query_id
stringlengths
1
4
query
stringlengths
14
176
positive_passages
listlengths
1
9
negative_passages
listlengths
0
14
2714
หนองคายติดแม่น้ำโขงหรือไม่?
[ { "docid": "92511#5", "text": "ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขง ตรงปากงึม เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ ท้องฟ้าที่วิปริตต่างๆ จึงหายไป บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ “เวินสุก” (ເວີນສຸກ) ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุข้างต้น การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริม และพระใสมาถึงหนองคาย สำหรับพระใสนั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระเสริมได้ อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ และพระสุก ได้สร้างองค์จำลองไว้ที่วัดศรีคุณเมือง ณ ปัจจุบัน", "title": "พระใส" }, { "docid": "420004#5", "text": "ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขงบริเวณปากงึมเฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ ท้องฟ้าที่วิปริตต่างๆ จึงหายไป บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ “เวินสุก” ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุข้างต้น การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริมและพระใสมาถึงหนองคาย ชาวลาวและชาวอีสานส่วนใหญ่เชื่อว่าพระสุกไม่ปรารถนาจะไปประดิฐานอยู่กรุงเทพมหานคร สำหรับพระเสริมนั้นสยามได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสได้อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่องหรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ ณ ปัจจุบัน", "title": "พระเสริม" }, { "docid": "157951#0", "text": "สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1 (; ) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงขนาดใหญ่แห่งแรก โดยเชื่อมต่อหมู่ที่ 1 คุ้มจอมมณี ตำบลมีชัย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายของประเทศไทย เข้ากับบ้านท่านาแล้ง เมืองหาดซายฟอง นครหลวงเวียงจันทน์ของประเทศลาว ตัวสะพานมีความยาว 1,170 เมตร มีทางรถ 2 ช่องจราจร กว้างข่องละ 3.5 เมตร ทางเท้า 2 ช่องทาง กว้างช่องละ 1.5 เมตร และรถไฟทางเดี่ยวกว้าง 1 เมตร ตั้งอยู่กึ่งกลาง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 30,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย ใช้ระยะเวลาก่อสร้างระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2534 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2537 และเพื่อเป็นการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. 2558", "title": "สะพานมิตรภาพไทย–ลาว 1 (หนองคาย–เวียงจันทน์)" } ]
[ { "docid": "7858#9", "text": "เนื่องจากแม่น้ำโขงไหลผ่านอำเภอต่างๆ เกือบทุกอำเภอ จึงก่อให้เกิดประโยชน์ในการเกษตรกรรม ราษฎรได้อาศัยแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราษฎรที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะได้รับประโยชน์มากกว่าราษฎรที่อยู่ลึกเข้าไปจากแม่น้ำโขง นอกจากนี้สำนักงานพลังงานแห่งชาติได้จัดตั้งสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ในพื้นที่ 9 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 82 สถานี เพื่อทำการสูบน้ำจากแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำอื่น ๆ ขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรกรรม", "title": "จังหวัดหนองคาย" }, { "docid": "13797#5", "text": "นอกจากนี้ ทุกวันออกพรรษาจะมีประชาชนจำนวนมากไปเยือนริมฝั่งแม่น้ำของในประเทศไทย แถบอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เพื่อดูปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดเป็นอย่างมาก จังหวัดที่มีปรากฏการณ์บั่งไฟพญานาคที่มีประชาชนนิยมไปเฝ้าดูมากที่สุด คือ จังหวัดหนองคาย ซึ่งในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีกลุ่มนักวิจัยจากหลายสถาบันได้ออกมาชี้ชัด หรือหาหลักฐานอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว ว่าเกิดจากกลุ่มก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ในแม่น้ำโขง อาทิเช่น ก๊าซมีเทน เป็นต้น แต่ก็ยังมิได้มีหลักฐานชี้ชัดเป็นที่แน่นอน ว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดจากการกระทำของพญานาค หรือ เกิดจากการกระทำของธรรมชาติ", "title": "แม่น้ำโขง" }, { "docid": "34253#2", "text": "บริเวณดังกล่าวยังเป็นที่บรรจบกันของแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกที่เรียกว่า สบรวก บริเวณนี้มีเคยมีชนกลุ่มน้อยและกองกำลังติดอาวุธอยู่หลายกลุ่ม พื้นที่ในแถบนี้เคยเป็นแหล่งปลูกฝิ่น และผลิตยาเสพติดแหล่งใหญ่ มีโรงงานผลิตเฮโรอีนกระจายอยู่ตามชายแดน ส่วนการลำเลียงฝิ่นจะไปเป็นขบวนลัดเลาะไปตามไหล่เขาพร้อมกำลังคุ้มกัน ว่ากันว่ายาเสพติดและฝิ่นจะถูกแลกเปลี่ยนด้วยทองคำในน้ำหนักที่เท่ากัน จึงเป็นที่มาของชื่อ สามเหลี่ยมทองคำ", "title": "สามเหลี่ยมทองคำ" }, { "docid": "718510#6", "text": "เมื่อสยามยกบ้านไผ่ขึ้นเป็นเมืองหนองคายริมแม่น้ำโขงฝั่งขวาแล้ว ได้ตั้งค่ายกองทหารส่วนหน้าอยู่บริเวณศาลากลางหลังที่ ๑ และ ๒ เดิม ปัจจุบันมีถนนสายหนึ่งของตัวเมืองเรียกว่า ถนนท่าค่าย สืบมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้เมืองหนองคายทำหน้าที่ปกครองหัวเมืองลาวล้านช้างทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ำโขงแทนเมืองเวียงจันทน์ ราษฎรของเมืองหนองคายส่วนใหญ่คือชาวลาวเวียงจันทน์ ต่อมาเมืองหนองคายถูกลดฐานะเป็นหัวเมืองเอก ๑ ใน ๑๕ หัวเมือง รวมเมืองขึ้น ๕๒ หัวเมือง หลังสิ้นสุดสงครามเจ้าอนุวงศ์และหลังการทำลายราชวงศ์เวียงจันทน์ลงแล้ว เมืองหนองคายนับว่ามีบทบาททางการเมืองการปกครองมากที่สุดเมืองหนึ่งในหัวเมืองฝ่ายลาวอีสาน และเป็นที่มั่นด่านหน้าของกองทัพสยามในการทำสงครามกับญวนอีก ๑๕ ปี คือ ใน พ.ศ. ๒๓๗๑-๒๓๘๖ ภายหลังจักรพรรดิมินมางของญวนได้พยายามเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนอาณาจักรล้านช้างและอาณาจักรกัมพูชา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สมุหนายก เป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพรบญวนจนถึงเมืองไซ่ง่อน โดยมีเมืองหนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ช่วยสกัดทัพด้านนี้แทน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าราษฎรเมืองต่างๆ ในอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ต่างระส่ำระสายเพราะบ้านเมืองกลายเป็นสมรภูมิ จึงทรงมีพระบรมราโชบายให้เจ้าเมืองพาราษฎรอพยพมายังฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง โดยพระราชทานที่ทำกินและสืบตระกูลได้ จึงปรากฏว่ามีชาวเมืองพวนจากแคว้นเชียงขวางและชาวญวนอพยพมาอยู่ฝั่งเมืองหนองคายมากขึ้น", "title": "พระปทุมเทวาภิบาล (บุญมา ณ หนองคาย)" }, { "docid": "19882#4", "text": "โขงเจียมมีเขตแดนทางตะวันออกติดแม่น้ำโขง เป็นที่ซึ่งแม่น้ำมูลไหลลงมาบรรจบบริเวณท้ายวัดโขงเจียม (วัดบ้านด่านเก่า) บริเวณที่แม่น้ำทั้งสองสายมาจดกันทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า น้ำสองสี โดยน้ำที่ไหลจากน้ำโขงจะมีสีขาวขุ่น ส่วนน้ำที่มาจากลำน้ำมูลมีลักษณะใสหรือสีเขียวอมฟ้าเล็กน้อย บางครั้งจะเรียกกันว่า \"โขงสีปูน มูลสีคราม\"", "title": "อำเภอโขงเจียม" }, { "docid": "308027#8", "text": "การที่องค์พระธาตุจมลงไปในแม่น้ำโขง ทำให้ชาวหนองคายต้องการบำรุงรักษาพุทธสถานแห่งนี้ไว้ จึงร่วมกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ การสร้างองค์พระธาตุหล้าหนองจำลองขึ้น แล้วบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงเข้าไว้ข้างใน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมฝั่งแม่น้ำโขงขึ้น โดยขนาดพระธาตุองค์จำลอง ฐานกว้าง 10x10 เมตร ความสูงประมาณ 15 เมตร พร้อมทั้งการเสริมสร้างเสถียรภาพตลิ่งและป้องกันการกัดเซาะตลิ่งตลอดความยาว 194 เมตร", "title": "วัดสิริมหากัจจายน์" }, { "docid": "95283#2", "text": "บึงโขงหลงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น กิ่งอำเภอบึงโขงหลง เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 และยกฐานะขึ้นเป็น อำเภอบึงโขงหลง เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 มีพื้นที่ส่วนหนึ่งติดแม่น้ำโขง แต่เดิมเป็นอำเภออยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดหนองคาย หลังจากพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอนที่ 18 ก เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 แยกพื้นที่ 8 อำเภอได้แก่ บึงกาฬ เซกา โซ่พิสัย บุ่งคล้า บึงโขงหลง ปากคาด พรเจริญ และศรีวิไล ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคายรวมตั้งขึ้นเป็นจังหวัดบึงกาฬ อำเภอบึงโขงหลงจึงกลายเป็น 1 ใน 8 อำเภอของจังหวัดบึงกาฬตั้งแต่บัดนั้นมา", "title": "อำเภอบึงโขงหลง" } ]
2721
จัสติน บีเบอร์ เป็นนักร้องตอนอายุเท่าไหร่ ?
[ { "docid": "281274#3", "text": "จนกระทั่ง สกูเตอร์ เบราน์ (Scooter Braun) นักการตลาดของ So So Def ในตอนนั้น ได้เข้าไปดูวีดีโอของบีเบอร์โดยบังเอิญ เบราน์สนใจในตัวบีเบอร์มากและเริ่มตามหาตัวเขา จนกระทั่งสามารถติดต่อแมลลิที้ได้ และเธอได้ตกลงที่จะให้พาตัวบีเบอร์ไป จนอายุ 13 ปี ณ แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เขาได้ทดลองอัดเสียง และในสัปดาห์ต่อมานั่นเองเขาก็ได้ลองร้องเพลงให้อัชเชอร์ฟัง ซึ่งต่อมาก็ได้ให้เขาเซ็นสัญญากับ Island Def Jam Music Group และ Island Records ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 ซึ่งมีการกล่าวว่าจัสติน ทิมเบอร์เลค ก็ได้ขอเซ็นสัญญากับบีเบอร์เช่นเดียวกัน แต่เขานั่นเลือกที่จะเซ็นสัญญากับอัชเชอร์ไป และบีเบอร์ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่แอตแลนต้า ซึ่งเป็นถิ่นที่อัชเชอร์และเบราน์ทำงาน", "title": "จัสติน บีเบอร์" } ]
[ { "docid": "281274#0", "text": "จัสติน ดรูว์ บีเบอร์ () เกิด 1 มีนาคม ค.ศ. 1994 เป็นชาวแคนาดา โดยเริ่มอาชีพนักร้องจากการโพสวีดีโอ ณ เว็บไซต์ยูทูบ (Youtube) จนผู้จัดการ สกูเตอร์ เบราน์ (Scooter Braun) ได้มาเห็น และนำบีเบอร์ไปแอตแลนตา รัฐจอร์เจียและพบกับอัชเชอร์ จนได้เซ็นสัญญาในนาม Raymond Braun Media Group (RBMG) ค่ายเพลง Island Records", "title": "จัสติน บีเบอร์" }, { "docid": "630046#0", "text": "\"บีลีฟ\" เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามของนักร้องชาวแคนาดา จัสติน บีเบอร์ ออกจำหน่ายวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2012 โดยค่ายเพลงไอส์แลนด์เรเคิดส์ หลังจากการเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบดนตรีแบบทีนป็อปของอัลบั้มที่แบ่งเป็นสองตอน \"มายเวิลด์\" (ค.ศ. 2009) และ\"มายเวิลด์ 2.0\" (ค.ศ. 2010) บีเบอร์ออกผลงานใหม่ที่มีส่วนผสมของดนตรีแนวแดนซ์ป็อปและอาร์แอนด์บีร่วมสมัย อัชเชอร์ หัวหน้าโปรดิวเซอร์อัลบั้ม และผู้จัดการชื่อสกูตเตอร์ บรอน ใส่รายชื่อผู้มีส่วนร่วมมากมาย ที่ช่วยสร้างเสียงดนตรีที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่ เช่น ดาร์กไชลด์, ฮิตบอย, ดิโพล และแมกซ์ มาร์ติน", "title": "บีลีฟ (อัลบั้มจัสติน บีเบอร์)" }, { "docid": "530404#7", "text": "\"บอยเฟรนด์\" ได้รับเสียงวิจารณ์คละกัน แอนดรูว์ แฮมป์แห่งนิตยสาร \"บิลบอร์ด\" ให้คะแนน 82 เต็ม 100 คะแนน โดยกล่าวว่า เสียงของบีเบอร์ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เคย แต่สังเกตว่าแฟนคลับส่วนใหญ่ของเขายังเป็นเด็กหญิงอายุ 12 ปี เอมี เซียเรตโต แห่งป๊อปครัช ยกย่องบทเพลงและกล่าวว่า ผลของการลองแนวดนตรีใหม่ ๆ ลงเอยด้วย \"เพลงจัสติน บีเบอร์ที่เป็นผู้ใหญ่และรอบด้านมากขึ้น\" เจนนา ฮอลลี รูเบนสไตน์ จากเอ็มทีวี กล่าวว่า \"บอยเฟรนด์\" นั้นเป็น \"ยาเสพติดบ้า\" (crazy dope) และตระหนักว่าเนื้อเพลงมุ่งไปยังสิ่งที่บีเบอร์ทำกับเซเลน่า โกเมซ แฟนสาวคนปัจจุบัน เบกก้า กริม จากนิตยสาร \"โรลลิงสโตน\" มีความคิดว่าเพลงนี้ \"ตึงกว่าปกติ\" (edgier-than-usual) ขณะที่เบรนยา บรานดาโน่ นักวิจารณ์จากบริษัทอาร์ทิสท์ไดเรกต์ กล่าวว่า \"บอยเฟรนด์\" ไม่เพียงเป็นการเปลี่ยนผ่านของบีเบอร์สู่ผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็น \"รุ่งอรุณใหม่แห่งเพลงป๊อป\" มาร์ก โฮแกน จากนิตยสาร \"สปิน\" กล่าวว่า บีเบอร์ \"อยากทำให้คุณตื่นเต้นมากขึ้น\" (sex you up) ไปกับเพลง แต่คิดว่า \"บีเบอร์อาจจะเป็นนักเกี้ยวผู้มั่งคั่ง แต่เขายังไม่โต\" นักวิจารณ์จากนิตยสาร \"แร็ป-อัพ\" กล่าวชมเพลง \"บอยเฟรนด์\" ที่แสดงให้เห็นบีเบอร์วัยผู้ใหญ่และเสียงดนตรีแบบในเมืองลงในเพลง สตีเวน ไฮเดน และ Genevieve Koski บรรณาธิการของ \"ดิ เอ.วี. คลับ\" ให้เกรด A- พร้อมกล่าวชมเพลงในด้านการผลิตและเสียงร้อง และถือว่า \"ต้านทานไม่ได้ เมื่อบีเบอร์ปล่อยเสียงสูงแบบทิมเบอร์เลก มันรู้สึกค่อนข้างสมบูรณ์แบบ\" พวกเขายังจัดอันดับให้เป็นซิงเกิลที่ดีที่สุดซิงเกิลหนึ่งของบีเบอร์ แม้พวกเขาวิจารณ์เนื้อหาในเนื้อเพลง", "title": "บอยเฟรนด์ (เพลงจัสติน บีเบอร์)" }, { "docid": "281274#7", "text": "ตรงจุดนี้ โทนเสียงของบีเบอร์เริ่มต่ำลงเนื่องจากเสียงเริ่มแตกจากการเข้าวัยหนุ่มสาว ก่อนหน้านั้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่า \"มันเริ่มแย่ เหมือนกับวัยรุ่นหนุ่มทุกๆคน ผมกำลังทำงานกับมัน และผมก็มีโค้ชทางด้านเสียงร้องที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก [...] ในบางงานผมร้องเพลง \"เบบี้\" แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้แล้ว พวกเราต้องลดคีย์ของเพลงลงเวลาผมต้องร้องเพลงนี้สด\" นักร้อง/นักแต่งเพลงของอังกฤษ ไทโอ ครูซ () ยืนยันว่าในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 นั้นเขาได้เขียนเพลงให้กับบีเบอร์สำหรับอัลบั้มถัดไป และผู้สร้างงานฮิปฮอป ดร. เดร (Dr. Dre) ได้ร่วมทำเพลงกับบีเบอร์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ และคาดว่าจะเปิดตัวอัลบั้มนี้ในปี ค.ศ. 2011", "title": "จัสติน บีเบอร์" }, { "docid": "281274#2", "text": "บีเบอร์เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1994 ณ ลอนดอน รัฐออนแทริโอ และโตในเมืองสแตรตฟอร์ด แม่ของเขา แพดตี้ แมลลิที (Pattie Mallette) อายุ 18 ปีตอนที่เธอได้มีลูกชายแมลลิทีได้ทำงานด้านสำนักงานโดยมีเงินเดือนต่ำ โดยเธอเลี้ยงดูบีเบอร์โดยตัวคนเดียว ยังไงก็ตาม บีเบอร์ก็ยังติดต่อกับพ่อของเขา เจเรมี บีเบอร์ (Jeremy Bieber) และเมื่อเขาโตขึ้น บีเบอร์ได้เริ่มเรียนเปียโน, กลองชุด, กีตาร์, และทรัมเป็ต ด้วยตัวเอง จนกระทั่งปี ศ.ศ. 2007 ตอนที่เขาอายุ 12 ปี บีเบอร์ได้ร้องเพลงของ Ne-Yo ชื่อเพลง \"So Sick\" ในการแข่งขันร้องเพลงที่สแตรตฟอร์ด และเขาได้ที่สอง แมลลิที้ได้โพสวีดีโอขึ้นเว็บไซต์ยูทูบเพื่อให้ครอบครัวและเพื่อนๆของเขาได้ชม และเธอก็เริ่มโพสวีดีโอที่เขาได้ร้องเพลงอื่นๆ จนกระทั่งเขาเริ่มมีชื่อเสียงจากเว็บไซต์นี้", "title": "จัสติน บีเบอร์" }, { "docid": "757953#0", "text": "เพอร์เพิส () เป็นสตูดิโออัลบั้มมี่สี่ของนักร้องชาวแคนาดา จัสติน บีเบอร์ อัลบั้มวางขายวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 โดยสังกัดเดฟแจมเรคอร์ดิงส์ และสกูลบอยเรเคิดส์ ก่อนออกอัลบั้ม ซิงเกิลแรก \"วอตดูยูมีน\" ออกจำหน่าย และติดชาร์ตอันดับหนึ่งในหลายชาร์ต และตามด้วยซิงเกิล \"ซอร์รี\" ที่ทำสถิติบนชาร์ตเช่นกัน ซิงเกิลที่สาม \"เลิฟยัวร์เซลฟ์\" ก็ประสบความสำเร็จบนชาร์ตโดยขึ้นอันดับหนึ่งใน 7 ประเทศ และขึ้นห้าอันดับแรกในสหรัฐอเมริกา", "title": "เพอร์เพิส (อัลบั้มจัสติน บีเบอร์)" }, { "docid": "955424#1", "text": "ปัจจุบันเมื่อวันที่ จัสติน บีเบอร์ เป็นศิลปินที่มี 5 วิดีโอที่ผู้ชมเกินหนึ่งพันล้านครั้ง ในขณะที่เคที เพร์รีและบรูโน มาส์ มีสี่วิดีโอ เทย์เลอร์ สวิฟต์, แคลวิน แฮร์ริส, ชากีรา, อารีอานา กรานเด, นิค คลีมอนส์, อะเดล, เดอะเชนสโมเกอส์, มาลูมา และเอนรีเก อีเกลเซียส มีคนละสามวิดีโอ ฟิฟท์ฮาร์โมนี, ไซ, เอลลี โกลดิง, เดอะวีกเอนด์, เอ็มมิเน็ม, เจ บัลวิน, ริกกี มาร์ติน, เซีย, ลูอิส ฟอนซี, ทเวนตีวันไพล็อตส์, รีแอนนา, ชอว์น เมนเดส และเก็ตมูฟวีส์ มีคนละสองวิดีโอ", "title": "รายชื่อวิดีโอบนยูทูบที่มียอดผู้ชมมากที่สุด" }, { "docid": "530404#11", "text": "ไอส์แลนด์เดฟแจมมิวสิกกรุ๊ปมอบหมายให้โคลิน ทิลลีกำกับมิวสิกวิดีโอ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำงานกับบีเบอร์ในมิวสิกวิดีโอเพลง \"ยูสไมล์\" (ค.ศ. 2010) การถ่ายทำมีขึ้นในสัปดาห์วันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2012 ที่สตูดิโอแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย บีเบอร์เผยว่ามิวสิกวิดีโอไม่ได้มี \"มโนทัศน์คงตัว\" และเสริมว่า ส่วนใหญ่แสดงมุมกล้องแบบศิลป์แทรกด้วยท่าเต้นประกอบฉาก เขาอธิบายต่อว่า \"มันไม่ใช่ว่า 'บีเบอร์ตามผู้หญิงคนนี้มายังจุดนี้ ไม่ใช่ มันเป็นกลุ่มฉากที่น่าประหลาดใจ เช่นเดียวกับฉากไฟ เรามีฉากน้ำแข็ง\" ในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 2012 บีเบอร์ได้เผยแพร่ทีเซอร์ (teaser) ของคลิป เบ็กกี เบน จากเว็บไซต์ไอโดเลเตอร์ เปิดเผยว่า ทีเซอร์ที่ตามมาหลายตัวแสดงบีเบอร์กำลังถูกมือหญิงหลายคนลูบคลำ ขณะกำลังเต้นท่าไมเคิล แจ็กสันอยู่หน้าสปอตไลต์สีขาวขนาดใหญ่ [และ]โพสอย่างเป็นอันตรายหน้าไฟและและลอยอยู่ใต้น้ำ\" นิโคลา เซีย จากเว็บไซต์ไอโดเลเตอร์เช่นกัน มองฉากที่นักร้อง \"กระซิบที่ข้างหูสาว ๆ อย่างยั่วยวน\" ว่า \"อีโรติก\"เกินไป", "title": "บอยเฟรนด์ (เพลงจัสติน บีเบอร์)" }, { "docid": "530404#15", "text": "ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2012 มารีนาแอนด์เดอะไดมอนส์ ได้คัฟเวอร์เพลงนี้ในการแสดงในรายการไลฟ์เลาจ์ ทางสถานีวิทยุบีบีซีเรดิโอ 1 ในระหว่างการแสดง เธอได้เปลี่ยนเนื้อร้องและเจฟฟ์ เบนจามิน จากนิตยสาร \"บิลบอร์ด\" กล่าวว่า \"เธอได้เปลี่ยนแนวดนตรีของเพลงนี้ด้วย จากผลงานล่าสุดของบีเบอร์ไปเป็นดนตรีอคูสติกแบบมืดมน\" และในปีเดียวกัน เควิน แม็กเฮล และดาร์เรน คริส (ในนามของตัวละครชื่ออาร์ตี อะบรัมส์ และเบลน แอนเดอร์สัน) แสดงเพลงบอยเฟรนด์ผสมกับเพลง \"บอยส์\" ของบริตนีย์ สเปียส์ในตอน \"บริตนีย์ 2.0\" ของซีรีส์มิวสิคัล \"กลี\"", "title": "บอยเฟรนด์ (เพลงจัสติน บีเบอร์)" } ]
2726
วัดไทยพุทธคยา ตั้งอยู่ประเทศใด ?อ
[ { "docid": "11114#0", "text": "วัดไทยพุทธคยา เป็นวัดไทยแห่งแรกในประเทศอินเดีย เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 มีเนื้อที่ราว 12 ไร่ (5 เอเคอร์) ตั้งอยู่บริเวณพุทธคยา อยู่ห่างจากองค์เจดีย์พุทธคยาประมาณ 500 เมตร เป็นวัดที่อยู่ในความดูแลและอุปถัมภ์ของรัฐบาลไทย ปัจจุบันมีพระเทพโพธิวิเทศ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เป็นเจ้าอาวาส", "title": "วัดไทยพุทธคยา" }, { "docid": "11114#2", "text": "ประเทศอินเดีย ได้รับได้เอกราชจากอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2490 และต่อมา ฯพณฯ ชวาหระลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีอินเดียคนแรก ได้เตรียมการจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษขึ้น หรือเรียกว่า พุทธชยันตี ใน พ.ศ. 2500 จึงได้ประกาศเชิญชวนให้ประเทศต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาได้มาสร้างวัดด้วยศิลปะของตน ณ พุทธคยา ดินแดนตรัสรู้ของพระโคตมพุทธเจ้า โดยรัฐบาลอินเดียได้จัดสรรที่ดินให้เช่าในนามรัฐบาลต่อรัฐบาลคราวละ 99 ปี และเมื่อหมดสัญญาแล้วสามารถต่ออายุสัญญาได้อีกคราวละ 50 ปีวัดไทยพุทธคยา ตั้งอยู่ห่างจากบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณ 500 เมตร ตำบลพุทธคยา อ.คยา รัฐพิหาร ห่างจากสถานีรถไฟคยา ประมาณ 15 กิโลเมตร และสนามบินพุทธคยา ประมาณ 10 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ (5 เอเคอร์) อยู่ในความอุปถัมภ์ของรัฐบาลไทย มีฐานะเป็นพระอารามหลวง เพราะได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินเป็นประจำทุกปี", "title": "วัดไทยพุทธคยา" } ]
[ { "docid": "48120#1", "text": "พุทธคยา ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา ไกลจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 350 เมตร \" (นับจากพระแท่นวัชรอาสน์) \" พุทธคยามีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่ โดยสูงถึง 51 เมตร ฐานวัดโดยรอบได้ 121.29 เมตร ล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานสำคัญ เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้ และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยายังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยคือ วัดไทยพุทธคยา", "title": "พุทธคยา" }, { "docid": "141168#0", "text": "วัดอนาลโยทิพยาราม หรือ ดอยบุษราคัม ตั้งอยู่บนดอยบุษราคัม บ้านสันป่าม่วง หมู่ที่ 6 ต.สันป่าม่วง จังหวัดพะเยา จากตัวเมืองไปเส้นทางพะเยา -เชียงราย ประมาณ 7 กม.แยกซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1127 ประมาณ 9 กิโลเมตร สร้างโดยพระปัญญาพิศาลเถร (พระอาจารย์ไพบูลย์ฯ)เป็นอุทยานพระพุทธศาสนา มีศาสนสถานที่สวยงามเช่น พระพุทธรูปศิลปสุโขทัย องค์ใหญ่ พระพุทธรูปปางต่างๆ พระพุทธลีลา พุทธคยา เก๋ง จีน ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม หอพระแก้วมรกตจำลองทำด้วยทองคำ ฯลฯ บรรยากาศร่มรื่น พื้นที่กว้างขวาง แวดล้อมไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ จากยอดดอยสามารถชมทัศนียภาพของกว๊านพะเยา และตัวเมืองของพะเยาได้อย่างสวยงามสามารถขึ้นวัดอนาลโยได้ 2 ทางคือ ทางรถยนต์และทางบันได มีที่พักแบบรีสอร์ทอยู่บนวัด", "title": "วัดอนาลโยทิพยาราม" }, { "docid": "11114#1", "text": "พระอุโบสถของวัดไทยพุทธคยาจำลองแบบมาจากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมของสมัยรัตนโกสินทร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งการจำลองแบบจนดูเหมือนนี้ไม่ใช่เฉพาะภายนอก แต่ยังมีภายในที่เหมือนกันด้วย เช่น องค์พระประธานที่เป็นพระพุทธชินราช แกลประตู แกลหน้าต่าง เป็นต้น", "title": "วัดไทยพุทธคยา" }, { "docid": "56663#0", "text": "วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ตั้งอยู่ที่ ตำบลโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี ภายในวัดต้นศรีมหาโพธิ์ มีต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่เชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เป็นหน่อจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้จากพุทธคยา ประเทศอินเดีย มีอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งนำเข้ามาปลูกเป็นต้นแรก ต้นโพธิ์ต้นนี้มีขนาดเส้นรอบวงของลำต้น 20 เมตร สูง 30 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ประธานของวัดที่จำลองแบบจาก เจดีย์พทธคยา มีลายปูนปั้นรูปเทวดาซึ่งงดงามมากที่ผนังด้านนอกของห้องคูหาส่วนฐานพระเจดีย์ด้วย", "title": "วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์" }, { "docid": "318008#5", "text": "วัดไชยมงคลเป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๒ ถนนสุรศักดิ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี รหัสไปรษณีย์ ๓๔๐๐๐ มีเนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๓ งาน ๘๙.๗ ตารางวา ตามเอกสารโฉนดที่ ๑๙๔๕ เลขที่ดิน ๑ หน้าสำรวจ ๑๐๖ เล่มที่ ๒๐ หน้า ๔๕ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ออกให้ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยมีอาณาเขตทิศเหนือจรดถนนพโลชัย ทิศใต้จรดถนนสุรศักดิ์ ทิศตะวันออกจรดถนนสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตกจรดที่ดินเอกชน วัดไชยมงคลเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี โดยเป็นวัดที่สร้างขึ้นเป็นลำดับที่ ๔ ในบรรดาวัดที่สังกัดธรรมยุติกนิกายในเมืองอุบลราชธานี โดยวัดแรกที่สร้างขึ้นคือวัดสุปัฏนารามวรวิหาร สร้างโดยเจ้าพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ทิดพรหม) (พ.ศ. ๒๓๓๘ - ๒๓๘๘) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ ๒ วัดที่สร้างขึ้นเป็นลำดับที่ ๒ คือวัดศรีอุบลรัตนาราม (วัดศรีทอง) สร้างโดยพระอุปฮาด (โท ต้นราชตระกูล ณ อุบล) และคณะกรมการเมืองอุบลราชธานี โดยเริ่มสร้างกุฎิ วิหาร และศาลาการเปรียญขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ นอกจากนี้เจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานียังได้ร่วมมือกันสร้างวัดสุทัศนาราม ซึ่งเป็นวัดในสังกัดธรรมยุติกนิกายแห่งที่ ๓ ส่วนวัดไชยมงคลนั้นเป็นวัดสังกัดธรรมยุติกนิกายในลำดับที่ ๔", "title": "เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์" }, { "docid": "188828#4", "text": "วัดไทยนาลันทา ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านนาลันทา ตำบลนาลันทา อำเภอนาลันทา รัฐพิหาร เริ่มแรกนั้น มีเนื้อที่จำนวน 3 ไร่ ต่อมาได้มีผู้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายเพิ่มเติมหลายครั้ง จำนวน 6 ไร่ ดังนั้น ในปัจจุบันวัดไทยนาลันทามีเนื้อที่จำนวน 9 ไร่ ห่างจากพุทธคยาประมาณ 90 กิโลเมตร ปัตนะ 90 กิโลเมตรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเยี่ยมวัดไทยนาลันทา เมื่อ พ.ศ. 2530", "title": "วัดไทยนาลันทา" }, { "docid": "573375#0", "text": "วัดป่าพุทธพจนารามตั้งอยู่ที่ 96 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ทางทิศใต้ของดอยสุเทพ ห่างจาก ถนนสาย หางดง-กฤษดาดอย 2 กิโลเมตร (เลี้ยวซ้ายตรง ก.ม.6 ก่อนถึงบ้านปงเล็กน้อย ) ห่างจากเชียงใหม่ราว 18-19 กิโลเมตร เส้นทางคมนาคมไปมาได้สะดวกทุกฤดูกาล\nบริเวณที่สร้างสำนักปฏิบัติธรรม ตั้งอยู่ในสถานที่สัปปายะ พอสมควรสำหรับผู้ใฝ่ธรรม เข้ามาปฏิบัติธรรม เพราะเป็นสถานที่ที่ไม่พลุกพล่านและไม่ห่างไกลจากชุมชนเกินไป พื้นที่ตั้งอยู่ในหุบเขามีที่ราบลุ่ม สลับกับเนินเขาเตี้ยๆ ภูมิประเทศโดยรอบมีทั้งป่าเขาและไร่สวนของชาวบ้าน ทัศนียภาพดูสงบร่มเย็นดี ที่สำคัญบริเวณที่ตั้งวัดป่าพุทธพจนารามแห่งนี้ เคยเป็นที่ตั้งวัดเก่ามาแต่โบราณกาล ปัจจุบันยังมีเนินเจดีย์ วิหารหลงเหลืออยู่ มีอิฐแกร่งก้อนโตที่คนสมัยนั้นใช้สร้างศาสนสถานอยู่จำนวนมาก น่าเสียดายที่รีบสร้างเสนาสนะทับบริเวณโบราณสถาน โดยยังไม่ได้ทำการสืบค้นหลักฐาน\nทิศเหนือ จรดถนนสาธารณะ\nทิศใต้ จรดเขตที่ดินและไร่สวนของชาวเมืองมีห้วยเสี้ยวลำธารเล็กๆคั่นอยู่\nทิศตะวันออก จรดบ้านพักของนายจรัญ ชาวสมุทรสาครซึ่งในอาณาบริเวณโดยรอบสำนักฯ มีบ้านพักอื่นๆ อยู่หลายหลัง\nทิศตะวันตก จรดเขตสวนของอดีตนายอำเภอ\nที่ดินที่สร้างวัดป่าพุทธพจนารามแห่งนี้ มี 2 แปลง 2 เจ้าของ เกิดขึ้นจากการริเริ่มอันเป็นกุศลเจตนาของนางโศภา เมืองกระจ่าง (นันทขว้าง )กับหลานสาวคือ นางดวงตา นันทขว้าง (นางดวงตารับมรดกที่ดินมารดาคือ นางสุวรรณี สุคนธา ) และนายวิเชียร เชิดชุตระกูลทอง และครอบครัว แห่งบริษัท อิฐภราดร จำกัด ผู้เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณนี้มานาน", "title": "วัดป่าพุทธพจนาราม" }, { "docid": "264816#0", "text": "วัดไทยไชยมังคลาราม เป็นวัดไทย ตั้งอยู่เลขที่ 17 ถนนพม่า เขตปูเลาติกุส รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย โดยตัววัดตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับ วัดพม่าธรรมิการาม ซึ่งเป็นวัดพม่าที่มีชื่อเสียงของรัฐปีนัง วัดไชยมังคลารามเป็นวัดไทยที่มีชื่อเสียงมานานบนเกาะปีนัง โดยภายในอุโบสถมีพระนอนยาวที่สุดในประเทศมาเลเซีย โดยมีความยาว 108 ฟุต สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีชื่อว่าพระพุทธชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานนามให้ในคราวเสด็จประพาสเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2505", "title": "วัดไชยมังคลาราม" } ]
2731
พนมเทียน คือใคร?
[ { "docid": "28360#36", "text": "พนมเทียนเป็นนักเดินป่าและล่าสัตว์ที่มีประสบการณ์ในการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนเป็นอย่างดี และได้นำเอาทักษะรวมทั้งประสบการณ์จริงในการเดินป่าของตนเอง มาถ่ายทอดลงในเพชรพระอุมา ให้ตัวละครต่าง ๆ เช่น รพินทร์ ไพรวัลย์ หม่อมราชวงศ์ดาริน วราฤทธิ์ หรือ แงซาย มีความสามารถและความชำนาญในฝีมือการยิงปืน รวมทั้งอาวุธปืนในแต่ละรุ่น วัตถุระเบิดและเครื่องกระสุนต่าง ๆ เป็นจำนวนมากที่ใช้สำหรับในการเดินทาง เช่นทักษะในการยิงสัตว์ในขณะที่สัตว์กำลังวิ่งหรือเข้าชาร์จผู้ยิง รวมถึงตำแหน่งการวางเป้าปืนของการยิงปืนในแต่ละครั้ง", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28404#0", "text": "ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ (23 พฤศจิกายน 2474 - ) นักเขียนนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของไทย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2540 เป็นเจ้าของนามปากกา พนมเทียน ผู้แต่ง เพชรพระอุมา\nฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ เกิดที่จังหวัดปัตตานี เป็นบุตรคนสุดท้องของขุนวิเศษสุวรรณภูมิ กับนางสะอาด รัตนกุล เริ่มเขียนนวนิยายเรื่องแรกตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เรื่อง “เห่าดง” ลงในสมุดอ่านกันเล่น เมื่อ พ.ศ. 2484 นอกจากเขียนนวนิยายแล้ว ฉัตรชัยยังเป็นคอลัมนิสต์เขียนบทความเกี่ยวกับอาวุธปืน ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางฉบับด้วย โดยใช้ชื่อจริง และนามปากกา \"ก้อง สุรกานต์\" เป็นชื่อที่มีความหมายถึงเปลวเทียนยามแสงโชนสว่างได้ที่ จะเห็นเปลวเทียนเรียวขึ้นจากปลายแท่งแล้วค่อยแผ่กว้างออกก่อนจะสอบปลายแหลมให้เรียวสะบัดความสว่างขึ้นอีกครั้ง โดยนามปากกานี้ใช้ครั้งแรกในการเขียนเรื่อง จุฬาตรีคูณ", "title": "ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ" } ]
[ { "docid": "98425#15", "text": "หนานอิน เป็นตัวละครในเพชรพระอุมาที่มีต้นแบบมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงคือ หนานไพร พนมเทียนได้จำลองลักษณะนิสัย อากัปกิริยามาจากครูพรานของพนมเทียน เป็นหัวหน้าหมู่บ้านในแถบจังหวัดกาญจนบุรี หมู่บ้านของพรานเกิดและเส่ย โดยชื่อของหนานไพรนั้นในเพชรพระอุมาเป็นครูพรานของรพินทร์ ไพรวัลย์ แต่มีบทบาทเพียงแค่ชื่อในการกล่าวอ้างถึงเท่านั้น พนมเทียนจึงจำลองบุคลิกภาพ อุปนิสัยทั้งหมดของหนานไพรมาถ่ายทอดแก่ตัวหนานอินแทน\nพรานคู่ใจของพรานชด ประชากร หรือ อนุชา วราฤทธิ์", "title": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "437242#0", "text": "ธรณีนี่นี้ใครครอง เป็นละครโทรทัศน์ไทย จากบทประพันธ์ \"กาญจนา นาคนันทน์\" โดยนามปากกาของ นงไฉน ปริญญาธวัช ซึ่งได้รับรางวัลประเภทนวนิยายดีเด่นสะท้อนชีวิตในสังคมไทย จากงานวันสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2518 ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2541 โดย บริษัท โนพลอบเล็ม จำกัด ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย \"แอนดริว เกร้กสัน\" และ\"ปิยธิดา วรมุสิก\" ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 บริษัท โนพลอบเล็ม จำกัด ได้นำมาสร้างใหม่อีกครั้ง บทโทรทัศน์ \"ปารดา กันตพัฒนกุล\" กำกับการแสดงโดย \"ยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์\" นำแสดงโดย \"ณเดชน์ คูกิมิยะ\" และ\"อุรัสยา เสปอร์บันด์\" ออกอากาศในปี พ.ศ. 2555 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3", "title": "ธรณีนี่นี้ใครครอง" }, { "docid": "98425#13", "text": "พนมเทียนได้จำลองลักษณะนิสัยใจคอของมาก มาถ่ายทอดให้แก่พรานจัน ที่มีฝีมือในการยิงปืนล่าสัตว์อย่างยอดเยี่ยม เป็นนักล่าและนักแกะรอยชั้นหนึ่งในการเดินป่า และพูดจาโอ้อวดน้อยกว่าบุญคำ รวมทั้งเสริมสร้างลักษณะนิสัยและความสามารถอื่น ๆ ของพรานจันตามแต่จินตนาการของพนมเทียน", "title": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "625190#0", "text": "หัวใจเถื่อน เป็นบทประพันธ์ของ บุษยมาส เป็นเรื่องราวของครอบครัวพิชิตพงษ์ อดีต รมต.กวี และคุณหญิงอำภา พิชิตพงษ์ มีลูกชายสองคนคือ ภาคย์ และ ภากร แต่ภาคย์กลับไม่ได้รับความรักจากทั้งพ่อและแม่ มีเพียงนมพริ้งและอมาวสีเท่านั้นที่รักภาคย์ อมาวสีสูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุ ท่านกวีจึงรับเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆ ภาคย์และอมาสีมีความรักและผูกพันต่อกัน จนวันหนึ่งภาคย์ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ผ่านไปสิบปีไม่มีใครคิดว่าภาคย์ยังมีชีวิตอยู่ จนวันหนึ่ง อมาวสีได้พบกับ ราช รัชภูมิ ชายหนุ่มที่ดูคล้ายภาคย์มาก แต่ทว่าเขากลับปฏิเสธแข็งขัน จนวันที่อมาวสีถูกบังคับให้แต่งงานกับภากรนั่นเอง ราชวางแผนลักพาตัวเธอไปไว้ยังบ้านไร่ ทั้งนี้เพื่อแก้แค้นคนในตระกูลพิชิตพงษ์ หรืออาจเป็นเพราะเค้าไม่อยากสูญเสียอมาวสีให้กับภากร", "title": "หัวใจเถื่อน" }, { "docid": "98425#27", "text": "พนมเทียนสร้างคริสตินาให้เป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว มีน้ำใจเป็นนักกีฬาและมีฝืมือในการยิงปืนเป็นเลิศโดยจำลองจากบุคคลจริงครึ่งหนึ่ง และเสริมสร้างจากจินตนาการของพนมเทียนอีกครึ่งหนึ่ง", "title": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "191302#2", "text": "ท่านขุนวรเทพีพลารักษ์เป็นคนใจดี มีความประหยัดในการใช้จ่ายส่วนตัวเป็นอันมาก แต่มีศรัทธาบริจาคทรัพย์เพื่อการกุศลตลอดมา และมีเมตตาแจกสตางค์ให้เด็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเป็นประจำ ท่านพักอยู่ตามลำพังคนเดียวโดยไม่มีทายาทสืบสกุล เป็นคนอนุรักษ์ ของใช้เก่าเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุที่เป็นคนใจดี เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านละแวกตลาดพลูโดยทั่วกัน", "title": "ขุนวรเทพีพลารักษ์ (แม้น จวบสินเอี่ยม)" }, { "docid": "98425#9", "text": "พันตรีไชยยันต์ อนันตรัย เป็นตัวละครในเพชรพระอุมาที่มีต้นแบบมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงคือ ยงค์ พนมเทียนนำลักษณะนิสัยของพันตรีไชยยันต์ อนันตรัย มาจากเพื่อนสนิทที่เป็นนักเดินป่าด้วยกัน ประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมรถยนต์และเจ้าของอู่รถทางภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีฝีมือในการยิงปืนแม่นทั้งปืนสั้นและปืนยาว เป็นคนเสียงดังและโครมครามมากกว่าพนมเทียนในการออกป่าล่าสัตว์ด้วยกัน ในขณะที่พนมเทียนสร้างไชยยันต์ขึ้นมา ก็สามารถหลับตาและเห็นกริยาท่าทางต่าง ๆ ของยงค์ที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน จึงนำมาถ่ายทอดให้แก่ไชยันต์ ทั้งที่ตัวจริงของยงค์ ต้นแบบของไชยยันต์นั้นไม่ได้เป็นนายทหารเหมือนกับในเพชรพระอุมา", "title": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา" }, { "docid": "106452#0", "text": "เห่าดง เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2501 สร้างจากบทประพันธ์ชิ้นแรกของฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ หรือ พนมเทียน ที่แต่งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2484 สมัยยังเป็นนักเรียนมัธยมอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นนิยายเชิงอาชญากรรม ที่มีตัวเอกสวมหน้ากาก เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยตามจินตนาการแบบเด็กๆ ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ \"เพลินจิตต์\" รายวัน เมื่อ พ.ศ. 2490", "title": "เห่าดง" }, { "docid": "98425#14", "text": "พรานเกิดและพรานเส่ย เป็นตัวละครในเพชรพระอุมาที่มีต้นแบบมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงรวมทั้งขื่อจริงคือ เกิดและเส่ย พนมเทียนนำมาจากลักษณะนิสัยของเกิดและเส่ย สองพรานเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพนมเทียน ที่ร่วมเดินป่าในแถบเหมืองห้วย เขตสุดของจังหวัดกาญจนบุรี และด้วยความที่ชื่อของเกิดและเส่ยเป็นชื่อแปลกและยากที่จะมีใครเหมือน ทำให้พนมเทียนจำได้อย่างแม่นยำ และนำเอาลักษณะเฉพาะบางส่วนของเกิดและเส่ย มาจำลองถ่ายทอดลงในตัวของพรานเกิด พรานเส่ย ซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยมีบทบาทเด่นเฉพาะตัวมากนัก โดยพนมเทียนนั้นกำหนดให้พรานเกิดและพรานเส่ยมีหน้าที่ \"แซวและกระเซ้าเหย้าแหย่\" บุญคำเล่น ตามประสาพรานเด็กหนุ่มพรานคู่ใจของรพินทร์ ไพรวัลย์", "title": "ความเป็นมาของตัวละครในเพชรพระอุมา" } ]
2735
ตำรวจตระเวนชายแดนไทย มีชื่อเรียกย่อสั้นๆว่าอะไร ?
[ { "docid": "105582#0", "text": "ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) (Border Patrol Police) เป็น ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นกำลังเสริม แทนการใช้กำลังทหาร ในรักษาความสงบตามแนวตะเข็บชายแดน อันเนื่องจากสนธิสัญญากรุงเจนีวาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสกำหนดห้ามไม่ให้มีกำลังทหารในระยะ 25 กิโลเมตรจากแนวชายแดนตะวันวี่ จุดประสงค์หลักในการจัดตั้ง ตชด.ในช่วงแรกคือป้องกันกองกำลังคอมมิวนิสต์ที่เข้ามารุกรานในประเทศ", "title": "ตำรวจตระเวนชายแดน" } ]
[ { "docid": "33634#36", "text": "หน่วยตำรวจที่ปฏิบัติการมี 3 กลุ่ม คือ ตำรวจตระเวนชายแดน พลร่ม โดยรายชื่อปฏิบัติการเท่าที่รวบรวมได้ดังนี้ พลตำรวจตรี อังกูร ทัตตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน พล.ต.ต.สุวิทย์ โสตถิทัต พล.ต.ท.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ผู้บังคับการกองปราบปราม พล.ต.ต.สงวน คล่องใจ ผู้บัญชาการกองปราบปราม", "title": "เหตุการณ์ 6 ตุลา" }, { "docid": "105582#6", "text": "ตำรวจตระเวนชายแดนได้รับพระราชทานธงชัยประจำหน่วยตำรวจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับหน่วยอื่นของตำรวจอีก 5 หน่วย เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2495 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพลประจำกองตำรวจด้วยพระองค์เอง ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2495 ผืนธงมีลักษณะเช่นเดียวกับธงชาติ ภายในยอดธงบรรจุเส้นพระเจ้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และบรรจุพระพุทธรูปองค์เล็กเรียกว่า \"พระยอดธง\" เอาไว้ ธงชัยจึงถือเป็นตัวแทนของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเหล่าข้าราชการตำรวจทั้งหลาย และปวงชนชาวไทยให้ความเคารพ", "title": "ตำรวจตระเวนชายแดน" }, { "docid": "329005#3", "text": "พ.ต.ต.ใหญ่ เวโรจน์ เป็นอดีตตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่สารวัตรใหญ่ ที่ สภอ.พระลาน จังหวัดพระกำแพง ในเริ่มแรก ใหญ่ไม่แน่ใจว่าตนจะปฏิบัติหน้าที่นี้ได้หรือไม่ เพราะเคยแต่ทำงานด้านปราบปรามผู้ก่อการร้ายมาตลอด ในวันแรกที่ย้ายไป เขาก็ได้พบกับการทำหน้าที่ของตำรวจที่นั่นแล้ว และพบว่ามันเป็นพื้นที่ ๆ สกปรก เต็มไปด้วยอาชญากรรม การคอรัปชั่น ตำรวจก็ไม่เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยมี ว่าที่ ร.ต.ต.พิทยาธร นายตำรวจหนุ่มจบใหม่เฝ้าดูอยู่และหวังให้ใหญ่เป็นแบบอย่าง", "title": "สารวัตรใหญ่" }, { "docid": "9115#5", "text": "ชายชราอีกคนหนึ่งคือนายตำรวจที่มี ชื่อว่า ร.ต.ต ตุ้ย พันเข็ม นายตำรวจที่มีอุดมการณ์สูงรักประเทศยิ่งชีวิต ผู้มีบทบาทตั้งแต่นายตำรวจธรรมดาที่ปราบโจรที่มีชื่อต่างๆ จนเป็นที่เลืองลือจนได้รับฉายาว่า \"จ่าตุ้ยปืนผี\" จนถึงนายตำรวจที่มีบทบาทอย่างสูงทางการเมืองในยุค 60 ปีของการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ นายตำรวจที่เป็นคนสนิทของผู้นำประเทศที่มีอำนาจมหาศาลที่สุดในยุคหนึ่งของประเทศ", "title": "ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน" }, { "docid": "105582#5", "text": "การที่จะมอบหมายให้หน่วยทหารที่มีอยู่ในขณะนั้น ปฏิบัติหน้าที่ในบริเวณแนวชายแดนก็ขัดต่อสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่ระบุห้ามมิให้นำกำลังทหารไปวางไว้ ในระยะ 25 กิโลเมตร จากแนวแบ่งเขตชายแดน ไทย - ลาว และกัมพูชา และหากจะพิจารณาใช้กำลังตำรวจภูธรเข้าปฏิบัติภารกิจดังกล่าวตำรวจภูธรก็มีภารกิจหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจนไม่มีกำลังเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ในบริเวณแนวชายแดนได้ ในที่สุด รัฐบาลก็ได้พิจารณาจัดตั้งหน่วยกำลัง \"ตำรวจตระเวนชายแดน\" ขึ้นในปี พ.ศ. 2494 โดยกำหนดให้หน่วยจะต้องมีคุณลักษณะ 3 ประการ ดังนี้", "title": "ตำรวจตระเวนชายแดน" }, { "docid": "105582#7", "text": "ธงชัยประจำกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนนี้ มีลักษณะและการได้มาเช่นเดียวกันกับธงชัยเฉลิมพลของทหารทุกประการ โดยสำนักราชเลขาธิการได้บันทึกหลักฐานเกี่ยวกับ \"ธงชัยเฉลิมพลประจำกองตำรวจ\" นี้ไว้ ตามหลักฐานต่างๆปรากฏชื่อธงดังกล่าว ได้แก่ \"ธงชัยเฉลิมพลประจำกองตำรวจ\" \"ธงชัยประจำกอง\" \"ธงชัย\" \"ธงประจำกอง\" ซึ่งล้วนก็คือธงเดียวกัน", "title": "ตำรวจตระเวนชายแดน" }, { "docid": "198112#3", "text": "กรมตำรวจ จึงได้พิจารณาหน่วยงานที่มีขีดความสามารถสูง และมีอาวุธยุทโธปรณ์เพียงพอ จึงได้พิจารณาสั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รวบรวมข้าราชการตำรวจที่สมัครใจเข้ารับการฝึกฝนเพื่อเป็นบุคลากรของหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่จะตั้งขึ้นนี้ โดยอาศัยครูฝึกของกองกำกับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นหลักในการดำเนินการฝึก และเริ่มการฝึกโดยใช้พื้นที่ของ กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศ (ค่ายนเรศวร) อ.ชะอำ จว.เพชรบุรี และเริ่มการฝึกครั้งแรกเมื่อ 19 ก.ย. 2526 จนได้รับคำสั่งอนุมัติให้จัดตั้งหน่วยใน วันที่ 18 ธ.ค. 2527 เป็นหน่วยงานพิเศษในสังกัดกองกำกับการสนับสนุนทางอากาศตำรวจตระเวนชายแดน ต่อมาปลายปี 2529 ตามพระราช\nกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 14 หน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 ได้รับการบรรจุเข้าเป็นส่วนราชการระดับ กองร้อย ในอัตราการจัดของกองกำกับการสนับสนุนทางอากาศตำรวจตระเวนชายแดน คือ กองร้อยที่ 4 กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ต่อมาในปี 2548 ได้มี พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ยกฐานะขึ้นเป็นหน่วยระดับ \" กองกำกับการ \" คือ \" กองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน \" มาจนปัจจุบัน", "title": "นเรศวร 261" }, { "docid": "105582#4", "text": "แนวความคิดของรัฐบาลและกรมตำรวจในการจัดตั้ง ตชด. ก็เพื่อเสริมกำลังตำรวจภูธรในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนและป้องกันการรุกรานของคอมมิวนิสต์ ประหยัดการใช้กำลังทางทหารในยามปกติรักษาสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านฝึกกำลังตำรวจเพื่อทำหน้าที่คล้ายทหาร และกำลังแบบทหารฝึกกำลังให้กับประเทศใกล้เคียง ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งตำรวจตระเวนชายแดนเป็นการเตรียมกำลังตำรวจให้พร้อม เพื่อจะปฏิบัติการต่อต้านการรบนอกแบบโดยเฉพาะการรบแบบกองโจรเป็นการเตรียมกำลังตำรวจ ให้พร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพอื่น ๆ ได้ทันที ถ้าสงครามเกิดขึ้นทำการคุ้มครองพื้นที่ของประเทศที่เป็นป่าเขาทั่วไปที่การคมนาคมทุกชนิดเข้าไปไม่ถึงด้วยการเดินเท้า หรือโดยการส่งลงทางอากาศทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายที่ใช้รอยต่อของจังหวัดและของประเทศเป็นที่ซุกซ่อนกับการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงของหนีภาษี และยาเสพติดเมื่อไม่มีเหตุการณ์ สามารถพัฒนาสร้างสรรค์ให้เกิดการกินดีอยู่ดีแก่ประชาชน", "title": "ตำรวจตระเวนชายแดน" }, { "docid": "359073#20", "text": "เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย และเคยเป็นเขตอันตราย \nเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางเข้าชม ควรติดต่อหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนที่ตั้งด่านอยู่ที่หมู่บ้าน", "title": "กลุ่มปราสาทตาเมือนและปราสาทศีขรภูมิ" } ]
2740
อิรัก มีขนาดพื้นที่ประเทศเท่าไหร่?
[ { "docid": "2890#4", "text": "อิรักมีพื้นที่ทั้งหมด 437,072 ตารางกิโลเมตร ทิศตะวันออกติดกับ อิหร่าน ทิศเหนือ ติดกับตุรกี ทิศใต้ติดกับคูเวต ทิศตะวันตกติดกับ ซีเรีย และจอร์แดน\nสภาพทางภูมิศาสตร์ของอิรัก เป็นทะเลทรายร้ออิรักยละ 40 ที่ราบสูง ยากแต่การทำการเกษตรทำให้อิรักต้องนำเข้าสินค้าภาคการเกษตรเช่น ข้าวสาลี ข้าวจ้าว ธัญพืช แต่อย่างไรก็ดี อิรักก็มีแม่น้ำไหลผ่าน 2 สาย คือ ไทรกิส ยูเฟรตีส ทำให้ยังพอมีความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้างหลังจากสงครามโลกครั้งที่1 ยุติลงอาณาจักรออตโตมันที่เคยเป็นมหาอำนาจในตะวันออกกลางตกเป็นผู้แพ้สงคราม ดินแดนต่างๆที่ออตโตมันปกครองก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐต่างๆ อิรักเป็นหนึ่งในรัฐที่ถูกแบ่งแยกออกมาโดยอังกฤษที่สามารถยึดครองอิรักจากออตโตมันได้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่1", "title": "ประเทศอิรัก" } ]
[ { "docid": "383197#0", "text": "เขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานแห่งอิรัก (; หรือเคอร์ดิสถานใต้) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอิรัก มีชายแดนติดต่อกับประเทศซีเรีย ตุรกีและอิหร่าน มีพื้นที่ 40,000 ตารางกิโลเมตร (ขนาดเทียบเท่ากับประเทศเนเธอร์แลนด์) ประกอบด้วยเขตปกครองตนเอง 3 เขต ได้แก่เมืองเอร์บีล (Erbil), โดฮูก (Dohuk) และ สุลัยมานียะฮ์ (Suleimaniah) มีเอร์บีล (Erbil) เป็นเมืองหลวง", "title": "เคอร์ดิสถานอิรัก" }, { "docid": "2890#1", "text": "ประเทศอิรักมีแนวชายฝั่งส่วนแคบวัดความยาวได้ 58 กิโลเมตรทางเหนือของอ่าวเปอร์เซีย และอาณาเขตของประเทศครอบคลุมที่ราบลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมีย ปลายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาซากรอส และทะเลทรายซีเรียส่วนตะวันออก สองแม่น้ำหลัก แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ไหลลงใต้ผ่านใจกลางประเทศและไหลลงสู่ชัฏฏุลอะร็อบใกล้อ่าวเปอร์เซีย แม่น้ำเหล่านี้ทำให้ประเทศอิรักมีดินแดนอุดมสมบูรณ์มากมาย", "title": "ประเทศอิรัก" }, { "docid": "2890#2", "text": "ภูมิภาคระหว่างแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีสมักเรยกว่า เมโสโปเตเมีย และคาดว่าเป็นบ่อเกิดของการเขียนและอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดของโลก พื้นที่นี้ยังเป็นที่ตั้งของอารยธรรมที่สืบทอดต่อกันมานับแต่ 6 สหัสวรรษก่อนคริสตกาล ในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์ อิรักเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอัคคาเดีย ซูเมเรีย อัสซีเรีย และบาบิโลเนีย นอกจากนี้ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมีเดีย อะคีเมนิด เฮลเลนนิสติก พาร์เธีย แซสซานิด โรมัน รอชิดีน อุมัยยะฮ์ อับบาซียะห์ มองโกล ซาฟาวิด อาฟชาริยะห์และออตโตมัน และเคยเป็นอาณาเขตในอาณัติสันนิบาตชาติภายใต้การควบคุมของอังกฤษ", "title": "ประเทศอิรัก" }, { "docid": "17188#12", "text": "ลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในยุโรป และมีขนาดเป็นอันดับ 167 ของโลก พื้นที่ทั่วประเทศ 2,586 ตารางกิโลเมตร ทางตะวันตกของประเทศ มีพรมแดนติดกับจังหวัดลักเซมเบิร์กของเบลเยียม ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่ (4,443 ตารางกิโลเมตร) เกือบสองเท่าของประเทศลักเซมเบิร์ก", "title": "ประเทศลักเซมเบิร์ก" }, { "docid": "5177#6", "text": "พื้นที่ 1,221,900 ตร.กม. (มีขนาดเป็น 2 เท่าของประเทศไทย) \nเศรษฐกิจเอธิโอเปียยังพึ่งพารายได้จากภาคกสิกรรมเป็นหลัก แม้รัฐบาลจะได้ปฏิรูปที่ดินเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากขาดการวางแผนที่ดี และการเพาะปลูกยังพึ่งพาแหล่งน้ำฝนตามธรรมชาติอยู่เกือบทั้งหมด มีปัญหาการชลประทานรวมทั้งวิธีการเพาะปลูกที่ล้าสมัย ในขณะเดียวกันภาคบริการของเอธิโอเปียก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนกระทั่งปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาติ โดยภาคส่วนที่มีอัตราการเติบโตสูงได้แก่การบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว การก่อสร้างที่อยู่อาศัยและการคมนาคม รัฐบาลเอธิโอเปียมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งสัตว์ป่า แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเอธิโอเปียยังไม่มีการบริหารจัดการที่ดีเท่าใดนัก และยังล้าหลังเคนยาอยู่มาก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเอธิโอเปียประมาณปีละ 2 แสนคน", "title": "ประเทศเอธิโอเปีย" }, { "docid": "145088#5", "text": "คนอิหร่านเชื้อสายอาหรับส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางตะวันตกของประเทศในจังหวัดคูเชสถานติดกับพรมแดนอิรัก ซึ่งจังหวัดคูเชสถานนี้เป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดของอิหร่าน ขณะเดียวกัน อิรักก็พยายามอ้างอยู่เสมอว่าจังหวัดดังกล่าวเป็นดินแดนของอิรัก ถึงกับตั้งชื่อให้ว่า จังหวัดอราเบแซน ทหารของสองประเทศมักมีการปะทะกันย่อมๆอยู่เสมอในจังหวัดนี้", "title": "สงครามอิรัก–อิหร่าน" }, { "docid": "823#55", "text": "สหรัฐแผ่นดินใหญ่มีพื้นที่ 7,663,940.6 ตารางกิโลเมตร รัฐอะแลสกา ซึ่งมีประเทศแคนาดาคั่นสหรัฐแผ่นดินใหญ่ เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด มีขนาด 1,717,856.2 ตารางกิโลเมตร รัฐฮาวายซึ่งเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่ 28,311 ตารางกิโลเมตร ดินแดนที่มีประชากรอาศัยของสหรัฐ ได้แก่ ปวยร์โตรีโก อเมริกันซามัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาและหมู่เกาะเวอร์จินรวมมีพื้นที่ 23,789 ตารางกิโลเมตร", "title": "สหรัฐ" }, { "docid": "442289#0", "text": "อิรวดี () เป็นเขตหนึ่งของประเทศพม่า ครอบคลุมพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำของแม่น้ำอิรวดี ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 15° 40' ถึง 18° 30' เหนือ ลองจิจูด 94° 15' ถึง 96° 15' ตะวันออก มีเนื้อที่ 35,140 ตารางกิโลเมตร (13,566 ตารางไมล์) มีประชากรมากกว่า 6.5 ล้านคน ทำให้เขตอิรวดีมีประชากรมากที่สุดเมื่อเทียบกับรัฐหรือเขตอื่นของพม่า ความหนาแน่นของประชากรคิดเป็น 180 คนต่อตารางกิโลเมตร (460 คนต่อตารางไมล์) มีเมืองหลักชื่อพะสิม", "title": "เขตอิรวดี" }, { "docid": "200129#1", "text": "ครั้งหนึ่งทะเลอารัลมีพื้นที่ 68,000 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2503 ทะเลอารัลก็ลดขนาดลงเรื่อย ๆ เพราะแม่น้ำอามูดาร์ยาและแม่น้ำเซียร์ดาร์ยาที่นำน้ำมาสู่ทะเลโดนเปลี่ยนเส้นทางเพราะโครงการชลประทานของสหภาพโซเวียต ในปี พ.ศ. 2547 พื้นที่ทะเลลดลงเหลือร้อยละ 25 ของขนาดเดิม และมีค่าความเค็มมากกว่าเดิมถึง 5 เท่าซึ่งทำให้พืชและสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ตายเสียส่วนใหญ่ ในปี พ.ศ. 2550 พื้นที่ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 10 ของขนาดเดิม และแยกตัวออกเป็นทะเลสาบสามส่วน ซึ่งสองในสามนั้นเค็มเกินไปที่ปลาจะอาศัยอยู่ได้ อุตสาหกรรมการประมงที่เคยเฟื่องฟูถูกทำลายลง เมืองประมงที่อยู่รอบ ๆ ชายฝั่งเดิมกลายสภาพเป็นสุสานเรือ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานและปัญหาเศรษฐกิจตามมา", "title": "ทะเลอารัล" } ]
2742
วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหารมีเนื้อที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "62794#1", "text": "วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร สร้างในสมัย กรุงศรีอยุธยา ยุคนั้นเป็นวัดราษฎร์ เรียกว่า วัดเจ๊สัวหง หรือ แจ๊สัวหง หรือ เจ้าสัวหง หรือ วัดขรัวหง เพราะตั้งตามชื่อของเศรษฐีชาวจีนผู้สร้าง คือ นายหง วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร วัดหลวงชั้นโท คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งตามทะเบียนเลขที่ ๑๐๒ ถนนวังเดิม ๒ หรือ ถนนอิสรภาพ ๒๘ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ใกล้กับวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร และ กองทัพเรือ (พระราชวังธนบุรีเดิม) ตั้งอยู่บนเนื้อที่ขนาด ๔๖ ไร่ ๑ งาน ๒๓ ตารางวา", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" } ]
[ { "docid": "62794#5", "text": "ย้อนไปในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ถือเป็นวัดที่มีสำคัญอย่างมาก นอกจากตั้งติดกับพระบรมราชวังที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเป็นเอกอุปถัมภก บูรณปฏิสังขรณ์ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นการใหญ่ และทรงสร้อยนามวัดอย่างเป็นทางการว่า วัดหงษ์อาวาสวิหาร ด้วย เดิมทีนั้นเป็นวัดร้าง ทั้งนี้ยังทรงสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นที่หน้าพระอุโบสถหลังเก่า ทรงสร้างศาลาโรงธรรมขนาดเท่าพระอุโบสถขึ้นทางด้านหน้า และทรงสร้างกุฏิ และเสนาสนะอื่น ๆ ทั้งพระอาราม ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี บันทึกไว้ว่า ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงอุปถัมภ์ปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่ทั่วพระอาราม พระอุโบสถ การเปรียญ เสนาสนะ และกุฏิ ได้ทรงสร้างใหม่ทั้งสิ้น ในจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ มีหลักฐานยืนยันตรงกันอีกว่า ครั้งมาเมื่อกรุงธนบุรี พระสงฆ์ผู้รู้หลักนักปราชญ์มาอยู่มาก ผู้ที่มีอุตสาหะเล่าเรียนก็ได้เข้าไปอยู่มาก เจ้าแผ่นดินกรุงธนบุรีจึงขยายภูมิวัดออกไปใหญ่ แล้วสร้างพระอุโบสถใหญ่ตรงหน้าพระอุโบสถเก่า แล้วสร้างโรงธรรมหันหน้าเข้าสู่พระอุโบสถใหม่ สร้างฐานใหญ่เท่ากันทั้งสองหลัง ตั้งอยู่อย่างนั้นนานมาจนถึงเวลาแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ในพระบรมราชวงศ์นี้\nในปีพุทธศักราช ๒๓๓๓ สมเด็จพระลูกยาเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ (เจ้าจุ้ย) ใน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เสด็จผนวช ณ วัดหงษ์อาวาสวิหาร (วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร) นี้ เมื่อพระชนม์ครบอุปสมบท ตลอดจนพระราชนิกูล และข้าใต้สำนัก ล้วนแต่อุปสมบทวัดแห่งนี้เกือบทั้งสิ้น และนอกจากนี้ สมเด็จพระอัครมเหสี (หอกลาง) กรมหลวงบาทบริจาสอน และพระเจ้าน้านางเธอ กรมหลวงเทวินทร์สุดา ได้เสด็จบำเพ็ญกุศล ฟังเทศน์ ถือศีลปฏิธรรมอยู่ ณ วัดแห่งนี้อยู่เนือง ๆ\nวัดหงษ์อาวาสวิหาร แห่งนี้ อยู่ในราชูปถัมภ์ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มาตลอดรัชสมัยของพระองค์ และพระองค์มักเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานในพระอุโบสถ หลังว่างจากพระภารกิจเสมอ วัดหงษ์อาวาสวิหาร จึงนับว่าเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง และสวยงามวัดหนึ่งในยุคสมัยนั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ประชาชนในละแวกใกล้เคียง จึงพร้อมใจกันสร้างศาลขึ้นที่ริมคลองคูวัดเชิงสะพานข้ามคลองหน้าวัด ด้านทิศตะวันตก เพื่อถวายเป็นพระราชอนุสรณ์เป็นแห่งแรก และปรากฏเป็นที่สักการะเคารพของประชาชนในท้องถิ่นแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คือ ศาลเจ้าพ่อตากวัดหงส์ฯ\nนอกจากทรงบูรณปฏิสังขรณ์ และทรงสร้างศาสนวัตถุอื่นแล้ว พระองค์ทรงนำความเจริญทางด้านการศึกษา วางไว้เป็นฐานรากแห่งพระพุทธศาสนาที่วัดหงษ์อาวาสวิหาร หรือ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร จึงเป็นแหล่งสรรพวิชา บ่มเพาะความรู้ขั้นสูงในยุคสมัยนั้น และเป็นชุมนุมสงฆ์ผู้รู้หลักนักปราชญ์ แห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จากหลักฐานบันทึก มีรายนาม ดังต่อไปนี้เป็นอุโบสถขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของฝั่งธนบุรี (กว้าง 19.5 เมตร ยาว 42 เมตร) ประตูด้านนอกมีลวดลายปูนปั้นรูปหงส์และดอกไม้ ด้านในเป็นลวดลายสีแบบจีนปนฝรั่ง หน้าต่างด้านนอกกระจกสีน้ำเงินประดับลวดลายดอกไม้ปูนปั้นสีทองติดลูกกรงดัดรูปหงส์สวยงามมาก", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "62794#8", "text": "มีพระพุทธรูปจำลองสมัยต่างๆ แต่ที่สำคัญคือ หลวงพ่อทองคำหรือหลวงพ่อสุข เป็นพระพุทธรูปทองคำ เดิมหุ้มปูนลักษณะเป็นพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์อยู่ในวิหารร้าง จนปี พ.ศ. 2499 เกิดรอยกระเทาะจึงเห็นเนื้อในเป็นทองสีสุก ปางมารวิชัยศิลปะสมัยสุโขทัยยุคกลางเนื้อทองคำผสมนวโลหะ มีอักษรจารึกที่ฐานองค์พระว่า สร้างในปี พ.ศ. 1966 สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "62794#4", "text": "จากหลักฐานประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๕ ว่าด้วยพระเจดีย์วิหาร ที่ทรงสถาปนาในรัชกาลที่ ๔ เรื่องที่ ๑๕ โดยมีเนื้อความว่า “วัดหงส์รัตนาราม วัดนี้ตามเดิมว่า วัดเจ้าขรัวหงส์ แล้วเปลี่ยนมาเป็น วัดหงสาราม สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัดเขมาภิรตาราม โปรดฯ ให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์วัดหงส์ฯ การยังไม่ทันเสร็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ และพระราชทานนามว่า วัดหงส์รัตนาราม คำสร้อยนามวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหารที่ว่า รัตนาราม นั้น บ่งความหมายเป็นสองประการคือ รัตน แปลว่า แก้ว ประการหนึ่ง และคำว่า อาราม ซึ่งแปลว่า วัด ประการหนึ่ง เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกัน จึงได้ความหมายว่า วัดท่านแก้ว มูลเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานสร้อยนามวัดหงส์ฯ นั้น ก็เพื่อถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า แก้ว เป็นการถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จบรมราชอัยกี ผู้เป็นพระบุพการีของ พระบรมราชชนนี พระราชอนุชา และพระองค์ท่าน ตามธรรมเนียมนิยมของพุทธสานิกชน เมื่อบำเพ็ญบุญกุศลแล้ว จึงอุทิศผลบุญ อีกประการหนึ่ง วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นวัดที่ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ ทรงเคยอุปถัมภ์ และปฏิสังขรณ์มาในอดีต ทรงคุ้นเคยกับสถานที่ และเสด็จบำเพ็ญกุศลเป็นประจำในขณะที่ทรงพระชนม์อยู่ \nในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้ถูกจัดลำดับศักดิ์เป็น พระอารามหลวงชั้นโท และมีฐานะเป็น พระอารามชั้นราชวรวิหาร ตามพระบามราชโองการประกาศ เรื่องจัดระเบียบพระอารามหลวงเป็น ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นสามัญ โดยมีสร้อยนามตามฐานะเป็น ราชวรมหาวิหาร ราชวรวิหาร วรมหาวิหาร วรวิหาร โดยลำดับ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร จึงได้สร้อยว่า วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร มาจนถึงปัจจุบัน", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "62794#2", "text": "จากหลักฐานจดหมายเหตุในรัชกาลที่ ๔ ได้บันทึกไว้ว่า วัดหงส์รัตนารามนี้ พื้นที่วัดเดิมเป็นของโบราณมีมานานสำหรับเมืองธนบุรี คำคนแก่เก่า ๆ เป็นอันมากเรียกว่า วัดเจ้าขรัวหง แลว่ากันว่าจีนเจ๊สัวมั่งมี บ้านอยู่กะดีจีน สร้างขึ้นไว้แต่ในครั้งโน้น จีนที่มั่งมี คนเรียกว่า เจ้าขรัว ในสมัยกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเรียกชื่อว่า วัดหงษ์อาวาสวิหาร ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช (รัชกาลที่ ๑) เรียกชื่อว่า วัดหงส์อาวาศวรวิหาร รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) เรียกชื่อว่า วัดหงส์อาวาสวรวิหาร รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เรียกชื่อว่า วัดหงส์รัตนาราม รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) จนถึงปัจจุบัน เรียกชื่อว่า วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "62794#3", "text": "ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ซึ่งขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้ทรงพระยศสถานที่ตั้งประวัติวัดหงส์รัตนาราม เป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สืบต่อจาก กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาทฯ ได้ประทับ ณ พระราชวังเดิม พระราชวังจึงมีฐานะเป็นพระบวรราชวังใหม่ ขึ้นตำแหน่งหนึ่ง สมตามนัยแห่ง ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าตอนประสูติของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ดังนี้ การประสูติดังนี้ เป็นไปที่พระที่นั่งข้างในหลังตะวันตก พระราชวังปากคลองบางกอกใหญ่ ครั้งนั้นเรียก พระบวรราชวังใหม่ อยู่ในกำแพงกรุงธนบุรีโบราณวัดหงส์ฯ ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ตลอดสถานที่พระบวรราชวังนี้ จึงมีสร้อยนามเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ครั้งนั้นว่า วัดหงส์อาวาศวรวิหาร ดังหลักฐานประกอบด้วยตามในพระราชทินนามสมณศักดิ์พระราชาคณะที่พระธรรมอุดม (พระธรรมวโรดมปัจจุบัน) ซึ่งได้เลื่อนจากพระธรรมไตรโลกฯ (พระธรรมไตรโลกาจารย์ปัจจุบัน) ในรัชกาลที่ ๑ ว่า พระธรรมอุดม บรมญาณอดุลยสุนทร ตีปีฎกธรามหาคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดหงส์อาวาศบวรวิหาร พระอารามหลวง ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร มีสร้อยนามเปลี่ยนแปลงเป็นทางการว่า วัดหงส์อาวาสวรวิหาร หลักฐานในข้อนี้ พิจารณา ได้ตามพระราชทินนามสมณศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม ซึ่งได้เลื่อนจากสมณศักดิ์เดิมที่ พระพรหมมุนี (ด่อน) กล่าวไว้ดังนี้ ให้ พระพรหมมุนีเป็นพระพิมลธรรม อนันตญาณนายก ตีปฎกธรามหาคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดหงส์อาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง \nในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร คงมีนามเรียกเต็มว่า วัดหงสาราม ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือประชุมพงศารภาคที่ ๒๕ ตอนที่ ๓ เรื่องตำนานสถานที่ และวัสดุต่าง ๆ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณะ และมีความเกี่ยวเนื่องกับวัดหงส์ฯ ดังมีข้อความกล่าวไว้เป็นเชิงประวัติว่า วัดนี้นามเดิมว่า วัดเจ้าขรัวหงส์ แล้วเปลี่ยนมา เป็น วัดหงสาราม และในสำเนาเทศนาพระราชประวัติรัชกาลที่ ๒ ซึ่ง หม่อมเจ้าพระประภากร บวรวิสุทธิวงศ์ วัดบวรนิเวศน์วิหาร ทรงเทศนาถวาย ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้นามว่า วัดหงสาราม ในเรื่องเกี่ยวกับวัดหงส์ฯ แม้แต่ในพระอารามหลวงที่ เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร เรียบเรียงถวายรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวไว้เช่นเคียวกัน แต่กล่าวพิเศษออกไปว่า เรียกวัดหงสาราม มาแต่รัชกาลที่ ๑ เห็นจะเป็นว่าเมื่อเรียกโดยไม่มีพิธีรีตองสำคัญอะไร ก็คงเรียกวัดหงสาราม ทั้ง ๓ รัชกาล ก็เป็นได้\nในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) นี้ สมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ (พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้ทรงรับปฏิสังขรณ์จากการทรงชักชวนของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเกณฑ์ต่อให้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังดำรงพระยศ เจ้าฟ้ามงกุฎ ให้รื้อพระอุโบสถเก่าแปลงปลูกเป็นวิหาร แต่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงรับทำ จึงเป็นพระภาระของสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ แต่พระองค์เดียว ส่วน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งแรกทรงรับพระภาระสร้างโรงธรรมตึกใหญ่ขึ้นใหม่ แต่ในครั้งหลังสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์สิ้นพระชนม์ การยังไม่เสร็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องทรงรับเป็นพระธุระทั้งพระอุโบสถ และพระวิหาร และสิ่งอื่นอีก\nในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ได้พระราชทานสร้อยนามวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหารใหม่ แลเป็นหลักฐานสืบมาจนบัดนี้ว่า วัดหงส์รัตนาราม ตามในจดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ ได้กล่าวไว้ว่า เดิมเป็นพระอุโบสถหลังเก่าวัดหงส์ฯ ครั้งก่อนสมัยอยุธยา เมื่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่ ขยายทั้งตัววัด และสร้างพระอุโบสถใหม่ และอื่นอีก คงเลิกใช้อุโบสถเก่า ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "62794#6", "text": "พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะในสมัยอู่ทอง (เป็นปูนปั้นลงรักปิดทอง) ขนาดหน้าตักกว้าง 2.6 เมตร สูง 3.5 เมตร ไม่มีพระนามสันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา หน้าพระประธาน เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์นวโลหะสีดำประทับนั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน ชื่อหลวงพ่อแสน เล่ากันว่าเชิญมาแต่เมืองเชียงแตงเมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2401", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "176853#0", "text": "วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยปฏิสังขรณ์ทั้งวัด แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2406 และพระราชทานนามใหม่ว่า วัดเสนาสนาราม เป็นวัดธรรมยุติกนิกาย โดยได้รวมวัดเสื่อ (วัดท่าเสื่อ) ด้วย ซึ่งมีชื่อในพงศาวดารว่า อุปราชจัน น้องชายขุนวรวงศาธิราช ถูกหมื่นราชเสน่หานอกราชการลอบฆ่าบริเวณวัดท่าเสื่อ ซึ่งในแผนที่อยุธยา พ.ศ.2503 ได้แสดงว่าวัดเสื่อกับวัดเสนาสนารามเป็นคนละวัด โดยวัดเสื่ออยู่ทางด้านใต้ของวัดเสนาสนาราม อยู่ติดคลองวัดเสื่อซึ่งเชื่อมต่อคลองหอรัตนไชยกับคลองประตูข้าวเปลือก ปัจจุบันวัดเสื่อและคลองวัดเสื่อถูกทำลายจนไม่เห็นสภาพแล้ว", "title": "วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "62794#0", "text": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ อยู่เลขที่ 72 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ", "title": "วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร" }, { "docid": "184771#5", "text": "เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า \"วิหารน้อย\" เป็นอาคารชั้นเดียว มีผนังรอบสี่ด้าน รูปทรงแบบยุโรป หลังคามุงกระเบื้อง ประตูหน้าต่างเป็นบานไม้กรุกระจกสี ภายในบรรจุสรีรางคารของเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าคุณจอมมารดาแพ บุนนาค) และพระธิดา พร้อมทั้งเจ้าจอมมารดาโหมด บุนนาค และพระโอรส พระธิดา ตลอดจนสมาชิกสายราชสกุลอาภากร และราชสกุลสุริยง ได้แก่", "title": "สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร" } ]
2744
ภาษาเกลิกเป็นภาษาหลักของไอร์แลนด์หรือไม่ ?
[ { "docid": "563300#0", "text": "ภาษาไอริช หรือ ภาษาไอร์แลนด์ (Gaeilge) บางครั้งเรียกว่าภาษาเกลิก () หรือไอริชเกลิกเป็นภาษากอยเดลภาษาหนึ่งที่จัดอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน มีรากฐานจากประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งในอดีตมีการพูดโดยคนเชื้อสายไอริช แต่ปัจจุบันประชากรไอริชมักพูดภาษาอังกฤษ ทำให้มีจำนวนประชากรที่พูดภาษาไอริชเป็นภาษาแม่อยู่เป็นจำนวนน้อยเท่านั้น โดยการสำรวจในปี ค.ศ. 2016 พบว่ามีผู้ที่พูดภาษาไอริชเป็นภาษาแม่อยู่ในไอร์แลนด์เพียง 73,800 คน หรือ ไม่ถึงร้อยละ 2 ของจำนวนประชากร ในขณะที่คนไอริชส่วนใหญ่จะเรียนภาษาไอริชเป็นภาษาที่สอง อย่างไรก็ดีไอริชมีฐานะเป็นภาษาทางการในประเทศไอร์แลนด์ กำหนดโดยรัฐธรรมนูญของไอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรป และ ในไอร์แลนด์เหนือของสหราชอาณาจักรอีกด้วย", "title": "ภาษาไอริช" }, { "docid": "16474#3", "text": "ในประเทศไอร์แลนด์ ภาษาไอร์แลนด์ (ไอริช) เป็นภาษาทางการและเป็นภาษาประจำชาติของประเทศ แต่มีผู้ใช้ภาษาไอร์แลนด์น้อยกว่า 1 ใน 3 ของประชากรประเทศ ขณะที่ผู้คนส่วนมากใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก", "title": "ภาษาราชการ" }, { "docid": "2008#11", "text": "ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในแองกวิลลา แอนติกาและบาร์บูดา ออสเตรเลีย บาฮามาส บาร์บาโดส เบลีซ เบอร์มิวดา บริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน แคนาดา หมู่เกาะเคย์แมน ดอมินีกา หมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ยิบรอลตาร์ เกรนาดา กวม เกิร์นซีย์ กายอานา ไอร์แลนด์ เกาะแมน จาไมกา เจอร์ซีย์ มอนต์เซอร์รัต นาอูรู นิวซีแลนด์ หมู่เกาะพิตแคร์น เซนต์เฮเลนา อัสเซนชัน และตริสตันดากูนยา เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ สิงคโปร์ เกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช ตรินิแดดและโตเบโก หมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอส สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา", "title": "ภาษาอังกฤษ" } ]
[ { "docid": "227831#11", "text": "ในปัจจุบันคำว่า \"เคลต์\" โดยทั่วไปใช้ในการบรรยายภาษาและอารยธรรมของไอร์แลนด์, สกอตแลนด์, เวลส์, คอร์นวอลล์, เกาะแมนและบริตตานี หรือที่เรียกว่าชาติเคลต์ทั้งหก (Six Celtic Nations) ในปัจจุบันยังมีบริเวณสี่บริเวณที่ยังใช้ภาษาเคลต์เป็นภาษาแม่อยู่บ้าง: เกลิกไอริช, เกลิดสกอต, เวลส์ และเบรอตง และอีกสองบริเวณที่เพิ่งเริ่มเข้ามาคอร์นิช (หนึ่งในภาษากลุ่มบริทอนิก (Brythonic languages)) และแมงซ์ (หนึ่งในภาษากลุ่มกอยเดล (Goidelic languages)) นอกจากนั้นก็ยังมีการพยายามที่จะฟื้นฟูการใช้ภาษาคัมบริก (Cumbric language) (หนึ่งในภาษากลุ่มบริทอนิกจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษและตะวันตกเฉียงใต้ของสกอตแลนด์)", "title": "ชาวเคลต์" }, { "docid": "17607#14", "text": "ลิกเตนสไตน์เป็นประเทศขนาดเล็กที่สุดอันดับที่ 4 ของทวีปยุโรป รองจากนครรัฐวาติกัน โมนาโก และซานมารีโน ภาษาราชการของประเทศคือภาษาเยอรมัน ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาตระกูลอัลเลแมนิกเยอรมัน ถึงแม้ว่าประชากรของประเทศกว่า 1 ใน 3 มาจากประเทศอื่น ได้แก่ ผู้พูดภาษาเยอรมันที่มาจากประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ผู้พูดภาษาอิตาลี รวมไปถึงตุรกี ซึ่งภาษาอัลเลแมนิกเป็นสำเนียงท้องถิ่นที่แตกต่างกับภาษาเยอรมันมาตรฐานค่อนข้างมาก หากแต่คล้ายคลึงกับสำเนียงท้องถิ่นอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ในฟอราลแบร์ก ประเทศออสเตรีย", "title": "ประเทศลิกเตนสไตน์" }, { "docid": "17187#15", "text": "ในปี พ.ศ. 2550 เดนมาร์กมีประชากรราว 5.4 ล้านคน ส่วนใหญ่มีเชื้อสายเดนมาร์ก ร่วมกับชาวพื้นเมืองของกรีนแลนด์และแฟโร ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาทางการของประเทศ โดยใช้ร่วมกับภาษากรีนแลนด์และภาษาแฟโรในกรีนแลนด์และหมู่เกาะแฟโรตามลำดับ ภาษาเยอรมันเป็นภาษาชนกลุ่มน้อยที่ได้รับความคุ้มครอง ใช้ในพื้นที่ติดชายแดน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศที่สำคัญ ร้อยละ 83 ของประชากรเป็นสมาชิกของคริสตจักรเอวาเจลิคัลลูเธอรันแห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ", "title": "ประเทศเดนมาร์ก" }, { "docid": "129718#0", "text": "อักษรไอริชหรืออักษรแกลิก เริ่มพบในยุคกลางโดยพัฒนามาจากอักษรละติน แต่เดิม ภาษาไอริชเขียนด้วยอักษรโอคัม เมื่อศาสนาคริสต์เข้ามายังไอร์แลนด์จึงเปลี่ยนมาเขียนด้วยอักษรละตินแล้วจึงเกิดอักษรไอริชตามมา ปัจจุบันยังใช้สำหรับการเขียนป้ายและตกแต่งในไอร์แลนด์", "title": "อักษรไอริช" }, { "docid": "106427#0", "text": "ภาษาอาฟรีกานส์ () เป็นภาษาในกลุ่มฟรังโคเนียล่าง มีเค้าโครงมาจากภาษาดัตช์ พูดในประเทศแอฟริกาใต้และนามิเบีย เกิดจากการผสมผสานของสำเนียงภาษาดัตช์ที่มีต้นกำเนิดจากทางตอนใต้ของฮอลแลนด์ ซึ้งใช้พูดกันในหมู่ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวดัตช์ที่เข้ามาอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นแอฟริกาใต้ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จึงถือเป็นภาษาลูกของดัตช์ โดยมีคำศัพท์ราว 90-95% มาจากภาษาดัตช์ แต่ภายหลังก็รับเอาคำจากภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสเข้ามาด้วย ความแตกต่างจากภาษาดัตช์โดยทั่วไปจำกัดอยู่แค่ในเรื่องของการเปลี่ยนรูปของคำ และไวยากรณ์ ดังนั้นผู้พูดภษาอาฟรีกานส์ และภาษาดัทช์จึงสามารถเข้าใจกันได้ดี", "title": "ภาษาอาฟรีกานส์" }, { "docid": "35608#18", "text": "เซคันด์ไลฟ์มีภาษาสคริปต์ที่เรียกว่า \"ภาษาสคริปต์ลินเดน (Linden Scripting Language: LSL) \" ใช้สำหรับกำหนดพฤติกรรมของวัตถุต่างๆ เช่น ประตูที่เปิดได้เองเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เป็นต้น ผู้อาศัยสามารถใส่สคริปต์ลงในผลงานที่สร้างได้ด้วยตนเอง ภาษาสคริปต์ลินเดนสามารถใช้สร้างระบบที่ซับซ้อนได้อย่างมีความสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น การทดลองสิ่งมีชีวิตปัญญาประดิษฐ์ที่เกาะ Svarga ที่ซึ่งระบบนิเวศแบบสมบูรณ์ทำงานโดยอัตโนมัติ (รวมไปถึง เมฆ ฝน แสงอาทิตย์ ผึ้ง นก ต้นไม้ และดอกไม้)", "title": "เซคันด์ไลฟ์" }, { "docid": "20734#6", "text": "กรีนแลนด์มีประชากรราว 56,370 คน (ปี ค.ศ. 2013) ประกอบด้วยชาวอินูอิต 88% (รวมทั้งผู้เป็นลูกผสม) และชาวยุโรป 12% ซึ่งโดยมากเป็นชาวเดนมาร์ก ภาษาหลักคือ กรีนแลนด์ (kalaallisut หรือ grønlandsk) และเดนมาร์ก (dansk) โดยประชากรส่วนใหญ่พูดได้ทั้งสองภาษา ศาสนาที่ประชากรโดยมากนับถือ คือ ศาสนาคริสต์ นิกายลูเทอแรน ถึงแม้เกาะกรีนแลนด์จะะเป็นเกาะใหญ่ แต่ประชากรก็อาศัยได้เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เนื่องจากเกาะนี้มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่มาก", "title": "กรีนแลนด์" } ]
2749
ภาพยนตร์เรื่องแรกของ อีริก บานา คืออะไร?
[ { "docid": "141105#5", "text": "ในปีเดียวกัน บานาได้แสดงภาพยนตร์ในออสเตรเลียเป็นครั้งแรก ในภาพยนตร์เรื่อง \"The Castle\" ที่เป็นเรื่องราวของครอบครัวชาวเมลเบิร์นที่ดิ้นรนเพื่อรักษาบ้านของเขาต่อการสร้างสนามบินเมลเบิร์นหลังจากรัฐบาลและองค์กรสนามบินบังคับให้พวกเขาย้ายออกไป ในบทตลกที่ชื่อ คอน เพโทรปูลัส นักบัญชีผู้เคยฝึกคิกบ็อกซิง \"The Castle\" ได้รับกระแสตอบรับที่ดีและประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ ทำรายได้ไป 10,326,428 เหรียญออสเตรเลีย ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิสในประเทศออสเตรเลีย", "title": "อีริก บานา" } ]
[ { "docid": "141105#9", "text": "งานต่อไปของบานา คือภาพยนตร์ออสเตรเลียทุนต่ำเรื่อง \"The Nugget\" (2002) เป็นภาพยนตร์ตลกที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความมั่งคั่งชั่วคืนของชนชั้นแรงงาน 3 คน ภาพยนตร์ออกฉายด้วยความประสบความสำเร็จพอควร บานาได้อ่านบทหลังจากที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง \"Chopper\" ในปี ค.ศ. 2000 และรู้สึกสนใจในตัวบทเพราะมันทำให้เขานึกถึงชีวิตวัยเด็กและตัวละครที่มีความสนุกสนานและน่ารัก ขณะที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง \"The Nugget\" บานาได้รับข้อเสนอให้รับบทของ บรูซ แบนเนอร์ ในภาพยนตร์ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนชื่อดังเรื่อง \"The Incredible Hulk\" หลังจากที่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ อั้งลี่ ทำให้เขาตัดสินใจรับบทบาทนี้ทันที บานาชื่นชอบอั้งลี่จากภาพยนตร์เรื่อง \"The Ice Storm\" และเห็นด้วยกับรูปแบบการทำงานของอั้งลี่ที่ทำการถ่ายทำก่อนบทภาพยนตร์จะสมบูรณ์ เขารู้สึกสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะ \"บุคลิกของบรูซ แบนเนอร์ มีความสามารถน่าทึ่งอยู่\" และ \"ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่แบบทั่วไป\" ภาพยนตร์เรื่อง \"Hulk\" (2003) ไม่ได้รับเสียงวิจารณ์และทำรายได้ที่ดีนัก แต่บานาก็ได้รับคำชมจาก แจ็ก แมททิวส์ จากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเดลี่ กับบทบาทบรูซ แบนเนอร์ว่า \"เป็นทิฐิที่ดีเยี่ยม\" บานาได้รับการเสนอชื่อรางวัลจากสถาบันภาพยนตร์ นวนิยายวิทยาศาสตร์ แฟนตาซีและสยองขวัญ ในสาขา \"Cinescape Genre Face of the Future\" จากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่บานาก็ตัดสินใจไม่กลับมาเล่นภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง \"Hulk\" ในปี ค.ศ. 2008 อีก ซึ่งเขาเห็นว่าควรมีภาคเดียว แต่ในปี 2008 คนที่มารับบทแทนคือ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#0", "text": "อีริก บานาดีโนวิช () หรือรู้จักกันในชื่อ อีริก บานา เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1968 เป็นนักแสดงชายชาวออสเตรเลียที่มีผลงานทางภาพยนตร์และโทรทัศน์ เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นนักแสดงตลกในละครสเก็ตช์คอเมดี้เรื่อง \"Full Frontal\" ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์จากภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่อง \"Chopper\" (2000) หลังจากที่ได้รับคำชมในเสียงวิจารณ์เป็นเวลาร่วม 10 ปี ในละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ในประเทศออสเตรเลีย บานาเข้าร่วมแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดในบท สิบเอก 'ฮู้ต' กิ๊บสัน ในทหารหน่วยเดลต้า ในภาพยนตร์เรื่อง \"Black Hawk Down\" (2001) และต่อมาได้รับบทนำในบทบาท บรูซ แบนเนอร์ ในภาพยนตร์การกำกับของอั้งลี่ เรื่อง \"The Hulk\" (2003)", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#7", "text": "บานาในบทบาท อาชญากร ช็อปเปอร์ รีด ในภาพยนตร์สร้างชื่อ \"Chopper\" (2000) สำหรับบทบาทนี้ บานาโกนศีรษะและเพิ่มน้ำหนักอีก 30 ปอนด์ และใช้เวลา 2 วันอยู่กับ รีด เพื่อให้ลอกเลียนตัวเขาได้เหมือนยิ่งขึ้น และในระหว่างการถ่ายทำ เขามาถึงสถานที่ถ่าย ตี 4 และใช้เวลาอีก 5 ชั่วโมงกับการเขียนรอยสักให้เหมือน รีด และแม้ว่าข้อจำกัดของภาพยนตร์ในการออกฉายนอกประเทศออสเตรเลีย บานาก็ยังได้รับเสียงวิจารณ์ทางบวก โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ชมเชยบานาไว้ว่า \"นักแสดงตลก อีริกบานา ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ค้นพบดาวดวงใหม่แล้ว เขามีคุณลักษณะที่เรียกว่า ไม่มีโรงเรียนไหนที่สอนการแสดงแบบนี้และ ดาราที่เหมาะสมแบบนี้ คุณไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้\" ภาพยนตร์เรื่อง \"Chopper\" ประสบความสำเร็จทางด้านเสียงวิจารณ์และรายได้ในออสเตรเลียและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากรางวัลออสเตรเลียนฟิล์มอินสติติวต์ ในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งเขาได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากการประกาศรางวัลครั้งนี้ด้วย", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#13", "text": "ในปี ค.ศ. 2006 บานาเป็นสมาชิกของจากสถาบันภาพเคลื่อนไหว ศิลปะและวิทยาศาสตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences หรือ AMPAS) จากการรับเชิญ หลังจากนั้นภาพยนตร์เรื่อง \"Lucky You\" หนังรักที่บานาทำงานก่อนถ่ายทำเรื่อง \"Munich\" ออกฉายเมื่อต้นปี ค.ศ. 2007 ในภาพยนตร์เรื่อง\" Lucky You\" นี้รับบทเป็นฮัก ชีเวอร์ นักเล่นโป๊กเกอร์มืออาชีพที่จะต้องเอาชนะการแข่งขันในลาสเวกัส ภาพยนตร์เรื่องต่อไปสร้างมาจากบันทึกส่วนตัวของ ไรมอน ไกตา ในภาพยนตร์ออสเตรเลียเรื่อง \"Romulus, My Father\" ที่ต้องต่อสู้ แบกรับภาระของลูกชายไว้ ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี และบานาก็ได้รับรางวัลเอเอฟไอ เป็นครั้งที่ 2 ในสาขานักแสดงนำ จนนิตยสารอินไซด์ฟิล์มชมไว้ว่า \"เป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเขา\"\nบานาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง \"The Other Boleyn Girl\" เสร็จกลางปี ค.ศ. 2006 เป็น ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ ที่เขารับบทเป็น สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ร่วมกับสการ์เล็ตต์ โจฮันส์สัน และ นาตาลี พอร์ตแมน และบานาตกลงที่จะแสดงในภาพยนตร์สร้างโดย ริดลีย์ สก็อตต์ เรื่อง \"Factor X\" (2008) ซึ่งจะรับบทบาทเป็นนักสืบที่ตามหาร่องรอยของ เดนนิส เรเดอร์ ฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง และเขายังรับบทตัวร้ายชื่อ นีโร ในภาพยนตร์การกำกับของ เจ. เจ. แอบรัมส์ เรื่อง \"Star Trek\" และเขาจะเล่นในบทบาท เฮนรี เดอ แทมเบิล ในบทประพันธ์เรื่อง \"The Time Traveler's Wife\" ประพันธ์โดย ออเดรย์ นิฟฟีเนกเกอร์ ออกฉายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2009 บานาแสดงร่วมกับอดัม แซนด์เลอร์และเซธ โรเกน ในผลงานกำกับเรื่องที่ 3 ของจัดด์ อพาโทว์ เรื่อง \"Funny People\" ถือเป็นเรื่องแรกที่เขาปรากฏตัวสู่วงการตลกเป็นครั้งแรก", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#12", "text": "ต่อมาเขาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง \"Munich\" กำกับโดย สตีเฟน สปีลเบิร์ก เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความอื้อฉาว เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมสังหารหมู่นักกรีฑาอิสราเอล 11 คน ในบ้านพักนักกีฬาระหว่างการแข่งขันโอลิมปิกที่มิวนิค ประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 1972 บานารับบทเป็นอาวเนอร์สายลับมอสสาด ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับถูกต่อต้านอย่างหนักจากชาวอเมริกันเชื้อสายยิวหลังการถ่ายทำเสร็จ", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#6", "text": "ในปี ค.ศ. 1997 แม้ว่าจะขาดประสบการณ์ในบทดราม่า ผู้กำกับแอนดรูว์ โดมินิก ติดต่อบานาเพื่อเล่นภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่อง \"Chopper\" (2000) โดยเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับช็อปเปอร์ รีด อาชญากรชาวออสเตรเลีย โดมินิกใช้เวลาทั้งสิ้น 5 ปี แต่ไม่สามารถหานักแสดงที่รับบทเป็น รีด ได้ จนกระทั่งช็อปเปอร์ รีด ตัวจริงได้แนะนำ บานา ที่เขาเคยดูการแสดงล้อเลียนทางโทรทัศน์ และโดมินิกก็ได้ตกลงให้บานามีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#4", "text": "ในปี ค.ศ. 1993 บานามีผลงานทางโทรทัศน์ครั้งแรกในรายการทอล์คโชว์ช่วงกลางคืนโดย สตีฟ วิซาร์ด ในรายการทูไนท์ ไลฟ์ ความสามารถทางด้านการแสดงของเขาเข้าตาโปรดิวเซอร์สเก็ตช์คอเมดี้ \"Full Frontal\" ซึ่งเขารับเชิญบานาไปร่วมเขียนบทและแสดง จนกระทั่ง 4 ปีผ่านไป บานาเริ่มเขียนบทจากประสบการณ์ของเขา อุปนิสัยของคนในครอบครัว และการล้อเลียน โคลัมโบ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ซิลเวสเตอร์ สตาล์โลน และทอม ครูซ ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมา ความสำเร็จนี้นำไปสู่การผลิตรายการโทรทัศน์ของเขาเองที่ชื่อว่า \"อีริก\" ในปี ค.ศ. 1996 เป็นรายการที่รวมมุข บุคลิกของคนในชีวิตทั่วไป และกระตุ้นให้เขาปล่อยรายการสเก็ตช์คอเมดี้ของเขาเองในรายการ \"ดิ อีริก บานา โชว์\" เขียนบทและแสดงโดยบานาเอง ที่เป็นรายการล้อเลียน สแตนด์-อัพโชว์ และเชิญคนดังมาร่วมรายการ แต่ไม่ประสบความสำเร็จและยุติการออกอากาศไป หลังจากออกอากาศไปเพียง 8 ตอน เพราะมีระดับความนิยมไม่ดี แต่อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1997 เขาได้รับรางวัลโลจีอวอร์ด ในสาขานักแสดงตลกยอดนิยม", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#1", "text": "บานา นักแสดงที่ประสบความสำเร็จในบทบาทการแสดงและการแสดงตลก เขาได้รับรางวัลสูงสุดทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์สำหรับการแสดงเรื่อง \"Chopper\" และ \"Full Frontal\" นอกจากนี้เขายังได้แสดงบทนำในภาพยนตร์ทุนต่ำหลาย ๆ แบบ และแสดงกับสตูดิโอสังกัดใหญ่ ทั้งหนังรัก หนังตลก หนังดราม่า จนถึงนวนิยายวิทยาศาสตร์ หนังเขย่าขวัญ และหนังแอ๊กชัน โดยภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมรวมถึงเรื่อง \"Black Hawk Down\" (2001), \"Hulk\" (2003), \"Troy\" (2004) และ \"Munich\" (2005)", "title": "อีริก บานา" }, { "docid": "141105#8", "text": "ในปี ค.ศ. 2001 ผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ คัดเลือกบานาในบทบาททหารอเมริกัน แสดงภาพยนตร์เรื่อง \"Black Hawk Down\" (2001) สก็อตต์ประทับใจการแสดงของบานาใน \"Chopper\" โดยบานาไม่ต้องผ่านการทดสอบตัวนักแสดงเลย ในภาพยนตร์เขารับบทเป็นสิบเอก 'ฮู้ต' กิ๊บสัน ในทหารหน่วยเดลต้า ที่ต่อสู้หาทางออกใน เมืองโมกาดีชู ในประเทศโซมาเลีย หลังปฏิบัติการจับคุมตัวนายทหารสองนายที่ทรยศ แต่เกิดความผิดพลาด ภาพยนตร์เรื่องนี้ บานา ลดน้ำหนักหลังจากที่เพิ่มน้ำหนักใน \"Chopper\" และได้ออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดก่อนการถ่ายทำ เขายังได้ฝึกกับทหารหน่วยเดลต้าที่ ฟอร์ต แบรกก์ เรียนรู้อาวุธต่าง ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกและขึ้นอันดับ 1 บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิสของเมริกาเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในการเปิดตัว", "title": "อีริก บานา" } ]
2758
ภูมิทัศน์ คืออะไร ?
[ { "docid": "19540#0", "text": "โดยทั่วไปคำว่า \"ภูมิทัศน์\" หมายถึง \"ภาพรวมของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง\" ที่มนุษย์ \"รับรู้ทางสายตาในระยะห่าง\" อาจเป็นพื้นที่ธรรมชาติที่ประกอบด้วยรูปทรงของแผ่นดิน น้ำ ต้นไม้ สัตว์และสรรพสิ่งมนุษย์สร้างในสภาพอากาศหนึ่งและช่วงเวลาหนึ่งที่เรียกว่าภูมิทัศน์ธรรมชาติ หรือภาพรวมของเมืองหรือส่วนของเมือง เรียกว่าภูมิทัศน์เมืองนอกจากนี้ยังมีการใช้คำ “ภูมิทัศน์” กับพื้นที่ที่มีลักษณะเฉพาะเด่นชัด เช่น \"ภูมิทัศน์ทะเล\" \"ภูมิทัศน์ภูเขา\" \"ภูมิทัศน์ทะเลทราย\" หรือ \"ภูมิทัศน์พระจันทร์\" ซึ่งหมายถึงภาพรวมของพื้นที่บนผิวดวงจันทร์ที่มนุษย์อวกาศไปเยือน", "title": "ภูมิทัศน์" } ]
[ { "docid": "578631#0", "text": "อุ่นไอรัก เป็นละครโทรทัศน์แนว ดราม่า แนวน้ำดี สะท้อนปัญหาสังคม บทประพันธ์โดย ช่างปั้นเรื่อง ออกอากาศ วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 - 8 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นำแสดงโดย ตะวัน จารุจินดา ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ ชมพูนุช ปิยธรรมชัย ทรงวุฒิ ศรีเชิดชูธรรม อีกทั้งละครเรื่องนี้ได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก ได้รับรางวัลทั้งยังเสนอชื่อเข้าชิงในรางวัลของบันเทิงไทยสาขาต่างๆ และยังถือเป็นการแจ้งเกิดนักแสดงให้โด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการหลายคน อาทิ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ตะวัน จารุจินดา ชมพูนุช ปิยธรรมชัย ฯลฯ", "title": "อุ่นไอรัก" }, { "docid": "277418#0", "text": "ภูมิทัศน์และอิคารัสปีกหัก () เป็นภาพเขียนที่เชื่อกันมานานว่าเป็นภาพที่เขียนโดยปีเตอร์ เบรอเคิล (ผู้พ่อ) แต่จากการวิจัยทางเทคนิคในปี ค.ศ. 1996 ทำให้เกิดความเคลือบแคลงในสมมุติฐานดังกล่าว แต่ก็อาจจะเป็นภาพที่เขียนจากภาพเดิมที่เขียนโดยเบรอเคิล เนื้อหาของภาพส่วนใหญ่มาจากโอวิด ภาพเขียนกลายเป็นหัวของโคลงชื่อเดียวกันโดยวิลเลียม คาร์ลอส วิลเลียมส์ (William Carlos Williams) และในโคลงที่เขียนโดยดับเบิลยู. เอช. ออเดนชื่อ \"Musée des Beaux Arts\" ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับพิพิธภัณฑ์ที่เป็นที่ตั้งของภาพเขียน", "title": "ภูมิทัศน์และอิคารัสปีกหัก" }, { "docid": "617987#3", "text": "ภูมิร่วมกับมูลนิธิไททัศน์ก่อตั้ง ผู้ก่อการดี เพื่อเปิดโปงผู้มีอิทธิพล น้ำเย็นเป็นคนที่ถูกส่งตัวเข้าไปแทรกซึมในบริษัทของ พลพิพัฒน์ แฟรงค์ เรียกประชุมคนในองค์กรฯวางแผนกำจัดขบวนการผู้ก่อการดี โดยวางระเบิดทั่วกรุง ภูมินำทีมคลี่คลายวิกฤติกู้ระเบิดได้เกือบครบทุกที่ องค์กรแฟรงค์ออกประกาศจะระเบิดทำลายทำเนียบรัฐบาลในวันขึ้นปีใหม่ เหยี่ยวสืบรู้ว่าแพรวาเป็นสมาชิกองค์กร แฟรงค์ เหยี่ยว ยื่นคำขาดให้แพรวากลับตัวเป็นคนดี แต่เหยี่ยวก็ถูกลอบยิงตายพร้อมแผ่นซีดีที่กำลังส่งให้แพรวา เมื่อแพรวาเปิดซีดีถึงกับสะเทือนใจ เพราะเหยี่ยวสารภาพรักเธอ", "title": "คมฅน" }, { "docid": "549288#0", "text": "ผู้ดีอีสาน เป็นละครโทรทัศน์ไทย แนวดราม่า, แอ็กชั่น, คอมเมดีที่เคยสร้างไว้โดยบริษัทยูม่า 99 จำกัด เมื่อปี พ.ศ. 2543 นำแสดงโดย ธนากร โปษยานนท์,เข็มอัปสร สิริสุขะ นำกลับมาสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2556 นำแสดงโดย วฤษฎิ์ ศิริสันธนะ,พริมา พันธุ์เจริญ เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 - 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.45 - 20.00 น. (ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป ออกอากาศเวลา 18.30 - 19.45 น.) ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย บริษัท ยูม่า 99 จำกัด บทประพันธ์โดย วรางคณา บทโทรทัศน์โดย ยู เจนเนอเรชั่น ทีม กำกับการแสดงโดย วิลักษณา", "title": "ผู้ดีอีสาน" }, { "docid": "230611#4", "text": "อาจกล่าวได้ว่า ภูมิทัศน์เมือง คือ “การรวมเข้าด้วยกันระหว่างสภาพทางธรรมชาติ และงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ โดยการออกแบบหรือปรับปรุงคุณภาพทางทัศนียภาพในสภาพแวดล้อมที่เป็นส่วนของเมือง เพื่อให้เกิดความร่มรื่น สวยงาม มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละเมือง”", "title": "ภูมิทัศน์เมือง" }, { "docid": "627808#0", "text": "รอยไหม เป็นละครโทรทัศน์ไทย แนวระทึกขวัญ-โรแมนติก-ดราม่า นำแสดงโดย อธิชาติ ชุมนานนท์, ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ, ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ, เมย์ เฟื่องอารมย์ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554–24 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 - 22.45 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย แอคอาร์ต เจเนเรชั่น โดยผู้จัด ธัญญา วชิรบรรจง จากบทประพันธ์โดย พงศกร บทโทรทัศน์โดย ยิ่งยศ ปัญญา กำกับการแสดงโดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง", "title": "รอยไหม" }, { "docid": "40298#0", "text": "อุ้มรัก เป็นละครโทรทัศน์ แนวโรแมนติกคอมาดี้ ออกอากาศทางช่อง 3 วันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. เรื่องราวเกี่ยวกับการตั้งท้องที่ไม่ตั้งใจ ของนางแบบสาวไฮโซ ณภัทร กับ ช่างภาพ ราเชนทร์ ณภัทร (แอน ทองประสม) ดาราสาวไฮโซเอาแต่ใจ เข้าสู่วงการบันเทิงตามคำแนะนำของ แอนนา (เจมี่ บูเฮอร์) นางแบบสาวเพื่อนสนิท ในการถ่ายงานโฆษณาชิ้นหนึ่ง ณภัทร ได้พบกับ ราเชนทร์ (ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) ช่างภาพหนุ่มปากจัด เชนต่อว่าต่อขานณภัทรที่ไป สาย ทำให้การพบหน้ากันครั้งแรก จึงจบลงด้วยบรรยากาศของความไม่เป็นมิตรกัน", "title": "อุ้มรัก" }, { "docid": "787403#0", "text": "คนในอากาศ (FAR AWAY) เป็นซิงเกิลของนัน-สุนันทา ยูรนิยม ในปี พ.ศ. 2559 สังกัดค่ายเพลงบ็อกซ์มิวสิก ในเครือมิวสิกมูฟเอนเตอร์เทนเมนต์ ประพันธ์คำร้องโดย สุนันทา ยูรนิยม ,สุดเขต จึงเจริญ ,อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์ แต่งทำนองโดย สุนันทา ยูรนิยม ,เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ ,สุดเขต จึงเจริญ ,อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์ และเรียบเรียงโดย เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ เพลงนี้ออกจำหน่ายในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559", "title": "คนในอากาศ" }, { "docid": "252462#0", "text": "ไนน์ ณ สยาม (ไนน์ แอต ไซแอม; ) เป็นรายการโทรทัศน์ ที่ออกอากาศทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-09.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ดำเนินรายการโดย วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล (ชื่อเล่น: พิช) นักร้องนำของบอยแบนด์ออกัส และนักแสดงนำจากภาพยนตร์ไทยเรื่อง “รักแห่งสยาม” (6 เมษายน-10 ธันวาคม พ.ศ. 2552) ผลิตรายการโดย บริษัท ครีเอทีฟ ไมนด์ จำกัด และ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด", "title": "ไนน์ ณ สยาม" }, { "docid": "263050#0", "text": "คนค้นฅน เป็นรายการเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของแขกรับเชิญในรายการ ผลิตโดย บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด เป็นรายการแรกของบริษัท เรื่มออกอากาศตอนแรก ในคืนวันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546 เวลา 22.00 น. ทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี ในตอนที่มีชื่อว่า เถร…คนดีท่าพระจันทร์ แขกรับเชิญ (ในรายการเรียกว่า \"คนต้นเรื่อง\") ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ขาดด้อยโอกาส และคนพิการ (มีอยู่เทปหนึ่ง ที่ออกอากาศเกี่ยวกับปู่เย็น)\nวันและเวลาที่ออกอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายช่วง", "title": "คนค้นฅน" } ]
2787
ฝ้าย ได้มาจากส่วนใดของต้น ?
[ { "docid": "217450#3", "text": "ผ้าฝ้ายทำมาจากใยฝ้าย ซึ่งได้จากต้นฝ้ายที่สามารถปลูกขึ้นได้ดีในแถบที่มีอากาศอุ่นชื้นและมีแดดจัด เมื่อผลฝ้ายแก่จัดแล้ว ผลจะแตกมีใยเป็นปุยขาว จึงเก็บมาแยกเอาเปลือกและเมล็ดออก แล้วนำไปปั่นเป็นเส้นใยและเส้นด้าย จึงจะสามารถทอเป็นผืนผ้าได้แล้วจึงจะสามารถใช้ประโยนช์จากผ้าฝ้ายได้ โดยการนำมาตัดและเย็บเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอย่างเช่น เสื้อยืด", "title": "ผ้าฝ้าย" }, { "docid": "217450#1", "text": "ใยฝ้ายได้มาจากส่วนที่ห่อหุ้มเมล็ดของต้นฝ้าย หรือที่เรียกว่า ปุ๋ยฝ้าย ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ ฝ้ายมีคุณสมบัติเนื้อนุ่ม โปร่งสบาย ระบายความร้อนได้ดี เนื่องจากฝ้ายมีช่องระหว่างเส้นใย จึงเหมาะกับสภาพอากาศในฤดูร้อน และเมื่อเปียกจะตากแห้งได้เร็ว การใช้ฝ้ายมาใช้งานทำได้โดยนำฝ้ายมาปั่นเป็นเส้นด้าย แล้วนำมาท่อเป็นผืนผ้า", "title": "ผ้าฝ้าย" }, { "docid": "217450#17", "text": "ฝ้าย (Cotton) เป็นใยเซลลูโลสได้จากดอกของฝ้าย ผ้าที่ผลิตจากฝ้ายพันธุ์ดีเส้นใยยาว ผิวของผ้าจะเรียบเนียน และทนทาน คุณภาพของผ้าฝ้ายขึ้นอยู่กับพันธุ์ ความยาวและความเรียบของเส้นใย ใยฝ้ายเองไม่ใคร่แข็งแรงนัก แต่เมื่อนำมาทอเป็นผ้า จะได้ผ้าที่แข็งแรง ยิ่งทอเนื้อหนา-แน่นจะยิ่งแข็งแรง ทนทาน ดูดความชื้นได้ดี เหมาะสำหรับทำผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า ผ้าฝ้ายเนื้อบางถึงเนื้อหนาปานกลาง ใช้เป็นชุดสวมในฤดูร้อนจะรู้สึกเย็นสบาย คุณลักษณะเด่นของผ้าฝ้ายคือ", "title": "ผ้าฝ้าย" } ]
[ { "docid": "65293#3", "text": "การเก็บฝ้ายในประเทศไทยนิยมเก็บด้วยมือ โดยเลือกผลฝ้ายที่แก่และแตกแล้ว จากนั้นดึงเส้นใย(ส่วนของ epidermal cell) ออกจากสมอ แล้วส่งไปโรงงานเพื่อแยกเมล็ดออก กระบวนการแยกเส้นใยออกจากเมล็ดฝ้าย เรียกว่า \"หีบฝ้าย\" ส่วนของเส้นใยจะถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณต์ต่างๆ ขณะที่ส่วนเมล็ดฝ้ายซึ่งมีน้ำมันเป็นองค์ประกอบจะถูกนำไปสกัดเป็นน้ำมันเมล็ดฝ้าย เมื่อเทียบปริมาณ ฝ้าย 10 กิโลกรัมจะสามารถให้เส้นใยประมาณ 3.5 กิโลกรัม และน้ำมันประมาณ 1 กิโลกรัม กล่าวโดยสรุปคือ\n1) ปุยฝ้าย (Lint or Fibre)\n1.1) ใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม\n1.2) เครื่องใช้ภายในบ้าน\n1.3) วัตถุทางอุตสาหกรรม ยางรถยนต์ เบาะที่นั่ง เชือก ถุง สายพาน ผ้าใบ ท่อส่งน้ำ และการผลิตเส้นใยเทียม หรือ เรยอง (rayon) \n2) เมล็ดฝ้าย\nประกอบด้วย ขนปุยที่ติดกับเมล็ด (linter or fuzz) เปลือกเมล็ด (Seed coat) และเนื้อในเมล็ด (Kernel)\n2.1) ขนปุย (linter or fuzz) : นำไปใช้ทำผ้าซึมซับ ทำเบาะผ้าสักหลาด พรม วัตถุระเบิด และอุตสาหกรรม เซลลูโลส เช่น ทำเส้นใยประดิษฐ์ ฟิล์มเอ๊กซเรย์ พลาสติก\n2.2) เปลือกเมล็ด (Seed Coat) : นำไปใช้ทำเป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์ ทำปุ๋ยอินทรีย์ ทำยางเทียม และเป็นส่วนประกอบในการเจาะและกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง\n2.3) เนื้อในเมล็ด (Kernel) : ทำเนยเทียม ใช้เป็นตัวทำละลาย (Solvent or emulsifier) ทำยารักษาโรค สารปราบโรคและแมลงศัตรูพืช เครื่องสำอาง ยางพลาสติก เครื่องหนังกระดาษและอุตสาหกรรมสิ่งทอ กากที่เหลือหลังจากสกัดเอาน้ำมันออกแล้ว มีปริมาณโปรตีนสูง นำไปทำเป็นอาหารสัตว์ เป็นปุ๋ย และมีการนำไปทำอาหารมนุษย์ เช่น ผสมทำขนมปัง ผสมอาหารพวกที่มีเนื้อ เช่น ไส้กรอก", "title": "ฝ้าย" }, { "docid": "65293#2", "text": "ฝ้ายจัดเป็นไม้ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่มขนาดกลาง แต่ในทางการเกษตร จะจัดเป็นประเภทพืชล้มลุก เนื่องจากต้นฝ้ายที่มีอายุ 2-3 ปี มักให้ผลผลิตน้อยทำให้ต้องทำการเพาะปลูใหม่ทุกปี เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ สูงประมาณ 2-5 ฟุต แตกกิ่งเวียนรอบต้น มักมีขนสั้นปกคลุมบางๆที่ลำต้น \"ใบ\" เกิดที่ข้อของลำต้น ก้านใบยาวเท่ากับความกว้างของใบ แต่สั้นกว่าแผ่นใบ ใบเดี่ยว หยักเป็น 3, 5 หรือ 7 พู พูรูปไข่ถึงรูปใบหอก มักมีขนสั้นคลุมบางๆที่ก้านใบและใต้ใบ หูใบยาว 1-5 เซนติเมตร รูปกึ่งสามเหลี่ยม \n\"ดอก\" ดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ ดอกอ่อน หรือเรียกว่า \"ปี้\" (bud or aquare) ถูกหุ้มด้วยใบเลี้ยง 3 ใบ ประกบเป็นสามเหลี่ยม ดอกบานกว้างประมาณ 3 นิ้ว มี 5 กลีบดอก เรียงซ้อนกัน สีขาวนวลถึงเหลือง ตอนบ่ายดอกจะกลายเป็นสีชมพูจนถึงแดงและค่อยๆหุบ ดอกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหลังจากบานประมาณ 2-3 วัน ก้านเกสรเพศผู้เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 2-5 เซนติเมตร ก้านเกสรเพศเพศเมียสอดอยู่ในหลอดก้านเกสรเพศผู้ รังไข่มี 3-4 ห้อง หรือ 4-5 ห้อง แล้วแต่ชนิด (species) \"ผล\" ผลแห้งแตก รูปไข่แคบๆ ปลายแคบแหลม เกลี้ยง ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ภายในแบ่งออกเป็นช่องเท่ากับจำนวนช่องในรังไข่ ผลฝ้าย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า \"สมอฝ้าย\" สมอฝ้ายจะปริออกเมื่อแก่ และดันเมล็ดซึ่งห่อหุ้มด้วยปุยเส้นใยสีขาว (lint) และเส้นใยสั้น (fuzz fibers) ออกมา", "title": "ฝ้าย" }, { "docid": "217450#8", "text": "ฝ้ายจะมีความเหนียวปานกลาง คือจะเหนียวประมาณ 3.0-5.0 กรัมต่อเดนเยอร์ ความเหนียวจะเพิ่มขึ้นเมื่อเปียก ความเหนียวเมื่อเส้นใยเปียกจะมากกว่าความเหนียวเมื่อแห้งประมาณ 25-40 เปอร์เซ็นต์ ความยืดหยุ่นและการยืดได้ ในฝ้ายขะยืดหยุ่นได้ค่อนข้างต่ำ คือจะยืดได้ประมาณ 3-7 เปอร์เช็น บางครั้งอาจถึง 10 เปอร์เซ็นก่อนถึงจุดขาด การหดตัวกลับที่เดิม หากจับยึดอออกเพีง 2 เปอร์เซ็นจะหดตัวกลับเข้าที่เดิมได้ 74 เปอร์เซ็น และถ้าจับยึดออก 5 เปอร์เซ็นจะหดกลับที่เดิมได้เพีบง 50 เปอร์เซ็น", "title": "ผ้าฝ้าย" }, { "docid": "291098#9", "text": "ใยพืชที่นิยมนั้นแบ่งตามยุคสมัยและพื้นที่ โดยในอดีตมีใยผ้าลินิน (ทอจากต้นแฟลกซ์) ผ้าไหม (ได้จากใยของตัวหนอนไหม) เป็นต้น จนกระทั่งเมื่อชาวยุโรปนำต้นฝ้ายมาจากอเมริกาใต้ แล้วเพาะพันธ์ไปทั่วโลก ใยฝ้ายจึงถูกใช้ทำเสื้อผ้าที่เป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน เรียกว่าผ้าฝ้าย", "title": "ปัจจัยสี่" }, { "docid": "187517#0", "text": "ฝี () เป็นกลุ่มของหนองซึ่งเป็นซากเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล (neutrophil) ที่ตายแล้วสะสมอยู่ภายในโพรงของเนื้อเยื่อซึ่งเป็นกระบวนการของการติดเชื้อ มักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียหรือปรสิต หรือเกิดจากสิ่งแปลกปลอมภายนอกอื่น ๆ เช่น เศษวัสดุ กระสุน หรือเข็มทิ่ม ฝีเป็นกระบวนการตอบสนองของเนื้อเยื่อในร่างกายต่อเชื้อโรคเพื่อจำกัดการแพร่กระจายไม่ให้ไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย", "title": "ฝี" }, { "docid": "563366#3", "text": "ความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ และการเดินโลหิตขาออกจากหัวใจ มีการวัดโดยตัวรับการยืดออก(stretch receptor) ที่มีอยู่ในหลอดเลือดแดงแครอทิด (carotid artery) ตัวรับการยืดออกเหล่านี้เป็นเซลล์ประสาท ที่เมื่อ\"ตรวจพบการยืดออก\" ก็จะยิงศักยะงานไปยังระบบประสาทกลาง ซึ่งจะก่อให้เกิดการขยายเส้นเลือดและลดอัตราการเต้นของหัวใจลง แต่ถ้า\"ไม่เจอการยืดออก\" ก็จะไม่มีการยิงศักยะงานไปยังระบบประสาทกลาง ระบบประสาทก็จะตัดสินใจว่ามีความดันโลหิตต่ำและมีอันตราย แล้วก่อให้เกิดผลตรงกันข้าม คือ ทำให้เส้นเลือดตีบตัวลงและปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้สูงขึ้น มีผลทำให้ความดันของเลือดในร่างกายสูงขึ้น", "title": "ตัวกระตุ้น" }, { "docid": "471647#3", "text": "ชื่อ \"เอื้องหมายนา\" มีที่มาจากประเพณีการสู่ขวัญควาย เนื่องจากชาวนาได้ดุด่า ทุบตีควายระหว่างการไถพรวนในฤดูการทำงาน เมื่อต้นกล้าโตเต็มที่สามารถถอนกล้าไปดำนาแล้วนั้นเป็นอันสิ้นสุดสำหรับการใช้แรงงานของควาย จากนั้นชาวนาก็จะขอขมาลาโทษจากควาย หรือที่เรียกว่า \"สู่ขวัญควาย\" ซึ่งในพิธีจะมีการนำต้นเอื้องหมายนา ไปปักไว้ 4 ทิศของบริเวณพื้นที่นาของตนเองที่เป็นเจ้าของ เอื้องหมายนาที่ปักไว้นี้มีประโยชน์คือ ป้องกันวัชพืชของต้นข้าว เช่น เพลี้ย บั่ว ที่จะมาทำลายต้นข้าว เมื่อป้องกันวัชพืชเหล่านี้ได้ต้นข้าวจะออกรวงดี จึงเป็นที่มาของชื่อ \"เอื้องหมายนา\"\nในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป ดังนี้เอื้อง หมายนา ถามคุณตาทวดอายุ104ปี แกบอกว่า สมัยโบราณ เขาจับจองที่ทำ ตามข้างๆลำห้วย มักจะใช้กอเอื้องนี้ไปปลูกตามแดน หรือบอกแดน คนกับคนอื่นว่า ของเขาอยู่จากต้นเอื้องนี้ไปหาต้นนี้ \nคือหมายเขตแดน นานั่นอง บางคนขุดไปปลูกตามมุมเขต จึงเรียกกันว่าเอื้องหมายที่นา คนต่อๆมาเรียกสั้นๆว่าเอื้องหมายนา", "title": "เอื้องหมายนา" } ]
2789
ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและมีอำนาจจะสอบสวน จับกุม คุมขัง ปราบปราม ใช่หรือไม่?
