานอีกเรื่องของมันตะ ไอโซระ มิยะมะซันจิ โนะ เบลทีนนั้น เนียลโกะกับมาฮิโระมีบทบาทเล็กๆในฐานะผู้ร่วมสนุกในรายการวิทยุ โดยเนียลโกะใช้นามปากกาว่า ครอว์ลิงเคออส ส่วนมาฮิโระใช้ว่า G-838 และโยริโกะก็ปรากฏตัวเป็น รุ่นพี่โยริโยริ ที่มหาวิทยาลัย",
"หมวดหมู่:อนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556",
"แอทโกะ ชิโรงาเนะ (銀アト子) พากย์เสียงโดย - อาซึสะ คาตาโอกะ มนุษย์ต่างดาวเผ่าแอทลัค นาชา เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัทยมของเนียลโกะ ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทผลิตเครื่องนุ่งห่มแห่งอวกาศ ผมยาว มักแต่งกายด้วยชุดกิโมโนที่เป็นลายใยแมงมุม ท่าทางเรียบร้อยแต่จริงๆแล้วเป็นพวกทะลึ่งเข้าขั้นลามกเลยทีเดียว",
"ดราม่าซีดีของเรื่องนี้จัดจำหน่ายโดยHOBiRECORDS ปัจจุบันออกมาแล้วทั้งหมด 4 ตอน",
"มาฮิโระ ยาซากะ (八坂 真尋) พากย์เสียงโดย - เอริ คิทามุระ นักเรียนมัธยมปลายชาวโลกที่ถูกเนียลโกะและองค์การร้ายของมนุษย์ต่างดาวหมายตาไว้ มาฮิโระนั้นเป็นแฟนของเรื่องชุดตำนานคธูลู จึงมีบ่อยครั้งที่รู้สึกผิดคาดเมื่อพบว่าอะไรๆมันต่างจากที่รู้มา เนื่องจากพ่อแม่มักไปฉลองครบรอบวันแต่งงานกันครั้งละนานๆทำให้ต้องอยู่คนเดียวบ่อย จึงเก่งงานบ้านโดยเฉพาะการทำอาหาร แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะช่วยตัวเองไม่ได้ แต่จริงๆแล้วเขาสามารถกำหราบเนียลโกะกับคูโกะได้อยู่หมัดด้วยการใช้ส้อมจิ้ม จริงๆแล้วเขาก็ชอบเนียลโกะอยู่แต่มักแสดงออกแบบซึนเดเระ หลังจากที่มีฮัสตะเพิ่มมาอีกคน มาฮิโระก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชินกับการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ต่างดาวแล้ว แม้ว่าจะยังอยากกลับไปหาชีวิตที่สงบแบบเดิมอยู่",
"เรื่องนี้เคยมีอนิเมะแฟลชสั้นๆโดยใช้ชื่อว่า ไฮโยเระ! เนียลอะนิ มีความยาวทั้งหมด 9 ตอน และฉบับความยาว11ตอนสำหรับฉายทางโทรทัศน์ โดยใช้ชื่อว่า ไฮโยรุ! เนียลอะนิ รีเมมเบอร์ มาย เลิฟ(คราฟท์เซนเซย์) (這いよる! ニャルアニ リメンバー・マイ・ラブ(クラフト先生)) ซึ่งเริ่มฉายในวันที่10 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ทางช่อง BS11 โดยตอนจบซึ่งเป็นตอนที่ 12นั้นไม่ได้ฉายทางโทรทัศน์",
"ทามาโอะ คุเรย์ (暮井 珠緒) พากย์เสียงโดย - โยโกะ ฮิคาสะ (ดราม่าซีดี), โอสึโบะ ยูกะ (ภาคโทรทัศน์ พ.ศ. 2555) เพื่อนร่วมชั้นหญิงของมาฮิโระ มีฉายาว่า\"ลำโพงเดินได้\"เพราะเป็นนักแพร่ข่าวลือตัวยง เคยถูกอิซุกะสลับร่างไปเพื่อหาทางหยุดอิซุรุกิ มีความสามารถในการหาของแปลกๆสารพัด แท้จริงแล้วเธอเองก็แอบชอบมาฮิโระอยู่ แต่เมื่อพบกับเนียลโกะที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนกว่ามากทำให้เธอไม่ได้แสดงออกอะไร เนียลโกะมักจะปรึกษาเธอเรื่องความรัก ซึ่งทามาโอะก็มักยุให้เป็นฝ่ายรุกแบบเต็มที่เหมือนเป็นการขัดขวางกลายๆ",
"ภาคมังงะของเรื่องนี้เริ่มตีพิมพ์ในนิตยสารมิราเคิลจั๊มป์ ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม พ.ศ. 2554) วาดโดยเคย์ อาคาชิกิ[4] และภาคการ์ตูนสี่ช่องชื่อ ไฮโยเระ! ซูเปอร์เนียลโกะจังไทม์ ซึ่งลงตีพิมพ์ใน FlexComix บลัดตั้งแต่ฉบับเดือนตุลาคม。[5][6]",
"คูเนะ (クー音) พากย์เสียงโดย - เรียวกะ ยูซึกิ ลูกพี่ลูกน้องของคูโกะ มีพฤติกรรมแบบซิสคอน เคยเรียนหนังสือชั้นปีเดียวกับลูฮี",
"ชานทัคคุง (シャンタッ君) พากษ์เสียงโดย - โทโมโกะ คาเนดะ (ดราม่าซีดี), ซะโตะมิ อะระอิ (ภาคโทรทัศน์ พ.ศ. 2555) สัตว์เลี้ยงแคปซูลของเนียลโกะ เป็นตัวแชนแทค หลังการต่อสู้กับไนท์กอนท์แล้วก็สูญเสียพลังไปจนตัวหดลงเหลือนิดเดียวและกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของบ้านยาซากะไป สามารถแปลงร่างเป็นยานอวกาศหรือมอเตอร์ไซค์ มาชีนแชนแทคเกอร์ ได้ อาหารโปรดคือแครอท เวลาแปลงร่างเป็นมนุษย์จะเป็นเด็กหญิงผมสีน้ำเงิน",
"เนียลเอะ (ニャル恵) พากย์เสียงโดย - ซายูริ ฮาระ ตัวละครเฉพาะในภาคโทรทัศน์ พ.ศ. 2554 เนียลเอะเป็นชาวเผ่าเนียร์ลาโธเทปอีกคนและเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัทยมของเนียลโกะ มีจุดเด่นที่สวมแว่นและถือไม้เบสบอลเสมอ มีนิสัยคิดเองเออเอง",
"โยอิจิ ทาเคฮิโกะ (余市 健彦) พากย์เสียงโดย - โยชิฮิสะ คาวาฮาระ (ดราม่าซีดี), วาตารุ ฮาตะโนะ (ภาคโทรทัศน์ พ.ศ. 2555) เพื่อนร่วมชั้นและหัวหน้าห้องที่สนิทกับมาฮิโระ นิสัยสุภาพเรียบร้อย สวมแว่น เคยถูกอิซุรุกิสลับร่างไปเพื่อใช้เป็นตัวประกัน",
"ลอย ฟอกเกอร์ (ロイ・フォガー) พากย์เสียงโดย - นาคาตะ โจจิ ตัวละครเฉพาะในภาคอนิเมะพ.ศ. 2555 เป็นสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ลอยกอร์และคนรับใช้ของกุทาทัน มีแผนการยึดครองเอโรเกะทั้งหมดในโลกนี้",
"วานรอาลาโอะ (アラオ猿) พากย์เสียงโดย - ซาโตชิ โบ วานรยักษ์ที่Zลอยกอร์ใช้สมุดบันทึกแห่งเทพมารเรียกออกมา เวลาโกรธนั้นขนจะเปลี่ยนเป็นสีทองและแข็งแกร่งขึ้น",
"ชาร์ (ツァール) กับ ลอยกอร์ (ロイガー) พากย์เสียงโดย - ทากามาสะ โอฮาชิ (ลอยกอร์), โอโทชิ อิมารุโอกะ (ชาร์) มนุษย์ต่างดาวฝาแฝดจากดาวชาร์ เป็นสมาชิกขององค์กรพิทักษ์สัตว์ \"สเปซทินดาลอส\" ที่โจมตีหอสมุดโบราณเซลาเอโนเพื่อชิงสมุดบันทึกแห่งเทพมาร ลอยกอร์นั้นมีความสามารถในการยืดร่างกายของตนเอง ส่วนชาร์สามารถแยกร่างเป็นส่วนๆได้ ทั้งคู่ยังสามารถรวมร่างกันเป็นZลอยกอร์ได้",
"อิสึกะ (イス香) พากย์เสียงโดย - ซะโตะมิ อะระอิ มนุษย์ต่างดาวเผ่ายิธเธียนอีกคนที่พยายามหยุดอิสึรุกิ โดยตอนแรกจะสลับร่างกับเนียลโกะ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เนียลโกะสลับร่างกับมาฮิโระไปแทน ตอนอยู่บนโลกนั้นใช้ร่างของทามาโอะ นิสัยซุ่มซ่ามและท่าดีทีเหลว"
] |
ไต้หวัน ใช้เงินสกุลอะไร? | [
"ดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (จีนตัวเต็ม: 新臺幣 หรือ 新台幣; พินอิน: Xīntáibì) เป็นสกุลเงินที่ใช้ในดินแดนที่อยู่ในการปกครองของรัฐบาลสาธารณรัฐจีน"
] | [
"สกุลเงิน หมายถึงชื่อเรียกเงินตราที่มีใช้ในแต่ละประเทศ สกุลเงินจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศหรือกลุ่มประเทศ โดยการแลกเปลี่ยนเงิน หรือการซื้อของหรือบริการระหว่างประเทศที่ใช้สกุลเงินต่างกันจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเป็นเกณฑ์ในการอ้างอิง ",
"สกุลเงินทั่วไปจะมีหน่วยสกุลเงินย่อย โดยส่วนมากจะเป็นอัตราส่วน 1/100 ของสกุลเงินหลัก เช่น 100 สตางค์ = 1 บาท หรือ 100 เซนต์ = 1 ดอลลาร์ แต่บางสกุลเงินจะไม่มีหน่วยย่อยเช่น สกุลเงินเยน ในหลายหลายประเทศเนื่องจากเงินเฟ้อ ทำให้สกุลเงินย่อยมีการเลิกใช้ไป",
"ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์กัมพูชามีการซื้อขายหลักทรัพย์รายเดียว คือ PPWSA ซึ่งในช่วง 3 ปีแรก รัฐบาลได้อนุญาตให้ซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ แต่หลังจากนั้นกำหนดให้ซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินสกุลเรียลเท่านัน เพื่อส่งเสริมการใช้เงินเรียล ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศ และลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีสัดส่วน ร้อยละ 90 ของปริมาณเงินทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในกัมพูชา",
"พ.ศ. 2550 รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมราคาสินค้า ผู้ใดขายสินค้าในราคาเกินกำหนดถือว่ามีความผิด แต่ผลคือ ต้นทุนของสินค้ายังเพิ่มขึ้นจนแพงกว่ากำแพงราคาที่กำหนด ร้านค้าต่างๆ เก็บสินค้าของตนออกไปขายในตลาดมืด เพราะไม่สามารถขายในราคาที่ขาดทุนได้ ทำให้ตลาดมืด (ตลาดผิดกฎหมาย) ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประชาชนไม่มีทางเลือก และเกิดการกักตุนสินค้าในตลาดมืดไว้ขายในราคาที่สูงกว่าในวันหน้า และนอกจากนี้ ชาวซิมบับเวเปลี่ยนไปใช้เงินสกุลอื่น หรือใช้สิ่งของในการแลกเปลี่ยนแทนเงินประจำชาติ เพราะมีความเสถียรกว่ามาก มีรายงานว่าแม้แต่โรงพยาบาลบางแห่ง ยังยินดีรับค่ารักษาเป็นถั่วลิสงมากกว่าที่จะรับเงินในสกุล ZWN โดยจะคิดค่ารักษาเป็นจำนวนถังของถั่วลิสง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการทาขนมปังให้คนไข้ เงินสกุลนี้ กลายเป็นเงินที่ต้องรีบใช้ เพราะราคาของในเงินสกุลนี้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเก็บออมโดยใช้เงินสกุลนี้คงจะยากที่จะมีโอกาสตั้งตัว และมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ต้องพบชะตากรรม เพราะเงินล้านที่ทำงานอดออมมาทั้งชีวิตตลอดก่อนหน้านี้เพื่อหวังจะใช้ชีวิตสบายยามชรา กลับเหลือมูลค่านำมาซื้อได้เพียงข้าวเช้า 1 จานเท่านั้น การควบคุมค่าเงินดูจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เงินเฟ้อประจำปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 66,212.3 ต่อปี",
"เรอูนียงเป็นแคว้นที่อยู่ห่างไกลที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรปและใช้สกุลเงินยูโร ตามความจริง ตำแหน่งที่ตั้งของเรอูนียงในเขตเวลาทางด้านตะวันออกของทวีปยุโรป ทำให้เรอูนียงเป็นแคว้นแรกในโลกที่ใช้สกุลเงินยูโร และการใช้สกุลเงินยูโรเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.01 นาฬิกา เมื่อนายกเทศมนตรีเมืองแซง-เดอนี เรอเน-ปอล วิกโตเรีย ซื้อลิ้นจี่ถุงหนึ่งในตลาด",
"เงินยูโรยังสามารถใช้ในการชำระหนี้ในอาณาเขตนอกสหภาพยุโรปบางแห่ง ได้แก่ ประเทศโมนาโก ประเทศซานมารีโน และนครรัฐวาติกัน ซึ่งเคยใช้ฟรังก์ฝรั่งเศสหรือลีราอิตาลีเป็นสกุลเงินทางการ ตอนนี้ได้เปลี่ยนมาใช้สกุลยูโรแทนและได้รับสิทธิ์ในการผลิตเหรียญในสกุลยูโรในจำนวนเงินน้อย ๆ แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปก็ตาม",
"ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มเสือเกิดขึ้นในวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 สิงคโปร์และไต้หวันไม่ได้รับอันตราย เกาหลีใต้ประสบปัญหาหนี้เสียจำนวนมาก ส่วนฮ่องกงประสบปัญหาเกี่ยวกับการโจมตีตลาดหุ้นและสกุลเงิน แต่ไม่กี่ปีต่อมา ประเทศในกลุ่มเสือเหล่านี้ก็กลับมามีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจดังเดิม รวมทั้งเกาหลีใต้ที่มีสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุด",
"กระเป๋าเงินสกุลเงินดิจิทัล ทำหน้าที่จัดเก็บคีย์สาธารณะและคีย์ส่วนตัว[30]ที่สามารถนำมาใช้เพื่อรับและใช้จ่ายสกุลเงินดิจิทัลได้ โดยกระเป๋าเงินสามารถจัดเก็บคู่คีย์สาธารณะและส่วนตัวได้หลายคู่ ณ เดือนมกราคม 2018 มีสกุลเงินดิจิทัลมากกว่าหนึ่งพันสามร้อยสกุลเงิน โดยสกุลเงินแรกและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ บิทคอยน์[31] ในส่วนของสกุลเงินดิจิทัลเองไม่ได้เป็นกระเป๋าเงิน หากบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลมาจากกระเป๋าเงิน ถือว่าสกุลเงินดิจิทัลถูกจัดเก็บและรักษาโดยขึ้นกับส่วนกลางในบัญชีแยกประเภท[32][33]ที่เปิดเป็นสาธารณะ ทุกๆ สกุลเงินดิจิทัลมีคีย์ส่วนตัว ด้วยคีย์แยกประเภท มันสามารถเขียนบัญชีแยกประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้บิทคอยน์ที่เกี่ยวข้อง[34]",
"ระบบการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงิน หมายถึงการผูกมูลค่าของสกุลเงินนั่นๆให้เท่ากับมูลค่าของสกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง (ที่มีความแข็งแกร่งเช่น เงินดอลล่าร์สหรัฐ) หรือสกุลเงินของหลายๆประเทศ การตรึงอัตราแลกเปลี่ยนสามารถนำมาใช้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ แต่เนื่องจากมูลค่าของสกุลเงินที่นำมาอ้างอิงมีการเพิ่มและลดลงตลอดเวลา ดังนั้นมูลค่าของเงินในประเทศที่อยู่ภายใต้ระบบการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนจึงเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามมูลค่าของสกุลเงินที่นำมาอ้างอิง ซึ่งหมายความว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศนั้นๆจะถูกกำหนดโดยอัตราเงินเฟ้อของประเทศที่เป็นเจ้าของสกุลเงินที่นำมาอ้างอิง ดังนั้นการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนจึงทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้ของตัวเองในการที่จะบรรลุเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคได้",
"สกุลเงินที่ใช้คือโครนาไอซ์แลนด์ (króna – ISK) ออกโดยธนาคารกลางไอซ์แลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินด้วย ค่าเงินโครนามีความผันผวนกับสกุลเงินยูโรสูง จึงทำเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนมาใช้เงินยูโรโดยไม่เข้าร่วมกับกลุ่มสหภาพยุโรป จากการสำรวจในปี 2550 พบว่า 53% ของชาวไอซ์แลนด์สนับสนุนการร่วมใช้สกุลเงินยูโร 37% ต่อต้าน และ 10% ไม่ตัดสินใจ[21] ไอซ์แลนด์มีอัตราการใช้จ่ายด้วยเงินสดในประเทศต่ำมาก (น้อยกว่า 1% ของ GDP)[22] และนับได้ว่าเป็นประเทศที่ใช้ปัจจัยอื่นทดแทนเงินสดได้มากที่สุด[23] ประชากรส่วนใหญ่ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแม้จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย[24] พลังงานทดแทน ได้แก่พลังงานน้ำและพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นส่วนประกอบถึงมากกว่า 70% ของการบริโภคพลังงานของไอซ์แลนด์[25]",
"สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้หน่วยเงิน ดอลลาร์ เป็นสกุลเงินประจำชาติ และยังมีประเทศอื่นที่มีเงินดอลลาร์เช่นกัน แต่ใช้ชื่อเรียกอื่น เช่น ดอลลาร์สิงคโปร์ ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ไต้หวัน นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐ ยังเป็นสกุลเงินหลักในหลายประเทศ[2] และในบางประเทศถึงแม้ว่าดอลลาร์สหรัฐไม่ใช่สกุลเงินหลัก แต่ยังมีการยอมรับในการใช้จ่ายสินค้าทั่วไป",
"ในช่วงศตวรรษที่ 19 นักเศรษฐศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการขึ้นลงของราคาสินค้ามีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงมูลค่าพื้นฐานหรือค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้า (2) การเปลี่ยนแปลงราคาของซึ่งก็คือแร่โลหะที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินนั้นๆเช่น ทองคำ หรือ เงิน และ (3) \"การลดค่าของสกุลเงิน\" ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของปริมาณเงินตรากับปริมาณของโลหะสำรองที่เงินตรานั้นๆสามารถนำไปแลกได้ หลังจากมีการใช้บัตรธนาคาร (ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์) อย่างแพร่หลายในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา คำว่า \"ภาวะเงินเฟ้อ\" จึงเริ่มมีความหมายตรงกับการลดค่าของสกุลเงิน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของบัตรธนาคารได้แซงปริมาณของโลหะที่บัตรธนาคารนั้นๆสามารถทำไปแลกได้ ในสมัยนั้น \"ภาวะเงินเฟ้อ\" จึงหมายถึงการลดค่าของสกุลเงินแทนที่จะหมายถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า",
"เปโซคิวบา (English: Cuban peso) คือหน่วยสกุลเงินหนึ่งที่ใช้ในประเทศคิวบาแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ คิวบาเปโซ (CUP) ถือเป็นสกุลเงินหลักในประเทศ และ<b data-parsoid='{\"dsr\":[1321,1351,3,3]}'>คอนเวอร์ทิเบิลเปโซ (CUC) หรือสกุลเงินที่ออกมาเพื่อใช้แทนดอลลาร์สหรัฐ โดย 1 ดอลลาร์สหรัฐ มีค่าเท่ากับ 1 CUC และ 1 CUC มีค่าเท่ากับ 24 CUP แสดงให้เห็นว่าสกุลเงินในประเทศถูกกว่าสกุลเงินที่ใช้ทดแทนเงินภายนอกมาก แต่ทั้ง CUP และ CUC สามารถเรียกรวมกัน ง่ายๆ ว่า เปโซ (Peso) ในคิวบาตามร้านค้าจะไม่ค่อยรับ CUC มากนัก หรือรับก็มีมาตรฐานค่าเงินต่างกัน จึงมักเกิดกรณีที่ชาวต่างชาติจ่ายเงินเกินจำนวนบ่อย[3]",
"สกุลเงินนี้ใช้ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้แทนสกุลเงินเดนาร์ยูโกสลาเวีย เนื่องจากว่าประเทศมาซิโดเนียได้แยกตัวออกมาจากยูโกสลาเวียแล้ว",
"วอน คือสกุลเงินที่เกาหลีเหนือใช้เป็นสกุลเงินในปัจจุบัน ซึ่ง 1000 วอน เทียบเป็นเงินไทยประมาณ 35 บาท มีธนบัตรเพียง 9 แบบเท่านั้น คือ ธนบัตรใบละ 5 วอน ธนบัตรใบละ 10 วอน ธนบัตรใบละ 50 วอน ธนบัตรใบละ 100 วอน ธนบัตรใบละ 200 วอน ธนบัตรใบละ 500 วอน ธนบัตรใบละ 1000 วอน ธนบัตรใบละ 2000 วอน และ ธนบัตรใบละ 5000 วอนเกาหลีเหนือ เพิ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธนบัตรแบบใหม่ออกมาใช้ โดย แบงค์ 5000 วอน เริ่มนำออกมาใช้เมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2006 ส่วนธนบัตรใบละ 1000 และ 10000 วอน เริ่มออกมาใช้เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2007 นี้โดยธนบัตรแบบใหม่จะมีรูปร่างเล็กกว่าของเดิม",
"แต่การกระทำใดๆ ไร้ผล ที่สุดแล้วรัฐบาลซิมบับเว ประกาศยกเลิกการใช้เงินสกุลดอลลาร์ซิมบับเวในประเทศและยอมรับการใช้เงินสกุลอื่นในประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 เมษายน 2552 โดยกล่าวว่า จะหยุดใช้เงินสกุลนี้ไปอย่างน้อยหนึ่งปี จนกว่าประเทศจะพร้อมกลับไปใช้เงินสกุลนี้อีกครั้ง เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเยียวยาตัวมันเอง นับจากวันนั้น ภาวะเงินเฟ้อในซิมบับเวลดลงสู่ระดับเกือบปกติในทันที และไม่เคยพุ่งสูงอีกเลย และจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลเลิกใช้เงินสกุลนี้มีแล้วหลายปี แต่ก็ยังไม่ได้ให้ประเทศกลับไปใช้เงินสกุลนี้แต่อย่างใด",
"ตารางแสดงถึงการจัดอันดับสกุลเงิน 15 สกุลเงินที่ใช้ในการชำระเงินข้ามประเทศมากที่สุดในโลก (15 most frequently used currencies in World Payments) โดยสมาคมโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT)",
"เนื่องจากประเทศอันดอร์ราไม่มีสกุลเงินใช้เป็นของตนเอง โดยก่อนหน้านี้ใช้เงินสกุลฟรังก์ฝรั่งเศสและเปเซตาสเปน ในปัจจุบันใช้สกุลเงินยูโรเป็นหลัก รายได้ GDP ต่อหัว ประมาณ 16,600 ดอลลาร์สหรัฐ และมี GDP โดยรวมประมาณ 1,065,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนประมาณ 15,000,000 คนต่อปี",
"ตามข้อมูลของสมาคมโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) สกุลเงินบาทได้รับการอันดับเป็นสกุลเงินอันดับที่ 10 ของโลกที่ใช้ในการชำระเงินระหว่างประเทศ (most frequently used currencies in World Payments)[1]",
"กระเป๋าเงินทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นสำหรับทำธุรกรรมสกุลเงิน Counos ถึงแม้ว่ากระเป๋าเงินจะถูกจัดว่าเป็นสิ่งที่ใช้จัดเก็บสกุลเงินดิจิทัล Counos ตามการทำงานพื้นฐานของระบบ แต่สกุลเงินดิจิทัล Counos ไม่สามารถแยกออกได้จากการทำธุรกรรมบล็อกเชน แต่หากอธิบายให้ดียิ่งขึ้น กระเป๋าเงิน คือ “สิ่งที่เก็บข้อมูลสำคัญทางดิจิทัลสำหรับเงิน Counos ของคุณ” และช่วยให้คุณสามารถเข้าถึง (และใช้จ่าย) เงินเหล่านั้นได้ กระเป๋าเงิน Counos จะไม่ได้ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงิน แต่จะจัดเก็บคีย์ส่วนตัว (รหัสดิจิทัลรักษาความปลอดภัยสำหรับคุณและกระเป๋าเงินเท่านั้น) และจะแสดงความเป็นเจ้าของคีย์ดังกล่าว (รหัสดิจิทัลสาธารณะที่เชื่อมต่อกับจำนวนสกุลเงิน) ดังนั้น กระเป๋าเงินของคุณจัดเก็บคีย์ส่วนตัวและสาธารณะเข้าด้วยกัน ทำให้คุณสามารถส่งและรับเหรียญอีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทำธุรกรรมส่วนบุคคล[35]",
"สหราชอาณาจักร ใช้เงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิง(ได้ออกจากEUแล้ว) สวีเดน ใช้เงินสกุลโครนสวีเดน เดนมาร์ก ใช้เงินสกุลโครนเดนมาร์ก DKK 7.46038 XEU 1 = DKK 0.19770007 บัลแกเรีย ใช้เงินสกุลเลฟ DEM 1.95583 XEU 1 = DEM 0.625083268 โรมาเนีย ใช้เงินสกุลเลอู ฮังการี ใช้เงินสกุลโฟรินต์ สาธารณรัฐเช็ก ใช้เงินสกุลโครูนาเช็ก โครเอเชีย ใช้เงินสกุลคูนา โปแลนด์ ใช้เงินสกุลซวอตี",
"ดอลลาร์ (; $) เป็นชื่อของสกุลเงินที่ใช้เหมือนกันในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ สกุลเงินของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเงินสกุลสำคัญสกุลหนึ่งของโลก",
"ประเทศไทยเป็นเสือเศรษฐกิจของเอเชีย ในปี 2560 ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน และเป็นอันดับเก้าของ \nเอเชีย ระหว่างปี พ.ศ. 2529 - 2539 เป็นยุคของการเปิดเสรีครั้งใหญ่และการเติบโตแบบเศรษฐกิจฟองสบู่ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจทุนนิยมโลกปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลสำคัญ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงเมื่อเทียบเงินเยนญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ โยกย้ายการลงทุนมาไทยและเอเชียอาคเนย์เพิ่มมากขึ้น การส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลที่มาจากนักธุรกิจ ข้าราชการ และชนชั้นกลางก็เปิดเสรีทางการเงิน การค้า การลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตสูงเฉลี่ยราวร้อยละ 8 - 10 ต่อปี",
"ในหลายประเทศสกุลเงินสามารถมีชื่อเดียวกันได้ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์ฮ่องกง และดอลลาร์แคนาดา และในหลายประเทศใช้สกุลเงินเดียวกัน เช่นในประเทศแถบยุโรปหลายประเทศใช้สกุลเงินยูโร และในบางประเทศใช้หน่วยเงินของประเทศอื่นเป็นเกณฑ์เช่นประเทศปานามา และ ประเทศเอลซัลวาดอร์ ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ",
"ธนาคารแห่งรัฐเยอรมันได้กำหนดสกุลเงินมาร์คเยอรมัน (Deutsche Mark) ขึ้นเมื่อในวันที่ 20 มิถุนายน 1948 และภายหลังกฎหมายพื้นฐาน (รัฐธรรมนูญ) ของเยอรมันบังคับใช้ในปี 1949 ก็นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารกลางเยอรมันก่อตั้งในปี 1957 เพื่อเข้ารับช่วงต่อจากธนาคารแห่งรัฐเยอรมัน (Bank deutscher Länder) ซึ่งเงินสกุลมาร์คนี้ใช้งานจนถึงปี 2002 ก็ถูกแทนที่ด้วยเงินสกุลยูโร",
"กลไกอัตราแลกเปลี่ยนยุโรป (, ย่อ: ERM) เป็นระบบซึ่งริเริ่มโดยประชาคมยุโรปในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2522 โดยเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินยุโรป เพื่อลดความแปรปรวนของอัตราแลกเปลี่ยนและบรรลุเสถียรภาพการเงินในยุโรป เพื่อเป็นการเตรียมการสำหรับสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน และการริเริ่มเงินยูโรสกุลเดียว ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2542 หลังเริ่มใช้เงินยูโร นโยบายได้เปลี่ยนเป็นการเชื่อมโยงสกุลเงินของประเทศนอกยูโรโซนเข้ากับเงินสกุลยูโร โดยมีสกุลเงินกลางเป็นจุดกลาง เป้าหมายคือ เพื่อปรับปรุงเสถียรภาพของค่าเงินเหล่านี้ เช่นเดียวกับการเพิ่มกลไกการประเมินสำหรับสมาชิกยูโรโซนที่มีศักยภาพ กลไกนี้รู้จักกันในชื่อ ERM2",
"เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948 สหรัฐอเมริกาและอังกฤษยื่นข้อเสนอต่อสภาปกครองฝ่ายพันธมิตรให้สร้างสกุลเงินเยอรมนีใหม่เพื่อแทนที่สกุลเงินไรช์มาร์ค (Reichsmark) ที่มีปริมาณล้นอยู่ในระบบและขาดมูลค่าอย่างแท้จริง สหภาพโซเวียตปฏิเสธข้อเสนอนี้เพราะต้องการให้เยอรมนีคงสภาพอ่อนแอ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกทั้งสามจึงร่วมมือกันสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นมาอย่างลับ ๆ และประกาศใช้ในพื้นที่ของตนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1948 ในชื่อสกุลเงินดอยช์มาร์ค (Deutsche Mark) สหภาพโซเวียตไม่ยอมรับสกุลเงินนี้ แต่ฝ่ายตะวันตกได้แอบลักลอบเอาเงินสกุลใหม่นี้เข้าไปในเบอร์ลินเป็นจำนวนถึง 250,000,000 ดอยช์มาร์คแล้ว ไม่นานนัก ดอยช์มาร์คก็กลายเป็นสกุลเงินมาตรฐานในทุกพื้นที่ของเยอรมนี",
"สกุลเงินดิจิทัล (หรือสกุลเงินคริปโต) คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาสำหรับใช้แลกเปลี่ยนและทำธุรกรรมทางการเงิน ควบคุมการสร้างหน่วยเงินเพิ่มเติมและตรวจสอบความถูกต้องของการถ่ายโอนทรัพย์สิน[26][27] สกุลเงินดิจิทัลคือสกุลเงินดิจิทัลประเภทหนึ่ง หรือสกุลเงินเสมือนหรือสกุลเงินทางเลือก ทั้งนี้ สกุลเงินดิจัลใช้การควบคุมที่ไม่ขึ้นกับส่วนกลาง[28]และต่อต้านเงินอิเล็คทรอนิกที่ขึ้นกับส่วนกลางและระบบการธนาคารกลาง การควบคุมที่ไม่ขึ้นกับส่วนกลางของแต่ละสกุลเงินดิจิทัลทำงานผ่านเทคโนโลยีการแจกจ่ายหรือที่เรียกว่า บล็อกเชน ที่ทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินสาธารณะ Bitcoin ซึ่งเปิดตัวเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สครั้งแรกในปี 2009 โดยทั่วไปถือว่าเป็นสกุลเงินคริปโตแรกที่ไม่ขึ้นกับส่วนกลาง นับตั้งแต่ การปล่อยบิทคอยน์ อัลท์คอยน์กว่า 4,000,000 เหรียญ (อีกประเภทหนึ่งของบิทคอยน์หรือสกุลเงินคริปโตอื่นๆ ) ได้ถูกสร้าง ขึ้น[29]",
"ISO 4217 เป็นมาตรฐานสากลสำหรับรหัสสกุลเงินที่ใช้ในประเทศต่างๆ มักใช้ในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามธนาคาร ประกอบด้วยอักษรละตินตัวใหญ่ 3 ตัวจากชื่อประเทศและชื่อของสกุลเงินที่ใช้ในประเทศนั้น"
] |
ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกโอแฮร์ สร้างเสร็จเมื่อไหร่? | [
"ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2485-2486 เป็นโรงงานผลิตเครื่องดักลาส ซี-54 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุที่เลือกที่ดินบริเวณนี้ก็เพราะว่าอยู่ใกล้กับตัวเมืองและการคมนาคมขนส่ง ด้วยพื้นที่ขนาด 180,000 ตารางเมตร (ประมาณ 2 ล้านตารางฟุต) ต้องการคมนาคมเข้าออกสะดวกสำหรับแรงงานจากเมืองที่กลายมาเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ และมีทางรถไฟรองรับ ชุมชนออร์คาร์ด เพลส (Orchard Place) เป็นชุมชนเล็กๆที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นมาก่อน จึงเรียกชื่อบริเวณนี้ว่าท่าอากาศยานออร์คาร์ด เพลส/ดักลาส ฟิลด์ (Orchard Place Airport/Douglas Field) ในช่วงระหว่างสงคราม (และเป็นที่มาของรหัส IATA - ORD) และยังเป็นคลังสรรพาวุธของการบิน 803 ซึ่งเก็บเครื่องบินหายาก หรือเครื่องบินรุ่นทดลองไว้ รวมทั้งเครื่องบินของฝ่ายข้าศึกที่ยึดมาได้ โดยเครื่องบินประวัติศาสตตร์เหล่านั้นได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อากาศยานแห่งชาติ (National Air Museum) ในภายหลัง"
] | [
"ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ () ตั้งอยู่ในพื้นที่ถมทะเล ชานเมืองนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นท่าอากาศยานแห่งใหม่ที่ตั้งขึ้นมาแทนท่าอากาศยานนานาชาติชูบุ (Chubu International Airport) โดยสร้างขึ้นเพื่อรองรับงานเอ็กซ์โป 2005 ที่จังหวัดไอชิ เนื่องจากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่กึ่งกลางประเทศญี่ปุ่น จึงสามารถเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศของประเทศที่สำคัญ มีลักษณะพิเศษคือมีพื้นที่พาณิชยกรรมแยกอยู่บนชั้นหนึ่งของอาคารผู้โดยสาร เรียกว่า แอร์ซิตี (Aircity) ประกอบด้วยพื้นที่ขายของแบบตะวันตก แบบญี่ปุ่น และพื้นที่พักผ่อน เช่น โรงอาบน้ำแร่ ทำให้นอกจากเป็นท่าอากาศยานแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวของประชาชนในจังหวัดไอชิและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเดินทางระหว่างตัวเมืองนาโงยะได้รถไฟฟ้าความเร็วสูง ภายในเวลา 20 นาที",
"ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกโอแฮร์ (Chicago O'Hare International Airport) ตั้งอยู่ที่ ชิคาโก, รัฐอิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา ห่างจากตัวเมืองชิคาโกไปทางตัวะนตกเฉียงเหนือ 27 กิโลเมตร (17 ไมล์) เป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ และเป็นท่าอากาศยานรองของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ บริหารงานโดยกรมขนส่งทางอากาศเมืองชิคาโก (City of Chicago Department of Aviation)",
"การก่อสร้างของสนามบินจะเริ่มต้นในปี 2015 ด้วยงบประมาณ 6,740,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ระยะแรกมีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2020 มีความจุผู้โดยสาร 25 ล้านต่อปีและ สินค้า 1.2 ล้านตันต่อปี และจะสร้างทางวิ่งทั้งหมด 2 ทางวิ่งเมื่อระยะที่ 1 เสร็จสมบูรณ์ท่าอากาศยานนานาชาติล็องถั่ญแห่งใหม่นี้จะให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด ในขณะที่ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ตแห่งเดิมจะให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศทั้งหมด โดยแบ่งเป็นสามระยะย่อยตามดังนี้",
"ท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์ (; ), อยู่ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ ไปทางตอนใต้ 35 กิโลเมตร เป็น 1 ใน 3 ท่าอากาศยานนานาชาติของ ประเทศพม่า สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2542 อีกทั้งยังเป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในประเทศ มีทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ยาวถึง 14,000 ฟุต หรือ 4,268 เมตร ซึ่งถือว่ามีความยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบิน โกลเดนเมียนมาร์แอร์ไลน์",
"ถึงแม้ว่าโอแฮร์จะเป็นท่าอากาศยานหลัก แต่ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานอันดับสอง อยู่ใกล้กับย่านเศรษฐกิจของชิคาโก (Chicago Loop) มากกว่า",
"รถไฟในเมืองชิคาโกมีการเชื่อมต่อเข้ากับท่าอากาศยานทั้งสองแห่ง โดยจากในเมืองชิคาโกสามารถเดินทางไปยังท่าอากศยานนานาชาติโอแฮร์ทางสายสีน้ำเงินโดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที และจากเมืองชิคาโกไปท่าอากาศยานมิดเวย์ใช้สายสีส้มใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที นับจากเขตชิคาโกลูปเขตธุรกิจกลางเมืองชิคาโก",
"ส่วนทางอากาศยาน มีท่าอากาศยานนานาชาติมักตันเซบู ตั้งอยู่ที่เมืองลาปูลาปู เป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารหนาแน่นอันดับที่ 2 ของประเทศ (รองจากท่าอากาศยานนานาชาตินินอย อากีโน) และเป็นเพียง 1 ใน 3 แห่งบนหมู่เกาะวิซายัส ที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ (อีกสองแห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติคาลีโบ และท่าอากาศยานนานาชาติอีโลอีโล) ท่าอากาศยานมักตันเซบูยังเป็นฐานการบินหลักของเซบูแปซิฟิกและฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ ที่มีจุดหมายปลายทางทั้งในและนอกประเทศ",
"ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นทุก ๆ ปี โดยอาคารผู้โดยสารหลังล่าสุด ก่อสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2006 และการขยายทางวิ่ง ก่อสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2008 อาคารที่ได้รับการปรับปรุง มีรูปแบบคล้ายกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1998",
"ในช่วงก่อนที่รันเวย์ที่สองของสนามบินนานาชาติโตเกียวแห่งใหม่จะสร้างเสร็จ หรือชื่อในปัจจุบันคือ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ สายการบินจากไต้หวันจะต้องบินไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว (รู้จักกันในชื่อ \"สนามบินฮะเนะดะ\") เพื่อหลีกให้กับสายการบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่บินไปลงที่นะริตะ และเช่นเดียวกับสายการบินอื่น ๆ เจแปนแอร์ไลน์ก็ได้จัดตั้งสายการบินลูกชื่อ เจแปนเอเชียแอร์ไลน์ เพื่อบินในเส้นทางไต้หวันแทน",
"จากการสำมะโนประชากรในปี พ.ศ. 2548 จังหวัดโอซากะมีประชากร 8,817,166 คน เพิ่มขึ้นจากการสำมะโนประชากรในปี พ.ศ. 2543 จำนวน 12,085 คน หรือร้อยละ 0.14จังหวัดโอซากะ มีการคมนาคมที่ทันสมัย มีท่าอากาศยานนานาชาติอยู่สองแห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ และ ท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ และยังมีรถไฟความเร็วสูงชิงกันเซ็งวิ่งผ่าน โดยจะจอดที่สถานีชินโอซากะ ไม่ไกลจากตัวเมือง ส่วนการคมนาคมทางเรือก็สะดวกสบาย สามารถโดยสารเรือไปได้ทั้งในและต่างประเทศสัญลักษณ์ของจังหวัดโอซากะ คือ sennari byōtan หรือ พันน้ำเต้า ซึ่งเคยเป็นตราของไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้ปกครองผู้สร้างปราสาทโอซากะ",
"ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ (Chicago Midway International Airport) หรือเรียกโดยทั่วไปว่า สนามบินมิดเวย์ ตั้งอยู่ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 13 กิโลเมตร เป็นท่าอากาศยานรองของสายการบินเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ และแอร์ทรานแอร์เวย์",
"ภายหลังเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง รัฐบาลได้เห็นความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา–พัทยา ให้มากขึ้น จึงได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ โดยใช้รูปแบบใกล้เคียงกับท่าอากาศยานพิษณุโลก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังจังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด อาคารเหล่านี้จะเริ่มก่อสร้างปี พ.ศ. 2558 แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2563",
"ประเทศมาเลเซีย กัวลาลัมเปอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ฐานการบินหลัก ปีนัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง ฐานการบินหลัก ยะโฮร์บาห์รู - ท่าอากาศยานนานาชาติเซนัยฐานการบินหลัก โกตากีนาบาลู - ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู ฐานการบินหลัก อลอร์สตาร์ - ท่าอากาศยานอลอร์สตาร์ บินตูลู - ท่าอากาศยานบินตูลู โกตาบารู - ท่าอากาศยานสุลตานอิสมาอีล เปตรา กัวลาเตอเริงกานู - ท่าอากาศยานกัวลาเตอเริงกานู ลาบวน - ท่าอากาศยานลาบวน มีรี - ท่าอากาศยานมีรี กูชิง - ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง ซันดากัน - ท่าอากาศยานซันดากัน ซิบู - ท่าอากาศยานซิบู ตาเวา - ท่าอากาศยานตาเวา เกาะลังกาวี - ท่าอากาศยานนานาชาติลังกาวี ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร - ท่าอากาศยานดอนเมือง ภูเก็ต - ท่าอากาศยานภูเก็ต หาดใหญ่ - ท่าอากาศยานหาดใหญ่ กระบี่ - ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ เชียงใหม่ - ท่าอากาศยานเชียงใหม่ พัทยา - ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อุดรธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ประจวบคีรีขันธ์ - ท่าอากาศยานหัวหิน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย บันดาอาเจะฮ์ - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่านอีสกันดาร์มูด้า เมดาน - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลานามู เปกันบารู - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่าน Syarif Qasim ปาดัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาดัง ปาเล็มบัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาเล็มบัง จาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา บันดุง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮุสเซอิน ซัสตราเนการ่า ยอกยาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติอดิสุจิบโต เซมารัง - ท่าอากาศยานนานาชาติ Achmad Yani สุราบายา - ท่าอากาศยานนานาชาติจวนดา บาหลี - ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร เดนปาซาร์ ลอมบอก - ท่าอากาศยานนานาชาติลอมบอก บาลิก์ปาปัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบาลิก์ปาปัน มากัซซาร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติมากัซซาร์ อูจุง ปาดัง โซโล (สุราการ์ตา) - ท่าอากาศยานนานาชาติโซโล(Adisumarmo) สาธารณรัฐสิงคโปร์ สิงคโปร์ - ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี ประเทศบรูไน บันดาร์เซอรีเบอกาวัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบันดาร์เซอรีเบอกาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ กรุงมะนิลา - สนามบินนานาชาติคลาร์ค ประเทศพม่า ย่างกุ้ง - ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง ประเทศลาว เวียงจันทน์ - ท่าอากาศยานนานาชาติวัตไต สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ฮานอย - ท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบ โฮจิมินห์ซิตี - ท่าอากาศยานนานาชาติเติ่นเซินเญิ้ต ประเทศกัมพูชา พนมเปญ - ท่าอากาศยานนานาชาติโปเชนตง เสียมราฐ - ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ สาธารณรัฐประชาชนจีน กวางโจว - ท่าอากาศยานนานาชาติกวางโจวไป๋หยุน กุ้ยหลิน - ท่าอากาศยานนานาชาติกุ้ยหลิน เซินเจิ้น - ท่าอากาศยานนานาชาติเซินเจินบาวอัน หนานหนิง - ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง คุนหมิง - ท่าอากาศยานนานาชาติคุนหมิงอูเจียป้า เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ฮ่องกง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง เขตบริหารพิเศษมาเก๊า มาเก๊า - ท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า สาธารณรัฐจีน ไทเป - ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถาหยวน ประเทศอินเดีย โกลกาตา - ท่าอากาศยานนานาชาติเนตาจิสุภาสจันทรโภส เจนไน - ท่าอากาศยานนานาชาติเชนไน บังคาลอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติบังคาลอร์ โคชิ - ท่าอากาศยานนานาชาติโกชิ ติรุจิรัปปัลลิ - ท่าอากาศยานนานาชาติติรุจิรัปปัลลิ",
"มหานครโตเกียวได้ตั้งกองทุนสำรองจำนวน 400 พันล้านเยน (มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกครั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาความจุของท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว และท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะ เพื่อที่จะขยายให้รองรับการแข่งขันครั้งนี้ รวมถึงโครการสร้างรางรถไฟสายใหม่ ซึ่งมีการวางแผนที่จะเชื่อมโยงสนามบินทั้งสองจะสิ้นสุดที่สถานีรถไฟโตเกียว เพื่อลดระยะเวลาการเดินทางจากสถานีรถไฟโตเกียวไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียวจาก 30 นาที เหลือ 18 นาที และจากสถานีรถไฟโตเกียวไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะจาก 55 นาที เหลือ 36 นาที โดยโครงการนี้ต้องใช้งบประมาณ 400 พันล้านเยน นอกจากภาครัฐแล้ว ภาคเอกชนยังสนับสนุนการลงทุนอีกด้วย แต่บริษัทรถไฟอีสต์ เจอาร์ ก็ยังมีการวางแผนเส้นทางรถไฟใหม่จากสถานีรถไฟทามาชิไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียวด้วยเช่นกัน กองทุนนี้ยังมีการวางแผนที่จะเร่งโครงการทางพิเศษชุโตะ ทางพิเศษโตเกียวไงคัน ทางพิเศษเคนโอะ และปรับปรุงทางด่วนอื่นๆในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายระบบคมนาคมไร้คนขับ (สายยุริกะโมะเมะ) จากสถานีที่มีอยู่คือ สถานีโทะโยะซุ ไปยังอาคารใหม่ของสถานีคาจิโดกิ ซึ่งผ่านหมู่บ้านนักกีฬา แม้ว่ายุริกะโมะเมะยังไม่สามารถที่จะให้บริการ ซึ่งเพียงพอต่อการใช้บริการเป็นจำนวนมากในเขตโอะไดบะ ที่เป็นหนึ่งในพื้นที่บริการของยุริกะโมะเมะ",
"ออลนิปปอนแอร์เวย์ (All Nippon Airways) หรือ บริษัท เดินอากาศเซ็งนิปปง มหาชนจำกัด () หรือย่อว่า ANA เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และมีท่าอากาศยานหลักนานาชาติคือ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ และ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (โอซาก้าใต้) และมีท่าอากาศยานหลักภายในประเทศคือ ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว ท่าอากาศยานนานาชาติโอซะกะ ท่าอากาศยานชูบุเซ็นแทรร์ (นาโกย่า) และ ท่าอากาศยานชินชิโตเสะ (ซัปโปโร)",
"นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโก/ร็อคฟอร์ด ในเมืองร็อคฟอร์ด ที่มีความพยายามเสนอตัวเป็นทางเลือกเพื่อลดความแออัดของโอแฮร์ ปัญหาที่สำคัญของท่าอากาศยานแห่งนี้ก็คือ การจราจรระหว่างท่าอากาศยานกับโอแฮร์กับตัวเมืองชิคาโก ที่ยังไม่พร้อมที่ระรองรับการขยายตัว แต่นายกเทศมนตรีคนปัจจุบันของเมืองร็อคฟอร์ด แลร์รี่ มอร์ริสซีย์ ก็ได้เร่งสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงระหว่างชิคาโก/ร็อคฟอร์ดและโอแฮร์ เพื่อสร้างโอกาสของท่าอากาศยานในอนาคต",
"ท่าอากาศยานนานาชาติเจเนรัลมิตเชลล์ ในมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน เป็นท่าอากาศยานอีกแห่งหนึ่งที่เสนอตัวเป็นทางเลือกของเมืองชิคาโก และเมืองทางตอนเหนือของอิลลินอยส์ และยังมีระบบรถไฟแอมแทร็ก เชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานมิตเชลล์และเมืองชิคาโกอยู่แล้ว",
"ชิคาโก แอล สายสีส้ม เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนหนึ่งของชิคาโก แอล มหานครชิคาโก มีระยะทาง (เวลาในการเดิน 35 นาที) เส้นทางระดับดินและยกระดับ เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 63,037 คน",
"บรันเดินบวร์คมีโรงเรียน 977 โรง (ไม่รวมสถาบันอุดมศึกษา) ในปีการศึกษา 2006/2007 มีนักเรียน 313,000 คน ครู 19,000 คนบรันเดินบวร์คใช้สนามบินสามแห่งร่วมกันกับเบอร์ลิน ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินเทเกิล, ท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินเท็มเพิลโฮฟ และท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินเชอเนอเฟ็ลท์ โดยท่าอากาศยานเชอเนอเฟ็ลท์กำลังอยู่ในการก่อสร้างเพิ่มเติม เมื่อแล้วเสร็จจะกลายเป็นท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลินบรันเดินบวร์ค โดยท่าอากาศยานเทเกิลและเท็มเพิลโฮฟจะปิดตัวลงหลังจากการเปิดใช้ท่าอากาศยานเบอร์ลินบรันเดินบวร์ค",
"ชิคาโกมีสนามบินขนาดใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ และ ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ และท่าอากาศยานพาณิชย์ขนาดเล็กอีกหลายแห่งโดยรอบ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติแกรี/ชิคาโก และ ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกร็อกฟอร์ด และลานเฮลิคอปเตอร์สาธารณะ ชิคาโกเวอร์ทีพอร์ต",
"ในปีพ.ศ. 2538 เมืองชิคาโก และเมืองแกรี่ ในรัฐอินดีแอนา ได้จับมือกันตั้งกรรมการบริหารท่าอากาศยานนานาชาติแกรี่/ชิคาโกขึ้นมาปรับปรุงท่าอากาศยานแห่งนี้ขึ้นมาเป็นท่าอากาศยานอันดับ 3 ที่รองรับเมืองชิคาโก แต่แผนปฏิบัตินี้มีขนาดเล็กกว่าข้อเสนอปรับปรุงท่าอากาศยานอับบราฮัม ลินคอล์น แต่แกรี่/ชิคาโกก็มีความพร้อมตรงที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าชิคาโกมิดเวย์ รวมทั้งมีทางวิ่งให้บริการที่ยาวกว่าทางวิ่งที่ยาวที่สุดของชิคาโกมิดเวย์ อย่างไรก็ตามรัฐบาลรัฐอิลลินอยส์ก็ไม่ได้เห็นพ้องกับเมืองชิคาโกเท่าใดนัก มีเพียงผู้ว่าการรัฐอินเดียนา มิตช์ แดเนียลส์ ที่ให้การสนับสนุนเงินทุนพัฒนาท่าอากาศยาน ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างขยายขนาดทางวิ่งอยู่ และองค์กรการบินสหรัฐอเมริกา (FAA) ก็เห็นชอบกับโครงการนี้ และเห็นความจำเป็นในการขยายขีดความสามารถทั้งของโอแฮร์ และแกรี่/ชิคาโก เพื่อรองรับเมืองชิคาโก",
"ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี หรือ สนามบินอุดรธานี () ตั้งอยู่ในตัวเมืองของ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ตัวสนามบินตั้งอยู่ในเขตทหารกองทัพอากาศ (กองบิน 23) ท่าอากาศยานอุดรธานีเป็นท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ท่าอากาศยานอุดรธานีได้รับการปรับปรุงและสร้างอาคารผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีกและเชื่อมต่อกับตัวอาคารเดิมโดยได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในการปรับปรุง สร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2549 ตัวจังหวัดอยู่ห่างจาก กรุงเทพมหานคร 564 กิโลเมตร ",
"เมืองชิคาโกได้อนุมัติวงเงินทุน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของท่าอากาศยานอีกร้อยละ 60 และลดความล่าช้าลงประมาณร้อยละ 79[6] โดยแผนงานนี้ได้รับอนุมัติจากการท่าอากาศยานสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเกี่ยงข้องกับการขยายพื้นที่ของท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร โดยจะมีทางวิ่ง 4 เส้น ที่สร้างเพิ่ม และรื้อถอนออกไป 3 เส้น ซึ่งจะทำให้มีทางวิ่งขนานกันทั้งหมด 8 เส้น คล้ายกับกรณีของดัลลาส โดยจะทำให้โอแฮร์ขยายขีดความสามารถที่จำกัดเพื่อที่โอแฮร์จะไม่เพลี้ยงพล้ำให้กับท่าอากาศยานใดๆ ในกรณีของจำนวนผู้โดยสารในอนาคต แผนการปรับปรุงนี้ได้เริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว หลังจากที่เกิดความล่าช้ามานาน และทางวิ่งใหม่เส้นแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2551-2552 และจะขยายอาคารผู้โดยสาร 3 และ 5 ส่วนอาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะตั้งอยู่สุดทางฝั่งตะวันตกของพื้นที่ พร้อมกับทางเข้าออกใหม่ อย่าไรก็ตามจะต้องมีการเวนคืนที่ดินบางส่วน ประมาณ 2,800 ครัวเรือน โครงการนี้จะทำให้ท่าอากาศยานแห่งนี้สามารถรองรับการจราจรได้มากกว่า 3,800 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 2,700 เที่ยวบินต่อวัน และจะทำให้ความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย",
"ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถา-ยฺเหวียน (จีนตัวเต็ม: 台灣桃園國際機場 หรือ 臺灣桃園國際機場, ไต้หวันพินอิน: Táiwan Táoyuán Gúojì Jicháng, พินอิน: Táiwān Táoyuán Gúojì Jīcháng) เดิมคือท่าอากาศยานนานาชาติเจียงไคเช็ก (จีนตัวเต็ม: 中正國際機場, ไต้หวันพินอิน: Jhongjhèng Gúojì Jicháng, พินอิน: Zhōngzhèng Gúojì Jīcháng) ตั้งอยู่ที่เมืองเถา-ยฺเหวียน ในเขตไต้หวัน ประเทศสาธารณรัฐจีน เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐจีน และเป็นท่าอากาศยานหลักของไชน่าแอร์ไลน์ และอีวีเอแอร์ โดยอาคาร 1 รองรับผู้โดยสารได้ 15ล้านคน อาคาร 2 รองรับผู้โดยสารได้ 17ล้านคน รวมกันได้ 32ล้านคนต่อปี\nปัจจุบันอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานไต้หวันเถาหยวนรองรับรวมได้ 32 ล้านคน โดยในอนาคตจะ มีแผนจะสร้างอาคาร 4 เป็นแบบอาคารขนาดเล็กที่สามารถรองรับได้ 5ล้านคน ก่อนที่จะ มีการก่อสร้างอาคารผุ้โดยสารอาคาร 3 โดยสามารถรองรับเพิ่มเติมได้ อีก 8ล้านคน เมื่อโครงการเสร็จสิ้นจะสามารถรองรับได้มากถึง 45 ล้านคนในอนาคต และในปี พศ 2576(คศ 2042) จะสามารถพัฒนาได้มากถึง 86ล้านคนพร้อมกับการสร้างรันเวย์ที่ 3",
"ภายในโตเกียวมีท่าอากาศยานนานาชาติฮาเนดะ (โตเกียว) ซึ่งให้บริการเที่ยวบินในประเทศเป็นส่วนใหญ่และเป็นสนามบินที่มีจำนวนผู้ใช้บริการมากที่สุดในเอเชีย[30] ท่าอากาศยานนานาชาติหลักคือท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะซึ่งอยู่ในจังหวัดชิบะ เกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอิซุก็มีสนามบินของตนเอง เช่น ท่าอากาศยานฮาจิโจจิมะ ท่าอากาศยานมิยาเกจิมะ ท่าอากาศยานโอชิมะ และมีเที่ยวบินมายังสนามบินฮาเนดะ แต่หมู่เกาะโองาซาวาระยังไม่มีสนามบิน เพราะมีข้อโต้แย้งว่าไม่ควรสร้างสนามบินเพราะจะเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติของเกาะ[31]",
"สัญญาของบริษัทดักลาส แอร์คราฟต์ สิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2488 และแม้ว่าตามแผนการจะสร้างที่ผลิตเครื่องบินพาณิชย์ แต่บริษัทก็เลือกที่ผลิตจากทางภาคตะวันตกมากกว่า และถึงแม้บริษัทดักลาสจะออกจากพื้นที่ไป แต่ชื่อของท่าอากาศยานยังคงใช้ท่าอากาศยานออร์คาร์ด เพลส และในปีพ.ศ. 2488 นั้นเอง เมืองชิคาโกได้เข้ามาใช้พื้นที่แห่งนี้สำหรับรองรับความต้องการการบินในอนาคต และถึงแม้ว่ารหัสสนามบิน IATA จะยังคงใช้ ORD ที่มีที่มาจากชื่อเดิม แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานใหม่ในปีพ.ศ. 2492 ตามชื่อของ เอ็ดเวิร์ด บุตช์ โอแฮร์ (Edward \"Butch\" O'Hare) นักบินเครื่องบินรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ซึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal of Honor",
"ท่าอากาศยานนานาชาติอัสมาตี (, , \"Mezhdunarodnyy Aeroport Almaty\") เป็นท่าอากาศยานนานาชาติของคาซัคสถาน ห่างจากกรุงอัลมาตีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ท่าอากาศยานนานาชาติมีการขนส่งผู้โดยสารถึงร้อยละ 68 ในคาซัคสถาน ในปี 2012 ท่าอากาศยานนานาชาติได้รองรับผู้โดยสารเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,003,004 คน",
"จนกระทั่งช่วงต้นทศวรรษ 1950 (พ.ศ. 2493) ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ซึ่งเป็นท่าอากาศยายหลักของชิคาโกมาตั้งแต่พ.ศ. 2474 นั้นคับแคบและหนาแน่น แม้ว่าจะได้มีการขยายแล้วก็ตาม และยังไม่สามารถรองรับเครื่องบินเจ็ตรุ่นใหม่ได้ เมืองชิคาโกและการท่าอากาศยานสหรัฐอเมริกา (FAA) หันมาพัฒนาโอแฮร์ให้เป็นท่าอากาศยานหลักของชิคาโกแทน เที่ยวบินพาณาชย์เที่ยวแรกเริ่มให้บริการในปีพ.ศ. 2498 หลังจากนั้นได้สร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขึ้นในปีพ.ศ. 2501 แต่เที่ยวภายภายในประเทศเส้นทางหลักยังคงใช้ที่มิดเวย์จนกระทั่งการขยายของโอแอร์แล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2505 การย้ายที่บินภายในประเทศจากมิดเวย์มายังโอแฮร์ ทำให้โอแฮร์กลายเป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดของโลก รองรับผู้โดยสาร 10 ล้านคนต่อปี และในระยะเวลาเพียง 2 ปี จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในปีพ.ศ. 2540 จำนวนผู้โดยสารถึงระดับ 70 ล้านคน และขณะนี้เพิ่มเป็น 80 ล้านคนต่อปี",
"ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์รองรับผู้โดยสาร 18,868,388 คน ในปีพ.ศ. 2549 ทำให้เป็นท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของชิคาโก เป็นรองจากท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ และอยู่เหนือกว่าท่าอากาศยานนานาชาติแกรี/ชิคาโก และท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโก/ร็อคฟอร์ด",
"ท่าอากาศนานาชาติฮาหมัด ออกแบบเพื่อรองรับการขยายตัวของปริมาณการจราจรทางอากาศในอนาคต ในชั้นแรกสามารถรองรับผู้โดยสารเริ่มต้นที่ 29 ล้านคนต่อปี เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์รองรับปริมาณผู้โดยสารเป็น 50 ล้านคนต่อปี แม้จะมีบางคำแนะนำให้ให้สร้างสนามบินที่รองรับปริมาณคนถึง 93 ล้านคนต่อปีก็ตาม ทำให้ที่นี่กลายเป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่อันดับสองของภูมิภาคตะวันออกกลางรองจาก ดูไบ นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าท่าอากาศยานแห่งนี้จะรองรับเที่ยวบินได้ 320,000 เที่ยว และสินค้า 2 ล้านตันต่อปี มีพื้นที่ตรวจบัตรโดยสารและจำหน่ายสินค้ามาเป็นอันดับที่ 12 ของสนามบินในปัจจุบัน ท่าอากาศยานมีขนาดเป็น 2 ใน 3 ของกรุงโดฮา "
] |
สโมสรฟุตบอลชลบุรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด? | [
"ต่อมาเมื่อทาง สมาคมกีฬาจังหวัดชลบุรี ได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขัน โปรวินเชียลลีก ในปี 2543 จึงได้ออกมาก่อตั้ง ทีมฟุตบอลจังหวัดชลบุรี โดยได้แยก สโมสรฟุตบอลชลบุรี-สันนิบาตฯ สมุทรปราการ ซึ่งในขณะนั้นลงเล่นในดิวิชั่น 1 ออกจากกัน โดยผู้เล่นของทีมส่วนใหญ่ ได้นำผู้เล่นจาก โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี โดยใน ฤดูกาลแรกที่เข้าร่วมแข่งขัน (โปรลีก 2543/44) สโมสรจบอันดับที่ 3 ของตาราง"
] | [
"สโมสรฟุตบอลชลบุรี บี () เป็นสโมสรสำรอง ของสโมสรฟุตบอลชลบุรี ปัจจุบันลงเล่นในไทยลีก 4 ซึ่งปัจจุบันใช้สนามชลบุรีสเตเดียม เป็นสนามเหย้าของสโมสร",
"สนามสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี เป็นสนามกีฬาอเนกประสงค์ มีความจุประมาณ 11,000 คน ตั้งอยู่ภายในสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ในปี พ.ศ. 2553 ใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลชลบุรี เอฟซี ปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลพานทอง เอฟซี",
"สโมสรฟุตบอลบ่อทอง เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีกที่อยู่ โรงเรียนอนุบาลบ่อทอง เลขที่ 8 ถนนหนองเสม็ด-บ่อทอง ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี 20270",
"ต่อมาใน ปี 2011 สโมสรของชมรมฟุตบอลจังหวัดนราธิวาส ได้กลับมาเล่นในระดับ ลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 โซนภาคใต้ อีกครั้ง ในชื่อใหม่ว่า สโมสรฟุตบอลนรา ยูไนเต็ด ในปี 2010 ทีมกอและพิฆาต ร่วมลงแข่งขันรายการ ฟุตบอลซุปเปอร์แชมป์ ครั้งที่ 1 ในนามของ สโมสรฟุตบอลจังหวัดนราธิวาส และเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 39 ชลบุรีเกมส์ และได้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ จนสามารถคว้าเหรียญทองแดงได้สำเร็จ หลังพลาดท่าพ่าย สโมสรฟุตบอลชลบุรี ไปด้วยสกอร์ 1-2 จบเส้นทางการป้องกันแชมป์ เพียงแค่รอบนี้",
"หมวดหมู่:สโมสรฟุตบอลชลบุรี ช หมวดหมู่:จังหวัดชลบุรี หมวดหมู่:สโมสรกีฬาที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2540",
"สโมสรฟุตบอลบางละมุง เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"ดุสิต เฉลิมแสน มีชื่อเล่นว่าโอ่ง เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2513 ที่จังหวัดสกลนคร และเดินทางมาศึกษาต่อที่สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี โดยลงเล่นฟุตบอลระดับนักเรียนให้สถาบัน และเล่นในระดับสโมสรเป็นครั้งแรกกับสโมสรโรงเรียนศาสนวิทยา ที่กำลังก่อตั้งทีมในช่วงแรก ๆ (ปัจจุบันคือสโมสรบีอีซี เทโรศาสน)",
"สโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเลพัทยาก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558 โดยนายพรรณธฤต เนื่องจำนงค์ อดีตประธานสโมสรพัทยา ยูไนเต็ด ภายหลังจากที่นพรรณธฤตได้คืนสิทธิ์ในการบริหารทีมพัทยา ยูไนเต็ดให้กับชลบุรี",
"หลังจากการตกชั้นสู่ลีกรอง ถึงสองครั้งซ้อน ในรอบ 3 ปี สโมสรฯ ก็เริ่มเกิดปัญหาทางการเงิน โดยต้องขายตัวหลักในทีมอย่าง สุจริต จันทกล และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ให้กับ ชลบุรี เอฟซี แต่สโมสรฯก็ได้พยายามทำผลงานให้ดีที่สุด แต่ใน ฤดูกาล 2556 สโมสรจบอันดับที่ 15 รอดตกชั้นแค่คะแนนเดียว (สโมสรฯทำผลงานโดยเก็บได้แค่ 37 คะแนน มีคะแนนเหนือ ระยอง เอฟซี ที่มี 36 คะแนน)\nต่อมา ได้มีการรวมนักฟุตบอล และ เจ้าหน้าที่ของทีม รวมกับ พัทยา ยูไนเต็ด โดยได้มีการเปลื่ยนแปลงยกสโมสร โดยให้ทีมเยาวชนของ ชลบุรี เอฟซี มาเป็นผู้เล่นแกนหลัก โดยกลุ่มบริหารของชลบุรี บริหารเองทั้งหมด โดยมี ธนะศักดิ์ สุระประเสริฐ เป็นประธานสโมสร ให้ วิทยา เลาหกุล เป็นผู้จัดการทีม โดยมี นฤพล แก่นสน เป็นผู้ฝึกสอน โดยผู้เล่นที่รู้จักในทีมชุดนี้ประกอบด้วย วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ, เหมันต์ กิติอำไพพฤกษ์ เป็นต้น แต่ผลงานของทีม กลับแย่จนตกชั้นไปเล่นในระดับ ลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2 ด้วยการจบอันดับที่ 18 มีแค่ 3 คะแนน จากการเสมอ โดยที่ไม่ชนะทีมใดเลย",
"ชลบุรีดาร์บีแมทช์ เป็นชื่อเรียกของการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสโมสรภายในจังหวัดชลบุรี ไม่ว่าจะเป็น คู่ใดคู่หนึ่งของทีม ชลบุรี ศรีราชา หรือ พัทยา ยูไนเต็ด โดยการแข่งขันของทั้งสามสโมสร เป็นการลบข้อครหาที่ว่าทั้งสามทีม ซึ่งบริหารโดยกลุ่มการเมืองกลุ่มเดียวกันที่ว่าอาจจะมีการล้มบอล หรือเล่นแบบสมยอมกันของทั้งสามสโมสร",
"สโมสรฟุตบอลสัตหีบ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"ปี 2558 สโมสรฟุตบอลชลบุรี ที่ได้จเด็จ มีลาภ กลับมาคุมทีมอีกครั้ง พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่สี่ แต่ได้สิทธิในการเข้าร่วมรายการเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกในรอบเพลย์ออฟ รอบสองแทน สโมสรฟุตบอลสุพรรณบุรี ที่ขาดคุณสมบัติเข้าร่วมรายการนี้เนื่องจากติดปัญหาเรื่องคลับไลเซนซิ่ง[14] โดยหลังจบนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่ชลบุรีเปิดบ้านพ่ายให้กับ สโมสรฟุตบอลสระบุรี 0-3 จเด็จ มีลาภ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมทันที[15]",
"ต่อมาเมื่อ สมาคมสันนิบาตสงเคราะห์ จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับตำแหน่งรองชนะเลิศการแข่งขัน ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ข. ประจำปี 2539 ทางกลุ่มผู้ดูแลทีมฟุตบอลฯ ได้มีการเจรจาขอรวมทีม จึงได้ก่อตั้งเป็น สโมสรฟุตบอลชลบุรี–สันนิบาตฯ สมุทรปราการ และได้เข้าแข่งขันใน ดิวิชัน 1[3]",
"สโมสรฟุตบอลหนองใหญ่ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"ต่อมาเมื่อทาง สมาคมกีฬาจังหวัดชลบุรี ได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขัน โปรวินเชียลลีก ทางผู้บริหารจึงทำการได้แยกสโมสรฟุตบอลชลบุรี-สันนิบาตฯ สมุทรปราการ ออกจากกัน ซึ่งในขณะนั้นลงเล่นในดิวิชั่น 1 อยู่ โดยชลบุรีนั้นได้นำผู้เล่นจากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี แทน แต่ก็ยังมาดูแลสโมสรอยู่ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2550 ฉัตรชัย ทิมกระจ่าง นายกเทศมนตรีเมืองศรีราชา (ในขณะนั้น) ได้รับช่วงการบริหารสโมสรชลบุรี-สันนิบาต สมุทรปราการ และทำการเปลื่ยนชื่อเป็น สโมสรฟุตบอลศรีราชา-สันนิบาตฯ เพื่อลงทำการแข่งขัน ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2550 โดยได้รับเกียรติจาก สนธยา คุณปลื้ม, วิทยา คุณปลื้ม และ ชาญวิทย์ ผลชีวิน รับเป็นที่ปรึกษาของสโมสรฯ และมี ทรงยศ กลิ่นศรีสุข เป็นผู้ฝึกสอน และใช้ สนามกีฬาสิรินธร ภายใน โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา เป็นสนามเหย้าของทีม โดยนักฟุตบอลในทีมส่วนใหญ่มาจาก โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา, โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ชลบุรี และ โรงเรียนกีฬาจังหวัดชลบุรี โดยในปีแรก สโมสรฯ ทำผลงานจบที่อันดับ 6 ",
"สโมสรฟุตบอล ปตท. ก่อตั้งขึ้นในปี 2526 โดยเริ่มส่ง การแข่งขันของ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยในปี 2553 สโมสรฯ ได้เปลื่ยนชื่อเป็น สโมสรฟุตบอล ปตท. ระยอง โดยได้ย้ายสนามเหย้าจาก สนามสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี มาเป็น สนามกีฬากลางจังหวัดระยอง และในปี 2554 จึงได้ย้ายสนามเหย้าอีกครั้ง เป็นการถาวรที่ พีทีที สเตเดียม โดยมีจุดประสงค์สำคัญ ในการส่งเสริมกิจกรรมการกีฬา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคมของกลุ่ม ปตท.",
"สโมสรฟุตบอลพัทยา เอฟซี () สโมสรฟุตบอลอาชีพของไทยที่ตั้งอยู่ที่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2530 ปัจจุบันลงเล่นในศึก ไทยลีก 4 โซนภาคตะวันออก",
"สโมสรฟุตบอลชลบุรี เป็นสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย โดยเป็นสโมสรจากจังหวัดชลบุรี ปัจจุบันลงเล่นในไทยลีก เคยได้ตำแหน่งชนะเลิศในฤดูกาล 2550 ซึ่งปัจจุบันใช้สนามชลบุรีสเตเดียม เป็นสนามเหย้าของสโมสร",
"จังหวัดชลบุรีมีทีมฟุตบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงและซึ่งปัจจุบันเล่นอยู่ในไทยลีก 3 ทีม คือ สโมสรฟุตบอลชลบุรี ซึ่งเป็นทีมในอำเภอเมืองชลบุรี มีผลงานได้เป็นแชมป์ประเทศไทยหนึ่งสมัยในปี พ.ศ. 2550 และเป็นตัวแทนไปแข่งในเขตเอเชียในเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก และ สโมสรฟุตบอลพัทยายูไนเต็ด ในเมืองพัทยา และสโมสรฟุตบอลราชนาวี ในอำเภอสัตหีบ",
"สโมสรฟุตบอลเกาะจันทร์ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"สโมสรฟุตบอลจังหวัดนครปฐมก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2542 โดยเริ่มเล่นในโปรวินเชียลลีก ใน พ.ศ. 2547 สโมสรจบฤดูกาลโดยอยู่กลางตารางของลีก ในปีต่อมา สโมสรจบฤดูกาลในสามอันดับแรก และได้รับสิทธิ์เข้าไปเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก ติดต่อกันใน พ.ศ. 2548-49 โดยใน พ.ศ. 2549 สโมสรได้รับสิทธิ์เข้าไปเล่นในลีกสูงสุดของประเทศไทย โดยเป็นทีมสำรองลำดับที่สองของสโมสรฟุตบอลการท่าเรือแห่งประเทศไทย สโมสรนครปฐมไม่ได้นำมาซึ่งเฉพาะความเป็น \"ทีมภูมิภาค\" ในลีกเท่านั้น แต่ยังมีกระแสแฟนบอลที่เดินทางไปเชียร์ทั้งนัดเยือนและนัดเหย้า สโมสรนครปฐมเป็นอีกทีมหนึ่งเช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลจังหวัดชลบุรีและสโมสรฟุตบอลจังหวัดสุพรรณบุรีที่แข่งขันในระดับพรีเมียร์ลีก โดยไม่ใช่ทีมจากกรุงเทพมหานคร",
"ชาคร พิลาคลัง เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวไทย จากจังหวัดสมุทรปราการ สังกัดสโมสรฟุตบอลชลบุรี เอฟซี ตำแหน่งผู้รักษาประตู ปัจจุบันสังกัด สโมสรฟุตบอลชลบุรี ได้รับโอกาสลงสนามนัดแรก ในเวทีไทยพรีเมียร์ลีก เกมที่ ชลบุรี เอฟซี ชนะ สโมสรฟุตบอลราชนาวี 2 - 1 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558\nชาคร พิลาคลัง เกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ แต่ไปเติบโตที่ จังหวัดร้อยเอ็ด เข้ามาคัดตัวกับอะคาเดมี่ ของชลบุรี ตั้งแต่อายุ 10 ปี ปัจจุบันถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ของชลบุรี เอฟซี ในระดับไทยพรีเมียร์ลีก และลงทำหน้าที่ในลีกสูงสุด ในนัดที่เจอกับสโมสรฟุตบอลราชนาวี ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างประทับใจ ชาคร พิลาคลัง มีชื่อติดทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 19 ปี ชิงแชมป์อาเซียน ที่ สปป.ลาว และ สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ",
"สโมสรฟุตบอลเกาะสีชัง เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"สโมสรฟุตบอลจังหวัดตากเริ่มก่อตั้งอย่างเป็นจริงเป็นจังในรูปแบบสโมสรฟุตบอลอาชีพขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยใช้ชื่อว่า “ตาก เอฟซี” ซึ่งแต่เดิมนั้น “ตาก เอฟซี” มีชื่อเดิมว่า “ยอดดอยเก่า” เป็นสโมสรที่โด่งดังเป็นอย่างยิ่งในการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ ประจำโซนภาคเหนือ เดิมเป็นสโมสรท้องถิ่นเล็กๆ ในจังหวัดตากที่ตั้งซอย 21 ตำบลระแหง อำเภอเมือง จังหวัดตาก โดยส่งทีมลงเล่นในโซนภาคเหนือหลายจังหวัดแต่ไม่ได้ส่งแข่งถ้วยพระราชทาน นักฟุตบอลส่วนใหญ่ที่มาเล่นก็จะเป็นเด็กในท้องถิ่นจนกระทั่งสามารถสร้างชื่อเติบโตและได้ไปเล่นให้ทีมสโมสรใหญ่ๆ ในอดีต อย่าง การท่าเรือฯ, ธ.กสิกรไทย,ชลบุรี, การไฟฟ้าฯ ไม่ว่าจะเป็น สุชิน พันธ์ประภาส, ไพบูลย์ เลิศวิมลรัตน์ รวมถึง อ่อง ตัน ตัน (ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติพม่า) ฯลฯ โดยส่วนใหญ่แล้วนักเตะภายในทีมจะถูกป้อนเข้าสู่ทีมสโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในระดับเยาวชนก็จะเล่นให้กับร.ร.อัสสัมชัญศรีราชา จนกระทั่งการกีฬาแห่งประเทศไทยร่วมมือกับสมาคมฟุตบอลฯ จัดการแข่งขันลีกอาชีพโดยเน้นไปที่ท้องถิ่นนิยมขึ้นมามีชื่อว่า “ลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2” ก็ทำให้มีสโมสรฟุตบอลจังหวัดตากเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2 ปี 2552",
"สโมสรฟุตบอลเมืองชล ยูไนเต็ด เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย โดยเป็นทีมจากอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ปัจจุบัน แข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"สโมสรฟุตบอลพนัสนิคม เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"สโมสรฯ ก่อตั้งเมื่อปี 2557 ในนาม สโมสรฟุตบอลอีสาน พัทยา โดยเริ่มต้นเข้าร่วมการแข่งขัน ของ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คือการแข่งขัน ฟุตบอลถ้วย ง ในปี 2557 และทำผลงานได้ดี โดยได้สิทธิ์เลื่อนชั้นทำการแข่งขัน ฟุตบอลถ้วย ค โดยหลังจากจบการแข่งขันฯ ก็ได้แปรสภาพเป็นทีมฟุตบอลเดินสายในแถบ จังหวัดระยอง และ จังหวัดชลบุรี",
"สโมสรฟุตบอลพานทอง เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากอำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี \nปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน ชลบุรีลีก",
"ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ณ สนามชลบุรีสเตเดียม สโมสรฟุตบอลชลบุรีได้จัดพิธีเปิดตัวสัญลักษณ์สโมสรใหม่ ทดแทนสัญลักษณ์แบบเดิมที่ใช้งานมายาวนานนับสิบปี ทั้งนี้นายวิทยา คุณปลื้ม ประธานสโมสร ได้กล่าวถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่าต้องการปรับปรุงภาพลักษณ์ของสโมสรให้มีความเป็นมืออาชีพพร้อมเข้าสู่การแข่งขันในระดับนานาชาติ จึงต้องมีการพัฒนาสัญลักษณ์สโมสรให้มีความเป็นสากลและมีเอกลักษณ์ของตัวเอง[20]"
] |
สหภาพโซเวียต มีเมืองหลวงคือเมืองอะไร? | [
"สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Russian: Сою́з Сове́тских Социалисти́ческих Респу́блик - CCCP; English: Union of Soviet Socialist Republics – USSR) หรือย่อเป็น สหภาพโซเวียต (English: Soviet Union) เป็นประเทศอภิมหาอำนาจในอดีตบนทวีปยูเรเชีย ระหว่างปี ค.ศ. 1922 ถึง 1991 รัฐบาลและเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตถูกรวมอยู่ในระดับสูง สหภาพโซเวียตเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์โดยมีกรุงมอสโกเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐที่ใหญ่ที่สุด สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย มีสถานะที่เท่าเทียมกันในรัฐธรรมนูญเช่นกันกับสาธารณรัฐสหภาพ แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงการปกครองโดยพฤตินัย[1] สหภาพโซเวียตยังเมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่นครเลนินกราด, เคียฟ, มินสค์, อัลมา-อะตา และ โนโวซีบีสค์ สหภาพโซเวียตยังเป็นหนึ่งในห้ารัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง[2], เป็นสมาชิกถาวรถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นสมาชิกขององค์การความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป และเป็นสมาชิกหลักของสภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ และ สนธิสัญญาแห่งไมตรี ความร่วมมือ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน"
] | [
"วันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982 เลโอนิด อิลลิช เบรจเนฟ เลขาธิการกลางคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต คนที่ 3, ผู้นำสหภาพโซเวียตคนที่ 5 และประธานคณะผู้บริหารสูงสุดแห่งสภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียต คนที่ 4 ถึงแก่อสัญกรรมลง ด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด สิริอายุ 75 ปี การถึงแก่อสัญกรรมได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการโดยวิทยุและโทรทัศน์ของสหภาพโซเวียตในวันที่ 11 พฤศจิกายน โดยมีรัฐพิธีศพและฝังร่างที่ กำแพงสุสานเครมลิน ยูรี อันโดรปอฟ ทายาททางการเมืองของเบรจเนฟ ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการกลางในวันที่ 15 พฤศจิกายน 5 วันหลังอสัญกรรมของเบรจเนฟ",
"ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เคอนิชส์แบร์คได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิดโดยฝ่ายสัมพันธมิตรใน ค.ศ. 1944 และในช่วงถูกล้อมใน ค.ศ. 1945 เคอนิชส์แบร์คถูกยึดครองและปกครองโดยสหภาพโซเวียต ชาวเยอรมันที่อยู่ในเมืองถูกขับไล่ทั้งหมดและแทนที่ด้วยชาวรัสเซียและเชื้อชาติอื่นในสหภาพโซเวียต ตามนโยบายการแผลงเป็นรัสเซีย ในช่วงแรกเคอนิชส์แบร์คใช้ชื่อเป็นภาษารัสเซียว่า \"Kyonigsberg\" (Кёнигсберг) ก่อนถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมือง \"คาลีนินกราด\" ใน ค.ศ. 1946 ตามชื่อของมีฮาอิล คาลีนิน ประมุขแห่งรัฐสหภาพโซเวียต",
"คีร์กีซสถาน (คีร์กีซและ) หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐคีร์กีซ (; ) เป็นประเทศในเอเชียกลาง มีพรมแดนติดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดมีชื่อว่าบิชเคก (เดิมเรียกว่า ฟรุนเซ) คีร์กีซสถานเดิมเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต",
"หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระแสชาตินิยมในยูเครนขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ ได้แก่ ความไร้ประสิทธิภาพของระบบสหภาพโซเวียต ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วสหภาพโซเวียตและการพยายามปิดบังข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพโซเวียตต่อกรณีการระเบิดของโรงงานปฏิกรณ์ปรมาณู Chernobyl ที่ตั้งอยู่ในยูเครนในปีค.ศ.1986 และเมื่อประธานาธิบดีกอร์บาชอฟดำเนินนโยบายเปิดกว้างทางการเมือง ได้ส่งผลให้รัฐบาลของสหภาพโซเวียตจำเป็นต้องให้อำนาจแก่สาธารณรัฐและดินแดนปกครองตนเองต่างๆ มากขึ้น กระแสการเรียกร้องสิทธิที่จะปกครองตนเองในยูเครนดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง และในที่สุดยูเครนได้ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1991 ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ.1991 ชาวยูเครนได้ลงประชามติให้ยูเครนประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต",
"\"\"เหตุการณ์ที่ได้นำไปสู่สงครามเยอรมนี-โปแลนด์ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางภายในและความอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดของโปแลนด์ โปแลนด์นั้นเปรียบเสมือนกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว... กรุงวอร์ซอในฐานะเมืองหลวงของโปแลนด์นั้นล่มสลายไปเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงถิ่นแถวของรัฐบาลโปแลนด์อีก ชาวโปแลนด์ถูกทอดทิ้งจากผู้นำที่หมดประกาย ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้อีกแล้ว จะไม่มีโปแลนด์กับรัฐบาลโปแลนด์อีกต่อไป ความสัมพันธ์และสนธิสัญญาใด ๆ ที่เชื่อมโยงระหว่างโปแลนด์กับสหภาพโซเวียตก็ได้สิ้นสุดลง สถานการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในโปแลนด์ทำให้รัฐบาลโซเวียตต้องหันมาเอาใจใส่กับความปลอดภัยของรัฐนี้ โปแลนด์อาจกลายเป็นแหล่งกำเนิดของกองกำลังอันไม่คาดคิดซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับสหภาพโซเวียตได้... นอกเสียจากจะมาอยู่ในความคุ้มครองของรัฐบาลโซเวียต เพื่อรักษาชะตากรรมของพี่น้องร่วมสายเลือดกันกับเรามิให้เปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ ชาวยูเครนและชาวเบลารุส (พวกรัสเซียขาว) ซึ่งอาศัยอยู่ในโปแลนด์มาแต่เดิม ผู้ซึ่งปราศจากสิทธิอันชอบธรรมและไม่ได้รับการเหลียวแลในชะตากรรมของพวกเขาเลย รัฐบาลโซเวียตเห็นว่าเป็นหน้าที่อันสูงส่งที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ชาวยูเครนและชาวเบลารุสพี่น้องของเราซึ่งอาศัยอยู่ในโปแลนด์เหล่านี้\"\"\nแนวชายแดนด้านตะวันออกของโปแลนด์นั้นได้รับการป้องกันโดยกองกำลังพิทักษ์ชายแดน ซึ่งมีกำลังพลประมาณ 25 กองพัน จอมพลเอ็ดเวิร์ด ริดซ์ สมิกลี่ได้ออกคำสั่งให้กองกำลังเหล่านี้ล่าถอยโดยไม่ต้านทานการบุกครองของสหภาพโซเวียต แต่ว่าก็ยังเกิดการรบประปรายหลายครั้ง เช่น ยุทธการกรอดโน ซึ่งทหารและพลเรือนท้องถิ่นพยายามป้องกันเมืองไว้อย่างเหนียวแน่น ระหว่างการบุกครอง ทหารโซเวียตได้สังหารชาวโปแลนด์อย่างเลือดเย็น รวมไปถึงเชลยศึกอย่างนายพล Józef Olszyna-Wilczyński ด้านองค์การชาตินิยมแห่งยูเครนก็ได้ลุกขึ้นสู้กับชาวโปแลนด์ และผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ทั้งหลายก็ลุกขึ้นก่อการปฏิวัติในท้องถิ่น ปล้นขโมยทรัพย์และสังหารชาวโปแลนด์ ขบวนการเหล่านี้ต่อมาได้รับการฝึกฝนจากกลุ่มผู้ตรวจการพลเรือนแห่งราชการภายในของสหภาพโซเวียต (เอ็นเควีดี) การบุกครองของสหภาพโซเวียตในครั้งนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลโปแลนด์เริ่มเชื่อว่าตนจะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ก่อนการโจมตีของสหภาพโซเวียตในทางตะวันออก จึงมีคำสั่งให้ทัพโปแลนด์ที่ตั้งรับเยอรมนีในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเริ่มการถอยทัพ ขณะที่ยังคงรอคอยความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรว่าจะมาโจมตีทางตะวันตกของเยอรมนี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโปแลนด์ปฏิเสธที่จะยอมจำนนหรือเจรจากับเยอรมนี กองทัพโปแลนด์ส่วนที่เหลือได้รับคำสั่งให้อพยพออกจากโปแลนด์และรวมตัวกันใหม่ในฝรั่งเศส",
"ค.ศ. 1941 หลังนาซีเยอรมนีรุกรานโปแลนด์สำเร็จ ฮิตเลอร์ก็ได้ละเมิดข้อตกลงและเริ่มทำสงครามครั้งใหญ่กับสหภาพโซเวียตทันที ถึงแม้จะมีการสูญเสียดินแดนและกำลังพลจำนวนมาก กองทัพแดงโซเวียตก็สามารถต่อต้านกองทัพนาซีได้ ค.ศ. 1945 หลังจากปราบปรามแนวรบของฝ่ายอักษะในยุโรปตะวันออก กองทัพแดงของโซเวียตก็ทำการโจมตีและยึดกรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของเยอรมนีได้สำเร็จ สตาลินได้จบสงครามในยุโรปให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรและนำโซเวียตชนะสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน ทหารอีกกว่า1ล้าน6แสนคนที่พร้อมจะโจมตีญี่ปุ่นแต่ญี่ปุ่นชิงยอมแพ้สงครามกับอเมริกาเสียก่อนเนื่องจากกลัวที่จะสูญเสียเมืองต่างๆอีกมากมายให้กับสหภาพโซเวียต จากนั้นสตาลินก็ได้พัฒนาประเทศให้เจริญเป็นอย่างมากและนำสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นสู่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีประเทศยุโรปตะวันออกที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ โดยมีสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีประเทศยุโรปตะวันตกที่ปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นคู่แข่งจนนำไปสู่สงครามเย็นในที่สุด",
"การทำสงครามระหว่างสหภาพโซเวียตและฟินแลนด์ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 ซึ่งเป็นวันที่เยอรมนีได้เปิดฉากเข้ารุกรานสหภาพโซเวียต การเปิดสงครามได้เริ่มด้วยการโจมตีทางอากาศของโซเวียตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ภายหลังฟินแลนด์ได้เริ่มปฏิบัติการเพื่อปลดเปลื้องสงครามฤดูหนาวครั้งก่อนที่ต้องเสียดินแดน Karelian Isthmus และ Ladoga Karelia ให้แก่สหภาพโซเวียต และเข้ายึดครองคาเรเลียตะวันออกในเดือนกันยายน ค.ศ. 1941 บน Karelian Isthmus ฟินแลนด์ได้หยุดการรุกรานเพียง 30 กม.จากเลนินกราด ที่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเป็นชายแดนระหว่างสหภาพโซเวียตและฟินแลนด์ ในปี ค.ศ. 1944 กองทัพอากาศโซเวียตได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศในเฮลซิงกิและเมืองอื่นๆที่สำคัญของฟินแลนด์",
"มีฮาอิล อีวาโนวิซ คาลีนิน (; 3 มิถุนายน ค.ศ. 1946), ได้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายโดยพลเมืองชาวโซเวียตว่า \"Kalinych\",เป็นนักปฏิวัติบอลเชวิกและเจ้าหน้าที่โซเวียต เขาได้ทำหน้าที่ในฐานะประมุขแห่งรัฐของสหพันธรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียและต่อมาได้เป็นสหภาพโซเวียตตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1919 ถึง ค.ศ. 1926 เขาได้เป็นสมาชิกของโปลิตบูโรแห่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต เมืองเคอนิชส์แบร์ค ซึ่งเป็นอดีตเมืองของปรัสเซียตะวันออกได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นคาลีนินกราด ตามเขา",
"ที่การประชุมยัลตาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตร (สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพโซเวียต) ได้เห็นตกลงกันว่าจะแบ่งแยกประเทศของนาซีเยอรมนีที่ได้พ่ายแพ้ไปแล้วให้กลายเป็นเขตยึดครอง และแบ่งแยกกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี ท่ามกลางอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นกัน ในช่วงแรกการสร้างเขตยึดครองทั้งสาม ได้แก่ อเมริกัน อังกฤษ และโซเวียต ต่อมาเขตยึดครองของฝรั่งเศสได้ถูกแบ่งแยกออกมาจากเขตอเมริกันและอังกฤษ",
"กองทัพโซเวียตได้เข้ายึดครองเอสโตเนียในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ภายหลังจากเยอรมันได้เข้ารุกรานสหภาพโซเวียต เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 กองทัพเยอรมันได้เคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วผ่านรัฐบอลติกภายใต้การยึดครองของโซเวียต และโดยสิ้นสุดลงของเดือนสิงหาคม ทาลลินน์ เมืองหลวงของเอสโตเนียได้ถูกโอบล้อมโดยกองทัพเยอรมัน ในขณะที่ส่วนใหญ่ของกองเรือรบบอลติกธงแดงได้บรรจุอยู่ในท่าเรือทาลลินน์",
"ตามรายงานข่าวของสำนักโทรเลขแห่งสหภาพโซเวียต หรือ ตัสส์ (TASS) ชาวอเมริกันสองคน \"จงใจเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเส้นทางที่ได้รับอนุญาตใกล้เมืองอุจโกรอด (ใกล้ชายแดนเชโกสโลวาเกีย - ฮังการีของสหภาพโซเวียต) และเจาะเข้าไปในพื้นที่ชายแดนหวงห้าม\" ในขณะที่ขับรถทัวร์สหภาพโซเวียต\" ตัสส์ รายงานว่าคามินสกีมี \"แผนที่ที่มีการมาร์กที่ตั้งทางทหารในยูเครนตะวันตก\" และ \"ฟิล์มถ่ายภาพและโน้ตบุ๊กพิสูจน์ว่าเขากำลังรวบรวมข้อมูลข่าวกรองบนดินแดนโซเวียต\"",
"ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1989 สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลิทัวเนียได้ประกาศอธิปไตยแห่งรัฐตลอดทั่วทั้งดินแดนของตนในช่วงที่มีการปรับโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในสหภาพโซเวียต ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1990 สาธารณรัฐลิทัวเนีย (เปลี่ยนชื่อมาจากสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลิทัวเนีย) ได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้งด้วยรัฐบัญญัติว่าด้วยการคืนสถานะรัฐลิทัวเนียและได้รับการรับรองจากหลายประเทศในช่วงเวลาไม่นานก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1991 สหภาพโซเวียตก็ประกาศรับรองเอกราชของลิทัวเนีย",
"สตาลิน ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 โดยไม่มีการแต่งตั้งทายาททางการเมือง นีกีตา ครุชชอฟ ได้รับเลือกตั้งขึ้นเป็นเลขานุการคนที่ 1 ของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (Communist Party of the Soviet Union) ซึ่งเปรียบเสมือนตำแหน่งผู้นำของประเทศ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1956 เขาก็ทำให้โลกตะลึงด้วยการด้วยการประณามความเลวร้ายของสตาลิน ผู้ทำการปฏิวัติระบบนารวม (Commune) ให้ทรัพย์สินของทุกคนเป็นของส่วนรวม และนำสหภาพโซเวียตทำ สงครามเย็น กับสหรัฐอเมริกา",
"ในปลายทศวรรษที่ 1930 สหภาพโซเวียตได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับนาซีเยอรมนีและในปีเดียวกันความล้มเหลวในการเจรจาให้ฟินแลนด์เลื่อนเขตแดนให้ห่างจากเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก (เลนินกราดในสมัยนั้น) ออกไปอีก 25 กิโลเมตร ทำให้สหภาพโซเวียตได้ใช้กำลังบุกฟินแลนด์ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของสหภาพโซเวียต",
"การปล้นธนาคารในติฟลิส ค.ศ. 1907 หรือที่รู้จักกันว่า การเวนคืนจัตุรัสเยเรวาน คือการใช้อาวุธปล้นการขนส่งเงินของธนาคารโดยนักปฏิวัติพรรคบอลเชวิคในเมืองติฟลิส ประเทศจอร์เจีย (ปัจจุบันคือกรุงทบิลิซี เมืองหลวงของประเทศ) เหตุปล้นดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1907 ที่จัตุรัสเยเรวาน (ปัจจุบันคือจัตุรัสเสรีภาพ) ผู้ร่วมก่อการ (ซึ่งต่อมาหลายคนได้กลายเป็นผู้นำระดับสูงของสหภาพโซเวียต) ได้ใช้ทั้งระเบิดและปืนในการเข้าล้อมและยึดรถม้าที่กำลังขนส่งเงินระหว่างที่ทำการไปรษณีย์กับธนาคารรัฐของจักรวรรดิรัสเซีย สาขาติฟลิส ท่ามกลางจัตุรัสที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตามเอกสารจดหมายเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่า การปล้นดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 40 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 50 คน ผู้ก่อการหนีไปได้โดยได้เงินไปกว่า 341,000 รูเบิล (กว่า 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน ค.ศ. 2008)",
"พิธีสวนสนามกองทัพเยอรมัน–โซเวียตในเบรสต์-ลีตอฟสค์ (, ) หมายถึงพิธีทางทหารที่ถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยกองกำลังทหารของนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1939 ในช่วงระหว่างการบุกครองโปแลนด์ ในเมืองเบรสต์-ลีตอฟสค์ ( เมื่อในสมัยสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง ปัจจุบันเมืองเบรสต์อยู่ในเบลารุส) มันเป็นเครื่องหมายในการถอนกำลังของเยอรมันไปยังเส้นแบ่งเขตดินแดนตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้และส่งมอบเมืองและป้อมปราการของตนที่ยึดมาได้มอบให้แก่กองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียต",
"เป็นปฏิบัติการที่กองทัพนาซีใช้ในการรุกรานสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 ซึ่งหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ลงนามยอมแพ้ต่อกองทัพนาซีครบ 1 ปีพอดี โดยปฏิบัติการนี้กองทัพฝ่ายอักษะใช้กำลังทหารประมาณ 5,600,000 คน ส่วนสหภาพโซเวียตมีกำลังทหารในการป้องกันในช่วงนั้นประมาณ 2,900,000 คน โดยปฏิบัติการครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 สาย คือ สายที่ 1 มุ่งตรงไปยังเมืองเลนินกราดเพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงอาวุธและยังทำให้สหภาพโซเวียตถูกตัดขาดจากโลกภายนอก สายที่ 2 ยึดเมืองทางตอนกลางแล้วมุ่งตรงไปยังกรุงมอสโก และส่วนที่ 3 มุ่งตรงไปยังเมืองเคียฟ (เมืองหลวงของยูเครนในปัจจุบัน) แล้วมุ่งตรงไปยังลุ่มแม่น้ำวอลกาเพื่อยึดเมืองสตาลินกราด ซึ่งในตอนต้นของปฏิบัติการนี้ทางกองทัพฝ่ายอักษะเกือบประสบความสำเร็จในการยึดครองสหภาพโซเวียต เนื่องจากอยู่ห่างจากนครหลวงมอสโกเพียง 40 ไมล์เท่านั้นและกองทัพแดงของโซเวียตในช่วงต้นๆ ต้องเสียทหารไปกว่า 5 ล้านคน ส่วนที่เมืองสตาลินกราดนั้นกองทัพฝ่ายอักษะไม่สามารถที่จะตีแตกได้เพราะการป้องกันอันเข้มแข็งของกองทัพแดง ซึ่งในเมืองนี้จะเป็นจุดชี้ชะตาแห่งชัยชนะระหว่างกองทัพแดงและกองทัพนาซี แต่ในที่สุดกองทัพแดงก็สามารถกำชัยชนะมาได้ในที่สุด ในปฏิบัติการนี้นั้นแม้ว่าสหภาพโซเวียตจะมีชัยชนะเหนือกองทัพฝ่ายอักษะ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสังเวยชีวิตของประชากรและกำลังทหารกว่า 27 ล้านคน และอาวุธอีกหลายล้านตัน จนกระทั่งกองทัพแดงตีโต้ตอบกลับจนทำให้ฝ่ายอักษะแพ้สงครามในที่สุด และสาเหตุนี้เองที่ทำให้เป็นการเปิดโอกาสให้สหภาพโซเวียตเข้ายึดครองประเทศแถบยุโรปกลางและบอลข่านได้อย่างง่ายดาย",
"กองทัพน้อยกองทัพเชโกสโลวาเกียที่ 1 ก่อตั้งขึ้นในเมือง Buzuluk ในเทือกเขายูรัลเป็นครั้งแรกที่หน่วยสัมพันธมิตรต่อสู้เคียงข้างกองทัพแดงในดินแดนโซเวียต กองทัพถูกสร้างขึ้นจากอดีตสมาชิกของเชโกสโลวักลีเจียน, พลเมืองเชโกสโลวัก (ส่วนใหญ่อพยพ) ที่อาศัยอยู่ในสหภาพโซเวียต, เชลยสงครามสโลวักและผู้แปรพักตร์ และ Volhynian Czechs (พลเมืองโซเวียตที่เป็นชาวเช็กโดยกำเนิด) พลโท ลุดวีก สโวโบดา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการหน่วยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1942",
"ในการควบคุมตัวในเรือนจำของโซเวียต ได้มีการทรมานผู้ต้องขังกกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองขนาดเล็ก ในเมือง Bobrka ผู้ต้องขังถูกราดด้วยน้ำต้มเดือด ใน Przemyslany ผู้ต้องขังถูกตัดจมูก หูและนิ้ว รวมไปถึงควักลูกตาออก ในเมือง Czortkow สตรีในเมืองถูกตัดเต้านมออกจากร่าง และในเมือง Drohobycz ได้มีการพบเหยื่อถูกมัดติดกันด้วยลวดหนาม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Sambor, Stanislawow, Stryj และ Zloczow รวมไปถึงเมื่อในเมือง Czortków และระหว่างการลุกฮือขึ้นโดยชาวโปแลนด์ท้องถิ่น เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1940 ได้ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงโดยฝ่ายโซเวียต",
"เมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ เฮลซิงกิได้ถูกทิ้งระเบิดหลายครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1939-1944 ฟินแลนด์ต้องเผชิญกับการทัพทิ้งระเบิดจำนวนมากโดยสหภาพโซเวียต การโจมตีแบบฉาบฉวยที่ใหญ่ที่สุดคือการโจมตีสามครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 ซึ่งได้เรียกว่า การโจมตีฉาบฉวยครั้งใหญ่ที่เฮลซิงกิ",
"ประวัติศาสตร์ของจอร์เจียมียาวนานกว่า 2,500 ปี และภาษาจอร์เจียก็เป็นหนึ่งในภาษาเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีการใช้อยู่ กรุงทบิลิซี (เมืองหลวง) ซึ่งมีอายุกว่า 1,500 ปี ตั้งอยู่ในหุบเขาที่งดงามซึ่งถูกแบ่งโดยแม่น้ำ Mtkvari พื้นที่ส่วนใหญ่ของจอร์เจียถูกยึดครองโดยเปอร์เซีย ตุรกี อาหรับและมองโกล ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึง 18 ซึ่งเป็นเวลา 11 ศตวรรษที่จอร์เจียถูกปกครองโดยเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้ ในระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 12 จอร์เจียได้รับการคุ้มครองจากรัสเซีย ซึ่งในที่สุดรัสเซียก็ได้ผนวกจอร์เจียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และเนรเทศราชวงศ์จอร์เจียในปี ค.ศ. 1801 (พ.ศ. 2344) อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนจอร์เจียจำนวนหนึ่งที่ต่อต้านการปกครองของรัสเซียเมื่อระบบกษัตริย์ (Tsarist) ของรัสเซียถูกโค่นลง สาธารณรัฐจอร์เจียก็ได้ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1918 (พ.ศ. 2461) และภายในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 (พ.ศ. 2464) กองทัพแดง (Red Army) ของสหภาพโซเวียตก็ได้เข้ายึดครองจอร์เจียอีกครั้งหนึ่ง ทำให้จอร์เจียเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียต ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) สภาสูงสุดของสาธารณรัฐจอร์เจียก็ได้ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต ",
"ระบอบรัฐพรรคการเมืองเดียวเกิดขึ้นครั้งแรก ณ สหภาพโซเวียต ซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 โดยได้โค่นล้มการปกครองของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 สหภาพโซเวียตเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ประเทศแรกของโลก โดยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของกลุ่มบอลเชวิค (ต่อมาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต) เมื่อปี ค.ศ. 1917 องค์กรทางการเมืองที่ปกครองประเทศมีพรรคเดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายต่าง ๆ รวมทั้งนโยบายต่างประเทศ",
"ยุทธการมอสโก เป็นชื่อที่นักประวัติศาสตร์โซเวียตตั้งโดยหมายถึงการสู้รบที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สองช่วงบนพื้นที่ 600 กิโลเมตรบนแนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1941 ถึงมกราคม ค.ศ. 1942 ความพยายามตั้งรับของโซเวียตทำให้การโจมตีของฮิตเลอร์ต่อมอสโก เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของสหภาพโซเวียต ไร้ผล มอสโกเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ทางทหารและการเมืองหลักของกำลังฝ่ายอักษะในการรุกรานสหภาพโซเวียต",
"ในช่วงสงครามกลางเมืองฟินแลนด์ พ.ศ. 2461 เฮลซิงกิถูกยึดโดยฝ่ายแดงในเดือนมกราคม วุฒิสภาย้ายไปประจำการที่เมืองวาซา กองทัพฝ่ายขาว ร่วมกับทหารเยอรมันสามารถยึดเฮลซิงกิกลับมาได้ในเดือนเมษายน เฮลซิงกิได้รับความเสียหายไม่มากนัก ในช่วงสงครามฤดูหนาวและสงครามต่อเนื่อง (ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) เฮลซิงกิถูกโจมตีทางอากาศจากสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม เฮลซิงกิได้รับความเสียหายไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองสำคัญอื่นๆในยุโรป เฮลซิงกิยังเป็นหนึ่งในสามเมืองหลวงของประเทศในทวีปยุโรปที่เข้าร่วมสงครามที่ไม่ถูกยึดครองโดยฝ่ายศัตรู (อีกสองเมืองคือลอนดอนและมอสโก)",
"เบบียาร์ (, Babyn Yar; , Babiy Yar) เป็นหุบเหวลึกในเคียฟ เมืองหลวงของประเทศยูเครนและเป็นสถานที่ในการสังหารหมู่โดยกองทัพเยอรมันและชนท้องถิ่นที่ให้ความร่วมมือในช่วงสงคราม เพื่อต่อกรกับสหภาพโซเวียต",
"ในปี พ.ศ. 2478 หลังจากที่ทางรถไฟสาย KWZhD ถูกขายให้แก่ญี่ปุ่น ฮาร์บินได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ แมนจูกัว ในอาณัติของญี่ปุ่น ต่อมาหลังปี พ.ศ. 2489 ฮาร์บินตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียต ซึ่งมีอำนาจเหนือภูมิภาคแถบนั้น ในช่วงปี พ.ศ. 2493-2497 กลุ่มชาวยุโรปที่อาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งมีทั้งชาวรัสเซีย เยอรมัน โปแลนด์ กรีก และอื่นๆ ได้อพยพออกจากเมืองไปยังออสเตรเลีย บราซิล และสหรัฐอเมริกา บางส่วนก็ถูกส่งตัวกลับประเทศเดิม ขณะที่ชาวรัสเซียอีกหลายพันคนที่หลบหนีจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ก่อนเกิดสงครามได้ถูกสังหารโดยทหารโซเวียต และมีอีกจำนวนมากที่ถูกส่งตัวไปยังสหภาพโซเวียต จนถึงปี พ.ศ. 2531 ชุมชนชาวรัสเซียเดิมมีผู้อาศัยอยู่เพียง 30 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้สูงอายุทั้งสิ้น",
"โอเดสซา (, ) เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศยูเครนและเป็นเมืองท่าสำคัญในทะเลดำ โอเดสซาได้ฉายาว่า \"ไข่มุกแห่งทะเลดำ\" () \"เมืองหลวงใต้\" (South Capital) ในช่วง จักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียต และ \"แพลไมราตอนใต้\" (Southern Palmyra)",
"จากสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลให้กับสหภาพโซเวียต รวมถึงเสียดินแดนถึงร้อยละ 12 ของดินแดนทั้งหมด ทำให้ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้กับชาวฟินแลนด์ถึง 420,000 คน[8] อย่างไรก็ตาม ฟินแลนด์ไม่เคยถูกครอบครองเลยในช่วงสงคราม โดยเฮลซิงกิเป็นหนึ่งในสามเมืองหลวงของประเทศยุโรปที่เข้าร่วมสงครามที่ไม่ถูกยึดครองโดยฝ่ายศัตรู[8] (อีกสองเมืองคือลอนดอนและมอสโก)",
"การอพยพในสหภาพโซเวียตเป็นการอพยพขนาดใหญ่ของประชากรชาวโซเวียตตะวันตกและโรงงานอุตสาหกรรมไปยังตะวันออกอันเป็นผลมาจากปฏิบัติการบาร์บารอสซา กองทัพเยอรมันได้เข้ารุกรานในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 ในปี ค.ศ. 1941-192 จำนวน 17 ล้านคนของประชากรที่อพยพจากทั้งหมดนี้ 59% เป็นชาวรัสเซีย และ 20% เป็นชาวยิว และโรงงานขนาดใหญ่จำนวนกว่า 1,500 แห่ง อีก 550 แห่งที่มาจากยูเครนที่เดียวได้ถูกโยกย้ายโดยทางรถไฟไปยังพื้นที่ส่วนกลางหรือตะวันออกที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศโดยสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1941 พร้อมกับการอพยพพลเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยความไม่คาดคิดอื่นๆ ผลเนื่องมาจากการรุกของเยอรมันได้แสดงให้เห็นการดำเนินพลเรือนรัฐตะวันตกแต่ก่อนหน้านี้โดยหน่วยเอ็นเควีดีของโซเวียต การเคลื่อนย้ายศพเลนินจากมอสโกไปยัง Tyumen และการโยกย้ายวัตถุโบราณและศิลปะที่มีค่าจากพิพิธภัณฑ์แอร์มิทาชไปยัง Sverdlovsk, Kuybyshev การเลือกเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต ปี ค.ศ. 1941-1943 เมืองของโซเวียตและเมืองภายในประเทศหรือในตะวันออกได้รับกลุ่มผู้อพยพใหม่และโรงงานบุริมสิทธ์การสงครามที่มีคุณภาพสูง สถานที่ตั้ง ได้แก่ เมืองไซบีเรียของโนโวซีบีสค์ได้รับผู้อพยพมากกว่า 140,000 คนและโรงงานจำนวนมาก เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ห่างจากแนวหน้า อย่างไรก็ตามด้วยความสำเร็จของเยอรมันตั้งแต่ต้นในการยึดครองพื้นที่ขนาดใหญ่ของสหภาพโซเวียตฝั่งตะวันตกตลอดในปี ค.ศ. 1942 และแผนการที่ไม่แน่อนได้กึ่งเตรียมความพร้อมโดยโซเวียตในแผนการระดมพลของพวกเขาไปยังตะวันออก โรงงานอุตสาหกรรมโซเวียตน่าจะแซงหน้าเยอรมันในที่สุดในการผลิตอาวุธยุโธปกรณ์ ด้วยจำนวนสูงสุดในจำนวนของรถถัง 73,000 คัน เครื่องบินรบ 82,000 ลำ และชื้นส่วนปืนใหญ่จำนวนเกือบ 324,000 ชิ้นได้ถูกกระจายไปทั่วกองทัพแดงในการต่อสู้ของพวกเขากับฝ่ายอักษะในปี ค.ศ. 1945"
] |
มนต์รักลูกทุ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
"ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายเมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ทำรายได้ถล่มทลายจากทั่วประเทศถึง 13 ล้านบาทและฉายติดต่อกันนาน 6 เดือน[1][2] ที่โรงภาพยนตร์โคลีเซียม จนถึงวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2513 ทำรายได้กว่า 7 ล้านบาทในครั้งนั้น เนื่องจากเนื้อหาสนุกสนานและมีกลิ่นอายของภาคอีสาน เปิดทางเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวงการภาพยนตร์ไทยจากระบบฟิล์ม 16 ม.ม. พากย์สด มาเป็นระบบฟิล์ม 35 ม.ม."
] | [
"รังสี ทัศนพยัคฆ์ ได้นำมนต์รักลูกทุ่งกลับมาสร้างใหม่ ออกฉายปี พ.ศ. 2525 สร้างโดย พูนทรัพย์โปรดักชั่น โดยมีวิศิษฐ์ มิ่งวัฒนบุญ เป็นผู้อำนวยการสร้าง นำแสดงโดย ทูน หิรัญทรัพย์ และหทัยรัตน์ อมตะวนิชย์ ร่วมด้วย อำภา ภูษิต, สายัณห์ จันทรวิบูลย์, นิรุตต์ ศิริจรรยา, พยัคฆ์ รามวาทิน และธิติมา สังขพิทักษ์[8] ฉายครั้งแรกวันที่ 25 กันยายน 2525 ที่โรงภาพยนตร์โคลีเซียม-สเตลลา-ควีนส์-ออสการ์[9] แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก",
"มนต์รักลูกทุ่ง เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างมาจากบทประพันธ์เรื่อง \"มนต์รักลูกทุ่ง\" ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ โดยใช้นามแฝงว่า \"มหศักดิ์ สารากร\" โดยมิตร ชัยบัญชา มีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องด้วย คู่พระ-นาง คือไอ้คล้าว กับ ทองกวาว รับบทโดย มิตร ชัยบัญชา กับเพชรา เชาวราษฎร์ ส่วนคู่รอง คือแว่น กับบุปผา รับบทโดย ศรีไพร ใจพระ กับบุปผา สายชล",
"ล่าสุดในปี พ.ศ. 2558 ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ หรือโต๊ะ พันธมิตร และสหมงคลฟิล์ม นำบทประพันธ์มนต์รักลูกทุ่งนำมาปัดฝุ่นสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ \"มนต์เลิฟสิบหมื่น\" ผู้ที่รับบท คล้าว กับ ทองกวาว คือ \"นิว\" ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต และ \"แพรว\" เฌอมาวีร์ สุวรรณภาณุโชค คู่พระนางจากมิวสิกวิดีโอเพลงภูมิแพ้กรุงเทพ ส่วนแว่น กับ บุปผา รับบทโดย \"แจ๊ส ชวนชื่น\" ผดุง ทรงแสง และ \"บูม\" ชญาภา พงศ์สุภาชาคริต ลูกสาวชูษี เชิญยิ้ม ร่วมด้วย พงศ์สิรี บรรลือวงศ์, สนธยา ชิตมณี, ประกาศิต โบสุวรรณ, ติ๊ก แก๊งค์ข้าวปุ้น, ฝ้าย เร็กเก้บ้านสวน และมีทีมนักพากย์พันธมิตร ร่วมแสดงด้วย เข้าฉายเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558",
"ปี พ.ศ. 2535 ได้เริ่มงานกำกับภาพยนตร์ภาพยนตร์เรื่องแรกคือ รองต๊ะแล่บแปล๊บ จากนั้นกำกับภาพยนตร์และอำนวยการสร้างภาพยนตร์อีกเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น เกิดอีกทีต้องมีเธอ, ปอบหวีดสยอง, มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม, 7 ประจัญบาน, FAKE โกหกทั้งเพ, เฮี้ยน, นายอโศกกับนางสาวเพลินจิต, คน ผี ปีศาจ, บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม, เอกซ์แมน แฟนพันธุ์เอกซ์, เกิดมาลุย, 7 ประจัญบาน 2, ฟอร์มาลีนแมน รักเธอเท่าฟ้า, เฉิ่ม, เสือร้องไห้, มนุษย์เหล็กไหล ฯลฯ และภาพยนตร์ที่สร้างชื่อคือ องค์บาก ต้มยำกุ้ง",
"รวมพลคนลูกทุ่งเงินล้าน เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556 ผลงานของ เอ็ม พิคเจอร์ส และ วิทยา ศุภพรโอภาส กำกับภาพยนตร์โดย กัลป์ หงษ์รัตนาภรณ์\nโดยเป็นภาพยนตร์ที่รวบรวมศิลปินนักร้องลูกทุ่งชื่อดังไว้มากมาย มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน เป็นงานภาคต่อจากภาพยนตร์เรื่อง มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม.",
"ปัญญา เรณู 3 รูปูรูปี เป็นภาพยนตร์ไทย เริ่มออกฉายวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556 กำกับภาพยนตร์ เขียนบท และบริหารงานสร้างโดย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เป็นภาพยนตร์ภาคต่อจากเรื่องปัญญา เรณู 2 เป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 7 ของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ โดยผลงานก่อนหน้านี้ได้แก่ ปัญญา เรณู 2 (2555), ปัญญา เรณู (2554), เดอะโกร๋น ก๊วน กวน ผี (2547), ช้างเพื่อนแก้ว (2546), ตำนานกระสือ (2545), มนต์รักเพลงลูกทุ่ง (2538)",
"มนต์เลิฟสิบหมื่น เป็นภาพยนตร์ไทย ที่ออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ ดัดแปลงจากบทประพันธ์เรื่อง \"มนต์รักลูกทุ่ง\" ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ กำกับโดย ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ สร้างโดย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล กำหนดออกฉายวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ภาพยนตร์ทำรายได้ 25.23 ล้านบาท",
"ปี พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ \"ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์\" ที่นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่สมบูรณ์ และโด่งดังมากในสมัยนั้น ร่วมเพลงลูกทุ่งถึง 14 เพลง เช่น เพลง มนต์รักลูกทุ่ง, รักร้าวน้องช้ำ, แม่ร้อยใจ, สิบหมื่น โดยมีนักร้องลูกทุ่งร่วมแสดงหลายคนด้วยกัน อาทิ ไพรวัลย์ ลูกเพชร, บรรจบ เจริญพร, ศรีไพร ใจพระ และบุปผา สายชล และพรไพร เพชรดำเนิน[50] ภาพยนตร์ทำรายได้ 6 ล้านกว่าบาทในสมัยนั้น และยังยืนโรงฉายได้นานกว่า 6 เดือน[51]",
"อนึ่ง รังสี ทัศนพยัคฆ์ เคยสร้างมนต์รักลูกทุ่งเป็นภาคต่อมาแล้ว ในชื่อ \"จะกู่รักกอดน้องให้ก้องโลก\" โดยเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีก 20 ปีให้หลัง โดยใช้เพลงลูกทุ่งยอดฮิตเป็นส่วนสร้างอารมณ์เหมือนในมนต์รักลูกทุ่ง[11] ออกฉายในปี พ.ศ. 2535 นำแสดงโดย สันติสุข พรหมศิริ, จินตหรา สุขพัฒน์, พลรัตน์ รอดรักษา, วิชุดา สวนสุวรรณ, หม่ำ จ๊กมก, โอภาส ทศพร, ล้อต๊อก, ไพโรจน์ ใจสิงห์, ท้วม ทรนง, อัญชลี ไชยศิริ, และ ถั่วแระ เชิญยิ้ม กำกับภาพยนตร์โดย สุวิทย์ ชุติพงษ์ บทประพันธ์-ภาพยนตร์โดย รังสี ทัศนพยัคฆ์ [12]",
"นักเขียนบทละครวิทยุ เล่นละครวิทยุ ให้กับคณะมิตรมงคลของครูสวาศดิ์ ไชยนันท์ พ.ศ. 2502 สร้างภาพยนตร์ กำกับภาพยนตร์ และเขียนบทภาพยนตร์ เรื่อง มนต์รักลำน้ำพอง, ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ พ.ศ. 2519-2523 กำกับภาพยนตร์และเขียนภาพยนตร์ เรื่อง มนต์รักแม่น้ำมูล, มนต์รักลูกทุ่ง นักโหราศาสตร์ (หมอดู) ในนาม “ธณวัฒน์” พ.ศ. 2502–ปัจจุบัน นักแสดงภาพยนตร์ เรื่องฟ้าสางที่ฝั่งโขง ประธานชมรม “ศรีเมืองใหม่รวมน้ำใจเอื้ออาทร”ผู้ก่อตั้ง “ลานบ้านลานธรรม” พ.ศ. 2540 นักร้องเพลงธรรม ในนาม “เฒ่า ธุลีธรรม” พ.ศ. 2540 กรรมการตัดสินการประกวดลำหมอลำซิ่ง ได้รับการยกย่องเป็น“ครูภูมิปัญญาไทย” รุ่นที่ 4 จากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ. 2548",
"หลังจากนั้นก็ทำภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมาก คือเรื่อง \"แม่นาคพระโขนง\" ที่กำกับให้กับเสน่ห์ โกมารชุน ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 ได้ร่วมหุ้นกับ กิตติพงศ์ เวชภูญาณ, ดารณี ณ วังอินทร์ และ อำนาจ สอนอิ่มศาสตร์ ตั้ง \"จิตรวาณีภาพยนตร์\" สร้างภาพยนตร์เงินล้านอีกมากมายหลายเรื่อง และได้เริ่มทำธุรกิจภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ด้วยการก่อตั้ง \"รุ่งสุริยาภาพยนตร์\" ปี พ.ศ. 2512 มีคนในครอบครัวร่วมถือหุ้นได้สร้างหนังเรื่อง 'ชาติลำชี' นำแสดงโดย มิตร-เพชรา ซึ่งได้มีการนำนักร้องลูกทุ่งมาร่วมแสดง และร้องเพลงประกอบหนัง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้เกิน 1 ล้านบาท ในปีถัดมา จึงได้สร้างหนังทำนองเดียวกันอย่าง \"มนต์รักลูกทุ่ง\" ในระบบ 35 มม. ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ได้สูงถึง 7 ล้านบาท และเข้าฉายนานถึง 15 เดือน มีนักแสดงที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในยุคนั้น อย่าง มิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฎร์, บุปผา สายชล, ศรีไพร ใจพระ ฯลฯ มาร่วมแสดง โดยมีเพลงลูกทุ่งที่มีความไพเราะ ประกอบทั้งเรื่องและกลายเป็นเพลงอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ ",
"ในช่วงนั้นเองที่ความดังที่พุ่งสุดขีดของเขา ชักนำให้โชคชัยก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ โดยรับบทเป็นพระเอก ในภาพยนตร์เรื่อง \"หลงเสียงนาง\" ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ คู่กับ มนฤดี ยมาภัย นางเอกดังแห่งยุค ที่ออกฉายในปี 2526 และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ก่อนที่จะตามมาด้วย \" มนต์รักนักเพลง \" ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์อีกเช่นกัน คราวนี้เขาแสดงร่วมกับราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์และออกฉายในปี 2527 ",
"ต่อมาไพรวัลย์ ลาออกจากวงของครูสุรพล และตั้งวงดนตรีเอง มีผลงานโด่งดังจากเพลงคู่จากการประพันธ์ของครูไพบูลย์ บุตรขัน เช่น มะนาวไม่มีน้ำ, กีฬารัก, ไม่รู้ไม่ชี้ และได้แสดงภาพยนตร์ไทยหลายเรื่อง และร้องเพลงนำในภาพยนตร์ เช่น \"มนต์รักลูกทุ่ง\", \"มนต์รักแม่น้ำมูล\", \"ชาติลำชี\", \"เพลงรักบ้านนา\"",
"นอกจากนั้นครูรังสีได้สร้างภาพยนตร์ดำเนินรอยตามภาพยนตร์เพลงอย่าง \"มนต์รักลูกทุ่ง\" อีกหลายเรื่อง เช่น \"มนต์รักจากใจ\" \"มนต์รักนักรบ\" \"บัวลำภู\" ฯลฯ และภาพยนตร์เพลง \"บัวลำภู\" นี่เองที่ได้กลายเป็น \"แบบฉบับ\" ของภาพยนตร์เพลงอีสาน ทำให้นางเอกหมอลำจากบ้านนอก อย่าง \"อังคนางค์ คุณไชย\" โด่งดังด้วยเพลงประกอบหนังเรื่องนี้",
"ในช่วงปี พ.ศ. 2513–2515 ในวงการเพลงลูกทุ่งเองก็มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ทั้งยังเกิดการแข่งขันระหว่างเพลงลูกกรุงและเพลงลูกทุ่งสูง นักแต่งเพลงพยายามสร้างเอกลักษณ์ประจำตัวของนักร้องแต่ละคน มีนักร้องเพลงลูกทุ่งบางคนได้สู่บทบาทการแสดงภาพยนตร์ บางคนถึงแสดงเป็นตัวเอกโดยเฉพาะในภาพยนตร์เพลง ภาพยนตร์บางเรื่องนำเพลงลูกทุ่งมาประกอบเป็นเพลงเอก อย่างเช่นเรื่องมนต์รักลูกทุ่ง ประสบความสำเร็จ ทำรายได้เป็นอย่างดี นำแสดงโดยพระเอกขวัญใจในยุคนั้นคือ มิตร ชัยบัญชา เพลงเอกชื่อเดียวกับภาพยนตร์ประพันธ์โดย ไพบูลย์ บุตรขัน ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักร้องเพลงลูกทุ่งร่วมแสดงด้วย ได้แก่ บุปผา สายชล โดยขับร้องเพลงดังในภาพยนตร์ชื่อ สาวคอยคู่",
"หลังจากสุรพล สมบัติเจริญถูกยิงตาย, รังสี ทัศนพยัคฆ์ จึงทาบทามไปเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่องสุรพลลูกพ่อ เมื่อโด่งดังจึงแยกจากวงศรีไพร และเปลี่ยนชื่อจากบรรจบ ใจพระมาเป็นบรรจบ เจริญพร\nนอกจากนั้นเขาก็มีโอกาสได้ร่วมแสดงและร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ชาติลำชี มนต์รักลูกทุ่ง และได้ร้องเพลงในภายนตร์ชาติลำชี หนึ่งเพลงคือ ฮักสาวลำชี และมนต์รักลูกทุ่งมีเพลงที่ขับร้องถึงสามเพลงคือเพลงหนุ่มพเนจร รักร้าวหนาวลมและ ใจเจ้าชู้",
"แม้ว่าเงินทุนสร้างจะบานปลายและถูกติงเรื่องการเลือก ไชยา สุริยัน มาเป็นพระเอกและยังนำดาราหน้าใหม่มาแสดง จนสายหนังไม่กล้าซื้อในช่วงแรก แต่ทีมงานสุวรรณฟิล์มก็ฝ่าฟันและทำภาพยนตร์ออกมาจนสำเร็จ เมื่อออกฉาย ปากต่อปาก บอกต่อในเรื่องความมีเหตุผลของบทหนัง และยังมีเพลงไพเราะ 7 เพลง มักจะมีเพลงประกอบแทบทุกเรื่อง ซึ่งขับร้องโดย สังข์ทอง สีใส และวงดิอิมพอสซิเบิ้ล เป็นแรงส่งช่วยให้หนังมีความสมบูรณ์มากขึ้น ภาพยนตร์เข้าฉายเมื่อ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2513 ที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย สามารถทำรายได้สูงถึง 6 ล้านบาท เป็นอันดับ 2 รองจากหนังของรังสี ทัศนพยัคฆ์ เรื่อง \"มนต์รักลูกทุ่ง\" พลิกประวัติศาสตร์หนังไทยในยุคนั้น เรียกได้ว่าเป็นกระแสให้เกิดการสร้างภาพยนตร์ระบบ 35 มม.เพิ่มมากขึ้น ",
"ส่วนภาพยนตร์ไทย ก็มีการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อกับเพลงลูกทุ่งอย่างภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ ในปี 2544 กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง[28] และในปี 2545 สหมงคลฟิล์มมีภาพยนตร์ที่รวมนักร้องลูกทุ่งชั้นนำของเมืองไทยร่วม 168 ชีวิต ในภาพยนตร์เรื่อง มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม.[29] และด้วยกระแสความโด่งดังของวงโปงลางสะออน กลุ่มศิลปินแนวลูกทุ่งดนตรีอีสาน มีผลงานภาพยนตร์อย่าง โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า ในปี 2550 ทำรายได้รวม 75 ล้านบาท[30]",
"ปัญญา เรณู 2 เป็นภาพยนตร์ไทย เริ่มออกฉายวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555 กำกับภาพยนตร์ เขียนบท และบริหารงานสร้างโดย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เป็นภาพยนตร์ภาคต่อจากเรื่อง ปัญญา เรณู เป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 6 ของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ โดยผลงานก่อนหน้านี้ได้แก่ ปัญญา เรณู (2554), เดอะโกร๋น ก๊วน กวน ผี (2547), ช้างเพื่อนแก้ว (2546), ตำนานกระสือ (2545), มนต์รักเพลงลูกทุ่ง (2538) ในภาค 2 นี้ ผู้กำกับยังคงคิดเรื่อง, เขียนบท, กำกับการแสดงเองทั้งหมดเหมือนเคย โดยเรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นประสบการณ์ในวัยเด็กของตนแทบทั้งสิ้น",
"ภาพยนตร์มนต์รักลูกทุ่ง ปี พ.ศ. 2513 เป็นภาพยนตร์ไทย 1 ในจำนวน 25 เรื่องที่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ ซึ่งภาพยนตร์ทั้ง 25 เรื่องเป็นผลงานของคนไทยหรือเกี่ยวกับคนไทยและชาติไทย [6]",
"นอกจากนี้แล้วจากเสียงร้อง คำว่า \"นกกะปูด\" ยังเป็นภาษาปากในภาษาไทย หมายถึง คนที่เก็บรักษาความลับไว้ไม่อยู่ และยังถูกอ้างอิงถึงในเพลง \"น้ำลงนกร้อง\" ซึ่งเป็นเพลงลูกทุ่งประกอบภาพยนตร์ไทยเรื่อง \"มนต์รักลูกทุ่ง\" ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2513 ที่มีเนื้อร้องว่า ",
"ภาพยนตร์เรื่องที่สามคือ มนต์รักทรานซิสเตอร์ เป็นภาพยนตร์ความรักขมขื่นโดยมีเพลงลูกทุ่งประกอบเรื่อง โดยเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่ต้องจากคนรักไปเป็นทหารเกณฑ์ แต่ก็หนีออกมาทำตามฝันที่จะเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดังในเวลาต่อมา เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ พ.ศ. 2545 คือรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นภาพยนตร์ที่ประเทศไทยส่งไปชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 75 อีกด้วย",
"ด้วยรักคือรัก เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2528 กำกับโดยหม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย นำแสดงโดยธงไชย แมคอินไตย์ หรือเบิร์ด ซึ่งรับบทเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่องแรก ซึ่งขณะนั้นเบิร์ด ยังไม่มีผลงานเพลง โดยประกบคู่แสดงกับนักร้องดังแห่งยุค อัญชลี จงคดีกิจ หรือ \"ปุ๊\" ซึ่งถือว่าเป็นศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคนั้น โดยดนตรีประกอบภาพยนตร์ ใช้เพลง \"หนึ่งเดียวคนนี้\" ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับอัลบั้มดัง ของ อัญชลี จงคดีกิจ \nวิชนีย์ กับพรรคพวกเป็นนักร้องที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในอาชีพนักร้องสักเท่าไหร่ พี่ต้อ ผู้จัดการของวง จึงให้ พรพิชิต เพื่อนที่เป็นเสือผู้หญิงมาวางแผนจัดการ ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงซะใหม่ วิชนีย์กับพรพิชิตในช่วงแรกนั้นไม่ถูกชะตากันเท่าไหร่นัก เพราะความปากจัดและตรงไปตรงมาของพรพิชิต แต่เมื่อการโปรโมทได้ผล วิชนีย์เปลี่ยนชื่อเป็น อัญชลี และเป็นนักร้องดัง ทั้งคู่ก็ยังเล่นเกมเพื่อเอาชนะกัน และเกิดความใกล้ชิดกันขึ้น จนทั้งสองคนรักกัน แต่ว่าพรพิชิตก็ยังรักความเป็นอิสระของตัวเองอยู่ จนกระทั่งวิชนีย์เป็นโรคร้ายและมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน",
"ปีเดียวกัน มิตรแสดงภาพยนตร์ร่วมกับเพชราในภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ ที่มิตรมีส่วนร่วมในการคิดเรื่อง และช่วยงานจนภาพยนตร์เสร็จ แม้ว่าจะหมดบทของมิตรแล้ว โดยมิตรร้องเพลงลูกทุ่งในเรื่อง 2 เพลง จาก 14 เพลง ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างสูง ฉายในกรุงเทพได้นานถึง 6 เดือน ทำรายได้ 6 ล้านบาท และรายได้ทั่วประเทศมากกว่า 13 ล้านบาท[17] ปลุกกระแส มิตร-เพชรา ให้โด่งดังมากขึ้นอีก และเกิดความนิยมเพลงลูกทุ่งในกรุงเทพเป็นปรากฏการณ์",
"มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2545 ผลงานร่วมสร้างของ สหมงคลฟิล์ม และ ลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. และเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของบัณฑิต ทองดี โดยเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์ของวงการเพลงลูกทุ่ง และภาพยนตร์ไทย ที่รวบรวมไว้มากที่สุด ตั้งแต่นักร้อง นักแต่งเพลง นักจัดรายการลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม. รวมถึงบุคคลที่อยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งไทย กว่า 200 ชีวิต มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน และบทเพลงทั้งที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้นและที่เคยได้รับความนิยมก่อนหน้านั้น กว่า 30 เพลง มาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมทั้งบทเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นโดยเฉพาะอีก 1 เพลง ",
"หมวดหมู่:ภาพยนตร์ไทย หมวดหมู่:ละครโทรทัศน์ไทย หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2513 หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2515 หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2525 หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2548 หมวดหมู่:ภาพยนตร์ที่กำกับโดย รังสี ทัศนพยัคฆ์ หมวดหมู่:ภาพยนตร์รัก หมวดหมู่:ภาพยนตร์เพลง หมวดหมู่:ซิงเกิลในปี พ.ศ. 2513 หมวดหมู่:เพลงลูกทุ่ง",
"รังสี ทัศนพยัคฆ์ เป็นผู้สร้างและผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ ความสำเร็จจากภาพยนตร์อมตะ เรื่อง \"มนต์รักลูกทุ่ง\" ที่ทำรายได้ประมาณ 6 ล้านกว่าบาทเมื่อปี 2513 ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำสถิติอมตะ คือการยืนโรงฉาย ที่โรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยมนานถึง 6 เดือน ท่านถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เนื่องจากความดันโลหิตต่ำ เส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นโลหิตแตก โลหิตไหลลงกระเพาะอาหาร เสียชีวิตทันที สิริรวมอายุได้ 77 ปี",
"ภาพยนตร์มนต์รักลูกทุ่งมีเพลงประกอบจากภาพยนตร์จำนวน 14 เพลง เป็นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งเพลงในภาพยนตร์ทั้ง 14 เพลงและภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างชื่อเสียงให้ทั้งดารานำอีกคับคั่ง และนักร้องลูกทุ่งยอดนิยมที่ร่วมแสดงในครั้งนั้นด้วย ได้แก่ ไพรวัลย์ ลูกเพชร, บุปผา สายชล, ศรีไพร ใจพระ และ บรรจบ เจริญพร[3]",
"มนต์รักลูกทุ่งได้กลับมาฉายใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2515 และในปี พ.ศ. 2534 ฉายที่โรงภาพยนตร์แอมบาสเดอร์[4] โดย กมล กุลตังวัฒนา ตัดสินใจขอนำฟิล์มชุดสุดท้ายที่เหลืออยู่นี้กลับมาบูรณะซ่อมแซมใหม่ โดยได้นำมาขยายเป็นฟิล์ม 35 ม.ม. พร้อมกับบันทึกเสียงพากย์ ดนตรีประกอบ เอฟเฟคขึ้นมาใหม่ทั้งหมด พร้อมทั้งเพลงประกอบ (ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์ ได้เก็บฟิล์มไว้เป็นสมบัติส่วนตัวในรูปแบบ 16 ม.ม. เสียงในฟิล์ม หลังจากที่พบกับความผิดหวัง เมื่อฟิล์มต้นฉบับเนกาตีฟของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกเผาทำลายที่แมนดาริน แล็บ ประเทศฮ่องกง ก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางไปถึง)"
] |
ยุขันมีกี่ตอน? | [
"บทะครนอกเรื่องยุขัน แบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนต้นเรื่องกล่าวถึงกำเนิดของ \"นางประวะลิ่ม\" ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง ส่วนตอนที่สอง กล่าวถึงการผจญภัยของ \"ยุขัน\" ซึ่งมีความยืดยาวและพิสดารมาก เริ่มตั้งแต่ออกตามหานกวิเศษชื่อ \"หัสรังสี\" และพบ \"นางประวะลิ่ม\" จนกระทั่งจบถึงตอนยุขันจัดเตรียมเครื่องบรรณาการไปกราบพระดาหลีมหามุณี และเดินทางไปกราบพระบรมศพพระเจ้าอุรังยิดที่เมืองอุรังยิด"
] | [
"เสมารู้ข่าวเข้าเลยแอบขึ้นเรือนขันตอนกลางคืนเพื่อช่วยจำเรียงออกมา แต่จังหวะชุลมุน เสมาเลยหลงเข้าห้อง ดวงแข น้องสาวคนสวยของขัน เสมาเจ็บใจขันเลยแกล้งลวนลามดวงแขเพื่อแก้แค้น ทำให้ดวงแขทั้งรักทั้งเสมาตั้งแต่บัดนั้น",
"พรชัยเป็นบุตรชายคนที่ 3 ในจำนวนบุตรทั้ง 4 คนของนายสำลีและนางบังอร ทองบุราณ และมีศักดิ์เป็นหลานชายของนายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดยโสธร (สว.ยโสธร) เริ่มชกมวยครั้งแรกเมื่ออายุได้ 10 ขวบ \nด้วยการหัดมวยสากลสมัครเล่นเลย ผิดกับคนอื่นที่หัดมวยไทย พรชัยหัดมวยเป็นครั้งแรกกับ จ.ส.ต.รณยุทร ยี่สันเที๊ยะ ซึ่งเป็นน้าชายของตัวเอง โดยจุดประสงค์ตอนนั้นเพื่อจะต่อยในกีฬาจังหวัด โดยพรชัยได้เป็นตัวแทนของตำบล ชกในรุ่นไม่เกิน 30 กิโลกรัม ซึ่งแม้ว่าพรชัยจะหัดชกไม่กี่เดือน และน้ำหนักตัวตอนนั้นก็เพียงแค่ 22 กิโลกรัม แต่พรชัยก็สามารถคว้าเหรียญทองมาได้ด้วยการชนะรวด 3 คน ภายในวันเดียว",
"หมวดหมู่:วรรณคดีไทย หมวดหมู่:วรรณคดีประเภทกลอน หมวดหมู่:บทละคร",
"\"ชะรอยกรรมจำพรากจากไกลขืนไปจะม้วยวายชนม์\"",
"บ้านสาวโสด มีเพลงประกอบในภาพยนตร์ พ.ศ. 2513 คำร้องและทำนองโดย ไพบูลย์ บุตรขัน ขับร้องคนแรกโดย กิ่งดาว จันทร์สวัสดิ์ เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์หรือละครเรื่องนี้เสมอ ไม่ว่าจะนำมาสร้างใหม่กี่ครั้งก็ตาม",
"รศ.ดร.ธัญยธรณ์ ขันทปราบ เป็นอาจารย์บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และเป็นเลขานุการของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ",
"มิยะซะกิใช้เวลาถึง 16 ปีในการผูกเรื่องและสร้างตัวละครของโมะโนะโนะเกะฮิเมะ โครงเรื่องและการแต่งกายที่คล้ายกันอาจพบได้ในมังงะเรื่อง The Journey of Shuna ใน ค.ศ. 1983 ของมิยะซะกิ เนื่อเรื่องและตัวละครได้เปลี่ยนแปลงอย่างมากระหว่างขั้นวางแผนสร้างภาพยนตร์ โมะโนะโนะเกะฮิเมะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้หลังจากมิยะซะกิและทีมงานไปเที่ยวป่าเก่าแก่แห่งเกาะยุคุชิมะ แต่มิยะซะกิก็ยังเขียนโครงเรื่องไม่เสร็จสมบูรณ์กระทั่งได้เริ่มสร้างภาพยนตร์ไปแล้ว แผนผังโครงตอนจบเพิ่งจะเสร็จสิ้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนวันฉายรอบปฐมทัศน์ในญี่ปุ่น[5]",
"นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ มีชื่อจริงคือ คำเพียว ศรีจันทึก เกิดเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 ที่ตำบลจันทึก อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเป็นน้องชายของนำพล หนองกี่พาหุยุทธ อดีตนักมวยไทยที่มีชื่อเสียง",
"วังจั่นน้อย ได้รับฉายาว่า \"\"ไอ้หมัด 33 วิ\"\" จากการเอาชนะน็อก นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ น้องชายของนำพล หนองกี่พาหุยุทธ ด้วยหมัดไปด้วยเวลาเพียง 33 วินาที ของยกแรกเท่านั้น ซึ่งนับเป็นสถิติการชกที่รวดเร็วมาก และยังมีอีกฉายาหนึ่งว่า \"\"ไอ้หนุ่มชีวาส\"\" เนื่องจากชอบสังสรรค์เฮฮา กินเลี้ยงกับเพื่อนฝูงด้วยวิสกี้ยี่ห้อชีวาสรีเกิล โดยเฉพาะหลังชกเสร็จ และยังมีฉายาอื่นอีก เช่น \"\"เมธีหมัดตรง\"\" และ\"\"พระกาฬละโว้\"\"",
"บทละครนอกเรื่อง ยุขัน พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ จุลศักราช 1240 (พ.ศ. 2421) เป็นการพิมพ์รวมเล่มสมุดไทยตั้งแต่เล่มที่ 1-23 และมิได้มีการพิมพ์เผยแพร่อีก จนกระทั่งในปีพุทธศักราช 2548 กรมศิลปากรพิจารณาเห็นว่า บทละครเรื่องยุขันมีคุณค่าต่อการศึกษาวรรณกรรมไทยในแง่ของการได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมต่างชาติ จึงได้มีการตรวจสอบชำระ และจัดพิมพ์เผยแพร่ขึ้นมาอีกครั้ง",
"รองศาสตราจารย์ ดร.ธัญยธรณ์ ขันทปราบ (ชื่อเดิม กนลา ขันทปราบ) เป็นรองศาสตราจารย์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และเป็นอดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ",
"นำพลฝึกมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ๆ อายุเพียง 9-10 ขวบ จากการเห็นแววของ อาจารย์ปราโมทย์ หอยมุกข์ เจ้าของค่ายหนองกี่พาหุยุทธ จากการเห็นนำพลวิ่งในโรงเรียนในฐานะนักกีฬาของโรงเรียน นำพลเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการชกมวยรอบที่จังหวัดสุรินทร์ และนครราชสีมา ก่อนที่จะเข้ามาชกที่กรุงเทพมหานคร ที่เวทีลุมพินี โดยไฟต์แรก พบกับ เชียงรายน้อย ก.ณรงค์ศักดิ์ และเป็นฝ่ายชนะไป",
"นายปราโมทย์ หอยมุกข์ หรือชื่อที่นิยมเรียกกันติดปากว่า อาจารย์ปราโมทย์ เจ้าของค่ายมวย \"หนองกี่พาหุยุทธ\" และ \"ศูนย์กีฬาหนองกี่\" ที่อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์",
"ฝ่ายยุขันหลังจากแยกทางกับพระเชษฐาแล้ว ก็รอนแรมมาในป่าจนกระทั่งพบกับอาศรมของ<b data-parsoid='{\"dsr\":[8255,8277,3,3]}'>พระรักขิตมหาฤๅษี</b>ตามที่ในจารึกบอกไว้ จึงเข้าไปกราบแล้วเล่าเรื่องราวของตนแล้วถามทางไปเมืองอุเรเซ็น พระฤๅษีทราบเรื่องก็เกิดความเมตตาจึงกล่าวว่า อันหนทางจะไปเมืองอุเรเซ้นนั้น เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย มีทั้งยักษ์มาร และแม่น้ำที่ลึกและกว้าง เมื่อเห็นว่าพลัดพรากจากพระเชษฐาจึงร่ายเวทย์ชุบคนขึ้นมาต่างหน้าพี่ชายไว้เป็นเพื่อนเดินทางแล้วตั้งชื่อให้ว่า เจ้าลิขิต ทั้งสองจึงฝากตัวเป็นศิษย์ของฤๅษี ก่อนออกเดินทางพระฤๅษีจึงได้มอบพระขรรค์แก้วให้กับเจ้าลิขิต และมอบธนูกับศรวิเศษให้กับยุขัน แล้วทั้งสั่งสอนว่าทางข้างหน้าอันตรายให้อยู่ช่วยดูแลกันและกันอย่าประมาท จากนั้นก็จึงอวยพรและชี้ทางให้ ทั้งสองเดินทางเรื่อยมาจนล่วงเข้าเขตที่อยู่ของ<b data-parsoid='{\"dsr\":[8886,8905,3,3]}'>ยักษ์มัตตะริม</b>ซึ่งอาศัยอยู่ปราสาททิพย์กลางป่า และมีอาวุธวิเศษคือ<b data-parsoid='{\"dsr\":[8955,8981,3,3]}'>กระบองแก้วสุริยกานต์</b>อันมีฤทธิ์คือหากกวัดแก่วง ก็จะขอสิ่งที่อยากได้ตามใจนึก นอกจากนี้ยังมีอสูรทหารเอก ซึ่งคอยเผ้าหน้าด่านในป่าอยู่ถึงสามชั้นคือ อสุรปานัน, วายุกันยักษ์ และ นันทสูร อยู่มาวันหนึ่ง อสูรมัตตะริมนั้นเกิดเปล่าเปลี่ยวจิต คิดหาคู่ครองจึงควงอาวุธเหาะหาสาวงามจนล่วงไปถึงเมืองไอสุริยา",
"หลังจากแต่งงานไม่นาน พันอินทราชซึ่งตอนนี้เป็น หลวงพิมานมงคล ได้เสียชีวิตลงและฝากฝังให้เสมาดูแลศรีเมืองแทนตนด้วย เรไรเลยอนุญาตให้เสมารับศรีเมืองไว้เป็นภรรยาน้อยได้ ส่วนขันกับพุฒก็ทะเลาะกันรุนแรง เพราะพุฒใช้เส้นน้าชายไปสังกัดกรมกองใหม่โดยไม่บอกขัน แม่ของขันทนสงสารลูกไม่ได้ เลยไปขอให้เสมาช่วย เสมาลืมเรื่องเก่า ๆ ทำให้ขันซึ้งใจ ยอมรับผิดและทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนกัน",
"นำพล หนองกี่พาหุยุทธ (ชื่อจริง: นำพล ศรีจันทึก; ชื่อเล่น: แขก; เกิด: 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 ที่ตำบลจันทึก อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์; เสียชีวิต: 19 กันยายน พ.ศ. 2559 ที่โรงพยาบาลนางรอง) เป็นนักมวยไทยชื่อดังในยุคเดียวกับ สามารถ พยัคฆ์อรุณ, เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง, เชอรี่ ส.วานิช, เพชรดำ ลูกบ่อไร่, เหนือธรณี ทองราชา, แสงเทียนน้อย ส.รุ่งโรจน์ และเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ อดีตยอดนักมวยไทยอีกราย",
"เมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่ก่อน จังหวัดจันทบุรีแทบจะไม่มีผลไม้พื้นถิ่นของตัวเองเลย แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศเหมาะแก่การทำสวน และอุปนิสัยคนจันทน์ที่ขยัน ช่างสังเกต และชอบการเพาะปลูก เมื่อพบเห็นผลไม้แปลก ๆ ก็มักจะนำเมล็ด กิ่งตอน กลับมาปลูกที่บ้าน ซึ่งเมื่อประมาณกว่า 80 ปีที่ผ่านมา ชาวสวนจันทบุรีหลาย ๆ คน นิยมนำกิ่งตอนและเมล็ดของเงาะบางยี่ขันจากกรุงเทพฯ กลับมาปลูกยังเมืองจันทน์ ที่ตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง ก็บังเอิญมีชาวสวนไปพบเงาะต้นหนึ่งที่งอกออกมาจากเมล็ดเงาะบางยี่ขัน เมื่อสังเกตดูก็เห็นว่ามีลักษณะต่างออกไปจากเงาะบางยี่ขัน คือเป็นเงาะที่มีสีชมพูสด สวยงาม เนื้อมีรสหวานกรอบ และ ล่อนจากเมล็ดดีมาก",
"หลังแขวนนวม นำพลมีกิจการเป็นของตัวเอง คือ ร้านหมูกระทะชื่อ \"นำพล หมูย่างเกาหลี\" ที่ตัวอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยเป็นนักมวยคนแรกที่เปิดกิจการในลักษณะนี้ก่อนที่นักมวยอีกหลายคนจะเปิดตามมา ต่อมากิจการร้านหมูกระทะได้ปิดตัวลง และนำพลได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง เงียบสงบที่จังหวัดบุรีรัมย์บ้านเกิด จากที่ดินและบ้านที่เก็บเงินซื้อไว้ตั้งแต่สมัยชกมวย และใช้เวลาว่างสอนมวยไทยให้แก่นักมวยรุ่นน้องที่ค่ายหนองกี่พาหุยุทธ",
"แต่เรื่องนี้รู้เข้าถึงหูขุนราม ทำให้ขุนรามไม่พอใจแถมยังได้ลูกยุจากขัน พุฒ อีกขุนรามเลยยิ่งรังเกียจเสมาและกลัวว่าถ้าเสมาเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาแล้วจะ ล้างแค้นตน เสมามีแต่ตำแหน่งอย่างเดียว และจะได้เงินก็ต่อเมื่อออกรบเท่านั้น (ประมาณทหารรับจ้าง) ขุนรามชอบขันเพราะบ้านขันร่ำรวยมาก แถมขัน พุฒ ยังช่วยกันประจบทั้งขุนราม เสมาเลยต้องไปตีเหล็กหาเงินใช้ ทำให้ได้เจอกับ เอื้อยแตงเพื่อนสมัยเด็ก ทั้งคู่สนิทกันมาก แถมเอื้อยแตง ยังแอบชอบเสมา เลยมีคนเอาไปนินทา ทำให้ เรไรเข้าใจผิดคิดว่าเสมานอกใจ จนทั้งคู่ทะเลาะกัน ในขณะที่พุฒเห็นบัวเผื่อน ก็เลยจีบเพื่อหวังจะใช้บัวเผื่อนเป็นเครื่องมือในการยุแยงเรไรให้โกรธกับ เสมา",
"ยุขัน เป็นบทละครนอกที่แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกลอนบทละคร ไม่ปรากฏหลักฐานว่าแต่งเมื่อใดและผู้แต่งเป็นใคร สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากนิทานสุภาษิตเปอร์เซียเรื่องอิหร่านราชธรรม หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สิบสองเหลี่ยม เนื่องจากปรากฏข้อความบนทะเบียนเก่าของหอสมุดวชิรญาณ",
"ปัจจุบัน คัมภีร์พระไตรปิฎก 45 เล่ม ตามการแบ่งของประเทศไทย จะจัดแบ่งคัมภีร์มหาวรรคออกเป็นสองตอนหรือ 2 ภาค โดยจัดให้ตอนแรก (4 ขันธกะแรก) อยู่ในเล่มที่ 4 และตอนที่สอง (6 ขันธกะหลัง) อยู่ในเล่มที่ 5",
"สารวัตรแม่ลูกอ่อน เป็นละครโทรทัศน์ แนวละครโรแมนติก คอมเมดี จากบทประพันธ์ของ นันทนา วีระชน บทโทรทัศน์โดย พลพล พงษ์แพทย์, สิบพลัง ผลิตโดย บริษัทมงคลดี โปรดักชั่น จำกัด กำกับการแสดงโดย ตะวัน จารุจินดา นำแสดงโดย อาภา ภาวิไล,ชนกันต์ พูนศิริวงศ์,พรหมพิริยะ ทองพุทธรักษ์,ภัทรานิษฐ์ วิริยะบำรุงกิจ,เกียรติศักดิ์ อุดมนาค,ปิยา พงศ์กุลภา,ปราบ ยุทธพิชัย,โสภิตสุดา อิทธิเมธินทร์,ชัชฎาภรณ์ ธนันทา,สาริน บางยี่ขัน,ณัฏฐริณีย์ กรรณสูต ออกอากาศทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.50 น. และวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 18.20 น. ทางช่อง 7 สี ละครสารวัตรแม่ลูกอ่อน เริ่มตอนแรกวันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560-19 มกราคม พ.ศ. 2561 ต่อจากละคร เล่ห์รักยาใจ",
"มีนักมวยไทยในสังกัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ นำพล หนองกี่พาหุยุทธ และ นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ และในส่วนมวยสากลสมัครเล่นก็เคยมีนักมวยติดทีมชาติคือ สมชาย ฉิมรัมย์ ในการชกในกีฬาโอลิมปิกที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย",
"ยุขัน มีชื่อระบุในสมุดไทยว่า ยุขัน (สิบสองเหลี่ยม) อีกทั้งเนื้อเรื่องตอนต้นก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองสิบสองเหลี่ยม แต่กระนั้น ก็มีอิทธิพลของชวา และบทละครเรื่อง อิเหนาเข้ามาปะปนอยู่ด้วย เช่น ชื่อของตัวละคร หรือตำแหน่งต่างๆ เช่น \"ประไหมสุหรี\" เป็นต้น",
"เป็นข่วงเล่าข่าวสารต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและต่างประเทศในรูปแบบของพิธีกรที่มีสอดแทรกมุขตลกชวนขำขัน โดยอาจมีบุคคลที่เป็นข่าวมาปรากฏตัวให้สัมภาษณ์กับพิธีกรอีกด้วย",
"กล่าวถึงองค์ปะตาระกาหลาซึ่งเป็นเทวดาบนสวรรค์ เกิดร้อนอาสน์ จึงเล็งตาทิพย์ลงมาเห็นหางประวะลิ่มและยุขันเป็นเนื้อคู่ตุนาหงันกัน จึงคิดใช้นกหัสรังสีเป็นสื่อสัมพันธ์ ปะตาระกาหลาจึงได้ลงมาเขียนสารบรรยายคุณวิเศษของนกนั้นไว้ข้างแท่นบรรทมของ<b data-parsoid='{\"dsr\":[6476,6494,3,3]}'>ท้าวอุรังยิด</b>เจ้าเมืองอุรังยิด ซึ่งมีโอรสรูปงามสององค์ คือ ยุดาหวัน</b>องค์พี่ กับ<b data-parsoid='{\"dsr\":[6565,6576,3,3]}'>ยุขัน</b>องค์น้อง ครั้นท้างอุรังยิดได้ทราบความในสารดังกล่าวทราบถึงคุณวิเศษของดวงแก้วกายสิทธิ์ที่อยู่ในศีรษะนกนั้น จึงมีความปรารถนาจะได้ไว้ครอบครอง ยุดาหวันและยุขันจึงรับอาสาที่จะไปนำนกหัสรังสีมาถวาย ก่อนออกเดินทางท้าวอุรังยิดได้ให้โหรหลวงทำนายได้ความว่า ทั้งสองพี่น้องจะประสบชัย อีกอีกสามปีจึงจะได้กลับมาบ้านเมือง ทั้งสองพี่น้องจึงเริ่มออกเดินทางไปในป่าจนพบกับ<b data-parsoid='{\"dsr\":[6927,6946,3,3]}'>เสาประโคนใหญ่</b>ตั้งไว้ที่เชิงเขามีจารึกใจความว่า\"พระพรหมได้สาปไว้ว่าผู้ใดมาถึงเสาประโคนนี้ หากมาเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มให้แยกเดินทางซ้ายขวาคนละทาง หากไปด้วยกันจะมีภัยถึงชีวิตทั้งคู่ หากแยกกันเดินก็จะได้พบกับพระมหาฤษ๊สั่งสอนวิชาให้ และจะเดินทางไปยังเมืองอุเรเซ็นอย่างปลอดภัย ทั่งสองพี่น้องได้อ่านสารจารึกดังกล่าวก็บังเกิดความเศร้าโศกรำพึงรำพันว่า",
"ปัจจุบัน คัมภีร์พระไตรปิฎก 45 เล่ม ตามการแบ่งของประเทศไทย จะจัดแบ่งคัมภีร์จูฬวรรคออกเป็นสองตอนหรือ 2 ภาค ทั้งหมด 12 ขันธกะ โดยจัดให้ตอนแรก (4 ขันธกะแรก) อยู่ในเล่มที่ 6 และตอนที่สอง (8 ขันธกะหลัง) อยู่ในเล่มที่ 7",
"นำพล หนองกี่พาหุยุทธ นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ เอฟ 16 ราชานนท์ สิงห์ดำ เกียรติหมู่เก้า สามเอ ไก่ย่างห้าดาวยิม เทอดเกียรติ ศิษย์เทพพิทักษ์ วันมีโชค ภูหงษ์ทอง มังกรทอง ศักดิ์บุรีรัมย์",
"\"หนึ่งด้าวฟ้าเดียว\" เป็นละครจากค่ายทีวีซีน เป็นเรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ผู้จัดเข้าหาวรรณวรรธน์ ผู้เขียน \"ข้าบดินทร์\" ให้มาช่วยแต่งบทละครเรื่องนี้ ผ่านตัวละครและเรื่องราวใหม่ ๆ ได้รับแรงบันดาลใจเค้าโครงเรื่องจาก กฎหมายตราสามดวงว่าด้วยกฎมณเฑียรบาล ที่บันทึกว่ามีขันทีชาวต่างชาติในขบวนเสด็จของกษัตริย์ ทำให้เกิดเรื่องราวของชาวตุรกี ที่ปลอมตัวเป็นขันทีเข้ากรุงศรีอยุธยามาสืบราชการลับในละครเรื่องนี้ โดยมีบุคคลในประวัติศาสตร์อย่าง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระเจ้ามังระ, พระยาพิชัยดาบหัก, กรมขุนวิมลพัตร, เจ้าจอมเพ็ญ ฯลฯ และใช้เวลาประพันธ์ 3 เดือน สำหรับตัวละครขันทอง รับบทโดยจิรายุ ตั้งศรีสุข วรรณวรรธน์ได้วางตัวละครนี้โดยมีจิรายุไว้ในใจตั้งแต่ตอนเขียนบทประพันธ์ เพราะประทับใจบทบาทการแสดงในละครเรื่อง \"สุภาพบุรุษจุฑาเทพ\" ส่วนเครื่องแต่งกายของละครเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง และเพิ่มเติมสีสันสดใสให้ดูเหมาะสม"
] |
พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เกิดเมื่อวันที่ เท่าไหร่? | [
"พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (17 ธันวาคม พ.ศ. 2460 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2546) อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด"
] | [
"จำนวนผู้จบปริญญาเอก ในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ มีจำนวน 22 รายจาก 200 ราย คิดเป็นร้อยละ 10.5 มากกว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2557 ที่มีจำนวน 16 ราย จาก 220 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.27 มีผู้ที่มียศทหารและตำรวจไทย ทั้งหมด 78 ราย จาก 200 ราย คิดเป็นร้อยละ 39 ยศกองอาสารักษาดินแดน 7 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ผู้มีตำแหน่งทางวิชาการ 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 และเป็นแพทย์ 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.5\n ดร. พงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์\n นาย พนม ศรศิลป์\n รองศาสตราจารย์ พรชัย ตระกูลวรานนท์\n แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์\n รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์\n พลเอก พหล สง่าเนตร\n พลเอก พอพล มณีรินทร์\n พลเรือเอก พะจุณณ์ ตามประทีป\n พลตำรวจตรี พิสิษฐ์ เปาอินทร์\n นาย เพิ่มพงษ์ เชาวลิต\n นาย ไพฑูรย์ หลิมวัฒนา\n พลเอก ภิญโญ แก้วปลั่ง\n พลเอก ภูดิศ ทัตติยโชติ\n พลอากาศเอก มนัส รูปขจร\n ดร. มนู เลียวไพโรจน์\n นาง มิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์\n นาง เมธินี เทพมณี\n พันตำรวจตรี ยงยุทธ สาระสมบัติ\n พลเรือเอก ยุทธนา เกิดด้วยบุญ\n พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. รวีวรรณ ภูริเดช\n นาย รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์\n พลเอก รัชกฤต กาญจนวัฒน์\n พลตำรวจเอก ดร. เรืองศักดิ์ จริตเอก\n นาย เลิศปัญญา บูรณบัณฑิต\n พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช\n นาย เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ\n พลตำรวจเอก วรพงษ์ ชิวปรีชา\n รองศาสตราจารย์ ดร. วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ\n พลเอก วรวิทย์ พรรณสมัย\n นาย วรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา\n พลโท วราห์ บุญญะสิทธิ์\n นางสาว วลัยรัตน์ ศรีอรุณ\n พลเอก วัฒนา สรรพานิช\n พลอากาศเอก วัธน มณีนัย\n นาย วันชัย ศักดิ์อุดมไชย\n นาย วันชัย สอนศิริ\n นายกองเอก วัลลภ พริ้งพงษ์\n พลเอก วิชิต ยาทิพย์\n นายกองเอก วิเชียร ชวลิต\n พลเอก วิเชียร ศิริสุนทร\n นาย วิทยา แก้วภราดัย\n รองศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะห์ลัน\n นายกองเอก วิบูลย์ สงวนพงศ์\n นาย วิรัช ชินวินิจกุล\n นาย วิวัฒน์ ศัลยกำธร\n นาย วิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร\n พลเอก วุฒินันท์ ลีลายุทธ\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ไวกูณฑ์ ทองอร่าม\n พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล\n นายกองเอก ศานิตย์ นาคสุขศรี\n นาย ศิริชัย ไม้งาม\n ดร. สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์\n พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์\n นาย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์\n นาย สมชัย เจริญชัยฤทธิ์\n ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สมชัย ฤชุพันธุ์\n นาย สมชาย พฤฒิกัลป์\n พลโท สมชาย ลิ้นประเสริฐ\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สมเดช นิลพันธุ์\n นาย สมพงษ์ สระกวี\n นาง สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์\n พลเอก สราวุฒิ ชลออยู่\n พลเอก สสิน ทองภักดี\n รองศาสตราจารย์ ดร. สังศิต พิริยะรังสรรค์\n นาย สันต์ศักด์ จรูญ งามพิเชษฐ์\n พันเอก สิรวิชญ์ นาคทอง\n นาย สุชน ชาลีเครือ\n พันเอก สุชาติ จันทรโชติกุล\n นาย สุนชัย คำนูณเศรษฐ์\n นาย สุรชัย ดนัยตั้งตระกูล\n พลเอก สุรเดช เฟื่องเจริญ\n นาย สุรินทร์ จิรวิศิษฎ์\n พลเรือเอก สุรินทร์ เริงอารมณ์\n นาย สุวัฒน์ จิราพันธุ์\n พลตำรวจโท สุวิระ ทรงเมตตา\n นาย เสรี สุวรรณภานนท์\n นาย เสรี อติภัทธะ\n นาย อโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์\n พลอากาศเอก อนาวิล ภิรมย์รัตน์\n พลเรือเอก อนุทัย รัตตะรังสี\n นาย อนุสรณ์ จิรพงศ์\n นาย อนุสิษฐ คุณากร\n นาย อภิชาต จงสกุล\n พลเอก อภิชาต เพ็ญกิตติ\n นายกองเอก อภินันท์ ซื่อธานุวงศ์\n พลเรือเอก อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ\n นาง อรมน ทรัพย์ทวีธรรม\n นาย อรุณ จิรชวาลา\n นาย อลงกรณ์ พลบุตร\n ศาสตราจารย์ ดร.อิศรา ศานติศาสน์\n นาย อัครินทร์ เลิศกิจชัยศิริ\n นาย อับดุลฮาลิม มินซาร์\n พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง\n พลตำรวจโท อาจิณ โชติวงศ์\n พันตรี อาณันย์ วัชโรทัย\n พลตำรวจโท อำนวย นิ่มมะโน\n นายแพทย์ อำพล จินดาวัฒนะ\n รองศาสตราจารย์ ดร. อุทัย เลาหวิเชียร\n พลเอก เอกชัย จันทร์ศรี",
"เมื่อ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ทางพรรคได้เข้าร่วมรัฐบาลกับพลเอกเกรียงศักดิ์โดยพลอากาศเอกทวีได้ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี",
"พลเรือเอก กวี สิงหะ เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารเรือไทย",
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 200 คน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ดังต่อไปนี้ \nพลโท ไพโรจน์ ทองมาเอง\nพลเอก ไพโรจน์ พานิชสมัย\nศาสตราจารย์พิเศษภัทรศักดิ์ วรรณแสง\nนายกองเอก ภาณุ อุทัยรัตน์\nพลเอก ภาณุวัชร นาควงษม์\nศาสตราจารย์ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล\nนาย มณเฑียร บุญตัน\nนาย มนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด\nนายกองเอก มนุชญ์ วัฒนโกเมร\nพลเอก มารุต ปัชโชตะสิงห์\nพลเอก ยอดยุทธ บุญญาธิการ\nนาย ยุทธนา ทัพเจริญ\nพลเรือเอก ยุทธนา ฟักผลงาม\nพลเอก ยุวนัฏ สุริยกุล ณ อยุธยา\nศาสตราจารย์ นายแพทย์ รัชตะ รัชตะนาวิน\nพลเอก เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์\nพลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร\nพลเอก วลิต โรจนภักดี\nพลตำรวจเอก ดร. วัชรพล ประสารราชกิจ\nนาย วันชัย ศารทูลทัต\nอาจารย์วัลลภ ตังคณานุรักษ์\nพลเรือเอก วัลลภ เกิดผล\nพลเอก วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา\nพลเอก วิชิต ศรีประเสริฐ\nนาย วิทยา ฉายสุวรรณ\nนาย วิทวัส บุญญสถิตย์\nพลตำรวจโท วิบูลย์ บางท่าไม้\nพลเอก วิลาศ อรุณศรี\nพลเรือโท วีระพันธ์ สุขก้อน\nนาย วีระศักดิ์ ฟูตระกูล\nพลเอก วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล\nรองศาสตราจารย์ วุฒิชัย กปิลกาญจน์\nผู้ช่วยศาสตราจารย์ วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์\nนาย ศรีศักดิ์ ว่องส่งสาร\nนาย ศักดิ์ชัย ธนบุญชัย\nดร. ศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์\nนาย ศิระชัย โชติรัตน์\nพลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล\nดร. ศิริพล ยอดเมืองเจริญ\nพลอากาศเอก ศิวเกียรติ์ ชเยมะ\nพลเรือเอก ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ\nพลเอก ศุภกร สงวนชาติศรไกร\nพลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์\nพลเอก สกล ชื่นตระกูล\nนาย สถิตย์ สวินทร\nพลเรือโท สนธยา น้อยฉายา\nศาตราจารย์ ดร. สนิท อักษรแก้ว\nศาสตราจารย์ สม จาตุศรีพิทักษ์\nศาสตราจารย์ ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์\nนาย สมชาย แสวงการ\nนาย สมบูรณ์ งามลักษณ์\nดร.สมพร เทพสิทธา\nนาย สมพล เกียรติไพบูลย์\nนาย สมพล พันธุ์มณี\nพลตำรวจเอก ดร. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง\nนาย สมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ\nพลเอก สมหมาย เกาฏีระ\nพลเอก สมเจตน์ บุญถนอม\nพลเอก สมโภชน์ วังแก้ว\nรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์\nพลอากาศเอก สฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์\nพลเอก สิงห์ศึก สิงห์ไพร\nนาย สาธิต ชาญเชาวน์กุล\nนาย สีมา สีมานันท์\nพลเอก สุชาติ หนองบัว\nพลอากาศเอก สุทธิพันธ์ กฤษณคุปต์\nนาย สุธรรม พันธุศักดิ์\nนาย สุพันธุ์ มงคลสุธี\nรองศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิง สุมณฑา พรหมบุญ\nนาย สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย\nพลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์\nพลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์\nพลเอก สุรวัช บุตรวงษ์\nพลเรือเอก สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์\nนาง สุวรรณี สิริเวชชะพันธ์\nพลเอก สุวโรจน์ ทิพย์มงคล\nนาง สุวิมล ภูมิสิงหราช\nนาง เสาวณี สุวรรณชีพ\nพลเอก โสภณ ศีลพิพัฒน์\nพลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์\nพลเอก องอาจ พงษ์ศักดิ์\nพลอากาศเอก อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ\nพลเอก อดุลยเดช อินทะพงษ์\nพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์\nนายกองเอกอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ\nนาย อนุศาสน์ สุวรรณมงคล\nพลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง\nนางสาว อรจิต สิงคาลวณิช\nพลเอก อักษรา เกิดผล\nพลอากาศเอก อาคม กาญจนหิรัญ\nนาย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ\nพลอากาศเอก อานนท์ จารยะพันธุ์\nนาย อาศิส พิทักษ์คุมพล \nดร. อำพน กิตติอำพน\nพลโท อำพน ชูประทุม\nพลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย \nพลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์\nนาย อิสระ ว่องกุศลกิจ\nพลเอก อู้ด เบื้องบน\nพลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์\nทั้งนี้หลังจากที่มีประกาศแต่งตั้งแล้ว อาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีได้ทำหนังสือแจ้งต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติขอไม่รับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เนื่องจากจุฬาราชมนตรีเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลามในประเทศไทยจึงไม่สมควรรับตำแหน่งทางการเมือง และที่ผ่านมายังไม่มีใครทาบทามให้ดำรงตำแหน่งสมาชิก สนช. และได้ยื่นหนังสือลาออกเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2557 ในวันเดียวกันนี้ พลเอก ธวัชชัย สมุทรสาคร ได้ยื่นหนังสือลาออกเนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญเพราะเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา วันที่ 4 สิงหาคม 2557 พลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อเลขาธิการวุฒิสภาทำหน้าที่เลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญเพราะเคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ",
"พลเอกเกรียงศักดิ์ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2546 รวมอายุได้ 86 ปี โดยในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ภาพที่ติดตาของพลเอกเกรียงศักดิ์ คือ การทำแกงเขียวหวานใส่บรั่นดีระหว่างออกเยี่ยมประชาชนตามที่ต่าง ๆ อันเป็นสูตรของพลเอกเกรียงศักดิ์เอง",
"พลเอก สุรกิจ มัยลาภ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลของนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2516 ซึ่งมีพลอากาศเอก ทวี จุลทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2520 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์",
"ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออก และได้รับแต่งตั้งอีกสมัยหนึ่ง แต่ดำรงตำแหน่งเพียง 12 วัน และได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพียงวันเดียวก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากการรัฐประหารของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ และเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์",