[ { "docid": "37480#0", "text": "ตำรวจ เป็นชื่อเรียกของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ตรวจตรารักษาความสงบ จับกุม และปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย เรียกชื่อตามหน้าที่รับผิดชอบ เช่น ตำรวจกองปราบ ตำรวจดับเพลิง ตำรวจน้ำ ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจรถไฟ ตำรวจป่าไม้ ตำรวจจราจร ตำรวจนครบาล ตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธร ตำรวจลับ ตำรวจวัง ตำรวจสภา ตำรวจสันติบาล ตำรวจหลวง", "title": "ตำรวจ" }, { "docid": "335906#4", "text": "ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ตำรวจไว้ใน ลักษณะที่ 1 บททั่วไป มาตรา 6 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้อำนาจของตำรวจตามพฤตินัย ตำรวจมีแนวทางในการประพฤติปฏิบัติหน้าที่ ตามประเพณีที่เป็นแบบอย่างดังนี้ ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและมีอำนาจจะสอบสวน จับกุม คุมขัง ปราบปราม เป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่อำนาจเหล่านี้สามารถสร้างคุณและโทษได้เท่าๆ กัน สุดแต่การใช้ ตำรวจทุกคนจึงจำเป็นต้องควบคุมจิตใจให้มั่นคง", "title": "ตำรวจไทย" } ]
[ { "docid": "27996#25", "text": "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีฉายาว่า \"\"จอมพลผ้าขาวม้าแดง\"\" คือ ใช้มาตรการเบ็ดเสร็จเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประเทศ เช่น ประหารชีวิตเจ้าของบ้านทันทีหลังบ้านใดเกิดเพลิงไหม้ เพราะถือว่าเป็นการก่อความไม่สงบ การใช้ \"รัฐธรรมนูญมาตรา 17\" การปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ทั้งเป็นผู้รื้อฟื้นพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ เช่น จัดงานเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพ, การสวนสนามของทหารรักษาพระองค์, การประดับไฟบนถนนราชดำเนินในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น", "title": "สฤษดิ์ ธนะรัชต์" }, { "docid": "103210#18", "text": "โขลน มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในเขตพระราชฐานชั้นใน คล้ายๆงานนครบาลคือรักษาความสงบ จึงได้ตั้งเป็น “กรมโขลน” โดยมีกองรักษาการณ์อยู่ที่ศาลา มียามประจำตามสี่แยกหรือตามสถานที่สำคัญ เช่น ประตูพระราชวัง ยามเหล่านี้มียศเป็นจ่า เรียกว่า “จ่าโขลน” ซึ่งเป็นผู้หญิงและอยู่ในฐานะหัวหน้ายามผู้หญิงอีกด้วย มีเครื่องแต่งกายโดยเฉพาะคือ นุ่งผ้าพื้น สวมเสื้อจีบที่เอว แขนยาวแบบเสื้อกระบอก ห่มผ้าทับข้างนอก บนแขนเสื้อจ่าติดบั้งสี่บั้ง นอกจากนี้ กรมโขลนยังมีพนักงานทำหน้าที่อื่นๆด้วย เช่น ดูแลโรงพระประเคนสำหรับในงานหลวง ผู้ดุแลเรียกว่า “นายหุ่นโขลน”", "title": "ตัวละครในขุนช้างขุนแผน" }, { "docid": "178653#14", "text": "สำหรับการประหารพระราชวงศ์ด้วยท่อนจันทน์ นายแวงและขุนดาบมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในมณฑลพระราชพิธีประหาร โดยเฉพาะนายแวงยังมีหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องโทษประหารด้วยท่อนจันทน์ไปยังมณฑลดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งในการควบคุมตัวดังกล่าว มาตรา 175 ยังให้อำนาจนายแวงสามารถจับกุมผู้มีพฤติกรรมต้องสงสัยได้ทันที ทั้งนี้ บัญญัติไว้ว่า \"เมื่อไปนั้น ถ้ามีเรือผู้ใดเข้าไปผิดประหลาดอัยการนายแวง ท้าวพระยาห้วเมือง มนตรีมุข ลูกขุนแต่นาหนึ่งหมื่นถึงนาหกร้อยผู้ใดส่งลูกเธอก็ดี ให้ของส่งของฝากก็ดี อัยการนายแวงได้กุมเอาตัวเป็นขบถตามโทษนุโทษ\"", "title": "การสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์" }, { "docid": "30643#12", "text": "ทั้งนี้ การตระเวนตรวจตราความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองจะกระทำโดยตำรวจ ซึ่งจะสังกัดอยู่กับจังหวัดตำรวจ (constabulary) แยกออกไปต่างหากจากจากเคาน์ตี จังหวัดตำรวจหนึ่งอาจดูแลจังหวัดเดียวหรือหลายจังหวัดก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดตำรวจแฮมป์เชอร์ (Hampshire Constabulary) มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและป้องปรามอาชญากรรมในเขตเคาน์ตีแฮมป์เชอร์ (Hampshire) และเคาน์ตีเกาะไวต์ (Isle of Wight) จังหวัดตำรวจซัสเซกส์ (Sussex Police) ดูแลทั้งเคาน์ตีเวสต์ซัสเซกส์และอีสต์ซัสเซกส์ จังหวัดตำรวจเอวอนแอนด์ซัมเมอร์เซต (Avon and Somerset Constabulary) ดูแลเคาน์ตีซัมเมอร์เซต เคาน์ตีบริสตอล และบางส่วนทางตอนใต้ของเคาน์ตีกลอสเตอร์เชอร์ (Glocestershire) ส่วนจังหวัดตำรวจเดอแรม (Durham Constabulary) ดูแลเฉพาะเคาน์ตีเดอแรมเท่านั้น", "title": "เทศมณฑล" }, { "docid": "10346#0", "text": "กฎอัยการศึก' () เป็นกฎหมายซึ่งได้ตราขึ้นไว้สำหรับประกาศใช้เมื่อมีเหตุจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เช่น ในกรณีเกิดสงคราม การจลาจล ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจหน้าที่เหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ์ การระงับปราบปรามหรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาบางอย่างที่ประกาศระบุไว้แทนศาลพลเรือน", "title": "กฎอัยการศึก" }, { "docid": "495806#0", "text": "ตำรวจน้ำ คือ ตำรวจที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แม่น้ำ ภายในราชอาณาจักร สำหรับในประเทศไทยตำรวจน้ำเป็นส่วนราชการที่ใช้ชื่อเต็มๆว่า กองบังคับการตำรวจน้ำ สังกัด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง ตำรวจน้ำไทยปฏิบัติหน้าที่ ป้องกัน และ ปราบปรามการกระทำผิด ในทุกๆ พระราชบัญญัติที่ตำรวจบกปฏิบัติ แต่ เพิ่มเติมความผิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทางน้ำต่างๆ", "title": "ตำรวจน้ำ" }, { "docid": "853241#0", "text": "กระทรวงมหาดไทย () เป็นกระทรวงหนึ่งของรัฐบาลสหราชอาณาจักร รับผิดชอบเกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมือง การรักษาความสงบเรียบร้อย และการบังคับใช้กฎหมายโดยผ่านทางตำรวจ หน่วยดับเพลิง สำนักลงตราและตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยรักษาความปลอดภัย (MI5) รวมไปถึงการรับผิดชอบการกำหนดนโยบายของรัฐในการปราบปรามยาเสพติด การก่อการร้าย และบัตรประชาชน โดยก่อนหน้าปี 2005 กระทรวงมีหน้าที่ในการรับผิดชอบการราชทัณฑ์และคุมประพฤติผ่านทางหน่วยราชทัณฑ์ในสมเด็จฯ และหน่วยคุมประพฤติแห่งชาติ แต่ต่อมาไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงมีชื่อตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า \"รัฐมนตรีใหญ่ว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมเด็จฯ\" ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่อำมาตย์นายกของรัฐบาล", "title": "กระทรวงมหาดไทย (สหราชอาณาจักร)" }, { "docid": "84501#1", "text": "ในประเทศไทย ตำรวจทางหลวงเกิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งกองบังคับการตำรวจทางหลวงเมื่อปี พ.ศ. 2503 ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี ตรวจตรารักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาและจราจร บริการประชาชนผู้ใช้ทางให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในเขตทางหลวงและทางพิเศษที่อยู่ในอำนาจรับผิดชอบ และควบคุมดูแลการใช้ทางหลวงให้เป็นไปตามกฎหมาย", "title": "กองบังคับการตำรวจทางหลวง" }, { "docid": "84501#0", "text": "ตำรวจทางหลวง คือ เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบนทางหลวงแผ่นดินนอกเขตกรุงเทพมหานครที่มีหมายเลข 1-3 ตัว และทางหลวงพิเศษ", "title": "กองบังคับการตำรวจทางหลวง" } ]
2796
ภาพยนต์เรื่องแรกของประเทศไทยคือเรื่องใด ?
[ { "docid": "68552#0", "text": "นางสาวสุวรรณ () เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) เป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1923 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า \"Kingdom of Heaven\" เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)", "title": "นางสาวสุวรรณ" }, { "docid": "936#103", "text": "ภาพยนตร์ไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในประเทศไทย คือ เรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" ในปี 2470 ภาพยนตร์เรื่อง \"โชคสองชั้น\" เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่คนไทยสร้าง", "title": "ประเทศไทย" }, { "docid": "99304#0", "text": "ภาพยนตร์ไทย มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในเมืองไทย คือ เรื่อง นางสาวสุวรรณ ผู้สร้าง คือ บริษัทภาพยนตร์ ยูนิเวอร์ซัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงทั้งหมดเป็นคนไทย พ.ศ. 2470 ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย", "title": "ภาพยนตร์ไทย" } ]
[ { "docid": "99304#5", "text": "พ.ศ. 2465 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีกลุ่มนักสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันจากบริษัทยูนิเวอร์ซัล ได้มาถ่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยเรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" โดยได้รับความช่วยเหลือ จากกรมมหรสพหลวงและกรมรถไฟหลวง โดยใช้นักแสดงไทยทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเมืองไทย โดยมีนายเฮนรี่ แมคเรย์ กำกับการแสดง นายเดล คลองสัน ถ่ายภาพ นำแสดงโดย ขุนรามภรตศาสตร์ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร และหลวงภรตกรรมโกศล ซึ่งถือได้ว่าทั้งสามได้เล่นเป็นพระเอก นางเอกและผู้ร้าย คนแรกของเมืองไทย ภาพยนตร์เรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" ออกฉายในกรุงสยามเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2466 ท่ามกลางความตื่นเต้นของประชาชน", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "37120#5", "text": "ภาพยนตร์เรื่อง แผลเก่า สร้างจากบทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2479 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2520 มีคำโฆษณาหนังว่า \"เราจักสำแดงความเป็นไทยต่อโลก\" นำแสดงโดยสรพงศ์ ชาตรี รับบท \"ขวัญ\", นันทนา เงากระจ่าง รับบท \"เรียม\", ส. อาสนจินดา, ชลิต เฟื่องอารมย์, เศรษฐา ศิระฉายา และศรินทิพย์ ศิริวรรณ ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 35 มม.\nในขณะถ่ายทำ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์แนวย้อนยุค ในขณะที่ผู้สร้างในขณะนั้นนิยมสร้างภาพยนตร์ร่วมสมัย จึงไม่มีผู้ค้ารายใดซื้อหนังเรื่องนี้ไปฉายเลย แต่เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย ปรากฏว่าเป็นที่นิยม ทำรายได้สูงสุดในประเทศไทย ได้รับรางวัลบทประพันธ์ยอดเยี่ยมและรางวัลเครื่องแต่งกายและแต่งหน้ายอดเยี่ยมจากการประกวดในประเทศ ได้รับโล่เกียรติยศภาพยนตร์ที่เชิดชูเอกลักษณ์ไทยยอดเยี่ยมจากพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น", "title": "เชิด ทรงศรี" }, { "docid": "816823#10", "text": "มีเพียงสองเรื่องแรกของภาพยนต์ระบบทอดด์-เอโอ ได้แก่ \"โอกลาโฮมา!\" และ \"80 วันรอบโลก\" ที่ฉายด้วยความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที เนื่องจากระบบดั้งเดิมต้องการภาพที่ 24 เฟรมต่อวินาที ทุกฉากต้องถ่ายสองครั้ง ครั้งแรกด้วยระบบทอดด์-เอโอและอีกครั้งด้วยฟิล์มซีเนมาสโคป 35 มม. เรื่องต่อๆ มาจึงถ่ายด้วยฟิล์มระบบทอดด์-เอโอ 65 มม. พร้อมกัน โดยให้กล้องที่สองมีความเร็วที่ 24 เฟรมต่อวินาทีเพื่อฉายภาพจอกว้างโดยลดจำนวนฟิล์มพิมพ์ลง และพิมพ์ลงบนฟิล์มพิมพ์ 35 มม. เพื่อให้ตรงความต้องการของระบบดั้งเดิม โดยรวมแล้ว มีภาพยนต์ฉายในระบบทอดด์-เอโอทั้งหมด 16 เรื่อง", "title": "ทอดด์-เอโอ" }, { "docid": "723659#1", "text": "ภาพยนตร์ซีรีส์โทรทัศน์เรื่องนี้ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เคยนำมาออกอากาศฉายในเมืองไทยเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อเรื่องในภาษาไทยว่า \"เหยี่ยวพิฆาตสายฟ้า\" ซึ่งเป็นเรื่องราวของ \"รถมอเตอร์ไซด์สมองกล\" ที่ติดเครื่องยนต์พลังไอพ่น ทำให้เป็นรถที่ล้ำยุคที่สุดและ \"วิ่งเร็ว\" ที่สุดกว่ารถใด ๆ บนท้องถนน ที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องไร้นามคนหนึ่ง และเพื่อน \"คู่หู\" ของเขาที่เป็นอดีตนายตำรวจฉลามบกหนุ่ม ที่เคยประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องลาออกจากราชการตำรวจ เป็นผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ล้ำยุคคันนี้ เอาไว้เพื่อออกต่อกรกับเหล่าอาชญากรเหล่าร้ายที่มีอยู่มากมายเต็มบ้านเมืองของดินแดนที่เรียกตัวเองว่า ประเทศที่เจริญก้าวหน้าที่สุด ซึ่งทีมให้เสียงพากย์เป็นภาษาไทย ในตอนนั้น คือ \"อินทรี\" โดยจะมีคำโปรยตอนต้น ๆ เรื่อง ที่ว่า \"ให้เสียงภาษาไทยโดย อินทรี...\"", "title": "เหยี่ยวพิฆาตสายฟ้า" }, { "docid": "14519#2", "text": "สำหรับในประเทศไทยภาพยนตร์ที่ใช้คอมพิวเตอร์แอนิเมชันเข้ามาใช้เป็นเรื่องแรกของประเทศไทยคือ ปักษาวายุ ส่วนการ์ตูนคือ ปังปอนด์ ดิ แอนิเมชันในขณะที่ภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรกของไทยคือ การ์ตูนสุดสาครของปยุต เงากระจ่างฉบับ ปีพ.ศ. 2522", "title": "คอมพิวเตอร์แอนิเมชัน" }, { "docid": "91522#0", "text": "สุดสาคร เป็นภาพยนตร์การ์ตูนแนวแฟนตาซี ผจญภัย ที่กำกับโดย ปยุต เงากระจ่าง และนับเป็นภาพยนตร์การ์ตูนขนาดยาวเรื่องแรกของประเทศไทย ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2522 เนื้อหาในภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ตั้งแต่ตอนกำเนิดสุดสาครไปจนถึงการเดินทางตามหาพระอภัยมณี ภายหลังกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการได้นำภาพในภาพยนตร์เรื่องนี้ไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือสำหรับให้เยาวชนอ่านในโรงเรียนด้วย", "title": "สุดสาคร (ภาพยนตร์การ์ตูน)" }, { "docid": "15648#8", "text": "ออกอากาศทางสถานีนิปปอนทีวี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กันยายน ถึง 4 เมษายน พ.ศ. 2527 มีความยาวทั้งสิ้น 23 ตอน ได้นำออกฉายในประเทศไทยครั้งแรกในช่อง IBC ในชื่อเรื่อง \"นักรักโลกมายา\" (ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น UBC และ True ในปัจจุบัน) โครงเรื่องหลักๆ จะเหมือนกับในฉบับหนังสือการ์ตูน โดยเริ่มตั้งแต่ตอนแรกที่มายะต้องวิ่งส่งบะหมี่คนเดียว จนถึงช่วงที่แสดงบทเฮเลน เคลเลอร์ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดและลำดับเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องไปมากพอสมควร เช่น ในฉากที่มายะจะต้องได้ประชันฝีมือครั้งแรกกับอายูมิในการเล่นละครใบ้ กลับถูกเปลี่ยนเป็นให้มายะได้แต่แอบดูการแสดงของอายูมิเท่านั้น และหลังจากที่มายะเข้าคณะละคร ก็ได้รับบทเป็นเบ็ธ ในเรื่องสี่ดรุณีทันที โดยไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะได้รับบทเลย ซึ่งหากเปรียบเทียบกันแล้ว เวอร์ชัน พ.ศ. 2548 จะมีเนื้อเรื่องที่ตรงกับในฉบับหนังสือการ์ตูนมากกว่า\nมีความยาว 3 ตอนจบ ออกจำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2541-2542 โดยใช้ชื่อว่า \"หน้ากากแก้ว เด็กสาวผู้มีหน้ากากพันหน้า\" () ผลิตโดย TMS และจัดจำหน่ายโดย โพลีแกรม", "title": "หน้ากากแก้ว" }, { "docid": "99304#7", "text": "บริษัทกรุงเทพภาพยนตร์สร้างหนังเรื่องแรกเสร็จ ให้ชื่อเรื่องว่า \"โชคสองชั้น\" เนื้อเรื่องแต่งโดย หลวงบุณยมานพพานิช (อรุณ บุณยมานพ) กำกับการแสดงโดย หลวงอนุรักษ์รถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) ถ่ายภาพโดยหลวงกลการเจนจิต ผู้แสดงเป็นพระเอกคือ มานพ ประภารักษ์ ซึ่งคัดมาจากผู้สมัครทางหน้าหนังสือพิมพ์ ม.ล. สุดจิตร์ อิศรางกูร นางเอกละครร้องและละครรำมีชื่ออยู่ในขณะนั้น หลวงภรตกรรมโกศล ตัวโกงจากเรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" แสดงเป็นผู้ร้าย ภาพยนตร์ออกฉายเป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่มีมหาชนไปดูกันมากที่สุด ได้การยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย อีกเดือนเศษต่อมา บริษัทถ่ายภาพยนตร์ไทย จึงสร้างหนังของตนเรื่อง \"ไม่คิดเลย\" สำเร็จออกฉายในเดือนกันยายนปีนั้น", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "99304#6", "text": "ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 คณะสร้างภาพยนตร์จากฮอลลีวูดอีกคณะ เดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง \"\"ช้าง\"\" โดยใช้ผู้แสดงเป็นชาวสยามทั้งหมดเช่นกัน ในเวลาที่ภาพยนตร์เรื่อง \"ช้าง\" ออกฉายในประเทศสยามนั้น คนไทยได้สร้างหนังบันเทิงและนำออกฉายแล้วหลายเรื่อง ผู้คนจึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับภาพยนตร์เรื่อง \"ช้าง\" กันมากเท่าที่ควร", "title": "ภาพยนตร์ไทย" } ]
2797
สุดแค้นแสนรัก ออกอากาศตอนสุดท้ายเมื่อไหร่?
[ { "docid": "421001#0", "text": "สุดแค้นแสนรัก เป็นบทประพันธ์ของ จุฬามณี (นิพนธ์ เที่ยงธรรม) นำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สร้างโดย บริษัท เมคเกอร์ เค จำกัด กำกับการแสดงโดย กฤษณ์ ศุกระมงคล และ อดุลย์ ประยันโต นำแสดงโดย รัดเกล้า อามระดิษ พรชิตา ณ สงขลา มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล พัชฏะ นามปาน วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ เริ่มถ่ายทำในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 ออกอากาศครั้งแรกระหว่างวันที่ 18 เมษายน–29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558", "title": "สุดแค้นแสนรัก" } ]
[ { "docid": "596641#0", "text": "คู่แค้นแสนรัก ดัดแปลงจากบทประพันธ์เรื่อง หลงกลรัก ของ เทพิตา โดยทาง โพลีพลัส นำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2554 ออกอากาศทุกวันพุธ–พฤหัสบดี เวลา 20:30–22:30 น. ทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นำแสดงโดย ชาคริต แย้มนาม, พัชราภา ไชยเชื้อ กำกับการแสดงโดย กฤษฎา เตชะนิโลบล เริ่มตอนแรก 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554-24 สิงหาคม พ.ศ. 2554 และออกอากาศรีรันให้ชมกันอีกครั้งทุกวันจันทร์–ศุกร์ เวลา 13:00 น. เริ่ม 2 มกราคม พ.ศ. 2557-3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557", "title": "คู่แค้นแสนรัก" }, { "docid": "936317#0", "text": "ลิขิตแค้นแสนรัก () เป็นละครโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2013 ออกอากาศทาง ช่อง 8 ออกอากาศ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 21.00 น. นำแสดงโดย อาศิษ ศรมา, ซานายา อะรานี ซึ่งเมื่อละครเรื่องนี้อวสานลง ละครเรื่องต่อไปที่ออกอากาศต่อก็คือ อภินิหารเจ้าหญิงจันตระการตา (ออกอากาศวันจันทร์ - พุธ) และ เล่ห์ร้ายพ่ายรัก (ออกอากาศวันพฤหัสบดี - ศุกร์)", "title": "ลิขิตแค้นแสนรัก" }, { "docid": "813294#0", "text": "สูตรรักชุลมุน (ชื่อเดิม:รักสามรส) เป็นละคร ซิทคอม ของไทยจาก เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ นำแสดงโดย สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว, วรรณรท สนธิไชย, จริญญา ศิริมงคลสกุล, และ กันติชา ชุมมะ ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 - 20.30 น. ทาง ช่องวัน เริ่มตอนแรกวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559 และออกอากาศเป็นตอนสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560 โดยละครเรื่องนี้นับเป็นละครเรื่องแรกของ แก้ว จริญญา หรือ แก้ว เฟย์ ฟาง แก้ว ภายหลังจากหมดสัญญาจากต้นสังกัดเก่าอย่าง อาร์เอส และ ติช่า กันติชา หรือ ติช่า เดอะเฟซ และตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน เป็นต้นไป กับช่วงเวลาใหม่ขยับเวลามาเร็วขึ้นกว่าเดิมเละเพิ่มเวลาเป็น 19.45 - 20.30 น. ในช่วง วันขำดี คอเมดี้ทุ่มสี่สิบห้า และซิทคอมเรื่องนี้ก็ขยับเวลาออกอากาศมาเร็วกว่าเดิมและเพิ่มเวลาเป็น 19.15 - 20.00 น. เป็นต้นไป เริ่ม 1 มิถุนายน 2560 และเวลา 19.10 - 19.55 น. เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ และตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ปรับเวลาการออกอากาศใหม่เป็นเวลา 19.00 - 20.00 น.\n=เค้าโครงเรื่อง=\nเรื่องราวความรักสุดชุลมุนของ โป้ง (บี้ สุกฤษฎิ์) เชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์แต่ปากจัดที่เพิ่งจะอกหักทำให้เขาได้พบกับ 3 สาว 3 สไตล์ที่เพิ่งจะอกหักเช่นกันซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในห้องของเขาเนื่องจากถูก อ้น (ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์) เพื่อนของโป้งหลอกให้ทำสัญญาเช่าห้องและโกงเงินไปประกอบไปด้วย ขิง (แก้ว จริญญา) สาวห้าวสุดแซ่บ , โซดา (ติช่า กันติชา) สาวเปรี้ยวเข็ดฟันและ ลูกตาล (วิว วรรณรท) สาวหวานแสนเรียบร้อยสุดท้ายสาวใดจะสามารถพิชิตใจเชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์ได้สำเร็จ\n=ตัวละคร=", "title": "สูตรรักชุลมุน" }, { "docid": "614031#0", "text": "ไฟรักเพลิงแค้น เป็นละครโทรทัศน์ไทย แนว โรแมนติก-ดราม่า นำแสดงโดย กฤษฎา พรเวโรจน์, มทิรา ตันติประสุต และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557–20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15 - 22.45 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย บริษัท โซนิกซ์ บูม 2013 จำกัด โดยผู้จัด ปิยะ เศวตพิกุล, ชุดาภา จันทเขตต์ ดัดแปลงจากบทประพันธ์โดย จินโจว บทโทรทัศน์โดย โซนิกซ์ ทีม ควบคุมการดำเนินงานโดย ปิยะ เศวตพิกุล กำกับการแสดงโดย ชุดาภา จันทเขตต์", "title": "ไฟรักเพลิงแค้น" }, { "docid": "421001#20", "text": "ละครเรื่องนี้ เป็นละครแนวย้อนยุค ใช้เวลาถ่ายทำนาน 16 เดือน โดยเริ่มถ่ายทำในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 และมีการถ่ายทำในต่างจังหวัดหลายแห่ง การคัดตัวนักแสดงนั้น นักแสดงรุ่นใหญ่เป็นนักแสดงที่วางตัวไว้แต่แรก ส่วนนักแสดงหน้าใหม่นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ประวิทย์ มาลีนนท์ อยากให้ปั้นนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งเคยมีละครที่ประสบความสำเร็จในการปั้นนักแสดงหน้าใหม่อย่าง \"4 หัวใจแห่งขุนเขา\" และ\"สุภาพบุรุษจุฑาเทพ\"", "title": "สุดแค้นแสนรัก" }, { "docid": "832174#0", "text": "หนี้รักชำระแค้น (; ) ละครโทรทัศน์เกาหลีแนวเมโลดรามาและหักเหลี่ยมเฉือนมุม ออกฉายในปี ค.ศ. 2011 ทางช่องมุนฮวา ระหว่างวันที่ 2 มีนาคม ถึง 28 เมษายน ค.ศ. 2011 ทุกคืนวันพุธและวันพฤหัสบดีเวลา 21:55 น. จำนวนทั้งสิ้น 18 ตอน ออกอากาศต่อจาก \"My Princess\" ในประเทศไทยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทีวีเคแชนแนล ในเครือพีเอสไอ ด้วยเสียงต้นฉบับ มีคำบรรยายไทย ในต้นปี ค.ศ. 2016", "title": "หนี้รักชำระแค้น" }, { "docid": "421001#24", "text": "\"สุดแค้นแสนรัก\" เป็นละครที่มีเรตติ้งสูงสุดของช่อง 3 ในปี 2558 มีเรตติ้งเฉลี่ยสูงสุด 11.9", "title": "สุดแค้นแสนรัก" }, { "docid": "170932#2", "text": "คู่กิ๊กพริกกะเกลือ เสนอตอนสุดท้าย เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558 และ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ได้มีละครซิตคอมเรื่องใหม่มาแทน คือเรื่อง สภ.รอรัก\nเซียน เซลล์แมนหนุ่มหน้าใสสไตล์เกาหลีอาศัยอยู่กับ พายุ ลูกของน้าญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ทั้งสองคนพักอยู่ที่แมนชั่นเล็กๆที่อยู่ภายใต้การปกครองและดูแลของ กิมบ๊วย สาวหน้าหวานแต่เค็ม เกลือยังเรียกแม่ กิมบ๊วยอยู่กับ อาม่าซูหลิง ผู้ก่อตั้งแมนชั่นตั้งแต่สมัยยังเป็นแค่ห้องเช่า อาม่าเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจกว้างใหญ่มหาศาลซึ่งตรงข้ามกับหลานสาวอย่างสิ้นเชิง เซียนและกิมบ๊วยเป็นคู่ปรับตัวฉกาจ เพราะเซียนไม่ค่อยมีตังค์ จ่ายเงินค่าเช่าห้องช้าเป็นประจำ ทำให้กิมบ๊วยขัดเคืองใจ จ้องจะไล่ออกจากแมนชั่นทุกวัน แต่เซียนก็เอาตัวรอดไปอย่างฉิวเฉียดทุกเดือน", "title": "คู่กิ๊กพริกกะเกลือ" }, { "docid": "180481#0", "text": "รักต้องซ่อม เป็นละครซิตคอม ผลิตโดยเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 14.00 น. ต่อมาย้ายเวลาออกอากาศเป็นทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00 น. ทางช่อง 5 ออกอากาศตอนแรก วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ต่อจากละคร โคกคูนตระกูลไข่ และเมื่อต้นปี พ.ศ. 2552 ละครก็หลุดออกจากผังรายการของสถานี พร้อมรายการอื่นในเครืออีก 4 รายการเนื่องจากความผิดพลาดในการสื่อสารและประสานงานกันของบริษัทกับสถานี โดยตอนสุดท้ายที่ออกอากาศคือตอนพิเศษ \"รักวุ่นวายของนายต้องซ่อม\" ออกอากาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551\nปี 1", "title": "รักต้องซ่อม" } ]
2811
จังหวัดอุทัยธานี เมืองอุทัยธานีมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรยืนยันไว้ว่า เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ กี่ปี?
[ { "docid": "6523#1", "text": "เมืองอุทัยธานีมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรยืนยันไว้ว่า เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว โดยพบหลักฐานยืนยันในหลายพื้นที่ เช่น โครงกระดูก เครื่องมือหินกะเทาะจากหินกรวด ภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผา (เขาปลาร้า) เป็นต้น", "title": "จังหวัดอุทัยธานี" } ]
[ { "docid": "5549#5", "text": "โดยในพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี ส่วนของห้องประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้แบ่งยุคโบราณคดีในชุดวัฒนธรรมบ้านเชียงออกมาเป็นยุคแรก และยุคอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นยุคประวัติศาสตร์ยุคที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงอารยธรรมมนุษย์โบราณสมัย 1,200-1,800 ปีที่ผ่านมา\nหลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงและแถบพื้นที่ราบสูงอำเภอบ้านผือแล้ว ดินแดนในเขตจังหวัดอุดรธานี ก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาอีก จนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นับแต่สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1200-1600) สมัยลพบุรี(พ.ศ. 1200-1800) และสมัยสุโขทัย(พ.ศ. 1800-2000)", "title": "จังหวัดอุดรธานี" }, { "docid": "184082#0", "text": "เทศบาลเมืองอุทัยธานี เป็นเทศบาลที่อยู่ในจังหวัดอุทัยธานี เมืองแห่งลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง ตั้งอยู่ในเขตภาคเหนือตอนล่างหรือภาคกลางตอนบนที่มีผู้คนอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่อเนื่องกันมานับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จวบจนในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อของเมืองอุทัยธานีก็ยังคงปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะเมืองหน้าด่านในการสกัดกั้นกองทัพพม่า (แต่เดิมนั้นเมืองตั้งอยู่ในเขตอำเภอหนองฉางในปัจจุบัน) ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาอุดมไปครองเมืองอุทัยธานี จึงมีการสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังเพราะเป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ มีชื่อเรียกว่าบ้านสะแกกรัง ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่บ้านสะแกกรังจึงขยายตัวใหญ่ขึ้น และมีความเจริญรุ่งเรืองจนกลายเป็นเมืองใหญ่ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2453 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านสะแกกรังจึงถูกยกให้ขึ้นเป็นเมืองอุทัยธานี เริ่มแรกนั้นเมืองอุทัยธานีมีการปกครองแบบสุขาภิบาล จนกระทั่งในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2478 สุขาภิบาลอุทัยธานีจึงถูกยกฐานะให้เป็น “เทศบาลเมืองอุทัยธานี” จนถึงปัจจุบัน", "title": "เทศบาลเมืองอุทัยธานี" }, { "docid": "6523#9", "text": "พ.ศ. 2441 เมืองอุไทยธานีขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนไปขึ้นกับมณฑลอยุธยา สุดท้ายมีการประกาศเลิกมณฑลปี พ.ศ. 2476 และจัดให้จังหวัดเป็นหน่วยปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญที่สุด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน\nการปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ 68 ตำบล 632 หมู่บ้านจังหวัดอุทัยธานีมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวม 64 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง, เทศบาลเมือง 1 แห่ง คือ เทศบาลเมืองอุทัยธานี, เทศบาลตำบล 13 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 49 แห่ง", "title": "จังหวัดอุทัยธานี" }, { "docid": "6523#2", "text": "ตำนานเก่าเล่าว่า ในสมัยกรุงสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองนั้น ท้าวมหาพรหมได้เข้ามาสร้างเมืองที่บ้านอุทัยเก่า คือ อำเภอหนองฉางในปัจจุบันนี้ แล้วพาคนไทยเข้ามาอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านคนมอญและคนกะเหรี่ยง จึงเรียกว่า \"เมืองอู่ไทย\" ตามกลุ่มหรือที่อยู่ของคนไทยซึ่งพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น มีพืชพันธุ์และอาหารอุดมสมบูรณ์กว่าแห่งอื่น ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินและเกิดกันดารน้ำ เมืองอู่ไทยจึงถูกทิ้งร้าง จนในที่สุด พะตะเบิดได้เข้ามาปรับปรุงเมืองอู่ไทย โดยขุดที่เก็บกักน้ำไว้ใกล้เมือง และพะตะเบิดได้เป็นผู้ปกครองเมืองอู่ไทยเป็นคนแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา", "title": "จังหวัดอุทัยธานี" }, { "docid": "5549#4", "text": "นอกจากนั้น แหล่งโบราณคดีอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ที่ยืนยันให้เห็นความรุ่งเรืองและอารยธรรมโบราณที่เคยปรากฏบนผืนดินแห่งเมืองอุดรธานี หลักฐานสำคัญที่ค้นพบในเขตนี้ได้แก่ ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งพบหลายแห่งบนเทือกเขาภูพานน้อยหรือภูพระบาทนี้ ภาพที่สำคัญๆ เช่น ภาพเขียนสีถ้ำคน ภาพเขียนสีถ้ำวัว ภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ เป็นต้น ภาพเขียนเหล่านี้ใช้สีดินแดงเขียน เป็นภาพเหมือนจริงบ้าง เป็นภาพเรขาคณิตบ้างหรือภาพฝ่ามือแดงบ้าง ซึ่งนักโบราณคดีให้ความเห็นว่า คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เขียนขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม หรือเป็นสัญลักษณ์สื่อสารกันระหว่างคนในเผ่า", "title": "จังหวัดอุดรธานี" }, { "docid": "6523#7", "text": "พ.ศ. 2376 ข้าราชการชาวกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาอุไทยธานี เจ้าเมืองอุไทยธานีในสมัยนั้น ได้เห็นว่าบ้านสะแกกรังเป็นตลาดใหญ่ มีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่กันอย่างหนาแน่น อีกทั้งเป็นสถานที่ที่ชาวอุไทยธานีติดต่อค้าขายข้าวและไม้ซุงกับพ่อค้าที่นั่นมานานแล้ว จึงคิดตั้งบ้านเรือนเพื่อค้าขาย ประจวบกับเวลานั้น เจ้าเมืองไชยนาทเป็นเพื่อนกัน จึงขอตั้งบ้านเรือนที่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เนื่องจากผู้คนมาติดต่อราชการและมาค้าขายกันมาก ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าเมืองไม่กล้าขึ้นไปเมืองอุไทยธานีเก่า อ้างว่ากลัวไข้ป่า จึงเป็นเหตุให้พากันอพยพมาอยู่กันมากขึ้น", "title": "จังหวัดอุทัยธานี" }, { "docid": "184082#1", "text": "เทศบาลเมืองอุทัยธานีเป็นเทศบาลขนาดกลาง ได้ยกฐานะมาจากสุขาภิบาลเมืองอุทัยธานี ขึ้นเป็นเทศบาลเมืองอุทัยธานี เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2478 ตามพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งเทศบาลเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี พุทธศักราช 2478 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2478) เดิมมีพื้นที่ 2.8 ตารางกิโลเมตร ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี เป็นพื้นที่ 8.2 ตารางกิโลเมตร เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2512 ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 86 ตอนที่ 117 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2512", "title": "เทศบาลเมืองอุทัยธานี" }, { "docid": "33582#0", "text": "อำเภอเมืองอุทัยธานี เดิมคือหมู่บ้านสะแกกรัง สมัยสุโขทัยเรียก \"อู่ไทย\" หมายถึงที่อยู่ของคนไทย เป็นเมืองหน้าด่านสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสมรภูมิสำคัญในการขับไล่พม่า สมัยกรุงธนบุรี เมืองอู่ไทยย้ายมาตั้งอยู่ที่บ้านสะแกกรัง จนกลายเป็นชุมชนเติบโตถึงปัจจุบัน อนึ่ง บ้านสะแกกรังยังเป็นที่ประสูติของพระราชบิดาของรัชกาลที่ 1 มีพระบรมรูปของพระองค์ประดิษฐานในพลับพลาจัตุรมุขบนยอดเขาสะแกกรัง ในปัจจุบันมีวัดสังกัสรัตนคีรีตั้งอยู่ทีเชิงเขาสะแกกรัง ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์เป็นระยะเวลานาน 214 ปี", "title": "อำเภอเมืองอุทัยธานี" }, { "docid": "184082#3", "text": "ตั้งหลักเขตที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเขาขาดฟากเหนือตรงปลายถนนตอนที่บรรจบกับทางไปหมู่บ้านดอนขวาง เลียบตามริมถนนเขาขาดฟากเหนือไปทางทิศตะวันออกถึงหลักเขตที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ห่างศูนย์กลางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3011 ตอนอุทัยธานี-หนองฉาง ระยะ 100 เมตร\nจากหลักเขตที่ 2 เป็นเส้นขนานระยะ 100 เมตร กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3011 ตอนอุทัยธานี-หนองฉาง ไปทางทิศเหนือถึงหลักเขตที่ 3 ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ 2 ระยะ 200 เมตร\nจากหลักเขตที่ 3 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ถึงหลักเขตที่ 4 ซึ่งตั้งอยู่ห่างศูนย์กลางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3011 ตอนอุทัยธานี-หนองฉาง ตามแนวเส้นตั้งฉากกับทางหลวงจังหวัดระยะ 100 เมตร", "title": "เทศบาลเมืองอุทัยธานี" } ]
2812
แอมโมนอยด์พบครั้งแรกยุคใด ?
[ { "docid": "221238#3", "text": "แอมโมนอยด์วิวัฒนาการมาจากนอติลอยด์ในกลุ่มของแบคตริทิดา พบครั้งแรกในช่วงปลายของยุคไซลูเรียนถึงช่วงต้นยุคดีโวเนียน (ประมาณ 400 ล้านปีมาแล้ว) และได้สูญพันธุ์ไปเมื่อสิ้นสุดยุคครีเทเชียส (65 ล้านปีมาแล้ว) ไปพร้อมๆกับไดโนเสาร์ การจำแนกแอมโมนอยด์จะอาศัยลวดลายบนพื้นเปลือกกระดองและโครงสร้างผนังกั้นในเปลือกกระดองที่ทำให้เกิดเป็นห้องๆ โดยอาศัยลักษณะดังกล่าวและลักษณะอื่นๆเราสามารถจำแนกชั้นย่อยแอมโมนอยดีเป็น 3 อันดับและ 8 อันดับย่อย เส้นรอยเชื่อมบนพื้นเปลือกกระดองของแอมโมนอยด์ซึ่งเกิดจากการตัดกันของผนังกั้นห้องกับเปลือกกระดองด้านนอกจะมีลักษณะโค้งตะหวัดไปมาเกิดลักษณะเป็นสันและพู ขณะที่เส้นรอยเชื่อมบนเปลือกหอยนอติลอยด์จะตวัดโค้งเว้าเพียงเล็กน้อย", "title": "แอมโมนอยด์" } ]
[ { "docid": "133649#4", "text": "โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อ นิวโมซีสตีส แครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมากมาก่อน และไม่เคยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่าเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลัง พบว่าโรคนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ. 2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรปและเอเซียรวมทั้งประเทศไทยด้วย", "title": "วันเอดส์โลก" }, { "docid": "64614#3", "text": "จุดแรกเริ่มของเกมชุดนี้ วางตลาดครั้งแรกในปี 1992 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ และปี 1994 บนเครื่อง 3DO เรื่องกล่าวถึงแมนชั่น\"เดอเซโต้\"ในรัฐหลุยเซียน่า ซึ่งตัวเอกของเกม เอ็ดเวิร์ด คาร์นบี้ ได้รับการว่าจ้างให้มาค้นหาสิ่งของในบ้านนี้ ขณะเดียวกัน เอมิลี่ ฮาร์ทวู้ด ซึ่งเป็นทายาทของเจเรอมี่ ฮาร์ทวู้ด เจ้าของแมนชั่น ซึ่งได้เดินทางมาสืบหาความจริงในแมนชั่นแห่งนี้ ผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวละครคนในคนหนึ่งแล้วใช้ไปจนจบเกมโดยไม่มีความแตกต่างของทั้งสองคน", "title": "อะโลนอินเดอะดาร์ก (ชุดเกม)" }, { "docid": "221238#20", "text": "เมื่อเริ่มต้นจากช่วงปลายของยุคไซลูเรียนเป็นต้นมา ได้มีการค้นพบแอมโมไนต์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอมโมไนต์ในมหายุคมีโซโซอิก แอมโมไนต์หลายสกุลได้วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วและสูญพันธุ์ไปหลังจากนั้นไม่กี่ล้านปีต่อมา เนื่องแอมโมไนต์มีการวิวัฒนาการที่รวดเร็วและมีการแผ่กระจายตัวไปอย่างกว้างขวาง นักธรณีวิทยาและนักบรรพชีวินวิทยาจึงได้นำมาใช้ในทางการลำดับชั้นทางชีวภาพ แอมโมไนต์เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนีที่ดีเยี่ยมและเป็นไปได้ที่จะใช้เชื่อมโยงเปรียบเทียบชั้นหินและให้อายุทางธรณีวิทยา", "title": "แอมโมนอยด์" }, { "docid": "199198#1", "text": "โอลิมปิก แดมถูกค้นพบใน พ.ศ. 2518 โดยบริษัทเวสเทิร์นไมน์นิง คอร์ปูเรชัน () หรือ ดับบิวเอ็มซี รีซอร์ซเซส () ในปัจจุบัน เริ่มดำเนินการขุดแร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2530 ปัจจุบัน ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท บีเฮชพี บิลลิตัน () บริษัทแม่ของดับบิวเอ็มซี รีซอร์ซเซส โดยมีการโดนทรัพย์สินในปี พ.ศ. 2548 ปัจจุบัน การขุดเหมืองนี้ใช้เทคนิกวิศวกรรมที่เรียกว่า \"Sublevel Open Stopping\" โดยใช้เครื่องมือสมัยใหม่ที่ให้ประสิทธิผลสูง จากการสำรวจในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 พบว่า โอลิมปิก แดมผลิตแร่ได้ถึง 9.1 ล้านตันต่อปี เป็นเหมืองแร่ที่มีกำลังผลิตสูงสุดในออสเตรเลีย และใน พ.ศ. 2548นี้เอง มีการขุดทองแดงมากกว่า 220,000 และ ยูเรเนียม ออกไซด์ 4,500 ตัน ทองแดงและยูเรเนียม ออกไซด์ที่ขุดได้นี้จะถูกส่งไปยังพอร์ท แอดิเลด คนงานในเหมืองส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมือง ร็อซบี ดาว์นส์และอันดามูกา มีเที่ยวบินโดยสารเดินทางสู่โอลิมปิกแดมสามารถลงจอดได้ที่ท่าอากาศยานโอลิมปิกแดม", "title": "โอลิมปิก แดม" }, { "docid": "6621#4", "text": "การอ้างอิงถึงแนวคิดอะตอมยุคแรก ๆ สืบย้อนไปได้ถึงยุคอินเดียโบราณในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล โดยปรากฏครั้งแรกในศาสนาเชน สำนักศึกษานยายะและไวเศษิกะได้พัฒนาทฤษฎีให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นว่าอะตอมประกอบกันกลายเป็นวัตถุที่ซับซ้อนกว่าได้อย่างไร ทางด้านตะวันตก การอ้างอิงถึงอะตอมเริ่มขึ้นหนึ่งศตวรรษหลังจากนั้นโดยลิวคิพพุส (Leucippus) ซึ่งต่อมาศิษย์ของเขาคือ ดีโมครีตุส ได้นำแนวคิดของเขามาจัดระเบียบให้ดียิ่งขึ้น ราว 450 ปีก่อนคริสตกาล ดีโมครีตุสกำหนดคำว่า \"átomos\" () ขึ้น ซึ่งมีความหมายว่า \"ตัดแยกไม่ได้\" หรือ \"ชิ้นส่วนของสสารที่เล็กที่สุดไม่อาจแบ่งแยกได้อีก\" เมื่อแรกที่ จอห์น ดาลตัน ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นเข้าใจว่า 'อะตอม' ที่ค้นพบนั้นไม่สามารถแบ่งแยกได้อีกแล้ว ถึงแม้ต่อมาจะได้มีการค้นพบว่า 'อะตอม' ยังประกอบไปด้วย โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังคงใช้คำเดิมที่ดีโมครีตุสบัญญัติเอาไว้", "title": "อะตอม" }, { "docid": "85470#1", "text": "4000 ปีก่อน อารยธรรมยุคโบราณได้มีการสร้างอาวุธโบราณนามว่า \"กิซอยด์\" ไว้ 4000 ปีต่อมาศาสตรจารย์เจอรัลด์ โรบ็อทนิก ได้ค้นพบมันเข้า 50 ปีต่อมาหลานชายของเขาดร.เอ็กแมน ได้นำหุ่นตัวนี้มาลองใช้งานดูปรากฏว่าไม่สามารถทำได้ เขาจึงทิ้งไว้ที่ชายหาดจนกระทั่งโซนิค เดอะเฮดจ์ฮ็อกไปพบมันเข้า", "title": "โซนิคแบทเทิล" }, { "docid": "931571#73", "text": "มีการบันทึกถึงนิ่วไตเป็นครั้งแรกเมื่อหลายพันปีก่อน และการผ่านิ่วออกเป็นเทคนิคทางศัลยกรรมซึ่งเก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่ง\nในปี 1901 มีการค้นพบนิ่วในเชิงกรานของมัมมี่อียิปต์โบราณ โดยหาอายุได้เป็น 4,800 ปีก่อน ค.ศ.\nวรรณกรรมการแพทย์โบราณจากเมโสโปเตเมีย อินเดีย จีน เปอร์เซีย กรีซ และโรม ล้วนกล่าวถึงนิ่ว\nส่วนหนึ่งของคำสัตย์ปฏิญาณฮิปพอคราทีสแสดงนัยว่า มีศัลยแพทย์ในกรีซโบราณที่แพทย์สามารถส่งต่อคนไข้เพื่อผ่าตัดนิ่ว\nนิพนธ์การแพทย์โรมัน คือ \"De Medicina\" ของ Aulus Cornelius Celsus ได้อธิบายวิธีการผ่านิ่วออก\nซึ่งเป็นมูลฐานของปฏิบัติการเยี่ยงนี้จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในประเทศตะวันตก\nชาวตะวันตกที่มีชื่อเสียงและมีนิ่วรวมทั้งจักรพรรดินโปเลียนที่ 1, จักรพรรดินโปเลียนที่ 3, จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย, พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส, พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร, โอลิเวอร์ ครอมเวลล์, ลินดอน บี. จอห์นสัน, เบนจามิน แฟรงคลิน, ฟรานซิส เบคอน, ไอแซก นิวตัน, ซามูเอล พีพส์, และวิลเลียม ฮาร์วีย์", "title": "โรคนิ่วไต" }, { "docid": "357548#7", "text": "มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบันเริ่มปรากฏครั้งแรกบนโลกในช่วง 400,000 ถึง 250,000 ปีทีผ่านมา ระหว่างยุคหินเก่า หลังจากวิวัฒนาการยาวนานของมนุษย์ ทักษะการประดิษฐ์เครื่องมือของมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่มนุษย์ยุคก่อนอย่างโฮโม อีเร็กตัสแล้ว มนุษย์ยังรู้จักใช้ไฟในการให้ความร้อน และปรุงอาหาร นอกจากนั้นแล้วมนุษย์ยุคปัจจุบันยังได้พัฒนาภาษา และยังมีพิธีกรรมหลังความตาย และเริ่มดำรงชีวิตด้วยการไล่ล่า-หาเก็บและเป็นสังคมเร่ร่อน", "title": "ประวัติศาสตร์โลก" }, { "docid": "28862#4", "text": "พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กันยายน พ . ศ .2510 โดยนาย เกษม จันทรประสงค์ ซึ่งขณะนั้นเป็นข้าราชการกองพืชพรรณ กรมวิชาการเกษตร ( ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมไม้ประดับแห่งประเทศไทย) ได้เล่าเรื่องการพบพืชชนิดนี้ว่าท่านนั่งรถไฟไปลงที่สถานีวังโพ และเดินทางขึ้นภูเขาเตี้ยๆ หลังสถานีทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำแควน้อย เมื่อถึงเวลาเที่ยง ท่านได้หยุดพักรับประทานอาหารที่ใต้ต้นไม้ ได้พบดอกไม้ชนิดหนึ่งร่วงอยู่ที่พื้น ท่านรู้สึกคุ้นกับลักษณะดอก เพราะคล้ายถั่วแปบช้างแต่คนละสี เมื่อมองขึ้นไปและเก็บลงมาเพื่อทำตัวอย่างแห้ง", "title": "กันภัยมหิดล" } ]
2816
เมืองหลวงของไอซ์แลนด์ คืออะไร?
[ { "docid": "56896#0", "text": "เรคยาวิก (, IPA: ˈreiːcaˌviːk) เป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก ทำเลที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ด้านมุมล่างของอ่าว Faxaflói ซึ่ง Ingolfur Arnarson ชาวนอร์ดิค เป็นผู้อพยพคนแรกที่มาตั้งรกรากที่เรคยาวิกในปี พ.ศ. 1413 เมื่อเรคยาวิกกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจการประมง จึงได้มีการก่อตั้งให้เป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2329 ปัจจุบันเขตเมืองมีประชากรประมาณ 120,000 คน ประกอบด้วย 7 เทศบาลนครซึ่งรวมเทศบาลนครเรคยาวิกด้วย", "title": "เรคยาวิก" }, { "docid": "17218#0", "text": "ไอซ์แลนด์ (; \"อิสตลันต์\") เป็นประเทศนอร์ดิกในยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร มีเมืองหลวงคือเรคยาวิก", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" } ]
[ { "docid": "357159#0", "text": "เพอร์แลน () เป็นอาคารแลนด์มาร์กของประเทศไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ที่เรคยาวิก เมืองหลวงของประเทศ สูง 25.7 เมตร (84.3 ฟุต) มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่ด้านบนเป็นรูปทรงคล้ายลูกโลกครึ่งวง ตั้งอยู่บนฐานที่คล้ายถังน้ำขนาดใหญ่ 4 ฐาน ที่มองเห็นได้ในระยะไกลโดดเด่น มีความสูงของอาคารอยู่ 5 ชั้น มีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร ซึ่งจัดแยกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านไอซ์ครีม พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ไวกิ้ง สวนน้ำ จุดชมวิวที่สามารถดินได้รอบเป็นวงกลมคล้ายบนดาดฟ้าเรือ ร้านขายของที่ระลึก รวมไปถึงโซนจัดแสดงนิทรรศการในโอกาสต่าง ๆ", "title": "เพอร์แลน" }, { "docid": "342086#0", "text": "พรอวิเดนซ์ () เป็นเมืองหลวงของเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในรัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา และเป็นเมืองแรกๆ ที่ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในพรอวิเดนซ์เคาน์ตีบนปากแม่น้ำพรอวิเดนซ์ ตอนเหนือของอ่าวนาราแกนเซตส์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในเขตนิวอิงแลนด์ ใน ค.ศ. 2010 มีประชากรประมาณ 178,042 คน ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 37 ของประเทศ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยบราวน์ มหาวิทยาลัยชื่อดังในไอวีลีก", "title": "พรอวิเดนซ์" }, { "docid": "17218#14", "text": "ในทางธรณีวิทยา ไอซ์แลนด์เป็นผืนดินที่ยังใหม่ โดยไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนจุดร้อนไอซ์แลนด์และเทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นแนวแผ่นเปลือกแยกตัวระหว่างแผ่นทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นทวีปยูเรเชีย ไอซ์แลนด์มีภูเขาไฟมากกว่าร้อยแห่ง หลายแห่งยังคงคุกรุ่นอยู่ เช่น ภูเขาไฟเฮกลา (Hekla) ซึ่งปะทุครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2543 ปัจจัยเดียวกับที่ทำให้เกิดภูเขาไฟนี้ ยังทำให้ไอซ์แลนด์มีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพสูง ไอซ์แลนด์มีแหล่งน้ำพุร้อนจำนวนมาก และยังได้ไฟฟ้าพลังน้ำด้วย ไอซ์แลนด์ครอบครองเกาะซึร์ทเซย์ ซึ่งขึ้นมาจากเหนือน้ำทะเลหลังการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเลในปี พ.ศ. 2506", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" }, { "docid": "911828#0", "text": "ไอเซนัค () เป็นเมืองชนบทในรัฐทือริงเงิน ประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแฟรงก์เฟิร์ตไปราว 200 กิโลเมตร ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของทือริงเงินระหว่างศตวรรษที่ 12 ถึง 13 ปราสาทวาร์ทบูร์กในเมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก อุตสาหกรรมหลักของเมืองคืออุตสาหกรรมยานยนต์ เมืองไอเซนัคเป็นบ้านเกิดของโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค คีตกวีในยุคบาโรก", "title": "ไอเซนัค" }, { "docid": "265897#0", "text": "ตราแผ่นดินของไอซ์แลนด์ (, ) เป็นตราอาร์มของประเทศไอซ์แลนด์เป็นตรากางเขนเงินบนพื้นตราสีน้ำเงินโดยมีกาเขนสีแดงเพลิงกลางกางเขนเงิน (เช่นเดียวกับที่ปรากฏบนธงชาติไอซ์แลนด์) รอบโล่เป็นเครื่องหมายผู้พิทักษ์สี่อย่างประคองตรา ยืนอยู่บนแผ่นหินลาวา (Pāhoehoe) ที่รวมทั้งวัว (Griðungur) ผู้พิทักษ์ไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้, เหยี่ยว หรือ กริฟฟิน (Gammur) ผู้พิทักษ์ไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงเหนือ, มังกร (Dreki) ผู้พิทักษ์ตะวันออกเฉียงเหนือ และ ยักษ์ (Bergrisi) ผู้พิทักษ์ตะวันออกเฉียงใต้ ในอดีตไอซ์แลนด์ให้ความสำคัญกับผู้พิทักษ์ทั้งสี่จนถึงกับออกฎหมายระหว่างสมัยไวกิงห้ามมิให้เรือยาวไวกิง (Longship) ที่มีสัญลักษณ์หน้าตาดุร้าย (ส่วนใหญ่เป็นหัวมังกรบนหัวเรือ) เข้าใกล้ท่าเรือในไอซ์แลนด์ เพราะอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่เป็นที่พอใจของผู้พิทักษ์", "title": "ตราแผ่นดินของไอซ์แลนด์" }, { "docid": "17218#19", "text": "ในปี 2551 ไอซ์แลนด์มีถนนยาวทั้งหมด 13,058 กิโลเมตร ไม่มีทางรถไฟหรือแม่น้ำที่เดินเรือได้ ถนนวงแหวน หรือทางหลวงหมายเลข 1 (Hringvegur หรือ Þjóðvegur 1) เป็นถนนสายหลักของประเทศ วนรอบเกาะไอซ์แลนด์ เชื่อมต่อพื้นที่ที่อยู่อาศัยของประเทศ มีความยาว 1339 กิโลเมตร จากสถิติปี 2550 ไอซ์แลนด์มีรถยนต์ 227,321 คัน โดยเป็นรถยนต์นั่ง 197,305 คัน คิดเป็นประชากร 1.6 คนต่อรถหนึ่งคันไอซ์แลนด์มีสนามบิน 99 แห่ง โดยห้าแห่งเป็นสนามบินที่มีทางวิ่งลาดยาง สนามบินที่ใหญ่ที่สุดคือท่าอากาศยานนานาชาติเคฟลาวิก ใกล้กับเมืองเคฟลาวิก ห่างจากเรคยาวิก 50 กิโลเมตร ในขณะที่ท่าอากาศยานเรคยาวิกเป็นท่าอากาศยานในประเทศ สายการบินแห่งชาติของไอซ์แลนด์คือไอซ์แลนด์แอร์ (Icelandair)", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" }, { "docid": "531652#0", "text": "อีร์คุตสค์ () เป็นเมืองหลวงของอีร์คุตสค์โอบลาสต์ ประเทศรัสเซีย เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในไซบีเรีย มีประชากร 587,891 คน (ค.ศ. 2010) เป็นเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรม มีอุตสาหกรรมการแต่งแร่ไมกา การแปรรูปไม้ผลิตรถยนต์ มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมืองนี้ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1652 เพื่อเป็นสถานีการค้าของรัฐ ต่อมาได้ขยายตัวขึ้นเนื่องจากมีการค้ากับจีนและลุ่มแม่น้ำอามูร์ รวมถึงมีการติดต่อกับแหล่งทองคำในลุ่มแม่น้ำลีนาและการค้าขนสัตว์", "title": "อีร์คุตสค์" }, { "docid": "616742#1", "text": "บริเวณรอบอ่าวแนร์ราแกนเซตต์ประกอบด้วยเมืองพรอวิเดนซ์ เมืองหลวงของรัฐโรดไอแลนด์ รวมถึงชานเมืองต่าง ๆ ได้แก่ วาร์วิกและแครนสตัน ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของอ่าว นิวพอร์ตตั้งอยู่ทางใต้สุดของอ่าว ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกฝนหลักของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา และบริสตอลตั้งอยู่ตอนกลางของอ่าวแนร์ราแกนเซตต์ อยู่ระหว่างอ่าวเมานต์โฮปกับอ่าวบริสตอล ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโรเจอร์ วิลเลียมส์ และเมืองฟอลล์ริเวอร์ รัฐแมสซาชูเซสต์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของอ่าว", "title": "อ่าวแนร์ราแกนเซตต์" } ]
2831
เพชรมีค่าความแข็งเท่ากับเท่าไหร่?
[ { "docid": "36058#0", "text": "เพชร เป็นอัญมณีรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน จัดเรียงตัวเป็นทรงแปดหน้า เป็นแร่ที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ (Moh's scale) มีค่าความแข็งเท่ากับ 10", "title": "เพชร" } ]
[ { "docid": "361562#4", "text": "เซอร์คอเนียเป็นสสารที่หนาแน่น จากค่าความถ่วงจำเพาะระหว่าง 5.6 ถึง 6.0 ต่างจากเพชรเพียง 1.6 คุณสมบัติที่สำคัญอีอย่างหนึ่งคือค่อนข้างแข็ง ความแข็งตามโมส์สเกลคือ 8 ซึ่งแข็งมากกว่าอัญมณีธรรมชาติอื่นๆ ค่าดัชนีหักเหมีค่าสูงอยู่ในช่วง 2.15–2.18 (เมื่อเปรียบเทียบกับเพชร ซึ่งมีค่าดัชนีหักเห 2.42)และวาวแบบเพชร การกระเจิงแสงได้สูงอยูที่ 0.058–0.066 มากกว่าค่าของเพชรมากๆ(0.044) เซอร์คอเนียไม่มีแนวแตกเรียบ(Cleavage)และแสดงรอยแตกแบบก้นหอย เนื่องจากมีความแข็งมากทำให้แตกเปราะ\nภายใต้แสงอัตราไวโอเลตที่เป็นคลื่นสั้น เซอร์คอเนียจะเรืองแสงมีเหลือง,เหลืองอมเขียวหรือ สีน้ำตาลอ่อน หินสีอาจแสดงสเปกตรัมการดูดกลืนธาตุที่พบยากบนพื้นผิวโลกที่มีความซับซ้อนและชัดเจน\nนอกจากนี้มีออกไซด์ของโลหะที่ทำให้เกิดสีในเซอร์คอเนียทีหลากหลายเช่น ซีเรียม(Cerium)ให้สีเหลือง,ส้มและสีแดง, โครเมียม(Chromium)ให้สีเขียว,นีโอดิเมียม(Neodymium)ให้สีม่วง,เอเบียม(Erbium)ให้สีชมพู และไททาเนียม(Titanium)ให้สีน้ำตาลทองthumb|เซอร์คอเนียมีหลากหลายสี", "title": "เซอร์คอเนีย" }, { "docid": "549576#5", "text": "ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นในการทำมงกุฎนี้รวมทั้งสิ้นประมาณ 8,216 ปอนด์ รวมถึงค่าเช่าเพชร 800 ปอนด์ ซึ่งในอดีตนิยมกระทำกันจนกระทั่งปีค.ศ. 1837 โดยจะคิดค่าเช่าจากมูลค่ารวมทั้งหมดของเพชรที่ใช้ และเมื่อในครั้งนั้นงานพระราชพิธีได้ถูกยืดออกไปหนึ่งปีเนื่องจากติดพันกับคดีความเกี่ยวกับสมเด็จพระราชินีแคโรไลน์ ทำให้ค่าเช่านั้นสูงขึ้นไปอีกมาก ซึ่งโดยปกติแล้ว หลังจากเสร็จพิธีลง จะต้องส่งเพชรคืนให้กับห้างรันเดลส์ แต่ในครั้งนั้นไม่พบการขนส่งใดๆคืนให้กับห้าง จึงได้สันนิษฐานกันว่า ด้วยความสวยและสง่างามของมงกุฎองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4ได้ทรงต่อรองซื้อไว้ โดยจ่ายเป็นเงินส่วนหนึ่ง และจ่ายเป็นการแลกกับเพชรส่วนพระองค์ส่วนหนึ่ง เพื่อเก็บรักษามงกุฎองค์นี้ไว้ เพียงแต่ยังไม่พบหลักฐานการซื้อใดๆจากห้าง", "title": "มงกุฎพระเจ้าจอร์จที่ 4" }, { "docid": "793241#15", "text": "เมื่อพิธีกรหมุนได้มูลค่าเท่าไหร่ ให้นำมูลค่าที่ได้ไปบวกกับ 1,000 ดอลลาร์ก่อน และในรอบนี้จะไม่มีการเสียเงินสะสมปัจจุบันเมื่อซื้อสระ เมื่อถึงเทิร์นใดๆ ของคุณให้เลือกตัวอักษรหรือสระมา 1 ตัวให้ทันภายใน 3 วินาที ถ้าปรากฏให้นำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นในรอบนี้ไปคูณกับตัวอักษรที่ผู้เล่นเลือกแล้วพบในประโยค และต้องตอบให้ถูกทั้งประโยคให้ได้ภายในเวลาเดียวกันกับตอนเลือกตัวอักษร ถ้าไม่มีหรือตอบทั้งประโยคไม่ได้ เทิร์นต่อไปจะเป็นของอีกคนทันที จนกว่าจะมีคนแก้ประโยคได้ถูกต้อง", "title": "วีลออฟฟอร์จูน" }, { "docid": "805818#13", "text": "ค่าความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจรของดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้า บี ยังไม่ทราบแน่ชัด โดยเบื้องต้นทราบว่าต่ำกว่า 0.35 ซึ่งมีศักยภาพสูงพอที่จะเกิดการโคจรที่มีอัตราการสั่นพ้องของวงโคจรเป็น 3:2 คล้ายกับการหมุนรอบตัวเองของดาวพุธเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ องค์การหอดูดาวท้องฟ้าซีกใต้แห่งยุโรปสันนิษฐานว่าหากดาวเคราะห์ดวงนี้มีน้ำและบรรยากาศแล้ว จะเกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกว่าเมื่อไม่มีน้ำและบรรยากาศอย่างมาก ซึ่งอาจมีอุณหภูมิเฉลี่ยใกล้เคียงกับโลก พื้นที่อาศัยได้อาจเพิ่มขึ้นอีกมากถ้าหากดาวเคราะห์ดวงนี้มีชั้นบรรยากาศหนาพอที่จะสามารถถ่ายเทความร้อนไปยังด้านที่หันหน้าออกจากดาวฤกษ์ แบบจำลองให้ผลไว้ว่า หากปัจจุบันดาวเคราะห์ยังมีชั้นบรรยากาศอยู่ ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจเคยสูญเสียปริมาณน้ำไปแล้วราว 1 มหาสมุทรในช่วง 100-200 ล้านปีหลังดาวเคราะห์ก่อกำเนิดเนื่องจากถูกรังสีของดาวฤกษ์กวาดออกไปในช่วงนั้น น้ำในสถานะของเหลวอาจปรากฏเฉพาะในพื้นที่ที่มีแดดแรงที่สุดของซีกดาวที่หันหน้าเข้าดาวฤกษ์ (กรณีไทดัลล็อก) หรือบริเวณเขตร้อนของดาว (กรณีการหมุนแบบสั่นพ้องอัตราส่วน 3:2) ทำให้สรุปได้ว่า ความสามารถในการกักเก็บน้ำของดาวเคราะห์เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดต่อสภาพการอาศัยได้ของดาวเคราะห์ เราอาจใช้กล้องโทรทรรศน์หรือเครื่องมือสำรวจดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ ซึ่งจะให้ข้อมูลด้านองค์ประกอบและชั้นบรรยากาศของดาวมากขึ้น นำมาวิเคราะห์ได้มากขึ้น", "title": "พร็อกซิมาคนครึ่งม้า บี" }, { "docid": "9919#9", "text": "ดรรชนีหักเหนั้นมีค่าขึ้นกับความถี่ (ยกเว้นในสุญญากาศ ซึ่งทุกความถี่เดินทางด้วยความเร็วเท่ากันเท่ากับ formula_1) ปรากฏการณ์นี้รู้จักกันในชื่อการกระจาย ของแสง ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ปริซึมแบ่งแสงขาวออกเป็นสีต่างๆ และเป็นเหตุผลที่รุ้งกินน้ำมีหลายสี ในช่วงคลื่นที่วัสดุไม่ดูดซับแสง ดรรชนีหักเหจะเพิ่มขึ้นตามความถี่ ในขณะที่ใกล้ความยาวคลื่นที่แสงถูกดูดซับได้ ดรรชนีหักเหจะลดลงเมื่อความถี่เพิ่มขึ้น", "title": "ดรรชนีหักเห" }, { "docid": "901764#4", "text": "ไม่ว่าระยะจะห่างไปเท่าไหร่ แต่ความสว่างของแสงรวมจะยังคงมีค่าเท่าเดิมตามระยะทาง ซึ่งหมายความว่า แสงแต่ละชั้นจะมีการเพิ่มความสว่างขึ้นมาเรื่อย ๆ และยิ่งมีชั้นเป็นอนันต์ ท้องฟ้ายามค่ำคืนจึงควรที่จะสว่าง", "title": "ปฏิทรรศน์ของออลเบอร์" }, { "docid": "505347#10", "text": "ณ ปี 2009, แกรฟีนดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในวัสดุที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยทดสอบ วัดความแข็งแรงทำลายมากกว่า 100 เท่าของแผ่นเหล็กสมมุติที่มีความหนาเท่ากัน (บางอย่างไม่น่าเชื่อ) ด้วยโมดูลัสแรงดึง(ความแข็ง) จาก 1 TPa (150,000,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) อย่างไรก็ดี กระบวนการสกัดออกจากกราไฟท์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ จะต้องมีการพัฒนาทางเทคโนโลยี ก่อนที่จะคุ้มค่ามากพอที่จะนำมาใช้ในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม แม้เรื่องนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า แกรฟีนมีน้ำหนักเบามากน้ำหนักเพียงประมาณ 0.77 มิลลิกรัมต่อตารางเมตร รางวัลโนเบลได้ประกาศว่า 1 ตารางเมตร ของเปลญวนที่ทำจากแกรฟีน สามารถรองรับแมวหนัก 4 กิโลกรัมได้ แต่เปลญวนจะมีน้ำหนักเพียงเท่ากับหนวดแมวหนึ่งหนวดเท่านั้น คือที่ 0.77 มิลลิกรัม (ประมาณ 0.001 % ของน้ำหนักของ 1 ตารางเมตรของกระดาษ)", "title": "แกรฟีน" }, { "docid": "440617#0", "text": "ไฮเปอร์ไดมอนด์ () หรือ แอกกริเกตทิดไดมอนด์นาโนรอดส์ () หรือ เอดีเอ็นอาร์เอส () เป็นสสารที่ความแข็ง ความแข็งตึง และความหนาแน่นที่สุดในโลก โดยแข็งกว่าเพชรหลายเท่า มีลักษณะคล้ายกับยางมะตอยหรือพุดดิงสีดำระยิบระยับมากกว่า", "title": "ไฮเปอร์ไดมอนด์" }, { "docid": "225515#0", "text": "Vickers Hardness คือหน่วยวัดค่าความแข็งของวัตถุ ในเชิงอุตสาหกรรม ชนิดหนึ่ง เป็นหน่วยแสดงค่าความแข็งในการกด โดยในปีค.ศ. 1925 ได้มีการทดลองนำวัตถุ ทรงปิรามิดด้านเท่า องศา α =136° กดลงบนพื้นผิววัสดุทดลอง โดยหลังจากที่ดึงวัตถุนั้นออกจากพื้นผิว จะนำความยาวเส้นทแยงมุม ของรอยบุ๋ม/รอยกด นั้นd (mm) มาคำนวณพื้นที่ s (mm²) หากนำน้ำหนักวัตถุF (N) ที่ใช้ทดลอง มาหารด้วยพื้นที่ ที่คำนวณไว้ข้างต้นs (mm²) ค่าที่ได้ คือ ค่าความแข็งของวัตถุนั้นๆ (HV) หรือเรียกว่า ค่า วิกเกอรส์ (Vickers Hardness) (สามารถเข้าดูสูตรโดยเข้าดูที่ วิกิพีเดีย ญี่ปุ่นโดยค้นหา ด้วยคำว่าVickers Hardness เช่นกัน) HV=0.102F/S=0.102sinα/2 2F/d²=0.1831F/d²", "title": "Vickers hardness" } ]
2834
วัดพระราม ๙ เป็นวัดพุทธนิกายอะไร?
[ { "docid": "276211#0", "text": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นวัดธรรมยุติกนิกาย ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2538 ตั้งอยู่เลขที่ 999 ซอยพระราม 9 ซอย 19 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เป็นวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคมสีมา และได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงเป็นกรณีพิเศษในตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542ปัจจุบันมีพระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล) เป็นเจ้าอาวาส", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" } ]
[ { "docid": "276211#13", "text": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ตั้งอยู่ เลขที่ ๙๙๙ ถนนพระราม ๙ ซอย ๑๙ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เดิมเป็นที่ลุ่มว่างเปล่า ขอบเขตที่ดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อที่ทั้งหมด ๘ – ๒ – ๕๔ ไร่ด้านทิศเหนือ ยาว ๒๓๔ เมตร ติดกับโรงเรียนสมาคมไทย – ญี่ปุ่น และที่ว่างเปล่าของเอกชน ด้านทิศตะวันออก ยาว ๖๑.๕ เมตร ติดคลองลาดพร้าว ด้านทิศใต้ ยาว ๒๑๗ เมตร ติดกับที่ดินที่กันไว้เป็นถนนทางเข้า ด้านทิศตะวันตก ยาว ๖๕ เมตร ติดกับโรงเรียนพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ของกรุงเทพมหานคร", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" }, { "docid": "608595#2", "text": "วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เป็นวัดตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งอยู่เลขที่ 999 ซอยพระราม 9 กาญจนาภิเษก 19 ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2538 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก", "title": "พระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล)" }, { "docid": "276211#14", "text": "แรกเริ่ม การออกแบบพระอุโบสถ นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสถาปัตยกรรม สถาปนิก ๑๐ กรมศิลปากร (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร) ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมในวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ได้นำแบบพระอุโบสถขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร มีรับสั่งให้ย่อลง ให้มีขนาดกะทัดรัด สอดคล้องกับลักษณะของชุมชน ด้วยไม่โปรดสิ่งที่ใหญ่โตเกินความจำเป็น", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" }, { "docid": "276211#15", "text": "มีพระราชประสงค์ให้วัดนี้เป็นวัดของชุมชนพระราม ๙ เพื่อให้ประกอบศาสนกิจ จากเดิมที่ออกแบบให้ภายในพระอุโบสถจุคนได้ ๑๐๐ คนเศษ ทรงให้ลดเหลือเพียง ๓๐ — ๔๐ คน ลดงบประมาณจากที่ตั้งไว้ เดิม ๕๗ ล้านบาท เป็นไม่เกิน ๓ ล้านบาท เหล่านี้ ชี้ให้เห็นพระราชนิยมที่ประหยัด เรียบง่าย เน้นเพียงการใช้ประโยชน์สูงสุดที่สำคัญ และมีพระราชประสงค์ให้เป็นตัวอย่างของการสร้างวัดสำหรับชุมชนอีกด้วย \nนาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น จึงน้อมรับพระราชกระแสมาออกแบบพระอุโบสถใหม่ โดยเน้นประโยชน์ในอาคารอย่างคุ้มค่า วัสดุก่อสร้างทั้งหมดเป็นของที่ผลิตในประเทศ ส่วนรูปแบบทางศิลปกรรมเป็นการผสมผสานรูปแบบอย่างสถาปัตยกรรมปัจจุบัน โดยได้ต้นเค้าจากพระอุโบสถวัดต่างๆ ดังนี้", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" }, { "docid": "276211#9", "text": "ในส่วนของพระอุโบสถจะเป็นลักษณะผสมผสานกลมกลืนระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยโบราณผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ซึ่งให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งการใช้สอยเป็นสำคัญ และเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๐ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศตั้งวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นวัดในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" }, { "docid": "276211#1", "text": "สืบเนื่องจากสภาพสังคมไทยในปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งชุมชนบึงพระราม ๙ ก็เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่ปราบปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น อันก่อให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งผลให้เกิดการทำลายสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน กอรปกับแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแหล่งปลายทางรับน้ำเสียจากทุกหนแห่ง ได้เริ่มเสื่อมโทรมลงทุกขณะ หากไม่เร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็จะตามมาอย่างไม่หยุดยั้ง", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" }, { "docid": "276211#5", "text": "เมื่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ตามโครงการบึงพระราม ๙ ดำเนินการไปได้ระดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงได้พระราชทานพระราชดำริเพิ่มเติม เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ ให้มีการดำเนินการปรับปรุงสภาพพื้นที่ และชุมชนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับโครงการบึงพระราม ๙ ดังกล่าว พร้อมกันนั้นก็ให้มีการจัดตั้งวัดขึ้นในที่ดินที่อยู่ใกล้เคียงกัน ซึ่งนางสาวจวงจันทร์ สิงหเสนี ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน ๘ – ๒ – ๕๔ ไร่ และได้รับการอนุญาตให้สร้างวัดจากกรมการศาสนา เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๓๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า “ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ” โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายสงฆ์ และสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายฆราวาส ในการนี้ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงานก่อสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกขึ้น โดยมีนายจริย์ ตุลยานนท์ กรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการก่อสร้างวัด ทำหน้าที่ในรับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างวัดให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ในลักษณะวัดขนาดเล็กที่มีลักษณะเรียบง่าย ประหยัด และทันสมัย เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ และศรัทธา เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ ทั้งทางศาสนา สังคม และจริยธรรม แก่เยาวชน และประชาชนในชุมชน เพื่อขัดเกลาจิตใจของชุมชนให้มีจิตสำนึกต่อสังคมโดยส่วนรวมอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" }, { "docid": "276211#18", "text": "ซึ่งเป็นต้นแบบในการผูกลายปูนปั้นประดับหน้าบัน โครงสร้างอุโบสถวันพระราม ๙ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหลังคมมุงกระเบื้องทำด้วยแผ่นเหล็กสีขาว องค์ประกอบเครื่องบนหลังคาเป็นปูนปั้นลายดอกพุดตาน ประดับหน้าบันด้วยลายปูนปั้นปิดทองเฉพาะที่ตราพระราชลัญจกร ประจำพระองค์รัชกาลที่ ๙ ช่อฟ้า ใบระกาเป็นลวดลายปูนปั้นไม่ปิดทองประดับกระจก ผนังและเสาก่ออิฐฉาบปูนเรียบทาสีขาว บานประตูหน้าต่างใช้กรอบอะลูมิเนียม ลูกฟักเป็นกระจก เพดานพระอุโบสถเป็นเพดานไม้เรียบ แต่ได้มีผู้มีจิตศรัทธาถวายโคมระย้าเป็นพุทธบูชาประดับไว้แทนรวม ๔ ช่อ", "title": "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" }, { "docid": "123382#0", "text": "วัดเทพพุทธาราม (เซียนฮุดยี่) () เป็นวัดในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและสุขาวดี สังกัดคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย แห่งแรกของจังหวัดชลบุรี สืบสายคำสอนมาจากนิกายเสียมจง หรือ นิกายฌานหรือเซน สาขาหลินฉี (วิปัสสนากรรมฐาน) เป็นศาสนสถานอันสง่างดงามที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างโดยพระเถระจีนนิกายฉายาว่า “พระอาจารย์ตั๊กฮี้” ท่านเป็นปฐมบูรพาจารย์ผู้สถาปนาสร้างวัดมีเนื้อที่วัดในปัจจุบันประมาณ 20 ไร่เศษ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 ซึ่งปรากฏจากหลักฐานแผ่นป้ายไม้แกะสลักในวิหารพระรัตนตรัย ซึ่งบันทึกโดยมหาอำมาตย์ตรีพระยาพิพัฒนธนากร ได้จารึกไว้ว่าวัดนี้สร้างเสร็จในปีพุทธศักราช 2480", "title": "วัดเทพพุทธาราม" } ]
2841
เกมเกมเก็นโซซุยโคเด็น มีตัวละครทั้งหมดกี่ตัว?
[ { "docid": "45257#0", "text": "ซุยโคเด็น (): เป็นชื่อของเกมอาร์พีจีตระกูลหนึ่ง ผลิตโดยบริษัทโคนามิ โดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากวรรณกรรมจีนเรื่อง 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน มีเนื่อเรื่องเกี่ยวกับการรวบรวมผู้กล้ามาต่อสู้กับทรราชเพื่อกอบกู้บ้านเมือง จุดเด่นของเกม ได้แก่ ในแกมมีการผสมผลานเกมวางแผนการรบ, ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญกว่า 108 ตัว, และผู้เล่นมีปราสาทของตัวเอง ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ เกมนี้เป็นเกมเดียวกับเกมเก็นโซซุยโคเด็น แต่จะต่างกันตรงภาษาในการเล่นคือ เก็นโซซุยโคเด็นเป็นเกมภาคภาษาญี่ปุ่น และซุยโคเด็นเป็นเกมภาคภาษาอังกฤษ", "title": "ซุยโคเด็น" }, { "docid": "33264#0", "text": "เก็นโซซุยโคเด็น (ญี่ปุ่น: 幻想水滸伝, โรมะจิ: Gensou Suikoden, อังกฤษ: Suikoden) เป็นชื่อของเกมอาร์พีจีตระกูลหนึ่ง ผลิตโดยบริษัทโคนามิ โดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากวรรณกรรมจีนเรื่อง 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน มีเนื่อเรื่องเกี่ยวกับการรวบรวมผู้กล้ามาต่อสู้กับทรราชเพื่อกอบกู้บ้านเมือง จุดเด่นของเกม ได้แก่ ในเกมมีการผสมผสานเกมวางแผนการรบ, ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญกว่า 108 ตัว, และผู้เล่นมีปราสาทของตัวเอง ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆผิดกับเกมอาร์พีจีส่วนใหญ่ ฉากของเกมในตระกูลเก็นโซซุยโคเด็นทุกเกมตั้งอยู่ในโลกโลกเดียวกัน โดยโลกโลกนี้เป็นโลกที่มีเวทมนตร์แต่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่เจริญก้าวหน้า มีมนุษย์​และชนเผ่าอื่นๆ เช่น เอลฟ์, คนแคระ, โคโบลด์ ฯลฯ อาศัยอยู่ร่วมกัน และเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด เช่น มังกร, กริฟฟอน ฯลฯ คล้ายกับโลกแฟนตาซีในนวนิยายหลายๆ เรื่องและเกมหลายๆ เกม อย่างไรก็ดี​โลกของเก็นโซซุยโคเด็นนั้นก็มีลักษณะเฉพาะตัวอยู่หลายประการ ได้แก่​", "title": "เก็นโซซุยโคเด็น" } ]
[ { "docid": "33264#3", "text": "\"ดวงดาวแห่งโชคชะตาทั้ง 108\" (ญี่ปุ่น: 108宿星; อังกฤษ: 108 Stars of Destiny) เป็นคำเรียกชื่อตัวละคร 108 ตัวที่ตัวละครเอกในเกมชักชวนมาเข้าร่วมกองทัพ โดยชื่อเรียกและแนวความคิดได้รับแรงบัลดาลใจมาจากวรรณกรรมจีนเรื่อง 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน อย่างไรก็ดีตัวละครที่ผู้เล่นควบคุมได้บางตัวอาจไม่เป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวแห่งโชคชะตาทั้ง 108 นอกจากนี้ในเก็นโซซุยโคเด็น III ตัวละครฝ่ายศัตรู 4 ตัวยังได้รับตำแหน่งเป็นหนึ่งในดวงดาวทั้ง 108 อีกด้วย", "title": "เก็นโซซุยโคเด็น" }, { "docid": "45425#7", "text": "เซียร์รา () เป็นตัวละครจากเกมเก็นโซซุยโคเด็น ปรากฏตัวออกมาในภาค II ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่เก่าแก่ที่สุดในเกมซีรีส์เก็นโซซุยโคเด็น", "title": "รายชื่อตัวละครในเก็นโซซุยโคเด็น II" }, { "docid": "72768#12", "text": "ล่าสุดคืออะนิเมะเรื่อง โซนิคเอกซ์ โดยในเรื่องนี้ทีมงานโซนิคทีมได้มีโอกาสมาควบคุมการผลิตโดยตรง ทำให้เนื้อหาตรงกับโซนิคภาคเกมอย่างมาก เพราะมีการนำตัวละครในเกมและเนื้อเรื่องในเกมที่ครอบคลุม โซนิคแอดเวนเจอร์ 1และ2, โซนิคฮีโร่ส์และโซนิคแบทเทิ่ล โดยออกฉายทั้งหมด 3 ฤดูกาล โดยมี จุนอิจิ คาเนมารุ มาให้เสียงพากย์โซนิค ส่วนเจสัน กริฟฟิน ให้เสียงพากย์โซนิคในภาษาอังกฤษ เรื่องนี้ก็เคยผ่านทางยูบีซีเช่นกัน", "title": "โซนิคเดอะเฮดจ์ฮ็อก (ตัวละคร)" }, { "docid": "45352#20", "text": "โธมัส () เป็นตัวละครจากเกมเก็นโซซุยโคเด็น ปรากฏตัวออกมาในภาค III, เจ้าของปราสาทบูเดฮัค", "title": "รายชื่อตัวละครในเก็นโซซุยโคเด็น III" }, { "docid": "86946#2", "text": "​หลัง​จาก​จบสงคราม​ เธอ​ได้​อยู่​ที่ราซซิลชั่วระยะหนึ่งก่อนที่​จะ​ย้ายไป​อยู่​ที่​เกาะนานัลบ้านเกิดของเธอ​ ​หลัง​จาก​นั้น​เธอ​ได้​ถูก[[ลิ​โน​ ​เอ็น​ ​คุลเดส]เรียกตัวมา​เพื่อ​ช่วย​เหลือคิริลเช่นเดียว​กับ​[[เซลมา​]]และ​[[พอลลา​]] หลัง​จาก​ที่รูนแคนนอนถูกทำ​ลาย​ ​ไม่​มี​ใครรู้ว่า​เธอไปทำ​อะ​ไร​หรืออยู่​ที่​ไหนหลัง​จาก​นั้น​ \n[[ไฟล์:Suikoden_lazlo.jpg|thumb|ลาซโลจากเกมซุยโคเด็นภาค IV]]\nลาซโล () เป็นตัวละครจากเกม[[เก็นโซซุยโคเด็น]] ปรากฏตัวออกมาในภาค IV", "title": "รายชื่อตัวละครในเก็นโซซุยโคเด็น IV" }, { "docid": "86946#0", "text": "จีเวล () เป็นตัวละครจากเกมเก็นโซซุยโคเด็น ปรากฏตัวในภาค IVและแรพโซเดีย", "title": "รายชื่อตัวละครในเก็นโซซุยโคเด็น IV" }, { "docid": "47141#7", "text": "ลูเซรินา บาโรวส์ () เป็นตัวละครจากเกมเก็นโซซุยโคเด็น ปรากฏตัวออกมาในภาค V", "title": "รายชื่อตัวละครในเก็นโซซุยโคเด็น V" }, { "docid": "45433#15", "text": "ฟุตช์ () เป็นตัวละครจากเกมเก็นโซซุยโคเด็น ปรากฏตัวออกมาในภาคที่ I, II, III และเก็นโซซุยโคไกเด็น ฉบับที่ 2 อีกด้วย ฟุตช์เป็นนักรบมังกร ดังนั้นฟุตช์จึงเดินทางไปพร้อมกับไบร์ทเสมอ", "title": "รายชื่อตัวละครในเก็นโซซุยโคเด็นที่ปรากฏหลายภาค" } ]
2851
รัสเซีย มีนายกหรือไม่ ?
[ { "docid": "781768#0", "text": "ประธานรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย () หรือตามบริบทสากลหมายถึง นายกรัฐมนตรี () เป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจเป็นอันดับสองของสหพันธรัฐรัสเซียรองจากประธานาธิบดี ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 24 แห่งรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐ นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบในด้านบริหารรัฐกิจให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและคำสั่งประธานาธิบดี เสนอชื่อคณะรัฐมนตรีและเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงให้ประธานาธิบดีพิจารณาแต่งตั้ง ดูแลกิจการภายในประเทศ ลงนามในกฤษฎีกาต่างๆ มอบหมายหน้าที่ให้แก่คณะรัฐบาล และโดยตำแหน่งแล้ว นายกรัฐมนตรียังเป็นสมาชิกสภาความมั่นคง, สมาชิกคณะผู้นำรัฐบาลในเครือรัฐเอกราช, สมาชิกคณะรัฐสูงสุดของรัฐสหภาพรัสเซียและเบลารุส, สมาชิกสภาประชาคมเศรษฐกิจยูเรเซีย", "title": "นายกรัฐมนตรีรัสเซีย" } ]
[ { "docid": "114470#2", "text": "เจ้าหญิงมารีทรงเป็นคนขี้อาย เข้มงวด ไม่มีรสนิยมในการแต่งพระองค์ ทรงไม่โปรดการสนทนา และไร้ซึ่งเสน่ห์ สภาพอากาศของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นไม่ดีต่อสุขภาพของพระองค์ มารีได้รับการถ่ายทอดจากพระมารดาเรื่องการไอและการเป็นไข้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ พระองค์เป็นพระมารดาของพระโอรส-ธิดาแปดพระองค์ ซึ่งการทรงครรภ์นั้นก็มาพร้อมกับพระพลานามัยที่ไม่สู้ดีนักของพระองค์", "title": "จักรพรรดินีมารีเยีย อะเลคซันโดรฟนาแห่งรัสเซีย" }, { "docid": "26348#20", "text": "ขนมขิงตำรับรัสเซียที่มีชื่อในภาษารัสเซียว่า ปริยานิกี (ปริยานิกี หรือ Пряники เป็นคำเรียกแบบพหูพจน์ หากเป็นชิ้นเดียวจะเรียกว่า ปริยานิก หรือ Пряник) ประกอบด้วย แป้งสาลี น้ำตาล มาร์การีน เนย น้ำมัน น้ำ นม และเกลือ บางครั้งอาจใส่น้ำผึ้งและเครื่องเทศลงไปด้วยก็ได้ ขนมขิงตำรับนี้มักเสิร์ฟคู่กับชารัสเซีย", "title": "ขนมปังขิง" }, { "docid": "741390#38", "text": "กองทัพได้ถูกเรียกมาเพื่อรักษาความสงบและจัดการความขัดแย้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 คนและบาดเจ็บกว่า 60 คน ในเดือนธันวาคมสำเนาการแปลพระคัมภีร์ฉบับสมเด็จพระราชินีโอลกาถูกยึดและไม่ได้รับการอนุญาตให้จัดจำหน่าย ทุกคนที่ขายหรืออ่านสำนวนพระคัมภีร์ฉบับแปลได้ถูกข่มขู่ด้วยการปัพพาชนียกรรม ความขัดแย้งนี้เรียกว่า \"อีวานเกลีกา (Evangelika) \" หรือ \"ปัญหาพระวรสาร\" ซึ่งมาจากคำว่า \"Evangelion\" (อีวานเกเลียน) ซึ่งเป็นภาษากรีกของคำว่า \"Gospel\" (พระวรสาร) และเหตุการณ์นี้นำไปสู่การสละตำแหน่งของมุขนายกมหานคร โปรโคปิอุส และการล่มสลายของรัฐบาลนายกรัฐมนตรียอร์โยส ธีโอโตกิส", "title": "โอลกา คอนสแตนตินอฟนาแห่งรัสเซีย" }, { "docid": "5505#8", "text": "มีข้อสันนิษฐานมากมายเกี่ยวกับสาเหตุการตายของกาการิน แต่ทั้งหมดล้วนไม่มีหลักฐานรองรับ แต่ล่าสุดสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ทางการของรัสเซียได้เปิดเผยเอกสารที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป ซึ่งระบุว่า ความตายอันเป็นปริศนาของเขานั้นเกิดการซ้อมรบเพื่อหลบบอลลูนตรวจสภาพอากาศ อย่างฉับพลัน", "title": "ยูรี กาการิน" }, { "docid": "158667#28", "text": "พระเจ้าปีเตอร์ได้ทรงแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 เขตแดน (guberny) ได้แก่ มอสโก อินเกอร์แมนแลนด์ เคียฟ สโมเลนสค์ คาซาน อาร์คันเกลสค์ อาซอฟ และไซบีเรีย ทุกเขตแดนยกเว้นมอสโกจะมีข้าหลวงซึ่งเป็นคนสนิทของซาร์ออกไปประจำอยู่ ข้าหลวงดังกล่าวมีอำนาจสูงสุดในเขตแดน ทั้งในด้านการบริหาร ตุลาการ การคลัง ตลอดจนการรักษาความปลอดภัย การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางในลักษณะนี้เป็นการลดอำนาจของขุนนางท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ต่อมาในปี พ.ศ. 2262 (ค.ศ. 1719) ได้มีการแบ่งเขตแดนออกอีกเป็น 45 มณฑล (ภายหลังเป็น 50 มณฑล) แต่ละมณฑลปกครองโดย \"นายทหารข้าหลวง\" มีการแบ่งการปกครองเขตมณฑลย่อยลงเป็นเขต (district) และให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดูแลปกครองตามแบบอย่างการปกครองท้องถิ่นของสวีเดน แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะภาษีบุคคลจึงมอบอำนาจให้ทหารปกครองเขตแทนในปี พ.ศ. 2265 (ค.ศ. 1722)", "title": "ประวัติศาสตร์รัสเซีย" }, { "docid": "483791#2", "text": "ที่มอสโก วิคเตอร์ ชาการิน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย วางแผนจะนำตัวยูริ โคมารอฟขึ้นศาล เพื่อบีบบังคับให้โคมารอฟยอมส่งไฟล์ที่เชื่อว่าอาจใช้ปรักปรำตัวเขาได้ ในขณะเดียวกันแจ็ค แมคเคลน ก็ถูกจับหลังก่อเหตุฆาตกรรมคนของชาการินในผับ แต่เขายินยอมที่จะเป็นพยานในชั้นศาลเพื่อช่วยโคมารอฟ", "title": "วันดีมหาวินาศ คนอึดตายยาก" }, { "docid": "78273#6", "text": "จักรพรรดิปีเตอร์ได้ทรงแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 เขตแดน (guberny) ได้แก่ มอสโก อินเกอร์แมนแลนด์ เคียฟ สโมเลนสค์ คาซาน อาร์เซนเกล อาซอฟ และไซบีเรีย ทุกเขตแดนยกเว้นมอสโกจะมีข้าหลวงซึ่งเป็นคนสนิทของจักรพรรดิออกไปประจำอยู่ ข้าหลวงดังกล่าวมีอำนาจสูงสุดในเขตแดน ทั้งในด้านการบริหาร ตุลาการ การคลัง ตลอดจนการรักษาความปลอดภัย การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางในลักษณะนี้เป็นการลดอำนาจของขุนนางท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ต่อมาในปี ค.ศ. 1719 ได้มีการแบ่งเขตแดนออกอีกเป็น 45 มณฑล (ภายหลังเป็น 50 มณฑล) แต่ละมณฑลปกครองโดย \"\"นายทหารข้าหลวง\"\" มีการแบ่งการปกครองเขตมณฑลย่อยลงเป็นเขต (district) และให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดูแลปกครองตามแบบอย่างการปกครองท้องถิ่นของสวีเดน แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะภาษีบุคคลจึงมอบอำนาจให้ทหารปกครองเขตแทนในปี ค.ศ. 1722", "title": "จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย" }, { "docid": "652686#0", "text": "\"อย่าซื้อสินค้ารัสเซีย!\" (, ) หรือ \"คว่ำบาตรสินค้ารัสเซีย!\" (, ) เป็นการรณรงค์ต่อต้านไม่รุนแรงเพื่อคว่ำบาตรการค้าของประเทศรัสเซียในยูเครน การประท้วงดังกล่าวเริ่มเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2556 เป็นปฏิกิริยาต่อการห้ามสินค้าต่อยูเครนของรัสเซีย จัดระเบียบโดย Vidsich บนสื่อสังคม การรณรงค์นี้ขยายเป็นการแจกจ่ายใบปลิว โปสเตอร์และสติกเกอร์อย่างกว้างขวางในกว่า 45 นครและเมือง หลังซาลงไปในช่วงเริ่มการเดินขบวนยูโรไมดานในเดือนพฤศจิกายน 2556 มีการรื้อฟื้นใหม่ในวันที่ 2 มีนาคม 2557 ระหว่างวิกฤตการณ์ไครเมียและการแทรกแซงทางทหารในยูเครนของรัสเซีย", "title": "อย่าซื้อสินค้ารัสเซีย!" }, { "docid": "287307#17", "text": "เจ้าหน้าที่รัสเซียไม่ยอมรับบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ และในบางกรณีก็ถึงกับสร้างความไม่พึงพอใจ อเดเลดา โยลคินานักค้นคว้าอาวุโสของพิพิธภัณฑ์พาฟลอฟสค์กล่าวว่า “เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพแดงจะขาดความระมัดระวังจนถึงกับปล่อยให้ห้องอำพันถูกทำลายไปได้” ผู้เชี่ยวชาญรัสเซียคนอื่น ๆ ไม่มีความแคลงใจเท่าและให้ความเห็นไปอีกแนวหนึ่ง มิเคล พิโอโทรฟสกีผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำลายห้องอำพันเป็นความผิดของผู้ริเริ่มสงคราม” แคทเธอรีน สกอตต์-คลาร์คโต้ตอบความเห็นนี้โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ประพันธ์ไม่ต้องการที่ลงเอยด้วยบทสรุปดังกล่าวโดยกล่าวว่า “เมื่อเราเริ่มต้นการสืบสวนเรื่องนี้ เราก็เพียงแต่มีความหวังว่าจะค้นพบห้องอำพันที่หายไปเท่านั้น”", "title": "ห้องอำพัน" }, { "docid": "110167#45", "text": "ด้วยการลงมติยอมรับสนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสก์ ไตรภาคีจึงไม่คงอยู่อีกต่อไป ฝ่ายสัมพันธมิตรนำกำลังขนาดเล็กรุกรานรัสเซีย ส่วนหนึ่งเพื่อหยุดมิให้เยอรมนีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของรัสเซีย และในขอบเขตที่เล็กกว่า เพื่อให้การสนับสนุน \"รัสเซียขาว\" (ตรงข้ามกับ \"รัสเซียแดง\") ในสงครามกลางเมืองรัสเซีย กองทัพสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่อาร์ชอันเกลและวลาดิวอสตอก", "title": "สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" } ]
2864
โคลงสี่สุภาพ ปรากฏในวรรณกรรมไทย ตั้งแต่สมัยใด?
[ { "docid": "52178#1", "text": "โคลงสี่สุภาพ ปรากฏในวรรณกรรมไทย ตั้งแต่สมัยต้นอยุธยา ปรากฏในมหาชาติคำหลวงเป็นเรื่องแรก และมีวรรณกรรมที่แต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ 3 เรื่อง ได้แก่ โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงมังทราตีเชียงใหม่ และลิลิตพระลอ", "title": "โคลงสี่สุภาพ" }, { "docid": "166731#37", "text": "โคลงสี่ปรากฏในวรรณกรรมตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นโคลงสี่สุภาพ 3 เรื่องคือ ลิลิตพระลอ โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงมังทราตีเชียงใหม่ โคลงดั้นมี 1 เรื่องคือ ลิลิตยวนพ่าย", "title": "โคลง" } ]
[ { "docid": "166731#4", "text": "วรรณคดีของชาวไทยฝ่ายใต้เรื่องแรกที่ปรากฏโคลงคือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ อันแต่งด้วยโคลงห้าและร่ายดั้นสลับกัน กับทั้งยังเป็นวรรณคดีเรื่องเดียวที่ปรากฏโคลงห้าอีกด้วย ต่อมาปรากฏเป็นรูปโคลงสี่ดั้นใน ลิลิตยวนพ่าย โคลงสุภาพ (โคลงสอง โคลงสาม และโคลงสี่) ในลิลิตพระลอ ส่วนโคลงสองดั้นและโคลงสามดั้นเกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางวรรณกรรมอาจกล่าวได้ว่ากวีนิยมแต่งโคลงดั้นมาก่อนโคลงสุภาพ", "title": "โคลง" }, { "docid": "166731#38", "text": "สมัยอยุธยาตอนกลางโคลงสี่เป็นที่นิยมที่สุด มีวรรณกรรมแต่งด้วยโคลงสี่ถึง 9 เรื่อง ได้แก่ โคลงเรื่องพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม โคลงราชสวัสดิ์ กำศรวลโคลงดั้น โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช โคลงนิราศนครสวรรค์ กาพย์ห่อโคลงและโคลงอักษรสามของพระศรีมโหสถ และโคลงทวาทศมาส ในจำนวนนี้เป็นโคลงสี่สุภาพ 7 เรื่อง โคลงสี่ดั้น 2 เรื่อง", "title": "โคลง" }, { "docid": "166731#52", "text": "แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีวรรณกรรมบางเรื่องส่งสัมผัสระหว่างบทออกไป เช่น ในมหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน มีโคลงสี่สุภาพและโคลงตรีพิธพรรณส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงบาทกุญชร ในจิดามณี มีโคลงขับไม้ส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงวิวิธมาลี ในลิลิตนารายณ์สิบปาง และพระนลคำหลวง มีโคลงสี่ดั้น และโคลงในตำรากาพย์ ส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงสี่สุภาพ", "title": "โคลง" }, { "docid": "52178#2", "text": "สมัยอยุธยาตอนกลาง วรรณกรรมที่ใช้โคลงสี่สุภาพ ได้แก่ โครงเรื่องพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม และโคลงราชสวัสดิ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระนายรายณ์มหาราช โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช โคลงนิราศนครสวรรค์ กาพย์ห่อโคลงและโคลงอักษรสามของพระศรีมโหสถ", "title": "โคลงสี่สุภาพ" }, { "docid": "166731#5", "text": "โคลงในวรรณกรรมไทย แบ่งได้ดังนี้ คือ\nหมายเหตุ:- โคลงห้านั้น พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ) สิทธา พินิจภูวดล และประทีป วาทิกทินกร จัดให้เป็นโคลงโบราณ แต่กำชัย ทองหล่อ จัดให้เป็นโคลงสุภาพ ขณะที่ สุภาพร มากแจ้ง แยกออกมาต่างหาก ซึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะมีวรรณกรรมเรื่องเดียวที่แต่งด้วยโคลงห้า ในยุคยังไม่สามารถแยกโคลงดั้นและโคลงสุภาพอย่างชัดเจน", "title": "โคลง" }, { "docid": "52178#0", "text": "โคลงสี่สุภาพ เป็นโคลงชนิดหนึ่งที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์เอกโทอันเป็นมรดกของภาษาไทยที่ลงตัวที่สุด คำว่า สุภาพ หรือ เสาวภาพ หมายถึงคำที่มิได้มีรูปวรรณยุกต์", "title": "โคลงสี่สุภาพ" }, { "docid": "166731#15", "text": "กวีไม่นิยมใช้โคลงสามแต่งวรรณกรรมตลอดเรื่อง นิยมแต่งสลับกับร่ายและโคลงชนิดอื่น ๆ รวมทั้งนิยมแต่งน้อยกว่าโคลงสองมาก อนึ่ง โคลงสามดั้นเริ่มปรากฏในวรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง มีหลักฐานอยู่ใน\"มหาชาติคำหลวง กัณฑ์ทานกัณฑ์\" ซึ่งแต่งโดย พระรัตนมุนี วัดราชสิทธาราม ในสมัยรัชกาลที่ 2", "title": "โคลง" }, { "docid": "166731#54", "text": "ตามตำราฉันทลักษณ์กำหนดไว้ว่า โคลงสี่มีสร้อยได้สองแห่งคือท้ายวรรคแรก และท้ายวรรคที่สาม แต่ในวรรณกรรมกวีทุกสมัยตั้งแต่อยุธยาจนกระทั่งถึงรัชการที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่งโคลงสี่โดยมีสร้อย 3 แห่ง คือ มีสร้อยในบาที่ 4 ด้วย ทั้งโคลงดั้น และโคลงสี่สุภาพ ตัวอย่าง", "title": "โคลง" }, { "docid": "52178#5", "text": "สมัยรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมที่ใช้โคลงสี่สุภาพที่เด่น ๆ ได้แก่ ลิลิตตะเลงพ่าย โคลงนิราศนรินทร์ โคลงนิราศสุพรรณ โคลงโลกนิติ สามกรุง", "title": "โคลงสี่สุภาพ" } ]
2870
เรือเอก สมรักษ์ คำสิงห์ เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "44816#1", "text": "สมรักษ์ เป็นชาวหมู่บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น (ปัจจุบันคือ อำเภอบ้านแฮด) เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2516 ในครอบครัวยากจน เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวนลูกทั้ง 3 คน ของ นายแดงและนางประยูร คำสิงห์ เหตุที่มีชื่อเล่นว่า \"บาส\" ก็เพราะต้องการให้คล้องกับชื่อเล่นของพี่ชายซึ่งเป็นนักมวยด้วยเหมือนกัน คือ สมรถ คำสิงห์ ที่มีชื่อว่า \"รถ\" เนื่องจาก คลอดบนรถโดยสาร ระหว่างเดินทางไปสถานีอนามัยอำเภอ \nเคยศึกษา โรงเรียนนายเรือ", "title": "สมรักษ์ คำสิงห์" } ]
[ { "docid": "44816#0", "text": "เรือเอก สมรักษ์ คำสิงห์ ร.น. เป็นนักกีฬาทีมชาติไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น ในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2539", "title": "สมรักษ์ คำสิงห์" }, { "docid": "44816#8", "text": "ซึ่งการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในครั้งนี้ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ได้ออกแสตมป์ที่มีรูปการชกรอบชิงชนะเลิศของสมรักษ์ ราคาดวงละ 6 บาท มาด้วย เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ และทางกองทัพเรือ (ทร.) ต้นสังกัดก็ได้เลื่อนยศให้สมรักษ์เป็นเรือตรี (ร.ต.) ซึ่งเดิมสมรักษ์มียศเป็นจ่าเอก (จ.อ.)", "title": "สมรักษ์ คำสิงห์" }, { "docid": "4358#0", "text": "คำสิงห์ ศรีนอก (25 ธันวาคม 2473 - ) ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ในปีพ.ศ. 2535 มีนามปากกาว่า ลาว คำหอม เกิดที่บ้านหนองบัวสะอาด ตำบลหนองบัวสะอาด อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ในครอบครัวชาวนา ต่อมาสำเร็จการศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยได้รับรางวัลนักเขียนเรื่องสั้นดีเด่น วาระครอบ 100 ปี เรื่องสั้นไทยงานของลาว คำหอม นอกจากจะเป็นที่ยอมรับและนิยมยกย่องในวงวรรณกรรมไทยแล้ว ยังได้รับความสนใจจากวงวรรณกรรมต่างประเทศ โดยมีการแปลงานของเขาเป็นภาษาอังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก ดัตช์ ญี่ปุ่น สิงหล มลายู เยอรมัน (จัดพิมพ์ 6 เรื่อง) และภาษาฝรั่งเศส (จัดพิมพ์ 4 เรื่อง)", "title": "คำสิงห์ ศรีนอก" }, { "docid": "44816#18", "text": "เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ราชกิจจานุเบกษาออกประกาศเรื่อง ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ นางเสาวนีย์ คำสิงห์ และนายสมรักษ์ คำสิงห์ เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ มหานคร จำกัด ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลย เนื่องจากมีหนี้สินจากการเปิดปั๊มน้ำมันกว่า 4 ล้านบาท", "title": "สมรักษ์ คำสิงห์" }, { "docid": "44816#5", "text": "สมรักษ์เริ่มเข้าแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นในนามของโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2528 เมื่ออายุ 12 ปี โดยมีพิกัดน้ำหนัก 52 กิโลกรัมเมื่อสมรักษ์จบ ม.6 จากโรงเรียนผดุงศิษย์ฯ ได้รับการทาบทามจากสโมสรราชนาวีให้ชกมวยสากลสมัครเล่นในนามของสโมสรและจะบรรจุให้เข้ารับราชการในกองทัพเรือด้วย สมรักษ์จึงตอบตกลง สมรักษ์ประสบความสำเร็จได้ทั้งแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองกีฬาแห่งชาติ", "title": "สมรักษ์ คำสิงห์" }, { "docid": "644562#1", "text": "เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2498 ที่ กรุงเทพมหานครเป็นบุตรของพันโทสิทธิกร กับร้อยเอกหญิงชื่นสุข จันทร์สุวานิชย์ ศึกษา (นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 13 รุ่นเดียวกับพลเรือเอกสุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ และพลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย) โรงเรียนนายเรือ รุ่น 70 และโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ รุ่น 48 ระหว่างรับราชการได้เข้ารับการศึกษาในหลักสูตรที่สำคัญ คือ หลักสูตรนายทหารชั้นต้นพรรคนาวิน รุ่นที่ ๒๒ หลักสูตรเสนาธิการทหารเรือ รุ่นที่ ๔๘ หลักสูตรวิทยาลัยการทัพเรือ รุ่นที่ ๓๐ หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ ๕๑ หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ ๑๔ และหลักสูตร SURFACE WARFARE OFFICER SCHOOL (SWOS) สหรัฐอเมริกา สื่อมวลชนตั้งชื่อให้อย่างไม่เป็นทางการว่า \"บิ๊กตั้ม\" ด้านครอบครัว สมรสกับนาง ณุฉัตรา จันทร์สุวานิชย์ มีบุตรสาวชื่อ ร.ท.หญิง นันทณัทธ์ จันทร์สุวานิชย์ ประจำแผนกวิเทศสัมพันธ์ กองการต่างประเทศ กรมข่าวทหารเรือ และนายทหารฝ่ายเสนาธิการ กองเรือปราบเรือดำน้ำ กองเรือยุทธการ", "title": "ไกรสร จันทร์สุวานิชย์" }, { "docid": "394265#1", "text": "\"พระหลวงศรีธรรมศาสน์\" นามเดิม สิงห์ นามสกุล สิมมาโคตร เกิดที่ บ้านแก่งแก ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก ตรงกับวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2413 บิดาชื่อ สิ้ม มารดาชื่อ ซิง ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2431 ณ วัดใต้โกสุม ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ครั้นถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2433 อายุครบ 20 ปี จึงได้อุปสมบทที่วัดกลางโกสุม ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พระอาจารย์เจ้าอริยวงษา เจ้าอาวาสวัดสังข์ทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์หลักคำ พรหมศร วัดใต้โกสุม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์โสภาวดี วัดบ้านฟ้าเหลื่อม อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้สมณฉายาว่า ธมฺมโชโต เมื่ออุปสมบทแล้วได้กลับมาอยู่ที่วัดใต้โกสุมตามเดิม อุปสมบทอยู่ได้ 13 พรรษา จึงได้ลาสิกขา ได้เข้ารับราชการเป็นกำนันตำบล หัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ครั้งพระสุนทรพิพิธเป็นนายอำเภอโกสุมพิสัย ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงศรีธรรมศาสน์ ได้มีครอบครัวและมีบุตรชายหญิงรวม 5 คน ต่อมาภรรยาและบุตรชายหญิงอีก 3 คนได้ถึงแก่กรรม คงเหลือบุตรชายอยู่เพียง 2 คน คือ นายประสิทธิ์ สีมาโคตร รับราชการเป็นครูประชาบาล และนายละม้าย สีมาโคตร เปรียญ อยู่บ้านคุ้มใต้ ซึ่งบุตรทั้งสองคนนี้ยังมีชีวิตอยู่จนบัดนี้ (ปัจจุบันที่พิมพ์ใหม่ครั้งนี้ได้เสียชีวิตหมดแล้ว) ท่านได้รับราชการเป็นกำนันอยู่ ๙ ปี จึงได้ลาออกมาประกอบอาชีพทำนาค้าขายอยู่ตามลำพัง จนถึง พ.ศ. 2461 ซึ่งเวลานั้นท่านมีอายุได้ 47 ปีแล้ว ได้กลับเข้าอุปสมบทอีกเป็นครั้งที่ 2 ที่วัดใต้โกสุม เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2461 โดยมีท่านอาจารย์มุล เจ้าอาวาสวัดบ้านหนองบอน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี วัดใต้โกสุม เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หลวง วัดกลางโกสุม (เวลานี้เป็นสังฆนายกอยู่ ณ นครเวียงจันทร์) เป็นอนุสาวนาจารย์ มีสมณฉายาว่า ธมฺมโชโต อย่างเดียวกับที่อุปสมบทคราวก่อน อุปสมบทแล้วอยู่ประจำวัดใต้โกสุม ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ตราบจนถึงกาลมรณภาพ", "title": "หลวงศรีธรรมศาสน์ (สิงห์ สิมมาโคตร)" }, { "docid": "134917#1", "text": "จอมพลเกรียงไกร อัตตะนันทน์ เดิมชื่อ บุญสม อัตตะนันทน์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2456 ที่จังหวัดธนบุรี เป็นบุตรของเรือเอก ขุนรุตรณไกร (แฮนน์ อัตตะนันทน์) และนางเหม อัตตะนันทน์ จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกเมื่อ พ.ศ. 2474 จนจบการศึกษาใน พ.ศ. 2477 และเริ่มเข้ารับราชการในตำแหน่งประจำกรมทหารราบที่ 7 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ปีเดียวกัน", "title": "เกรียงไกร อัตตะนันทน์" }, { "docid": "44816#3", "text": "ต่อมา ณรงค์กับนายแดงพ่อของสมรักษ์เกิดแตกคอกัน สมรักษ์จึงย้ายไปอยู่ค่ายศิษย์อรัญ เข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ ได้ไปเรียนที่ โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา โดยชกทั้งมวยไทย และมวยสากลสมัครเล่น สมรักษ์ขึ้นชกมวยไทยในชื่อ \"พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ\" แต่พอสมรักษ์ขึ้น ม.2 พ่อก็ถึงแก่กรรม", "title": "สมรักษ์ คำสิงห์" } ]
2875
ใครเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่2?
[ { "docid": "516201#4", "text": "ผู้ชนะฝ่ายสัมพันธมิตรหลักในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้แก่ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ต่างตกลงว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสไม่มีวิธียึดอินโดจีนคืนทันที มหาอำนาจตกลงว่าบริเตนจะเข้าควบคุมและทหารจะยึดครองภาคใต้ ขณะที่กำลังจีนคณะชาติจะเคลื่อนเข้ามาจากทิศเหนือ กำลังจีนคณะชาติเข้าสู่ประเทศเพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเหนือเส้นขนานที่ 16 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2488 เส้นขนานดังกล่าวแบ่งอินโดจีนออกเป็นเขตควบคุมจีนและบริเตน บริเตนขึ้นบกในภาคใต้ปลดอาวุธกำลังฝรั่งเศสที่ถูกกักตัวขนาดย่อม ตลอดจนบางส่วนของกำลังญี่ปุ่นที่ยอมจำนนเพื่อช่วยในการยึดเวียดนามภาคใต้คืน เนื่องจากไม่มีกำลังบริเตนเพียงพอในทันที", "title": "สงครามจีน–เวียดนาม" }, { "docid": "5333#4", "text": "สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผลของสงครามได้เปลี่ยนแปลงการวางแนวทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของโลก สหประชาชาติถูกสถาปนาขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและเพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตก้าวเป็นอภิมหาอำนาจของโลกอันเป็นคู่ปรปักษ์กัน นำไปสู่ความขัดแย้งบนเวทีแห่งสงครามเย็น ซึ่งได้ดำเนินต่อมาอีก 46 ปีหลังสงคราม ขณะเดียวกัน การยอมรับหลักการการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง เร่งให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา พร้อม ๆ กับที่หลายประเทศได้มุ่งหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งอุตสาหกรรมได้รับความเสียหายระหว่างสงคราม และบูรณาการทางการเมืองได้เกิดขึ้นทั่วโลกในความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพความสัมพันธ์หลังสงคราม", "title": "สงครามโลกครั้งที่สอง" } ]
[ { "docid": "110167#87", "text": "ภายหลังสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรได้จัดเฉลิมฉลองชัยชนะที่ฝรั่งเศล ต่อมาได้มีการการประชุมสันติภาพปารีสของประเทศที่อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงคราม ณ พระราชวังแวร์ซายโดยห้ามไม่ให้ฝ่ายมหาอำนาจผู้แพ้สงครามเข้าร่วมประชุม ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร่างสนธิสัญญาสันติภาพขึ้นโดยมีใจความว่า ให้จักรวรรดิเยอรมันต้องยินยอมรับผิดในฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้ข้อตกลงข้อ 231 (ในภายหลังรู้จักกันว่า \"อนุประโยคความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม\") และในข้อ 232-248 เยอรมนีถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายไตรภาคีเป็นจำนวนมหาศาล เมื่อปี ค.ศ. 1921 ได้ประเมินว่ามูลค่าของค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจะต้องจ่ายนั้นสูงถึง 132,000 ล้านมาร์ก (ราว 31,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 6,600 ล้านปอนด์) [1] อันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าจะยอมรับได้และไม่สร้างสรรค์ และเยอรมนีอาจต้องใช้เวลาชำระหนี้จนถึง ค.ศ. 1988 เนื่องจากประเทศทั้งสองคือฝรั่งเศลและอังกฤษต้องการจะให้เยอรมันอ่อนแอไม่ให้กลับแข็งแกร่งมาต่อกรอีก ยกเว้นสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าร่วมทำให้กลายเป็นสนธิสัญญาที่ดูไม่เป็นธรรมเลย ในตอนแรกว่าตัวแทนทูตจากเยอรมนีได้เห็นสนธิสัญญาฉบับนี้ว่ารุนแรงและเป็นที่ยอมรับไม่ได้จึงไม่พอใจมาก แต่ต่อมาเยอรมนีได้จัดตั้งสาธารณรัฐขึ้นใหม่หลังจากจักรวรรดิล่มสลายไปคือ สาธารณรัฐไวมาร์ ได้ตกลงที่จะยอมรับปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ซายทันทีทำให้เยอรมนีต้องอยู่อย่างอัปยศอดสู แต่อย่างไรก็ตามสนธิสัญญาแวร์ซายนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างสันติภาพแต่อย่างใดเลย หากเป็นบ่อนทำลายที่จะทำให้เกิดสงครามโลกปะทุอีกครั้งซึ่งได้กลายเป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะในอีกยี่สิบเอ็ดปีให้หลัง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้ยึดอำนาจในสาธารณรัฐไวมาร์ได้สำเร็จ จากนั้นก็ได้ทำการฟื้นฟูทั้งการเมืองและกำลังทหารจนเข้มแข็งทำให้ละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายและรุกรานประเทศอื่นจนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด", "title": "สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "221996#45", "text": "หลังสงครามกลางเมืองครั้งที่ 1 ฝ่ายกษัตริย์นิยมที่ร่วมในสงครามเกือบทั้งหมดได้รับการอภัยโทษโดยมีเงื่อนไขว่าห้ามถืออาวุธในการต่อต้านฝ่ายรัฐสภาหลังจากนั้น ผู้มีศักดิ์ศรีฝ่ายกษัตริย์นิยมเช่นเจคอป แอสต์ลีย์ บารอนแอสต์ลีย์แห่งเรดดิงที่ 1 ไม่ยอมเสียคำพูดโดยการไม่ร่วมในสงครามกลางเมืองครั้งที่ 2 ฉะนั้นฝ่ายรัฐสภาผู้ได้รับชัยชนะในสงครามครั้งที่ 2 จึงมิได้แสดงความปราณีต่อผู้ลุกขึ้นจับอาวุธเป็นครั้งที่สอง ค่ำวันที่โคลเชสเตอร์ยอมแพ้ฝ่ายรัฐสภาก็ประหารชีวิตเซอร์ชาลส์ ลูคัสและเซอร์จอร์จ ลิสเซิล (George Lisle) ผู้มีอำนาจฝ่ายรัฐสภาตัดสินลงโทษผู้นำการต่อสู้ในเวลส์ที่รวมทั้งนายพลโรว์แลนด์ ลาฟาร์น (Rowland Laugharne), นายพันจอห์น พอยเยอร์ (John Poyer) และนายพันไรซ์ เพาเวล (Rice Powel) โดยการประหารชีวิต แต่อันที่จริงแล้วก็สังหารพอยเยอร์เพียงคนเดียวเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1649 โดยการเลือกจากสามคน ในบรรดาผู้นำที่เป็นขุนนางคนสำคัญๆ ของฝ่ายกษัตริย์ห้าคนที่ตกไปอยู่ในเงื้อมือของฝ่ายรัฐสภาสามคน เจมส์ แฮมมิลตัน ดยุคแห่งแฮมมิลตันที่ 1, เฮนรี ริช เอิร์ลแห่งฮอลแลนด์ที่ 1 และอาร์เธอร์ เคเพลล์ บารอนคาเพลล์แห่งแฮดแฮมที่ 1 ถูกประหารชีวิตโดยการตัดหัวที่เวสต์มินสเตอร์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม", "title": "สงครามกลางเมืองอังกฤษ" }, { "docid": "316569#3", "text": "ในหนังสือ ฟรัมเปรียบเทียบความสัมพันธ์ที่คล้ายกันมากระหว่างฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2 และ\"รัฐก่อการร้าย\" เขาเขียนว่า \"ฝ่ายอักษะเกลียดและไม่วางใจซึ่งกันและกัน\" \"ถ้าอักษะชนะสงครามด้วยวิธีใดก็ตาม สมาชิกจะหันมาเผชิญหน้ากันเองอย่างรวดเร็ว\" แม้ว่า อิหร่าน อิรัก อัลกออิดะฮ์ และฮิซบุลลอฮ์ จะทะเลาะเบาะแว้งกันเอง แต่ \"ทั้งหมดก็ไม่พอใจในอำนาจของชาติตะวันตกและประเทศอิสราเอลและยังดูแคลนในคุณค่าของประชาธิปไตย\" นอกจากนั้นฟรัมยังเห็นความเชื่อมโยงร่วมกันระหว่าง \"รัฐก่อการร้ายและองค์กรการก่อการร้ายที่ก่อให้เกิดแกนของความเกลียดชังต่อสหรัฐอเมริกา\"", "title": "แกนแห่งความชั่วร้าย" }, { "docid": "108841#35", "text": "ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 คือฝ่ายพันธมิตรซึ่งได้แก่จักรวรรดิอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะ นักชาตินิยมได้รับกระแสนิยมในอิสรภาพมากขึ้น โดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา วูดโรว์ วิลสัน กล่าวในสุนทรพจน์ \"ประเด็นทั้งสิบสี่\" ว่า \"โอกาสแห่งอิสรภาพและเสรีภาพได้มาอยู่ในกำมือของเราแล้ว เราจะพัฒนาของเราเอง\" ในทางกลับกัน จักรพรรดิคาร์ล จักรพรรดิแห่งออสเตรีย-พระราชาธิบดีแห่งฮังการี ได้ทรงเปิดวาระประชุมในสภาอิมพีเรียล โดยมีพระบรมราชานุญาตให้มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐพร้อมด้วยการตั้งสภาย่อยเป็นของตนเอง เพื่อรักษาความเป็นจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะที่หลายฝ่ายเริ่มไม่ไว้วางใจในเสรีภาพหลังจากจบสงครามแล้ว", "title": "จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี" }, { "docid": "482435#1", "text": "เรื่องราวการต่อสู้ดังกล่าวนั้น มีดังนี้ คือ\nใน พ.ศ. 2482 ได้เกิดวิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรป โดยมีเยอรมนี และอิตาลีซึ่งเรียกว่าฝ่ายอักษะฝ่ายหนึ่ง กับสัมพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสอีกฝ่ายหนึ่ง การสงครามได้ขยายตัวกว้างขวาง ครั้นถึง พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ สงครามได้ลุกลามเข้าสู่ทวีปเอเชีย โดยญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันในประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มลายู และไทย เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่โจมตี ฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ ของ สหรัฐอเมริกา\nในประเทศไทย ญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่ สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และ ปราจีนบุรี โดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด", "title": "อนุสาวรีย์วีรไทย" }, { "docid": "109370#0", "text": "พลร่ม () เป็นหน่วยทหารที่ได้รับการฝึกการกระโดดร่มเป็นพิเศษ มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติประมาณ 2 ปี พลร่มมีบทความในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีส่วนสำคัญในการนำชัยชนะมาสู่ฝ่ายพันธมิตร โดยพลร่มถูกฝึกให้เป็นแนวหน้าในการออกรบ ไม่ว่าจะเป็นที่นอร์ม็องดี ประเทศฝรั่งเศส แองโทเฟิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ บาสตง ประเทศเบลเยียม", "title": "พลร่ม" }, { "docid": "310307#40", "text": "ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความคิดเห็นในสาธารณะระหว่างการสนับสนุนเยอรมนี ซึ่งสัญญาจะจะได้รับอาณาเขตที่เสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 และเห็นใจฝ่ายที่ต่อต้านฝ่ายอักษะ พระเจ้าซาร์บอริสทรงกล่าวในปีพ.ศ. 2483 ว่า \"นายพลของข้าคือผู้นิยมเยอรมัน ข้าคือผู้นิยมนโยบายอังกฤษ,พระราชินีและพสกนิกรคือผู้นิยมอิตาลีและผู้นิยมรัสเซีย ดังนั้นข้าบัลแกเรียเป็นกลาง\"", "title": "พระเจ้าซาร์บอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย" }, { "docid": "25751#13", "text": "ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรที่ทำการรบเป็นเวลายาวนานที่สุด แต่จีนได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเป็นทางการภายหลังการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ โดยจอมทัพเจียง ไคเช็คมีความเชื่อมั่นว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะสามารถชนะสงครามได้หลังจากการเข้าสู่สงครามของสหรัฐ", "title": "ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง" }, { "docid": "165970#11", "text": "โรมาเนีย ซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นผู้ชนะสงคราม กลับรู้สึกว่าตนจะเป็นฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง จากผลของสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ ทำให้โรมาเนียต้องสูญเสียดินแดนทางทิศเหนือให้แก่สหภาพโซเวียต คำตัดสินกรุงเวียนนาครั้งที่สอง ทำให้โรมาเนียต้องยกแคว้นทรานซิลวาเนียตอนบนให้แก่ฮังการี และสนธิสัญญาเมืองคราโจวา โรมาเนียต้องยกแคว้นโดบรูจากมห้แก่บัลแกเรีย ในโรมาเนียเองก็มีแนวคิดโรมาเนียอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะรวมตัวกับนาซีเยอรมนี", "title": "สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สอง" } ]
2880
จากสถิติเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 มีคนเล่นเกมส์ ลีกออฟเลเจนด์ จำนวนเท่าไหร่?
[ { "docid": "700421#1", "text": "ตั้งแต่เปิดตัว \"ลีกออฟเลเจนด์\" ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2012\"ลีกออฟเลเจนด์\" เป็นเกมส์คอมพิวเตอร์ซึ่งถูกเล่นมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปเมื่อนับชั่วโมงในการเล่น จากสถิติเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 มีคนเล่นเกมส์ \"ลีกออฟเลเจนด์\" ถึง 67 ล้านคนต่อหนึ่งเดือน 27 ล้านคนต่อวัน และมากกว่า 7.5 ล้านคนต่อหนึ่งชั่วโมงในชั่วโมงใช้สูงสุด", "title": "ลีกออฟเลเจนด์" } ]
[ { "docid": "946539#1", "text": "ศุภณัฏฐ์เป็นเจ้าของสถิติถึง 2 รายการ คือ นักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในไทยลีกด้วยวัยเพียง 15 ปี 8 เดือน 22 วันในนัดที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ชนะ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี 2–1 เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561 และเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในไทยลีกด้วยวัย 15 ปี 9 เดือน 25 วันในนัดที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเอาชนะ แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี 5–0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งสถิติทั้งสองเดิมเป็นของ เอกนิษฐ์ ปัญญา ผู้เล่นจาก เชียงราย ยูไนเต็ด", "title": "ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา" }, { "docid": "296162#4", "text": "ใบสมัครถูกแจกจ่ายออกมาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 รอบคัดเลือกมีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมและจัดการการคัดเลือกครั้งสุดท้ายที่ลอสแอนเจลิส จาก 11 ทีมที่ถูกเลือกเข้าเป็นผู้แข่งขันนั้นก็ได้เริ่มการถ่ายทำในเดือนพฤษภาคม ผู้เข้าแข่งขันประกอบไปด้วย พิธีกรรายการช๊อปปิ้ง, นักโพสต์วิดีโอให้ความบันเทิงบนยูทูป เคลวิน วู ที่รู้จักกันในนาม \"เควจัมบ้า\" ซึ่งมาพร้อมกับ ไมเคิล พ่อของเขา, นักร้องประสานเสียงของสมาคมนักศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยไอวีลีก และคู่แม่ผู้ให้กำเนิดกับลูกที่ห่างหายกันไปนานกว่า 20 ปี โดยฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกของรายการที่ไม่มีคู่สมรสเลย รวมไปถึงยังมีผู้เคยผ่านการประกวดนางงามมาด้วย 3 คน คือ มอลลารี่ ที่ได้อันดับที่ 5 ในการประกวดมิสอเมริกา ปี 2553, บรู๊ค ซึ่งเข้าประกวดมิสอเมริกา ปี 2548 และ สเตฟานี่ ซึ่งเคยเป็นมิส เซ้า คาร์โรไลน่า ปี 2552", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ 17" }, { "docid": "818912#11", "text": "เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางสโมสรก็ได้เปิดตัวผู้เล่นคนใหม่ที่เสริมทัพเข้าทีมในช่วงตลาดนักเตะเลกที่สองให้เหล่าแฟนบอลสาวๆ ได้กรี๊ดกร๊าดกันอีกครั้งด้วยการคว้าตัว ชาริล ชัปปุยส์ มิดฟิลด์รูปหล่อลูกครึ่งไทย-สวิสที่ย้ายมาจากทีม \"ช้างศึกยุทธหัตถี\" สุพรรณบุรี มาร่วมทัพอย่างเป็นทางการโดยเซ็นสัญญาพร้อมออปชั่น 3 ปีโดยทางสโมสรอุบค่าเหนื่อยเอาไว้ โดยเจ้าตัวได้เลือกใช้หมายเลข 23 ในการลงสนามให้กับทัพกิเลนผยองในเลกที่สอง", "title": "สโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2560" }, { "docid": "656401#1", "text": "บุษบากร เป็นนักกีฬากอล์ฟหญิงจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 เธอได้เป็นผู้ชนะการแข่งขันกอล์ฟอาชีพสตรี “ไทยแอลพีจีเอ ทัวร์” รายการสิงห์-เอสเอที ไทยแอลพีจีเอ แชมเปียนชิพ 2014 จากนั้น ในเดือนกรกฎาคม บุษบากรได้เป็นแชมป์การแข่งขันกอล์ฟเยาวชนชิงแชมป์ยุโรป ดัตช์จูเนียร์โอเพน 2014 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งในประเภทบุคคลหญิงและทีมหญิง ส่วนในเดือนกันยายน ในการแข่งขันกอล์ฟในเอเชียนเกมส์ 2014 ที่อินช็อน ประเทศเกาหลีใต้ เธอได้รับรางวัลเหรียญเงินในประเภทบุคคลหญิง และเหรียญทองในประเภททีมหญิง ซึ่งต่อมา เธอได้รับเกียรติจากทางจังหวัดเชียงราย สำหรับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะที่เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดและประเทศชาติ โดยได้มีการจัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณ, เสื้อสามารถ และเงินรางวัล จากทั้งส่วนของทางราชการและเอกชน", "title": "บุษบากร สุขพันธ์" }, { "docid": "447370#6", "text": "ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 ฟร็องซัว ได้ประกาศการยุติความสัมพันธ์กับเธอ หน้าเพจทั้ง 130 หน้า และภาพอีก 600 รูปของอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งถูกลบออกทั้งหมดจากเว็บไซต์ของเอลีเซ เมื่อเมื่อเวลา 11.00 นาฬิกาของวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557", "title": "วาเลรี ทรีแอร์แวแลร์" }, { "docid": "926877#6", "text": "เมนดี ย้ายมาร่วมทีมบางกอกกล๊าส ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560 และยิงประตูแรกให้กับสโมสรในนัดที่ 4 ของฤดูกาล 2561 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นัดเปิดลีโอสเตเดียมชนะการท่าเรือ 2-0 ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม เขายิงหนึ่งประตู ช่วยให้ทีมของเขาบุกชนะชลบุรี 2-0 ที่ชลบุรีสเตเดียม และในวันที่ 1 เมษายน เขาทำหนึ่งประตูในวันเมษาหน้าโง่อีกครั้ง นัดที่บางกอกกล๊าสบุกเสมอเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เอสซีจีสเตเดียม 2-2", "title": "เฟรเดริก เมนดี (นักฟุตบอลเกิดปี ค.ศ. 1988)" }, { "docid": "929649#2", "text": "ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 เคย์น วินเซนต์ ได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมสโมสรฟุตบอลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในไทยลีก 2 ต่อมาเขาลงเล่นนัดแรกและยิงประตูแรกให้กับสโมสรเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ในนัดที่เกษตรศาสตร์เปิดสนามทีโอที เอาชนะศรีสะเกษ 3-2 และในวันที่ 10 มีนาคม เขาทำแฮตทริกแรกของฤดูกาล ในนัดที่เกษตรศาสตร์เปิดบ้านชนะกระบี่ 5-0", "title": "เคย์น วินเซนต์" }, { "docid": "955281#1", "text": "วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557 กิตติพงษ์ (อายุ 19 ปี) ได้ย้ายจากศรีสะเกษ ยูไนเต็ดในดิวิชัน 2 ไปร่วมทีมร่วมจังหวัดอย่างศรีสะเกษ เอฟซีในไทยลีก เขาทำผลงานได้ดีในการเล่นฤดูกาลแรกให้กับสโมสร ต่อมาวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 กิตติพงษ์ ถูกปล่อยยืมตัวให้กับอุดรธานีในดิวิชัน 2", "title": "กิตติพงษ์ วงมา" }, { "docid": "961214#1", "text": "เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 มีการเปิดรับสมัครสมาชิกรุ่นแรก โดยมีผู้เข้าสมัครจำนวน 38,066 คนในเดือนพฤษภาคม การคัดเลือกเริ่มจากการคัดกรองผู้เข้าสมัครจากใบสมัคร จากนั้นกรรมการได้สัมภาษณ์ผู้เข้าสมัครในทั้ง 6 หัวเมือง เพื่อค้นหา 62 คนสุดท้ายที่จะได้มาแสดงทักษะในด้านการร้องและเต้น เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 23 คนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกรุ่นแรกของทีมเอสเอช โดยสมาชิก 2 คน หลิว เนี่ยน และเหมา เว่ยเจี๋ย เคยเป็นผู้เข้าแข่งขันในรายการโปรดิวซ์ 101 ของประเทศจีน", "title": "เอเคบีโฟร์ตีเอต ทีมเอสเอช" } ]
2892
ตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2550 ออกแบบโดยใคร?
[ { "docid": "68629#0", "text": "ตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2550 ออกแบบโดย นายสุเมธ พุฒพวง นักวิชาการช่างศิลป์ 7 กลุ่มงานศิลปประยุกต์ กลุ่มจิตรกรรมศิลปประยุกต์และลายรดน้ำ กรมศิลปากร", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา" }, { "docid": "70043#7", "text": "ตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2550 ออกแบบโดย สุเมธ พุฒพวง นักวิชาการช่างศิลป์ 7 กลุ่มงานศิลปประยุกต์ กลุ่มจิตรกรรมศิลปประยุกต์และลายรดน้ำ กรมศิลปากร", "title": "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" }, { "docid": "448632#13", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 โดยแบบตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรตินี้ ออกแบบโดย นายสุเมธ พุฒดวง ขณะที่ ครม.ได้แจ้งให้ทุกหน่วยงานราชการทุกหน่วยงานทั่วทั้งประเทศ ได้เตรียมการประดับตราสัญลักษณ์ และติดธงสัญลักษณ์นี้ในสถานที่ราชการทุกแห่ง ส่วนพสกนิกรชาวไทย ทั่วประเทศสามารถซื้อหรือจับจองมาติดในบ้านได้ตามร้านจำหน่ายตราสัญลักษณ์หรือธงทั่วไป", "title": "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555" } ]
[ { "docid": "567707#3", "text": "ต่อมา เว็บไซด์ทำเนียบรัฐบาล http://www.thaigov.go.th/ ได้เผยแพร่ข่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ เรื่องตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 และตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ\nตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ นี้ประกอบด้วย อักษรพระนามาภิไธย ส.ก. อยู่ภายในวงรี ด้านบนวงรีเป็นพระมหามงกุฎ ภายในพระมหามงกุฎเป็นพระแสงจักรและพระแสงตรีศูล มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์โบราณมงคลพระมหาสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ล้อมรอบวงรี ขนาบข้างด้วยพระสัปตปฎลเศวตฉัตร ด้านล่างวงรีเป็นเลขไทย 80 อยู่ในรูปทรงของเพชรด้านล่างเลขไทย 80 เป็นผ้าแพรแถบอักษรข้อความ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สถาปนาสมเด็จพระราชินี เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี แล้วพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555" }, { "docid": "68629#4", "text": "ด้านล่างพระราชลัญจกรเป็นเลข 80 หมายถึงพระองค์มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา ถัดจากเลขไทยลงมาเป็นแพรแถบบอกชื่องานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 แพรแถบนอกจากบอกชื่องานพระราชพิธีแล้ว ยังรองรับประคองพระเศวตฉัตรด้วย", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา" }, { "docid": "70043#5", "text": "รัฐบาลไทยได้เตรียมการจัดรัฐพิธี เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้รัฐบาลไทย ได้เตรียมการจัดศาสนพิธี เนื่องในโอกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นชุดเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งที่กองทัพเรือไทยจัดสร้างขึ้นจำนวนทั้งหมด 3 ลำ คือ เรือ ต.991 เรือ ต.992 และเรือ ต.993 โดยมอบหมายให้กรมอู่ทหารเรือเป็นผู้จัดสร้างเรือ ต.991 ณ อู่ทหารเรือธนบุรี ส่วนเรือ ต.992 และ ต.993 กองทัพเรือได้ว่าจ้างบริษัท มาร์ซัน จำกัด เป็นผู้ดำเนินการต่อเรือ", "title": "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" }, { "docid": "567707#1", "text": "ตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 ออกแบบโดย นายศิริ หนูแดง พร้อมๆกับตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555" }, { "docid": "567707#2", "text": "ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 13.00 น. ของตอนบ่ายวันวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติทั้ง 2 งาน และคณะรัฐมนตรีได้แจ้งให้ทุกหน่วยงานราชการทุกหน่วยงานทั่วทั้งประเทศ ได้เตรียมการประดับตราสัญลักษณ์ และติดธงสัญลักษณ์นี้ในสถานที่ราชการทุกแห่ง ส่วนพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศสามารถซื้อหรือจับจองมาติดในบ้านได้ ตามร้านจำหน่ายตราสัญลักษณ์หรือธงทั่วไป", "title": "ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555" }, { "docid": "70043#3", "text": "ในการประชุม คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ครั้งที่ 1/2550 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ได้เห็นชอบเกี่ยวกับ การกำหนดแนวทาง การจัดงานพระราชพิธี ระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม–8 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งต้องนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยก่อน ดังนี้ \nโดยตลอดสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนินจาก พระตำหนักจิตรลดารโหฐานยัง พระบรมมหาราชวัง ขอเชิญชวนประชาชน เฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และจุดเทียนชัยถวายพระพร ตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน", "title": "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" }, { "docid": "448632#8", "text": "ภาพด้านหลังธนบัตร เชิญพระฉายาสาทิสลักษณ์สมเด็จพระบรมราชินีนาถในฉลองพระองค์ตามสมัยนิยม เป็นภาพประธาน สำหรับภาพประกอบเชิญภาพพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ อาทิ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ซึ่งพระองค์จะมีพระราชดำรัสกับราษฎรอย่างใกล้ชิด ไม่ถือพระองค์ และเต็มไปด้วยพระเมตตา การทรงงาน ด้านศิลปาชีพ ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร รวมทั้ง เพื่ออนุรักษ์ และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยที่ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่า ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร และช่วยป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัย รวมทั้งความสำคัญของป่าที่มีต่อระบบนิเวศ", "title": "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555" } ]
2894
ไลฟ์ทีวี มีชื่อเดิมว่าอะไร?
[ { "docid": "108583#1", "text": "ไลฟ์ทีวี มีชื่อเดิมว่า สไมล์ทีวี () เจ้าของเดิมคือ \"บริษัท บีเอ็นที ทีวี จำกัด\" ในเครือของ \"บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) \"", "title": "ไลฟ์ทีวี" }, { "docid": "108583#4", "text": "วันที่ 26 กันยายน 2549 ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทใหม่ และเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก \"บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)\" เป็น \"บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)\" \"บริษัท บีเอ็นทีทีวี จำกัด\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"บริษัท ไลฟ์ทีวี จำกัด\" และ \"สไมล์ทีวี\" เปลี่ยนชื่อเป็น \"ไลฟ์ทีวี\"", "title": "ไลฟ์ทีวี" } ]
[ { "docid": "108583#2", "text": "\"สไมล์ทีวี\" เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 โดยมี นางสาววิลาสินี จิวานนท์ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเอ็นทีทีวี จำกัด\nเริ่มแรก สไมล์ทีวี ผลิตรายการโทรทัศน์โดยแบ่งตามประเภทรายการ จำนวน 6 ช่อง ได้แก่ ช่อง เอ็มวัน มูฟวีส์วัน , เอ็มทู , อีดีเอ็น , ป๊อป แชนแนล , รักไท ทีวี และ แฟชั่นทีวี และขายลิขสิทธิช่องรายการให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกหรือเคเบิลท้องถิ่น นำไปเผยแพร่ให้แก่สมาชิกผู้รับชมในเขตพื้นที่", "title": "ไลฟ์ทีวี" }, { "docid": "108583#5", "text": "วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 \"นายอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ\" และ \"นางสาววิลาสินี จิวานนท์\" ได้แยกออกจาก บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และก่อตั้งบริษัทใหม่ คือ \"บริษัท มีเดีย คอมมูนิเคชั่น เน็ทเวอร์ค จำกัด\" และได้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์สำหรับบอกรับเป็นสมาชิกภายใต้ชื่อ \"สไมล์ทีวี เน็ตเวิร์ค\" ขึ้นมาอีกครั้ง (ปัจจุบันยุติการดำเนินธุรกิจแล้ว)", "title": "ไลฟ์ทีวี" }, { "docid": "214921#0", "text": "ไลฟ์ออฟไรอัน () เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์ ที่ตามติดชีวิตนักสเกตบอร์ดอาชีพที่ชื่อ ไรอัน เช็กเลอร์ โดยในแต่ละตอนมีความยาวประมาณ 22 นาที เป็นเรื่องราวชีวิตของไรอัน และครอบครัวของเขา รวมถึงเพื่อน ในเรื่องราวของครอบครัว การหาแฟน รวมถึงในฐานะโปรสเกตบอร์ด โดยส่วนมากของหลาย ๆ ตอนจะถ่ายทำในละแวกบ้านของเช็กเลอร์ในแซนเคลเมนที รัฐแคลิฟอร์เนียรายการผลิตโดยคาร์โบนเอนเทอร์เทนเมนต์ ให้กับทางเอ็มทีวี ออกอากาศทางเอ็มทีวี, เอ็มทีวี 2, เอ็มทีวียุโรป, เอ็มทีวีโปแลนด์, เอ็มทีวีเอเดรีย, เอ็มทีวีฮังการี, เอ็มทีวีโรมาเนีย, เอ็มทีวีโปรตุเกส, เอ็มทีวีเซ็นทรัล, เอ็มทีวีแคนาดา, เอ็มทีวีอิตาลี, เอ็มทีวีนิวซีแลนด์ ,เอ็มทีวียูเค, เอ็มทีวีลาตินอเมริกา, เอ็มทีวีเอเชีย และเอ็มทีวีไทยแลนด์ โดยออกอากาศครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2007 เวลา 22.30 น่. หลังจากนั้นออกอากาศฤดูกาลที่สองเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2008", "title": "ไลฟ์ออฟไรอัน" }, { "docid": "413059#0", "text": "ไฟว์ไลฟ์ () เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2545 เป็นรายการของ บริษัท จีเอ็มเอ็มทีวี จำกัด ถ่ายทอดสดจากตึก จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ชั้น 11 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 00:55 - 01:50 น. ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ปี 2556 เพิ่มการออกอากาศในชื่อ ไฟฟ์ไลฟ์ วีคเอ็น ทุกวันเสาร์เวลา 00:20 - 01:10 น. เริ่ม 5 มกราคม พ.ศ. 2556) ออกอากาศซ้ำ (Rerun) เวลา 10:00 - 11:00 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ทางช่อง แบงแชนแนล และได้ยุติการออกอากาศไปพร้อมกับการปิดตัวของช่องแบงแชนแนล เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558", "title": "ไฟว์ไลฟ์" }, { "docid": "784171#2", "text": "อีอาร์ทีจัดตั้งครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2481 ในชื่อ YRE (Υπηρεσία Ραδιοφωνικής Εκπομπής, ΥΡΕ) เพื่อส่งวิทยุกระจายเสียงจากกรุงเอเธนส์โดยมีที่ทำการเริ่มแรกตั้งที่ในสวนสาธารณะแห่งชาติ กรุงเอเธนส์ \nในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายอักษะเข้ายึดครองประเทศกรีซ YRE เปลี่ยนชื่อเป็น AERE (Ανώνυμη Ελληνική Ραδιοφωνική Εταιρεία, ΑΕΡΕ) จนกระทั่ง พ.ศ. 2488 ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น \"มูลนิธิวิทยุแห่งชาติ\" หรือ EIR (Εθνικό Ίδρυμα Ραδιοφωνίας, ΕΙΡ) และเข้าเป็นสมาชิกก่อตั้งของสหภาพการกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งยุโรป (EBU) เมือ่ปี พ.ศ. 2493 และเริ่มออกอากาศโทรทัศน์เมื่อปี พ.ศ. 2509 หลังทดลองออกอากาศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 และเปลี่ยนชื่อมาเป็น \"มูลนิธิวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ\" (EIRT) (Εθνικό Ίδρυμα Ραδιοφωνίας-Τηλεόρασης, ΕΙΡΤ) ในปี พ.ศ. 2513", "title": "บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงเฮลเลนิก" }, { "docid": "622465#0", "text": "อนึ่ง อมรินทร์ทีวี มีชื่อเดิมคือ \"อมรินทร์ แอคทีฟ ทีวี\" (Amarin Activ TV) ซึ่งเริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยออกอากาศเป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมมาก่อน แต่ในปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 อมรินทร์ แอคทีฟ ทีวี ต้องหยุดการแพร่ภาพออกอากาศ เนื่องจากบริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด\nในฐานะผู้ดำเนินกิจการสถานีฯ ต้องการปรับรูปแบบการออกอากาศของสถานีฯ ไปเป็นโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล หลังจากที่เป็นหนึ่งในผู้ชนะการประมูลช่องโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาพความคมชัดสูง (เอชดีทีวี) และได้รับใบอนุญาตการออกอากาศช่องโทรทัศน์จาก กสทช. เป็นเวลา 15 ปี ทำให้ไม่มีการแพร่ภาพออกอากาศของสถานีฯแห่งนี้ ยาวนานเกือบ 4 เดือน", "title": "อมรินทร์ทีวี" }, { "docid": "43307#0", "text": "นิวส์วัน (ชื่อเดิม เอเอสทีวี) เป็นสถานีข่าว 24 ชั่วโมงแห่งที่สองของประเทศไทย (แห่งแรกของประเทศไทยคือ เนชั่น แชนแนล) เดิมมีชื่อว่า 11NEWS1 ดำเนินการโดย บริษัท ไทยเดย์ดอตคอม จำกัด โดยเดิมออกอากาศทางยูบีซี 9 ปัจจุบันแพร่ภาพออกอากาศทางดาวเทียม เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่มีบริษัท เอเชียไทม์ออนไลน์ จำกัด เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เป็นเจ้าของ บริษัท ผู้จัดการ 360 จำกัด ประเทศไทย", "title": "นิวส์วัน (เอเอสทีวี)" }, { "docid": "121668#5", "text": "เดิมดีวีดีบันทึกการแสดง\"อะนิวเดย์\"ในชื่อว่า \"ไลฟ์อินลาสเวกัส - อะนิวเดย์...\" มีกำหนดวางแผงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี พ.ศ. 2547 แต่ได้ถูกเลื่อนเนื่องจากการเปลี่ยแปลงและพัฒนาการแสดง และได้บันทึกภาพใหม่เมื่อวันที่ 17 - 21 มกราคม พ.ศ. 2550 และวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นดีวีดี 2 แผ่น ความยาวมากกว่า 5 ชั่วโมง เพลง \"แนเธอร์บอย\", \"แอตลาสต์\", \"ฟีเวอร์\", \"เอเชอแตมอองกอร์\" และ \"ว็อดอะวันเดอร์ฟูลเวิลด์\" บรรจุใน \"อะนิวเดย์... ไลฟ์อินลาสเวกัส\" เพราะการแสดงได้นำเพลงนี้ออกในช่วงบันทึกดีวีดี", "title": "อะนิวเดย์... ไลฟ์อินลาสเวกัส" } ]
2904
สีประจำโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)คือสีอะไร?
[ { "docid": "240531#2", "text": "สีประจำโรงเรียน ได้แก่ สีเหลือง-เทา ซึ่งหมายถึง", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)" } ]
[ { "docid": "240531#1", "text": "ตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนใช้ตราเดียวกันกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คือ \"ตราโรจนากร\" มีองค์ประกอบเป็นรูปเสมา ภายในมีภาพหม้อน้ำและสัญลักษณ์ขององค์พระธาตุนาดูน ด้านล่างเป็นสุริยรังสีที่แผ่ขึ้นจากผ้าลายขิด ซึ่งอยู่เหนือคำขวัญเป็นภาษาบาลี มีความหมายว่า \" ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน \" มีวงกลมล้อมรอบสองชั้นภายในช่องว่าง ของวงกลมมีชื่อ \"โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม)\" และมีดอกไม้หกกลีบสองดอกอยู่ตรงกันข้ามกัน โดย", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)" }, { "docid": "344620#4", "text": "ตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนใช้ตราเดียวกันกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คือ \"ตราโรจนากร\" มีองค์ประกอบเป็นรูปเสมา ภายในมีภาพหม้อน้ำและสัญลักษณ์ขององค์พระธาตุนาดูน ด้านล่างเป็นสุริยรังสีที่แผ่ขึ้นจากผ้าลายขิด ซึ่งอยู่เหนือคำขวัญเป็นภาษาบาลี มีความหมายว่า \" ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน \" มีวงกลมล้อมรอบสองชั้นภายในช่องว่าง ของวงกลมมีชื่อ \"โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายประถม)\"", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายประถม)" }, { "docid": "240531#6", "text": "หลังจากนั้นเมื่อปีการศึกษา 2541 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม) ได้ย้ายมาใช้สถานที่ใหม่คือคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขตพื้นที่ในเมือง) และมี รศ.จตุพร เพ็งชัย เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม) ซึ่งทำงานภายใต้นโยบายของคณะกรรมการอำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม) มีอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นประธาน", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)" }, { "docid": "59193#1", "text": "ปัจจุบันโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อ สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตั้งอยู่ 2 แห่งภายในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แก่ใบเสมา หมายถึง ภูมิปัญญา ,\nหม้อน้ำ หมายถึง ความรู้อันเต็มเปี่ยม ,\nองค์พระธาตุนาดูน หมายถึง คุณธรรม ความดี ,\nสุริยรังสี หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ,\nลายขิด หมายถึง เอกลักษณ์ของอีสาน ,\nวงกลมล้อมรอบและดอกไม้หกกลีบ หมายถึง โรงเรียนอันเป็นที่ทำให้เยาวชนของชาติ มีความเจริญงอกงาม", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม" }, { "docid": "641229#4", "text": "ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนเป็นรูปสัตภัณฑ์สีขาวบนพื้นหลังรูปศิลาจารึกยอดกลีบดอกบัวสีม่วง เหนือตัวอักษร \"มพ\" รูปอักษรฝักขามด้านล่างมีชื่อมหาวิทยาลัยพะเยาสีม่วง และชื่อภาษาอังกฤษ \"UIVERSITY OF PHAYAO\" ภายใต้ชายธงสีทอง ล้อมรอบด้วยวงกลมพื้นสีม่วงและแถบสีทองชื่อโรงเรียนว่า \"โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา\" ไว้ส่วนบนของวงโค้ง ส่วนวงโค้งด้านล่างเขียนเป็นชื่อโรงเรียนด้วยตัวอักษรโรมันว่า \"Demonstration School ๐ University of Phayao\" และวงโค้งด้านซ้ายกับด้านขวามีรูปลายไทยเส้นสีขาว", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา" }, { "docid": "240531#0", "text": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) (; อักษรย่อ: สธมมส.(ฝ่ายมัธยม)) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2540 ตั้งอยู่ที่ กลุ่มอาคารเรียนมัธยม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขตพื้นที่ขามเรียง ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)" }, { "docid": "240531#8", "text": "ปีแรกของการเปิดทำการนั้น โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม) รับสมัครนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้องเรียน และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ห้องเรียน ผู้บริหารและคณาจารย์ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาโรงเรียนให้ก้าวหน้าในด้านวิชาการ ด้านบุคลากร ซึ่งมีทั้งอาจารย์ประจำ อาจารย์พิเศษและอาจารย์ชาวต่างประเทศ โรงเรียนได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือทางด้านงบประมาณ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคามโดยท่านอธิการบดี ภก.ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ให้ความอนุเคราะห์เป็นอย่างดี", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)" }, { "docid": "115167#16", "text": "9. การแข่งขันกีฬาสีภายใน เป็นการสร้างความสามัคคีของนักเรียนในโรงเรียนให้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย โดยแบ่งคณะสีออกเป็น 4 สีได้แก่ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีชมพู(แต่ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนสีประจำคณะเป็นสีเหลือง) มีชื่อการแข่งขันว่า สาธิตเทพสตรีเกมส์\n1. การแข่งขันกีฬาสาธิตราชภัฏสัมพันธ์ (มัธยมศึกษา) กีฬาสาธิตราชภัฏสัมพันธ์ เป็นการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนมัธยมสาธิตที่สังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีงามทั้ง 9 สถาบัน โดยจะเวียนเป็นเจ้าภาพใน 10 สถาบัน ซึ่งประกอบไปด้วย", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี" }, { "docid": "240531#4", "text": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2540 โดยได้รับการอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม โรงเรียนมีเป้าหมายหลักในการให้สวัสดิการทางการศึกษาแก่บุตรของบุคลากรในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก่อนการก่อตั้งโรงเรียนได้มีคณะกรรมการศึกษาถึงวิธีการดำเนินการ ปัญหาและอุปสรรคของโรงเรียนสาธิตตลอดจนความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเรียกว่า \"คณะกรรมการโครงการจัดตั้งโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม\" ประกอบไปด้วยคณาจารย์จากคณะต่างๆ มาร่วมเป็นกรรมการดำเนินงาน ด้วยเหตุที่โรงเรียนก่อตั้งใหม่ นอกจากนี้ยังประสบปัญหา อีกหลายประการ อันเนื่องมาจากการขาดแคลนงบประมาณ ทำให้ไม่มีสถานที่เรียนที่แน่นอน ต้องย้ายที่ทำการบ่อยครั้ง", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)" }, { "docid": "240531#10", "text": "ปัจจุบันโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม) เปิดดำเนินการสอนระดับช่วงชั้นที่ 3-4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6) โดยช่วงชั้นที่ 3 เปิดสอน 2 หลักสูตร คือหลักสูตรปกติและหลักสูตรโครงการส่งเสริมศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ ในช่วงชั้นที่ 4 เปิดสอน 4 แผนการเรียน 6 หลักสูตร ได้แก่ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ จำนวน 2 หลักสูตร คือหลักสูตรปกติแบ่งเป็น 3 สาขา คือ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาขาวิทยาศาสตร์วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป กับหลักสูตรโครงการส่งเสริมศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ ด้านวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาฝรั่งเศส/ภาษาจีน/ภาษาญี่ปุ่น จำนวน 2 หลักสูตรคือหลักสูตรปกติและหลักสูตรโครงการส่งเสริมศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านภาษาอังกฤษ และแผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ดนตรี จำนวน 1 หลักสูตร", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)" } ]
2906
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "37967#0", "text": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระนามเดิม พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (10 กันยายน พ.ศ. 2405 — 17 ธันวาคม พ.ศ. 2498) เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม) เป็นพระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก ลำดับที่ 60 ในจำนวนทั้งหมด 82 พระองค์ โดยรับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "37967#4", "text": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 60 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นลำดับที่ 4 ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเปี่ยม ทรงพระราชสมภพในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันพุธ เดือน 10 แรม 2 ค่ำ ปีจอ จัตวาศก จ.ศ. 1224 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2405 โดยได้รับพระราชทานพระราชหัตถเลขาตั้งพระนามจากสมเด็จพระบรมชนกนาถเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2405 ซึ่งเป็นวันทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนว่า \"พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา\" พระราชหัตถเลขามีดังนี้", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" } ]
[ { "docid": "37967#1", "text": "พระองค์เป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของไทย เป็นสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมเด็จพระอัยยิกาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "37967#44", "text": "วังสระปทุมเป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินริมถนนปทุมวัน เพื่อสร้างวังสำหรับพระราชโอรส คือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และประมาณปี พ.ศ. 2456 สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นอีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ประทับจนกระทั่งเสด็จสวรรคต", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "37967#29", "text": "ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 เมื่อพระองค์ทรงเจิมหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรแล้ว มีรับสั่งว่า \"\"หันออกไปยิ้มกับผู้คนที่เข้ามาซิ เขาอุตส่าห์มากันเต็ม ๆ ออกไปให้เขาเห็นหน่อย\"\" ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่ผู้เข้าเฝ้า ณ ที่นั้นเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพระองค์ทรงเลือนพระสัญญาด้วยทรงเจริญพระชนมพรรษาเกือบ 90 พรรษาแล้วในขณะนั้น และมักจะไม่มีพระราชเสาวนีย์แก่ผู้มาเฝ้าเท่าใดนัก", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "40282#0", "text": "พันเอกหญิง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เป็นพระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก โดยรับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระเชษภคินีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี) และพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า)", "title": "สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" }, { "docid": "38039#0", "text": "สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี หรือที่ชาวบ้านเรียกพระนามว่า \"สมเด็จพระนางเรือล่ม\" (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423) มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์” เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา ประสูติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 เป็นพระเจ้าลูกเธอรุ่นเล็ก ลำดับที่ 50 ในจำนวนทั้งหมด 82 พระองค์ โดยรับราชการฝ่ายในเป็นพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยพระขนิษฐาร่วมพระโสทรทั้ง 2 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง)", "title": "สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี" }, { "docid": "70175#0", "text": "สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา เดิมคือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม (สกุลเดิม: สุจริตกุล; ประสูติ: 5 มีนาคม พ.ศ. 2381 - พิราลัย: 13 เมษายน พ.ศ. 2447) พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมารดาของพระอัครมเหสีไทยถึงสามพระองค์คือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี, สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถือเป็นพระสัสสุ (แม่ยาย) ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ของพระมหากษัตริย์ไทยสองพระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังเป็นพระปัยยิกา (ย่าทวด) ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช", "title": "สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา" }, { "docid": "37967#26", "text": "เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระราชนัดดา เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเฉลิมพระนามสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี ขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตามพระราชสัมพันธ์ที่สมเด็จฯ ทรงมีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 คือเป็นพระอัยยิกา (ย่า) และทรงดำรงพระอิสริยยศนี้จนตลอดพระชนมายุ", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" }, { "docid": "37967#33", "text": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 10 พระองค์ เป็นพระราชโอรส 4 พระองค์ เป็นพระราชธิดา 4 พระองค์ ตกเสียก่อนเป็นพระองค์ 2 ดังต่อไปนี้นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับอภิบาลพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กำพร้าพระมารดาอีก 4 พระองค์ นั่นคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง เช่นเดียวกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพร้อม", "title": "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" } ]
2912
ใครเป็นผู้แต่งเรื่องสามก๊ก ?
[ { "docid": "9800#0", "text": "สามก๊ก ( ; ) เป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลก เป็นมรดกทางปัญญาของปราชญ์ชาวตะวันออกที่สุดยอด มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 10 ภาษาและมีการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่งขึ้นประมาณในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุคสมัยราชวงศหมิง บทประพันธ์โดยหลัว กวั้นจง () แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2345 ในรูปแบบสมุดไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ ในปี พ.ศ. 2408 และได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งภายใต้ชื่อ \"หนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภา\" โดยโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ในปี พ.ศ. 2471 ปัจจุบันสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้รับการตีพิมพ์ใหม่อีกหลายครั้งโดยหลายสำนักพิมพ์ถือเป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เล่มที่ 2 โดยแปลจากไซ่ฮั่นและเก่าแก่ที่สุดในไทย", "title": "สามก๊ก" } ]
[ { "docid": "84540#0", "text": "สามก๊ก มหาสนุก เป็นงานเขียนการ์ตูนเรื่องยาวจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนเรื่อง สามก๊ก (แต่งโดย หลอกว้านจง) โดย สุชาติ พรหมรุ่งโรจน์ (หมู นินจา) ตีพิมพ์ในนิตยสารมหาสนุกตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จนถึง พ.ศ. 2550 ได้พิมพ์รวมเล่มเป็นการ์ตูนสีรวมทั้งหมด 45 เล่ม และบริษัทวิธิตาได้นำเรื่องสามก๊กมาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นมาแล้ว 2 ภาค ออกฉายทางช่อง 7 ล่าสุดได้รับการแปลเป็นภาษาเกาหลีแล้ว ซึ่งจัดจำหน่ายโดย บริษัท พีเอ็มจี โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ซัมซุง บุ๊ค พับลิเชอร์", "title": "สามก๊ก มหาสนุก" }, { "docid": "9800#35", "text": "สามก๊กฉบับวณิพก ผลงานการประพันธ์ของยาขอบ เป็นการเล่าเรื่องสามก๊กใหม่ในแบบฉบับของตนเอง และเน้นตัวละครเป็นตัวไป เช่น เล่าปี่ผู้พนมมือแด่ชนทุกชั้น, โจโฉผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ, จิวยี่ผู้ถ่มน้ำลายรดฟ้า, ตั๋งโต๊ะผู้ถูกแช่งทั้งสิบทิศ, ลิโป้อัศวินหัวสิงห์, จูกัดเหลียงผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน, เตียวหุยคนชั่วช้าที่น่ารัก, กวนอูเทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ, จูล่งวีรบุรุษแห่งเสียงสาน, ยี่เอ๋งผู้เปลือยกายตีกลอง เป็นต้น อีกทั้งยังได้เพิ่มสำนวนและการวิเคราะห์ส่วนตัวเข้าไปด้วย โดยอาศัยสามก๊กฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์มาประกอบร่วมกับสามก๊กฉบับภาษาไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ผดุงศึกษา ในปี พ.ศ. 2529 จำนวน 2 เล่ม และตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในปี พ.ศ. 2530 - 2540 โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้าในรูปแบบของหนังสือชุดจำนวน 8 เล่ม และตีพิมพ์เป็นเครื่องระลึกในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาลของยาขอบโดยสำนักพิมพ์แสงดาว ในปี พ.ศ. 2551 จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกแข็งสองเล่ม", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#12", "text": "ซันกั๋วจือทงสูหยั่นอี้ () เป็นสามก๊กฉบับนิยายที่ประพันธ์โดยหลัว กวั้นจง นักปราชญ์ในสมัยราชวงศ์หมิง ผู้เป็นศิษย์เอกของซือไน่อัน หลัว กวั้นจงเป็นผู้นำเอาจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่วมาเรียบเรียงใหม่ โดยแต่งเสริมเพิ่มเติมในบางส่วนจากความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของตนเอง รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของจีนให้กลายเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เป็นการต่อสู้กันเองระหว่างฝ่ายคุณธรรมและฝ่ายอธรรมตามแบบฉบับของงิ้ว ที่จะต้องมีการกำหนดตัวเอกและตัวร้ายอย่างชัดเจนในเนื้อเรื่อง", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#60", "text": "สามก๊ก มหาสนุก เป็นงานเขียนการ์ตูนเรื่องสามก๊ก เรื่องและภาพโดยหมู นินจา ตีพิมพ์ในนิตยสารมหาสนุกตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จนถึง พ.ศ. 2550 ภายหลังได้มีการตีพิมพ์รวมเล่มเป็นการ์ตูนสีรวมทั้งหมด 45 เล่ม และบริษัทวิธิตาได้นำเรื่องสามก๊กมาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นจำนวน 2 ภาค ล่าสุดได้รับการแปลเป็นภาษาเกาหลี จัดจำหน่ายโดย บริษัท พีเอ็มจี โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ซัมซุง บุ๊ค พับลิเชอร์", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "121597#0", "text": "สามก๊ก () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องยาว ที่แปลมาจาก วรรณกรรรมจีน เรื่องสามก๊ก วาดภาพโดย มิตสึเทรุ โยโกยามะ ต่อมาได้ถูกสร้างเป็นอะนิเมะ ในปี พ.ศ. 2534 ออกอากาศทางสถานีทีวีโตเกียว และสร้างเป็นเกม สำหรับเครื่องนินเทนโดดีเอส ในปี พ.ศ. 2550 เนื้อเรื่องในการ์ตูน แปลมาจาก หนังสือสามก๊กฉบับภาษาญี่ปุ่น ของเออิจิ โยชิคาวะ ซึ่งจะแตกต่างจาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)หรือ สามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบเล็กน้อย สามก๊กเป็นนิยาย ที่เต็มไปด้วย แผนการรบและกลอุบาย จนมีคำกล่าวว่า \"อ่านสามก๊กครบสามจบ คบไม่ได้\" ในประเทศไทย สำนักพิมพ์จัมโบ้ จัดพิมพ์สามก๊กเป็นเล่มใหญ่ โดยแบ่งเป็น 15 เล่ม", "title": "สามก๊ก (การ์ตูน)" }, { "docid": "178114#3", "text": "ซึ่งทำให้ผู้ชมไม่ทราบว่าจูล่งตายหรือไม่สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร เป็นสามก๊กฉบับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2551 เช่นเดียวกับ \"สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ\" ของจอห์น วู แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ไปทางลบ เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เจาะเฉพาะตัวละครเอกคือ จูล่ง เพียงคนเดียว โดยเล่าเรื่องราวของจูล่งตั้งแต่หนุ่มยันแก่ อีกทั้งเนื้อเรื่องก็มิได้เป็นไปตามวรรณกรรมด้วย มีตัวละครหลายตัวที่ถูกแต่งขึ้นมา เช่น โจอิง หรือ หลอผิงอัน เป็นต้น อีกทั้งหลายส่วนในเรื่องก็ไม่เป็นไปตามวรรณกรรม เช่น ชุดเกราะของจูล่งที่ในวรรณกรรมระบุว่าสวมเกราะสีเงิน แต่ในภาพยนตร์กลับสวมเกราะที่มีลักษณะคล้ายเกราะของซามูไรมากกว่า จึงทำให้ในเว็บไซต์ IMDb ให้เครดิตภาพยนตร์เรื่องนี้เพียง 5.7 ดาว จาก 10 ดาวเท่านั้น", "title": "สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร" }, { "docid": "9800#54", "text": "สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกรนำแสดงโดย หลิวเต๋อหัว, แม็กกี้ คิว, หงจินเป่า, แวนเนส วู, แอนดี้ อัง, ตี้หลุง กำกับการแสดงโดย แดเนียล ลี ความยาว 102 นาที ออกฉายเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551 ในประเทศไทยฉายวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551 สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกรได้รับเสียงวิจารณ์ไปทางลบเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เป็นการเจาะเฉพาะตัวละครเอกของเรื่องคือจูล่งเพียงคนเดียว โดยเป็นการเล่าเรื่องราวประวัติของจูล่งตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงวัยชรา รวมทั้งเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ก็ไม่ได้เป็นไปตามวรรณกรรมอีกด้วย และมีตัวละครหลายตัวที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะเช่น โจอิง หรือ หลอผิงอัน เป็นต้น และอีกหลายส่วนในเรื่องก็ไม่เป็นไปตามวรรณกรรมเช่นชุดเกราะของจูล่งที่ในวรรณกรรมระบุว่าสวมเกราะสีเงิน แต่ในภาพยนตร์กลับสวมเกราะที่มีลักษณะคล้ายเกราะของซามูไรมากกว่า จึงทำให้ในเว็บไซต์ IMDb ให้เครดิตภาพยนตร์เรื่องนี้เพียง 5.7 ดาว จาก 10 ดาวเท่านั้น", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "9800#59", "text": "หงสาจอมราชันย์ เป็นการ์ตูนฮ่องกง เรื่องโดยเฉินเหมา นักเขียนการ์ตูนชาวฮ่องกง ตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เรื่องราวหยิบยกเอาเหตุการณ์ในสามก๊ก จากทั้งวรรณกรรมและพงศาวดารมาเป็นโครงเรื่อง ซึ่งบางส่วนมีการตีความลักษณะของตัวละครขึ้นมาใหม่จากความคิดของเฉินเหมาเอง โดยมีสุมาอี้และเหลี่ยวหยวนหว่อหรือจูล่งเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ปัจจุบันนอกจากฮ่องกงกับไต้หวันแล้ว หงสาจอมราชันย์ยังถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม สิงคโปร์ และไทย", "title": "สามก๊ก" }, { "docid": "121597#1", "text": "หนังสือสามก๊ก ฉบับการ์ตูน เริ่มต้นฉบับในแม็กกาซีน \"คิโบ โน โทโมะ\" (Kibō no Tomo) แม้ว่าเออิจิ โยชิคาวะ จะเขียนเนื้อเรื่องถึงแค่ตอนที่ ขงเบ้งเสียชีวิต หนังสือการ์ตูนได้เขียนจนถึง ตอนที่จกก๊กล่มสลาย หนังสือสามก๊กนี้ ทำให้ผู้เขียน มิตสึเทรุ โยโกยามะ ได้รับรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยม จากสมาคมนักการ์ตูนญี่ปุ่น ในปี 2534 การ์ตูนสามก๊ก Yokoyama Mitsuteru Sangokushi", "title": "สามก๊ก (การ์ตูน)" }, { "docid": "84540#2", "text": "การ์ตูนสามก๊กฉบับนี้ดำเนินเรื่องค่อนข้างรวดเร็ว แต่คงเนื้อหาและใจความหลักของเรื่องเดิมไว้เป็นส่วนใหญ่ ภายในเรื่องจะมีการสอดแทรกมุขเสียดสีสถานการณ์บ้านเมืองขณะที่เขียนไว้อย่างแสบๆ คันๆ อยู่เสมอ ตอนใดที่ในสามก๊กฉบับภาษาจีนมีบทกวีที่ไพเราะ ก็จะมีการแปลแทรกและเขียนประกอบไว้ในเรื่องด้วย เช่น ตอนหองจูเปียนรำพันก่อนถูกลิยู ลูกน้องของตั๋งโต๊ะปลงพระชนม์ ตอนโจสิดต้องร่ายกลอนให้สำเร็จภายในชั่ว 7 ก้าวเดินเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นต้น", "title": "สามก๊ก มหาสนุก" } ]
2920
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐแอละแบมาคืออะไร?
[ { "docid": "15661#1", "text": "แอละแบมา มีชื่อเล่นว่า Yellowhammer หลังจากของรัฐแอละแบมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ \"หัวใจของ Dixie\" \"รัฐฝ้าย\" ต้นไม้รัฐเป็นไม้สนและ เมืองหลวงของเมืองแอละแบมาเป็นเมือง \"มอนต์กอเมอรี\"เมืองใหญ่ที่สุดของเมืองคือ\"เบอร์มิงแฮม\" ซึ่งเป็นเมืองที่มีการเติบโตเป็นเวลามากเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ ฮันต์สวิลล์ เมืองที่เก่าแก่ที่สุดคือมือถือก่อตั้งขึ้นโดยอาณานิคมฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1702 เป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส ลุยเชียนา.", "title": "รัฐแอละแบมา" }, { "docid": "622327#0", "text": "มอนต์กอเมอรี () เป็นเมืองหลวงของรัฐแอละแบมาและเป็นเคาน์ตีซีตของมอนต์กอเมอรีเคาน์ตีสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแอละแบมา จากการสำมะโนสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2010 มีประชากร 205,764 คน เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัฐแอละแบมา รองจากเมืองเบอร์มิงแฮม และเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 103 ของสหรัฐอเมริกา", "title": "มอนต์กอเมอรี (รัฐแอละแบมา)" } ]
[ { "docid": "939957#0", "text": "โมบีล () เป็นเมืองเอกของเทศมณฑลโมบีล รัฐแอละแบมา สหรัฐอเมริกา ประชากรภายในเขตเมืองมีจำนวน 195,111 คน ตามสำมะโนสหรัฐ ค.ศ. 2010 ทำให้เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ในรัฐแอละแบมา มากที่สุดในเทศมณฑลโมบีล และเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ในบรรดาเมืองที่อยู่ระหว่างนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา, และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัฐฟลอริดา", "title": "โมบีล (รัฐแอละแบมา)" }, { "docid": "15661#0", "text": "รัฐแอละแบมา (, ) เป็นรัฐที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกามีพื้นที่ทั้งหมด 135,775 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 4,447,100 คน ทางทิศเหนือของรัฐจรดรัฐเทเนสซี ทิศตะวันออกจรดรัฐจอร์เจีย ทิศใต้จรดรัฐฟลอริดาและอ่าวเม็กซิโก และทิศตะวันตกจรดรัฐมิสซิสซิปปี รัฐแอละแบมาเป็นรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 30 และเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 24", "title": "รัฐแอละแบมา" }, { "docid": "938958#1", "text": "อินเตอร์สเตต 65 เชื่อมต่อพื้นที่เมืองหลายแห่งในภูมิภาคสหรัฐตะวันตกกลางและสหรัฐใต้ ซึ่งเชื่อมต่อเมืองใหญ่ 4 แห่งในรัฐแอละแบมา ได้แก่ โมบีล มอนต์กอเมอรี เบอร์มิงแฮม และฮันต์สวิลล์ และยังเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ผ่านเมืองแนวเหนือ–ใต้ของแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี, ลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี, และอินเดียแนโพลิส รัฐอินดีแอนา", "title": "อินเตอร์สเตต 65" }, { "docid": "958996#1", "text": "คาบสมุทรเป็นบ้านของผู้คน 262,410 คน ราวร้อยละ 51 ของประชากรในนิวฟันด์แลนด์ จากข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรแคนาดาปี ค.ศ. 2011 คาบสมุทรยังเป็นที่ตั้งของเมืองเซนต์จอนส์ เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ สามารถติดต่อกับพื้นที่ใหญ่กับเกาะโดยผ่านคอคอดแอวาลอน ที่มีความกว้าง บริเวณคาบสมุทรยังเป็นแหล่งจับปลาใกล้กับแกรนด์แบงส์ ยังมี 4 อ่าวสำคัญคือ อ่าวทรินิตี, อ่าวคอนเซปชัน, อ่านเซนต์แมรี และอ่านแพลเซนเทีย ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมจับปลาของนิวฟันด์แลนด์", "title": "คาบสมุทรแอวาลอน" }, { "docid": "15661#2", "text": "จากสงครามกลางเมืองอเมริกาจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง แอละแบมา เช่นรัฐในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา มีปัญหาทางเศรษฐกิจ การพึ่งพาการเกษตรอย่างต่อเนื่องรัฐสภากฎหมายเมืองหลวง เมืองแอปาเมียร์ และไม่สามารถเลือกปฏิบัติกับชาวแอฟริกันได้จากการสิ้นสุดยุคใหม่ได้ถึงแม้ว่าจะมีการเติบโตของอุตสาหกรรมหลักและศูนย์กลางเมืองความสนใจในชนบทสีขาวที่โดดเด่นของรัฐนิติบัญญัติจาก 1901 ถึง 1960 ในช่วงเวลานี้ความสนใจในเมืองและชาวอเมริกันแอฟริกันได้รับความเห็นชอบตามปกติหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง, แอละแบมาโตรินวูกล่าวว่า\"เป็นรัฐเศรษฐกิจของรัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงจากการเกษตรที่มีส่วนได้เสียอย่างมากโดยมีความหลากหลาย\"เศรษฐกิจของรัฐในศตวรรษที่ 21 ขึ้นอยู่กับการจัดการยานยนต์,การเงิน,การผลิต,การศึกษา,และการค้า.", "title": "รัฐแอละแบมา" }, { "docid": "431818#0", "text": "ฮาราเร (ก่อน พ.ศ. 2525 ชื่อ ซอลส์บรี) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศซิมบับเว ใน พ.ศ. 2552 มีการประเมินประชากรไว้ที่ 1,606,000 คน โดยมี 2,800,000 คนในเขตปริมณฑล (พ.ศ. 2549) ในทางการปกครอง ฮาราเรเป็นนครอิสระมีฐานะเทียบเท่าจังหวัด เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางการปกครอง พาณิชย์และการสื่อสารของประเทศซิมบับเว นครนี้เป็นศูนย์กลางการค้ายาสูบ ข้าวโพด ฝ้ายและผลไม้สกุลส้ม การผลิตมีทั้งสิ่งท่อ เหล็กกล้าและเคมีภัณฑ์ ตลอดจนมีการขุดทองในพื้นที่ ฮาราเรตั้งอยู่ที่ความสูง 1,483 เมตรจกระดับน้ำทะเล และภูมิอากาศจัดอยู่ในประเภทอุณหภูมิอบอุ่น", "title": "ฮาราเร" }, { "docid": "15664#15", "text": "โอคลาโฮมาซิตีเป็นเมืองหลวงของรัฐและเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีประชากร 1,269,907 คนอาศัยอยู่ภายในเขตปริมณฑล (ค.ศ. 2008) เมืองทัลซา เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง มีประชากร 905,755 คนในเขตปริมณฑล \nระหว่างปี ค.ศ. 2005 และ 2006 เมืองปริมณฑลของทัลซา ประกอบด้วย เมืองเจ๊คส์ บิกซ์บาย และโอวาสโซ เป็นเมืองที่มีการเติบโตของประชากรสูงที่สุดของรัฐ ประชากรในเมืองเจ๊คส์เพิ่มขึ้น 47.9% เมืองบิกซ์บายเพิ่มขึ้น 44.56% และเมืองโอวาสโซเพิ่มขึ้น 34.31%", "title": "รัฐโอคลาโฮมา" }, { "docid": "15664#16", "text": "เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐโอคลาโฮมาในปี ค.ศ. 2007 ประกอบด้วย โอคลาโฮมาซิตี (547,274 คน) ทัลซา (384,037 คน) นอร์แมน (106,707 คน) ลอว์ตัน (91,568 คน) โบรกเคนแอร์โรว์ (90,714 คน) เอ็ดมันด์ (78,226 คน) มิดเวสต์ซิตี (55,935 คน) และมัวร์ (51,106 คน) โดยมี 7 เมืองที่อยู่ในเขตปริมณฑลของโอคลาโฮมาซิตีและทัลซา มีเพียงลอว์ตันเท่านั้นที่มีปริมณฑลตั้งอยู่ด้วยตนเอง", "title": "รัฐโอคลาโฮมา" } ]
2922
ภาษาอังกฤษมักถูกเรียกว่าเป็นอะไร?
[ { "docid": "2008#15", "text": "ภาษาอังกฤษมักถูกเรียกว่าเป็น \"ภาษาสากล\" เพราะมีการพูดอย่างกว้างขวาง และแม้จะมิใช่ภาษาราชการในประเทศส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบัน มีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด ตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของการสื่อสารการบินและในทะเล ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการโอลิมปิกสากล", "title": "ภาษาอังกฤษ" } ]
[ { "docid": "54410#1", "text": "ลาเบียมเป็นพหูพจน์ labia มาจาภาษาละติน หมายถึง \"ริมฝีปาก\" ใช้อธิบายถึงโครงสร้างคล้ายริมฝีปาก แต่ในภาษาอังกฤษมักใช้เรียกส่วนของช่องสังวาสวัฒนธรรมเกือบทั้งหมด ในบรรดาส่วนที่มองเห็นได้เกือบทั้งหมดของเพศหญิง แคมมักถูกพิจารณาว่าเป็นของสงวน การเปิดเผยส่วนนี้จะถูกควบคุมโดยจารีตแห่งวัฒนธรรมสังคมอย่างเคร่งครัด", "title": "แคม (อวัยวะเพศ)" }, { "docid": "2008#34", "text": "ไวยากรณ์อังกฤษมีการผันคำน้อยเมื่อเทียบกับภาษาอื่นในตระกูลอินโด-ยูโรเปียนส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น ภาษาอังกฤษใหม่ ซึ่งไม่เหมือนกับภาษาเยอรมันหรือดัตช์ใหม่ และภาษาโรมานซ์ ไม่มีเพศทางไวยากรณ์และความสอดคล้องของคุณศัพท์ เครื่องหมายการกแทบไม่ปรากฏในภาษาอังกฤษและส่วนใหญ่มีอยู่เฉพาะในสรรพนาม การวางแบบผันกริยาแข็ง (เช่น speak/spoke/spoken) กับผันกริยาอ่อน (เช่น love/loved หรือ kick/kicked) ซึ่งรับมาจากภาษาเยอรมันลดความสำคัญลงในภาษาอังกฤษใหม่ และส่วนที่เหลือของการผันคำ (เช่น เครื่องหมายพหูพจน์) กลายมาพบได้มากขึ้น", "title": "ภาษาอังกฤษ" }, { "docid": "2008#24", "text": "ส่วนสระนั้น ความสอดคล้องระหว่างการสะกดและการออกเสียงยิ่งไม่สม่ำเสมอ ภาษาอังกฤษมีหน่วยเสียงสระมากกว่าอักษรสระ (a, e, i, o, u) มาก ซึ่งหมายความว่า การประสมอักษรมักจำเป็นต้องใช้ระบุสระประสมสองเสียงและสระยาวอื่น ๆ (เช่น oa ในคำว่า boat และ ay ในคำว่า stay) หรือการใช้ e ที่ไม่ออกเสียงหรืออุบายคล้ายกันแทน (เช่นในคำว่า note และ cake) ทว่า อุบายเหล่านี้ก็ยังไม่ใช้คงเส้นคงวา ฉะนั้น การออกเสียงสระจึงยังเป็นแหล่งความไม่สม่ำเสมอหลักในอักขรวิธีภาษาอังกฤษ", "title": "ภาษาอังกฤษ" }, { "docid": "212419#1", "text": "คำว่า “ชั่วโมง” ในคำภาษาอังกฤษสำหรับหนังสือกำหนดเทศกาลนั้น มาจากภาษาละติน ว่า “horae” แต่ถ้าเป็นหนังสือสวดมนต์ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็มักจะเรียกว่า “primer” หนังสือกำหนดเทศกาลมักจะเขียนเป็นภาษาละติน แต่ก็มีบ้างที่เขียนเป็นภาษาพื้นเมืองของยุโรป หนังสือจำนวนมากที่ยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันอยู่ในมือของห้องสมุดหรือของผู้สะสมส่วนบุคคล", "title": "หนังสือกำหนดเทศกาล" }, { "docid": "184645#2", "text": "ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นว่า ด้วยหลายหลากเหตุผล นายฟาวเลอร์ เอช.ดับเบิลยู. (Fowler H.W.) จึงเขียนหนังสือชื่อ \"เดอะคิงส์อิงลิช\" (The King's English) หรือ \"ภาษาอังกฤษอย่างบริเตน\" โดยเนื้อหากว่ายี่สิบหน้าในหนังสือดังกล่าวอธิบายกฎของการใช้ shall และ will พร้อมกับคำวิจารณ์ว่า การไปรับเอากริยานุเคราะห์ทั้งสองมาจากภาษาเยอรมันโดยที่ชาวอังกฤษเองก็ไม่ใคร่เข้าใจการใช้มากมายนัก ทำให้เป็นความวุ่นและอลเวงอยู่ในบัดนี้", "title": "Shall และ will" }, { "docid": "183290#1", "text": "อักขรวิธีของภาษาจะถูกจัดว่า \"เพียงพอ\" ถ้าหากมีหน่วยอักขระ (grapheme) กับหน่วยเสียง (phoneme) ที่เท่ากันหนึ่งต่อหนึ่ง อักขรวิธีอาจมีระดับความเพียงพอที่เปลี่ยนแปรไปตามการอ่านและการเขียน ตัวอย่างเช่น อักษรที่ประกอบกันอย่างทวิอักษรและเครื่องหมายเสริมอักษรทำให้เกิดรูปร่างของคำที่สามารถอ่านได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกัน การใช้อะพอสทรอฟีหรือเครื่องหมายเสริมจำนวนมากก็ทำให้การเขียนทำได้ช้าลง หรือการใช้สัญลักษณ์อื่นที่ไม่มีอยู่บนผังแป้นพิมพ์มาตรฐาน ทำให้การป้อนข้อมูลสู่คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะดวก สิ่งเหล่านี้เป็นมูลเหตุพิจารณาในการออกแบบระบบการเขียน", "title": "อักขรวิธี" }, { "docid": "454234#3", "text": "คำ \"blackmail\" ในภาษาอังกฤษนั้น เดิมเป็นคำหนึ่งในบรรดาคำทั้งหลายที่ใช้เรียก \"ส่วย\" (tribute) หรือที่ปัจจุบันมักเรียกว่า \"ค่าคุ้มครอง\" (protection racket) ซึ่งชาวอังกฤษและสกอตที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดนต้องจ่ายให้แก่อันธพาลตามชายแดน (Border Reivers) เพื่อแลกกับการคุ้มครองให้พ้นจากการถูกเกะกะระรานและก่อกวนรังแกต่าง ๆ คำ \"mail\" นั้นมาจากคำในภาษาอังกฤษมัชฌิมยุคว่า \"male\" หมายความว่า ส่วย หรือค่าเช่า ซึ่งอาจจ่ายเป็นทรัพย์สิ่งของหรือแรงงานก็ได้ ส่วยเช่นนี้จึงเรียกว่า \"ส่วยมืด\" (reditus nigri ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า black mail) ตรงกันข้ามกับส่วยที่จ่ายเป็นเงิน (silver) หรือเงินตรา (money) เรียก \"ส่วยขาว\" (reditus albi หรือ blanche firmes ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า white rent)", "title": "การรีดเอาทรัพย์" }, { "docid": "55593#3", "text": "อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลเหล่านั้นมักไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเกรียน ซึ่งดูเหมือนเป็นการแบ่งแยกทางสังคม บางครั้งก็กลับเรียกบุคคลอื่นว่าเป็นเกรียนก็มี และเนื่องด้วยนิสัยส่วนตัวที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง เกรียนจึงใช้ศัพท์สแลงแทนตัวอีกคำหนึ่งคือ \"เทพ\" เช่น \"เกรียนเทพ\" เป็นต้น ซึ่งใช้เปรียบว่าตนเองมีอำนาจหรือมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้อื่น และมองผู้อื่นว่าด้อยกว่าตน เนื่องจากจุดเริ่มต้นที่เว็บไซต์หรือระบบในเกมออนไลน์บางแห่งไม่รองรับอักษรไทย จึงเขียนเป็น \"Inw\" (ไอ เอ็น ดับเบิลยู) ในลักษณะลีทซึ่งคล้ายคำว่า \"เทพ\" คำนี้สามารถพบเห็นได้บ่อยพอ ๆ กับคำว่าเกรียนและถูกใช้ควบคู่กันเรื่อยมา", "title": "เกรียน" }, { "docid": "869071#0", "text": "international auxiliary language (มักย่อในภาษาอังกฤษเป็น IAL หรือ auxlang หรืออาจเรียกว่า interlanguage) คือภาษาที่ช่วยในการสื่อสารระหว่างคนจากหลากหลายประเทศ ที่ไม่ได้ใช่ภาษาแม่ร่วมกัน โดยมีหลายภาษาที่ถือว่าเข้าข่าย ในอดีตเช่น ภาษากรีก ภาษาละติน และในปัจจุบันเช่น ภาษาจีนมาตรฐาน ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย ภาษาสเปน ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ เป็นต้น แต่เนื่องจากภาษาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเอาชนะทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศเจ้าของภาษา บางคนจึงต้องการให้มีภาษาประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเป็นทางออกของปัญหานี้ โดยภาษาประดิษฐ์ที่มักถูกกล่าวถึงคือ ภาษาเอสเปรันโต ภาษาอินเทอร์ลิงกวา และภาษาอิดอ", "title": "ภาษาช่วยสื่อสารนานาชาติ" }, { "docid": "2008#0", "text": "ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาอังกฤษใหม่ เป็นภาษาในกลุ่มภาษาเจอร์แมนิกตะวันตกที่ใช้ครั้งแรกในอังกฤษสมัยต้นยุคกลาง และปัจจุบันเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก ประชากรส่วนใหญ่ในหลายประเทศ รวมทั้ง สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และประเทศในแคริบเบียน พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ที่มีผู้พูดมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน มักมีผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองอย่างกว้างขวาง และภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหภาพยุโรป หลายประเทศเครือจักรภพแห่งชาติ และสหประชาชาติ ตลอดจนองค์การระดับโลกหลายองค์การ", "title": "ภาษาอังกฤษ" } ]
2923
นาซ่า เป็นหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ?
[ { "docid": "3817#0", "text": "องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ () หรือ องค์การนาซา () ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ตามรัฐบัญญัติการบินและอวกาศแห่งชาติ เป็นหน่วยงานส่วนราชการ รับผิดชอบในโครงการอวกาศและงานวิจัยห้วงอากาศอวกาศ (aerospace) ระยะยาวของสหรัฐ คอยจัดการหรือควบคุมระบบงานวิจัยทั้งกับฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 องค์การนาซาได้ประกาศภารกิจหลักคือการบุกเบิกอนาคตแห่งการสำรวจอวกาศ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และงานวิจัยทางการบินและอวกาศ", "title": "นาซา" }, { "docid": "3817#3", "text": "วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ลงนามในกฎหมายการบินและอวกาศแห่งชาติ ค.ศ. 1958 เพื่อก่อตั้งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ขณะนั้นนาซาประกอบด้วยห้องปฏิบัติการ 4 แห่ง มีพนักงานประมาณ 8,000 คน ที่โอนมาจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการบินแห่งชาติ (NACA) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของรัฐที่มีอายุกว่า 46 ปี", "title": "นาซา" } ]
[ { "docid": "725334#0", "text": "นาซา ทีวี () เป็นบริการโทรทัศน์ของหน่วยงานนาซา (องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ) แห่งรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ออกอากาศโดยใช้โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแบบการออกอากาศคู่ขนานผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลท้องถิ่นทั่วสหรัฐอเมริกา และเครือข่ายโทรทัศน์มือสมัครเล่นขาประจำอาจดำเนินรายการนาซา ทีวี ตามดุลพินิจของตัวเอง ในฐานะที่นาซาได้สร้างเนื้อหาที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผลงานของรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกาและเป็นสาธารณสมบัติ เครือข่ายนี้ได้รับการสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เพื่อให้รับข้อมูลจากผู้บริหารและวิศวกรของนาซา กับวิดีโอภารกิจแบบเรียลไทม์ นาซาได้ดำเนินการให้บริการโทรทัศน์ตั้งแต่การเริ่มต้นโครงการอวกาศสำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บสื่อถาวร และจัดทำสื่อภาพวิดีโอ", "title": "นาซา ทีวี" }, { "docid": "234320#0", "text": "องค์การนานารัฐอเมริกัน ( หรือย่อว่า OAS) เป็นองค์การระหว่างประเทศของหน่วยงานต่างๆ ในอเมริกาตามกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1948 เปิดรับสมาชิกในภาคพื้นอเมริกา เพื่อร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจและการศาล สังคม วัฒนธรรมและสันติภาพ รวมถึงให้ความช่วยเหลือทางด้านทหารในกรณีที่รัฐใดถูกรุกรานรัฐสมาชิก โดยมี หน่วยงานสำคัญคือ สำนักเลขาธิการตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซี มีสมาชิกอยู่ 35 ประเทศที่ล้วนอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ", "title": "องค์การนานารัฐอเมริกัน" }, { "docid": "84869#1", "text": "องค์การมหาชนมีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหน่วยงาน เพื่อรับผิดชอบภารกิจของรัฐในการให้บริการสาธารณะหรือดำเนินกิจกรรมเฉพาะด้านที่ภาครัฐยังจำเป็นต้องดำเนินการและจัดให้มี หรือภาครัฐต้องมีบทบาทให้การสนับสนุนในเรื่องงบประมาณเพื่อให้เกิดการดำเนินงาน เป็นบริการในส่วนที่รัฐต้องการส่งเสริม หรือเป็นบทบาทของรัฐในการให้บริการ การแทรกแซงตลาด หรือบริการที่ภาคเอกชนยังไม่สนใจหรือมีศักยภาพที่จะดำเนินการ", "title": "องค์การมหาชน" }, { "docid": "327180#1", "text": "เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ หรือ NSA ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในงานด้านการข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา ด้วยความล้ำหน้าทางด้านเทคโนโลยี NSA ได้สร้างเครื่องถอดรหัสที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก แต่ทว่ากลับมีรหัสหนึ่งที่เครื่องไม่สามารถถอดได้ จึงเป็นหน้าที่ของ \"ซูซาน เฟล็ตเชอร์\" หัวหน้าฝ่ายถอดรหัสต้องเข้ามาแก้ปัญหานี้ แต่เธอกลับพบกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอ เมื่อรหัสคอมพิวเตอร์ปริศนานั้นสามารถสั่นสะเทือนและทำลายวงการข่าวกรองสหรัฐอเมริกาได้ทีเดียว นอกจากที่เธอต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายนี้แล้ว เธอกลับต้องพบกับเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า", "title": "ล่ารหัสมรณะ" }, { "docid": "191832#0", "text": "การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน () เป็นกรณีหรือกระบวนการโอนความเป็นเจ้าของธุรกิจ วิสาหกิจ หน่วยงาน บริการสาธารณะหรือทรัพย์สินจากภาครัฐ (รัฐหรือรัฐบาล) มาเป็นภาคเอกชน (ธุรกิจซึ่งดำเนินการเพื่อกำไรส่วนตน) หรือองค์การไม่แสวงหาผลกำไรเอกชน คำดังกล่าวยังใช้ในความหมายที่แตกต่างออกไปด้วย โดยหมายถึง การที่รัฐบาลจ้างบริษัทเอกชนทำงานแทน เช่น การเก็บรายได้และภาษีอากร การบังคับใช้กฎหมาย การรวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ และการจัดการเรือนจำหรือสถานคุมขังกักกัน", "title": "การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน" }, { "docid": "58901#47", "text": "นอกเหนือจากข้อตกลงหลักระหว่างรัฐบาลนานาชาตินี้แล้ว ประเทศบราซิลยังมีสัญญากับองค์การนาซาในการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ และนาซ่าจะส่งชาวบราซิลหนึ่งคนขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ประเทศอิตาลีก็มีสัญญาลักษณะคล้ายคลึงกันนี้กับองค์การนาซาในการให้บริการลักษณะเดียวกัน แม้ว่าอิตาลีจะเป็นส่วนหนึ่งในโครงการอยู่แล้วในฐานะประเทศสมาชิกของ ESA ประเทศจีนก็แสดงความสนใจในโครงการนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกันกับองค์การอวกาศสหพันธรัฐรัสเซีย อย่างไรก็ดี นับถึง ค.ศ. 2009 ประเทศจีนยังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้เนื่องจากสหรัฐอเมริกาออกเสียงคัดค้าน", "title": "สถานีอวกาศนานาชาติ" }, { "docid": "766#21", "text": "อนึ่ง นอกจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่จัดให้มีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกแล้ว หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงในงานด้านประวัติศาสตร์ของชาติคือสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และยังมีหน่วยงานเอกชนที่สนับสนุนการศึกษาด้านนี้ด้วย แต่การดำเนินงานไม่เป็นที่กว้างขวางและแพร่หลายนักในสังคม เช่น", "title": "ประวัติศาสตร์" }, { "docid": "787703#1", "text": "สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นฐานรองรับการลงทุนและการสนับสนุนของภาครัฐ และการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาครัฐและเอกชนให้บรรลุเป้าประสงค์โดยเร็ว โดยกำหนดให้เป็นหน่วยงานกลางที่มีความสามารถและคล่องตัวเพื่อทำหน้าที่ประสานงานและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ อย่างครบวงจร", "title": "สถาบันวัคซีนแห่งชาติ" }, { "docid": "85728#1", "text": "ที่ปรึกษาหน่วยงานของรัฐและเอกชน", "title": "วิทยา มีวุฒิสม" } ]
2925
สหประชาชาติ ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "3818#0", "text": "สหประชาชาติ (; ตัวย่อ: UN) หรือ องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีความมุ่งหมายที่แถลงไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแทนที่สันนิบาตชาติ เพื่อยุติสงครามระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจา สหประชาชาติมีองค์กรจำนวนมากเพื่อนำภารกิจไปปฏิบัติ", "title": "สหประชาชาติ" }, { "docid": "28666#1", "text": "ด้วยเหตุนี้ องค์การสหประชาชาติจึงก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ซึ่งเป็นวันที่ประเทศจีน ประเทศฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ได้มีการให้สัตยาบันต่อกฎบัตรสหประชาชาติ โดยทุกประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติจะต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด ยกเว้นเพียงแต่นครรัฐวาติกันที่เป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ซึ่งเป็นข้อยกเว้น", "title": "กฎบัตรสหประชาชาติ" } ]
[ { "docid": "3818#58", "text": "คณะกรรมการพิเศษปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติได้ตัดสินใจสนับสนุนให้มีการผนวกปาเลสไตน์เข้ากับสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 1947 เป็นการตัดสินใจในช่วงแรกของการก่อตั้งสหประชาชาติ นับตั้งแต่นั้นมา สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในพื้นที่พิพาทดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ผ่านทางองค์การทำงานและบรรเทาทุกข์เพื่อชาวปาเลสไตน์ในดินแดนตะวันออกใกล้ประจำสหประชาชาติ และมอบเวทีแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านทางคณะกรรมการสิทธิ์การโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ แผนกสิทธิชาวปาเลสไตน์ประจำสหประชาชาติ คณะกรรมการพิเศษสืบสวนการละเมิดสิมธิมุนษยชนชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอล ระบบข้อมูลในกระทู้เกี่ยวกับปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติและวันแห่งความร่วมมือกับชาวปาเลสไตน์สากล สหประชาชาติได้สนับสนุนให้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างพรรคการเมือง โดยครั้งล่าสุด คือ แผนที่ถนนเพื่อสันติภาพ เมื่อปี ค.ศ. 2002", "title": "สหประชาชาติ" }, { "docid": "3818#54", "text": "องค์การสหประชาชาติได้รับการโต้เถียงและคำวิจารณ์มาตั้งแต่กิจกรรมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ในช่วงต้นของการก่อตั้งสหประชาชาติ ได้มีการต่อต้านสหประชาชาติในสหรัฐอเมริกาโดยสมาคมจอห์น เบิรช์ ซึ่งเริ่มต้นการรณรงค์ \"ดึงสหรัฐออกจากสหประชาชาติ\" ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ซึ่งกล่าวหาว่านโยบายของสหประชาชาติ คือ การก่อตั้งรัฐบาลโลกเพียงหนึ่งเดียว หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง คณะกรรมการว่าด้วยการปลดปล่อยแห่งชาติฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้เป็นรัฐบาลฝรั่งเศสในภายหลัง ดังนั้น ในช่วงแรกฝรั่งเศสจึงถูกกีดกันออกจากการประชุมเพื่อที่จะก่อตั้งองค์การใหม่ขึ้น ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ได้วิจารณ์สหประชาชาติว่า \"le machin\" (\"ไอ้สวะ\") และไม่เชื่อมั่นว่าพันธมิตรที่ร่วมกันรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศจะช่วยธำรงรักษาสันติภาพไว้ได้ โดยเสนอว่าการทำสนธิสัญญาป้องกันระหว่างประเทศโดยตรงจะดีกว่า ในปี ค.ศ. 1967 ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้วิจารณ์สหประชาชาติว่า \"พ้นสมัยและไม่เพียงพอ\" ต่อการจัดการปัญหาความขัดแย้งในสมัยนั้น อย่างเช่น สงครามเย็น จีน เคิร์กแพทริก ผู้เลือกให้โรนัลด์ เรแกนเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ได้เขียนความเห็นไว้ใน เดอะนิวยอร์กไทมส์ เมื่อปี ค.ศ. 1983 ว่ากระบวนการอภิปรายของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ \"มีส่วนเหมือนคนโง่\" ของสหรัฐอเมริกา \"มากกว่าการโต้วาทีทางการเมืองหรือเพื่อการแก้ปัญหาใด ๆ\"", "title": "สหประชาชาติ" }, { "docid": "3818#2", "text": "สหประชาชาติถูกก่อตั้งเพื่อสืบทอดองค์การสันนิบาตชาติ ซึ่งถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพที่จะธำรงรักษาสันติภาพ ดังที่เห็นได้จากความล้มเหลวในการป้องกันสงครามโลกครั้งที่สอง คำว่า \"สหประชาชาติ\" เป็นแนวคิดของแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์และวินสตัน เชอร์ชิลล์ พบใช้ครั้งแรกในกฎบัตรสหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ. 1942 ซึ่งเป็นการรวบรวมเอาประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร 26 ประเทศในสงครามโลกครั้งที่สองเข้าด้วยกันภายใต้การลงนามกฎบัตรแอตแลนติก และกลายเป็นคำที่ใช้เรียกองค์การนี้ในที่สุด ใน ค.ศ. 1944 ผู้แทนจากประเทศฝรั่งเศส สาธารณรัฐจีน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตเข้าร่วมประชุมเพื่อวางแผนการก่อตั้งสหประชาชาติที่ดัมบาตันโอกส์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การประชุมครั้งนั้นและครั้งต่อ ๆ มา ทำให้เกิดรากฐานความร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ความมั่นคง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม โดยแผนเหล่านี้ได้ผ่านการถกเถียงอภิปรายจากรัฐบาลและประชาชนจากทั่วโลก", "title": "สหประชาชาติ" }, { "docid": "739774#1", "text": "กลุ่มนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2507 โดย \"ปฏิญญาร่วมเจ็ดสิบเจ็ดประเทศ\" ซึ่งออกที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและพัฒนา (UNCTAD) มีการประชุมใหญ่ครั้งแรกในกรุงแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย ในปี 2510 ซึ่งมีการรับกฎบัตรแอลเจียร์และเริ่มพื้นฐานสำหรับโครงสร้างสถาบันถาวร มีกฎบัตรกลุ่ม 77 ในกรุงโรม (องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ) เวียนนา (องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมสหประชาชาติ) ปารีส (ยูเนสโก) ไนโรบี (โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ) และกลุ่ม 24 ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (กองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก)", "title": "กลุ่ม 77" }, { "docid": "51167#0", "text": "โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ () มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1972 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและประเมินแนวโน้มที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก ตลอดจนเสริมสร้างการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างชาญฉลาด ผ่านสถาบันและองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน", "title": "โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ" }, { "docid": "3818#41", "text": "ตลอดช่วงเวลาของสหประชาชาติ มีอาณานิคมกว่า 80 แห่งที่เรียกร้องเอกราช สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ออกปฏิญญาการมอบเอกราชให้แก่อาณานิคมและประชากรในปี ค.ศ. 1960 โดยไม่มีเสียงต่อต้านเลย ส่วนประเทศเจ้าอาณานิคมเพียงแต่งดลงคะแนนเสียงเท่านั้น ผ่านทางคณะกรรมการสหประชาชาติเพื่อการปลดปล่อยอาณานิคม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1962 สหประชาชาติได้ให้ความสนใจในการปลดปล่อยอาณานิคม คณะกรรมการดังกล่าวยังได้สนับสนุนรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจากการปกครองตัวเอง คณะกรรมการดังกล่าวดูแลการตรวจตราการปลดปล่อยอาณานิคมที่มีขนาดใหญ่กว่า 20,000 ตารางกิโลเมตร และถอดรายชื่อประเทศนั้น ๆ ออกจากรายชื่อดินแดนที่ไม่ได้ปกครองตนเองของสหประชาชาติ", "title": "สหประชาชาติ" }, { "docid": "120103#1", "text": "สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2493 โดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ภารกิจหลัก คือ การปกป้องและสนับสนุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยทั่วโลก ตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลในแต่ละประเทศหรือข้อเรียกร้องของสหประชาชาติ นอกจากนี้ สำนักงานฯ ยังมีหน้าที่สำคัญในการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทาง หรือ ประเทศที่สามเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่", "title": "ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ" }, { "docid": "3818#56", "text": "ในปี ค.ศ. 2004 อดีตเอกอัครทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ดอร์ โกลด์ ได้ตีพิมพ์หนังสือที่มีชื่อว่า \"Tower of Babble: How the United Nations Has Fueled Global Chaos\" ซึ่งได้วิจารณ์สหประชาชาติในสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ของศีลธรรมในการเผชิญหน้ากับการล้างชาติพันธุ์และการก่อการร้าย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาก่อตั้งกับเวลาปัจจุบัน ขณะที่สหประชาชาติในช่วงที่กำลังก่อตั้งมีความจำกัดต่อชาติที่ประกาศสงครามต่อประเทศฝ่ายอักษะอย่างน้อยหนึ่งประเทศ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และยังได้สามารถยืดหยัดต่อต้านความชั่วร้ายได้ ส่วนสหประชาชาติสมัยใหม่ตามความเห็นของโกลด์แล้ว มีความเจือจางลงจนถึงจุดที่มีเพียงรัฐสมาชิก 75 จาก 184 รัฐ (ในขณะนั้น) เท่านั้นที่ \"เป็นประชาธิปไตยเสรี เมื่อดูจากการสำรวจของฟรีดอมเฮาส์ เขาได้กล่าวต่อไปว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงสหประชาชาติ ดังนั้น ตัวองค์กรโดยรวมจึงมีแนวโน้มที่จะมีความต้องการตามอย่างของเผด็จการ", "title": "สหประชาชาติ" } ]
2935
การประสูติของพระเยซู เกิดขึ้นที่เมืองใด ?
[ { "docid": "147261#5", "text": "ในพระวรสารนักบุญลูกาโยเซฟและมารีย์เดินทางไปเบธเลเฮมซึ่งเป็นบ้านของบรรพบุรุษของโยเซฟเพื่อลงชื่อในสำมะโนประชากรผู้เสียภาษี การเดินทางไปเบธเลเฮมเป็นหัวเรื่องที่ไม่ค่อยนิยมสร้างกันทางตะวันตกแต่มักจะสร้างกันในชุดทางไบแซนไทน์ ขณะที่อยู่ที่เบธเลเฮมมารีย์ก็คลอดพระเยซูในโรงนาเพราะหาที่พักในโรงแรมไม่ได้ เมื่อคลอดออกมาก็มีเทวดามาปรากฏต่อหน้าคนเลี้ยงแกะบนเนินบริเวณนั้นและกล่าวว่า “พระผู้ช่วยให้รอด พระคริสต์เจ้าได้มาบังเกิดแล้ว” (Saviour, Christ the Lord was born) คนเลี้ยงแกะก็ไปที่โรงนาไปพบเด็กเกิดใหม่ห่อตัวอยู่ในผ้าในรางหญ้าตามที่เทวดาบรรยาย", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "681295#7", "text": "พระเยซูเป็นชาวยิว คริสต์ศาสนาถือโดยสมมติว่าวันประสูติของพระองค์คือวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1 (ซึ่งถือเอาวันประสูติเป็นปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช ซึ่งตรงกับพุทธศักราช 543) ณ หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดาห์ ในดินแดนปาเลสไตน์ (ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน) มารดาชื่อมารีย์ ชาวคริสต์เชื่อว่านางตั้งครรภ์โดยเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งที่เป็นหญิงพรหมจารี มีบิดาเลี้ยงชื่อโยเซฟ สมัยนั้นกษัตริย์ผู้ครองเมืองคือพระเจ้าเฮโรดมหาราช เมื่อได้ยินคำพยากรณ์ว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิดจึงคิดกำจัด โยเซฟและมารีย์จึงหนีไปอยู่อียิปต์เป็นการชั่วคราว เมื่อเรื่องราวสงบแล้วก็อพยพกลับถิ่นฐานเดิม พระเยซูเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี เมื่อวัยเยาว์พระเยซูเป็นผู้สนใจในเรื่องศาสนธรรมและเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีอายุครบ 30 ปี ได้ท่องเทียวไปในดินแดนปาเลสไตน์ ณ ริมแม่น้ำจอร์แดน ทรงพบกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา หลังที่ได้รับบัพติศมาแล้ว ได้เสด็จไปถิ่นกันดารเพียงพระองค์เดียว ทรงถือศีลอดโดยงดเว้นพระกระยาหารเป็นเวลา 40 วัน จากนั้นพระองค์ก็เริ่มสอนประชาชนให้ทราบถึงความรอดของมนุษย์ ซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า พระองค์มีอัครสาวกที่สำคัญ 12 คน (เนื่องจากวงศ์วานอิสราเอลมี 12 เผ่า) เรียกว่าอัครทูต สาวกคนแรกที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคือซีโมนเปโตร นักบุญอีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์คือเปาโลอัครทูต ซึ่งกลับใจจากผู้เบียดเบียนคริสตชน มาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์มาตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์", "title": "ประวัติศาสนาคริสต์" }, { "docid": "1010#5", "text": "ขณะที่มารีย์กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จักรพรรดิออกัสตัสได้มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน คนทั้งปวงต่างต้องเดินทางกลับไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน โยเซฟกับมารีย์จึงต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิดเมืองหนึ่งชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟเป็นเชื้อสายของดาวิด เมื่อเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์ประสูติ “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม”", "title": "พระเยซู" } ]
[ { "docid": "147261#7", "text": "พระวรสารนักบุญมัทธิวกล่าวถึง “โหราจารย์” จากตะวันออกผู้เห็นดาวสว่างบนฟ้าเมื่อพระเยซูเกิด ปราชญ์จึงได้ติดตามดาวมาเพราะเชื่อว่าดาวจะนำไปสู่พระราชาองค์ใหม่ เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเลมก็เข้าไปในวังซึ่งเป็นที่ที่ควรจะพบพระราชา พอไปถึงก็ไปถามพระเจ้าเฮโรดมหาราช ด้วยความที่กลัวจะถูกโค่นอำนาจ จึงส่งโหราจารย์ออกไปค้นหาพระราชาองค์ใหม่ที่ว่า และสั่งว่าเมื่อพบตัวก็ให้รีบมาบอก โหราจารย์ก็ตามดาวไปจนถึงเบธเลเฮม พอพบพระเยซูก็ถวายของขวัญที่เป็นทองคำ กำยาน (frankincense) และมดยอบ (myrrh) แล้วก็เตือนถึงความฝันที่ว่าพระเจ้าเฮโรดจะฆ่าเด็ก ว่าแล้วก็เดินทางกลับประเทศของตนเอง ในพระวรสารมิได้กล่าวถึงจำนวนหรือฐานะของโหราจารย์ ตามประเพณีแล้วก็ขยายความว่าเมื่อเป็นของขวัญสามอย่างก็ควรจะเป็นปราชญ์สามคน และบางที่ก็ให้ตำแหน่งเป็น “ราชา” บางครั้งจึงเรียกว่า “สามกษัตริย์” (Three Kings) ซึ่งจะพบในศิลปะตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา หัวเรื่อง “การนมัสการของโหราจารย์” (Adoration of the Magi) ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่นิยมทำกันเช่นกัน", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "147261#14", "text": "ในองค์ประกอบ โหราจารย์อาจจะเป็นคนขี่ม้ามาจากทางด้านบนซ้ายสวมหมวกลักษณะแปลก ทางด้านขวาจะเป็นคนเลี้ยงแกะ ถ้าเป็นห้องก็จะมีทูตสวรรค์อยู่รอบๆ และเหนือถ้ำ องค์หนึ่งจะมีหน้าที่ประกาศการเกิดของพระเยซูต่อคนเลี้ยงแกะ นอกจากนั้นก็จะมีชายสูงอายุที่มักจะใส่เสื้อหนังที่บางครั้งก็ทักทายโยเซฟ อีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ต่อมาตีความหมายว่าเป็นอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "1010#4", "text": "ประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้แล้วกับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์กาเบรียลเข้าบ้านมาหามารีย์แล้วว่า “เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับ ๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ", "title": "พระเยซู" }, { "docid": "51123#2", "text": "ตามมหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ระบุว่า ประสูติเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2059 ที่เมืองตองอู ก่อนประสูติมีลางบอกเหตุ ปรากฏฝนตกลงมาที่ใดก็เกิดลุกเป็นไฟ โหรหลวงทำนายว่าเป็นลางมงคล พระโอรสที่จะประสูติเป็นผู้มีบุญญาธิการ ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดาทั้งที่มีพระชนมายุไม่ถึง 20 พรรษา มีพระนามว่า \"ตะเบ็งเฉวฺ่ที\" (ไทยเรียกเพี้ยนเป็น \"ตะเบ็งชะเวตี้\" พระนามมีความหมายแปลได้ว่า สุวรรณเอกฉัตร - ร่มทอง) และภายหลังขึ้นครองราชย์ พระนามได้เปลี่ยนเป็น \"เมงตะยาเฉวฺ่ที\" มีความหมายว่า \"พระมหาธรรมราชาฉัตรทอง\" (คำว่าเมงตะยานี้เป็นที่มาของชื่อมังตราในนิยายผู้ชนะสิบทิศ) มีมเหสี 2 พระองค์ นามว่า ขิ่นเมียะ และขิ่นโพงเซวฺ ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2079-2093", "title": "พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้" }, { "docid": "147261#18", "text": "นักบุญโยเซฟที่เห็นกันมักจะเป็นชายสูงอายุและมักจะหลับในฉาก “การประสูติของพระเยซู” บางครั้งก็จะเป็นตัวประกอบที่น่าขัน แต่งตัวไม่เรียบร้อย และช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ในการแสดงละครการประสูติ (Mystery play) ในสมัยกลางโยเซฟจะเป็นตัวตลก น่ารักแต่ทำอะไรไม่ถูก แต่บางครั้งก็เป็นภาพกำลังตัดผ้าเป็นแถบๆ เพื่อห่อพระเยซู หรือจุดไฟ แต่เมื่อลัทธิบูชาโยเซฟมีความสำคัญขึ้นทางตะวันตกในสมัยกลางตอนหลังโดยนักบวชคณะฟรันซิสกัน (วันสมโภชนักบุญโยเซฟเพิ่งเริ่มเมื่อ ค.ศ. 1479) ลักษณะการแสดงโยเซฟก็มีความน่านับถือมากขึ้นและปรับปรุงกันมาจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรก จนกระทั่งเมื่อลัทธิบูชาพระแม่มารีย์มารุ่งเรืองขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความสำคัญของโยเซฟก็ด้อยลงอีกครั้งหนึ่ง กลายเป็นตัวรองอยู่ริม ๆ รูป เทียนที่จุดโดยโยเซฟตามคำบรรยายของนักบุญบริจิตเป็นสิ่งที่โยเซฟถือบางที่ก็จุดหรือบางทีก็ไม่", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "215135#3", "text": "คอร์เรจจิโอในยุคที่ตามมาหลังจากจิตรกรคนสำคัญๆ เช่นทิเชียนตีความหมายของฉากชีวิตของพระเยซูฉากนี้ที่เห็นได้จากความเด่นในการใช้แสง ศูนย์กลางจุดสนใจของภาพอยู่รอบพระบุตรที่โอบอยู่ในวงแขนของพระแม่มารี โดยมีกลุ่มคนเลี้ยงแกะยืนอยู่ทางซ้าย ชายที่มีหนวดยืนอยู่ในท่าเดียวกับนักบุญเจอโรมในภาพ “พระแม่มารีกับนักบุญเจอโรม” ที่คอร์เรจจิโอเขียนในปี ค.ศ. 1523 ทางด้านขวาเป็นสัตว์ต่างๆ ที่มักจะปรากฏในฉากการประสูติของพระเยซู (Nativity scene) และนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ บนมุมซ้ายเป็นเทวดาที่คล้ายกับเทวดาที่คอร์เรจจิโอวาดในมหาวิหารปาร์มาที่เขียนในปีเดียวกัน", "title": "การประสูติของพระเยซู (คอร์เรจจิโอ)" }, { "docid": "149428#1", "text": "คำบรรยายของพระวรสารนักบุญมัทธิวและพระวรสารนักบุญลูกากล่าวว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเป็นบุตรของนางมารีย์ ขณะมีตั้งครรภ์ได้หมั้นอยู่กับโยเซฟจากตระกูลเดวิด เรื่องนี้คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูประสูติจากหญิงพรหมจารีเพราะเป็นการกำเนิดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยมารดามิได้ร่วมประเวณีกับโยเซฟเลย คริสตชนจึงถือว่าโยเซฟเป็นเพียงบิดาบุญธรรม ทูตสวรรค์ได้ประกาศถึงการประสูติพระเยซูต่อคนเลี้ยงแกะ โหราจารย์สามคนก็ทราบเพราะได้เห็นดวงดาว พระวรสารกล่าวว่าการกำเนิดของพระเยซูเป็นไปตามคำพยากรณ์ของเหล่าผู้เผยพระวจนะชาวอิสราเอล", "title": "การประสูติของพระเยซู" }, { "docid": "147261#2", "text": "รูปปั้นแบบลอยตัวของ “การประสูติของพระเยซู” มักจะทำเป็น “Creche” หรือ “Presepe” ซึ่งเรียกว่า “ฉากพระเยซูประสูติ” (Nativity scene) ซึ่งอาจจะใช้ตั้งตรงมุมใดมุมหนึ่งของโบสถ์ หน้าหรือในสถานที่สาธารณะ, บ้าน หรือกลางแจ้งเป็นการชั่วคราว ขนาดของกลุ่มรูปปั้นก็มีตั้งแต่ขนาดเล็กๆ ไปจนขนาดเท่าคนจริง ที่มาของการสร้าง “ฉากพระเยซูประสูติ” อาจจะมาจากการแสดงกลุ่มรูปปั้น ที่เรียกว่า “Tableau vivant” ที่กรุงโรม ซึ่งนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีมีบทบาททำให้เป็นที่นิยมกันมากขึ้น การสร้าง “ฉากพระเยซูประสูติ” ก็ยังเป็นที่นิยมกันถึงปัจจุบันนี้ โดยบางครั้งฉากเล็กอาจจะทำจากกระเบื้องพอร์ซิเลน (Porcelain), พลาสเตอร์, พลาสติก หรือ กระดาษ เพื่อใช้ตั้งภายในที่อยู่อาศัย", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" } ]
2940
สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อใด ?
[ { "docid": "230000#0", "text": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1801-1805) หรือสงครามชายฝั่งบาร์บารี หรือสงครามทริโปลีตัน คือสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกา (และกองเรือสวีเดนที่เข้ามาร่วมด้วยในระยะเวลาหนึ่ง) กับกลุ่มรัฐทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา เป็นที่รู้จักในนามว่า กลุ่มรัฐบาร์บารี ซึ่งประกอบด้วยรัฐสุลต่านโมร็อกโคและดินแดนอัลเจียร์ส, ตูนิสและทริโปลีที่มีผู้แทนจากจักรวรรดิออตโตมานเป็นผู้สำเร็จราชการในนาม แต่มีสถานะเป็นรัฐเอกราชโดยพฤตินัย", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" } ]
[ { "docid": "230000#18", "text": "จุดเปลี่ยนของสงครามคือยุทธการเดอร์นา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมในปี ค.ศ. 1805 พลเอกวิลเลียม อีตัน (ผู้เคยเป็นอดีตกงสุล) และร้อยโทเพรสลี โอแบนนอนแห่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ นำกองกำลังผสมซึ่งประกอบไปด้วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ 8 นาย และทหารรับจ้างชาวกรีก, อาหรับและเบอร์เบอร์จำนวน 500 นาย เดินทัพข้ามทะเลทรายไปยังเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์เพื่อยึดเมืองเดอร์นาของทริโปลี", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "230000#5", "text": "เนื่องจากสหรัฐอเมริกาซึ่งยังคงเป็นประเทศเกิดใหม่จึงต้องยอมประนีประนอมให้กับโจรสลัด โดยในปี ค.ศ. 1784 รัฐสภาอเมริกันได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นบรรณาการให้กับโจรสลัดบาร์บารี และออกคำสั่งให้เอกอัคราชทูตประจำประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส (ได้แก่นายจอห์น แอดัมส์และนายทอมัส เจฟเฟอร์สันตามลำดับ) หาโอกาสในการเจรจาสนธิสัญญาสันติภาพกับชนชาติบาร์บารี นายโทมัส เจฟเฟอร์สันเห็นโอกาสสมควร จึงส่งผู้แทนทูตไปยังโมร็อกโคและอัลจีเรีย เพื่อใช้เงินโน้มน้าวให้ชนชาติบาร์บารียอมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ และปลดปล่อยกะลาสีที่ถูกคุมขังอยู่ในอัลจีเรีย สหรัฐฯ ตกลงทำสนธิสัญญากับโมร็อกโคเป็นชาติแรก โดยลงนามในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1786 สนธิสัญญาประกอบไปด้วยข้อตกลงยุติการโจมตีของโจรสลัดต่อผลประโยชน์ทางพาณิชย์สมุทรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในมาตราที่ 6 ของสนธิสัญญาซึ่งระบุไว้ว่า \"ชาวอเมริกันผู้ใดที่ถูกจับกุมตัวโดยชาวโมร็อกโคหรือโดยชาติบาร์บารีอื่นใดที่มีเรือเทียบท่าอยู่ในเมืองของโมร็อกโค ชาวอเมริกันผู้นั้นจะต้องถูกปล่อยตัวและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐบาลโมร็อกโค\"", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "230000#14", "text": "เรือใบรบ ยูเอสเอส เอ็นเทอร์ไพร์ซ สามารถเอาชนะเรือโจรสลัด ทริโปลี ได้ในยุทธนาวีอันดุเดือด แต่ก็ค่อนข้างเด็ดขาดในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1801 หลังจากนั้นกองทัพเรืออเมริกันก็สามารถครองน่านน้ำในบริเวณนั้นโดยไม่มีผู้ต่อกรใดๆ แต่เมื่อยังไม่มีข้อสรุปใดๆ สำหรับสงคราม เจฟเฟอร์สันจึงได้สั่งให้เพิ่มกำลังพล และส่งเรือรบที่ดีที่สุดเข้าไปประจำการในภูมิภาคตลอดปี ค.ศ. 1802 เรือรบ ยูเอสเอส อาร์กัส, ยูเอสเอส เชสพีค, ยูเอสเอส คอนสเตลเลชั่น, ยูเอสเอส คอนสติติวชั่น, ยูเอสเอส เอ็นเทอร์ไพร์ซ, ยูเอสเอส อินเทรพิด, ยูเอสเอส ฟิลาเดลเฟีย และยูเอสเอส ไซเรน ล้วนทำหน้าที่ในสงครามนี้โดยได้รับการบังคับบัญชาจากนาวาเอกพิเศษเอ็ดเวิร์ด พรีเบิล โดยตลอดปี ค.ศ. 1803 พรีเบิลได้สั่งให้ทำการปิดล้อมท่าเรือของรัฐบาร์บารี และปฏิบัติภารกิจโจมตีกองเรือรบที่ป้องกันเมืองอยู่", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "230000#22", "text": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่งถือเป็นโอกาสให้สหรัฐอเมริกาได้แสดงศักยภาพทางทหารเป็นครั้งแรก เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอเมริกาสามารถทำสงครามไกลบ้านได้ และทำให้เห็นว่าทหารอเมริกันสามารถร่วมมือร่วมใจได้ในฐานะชาวอเมริกัน มิใช่ในฐานะชาวจอร์เจียหรือชาวนิวยอร์ก สงครามครั้งนี้ทำให้กองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐฯ กลายเป็นส่วนสำคัญในรัฐบาลอเมริกันและประวัติศาสตร์อเมริกันอย่างถาวร นอกจากนี้ดีคาเทอร์กลายเป็นวีรบุรุษสงครามคนแรกตั้งแต่สงครามปฏิวัติของชาวอเมริกันสิ้นสุดลง เมื่อเขาเดินทางกลับมายังประเทศ", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "230000#6", "text": "ในขณะเดียวกัน การเจรจาทางการทูตกับอัลจีเรีย และชนชาติบาร์บารีอื่นๆ นั้นไม่ราบรื่นนัก อัลจีเรียเริ่มปฏิบัติการโจรสลัดกับสหรัฐฯ ในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1785 ด้วยการยึดเรือใบ\"มาเรีย\" และอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ก็ยึดเรือ\"ดูฟอง\" ไว้เช่นกัน เงินที่ทางชนชาติบาร์บารีเรียกร้องเพื่อที่จะทำสนธิสัญญาสันติภาพนั้น โดยชนชาติทั้งสี่เรียกร้องเงินทั้งหมด $660,000 ซึ่งเกินงบประมาณ $40,000 ที่ทางรัฐสภาอนุมัติอยู่มากทีเดียว การเจรจาทางการทูตคืบหน้าไปเพียงเล็กน้อย ในเรื่องของการตกลงค่าไถ่ของเชลยและตั้งเงินบรรณาการที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ ทำให้ลูกเรือของเรือทั้งสองลำต้องตกเป็นเชลยกว่าสิบปี จำนวนเชลยอเมริกันนั้นเพิ่มขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อโจรสลัดบาร์บารีได้ยึดเรือพาณิชย์อเมริกันลำอื่นๆ ในปี 1795 อัลจีเรียจึงสามารถตกลงกับสหรัฐฯ ที่จะปล่อยตัวกะลาสีจำนวน 115 นายที่ควบคุมตัวอยู่ เพื่อแลกกับเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับกว่าหนึ่งในหกของงบประมาณประจำปีของสหรัฐฯ ในเวลานั้น ซึ่งอัลจีเรียถือเป็นบรรณาการรับรองมิให้โจรสลัดบาร์บารีโจมตีเรือพาณิชย์อเมริกัน ข้อเรียกร้องดังกล่าวนำไปสู่การก่อตั้งกรมทหารเรือสหรัฐอเมริกาในปี 1798 โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโจมตีโดยโจรสลัดต่อกิจการพาณิชย์สมุทรของสหรัฐฯ และเพื่อยุติการจ่ายบรรณาการที่แพงลิ่วให้กับรัฐบาร์บารี", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "230000#1", "text": "สงครามมีสาเหตุมาจากการที่โจรสลัดบาร์บารีโจมตีเรือพาณิชย์อเมริกัน เพื่อจับลูกเรือมาเป็นตัวประกันเพื่อเรียกค่าไถ่ และเรียกร้องบรรณาการเป็นค่าคุ้มครองไม่ให้เกิดการโจมตีขึ้นอีก ไม่ต่างจากที่ปฏิบัติต่อเรือพาณิชย์ของชาติยุโรปอื่นๆ", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "230000#23", "text": "อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1807 อัลเจียร์สกลับมายึดเรืออเมริกัน และยึดจับลูกเรือเป็นตัวประกันอีกครั้ง แต่เนื่องจากในขณะนั้นกำลังจะเกิดสงครามปี 1812 ขึ้น ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถตอบโต้ได้จนกระทั่ง ค.ศ. 1815 ในสงครามบาร์บารีครั้งที่สอง", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "230000#19", "text": "ความกังวลของยุสซิฟ คารามันลีจากการปิดล้อมท่าเรือและการบุกปล้นเรือ อีกทั้งภัยคุกคามต่อตำแหน่งผู้ปกครองทริโปลีของตนเอง เมื่อสหรัฐฯ บุกประชิดเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีแผนที่จะให้ฮาเม็ต คารามันลี พี่ชายที่ตัวเองปลดออกจากตำแหน่งผู้ปกครองแล้วเนรเทศออกไป เข้ามาแทนที่ ทำให้ยุสซิฟจำต้องยินยอมลงนามในสนธิสัญญายุติความเป็นศัตรูต่อกันในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1805 โดยถึงแม้ว่ารัฐสภาจะยังไม่เห็นชอบต่อสนธิสัญญาดังกล่าวจนกระทั่งปีต่อมา แต่ก็ทำให้สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง", "title": "สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "262270#2", "text": "หลังจากสงครามนโปเลียนและการประชุมแห่งเวียนนาในปี ค.ศ. 1815 และการเข้าเกี่ยวข้องของรัฐนาวีของสหรัฐอเมริกาในสงครามบาบารีครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ. 1801 ถึงปี ค.ศ. 1805 และ ครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1815 เมื่อมหาอำนาจของยุโรปเห็นถึงความจำเป็นในการกำจัดอำนาจของโจรสลัดบาร์บารี หลังจากนั้นอำนาจของโจรสลัดบาร์บารีก็ลดถอยลง นอกจากนั้นฝรั่งเศสก็เข้ายึดบริเวณส่วนใหญ่ตามฝั่งทะเลบาร์บารีในคริสต์ศตวรรษที่ 19", "title": "โจรสลัดบาร์บารี" } ]
2942
ภาพยนตร์เรื่อง14 ตุลา สงครามประชาชน ออกฉายเมื่อไหร่?
[ { "docid": "214138#0", "text": "14 ตุลา สงครามประชาชน () เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 กำกับโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 และจิระนันท์ พิตรปรีชา ภรรยา ที่ต้องหนีภัยจากการกวาดล้างของรัฐบาลไทย เข้าป่าไปร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนกระทั่งออกจากป่าในปี พ.ศ. 2524", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" } ]
[ { "docid": "214138#1", "text": "โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตนเอง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ ถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองในยุคนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของชีวิตทั้งคู่ ทำให้ ผู้กำกับ บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ใช้เวลาเฟ้นหานักแสดงนำที่มีรูปร่าง หน้าตาเหมือน เสกสรรค์-จีระนันท์ มากที่สุด ทำให้ขั้นตอนในการคัดเลือกนักแสดง ในของภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลา สงครามประชาชน ต้องใช้เวลาในการคัดเลือกกว่า 6 เดือน ซึ่งในที่สุด ก็ได้สองนักแสดงหน้าใหม่ ที่ได้รับการลงความเห็นจากทุกฝ่ายว่า มีความเหมือน เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และ จีระนันท์ พิตรปรีชา มากที่สุด", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" }, { "docid": "214138#14", "text": "เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย ฝ่ายโฆษณาได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น 14 ตุลา สงครามประชาชน เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ เนื่องจากภาพยนตร์ออกฉายในเวลาใกล้เคียงกับพิธีเปิดอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว ในโอกาสครบรอบ 28 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา และครบรอบ 25 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลา", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" }, { "docid": "214138#8", "text": "ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับภาพยนตร์โดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ผู้กำกับภาพยนตร์ฝีมือเยี่ยม ที่เคยมีผลงานที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านรายได้ และด้านคุณภาพ มาแล้วหลายเรื่อง อาทิ คาดเชือก, ด้วยเกล้า, บุญชู, ส.อ.ว. ห้อง 2 รุ่น 44, อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป, กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้, สตางค์ เป็นต้น", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" }, { "docid": "214138#12", "text": "ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถ่ายทำที่ตำบลลิ่นถิ่น อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โดยจำลองจากสถานที่จริง ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ที่ถ้ำผาจิ จังหวัดพะเยา และที่ประเทศลาว ซึ่งไม่สะดวกในการเดินทางไปถ่ายทำ นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังถ่ายทำที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดเลย ส่วนฉากการปะทะกันระหว่างนักศึกษากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณคูน้ำหน้าพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ถ่ายทำที่มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ภาพยนตร์ใช้เวลาถ่ายทำทั้งสิ้น 9 เดือน โดยใช้นักแสดงหน้าใหม่ทั้งหมด", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" }, { "docid": "214138#10", "text": "ภาพยนตร์เขียนบทร่างโดยเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2542 เริ่มต้นถ่ายทำเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 โดยผู้กำกับได้เพิ่มเติมบทเกี่ยวกับเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" }, { "docid": "214138#9", "text": "ผู้รับบทเป็น เสกสรรค์ ประเสริฐกุล คือ ภาณุ สุวรรณโณหนุ่มวิศวะฯ ผู้ไม่เคยผ่านงานแสดงหนัง และละครเรื่องใดมาก่อน โดยทุกคนลงความเห็นว่า ภาณุ มีหน้าตาและบุคลิกท่าทาง คล้ายคลึงกับอ.เสกสรรค์ เป็นอย่างมาก ส่วนผู้ที่รับบทเป็น จิระนันท์ พิตรปรีชา คือ พิมพ์พรรณ จันทะ สาวหน้าใส นักเรียนการแสดงของบางกอกการละคร เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของครูงัด สุรพล วิเชียรฉาย", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" }, { "docid": "24830#19", "text": "ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้เปิดตัวหนังสือมา 2 เล่ม ชื่อ \"\"ลอกคราบ 14 ตุลา ดักแด้ประวัติศาสตร์การเมืองไทย\"\" และ \"\"พันเอกณรงค์ กิตติขจร 30 ปี 14 ตุลา ข้อกล่าวหาที่ไม่สิ้นสุด\"\" โดยมีเนื้อหาอ้างอิงจากเอกสารราชการลับในเหตุการณ์ 14 ตุลา ซึ่งมีเนื้อหาว่าทั้ง พ.อ.ณรงค์ และจอมพลถนอม มิได้เป็นผู้สั่งการในเหตุการณ์ 14 ตุลา และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ยังได้กล่าวอีกว่า พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่นิสิต นักศึกษา และประชาชนในการชุมนุม แต่ก็เป็นการชี้แจงหลังเกิดเหตุมาเกือบ 30 ปี และเป็นการชี้แจงเพียงฝ่ายเดียวโดยที่ฝ่ายครอบครัวของทาง พล.อ.กฤษณ์มิได้มีโอกาสชี้แจงกลับ คำกล่าวของพ.อ.ณรงค์ ขัดแย้งกับ นายโอสถ โกศิน อดีตรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.กฤษณ์ ซึ่งระบุว่า พล.อ.กฤษณ์ เป็นบุคคลสำคัญที่ไม่ยอมให้มีการปฏิบัติการขั้นรุนแรงแก่นักศึกษา", "title": "เหตุการณ์ 14 ตุลา" }, { "docid": "856283#1", "text": "ภาพยนตร์ดังกล่าวเข้าฉายในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 และเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาแบบจำกัดโรงภาพยนตร์ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559 สำหรับประเทศไทย โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง ได้จัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในรูปแบบการฉายรอบพิเศษร่วมกับ เอ็ม พิคเจอร์ ที่โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เพียงรอบเดียวเท่านั้น", "title": "ไฟนอล แฟนตาซี 15: สงครามแห่งราชันย์" }, { "docid": "214138#4", "text": "เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งเกิดจากพลังแรงกล้า ของการใฝ่หาเสรีภาพ โดยการนำของนิสิตนักศึกษา ได้สร้างภาพยิ่งใหญ่ตราไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติ ตั้งแต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงตลอดแนวถนนราชดำเนิน จากผู้คนเรือนล้านที่ออกจากบ้านและสถานศึกษา มาด้วยวิญญาณประชาธิปไตย ถึงร่างเปื้อนเลือด ซึ่งนอนทอดนิ่งอยู่ภายใต้ธงไตรรงค์ ท่ามกลางควันปืน และเสียงร่ำไห้ของเพื่อนพ้องผู้ใกล้ชิด", "title": "14 ตุลา สงครามประชาชน" } ]
2943
ดิ อินโนเซ้นท์มีหัวหน้าวงคือใคร?
[ { "docid": "41989#2", "text": "วงดิ อินโนเซ้นท์เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2522 จากการประกวดโฟล์คซองนักเรียนในโรงเรียนดรุณา จังหวัดราชบุรี ในวันคริสต์มาส ขณะนั้นมีสมาชิก 3 คนได้แก่พีรสันติ จวบสมัย เป็นหัวหน้าวง สายชล ระดมกิจ และสิทธิศักดิ์ กิจแต่ง จากวงโฟล์คซองที่เข้าประกวดทั้งหมด 10 วงดิ อินโนเซ้นท์ได้รับรางวัลชนะเลิศจากเพลงที่เข้าประกวด 4 เพลงคือ \"บอร์นทูเลิฟยู\" () และเพลง \"สัมพันธ์ไทย\" ของอิสซึ่น", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#0", "text": "ดิ อินโนเซ้นท์ () เป็นวงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นไทยในยุค 1980 มีผลงานในช่วงระหว่างปี 2523 - 2532 กับสังกัด:นิธิทัศน์โปรโมชั่น วงดนตรี ดิอินโนเซ้นท์ เป็นวงดนตรีที่เริ่มก่อตั้งจากเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันในจังหวัด ราชบุรี มีสมาชิกแรกเริ่ม 3 คน เริ่มจากการเป็นเพียงวงดนตรีโฟล์คซอง และเปลี่ยนสภาพเป็น String Combo สมาชิกที่เป็นผู้ก่อตั้ง และมีสถานภาพเป็นหัวหน้าวงมาตลอด คือ พีรสันติ จวบสมัย เป็นผู้สร้างประสบการณ์อันยาวนานในเส้นทางดนตรีให้กับวงที่ชื่อ ดิ อินโนเซ้นท์ มามากที่สุด และข้อมูลต่อไปนี้ เกือบทั้งหมดมาจากการเล่าเรื่องของสมาชิกท่านนี้", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "256235#0", "text": "พีรสันติ จวบสมัย เกิดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2505 ที่จังหวัดราชบุรี เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและหัวหน้าวง ดิ อินโนเซ้นท์ ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนดรุณาราชบุรี ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน นอกจากนั้น ยังเป็นกำลังหลักในพัฒนาการของวงดนตรีดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา จนกระทั่งยุบวงในปี พ.ศ. 2532", "title": "พีรสันติ จวบสมัย" } ]
[ { "docid": "41989#5", "text": "อีก 1 เดือนต่อมา สุรินทร์ก็ไปติดต่อกับบาทหลวงสุรพล ซึ่งเป็นอธิการโรงเรียน เพื่อที่จะขอให้วง“ดิ อินโนเซ้นท์”มาอัดแผ่นเสียง \nซึ่งท่านก็ยินยอม เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว สุรินทร์ก็ไปติดต่อหาเพลง ก็ได้เพลง “รักไม่รู้ดับ” และเพลง “ใครหนอ” ของสุรพล โทณะวณิก ได้เพลง “รถม้าลำปาง” ของสนิท ส.มาด้วย เนื่องจากสุรินทร์ต้องการนำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่เพราะเพลงเก่าเชียร์ง่ายและยังไม่มีวงดนตรีวงไหนนำเพลงเก่ามาทำใหม่ด้วย ส่วนเพลงที่เหลือก็เป็นเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นเอง โดยพีรสันติ และประสิทธิ์ ชำนาญไพร ชุดนั้นใช้ชื่อว่า “รักไม่รู้ดับ” ซึ่งวางแผงประมาณเดือนกันยายน 2523", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#21", "text": "อัลบั้มในลำดับถัดมา คือ อัลบั้ม \"รักคืออะไร\" (ปี 2527) และตามมาด้วยอัลบั้ม \"โลกใบเก่า\" (ปี 2528) ทั้งสองอัลบั้ม มีเพลงฮิตติดหูคนฟัง อย่างเช่น รักคืออะไร,สักวัน,ทางหนึ่งซึ่งหวัง,เพียงครึ่งใจ, หนุ่มค้างปี ฯลฯ ซึ่งในเวลานั้น ถือเป็นยุคทองของวงดิอินโนเซ้นท์ ที่มีเพลงติดตลาดอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่นักวิจารณ์เพลงในเมืองไทย เริ่มมองทางวงในแง่ให้การยอมรับในฝีมือชั้นเชิงทางดนตรีและเนื้อหา อย่างดีมากขึ้น ยกย่อง ดิ อินโนเซ้นท์ ในการทำดนตรีที่มีพัฒนาการมากกว่าวงสตริง หรือ วงเด็กวัยรุ่นในยุคเดียวกัน โดยเฉพาะการทำเพลง-เล่นดนตรี การแสดงบนเวทีและการบันทึกเสียงซึ่งพวกเขาทำเองทั้งหมด", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#16", "text": "พีรสันติ นึกถึงถึงเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งมีฝีมือในทางกีต้าร์มาก เคยเป็นนักดนตรีของโรงเรียนด้วย จึงไปชักชวนให้มาร่วมงานกันกับ“ดิ อินโนเซ้นท์” นั่นก็คือ ชาตรี คงสุวรรณ \nซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกวง โฟร์ ซิงเกิล (Four Singles) ซึ่งเป็นวงประจำจังหวัดราชบุรีอยู่ และเคยออกแผ่นกับวง \"โรแมนติก\" ด้วย ชาตรีจึงตกลงร่วมงานกัน", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#15", "text": "แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของ“ดิ อินโนเซ้นท์” เพราะดนตรีโฟลค์ซอง-สตริงแบบเดิมกลายเป็นของเก่าและเริ่มเชย ดนตรีป็อปร็อกต่างหากที่น่าสนใจ และได้รับความนิยมของวัยรุ่นทั่วโลกรวมถึงวัยรุ่นไทยด้วย เพราะมี คีย์บอร์ด/ซินธีไซเซอร์/กลองไฟฟ้า และมีกีต้าร์อีก 2 ตัว เป็นอย่างน้อย\nทางวงจึงคิดปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปในทางแนวนั้น", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#36", "text": "สายชล ระดมกิจ หันมาเป็นศิลปินเดี่ยว ได้กลับมาทำอัลบั้มเดี่ยวในสังกัดเบเกอรี่ มิวสิก โดยนำผลงานเพลงเก่าของวง ดิ อินโนเซ้นท์ มาทำใหม่ โปรดิวซ์โดย บอย โกสิยพงษ์ ในอัลบั้มชุด \"A Touch of the Innocent\" (ปี พ.ศ. 2539) และต่อมาได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอีกหนึ่งชุด แต่เป็นการนำเพลงเก่าในสังกัดเบเกอรี่ มิวสิก มาทำใหม่ โดยได้ พีรสันติ จวบสมัย มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ในอัลบั้มชุด \"Portrait of the Innocent\" (ปี พ.ศ. 2541) จากการชักชวนของบอย โกสิยพงษ์ เพราะบอยชื่นชอบและเป็นแฟนเพลงของ ดิ อินโนเซ้นท์ มาตั้งแต่เด็กๆ นั่นเอง ต่อมาสายชล ก็ทำหน้าที่ดูแลศิลปินให้กับค่ายเบเกอรี่ด้วย ซึ่งปัจจุบันคือ ค่ายเพลงเลิฟอีส (Love is)", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#42", "text": "จนกระทั่งกลางปี 2552 ดิ อินโนเซ้นท์ ที่มีสมาชิกหลัก 4 คน ได้แก่ ชาตรี สายชล พีรสันติ เสนีย์ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กลับมารวมตัวทำงานร่วมกันอีกครั้ง อย่างเป็นทางการ พร้อมกับการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 สร้างความสนใจและความน่ายินดีแก่แฟนเพลงอย่างยิ่งถือเป็นข่าวดีและให้ความสนใจในรอบปีของวงการเพลงไทย", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#20", "text": "ปี 2526-2528 น่าจะเป็นช่วงยุคทองของวง ที่ยังมีการทำเพลงให้ห้องอัดเสียงอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ภายหลังจากมีสมาชิกใหม่พร้อมหน้ากัน นั่นก็คือไชยรัตน์ ปฏิมาปกรณ์-คีย์บอร์ด เพราะทางวงต้องการมือคีย์บอร์ดอีกคนด้วย และเกียรติศักดิ์ ยันตะระประกรณ์-กลอง เข้ามาเป็นสมาชิกวงแทนตำแหน่งที่เกรียงศักดิ์ เพราะทางวงเห็นฝีมือในการเล่นกลองไฟฟ้า เล่นเพอร์คัสชั่น และที่สำคัญคือการเล่นดนตรีในห้องบันทึกเสียงได้อย่างดีเยี่ยม", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" }, { "docid": "41989#13", "text": "หลังจากนั้น สิทธิศักดิ์ กิจเต่ง ไม่สามารถที่จะลาออกมาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯเหมือนสมาชิกคนอื่นๆได้ ทำให้“ดิ อินโนเซ้นท์”ต้องรับสมาชิกใหม่เข้ามาในตำแหน่งเบส ซึ่งก็ได้พบกับเสนีย์ ฉัตรวิชัย ซึ่งขณะนั้นเล่นอีเลคโทนและร้องนำอยู่ที่ นานาคาเฟ ซอยนานา จึงติดต่อให้มาร่วมวงด้วยในตำแหน่งเบส", "title": "ดิ อินโนเซ้นท์" } ]
2947
อ่าวไทยมีขนาดเท่าไหร่?