"ในช่วงที่รับราชการทหาร พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์เคยร่วมรบในสมรภูมิเกาหลีรุ่นแรก ในตำแหน่งผู้บังคับกองพันทหารราบ ผลัดที่ 3 สร้างเกียรติภูมิอย่างมาก จนหน่วยใต้บังคับบัญชาได้ฉายาว่า \"กองพันพยัคฆ์น้อย\" (ปัจจุบันแปรสภาพเป็นกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์) ภายหลังกลับจากสงครามก็เข้าประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด เติบโตในสายเสนาธิการมาเป็นลำดับจนเป็นพลเอก และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดจนเกษียณอายุราชการ",
"ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และได้รับแต่งตั้งอีกครั้งในรัฐบาลคณะต่อมา นำโดยพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ได้มีการปรับคณะรัฐมนตรี เขาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ดำงกล่าว นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนจะแถลงนโยบาย เนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล กับรัฐสภา",
"พลเอก นายกองใหญ่ เล็ก แนวมาลี ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียรเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 39 และพ้นจากตำแหน่งไปหลังการรัฐประหารของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 40 รัฐบาลของพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2521 ได้มีการปรับย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งเรื่อยมาในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 41 และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 และพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 หลังจากที่พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ลาออก",
"บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) พลเอก ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็นประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง เป็นกรรมการอิสระ พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย เป็นกรรมการอิสระ พลอากาศเอก ตรีทศ สนแจ้ง เป็นรักษาการประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) นาวาอากาศตรี ประจักษ์ สัจจโสภณ เป็นกรรมการอิสระ พลอากาศโท ประกิต ศกุณสิงห์ เป็นกรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบ พลตำรวจโท มนู เมฆหมอก เป็นกรรมการอิสระ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด พลเอก สาธิต พิธรัตน์ เป็นประธานกรรมการ พลตำรวจโท อติเทพ ปัญจมานนท์[45]พลตำรวจตรี สมพงษ์ ชิงดวง[46] เป็นกรรมการ การไฟฟ้านครหลวง พลอากาศเอก อานนท์ จารยะพันธุ์ และ พลตำรวจโท ไถง ปราศจากศัตรู เป็นกรรมการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พลเอก วลิต โรจนภักดี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายกองโท ชยพล ธิติศักดิ์ เป็นประธานกรรมการ เรืออากาศโท กมลนัย ชัยเฉนียน เป็นกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย นาวาอากาศเอก รองศาสตราจารย์ ดร. ธนากร พีระพันธุ์ เป็นกรรมการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พลเอก วราห์ บุญญะสิทธิ์ เป็นกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย พลเอก วิวรรธน์ สุชาติ ประธานกรรมการ พลอากาศเอก ยุทธนา สุกุมลจันทร์[47] เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ บริษัท ขนส่ง จำกัด พลตรี สุรพล ตาปนานนท์ ประธานกรรมการบริษัท พลโท พรเลิศ วรสีหะ เป็นกรรมการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย พลเรือเอก ชัยณรงค์ เจริญรัตน์ เป็นกรรมการ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) พลเรือเอก ธนะรัตน์ อุบล และ พันเอก นิมิตต์ สุวรรณรัฐ เป็นกรรมการอิสระ การประปาส่วนภูมิภาค พลตรี พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ร้อยตำรวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต การประปานครหลวง นายกองเอก ฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธานกรรมการ พลอากาศเอก ชาญฤทธิ์ พลิกานนท์ และ พลตรี ปรัชญา เฉลิมวัฒน์ เป็นกรรมการ การยาสูบแห่งประเทศไทย พลโท สุรไกร จัตุมาศ ประธานกรรมการอำนวยการโรงงานยาสูบ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พลโท อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประธานกรรมการ พลตำรวจตรี สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข พลตรี ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ พันโท หนุน ศันสนาคม พันตำรวจโท อมร หงษ์ศรีทอง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พลเอก ถเกิงกานต์ ศรีอำไพ ประธานคณะกรรมการ สถาบันการบินพลเรือน พลอากาศเอก สฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์ ประธานคณะกรรมการ ร้อยเอก ประยุทธ เสาวคนธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การรถไฟแห่งประเทศไทย นาวาอากาศเอก รองศาสตราจารย์ ดร.ธนากร พีระพันธุ์ เป็นกรรมการ[48] การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พลเอก ภาณุวัชร นาควงษม์ เป็นกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พลอากาศโท บุญสืบ ประสิทธิ์ และ พลเอก ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข กรรมการอิสระ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ประธานกรรมการ นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ และ พลตรี ดร.สมเกียรติ สัมพันธ์ เป็นกรรมการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พันเอก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และกรรมการบริหาร องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ พลเอก ชวลิต ชุนประสาน และ พลโท[49]ไพโรจน์ ทองมาเอง เป็นกรรมการ องค์การคลังสินค้า พลตำรวจตรี ไกรบุญ ทรวดทรง ประธานกรรมการ พันเอก (พิเศษ) ดร. ดิเรก ดีประเสริฐ รองประธานกรรมการ ร้อยตำรวจเอก ดร.สุธรรม เชื้อประกอบกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พลเอก ณัฏฐิพงษ์ เผือกสกนธ์ กรรมการ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด พลเอก ธวัชชัย สมุทรสาคร ประธานกรรมการ พลเอก ดรัณ ยุทธวงษ์สุข กรรมการและรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานธนานุเคราะห์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พลตำรวจตรี กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ พลตำรวจตรี อภิชาติ สุริบุญญา ว่าที่เรืออากาศโท อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร พลเรือโท วิพากษ์ น้อยจินดา กรรมการ องค์การสุรา กรมสรรพสามิต พันเอก บุญรอด ศรีสมบัติ กรรมการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พลเอก เทียนชัย รับพร กรรมการอิสระ การเคหะแห่งชาติ พลเอก สุชาติ หนองบัว และ พลเอก พิสิทธิ์ สิทธิสาร เป็นกรรมการ บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด พลเรือเอก พัลลภ ตมิศานนท์ ประธานกรรมการ พลเรือโท สุทธินันท์ สกุลภุชพงษ์ รองประธานกรรมการ พลเรือโท สุชีพ หวังไมตรี พลเรือโท ฐานันดร์ เข็มเพ็ชร พลเรือโท โสภณ วัฒนมงคล พลเรือโท ชุมศักดิ์ นาควิจิตร และ พลเรือตรี วิทยา ละออจันทร์ เป็นกรรมการ นาวาเอก พิชเยนทร์ ตันประเสริฐ เป็นกรรมการผู้จัดการ การกีฬาแห่งประเทศไทย พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นประธานกรรมการ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ เป็นกรรมการ พล.ร.อ.ชัยณรงค์ เจริญรักษ์ เป็นกรรมการ พลเอก อดุลยเดช อินทะพงษ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกีฬา[50] องค์การสะพานปลา พลเรือเอก เริงฤทธิ์ บุญส่งประเสริฐ เป็นกรรมการ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท เป็นกรรมการ องค์การสวนสัตว์ พันเอก ขจรศักดิ์ ไทยประยูร เป็นกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พันเอก ประเสริฐ ชูแสง เป็นกรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด พลเอก ศิวเกียรติ์ ชเยมะ เป็นประธานกรรมการ เรืออากาศเอก วีระศักดิ์ วิรุฬห์เพชร พลตำรวจเอก เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา พลตำรวจตรี ดร. สุรเชษฐ์ หักพาล พันเอก พีรวัส พรหมกลัดพะเนาว์ เป็นกรรมการ องค์การตลาด พลตำรวจเอก ชินทัต มีศุข[51]เป็นกรรมการอื่น การยางแห่งประเทศไทย พลเอก ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็นประธานกรรมการ ร้อยตำรวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต เป็นกรรมการ องค์การจัดการน้ำเสีย พลอากาศเอก ปรีชัย หาญเจนลักษณ์ เป็นกรรมการ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ พลตรี ณัฏฐพัชร สกุลรังสฤษฏ์ เป็นกรรมการ[52] โรงพิมพ์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท ปิยะ สอนตระกูล เป็นประธานกรรมการ พลตำรวจตรี อนันต์ โตสงวน พลตำรวจตรี เสน่ห์ อรุณพันธุ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พลตำรวจตรีหญิง ขนิษฐา เที่ยงทัศน์ พลตำรวจตรี สุรศักดิ์ บุญกลาง เป็นกรรมการ[53] ธนาคารออมสิน พลเอก จิระเดช โมกขะสมิต กรรมการอื่น[54]",
"คุณหญิง วิรัตน์ ชมะนันทน์ ภริยาของพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี คนที่ 15 ของไทย",
"พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยแถลงกลางสภา ฯ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 อันมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่รัฐบาลตัดสินใจเพิ่มราคาค่าน้ำมันตามราคาตลาดโลก ซึ่งทำให้หลายฝ่ายได้รับความเดือดร้อนและโจมตี หลังจากนั้นได้ยุติบทบาททางการเมือง โดยไม่ข้องเกี่ยวกับวงการเมืองอีก แต่อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์กบฏวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 พลเอกเกรียงศักดิ์ถูกต้องสงสัยว่าอาจมีส่วนรู้เห็นหรือสนับสนุนการกบฏดังกล่าว [3]",
"เมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 พรรคชาติประชาชนก็ได้ร่วมรัฐบาลพล.อ.เกรียงศักดิ์ โดย เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี",
" พลเรือเอก นริส ประทุมสุวรรณ\n นาย ปรีดี ดาวฉาย\n พลเรือเอก พลเดช เจริญพูล\n พลตรี พัลลภ เฟื่องฟู\n พลเรือโท รัตนะ วงษาโรจน์\n พลเรือเอกลือชัย รุดดิษฐ์\n นายกองเอก วิทยา ผิวผ่อง\n พลตรี วุฒิชัย นาควานิช\n พลตำรวจโท ศานิตย์ มหถาวร\n พลโท ศิริชัย เทศนา\n พลเอก ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์\n พลเอก สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล\n พลเอก สรรชัย อจลานนท์\n พลตรี สันติพงศ์ ธรรมปิยะ\n นาย สุชาติ ตระกูลเกษมสุข\n พลเรือเอก สุชีพ หวังไมตรี\n พลอากาศเอก สุทธิพงษ์ อินทรียงค์\n พลเอก สุรใจ จิตต์แจ้ง\n พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุ่งทอง\nวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพิ่มเติมอีก 3 คนดังต่อไปนี้ วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561 พลเอก ยุวนัฎ สุริยกุล ณ อยุธยา ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยให้เหตุผลเรื่องสุขภาพทำให้จำนวนสมาชิกเหลือ 245 คน",
"ลำดับ (สมัย)รูปรายนามครม. คณะที่เริ่มวาระสิ้นสุดวาระ11จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์2631 มีนาคม พ.ศ. 250012 กันยายน พ.ศ. 2500[1]12จอมพล ป. พิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) 2612 กันยายน พ.ศ. 2500[2]16 กันยายน พ.ศ. 250013 (1- 6)จอมพลถนอม กิตติขจร2723 กันยายน พ.ศ. 250026 ธันวาคม พ.ศ. 2500281 มกราคม พ.ศ. 250120 ตุลาคม พ.ศ. 25012910 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 25028 ธันวาคม พ.ศ. 25063011 ธันวาคม พ.ศ. 25067 มีนาคม พ.ศ. 25123111 มีนาคม พ.ศ. 251217 พฤศจิกายน พ.ศ. 25143219 ธันวาคม พ.ศ. 251514 ตุลาคม พ.ศ. 251614พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์3316 ตุลาคม พ.ศ. 251622 พฤษภาคม พ.ศ. 251715พลเอก ครวญ สุทธานินทร์3430 พฤษภาคม พ.ศ. 251714 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 251816 (1)พลเอก ทวิช เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา3515 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 251813 มีนาคม พ.ศ. 251817พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร3617 มีนาคม พ.ศ. 251812 มกราคม พ.ศ. 251918พลเอก กฤษณ์ สีวะรา3721 เมษายน พ.ศ. 251928 เมษายน พ.ศ. 251915 (2)พลเอก ทวิช เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา3728 เมษายน พ.ศ. 251924 สิงหาคม พ.ศ. 251919หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช3727 สิงหาคม พ.ศ. 251923 กันยายน พ.ศ. 251920 (1-2)พลเรือเอก สงัด ชลออยู่385 ตุลาคม พ.ศ. 25196 ตุลาคม พ.ศ. 25193922 ตุลาคม พ.ศ. 251920 ตุลาคม พ.ศ. 252021พลเอก เล็ก แนวมาลี4012 พฤศจิกายน พ.ศ. 252011 สิงหาคม พ.ศ. 252022พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์4011 สิงหาคม พ.ศ. 252011 พฤษภาคม พ.ศ. 252223 (1-3)100pxพลเอก เปรม ติณสูลานนท์4124 พฤษภาคม พ.ศ. 25223 มีนาคม พ.ศ. 25234221 มีนาคม พ.ศ. 252319 มีนาคม พ.ศ. 2526437 พฤษภาคม พ.ศ. 25265 สิงหาคม พ.ศ. 2529",
"อบ วสุรัตน์ เคยเป็นรองหัวหน้าพรรคชาติประชาธิปไตย ที่มีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นหัวหน้าพรรค และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2523) และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 จนกระทั่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2528 เขาได้ขอลาออกจากตำแหน่ง ต่อมาเริ่มต้นเปิดกิจการบริษัทวิทยาคม เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2529",
"พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้รับพระราชทานยศนายกองใหญ่แห่งกองอาสารักษาดินแดนเป็น พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก นายกองใหญ่ เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521[6]",
"วันที่ 1 ตุลาคม 2559 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชทานยศทหารชั้นนายพล วาระ ตุลาคม 2559 โดยมีสมาชิกได้รับพระราชทานยศ พลเอก 3 รายได้แก่ พลเอก สสิน ทองภักดี พลเอก สุรเดช เฟื่องเจริญ พลเอก ธงชัย สาระสุข นางสายทิพย์ เชาวลิตถวิล เกษียณอายุราชการ นายสรศักดิ์ เพียรเวช ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ\n ดร.พงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์\n นาย พนม ศรศิลป์\n รองศาสตราจารย์ พรชัย ตระกูลวรานนท์\n แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์\n รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์\n พลเอก พหล สง่าเนตร\n พลเอก พอพล มณีรินทร์\n พลเรือเอก พะจุณณ์ ตามประทีป\n พลตำรวจตรี พิสิษฐ์ เปาอินทร์\n นาย เพิ่มพงษ์ เชาวลิต\n นาย ไพฑูรย์ หลิมวัฒนา\n พลเอก ภิญโญ แก้วปลั่ง\n พลเอก ภูดิศ ทัตติยโชติ\n พลอากาศเอก มนัส รูปขจร\n ดร. มนู เลียวไพโรจน์\n นาง มิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์\n นาง เมธินี เทพมณี\n พันตำรวจตรี ยงยุทธ สาระสมบัติ\n พลเรือเอก ยุทธนา เกิดด้วยบุญ\n พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. รวีวรรณ ภูริเดช\n นาย รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์\n พลเอก รัชกฤต กาญจนวัฒน์\n พลตำรวจเอก ดร. เรืองศักดิ์ จริตเอก\n นาย เลิศปัญญา บูรณบัณฑิต\n พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช\n นาย เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ\n พลตำรวจเอก วรพงษ์ ชิวปรีชา\n รองศาสตราจารย์ ดร. วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ\n พลเอก วรวิทย์ พรรณสมัย\n นาย วรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา\n พลโท วราห์ บุญญะสิทธิ์\n นางสาว วลัยรัตน์ ศรีอรุณ\n พลเอก วัฒนา สรรพานิช\n พลอากาศเอก วัธน มณีนัย\n นาย วันชัย ศักดิ์อุดมไชย\n นาย วันชัย สอนศิริ\n นาย วัลลภ พริ้งพงษ์\n พลเอก วิชิต ยาทิพย์\n นาย วิเชียร ชวลิต\n พลเอก วิเชียร ศิริสุนทร\n นาย วิทยา แก้วภราดัย\n รองศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะห์ลัน\n นาย วิบูลย์ สงวนพงศ์\n นาย วิรัช ชินวินิจกุล\n นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร\n นาย วิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร\n พลเอก วุฒินันท์ ลีลายุทธ\n นาย ไวกูณฑ์ ทองอร่าม\n พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล\n นาย ศานิตย์ นาคสุขศรี\n นาย ศิริชัย ไม้งาม\n นาย สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์\n พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์\n นาย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์\n นาย สมชัย เจริญชัยฤทธิ์\n ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์\n นาย สมชาย พฤฒิกัลป์\n พลโท สมชาย ลิ้นประเสริฐ\n ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สมเดช นิลพันธุ์\n นาย สมพงษ์ สระกวี\n นาง สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์\n พลเอก สราวุฒิ ชลออยู่\n พลเอก สสิน ทองภักดี (ลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)\n รองศาสตราจารย์ ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์\n นาย สันตศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์\n พันเอก สิรวิชญ์ นาคทอง\n นาย สุชน ชาลีเครือ\n พันเอก สุชาติ จันทรโชติกุล\n นาย สุนชัย คำนูณเศรษฐ์\n นาย สุรชัย ดนัยตั้งตระกูล\n พลเอก สุรเดช เฟื่องเจริญ\n นาย สุรินทร์ จิรวิศิษฎ์\n พลเรือเอก สุรินทร์ เริงอารมณ์\n นาย สุวัฒน์ จิราพันธุ์\n พลตำรวจโท สุวิระ ทรงเมตตา\n นายเสรี สุวรรณภานนท์\n นาย เสรี อติภัทธะ\n นาย อโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์\n พลอากาศเอก อนาวิล ภิรมย์รัตน์\n พลเรือเอก อนุทัย รัตตะรังสี\n นาย อนุสรณ์ จิรพงศ์\n นาย อนุสิษฐ คุณากร\n นาย อภิชาต จงสกุล\n พลเอก อภิชาต เพ็ญกิตติ\n นาย อภินันท์ ซื่อธานุวงศ์\n พลเรือเอก อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ\n นาง อรมน ทรัพย์ทวีธรรม\n นาย อรุณ จิรชวาลา\n นายอลงกรณ์ พลบุตร\n ศาสตราจารย์ ดร.อิศรา ศานติศาสน์\n นาย อัครินทร์ เลิศกิจชัยศิริ\n นาย อับดุลฮาลิม มินซาร์\n พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง\n พลตำรวจโท อาจิณ โชติวงศ์\n พันตรี อาณันย์ วัชโรทัย\n พลตำรวจโท อำนวย นิ่มมะโน\n นาย อำพล จินดาวัฒนะ\n รองศาสตราจารย์ ดร.อุทัย เลาหวิเชียร\n พลเอก เอกชัย จันทร์ศรี",
"พล.ร.อ.อมร ศิริกายะ รับราชการในสังกัดกองทัพเรือไทย จนได้รับตำแหน่งสูงสุดเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2521 ก่อนจะเกษียณอายุราชการ พล.ร.อ.อมร ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในคณะรัฐมนตรีคณะต่อมา",
"ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 เป็น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 12 ได้ประกาศใช้ใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 ภายหลังจากการ\nปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาลนาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร โดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ หัวหน้า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 เป็นผลสำเร็จซึ่งหลังจากนั้น\nอีก 2 วันคือวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เลขาธิการ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รับการแต่งตั้ง\nเป็น นายกรัฐมนตรี ",
"พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ประธานสภานโยบายแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ",
"พล.ร.อ.กวี สิงหะ รับราชการในสังกัดกองทัพเรือไทย จนได้รับตำแหน่งสูงสุดเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2521 จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2523 ต่อจากพลเรือเอกอมร ศิริกายะ ก่อนจะเกษียณอายุราชการ พล.ร.อ.กวี ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในปี พ.ศ. 2523",
"พลเรือเอกถวิล รายนานนท์ (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2526) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร นายสัญญา ธรรมศักดิ์ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์",
"รัตน์ ศรีไกรวิน เคยรับราชการเป็นผู้พิพากษา และเป็นอดีตรองประธานศาลฎีกา ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์) และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลของพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ แทนนายสุธรรม ภัทราคม ซึ่งลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 และได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ของปีเดียวกัน ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาก็พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากพลเอก เกรียงศักดิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523",
"เหตุการณ์ระเบิดในครั้งนี้เป็นหนึ่งในข้ออ้างของการรัฐประหารล้มรัฐบาลธานินทร์ในอีก 3 สัปดาห์ต่อมาที่นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด",
"พลเรือเอก อมร ศิริกายะ เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารเรือไทย",
"พลเอก เกรียงศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2460 [1] เป็นบุตรของนายแจ่ม กันนางเจือ ชมะนันทน์ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเกรียงศักดิ์ตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น (รัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม)[2] ชีวิตครอบครัว สมรสกับคุณหญิง วิรัตน์ ชมะนันทน์ มีบุตรและธิดาคือ พันเอก พงศ์พิพัฒน์ ชมะนันทน์ และ รัตนวรรณ ชมะนันทน์[1]",
"พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินภายใต้ การนำของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ผลงานสำคัญในช่วงที่พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดำรงตำแหน่งคือการปรับปรุงสัมพันธภาพกับประเทศเพื่อนบ้านอันประกอบด้วย ประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า รวมทั้งพลเอก เกรียงศักดิ์ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และสหภาพโซเวียต เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจทั้งสอง ทำให้ไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นขึ้น"
] |
พรรคเดโมแครต ก่อตั้งครั้งแรกโดยใครเป็นผู้นำ ? | [
"ชื่อเดิมของพรรคเดโมแครตคือ พรรคเดโมเครติก-ริพับลิกัน ซึ่งก่อตั้งโดยประธานาธิบดีทอมัส เจฟเฟอร์สัน ใน ค.ศ. 1792 ถือเป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก หลังจากชัยชนะของพรรคเดโมเครติก-ริพับลิกันต่อพรรคเฟเดอรัลลิสต์ ในปี 1800 พรรคได้กลายเป็นพรรคการเมืองหลักของสหรัฐฯ ภายในพรรคเองได้แบ่งออกเป็นฝ่ายต่าง ๆ ในที่สุดประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็กสัน ได้แยกฝ่ายของตนเองออกมาเป็น \"พรรคเดโมแครต\" ในปี 1828"
] | [
"วันที่ 19 มกราคม 2561 รัฐบัญญัติการขยายอายุการจัดสรรเงินต่อเนื่องปี 2018 (H.R. 195) อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อขยายเวลาการจัดหาเงินทุนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ร่างกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 18 มกราคม แต่การออกเสียงลงคะแนนปิดอภิปรายในวุฒิสภาไม่ผ่าน มีผู้สนับสนุน 50 และคัดค้าน 49 ในขณะที่ต้องอาศัย 60 เสียงเพื่อยุติการอภิปรายประวิงเวลาที่มีพรรคเดโมแครตเป็นผู้นำ เมื่อเวลาประมาณ 22:45 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก มีสมาชิกวุฒิสภาพรรคริพับลิกันห้าคน พรรคเดโมแครตห้าคนออกเสียงเห็ยชอบกับญัตติปิดอภิปรายในมติ ส่วนริพับลิกันสี่คนออกเสียงคัดค้านการปิดอภิปราย มติต่อเนื่องที่ผู้นำพรรคริพับลิกันสนับสนุนนี้ รวมการอนุญาตโครงการประกันสุขภาพเด็ก (CHIP) หกปีซึ่งไม่ได้รับเงินทุนตั้งแต่เดือนตุลาคม และชะลอภาษีสาธารณสุขหลายรายการซึ่งเกิดจากรัฐบัญญัติการบริบาลที่เสียได้ เดโมแครตนิยมมติสั้น ๆ ที่กินเวลาไม่กี่วัน โดยเจตนาเจรจาให้รวมการขยายเวลานโยบาย DACA",
"ที่ศูนย์ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต [[ฮิลลารี คลินตัน]] อดีตคู่แข่งภายในพรรคของโอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนโอบามา ให้เป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เพื่อไปต่อสู้กับพรรคริพับลิกันอย่างเป็นทางการ ต่อมาในวันที่ 28 สิงหาคม โอบามากล่าวสุนทรพจน์ท่ามกลางผู้สนับสนุนราว 84,000 คน และผู้ที่ดูทางโทรทัศน์อีก 38 ล้านคน และในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์นั้น โอบามาได้รับการยอมรับให้เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ และยังนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายของเขาต่อไป",
"ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) บุชได้รับชัยชนะใน 31 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ ทำให้ได้คะแนนเอเล็คตอรัลโวตไปทั้งสิ้น 286 คะแนน ผู้ลงคะแนนได้ออกมาเลือกบุชอย่างถล่มทลาย ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่ได้ป็อบปูลาโวต มากกว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนไหนๆในประวัติศาสตร์ (62,040,610 โวต/50.7 %) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) ที่ประธานาธิบดีได้รับเสียงประชานิยมข้างมาก ทางด้านวุฒิสมาชิกจอห์น แครี ผู้สมัครคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ชนะไป 19 รัฐรวมทั้งในวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ได้เอเล็คตอรัลโวตไป 251 คะแนน (59,028,111 โวต/48.3 %) \nโดยที่ผู้ลงคะแนนแบบเอเล็คตอรัลโวตคนหนึ่ง ที่ควรจะลงคะแนนให้จอห์น แครี่ ได้เปลี่ยนใจไปลงคะแนนให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด คู่สมัครชิงประธานาธิบดีของแครี่จากพรรคเดโมแครตแทน ทำให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด มีเอเล็คตอรัลโวต 1 คะแนน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีผู้สมัครคนไหนได้เอเล็คตอรัลโวตอีก ผู้สมัครที่ไม่ใช่เดโมแครตหรือ รีพับลิกันที่เด่นๆ เป็นต้นว่า ราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครอิสระ (463,653 คะแนน/ 0.4 %) และ ไมเคิล แบดแนริก จากพรรคลิเบอร์แทเรียน (397,265 คะแนน/0.3 %) สภาคองเกรสได้เปิดการโต้วาทีเกี่ยวกับความผิดปกติในการลงคะแนนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งข้อกล่าวหาว่าเกิดความผิดปกติขึ้นที่รัฐโอไฮโอ และการปลอมแปลงเครื่องลงคะแนนอิเล็คทรอนิกส์",
"รัฐบาลแบร์ลุสโกนีสอง ที่เริ่มการบริหารประเทศตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2001 ยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์เล็กๆน้อยๆ และวิกฤตการณ์ถาวร (การเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี 19 ครั้ง รวมถึงการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญๆ เป็นต้นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเศรษฐกิจ รองประธานสภาที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีแห่งชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปฏิรูป) อย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งหมดวาระเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2005 ทำให้รัฐบาลของเขาเป็นรัฐบาลอิตาเลียนที่อยู่ในวาระนานที่สุดตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา แบร์ลุสโกนีได้ผ่านวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดมาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2005 จากการที่พรรคสหภาพคริสเตียนเดโมแครต (UDC) ของพวกคริสเตียนประชาธิปไตย หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลผสมสองพรรค ขอถอนตัว ทำให้แบร์ลุสโกนีต้องลงเอยด้วยการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีคาร์โล อาเซกลีโอ คีอามปี แห่งสาธารณรัฐอิตาลีเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2005 ซึ่งก็อนุญาตให้เขาลาออกอย่างสงวนท่าที ไม่ว่าเพื่อต้องการจัดตั้งรัฐบาลแบร์ลุสโกนีสาม (โดยไม่มีพรรคพันธมิตรสองพรรคเดิมมาร่วมรัฐบาล) หรือไม่ก็เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดผลได้ล่วงหน้า (ซึ่งมีขึ้นเมื่อในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2005) เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2005 เวลา 18 นาฬิกา 30 นาที ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอิตาลีได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่จะต้องมีรัฐมนตรีหลายตำแหน่งมาจากพรรคสหภาพคริสเตียนเดโมแครต เมื่อวันที่ 23 เมษายน เวลา 12 นาฬิกา 50 นาที เขาได้นำเสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรี 26 คนของคณะรัฐบาลแบร์ลุสโกนีสาม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆมากมาย นอกจากการที่นายจูลีโอ เทรมอนตีเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี แทนที่นายมาร์โค โฟลลีนี และการก่อตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาโดยไม่มีรัฐมนตรีเพื่อบริหารองค์กรเพื่อการพัฒนาแคว้นต่างๆทางภาคใต้ของประเทศอิตาลี กำ",
"คดีวอเตอร์เกตมีจุดเริ่มต้นที่โรงแรมวอเตอร์เกตซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ระดับชาติของพรรคเดโมแครต ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1972 ช่วงนั้นเป็นเวลากลางคืนและเจ้าหน้าที่โรงแรมได้สังเกตเห็นสิงผิดปกติในที่ทำการพรรคเดโมแครตจึงโทรเรียกตำรวจ ส่งผลสามารถจับกุมผู้ต้องหา 5 คนได้พร้อมของกลาง ผู้ต้องหาเหล่านี้ประกอบด้วยนายเบอร์นาร์ด บาร์เกอร์ (Bernard Barker) เวอร์จิลิโอ กอนซาเลซ (Virgilio Gonzalez) ยูจินิโอ มาร์ติเนซ (Eugenio Martínez) เจม แม็คคอร์ด (James W. McCord, Jr.) และแฟรงค์ สเตอร์กิส (Frank Sturgis) โดยก่อนหน้านี้กลุ่มคนร้ายเคยแอบเข้าในออฟฟิศแห่งนี้แล้วเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนถูกจับ เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดต่อมาตำรวจจึงพบว่าบรรดาคนที่ถูกจับเหล่านี้ไม่ใช่โจรกระจอก เพราะแต่ละคนต่างทำงานให้แก่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐอเมริกา (ซีไอเอ) โดยชายทั้ง 5 ได้รับคำสั่งให้บุกเข้าไปขโมยข้อมูลที่พรรคเดโมแครตซึ่งเตรียมไว้เพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่แข่งกับริชาร์ด นิกสัน เจ้าของตำแหน่งเดิม ในตัวผู้ต้องหาคนหนึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ของที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาว และในบัญชีของผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง มีเงิน 25,000 เหรียญสหรัฐที่ขึ้นด้วยแคชเชียร์เช็คประทับตรา นอกจากนั้นเอฟบีไอยังเจอบันทึกมีชื่อย่อซึ่งอาจหมายถึงทำเนียบขาวก็ได้ เช่น W.House และ W.H (White House)",
"หมวดหมู่:พรรคการเมืองสหรัฐ หมวดหมู่:ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 หมวดหมู่:พรรคเดโมแครต (สหรัฐ)",
"เดิอนมกราคม พ.ศ. 2549 สปิตเซอร์เลือกผู้นำวุฒิสมาชิกเสียงข้างน้อยประจำรัฐนิวยอร์ก เดวิด แพเทอร์สัน (David Paterson) เป็นว่าที่รองผู้ว่าฯ และผู้ช่วยหาเสียง หลังจากประกาศการลงสมัครเลือกตั้ง สปิตเซอร์ก็ได้รับการรับรองจากชาวนิวยอร์กหลายคน รวมถึงอธิบดีกรมบัญชีประจำรัฐ (Comptroller) อลัน เฮเวซี่ (Alan Hevesi) และอดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก 2 คน คือ เดวิด ดิงกินส์ (David Dinkins) และ เอ็ด ค็อค (Ed Koch) ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 สปิตเซอร์ และ แพเทอร์สันชนะการรับรองจากพรรคเดโมแครตประจำรัฐนิวยอร์ก จากโพลล์เลือกตั้งประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 ของชาวควินนิพิแอ็ค (Quinnipiac)-ซึ่งเป็นชาวอเมริกันพื้นเมือง (หรืออินเดียนแดง)เผ่าหนึง-สปิตเซอร์ได้รับความนิยมนำหน้าผู้บริหารประจำแนสซาว เค้าน์ตี้ (Nassau County Executive) โธมัส ซูสซี่ (Thomas Suozzi) ด้วยคะแนน 76 ต่อ 13 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 เขาเผชิญหน้าซูสซี่ในการโต้วาทีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ ณ มหาวิทยาลัยเพซ (Pace University) ในแมนฮัตตัน (Manhattan) โดยอภิปรายกันในหัวข้อหน่วยงานสาธารณะและเมดิเคด (Medicaid: ระบบช่วยเหลือด้ายสุขภาพสำหรับบุคคลและครอบครัวซึ่งมีรายได้ต่ำ) เมื่อถูกถามเรื่องกัญชา สปิตเซอร์กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยในการใช้กัญชาในทางการแพทย์ โดยอ้างว่าตัวยาชนิดอื่นมีประสิทธิผลมากกว่า ในการเลือกตั้งไพรมารี่ของพรรคเดโมแครตซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2549 สปิตเซอร์เอาชนะซูสซี่และได้เป็นตัวแทนของพรรคด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 81",
"หลังการรณรงค์หาเสียงเป็นนานเวลาหลายเดือน การเลือกตั้งที่มีขึ้นในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ได้ให้ผลดีเกินคาด เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ได้รายงานว่าอัล กอร์นำ จากนั้นก็บอกว่าบุชนำ และท้ายสุด บอกว่าสูสีกันมากจนไม่อาจวัดได้ อัล กอร์ ผู้ซึ่งโทรศัพท์ไปหาบุชเพื่ออ้างว่าตนได้รับชัยชนะนั้น ได้โทรไปขอถอนคำพูดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง บุชได้รับการประกาศว่าสามารถเอาชนะอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตไปได้ และได้ไป 271 คะแนน โดยที่กอร์ได้ 266 คะแนน ชนะการเลือกตั้งแบบเอเลคตอรัลโวตใน 30 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ กอร์ได้รับการคาดการณ์ว่าจะชนะการลงคะแนนแบบป็อบปูลาร์โวตจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมดราว 105,000,000 เสียง โดยที่บุชได้ไป 50,456,002 เสียง (47.9%) และกอร์ได้ 50,999,897 เสียง (48.4 %) แต่คะแนนนี้ก็ไม่อาจเป็นเครื่องตัดสินว่าใครจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้ คะแนนส่วนที่เหลือถูกแบ่งปันกันระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอิสระ รวมทั้งนายราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครจากพรรคกรีน (2,695,696 คะแนน/2.7%) นายแพต บูชานา จากพรรครีฟอร์ม (449,895 คะแนน/0.4%) และนายแฮร์รี บราวน์เนอร์ จากพรรคลิเบอร์ทาเรียน (386,024 คะแนน/0.4%)",
"เขาลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ภายหลังจากการลาออกจากตำแหน่งของนีล อาเบอร์ครอมบีย์ และสามารถเอาชนะ เอ็ด เคส อดีตสมาชิกสภาผู้แทนผู้แทนราษฎร พรรคเดโมแครต และคอลลีน ฮานาบูซา ประธานวุฒิสมาชิก พรรคเดโมแครต รัฐฮาวาย ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในรอบ 50 ปีของพรรครีพับลิกันในเขต 1 รัฐฮาวาย",
"ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 ของพรรคริพับลิกันซึ่งนำโดยอับราฮัม ลินคอล์น เป็นผลมาจากความระส่ำระสายภายในของพรรคเดโมแครตเอง โดยช่วงปลายเดือนเมษายน 1860 พรรคเดโมแครตมารวมตัวประชุมที่ เมืองชาลส์ตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา เพื่อคัดเลือกตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ในขณะนั้น ชาลส์ตัน เป็นเมืองที่แตกแยกทางความคิดมาก มีนักปราศัยเรียกร้องการแยกตัวจากสหภาพ (ซึ่งถูกเรียกว่า \"พวกกินไฟ\" หรือ fire-eaters) เดินอยู่เต็มถนน และเปิดฉากล้อเลียน สว. สตีเฟน เอ. ดักลัส กับผู้สนับสนุนชาวเหนือของดักลัสอยู่เนืองๆ แม้ในระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครตเอง ก็แตกกันออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยตัวแทนพรรคฝ่ายใต้ สนับสนุนนโยบายขยายสถาบันทาส โดยการใช้กฎหมายทาส () ในทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สมาชิกพรรคจากทางเหนือคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียสติ เพราะมีแต่จะทำให้เสียเสียงสนับสนุนในรัฐทางเหนือ",
"พรรคเดโมแครตกลับมาครองอำนาจในทำเนียบประธานาธิบดีอีกครั้งในช่วงปี 1932 โดยการนำของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ซึ่งตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีที่สำคัญคือ แฮร์รี เอส. ทรูแมน และจอห์น เอฟ. เคนเนดี",
"ช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 ในการเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปนั้น โอบามาต้องเจอคู่แข่งคนสำคัญคือ [[ฮิลลารี คลินตัน]] ซึ่งช่วงแรกต่างคนก็ต่างเอาชนะกันในแต่ละรัฐ ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ทางคณะกรรมการพรรคเดโมแครตแห่งชาติ(DNC) ได้พิจารณาคะแนนโหวตที่[[รัฐมิชิแกน]]และ[[ฟลอริดา]]ที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ อย่างไรก็ตามผลการโหวตครั้งสุดท้ายปรากฏว่าโอบามามีคะแนนนำ ในวันที่ 3 มิถุนายน โอบามาจึงได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และในวันเดียวกันนั้น เขาได้แถลงการณ์ถึงชัยชนะที่เซนท์ พอล [[รัฐมินนิโซตา]] หลังจากนั้น ฮิลลารี คลินตัน จึงได้ยุติบทบาทในการหาเสียงทั้งหมด แล้วหันมาสนับสนุนโอบามาในวันที่ 7 กรกฎาคม เพื่อที่จะได้ไปเจอกับ[[จอห์น แมคเคน]] ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก[[พรรคริพับลิกัน]]ต่อไป ",
"ลินคอล์นเกิดในครอบครัวยากจน ณ เมืองฮ็อดเจนวิลล์ รัฐเคนทักกี ซึ่งสมัยนั้นเป็นพรมแดนทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ลินคอล์นศึกษาด้วยตนเอง และได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพทนายความในอิลินอยส์ใน ปี 1836 เขากลายเป็นผู้นำพรรควิก และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐอิลลินอยส์ระหว่างค.ศ. 1834 - 1842 และต่อมาถูกเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาในปี 1846 โดยดำรงตำแหน่งอยู่หนึ่งสมัย ลินคอล์นเน้นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้ทันสมัย และต่อต้านสงครามเม็กซิโก-อเมริกา หลังหมดวาระลินคอล์นกลับไปประกอบวิชาชีพกฎหมายจนประสบความสำเร็จ เมื่อกลับมาสู่เวทีการเมืองอีกครั้งใน ปี ค.ศ. 1854 ลินคอล์นกลายเป็นผู้นำก่อตั้งพรรคใหม่ คือ พรรคริพับลิกัน ในระหว่างกับตัวแทนพรรคเดโมแครต สตีเฟน เอ. ดักลัส ใน ค.ศ. 1858 ลินคอล์นแสดงจุดยืนทางการเมืองที่คัดค้านการขยายตัวของสถาบันทาส แต่ก็แพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแก่ดักลัส คู่แข่งผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองชนิดไม่แทรกแทรงการมีอยู่ของสถาบันทาส โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนควรมีสิทธิกำหนดเอง ",
"พรรคเดโมแครต () เป็นชื่อในภาษาอังกฤษของพรรคการเมืองหลายพรรค ในหลายประเทศ เช่น พรรคเดโมแครต ของสหรัฐอเมริกา, พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น ของญี่ปุ่น ในส่วนของประเทศไทย คือ พรรคประชาธิปัตย์",
"ในรัฐสภาสหรัฐสมัยที่ 115 พรรครีพับลิกันครองทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปัจจุบันวุฒิสภามีรีพับลิกัน 52 คน เดโมแครต 46 คน และอิสระ 2 คนซึ่งประชุมลับกับเดโมแครต สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยรีพับลิกัน 241 คนและเดโมแครต 194 คน[313] ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ มีรีพับลิกัน 33 คน เดโมแครต 16 คนและอิสระ 1 คน[314] ในบรรดานายกเทศมนตรี ดี.ซี. และผู้ว่าการดินแดน 5 คน มีรีพับลิกัน 2 คน เดโมแครต 1 คน ก้าวหน้าใหม่ 1 คนและอิสระ 2 คน[315]",
"วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2547 สปิตเซอร์ประกาศความตั้งใจของเขาในการชิงตำแหน่งตัวแทนของพรรคเดโมแครตสำหรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ถึงแม้จะมีข่าวลือมานานแล้ว แต่การประกาศตัวของสปิตเซอร์นั้นก็ยังรวดเร็วผิดปกติ คือ เกือบ 2 ปีก่อนจะมีการเลือกตั้ง เนื่องจากสปิตเซอร์สามารถได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเดโมแครตที่มีตำแหน่งในภาครัฐอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้รับความเคารพจากผู้นำในพรรคเดโมแครตทั่วประเทศ ผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) บิลล์ ริชาร์ดสัน (Bill Richardson) กล่าวถึง สปิตเซอร์ ว่าเป็น \"อนาคตของพรรคเดโมแครต\" ในงานระดมทุนสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งของสปิตเซอร์ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548",
"สหรัฐใช้ระบบสองพรรคมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์[306] สำหรับตำแหน่งเลือกตั้งแทบทุกระดับ การเลือกตั้งผู้สมัครรอบแรกที่รัฐจัดการเลือกผู้ได้รับเสนอชื่อของพรรคการเมืองหลักสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 1856 พรรคการเมืองหลักได้แก่ พรรคเดโมแครตซึ่งก่อตั้งในปี 1824 และพรรคริพับลิกันซึ่งก่อตั้งในปี 1854 นับแต่สงครามกลางเมือง มีผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีจากพรรคที่สามเพียงคนเดียว คือ อดีตประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ ซึ่งมาจากพรรคก้าวหน้าในปี 1912 ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านระบบคณะผู้เลือกตั้ง[307]",
"พรรคเดโมแครต (English: Democratic Party) เป็นหนึ่งในสองพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐ (อีกพรรคหนึ่งคือ ริพับลิกัน)",
"เพโรต์ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1992 ในฐานะผู้สมัครอิสระ ส่วนในการเลือกตั้งครั้งถัดมา เขาได้ก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ พรรคปฏิรูป (Reform Party) เป็นพรรคทางเลือกนอกเหนือจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งปี 1992 เขาได้รับคะแนนเสียงป็อปปูลาร์โหวต 19,741,065 คะแนน คิดเป็น 18.9% คิดเป็นผู้สมัครนอกเหนือจากสองพรรคใหญ่ที่ได้รับคะแนนสูงสุด นับตั้งแต่ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคก้าวหน้า (Progressive Party) ในปี ค.ศ. 1912",
"สตีเฟ่น เมเยอร์ส ผู้จัดการหาเสียงหนุ่ม ที่ทำงานให้กับไมค์ มอร์ริส ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย และผู้เข้าชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต เพื่อเข้าแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มีคู่แข่งหลักอย่างวุฒิสมาชิก เท็ด พูลแมนจากรัฐอาร์คันซอ การรณรงค์หาเสียงของทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต แฟรงกลิน ทอมสันจากรัฐนอร์ธแคโรไลนา ที่ควบคุมคะแนนเสียงในที่ประชุมกว่า 356 เสียง ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายนึงชนะอย่างเด็ดขาด หลังจากการโต้วาทีที่มหาวิทยาลัยไมอามี ผู้จัดการหาเสียงของพูลแมน ทอม ดัฟฟี่ เข้ามาติดต่อเพื่อขอพบเมเยอร์สอย่างลับๆ เมเยอร์สจึงโทรหาเจ้านายของเขา พอล ซาร่า ซึ่งเป็นผู้จัดการหาเสียงอาวุโส แต่พอลไม่ได้รับสาย เมเยอร์สจึงตัดสินใจพบกันดัฟฟี่ โดยดัฟฟี่เสนอตำแหน่งในการรณรงค์หาเสียงของพูลแมนแต่เมเยอร์สปฏิเสธ เมื่อซาร่าโทรกลับมาถามว่ามีอะไรสำคัญ เมเยอร์สจึงตอบไปว่าไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ในขณะเดียวกัน เมเยอร์สเริ่มความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับมอลลี่ สเติร์นส์ เด็กฝึกงานสาวสวยที่ทำงานในการรณรงค์หาเสียงของมอร์ริส และลูกสาวของแจ็ค สเติร์นส์ ประธานคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครต",
"อย่างไรก็ตามวิกฤตเศรษฐกิจในค.ศ. 1873 ทำให้รัฐบาลต้องหันความสนใจจากเรื่องคนผิวดำมาที่เรื่องเศรษฐกิจ การเลือกตั้งในค.ศ. 1877 มีผลการเลือกตั้งที่ไม่ชัดเจน จึงเกิดการเจรจาขึ้นระหว่างทั้งสองพรรคการเมืองคือ พรรครีพับบลิกันและพรรคเดโมแครต โดยฝ่ายเดโมแครตยินยอมให้ตัวแทนจากพรรครีพับบลิกันคือ รัทเทอร์ฟอร์ด บี. เฮส์ (Rutherford B. Hayes) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่มีข้อและเปลี่ยนว่ารัฐบาลกลางจะต้องถอนทหารทั้งหมดออกจากรัฐทางใต้ เมื่อปราศจากกำลังความคุมจากฝ่ายรีพับบลีกันทำให้พรรคเดโมแครตกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้งในทางตอนใต้ เป็นการสิ้นสุดสมัยแห่งการฟื้นฟู รัฐบาลระดับมลรัฐต่างๆทางตอนใต้ได้ออกกฎหมายริดรอนสิทธิของชาวแอฟริกันอีกครั้งหนึ่งเรียกว่า กฎหมายจิมโครว์ (Jim Crow Laws) โดยมีการแบ่งแยก (segregation) คนผิวขาวและคนผิวดำออกจากกันในด้านสาธารณูปโภคสาธารณะและหน้าที่การงาน ภายใต้นโยบาย\"แบ่งแยกอย่างเท่าเทียม\" (\"Seperate but equal\") ในทางปฏิบัติคนผิวดำในทางตอนใต้ตกเป็นพลเมืองชั้นสอง มีคุณภาพชีวิตที่ด้อยกว่าคนผิวขาวและถูกกีดกัดจากการปกครอง",
"ในปีพ.ศ. 2537 หัวหน้าอัยการสูงสุดจากพรรคเดโมแครตผู้รับตำแหน่งมาอย่างยาวนาน โรเบิร์ต อับรามส์ (Robert Abrams) ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถเอาชนะ อัล ดามาโต้ (Al D'Amato) ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาได้ สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนเห็นจุดอ่อนใน จี โอลิเวอร์ คอปเปลล์ (G. Oliver Koppell) ผู้เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าอัยการสูงสุดแทนให้ครบวาระ และต่างเสนอตัวชิงตำแหน่ง สปิตเซอร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นเขายังอายุน้อยและไม่เป็นที่รู้จัก ถึงแม้จะได้เงินสนับสนุนจำนวนมากจากครอบครัวของเขาเอง ผลลัพธ์การหาเสียงคือ เขาได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับสุดท้ายในบรรดาผู้สมัครเป็นตัวแทน 4 คน โดยผู้ชนะคือ ผู้พิพากษาแคเร็น เบิร์นสไตน์ (Karen Burnstein) แต่ต่อมา เบิร์นสไตน์ก็แพ้เดนนิส แวคโค จากพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งทั่วไป",
"กลาง ค.ศ. 2002 โอบามาเริ่มคิดถึงเรื่องการเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ หลังจากที่เลือก เดวิด คอปเปอร์ฟีล มาเป็นที่ปรึกษาวางกลยุทธทางการเมือง โอบามาจึงได้ประกาศเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 ก็เป็นการเปิดโอกาสกว้างให้แก่ผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันได้เข้ามาหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนี้ซึ่งมีผู้สมัครรวม 15 คน การเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งของโอบามาได้รับแรงสนับสนุนจากแอกเซลรอดอย่างมากที่ช่วยหาเสียง ช่วยประชาสัมพันธ์โดยใช้ภาพจาก ฮาโรลด์ วอชิงตัน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนการรับรองจากลูกสาวของพอล ซิมอน นักการเมืองคนสำคัญของอเมริกาและอดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐ ตัวแทนรัฐอิลลานอยส์ ทำให้โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 52 ในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 และยังนำคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยกันเองถึงร้อยละ 29 เลยทีเดียว จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้",
"ในช่วง ค.ศ. 1828–1854 พรรคเดโมแครตสลับขึ้นครองอำนาจกับพรรควิก จนกระทั่งช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา พรรคเดโมแครตต้องเผชิญกับคู่แข่งหน้าใหม่แทนพรรควิกที่ล่มสลายไป ซึ่งก็คือ พรรคริพับลิกัน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีเอบราแฮม ลิงคอล์น ซึ่งครองอำนาจเหนือพรรคเดโมแครตในช่วงปี 1860-1896",
"ไบเดินเคยลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2531 และ 2551 แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง แต่ในครั้งนี้ บารัก โอบามา ผู้สมัครที่ได้ตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตในครั้งนี้ได้ตัดสินใจเลือกนายไบเดินเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเข้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2551 นี้ และได้รับเลือกตั้งให้เป็นรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา",
"พรรคเดโมแครตมี สว.สตีเฟน เอ. ดักลัส (ผู้ร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบรากา) เป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามเดโมแครตฝ่ายเหนือ ดักลัสสนับสนุนแนวคิดว่าด้วยการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชน (กล่าวคือประสงค์จะให้สภาคองเกรสทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแทรงไม่ว่าจะเพื่อจำกัด หรือสนับสนุนการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ๆของสหรัฐ) ดักลาสเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเตือนถึงภัยของการสูญเสียสหภาพ แต่ก็ได้รับความนิยมทางตอนเหนือสู้ลินคอล์นไม่ได้ ส่วน เบรกคิริดจ์ ตัวแทนผู้ลงสมัครของเดโมแครตฝ่ายใต้ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็น \"คนทรยศ\" และ เป็นพวก \"บ่อนทำลายสหภาพ\" จึงมีคะแนนนิยมจำกัดอยู่แต่ในภาคใต้",
"การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) มีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันประเทศอเมริกาเข้าสู่สงครามกลางเมือง ประธานาธิบดี เจมส์ บูแคนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น เป็นชาวอเมริกันทางตอนเหนือที่มีความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใต้ ประธานาธิบดีบูแคนันมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำให้เนื้อคำพิพากษาคดี \"เดร็ด สก๊อต\" ออกมากว้างในลักษณะเป็นคุณกับนายทาสเช่นนั้น โดยบูแคนันเป็นคนเขียนจดหมายชักจูงให้ตุลาการสมทบแห่งศาลสูงสุดสหรัฐ โรเบิร์ต เกรีย (Robert Grier) โหวตร่วมกับฝ่ายเสียงข้างมากในคณะศาลให้ สก็อตต์ ทาสผิวดำแพ้คดี เพื่อให้ศาลเขียนคำพิพากษาปฏิเสธอำนาจของรัฐบาลกลางในประเด็นที่เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสแบบเด็ดขาด การเข้ากดดันตุลาการในคดี \"เดร็ด สก็อตต์\" ของ ปธน. บูแคนันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว และก่อเกิดผลสะท้อนกลับเชิงลบทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตเป็นอย่างยิ่ง ความไม่พอใจในคำพิพากษา \"เดร็ด สก็อตต์\" ของชาวอเมริกันในรัฐทางเหนือ ช่วยให้พรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะได้ที่นั่งสภาผู้แทนเพิ่มในการเลือกตั้งกลางเทอม ปี 1858 และเข้าควบคุมได้ทั้งสภาคองเกรสในการเลือกตั้งใหญ่ ปี 1860 \nชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 ของพรรครีพับลิกันซึ่งนำโดยอับราฮัม ลินคอล์น เป็นผลมาจากความระส่ำระสายภายในของพรรคเดโมแครต เนื่องจากตัวแทนจากรัฐทางตอนใต้ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนสถาบันทาส และคำพิพากษา \"เดร็ด สก็อตต์\" พากัน \"วอล์กเอ้าท์\" จาก เพื่อประท้วงการที่ที่ประชุมปฏิเสธไม่รับมติสนับสนุนนโยบายขยายสถาบันทาส โดยการใช้กฎหมายทาส () ในทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา สมาชิกของพรรคเดโมแครตจึงแตกออกเป็นฝ่ายเหนือและใต้ โดยสมาชิกพรรคฝ่ายใต้เป็นพวกสนับสนุนคำพิพากษาคดี\"เดร็ด สก็อตต์\" ฝ่ายนี้จึงแยกตัวออกมาเลือก นายจอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ (John C. Breckinridge) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี มาเป็นผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้ ในขณะที่ นายสตีเฟน เอ. ดักลาส ตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งเดโมแครตฝ่ายเหนือ และเป็นผู้ร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบรากา ที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชน (กล่าวคือประสงค์จะให้สภาคองเกรสทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแทรงไม่ว่าจะเพื่อจำกัด หรือสนับสนุนการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ๆของสหรัฐ) ก็ได้รับความนิยมทางตอนเหนือสู้ลินคอล์นไม่ได้ ลินคอล์นจึงกวาดคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไปแบบท่วมท้น และเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ปี 1860 แม้ว่าจะได้รับคะแนนนิยมทั่วประเทศเพียงแค่ 40% กลายเป็นผู้สมัครพรรครีพับลิกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี ",
"ในช่วงสงครามเย็น แม้ว่าในรัฐสภาจะมีพรรคเดโมแครตกุมเสียงข้างมากอยู่ แต่ก็มีประธานาธิบดีจากพรรครีพับบลีกันได้รับเลือกตั้งถึงสามคน ได้แก่ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ผู้นำสหรัฐเข้าสู่สงครามเกาหลี ริชาร์ด นิกสัน ผู้มีนโยบายผ่อนปรนกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและถอนสหรัฐออกจากสงครามเวียดนาม และโรนัลด์ เรแกน ผู้นำสหรัฐในการยุติสงครามเย็น",
"เบอร์นาร์ด \"เบอร์นี\" แซนเดอร์ส (, เกิด 8 ธันวาคม 1941) เป็นนักการเมืองชาวอเมริกันผู้ได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐด้อยอาวุโสจากรัฐเวอร์มอนต์ตั้งแต่ปี 2007 แซนเดอรส์เป็นสมาชิกสภาอิสระที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐสภาสหรัฐ นับแต่เขาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรในปี 1991 เขาเข้าร่วมประชุมลับกับพรรคเดโมแครต ซึ่งได้มอบหมายภาระงานคณะกรรมาธิการของรัฐสภาแก่เขา และบางครั้งให้พรรคเดโมแครตได้รับฝ่ายข้างมาก แซนเดอร์สเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคข้างน้อยในคณะกรรมาธิการงบประมาณของวุฒิสภาในเดือนมกราคม 2015 เขาเคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการทหารผ่านศึกของวุฒิสภาเป็นเวลาสองปี การรณรงค์ของแซนเดอร์สสำหรับการเสนอชื่อชิงประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016 ของพรรคแข่งกับฮิลลารี คลินตันได้ระดมเงินจากผู้สมทบปัจเจกรายย่อยมากกว่าผู้อื่นในประวัติศาสตร์อเมริกา และทำให้เขาเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ เขาอธิบายตนว่าเป็นนักสังคมนิยมประชาธิปไตย แซนเดอร์สนิยมแรงงานและเน้นการย้อนความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ นักวิชาการจำนวนมากถือมุมมองของเขาว่าเข้าได้กับแนวประชาธิปไตยสังคมและลัทธิก้าวหน้าอเมริกันสมัยข้อตกลงใหม่มากกว่าสังคมนิยมประชาธิปไตย"
] |
สุนทรภู่เกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
"พระสุนทรโวหาร นามเดิม ภู่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สุนทรภู่ (26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2398) เป็นอาลักษณ์ชาวไทยที่มีชื่อเสียงเชิงกวี ได้รับยกย่องเป็น เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย[1] เกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 4 ปี และได้เข้ารับราชการเป็นอาลักษณ์ราชสำนักในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลาร่วม 20 ปี ก่อนจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นอาลักษณ์ในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต"
] | [
"อนุสาวรีย์สุนทรภู่แห่งแรก สร้างขึ้นที่ ต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านบิดาของสุนทรภู่ โดยวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2498 อันเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปีการถึงแก่อนิจกรรมของสุนทรภู่ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ภายในอนุสาวรีย์มีหุ่นปั้นของสุนทรภู่ และตัวละครในวรรณคดีเรื่องเอกของท่านคือ พระอภัยมณี ที่ด้านหน้าอนุสาวรีย์มี หมุดกวี หมุดที่ 24 ปักอยู่[49]",
"สุนทรภู่มักเปรียบการเมาเหล้ากับการเมารัก ชีวิตรักของสุนทรภู่ดูจะไม่สมหวังเท่าที่ควร หลังจากแยกทางกับแม่จัน สุนทรภู่ได้ภรรยาคนที่สองชื่อแม่นิ่ม นอกจากนี้แล้วยังปรากฏชื่อหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่สุนทรภู่พรรณนาถึง เมื่อเดินทางไปถึงหย่อมย่านมีชื่อเสียงคล้องจองกับหญิงสาวเหล่านั้น นักวิจารณ์หลายคนจึงบรรยายลักษณะนิสัยของสุนทรภู่ว่าเป็นคนเจ้าชู้ และบ้างยังว่าความเจ้าชู้นี้เองที่ทำให้ต้องหย่าร้างกับแม่จัน ความข้อนี้เป็นจริงเพียงไรไม่ปรากฏ ขุนวิจิตรมาตราเคยค้นชื่อสตรีที่เข้ามาเกี่ยวพันกับสุนทรภู่ในงานประพันธ์ต่าง ๆ ของท่าน ได้ชื่อออกมากว่า 12 ชื่อ คือ จัน พลับ แช่ม แก้ว นิ่ม ม่วง น้อย นกน้อย กลิ่น งิ้ว สุข ลูกจันทน์ และอื่น ๆ อีก[4] ทว่าสุนทรภู่เองเคยปรารภถึงการพรรณนาถึงหญิงสาวในบทประพันธ์ของตนว่า เป็นไปเพื่อให้ได้อรรถรสในงานประพันธ์เท่านั้น จะถือเป็นจริงเป็นจังมิได้[19] อย่างไรก็ดี การบรรยายความโศกเศร้าและอาภัพในความรักของสุนทรภู่ปรากฏอยู่ในงานเขียนนิราศของท่านแทบทุกเรื่อง สตรีในดวงใจที่ท่านรำพันถึงอยู่เสมอก็คือแม่จัน ซึ่งเป็นรักครั้งแรกที่คงไม่อาจลืมเลือนได้ แต่น่าจะมีความรักใคร่กับหญิงอื่นอยู่บ้างประปราย และคงไม่มีจุดจบที่ดีนัก ใน นิราศพระประธม ซึ่งท่านประพันธ์ไว้เมื่อมีอายุกว่า 60 ปีแล้ว สุนทรภู่ได้อธิษฐานไม่ขอพบกับหญิงทิ้งสัตย์อีกต่อไป[20]",
"โรงพิมพ์ของหมอสมิทที่บางคอแหลม เป็นผู้นำผลงานของสุนทรภู่ไปตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2413 คือเรื่อง พระอภัยมณี ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูง ขายดีมากจนหมอสมิทสามารถทำรายได้สูงขนาดสร้างตึกเป็นของตัวเองได้ หลังจากนั้นหมอสมิทและเจ้าของโรงพิมพ์อื่น ๆ ก็พากันหาผลงานเรื่องอื่นของสุนทรภู่มาตีพิมพ์จำหน่ายซ้ำอีกหลายครั้ง[11] ผลงานของสุนทรภู่ได้ตีพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนหมดทุกเรื่อง[11] แสดงถึงความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับเสภาเรื่อง พระราชพงศาวดาร กับ เพลงยาวถวายโอวาท ได้ตีพิมพ์เท่าที่จำกันได้ เพราะต้นฉบับสูญหาย จนกระทั่งต่อมาได้ต้นฉบับครบบริบูรณ์จึงพิมพ์ใหม่ตลอดเรื่องในสมัยรัชกาลที่ 6[11]",
"ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปีชาตกาล สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นที่กำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์แห่งอื่น ๆ อีก เช่น ที่วัดศรีสุดาราม ที่จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดนครปฐม วันเกิดของสุนทรภู่คือวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็น วันสุนทรภู่ ซึ่งเป็นวันสำคัญด้านวรรณกรรมของไทย มีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่าง ๆ โดยทั่วไป",
"อุปนิสัยสำคัญอีกประการหนึ่งของสุนทรภู่คือ มีความอหังการ์และมั่นใจในความสามารถของตนเป็นอย่างสูง ลักษณะนิสัยข้อนี้ทำให้นักวิจารณ์ใช้ในการพิจารณางานประพันธ์ซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงอยู่ว่า เป็นผลงานของสุนทรภู่หรือไม่ ความอหังการ์ของสุนทรภู่แสดงออกมาอย่างชัดเจนอยู่ในงานเขียนหลายชุด และถือเป็นวรรคทองของสุนทรภู่ด้วย เช่น",
"สุนทรภู่กับน้องทั้งสองเดินทางต่อไปอีกจนถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง ได้พบบิดาของตนซึ่งบวชเป็นพระมาตลอดนับแต่สุนทรภู่เกิด สุนทรภู่ได้ถือศีลกินเจอยู่กับบิดาพักหนึ่ง แล้วเกิดล้มป่วยเป็นไข้ ต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือนกว่าจะเดินทางกลับมาถึงพระนครศรีอยุธยาของบันชา",
"สุนทรภู่นั้น เดิมเปนมหาดเล็กกรมพระราชวังหลัง เป็นเจ้าบทเจ้ากลอนแลเป็นคนมองมาแต่หนุ่ม เมื่อในรัชกาลที่ ๑ ลงไปเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลง ได้แต่งนิราสเรื่องเมืองแกลงเปนนิราสเรื่องแรก ซึ่งพิมพ์ในสมุดเล่มนี้ ต่อมาเมื่อกรมพระราชวังหลังทิวงคต สุนทรภู่ไปเปนมหาดเล็กอยู่กับพระองค์เจ้าปฐมวงศ พระโอรสในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่วัดระฆังฯ ตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศไปพระพุทธบาท ได้แต่งนิราสพระบาทอิกเรื่อง ๑ ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่เข้าทำราชการ ได้เปนที่ขุนสุนทรโวหารอยู่ในกรมพระอาลักษณ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงมาตลอดรัชกาล สุนทรภู่ติดรับราชการ จึงหาได้แต่งนิราสเรื่องใดในรัชกาลที่ ๒ ไม่ ถึงรัชกาลที่ ๓ สุนทรภู่มีความผิดถูกถอด ไม่มีที่พึ่งจึงออกบวช เมื่อบวชอยู่นั้นขึ้นไปกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก แต่งนิราสภูเขาทองเรื่อง ๑ ต่อมาขึ้นไปกรุงศรีอยุธยาอิกครั้ง ๑ แต่งนิราสวัดเจ้าฟ้า (แต่งเปนสำนวนเณรพัฒน์บุตรที่ไปด้วย) เรื่อง ๑ ได้ยินว่าเมื่อสุนทรภู่บวชอยู่ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระเจ้าลูกเธอในพระบาทฯ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดทรงสักรวา หาสุนทรภู่ไปบอกสักรวาแต่ยังเปนพระ แล้วทรงพระเมตตาอุดหนุนต่อมา สุนทรภู่ได้แต่งนิราสอิเหนาถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณเรื่อง ๑ แล้วสึกออกมาเปนข้าอยู่ในกรม แต่อยู่ได้ไม่ช้า พระองค์เจ้าลักขณานุคุณสิ้นพระชนม์ สุนทรภู่สิ้นที่พึ่งตกยากอิกครั้ง ๑ เวลาตกยากครั้งนี้ อาศรัยเพื่อนไปเที่ยวพระแท่นดงรัง จึงแต่งนิราสพระแท่นดงรังเรื่อง ๑ ต่อมากรมหมื่นอับสรสุดาเทพ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงหนังสือพระอภัยมณีที่สุนทรภู่แต่งไว้โปรด สั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อถวายอิก แลทรงเกื้อหนุนสุนทรภู่ต่อมา ในตอนนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเปนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ก็ทรงเกื้อหนุนสุนทรภู่มาด้วยอิกพระองค์ ๑ ในสมัยเมื่อสุนทรภู่ได้พึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แลกรมหมื่นอับสรสุดาเทพอยู่นั้นไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ จึงแต่งนิราสพระประธม (ที่ถูกควรจะเรียกว่า นิราสพระปฐมเจดีย์) ซึ่งพิมพ์ในสมุดเล่มนี้เรื่อง ๑ ครั้นกรมหมื่นอับสรสุดาเทพสิ้นพระชนม์ สุนทรภู่ได้พึ่งแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว ได้ยินว่าทรงรับไปเลี้ยงไว้ที่พระราชวังเดิม อยู่มามีรับสั่งให้สุนทรภู่ไปหาสิ่งของที่เมืองเพ็ชรบุรี สุนทรภู่จึงแต่งนิราสเมืองเพ็ชรบุรีเรื่อง ๑ เปนนิราสเรื่องที่สุดของสุนทรภู่ เพราะต่อมาอิกไม่ช้า ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งสุนทรภู่เปนที่พระสุนทรโวหาร เจ้ากรมพระอาลักษณฝ่ายพระบวรราชวัง ได้ความสุขมาจนสิ้นชีพ เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ มีนิราสของสุนทรภู่อิกเรื่อง ๑ คือ นิราสเมืองสุพรรณบุรี สุนทรภู่แต่งเมื่อยังบวชอยู่ แต่งเปนโคลง ๔ เรื่องตำนานนิราสของสุนทรภู่ มีดังกล่าวมา",
"ตำราโหราศาสตร์ผูกดวงชะตาวันเกิดของสุนทรภู่ไว้เป็นดวงประเทียบ พร้อมคำอธิบายข้างใต้ดวงชะตาว่า \"สุนทรภู่ อาลักษณ์ขี้เมา\"[11] เหตุนี้จึงเป็นที่กล่าวขานกันเสมอมาว่า สุนทรภู่นี้ขี้เหล้านัก ในงานเขียนของสุนทรภู่เองก็ปรากฏบรรยายถึงความมึนเมาอยู่หลายครั้ง แม้จะดูเหมือนว่า สุนทรภู่เองก็รู้ว่าการมึนเมาสุราเป็นสิ่งไม่ดี ได้เขียนตักเตือนผู้อ่านอยู่ในงานเขียนเสมอ[18] การดื่มสุราของสุนทรภู่อาจเป็นการดื่มเพื่อสังสรรค์และเพื่อสร้างอารมณ์ศิลปิน ด้วยปรากฏว่าเรือนสุนทรภู่มักเป็นที่ครึกครื้นรื่นเริงกับหมู่เพื่อนฝูงอยู่เสมอ[5] นอกจากนี้ยังเล่ากันว่า เวลาที่สุนทรภู่กรึ่ม ๆ แล้วอาจสามารถบอกกลอนให้เสมียนถึงสองคนจดตามแทบไม่ทัน[11] เมื่อออกบวช สุนทรภู่เห็นจะต้องพยายามเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ซึ่งในท้ายที่สุดก็สามารถทำได้ดี ขณะที่รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล มองว่า เรื่องที่ว่าสุนทรภู่ขี้เมานั้นไม่มีการบันทึกอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ทั้งสุนทรภู่มีผลงานเขียนอยู่มาก หากเป็นคนลุ่มหลงในสุราคงไม่มีเวลาไปเขียนหนังสือเป็นแน่[14]",
"รำพันพิลาป เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ เป็นนิราศเชิงกำสรวลที่พรรณนาถึงชีวิตของตัวเอง สุนทรภู่ระบุไว้ในงานประพันธ์ว่าได้เขียนงานชิ้นนี้ขึ้นในปี พ.ศ. 2385 ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม เนื่องจากเกิดนิมิตเป็นฝันร้ายว่าจะต้องสิ้นชีวิต สุนทรภู่ตกใจตื่นจึงแต่งนิราศบรรยายความฝัน และเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของตนไว้ หลังจากนั้นก็ลาสิกขาบท",
"กุฏิสุนทรภู่ หรือพิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ตั้งอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ถ.มหาไชย กรุงเทพฯ เป็นอาคารซึ่งปรับปรุงจากกุฏิที่สุนทรภู่เคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่นี่ [51] ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย และมีการจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่เป็นประจำทุกปี",
"งานประพันธ์ของสุนทรภู่เกือบทั้งหมดเป็นกลอนสุภาพ ยกเว้น พระไชยสุริยา ที่ประพันธ์เป็นกาพย์ และ นิราศสุพรรณ ที่ประพันธ์เป็นโคลง ผลงานส่วนใหญ่ของสุนทรภู่เกิดขึ้นในขณะตกยาก คือเมื่อออกบวชเป็นภิกษุและเดินทางจาริกไปทั่วประเทศ สุนทรภู่น่าจะได้บันทึกการเดินทางของตนเอาไว้เป็นนิราศต่าง ๆ จำนวนมาก แต่หลงเหลือปรากฏมาถึงปัจจุบันเพียง 9 เรื่องเท่านั้น เพราะงานเขียนส่วนใหญ่ของสุนทรภู่ถูกปลวกทำลายไปเสียเกือบหมดเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม[36]",
"ในสมัยอยุธยากลอนเพลงยาว และกลอนบทละครยังครองความนิยมด้วยจำนวนคำ และการส่ง-รับสัมผัสไม่เคร่งครัดนัก จนกระทั่งหลวงศรีปรีชาได้ริเริ่มประดิษฐ์กลอนที่มีจำนวนคำเท่ากันทุกวรรคขึ้น และประสบความสำเร็จสูงสุดในสมัยสุนทรภู่ ก่อให้เกิดการจำแนกกลอนออกเป็น 2 ประเภทคือ กลอนสุภาพ ที่มีจำนวนคำเท่ากันทุกวรรค และกลอยที่กำหนดจำนวนคำในวรรคโดยประมาณ เช่น กลอนเพลงยาว กลอนบทละคร กลอนเสภา เป็นต้น",
"คุณวิเศษแห่งความเป็นกวีของสุนทรภู่จึงอยู่ในระดับกวีเอกของชาติ ศ.เจือ สตะเวทิน เอ่ยถึงสุนทรภู่โดยเปรียบเทียบกับกวีเอกของประเทศต่าง ๆ ว่า \"สุนทรภู่มีศิลปะไม่แพ้ลามาตีน ฮูโก หรือบัลซัคแห่งฝรั่งเศส... มีจิตใจและวิญญาณสูง อาจจะเท่าเฮเนเลนอ แห่งเยอรมนี หรือลิโอปารดี และมันโซนีแห่งอิตาลี\"[9] สุนทรภู่ยังได้รับยกย่องว่าเป็น \"เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย\"[1] งานวิจัยทุนฟุลไบรท์-เฮย์ส ของคาเรน แอนน์ แฮมิลตัน ได้เปรียบเทียบสุนทรภู่เสมือนหนึ่งเชกสเปียร์หรือชอเซอร์แห่งวงการวรรณกรรมไทย[48]",
"สุนทรภู่บวชอยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่าง ๆ หลายแห่ง เท่าที่พบระบุในงานเขียนของท่านได้แก่ วัดเลียบ วัดแจ้ง วัดโพธิ์ วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม งานเขียนบางชิ้นสื่อให้ทราบว่า ในบางปี ภิกษุภู่เคยต้องเร่ร่อนไม่มีที่จำพรรษาบ้างเหมือนกัน ผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่าง ๆ มากมาย และเชื่อว่าน่าจะยังมีนิราศที่ค้นไม่พบอีกเป็นจำนวนมาก",
"เนื้อหาในเรื่อง พระอภัยมณี นอกจากมีความแปลกใหม่ด้านเค้าโครงเรื่อง แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของผู้ประพันธ์ว่ามีความรู้กว้างขวางและละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นักวิชาการส่วนมากลงความเห็นพ้องกันว่า สุนทรภู่ได้รับแรงบันดาลใจมากมายจากวรรณคดีโบราณทั้งของไทยและของต่างประเทศ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสว่า \"เรื่องพระอภัยมณี สุนทรภู่ตั้งใจแต่งโดยประณีตทั้งตัวเรื่องและถ้อยคำสำนวน ส่วนตัวเรื่องนั้นพยายามตรวจตราหาเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือต่าง ๆ บ้าง เรื่องที่รู้โดยผู้อื่นบอกเล่าบ้าง เอามาตริตรองเลือกคัดประดิษฐ์ติดต่อแต่ง ประกอบกับความคิดของสุนทรภู่เอง\"[5] ประจักษ์ ประภาพิทยากร กล่าวว่า \"วรรณคดีที่สุนทรภู่อาศัยเค้ามานั้น มีทั้งวรรณคดีจีน ชวา ไทย แขก พร้อมมูล วรรณคดีที่กล่าวมานี้สุนทรภู่ต้องรู้ดีแน่\"[6] หรือ สุรีย์ พงศ์อารักษ์ กล่าวถึง พระอภัยมณี ว่า \"เนื้อเรื่องส่วนใหญ่แตกต่างจากวรรณคดีไทยแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ทั่วไป เค้าโครงเรื่องได้มาจากวรรณคดีต่าง ๆ ของไทยและวรรณคดีต่างประเทศหลายเรื่อง เช่น เรื่องอาหรับราตรี เรื่องไซ่ฮั่น เป็นต้น รวมถึงเค้าเรื่องจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในชีวิตของสุนทรภู่ และจินตนาการที่ผสมผสานผูกร้อยเข้าด้วยกัน\"[7] เค้าโครงจากวรรณกรรมต่างประเทศนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า เค้าเรื่องที่มาจากอาหรับราตรี ของเซอร์ริชาร์ด เบอร์ตัน คือนิทานว่าด้วยเรื่องของกษัตริย์ชาติอิสลามไปตีเมืองซึ่งนางพระยาเป็นคริสตัง เมื่อพบกันในสนามรบก็เกิดรักกัน ทำนองเดียวกับที่พระอภัยมณีพบนางละเวงวัณฬาในสนามรบ ส่วนเค้าโครงที่มาจากไซ่ฮั่น คือส่วนที่ว่าด้วยเพลงปี่ของเตียวเหลียง ผู้วิเศษที่ชำนาญการเป่าปี่แก้วจนอาจสะกดผู้คนได้ ทำนองเดียวกับวิชาปี่ของพระอภัยมณี[5] นอกจากนี้ยังมีความเห็นจากนักวิชาการอื่นอีกหลายท่านล้วนลงความเห็นไปในทางเดียวกันทั้งสิ้น[8]",
"ยังมีอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่จังหวัดอื่น ๆ อีก ได้แก่ ที่ท่าน้ำหลังวัดพลับพลาชัย ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นจุดที่สุนทรภู่ได้เคยมาตามนิราศเมืองเพชร อันเป็นนิราศเรื่องสุดท้ายของท่าน และเชื่อว่าเพชรบุรีเป็นบ้านเกิดของมารดาของท่านด้วย[50] อนุสาวรีย์อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่วัดศรีสุดาราม เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เชื่อว่าท่านได้เล่าเรียนเขียนอ่านเมื่อวัยเยาว์ที่นี่ นอกจากนี้มีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งสุนทรภู่ ตลอดจนหุ่นขี้ผึ้งในวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม",
"อนุสาวรีย์สุนทรภู่ เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่มหากวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ พระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า พ่อเขาตายสุนทรภู่ ตั้งอยู่บนเส้นทาง แกลง-แหลมแม่พิมพ์ ที่ ต.บ้านกร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และท่านเคยมาเยือนที่นี้เมื่อครั้งวัยหนุ่ม พร้อมกับได้ประพันธ์ นิราศเมืองแกลง เอาไว้ด้วย พื้นที่อนุสาวรีย์มีรูปปั้นของสุนทรภู่ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นประธานบนเนินสูง ด้านล่างเป็นบ่อน้ำ มีประติมากรรมรูปปั้นหล่อของตัวละครในวรรณกรรมเอกของสุนทรภู่ เรื่อง พระอภัยมณี ประดับอยู่ 3 ตัว ได้แก่ พระอภัยมณี นางผีเสื้อสมุทร และนางเงือก ออกแบบโดยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ",
"อันว่า \"กวี\" นั้นแบ่งได้เป็น 4 จำพวก[34] คือ จินตกวี ผู้แต่งโดยความคิดของตน สุตกวี ผู้แต่งตามที่ได้ยินได้ฟังมา อรรถกวี ผู้แต่งตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และ ปฏิภาณกวี ผู้มีความสามารถใช้ปฏิภาณแต่งกลอนสด เมื่อพิจารณาจากความรู้และทักษะทั้งปวงของสุนทรภู่ อาจลงความเห็นได้ว่า สุนทรภู่เป็นมหากวีเอกที่มีความสามารถครบทั้ง 4 ประการอย่างแท้จริง",
"การที่สุนทรภู่มีความรอบรู้มากมายและรอบด้านเช่นนี้ สันนิษฐานว่าสุนทรภู่น่าจะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านเอกสารสำคัญซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนค่อนข้างน้อยเนื่องจากเป็นช่วงหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาไม่นาน ทั้งนี้เนื่องมาจากตำแหน่งหน้าที่การงานของสุนทรภู่นั่นเอง นอกจากนี้การที่สุนทรภู่มีแนวคิดสมัยใหม่แบบตะวันตก จนได้สมญาว่าเป็น \"มหากวีกระฎุมพี\"[25] ย่อมมีความเป็นไปได้ที่สุนทรภู่ซึ่งมีพื้นอุปนิสัยใจคอกว้างขวางชอบคบคนมาก น่าจะได้รู้จักมักจี่กับชาวต่างประเทศและพ่อค้าชาวตะวันตก ปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ เห็นว่าบางทีสุนทรภู่อาจจะพูดภาษาอังกฤษได้ก็เป็นได้[5] อันเป็นที่มาของการที่พระอภัยมณีและสินสมุทรสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา รวมถึงเรื่องราวโพ้นทะเลและชื่อดินแดนต่าง ๆ ที่เหล่านักเดินเรือน่าจะเล่าให้สุนทรภู่ฟัง[32]",
"สุนทรภู่ชำนาญงานประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพอย่างวิเศษ ได้ริเริ่มการใช้กลอนสุภาพมาแต่งกลอนนิทาน โดยมี โคบุตร เป็นเรื่องแรก ซึ่งแต่เดิมมากลอนนิทานเท่าที่ปรากฏมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาล้วนแต่เป็นกลอนกาพย์ทั้งสิ้น[11] นายเจือ สตะเวทิน ได้กล่าวยกย่องสุนทรภู่ในการริเริ่มใช้กลอนสุภาพบรรยายเรื่องราวเป็นนิทานว่า \"ท่านสุนทรภู่ ได้เริ่มศักราชใหม่แห่งการกวีของเมืองไทย โดยสร้างโคบุตรขึ้นด้วยกลอนสุภาพ นับตั้งแต่เดิมมา เรื่องนิทานมักเขียนเป็นลิลิต ฉันท์ หรือกาพย์ สุนทรภู่เป็นคนแรกที่เสนอศิลปะของกลอนสุภาพ ในการสร้างนิทานประโลมโลก และก็เป็นผลสำเร็จ โคบุตรกลายเป็นวรรณกรรมแบบฉบับที่นักแต่งกลอนทั้งหลายถือเป็นครู นับได้ว่า โคบุตรมีส่วนสำคัญยิ่งในประวัติวรรณคดีของชาติไทย\"[37]",
"สุนทรภู่มีบุตรชายสามคน คือพ่อพัด เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน พ่อตาบ เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และพ่อนิล เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อพ่อกลั่น และพ่อชุบ",
"หลังจากองค์การยูเนสโกได้ประกาศยกย่องให้สุนทรภู่เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางวรรณกรรมระดับโลกเมื่อปี พ.ศ. 2529 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้จัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น และกำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็น วันสุนทรภู่[52] นับแต่นั้นทุก ๆ ปีเมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ วัดเทพธิดาราม และที่จังหวัดระยอง (ซึ่งมักจัดพร้อมงานเทศกาลผลไม้จังหวัดระยอง) รวมถึงการประกวดแต่งกลอน ประกวดคำขวัญ และการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสุนทรภู่ในโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ",
"ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบวันเกิด 200 ปีของสุนทรภู่ องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้สุนทรภู่ เป็นบุคคลสำคัญของโลกทางด้านวรรณกรรม นับเป็นชาวไทยคนที่ 5 และเป็นสามัญชนชาวไทยคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้ ในปีนั้น สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์จึงได้จัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ \"อนุสรณ์สุนทรภู่ 200 ปี\" และมีการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมเกี่ยวกับการเผยแพร่ชีวิตและผลงานของสุนทรภู่ให้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น",
"งานประพันธ์ของสุนทรภู่เท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบันมีปรากฏอยู่เพียงจำนวนหนึ่ง และสูญหายไปอีกเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้นตามจำนวนเท่าที่ค้นพบก็ถือว่ามีปริมาณค่อนข้างมาก เรียกได้ว่า สุนทรภู่เป็น \"นักแต่งกลอน\" ที่สามารถแต่งกลอนได้รวดเร็วหาตัวจับยาก ผลงานของสุนทรภู่เท่าที่ค้นพบในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้",
"เรื่องความอหังการ์ของสุนทรภู่นี้ เล่ากันว่าในบางคราวสุนทรภู่ขอแก้บทพระนิพนธ์ของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ต่อหน้าพระที่นั่งโดยไม่มีการไว้หน้า ด้วยถือว่าตนเป็นกวีที่ปรึกษา กล้าแม้กระทั่งต่อกลอนหยอกล้อกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยที่ไม่ทรงถือโกรธ แต่กลับมีทิฐิของกวีที่จะเอาชนะสุนทรภู่ให้ได้[11] การแก้กลอนหน้าพระที่นั่งนี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนทรภู่ล่วงเกินต่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนทรภู่ตัดสินใจออกบวชหลังสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ 2 แล้วก็เป็นได้[11]",
"สุนทรภู่ยังได้ปฏิวัติขนบการประพันธ์นิราศด้วย ด้วยแต่เดิมมาขนบการเขียนนิราศยังนิยมเขียนเป็นโคลง ลักษณะการประพันธ์แบบเพลงยาว (คือการประพันธ์กลอน) ยังไม่เรียกว่า นิราศ แม้นิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง เดิมก็เรียกว่าเป็นเพลงยาวจดหมายเหตุ มาเปลี่ยนการเรียกเป็นนิราศในชั้นหลัง สุนทรภู่เป็นผู้ริเริ่มการแต่งกลอนนิราศเป็นคนแรกและทำให้กลอนนิราศเป็นที่นิยมแพร่หลาย[38] โดยการนำรูปแบบของเพลงยาวจดหมายเหตุมาผสมกับคำประพันธ์ประเภทกำสรวล[25] กลวิธีการประพันธ์ที่พรรณนาความระหว่างเส้นการเดินทางกับประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตก็เป็นลักษณะเฉพาะของสุนทรภู่ ซึ่งผู้อื่นจะประพันธ์ในแนวทางเดียวกันนี้ให้ได้ใจความไพเราะและจับใจเท่าสุนทรภู่ก็ยังยาก มิใช่แต่เพียงฝีมือกลอนเท่านั้น ทว่าประสบการณ์ของผู้ประพันธ์จะเทียบกับสุนทรภู่ก็มิได้[38] ด้วยเหตุนี้กลอนนิราศของสุนทรภู่จึงโดดเด่นเป็นที่รู้จักยิ่งกว่ากลอนนิราศของผู้ใด และเป็นต้นแบบของการแต่งนิราศในเวลาต่อมา[11]",
"ลักษณะความคิดแบบหัวก้าวหน้าเช่นนี้ทำให้ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกสมญาสุนทรภู่ว่าเป็น \"มหากวีกระฎุมพี\"[25] ซึ่งแสดงถึงชนชั้นใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อทรัพย์สินเงินทองเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นนอกเหนือไปจากยศถาบรรดาศักดิ์ งานเขียนเชิงนิราศของสุนทรภู่หลายเรื่องสะท้อนแนวคิดด้านเศรษฐกิจ รวมถึงวิจารณ์การทำงานของข้าราชการที่ทุจริตคิดสินบน ทั้งยังมีแนวคิดเกี่ยวกับบทบาทความสำคัญของสตรีมากยิ่งขึ้นด้วย[25] ไมเคิล ไรท์[note 1] เห็นว่างานเขียนเรื่อง พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ เป็นการคว่ำคติความเชื่อและค่านิยมในมหากาพย์โดยสิ้นเชิง โดยที่ตัวละครเอกไม่ได้มีความเป็น \"วีรบุรุษ\" อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าในตัวละครทุก ๆ ตัวกลับมีความดีและความเลวในแง่มุมต่าง ๆ ปะปนกันไป[26]",
"สุนทรภู่ มีชื่อเดิมว่า ภู่ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลาเช้า 2 โมง (ตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329) ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง ซึ่งเป็นบริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบันนี้ เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำอันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้นสุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง สุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม",
"พ่อพัดนี้เป็นลูกรัก ได้ติดสอยห้อยตามสุนทรภู่อยู่เสมอ เมื่อครั้งสุนทรภู่ออกบวช พ่อพัดก็ออกบวชด้วย[16] เมื่อสุนทรภู่ได้มารับราชการกับเจ้าฟ้าน้อย พ่อพัดก็มาพำนักอยู่ด้วยเช่นกัน[15] ส่วนพ่อตาบนั้นปรากฏว่าได้เป็นกวีมีชื่ออยู่พอสมควร[11] เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น ตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า ภู่เรือหงส์ เรื่องนามสกุลของสุนทรภู่นี้ ก.ศ.ร. กุหลาบ เคยเขียนไว้ในหนังสือสยามประเภท อ้างถึงผู้ถือนามสกุล ภู่เรือหงส์ ที่ได้รับบำเหน็จจากหมอสมิทเป็นค่าพิมพ์หนังสือเรื่อง พระอภัยมณี[5][17] แต่หนังสือของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ไม่เป็นที่ยอมรับของราชสำนัก ด้วยปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่ามักเขียนเรื่องกุ เรื่องนามสกุลของสุนทรภู่จึงพลอยไม่ได้รับการเชื่อถือไปด้วย จนกระทั่ง ศ.ผะอบ โปษะกฤษณะ ยืนยันความข้อนี้เนื่องจากเคยได้พบกับหลานปู่ของพ่อพัดมาด้วยตนเอง[17]"
] |
อักษรย่อของ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คืออะไร? | [
"มหาวิทยาลัยขอนแก่น (อังกฤษ: Khon Kaen University; อักษรย่อ: มข.) เดิมชื่อมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ[1] เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาล และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น มีจุดประสงค์เพื่อให้การศึกษาชั้นสูงขยายออกไปถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2510 และสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2509[2] ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552"
] | [
"มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (อังกฤษ: Suranaree University of Technology; อักษรย่อ: มทส.) เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 โดยได้มีการยกฐานะจาก \"วิทยาลัยสุรนารี\" ในสังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ทำการจัดการเรียนการสอนครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ใน 7 สำนักวิชาและ 1 สถาบันสมทบ โดยมีหลักสูตรในระดับปริญญาตรี 32 หลักสูตร ปริญญาโท 34 หลักสูตร และปริญญาเอก 28 หลักสูตร (ข้อมูลในปีการศึกษา 2553) นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคณาจารย์คุณวุฒิปริญญาเอกคิดเป็นร้อยละสูงที่สุดในประเทศไทย (ร้อยละ 80.21) และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยต่อหัวคณาจารย์สูงที่สุดในประเทศไทยช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 รัฐบาลมีนโยบายกระจายโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาคและชนบทให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นใน พ.ศ. 2527ทบวงมหาวิทยาลัยจึงเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ในส่วนภูมิภาค 5 แห่ง ได้แก่ภาคเหนือ 1 แห่ง ภาคใต้ 1 แห่ง ภาคตะวันออก 1 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง ในส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้จัดตั้งวิทยาลัยในสังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ขึ้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดนครราชสีมา โดยวิทยาลัยที่จัดตั้งขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้ใช้ชื่อว่า“ วิทยาลัยสุรนารี ”และเลือกพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมบริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 7,000 ไร่ เป็นที่ตั้ง",
"กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์[28] กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างขึ้นโดยกลุ่มนักศึกษาที่มีใจรักในกิจกรรมการต้อนรับน้องใหม่จากการที่ได้พบและประทับใจในกิจกรรมตอนที่เป็นน้องใหม่ ความอบอุ่นของกิจกรรมการต้อนรับน้องใหม่ ทำให้คนจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันเพื่อมาสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆให้กับนักศึกษา หรือนักศึกษาใหม่ที่จะเข้ามาในภาคเรียนต้น หรือที่เรียกว่า “ Freshy ” กลุ่มสัมพันธ์จะประกอบด้วยการแบ่งกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่เข้ามาในปีการศึกษานั้นๆ เป็นกลุ่มคละกันทุกคณะ มีทั้งหมด ๒๕ กลุ่ม โดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ A – Z ในที่นี้จะยกเว้นกลุ่ม F เพราะถือว่าชื่อไม่เป็นมงคลสำหรับนักศึกษา ซึ่งเป็นเกรดที่ทุกคนไม่อยากที่จะได้ ในแต่ละกลุ่มนั้นจะมีพี่เลี้ยงประจำกลุ่ม ซึ่งผ่านการฝึกซ้อมใช้เวลาในช่วงเวลาเปิดภาคเรียนที่ ๓ หรือที่เรียกกันว่า “ซัมเมอร์” นั่นเอง ตลอดระยะเวลานี้จะเป็นช่วงการฝึกซ้อม การอบรม การใช้กิจกรรมที่เหมาะสม นันทนาการสร้างความบันเทิง การ สร้างความสนุกสนาน การสร้างความเป็นผู้นำ การดูแลน้องอย่างปลอดภัย กิจกรรมสถานการณ์จำลองเพื่อให้แก้ปัญหา การร้องเพลงอย่างถูกต้อง การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวเป็นมหาวิทยาลัยโดยไม่แบ่งว่าใครอยู่คณะใด และกิจกรรมเสริมต่างๆมากมาย เพื่อให้พี่เลี้ยงน้องใหม่มีประสบการณ์ที่หลากหลายมาถ่ายทอดให้น้องในกลุ่มของตน การจัดกิจกรรมปีที่ผ่านมานั้นใช้ระยะเวลาการดำเนินกิจกรรม ๓ วันก่อนเปิดภาคการศึกษา ซึ่งเป็นวันที่ พี่เลี้ยงน้องใหม่ เฝ้าคอยอย่างใจจดใจจ่ออยากที่จะทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้น้องใหม่ทุกคนได้มีส่วนร่วม ไม่น่าเชื่อว่ากิจกรรมที่มีระยะเวลาไม่นานแต่ก็ทำให้พี่เลี้ยงน้องใหม่รักน้องใหม่เหมือนหนึ่งในสายเลือดเดียวกัน ผสานความเป็นหนึ่งแก่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เป็นอย่างดี จนเป็นที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยต่างๆที่อยากได้รูปแบบกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยเรา แต่ก็ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ทำกิจกรรมสร้างสรรค์รูปแบบนี้ได้เป็นมหาวิทยาลัยเดียวในโลก",
"ดูเพิ่ม รายนามบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นหมายเหตุ รายนามดังกล่าว จัดเรียงชื่อและนามสกุลตามตัวอักษร",
"เดิมเป็นรูปงูพันคบเพลิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์ วางบนตัว V\nภาษาอังกฤษ ที่ย่อมาจาก Veterinary (หมายถึง สัตวแพทย์) พื้นหลังแบ่งเป็น\n3 ช่องตามความหมายของมหาวิทยาลัย ขอนแก่น ซึ่งหมายถึง คุณธรรมของ\nนักศึกษา ได้แก่ วิทยา (ความรู้) จริยา (ความประพฤติ) และปัญญา (ความ\nฉลาดเกิดแต่เรียนและคิด) ภายในวงรี เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ\nคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น\nภายหลังในปี พ.ศ. 2549 ได้ปรับตราประจำคณะสัตวแพทยศาสตร์เป็นรูป\nเทพยดากระหนาบองค์พระธาตุพนมอัญเชิญมิ่งมงคลประทานแก่สถาบันสถิต\nเหนือขอนไม้ซึ่งสลักเป็นชื่อมหาวิทยาลัยขอนแก่น พื้นหลังตราสัญลักษณ์\nเป็นสีฟ้าหม่น แบ่งเป็น 3 ช่อง มีความหมายถึง คุณธรรมของนักศึกษา 3\nประการ ได้แก่",
"หลังจากที่ได้ค้นหาที่ดินที่ตั้งที่เหมาะสมมาพอสมควรแล้ว ราวปี พ.ศ. 2505 คณะกรรมการการศึกษาจังหวัดจึงได้ตกลงเลือกที่ดินที่ไร่เบเวอร์ลีย์ (Beverley Farm) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง[9] ใช้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ยังได้เลือกชื่อมหาวิทยาลัยให้ใช้ชื่อ มหาวิทยาลัยเคนต์ ณ แคนเทอร์เบอรี (University of Kent at Canterbury) ด้วยเหตุที่ที่ตั้งของมหาวิทยาลัยส่วนหนึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของสภาจังหวัดเคนต์ อีกส่วนอยู่ในเขตรับผิดชอบของสภาอำเภอแคนเทอร์เบอรี[10][9][6] นอกจากนี้ยังช่วยลดความสับสนระหว่างชื่อของมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรีซึ่งตั้งที่ประเทศนิวซีแลนด์ด้วย[11] อักษรย่อ UKC ถูกใช้เป็นอักษรย่อประจำมหาวิทยาลัยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[12] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้พิจารณาปรับปรุงเขตปกครองของอำเภอและจังหวัดต่าง ๆ เมื่อ พ.ศ.2515 สมควรให้บริเวณที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอยู่ในเขตอำเภอแคนเทอร์เบอรี มหาวิทยาลัยจึงได้ลดชื่อลงเหลือเพียง มหาวิทยาลัยเคนต์ ใช้อักษรย่อ UoK",
"ปีพุทธศักราช 2512 ขยายชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นให้มากขึ้นตามแผนการพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 2 รวมทั้งได้มีการกำหนดเปลี่ยนแปลงการใช้อักษรย่อปักเสื้อของนักเรียนจากที่ปัก ข.ก.1 ให้เป็น ข.ก. ซึ่งใช้ปักบนเสื้อนักเรียนจนประทั่งปัจจุบัน มีการปรับปรุงและก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในโรงเรียนมากมาย และยังคงอยู่ในสถานศึกษาจนปัจจุบัน เช่น มีการก่อสร้างอาคาร 3 ราวปีพุทธศักราช 2518 อาคาร 1 ราวปีพุทธศักราช 2521 โดยการแลกเปลี่ยนที่ดินกับสัสดีจังหวัด โดยแลกเปลี่ยนที่ดินบริเวณบ้านพักครู ภารโรง ถนนหลังเมือง เยื้องวิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่นปัจจุบันกับพื้นที่บริเวณแนวจากอาคาร 3 จดโรงแรมแก่นอินน์ เป็นต้น นอกจากนี้ โรงเรียนยังได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงเรียนผู้ใหญ่ ระดับ 5 (ม.ศ.4-5) ภายในบริเวณโรงเรียน ใช้ชื่อว่า \"โรงเรียนผู้ใหญ่ขอนแก่นวิทยายน\" อาคารที่ตั้งอยู่บริเวณอาคาร 85 ปี (อาคารห้องสมุด) ในปัจจุบัน และยังมีการปรับปรุงชั้นเรียนใหม่ตามแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ กำหนดระบบการจัดชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี (ม.1-3) และชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี (ม.4-6)",
"โรงเรียนกุดขอนแก่นวิทยาคม (อักษรย่อ ก.ข.ว.) อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นโรงเรียนมัธยมขนาดกลาง สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลซึ่งจัดการศึกษาในรูปแบบของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ปัจจุบันได้จัดการเรียนการสอนในสายสามัญ รูปแบบสหศึกษา ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 มีจำนักเรียนมากกว่า 500 คน และบุคลากรทางการศึกษาอีกกว่า 32 คน ซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดของโรงเรียนจำนวน 57 ไร่ ก่อตั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2528",
"ตราสัญลักษณ์ประจำวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นรูปตรามหาวิทยาลัยขอนแก่น ล้อมรอบด้วยวงกลมสีทอง มีอักษรสีแดงระบุชื่อวิทยาลัย",
"ในปี พ.ศ. 2534 มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรวบรวมการเรียกชื่อปริญญาและสีประจำสาขาวิชาทั้งของสาขาวิชาเดิมและสาขาวิชาใหม่ไว้ในพระราชกฤษฎีกาฉบับเดียวกัน และพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้มีการสะกดชื่อปริญญาของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย โดยตัดเครื่องหมายทัณฑฆาตท้ายคำว่า \"ศาสตร์\" ออก ดังพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2534 ให้ไว้ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 108 ตอนที่ 122 วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 (7) สาขาวิชาวารสารศาสตร์ มีปริญญาสามชั้น ได้แก่",
"ผู้ได้ปริญญาตรี เรียกว่า \"วารสารศาสตรบัณฑิต\" ใช้อักษรย่อว่า \"ว.บ.\" ผู้ได้ปริญญาโท เรียกว่า \"วารสารศาสตรมหาบัณฑิต\" ใช้อักษรย่อว่า \"ว.ม.\" ผู้ได้ปริญญาเอก เรียกว่า \"วารสารศาสตรดุษฎีบัณฑิต\" ใช้อักษรย่อว่า \"ว.ด.\"",
"โรงเรียนมัญจาศึกษา \n(อังกฤษ : Mancha Suksa School) (อักษรย่อ: ม.ศ. ,M.C.) เป็นสถานศึกษาแห่งแรกของจังหวัดขอนแก่นที่ผ่านการประเมินโรงเรียนต้นแบบ โรงเรียนในฝัน",
"จังหวัดนราธิวาส มีสถาบันอุดมศึกษา รวม 7 แห่ง โดยมีประชากรกลุ่มอายุที่ได้รับการศึกษาระดับนี้เพียงร้อยละ 2.4 ซึ่งต่ำที่สุดของประเทศ โดยอัตราการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาของผู้จบมัธยมศึกษาตอนปลาย ปี พ.ศ. 2543 มีเพียงร้อยละ 37.2 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาเฉลี่ยทั่วประเทศ ในปีเดียวกัน ที่ร้อยละ 81.1 ค่อนข้างมาก\nภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชาแดนภาคใต้ คือ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส มีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดของประเทศ ประมาณร้อยละ 80 ของชาวมุสลิมที่มีอยู่ทั่วประเทศ และยังไม่มีสถาบันอุดมศึกษาที่มีการบูรณาการหลักการทางศาสนาอิสลามที่เปิดสอนถึงระดับอุดมศึกษา ทำให้ปัจจุบันจึงมีนักเรียนมุสลิมของไทยต้องเดินทางไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่จังหวัดนราธิวาส นอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาแก่ประชาชนในพื้นที่และประหยัดงบประมาณของประเทศในการสูญเสียดุลการค้าระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นการช่วยเสริมสร้างเอกภาพและคมมั่นคงของชาติ ต้องการเชื่อมโยงการศึกษากับศาสนาเข้าสู่วิถีชีวิตของประชาชนชาวมุสลิม ช่วยก่อให้เกิดความรัก ความผูกพัน และสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม วัฒนธรรมและประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน รวมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐและประชาชนชาวมุสลิม ให้เกิดความรัก ความสามัคคี ลดความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง รวมทั้งการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้\nในระยะแรกของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยใช้ชื่อว่าโครงการจัดตั้ง \"มหาวิทยาลัยนราธิวาส\" ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2546 หลังจากนั้นจึงได้มีการยกฐานะขึ้นเป็น \"มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์\" เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระวินิจฉัย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549 พระราชทานตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ รูปมงกุฎสีทอง ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ ตอนกลางเป็นอักษรย่อพระนาม กว. และอักษรชื่อมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นสีน้ำทะเล ซึ่งสีฟ้าน้ำทะเล หรือสีฟ้าอมเขียว ของอักษรพระนามย่อ และอักษรชื่อมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นสีประจำพระองค์ ",
"ดูเพิ่ม รายนามบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นหมายเหตุ รายนามดังกล่าว จัดเรียงชื่อและนามสกุลตามตัวอักษร",
"มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีความหมายว่า \"มหาวิทยาลัยที่เจริญเป็นศรีสง่าแก่มหานคร\" \"วิโรฒ\"มาจากคำว่า \"วิโรฒ\" ในภาษาสันสกฤต แปลว่า ความงอกงามหรือเจริญ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (อ่านว่า สี-นะ-คะ-ริน-วิ-โรด) มีชื่อย่อว่า \"มศว\" (ไม่มีจุด) เขียนอักษรโรมันว่า \"Srinakharinwirot University\" มีชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า SWU (อ่านว่า สะ-วู)",
"มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง (อักษรจีนตัวย่อ: 上海交通大学; อักษรจีนตัวเต็ม: 上海交通大學; พินอิน: Shànghǎi Jiāotōng Dàxué) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยรัฐที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) ในเมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนักศึกษากว่า 28,000 คน และมีคณาจารย์กว่า 1,400 คน",
"โรงเรียนมัธยมหนองเขียด (อักษรย่อ : ม.ข./M.K.) เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา แบบสหศึกษา ตั้งอยู่ในอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เดิมเป็นโรงเรียนในโครงการขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดการมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษา \nกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนเป็นเอกเทศใช้ชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนมัธยมหนองเขียด” ปัจจุบันเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เป็นโรงเรียน\nในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ",
"เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2505 คณะกรรมการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีมติให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงด้านวิศวกรรมศาสตร์และเกษตรศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น และให้ชื่อสถาบันแห่งนี้ว่า \"Khon Kaen Institute of Technology\" ใช้อักษรย่อว่า \"K.I.T.\" ต่อมา เพื่อให้สอดคล้องกับการขอความช่วยเหลือเงินทุนพิเศษสหประชาชาติ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมอบให้สภาการศึกษาแห่งชาติเป็นเจ้าของโครงการและให้ชื่อสถาบันนี้ว่า \"มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ\" โดยใช้ช่วงวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 Mr.D.J.Rohner จาก Swiss Federal Institute of Technology ผู้แทนของ UNESCO ได้สำรวจและเขียนรายงานถึงความจำเป็นทางวิชาการด้านวิศวกรรมศาสตร์ อันเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และต่อมาในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2506 รัฐบาลแคนาดาได้ส่ง ศาสตราจารย์ R.M.Dillan จาก University of Westem Ontario ร่วมสำรวจเพื่อจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น",
"เนื่อยด้วยนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ๓ จะสวมเครื่องแบบที่เหมือนกับนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จึงทำให้โรงเรียนไม่ได้ใช้อักษรย่อ ข.ก.๓ แต่ใช้อักษรย่อ ข.ก. ตามโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ซึ่งจะต่างจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ๒ (สมาน สุเมโธ) ที่จะย่อว่า ข.ก.๒ เพราะมีเครื่องแบบเป็นของตัวเอง",
"โรงเรียนขามแก่นนคร () อักษรย่อ (ข.ก.น.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่(จำนวนนักเรียน1,939 ข้อมูลปีการศึกษา2560) เป็นโรงเรียนสหศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 จังหวัดขอนแก่น กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ เลขที่ 100/1 ถนนกสิกรทุ่งสร้าง ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ตรงข้ามมลฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร์) 40000",
"ปี พ.ศ. 2559 มีการประกาศใช้ตราสัญลักษณ์ใหม่เพิ่มเติม โดยมีรูปแบบสัญลักษณ์เป็นวงรีรูปไข่ ๒ วงซ้อนกัน วงรีด้านนอกใช้สีทอง ด้านบนมีข้อความเป็นภาษาไทยว่า “มหาวิทยาลัยสวนดุสิต” สีขาว ส่วนด้านล่างมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “SUAN DUSIT UNIVERSITY” สีขาว ใช้รูปแบบอักษร (font) SP Suan Dusit คั่นด้วยดอกเฟื่องฟ้าและดอกขจร ในวงรีด้านในใช้สีฟ้าน้ำทะเลเป็นพื้น มีเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นพยัญชนะภาษาไทย อักษรย่อ“มสด”สีขาว สำหรับภาษาอังกฤษใช้ อักษรย่อ“SDU”สีขาวอยู่ตรงกลาง",
"ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 จึงได้มีมติให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูง ด้านวิศวกรรมศาสตร์ และเกษตรศาสตร์ขึ้น ที่จังหวัดขอนแก่น เสนอชื่อสถาบันแห่งนี้ว่า \"สถาบันเทคโนโลยีขอนแก่น\" และเสนอชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า \"Khon Kaen Institute of Technology\" มีชื่อย่อว่า K.I.T. หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อสถาบันนี้เป็น \"มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ\" มีชื่อย่อว่า \"North-East University หรือ N.E.U\" เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีหน่วยราชการใด ที่จะรับผิดชอบการดำเนินการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยโดยตรง รัฐบาลจึงได้มีมติให้สภาการศึกษาแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบในด้านการหาสถานที่ จัดร่างหลักสูตร ตลอดจนการติดต่อความช่วยเหลือจากต่างประเทศ [5]",
"ดูเพิ่ม รายนามบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นหมายเหตุ รายนามดังกล่าว จัดเรียงชื่อและนามสกุลตามตัวอักษร",
"มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พัฒนามาจาก \"โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ\" ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2481 และได้รับวิทยฐานะเป็น \"โรงเรียนอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ\" ในปี พ.ศ. 2515 สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ย้ายสังกัดมาอยู่ทบวงมหาวิทยาลัยโดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น \"วิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ ) \" หรือ Assumption Business Administration College ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเอแบค (ABAC) และเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ได้รับการเลื่อนวิทยฐานะเป็นมหาวิทยาลัย และได้ชื่อว่า \"มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ\"[2] โดยมหาวิทยาลัยได้ใช้ตัวอักษรย่อในภาษาไทยว่า มอช. และภาษาอังกฤษว่า \"AU\" ซึ่งทำให้อักษรชื่อย่อของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญมีความสัมพันธ์ กับสัญลักษณ์ทางเคมี คือ Au (ทองคำ)",
"โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม (Muangphonpittayakom School) อักษรย่อ (ม.พ.ค.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทสหศึกษา เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ตั้งอยู่ เลขที่ 123 ถนนเมืองพล-แวงน้อย ตำบลลอมคอม อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น",
"ชื่อปริญญา : สถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต (สถาปัตยกรรม)\nอักษรย่อปริญญา (ภาษาไทย): สถ.บ. (สถาปัตยกรรม)\nอักษรย่อปริญญา (English) : B. Arch. (Architecture)",
"ผู้ได้ปริญญาตรี เรียกว่า \"วารสารศาสตรบัณฑิต\" ใช้อักษรย่อว่า \"ว.บ.\" ผู้ได้ปริญญาโท เรียกว่า \"วารสารศาสตรมหาบัณฑิต\" ใช้อักษรย่อว่า \"ว.ม.\" ผู้ได้ปริญญาเอก เรียกว่า \"วารสารศาสตรดุษฎีบัณฑิต\" ใช้อักษรย่อว่า \"ว.ด.\"",
"มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (English: Thammasat University; อักษรย่อ: มธ. – TU) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่สองของประเทศไทย ก่อตั้งในชื่อ \"มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง\" (English: The University of Moral and Political Sciences; อักษรย่อ: ม.ธ.ก. – UMPS) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นตลาดวิชา เพื่อการศึกษาด้านกฎหมายและการเมือง สำหรับประชาชนทั่วไป ต่อมาใน พ.ศ. 2495 รัฐบาลเปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบัน นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอายุเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และมีประวัติศาสตร์ผูกพันกับพัฒนาการทางการเมือง และความเป็นไปของชาติ ตลอดจนเรื่องของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย[1] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519[2] มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีผู้ประสาสน์การและอธิการบดีมาแล้ว 23 คน อธิการบดีคนปัจจุบันคือ รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ และนายกสภามหาวิทยาลัย คือ ศาสตราจารย์พิเศษนรนิติ เศรษฐบุตร วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศ \"พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2558\" ซึ่งได้มีผลให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐในอีก 30 วันต่อมา[3]",
"ภายในเปลงเพลิงมีอักษร มวล. ซึ่งเป็นอักษรย่อของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สีแสด - ม่วง หมายถึง โลโก้ เส้นโค้งสีแสด - ม่วงเป็นคลื่นพุ่งสู่เบื้องบนนี้สื่อให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง ความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์",
"ปัจจุบัน เข็มวิทยฐานะยังคงเป็นตราพระเกี้ยวที่ทำด้วยโลหะสีเงิน มีขนาดสูง 5 เซนติเมตร โดยมีอักษรย่อประจำคณะหรือแผนกวิชาจารึกอยู่ที่ใต้พระเกี้ยว สีอักษรย่อตามสีประจำคณะ ด้านหลังเข็มวิทยฐานะจารึกชื่อ-สกุล ระดับชั้นปริญญาและปีที่สำเร็จการศึกษา (บางปีไม่มีการจารึกด้านหลังเข็ม)"
] |
ประเทศจีนสถาปนาเป็นประเทศครั้งแรกเมื่อใด ? | [
"อารยธรรมจีนโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งอารยธรรมยุคแรกเริ่มของโลก เจริญรุ่งเรืองในลุ่มแม่น้ำเหลืองอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งไหลผ่านที่ราบลุ่มจีนเหนือ[1] จีนยึดระบบการเมืองแบบราชาธิปไตยหลายสหัสวรรษ จีนรวมกันเป็นปึกแผ่นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฉินเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนราชวงศ์สุดท้าย ราชวงศ์ชิง สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1912 ด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิผู่อี๋ พร้อมกันกับการสถาปนาสาธารณรัฐจีนโดยพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมจีน ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 ครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้น เป็นยุคสมัยแห่งความแตกแยกและสงครามกลางเมืองซึ่งแบ่งประเทศออกเป็นค่ายการเมืองสองค่ายหลักคือ ก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ ความเป็นปฏิปักษ์ส่วนใหญ่สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1949 เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมือง และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนสาธารณรัฐจีน ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งนั้น ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังไทเปบนเกาะไต้หวัน นับแต่นั้นมา สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งทางการเมือง กับสาธารณรัฐจีนเหนือปัญหาอธิปไตยและสถานะทางการเมืองของไต้หวัน"
] | [
"ในช่วงปี ค.ศ. 1279 ถึง ค.ศ. 1315 ไม่มีการสอบคัดเลือกขุนนาง เนื่องจากระบบการสอบในสมัยราชวงศ์ซ่งได้สิ้นสุดไปพร้อมกับการสิ้นสุดราชวงศ์ จากความพ่ายแพ้แก่จักรวรรดิมองโกลในปี ค.ศ. 1279 นั้นเอง เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิกุบไล ข่าน (อังกฤษ: Kublai Khan; จีน: 忽必烈) สามารถเอาชนะราชวงศ์ซ่งของจีนได้ ทรงสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หยวนแห่งประเทศจีน (หรือ หยวนมองโกเลีย (Yuan Mongolia) ) โดยครอบครองดินแดนมองโกเลีย แมนจูเรีย (Manchuria) เกาหลี และดินแดนตอนเหนือของจีน รวมทั้งดินแดนทางใต้ของประเทศจีนที่อยู่ภายใต้ขอบเขตการปกครองของราชวงศ์ซ่งด้วย",
"หลังจากที่ชาวแมนจูพิชิตประเทศจีนสำเร็จ ชาวแมนจูจึงโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์หมิงและสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นแทนที่ แต่อย่างไรก็ตามจักรพรรดิแมนจูกลับไม่รวมแผ่นดินการปกครองเกิดของพวกตนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนอย่างเต็มที่นัก ระเบียบการปกครองโดยแบ่งแยกชนชาติดังกล่าวได้ดำเนินต่อมาจนกระทั่งจักรวรรดิของราชวงศ์ชิงเริ่มตกต่ำและแตกแยกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ",
"ในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศจีน ประเทศไทย อินเดีย จะพบโรคที่เกี่ยวพันกับความยากจนมาก ขณะเดียวกันก็จะพบโรคกลุ่มอื่นๆด้วย การจะพบโรคกลุ่มใดมากหรือน้อยขึ้นกับช่องว่างทางเศรษฐกิจของคนในสังคมของประเทศนั้นๆ และขึ้นอยู่กับการมีสภาพการเปลี่ยนแปลงของชนบทสู่เมืองมากน้อยเพียงใด",
"ส่วนชนชาติไท หลังจากอาณาจักรอ้ายลาวถูกจีนทำลายจนพินาศ ก็ได้มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้า ถึงประมาณ พ.ศ. 1299 ขุนท้าวกวาโอรสขุนบรมแห่งอาณาจักรน่านเจ้า ได้สถาปนาแคว้นโยนกเชียงแสนขึ้น ต่อมาอาณาจักรน่านเจ้าได้ถูกจีนแทรกซึมเข้าทำลายจนพินาศอีกครั้ง ซึ่งในคราวนี้ผู้ปกครองของจีนได้ใช้วิธีแบ่งชาวไทออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยแล้วผลักดันออกไปคนละทิศละทาง และนับแต่นั้นเป็นต้นมาชาวไทก็ได้แตกสานซ่านเซ็นจนรวมกันไม่ติดอยู่จนถึงวันนี้ คือ ทางตะวันตกได้ถูกจีนผลักดันจนแตกกระจัดพลัดพรายไปถึงอัสสัม(อยู่ทางภาคตะวันออกของอินเดียในปัจจุบัน)ส่วนทางตะวันออกก็กระจัดกระจายไปถึงกวางสี หูหนาน เกาะไหหลำ รวมถึงตอนเหนือของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน ส่วนทางใต้นั้นก็ได้แก่ประชากรในประเทศต่างๆทางเอเชียอาคเนย์ปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศลาวและไทย",
"ทางการไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศดำเนินมาด้วยความราบรื่นบนพื้นฐานของความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน และอยู่ภายใต้หลักการของผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของภูมิภาค ความร่วมมือกันของทั้ง 2 ได้ดำเนินมาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามเย็นเมื่อจีนสามารถได้สถาปนาความสัมพันธ์กับอาเซียนทุกประเทศแล้ว ความสำคัญของประเทศไทยต่อจีนในทางยุทธศาสตร์ได้ลดลงไปจากเดิม ความสัมพันธ์ในปัจจุบันจึงได้เน้นด้านการค้าและเศรษฐกิจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นหลัก",
"หนังสือพิมพ์ราษฎร ลงบทความเห็นว่าจ้าวเป็นลูกถ่วงความเจริญ ยกตัวอย่างการปฏิวัติจีนที่ซุนยัดเซ็นล้มจักรพรรดิจีน (การปฏิวัติซินไฮ่) และสถาปนาระบบสาธารณรัฐขึ้นแทน เสนอแนวคิดว่า การที่จะสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่าเก่าได้นั้นจะต้องทำลายสังคมเดิมลงไปก่อน ถ้าจะให้สังคมเสมอภาคก็ต้องทำเหมือนเครื่องบดยา ก่อนถูกบดให้ละเอียดนั้นเครื่องยาย่อมมีขนาดไม่เสมอกัน เมื่อบดละเอียดแล้วจึงมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน หรือประเทศใดที่เกิดศึกสงครามมาก ประเทศนั้นย่อมเจริญมาก ไฟไหม้ที่ใดที่นั้นจะสวยงามขึ้น เป็นต้น",
"นครรัฐของชาวปยูไม่เคยรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่นครรัฐขนาดใหญ่มักมีอิทธิพลเหนือนครรัฐขนาดเล็กซึ่งแสดงออกโดยการส่งเครื่องบรรณาการให้ นครรัฐที่มีอิทธิพลมากที่สุดได้แก่ศรีเกษตร ซึ่งมีหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า ไม่ปรากฏหลักฐานว่าอาณาจักรศรีเกษตรถูกสถาปนาขึ้นเมื่อใด แต่มีการกล่าวถึงในพงศาวดารว่ามีการเปลี่ยนราชวงศ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช 637 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรศรีเกษตรต้องได้รับการสถาปนาขึ้นก่อนหน้านั้น มีความชัดเจนว่า อาณาจักรศรีเกษตรถูกละทิ้งไปในปีพุทธศักราช 1199 เพื่ออพยพย้ายขึ้นไปสถาปนาเมืองหลวงใหม่ทางตอนเหนือ แต่ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองใด นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองฮะลีนจี อย่างไรก็ตามเมืองดังกล่าวถูกรุกรานจากอาณาจักรน่านเจ้าในราวพุทธศตวรรษที่ 15 จากนั้นก็ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงชาวปยูอีก",
"ผลจากความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งติดตามมา ประเทศเยอรมนีเสียอัลซาซ-ลอแรน นอร์เทิร์นชเลสวิกและเมเมล ซาร์ลันด์เป็นรัฐในอารักขาของประเทศฝรั่งเศสชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขว่าภายหลังผู้อยู่อาศัยจะลงประชามติตัดสินว่าจะเข้ากับประเทศใด ประเทศโปแลนด์แยกออกมาเป็นอีกประเทศหนึ่งและได้ทางออกสู่ทะเลโดยการสถาปนาฉนวนโปแลนด์ ซึ่งคั่นปรัสเซียจากประเทศเยอรมนีส่วนที่เหลือ ดันซิกกลายเป็นนครเสรี[87]",
"เพลงอี้หย่งจฺวินจิ้นสิงฉฺวี่ได้เริ่มใช้ในฐานะเพลงชาติจีนอย่างไม่เป็นทางการ ในการประชุมนานาชาติที่กรุงปราก เชโกสโลวาเกีย เมื่อ ค.ศ. 1949 ซึ่งขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งจะชนะสงครามกลางเมือง และได้ปกครองประเทศจีนส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด ในเดือนมิถุนายนของปีนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้น เพื่อสรรหาเพลงชาติ ธงชาติ และตราแผ่นดินของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะได้สถาปนาอย่างเป็นทางการขึ้นในเวลาอันใกล้ คณะทำงานดังกล่าวได้ประกาศสรรหาเพลงชาติในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ภายในประเทศ โดยได้รับความเห็นชอบจากเหมา เจ๋อตง และเติ้ง เสี่ยวผิง สองผู้นำระดับสูงของพรรคในเวลานั้น ซึ่งผลตอบรับออกมาได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่ง ",
"ในคำปฏิญาณของผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกนั้น ยังได้ย้ำอีกว่า จะต้องขับไล่พวกแมนจู ที่ป่าเถื่อนออกไป ฟื้นฟูประเทศจีนจัดตั้งสาธารณรัฐ อันเป็นความคิดที่มีลักษณะปฏิวัติ ได้เสนออุดมการณ์ให้โค่นล้มราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นทาสรับใช้ของจักรวรรดินิยม และสถาปนาสาธารณรัฐ ปกครองโดยประชาธิปไตย มีชนชั้นนายทุนสนับสนุนแบบตะวันตกต่อประชาชนจีนเป็นครั้งแรก ซึ่งได้กลายเป็นหลักนโยบายอันแรกของการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนประเทศจีน ",
"จอมพล[1] เจียง ไคเชก (; 31 ตุลาคม ค.ศ. 1887 — 5 เมษายน ค.ศ. 1975) หรือชื่อตามภาษาจีนมาตรฐาน คือ เจี่ยง จงเจิ้ง (蔣中正) หรือ เจี่ยง เจี้ยฉือ (蔣介石) เป็นผู้นำทางการเมืองและการทหาร ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีน ระหว่างปี ค.ศ. 1928 ถึง ค.ศ. 1975 โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ในช่วงแรกเจียง ไคเชกได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีนได้ปกครองจีนแผ่นดินใหญ่จนถึง ปี ค.ศ. 1949 ช่วงที่สองหลังจากนั้นได้อพยพลี้ภัยไปอยู่เกาะไต้หวันและสถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้นมาใหม่ เจียงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งจีนไต้หวันอีกครั้งนับจากนั้นถึงปี ค.ศ. 1975 เขาได้รับการยอมรับโดยนานาประเทศส่วนใหญ่ในฐานะผู้นำของประเทศจีนตามหลักความชอบธรรมทางกฎหมายจนถึงช่วงปลายปี ค.ศ. 1960 และช่วงต้นปี ค.ศ. 1970 เขาได้กลายมาเป็นผู้นำที่ไม่ใช่ราชวงศ์ที่ปกครองประเทศเป็นเวลาถึง 48 ปี",
"เควิน เมนซีส์ ไม่ได้ตั้งใจที่จะมานั่งลบล้างประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมายาวนาน แต่เขาเกิดไปเจอข้อมูลบางอย่างเข้าโดยบังเอิญขณะเดินทางไปฉลองครบรอบแต่งงาน 25 ปีที่ประเทศจีน เมนซีส์ได้รับการบอกเล่าเรื่องราวของกองเรือขนาดใหญ่ ที่นำพาเจ้าผู้ครองนครจากดินแดนต่างๆ ทั่วโลกมาร่วมในงานเฉลิมฉลองการสถาปนาพระราชวังต้องห้าม ในวันปีใหม่เมื่อปี ค.ศ.1421 และนั่นทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเหตุใดจึงมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหากว่าไม่ได้มีการติดต่อสื่อสารกับนานาประเทศมาก่อน",
"การค้าในระบบจิ้มก้องอย่างเป็นทางการระหว่างจีนกับสยาม สะดุดหยุดลงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อราชวงศ์ชิง (แมนจู) ที่เพิ่งสถาปนาขึ้นใหม่ ประกาศห้ามชาวจีนออกทะเล เพื่อหวังป้องกันมิให้พวกคนเหล่านี้หลบหนีออกนอกประเทศ และต้องการปราบปรามพวกกลุ่มต่อต้านที่ต้องการล้มล้างราชวงศ์ชิง กอบกู้ราชวงศ์หมิง\nใน ค.ศ. 1664 ต้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันตรงกับปีที่ 3 จักรพรรดิคังซี ราชวงศ์ชิง เมื่อสยามส่งทูตไปจิ้มก้องตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่เดิมมา ราชสำนักจีนปฏิเสธไม่รับของกำนัล และ ประกาศห้ามมิให้ผู้ใดรับของกำนัลจากต่างประเทศ การค้าระหว่างไทยกับจีนจึงหยุดชะงักไป 8 ปี จนต่อมาอีก 3 ปี จึงกลับมามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเหมือนเดิม",
"เมื่อพระเจ้าอวี่ขึ้นครองราชย์และสถาปนาราชวงศ์นี้ ในปีที่ 2070 ก่อนคริสตกาล ยังยึดหลักการสละราชบัลลังก์ตามแบบประเพณีนิยมของพระเจ้าเหยาและพระเจ้าซุ่นแก่ผู้ที่มีความสามารถ โดยเตรียมให้ อี้ ผู้ช่วยรับช่วงสืบราชสมบัติ แต่หัวหน้าเผ่าต่างๆสนับสนุน ฉี่ โอรสของพระเจ้าอวี่ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณธรรมและมีความสามารถอีกคนหนึ่ง จึงได้สืบทอดอำนาจต่อจากพระบิดา ด้วยการสถาปนาราชวงศ์เซี่ยขึ้น นับเป็นครั้งแรกที่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองราชย์เป็นการ สืบสันตติวงศ์ โดยการสืบทอดสมบัติจากพ่อสู่ลูก พี่สู่น้องไปเรื่อยๆ การสืบทอดแบบนี้ทำให้เกิดลักษณะการปกครองประเทศด้วยวงศ์สกุลเดียวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน",
"เป็นนโยบายที่มีผลทั่วประเทศ แต่ได้มีผลกระทบต่อพวกที่อยู่บริเวณชายขอบอย่างไม่สมส่วน ตัวอย่างหนึ่งของนโยบายนี้ ได้แก่ การบังคับให้ใช้ภาษาไทยในโรงเรียน ซึ่งมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อชาวไทยกลางที่ได้ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีผลกระทบต่อผู้พูดภาษาลาวในภาคอีสาน คำเมืองในภาคเหนือ และภาษายะวีในภาคใต้ มาตรการรุนแรงได้ถูกใช้กับชาวไทยเชื้อสายจีน หลังจากที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2492 รัฐบาลต่อต้านคอมมิวนิสต์หลายชุด ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ลดจำนวนผู้อพยพชาวจีนอย่างรุนแรงและสั่งห้ามโรงเรียนมัธยมศึกษาภาษาจีนทั้งหมดในประเทศไทย ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดหลังคริสต์ทศวรรษ 1950 มี \"โอกาสจำกัดมากที่จะเข้าโรงเรียนภาษาจีน\" ชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีอันจะกินได้ส่งเสียบุตรไปศึกษาภาษาอังกฤษต่อยังต่างประเทศแทนภาษาจีนด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ผลที่ตามมาคือ ชาวจีนในประเทศไทย \"เกือบจะสูญเสียภาษาของบรรพบุรุษอย่างสิ้นเชิง\" และค่อย ๆ สูญเสียเอกลักษณ์ความเป็นจีนของตนไป",
"ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าให้สถาปนา พระอาจารย์สกเห็ง เป็นที่ พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย ดูแลบริหารปกครองพระสงฆ์จีนนิกายในประเทศไทย ทั้งตำแหน่งปลัดซ้าย ปลัดขวา เพื่อช่วยบริหารปกครอง และมีพัดยศพร้อมสมณบริขารประกอบสมณศักดิ์ด้วย",
"นโยบายหนึ่งประเทศจีน หมายถึงข้อกำหนดการใช้หรือมุมมองว่ามีเพียงหนึ่ง รัฐ เรียกว่า\"ประเทศจีน\" ภายใต้การดำรงอยู่ของสองรัฐบาลที่อ้างว่าเป็น\"ประเทศจีน\" ข้อกำหนดนี้หมายความว่าประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน(จีนแผ่นดินใหญ่) ต้องยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) และในทางกลับกันหากสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐจีนก็ต้องยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน",
"เอกราชไต้หวัน (; ) เป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องเอกราชให้แก่สาธารณรัฐจีน (Republic of China) หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า ไต้หวัน มีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเป็นการสถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้นเป็นสาธารณรัฐไต้หวัน (Republic of Taiwan) อย่างเป็นทางการ กับทั้งเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่เอกลักษณ์ของชาติไต้หวัน บอกปัดการผนึกไต้หวันเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า ประเทศจีน ทั้งยังปฏิเสธแนวคิดหนึ่งประเทศ สองระบบ (one country, two systems) และความเป็นจีน รวมถึงเรียกให้นานาประเทศรับรองไต้หวันเป็นรัฐเอกราช ปัจจุบัน มีองค์การระหว่างประเทศเพียงแห่งเดียวที่รับรองเอกราชของไต้หวันอย่างเป็นทางการ คือ องค์การชาติและประชาชนซึ่งไร้ผู้แทน (Unrepresented Nations and Peoples Organization) และสิ่งที่น่าจะเป็นความสำเร็จเพียงหนึ่งเดียวอันเนื่องมาจากความเคลื่อนไหวนี้ คือ การได้มาซึ่งข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 อันว่าด้วยสถานะทางการเมืองของไต้หวัน",
"ความล้มเหลวในการจัดการเลือกตั้งเสรีทั่วคาบสมุทรเกาหลีในปี 1948 ยิ่งตอกลึกการแบ่งแยกระหว่างสองฝ่าย เกาหลีเหนือจึงสถาปนารัฐบาลคอมมิวนิสต์ ขณะที่เกาหลีใต้สถาปนารัฐบาลประชาธิปไตยในนาม เส้นขนานที่ 38 กลายเป็นพรมแดนทางการเมืองเพิ่มขึ้นระหว่างสองรัฐเกาหลี แม้การเจรจาเพื่อรวมประเทศยังคงดำเนินต่อมาหลายเดือนก่อนเกิดสงคราม แต่ความตึงเครียดยิ่งทวีขึ้น เกิดการรบปะทะและการตีโฉบฉวยข้ามพรมแดนเส้นขนานที่ 38 อยู่เนือง ๆ สถานการณ์บานปลายเป็นการสงครามเปิดเผยเมื่อกองกำลังเกาหลีเหนือบุกครองเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950 ปีเดียวกัน สหภาพโซเวียตคว่ำบาตรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อเป็นการประท้วงที่รัฐบาลก๊กมินตั๋ง/สาธารณรัฐจีนเป็นผู้แทนของจีน ซึ่งลี้ภัยไปยังเกาะไต้หวันหลังปราชัยสงครามกลางเมืองจีน เมื่อขาดเสียงไม่เห็นพ้องจากสหภาพโซเวียต ซึ่งมีอำนาจยับยั้งข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงฯ สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นจึงผ่านข้อมติที่อนุญาตให้แทรกแซงทางทหารในเกาหลี",
"การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และพรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน[25] หรือที่เรียกว่า \"จีนคอมมิวนิสต์\" หรือ \"จีนแดง\"[26]",
"ตามราชประเพณี สมาชิกในพระราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์จะได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศที่เกี่ยวข้องกับประเทศอังกฤษ สก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์ และเวลส์ สามราชอาณาจักรและหนึ่งนครรัฐซึ่งรวมกันเป็นสหราชอาณาจักร พระอิสริยยศดยุกแห่งคอนน็อตและสแตรธเอิร์นได้ตั้งตามหนึ่งในสี่มณฑลของประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่รู้จักในตัวสะกดตามภาษาไอริชว่า \"Connacht\" หากพระอิสริยยศดังกล่าวไม่มีผู้ใดถือครองจะพระราชทานให้แก่พระราชโอรสพระองค์ที่สามของพระมหากษัตริย์ โดยพระราชโอรสพระองค์ใหญ่จะได้รับพระราชทานพระอิสริยยศ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ (ในประเทศอังกฤษ) กับดยุกแห่งโรธเซย์ (ในประเทศสก็อตแลนด์) และจะได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ในช่วงเวลาหนึ่ง ในขณะที่พระราชโอรสพระองค์ที่สองจะได้รับการสถาปนาเป็นดยุกแห่งยอร์ก หากพระอิสริยยศยังไม่มีผู้ใดถือครอง",
"ประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อกับ 14 ประเทศ มากกว่าประเทศอื่นใดในโลก (เท่ากับรัสเซีย) เรียงตามเข็มนาฬิกาได้แก่ ประเทศเวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฏาน เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ พรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐจีนตั้งอยู่ในน่านน้ำอาณาเขต ประเทศจีนมีพรมแดนทางบกยาว 22,117 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในโลก",
"เมื่อปี 2548 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 30 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างปไทยและจีน ทั้งสองประเทศจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกันเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและใกล้ชิดกันเป็นพิเศษระหว่างทั้งสองประเทศ อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำ โดยนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางเยือนจีน อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 เพื่อร่วมฉลองในกิจกรรมต่างๆ ที่รัฐบาลไทย และรัฐบาลจีนร่วมกันจัดขึ้นที่ประเทศจีน การจัดกิจกรรมฉลองร่วม การจัดทำหนังสือที่ระลึก การจัดงานสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน และการแลกเปลี่ยนเยาวชน เป็นต้น",
"ประเทศอัฟกานิสถาน - ก่อตั้งโดยสนธิสัญญาอังกฤษ-อัฟกัน ค.ศ. 1919 จากสหราชอาณาจักร เป็นเอกราชและเป็นที่ยอมรับในปี 1919 ประเทศจีน - ในอดีตคือ จักรวรรดิชิง ประเทศภูฏาน - ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติใดในทางปฏิบัติ ประเทศอิหร่าน - ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติใดในทางปฏิบัติ แต่ก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของอังกฤษและรัสเซีย ประเทศอิรัก - ก่อตั้งโดยสนธิสัญญาอังกฤษ-อิรัก (1930) จากสหราชอาณาจักรในปี 1930 เป็นเอกราชและเป็นที่ยอมรับในปี 1932 ประเทศญี่ปุ่น - เป็นประเทศมหาอำนาจ ประเทศเกาหลี - เป็นรัฐเอกราช แต่ถูกบุกยึดครองโดยญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) ประเทศมองโกเลีย - ประกาศเอกราชจากจีน ในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) ประเทศเนปาล - ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติใดในทางปฏิบัติ ประเทศไทย - ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติใดในทางปฏิบัติ แต่ก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของอังกฤษและฝรั่งเศส ประเทศซาอุดิอาระเบีย - ก่อตั้งขึ้นในปี 1932 จากการรวมอาณาจักรและดินแดนต่างๆในพื้นที่ของประเทศในปัจจุบันและดินแดนที่ใกล้เคียงในระหว่างปี 1902 ถึง 1916 ประเทศตุรกี - สืบทอดจักรวรรดิออตโตมันในปี 1923",
"จากหลักฐานด้านโบราณคดี ตำนาน นิทานพื้นบ้าน บันทึกราชการของจีน และบันทึกของพระภิกษุจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพุทธศตวรรษที่ 12 ทำให้ทราบว่ามีอารยธรรมมนุษย์ได้สถาปนาอำนาจในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว[11] โดยอาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ดังรายชื่อด้านล่าง[12]",
"ไทยและจีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย คนปัจจุบันคือ ฯพณฯ ก่วนมู่ (ข้อมูลเมื่อ ต.ค. 54)",
"ความคับแค้นไม่พอใจต่อราชวงศ์ชิงทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศและลุกฮือขึ้นเปลี่ยนแปลงการปกครองจนทำให้เกิดขบวนการถงเหมิงฮุ่ย มี ดร.ซุน ยัตเซ็น เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวเกิดเหตุการณ์การปฏิวัติซินไฮ่ อันเป็นการล้มล้างราชวงศ์ชิง ทำให้ประเทศจีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ และได้สถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้น อย่างไรก็ตามสาธารณรัฐใหม่ก็ยังคงมีความอ่อนแอกว่าสมัยก่อน ทั้งปัญหาการแย่งชิงอำนาจของขุนศึกท้องถิ่นผู้มีอำนาจ ทำให้การพยายามที่จะรวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น การขับไล่ลัทธิจักรจรรดินิยมออกไปจากจีนเป็นเรื่องที่ยากลำบาก[3] ทำให้ขุนศึกบางคนต้องใช้นโยบายใกล้ชิดกับต่างชาติ ตัวอย่างเช่น ขุนศึก จาง จัวหลิน แห่งแมนจูเรีย ได้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ในเรื่องความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และทางทหาร[4]",
"กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา (2505) (หมายเหตุ:กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้สถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่น้องกับกรุงเทพมหานครเป็นแห่งแรก[108]) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน (2536) กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย (2540) เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย (2540)[109] กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ (2540) อัสตานา ประเทศคาซัคสถาน (2547)[110] แต้จิ๋ว ประเทศจีน (2548)[111] เฉิงตู ประเทศจีน (2560)[112] นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (2549) โซล ประเทศเกาหลีใต้ (2549) กรุงอังการา ประเทศตุรกี (2549) จังหวัดแพร่ ประเทศไทย (2549) กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม (2549) ดานัง ประเทศเวียดนาม (2555) กรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือ (2555) นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (2555) กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว (2555) หลวงพระบาง ประเทศลาว (2555) กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา (2555) กรุงอูลานบาตอร์ มองโกเลีย (2549) กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี (2549) ฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น (2549)[110] กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา (2549) บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย (2550)",
"การสงบศึกดังกล่าวยังสถาปนาเขตปลอดทหารเกาหลี ซึ่งทั้งสองชาติเกาหลีตัดสินให้เป็นเขตกันชนที่มีการป้องกันกว้าง 4.0 กิโลเมตร คณะกรรมาธิการตรวจตราชาติเป็นกลาง (NNSC) เป็นผู้ลาดตระเวนเขตดังกล่าว เขตปลอดทหารนี้เป็นไปตามแนวแคนซัสที่ซึ่งทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันจริงขณะที่มีการลงนามการสงบศึก เขตปลอดทหารดังกล่าวเป็นพรมแดนระหว่างประเทศที่มีการป้องกันมากที่สุดในโลก \nการสงบศึกนี้ยังสถาปนาการวางระเบียบเกี่ยวกับเชลยศึก ความตกลงดังกล่าวระบุว่า \"ภายในหกสิบวันหลังความตกลงนี้มีผลบังคับใช้ ต่างฝ่ายต้องส่งเชลยศึกทั้งหมดในการคุมขังที่ยืนยันจะส่งตัวกลับประเทศเดิมไปยังฝ่ายที่เขาเป็นสมาชิก ณ เวลาที่ถูกจับ กลับประเทศเดิมโดยตรงเป็นกลุ่ม โดยไม่มีการขัดขวางใด ๆ\" ท้ายสุด มีทหารเกาหลีเหนือหรือจีนกว่า 22,000 นายที่ปฏิเสธการส่งตัวกลับประเทศเดิม ในทางกลับกัน ทหารเกาหลีใต้ 327 นาย ทหารอเมริกัน 21 นาย และทหารอังกฤษ 1 นายปฏิเสธการส่งกลับประเทศเดิมเช่นกัน และยังคงอยู่ในเกาหลีเหนือหรือจีน"
] |
ไอแซก นิวตัน เสียชีวิตเมื่อไหร่? | [
"เซอร์ไอแซก นิวตัน (English: Isaac Newton) (25 ธันวาคม ค.ศ. 1641 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1725 ตามปฏิทินจูเลียน) นักฟิสิกส์ นัก คณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญา นักเล่นแร่แปรธาตุ และนักเทววิทยาชาวอังกฤษ"
] | [
"ไอแซก นิวตัน ได้รับยกย่องจากปราชญ์และสมาชิกสมาคมต่างๆ ว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ",
"ความงดงามของระบบที่ประกอบไปด้วยดวงอาทิตย์, ดาวเคราะห์, และเหล่าดาวหางต่างๆ นั้นสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยภายใต้การควบคุมของสิ่งมีชีวิตอันชาญฉลาด พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่ง ไม่เพียงแต่เป็นแค่จิตวิญญาณของโลก แต่ยังเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับทุกสิ่ง และเนื่องจากการที่พระองค์ปกครองนั้น ท่านจะถูกเรียกว่า \"องค์พระผู้เป็นเจ้า\" παντοκρατωρ [pantokratōr], หรือ \"ผู้ปกครองแห่งสากลโลก\". [...] พระเจ้าสูงสุดนี้เป็นผู้ที่ดำรงอยู่นิจนิรันดร์, นิวตันเองก็อาจมีความสนใจในความคิดแบบ[]เช่นกัน เพราะเขาเขียนเกี่ยวกับ[]และ[]ในหนังสือของเขาชื่อ จากหนังสือที่เขาเขียนขึ้นในปี 1704 เขาได้อธิบายถึงความพยายามที่จะดึงข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ออกมาจากไบเบิ้ล โดยเขาคาดการณ์ว่าโลกจะถึงจุดจบในปี 2060. ในการทำนายนี้เขาได้กล่าวว่า \"นี่ผมไม่ได้กล่าวว่าเวลาที่สิ้นสุดจะเป็นเมื่อไหร่ แต่เพื่อจะหยุดการคาดเดาไปต่างๆ นานาของพวกที่จินตนาการไปเรื่อยถึงวันที่สิ้นสุดของโลก เพราะการกระทำดังกล่าวได้ลดทอนความน่าเชื่อถือของคำพยากรณ์อันศักดิ์สิทธิ์และบ่อยครั้งคำทำนายของพวกเขาก็ล้มเหลว\"[38]",
"สมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอนหลายคน (สมาคมซึ่งนิวตันเป็นสมาชิกอยู่ด้วย) เริ่มกล่าวหาไลบ์นิซว่าลอกเลียนผลงานของนิวตันในปี พ.ศ. 2242 ข้อโต้แย้งรุนแรงขึ้นถึงขั้นแตกหักในปี 2254 เมื่อทางราชสมาคมฯ ประกาศในงานศึกษาชิ้นหนึ่งว่า นิวตันคือผู้ค้นพบแคลคูลัสที่แท้จริง และตราหน้าไลบ์นิซว่าเป็นจอมหลอกลวง งานศึกษาชิ้นนั้นกลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยเมื่อพบในภายหลังว่าตัวนิวตันนั่นเองที่เป็นคนเขียนบทสรุปของงานโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับไลบ์นิซ ข้อขัดแย้งในเรื่องนี้กลายเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของทั้งนิวตันและไลบ์นิซตราบจนกระทั่งไลบ์นิซเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2259[31]",
"นิวตันลังเลในการเผยแพร่แคลคูลัสของเขาก็เพราะเขากลัวข้อโต้แย้งและคำวิพากษ์วิจารณ์[29] เขาเคยสนิทสนมกับนักคณิตศาสตร์ชาวสวิส Nicolas Fatio de Duillier ครั้นปี 2234 ดุยลิเยร์เริ่มต้นเขียน Principia ของนิวตันขึ้นในรูปแบบใหม่ และติดต่อกับไลบ์นิซ[30] มิตรภาพระหว่างดุยลิเยร์กับนิวตันเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่ปี 2236 และหนังสือนั้นก็เลยเขียนไม่เสร็จ",
"เซอร์ไอแซก นิวตัน</b>มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 หรือพระเจ้าท้ายสระแห่งสมัยกรุงศรีอยุธยา",
"มีบันทึกในช่วงหลัง นิวตันเขียนว่า:",
"งานสำคัญชิ้นนี้ซึ่งถูกหยุดไม่ได้พิมพ์อยู่หลายปีได้ทำให้นิวตันได้รับการยอมรับว่าเป็นนักฟิสิกส์กายภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผลกระทบมีสูงมาก นิวตันได้เปลี่ยนโฉมวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเคลื่อนที่ของเทห์วัตถุที่มีมาแต่เดิมโดยสิ้นเชิง นิวตันได้ทำให้งานที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยกลางและได้รับการเสริมต่อโดยความพยายามของกาลิเลโอเป็นผลสำเร็จลง และ “กฎการเคลื่อนที่” นี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของงานสำคัญทั้งหมดในสมัยต่อๆ มา",
"ในช่วงชีวิตของนิวตัน มีการใช้งานปฏิทินอยู่ 2 ชนิดในยุโรป คือ ปฏิทินจูเลียน หรือ'ปฏิทินแบบเก่า' กับ ปฏิทินเกรกอเรียน หรือ 'ปฏิทินแบบใหม่' ซึ่งใช้กันในประเทศยุโรปที่นับถือโรมันคาทอลิก และที่อื่นๆ ตอนที่นิวตันเกิด วันที่ในปฏิทินเกรกอเรียนจะนำหน้าปฏิทินจูเลียนอยู่ 10 วัน ดังนั้น นิวตันจึงเกิดในวันคริสต์มาส หรือ 25 ธันวาคม 2185 ตามปฏิทินจูเลียน แต่เกิดวันที่ 4 มกราคม 2186 ตามปฏิทินเกรกอเรียน เมื่อถึงวันที่เสียชีวิต ปฏิทินทั้งสองมีความแตกต่างกันเพิ่มเป็น 11 วัน นอกจากนี้ ก่อนที่อังกฤษจะรับเอาปฏิทินเกรกอเรียนเข้ามาใช้ในปี พ.ศ. 2295 วันขึ้นปีใหม่ของอังกฤษเริ่มในวันที่ 25 มีนาคม (หรือ 'วันสุภาพสตรี' (Lady Day) ทั้งตามกฎหมายและตามประเพณีท้องถิ่น) มิใช่วันที่ 1 มกราคม หากมิได้มีการระบุไว้เป็นอย่างอื่น วันที่ทั้งหลายที่ปรากฏในบทความนี้จะเป็นวันที่ตามปฏิทินจูเลียน",
"ใน ค.ศ. 1687 ไอแซก นิวตัน ตีพิมพ์ \"Principia Mathematica,\" อันมีรายละเอียดของทฤษฎีสองข้อที่ครอบคลุมและประสบความสำเร็จ คือ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน จากสิ่งที่ทำให้เกิด กลศาสตร์คลาสสิก และ กฎความโน้มถ่วงของนิวตัน ซึ่งบรรยาย แรงพื้นฐาน ของ ความโน้มถ่วง ทั้งสองทฤษฎีเข้ากับผลการทดลองได้ดี กฎความโน้มอ่วงนำไปสู่สาขาวิชา astrophysics ซึ่งบรรยายปรากฏการณ์ทาง ดาราศาสตร์ โดยใช้ทฤษฎีทางฟิสิกส์",
"ไอแซก นิวตัน ได้ทำการรวบรวมกฎการเคลื่อนที่ทั้งสามข้อไว้ในหนังสือ (Mathematical Principles of Natural Philosophy) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1687 นิวตันใช้เพื่ออธิบายและตรวจสอบการเคลื่อนที่ของวัตถุและระบบทางกายภาพ ยกตัวอย่างเช่นในเล่มที่สามของตำรา นิวตันแสดงให้เห็นว่ากฎการเคลื่อนที่เหล่านี้รวมกับกฎความโน้มถ่วงสากล และสามารถอธิบายกฎของเคปเลอร์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์",
"ชีวิตส่วนใหญ่ของนิวตันอยู่กับความขัดแย้งกับบรรดานักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ โดยเฉพาะฮุก, ไลบ์นิซ และเฟลมสตีด ซึ่งนิวตันแก้เผ็ดโดยวิธีลบเรื่องหรือข้อความที่เป็นจินตนาการหรือไม่ค่อยเป็นจริงที่ได้อ้างอิงว่าเป็นการช่วยเหลือของพวกเหล่านั้นออกจากงานของนิวตันเอง นิวตันตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์งานของตนอย่างดุเดือดเสมอ และมักมีความปริวิตกอยู่เป็นนิจจนเชื่อกันว่าเกิดจากการถูกมารดาทอดทิ้งในสมัยที่เป็นเด็ก และความบ้าคลั่งดังกล่าวแสดงนี้มีให้เห็นตลอดการมีชีวิต อาการสติแตกของนิวตันในปี พ.ศ. 2236 ถือเป็นการป่าวประกาศยุติการทำงานด้านวิทยาศาสตร์ของนิวตัน หลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางระดับเซอร์ในปี พ.ศ. 2248 นิวตันใช้ชีวิตในบั้นปลายภายใต้การดูแลของหลานสาว นิวตันไม่ได้แต่งงาน แต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมากในการอุปการะนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง ๆ และนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2246 เป็นต้นมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต นิวตันดำรงตำแหน่งเป็นนายกราชสมาคมแห่งลอนดอนที่ได้รับสมญา “นายกสภาผู้กดขี่”",
"นิวตันมีมิตรภาพอันสนิทสนมกับนักคณิตศาสตร์ชาวสวิส Nicolas Fatio de Duillier ซึ่งเขาพบในลอนดอนราวปี 1690[19] แต่มิตรภาพนี้กลับสิ้นสุดลงเสียเฉยๆ ในปี 1693 จดหมายติดต่อระหว่างคนทั้งคู่บางส่วนยังคงเหลือรอดมาถึงปัจจุบัน",
"นิวตันยังคงมีอิทธิพลต่อนักวิทยาศาสตร์มาตลอด เห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน (ซึ่งนิวตันเคยเป็นประธาน) เมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยถามว่า ใครเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อประวัติศาสตร์แห่งวิทยาศาสตร์มากกว่ากันระหว่างนิวตันกับไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์แห่งราชสมาคมฯ ให้ความเห็นโดยส่วนใหญ่แก่นิวตันมากกว่า[41] ปี พ.ศ. 2542 มีการสำรวจความคิดเห็นจากนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกปัจจุบัน 100 คน ลงคะแนนให้ไอน์สไตน์เป็น \"นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล\" โดยมีนิวตันตามมาเป็นอันดับสอง ในเวลาใกล้เคียงกันมีการสำรวจโดยเว็บไซต์ PhysicsWeb ให้คะแนนนิวตันมาเป็นอันดับหนึ่ง[42]",
"กฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตัน () ระบุว่า แต่ละจุดมวลในเอกภพจะดึงดูดจุดมวลอื่นๆ ด้วยแรงที่มีขนาดเป็นสัดส่วนโดยตรงกับผลคูณของมวลทั้งสอง และเป็นสัดส่วนผกผันกับค่ากำลังสองของระยะห่างระหว่างกัน นี่คือกฎฟิสิกส์ทั่วไปที่ได้จากการสังเกตการณ์ของไอแซก นิวตัน เป็นส่วนหนึ่งของกลศาสตร์ดั้งเดิม และเป็นส่วนสำคัญอยู่ในงานของนิวตันชื่อ \"Philosophiae Naturalis Principia Mathematica\" (\"the Principia\") ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1687",
"กล่าวกันว่า ผลงานของนิวตันเป็น \"ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในทุกสาขาของคณิตศาสตร์ในยุคนั้น[20] ผลงานที่เขาเรียกว่า Fluxion หรือแคลคูลัส ซึ่งปรากฏอยู่ในงานเขียนชุดหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1666 ในปัจจุบันได้รับการตีพิมพ์อยู่รวมกับงานด้านคณิตศาสตร์อื่นๆ ของนิวตัน[21] ในจดหมายที่ไอแซก แบร์โรว์ ส่งไปให้จอห์น คอลลินส์เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1669 กล่าวถึงผู้เขียนต้นฉบับ De analysi per aequationes numero terminorum infinitas ที่เขาส่งไปให้คอลลินส์เมื่อเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้นว่า[22]",
"แต่ตัวนิวตันเองค่อนข้างจะถ่อมตัวกับความสำเร็จของตัวเอง ครั้งหนึ่งเขาเขียนจดหมายถึงโรเบิร์ต ฮุก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2219 ว่า:",
"ไอแซก นิวตัน ได้อธิบายลักษณะของดาวหางไว้ว่าเป็นวัตถุแข็งทนทานเคลื่อนที่ไปด้วยวงโคจรโค้งรี หางของมันเป็นแนวละอองไอบาง ๆ ที่แผ่ออกมาจากนิวเคลียส สามารถจุดติดไฟขึ้นได้ด้วยความร้อนจากดวงอาทิตย์ นิวตันสงสัยว่าดาวหางเป็นต้นกำเนิดขององค์ประกอบอันจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต และยังเชื่อว่าไอระเหยของดาวหางเป็นต้นกำเนิดของน้ำบนดาวเคราะห์ (ซึ่งต่อมาทำให้เกิดดินจากการเติบโตและเน่าเปื่อยของพืช) ส่วนดวงอาทิตย์เป็นแหล่งเชื้อเพลิง",