[ { "docid": "4205#3", "text": "อ่าวไทยมีพื้นที่ 300,858.76 ตารางกิโลเมตร เขตแดนของอ่าวไทยกำหนดด้วยเส้นที่ลากจากแหลมกาเมาหรือแหลมญวนทางตอนใต้ของเวียดนาม ไปยังเมืองโกตาบารูในชายฝั่งมาเลเซีย ซึ่งอยู่ห่างกัน 381 กิโลเมตร โดยจุดเหนือสุดของอ่าวไทย ตรงปากแม่น้ำเจ้าพระยา นิยมเรียกกันว่า \"อ่าวประวัติศาสตร์รูปตัว ก\" ซึ่งต่างชาติเรียก \"อ่าวกรุงเทพฯ\"", "title": "อ่าวไทย" } ]
[ { "docid": "489127#2", "text": "มีขนาดตัวตั้งแต่ 2-12 เซนติเมตร อาศัยอยู่บนพื้นล่างของป่าหรือบริเวณใกล้ลำห้วยหรือลำธาร ส่วนใหญ่มีสีลำตัวกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม วางไข่ในแหล่งน้ำ โดยขณะผสมพันธุ์ตัวผู้จะกอดรัดตัวเมียในตำแหน่งเอว ลูกอ๊อดมีรูปร่างและโครงสร้างของปากแตกต่างกัน บางสกุลมีปากเป็นรูปกรวยและไม่มีจะงอยปาก รวมทั้งไม่มีตุ่มฟัน อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนิ่ง แต่ขณะที่บางสกุลมีคุณสมบัติแตกต่างจากเหล่านี้สิ้นเชิง และอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเชี่ยว เป็นต้น", "title": "วงศ์อึ่งกราย" }, { "docid": "13363#1", "text": "ภาคอีสานยังมีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 168,854 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ร้อยละ 33.17 เทียบได้กับหนี่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทยได้จัดว่าเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูลมโล ภูหลวง และภูกระดึง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของชาวอีสานในหลายจังหวัดด้วยกัน เช่น แม่น้ำห้วยหลวง แม่น้ำชี ลำตะคอง แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล แม่น้ำสงคราม", "title": "ภาคอีสาน (ประเทศไทย)" }, { "docid": "595804#1", "text": "อินทรีหางขาว จัดเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในทวีปยุโรป เมื่อโตเต็มที่อาจมีความสูงได้ถึง 1 เมตร มีดวงตาสีทอง มีถิ่นแพร่กระจายพันธุ์ในยุโรปตะวันออกเช่น เบลารุส, รัสเซีย หรือไครเมีย มีการผสมพันธุ์วางไข่ครั้งละ 2 ฟองในช่วงฤดูร้อน โดยรังจะมีขนาดใหญ่และลึก อาจมีน้ำหนักได้มากถึง 1 ตัน แขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นจึงอาจสุ่มเสี่ยงต่อการพังทะลายลงมา บางครั้งจะทำรังใกล้กับนกล่าเหยื่ออื่น ๆ เช่น เหยี่ยวออสเปร แต่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน และบางครั้งอาจมีการรบกวนซึ่งกันและกัน พ่อและแม่นกช่วยกันเลี้ยงลูก เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว อินทรีหางขาวบางตัวจะอพยพบินไปยังสถานที่ ๆ อบอุ่นกว่า และจะกลับมาในช่วงฤดูร้อนเพื่อจะผสมพันธุ์วางไข่ ในขณะที่บางตัวเลือกที่จะอยู่ที่เดิม ซึ่งปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจนว่าเพราะอะไร", "title": "อินทรีหางขาว" }, { "docid": "4205#4", "text": "ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยทอดยาว 1,840 กิโลเมตร มีความลึกเฉลี่ย 58 เมตร (190 ฟุต) จุดที่ลึกที่สุด 85 เมตร (279 ฟุต) จึงทำให้การแลกเปลี่ยนระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็มเป็นไปอย่างเชื่องช้า น้ำจืดจำนวนมากที่ไหลมาจากแม่น้ำต่าง ๆ ทำให้น้ำทะเลในอ่าวไทยมีระดับความเค็มต่ำประมาณร้อยละ 3.05-3.25 และมีตะกอนสูง แต่บริเวณที่ลึกกว่า 50 เมตร มีความเค็มสูงกว่านี้ประมาณร้อยละ 3.4% ซึ่งเกิดจากน้ำทะเลที่ไหลเข้ามาจากทะเลจีนใต้", "title": "อ่าวไทย" }, { "docid": "356234#1", "text": "มีรูปร่างลักษณะและลวดลายสีสวยงาม เปลือกค่อนข้างบาง ยอดเรียวแหลมคล้ายเจดีย์ ช่องปากเปิดกว้างมีสีส้มพื้นผิวด้านนอกสีน้ำตาลอ่อนแต้มด้วยลวดลายสีน้ำตาลเข้มจางสลับกัน ขนาดความยาวเปลือกประมาณ 1 ฟุต มักอาศัยอยู่ในแนวปะการังน้ำตื้น ของอินโด-แปซิฟิก สำหรับในน่านน้ำไทยจัดว่าเป็นหอยฝาเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยจะพบในความลึกประมาณ 30 เมตร ทั้ง\nบริเวณอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน เช่นอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น", "title": "หอยสังข์แตร" }, { "docid": "718386#2", "text": "มีขนาดความยาวแตกต่างหลากหลายกันไป ตั้งแต่มีความยาวเพียง 12 เซนติเมตร คือ ตะกวดหางสั้น (\"V. brevicauda\") ที่พบในพื้นที่ทะเลทรายของประเทศออสเตรเลีย และใหญ่ที่สุด คือ มังกรโคโมโด (\"V. komodoensis\") ที่พบได้เฉพาะหมู่เกาะโคโมโด ในประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น ที่มีความยาวได้ถึง 3.1 เมตร และจัดเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดของวงศ์นี้และอันดับกิ้งก่าและงู โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ เมกะลาเนีย (\"V. priscus\") ที่มีความยาวถึง 6 เมตร แต่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ปัจจุบันพบได้เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ออสเตรเลีย", "title": "กิ้งก่ามอนิเตอร์" }, { "docid": "442863#2", "text": "มีขนาดลำตัวแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 1 เซนติเมตร จนถึง 10 เซนติเมตร อาศัยทั้งอยู่บนบก, ในน้ำ และบนต้นไม้ ลำตัวมีรูปร่างแตกต่างไปกันหลากหลายตามสภาพแวดล้อมที่อาศัย เช่น ชนิดที่อาศัยบนต้นไม้จะมีส่วนปลายของนิ้วขยายออกเป็นตุ่ม ชนิดที่อาศัยอยู่ในโพรงดินจะมีลำตัวแบนราบและหัวกลมหลิม เป็นต้น มีรูปแบบการผสมพันธุ์ที่หลากหลาย ในบางชนิดมีการอาศัยแบบเกื้อกูลกันกับแมงมุมด้วย โดยอาศัยในโพรงเดียวกัน", "title": "วงศ์อึ่งอ่าง" }, { "docid": "472668#1", "text": "ชะเอมไทยเป็นไม้เถาขนาดใหญ่ มีหนาม ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ใบเล็กละเอียดเป็นฝอย คล้ายกับใบส้มป่อยหรือใบกระถิน โคนใบโป่งออก ดอกช่อออกตามปลายกิ่งลักษณะเป็นพู่ สีขาวหอม ก้านช่อดอกยาว เกสรตัวผู้สีขาว มีจำนวนมาก ผลเป็นฝัก เมื่ออ่อนมีสีเขียว แก่แล้วเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลแบน นูนตรงที่มีเมล็ดอยู่มักพบขึ้นอยู่ตามเชิงเขา ดงป่าไม้ หรือป่าเบญจพรรณ พบมากในทางภาคตะวันออกของไทย ปลูกได้โดยการตอนกิ่งหรือเพาะเมล็ด\nรากแก้กระหายน้ำ ยาระบาย มีรสหวาน ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน โรคในลำคอ แก้ลม ดอกช่วยย่อยอาหาร ผลขับเสมหะ ใบ ขับเลือดให้ตก เนื้อไม้รสหวาน แก้โรคในลำคอ แก้ลม เลือดออกตามไรฟัน บำรุงกำลัง\nสยามบรมราชกุมารี", "title": "ชะเอมไทย" }, { "docid": "476753#1", "text": "ชุมเห็ดไทยเป็นไม้ลมลุกและไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็ก พุ่มต้นสูงประมาณ1 เมตร ส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 12.3-17.4 มิลลิเมตร ลำต้นสีเขียวอมน้ำตาลแดง ไม่มีขน ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 3 คู่ รูปไข่กลับหรือรูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 2-4 ซม. ดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อดอกที่ซอกใบ เป็นกระจุก ดอกเดี่ยวมีก้านช่อดอกออกจากจุดเดียวกัน ช่อดอกยาว 2.71-4.03 เซนติเมตร มี 1-3 ดอกต่อช่อ มี 5 กลีบดอก ฐานรอบกลีบดอกสีขาวอมเหลืองมีขนครุยตามขอบ อับเรณู (anther) สีเหลืองอมน้ำตาล ผลเป็นฝักเล็กแบนยาว เมล็ดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน สีน้ำตาลแกมเขียว", "title": "ชุมเห็ดไทย" } ]
2952
ความลับของ Superstar เป็นละครหรือไม่ ?
[ { "docid": "383642#0", "text": "ความลับของ Superstar ออกอากาศครั้งแรกทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 20.25 - 21.25 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 และในปี พ.ศ. 2559 ทางช่องวันได้นำละครเรื่องนี้กลับมาออกอากาศรีรันให้ชมอีกครั้งทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 13.00 - 14.30 น. เริ่มตอนแรกวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559", "title": "ความลับของ Superstar" } ]
[ { "docid": "383642#2", "text": "นักแสดงหนุ่มชื่อดังในวงการบันเทิง มีผลงานละครมากมาย แต่อ่อนหัดเรื่องความรัก ทำให้เขาเกือบเสียท่าเล่ห์เหลี่ยมของเนตรดาวกับบี แต่โชคดีที่ป่านฉุดขึ้นมาจากห้วงแห่งภาพลวงตา ทำให้เขารู้จักคำว่าความรักมากขึ้น", "title": "ความลับของ Superstar" }, { "docid": "383642#12", "text": "ผู้ใหญ่ในบริษัทที่โอมเป็นเด็กในสังกัด เป็นสาวใหญ่ใจเหล็ก มีจุดอ่อนตรงที่เห็นแก่ความขี้อ้อนของโอม ทำให้แจ๊ดเสียรู้ไปกับความเจ้าเล่ห์ของโอม ต่อมาจึงตาสว่างเมื่อพบว่าโอมเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง", "title": "ความลับของ Superstar" }, { "docid": "383642#4", "text": "นางเอกสาวดาวรุ่งสุดฮอตและเซ็กซี่ มีเสน่ห์เร้าใจชวนหลงใหล แต่จิตใจของเธอช่างร้ายกาจ เพราะเธอต้องการชื่อเสียงเงินทองมากกว่าความรัก จึงคบหากับกันต์ตามแรงยุของบี มีนิสัยขึ้หึง อิจฉาริษยา ไม่ยอมให้ใครดีกว่าตน", "title": "ความลับของ Superstar" }, { "docid": "383642#6", "text": "ดาวรุ่งชายผู้มาแรงในแวดวงบันเทิง มีอดีตที่ไม่น่าจดจำ ภายนอกดูเป็นหนุ่มแสนดี น่าชื่นชม แต่เขากลับซ่อนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเป็นที่สุด มักใช้ผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จ ถึงแม้เขาจะต้องทำลายชื่อเสียงและเกียรติของผู้อื่นก็ตาม", "title": "ความลับของ Superstar" }, { "docid": "383642#11", "text": "ตัวประกอบฝ่ายหญิงที่ต้องการรับบทนำสักครั้งในชีวิต ไม่ถูกกับเนตรดาวเพราะเห็นว่าเธอชอบยั่วยวนผู้ชาย เก๋เคยรักโอมมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ถูกสลัดรัก ทำให้เก๋แค้นมาก ต้องการทำลายชื่อเสียงโอมทุกวิถีทาง", "title": "ความลับของ Superstar" }, { "docid": "383642#9", "text": "ผู้จัดการส่วนตัวของกันต์ เป็นเกย์รุ่นใหญ่ที่ปากจัด พูดจาโผงผางไม่เกรงใจใคร รักและดูแลกันต์ราวกับว่าเขาเป็นลูกหลาน มีความสามารถในการปั้นคนเป็นดารา แต่พอเขาได้ปั้นโอมเป็นพระเอกดาวรุ่งชื่อดัง หัวใจของเขาก็แหลกสลายเมื่อโอมเห็นตนเป็นบันไดที่คอยเหยียบอย่างเลือดเย็น", "title": "ความลับของ Superstar" }, { "docid": "136095#1", "text": "ชนิดาภา เซ็นสัญญาเข้าสังกัดค่ายละคร Exact เป็นเวลา 5 ปี (ปี 2550-2555) และประเดิมด้วยการเป็นนางเอกละครเรื่องแรกกับ ความลับของ Superstar คู่กับ ปฏิภาณ ปฐวีกานต์", "title": "ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์" }, { "docid": "383642#7", "text": "แม่ของกันต์ มีรายได้จากการขายขนมไทย มีอดีตที่ขื่นขมเพราะความรักที่เป็นไปไม่ได้", "title": "ความลับของ Superstar" }, { "docid": "383642#13", "text": "คนขับรถประจำตัวของบัญชา รู้ใจบัญชาทุกเรื่อง", "title": "ความลับของ Superstar" } ]
2972
ปลายประสาทเมอร์เกิล มีขนาดเท่าไหร่?
[ { "docid": "885632#0", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิล\nเป็นปลายประสาทรับแรงกลมีขีดเริ่มเปลี่ยนต่ำชนิดหนึ่งที่พบใต้หนังกำพร้าและที่ปุ่มรากผม (hair follicle)\nโดยมีหนาแน่นที่สุดที่ปลายนิ้วและริมฝีปาก\nและที่มือของไพรเมตจะอยู่ใต้สันลายมือ/นิ้วที่ฐานของ primary epidermal ridge\nเป็นใยประสาทที่ปรับตัวอย่างช้า ๆ แบบ 1 (SA1)\nหุ้มด้วยปลอกไมอีลินหนา (กลุ่ม Aβ) และมีเซลล์เยื่อบุผิวหุ้มเป็นแคปซูล (encapsulated) ค่อนข้างแข็งที่ปลาย ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ไมโครเมตร\nและให้ข้อมูลเกี่ยวกับแรงดัน ตำแหน่ง และสัมผัสนิ่ง ๆ ที่กดลงลึก เช่น รูปร่างหรือขอบวัสดุ", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#3", "text": "ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปลายประสาทเมอร์เกิลมีอยู่อย่างกว้างขวาง โดยพบในชั้นฐาน (basal lamina) ของหนังแท้ใต้หนังกำพร้า ที่ผิวหนังทั้งเกลี้ยงทั้งมีผม/ขน, ในปุ่มรากผม (hair follicle), และในเยื่อเมือกทั้งในปากและที่ทวารหนัก \nในมนุษย์ เซลล์เมอร์เกิล (ร่วมกับ Meissner's corpuscle) จะอยู่ติดใต้หนังกำพร้า (0.5-1.0 มม. ใต้ผิวหนัง) โดยที่มือจะล้อมท่อต่อมเหงื่อใต้สันลายมือ/นิ้ว เทียบกับตัวรับแรงกลอย่างอื่นบางอย่าง เช่น Pacinian corpuscle และ Ruffini ending ที่อยู่ในหนังแท้ (2-3 มม. ใต้ผิวหนัง) และเนื้อเยื่อที่ลึกกว่านั้น", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#12", "text": "เซลล์ประสาทที่มีปลายประสาทเมอร์เกิลมีลานรับสัญญาณเล็ก (11 มม ที่ปลายนิ้ว) ซึ่งเล็กสุดในบรรดาตัวรับแรงกลที่ผิวหนังเกลี้ยง 4 อย่าง และช่วยให้สามารถจำแนกสัมผัสที่อยู่ใกล้ ๆ กันได้ โดยสามารถจำแนกลายตะแกรงแนวตั้งหรือแนวขวางที่สันห่างกันเพียง 0.5-1.0 มม. (spatial acuity)", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" } ]
[ { "docid": "885632#17", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิล ปรับตัวช้า มีขีดเริ่มเปลี่ยนต่ำ ส่งสัญญาณในอัตราที่สม่ำเสมอ และปกติจัดเป็นใยประสาท SA1 แต่งานศึกษาทางสัณฐานวิทยาของปลายประสาทซึ่งยุติที่เซลล์เมอร์เกิล ได้พบการเชื่อมต่อกันและการตอบสนองในรูปแบบต่าง ๆ\nที่ทำให้เสนอว่า การตอบสนองในอัตราไม่สม่ำเสมอที่ปกติจัดว่ามาจากใยประสาท SA2 (Ruffini ending) จริง ๆ อาจมาจากใยประสาท SA1 ที่มีปลายเป็นเซลล์เมอร์เกิล", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885647#10", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิลซึ่งเป็นตัวรับแรงกลที่ผิวหนังหลักอีกอย่างหนึ่ง ปรับตัวช้า มีขีดเริ่มเปลี่ยนต่ำ ส่งสัญญาณในอัตราที่สม่ำเสมอ และปกติจัดเป็นใยประสาท SA1 แต่งานศึกษาทางสัณฐานวิทยาของปลายประสาทซึ่งยุติที่เซลล์เมอร์เกิล ได้พบการเชื่อมต่อกันและการตอบสนองในรูปแบบต่าง ๆ\nที่ทำให้เสนอว่า การตอบสนองในอัตราไม่สม่ำเสมอที่ปกติจัดว่ามาจากใยประสาท SA2 (Ruffini ending) จริง ๆ อาจมาจากใยประสาท SA1 ที่มีปลายเป็นเซลล์เมอร์เกิล", "title": "ปลายรัฟฟินี" }, { "docid": "885632#13", "text": "ปลายประสาทรับแรงกลในระบบรับความรู้สึกทางกาย จะมีลักษณะทางกายวิภาคโดยเฉพาะ ๆ ที่เหมาะกับสิ่งเร้า และโดยทั่วไปอาจเป็นแบบที่หุ้มปลอก/แคปซูล (เช่น Merkel ending) อันเป็นเนื้อเยื่อนอกเซลล์ประสาท หรืออาจเป็นปลายประสาทอิสระ\nเมื่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปลายประสาทแปรรูปเพราะสิ่งเร้าที่เหมาะสม (เช่นปลายแหลมสำหรับปลายประสาทเมอร์เกิล) โปรตีนที่ผิวของเซลล์ประสาทก็จะแปรรูปด้วย ทำให้ไอออน Na และ Ca ไหลเข้าผ่านช่องไอออนของเซลล์เป็นกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่าศักย์ตัวรับความรู้สึก (receptor potential) ซึ่งถ้าถึงขีดเริ่มเปลี่ยนก็จะทำให้เซลล์สร้างศักยะงานส่งไปยังระบบประสาทกลาง โดยเริ่มต้นส่งไปที่ไขสันหลังหรือก้านสมอง\nตัวรับความรู้สึกแต่ละประเภท ๆ จากตำแหน่งโดยเฉพาะ ๆ จะมีใยประสาทเป็นของตนเองจนถึงไขสันหลังตลอดไปจนถึงสมอง\nความเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ทำให้ระบบประสาทกลางจำแนกได้ว่า เป็นความรู้สึกประเภทไรและมาจากส่วนไหนของร่างกาย", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#11", "text": "ลานรับสัญญาณของตัวรับแรงกล ก็คือบริเวณพื้นที่ที่เซลล์ประสาทตอบสนองต่อสิ่งเร้า\nโดยคร่าว ๆ แล้ว ถ้ามีการสัมผัสผิวหนังสองที่ภายในลานรับสัญญาณเดียวกัน บุคคลนั้นจะไม่สามารถจำแนกจุดสองจุดจากการสัมผัสที่จุดเดียวได้ (เป็นการทดสอบที่เรียกว่า Two-point discrimination)\nและถ้ามีการสัมผัสภายในลานสัญญาณที่ต่างกัน บุคคลนั้นก็จะจำแนกได้\nดังนั้น ขนาดลานรับสัญญาณของตัวรับแรงกล จึงเป็นตัวกำหนดการจำแนกสิ่งเร้าที่ละเอียดได้\nยิ่งมีลานสัญญาณเล็กเท่าไรมีกลุ่มลานรับสัญญาณที่อยู่ใกล้ ๆ กันเท่าไร ก็จะสามารถจำแนกละเอียดยิ่งขึ้นเท่านั้น\nเพราะเหตุนี้ ปลายประสาทเมอร์เกิลและ Meissner's corpuscle จึงรวมกลุ่มอยู่อย่างหนาแน่นที่ปลายนิ้วมือซึ่งไวความรู้สึก แต่หนาแน่นน้อยกว่าที่ฝ่ามือและหน้าแขนที่ไวสัมผัสน้อยกว่า", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#9", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิลไวต่อการแปรรูปของผิวหนังมาก และอาจตอบสนองต่อการแปรรูปที่น้อยกว่า 1 ไมโครเมตร\nเป็นเส้นประสาทนำเข้าแบบ I (SA1) ซึ่งมีลานรับสัญญาณที่เล็กกว่าแบบ II\nงานศึกษาหลายงานแสดงว่า เส้นประสาทแบบ I อำนวยการจำแนกสัมผัสแบบรายละเอียดสูง\nและทำให้ปลายนิ้วสามารถรู้สึกลวดลายที่ละเอียดได้ (เช่น เมื่อ \"อ่าน\" อักษรเบรลล์)", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#2", "text": "ปลายประสาทที่มีรูปเป็นจานแบน แต่ละอันจะแนบติดกับเซลล์เมอร์เกิลที่มีลักษณะทางเคมีที่ต่างกัน\nซึ่งรวมกันบางครั้งเรียกว่า Merkel cell-neurite complex หรือ Merkel disk receptor\nใยประสาทอาจแยกเป็นสาขา ๆ โดยแต่ละสาขามีปลายเป็นเซลล์เมอร์เกิล \nสาขาต่าง ๆ ของใยประสาทเดียวอาจแยกส่งไปถึงเซลล์เมอร์เกิลในกลุ่มต่าง ๆ ที่แยกกัน\nและเซลล์เมอร์เกิลแต่ละตัวอาจมีแอกซอนส่งมาถึงมากกว่าหนึ่งใย", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" }, { "docid": "885632#6", "text": "ปลายประสาทเมอร์เกิลไวที่สุดในบรรดาตัวรับแรงกล 4 อย่างต่อความถี่ต่ำ ราว ๆ 0.3-5 เฮิรตซ์\nและตอบสนองอย่างคงยืนต่อสิ่งเร้า\nเพราะตอบสนองอย่างคงยืน ปลายประสาทเมอร์เกิลจึงจัดว่าปรับตัวช้า ๆ (slowly adapting)\nเทียบกับ Pacinian corpuscle และ Meissner's corpuscle ซึ่งปรับตัวอย่างรวดเร็ว (rapidly adapting) คือตอบสนองต่อช่วงเกิดและช่วงหมดสิ่งเร้าที่เหมาะสม", "title": "ปลายประสาทเมอร์เกิล" } ]
2977
จังหวัดเชียงใหม่อยู่ในภูมิภาคใดของประเทศไทย?
[ { "docid": "74294#0", "text": "เชียงใหม่ () เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นเมืองวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นเมืองศูนย์กลางของจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นอดีตนครหลวงแห่งอาณาจักรล้านนา ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือเป็นระยะทาง มีแม่น้ำปิงไหลผ่านเมือง และตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศ เขตเทศบาลมีพื้นที่ 40.22 ตารางกิโลเมตร โดยครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอเมืองเชียงใหม่ ในแง่ของจำนวนประชากรของเทศบาลนครเชียงใหม่ซึ่งมีประมาณ 130,000 คน นับว่าเป็นเทศบาลที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย รองจากเทศบาลนครนนทบุรี เทศบาลนครปากเกร็ด และเทศบาลนครหาดใหญ่ นอกจากนี้ เทศบาลนครเชียงใหม่ยังเป็นเทศบาลนครแห่งแรกของประเทศไทย\nชื่อของเชียงใหม่หมายความว่า \"เมืองใหม่\" เนื่องจากเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของอาณาจักรล้านนา ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 1839 แทนเมืองเชียงราย อดีตนครหลวงที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 1805", "title": "เทศบาลนครเชียงใหม่" }, { "docid": "5262#8", "text": "จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ 20,107.057 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 12,566,911 ไร่ มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของภาคเหนือ และเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปมีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาและป่าละเมาะ มีที่ราบอยู่ตอนกลางตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง มีภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยคือ ดอยอินทนนท์ สูงประมาณ 2,565 เมตร อยู่ในเขตอำเภอจอมทอง นอกจากนี้ยังมีดอยอื่นที่มีความสูงรองลงมาอีกหลายแห่ง เช่น ดอยผ้าห่มปก (อำเภอฝาง) สูง 2,285 เมตร ดอยหลวงเชียงดาว (อำเภอเชียงดาว) สูง 2,170 เมตร ดอยสุเทพ (อำเภอเมืองเชียงใหม่) สูง 1,601 เมตร สภาพพื้นที่แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ", "title": "จังหวัดเชียงใหม่" }, { "docid": "5262#0", "text": "จังหวัดเชียงใหม่ ( \"เจียงใหม่\") เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทยเป็นจังหวัดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของไทย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีประชากร 1,746,840 คน มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ในจำนวนนี้เป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองและชานเมือง 960,906 คน โดยจังหวัดเชียงใหม่ทิศเหนือติดต่อกับรัฐฉานของเมียนมา", "title": "จังหวัดเชียงใหม่" } ]
[ { "docid": "5262#15", "text": "จังหวัดเชียงใหม่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งมีรอยเลื่อนมีพลัง 2 แห่งที่พาดผ่านจังหวัด ได้แก่ \"รอยเลื่อนแม่จัน\" ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด พาดผ่านอำเภอฝางและอำเภอแม่อายในทิศตะวันออก-ตะวันตก และ \"รอยเลื่อนแม่ทา\" พาดผ่านพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดในทิศเหนือ-ใต้ ผ่านอำเภอพร้าว ดอยสะเก็ด แม่ออน เชียงดาว แม่แตง แม่ริม สันทราย เมืองเชียงใหม่ สารภี หางดง สันป่าตอง และแม่วาง นอกจากนี้พื้นที่ส่วนอื่นของจังหวัดก็มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบริเวณอื่นเช่นกัน โดยแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางในเขตจังหวัดเชียงใหม่ครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ขนาด 5.1 มีจุดเหนือศูนย์กลางในอำเภอแม่ริม ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยในบริเวณอำเภอแม่ริมและอำเภอใกล้เคียงปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ 204 ตำบล 2,066 หมู่บ้าน ซึ่งอำเภอทั้ง 25 อำเภอมีดังนี้", "title": "จังหวัดเชียงใหม่" }, { "docid": "17494#2", "text": "ภูมิประเทศของภาคเหนือประกอบไปด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อน และมีพื้นที่สำคัญของประเทศหลายจุด เช่น พื้นที่ทางด้านตะวันตกสุดของประเทศที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่ทางด้านเหนือสุดของประเทศที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จุดสูงสุดของประเทศที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ ภาคเหนือยังเป็นพื้นที่แรกของประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน โดยจุดแรกที่แม่น้ำโขงไหลผ่านประเทศไทยอยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย", "title": "ภาคเหนือ (ประเทศไทย)" }, { "docid": "5262#7", "text": "จังหวัดเชียงใหม่ (ตัวอำเภอเมือง) ตั้งอยู่ ณ ละติจูด 18 องศาเหนือ ลองติจูด 98 องศาตะวันออก สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 310 เมตร ส่วนกว้างจากทิศตะวันตกจรดทิศตะวันออกประมาณ 138 กิโลเมตร ส่วนยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ประมาณ 428 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพมหานคร 696 กิโลเมตรจังหวัดเชียงใหม่มีชายแดนติดต่อกับ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่อาย อำเภอฝาง อำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง อำเภอไชยปราการ รวมระยะทางทั้งสิ้น 227 กิโลเมตร พื้นที่เขตแดนส่วนใหญ่เป็นป่าเขา จึงไม่สามารถปักหลักเขตแดนได้ชัดเจน และเกิดปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ", "title": "จังหวัดเชียงใหม่" }, { "docid": "38582#3", "text": "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดลำพูนมีสภาพภูมิประเทศเป็นดินทราย อยู่ในที่ลุ่มของลำน้ำหลายสาย จนเกิดลำไยต้นหมื่นที่บ้านหนองช้างคืน อำเภอเมืองลำพูน ซึ่งเก็บผลขายต้นเดียวได้ราคาเป็นหมื่น เมื่อปีพ.ศ. 2511 ผลิตผลต่อต้นได้ 40-50เข่ง พัฒนาการของลำไยในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะที่จังหวัดลำพูน ถ้านับจากการเสด็จกลับเมืองเชียงใหม่ครั้งแรกของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีเมื่อปีพ.ศ. 2457 จนถึงลำไยต้นหมื่นที่หนองช้างคืนเมื่อปีพ.ศ. 2511 มีการพัฒนาพันธุ์ร่วม90ปี จนขณะนี้มีลำไยมากมายหลายพันธุ์และมีการปลูกมากถึง157,220ไร่", "title": "ลำไย" }, { "docid": "5262#1", "text": "จังหวัดเชียงใหม่มีเขตเมืองที่จัดเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สองของประเทศไทยรองจากกรุงเทพมหานคร มีประชากรในเขตเมืองและชานเมือง 960,906 คน (พ.ศ. 2553) จังหวัดเชียงใหม่แบ่งการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ โดยมีอำเภอเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2552 มีการจัดตั้งอำเภอกัลยาณิวัฒนาเป็นอำเภอลำดับที่ 25 ของจังหวัด และลำดับที่ 878 ของประเทศ ซึ่งเป็นอำเภอล่าสุดของไทย", "title": "จังหวัดเชียงใหม่" }, { "docid": "368360#0", "text": "เขตมิสซังเชียงใหม่ หรือสังฆมณฑลเชียงใหม่ เป็นมุขมณฑลโรมันคาทอลิกในประเทศไทย มีอาณาเขตครอบคลุม 4 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำปาง (เว้นอำเภองาว) จังหวัดลำพูน และจังหวัดแม่ฮ่องสอน และมีสถานะเป็นปริมุขมณฑลของเขตมิสซังกรุงเทพฯ", "title": "เขตมิสซังเชียงใหม่" }, { "docid": "5262#57", "text": "จังหวัดเชียงใหม่มีระบบขนส่งที่หลากหลายทั้งทางบก ทางรถไฟ และทางอากาศ โดยเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางการบินที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศและภูมิภาค เป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ มีระบบรางเข้าถึงและมีสถานีรถไฟกลาง 1 แห่งคือ สถานีรถไฟเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่มีสถานีรถโดยสารประจำทาง 3 แห่ง สำหรับการขนส่งผู้โดยสารไปยังอำเภอต่าง ๆ และจังหวัดใกล้เคียง", "title": "จังหวัดเชียงใหม่" } ]
2980
โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน ออกอากาศครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "124482#0", "text": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน เป็นการ์ตูนทีวีแอนิเมชัน 3 มิติ จากประเทศไทย เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กับ บริษัท โฮมรัน เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ผลิตแอนิเมชันโดย บริษัท อัญญาแอนิเมชัน จำกัด (Anya Animation) ออกฉายครั้งแรกที่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2549", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" } ]
[ { "docid": "124482#11", "text": "เธอมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งคือ “พลังเนตรสลายใจ” เวลาที่ใครสบตากับเธอจะทำให้เกิดเคลิบเคลิ้ม และทำตามคำพูดของเธอทุกอย่าง ด้วยพลังนี้นี่เองทำให้เธอได้เข้าร่วมขบวนการ “สี่อภินิหาร” ของกัปตันเจ แต่ว่าในเทอม 2 เธอติดละครเรื่อง “เจ้าหญิงโซอิน” ทำให้เธอใช้พลังนี้ไม่ได้ดั่งใจ\nนิน่า เป็นตัวการ์ตูนจากเรื่อง “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์” ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#9", "text": "ในเทอม 2 เธอได้เข้าร่วมในขบวนการ “สี่อภินิหาร” ของกัปตันเจ\nไก่จัง (Kai) เป็นตัวการ์ตูนที่อยู่ใน “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “มีสุข แจ้งมีสุข” ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#14", "text": "ในเทอม 2 เธอได้เข้าร่วมขบวนการ “สี่อภินิหาร” ของกัปตันเจ และได้รับการฝึกฝนจากกัปตันเจ ทำให้เธอสามารถควบคุมท่า “พายุนิน่า” ได้สำเร็จ\nกาละแมร์ เป็นตัวการ์ตูนที่อยู่ในเรื่อง “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “พัชรศรี เบญจมาศ” ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#1", "text": "\"โฟร์แองจี\" เป็นชื่อกลุ่มที่ประกอบด้วยเด็กหญิง 4 คน ได้แก่ ปุ้ย ไก่จัง นิน่า และ กาละแมร์ ตัวละครทั้ง 4 นี้ได้ถอดแบบมาจากพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ซึ่งเป็นรายการที่ออกอากาศทางช่อง 3 โดยตัวละครแต่ละตัวจะใช้ชื่อเล่นของพิธีกรแต่ละคน อุปนิสัยของตัวละครก็เช่นกัน ล้วนแต่มีที่มาจากพิธีกรทั้ง 4 คนด้วย", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#7", "text": "ปุ้ย (Pui) เป็นตัวการ์ตูนจากเรื่อง “โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน” ทั้งชื่อและนิสัยเอาแบบมาจาก “พิมลวรรณ หุ่นทองคำ” ซึ่งเป็นพิธีกรรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#4", "text": "ในเทอมแรก ปุ้ย ไก่จัง นิน่า และกาละแมร์ ได้มาเจอกันระหว่างทางไปโรงเรียนประถมแองเจิล แต่ไม่สามารถเข้าโรงเรียนได้เนื่องจากมาสาย ทำให้ทั้งสี่ต้องหาวิธีที่จะเข้าไปในโรงเรียนโดยไม่ถูกครูใหญ่ลงโทษ ทั้งสี่คนได้อยู่ห้องเดียวกัน และได้เป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา จึงเกิดความคิดที่จะรวมกลุ่มและได้ตั้งชื่อกลุ่มของตัวเองว่า “โฟร์แองจี”\nในเทอม 2 “พ่อมดดูฮู” ต้องการจะทำลายโลก ทำให้ “กัปตันเจ” ซึ่งเป็นมนุษย์จากดาวอังคารคนสุดท้ายที่รอดพ้นจากการทำลายล้างของพ่อมดดูฮู ได้เข้ามาแฝงตัวในโลกมนุษย์ โดยแฝงมาเป็นครูในโรงเรียนประถมแองเจิล ใช้ชื่อว่า “นายดนุพร แก้วจาน” หรือ “ครูแจ้” และคอยขัดขวางพ่อมดดูฮูไม่ให้ทำลายโลก แต่ระหว่างการต่อสู้ เข็มขัดที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังของเขาเกิดชำรุด เขาจึงรวบรวม “โฟร์แองจี” มาช่วยต่อสู้ด้วยและตั้งชื่อขบวนการว่า “สี่อภินิหาร” ฉะนั้นในเทอมนี้ ปุ้ย ไก่จัง นิน่า และกาละแมร์ จึงต้องเข้าร่วมขบวนการสี่อภินิหาร", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "124482#2", "text": "หลังจากที่ออกอากาศในประเทศไทยมาระยะหนึ่ง \"โฟร์แองจี\" ก็ได้ออกอากาศที่ต่างประเทศ โดยทาง \"\"แชนแนลเจ\"\" (Canal J) ซึ่งเป็นฟรีทีวีช่องรายการสำหรับเด็กอันดับหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ได้ติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายที่ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศในแถบยุโรปอย่าง ประเทศเบลเยียม และ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" }, { "docid": "51041#4", "text": "นอกจากนี้ พัชรศรียังได้เป็นต้นแบบให้กับการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง \"โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน\" ที่นำบุคลิกของทั้ง 4 สาวจากรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงมาเป็นแบบให้กับตัวการ์ตูน และยังเป็นผู้พากย์บรรยายตอนต้นและตอนจบของการ์ตูนในแต่ละตอนอีกด้วย อีกทั้งยังได้ไปปรากฏตัวในวรรณกรรมไทยเรื่อง The White Road Spirit II วรรณอันดับ 1 Sci-Fi Fantasy เมืองไทย ของ ดร.ป๊อป ในบทตัวละคร\"แมร์\"ปี 2540-2543 ได้เป็นเป็นพิธีกรรายการ\"ดูหนังฟังเพลง\" กับ \"สีสันบันเทิง\" อ่านข่าวช่วง\"เมืองไทยวันนี้\" และ \"เช้านี้ที่ช่อง 3\" เป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุช่วง WOMAN\"S Today ของคลื่นผู้หญิงวันเสาร์-อาทิตย์", "title": "พัชรศรี เบญจมาศ" }, { "docid": "124482#6", "text": "เริ่ม 19 พฤศจิกายน 2553 ทาง ช่อง 3 ทุกวันศุกร์ เวลา 18.00 น. — 18.30 น. และจะมีการออกอากาศเพียง 5 สัปดาห์จบเท่านั้น", "title": "โฟร์แองจี สี่สาวแสนซน" } ]
2983
เพชรพระอุมาออกวางจำหน่ายในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค เป็นแบบรายวันคือกี่วัน?
[ { "docid": "28360#4", "text": "เพชรพระอุมาออกวางจำหน่ายในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค เป็นแบบรายวันคือ 10 วัน ต่อหนังสือ 1 เล่ม และยังคงดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปจนถึงเล่มที่ 40 จนกระทั่งมีความยาวถึง 98 เล่ม เนื้อเรื่องก็ยังไม่สามารถจบลงได้ จนกระทั่งเพชรพระอุมาฉบับพ็อตเก็ตบุ๊คเล่มที่ 99 ได้ออกวางจำหน่ายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 จึงได้รับการตีพิมพ์ต่อเนื่องใน \"จักรวาลรายสัปดาห์\" ในปี พ.ศ. 2513 เป็นระยะเวลา 5 ปี และตีพิมพ์ต่อเนื่องใน \"หนังสือพิมพ์เดลินิวส์\" ในปี พ.ศ. 2518 เป็นระยะเวลาอีก 6 ปี พนมเทียนก็ยังไม่สามารถจบเรื่องราวการผจญกัยในป่าของเพชรพระอุมา จนกระทั่งได้รับการตีพิมพ์ต่อใน \"จักรวาลปืน\" ในปี พ.ศ. 2525 อีก 8 ปี เรื่องราวทั้งหมดจึงสามารถจบลงได้ในปี พ.ศ. 2533", "title": "เพชรพระอุมา" } ]
[ { "docid": "558620#1", "text": "มิวสิกวิดีโอนี้ได้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 (วันฉัตรมงคล) ในรายการ ฮัลโหลวันหยุด ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยถ่ายทำที่โรงงานน้ำตาลแห่งหนึ่งในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และสตูดิโอ 125 กำกับโดย ณัฐพล มุขขันธ์ โดยมี มาช่า วัฒนพานิช มาร่วมแสดงในบทบาทของสาวงามที่บังเอิญรถเสียและเดินหลงเข้าไปในหมู่บ้านๆหนึ่งเลยทำให้ชาวบ้านร้านตลาดตกตะลึงในความงามของเธอ ส่วนฉากของ เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ และ เสก โลโซ (เสกสรรค์ ศุขพิมาย) นั้น เป็นการประชันของ เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ ซูเปอร์สตาร์ฝั่งป็อปในชุดสูทผูกเนคไทสุดเนี้ยบโดดขึ้นเวทีกับ เสก โลโซ (เสกสรรค์ ศุขพิมาย) ซูเปอร์สตาร์ฝั่งร็อกในบรรยากาศที่เซ็ตขึ้นมาเหมือนคอนเสิร์ตจริง โดยมีแฟนคลับร้อยกว่าชีวิตมาร่วมบรรยากาศข้าง ๆ เวทีด้วยความมันในอารมณ์ตามเพลงชนิดที่ว่าถ่ายกี่เทคกี่คัตยังไม่หาย", "title": "อมพระมาพูด" }, { "docid": "28360#44", "text": "ปัจจุบันมีโครงการสร้างใหม่อีกครั้งโดย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ซึ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยความร่วมมือของหลาย ๆ ฝ่ายจากคลับสมาชิกเว็บไซต์พันทิปจำนวนมากภายในห้องเพชรพระอุมา คาดหวังว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของโลก ที่แฟนนวนิยายช่วยกันเขียนผ่านทางอินเทอร์เน็ต และอาจใช้เวลาในการถ่ายทำยาวนานถึง 4 ปี เฉพาะภาคแรกคือออกติดตามค้นหาพรานชด เนื้อหาแบ่งออกเป็น 3 ภาค ดูคล้ายๆแนวของฮอลลีวู๊ดอย่าง \"Jurassic Park\", \"Mummy\" และ \"Gladiator\"", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "606944#3", "text": "ในประเทศไทยเคยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ในรายการช่อง 9 การ์ตูน เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2545 และออกอากาศแบ่งเป็นช่วงๆ นอกจากนี้ได้วางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดย ทีไอจีเอ เมื่อช่วงปี พ.ศ. 2546 โดยใช้เสียงพากย์ที่ออกอากาศทางช่อง 9 มาวางจำหน่าย แต่วางจำหน่ายเพียง 26 แผ่น อย่างไรก็ตามเมื่อปี พ.ศ. 2549 บริษัทไรท์บียอนด์ได้ซื้อลิขสิทธิ์โปเกมอนในการวางจำหน่ายรูปแบบวีซีดีและดีวีดี ซึ่งได้นำนักพากย์ที่เคยพากย์ช่อง 9 บางคนมาพากย์ใหม่จนจบภาค ปัจจุบันลิขสิทธิ์เป็นของทรู ดิจิตอล คอนเทนท์ แอนด์ มีเดีย และได้พากย์เสียงใหม่ลงทางแชนแนล POPS Kids Thailand ลงสัปดาห์ละสองตอนทุกวันพุธและวันเสาร์", "title": "พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ (อะนิเมะภาคแรก)" }, { "docid": "28360#1", "text": "เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มซ้ำใหม่หลาย ๆ ครั้งในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค จำนวน 48 เล่ม โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน (เดิมเป็นชนิดปกแข็งจำนวน 53 เล่ม แต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 33 ยก หรือ 16 หน้ายก และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจะมีความหนาประมาณ 1,749 ยก แบ่งเป็นสามภาคได้แก่ ภาคแรก จำนวน 24 เล่ม ภาคสอง จำนวน 15 เล่ม และ ภาคสาม จำนวน 14 เล่ม แต่ปัจจุบันได้รวบรวมเนื้อหาในแต่ละภาคและลดลงคงเหลือเพียงแค่ 48 เล่ม) แบ่งเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2541 และทำการปรับปรุงต้นฉบับเดิมพร้อมกับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2544 และตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2547 อีกทั้งยังมีการทำเป็น eBook โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ในปี พ.ศ. 2556", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#17", "text": "เพชรพระอุมาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ในรูปแบบของพ็อคเก็ตบุ๊คจำนวน 98 เล่ม ต่อมาได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารจักรวาลรายสัปดาห์ โดยตีพิมพ์ต่อเนื่องจากสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยาตั้งแต่เล่มที่ 99 ต่อเนื่องจนถึงเล่มที่ 268 ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 และฉบับรวมเล่มจำนวน 22 เล่ม แบ่งเป็น", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28360#18", "text": "ต่อมาได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ชวนะบุตร ในปี พ.ศ. 2518 จำนวน 22 เล่ม แบ่งเป็นตอน ๆ รวมทั้งสิ้น 5 ตอน ได้แก่ เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ จำนวน 5 เล่ม, ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม, ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม, ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 5 เล่ม และตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม และได้รับการตีพิมพ์เพชรพระอุมาภาคสมบูรณ์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ภายหลังจากพนมเทียนเขียนเพชรพระอุมาภาคแรกจบ โดยเริ่มเพชรพระอุมา ตอน จอมพราน ในวันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2519 ถึง วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2525 และได้นำภาคแรกมาตีพิมพ์ซ้ำจนจบในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2527 และตีพิมพ์ภาคสามของเพชรพระอุมา ตอน มงกุฎไพร ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 ถึง พ.ศ. 2533 โดยนิตยสารจักวาลปืน", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "266789#35", "text": "ดีวีดี \"รถไฟฟ้า มาหานะเธอ\" วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 ในสองรูปแบบคือ รูปแบบดีวีดีแผ่นเดียว จัดจำหน่ายโดยพีระมิด ดิจิตอล ระบบภาพไวด์สกรีน 16:9 ระบบเสียงภาษาไทย 2 ระบบคือ ดอลบีดิจิตอล5.1 และ ดอลบี 2.0 มีให้เลือกซับไตเติลภาษาไทย นอกจากนั้นยังมีส่วนพิเศษคือรูปภาพจากภาพยนตร์ ส่วนวิดีโอประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์และตัวอย่างภาพยนตร์ ส่วนในรูปแบบดีวีดีสองแผ่น แผ่นแรกเหมือนในดีวีดีแผ่นเดียว ส่วนในแผ่นที่ 2 มีภาพจากภาพยนตร์ที่ถูกตัดออก เบื้องหลังภาพยนตร์ การทดสอบการแสดงของนักแสดง ภาพจากงานแถลงข่าว ภาพละคร \"น้ำตากามเทพ\" จากในภาพยนตร์ ฉากเต้นรำสาวออฟฟิส วิดีโอเกี่ยวกับเสื้อผ้าและผม วิดีโอที่พูดถึงดาวหาง \"แม็คไบรท์\" วิดีโอรถไฟฟ้า มหานิยม และการบรรยายของผู้กำกับและนักแสดงในภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีบัตรบีทีเอสแบบเติมเงินรุ่นรถไฟฟ้ามาหานะเธอและภาพถ่าย", "title": "รถไฟฟ้า มาหานะเธอ" }, { "docid": "28360#21", "text": "ปลายปี พ.ศ. 2556 เพชรพระอุมาได้จัดทำเป็นรูปแบบ eBook เป็นครั้งแรกโดยแพรวสำนักพิมพ์ โดยเริ่มเปิดตัวภาคแรกในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 18 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556 และเริ่มจำหน่ายในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 พร้อมกันที่ร้านนายอินทร์และ Naiin.com โดยแบ่งเป็น 2 ภาค 12 ตอน 48 เล่มเหมือนหนังสือ โดยที่ผู้อ่านต้อง download Application Naiin Pann และใส่ code ของหนังสือแต่ละตอนลงใน Application", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "623700#2", "text": "ต่อมาเขาได้เขียนภาพปกพ็อคเก็ตบุ๊คเรื่องเพชรพระอุมาให้พนมเทียน สลับกับสุรินทร์ ปิยานันท์นักวาดฝีมือดีอีกคนในขณะนั้น และได้วาดภาพปกอีกครั้งในจักรวาล รายสัปดาห์ ได้แต่ทำได้ไม่กี่เดือนก็ขอถอนตัว...", "title": "ราช เลอสรวง" } ]
2988
สนามบินสุวรรณภูมิเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อใด ?
[ { "docid": "4202#12", "text": "สนามบินได้เปิดทดลองเต็มรูปแบบ และมีการขายตั๋วที่นั่งให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 โดยมีสายการบินภายในประเทศ 6 สายการบินร่วมทดลอง ได้แก่ การบินไทย นกแอร์ ไทยแอร์เอเชีย บางกอกแอร์เวย์ พีบีแอร์ และโอเรียนท์ ไทย แอร์ไลน์ จาก 20 เที่ยวบินภายในประเทศโดยเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ภายในประเทศเที่ยวแรกคือ TG1881 ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-ภูเก็ต ส่วนเที่ยวบินทดสอบระหว่างประเทศเที่ยวบินแรกเกิดขึ้นในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยมีการส่งเครื่องบินไทย 2 ลำไปยังสิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งเป็นการทดสอบทั้งความสามารถของท่าอากาศยานในการรองรับการจราจรทางอากาศที่แออัด และในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้ทำการบินนำผู้โดยสารไปยังท่าอากาศยานอินชอนประเทศเกาหลีใต้ TG6561 นับเป็นเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ระหว่างประเทศเที่ยวบินแรกของสุวรรณภูมิ", "title": "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" }, { "docid": "4202#0", "text": "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินที่ตั้งอยู่ที่ถนนเทพรัตนและทางพิเศษบูรพาวิถี ในเขตตำบลหนองปรือและตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากใจกลางเมือง กรุงเทพมหานคร ประมาณ 25 กิโลเมตร เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 รัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยแทนท่าอากาศยานดอนเมือง และตั้งเป้าให้เป็นศูนย์กลางการบินในทวีปเอเชีย อีกทั้งการเน้นพัฒนาคุณภาพการให้บริการของท่าอากาศยานให้ได้รับการจัดอันดับ 1 ใน 10 ท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการบริการดีที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2553 ปัจจุบัน นาวาอากาศโท สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ เป็นผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ", "title": "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" } ]
[ { "docid": "5761#1", "text": "เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2457 โดยปิดตัวลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 วันเดียวกับที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดใช้งาน โดยสนามบินดอนเมืองถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ซ่อมเครื่องบิน ฝึกบิน และสำหรับจอดเครื่องบินส่วนตัวของบุคคลสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ท่าอากาศยานดอนเมืองได้กลับมาให้บริการเที่ยวบินแบบประจำ (scheduled flight) เที่ยวบินในประเทศอีกครั้งโดยมี สายการบินไทย นกแอร์ วันทูโก และพีบีแอร์มาเปิดให้บริการในลำดับแรก หลังจากพบปัญหาหลายอย่างที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ท่าอากาศยานดอนเมืองได้กลับมาเปิดให้บริการในฐานะสนามบินนานาชาติแห่งที่สองอีกครั้ง เนื่องด้วยนโยบายรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต้องการลดความแออัดของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิลง ปัจจุบัน ท่าอากาศยานดอนเมือง รับเที่ยวบิน จาก ประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศสิงคโปร์ ประเทศกัมพูชา ประเทศมาเลเซีย ประเทศพม่า ประเทศเวียดนาม ประเทศไต้หวัน ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศอินเดีย ประเทศมัลดีฟส์ ฮ่องกง ประเทศฟิลิปปินส์ มาเก๊า ประเทศเนปาล และล่าสุดประเทศศรีลังกา รวม 15 ประเทศ ส่วนเที่ยวบินภายในประเทศสำหรับท่าอากาศยานดอนเมืองมีเที่ยวบินภายในประเทศบริการบินไปกลับ จาก ท่าอากาศยานแพร่ ท่าอากาศยานตรัง ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด ท่าอากาศยานนครพนม ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ท่าอากาศยานระนอง ท่าอากาศยานสกลนคร ท่าอากาศยานพิษณุโลก ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ท่าอากาศยานน่านนคร ท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอน ท่าอากาศยานแม่สอด และ ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์ ซึ่ง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่มีบริการใน 13 จังหวัดดังกล่าว ใน 13 จังหวัดดังกล่าวมีเที่ยวบินให้บริการที่ ท่าอากาศยานดอนเมืองเท่านั้น", "title": "ท่าอากาศยานดอนเมือง" }, { "docid": "451234#1", "text": "การบินไทยสมายล์ให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยรองรับเที่ยวบินให้สามารถเดินทางต่อกับสายการบินไทยได้อย่างราบรื่น จุดหมายแรกที่การบินไทยสมายล์เริ่มทำการบินคือ มาเก๊า โดยเริ่มให้บริการในเดือนกรกฎาคม จำนวน 2 เที่ยวบินต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้ แต่เดิมสายการบินไทยสมายล์ได้มีการให้บริการผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังจุดหมายปลายทางทั้งสิ้น 3 เส้นทางบินไป - กลับ ได้แก่ เชียงใหม่ วันละ 3 เที่ยวบิน, ขอนแก่น วันละ 3 เที่ยวบิน และ ภูเก็ต วันละ 2 เที่ยวบิน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พุทธศักราช 2557 มาโดยตลอดจนกระทั่งถึงวันที่ 15 มกราคม พุทธศักราช 2560 ได้ให้บริการผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นวันสุดท้าย และได้ทำการย้ายฐานการบินไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทั้งหมด นับตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม พุทธศักราช 2560 ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 การบินไทยสมายล์ ยกเลิกเที่ยวบินกรุงเทพแวะภูเก็ตไปกว่างโจว โดยเปลี่ยนเป็นบินตรง กรุงเทพไปกว่างโจว", "title": "การบินไทยสมายล์" }, { "docid": "4202#13", "text": "ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549 ท่าอากาศยานเริ่มเปิดให้บริการเที่ยวบินรายวันอย่างจำกัด โดยเจ็ตสตาร์ เอเชีย แอร์เวย์ มีเที่ยวบิน 3 เที่ยวต่อวันไปยังสิงคโปร์ ส่วนการบินไทยมีเที่ยวบินภายในประเทศไปยังจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดอุบลราชธานี ตามด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ แอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชีย และนกแอร์ ซึ่งระหว่างช่วงเริ่มต้นใช้งานนั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ใช้รหัสสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศชั่วคราว คือ \"NBK\"", "title": "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" }, { "docid": "141742#9", "text": "การก่อสร้างตลอดสายแล้วเสร็จตามสัญญาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2543 (ระยะเวลาก่อสร้างที่ขยายจากแผนงานเดิม 11 เดือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2540) โดยได้เปิดให้บริการเป็นช่วงต่าง ๆ ดังนี้ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552 และทางเชื่อมทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552", "title": "ทางพิเศษบูรพาวิถี" }, { "docid": "64016#2", "text": "เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2527 พื้นที่เดิมเป็นสวนมะพร้าวซึ่งบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้รับความเห็นชอบจากกรมการบินพาณิชย์ว่าเป็นพื้นที่ ที่เหมาะสมสำหรับเป็นที่ตั้งของสนามบิน เนื่องจากเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่เพียงพอกับการสร้างสนามบิน และ เป็นสนามบินของเอกชน \nเริ่มเปิดบริการเส้นทางแรกในเส้นทาง กรุงเทพ – สมุย ด้วยเครื่องบิน DASH 8 - 100 ขนาด 37 ที่นั่ง ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชั่วโมง 10 นาที ซึ่งเป็นการย่นระยะเวลาเดินทางไปเกาะสมุย โดยปกติ จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงถึง 1 วัน ของการเดินทางแต่ละประเภท", "title": "ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย" }, { "docid": "300986#3", "text": "1 ธันวาคม 2541 ท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์ของนครศรีธรรมราช หรือ ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชได้เปิดให้บริการครั้งแรก ทำให้ต้องมีการย้ายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชดูแลแทนทั้งหมด ท่าอากาศยานชะเอียดจึงใช้เป็นสนามบินของมลฑลทหารบกที่ 41 กองทัพภาคที่ 4 ใช้ในกิจการด้านการทหารและรับเสด็จและส่งเสด็จเครื่องบินพระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์", "title": "สนามบินชะเอียน" }, { "docid": "114749#3", "text": "พ.ศ. 2516 บริษัท การบินฟ้าสยาม เปิดทำการบินเช่าเหมาลำ เพื่อทำการรับส่งผู้โดยสาร, สินค้า และ พัสดุภัณฑ์ไปรษณีย์ ในเส้นทางเชียงใหม่ – ปาย – เชียงใหม่ จึงสามารถเปิดให้บริการสถานีวิทยุสื่อสารการบินปายได้ โดยทำการบินเฉลี่ยวันละ 4-5 เที่ยวบินจนถึง พ.ศ. 2520 บริษัท การบินฟ้าสยามหยุดการทำการบินและเลิกกิจการในที่สุด แต่สนามบินปายก็ยังเปิดให้บริการเรื่อยมาตามปกติ พ.ศ. 2523 ทางกรมการบินพาณิชย์ ได้ตั้งงบประมาณจำนวนเงิน 1 ล้าน 5 แสนบาท เพื่อทำการปรับปรุงท่าอากาศยานปาย โดยเปลี่ยนทางวิ่งให้เป็นลูกรังบดอัดแน่น และก่อสร้างอาคารผู้โดยสารอาคารสถานีวิทยุสื่อสารและหอบังคับการบินเพิ่มเติม", "title": "ท่าอากาศยานปาย" }, { "docid": "4202#70", "text": "สำหรับใช้เดินทางใต้รันเวย์สนามบินมีทั้งหมด 2 สถานี ระยะทางรวม 1 กิโลเมตร โดยใช้รถไฟฟ้าล้อยางแบบไร้คนขับ (Automated People Mover-APM) รวมทั้งหมด 6 ขบวน ขบวนละ 2 ตู้ ตู้ละประมาณ 25 ที่นั่ง วิ่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง คาดหมายว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563 \nบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามบันทึกสัญญาการทำงานร่วมกันในการลงนามสนามบินพี่น้องกับท่าอากาศยานทั้งหมด 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานมิวนิก ประเทศเยอรมนี, ท่าอากาศยานนานาชาติอินช็อน ประเทศเกาหลีใต้, ท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะ ประเทศญี่ปุ่น, ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน, ท่าอากาศยานออสติน สหรัฐอเมริกา, ท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบาง ประเทศลาว", "title": "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" } ]
2992
ทฤษฎีความตื่นตัวของฮันส์ ไอเซงค์พรรณนาถึงวงจรธรรมชาติของสภาวะความตื่นตัวในสมองของผู้ใส่ใจภายในเปรียบเทียบกับผู้ใส่ใจภายนอกใช่หรือไม่?
[ { "docid": "563389#6", "text": "ทฤษฎีความตื่นตัวของฮันส์ ไอเซงค์พรรณนาถึงวงจรธรรมชาติของสภาวะความตื่นตัวในสมองของผู้ใส่ใจภายใน เปรียบเทียบกับผู้ใส่ใจภายนอก และกำหนดว่า สมองของผู้ใส่ใจภายนอกถูกกระตุ้นน้อยกว่าโดยธรรมชาติ ดังนั้น ผู้มีบุคคลิกอย่างนี้จึงมีความโน้มเอียงไปในการแสวงหาสถานการณ์ และเข้าไปมีส่วนร่วมในพฤติกรรม ที่จะกระตุ้นความตื่นตัว", "title": "สภาวะตื่นตัว" } ]
[ { "docid": "563389#3", "text": "ความตื่นตัวมีความสำคัญอย่างมากในอารมณ์ด้วย จึงเป็นแนวความคิดที่ได้ถูกนำไปเป็นส่วนของทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่างๆ เช่น ทฤษฎีอารมณ์ของเจมส์-ลานจ์ (James-Lange theory of emotion) ส่วนตามทฤษฎีของฮันส์ ไอเซงค์ ความแตกต่างในระดับความตื่นตัวขั้นพื้นฐานเป็นเหตุให้บุคคลต่างๆ มีบุคคลิกเป็นผู้ใส่ใจภายนอก (extrovert) และผู้ใส่ใจภายใน (introvert) แต่งานวิจัยภายหลังเสนออีกอย่างหนึ่งว่า มีความเป็นไปได้มากกว่า ที่ผู้ใส่ใจภายนอกและผู้ใส่ใจภายในมีระดับการปลุกความตื่นตัวได้ที่ไม่เท่ากัน คือระดับความตื่นตัวพื้นฐานของทั้งสองพวกเท่ากัน แต่มีการตอบสนองต่อตัวกระตุ้นที่ไม่เหมือนกัน", "title": "สภาวะตื่นตัว" }, { "docid": "563389#4", "text": "กฎของเยอร์คส-ด็อดสัน (Yerkes-Dodson Law) กำหนดว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างความตื่นตัวและสมรรถภาพในการทำงาน คือโดยสำคัญแล้ว อ้างว่า มีระดับความตื่นตัวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงาน และระดับที่มากหรือน้อยเกินไปสามารถมีผลลบต่อสมรรถภาพการทำงาน เป็นความสัมพันธ์ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยสมมุติฐานการใช้ข้อมูลของอีสเตอร์บรุก (Easterbrook Cue-Utilisation hypothesis) อีสเตอร์บรุกแสดงว่า ความเพิ่มขึ้นของการตื่นตัว กลับลดจำนวนข้อมูลจากการรับรู้ ที่สามารถจะนำไปใช้ได้", "title": "สภาวะตื่นตัว" }, { "docid": "910619#1", "text": "โดยทฤษฎีปรากฏการณ์วิทยาของฮุสเซิร์ลนี้ การค้นหาความจริงที่ปรากฏอยู่โดยไม่มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ผู้ศึกษาเป็นอิสระจากกรอบแนวคิดหรือทฤษฎี โดยให้บุคคลอธิบายเรื่องราวและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ตนเองประสบพบเจอโดยตัดอคติและตัดความเอนเอียงในเรื่องที่ศึกษา รวมทั้งขจัดความคิดเห็นของตนออกจากสิ่งที่ตนเองกำลังศึกษา (bracketing) เน้นที่จุดมุ่งหมาย (intentionality) และสาระสำคัญ (essences) ที่บุคคลนั้นรับรู้มา", "title": "เอ็ทมุนท์ ฮุสเซิร์ล" }, { "docid": "144065#0", "text": "แฮร์มัน ลูทวิช แฟร์ดีนันท์ ฟ็อน เฮ็ล์มฮ็อลทซ์ (; 31 สิงหาคม ค.ศ. 1821 – 8 กันยายน ค.ศ. 1894) เป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ซึ่งเชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์หลายสาขา ในทางสรีรศาสตร์ เขาได้คิดค้นทฤษฎีการมองเห็น การมองเห็นในอวกาศ งานวิจัยเรื่องการเห็นสี รวมถึงการได้ยินเสียง ในทางฟิสิกส์ งานที่มีชื่อเสียงของเขาคือทฤษฎีเกี่ยวกับพลศาสตร์ไฟฟ้า อุณหพลศาสตร์เคมี และหลักพื้นฐานทางกลของอุณหพลศาสตร์ เขายังเป็นนักปรัชญาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎการตระหนักรู้ กับกฎธรรมชาติ และแนวคิดเรื่องวิทยาศาสตร์เพื่อคุณธรรม สถาบันวิจัยในเยอรมันแห่งหนึ่งได้ใช้ชื่อว่า \"Helmholtz Association\" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา", "title": "แฮร์มัน ฟ็อน เฮ็ล์มฮ็อลทซ์" }, { "docid": "6489#0", "text": "หลักการของไฮเกนส์ (ตามชื่อของนักฟิสิกส์ชาวดัตช์ คริสตียาน เฮยเคินส์) เป็นวิธีการวิเคราะห์ปัญหาหน้าคลื่นของการแผ่ของคลื่น หลักการนี้ได้กล่าวว่า ที่แต่ละจุดของหน้าคลื่นที่กำลังเคลื่อนตัว จะกระทำตัวเสมือนเป็นจุดศูนย์กลางกำเนิดคลื่นใหม่ และหน้าคลื่นที่เคลื่อนตัวออกไปจะเสมือนกับเป็นผลรวมของคลื่นย่อย ซึ่งกำเนิดขึ้นจากจุดที่หน้าคลื่นเดิมได้วิ่งผ่าน มุมมองนี้มีส่วนช่วยให้สามารถทำความเข้าใจถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของคลื่น เช่น การกระเจิงของคลื่น", "title": "หลักการของไฮเกนส์" }, { "docid": "643987#0", "text": "ปีเตอร์ ฮิกส์ () เป็นนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีชาวอังกฤษ โดยได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับฟร็องซัว อ็องแกลร์ในปี ค.ศ. 2013 ในการค้นพบทฤษฎีกลไกของฮิกส์ (Higgs mechanism) ซึ่งสนับสนุนความเข้าใจเรื่องการกำเนิดมวลของอนุภาคต่าง ๆ โดยทฤษฎีดังกล่าวได้รับการยืนยันจากการค้นพบอนุภาคมูลฐานฮิกส์ จากการทดลองโดยใช้เครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ (LHC) ในเซิร์น ตรวจวัดโดยเครื่อง ATLAS และ CMS", "title": "ปีเตอร์ ฮิกส์" }, { "docid": "182588#1", "text": "ในแบบจำลองทางทฤษฎี เราจะสมมุติปัญหาให้เป็นความผันผวนจากอุณหภูมิแบบสุ่มของอิเล็กตรอนภายตัวต้านทาน 1 มิติ ที่มีความยาวเป็น L มีพื้นที่หน้าตัดเป็น A มีความต้านทาน R และมีศักย์ไฟฟ้าตกคร่อมจากกฎของโอห์ม V=IR โดยกระแสและศักย์ไฟฟ้านั้นจะมีผลมาจากความผันผวนทางอุณหภูมิ ที่จะอนุญาตให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่งๆ มากกว่าทิศทางอื่นๆ\nโดยปรกติแล้วเมื่อไม่มีกระแสไหล จะได้ว่าศักย์ไฟฟ้าเฉลี่ยจะมีค่าเท่ากับศูนย์ จากการที่อิเล็กตรอนควรจะเคลื่อนที่แบบสุ่มไปเท่าๆกันทั้งสองด้านของตัวนำไฟฟ้า", "title": "จอห์นสันนอยส์" }, { "docid": "630851#50", "text": "เคลย์แมนและฮาใช้ความน่าจะเป็นแบบเบส์ (Bayesian probability) และทฤษฎีสารสนเทศ (information theory) เป็นมาตรฐานในการทดสอบสมมติฐาน\nแทนที่หลัก falsificationism ซึ่งต้องพยายามพิสูจน์ว่าสมมติฐานนั้นผิดตามที่วาสันใช้ แต่ว่าตามเคลย์แมนและฮา คำตอบของแต่ละคำถามให้ข้อมูลมากน้อยต่างกัน\nขึ้นอยู่กับความคิดความเชื่อที่มีอยู่ก่อนดังนั้น การทดสอบสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นวิธีการทดสอบที่หวังว่าจะได้ข้อมูลมากที่สุดและการทดสอบเชิงบวกอาจจะให้ความรู้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นเบื้องต้นเคลย์แมนและฮาเสนอว่า เมื่อบุคคลกำลังขบปัญหาจริง ๆ ในโลก นั่นเป็นการหาคำตอบเฉพาะที่มีความน่าจะเป็นเบื้องต้นต่ำ (คือกฎธรรมชาติหรือคำอธิบายของธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะที่ไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์แบบกว้าง ๆ) และในกรณีเช่นนี้ การทดสอบเชิงบวกจะให้ความรู้มากกว่าการทดสอบเชิงลบ (ดูแผนภาพเวนน์ภาพที่ 2 และ 3)", "title": "ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน" }, { "docid": "643316#0", "text": "ฟร็องซัว อ็องแกลร์ (; เกิด 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932) เป็นนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีชาวเบลเยียม โดยได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับปีเตอร์ ฮิกส์ในปี ค.ศ. 2013 ในการค้นพบทฤษฎีกลไกของฮิกส์ (Higgs mechanism) ซึ่งสนับสนุนความเข้าใจเรื่องการกำเนิดมวลของอนุภาคต่าง ๆ โดยทฤษฎีดังกล่าวได้รับการยืนยันจากการค้นพบอนุภาคมูลฐานฮิกส์ จากการทดลองโดยใช้เครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ (LHC) ในเซิร์น ตรวจวัดโดยเครื่อง ATLAS และ CMS", "title": "ฟร็องซัว อ็องแกลร์" } ]
2993
วีเจจ๋าคือใคร?
[ { "docid": "167989#0", "text": "ณัฐฐาวีรนุช ทองมี ชื่อเล่น จ๋า (28 ตุลาคม พ.ศ. 2522) หรือเคยใช้ชื่อว่า วรัลชญาน์ จินดารักษ์วงศ์ เป็นนักแสดง วีเจทางแชนแนลวีไทยแลนด์", "title": "ณัฐฐาวีรนุช ทองมี" } ]
[ { "docid": "96843#18", "text": "วีเจภูมิยังเป็นดีเจทางคลื่น เวอร์จิ้นฮิต เคยเป็นพิธีกรให้กับเวทีทอง และมีผลงานภาพยนตร์ชุมทางรถไฟผี วีเจนิกกี้อดีตเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลงานภาพยนตร์โฆษณาผลิตภัณฑ์ไนกี้คู่กับนักฟุตบอลลีซอ วีเจเจน ได้ฝากผลงานถ่ายนิตยสาร และเป็นนักแสดง พิธีกรในแต่ละเดือน เอ็มทีวีไทยแลนด์ จะนำเสนอศิลปินประจำเดือน (Platform) โดยในส่วนของศิลปินต่างประเทศ มีตำแหน่ง \"อาร์ทิสต์ออฟเดอะมันธ์\" \"บัซเวิร์ธตี\" \"เอ็มทีวีฮอต\"", "title": "เอ็มทีวีไทยแลนด์" }, { "docid": "108914#0", "text": "วาสนา วีระชาติพลี หรือ ป้าแต๋ว เกิดวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2495 เป็นดีเจชื่อดัง จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบด้วยคะแนนเกียรตินิยม สมัยที่เธอเรียนอยู่ที่จุฬาฯ เธอเคยเป็นทั้งนักดนตรีจากสถาบันศึกษาเดิม และเป็นนักร้องของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(ส.จ.ม.)อีกด้วย จึงมีพื้นฐานของความรู้ในเรื่องของเพลงสากลเป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษอย่างดีเยี่ยม ต่อมาได้เป็นดีเจหญิงคนแรกของรายการ nite spot จากการชักชวนของอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ เธอได้จัดรายการ Together Again และ Radioactive ทางคลื่น 99 เม็กกะเฮิร์ตซ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้งภายในชื่อ Radioactive การจัดรายการเพลงในช่วงนั้น เป็นการปฏิวัติวงการรายการวิทยุด้วยการเลิกเปิดเพลงร็อกเก่าๆ และเพลงป๊อปจ๋าๆ แต่เปิดเพลงแนวโมเดิร์นร็อกที่เป็นซาวนด์ดนตรีจากอังกฤษยุค 80 แทน แล้วก็มีการเลือกเพลงจากยุค 70 เข้ามาเปิดด้วย", "title": "วาสนา วีระชาติพลี" }, { "docid": "272765#0", "text": "เจ๊วิล คุณนายเกรซ เพื่อนกันไม่มีวันจบ หรือ วิลแอนด์เกรซ () เป็นรายการซีรีส์ทางโทรทัศน์อเมริกัน ออกฉายครั้งแรกทางสถานีเอ็นบีซี ตั้งแต่ปี 1998 ถึง 2006 มีเนื้อเรื่องเกิดขึ้นในนครนิวยอร์ก มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวิล ทรูแมน ทนายหนุ่มผู้เป็นเกย์ กับเพื่อนซี้สาว เกรซ แอดเลอร์ สาวแท้เชื้อสายยิว ที่ทำธุรกิจส่วนตัวด้านการตกแต่งภายใน และยังมีเพื่อนอีกหลายคนอย่าง แคเรน วอล์กเกอร์ นักสังคมผู้ร่ำรวย แจ็ก แม็กฟาร์แลนด์ นักแสดง/นักร้อง/นักเต้น ผู้เป็นเกย์ ที่ทำอาชีพมาหลากหลายอาชีพ และโรซาริโอ ซาลาซาร์ แม่บ้านของแคเรน ที่มีความสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งเกลียดเธอ", "title": "เจ๊วิล คุณนายเกรซ เพื่อนกันไม่มีวันจบ" }, { "docid": "83404#0", "text": "ภูมิใจ ตั้งสง่า หรือ วีเจภูมิ เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2522 เป็นวีเจทางช่องเอ็มทีวีไทยแลนด์ และเป็นดีเจอยู่ที่คลื่น เอฟ เอ็ม 95.5 เวอร์จิ้นฮิตซ์ ยังเป็นพิธีกรรายการ \"ส่องสดสองแสบ\", \"รายการชูรักชูรส\" และ \"สตาร์ออนไฟร์\"", "title": "ภูมิใจ ตั้งสง่า" }, { "docid": "83133#0", "text": "การณิก ทองเปี่ยม หรือ วีเจ นิกกี้ เกิดเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2523 เป็นวีเจทางช่องเอ็มทีวีไทยแลนด์ ศึกษาจบจากคณะเศรษฐศาสตร์ (ภาคอินเตอร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นอดีตเชียร์ลีดเดอร์ ได้จัดรายการ MTV After School รายการสดทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ทางช่องเอ็มทีวีไทยแลนด์ นอกจากนั้นยังเคยเป็นดีเจคลื่น 99.5 Advanced Radio", "title": "การณิก ทองเปี่ยม" }, { "docid": "275340#1", "text": "ศิริขวัญ ชินโชติ หรือ วีเจ ขวัญ โดยคำว่า วีเจ มาจากการเป็นพิธีกรทางช่องแชนแนลวีไทยแลนด์ และนำมารวมกับชื่อเล่น ขวัญ ทำให้คนทั่วไปรู้จักในนาม วีเจขวัญ นั้นเอง ศิริขวัญ ชินโชติ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2534 ราศีมีน สถานที่เกิดคือจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย ครอบครัวชินโชติ ประกอบด้วยด้วยกันทั้งหมด 5 คน โดยศิริขวัญ เป็นพี่สาวคนโต และมีน้องชายอีก 2 คน ด้านการศึกษา ศิริขวัญจบมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสาธิตบางนา มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนพระกุมารเยซูวิทยา และได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เอกสาขาวิชาการโฆษณา ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.96 จากคณะนิเทศศาสตร์(ABAC School of Communication Arts) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ", "title": "ศิริขวัญ ชินโชติ" }, { "docid": "626679#0", "text": "นายวิเศษ ใจใหญ่ (เกิด 7 มีนาคม พ.ศ. 2482) เป็นบุคคลล้มละลาย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 7 สมัย และ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ อดีตผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อดีตผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์", "title": "วิเศษ ใจใหญ่" }, { "docid": "433671#0", "text": "วีเจ () เป็นเมืองหลักของจังหวัดชื่อเดียวกัน ในประเทศแองโกลา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ห่างจากกรุงลูอันดาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 220 กม. เมืองนี้เจริญเติบโตจากศูนย์กลางตลาดเล็ก ๆ ในปี ค.ศ. 1945 จนกลายเป็นเมืองในปี ค.ศ. 1956", "title": "วีเจ (เมือง)" }, { "docid": "670347#0", "text": "เจียว เอินจวิ้น (; ; พินอิน: Jiāo Ēnjùn) นักแสดงชาวไต้หวันที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีของคนไทยในบทของ \"จั่นเจา\" องครักษ์วังหลวงในละครโทรทัศน์ชุด เปาบุ้นจิ้น ของไต้หวัน (ในประเทศไทยที่ฉายทางช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2537)และในบทของไป๋อวี้ถังซึ่งมาจากซีรีส์ชุดเปาบุ้นจิ้นด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเล่นเป็นหวงเทียนป้าในซือกงอีกด้วย", "title": "เจียว เอินจวิ้น" }, { "docid": "730786#1", "text": "เจสัน เกรซตื่นขึ้นมาบนรถโรงเรียน เขาไม่หลงเหลือความทรงจำว่าเขาคือใคร เขากำลังอยู่ที่ไหน หรือแม้กระทั่งอดีตของเขา เจสันกำลังนั่งติดกับไพเพอร์ แม็กลีน และลีโอ วัลเดซ ซึ่งทั้งสองรู้จักเขาและอ้างตัวว่าเป็นแฟนสาวและเพื่อนสนิท ทั้งสามกำลังอยู่ระหว่างการทัศนศึกษาที่แกรนด์แคนยอน หลังจากถึงแกรนด์แคนยอนแล้ว เด็กคนหนึ่งในห้องนามว่าไดแลนได้กลายร่างเป็นเวนติ (ปีศาจพายุ) และโจมตีทั้งสามและกลีสัน เฮดจ์ ผู้เป็นโค้ชของพวกเขา ในระหว่างการต่อสู้ เจสันทำให้ทุกคนประหลาดใจ เมื่อเหรียญของเขากลายสภาพเป็นดาบ ซึ่งเขาใช้ต่อสู้กับปีศาจพายุ ในระหว่างนั้นโค้ชเฮดจ์ได้เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเซเทอร์ และถูกปีศาจจับตัวไป หลังจากต่อสู่เสร็จ รถม้าบินได้ก็ปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเด็กทั้งสาม แต่ทว่าหนึ่งในคณะผู้ช่วยเหลือซึ่งมีนามว่าแอนนาเบ็ธ เชสแสดงอารมณ์ไม่ดีออกมา เพราะเธอหวังว่าจะพบเพอร์ซีย์ แจ็กสัน แฟนหนุ่มของเธอ ซึ่งเพอร์ซีย์ได้หายตัวไปจากค่ายฮาล์ฟบลัดมานานแล้ว แอนนาเบ็ธเคยได้รับนิมิตจากเทพีเฮราว่าให้ตามหา \"เด็กชายผู้ใส่รองเท้าข้างเดียว\" และเจสันก็เป็นคนเดียวในบริเวณนั้น ซึ่งทำรองเท้าหล่นหายในขณะต่อสู้ เจสัน, ไพเพอร์ และลีโอได้รับรู้ความจริงที่ว่าพวกเขาคือพวกเลือดผสม เป็นลูกครึ่งมนุษย์กับเทพเจ้า และพวกเขาได้ถูกนำตัวไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดทันที", "title": "วีรบุรุษผู้สาบสูญ" } ]
2994
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีพื้นที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "11668#35", "text": "พื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวม 8,502 ไร่ พื้นที่บางส่วนเป็นที่ดินของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอง ซึ่งมีการซื้อหรือเวนคืนในช่วงการจัดตั้งมหาวิทยาลัย บางส่วนหน่วยงานราชการอื่น โดยเฉพาะกรมป่าไม้ อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้ และมีบางส่วนได้รับจากผู้มีจิตศรัทธา พื้นที่เหล่านี้กระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ดังนี้", "title": "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" }, { "docid": "11668#4", "text": "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาคเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เรียกชื่อตามชื่อเมือง ปัจจุบันมหาวิทยาลัยนี้ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ อำเภอเมือง เชียงใหม่ ขนาบข้างด้วยถนนห้วยแก้ว และถนนสุเทพ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 4 ก.ม. และมีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่เศษ เปิดทำการสอน เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2507", "title": "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" } ]
[ { "docid": "291740#1", "text": "ในปี พ.ศ. 2553-2555 ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีการสำรวจ และศึกษา เพื่อขยายวิทยาเขต เพื่อกระจายการศึกษาในท้องถิ่น ซึ่งพื้นที่ ที่เหมาะสมในการจัดตั้ง วิทยาเขต ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นวิทยาเขตแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ พื้นที่อำเภอจอมทอง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตจอมทอง ซึ่งเดิมนั้นเป็นพื้นที่ค่ายสำรวจของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 17 ไร่ โดยรอบเป็นพื้นที่ของเขตของกรมป่าไม้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ขอความอนุเคราะห์ในการขยายพื้นที่เพิ่มอีกนวน 450 ไร่ ซึ่ง การก่อตั้งวิทยาเขตจอมทอง อยู่ในระยะยังดำเนินการ ซึ่งหากสร้างเสร็จจะสามารถเปิดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของทางมหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิทยาเขตจอมทอง" }, { "docid": "182294#1", "text": "อาคารใหม่คณะการสื่อสารมวลชน มีพื้นที่ประมาณ 20 ไร่เศษ ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้พื้นที่จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยเหนือคณะเศรษฐศาสตร์ขึ้นไปทางทิศตะวันตก ประกอบด้วยอาคารจำนวน 3 กลุ่มอาคาร ได้แก่ อาคารบริหารและสถานีวิทยุ อาคารเรียนรวม และอาคารห้องปฏิบัติการโทรทัศน์", "title": "คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" }, { "docid": "669#48", "text": "ตั้งอยู่ที่ 248 หมู่ 2 ถนนลำปาง–เชียงใหม่ ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง 52190 อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปาง ประมาณ 15 กิโลเมตร ไปตามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สายลำปาง–เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่จากการบริจาคของบุญชู ตรีทอง มีพื้นที่ 364 ไร่ 3 งาน 79 ตารางวา เป็นที่ตั้งของ ศูนย์ลำปาง มีอาคารเรียนรวมหลังแรกชื่อ \"อาคารสิรินธรารัตน์\"ภายในเขตพื้นที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น นอกจากเป็นที่ตั้งของคณะต่าง ๆ แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและการอนุรักษ์ ดังนี้", "title": "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" }, { "docid": "280920#1", "text": "จากการที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีข้อจำกัดทางด้านศักยภาพของพื้นที่ที่มีการใช้ที่ดินอย่างหนาแน่นและไม่สามารถรองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัยได้ มหาวิทยาลัยเชีงใหม่ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อเลือกหาพื้นที่ และได้ประสานงานกับสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูน เพื่อขอใช้พื้นที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ธิ-แม่ตีบ-แม่สาร ตำบลศรีบัวบาน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ในการจัดตั้งวิทยาเขต โดยทำเรื่องขอพื้นที่จากกรมป่าไม้ตามขั้นตอน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 และได้รับอนุมัติให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามหนังสือที่ 207/2535 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 เป็นพื้นที่ 4,726 ไร่ 2 งาน 95 ตารางวา ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 รวมเวลา 30 ปี", "title": "ศูนย์การศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หริภุญไชย" }, { "docid": "172253#3", "text": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้รับความเห็นชอบ จากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ บริเวณทางหลวงหมายเลข 1009 ระหว่าง กม. ที่ 3-4 ติดกับ ค่ายลูกเสือแห่งชาติ จำนวนประมาณ 590 ไร่ เป็นสถานที่ก่อสร้าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ภาคพายัพ(จอมทอง) เพื่อรองรับการขยายตัวและขยายโอกาสทางการศึกษา ซึ่งประชาชนในพื้นที่มีความต้องการ และคาดหวังให้มหาวิทยาลัยฯ เปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ในเขตพื้นที่อำเภอจอมทอง และเขตพื้นที่การศึกษาใกล้เคียง มีโอกาสได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาต่อชุมชน และประเทศชาติโดยส่วนรวม", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (จอมทอง)" }, { "docid": "186165#2", "text": "คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จัดการศึกษาใน 6 เขตพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ได้แก่ เชียงใหม่ เขตพื้นที่ลำปาง เขตพื้นที่เชียงราย เขตพื้นที่น่าน เขตพื้นที่พิษณุโลก และเขตพื้นที่ตากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร เปิดทำการสอนทั้งในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา นับเป็นคณะแรกของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาที่เปิดทำการสอนในระดับบัณฑิตศึกษา", "title": "คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา" }, { "docid": "33687#2", "text": "คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีที่ตั้งอยู่บริเวณวิทยาเขตดอยคำ ตำบลแม่เหียะ ห่างจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประมาณ 5 กิโลเมตรโดยประมาณ โดยอาคารเรียนและสิ่งปลูกสร้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2541 และได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นองค์ประธานเปิดอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ อย่างเป็นทางการ", "title": "คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" }, { "docid": "13825#13", "text": "เขตพื้นที่เชียงราย เป็นวิทยาเขตที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี ในปี พ.ศ. 2539 เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาสู่ท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นเป้าหมายในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และพื้นที่ เขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ในเขตนิคมแม่ลาว ตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย บนเนื้อที่ 5,000 ไร่ โดยในระยะแรกได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการฝากเรียนที่วิทยาเขตภาคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ แล้วจึงย้ายมาเปิดทำการเรียนการสอนที่จังหวัดเชียงราย ในปีการศึกษา 2544 เป็นปีแรก", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา" }, { "docid": "11668#37", "text": "ประเพณีน้องรถไฟเป็นกิจกรรมหนึ่งของการรับน้องของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นประเพณีประจำปีอย่างหนึ่งที่จัดขึ้นโดยรุ่นพี่ของแต่ละคณะจะมาต้อนรับนักศึกษาใหม่ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ และอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครหรือพื้นที่นอกเขตภาคเหนือ โดยจะเริ่มต้นกิจกรรมกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพง โดยปกติจะเหมารถไฟ ชั้น 3 ทั้งขบวน (ทั้งหมดหลายขบวน) โดยแบ่งตู้รถไฟกันตามคณะและจำนวนของรุ่นพี่และรุ่นน้องในคณะนั้นๆ โดยรุ่นพี่ของแต่ละคณะก็จะเตรียมกิจกรรมและเกมส์ต่างๆ มีการสอนร้องเพลงประจำแต่ละคณะ เพลงประจำมหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งเป็นการให้รุ่นน้องได้ทำกิจกรรมบนรถไฟเกือบตลอดทั้งคืนที่รถไฟวิ่งมุ่งหน้าไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งโดยปกติเมื่อไปถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้วรุ่นพี่จะพาน้องใหม่ไปไหว้พระที่ศาลาธรรมเป็นเหมือนการรับขวัญน้องที่มาใหม่จากแดนไกล หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็จะพาน้องใหม่เข้าไปพักตามหอพักนักศึกษา (หอใน) ที่น้องใหม่จองไว้ตั้งแต่วันที่มาปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่\nประเพณีรับน้องรถไฟเป็นกิจกรรมครั้งแรกๆ ที่รุ่นน้องและรุ่นพี่ได้พบเจอกัน และร่วมกิจกรรมตลอดระยะเวลาราว 15 ชั่วโมง และยังมีเพื่อนฝูงและผู้ปกครองมาส่งรุ่นน้องทำให้บรรยากาศที่สถานีรถไฟหัวลำโพงในวันนั้นจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายในการแสดงความยินดีการได้เริ่มต้นการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักศึกษาจะได้แจกบัตรคล้องคอ (หรือติดเสื้อ) เขียนชื่อเล่นแต่ละคนเอาไว้ รุ่นน้องนั้นมักจะถูกเรียกว่า \"ลูกช้าง\" เพราะช้างเป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่", "title": "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" } ]
2997
นโปเลียน โบนาปาร์ต มีบิดาชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "801585#0", "text": "ลูว์เซียง โบนาปาร์ต () หรือชื่อเกิดคือ ลูเซียโน บูโอนาปาร์ต () เป็นรัฐบุรุษแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1 เป็นบุตรชายคนที่สามที่มีชีวิตของคาร์โล บูโอนาปาร์ต จึงมีศักดิ์เป็นน้องชายของนโปเลียน โบนาปาร์ต (ซึ่งภายหลังขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส) แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกกับนโปเลียนมากนัก แต่เขาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้รัฐประหารเดือนบรูว์แมร์ของนโปเลียนประสบผลสำเร็จและนโปเลียนได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฝรั่งเศส", "title": "ลูว์เซียง โบนาปาร์ต" } ]
[ { "docid": "12971#0", "text": "หลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต ( \"ลูย-นาปอเลอง บอนาปาร์ต\") ชื่อเกิดว่า ชาร์ล-หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต () เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สอง เป็นบุคคลแรกที่ประชาชนเลือกตั้งโดยตรงให้ดำรงตำแหน่งนี้ อยู่ในตำแหน่งระหว่าง ค.ศ. 1848–52 แต่รัฐธรรมนูญมิให้ดำรงตำแหน่งซ้ำ จึงยึดอำนาจรัฐบาลตนเองแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดินามว่า นโปเลียนที่ 3 () แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง อยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิช่วง ค.ศ. 1852–70", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 3" }, { "docid": "794948#1", "text": "เขาเกิดในปารีสและเป็นบุญบุญธรรมของนโปเลียน โบนาปาร์ต (แต่ไม่เป็นอยู่ในสายสืบราชสันตติวงศ์) บิดาแท้ๆของเขาเป็นนายพลและถูกประหารชีวิตไปในการปฏิวัติฝรั่งเศสช่วงสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว ในช่วงที่นโปเลียนเรืองอำนาจ เขาเป็นผู้บัญชาการกองทหารของอิตาลี และเป็นอุปราชแห่งอิตาลี", "title": "เออแฌน เดอ โบอาร์แน" }, { "docid": "959146#0", "text": "มารี-กลอตีลด์ โบนาปาร์ต () หรือ เจ้าหญิงมารี-กลอตีลด์ โบนาปาร์ต ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2455 ณ บรัสเซลส์ เบลเยียม เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ใน วิกตอร์ เจ้าชายนโปเลียน และ เจ้าหญิงคลิเมนไทน์แห่งเบลเยียม ทรงเป็นพระราชนัดดาใน สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม และ มารี เฮนรีทเทอแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียม และเป็นพระภคินีใน หลุยส์ เจ้าชายนโปเลียน พระองค์ทรงเสกสมรสกับ เคานต์เซอร์กี เดอ วิตต์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2481 โดยหลังจากสมรส พระองค์ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เคาน์เตสเซอร์กี เดอ วิตต์ โดยทั้ง 2 มีพระบุตรดังนี้", "title": "มารี-กลอตีลด์ โบนาปาร์ต" }, { "docid": "793422#0", "text": "พระเจ้าหลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต () หรือชื่อเมื่อแรกพระราชสมภพคือ เจ้าชายลุยจี บูโอนาปาร์เต () ทรงเป็นขุนนางชั้นสูงแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสและยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1806–1810 พระเชษฐาของพระองค์คือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จักรพรรดิฝรั่งเศสพระองค์แรก และพระราชโอรสของพระองค์คือจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งเป็นจักรพรรดิฝรั่งเศสพระองค์สุดท้ายของฝรั่งเศส\nพระองค์ทรงได้รับพระบรมราชโองการจากสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ให้เสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ซึ่งเป็นรัฐบริวารของจักรวรรดิฝรั่งเศสในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1806 แต่พระองค์ก็สละราชสมบัติในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1810 แต่พระองค์ก็ยังมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสและต้องแสวงหาที่เสด็จลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรียก็เสนอที่ลี้ภัยให้พระองค์ พระองค์จึงไปลี้ภัยอยู่ในกราซอย่างเงียบ ๆ ระหว่างปี ค.ศ. 1811–1813 จนกระทั่งเมื่อมีการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง พระองค์ก็ถูกริบฐานันดรราชวงศ์ และดำรงยศเป็น เคานต์แห่งแซ็ง-เลอ", "title": "หลุยส์ โบนาปาร์ต" }, { "docid": "499711#0", "text": "โฌแซ็ฟ-นโปเลียน โบนาปาร์ต () หรือหลังครองราชย์คือ พระเจ้าโฮเซที่ 1 แห่งสเปน () เป็นนักการทูตและขุนนางชาวฝรั่งเศส เป็นพระเชษฐาในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1แห่งฝรั่งเศส ภายหลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส พระองค์ในฐานะพระเชษฐาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งเนเปิลส์และซิซิลีในปีค.ศ. 1806 และต่อมาทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งสเปนในปี ค.ศ. 1808", "title": "โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต" }, { "docid": "498021#0", "text": "นโปเลียน ฟร็องซัว ชาร์ล โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต (; 20 มีนาคม พ.ศ. 235422 กรกฎาคม พ.ศ. 2365) ดำรงพระอิสริยยศเป็นพระราชกุมาร (Prince Imperial) กษัตริย์แห่งโรม และเจ้าชายแห่งปาร์มา ปลาเซนตีอา และกัสตัลลา นอกจากนี้ยังทรงเป็นที่รู้จักในราชสำนักออสเตรียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2357 ว่า เจ้าชายฟรันซ์ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2361 ว่า ดยุกแห่งไรช์สตัดท์ เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ที่เกิดกับอาร์ชดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย", "title": "นโปเลียนที่ 2" }, { "docid": "12125#1", "text": "นโปเลียนเกิดที่เมืองอาฌักซีโยหรืออายัชโช ในภาษาอิตาลี บนเกาะคอร์ซิกา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 1 ปี ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ซื้อเกาะนี้ไปจาก สาธารณรัฐเจนัว ค.ศ. 1768 ครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ดีจำนวนน้อยนิดบนเกาะคอร์ซิก้า บิดาของเขาชื่อชาร์ลส์ มาเรีย โบนาปาร์ตหรือ คาร์โล มาเรีย บัวนาปาร์เต (สำเนียงอิตาลี) ได้จัดการให้เขาได้เข้ารับการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ที่เขาได้เข้าไปตั้งรกรากตั้งแต่อายุ 9 ขวบ", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" }, { "docid": "701330#1", "text": "ปาโบล เนรูดา มีชื่อเกิดว่า \"เนฟตาลี ริการ์โด เรเยส บาโซอัลโต\" เกิดเมื่อ ค.ศ. 1904 เป็นบุตรของพนักงานรถไฟและครู มารดาของเขาเสียชีวิตหลังจากเขาเกิดได้หนึ่งเดือน หลังจากนั้นไม่นาน บิดาของเขาก็แต่งงานใหม่ เนรูดาเริ่มสนใจวรรณกรรมตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น แม้จะถูกบิดาต่อต้านก็ตาม แต่เขาก็ได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ คน รวมทั้งกาบริเอลา มิสตรัล ผู้ซึ่งต่อมาเป็นชาวชิลีคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ด้วยวัยสิบสามปี เนรูดามีผลงานครั้งแรกชื่อ \"Enthusiasm and Perseverance\" ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ต่อมาช่วงกลางปี ค.ศ. 1920 เขาก็เริ่มใช้นามปากกา \"ปาโบล เนรูดา\" เพื่อปกปิดตัวตน ชื่อเนรูดามาจากยัน เนรูดา กวีชาวเช็ก เมื่อเนรูดามีอายุได้สิบหกปี เขาก็ย้ายไปที่ซานเตียโกเพื่อเรียนภาษาฝรั่งเศสที่มหาวิทยาลัยชิลี แต่ใช้เวลาไปกับการเขียนบทกวีเป็นส่วนใหญ่ และทำงานเป็นกงสุลในหลายที่ เช่น ย่างกุ้ง, โคลอมโบ, จาการ์ตา และสิงคโปร์", "title": "ปาโบล เนรูดา" }, { "docid": "248656#0", "text": "นโปเลียนที่ 5 หรือ วิคเตอร์ เจโรม เฟรเดริค โบนาปาร์ต ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสองค์ที่ 2 ทรงขึ้นเป็นผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสสืบต่อจาก นโปเลียนที่ 4 ที่สิ้นพระชนม์ไปในปี ค.ศ. 1879 โดยทรงได้รับการสนับสนุน จากพวกโบนาปาร์ตนิยม ทรงดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1879 ขณะพระชนม์เพียง 17 พรรษาเท่านั้นก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ที่ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในปี ค.ศ. 1926 ขณะพระชนม์ได้ 64 พรรษา", "title": "วิกตอร์ เจ้าชายนโปเลียน" } ]
2998
จอมพล ป.พิบูลสงคราม เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "7440#0", "text": "จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ แปลก พิบูลสงคราม (14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 – 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า \"จอมพล ป.พิบูลสงคราม\" เป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด คือ 15 ปี 24 วัน รวม 8 สมัย และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายที่สำคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย \"รัฐนิยม\" หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างได้ประกาศเป็นกฎหมายในภายหลัง หลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น การรำวง, ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย เป็นผู้เปลี่ยนชื่อ \"ประเทศสยาม\" เป็น \"ประเทศไทย\" และเป็นผู้เปลี่ยน \"เพลงชาติไทย\" มาเป็นเพลงที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน", "title": "แปลก พิบูลสงคราม" } ]
[ { "docid": "704780#1", "text": "กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2539 เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรของพิบูลพร พิบูลสงคราม กับจามิกา (สกุลเดิม: จึงอยู่สุข) มีน้องชายชื่อมหิดล พิบูลสงคราม (ชื่อเล่น พีเจ) โดยชื่อเล่นของเขานำมาจากชื่อเล่นของบิดามารดารวมกัน และเป็นเหลนของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี", "title": "กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม" }, { "docid": "23827#1", "text": "กำพล วัชรพล เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2462 ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม ที่กระท่อมหลังคามุงจาก หลังวัดดอนไก่ดี ริมคลองภาษีเจริญ ในเขตอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นบุตรคนสุดท้องของนายหลี (บิดา) และนางทองเพียร (มารดา) มีชื่อเดิมว่า แตงกวย ยิ้มละมัย และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น นิพนธ์ ตามนโยบายรัฐนิยมของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีพี่ร่วมมารดา 3 คน คือ นกแก้ว ทรัพย์สมบูรณ์ (ญ), สยม จงใจหาญ (ช) และวิมล ยิ้มละมัย (ช)", "title": "กำพล วัชรพล" }, { "docid": "56295#1", "text": "การกบฏครั้งนี้ เกิดหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ประมาณหนึ่งปี และหลังจากกบฏเสนาธิการไม่ถึงหนึ่งปี ก็เกิดกบฏซ้ำอีกครั้ง คือ กบฏวังหลวง เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 และหลังจากนั้นอีกครั้ง คือ กบฏแมนฮัตตัน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494.\nความพยายามยึดอำนาจจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประสบผลสำเร็จในที่สุด ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารทำการโค่นล้มรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม", "title": "กบฏเสนาธิการ" }, { "docid": "7440#29", "text": "บ้านพักคนชราบางแค หรือ บ้านบางแค เดิมใช้ชื่อว่า \"สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค\" ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อให้การสงเคราะห์ผู้สูงอายุตามนโยบายสวัสดิการสังคมของรัฐ โดยเริ่มเปิดดำเนินการในสมัยของนายปกรณ์ อังศุสิงห์ เป็นอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ปัจจุบันอยู่ภายใต้การสนับสนุนของ มูลนิธิบ้านบางแคในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ\nการสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองของจอมพล ป. ได้มีการสร้างอัตลักษณ์ผ่าน\"ไก่\" โดยไก่นั้นคือกับปีระกาซึ่งเป็นปีนักษัตรที่จอมพล ป. เกิดตรงกันพอดี โดยสัญลักษณ์ไก่นั้น ได้ถูกสื่อออกมาผ่านตราต่างๆ เช่น ตราประจำจังหวัดพิบูลสงคราม หรือปูนปั้นรูปหัวไก่ ที่ประดับอยู่ตรงชายคารับพื้นระเบียงของอาคารภายในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล หรือแม้กระทั่งจาน ชาม เก้าอี้ หัวจดหมาย ฯลฯ เพื่อเป็นการสื่อถึงอำนาจบารมีของจอมพล ป. โดยลักษณะตราไก่นั้นมีความคล้ายคลึงกับตราครุฑ (บางข้อมูลได้กล่าวไว้ว่ามีความคล้ายคลึงกับตราแผ่นดินไรซ์ที่สาม ของนาซีเยอรมันในสมัยนั้นเช่นกัน) ทำให้มีหลายๆคน เช่นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ซึ่งเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มองว่าจอมพล ป. พยายามจะทำตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง", "title": "แปลก พิบูลสงคราม" }, { "docid": "93741#2", "text": "จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้นำคนหนึ่งของคณะราษฎร ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นหลังจากเข้าร่วมการปราบปรามกบฎบวรเดช และได้รวบอำนาจเข้าสู่ตัวเองมากขึ้น จอมพล ป. มองว่า พระยาทรงสุรเดชเป็นคู่แข่งของตน ความขัดแย้งระหว่างตัวของจอมพล ป. กับพระยาทรงสุรเดช นำไปสู่เหตุการณ์กบฏพระยาทรงสุรเดช ทำให้พระยาทรงสุรเดชต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ จอมพล ป. เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2481", "title": "สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย" }, { "docid": "129331#6", "text": "ในหนังสือ 36 รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย กล่าวว่า ภายหลังจากการลาออกของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม การซาวเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีมีขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ซึ่งสมาชิกสภาเลือกพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยคะแนน 81 ต่อ 19 ซึ่งเป็นคะแนนเสียงของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ พระยาพหลพลพยุหเสนาขอถอนตัว เนื่องจากป่วยเป็นอัมพาต จึงมีการซาวเสียงใหม่ เสนอ ควง อภัยวงศ์ สินธุ์ กมลนาวิน และ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผลปรากฏว่า ควง อภัยวงศ์ ได้คะแนนไป 69 คะแนน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ 22 คะแนน และ สินธุ์ กมลนาวิน ได้ 8 คะแนน", "title": "คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 11" }, { "docid": "7440#12", "text": "จอมพล ป. พิบูลสงคราม เกิดตรงกับในวันชาติฝรั่งเศสด้วย เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้ใช้ชื่อว่า ป. ซึ่งเป็นตัว อักษรย่อเฉกเช่นชื่อของบุคคลสำคัญหลายคนทางประเทศแถบตะวันตก", "title": "แปลก พิบูลสงคราม" }, { "docid": "766457#6", "text": "ภายหลังจากที่จอมพล ป. พิบูลสงครามพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ในวันถัดมานั้น นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ออกประกาศยกเลิกการใช้อักขรวิธีดังกล่าว และการใช้เลขสากล ส่งผลให้กลับไปใช้อักขรวิธีไทยแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้ใช้มาจวบจนถึงปัจจุบัน และแม้ว่าจอมพล ป. พิบูลสงครามจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2491 ท่านก็มิได้นำอักขรวิธีดังกล่าวกลับมาใช้อีก", "title": "ภาษาไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม" }, { "docid": "27996#20", "text": "ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2500 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อันเป็นรัฐบาลชุดสุดท้ายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่หลังจากนั้น 10 วันก็ลาออก สาเหตุเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ซึ่งมีการกล่าวขานว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรก ซึ่งผลคือ พรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับเสียงข้างมาก และได้ตั้งรัฐบาล ท่ามกลางความวุ่นวายอย่างหนักจากการเดินประท้วงของประชาชนจำนวนมาก ที่เรียกร้องให้จอมพล ป. พิบูลสงครามและพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อสถานการณ์ลุกลาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ เพื่อคอยควบคุมสถานการณ์ แต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์สั่งไม่ให้ทหารทำอันตรายประชาชนที่เดินขบวนชุมนุมประท้วง และเป็นผู้นำประชาชนเข้าพบจอมพล ป. ที่ทำเนียบ ทำให้กลายเป็นขวัญใจของประชาชนทันที จนได้รับฉายาในตอนนั้นว่า \"\"วีรบุรุษมัฆวานฯ\"\" จากเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามขาดความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คงเหลือแต่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพียงอย่างเดียว", "title": "สฤษดิ์ ธนะรัชต์" } ]
3011
Davinci เกมถอดรหัส ออกอากาศครั้งแรกเมื่อใด ?
[ { "docid": "828704#0", "text": "Davinci เกมถอดรหัส เป็นรายการเกมโชว์แนวควิซโชว์ที่ทดสอบความรู้รอบตัวและไหวพริบของผู้เข้าแข่งขันผ่านคำถามที่มาในรูปแบบของรูปภาพที่นำมาร้อยเรียงกันเป็นคำปริศนา ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 17.00 - 17.30 น. โดยมีปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์และเฉลิมพล ฑิฆัมพรธีรวงศ์ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการหลัก และ จะมีดารานักแสดงมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมสตีลสลับกันไปในแต่ละกลุ่มสายอาชีพต่างๆ เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559ในการแข่งขันแต่ละครั้งจะมีผู้แข่งขัน 2 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกสุ่มเลือกมาจากในทีมสตีล (Steal) ทั้งหมด 21 คน ทั้งคู่จะมีเงินรางวัลเป็นทุนสำหรับเล่นเกมในรอบนั้นคนละ 10,000 บาท จากนั้นเริ่มต้นการแข่งขันในรหัสภาพแรกโดยทั้งคู่จะต้องวางเงินเดิมพันลงกองกลางคนละ 2,000 บาท (ปัจจุบันได้มีการปรับลดเงินรางวัลเริ่มต้นเป็นเหลือเพียง 5,000 บาท และลดเงินเดิมพันขั้นต่ำเป็น 1,000 บาท) รูปแบบของคำถามในรายการจะมาในรูปแบบของรหัสภาพที่มีรูปภาพหลายรูปซึ่งมีทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวนำมาร้อยเรียงกันกลายเป็นคำปริศนา 1 คำ (ตัวอย่างเช่น คำตอบมี 2 พยางค์ มีรูปภาพปรากฏออกมาทั้งหมด 2 ภาพคือ \"ภาพคนกำลังยืน กับ ภาพยันต์\" จะสามารถถอดรหัสภาพได้เป็นคำว่า \"ยืนยัน\") ซึ่งในรหัสภาพแต่ละชุดจำนวนพยางค์กับจำนวนรูปภาพที่ปรากฏอาจจะไม่เท่ากันก็ได้ โดยพิธีกรจะบอกจำนวนพยางค์ของคำตอบในรหัสภาพนั้นโดยยังไม่บอกว่าจะมีรูปภาพปรากฏออกมาทั้งหมดกี่ภาพ หลังจากรหัสภาพปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ผู้เข้าแข่งขันทั้งคู่จะมีเวลา 20 วินาทีในการถอดรหัสภาพที่ปรากฏให้เป็นคำตอบที่ถูกต้อง ในระหว่างนั้นถ้าผู้เข้าแข่งขันคิดว่ามั่นใจในคำตอบ สามารถกดปุ่มสัญญาณไฟที่อยู่ด้านข้างเพื่อหยุดเวลาและใช้สิทธิ์ตอบได้ทันที ใครกดไฟติดก่อนจะมีสิทธิ์ตอบก่อน ถ้าตอบถูกจะได้เงินรางวัลกองกลางทั้งหมดที่เดิมพันไว้ในรหัสภาพนั้นมา แต่ถ้าตอบผิดหรือไม่ตอบภายใน 5 วินาทีหลังจากกดไฟจะถือว่าหมดสิทธิ์เล่นในรหัสภาพนั้นทันที และอีกฝ่ายจะมีสิทธิ์ในการถอดรหัสภาพในช่วงเวลาที่เหลือต่อไปและถ้าตอบถูกก็จะได้เงินรางวัลกองกลางทั้งหมดที่เดิมพันไว้ในรหัสภาพนั้นมาเช่นกัน หากผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 คนไม่สามารถถอดรหัสภาพนั้นได้ หรือตอบผิดทั้งคู่ จะเป็นโอกาสของทีมสตีลทั้ง 21 คนที่จะแย่งกันกดไฟชิงสิทธิ์ในการตอบโดยมีเวลา 5 วินาทีหลังจากพิธีกรให้สัญญาณ (ปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสตีลเป็นให้ทีมสตีลจะต้องกดไฟในช่วงเวลา 20 วินาทีที่ผู้เข้าแข่งขันกำลังถอดรหัสภาพเท่านั้น หากผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 คนไม่สามารถถอดรหัสภาพนั้นได้ ผู้ที่กดไฟได้ในช่วงเวลานั้นจะได้สิทธิ์ในการตอบ แต่ถ้าไม่มีใครในทีม Steal กดไฟตอบเลยแม้แต่คนเดียว เงินเดิมพันกองกลางจะถูกเรียกคืนโดยทันที) ซึ่งในทุกข้อที่มีการสตีลจะมีสิทธิ์ตอบเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าตอบถูกจะสามารถขโมยเงินรางวัลกองกลางที่ผู้เข้าแข่งขันเดิมพันไว้ในรหัสภาพนั้นได้เต็มจำนวนทันที และยังมีสิทธิ์ลุ้นเพื่อลงไปแข่งขันหรือรอขโมยเงินรางวัลกองกลางในรหัสภาพต่อไปได้เรื่อยๆ (มีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่มีการปรับเปลี่ยนเงินรางวัลของทีมสตีลเหลือเพียงครึ่งเดียวจากกองกลาง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะถูกเรียกคืนกลับ เช่น ในกรณีที่เงินกองกลางในรหัสภาพนี้เป็น 4,000 บาท ถ้า 1 ในทีม Steal ตอบได้จะได้เงินรางวัลจากการ Steal แค่ 2,000 บาทเท่านั้น ซึ่งการปรับลดเงินสตีลเหลือครึ่งหนึ่งได้ถูกยกเลิกแล้วเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560) แต่ถ้าตอบผิดจะต้องตกรอบกลับบ้านทันที และถ้าทีมสตีลไม่มีใครกดไฟตอบ พิธีกรจะทำการเฉลยคำตอบและเงินรางวัลที่เดิมพันไว้ในกองกลางจะถูกทางรายการเรียกคืนกลับทันที แต่เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 ได้มีการเพิ่มเติมกติกาสตีลคือ หากผู้เข้าแข่งขันและทีมสตีลไม่สามารถถอดรหัสภาพนั้นได้ เงินรางวัลกองกลางในรหัสภาพนั้นจะมอบให้กับผู้โชคดีทางบ้าน โดยทางรายการจะมีรหัสภาพใหม่ ซึ่งจะปรากฏแค่ 20 วินาทีเท่านั้น (ปัจจุบันปรับลดเหลือเพียงแค่ 15 วินาที) โดยสามารถร่วมสนุกได้ทาง Facebook Live หรือทาง LINE Official Account ของรายการ พร้อมกับแสดงความคิดเห็นตามหลังคำตอบด้วย หากถอดรหัสภาพได้ถูกต้องและความคิดเห็นถูกใจทีมงานมากที่สุด จะได้เงินรางวัลกองกลางในรหัสภาพนั้นไปทันที (หมายเหตุ : รหัสภาพสตีลเงินรางวัลสามารถตอบได้ภายในช่วงเวลาที่รายการกำลังออกอากาศเท่านั้น)", "title": "Davinci เกมถอดรหัส" } ]
[ { "docid": "865803#0", "text": "Davinci เด็กถอดรหัส เป็นรายการเกมโชว์แนวควิซโชว์ที่ทดสอบความรู้รอบตัวและไหวพริบของผู้เข้าแข่งขันผ่านคำถามที่มาในรูปแบบของรูปภาพที่นำมาร้อยเรียงกันเป็นคำปริศนา โดยเป็นการเน้นความสนุกสนานความฮาความน่ารักของเหล่าเด็กๆ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันเสาร์ เวลา 17.15 - 18.00 น. โดยมีกรรชัย กำเนิดพลอยและนลิน โฮเลอร์เป็นผู้ดำเนินรายการ รวมไปถึงผู้ช่วยพิธีกรสุดน่ารักอย่าง น้องมายู เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560 – ปัจจุบัน", "title": "Davinci เด็กถอดรหัส" }, { "docid": "828704#1", "text": "จากนั้นจะเริ่มต้นรหัสภาพต่อไปโดยฝ่ายที่แพ้ในรหัสภาพที่ผ่านมาจะมีสิทธิ์กำหนดจำนวนเงินรางวัลที่ทั้งคู่ต้องวางเดิมพันลงกองกลาง ซึ่งสามารถวางเดิมพันเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่มีอยู่ ณ ตอนนั้น แต่จะต้องเป็นจำนวนเต็มหลักพันเท่านั้นและต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ฝ่ายตรงข้ามมีอยู่ในกรณีที่เหลือมากกว่า (หากในรหัสภาพที่ผ่านมาไม่มีใครตอบได้ ทั้งคู่จะต้องถูกบังคับวางเดิมพันคนละ 2,000 บาท และในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งคู่เหลือเงินรางวัลไม่ถึง 2,000 บาท ฝ่ายนั้นจะต้องวางเดิมพันที่เหลือทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันได้ปรับลดเหลือเพียง 1,000 บาท) โดยเกมจะดำเนินเช่นนี้ไปตลอดจนกระทั่งเงินรางวัลของผู้เข้าแข่งขันท่านใดลดลงจนหมดก่อนและไม่สามารถถอดรหัสภาพนั้นได้จะเป็นฝ่ายที่ตกรอบไป (ในกรณีที่เงินรางวัลลดลงจนหมดพร้อมกัน และไม่สามารถถอดรหัสภาพนั้นได้ทั้งคู่ จะถือว่าตกรอบทั้งคู่ทันที) ส่วนผู้ที่มีเงินรางวัลเหลืออยู่จะเป็นแชมป์และได้รับเงินรางวัลที่ตนเองเหลืออยู่จากการแข่งขันครั้งนั้นกลับไป พร้อมกับได้สิทธิ์แข่งกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เพื่อรักษาแชมป์และรับเงินรางวัลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกล้มแชมป์ และถ้าสามารถครองแชมป์ได้ครบ 20 สมัย จะได้รับเงินรางวัลพิเศษเพิ่มอีก 1,000,000 บาททันที ในขณะเดียวกัน ถ้าผู้ท้าชิง 5 คนสุดท้ายก่อนถึงสมัยที่ 20 สามารถล้มแชมป์ได้ ทางรายการจะมีโบนัสให้สำหรับผู้ที่ล้มแชมป์ บวกกับเงินสะสมรวมกับเงินรางวัลจากการเล่นเกม และการ Steal ดังนี้\n(หมายเหตุ : ผู้ท้าชิงจะไม่ได้รับโบนัสพิเศษนี้ หากตกรอบพร้อมกันกับแชมป์)", "title": "Davinci เกมถอดรหัส" }, { "docid": "828704#6", "text": "ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 16 คนในสายอาชีพเดียวกันจะถูกสุ่มออกมาแข่งขันครั้งละ 2 คน เริ่มเกมทั้งคู่จะมีคะแนนคนละ 5,000 คะแนน และในรหัสภาพแรกทั้งคู่จะต้องลงเดิมพันคนละ 1,000 คะแนน โดยทั้งคู่มีเวลาถอดรหัสภาพ 60 วินาที (20 วินาทีแรกสำหรับทีมสตีล) โดยหลังจาก 20 วินาทีแรก พิธีกรจะใบ้สิ่งที่อยู่ในภาพให้ผู้เล่นรู้ ฝ่ายไหนมั่นใจสามารถกดปุ่มหยุดเวลาได้ แล้วตอบ หากตอบถูกจะได้คะแนนเดิมพันข้อนั้นไป อีกฝ่ายจะมีสิทธิ์วางเดิมพันข้อต่อไปได้ แต่ถ้าตอบผิดหรือตอบไม่ทันภายใน 5 วินาที ก็จะหมดสิทธิ์เล่นต่อข้อนั้น แล้วให้อีกฝ่ายถอดรหัสภาพต่อในช่วงเวลาที่เหลือ แต่ถ้าทั้งคู่ตอบผิดหรือตอบไม่ได้ สิทธิ์จะเป็นของคนที่กดไฟสตีลได้ หากตอบถูกจะได้ขโมยคะแนนเดิมพันเป็นเงินรางวัลไปเลย (เช่น ข้อนี้มีเดิมพันที่ 2,000 คะแนน และเบอร์ 1 กดสตีลได้ ถ้าตอบถูกจะได้เงินรางวัล 2,000 บาท) แต่ถ้าตอบผิดหรือตอบไม่ทันภายใน 5 วินาทีก็จะหมดสิทธิ์สตีลทั้งทัวร์นาเมนต์ (ไม่สามารถสตีลรหัสภาพได้อีกต่อไป) และคะแนนเดิมพันเหล่านั้นจะกลายสภาพเป็นเงินรางวัลสำหรับกองเชียร์ในสตูดิโอและผู้ชมทางบ้านที่ร่วมสนุกผ่าน Facebook Live หรือ Line Official Account ของทางรายการทันที โดยมีเวลาถอดรหัสภาพชุดใหม่ 15 วินาที และสามารถร่วมสนุกได้ก่อนจบรายการ (ก่อนเวลา 17.30น.) (ภายหลังเปลี่ยนเป็นก่อนเวลา 19.00 น. และในการร่วมสนุกจะต้องถ่ายรูปรหัสภาพที่อยู่บนหน้าจอแนบเข้ามาด้วย) ผู้ที่ตอบถูก มีความคิดเห็นโดนใจทีมงานและทำถูกต้องตามกติกาก็จะได้รับเงินรางวัลนั้นๆ ไป และข้อต่อไปทั้งคู่จะต้องลงเดิมพันคนละ 1,000 คะแนน ฝ่ายไหนคะแนนหมดก่อนและไม่สามารถตอบได้ ก็จะแพ้ตกรอบไป (แต่ยังสามารถสตีลเงินได้ตามปกติ) และได้รับ Gift set จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หลินจือมิน พร้อมกับเงินรางวัลที่สตีลได้ทั้งหมด (ถ้ามี) ส่วนอีกฝ่ายก็จะเข้ารอบต่อไป\nโดยในรอบแรกของแต่ละสายอาชีพจะคัดเข้ารอบ 8 คน รอบที่สองจะคัดเหลือ 4 คน รอบที่ 3 คัดเหลือ 2 คน และจะต้องมาชิงชนะเลิศในรอบสุดท้ายเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักถอดรหัสประจำสายอาชีพ ซึ่งผู้ชนะในแต่ละสายอาชีพจะได้รับเงินรางวัลชนะเลิศ 50,000 บาท", "title": "Davinci เกมถอดรหัส" }, { "docid": "865803#3", "text": "ตั้งแต่ ep.25 เป็นต้นไป ทางรายการได้เพิ่ม commentator สำหรับช่วยเหลือผู้เล่นตอบคำถาม ซึ่งมีอยู่ 4 คน", "title": "Davinci เด็กถอดรหัส" }, { "docid": "94976#0", "text": "เกมจุดเดือด เป็นรายเกมโชว์ที่ได้รับความนิยมในยุคหนึ่ง ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 แทนรายการพลิกล็อกเหนือเมฆ และยุติการออกอากาศไปในปี พ.ศ. 2536 รูปแบบเกมจะเกี่ยวข้องกับตัวเลของศาตั้งแต่ 0-100 องศา ซึ่งจะผันแปรไปตามอุณหภูมิ\nสำหรับพิธีกรในรายการจุดเดือดมีดังต่อไปนี้", "title": "เกมจุดเดือด" }, { "docid": "828704#3", "text": "รอบนี้เป็นรอบพิเศษที่ทางรายการจัดขึ้นโดยการนำผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 21 คนมาแข่งขันกันอีกครั้ง (โดยจะเป็นเฉพาะแชมป์ 3 สมัยขึ้นไป) เพื่อค้นหาสุดยอดแชมป์เพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับถ้วยรางวัลจากทางรายการพร้อมกับเงินรางวัล 100,000 บาท โดยมีรูปแบบการแข่งขันดังนี้", "title": "Davinci เกมถอดรหัส" }, { "docid": "828704#4", "text": "แชมป์ทั้ง 21 คน จะต้องทำการแข่งขันถอดรหัสภาพพร้อมกันบนแท่นสตีล โดยในแต่ละรหัสภาพจะมีเวลา 20 วินาที ผู้ที่กดสัญญาณไฟได้ก่อนจะได้สิทธิ์ในการตอบ ถ้าตอบถูกจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปทันที แต่ถ้าตอบผิดหรือไม่ตอบภายใน 5 วินาทีจะถือว่าตกรอบทันทีเช่นกัน แต่ถ้าหมด 20 วินาทีแล้วไม่มีใครกดไฟตอบแม้แต่คนเดียว พิธีกรจะทำการเฉลยคำตอบและเริ่มต้นรหัสภาพใหม่โดยถือว่าในรหัสภาพที่ผ่านมาไม่มีใครเข้ารอบหรือตกรอบ ซึ่งในรอบคัดเลือกนี้จะคัดผู้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปทั้งหมด 16 คนเท่านั้น (รอบคัดเลือกจะสิ้นสุดลงเมื่อได้ผู้ผ่านเข้ารอบครบ 16 คน หรือได้ผู้ตกรอบครบ 5 คน)", "title": "Davinci เกมถอดรหัส" }, { "docid": "350429#9", "text": "ได้ประกาศเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 โดยธีมของเกมนี้คือ เหล่ากลุ่มนกต้องมาเป็นผู้พิทักษ์ไข่ในอวกาศ ซึ่งพวกหมูศัตรูเจ้าเก่าจะมีระดับไฮเทคขึ้น เจ้าเล่ห์มากขึ้น จะมียานอวกาศและวิธีการวางปราการแบบใหม่ขึ้นมากมาย ในเวอชั่นนี้เปลี่ยนวิธีการเล่นที่แปลกใหม่อย่างสิ้นเชิงนั่นคือการยิงตัวนกในพื้นที่ไร้น้ำหนักควบคู่กันกับเขตแรงโน้มถ่วงของดาวในแต่ละด่าน และบอสสุดท้ายในแต่ละด่านจะมีวิธีการเอาชนะที่ไม่ใช่แค่การยิงตัวนกพุ่งชนใส่อย่างเดียวอีกต่อไป \nโดยได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555 ใน iOS, Android, PC และ Mac และจะมีเกมสำหรับ Windows mobile ในเร็วๆนี้", "title": "แอ็งกรีเบิดส์ (วิดีโอเกม)" }, { "docid": "39667#1", "text": "แดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชั่น ปรากฏเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2541 โดยบริษัท โคนามิ ประเทศญี่ปุ่น จำกัด และเกมนี้ ได้มีการสร้างภาคต่อไปเรื่อย ๆ และได้มีการเล่นเกมชนิตนี้ในแถบอเมริกาเหนือและแถบยุโรป โดยที่แถบยุโรปได้เรียกชื่อเกมนี้ว่า \"แดนซิ่ง สเตจ\" (Dancing Stage) เมื่อเป็นที่รู้จักในไทย ทำให้เรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า เกมเต้น นั่นเอง", "title": "แดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชัน" } ]
3017
ในกีฬาฟุตบอลมีกติกาสากลทั้งหมดกี่ข้อ?
[ { "docid": "5801#3", "text": "ในกีฬาฟุตบอลมีกติกาสากลทั้งหมด 17 ข้อหลักที่มีการใช้ในฟุตบอลทั่วโลก โดยกติกาอาจมีการดัดแปลงบ้างสำหรับฟุตบอลเด็กและฟุตบอลหญิง ยาว 90-120 เมตร และความกว้างระหว่าง 70-90 เมตร โดยเส้นขอบสนามของด้านยาวจะเรียกว่า \"เส้นข้าง\" ขณะที่ขอบสนามของด้านกว้างจะเรียกว่า \"เส้นประตู\" โดยคานประตูจะตั้งอยู่กึ่งกลางบนเส้นประตู โดยมีความสูง 2.44 เมตร (8 ฟุต) เหนือจากพื้นดิน และเสาประตูจะห่างกัน 7.4 เมตร (8 หลา) เสาและคานประตูจะต้องมีสีขาว ตาข่ายจะมีการขึงด้านหลังประตู แต่อย่างไรก็ตามตาข่ายประตูไม่ได้มีกำหนดไว้ในกติกาสากล", "title": "ฟุตบอล" } ]
[ { "docid": "469891#3", "text": "กติกาฟุตบอลระบุอุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องใส่ของนักฟุตบอลทุกคน โดยในกฎข้อ 4 กล่าวว่า นักฟุตบอลทุกคนต้องมีอุปกรณ์ 5 ชนิด คือ เสื้อ กางเกงขาสั้น ถุงเท้า รองเท้า และ สนับแข้ง อนุญาตให้ผู้รักษาประตูใส่กางเกงขายาวแทนกางเกงขาสั้นได้ นักฟุตบอลส่วนมากใส่รองเท้าสตัด (ภาษาอังกฤษอเมริกันอาจเรียกว่า \"soccer shoes\" หรือ \"cleats\") แต่กฎไม่ได้ระบุรายละเอียดเฉพาะของรองเท้า เสื้อต้องมีแขนเสื้อ (จะแขนสั้นหรือแขนยาวก็ได้) และผู้รักษาประตูต้องสวมเสื้อที่แตกต่างจากนักฟุตบอลคนอื่น รวมถึงผู้ตัดสิน อาจใส่กางเกงซับในกันหนาวได้ แต่ต้องเป็นสีเดียวกับสีกางเกงขาสั้น สนับแข้งต้องสามารถใส่ถุงเท้าปกคลุมได้ทั้งหมด วัสดุของสนับแข้งอาจทำจากยาง พลาสติก หรือวัสดุใกล้เคียง และต้องอยู่ในระดับที่สามารถป้องกันได้อย่างสมเหตุสมผล ส่วนข้อห้ามในการใช้อุปกรณ์ มีระบุไว้ในกฎว่า \"ห้ามผู้เล่นสวมอุปกรณ์หรืออะไรก็ตามที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้เล่นอื่น\"", "title": "ชุดกีฬาฟุตบอล" }, { "docid": "137564#0", "text": "กติกาฟุตบอล () เป็นกฎและกติกาฟุตบอลสากลที่กำหนดโดยคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ (ไอเอฟเอบี) ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วยสมาคมฟุตบอล สมาคมฟุตบอลเวลส์ สมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์ สมาคมฟุตบอลไอริช และสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ในปัจจุบันมีทั้งหมด 17 ข้อ\nจำนวนผู้เล่นแต่ละทีม ลงได้สูงสุด 11 คน หนึ่งในนั้นเป็นผู้รักษาประตู และแต่ละทีมประกอบด้วยผู้เล่นตัวจริงและตัวสำรอง ผู้เล่นตัวจริงจะเป็นผู้เล่นชุดแรกที่ลงสนาม ส่วนผู้เล่นตัวสำรองมีไว้เพื่อสับเปลี่ยนกับผู้เล่นตัวจริงในกรณีที่ผู้เล่นตัวจริงไม่สามารถเล่นได้หรือกรณีอื่นๆ ตามความเหมาะสมหรือตามแต่ดุลยพินิจของผู้จัดการทีม ( โดยการแข่งขันเพื่อจุดประสงค์ในการคว้าแชมป์จะเปลี่ยนได้ 3 คนเท่านั้น และเมื่อ 18 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ฟีฟ่ามีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 4 ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ถ้าเป็นการแข่งขันกระชับมิตรหรือเฉลิมฉลองสร้างความสัมพันธ์จะมีการเปลี่ยนตัวไม่จำกัด ) ผู้เล่นตัวจริงที่ลงสนามต้องมีไม่ต่ำกว่า 7 คน และไม่เกิน11คน และหนึ่งในนั้นจะต้องมีผู้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู 1 คน, ตัวสำรองสามารถมีได้ไม่เกิน 7 คน ถ้าเป็นการแข่งทั่วไป หรือเชื่อมความสัมพันธ์ สามารถกำหนดจำนวนตัวสำรองได้ โดยต้องแจ้งให้กรรมการทราบก่อนการแข่งขัน", "title": "กติกาฟุตบอล" }, { "docid": "137564#1", "text": "ลูกฟุตบอล (ตามกฎข้อ 2) ใช้สำหรับเล่น 1 ลูก และ เครื่องแบบของนักกีฬา ทีมทั้ง 2 ทีมที่ลงแข่งขัน สมาชิกทุกคนในทีมยกเว้นผู้รักษาประตูจะต้องใส่ชุดแข่งขันสีเดียวกัน และทั้ง 2 ทีมจะต้องใส่ชุดแข่งที่มีสีตัดกันอย่างชัดเจน จะใส่ชุดที่มีโทนสีคล้ายกันไม่ได้ (เช่น ทีมหนึ่งใส่ชุดแข่งสีขาว อีกทีมหนึ่งใส่ชุดแข่งสีเหลือง) ผู้รักษาประตูจะต้องใส่ชุดแข่งที่มีสีไม่ซ้ำกับผู้เล่นทั้ง 2 ทีม และนักกีฬาที่ทำการแข่งขันจะต้องใส่รองเท้า (ในปัจจุบันไม่อนุญาตให้นักกีฬาใช้เท้าเปล่าในการเล่น)", "title": "กติกาฟุตบอล" }, { "docid": "469891#8", "text": "ผู้ตัดสิน ผู้ช่วยผู้ตัดสินและผู้ตัดสินที่ 4 สวมชุดในลักษณะคล้ายกับผู้เล่น ถึงแม้ว่าจะไม่มีการระบุชัดเจนในกติกา แต่ตามทฤษฎีของฟุตบอลแล้ว ชุดของคณะตัดสินต้องมีสีแตกต่างจากผู้เล่นทั้ง 2 ทีม ในปี ค.ศ. 1998 ผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก เดวิด เอลเรย์ ถูกบังคับให้เปลี่ยนเสื้อขณะแข่งขันไปได้ครึ่งทางในการแข่งขันระหว่างแอสตันวิลลากับวิมเบิลดัน สีดำถือเป็นสีดั้งเดิมของผู้ตัดสิน ส่วนคำว่าชายในชุดดำ เป็นคำที่ใช้แบบไม่เป็นทางการ ที่หมายถึงผู้ตัดสิน แต่อย่างไรก็ตามเริ่มมีการใช้สีอื่นมากขึ้นในยุคสมัยใหม่ ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ฟีฟ่าอนุญาตอย่างเป็นทางการให้ผู้ตัดสินสามารถสวมชุดสีอื่นนอกจากสีดำได้ ในบางครั้งก็มีโลโก้ของผู้สนับสนุนบนเสื้อของผู้ตัดสิน มักปรากฏอยู่บนแขนเสื้อ", "title": "ชุดกีฬาฟุตบอล" }, { "docid": "137564#20", "text": "ถ้าลูกฟุตบอลลอยข้ามเส้นประตูเต็มใบ โดยการเล่นลูกที่ถูกกติกา (ได้แก่การใช้เท้าหรือศีรษะ) ถือว่าได้ 1 คะแนน (ในภาษาฟุตบอลเรียกว่า 1 ประตู) อย่างไรก็ดี มักมีคนเข้าใจผิดว่าการได้คะแนน คือ การที่ลูกบอลสัมผัสกับตาข่ายหลังเส้นประตู ซึ่งจริงๆ แล้วตาข่ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกติกาฟุตบอล มีไว้เพื่อรองรับลูกบอลที่เข้าประตูแล้วเท่านั้น", "title": "กติกาฟุตบอล" }, { "docid": "953968#3", "text": "กติกาในรอบถาม-ตอบผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 จะต้องตอบคำถามจากทั้งหมด 6 คำถาม คนละ 3 ข้อ ผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารอบมาก่อนมีสิทธิ์เล่นก่อน โดยถ้าหากในรอบนั้นผู้เข้าแข่งขันตอบถูกทั้งคู่หรือผิดทั้งคู่ต้องตอบคำถามข้อที่เหลือต่อ หากผู้เข้าแข่งขันคนใดตอบผิดและผู้เข้าแข่งขันอีกคนตอบถูก ผู้ตอบถูกจะได้เป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ในเรื่องนั้นและได้ตอบคำถามเพื่อชิงของรางวัลสุดพิเศษในรอบคำถามสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ (ในกรณีเสมอกัน 6 ข้อ ทางรายการจะมีคำถามสำรองโดยการกดสัญญาณไฟเพื่อหาสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ต่อไป)", "title": "แฟนพันธุ์แท้ 2018" }, { "docid": "469891#6", "text": "กติกาอนุญาตให้ผู้เล่นสวมถุงมือได้ ส่วนผู้รักษาประตูมักจะสวมถุงมือพิเศษ ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1970 ผู้เล่นมักไม่ค่อยสวมถุงมือ แต่ปัจจุบันถือเป็นเรื่องผิดปกติหากผู้รักษาประตูไม่สวมถุงมือ ในการแข่งขันระหว่างทีมชาติโปรตุเกส กับทีมชาติอังกฤษในการแข่งขันยูโร 2004 รีการ์ดูถูกวิจารณ์อย่างมากหลังตัดสินใจไม่สวมถุงมือในการดวลลูกโทษ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา การออกแบบถุงมือได้มีการพัฒนาอย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันมีเครื่องป้องกันนิ้วหักไปด้านหลัง มีการแบ่งแต่ละส่วนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และอุปกรณ์สำหรับฝ่ามือก็ออกแบบให้ป้องกันสำหรับให้การยึดเกาะดีมากขึ้น ถุงมือมีการออกแบบในแต่ละส่วนเพื่อความหลากหลาย เช่น แบบแฟลตปาล์ม, โรลล์ฟิงเกอร์, และเนกาทีฟ ที่มีความแตกต่างในการเย็บและความพอดีมือ", "title": "ชุดกีฬาฟุตบอล" }, { "docid": "137564#49", "text": "เมื่อลูกทั้งลูกได้ผ่านเส้นประตูออกไปนอกสนาม นอกจากจะผ่านไปในระหว่างเสาประตูไม่ว่าจะกลิ้งไปบนพื้นสนามหรือลอยไปในอากาศก็ตาม โดยฝ่ายรับเป็นผู้ถูกลูกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ให้ฝ่ายรุกนำลูกไปวางเตะภายในเขตมุม ณ ธงมุมใกล้กับที่ลูกได้ออกไปและต้องไม่ทำให้คันธงเคลื่อนที่ ในการเตะจากมุมนี้ ถ้าเตะทีเดียวลูกตรงเข้าประตูให้นับว่าได้ประตู ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามกับผู้เตะจากมุมนั้นจะเข้ามาอยู่ใกล้ลูกในขณะที่ผู้เตะกำลังจะเตะลูกน้อยกว่า 10 หลา ไม่ได้เว้นเสียแต่ผู้เตะจะได้เตะให้ลูกไปได้ไกลอย่างน้อยเท่ากับระยะรอบวงของลูกจึงจะเล่นต่อไปได้ จะเล่นนั้นซ้ำอีกไม่ได้จนกว่าลูกนั้นจะได้ถูกหรือเล่นโดยผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเสียก่อน", "title": "กติกาฟุตบอล" } ]
3027
ประเทศไทยเริ่มใช้กฎหมายเมื่อไหร่?
[ { "docid": "853774#3", "text": "พัฒนาการของกฎหมายปกครองในประเทศไทย เริ่มต้นในสมัยกรุงสุโขทัย(พ.ศ.1781-1893) ไม่มีกฎเกณฑ์และกฎหมายเนื่องจากมีประชากรน้อย มีขนาดเล็กจึงใช้หลักการปกครองแบบบิดากับบุตร ด้านกฎหมายได้นำเอา\"หลักพระธรรมศาสตร์\"มาใช้กับ\"หลักพระราชศาสตร์\" กฎหมายที่ค้นพบในสมัยกรุงสุโขทัย ได้แก่กฎหมายเกี่ยวกับภาษี กฎหมายเกี่ยวกบการจับจองทรัพย์สิน กฎหมายเกี่ยวกับมรดก เป็นต้น ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาในสมัยของพระเจ้าอู่ทอง(พ.ศ.1893-1912) ทีการตรากฎหมาย 8 ฉบับ กฎหมายฉบับหนึ่งคือ พระอัยการอาญาหลวง พ.ศ.1895ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับลักษณะความผิดและโทษของข้าราชการที่กระทำผิดต่อหน้าที่และวินัย กฎหมายลักาณะพยาน กฎหมายลักษณะลักพา กฎหมายลักษณะผัวเมีย ในส่วนของสมัยกรุงธนบุรี(พ.ศ.2310-2325)มีระยะเวลาสั้นเพียง 15 ปีจึงไม่ปรากฏการปรับปรุงกฎหมาย ในส่วนสุดท้ายสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในปีพ.ศ.2348 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้มีการจัดหมวดหมู่และปรับปรุงงกฎหมายให้สอดคล้องกับความยุติธรรม พระราชกำหนด\nกฎหมายที่ชำระสะสางเสร็จแล้วนี้เรียกกันว่า\"กฎหมายตราสามดวง\" จนกระทั่งในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปฎิรูปกฎหมายให้เป็นแบบตะวันตกเพื่อที่จะปรับปรุงสัมพันธ์กับปรเทศตะวันตก", "title": "กฎหมายปกครองท้องถิ่น" } ]
[ { "docid": "346424#11", "text": "หลังจากรัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ใน ร.ศ. 127 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2451 ก็ได้กฎหมายลักษณะอาญาเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของประเทศและประกาศใช้ในปีนั้นเอง ครั้นแล้ว ก็เริ่มร่างและประกาศใช้ประมวลกฎหมายฉบับที่สอง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบริบูรณ์ใน พ.ศ. 2477 อันเป็นช่วงหลังปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 แล้ว กินระยะเวลาตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายลักษณะอาญาจนถึงใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้พร้อมมูล มากกว่าสามสิบปี", "title": "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ประเทศไทย)" }, { "docid": "119263#3", "text": "ประเทศไทยได้ใช้มาตรการหลายอย่าง รวมทั้งมาตรการทางกฎหมายซึ่งมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับส้วม ปรากฏอยู่ในกฎหมายหลายฉบับที่เริ่มมีการออกพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกเกี่ยวกับการสุขาภิบาลของคนกรุงเทพฯ และต่อมาได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 39 (พ.ศ. 2537) ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 รวมถึงกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา พ.ศ. 2548", "title": "ส้วมในประเทศไทย" }, { "docid": "346424#2", "text": "โครงการร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น เริ่มใน พ.ศ. 2477 ภายหลังประกาศใช้บรรพสุดท้ายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปีนั้น ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร แล้วเสร็จในปีเดียวกัน และประกาศใช้โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในปีรุ่งขึ้น ให้แทนที่บรรดาพระราชบัญญัติเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญาที่ประกาศใช้เป็นการชั่วคราวก่อนหน้านี้ ตราบปัจจุบัน", "title": "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ประเทศไทย)" }, { "docid": "119263#44", "text": "เริ่มจาก บทบัญญัติในการจัดการเรื่องส้วมและสิ่งปฏิกูลตามกฎหมายไทย ซึ่งเกิดขึ้นมาจากสภาวการณ์ที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น จนเริ่มมีการออกพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกเกี่ยวกับการสุขาภิบาลของคนกรุงเทพฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรคติดต่อมิให้แพร่หลาย การจัดการเวจ ที่ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะของมหาชน และในปี พ.ศ. 2469 มีการตราพระราชสีห์น้อยถึงสมุหเทศบาลทุกมณฑลให้ควบคุมการสุขาภิบาลเกี่ยวกับการถ่ายอุจจาระและการทำลายส้วมตามริมแม่น้ำ ลำคลองทั่วไป จนกระทั่งมีการตราพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2477 และในปี พ.ศ. 2480 ได้เกิดพระราชบัญญัติควบคุมการใช้อุจจาระเป็นปุ๋ย ซึ่งกฎหมายสาธารณสุขก็ได้มีการตราขึ้นใหม่เป็นพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2484 โดยมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดให้มีส้วม การกำหนดเขตห้ามสร้างส้วม และการจัดการความสะอาดของส้วม ซึ่งต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงหลายครั้ง จนกระทั่งมีการยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการใช้อุจจาระเป็นปุ๋ย พ.ศ. 2480 และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2484 แล้วประกาศใช้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบัน", "title": "ส้วมในประเทศไทย" }, { "docid": "287080#0", "text": "ลูกครึ่ง หมายถึงลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นคนต่างชาติกัน คำว่าลูกครึ่งในประเทศไทย ไม่แน่ชัดว่าใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่ ไม่พบในกฎหมายตราสามดวง และคาดว่าคงเริ่มใช้หลังรัชกาลที่ 4 ในสมัยอยุธยา ลูกครึ่งเกิดจากพ่อค้าฝรั่งในเมืองไทย และที่อพยพมาจากต่างประเทศ มีลูกหลานที่เป็นไพร่ในกรม เช่น กรมฝรั่งแม่นปืน เป็นต้น คนไทยสมัยนั้นไม่รู้สึกว่าลูกครึ่งแตกต่างจากไพร่ฟ้าทั่วไป จึงยังไม่เรียกคนเหล่านั้นว่าลูกครึ่ง จนเมื่อลูกครึ่งฝรั่งมีความแตกต่างขึ้นมา คือไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน หรือไม่ใช่ไพร่เพราะมีกฎหมายฝรั่งคุ้มครองตามสิทธิสภาพนอกอาณาเขต อีกทั้งยังแต่งกายและมีวิถีชีวิตแบบฝรั่ง แต่จำนวนลูกครึ่งก็ยังมีไม่มากนัก มีลูกครึ่งฝรั่งที่มีบันทึกในอัตชีวประวัติที่ชื่อ เออิจิอะไร ตีพิมพ์เป็นหนังสือ", "title": "ลูกครึ่ง" }, { "docid": "12834#10", "text": "การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรงมีขึ้นเป็นครั้งแรกของไทยเมื่อ พ.ศ. 2521 ซึ่งกรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบแรกที่นำระบบดังกล่าวมาใช้ อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีอยู่เพียงแห่งแรกของไทยในขณะนั้น การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรงจึงไม่เป็นที่คุ้นเคยนักสำหรับคนไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 มีการประกาศใช้กฎหมายเทศบาลฉบับใหม่ ทำให้เทศบาลซึ่งเป็นการปกครองท้องถิ่นรูปแบบทั่วไปที่มีอยู่ในทุกจังหวัด ได้เริ่มทดลองใช้ระบบการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง และใช้จริงเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 และเรียกระบบการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรงในเทศบาลว่า เทศบาลในรูปแบบนายกเทศมนตรี ในขณะที่เทศบาลในรูปแบบเดิมเรียกว่า เทศบาลในรูปแบบคณะเทศมนตรี ภายหลังต่อมา มีการแก้ไขกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกหลายฉบับ หลายรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2546 - 2547 ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมดของไทยใช้ระบบการเลือกตั้งบริหารท้องถิ่นโดยตรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และ เมืองพัทยา ดังนั้น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกรูปแบบของไทย กำหนดให้ใช้วิธีการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรงแล้วทั้งสิ้น", "title": "ราชการส่วนท้องถิ่น (ประเทศไทย)" }, { "docid": "720648#4", "text": "อย่างไรก็ดี ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ได้มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่กฎหมายลักษณะอาญาฉบับเดิม โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2500 เป็นต้นไป และไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมาตรา 242 ของกฎหมายลักษณะอาญาในประมวลกฎหมายฉบับใหม่ ส่งผลให้กิจกรรมทางเพศของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นชอบด้วยกฎหมายไปโดยปริยายตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นไป", "title": "สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย" }, { "docid": "346424#20", "text": "การร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เริ่มโครงการใน พ.ศ. 2477 แล้วก็สำเร็จในปีนั้นเอง สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบใน \"ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. 2477\" แล้ว ปีรุ่งขึ้น ก็นำให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (ภายหลังได้รับเฉลิมพระปรมาภิไธยเป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร) ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งไว้ตาม ประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 7 มีนาคม 2477 ประกอบด้วย พันเอก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าออศคาร์นุทิศ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์, พลโท พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ตามลำดับ ลงนามประกาศใช้", "title": "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ประเทศไทย)" }, { "docid": "253633#4", "text": "สำหรับพจนานุกรมกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทย คือ พจนานุกรมกฎหมายของ ขุนสมาหารหิตะคดี (โป๊ โปรคุปต์) ซึ่งมีคำโฆษณาบนปกว่า \"\"พจนานุกรมกฎหมายเล่มแรกของประเทศไทย บรรจุคำตั้งแต่โบราณกาลถึงปัจจุบันกาล สำหรับความสะดวกในผู้ใคร่ศึกษาและผู้ต้องการทราบ\"\" อย่างไรก็ดี ที่ว่า \"ปัจจุบันกาล\" บนปกนั้นหมายถึงกาลที่พจนานุกรมพิมพ์ขึ้น คือ พ.ศ. 2474 เท่านั้น แม้ว่าจะได้รับการพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่สองใน พ.ศ. 2549 แต่พจนานุกรมฉบับนี้ยังมิได้รับการปรับปรุงนับแต่บัดนั้นจนบัดนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีพจนานุกรมกฎหมายอีกหลายเล่มในภาษาไทยที่มีการปรับปรุงเสมอ เช่น พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฯลฯ", "title": "พจนานุกรมกฎหมาย" }, { "docid": "670357#1", "text": "ราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์และสี่ราชอาณาจักรก่อนหน้าซึ่งนับตามแบบ ที่เรียกรวม ๆ ว่าสยามนั้น มีรัฐธรรมนูญซึ่งมิได้จัดทำประมวลกฎหมายเป็นส่วนใหญ่จนปี 2475 ในคำปรารถถึงประมวลกฎหมายอาญาซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2451 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 กันยายน พระมหากษัตริย์ตรัสว่า \"ในสมัยโบราณ พระมหากษัตริย์แห่งชาติสยามปกครองราษฎรของพระองค์ด้วยกฎหมายซึ่งเดิมมาจากมนูธรรมศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นกฎหมายที่ใช้ทั่วไปในหมู่ชาวอินเดียและประเทศเพื่อนบ้าน\"", "title": "กฎหมายไทย" } ]
3028
วงคาราบาว ก่อตั้งวงเมื่อใด ?
[ { "docid": "55532#1", "text": "วงคาราบาวเกิดจากการก่อตั้งโดยนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว กรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ 3 คน คือแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล , เขียว - กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร และไข่ - สานิตย์ ลิ่มศิลา ขึ้นที่นั่น ในปี พ.ศ. 2523 โดยคำว่า \"คาราบาว\" เป็นภาษาตากาล็อก คือภาษาพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ แปลว่า ควาย หรือคนใช้แรงงาน ซึ่งทางฟิลิปปินส์ถือเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นเกษตร โดยหมายจะเป็นวงดนตรีที่มีเนื้อหาเพื่อชีวิต", "title": "คาราบาว" } ]
[ { "docid": "55532#5", "text": "วงคาราบาว เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในอัลบั้มชุดที่ 3 ในปี พ.ศ. 2526 จากอัลบั้มชุด วณิพก กับสังกัดอโซน่า ด้วยเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม โดยมีทีมแบ็คอัพชุดเดิม คือสมาชิกกวงเพรสซิเดนท์ บางส่วน แต่ได้หมู - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เข้ามาร่วมเล่นเครื่องเคาะ, เพอร์คัสชั่นให้ด้วย บทเพลงจากอัลบั้มนี้มีเนื้อหาที่แปลกแผกไปจากเพลงในยุคนั้น ๆ และดนตรีที่เป็นท่วงทำนองแบบไทย ๆ ผสมกับดนตรีตะวันตก มีจังหวะที่สนุกสนาน ชวนให้รู้สึกคึกคัก เต้นรำได้ จึงสามารถแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในดิสโก้เธคได้เป็นเพลงแรกของไทย ต่อมาในปลายปีเดียวกัน คาราบาวก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 คือ ท.ทหารอดทน ซึ่งได้ เป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ และ รัช - ไพรัช เพิ่มฉลาด เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในวง ในตำแหน่งมือกลอง และ มือเบสตามลำดับ แต่แอ๊ดกลับมีปัญหากับสังกัดอโซน่าในการทำเพลง เนื่องจากอโซน่าไม่อนุญาตให้วงคาราบาวไปอัดเสียงที่ห้องบันทึกเสียงศรีสยาม และให้ใช้ห้องอัดของอโซน่าทั้งที่แอ๊ดรู้ว่าเครื่องมือไม่ทันสมัย รวมทั้งเป็นอัลบั้มแรกของทางวงที่ถูก คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.) สั่งห้ามนำไปเผยแพร่ออกอากาศตามสื่อต่าง ๆ คือเพลง \"ท.ทหารอดทน\" และ \"ทินเนอร์\" แต่ถึงกระนั้น ก็ยังประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายอย่างมาก", "title": "คาราบาว" }, { "docid": "55532#8", "text": "ในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีแยกตัวของสมาชิกวงคาราบาวยุคคลาสสิก โดยสมาชิกแต่ละคนได้แยกย้ายกันไปทำอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง มีดังนี้ แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้แยกออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวในชื่อชุด ทำมือ + ก้นบึ้ง และ โนพลอมแพลม โดยมีอ๊อด - อนุพงษ์ ประถมปัทมะ สมาชิกวงคาราบาวตามมาร่วมเล่นแบ็คอัพ, เล็ก - ปรีชา ชนะภัย ได้แยกออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวในชื่อชุด ดนตรีที่มีวิญญาณ และ ยังมีสมาชิกในวง 4 คนที่ได้แยกตัวเป็นอิสระออกไป คือ เขียว - กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ซึ่งได้ออกอัลบั้มเดี่ยวคือชุด ก่อกวน รวมทั้ง เทียรี่ เมฆวัฒนา, อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และเป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ก็ได้แยกตัวออกจากวง และ ออกอัลบั้มร่วมกันในชื่อชุด ขอเดี่ยวด้วยคนนะ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำอัลบั้มเดี่ยวจริง ๆ ของแต่ละคน ส่วนทางวงคาราบาวก็ได้รับสมาชิกเพิ่มเข้ามา มาแทนที่ตำแหน่งที่ออกไปคือ ดุก - ลือชัย งามสม มือคีย์บอร์ด และ โก้ - ชูชาติ หนูด้วง มือกลอง ในอัลบั้มชุดที่ 11 วิชาแพะ เมื่อปี พ.ศ. 2534 และ ยังคงออกอัลบั้มต่อมาเรื่อยๆ แต่ในปี พ.ศ. 2536 หมี - ขจรศักดิ์ หุตะวัฒนะ เข้ามาร่วมวงในตำแหน่งกีตาร์โซโล่ เล็กจึงจำต้องแยกตัวออกไป ต่อมาทางวงได้สมาชิกใหม่อีก 1 คน คือ น้อง - ศยาพร สิงห์ทอง ในอัลบั้มชุดที่ 15 แจกกล้วย เมื่อปี พ.ศ. 2538 และในปีเดียวกันนั้น วงคาราบาวมีอายุครบรอบ 15 ปี คาราบาวจึงได้ออกอัลบั้มชุดพิเศษ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันอีกครั้งของสมาชิกในยุคคาสสิกทั้ง 7 คน ในชื่อชุด \"หากหัวใจยังรักควาย\" โดยออกมาถึง 2 ชุดด้วยกัน และ มีการจัดคอนเสิร์ตปิดอัลบั้มคือ คอนเสิร์ตปิดทองหลังพระ ในปี พ.ศ. 2539 แต่หลังจากคอนเสิร์ตนี้ชื่อเสียงและความนิยมของวงคาราบาวเริ่มซาลง เนื่องจากกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไป แต่ทางวงก็ยังคงผลิตผลงานออกมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดย เล็ก - ปรีชา ชนะภัย, เทียรี่ เมฆวัฒนา ที่แยกตัวออกไปได้กลับมาร่วมวงอีกครั้งตั้งแต่อัลบั้ม อเมริกันอันธพาล ในปี พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน มีเพลงดังในช่วงตกอับนี้คือเพลง \"บางระจันวันเพ็ญ\" ในอัลบั้มชุด \"เซียมหล่อตือ หมูสยาม\" และทางวงก็ได้รับสมาชิกใหม่คืออ้วน - ธนะสิทธิ์ พันธุ์พงษ์ไทย ในตำแหน่งมือกลอง , ขลุ่ย และ แซกโซโฟนตั้งแต่อัลบั้มชุด สาวเบียร์ช้าง ในปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน", "title": "คาราบาว" }, { "docid": "360278#1", "text": "คอนเสิร์ตฉลอง 20 ปี คาราบาว มีชื่อเต็มว่า \"20 ปี คาราบาว เรื่องราวของคน ดนตรี และเขาควาย\" เดิมทางวงคาราบาวกำหนดจะจัดแสดงภายในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งตรงกับอายุ 20 ปีของวง แต่เนื่องจากทางวงยังมีภารกิจต่างๆ รวมถึงธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง คาราบาวแดง จึงเลื่อนมาแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ในต้นปี พ.ศ. 2546 โดยมี \"แมทชิ่ง เอ็นเตอร์เทนเมนท์\" ของ สมชาย ชีวสุทธานนท์ เป็นผู้จัดคอนเสิร์ต และชนินทร์ โปสาภิวัฒน์ แห่ง \"นินจารีเทิร์น\" เป็นโปรเจ็กต์ไดเร็กเตอร์ มีผู้สนับสนุนการจัดคอนเสิร์ต คือ เบียร์ช้าง , คาราบาวแดง , เป๊ปซี่ และ ได้รับเกียรติจากศิลปินท่านอื่น ๆ อาทิ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ และ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ มาเป็นแขกรับเชิญร่วมแสดงด้วย", "title": "20 ปี คาราบาว เรื่องราวของคน ดนตรี และเขาควาย" }, { "docid": "289269#3", "text": "ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2534 คาราบาว ได้จัดคอนเสิร์ตคนคาราบาวขึ้นเพื่อประกาศถึงการแยกวงของสมาชิกยุคคลาสสิกอย่างเป็นทางการ ต่อมาในเดือนธันวาคม สมาชิกของคาราบาว 3 คน ประกอบไปด้วย แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล, เล็ก - ปรีชา ชนะภัย และ อ็อด - อนุพงษ์ ประถมปัทมะ ได้กลับมารวมตัวเพื่อทำผลงานเพลงร่วมกันอีกครั้ง จึงได้เกิดเป็นผลงานเพลงชุด วิชาแพะ ขึ้น", "title": "วิชาแพะ" }, { "docid": "212271#1", "text": "ดุก คาราบาว จบการศึกษาจากโรงเรียนสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จากนั้นจึงศึกษาต่อด้านดนตรี ที่โรงเรียนดนตรีสยามกลการ กรุงเทพมหานคร โดยเข้าร่วมวงดนตรีอาชีพครั้งแรกกับวงที่ชื่อสไปเดอร์ ตระเวนเล่นตามที่ต่าง ๆ จากนั้นอีก 5 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2519 จึงร่วมก่อตั้งวงดนตรีที่ชื่อมิชชั่น ร่วมกับ ปรีชา ชนะภัย (เล็ก คาราบาว ) และสุเทพ ปานอำพัน (เอ็ดดี้ ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นมือเบส วงซูซู)", "title": "ลือชัย งามสม" }, { "docid": "56123#8", "text": "หลังจากนั้นตัวของ แอ๊ด คาราบาว ก็มีความคิดที่ว่าหากจะออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง คงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบั้มชุดแรกของวง คาราบาว ในชื่อชุด \"ขี้เมา\" ในปี พ.ศ. 2524 สังกัดพีค็อก สเตอริโอ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ปีถัดมา คาราบาว ได้สมาชิกใหม่เพิ่มอีก 1 คน คือเล็ก - ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์จาdกวง \"เพรสซิเดนท์\" (เล็กเป็นเพื่อนเก่าของแอ๊ดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ช่างก่อสร้างอุเทนถวายด้วยกัน) มาร่วมงานในชุดที่ 2 คือชุด \"แป๊ะขายขวด\" ชุดที่ 3 ชุด \"วณิพก\" ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางครั้งมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี", "title": "ยืนยง โอภากุล" }, { "docid": "351010#10", "text": "หลังเสร็จสิ้นการจัดมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาวไปแล้ว วงคาราบาวมีคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ชื่อว่า กินลม ชมบาว ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ที่บ้านของแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยคอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม สวัสดีประเทศไทย ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดล่าสุดของวงคาราบาว จัดขึ้นในวันเกิดของแอ๊ด และเป็นครั้งแรกที่วงคาราบาวได้แสดงคอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินตำนานร็อค­เมืองไทยที่มีฝีมือประจักษ์แก่สายตาชาวโลก­มาแล้วมากมาย เช่น แหลม มอริสัน, กิตติ กีตาร์ปืน, โอ้ - โอฬาร พรหมใจ และ ช.อ้น ณ บางช้าง โดยมีแขกรับเชิญพิเศษ คือ เสก โลโซ และโก๊ะตี๋ อารามบอย", "title": "มหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว" }, { "docid": "55532#7", "text": "คาราบาวประสบความสำเร็จมากที่สุดในปลายปี พ.ศ. 2527 เมื่อได้ออกอัลบั้มชุดที่ 5 เมด อิน ไทยแลนด์ เป็นอัลบั้มชุดที่ 5 ซึ่งทำยอดขายได้ถึง 5,000,000 ตลับ ซึ่งเป็นสถิติยอดจำหน่ายอัลบั้มเพลงของศิลปินไทยที่สูงที่สุดของไทยที่ขณะนั้นยังไม่มีใครทำลายได้ และเมื่อคาราบาวจัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก คือ คอนเสิร์ตทำโดยคนไทย ที่เวโลโดรม หัวหมาก ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ก็มียอดผู้ชมถึง 60,000 คน แต่กลับเกิดเหตุสุดวิสัยคือผู้ชมขึ้นไปชมคอนเสิร์ตบนอัฒจันทร์ที่เลิกใช้งานแล้ว และมีผู้ชมตีกันกลางคอนเสิร์ต จนกลายเป็นนิยามว่า \"คาราบาวเล่นที่ไหนก็มีแต่คนตีกัน\" แอ๊ดได้เตือนเรื่องความปลอดภัยของอัฒจันทร์เป็นระยะๆ ในที่สุดก่อนจบการแสดงครึ่งชั่วโมง และเหลือเพลงที่ยังไม่ได้แสดงอีก 3-4 เพลง รวมทั้งเพลง \"เรฟูจี\" ที่ สุรสีห์ อิทธิกุล และวงบัตเตอร์ฟลาย ต้องขึ้นไปขับร้องกับวงคาราบาวด้วย และ เพลงประจำคอนเสิร์ตทำโดยคนไทย คือ \"เมด อิน ไทยแลนด์\" อัฒจันทร์ก็ได้ถล่มลงมาทับผู้ชม จนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก แอ๊ดจึงประกาศยุติคอนเสิร์ตโดยทันที และเพลงสุดท้ายที่แอ๊ดร้อง คือ รอยไถแปร\nสมาชิกในวงคาราบาวในยุคนั้นเรียกว่า \"ยุคคลาสสิก\" มีสมาชิกในวงทั้งหมด 7 คน ประกอบไปด้วยระหว่างปี พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2533 เรียกได้ว่าเป็นปีทองของวงคาราบาว โดยมีแอ๊ดเป็นผู้นำ โดยออกอัลบั้มออกมาทั้งหมด 5 ชุด ทุกชุดประสบความสำเร็จทั้งหมด ได้เล่นคอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกา และในทวีปยุโรปหลายครั้ง รวมทั้งปี พ.ศ. 2528 วงคาราบาวได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ ร่วมกันทั้งวง และ มีหลายเพลงของวงดนตรีคาราบาวที่ฮิตและติดอยู่ในความทรงจำของแฟน ๆ คาราบาวจนถึงปัจจุบัน เช่น เมด อิน ไทยแลนด์ , มหาลัย , เรฟูจี , บัวลอย (ถึกควายทุย ภาค 5) , คนจนผู้ยิ่งใหญ่ , ซาอุดรฯ , เจ้าตาก , เวลคัม ทู ไทยแลนด์ , กระถางดอกไม้ให้คุณ , คนหนังเหนียว , บาปบริสุทธิ์ , แม่สาย , ทับหลัง , รักทรหด เป็นต้น อีกทั้งได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการเพลงไทยในด้านต่าง ๆ เช่นดังนี้แต่เพลงของวงคาราบาวบางเพลง แอ๊ดจะแต่งโดยมีเนื้อหาส่อเสียด จึงมักจะถูก คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ หรือ กบว. สั่งห้ามนำไปเผยแพร่ออกอากาศอยู่เสมอ ในแต่ละอัลบั้ม เฉพาะในยุคก่อตั้งจนถึงยุคคลาสสิกจะมีเพลง \"ท.ทหารอดทน\", \"ทินเนอร์\" ในอัลบั้ม ท.ทหารอดทน , \"หำเทียม\" ในอัลบั้ม เมด อิน ไทยแลนด์ , \"หำเฮี้ยน\" ในอัลบั้ม อเมริโกย , \"วันเด็ก\" , \"ผู้ทน\" , \"ค.ควาย ค.คน\" ในอัลบั้ม ประชาธิปไตย และ \"พระอภัยมุณี\" ในอัลบั้ม ทับหลัง", "title": "คาราบาว" }, { "docid": "301707#0", "text": "ห้ามจอดควายเป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 10 ของวงคาราบาว จัดจำหน่ายครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 ในรูปแบบแผ่นเสียงและเทปคาสเซตต์ ภายใต้สังกัดแว่วหวาน โดยเป็นอัลบั้มชุดแรกที่สมาชิกในวงกลับมาทำงานภายใต้ชื่อคาราบาว หลังจากที่ได้แยกย้ายกันออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวของแต่ละคน โดยอัลบั้มนี้คงเหลือสมาชิกหลักเพียง แอ๊ด, เล็ก, เขียว และ อ๊อด", "title": "ห้ามจอดควาย" } ]
3037
จอร์จ โซรอส มีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน?
[ { "docid": "271393#5", "text": "โซรอสเกิดที่เมืองบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการี\nจอร์จ โซรอส เป็นลูกชายของ Tivarda Soros (หรือ Teodoro) ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Esperantist\nTivarda Soros เป็นชาวฮังการเชื้อสายยิว เคยตกเป็นเชลยศึกเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้หนีจากประเทศรัสสเซียกลับมาอยู่กับครอบครัวที่บูดาเปสต์", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#0", "text": "จอร์จ โซรอส (12 สิงหาคม ค.ศ. 1930 - ) เดิมชื่อ จอร์จี ชวาร์ตซ์ () นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เป็นนักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Institute", "title": "จอร์จ โซรอส" } ]
[ { "docid": "271393#10", "text": "เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายของเขาถูกพวกนาซีจับตัว พ่อของจอร์จโซรอสจ่ายเงินให้กับราชการในกระทรวงกสิกรเพื่อที่จะให้โซรอสไปอยู่ที่นั่นระหว่างฤดูร้อนของปี 1944 ในฐานะลูกบุญธรรม จอร์จ โซรอสต้องซ่อนความเป็นยิวของเขา แม้ว่าทางรัฐบาลกำลังยึดทรัพชาวยิวอยู่ \nในปีต่อมาเขาได้รอดพ้นจากการต่อสู้ในเมืองบูดาเปสต์ โซรอสได้แลกเปลี่ยนเงินตราและเครื่องประดับ เมื่อครั้งที่เงินเฟ้อในประเทศฮังการีช่วงปี 1945-46\nโซรอสย้ายสัญชาติไปอังกฤษเมื่อปี 1947 และจบจาก London School of Economics ในปี 1952\nโซรอสได้ทำงานเสริมเป็นพนักงานเสิร์ฟและเด็กยกกระเป๋าตามสถานีรถไฟ ทั้งๆ ที่เป็นนักศึกษาด้านปรัชญากับ Karl Popper\nทางมหาวิทยาลัยได้ขอให้โซรอสช่วยเป็นติวเตอร์เพื่อแลกกับเงิน 40 ปอนด์จากกองทุน Quaker และสุดท้ายได้ทำงานกับธนาคาร Singer & Friedlander", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#2", "text": "โซรอสเคยเป็นสมาชิกในคณะกรรมการของ Council on Foreign Relations และยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง Center for American Progress \nปัจจุบันจอร์จ โซรอส ก็ยังคงมีตัวแทนในคณะกรรมการอยู่ แม้ว่าตัวเขาเองจะคิดว่าเป็นการกล่าวชมยกยอกันมากเกินไป แต่ชาวรัสเซียและชาวตะวันตกก็มองว่าการสนับสนุนทางการเงินและการจัดการของเขา เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ Georgia’s Rose ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#7", "text": "โซรอสแต่งงานและหย่าสองครั้ง กับ Annaliese Witschak และ Susan Weber Soros เขามีบุตรทั้งหมด 5 คน\nRobert, Andrea, Jonathan กับภรรยาคนแรก\nAnnaliese และ Alexander, Gregory กับภรรยาคนที่สอง\nSusan พี่ชายของ จอร์จ Paul Soros ผู้ซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนตัว และคนใจบุญ เป็นวิศวกรที่เกษียณแล้ว ได้ก่อตั้ง Paul and Daisy Soros Fellowships for Young Americans และยังเป็นหัวเรือใหญ่ใน Soros Associates ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมนานาชาติที่มีฐานอยู่ในนครนิวยอร์ก\nหลานของจอร์จโซรอส Peter Soros ซึ่งเป็นลูกชายของ Paul Soros ได้แต่งงานกับสตรีที่ชื่อ Flora Fraser ผู้ซึ่งเป็นบุตรีของ Lady Antonia Fraser และ Sir Hugh Fraser และมีพ่อเลี้ยงนั่นคือ นักเขียนรางวัลโนเบล ฮาโรลด์ พินเทอร์", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#1", "text": "นิตยสาร ฟอร์บส์ ได้จัดให้ จอร์จ โซรอส อยู่ในอันดับที่ 35ของบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ\nเขาได้บริจาคเงิน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการกุศลตั้งแต่ ค.ศ. 1979 เป็นต้นมา", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#17", "text": "2005 โซรอสเป็นหุ้นส่วนเล็กในกลุ่มผู้ลงทุน ที่พยายามจะซื้อ Washington Nationals ของ National Leagues ผู้ร่างกฎหมาย republican บางคนพูดว่าพวกเขาอาจจะเปลี่ยนการกะทำของเขาที่มี", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#29", "text": "โซรอสมีความสนใจเกี่ยวเรื่องปรัชญาอย่างชัดเจน และเขาได้กล่าวว่าการเข้ามาในโลกของการเงินของเขานั้นเพื่อสนับสนุนตัวเองในฐานนักปรัชญาคนหนึ่ง ปรัญชาของเขาได้รับอิทธิพลจาก Karl Popper ผุ้ที่เขาได้เรียนด้วยเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่ London School of Economic สถาบัน Open Society Institute ของเขาได้ชื่อมาจากหนังสือ ของ Karl Popper “the open society and it’s enemy” โซรอสได้ตั้งปณิทานเกี่ยวกับหลักการ Fallibilism สาขาหนึ่งจากปรัญชาของ Popper ในบทสัมภาษณ์กับ Minutesโซรอสเคยพูดไว้ว่าเขาไม่เชื่อในพระเจ้า", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#13", "text": "Black Wenesday (16 กันยายน 1992) กองทุนของโซรอสขายหุ้นมูลค่ากว่า $1,000,000,000 ปอนด์ โดยเก็งกำไรว่าจะซื้อกลับด้วยราคาที่ต่ำกว่า\nเพื่อที่จะดูว่าทางธนาคารจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจะได้เทียบเท่ากับค่าเงินยุโรปหรือว่าจะปล่อยให้ค่าเงินลอยตัว \nในที่สุดธนาคารอังกฤษถอนเงินออกจาก Europen Exchange Rate Mechanism ทำให้ค่าเงินตก\nในการกระทำครั้งนี้ โซรอสสร้างกำไรประมาณ 1,100,000,000 เขาขึ้นชื่อว่า “ชายผู้ทำลายธนาคารอังกฤษ”\nThe Times ของวันจันทร์ ที่ 26 ตุลาคม ปี 1992 ได้คัดลอกบทสนทนาของ จอร์จ โซรอส ว่า “ในตำแหน่งของเรา ในวัน Black Wenesday ต้องมีมูลค่าเกือบ $10,000,000,000 แน่ เรากะว่าจะขายมากกว่านั้น ความจริงแล้วตอนที่ Norman Lamont บอกก่อนที่จะค่าเงินตกว่าจะยืมเงินเกือบ $15,000,000,000 เพื่อจะปกป้องค่าเงินของเขา เราก็นึกสนุกขึ้นมาเพราะนั่นคือจำนวนที่เรากะว่าจะขายอยู่พอดี”\nStanley Druckenmiller ที่ทำการแลกเปลี่ยนภายใต้การดูแลของโซรอส เป็นผู้เห็นจุดอ่อนในค่าเงินปอนด์ สิ่งที่โซรอสทำคือดันเขาให้ทำให้มันใหญ่ขึ้น \nในปี 1997 ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของเอเชีย นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย มหาธีร์ โมฮาหมัด กล่าวหาโซรอสว่าเขาใช้ความมั่งคั่งลงโทษกลุ่มอาเซียนที่รับพม่าเข้ามาเป็นสมาชิก\nแต่โซรอสก็ปฏิเสธคำกล่าวหานั้น\nในหนังสือของเขาที่ออกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 The New Paradigm for Financial Markets กล่าวถึงกลุ่มที่เรียกว่า “Supperbubble” ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นภายใน 25 ปีที่ผ่านมา\nนี่เป็นหนังสือเล่มที่สามที่เขาได้เขียนที่พยากรณ์ความหายนะ \nโซรอสได้กล่าวไว้ว่า เขาเป็นเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ หนังสือเล่มแรก The Alchemy of Finance ในปี 1987 แล้วก็ The Crisis of Global Capitalism ในปี 1998 แล้วก็เล่มนี้ เพราะฉะนั้นก็มีหนังสือทั้งหมดสามเล่มที่ทำนายว่าจะมีหายนะเกิดขึ้น หลังจากเด็กเลี้ยงแกะบอกว่าหมาป่ามาสามครั้ง หมาป่าก็มาจริงๆ", "title": "จอร์จ โซรอส" }, { "docid": "271393#25", "text": "โซรอสสนันสนุน ผู้สนับสนุนประชาธิปไตย และความโปร่งใส NGO บอกว่าประเทศกึ่งมีอำนาจ แต่บางอย่างก็ถูกแบนในประเทศ Kazakhstan และ Turkmenistan Ercis Kurtulus หัวหน้า social Tranparency Movement Association ในประเทศตุรกี กล่าวในคำสัมภาษณ์ว่า โซรอสได้สืบสารเจตนารมณ์ใยยูเครน โดยใช้องกร NGO เมื่อปีที่แล้ว ประทเศรัสเซียออกกฎหมายพิเศษเพื่อควบคุมการนำเงินออกของชาวต่างประเทศของ NGO “ผมคิดว่ามันน่าจะถูกแบนในประเทศตุรกีเช่นกัน” ในปี 1977 โซรอสต้องปิดกองทุนของเขาใน Belarus หลังจากโดนปรับไป $3,000,000,000 จากรัฐบาลเนื่องจากทำผิดกฎภาษีการแลกเปลี่ยนเงินตรา New York Times ประธานาธิบดของ Belarus Aleksandr Lukashenko ได้ถูกวิจารณ์โดยชาวตะวันตกและชาวรัสเซีย ในการที่เขาพยายามจะควบคุม Soros Foundation ใน Belarus และ องค์กรอิสระของ NGO อื่นๆ เพื่อจะกดขี่สิทธิมนุษยชน โซรอสเรียกส่วนที่ถูกปรับขององค์กรว่า “การทำลายอิสภาพของสังคม”", "title": "จอร์จ โซรอส" } ]
3039
สมเด็จพระสันตะปาปา องค์แรกชื่อว่าอะไร ?
[ { "docid": "6087#4", "text": "คำว่า Papa ในภาษาละติน หรือ Pappas ในภาษากรีก แปลว่า บิดา ศาสนาคริสต์ตะวันออกได้ใช้คำนี้เพื่อหมายถึงมุขนายกและบาทหลวงระดับสูงในคริสตจักร ต่อมาคำนี้ถูกใช้เป็นคำนำหน้านามของอัครบิดรแห่งอะเล็กซานเดรียมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 และต่อมาจึงใช้กับบรรดามุขนายกในศาสนาคริสต์ตะวันตกด้วย มาร์เซลลินุสเป็นมุขนายกองค์แรกของคริสตจักรกรุงโรมที่ใช้คำนำหน้านามว่าพระสันตะปาปา แต่ก็เป็นการใช้อย่างไม่เป็นทางการ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา คริสตจักรโรมันคาทอลิกจึงใช้คำว่าพระสันตะปาปากับมุขนายกแห่งกรุงโรมโดยเฉพาะ และในคริสต์ศตวรรษที่ 11 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ได้ประกาศให้คำว่า \"พระสันตะปาปา\" สงวนไว้ใช้กับมุขนายกแห่งกรุงโรมเท่านั้น", "title": "พระสันตะปาปา" } ]
[ { "docid": "95177#1", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1 มีพระนามเดิมว่า อัลบีโน ลูเชียนี ถือกำเนิดในครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสน ท่านได้อุทิศตนให้กับพระผู้เป็นเจ้าในฐานะนักบวช ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น บิชอปแห่งวิตโตรีโอเวเนโต (ค.ศ. 1958-1969) และอัครบิดรแห่งเวนิส (ค.ศ. 1969-1978) ตามลำดับ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลในปี ค.ศ. 1973 ด้วยความไม่ทะเยอทะยานทำให้ท่านยิ่งเป็นที่รักใคร่ของทุกคน โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1" }, { "docid": "523653#1", "text": "ในบรรดาผู้เข้าร่วมการสังคายนา มีปิตาจารย์ในสภาสังคายนาถึง 4 องค์ที่ต่อมาได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา ได้แก่ พระคาร์ดินัลโจวันนี บัตติสตา มอนตีนี (ต่อมาคือสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6) มุขนายกอัลบีโน ลูชีอานี (ต่อมาคือสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1) มุขนายกคารอล วอยตีวา (ต่อมาคือสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2) และบาทหลวงโยเซฟ รัทซิงเงอร์ (ต่อมาคือสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16)", "title": "สังคายนาวาติกันครั้งที่สอง" }, { "docid": "150167#1", "text": "นอกเหนือไปจากนักบุญเปโตรอัครทูตซึ่งชาวคริสต์ถือกันว่าเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์แรกนั้น ไม่มีพระสันตะปาปาพระองค์ใดเคยใช้พระนามว่า \"เปโตร\" อีกเลย และเป็นที่เล็งเห็นได้ว่า จะไม่มีพระสันตะปาปาพระองค์ใดในอนาคตกาลจะทรงเลือกใช้พระนามเช่นนั้นด้วย กระนั้น มีพระสันตะปาปาหลายพระองค์ที่ทรงใช้ชื่อบัพติศมาว่า \"เปโตร\" (อาจสะกดต่างออกไปสุดแต่ภูมิภาค) หนึ่งในนั้นคือสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13 ซึ่งทรงมีชื่อบัพติศมาว่า เปียโตร ออร์ซีนี (Pietro Orsini)", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาเปโตรที่ 2" }, { "docid": "490496#2", "text": "\"ผู้ปกป้องศรัทธา\" (; ; ) เป็นสมัญญานามของพระมหากษัตริย์อังกฤษหลายพระองค์ตั้งแต่คราวที่สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 เฉลิมพระนามนี้แก่พระเจ้าเฮนรีที่ 8 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1521 เป็นเหตุให้พระนางแคเธอรีนแห่งอารากอน พระมเหสีของพระองค์ ได้รับสถานะนี้ด้วยตามสิทธิของพระนางเอง การเฉลิมพระนามดังกล่าวมีขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าเฮนรีเรื่อง \"แอสเซอร์ติโอเซปเทมซาตาเมนโทรัม\" (\"Assertio Septem Sacramentorum\", \"การปกป้องศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด\") ซึ่งว่าด้วยการพิทักษ์ความศักดิ์สิทธิ์แห่งศีลสมรสและความสูงสุดของพระสันตะปาปา แต่เมื่อพระเจ้าเฮนรีทรงแตกหักกับคริสตจักรโรมันคาทอลิกเมื่อ ค.ศ. 1530 และสถาปนาพระองค์เองเป็นประมุขแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 ก็มีพระบัญชาให้เลิกพระนามที่เฉลิมให้นั้นไปเสีย เพราะทรงเห็นว่าพระเจ้าเฮนรีทรงประทุษร้ายแก่พระศาสนา และมีพระบัญชาให้ขับพระเจ้าเฮนรีออกจากศาสนจักรด้วย", "title": "อัครศาสนูปถัมภก" }, { "docid": "104011#1", "text": "อึกชื่อหนึ่งที่ทางคริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ใช้กับพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 1 คือ “เกรกอริอุส ไดอาโลกุส” (Gregorius Dialogus) ตามหนังสือชื่อ “Dialogues” ที่พระองค์เป็นผู้ประพันธ์ เป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกที่เป็นนักพรต นอกจากนั้นพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 1 ยังทรงเป็นหนึ่งในสี่นักปราชญ์แห่งคริสตจักรที่เรียกว่า “ปิตาจารย์แห่งคริสตจักรตะวันตก” โดยอีกสามองค์คือ นักบุญแอมโบรสแห่งมิลาน นักบุญตินแห่งฮิปโป และนักบุญเจอโรม ในบรรดาพระสันตะปาปาด้วยกันเกรกอรีเป็นพระสันตะปาปาที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงต้นสมัยกลาง", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 1" }, { "docid": "481235#3", "text": "พระคุณเจ้าหลุยส์ โชแรง มุขนายกผู้แทนพระสันตะปาปาประจำมิสซังกรุงเทพฯ ป่วยหนัก สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 จึงมีประกาศเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2506 แต่งตั้งมงซีญอร์เคียมสูน นิตโย เป็นมุขนายกรองผู้แทนพระสันตะปาปาประจำมิสซังกรุงเทพฯ และมุขนายกเกียรตินามแห่งออบบา การอภิเษกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2506 ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร โดยมีสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 และบิชอปจากประเทศอื่น ๆ อีก 14 องค์ เป็นผู้อภิเษก จากนั้นจึงเดินทางกลับมาปฏิบัติศาสนกิจที่มิสซังกรุงเทพฯ ต่อ จนกระทั่งมุขนายกหลุยส์ โชแรง ถึงแก่กรรมในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2508 ท่านจึงสืบตำแหน่งประมุขมิสซังต่อทันที", "title": "ยวง นิตโย" }, { "docid": "6057#0", "text": "สมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6 (2 มีนาคม ค.ศ. 1459 - 14 กันยายน ค.ศ. 1523) มีพระนามเดิมว่า Adrian Florisz Boeyens ทรงดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1522 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์. พระองค์ประสูติที่ยูเทรกท์ ในดินแดนที่เป็นประเทศเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน (สมัยนั้น ประชาชนแถบเมืองอูเทร็คท์พูดภาษาเยอรมันและเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) บรรพบุรุษของพระองค์ก็อพยพมาจากเยอรมนี ดังนั้นในปัจจุบันจึงถือกันว่าพระองค์เป็นทั้งชาวดัชท์และชาวเยอรมัน โดยพระองค์เป็นสมเด็จพระสันตปาปาองค์สุดท้ายที่ไม่ได้มาจากอิตาลี ถ้าไม่นับสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 (ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1978-2005) นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นพระสันตะปาปาเพียงพระองค์เดียวที่มาจากเนเธอร์แลนด์ และองค์สุดท้ายที่เป็นชาวเยอรมัน (ก่อนหน้าสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 อีกด้วย) พระองค์เป็นที่รู้จักจากการที่พระองค์พยายามต่อต้านนิกายโปรเตสแตนต์ โดยการปรับปรุงนิกายโรมันคาทอลิกให้เคร่งครัดน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น.", "title": "สมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6" }, { "docid": "242258#2", "text": "อาวีญงกลายมาเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1309 เมื่อแบร์ทร็อง เดอ ก็อต ในฐานะสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 5 ไม่มีพระประสงค์ที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายต่างในกรุงโรมหลังจากที่ทรงได้รับเลือกในปี ค.ศ. 1305 พระองค์จึงทรงย้ายสภาปกครองของพระสันตะปาปา (Papal Curia) ไปตั้งที่อาวีญงในสมัยที่ต่อมาเรียกกันว่า \"สมณสมัยปาปาซี\" พระสันตะปาปาเคลเมนต์ประทับเป็นแขกของอารามคณะดอมินิกันในอาวีญง สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 22 พระสันตะปาปาองค์ต่อมา ทรงก่อตั้งราชสำนักอันหรูหราขึ้นที่นั่น แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 12 พระสันตะปาปาองค์ต่อมาทรงเป็นผู้ริเริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์วังบิชอปเก่าอย่างจริงจัง และกระทำต่อมาในสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6", "title": "ปาแลเดปัป" }, { "docid": "151314#0", "text": "สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (9 มีนาคม พ.ศ. 2280 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2369) พระนามเดิม นาค เป็นพระบรมราชินีพระองค์แรกของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ เป็นพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2280 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นพระธิดาของทอง ณ บางช้าง และสมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี (พระนามเดิม สั้น หรือมาก) เป็นคหบดีเชื้อสายมอญ", "title": "สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี" }, { "docid": "146712#13", "text": "ในปี 1601 สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ประกาศว่า ตำนานพระสันตะปาปาที่เป็นหญิงนั้นไม่เป็นความจริง รอยจารึกที่มีชื่อเสียงที่จารึกโดย โจฮาเนสที่ 8 (Johannes VIII) บนหน้าอกของสตรีที่ชื่อ แองเกลีย ซึ่งถูกนำมาเปิดเผยไว้ในบันทึกแห่งสันตะปาปา ในรูปของ recarve ประมาณปี 1400 ซึ่งมีบันทึกของนักท่องเที่ยวที่ได้พบ ซึ่งถูกทำลายและมีการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในรูปลักษณะชาย ของสมเด็จพระสันตะปาปาซะคาริอัส (ที่มา Stanford 1999; J.N.D. Kelly, Oxford Dictionary of Popes | สแตนฟอร์ด 1999; J.N.D. เคลลี่,พจนานุกรมอ๊อกฟอร์ดของสันตะปะปา)", "title": "พระสันตะปาปาหญิงโจน" } ]
3042
นวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "4336#1", "text": "หนังสือเล่มแรกในชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ วางจำหน่ายในฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และนับแต่นั้น หนังสือก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทั้งได้รับการยกย่องอย่างสำคัญและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก อย่างไรก็ดี ชุดนวนิยายดังกล่าวก็มีข้อวิจารณ์บ้าง รวมถึงความกังวลถึงโทนเรื่องที่มืดมนขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 ชุดหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ทำยอดขายไปมากกว่า 500 ล้านเล่มทั่วโลก ซึ่งเป็นชุดหนังสือที่มียอดขายมากที่สุดตลอดกาล และมีการแปลไปเป็นภาษาต่าง ๆ รวม 73 ภาษา หนังสือสี่เล่มสุดท้ายของชุดยังได้สร้างสถิติเป็นหนังสือที่จำหน่ายออกหมดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยหนังสือเล่มสุดท้ายของชุดมียอดขายกว่า 11 ล้านเล่มในสหรัฐและสหราชอาณาจักรภายในระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกที่วางขาย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "197263#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2001 กำกับโดย คริส โคลัมบัส และจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอส์ เนื้อเรื่องยึดจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเจ. เค. โรว์ลิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคแรกในภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เขียนเรื่องโดยสตีฟ โคลฟส์ และผลิตโดยเดวิด เฮย์แมน เนื้อเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเรียนปีแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ฮอกวอตส์ ที่เขาพบว่าเขาเป็นพ่อมดที่มีชื่อเสียงและเริ่มศึกษาวิชาเวทมนตร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (ภาพยนตร์)" } ]
[ { "docid": "91329#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต () เป็นนวนิยายแนวแฟนตาซี เขียนโดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิ่ง เป็นหนังสือเล่มที่เจ็ดและเป็นเล่มสุดท้ายในนวนิยายชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 เป็นการปิดฉากชุดนวนิยายซึ่งเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1997 จากการตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" ในประเทศอังกฤษตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บลูมสบิวรี่ ประเทศอเมริกาตีพิมพ์โดยสกอลาสติก และในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ (ออกจำหน่ายวันที่ 7 ธันวาคมพ.ศ. 2550) ดำเนินเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม\" ไปจนถึงการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างสองพ่อมด แฮร์รี่ พอตเตอร์ และลอร์ดโวลเดอมอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต" }, { "docid": "95790#0", "text": "แฮรี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน เป็นหนังสือเล่มที่สามในหนังสือชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งประพันธ์โดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง ได้รับการตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (1999) โดยสำนักพิมพ์บลูมส์บิวรี่ ฉบับภาษาไทยแปลโดย วลีพร หวังซื่อกุล จัดพิมพ์และจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ต่อมาในปีพ.ศ. 2547(2004)ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บราเธอร์สและออกฉายไปทั่วโลก", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน" }, { "docid": "111005#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม เป็นหนังสือเล่มที่หกในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ โดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง ออกวางจำหน่ายเมื่อ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 หนังสือเล่มนี้ขายได้ถึง 9 ล้านเล่มภายใน 24 ชั่วโมงแรก ถือเป็นสถิติสูงสุดในขณะนั้น ซึ่งตอนนี้ภาคที่ตามมา แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ได้ทำลายสถิตินั้นลงไปเรียบร้อยแล้ว แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม ฉบับภาษาไทยแปลโดย \"สุมาลี\" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม" }, { "docid": "4336#44", "text": "ในช่วงแรก ๆ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดี ทำให้นวนิยายชุดนี้ขยายฐานผู้อ่านออกไปอย่างมาก หนังสือเล่มแรกของชุดคือ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" ได้จุดประเด็นความสนใจแก่หนังสือพิมพ์ของสกอตแลนด์หลายเล่ม เช่น \"The Scotsman\" บอกว่าหนังสือเล่มนี้ \"มีทุกอย่างของความคลาสสิก\" หรือ \"The Glasgow Herald\" ตั้งสมญาให้ว่าเป็น \"สิ่งมหัศจรรย์\" ไม่นานหนังสือพิมพ์ของทางอังกฤษก็เข้าร่วมวงด้วย มีหนังสือพิมพ์มากกว่า 1 เล่มเปรียบเทียบงานเขียนชุดนี้กับงานของโรอัลด์ ดาห์ล หนังสือพิมพ์ \"The Mail on Sunday\" เรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น \"งานเขียนที่เปี่ยมจินตนาการนับแต่ยุคของโรอัลด์ ดาห์ล\" ส่วน \"The Guardian\" เรียกหนังสือนี้ว่า \"นวนิยายอันงดงามที่สร้างโดยนักประดิษฐ์อัจฉริยะ\"", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "197283#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ () เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2002 กำกับโดย Chris Columbus และจัดจำหน่ายโย Warner Bros. Pictures ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ J. K. Rowling ซึ่งเคยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1998 เป็นภาคต่อของ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในชุดภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เป็นผลงานการเขียนบทของ Steve Kloves และอำนวยการสร้างโดย David Heyman เล่าเรื่องการผจญภัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในปีที่สองของการศึกษาในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ซึ่งทายาทของซัลลาซาร์ สลิธีริน ได้เปิดห้องแห่งความลับ และปลดปล่อยสัตว์ร้ายภายในออกมาทำให้ผู้คนในโรงเรียนกลายเป็นหิน นำแสดงโดย Daniel Radcliffe รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ Rupert Grint รับบทรอน วีสลีย์ และ Emma Watson รับบทเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ Richard Harris มารับบทเป็นศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ก่อนที่จะเสียชีวิตในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "4336#42", "text": "ความสำเร็จของนวนิยายชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ เจ. เค. โรว์ลิง ผู้ประพันธ์ ตลอดไปจนถึงสำนักพิมพ์และผู้ถือสิทธิ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ทั้งหมด โรว์ลิงได้รับผลตอบแทนมากจนกระทั่งนับได้ว่าเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่ติดอันดับ \"มหาเศรษฐี\" ของโลก มีการจำหน่ายหนังสือไปแล้วกว่า 400 ล้านเล่มทั่วโลก และช่วยนำกระแสนิยมให้แก่ภาพยนตร์ชุดดัดแปลงโดย วอร์เนอร์บราเธอร์ส ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงในแต่ละตอนต่างประสบความสำเร็จไปตามกัน สามารถติดอันดับเป็นภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลในทุกภาคที่เข้าฉาย ชุดภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นได้รับการต่อยอดไปสู่รูปแบบวิดีโอเกมและสินค้าจดลิขสิทธิ์กว่า 400 รายการ ซึ่งมูลค่าโดยประมาณของแบรนด์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีมูลค่าสูงกว่ากว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้โรว์ลิงกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน ในรายงานเปรียบเทียบบางแห่งยังกล่าวว่าเธอร่ำรวยกว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเสียอีก ทว่าโรว์ลิงชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "78353#35", "text": "เล่มสอง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\" เดิมจัดพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 จากนั้น \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน\" จัดพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อ 8 กรกฎาคม 2542 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 8 กันยายน 2542 \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี\" จัดพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม 2543 พร้อมกันทั้งบลูมส์บิวรีและสกอลาสติก \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์\" เป็นเล่มที่ยาวที่สุดในชุด รุ่นสหราชอาณาจักรมี 766 หน้า และรุ่นสหรัฐอเมริกามี 870 หน้า จัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั่วโลกเมื่อ 21 มิถุนายน 2546 \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม\" จัดพิมพ์เมื่อ 16 กรกฎาคม 2548 และขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขายทั่วโลก 24 ชั่วโมงแรก นวนิยายเล่มที่เจ็ดและเล่มสุดท้าย \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต\" จัดพิมพ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2550 หนังสือขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกเช่นกัน", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์" }, { "docid": "4336#34", "text": "หนังสือเล่มที่สอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ ตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 และในสหรัฐอเมริกาวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2542 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันตีพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 และในสหรัฐอเมริกา 8 กันยายน ปีเดียวกัน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีตีพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เวลาเดียวกันทั้งบลูมส์บรีและสกอแลสติก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์เป็นหนังสือเล่มยาวที่สุดในชุด ด้วยความหนา 766 หน้าในรุ่นสหราชอาณาจักร และ 870 หน้าในรุ่นสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ทั่วโลกในภาษาอังกฤษเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2546 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมตีพิมพ์วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ทำยอดขาย 9 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกทั่วโลก นิยายเล่มที่เจ็ดและสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ทำยอดขาย 11 ล้านเล่มในช่วงวางขาย 24 ชั่วโมงแรก แบ่งเป็น 2.7 ล้านเล่มในสหราชอาณาจักร และ 8.3 ล้านเล่มในสหรัฐอเมริกา", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "4336#39", "text": "บรรดานักอ่านผู้ชื่นชอบนิยายชุดนี้ล้วนเฝ้ารอการวางจำหน่ายตอนล่าสุดที่ร้านหนังสือทั่วโลก เริ่มจัดงานให้ตรงกับวันวางจำหน่ายวันแรกตอนเที่ยงคืน เริ่มตั้งแต่การตีพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีใน พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา กิจกรรมพิเศษระหว่างรอจำหน่ายมีมากมาย เช่น การแต่งกายเลียนแบบตัวละคร เล่นเกม ระบายสีหน้า และการแสดงอื่น ๆ ซึ่งได้รับความนิยมจากบรรดาแฟนพอตเตอร์และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดึงดูดแฟนและขายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมได้เกือบ 9 ล้านเล่ม จากจำนวนที่พิมพ์ไว้ครั้งแรก 10.8 ล้านเล่ม ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการวางแผง หนังสือเล่มสุดท้ายของชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต เป็นหนังสือที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยขายได้ 11 ล้านเล่มในยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการวางจำหน่าย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "4336#43", "text": "ความต้องการอย่างสูงในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้ นิวยอร์กไทมส์ ตัดสินใจเปิดอันดับหนังสือขายดีอีก 1 ประเภทสำหรับวรรณกรรมเด็กโดยเฉพาะเมื่อปี พ.ศ. 2543 ก่อนการวางจำหน่าย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และหนังสือของโรว์ลิงก็อยู่บนอันดับหนังสือขายดีนี้ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง 79 สัปดาห์ โดยที่ทั้งสามเล่มแรกเป็นหนังสือขายดีในประเภทหนังสือปกแข็งด้วย การจัดส่งหนังสือชุด \"ถ้วยอัคนี\" ต้องใช้รถบรรทุกของเฟดเอกซ์กว่า 9,000 คันเพื่อการส่งหนังสือเล่มนี้เพียงอย่างเดียว วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 ร้านหนังสือ บาร์นส์แอนด์โนเบิล ประกาศว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต ได้ทำลายสถิติหนังสือจองผ่านเว็บไซต์โดยมียอดจองมากกว่า 500,000 เล่ม เมื่อนับรวมทั้งเว็บของบาร์นส์แอนด์โนเบิล กับอเมซอนดอตคอม จะเป็นยอดจองล่วงหน้ารวมกันมากกว่า 700,000 เล่ม แต่เดิมสถิติการพิมพ์หนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.8 ล้านเล่ม แต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ ทำลายสถิตินี้ด้วยยอดพิมพ์ครั้งแรก 8.5 ล้านเล่ม และต่อมาก็ถูกทำลายสถิติลงอีกด้วย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม ที่ 10.8 ล้านเล่ม ในจำนวนนี้ได้ขายออกไป 6.9 ล้านเล่มภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากวางจำหน่าย ส่วนในอังกฤษได้ขายออกไป 2 ล้านชุดภายในวันแรก อย่างไรก็ตามหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ก็ได้ทำลายสถิติก่อนหน้าลง ด้วยยอดขายกว่า 11 ล้านเล่ม ในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการจำหน่าย โดยมียอดสั่งจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์อเมซอนและร้านหนังสือบาร์นส์แอนด์โนเบิลกว่า 1 ล้านเล่ม", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" } ]
3046
เจ้าของเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "15249#0", "text": "บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทแม่ของกิจการบันเทิง ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจดนตรี, สื่อ, ภาพยนตร์, ดิจิตอล, สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม, สถานีวิทยุ, สื่อสิ่งพิมพ์, และ อีเวนต์เมเนจเม้นท์ แบบครบวงจร ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อตั้งโดย ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และเรวัต พุทธินันทน์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 และเป็นค่ายเพลงที่ดีที่สุดอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับ 3 ของเอเชีย จากการจัดอันดับของนิตยสารชื่อดังของอังกฤษ นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่มีคนอยากเข้าทำงานมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ของประเทศไทยอีกด้วย \nจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ทำธุรกิจทางด้านดนตรี สื่อ ภาพยนตร์ ดิจิตอล สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม สถานีวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และ อีเวนต์เมเนจเม้นท์ เป็นต้น โดยระยะแรกดำเนินธุรกิจหลักสร้างสรรค์ผลงาน เพลงไทยสากล โดยออกอัลบั้มชุดแรก นิยายรักจากก้อนเมฆ โดย แพทย์หญิงพันทิวา สินรัชตานันท์ และผลิตรายการทีวี 3 รายการ ได้แก่ ยิ้มใส่ไข่, มันกว่าแห้ว และ เสียงติดดาว จากนั้นจึงเริ่มขยายกิจการ ไปสู่ธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์และรายการวิทยุ บริษัทได้ขยายการดำเนินธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจบันเทิงอื่นๆ เช่น วิทยุ, ภาพยนตร์, การจัดคอนเสิร์ต, การศึกษา, สื่อสิ่งพิมพ์ รวมทั้งธุรกิจร้านค้าปลีกเพื่อจัดจำหน่ายสินค้าต่างๆ ของบริษัทในเครือ เช่นเทปและซีดีเพลงการขยายธุรกิจดังกล่าวส่งให้บริษัทดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในปี พ.ศ. 2544 ข้อมูลเมื่อ เมษายน พ.ศ. 2559 จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง 35,339 เพลง", "title": "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "78652#0", "text": "ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม (ชื่อเล่น : กู๋, อากู๋) ประธานกรรมการบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินกิจการธุรกิจสื่อบันเทิงขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และประธานมูลนิธิดำรงชัยธรรม เป็นผู้ก่อตั้ง\"บริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด\" (ชื่อเดิมของ\"จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่\") ร่วมกับเรวัต พุทธินันทน์", "title": "ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม" } ]
[ { "docid": "280834#11", "text": "บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด โดย บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตและบริหารสื่อโทรทัศน์ขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยป้อนรายการโทรทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์จีเอ็มเอ็ม 25 และช่องวัน 31 เป็นหลัก และยังป้อนให้กับสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลอื่นๆ เป็นการเสริมด้วย โดยปัจจุบัน บริษัทบริหารบริษัทสื่อดังต่อไปนี้ \nนิตยสาร และ สื่อสิ่งพิมพ์ในเครือ", "title": "รายชื่อกลุ่มบริษัทและธุรกิจในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "280834#10", "text": "บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด โดย บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นหลักของ บริษัท เอไทม์ มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการผลิตรายการวิทยุ และบริหารสถานีวิทยุในประเทศไทย และ บริษัท เรดิโอ คอนเซ็ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสปอตโฆษณาวิทยุ โดยปัจจุบัน บริษัทบริหารสถานีวิทยุดังต่อไปนี้", "title": "รายชื่อกลุ่มบริษัทและธุรกิจในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "427942#0", "text": "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล () หรือที่นิยมเรียกว่า จีเอ็มเอ็มอินเตอร์ (GMMInter) เป็นค่ายธุรกิจบันเทิงในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ นำเข้าอัลบั้มเพลงเอเชียเกาหลี/ญี่ปุ่น/ไต้หวัน อาทิ BIGBANG, SEVEN, 2NE1, FTIsland, CNBLUE, Wonder Girls, News, Ayumi, Namie, H!P, Fahrenheit และเป็นสื่อกลางติดต่อกับศิลปินต่างประเทศสำหรับกิจกรรมและงานพรีเซ็นเตอร์ต่าง ๆ ในประเทศไทย\n(*)ใน พ.ศ 2554 GMM Inter ได้หมดสัญญากับ SM Entertainment ในการจัดการศิลปินในค่ายภายในประเทศไทย โดยลิขสิทธิ์ได้ตกไปอยู่กับ บริษัท ทรู คอเปอเรชั่น จำกัด หรือ บริษัท เอสเอ็ม ทรู จำกัด แทน", "title": "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อินเตอร์เนชันแนล" }, { "docid": "280834#1", "text": "ธุรกิจเพลงและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเพลง จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เป็นผู้ครองตลาดเพลงเป็นอันดับ 1 ของตลาดเพลงในประเทศไทย (ร้อยละ 70) ภายใต้โมเดล “การให้บริการเพลงแบบครบวงจร” (Total Music Business) ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจสินค้าเพลง และลิขสิทธิ์ ธุรกิจดิจิตอล คอนเทนต์ ธุรกิจโชว์บิซ และธุรกิจบริหารศิลปิน มีบทเพลงที่ถูกสร้างสรรค์โดยแกรมมี่มาแล้ว มากกว่า 1 หมื่นเพลง บริหารงานโดย กริช ทอมมัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจเพลง", "title": "รายชื่อกลุ่มบริษัทและธุรกิจในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "342079#0", "text": "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้เปิดบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายภาพยนตร์ไทย ในชื่อ แกรมมี่ภาพยนตร์ หรือ แกรมมี่ ฟิล์ม เป็นบริษัทในเครือแกรมมี่ บริหารงานสร้างโดย ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม บุษบา ดาวเรือง ร่วมด้วย ยุทธนา มุกดาสนิท มีภาพยนตร์เรื่องแรกคือ คู่กรรม ในปี พ.ศ. 2538 โดยมี ธงไชย แมคอินไตย์ และอาภาศิริ นิติพน แสดงนำ กำกับการแสดงโดย ยุทธนา มุกดาสนิท, พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ และ นิพนธ์ ผิวเณร ซึ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลตุ๊กตาทองไป จากนั้นบริษัทได้ผลิตภาพยนตร์อีก 5 เรื่องจนถึงปี พ.ศ. 2543 จึงหยุดไป", "title": "จีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์" }, { "docid": "280834#5", "text": "หลังการประมูล จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ก่อตั้ง บริษัท จีเอ็มเอ็มวัน ทีวี เทรดดิ้ง จำกัด โดยบริษัทถือหุ้นจดทะเบียน 100% หลังก่อตั้ง บริษัทฯ ได้แยก เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ และมีมิติ ออกจากจีเอ็มเอ็ม มีเดีย และรวมเข้ากับ จีเอ็มเอ็มวัน ทีวี เทรดดิ้ง ภายหลังบริษัทนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ใน พ.ศ. 2559", "title": "รายชื่อกลุ่มบริษัทและธุรกิจในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" }, { "docid": "119112#3", "text": "จีเอ็มเอ็ม ไท หับ หรือ จีทีเอช เกิดจากการร่วมทุนของ 3 บริษัท คือ จีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์ หับโห้หิ้น ฟิล์ม (ในเครือแกรมมี่) ของ จิระ มะลิกุล และไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ของ วิสูตร พูลวรลักษณ์ โดยชื่อบริษัทใหม่ มาจากชื่อต้น และอักษรย่อหน้าชื่อของบริษัทร่วมทุนทั้งสาม ด้วยทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ได้แก่ G (51%) T (30%) และ H (19%) โดยภายหลังได้เปลี่ยนเป็น G (จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่) ถือหุ้น 51% T (คนในตระกูล พูลวรลักษณ์) ถือไว้อยู่คนละ 6.6% และ H (บริษัท หับโห้หิ้น บางกอก จำกัด และ จิระ มะลิกุล) ถือหุ้น 13.9% และ 1.3% ตามลำดับ", "title": "จีเอ็มเอ็ม ไท หับ" }, { "docid": "180205#1", "text": "หลังจากนั้นออกจากค่ายแกรมมี่มาก่อตั้ง บริษัท คลิกเรดิโอ จำกัด มีคลื่นดังอย่าง แฟตเรดิโอ 104.5 นอกจากการบริหารคลื่นวิทยุ ยุทธนายังเคยทำหนังสือ DDT และเป็นหุ้นส่วนของโรงหนังเล็กๆ ชื่อ โรงภาพยนตร์เฮาส์ เคยเป็นกรรมการอำนวยการ บริษัท สนามหลวงการดนตรี จำกัด ในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ปัจจุบันเป็นดีเจ คลื่น 89 chill fm ของ เอไทม์ มีเดีย และเป็นผู้บริหารบริษัท เกเร จำกัด ที่รับจัดงานแสดงดนตรี งานสำคัญของบริษัทได้แก่ บิ๊ก เมาท์เทน มิวสิก เฟสติวัล", "title": "ยุทธนา บุญอ้อม" } ]
3048
ปลาฉลามหัวค้อนยาว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร?
[ { "docid": "635867#0", "text": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว ( ชื่อวิทยาศาสตร์ \"Eusphyra blochii\") คือสปีชีส์ในกลุ่มปลาฉลามหัวค้อนและเป็นส่วนหนึ่งในวงศ์ปลาฉลามหัวค้อน มีความยาวของลำตัวได้ถึง 1.9 เมตร มีสีน้ำตาลหรือสีดำ มีรูปร่างเพรียวบางและมีครีบหลังในรูปเคียวด้ามยาว ชื่อของฉลามชนิดนี้มาจากลักษณะส่วนหัวรูปค้อนที่มีขนาดใหญ่มากเรียกว่า cephalofoil ซึ่งมีความกว้างได้มากถึงครึ่งหนึ่งของความยาวลำตัว การใช้งานจากโครงสร้างลำตัวเช่นนี้ไม่ปรากฏชัดเจนแต่อาจเกี่ยวกับระบบประสาทสัมผัสของฉลาม ช่องว่างระหว่างตาทั้งสองข้างช่วยให้ฉลามมองด้วยระบบการเห็นภาพจากสองตาได้ดีเยี่ยม ส่วนรูจมูกที่ยาวมากนั้นอาจช่วยให้ฉลามตรวจจับและติดตามกลิ่นในน้ำได้ดียิ่งขึ้น ส่วนหัว cephalofoil ยังมีพื้นสัมผัสที่มีขนาดใหญ่สำหรับรูเปิดที่มีชื่อว่าampullae of Lorenziniและเส้นข้างลำตัวซึ่งส่งผลดีต่อความสามารถในการตรวจจับกระแสไฟฟ้าและการตรวจจับพลังงาน", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" }, { "docid": "635867#3", "text": "ในปี พ.ศ. 2405 ธีโอดอร์ กิลล์ จัดให้ปลาฉลามหัวค้อนยาวอยู่ในกลุ่มสกุล \"Eusphyra\" ซึ่งมาจากภาษากรีกคำว่า \"eu\" (ดี) และ \"sphyra\" (ค้อน) อย่างไรก็ดี ภายหลังผู้เขียนไม่ยอมรับชื่อ \"Eusphyra\" และเห็นควรจัดกลุ่มไว้กับฉลามหัวค้อนยาวในกลุ่มสกุล \"Sphyrna\" ในปี พ.ศ. 2491 ชื่อสกุล \"Eusphyra\" ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งโดย เฮนรี บิเกโลว์ และ วิลเลียม ชเรอเดอร์ จนกลายมาสู่ชื่อที่ใช้กันแพร่หลายจากงานวิจัยหลักอนุกรมวิธานเพิ่มเติมโดย ลีโอนาร์ด คอมพาโน ในปี 1979 (พ.ศ. 2522) และ ปี พ.ศ. 2531 อย่างไรก็ตาม แหล่งอ้างอิงส่วนหนึ่งยังเรียกสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ในสกุล \"Sphyrna blochii\" ชื่อสามัญอื่นๆ ที่ใช้สำหรับปลาฉลามหัวค้อนยาว ได้แก่ ปลาฉลามหัวลูกศร ปลาฉลามหัวค้อนลูกศร และปลาฉลามหัวค้อนเล็ก", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" } ]
[ { "docid": "635867#9", "text": "ปลาฉลามหัวค้อนยาวมันออกล่าในระดับใกล้พื้นทะเล เป็นอาหารจำพวกปลากระดูกแข็ง สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง และสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ปรสิตของสัตว์กลุ่มนี้ ได้แก่ พยาธิตัวตืด \"Callitetrarhynchus blochii,\" \"Heteronybelinia heteromorphi,\" \"Otobothrium carcharidis, O. mugilis,\" \"Phoreiobothrium puriensis\" และ \"Phyllobothrium blochii\" พยาธิตัวกลม \"Hysterothylacium ganeshi,\" \"Pseudanisakis sp.,\" \"Raphidascaroides blochii,\" และ \"Terranova sp.,\" โคพีพอด \"Caligus furcisetifer,\" และสัตว์เซลล์เดียว \"Eimeria zygaenae\"", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" }, { "docid": "635867#4", "text": "แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับวิวัฒนาการของปลาฉลามหัวค้อนนั้นเริ่มจากสปีชิส์ปลาฉลามรูปหัว cephalofoil ขนาดเล็กซึ่งวิวัฒน์มาจากต้นสกุลปลาฉลามกลุ่มเรควีเอ็ม และต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นสปีชิส์ที่ฉลามรูปหัว cephalofoil ขนาดใหญ่ขึ้น การตีความหมายเช่นนี้จึงทำให้ปลาฉลามหัวค้อนยาวเป็นปลาฉลามหัวค้อนที่มีวิวัฒนาการสูงสุดจากปลาฉลามหัวค้อนด้วยโครงสร้างรูปหัว cephalofoil ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม การวิจัยความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการเชิงโมเลกุลบนพื้นฐานของ ไอโซไซม์ ไมโทคอนเดรีย และ นิวเคลียร์-ดีเอ็นเอ ได้ค้นพบรูปแบบที่ตรงกันข้ามว่าปลาฉลามหัวค้อนยาวนับเป็นกลุ่มตั้งต้นของวงศ์ฉลามหัวค้อน การค้นพบนี้สนับสนุนแนวคิดที่ขัดแย้งกับความคิดทั่วไปที่ว่าปลาฉลามหัวค้อนตัวแรกที่วิวัฒน์ขึ้นเป็นปลาฉลามรูปหัว cephalofoil ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการแบ่งสกุล Eusphyra จาก Sphyrna ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตต้นตระกูลอย่างเป็นระเบียบ (กลุ่มสกุลลูกหลานจากต้นตระกูลเดียวกัน) วงศ์สกุลของปลาฉลามหัวค้อนคาดว่ามีวิวัฒนาการมาจากกลุ่มปลาฉลามหัวค้อนเมื่อประมาณ 15-20 ล้านปีที่แล้วในช่วงสมัยไมโอซีน", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" }, { "docid": "635867#10", "text": "ปลาฉลามหัวค้อนออกลูกเป็นตัวเช่นเดียวกับสัตว์ในวงศ์ ตัวอ่อนจะเติบโตได้จากการเชื่อมต่อทางรกของแม่ ปลาฉลามตัวเมียมีรังไข่ข้างเดียวทางด้านขวา และมดลูกสองห้อง ในช่วงตั้งครรภ์ มดลูกหนึ่งห้องจะสำหรับตัวอ่อนหนึ่งตัว ในท้องทะเลบริเวรณเมืองมุมไบในฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน ปลาฉลามตัวผู้จะกัดข้างลำตัวของตัวเมียก่อนทำการผสมพันธุ์ โดยปลาฉลามตัวเมียสามารถตกลูกได้ทุกปี คอกหนึ่งราว 6 ถึง 25 ตัว และเพิ่มจำนวนได้ตามขนาดของตัวเมีย ช่วงตั้งครรภ์อยู่ระหว่าง 8-9 เดือน ในกลุ่มอินเดียตะวันตก และ 10-11 เดือนในกลุ่มออสเตรเลีย ปลาฉลามตัวเมียที่ตั้งครรภ์พบว่ามักจะต่อสู้กัน", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" }, { "docid": "635867#8", "text": "สมมุติฐานมากมายได้ถูกเสนอขึ้นเพื่ออธิบายถึงขนาดหัว cephalofoil ที่ใหญ่มาก ตำแหน่งของดวงตาที่อยู่ปลายหัวทั้งสองข้างทำให้มองภาพจากสองตาได้ 48 องศา มากที่สุดในกลุ่มฉลามหัวค้อน และมากกว่าสี่เท่าของฉลามกลุ่มเรควีเอ็ม ปลาฉลามชนิดนี้จึงมีการรับรู้เกี่ยวกับระยะทางหรือความลึกที่ดีเยี่ยมซึ่งอาจช่วยในการล่าเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีร่องจมูกในสัดส่วนที่ยาวที่สุดในกลุ่มฉลามหัวค้อน ร่องจมูกที่ยาวกว่ามีตัวตรวจจับเซ็นเซอร์เคมีจำนวนมากกว่า และสามารถทดสอบน้ำได้มากกว่าในแต่ละครั้งจึงช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโมเลกุลกลิ่นได้ ปลาฉลามหัวค้อนยาวขนาด 1 เมตร (3.3 ฟุต) ตามหลักการจะสามารถทดสอบน้ำได้มากกว่า 2,300 ซม3 (140 ลูกบาศก์นิ้ว) ต่อวินาที ประโยชน์อีกอย่างของรูปหัว cephalofil ที่เกี่ยวกับการรับกลิ่นคือช่องระหว่างร่องจมูกซ้ายและขวาช่วยเพิ่มความสามารถของปลาฉลามในการแยกแยะร่องรอยของกลิ่น นอกจากนี้ รูปหัว cephalofoil ยังเพิ่มความสามารถของปลาฉลามในการตรวจจับสนามไฟฟ้า และการเคลื่อนไหว ด้วยพื้นที่มากขึ้นสำหรับรูตรวจรับกระแสไฟฟ้า ampullae of Lorenzini และ เส้นข้างลำตัว ส่วนกระดูกด้านข้างมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะใช้ในการเคลื่อนตัวเช่นเดียวกับปลาฉลามหัวค้อนชนิดอื่นๆ", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" }, { "docid": "635867#1", "text": "ปลาฉลามหัวค้อนยาวอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งน้ำตื้นของทะเลอินโด-แปซิฟิกตะวันตก โดยออกหาอาหารกลุ่มปลากระดูกแข็ง สัตว์พวกกุ้งกั้งปูและสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ฉลามหัวค้อนยาวออกลูกเป็นตัวโดยตัวอ่อนจะได้รับอาหารผ่านทางสายที่เชื่อมรก ตัวเมียจะตกลูกคราวละ 6-25 ตัว ขึ้นอยู่กับพื้นที่อาศัย ช่วงเวลาตกลูกมักเกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายนหลังจากระยะเวลาตั้งครรภ์นาน 8-11 เดือน ฉลามที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์นี้ มักจะถูกล่าเพื่อเป็นอาหาร สำหรับเนื้อปลา ครีบ น้ำมันตับปลาและปลาป่น สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติได้ประเมินสถานะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกือบอยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องจากจำนวนของฉลามที่ลดลงเนื่องมาจากการถูกล่าหาประโยชน์ที่มากเกินไป", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" }, { "docid": "635867#13", "text": "ปลาฉลามหัวค้อนยาวไม่ทำอันตรายต่อมนุษย์ และโดนจับโดยอวนลอย อวนปัก แห เบ็ดยาว และเบ็ดตะขอ เนื้อปลามักถูกขายสด โดยครีบจะส่งออกไปยังเอเชียสำหรับซุปหูฉลาม ตับปลาเป็นแหล่งของน้ำมันปลา และเครื่องในจะถูกแปรรูปเป็นปลาป่น ปลาฉลามสายพันธุ์นี้ถูกจับเป็นจำนวนมากในบริเวณเช่น อ่าวไทย และนอกประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย ที่พบหลักฐานว่าจำนวนของปลาฉลามได้รับผลกระทบมาก สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) ได้ประเมินสถานะเป็นสายพันธ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และในเร็วนี้จะเกือบอยู่ในข่ายสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์เนื่องมาจากการถูกล่าอย่างหนัก ปลาฉลามสายพันธุ์นี้ไม่ถูกล่าในน่านน้ำประเทศออสเตรเลีย โดยทาง IUCN ได้กำหนดสถานะเป็นกลุ่มมีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" }, { "docid": "434823#5", "text": "ปลาฉลามหัวค้อนที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก แถบหมู่เกาะกาลาปากอส มีพฤติกรรมว่ายออกหากินเป็นฝูง และไม่เพียงแค่ว่ายน้ำไปพร้อมกันเท่านั้น แต่พวกยังมีระบบสังคมหรือแม้แต่การสื่อสารปรากฏออกมาผ่านพฤติกรรมทั้งการสั่นหัวอย่างรุนแรง การเร่งความเร็วอย่างกะทันหัน การบิดตัวอย่างแปลกประหลาด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องนี้เชื่อว่าท่าทางเหล่านี้คือการสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในกลุ่ม โดยจะรวมตัวกันอยู่ที่แถว ๆ ภูเขาไฟใต้ทะเลระหว่างวัน แต่เมื่อถึงตอนกลางคืนก็จะแยกย้ายกันออกไปหาอาหารของตัวเอง ปลาฉลามหัวค้อนมักจะทำกิจวัตรทุกอย่างที่เป็นเส้นตรง และจะกลับมาตอนรุ่งเช้า ก่อนจะเริ่มต้นทำทุกอย่างเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง", "title": "ปลาฉลามหัวค้อน" }, { "docid": "635867#2", "text": "ในปี พ.ศ. 2328 มาร์คัส เอลีเยเซอร์ บลอค นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน อธิบายถึงฉลามชื่อว่า \"Squalus zygaena\" (ชื่อเหมือนของ \"Sphyrna zygaena\" ปลาฉลามหัวค้อนดำ) จอร์จส์ คูวิเยร์ นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ได้เขียนข้ออ้างอิงถึงเรื่องราวของ \"S. zygaena\" ในข้อเขียนปี พ.ศ. 2360 \"Le Règne animal distribué d'après son organisation, pour servir de base à l'histoire naturelle des animaux et d'introduction à l'anatomie comparée\" ว่าตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่บลอค อธิบายถึง (ให้ชื่อว่า \"z. nob. Blochii\") ไม่ใช่ปลาฉลามหัวค้อนดำ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่มที่แตกต่างออกไป ถึงแม้ว่า คูวิเยร์ ไม่ได้ระบุการตั้งชื่อแบบทวินาม อะคิล วาล็องเซียน เพื่อนร่วมงานของเขาอธิบายในปี พ.ศ. 2365 ถึงสิ่งมีชีวิตในกลุ่มสปีชิส์เดียวกัน เรียกว่า \"Zygaena Blochii nobis\" โดยอ้างชื่อให้แก่คูวิเยร์", "title": "ปลาฉลามหัวค้อนยาว" } ]
3063
โรงเรียนสายปัญญามีพื้นที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "128442#1", "text": "ปัจจุบันโรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์ มีอายุ ปี เปิดรับสอนเฉพาะนักเรียนหญิง ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 0.6 ตารางวา มีอาคารเรียน 4 หลัง มี 53 ห้องเรียน 53  ห้องเรียน แบ่งตามแผนการจัดชั้นเรียนระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายดังนี้ 6-6-8/11-12-10 มีครูทั้งหมด 108 คน มีนักเรียนในปีการศึกษา 2557 รวมทั้งสิ้น 2,641 คน", "title": "โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์" } ]
[ { "docid": "321112#1", "text": "โรงเรียนสายปัญญารังสิต เกิดขึ้นจากการที่ผู้อำนวยการโรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้ติดต่อกระทรวงศึกษาธิการเพื่อขอที่ดินสำหรับรองรับนักเรียนจากชานเมืองและต่างจังหวัดมากขึ้น และได้รับการบริจาคที่ดินจำนวน 35 ไร่ ในอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี จากนายเจียง ภักดีจรัสโดยน้อมเกล้าฯถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ซึ่งต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนบนที่ดินที่ได้รับการบริจาคนี้ โดยใช้ชื่อว่า\"โรงเรียนสายปัญญารังสิต\" ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2522", "title": "โรงเรียนสายปัญญารังสิต" }, { "docid": "128442#12", "text": "ในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2495 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา โปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดิน 1 ไร่ 28 ตารางวา ด้านขวาทิศตะวันออกจรดถนนวังเจ้าสาย (ถนนกระทะ)\nและในพ.ศ. 2496 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม รับโรงเรียนสายปัญญาฯ และสายปัญญาสมาคมอยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์", "title": "โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์" }, { "docid": "321112#4", "text": "โรงเรียนสายปัญญารังสิต เกิดจากการหาลือร่วมกันระหว่างทางกระทรวงศึกษาธิการ กับ โรงเรียนสายปัญญาในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อรับนักเรียนจากชานเมืองมากขึ้น ไม่ต้องไปเรียนในเขตพระนคร โรงเรียนได้รับการก่อตั้งบริเวณทุ่งรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี บนที่ดินจำนวน 35 ไร่ซึ่งได้รับการบริจาคจากนายเจียง ภักดีจรัส (แซ่แต้) เมื่อปี พ.ศ. 2521 โดยน้อมเกล้าฯถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่๙ ตามความในหนังสือที่มีถึงกรมสามัญศึกษา เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2521 เนื่องจากที่นางวรณี ศิริบุญ ผู้อำนวยการโรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้ติดต่อขอที่ดินเพื่อขยายโรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 4 ไร่ ให้รองรับนักเรียนจากชานเมืองและต่างจังหวัดมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อขอให้กรมสามัญศึกษาจัดงบประมาณก่อสร้าง โรงเรียนสายปัญญา 2 ขึ้นในงบประมาณขณะนั้น", "title": "โรงเรียนสายปัญญารังสิต" }, { "docid": "128442#39", "text": "ได้รับป้ายพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงาน “สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน” \nตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันสืบเนื่องมาจากพระราชดำริ \nสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี\nรับนักเรียนจำแนกเป็น 2 ประเภท\nโดยรับในอัตราที่ต่างกันในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 ดังนี้\nร้บนักเรียนในเขตพื้นที่บริการ และนักเรียนทั่วไปไม่จำกัดเขตพื้นที่บริการในอัตราส่วนร้อยละ 50:50 และรับนักเรียนทั่วไป ไม่จำกัดเขตพื้นที่บริการ โดยการคัดเลือกนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ กีฬา นักเรียนเงื่อนไขพิเศษ\nนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2556 ของโรงเรียนสายปัญญาฯ ร้อยละ 80 นักเรียนทั่วไป (โรงเรียนอื่น) ร้อยละ 20 นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านทัศนศิลป์ ดนตรีไทย ดนตรีสากล นาฏศิลป์ ด้านกีฬา และนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษตามประกาศของโรงเรียนรวมแล้วไม่เกิน 50 คน", "title": "โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์" }, { "docid": "128442#17", "text": "พ.ศ. 2527 กรมสามัญศึกษาได้จัดสรรงบประมาณในการสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 6 ชั้น 13 ห้องเรียน และใช้ชื่ออาคารว่า “ตึกสายสุวพรรณ” ตามนามหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา มีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จเปิดตึกนี้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528", "title": "โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์" }, { "docid": "321112#2", "text": "โรงเรียนสายปัญญารังสิตได้รับการประเมินคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ในปี พ.ศ. 2549 และปี พ.ศ. 2554ได้ระดับ ดีมาก และเป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษหนึ่งใน 30 ศูนย์จากทั้งประเทศ เป็นหนึ่งในโรงเรียนมาตรฐานสากล (World-Class Standard School) เป็นโรงเรียนต้นแบบ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน และเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง ในเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี", "title": "โรงเรียนสายปัญญารังสิต" }, { "docid": "128442#5", "text": "พ.ศ. 2474 ได้เกิดเพลิงไหม้ที่ข้างโรงเรียนด้านเหนือโรงเรียนหลังใหญ่ ซึ่งทำให้ได้รับความเสียหาย พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท และสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทรนเรนทร ได้ประทานที่ดินติดกับเขตเพลิงไหม้ อันเป็นที่ดินส่วนประองค์จำนวน 69 ตารางวา และเขตติดต่ออีกส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงติดต่อกับกระทรวงศึกษาธิการให้เช่าที่ของ หม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์ พระโอรสองค์โตพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ อีก 152 ตารางวา เพื่อให้โรงเรียนปลอดภัยจากอัคคีภัย", "title": "โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์" }, { "docid": "321112#0", "text": "โรงเรียนสายปัญญารังสิต เป็นโรงเรียนรัฐบาลประเภทโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 (ปทุมธานี-สระบุรี) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 99 ถนนพหลโยธิน 87 ซอย 6 ทางเข้าเมืองเอก ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี", "title": "โรงเรียนสายปัญญารังสิต" }, { "docid": "128442#0", "text": "โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นโรงเรียนหญิงล้วน สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2459 ภายหลังพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์สิ้นพระชนม์ โดยบรรดาทายาทของพระองค์ได้บริจาคตำหนักส่วนพระองค์ และที่ดินข้างเคียงเพื่อตั้งเป็นโรงเรียนสตรีและรับโรงเรียนไว้ในอุปการะ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้เป็นพระนัดดา ทรงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงเรียนว่า “สายปัญญา” ต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโรงเรียนสายปัญญา ไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์", "title": "โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์" } ]
3072
สมัยอยุธยาสิ้นสุดลงที่ใคร ?
[ { "docid": "44328#3", "text": "สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยานั้น มีพระนามเดิมว่า \"กรมขุนอนุรักษ์มนตรี\" เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พระองค์แรก คือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ผู้ต้องพระราชอาญาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
[ { "docid": "44328#70", "text": "ล่าสุด นักวิชาการจำนวนมากขึ้นได้เตือนการมองประวัติศาสตร์คริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 18 ในกรอบความคิดของคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักประวัติศาสตร์ แดเนียล ซีคินส์ เขียนว่า \"สงครามไทย-พม่าทั้ง 24 ครั้ง ที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพอธิบายนั้น เป็นสงครามระหว่างพระมหากษัตริย์มากกว่าสงครามระหว่างชาติ\" และ \"ชาวสยามคนสำคัญในสมัยนั้น รวมทั้งพระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวร สมัครพระทัยยอมรับอำนาจเหนือกว่าของพม่า\" นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่ง เฮเลน เจมส์ เขียนว่า \"โดยพื้นฐาน สงครามเหล่านี้เป็นการต่อสู้ช่วงชิงความเป็นใหญ่ในภูมิภาคและในหมู่ราชวงศ์ และไม่ใช่ทั้งความขัดแย้งระหว่างชาติหรือชาติพันธุ์เลย\" สุดท้าย ทหารเกณฑ์สยามจำนวนมากมีส่วนในการโจมตีกรุงศรีอยุธยา มุมมองนี้ถูกสะท้อนในวิชาการไทยสมัยใหม่ อย่างเช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ และสุเนตร ชุติธรานนท์ สุเนตร เขียนว่า \"ทัศนคติแง่ลบที่มีต่อชาวพม่านั้นเกิดขึ้นไม่เพียงแต่เฉพาะผลจากความสัมพันธ์ในอดีตเท่านั้น แต่เป็นผลจากอุบายทางการเมืองของรัฐบาลชาตินิยมมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลทหาร\"", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "140523#3", "text": "คุณสิบสามมีอายุยืนยาว 15 ปีเศษ จึงล้มป่วยลงและสิ้นใจในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2546 อายุ 15 ปี 22 วัน คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดทำรูปปั้นรูปคุณสิบสามถวาย ตั้งอยู่หน้าทางเข้าพระตำหนักวิลล่าวัฒนา ส่วนในวันที่ 13 ธันวาคมของทุกปี ก็ยังคงมีการจัดงานรื่นเริงที่วังเลอดิส แต่เปลี่ยนชื่องานเป็นงานรำลึกถึงคุณสิบสามแทน", "title": "สิบสาม (สุนัข)" }, { "docid": "2358#14", "text": "ช่วง 50 ปีสุดท้ายของราชอาณาจักรมีการสู้รบอันนองเลือดระหว่างเจ้านาย โดยมีพระราชบัลลังก์เป็นเป้าหมายหลัก เกิดการกวาดล้างข้าราชสำนักและแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถตามมา สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้าย บังคับให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระอนุชา ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ขณะนั้น สละราชสมบัติและขึ้นครองราชย์แทน", "title": "อาณาจักรอยุธยา" }, { "docid": "287205#2", "text": "ครั้นสิ้นสุดเสียงประโคม พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล เป็นผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลตามลำดับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสตอบจบแล้ว มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านปิดพระวิสูตร เจ้าพนักงานชูพุ่มดอกไม้ทองให้สัญญาณ ชาวพนักงานประโคมเช่นเวลาเสด็จออก ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลง เพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นจึงเสด็จขึ้น พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทางพระทวารเทวราชมเหศวร์", "title": "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 4 รอบ 5 ธันวาคม 2518" }, { "docid": "44328#72", "text": "เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2497 อู นุ นายกรัฐมนตรีคนแรกของสหภาพพม่า ได้กล่าวขอโทษต่อสาธารณะถึงการกระทำผิดศีลธรรมในอดีตของพม่าระหว่างการเดินทางเยือนกรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ชาวพม่าส่วนใหญ่ในปัจจุบันทราบถึงรายละเอียดการขยายอาณาเขตของพระมหากษัตริย์ในอดีตเพียงผิวเผิน ทำให้หลายคนไม่ทราบถึงเหตุผลทางประวัติศาสตร์เบื้องหลังความเป็นปรปักษ์ของไทย และนโยบายพื้นที่กันชนของไทย ชาวพม่าจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ทหาร ไม่เชื่อในการรับประกันของรัฐบาลไทยที่ว่าไทยจะไม่ยินยอมให้มีกิจกรรมใด ๆ อัน \"บั่นทอนเสถียรภาพของประเทศเพื่อนบ้าน\". ในหลักฐานของทั้งสองฝ่ายพบว่ามีเวลาที่เสียกรุงแตกต่างกัน หลักฐานไทยกล่าวว่า การเสียกรุงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 (เมื่อเทียบกับการนับเวลาทางจันทรคติ) ในพงศาวดารพม่าระบุว่า ทัพพม่าตีเข้าพระนครศรีอยุธยาได้ในเวลาตี 4 กว่า ของวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือนเมษายน พุทธศักราช 2310 ตรงกับจุลศักราช 1129 นอกจากนี้ ยังมีบันทึกอีกว่า พม่าสามารถเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2310 ซึ่งสาเหตุที่นับวันแตกต่างกันนี้ อาจเนื่องมาจากนับวันที่ต่างกัน หรือใช้หลักเกณฑ์แตกต่างกันก็เป็นได้", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "265553#19", "text": "การที่กรุงศรีอยุธยามีข้าศึกเข้ามาประชิดติดพันก็นับว่าเป็นภัยร้ายแรงอยู่แล้ว ซ้ำยังมาเกิดอัคคีภัยไหม้บ้านเรือนอีก ความอัตคัดขาดแคลนที่มีอยู่เป็นทุนเดิมก็กลับโถมทับทวียิ่งขึ้น ราษฎรต่างก็ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส บ้านเรือนไหม้ไปกว่า 10,000 หลัง ทำให้ราษฎรไม่มีที่พักอาศัยหลายหมื่นคน เมื่อเห็นว่าราษฎรต้องเผชิญกับความตาย ไร้ที่อยู่ทั้งขาดแคลนอาหาร กำลังใจและกำลังกายก็ถดถอยลง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ จึงเจรจากับพม่าขอเลิกรบ ยอมเป็นเมืองขึ้นต่อพระเจ้าอังวะ แต่แม่ทัพพม่าไม่ยอมเลิก", "title": "การล้อมอยุธยา (2309–2310)" }, { "docid": "265553#1", "text": "เมื่อสงครามคราวเสียกรุงเริ่มขึ้น กองทัพของอาณาจักรพม่า ภายใต้การบัญชาการของเนเมียวสีหบดีและมังมหานรธา ยกมาจากทางทวายและลำปาง ราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2309 กองกำลังภายใต้แม่ทัพทั้งสองก็เข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จในระยะไม่เกิน 1.25 ไมล์จากกำแพงพระนคร (ในพงศาวดารไทยบันทึกไว้ว่า ตอกระออมและดงรักหนองขาว)", "title": "การล้อมอยุธยา (2309–2310)" }, { "docid": "2358#6", "text": "เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 อยุธยาก็ถูกพิจารณาว่าเป็น ชาติมหาอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในอุษาคเนย์แผ่นดินใหญ่ และได้เริ่มครองความเป็นใหญ่โดยเริ่มจากการพิชิตราชอาณาจักรและนครรัฐทางเหนือ อย่างสุโขทัย กำแพงเพชรและพิษณุโลก ก่อนสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 15 อยุธยาโจมตีเมืองพระนคร (อังกอร์) ซึ่งเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคในอดีต อิทธิพลของอังกอร์ค่อย ๆ จางหายไปจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และอยุธยากลายมาเป็นมหาอำนาจใหม่แทน", "title": "อาณาจักรอยุธยา" }, { "docid": "219225#3", "text": "25 ปีหลังสงครามเจนีสสิ้นสุดลง เวลาก็ผ่านไปด้วยความสงบร่มเย็น\nลูทและ บลูเป็นเพื่อนร่วมอาจารย์\nกลับต้องมาพัวพันกับเหตการณ์ปฏิวัติครั้งใหญ่\nด้วยพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มทั้งสอง จึงต้องเผชิญความท้าทายจากโลกภายนอก\nเกิดการต่อสู้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้นับครั้งไม่ถ้วน ทำให้พัฒนาตนเองสู่สุดยอดวิชาต่อสู้\nhttp://my.dek-d.com/eva00r/story/view.php?id=286564", "title": "ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน" }, { "docid": "44328#7", "text": "ใน พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โกนบอง ทรงกรีฑาทัพมาชิงเอากรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ หมายแผ่อิทธิพลเข้าดินแดนมะริดและตะนาวศรีและกำจัดภัยคุกคามจากอยุธยาที่มักยั่วยุให้หัวเมืองชายขอบของพม่ากระด้างกระเดื่องอยู่เสมอ หรือไม่พระองค์ก็ทรงเห็นว่า อาณาจักรอยุธยามีความอ่อนแอ นับเป็นโอกาสอันดี อนึ่ง ก่อนหน้านี้ อาณาจักรอยุธยาว่างเว้นการศึกกับพม่ามานานกว่า 150 ปีแล้ว ทว่า กองทัพพม่าก็มิอาจเอาชัยเหนือกรุงศรีอยุธยาได้ในครานั้น เพราะพระเจ้าอลองพญาสวรรคาลัยกลางคัน กองทัพพม่าจึงต้องยกกลับไปเสียก่อน สำหรับเหตุแห่งการสวรรคตดังว่านั้น หลักฐานของฝ่ายไทยและฝ่ายพม่าบันทึกไว้แตกต่างกัน ไทยว่า สะเก็ดปืนแตกมาต้องพระองค์ ส่วนพม่าว่า ทรงพระประชวรโรคบิด", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "44328#4", "text": "คราวต้องเวนราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าบรมโกศไม่โปรดกรมขุนอนุรักษ์มนตรี จึงทรงข้ามไปพระราชทานพระราชบัลลังก์ให้พระราชโอรสองค์ที่ 3 คือ \"เจ้าฟ้าอุทุมพร\" ผู้มีพระปรีชาสามารถมากกว่า แทน ครั้นสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เจ้าฟ้าอุทุมพรก็ราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร เสวยราชย์ได้ไม่ถึง 3 เดือน กรมขุนอนุรักษ์มนตรีก็ตั้งพระองค์เองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง เป็นเหตุให้กรมหมื่นจิตรสุนทร, กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี พระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระชนก ซึ่งมักเรียกรวมกันว่า \"เจ้าสามกรม\" ทรงไม่พอพระทัยเป็นอันมาก และคิดกบฏ แต่ทรงถูกเจ้าฟ้าเอกทัศจับได้ ก่อนถูกประหารชีวิตทั้งสามพระองค์ ส่วนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรนั้นทรงตัดสินพระทัยเลี่ยงไปผนวชเสียด้วยเหตุผลส่วนพระองค์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจึงได้ราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
3074
กุหลาบ ถือกำเนิดในทวีปใด?
[ { "docid": "53172#0", "text": "กุหลาบ () คือดอกไม้ในสกุล \"Rosa\" ในวงศ์ Rosaceae ที่ได้รับความนิยมปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกที่มีต้นกำเนิดจากทวีปเอเชีย ผู้คนนิยมปลูกเพื่อความสวยงาม ตกแต่งสวน, ประดับตกแต่งบ้าน, ประดับสถานที่, ปลูกเพื่อการพาณิชย์ อาทิ เพื่อนำไปสกัดน้ำหอม นำไปทำเป็นส่วนประกอบของสปา เป็นต้น", "title": "กุหลาบ" } ]
[ { "docid": "556026#0", "text": "กุหลาบญี่ปุ่น (, ) เป็นสปีชีส์หนึ่งของตระกูลกุหลาบ มีถิ่นกำเนิดบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย ในพื้นที่ของประเทศจีน, เกาหลี และ ญี่ปุ่น ถือเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดฮกไกโด โดยมักจะเติบโตอยู่ตามชายฝั่งหรือเนินทราย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรจะสับสนกับ \"Rosa multiflora\" ซึ่งเป็นดอกกุหลาบที่มีอีกฉายาว่า \"กุหลาบญี่ปุ่น\"", "title": "กุหลาบญี่ปุ่น" }, { "docid": "53172#1", "text": "กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น", "title": "กุหลาบ" }, { "docid": "14922#0", "text": "กุหลาบเมาะลำเลิง หรือ กุหลาบเทียม (; ) เป็นพืชพื้นเมืองของบราซิลทางตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้เป็นพืชสมุนไพร และใบรับประทานได้ แม้ว่าจะเป็นพืชกลุ่มเดียวกับกระบองเพชร แต่แตกกิ่งเป็นพุ่มเล็ก ๆ สูง 2-5 เมตร มีลำต้นสีน้ำตาลอมเทาหนา 20 เซนติเมตร หนามสีดำหรือน้ำตาล ใบยาว 9-23 เซนติเมตร ช่อดอกเกิดที่ปลายกิ่ง มี 10-15 ดอก ดอกมีรูปร่างคล้ายกุหลาบ", "title": "กุหลาบเมาะลำเลิง" }, { "docid": "570084#2", "text": "เป็นไม้พุ่ม กระจายพันธุ์ในแถบทวีปเอเชีย, อเมริกาเหนือ, ยุโรป และออสเตรเลีย โดยเฉพาะในทวีปเอเชียจะพบตามภูเขาสูงตามแถบแนวเทือกเขาหิมาลัยที่อยู่จากระดับน้ำทะเลนับพันเมตร โดยพบได้จนถึงจีนตอนใต้ และเกาหลี จนถึงญี่ปุ่น", "title": "กุหลาบพันปี" }, { "docid": "606597#1", "text": "มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกา ต่อมากระจายพันธุ์ไปยังแอฟริกา เอเชียและโอเชียเนีย หัวและใบอ่อนรับประทานได้ ทั้งต้ม อบปิ้งหรือใส่ในแกง หรือสกัดแป้งเพื่อทำขนม หัวย่อยของกระดาษดำเมื่อสุกเป็นเมือกมาก ในอินโดนีเซียไม่ใคร่นิยมแต่เป็นที่นิยมในฟิลิปปินส์ ใบใช้ห่มให้ผู้ป่วยที่มีอาการไข้ช่วยให้เย็นสบาย ในเกาะปาลาวัน ฟิลิปปินส์ ใช้ของเหลวจากช่อดอกรักษาแผลและถอนพิษแมลงกัดต่อย หลายพันธุ์มีแคลเซียมออกซาเลตในใบและหัวทำให้ระคายเคืองในปากและลำไส้ ซึ่งลดพิษได้โดยการทำให้สุก ในอินโดนีเซียมี 3 พันธุ์คือ พันธุ์ใบเขียว หัวสีขาว พันธุ์ก้านใบและเส้นใบสีน้ำเงินแกมม่วง หัวสีขาว และพันธุ์ที่ก้านใบเป็นแถบเขียวหรือน้ำเงิน หัวสีเหลืองมีของเหลวคล้ายน้ำนมมาก พันธุ์นี้ไม่เหมาะที่จะรับประทาน เพราะทำให้คัน", "title": "กระดาษดำ" }, { "docid": "129767#0", "text": "กบทูด หรือ กบภูเขา หรือ เขียดแลว (; ชื่อวิทยาศาสตร์: \"Limnonectes blythii\") เป็นกบขนาดใหญ่ที่สุดในที่พบได้ในประเทศไทย ความยาวจากปลายปากถึงก้น ประมาณ 1 ฟุต น้ำหนักกว่า 5 กิโลกรัม มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณป่าต้นน้ำบนภูเขาสูง อยู่ตามลำห้วยป่าดิบเฉพาะแห่ง โดยพบภาคตะวันตกของไทย ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย เช่นในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา, อุทยานแห่งชาติเขาสก เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังพบได้ในกัมพูชา, ลาว และเวียดนาม", "title": "กบทูด" }, { "docid": "619371#1", "text": "ถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน กระจายพันธุ์ในจีนและญี่ปุ่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีปลูกเฉพาะในที่สูง ผลมีรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานสด ทำแยมหรือเยลลี่ เมล็ดมีรสชาติคล้ายอัลมอนด์ น้ำคั้นจากผลใช้ทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในแอฟริกาตะวันออกใช้เนื้อไม้ทำเครื่องดนตรี ใบมีแทนนิน รสฝาด ใช้แก้อาการท้องเสียและเป็นยาระบาย ผลมีเพกติน มีโพแทสเซียมสูงแต่มีวิตามินซีต่ำ ในตำรายาจีนเรียกผีผาเย่ (ภาษาจีนกลาง) หรือปีแปะเฮียะ (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) ใบใช้เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ \nโลควอทมีวิตามินเอ ไฟเบอร์ โพแทสเซียมและแมงกานีสสูง มีโซเดียมและไขมันอิ่มตัวต่ำ เมล็ดและใบอ่อนมีพิษ มีไซยาโนจีนิกไกลโคไซด์ที่จะปล่อยไซยาไนด์ออกมาได้เมื่อถูกย่อย แม้จะมปริมาณต่ำและทำให้มีรสขม", "title": "โลควอท" }, { "docid": "238914#9", "text": "ในประเทศไทยมีรายงานการค้นพบ กลอสซอพเทอริส แองกัสติฟอเลีย (\"Glossopteris angustifolia\") ในหินดินดานสีดำที่คลองวังอ่าง อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ บริเวณละติจูดที่ 15° 58 55 ลองกิจูดที่ 100° 58 36 ยุคเพอร์เมียน มีลักษณะใบไม่สมบูรณ์ส่วนฐานขาดหายไปแต่อาจมีลักษณะเป็นรูปเรียวแหลมคล้ายหลาว มีความยาว 42 มม. ส่วนกว้างที่สุด 11.5 มม. ขอบใบสอบแคบอย่างมากและอย่างต่อเนื่องไปทางส่วนปลายของใบ เส้นกลางใบหนาเห็นได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่องไปจนถึงส่วนปลายสุดของใบ มีเส้นใบด้านข้างละเอียดมากและมีจำนวนมากแตกยื่นออกไปจากเส้นกลางใบทำมุมประมาณ 25 – 30 องศา และเชื่อมต่อซ้ำๆกันเกิดลักษณะเป็นร่างแห ช่องตาของร่างแหมีขนาดความกว้างประมาณเท่าๆกันและยาวยื่นออกไปในทิศทางขนานกับลักษณะทั่วไปของเส้นใบด้านข้าง ตาร่างแหเหล่านี้มีความยาวประมาณ 3 มม. กว้าง 1 มม. ถึงยาว 1.5 มม. กว้าง 1 มม. (Kon’no. 1963)", "title": "กลอสซอพเทอริส" }, { "docid": "200873#7", "text": "กุ้งกุลาดำอาศัยอยู่ทั่วไปในทวีปเอเชีย ในประเทศไทยพบแพร่กระจายทั่วไปในอ่าวไทย แต่จะพบมากบริเวณเกาะช้าง บริเวณนอกฝั่งจังหวัดชุมพรถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชและทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย (ทะเลอันดามัน) บริเวณนอกฝั่งของจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดระนอง ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีพื้นดินเป็นทรายปนโคน ส่วนแหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทะเลแถบอินโดแปซิกฟิกตะวันตก อัฟริกาตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ และคาบสมุทรอินเดีย ลักษณะของกุ้งกุลาดำวัยรุ่นอาศัยตามปากแม่น้ำ และเมื่อเต็มวัยชอบอาศัยในทะเลที่มีพื้นที่มีโคลนปนทราย ระดับความลึกไม่เกิน 110 เมตร กุ้งกุลาดำชอบฝังตัวในเวลากลางวันและหากินในเวลาคืน วางไข่ได้ตลอดทั้งปี แต่วางไข่ชุกชุมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ในแถบน้ำกร่อยกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์มีความแข็งแรงและทนทาน", "title": "กุ้งกุลาดำ" } ]
3075
ศาสนาพุทธเริ่มต้นจากประเทศอะไร?
[ { "docid": "77973#0", "text": "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากศาสนาหนึ่งของโลก รองจากศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนาพุทธคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันสถานที่นี้ เรียกว่า พุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือเถรวาทและมหายาน", "title": "ประวัติศาสนาพุทธ" } ]
[ { "docid": "79065#0", "text": "พระพุทธศาสนาเริ่มต้นในประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่สมัยศรีวิชัย แต่ต่อมาชาวมลายูมุสลิมได้มาตั้งรกรากอยู่ และต่อมาก็มีชาวจีนโพ้นทะเลได้มาตั้งรกรากอยู่ที่สิงคโปร์ ได้นำพระพุทธศาสนาแบบมหายานมาเผยแผ่ด้วย และเป็นศาสนาที่แพร่หลายมากในประเทศนี้ \nในอดีตประเทศสิงคโปร์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย การแผ่ขยายของพุทธศาสนาจึงจะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย และส่วนใหญ่ชาวสิงคโปร์จะเป็นชาวจีนโพ้นทะเล พุทธศาสนาแบบมหายานจึงเจริญรุ่งเรืองและได้รับการประดิษฐานอย่างมั่นคง", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศสิงคโปร์" }, { "docid": "110770#0", "text": "พระพุทธศาสนาในประเทศเซเนกัล เริ่มต้นขึ้นเมื่อได้มีชาวเวียดนามอพยพเข้ามาในประเทศเซเนกัล และได้นำพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ในกลุ่มชาวพุทธทั้งหมดในเซเนกัลมีอยู่ประมาณ 0.01% ในจำนวนนี้ จะเป็นชาวเวียดนาม 99% พวกเขาจะสวดมนต์ \"Nam mô A Di Đà Phật\" เพื่อระลึกถึงพระอมิตาภะพุทธะ และชาวเวียดนามมีความเชื่อเกี่ยวกับ พระโพธิสัตว์และกวนอิมเป็นต้น", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศเซเนกัล" }, { "docid": "105703#0", "text": "การเข้ามาของพระพุทธศาสนาในประเทศเคนยา เริ่มต้นโดยผ่านกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล และชาวสิงหล (ลังกา) เนื่องจากชาวจีน และชาวสิงหลเข้าไปทำงานในไร่เกษตรกรรมของชาวอังกฤษเจ้าอาณานิคมในยุคนั้น ช่วงแรกๆของพุทธศาสนาในเคนยาจะเป็นชาวเอเชียกลุ่มแรกๆนี้ แต่ต่อมาในภายหลังชาวเคนยาจำนวนหนึ่งซึ่งนับถือลัทธิภูติผีปีศาจ ได้หันมานับพุทธศาสนาตาม แต่ก็เป็นชนกลุ่มเล็กๆซึ่งอาศัยอยู่แถบเมืองท่าทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศ ต่อมามีการประชุมศาสนา และสันติภาพโลกที่นครไนโรบี เมืองหลวงของประเทศเคนยา ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2527 ภายหลังได้มีการเผยแผ่พุทธศาสนามากขึ้นในแถบนี้ รวมถึงความพยายามที่จะจัดตั้งชมรมชาวพุทธเคนยาขึ้นมา มีการนิมนต์พระสงฆ์จาก ญี่ปุ่น จีน และไทย เพื่อให้เดินทางเข้ามาเผยแผ่ในประเทศ แต่ยังไม่ทันคืบหน้า ประเทศเคนยาได้ประสบปัญหาในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ รวมไปถึงชนพื้นเมืองบางกลุ่มที่ไม่เป็นมิตรกับคนต่างศาสนา การเผยแผ่จึงเป็นไปได้ยาก", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศเคนยา" }, { "docid": "92109#0", "text": "พระพุทธศาสนาเริ่มเข้ามาในบรูไนตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย ที่เรืองอำนาจจากฝั่งคาบสมุทรมลายูอย่างกว้างขวางในศตวรรษที่ 7 เป็นต้นมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ 20 จึงอ่อนกำลังลงไปแล้วเงียบหาย คงเหลือแต่อิทธิพลทางภาษา ไว้เท่านั้น ต่อมาจนถึงปัจจุบันก็มีคลื่นชาวจีนโพ้นทะเลอพยพมาสู่ดินแดนนี้เพื่อประกอบอาชีพ เช่นเดียวกันกับประเทศมุสลิมใกล้เคียง จนมีศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก และก็มีชาวญี่ปุ่น ชาวไทย ฯลฯ แม้ปัจจุบัน ประเทศนี้จะมีชาวพุทธเพียงร้อยละ 13 เท่านั้น แต่ก็สร้างความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศบรูไนได้เป็นอย่างดี แต่ประเทศนี้เป็นประเทศมุสลิม การที่จะเผยแผ่พระศาสนา จึงเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกันกับมาเลเซีย และอินโดนีเซีย", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศบรูไน" }, { "docid": "496974#1", "text": "ศาสนาพุทธเข้ามาสู่กัมพูชาเมื่อราว พุทธศตวรรษที่ 10 โดยศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำรัฐตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ยกเว้นช่วงที่เขมรแดงครองอำนาจ ในปัจจุบันมีจำนวนเป็น 95% ของประชากรทั้งหมด ประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธในกัมพูชายาวนานเกือบสองพันปี ผ่านระยะเวลาของอาณาจักรต่างๆที่สืบทอดมาจากจักรวรรดิเขมร การเข้าสู่กัมพูชาเกิดได้สองเส้นทาง คือรูปแบบดั้งเดิมของศาสนาพุทธที่ได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูเข้าสู่อาณาจักรฟูนันโดยพ่อค้าที่นับถือศาสนาฮินดู ในเวลาต่อมา ศาสนาพุทธได้เข้าสู่กัมพูชาอีกทางหนึ่งในช่วงอาณาจักรพระนคร โดยผ่านทางอาณาจักรมอญคือทวารวดีและหริภุญไชย", "title": "ศาสนาในประเทศกัมพูชา" }, { "docid": "78585#35", "text": "แรกเริ่มนั้นประเทศไทยก็เคยมีนิกายมหายานมาช้านาน ซึ่งได้รับอิทธิพลทั้งอาณาจักรศรีวิชัยซึ่งมีอิทธิพลทางตอนใต้ของประเทศและจักรวรรดิขอมซึ่งมีอิทธิพลทางตอนกลางและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และมีหลักฐานอย่างชัดเจนเช่น เทวรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรครึ่งซึ่งขุดพบที่อำเภอไชยา สุราษฎร์ธานี เทวรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่ปราสาทเมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี หรือพระพิมพ์ดินดิบต่างๆที่มีศิลปะขอมหรือศรีวิชียที่พบได้ในแหล่งโบราณคดีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ 2อาณาจักรนี้ หลังจากที่ศาสนาพุทธนิกายเถรวาถนิกายลังกาวงศ์ ได้เผยแพร่แล้ว บวกกับการนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทดั้งเดิมก่อนนิกายมหายานจะมีอิทธิพลในสมัยนั้น จึงทำให้ความนิยมของนิกายมหายานเสื่อมถอยลงและสาปสูญไป จนต่อมาในยุคธนบุรี ชาวญวณ ได้อพยพจากเวียดนามเนื่องจากเกิดสงครามมา(ต่อมาได้ตั้งคณะสงฆ์ขึ้นนั่นก็คือคณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย ในอาณาจักรรัตนโกสินทร์) และต่อมาใน อาณาจักรรัตนโกสินทร์ ก็มีชาวจีนได้อพยพมาก็เนื่องจากสงคราม และได้ตั้งคณะสงฆ์ขึ้น ซึ่งมีชื่อว่าจีนนิกาย จวบจนปัจจุบัน และในประเทศไทยนั้นมีนิกายและกลุ่มคณะสงฆ์ต่างๆ ดังนี้", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศไทย" }, { "docid": "105705#0", "text": "พระพุทธศาสนาในประเทศอียิปต์เริ่มต้นขึ้น เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งมคธได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างอาณาจักร โดยอาณาจักรไกริน ซึ่งอยู่ใกล้กับอียิปต์ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย พร้อมกันนนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ส่งพระธรรมทูตมาเผยแผ่ด้วย ในบริเวณเมืองอเล็กซานเดรีย ของอียิปต์ด้วย แต่ก็สูญหายไป", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศอียิปต์" }, { "docid": "923512#1", "text": "พุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศพม่า เมื่อคราวที่พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ได้อุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 236 ได้มีการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแถบสุวรรณภูมิ ประเทศต่าง ๆ รวม 9 สายด้วยกัน พม่าก็อยู่ในส่วนของสุวรรณภูมิด้วยและชาวพม่ายังเชื่อว่า สุวรรณภูมิ มีศูนย์กลางอยู่ที่ เมืองสะเทิม อาณาจักรมอญทางตอนใต้ของพม่า จากประวัติศาสตร์ทราบได้ว่า พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในพม่าราวพุทธศตวรรษที่ 6 เพราะได้พบหลักฐานเป็นคำจารึกภาษาบาลี และจารึกเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศพม่า" }, { "docid": "78585#0", "text": "พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ 9 สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีในกลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ตามยุคสมัยต่อไปนี้", "title": "ศาสนาพุทธในประเทศไทย" } ]
3084
ประจำเดือนผู้หญิงจะมีระยะเวลาเท่าไหร่?