"นิวตันไม่เชื่อเรื่องศาสนา เขาเป็นคริสเตียนนอกนิกายออร์โธดอกซ์ และยังเขียนงานตีความคัมภีร์ไบเบิลกับงานศึกษาด้านไสยศาสตร์มากกว่างานด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เสียอีก เขาต่อต้านแนวคิดตรีเอกภาพอย่างลับๆ และเกรงกลัวในการถูกกล่าวหาเนื่องจากปฏิเสธการถือบวช",
"เมื่อนิวตันเสียชีวิตลง พิธีศพของเขาจัดอย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่ากษัตริย์ ศพของเขาฝังอยู่ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เช่นเดียวกับกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษ",
"ลูกกระสุนปืนใหญ่ของนิวตัน () เป็นการทดลองทางความคิดที่ ไอแซก นิวตัน ใช้ตั้งสมมติฐานว่า แรงของความโน้มถ่วงนั้นใช้ได้ทั่วไปและเป็นแรงสำคัญสำหรับการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์",
"ไอแซก นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2186 (หรือ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2185 ตามปฏิทินเก่า) ที่วูลส์ธอร์พแมนเนอร์ ท้องถิ่นชนบทแห่งหนึ่งในลินคอล์นเชียร์ ตอนที่นิวตันเกิดนั้นประเทศอังกฤษยังไม่ยอมรับปฏิทินเกรกอเรียน ดังนั้นวันเกิดของเขาจึงบันทึกเอาไว้ว่าเป็นวันที่ 25 ธันวาคม 2185 บิดาของนิวตัน (ชื่อเดียวกัน) ซึ่งเป็นชาวนาผู้มั่งคั่งเสียชีวิตก่อนเขาเกิด 3 เดือน เมื่อแรกเกิดนิวตันตัวเล็กมาก เขาเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะรอดชีวิตได้ มารดาของเขาคือ นางฮานนาห์ อายสคัฟ บอกว่าเอานิวตันใส่ในเหยือกควอร์ทยังได้ (ขนาดประมาณ 1.1 ลิตร) เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบ มารดาของเขาแต่งงานใหม่กับสาธุคุณบาร์นาบัส สมิธ และได้ทิ้งนิวตันไว้ให้มาร์เกรี อายส์คัฟ ยายของนิวตันเลี้ยง นิวตันไม่ชอบพ่อเลี้ยง และเป็นอริกับมารดาไปด้วยฐานแต่งงานกับเขา ความรู้สึกนี้ปรากฏในงานเขียนสารภาพบาปที่เขาเขียนเมื่ออายุ 19: \"ขอให้พ่อกับแม่สมิธรวมทั้งบ้านของพวกเขาถูกไฟผลาญ\"[2] นิวตันเคยหมั้นครั้งหนึ่งในช่วงปลายวัยรุ่น แต่เขาไม่เคยแต่งงานเลย เพราะอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาและการทำงาน[3][4][5]",
"นิวตันใช้เวลาเป็นอย่างมากในความพยายามที่จะค้นคว้า[]. หลังปี 1690, นิวตันได้เขียน[]ที่เกี่ยวข้องกับการตีความตัวอักษรใน[]. ในบทความที่นิวตันเขียนในปี 1704 เขาได้อธิบายความพยายามที่จะดึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ออกมาจากไบเบิ้ล. เขาประมาณการว่าโลกจะไม่พบกับจุดจบภายในปี 2060. ในการทำนายนี้เขากล่าว \"นี่ผมไม่ได้กล่าวว่าเวลาที่สิ้นสุดจะเป็นเมื่อไหร่ แต่เพื่อจะหยุดการคาดเดาไปต่างๆ นานาของพวกที่จินตนาการไปเรื่อยถึงวันที่สิ้นสุดของโลก เพราะการกระทำดังกล่าวได้ลดทอนความน่าเชื่อถือของคำพยากรณ์อันศักดิ์สิทธิ์และบ่อยครั้งคำทำนายของพวกเขาก็ล้มเหลว\" [38]",
"ไอแซก นิวตัน (25 ธันวาคม 1642 – 20 มีนาคม 1727)[1] เป็นนักศาสนศาตร์ที่มีความรู้และความเชียวชาญ (ตามความเห็นของบุคคลที่อยู่ในยุคเดียวกัน).[2][3][4] เขาเขียนผลงานขึ้นหลายฉบับซึ่งปัจจุบันอาจถูกจัดได้ว่าเป็น การเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ และ บทความทางด้านศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการตีความคัมภีร์ไบเบิล.[5]",
"เช่นเดียวกับบุคคลร่วมสมัยหลายท่าน (เช่น []) เขาใช้ชีวิตตั้งอยู่บนความเสี่ยงต่อการถูกลงโทษอย่างร้ายแรงหากเขาเปิดเผยความเชื่อทางศาสนาของเขา. คำกล่าวหาว่าเป็นบุคคลนอกรีตนั้นเป็นอาชญกรรมร้ายแรง ซึงบทลงโทษนั้นอาจหมายถึงการสูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมด ศักดินาที่เคยมี หรือแม้กระทั่งถึงขั้นรับโทษประหาร (ดู, ตัวอย่าง, []). และเนื่องจากความลับที่เขามีต่อความเชื่อทางศาสนา นิวตันถูกตั้งฉายาว่าเป็นชาว[].[9]",
"นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส โจเซฟ-หลุยส์ ลากรองจ์ มักพูดบ่อยๆ ว่านิวตันเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า นิวตันนั้น \"โชคดีที่สุด เพราะเราไม่อาจค้นพบระบบของโลกได้มากกว่า 1 ครั้ง\"[38] กวีชาวอังกฤษ อเล็กซานเดอร์ โพพ ได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของนิวตัน และเขียนบทกวีที่โด่งดังมาก ดังนี้:",
"นิวตันถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวที่นับถือนิกายแองกลิกันสามเดือนหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต, พ่อของเขาเป็นชาวนาที่ร่ำรวยและชื่อไอแซ็ค นิวตันเช่นกัน. เมื่อนิวตันอายุสามปี แม่ของเขาแต่งงานกับพระอธิการซึ่งอาศัยอยู่ใกล้บ้านในย่านนอร์ธ วิทแฮม และได้ย้ายไปอาศัยกับสามีใหม่ของเธอ, ชื่อหลวงพ่อบารนาบัส สมิธ, โดยปล่อยให้ลูกของเธออยู่ในความเลี้ยงดูของแม่ยาย, มาร์เจรี่ ไอสคอช.[10] ไอแซคนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ชอบหลวงพ่อสมิธและไม่มีความสัมพันธ์กับเขาในช่วงวัยเด็ก.[8] ลุงของไอแซค, พระอธิการผู้รับใช้ในเบอร์ตัน ค็อกเกิ้ลส์,[11] มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูไอแซคขึ้นมา. บาทหลวงไอสคอชเคยศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยตรินิตี้.[12]",
"ในทางคณิตศาสตร์ นิวตันกับก็อตฟรีด ไลบ์นิซ ได้ร่วมกันพัฒนาทฤษฎีแคลคูลัสเชิงปริพันธ์และอนุพันธ์ เขายังสาธิตทฤษฎีบททวินาม และพัฒนากระบวนวิธีของนิวตันขึ้นเพื่อการประมาณค่ารากของฟังก์ชัน รวมถึงมีส่วนร่วมในการศึกษาอนุกรมกำลัง",
"การเผยแพร่บทความ สิ่งที่พบจากคำทำนายของดาเนียลและคำพยากรณ์ของเซนต์ยอห์น หลังจากที่นิวตันเสียชีวิต, นิวตันได้บรรยายความรู้สึกต่อความเชื่อของเขาว่าคำพยากรณ์ที่ปรากฏในพระคัมภีร์นั้นจะไม่สามารถเข้าใจได้จนกว่าจะ \"ถึงวาระสุดท้าย\" และเมื่อถึงเวลานั้นแล้วก็ตาม \"จะไม่มีคนชั่วคนใดเข้าใจได้เลย\" เมื่ออ้างถึงสิ่งนั้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (\"ยุคสุดท้าย, ยุคที่จะเปิดเผยสิ่งต่างๆ , กำลังเข้าใกล้เข้ามา\") นิวตันยังได้คาดการณ์ว่า \"วาระแห่งการประกาศข่าวประเสริฐที่จะพบได้ทั่วไปนั้นใกล้เข้ามาแล้ว\" และ \"ข่าวประเสริฐจะต้องถูกเผยแพร่ไปยังชนชาติต่างๆ ก่อนที่เหตุการณ์เลวร้ายครั้งใหญ่จะตามมา และนั้นคือวาระสุดท้ายของโลก\".[41]",
"นิวตันสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้ อนแสงที่สามารถใช้งานจริงได้เป็นเครื่องแรก[1] และพัฒนาทฤษฎีสีโดยอ้างอิงจากผลสังเกตการณ์ว่า ปริซึมสามเหลี่ยมสามารถแยกแสงสีขาวออกมาเป็นหลายๆ สีได้ ซึ่งเป็นที่มาของสเปกตรัมแสงที่มองเห็น เขายังคิดค้นกฎการเย็นตัวของนิวตัน และศึกษาความเร็วของเสียง"
] |
ปฏิกิริยารีดอกซ์ หมายถึงอะไร? | [
"ปฏิกิริยารีดอกซ์</b>เป็นปฏิกิริยาเกี่ยวกับการรับส่งอิเล็กตรอน แบ่งได้เป็น 2 ครึ่งปฏิกิริยาคือ ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เป็นปฏิกิริยาที่เสียอิเล็กตรอน และปฏิกิริยารีดักชั่น เป็นปฏิกิริยาที่รับอิเล็กตรอน"
] | [
"สมบัติเฉพาะที่ต่างจาก organo-aromatic compounds ทั่วไปคือความสามารถในการเกิด one-electron oxidation ที่ศักย์ไฟฟ้าต่ำประมาณ 0.4 V \"เมื่อเทียบกับ\" saturated calomel electrode (SCE) ปฏิกิริยา Oxidation นี้มักจะใช้ FeCl เพื่อทำให้เกิด ferrocenium ion สีน้ำเงิน และ [Fe (CH) ] ซึ่งมักจะสามารถแยกออกมาได้ในรูปเกลือ [PF] เกลือ Ferrocenium เป็น oxidising agent ที่นิยทใช้กันส่วนหนึ่งเพราะงว่าผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยารีดอกซ์เฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยาและสามารถแยกออกได้ง่าย ",
"ระหว่างปฏิกิริยาออกซิเดทีฟฟอสโฟรีเลชัน อิเล็กตรอนจะถูกขนส่งจากตัวให้อิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอน เช่น ออกซิเจน ในปฏิกิริยารีดอกซ์ ปฏิกิริยารีดอกซ์เหล่านี้ปลดปล่อยพลังงาน ซึ่งถูกใช้เพื่อสร้าง ATP ในยูคาริโอต ปฏิกิริยารีดอกซ์เหล่านี้ดำเนินโดยโปรตีนคอมเพลกซ์ภายในผนังระหว่างเยื่อหุ้มไมโทคอนเดรีย ขณะที่ในโปรคาริโอต โปรตีนเหล่านี้พบได้ในช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์ ชุดโปรตีนที่เกี่ยวโยงกันนี้เรียกว่า ลูกโซ่ของการขนส่งอิเล็กตรอน (electron transport chain) ในยูคาริโอต มีโปรตีนคอมเพลกซ์จำนวนห้าคอมเพลกซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่ในโปรคาริโอต อาจพบเอนไซม์หลายชนิด โดยใช้ตัวให้และรับอิเล็กตรอนที่หลากหลาย",
"เซลล์เชื้อเพลิงชนิดนี้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้า โดยอาศัยปฏิกิริยาทางไฟฟ้าเคมี ตามปฏิกิริยารีดอกซ์ โดยที่ขั้วอิเล็กโทรด ของเซลล์ไฟฟ้าชนิดนี้ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาแพลตทินัม(Pt)และขั้วอิเล็กโทรไลท์ใช้โพลิเมอร์แข็ง คือ แนฟฟิออน(Nafion(R)) เป็นเยื่อเลื่อกผ่านประจุ สารตั้งต้นของเซลล์เชื้อเพลิงแบบเยื่อแลกเปลี่ยนโปรตอน ใช้ กาซไฮโดรเจน และ ออกซิเจน(หรือ อากาศ) โดยกาซไฮโดรเจนจะแตกตัวบนพื้นผิวตัวเร่งปกิกิริยาที่ด้านแอโนด ให้ผลิตภัณท์คือ โปรตอน และ อิเล็กตรอน ตามปฏิกิริยาออกซิเดชั่น แต่ในเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้แนฟฟิออนเป็นเยื่อเลือกผ่านนี้ เฉพาะอิออนที่มีประจุบวกเท่านั้นจึงจะผ่านได้ ดังนั้นในที่นี้โปรตรอนจึงถูกเลือกให้เคลื่อนที่ผ่านไปยังขั้วแคโทด ส่วนอิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ไฟฟ้าเคมีไปยังขั้วแคโทด โดยผ่านภาระทางไฟฟ้า หรือ โหลด (Load)และเป็นที่รู้กันดีว่าไฟฟ้าเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ดังนั้นเราก็จะได้แสงสว่างจากไฟฟ้าที่ผลิตได้ หากโหลดนั้นคือหลอดไฟฟ้า เมื่ออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปยังขัวแคโทดถือว่าครบวงจร จากนั้นอิเล็กตรอน โปรตอน และก๊าซออกซิเจน ตามปฏิกิริยารีดักชั่น ก็จะรวมตัวกัน กลายเป็นน้ำ ดังนั้นเซลล์เชื้อเพลิงชนิดนี้จึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม",
"ศิษยาภิบาลเป็นตำแหน่งในการปกครองคริสตจักร ในปัจจุบันใช้ในคริสตจักรฝ่ายโปรเตสแตนต์ นอกจากนี้ยังพบการใช้คำว่าผู้อภิบาล (pastor) เพื่อหมายถึงมุขนายกและอธิการโบสถ์ในคริสตจักรอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ คริสตจักรโรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ ",
"เซลล์กัลวานีประกอบด้วยสองครึ่งเซลล์ ขั้วไฟฟ้าของครึ่งเซลล์หนึ่งจะประกอบด้วยโลหะ A และขั้วไฟฟ้าของอีกครึ่งเซลล์หนึ่งจะประกอบด้วยโลหะ B; ดังนั้นปฏิกิริยารีดอกซ์สำหรับสองครึ่งเซลล์แยกกันจะเป็นดังนี้:",
"โมเลกุลคือกลุ่มของอะตอมที่ยึดเข้าด้วยกันด้วยพันธะทางเคมี และพันธเหล่านี้จะประกอบด้วยแรงไฟฟ้าระหว่างอิเล็กตรอน (ลบ) กับโปรตอน (บวก) โมเลกุลที่อยู่แยกกันเป็นตัวตนที่ถาวร แต่เมื่อโมเลกุลที่ต่างกันถูกนำเข้ามารวมกัน บางชนิดของโมเลกุลสามารถที่จะขโมยอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่น เป็นผลให้เกิดการแยกประจุ การกระจายเหล่านี้ของประจุจะเกิดขึ้นใหม่พร้อมกันกับการเปลี่ยนแปลงในพลังงานของระบบ และโครงสร้างของอะตอมในโมเลกุล การได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มจะถูกเรียกว่า \"รีดักชัน\" (reduction) และการสูญเสียอิเล็กตรอนไปจะถูกเรียกว่า \"ออกซิเดชัน\" ปฏิกิริยาที่มีการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนดังกล่าว (ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับแบตเตอรี่) จะเรียกว่าปฏิกิริยารีดักชัน-ออกซิเดชันหรือปฏิกิริยารีดอกซ์ ในแบตเตอรี่ ขั้วหนึ่งจะประกอบด้วยวัสดุที่ได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มจากตัวละลายและอีกชั้วหนึ่งจะเสียอิเล็กตรอนอันเนื่องมาจากแอตทริบิวต์พื้นฐานของโมเลกุลเหล่านี้ พฤติกรรมที่เหมือนกันจะสามารถเห็นได้ในตัวอะตอมมันเองและความสามารถของพวกมันในการขโมยอิเล็กตรอนจะถูกเรียกว่าเป็น electronegativity ของพวกมัน",
"นอกจากไนตริกออกไซด์ ยังมีสารเคมีอื่น ๆ ที่สามารถถ่ายโอนสัญญาณโดยปฏิกิริยารีดอกซ์ (redox signaling)\nตัวอย่างรวมทั้ง superoxide, ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์, คาร์บอนมอนอกไซด์, และไฮโดรเจนซัลไฟด์\nการส่งสัญญาณโดยปฏิกิริยารีดอกซ์รวมการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าอย่างแอ๊กถีฟในแมโครโมเลกุลชีวภาพแบบกึ่งตัวนำ",
"นิกายโรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ สอนว่าศีลศักดิ์สิทธิ์มี 7 ประการ คริสตจักรโมันคาทอลิกถือว่าศีลศักดิ์สิทธิ์นั้นหมายรวมถึงพระคริสต์และคริสตจักรด้วย นิกายแองกลิคันสอนว่า \"พิธีศักดิ์สิทธิ์ที่พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้สถาปนาไว้ตามพระกิตติคุณคือพิธีบัพติศมาและพิธีมหาสนิท\" และสอนว่า \"อีกห้าพิธีกรรมที่มักเรียกกันว่าพิธีศักดิ์สิทธิ์ อันได้แก่ พิธียืนยันความเชื่อ พิธีสารภาพบาป พิธีสถาปนา พิธีสมรส และพิธีเจิมครั้งสุดท้ายนั้น ไม่ต้องนับว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระกิตติคุณ\"",
"ตารางนี้แสดงถึงอัตราการย่อยสลายทางชีวภาพของการทำงานจากปฏิกิริยารีดอกซ์ที่ลดลง",
"ธาตุเคมีที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) ไฟฟ้าจะขึ้นกับจำนวนอิเล็กตรอน (electron) ที่มันจะรับหรือจะให้ซึ่งเรียกว่า\"ออกซิเดชั่นสเตต\" (oxidation state) ในสถานะที่เป็นกลาง (neutral state) ออกซิเดชั่นสเตตจะเท่ากับ 0 ถ้าอะตอมใดอะตอมหนึ่งเป็นผู้ให้อิเล็กตรอนในปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นออกซิเดชั่นสเตตของมันจะเพิ่มขึ้นและถ้าธาตุใดรับอิเล็กตรอนออกซิเดชั่นสเตตของมันจะลดลง ดังตัวอย่างเมื่อโซเดียมทำปฏิกิริยากับคลอรีนโซเดียมจะให้อิเล็กตรอน 1 ตัวแล้วมันจะมีออกซิเดชั่นสเตตเป็น +1 ส่วนคลอรีนรับอิเล็กตรอนไป 1 ตัวจะมีค่าออกซิเดชั่นสเตตลดลงเป็น -1 ออกซิเดชั่นสเตตจะเป็น 0 ในปฏิกิริยาเคมีที่ประจุ + และ - หักล้างกันพอดี และแรงดึงดูดไอออนต่างชนิดกันระหว่างของโซเดียมและคลอรีนเรียกว่าไอออนิกบอนด์ (ionic bond) การสูญเสียอิเล็กตรอนของธาตุเคมีเราเรียกว่าออกซิเดชั่น (oxidation) และการได้รับอิเล็กตรอนเราเรียกว่ารีดักชั่น (reduction) เพื่อให้จำง่ายเรามีเทคนิคช่วยจำ (mnemonic) ที่นิยมกันมากดังนี้ดังนี้สสารที่สูญเสียอิเล็กตรอนจะเรียกว่ารีดิวซิ่งเอเจนต์หรือรีดักแตนท์และถ้าสสารที่รับอิเล็กตรอนจะเรียกว่าออกซิไดซิ่งเอเจนต์หรือออกซิแดนท์ ในปฏิกิริยาเคมีออกซิไดซิ่งเอเจนต์จะถูกลดประจุไฟฟ้าหรือถูกรีดิวซ์เสมอและรีดิวซิ่งเอเจนต์จะถูกออกซิไดซ์เสมอ การเพิ่มออกซิเจน สูญเสียไฮโดรเจน และเพิ่มตัวเลขออกซิเดชั่น ปฏิกิริยาเคมีนี้จะเรียกออกซิเดชั่น และในทางตรงกันข้ามเรียกว่ารีดักชั่น และปฏิกิริยาเคมีที่มีทั้งออกซิเดชั่นและรีดักชั่นจะเรียกปฏิกิริยานี้ว่ารีดอกซ์ (redox) เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสสารหนึ่งเสียอิเล็กตรอนสสารอีกตัวก็จะเป็นผู้รับมัน ในปฏิกิริยาเคมีที่ต้องการออกซิแดนท์ ออกซิเจนคือออกซิแดนท์ แต่ออกซิแดนท์ไม่จำเป็นต้องเป็นออกซิเจน ฟลูออรีนก็เป็นตัวออกซิแดนท์ที่ดีและแรงกว่าออกซิเจนด้วยเนื่องจากมันมีอิเล็กโตรเนกาติวิตี (electronegativity) สูงกว่าออกซิเ",
"หมวดหมู่:ปฏิกิริยาเคมี",
"ตัวออกซิไดซ์ () ในสาขาเคมี มีความหมายสองอย่าง ความหมายแรกเป็นสายพันธ์เคมีชนิดหนึ่งที่แยกอิเล็กตรอนออกจากสายพันธ์เคมีอีกชนิดหนึ่ง มันเป็นส่วนประกอบหนึ่งในปฏิกิริยาลดการออกซิไดซ์ (ปฏิกิริยารีดอกซ์) (oxidation-reduction (redox) reaction) อีกความหมายหนึ่ง ตัวออกซิไดซ์เป็นสายพันธุ์เคมีชนิดหนึ่งที่ถ่ายโอนอะตอมที่มีกระแสไฟฟ้าลบ ปกติก็คือออกซิเจนไปให้กับสารตั้งต้นชนิดหนึ่ง การสันดาป การระเบิดจำนวนมาก และปฏิกิริยาแบบรีดอกซ์อินทรีย์ (organic redox reaction) เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาถ่ายโอนอะตอม พลังงานในสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจากการถ่ายเทอิเล็กตรอนจากตัวรับอิเล็กตรอนที่เลวไปสู่ตัวรับอิเล็กตรอนที่ดีที่สุด และปล่อยพลังงานออกมา ที่นำไปใช้ในปฏิกิริยาต่าง ๆ ได้",
"การทำน้ำผักขึ้นเองในครัวเรือนเป็นอีกทางเลือกจากการซื้อน้ำผักแบบสำเร็จรูป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับเป็นอาหารเสริมอีกอย่างหนึ่งแก่ผู้ที่ควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ในการปั่นผสมน้ำผักทำเองในครัวเรือนมีการแนะนำว่า ควรเลือกปั่นผักโดยเครื่องปั่นในระดับความเร็วที่ไม่เร็วมากจนเนไปเพราะมีการนำไปเปรียบเทียบกับการปั่นด้วยความเร็วที่มาก ๆ แล้วพบว่า สามารถลดการสูญสลายของแร่ธาตุและสารอาหารได้ เพราะการปั่นโดยใช้ความเร็วมาก ๆ จะทำให้เกิดความร้อนจากแรงเสียดทานที่จะไปทำลายวิตามินบางชนิด และยังเกิดปฏิกิริยารีดอกซ์ ",
"เคลื่อนย้ายในรูปอิเล็กตรอนโดยตรง เคลื่อนย้ายในรูปอะตอมไฮโดรเจน เพราะอะตอมไฮโดรเจนประกอบด้วย H+ และ e- เคลื่อนย้ายในรูปไฮไดรด์ ไอออน (hydride ion,:H-) ซึ่งมีอิเล็กตรอน 2 ตัว เคลื่อนย้ายในรูปของออกซิเจน ในกรณีที่ออกซิเจนรวมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสารอินทรีย์ เช่นการเปลี่ยนไฮโดรคาร์บอนเป็นแอลกอฮอล์",
"ลูกโซ่ของการขนส่งอิเล็กตรอน (, ย่อ: ETC) เป็นคู่ของการขนส่งอิเล็กตรอนระหว่างตัวให้อิเล็กตรอน (เช่น NADH) กับตัวรับอิเล็กตรอน (เช่น O) ด้วยการขนส่งโปรตอน (H) ข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ ความแตกต่างทางศักย์ไฟฟ้าเคมีของโปรตอนอันเกิดจากการขนส่งโปรตอนข้ามเยื่อนี้ ใช้ในการผลิตพลังงานเคมีในรูปของอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (ATP) ลูกโซ่ของการขนส่งอิเล็กตรอนเป็นกลไกของเซลล์ที่ใช้เพื่อดึงพลังงานจากแสงอาทิตย์ในปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสง และจากปฏิกิริยารีดอกซ์ อาทิ ออกซิเดชันของน้ำตาล (การหายใจระดับเซลล์)",
"หากมีออกซิเจนเพียงพอ leucomethylene blue จะถูกอ็อกซิไดซ์ไปเป็นเมทิลีนบลูและสารละลายจะกลับมามีสีฟ้าอีกครั้ง ปริมาณของออกซิเจนนั้นเพิ่มได้โดยการเขย่าสารละลาย เมื่อตั้งไว้ การรีดิวซ์ของกลูโคสจากสีย้อมรีดอกซ์ได้ทำให้สีของสารละลายหายไปอีกครั้ง ปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่งในกลูโคส เมทิลีนบลูและไฮดรอกไซด์ไอออน และเป็นเป็นปฏิกิริยาอันดับศูนย์ในอ็อกซิเจน ",
"แต่เดิมแล้ว คำจำกัดความของปฏิกิริยาเคมีจะเจาะจงไปเฉพาะที่การเคลื่อนที่ของประจุอิเล็กตรอน ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างและสลายของพันธะเคมีเท่านั้น แม้ว่าแนวคิดทั่วไปของปฏิกิริยาเคมี โดยเฉพาะในเรื่องของสมการเคมี จะรวมไปถึงการเปลี่ยนสภาพของอนุภาคธาตุ (เป็นที่รู้จักกันในนามของไดอะแกรมฟายน์แมน) และยังรวมไปถึงปฏิกิริยานิวเคลียร์อีกด้วย แต่ถ้ายึดตามคำจำกัดความเดิมของปฏิกิริยาเคมี จะมีปฏิกิริยาเพียง 2 ชนิดคือปฏิกิริยารีดอกซ์ และปฏิกิริยากรด-เบส เท่านั้น โดยปฏิกิริยารีดอกซ์นั้นเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของประจุอิเล็กตรอนเดี่ยว และปฏิกิริยากรด-เบส เกี่ยวกับคู่อิเล็กตรอน",
"การหายใจระดับเซลล์ () เป็นชุดปฏิกิริยาและกระบวนการทางเมแทบอลิซึมที่เกิดในเซลล์สิ่งมีชีวิตเพื่อเปลี่ยนแปลงพลังงานชีวเคมีจากสารอาหารเป็นอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (ATP) และปล่อยผลิตภัณฑ์ของเสียออกมา ปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องในการหายใจมีปฏิกิริยาแคแทบอลิซึมที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยารีดอกซ์ (หมายถึง มีทั้งปฏิกิริยาออกซิเดชันและรีดักชัน) การหายใจเป็นหนึ่งในวิธีการหลกที่เซลล์จะได้รับพลังงานที่มีประโยชน์เพื่อเป็นเชื้อเพลิงการเปลี่ยนแปลงของเซลล์",
"รีดเริ่มต้นงานผู้จัดการทีมแบบเต็มตัวในฤดูกาล 1995-1996 เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์ในดิวิชั่น1(ปัจจุบันคือ ลีกแชมเปี้ยน ชิพ)ซึ่งเป็นทีมที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นแต่ปีเตอร์ รีดกลับพาทีมได้แชมป์และคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นพรีเมียร์ ลีกแบบพลิกความคาดหมายทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลซันเดอร์แลนด์อย่างมาก แม้จะเลื่อนชั้นขึ้นมาปีเดียวแล้วสโมสรตกชั้นก็ตาม ",
"โลหะมีค่า () เป็นกลุ่มโลหะที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าโลหะทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำปฏิกิริยารีดอกซ์ เป็นโลหะหายาก นิยมทำเป็นเครื่องประดับ เช่น เงิน ทองคำ แพลทินัม โรเดียม อิริเดียม ออสเมียม รีเนียม รูทีเนียม",
"ออร์แกโนโทรฟ (organotroph) ใช้สารอินทรีย์เป็นแหล่งพลังงาน ขณะที่ลิโทโทรฟ (lithotroph) ใช้สารอนินทรีย์ และโปรโตโทรฟ (phototroph) ใช้แสงอาทิตย์เป็นพลังงานเคมี อย่างไรก็ดี เมแทบอลิซึมที่ต่างรูปแบบกันทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยารีดอกซ์ที่เกี่ยวข้องกับการย้ายอิเล็กตรอนจากโมเลกุลตัวให้อิเล็กตรอน (donor molecule) ในรูปรีดิวซ์ (reduced) เช่น สารอินทรีย์ น้ำ แอมโมเนีย ไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือเฟอร์รัสไอออนไปให้โมเลกุลตัวรับอิเล็กตรอน (acceptor molecule) เช่น ออกซิเจน ไนเตรตหรือซัลเฟต ปฏิกิริยารีด็อกซ์ในสัตว์เกี่ยวข้องกับการสลายสารอินทรีย์ที่ซับซ้อนให้เป็นโมเลกุลที่เล็กกว่า เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ในสิ่งมีชีวิตที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้ เช่น พืชและไซยาโนแบคทีเรีย (สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน) ปฏิกิริยาย้ายอิเล็กตรอนเหล่านี้มิได้ให้พลังงานออกมา แต่ถูกใช้เป็นวิถีการเก็บสะสมพลังงานที่ดูดซึมมาจากแสงอาทิตย์",
"ไม่ต่างจากสารอนินทรีย์ เพียงแต่ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในสิ่งมีชีวิตจะเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาดีไฮโดรจีเนชั่น (dehydrogenation reaction) โดยสารอินทรีย์ที่เป็นตัวให้อิเล็กตรอน (reduced form) จะมีไฮโดรเจนมากกว่าออกซิเจน ส่วนสารอินทรีย์ที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอน (oxidized form) จะมีออกซิเจนมากกว่าไฮโดรเจน ทั้งนี้การเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอนจากสารประกอบหนึ่งไปยังสารประกอบหนึ่ง เกิดได้ 4 แบบ คือ",
"ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด ครึ่งเซลล์แรกจะประกอบด้วยโลหะแข็งชนิดหนึ่ง (เรียกว่าขั้วไฟฟ้า) ที่จุ่มอยู่ในสารละลายชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยไอออนบวก หรือแคตไอออน (cation) (พร่องอิเล็กตรอน) ของโลหะที่ทำเป็นขั้วไฟฟ้า อีกครึ่งเซลล์หนึ่งจะประกอบด้วยโลหะแข็งอีกชนิดหนึ่งทำเป็นขั้วไฟฟ้าที่จุ่มอยู่ในสารละลายอีกชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยไอออนลบ หรือแอนไอออน (anion) (อิเล็กตรอนเกิน) ของโลหะที่ทำเป็นขั้วไฟฟ้านั้นเช่นกัน ทั้งสองครึ่งเซลล์จะเชื่อมถึงกันเพื่อความสมดุลของประจุจากไอออนทั้งสองแบบ ในสาระสำคัญ ภายในครึ่งเซลล์แรกจะเกิดออกซิเดชัน (oxidation) ระหว่างขั้วไฟฟ้ากับสารละลาย ทำให้สายละลายพร่องอิเล็กตรอน โดยอิเล็กตรอนที่พร่องไปสะสมที่ขั้วไฟฟ้า ภายในครึ่งเซลล์หลังจะเกิดรีดักชัน (reduction) ระหว่างขั้วไฟฟ้ากับสารละลาย ทำให้สารละลายได้รับอิเล็กตรอนเพิ่ม ทำให้ขั้วไฟฟ้าพร่องอิเล็กตรอน (เรียกว่าโฮล) ดังนั้นเมื่อเชื่อมสองครึ่งเซลล์เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเซลล์สมบูรณ์ ปฏิกิริยาโดยรวมจึงเรียกว่าปฏิกิริยารีดอกซ์ เพื่อให้เกิดความสมดุลทางเคมี สภาวะที่สมดุลสามารถเขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ดังต่อไปนี้ (เมื่อ \"M\" เป็นไอออนบวกของโลหะ ซึ่งหมายถึงอะตอมที่มีประจุไม่สมดุลเนื่องจากการ การสูญเสียของอิเล็กตรอน \"n\" ตัว)",
"สารละลายในน้ำของปฏิกิริยาแบบดั้งเดิมประกอบด้วย กลูโคส โซดาไฟ และเมทิลีนบลู อินอลเลตของกลูโคสถูกสร้างในขั้นตอนแรก ส่วนอันดับต่อไปเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์ของอินอลเลตด้วยเมทิลีนบลู กลูโคสถูกอ็อกซิไดซ์เป็นกรดกลูโคนิก (Gluconic acid) ซึ่งเป็นโซเดียมกลูโคเนทในสารละลายภาวะด่าง เมทิลีนบลูถูกรีดิวซ์ไปเป็น leucomethylene blue ซึ่งไม่มีสี ",
"การรีดเอาทรัพย์อาจนับว่าเป็นการกรรโชก (extortion) รูปแบบหนึ่ง แม้โดยปรกติแล้ว คำ \"รีดเอาทรัพย์\" กับ \"กรรโชก\" เป็นไวพจน์ของกันและกัน แต่ในทางกฎหมาย การกรรโชกมุ่งหมายถึงการเอาไปซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยข่มขู่ว่าจะทำอันตราย อนึ่ง การรีดเอาทรัพย์นั้นยังหมายถึง การข่มขู่บุคคลอื่นมิให้ประกอบอาชีพตามกฎหมาย การเขียนหนังสือว่าร้าย การเขียนหนังสือชี้ชวนให้ละเมิดอาญาบ้านเมือง ตลอดจนการข่มขู่เพื่อเรียกให้ชำระหนี้สินค้าง บางรัฐในสหรัฐอเมริกากำหนดองค์ประกอบความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ว่าต้องเป็นการข่มขู่โดยทำเป็นหนังสือ เพื่อแยกความผิดฐานนี้กับฐานอื่น ๆ",
"ไซโทโครม (Cytochromes) เป็นโปรตีนที่มีหมู่ฮีมที่รับผิดชอบต่อการสร้าง ATP จากการขนส่งอิเล็กตรอน พบทั้งที่เป็นหน่วยเดียว เช่น ไซโทโครมซี หรือเป็นหน่วยย่อยของเอนไซม์เชิงซ้อนที่เร่งปฏิกิริยารีดอกซ์",
"พระมารดาพระเจ้า (; \"มาแตร์เดอี\"; \"มาเทอร์เดอี\") หรือ พระชนนีพระเจ้า () เรียกโดยย่อว่าแม่พระ เป็นสมัญญาที่คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ และอีสเทิร์นคาทอลิก ใช้หมายถึงพระนางมารีย์พรหมจารี ตามมติของสภาสังคายนาแห่งเอเฟซัสที่ประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ดังนั้นมารดาพระเยซูจึงถือเป็นพระมารดาพระเจ้าด้วย",
"คนมักเข้าใจสับสนระหว่าง \"ออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์\" กับ \"อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์\" เพราะคำว่า Oriental และ Eastern มีความหมายเหมือนกันว่า \"ตะวันออก\" แต่ในความจริงเป็นคนละกลุ่มกัน ออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ประกอบด้วย 5 กลุ่ม ได้แก่ คอปติกออร์ทอดอกซ์ เอธิโอเปียนออร์ทอดอกซ์ เอริเทรียนออร์ทอดอกซ์ ซีเรียกออร์ทอดอกซ์ และคริสตจักรอัครทูตอาร์มีเนียน ห้าคริสตจักรนี้แม้จะรวมอยู่ในคอมมิวเนียนเดียวกันแต่ก็มีระบบการปกครองแยกกันเป็นเอกเทศ",
"เวนเดลล์ มิตเชลล์ ลาติเมอร์ (Wendell Mitchell Latimer) นักเคมีชาวอเมริกันได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับสถานะออกซิเดชันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1938 และกล่าวถึงครึ่งปฏิกิริยารีดอกซ์ (redox half-reaction) ต่อมาคริสเตียน เจอร์เจนเซน (Christian Klixbüll Jørgensen), ได้เขียนหนังสือที่อธิบายหลักการรวมถึงการอภิปรายเกี่ยวกับ \"เลขออกซิเดชัน\" จนกระทั่งในทศวรรษ 1940 กลาสโตน ได้กล่าวถึงเลขออกซิเดชันว่าเป็นการระบุ \"ความต้องการอิเล็กตรอน\" ของธาตุ โมเลกุล หรือ ไอออน "
] |
ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชียออกอากาศทางช่องใด? | [
"สำหรับซีซั่นนี้เริ่มออกอากาศตอนแรกทางช่องเอเอกซ์เอ็น ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เวลา 21 นาฬิกา (เวลา UTC+8) และตอนสุดท้ายออกอากาศในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เวลา 21 นาฬิกา (เวลา UTC+8)"
] | [
"ผู้เข้าแข่งขันใน ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย จะประกอบไปด้วยผู้เข้าแข่งขัน 10 ทีม ทีมละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว สำหรับใน ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย มีผู้เกี่ยวข้องและทีมงานที่ถ่ายทำเพียง 30 คนเท่านั้นที่เข้าร่วมในแต่ละซีซั่นของดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย ซึ่งถือเป็นดิ อะเมซิ่ง เรซที่มีผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด ในบรรดาดิ อะเมซิ่ง เรซ ต่าง ๆ ทั่วโลก เพราะในฉบับอเมริกานั้น มีทีมงานประสานงานกันอีกมากกว่า 50 คนเป็นอย่างน้อย",
"นอกจากนี้ ภารกิจที่เกิดขึ้นในรายการบางส่วน เป็นภารกิจที่นำมาจากแฟรนไชส์ ของ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ทั้ง เวอร์ชันอเมริกา และ เวอร์ชันเอเชีย โดยอาจมีการดัดแปลงบางส่วน เช่น ภารกิจอุปสรรคบังคับควายที่เกิดขึ้นในเลก 4 นำมาจากเลก 2 ของ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 2 ทางแยกในเลก 5 (สอนหรือเรียนภาษาญี่ปุ่น) ดัดแปลงจากเลก 3 ของ ดิ อะเมซิ่ง เรซ 12 เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้น เวอร์ชันอิสราเอลมีการเปลี่ยนชื่อคำสั่ง Detour (ทางแยก) และ Fast Forward (ทางด่วน) เล็กน้อย",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 14 () เป็นฤดูกาลที่ 14 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 20 นาฬิกา ซึ่งยังคงเป็นคืนวันอาทิตย์ เช่นเดิม และเริ่มออกอากาศในประเทศไทยทางช่อง เอเอ็กซ์เอ็น ทาง ทรูวิชั่นส์ ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 21 นาฬิกา ",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 3 มีผู้สนับสนุนหลัก 6 บริษัท (คาลเท็กซ์, โนเกีย, เบียร์สิงห์, MASkargo, โซนี่ และ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด) ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มออกอากาศ มีการออกอากาศตอนพิเศษ (\"Racers Revealed\") 1 อาทิตย์ก่อนออกอากาศการแข่งขัน (ตรงกับวันที่ 4 พฤศจิกายน 2551) ซึ่งคล้ายกับที่เคยทำใน ฤดูกาลที่ 2",
"ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2548 สถานีโทรทัศน์ ซีบีเอส ให้โอกาสประเทศอื่นในการทำ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เป็นของตนเอง และเครือข่ายทีวีของเอเชีย เอเอ็กซ์เอ็น เอเชีย ก็เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแรก ๆ ที่ได้สิทธิ์ในการผลิด ดิ อะเมซิ่ง เรซ สำหรับประเทศของตนเอง รายการนี้ผลิตโดยบริษัทผลิตรายการของออสเตรเลีย ActiveTV สำหรับเอเอ็กซ์เอ็น โดยความร่วมมือของบัวนาวิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย-แปซิฟิก (BVITV-AP) พิธีกรของรายการคือนักแสดงชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน-อเมริกัน อลัน วู[1]",
"นอกจากนี้บริษัทผลิดรายการอิสระของอเมริกาใต้แห่งหนึ่งประกาศในช่วงปลายปี ค.ศ. 2006 ว่าจะมีการออกอากาศเวอร์ชันบราซิลของ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ในชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ: A Corrida Milionária ในช่วงเวลาที่ต้องซื้อเวลาของโทรทัศน์บราซิล RedeTV! โดยซีซั่นแรกเริ่มรับสมัครตั้งแต่เดือน มกราคม จนถึง กรกฎาคม ถ่ายทำในช่วงเดือน สิงหาคม ถึง กันยายน และออกอากาศซีซั่นแรกในช่วงวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ถึง 5 มกราคม ค.ศ. 2008[22](in Portuguese)",
"เวอร์ชันต้นฉบับของ ดิ อะเมซิ่ง เรซ คือเวอร์ชันของสหรัฐอเมริกา ซึ่งออกอากาศครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ในเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 โดยในเดิอนตุลาคม ค.ศ. 2005 ซีบีเอส ให้เอกสิทธิ์ประเทศอื่นในการทำ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เป็นของตนเอง โดยบัวนาวิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย-แปซิฟิก (BVITV-AP) และ โซนี่ พิกเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ เอเชีย (บริษัทแม่ของ เอเอกซ์เอ็น เอเชีย) ได้ผลิตดิ อะเมซิ่ง เรซ ในเวอร์ชันเอเชีย โดยมีชื่อว่า ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชียในเดือนเดียวกันนั้นเอง [19] โดยซีซั่นแรกเริ่มรับสมัครตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ จนถึงปลายเดือน มีนาคม ค.ศ. 2006[20] เริ่มถ่ายทำในเดือนมิถุนายน และฤดูกาลแรกออกอากาศตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ถึง 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 หลังจากนั้นเองยังมี ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย ตามอีก 2 ฤดูกาล",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 7 () เป็นฤดูกาลที่ 7 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย (English: The Amazing Race Asia) เป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้ทางโทรทัศน์ที่สร้างมาจากเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 18 ใช้เวลาถ่ายทำ 23 วันและจะเป็นฤดูกาลแรกของเวอร์ชันอเมริกาที่จะถ่ายทำและออกอากาศในระบบโทรทัศน์ความละเอียดสูง[1] ในขณะที่หลายๆ รายการในช่วงพรามไทม์ได้เปลี่ยนการออกอากาศเป็นโทรทัศน์ความละเอียดสูงแล้ว ดิ อะเมซิ่ง เรซ ยังคงใช้โทรทัศน์ความละเอียดมาตรฐานอยู่ เนื่องจากปัญหาหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านค่าใช้จ่ายหรือแม้กระทั่งความยากลำบากในการถ่ายทำและภาพที่อยู่ในแฟ้มภาพไม่ได้เป็น HD จึงใช้เวลาเป็นอันมากกว่าจะสามารถทำให้เป็นระบบ HD ได้[2] อย่างไรก็ตามถึงจะช้าไปบ้างนี่ก็จะเป็นฤดูกาลแรกของ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ที่จะออกอากาศในระบบโทรทัศน์ความละเอียดสูง",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 3 () เป็นฤดูกาลที่ 3 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย ยังมีอีกเลกหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ ซุปเปอร์เลก ที่คำใบ้จะบอกให้ผู้เข้าแข่งขันให้ \"ตามหาตัวอลัน วู\" โดยคำใบ้นี้ปรากฏขึ้นในซีซั่นที่ 2 แต่อลันเจะทำให้ข้าใจผิดและอ้างว่าสถานที่ที่เขาอยู่นั้นคือจุดหยุดพัก และข้อแตกต่างของจุดพักในเวอร์ชันอเมริกากับเอเชียนั้นคือ ในเวอร์ชันอเมริกาการเข้าจุดพักกจะมีพรหมพร้อมกับป้ายอยู่ด้านข้างโดยที่ภายในป้ายจะมีโลโก้รายการอยู่แต่เปลี่ยนตรงคำว่า ดิ อะเมซิ่ง เป็น ชื่อเมือง ที่เข้าจุดพักและคำว่า เรซ เป็น ชื่อประเทศ ที่เข้าจุดพัก ส่วนในเวอร์ชันเอเชียนั้นจะมีแค่พรหมเข้าจุดพักเท่านั้น ไม่ได้มีป้ายบอกชื่อประเทศและเมืองแต่อย่างใด",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ: Ha'Merotz La'Million (; ; ) เป็นเวอร์ชันอิสราเอลของรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นรายการแข่งขันเดินทางรอบโลกโดยมีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 10 คู่ และทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านเชเกล รายการนี้มีการผลิตและออกอากาศทางช่อง Reshet Channel 2 ของเครือข่ายโทรทัศน์อิสราเอล Reshet โดยเริ่มออกอากาศในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี ในเวลา 21 นาฬิกา (เวลามาตรฐานอิสราเอลที่ใช้ DST ตรงกับเวลา 18 นาฬิกาของ GMT) และมีพิธีกรประจำรายการคือราซ เมอร์แมน",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 6 () เป็นฤดูกาลที่ 6 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 2 (English: The Amazing Race Asia 2) เป็นปีที่สองของรายการเรียลลิตี้โชว์ทางโทรทัศน์ที่ชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขัน 10 ทีม ทีมละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ",
"สำหรับงานทางด่วน (Fast Forward) ในเลกนี้ คล้ายกับงานอุปสรรค (Roadblock) ใน เลก 5 ของ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 1 โดยเป้าหมายของงานนั้นเหมือนกัน คือ ขึ้นไปถึงยอดของสกายทาวเวอร์ แตกต่างกันที่ในดิ อะเมซิ่ง เรซ 13 งานนี้เป็นงาน Fast Forward และทั้งสองคนจะต้องปีนขึ้นไป แต่ในดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 1 งานนี้เป็นงาน Roadblock ซึ่งจะมีผู้ปีนขึ้นไปเพียงคนเดียว",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 18 (English: The Amazing Race 18) เป็นฤดูกาลที่ 18 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ในฤดูกาลนี้ทำลักษณะแบบ ทีมรวมดารา โดยเอาทีมต่างๆ จากฤดูกาลที่ 12-17 มาแข่งขันกันใหม่ จากฤดูกาลที่ 11 ใช้ชื่อว่า The Amazing Race: All-Stars (ดิ อะเมซิ่ง เรซ รวมดารา) แต่ในฤดูกาลนี้จะใช้ชื่อว่า The Amazing Race: Unfinished Business (ดิ อะเมซิ่ง เรซ ธุรกิจนี้ยังสะสางไม่เสร็จ) ซึ่งซีบีเอสได้โปรโมทฤดูกาลนี้ทันที โดยอยู่ภายในตอนสุดท้ายของฤดูกาลที่ 17 เลยและรวมถึงฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกที่จะถ่ายทำในระบบโทรทัศน์ความละเอียดสูงอีกด้วย แต่เป็นที่ทราบกันดีว่ารายการนี้ถ่ายทำยากมาก เนื่องจากช่างกล้องจะต้องวิ่งตามผู้เข้าแข่งขันตลอดและภาพบางภาพในรายการใช้การตัดต่อหรือดึงภาพจากแฟ้มข้อมูลที่เคยมีไว้มาตัดต่อลงไปทำให้อาจมีภาพแบบขนาดความละเอียดมาตรฐานปนอยู่บ้าง โดยทางผู้ผลิตได้กล่าววาจะจัดการปัญหาตรงจุดนี้ให้เหมาะสมอย่างสมดุลและออกอากาศในแบบโทรทัศน์ความละเอียดสูงอย่างแน่นอน",
"สำหรับเครื่องหมายและโจทย์คำสั่งต่าง ๆ ใน ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย ทั้งหมดนำมาจากของ เวอร์ชันอเมริกา ทั้งหมด ฤดูกาลที่ 2 มีการใช้คำสั่งจุดร่วมมือ (Intersection) เป็นครั้งแรก และฤดูกาลที่ 3 มีการใช้คำสั่งย้อนกลับ (U-Turn) เป็นครั้งแรก แม้ว่าการใช้งานโดยรวมจะคล้ายกับเวอร์ชันอเมริกัน แต่ยังมีข้อแตกต่างบางส่วนที่พบเห็นได้ใน ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย 3 เป็นปีที่สามของรายการดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้ทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขัน 10 ทีม ทีมละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก ทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 100,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา สำหรับความนิยมของรายการนี้ เนื่องจากฉายไปทั่วเอเชียจึงทำให้มีการประมาณกันว่ามีผู้ชมมากถึง 83 ล้านคนทั่วเอเชีย (มาจากจีน 40 ล้านคน) ทำให้มีแผนการที่จะผลิตออกมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับฉบับอเมริกา",
"ฤดูกาลนี้เป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำสั่งย้อนกลับ (U-Turn) เป็นครั้งแรก (ในเลก 9) อย่างไรก็ดี คำสั่งร่วมมือ (Intersection) ไม่ได้ถูกนำมาใช้เหมือนกับซีซั่นที่ 2 ฤดูกาลนี้ยังเป็นครั้งแรกของ \"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย\" ที่มีการแข่งขันทั้งหมดอยู่ในทวีปเอเชียเพียงทวีปเดียว และเป็นฤดูกาลที่ 3 ตั้งแต่ ซีซั่นที่ 8 ของเวอร์ชันสหรัฐอเมริกา และ เป็นต้นมา ซึ่งโดยปกติแล้วการแข่งขันในฤดูกาลก่อน ๆ ของ \"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย\" จะเดินทางไปอย่างน้อย 2 ทวีป",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 5 () เป็นฤดูกาลที่ 5 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส",
"ความโด่งดังของเขายิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเมื่อเขาได้เป็นพิธีกรในรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอเชีย ตั้งแต่ฤดูกาลแรกจนถึงปัจจุบัน ทางช่องเอเอ็กซ์เอ็น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วเอเชียเนื่องจากรายการนี้เป็นรายการที่ดังมากและออกอากาศทั่วทั้งเอเชีย รวมถึงยังมีอีกหลายประเทศที่ซื้อรายการไปฉายต่อในประเทศตนเองภายหลังอีกด้วย",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 1 () เป็นฤดูกาลที่ 1 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส สำหรับฤดูกาลที่ 1 นี้ออกอากาศวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2544",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ: A Corrida Milionária (; ) เป็นเวอร์ชันบราซิลของรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ โดยมีพิธีกรประจำรายการคือโรนี่ เซิร์ฟเวอร์โร่ รายการนี้มีการผลิตและออกอากาศเป็นอิสระ ในช่วงที่ต้องมีการซื้อเวลาของเครือข่ายโทรทัศน์บราซิล RedeTV! ",
"ซีบีเอสโปรโมต ดิ อะเมซิ่ง เรซ 13 อย่างหนักด้วยการติดป้ายโฆษณาบนยอดของอาคารที่ ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส ก่อนที่จะมีการออกอากาศ[11] ต่างจากซีซั่นอื่น ๆ ที่ซีบีเอสไม่เคย เปิดเผยถึงสถานที่ที่จะไปล่วงหน้า แต่ใน ดิ อะเมซิ่ง เรซ 13 นี้ ซีบีเอสได้เปิดเผยแผนที่การเดินทางที่จะทำให้ทราบว่า ระหว่างการแข่งขัน มีการเดินทางไปที่ใดบ้าง ก่อนที่การแข่งขันจะออกฉายทางโทรทัศน์ [12]",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 2 () เป็นฤดูกาลที่ 2 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส",
"ในช่วงปี ค.ศ. 2008 ดิสคัฟเวอรี แชนแนล ลาตินอเมริกา ได้ประกาศเวอร์ชันลาตินอเมริกาของดิ อะเมซิ่ง เรซ ในชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอ็น ดิสคัฟเวอรี แชนแนล โดยเป็นความร่วมมือกับดิสนีย์แชนแนล ลาตินอเมริกา โดยคาดว่าจะเริ่มถ่ายทำในช่วงต้นปี ค.ศ. 2009 และออกอากาศในแถบลาตินอเมริกา และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน ในช่วงปลายปีเดียวกัน[23] และโทรทัศน์อิสราเอล Reshet ได้ลิขสิทธิ์ในการผลิตเวอร์ชันอิสราเอลของรายการที่ชื่อ Ha'Merotz La'Million (English: The Race to the Million; Thai: การแข่งขันสู่เงินล้าน) โดยรายการมีกำหนดจะออกอากาศทั่วเอเชียใน ค.ศ. 2009[24]",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ เอ็น ดิสคัฟเวอรี แชนแนล (; หรือในบางครั้งรู้จักกันในชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ลาติน อเมริกา) เป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้ทางโทรทัศน์ในเวอร์ชันของ ลาติน อเมริกา ที่สร้างมาจากเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อ ดิ อะเมซิ่ง เรซ โดย ดิสคัฟเวอรี แชนแนล ลาตินอเมริกา ด้วยความร่วมมือของดิสนีย์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขัน 11 ทีม ทีมละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบ โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 250,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ข้อแตกต่างเล็กน้อยสำหรับเวอร์ชันนี้คือ Routmaker ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสี น้ำเงิน-ดำและซองคำใบ้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำงินแทนสีเหลืองดั่งเดิม รวมถึงชื่อทีมที่ขึ้นในรายการจะตามด้วยธงประเทศของตนเองด้วย การเดิทางทั้งหมดผ่าน 1 ทวีปโดยไม่ได้ออกนอกทวีปอเมริกาใต้แต่อย่างใด รวมถึงเป็น ดิ อะเมซิ่ง เรซ เวอร์ชันที่ 3 ถัดจากบราซิลและอิสราเอล ที่เส้นชัยนั้นไม่ได้อยู่ในประเทศแรกที่ออกเดินทาง ปัจจุบันยังคงผลิตฤดูกาลถัดๆ มาอยู่เรื่อยๆ และในฤดูกาลที่ 3 หลังจากเปลี่ยนช่องที่ทำการออกอากาศในฤดูกาลที่ 3 เป็นต้นมารายการจึงได้กลับไปใช้ Routmaker สีมาตรฐานของต้นฉบับ คือ เหลือง-แดงและซองคำใบ้สีเหลือง",
"สิ่งที่แตกต่างจาก ดิ อะเมซิ่ง เรซ ในเวอร์ชันอื่น ๆ ทุกเวอร์ชันเลยก็คือ ตอนสุดท้ายของ Ha'Merotz La'Million ยังไม่ได้มีการถ่ายทำ แต่จะมีการถ่ายทำหลังจากที่รายการออกอากาศไปได้แล้วพักหนึ่งแล้ว ในขณะที่เวอร์ชันอื่น ๆ มีการถ่ายทำทุกตอนจนจบแล้วจึงออกอากาศ นอกจากนี้การออกอากาศ 1 ตอนมีการออกอากาศไม่เต็มเลก (ไปถึงจุดพัก) แต่มีการออกอากาศเพียงครึ่งเลกในวันศุกร์ และอีกครึ่งเลกแบ่งไปออกอากาศในวันเสาร์ โดยจะออกอากาศเลกละ 2 ตอนและมีตอนประมวลภาพซ้ำด้วยอีก 2 ตอนโดยเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ตอนละ 1 ชั่วโมง อีกทั้งเวอร์ชันนี้เป็น ดิ อะเมซิ่ง เรซ เพียงไม่กี่เวอร์ชันที่เส้นชัยนั้นไม่ได้อยู่ในประเทศแรกที่ออกเดินทาง",
"ดิ อะเมซิ่ง เรซ 15 (English: The Amazing Race 15) เป็นฤดูกาลที่ 15 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ซึ่งฤดูกาลนี้จะเริ่มฉายในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552 20:00 น. ตามเวลาในประเทศไทยทางช่อง AXN asia ซึ่งจะฉายหลังจากที่อเมริกาฉายจบไปแล้วประมาณ 14 ชั่วโมงโดยตอนแรกจะฉายด้วยความยาว 2 ชั่วโมงเต็ม"
] |
สยามประเทศ เปลี่ยนมาเป็นประเทศไทย เมื่อใด ? | [
"สยาม (อักษรละติน: Siam, อักษรเทวนาครี: श्याम) เคยเป็นชื่อเรียกประเทศไทยในอดีต แต่มิใช่ชื่อที่คนไทยเรียกตนเอง ราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า สยามเป็นชื่อเรียกดินแดนและกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ[1] สยามเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของไทยตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา[2] ก่อนเปลี่ยนเป็น \"ไทย\" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 พระมหากษัตริย์ไทยทรงใช้ชื่อ \"สยาม\" ในการทำสนธิสัญญากับต่างชาติเป็นเวลาหลายศตวรรษ เนื่องจากราชอาณาจักรประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ อาทิ ไท ลาว มอญ ญวน เขมร แขก จีน ฝรั่ง และมลายู พระมหากษัตริย์ไทยจึงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ประเทศสยาม เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน[3] อีกทั้ง ชื่อ สยาม นั้น ก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการของต่างประเทศอีกด้วย"
] | [
"ซัมซัม () เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกกลุ่มชนลูกผสมระหว่างชาวไทยสยามกับชาวมลายู หรือชาวจีนกับสยาม หรือกับชาวสยามกับชนเผ่าพื้นเมืองอื่น ๆ ในคาบสมุทรมลายู พบมากในรัฐเกอดะฮ์และปะลิส ประเทศมาเลเซีย และตามจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดตรัง, พังงา, สงขลา และสตูล โดยเป็นประชากรส่วนใหญ่ของชาวมุสลิมจังหวัดสตูลและสงขลา พวกเขามีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างไทยและมลายู ที่โดดเด่นที่สุดคือการใช้ภาษาไทยและนับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีบางส่วนที่ยังนับถือหรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ",
"หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลต่าง ๆ ยังคงรับรองฐานะของธงไตรรงค์ให้เป็นธงชาติของประเทศสยามต่อไป โดยมีการตราพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2479 เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์[10] และหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศในปี พ.ศ. 2482 ส่งผลให้รัฐบาลประกาศเปลี่ยนชื่อธงชาติสยามเสียใหม่เป็น \"ธงชาติไทย\" ตามไปด้วย แต่ก็ยังคงประกาศให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์ ซึ่งพระราชบัญญัติธงทั้งสองฉบับนี้ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยความบรรยายลักษณะธงชาติในพระราชบัญญัติธงใหม่ให้ชัดเจนขึ้น แต่ยังคงรูปแบบธงตามที่ได้บัญญัติไว้ครั้งแรกในพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พุทธศักราช 2460 ไว้เช่นเดิม[11]",
"เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้อุบัติขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2457 และประเทศสยามยังมิได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนีนั้น การศึกษาของหม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ มิได้รับความกระทบกระเทือนแต่ประการใด ได้เข้าเรียนในชั้น 4 ของโรงเรียนมัธยมใน พ.ศ. 2458 ตามที่กำหนดไว้เดิม และได้เรียนจบชั้น 6 เมื่อ พ.ศ. 2460 แต่เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ประเทศสยามได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนี และประเทศออสเตรีย - ฮังการี โดยเข้าเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลเยอรมันจึงได้จับกุมนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศเยอรมนีทั้งหมดรวม 9 คน (ยกเว้น นายปุ่น ชูเทศะ ซึ่งยังเป็นเด็กมีอายุเพียง 12 หรือ 13 ปี) ไว้เป็นเชลยและเป็นตัวประกัน สำหรับชาวเยอรมันทั้งหมดที่อยู่ในประเทศสยามและถูกทางรัฐบาลจับกุมคุมขังไว้ ณ ค่ายกักกันในวันที่ประเทศสยามประกาศสงคราม หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ ถูกจับกุมที่กรุงเบอร์ลินเมื่อต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2460 พร้อมกับนักเรียนไทยอีก 4 คน คือ นายเติม บุนนาค, นายตั้ว ลพานุกรม, นายประจวบ บุนนาค และหม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ และทางราชการทหารได้นำตัวไปฝากขังไว้ในคุกแห่งหนึ่งของกรุงเบอร์ลินเป็นเวลา 15 วัน แล้วจึงย้ายไปคุมขังไว้ที่ค่ายกักกันนายทหารกองหนุน ชื่อ Celle-Schloss ที่เมือง Celle ใกล้เมือง Hannover ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2460 จนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2461 เมื่อได้ย้ายมาอยู่ค่ายนี้ไม่ต้องทำงานแต่ประการใด และเมื่อได้ทราบว่าคนไทย 3 คน คือ หม่อมหลวงไพจิตร สุทัศน์, นายกระจ่าง บุนนาค และนายจรัญ บุนนาค ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เมือง Holzminden ต้องทำงานหนักตลอดวัน จึงได้ร้องขอให้ย้ายมาขังรวมกันที่ Celle-Schloss และก็ได้รับความสำเร็จตามที่ร้องขอนั้น",
"ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2482 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ตามข้อเสนอของรัฐบาล ซึ่งมีพลตรี หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) เป็นนายกรัฐมนตรี ยังผลให้ชื่อของรัฐธรรมนูญต้องเปลี่ยนเป็น “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ไปด้วย",
"ในยุคแรกๆที่มีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย พระสันตะปาปาได้ให้ตั้งมิสซังสยามขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2212 จวบจนยุครัตนโกสินทร์จึงให้แยกมิสซังสยามออกเป็น 2 มิสซังในปี พ.ศ. 2384 โดยอาณาจักรสยามและลาวอยู่ในส่วนของมิสซังสยามตะวันออก ต่อมาในปี พ.ศ. 2432 สันตะสำนักได้แยกลาวออกไปตั้งเป็นมิสซังลาว ต่อมาปี พ.ศ. 2484 พื้นที่ราชบุรีได้ถูกยกขึ้นเป็นมิสซัง ตามด้วยจันทบุรีก็ได้เป็นมิสซังในปี พ.ศ. 2487 ส่วนมิสซังลาวต่อมาเหลือพื้นที่เฉพาะภาคอีสานของไทยแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นมิสซังท่าแร่ ต่อมาพื้นที่อุดรธานี และอุบลราชธานีได้แยกออกเป็นมิสซังอีก ทำให้ในช่วงท้ายยุคมิสซังคริสตจักรโรมันคาทอลิกในประเทศไทยประกอบด้วยมิสซังถึง 7 มิสซัง จนกระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2508 ทุกมิสซังที่มีอยู่ในประเทศไทยก็ถูกยกสถานะเป็นมุขมณฑลทั้งหมด ในปัจจุบันจึงไม่มีเขตผู้แทนพระสันตะปาปาอยู่ในประเทศไทย แต่ทางราชการไทยยังคงเรียกเขตเหล่านี้ว่าเขตมิสซัง เช่น เขตมิสซังกรุงเทพฯ เขตมิสซังท่าแร่-หนองแสง เป็นต้น",
"ในความหมายอย่างเคร่งครัด คำว่า \"ไทย\" หมายถึงประเทศไทยในช่วงหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศหลังปี 2482 โดยเว้นช่วงสั้น ๆ ที่เปลี่ยนกลับไปเป็นชื่อ \"สยาม\" ระหว่างปี 2488–91 ดังกล่าวข้างต้น ทว่าในความหมายอย่างกว้าง คำว่า \"ไทย\" อาจใช้หมายถึงราชอาณาจักรทั้งหลายซึ่งนักประวัติศาสตร์กระแสหลักถือเป็นราชธานีของคนไทยตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน",
"นางสาวสุวรรณ (English: Suvarna of Siam) เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) เป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1923 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช[1] และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า \"Kingdom of Heaven\" เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย[2] นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)[3]",
"เดิมประเทศไทยเคยใช้ชื่อว่า สยาม มาแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรากฏใช้เป็นชื่อประเทศชัดเจนในปี 2399[10] ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยม ฉบับที่ 1 เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก \"สยาม\" มาเป็น \"ไทย\" ซึ่งจอมพล ป. ต้องการบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทยมิใช่ของเชื้อชาติอื่นตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น[11]:57–8 ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อประเทศกลับเป็นสยามอีกช่วงสั้น ๆ เมื่อปี 2488 และเปลี่ยนกลับมาใช้ว่าไทยอีกครั้งเมื่อปี 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก \"Siam\" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น \"Thaïlande\" ในภาษาฝรั่งเศส และ \"Thailand\" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน[9] อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ",
"มหาวิทยาลัยสยาม เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 1 ใน 5 สถาบันแรกของประเทศไทย ได้รับการริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2508 และได้สถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2516 โดยอาจารย์ ดร.ณรงค์ มงคลวนิช ใช้ชื่อเดิมว่า \"วิทยาลัยเทคนิคสยาม\" ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 ได้เปลี่ยนสถานภาพเป็น \"มหาวิทยาลัยเทคนิคสยาม\" และเปลี่ยนชื่อเป็น \"มหาวิทยาลัยสยาม\" ในลำดับต่อมา โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยสยามมีสถานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มี พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย และ ดร.พรชัย มงคลวนิช เป็นอธิการบดี",
"ตามภาษามอญ เรียกคนไทยว่า \"หรั่ว เซม\" (หรั่ว ภาษามอญแปลว่าพวก) จนกระทั่งปัจจุบัน ชาวมลายูและผู้มีเชื้อสายมลายู (รวมถึงในประเทศไทย) ใช้คำเรียกไทยว่า \"สยาม\" (โดยในภาษามลายูปัตตานีจะออกเสียงว่า สิแย) มาจนถึงปัจจุบัน (ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้) ในภาษาเขมร คำว่า \"สยาม\" หมายถึง \"ขโมย\" โดยออกเสียงว่า \"ซี-เอม\" เมืองเสียมราฐ ซึ่งอยู่ใกล้กับนครวัด จึงมีความหมายว่า \"พวกขโมยพ่ายแพ้\" ดังนั้น ความหมายของคำว่า \"สยาม\" ในภาษาเขมรจึงหมายถึง \"พวกขโมยป่าเถื่อน\" เนื่องจากในยุคที่ขอมเรืองอำนาจ มีคนไทที่อพยพมาจากทางเหนือเข้าสู่ดินแดนภาคอีสานของเขมรซึ่งอาจเข้ามาโดยการกวาดต้อนของชาวเขมรเองเพื่อใช้เป็นแรงงานในการสร้างปราสาทหินต่างๆ คำว่า \"สยาม\" จึงเป็นคำเขมรที่ใช้เรียกกลุ่มคนไทซึ่งในเวลานั้นชาวเขมรยังมองว่าเป็นแค่คนป่า บนรูปสลักฝาผนัง ณ นครวัด ประเทศกัมพูชาที่แสดงถึงกำลังพลจากอาณาเขตต่าง ๆ ที่ได้เข้ามาร่วมกับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีภาพกองกำลังกองหนึ่งที่มีคำบรรยายใต้ภาพว่า \"เนะ สยฺมกุก\" (เนะ สยำกุก) [6] ซึ่งแปลได้ความว่า \"นี่ เสียมกุก\" เป็นกองกำลังต่างหากจากกองกำลังจากอาณาจักรละโว้ ซึ่งรูปสลักฝาผนังได้สลักแยกไว้พร้อมคำบรรยายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สันนิษฐานกันว่าอาจเป็นคนไท-ลาวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเป็นที่ยอมรับกัน ในภาษาพม่านั้น เรียกคนไทยว่า \"เซี้ยน\" ซึ่งถ้าดูจากการเขียน จะใช้ตัวสะกดเป็นตัว ม (ซย+ม) แต่ในภาษาพม่านั้นอ่านออกเสียงตัวสะกดตัว ม เป็นตัว น จึงทำให้เสียงเรียกคำว่า \"สยาม\" เพี๊ยนเป็น \"เซี้ยน\" ในปัจจุบัน คนในประเทศพม่ามักจะเรียกชนกลุ่มที่พูดภาษา ไท-กะได ต่างๆว่า \"เซี้ยน\" หรือ ชื่อประเทศหรือพื้นที่ตามด้วยเซี้ยน เช่นเรียกคนไทยว่า \"โย้ตะย้าเซี้ยน\" (คนสยามโยธยา ซึ่งเมื่อก่อน อยุธยาเป็นเมืองหลวง) หรือไท้เซี้ยน (คนสยามไทย), เรียกคนลาวว่า \"ล่าโอ่เซี้ยน\" (คนสยามลาว), เรียกคนชนกลุ่มไตในจีนว่า \"ตะโย่วเซี้ยน\" (คนสยามจีน ซึ่งคำว่า \"ตะโย่ว\" ในภาษาพม่าแปลว่า \"จีน\") และเรียกคนไทใหญ่ในรัฐฉานว่า ต่องจยี๊เซี้ยน (สยาม ต่องกี๊ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐฉานในปัจจุบัน และจริงๆแล้วคำว่า \"รัฐฉาน\" นั้นมันคือ \"รัฐสยาม\" แต่พม่าออกเสียงเพี้ยนเป็น \"เซี้ยน ปี่แหน่\" เขียนเป็นอังกฤษว่า Shan State แล้วคนไทยก็ออกเสียงเพี้ยนจากคำอังกฤษ \"Shan\" เป็น \"ฉาน\" จึงกลายเป็นรัฐฉานตามการเรียกของคนไทยในปัจจุบัน) และทางการรัฐบาลพม่ากำหนดให้ คนไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรี มีสัญชาติเป็น เซี้ยน เช่นเดียวกับคนไทใหญ่ในรัฐฉาน ตามจดหมายเหตุเก่าของจีน ในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันนั้น แต่เดิมมีอาณาจักรอยู่ด้วยกัน 2 อาณาจักร คือ อาณาจักร \"เซียน\" (暹国; น่าจะหมายถึง สยาม หรือ สุโขทัย) ซึ่งอยู่ทางเหนือขึ้น แต่ยังอยู่ใต้ต่ออาณาจักร \"ร้อยสนม\" (มีผู้สันนิษฐานว่าคืออาณาจักรล้านนา-ไทใหญ่) และอาณาจักร \"หลัววอ\" (羅渦国; น่าจะหมายถึง อยุธยา ซึ่งจีนยังใช้ชื่อของ ละโว้ เรียกอยู่) ซึ่งอยู่ทางใต้ลงไป โดยอาณาจักร \"เซียน\" นั้นมักประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ต้องนำเข้าข้าวจากอาณาจักร \"หลัววอ\" จนในที่สุด อาณาจักร \"เซียน\" และอาณาจักร \"หลัววอ\" ได้รวมกันเข้า ทางราชสำนักจีนจึงได้รวมเรียกชื่ออาณาจักรใหม่ที่เกิดจากการรวมกันดังกล่าวว่า อาณาจักร \"เซียนหลัว\" (暹罗国; ภาษาจีนกลางยุคปัจจุบัน=\"เซียนหลัวกว๋อ\" ภาษาจีนแต้จิ๋ว = \"เสี่ยมล้อก๊ก\") ซึ่งได้กลายเป็นนามเรียกอาณาจักรโดยชาวจีนมาจนกระทั่งมีการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศไทย จึงได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น \"ไท่กว๋อ\" (泰国) นักนิรุกติศาสตร์และนักประวัติศาสตร์บางคน ได้แสดงถึงความใกล้เคียงกันของคำว่า สยาม และ ฉาน (Shan) ซึ่งใช้เรียกอาณาจักรของคนไทบริเวณตอนใต้ของจีน ทางตอนเหนือของพม่า และทางรัฐอัสสัมของอินเดีย สยาม เป็นคำเรียกของชาวตะวันตก ที่มาทำการค้า การเดินทางมาทางเรือต้องผ่านพม่าก่อน ชาวพม่าบอกชาวตะวันตกว่า เซียม ชาวไท ออกเสียงเป็น เซียน ซึ่งปัจจุบันเป็น ฉานเนื่องจากชาวพม่าออกเสียง น.หนู ไม่ได้ จึงเพี้ยนเป็น ม.ม้า ฉานชาวพม่าหมายถึง รัฐฉาน ในประเทศพม่า, อาณาจักรล้านนา ในไทย, ลาว ,ภาคอีสานตอนเหนือ ในไทย, ตอนใต้ของยูนนาน ในจีน,ด้านตะวันตกของภาคเหนือในเวียดนาม ชาติไทยนั้นกลัว อินเดีย เพราะว่าอินเดียเคยล้มอาณาจักรไชยาได้ ซึ่งไทยสู้ไม่ได้ในยุคนั้น จึงมีภาษาของอินเดียปะปนอยู่มาก ทั้งในภาษาไทยและศาสนาพุทธด้วย",
"ได้พิจารณาชื่อโรงเรียนที่ตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มแรกว่า “โรงเรียนช่างกลสยาม” สมควรที่จะเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนพัฒนาโรงเรียน ดังนั้นในปี พ.ศ. 2524 จึงได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น “โรงเรียนเทคโนโลยีสยาม (ช่างกลสยาม)” การที่โรงเรียนได้ใช้ชื่อ (ช่างกลสยาม) ไว้ท้ายชื่อโรงเรียนใหม่ด้วยนั้น เพื่อรักษาสถานภาพความเป็น โรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทยไว้",
"ในเวลาต่อมาซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสือเดินทางประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยทางราชการสยาม (ราชการไทยในปัจจุบัน) ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าด้วยการเดินทางออกนอกพระราชอาณาเขต (ประเทศ) โดยกำหนดให้คนสยาม (พลเมืองไทย) ที่จะเดินทางไปเมืองต่างประเทศต้องมีจดหมายหรือหนังสือเดินทางสำหรับตัวทุกคนจากเจ้าเมือง หลังจากนั้นได้มีการปรับเปลี่ยนให้ใช้หนังสือเดินทางไปต่างประเทศในลักษณะเป็นหนังสือเดินทางที่พิมพ์ด้วยภาษาฝรั่งเศส 2 หน้า โดยหน้าแรกเป็นหนังสือราชการที่มีข้อความขออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทาง ส่วนหน้าสองแสดงรายละเอียดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ถือหนังสือเดินทาง ซึ่งประกอบด้วยรูปถ่าย อายุ ความสูง สีผม ตา ใบหน้า ตำหนิ และลายมือชื่อผู้ถือหนังสือเดินทาง และมีอายุการใช้งาน 1 ปี",
"ปกติคนต่างชาติที่ล่องมาทางเรือจะไปอยุธยา ต้องผ่านเจ้าพระยา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกิดที่ป้อมวิไชยเยนทร์ หรือป้อมฝรั่ง เพราะพระยาวิชเยนทร์ เกณฑ์แรงงานฝรั่งมาสร้างไว้ ปัจจุบันคือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ตั้งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ ปกติเรือสินค้าสำคัญ เรือที่มากับราชทูตที่จะผ่านต้องมีธรรมเนียมประเพณีคือ ชักธงประเทศของเขาบนเรือ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่า มาถึงแล้ว เมื่อเรือฝรั่งเศสชักธงชาติของตัวเองขึ้น ฝ่ายสยามยิงสลุตคำนับตามธรรมเนียม ซึ่งขณะเดียวกันสยามเองต้องชักธงขึ้นด้วย เพื่อตอบกลับว่า ยินดีต้อนรับ แต่ตอนนั้นทหารประจำป้อมวิไชยเยนทร์ไม่เคยพบประเพณีแบบนี้ และสยามไม่มีธงสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นธงชาติมาก่อน จึงคว้าผ้าที่วางอยู่แถวนั้น ซึ่งดันหยิบธงชาติฮอลันดาชักขึ้นเสาแบบส่งเดช เมื่อทหารฝรั่งเศสเห็นก็ตกใจไม่ยอมชักธงและไม่ยอมยิงสลุต จนกว่าจะเปลี่ยน เพราะการที่ได้ชักเอาธงชาติฮอลันดา (ปัจจุบันคือประเทศเนเธอร์แลนด์) ซึ่งในขณะนั้นฝรั่งเศสกับฮอลันดาเป็นศัตรูกัน) ฝ่ายไทยได้แก้ปัญหาโดยชักผ้าสีแดงขึ้นแทนธงชาติฮอลันดา ฝรั่งเศสจึงยอมยิงสลุตคำนับตอบ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ธงชาติไทย[5] โดยทหารสยามประจำป้อมก็เปลี่ยนเป็นผ้าสีแดงที่หาได้ในตอนนั้น และต้นกำเนิดธงก็เริ่มขึ้น นับจากนั้น ธงที่ใช้ไม่ว่าจะใช้บนเรือหลวง เรือราษฎร ใช้บนป้อมประจำการก็ล้วนเป็นสีแดง",
"ช่วงที่ 2 “สยามประเทศไทย”\nนำเสนอเรื่องราวการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ครอบคลุมดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันเกือบทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญในการกำเนิดขึ้นของ “สยามประเทศไทย” ",
"ในสมัยรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ปลุกแนวคิดชาตินิยมและการเชื่อฟังผู้นำอย่างมาก ซึ่งจากรายงานการศึกษาในยุคนั้นโดยนักศึกษาประวัติศาสตร์บางคน ได้มีการค้นพบคนไทยที่อยู่ในเวียดนามและจีนตอนใต้ นอกเหนือไปจากจากกลุ่มไทใหญ่ในพม่า ทำให้เกิดกระแสที่ต้องการรวบรวมชนเผ่าไทยเหล่านั้นเข้ามาสู่ประเทศ \"ไทย\" เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ในที่สุดจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติเป็น \"ไทย\" ตามประกาศรัฐนิยมฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ซึ่งได้รับการคัดค้านจากบางฝ่ายว่าจะเป็นการทำให้คนเชื้อชาติอื่น เช่น จีน มลายู ไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศ \"ไทย\" แต่ทว่าในที่สุดประกาศรัฐนิยมก็มีผลบังคับใช้ ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ไทย ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นสิ่งตกทอดไม่กี่อย่างจากประกาศดังกล่าวมาถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับคำว่า \"สวัสดี\"",
"การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475[1] เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งมีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เกิดขึ้นจากคณะนายทหารและพลเรือนที่ประกอบกัน เรียกตนเองว่า \"คณะราษฎร\" โดยเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์โลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ การปฏิวัติดังกล่าวทำให้ประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก",
"งานของ ศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ทำให้เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ วิถีการดำรงชีวิต ลักษณะเศรษฐกิจสังคมของคนไทยในอดีต ตั้งแต่ก่อนเกิดขึ้นของรัฐ(สยาม) จนกระทั่งเป็นรัฐ ไทย โดยกระบวนการขูดรีดของรัฐไทยต่อชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ ชุมชนอ่อนแอ และยังยากจน และตอบคำถามว่าเหตุใดผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในประเทศที่อุดมสมบรูณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกยังต้องเผชิญกับความขัดสน ยากจน ขัดแย้ง สิ้นหวัง มีช่องว่างระหว่างความรวยกับความจนมากขึ้น และเหตุใดระบบเศรษฐกิจไทยก็ยังต้องตามประเทศพัฒนาอื่นๆ อยู่จนถึงทุกวันนี้",
"ในปีเดียวกัน หลวงพิบูลสงครามได้เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามมาเป็นไทย หมายถึง \"ดินแดนของเสรีชน\" (land of the free) ซึ่งนับเป็นท่าทีชาตินิยม เป็นการแสดงนัยเอกภาพของประชาชนที่พูดภาษาไททั้งหมด รวมทั้งภาษาลาวและภาษาฉาน แต่ไม่รวมภาษาจีน คำขวัญของรัฐบาลได้เปลี่ยนเป็น \"ประเทศไทยสำหรับคนไทย\" (Thailand for the Thai)",
"ภายหลังการจัดการหัวเมืองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลแล้ว พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ได้รับราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองตลอดมาจนชรา ทางสยามจึงเปลี่ยนเป็นตำแหน่งของพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) ให้เป็นที่ปรึกษาราชการเมืองแทน เหตุด้วยพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นผู้คุ้นเคยราชการมามากไม่มีผู้ใดเหมือน ในท้องที่เมืองสกลนครนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีเจ้ากระทรวงก็ดี ข้าหลวงต่างพระองค์ก็ดี สมุหเทศาภิบาลก็ดี เมื่อต้องการใคร่รู้เรื่องราวกิจการอันใดที่ได้เคยมีมาในเมืองสกลนคร จะต้องเดินทางมาปรึกษากับพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) อยู่เป็นนิตย์ จึงนับว่าพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เป็นเจ้านายลาวผู้ได้ทำคุณประโยชน์แก่ราชการบ้านเมืองฝ่ายสยามอย่างยิ่งท่านหนึ่ง",
"ในยุคที่ 1 จัดการประกวดที่พระราชอุทยานสราญรมย์ ประเทศไทยมีผู้ได้รับเลือกเป็น \"นางสาวสยาม\" จำนวน 5 คน และ \"นางสาวไทย\" จำนวน 2 คน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 1 ว่าด้วยนามของประเทศ พ.ศ. 2482 กำหนดเรียกนามของประเทศว่าประเทศไทย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใด ซึ่งใช้คำว่า \"สยาม\" ให้ใช้คำว่า \"ไทย\" แทน ดังนั้น การประกวด \"นางสาวสยาม\" จึงเปลี่ยนมาใช้การประกวด \"นางสาวไทย\" นับตั้งแต่ พ.ศ. 2482 ",
"ต่อมาราวปลายปีเดียวกันจึงเริ่มจัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่ (ถ้วยพระราชทาน ก) และฟุตบอลถ้วยน้อย (ถ้วยพระราชทาน ข) ขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งนี้สมาคมฯ เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 และสืบเนื่องจากที่รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ประกาศรัฐนิยมเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทยเมื่อปี พ.ศ. 2482 จึงเปลี่ยนชื่อสมาคมเป็น สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเปลี่ยนชื่อฟุตบอลทีมชาติเป็น ฟุตบอลทีมชาติไทย โดยสมาคมฯ ส่งฟุตบอลทีมชาติไทยลงแข่งขันระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 16 ที่นครเมลเบิร์นของออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2499[1]",
"สาเหตุของการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นเพียงขบวนเล็กน้อย คือในปลาย พ.ศ. 2452 ได้มีการโบยหลังนายทหารสัญญาบัตรกลางสนามหญ้า ภายในกระทรวงกลาโหมท่ามกลางวงล้อมของนายทหารกองทัพบก ด้วยการบัญชาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทั้งนี้เพราะนายร้อยเอกโสม ได้ตามไปตีมหาดเล็กของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่มาทะเลาะวิวาทกับทหารบกที่หน้ากรมทหาร การโบยหลังนายร้อยเอกโสม ทำให้เกิดปฏิกิริยาเกิดขึ้นในหมู่ทหารบก และโดยเฉพาะนักเรียนนายร้อยทหารบก ครั้นต่อมา ใน พ.ศ. 2453 – 2454 นายทหารรุ่นที่จบจากโรงเรียนนายทหารบกในปลาย ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452) ได้เข้ารับราชการประจำกรมกองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักรแล้ว มีหลายคนที่เกิดความรู้สึกสะเทือนใจอย่างแรงกล้าจากการตั้ง \"กองเสือป่า\" คิดว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงสนับสนุนกิจการทหารบก และคิดต่อไปว่าการที่ประเทศไทยไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควรเพราะเป็นการปกครองด้วยคนคนเดียว นายทหารบกกลุ่มนี้คิดเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มการปฏิรูปประเทศพร้อม ๆ กัน แต่เหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงเจริญเกินหน้าประเทศไทยไปไกล คำตอบที่นายทหารบกกลุ่ม ร.ศ. 130 คิดได้คือประเทศญี่ปุ่นได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยใต้กฎหมาย ทั้งยังปลูกฝังให้พลเมืองรู้จักรักชาติ รักวัฒนธรรม รัฐบาลรู้จักประหยัดการใช้จ่ายในไม่ช้าก็มีการค้าไปทั่วโลก มีผลิตผลจากโรงงานอุตสาหกรรมของตนเอง มีการคมนาคมทั้งทางน้ำและทางบกภายในประเทศและนอกประเทศ และแผ่อิทธิพลทางการเมือง การทหาร การสังคมและวัฒนธรรมไปทั่วโลกได้อีกด้วย แต่ประเทศไทยไม่สามารถจะหยิบยกภาวะอันใดที่เป็นความเจริญก้าวหน้ามาเทียบเคียงกับประเทศญี่ปุ่นได้เลย เมื่อคำนึงถึงความล้าหลังของประเทศ และคิดว่าไม่ควรที่อำนาจการปกครองประเทศชาติจะอยู่ในมือของคนคนเดียว จึงทำให้นายทหารบกคิดปฏิวัติ",
"จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ[1] แปลก พิบูลสงคราม (14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 – 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า \"จอมพล ป.พิบูลสงคราม\" เป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด คือ 15 ปี 24 วัน รวม 8 สมัย และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย[2] มีนโยบายที่สำคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย \"รัฐนิยม\" หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างได้ประกาศเป็นกฎหมายในภายหลัง หลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น การรำวง, ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย เป็นผู้เปลี่ยนชื่อ \"ประเทศสยาม\" เป็น \"ประเทศไทย\" และเป็นผู้เปลี่ยน \"เพลงชาติไทย\" มาเป็นเพลงที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน",
"กิจการยุวกาชาดในประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2465 ในชื่อ “กองอนุสภากาชาดสยาม” โดยพระดำริของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดสยาม ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"อนุกาชาด\" และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “ยุวกาชาด” เมื่อปี พ.ศ. 2521",
"สำหรับในประเทศไทย วันรัฐธรรมนูญตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน ลักษณะสำคัญคือ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจาก พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริการราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาล ก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐ ซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ผู้ใดจะละเมิดมิได้",
"ในปี ค.ศ. 1928 ซึ่งครบรอบวาระ 100 ปีโปรเตสแตนต์ในประเทศไทยมีการเสนอให้จัดตั้งสภาคริสตจักรแห่งชาติขึ้น และในปี ค.ศ. 1930 ได้มีการจัดตั้ง \"สยามคริสตสภา\" ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ยังอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมดูแลของมิชชันนารีชาวต่างประเทศ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อประเทศจึงเปลี่ยนเป็น \"สภาคริสตจักรในประเทศไทย\" และในปี ค.ศ. 1957 มิชชันนารีคณะเพรสไบทีเรียนสลายตัว มอบความรับผิดชอบการเผยแพร่ศาสนาให้แก่สภาคริสตจักรไทยโดยตรง ",
"หลังจากที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายทวี บุณยเกตุ ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2488 ให้เรียกชื่อประเทศว่า สยาม เช่นเดิม แต่เมื่อจอมพล ป. กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490 จึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ประเทศไทย อีกครั้ง และใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน",
"ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2458 ในนาม<i data-parsoid='{\"dsr\":[3893,3920,2,2]}'>คณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม และเล่นการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก (พบกับทีมฝ่ายยุโรป) ที่สนามราชกรีฑาสโมสร ในวันที่ 20 ธันวาคม ในปีนั้น จนวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามฯ โดยลงเล่นในการแข่งขันระหว่างประเทศครั้งแรกใน พ.ศ. 2473 พบกับทีมชาติอินโดจีน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นเวียดนามใต้ และ ฝรั่งเศส เพื่อต้อนรับการเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยชื่อของทีมชาติและชื่อของสมาคมได้ถูกเปลี่ยนชื่อในปี พ.ศ. 2482 เมื่อสยามกลายเป็นประเทศไทย",
"เรื่องการใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 โดยในวันที่ 28 กันยายน ปีเดียวกัน ให้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ตามที่เรียกขานประชาชนว่าคนไทย ชื่อประเทศก็ควรเรียกว่า ประเทศไทย"
] |
ศาสตราจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวาเกิดวันที่เท่าไหร่? | [
"ศาสตราจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา (เกิด 22 มิถุนายน พ.ศ. 2500) เป็นศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการชาวไทยที่มีความถนัดและผลงานทางด้านสังคมศาสตร์โดยเฉพาะด้านปรัชญาการเมือง ทฤษฎีสังคม ประวัติศาสตร์ความคิด โดยเฉพาะในเรื่องของแนวคิดหลังยุคนวนิยมหรือ โพสต์โมเดิร์น จนได้รับฉายาว่าเป็น \"'เจ้าพ่อโพสต์โมเดิร์น'\" คนหนึ่งของเมืองไทย นอกจากนี้เขายังมีความสนใจในเรื่องของวัฒนธรรมทางสังคมเช่น ดนตรี ภาพยนตร์ เพศและ อาหาร อีกด้วย"
] | [
"ธเนศเข้าศึกษาในระดับอนุบาลที่โรงเรียนสมถวิล ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ โดยเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งในตอนแรกนั้นธเนศคิดและตัดสินใจเรียนต่อสายพาณิชย์ แต่เมื่อพ่ออยากให้เรียนสูงๆ ธเนศจึงตกลงใจสอบเข้าเรียนสายวิทย์ แล้วก็ย้ายมาเรียนศิลป์-คณิต ระดับชั้นมัธยมปลายในปีสุดท้าย และเขาเป็นรุ่นพี่ใกล้ ๆ กับไชยันต์ ไชยพร[2] เมื่อใกล้จบชั้นมัธยมปลาย ธเนศตั้งใจจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญจึงไม่สนใจการเตรียมตัวเอนทรานซ์ และเขาก็สอบติดมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญตามที่หวังไว้ ช่วงชีวิตของเด็กม.6 สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทำนั่นก็คือเอนทรานซ์ ธเนศก็เป็นเหมือนเด็กทั่วๆไปที่ต้องเลือกเอนทรานซ์ตามวิถีของเด็กม.6 แต่ที่แปลกมากคือเขาตัดสินใจเลือกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5 อันดับรวด ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ชอบดูหนัง ซึ่งแถบสยามมีแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับความชอบ โดยอยู่ใกล้ที่เที่ยวและที่กินมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นในสมัยนั้น [3] จนผลเอนทรานซ์ปรากฏว่าเขาสอบติดในสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขายังกล่าวอีกว่าที่เขาสอบติดเพราะความ \"ฟลุ้ค\" เนื่องจากสมัยที่ธเนศเรียนที่โรงเรียน ไม่ค่อยสนใจการเรียนมากนัก เขามักโดดเรียนไปกินเที่ยว อยู่เป็นประจำ จนมีผลการเรียนวิชาเคมี เพียง 6 คะแนนจาก 100 คะแนน และวิชาภาษาไทยเพียง 3 คะแนนเท่านั้น และเช่นเดียวกันในสมัยที่เขาเรียนที่รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาก็ยังคงกินๆเที่ยวๆเป็นกิจวัตรตามเดิม แต่ในที่สุดธเนศก็จบโดยได้รับปริญญาเกียรตินิยมอันดับสอง B.A.(Second-class Honors), Sociology and Anthropology, Chulalongkorn University",
"ศาสตราจารย์ ดร.มาลัย หุวะนันทน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมาชิกวุฒิสภา อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณเลขาธิการขบวนการเสรีไทยต่อต้าน รัฐประหารวันที่ 22พฤษภาคม 2557 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมและอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ อดีตรองปลัดกรุงเทพมหานคร ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ศาสตราจารย์ ดร.เกษม สุวรรณกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย อดีตวุฒิสมาชิก นิสิตเก่าดีเด่น จุฬาฯ อดีตอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชาธิปัตย์, รองปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, ประธานกรรมการ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด(ซีอีโอ) เอนก นาวิกมูล ผู้ก่อตั้งบ้านพิพิธภัณฑ์ เป็นนักวิชาการ,นักเขียนสารคดี,นักสะสมของเก่า นิสิตเก่าดีเด่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2536 วีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย, อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อารีย์ วงศ์อารยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย กระมล ทองธรรมชาติ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย วิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ชาตรี โสภณพณิช ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ศาสตราจารย์พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรรมการกฤษฎีกา อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา รองศาสตราจารย์ ดร.พิทยา บวรวัฒนา นักวิชาด้านวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มีผลงานตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการต่างประเทศหลายฉบับ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ ไชยพร นักปรัชญาการเมือง และคอลัมนิสต์ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา บรรณาธิการ \"รัฐศาสตร์สาร\" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักเขียนชื่อดัง ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตกรรมการสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประชา เตรัตน์ โฆษกกระทรวงมหาดไทยฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตรองปลัด กระทรวงมหาดไทยอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี รักษาการหัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) อดีตประธานกรรมการจัดวางระบบควบคุมภายในบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด วิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และประธานสโมสรฟุตบอลชลบุรี เอฟซี ดร.โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ชวน ศิรินันท์พร กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม[8] อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม จังหวัดแพร่ จังหวัดอุบลราชธานี วิมล คิดชอบ อดีตอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงต่างประเทศ อดีตรองอธิบดีและอดีตอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ดร.สุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ สาธารณรัฐโปแลนด์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ศาสตราจารย์ ดร. อมร รักษาสัตย์ อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นายกสมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน อนุตตมา อมรวิวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตอาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและอาหารไทยตำรับชาววัง และกรรมการรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์",
"มีผมที่ยาวขึ้น ไม่มีคิ้ว มีนัยน์ตาเป็นสีฟ้า และมีสายฟ้ารอบตัว เป็นร่างที่พัฒนามาจากซุปเปอร์ไซย่า 2 โดยร่างนี้เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนัก โดยจะมีพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นจากเดิม 400 เท่า เป็นร่างที่ใช้พลังงานมากและร่างกายจะได้รับภาระอย่างหนัก จึงไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ โดยจะปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงที่สู้กับจอมมารบู",
"เลเวล อี เป็นเรื่องขององค์ชายบากะแห่งดาวโดคุล่า ที่ทำให้ชีวิตของยูกิทากะเด็กหนุ่มม.ปลายชาวโลกที่ได้แยกมาอยู่หอพักสมใจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชีวิตอันน่าจะสงบสุขของเขาก็พังทลายลงเพราะองค์ชายแม้จะสติปัญาเป็นเลิศ แต่ก็เป็นพวกอยู่ไม่สุข ชอบเล่นอะไรแปลก ๆ เสมอ จนทำให้ยูกิทากะพบว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ต่างดาวผูกพันกับโลกมากกว่าที่คิดซาโด หนึ่งในสามองครักษ์ มักจะเป็นคนคอยห้ามคราฟท์อยู่เสมอเวลาโมโหองค์ชาย\nโคริน หนึ่งในสามองครักษ์ เป็นสมาชิกใหม่จึงไม่ค่อยมีปากเสียงเท่าไหร่\nมนุษย์ดาวดิสเค่น เข้ามาเกี่ยวข้องกับองค์ชายเมื่อครั้งเกิดเรื่องระหว่างองค์ชายกับชาวดิสเค่น ต่อมาจึงสนิทสนมกันดี\nเอโดกาวะ รันโซ พ่อของมิโฮ เป็นศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรม และเป็นผู้ตรวจสอบยานอวกาศขององค์ชาย",
"จนถึง ณ ตรงนี้ เป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปต่างก็ (คิดว่าตนเอง) รู้จักดี แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสารวัตรยอดนักสืบผู้ลึกลับฟลิปเปอร์สเดินทางมาถึงและทำการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งสืบหาความจริงมากเท่าไหร่ คนที่ทุกคนคิดว่าเป็นผู้ร้ายก็ดูจะไม่ร้ายกาจอย่างที่คิด ในขณะที่ผู้ถูกทำร้ายก็อาจไม่ใช่ผู้เคราะห์ร้ายที่แท้จริง ",
"เร็นจิมีผมสีแดงแล้วรวบไว้เป็นหางม้า ตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยสัก ไม่มีใครรู้ว่ารอยสักนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเขาฝึกการเป็นยมทูตสูงขึ้นไปเท่าไหร่ รอยสักนั้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะก่อนหน้าที่เขาจะเข้าฝึกเป็นยมทูต เขาไม่มีรอยสักนั้น",
"Kenneth Kim and Thanes Wongyannava, \"Perceptions of mother-daughter relations and pubertal development\" in The Family System Test FAST: Theory and Application edited by Thomas M. Gehring, Marianne Debry and Peter K. Smith (East Sussex: Brunner-Routledge, 2001), pp. 149-156. \"Perceptions of Antisocial and Bullying Behavior in 8- and 14-Year-Old Children in Rural North Thailand\" International Journal of Adolescence and Youth Vol.8 (2000) 129-137. \"Postmodernization as the Anglo-Americanization of Contemporary French Thought and the Re-Modernization of Postmodern Thai Studies: A Historical Trajectory of Thai Intellectuals\", Paper presented at International Conference on Postmodern and Thai Studies, December 13-14, 2003, Surasammanakan Convention Center, Suranaree University of Technology, Nakhon Ratchasima, Thailand. Thanes Wongyannava, \"Policing the Imagined Family and Children in Thailand: From Family Name to Emotional Love\" in Imagining Communities in Thailand Ethnographic Approaches edited by Shigeharu Tanabe (Chiang Mai, Thailand: Mekong Press, 2008), 22-40.",
"ศิษย์เก่าที่เป็นนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน นักประพันธ์ ที่มีผลต่อสังคมไทย เช่น สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียน นักคิดคนสำคัญของประเทศไทย มีผลงานพิมพ์รวมเล่มแล้วมากกว่า 200 เล่ม ได้รับรางวัลและการประกาศเกียรติคุณต่าง ๆ มากมาย เมื่อปี 2538 ได้รับรางวัล Alternative nobel จากรัฐสภาสวีเดน และได้รับรางวัลศรีบูรพา เป็นคนที่ 6 (พ.ศ. 2537) นอกจากนี้ ยังเคยได้เสนอชื่อเข้ารับ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ถึง 2 ครั้ง, หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ นักประพันธ์ เป็นที่รู้จักในนามปากกา \"วรเศวต\", ศาสตราจารย์ พระเจริญวิศวกรรม (เจริญ เชนะกุล) อดีตคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศ.นพ.บุญสม มาร์ติน ผู้บุกเบิกก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และคณบดีคนแรก, ดร.เกริก มังคละพฤกษ์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเกริก, ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อดีตหัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา เจ้าพ่อโพสต์โมเดิร์นประเทศไทย อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตนายกสโมสรนิสิต แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น",
"ในปี พ.ศ. 2521 สมัยศาสตราจารย์ประภาสน์ อวยชัย เป็นนายกสมาคม นายสุนทร เสถียรไทย อธิบดีกรมธนารักษ์ ได้อนุมัติให้สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เช่าที่ราชพัสดุ เนื้อที่ 5 ไร่เศษ ซึ่งตั้งอยู่แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และสมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มอบหมายให้นายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกเป็นผู้ออกแบบแปลน และแต่งตั้งให้นายบุญชู โรจนเสถียร เป็นประธานหาทุนก่อสร้าง และได้ดำเนินงานจำได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2521 โดยสมเด็จพระพุทธจารย์ วัดสุทัศน์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ",
"วิญญูเกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2528 เป็นบุตรของ รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แจนนิส เอ็ม. วงศ์สุรวัฒน์ มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ ผศ.ดร.วินัย วงศ์สุรวัฒน์ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต วิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล) และพี่สาว 2 คนคือ ผศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) กับจรรยา (ชื่อเล่น: โรซี; สมรสกับณัฐพงศ์ เทียนดี กรรมการผู้จัดการ สโป๊กดาร์กทีวี) ศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนอนุบาลสามเสน, ระดับมัธยมที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย, และสำเร็จปริญญาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ก่อนหน้านี้เคยศึกษา สาขาการแสดงและกำกับการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) เริ่มเข้าวงการบันเทิง จากที่มีผู้ชักชวน ไปถ่ายแบบโฆษณา",
"หนังอาร์ตไม่ได้มาเพราะโชคช่วย: ว่าด้วยการขึ้นมาเป็นศิลปะของภาพยนตร์ในสังคมบริโภค, (กรุงเทพฯ: Unfinished Project Publishing, 2551) ใต้เตียงนักดนตรี เล่ม 1, (กรุงเทพฯ: openbooks, 2554) ใต้เตียงนักดนตรี เล่ม 2, (กรุงเทพฯ: openbooks, 2555)",
"ธเนศยังเป็นบรรณาธิการรัฐศาสตร์สารของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับดนตรีและภาพยนตร์ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์โดยใช้นามปากกา \"ธนา วงศ์ญาณณาเวช\" ซึ่งเป็นคำผวนของชื่อจริงและนามสกุลของธเนศเอง นอกจากนี้ธเนศยังมีรายการ ทางช่องใน Youtube ทำร่วมกับแขกผู้ดำเนินรายการอื่นๆ และยังมีกลุ่ม ใน Facebook ที่ซึ่งสมาชิกจะสามารถถามคำถามต่างๆได้ตั้งแต่ก้อนขี้หมายันก้อนอุกาบาต โดยอาจารย์จะเข้ามาตอบคำถามเพื่อคลายข้อสงสัยนั้น",
"เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.)",
"ศาสตราจารย์ ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร เป็นศาสตราจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักเขียนประจำนิตยสารวิภาษาเป็นนักวิชาการด้านการเมืองภาคประชาชนและเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีหลังสมัยใหม่ สัญวิทยา และหลังโครงสร้างนิยม ในวงวิชาการของประเทศไทย ที่ควบคู่ไปกับ นพพร ประชากุล และธเนศ วงศ์ยานนาวา เป็นต้น งานเขียนของไชยรัตน์ในเรื่องดังกล่าวจัดเป็นงานเขียนภาษาไทยที่บุกเบิกและสำคัญต่อทฤษฎีหลังสมัยใหม่ โดยเฉพาะหนังสือชื่อ \"วาทกรรมการพัฒนา\" ที่เป็นงานเขียนชิ้นสำคัญที่นำทฤษฎีกลุ่มหลังสมัยใหม่ของนักคิดสกุลฝรั่งเศสอย่าง มิเชล ฟูโกต์ มาใช้อธิบายการพัฒนาในกลุ่มประเทศโลกที่สาม เป็นต้น จัดเป็นงานเขียนยุคแรก ๆ ของการศึกษาแนวคิดหลังสมัยใหม่ในประเทศไทย หนังสือดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้เป็นตำราในการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษาหลาย ๆ สาขาในประเทศไทยและถูกนำไปใช้อ้างอิงในวงวิชาการของไทยอยู่มาก ซึ่งมีอิทธิพลต่อการศึกษาทางด้านรัฐศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ฯลฯ และมีอิทธิพลต่อความคิดนักวิชาการหัวก้าวหน้าหลายท่าน เช่น ยุกติ มุกดาวิจิตร, บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, จันทนี เจริญศรี เป็นต้น",
"มิเชล ฟูโก,\"ว่าด้วยการปกครอง (On Governmentality),\" แปลโดย ธเนศ วงศ์ยานนวา ใน จุลสารไทยคดีศึกษา 4,2 (ธ.ค.2529) 96-103 มิเชล ฟูโก้. \"ว่าด้วยการปกครอง.\" แปลโดย ธเนศ วงศ์ยานนาวา ใน วารสารสังคมศาสตร์ 30 (3) 114-120",
"หลังจากที่เข้าร่วมอย่างไม่ค่อยเต็มในเท่าไหร่ เธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปและเต็มใจจะอยู่กับฝ่ายนี้ในท้ายที่สุด เธอประมือกับทีม X-Men เธอเคยลอบสังหาร วุฒิสมาชิกเคลลี่ ด้วยแต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายดีทุกครั้ง แต่ยิ่งเธอใช้พลังมากเท่าไหร่ จิตใจของโร้คก็ยิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่เธอต้องเข้าพบจิตแพทย์ ฟางเส้นสุดท้ายของเธอกับมิสทีคขาดสะบั้นลง เมื่อโร้คตาสว่างพบว่าแท้จริงแล้วนี่คือแผนร้าย ที่อีกฝ่ายตั้งใจหลอกใช้กันมาตลอด เธอจึงหันหน้าเข้าหาศาสตราจารย์ทเอ็กซ์ และพลพรรคเอ็กซ์ทีม ขอร้องให้เธอควบคุมพลังให้ได้เสียที",
"หมวดหมู่:นักวิชาการชาวไทย หมวดหมู่:อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ หมวดหมู่:ศาสตราจารย์ หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนอัสสัมชัญ หมวดหมู่:นิสิตเก่าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หมวดหมู่:บุคคลจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ช. หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ม.",
"งานวิจัยเกี่ยวกับการบาดเจ็บในศิลปะป้องกันตัว พบว่า แม้ว่าอาการบาดเจ็บในแต่ละวิชาจะแตกต่างกัน แต่อัตราการบาดเจ็บไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ อาการบาดเจ็บในไอกิโดส่วนใหญ่เกิดที่เส้นเอ็น และมีรายงานว่า พบกรณีเสียชีวิตสองสามราย จากการโดน \"\"ชิโฮนาเกะ\"\" ในรุปแบบการ รับน้องสไตล์ญี่ปุ่น Japanese-style เฮซซิง ",
"ปลาแรดแดง หรือ ปลาแรดแดงอินโด (; ชื่อวิทยาศาสตร์: \"Osphronemus laticlavius\") เป็นปลาแรดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างโดยทั่วไปเหมือนปลาแรดชนิดอื่น ๆ แต่ทว่าปลาแรดแดงจะมีรูปร่างที่ยาวกว่า และพบได้เฉพาะในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเท่านั้น มีลำตัวสีแดงสด ยิ่งเมื่อปลาโตขึ้นเท่าไหร่ สีดังกล่าวจะยิ่งเข้มตามด้วย จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ปลาแรดแดงจะมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปลาแรดชนิดอื่น ๆ และขนาดเมื่อโตเต็มที่จัดว่าเป็นปลาแรดชนิดที่เล็กที่สุดด้วย กล่าวคือมีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตรเท่านั้น และมีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวน้อยที่สุด ตัวผู้และตัวเมียมีจุดสีดำเหนือโคนครีบอกทั้งคู่ แตกต่างกันตรงที่ขนาดของลำตัว ",
"สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556 โดยกลุ่มนักวิชาการกว่า 150 คนซึ่งร่วมลงชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับที่ 1 และมีการจัดแถลงข่าว เมื่อเวลา 13:00 น. วันเดียวกัน ที่ห้องจุมพฏ-พันธุ์ทิพย์ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยผู้ร่วมแถลงการณ์ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ศาสตราจารย์ ดร.เกษียร เตชะพีระ, รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์, รองศาสตราจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์, รองศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล และ อาจารย์ ดร. ประจักษ์ ก้องกีรติ",
"ภายหลังจบการศึกษาธเนศได้เข้าทำงานที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเข้าศึกษาระดับปริญญาโทที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แต่ได้เลิกเรียนกลางคัน ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า \"ไม่ชอบอาจารย์ที่สอน\" การที่เขาเลิกเรียนกลางคันนั้นทำให้เขาใช้ชีวิตล่องลอย และเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อและแม่ของเขาทะเลาะกัน ดังนั้นพ่อของเขาจึงส่งเขาให้ไปเรืยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาจึงได้เข้าศึกษาระดับปริญญาโทสาขาสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ประเทศสหรัฐอเมริกา M.S. (Sociology), University of Wisconsin Madison, U.S.A. โดยหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเขาคือ \"Grumsci Historism\" เมื่อจบการศึกษาธเนศได้กลับมายังประเทศไทยเพื่อสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่แรก แต่โดนปฏิเสธโดยทางมหาลัยให้เหตุผลว่าเพราะเขามารยาทไม่ดี ไม่ทักทายสวัสดีผู้ใหญ่ตามขนบธรรมเนียมไทย ต่อมาเขาก็ได้สมัครเป็นอาจารย์ จนได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเวลา 5 ปี ก่อนจะเดินไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกสาขาทฤษฎีการเมืองและสังคมที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า \"เรียนตามแฟน\" โดยในตอนแรกนั้นเขาได้รับทุนที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แต่เขาเลือกที่จะไม่ไปเพราะแฟนเขาไม่ได้ทุนนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็เรียนที่อังกฤษส่วนแฟนไปเรียนที่อเมริกาแทนที่จะเป็นตามที่ตกลงกัน โดยเขาให้เหตุผลว่า \"การอยู่ด้วยกัน (ตัวติดกัน) ทำให้เบื่อหน่ายกันเร็ว\" หลังจากได้ศึกษาในปริญญาเอกก็เกิดปัญหาการทำวิทยานิพนธ์ หัวข้อวิทยานิพนธ์ของเขาคือ \"Talking Foucault Comically\" ซึ่งวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ไม่ได้เป็นวิชาการในแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะรัฐศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ อันเนื่องมาจากเขาพบว่าแนวคิดของตัวเองไม่ได้จำกัดเฉพาะทางสังคมศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งยิ่งทำให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นนักคิดที่ไม่ได้จำกัดกรอบใด พูดให้ถึงที่สุดก็คือเขามีความเป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) อันเป็นความคับแคบและข้อจำกัดของระบบการศึกษาที่ไม่ให้คิดข้ามกรอบในสาขาที่ตนเองศึกษาอยู่และมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์นั้นก็เป็นมหาวิทยาลัยอนุรักษ์นิยมจนเกินไป สุดท้ายวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาไม่ได้รับการพิจารณาให้สอบป้องกันดุษฎีนิพนธ์ เพราะเหล่าอาจารย์เห็นว่าไม่ตรงสาขาวิชาใด เพราะเป็นสหวิทยาการ มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและต้องการให้แก้ไขให้ตรงกับสาขา ทำให้ธเนศสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทแทน M.Phil (Social & Political Theory), University of Cambridge, England[1] ธเนศได้กลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2560",
"รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่ เป็นละครโทรทัศน์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ บทประพันธ์ของ นุกูล บุญเอี่ยม, วัชระ ปานเอี่ยม บทโทรทัศน์โดย พิสุทธิ์ แพร่แสงเอี่ยม กำกับการแสดงโดย นุกูล บุญเอี่ยม ผลิตโดย บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัดออกอากาศทุกวันเสาร์–อาทิตย์ เวลา 11.00–11.45 น. ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย เคลลี่ ธนะพัฒน์, น้ำฝน โกมลฐิติ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย",
"เพื่อนร่วมหน่วยของอัสรัน มีนิสัยใจร้อน ไม่ค่อยเชื่อฟังเพื่อนร่วมทีมเท่าไหร่ เป็นคู่แข่งของอัสรัน อิซาคบังคับ GAT-X102 ดูเอล และในศึกครั้งหนึ่ง อิซาคโดนมีดของ สไตรค์ จึงทำให้เกิดรอยแผลที่หน้าและแค้นนักบินสไตร์คมาก แต่ในที่สุดก็เข้าร่วมกับฝ่ายอาร์คแองเจิ้ลในสงครามที่ยาคินดูเอ้",
"ธเนศดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยวิชาส่วนใหญ่ที่ธเนศรับผิดชอบจะเป็นเรื่องของทฤษฏีสังคม แนวคิดและปรัชญาการเมือง นอกจากนี้ธเนศดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการของรัฐศาสตร์สารซึ่งเป็นวารสารของคณะรัฐศาสตร์อีกด้วย[4]",
"ธเนศ วงศ์ยานนาวาเกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2500 มีชื่อเล่นว่า ตู่ เป็นบุตรของสมชาย วงศ์ยานาวาและเนลลี่ เตมี บิดาของธเนศเป็นคนไทยเชื้อสายจีนมีแซ่เดิมว่าแซ่เหลี่ยงประกอบอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ส่วนมารดาเป็นลูกครึ่งเชื้อสายสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ซึ่งธเนศเป็นบุตรคนกลางจากพี่น้อง 3 คน โดยพี่สาวของธเนศได้เสียชีวิตด้วยโรคตับในวัยทารกและน้องชายชื่อ ธนา วงศ์ยานนาวา ซึ่งมีอายุห่าจากธเนศ 9 ปี[1]",
"เช เกวารา กับความตาย, (ปทุมธานี: นาคา, 2541) [พิมพ์ครั้งที่ 1] (กรุงเทพฯ: เดอะ ยิปซี, 2550) [พิมพ์ครั้งที่ 3 พร้อมเพิ่มเนื้อหา] ปฏิวัติบริโภค: จากสิ่งของฟุ่มเฟือยมาสู่สิ่งจำเป็น, (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2550) เพศ: จากธรรมชาติ สู่จริยธรรม จนถึงสุนทรียะ, [พิมพ์ครั้งที่1: มติชน, 2551], [พิมพ์ครั้งที่2 พร้อมเพิ่มเนื้อหา: สมมติ, 2556] ความไม่หลากหลายของความหลากหลายทางวัฒนธรรม, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2552) 1968: เชิงอรรถการปฏิวัติ, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2552) ศิลปะกับสภาวะสมัยใหม่: ความย้อนแย้งและความลักลั่น (กรุงเทพฯ:สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย?, 2552) เล่มนี้มีผู้ที่ซื้อความไม่หลากหลายของความหลากหลายทางวัฒนธรรม และ1968: เชิงอรรถการปฏิวัติ พร้อมกันภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเท่านั้น ความรัก ความรู้ ความตาย (กรุงเทพฯ: ศยาม, 2553) ความสมเหตุสมผลของความชอบธรรม (การครอบงำ), (กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2554) ม(า)นุษย์โรแมนติค, (กรุงเทพฯ: ศยาม, 2556) เขียนหญิง: อำนาจ โยนี และการเขียนของลึงค์, (กรุงเทพฯ: Unfinished project, 2556) Max Weber: วิถืแห่งการบำเพ็ญตบะและอาชีพทางการเมือง, (กรุงเทพฯ: ศยาม, 2556) เมื่อฉันไม่มีขน ฉันจึงเป็นศิลปะ, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2557) On People ว่าด้วยประชาชน, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2558) ความสมเหตุสมผลของความชอบธรรม (การครอบงำ): On Legitmacy ว่าด้วยความชอบธรรม, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2559) ว่าด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2560) On Happiness ว่าด้วยความสุข, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2560)",
"\"ปัญหาผู้ลี้ภัย\" ใน การศึกษาเปรียบเทียบผู้อพยพทางบกในค่ายอพยพคนลาว คนเขมร และคนเวียดนาม ใน กรุงเทพฯ, สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525 \"การวิเคราะห์ซับเจค (subject): ทฤษฎีที่ใช้ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจของ มิเชล ฟูโก\", คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2532 \"ผีของมาร์กและผีในมาร์ก: ข้อวิจารณ์ประวัติศาสตร์นิยมของพ็อพเพอร์และอัลธุสแซร์\", โครงการวิจัยเสริมหลักสูตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540 \"ประวัติศาสตร์นิยม: จาก Giambattista Vico สู่ Antonio Gramsci\", โครงการวิจัยเสริมหลักสูตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2541 \"ประวัติศาสตร์และสหวิทยาการ: ชาตินี้เราคงรักกันไม่ได้ \", โครงการวิจัยเสริมหลักสูตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2542 \"รัฐกับธุรกิจ: ศีลธรรมแห่งวิชาการทางสังคมศาสตร์ ; ไปดูนาวาเสรีประชาธิปไตยล่มที่ปากอ่าว\",คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2546 \"แนวคิดเรื่องความชอบธรรม (The concept of legitimacy\"), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2547 \"รากฐานปรัชญาการเมืองของ Antonio Negri กับ Empire\", คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547 \"แนวคิดทางการเมืองและสังคมของตะวันตก 2\" [Logos],ใน แนวคิดทางการเมืองและสังคม, นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2547 \"การสร้าง\"ซับเจค\": บทวิพากษ์ Foucault และการวิเคราะห์\"ซับเจค\"จากภาพ Las Meninas \", คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548 \"ความรู้ต้อง (ไม่) ห้าม: จักรญาณนิยม\", เอกสารประกอบคำบรรยาย “โครงการจัดประชุมวิชาการระดับชาติ เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ ครั้งที่ 2 โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว เชียงใหม่ วันที่ 9-11 สิงหาคม พ.ศ. 2548 \"การรวมศูนย์ศิลปะของการกระจายตัวของศิลปะและการเมือง: จากสภาวะสมัยหลังใหม่สู่สภาวะสมัยใหม่\", คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549 \"บทวิพากษ์ปรัชญา/ตรรกะของระบอบเสรีประชาธิปไตย\", คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2551",
"คุณูปการของธเนศ วงศ์ยานนาวา คือการกล้าสอนในสิ่งที่คนอื่นเลี่ยงไม่พูด สอนให้ศิษย์ตรวจสอบรากความเชื่อ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าโลกไม่ได้มีเพียงมิติเดียว ทุกคนต่างกัน และทุกสิ่งมีที่มาโดยไม่อาจพิจารณาแยกส่วน เขามักชำแหละเรื่องราวที่สอนอย่างถึงลูกถึงคน หยิบเม็ดฝุ่นจนกระทั่งผืนจักรวาลมาเชื่อมแบบสหวิทยาการได้อย่างน่าสนใจ และการถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ อย่างจัดจ้านทำให้เขากลายเป็นนักวิชาการสายป๊อปที่มีคนแห่แหนไปฟังเสวนาจนล้นสถานที่จัดอยู่เสมอ และการวางตัวที่เป็นมิตร เข้าถึงง่าย ผูกสัมพันธ์กับเพื่อนทั้งรุ่นเดียวกันและต่างรุ่นได้ดี ทำให้เพื่อนนักวิชาการหลายคนมองว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีสีสันที่สุดในแวดวงวิชาการไทยร่วมสมัย",
"ยิ่งเมล็ดกาแฟถูกคั่วให้เข้มมากขึ้นเท่าไหร่ รสชาติดั้งเดิมของมันก็จะยิ่งถูกบดบังด้วยรสที่เกิดจากการคั่วมากขึ้นเท่านั้น กาแฟบางประเภทที่ถูกคั่ว จนรสชาติแทบจะไม่ได้บ่งบอกถึงสถานที่ปลูกเลย จะถูกขายโดยใช้ระดับของการคั่วเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่ \"อบเชยคั่วอ่อนๆ (Light Cinnamon Roast) \" ไปจนถึง \"การคั่วแบบเวียนนา (Vienna Roast) \" และ \"การคั่วแบบฝรั่งเศส (French Roast) \" และอื่นๆ"
] |
DNA ย่อมาจากอะไร? | [
"กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (English: deoxyribonucleic acid) หรือย่อเป็น ดีเอ็นเอ เป็นกรดนิวคลีอิกที่มีคำสั่งพันธุกรรมซึ่งถูกใช้ในพัฒนาการและการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเท่าที่ทราบ (ยกเว้นอาร์เอ็นเอไวรัส) ส่วนของดีเอ็นเอซึ่งบรรจุข้อมูลพันธุกรรมนี้เรียกว่า ยีน ทำนองเดียวกัน ลำดับดีเอ็นเออื่น ๆ มีความมุ่งหมายด้านโครงสร้าง หรือเกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้ข้อมูลพันธุกรรมนี้ ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอและโปรตีนเป็นหนึ่งในสามมหโมเลกุลหลักที่สำคัญในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทราบ"
] | [
"ซิโดวูดีน หรืออะซิโดไทมิดีน ( โดย INN หรือ azidothymidine มีชื่อย่อว่า - AZT) เป็นยาต้านรีโทรไวรัส (antiretroviral drug) เป็นยาตัวแรกที่ใช้เป็น ยาต้านไวรัส (antiviral drug) และใช้รักษา HIV ยาพวกนี้จำหน่ายในชื่อทางการค้าว่ายา AZT เป็นยาในกลุ่ม Nucleosides Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) มีลักษณะโครงสร้างคล้ายกับ thymidine ซึ่งเป็นหน่วยของสารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต แต่จะแตกต่างกันที่โครงสร้างในตำแหน่งที่ 3 ของ AZT จะเป็น –N3 (azido group) แต่ของ thymidine จะเป็น –OH ยา AZT จะเข้าไปหยุดกระบวนเปลี่ยน RNA เป็น DNA (reverse transcription) โดยอาศัยโครงสร้างที่คล้ายกับหน่วยพันธุกรรมของมัน เข้าไปรวมตัวกับสาย DNA ที่ไวรัสสร้างขึ้น แต่เนื่องจากการมีหมู่ azido เข้ามาแทนที่ –OH ทำให้ไม่สามารถสร้างพันธะกับ nucleotide ตัวต่อไปได้ ทำให้เอนไซม์ Reverse Transcriptase ไม่สามารถนำ Nucleosides ตัวต่อไปมาเชื่อมต่อได้ ทำให้ไม่ได้ DNA ที่สมบูรณ์ กระบวนการจึงสิ้นสุดลง เมื่อ AZT เข้าสู่ร่างกายจะยังไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ทันที จำเป็นต้องผ่านเข้าเซลล์และถูกเติมหมู่ phosphate 3 หมู่ ก่อน โดย AZT จะถูกเติม phosphate โดยเอนไซม์ thymidine kinase, thymidylate kinase, และ diphosphate kinase ตามลำดับทำให้อยู่ในรูปที่เรียกว่า AZT-triphosphate ซึ่งเป็นรูปที่ออกฤทธิ์ได้ หลังจากนั้น AZT-triphosphate จะแย่งสารพันธุกรรมธรรมชาติในการจับกับเอนไซม์ reverse transcriptase ทำให้การเชื่อมต่อสาย DNA หยุดลง\nขนาดยา AZT สำหรับป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (แรกเกิด-อายุ 4 สัปดาห์) ครบกำหนด 2 mg/kg ทุก 6 ชม. หรือ 4 mg/kg ทุก 12 ชม. 30-34 สัปดาห์ 2 mg/kg ทุก 12 ชม.จนอายุ 2 สัปดาห์จากนั้นเพิ่มเป็นทุก 8 ชม.จนครบ 4 สัปดาห์ <30 สัปดาห์ 2 mg/kg ทุก 12 ชม.ตลอด 4 สัปดาห์",
"เครื่องหมายดีเอ็นเอ (DNA Marker) หมายถึง ลำดับเบสช่วงหนึ่งของดีเอ็นเอที่ใช้เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ความเป็นเอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต โดยอาจมีตำแหน่งบนโครโมโซม ในนิวเคลียส (nuclear DNA) หรือใน ออร์แกเนลล์ (mitochondria DNA หรือ chloroplast DNA) และสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้ พืชแต่ละชนิดแต่ละสายพันธุ์ มีการจัดเรียงตัวของนิวคลีโอไทด์ในโมเลกุลของดีเอ็นเอที่เป็นเอกลักษณ์ ความแตกต่างหรือโพลีมอร์ฟิซึม การใช้ดีเอ็นเอเป็นเครื่องหมายในการบ่งบอกความแตกต่างของสิ่งมีชีวิต สามารถทำได้โดยการเปรียบเทียบลักษณะของดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ โดยเทคนิคทางอณูชีววิทยา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า(polymorphisms) ของลำดับเบสในโมเลกุลของดีเอ็นเอนี่เอง ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมีความแตกต่างกัน และสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องหมายโมเลกุลได้ “ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ” (DNA Fingerprinting) ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้น หมายถึง แบบแผนดีเอ็นเอที่จำเพาะของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ นั่นเอง สามารถนำมาตรวจสอบความแตกต่างหรือโพลีมอร์ฟิซึมของสิ่งมีชีวิตหรือสายพันธุ์พืชที่ต้องการตรวจสอบได้",
"ในสารละลายที่เป็นกรด ( pH = 3 ) ในแฮลกอฮอล์หรือในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว ( nonpolar solvent ) DNA สามารถตกตะกอนได้เนื่องจากโมเลกุลมีขนาดใหญ่มากเมื่อไปทำการเซดิเมนต์ โดยใช้แรงเหวี่ยงสูงๆ ในสารละลายที่มีความหนาแน่นต่างกัน (density gradient) สามารถหาความหนาแน่นของ DNA ได้ ความหนาแน่นที่ได้จากวิธีนี้ เรียกว่าความหนาแน่นสำหรับการลอยตัว ( buoyant density ) จากการทดลองพบว่า DNA เส้นเดี่ยวมีความหนาแน่นมากกว่า DNA เส้นคู่ และ DNA ที่มีปริมาณเบสกวานีนกับไซโตซีนสูงมีค่าความหนาแน่นสำหรับการลอยตัวสูงด้วย เนื่องจากเพราะ กวานีนกับไซโทซีนแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไฮโดรเจนถึงสามพันธะ ขณะที่ไทมีนและอะดีนีนแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโฮโดรเจนเพียงสองพันธะ",
"จีโนมของมนุษย์คือชุดของข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของมนุษย์ ข้อมูลนี้อยู่ในลำดับดีเอ็นเอ(DNA) ซึ่งกระจายอยู่บนโครโมโซม 23 คู่ในนิวเคลียสของเซลล์แต่ละเซลล์ รวมทั้งในโมเลกุล DNA อีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในไมโตคอนเดรีย ข้อมูลในจีโนมของมนุษย์มีทั้ง DNA ส่วนที่จะถูกถอดรหัสเป็นโปรตีน (coding DNA) และส่วนที่จะไม่ถูกถอดรหัสเป็นโปรตีน (noncoding DNA) ครึ่งหนึ่งหรือส่วนที่เป็นแฮพลอยด์ของจีโนมมนุษย์ (พบในเซลล์ไข่หรือเซลล์อสุจิ) มีจำนวนสามพันล้านคู่เบส ในขณะที่จีโนมทั้งหมดหรือดิพลอยด์ของจีโนม (พบในเซลล์โซมาติกทั่วไป) มีจำนวนคู่เบสดีเอ็นเอเป็น 2 เท่า",
"ในกระบวนการถอดรหัสนั้น เอนไซม์ RNAP จะช่วยสังเคราะห์สาย RNA โดยอาศัยสาย DNA เป็นแม่แบบ โดยเริ่มต้นจาก RNAP จะจับเข้ากับสาย DNA ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งแบบหลวมๆ หลังจากนั้นเอนไซม์นี้จะเคลื่อนที่ไปตามสาย DNA เมื่อตรวจพบตำแหน่งบนสายที่เรียกว่าโปรโมเตอร์ (promoter) เอนไซม์ RNAP จะยึดตัวแน่นเข้ากับสาย DNA และคลายเกลียวของ DNA เฉพาะบริเวณนั้นออกจากกันเป็น DNA สายเดี่ยว 2 สาย ทั้งนี้เพื่อให้เบสของแต่ละสายที่จับกันด้วยพันธะไฮโดรเจนแยกออกจากกัน หลังจากนั้น RNAP จะเลือกสายใดสายหนึ่งเป็นสายต้นแบบ (template strand) เพื่อเริ่มต้นทำการสังเคราะห์สาย RNA",
"รูปร่างของ DNA ในสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทแตกต่างกัน เช่น เซลล์โพรคาริโอต ไวรัส แบคทีเรีย รวมทั้งคลอโรพลาสต์และไมโทคอนเดรีย ที่มี DNA เป็นวงแหวนเกลียวคู่ ส่วนในยูคาริโอต มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่อยู่ในนิวเคลียส เรียก nuclear DNA อยู่ในรูปเกลียวคู่ปลายเปิด และชนิดที่อยู่ในไมโทคอนเดรียเรียก Mitochondrial DNA มีลักษณะเป็นวงแหวนเกลียวคู่ และขดตัวเป็นเกลียวคู่ยิ่งยวด ในพืชพบ DNA ทั้งในนิวเคลียสและคลอโรพลาสต์",
"วิธีการ อาร์เอฟแอลพี (; ตัวย่อ: RFLP) เป็นวิธีที่ใช้ดีเอ็นเอตรวจสอบ (DNA probe) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนดีเอ็นเอสายเดี่ยวขนาดเล็กที่ทราบลำดับเบสและทำการติดฉลากสารกัมมันตรังสีเพื่อใช้ในการติดตามผล นำมาทำปฏิกิริยากับดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตที่สนใจที่ถูกแยกเป็นเส้นเดี่ยว และถูกตัดย่อยด้วยเอนไซม์ตัดจำเพาะ (restriction enzymes) โดยอาศัยความสามารถของดีเอ็นเอตรวจสอบที่สามารถเข้าคู่หรือจับกันกับสายดีเอ็นเอ เป้าหมายตรงตำแหน่งที่มีลำดับเบสเป็นคู่สม (DNA hybridization)กันได้",
"โมเลกุลของเอนไซม์ RNA polymerase ในเซลล์โพรแคริโอต หรือสิ่งมีชีวิตจำพวกแบคทีเรีย จะมีส่วนประกอบ (subunit) ที่เรียกว่า ซิกมาแฟกเตอร์ (sigma factor หรือเขียนแทนด้วยอักษรกรีกว่า σ factor) ทำหน้าที่ในการตรวจจับตำแหน่งของโปรโมเตอร์บนสาย DNA เมื่อตรวจพบแล้ว โมเลกุลของ RNAP จะยึดเข้ากับสาย DNA เพื่อเริ่มทำการถอดรหัส หลังจากนั้นซิกมาแฟกเตอร์จะหลุดออกไป ทั้งนี้ เอนไซม์ RNAP จะทำงานต่อไปจนเสร็จสิ้นการถอดรหัสที่ตำแหน่งเทอร์มิเนเตอร์ หลังจากนั้น RNAP จะปล่อยตัวออกจากสาย DNA และเข้าจับกับซิกมาแฟกเตอร์อิสระเพื่อที่จะได้สามารถเริ่มต้นทำการถอดรหัสได้อีกครั้ง",
"มีหลักฐาน (ค.ศ. 1997, 2004, 2008) โดยการหาลำดับดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย (mitochondrial DNA ตัวย่อ mtDNA) ที่แสดงว่า ไม่มีการแลกเปลี่ยนยีนโดยเป็นนัยสำคัญคือไม่มีการผสมพันธุ์กันระหว่าง H. neanderthalensis และ H. sapiens ดังนั้น สองกลุ่มนี้จึงเป็นสปีชีส์ที่แยกจากกันโดยมีบรรพบุรุษเดียวกันเมื่อประมาณ 500,000-600,000 ปีก่อน[108] โดยอาจมีบรรพบุรุษเป็น H. heidelbergensis/rhodesiensis[140] แต่ว่า งานหาลำดับดีเอ็นเอทั้งจีโนมของมนุษย์กลุ่มนี้ในปี ค.ศ. 2010 กลับแสดงว่า มีการผสมพันธุ์กับมนุษย์ปัจจุบันเมื่อประมาณ 45,000-80,000 ปีก่อน (ประมาณช่วงเวลาที่มนุษย์ปัจจุบันออกจากแอฟริกา แต่ก่อนที่จะไปตั้งถิ่นฐานในยุโรป เอเชีย และที่อื่น ๆ) มนุษย์ปัจจุบันที่ไม่ใช่คนแอฟริกาเกือบทั้งหมดมีดีเอ็นเอ 1-4% สืบมาจากมนุษย์กลุ่มนี้[185] ซึ่งเข้ากับงานวิจัยเร็ว ๆ นี้ที่แสดงว่า การแยกออกจากกันของอัลลีลในมนุษย์บางพวกเริ่มขึ้นที่ 1million years ago แต่ว่า การตีความหมายข้อมูลจากงานวิจัยทั้งสองที่แสดงผลแตกต่างกันนี้ ยังมีประเด็นที่น่าสงสัย[186][187]",
"งานวิจัยหนึ่งเสนอว่า การเก็บความจำระยะยาวในมนุษย์อาจจะมีการรักษาไว้โดยกระบวนการ DNA methylation (เป็นกระบวนการชีวเคมีที่เติมกลุ่ม Methyl หนึ่งลงใน cytosine DNA nucleotides หรือ adenine DNA nucleotides)\nหรือผ่านตัวพรีออน",
"Probe ถูกเตรียมขึ้นโดยการ cloning บางส่วนของยีนที่สนใจเข้าไปใน vector ที่มี promoter SP6, T7 or T3 ซึ่งจะถูกจดจำจาก DNA dependent RNA polymerase Probe สามารถเตรียมให้มี radioactive โดยใช้ radioactive UTPs ในการเตรียม ดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอที่ไม่สามารถจับได้ด้วย probe (uncomplemented DNA หรือ RNA) จะถูกตัดโดย nuclease ซึ่งหากเป็น DNA probe จะถูกตัดโดย S1 nuclease แต่ถ้าเป็น RNA probe สามารถเลือกใช้ single-strand-specific ribonuclease ตัวใดก็ได้ โดยอาร์เอ็นเอที่ถูกจับด้วย probe (probe-mRNA complement) สามารถตรวจหาได้โดยใช้ autoradiography",
"แยก Double Helical DNA (Native DNA) ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิอย่างช้าๆจนกลายเป็น Single Stranded DNA (Denatured DNA) อุณหภูมิที่ใช้อยู่ในช่วง 90-95oc",
"ในขั้นตอนทรานสคริปชั่นสิ่งจำเป็นต้องใช้คือ DNA เพียงหนึ่งเส้นจากสองเส้นคู่ที่ไขว้กัน ซึ่งเรียกว่า เกลียวรหัส (coding strand) ทรานสคริปชั่นเริ่มที่เอนไซม์ อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรส (RNA polymerase) เชื่อมต่อกับ DNAตรงตำแหน่งเฉพาะซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เรียกว่า โปรโมเตอร์ (promoter) ขณะที่ อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรส เชื่อมต่อกับโปรโมเตอร์ แถบเกลียว DNA ก็จะเริ่มคลายตัวและแยกออกจากกัน",
"Watsan และ Crick พบว่าโครงสร้างตามธรรมชาติของ DNA ในเซลล์ทุกชนิดเป็นเกลียวคู่ซึ่งมีโครงสร้างที่เสถียรที่สุด โดยมีเบสอยู่ด้านในระหว่างสายของ DNA ทั้ง 2 ในลักษณะที่ตั้งฉากกับแกนหลักและวางอยู่ในระนาบเดียวกัน การที่เบสวางอยู่ในสภาพเช่นนี้ทำให้เบสระหว่างอะดีนีนและไทมีนสามารถเกิดพันธะได้ 2 พันธะ และเบสระหว่างกวานีนกับไซโทซีนเกิดได้ 3 พันธะ ซึ่งการเข้าคู่กันนี้ถ้าสลับคู่กันจะทำให้พลังงานที่ยึดเหนี่ยวไม่เหมาะสมกับการเข้าคู่ เพื่อเกิดเกลียวคู่ของ DNA",
"ในการสังเคราะห์สาย RNA เอนไซม์ RNAP จะค่อยๆ เคลื่อนไปบน DNA สายต้นพร้อมกับคลายเกลียวสาย DNA ไปด้วย ระหว่างนั้น RNAP จะนำไรโบนิวคลีโอไทด์ที่มีเบสที่เข้าคู่กับเบสบนหน่วยย่อยของ DNA สายต้นแบบเข้ามาเชื่อมต่อกันทีละโมเลกุลจนเป็นสาย RNA (ส่วนสาย DNA บริเวณที่ RNAP เคลื่อนที่ผ่านไปแล้วจะกลับมาเป็นเกลียวคู่ตามเดิม) เมื่อ RNAP เคลื่อนไปถึงบริเวณของสาย DNA ที่เรียกว่า เทอร์มิเนเตอร์ (terminator) การสังเคราะห์จะหยุดลง เอนไซม์ RNAP จะแยกตัวออกจากสาย DNA ส่วนสาย RNA ที่สังเคราะห์ได้จะหลุดออกมา",
"เริ่มแรกส่วน glycoprotein ที่ผิวของไวรัสจะจับกับโปรตีนบนเม็ดเลือดขาวอย่างจำเพาะและหลอมรวม envelope เข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดขาวของ host ทำให้ capsid หลุดเข้าสู่ cytoplasm ของ host หลังจากนั้น RNA และเอนไซม์ต่าง ๆ ของ virus จะหลุดออกมาจาก capsid เมื่อเข้ามาสู่ cytoplasm แล้วเอนไซม์ Reverse transcriptase จะเปลี่ยน RNA ของไวรัสให้เป็น DNA โดยใช้ Nucleoside(หรือ nucleotides) ของ host เอง หลังจากนั้น DNA ของไวรัสจะรวมกับ DNA ของ host โดยเอนไซม์ integrase แล้วจะมีการกระตุ้นให้เกิดการ translation ในตำแหน่งที่ DNA ของไวรัสแทรกตัวอยู่ออกมาเป็นโปรตีนสายยาว ๆ ที่ทำหน้าที่ไม่ได้ของไวรัส หลังจากนั้นเอนไซม์ protease จะเข้ามาตัดโปรตีนสายยาวนี้ ทำให้ได้โปรตีนที่พร้อมจะประกอบเป็นตัวไวรัสตัวใหม่ขึ้น",
"ในชีววิทยาโมเลกุลและชีวเคมีนั้น รีเวิร์สแทรนสคริปเทส () เป็นเอนไซม์ DNA polymerase ที่ถอดรหัส single-stranded RNA ให้เป็น double-stranded DNA นอกจากนั้นยังช่วยสร้าง double helix DNA หลังจากที่ RNA ถูก reverse transcribed ให้เป็น single stranded cDNA แล้วด้วย",
"ด้านนอกสุดเป็นเปลือกหุ้มเรียกว่า envelope มีโครงสร้างแบบ lipid bilayer ซึ่งเป็น plasma membrane ของ host cell และมี envelope glycoprotein กระจายอยู่ลักษณะเป็นปุ่มยื่นออกมาโดยรอบเรียกว่า surface protein (gp 120) ส่วน core ประกอบด้วย capsid protein (gp 24) และมี RNA โดย RNA จะเป็น 2 copies ที่เหมือนกันอยู่ในไวรัสตัวเดียวกัน นอกจากนี้ภายใน capsid ยังประกอบด้วยเอนไซม์ต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่ Reverse transcriptase(ทำหน้าที่เปลี่ยน RNA ของไวรัสเป็น DNA), integrase (ทำหน้าที่รวม DNA virus เข้ากับ DNA host) และ protease(ทำหน้าที่ตัดสายโปรตีนเพื่อให้เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ของไวรัส)",
"การทดลองเฮอร์ชีย์–เชส () เป็นชุดของการทดลองที่ทำขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1952 โดยอัลเฟรด เฮอร์ชีย์และมาร์ธา เชส ซึ่งช่วยยืนยันว่า DNA คือสารพันธุกรรม แม้นักวิทยาศาสตร์จะรู้จัก DNA มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1869 แต่ในสมัยนั้นก็ยังเชื่อกันว่าสารพันธุกรรมที่เก็บข้อมูลในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนั้นเป็นโปรตีน ในการทดลองนี้ เฮอร์ชีย์และเชสได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อแบคเทริโอเฟจเข้าเกาะแบคทีเรียแล้ว DNA ของแบคเทริโอเฟจจะถูกส่งเข้าไปในแบคทีเรีย แต่โปรตีนที่เป็นเปลือกหุ้มนั้นไม่ถูกส่งเข้าไป",
"ต่อไปเป็นกระบวนการที่สองที่เรียกว่า อีลองเกชั่น (elongation) อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรสจะเคลื่อนตัวตลอดแนวแถบเกลียว DNA เพื่อสำเนารหัส DNAและได้เป็นแถบเกลียวรหัสที่เรียกว่าเมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ (messengerRNA หรือ mRNA)นิวคลิโอไทด์ ซึ่งมีรหัสข้อมูลตรงข้ามกับ DNA",
"การจำลองตัวเองของดีเอ็นเอ (DNA replication) เป็นกระบวนการทางชีววิทยาที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเพื่อจำลองดีเอ็นเอของตนเอง กระบวนการนี้เริ่มจากดีเอ็นเอสายเดี่ยวสร้างดีเอ็นเออีกสายที่เป็นคู่สมของตนจนกลายเป็นดีเอ็นเอเกลียวคู่ กระบวนการเป็นแบบกึ่งอนุรักษ์ (semiconservative replication) มีการตรวจสอบความถูกต้องของกระบวนการเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์\nการจำลองตัวเองในยูคาริโอตมีความซับซ้อนกว่า โดยจุดเริ่มต้นนั้นจะมีโปรตีนที่จดจำตำแหน่งนี้โดยเฉพาะเข้ามากระตุ้นให้ดีเอ็นเอคลายตัว DNA polymerase มีหลายชนิด โดยในนิวเคลียสใช้ DNA polymerase α และ DNA polymerase δ โดย DNA polymerase α ทำหน้าที่คล้าย DNA polymerase III ในโปรคาริโอต DNA polymerase δ ทำหน้าที่คล้ายหน่วยเบตาของ DNA polymerase III และ DNA polymerase ε ทำหน้าที่คล้าย DNA polymerase I ในโปรคาริโอต การสิ้นสุดเรพลิเคชันในยูคาริโอต เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โครงสร้างพิเศษที่เรียกเทโลเมียร์ที่ตอนปลายของโครโมโซม",
"เป็นที่รู้กันดีว่ายาปฏิชีวนะในกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์อย่างนีโอมัยซินนั้นมีความสามารถจับกับอาร์เอ็นเอสายคู่ได้ด้วยความจำเพราะที่ค่อนข้างสูง[24] โดยค่าคงที่การแตกตัว (dissociationconstant,Kd) ของนีโอมัยซินต่อตำแหน่ง A-site บนอาร์เอ็นเออยู่ที่ช่วงประมาณ109M−1[25] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีการค้นพบนีโอมัยซินมาเป็นระยะเวลามากกว่า50ปี กลไกการจับกับดีเอ็นเอของนีโอมัยซินนั้นก็ยังไม่สามารถทราบได้แน่ชัดเท่าใดนัก โดยพบว่านีโอมัยซินนั้นมีผลเพิ่มการคงสภาพทางความร้อนของTriple-stranded DNA โดยไม่มีผลหรือมีผลบ้างเล็กน้อยต่อการคงสภาพของ B-DNA duplex[26] นอกจากนี้นีโอมัยซินยังมีความสามารถจับกับโครงสร้างอื่นที่คล้ายกับโครงสร้างA-DNAได้ ซึ่ง triplex DNA ก็เป็นหนึ่งในโครงสร้างเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นีโอมัยซินยังสามารถเข้าจับเป็นสารประกอบเชิงซ้อนกับสารพันธุกรรมระหว่างการก่อตัวสายผสมสามสายของDNAและRNA (DNA:RNA hybrid triplex formation) ได้[27]",
"อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส (RNAP) ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับดีเอ็นเอพอลิเมอเรส (DNA polymerase หรือย่อว่า DNAP) ซึ่งทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาการสังเคราะห์สาย DNA อันเป็นปฏิกิริยาเคมีประเภทเดียวกันกับการสังเคราะห์สาย RNA อย่างไรก็ตาม เอนไซม์ 2 ชนิดนี้มีข้อแตกต่างที่สำคัญอยู่ดังต่อไปนี้",
"โมเลกุลของ DNA มีลักษณะยาวมากเมื่อเทียบกับเส้นผ่าศูนย์กลาง มีผลทำให้สารละลายของ DNA มีความข้นเหนียวอย่างมาก แม้จะมี DNA ในปริมาณความเข้มข้นต่ำ ๆ",
"ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสแบบย้อนกลับ (; ตัวย่อ: RT-PCR) เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสอีกแบบหนึ่ง เป็นเทคนิคทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งมักจะใช้ในอณูชีววิทยา เพื่อใช้ในการสร้างสำเนาลำดับดีเอ็นเอขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเรียกว่า \"amplification\" อย่างไรก็ตาม ใน RT-PCR สายอาร์เอ็นเอจะถูกรีเวิร์สแทรนสคริปเทสไปสู่ Complementary DNA (cDNA) โดยใช้เอนไซม์รีเวิร์สแทรนสคริปเทส และผลของ cDNA จะถูกขยายขึ้นโดยการใช้ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสแบบเรียลไทม์ ",
"ในพันธุศาสตร์ complementary DNA หรือ cDNA คือ ดีเอ็นเอที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นโดยใช้เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) เป็นต้นแบบโดยอาศัยเอนไซม์ reverse transcriptase และ DNA polymerase\ncDNA มักใช้สำหรับ clone ยีนของยูคาริโอตเข้าไปในโปรคาริโอต เมื่อนักวิทยาศาสตร์ต้องการให้มีการแสดงออกของโปรตีนที่ปกติจะไม่มีการแสดงในเซลล์นั้น พวกเขาสามารถนำ cDNA เข้าไปยังเซลล์ตัวรับ (recipient cell) ซึ่งจะทำให้เซลล์สามารถให้ (code) โปรตีนชนิดนั้นได้ นอกจากนี้ cDNA ยังสามารถสร้างขึ้นโดย retrovirus เช่น HIV-1, HIV-2, Simian Immunodeficiency Virus ซึ่งสามารถเข้าไปแทรกตัว (integrate) เข้าไปยัง host เพื่อสร้าง provirus อีกด้วย",
"การหาลำดับ DNA คือกระบวนการที่ทำขึ้นเพื่อหาลำดับของนิวคลีโอไทด์ในโมเลกุล DNA อย่างแม่นยำ ได้แก่ A(adenine) G(guanine) C(cytosine) และ T(thymine) ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิกที่ทำให้การหาลำดับ DNA ทำได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ทางชีววิทยาและการแพทย์อย่างรวดเร็วก้าวกระโดด",
"อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส () หรือใช้ตัวย่อว่า RNAP เป็นเอนไซม์ที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาการสังเคราะห์ RNA จากสาย DNA แม่แบบ ในกระบวนการถอดรหัส (transcription)",
"เอเอฟแอลพี (; ตัวย่อ: AFLP) เป็นเทคนิคของเครื่องหมายดีเอ็นเอ (DNA marker) แบบหนึ่ง พื้นฐานของ AFLP คือการตรวจสอบชิ้นดีเอ็นเอที่ตัดด้วยเอนไซม์ตัดจำเพาะ โดยการเพิ่มปริมาณด้วยปฏิกิริยา PCR (Polymerase chain reaction) ดังนั้นจึงรวมเอาความน่าเชื่อถือของเทคนิค RFLP (Restriction fragment length polymorphism) และประสิทธิภาพของ PCR เข้าด้วยกัน เทคนิค AFLP พัฒนาขึ้นโดย Zabeau และ Vos นักวิจัยของบริษัท Keygene N.V. ประเทศเนเธอร์แลนด์ และได้จดสิทธิบัตรในปี ค.ศ.1993",
"DNA () พบในนิวเคลียสของเซลล์และไวรัสบางชนิด เป็นสารพันธุกรรม ในธรรมชาติส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปเกลียวคู่ (Double stranded DNA) DNA ที่อยู่ในเซลล์มีจำนวนมากมักมีโครโมโซมเรียงตัวกันเป็นคู่หรือดิพลอยด์ มักพบบริเวณภายในนิวเคลียสของเซลล์"
] |
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซียคืออะไร? | [
"กัวลาลัมเปอร์ (Malay: Kuala Lumpur, อักษรยาวี: كوالا لومڤور, ออกเสียงตามภาษามลายูว่า กัวลาลุมปูร์) เป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซียและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศด้วย ภายในมาเลเซียเอง กัวลาลัมเปอร์มักจะเรียกย่อ ๆ ว่า KL"
] | [
"สายการบินแอร์เอเชีย เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซีย และเป็นสายการบินที่ให้บริการด้วยค่าโดยสารที่ถูกที่สุดในเอเชีย[4] กลุ่มแอร์เอเชีย ดำเนินการให้บริการเที่ยวบินทั่งในประเทศ และ ระหว่างประเทศ โดยมีจุดหมายปลายทางมากกว่า 400 เมืองใน 25 ประเทศ และมีท่าอากาศยานหลักคือ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ โดยให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร อาคาร KLIA2 และยังมีสายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินอินโดนีเซียแอร์เอเชีย เข้ามาใช้บริการร่วมด้วย แอร์เอเชียมาเลเซีย มีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่เปอตาลิงจายา รัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซีย และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์[5][6] แอร์เอเชียมีแผนจะเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียนในจาการ์ตา ในปี พ.ศ. 2554[7]ขณะเดียวกันยังคงรักษาสำนักงานใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์เอาไว้ด้วย[8]",
"ทางด่วนมาเลเซียมีทั้งในมาเลเซียตะวันตกและมาเลเซียตะวันออก ทางด่วนสายหลักของมาเลเซียตะวันตก คือ ทางด่วนเหนือ–ใต้มีเส้นทางผ่านเมืองใหญ่ต่าง ๆ และเขตเมืองในมาเลเซียตะวันตก เช่น รัฐปีนัง อีโปะฮ์ กลังแวลลีย์ และยะโฮร์บาห์รู ส่วนของมาเลเซียตะวันออก คือ ทางหลวงสายแพน-บอร์เนียว เชื่อมต่อรัฐซาบะฮ์และรัฐซาราวะก์ของมาเลเซียกับประเทศบรูไน",
"เกอดะฮ์ (Malay: Kedah, قدح) หรือ ไทรบุรี[3][4] มีชื่อเฉลิมเมืองเป็นภาษาอาหรับว่า ดารุลอามัน (\"ถิ่นที่อยู่แห่งสันติภาพ\") เป็นรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซียตะวันตก ครอบคลุมขนาดเนื้อที่ 9,425 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบใช้สำหรับปลูกข้าว รวมทั้งเกาะลังกาวี",
"อำเภอเบตงตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาสันกาลาคีรี มีลักษณะคล้ายหัวหอกพุ่งไปอยู่ในดินแดนประเทศมาเลเซีย มีพื้นที่เป็นที่ราบสูงเนินเขา ลุ่มน้ำ สภาพของเมืองเบตงตั้งอยู่ในหุบเขา มีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะที่โอบล้อมด้วยหุบเขาน้อยใหญ่ พื้นที่ทั่วไปสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 ฟุต ตัวเมืองเบตงอยู่ห่างจากด่านชายแดนเบตงเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีความสำคัญด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้า เป็นเมืองหน้าด่านที่จะนำสินค้าเข้าออกไปยังท่าเรือน้ำลึกปีนังของมาเลเซีย",
"อำเภอหาดใหญ่ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสงขลา เป็นที่ตั้งของเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของไทย และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของภาคใต้ หาดใหญ่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในหลายด้าน เป็นเมืองท่องเที่ยวและจุดสินค้าหลักในภาคใต้/หลากหลายราคาถูกและครบครัน..ที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะแถบประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีน และอินเดีย บรูไน",
"ส่วนใหญ่แล้ว ทางหลวงสหพันธ์มาเลเซียเป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร มีการจราจรเป็นระบบซ้ายมือ คือขับทางด้านซ้ายของถนน อย่างไรก็ตาม ในบางสายก็ได้มีการเพิ่มช่องจราจร ในเขตเมือง ทางหลวงสหพันธ์อาจเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการจราจร ถ้าอยู่ในเขตเนินเขา จะมีการเพิ่มช่องจราจรสำหรับยานพาหนะความเร็วต่ำ เช่น รถโดยสาร รถบรรทุก",
"ในระหว่างเกมกระชับมิตรทัวร์เอเชียที่เชลซี พบกับ ทีมชาติมาเลเซีย ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2011-12 เบนายูนถูกเสียงโห่น้องเหยียดเชื้อชาติอิสราเอล ทุกครั้งที่สัมผัสบอล ในช่วงการลงสนามในครึ่งแรก จากที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมาเลเซีย เป็นนับถือศาสนาอิสลาม และเป็นชาวมุสลิม โดยให้การสนับสนุน ปาเลสไตน์ ซึ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเวลานานกับอิสราเอล โดยผู้ชมส่วนน้อยใน สนามกีฬาแห่งชาติบูกิตจาลิล",
"เซอลาโงร์ (, อักษรยาวี: ) เป็นหนึ่งในสิบสามรัฐที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธ์มาเลเซีย ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของคาบสมุทรมลายู และล้อมรอบกัวลาลัมเปอร์ไว้ทั้งหมด อาณาเขตของรัฐเซอลาโงร์ ทิศเหนือติดรัฐเปรัก ทิศตะวันออกติดรัฐปะหัง ทิศตะวันตกติดช่องแคบมะละกา ทิศใต้ติดรัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน เมืองหลวงของเซอลาโงร์ชื่อ ชะฮ์อาลัม เมืองเจ้าผู้ครองชื่อ กลัง เป็นรัฐทีใหญ่อันดับ 9 ของมาเลเซีย อีกเมืองหนึ่งที่สำคัญของเซอลาโงร์คือเปอตาลิงจายา ซึ่งได้รับเป็นสถานะเป็นเมืองดีเด่นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2006",
"เมืองสายบุรี ใช้ตราหนู เมืองสายบุรีเป็นเมืองเก่าบนฝั่งแม่น้ำสายบุรี ประกอบด้วยชุมชนเกษตรกรรมบนพื้นราบริมทะเลหลายแห่ง จัดเป็นหัวเมืองที่ 1 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราหนู (ชวด) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นอำเภอในจังหวัดปัตตานี เมืองปัตตานี ใช้ตราวัว เมืองตานีเคยเป็นเมืองท่าสำคัญในภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งรู้จักในหมู่พ่อค้าต่างชาติช่วงพุทธศตวรรษที่ 10-18 ในชื่อ \"ลังกาสุกะ\" จัดเป็นหัวเมืองที่ 2 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราวัว (ฉลู) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดปัตตานี เมืองกลันตัน ใช้ตราเสือ เมืองกลันตันเป็นชุมชนเก่าแก่ทางตะวันออกของคาบสมุทรมลายู แต่เดิมประชาชนนับถือศาสนาพุทธและฮินดู ในราวพุทธศตวรรษที่ 21 จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม จัดเป็นหัวเมืองที่ 3 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราเสือ (ขาล) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย เมืองปะหัง ใช้ตรากระต่าย เมืองปะหังเป็นชุมชนทางตอนล่างของแหลมมลายู ติดกับไทรบุรีหรือเกดะห์ จัดเป็นหัวเมืองที่ 4 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตรากระต่าย (เถาะ) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย เมืองไทรบุรี ใช้ตรางูใหญ่ เมืองไทรบุรีเป็นชุมชนเก่าทางฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและบึงตม เดิมประชาชนนับถือพุทธศาสนา ล่วงถึงพุทธศตวรรษที่ 20 จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม จัดเป็นหัวเมืองที่ 5 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตรางูใหญ่ (มะโรง) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ชื่อว่า \"เกดะห์\" เมืองพัทลุง ใช้ตรางูเล็ก เมืองพัทลุงเป็นชุมชนเก่าแก่แต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ 11-13 ได้รับอิทธพลทางพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชอย่างต่อเนื่องทุกยุคสมัย จัดเป็นหัวเมืองที่ 6 ในทำเนียบสิบสองนักษัตร ถือตรางูเล็ก (มะเส็ง) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดพัทลุง เมืองตรัง ใช้ตราม้า เมืองตรังเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันตก ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ที่ควนธานี ต่อมาได้ย้ายไปที่กันตังและทับเที่ยงตามลำดับ จัดเป็นหัวเมืองที่ 7 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราม้า (มะเมีย) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดตรัง เมืองชุมพร ใช้ตราแพะ เมืองชุมพรเป็นชุมชนเกษตรและท่าเรือบนคาบสมุทรขนาดเล็ก มีประชากรไม่มากนักเนื่องจากดินฟ้าอากาศไม่อำนวยให้ทำมาหากิน จัดเป็นหัวเมืองที่ 8 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราแพะ (มะแม) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดชุมพร เมืองบันทายสมอ ใช้ตราลิง เมืองบันทายสมอสันนิษฐานว่าเป็นเมืองไชยา ซึ่งเป็นชุมชนใหญ่มาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๐ เป็นอย่างน้อย มีร่องรอยความเจริญทางเศรษฐกิจและศาสนาพุทธนิกายหินยานและมหายาน รวมทั้งศาสนาฮินดูนิกายไวษณพและนิกายไศวะ จำนวนมาก จัดเป็นหัวเมืองที่ 9 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราลิง (วอก) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองสะอุเลา ใช้ตราไก่ เมืองสะอุเลาสันนิษฐานว่าเป็นเมืองท่าทองอุแทหรือกาญจนดิษฐ์ ซึ่งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าทอง และลุ่มคลองกะแดะ เคยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงชั้นเอกและเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญของนครศรีธรรมราช จัดเป็นหัวเมืองที่ 10 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราไก่ (ระกา) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคืออำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองตะกั่วป่า ใช้ตราสุนัข เมืองตะกั่วป่าเคยเป็นเมืองท่าสำคัญทางฝั่งทะเลตะวันตก เป็นแหล่งผลิตดีบุกและเครื่องเทศมาแต่โบราณ จัดเป็นหัวเมืองที่ 11 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราสุนัข (จอ) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคืออำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เมืองกระบุรี ใช้ตราหมู เมืองกระบุรีเป็นชุมชนเล็ก ๆ บนฝั่งแม่น้ำกระบุรี ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่า และภูเขาสลับซับซ้อน จัดเป็นหัวเมืองที่ 12 ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราสุกร (กุน) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นอำเภอในจังหวัดระนอง",
"ต่อมาเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ล่องใต้มาตรวจราชการที่ ตำบลสุไหงโก-ลก นายวงศ์ ไชยสุวรรณ ร้องขอให้ตั้งเป็นเทศบาล ฯ พณ ฯ นายกรัฐมนตรีเห็นด้วย ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะตำบลสุไหงโก-ลก เป็นเทศบาลตำบลสุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 มีนายวงศ์ ไชยสุวรรณ เป็นนายกเทศมนตรีคนแรก เหตุการณ์นี้พระครูสุนทรธรรมภาณีได้เขียนคำกลอนบันทึกไว้ว่า\nใน พ.ศ. สองสี่แปดสิบสาม นายกนามจอมพล ป. พิบูลย์ศรี \nออกเที่ยวตรวจราชการงานที่มี มาถึงแดนโก-ลก โชคดีแรง \nกำนันวงศ์ร้องขอต่อ พณ,ท่าน ขอเปิดการเทศบาลขึ้นในแขวง \nจอมพล ป. เห็นตามความชี้แจง คุณวงศ์แต่งเปิดเขตเทศบาล \nฯลฯ \nในเจ็ดปีที่คุณวงศ์เป็นนายก สร้างโก-ลกให้สง่าหรูหราแสน \nทำประโยชน์มากมายเมืองชายแดน ตามแบบแปลนที่จะเล่ากล่าวต่อไป \nหนึ่งขอตั้งไปรษณีย์โทรเลข งานชิ้นเอกสร้างสรรค์ทันสมัย \nเรื่องที่สองร้องขอตั้งต่อไป โรงเรียนใหม่ถึงขั้นชั้นมัธยม \nทางกระทรวงศึกษาอนุญาต ความมุ่งมาตรมั่นหมายก็ได้ผล \nฯลฯ \nประการสี่มีข้อขอเสนอ ตั้งเป็นอำเภอปรารถนา \nเพราะโก-ลกคนมากหากเป็นป่า กิจธุระต้องไปสุไหงปาดี \nรัฐบาลเห็นพ้องอนุญาต แจ้งประกาศบอกกระบวนมาถ้วนถี่ \nให้ตั้งก่อนเป็นกิ่งจึงจะดี แต่บัดนี้เป็นอำเภอเสมอกัน \nหลังจากตั้งเทศบาลแล้ว 8 ปี ตำบลสุไหงโก-ลกจึงได้ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นกับอำเภอสุไหงปาดี โดยมีเขตปกครอง 4 ตำบล คือ ตำบลสุไหงโก-ลก ตำบลปูโยะ ตำบลปาเสมัส และตำบลมูโนะ (โอนมาจากอำเภอตากใบ) กระทั่งวันที่ 1 มกราคม 2496 จึงได้ยกฐานะเป็นอำเภอสุไหงโก-ลก มีนายนอบ นพสงศ์ เป็นนายอำเภอคนแรก เขตการปกครอง 4 ตำบลเท่าเดิม ส่วนตำบลสุไหงโก-ลกเป็นเทศบาล ความน่าภูมิใจของเทศบาลนี้คือ เป็นเทศบาลเดียวในประเทศไทยที่จัดตั้งก่อนอำเภอถึง 13 ปีและเกิดจากความต้องการของประชาชน ปัจจุบันเทศบาลตำบลสุไหงโก-ลกได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลกเมื่อ ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา\nประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณใจกลางสวนภูมินทร์ ( สวนรถไฟ ) เป็นพระบรมรูปหล่อสำฤทธิ์สีดำขนาดเท่าพระองค์จริง จัดสร้างโดยกรมศิลปากร เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก และประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาส เมื่อ ประมาณ ปี พ.ศ. 2510 โดยจัดสร้างหันหน้าพระพักต์ไปทางประเทศมาเลเซียแสดงถึงพระบารมีเมตตาเหนือประชาชนชาวสยามที่จะทรงปกป้องแผ่นดินไทยตลอดไปถึงแม้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จสวรรคตไปกว่าร้อยปีแล้วแต่พระบารมีเมตตายังทรงคุ้มครอบประชาชนชาวไทยอยู่ ปัจจุบันเป็นที่เคารพรักและสักการะของชาวเมืองและนักท่องเที่ยวทั่วไป\nเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่สุดปลายริมแม่น้ำโก-ลก มีทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ยามพักผ่อน ออกกำลังกายของประชาชนทั่วไป มีน้ำพุกลางสระน้ำขนาดใหญ่ สวนสุขภาพ เวทีเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ลานออกกำลังแอโรบิก และสวนพันธ์ไม้หายากต่างๆ\nด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ถือเป็นด่านการค้าชายแดน ระหว่างประเทศ ( ประเทศไทย และ ประเทศมาเลเซีย ) ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก สุดปลายถนนเอเชีย 18 โดยมีสะพานมิตรภาพเชื่อมไปยังเมืองลันตูปันจัง ประเทศมาเลเซีย ก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2530 ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ถือเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าสไคญของจังหวัดนราธิวาส และมีขนาดใหญ่รองจากด่านสะเดา ที่จังหวัดสงขลา เป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการสำคัญเช่น ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ที่ 1 ด่านตรวจพืช ด่านตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์บริการท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคใต้เขต 3 และถือเป็นจุดผ่านแดนแห่งที่2 ที่มีสะพานข้ามทางรถไฟเชื่อมไปยังประเทศมาเลเซียอีกด้วย โดยมีเขตสถานีรถไฟอยู่ในประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย ( ปัจจุบันหยุดเดินรถไปแล้ว เนื่องจากปัญหาการเดินรถ )ภายในเขตเทศบาลฯ มีบริการรถจักรยานยนต์รับจ้างสำหรับโดยสารภายในเมือง ส่วนระหว่างอำเภอมีบริการรถสองแถว รถตู้ รถโดยสารประจำทาง",