[ { "docid": "155307#0", "text": "ประจำเดือน () หรือมักนิยมเรียกกันว่า เมนส์ หรือ ระดู และ รอบเดือน เป็นเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก มีฮอร์โมนสองชนิดคือ เอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน (progesterone) ควบคุมการสร้างและหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งระดับฮอร์โมนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กับการตกไข่จากรังไข่ โดยแต่ละรอบเดือนจะมีช่วงเวลาประมาณ 26-30 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทำให้ประจำเดือน เกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง โดยมีรายงานว่า 80 เปอเซนต์ของผู้หญิงมีอาการแสดงก่อนจะมีประจำเดือน มีอาการดังนี้ เจ็บบริเวณหน้าอก, ตัวบวม, เหนื่อยง่าย, ขี้หงุดหงิด และอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย", "title": "ประจำเดือน" } ]
[ { "docid": "629506#21", "text": "การวัดจะอ้างจากกลุ่ม(reference group)ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีรอบของประจำเดือน(menstrual cycle) 28 วัน และเป็นวันเริ่มทางธรรมชาติในการคลอดบุตร ความหมายคือ ช่วงระยะเวลาของการตั้งครรภ์จะอยู่ช่วงประมาณ 283.4 วันของอายุครรภ์(gestational age) โดยเริ่มการนับคือวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย(last menstrual period) ที่จะต้องจดจำได้โดยแม่, และ 280.6 วันโดยการประมาณการอายุครรภ์จากการวัดเวลาอัลตราซาวนด์การคลอดบุตร(obstetric ultrasound)ของเส้นผ่าศูนย์กลางความยาวของกะโหลกศีรษะของทารกในครรภ์ (fetal biparietal diameter ย่อว่า BPD) ในไตรมาสที่สอง ส่วนขั้นตอนวิธีการอื่นนั้นต้องคำนึงถึงตัวแปรที่มีความหลากหลายอื่นๆ เช่น เป็นลูกคนแรกหรือเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ (เช่น หญิงตั้งครรภ์ที่เป็น ผู้ที่คลอดบุตร/ตั้งครรภ์ครั้งแรก(primipara) หรือผู้ที่คลอดบุตรมาแล้วหลายครั้ง/ตั้งครรภ์มาแล้วหลายครั้ง(multipara) เชื้อชาติของ, อายุ, ระยะของรอบเดือนและความสม่ำเสมอของมารดา) แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้ในสำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อให้มีสิ่งอ้างอิงถึงมาตรฐาน ระยะเวลาของการตั้งครรภ์โดยปกติทั่วไปคือ 280 วัน (หรือ 40 สัปดาห์) ของอายุครรภ์", "title": "การตั้งครรภ์" }, { "docid": "253552#0", "text": "ภาวะการมีบุตรยาก หรือ ภาวะไม่เจริญพันธุ์ คือ ภาวะทางร่างกายของคู่สมรสที่แต่งงานกันแล้วแล้วยังไม่มีบุตร โดยประเมิณจากระยะเวลา 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วยังไม่ตั้งครรภ์ ซึ่งมีสาเหตุอาการ คือ ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ส่วนผู้ชายเป็นปัญหาเรื่องเชื้ออสุจิผิดปกติ หรือการถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงบริเวณอัณฑะ", "title": "ภาวะการมีบุตรยาก" }, { "docid": "909867#6", "text": "สัญญาณการเจริญพันธุ์ขั้นต้นทั้งสามแบบได้แก่ อุณหภูมิร่างกายขณะพัก มูกช่องคลอด และฟ ผู้หญิงที่นับเวลาปลอดภัยโดยดูจากสัญญาณการเจริญพันธุ์อาจเลือกสังเกตุหนึ่ง สอง หรือทั้งสามสัญญาณ ผู้หญิงหลายคนยังมีสัญญาณการเจริญพันธุ์ขั้นตามที่สัมพันธ์กับระยะในรอบประจำเดือน เช่น อาการปวดท้องและแน่นท้อง, ปวดหลัง, เต้านมคัดตึง, และอาการปวดจากไข่ตก", "title": "การนับระยะปลอดภัย" }, { "docid": "909867#11", "text": "ผู้หญิงและคู่ของเธอสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ โดยการจำกัดการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันไว้เฉพาะช่วงไม่เจริญพันธุ์ของรอบประจำเดือน ในช่วงเจริญพันธุ์ คู่รักอาจใช้การคุมกำเนิดแบบสิ่งกีดขวาง เช่น ถุงยางอนามัย หรืองดมีเพศสัมพันธ์\nประสิทธิผลของการนับระยะปลอดภัย สามารถแยกออกเป็น\"การใช้อย่างถูกต้อง \"(perfect-use) ที่นับเฉพาะผู้ใช้ที่ทำตามกฎทั้งหมดของการสังเกต ระบุระยะเจริญพันธุ์อย่างถูกต้อง และงดการร่วมเพศโดยไม่ป้องกันในวันที่ระบุว่ากำลังเจริญพันธุ์  เช่นเดียวกับการคุมกำเนิดแบบอื่น และ\"การใช้ทั่วไป \"(typical-use) ที่นับผู้หญิงทั้งหมดที่ใช้วิธีการนับระยะปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ รวมไปถึงพวกที่ไม่ได้ใช้อย่างถูกต้อง ประสิทธิผลที่แสดงมักมาจากการปีแรกของการใช้ ดัชนีเพอร์ล (Pearl Index) มักถูกใช้เพื่อคำนวนประสิทธิผลทว่างานวิจัยบางงานใช้ตารางแสดงการลดลง (decrement table)", "title": "การนับระยะปลอดภัย" }, { "docid": "37273#41", "text": "จะจัดขึ้นทุกปี ปีละครั้งในวันขึ้นปีใหม่ที่ตำหนักเจ้าหญิงบุปผาของ ผอ.แผนกมัธยมต้น เป็นการสังสรรค์ของสาวงามอัจฉริยะ ผู้ที่จะได้รับเลือก\nต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น(หญิงแท้ๆ) สวย น่ารัก มีเสน่ห์ และความสามารถโดดเด่นกว่าหญิงทั่วไป หากถูกรับเลือกจะมีจดหมายเชิญส่งมา หรือบางคนอาจจะเจอ\nลูกแก้วแห่งการคัดเลือก ซึ่งคนที่เป็นที่น่าจับตามองหรือมาแรงในปีนั้นๆจะเจอลูกแก้วนี้ง่าย ยกเว้นกรณีของมิคังซึ่งร่างกายของมิคังน่าจะถูกฉโลกกับลูกแก้วคัดเลือก", "title": "วัยซนคนมีพลังจิต" }, { "docid": "909867#5", "text": "รอบประจำเดือนส่วนใหญ่มีสามช่วง ช่วงแรกเป็นช่วงไม่เจริญพันธุ์ (ก่อนการตกไข่) ตามมาด้วยช่วงเจริญพันธ์ และหลังจากนั้นจึงเป็นช่วงไม่เจริญพันธุ์อีกครั้งก่อนถึงรอบเดือนถัดไป (หลังการตกไข่) วันแรกที่มีประจำเดือนสีแดงนับเป็นวันแรกของรอบเดือน ระบบต่าง ๆ ของการนับระยะปลอดภัยใช้วิธีต่างกันเล็กน้อยเพื่อคำนวนวันเจริญพันธุ์โดยการใช้สัญญาณการเจริญพันธุ์, ประวัติของรอบเดือน, หรือใช้ทั้งสองอย่าง", "title": "การนับระยะปลอดภัย" }, { "docid": "521485#10", "text": "การเลือกคู่ครองเป็นเรื่องที่ซับซ้อนโดยจะต้องดูภูมิหลังทางสังคมประกอบด้วย พ่อแม่มีส่วนในการพิจารณาแต่ก็อาจจะคัดค้านได้ ผู้ชายจะแต่งงานในช่วงอายุ 19 – 25 ปี ส่วนผู้หญิงในช่วงอายุ 16 – 22 ปี การแต่งงานตามประเพณีใช้เวลาถึง 3 วันแต่หลังจาก พ.ศ. 2523 ใช้เวลาเพียงวันครึ่ง มีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ในวันแต่งงาน ในชนบทจะมีการสวมด้ายมงคลและเวียนเทียน หลังแต่งงาน คู่สมรสจะไปอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงประมาณ 1 ปี หลังจากนั้น จะสร้างบ้านใหม่ใกล้ๆกัน", "title": "วัฒนธรรมกัมพูชา" }, { "docid": "593560#4", "text": "มีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 57–70 วัน พฤติกรรมการเลี้ยงลูกเหมือนกับแจ็คเกิลชนิดอื่น ๆ คือ ตัวผู้เป็นฝ่ายหาอาหารมาเลี้ยงดู ตัวเมียจะเป็นฝ่ายเฝ้าดูแลรังและดูแลลูกมากกว่า แต่ก็อาจจะช่วยตัวผู้ล่าเหยื่อได้ในบางครั้ง ลูกขนาดเล็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จะตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่กว่า เช่น เสือดาว, ไฮยีน่า, งูเหลือม, อินทรีขนาดใหญ่", "title": "หมาจิ้งจอกข้างลาย" }, { "docid": "375075#6", "text": "โดยทั่วไปแล้วเมื่อสตรีจะเข้าฝึกตนในอาราม คอนแวนต์ หรือแอบบีย์ จะต้องใช้เวลาทดสอบตนเองในช่วงแรกในฐานะโปสตูลันต์เป็นเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ถ้าผู้สมัครและคณะเห็นว่าพระเจ้าทรงมีกระแสเรียกให้เธอดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้ ผู้สมัครนั้นก็จะได้รับแฮบิตซึ่งเป็นเครื่องแบบประจำคณะ (ตามปกติจะปรับปรุงบ้างเพื่อให้ต่างจากนักพรตหญิงที่ปฏิญาณตนโดยสมบูรณ์แล้ว เช่น ใช้ผ้าคลุมศีรษะสีขาวแทนที่จะเป็นสีดำ) ถือว่าได้รับขั้นโนวิซซึ่งกินเวลาอีกราว 1-2 ปี เพื่อลองใช้ชีวิตเป็นนักพรตหญิงโดยที่ยังไม่ต้องปฏิญาณตน เมื่อเสร็จขั้นนี้จึงเข้าปฏิญาณตนชั่วคราว ซึ่งใช้เวลาอีกราว 1-3 ปี แต่ตามกฎหมายศาสนจักรไม่ควรจะต่ำกว่า 3 ปีและไม่เกิน 6 ปี ในที่สุดจึงจะได้รับอนุญาตให้ปฏิญาณตนถาวรด้วยคำปฏิญาณอย่างสง่า", "title": "นักพรตหญิง" }, { "docid": "193911#9", "text": "ด้านนายสุริยงค์ หุณฑสาร ผู้อำนวยการเอ็นบีทีชี้แจงว่า ตามปกติสัญญาของแต่ละรายการจะมีอายุ 3 เดือน ซึ่งในส่วนของความจริงวันนี้ เหลืออีก 1 เดือน แต่ทางเอ็นบีทีมีสิทธิจะเรียกเวลาคืนได้ เนื่องจากยังมีรายการที่เป็นประโยชน์ รอการออกอากาศอีกเป็นจำนวนมาก จึงเห็นสมควรให้โอกาสรายการเหล่านั้น ลงในช่วงเวลาไพร์มไทม์บ้าง แต่ก็มีผู้วิจารณ์ว่า สาเหตุที่รายการถูกแขวนไว้ น่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง ที่มีแนวโน้มจะเกิดการเปลี่ยนขั้วสลับข้างขึ้น จึงพักรายการไว้รอดูสถานการณ์ก่อน ประกอบกับเพื่อตัดช่องทางการประชาสัมพันธ์งานครอบครัวความจริงวันนี้สัญจร ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ ในวันที่ 13 ธันวาคม ด้วยนั่นเอง", "title": "ความจริงวันนี้" } ]
3087
สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์ เปิดให้บริการครั้งแรกในเกมส์ใด ?
[ { "docid": "405160#9", "text": "เปิดใช้ครั้งแรกในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ 2002 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชทานสุนทรพจน์และเปิดพิธีแข่งขัน โดยในการแข่งขัน 10 วัน สนามกีฬาใช้จัดการแข่งขันกรีฑาและรักบี้ฟุตบอล 7 คน เกิดสถิติในการแข่งขันครั้งนี้อาทิ เขย่งก้าวกระโดดหญิง และวิ่ง 5000 เมตรหญิง", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" } ]
[ { "docid": "405160#4", "text": "ชื่อสนาม \"ซิตีออฟแมนเชสเตอร์\" ตั้งชื่อโดยสภาเทศบาลเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนที่การก่อสร้างจะเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1999 แต่ก็มีการใช้ชื่ออื่นอีกหลายชื่อ \"อีสต์แลนด์\" เป็นชื่อเรียกสถานที่ก่อสร้างและสนามกีฬา ก่อนที่จะตั้งชื่อว่า \"สปอร์ตซิตี\" และ \"คอมส์\" ตามลำดับ และเป็นชื่อที่ใช้ประจำ สำหรับสนามกีฬาและโครงการกีฬาทั้งหมด ใช้ชื่อว่า \"สปอร์ตซิตี\" ส่วนชื่อ \"ซิตีออฟแมนเชสเตอร์\" (City of Manchester Stadium) จะย่อเขียนย่อว่า \"CoMS\" และภาษาพูดเรียกว่า \"เดอะบลูแคมป์\" ล้อมาจากชื่อสนามกัมนอว์ ของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา หลังจากที่อาบูดาบียูไนเต็ดกรุปเข้าดูแลสโมสรในปี ค.ศ. 2008 ผู้สนับสนุนบางคนเรียกชื่อสนามติดตลกว่า \"มิดเดิลอีสต์แลนด์\"", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" }, { "docid": "405160#0", "text": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์ () หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ สนามกีฬาอัลติฮัด () ด้วยเหตุผลตามชื่อผู้สนับสนุน หรือในบางครั้งอาจเรียกว่า คอมส์ (CoMS) หรือ อีสต์แลนส์ (Eastlands) เป็นสนามกีฬาในเมืองแมนเชสเตอร์ เป็นสนามกีฬาเหย้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี เป็นสนามกีฬาใหญ่เป็นอันดับ 5 ของทีมพรีเมียร์ลีก และใหญ่เป็นอันดับ 12 ในสหราชอาณาจักร มีจำนวนที่นั่ง 47,805 ที่", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" }, { "docid": "405160#7", "text": "ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 สภาเทศบาลฯ ได้เปิดประมูลรับแบบของสนามกีฬา 80,000 ที่นั่ง อีกแบบ โดยได้บริษัทอารัป เป็นผู้ดูแลงาน บริษัทได้ช่วยเลือกอีสต์แลนด์เป็นสถานที่ก่อสร้างด้วย ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1993 กำหนดให้ซิดนีย์เป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ในปีต่อมาแมนเชสเตอร์ได้เสนอแบบเดียวให้กับโครงการปรับปรุงเมืองในช่วงสหัสวรรษ มิลเลนเนียมคอมมิสชัน โดยเสนอชื่อเป็น \"มิลเลนเนียมสเตเดียม\" แต่โครงการนี้ก็ตกไป ต่อมาสภาเทศบาลฯ ยังคงเสนอประมูลเจ้าภาพกีฬาเครือจักรภพ 2002 เป็นอีกครั้งที่ได้เสนอในพื้นที่เดิม และผังแบบจากการประมูลโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 และครั้งนี้ก็ประมูลสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1996 แบบสนามกีฬาเดียวกันนี้ที่ใช้ในการแข่งขันกับสนามกีฬาเวมบลีย์ ในการหาทุนในการสร้างสนามกีฬาแห่งชาติแห่งใหม่ แต่งบก็ถูกใช้ในการพัฒนาเวมบลีย์แทน", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" }, { "docid": "405160#18", "text": "สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักฟุตบอลและเจ้าหน้าที่ อยู่บริเวณชั้นใต้ดิน ใต้อัฒจันทร์ทิศตะวันตก มีครัวที่สามารถรองรับการเสิร์ฟอาหารให้คน 6,000 คน ในวันแข่งขัน มีห้องสื่อมวลชน ห้องเก็บของเจ้าหน้าที่สนาม และห้องกักขังผู้กระทำความผิด ส่วนอุปกรณ์บริการ ครัว สำนักงาน และทางเดิน ออกแบบโดย เคเอสเอสอาร์คิเทกส์ รวมถึงการติดตั้งเคเบิลสื่อสายและระบบการควบคุมการเข้าออกของรถ สนามกีฬายังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการประชุมและมีใบอนุญาตให้การประกอบพิธีแต่งงานอีกด้วย", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" }, { "docid": "405160#13", "text": "ส่วนการแข่งขันแรกในระบบการแข่งขัน เกิดขึ้นถัดจากนั้น 4 วัน ในถ้วยยูฟ่าคัพ ระหว่างแมนเชสเตอร์ซิตีกับทีมจากเวลส์พรีเมียร์ลีก สโมสรฟุตบอลเดอะนิวเซนส์ โดยแมนเชสเตอร์ซิตีชนะ 5–0 โดยเทรเวอร์ ซินแคลร์เป็นผู้ยิงประตูแรกในนัดการแข่งขันแรกในระบบการแข่งขันของสนามแห่งนี้ เมื่อเริ่มฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ซิตีเป็นทีมเยือน ดังนั้นนัดการแข่งขันที่บ้านนัดแรกของสนามแห่งนี้มีขึ้นวันที่ 23 สิงหาคม ผลการแข่งขันเสมอกับสโมสรฟุตบอลพอร์ตสมัท 1–1 โดยยาคูบู ยิงประตูแรกของสนามกีฬาแห่งนี้ในการแข่งขันลีก", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" }, { "docid": "405160#8", "text": "สนามกีฬาได้วางศิลาฤกษ์โดยนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1999 และเริ่มก่อสร้างในเดือนมกราคม ค.ศ. 2000 สนามกีฬาออกแบบโดยอารัป และก่อสร้างโดยเลียงคอนสตรักชัน ด้วยงบประมาณราว 112 ล้านปอนด์ โดยได้มาจากสปอร์ตอิงแลนด์ 77 ล้านปอนด์ และที่เหลือเป็นการหารายได้จากสภาเทศบาลฯ สำหรับการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ แถวที่นั่งเดี่ยวชั้นล่าง จะวิ่งไปรอบลู่วิ่งทั้ง 3 ด้าน ส่วนแถวที่นั่งชั้นบนจะวิ่งไป 2 ด้าน มีอัฒจันทร์ชั่วคราวไม่มีหลังคาคลุมที่ปลายสุด มีที่นั่งสำหรับการแข่งขันนี้ราว 38,000 ที่นั่ง", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" }, { "docid": "405160#24", "text": "สนามกีฬานี้เป็นศูนย์กลางในสปอร์ตซิตี ที่มีสถานที่แข่งขันกีฬาหลายแห่ง ถัดจากสนามกีฬาคือ แมนเชสเตอร์รีเจียนนอลอารีนา ที่เป็นสนามอุ่นเครื่องกรีฑาในระหว่างการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ และปัจจุบันมีความจุ 6,178 ที่นั่ง เป็นสถานที่จัดการทดสอบกีฬาระดับชาติหลายชนิด และเคยเป็นสนามของทีมสำรองแมนเชสเตอร์ซิตี มีสนามแมนเชสเตอร์เวโลโดรมและเนชันนอลสควอร์ชเซนเตอร์ ที่อยู่ไม่ไกลจากสนามกีฬา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 แมนเชสเตอร์ซิตีมีแผนที่จะก่อสร้างกังหันลม สูง 85 เมตร ออกแบบโดยนอร์แมน ฟอสเตอร์ โดยตั้งใจไว้ว่าจะให้พลังงานแก่สนามกีฬาและบ้านเรือนใกล้เคียง แต่โครงการนี้ก็ตกไป เพราะกลัวว่าน้ำแข็งบนใบพัดอาจเกิดความไม่ปลอดภัยได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ถึง 2009 ได้มีผลงานประติมากรรม \"บีออฟเดอะแบ็ง\" ของโทมัส ฮีเทอร์วิก วางอยู่ด้านหน้าของสนามกีฬา สร้างเพื่อเฉลิมฉลองกีฬาเครือจักรภพ 2002 เป็นประติมากรรมที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร แต่มีปัญหาด้านโครงสร้าง ทำให้ประติมากรรมนี้แตกออกในปี ค.ศ. 2009", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" }, { "docid": "419847#1", "text": "อาคารที่ใหญ่ที่สุดของสปอร์ตซิตี คือสนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์ ที่สร้างขึ้นสำหรับใช้ในกีฬาเครือจักรภพ 2002 ปัจจุบันเป็นสนามกีฬาเหย้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี เป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ นอกจากนั้นยังมีแมนเชสเตอร์เวโลโดรม เป็นสำนักงานของสมาคมจักรยานอังกฤษ (British Cycling) และมีสนามกีฬาแห่งชาติบีเอ็มเอกซ์อารีนา (National Indoor BMX Arena) ที่สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2011 สปอร์ตซิตียังมีศูนย์การแข่่งสควอชแห่งชาติและแมนเชสเตอร์รีเจียนนอลอารีนาสำหรับแข่งกรีฑา ในอนาคตแมนเชสเตอร์ซิตีจะลงทุน 50 ล้านปอนด์ในการพัฒนาศูนย์ฝึกสอนและศูนย์สันทนาการ", "title": "สปอร์ตซิตี" }, { "docid": "405160#30", "text": "สภาเทศบาลเมืองแมนเชสเตอร์เป็นเจ้าของสนามกีฬาโดยสโมสรฟุตบอลได้เช่าสนามกีฬา จนเมื่อปี ค.ศ. 2008 หลังจากที่เปลี่ยนเจ้าของ สโมสรแห่งนี้อันเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ก็ได้พิจารณาข้อเสนอการซื้อสนามกีฬาแห่งนี้โดยทันที แมนเชสเตอร์ซิตีได้เซ็นสัญญาตกลงกับสภาเทศบาลฯ เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 เป็นเงิน 1 พันล้านปอนด์ในการพัฒนาสนามแห่งนี้ โดยมีสถาปนิกคือ ราฟาเอล บีโญลย์", "title": "สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์" } ]
3094
ไฟฟ้าถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "5889#2", "text": "การค้นพบไฟฟ้าสถิตนั้นมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ แต่จุดเริ่มของทฤษฎีทางไฟฟ้ายุคใหม่ นั้นนับเริ่มต้นจากผลงานของ เบนจามิน แฟรงกลิน ในการทดลองชักว่าวผ่านเมฆฝน ในปี ค.ศ. 1752 เพื่อเก็บประจุไฟฟ้าจากเมฆฝน และใช้ในการพิสูจน์ว่าฟ้าผ่านั้นเป็นกระแสไฟฟ้า เบนจามิน แฟรงกลิน (หรืออาจเป็น Ebenezer Kinnersley) นั้นได้สร้างแนวความคิดของประจุบวก และ ประจุลบ", "title": "วิศวกรรมไฟฟ้า" }, { "docid": "48613#4", "text": "นานก่อนที่จะมีความรู้ใด ๆ ด้านไฟฟ้า ผู้คนได้ตระหนักถึงการกระตุกของปลาไฟฟ้า ในสมัยอียิปต์โบราณพบข้อความที่จารึกในช่วงประมาณ 2750 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้พูดถึงปลาเหล่านี้ว่าเป็น \"สายฟ้าแห่งแม่น้ำไนล์\" และพรรณนาว่าพวกมันเป็น \"ผู้พิทักษ์\" ของปลาอื่น ๆ ทั้งมวล ปลาไฟฟ้ายังถูกบันทึกอีกครั้งในช่วงพันปีต่อมาโดยกรีกโบราณ, ชาวโรมันและนักธรรมชาติวิทยาชาวอาหรับและแพทย์มุสลิม นักเขียนโบราณหลายคน เช่น Pliny the Elder และ Scribonius Largus ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงอาการชาจากไฟฟ้าช็อคที่เกิดจากปลาดุกไฟฟ้าและปลากระเบนไฟฟ้า และยังรู้อีกว่าการช็อคเช่นนั้น สามารถเดินทางไปตามวัตถุที่นำไฟฟ้า ผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมาณจากการเจ็บป่วยเช่นเป็นโรคเกาต์หรือปวดหัว จะถูกส่งไปสัมผัสกับปลาไฟฟ้าซึ่งหวังว่าการกระตุกอย่างมีพลังอาจรักษาพวกเขาได้ เป็นไปได้ว่าวิธีการที่เก่าแก่ที่สุดและใกล้ที่สุดในการค้นพบตัวตนของฟ้าผ่าและไฟฟ้าจากแหล่งที่มาอื่น ๆ ควรที่จะอุทิศให้กับชาวอาหรับ ผู้ที่ก่อนศตวรรษที่ 15 พวกเขามีคำภาษาอารบิกสำหรับฟ้าผ่าว่า \"raad\" ที่หมายถึงปลากระเบนไฟฟ้า", "title": "ไฟฟ้า" } ]
[ { "docid": "5889#3", "text": "งานของเบนจามิน แฟรงกลินนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบที่สำคัญทางไฟฟ้าในยุคถัดมา ทั้ง ลุยจี กัลวานี, อาเลสซันโดร วอลตา, อ็องเดร-มารี อ็องแปร์, จอร์จ ไซมอน โอห์ม และ ไมเคิล ฟาราเดย์ \nโดยในปี ค.ศ. 1792 นั้น กัลวานี ได้ค้นพบกระแสไฟฟ้าในสิ่งมีชีวิต ซึ่งงานนี้ได้ทำให้วอลตานั้นสามารถประดิษฐ์ โวลตาอิกไพล์ (voltaic pile) ซึ่งเป็นต้นแบบของแบตเตอรีไฟฟ้า ได้ในปี ค.ศ. 1800 ต่อมาในปี ค.ศ. 1820 จากการสังเกตพบความสัมพันธ์ของไฟฟ้าและแม่เหล็ก ของ ฮันส์ คริสเทียน เออร์สเตด ในการทดลองที่กระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านขดลวดสามารถเบนเข็มแม่เหล็กของเข็มทิศได้นั้น อองแปร์ได้ทำการศึกษาถึงความสัมพันธ์นี้และสร้างเป็น กฎของแอมแปร์ ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้านั้นถูกค้นพบโดยโอห์มในปี ค.ศ. 1827 เรียกกฎของโอห์ม หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1831 ฟาราเดย์ได้ค้นพบความสัมพันธ์การเหนี่ยวนำของแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กและการกำเนิดกระแสไฟฟ้าในขดลวด ซึ่งรู้จักกันในนาม กฎของฟาราเดย์ ในปี ค.ศ. 1864 เจมส์ คลาร์ก แมกซ์เวลล์ ได้รวบรวมความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กและไฟฟ้า ในรูปชุดของสมการทางคณิตศาสตร์ เรียกสมการของแมกซ์เวลล์ ซึ่งเป็นหัวใจของทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic หรือ electrodynamic) ในปัจจุบัน และในปี 1873 เขาได้จัดพิมพ์ทฏษฎีไฟฟ้าและแม่เหล็กที่รวบรวมเป็นหนึ่งเดียวในหนังสือเรื่อง \"ไฟฟ้าและแม่เหล็ก\"", "title": "วิศวกรรมไฟฟ้า" }, { "docid": "48613#39", "text": "การค้นพบของนายเออสเตดในปี 1821 ที่[[สนามแม่เหล็ก]]จะปรากฏรอบเส้นลวดที่มีกระแสไหลได้ชี้ให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างไฟฟ้าและแม่เหล็ก นอกจากนี้การมีปฏิสัมพันธ์ดูเหมือนแตกต่างจากแรงโน้มถ่วงและแรงไฟฟ้าสถิต-สองแรงของธรรมชาติที่รู้จักกันตอนนั้น แรงบนเข็มของเข็มทิศไม่ได้ชี้นำเข็มไปทางลวดหรือผลักมันไปไกลจากลวดนำกระแส แต่กระทำเป็นมุมฉากกับเข็ม เออสเตดได้พูดอย่างคลุมเครือเล็กน้อยว่า \"ไฟฟ้​​ากระทำแบบขัดแย้งในลักษณะการหมุน\" แรงยังขึ้นอยู่กับทิศทางของกระแสอีกด้วย เพราะถ้ากระแสไหลกลับทาง แรงก็จะกลับทางด้วย", "title": "ไฟฟ้า" }, { "docid": "48613#10", "text": "ในปี 1887 ไฮน์ริช เฮิร์ตซ์ ค้นพบว่าขั้วไฟฟ้าที่เรืองแสงด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเลตจะสร้างประกายไฟฟ้าได้ง่ายมาก ในปี 1905 อัลเบิรต ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์เอกสารที่อธิบายข้อมูลการทดลองจากผลกระทบโฟโตอิเล็กตริกเมื่อการเป็นผลลัพธ์ของพลังงานแสงที่กำลังถูกนำส่งในแพกเกตที่แปลงเป็นปริมาณที่ไม่ต่อเนื่อง เป็นการใส่พลังงานให้กับอิเล็กตรอน การค้นพบนี้นำไปสู่การปฏิวัติควอนตัม ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1921 สำหรับ \"การค้นพบกฎของผลกระทบโฟโตอิเล็กตริก\" ผลกระทบโฟโตอิเล็กตริกยังถูกใช้ในโฟโตเซลล์อย่างที่สามารถพบได้ในเซลล์แสงอาทิตย์อีกด้วยและเซลล์นี้มักจะถูกใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อการพานิชย์", "title": "ไฟฟ้า" }, { "docid": "774562#1", "text": "ไฟฟ้า กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 กับงานของ วิลเลียม กิลเบิร์ต อีกสองศตวรรษ มีการค้นพบที่สำคัญจำนวนมากรวมทั้ง หลอดไฟแบบมีไส้ และแบตเตอรีของโวลตาที่เรียกว่า voltaic pile บางทีการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวกับวิศวกรรมกำลังไฟฟ้าอาจมาจาก ไมเคิล ฟาราเดย์ ผู้ที่ในปี 1831 ได้ค้นพบว่าการเปลี่ยนแปลงในสนามแม่เหล็กเหนี่ยวนำให้เกิด แรงเคลื่อนไฟฟ้า ในขดลวด เป็นหลักการที่รู้จักกันว่าเป็น การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ช่วยอธิบายถึงการที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและหม้อแปลงทำงานได้อย่างไร", "title": "วิศวกรรมกำลังไฟฟ้า" }, { "docid": "64580#3", "text": "ใน ปี 1827 Anyos Jedlik ชาวฮังการีเริ่มทดลองกับอุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้าหมุน ซึ่งเขาเรียกว่า แม่เหล็กไฟฟ้าใบพัดหมุนเอง, ตอนนี้เรียกว่าไดนาโมของ Jedlik ในเครื่องต้นแบบของตัวสตาร์ตเตอร์เสาไฟฟ้าเดียว(เสร็จระหว่างปี 1852 ถึงปี 1854 )ทั้งชิ้นส่วนอยู่กับที่และชิ้นส่วนหมุนเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า เขาคิดสูตรที่เป็นแนวคิดของไดนาโมไว้ไม่น้อยกว่า 6 ปีก่อนซีเมนส์และ Wheatstone แต่ไม่ได้จดสิทธิบัตรเพราะเขาคิดว่าเขาไม่ได้เป็นคนแรกที่รับรู้ถึงเรื่องนี้ ในสาระสำคัญ แนวคิดคือแทนที่จะใช้แม่เหล็กถาวร สองแม่เหล็กไฟฟ้าวางตรงข้ามกันเหนี่ยวนำทำให้เกิดสนามแม่เหล็กรอบโรเตอร์ มันยังเป็นการค้นพบหลักการของการกระตุ้นตัวเองอีกด้วย", "title": "เครื่องกำเนิดไฟฟ้า" }, { "docid": "48613#71", "text": "ไฟฟ้ายังถูกนำมาใช้ใน[[การสื่อสารโทรคมนาคม]] และแน่นอน[[การโทรเลข]]ได้สาธิตในเชิงพาณิชย์ในปี 1837 โดยวิลเลียม โฟเธอร์กิล คุก และชาลส์ วีทสโตน มันเป็นหนึ่งในการประยุกต์ใช้งานในยุคแรกที่สุดของไฟฟ้า กับการก่อสร้างโทรเลขข้ามทวีปเป็นครั้งแรกและจากนั้นก็สายเคเบิลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก, ระบบโทรเลขในยุค 1860, ไฟฟ้าได้เปิดโอกาศให้การสื่อสารสามารถติดต่อทั่วโลกภายในเวลาเป็นนาที [[ใยแก้วนำแสง]]และ[[การสื่อสารดาวเทียม]]ได้แชร์ส่วนแบ่งการตลาดสำหรับระบบการสื่อสาร แต่ไฟฟ้ายังสามารถคาดเดาได้ว่ามันจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของกระบวนการ", "title": "ไฟฟ้า" }, { "docid": "48613#62", "text": "ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล นักปรัชญาชาวกรีก [[ธาลีสแห่งไมลิตัส]] ได้ทำการทดลองหลายครั้งกับแท่งอำพัน และการทดลองเหล่านี้เป็นการศึกษาครั้งแรกในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ในขณะที่ใช้วิธีการนี​​้ ในปัจจุบันเรียกว่า[[ผลกระทบไทรโบอิเล็กตริก]] สามารถยกวัตถุเบาและสร้างประกายไฟ แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก มันต้องรอต่อไปอีกจนกระทั่งมีการประดิษฐ์[[เซลล์ซ้อนของโวลตา]]ในศตวรรษที่สิบแปดได้กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีศักยภาพที่พร้อมให้ใช้งานได้ เซลล์ซ้อนของโวลตา ​​และลูกหลานของมันที่ทันสมัย-[[แบตเตอรี่]] สามารถเก็บพลังงานด้วยวิธีการทางเคมีและทำให้มันพร้อมสนองความต้องการใช้งานในรูปแบบของพลังงานไฟฟ้า แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานที่หลากหลายและพบบ่อยมากซึ่งเหมาะที่จะใช้งานได้หลายอย่าง แต่การจัดเก็บพลังงานของมันมี จำกัด และเมื่อมันถูกใช้งานหมดแล้ว มันจะต้องถูกกำจัดหรือชาร์จใหม่ สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ พลังงานไฟฟ้าจะต้องถูกผลิตและส่งกำลังอย่างต่อเนื่องไปตามสายส่งตัวนำกระแสไฟฟ้า", "title": "ไฟฟ้า" }, { "docid": "486770#2", "text": "ในปี 1918, หลุยส์ ออกแตฟว์ ฟุชง-วีเลฟพลี (Louis Octave Fauchon-Villeplee) นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ได้คิดค้นปืนใหญ่ไฟฟ้าซึ่งเป็นรูปแบบแรกของปืนแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น เขาได้ยื่นจดสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 1 เมษายน ปี 1919 ซึ่งออกมาในเดือนกรกฎาคม ปี 1922 เป็นสิทธิบัตรหมายเลข 1,421,435 ในหัวข้อว่า \"อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับการขับเคลื่อนลูกกระสุนปืน\" ในอุปกรณ์ของเขามีแถบตัวนำไฟฟ้า (busbars) สองแถบขนานเชื่อมต่อกันด้วยปีกของลูกกระสุนปืน, และอุปกรณ์ทั้งหมดที่ล้อมรอบไปด้วยสนามแม่เหล็ก โดยการผ่านกระแสไฟฟ้าผ่านแถบตัวนำนี้ และตัวลูกกระสุนปืน, แรงเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนั้นจะผลักดันกระสุนให้เคลื่อนที่ออกไป", "title": "ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าแบบรางคู่ขนาน" }, { "docid": "128112#2", "text": "ไฟแช็กอันแรกของโลกมีชื่อว่า \"ตะเกียงของเดอเบอไรเนอร์\" ประดิษฐ์ขึ้นโดย นักเคมีชาวเยอรมันเมื่อ ค.ศ. 1823 ทำงานโดยการยิงแก๊สไฮโดรเจนไปบนโลหะแพลทินัมที่ห่างกัน 4 เซนติเมตรบนอากาศ โลหะจะร้อนขึ้นและติดไฟได้เองโดยไม่ต้องใช้ประกายไฟ ไฟแช็กชนิดนี้ผลิตจำหน่ายเรื่อยมาจนถึง ค.ศ. 1880 จึงเลิกผลิต", "title": "ไฟแช็ก" } ]
3097
ภาพยนตร์เรื่องแรกประเทศไทยคือเรื่องใด ?
[ { "docid": "68552#0", "text": "นางสาวสุวรรณ () เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) เป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1923 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า \"Kingdom of Heaven\" เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)", "title": "นางสาวสุวรรณ" }, { "docid": "936#103", "text": "ภาพยนตร์ไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในประเทศไทย คือ เรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" ในปี 2470 ภาพยนตร์เรื่อง \"โชคสองชั้น\" เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่คนไทยสร้าง", "title": "ประเทศไทย" }, { "docid": "99304#0", "text": "ภาพยนตร์ไทย มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในเมืองไทย คือ เรื่อง นางสาวสุวรรณ ผู้สร้าง คือ บริษัทภาพยนตร์ ยูนิเวอร์ซัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงทั้งหมดเป็นคนไทย พ.ศ. 2470 ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "99304#5", "text": "พ.ศ. 2465 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีกลุ่มนักสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันจากบริษัทยูนิเวอร์ซัล ได้มาถ่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยเรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" โดยได้รับความช่วยเหลือ จากกรมมหรสพหลวงและกรมรถไฟหลวง โดยใช้นักแสดงไทยทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเมืองไทย โดยมีนายเฮนรี่ แมคเรย์ กำกับการแสดง นายเดล คลองสัน ถ่ายภาพ นำแสดงโดย ขุนรามภรตศาสตร์ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร และหลวงภรตกรรมโกศล ซึ่งถือได้ว่าทั้งสามได้เล่นเป็นพระเอก นางเอกและผู้ร้าย คนแรกของเมืองไทย ภาพยนตร์เรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" ออกฉายในกรุงสยามเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2466 ท่ามกลางความตื่นเต้นของประชาชน", "title": "ภาพยนตร์ไทย" } ]
[ { "docid": "37120#5", "text": "ภาพยนตร์เรื่อง แผลเก่า สร้างจากบทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2479 ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2520 มีคำโฆษณาหนังว่า \"เราจักสำแดงความเป็นไทยต่อโลก\" นำแสดงโดยสรพงศ์ ชาตรี รับบท \"ขวัญ\", นันทนา เงากระจ่าง รับบท \"เรียม\", ส. อาสนจินดา, ชลิต เฟื่องอารมย์, เศรษฐา ศิระฉายา และศรินทิพย์ ศิริวรรณ ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 35 มม.\nในขณะถ่ายทำ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์แนวย้อนยุค ในขณะที่ผู้สร้างในขณะนั้นนิยมสร้างภาพยนตร์ร่วมสมัย จึงไม่มีผู้ค้ารายใดซื้อหนังเรื่องนี้ไปฉายเลย แต่เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย ปรากฏว่าเป็นที่นิยม ทำรายได้สูงสุดในประเทศไทย ได้รับรางวัลบทประพันธ์ยอดเยี่ยมและรางวัลเครื่องแต่งกายและแต่งหน้ายอดเยี่ยมจากการประกวดในประเทศ ได้รับโล่เกียรติยศภาพยนตร์ที่เชิดชูเอกลักษณ์ไทยยอดเยี่ยมจากพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น", "title": "เชิด ทรงศรี" }, { "docid": "633485#5", "text": "ส่วนตัวภาพยนตร์ในช่วงหลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในระบบนี้ล้วนเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศทั้งหมด แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๕ ยุทธหัตถีถือว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ใช้ระบบเสียงนี้ โดยออกฉายในกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557 และหลังจากนั้นก็เริ่มมีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายในระบบนี้มากขึ้น นั่นก็คือเรื่อง ฝากไว้..ในกายเธอที่ฉายในกรุงเทพมหานคร และเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๖ อวสานหงสาที่ออกฉายในระบบดอลบี แอทโมสทั่วประเทศที่มีโรงภาพยนตร์ตั้งอยู่ (กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และบุรีรัมย์)", "title": "ดอลบี แอทมอส" }, { "docid": "869010#0", "text": "ปู่สมบูรณ์ เป็นภาพยนตร์ไทย ที่ออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก-สารคดี เป็นหนังสารคดีเรื่องแรกได้รับเลือกเป็นหนังเปิดเทศกาลภาพยนตร์โลก กรุงเทพฯ ครั้งที่ 12 (World Film Bangkok Festival) และยังเป็นหนังไทยขนาดยาวเรื่องแรกที่เข้าประกวดถึงรอบสุดท้ายบนเวทีระดับโลก เทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ (IDFA) รวมทั้งได้รับเลือกและร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์หลายประเทศ เช่น อังกฤษ, เกาหลีใต้, สปป.ลาว เป็นต้น ยังได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักวิจารณ์ รวมทั้งเพจหนังดังอย่าง อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก และยังสร้างปรากฏการณ์ที่มีผู้ชมออกมาดูหนังสารคดีในโรงภาพยนตร์อย่างมาก", "title": "ปู่สมบูรณ์" }, { "docid": "99304#48", "text": "ภาพยนตร์เรื่อง \"ผีสามบาท\" นับเป็นภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญเรื่องแรกที่แบ่งเนื้อหาในเรื่องออกเป็นตอน ๆ ซึ่งต่อมาในภายหลังได้มีภาพยนตร์ไทยในแนวเดียวกันนี้อีกหลายเรื่อง อาทิ \"อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต\" (พ.ศ. 2545), \"หลอน\" (พ.ศ. 2546), \"สี่แพร่ง\" (พ.ศ. 2551), \"ห้าแพร่ง\" (พ.ศ. 2552), \"ตายโหง\" (พ.ศ. 2553) เป็นต้น", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "99304#32", "text": "นอกจากนี้ ภาพยนตร์ไทยยังได้การยอมรับในต่างประเทศ ภาพยนตร์เรื่อง\"ต้มยำกุ้ง\" หรือ \"The Protector\" ถือเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้ตีตลาดต่างประเทศ อย่างภาพยนตร์เรื่อง \"Goal Club เกมล้มโต๊ะ, สุริโยไท, จัน ดารา, บางระจัน, ขวัญเรียม, นางนาก, สตรีเหล็ก, ฟ้าทะลายโจร, บางกอกแดนเจอรัส\" และ \"14 ตุลา สงครามประชาชน\" และมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์อย่าง \"บางกอกแดนเจอรัส\" (2543) ไปเปิดตัวที่งานเทศกาลหนังที่โทรอนโต หรือ \"เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล\" ของเป็นเอก รัตนเรือง และในปี 2550 ภาพยนตร์ในรูปแบบชายรักชายเรื่อง \"เพื่อน...กูรักมึงว่ะ\" โดยผู้กำกับ พจน์ อานนท์ คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ประเทศเบลเยียมมาได้", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "91522#0", "text": "สุดสาคร เป็นภาพยนตร์การ์ตูนแนวแฟนตาซี ผจญภัย ที่กำกับโดย ปยุต เงากระจ่าง และนับเป็นภาพยนตร์การ์ตูนขนาดยาวเรื่องแรกของประเทศไทย ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2522 เนื้อหาในภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ตั้งแต่ตอนกำเนิดสุดสาครไปจนถึงการเดินทางตามหาพระอภัยมณี ภายหลังกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการได้นำภาพในภาพยนตร์เรื่องนี้ไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือสำหรับให้เยาวชนอ่านในโรงเรียนด้วย", "title": "สุดสาคร (ภาพยนตร์การ์ตูน)" }, { "docid": "119121#12", "text": "ในปี พ.ศ. 2555 ไฟว์สตาร์เปิดมิติใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทย ด้วยโปรเจกต์ 407 Dark Fight (3D) ภาพยนตร์แนว Horror ถือว่าเป็นภาพยนตร์สามมิติเรื่องแรกของประเทศไทย ผลงานการสร้างสรรค์ของทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง ลองของ แล้วภาพยนตร์ประสบความสำเร็จดี ต่อมาภาพยนตร์สามมิติแนวสยองขวัญเรื่อง ตีสาม 3D ออกฉายในปี พ.ศ. 2556 บริษัทจึงยังคงเดินหน้าสร้างภาพยนตร์ในระบบสามมิติเต็มรูปแบบออกมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นความต่อเนื่องในตลาดภาพยนตร์ 3D ในประเทศไทย ทำให้ไฟว์สตาร์จะยังคงทำ 3D ออกมาอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2556 โดยคาดว่าจะสร้างภาพยนตร์ทั้งสิ้น 4 เรื่อง และ 3 ใน 4 เรื่องนั้นจะสร้างเป็น 3D เต็มรูปแบบตามถนัดเช่นเดิม", "title": "ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น" }, { "docid": "99304#7", "text": "บริษัทกรุงเทพภาพยนตร์สร้างหนังเรื่องแรกเสร็จ ให้ชื่อเรื่องว่า \"โชคสองชั้น\" เนื้อเรื่องแต่งโดย หลวงบุณยมานพพานิช (อรุณ บุณยมานพ) กำกับการแสดงโดย หลวงอนุรักษ์รถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) ถ่ายภาพโดยหลวงกลการเจนจิต ผู้แสดงเป็นพระเอกคือ มานพ ประภารักษ์ ซึ่งคัดมาจากผู้สมัครทางหน้าหนังสือพิมพ์ ม.ล. สุดจิตร์ อิศรางกูร นางเอกละครร้องและละครรำมีชื่ออยู่ในขณะนั้น หลวงภรตกรรมโกศล ตัวโกงจากเรื่อง \"นางสาวสุวรรณ\" แสดงเป็นผู้ร้าย ภาพยนตร์ออกฉายเป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่มีมหาชนไปดูกันมากที่สุด ได้การยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย อีกเดือนเศษต่อมา บริษัทถ่ายภาพยนตร์ไทย จึงสร้างหนังของตนเรื่อง \"ไม่คิดเลย\" สำเร็จออกฉายในเดือนกันยายนปีนั้น", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "99304#6", "text": "ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 คณะสร้างภาพยนตร์จากฮอลลีวูดอีกคณะ เดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง \"\"ช้าง\"\" โดยใช้ผู้แสดงเป็นชาวสยามทั้งหมดเช่นกัน ในเวลาที่ภาพยนตร์เรื่อง \"ช้าง\" ออกฉายในประเทศสยามนั้น คนไทยได้สร้างหนังบันเทิงและนำออกฉายแล้วหลายเรื่อง ผู้คนจึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับภาพยนตร์เรื่อง \"ช้าง\" กันมากเท่าที่ควร", "title": "ภาพยนตร์ไทย" } ]
3103
ประเทศสโลวีเนีย มีพื้นที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "8109#0", "text": "ประเทศสโลวีเนีย ( ; ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสโลวีเนีย (Slovene: , abbr.: \"RS\") เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในยุโรปกลาง ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าและแหล่งวัฒนธรรมหลักของทวีปยุโรป มีอาณาเขตทางตะวันตกจรดอิตาลี ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดทะเลเอเดรียติก ทางใต้และตะวันออกจรดโครเอเชีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือจรดฮังการีและทางเหนือจรดออสเตรีย มีพื้นที่ประมาณ 20,273 ตารางกิโลเมตรและมีประชากร 2.06 ล้านคน สโลวีเนียเป็นสาธารณรัฐระบบรัฐสภาและเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สหภาพยุโรปและเนโท เมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดคือลูบลิยานา", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" } ]
[ { "docid": "8109#1", "text": "พื้นที่ส่วนใหญ่ของสโลวีเนียเป็นภูเขาและมีลักษณะอากาศแบบภูมิอากาศภาคพื้นทวีปหลัก ยกเว้นภูมิภาคชายฝั่งจะมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนและภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งมีภูมิอากาศแบบเทือกเขาแอลป์ นอกจากนี้ไดนาริกแอลป์และที่ราบพันโนเนียก็พอได้ในสโลวีเนียเช่นกัน สโลวีเนียเป็นหนึ่งประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นหนึ่งในพื้นที่ ๆ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์มากในยุโรป ทั้งแม่น้ำจำนวนมาก ชั้นหินอุ้มน้ำและแหล่งธารน้ำใต้ดิน สโลวีเรียมีป่าปกคลุมมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ส่วนการตั้งถิ่นฐานของประชากรก็จะกระจักกระจายกันไป", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" }, { "docid": "275773#0", "text": "สตีเรีย () หรือ ชไตเออร์มาร์ค () เป็นรัฐในประเทศออสเตรียที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในด้านพื้นที่แล้วถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ใน 9 รัฐ มีพื้นที่ครอบคลุม 16,392 ตร.กม. มีพื้นที่ติดกับประเทศสโลวีเนีย เช่นเดียวกับรัฐอื่นอย่างรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย รัฐโลว์เออร์ออสเตรีย รัฐซาลซ์บูร์ก รัฐบูร์เกนลันด์ และรัฐคารินเทีย รัฐมีประชากร 1,210,971 คน (ข้อมูลปี 2013) มีเมืองหลวงของรัฐคือเมืองกราซ", "title": "รัฐสตีเรีย" }, { "docid": "8109#12", "text": "มากกว่าครึ่งของประเทศถูกปกคลุมด้วยป่า ทำให้สโลวีเนียเป็นประเทศที่มีป่ามากเป็นอันดับ 3 ของยุโรปรองจากฟินแลนด์และสวีเดน พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยป่าต้นบีช ต้นเฟอร์ โอ๊ก และมีผลผลิตที่ค่อนข้างสูง ยังคงพบป่าดึกดำบรรพ์โดยป่าที่ใหญ่ที่สุดพบในคอเชวเย ทุ่งหญ้าครอบคลุมพื้นที่ 5,593 กิโลเมตร ทุ่งนาและสวนหย่อมครอบคลุมพื้นที่ 954 ตารางกิโลเมตร สวนผลไม้ครอบคลุมพื้นที่ 363 ตารางกิโลเมตรและไร่องุ่นครอบคลุมพื้นที่ 216 ตารางกิโลเมตร", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" }, { "docid": "8109#10", "text": "4 ภูมิภาคหลักในยุโรปเจอได้ในสโลวีเนีย: เทือกเขาแอลป์ ที่ราบพันโนเนีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและไดนาริกแอลป์ ถึงแม้ว่าชายฝั่งทะเลเอเดรียติกจะใกล้กับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแต่พื้นที่ของสโลวีเนียส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำของทะเลดำ เทือกเขาแอลป์รวมทั้งจูเลียนแอลป์ เทือกเขาแคมนิก-ซาวินยาแอลป์ เทือกเขาคาราเวกซ์ร่วมทั้งเทือกเขาโพโฮเจห์ครอบคลุมสโลวีเนียตอนเหนือตามแนวชายแดนออสเตรีย ชายฝั่งของประเทศสโลวีเนียจากอิตาลีถึงโครเอเชียยาวประมาณ 47 กิโลเมตร", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" }, { "docid": "8109#3", "text": "ในอดีตพื้นที่ของสโลเวเนียเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่แตกต่างกันหลายแห่งทั้งจักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิไบแซนไทน์ จักรวรรดิการอแล็งเฌียง จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สาธารณรัฐเวนิส จังหวัดอิลลิเรียของนโปเลียนที่ 1ที่ปกครองโดยฝรั่งเศส จักรวรรดิออสเตรียและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2461 ประชาชนชาวสโลวีนตัดสินใจก่อตั้งรัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2461 รัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บรวมตัวกับราชอาณาจักรเซอร์เบียกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นราชอาณาจักรยูโกสลาเวียใน พ.ศ. 2472) ช่วนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สโลวีเนียถูกยึดครอบครองและผนวกโดยเยอรมนี อิตาลีและฮังการีและพื้นที่เล็ก ๆ อยู่ในการปกครองของรัฐเอกราชโครเอเชียที่เป็นรัฐหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนี หลังจากนั้นสโลวีเนียเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาชนยูโกสลาเวียภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียซึ่งเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ประเทศเดียวในกลุ่มตะวันออกซึ่งไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของกติกาสัญญาวอร์ซอ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 หลังจากมีการเปิดประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนอันเป็นระบบพรรคการเมืองหลายพรรค สโลวีเนียจึงแยกตัวจากยูโกสลาเวียและกลายเป็นประเทศเอกราช พ.ศ. 2547 สโลวีเนียได้เข้าร่วมกับเข้าเนโทและสหภาพยุโรป ใน พ.ศ. 2550 สโลวีเนียกลายเป็นประเทศยุคหลังคอมมิวนิสต์ประเทศแรกที่เข้าร่วมกับยูโรโซน และใน พ.ศ. 2553 ได้เข้าร่วมโออีซีดีอันเป็นองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" }, { "docid": "17473#1", "text": "มีพื้นที่ประมาณ 50,000 ตารางกิโลเมตร เทียบกับประเทศไทยแล้วเล็กกว่ากันถึง 10 เท่า มีจำนวนประชากรเพียง 5 ล้านคน เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ทำให้มีพืชพันธุ์ไม้อุดมสมบูรณ์ที่ไม่สามารถพบได้ในประเทศอื่น มีพื้นที่เป็นเขตป่าสงวนมากถึงร้อยละ 25 ของประเทศ และถือเป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกาที่ออกกฎหมายห้ามล่าสัตว์ทุกชนิด และเคยถูกมูลนิธินิวอีโคโนมิค (NEF) ประกาศให้เป็นประเทศที่มีความเขียวชอุ่ม หรือมีป่าไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกอีกด้วย", "title": "ประเทศคอสตาริกา" }, { "docid": "33329#3", "text": "ประเทศเลโซโท เป็นประเทศที่มีแอฟริกาใต้ล้อมรอบหมดทุกด้าน มีพื้นที่ประมาณ 30,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณสองเท่าของจังหวัดอุบลราชธานี ของประเทศไทย แต่เลโซโทมีพื้นที่ส่วนมากอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400-1,800 เมตร จึงทำให้มีหิมะปกคลุม เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีหิมะ แต่ใช้ประโยชน์จากหิมะที่ละลายเป็นน้ำอุปโภคบริโภคใช้ในประเทศ", "title": "ประเทศเลโซโท" }, { "docid": "8109#9", "text": "สโลวีเนียตั้งอยู่ในบริเวณภูมิภาคกลางและตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปติดกับเทือกเขาแอลป์และมีชายฝั่งติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยูที่ละติจูด 45 องศาถึง 47 องศาเหนือและจากลองจิจูด 13 องศาถึง 17 องศาตะวันออก โดยเส้นเมริเดียนที่ 15 องศาตะวันออกเป็นเส้นที่เกือบจะแบ่งประเทศเป็น2ฝั่งพอดี เซนทรอยด์ของสโลวีเนียตั้งอยู่ที่พิกัด 46°07'11.8\" N และ 14°48'55.2\" E ในซิลิบนาเขตเทศบาลลิทิยา ทริกลาฟคือจุดสูงสุดของสโลวีเนียมีความสูง 2,864 เมตร ประเทศสโลวีเนียมีค่าเฉลี่ยอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 557 เมตร", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" }, { "docid": "742947#0", "text": "เซเลีย (; ; ) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศสโลวีเนีย ตั้งอยู่ในภูมิภาคสติเรีย มีพื้นที่ 22.7 ตารางกิโลเมตร มีประชากรทั้งหมด 37,628 คน อยู่ในเขตปกครองของเทศบาลนครเซเลีย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ราว 95 ตารางกิโลเมตร ประชากรราว 48,000 คน", "title": "เซเลีย" } ]
3107
จังหวัดราชบุรีจัดอยุ่ในภูมิภาคใดของประเทศไทย?
[ { "docid": "5331#0", "text": "ราชบุรี เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตก โดยเป็นศูนย์กลางในด้านอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น มะพร้าว ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วง และการปศุสัตว์ของประเทศ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในด้านพลังงานของประเทศในปัจจุบัน โดยมีเมืองราชบุรีเป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และการคมนาคมในภูมิภาค ทิศเหนือติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ทิศใต้ติดต่อจังหวัดเพชรบุรี ทิศตะวันออกติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดนครปฐม และทิศตะวันตกติดต่อประเทศพม่าราชบุรี ดินแดนวัฒนธรรมลุ่มน้ำแม่กลองและสายหมอกแห่งขุนเขาตะนาวศรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางด้านตะวันตกที่มีภูมิประเทศหลากหลาย จากพื้นที่ที่ราบต่ำ ลุ่มแม่น้ำแม่กลองอันอุดม แหล่งเพาะปลูกพืชผักผลไม้เศรษฐกิจนานาชนิด สู่พื้นที่สูงทิวเทือกเขาตะนาวศรีทอดตัวยาวทางทิศตะวันตกจรดชายแดนไทย-พม่า", "title": "จังหวัดราชบุรี" }, { "docid": "5331#12", "text": "จังหวัดราชบุรี เป็นจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก จากการประมาณในไตรมาสแรกในปี 2553 ของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ราชบุรีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด(GPP) คิดเป็นมูลค่า 120,200 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 17 ของประเทศ และมีรายได้ต่อประชากร (GPP PER CAPITA) สูงถึง 144,062 บาท เป็นอันดับที่ 13 ของประเทศ จังหวัดราชบุรีมีการลงทุนทางอุตสาหกรรมถึง 1,100 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนมากกว่า 100,000 ล้านบาท เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคมีธุรกิจการค้าประเภทสินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตร เป็นโครงสร้างหลักทางเศรษฐกิจ โดยมีศูนย์กลางตลาดผักผลไม้ในภูมิภาค โดยเป็นหนึ่งในตลาดกลางสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุด แห่งหนึ่งของประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีตลาดสดและตลาดนัดในท้องที่ต่าง ๆ ควบคู่กับการเลี้ยงปศุสัตว์ และโรงงานอาหารสัตว์ ที่มีมากในเขตอำเภอปากท่อ และอำเภอโพธาราม และยังมีอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น โดยจังหวัดราชบุรีเป็น 1 ใน 14 จังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศไทยศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญจะกระจายอยู่ใน พื้นที่เมืองใหญ่ ได้แก่ เมืองราชบุรี และเมืองบ้านโป่ง เป็นต้น โดยเป็นที่ตั้ง ศูนย์ และสำนักงานสาขาในเขตภูมิภาค ของบริษัทชั้นนำหลายๆ แห่ง เช่น ปตท. โตโยต้า เป็นต้น อีกทั้งเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เฉลี่ยปีละประมาณ 5-6 % ทำให้มีการลงทุนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เช่น ศูนย์การค้า โครงการที่อยู่อาศัย บริษัท ห้างร้านต่างๆ เป็นต้น", "title": "จังหวัดราชบุรี" } ]
[ { "docid": "5331#2", "text": "ห่างจากกรุงเทพมหานครเบื้องทิศตะวันตกราว 110 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของจังหวัดราชบุรี ดินแดนอันเป็นที่มาของโอ่งเคลือบลายมังกรและผ้าทอบ้านไร่หรือผ้าขาวม้าอันลือชื่อ สำหรับผู้ไม่ใช่ชาวบ้านพื้นถิ่นน้อยคนนักจะเข้าใจว่าอุตสาหกรรมเครื่องปั่นดินเผาและหัตถกรรมทอผ้าพื้นเมืองเป็นเป็นเพียงผลงานบางส่วนที่สะท้อนความหลากหลายของราชบุรีที่ฝากร่องรอยทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรีตั้งอยู่ในเขตที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดีย แต่การที่มีเทือกเขาตะนาวศรีบังไว้อยู่ ทำให้เป็นที่อบฝน คือ อำเภอสวนผึ้ง อำเภอบ้านคา และอำเภอจอมบึง มีฝนตกน้อยและเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีฝนตกน้อยที่สุดในประเทศ ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,000-1,250 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ27 องศาเซลเซียส สูงสุดเดือนเมษายน-พฤษภาคมประมาณ 36 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในเดือนธันวาคม-มกราคม ประมาณ 18 องศาเซลเซียส ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน โดยตกหนักที่สุดในเดือนกันยายน และทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายนและสิงหาคมฝนส่วนใหญ่จะถูกพัดเลยไปตกในแถบลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และด้านตะวันออกของพื้นที่จังหวัดอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 13-38 องศาเซลเซียส แต่ในฤดูหนาวบริเวณเชิงเขาหรือหุบเขาในพื้นที่อำเภอสวนผึ้ง และอำเภอบ้านคาจะมีสภาพอากาศหนาวมาก เฉลี่ย 8-15 องศาเซลเซียส และเป็นจังหวัดที่มีปริมาณโอโซนมากที่สุดติดอันดับของโลก", "title": "จังหวัดราชบุรี" }, { "docid": "5079#0", "text": "จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงใหม่ และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 129 กิโลเมตร มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ทิศเหนือ จรดจังหวัดตากและจังหวัดอุทัยธานี ทิศใต้ จรดจังหวัดราชบุรี ทิศตะวันออก จรดจังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐม ทิศตะวันตก จรดประเทศพม่า\nความเป็นมาของกาญจนบุรี เท่าที่มีการค้นพบหลักฐานนั้น ย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อมีการค้นพบเครื่องมือหินในบริเวณบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี ล่วงมาถึงสมัยทวารวดี ซึ่งมีหลักฐานคือซากโบราณสถานที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี เป็นเจดีย์ลักษณะเดียวกับจุลประโทนเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งค้นพบโบราณวัตถุ เช่น พระพิมพ์สมัยทวารวดีจำนวนมาก สืบเนื่องต่อมาถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-18 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบคือปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะแบบขอม สมัยบายน\nกาญจนบุรียังปรากฏในพงศาวดารเหนือว่า กาญจนบุรีเป็นเมืองขึ้นของสุพรรณบุรีในสมัยสุโขทัย ครั้นมาถึงสมัยอยุธยา กาญจนบุรีก็มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำสงครามระหว่างกองทัพไทยกับพม่า จนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ เดิมตัวเมืองกาญจนบุรีเดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า (บริเวณเขาชนไก่ในปัจจุบัน) ภายหลังจนถึง พ.ศ. 2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นการถาวร ณ เมืองกาญจนบุรีใหม่โดยตั้งอยู่ ณ ตำบลปากแพรก อันเป็นสถานที่บรรจบของแม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย โดยตัวเมืองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลองกับแม่น้ำแควใหญ่ ซึ่งมีความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์และด้านการค้า โดยเริ่มก่อสร้างเมืองเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2374 และสำเร็จในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 และได้แยกออกจากสุพรรณบุรีนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า \"แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 10 เส้น 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม\" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็นพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯ ว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วน", "title": "จังหวัดกาญจนบุรี" }, { "docid": "590305#0", "text": "โรงพยาบาลราชบุรี เป็นโรงพยาบาลศูนย์ มีขนาด 1,000 เตียง (ไม่รวม ICU) ตั้งอยู่เลขที่ 85 ถนน สมบูรณ์กุล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ให้บริการดูแลสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา เป็นโรงพยาบาลตติยภูมิระดับสูง มีแพทย์เฉพาะทางแต่ละสาขาวิชา และแพทย์เฉพาะทางย่อย เป็นศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ในแถบภาคตะวันตกของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นสถาบันผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท มีการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ของโรงพยาบาลเอง ที่ผ่านมา มีแพทย์จบการศึกษาไปแล้ว หลายรุ่น และทำงานอยู่ในหลายๆ จังหวัดในภูมิภาคนี้ ปัจจุบันมีแพทย์ประจำ 145 คนและบุคลากรอื่นรวมกันกว่า 900 คน", "title": "โรงพยาบาลราชบุรี" }, { "docid": "5331#14", "text": "เมืองราชบุรีในอดีต นับว่าเป็นเมืองน่าด่านที่สำคัญ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่า ปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์ว่า พม่าได้พยายามยกทัพผ่านเมืองราชบุรี เพื่อเข้าตีกรุงเทพมหานครในสงครามเก้าทัพ สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นการยกทัพเพื่อรุกรานไทยเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย จ.ราชบุรีเป็นเมืองชายแดนทิศตะวันตกของไทย มีอาณาเขตติดต่อกับสหภาพพม่าบริเวณ อ.สวนผึ้ง และ อ.บ้านคา เป็นระยะทางยาวประมาณ 73 กิโลเมตร ฝั่งสหภาพพม่าตรงข้ามกับ จ.ราชบุรี เป็นเทือกเขาตะนาวศรี มีแม่น้ำตะนาวศรีพาดผ่านจากตอนเหนือไหลลงสู่ทะเลอันดามันทางด้านทิศใต้บริเวณเมืองมะริด (MERGUI) แม่น้ำตะนาวศรีหรือที่เรียกกันว่า เกรทแทนเนสซาริน (TENASSERIM RIVER) อยู่ห่างจาก อ.สวนผึ้ง ออกไปทางทิศตะวันตกเพียง 12 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 500 เมตร จากการศึกษาแผนที่และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อกำหนดแนวถนนที่เหมาะสมที่สุด เชื่อระหว่าง จ.ราชบุรี กับเมือเป (PE) ในสหภาพพม่า ในเบื้องต้นได้ข้อเท็จจริงว่าระยะทางในภุมิประเทศจากช่องห้วยคอกหมูใน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ถึงเมืองเป (PE) ริมฝั่งทะเลอันดามัน ในพม่า มีระยะเพียงประมาณ 120 กิโลเมตร โดยเส้นทางด้านที่ติดอยู่กับประเทศไทย เป็นระยะยาว 2 ใน 3 ของเส้นทาง มีลักษณะเป็นพื้นที่ภูเขา มีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่วนเส้นทางสู่ทะเลอันดามันที่เหลืออีกประมาณ 1 ใน 3 มีลักษณะเป็นถนนดินที่มีอยู่เดิม ซึ่งในไปสู่เมืองเป (PE) มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบลุ่มมีเมืองต่างๆ ตามรายทาง คือ เมืองเย็บบู (YEBU) เมืองมิยังเบียง (MIGYAUNBYUAIN) เมืองลิชชี (LICHE) และเมืองเพตากัท (PETAKAT) สำหรับเมืองเป (PE) หากได้รับการพัฒนาจะกลายเป็นเมืองยุทธศาสตร์ เนื่องจากเหตุผลในด้านทำเลที่ตั้งเมือง ดังนี้ คือเมืองเป (PE) อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างเมืองทวายและเมืองมะริด และทางหลวงที่เชื่อมระหว่างเมืองทวายและเมืองมะริดตัดผ่านพอดี", "title": "จังหวัดราชบุรี" }, { "docid": "5964#0", "text": "จังหวัดจันทบุรี เป็นจังหวัดทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย มีเนื้อที่ 6,388 ตารางกิโลเมตร สภาพภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบลุ่มน้ำ และที่ราบชายฝั่งทะเล ในส่วนของพื้นที่ป่าไม้มีประมาณ 3 ใน 10 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดฉะเชิงเทรา และสระแก้วทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดตราดและประเทศกัมพูชา ทิศใต้ติดกับอ่าวไทย และทิศตะวันตกติดกับจังหวัดระยองและชลบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 238 กิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดจันทบุรีอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัด โดยอาชีพที่ประชากรในจังหวัดนิยมประกอบอาชีพมากที่สุดคือเกษตรกรรมและประมง และศาสนาที่มีการนับถือมากที่สุดในจังหวัดคือศาสนาพุทธ", "title": "จังหวัดจันทบุรี" }, { "docid": "5763#0", "text": "จังหวัดสระบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของภาคกลาง นับเป็นเสมือนด่านผ่านระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้งทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และยังเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย", "title": "จังหวัดสระบุรี" }, { "docid": "505033#0", "text": "เขตมิสซังราชบุรี ชาวคาทอลิกเรียกว่าสังฆมณฑลราชบุรี เป็นมุขมณฑลโรมันคาทอลิกในประเทศไทย มีพื้นที่ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดสมุทรสงคราม", "title": "เขตมิสซังราชบุรี" }, { "docid": "329505#0", "text": "จังหวัดธัญญบุรี บ้างสะกดว่า ธัญญบูรี หรือ ธัญญะบุรี เป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคในระดับจังหวัดของประเทศไทยในอดีต ที่เกิดขึ้นหลังการพัฒนาที่ดินของ \"บริษัท ขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด\" ถือเป็นการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่แห่งแรกของไทย และมีการประกาศใช้โฉนดที่ดินเป็นเอกสารสิทธิ์แห่งแรกของมณฑลกรุงเทพอันเป็นรากฐานพระราชบัญญัติโฉนดที่ดิน พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นเมืองนามว่า \"ธัญญบุรี\" คือ \"เมืองข้าว\" และทรงตั้ง \"เมืองมีนบุรี\" คือ \"เมืองปลา\" ให้เป็นเมืองคู่กัน", "title": "จังหวัดธัญญบุรี" } ]
3108
คู่สมรสของ แคทเธอรีนแห่งบราแกนซ คือใคร?
[ { "docid": "211859#0", "text": "แคทเธอรินแห่งวาลัวส์ สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ (ภาษาอังกฤษ: Catherine of Valois) (27 ตุลาคม ค.ศ. 1401 – 3 มกราคม ค.ศ. 1437) แคทเธอรินประสูติเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1401 ที่ปารีสในประเทศฝรั่งเศส เป็นพระธิดาของ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสและอิสซาเบลลาแห่งบาวาเรีย สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (Isabella of Bavaria) ทรงเสกสมรสกับสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ และทรงได้รับการราชาภิเษกเป็นพระราชินีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1421 เป็นพระราชินีระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1420 - 31 สิงหาคม ค.ศ. 1422 แคทเธอรินสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1437 ที่ลอนดอนในราชอาณาจักรอังกฤษ", "title": "แคเธอรินแห่งวาลัว" } ]
[ { "docid": "291435#3", "text": "แคทเทอรีนได้พบกับเจ้าฟ้าชายอเล็กซานเดอร์ มกุฎราชกุมารแห่งยูโกสลาเวียที่วอชิงตัน ดี.ซี. ในปีพ.ศ. 2527 และทั้งคู่ได้อภิเษกสมรสกันที่กรุงลอนดอนในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2528 โดยเพื่อนฝ่ายชายคือ สมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซและพยานคือ เจ้าชายโทมิสลาฟแห่งยูโกสลาเวีย พระปิตุลาของเจ้าฟ้าชายอเล็กซานเดอร์", "title": "แคทเทอรีน แคร์รี เบ็ทติส" }, { "docid": "415174#1", "text": "แคทเธอรีน เคลลี่ แลง เกิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1961 แต่งงานแล้ว 2 ครั้งกับ สก๊อตต์ สไนเดอร์ ในปี 1989 มีลูกชาย 2 คนก่อนที่จะหย่ากันในปี 1995 และแต่งงานกับอดีตผู้จัดการส่วนตัวของเธอเองคือ อเล็กซ์ แดนเดรีย ในปี 1997 หลังจากที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตคู่กันก่อนแต่งงานนาน 2 ปีหลังจากที่เธอหย่ากับสามีเก่าและมีลูกสาวด้วยกัน 1 คนคือ โซอี้ แคทริน่า แดนเดรีย ในปี 1997 ก่อนที่แลงและแดนเดรียจะหย่าขาดจากกันในปี ค.ศ. 2014", "title": "แคทเธอรีน เคลลี่ แลง" }, { "docid": "291435#2", "text": "ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 แคทเทอรีนทรงพบกับ แจ็ค ดับเบิลยู เอนดริว และได้สมรสกันมีบุตร 2 คนคือ เดวิดและเอลิสัน เอลิสันมีบุตรทั้งหมด 4 คนได้แก่ อแมนดา,สเตฟานี,นิโคลัสและไมเคิล ส่วนเดวิดมีบุตร 1 คนคือ อเล็กซานเดอร์ ปัจจุบันเดวิดและเอลิสันอยู่ที่ประเทศกรีซ แคทเทอรีนได้ท่องเที่ยวหลายๆที่ในโลกและอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย,แอฟริกาและสหรัฐอเมริกา แคทเทอรีนและแจ็ค แอนดริวได้หย่าขาดกันในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2527", "title": "แคทเทอรีน แคร์รี เบ็ทติส" }, { "docid": "61445#21", "text": "จัสตินได้คบกับบริตนีย์ สเปียส์อยู่หลายปี และเลิกกันในปี 2002 หลังจากนั้นมีข่าวลือว่าเดทกับนักร้อง/นักแสดง อลิซซา มิลาโน จนมาคบหากับ คาเมรอน ดิแอซ ดารานักแสดงสาวซึ่งได้คบกันมากว่า 3 ปีครึ่ง จึงเลิกรากันไป และปัจจุบันได้สมรสกับนักแสดงสาว เจสสิกา บีล เมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา ปัจจุบันเขามีบุตรแล้ว ชื่อน้องซิลาส", "title": "จัสติน ทิมเบอร์เลก" }, { "docid": "39175#11", "text": "ชีวิตยามเยาว์วัยของเอลิซาเบทได้สัมผัสกับความสุขบ้าง เมื่อเฮนรี่สมรสกับแคทเธอรีน ฮาวเวิร์ด ซึ่งเป็นพระญาติกับพระราชินีแอน บุลิน แคทเธอรีนดูแลให้ความรักแก่เจ้าหญิงองค์น้อยนี้เป็นอย่างดี ทั้งยังได้ยกย่องพระองค์ให้สมกับตำแหน่งเจ้าหญิง แต่ความสุขความอบอุ่นก็มาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ และจบลงเมื่อแคทเธอรีนต้องโทษประหารชีวิตอีกคน เอลิซาเบทตกอยู่ในสภาพที่สับสนทางจิตใจมาก เมื่อเห็นผู้หญิงที่เธอรักสองคนต้องตายตกตามกันไปเพราะผู้ชายคนเดียวกัน ถึงขนาดที่เธอเอ่ยปากกล่าวกับโรเบิร์ต ดัดเลย์ เพื่อนเล่นเมื่อครั้งยังพระเยาว์จนเติบโตมาเป็นเพื่อนใจในยามหนุ่มสาวว่า ในชีวิตนี้พระองค์จะไม่อภิเษกกับใครทั้งสิ้น", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ" }, { "docid": "157930#10", "text": "ในปีพ.ศ. 2213 เหล่านางในของพระเจ้าชาร์ลส์ได้เดินขบวนปกป้องพระนางแคทเทอรีน เมื่อลอร์ดบักกิงแฮม เสนอกฎหมายต่อสภาว่ากษัตริย์สามารถหย่าขาดจากพระชายาซึ่งเป็นหมันได้และสมรสใหม่ได้ เหล่านางในส่งเสียงยืนกรานว่า พระราชินีซึ่งทรงไร้อำนาจและไร้บุตรจะต้องดำรงอยู่เช่นเดิม เพราะราชินีองค์ใหม่อาจให้กำเนิดบุตรและพระองค์อาจทอดทิ้งบุตรนอกสมรสของพระองค์ก็เป็นได้", "title": "แคเธอรินแห่งบราแกนซา" }, { "docid": "157930#17", "text": "มีทฤษฎีเสนอกันว่าพระนางแคทเทอรีนทรงกำหนดวิธีการดื่มชาด้วพระองค์เอง เวลาดืมชาของอังกฤษในปัจจุบันเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากอยู่แล้วในหมู่หมู่ชั้นสูงชาวโปรตุเกสสมัยนั้น ชาได้ถูกนำเข้าสู่โปรตุเกสจากเมืองท่าของโปรตุเกสในเอเชียรวมทั้งผ่านสถานีการค้าโปรตุเกสในมาเก็และญี่ปุ่น \nการดื่มชา\"High Tea\"ใน เวลา 16:00 น. (บางคนก็นิยมดื่มเวลา 17:00 น. ) เดิมเป็นประเพณีโปรตุเกส พระนางแคทเธอรีนยังทรงแนะนำวิธีการดื่มแบบดั้งเดิมบนโต๊ะรับประทานอาหารของอังกฤษ\nแม้ว่าบางคนได้อ้างว่าเขต ควีนส์ในนครนิวยอร์กตั้งตามพระของพระนางแคทเธอรีนแห่งบราแกนซา แต่ก็ไม่มีการกล่าวถึงพระนามของพระนางในเอกสารทางราชการของเขตในช่วง 200 ปีแรกเลย แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าเขต Queens County ตั้งชื่อตามพระนาง ส่วน Kings County (บรู๊คลินน์) ซึ่งก่อตั้งใน พ.ศ. 2226 ตั้งชื่อตามพระราชสวามีของพระองค์", "title": "แคเธอรินแห่งบราแกนซา" }, { "docid": "157930#1", "text": "เจ้าหญิงคาทาลีนาแห่งบราแกนซา-โปรตุเกสประสูติที่วิลลา วิคอสตา เป็นพระราชธิดาองค์ที่ 2 ใน พระเจ้าจอห์นที่ 4 แห่งโปรตุเกส เมื่อครั้งทรงเป็นดยุคแห่งบราแกนซากับเจ้าหญิงลุยซาแห่งเมดินา-ซิโดเนีย ธิดาในดยุคแห่งเมดินา-ซิโดเนีย ทางพระราชมารดา พระองค์เป็นพระราชปนัดดารุ่นที่ 3 ใน นักบุญฟรานซิส บอร์เจีย พระองค์ทรงศึกษาในคอนแวนต์ เจ้าหญิงแคทเทอรีนทรงได้รับการควบคุมศึกษาจากพระมารดา ทำให้ทรงสนิทสนมกับพระราชมารดามาก", "title": "แคเธอรินแห่งบราแกนซา" }, { "docid": "157930#0", "text": "แคทเธอรีนแห่งบราแกนซา สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ (ภาษาอังกฤษ: Catherine of Braganza) (25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1638 - 31 ธันวาคม ค.ศ. 1705) ทรงเป็น\"เจ้าหญิงแห่งโปรตุเกส\"และ\"สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ,สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์\"", "title": "แคเธอรินแห่งบราแกนซา" }, { "docid": "157930#5", "text": "ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2205 ทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกสมรสสองพิธีคือ แบบคาทอลิก กระทำเป็นการลับ และแบบแองกลิคัน กระทำในที่สาธารณะ เจ้าหญิงแคทเทอรีนจึงได้สวมมงกุฎสมเด็จราชินีแห่งอังกฤษ,สก็อตแลนด์และไอร์แลนด์ พร้อมด้วยสินสอดจากทางราชสำนักโปรตุเกส อันประกอบด้วยเมืองทานเจียร์และบอมเบย์ ซึ่งจะเป็นประโยช์แก่อังกฤษสำหรับกิจการในอินเดีย ในวันอภิเษกสมรสบาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมนได้ประท้วงโดยซักชุดชั้นในของนางซักตากไว้กลางลานพระราชวัง", "title": "แคเธอรินแห่งบราแกนซา" } ]
3111
พจน์ อานนท์ เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "136480#0", "text": "พชร์ หรือ พจน์ มีชื่อจริงว่า เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2513 ที่จังหวัดพังงา เป็นคนสุดท้อง เติบโตมาในครอบครัวที่เลี้ยงแบบให้สู้ชีวิต คิด และตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันมีอาชีพเป็นผู้กำกับหนังและพิธีกร", "title": "พจน์ อานนท์" } ]
[ { "docid": "653199#1", "text": "พลตำรวจเอกพจน์ (นามเดิม ฟอร์ด เภกะนันทน์) เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 ที่ตำบลประตูชัย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรชายของอำมาตย์โท พระวุฒิศาสตร์วินิจฉัย (ชิต เภกะนันทน์) และนางหลง หรือ จรูญ (สกุลเดิม ภู่นุภาพ)", "title": "พจน์ เภกะนันทน์" }, { "docid": "310540#0", "text": "อานนท์ สายแสงจันทร์ ชื่อเดิม ปฐพี สายแสงจันทร์ (ชื่อเล่น ; ปู เกิด 6 มิถุนายน พ.ศ. 2513) เป็นนักร้อง , นักแต่งเพลง นักดนตรี โปรดิวเซอร์อัลบั้ม และนักแสดง เป็นอดีตสมาชิกวง ยูเรเนียม บลูแพลนเน็ต ปัจจุบันเป็นนักร้องนำวง แบล็คเฮด หลังค่ายเอสพี ศุภมิตร ปิดตัวลงไป อานนท์ก็ได้เริ่มอัดอัลบั้มและเริ่มเล่น Rock Pub ได้ประมาณหนึ่งปีเต็มจนได้เจอห้องอัดเกคโค และนำเดโมนั้นไปเสนอกับ ปู - พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ซึ่งปู พงษ์สิทธิ์เห็นถึงศักยภาพของวงดนตรีที่น่าจะประสบความสำเร็จต่อมาถูกเซ็นสัญญากับค่ายเอ็มสแควร์ ในช่วงแรกได้รับการดูแลจากปู พงษ์สิทธิ์และชื่อวงแบลดเฮดก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา", "title": "อานนท์ สายแสงจันทร์" }, { "docid": "136480#1", "text": "พชร์เริ่มทำงานด้วยการเป็นผู้จัดการฝ่ายขายโฆษณาของนิตยสาร\"เธอกับฉัน\" ต่อมาในปี 2530 ได้ขึ้นเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับเดียวกัน หลังจากนั้นได้เป็นผู้ก่อตั้งนิตยสารสำหรับวัยรุ่นหลายฉบับรวมถึงเป็นแมวมองมีชื่อ เมื่อสมัยเป็นบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังอย่าง เธอกับฉัน,พจน์ อานนท์,อานนท์ ได้ปลุกปั้นให้ดาราแจ้งเกิดในวงการมาแล้วหลายต่อหลายคนหลายยุคต่อเนื่องกันมา ตั้งแต่ แอนดริว เกร้กสัน, ปราโมทย์ แสงศร,เต๋า สโรชา วาทิตตพันธ์, มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์, เต๋า สมชาย เข็มกลัด, อั๊ต อัษฎา พานิชกุล,จอน ดีแลน,เล็ก ศรันย์ , โดม ปกรณ์ ลัม, ฝันดี ฝันเด่น จรรยาธนากร,กิ๊ฟต์ วรรธนะ กัมทรทิพย์,ฟลุ๊ค เกริกพล มัสยวานิช,โจ๊กเกอร์ นพชัย ,ตั๊ก บริบูรณ์,ออย ธนา,แทค ภรัณยู,ฟิล์ม รัฐภูมิเป็นต้น", "title": "พจน์ อานนท์" }, { "docid": "34839#1", "text": "อาจินต์ ปัญจพรรค เกิดวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2470 ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรชายของขุนปัญจพรรค์พิบูล (พิบูล ปัญจพรรค์) อดีตนายอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และข้าหลวงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และข้าหลวงจังหวัดนครปฐม กับนางกระแส ปัญจพรรค์ (โกมารทัต) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา คือ ชอุ่ม ปัญจพรรค์ พล.ต.ท.ลัดดา ปัญจพรรค์ และวัฒนา ปัญจพรรค์ มีน้องสาวต่างมารดาคือ เยาวรัตน์ ปัญจพรรค์", "title": "อาจินต์ ปัญจพรรค์" }, { "docid": "236520#0", "text": "ชาช่า อัลเทอร์เมท หรือชื่อจริงว่า แคทเธอรีน อัลเทอร์เมท เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2521 เป็นนักแสดงชาวไทยลูกครึ่งอังกฤษ เข้าสู่วงการบันเทิงโดยการถ่ายโฆษณา และได้ถ่ายแบบลงหนังสือ \"พจน์ อานนท์\" จากนั้นมีผลงานภาพยนตร์กับทางไฟว์สตาร์ อย่างภาพยนตร์เรื่อง \"ตุ๊ต๊ะ ต๋อมแต๋ม สุภาพบุรุษตัว ต.\" แสดงคู่กับ สมชาย เข็มกลัด ออกฉายปี 2537 จากนั้นชาช่าก็แสดงภาพยนตร์ทั้งบทนางเอกและแสดงสมทบในหลายเรื่อง อย่าง \"กู๊ดบายซัมเมอร์ เอ้อเฮอ เทอมเดียว\" (2539) แสดงร่วมกับ จอห์น ดีแลน (รับบทสมทบ) , \"สติแตกสุดขั้วโลก\" (2539) กำกับโดยพจน์ อานนท์ หนังทำเงินถึง 48 ล้านบาท , \"อุแว้สวรรค์ มหัศจรรย์ข้ามโลก\" (2540) ปี 2540 แสดงนำคู่กับ อัษฎา พานิชกุล กำกับ โดย ปัญญา นิ่มเจริญพงศ์ ,\"ลับแลคนมหัศจรรย์\" (2540) แสดงคู่กับสุระ ธีระกล และผลงานภาพยนตร์สะท้อนปัญหาวัยรุ่น ความรุนแรง เรื่อง \"18 ฝนคนอันตราย\" ออกฉายปี 2540 ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 6 ประจำปี 2540 ในสาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม", "title": "ชาช่า อัลเทอร์เมท" }, { "docid": "136480#3", "text": "ด้านภาพยนตร์ เขาเริ่มจากเป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง \"สะแด่วแห้ว\" (2535) ของค่ายไฟว์สตาร์ ต่อมาในปี 2538 ได้รับเป็นผู้กำกับเต็มตัว กับภาพยนตร์เรื่อง \"สติแตก สุดขั้วโลก\" เป็นเรื่องแรกได้สร้างชื่อเสียง ผลงานที่ต่อเนื่องมาได้แก่ 18 ฝนคนอันตราย, ปล้นนะยะ, เอ๋อเหรอ, ไฉไล, หอแต๋วแตก, เพื่อน...กูรักมึงว่ะ\nเมื่อ 15 กันยายน 2559 พชร์ อานนท์ได้เข้าอุปสมบทที่วัดสระเกศ เป็นเวลา 7 วันหลังขอพรให้หนัง “หลวงพี่แจ๊ส 4 จี” ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ ถือเป็นการบวชครั้งที่ 2 ครั้งแรกเมื่อปี 2538 เป็นการบวชแทนคุณพ่อแม่ ครั้งที่สองนี้บวชหลังจากได้ขึ้นแทนเป็นผู้กำกับ 100 ล้านตามที่ตั้งใจ และพระอานนท์ได้ฉายาทางธรรมว่า อานนโท แปลว่า \"ผู้ยินดีในธรรม\" อย่างไรก็ตามเขายังคงได้รับคำด่ามากมายจากสังคมออนไลน์ จากการที่พชร์ใช้นามแฝงในการกำกับภาพยนตร์หลวงพี่แจ๊ส 4 จี แล้วหลังจากที่ภาพยนตร์ทำรายได้ขึ้นไปถึงหลักร้อยล้านบาทจึงออกมาเปิดเผยว่าเป็นตนกำกับ ทำให้ผู้คนเกิดความไม่พอใจว่าเป็นการปิดบังข้อเท็จจริงเพื่อผลประโยชน์ทางด้านยอดขาย", "title": "พจน์ อานนท์" }, { "docid": "601393#1", "text": "ชฎาธิรัฏฐ์ เลิศทวีสิน หรือชื่อในวงการคือ ฌัชฌา รุจินานนท์ (ชื่อเล่น: หญิง) เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2522 เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการชักชวนของผู้กำกับชื่อดัง พจน์ อานนท์ มีผลงานถ่าบแบบนิตยสารวัยรุ่น หลังจากนั้นถูกชักชวนให้แสดงภาพยนตร์ในสังกัด ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น เรื่อง \"บันทึกรักจากลูก(ผู้)ชาย\" เมื่อปี 2537", "title": "ชฎาธิรัฏฐ์ เลิศทวีสิน" }, { "docid": "786921#1", "text": "ฐนิชา ดิษยบุตร หรือชื่อจริง นันทธิดา ดิษยบุตร (ชื่อเล่น: อั้ม) เกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2520 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นทั้งนักแสดง และนางแบบนิตยสารชาวไทย จากการชักนำของ อานนท์ มิ่งขวัญตา (หรือพจน์ อานนท์) รุ่นเดียวกับ โด่ง สิทธิพร นิยม ชาช่า อัลเทอร์เมท ฌัชฌา รุจินานนท์ สโรชา วาทิตตพันธ์ เริ่มมีผลงานถ่ายโฆษณา และถ่ายแบบนิตยสารวัยรุ่น เช่น HEART, เธอกับฉัน, สุดสัปดาห์, นิตยสารอานนท์ เป็นต้น", "title": "ฐนิชา ดิษยบุตร" }, { "docid": "19748#0", "text": "พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เดิมชื่อว่า \"พจน์ พหลโยธิน\" เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 2 เกิดวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2430 เวลา 03.30 น. ณ บ้านหน้าวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม พหลโยธิน) กับท่านผู้หญิงจับ พหลพลพยุหเสนา สมรสกับท่านผู้หญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี 5 สมัย รวมระยะเวลา 5 ปี 5 เดือน 21 วัน ยังได้รับสมญานามว่า เชษฐบุรุษ ด้วย ถึงแก่อสัญกรรมด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เวลา 03.05 น. รวมอายุได้ 60 ปี", "title": "พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)" } ]
3112
ซิงเกิลแรกของซาร์ด มีชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "42702#2", "text": "ซาร์ดเริ่มเข้าวงการครั้งแรกใน พ.ศ. 2534 จากการที่ซีอีโอของเครือบีอิ้ง ไดโก นางาโตะ (เกษียณเมื่อ พ.ศ. 2550) ได้รับนางแบบ ซะจิโกะ คะมะจิ () วัย 24 ปีเข้าร่วมงาน โดยหลังจากนั้นเธอเปลี่ยนชื่อเป็น อิซุมิ ซะกะอิ () เพื่อตัดประสบการณ์ในอดีต เธอได้ก่อตั้งวงซาร์ดขึ้นมา และได้ออกซิงเกิล กูด-บายมายโลนลีเนส (Good-bye My Loneliness) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ในขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของสมาชิกร่วมวง เพลงนี้ได้นำไปประกอบละครโทรทัศน์ของฟูจิทีวี ที่ชื่อ เก็กกงโนะริโซโตะเก็งจิสึ () ที่นำแสดงโดยมิซาโอะ ทานากะ เพลงนี้ประสบความสำเร็จมากและขึ้นถึงอันดับ 9 ในชาร์ตโอริคอน", "title": "ซาร์ด" } ]
[ { "docid": "42702#5", "text": "ใน พ.ศ. 2538 ซิงเกิล มายเฟรนด์ เป็นซิงเกิลที่สองของซาร์ดที่ทำยอดขายรวมได้มากกว่า 1 ล้านชุด โดยรวมแล้วตั้งแต่ซาร์ดเข้าวงการจนถึงปัจจุบัน ซาร์ดมีซิงเกิลทั้งสิ้น 11 ซิงเกิลที่ขึ้นถึงอันดับหนึ่งบนชาร์ตโอริคอน และสตูดิโออัลบั้มจำนวน 6 อัลบั้มที่ขึ้นถึงอันดับหนึ่ง นั่นคือตั้งแต่อัลบั้มยุเระรุโอะโมะอิ โอมายเลิฟ (Oh My Love) ซึ่งเป็นอัลบั้มอันดับหนึ่งลำดับที่ 500 ตั้งแต่มีการจัดอันดับชาร์ตโอริคอน จนถึงอัลบั้ม โทคิโนะสึบาสะ () ก่อนที่จะมาร่วงในอัลบั้มที่ 10 โทมัตเตอิตา โทเคอิกาอิมาอุโกคิดาชิตา () ซึ่งทำอันดับได้สูงสุดอันดับ 2", "title": "ซาร์ด" }, { "docid": "42702#3", "text": "ซาร์ดทำยอดขายในสองซิงเกิลต่อมาได้ไม่ดีนัก จนมาถึงซิงเกิลที่สี่ เนะมุเรไนโยะรุโวะไดเตะ () ที่แนวเพลงเริ่มแตกต่างจากสามซิงเกิลแรก เนื่องจากการที่เพลงนี้เป็นเพลงแนวร็อก ทำให้เพลงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ในมิวสิกวีดิโอภาพ ที่เดิมดูมืดในมิวสิกวิดีโอก่อน ๆ ก็เริ่มสว่างมากขึ้น เพลงนี้ทำยอดขายไปได้ประมาณ 440,000 ชุด และทำให้ซาร์ดปรากฏตัวทางโทรทัศน์หลายครั้ง ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของการปรากฏตัวทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการของซาร์ด ล้วนมีการร้องเพลงนี้ทั้งสิ้น ในการปรากฏตัวครั้งหนึ่ง คะซุโยะชิ โมริตะ (เรียกสั้น ๆ ว่า \"ทาโมริ\") พิธีกรรายการมิวสิกสเตชัน ซึ่งเป็นรายการร้องเพลงสดทางโทรทัศน์ของนักร้องในประเทศญี่ปุ่น ได้ถามซะกะอิว่าเหตุใดจึงใช้เวลานานกว่าจะได้มาปรากฏตัวในรายการ เธอตอบว่าเพื่อให้ยอดขายอัลบั้มประสบผลสำเร็จ เธอจึงไม่อยากมาปรากฏตัวเพื่อโปรโมตเพลงของเธอก่อนกำหนดวางขายซิงเกิลของ ซาร์ด", "title": "ซาร์ด" }, { "docid": "42702#4", "text": "จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในวงการเพลงของซาร์ดคือซิงเกิลใน พ.ศ. 2536 ด้วยซิงเกิล มะเกะไนเดะ () ซึ่งเพลงนี้ถูกนำไปใช้ในละครโทรทัศน์ญี่ปุ่นเรื่อง เรโกะ ฉันนั้นหรือสวย เฉียบ เนี้ยบ และเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตลาดหุ้น Nikkei 225 ตกต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี เพลงนี้จึงกลายเป็นเพลงที่ได้รับความรู้จักอย่างรวดเร็วในฐานะเพลงประจำยุค เศรษฐกิจตกต่ำ เพลงนี้ขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ตโอริคอนเป็นครั้งแรก ด้วยยอดขายกว่า 1.6 ล้านก๊อปปี้ ไม่เพียงเท่านั้น เพลงนี้ยังถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบรายการพิเศษ 24 ชั่วโมงของนิปปอนเทเลวิชัน ซึ่งเป็นรายการประจำปีที่พิธีกรที่มีชื่อเสียงจะจัดรายการตลอดทั้งวัน ในปีเดียวกันซาร์ดออกซิงเกิลอีก 4 ซิงเกิลโดยมี 2 ซิงเกิลติดอันดับหนึ่งของชาร์ต คือ ยุเระรุโอะโมะอิ () และ คิตโตะวะซุเระไน () ก่อนที่เธอจะออกอัลบั้มยุเรรุโอะโมะอิ ที่มีทั้งเพลงมะเกะไนเดะและยุเระรุโอะโมะอิ อัลบั้มนี้ทำยอดขายได้ถึง 2 ล้านชุด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ซาร์ดทำยอดขายได้ถึงล้านชุด และอัลบั้มนี้ยังเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดประจำปี พ.ศ. 2536 อีกด้วย", "title": "ซาร์ด" }, { "docid": "826573#1", "text": "มารูนไฟฟ์เซ็นสัญญากับสังกัดอ็อกโทนเรเคิดส์ และออกอัลบั้มแรกในปี ค.ศ. 2002 ชื่อ\"ซองส์อะเบาต์เจน\" ออกเมื่อเดือนมิถุนายน ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มชื่อ \"ฮาร์ดเดอร์ทูบรีด\" ถูกเปิดบ่อยครั้ง และทำให้อัลบั้มขึ้นถึงอันดับที่ 6 บนชาร์ต\"บิลบอร์ด\" 200 ซิงเกิลที่สองและสาม \"ดิสเลิฟ\" และ \"ชีวิลบีเลิฟด์\" เป็นซิงเกิลยอดนิยมทั่วโลกในปี ค.ศ. 2004 อัลบั้มมีซิงเกิล 5 ซิงเกิล หลังจากนั้นสองสามปี วงทัวร์สนับสนุนอัลบั้ม\"ซองส์อะเบาต์เจน\" และออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสดสองจน ได้แก่ \"1.22.03.อะคูสติก\" (2004) และ\"ไลฟ์ – ฟรายเดย์เดอะเทอร์ทีนธ์\" (2005)", "title": "ผลงานเพลงของมารูนไฟฟ์" }, { "docid": "711931#7", "text": "มารูนไฟฟ์ออกเพลง \"ฮาร์ดเดอร์ทูบรีด\" ในสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002 เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มแรก ซิงเกิลติดชาร์ตในนิตยสาร\"แอร์เพลย์มอร์นิเตอร์\"ที่อันดับที่ 6 เพลงขึ้นอันดับที่ 18 บนชาร์ต\"บิลบอร์ด\"ฮอต 100 และปรากฏในชาร์ตฮอตโมเดิร์นร็อกแทร็กส์ของบิลบอร์ดที่อันดับ 31 ใน ค.ศ. 2002 ด้วย ขณะที่ยังเป็นซิงเกิลอิสระก่อนจะเข้าคลื่นวิทยุเชิงพาณิชย์ใน ค.ศ. 2003-04 มีเพลงนี้กับเพลง \"ดิสเลิฟ\" เท่านั้นที่ถูกเปิดในคลื่นวิทยุแนวออลเทอร์นาทีฟร็อก ขณะที่ซิงเกิลอื่น ๆ ของวงถูกเปิดเฉพาะในคลื่นเพลงป็อป และคลื่นเพลงผู้ใหญ่ร่วมสมัยเท่านั้น เนื่องจากมองว่ามารูนไฟฟ์เป็นวงดนตรีป็อปร็อก ไม่ใช่วงดนตรีออลเทอร์นาทีฟ ในต่างประเทศ \"ฮาร์ดเดอร์ทูบรีด\" ปรากฏในชาร์ตซิงเกิลแห่งสหราชอาณาจักรในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2004 ที่อันดับ 13 เพลงอยู่ในชาร์ตนาน 7 สัปดาห์ ซิงเกิลยังติดชาร์ตในประเทศเนเธอร์แลนด์ สวีเดน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ด้วย", "title": "ฮาร์ดเดอร์ทูบรีด" }, { "docid": "247628#6", "text": "ในประเทศนิวซีแลนด์ \"ไอแอม... ซาชาเฟียร์ส\" เปิดตัวอันดับที่ 16 และเมื่อ 2 ซิงเกิลแรกของโนวส์ \"If I Were a Boy\" และ \"Single Ladies (Put a Ring on It)\" เริ่มได้รับความนิยมอย่างมาก อัลบั้มก็ได้ขึ้นชาร์ตไปอยู่อันดับสูงสุดที่อันดับ 6 อัลบั้มได้รับรองยอดขายเป็นแพลตินัมหลังจากอยู่ 23 สัปดาห์บนชาร์ต และมียอดขายมากกว่า 15,000 ชุดจากผู้ขายปลีก ยอดขายอัลบั้มยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียงกันกับหนึ่งในซิงเกิลล่าสุดจากอัลบั้ม \"Sweet Dreams\" ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกจาก\"ไอแอม... ซาชาเฟียร์ส\" ที่ติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตของประเทศนิวซีแลนด์ และด้วยการวางจำหน่ายอีกครั้งของอัลบั้มในรูปแบบ\"ฉบับแพลตินัม\" ทำให้อัลบั้มขึ้นอันดับสูงสุดอันดับใหม่ อยู่ที่อันดับสามในสัปดาห์ที่ 39 บนชาร์ต", "title": "ไอแอม... ซาชาเฟียร์ส" }, { "docid": "212336#5", "text": "เดสทินีส์ไชลด์มีซิงเกิลแรกคือเพลง \"คิลลิงไทม์\" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง \"เม็นอินแบล็ค\" ไม่นานก็ได้ออกอัลบั้มชุดแรกโดยใช้ชื่อเหมือนชื่อวงคือ \"เดสทินีส์ไชลด์\" ในปี 1998 ซิงเกิลแรกเพลง \"โน,โน,โน\" ได้รับ 3 รางวัลจากเวทีงานประกาศผลรางวัลโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดส อัลบั้มนี้ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก จนมาถึงอัลบั้ม \"เดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์\" ในปี 1999 อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 13 ล้านชุดทั่วโลก ซิงเกิลที่ออกมาล้วนเป็นที่นิยมเช่นเพลง \"บิลส์, บิลส์, บิลส์\" ซิงเกิลอันดับ 1 เพลงแรก และเพลง \"จัมพิน', จัมพิน'\" รวมถึงเพลงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงจนถึงปัจจุบันนี้อย่างเพลง \"เซย์มายเนม\" ซึ่งในปีนั้นคว้ารางวัลแกรมมีมาถึง 2 รางวัล จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอเป็นที่จับตามองของสื่อและผู้คนมากมาย ในฐานะกลุ่มศิลปินหญิงหน้าใหม่ในยุคนั้น", "title": "เดสทินีส์ไชลด์" }, { "docid": "319781#0", "text": "สึบะซะโวะฮิโระเงะเตะ/อะอิวะคุระยะมิโนะนะกะเดะ () เป็นซิงเกิลลำดับที่ 44 ของซาร์ด และเป็นซิงเกิลที่สองที่ออกจำหน่ายหลังการเสียชีวิตของอิซุมิ ซะกะอิ ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551 ในสองฉบับคือฉบับลิมิเต็ตพร้อมดีวีดี มีรหัสซีดี JBCJ-6011 และฉบับธรรมดาในรหัสซีดี JBCJ-6012 โดยมีเพลงหลักสองเพลง ได้แก่ สึบาสะโวะฮิโระเงะเตะ ซึ่งเป็นเพลงที่ตนเองนำมาร้องหลังจากแต่งเพลงให้กับวงดีน (DEEN) ส่วนไอวะคุระยะมิโนะนะกะเดะ เป็นเพลงที่นำกลับมาเรียบเรียงใหม่ ซึ่งทั้งสองเพลงต่างก็นำไปใช้ในการออกอากาศยอดนักสืบจิ๋วโคนันทั้งคู่", "title": "สึบะซะโวะฮิโระเงะเตะ/อะอิวะคุระยะมิโนะนะกะเดะ" }, { "docid": "41010#3", "text": "ทันทีหลังจากเป็นผู้ชนะในดิเอกซ์แฟกเตอร์ วอร์ดออกซิงเกิลแรกกับสังกัดไซโคมิวสิก \"แดตส์มายโกล\" ออกขายในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2005 ในสัปดาห์แรกมียอดขาย 742,000 ชุด ซึ่งในวันแรกมียอดขาย 313,000 ก๊อปปี้ และกลายเป็นเพลงอันดับ 1 ในช่วงวันหยุดคริสต์มาส ปี ค.ศ. 2005 ซิงเกิลนี้ขึ้นอันดับ 1 กว่า 4 สัปดาห์และติดอันดับ 75 เพลงยอดนิยม เป็นเวลากว่า 21 สัปดาห์ มันกลายเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดอันดับ 3 รองจาก \"แคนเดิลอินเดอะวินด์\" ของเอลตัน จอห์น และ \"เอเวอร์กรีน\" ของวิล ยัง ซึ่งขายได้ 685,000 และ 400,000 ก๊อปปี้ ตามลำดับ และเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550 มียอดขาย 1.3 ล้านชุดในสหราชอาณาจักร วอร์ดยังได้รับรางวัลอิวอร์โนเวลอวอร์ด ในสาขาซิงเกิลเดี่ยวมียอดขายยอดเยี่ยม \"โนพรอมิสเซส\" คือซิงเกิลที่ 2 ออกจำหน่ายวันที่ 10 เดือนเมษายน ค.ศ. 2006 สามารถขึ้นถึงอันดับ 2 ในชาร์ตซิงเกิลแห่งสหราชอาณาจักร", "title": "เชน วอร์ด" } ]
3116
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เป็นของรัฐหรือไม่ ?
[ { "docid": "12218#0", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา () เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่วังสวนสุนันทา อันเคยเป็นเขตพระราชฐานของพระราชวังดุสิตในรัชกาลที่ 5 มาก่อน นักเรียนและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาทุกคนจะใช้คำแทนตัวเองว่า \"ลูกพระนาง\" ซึ่งพระนางในที่นี้หมายถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว\nมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีรากฐานมาจากการสถาปนา \"โรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย\" เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 เปิดสอน ประกาศนียบัตรประโยคครูประถม (ป.ป.) ต่อมาจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยครูสวนสุนันทา\" ในปี พ.ศ. 2518 ตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ. 2518 เปิดสอนถึงระดับปริญญาตรี หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852308#0", "text": "วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (อังกฤษ:College of Innovation and Management, Suansunandha Rajabhat University)  เป็นส่วนราชการไทยเทียบเท่าระดับคณะวิชา อยู่ในกำกับของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการศึกษาสำหรับผู้ใหญ่ที่ขาดโอกาสทางการศึกษาทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ดารา นักแสดง และผู้ประกอบการ ที่มีกิจการของตัวเองหรือมีหน้าที่การงานระดับผู้บริหาร", "title": "วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "12218#4", "text": "ครั้นถึงปี พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ในสวนสุนันทาหวั่นเกรงภัยจากการเมือง จึงได้ทะยอยกันออกไปจากสวนสุนันทาจนหมดสิ้น บางพระองค์ได้เสด็จออกไปอยู่หัวเมืองและหลายพระองค์เสด็จลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ โรงเรียนนิภาคารจึงเลิกดำเนินการไปโดยปริยาย นับแต่นั้นมาสวนสุนันทาที่เคยงดงามก็ถูกทอดทิ้ง ขาดการดูแลเอาใจใส่ ตำหนักต่างๆ ชำรุดทรุดโทรมเป็นอันมาก พื้นที่ภายในรกร้างว่างเปล่า ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เห็นว่าสวนสุนันทาถูกทอดทิ้งรกร้างอยู่มิได้ทำประโยชน์ จึงเห็นสมควรให้นายกรัฐมนตรีได้ใช้ประโยชน์ เป็นที่อยู่อาศัยของรัฐมนตรีและผู้แทนราษฎร แต่สภาผู้แทนราษฎรขอเพียงพื้นที่ภายนอกกำแพงติดถนนสามเสนสร้างเป็นบ้านพักของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น คณะรัฐมนตรีจึงลงมติเห็นสมควรว่า ควรใช้สถานที่นี้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและมอบให้กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) ดำเนินการจัดตั้งให้เป็นสถานศึกษาของชาติ และสถานที่ศึกษานี้ให้ชื่อโดยคงชื่อเดิมของสถานที่ เพื่อเป็นอนุสรณ์ โดยขนานนามว่า \"โรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย\" เริ่มเปิดการศึกษามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบัน \nดั่งคำขวัญ มหาวิทยาลัยที่ว่าจากพระราชอุทยานสู่สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ในอนาคตอาจจะเป็นมหาวิทยาลัยสวนสุนันทา ตามเจตนารมของผู้บริหารและนักศึกษาต่อไป\nต้นแก้วเจ้าจอม เหตุที่ชื่อ “แก้วเจ้าจอม” เพราะเป็นไม้ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5 ในครั้งรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริสร้างสวนสุนันทาขึ้นเป็นที่ ระลึกถึงพระมเหสี คือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ปัจจุบันต้นกำเนิดต้นนี้มีอายุมากกว่า 100 ปี และมีอยู่ต้นเดียวในประเทศไทย เป็นต้นไม้หายาก ตามประวัติศาสตร์ระบุว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) ทรงได้พันธุ์มาเมื่อคราวเสด็จประพาสประเทศอินโดนีเซีย มาปลูกไว้ในวังสวนสุนันทา ปัจจุบันคือ “มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา” ต้นแก้วเจ้าจอม มีลักษณะใบประกอบ 2 คู่ ได้ถูกจัดลำดับเป็นพันธุ์พืชอนุรักษ์ในบัญชี 2 ภายใต้พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2525\nสถาบันสร้างสรรค์และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (สสสร.) ,Institute of Lifelong Learning Promotion and Creative เป็นสถาบันย่อยของมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์และพันธกิจของมหาวิทยาลัย ในการพัฒนาศักยภาพด้านภาษาและส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อการแข่งขันและสนองตอบความต้องการของสังคม เป็นการผลักดันให้มหาวิทยาลัยเป็นที่ยอมรับในฐานะ \"มหาวิทยาลัยชั้นนำ\" ได้มีโครงการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์เผยแพร่ภาพและเสียงผ่านระบบ Internet Protocol Television ในชื่อช่อง \"SSRU TV Online\" (Online ในที่นี่หมายถึง TV Streaming) ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการดำเนินการผลิตรายการและเตรียมความพร้อมในการออกอากาศ โดยได้ทดลองออกอากาศแล้วผ่านเว็บไซต์ SSRU TV Online", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" } ]
[ { "docid": "852266#3", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ที่จะช่วยตอบสนองนโยบายของรัฐในการผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาพของประชาชน ตลอดจนความเสมอภาคของประชาชน ในการได้รับการบริการสุขภาพ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป", "title": "วิทยาลัยพยาบาลและสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852266#0", "text": "วิทยาลัยพยาบาลและสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (อังกฤษ:College of Nursing and Health, Suansunandha Rajabhat University)  เป็นส่วนราชการไทยเทียบเท่าระดับคณะวิชา ในกำกับของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการผลิตบัณฑิตสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์และสาขาวิชาด้านสุขภาพ ที่มีความรู้และความสามารถทั้งทางด้านทฤษฏีและด้านปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ มีคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิตและประกอบวิชาชีพ มีภาวะผู้นำและมีทักษะในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารและการทำงานในระดับสากล", "title": "วิทยาลัยพยาบาลและสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "12218#14", "text": "สืบเนื่องจากโครงการความร่วมมือทางวิชาการในกลุ่มประชาคมอาเซียน ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาและมหาวิทยาลัยในอาเซียนอีก 9 ประเทศได้ตกลงกันไว้ในคราวประชุมครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2558 กรุงเทพฯ และครั้งที่2 พ.ศ. 2559 ที่สิงคโปร์ โดยจะมีครั้งที่ 3 ปลายปีนี้ที่พนมเปญ กัมพูชา ภายใต้ชื่อโครงการ Triple A (AAA: ASEAN Academic Aliance) ตามแนวคิดของนายกร ทัพพะรังสี นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนุนันทา", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852285#3", "text": "จังหวัดอุดรธานีประกอบกับแนวความคิดผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี (อบจ.) ได้สอดคล้องตรงกับปรัชญาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาที่ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งการศึกษาที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการพัฒนาและผลิตบัณฑิตที่มีความรู้และความสามารถในสาขาวิชาชีพต่างๆ  ออกไปสู่สังคมไทยมาโดยตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 6 ศวรรษเท่านั้น  หากแต่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทายังได้มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมในลักษณะอื่นๆ อีกมากมายกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ให้แก่แวดวงวิชาการ  การทำนุบำรุงและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ  รวมทั้งการบริการวิชาการต่างๆ ให้กับสังคมไทย เหตุผลเพราะ\nเหตุผลการก่อตั้งเป็น \"ศูนย์การศึกษาจังหวัดอุดรธานี\"\nดังนั้น จังหวัดอุดรธานี และผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จึงมีแผนพัฒนาเบื้องต้นโดยการจัดตั้งเป็นศูนย์นอกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา(ศูนย์กลาง)ในจังหวัดอุดรธานีขึ้น  แล้วยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขตอุดรธานี และพัฒนาต่อเนื่องเป็นมหาวิทยาลัยอุดรธานีในอนาคต  โดยมุ่งเน้นให้มหาวิยาลัยอุดรธานี มีการจัดการเรียนการสอนที่โดดเด่นตรงกับยุทธศาสตร์จังหวัดอุดรธานีและงจังหวัดใกล้เคียงต่อไป", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดอุดรธานี" }, { "docid": "852494#0", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม (อังกฤษ :Suan Sunandha Rajabhat University, Samut Songkhram Campus) เป็นวิทยาเขตในสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา โดยพัฒนาให้เป็นศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุข ตั้งอยู่ที่ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม" }, { "docid": "852507#0", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดระนอง (อังกฤษ :Suan Sunandha Rajabhat University, Ranong Campus) เป็นวิทยาเขตในสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์การศึกษาวิจัยและพัฒนาวิชาการด้าน สุขภาพการท่องเที่ยวและการโรงแรมและที่พำนักระยะยาว สปา สมุนไพร และเป็นที่ฝึกประสบการณ์วิชาชืพ และในอนาคตทางมหาวิทยาลัยจะพัฒนาศักยภาพสร้างเป็นโรงแรม รีสอร์ท การพำนักระยะยาว ที่มีการสปา สมุนไพร การพยาบาล การบำบัด การดูแลสุขภาพของผู้เข้าพำนักด้วย โดยเน้นจัดการเรียนการสอนในด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและด้านโรงแรมและที่พัก พร้อมสาขาวิชาอื่น ๆด้วย ตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ตำบลหงาว อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดระนอง" }, { "docid": "780758#0", "text": "คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (อังกฤษ: Faculty of Education, Suansunandha Rajabhat University) ถือกำเนิดมาจากโรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 ต่อมาได้พัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 นับเป็นคณะแรกของมหาวิทยาลัย\nธ เนรมิตกลิ่นแก้วการศึกษา\nคือคุณค่าครุศาสตร์ปราชญ์แผ่นดิน\nองอาจปราดเปรื่องเป็นทรัพย์สิน\nกำจายกลิ่นครุศาสตร์ดาษดา\nปรัชญานิยมล้ำลึกศึกษา\nรับใช้ประชาเป็นเรือจ้างสร้างชาติไทย\nเปี่ยมประเสริฐงามงดสดใส\nรักษาไว้ชีพพร้อมยอมพลี\nสร้างคุณค่าเทิดรักศักดิ์ศรี\nหอมทวีกลกลิ่นแก้วจุลจอม", "title": "คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" }, { "docid": "852507#2", "text": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จึงได้จัดทำโครงการจัดตั้ง \"ศูนย์การศึกษาและวิจัยสุขชีวศาสตร์สุขภาพ\" ขึ้น เพื่อตอบสนองนโยบายเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ และพันธกิจของมหาวิทยาลัยในการยกคุณภาพมาตรฐานชุมชน และท้องถิ่นของประเทศพร้อมทั้งมหาวิทยาลัยมีความพร้อมและประสบการณ์ในการเรียนการสอนกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก) สาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เทคโนชีวภาพ คหกรรมศาสตร์ อุตสาหกรรมอาหารและการบริการ การโรงแรมและการท่องเที่ยวมานาน พร้อมทั้งจะเปิดการเรียนการสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ขึ้นในขณะนั้น นอกจากการจัดการเรียนการสอนแล้ว มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องทำการวิจัยและพัฒนาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะการพัฒนาภูมิปัญญาไทยสู่มาตรฐานสากล ทั้งด้านสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ การพยาบาล การแพทย์แผนไทยประยุกต์ น้ำอบและสมุนไพร สะปาชาววัง น้ำแร่ และอาหารไทย เป็นต้น", "title": "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดระนอง" } ]
3120
จังหวัดลพบุรีจัดอยู่ในภูมิภาคใดของประเทศไทย?