"กวนตัน (Kuantan) เป็นเมืองหลวงของรัฐปะหัง รัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของมาเลเซีย เมืองตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำกวนตัน อยู่ทางทิศตะวันออกของรัฐปะหัง\nเป็นเมืองใหญ่อันดับ9ของมาเลเซีย",
"แนวร่วมแห่งความหวัง (, ) พันธมิตรทางการเมืองที่ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 2015 เกิดจากการจับมือกันของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและสายกลางนับเป็นพันธมิตรทางการเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของมาเลเซียและได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรหลังจากมีชัยชนะเหนือ แนวร่วมแห่งชาติ และประธานของพรรค ดร. มาฮาดีร์ บิน โมฮามัด ได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตั้งแต่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2018",
"พรรคเสรีประชาธิปไตย (; ; ) เป็นพรรคการเมืองของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ก่อตั้งที่เมืองตาเวา รัฐซาบะฮ์ โดยเฮียว มินกง ใน พ.ศ. 2532 พรรคนี้เป็นพรรคการเมืองขนาดเล็ก ฐานที่มั่นส่วนใหญ่อยู่ในซาบะฮ์\nพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยมก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2532 ในยุคที่พรรคสหซาบะฮ์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในระดับสหพันธรัฐได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลในซาบะฮ์ พรรคใหม่นี้เข้าร่วมการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2533 แต่ไม่มีผู้ได้รับเลือก ต่อมา ใน พ.ศ. 2534 พรรคประชาธิปไตยเสรีนิยมเข้าร่วมในแนวร่วมแห่งชาติในฐานะพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนในซาบะฮ์ ชง กะห์เกียตได้เป็นประธานพรรค เมื่ออุมโนขยายตัวเข้ามาในซาบะฮ์เพื่อแข่งขันกับพรรคสหซาบะฮ์ พรรคการเมืองอื่นๆในแนวร่วมแห่งชาติที่เคยเข้าร่วมในการเลือกตั้งระดับรัฐ พ.ศ. 2533 เช่น พรรคเบอร์จายาและอุสโนถูกบีบให้สลายตัวและรวมเข้ากับอุมโน",
"เขตแดนทางการเมืองที่บริเตนลากไม่สะท้อนชาติพันธุ์หรือศาสนาเดียวกันเสมอไป ส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่อดีตอาณานิคมหลายแห่ง จักรวรรดิบริติชยังทำให้มีการย้ายถิ่นประชากรขนานใหญ่ หลายล้านคนออกจากหมู่เกาะบริเตน โดยประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานของสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่มาจากบริเตนและไอร์แลนด์ ยังมีความตึงเครียดระหว่างประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวของประเทศเหล่านี้กับชนกลุ่มน้อยพื้นเมือง และระหว่างชนกลุ่มน้อยผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวและฝ่ายข้างมากพื้นเมืองในแอฟริกาใต้และซิมบับเว ผู้ตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์จากบริเตนใหญ่ทิ้งร่องรอยในรูปชุมชนชาตินิยมและสหภาพนิยมที่แตกแยกในไอร์แลนด์เหนือ หลายล้านคนย้ายเข้าและออกจากอาณานิคมบริติช โดยมีชาวอินเดียจำนวนมากย้ายถิ่นไปส่วนอื่นของจักรวรรดิ เช่น มาเลเซียและฟิจิ และชาวจีนไปมาเลเซีย สิงคโปร์และแคริบเบียน ประชากรศาสตร์ของบริเตนเองก็เปลี่ยนหลังสงครามโลกครั้งที่สองเนื่องจากมีการเข้าเมืองบริเตนจากอดีตอาณานิคม",
"ซึ่งชาวไทยในมาเลเซียนั้นมีความเคารพศรัทธาและความผูกพันกับพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราชมาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว ซึ่งในอดีตอันยาวนานนับตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 เมืองนครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงก์ เป็นแคว้นใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นเป็นเมืองศูนย์กลางในแหลมมลายูมีเมืองบริวารถึง 12 เมืองเรียกว่าเมือง 12 นักษัตร และไทรบุรีหรือเกอดะฮ์แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งใน 12 เมืองบริวาร โดยถือตรงมะโรงหรืองูใหญ่เป็นตราสัญลักษณ์ ประกอบกับทั้งเมืองนครศรีธรรมราชที่ตั้งอยู่ริมฝั่งอ่าวไทย ในขณะที่รัฐไทรบุรีเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรอินเดีย จึงเป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญต่อกัน ผู้คนพลเมืองเดินทางไปมาหาสู่กันเหมือนบ้านพี่เมืองน้องจนมีคำกล่าวที่ติดปากกันสืบมาว่า \"กินเมืองคอน นอนเมืองไทร\" อันเป็นคำกล่าวที่แสดงถึงความผูกพันระหว่างสองเมืองได้เป็นอย่างดียิ่ง และความผูกพันเช่นนี้ก็ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศของความเคารพความศรัทธาของชาวไทยในมาเลเซียที่มีต่อพระบรมธาตุ คนไทยในไทรบุรีมีคติความเชื่อสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณว่า หากใครได้มีโอกาสเดินทางมานมัสการพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราชแล้ว ก็จะได้บุญกุศลมากมายยิ่ง เพราะได้มาถึงศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่ยาวไกลและสมบุกสมบันทุรกันดารยิ่งนัก คนที่เดินทางมาถึงได้ต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในจิตใจ ใครได้มาถึงแล้วกลับไปก็จะกลายเป็นคนที่เป็นยอดคนเลยทีเดียว ยิ่งได้มาบวชหรือพาลูกพาหลานมาบวชด้วยแล้ว ก็จะยิ่งได้กุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก แม้ปัจจุบันการเดินทางจะสะดวกสบาย ด้วยการเดินทางทางรถยนต์ราว 3-4 ชั่วโมง แต่ศรัทธาของพวกเขาก็ยังคงอยู่และสืบทอดมายังคนรุ่นหลัง",
"สะพานปีนัง (; ; ) หรือทางด่วนหมายเลข 36 เป็นสะพานทางด่วนระยะทาง 13.5 กิโลเมตร ในรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เชื่อมต่อเมืองไปรบนฝั่งแผ่นดินใหญ่ของรัฐ ข้ามช่องแคบปีนัง เชื่อมต่อกับเกลูโกร์บนฝั่งเกาะปีนัง เป็นหนึ่งในสองสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างมาเลเซียตะวันตกกับเกาะ และยังเป็นสะพานที่ยาวที่สุดอันดับสองในประเทศมาเลเซียและอันดับห้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความยาวเหนือน้ำถึง 8.4 กิโลเมตร มีพิธีเปิดสะพานนี้เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1985 ปัจจุบัน ผู้รับสัมปทานและผู้บำรุงรักษา คือ พลัสเอกซ์เพรสเวย์",
"ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซียเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 และมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ เอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ คนปัจจุบันคือ นายกฤต ไกรจิตติ ซึ่งเดินทางไปรับหน้าที่เมื่อวันที่ 2 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 นอกจากนี้ ไทยยังมีสถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย 2 แห่ง ได้แก่ (1) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง และ (2) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ซึ่งตั้งสำนักงานในมาเลเซียได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารทั้งสามเหล่าทัพ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สำนักงานแรงงาน และสำนักงานประสานงานตำรวจ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มาเลเซีย",
"ไซเบอร์จายา () เป็นเมืองในประเทศมาเลเซีย อยู่ทางใต้ของกัวลาลัมเปอร์ ทางทิศตะวันตกของปูตราจายา เหตุผลที่ตั้งชื่อเมืองเช่นนี้ เพราะไซเบอร์จายาเป็นเสมือนเมืองแห่งโลกของไซเบอร์ (Cybercity) เนื่องจากเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมด้านสื่อผสม (หรือมัลติมีเดีย) ศูนย์การค้นคว้าและวิจัย (R&D Centers) มหาวิทยาลัยมัลติมีเดีย และสำนักงานใหญ่ด้านปฏิบัติงานของบริษัทนานาชาติที่ต้องการเข้ามาสร้างฐานผลิตหรือทำการค้าในมาเลเซียจากทั่วโลก",
"ถนนเพชรเกษม () ซึ่งมีระยะทางส่วนใหญ่เป็น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 สายกรุงเทพมหานคร–จุดผ่านแดนถาวรสะเดา (เขตแดนไทย/มาเลเซีย) เป็นทางหลวงแผ่นดินสายประธานของประเทศไทย ที่มีเส้นทางมุ่งสู่ภาคใต้ของประเทศไทย มีระยะทาง 1310.554 กิโลเมตร นับเป็นทางหลวงหรือถนนสายที่ยาวที่สุดในประเทศไทย[1][2] ถนนเพชรเกษมมีเส้นทางเริ่มต้นที่สะพานเนาวจำเนียร (ข้ามคลองบางกอกใหญ่) ตั้งอยู่บนเส้นแบ่งการปกครองระหว่างเขตบางกอกใหญ่กับเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร สิ้นสุดที่จุดผ่านแดนถาวรสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา บริเวณเขตแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย เชื่อมต่อกับทางด่วนเหนือ–ใต้ สายเหนือ ที่เมืองบูกิตกายูฮีตัม รัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย บางช่วงของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงเอเชียสาย 2 และทางหลวงเอเชียสาย 123",
"สนามกีฬาชาห์อาลัม () เป็นสนามกีฬามาตรฐานตั้งอยู่ที่เมืองชาห์อาลัม ประเทศมาเลเซีย เป็นสนามที่ใช้ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลเป็นส่วนใหญ่ โดยปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของสมาคมฟุตบอลเซอลาโงร์ (Selangor FA) สโมสรฟุตบอลในมาเลเซียซูเปอร์ลีก มีความจุทั้งหมด 80,000 ที่นั่ง",
"อย่างไรก็ตาม พลเมืองของประเทศมาเลเซียทั้งเชื้อชาติมลายู อินเดียและจีน ส่วนหนึ่งเห็นว่าควรยกเลิก NEP ไป เพราะเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ ส่วนนักลงทุนต่างชาติตะวันตกเห็นว่า NEP มีผลเสีย เนื่องจากทำให้พวกภูมิบุตรเอาแต่รอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล บ้างก็วิจารณ์กันว่าแท้จริงแล้ว NEP อาจมีเพื่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพรรคอัมโน เนื่องจากเป็นนโยบายที่อำนวยผลประโยชน์ต่อพลเมืองเชื้อสายมลายู ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรค",
"ปี ค.ศ. 1949 ในช่วงแรกของอาชีพนักการเมือง เขาได้เข้ารับงานราชการเป็นที่แรกที่สำนักงานกฎหมายของเมืองอาโลร์เซอตาร์ ต่อมาเมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอัยการก็มีคำสั่งให้ย้ายไปประจำที่ กัวลาลัมเปอร์ และหลังจากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานศาล ในช่วงเวลานั้นได้มีกลุ่มลัทธิชาตินิยมในมลายู ในการต่อต้านสหภาพมาลายาของอังกฤษ (Britain's Malayan Union) นำโดย ดาโต๊ะอันจาฟาร์ (Datuk Onn Jaafar) นักการเมืองของมาเลเซียที่เป็นผู้นำขององค์การประชาชาติมาเลเซียหรือพรรคแนวร่วมแห่งสหพันธ์มลายา (UMNO ที่เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในมาเลเซีย) และท่านตุนกู อับดุล ระฮ์มัน ได้สมัครเข้าร่วมกับพรรคอัมโน (UMNO) ท่านเป็นนักการเมืองเชื้อสายชาวมลายูที่ได้รับความนิยมและยอมรับจนได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสาขาของพรรคอัมโนในรัฐเกอดะฮ์",
"ลิงกา (; ) เป็นเมืองประมงขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตซรีอามัน รัฐซาราวะก์ ประเทศมาเลเซีย ใกล้กับแม่น้ำลูปาร์ที่ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ ที่นี่การค้าพาณิชย์ส่วนใหญ่มักเป็นกิจการของกลุ่มชนเชื้อสายจีน และมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองแห่งจระเข้ซึ่งมีจำนวนมากและสามารถพบได้ตามลำน้ำทั่วไป",
"โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เป็นแบบเกษตรกรรม ยกเว้นสิงคโปร์และบรูไนซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมาก ในขณะเดียวกันทุกประเทศก็พัฒนาอุตสาหกรรมจนมีความก้าวหน้าไปมาก เช่น ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเมืองใหญ่ที่สำคัญหลายเมือง เช่น จาการ์ตา (เมืองใหญ่ที่สุดในภูมิภาค) กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา โฮจิมินห์ซิตี ฮานอย ปูตราจายา กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ บันดาร์เซอรีเบอกาวัน ภูเก็ต เป็นต้น",
"จัดเป็นปลาปักเป้าอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ โดยขนาดใหญ่ที่สุดพบยาวถึง 19.4 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบได้เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีรายงานจากทะเลสาบสงขลา เป็นปลาที่พบชุกชุมในบางฤดูกาลบริเวณลำคลองรอบ ๆ ป่าพรุโต๊ะแดง ที่จังหวัดนราธิวาส และพบเรื่อยไปจนถึงมาเลเซียจนถึงอินโดนีเซีย โดยมีการตั้งชื่อสายพันธุ์ตามชื่อเมืองที่ค้นพบครั้งแรก คือ เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตราใต้",
"อำเภอบินตูลู () เป็นหนึ่งใน 2 อำเภอของเขตบินตูลู, รัฐซาราวะก์, ประเทศมาเลเซีย มีพื้นที่รวมประมาณ 7,220.40 ตารางกิโลเมตร มีเมืองขนาดใหญ่ที่สุด 2 เมือง คือ เมืองบินตูลู และเมืองเซอบาอูห์ มีหน่วยปกครองย่อยที่ขึ้นตรงต่ออำเภอบินตูลู 1 แห่ง คือ ตำบลเซอบาอูห์ ",
"ซันดากัน (; ) มีชื่อเดิมว่า เอโลปูรา () เป็นเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งของรัฐซาบะฮ์ ประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว อดีตที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของนอร์ทบอร์เนียวก่อนหน้าโกตากีนาบาลู",
"ซูไงเปอตานี หรือ สุไหงปัตตานี () หรืออาจรู้จักในชื่อย่อว่า เอสจีเปอตานี หรือ เอสพี เป็นเมืองหนึ่งในรัฐเกอดะฮ์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนบนของคาบสมุทรมลายู เมืองนี้มีประชากร 456,605 คน ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐเกอดะฮ์ และมีประชากรมากกว่าเมืองอาโลร์เซอตาร์ เมืองเอกของรัฐ",
"แม้พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียจะสนับสนุนซูการ์โนแต่ก็ไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์ทางการเมืองของตนเอง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2503 พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียได้ประกาศถึงการจัดงบประมาณที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของซูการ์โน เมื่อมีการจัดตั้งมาเลเซีย พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียได้ออกมาต่อต้านเช่นเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์มลายา การเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียในช่วงนี้ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากสหภาพโซเวียตและจีน มีองค์กรที่เป็นแนวร่วมมากมาย ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2505 พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียเข้าร่วมรัฐบาล ไอดิตและโยโตได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ใน พ.ศ. 2506 รัฐบาลมาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้ประชุมกันเพื่อจัดตั้งมาฟิลินโด พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียปฏิเสธแนวคิดนี้เช่นกัน ทหารของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียข้ามพรมแดนไปยังมาเลเซียและรบกับกองทหารอังกฤษและออสเตรเลียที่ประจำการอยู่ที่นั่น บางกลุ่มเดินทางไปยังมลายาเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่ถูกจับตัวได้ กองทหารของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียจะมีกิจกรรมในเกาะบอร์เนียว"
] |
สิ่งปฏิกูลหมายถึงอะไร? | [
"ปฏิกูล, ขยะ, ของเสีย หรือ ของทิ้ง (English: waste) หมายถึง สิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการและหมดประโยชน์แล้ว ปฏิกูลคือสสารใด ๆ ที่ถูกทิ้งหลังจากใช้งานหลัก ไม่มีค่า มีตำหนิ หรือใช้การไม่ได้แล้ว"
] | [
"การสุขาภิบาล เป็นวิธีการทางสุขอนามัยของการส่งเสริมสุขภาพโดยผ่านการป้องกันมนุษย์มิให้สัมผัสกับภัยจากปฏิกูล เช่นเดียวกับการบำบัดและการกำจัดที่เหมาะสมของของเสียและน้ำเสีย. ภัยนั้นอาจเป็นทั้งตัวการของโรคทางกายภาพ, ทางจุลินทรีย์ชีวภาพ, ทางชีววิทยาหรือทางเคมี. ปฏิกูลที่สามารถก่อปัญหาสุขภาพได้ได้แก่ อุจจาระของมนุษย์หรือมูลของสัตว์, ปฏิกูลของแข็ง, น้ำทิ้งจากครัวเรือน(น้ำเสีย, สิ่งโสโครก, ปฏิกูลอุตสาหกรรมและปฏิกูลเกษตรกรรม. วิธีการทางสุขอนามัยในการป้องกันอาจเป็นการใช้วิธีการทางวิศวกรรม (เช่น การบำบัดน้ำเสีย, การบำบัดสิ่งปฏิกูล, การระบายน้ำท่วมจากพายุ, การจัดการปฏิกูลของแข็ง, การจัดการอุจจาระ), เทคโนโลยีเรียบง่าย (เช่น ส้วมหลุม, ส้วมแห้ง, UDDT, และถังเกรอะ) หรือแม้แต่การปฏิบัติสุขลักษณะส่วนตัวง่ายๆ (เช่นการล้างมือด้วยสบู่, การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม).",
"คำว่าปฏิกูล หรือขยะ มักจะเป็นอัตวิสัย (เนื่องจากปฏิกูลของคนคนหนึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิกูลของอีกคนหนึ่ง) และบางครั้งไม่เป็นที่ถูกต้องตามปรวิสัย (ตัวอย่างเช่น การส่งเศษโลหะไปยังหลุมฝังกลบปฏิกูลเป็นการจัดให้เป็นปฏิกูลที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากมันสามารถแปรใช้ใหม่ได้) ตัวอย่างปฏิกูลได้แก่ปฏิกูลจากชุมชน (ขยะจากบ้านเรือน) ปฏิกูลที่เป็นสารอันตราย น้ำเสีย (เช่น น้ำโสโครก ซึ่งประกอบด้วยของเสียจากร่างกาย (อุจจาระ และปัสสาวะ) และน้ำผิวดิน) ปฏิกูลกัมมันตรังสี และอื่น ๆ",
"หลักฐานเกี่ยวกับส้วม ระบุว่าในสมัยสุโขทัยก็เริ่มมีส้วมเป็นกิจจะลักษณะแล้ว พบว่ามีโถส้วมเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ว่าคนสมัยนั้นมีวิธีกำจัดสิ่งปฏิกูลแล้ว เรียกว่าโถส้วมสุโขทัย มีลักษณะเป็นหิน มีร่องรับการถ่ายเบา และช่องรับการถ่ายหนักอยู่ตรงกลาง เบา-หนักจะแยกไปคนละทางไม่ให้ปนกัน เป็นวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นรุนแรง",
"ตั้งแต่เริ่มตั้งทุนท้าทายให้ประดิษฐ์ส้วมใหม่ มีทีมนักวิจัยเกินกว่าโหล โดยมากที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ยุโรป อินเดีย และแอฟริกาใต้ ที่ได้รับเงินช่วยเหลือเพื่อพัฒนาการบำบัดสิ่งปฏิกูลที่เป็นนวัตกรรมเพื่อให้คนยากจนในเมืองได้ใช้\nเงินที่ช่วยเหลือจะให้ประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐในระยะการดำเนินงานเบื้องต้น และตามด้วย 1-3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะที่สอง\nและทีมต่าง ๆ ตรวจสอบการแยกทรัพยากรที่เวียนใช้ได้จากของขับถ่าย หรือเทคโนโลยีการแปลงของเสีย (excreta) หรือเทคโนโลยีการแปลงกากอุจจาระ (จากถังอุจจาระ)\nโปรแกรมนี้พุ่งความสนใจไปที่การประดิษฐ์ส้วมชักโครกใหม่\nเป้าหมายก็คือการสร้างส้วมที่ไม่เพียงแต่กำจัดเชื้อโรคจากของเสียมนุษย์เท่านั้น แต่สามารถแยกเอาพลังงาน หรือน้ำสะอาด และสารอาหารได้ด้วย\nซึ่งต้องสามารถใช้ได้โดยไม่เชื่อมกับระบบต่าง ๆ จากเทศบาลเช่นการประปา ระบบระบายสิ่งปฏิกูล หรือกับการไฟฟ้า\nและต้องมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 0.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (น้อยกว่าประมาณ 2 บาท)\nส่วนส้วมไฮเถ็คเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับของเสียมนุษย์ก็กำลังได้ความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน แต่ว่าการเพ่งความสนใจไปที่การแก้ปัญหาโดยเทคโนโลยีมีคนไม่เห็นด้วยมาก\nแต่ว่า ส้วมแบบโลว์เถ็คอาจเป็นอะไรที่ใช้ได้ดีในประเทศที่ยากจน และงานวิจัยที่มูลนิธิให้ทุนก็กำลังดำเนินการทำส้วมเช่นนี้\nทุนท้าทายให้ประดิษฐ์ส้วมใหม่เป็นการวิจัยและพัฒนาการระยะยาวเพื่อจะสร้างส้วมที่ถูกอนามัย และแยกอยู่ได้ต่างหาก\nซึ่งเสริมด้วยอีกโปรแกรมหนึ่งที่จะพัฒนาเทคโนโลยีการกำจัดอุจจาระจากส้วมหลุม (ที่มูลนิธิเรียกว่า “Omni-Ingestor”))\nและกระบวนการแปลงกากตะกอนอุจจาระ (ที่มูลนิธิเรียกว่า Omni-Processor)\nซึ่งมีเป้าหมายในการแปลงของเสียมนุษย์ (เช่นกากตะกอนอุจจาระ) ให้กลายเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่น พลังงานหรือสารอาหารในดิน โดยมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นธุรกิจและรายได้สำหรับคนในพื้นที่โครงการริเริ่มพิเศษของมูลนิธิรวมทั้งทุนตอบสนองต่อวิกฤตการณ์และทุนเรียนรู้ที่ใช้ทดลองในการบริจาคในเรื่องใหม่ ๆ ตัวอย่างรวมทั้ง",
"พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ให้คำว่า\" มูลฝอย\" หมายความว่า เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า เศษวัตถุ ถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ ซากสัตว์ หรือสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์ หรือที่อื่น และหมายความรวมถึงมูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน[1]",
"น้ำเสียจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่นโรงกลั่นน้ำมัน, โรงงาน ปิโตรเคมี, โรงงานเคมีและโรงงานแปรรูปก๊าซธรรมชาติทั่วไปมีปริมาณรวมของน้ำมันและสารแขวนลอย อุตสาหกรรมจะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า API oil-water separator ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแยกน้ำมันและสิ่งปฏิกูลแขวนลอยในน้ำเสีย เครื่องได้รับการออกแบบตามมาตรฐานการตีพิมพ์โดยสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API).",
"พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ให้คำว่า\" มูลฝอย\"จัดเป็นของเสียประเภทหนึ่ง โดยให้คำจำกัดความของคำว่า ของเสีย (Waste) หมายความว่า ขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล น้ำเสีย อากาศเสีย มลสารหรือวัตถุอันตรายอื่นใด ซึ่งถูกปล่อยทิ้งหรือมีที่มาจากแหล่งกำเนิดมลพิษ รวมทั้งกากตะกอนหรือสิ่งตกค้าง จากสิ่งเหล่านั้น ที่อยู่ในสภาพของแข็งของเหลวหรือก๊าซ",
"บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ ทรานสปอร์ต จำกัด (ชื่อย่อ : BWT) ผู้ให้บริการขนส่งสิ่งปฏิกูลฯ ด้วยรถขนส่งและภาชนะบรรจุที่ได้มาตรฐาน และ ",
"เป็นอารมณ์ โดยพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งปฏิกูล ไม่งาม เป็นต้น เพราะมีคำว่า ตโจ เป็นคำที่ ๕ จึงเรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกรรมฐาน คือเป็นกรรมฐานเบื้องต้น กรรมฐานที่เป็นพื้นฐาน กรรมฐานนี้พระอุปชฌาย์จะสอนแก่ผู้บวช (นาค) ในท่ามกลางสงฆ์ก่อนที่จะมอบผ้าไตรให้ไปนุ่งห่มเพื่อให้อุปสมบทต่อไป เรียกขั้นตอนนี้ว่า บอกกรรมฐาน",
"ในคำว่า \"เซติ\" ในการให้นิยามคำจำกัดความของแฟรงก์ เดรก ก็คือ \"ทั้งหมดที่เราทราบแน่นอนได้ว่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นจะไม่ได้เป็นแค่เพียงถังขยะสำหรับเครื่องส่งสัญญาณไมโครเวฟที่ทรงพลังอย่างแน่นอน\" (นั่นก็คือ ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ด้วยสัญญาณคลื่นไมโครเวฟที่เราส่งออกไปหรือรับเข้ามาเหมือนกับถังขยะรอรับสิ่งปฏิกูลหรือของที่คนเขาทิ้งแล้วดังเพลงสตริงของวงดนตรีชื่อดังวงหนึ่งที่ฮิตกันในหมู่วัยรุ่นไทย (ถังขยะเลย - นูโว) นั้น เราอาจจะได้เจอ\"อะไรที่เจ๋งๆ\"ในถังขยะใบเล็กๆนี้อย่างแน่นอน) เดรกตั้งข้อสังเกตว่ามันมีความเป็นไปได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลลัพธ์ทางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของมนุษย์โลกเราในความพยายามที่จะติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวนั้นจะต้องได้รับการดำเนินการในบางวิธีที่อยู่ในรูปแบบอื่นๆนอกเหนือไปจากการส่งคลื่นวิทยุออกไปในห้วงอวกาศนอกโลกอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่ดั้งเดิม ",
"\"...สุภาพสตรีผู้น่าสงสารผู้นั้น ถูกโยนเข้าไปขังไว้ในโรงม้าอันคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นและสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ไม่มีข้าวของติดตัวไปเลย มีแต่ฟากสำหรับนอนเท่านั้น\"",
"พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ได้นิยามที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “ขยะมูลฝอย” เพื่อควบคุม กำกับการจัดการ “ขยะมูลฝอย” ในภาคอุตสาหกรรม โดยได้นิยามคำว่า “สิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว” หมายความว่า สิ่งของที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการโรงงาน รวมถึงของเสียจาก วัตถุดิบ ของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ของเสียที่เป็นผลิตภัณฑ์เสื่อมคุณภาพ และน้ำทิ้งที่มีองค์ประกอบหรือมีคุณลักษณะที่เป็นอันตราย ซึ่งปรากฏในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง การกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2548",
"ความสำคัญของน้ำเพชรสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2465 โดย ได้เปลี่ยนเป็นน้ำประปาแทน ทั้งนี้เพราะทางราชการได้พิจารณาเห็นว่า แม่น้ำเพชรบุรีตลอดสองฝั่งมีบ้านเรือนของราษฎรตั้งอยู่อย่างหนาแน่น น้ำในลำน้ำมีสิ่งปฏิกูลสกปรกไม่เหมาะสมที่จะเป็นน้ำเสวยอีกต่อไป จึงได้กราบบังคมทูลในรายงานของพระยายมราชเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสให้งดการตักน้ำจากแม่น้ำเพชร",
"ภายใต้ขอบข่ายงานของสหภาพยุโรปได้บัญญัติความหมายของปฏิกูลไว้ว่า เป็นวัตถุที่สามรถจับต้องได้ซึ่งถูกทอดทิ้ง, ตั้งใจที่จะทอดทิ้งหรือปรารถนาที่จะทอดทิ้ง โดยมีคำกล่าวที่ว่า",
" ส้วมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม (和式, \"วะชิกิ\") คือส้วมแบบนั่งยอง ซึ่งรู้จักในอีกชื่อคือ \"ส้วมเอเชีย\" เพราะส้วมแบบนั่งยองเป็นแบบที่พบเห็นได้ทั่วทวีปเอเชีย ส้วมแบบนั่งยองแตกต่างจากส้วมแบบตะวันตกทั้งวิธีสร้างและวิธีใช้ ส้วมนั่งยองมีลักษณะคล้ายโถฉี่ขนาดเล็กซึ่งถูกหมุน 90 องศาและติดตั้งบนพื้น ส้วมแบบญี่ปุ่นส่วนใหญ่ทำจากเครื่องเคลือบดินเผา และในบางแห่ง (เช่นบนรถไฟ) ทำด้วยสเตนเลส ผู้ใช้ต้องนั่งยองบนส้วมโดยหันหน้าเข้าหาด้านที่มีฝาโค้งครึ่งทรงกลม (หรือหันหน้าเข้าหากำแพงด้านหลังส้วมในภาพด้านขวามือ) แอ่งตื้น ๆ ของส้วมจะทำหน้าที่เป็นที่เก็บสิ่งปฏิกูลแทนโถที่มีน้ำของส้วมแบบตะวันตก แต่ส่วนอื่น ๆ เช่นถังกักน้ำ ท่อ และกลไกการปล่อยน้ำเหมือนกันกับส้วมตะวันตก การกดชักโครกจะทำให้น้ำที่ถูกปล่อยออกมากวาดเอาสิ่งปฏิกูลในแอ่งไหลลงไปในหลุมอีกด้านหนึ่ง และทำให้สิ่งปฏิกูลถูกทิ้งไปในระบบน้ำเสีย การกดชักโครกมักใช้วิธีชักคันโยกเช่นเดียวกับส้วมตะวันตก แต่บางครั้งใช้วิธีดึงมือจับหรือเหยียบปุ่มบนพื้นแทน ส้วมญี่ปุ่นจำนวนมากมีการปล่อยน้ำสองแบบคือ “เล็ก” (小) กับ “ใหญ่” (大) ซึ่งแตกต่างกันที่ปริมาณน้ำที่ถูกปล่อยออก แบบแรกสำหรับการถ่ายเบา (ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “การถ่ายเล็ก”) และแบบหลังสำหรับการถ่ายหนัก (“การถ่ายใหญ่”) บางครั้งผู้ใช้จะเปิดน้ำแบบ “เล็ก” ให้เกิดเสียงขณะปัสสาวะเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว ส้วมแบบนั่งยองนี้มีทั้งแบบที่ติดตั้งในระดับเดียวกับพื้น และอีกแบบติดตั้งบนพื้นที่ยกสูงขึ้นประมาณ 30 ซม. เพื่อให้ง่ายสำหรับผู้ชายเวลายืนปัสสาวะ แต่ทั้งสองแบบก็ใช้สำหรับยืนปัสสาวะได้เหมือนกัน ในห้องน้ำสาธารณะมักมีป้ายบอกให้ “กรุณาก้าวเข้ามาอีกก้าว” เพราะบางครั้งถ้าผู้ใช้นั่งยองห่างจากฝาโค้งมากเกินไปจะทำให้สิ่งปฏิกูลตกนอกส้วม",
"ชะวากทะเลเป็นพื้นที่มีประชากรมาอาศัยอยู่จำนวนมาก คือประมาณร้อยละ 60 จากประชากรทั้งหมดของโลกที่ชอบอาศัยตามแนวชายฝั่งทะเลและชะวากทะเล เป็นผลให้พื้นที่ชะวากทะเลนี้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆได้แก่ การตกตะกอนของตะกอนจากการพังทลายของหน้าดินเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า การเพิ่มความเข้มข้นของปริมาณสารเคมีในระบบนิเวศจากสิ่งปฏิกูลและมูลสัตว์ (Eutrophication) มลพิษจากโลหะหนัก, สารพีซีบีเอส (PCBs), ธาตุกัมมันตรังสีและสารประกอบไฮโดรคาร์บอนจากสิ่งปฏิกูล และแนวกั้นน้ำหรือเขื่อนที่ใช้ในการควบคุมปริมาณการไหลของน้ำ",
"น้ำทิ้ง (graywater) เป็นน้ำเสียประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้งานตามบ้านเรือนและสำนักงาน โดยต่างจากน้ำโสโครกที่เป็นน้ำเสียที่ไม่มีการปนเปื้อนจากสิ่งปฏิกูลจากมนุษย์ น้ำทิ้งเกิดจากการใช้งานทั่วไป เช่น การล้างมือ การอาบน้ำ การซักผ้า หรือการล้างจาน ซึ่งเป็นน้ำเสียที่ง่ายในการบำบัดและสามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้ในบริเวณตัวพื้นที่ เช่นใช้การชักโครก หรือใช้ในการรดน้ำต้นไม้ อย่างไรก็ตามการใช้น้ำที่มีส่วนผสมของสบู่สามารถส่งผลต่อพื้นพันธุ์ได้ ",
"ในปี ค.ศ. 2001 สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฟ้อง MIT ในศาล เพราะทำผิดกฎหมายน้ำสะอาด (Clean Water Act) และกฎหมายอากาศสะอาด (Clean Air Act) มีสาเหตุมาจากวิธีการเก็บและทิ้งสิ่งปฏิกูลอันตราย MIT ได้ระงับคดีโดยเสียค่าปรับ 155,000 ดอลลาร์สหรัฐและได้ริเริ่มโครงการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม 3 โครงการ คือ",
"ท่อน้ำทิ้งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพประกอบด้วยท่อ ปั๊ม ตะแกรง ประตู และอื่น ๆ เพื่อใช้ในการระบายน้ำเสียจากแหล่งกำเนิดไปยังจุดของการรักษาสุดท้ายหรือการกำจัดทิ้ง ท่อน้ำทิ้งมีหลายประเภทในระบบบำบัดน้ำเสีย ยกเว้นระบบบำบัดน้ำเสียสิ่งปฏิกูลที่บำบัด ณ จุดผลิต",
"โดยเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงไฟฟ้าก็คือ แก๊สมีเทน ซึ่งได้มาจากการย่อยสลายของกองขยะและสิ่งปฏิกูลตามธรรมชาติ ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยแก๊สที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกจากการเผา และยังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (Fossil fuel) ที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย โดยทางประเทศเกาหลีใต้กล่าวว่า โรงไฟฟ้าพลังงานขยะจะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันของประเทศได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1.37 ล้านตันต่อปี",
"น้ำโสโครก (blackwater) เป็นน้ำเสียประเภทหนึ่งที่ประกอบด้วยสิ่งปฏิกูลจากมนุษย์ ได้แก่ อุจจาระ หรือปัสสาวะ ที่เกิดขึ้นในส้วมโดยแตกต่างจากน้ำเสียที่เป็นน้ำทิ้งที่เกิดจากการซักล้าง หรือการชำระร่างกาย",
"ปัจจุบันตะพาบน้ำแยงซีเกียงในทะเลสาบคืนดาบยังมีชีวิตอยู่ แต่น้ำในทะเลสาบกลับมีสภาพที่ย่ำแย่ ทั้งยังมีการปล่อยสิ่งปฏิกูลรวมไปถึงเต่าชนิดอื่นเข้าไปทำลายระบบนิเวศของทะเลสาบ ทำให้ตะพาบเกิดบาดแผลที่หัวและขาของมัน ",
"ชลประทานเป็นการทดน้ำและระบายน้ำ ใช้เพื่อช่วยให้พืชผลการเกษตรเติบโต บำรุงรักษาภูมิประเทศ และปลูกพืชคืนสภาพดินเปลี่ยนสภาพในพื้นที่แห้งแล้งระหว่างช่วงฝนตกไม่เพียงพอ นอกเหนือจากนี้ ชลประทานยังมีประโยชน์อื่นในการผลิตพืชผล ซึ่งรวมถึงการปกป้องพืชจากความเย็น การยับยั้งการเติบโตของวัชพืชในไร่ธัญพืช และการช่วยป้องกันดินอัดตัวคายน้ำ ระบบชลประทานยังใช้ยับยั้งฝุ่น การกำจัดสิ่งปฏิกูลและในการเหมืองแร่ ",
"โซนที่ใหม่ที่สุดของ Black Mesa ยังก่อสร้างอยู่ (พบเห็นในภาค Opposing Force) มีโดมชีวภาพเอาไว้วิจัยสิ่งมีชีวิตของมิติ Xen และที่ชั้นใต้สุดของโซน E ก็มี\nห้องวิจัยสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่เอาไว้วิจัยเอเลื่ยนที่อยู่ใต้น้ำ และยังมีห้องวิจัยชีวภาพระดับสูง ที่เอาไว้วิจัยเอเลื่ยนต่างๆโดยผ่าโดยหุ่นยนต์ \nชั้น 2 ของแล็ปนั้นเอาไว้วิจัยอาวุธต่างๆ เช่นอาวุธอันตรายร้ายแรงอย่าง Tue Cannon ที่เป็นปืนยิงลำแสงแรงสูง อื่นๆมี ห้องเก็บวัตถุระเบิด ที่เก็บวัตถุระเบิดต่างๆไว้ ที่มีอาวุธนิวเคลิ้ยลเก็บอยู่แต่ถูกขโมยโดย Black Ops และยังมี โรงเก็บของยูนิต 04 ที่เป็นที่อยู่ของเอเลื่ยน Race X และเป็นที่จบเกมของภาค Opposite Force \nส่วนอื่นๆของ โซน F นั้นจะเกื่ยวกับทหารซักส่วนใหญ่ โดยมี โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ที่มี 3 โรง , คลังอาวุธ และ ค่ายทหาร ที่อยู่ไกล้ๆ กับไซโล D ในโซน D \nสุดท้าย โซน E ก็เอาไว้จัดเก็บสิ่งปฏิกูลที่อันตราย โดยมี โรงบันบัดของเสียทางชีวภาพ และ โรงเก็บสิ่งปฏิกูลเขต 3 และยังมี รถไฟส่งของ",
"ตัวเต็มวัยอาจกลายเป็นแมลงศัตรูรบกวนเมื่อพวกมันออกจากดักแด้เป็นตัวเต็มวัยเป็นจำนวนมาก โดยสร้างความเสียหายให้แก่สีทา อิฐ และ พื้นผิวอื่นๆด้วยมูลของพวกมัน และเมื่อพวกมันตายสามารถกลายเป็นกองของสิ่งปฏิกูล พวกมันสามารถก่อให้เกิดการแพ้ในคนที่ไวต่อการแพ้ได้",
"ตอนแรกพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดถูกจองจำที่เคนิลเวิร์ธและต่อมาย้ายไปที่ปราสาทบาร์กลีย์ในกลอสเตอร์เชียร์ในเดือนมกราคม ค.ศ.1327 โธมัส เดอ บาร์กลีย์กับเซอร์จอห์น มอลตราเวิร์สได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุมของกษัตริย์ พระองค์ถูกส่งไปอยู่ในคุกใต้ดิน ที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลและซากสัตว์เน่า ด้วยความหวังว่าพระองค์จะติดโรคจนสิ้นพระชนม์ ผู้ที่จับกุมพระองค์จะได้ไม่มีส่วนในการฆาตกรรมพระองค์ แต่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ชายที่แข็งแรงเป็นที่สุด ยังคงมีชีวิตรอด",
"พระราชบัญญัติว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2533 ชิ้ว่าขยะประกอบไปด้วยสสารใดใดที่ถูกทำให้เป็นวัสดุชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซึ่งปัจจุบันสหภาพยุโรปได้อภิปรายกันถึงหัวข้อจุดสิ้นสุดของสิ่งปฏิกูล ว่าควรจะใช้กระบวนการทำลายหรือกระบาวนการนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อจุดประสงค์อื่น",
"ขณะที่ทำเนียบรัฐบาลข้าราชการประจำทำเนียบถูกโจรกรรมทรัพย์สิน เอกสารทางราชการเสียหายและทรัพย์สินภายในทำเนียบรัฐบาลได้รับความเสียหายถูกทำลายและมีสิ่งปฏิกูลในห้องทำงานของข้าราชการบางคนอีกด้วย[156]",
"เกษตรอินทรีย์ () เป็นเกษตรกรรมแบบหนึ่งซึ่งอาศัยเทคนิคอย่างการปลูกพืชหมุนเวียน ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก และการควบคุมสัตว์รังควานทางชีวภาพ เกษตรอินทรีย์ใช้ปุ๋ยและสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ (มีสารฆ่าวัชพืช ยาฆ่าแมลงและสารฆ่าเชื้อรา) หากถือว่ามาจากธรรมชาติ (เช่น กระดูกป่นจากสัตว์หรือไพรีทรินจากดอกไม้) แต่ไม่ใช้หรือจำกัดการใช้อย่างยิ่งซึ่งวิธีการต่าง ๆ (รวมปุ๋ยและสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ปิโตรเคมีสังเคราะห์ ตัวเร่งการเติบโตของพืช เช่น ฮอร์โมน การใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม กากสิ่งปฏิกูลของมนุษย์ และวัสดุนาโน) โดยแสวงเป้าหมายซึ่งมีความยั่งยืน ความเปิดเผย การไม่พึ่งพา สุขภาพและความปลอดภัย"
] |
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่? | [
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่า<b data-parsoid='{\"dsr\":[1776,1806,3,3]}'>สร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม เพราะได้พบหลักฐานศิลาจารึกสุโขทัยมีความว่า พ่อขุนศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันตธาตุสุคนธเจดีย์ ..."
] | [
"พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย นั่งสมาธิราบ จำลองแบบจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร",
"พระศรีศาสดา หรือ พระศาสดา เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านทิศใต้ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันประดิษฐานอยู ณ มุขหน้าวิหารพระศาสดาคู่กับพระพุทธไสยา ที่ประดิษฐานอยู่ ณ มุขหลัง วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างขึ้นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) พร้อมกับ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระเหลือ ",
"ต่อมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เมื่อ พ.ศ. 2458 ปัจจุบันจึงมีชื่อเต็มว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร",
"ในปี พ.ศ. 2511คณะกรรมการพุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก นำโดยนายละเมียด อัมพวะศิริ นายกพุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก และนายเนียม สุขแก้ว เลขานุการพุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก ทราบว่า ท่านพระครูศีลสารสัมบัน (สำรวย สมฺปนฺโน) เจ้าอาวาสวัดสระแก้วปทุมทอง และเจ้าคณะอำเภอเมืองพิษณุโลก เป็นพระเถราจารย์ในภาคเหนือตอนล่างที่เก็บสะสมมวลสารโบราณไว้มากมายทั้งยังครอบครองดูแลวัตถุโบราณหายากอันทรงคุณค่า และเป็นผู้นำเอาดินก้นกรุและโอ่งใต้ฐานสมเด็จพระนางพญา วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลกมาเก็บไว้ คณะกรรมการพุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก และพลเอกสำราญ แพทยกุล แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้นจึงได้กราบนิมนต์ ท่านพระครูศีลสารสัมบัน (สำรวย สมฺปนฺโน) เป็นแม่งานรับผิดชอบในการจัดสร้างพระพิมพ์ชนิดผง และดินผสมผงเก่า เพื่อใช้ในการประกอบพิธีจักรพรรดิ์มหาพุทธาภิเษก วันที่ 19 – 20 มกราคม 2515 ณ พระวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร (วัดใหญ่) พิษณุโลก ตามคำเสนอแนะของเจ้าคุณพระพิษณุบุราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ในสมัยนั้น",
"นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงให้สร้างพระที่นั่งเครื่องไม้ ขนานนามว่าพระที่นั่งรังสรรค์จุฬาโลก ขึ้นบริเวณสระน้ำที่เป็นที่ตั้งของพระที่นั่งพิมานดุสิตา ภายหลังหักพังเสียหมด และสร้างวัดพระแก้ววังหน้า ขึ้น โดยโปรดให้อัญเชิญพระพุทธชินสีห์ จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก มาประดิษฐานที่พระอุโบสถของวัด ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส[8]",
"สำหรับปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เชลียง และปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรีนั้น มีรูปแบบเป็นอย่างปรางค์ไทยแล้ว[36] ส่วนปรางค์ที่วัดพระพายหลวง สุโขทัย มีที่เรียกว่าปราสาทดังกล่าวมาข้างต้น เพราะมีรูปแบบเป็นปราสาทแบบขอมในศิลปะลพบุรีเช่นกัน แต่เรียกตามความเคยชินว่าปรางค์สามยอดดังได้กล่าวมาแล้วเช่นกัน",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สำคัญมีดังนี้",
"นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก ทรงอาราธนาพระสามิสังฆราชจากลังกาเข้ามาเป็นสังฆราชในกรุงสุโขทัย เผยแพร่เพิ่มความเจริญให้แก่พระศาสนามากยิ่งขึ้น ทรงสร้างและบูรณะวัดมากมายหลายแห่ง รวมทั้งการสร้างพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระพุทธรูปองค์สำคัญองค์หนึ่งของประเทศคือ พระพุทธชินราช ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ",
"ภาพเก่าวิหารพระอัฏฐารส ก่อนถูกดินทับถมจนกลายเป็น \"เนินวิหารเก้าห้อง\" (ในภาพยังเห็นเสาและผนังพระวิหารบางส่วนเหลืออยู่) วิหารเก้าห้องประดิษฐานพระอัฏฐารส (เดิมเนินวิหารเก้าห้อง) ขณะกำลังทำการบูรณะขุดแต่งทางโบราณคดี ในปี พ.ศ. 2550 เผยให้เห็นแท่นสักการะและพื้นวิหารเดิม",
"ส่วนในพงศาวดารเหนือกล่าวไว้ว่า \" ในราวพุทธศักราช ๑๙๐๐ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก (พระมหาธรรมราชาลิไท) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ศาสนาอื่น ๆ จนช่ำชองแตกฉาน หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก พระองค์ได้ทรงสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน มีพระปรางค์อยู่กลาง มีพระวิหาร ๔ ทิศ มีพระระเบียง ๒ ชั้นและทรงรับสั่งให้ปั้นหุ่นหล่อพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทั้ง ๓ หลัง\"",
"วัดพระปฐมเจดีย์ วัดสุวรรณดาราราม วัดนิเวศธรรมประวัติ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (พิษณุโลก)",
"วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน เป็นวิหารขนาดกลางตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารพระพุทธชินราชนอกเขตระเบียงคต ภายในประดิษฐานหีบปิดทอง(สมมุติ)บรรจุพระบรมศพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำด้วยศิลาตั้งอยู่บนจิตรากาธานประดับด้วยลวดลายลงรักปิดทองร่องกระจกสวยงาม ที่ปลายหีบมีพระบาททั้งสองยื่นออกมา และบริเวณด้านหน้า หรือด้านท้าย หีบพระบรมศพ มีพระมหากัสสปะเถระ นั่งนมัสการพระบรมศพ ซึ่งนับว่าเป็นโบราณวัตถุที่สำคัญของวัดพระศรีรัตนมหาวรวิหาร โดยผู้สร้างถือคติว่าเป็นการจำลองสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้า คาดว่ามีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย",
"พระเสสันตปฏิมากร (พระราชทานชื่อโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) หรือพระเหลือ ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารน้อย บริเวณโพธิ์สามเส้า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศักราช ๑๙๐๐ ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย จากเศษสำริดที่เหลือหลังการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา พร้อมกับพระอัครสาวกอีก ๑ คู่ ",
"พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านตะวันตกในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1900 ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย พร้อมกับพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระเหลือ พระพุทธชินราชได้รับการยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งและยังเป็นพระพุทธรูปที่นิยมจำลองกันมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นพระพุทธรูปที่ประชาชนชาวไทยศรัทธาและนิยมเดินทางมากราบไหว้มากที่สุดองค์หนึ่งด้วย",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พระราชวังจันทน์ (ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) มหาวิหารสมเด็จองค์ปฐม (วัดจันทร์ตะวันตก) พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี (จ่าสิบเอกทวี-พิมพ์ บูรณเขตต์) โรงหล่อพระบูรณะไทย สวนนกไทยศึกษา เซ็นทรัลพลาซ่าพิษณุโลก วัดนางพญา สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา บริเวณแยกเรือนแพ (สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ) พิษณุโลก เซ็นทรัลปาร์ค บริเวณสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก (สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้าง)",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า \"วัดใหญ่\" ตั้งอยู่ที่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย",
"สะพานนเรศวร เป็นสะพานที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นสะพานข้ามแม่น้ำน่าน ระหว่างฝั่งศาลากลาง จ.พิษณุโลก และฝั่งวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร บนสะพานนเรศวรสามารถชมวิวแม่น้ำน่านที่ไหลผ่านใต้สะพานได้อย่างงดงาม",
"อย่างไรก็ตามต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่สืบหน่อมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ตรัสรู้ในประเทศไทยยังคงมีอยู่หลายต้น เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่วัดต้นศรีมหาโพธิ์ (ที่เชื่อว่านำเข้ามาปลูกสมัยทวาราวดี), วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร (ปลูกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นต้น",
"แม้ว่าเมืองพิษณุโลกจะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามระหว่างอยุธยากับล้านนาและอยุธยากับพม่ามาตลอด แต่การศาสนาก็มิได้ถูกละเลย ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณวัตถุและโบราณสถานชี้ให้เห็นชัดเจนว่า พระพุทธรูปและวัดปรากฏในปัจจุบันเช่น พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศรีศาสดา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) วัดจุฬามณี วัดอรัญญิก วัดนางพญา วัดราชบูรณะ วัดสระแก้วปทุมทอง วัดเจดีย์ยอดทอง วัดสุดสวาสดิ์ และวัดวังหิน ล้วนเป็นศิลปวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือมิฉะนั้นก็ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ของเดิมที่มีมาครั้งกรุงสุโขทัย แสดงว่าด้านพระศาสนาได้มีการบำรุงมาโดยตลอด",
"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ว่า \"นมัสการพระพุทธชินราชแล้ว ดูธรรมมาสน์เทศน์ ธรรมาสน์สวด ดูเรือนแก้ว แลสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ล้วนเป็นของดีอย่างเอก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น\"",
"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารไว้ว่า \" เป็นวัดใหญ่และเป็นวัดที่สำคัญกว่าวัดอื่นในเมืองพิษณุโลก มีพระมหาธาตุอยู่กลางเห็นจะสร้างตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี หากแต่ซ่อมแซมมาหลายครั้งหลายสมัย\"",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นวัดอารามใน ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟลพบุรี สร้างในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่มีการปรับปรุงซ่อมแซมหลายครั้งทั้งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระราเมศวร และสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ หมู่ 6 ตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย สถานะของวัดในปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สังกัดมหานิกาย",
"ภายในวิหาร ประดิษฐาน พระพุทธชินราช หรือเรียกว่า \"หลวงพ่อใหญ่\" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย",
"องค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุยังปรากฏบนผลงานภาพจิตรกรรมฯ 8 จอมเจดีย์แห่งสยาม ณ วัดเบญจมบพิตร อีกด้วย",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ได้โอนมาขึ้นในปกครองคณะสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑ \nวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัย ตรงช่วงแหลมโค้งข้อศอกของแม่น้ำยม หันหน้าวัดไปทางทิศตะวันออก และตั้งอยู่นอกกำแพงด้านใต้ของเมืองศรีสัชนาลัยระยะทาง ๑.๙ กิโลเมตร \nวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงเป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ประกอบด้วย",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมที่งดงามยิ่ง ถือได้ว่าเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองพิษณุโลก",
"วัดบวรนิเวศวิหารมีสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีน ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ 2 องค์เป็นพระประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และพระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดนี้เมื่อยังทรงดำรงพระอิสริยยศที่สยามมกุฎราชกุมาร",
"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พระพุทธชินราช (จำลอง) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร"
] |
สืบ นาคะเสถียร เสียชีวิตเมื่อใด ? | [
"สืบ นาคะเสถียร (31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 - 1 กันยายน พ.ศ. 2533) เป็นนักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติชาวไทย มีชื่อเสียงจาการพยายามปกป้องแก่งเชี่ยวหลานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้สังคมเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ"
] | [
"วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2533 สืบยังคงปฏิบัติงานตามปกติ และได้เตรียมจัดการทรัพย์สินที่หยิบยืมและทรัพย์สินส่วนตัว และอุทิศเครื่องมือเครื่องใช้ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่าให้แก่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ สั่งให้ตั้งศาลเคารพดวงวิญญาณเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตในการรักษาป่าห้วยขาแข้ง ในช่วงหัวค่ำของสืบยังคงปฏิบัติตัวพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตามปกติดั่งเช่นเคยทำ ครั้นช่วงดึกสืบขอลากลับไปบ้านพัก โดยกลับไปเตรียมจัดการทรัพย์สินที่เหลือและได้เขียนจดหมายหกฉบับ มีเนื้อหาสั้น ๆ ชี้แจงการฆ่าตัวตาย จนกระทั่งเช้ามืดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 มีเสียงปืนดังขึ้นจากบ้านพักของสืบหนึ่งนัด จนกระทั่งช่วงก่อนเที่ยงของวันจึงได้มีเจ้าหน้าที่ของกรมฯ เข้าไปดู ซึ่งก่อนหน้าเข้าใจว่าสืบไม่สบาย และเมื่อเข้าไปพบร่างของสืบนอนตะแคงข้างห่มผ้าเรียบร้อย พอเข้าไปใกล้จึงได้เห็นอาวุธปืนตกอยู่ข้าง ๆ และเห็นบาดแผลที่ศีรษะด้านขวา สืบได้จบชีวิตลงอย่างเตรียมตัวและพร้อมอย่างสงบ",
"ระหว่างนั้น สืบได้เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฏร์ธานีอีกตำแหน่ง และปี พ.ศ. 2530 ได้ปฏิบัติงานในโครงการศึกษาผลกระทบสภาพแวดล้อมเพื่อพัฒนาพื้นที่ป่าพรุโต๊ะแดงในจังหวัดนราธิวาสด้วย",
"ในปี พ.ศ. 2528 สืบได้ติดตามนักวิจัยชาวต่างชาติซึ่งได้รับทุนจากนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟิก พร้อมด้วยอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าไปสำรวจกวางผา สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ในดอยม่อนจอง จังหวัดเชียงใหม่ เวลานั้น ชาวบ้านจุดไฟล่าสัตว์จนเกิดไฟป่า คณะของสืบหนีไฟป่าเป็นโกลาหล และคำนึง ณ สงขลา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ตกหน้าผาถึงแก่ความตาย",
"จากมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร",
"หงา คาราวาน ได้แต่งเพลงชื่อ \"\" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สืบ แอ๊ด คาราบาว ได้แต่งเพลงชื่อ \"\" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สืบเมื่อปี พ.ศ. 2533 ในอัลบั้ม \"โนพลอมแพลม\" สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้จัดทำสารคดีชื่อ \"แสงไฟไม่เคยดับ\" เพื่อเป็นการรำลึกถึงสืบ ออกอากาศทางช่องเดียวกันในช่วงเดือนสิงหาคมปี พ.ศ. 2556[2] ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สั้นเรื่อง \"ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง\" เป็นภาพยนตร์ในโครงการคีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ เมื่อปี พ.ศ. 2558 นำแสดงโดย นพชัย ชัยนาม รับบทเป็นสืบ นาคะเสถียร [3] เอ็มคอตเอชดี ได้จัดทำในรายการ ข่าวดังข้ามเวลา ตอน ตายเพื่อตื่น สืบ นาคะเสถียร ออนแอร์วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561",
"ต่อมาปี พ.ศ. 2522 สืบได้รับทุนการศึกษาจากบริติชเคาน์ซิล จึงศึกษาระดับปริญญาโทอีกที่สาขาอนุรักษวิทยา มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ และสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2524 แล้วกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ มีส่วนร่วมฝึกอบรมพนักงานพิทักษ์ป่าหลายรุ่น ครั้นปี พ.ศ. 2526 สืบขอย้ายไปเป็นนักวิชาการประจำกองอนุรักษ์สัตว์ป่า เพื่อทำหน้าที่วิจัยสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียว",
"คุณอนงค์ อัชชวัฒนา นาคะเกศ และ นพ. ไพฑูรย์ นาคะเกศ มีบุตรชาย 2 คน คือ นพ.อภัย นาคะเกศ (เสียชีวิตแล้ว) และ นพ.อาทิตย์ นาคะเกศ",
"สืบศึกษาระดับประถมตอนต้นที่โรงเรียนประจำจังหวัดปราจีนบุรี มีผลการเรียนดีมาตลอด เมื่อว่างเรียนก็ช่วยเหลือครอบครัวทำไร่ไถนา และยกเสริมแนวคันนาเองเพื่อไม่ให้มีข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน เมื่อจบประถมศึกษาปีที่ 4 ได้เรียนต่อที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ครั้นจบมัธยมศึกษาปีที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2511 ได้เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2514 หลังจากสำเร็จการศึกษาได้เข้าทำงานที่การเคหะแห่งชาติ จนถึงปี พ.ศ. 2517 และได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทในสาขาวิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2518",
"คุณสืบได้เป็นหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าในพื้นที่มากกว่าหนึ่งแสนไร่ แต่มีงบประมาณเริ่มต้นเพียงแปดแสนบาท ไม่มีการอนุมัติอุปกรณ์ช่วยชีวิตสัตว์ป่า แต่สืบมิได้ย่อท้อคงพยายามทำงานและศึกษาข้อมูลทั้งทางหนังสือและพรานท้องถิ่น",
"สองสัปดาห์ต่อมา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จึงประชุมกำหนดมาตรการป้องกันการบุกรุกป่าห้วยขาแข้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ สืบได้พยายามขอให้ประชุมมาแล้วหลายครั้ง จึงมีผู้กล่าวว่า ถ้าไม่มีเสียงปืนในวันนั้น ก็ไม่มีการประชุมดังกล่าว",
"ผลงานวิจัยของเขา เป็นต้นว่า",
"ในปี พ.ศ. 2516 สุรชัยได้ร่วมกับ วีระศักดิ์ สุนทรศรี (แดง) ก่อตั้งวงท.เสนและสัญจร ขึ้น และเมื่อปี พ.ศ. 2517 ได้รวมกับวงบังคลาเทศ แบนด์ ของมงคล อุทก (หว่อง) และทองกราน ทานา เปลี่ยนเป็นวงคาราวาน สุรชัยได้แต่งเพลงเพื่ออุทิศให้กับบุคคลสำคัญของไทยหลายคน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์, ปรีดี พนมยงค์, สืบ นาคะเสถียร และ รงค์ วงษ์สวรรค์",
"ด้วยความที่ต้องรับแรงกดดันกดดันหลาย ๆ ด้าน และเป็นการเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐให้ใส่ใจต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างแท้จริง สืบจึงตัดสินใจประท้วงด้วยการฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืนในบ้านพักของสืบที่ห้วยขาแข้ง",
"เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร สืบ นาคะเสถียร",
"ความพยายามของสืบนั้นประสบผลสำเร็จน้อย เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ให้ความสนใจ ชาวบ้านท้องถิ่นก็สนใจปากท้องมากกว่า จึงรับจ้างผู้มีอิทธิพลเข้ารุกรานป่าเสมอมา สืบเสนอให้สร้างแนวป่ากันชนเพื่อกันชาวบ้านออกนอกแนวกันชน และพัฒนาพื้นที่ในแนวกันชนให้เป็นป่าชุมชนที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเช่นกัน",
"ปลายปี พ.ศ. 2532 สืบได้รับทุนศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ[1] และได้เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้งด้วย ครั้นปี พ.ศ. 2533 สืบจึงตั้งกองทุนเพื่อรักษาป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร และได้ดำเนินกิจกรรมหลายประการเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและอพยพสัตว์ป่าที่ยังตกค้างอยู่ในแก่งเชี่ยวหลาน",
"หมวดหมู่:ข้าราชการพลเรือนชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเซนต์หลุยส์ หมวดหมู่:บุคคลจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดปราจีนบุรี หมวดหมู่:นักอนุรักษ์ธรรมชาติ หมวดหมู่:ผู้ฆ่าตัวตายในประเทศไทย หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธปืน หมวดหมู่:พุทธศาสนิกชนชาวไทย",
"ในปี พ.ศ. 2529 สืบได้เป็นหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) บริเวณแก่งเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี สืบได้ช่วยอพยพสัตว์ป่าที่ตกค้างอยู่ในแก่งเพราะปัญหาการสร้างเขื่อนจนเกิดน้ำท่วม ช่วยเหลือสัตว์ได้ 1,364 ตัว ส่วนมากที่เหลือถึงแก่ความตาย สืบจึงเข้าใจว่า งานวิชาการเพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยพิทักษ์ป่าซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติได้ ในภายหลังจึงได้ร่วมกิจกรรมหลายอย่าง เช่น คัดค้านรัฐบาลในการที่จะสร้างเขื่อนน้ำโจน ในบริเวณทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี สืบยังได้รายงานผลการอพยพสัตว์ต่อสาธารณชนเพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักภัยป่า โดยยืนยันว่าการสร้างเขื่อนมีโทษมากกว่าคุณ เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติชนิดที่ชดเชยภายหลังมิได้ แต่ความพยายามของสืบนั้นไร้ผล จนกระทั่งนักอนุรักษ์ได้รวมกลุ่มสนับสนุนสืบ โครงการสร้างเขื่อนน้ำโจนจึงระงับไป",
"มีการจัดวันที่สืบเสียชีวิต วันที่ 1 กันยายน ของทุกปี เป็นวันสืบนาคะเสถียร ขึ้น",
"ในระยะนี้ สืบได้ทำงานทางวิชาการอันเป็นที่รักของเขาอย่างเต็มที่ จึงผูกพันกับสัตว์และป่า งานวิจัยเริ่มแรกว่าด้วยจำนวน ชนิด พฤติกรรม และการทำรังของนก สืบยังริเริ่มใช้เครื่องมือสมัยใหม่บันทึกการวิจัย เช่น กล้องวีดิทัศน์ กล้องถ่ายภาพ และการสเก็ตซ์ภาพ ข้อมูลของสืบกลายเป็นผลงานวิจัยสัตว์ป่าชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในภายหลัง เช่น สไลด์ภาพสัตว์ป่าหายาก กับทั้งวีดิทัศน์ความเป็นอยู่ของสัตว์ป่าและการทำลายป่าในประเทศไทย ทีสืบผลิตขึ้นเองทั้งสิ้น",
"สืบได้ผลิตงานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่ามากมาย โดยเฉพาะด้านสำรวจนก กวางผา เลียงผา และนิเวศวิทยาที่ห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร ทั้งยังได้เป็นอาจารย์พิเศษ ประจำภาคชีววิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ด้วย",
"สืบ สมรสกับนิสา นาคะเสถียร มีบุตรสาวหนึ่งคน คือ ชินรัตน์ นาคะเสถียร",
"เมื่อสำเร็จปริญญาโท สืบเข้ารับราชการเป็นพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ขณะนั้นกองอนุรักษ์สัตว์ป่าเพิ่งก่อตั้งขึ้น และสืบเลือกหน่วยงานนี้เพราะต้องการงานเกี่ยวกับสัตว์ป่า งานแรกของสืบคือการประจำอยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ณ ที่นั้น สืบได้ทราบว่ามีผู้ทรงอิทธิพลบุกรุกทำลายป่าเป็นจำนวนมาก",
"การทำรังวางไข่ของนกบางชนิดที่ อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี สัมมนาสัตว์ป่าเมืองไทย พ.ศ. 2524 รายงานการสำรวจนก บริเวณอ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี สัมมนาสัตว์ป่าเมืองไทย พ.ศ. 2526 รายงานผลการวิจัย วางแผนขั้นรายละเอียดสำหรับ ฟื้นฟูสภาพป่าไม้และ การจัดการป่าไม้บริเวณ พื้นที่ป่าต้นน้ำคลองแสง โครงการเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2527 การศึกษานิเวศวิทยาของสัตว์ป่า ในบริเวณโครงการ ศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาภูพาน ตามพระราชดำริ พ.ศ. 2528 นิเวศวิทยาป่าไม้และสัตว์ป่า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทุ่งใหญ่นเรศวรและ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยขาแข้ง พ.ศ. 2529 รายงานผลการจับเนื้อทราย ที่เกาะกระดาด พ.ศ. 2529 เลียงผาที่พบในประเทศไทย การกระจายถิ่นที่อยู่อาศัย และพฤติกรรมบางประการ พ.ศ. 2529 สำรวจถิ่นที่อยู่อาศัยของเก้งหม้อ นิเวศวิทยาป่าไม้และสัตว์ป่า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี และ จังหวัดตาก และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และ จังหวัดตาก กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 โดย สืบ นาคะเสถียร, นริศ ภูมิภาคพันธุ์, ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ การสำรวจเบื้องต้นเกี่ยวกับ สัตว์ป่าในพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส การอพยพสัตว์ป่า ในอ่างเก็บน้ำรัชชประภา สัมมนาสัตว์ป่า พ.ศ. 2532 วิเคราะห์ความเหมาะสม จากรายงานและแผนการ แก้ไขผลกระทบด้านทรัพยากร ป่าไม้และสัตว์ป่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ แควใหญ่ตอนบน รายงานการประเมินผลงาน ช่วยเหลือสัตว์ป่าตกค้าง ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) จังหวัดสุราษฏร์ธานี",
"ในปี พ.ศ. 2531 สืบกลับเข้ารับราชการที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า และพยายามเสนอให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลกเพื่อเป็นหลักประกันว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดังกล่าวจะได้รับการพิทักษ์รักษาถาวร",
"สืบมีชื่อเดิมว่า \"สืบยศ\" มีชื่อเล่นว่า \"แดง\" เกิดที่ตำบลท่างาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบุตรของนายสลับ นาคะเสถียร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี กับนางบุญเยี่ยม นาคะเสถียร มีพี่น้องทั้งหมดสามคน ตนเองเป็นคนโต ได้แก่ กอบกิจ นาคะเสถียร เป็นน้องชายคนกลาง และกัลยา รักษาสิริกุล เป็นน้องสาวคนสุดท้อง",
"เพลงต่าง ๆ ในอัลบั้ม แอ๊ดได้ตีแผ่ประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แต่ไม่มีเพลงเกี่ยวกับความรักเช่นในอัลบั้มก่อน ๆ โดยประกาศจุดยืนตรงข้ามกับรัฐบาล (สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี) มีเพลงที่พอจะเป็นที่รู้จักและมีการเผยแพร่สืบต่อกันมา อย่างเช่น \"สืบทอดเจตนา\" ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อรำลึกแด่ สืบ นาคะเสถียร ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 โดยการฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้สังคมเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ นำไปสู่การประชุมเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันการบุกรุกป่าห้วยขาแข้งในอีก 2 สัปดาห์หลังสืบฆ่าตัวตาย และทำให้องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโกประกาศให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง ที่สืบเคยเป็นหัวหน้าเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2534 หรือปีถัดมานั่นเอง",
"ปลาค้างคาวนาคะเสถียร (Oreoglanis nakasathiani Vidthayanon, Saenjundaeng & Ng, 2009[4])",
"โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ถูกกล่าวถึงในสื่อมวลชนหลายแหล่งโดยเริ่มจากกระแสของการประท้วงการอนุมัติ EHIA โดยศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร การลงรายชื่อหยุดโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ กว่า 100,000 คน ที่ change.org รวมถึงการห้ามออกอากาศ รายการ คนค้นฅน ตอน ศศิน เฉลิมลาภ 388 กม. จากป่าสู่เมือง"
] |
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใช้สีอะไรเป็นสัญลักษณ์? | [
"สัญลักษณ์หลักของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีการใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์หลัก และมีการใส่เสื้อสีเหลืองพร้อมผ้าโพกศีรษะที่มีข้อความว่า \"กู้ชาติ\" และผ้าพันคอสีฟ้า[2] และมีมือตบเป็นเครื่องมือสัญลักษณ์"
] | [
"พรรคแต่ละพรรคที่เข้าร่วมในพันธมิตรประชาชนต่างมีนโยบายเป็นของตนเอง พรรคความยุติธรรมประชาชนเรียกร้องให้มีความยุติธรรมในสังคม และต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง พรรคปาสต้องการให้มาเลเซียเป็นรัฐอิสลาม ส่วนพรรคกิจกรรมประชาธิปไตยเน้นด้านผู้ใช้แรงงาน นโยบายหลายเชื้อชาติ และประชาธิปไตยสังคมนิยม",
"ธงชาติโซมาเลีย เป็นธงพื้นสีฟ้าอ่อน กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน ที่กลางธงมีรูปดาวห้าแฉกสีขาว 1 ดวง ธงนี้เริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2497 ออกแบบโดย มูฮัมมัด อาวาเล ลิบาน (Mohammed Awale Liban) เพื่อใช้เคลื่อนไหวต่อความเป็นพันธมิตรของชาวโซมาลี (pan-Somali) ต่อมาหลังการรวมชาติโซมาลีจากดินแดนอิตาเลียนโซมาลีแลนด์และบริติชโซมาลีแลนด์แล้ว ธงนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยโซมาเลียที่เกิดขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2503",
"ขณะที่นโยบายของรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสมัครได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนในเขตชนบทและผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจซึ่งผสมผสานแนวคิดประชานิยมอย่างมาก ได้แก่ การรักษาพยาบาลทั้งประเทศโดยมีส่วนร่วมต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสนอให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดหนี้สาธารณะ และลดค่าใช้จ่ายในโครงการสังคมสงเคราะห์ทั้งหลาย ซึ่งมีแนวคิดประชานิยม[31]",
"อีกทั้งการปราศรัยผ่านเครื่องกระจายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้รบกวนโรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงจนต้องยื่นฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ โดยกลุ่มอาจารย์ คณะกรรมการนักเรียน และผู้ปกครองโรงเรียนราชวินิตมัธยม ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ต่อพลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพวกรวม 6 คน กรณีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดถนนพระราม 5 บริเวณแยกเบญจมบพิตร ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกนางเลิ้งจนถึงแยกพาณิชยการ โดยนักเรียนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จากการทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการทำละเมิด จึงขอให้ทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย้ายสถานที่ชุมนุม อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีการนัดพร้อมคู่ความในวันที่ 18 กันยายน เวลา 13.00 น.[153][154] นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า จะชดใช้ค่าเสียหายให้กับโรงเรียนราชวินิตมัธยม และจะยอมรับคำตัดสินของศาลแพ่ง[155]",
"แนวร่วมประชาชนพิทักษ์ประชาธิปไตย กลับมามีบทบาทอีกครั้งในช่วงการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดเวทีปราศรัยและชุมนุมที่ท้องสนามหลวงและบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยกลุ่มนี้จะสวมเสื้อยืดสีดำ มีสัญลักษณ์จตุคามรามเทพเป็นตัวสกรีนที่หน้าอกเสื้อ คาดผ้าคาดศีรษะสีดำ ในเช้าวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2549 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคลื่อนย้ายที่ชุมนุมจากท้องสนามหลวงไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล แนวร่วมประชาชนพิทักษ์ประชาธิปไตยได้ตั้งขบวนขึ้นโดยชูป้ายผ้าสีดำมีข้อความสีขาวว่า \"\"แนวร่วมประชาชนพิทักษ์ประชาธิปไตย ผ้าคาดหัวดำเกรียงไกร ลุยไล่ล่าเผด็จการ\"\" และเมื่อมาถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล แนวร่วมประชาชนพิทักษ์ประชาธิปไตยได้ตั้งเต็นท์ของตนที่ริมถนนราชดำเนิน และเปิดโรงครัวทำอาหารเลี้ยงผู้ที่เข้าร่วมชุมนุม อีกทั้งยังเป็นผู้คุ้มกันความปลอดภัยให้แก่ผู้ที่เข้ามาชุมนุม โดยเรียกตัวเองว่า นักรบศรีวิชัย และเป็นผู้คุ้มครองความปลอดภัยพนักงานสื่อเครือผู้จัดการ จากเหตุการณ์ที่กลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้างและกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยกขบวนกันมาขว้างปาอาคารบ้านพระอาทิตย์ สำนักงานของสื่อเครือผู้จัดการ ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2549 ด้วย",
"กลุ่มประชาชนเพื่อพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือ เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือที่นิยมเรียกกันว่า กลุ่มคนเสื้อหลากสี เป็นการรวมตัวของประชาชนเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน พ.ศ. 2553 จากการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ และให้กำลังใจรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และทหาร โดยการชุมนุมเป็นไปในลักษณะไม่มีสีเสื้อเป็นสัญลักษณ์อย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) มี ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นผู้นำการชุมนุม",
"คณะกรรมมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission) ได้ระบุถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรว่าไม่ใช่การเรียกร้องอย่างสันติ และเจตนาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่ามีลักษณะของฟาสซิสต์[5] โดยระบุถึงการที่กลุ่มพันธมิตรโจมตีความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยและเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภามาจากการแต่งตั้งเป็นส่วนใหญ่[71][20][21] สื่อต่างประเทศระบุว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมและนโยบายการกระจายอำนาจทางการเมืองออกจากศูนย์กลาง รวมทั้งโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์[72][73][74] และเปิดโอกาสให้นายทหารและข้าราชการระดับสูงมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น[75]",
"สมาชิกและแนวร่วมส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลเดิมที่เคยเข้าร่วมการชุมนุมขับไล่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2549 และการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 จากภาคีเครือข่ายเดิมที่เคยเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นนี้มาก่อนแล้ว เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.), กลุ่มสันติอโศก และเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน (กลุ่มเสื้อหลากสี) ได้แก่ พลเรือเอก ชัย สุวรรณภาพ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นรองประธาน, นายสมพจน์ ปิยะอุย นักธุรกิจ เป็นรองประธาน, พลเอก ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์ อดีตประธานเสนาธิการประจำตัวผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นรองประธาน และพลอากาศโท วัชระ ฤทธาคนี เป็นโฆษก",
"การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 เป็นการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านพรรคพลังประชาชน โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2553 ซึ่งการชุมนุมยังคงมีเป้าหมายที่จะต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร",
"การชุมนุมในแต่ละครั้งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เสริมบรรยากาศในการชุมนุม เช่น การแสดงดนตรี การแสดงงิ้วธรรมศาสตร์กู้ชาติ การละเล่นและบรรเลงเพลงพื้นบ้านภาคต่าง ๆ ละครศาลจำลอง การนำบุคคลต่าง ๆ และแขกรับเชิญนอกเหนือจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพือประชาธิปไตยมาสัมภาษณ์ รายการเสียงจากประชาชน (การพูดปราศรัยสั้น ๆ ของประชาชนโดยทั่วไปที่อาสาขึ้นเวที) กิจกรรมเกมส์ต่อต้านระบอบทักษิณ และกิจกรรมระดมทุน รับบริจาคและขายของที่ระลึก เป็นต้น ของที่ระลึกที่เป็นที่นิยมในการประชุม ได้แก่ ผ้าพันคอและผ้าโพกศีรษะสีเหลือง/ขาวที่สกรีนข้อความ \"กู้ชาติ\" ผ้าผูกข้อมือ เสื้อยืด เอกสารแผ่นพับ โปสเตอร์ แฮนด์บิลล์ ซีดีเพลง บันทึกรายการในแต่ละครั้ง และอื่น ๆ ที่ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละกลุ่ม บทเพลงยอดนิยมที่ผู้แต่งเพลงนิรนามส่งมาให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เปิด มีหลายบทเพลง เป็นบทเพลงที่บรรยายความไม่ชอบธรรมของระบอบทักษิณ และมีเนื้อหารุนแรง เพลงหนึ่งที่มีชื่อเสียงคือเพลง ไอ้หน้าเหลี่ยม",
"แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (ชื่อย่อ: นปช.; English: United Front of Democracy Against Dictatorship; UDD) มีชื่อเดิมว่า แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ[1] (ชื่อย่อ: นปก.; English: Democratic Alliance Against Dictatorship: DAAD[2]) เป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี[3] และเป็นองค์กรหลักของ<b data-parsoid='{\"dsr\":[2574,2595,3,3]}'>กลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีสัญลักษณ์หลักคือ สีแดง และเสื้อสีแดง (ซึ่งในช่วงเริ่มการต่อสู้ใช้สีเหลือง ต่อมาตั้งแต่ช่วงรณรงค์ให้ประชาชนลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ก็เริ่มใช้สีแดง) และมีการใช้เท้าตบ[4][5] และหัวใจตบ เพื่อล้อเลียนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย",
"พรรคการเมืองใหม่ ได้เริ่มต้นเกิดขึ้นจากการประชุมร่วมกันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการเริ่มชุมนุมครั้งใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (การชุมนุม 193 วัน) และในการชุมนุมครั้งนั้นได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนแนวร่วมได้แสดงความเห็นถึงการจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตร ซึ่งประชาชนที่เข้าร่วมประชุมมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น",
"หลังการถ่ายทอดสด การชุมนุม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทางสถานี ได้นำสัญลักษณ์ นิวส์วัน แบบเดิมออกไป และใส่คำว่า ทีวีของประชาชนใต้โลโก้เอเอสทีวี แทน",
"ก่อนหน้านั้น ธงชาติรวันดามีลักษณะเป็นธงสามสีแถบแนวตั้งความกว้างเท่ากัน เรียงจากด้านคันธงเป็นแถบสีแดง สีเหลือง และสีเขียว เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2502 ต่อมาจึงเพิ่มอักษร \"R\" ซึ่งเป็นอักษรตัวแรกของชื่อประเทศลงกลางแถบสีเหลืองในปี พ.ศ. 2505 เพื่อแยกแยะธงนี้ให้ต่างจากธงชาติกินี ซึ่งใช้ธงสามสีอย่างเดียวกันให้ชัดเจน ส่วนสีในธงจัดเป็นสีพันธมิตรแอฟริกา ซึ่งมีที่มาจากธงชาติเอธิโอเปีย ความหมายของสีธงชาติคือ สีแดงหมายถึงการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชน สีเหลืองหมายถึงสันติภาพและความสงบ สีเขียวหมายถึงความหวังและความเชื่อมั่น ธงนี้ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นธงมาเป็นแบบปัจจุบัน เนื่องจากได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวรวันดา (Rwandan Genocide)",
"กลุ่มพันธมิตรฯ มีคดีความที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในระหว่างการชุมนุมรวมทั้งสิ้น 36 คดี อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงในส่วนของคดีอาญาในการดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในคดีก่อการร้ายนั้นมีการตั้งข้อสังเกตว่าล่าช้ามาก (ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือการสั่งเลื่อนฟ้องร้องของพนักงานอัยการ 18 ครั้ง[93])ใช้เวลาทำสำนวนถึง 5 ปี[94]ก่อนที่จะส่งฟ้องในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556[95]",
"คดีทางแพ่งจบลงเมื่อศาลฎีกาไม่ยอมรับคำร้องฎีกาของจำเลย ผลที่ตามมาคือพันธมิตรแพ้ในคดีนี้ และกรมบังคับคดีได้อายัดทรัพย์บัญชีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งหมด 13 รายในปี พ.ศ. 2561[127] เฉพาะคดีแพ่งใช้เวลากว่า 10 ปี",
"หลังจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย อันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม [90] พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 27/2551 ประกาศยุติการชุมนุมซึ่งใช้เวลาต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยถึง 193 วัน เนื่องจากการชุมนุมได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ คือ",
"การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 เป็นการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านพรรคพลังประชาชน โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548–2553 ซึ่งการชุมนุมยังคงมีเป้าหมายที่จะต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร",
"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แต่การชุมนุมยุติจริงในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 18.00 น.[53] โดยในวันที่ 1 กรกฎาคม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดินทางไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ประเทศไทย)เพื่อให้ยุบ 5 พรรคการเมืองได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน โดยพรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งมีกลุ่มสันติอโศกสนับสนุนได้ส่งแก่นฟ้า แสนเมือง ลงเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อในครั้งนี้ และได้ออกป้ายหาเสียง อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา เป็นสโลแกนการรณรงค์โหวตโนทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2554 ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 และทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพอใจกับการตัดสินใจของการถอนตัวออกจากสมาชิกมรดกโลกของรัฐบาลในการประชุมครั้งที่ 35 ที่ประเทศฝรั่งเศส",
"แนวร่วมประชาชนพิทักษ์ประชาธิปไตย เป็นกองกำลังเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง แกนนำของกลุ่มและผู้ก่อตั้ง คือ นายดวง พลีรัตน์ ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้มีศักดิ์เป็นหลานลุงของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช อีกทั้งยังเคยติดคุกข้อหาคอมมิวนิสต์ห้องเดียวกับจิตร ภูมิศักดิ์ มาแล้วเมื่ออายุ 19 ปี สมาชิกกลุ่มแรก ๆ จึงเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชเสียส่วนใหญ่ จากนั้นจึงได้มีเครือข่ายในกรุงเทพมหานครด้วย ส่วนมากเป็นประชาชนทั่วไปที่เรียกร้องสิทธิในการใช้ชีวิตและความเป็นธรรมทางสังคม ก่อตั้งกลุ่มขึ้นมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2535 มีบทบาทครั้งแรกในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ โดยมีสัญลักษณ์ของกลุ่มเป็นผ้าคาดศีรษะสีดำมีสกรีนเป็นตัวหนังสือสีขาวว่า \"แนวร่วมประชาชนพิทักษ์ประชาธิปไตย\" แจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมชุมนุม ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการลงทะเบียนรับประชาชนเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มด้วย โดยใช้หลักฐานเป็นสำเนาบัตรประชาชน โดยผู้ที่ดำเนินการส่วนนี้บอกว่า ได้รายชื่อใส่ถุงขยะสีดำได้หลายใบ โดยสมาชิกของทางกลุ่มที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่จะเป็นชาวนครศรีธรรมราชและชาวใต้ที่ประกอบอาชีพรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าในย่านห้วยขวาง",
"สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำการประท้วงและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ก่อตั้งกลุ่มดังกล่าวตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 และแต่งตั้งตนเองเป็นเลขาธิการ ขบวนการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์การ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มนักเคลื่อนไหวนักศึกษา สหภาพแรงงานของรัฐ และกลุ่มนิยมทหาร การสนับสนุนของ กปปส. ส่วนใหญ่มาจากชาวกรุงเทพมหานครและชาวภาคใต้ที่มีฐานะร่ำรวย กปปส. มิได้ใช้สัญลักษณ์สีเสื้อแทนตัวเอง แต่ใช้การเป่านกหวีดเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงครั้งนี้ กปปส. ใช้งบประมาณวันละกว่า 10 ล้านบาท สื่อต่างประเทศรายงานว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนสถาบันกษัตริย์ และลักษณะของการชุมนุม \"เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย\"",
"เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลเพื่อต่อสู้คดี และ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศฟื้นโครงสร้างองค์กรเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล เกี่ยวกับการดำเนินคดีดังกล่าว นายประพันธ์ คูณมี ได้ปรากฏชื่อเป็นที่ปรึกษา ของ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) องค์กรภาคประชาชนที่จัดตั้งขึ้นโดยอ้างอิงความตามรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเมืองภาคประชาชน และประกาศทำงานร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย",
"อภิสิทธิ์ให้สัญญาว่าจะใช้หลักนิติรัฐและสั่งฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 21 คน ที่ต้องรับผิดชอบจากการยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งยังไม่ได้มีการออกหมายจับคดียึดสนามบิน วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554 ศาลแพ่งได้ตัดสินให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องจ่ายชดเชยให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย 522 ล้านบาท และค่าฤชาทนายความ โจทย์ 8 หมื่นบาท โดยศาลได้พิเคราะห์ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยส่วนหนึ่งได้เข้าไปในหอบังคับการบิน มีเจตนาที่จะยึด หรือก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย หรืออันตราอย่างหนึ่งอย่างใด รวมถึงเจตนาขัดขวางการทำงานของอากาศยานให้ชะงักหรือหยุด ลง ในส่วนของศาลอาญาได้อนุมัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจฝากขังนายการุณ ใสงาม และ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ซึ่งต่อมาได้รับการประกันตัว ตำรวจได้สั่งฟ้องผู้ต้องหา 114 คนต่อพนักงานอัยการ เพื่อดำเนินคดีอาญาพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2538 มาตรา 6 ทวิ และมาตรา 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา135/1 มาตรา135/2 135/3 และ 135/4 ในส่วนของศาลอาญาอัยการได้สั่งเลื่อนฟ้องคดีพันธมิตร ในคดีร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือ วิธีการอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ ไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือ ติชม โดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน หรือ รัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือ กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาญาจักร หรือ เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือ กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้เกิดความวุ่นวาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 215 216 ในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ มากกว่า 8 ครั้งคดียังไม่แล้วเสร็จ",
"ธงชาติสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาห์ราวี ซึ่งเดิมเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มแนวหน้าโปลีซารีโอ (Polisario Front) ประกอบด้วยสี 4 สี คือ สีดำ สีเขียว สีขาว และสีแดง ซึ่งมีที่มาจากสีพันธมิตรอาหรับ อันเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวอาหรับใช้ต่อต้านผู้กดขี่ ลักษณะโดยรวมนั้นคล้ายคลึงกับธงชาติปาเลสไตน์อย่างไม่ได้ตั้งใจ ส่วนรูปจันทร์เสี้ยวและดาวนั้น เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม ซึ่งสามารถพบได้ในธงของประเทศอิสลามทั่วไป เช่น ปากีสถาน เป็นต้น",
"พรรคเทียนแห่งธรรม จดทะเบียนในปี พ.ศ. 2551 โดยก่อนหน้านั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะพัฒนาไปเป็น \"พรรคเทียนแห่งธรรม\" ซึ่งภายในกลุ่มผู้จัดการได้มีแนวคิดการตั้งพรรคการเมืองกันมานานแล้ว โดยดูเหมือนเป็นการพูดเล่น แต่กลับมีการเสนอชื่อพรรค, สัญลักษณ์พรรค, คำขวัญพรรค, และนโยบายพรรคอย่างเป็นการเป็นงาน และมีการตอบรับในบทความของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมายอมรับว่ามวลชนของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นผู้นำชื่อพรรคเทียนแห่งธรรม ไปจดไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะทางแกนนำเกรงว่าจะมีคนนำชื่อพรรคไปแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์ โดยอีกพรรคหนึ่งที่มวลชนของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ไปจดทะเบียนไว้คือ พรรคประชาภิวัฒน์ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการจดทะเบียนตั้งพรรค คือ พรรคการเมืองใหม่",
"ธงชาติสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาห์ราวี มีลักษณะที่ผสมกันระหว่างธงสีพันธมิตรอาหรับกับสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม ธงนี้เริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 และมีการปรับแบบเล็กน้อยในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 ดินแดนเวสเทิร์นสะฮาราซึ่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาห์ราวีได้ประกาศอ้างสิทธินั้น ส่วนใหญ่อยู่ในความครอบครองของประเทศโมร็อกโก ในเวสเทิร์นสะฮาราจึงสามารถพบธงชาติโมร็อกโกได้ทั่วไป",
"ในปี 2552 ในยุค นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี NBTถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.) ในสมัยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้สัญลักษณ์ ใหม่เป็นรูปแบบปัจจุบันซึ่งมีชื่อเรียกติดปากว่า \"หอยสีม่วง\" นายจิรายุถูกปลดออกตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552 พร้อมกับ นางปนัดดา วงศ์ผู้ดี นางสาวตวงพร อัศววิไล และนายจอม เพชรประดับ ด้วยเหตุที่พวกเขาประกาศข่าว อยู่ในช่วงเวลาที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายจิรายุจึงตัดสินใจลงเล่นการเมืองโดยเข้าร่วมเป็นคณะทำงานโฆษกพรรคเพื่อไทย[1] และในการเลือกตั้งปี 2554 นายจิรายุ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 18 (เขตคลองสามวา) โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็น ส.ส.หลายสมัย อย่างนายสมัย เจริญช่างได้",
"เมื่อเวลา 17.00 น. แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เคลื่อนไหวต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเปิดเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผู้เข้าร่วมหลายพันคน ส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีแดง หรือมีผ้าพันคอสีแดงเป็นสัญลักษณ์",
"การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ประสบอุปสรรคมีการเคลื่อนไหว เพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญทั้งภายในและภายนอกสภา โดยการเคลื่อนไหวภายนอกสภานั้น กลุ่มที่ออกมาคัดค้าน เช่น กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน และได้มีองค์กรการเมืองภาคประชาชนออกมาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่น คณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย (ครป.) เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ฯลฯ พรรคการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ แสดงท่าทีไม่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งได้นำมวลชนจัดตั้งเข้ามาคัดค้าน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสนับสนุน ที่ใช้ \"สีเขียว\" เป็นสัญลักษณ์ กับฝ่ายต่อต้าน ที่ใช้ \"สีเหลือง\" เป็นสัญลักษณ์"
] |
การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน? | [
"ไข้หวัดนก (English: Avian influenza หรือชื่อสามัญ bird flu) เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชื่อ H5N1 ซึ่งพบได้ในสัตว์ปีก ค้นพบครั้งแรกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในประเทศอิตาลี เรียกกันว่าไข้หวัดสเปน โรคนี้ระบาดอย่างหนักทั่วโลก ไข้วก ไข้หวัดนก เอาอีก เริ่มระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2460-2461(ค.ศ.1918-1920) เรียกว่า \"ไข้หวัดใหญ่สเปน\" (Spanish Flu) เริ่มแพร่ระบาดจากฝั่งอาร์กติก และข้ามมาสู่ฝั่งแปซิฟิกภายในระยะเวลา2เดือน มีการประมาณผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 50-100 ล้านคน หรือเท่ากับคนจำนวน1ใน3ของประชากรของทวีปยุโรป"
] | [
"มีนาคม พ.ศ. 2550 เชื้อไวรัสไข้หวัดนกในเป็ดอายุ 45 วัน ในจังหวัดวินห์ลอง บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยเป็ดเหล่านั้นไม่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1และ ทางการเวียดนามได้สั่งฆ่าเป็ดไปแล้ว 800 ตัว และสั่งฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่ที่พบการระบาดที่อยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 140 กม.[3] พฤษภาคม พ.ศ. 2550 พบการระบาดของไข้หวัดนกในฟาร์มเป็ดอีกแห่งนอกเมืองไฮฟอง ทำให้ลูกเป็ดอายุ 14 วัน ซึ่งยังไม่ได้รับวัคซีนล้มตาย 2,120 ตัว และผลตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เอช 5 เอ็น 1 นับเป็นการระบาดของไข้หวัดนกครั้งที่ 2 ในพื้นที่ดังกล่าว [4] และเวียดนามพบการติดเชื้อไข้หวัดนกครั้งแรกที่จังหวัดเงียอาน ของเวียดนาม [5]",
"การค้นพบไวรัสเวสต์ไนล์ในซีกโลกตะวันตกถูกประกาศโดยการระบาดของโรคในนกกาและนกป่าชนิดอื่นๆ โรคได้แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์เกี่ยวกับสุขภาพสัตว์และความเสี่ยงในมนุษย์ รวมไปถึง ฝีดาษลิง (Monkeypox) กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (โรคซาร์ส) และไข้หวัดนก ในขณะที่กาฬโรคระบาด หนูเริ่มตายก่อนมนุษย์",
"สหรัฐอเมริกาผลิตวัคซีนไข้หวัดนกตัวแรก โดยสร้างจากสายพันธุ์ที่ติดเชื้อในคน เมื่อ พ.ศ. 2550[11] ในประเทศจีน พ.ศ. 2551 บริษัทชีวผลิตภัณฑ์เคอซิงปักกิ่ง ผลิตวัคซีนไข้หวัดนกและใช้กับอาสาสมัครกว่า 500 ซึ่งยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิผล [12]",
"ยุคล ลิ้มแหลมทอง ได้รับการคัดเลือกจากองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) ให้ได้รับรางวัล OIE Meritorrious Award เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลระดับโลกในครั้งนี้ จากผลงานโดดเด่นในการแก้ไขปัญหาและควบคุมโรคไข้หวัดนกในช่วงที่มีการระบาดในประเทศไทยและระบาดทั่วโลก",
"โรคนิวโมคอคคัส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “สเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี” ซึ่งทำให้มีอัตราการเกิดโรคปอดบวมสูง ชื่อของเชื้อนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1881 ต่อมาได้มีการค้นพบยาเพนนิซิลิน ที่ใช้รักษาโรคนี้ได้เป็นอย่างดีในปี 1940 แต่ในระยะหลังเชื้อเกิดอาการดิ้อยาชนิดนี้ และยาปฏิชีวนะชนิดอื่นๆด้วย ทำให้ยากต่อการรักษา เชื้อนิวโมคอคคัส สามารถพบได้ทุกแห่ง ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในโพรงจมูกและคอของคนทั่วไป บางคนอาจจะมีเชื้อนี้แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งเรียกว่าพาหะ เชื้อสามารถแพร่กระจายสู่บุคคลอื่นได้ เหมือนโรคไข้หวัด โดยการ ไอ จาม หรือทางอื่นๆที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายออกมาเป็นละออง สิ่งสำคัญที่เป็นตัวการในการติดเชื้อส่วนใหญ่คือ มือ ดังนั้น การล้างมือบ่อยๆก็เป็นการป้องกันได้อีกทางหนึ่ง ชื้อนิวโมคอคคัส สามารถทำให้เกิดโรคที่เป็นอันตรายต่างๆได้ อาทิเช่น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคปอดบวม โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายมากในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เป็นต้น กลุ่มบุคคลส่วนใหญ่ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อนี้จะเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ที่ตัดม้ามออกหรือม้ามทำงานผิดปกติ ",
"ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังได้ก่อให้เกิดภัยโรคระบาดทั่วหลายครั้งในศตวรรษที่ผ่านมา รวมทั้งโรคระบาดทั่วแบบไม่แท้ในปี พ.ศ. 2490 (ถึงแม้ว่าจะมีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากแม้จะติดต่อกันไปทั่วโลก แต่ก็มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนน้อย) [49] การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสุกร และไข้หวัดใหญ่รัสเซีย ในปี พ.ศ. 2520 ล้วนเกิดขึ้นจากไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ทั่วโลกได้เพิ่มระดับการเฝ้าระวังนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคซาร์สในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เกิดจากโคโรนาไวรัส ซาร์ส) [50] ระดับของการเตรียมพร้อมได้เพิ่มขึ้นอีกและรับมือกับการแพร่ระบาดของ \"ไข้หวัดนก\" หรือไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ เอช 5 เอ็น 1 เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง แต่สายพันธุ์ดังกล่าวมีอัตราการติดต่อจากคนสู่คนหรืออัตราการแพร่ระบาดในระดับโลกต่ำ[51]",
"กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรทุกรูปแบบเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านแอนติเจนจากภายนอก (เช่น เชื้อโรค) แต่ภูมิคุ้มกันที่สร้างกลับไปทำลายเนื้อเยื่อประสาทของผู้ป่วยแทน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า \"molecular mimicry\" เป้าหมายที่ถูกระบบภูมิคุ้มกันทำลายเชื่อว่าเป็นสารประกอบที่พบได้เป็นปริมาณมากในเนื้อเยื่อประสาทส่วนปลายของมนุษย์ชื่อว่า แกงกลิโอไซด์ (ganglioside) เชื้อโรคที่ชักนำให้เกิดภาวะผิดปกติทางภูมิคุ้มกันดังกล่าวที่พบบ่อยที่สุดคือเชื้อแบคทีเรีย \"Campylobacter jejuni\" รองลงมาคือเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (cytomegalovirus; CMV) อย่างไรก็ตามมีจำนวนผู้ป่วยร้อยละ 60 ที่ไม่พบว่าเกิดจากการติดเชื้อใดนำมาก่อน ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการกระตุ้นจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือจากปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ พบว่ามีอุบัติการณ์ของกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเพิ่มขึ้นหลังจากการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในช่วงระหว่างการเกิดโรคไข้หวัดหมูระบาดทั่วในปี ค.ศ. 1976-1977 แต่จากการศึกษาทางระบาดวิทยาในภายหลังพบว่าการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอัตราเสียงที่จะชักนำให้การเกิดกลุ่มอาการนี้เพิ่มขึ้นน้อยมาก (คือเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 1 รายในการให้วัคซีน 1 ล้านคน) หรือแทบไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย",
"ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2547 ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาลของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าไปแก้ไขภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกเป็นผลสำเร็จ โดยกำหนดมาตรการป้องกันและรักษาเชิงรุก เร่งรัดพัฒนาห้อง lab ของโรงพยาบาลในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ให้มีประสิทธิภาพในการชันสูตรโรคด้วยความแม่นยำและรวดเร็ว\nศาสตราจารย์ สุชัย ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา(Mr. Michael Leavitt),ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก(Dr. Lee Jong - Wook)และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคมาร่วมประชุมกำหนดนโยบายในหัวข้อเรื่อง International Partnership on Avian and Pandemic Influenza ที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2548 ทำให้มีการกำหนดนโยบายร่วมกันระหว่างองค์การอนามัยโลก ประเทศไทย และสหรัฐอเมริกาในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดนกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่เป็นแนวทางปฏิบัติมาจนถึงป้จจุบัน",
"เอนเทอโรไวรัส เข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุของคอหอยและ ลำไส้ และ จะขยายเพิ่มจำนวนที่ทอนซิลและเนื้อเยื่อของระบบน้ำเหลืองบริเวณ ลำไส้ ซึ่งมีเชื้อนี้อยู่ และ เชื้อจะออกมากับอุจจาระ ดังนั้น การติดต่อจึงมักเกิดจาก การกินเชื้อเข้าสู่ปากโดยตรวจจากมือที่ปนเปื้อน อุจจาระ น้ำลาย น้ำมูก หรือ น้ำในตุ่มพอง หรือ แผล ของผู้ป่วย หรืออาจเกิดจากการ ไอ จาม รดกัน (การแพร่ ติดต่อ มักเกิดขึ้นได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อออกมามาก) ส่วนการติดต่อทางน้ำหรืออาหารมีโอกาสเกิดได้น้อย และ โรคนี้ไม่ติดต่อโดยการหายใจ\nเชื้อเอนเทอโรไวรัส เกิดขึ้นทั่วโลก มีลักษณะเกิดกระจัดกระจายหรือระบาดเป็นครั้งคราว มักมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนต่อต้นฤดูฝน ( พฤษภาคม - มิถุนายน ) มักเป็นกับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ไม่ค่อยพบในวัยรุ่น การระบาดมักเกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มเด็ก เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล กลุ่มเสี่ยงต่อโรค โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี และ พบสูงสุดในเด็กกลุ่มอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อยู่กันอย่างแออัด และ มีฐานะยากจน และ ถ้ามีการระบาดเป็นระยะเวลานานจะทำให้มีโอกาสที่จะแพร่ไปสู่เด็กที่มีอายุมากขึ้นจนถึงวัยรุ่น และ ความรุนแรงของโรคก็จะเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยได้ดำเนินการเฝ้าระวังโรคจาก enterovirus ทางห้องปฏิบัติการตั้งแต่มิถุนายน 2541 โดยสำนักระบาดวิทยาทำการสอบสวนโรคและเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งในระยะแรกเป็นการเฝ้าระวังเฉพาะพื้นที่ใน 14 โรงพยาบาล และ ขยายเป็นการเฝ้าระวังทั่วประเทศใน พ.ศ. 2544 \nความไวรับและความต้านทานต่อโรค : โดยทั่วไปจะไวรับต่อการติดเชื้อได้ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจะจำเพาะต่อเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุโดยที่อาจมีหรือไม่มีอาการก็ได้ แต่ไม่ทราบช่วงเวลา การติดเชื้อครั้งที่สองอาจเกิดได้จากการติดเชื้อ คอกแซคกี เอ ชนิดที่ต่างไป ซึ่งโรคที่พบมากที่สุด คือ",
"ไข้หวัดนกในระยะแรกต้องใช้เวลาในการตรวจสอบนาน 3-4 วันโดยวิธีมาตรฐานสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 คือวิธีการเพาะแยกเชื้อไวรัสในไข่ไก่ฟักหรือเซลล์เพาะเลี้ยง เมื่อ พ.ศ. 2551 ทีมวิจัยคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาชุดตรวจสอบไข้หวัดนก เอช 5 เอ็น 1 ครอบคลุมถึงไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ต้นทุนการตรวจต่ำและรู้ผลภายใน 1 วันได้สำเร็จ [10] นอกจากนี้ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ยังได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักวิจัยชาวไทยเพื่อพัฒนาชุดตรวจวินัจฉัยไข้หวัดนกโดยใช้หลักการไบโอเซ็นเซอร์ ซึ่งเป็นชุดตรวจวินิจฉัยไข้หวัดนกที่มีความจำเพาะสูงกับไวรัสกลุ่ม H5 มีความไวสูงกว่าวิธีปัจจุบัน (IC) 100 เท่า ทราบผลภายใน 15 นาที และสามารถเก็บตัวอย่างได้นาน 1 เดือน ก่อนนำมาอ่านผลด้วยเครื่องเซนเซอร์อีกด้วย",
"คนเป็นพาหะของ Shigella ได้ดี ยังไม่เคยมีรายงานว่าพบในสัตว์ ผู้ป่วย Shigellosis ที่หายแล้ว หรือผู้ได้รับเชื้อแต่ยังไม่เกิดโรค (inapparent infections) จำนวนหนึ่ง จะมีเชื้อในอุจจาระต่อไปเป็นเวลาหลายเดือน แต่ที่จะเป็นพาหะเรื้อรังแบบ Salmonella Typhi นั้นมีน้อย การแพร่ระบาดของ Shigella มักเป็นการกระจายแบบบุคคลสู่บุคคล ส่วนการติดเชื้อมักพบการปนเปื้อนในอาหารและน้ำ รวมไปถึงยังพบได้ในกลุ่ม Homosexual ได้ด้วย Shigella ทั้ง 4 serogroup จะเป็นสาเหตุให้เกิดท้องร่วงได้ทั้งหมด",
"มีการระบาดมาสู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ .2547 โดยพบว่ามีผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในปีนั้นกล่าวคือป่วย 17 ราย เสียชีวิต 12 ราย ในปี พ.ศ. 2548 ป่วย 5 ราย เสียชีวิต 2 ราย และปี พ.ศ. 2549 ป่วย 3 ราย เสียชีวิต 3 ราย รวมพบผู้ป่วย 25 ราย เสียชีวิต 17 ราย โดยในปี พ.ศ. 2547 พบพื้นที่ระบาดมากที่สุดโดยมากถึง 60 จังหวัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2548พบพื้นที่ระบาดรองลงมา 21 จังหวัด ในปีพ.ศ. 2549พบเพียงสองจังหวัด ในปี พ.ศ. 2550 พบพื้นที่ระบาด 4 จังหวัด และปีที่พบเป็นปีสุดท้ายได้แก่ พ.ศ. 2551 พบพื้นที่ระบาด 4 จังหวัดได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอุทัยธานี[6]",
"วัคซีนสามารถป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอและบีได้ 99-100% ของบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสที่หมดฤทธิ์แล้วสองโดสมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับเด็กอายุต่ำกว่าหนึ่งปี[63] วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้มีให้ใช้ได้มาตั้งแต่ปี 1986 และได้รับการรวมกลุ่มเข้ากับโปรแกรมการฉีดวัคซีนแห่งชาติสำหรับเด็กอย่างน้อย 177 โปรแกรม ภูมิคุ้มกันสามารถป้องกันได้มากกว่า 95% ของเด็กและเยาวชนที่ได้รับวัคซีนไวรัสผสมปริมาณสามโดส การฉีดวัคซีนภายใน 24 ชั่วโมงหลังการเกิดสามารถป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อได้ ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีมีภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนลดลง องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่เด็กทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกแรกเกิดในประเทศที่มีไวรัสตับอักเสบบีระบาดเพื่อที่จะป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่ไปสู่ลูก[64]",
"เมื่อเร็วๆนี้ พบว่าฟาร์มเป็ดไก่ในประเทศจีนใช้อะมันตาดีนป้องกันไข้หวัดนก (avian flu) 2600 ล้านโดส เป็นเหตุให้ ไข้หวัดนก ที่เกิดจากเชื้อ เอชไฟฟ์เอ็นวัน (H5N1) ในประเทศจีนและประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ดื้อต่อยาอะมันตาดีน",
"ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบกันแน่ชัดว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากที่ไหนหรือเมื่อไหร่[153][154] การวิเคราะห์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ได้เสนอว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 ซึ่งเกิดการระบาดอยู่ในปัจจุบันนั้น มีการพัฒนามาจากสายพันธุ์ที่ค้นพบเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 และแพร่สู่มนุษย์เป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะมีการรับรองอย่างเป็นทางการ และถูกระบุว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่[153][155]",
"ต่อมาเกิดการระบาดขึ้นอีกโดยเริ่มต้นที่ฮ่องกงในปี พ.ศ. 2540 ในครั้งนั้นมีผู้ติดเชื้อ 18 คน เสียชีวิตไป 6 คน และเมือง Chaohu ในประเทศจีน เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 และล่าสุดพบนกกระยางป่วยที่พบในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเขตเมืองใหม่ของฮ่องกงเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 พบว่าติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 [1]",
"โดยปกติ ไข้หวัดนกไม่ติดต่อกับมนุษย์ แต่เมื่อเชื้อไวรัสกลายพันธุ์คนจะติดไวรัส เรียกว่าไข้หวัดนกในคน มักเกิดขึ้นในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ และส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว จากอายุ 18 – 20 ปี และมีอัตราการตายสูงกว่า 60% [13]",
"อีกกลวิธีการแทรกอารมณ์ขันคือการนำเหตุการณ์สำคัญในช่วงที่เขียนการ์ตูนมาล้อเลียน เช่น สถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแพร่ระบาดของไข้หวัดนก เป็นต้น",
"กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ ได้ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลการทุจริตในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในประเด็นการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ และมีการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 แต่การประโคมข่าวความเคลื่อนไหวไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะในช่วงเวลาเดียวกันได้เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนก",
"สำหรับผู้ติดเชื้อซิก้า เป็นที่รู้จักในชื่อว่า ไข้ซิกา (Zika Fever) ในผู้ติดเชื้อซิกามักจะไม่มีอาการแสดงหรือมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 ทราบว่าเกิดเชื้อในเส้นศูนย์สูตรแคบ ๆ ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาถึงทวีปเอเชีย , ปี 2014 ไวรัสซิก้าได้แพร่กระจาย ไปทางทิศตะวันออก สู่มหาสมุทรแปซิฟิก ไปยัง เฟรนช์โปลินีเซีย จากนั้นแพร่กระจายไปที่ เกาะอีสเตอร์ และในปี 2015 แพร่กระจายไปยังแม็กซิโก , อเมริกากลาง , แคริบเบียน และอเมริกาใต้ โดยเปนที่ระบาดของไวรัสซิก้าที่แพร่กระจายไปทั่วในปัจจุบัน ",
"วัคซีนโรคหัด เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากในการป้องกันโรคหัด การสร้างภูมิคุ้มกันหลังจากได้รับวัคซีนหนึ่งเข็มของเด็กอายุเก้าเดือนคือ 85% และของเด็กอายุมากกว่าสิบสองเดือนคือ 95% คนเกือบทั้งหมดที่ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ก็มักจะสร้างภูมิคุ้มกันได้หลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่สอง เมื่อกลุ่มประชากรมีอัตราของผู้ที่ได้รับวัคซีนจำนวนมากกว่า 93% การแพร่ระบาดของโรคหัดก็มักจะไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโรคอาจเกิดขึ้นได้อีกเมื่ออัตราการได้รับวัคซีนมีจำนวนลดลง ประสิทธิภาพของวัคซีนนี้จะคงอยู่เป็นเวลานานหลายปี แต่ทั้งนี้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าประสิทธิภาพของวัคซีนนี้จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปมากน้อยเพียงใด นอกจากนั้นแล้วเมื่อให้วัคซีนนี้หลังจากการติดเชื้อเพียงไม่กี่วันวัคซีนนี้ก็ยังสามารถหยุดยั้งโรคนี้ได้ด้วย",
"นอกจากโรคเอดส์แล้ว ยังมีโรคอื่นๆ หลายโรคมีมีการแพร่ระบาดเยอะ เช่น โรคไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งมีทั้งหมด 21 ประเทศที่มีการแพร่ระบาด เช่น ประเทศชาด ประเทศไนเจอร์ และประเทศไนจีเรีย เป็นต้น โดยรวมเรียกพื้นที่เหล่านี้ว่าเป็นเขต \"African meningitis belt\" ซึ่งเชื้อที่เป็นสาเหตุหลักคือ ชนิดย่อย A ส่วนการระบาดครั้งใหญ่สุดเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2539 - พ.ศ. 2540 โดยพบผู้ป่วยมากถึง 300,000 กว่าราย และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 30,000 ราย ซึ่งในภาพรวมของสุขภาพประชากรแล้ว อยู่ในระดับต่ำ โดยวัดได้จากดัชนีการพัฒนามนุษย์ในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือบางประเทศไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ เช่น ประเทศโซมาเลีย ทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่มีค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์",
"ไข้รากสาดใหญ่ชนิดระบาด (Epidemic typhus หรืออาจเรียกว่า \"Camp Fever\", \"Jail Fever\", \"Hospital Fever\", \"Ship Fever\", \"Famine Fever\", \"Petechial Fever\", หรือ \"louse-borne typhus\") มักเกิดการระบาดหลังจากสงครามหรือภัยพิบัติ เชื้อก่อโรคคือ \"Rickettsia prowazekii\" ซึ่งติดต่อผ่านทางเหาตัว (body louse; \"Pediculus humanus corporis\") ที่เจริญบนตัวของผู้ติดเชื้อ เชื้อแบคทีเรีย \"R. prowazekii\" จะเติบโตในทางเดินอาหารของเหาและถูกขับถ่ายออกมาทางมูล และติดต่อไปยังอีกคนหนึ่งเมื่อเกา (จากการถูกเหากัดและคัน) และมูลของเหาเข้าไปในแผล ระยะฟักตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ เชื้อแบคทีเรีย \"R. prowazekii\" สามารถมีชีวิตและสามารถแพร่กระจายเชื้ออยู่ได้ในมูลเหาเป็นเวลาหลายวัน ไข้รากสาดใหญ่สามารถทำให้เหาตายได้ แต่เชื้อก็ยังมีชีวิตอยู่ในซากเหาได้อีกเป็นเวลานานหลายสัปดาห์",
"การที่สเปนรักษาความเป็นกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ไว้ได้และเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบและเสบียงให้กับประเทศคู่สงครามทั้ง 2 ฝ่ายนั้นส่งผลดีอย่างมากกับประเทศ กล่าวคือ เศรษฐกิจเฟื่องฟูขึ้นทันที เกิดการพัฒนาทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ทั้งคนรวยและคนจนต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่การแพร่ระบาดของไข้หวัดสเปนทั้งในประเทศและที่อื่น ๆ ในโลก รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกก็สร้างความเสียหายให้กับสเปนอีก โดยต้องตกอยู่ในสภาวะเป็นหนี้ การนัดหยุดงานของผู้ใช้แรงงานถูกปราบปรามในปี ค.ศ. 1919",
"ครั้งนี้เป็นการระบาดของอีโบลาครั้งแรกที่แตะสัดส่วนโรคระบาด การระบาดครั้งก่อน ๆ สามารถควบคุมได้ในไม่กี่สัปดาห์ ความยากจนสุดขั้ว ระบบสาธารณสุขที่ทำหน้าที่บกพร่อง ข้าราชการที่ไม่ไว้วางใจหลังการขัดกันด้วยอาวุธนานหลายปี และความล่าช้าในการสนองตอบการระบาดเป็นเวลาหลายเดือนทั้งหมดล้วนส่งเสริมให้การควบคุมโรคระบาดล้มเหลว ปัจจัยอื่นมีขนบธรรมเนียมฝังศพของท้องถิ่นที่ชำระศพหลังเสียชีวิตและการแพร่ไปนครที่มีประชากรอยู่หนาแน่น เมื่อโรคระบาดแพร่กระจาย หลายโรงพยาบาลซึ่งขาดแคลนเจ้าหน้าที่และเวชภัณฑ์ ไม่สามารถแบกรับภาระไหวและปิด ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางคนแถลงว่า ความไร้สามารถรักษาความต้องการทางการแพทย์อื่นอาจทำให้ \"ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่ม[ซึ่ง]เป็นไปได้ว่าอาจสูงกว่าโรคระบาดเอง\" เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลซึ่งทำงานใกล้ชิดกับสารคัดหลั่งที่ติดต่อทางสัมผัสของผู้เป็นโรค เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงเป็นพิเศษต่อการรับเชื้อ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557 องค์การอนามัยโลก รายงานว่า ร้อยละ 10 ของผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 มีการประมาณว่า ขีดความสามารถของประเทศสำหรับการรักษาผู้ป่วยอีโบลานั้นขาดเทียบเท่า 2,122 เตียง ในเดือนธันวาคม มีจำนวนเตียงเพียงพอรักษาและแยกผู้ป่วยอีโบลาที่มีรายงานทั้งหมด แม้การกระจายของผู้ป่วยที่ไม่สม่ำเสมอส่งผลให้มีการขาดแคลนอย่างรุนแรงในบางพื้นที่ วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558 องค์การอนามัยโลก รายงานว่า เป็นครั้งแรกนับแต่สัปดาห์ที่ 29 มิถุนายน 2557 ซึ่งมีรายงานผู้ป่วยยืนยันใหม่น้อยกว่า 100 คนในสามประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากนั้นการสนองตอบโรคระบาดเคลื่อนไประยะที่สอง เมื่อความสนใจเปลี่ยนจากการชะลอการแพร่เชื้อเป็นการหยุดโรคระบาด วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558 องค์การอนามัยโลก รายงานว่ามีผู้ป่วยยืนยันรวมเพียง 30 คน และการปรับรายสัปดาห์ของวันที่ 29 กรกฎาคมรายงานผู้ป่วยเพียง 7 คน วันที่ 7 ตุลาคม 2558 ประเทศที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดทั้งสามประเทศบันทึกว่าไม่มีผู้ป่วยใหม่ในสัปดาห์นั้นเป็นครั้งแรก ทว่า เมื่อปลายปี 2558 แม้การระบาดขนาดใหญ่จะยุติลงแล้ว แต่ยังมีผู้ป่วยใหม่เกิดห่าง ๆ เกิดอยู่ ซึ่งขัดขวางความหวังที่จะสามารถประกาศว่าโรคระบาดสิ้นสุดลงแล้ว",
"ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่25 ธันวาคม ค.ศ. 2029 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้เกิดเหตุการ์ณแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัส Apocalypse Virus แพร่กระจายทั่วประเทศ เหตุการ์ณนี้ถูกเรียกว่า\"Lost Christmas\" เหตุการ์ณดังกล่าวทำให้องค์กรระหว่างประเทศนามว่าGHQเข้ามายับยั้งแพร่ระบาดในการยับยั้งเชื้อไวรัสชนิดนี้ ในเวลาต่อมา องค์กรดังกล่าวได้ควบคุมประเทศญี่ปุ่นโดยการใช้กำลังกดขี่ประชาชนอย่างรุนแรง ทำให้กลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจการกระทำขององค์กรนี้ซึ่งมีนามว่า\"ผู้ฝังศพ\" ได้ลุกฮือต่อต้านองค์กรดังกล่าว",
"อหิวาตกโรค หรือ โรคห่า () คือ โรคระบาดชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย \"Vibrio cholerae\" ที่ลำไส้เล็ก ผู้ป่วยจะมีอาการท้องร่วงเป็นน้ำและอาเจียนเป็นหลัก เรียกว่า \"ลงราก\" จึงเรียกโรคนี้ว่า \"โรคลงราก\" ก็มี และถ้าเกิดแก่สัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ วัว ควาย เรียก \"กลี\" ร่างกายจะขับน้ำออกมาเป็นจำนวนมาก ในผู้ป่วยรุนแรงอาจทำให้มีผิวสีออกเทา-น้ำเงินได้ การแพร่เชื้อเกิดขึ้นจากการดื่มน้ำหรือกินอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ติดเชื้อเป็นหลัก ซึ่งผู้นั้นแม้ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้",
"การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นการระบาดทั่วโลกของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 สายพันธุ์ใหม่ หรือโดยทั่วไปมักเรียกว่า \"ไข้หวัดหมู\" เริ่มพบการระบาดตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา แม้ว่าไวรัสประกอบด้วยการรวมกันของพันธุกรรมของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ในสัตว์ปีก และในสุกร รวมกับไวรัสไข้หวัดใหญ่สุกรยูเรเซีย[1] ลักษณะที่แปลกประการหนึ่งของเชื้อเอช 1 เอ็น 1 คือ มักจะไม่ค่อยติดต่อสู่คนวัยชราอายุมากกว่า 60 ปี[2]",
"เป็นที่เชื่อกันว่า การแพร่ระบาดของไวรัสเอช 1 เอ็น 1 เกิดขึ้นในวิธีเดียวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล โดยส่วนใหญ่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่ระบาดจากคนสู่คนผ่านทางการไอหรือการจามของผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ในบางครั้ง ก็อาจรวมไปถึงการสัมผัสกับบางสิ่งซึ่งมีไวรัสไข้หวัดใหญ่อยู่บริเวณนั้น แล้วไปสัมผัสกับปากหรือจมูกของตนเองได้อีกทางหนึ่งด้วย[9] ค่าความเร็วในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส (ค่าตัวเลขซึ่งระบุว่ามีผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้มากเพียงใด ในประชากรซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค) ต่อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เอช 1 เอ็น 1 พ.ศ. 2552 ถูกประเมินไว้ที่ 1.75[74]"
] |
คาราบาว มีอัลบั้มชุดแรกชื่อว่าอะไร ? | [
"เมื่อกลับมาเมืองไทย แอ๊ดและเขียวได้ร่วมกันเล่นดนตรีในเวลากลางคืน โดยกลางวันแอ๊ดทำงานอยู่ที่การเคหะแห่งชาติ ขณะที่เขียวทำให้กับบริษัทฟิลิปปินส์ที่มาเปิดในประเทศไทย ส่วนไข่ก็ขอลาออกจากวงและแยกตัวออกไปทำงานรับเหมาก่อสร้างอยู่ที่ภาคใต้ ทั้งคู่ออกอัลบั้มชุดแรกของวง ในชื่อ ขี้เมา เมื่อปี พ.ศ. 2524 และแอ๊ดก็ได้ติดต่อวงโฮป ให้มาช่วยโปรดิวซ์ให้ในอัลบั้มชุดนี้ และทำให้คาราบาวเป็นที่รู้จักตั้งแต่อัลบั้มนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก"
] | [
"ปลายปี พ.ศ. 2526 คาราบาว กลับมาบันทึกเสียงที่ห้องอัดของอโซน่าอีกครั้งเพื่อบันทึกเสียงเพลงทั้งหมดในอัลบั้มชุด ท.ทหารอดทน เทียรี่จึงได้เป็นนักดนตรีแบ็คอัพบันทึกเสียงให้คาราบาวในอัลบั้มชุด ท.ทหารอดทน ก่อนที่จะได้รับการเชิญชวนให้ร่วมออกทัวร์คอนเสิร์ตกับทางวงอีกครั้งหนึ่ง",
"ปี พ.ศ. 2536 โคโค่แจ๊ซรวมตัวอีกครั้งโดยมีเพียง อาจารย์ชื่น และ นรีกระจ่าง โดยมีสตูดิโออัลบั้มชุด \"\"คิดถึง...คาราบาว\"\" กับค่ายมูเซอร์ เรคคอร์ดส ซึ่งเป็นการนำบทเพลงของสุดยอดวงดนตรีเพื่อชีวิต \"คาราบาว\" มาเรียบเรียงเป็นดนตรีแจ๊ซ อาทิ ทะเลใจ, รักคุณเท่าฟ้า, รักต้องสู้, สบายกว่า ฯลฯ แต่หลังจบอัลบั้มชุดนี้แล้วก็เป็นอันต้องยุบวง โดยนรีกระจ่างได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอีกหลายชุด ส่วนอาจารย์ชื่น ยังคงสอนดนตรี และเป่าแซ็กโซโฟนให้กับวงดนตรีในสังกัดกรุงเทพมหานคร",
"คาราบาวแดงเริ่มเผยแพร่โฆษณาเปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ในเวลา 18.30 น. มีสโลแกนว่า \"เชิดชูนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่\" โดยโฆษณาที่ใช้เปิดตัวนั้นเป็นเรื่องราวของวีรกรรมวีรชนชาวไทยในอดีต ทำให้กลายเป็นโฆษณาที่สร้างความฮือฮาจนเป็นกระแสพูดถึงกันในวงสังคม เนื่องจากใช้ทุนสร้างสูง และมีคุณภาพเทียบเท่ากับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งทีเดียว พร้อมกันนั้นคาราบาวก็ได้ออกอัลบั้มชุดใหม่คือชุด \"นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่\" ออกมาพร้อมกัน รวมทั้งมีการจัดฟรีคอนเสิร์ตโปรโมทอัลบั้มด้วย แต่ขณะเดียวกันตัวโฆษณาก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบด้วย เนื่องมาจากภาพลักษณ์ของคาราบาวเองที่เป็นวงดนตรีเพื่อชีวิต แต่ในครั้งนี้กลับทำตัวเป็นนายทุนเสียเอง เป็นการสมควรหรือไม่ อีกทั้งยังมีแง่มุมในการสมควรหรือไม่ที่ใช้วีรกรรมของวีรชนชาวไทยในอดีตมาใช้โฆษณา เช่น ชาวบ้านบางระจัน, ท้าวสุรนารี หรือ ยุทธนาวีเกาะช้าง เป็นต้น",
"ชูชาติ หนูด้วง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ โก้ คาราบาว มือกลองของวงคาราบาว มีชื่อเล่นว่า โก้ เกิดเมื่อวันที่ ที่กรุงเทพมหานคร เป็นชาวไทยมุสลิม จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โก้ ตีกลองในแนวเฮฟวี่ เมทัลและเคยร่วมเป็นสมาชิกในวงดนตรีเฮฟวี่ เมทัลต่าง ๆ มาแล้ว เป็นจำนวนมาก เช่น คาไลโดสโคป, ชัคกี้ ธัญญรัตน์ และ บลู แพลนเน็ต เป็นต้น เข้าร่วมวงคาราบาวในหน้าที่มือกลองในอัลบั้มชุดที่ 11 วิชาแพะ ในปี พ.ศ. 2534 และเข้ามาเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการในอัลบั้ม สัจจะ ๑๐ ประการ จนถึงปัจจุบัน",
"หุ่นกระบอก เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของวงตาวัน วางจำหน่ายเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2528 โดยอัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จพอสมควร ในอัลบั้มชุดนี้มีเพลงดังอย่าง หุ่นกระบอก , สมาคมว่างงาน และ เสียงกระซิบจากสายฝน หลังจากที่โปรโมทอัลบั้มนี้เสร็จแต่ละคนก็ได้ไปทำงานเบื้องหลังต่าง ๆ ตามที่ตัวเองถนัด พร้อมกับเล่นแบ็คอัพตามคอนเสิร์ตให้กับ คาราบาว ในชุด ห้ามจอดควาย และอัลบั้มเดี่ยวของ แอ๊ด คาราบาว ในอัลบั้ม ก้นบึ้ง , ทำมือ ก่อนที่จะกลับมาออกอัลบั้ม ม็อบ ในปี 2535",
"วงคาราบาว เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในอัลบั้มชุดที่ 3 ในปี พ.ศ. 2526 จากอัลบั้มชุด วณิพก กับสังกัดอโซน่า ด้วยเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม โดยมีทีมแบ็คอัพชุดเดิม คือสมาชิกกวงเพรสซิเดนท์ บางส่วน แต่ได้หมู - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เข้ามาร่วมเล่นเครื่องเคาะ, เพอร์คัสชั่นให้ด้วย บทเพลงจากอัลบั้มนี้มีเนื้อหาที่แปลกแผกไปจากเพลงในยุคนั้น ๆ และดนตรีที่เป็นท่วงทำนองแบบไทย ๆ ผสมกับดนตรีตะวันตก มีจังหวะที่สนุกสนาน ชวนให้รู้สึกคึกคัก เต้นรำได้ จึงสามารถแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในดิสโก้เธคได้เป็นเพลงแรกของไทย[1] ต่อมาในปลายปีเดียวกัน คาราบาวก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 คือ ท.ทหารอดทน ซึ่งได้ เป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ และ รัช - ไพรัช เพิ่มฉลาด เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในวง ในตำแหน่งมือกลอง และ มือเบสตามลำดับ แต่แอ๊ดกลับมีปัญหากับสังกัดอโซน่าในการทำเพลง เนื่องจากอโซน่าไม่อนุญาตให้วงคาราบาวไปอัดเสียงที่ห้องบันทึกเสียงศรีสยาม และให้ใช้ห้องอัดของอโซน่าทั้งที่แอ๊ดรู้ว่าเครื่องมือไม่ทันสมัย รวมทั้งเป็นอัลบั้มแรกของทางวงที่ถูก คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.) สั่งห้ามนำไปเผยแพร่ออกอากาศตามสื่อต่าง ๆ คือเพลง ท.ทหารอดทน และ ทินเนอร์ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายอย่างมาก",
"อเมริกันอันธพาล เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 19 ของวงคาราบาว และเป็นอัลบั้มที่ 2 ที่ออกกับสังกัดวอร์นเนอร์ มิวสิก โดยทางวงลดความเคร่งเครียดของเนื้อหาลงมาจากชุดที่แล้ว และทำเพลงร่วมสมัยและฟังง่ายมากขึ้น โดยมีส่วนผสมของเพลงบลูส์และริทึมแอนด์บลูส์เข้ามาเพิ่มความแปลกใหม่ในดนตรีของคาราบาวเอง จึงให้เป็นอัลบั้มที่แฟนเพลงคาราบาวยุคใหม่ชื่นชอบอัลบั้มหนึ่ง โดยมีเพลงที่ได้รับความนิยมอาทิ \"อเมริกันอันธพาล\", \"เสือ\", \"ฝัน\",\"สาธุชน\",\"มาลัยเสี่ยงรถ\"",
"มัน เป็นอัลบั้มรวมเพลงของวงคาราบาว วางจำหน่ายเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ.2534 จัดจำหน่ายโดย ดี-เดย์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ วางจำหน่ายในรูปแบบ เทปคลาสเซ็ท และ ซีดี เป็นการรวมเพลงจาก 10 อัลบั้มแรกของวงคาราบาว เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของวงคาราบาว วางจำหน่ายพร้อมกับอัลบั้ม ถึก , มึน , กินใจ โดยในอัลบั้มชุดนี้เป็นการรวมเพลงในจังหวะสามช่าและเพลงในจังหวะมันส์ ๆ",
"หลังจากนั้นตัวของ แอ๊ด คาราบาว ก็มีความคิดที่ว่าหากจะออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง คงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบั้มชุดแรกของวง คาราบาว ในชื่อชุด ขี้เมา ในปี พ.ศ. 2524 สังกัดพีค็อก สเตอริโอ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ปีถัดมา คาราบาว ได้สมาชิกใหม่เพิ่มอีก 1 คน คือเล็ก - ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์จาdกวง เพรสซิเดนท์ (เล็กเป็นเพื่อนเก่าของแอ๊ดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ช่างก่อสร้างอุเทนถวายด้วยกัน) มาร่วมงานในชุดที่ 2 คือชุด แป๊ะขายขวด ชุดที่ 3 ชุด \"วณิพก\" ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางครั้งมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี",
"ทำมือ เป็นสตูดิโออัลบั้มเดี่ยวลำดับที่ 2 ของแอ๊ด คาราบาว (ยืนยง โอภากุล) และเป็นอัลบั้มชุดแรกภายหลังการแยกตัวของวงคาราบาว หรือเป็นการพักวง เริ่มบันทึกเสียงเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 และวางตลาดเดือนสิงหาคม ขายได้ไปกว่า 700,000 ตลับ ภายใต้สังกัดแว่วหวาน (เป็นอัลบั้มที่โด่งดังในอัลบั้มหนึ่งของ แอ๊ด คาราบาว)",
"คาราบาวประสบความสำเร็จมากที่สุดในปลายปี พ.ศ. 2527 เมื่อได้ออกอัลบั้มชุดที่ 5 เมด อิน ไทยแลนด์ เป็นอัลบั้มชุดที่ 5 ซึ่งทำยอดขายได้ถึง 5,000,000 ตลับ ซึ่งเป็นสถิติยอดจำหน่ายอัลบั้มเพลงของศิลปินไทยที่สูงที่สุดของไทยที่ขณะนั้นยังไม่มีใครทำลายได้[3] และเมื่อคาราบาวจัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก คือ คอนเสิร์ตทำโดยคนไทย ที่เวโลโดรม หัวหมาก ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ก็มียอดผู้ชมถึง 60,000 คน แต่กลับเกิดเหตุสุดวิสัยคือผู้ชมขึ้นไปชมคอนเสิร์ตบนอัฒจันทร์ที่เลิกใช้งานแล้ว และมีผู้ชมตีกันกลางคอนเสิร์ต จนกลายเป็นนิยามว่า คาราบาวเล่นที่ไหนก็มีแต่คนตีกัน[4] แอ๊ดได้เตือนเรื่องความปลอดภัยของอัฒจันทร์เป็นระยะๆ ในที่สุดก่อนจบการแสดงครึ่งชั่วโมง และเหลือเพลงที่ยังไม่ได้แสดงอีก 3-4 เพลง รวมทั้งเพลง เรฟูจี ที่ สุรสีห์ อิทธิกุล และวงบัตเตอร์ฟลาย ต้องขึ้นไปขับร้องกับวงคาราบาวด้วย และ เพลงประจำคอนเสิร์ตทำโดยคนไทย คือ เมด อิน ไทยแลนด์ อัฒจันทร์ก็ได้ถล่มลงมาทับผู้ชม จนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก แอ๊ดจึงประกาศยุติคอนเสิร์ตโดยทันที และเพลงสุดท้ายที่แอ๊ดร้อง คือ รอยไถแปร",
"เมด อิน ไทยแลนด์ () คือสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 ของ คาราบาว วางจำหน่ายเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2527 โดย แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และ อามีโก้ โดยอัลบั้มชุดนี้ของคาราบาวมีเพลงฮิตเกือบทุกเพลงในอัลบั้ม ได้แก่ \"เมด อิน ไทยแลนด์\" , \"มหาลัย\" , \"ลูกหิน\" , \"ลูกแก้ว\" , \"ราชาเงินผ่อน\" , \"นางงามตู้กระจก\", \"เรฟูจี\" และ \"บัวลอย (ถึกควายทุย ภาค 5)\" อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของคาราบาวและเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของประเทศไทย โดยมียอดขายเทปซีดีประมาณ 5 ล้านตลับ/ก๊อปปี้ ซึ่งไม่มีศิลปินทำลายสถิติยอดขายอัลบั้มนี้ได้จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อัลบั้มนี้มีเพลงที่ถูก คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ หรือ กบว. สั่งแบนห้ามออกอากาศตามโทรทัศน์ช่องต่างๆ คือเพลง \"หำเทียม\" โดย กบว. ให้เหตุผลว่า \"มีคำว่า \"หำ\" อยู่ในเพลงเต็มไปหมด\"",
"ถึก เป็นอัลบั้มรวมเพลงของวงคาราบาว วางจำหน่ายเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ.2534 จัดจำหน่ายโดย ดี-เดย์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ วางจำหน่ายในรูปแบบ เทปคลาสเซ็ท และ ซีดี เป็นการรวมเพลงจาก 10 อัลบั้มแรกของวงคาราบาว เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของวงคาราบาว วางจำหน่ายพร้อมกับอัลบั้ม มึน , มัน , กินใจ โดยในอัลบั้มชุดนี้เป็นการรวมเพลง ถึกควายทุย ทั้ง 10 ภาค ตั้งแต่ชุดแรกจนถึงชุดห้ามจอดควาย",
"มึน เป็นอัลบั้มรวมเพลงของวงคาราบาว วางจำหน่ายเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ.2534 จัดจำหน่ายโดย ดี-เดย์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ วางจำหน่ายในรูปแบบ เทปคลาสเซ็ท และ ซีดี เป็นการรวมเพลงจาก 10 อัลบั้มแรกของวงคาราบาว เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของวงคาราบาว วางจำหน่ายพร้อมกับอัลบั้ม ถึก , มัน , กินใจ โดยในอัลบั้มชุดนี้เป็นการรวมเพลงของคาราบาวในจังหวะร็อค",
"อ้วนมีความผูกพันกับคาราบาวมาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อน้าของอ้วนเปิดเพลงเพื่อชีวิต รวมทั้งเพลงของคาราบาวให้ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ เฉพาะคาราบาวน้าเปิดเพลงในอัลบั้มชุดที่ 4 ของวงคาราบาว คือ \"ท.ทหารอดทน\" ",
"ศยาพร สิงห์ทอง (ชื่อเล่น: น้อง: 19 กันยายน พ.ศ. 2506 ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม - 6 มีนาคม พ.ศ. 2557 ( ปี)[7]) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ น้อง คาราบาว เป็นอดีตสมาชิกวงคาราบาว จบการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ป.ว.ส.) น้องเคยร่วมงานกับวงดนตรีและนักดนตรีต่าง ๆ มามากมาย อาทิ ฟรีเบิร์ดส , ฤทธิพร อินสว่าง , พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ และ ยิ่งยง โอภากุล หรือ อี๊ด พี่ชายฝาแฝดของ ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว (หัวหน้าวง) เข้าร่วมวงคาราบาวในฐานะมือกลองเพอร์คัสชั่นและร้องประสานเสียง ตั้งแต่อัลบั้มชุด แจกกล้วย ในปี พ.ศ. 2538 ชีวิตส่วนตัว น้องสมรสแล้วและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเล่นว่า อะตอม น้องได้ขอลาออกจากวงไปในปี พ.ศ. 2550 เนื่องจากป่วยเป็นระยะเวลานานและได้เสียชีวิตไปในเวลาเช้าของวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557",
"หลังวงคาราบาวประสบความสำเร็จกับอัลบั้มวณิพก เมื่อช่วงต้นปี ทางวงก็เริ่มมีปัญหากับอโซน่าต้นสังกัด เรื่องห้องอัด ที่อโซน่าไม่ยอมให้คาราบาวไปบันทึกเสียงที่ห้องบันทึกเสียงศรีสยาม อัลบั้มชุดนี้จึงเป็นชุดสุดท้ายที่ออกกับค่ายอโซน่า โดยทางวงได้พบกับนักดนตรีฝีมือดีหลายคนในห้องบันทึกเสียงอโซน่า อัลบั้มนี้จึงมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 2 คน คือ อำนาจ ลูกจันทร์ - มือกลอง และ ไพรัช เพิ่มฉลาด - มือเบส นอกจากนี้ยังได้ เทียรี่ เมฆวัฒนา ดารานายแบบซึ่งมีผลงานเพลงร่วมกับ ไพจิตร อักษรณรงค์ มาร่วมร้องประสานเสียง , ร่วมเล่นกีตาร์ และ อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี มาเล่นแซ็กโซโฟนและคลาริเน็ตเป็นแบ็คอัพ และ ร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับทางวงด้วย โดยเฉพาะเทียรี่ที่ต้องเป็นมือกีตาร์แทน เล็ก - ปรีชา ชนะภัย ที่ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตกับวงเพรสซิเดนท์ ที่ สหรัฐอเมริกา ก่อนที่ทั้งสองคนจะกลายเป็นสมาชิกของคาราบาวในอัลบั้มชุดต่อมา",
"ในปีถัดมาเดอะ ซิส ได้มีอัลบั้มชุดที่ 4 ซึ่งเป็นชุดสุดท้างในนาม \"The Sis\" มาวันนี้ทั้ง 3 สาว ได้หยิบเอาเพลงดังของคาราบาว มาถ่ายทอดใหม่กับอัลบั้มที่ใช้ชื่อว่า \"พี่น้อง ร้องเพลงชีวิต\"",
"กินใจ เป็นอัลบั้มรวมเพลงของวงคาราบาว วางจำหน่ายเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ.2534 จัดจำหน่ายโดย ดี-เดย์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ วางจำหน่ายในรูปแบบ เทปคลาสเซ็ท และ ซีดี เป็นการรวมเพลงจาก 10 อัลบั้มแรกของวงคาราบาว \"(ยกเว้นเพลง รักคุณเท่าฟ้า จากอัลบั้ม รวมเพลงคาราบาว)\" เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของวงคาราบาว วางจำหน่ายพร้อมกับอัลบั้ม ถึก , มัน , มึน โดยในอัลบั้มชุดนี้เป็นการรวมเพลงในจังหวะช้าของวงคาราบาว",
"ถึกควายทุย เป็นเพลงชุดมีทั้งหมด 10 เพลง ตามลำดับอัลบั้มของวงคาราบาว โดยเพลงแรกในชุดนี้ มีชื่อว่า \"ถึกควายทุย\" เป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของชนชั้นล่าง โดยเฉพาะเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา โดยสมมติตัวละครขึ้นมาชื่อ \"มะโหนก\" มะโหนกเป็นหนุ่มชาวนาที่มีผืนนาเป็นของตัวเอง สมบัติส่วนตัวของเขามีเพียงผืนนาผืนนี้ที่เป็นมรดกของบรรพบุรุษกับควายเฒ่าที่เป็นเสมือนเพื่อนรักที่ชื่อ \"ถึก\" โดยเพลงถึกควายทุยในแต่ละเพลงมีเรื่องราวและคติข้อคิดต่างๆพร้อมสอดแทรกวิถีชีวิตสังคมไทยในยุคนั้นลงไปในเพลงด้วย ในปี พ.ศ. 2534 ได้มีการรวมเพลง ถึกควายทุยทั้ง 10 ภาค ลงในอัลบั้ม ถึก เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของวงคาราบาว และในปลายปี พ.ศ. 2548 ในอัลบั้มชุดพิเศษ \"หนุ่มบาว สาวปาน\" ที่คาราบาวออกร่วมกับปาน ธนพร แวกประยูร ได้มีเพลงถึกควายทุย ภาคพิเศษ เกิดขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า \"บัวผัน\" ที่ร้องโดย ปาน ธนพร ",
"ในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีแยกตัวของสมาชิกวงคาราบาวยุคคลาสสิก โดยสมาชิกแต่ละคนได้แยกย้ายกันไปทำอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง มีดังนี้ แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้แยกออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวในชื่อชุด ทำมือ + ก้นบึ้ง และ โนพลอมแพลม โดยมีอ๊อด - อนุพงษ์ ประถมปัทมะ สมาชิกวงคาราบาวตามมาร่วมเล่นแบ็คอัพ, เล็ก - ปรีชา ชนะภัย ได้แยกออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวในชื่อชุด ดนตรีที่มีวิญญาณ และ ยังมีสมาชิกในวง 4 คนที่ได้แยกตัวเป็นอิสระออกไป คือ เขียว - กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ซึ่งได้ออกอัลบั้มเดี่ยวคือชุด ก่อกวน รวมทั้ง เทียรี่ เมฆวัฒนา, อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และเป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ก็ได้แยกตัวออกจากวง และ ออกอัลบั้มร่วมกันในชื่อชุด ขอเดี่ยวด้วยคนนะ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำอัลบั้มเดี่ยวจริง ๆ ของแต่ละคน ส่วนทางวงคาราบาวก็ได้รับสมาชิกเพิ่มเข้ามา มาแทนที่ตำแหน่งที่ออกไปคือ ดุก - ลือชัย งามสม มือคีย์บอร์ด และ โก้ - ชูชาติ หนูด้วง มือกลอง ในอัลบั้มชุดที่ 11 วิชาแพะ เมื่อปี พ.ศ. 2534 และ ยังคงออกอัลบั้มต่อมาเรื่อยๆ แต่ในปี พ.ศ. 2536 หมี - ขจรศักดิ์ หุตะวัฒนะ เข้ามาร่วมวงในตำแหน่งกีตาร์โซโล่ เล็กจึงจำต้องแยกตัวออกไป ต่อมาทางวงได้สมาชิกใหม่อีก 1 คน คือ น้อง - ศยาพร สิงห์ทอง ในอัลบั้มชุดที่ 15 แจกกล้วย เมื่อปี พ.ศ. 2538 และในปีเดียวกันนั้น วงคาราบาวมีอายุครบรอบ 15 ปี คาราบาวจึงได้ออกอัลบั้มชุดพิเศษ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันอีกครั้งของสมาชิกในยุคคาสสิกทั้ง 7 คน ในชื่อชุด หากหัวใจยังรักควาย โดยออกมาถึง 2 ชุดด้วยกัน และ มีการจัดคอนเสิร์ตปิดอัลบั้มคือ คอนเสิร์ตปิดทองหลังพระ ในปี พ.ศ. 2539 แต่หลังจากคอนเสิร์ตนี้ชื่อเสียงและความนิยมของวงคาราบาวเริ่มซาลง เนื่องจากกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไป แต่ทางวงก็ยังคงผลิตผลงานออกมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดย เล็ก - ปรีชา ชนะภัย, เทียรี่ เมฆวัฒนา ที่แยกตัวออกไปได้กลับมาร่วมวงอีกครั้งตั้งแต่อัลบั้ม อเมริกันอันธพาล ในปี พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน มีเพลงดังในช่วงตกอับนี้คือเพลง บางระจันวันเพ็ญ ในอัลบั้มชุด เซียมหล่อตือ หมูสยาม และทางวงก็ได้รับสมาชิกใหม่คืออ้วน - ธนะสิทธิ์ พันธุ์พงษ์ไทย ในตำแหน่งมือกลอง , ขลุ่ย และ แซกโซโฟนตั้งแต่อัลบั้มชุด สาวเบียร์ช้าง ในปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน",
"หลังเสร็จสิ้นการจัดมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาวไปแล้ว วงคาราบาวมีคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ชื่อว่า กินลม ชมบาว ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ที่บ้านของแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยคอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม สวัสดีประเทศไทย ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดล่าสุดของวงคาราบาว จัดขึ้นในวันเกิดของแอ๊ด และเป็นครั้งแรกที่วงคาราบาวได้แสดงคอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินตำนานร็อคเมืองไทยที่มีฝีมือประจักษ์แก่สายตาชาวโลกมาแล้วมากมาย เช่น แหลม มอริสัน, กิตติ กีตาร์ปืน, โอ้ - โอฬาร พรหมใจ และ ช.อ้น ณ บางช้าง โดยมีแขกรับเชิญพิเศษ คือ เสก โลโซ และโก๊ะตี๋ อารามบอย",
"จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2527 คาราบาวจึงประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดจากอัลบั้มชุดที่ 5 \"เมด อิน ไทยแลนด์\" ซึ่งสามารถทำยอดขายได้ถึง 5,000,000 ตลับ/ก๊อปปี้ ซึงเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประเทศไทย ทำให้ชื่อของเขียว คาราบาว เป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศตังแต่บัดนั้น ผลจากความสำเร็จของอัลบั้มชุดนี้ทำให้เขียวได้ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตทำโดยคนไทยซึ่งเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของวงคาราบาว ที่สนามจักรยานเวโลโดรม ในสนามกีฬาหัวหมาก ซึ่งคอนเสิร์ตดังกล่าวมียอดผู้ชมมากกว่า 60,000 คน และได้แสดงภาพยนตร์เรื่องเสียงเพลงแห่งเสรีภาพ ในปี พ.ศ. 2528 อีกด้วย โดยสมาชิกวงคาราบาวได้แสดงร่วมกันทั้งวง",
"นาวาคาราบาว เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งหนึ่งของวงคาราบาว จัดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. ของวันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2548 ณ.หอประชุมกองทัพเรือ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยคอนเสิร์ตครั้งนี้จัดโดย บริษัท สกาย-ไฮ เน็ตเวิร์ค จำกัด และคลื่น 106 Life F.M. โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์คลื่นสึนามิถล่มภาคใต้เมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 โดยคาราบาวที่เพิ่งออกอัลบั้มชุดที่ 24 \"สามัคคีประเทศไทย\" แสดงร่วมกับวงออเคสตร้าของกองดุริยางค์ทหารเรือ \"ไลท์ ออเคสตร้า ราชนาวีไทย\" ซึ่งคอนเซปต์ของคอนเสิร์ตครั้งนี้ คือ \"ไลท์ ร็อก เลส ทอล์ค\" จะเป็นการแสดงดนตรีในแบบเบา ๆ เป็นครั้งแรกของคาราบาว",
"เมด อิน ไทยแลนด์ ภาค 2546 สังคายนา เป็นอัลบั้มพิเศษอีกชุดหนึ่งของวงคาราบาว วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2546 โดยนำเพลงในอัลบั้ม เมด อิน ไทยแลนด์ ที่สามารถทำยอดขายได้ถึง 5,000,000 ตลับ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประเทศไทย ทั้ง 10 เพลงมาทำดนตรีใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น จากความตั้งใจของ แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ที่ต้องการทำให้อัลบั้มเมด อิน ไทยแลนด์ มีความสมบูรณ์ที่สุดในทุก ๆ ด้าน เพื่อคงสภาพงานอัลบั้มคลาสสิคที่สุดของคาราบาวให้ยั่งยืนชั่วกาลนาน ด้วยคุณภาพของการบันทึกเสียงในยุคนี้ และคาราบาวยังได้เพิ่มบทเพลงเข้าไปในอัลบั้มนี้อีก 2 เพลง คือ เดือนเพ็ญ และ ทะเลใจ โดย 2 เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มเดี่ยวของแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล คืออัลบั้มชุด กัมพูชา และอัลบั้มชุด พฤษภา ที่ทำร่วมกับอี๊ด - ยิ่งยง โอภากุล ตามลำดับ",
"คอนเสิร์ต 15 ปี เมด อิน ไทยแลนด์ เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งหนึ่งของคาราบาว จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี ของการออกอัลบั้ม \"เมด อิน ไทยแลนด์\" ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดที่ 5 ของคาราบาว ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งและเป็นอัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้กับคาราบาวเนื่องจากสามารถทำยอดขายอัลบั้มได้ถึง 5,000,000 ตลับ/ก็อปปี้ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประเทศไทย",
"ที่ฟิลิปปินส์ เขียวได้พบกับเพื่อนนักเรียนไทยที่นั่นอีก 2 คน คือแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล และไข่ - สานิตย์ ลิ่มศิลา ทั้ง 3 ได้ตั้งวงดนตรีที่ชื่อ \"คาราบาว\" ขึ้นมาเพื่อเล่นประกวดในงานดนตรีของมหาวิทยาลัย โดยขึ้นเล่นเพลง \"Carry On\" ของวง \"ครอสบี, สติลส์, แนช แอนด์ ยัง\" และเพลง \"Mahal Kita\" ซึ่งเป็นเพลงของฟิลิปปินส์ ซึ่งวงคาราบาวได้เข้ารอบ 10 วงสุดท้าย ก่อนจะตกรอบในเวลาต่อมา เมื่อกลับมาเมืองไทยในปี พ.ศ. 2520 เขียวได้เป็นวิศวกรประเมินราคา แต่ยังคงเล่นดนตรีสากลในนามคาราบาว ร่วมกับแอ๊ด และ ไข่ โดยใช้เวลาหลังจากเลิกงานประจำมาเล่นดนตรี ต่อมาเมื่อไข่แยกตัวออกไป คาราบาวจึงเหลือเพียงแอ๊ดและเขียว ทั้งคู่ได้ตระเวนเล่นดนตรีตามห้องอาหารต่าง ๆ ในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันก็ทำงานประจำ โดยทางวงจะเล่นเพลงสากลของ จอห์น เดนเวอร์, อิเกิ้ลส์, ครอสบี, สติลส์, แนช แอนด์ ยัง เป็นต้น\nจนในปลายปี พ.ศ. 2524 อัลบั้มชุดแรกของคาราบาวก็เกิดขึ้น ในชื่อว่า \"ขี้เมา\" โดยเขียว รับหน้าที่เล่นกีตาร์เบส แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ต่อมาอัลบั้มชุดที่ 2 \"แป๊ะขายขวด\" ซึ่งวางจำหน่ายปี พ.ศ. 2525 และได้เล็ก - ปรีชา ชนะภัย จากวงเพรสซิเดนท์เข้าร่วมวงด้วย เขียวจึงเปลี่ยนหน้าที่จากเล่นเบสมาเล่นกีตาร์ และได้ร้องนำเป็นครั้งแรก โดยเป็นการร้องคู่กับแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ในเพลง \"แป๊ะขายขวด\" และยังร้องเพลง \"หนทางใด\" และเพลง \"พรานทะเล\" อัลบั้มนี้ทำให้คาราบาวเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และในอัลบั้มชุดวณิพกซึ่งวางจำหน่ายในปีถัดมา เขียว สมาชิกในตำแหน่งมือกีตาร์ ได้ร้องนำในเพลง \"หัวลำโพง\" ก่อนจะเริ่มหันมาทำงานและมีบทบาทเบื้องหลังกับวงคาราบาวมากขึ้น",
"หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นปีที่ทางวงวางจำหน่ายอัลบั้ม ลูกลุงขี้เมา ที่ทางวงจัดทำขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีของวง ทางวงได้ปรับไลน์อัพของวงไปเป็นลักษณะแบบปัจจุบัน เนื่องจากน้อง - ศยาพร สิงห์ทอง ได้ขอลาออกจากวงจากปัญหาเรื่องสุขภาพ และได้เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557 ส่วนทางวงก็มีผลงานต่อมาอีก 3 ชุด โดยมีเหตุการณ์สำคัญระหว่างออกอัลบั้ม คือ ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2553 มีกระแสข่าวออกมาว่า เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของคาราบาว เพื่อผลประโยชน์ด้านการเมือง และเพื่อให้การบริหารจัดการในวงมีความคล่องตัวมากขึ้น แต่ วินิจ เลิศรัตนชัย ผู้บริหารบริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด ในฐานะผู้จัดมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว ซึ่งเป็นการแสดงดนตรีของคาราบาวในวาระครบรอบ 30 ปีของวง ซึ่งแสดงเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ตลอดทั้งปี พ.ศ. 2554 ถึง พ.ศ. 2555 เพื่อโปรโมทอัลบั้ม กำลังใจคาราบาว 30 ปี ได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าว[5][6] โดยอัลบั้มชุดล่าสุดที่วงคาราบาวออกจำหน่าย คือ สวัสดีประเทศไทย ซึ่งวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2557",
"คาราบาว มาประสบความสำเร็จถึงขีดสุดในอัลบั้มชุดที่ 5 ของวง คือชุด เมด อิน ไทยแลนด์ ที่วางจำหน่ายในปลายปี พ.ศ. 2527 ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 5,000,000 ตลับ/ก๊อปปี้ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประเทศไทย และนับตั้งแต่นั้น ชื่อของ ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ก็เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย และออกผลงานเพลงร่วมกับวงคาราบาวมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้แสดงคอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย"
] |
Subsets and Splits