[ { "docid": "5358#0", "text": "จังหวัดลพบุรี เป็นจังหวัดในภาคกลางของประเทศไทย แบ่งการปกครองออกเป็น 11 อำเภอ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดอื่นถึง 8 จังหวัด วนตามเข็มนาฬิกาจากทิศเหนือ ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา สระบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี และจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดลพบุรีเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้", "title": "จังหวัดลพบุรี" }, { "docid": "5358#6", "text": "จังหวัดลพบุรีตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ระหว่างเส้นรุ้งที่ 14 องศา 48 ลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 100 องศา 25 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางเหนือตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ประมาณ 155 กิโลเมตร หรือทางรถไฟสายเหนือประมาณ 133 กิโลเมตร มีพื้นที่ 6,586.67 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,116,668 ไร่", "title": "จังหวัดลพบุรี" }, { "docid": "5380#1", "text": "จังหวัดสิงห์บุรีตั้งอยู่ภาคกลางของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานคร 142 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 822.478 ตารางกิโลเมตร หรือ 514,049 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไป เป็นที่ราบลุ่มและพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้น ซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนริมแม่น้ำเป็นอย่างมาก มีแม่น้ำสำคัญไหลผ่าน 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย และแม่น้ำลพบุรี นอกจากนี้ยังมีลำน้ำสายอื่น ๆ คือ ลำแม่ลา ลำการ้อง ลำเชียงราก และลำโพธิ์ชัย ไม่มีพื้นที่เป็นภูเขาและป่าไม้และไม่มีแร่ธาตุที่สำคัญ", "title": "จังหวัดสิงห์บุรี" }, { "docid": "5358#19", "text": "ในบรรดา 4 จังหวัดกลุ่มภาคกลางตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรีถือเป็นหัวขบวนทางเศรษฐกิจ และจัดอยู่ในเขตส่งเสริมการลงทุน เขต 3 ที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานส่งเสริมการลงทุนสูงสุด ทำให้มีโรงงานอุตสาหกรรมถึง 776 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร อาหาร และเครื่องจักรกล มีแรงงานในภาคอุตสาหกรรมกว่า 50,000 คน ซึ่งแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสามารถสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดได้ถึง 1 ล้านบาทต่อคนต่อปี", "title": "จังหวัดลพบุรี" } ]
[ { "docid": "312090#1", "text": "เทศบาลเมืองลพบุรีตั้งอยู่ในอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำลพบุรี มีพื้นที่ในความรับผิดชอบประกอบด้วยพื้นที่ตำบลท่าหินและบางส่วนของตำบลทะเลชุบศร มีพื้นที่ 6.85 ตารางกิโลเมตร หรือ 3,836 ไร่ลพบุรีเป็นเมืองแห่งความหลากหลายและต่อเนื่องทางวัฒนธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน ค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) ลพบุรีอยู่ใต้อำนาจมอญและขอมจนกระทั่งในตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ 19 คนไทยจึงเริ่มมีอำนาจขึ้นในดินแดนแถบนี้ ในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ลพบุรีมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง กล่าวคือพระเจ้าอู่ทองได้โปรดให้พระราเมศวร ราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จมาครองเมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ. 1893 พระราเมศวรโปรดให้สร้างป้อม ขุดคู และสร้างกำแพงเมืองอย่างมั่นคง เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคตใน พ.ศ. 1912 พระราเมศวรต้องถวายราชบัลลังก์ให้แก่พระปิตุลาของพระองค์ ซึ่งได้ขึ้นครองราชย์พระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 1 ส่วนพระราเมศวรครองเมืองลพบุรีสืบต่อไป จนถึง พ.ศ. 1931 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 สวรรคต พระราเมศวรจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง", "title": "เทศบาลเมืองลพบุรี" }, { "docid": "5358#26", "text": "ปัจจุบัน จังหวัดลพบุรีเป็นที่ตั้งของกองกำลังทั้งทหารบกและทหารอากาศหลายหน่วย เป็นศูนย์กลางทางด้านการทหาร กองกำลังทางการรบ ซึ่งจังหวัดลพบุรีนั้นมีภูมิประเทศที่เหมาะสมคืออยู่ในเขตตอนกลางของประเทศจึงทำให้เป็นศูนย์กลางทางด้านการทหารซึ่งสามารถที่กระจายหรือแจกจ่ายกำลังพล อาวุธยุทธโทปกรณ์ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้งสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และนอกจากนั้นได้มีการวางผังเมืองใหม่และตั้งหน่วยทหารขึ้นมาในเมืองลพบุรี ซึ่งมีหน่วยทหารที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์การทหารปืนใหญ่, ศูนย์การบินทหารบก, หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ, ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร, หน่วยรบพิเศษ เป็นต้น ดังนั้นเมืองลพบุรีจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองทหารเพราะมีหน่วยทหารที่สำคัญตั้งอยู่ถึง 11 หน่วย ลพบุรีในปัจจุบันจึงเป็น \"เมืองเศรษฐกิจ เมืองท่องเที่ยว ศูนย์การศึกษาของภาคกลางตอนบน และยังเป็นเมืองทหารอีกด้วย\"", "title": "จังหวัดลพบุรี" }, { "docid": "5358#27", "text": "จังหวัดลพบุรี เป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้นจึงถูกเลือกให้เป็นที่มั่นแห่งที่ 2 ของประเทศมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา การพัฒนาด้านการทหารของจังหวัดลพบุรี ปรากฏว่าเด่นชัดในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชื่อจริงคือ แปลก พิบูลสงคราม ตอนที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีทำให้กิจการด้านการทหารของลพบุรีมีความสำคัญมากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร ในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ราว พ.ศ. 2480 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้พัฒนาเมืองลพบุรี ให้เป็นศูนย์กลางทางการทหาร และมีการวางผังเมืองใหม่ โดยแยกชุมชนและสถานที่ราชการออกจากเมืองเก่า ทำให้ดูสง่างามกว่าเดิมและได้สร้างสิ่งก่อสร้างศิลปะแบบอาร์ตเดโด ขึ้นหลายแห่ง เช่น ตึกชาโต้ ตึกเอราวัณ โรงภาพยนตร์ ทหารบก เป็นต้น ลพบุรีจึงเป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง ที่อุดมด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ชาติไทยและมีความเป็นอมตะนคร ไม่หายไปจากความทรงจำของทุกยุคทุกสมัย และมีการวางผังเมืองใหม่ โดยย้ายศาลากลางจังหวัดจากบริเวณพระนารายณ์ราชนิเวศน์มายังสถานที่ตั้งในปัจจุบัน น่าภูมิใจในจังหวัดลพบุรี นอกจากได้ชื่อว่าเป็นเมืองทหาร ซึ่งมีทหารบกหลายเหล่าได้แก่ เหล่าทหารราบ เหล่าปืนใหญ่ หน่วยรบพิเศษ และทหารอากาศ ได้แก่ กองบิน 2 และสนามฝึกซ้อมใช้อาวุธม่วงค่อมแล้ว นอกจากนี้ลพบุรียังมีสนามบินของกองทัพบกและกองทัพอากาศอยู่หลายที่ ลพบุรียังชื่อได้ว่าเป็นศูนย์กลางการบินเฮลิคอปเตอร์ของไทยอีกด้วย เพราะศูนย์กลางการบินเฮลิคอปเตอร์ทั้งทหารบกและทหารอากาศ ต่างตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี", "title": "จังหวัดลพบุรี" }, { "docid": "289550#2", "text": "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ \n\"ลพบุรี\" ได้ชื่อว่าเป็น \"เมืองทหาร\" เพราะมีหน่วยงานทหารตั้งเรียงรายในพื้นที่จำนวนมาก และหน่วยงานทหารบางแห่งก็เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา อาทิเช่น\nจังหวัดลพบุรีซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์ของประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และในปัจจุบันยังเป็นแหล่งที่ตั้งของหน่วยทหารต่างๆ มีความสำคัญมากเป็นอันดับสองของประเทศ และในปัจจุบันแต่ละสถานที่จึงจัดให้มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นในเขตทหาร อาทิเช่น", "title": "รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดลพบุรี" }, { "docid": "6941#0", "text": "จังหวัดนครสวรรค์ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในตอนบนของภาคกลาง หรือบางหน่วยงานจัดให้อยู่ในตอนล่างของภาคเหนือ จึงได้รับสมญานามว่าเป็น \"ประตูสู่ภาคเหนือ\" มีพื้นที่ประมาณ 9,597 ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์อีกจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย มีพื้นที่ติดต่อกับหลายจังหวัด ได้แก่ ด้านเหนือ ติดต่อกับจังหวัดพิจิตรและกำแพงเพชร ทางตะวันออกติดกับจังหวัดเพชรบูรณ์และลพบุรี ด้านใต้ติดกับจังหวัดสิงห์บุรี ชัยนาท และอุทัยธานี ส่วนด้านตะวันตกติดกับจังหวัดตาก", "title": "จังหวัดนครสวรรค์" }, { "docid": "5331#0", "text": "ราชบุรี เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตก โดยเป็นศูนย์กลางในด้านอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น มะพร้าว ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วง และการปศุสัตว์ของประเทศ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในด้านพลังงานของประเทศในปัจจุบัน โดยมีเมืองราชบุรีเป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และการคมนาคมในภูมิภาค ทิศเหนือติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ทิศใต้ติดต่อจังหวัดเพชรบุรี ทิศตะวันออกติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดนครปฐม และทิศตะวันตกติดต่อประเทศพม่าราชบุรี ดินแดนวัฒนธรรมลุ่มน้ำแม่กลองและสายหมอกแห่งขุนเขาตะนาวศรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางด้านตะวันตกที่มีภูมิประเทศหลากหลาย จากพื้นที่ที่ราบต่ำ ลุ่มแม่น้ำแม่กลองอันอุดม แหล่งเพาะปลูกพืชผักผลไม้เศรษฐกิจนานาชนิด สู่พื้นที่สูงทิวเทือกเขาตะนาวศรีทอดตัวยาวทางทิศตะวันตกจรดชายแดนไทย-พม่า", "title": "จังหวัดราชบุรี" } ]
3129
อิสราเอล มีเมืองหลวงชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "3835#0", "text": "ประเทศอิสราเอล (; ; ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รัฐอิสราเอล (; ; ) เป็นประเทศในตะวันออกกลางบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายฝั่งเหนือของทะเลแดง มีเขตแดนทางบกติดต่อกับประเทศเลบานอนทางทิศเหนือ ประเทศซีเรียทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศจอร์แดนทางทิศตะวันออก ดินแดนเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ทางทิศตะวันออกและตะวันตกตามลำดับ และประเทศอียิปต์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศอิสราเอลมีภูมิลักษณ์หลากหลายแม้มีพื้นที่ค่อนข้างเล็ก เทลอาวีฟเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ ส่วนที่ตั้งรัฐบาลและเมืองหลวงตามประกาศคือ เยรูซาเลม แม้อำนาจอธิปไตยของรัฐเหนือเยรูซาเลมยังไม่มีการรับรองในระดับนานาประเทศ", "title": "ประเทศอิสราเอล" } ]
[ { "docid": "181740#0", "text": "นาซาเรธ (; สัทอักษรสากล: ) (, ฮีบรู Natz'rat หรือ Natzeret; an-Nāṣira หรือ an-Naseriyye) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของเขตเหนือของอิสราเอล เป็นเสมือนเมืองหลวงของอาหรับสำหรับชาวอาหรับในประเทศอิสราเอล ผู้ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในนาซาเรธ ในพันธสัญญาใหม่ นาซาเรธถูกอธิบายว่าเป็นบ้านเกิดของพระเยซูคริสต์ และ เป็นสถานที่ในการเดินทางแสวงบุญของชาวคริสต์ทั้งปวง", "title": "นาซาเรธ" }, { "docid": "240146#0", "text": "เอเคอร์ หรือ อักโก () เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของบริเวณกาลิลีทางตอนเหนือของอิสราเอล ตัวเมืองตั้งอยู่บนแหลมหรือแผ่นดินที่ยื่นออกไปในทะเล (promontory) ของอ่าวไฮฟา (Haifa Bay) ตามสถิติของสำนักงานสถิติกลางแห่งอิสราเอล เอเคอร์มีประชากรทั้งหมดราว 46,000 คนในปลายปี ค.ศ. 2007 ในทางประวัติศาสตร์เอเคอร์เป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ของบริเวณเลแวนต์ (Levant) เพราะมีที่ตั้งอยู่ริมทะเล", "title": "เอเคอร์ (อิสราเอล)" }, { "docid": "431818#0", "text": "ฮาราเร (ก่อน พ.ศ. 2525 ชื่อ ซอลส์บรี) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศซิมบับเว ใน พ.ศ. 2552 มีการประเมินประชากรไว้ที่ 1,606,000 คน โดยมี 2,800,000 คนในเขตปริมณฑล (พ.ศ. 2549) ในทางการปกครอง ฮาราเรเป็นนครอิสระมีฐานะเทียบเท่าจังหวัด เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางการปกครอง พาณิชย์และการสื่อสารของประเทศซิมบับเว นครนี้เป็นศูนย์กลางการค้ายาสูบ ข้าวโพด ฝ้ายและผลไม้สกุลส้ม การผลิตมีทั้งสิ่งท่อ เหล็กกล้าและเคมีภัณฑ์ ตลอดจนมีการขุดทองในพื้นที่ ฮาราเรตั้งอยู่ที่ความสูง 1,483 เมตรจกระดับน้ำทะเล และภูมิอากาศจัดอยู่ในประเภทอุณหภูมิอบอุ่น", "title": "ฮาราเร" }, { "docid": "537905#0", "text": "เบียร์ชีบา () หรือ เบเอร์เชวา () เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทะเลทรายเนเกฟ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิสราเอล มักเรียกว่า \"เมืองหลวงแห่งเนเกฟ\" เป็นเมืองมีประชากรมากเป็นอันดับ 7 ของอิสราเอล มีประชากร 196,355 คน เบียร์ชีบาเป็นเมืองสำคัญในศตวรรษที่ 19 เมื่อชาวออตโตมันสร้างสถานีตำรวจที่นี่", "title": "เบียร์ชีบา" }, { "docid": "747166#0", "text": "อันนาศิรียะฮ์ () เป็นนครในประเทศอิรัก ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำยูเฟรทีส ตั้งห่างจากกรุงแบกแดดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 225 ไมล์ (370 กม.) อยู่ใกล้กับโบราณสถานเมืองอูร์ เป็นเมืองหลวงของเขตผู้ว่าการษีกอร ในปี ค.ศ. 2003 มีประชากรราว 560,000 คน ทำให้เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศอิรัก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ประชากรนับถือหลากหลายศาสนา คือ เป็นชาวมุสลิม ยิว มันดาอี แต่ปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายชีอะฮ์", "title": "อันนาศิรียะฮ์" }, { "docid": "3835#30", "text": "ขณะเดียวกัน รัฐบาลเบกินจัดสิ่งจูงใจแก่ชาวอิสราเอลให้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์ ทำให้เพิ่มความตึงเครียดกับชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ มีการผ่านกฎหมายหลักพื้นฐาน เยรูซาเลม เมืองหลวงของอิสราเอล ในปี 1980 ซึ่งบางคนเชื่อว่ายืนยันการผนวกเยรูซาเลมของอิสราเอลในปี 1967 ด้วยกฤษฎีกาของรัฐบาล และจุดชนวนกรณีพิพาทระหว่างประเทศเหนือสถานภาพของนคร ไม่มีกฎหมายอิสราเอลฉบับใดนิยามดินแดนอิสราเอลและไม่มีรัฐบัญญัติใดเจาะจงรวมเยรูซาเลมตะวันออกในเยรูซาเลมด้วย จุดยืนของรัฐสมาชิกสหประชาชาติมีการสะท้อนในข้อมติหลายข้อมติซึ่งประกาศว่าการกระทำของอิสราเอลในการตั้งถิ่นฐานพลเมืองในเวสต์แบงก์ และกำหนดกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดินต่อเยรูซาเลมตะวันออก มิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลสมบูรณ์ ในปี 1981 อิสราเอลผนวกที่ราบสูงโกลัน แม้การผนวกนั้นไม่ได้รับการรับรองของนานาชาติ ความหลากหลายของประชากรของอิสราเอลเพิ่มขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1980 ถึง 1990 ยิวเอธิโอเปียหลายระลอกเข้าเมืองอิสราเอลตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 ส่วนระหว่างปี 1990 และ 1994 การเข้าเมืองจากรัฐหลังโซเวียตเพิ่มประชากรของอิสราเอลร้อยละ 12", "title": "ประเทศอิสราเอล" }, { "docid": "502041#0", "text": "อิสฟาฮาน หรือ เอสฟาฮาน ( \"Esfahān\") เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอิสฟาฮาน ประเทศอิหร่าน ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเตหะรานทางทิศใต้ราว 340 กม. มีประชากร 1,583,609 คน เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิหร่าน รองจากเตหะรานและมัชฮัด ตรงใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของไมดานอิชาห์ จตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกและแสดงให้เห็นสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของอิหร่านและอิสลาม เมืองได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก", "title": "อิสฟาฮาน" }, { "docid": "320358#2", "text": "อับราฮัมมีลูกด้วยกันสองคน คนแรกคือ อิสมาเอล (yismael) ที่เกิดกับหญิงทาสชื่อว่า นางฮาการ์ (hagar) คนที่สองคือ อิสอัค (ishak)หรือไอเซ๊ด (Issic) ที่เกิดกับซาราห์ (sarah) ภรรยาของท่าน ซึ่งอับราฮัมได้วิงวอนต่อพระเจ้าที่มีชื่อเรียกว่ายะโฮวา(Jehovah) ขอให้ทรงเพิ่มพูนลูกหลานของท่านให้มากมายดั่งเม็ดทรายในทะเล และดวงดาวในท้องฟ้าและในกาลถัดมา ได้ปรากฏว่า เชื้อสายของอิสมาเอลที่อพยพไปทางใต้หรือแหลมอาระเบีย ได้กลายเป็นต้นตระกูลของชาวอาหรับทั้งหมด ส่วนเชื้อสายของอิสอัคนั้น เป็นต้นตระกูลของชาวอิสราเอล โดยอิสอัคมีลูกด้วยกันสองคนคือ เอซาว(esau) และยาโคบ (jacob)หรืออิสราเอล", "title": "ประวัติศาสตร์อิสราเอล" }, { "docid": "924499#0", "text": "ซาอิส (อาหรับ: صاالحجر; กรีกโบราณ: Σάϊς; คอปติก: ⲥⲁⲓ) หรือ ซา เอล ฮาการ์ เป็นเมืองของอียิปต์โบราณในแถบแม่น้ำไนล์ฝั่งตะวันตกบนดินดอนปากแม่น้ำไนล์ มันเป็นเมืองหลวงของเมือง ซาป-เมฮ์ ในอียิปต์ล่าง และกลายเป็นเมืองหลวงศูนย์รวมอำนาจในราชวงศ์ยี่สิบสี่แห่งอียิปต์โบราณ (732-720 ปีก่อนคริสตกาล) และราชวงศ์ที่ยี่สิบหกแห่งอียิปต์โบราณ (664- 525 ปีก่อนคริสตกาล) ในช่วงยุคปลาย ชื่ออียิปต์โบราณเรียกเมืองนี้ว่า ซาอู", "title": "ซาอิส" } ]
3138
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นของเอกชนหรือไม่ ?
[ { "docid": "397829#5", "text": "ในปีพุทธศักราช 2540 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้รับพระราชบัญญัติรับรองสถานภาพความเป็นนิติบุคคลของมหาวิทยาลัย และมีพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัย เรียกชื่อว่า พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2540 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2540 และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่มที่ 114 ตอนที่ 51 ก ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2540", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์" }, { "docid": "12339#0", "text": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) คือสถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาชั้นสูงในรูปแบบมหาวิทยาลัย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเพื่อถวายแด่คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย โดยเริ่มจัดการเรียนการสอนด้านพุทธศาสตร์เป็นสาขาแรก แล้วต่อมาได้ขยายการเรียนการสอนไปยังสาขาวิชาอื่นๆ คล้ายกับรูปแบบการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ที่เริ่มต้นจากสาขาด้านศาสนาแล้วขยายไปยังสาขาอื่นอีกมายมาย", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" } ]
[ { "docid": "12339#35", "text": "ในสมัยรัฐบาลถัดมาซึ่งมี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี นายนิพนธ์ ศศิธร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นำเอาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วในสมัยรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองฉบับมีชื่อว่า ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยและร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระราชบัญญัติแต่ละฉบับมี ๕๖ มาตรา สาระสำคัญยังคงเป็นเรื่องการรับรองสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัย ประเด็นที่น่าสนใจคือมาตรา ๔๑ ความว่า “ผู้สอนในมหาวิทยาลัยมีดังนี้ คือ (๑) ปวราจารย์ ซึ่งอาจเป็นปวราจารย์ประจำหรือ ปวราจารย์พิเศษ (๒) วราจารย์ (๓) อาจารย์ ซึ่งอาจเป็นอาจารย์ประจำหรืออาจารย์พิเศษ”", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#58", "text": "วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ นายปราโมทย์ สุขุม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางพร้อมคณะมาเยี่ยมชมกิจการของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อรับทราบปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานของมหาวิทยาลัยด้วยตนเอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยนำโดยพระสุเมธาธิบดี (บุญเลิศ ทตฺตสุทฺธิ) นายกสภามหาวิทยาลัย และพระอมรเมธาจารย์ (นคร เขมปาลี) อธิการบดี ที่ตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุฯ ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยได้ชี้แจงให้ทราบถึงปัญหาสำคัญที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยประสบอยู่ในขณะนั้น คือปัญหาเกี่ยวกับสถานภาพของมหาวิทยาลัยที่ยังไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและปัญหาหลายอย่างที่ตามมา โดยเฉพาะปัญหาด้านงบประมาณและการขยายการศึกษาให้สูงถึงระดับปริญญาโทและปริญญาเอก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการรับว่าจะสนับสนุนการดำเนินการเรื่องพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#61", "text": "คณะกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรมมอบหมายให้นายประเทือง เครือหงศ์ เลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างพระราชบัญญัติสถาบันมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหามกุฏราชวิทยาลัย มี ๗๕ มาตรา สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งมีสภามหาวิทยาลัยร่วมกันเพียงสภาเดียวเรียกว่า สภาสถาบันเหมือนกับสถาบันราชภัฏ ๓๖ แห่งที่มีสภาสถาบันเพียงสภาเดียว เมื่อยกร่างเสร็จแล้ว นายอำนวย สุวรรณคีรี ได้ส่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ถึงนายปราโมทย์ สุขุม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ และได้มีหนังสือลงวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ แจ้งให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทราบเรื่องร่างพระราชบัญญัตินี้เช่นกัน", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#139", "text": "ผลการประชุมพิจารณาในครั้งที่ ๓ นี้กล่าวเฉพาะในส่วนพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีประเด็นสำคัญที่ควรทราบคือ มาตราที่ ๖ ความเดิมวรรคหนึ่งมีว่า “ให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมหาวิทยาลัยหนึ่ง เรียกว่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเป็นนิติบุคคลอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์” คณะกรรมาธิการได้ขอแปรญัตติตัดคำว่า “อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์” ที่ประชุมพิจารณาเห็นว่า การจะให้มหาวิทยาลัยอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ควรเป็นไปตามพระราชวินิจฉัยขององค์พระมหากษัตริย์ การตรากฎหมายกำหนดให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นเรื่องไม่เหมาะสม เมื่อได้อภิปรายกันแล้ว ที่ประชุมมีมติให้ตัดคำว่า “อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์”ออกไป", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#34", "text": "คณะกรรมการชุดนี้ประชุม ๘ ครั้ง ได้ยกร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ ๒ ฉบับ คือพระราชบัญญัติมหามกุฎราชวิทยาลัยและพระราชบัญญัติมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวเฉพาะร่างพระราชบัญญัติมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น มี ๔๕ มาตรา สาระสำคัญคือการรับรองสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัย ดังความในมาตรา ๕ ว่า “ให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ ได้รับความอุปถัมภ์และอำนาจบริหารงานจากรัฐ โดยทางกระทรวงศึกษาธิการ” คณะรัฐมนตรีมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ และส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเสร็จก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์จึงค้างอยู่", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#134", "text": "คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวน ๒๗ ท่าน มีนายสังข์ทอง ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน นายอำนวย สุวรรณคีรี ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ และนายดุสิต โสภิตชา เป็นรองประธาน มีกรรมการที่เป็นศิษย์เก่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๓ ท่าน คือ นายจำนงค์ ทองประเสริฐ ร้อยโทกุเทพ ใสกระจ่าง และนายสนิท ศรีสำแดง ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมประชุมชี้แจงในคณะกรรมาธิการ คือ พระราชวรมุนี (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ พระมหาสุรพล สุจริโต รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวางแผน และพระมหาโกวิทย์ สิริวณฺโณ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการวิทยาเขต", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#30", "text": "ใน พ.ศ. ๒๕๑๕ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติบริหารประเทศหัวหน้าฝ่ายอำนวยการศึกษาและสาธารณสุขของคณะปฏิวัติได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาเรื่องมหาวิทยาลัยสงฆ์ ประกอบด้วยอนุกรรมการ ๗ ท่าน มี นายจวน เจียรนัย เป็นประธาน นายระบิล สีตสุวรรณ เป็นรองประธานเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คือ พระธรรมคุณาภรณ์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นอนุกรรมการ พระศรีวิสุทธิโมลี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้เข้าร่วมประชุม ผลของการประชุมของคณะอนุกรรมการทำให้มีการร่างประกาศคณะปฏิวัติ ๑๐ ข้อเพื่อรับรองสถานภาพมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง แต่ในระหว่างที่ดำเนินการอยู่นั้น คณะปฏิวัติได้สิ้นสุดลงเพราะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๕ ร่างประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้จึงค้างอยู่", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#17", "text": "เมื่อพระมหาบุญเลิศ ทตฺตสุทฺธิ ได้ไปติดต่อกับนายธนิต อยู่โพธิ์ หัวหน้าแผนกวรรณคดี ได้ให้ความอนุเคราะห์ด้วยดี และได้ขอความร่วมมือจากนายยิ้ม ปัณฑยางกูร หัวหน้ากองจดหมายเหตุ กรมศิลปากร ช่วยอำนวยความสะดวกอีกต่อหนึ่ง และได้พบเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เอกสารที่พบนี้ คือ ลายพระหัตถ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีไปถึงหม่อมเจ้าประภากร ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ร.ศ. ๑๑๕ ดังจะขออัญเชิญ สำเนาลายพระราชหัตถ์ มาแสดงดังต่อไปนี้", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" }, { "docid": "12339#178", "text": "การขยายตัวของมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ได้จำกัดวงอยู่ในพื้นที่ของภาษาไทยเท่านั้น ด้วยเหตุที่มหาวิทยาลัยได้รับการยอมรับจากชาวพุทธทั่วโลก จึงเป็นเหตุให้มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องเปิดหลักสูตรนานาชาติ เพื่อรองรับกลุ่มบุคคลที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์จากทั่วโลกมาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา", "title": "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" } ]
3140
เหมียว เฉียวเหว่ย เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "299788#0", "text": "เหมียว เฉียวเหว่ย (; \"มี่ว คี่วไหว\") นักแสดงชาวฮ่องกงที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกคนหนึ่ง เหมียว เฉียวเหว่ย เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1958 มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ไมเคิล เหมียว (Michael Miu) ที่เมืองซูซาน มณฑลเจ้อเจียง ต่อมาครอบครัวได้อพยพย้ายเข้ามาอาศัยที่ฮ่องกง", "title": "เหมียว เฉียวเหว่ย" } ]
[ { "docid": "181285#1", "text": "เหลียง เฉาเหว่ย เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ที่ฮ่องกง ในครอบครัวที่ยากจน เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการชักชวนของโจว ซิงฉือ ให้เข้าเรียนในโรงเรียนการแสดงของทีวีบี จากนั้นมีงานในวงการบันเทิงครั้งแรกเป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก ก่อนที่จะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว จากการรับบทตำรวจเป็น \"จางเหว่ยเจี๋ย\" ในซีรีส์เรื่อง นักสู้ผู้พิทักษ์ (Police Cadet '84) ในปี พ.ศ. 2527 และมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นจากการรับบททะเล้นในเรื่อง \"อุ้ยเสี่ยวป้อ\" ในปีเดียวกัน จนได้รับการจัดให้เป็น 1 ใน 5 พยัคฆ์ทีวีบี ซึ่งประกอบไปด้วย หวง เย่อหัว, เหมียว เฉียวเหว่ย, ทัง เจิ้นเยี่ย, หลิว เต๋อหัว และเหลียง เฉาเหว่ย ที่อายุน้อยที่สุด", "title": "เหลียง เฉาเหว่ย" }, { "docid": "299788#1", "text": "เหมียว เฉียวเหว่ย มีชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงนำในสังกัดของทีวีบี โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 80 จนได้รับการขนานนามว่าเป็น 5 พยัคฆ์ทีวีบี ซึ่งประกอบด้วย หวง เย่อหัว, เหมียว เฉียวเหว่ย, หลิว เต๋อหัว, ทัง เจิ้นเยี่ย และเหลียง เฉาเหว่ย", "title": "เหมียว เฉียวเหว่ย" }, { "docid": "962935#2", "text": "ในปีพ.ศ. 2533 เธอได้แต่งงานกับ \"เหมียวเฉียวเหว่ย\" ซึ่งเป็นนักแสดงชายชื่อดังในกลุ่ม \"5 พยัคฆ์ทีวีบี\" ของยุค 80s และหลังจากนั้นเธอได้ถอนตัวออกจากวงการ เพื่อไปช่วยธุรกิจแว่นตา ของสามี ที่ทำธุรกิจร่วมกับครอบครัวของเธอและยังมียี่ห้อแว่นตาเป็นของตัวเอง จนธุรกิจประสบความสำเร็จมากมายทำให้ทั้งคู่กลายเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวย อีกทั้งเธอก็ยังเป็นแม่ของลูก 2 คน อีกด้วย", "title": "ชี เหม่ยเจิน" }, { "docid": "299788#2", "text": "บทบาทการแสดงที่เป็นที่จดจำของเหมียว เฉียวเหว่ย คือการรับบทเป็น ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว เมื่อปี ค.ศ. 1984, เอี๊ยคัง ในมังกรหยก เมื่อปี ค.ศ. 1983 (ออกฉายปี ค.ศ. 1983) โดยมี หวง เย่อหัว รับบทเป็นก๊วยเจ๋ง และ กังปัง ในเซียวฮื้อยี้ เมื่อปี ค.ศ. 1988 ที่เหลียง เฉาเหว่ย รับบทเป็นเซียวฮื้อยี้", "title": "เหมียว เฉียวเหว่ย" }, { "docid": "962935#19", "text": "ต่อมาในช่วงปลายปีเดียวกัน ก็มีข่าวว่า ชีเหม่ยเจิน มีคนนอกวงการมาตามจีบ ส่วน เหมียวเฉียวเหว่ย ไปเจอ เหมยเยี่ยนฟาง ในละครเรื่อง \"ชะตา ชีวิต\" (Summer Kisses Winter Tears 1984 :香江花月夜) ที่ทั้งสองเล่นด้วยกัน ทำให้ปิ๊งกันขึ้นมา เลยตัดสินใจลองคบกันดู ถึงแม้ว่า เหมยเยี่ยนฟางจะเคยมีแฟนมาบ้างแล้วก็ตาม แต่สำหรับ เหมียวเฉียวเหว่ย ถือได้ว่า เขาเป็นแฟนคนแรกของเธอที่อยู่ในวงการเดียวกันกับเธอ แต่ก็มีสื่อคาดเดาว่าทั้งคู่คงคบกันได้ไม่นาน ด้วยบุคลิกที่แตกต่างกันมาก เพราะเหมยเยี่ยนฟางมี ภาพลักษณ์ที่ดูเซ็กส์ซี่ร้อนแรง ซึ่งแตกต่างจากเหมียวเฉียวเหว่ย และก็เป็นจริง ทั้งคู่คบกันไม่กี่เดือน จู่ๆ ก็มีข่าวว่าเขาไปตามง้อคืนดี กับชีเหม่ยเจิน ทั้ง ๆ ที่คบกับเหมยเยี่ยนฟาง อยู่ กลายเป็นข่าวฉาวรักสามเส้า ระหว่างเธอ (เหมยเยี่ยนฟาง) กับเหมียวเฉียวเหว่ย และชีเหม่ยเจิน", "title": "ชี เหม่ยเจิน" }, { "docid": "962935#23", "text": "ทั้งเหมียวเฉียวเหว่ย และ ชีเหม่ยเจิน กลับมาคบกันและดูเหมือนจะหวานชื่นมากกว่าเดิม แต่แล้วก็มีข่าวฉาวว่า ชีเหม่ยเจิน มีอะไรพิเศษกับ โจวเหวินฟะ ในตอนที่ทั้งคู่ถ่ายทำละครเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร พ.ศ. 2527 ด้วยกัน ถึงแม้จะเป็นข่าวลือ แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวเฉียวเหว่ย กับชีเหม่ยเจิน มีการขัดแย้งกัน พอดีกับช่วงนี้ที่เกิดกระแส คู่ขวัญ ระหว่างเขากับ องเหม่ยหลิง ที่แฟน ๆ ละครต่างเชียร์ ให้คบกันเป็นแฟนนอกจอกันจริง ๆ สาเหตุเพราะในปีนี้ เหมียวเฉียวเหว่ยเอง มีละครที่เล่นประกบคู่กับองเหม่ยหลิง ติด ๆ กันหลายต่อหลายเรื่องและผลงานเหล่านั้น ประสบความสำเร็จอย่างมาก คนดูละครชื่นชอบที่เขาและ องเหม่ยหลิงเล่นคู่กัน จนเกิดแรงเชียร์ขึ้นมา อีกทั้งยังมีข่าวฉาวว่า ด้วยความที่ทั้งคู่เล่นละครร่วมกันบ่อย ทั้งเหมียวเฉียวเหว่ยและ องเหม่ยหลิง เกิดปิ๊งกันในกองถ่าย และมีอะไรพิเศษกัน จนกลายเป็นข่าวฉาว รักสาวเส้า ระหว่างเธอ(ชีเหม่ยเจิน) กับ เหมียวเฉียวเหว่ย (แฟนหนุ่มของเธอ) และ องเหม่ยหลิง (มือที่สาม) ด้วยความที่ข่าวฉาวเรื่องนี้ดังมาก จึงทำให้เกิดความอึดอัดใจกับทั้ง เหมียว เฉียวเหว่ย และ อง เหม่ยหลิง เป็นอย่างมาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีคนรักที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว อีกทั้งคนรักของทั้งคู่ต่างก็เป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย จนในที่สุดตัวของ เหมียว เฉียวเหว่ย เองต้องออกมาให้สัมภาษณ์ กับสื่อเพื่อยุติข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ตัวเขารัก ชีเหม่ยเจิน เพียงคนเดียว ส่วน อง เหม่ยหลิง นั้นเขาเห็นเธอเหมือนน้องสาวที่แสนดีเท่านั้น เพราะเขาเองไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเธอเลย ส่วน องเหม่ยหลิงก็ให้สัมภาษณ์ว่า ข่าวลือทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องจริง ตัวเธอเองยัง คบกับ ทัง เจิ้นเยี่ย อยู่", "title": "ชี เหม่ยเจิน" }, { "docid": "425068#18", "text": "ในปี พ.ศ. 2527 บริษัท (TVB) ได้ป้อนงานละครให้กับเธอติดต่อกัน และมอบหมายให้เธอจับคู่กับ ดาราหนุ่มมาดเทห์ เหมียว เฉียวเหว่ย หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งการเล่นละคร คู่กัน ของเธอ กับ เหมียว เฉียวเหว่ย นั้นได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นกระแสคู่ขวัญคู่ใหม่ของวงการบันเทิง สาเหตุนั้นก็เพราะทั้งคู่มีเคมีที่ตรงกันและสามารถเล่นเข้าขากันได้ดี จนกระทั่งคนดูและบรรดาสื่อต่าง ๆ พยายามจับคู่เธอกับเหมียว เฉียวเหว่ยให้เป็นคู่รักกัน ทั้งในจอและนอกจอ มีแฟน ๆ ละครมากมาย เชียร์ทั้งคู่ให้เป็นแฟนกันจริง ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผลเพราะเธอกับ เหมียว เฉียวเหว่ย ต่างเป็นแค่เพื่อนที่สนิทกันในวงการเท่านั้น และที่สำคัญต่างฝ่ายต่างก็มีแฟนที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว ผลงานละครที่ตามมาของเธอในปีนี้ ได้แก่ ยุทธจักรชิงจ้าวบัลลังค์, เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์, เฉือนคมเจ้าพ่อ, และ \"ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว\" โดยเฉพาะผลงานละคร เรื่อง \"ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว\" นี้ เรตติ้งถือได้ว่าประสบความสำเร็จ และ ได้รับความนิยมทั่วทั้งเอเชีย นับได้ว่าเป็นผลงานที่ตอกย้ำความนิยมในตัวเธอได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกหนึ่งผลงานที่แฟน ๆ ละครของเธอจดจำมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ไม่แพ้ เรื่อง มังกรหยก", "title": "อง เหม่ยหลิง" }, { "docid": "299788#3", "text": "เหมียว เฉียวเหว่ย ได้หยุดการแสดงไปในปี ค.ศ. 1990 จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 2004 จึงกลับมารับงานแสดงอีกครั้ง โดยรับบทเป็นตัวประกอบเนื่องจากอายุที่มากขึ้น แต่ในบางเรื่องก็รับบทนำเช่นกัน", "title": "เหมียว เฉียวเหว่ย" }, { "docid": "299788#4", "text": "ผลงานด้านภาพยนตร์ได้แก่ \"Brothers\" ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งเป็นโปรเจกต์ของหลิว เต๋อหัว ที่นำนักแสดงห้าพยัคฆ์ทีวีบีกลับมาแสดงร่วมกันอีกครั้ง โดย เหมียว เฉียวเหว่ย รับบทเป็นพี่ชายคนโต", "title": "เหมียว เฉียวเหว่ย" } ]
3144
เหตุการณ์ นปก.ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯเกิดที่ใด?
[ { "docid": "253844#15", "text": "จนเมื่อเวลา 01.10 น. กลุ่ม นปช.เคลื่อนกำลังมาถึงบริเวณร้านลิขิตไก่ย่าง เลยสนามมวยราชดำเนินมาเล็กน้อย ได้เกิดการปะทะกันกับฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ปักหลักอยู่ฝั่งตรงข้ามของสะพาน และฝ่าแนวกั้นเข้ามา โดยต่างฝ่ายต่างวิ่งเข้าหากัน พร้อมกับมีการปาขวดน้ำ ขวดโซดา ขว้างก้อนหินใส่กัน พร้อมกับมีการถืออาวุธไม้วิ่งไล่ตีกัน ระหว่างที่เกิดการปะทะกันทั้งสองฝ่ายได้เกิดเสียงปืนดังขึ้น 5-6 นัด และเสียงคล้ายระเบิดควันดังติดต่อกันหลายครั้ง โดยกระสุนปืนได้ถูกกลุ่มผู้ชุมนุม นปก.ล้มลงได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย เจ้าหน้าที่รีบนำตัวส่งวชิรพยาบาล", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#19", "text": "เหตุการณ์ล่วงเลยมาจนถึงเวลา 03.40 น. ปรากฏว่าสถานการณ์ยังคงตึงเครียด แม้ว่าผู้ชุมนุมกลุ่ม นปก.จะตั้งเต็นท์ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ในลักษณะปักหลักแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ระดมคนจำนวนมากมาตรึงที่เวทีเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ฝั่งหน้ากระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน โดยพื้นที่ตรงกลางระหว่างทั้งสองกลุ่มนั้น มีกำลังตำรวจและทหารชุดปราบจลาจลตั้งแนวกั้นคุมเชิงเอาไว้ นอกจากนี้ยังพบการปะทะกันย่อย ๆ อีกหลายจุด เช่นที่แยกนางเลิ้ง และภายในซอยข้างสนามมวยราชดำเนิน มีการปาระเบิดเพลิงเข้าใส่กัน จนตำรวจต้องเข้าระงับเหตุ แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ทั้งหมด", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#0", "text": "เหตุการณ์ นปก.ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 เป็นการปะทะกันระหว่างแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณแยก จปร. เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 45 คน ในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 12 รายนอนโรงพยาบาลวชิระ 6 ราย โรงพยาบาลรามาธิบดี 2 ราย โรงพยาบาลหัวเฉียว 2 ราย โรงพยาบาลราชวิถี 1 ราย โรงพยาบาลศิริราช 1 ราย และเสียชีวิต 1 คน ได้แก่ นาย ณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง\nทำให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร แต่งตั้ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินพลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ พลโท ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นรองหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" } ]
[ { "docid": "253844#21", "text": "ต่อมาเมื่อเวลา 07.00 น. สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ได้เผยแพร่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ที่ลงนามโดย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากเหตุการณ์เกิดการปะทะกันระหว่าง กลุ่ม นปก. กับกลุ่มพันธมิตรฯ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ในประกาศดังกล่าวได้มีการแต่งตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นรองหัวหน้า นอกจากนี้ยังออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ห้ามชุมนุมเกินกว่า 5 คนในเขตกรุงเทพมหานคร รวมทั้งห้ามการเสนอข่าวที่อาจกระทบต่อความมั่นคงทั่วราชอาณาจักร", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#14", "text": "เมื่อเวลา 00.40 น. แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนพลจากสนามหลวง เพื่อขับไล่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เส้นทางถนนราชดำเนินสู่แยก จปร. เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ฝ่าด่านตำรวจที่ตั้งแผงเหล็กมาได้ตลอดเส้นทาง ระหว่างนั้น นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ประกาศบนเวที เพื่อขอกำลังการ์ดอาสาเพิ่ม เนื่องจากทางกลุ่ม นปก.ได้เคลื่อนกำลังเข้ามาจำนวนหลายพันคน พร้อมกับเน้นย้ำให้การ์ดทำหน้าที่อยู่ในพื้นที่เท่านั้น", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#17", "text": "ต่อมาเมื่อเวลา 02.00 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ พร้อมกับ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ควบคุมความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม โดยนายตำรวจระดับสูงทั้งหมด ได้หารือกันกันอย่างเคร่งเครียด และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งกำลังเข้าขัดขวางไม่ให้ผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายปะทะกันอีกระลอก โดยฝั่งหนึ่งเป็นผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. ซึ่งตำรวจที่ตั้งแถวกั้นกลางอยู่มีประมาณ 500 นาย ทั้งหมดมีเพียงโล่พลาสติกเป็นเครื่องป้องกัน ไม่มีกระบองหรืออาวุธอื่นใด", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#22", "text": "หลังจากนั้น กลุ่ม นปช.ได้ถอนการชุมนุมกลับไปที่ท้องสนามหลวง ก่อนจะนัดรวมตัวที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ และยุติการชุมนุมอย่างรวดเร็ว เพื่อปฏิบัติตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ขณะเดียวกัน ผู้ชุมนุมแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักชุมนุมต่อไป และมิได้ตื่นตระหนกกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแต่อย่างใด", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#16", "text": "ตั้งแต่เวลา 01.30 น. หลังการปะทะกันบริเวณสะพานมัฆวานฯ หน้าอาคารที่ทำการสหประชาชาติ สำนักงานกรุงเทพฯ ระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่ม นปช. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีสั่งระดมการ์ดและผู้ชุมนุมให้ไปตั้งขบวนอยู่ที่หน้าเต้นท์กองทัพธรรม ถนนพิษณุโลก เพื่อยกกำลังไปช่วยผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณสะพานมัฆวานฯ จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมนับร้อยพร้อมด้วยอาวุธครบมือ ได้ไปรวมตัวกันที่บริเวณเต้นท์หน้ากองทัพธรรม โดยพล.ต.จำลอง และนายสมศักดิ์ ได้เดินลงมาสั่งการด้วยตัวเอง", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#8", "text": "ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น. กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ช่วงเช้า ได้พังแผงเหล็กและเคลื่อนพลมาที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่สามารถทำการป้องกันแต่อย่างใด โดยจำนวนของผู้ชุมนุมคาดว่า มีประมาณ 3 หมื่นคน เดินทางมา 2 ด้านคือฝั่งตึกแดง และสะพานชมัยมรุเชษฐ์ มารวมกันที่ด้านหน้าประตู 1 รอที่จะบุกเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" }, { "docid": "253844#10", "text": "ตำรวจได้มีการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลกดดันให้ผู้ชุมนุมสลายการชุมนุม และพยายามเข้าไปปิดหมายศาล จึงทำให้เกิดการปะทะกันและมีผู้บาดเจ็บ ช่วงกลางคืน กลุ่มผู้ชุมนุมมีการเคลื่อนขบวนไปบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล มีการใช้แก๊สน้ำตาเกิดขึ้น และมีผู้ได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตาจำนวนมากตลอดทั้งวันมีผู้บาดเจ็บรวม 67 ราย", "title": "เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551" } ]
3147
เจ้าฟ้าน้อย เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "282716#0", "text": "เจ้าฟ้าน้อย (พ.ศ. 2195–2231) เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นพระราชอนุชาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์เป็นเจ้านายผู้มีสิทธิธรรมในการสืบราชสันตติวงศ์สืบจากพระเชษฐา ด้วยมีรูปพรรณงาม มีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี จึงเป็นที่นิยมในหมู่ทวยราษฎร์ และถูกวางตัวสำหรับเสกสมรสกับกรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งเป็นพระภาติกา", "title": "เจ้าฟ้าน้อย" } ]
[ { "docid": "488567#1", "text": "เจ้าน้อยหมอกฟ้า ประสูติในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่บ้านหัวข่วง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน วันพุธ เดือน 9 เหนือ พ.ศ. 2423 เป็นราชโอรสในเจ้ามหาพรหมสุรธาดา กับแม่เจ้าศรีโสภา มีพี่น้อง 7 องค์ เมื่อมีอายุได้ 15 ปี เจ้าบิดาได้มอบให้เป็นศิษย์แห่งพระภิกษุอินต๊ะสอน เจ้าอาวาสวัดหัวเวียงใต้ เพื่อให้ศึกษาข้อปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดหัวเวียงใต้ ถึง พ.ศ. 2440 ได้ลาสิกขาบทเพื่อช่วยราชการฉลองเจ้าบิดา ต่อมาเมื่ออายุได้ 25 ปี จึงได้เสกสมรสกับเจ้าบุญโสม ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าบุญทะวงศ์ และเจ้าบุญนำ", "title": "เจ้าราชบุตร (หมอกฟ้า ณ น่าน)" }, { "docid": "183498#0", "text": "เจ้าจอมมารดาน้อย หรือ เจ้าจอมมารดาคุณหญิงน้อย (24 ตุลาคม พ.ศ. 2348 – ราวปี พ.ศ. 2389–2400) เป็นธิดาของพระอินทร์อภัย หรือ พระอินทอำไพ (อดีตสมเด็จเจ้าฟ้าทัศไภยในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) เป็นพระสนมคนแรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "เจ้าจอมมารดาน้อย ในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "282716#2", "text": "เจ้าฟ้าน้อยเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นพระราชอนุชาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งมีพระชนมายุห่างกันมากเปรียบพระเชษฐาเป็นพระชนกได้ แต่ \"คู่มือทูตตอบ\" ซึ่งเป็นเอกสารของราชบัณฑิตอยุธยา ระบุว่าเจ้าฟ้าน้อยมีพระชนมายุ 29 ปี ใน พ.ศ. 2224 พระองค์มีพระเชษฐาที่มีพระชันษาไล่เลี่ยกันคือเจ้าฟ้าอภัยทศ", "title": "เจ้าฟ้าน้อย" }, { "docid": "282716#8", "text": "ในช่วงเวลาก่อนหน้าไม่นานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ให้ประสูติพระโอรสนามว่าหม่อมแก้ว ในเอกสารของฟร็องซัว อ็องรี ตุรแปง (François Henri Turpin) ที่เรียบเรียงจากบันทึกของสังฆราชแห่งตาบรากา (Bishop of Tabraca) ให้ข้อมูลว่าพระโอรสนี้เป็นบุตรที่เกิดกับเจ้าฟ้าน้อย ดังความตอนหนึ่งว่า \"\"...น้องสาว [ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ น้องสาวพระเพทราชา] ผู้มีความงามมากและเป็นที่ชื่นชมของทุกคนถูกถวายตัวเป็นพระสนมและเป็นสนมเอกที่โปรดปรานคนหนึ่งด้วย แต่โชคไม่ดีที่นางมีครรภ์ เพราะเป็นชู้กับพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน อันเป็นความลับอยู่เป็นเวลานาน พระสนมผู้ไม่ซื่อสัตย์จึงถูกจับได้แล้วถูกลงโทษโยนให้เสือกิน\"\" หลังสมเด็จพระเพทราชาเสวยราชสมบัติจึงโปรดเกล้าสถาปนาพระโอรสที่ประสูติแต่ท้าวศรีจุฬาลักษณ์อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ดังปรากฏใน \"พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)\" ระว่า ตั้งหม่อมแก้วบุตรท้าวศรีสุลาลักษณ์เป็นกรมขุนเสนาบริรักษ์ ส่วน \"คำให้การขุนหลวงหาวัด\" ระบุว่าทรงสถาปนาพระเจ้าหลานเธอพระองค์แก้วขึ้นเป็นกรมขุนเสนาบุรีรักษ์", "title": "เจ้าฟ้าน้อย" }, { "docid": "488567#4", "text": "เมื่อเจ้าราชบุตรยังดำรงอิสริยยศเป็นเจ้าน้อยหมอกฟ้า ณ น่าน ในปี พ.ศ. 2445 เกิดจลาจลเงี้ยวที่จังหวัดแพร่ ทางราชการจัดให้เป็นหัวหน้ากองตรวจ รักษาชายเขตแดนจังหวัดน่าน ในปีต่อมาได้รับราชการเป็นรองเสนาวังจังหวัดน่าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 เจ้าน้อยหมอก ได้บริจาคทรัพย์สินจำนวน 300 บาท เพื่อสร้างสะพานให้ประชาชนสัญจรไปมา กระทั่งในปี พ.ศ. 2454 ถึงปี พ.ศ. 2459 เจ้าราชบุตร ได้เป็นหัวหน้าควบคุมคนหาบคานและสัตว์พาหนะไปรับเงินของรัฐบาลที่คลังจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำปาง และจังหวัดแพร่ มาไว้ที่คลังจังหวัดน่าน และในปี พ.ศ. 2458 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าน้อยหมอกฟ้า ณ น่าน ดำรงอิสริยยศเป็น \"เจ้าประพันธ์พงศ์\" และได้เลื่อนเป็น \"เจ้าราชบุตร\" ในปี พ.ศ. 2468", "title": "เจ้าราชบุตร (หมอกฟ้า ณ น่าน)" }, { "docid": "326576#3", "text": "ไม่ปรากฏหลักฐานอย่างแน่ชัดว่าเจ้าฟ้าตรัสน้อยทรงดำรงพระชนมชีพต่อไปอย่างไร จดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศส ระบุว่า เจ้าฟ้าตรัสน้อยซึ่งเป็นพระมรณภาพในราวปี พ.ศ. 2283 ซึ่งตรงกับช่วงกลางสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก่อนจะเสียกรุงให้พม่า 27 ปี โดยประมาณ", "title": "ตรัสน้อย" }, { "docid": "282716#5", "text": "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) เป็นธิดาของพระนมเปรมในสมเด็จพระนารายณ์ และเป็นน้องสาวของพระเพทราชา ได้ถวายตัวเป็นพระสนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์ กล่าวกันว่านางเป็นผู้มักมากในกามคุณ มักหาข้ออ้างออกจากพระราชฐานชั้นในเพื่อไปสังวาสกับกระทาชายต่างด้าวในหมู่บ้านโปรตุเกสอย่างไม่ระมัดระวัง จนประชาชนที่พบเห็นพากันขับเพลงเกริ่นความอัปรีย์ของนางผู้อื้อฉาวไปทั่วพระนคร ซึ่งผิดปรกวิสัยของชาวสยามที่รักสงบ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นสมเด็จพระนารายณ์ทรงให้นางอยู่แต่ในพระราชวัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องอื้อฉาว", "title": "เจ้าฟ้าน้อย" }, { "docid": "28282#1", "text": "เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีกุน ตรงกับวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2442 ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนที่ 5 ของเจ้าไชยกุมาร (เม้า) ในตระกูล \"สุวรรณรงค์\" อดีตเจ้าเมืองพรรณานิคม มารดาของท่านชื่อ นางนุ้ย พระอาจารย์ฝั้น ครั้งวัยเยาว์ มีความประพฤติเรียบร้อย นิสัยโอบอ้อมอารี ขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค ช่วยเหลือกิจการงานของบิดา มารดา โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก", "title": "หลวงปู่ฝั้น อาจาโร" }, { "docid": "183498#3", "text": "หลังจากสมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศไภย พระบิดาถูกประหารชีวิตเมื่อปีวอก พ.ศ. 2355 และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อปีวอก พ.ศ. 2367 ขณะนั้นหม่อมเจ้านพวงศ์และหม่อมเจ้าสุประดิษฐ์ มีพระชันษา 2 ปี และ 2 เดือน ตามลำดับ เจ้าจอมมารดาน้อยได้ไปอาศัยอยู่กับพระพงษ์นรินทร์ ผู้เป็นลุง โดยหม่อมเจ้าสุประดิษฐ์ อยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ที่พระราชวังเดิม", "title": "เจ้าจอมมารดาน้อย ในรัชกาลที่ 4" } ]
3160
เอดส์ เกิดจากเชื้อ เอชไอวีได้เพียงอย่างเดียวหรือไม่ ?
[ { "docid": "20779#0", "text": "เอดส์ หรือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม (acquired immunodeficiency syndrome - AIDS)เป็นโรคของระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus, HIV) ทำให้ผู้ป่วยมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและการเกิดเนื้องอกบางชนิด เชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อผ่านทางการสัมผัสของเยื่อเมือกหรือการสัมผัสสารคัดหลั่งซึ่งมีเชื้อ เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด น้ำหลั่งก่อนการหลั่งอสุจิ และนมมารดา อาจติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด หรือทวารหนัก หรือช่องปาก, การรับเลือด, การใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน, ติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ คลอด ให้นม หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ ดังกล่าว", "title": "เอดส์" } ]
[ { "docid": "297624#1", "text": "มีเชื้อเอชไอวีสองชนิดที่ติดต่อมายังมนุษย์ คือเอชไอวี-1 และเอชไอวี-2 โดย เอชไอวี-1 นั้นเป็นอันตรายมากกว่า ติดต่อง่ายกว่า และเป็นสาเหตุของการติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่บนโลกนี้ เชื้อเอชไอวี-1 มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสที่พบในลิงชิมแปนซี และการศึกษาทาง molecular phylogenetics ก็บ่งชี้ว่าเชื้อไวรัสเอชไอวี-1 ปรากฏขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1884-1924 ในแอฟริกาเขตเส้นศูนย์สูตร เชื้อเอชไอวี-2 นั้นติดต่อกันได้ยากกว่าและส่วนใหญ่พบอยู่ในแอฟริกาตะวันตกร่วมกับเชื้อใกล้ชิดอื่นๆ ได้แก่ไวรัสที่พบใน Sooty Mangabey (\"Cercocebus atys\") ซึ่งเป็นลิงโลกเก่าใน Guinea-Bissau, Gabon และ Cameroon", "title": "ประวัติศาสตร์เอชไอวี/เอดส์" }, { "docid": "20779#12", "text": "เชื้อไวรัสเอชไอวีพบในเลือดและสารคัดหลั่งหลายชนิดของร่างกาย ได้แก่ น้ำอสุจิ เมือกในช่องคลอดสตรี น้ำนม และอาจพบได้ในปริมาณน้อยๆ ในน้ำตาและปัสสาวะ เมื่อพิจารณาจาก แหล่งเชื้อแล้วจะพบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อได้ หลายวิธีคือ การวินิจฉัยโรคเอดส์ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีทำได้โดยดูว่าผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงตามที่กำหนดหรือไม่ ตั้งแต่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1981 มีการให้คำนิยามของเอดส์หลายคำนิยามใช้เพื่อจัดตั้งการเฝ้าระวังทางวิทยาการระบาดอย่างบทนิยาม Bangui (Bangui definition) และบทนิยามผู้ป่วยเอดส์โดยองค์การอนามัยโลก ฉบับเพิ่มเติม ค.ศ. 1994 (1994 expanded World Health Organization AIDS case definition) อย่างไรก็ดีเป้าหมายของระบบเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อการแบ่งแยกระดับทางคลินิกของผู้ป่วยเอดส์ และก็ไม่มีความไว (sensitive) หรือความจำเพาะ (specific) แต่อย่างใดด้วย สำหรับในประเทศกำลังพัฒนานั้นองค์การอนามัยโลกได้สร้างระบบแบ่งระดับผู้ติดเชื้อเอชไอวีตามอาการทางคลินิกและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนในประเทศพัฒนาแล้วจะใช้ระบบจำแนกประเภทของศูนย์ควบคุมโรค (Centers for Disease Control - CDC)", "title": "เอดส์" }, { "docid": "297317#0", "text": "แนวคิดปฏิเสธเอดส์ (AIDS denialism) เป็นมุมมองของกลุ่มคนและองค์กรบางกลุ่มที่ปฏิเสธว่าเชื้อเอชไอวีเป็นสาเหตุของกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อมหรือเอดส์ ผู้มีแนวคิดปฏิเสธบางคนปฏิเสธการมีอยู่ของเชื้อเอชไอวี ในขณะที่บางคนยอมรับว่าเชื้อนี้มีจริง แต่เป็นเชื้อไวรัสอาศัยธรรมดาที่ไม่มีอันตราย และไม่ได้ทำให้เกิดเอดส์ แม้ผู้มีแนวคิดปฏิเสธจะยอมรับว่าเอดส์เป็นโรคที่มีอยู่จริง แต่ก็จะเชื่อว่าเป็นโรคที่เกิดจากการใช้ยาเสพติด ภาวะทุพโภชนาการ ปัญหาสุขอนามัย และผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัส แทนที่จะเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี", "title": "แนวคิดปฏิเสธเอดส์" }, { "docid": "212367#4", "text": "โดยรวมแล้วเขามีสุขภาพดีในช่วงวัยเด็ก จนกระทั่งล้มป่วยขั้นรุนแรงด้วยโรคปอดบวม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1984 และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1984 ในขณะที่ดำเนินการเอาปอดออกบางส่วน ไวต์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเอดส์ สันนิษฐานว่าติดเชื้อจากการรักษาด้วยแฟกเตอร์ VIII ที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อเอชไอวี ในสมัยนั้นสังคมมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเอดส์ไม่มาก นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบในช่วงต้นปีนั้นว่าเชื้อเอชไอวีเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ และเนื่องจากเอชไอวีเพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นาน เลือดสำรองจำนวนมากเป็นเลือดที่ติดเชื้อเพราะแพทย์ไม่รู้วิธีตรวจสอบเชื้อโรค และผู้บริจาคไม่รู้ตัวว่าพวกเขาติดเชื้อ ผู้ป่วยโรคเฮโมฟิเลียที่รับการรักษาด้วยปัจจัยการแข็งตัวของเลือดระหว่างปี 1979 ถึง 1984 เกือบ 90% ติดเชื้อเอชไอวี ในเวลานั้นการวินิจฉัยของไวต์ ค่า CD4 ของเขาตกลงไปที่ 25 (ค่าปกติอยู่ที่ประมาณ 1,200) แพทย์คาดว่าไวต์จะมีชีวิตอยู่ในอีกเพียง 6 เดือนเท่านั้น", "title": "ไรอัน ไวต์" }, { "docid": "20779#6", "text": "เชื้อเอชไอวีเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม Lentivirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มไวรัส Retrovirus ไวรัสกลุ่มนี้ขึ้นชื่อในด้านการมีระยะแฝงนาน การทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือดนาน การติดเชื้อในระบบประสาท และการทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้ออ่อนแอลง เชื้อเอชไอวีมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 T lymphocyte และ Monocyte สูงมาก โดยจะจับกับเซลล์ CD4 และฝังตัวเข้าไปภายใน เชื้อเอชไอวีจะเพิ่มจำนวนโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยเอนไซม์ reverse transcryptase หลังจากนั้นสายดีเอ็นเอของไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดเชื้ออย่างถาวร และสามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้", "title": "เอดส์" }, { "docid": "297624#0", "text": "เชื้อเอชไอวีซึ่งทำให้เกิดโรคเอดส์นั้นมีแหล่งกำเนิดมาจากไพรเมทที่ไม่ใช่มนุษย์ใน sub-Saharan Africa ต่อมาจึงถ่ายทอดมายังมนุษย์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือต้นศตวรรษที่ 20", "title": "ประวัติศาสตร์เอชไอวี/เอดส์" }, { "docid": "297624#2", "text": "นักวิจัยเรื่องเอชไอวีส่วนใหญ่ยอมรับว่าเชื้อเอชไอวีวิวัฒนาการมาจากเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันเสื่อมในลิงหรือเอสไอวี (Simian Immunodeficiency Virus - SIV) และเชื้อเอชไอวีแพร่มาจากไพรเมทที่ไม่ใช่มนุษย์ในอดีต (แบบโรครับจากสัตว์ - zoonosis) งานวิจัยในเรื่องนี้ทำโดยใช้ความรู้ทาง molecular phylogenetics เพื่อเปรียบเทียบลำดับจีโนมของไวรัสเพื่อหาความเกี่ยวข้องกัน\nเนื่องจากชนิดส่วนใหญ่ของเอชไอวี-1 นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสายพันธุ์เชื้อเอสไอวีที่ติดต่อในลิงชิมแปนซีสายพันธุ์ \"Pan troglodytes troglodytes\" (SIVcpz) นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าเชื้อเอชไอวีมีขึ้นครั้งแรกในประชากรชิมแปนซีป่าใน West-Central Africa จะเป็นในป่าฝนทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของแคเมอรูน (modern East Province) ใกล้แม่น้ำ Sanaga หรือตอนใต้ลงไปกว่านั้นใกล้ Kinshasa ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกนั้นยังเป็นประเด็นสนทนาในแวดวงวิทยาศาสตร์อยู่\nจากการตรวจลำดับพันธุกรรมเชื้อเอชไอวี-1 ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ในตัวอย่างเชื้อร่วมกับการประมาณอัตราการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณพบว่าการติดเชื้อข้ามจากชิมแปนซีมาสู่มนุษย์เกิดขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 โดยอาจเป็นช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1915-1941 งานวิจัยชิ้นหนึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 2008 ได้ทำการวิเคราะห์ลำดับสารพันธุกรรมของไวรัสที่ได้จากชิ้นเนื้อปี ค.ศ. 1960 ที่เพิ่งได้รับการค้นพบเทียบกับลำดับสารพันธุกรรมที่ทราบอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีบรรพบุรุษของเชื้อร่วมกันช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1884 ถึง ค.ศ. 1924", "title": "ประวัติศาสตร์เอชไอวี/เอดส์" }, { "docid": "212367#23", "text": "ในต้นทศวรรษ 1980 เอดส์เป็นโรคติดต่อที่ถูกเข้าใจว่าติดต่อเฉพาะในหมู่เกย์ เพราะพบครั้งแรกในหมู่สังคมเกย์ ในนิวยอร์กซิตีและซานฟรานซิสโก จึงเรียกว่าโรค “ความบกพร่องของภูมิคุ้มกันในหมู่เกย์” () ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของเชื้อ เอชไอวี/เอดส์ ในสหรัฐอเมริกา คนคิดว่าเป็นปัญหาของพวกรักร่วมเพศ และผู้วางนโยบายของรัฐส่วนใหญ่ยังเพิกเฉย การติดเชื้อของไวต์เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเอดส์ไม่ได้เกิดเฉพาะในกลุ่มคนรักร่วมเพศเท่านั้น ในการพูดสนับสนุนการศึกษาเรื่องเอดส์ ไวต์ยังปฏิเสธทุกคำวิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นรักร่วมเพศ", "title": "ไรอัน ไวต์" }, { "docid": "20779#46", "text": "นักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งกังขาในความเชื่อมโยงกันระหว่างเอชไอวีและเอดส์ การมีอยู่ของเชื้อเอชไอวี หรือความน่าเชื่อถือของการรักษาในปัจจุบัน (บางครั้งถึงกับอ้างว่าการรักษาด้วยยานี้เองที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยเอดส์) แม้ข้ออ้างเหล่านี้จะถูกพิจารณาอย่างละเอียดและแย้งกลับโดยชุมชนวิทยาศาสตร์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการกระจายความเชื่อเช่นนี้อยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต และนำไปสู่ผลกระทบทางนโยบายในบางประเทศ อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ Thabo Mbeki ได้ยอมรับเอาแนวคิดปฏิเสธเอดส์มาใช้และนำไปสู่การตอบสนองอย่างไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลต่อการระบาดของเอดส์ที่ทำให้มีผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตนับแสนคน", "title": "เอดส์" } ]
3174
มีกี่จังหวัดที่เข้าร่วม กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46?
[ { "docid": "988128#7", "text": "พิธีปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 18:15 น. มีการแสดงทั้งหมด 2 ชุด และอีก 1 ชุดของเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานในพิธีมาถึงมีการแสดงชุดแรก คือ กี่ทอใจ ไหมเจียงฮาย นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่บัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้แสดงการแสดงพื้นบ้านของชาวจังหวัดเชียงราย ต่อมาได้มีการเชิญธงจากตัวแทนนักกีฬาทั้งหมด 77 จังหวัดเข้าสู่สนาม ณัฐวุฒิ เรืองเวส รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ประธานในพิธีกล่าวปิดการแข่งขัน ได้มีการชักธงชาติ, ธงการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และธงประจำจังหวัดเชียงรายลงจากเสา มีการแสดงชุดที่ 2 คือ สี่หู ห้าตา คานิว้าว พร้อมกับการดับไฟในกระถางคบเพลิงลง ณ ที่นี้มีการแสดงจากจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติใครั้งถัดไป", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" } ]
[ { "docid": "988128#3", "text": "ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5/2557 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 นอกจากนี้ยังมีมติให้ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 32, จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 33, จังหวัดน่าน เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34 และจังหวัดศรีสะเกษ เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#2", "text": "จังหวัดเชียงรายได้เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 ในปี พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5/2557 ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่จังหวัดเชียงรายได้เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ หลังจากที่เคยเป็นเจ้าภาพในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 19", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#1", "text": "ในครั้งนี้มีนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันรวมทั้งสิ้น 12,847 คน จาก 77 จังหวัด มีกีฬาที่แข่งขันทั้งหมด 41 ชนิดกีฬา ประกอบไปด้วย กีฬาบังคับ จำนวน 2 กีฬา, กีฬาสากล จำนวน 38 กีฬา และกีฬาอนุรักษ์ 1 กีฬา ซึ่งครั้งนี้ได้จัดการแข่งขันภายใน 28 สนาม ในจังหวัดเชียงราย และ 2 สนามในจังหวัดพะเยากับจังหวัดเชียงใหม่", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "845285#2", "text": "ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47 นอกจากนี้ยังมีมติให้ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 32, จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 33, จังหวัดน่าน เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34 และจังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47" }, { "docid": "988128#0", "text": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 () หรือเป็นที่รู้จักในนาม เจียงฮายเกมส์ เป็นมหกรรมกีฬาระดับชาติสำหรับประชาชนทั่วไป ควบคุมโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้น ณ จังหวัดเชียงราย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "845283#3", "text": "ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5/2557 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้จังหวัดสงขลา เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 นอกจากนี้ยังมีมติให้ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 32, จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 33, จังหวัดน่าน เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34, จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 และจังหวัดศรีสะเกษ เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45" }, { "docid": "995579#0", "text": "กีฬากรีฑาในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21–25 พฤษจิกายน พ.ศ. 2561 ณ สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นสนามที่ใช้ในพิธีเปิดและปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติในครั้งนี้ โดยมีการแข่งขันอยู่ 2 ชนิดกีฬา ได้แก่ ประเภทชาย และประเภทหญิง", "title": "กีฬากรีฑาในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#4", "text": "มีพิธีการอัญเชิญไฟพระฤกษ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 โดยอัญเชิญมาจากกรุงเทพมหานคร ได้นำไฟพระฤกษ์อัญเชิญไว้บนรถบุษบกเพื่อนำไปยังอำเภอแม่ลาว และอำเภออื่น ๆ ทั่วจังหวัดเชียงราย ในส่วนของอำเภอพญาเม็งรายได้มีการจัดกิจกรรมวิ่งคบเพลิง เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์การแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 เจียงฮายเกมส์ ให้ประชาชนในอำเภอพญาเม็งรายได้รับรู้ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ และได้ส่งมอบคบเพลิงให้กับตำบลหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผู้นำชุมชนเป็นตัวแทนวิ่งในตำบลและหมู่บ้านของตนเอง และส่งมอบไปยังหมู่บ้านต่อไป รวมทั้งสิ้น 5 ตำบล 71 หมู่บ้าน โดยใช้เวลาการวิ่งทั้งสิ้น 10 วัน ก่อนที่จะอัญเชิญเพื่อใช้จุดในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ\nพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 17:30 น. มีการแสดงทั้งหมด 4 ชุด เริ่มต้นด้วยการแสดงชุดที่ 1 ชื่อว่า “จ้องมองล้านนา” ใช้นักแสดงเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กว่า 3,000 คน ที่ถือร่มและแสงไฟ โดยตลอดการแสดงมีการใช้เทคนิคแสงแปรอักษรและรูปภาพได้อย่างงดงาม จากนั้นตามด้วยขบวน “ป๋าเวณีเกียรติยศ” นำประธานในพิธีเปิด เดินเข้าสู่สนาม และการแสดงชุด “ลานล้านนา ชาติพันธุ์” ซึ่งใช้เทคนิคแสง พร้อมเครื่องแต่งกายชุดชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงรายที่ร่ายรำประกอบดนตรี", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "995910#0", "text": "กีฬาชักเย่อในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 23–27 พฤษจิกายน พ.ศ. 2561 ณ หอประชุมอำเภอเมืองเชียงราย โดยมีการแข่งขันอยู่ 2 ชนิดกีฬา ได้แก่ ประเภทชาย ทีม 4 คน และ 8 คนและประเภทหญิง ทีม 4 คน และ 8 คน", "title": "กีฬาชักเย่อในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" } ]
3177
โรงเรียนศรีสงครามวิทยาตั้งอยู่อำเภออะไร ?
[ { "docid": "231752#1", "text": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2514 ณ บริเวณป่าสงวนแห่งชาติ ชื่อว่า \"ป่าซำแม่นาง\" มีเนื้อที่ทั้งหมด 105 ไร่ 3 งาน 72 ตารางวา \nขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุมอบให้ กรมวิสามัญศึกษา (เดิมคือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นกรมสามัญศึกษา และปัจจุบันเป็นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เป็นผู้ใช้สอย ส่วนงานราชการจังหวัดเลย ร่วมกับทางอำเภอวังสะพุง ได้รับมอบหมายดำเนินการก่อตั้งโรงเรียน และชุมชนได้มีส่วนร่วมในการตั้งชื่อว่า โรงเรียนศรีสงครามวิทยา ตามชื่อหลวงศรีสงคราม เจ้าเมืองวังสะพุงท่านแรก โดยมีนายสุเมธ กัปโก ครูโท โรงเรียนสโมสรวิทยาลัย จังหวัดเลย เป็นครูใหญ่คนแรก เริ่มเปิดสอนในปีการศึกษา 2514 ประเภทสหศึกษา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 2 ห้องเรียน มีนักเรียน 90 คน และเปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในปีการศึกษา 2519 ในระยะแรกใช้อาคารเรียนของโรงเรียนชุมชนวังสะพุงทำการสอน และย้ายมาเรียน ณ สถานที่ปัจจุบัน เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2515นับจากวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2514 ที่เป็นวันประกาศจัดตั้งโรงเรียนศรีสงครามวิทยาเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันรวมเวลากว่า 40 ปี แล้ว จากภูเขารกร้างทางทิศตะวันออกของอำเภอวังสะพุง มีแหล่งน้ำซับที่ไม่เคยเหือดแห้งนามว่า ซำแม่นาง แห่งนี้ ก็พัฒนาขึ้นมาโดยลำดับ จวบจนปัจจุบันได้กลายเป็นอุทธยานการศึกษาที่สำคัญยิ่งของจังหวัดเลย ผลิตลูกศิษย์เข้าสู่สังคมอย่างมีคุณภาพรุ่นแล้วรุ่นเล่า", "title": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา" }, { "docid": "231752#0", "text": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา (อักษรย่อ : ศ.ส.ว.; อังกฤษ: Srisongkram Wittaya School) เรียกย่อ ๆ ว่า ศรีสงคราม เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทสหศึกษา เปิดสอนในระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น - มัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นโรงเรียนหลักของสหวิทยาเขตวังภูผา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 19 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนตั้งอยู่เลขที่ 494 หมู่ที่ 11 ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 210 (อุดรธานี-วังสะพุง) กม.ที่ 117 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาอันดับที่ 3 ของจังหวัดเลย รองจากโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย และโรงเรียนเลยพิทยาคม", "title": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา" } ]
[ { "docid": "890285#4", "text": "ปัจจุบัน โรงเรียนสุวรรณคูหาพิทยาสรรค์ ตั้งอยู่เลขที่ 433 หมู่ที่ 4 ตำบลสุวรรณคูหา อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นโรงเรียนประจำอำเภอสุวรรณคูหา และเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่เช่นเดียวกับโรงเรียนนาวังศึกษาวิช และโรงเรียนคำแสนวิทยาสรรค์ มีอาคารเรียน 4 หลัง อาคารประกอบ 3 หลัง อาคารชั่วคราว 1 หลัง หอประชุมใหญ่ชั้นเดียว 1 หลัง มีผู้อำนวยการโรงเรียนคือนายรังสรรค์ ศึกรักษา และโรงเรียนสุวรรณคูหาพิทยาสรรค์ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 8 ของจังหวัดหนองบัวลำภู รองจากโรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร โรงเรียนศรีบุญเรืองวิทยาคาร โรงเรียนคำแสนวิทยาสรรค์ โรงเรียนนาวังศึกษาวิช โรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์ โรงเรียนกุดดินจี่พิทยาคม และโรงเรียนกุดสะเทียนวิทยาคาร เมื่อวัดจากผลการทดสอบระดับชาติโดยใช้ค่าเฉลี่ยของโรงเรียนเป็นมาตรฐาน", "title": "โรงเรียนสุวรรณคูหาพิทยาสรรค์" }, { "docid": "231752#8", "text": "ณ ปัจจุบัน โรงเรียนศรีสงครามวิทยา มีอาคารเรียน 5 อาคาร อาคารปฏิบัติการ 3 หลัง อาคารชั่วคราว 3 หลัง อาคารโสตทัศนศึกษา 1 หลัง หอประชุมใหญ่ชั้นเดียว 1 หลัง และหอประชุมใหญ่ 2 ชั้น 1 หลัง มีนักเรียน 2,555 คน เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาอันดับที่ 3 ของจังหวัดเลย รองจากโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย และโรงเรียนเลยพิทยาคมโรงเรียนศรีสงครามวิทยา จะมีการจัดการแข่งขันกีฬาภายในหรือกีฬาสีในช่วงต้นเดือนพฤษจิกายนของทุกปี ปีละ 2 วัน โดยแบ่งคณะสีทั้งหมด 6 คณะสีคือ 1. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน เป็นองค์ประธานพิธีเปิดศูนย์ศิลป์สิรินธร", "title": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา" }, { "docid": "231752#7", "text": "ปีการศึกษา 2561 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 ได้แต่งตั้งให้ นายกมล เสนานุช ผู้อำนวยการโรงเรียนสันติวิทยาสรรพ์ มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแทน ดร.จิระศักดิ์ ชัยชนะทรัพย์ ซึ่งย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการที่โรงเรียนศรีบุญเรืองวิทยาคาร อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ในปีเดียวกันนั้นเอง โรงเรียนศรีสงครามวิทยาได้รับการคัดเลือกและประเมิณให้เป็น ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ประจำอำเภอวังสะพุงพร้อมกับโรงเรียนนาวังศึกษาวิชด้วย", "title": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา" }, { "docid": "491960#1", "text": "โรงเรียนศรีตระกูลวิทยา ตั้งอยู่เลขที่ ๑๒๙ หมู่ ๒ ตำบลศรีตระกูล อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เดิมชื่อโรงเรียนขุขันธ์ (สาขาตาอุด) โดยเปิดรับสมัครนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในพื้นที่บริการเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ประจำปีการศึกษา ๒๕๓๔ จำนวน ๔๔ คน เป็นนักเรียนชาย ๒๐ คน นักเรียนหญิง ๒๔ คน โดยได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากหลวงพ่อวัดบ้านเคาะ ให้ใช้ศาลาวัดเป็นสถานที่เรียนรวมทั้งร่วมกันรณรงค์ให้นักเรียนเข้าเรียนต่อ มอบทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน และอุปกรณ์การเรียนการสอนแก่โรงเรียน ต่อมาโรงเรียนได้มีผู้ดูแลสาขา คือ \nเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๘ กรมสามัญศึกษา มีคำสั่งแต่งตั้งให้ นางสาวอรพิน จูมสีมา \nมาดำรงตำแหน่งครูใหญ่", "title": "โรงเรียนศรีตระกูลวิทยา" }, { "docid": "70063#41", "text": "โรงเรียนอินทรศักดิ์ศึกษาลัย (บ้านยาง) ตั้งอยู่เลขที่ 220 หมู่ 1 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2481 โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี ซึ่งพระราชทานที่ดินและพระตำหนักราชฤดีให้เป็นสถานศึกษาแก่กุลบุตร กุลธิดา ใช้เป็นสถานศึกษาตลอดมา โรงเรียนประกอบไปด้วยอาคารเรียนจำนวน 2 หลัง อาคารประกอบจำนวน 3 หลัง ห้องน้ำ 2 แห่งหลังสนาม โรงอาหาร 1 หลัง และลานเอนกประสงค์ ผู้อำนวยการของโรงเรียนอินทรศักดิ์ศึกษาลัยคนปัจจุบันคือ วัลลภ จันทร์ภิวัฒน์", "title": "สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา" }, { "docid": "354543#0", "text": "โรงเรียนเทพารักษ์ราชวิทยาคม เป็นโรงเรียนประจำอำเภอในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา โรงเรียนเทพารักษ์ราชวิทยาคม อำเภอเทพารักษ์ จังหวัดนครราชสีมา เดิมชื่อ โรงเรียนสำนักตะคร้อวิทยาคม ตั้งอยู่ที่ตำบลสำนักตะคร้อ จังหวัดนครราชสีมา ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 10 มีนาคม 2532\nก่อนที่จะมีการจัดตั้งโรงเรียน กรมสามัญศึกษาได้อนุญาตให้เป็นหน่วยเรียน ขึ้นตรงต่อโรงเรียนมัธยมด่านขุนทด และได้เปิดทำการสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 โดยรับนักเรียนชั้น ม. 1 จำนวน 2 ห้องเรียน มีนักเรียน 49 คน โดยมีนายสะอาด นาคาเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมด่านขุนทดในสมัยนั้น ได้มาดำเนินการเรื่องสถานที่ เนื่องจากจัดหาที่ดินเพื่อเตรียมขออนุญาตเปิดโรงเรียนในปีการศึกษา 2532 และได้จัดครูโรงเรียนมัธยมศึกษา มาช่วยสอน 1 คน คือนายชิด ไพเราะ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้บริหารโรงเรียนวังไม้แดงพิทยาคม\nในปีการศึกษา 2532 กรมสามัญศึกษาได้รับเป็นโรงเรียนในโครงการขยายโอกาสทางการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แต่เนื่องจากในระยะแรกยังไม่มีผู้บริหาร กรมสามัญศึกษาจึงได้แต่งตั้งให้ นายชวลิต ตัณฑเสรณีวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์สมัยนั้น มาปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บริหารและได้จัดครูจากโรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ จำนวน 9 คน โดยมีรถรับ - ส่ง จากตัวเมืองนครราชสีมาเพื่อมาทำการสอน เช้าไปเย็นกลับ ตั้งแต่วันที่ 15 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา โดยครั้งแรกทำการสอนที่โรงเรียนบ้านสำนักตะคร้อ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา\nต่อมาโรงเรียน ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกรมสามัญศึกษา ด้ก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราว ห้องน้ำ ห้องส้วม 1 หลัง 4 ที่ บ้านพักครู 1 หลัง บ้านพักนักการ 1 หลัง สนามบาสเกตบอล ในการก่อสร้างอาคารชั่วคราวสมัยแรก ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านพระครูวิภัชธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดสำนักตะคร้อ นายภุชงค์ เชษฐ์ขุนทด ซึ่งเป็นกำนันตำบาลสำนักตะคร้อ ในสมัยนั้นได้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดนครราชสีมา นายบุญไหล กาศขุนทด อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านสำนักตะคร้อ นายสามารถ โชติขุนทด อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้าสำนักตะคร้อ และชาวบ้านสำนักตะคร้อเป็นอย่างดี และในการก่อสร้างครั้งนี้ได้รับการบริจาคที่ดินจากนายเพ้ง เชาว์ขุนทด ข้าราชการบำนาญและนางอ๋วง ชิวขุนทด เนื้อที่ประมาณ 46 ไร่ 3 งาน\nเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2532 กรมสามัญศึกษาได้แต่งตั้งนายยิ่งยศ ดอกสันเทียะ มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนสำนักตะคร้อวิทยาคม เป็นคนแรก\nเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2537 กรมสามัญศึกษาได้แต่งตั้งนายวิทยา โพธิ์แสง ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ เป็นคนที่ 2 และเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ได้แต่งตั้งนางกฤษณา มือขุนทด เป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่\nเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2538 คณะครู - อาจารย์ นำโดยนายวิทยา โพธิ์แสง ได้เข้ากราบนมัสการพระราชวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) เพื่อขอประทานสมณศักดิ์ของท่าน คือ พระราชวิทยาคม ให้เป็นชื่อของโรงเรียน เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2540 กรมสามัญศึกษา ประกาศให้ เปลี่ยนชื่อโรงเรียนสำนักตะคร้อวิทยาคม เป็นโรงเรียนเทพารักษ์ราชวิทยาคม\nเมื่วันที่ 20 มีนาคม 2543 กรมสามัญศึกษาได้มีคำสั่งให้นายสุเทพ คงวิริยะวิทยา มาดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเทพารักษ์ราชวิทยาคม เป็นคนที่ 3", "title": "โรงเรียนเทพารักษ์ราชวิทยาคม" }, { "docid": "231752#4", "text": "การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งของโรงเรียนศรีสงครามวิทยาอีกประการหนึ่ง นั่นคือการได้รับการคัดเลือกจากชุมชนให้เข้าสู่โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน ที่เป็นโครงการเด่นทางการปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาลในสมัยนั้น จาการทุ่มเททุกสรรพกำลังที่มีของโรงเรียนศรีสงครามวิทยา ส่งผลให้โรงเรียนได้รับการประเมิน ผ่านเกณฑ์ดีเยี่ยมแบบไม่มีเงื่อนไขเข้าเป็น “โรงเรียนต้นแบบโรงเรียนในฝัน” ได้รับการตรวจเยี่ยม รับรอง จาก นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2548 และนี่คือจุดเริ่มต้นของการจัดการศึกษายุคใหม่ ที่จะส่งผลดีมายังนักเรียนทุกคน", "title": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา" }, { "docid": "231752#10", "text": "3. โรงเรียนในฝันของอำเภอวังสะพุง ตามโครงการ หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน ของ กระทรวงศึกษาธิการ", "title": "โรงเรียนศรีสงครามวิทยา" } ]
3179
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ เกิดที่ไหน ?
[ { "docid": "105416#1", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ เป็นพระธิดาองค์โตในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับหม่อมเลี่ยม ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม ศุภสุทธิ์) สตรีชาวเพชรบุรี เมื่อแรกประสูติทรงฐานันดรศักดิ์เป็น \"หม่อมเจ้า\" พระบิดาทรงออกพระนามว่า \"หญิงทิพย์\" ประสูติ ณ วังบูรพาภิรมย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2428", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" } ]
[ { "docid": "105416#0", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ (ประสูติ: 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 — สิ้นพระชนม์: 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2451) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่ต่อมาได้เสกสมรสเป็นพระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โดยเป็นพระมารดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 8", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" }, { "docid": "105416#7", "text": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และหม่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ มีพระโอรส 3 พระองค์ คือขณะที่หม่อมเจ้ารังษิยากร พระโอรสองค์เล็กมีพระชนมายุได้เพียง 1 พรรษา ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อหม่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ได้เสวยยาพิษปลงพระชนม์ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2451 และได้สิ้นชีพิตักษัยเวลา 10.50 นาฬิกา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบันทึกไว้ในจดหมายราชกิจรายวัน มีความบางตอนเกี่ยวกับการสิ้นชีพิตักษัยของท่านหญิงทิพย์ ความว่า", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" }, { "docid": "44792#0", "text": "พลโท พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา (ประสูติ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 - สิ้นพระชนม์ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2489) เป็นพระโอรสพระองค์แรกในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ประสูติแต่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ ทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา" }, { "docid": "44792#1", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติแต่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ ประสูติเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 มีพระนามแรกประสูติว่า \"หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภา\" มีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ\nเมื่อพระมารดาทรงน้อยพระทัยพระบิดาและปลงชีพพระองค์เองเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระองค์ไปเลี้ยงดู ทรงเอ็นดูเป็นพิเศษและโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็น \"พระหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา\" เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา" }, { "docid": "105416#6", "text": "หม่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ อภิเษกสมรสกับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ กรุณาพระราชทานน้ำสังข์ในพิธีอภิเษกสมรส ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ในตอนค่ำวันเดียวกันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย และเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ออกไปส่งตัวท่านหญิงที่วังนางเลิ้ง อันเป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเป็นที่ประทับ", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" }, { "docid": "105416#15", "text": "ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอัฐิเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" }, { "docid": "153283#0", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพัทธ์ประไพ (30 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 — 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2473) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ กับ หม่อมราชวงศ์สว่าง จักรพันธุ์ ประสูติเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 มีอิสริยยศเมื่อแรกประสูติเป็นหม่อมเจ้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า เมื่อ พ.ศ. 2436 และสถาปนาเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ในปี พ.ศ. 2443", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพัทธ์ประไพ" }, { "docid": "105416#2", "text": "ส่วนพระนาม หม่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ ภาณุพันธุ์ นั้นได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งยังทรงมีความใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เพราะโปรดให้ตามเสด็จประพาสหัวเมืองด้วยเสมอ", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" }, { "docid": "74089#1", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา ประสูติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2464 เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ที่ประสูติแต่หม่อมลออ จุฑาธุช ณ อยุธยา ทั้งนี้หม่อมลออ เป็นธิดาของพระนมอิน ศิริสัมพันธ์ ซึ่งเป็นแม่นมของพระชนกของพระองค์ บิดาของพระนมอินคือ พระยาอาหารบริรักษ์ (ทิน ศิริสัมพันธ์) เป็นข้าราชการกรมนามาแต่รัชกาลที่ 5 พระองค์มีพระอนุชาต่างมารดาหนึ่งพระองค์คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ภายหลังทั้งสองพระองค์ได้รับการเฉลิมพระยศเป็น \"พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า\" ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2470", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา" } ]
3181
เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีผลงานเรื่องแรกคืออะไร ?
[ { "docid": "5622#39", "text": "โทลคีนเริ่มงานเขียนปกรณัมชิ้นแรกคือ The Book of Lost Tales ตอน การล่มสลายของกอนโดลิน ในปี พ.ศ. 2460 (ค.ศ.1917) ขณะที่พักรักษาตัวจากไข้กลับ โดยนำตัวละคร \"เออาเรนเดล\" จากบทกวีเดิมที่เขาแต่งไว้ การผจญภัยของเออาเรนเดล ดวงดาวสายัณห์ มาเป็นตัวละครเอกอยู่ในเรื่อง เพื่อเล่าถึงสาเหตุความเป็นมาว่า ทำไมเออาเรนเดลจึงได้เป็นดวงดาวสายัณห์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ หลังจากนั้นโทลคีนแต่งบทกวีอีกสองเรื่องคือ ตำนานของเบเรนและลูธิเอน กับ ตำนานบุตรแห่งฮูริน", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" }, { "docid": "5622#17", "text": "ปี พ.ศ. 2458 (ค.ศ. 1915) โทลคีนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เวลานั้นอังกฤษได้ประกาศเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว โทลคีนได้ไปเข้าร่วมกับกองทัพอังกฤษโดยเป็นนายร้อยตรีอยู่ใน Lancashire Fusiliers เข้ารับการฝึกฝนอยู่ 11 เดือน แล้วจึงย้ายไปเป็นนายทหารสื่อสาร กองพันที่ 11 ทัพหน้า ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1916 ปีเดียวกันกับที่แต่งงาน จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม เขาได้ล้มป่วยเป็นไข้กลับ และถูกส่งตัวกลับอังกฤษในวันที่ 8 พฤศจิกายน เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนสนิทของเขาหลายคนถูกสังหารในระหว่างสงคราม โดยเฉพาะเพื่อนสนิทชาว T.C.B.S. ผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของโทลคีนไปตลอดชีวิต ในระหว่างรอพักฟื้นอยู่ที่ Staffordshire โทลคีนได้เขียนนิยายเรื่องแรกของเขา คือ \"The Book of Lost Tales\" เริ่มต้นด้วย\"การล่มสลายของกอนโดลิน\"", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" } ]
[ { "docid": "5622#47", "text": "กล่าวได้ว่า \"ซิลมาริลลิออน\" เป็นงานเขียนแห่งชีวิตของโทลคีน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการประพันธ์มหากาพย์ชุดนี้ ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) เมื่อโทลคีนบังเอิญมีโอกาสได้ตีพิมพ์ \"เดอะฮอบบิท\" และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจนต้องเขียนภาคต่อออกมากลายเป็น \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" โทลคีนก็นำทั้งเรื่อง \"เดอะฮอบบิท\" และ \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" มาวางลงบนโครงปกรณัมชุดใหญ่ของเขาและถักทอเข้าจนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีตำนานอีกชุดหนึ่งคือ \"การล่มสลายของนูเมนอร์\" หรือ \"อคัลลาเบธ\" ซึ่งโทลคีนประพันธ์ขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจากการล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในวงล้อประวัติศาสตร์ของปกรณัมชุดนี้ด้วย", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" }, { "docid": "5622#14", "text": "ฤดูร้อนปี 1911 โทลคีนได้ไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขาได้เขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งเมื่อปี ค.ศ.1968 (เป็นเวลาผ่านไปถึง 57 ปี) ว่า การผจญภัยของบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ในเทือกเขามิสตี้ ในเรื่อง \"เดอะฮอบบิท\" มาจากการเดินทางของเขาในเทือกเขาแอลป์คราวนั้น และยอดเขาจุงเฟรา กับซิลเบอร์ฮอร์น ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างยอดเขาซิลเวอร์ไทน์ (เคเล็บดิล) นั่นเอง", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" }, { "docid": "5622#3", "text": "หลังจากโทลคีนเสียชีวิต ลูกชายของเขา คริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้นำเรื่องที่บิดาของตนแต่งค้างไว้หลายเรื่องมาเรียบเรียงและตีพิมพ์ รวมถึงเรื่องซิลมาริลลิออน งานประพันธ์ชิ้นนี้ประกอบกับเรื่องเดอะฮอบบิท และเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ รวมกันได้สร้างให้เกิดโลกจินตนาการซึ่งกอปรด้วยเรื่องเล่า ลำนำ บทกวี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษาประดิษฐ์ ในโลกจินตนาการที่ชื่อว่า อาร์ดา และแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธ ซึ่งเป็นฐานของงานประพันธ์ปกรณัมทั้งมวลของโทลคีน", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" }, { "docid": "5622#53", "text": "นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2501 โทลคีนเขียนวิจารณ์บทภาพยนตร์ของ มอร์ตัน เกรดี้ ซิมเมอร์แมน ที่ดัดแปลงจากเรื่อง \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" แบบฉากต่อฉากทีเดียว ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีให้มีการดัดแปลงหนังสือเป็นบทภาพยนตร์ โทลคีนขายสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์ ละครเวที และสินค้าประกอบของเรื่อง \"เดอะฮอบบิท\" และ \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" ให้แก่ United Artists ในปี พ.ศ. 2511 แต่ UA ไม่เคยสร้างเป็นภาพยนตร์ขึ้นมาเลย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2519 สิทธิ์ในการสร้างจึงได้ขายให้กับ Tolkien Enterprises ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งอยู่ในบริษัท Saul Zaentz หลังจากนั้นจึงได้มีการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" ในปี พ.ศ. 2521 เป็นภาพยนตร์การ์ตูนของราล์ฟ บัคชิ ปี พ.ศ. 2520 Rankin/Bass ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง \"เดอะฮอบบิท\" ออกฉายทางโทรทัศน์ และต่อมาได้สร้าง \"The Return of the King\" เป็นภาพยนตร์การ์ตูนออกฉายทางโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2523", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" }, { "docid": "93893#1", "text": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งจากบทประพันธ์เรื่อง เดอะฮอบบิท ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1937 จนทางสำนักพิมพ์ต้องขอให้โทลคีนเขียนนิยายใหม่ส่งมาอีก ในตอนแรกโทลคีนพยายามส่งเรื่อง ซิลมาริลลิออน ที่เป็นผลงานที่เขารักและทุ่มเทประพันธ์มาโดยตลอด ให้สำนักพิมพ์พิจารณา แต่สำนักพิมพ์ไม่ชอบ สำนักพิมพ์บอกว่าผู้อ่านต้องการเรื่อง 'การผจญภัย' และขอให้โทลคีนแต่งภาคต่อของเดอะฮอบบิท แต่โทลคีนไม่ต้องการเขียนเรื่องผจญภัยแบบเด็กๆ แบบนั้นอีก ในที่สุดโทลคีนก็วางโครงเรื่องใหม่ โดยใช้แหวนที่บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ตัวเอกในเรื่องเดอะฮอบบิท ได้มาด้วยความบังเอิญในระหว่างการเดินทาง มาใช้เป็นแกนของเรื่องใหม่ และนำเอาเรื่องราวตำนานในซิลมาริลลิออน มาเป็นฉากหลังของเรื่อง เขาวางพล็อตให้นิยายเรื่องใหม่มีความจริงจังมากขึ้น จนเมื่อผ่านไป 17 ปี นิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ จึงได้ปรากฏโฉมสู่บรรณพิภพ", "title": "ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน หอคอยคู่พิฆาต" }, { "docid": "5622#21", "text": "ตลอดชีวิตการทำงานของโทลคีน เขาสร้างผลงานวิชาการได้ค่อนข้างน้อย แต่เป็นงานที่มีคุณค่าและส่งผลกระทบต่อวงการวรรณกรรม อย่างเช่นบทวิเคราะห์เรื่อง \"เบวูล์ฟ\" เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากโทลคีนใช้เวลาไปกับงานสอนค่อนข้างมาก และยังรับเป็นอาจารย์พิเศษอีกหลายแห่ง เพื่อจะได้มีเงินเพียงพอใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือ ความปราณีตพิถีพิถันของโทลคีนเอง ทำให้เขามีงานเขียนต้นฉบับที่ยังเขียนไม่เสร็จอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" }, { "docid": "5622#54", "text": "ล่วงถึงปี พ.ศ. 2544-2546 นิวไลน์ ซีนีม่า ได้สร้างภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ กำกับโดย ปีเตอร์ แจ็กสัน และถ่ายทำในประเทศนิวซีแลนด์ทั้งเรื่อง ภาพยนตร์ชุดนี้เป็นชุดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย ปลายปี พ.ศ. 2550 นิวไลน์ ซีนีม่า ร่วมกับปีเตอร์ แจ็กสัน ได้ประกาศการสร้างภาพยนตร์ \"เดอะฮอบบิท\" แบ่งออกเป็นไตรภาค มีกำหนดออกฉายในปี พ.ศ. 2555-2557", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" }, { "docid": "92143#1", "text": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งจากบทประพันธ์เรื่อง เดอะฮอบบิท ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1937 จนทางสำนักพิมพ์ต้องขอให้โทลคีนเขียนนิยายใหม่ส่งมาอีก ในตอนแรกโทลคีนพยายามส่งเรื่อง ซิลมาริลลิออน ที่เป็นผลงานที่เขารักและทุ่มเทประพันธ์มาโดยตลอด ให้สำนักพิมพ์พิจารณา แต่สำนักพิมพ์ไม่ชอบ สำนักพิมพ์บอกว่าผู้อ่านต้องการเรื่อง 'การผจญภัย' และขอให้โทลคีนแต่งภาคต่อของเดอะฮอบบิท แต่โทลคีนไม่ต้องการเขียนเรื่องผจญภัยแบบเด็กๆ แบบนั้นอีก ในที่สุดโทลคีนก็วางโครงเรื่องใหม่ โดยใช้แหวนที่บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ตัวเอกในเรื่องเดอะฮอบบิท ได้มาด้วยความบังเอิญในระหว่างการเดินทาง มาใช้เป็นแกนของเรื่องใหม่ และนำเอาเรื่องราวตำนานในซิลมาริลลิออน มาเป็นฉากหลังของเรื่อง เขาวางพล็อตให้นิยายเรื่องใหม่มีความจริงจังมากขึ้น จนเมื่อผ่านไป 17 ปี นิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ จึงได้ปรากฏโฉมสู่บรรณพิภพ", "title": "ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน มหันตภัยแห่งแหวน" }, { "docid": "5622#52", "text": "แต่สำหรับผลงานของศิลปินบางคนที่สร้างขึ้นในระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ โทลคีนกลับไม่ค่อยชอบใจนัก และบางครั้งถึงกับวิจารณ์อย่างรุนแรง เช่นในปี พ.ศ. 2489 โทลคีนบอกปัดผลงานวาดภาพของ ฮอรัส เอนเจลส์ ที่วาดประกอบ \"เดอะฮอบบิท\" ฉบับภาษาเยอรมัน โดยบอกว่า \"บิลโบจมูกย้อยเกินไป และแกนดัล์ฟก็ดูเหมือนตัวตลกดื่นดาษมากกว่าโอดินผู้พเนจรในความคิดของผม\" ปี พ.ศ. 2497 โทลคีนส่งต้นร่างปกนอกของ \"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" ฉบับพิมพ์อเมริกันคืน พร้อมหมายเหตุว่า \"ขอบคุณที่ส่ง 'งานชิ้นเอก' มาให้ แต่ผมขอส่งคืน ชาวอเมริกันไม่ค่อยยอมรับคำวิจารณ์และไม่ค่อยยอมแก้ไขอะไร แต่ผมเห็นว่างานชิ้นนี้แย่เกินไปจนผมไม่อาจฝืนตัวเองไปแก้ไขมัน\"", "title": "เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน" } ]
3183
โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนเป็นโครงการของรัฐบาลใด?
[ { "docid": "240435#3", "text": "รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินนโยบายตามที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้มีการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงขึ้น เพื่อจัดสรรงบประมาณโดยตรงไปยังหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศเพิ่มเติมจากวงเงินงบประมาณที่เคยได้จัดสรรเดิม ทั้งนี้ไม่ได้เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัติเงินคงคลังพ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม แต่ดำเนินการในรูปแบบของ“โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน” ซึ่งคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552 ลงมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ศพช.) หรือ โครงการชุมชนพอเพียง และให้มีสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) หรือ สำนักงานชุมชนพอเพียง เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 18/2552 ลงวันที่ 20 มกราคม 2552 ทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายกนก วงษ์ตระหง่านและนายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน เป็นรองประธานกรรมการ พร้อมกรรมการอีก 21 คน มี ดร.สุมิท แช่มประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯ\nซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน โดยได้แต่งตั้งให้ นายมีชัย วีระไวทยะ เป็นประธานกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง นายกำพล แกล้วทนงค์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนชุมชนที่มีความประสงค์จะขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการชุมชนพอเพียง ต้องเป็นชุมชนที่จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2552 ตามประกาศ ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ประกาศของกรุงเทพมหานคร และประกาศของเทศบาล ต้องมีความรู้ความเข้าใจในแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้เพื่อปฏิบัติได้ โครงการชุมชนพอเพียงมีการจัดฝึกอบรมให้กับตัวแทนชุมชน ณ ศูนย์ฝึกอบรม 100 แห่งทั่วประเทศ ระยะเวลา 3 วัน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้ตัวแทนชุมชนที่เข้ามารับการฝึกอบรมสามารถเขียนโครงการขออนุมัติงบประมาณกับรัฐบาลได้ทันที และเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการดำเนินโครงการภายใต้กรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน โดยหัวข้อในการฝึกอบรมจะมีตั้งแต่การเขียนโครงการให้ประสบความสำเร็จ การวิเคราะห์ชุมชนของตนจากการทำบัญชีชุมชน ขั้นตอนการบริหารจัดการโครงการที่ยั่งยืน เป็นต้น", "title": "โครงการชุมชนพอเพียง" } ]
[ { "docid": "240435#0", "text": "โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน เป็นโครงการของรัฐบาลที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจระดับชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยรัฐบาลมุ่งจัดสรรงบประมาณโดยตรงไปยังชุมชนทั่วประเทศ ให้ทุกชุมชนมีโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือจากงบประมาณของภาครัฐอย่างรวดเร็ว กำหนดเป้าหมายการใช้เงินไว้ 4 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาอาชีพสำหรับผู้ด้อยโอกาส การพัฒนาการเกษตร การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการอนุรักษ์พลังงาน โดยมุ่งให้ทุกภาคส่วนในชุมชนร่วมกันบริหารจัดการและพัฒนาศักยภาพของตนเองที่มีอยู่อย่างมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ การลดต้นทุนและปัจจัยการผลิต พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติระดับชุมชนให้มีมูลค่าเพิ่ม และสร้างโอกาสในการพัฒนาหรือเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้กับชุมชน", "title": "โครงการชุมชนพอเพียง" }, { "docid": "240435#2", "text": "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้ผ่านการพิสูจน์มานานและสร้างผลสำเร็จอย่างมากมาย โดยมีผู้น้อมนำมาทดลองปฏิบัติจนประสบความสำเร็จและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าไม่ใช่เพียงการสร้างความพออยู่พอกินเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างรายได้ให้มีความมั่นคงในอาชีพได้อีกด้วย ซึ่งแนวคิดในการแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาลคือ ปัญญา บวก เงินเมื่อชาวบ้านมีปัญญา รัฐก็จะมอบเงินให้มาช่วยแก้ปัญหาแบบยั่งยืน แนวทางให้ยึดหลักพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาจากภายนอก ซึ่งเศรษฐกิจพอเพียงในขั้นต้นคือ การพออยู่ พอกิน พอใช้ เมื่อชุมชนพึ่งตนเองได้แล้ว ก็หมายถึงว่าได้พ้นจากความยากจนแล้ว จากนั้นก็จะสามารถก้าวต่อไปในระดับที่ก้าวหน้าได้ โดยนำผลผลิตที่เหลือใช้มาแปรรูปให้เกิดเป็นการต่อยอด สร้างร้ายได้เพิ่มเติม ชุมชนอาจรวมกลุ่มมาดำเนินการ เป็นธุรกิจโอท็อป หรือวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ได้", "title": "โครงการชุมชนพอเพียง" }, { "docid": "362890#8", "text": "รัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารประเทศภายใต้ข้อกล่าวหาที่ว่า โครงการชุมชนพอเพียงมูลค่า 26 พันล้านบาทเป็นโครงการที่ปนเปื้อนไปด้วยการทุจริต โครงการนี้เป็นนโยบายประชานิยมต่อต้านโครงการยุคทักษิณที่ทำในชนบทของเมืองไทย อภิสิทธิ์ชี้แจงข้อกล่าวหาว่า “สิ่งที่กล่าวหาว่าบกพร่องต่อหน้าที่นั้นอาจเริ่มมาจากโครงการอุตสาหกรรมขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ (SML)... โครงการเอสเอ็มแอลนี้กำเนิดมาจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร” กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน และน้องชายของเขา ประพจน์ สภาวสุ เป็นรองผู้อำนวยการ เรื่องอื้อฉาวนี้ขยายออกไปเป็นวงกว้าง เป็นสาเหตุให้กอร์ปศักดิ์ลาออกจากตำแหน่ง แต่ยังคงเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้นมา คณะกรรมการพบว่าทั้งกอร์ปศักดิ์และน้องชายของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต ต่อมากอร์ปศักดิ์ถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาของอภิสิทธิ์", "title": "การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" }, { "docid": "240435#10", "text": "การขับเคลื่อนโครงการให้เดินไปข้างหน้า ภาคชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ภาควิชาการ สถาบันการศึกษา นักวิชาการอิสระ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาครัฐบาล ได้รวมพลังเป็น \"เบญจภาคี\" ช่วยกันสร้างความเข้าใจ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับชุมชน โดยในวันเปิดโครงการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 ปรากฏรายชื่อกลุ่มที่มาเข้าร่วม ภาควิชาการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ (โพธิวิชาลัย) ภาคประชาสังคม ได้แก่ นายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านกว่า 100 เครือข่าย ภาคเอกชนได้แก่ บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะประสบผลสำเร็จที่ดีอย่างแน่นอน", "title": "โครงการชุมชนพอเพียง" }, { "docid": "240435#9", "text": "นายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขตหรือนายกเทศมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจติดตามประเมินผลระดับอำเภอหรือสำนักงานเขตหรือเทศบาล ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนอำเภอหรือสำนักงานเขตหรือเทศบาล ผู้แทนธนาคารผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านหรือประธานชุมชน และบุคคลที่นายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขตหรือนายกเทศมนตรีเห็นสมควร ทำหน้าที่ตรวจติดตามประเมินผลโครงการของชุมชน ว่าได้รับประโยชน์ด้านใด มีข้อจำกัด ปัญหา อุปสรรค รวมทั้งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเสร็จแล้ว รายงานให้นายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขตหรือนายกเทศมนตรีทราบ และรายงานต่อสำนักงานเพื่อรวบรวมผลที่ได้ไปสู่การพัฒนาแนวทางการดำเนินงานในอนาคต ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันทำการ นับแต่วันครบกำหนด\nกรณีมีผู้ร้องเรียนและ/หรือตรวจสอบพบว่า ชุมชนมีการบริหารจัดการไม่โปร่งใส โดยดำเนินโครงการขัดต่อแนวทางการดำเนินงานตามโครงการชุมชนพอเพียง หรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือกระทำการอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนในชุมชน หากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีมูลเพียงพอ จะแจ้งหนังสือไปยังธนาคารเพื่อระงับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในบัญชีเงินฝากธนาคารของชุมชนไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป", "title": "โครงการชุมชนพอเพียง" }, { "docid": "27999#14", "text": "ทางด้านเศรษฐกิจ ได้อนุมัติโครงการเพื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในหลายโครงการ เช่น โครงการโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านเลขหมาย โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ในเขตกรุงเทพมหานคร และโครงการทางด่วนยกระดับ ตัวเลขความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงนั้น ร้อนแรงถึงกว่า 10 เปอร์เซนต์ต่อปี กระทั่งมีการคาดหมายโดยทั่วไปว่าประเทศไทยจะเป็น \"เสือตัวที่ 5\" ของเอเชีย (Fifth Asian Tiger) ต่อจาก \"4 เสือเศรษฐกิจของเอเชีย\" คือ เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน", "title": "ชาติชาย ชุณหะวัณ" }, { "docid": "10613#4", "text": "เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง", "title": "เศรษฐกิจพอเพียง" }, { "docid": "10613#8", "text": "ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต", "title": "เศรษฐกิจพอเพียง" }, { "docid": "240435#1", "text": "โครงการที่อนุมัติดำเนินการไปแล้วส่วนใหญ่ได้แก่โครงการประเภท การผลิตปุ๋ย ยุ้งฉาง ลานตาก เกษตรผสมผสาน การส่งเสริมกลุ่มอาชีพ พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ/ต้นน้ำ พลังงานทดแทน เป็นต้น โดยหลักเกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาอนุมัติโครงการ ได้แก่ ความยั่งยืนของการดำเนินโครงการ และแนวทางการบริหารจัดการโครงการเพื่อความยั่งยืนในชุมชน", "title": "โครงการชุมชนพอเพียง" } ]
3185
ใครเป็นผู้นำโทรทัศน์เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย?
[ { "docid": "529232#2", "text": "ประเทศไทยเริ่มต้นรู้จัก สิ่งที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Television” เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2474 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมในขณะนั้น ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะต้องการจัดตั้งกิจการโทรทัศน์ในประเทศไทยขึ้น โดยได้มีการติดต่อกับบริษัทเอกชนของประเทศสหรัฐอเมริการายหนึ่ง เพื่อจัดหาและติดตั้งเครื่องส่งโทรทัศน์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการทดลองการออกอากาศ และถ้าหากโครงการนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระองค์แล้วก็จะให้สั่งซื้อเพื่อเก็บเอาไว้ใช้ในงานราชการ แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 จึงทำให้โครงการตามพระราชประสงค์ของพระองค์นั้นถูกยกเลิกลง (ซึ่งถ้าหากประสบความสำเร็จ ประเทศไทยอาจเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย ที่มีกิจการและการออกอากาศทางโทรทัศน์) ในเวลาหลายปีต่อมา คือเมื่อปี พ.ศ. 2492 สรรพสิริ วิรยศิริ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศของกรมประชาสัมพันธ์ เขียนบทความขึ้นบทหนึ่ง เพื่อแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกับ “วิทยุภาพ” อันเป็นเทคโนโลยีสื่อสารชนิดใหม่ของโลก ต่อมากรมประชาสัมพันธ์ ส่งข้าราชการของกรมฯ กลุ่มหนึ่ง ไปศึกษางานวิทยุโทรภาพที่สหราชอาณาจักร ในราวปี พ.ศ. 2493 เมื่อเล็งเห็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติ กรมประชาสัมพันธ์จึงนำเสนอ “โครงการจัดตั้งวิทยุโทรภาพ” ต่อจอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล เมื่อปี พ.ศ. 2494 แต่เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนมาก แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง ต่องบประมาณแผ่นดินโดยเปล่าประโยชน์ จึงจำเป็นต้องยุติโครงการดังกล่าวลง", "title": "โทรทัศน์ในประเทศไทย" } ]
[ { "docid": "43460#40", "text": "ไทยทีวีสีช่อง 3 ถือเป็นผู้นำด้านละครโทรทัศน์ของประเทศไทย เนื่องจากเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชน เข้าเสนอผลงานผลิตละครโทรทัศน์หลากหลายแนว ในเวลาไพรม์ไทม์ ช่วงเย็นและหัวค่ำ นอกจากนี้ ยังเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีจำนวนผู้ประกาศข่าวมากที่สุด และมีการนำเสนอข่าวถึงครึ่งหนึ่ง (12 ชั่วโมง) ของเวลาการออกอากาศทั้งหมด รวมถึงสถานีฯ ได้จัดซื้อระบบดิจิตอลนิวส์รูม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทันสมัย ที่ได้รับการพัฒนาระดับสูง มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท จากบริษัท โซนี่ ไทย จำกัด มาใช้ในการผลิต และนำเสนอข่าวของสถานีฯ อย่างเต็มระบบ เป็นแห่งแรกในภาคพื้นเอเชีย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ ยังมีรายการโทรทัศน์หลากหลายประเภท ที่สร้างชื่อเสียงแก่สถานีอีกหลายรายการ ดังจะได้กล่าวถึงต่อไปนี้", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "617448#6", "text": "ทั้งนี้ ไทยรัฐทีวีเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องแรกในประเทศไทยที่นำข้อความจากแอพลิเคชันไลน์ของผู้ชมมาแสดงขึ้นบนหน้าจอ โดยใช้บัญชีไลน์กลางของไทยรัฐเอง โดยไทยรัฐทีวีเริ่มนำเสนอในลักษณะนี้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558 โดยแสดงเป็นแถบถัดจากสัญลักษณ์รายการที่มุมล่างซ้าย ก่อนที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ได้ย้ายลงมาไว้ที่ด้านล่างของจอ เพื่อความต่อเนื่องในการแสดงข้อความ ซึ่งต่อมาสถานีโทรทัศน์ไทยหลายช่องทั้งที่เป็นฟรีทีวีดิจิทัลรวมถึงช่องโทรทัศน์ดาวเทียม ต่างนำรูปแบบดังกล่าวไปใช้กับแต่ละช่องตามลำดับ", "title": "ไทยรัฐทีวี" }, { "docid": "529232#3", "text": "หลังจากนั้น ประสิทธิ์ ทวีสิน ประธานกรรมการบริษัท วิเชียรวิทยุและโทรภาพ จำกัด นำเครื่องส่งวิทยุโทรภาพ 1 เครื่อง เข้าทำการทดลองส่ง แพร่ภาพการแสดงดนตรี ของวงดนตรีสากลกรมประชาสัมพันธ์ จากห้องส่งวิทยุกระจายเสียง ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ภายในกรมประชาสัมพันธ์ โดยถ่ายทอดสดไปยังเครื่องรับจำนวน 4 เครื่อง ซึ่งตั้งไว้ภายในทำเนียบรัฐบาล, บริเวณใกล้เคียงกรมประชาสัมพันธ์ และบริเวณโถงชั้นล่างของศาลาเฉลิมกรุง เพื่อให้คณะรัฐมนตรีและประชาชนรับชม เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ซึ่งเครื่องส่งและเครื่องรับดังกล่าว มีน้ำหนักรวมกว่า 2,000 กิโลกรัม ซึ่งในระยะนี้เอง สื่อมวลชนซึ่งต้องการนำเสนอ ถึงสิ่งที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Television” ดังกล่าวนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าควรเรียกเป็นภาษาไทยว่าอย่างไร จึงกราบทูลถามไปยัง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ด้วยทรงเป็นศาสตราจารย์ทางอักษรศาสตร์ จึงทรงวิเคราะห์ศัพท์ดังกล่าว ก่อนจะทรงบัญญัติขึ้นเป็นคำว่า “วิทยุโทรทัศน์” ซึ่งต่อมาประชาชนทั่วไป นิยมเรียกอย่างสังเขปว่า “โทรทัศน์”", "title": "โทรทัศน์ในประเทศไทย" }, { "docid": "306636#7", "text": "วันที่ 1 มกราคม 2550 ไลฟ์ทีวีได้ร่วมมือกับ Panorama World Wide ผู้ถือลิขสิทธิ์สารคดีในประเทศไทย นำสารคดีชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาเผยแพร่ออกอากาศในช่อง", "title": "เอิร์ธ (สถานีโทรทัศน์)" }, { "docid": "108249#0", "text": "ไทยทีวีโกลบอลเน็ทเวิร์ค () เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยได้แพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ เพื่อคนไทยที่อาศัยอยู่ทั่วโลก 170 ประเทศ และต่างชาติที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับประเทศไทย ก่อนมีพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 จึงเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งเดียวที่ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระความรู้ ความบันเทิงออกไปสู่สายตาของผู้ชมทั่วโลกโดย ออกอากาศ 24 ชั่วโมงต่อวัน ส่งสัญญาณ รายการผ่านดาวเทียมถึง 5 ดวง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 177 ประเทศทั่วโลก ผังรายการ TGN เป็นผังรายการที่จัดขึ้นใหม่ แยกจากผังรายการของ ททบ.5 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เป็นรายการที่ TGN เป็นผู้ผลิตเอง, ผู้จัดรายการผลิตรายการขึ้นใหม่เพื่อเช่าเวลา ส่วนที่เหลือเป็นรายการที่เช่าเวลากับ ททบ.5 นำมาเช่าเวลาเพื่อออกอีกรอบทาง TGN รวมถึงรายการถ่ายทอดสดที่รับสัญญาณจากททบ.5 ลและจากสถานีอื่นที่ไม่ใช่ ททบ.5 (เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย,เอ็นบีทีเวิลด์ ฯลฯ)ดังนั้น ผังรายการ TGN จึงมีรายการที่มีความหลากหลายน่าสนใจ\nสามารถรับชม TGN ได้ 170 ประเทศ ทั่วโลก ได้แก่สถานีโทรทัศน์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดำเนินการโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย\nสถานีโทรทัศน์เพื่อเศรษฐกิจและการลงทุน ดำเนินการโดย บริษัท แฟมมิลี่โนฮาว จำกัด\nช้อป แชนแนล ทีวีช้อปปิ้งอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ดำเนินการโดย บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด", "title": "ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก" }, { "docid": "490627#28", "text": "ละครโทรทัศน์ไทย ได้มีการแปลซับไตเติลเป็นภาษาของตนเองเผยแพร่กันเองในโลกออนไลน์ ก่อนที่ทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศนั้น ๆ จะนำมาฉายเสียอีก โดยกลุ่มผู้ชมในประเทศเวียดนามต่างชื่นชอบละครโทรทัศน์ไทยมากกว่าละครโทรทัศน์เกาหลีด้วยซ้ำ เนื่องจากเบื่อที่เนื้อหาซ้ำ ๆ ขณะที่ของละครโทรทัศน์ไทยนั้นน่าตื่นเต้นกว่า หักมุมมากกว่า มีโครงเรื่องใหม่ ๆ ตลอดเวลา โดยเรื่องที่ได้รับความนิยมคือ \"ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น\" และ \"วุ่นนักรักเต็มบ้าน\" ขณะที่ผู้ชมในเมียนมาจะชื่นชอบละครโทรทัศน์แนวผีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนแนวรักไม่ได้รับความนิยมเลย ส่วนผู้ชมในกัมพูชาจะชอบแนวชิงรัก หักสวาท แย่งมรดก หรือตบตีกัน เช่น \"สามีตีตรา\", \" ธรณีนี่นี้ใครครอง\", \"ลมซ่อนรัก\", \"แอบรักออนไลน์\" หรือ \"แรงเงา\" โดยส่วนใหญ่เป็นของช่อง 3 เนื่องจากสถานีได้เซ็นสัญญาบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับทางสถานีโทรทัศน์พีเอ็นเอ็น คอมโบเดีย ของทางกัมพูชา", "title": "ละครโทรทัศน์ไทย" }, { "docid": "42149#2", "text": "จากนั้นกรมประชาสัมพันธ์ นำเครื่องส่งโทรทัศน์สีของกรมประชาสัมพันธ์ จากสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ มาใช้แพร่ภาพชั่วคราว ด้วยระบบวีเอชเอฟความถี่สูง ช่องที่ 11 (Band3, VHF CH-11) จากอาคารศูนย์ระบบโทรทัศน์ ของกรมประชาสัมพันธ์ ริมถนนเพชรบุรีตัดใหม่ จัดตั้งขึ้นเป็น\"สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย\" และเริ่มต้นทดลองออกอากาศเป็นครั้งแรก ประมาณต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2528 ก่อนจะแพร่ภาพเป็นประจำทุกวัน ระหว่างเวลา 16:30-21:00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2529 แต่ด้วยข้อจำกัดทางงบประมาณของกรมประชาสัมพันธ์ รวมทั้งเครื่องส่งโทรทัศน์มีกำลังส่งต่ำ เป็นผลให้ดำเนินการแพร่ภาพออกอากาศได้ไม่สะดวก ดังนั้น ศาสตราจารย์ ยามาซากิ, ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิคม ทาแดง ซึ่งเป็นผู้ร่วมดำเนินการก่อตั้ง ศูนย์ผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ มสธ. ร่วมกันจัดทำร่างโครงการขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาอนุมัติวงเงิน 2,062 ล้านเยน (ขณะนั้นคิดเป็นประมาณ 300 ล้านบาท) แบบให้เปล่าผ่านไจกา เพื่อดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการ จัดซื้อและติดตั้งอุปกรณ์ เครื่องส่งวิทยุโทรทัศน์ ระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 ถึงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2531 รวมระยะเวลาประมาณ 9 เดือน โดยระหว่างนั้น สทท.ยุติการออกอากาศเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 เพื่อดำเนินการโอนย้ายระบบออกอากาศดังกล่าว", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย" }, { "docid": "529232#1", "text": "นอกจากนี้ ยังมีบริการโทรทัศน์แห่งชาติ ภายใต้กำกับของกรมประชาสัมพันธ์ เริ่มจากส่วนภูมิภาคตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 และเริ่มดำเนินการในส่วนกลางตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน จากนั้นก็เริ่มนำระบบดิจิทัล เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตรายการ และควบคุมการออกอากาศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และนำมาใช้กับกระบวนการส่งแพร่ภาพ ผ่านโครงข่ายอุปกรณ์รวมส่งสัญญาณ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยจะยุติการออกอากาศด้วยสัญญาณแอนะล็อก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ส่วนระบบการออกอากาศด้วยช่องทางอื่น ซึ่งนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ประกอบด้วย บริการกระจายสัญญาณแบบหลายจุดหลายช่อง (Multichannel multipoint distribution service; MMDS) ระหว่างปี พ.ศ. 2532-2556, ผ่านคลื่นวิทยุไมโครเวฟ ระหว่างปี พ.ศ. 2532-2540, ผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536-ปัจจุบัน, ผ่านเครือข่ายดาวเทียม ระบบเคยู-แบนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532-ปัจจุบัน; ระบบซี-แบนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541-ปัจจุบัน อนึ่ง ภาคเอกชนสามารถประกอบการธุรกิจโทรทัศน์ ภายใต้การอนุมัติจากภาครัฐตามกฎหมาย โดยผ่านสายอากาศในส่วนภูมิภาค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และผ่านเครือข่ายดาวเทียม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 จนถึงปัจจุบัน", "title": "โทรทัศน์ในประเทศไทย" }, { "docid": "31979#0", "text": "ปยุต เงากระจ่าง (1 เมษายน พ.ศ. 2472 — 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553) เป็นบรมครูด้านการ์ตูนเคลื่อนไหวของไทย อาจารย์วิทยาลัยเพาะช่าง และผู้กำกับหนังการ์ตูนขนาดยาวเรื่องแรกของประเทศไทย สุดสาคร รวมไปถึงเป็นผู้นำเอาการ์ตูนเข้าไปใช้ในภาพยนตร์โฆษณา ทำให้เกิดงานสร้างสรรค์หลายๆ ชิ้น เช่น ภาพยนตร์โฆษณาแป้งเย็นควีนนา (กระจกวิเศษ), นกกระสากับเด็กในโฆษณายาน้ำยี่ห้อหนึ่ง และ ยาหม่อง เป็นต้น", "title": "ปยุต เงากระจ่าง" }, { "docid": "75876#4", "text": "เทพชัยเป็นผู้แทนเครือเนชั่น ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ด้วยโควตาขององค์กรสื่อมวลชนนานาชาติ โดยทำวิทยานิพนธ์เป็นสารคดีโทรทัศน์ชุด “สันติภาพในเปลวเพลิง” เรื่องราวเกี่ยวกับความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย โดยนำมาออกอากาศทางเนชั่น แชนแนลหลังจบการศึกษา หลังจากนั้นเทพชัยเข้าเป็นผู้ดำเนินรายการคมชัดลึกในบางโอกาส จนเมื่อเครือเนชั่นร่วมกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผลิตรายการชีพจรโลกกับสุทธิชัย หยุ่น ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เทพชัยก็เข้าร่วมดำเนินรายการในบางโอกาส และหลังจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ปรับผังรายการใหม่ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เครือเนชั่นเข้าร่วมผลิตรายการสยามเช้านี้ โดยมีเทพชัยเป็นผู้ดำเนินรายการร่วมกับ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์, จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ และมนัส ตั้งสุข", "title": "เทพชัย หย่อง" } ]
3186
ศาสนาอิสลาม มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ใด?
[ { "docid": "362982#0", "text": "ประวัติศาสนาอิสลาม เริ่มขึ้นปี ค.ศ. 632 (พ.ศ 1175) จากชุมชนมุสลิมที่นบีมุฮัมมัดตั้งขึ้นแล้วในคาบสมุทรอาหรับ ในศตวรรษต่อมามีการเผยแพร่ศาสนาอิสลามไปอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในจักรวรรดิกาหลิบรอชิดีนและช่วงราชวงศ์อุมัยยะห์ที่ศาสนาอิสลามแพร่ไปถึงทวีปยุโรปตอนใต้ \nหลายร้อยปีต่อมามีราชวงศ์มุสลิมปกครองหลายประเทศทั่วโลกด้วยกัน ได้แก่ ราชวงศ์อับบาซียะห์ ราชวงศ์ฟาติมียะห์ ราชวงศ์เซลจุค ราชวงศ์ซาฟาวิยะห์ และมีจักรวรรดิมุสลิมที่แผ่อาณาเขตออกไปกว้างใหญ่ไพศาล เช่น จักรวรรดิโมกุลในประเทศอินเดีย และจักรวรรดิออตโตมันในประเทศตุรกีและคาบสมุทรบอลข่าน", "title": "ประวัติศาสนาอิสลาม" } ]
[ { "docid": "3832#8", "text": "สติปัญญาและสามัญสำนึกจะพบว่า จักรวาลและมวลสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มิได้อุบัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นที่แน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกอุบัติขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงสุดเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่แบ่งภาค หรือแบ่งแยกเป็นสิ่งใด ไม่ถูกบังเกิด ไม่ถูกกำเนิด และไม่ให้กำเนิดบุตร ธิดาใดๆ ผู้ทรงสร้าง และบริหารสรรพสิ่งด้วยอำนาจและความรอบรู้ที่ไร้ขอบเขต ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ที่โดยทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไว้ทั่วทั้งจักรวาลหรือที่เข้าใจว่าเป็น\"กฎธรรมชาติ\" ทรงขับเคลื่อนจักรวาลด้วยระบบที่ละเอียดอ่อน มีเป้าหมาย ซึ่งไม่มีสรรพสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้สาระ", "title": "ศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "3832#3", "text": "หลักมูลที่สุดของศาสนาอิสลาม คือ เอกเทวนิยมอย่างเคร่งครัด เรียก เตาฮีต () พระเป็นเจ้าพรรณนาในบทที่ 112 ของคัมภีร์อัลกุรอานว่า \"จงกล่าวเถิด \"พระองค์คืออัลลอฮฺ พระผู้ทรงเอกะ อัลลอฮฺนั้นทรงอิสระ พระองค์ไม่ทรงประสูติบุตร และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์\"\" (112:1-4) มุสลิมและยิวบอกเลิกหลักตรีเอกานุภาพของคริสต์ศาสนิกชนและเทวภาวะของพระเยซู โดยเปรียบเทียบกับพหุเทวนิยม ในศาสนาอิสลาม พระเป็นเจ้าอยู่เกินความเข้าใจซึ้งใด ๆ และมุสลิมไม่คาดหวังเห็นพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าถูกพรรณาและอ้างถึงในหลายพระนามหรือลักษณะเฉพาะบางอย่าง ที่พบบ่อยที่สุดคือ อัร-เราะห์มาน (Al-Rahmān) หมายถึง \"พระผู้ทรงเมตตา\" และอัล-ราฮีม (Al-Rahīm) หมายถึง \"พระผู้ทรงปรานี\"", "title": "ศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "962476#3", "text": "ตัวมัสยิดเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนศิลปะประยุกต์ไทย-จีน ก่อสร้างโดยช่างที่ถูกเกณฑ์ไปสร้างวัดมัชฌิมาวาสหรือวัดกลางซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน แม้จะมีสัณฐานคล้ายอุโบสถของวัดในพระพุทธศาสนาแต่ก็ไม่ขัดต่อหลักการในศาสนาอิสลามแต่อย่างใด ส่วนหออาซานเดิมมีลักษณะเดียวกันกับหอระฆังในวัดพุทธเช่นกัน แต่ภายหลังได้ถูกต่อเติมและสร้างโดมรูปหัวหอมขึ้นภายหลัง", "title": "มัสยิดอุสาสนอิสลาม" }, { "docid": "362520#1", "text": "กลุ่มชาติพันธุ์ที่คนไทยเรียกกันว่า \"แขก\" คาดว่าหมายถึงชาวมุสลิมโดยรวม ทั้งนี้พ่อค้าชาวมุสลิมในคาบสมุทรเปอร์เซียที่เข้ามาค้าขายในแหลมมลายู (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาด้วย ภายหลังคนพื้นเมืองจึงได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ส่วนในประเทศไทยนี้พบหลักฐานว่าคนไทยได้ติดต่อสัมผัสกับชาวมุสลิมตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัย และช่วงกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา โดยชาวมุสลิมบางคนนั้น เป็นถึงขุนนางในราชสำนัก ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีชาวมุสลิมอพยพมาจากมลายูและเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมอินเดียที่เข้ามาตั้งรกราก รวมถึงชาวมุสลิมยูนนานที่หนีภัยการเบียดเบียนศาสนาหลังการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน", "title": "ศาสนาอิสลามในประเทศไทย" }, { "docid": "3832#1", "text": "มุสลิมเชื่อว่า พระเจ้าเป็นหนึ่งและหาที่เปรียบไม่ได้ และจุดประสงค์ของการดำรงอยู่ คือ เพื่อรักและรับใช้พระเป็นเจ้า มุสลิมยังเชื่อว่า ศาสนาอิสลามเป็นบรรพศรัทธาฉบับสมบูรณ์และเป็นสากลที่สุดซึ่งได้ประจักษ์มาหลายครั้งก่อนหน้านั้น ผ่านศาสดาซึ่งรวมอาดัม โนอาห์ อับราฮัม โมเสส และพระเยซู พวกเขายึดมั่นว่า สารและวิวรณ์ถูกแปลผิดหรือเปลี่ยนแปลงบางส่วนตามกาล แต่มองว่าอัลกุรอานภาษาอาหรับเป็นทั้งวิวรณ์สุดท้ายและไม่เปลี่ยนแปลงของพระเป็นเจ้า มโนทัศน์และหลักศาสนามีเสาหลักทั้งห้าของอิสลาม ซึ่งเป็นมโนทัศน์พื้นฐานและการปฏิบัติตนนมัสการที่ต้องปฏิบัติตาม และกฎหมายอิสลามที่ตามมา ซึ่งครอบคลุมแทบทุกมุมของชีวิตและสังคม โดยกำหนดแนวทางในหัวเรื่องหลายหลาก ตั้งแต่การธนาคารไปจนถึงสวัสดิการ ชีวิตครอบครัวและสิ่งแวดล้อม", "title": "ศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "936#82", "text": "ศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือรองลงมา ได้แก่ ศาสนาอิสลาม มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 4.2 เป็นนิกายซุนนีร้อยละ 99 มุสลิมอาศัยอยู่ในจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลาและสตูล มากที่สุด แต่มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คิดเป็นเพียงร้อยละ 18 ของมุสลิมในประเทศไทย ทั่วประเทศมีมัสยิด 3,406 แห่ง มุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่มีเชื้อสายมลายู ซึ่งสะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกับประเทศมาเลเซีย เชื่อว่ามีการเผยแผ่ศาสนาอิสลามสู่คาบสมุทรมลายูโดยพ่อค้าอาหรับในคริสต์ศตวรรษที่ 13", "title": "ประเทศไทย" }, { "docid": "3832#2", "text": "มุสลิมส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนีย์ คิดเป็น 75–90% ของมุสลิมทั้งหมด นิกายใหญ่ที่สุดอันดับสอง คือ ชีอะฮ์ คิดเป็น 10–20% ประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุด คือ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีชาวมุสลิม 12.7% ของโลก ตามมาด้วยปากีสถาน (11.0%) อินเดีย (10.9%) และบังกลาเทศ (9.2%) นอกจากนี้ ยังพบชุมชนขนาดใหญ่ในจีน รัสเซียและยุโรปบางส่วน ด้วยสาวกกว่า 1,500 ล้านคน หรือ 22% ของประชากรโลก อิสลามจึงเป็นศาสนาใหญ่ที่สุดอันดับสองและศาสนาหลักที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกศาสนาหนึ่ง", "title": "ศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "3832#16", "text": "อัลลอฮ์ ตรัสเกี่ยวกับศาสนาอิสลามว่า \"แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺ คืออิสลาม และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มิได้ขัดแย้งกัน นอกจากภายหลังที่ความรู้มาปรากฏแก่พวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้ แน่นอน อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ\" (อัลกุรอาน อาลิอิมรอน:19)", "title": "ศาสนาอิสลาม" }, { "docid": "892663#0", "text": "โลกอิสลาม เป็นศัพท์เชิงวิชาการที่ใช้เรียกผืนแผ่นดินที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ผู้นับถือศาสนาอิสลามมีประมาณหนึ่งพันล้านคน ที่ปฏิบัติตามศาสนาของ\nมุฮัมหมัด บุตรของอับดุลลอฮ์ (ศาสดาของบรรดามุสลิม) เป็นชาวฮิญาซ และเป็นศาสนาที่มีมากว่า 1400 ปี (ปีจันทรคติ) บรรดามุสลิมมีความเชื่อเหมือนกันว่า ศาสดามุฮัมหมัด บุตรของอับดุลลอฮ์ คือศาสดาองค์สุดท้าย (คอตะมุลอันบิยา) เชื่อในกุรอาน ( คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม) กิบลัตและบทบัญญัติหลักปฏิบัติศาสนกิจ", "title": "โลกอิสลาม" }, { "docid": "57542#3", "text": "อย่างไรก็ตามไม่ว่าศาสนาอิสลามจะแตกออกเป็นหลายกลุ่ม แต่ศาสนาอิสลามที่ถูกต้องมีเพียงกลุ่มเดียวส่วนกลุ่มอื่นๆที่แตกแนวนั้นถือเป็นกลุ่มนอกศาสนา เพราะที่อยู่ของเขาเหล่านั้นคือไฟนรก ดังนั้นเราอาจจะสรุปได้ว่า ศาสนาอิสลาม มีนิกายเดียว (เพราะนิกายอื่นๆนั้นไม่ใช่อิสลาม ณ.ที่ อัลลอฮฺ)\nรายชื่อนิกายในศาสนาอิสลามจากตำราต่างๆ มานำเสนอรวมทั้งได้ผนวกกลุ่มต่างๆเท่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันเข้าไปด้วย ซึ่งการนำเสนอนี้อาจแตกต่างไปจากตำราทั้งหลาย แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไร เพราะแม้แต่ตำราเกี่ยวกับนิกายต่างๆในอิสลาม แต่ละเล่มต่างได้กล่าวไว้ ไม่เท่ากันและแตกต่างกันไป\nข้อสำคัญที่สุดที่ทุกท่านไม่ควรมองข้ามก็คือ แต่ละกลุ่มย่อมมีหลักความเชื่อ(อะกีดะฮ์หรืออุซูลุดดีน)และหลักปฏิบัติ(อัลฟิกฮ์หรืออะห์กาม)ที่เหมือนกันและแตกต่างกัน \nเพราะฉะนั้นทางเราใคร่ขอความร่วมมือจากทุกท่าน กรุณาส่งข้อมูลที่แท้จริงจากมัซฮับ(แนวทาง)ของท่านมายังเรา เพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้ใฝ่ศึกษาศาสนาอิสลามจะได้รับประโยชน์จากท่าน \nเช่นเดียวกันทางเราจะพยายามนำเสนอข้อมูลนิกายต่างๆแก่ท่านด้วย อินชาอัลลอฮ์", "title": "นิกายในศาสนาอิสลาม" } ]
3188
นิกายเถรวาท และ นิกายมหายาน มีศาสดาองค์เดียวกันหรือไม่ ?
[ { "docid": "673#15", "text": "นิกายมหายานยอมรับพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ฝ่ายเถรวาททั้งหมดและยังสร้างพระพุทธเจ้าอีกมากมาย ทั้งที่เป็นมนุษย์และมีสถานะเหมือนเทพเจ้าในศาสนาฮินดู นิกายมหายานเชื่อว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่ดับสูญแต่ไปประทับ ณ พุทธเกษตรซึ่งเป็นดินแดนที่งดงามกว่าสวรรค์ พระพุทธเจ้าตามคติมหายานแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ", "title": "พระพุทธเจ้า" }, { "docid": "32409#7", "text": "หลังจากพระโคตมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 3 เดือน พระสาวกผู้ได้เคยสดับสั่งสอนของพระองค์จำนวน 500 รูป ก็ประชุมทำสังคายนาครั้งแรก ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา ใกล้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ใช้เวลาสอบทานอยู่ 7 เดือน จึงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นับเป็นบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎก คำสอนที่ลงมติกันไว้ในครั้งปฐมสังคายนาและได้นับถือกันสืบมา เรียกว่า เถรวาท แปลว่า คำสอนที่วางไว้เป็นหลักการโดยพระเถระ คำว่า เถระ ในที่นี้ หมายถึงพระเถระผู้ประชุมทำสังคายนาครั้งแรก และพระพุทธศาสนาซึ่งถือตามหลักที่ได้สังคายนาครั้งแรกดังกล่าว เรียกว่า นิกายเถรวาท อันหมายถึง คณะสงฆ์กลุ่มที่ยึดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งถ้อยคำ และเนื้อความที่ท่านสังคายนาไว้โดยเคร่งครัด ตลอดจนรักษาแม้แต่ตัวภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลี", "title": "มหายาน" } ]
[ { "docid": "32409#13", "text": "มหายานชั้นแรกดูเหมือนจะมีทัศนะตรงกับเถรวาทที่ว่า พระพุทธเจ้ามีพระกายเพียง 2 เท่านั้นคือ ธรรมกาย และนิรมานกาย ธรรมกายนั้นมีพระพุทธวจนะที่ตรัสโดยตรงในบาลีอัคคัญญสูตรแห่งทีฆนิกาย ส่วนนิรมาณกายนั้นได้แก่พระกายของพระศาสดาที่ประกอบด้วยขันธ์ 5 ในคัมภีร์ฝ่ายมาธยมิกชั้นแรก ก็ยังไม่พบกายที่ 3 ธรรมกาย ตามนัยแห่งเถรวาทหมายถึงพระคุณทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้า อันได้แก่ พระปัญญาคุณ, พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ มหายานได้สร้างแนวความคิดตรีกายขึ้นด้วยวิธีเพิ่มกายอีกกายหนึ่งเข้าไป คือ สัมโภคกาย ซึ่งเป็นกายของพระพุทธองค์อันสำแดงปรากฏให้เห็นเฉพาะหมู่ พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ เป็นทิพยภาวะมีรัศมีรุ่งเรืองแผ่ซ่านทั่วไป เพราะฉะนั้น แม้จนกระทั่งบัดนี้ พระโพธิสัตว์ก็ยังอาจจะเห็นพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ในรูปสัมโภคกาย พระพุทธองค์ยังทรงอาจสดับคำสวดมนต์ต์ของเรา แม้พระองค์จะดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ดี ทั้งนี้ก็ด้วยการดับขันธปรินิพพานนั้นเป็นเพียงการสำแดงให้เห็นปรากฏในรูปนิรมานกายเท่านั้น ส่วน ธรรมกาย นั้น ก็เป็นสภาวะอมตะ ไร้รูปร่างลักษณะ เป็นอจินไตย(นึกคิดหรือเดาไม่ได้หรืออยู่นอกเหนือความคิดออกไป) ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด แผ่คลุมอยู่ทั่วไป ความคิดเรื่องสัมโภคกายนี้ มหายานได้รับจากนิกายมหาสังฆิกะ และในหมู่คณาจารย์ของมหายานก็ไม่มีความเห็นพ้องกันในเรื่องนี้", "title": "มหายาน" }, { "docid": "32408#3", "text": "นิกายเถรวาทได้รับการนับถือคู่กับนิกายอาจริยวาท (คือนิกายมหายาน ในปัจจุบัน)", "title": "เถรวาท" }, { "docid": "375075#3", "text": "ปัจจุบันภิกษุณีสงฆ์คงเหลืออยู่แต่ในนิกายมหายานและวัชรยาน เพราะในนิกายเถรวาทสายภิกษุณีสงฆ์ซึ่งมีเฉพาะที่ลังกาได้ขาดช่วงสืบทอดไปตั้งแต่สมัยถูกโปรตุเกสยึดครอง ทำให้ไม่สามารถทำการบวชภิกษุณีให้ถูกต้องตามพระไตรปิฎกเถรวาทได้ ปัจจุบันนี้สตรีในประเทศที่นับถือนิกายเถรวาทจึงเลือกบวชเป็นแม่ชีแทน และรักษาเพียงศีลแปดข้อ ในประเทศไทยแม่ชีหลายท่านยังสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทในด้านการสอนและปฏิบัติธรรมได้ไม่ต่างจากพระภิกษุ เช่น แม่ชีกนิษฐา วิเชียรเจริญ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เป็นต้น ปัจจุบันในประเทศไทยมีความพยายามรื้อฟื้นภิกษุณีสงฆ์ในเถรวาท แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากมหาเถรสมาคม", "title": "นักพรตหญิง" }, { "docid": "147891#2", "text": "พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี (ยาย) ของพระองค์ คือ นางอก ซึ่งเคยเป็นหม่อมในพระองค์เจ้านโรดม ดวงจักร มีพระโอรส-ธิดา ด้วยกัน 2 พระองค์ คือ หม่อมเจ้านโรดม รัฐราศี และหม่อมเจ้านโรดม ไพพักตร์ ภายหลังพระอัยยิกาได้หย่ากับพระองค์เจ้าดวงจักร และได้สมรสใหม่กับลก เปียง (Lok Peang) และได้มีบุตร-ธิดา ด้วยกัน 2 คน คือ ป็อม เปียง พระชนนี และเฮล เปียง", "title": "พระมหาวีรกษัตรีย์นโรดม มุนีนาถ สีหนุ พระวรราชมารดา" }, { "docid": "934#22", "text": "ศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ได้ 2 นิกายคือ เถรวาทและมหายาน นอกจากนี้แล้วยังมีการแบ่งที่แตกต่างออกไปแบ่งเป็น 3 นิกาย เนื่องจากวัชรยานถือว่าตนเป็นยานพิเศษโดยเฉพาะ ต่างจากมหายาน", "title": "ศาสนาพุทธ" }, { "docid": "43992#5", "text": "ศาสดามหาวีระมีพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกัน 2 องค์ คือ พระเชษฐภคินี และพระเชษฐภาดา โดยท่านมหาวีระ เป็นพระโอรสองค์สุดท้าย\nเมื่อมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา ทรงได้รับพิธียัชโญปวีตคือพิธีสวมด้ายมงคลแสดงพระองค์เป็นศาสนิกตามคติศาสนาพราหมณ์ หลังจากพระบิดาได้ทรงส่งเจ้าชายไปศึกษาลัทธิของพราหมณาจารย์หลายปี เจ้าชายทรงสนพระทัยในการศึกษาแต่ในพระทัยมีความขัดแย้งกับคำสอนของพราหมณ์ที่ว่า วรรณะพราหมณ์ประเสริฐที่สุดในโลก ส่วนวรรณะอื่นต่ำต้อย แม้วรรณะกษัตริย์ยังต่ำกว่าวรรณะพราหมณ์ แต่แล้วพวกพราหมณ์ได้ประพฤติกาย วาจาและใจ เลวทรามไปตามทิฏฐิของลัทธินั้นๆ", "title": "ศาสนาเชน" }, { "docid": "62539#4", "text": "ศาสนาที่คนส่วนใหญ่นับถือคือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท (หรือ นิกายหินยาน) ส่วนนิกายมหายาน มีคนนับถือในเวียดนามและสิงคโปร์", "title": "อินโดจีน" }, { "docid": "179640#15", "text": "อนึ่ง ส่วนนี้ในพระไตรปิฎกของมหายานไม่มี เพราะตามมหาโคสิงคสาลสูตรพระเถระผู้นำในสังคายนาครั้งที่ 1ของเถรวาท ส่วนมากท่านเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตรอัครสาวกด้วย ฉะนั้น ท่านจึงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตรตามที่ฟังมาจากพระสารีบุตร เพราะพระพุทธเจ้ายกย่องธรรมะที่พระสารีบุตรแสดงให้เทียบเท่ากับที่พระองค์แสดง, ส่วนทางนิกายอื่นรวมถึงมหายานนั้น สังคายนากันโดยไม่มีพระเถระเหล่านั้นอยู่ด้วย ฉะนั้น พระสูตรฝั่งมหายานจึงไม่มีส่วนที่มาจากพระสารีบุตร ทั้งในสูตรนี้ และทั้งอภิธรรมด้วย.", "title": "มหาสติปัฏฐานสูตร" }, { "docid": "153153#3", "text": "พระนางสัตยวดีเมื่อแต่งงานกับพระราชาศานตนุก็มีพระโอรสด้วยกัน ๒ พระองค์ คือ จิตรางคทะ และ วิจิตรวีรยะ ซึ่งถือเป็นน้อยชายต่างมารดาของท้าวภีษมะ ๒ คน กล่าวได้ว่าท้าวศานตนุมีผู้สืบเชื้อสายโดยตรง ๑๐ พระองค์ แต่ ๗ คนแรก พระแม่คงคาได้นำไปทิ้งลงสู่แม่น้ำ ท้าวภีษมะก็สาบานต่อฟ้าดินอย่างเคร่งครัดไว้ว่าจะไม่แต่งงานมีลูกกับผู้หญิงคนใด จิตรางคทะก็ถูกคนธรรพ์ชื่อเหมือนกันท้ารบและถูกฆ่าตายในวัยเยาว์ ส่วนวิจิตรวีรยะแม้จะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงอัมพิกาและเจ้าหญิงอัมพาลิกาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีพระโอรสสืบต่อพระราชบัลลังก์แม้แต่คนเดียว พระนางสัตยวดีเกรงว่าตนจะเป็นคนบาปที่ทำให้ราชวงศ์กุรุต้องสิ้นสุด จึงให้ฤๅษีวยาส ลูกนอกสมรสมาทำพิธีนิโยค (รับภรรยาของญาติที่เป็นหม้ายมาเป็นภรรยาเพื่อสืบเชื้อสายของวงศ์ตระกูลต่อไป) ทำให้ลูกของฤๅษีวยาสกับเจ้าหญิงอัมพิกาชื่อ ธฤตราษฎร์ (ตาบอดตั้งแต่เกิด แต่มีสุขภาพแข็งแรงและเป็นพระบิดาของฝ่ายเการพ) , เจ้าหญิงอัมพาลิกากับฤๅษีวยาสชื่อ ปาณฑุ (มีสีผิวซีด สุขภาพไม่แข็งแรง แต่เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่และเป็นพระบิดาของปาณฑพทั้งห้าด้วย) , นางกำนัลกับฤๅษีวยาสชื่อ วิทูร (ครบถ้วนสมบูรณ์ดี เป็นผู้ที่มีความเที่ยงธรรม)", "title": "พระนางสัตยวดี" } ]
3189
เข็มทิศ ถือกำเนิดในสมัยราชวงศ์ซ่งใช่หรือไม่?
[ { "docid": "43806#8", "text": "ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ผลงานในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีจำนวนมากมาย เข็มทิศ การพิมพ์หนังสือและดินปืนเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่สามประการที่ได้รับการพัฒนาและประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่ในยุคนี้ ในจำนวนนี้ วิธีการพิมพ์โดยใช้ตัวเรียงพิมพ์ที่ประดิษฐ์คิดสร้างใหม่โดยปี้เซิงเกิดขึ้นก่อนยุโรปถึง 400 ปี ซูซ่งได้ผลิตเครื่องสังเกตปรากฏการณ์ดวงดาวและนาฬิกาทางดาราศาสตร์เครื่องแรกของโลก", "title": "ราชวงศ์ซ่ง" } ]
[ { "docid": "13342#1", "text": "เข็มทิศ การประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณค่าที่สุดและเก่าแก่ที่สุดสิ่งหนึ่งของจีน คือ เข็มแม่เหล็ก สมัยแรกคนจีนใช้เข็มแม่เหล็กไปติดไว้บนรถ สร้างรถชี้ทิศ เพื่อใช้ในการสงครามหรือใช้เป็นเครื่องมือหาทิศทางเวลาอยู่ในป่าลึกหรือภูเขา จากหลักฐานที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ชาวจีนรู้จักใช้เข็มทิศหน้าปัดกลมเพื่อเดินเรือเมื่อศตวรรษที่ 12 นั่นคือในขณะนั้น จูยี่ เป็นชาวมณฑลเจ้อเจียง ได้เขียนบันทึกชื่อผิงโจวเข่อถาน บันทึกไว้ว่า ในคืนแรม ทหารเรือได้ใช้เข็มทิศหน้าปัดกลมจำแนกทิศทาง ต่อมา เจิ้งเหอ ได้เริ่มเดินทางตั้งแต่ปีค.ศ. 1405 เดินทางไปถึงอาหรับและแอฟริกาตะวันออก ไปกลับเจ็ดครั้ง รวมเวลาได้ 28 ปี เราจะเห็นได้ว่าหากไม่มีเข็มทิศแล้ว การเดินทางในมหาสมุทรระยะไกลเช่นนี้ย่อมไม่สำเร็จแน่ ชาวอิตาเลียนใช้เข็มทิศในศตวรรษที่ 14 จีนจึงใช้เข็มทิศเร็วกว่าอิตาลีอย่างน้อยสองศตวรรษ และหากอ้างอิงถึง ทรรศะของนักประวัติศาสตร์ ชาวตะวันตกได้นำเข็มทิศหน้าปัดกลมไปจากจีนนั่นเอง แต่อย่างไรก็ดีเข็มทิศทั้งสองชนิดนี้ยังไม่ได้ถูกใช้เพื่อในการเดินทาง แต่จะใช้ในพิธีกรรมหรือการทำนาย จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ ๓ - ๖ จึงมีการพัฒนาเข็มทิศเพื่อใช้บอกทิศทาง", "title": "สี่ยอดสิ่งประดิษฐ์" }, { "docid": "205440#6", "text": "ในทางประวัติศาสตร์ กระบี่อาญาสิทธิ์ปรากฏขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฉิน และยังมีบันทึกว่าองค์ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่ข้าราชการสำคัญหลายคน เช่น ในสมัยราชวงศ์หมิง แม่ทัพหยวนช้งฮ้วน () ใช้กระบี่อาญาสิทธิ์ตามอำเภอใจ ได้สั่งประหารแม่ทัพเหมาเหวินหลง () นายทัพผู้มากความสามารถ เป็นเหตุให้ราชวงศ์หมิงขาดคนมีฝีมือและล่มสลายลง ในราชวงศ์ต่อมา (ราชวงศ์ชิง) จึงไม่มีการพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์แก่ผู้ใดอีก", "title": "กระบี่อาญาสิทธิ์" }, { "docid": "131231#1", "text": "ต้นกำเนิดของอักษรสือดิบนั้นไม่มีหลักฐานแน่นอน นักวิชาการบางส่วนกล่าวว่ามีกำเนิดสมัยราชวงศ์ถัง บางส่วนกล่าวว่าเริ่มใช้ในสมัยราชวงศ์ซ้อง อย่างไรก็ตาม สือดิบไม่ได้มีสถานะเป็นอักษรราชการ เพราะชาวจ้วงอยู่ภายใต้การปกครองของจีน จึงใช้ภาษาจีนและอักษรจีนเป็นภาษาและอักษรราชการ ส่วนมากชาวจ้วงใช้สือดิบบันทึกเพลงและวรรณกรรมพื้นบ้าน เขียนจดหมายหรือใช้ในทางไสยศาสตร์ในแวดวงของหมอผีโดยใช้ปนกับอักษรจีน สือดิบจัดว่าเป็นอักษรที่ไม่ได้พัฒนามากนัก ปัจจุบันมีสือดิบเพียง 2,000 ตัวซึ่งถือว่าไม่เพียงพอต่อการใช้งานในฐานะอักษรภาพ นอกจากนั้น ภาษาจ้วงยังมีแตกต่างไปหลายสำเนียง แต่ละท้องถิ่น กำหนดสือดิบของตนขึ้นใช้โดยไม่มีสือดิบมาตรฐานสำหรับคนที่อยู่ต่างท้องที่กัน", "title": "สือดิบผู้จ่อง" }, { "docid": "282495#0", "text": "ก่งจินโอว () เป็นชื่อของเพลงชาติเพลงแรกของประเทศจีน ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในระยะสุดท้ายของจักรวรรดิจีนสมัยราชวงศ์ชิง เพลงนี้ได้ใช้เป็นเพลงชาติเพียงระยะเวลาไม่นาน เนื่องจากสาธารณรัฐจีนสามารถโค่นล้มรัฐบาลจีนราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ", "title": "ก่งจินโอว" }, { "docid": "6372#0", "text": "กลุ่มดาวเข็มทิศ เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าใต้ ตั้งชื่อโดยนิโกลา-ลุย เดอ ลากาย ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เดิมชื่อ \"Pyxis Nautica\" ปัจจุบันส่วนใหญ่เข้าใจกันว่าแทนเข็มทิศของกลุ่มดาวเรืออาร์โก แม้จะเชื่อว่ากรีกโบราณไม่ได้ใช้เข็มทิศในการเดินเรือ", "title": "กลุ่มดาวเข็มทิศ" }, { "docid": "55674#22", "text": "นอกจากสีดำแล้ว ในสมัยราชวงศ์ถังยังมีธรรมเนียมการถวายจีวรสีม่วงให้กับพระภิกษุสงฆ์ผู้ประกอบด้วยคุณงามความดีอันยอดยิ่ง โดยธรรมเนียมนี้มีที่มาจากตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพระศาณะวาสิน ศิษย์ของพระอานนท์ ที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับจีวร ต่อมาในแผ่นดินจีนมีเรื่องราวคล้ายคลึงกัน โดยพระภิกษุรุปหนึ่ง นามว่า ฮุ่ยเหลิง (慧稜) ถือกำเนิดมาพร้อมกับจีวรเช่นกัน แต่เป็นจีวรสีม่วง ประจวบเหมาะกับสีม่วงเป็นสีเครื่องแบบของขุนนางชั้นสูง ด้วยเหตุนี้ ตามธรรมเนียมจีนกาสาวะม่วงจึงไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดมาเพื่อดดำรงสมณะเพศแต่กำเนิดเท่านั้น ยังหมายถึงสมณะผู้มีคุณงามความดีความอันโดดเด่นด้วย ซึ่งการถวายจีวรสีม่วงแก่พระเถระ เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระนางเจ้าอู๋เจ๋อเทียน หรือพระนางบูเช็กเทียน ในสมัยราชวงศ์ถัง", "title": "ไตรจีวร" }, { "docid": "85156#7", "text": "ต่อมาในรัชสมัยของมู่หวัง (976-920 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) แห่งราชวงศ์โจว จนถึงรัชสมัยของจักรพรรดิอิงจง (ค.ศ. 1457-1464) แห่งราชวงศ์หมิง ปรากฏหลักฐานว่า มีการลงโทษ ด้วยการตัดอวัยวะเพศ หรือที่เรียกกันว่าการลงโทษของราชสำนัก ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแห่งความทารุณนี้ ได้แก่ เชลยศึก ข้าราชการที่จักรพรรดิไม่ทรงพอพระทัย หรือแม้แต่ลูกชายของชาวบ้านทั่วไป ที่ถูกนำมาเป็นทาสของบรรดาผู้ปกครอง", "title": "ขันที" }, { "docid": "161146#1", "text": "ดินปืนค้นพบโดยชาวจีนโดยบังเอิญในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก (ซีจิ้น) แต่ยังไม่ได้มีการใช้อย่างจริงจัง คงนำมาใช่ในลักษณะของพิธีกรรมขับไล่สิ่งชั่วร้าย และงานเฉลิมฉลองอย่างดอกไม้ไฟนั่นเอง แต่ชาวจีนเริ่มจะใช้ดินปืนอย่างจริงจัง ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เพราะมีหลักฐานว่ากองทัพราชวงศ์ซ่งได้ประดิษฐ์อาวุธระเบิดแบบพกพา (ระเบิดขว้าง) ปืนไฟแบบจุดสายชนวน (แต่มิได้ใช้ระบบไกยิงอย่างปืนไฟในยุคหลัง เพียงแต่ใช้การจุดสายชนวนเท่านั้น) และเครื่องยิงที่ใช้กระสุนยิงแบบอัดดินปืนแล้ว แต่สาเหตุที่ดินปืนแพร่หลายไปสู่ดินแดนตะวันตกนั้น มีเหตุจากการรุกรานของพวกมองโกล เมื่อพวกมองโกลพิชิตแผ่นดินจีนทางเหนือได้สำเร็จแล้ว ก็ได้นำบรรดาช่างปืนใหญ่และปืนไฟจากจีนไปเป็นกำลังสำคัญในการขยายดินแดน โดยพวกมุสลิมในตะวันออกกลางเป็นชนกลุ่มแรกที่ได้ใช้อาวุธดินปืนในการสงคราม จากนั้นจึงแพร่หลายเข้าไปในยุโรป\nสำหรับรูปแบบอาวุธปืนไฟทรงกระบอกนั้น มีมาแต่เริ่มในสมัยซ่งแล้ว แต่เริ่มมีการประดิษฐ์อาวุธปืน โดยอาศัยระบบไกยิง (Trigger) ขึ้นในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ปืนคาบศิลาเริ่มปรากฏขึ้นในประเทศสเปน แต่จะรู้จักกันดีในนามของ ปืนคาบชุด (MATCH LOCK) ในทศวรรษที่ 1500 แต่ทหารเจนนิสซารี่ของจักรวรรดิออตโตมานก็ปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบศิลาในช่วงทศวรรษที่ 1440 แล้ว เทคโนโลยีปืนคาบศิลาได้พัฒนาขึ้นในยุโรปตะวันตกอย่างรวดเร็ว และเกิดอาวุธที่มีประสิทธิภาพการทำลายล้างมากกว่าแต่ก่อนทำให้เกิดการแสวงหาวัตถุดิบดินปืนซึ่งทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยมขึ้น", "title": "ปืนคาบศิลา" }, { "docid": "139086#6", "text": "ราชวงศ์ซ่งของจีนเป็นผู้ริเริ่มการตีพิมพ์เงินกระดาษหรือธนบัตรและถือเป็นครั้งแรกของโลก ในช่วงราชวงศ์หยวนของมองโกลรัฐบาลใช้เงินอย่างมากมายไปกับการศึกสงคราม จึงจัดให้มีการพิมพ์ธนบัตรอย่างมากมายและทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาเงินเฟ้อทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดผู้คนหยุดใช้ธนบัตรเนื่องจากเห็นว่าเป็นเพียง \"กระดาษไร้ค่า\" รัฐบาลในสมัยราชวงศ์หมิงตอนต้นเกรงกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับราชวงศ์หยวน จึงอนุญาตให้ใช้เงินที่ทำจากเหรียญทองแดงเท่านั้นและไม่มีออกเงินกระดาษจนกระทั่งปีค.ศ. 1375", "title": "ภาวะเงินเฟ้อ" }, { "docid": "115385#5", "text": "นักคิดและปัญญาชนสำนักวิชาขงจื๊อกลับถูกปราบปรามกวาดล้างครั้งใหญ่ในสมัยราชวงศ์ฉินหรือจักรพรรดิจิ๋นซี ในเหตุการณ์ \"เผาตำรา ฝังบัณฑิต\" เพราะเห็นว่าปัญญาชนขงจื๊อต่อต้านการปกครองและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่าไร้คุณธรรม อย่างไรก็ตาม ลัทธิขงจื๊อได้รับการฟื้นฟูและมีบทบาทอีกครั้งในสมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อน ค.ศ.- ค.ศ. 220) และกลายเป็นลัทธิคำสอนที่มีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองของจีนมากที่สุด รวมถึงได้รับการส่งเสริมให้แพร่หลายในสังคมในฐานะหลักในการดำเนินชีวิตของผู้คน คัมภีร์และตำราของสำนักวิชาขงจื๊อกลายเป็นตำราเรียนและวิชาหลักของชาวจีนตั้งแต่โบราณจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19", "title": "ลัทธิขงจื๊อ" } ]
3195
จังหวัดอุตรดิตถ์มีพื้นที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "6470#21", "text": "จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ใต้สุดของภาคเหนือ โดยมีพื้นที่ประมาณ 7,854 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 25 ของประเทศ มีจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกัน ดังนี้\nภูมิประเทศทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัดส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูง ทิวเขาเหล่านี้ต่อเนื่องมาจากจังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" } ]
[ { "docid": "6470#23", "text": "การปกครองแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ 67 ตำบล 562 หมู่บ้าน\nจังหวัดอุตรดิตถ์แบ่งพื้นที่เพื่อการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น 9 อำเภอ 67 ตำบล 613 หมู่บ้าน โดยมีอำเภอดังนี้ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอตรอน อำเภอทองแสนขัน อำเภอท่าปลา อำเภอน้ำปาด อำเภอบ้านโคก อำเภอพิชัย อำเภอฟากท่า และอำเภอลับแล และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 ประเภท ประกอบด้วย", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "104381#0", "text": "เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเทศบาลเมืองในอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพื้นที่ 13.49 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมตำบลท่าอิฐ และตำบลท่าเสา (นอกเขตเทศบาลตำบลท่าเสา) มีประชากรในปี พ.ศ. 2560 จำนวน 33,357 คน เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์เดิมชื่อ \"สุขาภิบาลบางโพ\" และต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็น \"เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์\"", "title": "เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์" }, { "docid": "6470#7", "text": "พื้นที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ในทำเลที่ตั้งอันเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่มีความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้นในบริเวณแถบนี้จึงมีการเคลื่อนไหวและย้ายถิ่นฐานของผู้คนมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีท่าน้ำที่สำคัญ 3 ท่า คือ ท่าเซา ท่าอิด และท่าโพธิ์ ซึ่งมีความสำคัญและเจริญรุ่งเรืองมาแต่สมัยขอมปกครองท่าอิด ตั้งแต่ พ.ศ. 1400", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "6470#1", "text": "เดิมทีตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันนี้เป็นเพียงตำบลชื่อ \"บางโพธิ์ท่าอิฐ\" แต่เพราะบางโพธิ์ท่าอิฐซึ่งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำน่านมีความเจริญรวดเร็ว เพราะเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าสำคัญในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ย้ายเมืองหลักมาจากเมืองพิชัยมายังตำบลบางโพธิ์ท่าอิฐ และยกฐานะขึ้นเป็นเมือง \"อุตรดิตถ์\" ซึ่งมีความหมายว่า ท่าน้ำแห่งทิศเหนือของสยามประเทศ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 เมืองอุตรดิตถ์มีความเจริญขึ้น เมืองอุตรดิตถ์จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัด", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "6470#18", "text": "ดอกประดู่บ้าน ดอกไม้ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ในราวปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรก ได้มีโครงการพัฒนาท้องถิ่นหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เน้นเรื่องเศรษฐกิจในชุมชนเป็นหลักเพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาส่วนหนึ่ง จังหวัดจึงมีนโยบายให้หน่วยงานราชการทุกแห่งปลูกไม้ประดับและไม้ยืนต้นในพื้นที่ของส่วนราชการทุกแห่ง และเสนอแนะให้ปลูกพันธุ์ไม้กัลปพฤกษ์และพันธุ์ไม้ประดู่บ้าน แต่พันธุ์ไม้ที่ปลูกทั้งสองชนิดมีเพียงดอกประดู่บ้านที่บานสะพรั่ง ทางจังหวัดจึงกำหนดให้ดอกประดู่บ้านเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "6470#26", "text": "ประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมของจังหวัด คือชนพื้นถิ่นไทยสยามและไทยวน ผู้เป็นเจ้าของซากโครงกระดูกและเครื่องมือหินและสำริดสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในจังหวัด ต่อมาพื้นที่ตั้งเมืองอุตรดิตถ์เป็นทางผ่านสำคัญมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมดองซอน ทำให้มีการเคลื่อยย้ายผู้คนมาจากที่ต่าง ๆ มากขึ้น เรื่อยมาในสมัยทวารวดีและอาณาจักรขอมดังปรากฏหลักฐานเมืองโบราณที่เวียงเจ้าเงาะ จนมาในสมัยสมัยสุโขทัยได้มีเมืองเกิดขึ้นมากมาย เช่น เมืองฝาง เมืองทุ่งยั้ง เมืองตาชูชก และเมืองพิชัย และด้วยการเป็นเส้นทางการค้าทางน้ำ ทำให้ชาวเมืองอุตรดิตถ์ในสมัยโบราณมีที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาจนปัจจุบันคือไทยสยามจากอาณาจักรสุโขทัยที่อาศัยอยู่ในแถบอำเภอพิชัย และไทยวนจากอาณาจักรล้านนาที่อพยพจากเชียงแสนมาอาศัยอยู่ในแถบอำเภอลับแล ชนสองกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานขึ้นเป็นเมืองอย่างมั่นคงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "6470#2", "text": "จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ทางใต้สุดของภาคเหนือตอนล่าง โดยสภาพภูมิศาสตร์จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูงสลับซับซ้อน ซึ่งจะอยู่ทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากทำเลที่ตั้งดังกล่าวจึงทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน มีอากาศฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูฝน และมีช่วงฤดูแล้งคั่นอยู่อย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม เดือนที่ร้อนที่สุดคือเดือนเมษายน จังหวัดอุตรดิตถ์ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ มรสุมตะวันออกเฉียงใต้ปกติจะมีแหล่งกำเนิดบริเวณทะเลอันดามัน ทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีช่วงฤดูฝนกินระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูงที่สุด", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" }, { "docid": "87486#15", "text": "โรงเรียนอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่เลขที่ 15 ถนน อินใจมี - ประชานิมิตร ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพื้นที่ตั้งอยู่ในที่ดินราชพัสดุ เขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ เนื้อที่ 19 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา และนอกจากแปลงที่ตั้งโรงเรียนแล้วยังมีที่ดินฝึกปฏิบัติการวิชาเกษตรกรรมนักเรียนโดยตั้งอยู่ ณ ตำบลชัยจุมพล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ดินสาธารณประโยชน์กระทรวงมหาดไทยมอบให้กรมสามัญศึกษา โรงเรียนอุตรดิตถ์ เป็นผู้ดูแล มีเนื้อที่ 63 ไร่ 2 งาน 29 ตารางวา ห่างจากแปลงที่ 1 ประมาณ 8 กิโลเมตร", "title": "โรงเรียนอุตรดิตถ์" }, { "docid": "6470#30", "text": "ปัจจุบัน ประชากรของจังหวัดอุตรดิตถ์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทลังกาวงศ์ประมาณร้อยละ 99.66 มีจำนวนวัดในพระพุทธศาสนาถึง 312 วัด พระสงฆ์สามเณรกว่าพันรูป นอกจากนั้นยังมีศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ในภายหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นคนนอกพื้นที่ ที่อพยพย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดอุตรดิตถ์ในช่วงไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา", "title": "จังหวัดอุตรดิตถ์" } ]
3203
กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 จัดขึ้นในจังหวัดอะไร?
[ { "docid": "988128#7", "text": "พิธีปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 18:15 น. มีการแสดงทั้งหมด 2 ชุด และอีก 1 ชุดของเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานในพิธีมาถึงมีการแสดงชุดแรก คือ กี่ทอใจ ไหมเจียงฮาย นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่บัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้แสดงการแสดงพื้นบ้านของชาวจังหวัดเชียงราย ต่อมาได้มีการเชิญธงจากตัวแทนนักกีฬาทั้งหมด 77 จังหวัดเข้าสู่สนาม ณัฐวุฒิ เรืองเวส รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ประธานในพิธีกล่าวปิดการแข่งขัน ได้มีการชักธงชาติ, ธงการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และธงประจำจังหวัดเชียงรายลงจากเสา มีการแสดงชุดที่ 2 คือ สี่หู ห้าตา คานิว้าว พร้อมกับการดับไฟในกระถางคบเพลิงลง ณ ที่นี้มีการแสดงจากจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติใครั้งถัดไป", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#0", "text": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 () หรือเป็นที่รู้จักในนาม เจียงฮายเกมส์ เป็นมหกรรมกีฬาระดับชาติสำหรับประชาชนทั่วไป ควบคุมโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้น ณ จังหวัดเชียงราย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#3", "text": "ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5/2557 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 นอกจากนี้ยังมีมติให้ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 32, จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 33, จังหวัดน่าน เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34 และจังหวัดศรีสะเกษ เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#2", "text": "จังหวัดเชียงรายได้เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 ในปี พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5/2557 ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่จังหวัดเชียงรายได้เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ หลังจากที่เคยเป็นเจ้าภาพในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 19", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#4", "text": "มีพิธีการอัญเชิญไฟพระฤกษ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 โดยอัญเชิญมาจากกรุงเทพมหานคร ได้นำไฟพระฤกษ์อัญเชิญไว้บนรถบุษบกเพื่อนำไปยังอำเภอแม่ลาว และอำเภออื่น ๆ ทั่วจังหวัดเชียงราย ในส่วนของอำเภอพญาเม็งรายได้มีการจัดกิจกรรมวิ่งคบเพลิง เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์การแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 เจียงฮายเกมส์ ให้ประชาชนในอำเภอพญาเม็งรายได้รับรู้ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ และได้ส่งมอบคบเพลิงให้กับตำบลหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผู้นำชุมชนเป็นตัวแทนวิ่งในตำบลและหมู่บ้านของตนเอง และส่งมอบไปยังหมู่บ้านต่อไป รวมทั้งสิ้น 5 ตำบล 71 หมู่บ้าน โดยใช้เวลาการวิ่งทั้งสิ้น 10 วัน ก่อนที่จะอัญเชิญเพื่อใช้จุดในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ\nพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 46 หรือ เจียงฮายเกมส์ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 17:30 น. มีการแสดงทั้งหมด 4 ชุด เริ่มต้นด้วยการแสดงชุดที่ 1 ชื่อว่า “จ้องมองล้านนา” ใช้นักแสดงเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กว่า 3,000 คน ที่ถือร่มและแสงไฟ โดยตลอดการแสดงมีการใช้เทคนิคแสงแปรอักษรและรูปภาพได้อย่างงดงาม จากนั้นตามด้วยขบวน “ป๋าเวณีเกียรติยศ” นำประธานในพิธีเปิด เดินเข้าสู่สนาม และการแสดงชุด “ลานล้านนา ชาติพันธุ์” ซึ่งใช้เทคนิคแสง พร้อมเครื่องแต่งกายชุดชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงรายที่ร่ายรำประกอบดนตรี", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "845283#3", "text": "ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5/2557 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้จังหวัดสงขลา เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 นอกจากนี้ยังมีมติให้ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 32, จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 33, จังหวัดน่าน เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34, จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 และจังหวัดศรีสะเกษ เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45" }, { "docid": "845285#2", "text": "ในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47 นอกจากนี้ยังมีมติให้ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 32, จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 33, จังหวัดน่าน เป็นเจ้าภาพกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34 และจังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47" } ]
[ { "docid": "995579#0", "text": "กีฬากรีฑาในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21–25 พฤษจิกายน พ.ศ. 2561 ณ สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นสนามที่ใช้ในพิธีเปิดและปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติในครั้งนี้ โดยมีการแข่งขันอยู่ 2 ชนิดกีฬา ได้แก่ ประเภทชาย และประเภทหญิง", "title": "กีฬากรีฑาในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "995910#0", "text": "กีฬาชักเย่อในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 23–27 พฤษจิกายน พ.ศ. 2561 ณ หอประชุมอำเภอเมืองเชียงราย โดยมีการแข่งขันอยู่ 2 ชนิดกีฬา ได้แก่ ประเภทชาย ทีม 4 คน และ 8 คนและประเภทหญิง ทีม 4 คน และ 8 คน", "title": "กีฬาชักเย่อในกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" }, { "docid": "988128#5", "text": "ตามด้วยขบวนพาเหรด นำคณะนักกีฬาจากทั้ง 77 จังหวัด เดินเข้าสู่สนามกีฬากลาง และได้ประกอบพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยมีพิธีชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา ต่อจากนั้นผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทยได้กล่าวรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสร็จแล้วได้มีการมอลโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณให้กับผู้สนับสนุนสิทธิประโยชน์กลางของการกีฬาแห่งประเทศไทย จากนั้นได้มีการชักธงประจำการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และธงประจำจังหวัดเชียงรายขึ้นสู่ยอดเสา ต่อมานักกีฬาและผู้ฝึกสอนได้กล่าวคำปฏิญาณ", "title": "กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46" } ]
3211
วัดดุสิดาราม ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "449176#1", "text": "ประวัติการสร้างวัดดุสิดารามว่า สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๑๐๐ และรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๐ หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ตอนที่กล่าวถึงพระอารามหลวงในกรุงศรีอยุธยา ระบุชื่อวัดแห่งหนึ่งว่า วัดดุสิตมหาพระนเรศวรทรงสร้างสันนิษฐานว่า หมายถึงวัดดุสิดาราม ในพิธีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒสัตยา(ไม่ปรากฏพ.ศ.) พระนารถอยู่วัดดุสิตาราม เป็นพระราชาคณะรูปหนึ่ง จากทั้งหมด ๑๗ รูป ๑๗ วัด ในกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา\nเจ้าแม่วัดดุสิต ขัตติยะนารีพระบรมราชบรรพบุรุษของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี สตรีผู้สูงศักดิ์แห่งราชสำนักสยาม รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นแม่นมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนหลังได้เป็นท้าวสมศักดิ์มหาธาตรี หม่อมเจ้าหญิงบัว(ไม่ปรากฏหลักฐานอย่างแน่ชัดว่าเจ้าแม่วัดดุสิตสืบเชื้อสายมาจากผู้ใด )นั้นแต่เดิมอาศัยอยู่ใกล้วัดดุสิต ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองดุสิตตรงส่วนที่ต่อกับคลองปากข้าวสาร ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานสร้างวังมีตำหนักตึกที่ริมวัดดุสิดารามถวายพระองค์เจ้าพระนมนางจึงได้เรียกกันมาว่า เจ้าแม่วัดดุสิต", "title": "วัดดุสิดาราม" }, { "docid": "571061#3", "text": "ส่วนหลักฐานที่จะแสดงให้รู้ ว่าวัดนี้ได้สร้างขึ้นในปีไหน ใครเป็นผู้สร้าง และได้สร้างถาวรวัตถุหรือปูชนียวัตถุอะไรไว้บ้างในยุคแรก ก็ไม่มีปรากฏ จึงทราบไม่ได้", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" } ]
[ { "docid": "571061#4", "text": "หากจะหาแหล่งอ้างอิงที่เป็นเอกสาร ก็มีบันทึกไว้หลายแห่ง ที่จะยกมา ณ ตอนนี้คือจากหนังสือ “ประวัติวัดดุสิดารามวรวิหาร”(ฉบับตรวจสอบชำระ) โดยกรมศิลปากรเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 2502 ซึ่งได้ระบุไว้ว่า วัดดุสิดารามนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าแจ่ม กรมหลวงศรีสุนทรเทพ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงสถาปนาขึ้นแต่ทราบไม่ได้ว่าทรงสร้างหรือทรงปฏิสังขรณ์ปูชนียวัดถุหรือถาวรวัตถุสิ่งใดไว้บ้าง เข้าใจว่าคงจะทรงสร้างพระอุโบสถ พร้อมทั้งพระระเบียง หอระฆังและกุฏิ 2 คณะ คือด้านเหนือพระอุโบสถคณะ 1 ด้านใต้พระอุโบสถคณะ ๑ ส่วนศาลาเก๋งและวิหารคงเป็นเพียงทรงปฏิสังขรณ์ของเดิมเท่านั้น", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" }, { "docid": "571061#0", "text": "\"วัดดุสิดาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ 176 ซอยสมเด็จพระปิ่นเกล้า 1 ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เหนือปากคลองบางกอกน้อย ปัจจุบันมีพระเทพสิทธิมุนี (บุญสิน อุตฺตมชาโต) เป็นเจ้าอาวาส\" \nพระอารามนี้เป็นวัดโบราณ เดิมชื่อว่าวัดเสาประโคน ส่วนเรื่องที่จะมีมูลเหตุเป็นมาอย่างไรจึงมีชื่อดังนั้น ไม่ทราบแน่นอน เพราะยังไม่พบหลักฐานยืนยัน มีเพียงแต่เรื่องเล่าว่าเมื่อท่านสุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทองในราว พ.ศ. 2371 ก็ได้กล่าวถึงวัดนี้ไว้ว่า\nแต่โดยอาศัยตามคำบอกเล่าของท่านผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และมีชาติภูมิอยู่ในถิ่นนี้มาเป็นเครื่องอนุมานในการสันนิษฐาน คงได้เค้าเรื่อง ดังนี้", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" }, { "docid": "571061#7", "text": "สมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปีพุทธศักราช 2456 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จตรวจวัดดุสิดาราม วัดภุมรินราชปักษี และวัดน้อยทองอยู่ ซึ่งมีอาณาเขตที่ดินติดต่อกัน ทรงรับสั่งให้รวมวัดภุมรินราชปักษี ซึ่งมีพระสงฆ์อยู่รูปเดียวเข้ากับวัดดุสิดาราม", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" }, { "docid": "571061#8", "text": "เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2488 วัดดุสิดารามและวัดน้อยทองอยู่ประสบภัยทางอากาศในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง วัดน้อยทองอยู่ถูกระเบิดเสียหาย เหลือแต่กำแพงอุโบสถ เมื่อสงครามสงบแล้ว ทางราชการจึงได้ประกาศรวมเขากับวัดดุสิดาราม เมื่อปีพุทธศักราช 2489", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" }, { "docid": "571061#1", "text": "ในสมัยที่ล่วงมาแล้วประมาณ 60 ปีเศษ ขณะที่ท่านผู้เล่ายังเยาว์อยู่ได้เคยเห็นเสาหินต้นหนึ่ง ขนาดโตประมาณเท่าเสา 4 กำ หรือ 5 กำ สูง 2 ศอกเศษ ปักอยู่ที่มุมภายในพระระเบียงรายรอบพระอุโบสถ ใกล้กับพระเจดีย์ที่ตั้งอยู่ในทิศเหนือด้านหลังพระอุโบสถที่ยังปรากฏอยู่ ณ บัดนี้ ซึ่งในขณะนั้นสถานที่นั้นยังรกเป็นป่าหญ้าคาเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในสมัยนั้น ( นัยว่า ผู้ที่มาดูบางคนก็เห็น แต่บางคนไม่เห็น ) ต่อภายหลังผู้บอกเล่าได้มาดูอีกแต่ไม่เห็น และไม่ทราบว่าเสาหินนั้นสูญหายไปอย่างไร เมื่อไร ดังนั้น เรื่องนี้จึงน่าจะลงมติสันนิษฐานได้ว่าการขนานนามวัดนี้ว่า “เสาประโคน” อาจถือเอาเสาหินนั้นเป็นนิมิตก็ได้ ทั้งตรงกับความหมายของคำว่า “ประโคน” ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกเสาใหญ่ที่ปักหมายเขตแดนอีกด้วย พิจารณาดูก็พอสมเหตุสมผล แต่จะรับรองว่ายุติแน่นอนก็ไม่ได้", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" }, { "docid": "571061#26", "text": "อุปสมบท วันอังคารที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ตรงกับวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน ณ วัดบางน้ำจืด ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พระอุปัชฌาย์ พระครูยุตตโกฐยติกิจ(เนียม) วัดบางน้ำจืด ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พระกรรมวาจาจารย์ พระครูรัตนวิมล(แบน) วัดอินทาราม ตำบลท่าเคย อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎฺร์ธานี พระอนุสาวนาจารย์พระอธิการชู ฉนฺทเสวี วัดอัมพวา ตำบลคลองไทร อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" }, { "docid": "571061#11", "text": "แปลงที่ 3 เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ 1 งาน 7 วา ทิศเหนือ จดที่ดินคูหลังวัด ทิศใต้ จดคลองวัดดุสิดาราม ทิศตะวันออก จดที่ดินเลขที่ 150 และคูหน้าวัดน้อยทองอยู่ \nทิศตะวันตก จดคลองระหว่างวัดดุสิดารามและวัดภุมรินราชปักษี (แปลงนี้เดิมเป็นเนื้อที่ของวัดน้อยทองอยู่ รวมมาเป็นของวัดดุสิดารามเมื่อ พ.ศ. 2489 สมัยพระประสิทธิวีริยคุณเป็นเจ้าอาวาส)", "title": "วัดดุสิดารามวรวิหาร" }, { "docid": "737368#0", "text": "โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เขตการศึกษา กรุงเทพมหานครเขต 1 กระทรวงศึกษาธิการ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 6 ก่อตั้งในปีพุทธศักราช 2504 \nโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่  5  มิถุนายน  พ.ศ. 2504  โดยเปิดทำการสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 7", "title": "โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม" }, { "docid": "907646#19", "text": "ปี พ.ศ. 2481 พระอาจารย์ดี ฉนฺโน และชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร ได้ก่อสร้าง วัดดอนธาตุ ขึ้นเพื่อถวาย หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล เนื่องด้วยหลวงปู่ใหญ่เสาร์ได้ไปสำรวจเกาะแก่งน้อยใหญ่ตามลำแม่น้ำมูลทางตอนใต้ของเมืองพิบูลมังสาหาร และได้ปรารภว่าอยากสร้าง \"เกาะดอนธาตุ\" แห่งนี้ขึ้นเป็นวัดป่ากรรมฐานเพราะมีความเหมาะสม จึงมอบหมายให้ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน รับหน้าที่ดูแลการสร้างวัดและเสนาสนะ ซึ่งในวัดแห่งนี้ได้สร้าง \"พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน)\" ขึ้นตามดำริของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล โดยมี พระอาจารย์ดี ฉนฺโน เป็นช่างปั้นพระพุทธรูปในครั้งนี้ และในการนี้ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ตั้งชื่อ \"เกาะดอนธาตุ\" แห่งนี้ว่า \"วัดเกาะแก้วพระนอนคอนสวรรค์วิเวกพุทธกิจศาสนา\" ครูบาอาจารย์ในสมัยนั้นเรียกสั้นๆว่า \"วัดเกาะแก้ว\" ต่อมากรมการศาสนาได้เปลี่ยนชื่อให้เป็น วัดดอนธาตุ ดังปรากฎในปัจจุบัน ซึ่งปัจฉิมวัยของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นสถานที่ที่ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ได้สร้างถวายแห่งนี้", "title": "พระอาจารย์ดี ฉนฺโน" } ]
3213
ธาตุกึ่งโลหะ ประกอบด้วย กี่ธาตุ?
[ { "docid": "14673#1", "text": "โดยปกติทั่วไปแล้วธาตุกึ่งโลหะ ประกอบด้วย 6 ธาตุ คือ โบรอน, ซิลิคอน, เจอร์เมเนียม, สารหนู, พลวงและเทลลูเรียม แต่บางครั้งการจำแนกธาตุกึ่งโลหะได้รวม คาร์บอน, อะลูมิเนียม, ซีลีเนียม, พอโลเนียมและแอสทาทีนไว้ด้วย ในตารางธาตุทั่วไปนั้นสามารถพบธาตุกึ่งโลหะได้ที่บริเวณเส้นทแยงมุมของ บล็อก-p โดยเริ่มจากโบรอนไปจนถึงแอสทาทีน ในบางตารางธาตุที่ประกอบด้วยเส้นแบ่งระหว่างโลหะกับอโลหะและธาตุกึ่งโลหะนั้นจะอยู่ติดกับเส้นแบ่งนี้", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14673#7", "text": "ยังมีธาตุอื่นๆที่ถูกจัดว่าเป็นธาตุกึ่งโลหะ ซึ่งธาตุเหล่านั้นคือ ไฮโดรเจน, เบริลเลียม, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, กำมะถัน, สังกะสี, แกลเลียม, ดีบุก, ไอโอดีน, ตะกั่ว, บิสมัทและเรดอน ธาตุกึ่งโลหะที่มีองค์ประกอบที่แสดงถึงความมันวาวของโลหะและการนำไฟฟ้า เรียกว่า แอมโฟเทริก เช่น สารหนู พลวง วานาเดียม โครเมียม โมลิบดีนัม ทังสเตนดีบุก ตะกั่วและอะลูมิเนียม โลหะบล็อก-p และอโลหะ (เช่น คาร์บอน หรือ ไนโตรเจน) สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติหรือรวมกันได้เป็นโลหะผสม จึงได้รับการพิจารณาเป็นกึ่งโลหะ", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14673#6", "text": "โบรอน, ซิลิคอน ,เจอร์เมเนียม ,สารหนู ,พลวงและเทลลูเรียม เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นธาตุกึ่งโลหะ และบางครั้งซีลีเนียม, พอโลเนียมหรือแอสทาทีนก็ถูกจัดอยู่ในนั้นด้วย บางครั้งโบรอนและซิลิกอนก็ไม่ถูกจัดเป็นกึ่งโลหะ บางครั้งเทลลูเรียมก็ไม่ได้เป็นกึ่งโลหะ และการรวมพลวง, พอโลเนียมและแอสทาทีนเข้าเป็นธาตุกึ่งโลหะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" } ]
[ { "docid": "14673#5", "text": "ธาตุกึ่งโลหะเป็นธาตุที่มีองค์ประกอบก้ำกึ่งระหว่างพวกโลหะและอโลหะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะจำแนกว่าเป็นโลหะหรืออโลหะ นี่คือความหมายทั่วไปที่กล่าวถึงลักษณะของธาตุกึ่งโลหะที่ถูกอ้างถึงอย่างต่อเนื่องในงานวิจัย\nความยากของการจัดหมวดหมู่เป็นคุณลักษณะสำคัญของธาตุกึ่งโลหะ ธาตุส่วนใหญ่มีคุณสมบัติของทั้งโลหะและอโลหะ และสามารถแบ่งได้ตามคุณสมบัติเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะธาตุที่อยู่ใกล้เส้นขอบ ที่ไม่มีลักษณะชัดเจนว่าเป็นโลหะหรืออโลหะ จะถูกจัดเป็นกึ่งโลหะ", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14673#9", "text": "ธาตุกึ่งโลหะจะอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของเส้นแบ่งระหว่างโลหะและอโลหะสามารถพบในการกำหนดค่าที่แตกต่างกัน ในบางตารางธาตุ องค์ประกอบทางด้านซ้ายล่างของบรรทัดโดยทั่วไปแสดงเพิ่มพฤติกรรมโลหะ องค์ประกอบทางด้านขวาบนแสดงพฤติกรรมเพิ่มขึ้น นอลเมทาลิก เมื่อเรียงเป็นขั้นปกติ องค์ประกอบกับอุณหภูมิสำคัญสูงสุดสำหรับกลุ่มธาตุ (ลิเทียม เบริลเลียม อะลูมิเนียม เจอร์เมเนียม พลวง พอโลเนียม) จะนอนอยู่ด้านล่างบรรทัด", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14667#4", "text": "ธาตุซึ่งจำแนกเป็นอโลหะโดยทั่วไปมีหนึ่งธาตุในหมู่ 1 (ไฮโดรเจน) หนึ่งธาตุในหมู่ 14 (คาร์บอน) สองธาตุในหมู่ 15 (ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส) สามธาตุในหมู่ 16 (ออกซิเจน กำมะถันและเซเลเนียม) ธาตุส่วนใหญ่ในหมู่ 17 (ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีนและไอโอดีน) และทุกธาตุในกลุ่ม 18 (อาจยกเว้นออกาเนสซอน)\nข้อแตกต่างระหว่างอโลหะและโลหะไม่ชัดเจนทุกประการ ผลคือ มีธาตุคาบเส้นบางธาตุที่ไม่มีคุณสมบัติอโลหะหรือโลหะมากกว่ากันที่จำแนกเป็นกึ่งโลหะ และบางธาตุที่จำแนกเป็นอโลหะบางทีจำแนกเป็นกึ่งโลหะ หรือกลับกันก็มี ตัวอย่างเช่น เซเลเนียม (Se) ธาตุอโลหะ ซึ่งบางทีจำแนกเป็นกึ่งโลหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาเคมีสิ่งแวดล้อม และแอสทาซีน (At) ซึ่งเป็นกึ่งโลหะและแฮโลเจน บางทีจำแนกเป็นอโลหะ", "title": "อโลหะ" }, { "docid": "1743#15", "text": "ตามสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของมัน เรายังสามารถแบ่งธาตุออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ โลหะ กึ่งโลหะ และอโลหะ ธาตุโลหะส่วนใหญ่จะสะท้อนแสง อยู่ในรูปอัลลอย และยังสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอโลหะ (ยกเว้น แก๊สมีตระกูล) ได้สารประกอบไอออนิกในรูปของเกลือ ส่วนธาตุอโลหะส่วนใหญ่จะเป็นแก๊สซึ่งไม่มีสีหรือมีสี อโลหะที่ทำปฏิกิริยากับอโลหะด้วยกันจะทำให้เกิดสารประกอบที่มีพันธะโควาเลนต์ ระหว่างธาตุโลหะกับธาตุอโลหะ คือธาตุกึ่งโลหะ ซึ่งจะมีสมบัติของธาตุโลหะและอโลหะผสมกัน", "title": "ตารางธาตุ" }, { "docid": "14667#2", "text": "แม้ว่าธาตุโลหะมีมากกว่าอโลหะห้าเท่า แต่ธาตุอโลหะสองธาตุ ไฮโดรเจนและฮีเลียม ประกอบเป็นร้อยละ 99 ของเอกภพที่สังเกตได้ และหนึ่งธาตุ ออกซิเจน ประกอบเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของเปลือกโลก มหาสมุทรและบรรยากาศของโลก สิ่งมีชีวิตยังประกอบด้วยอโลหะแทบทั้งหมด และธาตุอโลหะก่อสารประกอบมากกว่าโลหะมาก", "title": "อโลหะ" }, { "docid": "14673#20", "text": "กึ่งโลหะโดยทั่วไปจะมีลักษณะเหมือนโลหะ แต่ก็มีลักษณะที่เหมือนอโลหะด้วยเช่นกัน เช่นซิลิคอน มีลักษณะคล้ายของแข็งมีสีเงินวาว แต่เปราะง่ายคล้ายธาตุอโลหะ และนำไฟฟ้าได้เล็กน้อย ธาตุกึ่งโลหะส่วนใหญ่จะเป็นสารกึ่งตัวนำ ( semiconductors ) และส่วนใหญ่มีโครงสร้างแบบโครงผลึกร่างตาข่าย ในภาวะปกติ ธาตุบางชนิดดำรงอยู่สถานะของแข็ง บางชนิดเป็นของเหลว และบางชนิดเป็นแก๊ส", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" }, { "docid": "14673#0", "text": "ธาตุกึ่งโลหะ () เป็นธาตุที่มีองค์ประกอบทางเคมีซึ่งมีคุณสมบัติก้ำกึ่งระหว่างสมบัติของโลหะกับอโลหะ โดยไม่มีการกำหนดมาตรฐานหรือข้อตกลงที่แน่นอนของการเป็นธาตุกึ่งโลหะ ส่วนใหญ่เป็นสารกึ่งตัวนำ (semiconductors)", "title": "ธาตุกึ่งโลหะ" } ]
3222
แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นนวนิยายสัญชาติอะไร?
[ { "docid": "91329#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต () เป็นนวนิยายแนวแฟนตาซี เขียนโดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิ่ง เป็นหนังสือเล่มที่เจ็ดและเป็นเล่มสุดท้ายในนวนิยายชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 เป็นการปิดฉากชุดนวนิยายซึ่งเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1997 จากการตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" ในประเทศอังกฤษตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บลูมสบิวรี่ ประเทศอเมริกาตีพิมพ์โดยสกอลาสติก และในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ (ออกจำหน่ายวันที่ 7 ธันวาคมพ.ศ. 2550) ดำเนินเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม\" ไปจนถึงการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างสองพ่อมด แฮร์รี่ พอตเตอร์ และลอร์ดโวลเดอมอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต" }, { "docid": "4336#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดนวนิยายแฟนตาซีจำนวนเจ็ดเล่ม ประพันธ์โดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิง เป็นเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมดวัยรุ่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเพื่อนสองคน รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเรียนโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ โครงเรื่องหลักเกี่ยวกับภารกิจของแฮร์รี่ในการเอาชนะพ่อมดศาสตร์มืดที่ชั่วร้าย ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ที่ต้องการจะมีชีวิตอมตะ มีเป้าหมายเพื่อพิชิตมักเกิ้ล หรือประชากรที่ไม่มีอำนาจวิเศษ พิชิตโลกพ่อมดและทำลายทุกคนที่ขัดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" } ]
[ { "docid": "197263#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2001 กำกับโดย คริส โคลัมบัส และจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอส์ เนื้อเรื่องยึดจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเจ. เค. โรว์ลิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคแรกในภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เขียนเรื่องโดยสตีฟ โคลฟส์ และผลิตโดยเดวิด เฮย์แมน เนื้อเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเรียนปีแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ฮอกวอตส์ ที่เขาพบว่าเขาเป็นพ่อมดที่มีชื่อเสียงและเริ่มศึกษาวิชาเวทมนตร์", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "4336#42", "text": "ความสำเร็จของนวนิยายชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ เจ. เค. โรว์ลิง ผู้ประพันธ์ ตลอดไปจนถึงสำนักพิมพ์และผู้ถือสิทธิ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ทั้งหมด โรว์ลิงได้รับผลตอบแทนมากจนกระทั่งนับได้ว่าเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่ติดอันดับ \"มหาเศรษฐี\" ของโลก มีการจำหน่ายหนังสือไปแล้วกว่า 400 ล้านเล่มทั่วโลก และช่วยนำกระแสนิยมให้แก่ภาพยนตร์ชุดดัดแปลงโดย วอร์เนอร์บราเธอร์ส ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงในแต่ละตอนต่างประสบความสำเร็จไปตามกัน สามารถติดอันดับเป็นภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลในทุกภาคที่เข้าฉาย ชุดภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นได้รับการต่อยอดไปสู่รูปแบบวิดีโอเกมและสินค้าจดลิขสิทธิ์กว่า 400 รายการ ซึ่งมูลค่าโดยประมาณของแบรนด์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีมูลค่าสูงกว่ากว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้โรว์ลิงกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน ในรายงานเปรียบเทียบบางแห่งยังกล่าวว่าเธอร่ำรวยกว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเสียอีก ทว่าโรว์ลิงชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "78353#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นนวนิยายเล่มแรกในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ และนวนิยายประเดิมของเจ. เค. โรว์ลิง โครงเรื่องติดตามแฮร์รี่ พอตเตอร์ พ่อมดหนุ่มผู้ค้นพบมรดกเวทมนตร์ของเขา พร้อมกับสร้างเพื่อนสนิทและศัตรูจำนวนหนึ่งในปีแรกที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ด้วยความช่วยเหลือของมิตร แฮร์รี่เผชิญกับความพยายามหวนคืนของพ่อมดมืด ลอร์ดโวลเดอมอร์ ซึ่งฆ่าบิดามารดาของแฮร์รี่ แต่ไม่สามารถฆ่าเขาได้เมื่ออายุหนึ่งขวบ", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์" }, { "docid": "197283#0", "text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ () เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2002 กำกับโดย Chris Columbus และจัดจำหน่ายโย Warner Bros. Pictures ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ J. K. Rowling ซึ่งเคยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1998 เป็นภาคต่อของ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในชุดภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เป็นผลงานการเขียนบทของ Steve Kloves และอำนวยการสร้างโดย David Heyman เล่าเรื่องการผจญภัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในปีที่สองของการศึกษาในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ซึ่งทายาทของซัลลาซาร์ สลิธีริน ได้เปิดห้องแห่งความลับ และปลดปล่อยสัตว์ร้ายภายในออกมาทำให้ผู้คนในโรงเรียนกลายเป็นหิน นำแสดงโดย Daniel Radcliffe รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ Rupert Grint รับบทรอน วีสลีย์ และ Emma Watson รับบทเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ Richard Harris มารับบทเป็นศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ก่อนที่จะเสียชีวิตในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "4336#44", "text": "ในช่วงแรก ๆ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดี ทำให้นวนิยายชุดนี้ขยายฐานผู้อ่านออกไปอย่างมาก หนังสือเล่มแรกของชุดคือ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" ได้จุดประเด็นความสนใจแก่หนังสือพิมพ์ของสกอตแลนด์หลายเล่ม เช่น \"The Scotsman\" บอกว่าหนังสือเล่มนี้ \"มีทุกอย่างของความคลาสสิก\" หรือ \"The Glasgow Herald\" ตั้งสมญาให้ว่าเป็น \"สิ่งมหัศจรรย์\" ไม่นานหนังสือพิมพ์ของทางอังกฤษก็เข้าร่วมวงด้วย มีหนังสือพิมพ์มากกว่า 1 เล่มเปรียบเทียบงานเขียนชุดนี้กับงานของโรอัลด์ ดาห์ล หนังสือพิมพ์ \"The Mail on Sunday\" เรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น \"งานเขียนที่เปี่ยมจินตนาการนับแต่ยุคของโรอัลด์ ดาห์ล\" ส่วน \"The Guardian\" เรียกหนังสือนี้ว่า \"นวนิยายอันงดงามที่สร้างโดยนักประดิษฐ์อัจฉริยะ\"", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "4336#25", "text": "นวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์จัดอยู่ในประเภทวรรณกรรมแฟนตาซี อย่างไรก็ดี ในหลายแง่มุม ยังเป็นนวนิยายการศึกษา (bildungsromans) หรือการเปลี่ยนผ่านของวัย และมีส่วนที่เป็นประเภทลึกลับ ตื่นเต้นเขย่าขวัญ และโรแมนซ์ นวนิยายชุดนี้อาจถูกมองว่าเป็นประเภทโรงเรียนกินนอนเด็กของอังกฤษ เพราะเรื่องราวส่วนใหญ่ในชุดเกิดขึ้นในฮอกวอตส์ ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนอังกฤษสำหรับพ่อมดในนวนิยาย โดยมีหลักสูตรรวมถึงการใช้เวทมนตร์ด้วย ชุดนวนิยายนี้ยังเป็นประเภทที่สตีเฟน คิงใช้คำว่า \"เรื่องลึกลับหลักแหลม\" และแต่ละเล่มมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับการผจญภัยลึกลับแบบเชอร์ล็อก โฮมส์ เรื่องราวเล่าโดยบุคคลที่สามจำกัดมุมมองโดยมีข้อยกเว้นเล็กน้อย (เช่น บทแรก ๆ ของศิลาอาถรรพ์และเครื่องรางยมทูต และสองบทแรกของเจ้าชายเลือดผสม)", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "4336#52", "text": "หนังสือชุดนี้ตกเป็นประเด็นโต้แย้งทางกฎหมายมากมายหลายคดี มีทั้งการฟ้องร้องจากกลุ่มคริสเตียนอเมริกันว่าการใช้เวทมนตร์คาถาในหนังสือเป็นการเชิดชูศิลปะของพวกพ่อมดแม่มดให้แพร่หลายในหมู่เด็ก ๆ รวมถึงข้อขัดแย้งอีกหลายคดีเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า การที่นวนิยายชุดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากและครอบครองมูลค่าตลาดสูงมาก ทำให้โรว์ลิง สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ของเธอ รวมถึงวอร์เนอร์ บราเธอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ของตน ทั้งนี้รวมถึงการห้ามจำหน่ายสินค้าลอกเลียนแบบแฮร์รี่ พอตเตอร์ เหล่าเจ้าของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ใช้ชื่อโดเมนคาบเกี่ยวกับคำว่า \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" พวกเขายังฟ้องนักเขียนอีกคนหนึ่งคือ แนนซี สโตฟเฟอร์ เพื่อตอบโต้การที่เธอออกมากล่าวอ้างว่า โรว์ลิงลอกเลียนแบบงานเขียนของเธอ กลุ่มนักอนุรักษนิยมทางศาสนาจำนวนมากอ้างว่า หนังสือชุดนี้เชิดชูศาสตร์ของพ่อมดแม่มด ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก นอกจากนี้ยังมีนักวิจารณ์อีกจำนวนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่าหนังสือชุดนี้มีแง่มุมทางการเมืองซ่อนอยู่หลายประการ", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "4336#1", "text": "หนังสือเล่มแรกในชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ วางจำหน่ายในฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และนับแต่นั้น หนังสือก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทั้งได้รับการยกย่องอย่างสำคัญและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก อย่างไรก็ดี ชุดนวนิยายดังกล่าวก็มีข้อวิจารณ์บ้าง รวมถึงความกังวลถึงโทนเรื่องที่มืดมนขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 ชุดหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ทำยอดขายไปมากกว่า 500 ล้านเล่มทั่วโลก ซึ่งเป็นชุดหนังสือที่มียอดขายมากที่สุดตลอดกาล และมีการแปลไปเป็นภาษาต่าง ๆ รวม 73 ภาษา หนังสือสี่เล่มสุดท้ายของชุดยังได้สร้างสถิติเป็นหนังสือที่จำหน่ายออกหมดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยหนังสือเล่มสุดท้ายของชุดมียอดขายกว่า 11 ล้านเล่มในสหรัฐและสหราชอาณาจักรภายในระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกที่วางขาย", "title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์" } ]
3224
ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบานสำหรับอนิเมะนั้น ในไทยได้ลิขสิทธิ์ไปโดยบริษัทใด?
[ { "docid": "108172#7", "text": "ในประเทศไทย ทางบริษัทโรส แอนิเมชัน ได้ทำการซื้อลิขสิทธิ์ของ ฮายาเตะ มาจำหน่ายในประเทศไทย โดยลิขสิทธิ์ที่ได้มานั้น เป็นภาพรูปแบบสำหรับฉายทางโทรทัศน์ หรือ เบต้าเทป และมีขนาดอัตราส่วนลักษณะของภาพในแบบ 4:3 ทั้งในรูปแบบ VCD และ DVD ซึ่งแตกต่างจาก DVD ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ที่มีการปรับปรุงภาพให้ดีขึ้น ปรับเปลี่ยนฉากบางฉาก ให้แตกต่างจากโทรทัศน์ และมีขนาดอัตราส่วนลักษณะของภาพในแบบ 16:9 เนื่องจากลิขสิทธิ์เบต้าเทปในอัตราส่วนลักษณะ 4:3 นั้นมีค่าลิขสิทธิ์ถูกกว่า ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นกับแฟนการ์ตูนเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ทางบริษัทโรสได้ออกมาขอโทษ พร้อมทั้งประกาศว่าเรื่องหลังจากนี้ไปจะพยายามทำให้มีขนาดสัดส่วนของภาพในแบบ 16:9 เท่าที่จะทำได้", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" } ]
[ { "docid": "108172#6", "text": "อนิเมะ Season 1 ของ ฮายาเตะ จัดทำโดยทีมงาน SynergySP ที่ทำอนิเมะให้กับโชงะกุกัง อยู่แล้ว ส่งผลให้ฮายาเตะ มีความโด่งดังมากกว่าเดิม เนื้อหาใน Season 1 จะดึงมาจากฉบับมังงะเล่ม 1 - 5 และมีการเพิ่มเติมเนื่อหาและมุขใหม่ๆ มากมาย เป็นจุดขาย", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "108172#5", "text": "มังงะของ ฮายาเตะ แต่งเรื่องและวาดภาพโดย เค็นจิโร ฮะตะ เป็นเนื้อหาต้นแบบพื้นฐานของอนิเมะทั้ง 2 Season ตอนนี้มีฉบับรวมเล่มแล้ว 30\nเล่มในประเทศญี่ปุ่น เนื้อหาโดยรวมจะแบ่งออก เป็น 4 ช่วงในขณะนี้ฮายาเตะ มีในรูปแบบอนิเมะ ด้วยกัน 4 ชุด ได้แก่", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "108172#0", "text": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน () () เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนวตลกและต่อสู้ แต่งเรื่องและวาดภาพโดย เค็นจิโร ฮะตะ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กหนุ่มผู้ขยันขันแข็งนามว่า \"อายาซากิ ฮายาเตะ\" แต่มีพ่อแม่ที่เอาแต่เล่นการพนัน จนเป็นหนี้และชดใช้โดยการขายลูกชายให้พวกมาเฟีย แต่จับพลัดจับผลูไปเจอกับ \"ซันเซนอิง นางิ\" คุณหนูของตระกูลอภิมหาเศรษฐี จนได้มาเป็นพ่อบ้านตระกูลซันเซนอิงเพื่อใช้หนี้", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "108172#1", "text": "ปัจจุบันตีพิมพ์ลงในนิตยสาร โชเน็งซันเดย์ ในญี่ปุ่นโดยสำนักพิมพ์โชงะกุกัง และ นีออซ ในไทยโดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ และมีจำหน่ายในรูปของเกมบนเครื่องนินเทนโดดีเอส 2 เกม, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล 1 เกม และนิยายอีก 4 เล่มด้วย สำหรับอนิเมะนั้น ในไทยได้ลิขสิทธิ์ไปโดยโรส แอนิเมชันสำหรับภาคแรก", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "108172#10", "text": "อนิเมะ Season 2 ของ ฮายาเตะ จัดทำโดยทีมงาน J.C.Staff โดยดึงเนื้อหามาจากฉบับมังงะเล่ม 5 - 14 สิ่งที่ J.C.Staff แสดงให้เห็นแตกต่างไปจาก SynergySP คือ จากที่เน้นมุขตลก ได้เปลี่ยนไปเน้นเนื้อหาความโรแมนติกแทน และผลักดันบทของตัวละครหญิงรองมากขึ้น", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "411855#1", "text": "นางิ ฮายาเตะ มาเรีย คายุระ ฮินะกิคุ อายุมุ จิฮารุ และ 3 สาวกรรมการนักเรียน เดินทางมาพักผ่อนในฤดูร้อนที่ต่างจังหวัดตามคำเชิญชวนของอายุมุ ถึงตอนแรกคุณหนูจะยอมมาด้วยดี แต่เมื่อมาถึง ก็เริ่มออกอาการงอแงเพราะไม่มีทั้งโทรทัศน์และเกมใดๆทั้งสิ้น ขณะที่ฮายาเตะเชิญชวนให้คุณหนูนางิลองมาชมทัศนียภาพของดอกทานตะวัน ก็ได้พบกับสาวน้อยผมสีเงินในชุดมิโกะสีขาวมาบอกกล่าวอะไรบางอย่าง แล้วหายตัวไปแบบทันทีทันใด ฮายาเตะจึงนึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา คืนนั้น หลังหมดกิจกรรมเล่าเรื่องผีแล้วเข้านอน คุณหนูนางิเกิดอาการอยากเข้าห้องน้ำ แต่เพราะความกลัว จึงได้ร้องเรียกฮายาเตะออกมา ฮายาเตะได้ยินเข้าก็ชักชวนคุณหนูออกมาดูดาวซึ่งตามปกติจะหาดูไม่ได้ในเมือง ทันใดนั้นเอง สาวน้อยผมสีเงินก็ปรากฏตัวอีกครั้ง พร้อมกับนำพาฮายาเตะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในความทรงจำของฮายาเตะ...", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน! เดอะ มูฟวี่ รักกวน ๆ ป่วนถึงสวรรค์" }, { "docid": "153786#39", "text": "เป็นผู้สร้างดันเจี้ยนในโบสถ์อเล็กซานมาร์โก และเป็นผู้ที่สร้างโบสถ์นี้ขึ้นมาด้วย แต่แล้ววันหนึ่งเขาโดนกับดักอาบยาพิษของตนเอง เข้าไปทำให้เขาตายและกลายเป็นวิญญาณ ในดันเจี้ยน แต่เมื่อพวกฮายาเตะ ทำการปลดปล่อยดันเจี้ยน วิญญาณของเขาจึงสามารถออกมาสู่โลกปัจจุบันได้ ชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองว่า \"ลอร์ดบริติช แห่ง อากิบะ\"", "title": "รายชื่อตัวละครในฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "108172#11", "text": "เนื่องจากการเปลี่ยนทีมทำให้เกิดข้อผิดพลาดในเนื้อหาของอนิเมะอยู่ นั่นคิอ การที่คุณหนูนางิเคยผ่านการนั่งรถไฟฟ้ามาแล้วใน Hayate no Gotoku! กับนิชิซาว่า อายุมุ แต่ในตอนนั้นได้นำมุขของมังงะมาใช้ คือ การเจอปัญหาที่กั้นรถไฟของนางิ และมุขความเร็วของรถไฟ แต่ในมังงะนางิจะนั่งไปกับนิชิซาว่า คาซึกิ เมื่อมาถึง Hayate no Gotoku!! 2nd Season ได้มีการนำตอนของมังงะที่นั่งรถไฟไปกับนิชิซาว่า คาซึกิ มาทำทั้งตอน แต่นางิยังคงเจอปัญหาที่กั้นรถไฟ และยังมีมุขความเร็วเช่นเดิม ซึ่งขัดกับหลักความเป็นจริง เพราะมุขทั้งสองนี้มีจุดสำคัญคือ นางิต้องไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อน แต่ในอนิเมะนั้น นางิเคยมีประสบการณ์การนั่งรถไฟมาแล้วใน Hayate no Gotoku! จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อน", "title": "ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" }, { "docid": "158196#8", "text": "Hayate no Gotoku! Drama CD 1 - Hermione Ayasaki And The Private Lessons ดราม่าซีดีชุดแรกของ ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน วางจำหน่ายเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 มีเนื้อหาล้อเลียนแฮร์รี่ พอตเตอร์Hayate no Gotoku! Drama CD 2 - Shissou! Hakuou Gakuin Bus Tour to Maria-san no Hitorigoto ดราม่าซีดีชุดที่ 2 ของ ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน วางจำหน่ายเมื่อ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการไปเที่ยวบนรถทัวร์ของนักเรียนโรงเรียนฮัคคุโอHayate no Gotoku! Drama CD3 - Hatsukoi ดราม่าซีดีชุดที่ 3 ของ ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน วางจำหน่ายเมื่อ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551อะนิเมะเรื่อง ฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน ได้มีอัลบั้มเพลงบรรเลงประกอบ 2 ชุด คือ", "title": "รายชื่ออัลบั้มในฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน" } ]
3230
ประเทศฟินแลนด์มีพื้นที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "17186#1", "text": "ฟินแลนด์มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ในพื้นที่ 338,145 ตารางกิโลเมตร นับว่ามีประชากรที่เบาบาง แต่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ตามสถิติของสหประชาชาติ พ.ศ. 2549 อยู่ในลำดับที่ 11 ฟินแลนด์เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนหลายศตวรรษ หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปี พ.ศ. 2460 ปัจจุบันฟินแลนด์เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย", "title": "ประเทศฟินแลนด์" } ]
[ { "docid": "17186#33", "text": "ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีทะเลสาบและเกาะเป็นจำนวนมาก โดยมีทะเลสาบถึง 187,888 แห่ง (ที่มีเนื้อที่มากกว่า 500 ตารางเมตร) และมีเกาะถึง 179,584 เกาะ โดยทะเลสาบไซมา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟินแลนด์ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าของยุโรป ภูมิประเทศทั่วไปของฟินแลนด์มีลักษณะเป็นที่ราบ ไม่มีภูเขามากนัก จุดสูงสุดของประเทศอยู่ที่ภูเขาฮัลติ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขตแลปแลนด์ โดยมีความสูง 1,328 เมตร นอกจากทะเลสาบแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟินแลนด์ปกคลุมด้วยป่าสน และมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มากนัก ฟินแลนด์มีเกาะที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ บริเวณหมู่เกาะโอลันด์ และตลอดแนวชายฝั่งทางใต้ในอ่าวฟินแลนด์ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศของโลกที่ยังคงมีขนาดใหญ่ขึ้น จากการยกตัวของแผ่นดินที่มีผลมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "17186#3", "text": "ตั้งแต่ประมาณ 2,700 ปีก่อนพุทธกาล ดินแดนฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทางใต้ของอ่าวฟินแลนด์ โดยเข้ามาทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ มีหลักฐานของเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะเฉพาะ ต่อมาในยุคสำริด พื้นที่ทางชายฝั่งของฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากสแกนดิเนเวียและยุโรปกลาง ในขณะที่พื้นที่ที่อยู่ห่างจากทะเลเข้าไป ได้รับอิทธิพลการใช้สำริดมาจากทางตะวันออกมากกว่า", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "17186#0", "text": "ประเทศฟินแลนด์ ( \"ซูโอมี\"; ) มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐฟินแลนด์ \n(; ) เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป เขตแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้จรดทะเลบอลติก ทางด้านใต้จรดอ่าวฟินแลนด์ ทางตะวันตกจรดอ่าวบอทเนีย ประเทศฟินแลนด์มีชายแดนติดกับประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และรัสเซีย สำหรับหมู่เกาะโอลันด์ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นั้น อยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง เคยถูกรัสเซียยึดครองและเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "80088#25", "text": "ฟินแลนด์อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลทางการทหารของสหภาพโซเวียตแต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความเป็นกลาง ฟินแลนด์ไม่ได้มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ไม่ได้เป็นสมาชิกของประเทศที่ร่วมทำสนธิสัญญาวอร์ซอหรือ แต่เป็นสมาชิกของสมาคมการค้าเสรียุโรปหรือเอฟตาและอยู่ทางตะวันตกของม่านเหล็ก ออสเตรียได้รับเอกราชในฐานะสาธารณรัฐในปีค.ศ. 1955 ภายใต้เงื่อนไขไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ออสเตรียอยู่ทางตะวันตกของม่านเหล็กและอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของสหรัฐ สเปนไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มนาโตจนกระทั่งปีค.ศ. 1982 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของสงครามเย็นและเกิดขึ้นภายหลังการตายของจอมพลฟรันซิสโก ฟรังโกถึง 7 ปี", "title": "โลกตะวันตก" }, { "docid": "8191#1", "text": "ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีพื้นที่ต่ำ โดย 20% ของพื้นที่อยู่ และ 21% ของประชากรอาศัยอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และ 50% ของพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกินหนึ่งเมตร ซึ่งลักษณะเด่นนี้เป็นที่มาของชื่อประเทศ ในภาษาดัตช์ อังกฤษและภาษาอื่นของยุโรปอีกหลายภาษา ชื่อประเทศหมายถึง \"แผ่นดินต่ำ\" หรือ \"กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ\" พื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการสกัดพีต (peat) อย่างกว้างขวางและมีการควบคุมไม่ดีหลายศตวรรษทำให้พื้นผิวต่ำลงหลายเมตร แม้ในพื้นที่น้ำท่วมถึง การสกัดพีตยังดำเนินต่อไปโดยการขุดลอกพื้นที่ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการฟื้นสภาพที่ดินและปัจจุบันมีการสงวนพื้นที่โพลเดอร์ (polder) ขนาดใหญ่ด้วยระบบการระบายน้ำที่ซับซ้อนซึ่งมีทั้งพนัง คลองและสถานีสูบ พื้นที่เกือบ 17% ของประเทศเป็นพื้นที่ที่เกิดจากการถมทะเล พื้นที่บริเวณกว้างของเนเธอร์แลนด์เกิดจากชะวากทะเลของแม่น้ำสำคัญของทวีปยุโรปสามสายและลำน้ำแตกสาขาเกิดเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไรน์–เมิซ–ซเกลดะ (Rhine–Meuse–Scheldt delta) พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ราบ ยกเว้นเนินเขาทางตะวันออกเฉียงใต้และเทือกเขาเตี้ย ๆ หลายเทือกทางตอนกลาง", "title": "ประเทศเนเธอร์แลนด์" }, { "docid": "370256#0", "text": "ฟลานเดอร์ตะวันตก (, ) เป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกที่สุดของเขตฟลามส์และประเทศเบลเยียม โดยทางเหนือและทางตะวันตกมีพื้นที่ติดต่อกับทะเลเหนือ, ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดเซลันด์ของประเทศเนเธอร์แลนด์, ทางตะวันออกติดต่อกับมณฑลฟลานเดอร์ตะวันออก และทางใต้ติดต่อกับมณฑลแอโนของประเทศเบลเยียมและจังหวัดนอร์ของประเทศฝรั่งเศส", "title": "มณฑลฟลานเดอร์ตะวันตก" }, { "docid": "17186#37", "text": "ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์พัฒนาไปเป็นประเทศอุตสาหกรรมและเป็นตลาดเสรี ซึ่งมีผลผลิตต่อประชากรสูงไม่ต่างจากเศรษฐกิจในโลกตะวันตกอื่นๆ ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่การผลิตไม้ โลหะ วิศวกรรม โทรคมนาคม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การค้าระหว่างประเทศของฟินแลนด์มีส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ นอกจากป่าไม้และแร่ธาตุบางอย่างแล้ว ฟินแลนด์ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและพลังงาน รวมถึงส่วนประกอบของสินค้าอุตสาหกรรมบางอย่าง ภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของฟินแลนด์คือการบริการ ในขณะที่การผลิตปฐมภูมิมีส่วนเพียงร้อยละ 2.9 ของจีดีพี", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "17186#12", "text": "จากสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลให้กับสหภาพโซเวียต รวมถึงเสียดินแดนถึงร้อยละ 12 ของดินแดนทั้งหมด ทำให้ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้กับชาวฟินแลนด์ถึง 420,000 คน อย่างไรก็ตาม ฟินแลนด์ไม่เคยถูกครอบครองเลยในช่วงสงคราม โดยเฮลซิงกิเป็นหนึ่งในสามเมืองหลวงของประเทศยุโรปที่เข้าร่วมสงครามที่ไม่ถูกยึดครองโดยฝ่ายศัตรู (อีกสองเมืองคือลอนดอนและมอสโก)", "title": "ประเทศฟินแลนด์" }, { "docid": "17186#31", "text": "ประเทศฟินแลนด์มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 19 เขต (, ) ซึ่งได้จัตตั้งขึ้นโดยรัฐบาลฟินแลนด์ในปี ค.ศ. 2010 โดยเขตของฟินแลนด์ได้เข้ามาแทนที่ จังหวัดของฟินแลนด์ (\"lääni\") ซึ่งถูกล้มเลิกไปเมื่อปี ค.ศ. 2009", "title": "ประเทศฟินแลนด์" } ]
3233
มรดกโลก มีหน่วยงานใดดูแล ?
[ { "docid": "177657#0", "text": "มรดกโลก คือสถานที่ที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) คัดเลือกเพื่อแสดงว่าสถานที่นั้นมีความสำคัญทางวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ รายชื่อด้านล่างคือรายชื่อแหล่งมรดกที่ตั้งอยู่ในรัฐอาหรับ ชื่อทางการเป็นชื่อที่ใช้ในการจดทะเบียนในบัญชีมรดกโลก ชื่อภาษาไทยเป็นชื่อที่แปลชื่อทางการ โดยศูนย์ข้อมูลมรดกโลก กระทรวงวัฒนธรรม ปี คือปีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก", "title": "รายชื่อแหล่งมรดกโลกในรัฐอาหรับ" }, { "docid": "47052#0", "text": "มรดกโลก คือสถานที่ที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) คัดเลือกเพื่อแสดงว่าสถานที่นั้นมีความสำคัญทางวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ รายชื่อด้านล่างคือรายชื่อแหล่งมรดกที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ชื่อทางการเป็นชื่อที่ใช้ในการจดทะเบียนในบัญชีมรดกโลก ชื่อภาษาไทยเป็นชื่อที่แปลชื่อทางการ โดยศูนย์ข้อมูลมรดกโลก กระทรวงวัฒนธรรม ปี คือปีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยรายชื่อมรดกโลกได้แบ่งตามภูมิภาคดังนี้", "title": "รายชื่อแหล่งมรดกโลกในทวีปเอเชีย" }, { "docid": "629788#0", "text": "คณะกรรมการมรดกโลก () ถูกก่อตั้งโดยเป็นส่วนหนึ่งของของมรดกโลกของยูเนสโก", "title": "คณะกรรมการมรดกโลก" } ]
[ { "docid": "467701#3", "text": "เรื่องปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานมีความสำคัญมากเพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่มรดกโลกกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ การดำเนินการรื้อถอนบ้านพักและรีสอร์ทที่บุกรุกพื้นที่จึงเป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งศูนย์มรดกโลกได้ส่งตัวแทนเข้ามาติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และมีข้อมติจากคณะกรรมการมรดกโลกให้ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะนำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 36 ที่ประเทศรัสเซีย เช่น แก้ปัญหาและติดตามการบุกรุกพื้นที่มรดกโลกอย่างใกล้ชิด และมีการปรับปรุงแนวเขตที่เหมาะสม มีการพิจารณาขยายผนวกพื้นที่มรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่บุกรุก ลดกิจกรรมการเลี้ยงปศุสัตว์ ลดผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนห้วยโสมง การดำเนินการถนนสาย 304 เพื่อเชื่อมต่อผืนป่า เป็นต้น \nดำรงค์ พิเดช ได้จัดตั้งพรรคการเมือง และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย แต่การเลือกตั้งครั้งดังกล่าว เป็นโมฆะตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ", "title": "ดำรงค์ พิเดช" }, { "docid": "34077#5", "text": "เมื่อถึงขั้นตอนนี้ แฟ้มข้อมูลจะถูกตรวจสอบและพิจารณาจากองค์กร 2 แห่ง ได้แก่ \"สภานานาชาติว่าด้วยการดูแลอนุสรณ์สถานและแหล่งโบราณคดี (International Council on Monuments and Sites : ICOMOS)\" และ \"ศูนย์ระหว่างชาติว่าด้วยการศึกษา การอนุรักษ์ และปฏิสังขรณ์สมบัติทางวัฒนธรรม (The International Centre for the Study of the Preservation and Restoration of the Cultural Property : ICCROM)\" ในส่วนของมรดกทางวัฒนธรรม และ \"สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ International Union for Conservation of Nature : IUCN)\" แล้วทั้งสามองค์กรนี้จะยื่นข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการมรดกโลก ทางคณะกรรมการจะมีการประชุมร่วมกันปีละหนึ่งครั้ง เพื่อตัดสินว่าสถานที่ที่มีการเสนอชื่อแห่งใดบ้างที่ควรได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หรือทางคณะกรรมการอาจร้องขอให้ประเทศที่เสนอชื่อได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เพิ่มเติม โดยการพิจารณาว่าจะขึ้นทะเบียนสถานที่แห่งใดจะต้องมีลักษณะตามเกณฑ์มาตรฐานข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ", "title": "แหล่งมรดกโลก" }, { "docid": "34368#18", "text": "นายอดุล วิเชียรเจริญ ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกกล่าวว่า การที่กรมชลประทานยังไม่ยกเลิกโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำ 3 แห่งในพื้นที่แหล่งมรดกโลกแห่งนี้นั้นทำให้น่าเป็นห่วงว่าแหล่งมรดกโลกแห่งนี้อาจถูกถอนออกจากการเป็นมรดกโลก ซึ่งแหล่งมรดกโลกที่เคยถูกถอดถอนและถูกปลดมาอยู่ในภาวะอันตรายนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการท่องเที่ยว ซึ่งนับเป็นภัยคุกคามที่ร้างแรง เพราะจะทำให้มีปัญหาขยะ น้ำเสีย โดยในการประชุมประจำปี พ.ศ. 2550 คณะกรรมการมรดกโลกได้ลงมติให้หมู่เกาะกาลาปากอส ประเทศเอกวาดอร์ ถูกปลดสถานภาพไปอยู่ในภาวะอันตราย เช่นเดียวกับที่อุทยานแห่งชาตินีโอโกโล-โกโบ ประเทศเซเนกัล ซึ่งมีปัญหาการก่อสร้างเขื่อน", "title": "ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่" }, { "docid": "100053#4", "text": "มอนเดนคินด์ญี่ปุ่น (Mondenkind Japan) คือหน่วยงานของมอนเดนคินด์หน่วยงานเดียวในโลกที่มีไอดอลใช้งาน ในปัจจุบันมีไอดอลในครอบครองทั้งหมด 2 ตัว (และสูญหาย 1) มีไพลอทรวม 3 คน หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนของไอดอล จะถูกแยกไปอยู่ในส่วนของไอดอลทีม (Mondenkind Japan IDOL Team) โดยมี โจเซฟ ชินเกทสึ เป็นผู้ดูแล", "title": "ไอดอลมาสเตอร์ เซโนกลอสเซีย" }, { "docid": "629788#2", "text": "การประชุมสมัยสามัญประจำปีจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจัดในเมืองสำคัญต่างๆจากทั่วโลก ซึ่งนอกจากครั้งที่จัดขึ้นที่กรุงปารีส อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์การยูเนสโกแล้ว จะมีเพียงประเทศที่สมาชิกของคณะกรรมการมรดกโลกเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิในการจัดการประชุมครั้งต่อไป โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และรับรองได้ว่าสมาชิกภาพของประเทศนั้นๆจะไม่หมดวาระลงเสียก่อนที่จะได้จัดการประชุม", "title": "คณะกรรมการมรดกโลก" }, { "docid": "34368#13", "text": "ยูเนสโกได้เสนอข้อเสนอแนะตามมาอีก 7 ข้อ หลังจากได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่จากกรณีที่กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม มีโครงการที่จะขยายถนนเส้น 304 กบินทร์บุรี-ปักธงชัย ถนนที่ผ่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และอุทยานแห่งชาติทับลาน จาก 2 เลน เป็น 4 เลน โดยได้ไถพื้นที่ป่าไปแล้วกว่า 4 กม. ทางด้านกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งมีหน้าที่ดูแลผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ กล่าวถึงโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 304 ว่า เป็นแผนเมกะโปรเจกต์ของกระทรวงคมนาคมที่นำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีนายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นเป็นประธาน เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2548", "title": "ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่" }, { "docid": "629788#1", "text": "คณะกรรมการมรดกโลกจะมีการประชุมร่วมกันหลายครั้งในแต่ละปี เพื่ออภิปรายถึงแผนการจัดการเกี่ยวกับแหล่งมรดกโลกที่ยังคงอยู่ และรับรายชื่อสถานที่ที่ประเทศต่างๆเสนอให้ได้รับการพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และจะมีการประชุมครั้งหนึ่งที่เรียกว่า การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ (World Heritage Committee Session) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อตัดสินว่าสถานที่ที่ได้รับการเสนอชื่อแห่งใดที่จะได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ", "title": "คณะกรรมการมรดกโลก" }, { "docid": "615311#1", "text": "ยูเนสโกได้พิจารณาให้พระราชวังแห่งนี้เป็นมรดกโลก อย่างไรก็ตามพระราชวังแห่งนี้ได้ถูกนำเข้าบัญชีแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายจากการที่เมืองอาบอแมถูกพายุทอร์นาโดโจมตีในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1984 พายุทอร์นาโดในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่พิพิธภัณฑ์ในหลายส่วน เช่น หลุมฝังพระศพของกษัตริย์และห้องอัญมณี เป็นต้น อย่างไรก็ตามด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยงานในระดับนานาชาติทำให้พระราชวังได้รับการบูรณะปรับปรุงขึ้นอีกครั้ง ด้วยการบูรณะปรับปรุงในครั้งนี้ ยูเนสโกได้ตัดสินใจถอดพระราชวังแห่งอาบอแมออกจากรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 ในปัจจุบัน พระราชวังแห่งนี้ไม่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว", "title": "พระราชวังแห่งอาบอแม" } ]
3239
ประเทศจีนปกครองโดยระบอบใด?
[ { "docid": "610022#4", "text": "ต่อมาในปี 1949 สงครามกลางเมืองส่งผลให้พรรคสังคมนิยม (; Communist Party) ได้เป็นใหญ่ในประเทศจีน พรรคสังคมนิยมเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบสังคมนิยม และเรียกประเทศเสียใหม่ว่า \"สาธารณรัฐประชาชนจีน\" พรรคชาตินิยมจึงหนีไปยังเกาะไต้หวัน และจัดตั้งการปกครองบนพื้นที่ไต้หวันแยกเป็นประเทศต่างหากจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เรียกว่า \"สาธารณรัฐจีน\" แต่พรรคสังคมนิยมยังคงถือว่า พื้นที่ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน กับทั้งสาธารณรัฐจีนเองก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติว่าเป็นประเทศเอกราชมาจนปัจจุบัน", "title": "เขตการปกครองของประเทศไต้หวัน" }, { "docid": "96358#23", "text": "ในปี 1949 เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศจีน ส่งผลให้พรรคสังคมนิยม (; Communist Party) ได้เป็นใหญ่ พรรคสังคมนิยมเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบสังคมนิยม และเรียกประเทศเสียใหม่ว่า \"สาธารณรัฐประชาชนจีน\" พรรคชาตินิยมจึงหนีมายังเกาะไต้หวัน และจัดตั้งการปกครองบนพื้นที่ไต้หวันแยกเป็นประเทศต่างหากจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เรียกว่า \"สาธารณรัฐจีน\" แต่พรรคสังคมนิยมยังคงถือว่า พื้นที่ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน กับทั้งสาธารณรัฐจีนเองก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติว่าเป็นประเทศเอกราชมาจนปัจจุบัน", "title": "ไถหนาน" } ]
[ { "docid": "2032#23", "text": "สาธารณรัฐประชาชนจีนมีอำนาจการปกครองเหนือ 22 มณฑล และถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่ 23 ของตน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอำนาจการปกครองเหนือไต้หวันซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนจีนถูกคัดค้านโดยสาธารณรัฐจีน นอกจากนี้ยังแบ่งเขตการปกครองเป็นเขตปกครองตนเอง 5 แห่ง แต่ละแห่งมีชื่อตามชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่นั้น เทศบาลนคร 4 แห่ง และเขตบริหารพิเศษ 2 แห่ง ซึ่งมีสิทธิ์ปกครองตนเองอยู่ในระดับหนึ่ง ดินแดนเหล่านี้อาจถูกเรียกรวมกันว่า \"จีนแผ่นดินใหญ่\" ซึ่งมักยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊า", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "2032#12", "text": "การปฏิวัติซินไฮ่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (สิ้นสุดลงในปี พ.ศ 2455) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด\nโดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ผู้นำประเทศจักรพรรดิแมนจูไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 – 2455) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และญี่ปุ่น ซึ่งจีนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจระบอบการปกครองของราชวงศ์ชิง", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "2032#0", "text": "ประเทศจีน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน (; ) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1400 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน) 5 เขตปกครองตนเอง 4 เทศบาลนคร (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ ฮ่องกงและมาเก๊า", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "558879#8", "text": "สาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ชาวจีนอยู่ภายใต้การปกครองโดยราชวงศ์ชิง ชนกลุ่มน้อยเผ่าแมนจูซึ่งได้ให้อภิสิทธิ์แก่เฉพาะชาวแมนจูและกดขี่ชาวจีนฮั่น อีกทั้งราชวงศ์ชิงไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (ค.ศ. 1644–1912) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากเหล่าประเทศลัทธิล่าอาณานิคม โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และญี่ปุ่น จีนได้ทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้ราษฎรหมดความเชื่อถือต่อราชวงศ์ชิงเป็นอย่างมากนำไปสู่การต่อต้านระบอบการปกครองของราชวงศ์แมนจู", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "610022#2", "text": "เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐจากระบอบราชาธิปไตยเป็นระบอบสาธารณรัฐในปี 1912 นั้น พรรคชาตินิยม (; Kuomintang) ได้เถลิงอำนาจในประเทศจีน เขตการปกครองยังคงเป็นเหมือนในสมัยราชาธิปไตย เวลานั้น ประเทศจีนมี", "title": "เขตการปกครองของประเทศไต้หวัน" }, { "docid": "2032#75", "text": "จีนเป็นประเทศเอกภาพที่มีหลายชนชาติ รัฐบาลจีนดำเนินนโยบายทางชนชาติที่ให้ ชนชาติต่าง ๆ มีความเสมอภาค สมานสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เคารพและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและขนบธรรมเนียมของชนชาติส่วนน้อยระบบปกครองตนเองในเขตชนชาติส่วนน้อยเป็นระบบการเมืองอันสำคัญอย่างหนึ่งของจีน คือ ให้ท้องที่ที่มีชนชาติส่วนน้อยต่าง ๆ อยู่รวม ๆ กันใช้ระบบปกครองตนเอง ตั้งองค์กรปกครองตนเองและใช้สิทธิอำนาจปกครองตนเอง ภายใต้การนำที่เป็นเอกภาพ ของรัฐ รัฐประกันให้ท้องที่ที่ปกครองตนเองปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายของรัฐตามสภาพที่เป็นจริงในท้องถิ่นของตน ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ บุคลากรทางวิชาการและ กรรมกรทางเทคนิคชนิดต่าง ๆ ของชนชาติส่วนน้อยเป็นจำนวนมาก ประชาชน ชนชาติต่าง ๆ ในท้องที่ที่ปกครองตนเองกับประชาชนทั่วปแระเทศรวมศูนย์กำลังดำเนิน การสร้างสรรค์สังคมนิยมที่ทันสมัย เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องที่ที่ ปก ครองตนเองให้เร็วขึ้นและสร้างสรรค์ท้องที่ที่ปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยที่สมานสามัคคีกันและเจริญรุ่งเรือง ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "30643#16", "text": "สาธารณรัฐประชาชนจีนมีหน่วยการปกครองย่อยที่ซับซ้อนมาก ทำนองเดียวกับมณฑลเทศาภิบาลซึ่งเคยใช้ในไทย การปกครองแบ่งย่อยออกเป็นมณฑล (อังกฤษ: province; จีน:省; พินอิน:Shěng; คำอ่าน: เสิ่ง) บางมณฑลอาจให้มีอำนาจปกครองตนเอง เรียกว่า เขตปกครองตนเอง (อังกฤษ: autonomous region ;จีน: 自治区; พินอิน:Zìzhìqū; คำอ่าน: จื้อจื้อชวี) นครขนาดใหญ่เช่นเป่ยจิง ฉงชิ่ง ซั่งไห่ และเทียนจิน ก็ถูกจัดให้มีฐานะเท่ามณฑลเช่นกัน เรียกว่า เทศบาลนคร (อังกฤษ: municipality; จีน:直辖市; พินอิน:Zhíxiáshì; คำอ่าน: จื๋อเสียซื่อ)", "title": "เทศมณฑล" }, { "docid": "610022#5", "text": "สาธารณรัฐจีนนั้นชั้นแรกยังบริหารตามเขตการปกครองเดิม คือ มีมณฑลไต้หวัน กับมณฑลฝูเจี้ยน และมณฑลทั้ง 2 แบ่งออกเป็นเทศบาลมณฑล และเทศมณฑล กับทั้งมีเขตการปกครองพิเศษเรียกว่า เทศบาลพิเศษ อยู่ในสังกัด แต่ภายหลังมีการจัดระเบียบใหม่ ในช่วงปี 1967 ถึง 2010 มีการแยกเทศบาลพิเศษออกจากมณฑลเพื่อให้ปกครองตนเองโดยขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา มีการให้เทศบาลมณฑลกับเทศมณฑลปกครองตนเองโดยขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางเช่นกัน ไม่ปกครองผ่านมณฑลอีก แต่ยังคงสังกัดมณฑลอย่างเดิม ปัจจุบัน มณฑลจึงเหลืออยู่แต่ในนาม แต่ก็ยังมิได้ยุบเลิกไปเสียทีเดียว", "title": "เขตการปกครองของประเทศไต้หวัน" } ]
3246
โรงเรียนทวีธาภิเศก ตั้งอยู่เขตใด ?
[ { "docid": "59477#0", "text": "โรงเรียนทวีธาภิเศก () (อักษรย่อ : ท.ภ. / T.P.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ประเภทชายล้วน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 505/5 ซอยอิสรภาพ 42 ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600 มีพื้นที่ 13 ไร่ ก่อตั้งโดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองราชสมบัตินานเป็นสองเท่าของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นสมเด็จพระอัยกา", "title": "โรงเรียนทวีธาภิเศก" } ]
[ { "docid": "73334#0", "text": "โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในเครือของโรงเรียนทวีธาภิเศก สังกัดกรมสามัญศึกษา ตั้งอยู่ในซอยแยกถนนบางขุนเทียนชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร เปิดดำเนินการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2537 โดยรับทั้งนักเรียนชายและหญิง ในระยะแรกใช้ชื่อว่า โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ทวีธาภิเศก 2 (ต.ท.ภ.) และใช้สถานที่ของโรงเรียนทวีธาภิเศกเป็นสถานที่เรียนและดำเนินกิจการ มีนายทองปาน แวงโสธรณ์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก สีประจำโรงเรียนคือ สีเขียวอ่อน\nในสมัยผู้อำนวยการสำเริง นิลประดิษฐ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนทวีธาภิเศก (พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2521) โรงเรียน ได้เปิดรับนักเรียน 2 รอบ เช้า-บ่าย จำนวน 96 ห้องเรียน นักเรียนมีจำนวนมาก พื้นที่โรงเรียน 11 ไร่เศษ ไม่เพียงพอ ต่อการ รับนักเรียน ดังนั้น ในงานคล้ายวันเกิด 17 เมษายน พ.ศ. 2528 ของนายห้างอาทร สังขะวัฒนะ ผู้ให้การอุปถัมภ์โรงเรียน ผู้อำนวยการสำเริง นิลประดิษฐ์ คุณมนูญ ไตรรัตน์ เลขานุการสมาคมศิษย์เก่า พ.ต.อ.(พิเศษ) พลวุฒิ วิเศษสงวน และกรรมการหลายท่าน จึงได้เอ่ยปากขอที่ดินเขตบางขุนเทียน เพื่อขยายขนาดโรงเรียนทวีธาภิเศก", "title": "โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน" }, { "docid": "343809#2", "text": "โรงเรียนวัดกิ่งแก้ว (เทวะพัฒนาคาร) ตั้งอยู่เลขที่ 300 หมู่ที่ 13 ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 รหัสไปรษณีย์ 10540 โทรศัพท์ 02-1782334 โทรสาร 02-7388491 email address [email protected] website www.watkingkaew.ac.th เปิดสอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีเนื้อที่ 11ไร่ เขตพื้นที่บริการ ตำบลบางพลีใหญ่ หมู่ที่ 15 และ 16 ตำบลราชาเทวะ หมู่ที่ 4, 5, 6, 9, 11 และ 13ชุมชนดี ดนตรีเด่น", "title": "โรงเรียนวัดกิ่งแก้ว (เทวะพัฒนาคาร)" }, { "docid": "73334#3", "text": "วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2537 มีพิธีวางศิลาฤกษ์โดย นายสังข์ทอง ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้นพื้นที่ทั้ง 50 ไร่ เป็นพื้นที่น้ำเวิ้งว้างมีแนวเขตที่ดินป่าแสม และโกงกางเป็นหย่อม ๆ สภาพพื้นที่ดินเป็นป่าชายเลน ระดับ น้ำลึกประมาณ 1.5 เมตร มีถนนเข้าทางเดียว ต้องผ่านถนนผ่านหมู่บ้านคุณาลัยเข้าไป โรงเรียนมอบหมายให้นายทองปาน แวงโสธรณ์ เป็นประธานดำเนินการถมดินบริเวณที่อยู่ติดหมู่บ้านคุณาลัย 1 งาน เพื่อประกอบพิธี วางศิลาฤกษ์ และนอกจากนั้นยังได้เจรจากับเจ้าของที่ดินข้างเคียง เพื่อขอที่ดินเข้าสู่โรงเรียน โดยเฉพาะ โดยการสนับสนุนของหมู่บ้านคุณาลัยดำเนินการทำถนนได้สำเร็จระยะทาง 670 เมตร กว้าง 6-8 เมตร เป็นที่ดินของ นายกำจัด และนางสังเวียน โตรื่น นายสำราญ และนางจันทร์ทิพย์ แตงอ่อน", "title": "โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน" }, { "docid": "149203#4", "text": "โรงเรียนวัดทุ่งเศรษฐี ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านห้วยบง หมู่ที่ 7 ตำบลป่าเซ่า อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) มีเนื้อที่ 10 ไร่ 77.2 ตารางวา โรงเรียนระยะทางห่างจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 เป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร พื้นที่ส่วนมากเป็นที่ราบ เหมาะกับการทำนา ทำไร่ โดยมีอาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้โรงเรียนวัดทุ่งเศรษฐี จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2510 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม จากงบประมาณบริจาคของราษฎร ตั้งอยู่บ้านห้วยบง หมู่ที่ 7 ตำบลป่าเซ่า อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้บริเวณบึงกะโล่และบ้านเรือนราษฎร", "title": "โรงเรียนวัดทุ่งเศรษฐี" }, { "docid": "763639#0", "text": "โรงเรียนทีปราษฎร์พิทยา () ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2523 ตั้งอยู่เลขที่ 255 หมู่ 1 ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เนื้อที่ประมาณ  37  ไร่ มีเขตพื้นที่บริการ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลแม่น้ำ และตำบลบ่อผุด ก่อตั้งโดย ท่านพระครูวิภาตทีปกร ใช้อักษรย่อว่า ท.พ. ปัจจุบันโรงเรียนทีปราษฎร์พิทยาเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ และเป็นโรงเรียนโรงเรียนมาตรฐานสากล", "title": "โรงเรียนทีปราษฎร์พิทยา" }, { "docid": "212287#2", "text": "โรงเรียนวิสุทธรังษี จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่เลขที่ 32 ถนนแสงชูโต อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 63 ไร่ บริเวณโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นพื้นคอนกรีต และเป็นถนน มีประตูรั้ว 2 ประตูคือ ประตูรั้วทางเข้า - ออกบริเวณอาคารศูนย์ศึกษาศาลาศิลปวัฒนธรรม และประตูรั้วทางเข้า - ออกหลักบริเวณแฟล็ตป้อมยาม\nโรงเรียนวิสุทธรังษี มีอาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายการศึกษาออกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ โดยในชั้นต้นให้ใช้วัดเป็นสถานที่เล่าเรียน โดยมีพระภิกษุเป็นครูผู้สอน ตามประกาศพระกระแสพระบรมราชโองการ\"จัดการเล่าเรียนในหัวเมือง\" เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 โดยทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (ขณะนั้นยังทรงดำรงพระอิสริยยศ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส) รับเป็นภาระจัดพระเถระผู้ใหญ่ที่สมควรเป็นผู้อำนวยการศึกษาตามมณฑลต่าง ๆ ซึ่งจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้นขึ้นสังกัดมณฑลราชบุรี โดยมีพระอมรโมลี (ชม สุสมาจาโร) แห่งวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร เจ้าคณะมณฑลราชบุรีขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการการศึกษา วัดไชยชุมพลชนะสงครามเป็นวัดหนึ่งซึ่งได้รับการยกย่องว่าควรเป็นโรงเรียนได้ ปรากฏในรายงานตรวจการศึกษามณฑลราชบุรี ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๑๖ แผ่นที่ ๕๒ รัตนโกสินทรศก ๑๑๘ (พ.ศ. 2442) ตอนหนึ่งว่า", "title": "โรงเรียนวิสุทธรังษี" }, { "docid": "120935#3", "text": "โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 431 หมู่บ้านน้ำกระจาย ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ห่างจากห้าแยกบ้านน้ำจาย ประมาณ 900 เมตร และอยู่ห่างจากทะเลสาบสงขลาด้านเกาะยอ ประมาณ 2 กิโลเมตร ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองและศาลากลางจังหวัดสงขลา ประมาณ 13 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 84 ไร่ 12.10 ตารางวา พื้นที่เดิมเป็นที่สงวนเลี้ยงสัตว์ที่ถอนสภาพแล้วเป็นที่ราบลุ่มมีน้ำทะเลท่วมขังตลอดปี", "title": "โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ" }, { "docid": "206202#0", "text": "โรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม (Hatyaipittayakom School) (อักษรย่อ: ญ.พ.) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ประกาศจัดตั้งโดยกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2538 ณ บ้านพรุเตาะ หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีเนื้อที่จำนวน 59 ไร่ 17 ตารางวา ประกอบด้วยอาคารเรียน 2 หลัง และอาคารเรียนชั่วคราว 3 หลัง ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 479 คน", "title": "โรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม" }, { "docid": "206202#1", "text": "โรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ประกาศจัดตั้งโดยกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2538 ณ บ้านพรุเตาะ หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า จำนวน 59 ไร่ 17 ตารางวา ซึ่งได้รับการสนับสนุนและผลักดัน ให้ใช้เป็นสถานที่จัดตั้งโรงเรียนโดย นายเฉลียว แก้วสิ้นสุด กำนันตำบลทุ่งใหญ่ นายสมพร ช่วยกุลผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งใหญ่และสมาชิกตำบลทุ่งใหญ่", "title": "โรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม" }, { "docid": "59477#1", "text": "โรงเรียนทวีธาภิเศกเป็นโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดธนบุรี(โรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัดธนบุรีคือ โรงเรียนศึกษานารี) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองราชสมบัตินานเป็นสองเท่าของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นสมเด็จพระอัยกา\nโดยเมื่อปี พ.ศ. 2438 (ร.ศ. 114) ปีมะแม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้กระทรวงธรรมการ (ปัจจุบัน คือ กระทรวงศึกษาธิการ) ขยายตัวทางด้านการศึกษา จัดให้มีโรงเรียนมากขึ้น โดยเห็นว่าสถานที่ กระทรวงธรรมการบริเวณศาลาต้นจันทร์ วัดอรุณราชวราราม เปิดสอนชั้น 1 ถึงชั้น 4 มีนักเรียน 162 คน ครู 6 คน มีพระครูธรรมรักขิต (สัมฤทธิ์ ลอยเพ็ชร) เป็นครูใหญ่ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ กรมหมื่นปราบปรปักษ์เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม เมื่อปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จ ประจวบกับเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดำรงสิริราชสมบัติมาเป็นสองเท่าของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทวีธาภิเษก ถวายพระอัยกาธิราช ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน และสมโภชสิริราชสมบัติ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2441", "title": "โรงเรียนทวีธาภิเศก" } ]
3263
คดีปราสาทพระวิหาร เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่?
[ { "docid": "176891#0", "text": "คดีปราสาทพระวิหาร เป็นความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2501 จากปัญหาการอ้างสิทธิเหนือบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร เกิดจากการที่ทั้งไทยและกัมพูชา ถือแผนที่ปักปันเขตแดนตามแนวสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักคนละฉบับ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของทั้งสองฝ่ายในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของตัวปราสาท โดยทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยได้ยินยอมให้มีการพิจารณาปัญหาดังกล่าวขึ้นที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2502", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "371734#0", "text": "การร้องขอให้ตีความคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ในคดีปราสาทพระวิหาร (ระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศไทย) () เป็นคดีที่ประเทศกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (ระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศไทย) (Case concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand)) ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ซึ่งในคำพิพากษานั้น ศาลวินิจฉัยว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาและพิพากษาให้ไทยต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกจากตัวปราสาทและบริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ได้ระบุว่า อาณาบริเวณมากน้อยเพียงไรที่จะเป็นของกัมพูชาด้วย", "title": "กรณีการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร" }, { "docid": "176891#21", "text": "เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 และในวันเดียวกันประเทศกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกเพื่อขอให้ศาลระบุมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อรักษาสิทธิของกัมพูชาอย่างเร่งด่วน ปัจจุบันคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างกระบวนพิจารณาของศาลโลก", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" } ]
[ { "docid": "176891#20", "text": "ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช นักกฎหมายชาวไทย ตั้งข้อสังเกตว่าการตัดสินคดีในศาลโลก ในคดีทำนองเดียวกันนี้ ทั้งก่อนหน้าและหลังคดีพระวิหาร มีเพียงคดีนี้เพียงคดีเดียวที่ผู้พิพากษาให้ความสำคัญกับแผนที่เหนือสนธิสัญญา ในคดีอื่นศาลจะให้น้ำหนักกับแผนที่ก็ต่อเมื่อเป็นแผนที่แนบท้ายสนธิสัญญา หรือเป็นแผนที่ที่ทำโดยฝ่ายที่เสียสิทธิ์ จะไม่ให้ความสำคัญกับแผนที่ฝ่ายเดียว ซึ่งถือเป็นพยานบอกเล่า", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "176891#16", "text": "ข้าพเจ้าใคร่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรารถนาที่จะตั้งข้อสงวนอันชัดแจ้งเกี่ยวกับสิทธิใด ๆ ที่ประเทศไทยมีหรืออาจมีในอนาคต เพื่อเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง และตั้งข้อประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา”", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "176891#18", "text": "หลังจากที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ได้มีการเฉลิมฉลองทั่วทั้งพระราชอาณาจักรกัมพูชา มีการประกาศวันหยุดราชการ และในปี พ.ศ. 2506 สมเด็จเจ้าสีหนุได้เสด็จขึ้นปราสาทพระวิหารเพื่อทำพิธีบวงสรวง ทางสะพานโบราณ (ช่องบันไดหัก) หลังจากที่ทรงทราบว่ากัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหาร", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "176891#14", "text": "ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่จะอ้างถึงคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้นำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยคำร้องเริ่มคดีฝ่ายเดียวของกัมพูชา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) และซึ่งศาลได้พิพากษา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505) ยอมรับนับถืออธิปไตยของกัมพูชาเหนือซากของปราสาทพระวิหาร", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" }, { "docid": "391454#21", "text": "คดีนี้ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ท่ามกลางความไม่พอใจของฝ่ายไทย ซึ่งเห็นว่าศาลโลกตัดสินคดีนี้อย่างไม่ยุติธรรม \nหลังจากที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ได้มีการเฉลิมฉลองทั่วทั้งพระราชอาณาจักรกัมพูชา มีการประกาศวันหยุดราชการ พ.ศ. 2506 สมเด็จเจ้าสีหนุ เสด็จขึ้นปราสาทพระวิหารเพื่อทำพิธีบวงสรวง ทางสะพานโบราณ (ช่องบันไดหัก) เมื่อทรงทราบว่ากัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหาร", "title": "ราชอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ. 2497–2513)" }, { "docid": "176891#1", "text": "คดีนี้ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ท่ามกลางความไม่พอใจของฝ่ายไทย ซึ่งเห็นว่าศาลโลกตัดสินคดีนี้อย่างไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตาม การตัดสินคดีครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องอาณาเขตทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาในบริเวณดังกล่าวให้หมดไป และยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังต่อมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505" } ]